Professional Documents
Culture Documents
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
การกำจัดยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตีย
รอยด์จากน้ำทิ้งโดยใช้ถ่านกัมมันต์ที่เตรียม
ได้จากบัวหลวงแห้ง
รายงานโครงการหมายเลข
ChE2022-02
รายงานโครงการหมายเลข ChE2022-02
การกำจัดยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์จาก
น้ำทิ้งโดยใช้ถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จากบัวหลวง
แห้ง
สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
พ.ศ. 2565
Project Report No. ChE2022-02
ใบประเมินโครงการ
ชื่อเรื่องภาษาไทย การกำจัดยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์จาก
น้ำทิ้งโดยใช้ถ่านกัมมันต์ที่เตรียม
ได้จากบัวหลวงแห้ง
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ Removal of nonsteroidal anti-
inflammatory drug from wastewater using
activated carbon prepared from dried lotus.
…………………………………………………..
(รศ.ดร. ยุวรัตน์ เงินเย็น)
อาจารย์ผู้ร่วมประเมิน
1. ……………....................................………………..
(........................................................)
2. ……….....................................……………………..
(........................................................)
3. ……….....................................……………………..
(........................................................)
กิตติกรรมประกาศ
รายงานโครงการฉบับนี้สำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากทุนการ
ศึกษาของคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ช่วยสนับสนุนงบประมาณในการทำ
โครงการในครั้งนี้ และด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจาก รศ.ดร.ยุวรัตน์ เงิน
เย็น ผู้ซึ่งเป็ นอาจารย์ที่ปรึกษาในโครงการนี้ ที่กรุณาให้คำปรึกษา แนะนำ
และชี้แนะการค้นหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการทำโครงการ โดยเฉพาะการ
วางแผนขั้นตอนการทำงาน แนวทางการเรียบเรียงเนื้อหา การวิเคราะห์
ผลการทดลอง และสละเวลาอันมีค่าที่ช่วยตรวจสอบและแก้ไขข้อ
บกพร่องในการทำโครงการในครั้งนี้ คณะผู้จัดทำจึงอยากขอขอบพระคุณ
เป็ นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้
ขอขอบพระคุณทุนสนับสนุนตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอัน
เนื่องมาจากพระราชดำริฯ (อพ.สธ.) โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก
ทุนสนับสนุน Fundamental Fund: FF ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ภาย
ใต้กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (NSRF) เป็ นอย่างสูง
ขอขอบพระคุณคณะอาจารย์ผู้ร่วมประเมินโครงการทุกท่าน ที่ช่วย
ชี้แนะถึงข้อบกพร่องเพื่อให้แก้ไขใน โครงการเพื่อให้ออกมาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
นางสาวธันยกานต์ รัตนพิทักษ์สุข
นางสาวปลายสุดา จันทะบุตร
ข
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาถ่านกัมมันต์ที่เตรียมจากบัวหลวงแห้ง
ด้วยวิธีการกระตุ้นทางเคมีแล้วผ่านกระบวนการคาร์บอไนซ์ และนำไปใช้
สำหรับการกำจัดยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) ออกจาก
ในน้ำทิ้ง ซึ่งการศึกษานี้มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลของการกระตุ้นด้วย
สารเคมีและผลของอุณหภูมิในการคาร์บอไนซ์ ที่ส่งผลต่อคุณภาพและ
คุณลักษณะของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมจากบัวหลวงแห้ง ซึ่งสารเคมีที่ใช้เป็ น
สารกระตุ้น คือ กรดฟอสฟอริก (H3PO4) โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH)
โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ไอออน(III)คลอไรด์ (FeCl3) และซิงค์คลอ
ไรด์ (ZnCl2) ส่วนอุณหภูมิที่ใช้คือ 400, 500, 600, 700 และ 800 องศา
เซลเซียส ได้มีการใช้เทคนิคในการวิเคราะห์คุณสมบัติหลายวิธี อาทิ
วิเคราะห์องค์ประกอบโดยประมาณ (proximate analysis) วิเคราะห์ค่า
การสลายตัวทางความร้อนด้วยเทคนิค Thermogravimetric analysis
(TGA) วิเคราะห์ความหนาแน่นรวม วิเคราะห์หมู่ฟั งก์ชันพื้นผิวด้วย
เทคนิค Fourier-transform infrared spectroscopy (FTIR) การดูดซับ
ด้วยแก๊สไนโตรเจน วิเคราะห์สัณฐานวิทยาของพื้นผิวถ่านกัมมันต์ด้วย
เทคนิค Scanning Electron Microscope (SEM) รวมถึงการวิเคราะห์
ธาตุและองค์ประกอบของถ่านกัมมันต์ด้วยเทคนิค Energy Dispersive
X-Ray Spectroscopy (EDX) ซึ่งจากการทดสอบด้วยเทคนิคต่างๆ นี้
ทำให้ทราบว่าก้านบัวหลวงแห้งที่ผ่านการกระตุ้นด้วยกรดฟอสฟอริก
(H3PO4) โดยใช้อุณหภูมิสำหรับการคาร์บอไนซ์ 500 องศาเซลเซียส
เหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีพื้นที่ผิว 740 ตารางเมตรต่อกรัม และพบว่ามีรู
พรุนขนาดกลางที่ 59 เปอร์เซ็นของพื้นที่ผิวทั้งหมด ส่วนสภาวะที่เหมาะ
ค
สมที่สุดสำหรับการดูดซับไอบูโพรเฟนโดยใช้
ถ่านกัมมันต์ที่ผ่านการกระตุ้นด้วยกรดฟอสฟอริกในอัตราส่วนวัตถุดิบต่อ
สารกระตุ้นเป็ น 1:2 พบว่าที่เวลาเข้าสู่สมดุล 50 นาที ค่า pH เท่ากับ 2
และอุณหภูมิ 333 เคลวิน เป็ นสภาวะที่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งมีปริมาณ
การดูดซับสูงสุดถึง 323.5 มิลลิกรัมต่อกรัม ดังนั้น ถ่านกัมมันต์ที่เตรียม
จากก้านบัวหลวงแห้งจึงเหมาะสมอย่างมากในการใช้เป็ นตัวดูดซับไอบูโพ
รเฟนออกจากน้ำทิ้ง โดยการดูดซับเป็ นไปตามสมการแบบจำลองของแลง
เมียร์และแบบจำลองจลนศาสตร์อันดับสองเทียมที่ใช้สำหรับอธิบายได้ดี
ที่สุด
Abstract
An activated carbons were prepared form dried lotus
(Nelumbo Nucifera) by carbonization method including
chemical activation and were used for nonsteroidal anti-
inflammatory drug (NSAID) removal from wastewater. The
purpose of this study is to analyst the effect of chemical
activation and carbonization temperature on the quality and
characteristics of activated carbons were prepared form lotus.
