Professional Documents
Culture Documents
การศึกษาการทดสอบสมบัติของไม้ไผ่ที่มีการ1
การศึกษาการทดสอบสมบัติของไม้ไผ่ที่มีการ1
เนื้อไม้
โดยภูมิปั ญญาชาวบ้าน
นายกิตติ เมินดี
กร
นาย อายุวงศ์
เกียรติศักดิ์
นายอมร กองเงิน
เทพ กลาง
โครงงานนี้เป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา ภาควิชาวิศวกรรมโยธา
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช
มงคลกรุงเทพ
ปี การศึกษา 2565
ลิขสิทธิ์เป็ นของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
กรุงเทพ
การศึกษาการทดสอบสมบัติของไม้ไผ่ที่มีการรักษา
เนื้อไม้
โดยภูมิปั ญญาชาวบ้าน
นายกิตติ เมินดี
กร
นาย อายุวงศ์
เกียรติศักดิ์
นายอมร กองเงิน
เทพ กลาง
โครงงานนี้เป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา ภาควิชาวิศวกรรมโยธา
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช
มงคลกรุงเทพ
ปี การศึกษา 2565
ลิขสิทธิ์เป็ นของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
กรุงเทพ
ชื่อโครงงาน การศึกษาการทดสอบสมบัติของ
ไม้ไผ่ที่มีการรักษาเนื้อไม้ โดยภูมิปั ญญา
ชาวบ้าน
นายเกียรติศักดิ์ อายุวงศ์
นายอมเทพ กองเงินกลาง
สาขาวิชา วิศวกรรมโยธา
_________________________________________________
________________________
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
กรุงเทพ อนุมัติให้นับโครงงานนี้เป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม
หลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต
.............................................................. คณะบดีคณะ
วิศวกรรมศาสตร์
(ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชัชวาลย์ สุขมั่น)
คณะกรรมการสอบโครงงาน
.............................................................. ประธาน
กรรมการ
(ดร.ชำนาญ น้อยพิทักษ์)
.............................................................. อาจารย์ที่
ปรึกษาโครงงาน
(อาจารย์อภัย เบ็ญจพงศ์)
.............................................................. กรรมการ
(ดร.เซาฟี ร์ ดือราแม)
.............................................................. กรรมการ
(ผู้ชวยศาสตราจารย์สวัสดิ์ ศรีเมืองธน)
ชื่อโครงงาน การศึกษาการทดสอบสมบัติของ
ไม้ไผ่ที่มีการรักษาเนื้อไม้ โดยภูมิปั ญญา
ชาวบ้าน
นายอมเทพ กองเงินกลาง
สาขาวิชา วิศวกรรมโยธา
ปี การศึกษา 2566
บทคัดย่อ
บทนำ
1.2 วัตถุประสงค์
1.2.1 เพื่อทราบการรับกำลังอัดสูงสุดของไม้ไผ่ที่ผ่านการรักษา
เนื้อไม้
1.2.2 เพื่อทราบคุณสมบัติของทางกายภาพของไม้ไผ่ที่ผ่านการ
รักษาเนื้อไม้
1.2.3 เพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติของไม้ไผ่ที่ผ่านการรักษาเนื้อไม้ที่มี
ผลต่อกำลังรับแรงอัด
1.3 ขอบเขตของโครงงาน
1.3.4 งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาเฉพาะการเปรียบเทียบไม้ไผ่ในการรับ
กำลังอัดตามวิธีภูปั ญญาชาวบ้าน และลักษณะทางกายภาพของ
ไม้ไผ่ตงที่ผ่านการรักษาเนื้อไม้เพื่อเพิ่มความคงทนสำหรับงานที่ใช้
ไม้ไผ่ในการทำโครงสร้างต่างๆ
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.4.1 ได้ทราบถึงความสามารถรับแรงอัดของไม้ไผ่ที่ผ่านการ
รักษาเนื้อไม้โดยภูมิปั ญญาชาวบ้าน
1.4.2 ได้ทราบถึงลักษณะทางกายภาพของไม้ไผ่ที่ผ่านการรักษา
เนื้อไม้โดยภูมิปั ญญาชาวบ้าน
1.4.3 ได้ทราบถึงความเหมาะสมในการนำ มาใช้งานได้ถูก
ประเภทสำหรับงานต่างๆ
1.4.4 ได้ทราบถึงระยะเวลาของการรักษาไม้ไผ่เพื่อนำมาใช้งาน
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.1 ไม้ไผ่
2.1.2 ประโยชน์ของไผ่
2.1.3 คุณสมบัติของไม้ไผ่
2.1.3.1 คุณสมบัติทางกายภาพความชื้นของไม้ไผ่ที่เจริญ
เติบโตเต็มที่มีค่าเฉลี่ย 50-99 % และไม้ไผ่ที่ยังอ่อนอยู่มีค่าเฉลี่ย
80-95 % ขณะ ที่ไม้ไผ่ซึ่งแห้งเต็มที่แล้วมี ความ ชื้ น 12-18 %
ความชื้นของไม้ไผ่จะค่อย ๆ ลดลงจากส่วนโคนไปยังส่วนปลายของ
ลำต้น และจะลดลงเมื่อลำต้นมีอายุเพิ่มขึ้น และมีความชื้นสูงในฤดู
ฝนมากกว่าฤดูแล้ง ความหนาแน่นของเนื้อไม้เปลี่ยนแปลงไปตาม
ชนิดของไม้ไผ่ ปริมาณน้ำ ในผนังเซลล์ของเซลล์เส้นใยหรือ
ไฟเบอร์(fiber) ขึ้นกับชนิดของเนื้อไม้การหดตัวของเนื้อไม้ เกิดขึ้น
ภายหลังจากการเก็บเกี่ยว ไม้ไผ่ที่มีสีเขียวจะมีการสูญเสียน้ำและมี
การหดตัวของเซลล์ซึ่งมีผลต่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของลำไม้ไผ่
ให้หดเล็กลงด้วย
2.1.3.3 คุณสมบัติทางเคมีองค์ประกอบหลักของเนื้อ
ไม้ ได้แก่ เซลลูโลส (cellulose) เฮมิเซลลูโลส (hemicellulose)
และลิกนิน (lignin) องค์ประกอบรองได้แก่สารจำ พวก เรซิน
(resins) แทนนิน (tannins) แว๊กซ์(waxes) และ เกลืออนินทรีย์
(inorganicsalts) อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ และเยื่อกระดาษ
มีเซลลูโลสและเฮมิเซลลูโลส ซึ่งเรียกรวมกันว่า โฮโลเซลลูโลส
(holocellulose) เป็ นองค์ประกอบ 61-71 % เพนโทแซ น
(pentosans) 16-21 % ลิกนิน (lignin) 20-30 % เถ้า 1-9 % ซิลิ
ก้า 0.5-4% หน่ออ่อนของลำต้นที่นำมาบริโภคเป็ นหน่อไม้ ในส่วนที่
รับประทานได้หนัก 100 กรัม ประกอบด้วย น้ำ 89-93 กรัม
โปรตีน 1.3-2.3 กรัม ไขมัน 0.3-0.4 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.2-6.1
กรัม เส้นใย 0.5-0.77 กรัม เถ้า 0.8-1.3 กรัม แคลเซียม 81-96
มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 42-59 มิลลิกรัม เหล็ก 0.5-1.7 มิลลิกรัม วิตา
มินบี 10.07-0.14 มิลลิกรัม วิตามินซี 3.2-5.7 มิลลิกรัม กลูโคส
1.8-4.1 กรัม พลังงาน 118-197 จุล ไซยาไนด์ 44-283 มิลลิกรัม
ต่อกิโลกรัม
จากข้อมูลผลการทดสอบสมบัติทางกายภาพของไผ่ตงหม้อ
สามารถเปรียบเทียบกับงานวิจัย ไผ่ตงของผู้ทำวิจัยท่านอื่ นได้ใน
ช่องที่ 5 ของตารางที่ 4.3
ไผ่ตรงในงานวิจัยอื่น ไผ่ตรงหม้อที่ทดสอบในงาน
คุณสมบัติทางกายภาพ
1 2 3 4 วิจัย
เส้นผ่านศูนย์กลาง 92.
113.2 - 85.3 43.5
ภายนอก(มม.) 5
11.