The types of activator agents used are H3PO4, ZnCl2, FeCl3,
NaOH and KOH. The temperature used are 400, 500, 600, 700
and 800 °C. Several characterization techniques, including
proximate analysis, Thermal gravimetric analysis (TGA), bulk
density, N2 adsorption, Fourier transform infrared
spectroscopy (FTIR), Scanning Electron Microscope (SEM) and
Energy Dispersive X-Ray Spectroscopy (EDX), were used to
determine chemical characteristics of the activated carbon,
and the adsorption properties of the activated carbon were
tested. The best results are shown by dried lotus stalks with
a carbonization temperature of 500 °C with H3PO4 activator
agents which is a surface are of the activated carbon reached
2
740 m /g, the mesopore surface area accounts for 59% of the
total area. The optimal conditions for achieving the maximum
ibuprofen adsorption capacity of 323.50 mg/g by the
activated carbon were activations with a H3PO4/carbon ratio
จ
สารบัญ
หน้
า
กิตติกรรมประกาศ ก
บทคัดย่อภาษาไทย ข
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค
สารบัญ ง
สารบัญรูปภาพ ช
สารบัญตาราง ฌ
บทที่ 1 บทนำ 1
1.1 ที่มาความสำคัญ 1
1.2 วัตถุประสงค์ 2
1.3 ขอบเขต 2
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3
บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4
2.1 บัวหลวง 4
2.2 ถ่านกัมมันต์ (Activated carbon) 4
2.2.1 ประเภทของถ่านกัมมันต์ 5
2.2.2 ประเภทของวัสดที่มีรูพรุน 5
2.2.3 กระบวนการผลิตถ่านกัมมันต์ 6
2.3 การวิเคราะห์และการทดสอบคุณสมบัติ 7
2.3.1 เครื่อง Fourier Transform Infrared 7
Spectrometer (FT-IR)
ช
2.3.2 เครื่องวิเคราะห์พื้นที่ผิวและคุณสมบัติของ 7
รูพรุน
2.3.3 กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด 7
Scanning Electron Microscope (SEM)
2.3.4 การวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีด้วยรัง 8
สีเอกซ์ Energy Dispersive X-Ray Spectroscopy (EDX)
2.4 กระบวนการดูดซับ 8
2.4.1 ปั จจัยที่มีผลต่อการดูดซับ 8
2.5 ไอโซเทอมการดูดซับ 9
2.6 การศึกษาการดูดซับโดยใช้แบบจำลองของ 11
จลนพลศาสตร์การดูดซับอันดับหนึ่งเทียมและอันดับสองเทียม
2.7 ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 12
2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 12
บทที่ 3 ขั้นตอนในการดำเนินงาน 20
3.1 สารเคมี 20
3.2 วัสดุและอุปกรณ์ 20
3.3 วิธีการดำเนินงาน 21
3.3.1 การเตรียมถ่านกัมมันต์ 21
3.3.2 การวิเคราะห์วัตถุดิบและถ่านกัมมันต์ 23
3.3.3 การหาความหนาแน่นรวม 25
3.3.4 การหา pH ของถ่านกัมมันต์ 25
3.3.5 การวิเคราะห์พื้นที่ผิวที่ประจุเป็ นศูนย์ 25
(pH at the point of zero change, pHpzc)
3.3.6 การวิเคระห์หมู่ฟั งก์ชันพื้นที่ผิวด้วยเครื่อง 26
Fourier Transform Infrared Spectrometer (FT-IR)
ซ
3.3.7 การวิเคราะห์สมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์ 27
3.3.8 การศึกษาสัณฐานวิทยาของพื้นผิวถ่านกัม 28
มันต์ และการวิเคราะห์ธาตุและองค์ประกอบของถ่านกัมมันต์
3.3.9 การศึกษาการดูดซับไอบูโพรเฟน 28
3.4 สถานที่ทำวิจัย 31
3.5 ระยะเวลาการดำเนินงาน 31
3.6 แผนการดำเนินการวิจัย 31
3.7 งบประมาณของโครงการวิจัย 32
บทที่ 4 ผลการทดลองและวิเคราะห์ผล 33
4.1 การวิเคราะห์สมบัติของวัตถุดิบ 33
4.1.1 การวิเคราะห์สมบัติแบบประมาณ 33
(proximate analysis) ของวัตถุดิบ
4.1.2 การวิเคราะห์การสลายตัวทางความร้อน 34
ของวัตถุดิบ
4.1.3 การวิเคราะห์ความหนาแน่นรวม (bulk 35
density)
4.1.4 การวิเคราะห์หมู่ฟั งก์ชันพื้นผิว 36
4.2 การเตรียมถ่านกัมมันต์ 36
4.2.1 การวิเคราะห์ผลของสารกระตุ้นต่อสมบัติ 36
รูพรุนของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้
4.2.2 การวิเคราะห์ผลของอุณหภูมิการคาร์บอ 38
ไนซ์ต่อสมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้
4.2.3 การวิเคราะห์สมบัติของถ่านกัมมันต์ที่ 39
สภาวะที่ดีที่สุดด้วยเทคนิคต่างๆ
4.3 การศึกษาการดูดซับไอบูโพรเฟน (Adsorption 45
ฌ
study)
4.3.1 ผลของเวลาต่อการดูดซับไอบูโพรเฟน 45
4.3.2 ผลของค่า pH ต่อการดูดซับไอบูโพรเฟน 48
4.3.3 ไอโซเทอมของการดูดซับไอบูโพรเฟน 49
4.3.4 ผลของอุณหภูมิต่อการดูดซับไอบูโพรเฟน 50
บทที่ 5 สรุปผลการทดลองและข้อเสนอแนะ 53
5.1 สรุปผลการทดลอง 53
5.2 ข้อเสนอแนะ 54
เอกสารอ้างอิง 55
ประวัติย่อผู้ทำโตรงการ 63
ญ
สารบัญรูปภาพ
หน้
า
รูปที่ 2.1 ไอโซเทอมการดูดซับ 10
รูปที่ 3.1 กลีบบัว 21
รูปที่ 3.2 ก้านบัว 21
รูปที่ 3.3 เครื่องปฏิกรณ์แบบเบดนิ่ง (packed-bed reactor) 22
รูปที่ 3.4 เตาเผาไฟฟ้ าอุณหภูมิสูงแนวตั้ง 22
รูปที่ 3.5 เครื่อง Thermogravimetric Analyzer หรือ TGA 23
รูปที่ 3.6 ตู้อบลมร้อน 24
รูปที่ 3.7 เตาเผา muffle (TM3-550, VULCAN) 25
รูปที่ 3.8 เครื่อง Fourier-transform infrared spectroscopy 27
(FTIR) (ALPHA II) สำหรับวิเคราะห์หมู่ฟั งก์ชันพื้นผิว
รูปที่ 3.9 เครื่อง Surface area and Porosity Analyzer 28
(ASAP2460, Micromeritics)
สำหรับวิเคราะห์สมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์
รูปที่ 3.10 เครื่อง UV-VIS Spectrophotometer (Analytik- 31
Jena AG )
รูปที่ 4.1 กราฟการสลายตัวทางความร้อนของกลีบดอกบัวหลวง 35
แห้ง
รูปที่ 4.2 กราฟการสลายตัวทางความร้อนของก้านบัวหลวงแห้ง 35
รูปที่ 4.3 FTIR สเปกตรัมของกลีบดอกบัวหลวงแห้งและก้านบัว 36
หลวงแห้ง
ฎ
สารบัญตาราง
หน้
า
ตารางที่ 1 สรุปการศึกษาการดูดซับจากงานวิจัยอื่นๆ 16
ตารางที่ 2 แผนการดำเนินการวิจัยและระยะเวลาการดำเนินงาน 31
ตารางที่ 3 ค่าใช้จ่ายในการทำโครงการวิจัย 32
ตารางที่ 4 การวิเคราะห์สมบัติแบบประมาณ (proximate 33
analysis) ของกลีบดอกบัวหลวงแห้งและก้านบัวหลวงแห้ง
ตารางที่ 5 ความหนาแน่นรวม (bulk density) ของวัตถุดิบ 35
ตารางที่ 6 สมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จากสารกระตุ้น 37
ชนิดต่าง ๆ
ตารางที่ 7 สมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้ผ่านการคาร์บอ 39
ไนซ์ที่อุณหภูมิต่างๆ
ตารางที่ 8 สมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จากงานวิจัยนี้ 40
เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆ
ตารางที่ 9 การวิเคราะห์สมบัติแบบประมาณ (proximate 41
analysis) ของถ่านกัมมันต์เปรียบเทียบกับก้านบัวหลวงแห้ง
ตารางที่ 10 ความหนาแน่นรวม (bulk density) ของถ่านกัมมันต์ 42
ที่เตรียมได้
ตารางที่ 11 พารามิเตอร์การดูดซับไอบูโพรเฟนจากแบบจำลอง 47
ทางจลนศาสตร์อันดับหนึ่งเทียม (pseudo-first order) และแบบ
จำลองทางจลนศาสตร์อันดับสองเทียม (pseudo-second order)
ตารางที่ 12 ค่าพารามิเตอร์การดูดซับไอบูโพรเฟนจากสมการแบบ 50
ฑ
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ที่มาและความสำคัญ
ในปั จจุบันมีสารอินทรีย์ที่ปนเปื้ อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
โดยส่วนใหญ่ผลิตขึ้นจากอุตสาหกรรม และมีการใช้ในเชิงพาณิชย์ จึงนำ
ไปสู่การปนเปื้ อนของน้ำผิวดิน ดิน และน้ำใต้ดิน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
และต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ สารประกอบอินทรีย์ในกลุ่มต่างๆ ได้แก่ ยา
ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย สารประกอบที่รบกวนต่อมไร้ท่อ สารประกอบเพ
อร์ฟลูออไรด์หรือของเหลวไอออนิก (Guedidi et al., 2020) เป็ นต้น ใน
การศึกษาเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสียสำหรับการกำจัดยาและผลิตภัณฑ์
ดูแลร่างกาย พบว่ากระบวนการทั่วไปกำจัดไม่ได้ผล เช่น กระบวนการจับ
ตัว(coagulation) กระบวนการรวมตัว (Flocculation) และกระบวนการ
ตกตะกอน (Sedimentation) แต่กระบวนการที่ใช้ถ่านกัมมันต์เป็ นตัวดูด
ซับ (adsorbent) นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่า และถูกนำมาใช้กันอย่าง
แพร่หลาย สำหรับการบำบัดน้ำ น้ำบาดาล หรือน้ำเสีย เนื่องจากสามารถ
ใช้ดูดซับกับสารประกอบอินทรีย์ได้ มีพื้นผิวและรูพรุนในการดูดซับสูง
สามารถเตรียมได้จากวัสดุธรรมชาติและวัสดุเหลือใช้ที่เป็ นชีวมวล ซึ่งมี