ความหน้าผนังปล้อง(มม.) 12.2 - 12.7 7.5
1
19.8
ความชื้นสัมพัทธ์(%) 11(46) 11 11.73 9.0909
9
0.6
ความถ่วงจำเพาะ 0.77(0.73) - - 0.512
9
797.9
ความหนาแน่น(กก./ลบ.ม.) - 767 - 512
5
การหดตัว(%)
ด้านสัมพัทธ์ 2.53 - - - -
ด้านรัสมี 1.35 4.5 - - -
ตามยาว 0.21 0.1 - - -
ความหนา - 4.2 - - -
หมายเหตุ : จาก 1. ฐิติกุล ภาคคีรี (2540); 2. สุชาติไทยเพชร
(2547); 3. พัชริกา ประสงค์พรสกุล (2554); 4. เอกลักษณ์ตงยนต์
(2554);
คุณสมบัติทางกายภาพของไผ่ตงหม้อที่นำมาทำการ
ทดสอบเมื่อเปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่ น แล้วจะเห็นได้ว่ามีขนาด
ใหญ่กว่าไผ่ตงสายพันธุ์ย่อยอื่นแต่มีความชื้นสัมพัทธ์ ที่มากกว่างาน
วิจัยของ ฐิติกุล ภาคคีรี (2540) สุชาติไทยเพชร (2547) และ
เอกลักษณ์ ตงยนต์ (2554) ซึ่งอาจเป็ นผลมาจาก สภาพแวดล้อมใน
สถานที่ที่ทำการทดสอง เช่น ความชื้นภายในห้องทดสอบ เป็ นต้น
และจากตารางที่ 4.3 พบว่าการทดสอบในงานวิจัยนี้เนื้อไม้มีความ
หนาแน่นน้อยกว่างานวิจัยอื่น ซึ่งอาจมีผลมาจากการ เก็บรักษาไม้
ไ ด้ ไ ม่ ดี ทำ ใ ห้ ไ ม้ มี ค ว า ม เ สี ย ห า ย จ า ก ม อ ด ไ ม้ ไ ผ่ (Dinoderus
minutus) เจาะไม้สดหรือไม้ที่ กำ ลังแห้ง ซึ่งตัวอย่างที่นำ มา
ทดสอบมีความเสียหายจากมอดไม้ไผ่มาพอสมควร
2.1.5 ความชื้นในไม้ไผ่และการผึ้งให้แห้งในกระแสอากาศ
2.1.5.1 ความชื้นในลำไผ่ขึ้นกับชนิด อายุ ฤดูกาล
พื้นที่ปลูก และความยาวของลำไผ่อายุ 1 ปี มีความชื้นในลำสูง
มากกว่า 100 % ส่วนไผ่แก่มีประมาณ 60-70 % ส่วนโคนของลำมี
ความชื้นสูงกว่าส่วนปลาย ความชื้นในลำไผ่ที่ Ur ยังไม่ตัดออกจาก
กอประมาณ 70-140 % ความขึ้นของไผ่มีความสำคัญต่อการเข้า
ทำลายของแมลงและเชื้อราอย่างยิ่ง และมีความสำคัญต่อวิธีการ
ป้ องกันรักษา ไม้ไผ่ที่ต้องการความชื้นในลำช่วยให้น้ำยาป้ องกัน
รักษาเนื้อไม้ผ่านเข้าไปในลำไผ่ได้ดีขึ้น ไม้ไผ่ที่มีความชื้น 15-20 %
ไม่เหมาะกับการเจริญของเชื้อรา ถ้าสูงกว่า 20 % เชื้อราจะเข้า
ทำลายได้ง่าย
2.1.6.1 ปั จจุบันปริมาณการใช้ประโยชน์ไม้ไผ่เพิ่มขึ้น
ทุกปี จากการนำไม้ไผ่มาใช้ทดแทนไม้ในการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ มี
การพัฒนารูปแบบเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าจนเป็ นที่ต้องการของ
ตลาด แต่ปั ญหาจากมอดไม้ไผ่และ เชื้อราทำ ลายไม้ ยังคงเป็ น
ปั ญหาสำคัญ มอดไม้ไผ่สามารถเข้าทำลายไม้ไผ่ได้ภายในเวลา 24
ชั่วโมงหลังจาก ตัดฟั น จึงจำเป็ นที่จะต้องป้ องกันรักษาไม้ไผ่ตั้งแต่
เริ่มตัดฟั นเพื่อยืดอายุการใช้งานไม้ไผ่ การยืดอายุการใช้งานไม้ไผ่
ทำได้หลายวิธีโดยการใช้สารเคมีและไม่ใช้สารเคมี แล้วแต่ความ
เหมาะสม ของไม้ใช้งาน การใช้สารเคมีเป็ นการป้ องกันระยะยาว
เพื่อช่วยรักษาไม้ไผ่ให้มีความทนทานต่อแมลงทำลายไม้ สามารถยืด
อายุการใช้งานให้นานขึ้น 3-5 เท่า แมลงทำลายไม้ไผ่ การเข้า
ทำลายของแมลงทำลายไม้ไผ่ ขึ้นอยู่กับปริมาณแป้ งในไม้ไผ่และ
ความชื้นของไม้ ชนิดแมลงที่ เข้าทำ ลายไม้ไผ่ ได้แก่ มอดไม้ไผ่
(Dinoderus minutus) เจาะไม้สดหรือไม้ที่กำลังแห้ง วงจรชีวิต
ประมาณ 2 เดือน มอดไม้ไผ่แห้ง (Minthea rugicollis) เข้าทำลาย
ขณะที่ไม้ไผ่กำ ลังแห้งและมีความชื้ นตำ กว่า 30% วงจรชีวิต
ป ร ะ ม า ณ 2-3 เ ดื อ น ด้ ว ง ห น ว ด ย า ว ไ ม้ ไ ผ่ (Chlorophorus
annulatus) เข้าทำ ลายได้ทั้งไม้ไผ่ที่เพิ่งตัดและไม้ไผ่แห้ง โดย
เฉพาะไม้ ไผ่ที่แห้งแล้วและมีเนื้อไม้หนา วงจรชีวิตประมาณ 6
เดือน การป้ องกันรักษาไม้ไผ่ หลักการคือ ลดปริมาณแป้ งในไม้
แก้ไขสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำ นวยต่อการเข้าทำ ลายของแมลง
ทำลายไม้ และการทำให้สารเคมีที่มีพิษต่อแมลงถูกดูดซึมเข้าไปใน
เนื้อไม้ เพื่อช่วยรักษาไม้ไผ่ให้มีความทนทาน ต่อแมลงทำลายไม้
เป็ นการยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น
2.1.7 โครงสร้างรับแรงอัด
2.1.7.1 ส่วนโครงสร้างรับแรงอัดเช่นเสาไม้เป็ นต้นซึ่ง
เป็ นโครงสร้างที่พบเห็นได้โดยทั่วไปกำลังในการรับน้ำหนักของเสา
ขึ้นกับค่าอัตราส่วนความชะลูดของเสา (Slenderness Ratio) หาก
เสายิ่งมี ความยาวมากเท่าไร กำลังในการรับน้ำหนักของเสาก็จะ
ลดน้อยลง เพราะเสาจะมีโอกาสโก่งตัวทางด้านข้างมากขึ้น ซึ่งไม้ไผ่
ถูกนำมาทดสอบเพื่อศึกษาพฤติกรรมการวิบัติและการรับน้ำหนัก
บรรทุก ด้วยเหตุนี้ค่าอัตราส่วนความชะลูดจึงใช้แบ่งประเภทของ
เสาไม้แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ เสาสั้น (Short Column) และ
เสายาว (Long Column) และมีผลต่อค่าหน่วยแรงอัดขนานเสี้ยนที่
จะใช้ ออกแบบ กล่าวคือ สำหรับเสาสั้นไม่ต้องทำการลดค่าหน่วย
แรงอัดขนานเสี้ยนที่ยอมให้ลง ให้ใช้ค่าที่ กำหนดตามประเภทไม้
แล้วคูณกับพื้นที่หน้าตัดเสา จะได้ค่ากำลังในการรับน้ำหนักโดย
ปลอดภัยของ เสาไม้แต่ถ้าหากเป็ นเสายาวจะต้องลดค่าหน่วยแรง
อัดขนานเสี้ยนที่ยอมให้ลงก่อน จากนั้นจึงทำการ หากำลังของเสา
ไม้ได้ทั้งนี้หากพื้นที่หน้าตัดของเสาไม้มีขนาดใหญ่มาก ไม่สามารถใช้
ไม้ชิ้นเดียวทำเสา ได้ให้พิจารณาเลือกใช้เสาไม้ประกอบ เช่น เสาไม้
ประกอบตัน หรือเสาไม้ประกับพุกแทน เป็ นต้น
2.1.8 ไม้ไผ่ในงานวิศวกรรมโยธา
ปั จจุบันไม้ไผ่มีการนำไปใช้ประโยชน์หลายๆ ด้านในงานวิศวกรรม
โยธา โดยมีการศึกษาหลากหลายลักษณะ โดยส่วนใหญ่ในงาน
ก่อสร้างขนาดเล็กมักมีการนำไม้ไผ่มาศึกษาคุณสมบัติเชิงกลของ
ไม้ไผ่การทดสอบด้านความแข็งแรงของโครงสร้างไม้ไผ่ เช่น งาน
วิจัยของ
2.2 สารประกอบโบรอน
สารประกอบโบรอนบริสุทธิ์เป็ นของแข็งที่มีจุดเดือด
จุดหลอมเหลวสูง แข็งและเปราะ เป็ นธาตุกึ่งโลหะที่มี
คุณสมบัติอยู่ระหว่างธาตุโลหะและธาตุอโลหะ โบรอนถูกค้น
พบในปี ค.ศ. 1808 โดยความร่วมมือกันของ โชแซ็ฟ หลุยส์
แก-ลูว์ซัก และ หลุยส์ ฌัก เธนาด์, และ ฮัมฟรี เดวี ค้นพบ
เองในปี เดียวกัน