ต้นทุนต่ำ สามารถหาได้ง่าย มีปริมาณมาก และยังสามารถเกิดขึ้นใหม่
ทดแทนได้ (Ternes et al., 2002)
บัวหลวง เป็ นพืชน้ำชนิดหนึ่งและมีการปลูกกันอย่างกว้างขวางใน
ฐานะพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ มีการใช้กันอย่างมากมายและเป็ นของเสียใน
ปริมาณมากทุกปี หรือเผาเป็ นฟื น บัวหลวงมีรูพรุนที่ก้านอาจเป็ นพื้นฐานที่
ดีสำหรับการผลิตถ่านกัมมันต์ที่มีประสิทธิภาพ ผู้วิจัยจึงเล็งเห็นที่จะเพิ่ม
2
มูลค่าของบัวหลวงที่ถูกเสียและเพื่อเป็ นการลดขยะจากสิ่งแวดล้อมร่วม
ด้วย
จากการศึกษาข้อมูล ผู้วิจัยนำบัวหลวงโดยใช้ส่วนกลีบและก้านของ
บัวหลวงมาเตรียมเป็ นถ่านกัมมันต์ (activated carbon) เนื่องจากบัว
หลวงเป็ นวัสดุชีวมวลที่มีคาร์บอนเป็ นองค์ประกอบ ทำให้สามารถผลิต
ถ่านกัมมันต์ได้ จากนั้นนำถ่านกัมมันต์มาศึกษาการดูดซับยาต้านอักเสบที่
ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory , NSAIDs) ซึ่งไอ
บูโพรเฟน (Ibuprofen) เป็ นหนึ่งในเภสัชภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มยาต้านอักเสบ
ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory , NSAIDs) ใช้
เป็ นยาบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบ ปวดฟั น ช่วยลด
อาการปวดประจำเดือน รักษาไข้ และไมเกรน มีการสังเคราะห์
ไอบูโพรเฟนหลายกิโลตันทั่วโลกทุกปี ไอบูโพรเฟนสามารถเข้าสู่สิ่ง
แวดล้อมผ่านทางน้ำเสียจากอุตสาหกรรมยา น้ำเสียและน้ำทิ้งที่มาจาก
บ้านเรือน ชุมชน และโรงพยาบาล น้ำชะขยะจำพวกผลิตภัณฑ์ยาจาก
หลุมฝั งกลบขยะชุมชน รวมถึงปั สสาวะหรืออุจจาระของมนุษย์และสัตว์ที่
ได้รับการรักษาทางการแพทย์ด้วยการใช้
ไอบูโพรเฟนที่ตรวจพบเจอบ่อยในน้ำเสียจากโรงงานบำบัดน้ำเสียที่มี
ความเข้มข้นสูงถึง 25 มิลลิกรัมต่อลิตร (Miege et al., 2008) ซึ่งการกำ
จัดไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ออกจากน้ำเสียก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมนั้น
มีความสำคัญ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะได้รับการสัมผัสสารในระยะยาว
ทำให้เกิด
ความเป็ นพิษเรื้อรัง และเกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิต (Carlsson et al., 2006)
1.2 วัตถุประสงค์
1. เพื่อเตรียมถ่านกัมมันต์จากบัวหลวงด้วยวิธีการกระตุ้นด้วย
สารเคมี โดยใช้ซิงค์คลอไรด์ (ZnCl2) ไอร์รอน (III) คลอไรด์ (FeCl3) โซ
3
1.3 ขอบเขต
1. วัตถุดิบที่ใช้ในการเตรียมถ่านกัมมันต์ คือ บัวหลวงตากแห้ง โดย
ใช้ทั้งกลีบและก้านบัวหลวง
2. วิเคราะห์สมบัติของวัตถุดิบ ได้แก่
- วิเคราะห์ค่าการสลายตัวทางความร้อนของวัตถุดิบด้วยเทคนิค
Thermogravimetric analysis (TGA)
- วิเคราะห์หาองค์ประกอบโดยประมาณ (Proximate analysis)
ประกอบด้วย %ความชื้น (%moisture) ตามวิธีของ Rengaral, %เถ้า
(%ash), %สารระเหย (%volatile matters) วิเคราะห์ตามวิธีของ
ASTM D2866-94 (standard test method for volatile matter
content of activated carbon samples) และ%คาร์บอนคงตัว
(%fixed carbon)
4
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้ถ่านกัมมันต์จากบัวหลวงที่ผ่านการกระตุ้นด้วยสารเคมี ที่มี
ประสิทธิภาพในการดูดซับยาในกลุ่มต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
ในแหล่งน้ำทิ้งจากโรงบำบัดน้ำเสีย
2. ได้ทราบเงื่อนไขที่เหมาะสมในการเตรียมถ่านกัมมันต์จากบัว
หลวงเพื่อใช้ในการดูดซับยาในกลุ่มต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
3. ได้แนวทางในการนำวัสดุชีวมวลอย่างบัวหลวงมาเพิ่มคุณค่าด้วย
การทำถ่านกัมมันต์
6
บทที่ 2
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ผู้วิจัยได้ให้รายละเอียดของทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยนี้
รวมถึงได้ทำการทบทวน เอกสารงานวิจัยก่อนหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย
โดยมีรายละเอียดดังนี้
รูพรุนมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดยสิ่งสำคัญที่ทำให้ณุพรุนมีความ
แตกต่างกันคือ รูปร่างของวัสดุ ขนาดรูพรุน ตำแหน่ง พันธะของวัสดุ และ
คุณสมบัติทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับพื้นผิววัสดุ
2.2.2.1 ขนาด ขนาดของรูพรุนมีอิทธิพลอย่างมากต่อ
คุณสมบัติของวัสดุที่มีรูพรุน และส่งผลต่อการใช้งาน ขนาดรูพรุนที่ใหญ่
ขึ้นจะทำให้อนุภาคขนาดใหญ่สามารถผ่านเข้าไปได้ ทำให้ปฏิกิริยาของ
วัสดุเพิ่มขึ้น ขนาดรูพรุนของวัสดุสามารถจำแนกตาม IUPAC
(International Union of Pure and Applied Chemistry) คือ
(1) รูพรุนขนาดเล็ก (micropores) มีขนาดน้อยกว่า 2 นาโน
เมตร
(2) รูพรุนขนาดกลาง (mesopores) มีขนาดรูพรุนระหว่าง 2
ถึง 50 นาโนเมตร
(3) รูพรุนขนาดใหญ่ (macropores) มีขนาดมากกว่า 50
นาโนเมตร
2.2.2.2 ตำแหน่ง รูพรุนสามารถพบได้บนพื้นผิวของวัสดุหรือ
ในโครงสร้างภายใน ซึ่งสอดคล้องกับพันธะภายในโครงสร้างที่ทำให้เกิด
ความเป็ นระเบียบหรือไม่เป็ นระเบียบภายในวัสดุ
2.2.3 กระบวนการผลิตถ่านกัมมันต์
กรรมวิธีการผลิตถ่านกัมมันต์มีหลายวิธี ขึ้นกับชนิดของวัตถุดิบที่ใช้
และคุณสมบัติของถ่านกัมมันต์ที่ต้องการ แต่โดยทั่วไปประกอบด้วย 3
ขั้นตอน คือ การเตรียมวัตถุดิบโดยใช้การกระตุ้นทางเคมี (นุชจิรา ดีแจ้ง,
2560)
2.2.3.1 การเตรียมวัตถุดิบ
ถ่านกัมมันต์สามารถผลิตได้จากหลายวัตถุดิบ โดยต้องมี
คาร์บอนเป็ นองค์ประกอบหลัก เช่น ไม้ ขี้เลื่อย หรือวัตถุดิบถ่าน เป็ นต้น
10
การคัดเลือกวัตถุดิบที่เหมาะสมสำหรับการทำถ่านกัมมันต์คือ มีค่า
คาร์บอนคงตัวสูง ปริมาณความชื้นต่ำ มีสารระเหยได้ ปริมาณขี้เถ้าต่ำ ไม่
สลายตัวเมื่อเก็บ จะสามารถนำมาผลิตถ่านกัมมันต์ที่มีคุณภาพสูง ต้นทุน
ต่ำ และกระบวนการผลิต
2.2.3.2 การคาร์บอไนซ์ (carbonization)
การคาร์บอไนซ์เป็ นวิธีทางไพโรไรซิส (pyrolysis) โดยการนำ
วัตถุดิบมาเผาในที่อับอากาศอุณหภูมิต่ำกว่า 800 องศาเซลเซียส ขึ้นกับ
ชนิดของวัตถุดิบ การคาร์บอไนซ์เป็ นขั้นตอนที่สำคัญอย่างหนึ่งในการทำ
ถ่านกัมมันต์ เนื่องจากเป็ นขั้นตอนที่เริ่มสร้างโครงสร้างให้มีรูพรุน ใน
ระหว่างการคาร์บอไนซ์ธาตุรวมถึงองค์ประกอบที่ไม่ใช่คาร์บอนและสาร
ระเหยต่างๆ จะถูกกำจัดออกจากโครงสร้างของวัตถุดิบในรูปของแก๊สและ
น้ำมันทาร์ จะได้ถ่านที่มีโครงสร้างเป็ นผลึกที่จัดเรียงกันไม่เป็ นระเบียบ
และมีช่องว่างรูพรุนระหว่างผลึก
2.2.3.3 การกระตุ้น (chemical activation)
ถ่านกัมมันต์สามารถกระตุ้นได้ 2 วิธีใหญ่ๆ ได้แก่ การกระตุ้
นทางกายภาพ และการกระตุ้นทางเคมี ดังนี้
การกระตุ้นทางกายภาพ (physical activation) เป็ นการ
กระตุ้นด้วยการใช้
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ อากาศ หรือไอน้ำ ซึ่งใช้ความร้อนในการเผาสูง
ถึง 800 – 1,000 องศาเซลเซียส เพราะไอน้ำที่ใช้ต้องเป็ นไอน้ำที่ร้อน
ยิ่งยวด (superheated stream) เพื่อให้สารอินทรีย์ต่างๆ สลายไปทำให้
โครงสร้างภายในมีลักษณะรูพรุน (porous) การกระตุ้นด้วยไอน้ำเป็ นการ
กระตุ้นทางกายภาพอย่างหนึ่งทำโดยใช้ไอน้ำยิ่งยวด ซึ่งมีอุณหภูมิตั้งแต่
750 - 950 องศาเซลเซียส ไอน้ำจึงสามารถทำปฏิกิริยากับผลึกถ่านได้
(นุชจิรา ดีแจ้ง, 2560)
11
2.3 การวิเคราะห์และการทดสอบคุณสมบัติ
2.3.1 เครื่อง Fourier Transform Infrared Spectrometer
(FT-IR)
เครื่อง Fourier Transform Infrared Spectrometer (FT-IR)
เป็ นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์วัสดุที่เป็ นสารอินทรีย์หรืออนินทรีย์
เพื่อตรวจวิเคราะห์หาโครงสร้างและองค์ประกอบของโมเลกุลร่วมกับ
เทคนิคอื่น โดยอาศัยหลักการของการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดช่วง
คลื่นปานกลาง (Middle infrared region) ประมาณ 400 – 4,000
-1
เซนติเมตร หากโมเลกุลรับพลังงานจากคลื่นรังสีดังกล่าว ซึ่งมีความถี่
ตรงกับการสั่น หรือ
การหมุนของพันธะโควาเลนซ์ ทำให้โมเลกุลเกิดการดูดกลืนแสงและ
เปลี่ยนแปลงค่าโมเมนต์ไดโพล (Dipole moment)จากนั้นเครื่องมือจะ
วัดค่าความเข้มแสงต่อความถี่หรือความยาวคลื่น (Wave number) ได้ผล
12
ใช้สำหรับการดูดซับแบบชั้นเดียว ซึ่งโมเลกุลของตัวถูกดูดซับจะไม่
เกิดการทับซ้อนกัน มีการจัดเรียงตัวเพียงชั้นเดียวบนพื้นผิวของตัวดูดซับ
ซึ่งสามารถแสดงความสัมพันธ์สำหรับการดูดซับได้ดังสมการ
qm K L C
q =
1+ K L C
สมการที่
(1)
สมการ
1/n
q = KFC
ที่ (2)
2.6 การศึกษาการดูดซับโดยใช้แบบจำลองของจลนพลศาสตร์การ