ธาตุโบรอนมีสมบัติคล้ายกับธาตุหมู่ 14 อย่างคาร์บอนและ
ซิลิคอน มากกว่าธาตุหมู่ 13 ที่เป็ นหมู่เดียวกันอย่าง
อะลูมิเนียม ผลึกโบรอนไม่มีความว่องไวต่อปฏิกิริยาและ
ทนทานต่อกรดสูง ไม่ถูกกัดกร่อนโดยกรดไฮโดรฟลูออริก
โดยทั่วไปแล้วสารประกอบโบรอนมีค่าออกซิเดชัน +3 อย่าง
เช่น สารประกอบเฮไลด์ที่มีความสมบัติเป็ นกรดลิวอิส, สาร
ประกอบโบเรตที่พบในแร่โบเรต โบเรนที่มีพันธะพิเศษเรียก
3c–2e bond โบรอนมีไอโซโทป 13 ไอโซโทปและใน
ธรรมชาติมี 11B 80.1% และ 10B 19.9%
โบรอนมีปริมาณในเปลือกโลกค่อนข้างต่ำ แต่มีการรวมตัว
เป็ นแร่ขนาดใหญ่ ง่ายต่อการขุดมาใช้จึงมีประวัติการใช้มา
ตั้งแต่นาน อดีตใช้เป็ นสารเคลือบเครื่องปั้นดินเผา ปั จจุบัน
นิยมใช้ในการผลิตแก้วถึงร้อยละ 60 ในปริมาณบริโภคปี
2011 อื่น ๆ ใช้เป็ นสารผสมในคอนดักเตอร์ อุปกรณ์เครื่อง
เสียงและยาฆ่าแมลง
2.2.1 สมบัติทางกายภาพและทางเคมี
โบรอนมีหลายอัญรูป สมบัติละเอียดจะแตกต่างกันใน
แต่ละอัญรูป แต่โดยรวมแล้วเป็ นของแข็งที่แข็งและเปราะ
จุดเดือดจุดหลอมเหลวสูง ตัวอย่างเช่น จุดหลอมเหลวของ
โบรอนอสัณฐานคือ 2,300℃ และ β–รอมโบฮีดรัลโบรอน
คือ 2,180℃ จุดเดือดของ β–รอมโบ ฮีดรัลโบรอ น คือ
3,650℃ โบรอนอสัณฐานจะระเหิดที่ 2,550℃ ความแข็ง
ของ β–รอมโบฮีดรัลโบรอนอยู่ระดับ 9.3 บนมาตราโมส
ความถ่วงจำเพาะของ α-รอมโบฮีดรัลโบรอนและ β–รอมโบ
ฮีดรัลโบรอนมีค่า 2.46 และ 2.35 ตามลำดับ
โบรอนบริสุทธิ์เป็ นกึงโลหะที่มีคุณสมบัติอยู่ระหว่างธาตุ
โลหะและธาตุอโลหะ โบรอนมีสมบัติพันธะโคเวเลนต์ที่
เสถียรคล้ายกับคาร์บอนและซิลิคอนที่อยู่ในธาตุหมู่ 14
มากกว่า อะลูมิเนียมและแกลเลียมที่อยู่หมู่ 13 เดียวกันกับ
โบรอน เนื่ องจากพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่หนึ่งของ
โบรอนมีค่าสูงถึง 8.296eV จึงเป็ นไอออนได้ยากและไฮบริด
2 2 1
ออร์บิทัล sp มีพลังงานต่ำ กว่าออร์บิทัล 2s 2p โบรอน
บริสุทธิ์มีพันธะโคเวเลนต์ที่แข็งแรงระหว่างโบรอนจึงขาด
อิเล็กตรอนอิสระเพื่อแสดงสมบัติการนำไฟฟ้ า เป็ นเหตุผล
อธิบายสมบัติกึ่งโลหะของโบรอนที่นำไฟไฟ้ าแต่นำได้น้อย
และเนื่ องจากเหตุผลดังกล่าวโบรอนมีสมบัติเป็ นสารกึ่ง
ตัวนำ
ผลึกโบรอนไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยา ทนต่อการต้มด้วยไฮ
โดรฟลูออริกและไฮโดรคลอริก ผงโบรอนสามารถถูก
กัดกร่อนโดยการต้มด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เข้มข้น
กรดไนตริกเข้มข้น กรดซัลฟูริก หรือโครมิค เลขออกซิเดชัน
ของโบรอนขึ้นอยู่กับผลึก รัศมีผลึก ความบริสุทธิ์ และ
อุณหภูมิ โบรอนไม่ปฏิกิริยากับออกซิเจนในอุณหภูมิห้อง
แต่ปฏิกิริยาในอุณหภูมิสูงได้ผลิตภัณฑ์คือโบรอนออกไซด์
รูปภาพที่ 2.2.2 สารประกอบโบรอน
2.3 โซดาไฟ
โ ซ ด า ไ ฟ ห รื อ ค อ ส ติ ก โ ซ ด า (อั ง ก ฤ ษ : caustic
soda) พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น พ .ศ .