ดูดซับอันดับหนึ่งเทียม (pseudo-first order) และ อันดับสองเทียม
(pseudo-second order)
เป็ นการศึกษาเพื่ออธิบายกลไกการดูดซับจากอันดับของปฏิกิริยา
ของแบบจำลองจลนพลศาสตร์
การดูดซับอันดับหนึ่งเทียม (pseudo-first order) และแบบจำลอง
จลนพลศาสตร์การดูดซับอันดับสองเทียม (pseudo-second order)
โดยแบบจำลองจลนพลศาสตร์การดูดซับอันดับหนึ่งเทียม (pseudo-first
order) จะอธิบายถึงกลไกการดูดซับเป็ นผลมาจากแรงดึงดูดทางไฟฟ้ า
20
ระหว่างพื้นผิวของตัวดูดซับกับโมเลกุล
ตัวถูกดูดซับและการดูดซับเป็ นการดูดซับทางเคมี หาได้จากสมการที่ (1)
สำหรับแบบจำลองจลนพลศาสตร์การดูดซับอันดับสองเทียม
(pseudo- second order) ใช้สำหรับอธิบายกลไกการดูดซับจาก
แรงดึงดูดทางไฟฟ้ าและเป็ นการดูดซับทางเคมีที่เป็ นผลจากตำแหน่ง
การเกิดปฏิกิริยา (Active site) จากสมการที่ (2)
สมการที่ (3)
t 1 t
pseudo-second order: = -
q t K2 qe qe
2
สมการที่ (4)
-1
เมื่อ K1 คือ ค่าคงที่ปฏิกิริยาอันดับหนึ่งเทียม (min )
K2 คือ ค่าคงที่ปฏิกิริยาอันดับสองเทียม (g/mg-min)
21
2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
Bello et al. (2020) ศึกษาการเตรียมถ่านกัมมันต์จากแกลบ
มะพร้าว โดยใช้กระบวนการกระตุ้นด้วยสารเคมีคือกรดฟอสฟอริก
(H3PO4) ทำให้เกิดรูพรุนขนาดใหญ่บนพื้นผิวของตัวดูดซับ แล้วนำไปคาร์
บอไนซ์ที่อุณหภูมิ 500 องศาเซลเซียส นาน 60 นาที ปล่อยให้อุณหภูมิ
22
ค่า pH เป็ น 3.225 และใช้เวลา 98.91 นาที ค่าที่ขจัด BOD และ COD
-1
ได้ คือ 0.0225 และ 0.023 มิลลิกรัมต่อลิตร.นาที ตามลำดับ
Nourmoradi et al. (2018) ศึกษาถ่านกัมมันต์จากโอ๊ก ที่กระตุ้น
ด้วยกระบวนการทางเคมี ได้แก่ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) แอมโมเนียมคลอไรด์ (NH4Cl) และ
กรดฟอสฟอริก (H3PO4) ในอัตราส่วนมวลระหว่างวัตถุดิบและสารกระตุ้น
1:1 และ 1:2 นำไปคาร์บอไนซ์ที่อุณหภูมิ 600 องซาเซลเซียส ใช้เวลา 1
ชั่วโมง เพื่อขจัดอะเซตามิโนเฟน และไอบูโพรเฟน ออกจากสารละลายที่
เป็ นน้ำ ผลการศึกษาพบว่า ตัวดูดซับที่กระตุ้นด้วยโพแทสเซียมไฮดรอก
ไซด์และกรดฟอสฟอริก
มีความสามารถในการดูดซับสูงสุดสำหรับอะเซตามิโนเฟน (45.45
มิลลิกรัมต่อกรัม) และไอบูโพรเฟน (96.15 มิลลกรัมต่อกรัม) ตามลำดับ
ที่เวลาสัมผัส 150 นาที, 120 นาที และค่า pH เท่ากับ 3 ตามลำดับ
จากการศึกษาจลนพลศาสตร์และไอโซเทอม แสดงให้เห็นว่าแบบจำลอง
จลนพลศาสตร์อันดับสองเทียม และ
ไอโซเทอมของฟรุนดิช เหมาะสมที่สุดเมื่อเทียบกับแบบจำลองอื่นๆ และ
การศึกษาอุณหพลศาสตร์พบว่า
การดูดซับอะเซตามิโนเฟน และไอบูโพรเฟน โดยตัวดูดซับมีลักษณะดูด
ความร้อน นอกจากนี้ได้ทำ
การวิเคราะห์หมู่ฟั งก์ชันพื้นผิวด้วยเทคนิค FTIR และวิเคราะห์สมบัติรู
พรุนร่วมด้วย
Lütke et al. (2019) ศึกษาการทำถ่านกัมมันต์จากเศษเปลือกไม้
ต้นเหนียงดำและทำการดูดซับสารประกอบฟี นอล การเตรียมถ่านกัมมันต์
ทำได้โดยการนำเศษเปลือกไม้ต้นเหนียงดำมาล้างด้วยน้ำ (80
องศาเซลเซียส) และเอทานอล (60 องศาเซลเซียส) ตามลำดับ ต่อมาก
25
รองเศษออกและอบที่อุณหภูมิ 40
องศาเซลเซียส ที่เวลา 1 วัน ล้างและกรองอีกครั้งให้มีขนาดอนุภาคเส้น
ผ่านศูนย์กลาง 300 ถึง 425 ไมโครเมตร สำหรับขั้นตอนต่อไปเป็ นการ
กระตุ้นทางเคมีด้วยซิงค์(II)คลอไรด์ ใช้วัตถุดิบ 10 กรัม เติมสารละลาย
ซิงค์(II)คลอไรด์จนมีปริมาตร 200 มิลลิลิตร ในอัตราส่วนสารละลายต่อ
วัตถุดิบร้อยละ 20 โดยมวล และปั่ นกวนที่อุณหภูมิห้อง เป็ นเวลา 12
ชั่วโมง จากนั้นนำมากรองที่ภาวะสุญญากาศและอบแห้ง 24 ชั่วโมง ที่
อุณหภูมิ 110 องศาเซลเซียส นำไปคาร์บอไนเซชั่นในเตาเผาโดยอุณหภูมิ
อยู่ที่ 700 องศาเซลเซียส ที่เวลา 2 ชั่วโมง เมื่อนำออกมาแล้วให้ทำการ
ชะล้างด้วยกรดไฮโดรคลอริก (HCl) ความเข้มข้น 0.5 โมลต่อลิตร ที่ 95
องศาเซลเซียส นาน 30 นาที และล้างหลายครั้งด้วยน้ำกลั่นจนมีค่า pH
ถึง 6 หลังจากนั้นนำไปอบให้แห้งที่ 110 องศาเซลเซียส เป็ นเวลา 1 วัน
ทำการวิเคราะห์หาสมบัติของรูพรุนตัวดูดซับ พบว่า มีค่า 414.097
ตารางเมตรต่อกรัม ค่า pH ของตัวดูดซับ คือ 6.5 เมื่อนำตัวดูดซับที่
เตรียมไปดูดซับพีนอล ความสามารถในการดูดซับสูงสุดคือ 98.57
มิลลิกรัมต่อกรัม ที่ 55 องศาเซลเซียส การดูดซับมีประสิทธิภาพร้อยละ
95.98
ในการกำจัดสารประกอบฟี นอล
Theamwong et al. (2021) การศึกษาถ่านกัมมันต์จากฝั กของต้น
กัลปพฤกษ์โดยดูดซับสีย้อม
แอนไอออนและยาปฏิชีวนะไซโปรฟลอกซาซิน โดยฝั กเมล็ดถูกทำให้แห้ง
ที่ 110 องศาเซลเซียส นาน 4 ชั่วโมง จากนั้นกระตุ้นกระบวนการทางเคมี
ด้วยการเติมสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) ในอัตราส่วน
สารชีวมวลต่อตัวกระตุ้นที่ 1:1 เป็ นเวลานาน 24 ชั่วโมง และทำให้แห้งที่
110 องศาเซลเซียส นาน 1 วัน จากนั้นเผาที่อุณหภูมิ 700 องศา
26
มันต์ จากการศึกษาพบว่าการใช้
กรดฟอสฟอริกเป็ นตัวกระตุ้นมีประสิทธิภาพการดูดซับ พื้นที่ผิวและ
ปริมาตรพื้นผิวสูงที่สุด สำหรับการศึกษาการดูดซับของอะเซตามิโนเฟน
พบว่า ความสามารถในการดูดซับสูงสุดเท่ากับ 99.87% ที่ความเข้มข้น
เริ่มต้นของอะเซตามิโนเฟน 10 มิลลิกรัมต่อลิตร ปริมาณตัวดูดซับ 0.5
กรัม เวลาที่สัมผัส 60 นาที ที่ค่า pH เท่ากับ 3.0 ณ อุณหภูมิห้อง ส่วน
การวิเคราะห์ไอโซเทอมพบว่าแบบจำลองของแลงเมียร์มีความเหมาะสม
2
กว่าแบบจำลองของฟรุนดิช เท่ากับ R ≤ 0.9705 การศึกษาการดูดซับ
ด้วยจลนพลศาสตร์แบบจำลองอันดับสองเทียม พบว่ามีความเหมาะสม
2
กว่าแบบจำลองอันดับหนึ่งเทียม (R ≤ 0.9996) และการวิเคราะห์
อุณหพลศาสตร์พบว่ากระบวนการนี้เป็ นกระบวนการคายความร้อน (ΔHº
เท่ากับ -10.5754 กิโลจูล/โมล)
ที่เป็ นไปได้และสามารถเกิดขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ
IOP Conference Series et al. (2021) ได้ทำการศึกษาการดูดซับ
คีโตโพรเฟน โดยใช้ส่วนเปลือกของมะตาดในการทำถ่านกัมมันต์ ใช้กรด
ฟอสฟอริกเป็ นตัวกระตุ้นในกระบวนการทางเคมี ในอัตราส่วนวัตถุดิบต่อ
กรดฟอสฟอริก 1:2 และใช้เวลา 24 ชั่วโมง ต่อมาถูกทำให้เป็ นคาร์บอน
ด้วยสภาวะการไหลของก๊าซไนโตรเจน โดยการคาร์บอไนซ์ด้วยอุณหภูมิ
500 องศาเซลเซียส นาน 120 นาที เมื่อวิเคราะห์การดูดซับพบว่า
สภาวะที่เหมาะสมที่สุดของค่า pH เท่ากับ 6.0 และปริมาณตัวดูดซับ 0.4
กรัม มีความสามารถของการดูดซับเท่ากับ 8.354 มิลลิกรัมต่อกรัม การ
2
ศึกษาไอโซเทอมได้พบว่าแบบจำลองของแลงเมียร์ (R ≤ 0.994) เหมาะ
สมที่สุด ส่วนการศึกษาจลนพลศาสตร์แบบจำลองที่สองเทียมเหมาะสม
กับจลนพลศาสตร์การดูดซับเช่นกัน ดังนั้นกระบวนการนี้มีอัตราการดูด
ซับที่สูง
29
ต่อกรัม
- แบบจำลองของแลงเมียร์
เหมาะสมที่สุดสำหรับการ
ดูดซับ
- กระบวนการดูดซับเป็ นก
ระบวนการดูดความร้อน
30
ต้นเหนียง มิลลิกรัมต่อกรัม
ดำ - การดูดซับมี
ประสิทธิภาพร้อยละ
95.98 ในการกำจัดสาร
ประกอบฟี นอล
- หมู่ฟั งก์ชันของตัวดูดซับ
คือกลุ่มซัลโฟนิล (SO2)
และคาร์บอนิล (C=O)
31
- พื้นผิวที่ประจุเป็ นศูนย์
(pHpzc) ได้ค่าเท่ากับ 6.6
และค่า pH ที่เหมาะสม
สำหรับการดูดซับเท่ากับ 3
- แบบจำลองของแลงเมียร์
บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ได้
ดีที่สุด
- ความสามารถในการดูด
ซับสูงสุดของไอบูโพรเฟน
คือ 124.5, 141.8, 159.2
และ 181.2 มิลลิกรัมต่อ
กรัม ที่ 283, 298, 313
และ 328 เคลวิน ตาม
ลำดับ
-การศึกษาของจลนศาสตร์
พบว่า การดูดซับเป็ นไป
32
ตามแบบจำลอง
จลนพลศาสตร์อันดับสอง
เทียม
- แบบจำลอง
จลนพลศาสตร์อันดับสอง
เทียม และไอโซเทอมของ
ฟรุนดิช เหมาะสมที่สุดเมื่อ
เทียบกับแบบจำลองอื่นๆ
- การศึกษาอุณห
พลศาสตร์พบว่าเป็ นกระ
บวนการดูดความร้อน
33
- แบบจำลองของแลงเมียร์
เหมาะสมที่สุด
- ความสามารถในการดูด
ซับเท่ากับ 50.25
มิลลิกรัมต่อกรัม และ
48.31 มิลลิกรัมต่อกรัม
34
- แบบจำลองของแลงเมียร์
มีความเหมาะสมที่สุด
- การศึกษาการดูดซับด้วย
จลนพลศาสตร์แบบจำลอง
อันดับสองเทียม พบว่ามี
ความเหมาะสมมากที่สุด
- การวิเคราะห์อุณห
พลศาสตร์พบว่า
กระบวนการนี้เป็ นกระบวน
การคายความร้อน
บทที่ 3
ขั้นตอนในการดำเนินงาน
3.1 สารเคมี
กรดฟอสฟอริก (H3PO4) ความบริสุทธิ์ 85% ของ RCI
LABSCAN LIMITED
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) ความบริสุทธิ์ 85% จาก Ajax
Finechem
โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ความบริสุทธิ์ 98% จากบริษัท
Loba Chemie PVT. LTD.