2542 นิยามว่า คือ "สารประกอบชนิดหนึ่ง ชื่อ โซเดียมไฮ
ดรอกไซด์ (NaOH) เป็ นของแข็งสีขาว ดูดความชื้นดีมาก
ละลายน้ำได้ดี ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมทำสบู่ เส้นใยเร
ยอน"
2.3.1 คุณสมบัติของโซดาไฟ
โ ซ ด า ไ ฟ ห รื อ โ ซ เ ดี ย ม ไ ฮ ด ร อ ก ไ ซ ด์ (NaOH)มี ชื่ อ ท า ง
วิทยาศาสตร์ว่า Sodium Hydroxide ซึ่งเป็ นสารประกอบ
ชนิดหนึ่งที่เป็ นของแข็งสีขาว สามารถละลายน้ำและดูดซึม
ความชื้นในอากาศได้ดีมากมีฤทธิ์กัดกร่อนและมีความเป็ น
ด่างมากจึงมักนิยมนำ ใช้ในการทำ ความสะอาดและการ
แปรรูปในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ปิ โตรเลียม,
การแปรรูปผ้าฝ้ ายแปรรูปโลหะ การเคลือบออกไซด์ การชุบ
ด้วยไฟฟ้ า และการสกัดด้วยไฟฟ้ า
ส่ ว น ใ น รู ป ส า ร ล ะ ล า ย มั ก พ บ ค ว า ม เ ข้ ม ข้ น 50% แ ล ะ
32%นอกจากนั้น โซดาไฟ ยังถูกนำ มาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่
เกี่ยวข้องในชีวิตประจำ ของเราหลายชนิด เช่น สบู่, ผง
ซั ก ฟ อ ก ใ น ก า ร ป รั บ ส ภ า พ ก ร ด ไ ข มั น ใ ห้ เ ป็ น ก ล า ง
และน้ำยาทำความสะอาดท่อระบายน้ำ นอกจากนั้นยังใช้
ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมได้หลากหลาย
รูปภาพที่ 2.3.2 โซดาไฟ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการนำไม้ไผ่มาใช้ในงานโครงสร้างมี
เป็ นจำนวนมากทั้งการศึกษาสมบัติของไม้ไผ่ อาทิเช่น
วิธีการดำเนินงาน
โครงงานเล่มนี้เป็ นการเปรียบเทียบกำลังรับแรงอัดของไม้ไผ่
ต ง ห ม้ อ ใ น ก า ร ต้ ม 4 ชั่ ว โ ม ง ก า ร ต้ ม ผ ส ม โ ซ ด า ไ ฟ ก า ร แ ช่ ใ น
น้ำ 1 เดือน การผสมสารโบรอน การทอด 90 องศา 10 นาที การอบ
ด้วยความร้อน ซึ่งเป็ นการนำไม้ไผ่ที่มีลักษณะทางกายภาพที่แตก
ต่างกันมาทดสอบ เพื่อหาคุณสมบัติรับกำลังรับแรงอัดของไม้ไผ่ตง
หม้อตัวอย่าง และนำผลที่ได้จากการทดสอบความสามารถในการ
รับแรงอัดข้างต้นนั้นไปเปรียบเทียบความแตกต่างเพื่อหาลักษณะที่
ดีที่สุดของไม้ไผ่ในการรับแรงอัดได้ดีที่สุด
3.1 เครื่องมือและอุปกรณ์
3.2 การทดสอบสมบัติของไม้ไผ่ที่มีการรักษาเนื้อไม้โดย
ภูมิปั ญญาชาวบ้าน
ภาพที่ 3.2.1 วิธีการต้มน้ำร้อนนาน 4 ชั่วโมง
ข้อมูลลักษณะทางกายภาพของไม้ไผ่ตงหม้อ หรือสกาย
สมบัติ
สกายสมบัติของไม้ หมายถึง คุณลักษณะ (characteristic)
และพฤติกรรมของไม้ต่ออิทธิพลภายนอก นอกเหนือจากแรงต่าง ๆ
(Winandy, 1994) เ ช่ น ป ริ ม า ณ ค ว า ม ชื้ น ค ว า ม ห น า แ น่ น
ความถ่วงจำเพาะ คุณสมบัติที่มีต่อ ความร้อน ไฟ การนำไฟฟ้ า
ความทนทาน เป็ นต้น
เนื่องจากไม้ไผ่ตงหม้อที่นำมาทดสอบ นั้นมีข้อจำกัดด้านรูปร่าง
ที่ไม่สามารถกำหนดให้ชิ้นตัวอย่างเหมือนกันทั้งหมดได้ จึงทำให้
ต้องวัดค่าต่าง ๆ ทั้งด้านหัวและท้ายอย่างน้อย 4 ค่า เพื่อนำมาหา
ค่าเฉลี่ยในการคำนวณ
Dt = (a1 + a2 + a3 + a4)/4
(1)
dt = (b1 + b2 + b3 + b4)/4
(2)
ct = Dt – dt
( 3 )
ภาพที่ 3.2 การเก็บข้อมูลหน้าตัดของไม้ไผ่
a3 และ a4 คือเส้นผ่านศูนย์กลางปลายด้านล่างของเสาไม้ไผ่
b1 และ b2 คือเส้นผ่านศูนย์กลางภายในข้างปลายด้านบนของเสา
ไม้ไผ่
b3 และ b4 คือเส้นผ่านศูนย์กลางภายในข้างปลายด้านล่างของเสา
ไม้ไผ่
ct คือความหนาตามทฤษฎีของเสาไม้ไผ่
Dt และ dt คือเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก และเส้นผ่าน
ศูนย์กลางภายในตามทฤษฎี
ตามลำดับ
ตามพารามิเตอร์ทางเรขาคณิตเหล่านี้ พิจารณาได้ตาม
สมการที่ (1) ถึง (3) และข้อมูลการ ทดลองหลักของแต่ละเสา
ตัวอย่างสามารถคำนวณได้ดังสมการต่อไปนี้
2
π Dt 2
A= (1−α )
4
(4)
(5)
Dt
i=
4
√1+α 2
πH
λ=
I
(6)
(7)
Dt
ε=
ct
dt
α=
Dt
(8)
H คือ ความสูงของเสาไม้ไผ่แต่ละตัวอย่าง
ε คือ อัตราส่วนเส้นผ่านศูนย์กลางของความหนา
3.3.1 ความหนาแน่น
เป็ นค่าที่แสดงถึงปริมาณมวลสารในหนึ่งหน่วย
ปริมาตรหาได้จากการหาความ สัมพันธ์ระหว่างมวลกับ
ปริมาตร มีหน่วยเป็ น kg./m3, gm./cm3 หรือ lb./in3
M
เขียนสูตรได้ว่า
6
D= ×10
V
เมื่อ D = ความหนาแน่น ( )
3
kg /m
M = น้ำหนักขนาดทดสอบ ( g )
V = ปริมาตรขณะทดสอบ ( )
3
mm
3.3.2 ความถ่วงจำเพาะ
หาได้จากอัตราส่วนระหว่างความแน่นของชิ้น
ตัวอย่างต่อความแน่นของน้ำที่อุณหภูมิ
ประมาณ ซ . (ไ ม่ มี ห น่ ว ย ) เ ขี ย น เ ป็ น สู ต ร ไ ด้ ว่ า
°
4
มวลอบแห้ง /ปริมาณขณะทดสอบ
ถ . พ .=
ความแน่นของน้ำ
3
62.4 lb ./cm
3.2.3 ปริมาณความชื้น
ปริมาณความชื้นหาได้จากการเตรียมตัวอย่างไม้ไผ่
ตงหม้อ โดยการตัดไม้ให้ได้ขนาด 25×25 มิลิเมตร ดังภาพที่ 3.3
และทำการคำนวณหาปริมาตรของตัวอย่างแต่ละชิ้น โดยทำการใช้
เวอร์เนียร์วัดอย่างละเอียด และชั่งน้ำหนักด้วยเครื่องชั่งดิจิตอล ใน
สถานที่และเวลาเดียวกันเรื่อย ๆน้ำหนักที่ได้ถือเป็ นน้ำหนักก่อนอบ
เมื่ อได้ปริมาตรและน้ำ หนักก่อนอบครบแล้ว ปล่อยไว้จนกว่า
ตัวอย่างจะแห้งลงตามสภาพอากาศภายนอก หลังจากนั้นนำ
ตัวอย่างไปอบในตู้อบไม้ที่อุณหภูมิ103 ± 2°ซ.
m0=น้ำหนักสภาพแห้ง (g)
3.2.4 การต้มไม้ไผ่
นำไม้ไผ่ที่ได้จากการวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
ภายนอก และเส้นผ่าศูนย์กลางภายในเพื่อนำมากำหนดความยาวใน
การต้ม นำไม้ไผ่ไปต้มในน้ำจนถึงอุณหภูมิสูงสุดหรือที่อุณหภูมิ100
องศาเซลเซียสจากนั้นให้นำไม้ไผ่ออกมาพักไว้ 24 ชั่วโมงแล้วค่อย
นำไม้ไผ่ไปทดสอบหากำลังอัด
3.3 กลสมบัติของไผ่ตงหม้อ
3.3.1 การทดสอบกำลังต้านทานแรงอัด
ในการทดสอบจะใช้ตัวอย่างเป็ นท่อนไม้ไผ่ที่มีความยาวที่
ต่างกันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 87 84.3 109.6 113.6 มิลลิเมตรและเส้นผ่า
ศูนย์กลางของไม้ไผ่โดยเฉลี่ยที่ 72.6 68.7 93.3 95 มิลลิเมตรและ
ความหนาของแต่ละท่อนเฉลี่ยที่ 83.3 86.6 90 100 มิลลิเมตร
ทำการวัดขนาด และเก็บข้อมูลความต่างของตัวอย่างแต่ละชิ้น จาก
นั้นนำตัวอย่างของไม้ไผ่ไปทดสอบ วางตัวอย่างไม้ไผ่ให้ตรงกับจุด
กึ่งกลางของเครื่องทดสอบ โดยให้ทิศทางที่วางนั้นขนานกับเสี้ยน
ดังภาพ 3.5 ทำ การทดสอบโดยใ ช้เครื่ อง Universal Testing
Machine (UTM) ทดสอบโดยใช้แรงอัดของเครื่ องทำให้ตัวอย่าง
ไม้ไผ่แตก จากนั้นบันทึกผลการรับน้ำหนักสูงสุดที่ตัวอย่างไม้ไผ่
สามารถรับได้เพื่อนำค่าไปคำนวณ
ภาพที่ 3.5 การทดสอบกำลังต้านทานแรงอัด
บทที่ 4
วิเคราะห์เปรียบเทียบผลของการทดสอบ
ผลการศึกษาคุณสมบัติของไม้ไผ่โดยผ่านการรักษาเนื้อไม้มีผล
การทดสอบโดยแบ่งออกเป็ น 3 หัวข้อ ดังนี้
1) ผลการทดสอบลักษณะทางกายภาพของไม้ไผ่ที่ผ่านการ
รักษาเนื้อไม้โดยภูมิปั ญญาชาวบ้าน
2) ผลการทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพของไม้ไผ่ที่ผ่านการ
รักษาเนื้อไม้โดยภูมิปั ญญาชาวบ้าน
3) ผลการทดสอบการรักษาเนื้อไม้เพื่ อป้ องกันสัตว์จำ พวก
แมลงโดยผ่านการต้ม
4.1 ผลการทดสอบลักษณะทางกายภาพของไม้ไผ่ที่ผ่าน
การรักษาเนื้อไม้โดยภูมิปั ญญาชาวบ้าน
การทดสอบสมบัติทางกายภาพของไผ่ตงหม้อตามที่
มาตรฐาน ISO (22157-1) กำหนดไว้ ได้แก่ การทดสอบความชื้น
(Moisture Content) ก า ร ท ด ส อ บ ค ว า ม ห น า แ น่ น (Mass by
Volume) และ ความถ่วงจำเพาะ (specific gravity)
M
ความหนาแน่น จากสูตร MC = x
6
10
V
4.8
จะได้ D = x = 512.0000
6
10
9375
ค ว า ม ถ่ ว ง จำ เ พ า ะ ถ .พ =
มวลอบแห้ง /ปริมาตรขณะทดสอบ
ความแน ่ นของนํ้า
4.8
จะได้ ถ.พ = 9.375 = 0.5120000
1
ตารางที่ 4.1.2 สมบัติทางกายภาพของท่อนไม้ไผ่ตงหม้อ
4.2 ผลการทดสอบคุณสมบัติเชิงกลของไผ่ตงหม้อ
จากการนำตัวอย่างเสาไผ่ตงหม้อไปทดสอบหาแรงอัดโดย
เ ค รื่ อ ง Universal Testing Machine (UTM) แ ล้ ว ไ ด้ ผ ล ก า ร
ทดสอบ ตังตารางที่ 4.3 ตารางที่ 4.4
ความเค้นสูงสุดของชิ้นส่วนตัวอย่าง
ประเภทของชิ้นส่วน ค่าเฉลี่ย
ตัวอย่าง ชิ้นส่วน ชิ้นส่วน ชิ้นส่วน (mpa)
ตัวอย่างที1 ตัวอย่างที2 ตัวอย่างที3
ไม่ผ่านการต้ม 51.6 63.1 61.4 58.700
4.2.1 กราฟแสดงการเปรียบเทียบผลการทดสอบ
แรงอัดสูงสุดของชิ้นส่วนตัวอย่าง
160
140
120
100
80
60
40
20
0
ไม่ผ่านการต้ม ผ่านการต้ม 5 นาที ผ่านการต้ม 10 นาที ผ่านการต้ม 15 นาที
ภาพชิ้นส่วนตัวอย่างที่ไม่ผ่านการต้ม
4.3.2 จากการทดสอบจากการทดสอบการรักษาเนื้อไม้ได้นำ
ชิ้นส่วนตัวอย่างไม้ไผ่ ที่ผ่านการต้มมา 5 นาที 10 นาที และ 15
นาที ผลการทดสอบเป็ นระยะเวลา 90 วันพบว่าชิ้นส่วนตัวอย่าง
ไม่มีสัตว์แมลงจำพวกมอดมาทำลายเนื้อไม้ ดังภาพตัวอย่างที่แสดง
ดังนี้
ภาพชิ้นส่วนตัวอย่างที่ผ่านการต้ม 5 นาที
ภาพชิ้นส่วนตัวอย่างที่ผ่านการต้ม 10 นาที
ภาพชิ้นส่วนตัวอย่างที่ผ่านการต้ม 15 นาที
บทที่5
บทสรุป
5.3 จากการทดสอบการรักษาเนื้อไม้ได้นำชิ้นตัวอย่างที่ไม่ผ่านการ
ต้ม มาเก็บ โดยเก็บชิ้นส่วนตัวอย่างไว้ในที่ที่มีสภาพแวดล้อมทั่วไป
และในที่ที่อุณภูมิปกติในระยะเวลา 90 วัน พบได้ว่าชิ้นส่วนตัวอย่าง
ที่ไม่ผ่านการต้มได้มีแมลงจำพวกมอดมาทำลายชิ้นส่วนตัวอย่าง
ทำให้ชิ้นส่วนตัวอย่างเกินความเสียหายและมีอายุการใช้งานสั้นลง
และอาจส่งผลต่อการรับแรงของชิ้นส่วนที่ถูกทำลายโดยแมลง
จำพวกมอด