ไอออน(III)คลอไรด์ (FeCl3) ความบริสุทธิ์ 97% เป็ นของ
PANREAC
ซิงค์คลอไรด์ (ZnCl2) ความบริสุทธิ์ 97% ของ KemAus
เมทานอล ความบริสุทธิ์ 99.9% ของ RCI LABSCAN LIMITED
ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ความบริสุทธิ์ 98% ของ Sigma
Aldrich
กรดไฮโดรคลอริก (HCl) ความเข้มข้น 37% ของ RCI LABSCAN
LIMITED
3.2 วัสดุและอุปกรณ์
กลีบดอกและก้านของบัวหลวงตากแห้งใช้เป็ นวัตถุดิบสำหรับ
การเตรียมถ่านกัมมันต์
เครื่องปฏิกรณ์แบบเบดนิ่ง (packed-bed reactor)
36
เตาเผาไฟฟ้ าอุณหภูมิสูงแนวตั้ง
แก๊สไนโตรเจน (N2)
ตู้อบลมร้อน
เตาเผา muffle (TM3-550, VULCAN)
เครื่อง Thermogravimetric Analyzer (TGA, DTG-60H,
Shimudsu) ใช้วิเคราะห์การสลายตัวทางความร้อน
เครื่อง Surface area and Porosity Analyzer (ASAP2460,
Micromeritics) ใช้วิเคราะห์สมบัติรูพรุน
เครื่อง Fourier-transform infrared spectroscopy (ALPHA
II) ใช้วิเคราะห์หมู่ฟั งก์ชันพื้นผิว
เครื่อง UV-VIS Spectrophotometer (Analytik-Jena AG)
เครื่องเขย่า Orbital Shaker (GALLENKAMP)
เครื่อง Scanning Electron Microscope (SEM), Energy
Dispersive X-Ray Spectroscopy (EDX) (TESCAN ,Model :
MIRA) ใช้ศึกษาสัณฐานวิทยาของพื้นผิวถ่านกัมมันต์ และการ
วิเคราะห์ธาตุและองค์ประกอบของถ่านกัมมันต์
ตู้ดูดควัน (Fume Hood)
3.3 วิธีการดำเนินงาน
3.3.1 การเตรียมถ่านกัมมันต์
การเตรียมถ่านกัมมันต์จะใช้กระบวนการกระตุ้นทางเคมี โดยมีขั้น
ตอนการทดลอง ดังนี้
3.3.1.1 การกระตุ้นทางเคมี (Chemical activation)
สารเคมีที่ใช้สำหรับกระบวนการกระตุ้นทางเคมี ได้แก่ กรด
ฟอสฟอริก (H3PO4) โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) และโซเดียมไฮดร
37
W AC
%yield= ×100
W Raw
3.3.2 การวิเคราะห์วัตถุดิบและถ่านกัมมันต์
3.3.2.1 การวิเคราะห์การสลายตัวทางความร้อน
ในการวิเคราะห์การสลายตัวทางความร้อน จะใช้เครื่อง
Thermogravimetric Analyzer หรือ TGA (DTG-60H, Shimudsu)
แสดงในรูปที่ 3.5 ภายใต้บรรยากาศของแก๊สไนโตรเจน จากอุณหภูมิห้อง
ถึง 950 องศาเซลเซียส ใช้อัตราการให้ความร้อน 10 องศาเซลเซียสต่อ
นาที เพื่อนำข้อมูลที่ได้มากำหนดอุณหภูมิในการเตรียมถ่าน
3.3.7 การวิเคราะห์สมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์
การวิเคราะห์สมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์ ทำได้โดยใช้การวัดการ
ดูดซับและการคายซับของ
แก๊สไนโตรเจนที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ด้วยเครื่อง Surface area
and Porosity Analyzer (ASAP2460, Micromeritics) ดังแสดงรูปที่
3.9 ซึ่งสมบัติรูพรุนที่วิเคราะห์ ได้แก่ พื้นที่ผิว (surface area, SBET)
ปริมาตรรูพรุนขนาดเล็ก (micropore volume, Vmic) ปริมาตรรูพรุน
ทั้งหมด (total pore volume, VT) ปริมาตรรูพรุนขนาดกลาง
(mesopore volume, Vmeso) และเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยของรูพรุน
(average pore diameter, DP)
47
( C0 - Ct )
qt = ×V
m
สมการที่ (5)
( C0 - Ce )
qe = ×V
m
สมการที่ (6)
3.4 สถานที่ทำวิจัย
สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ขอนแก่น
3.5 ระยะเวลาการดําเนินงาน
ระยะเวลาที่ใช้ในการทํางานวิจัยเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ.2565
ถึง เดือนเมษายน พ.ศ.2566 รวมระยะเวลาประมาณ 9 เดือน
3.6 แผนการดำเนินการวิจัย
ตารางที่ 2 แผนการดำเนินการวิจัยและระยะเวลาการดำเนินงาน
ระยะเวลาดำเนินงาน
แผนการดำเนินงาน
วิจัย/กิจกรรม
มกรา
สิงหา
ธันวา
เมษา
พฤศ
กุมภ
กันย
มีนา
ตุลา
1. ศึกษาข้อมูลและ
54
รวบรวมงานวิจัยที่
เกี่ยวข้อง
2. ออกแบบและ
วางแผนการทดลอง
3. เตรียมวัตุดิบ
วิเคราะห์คุณสมบัติของ
วัตถุดิบ
4. เตรียมถ่านกัมมันต์
โดยการกระตุ้นทางเคมี
5. วิเคราะห์สมบัติต่างๆ
ของถ่านกัมมันต์ที่
เตรียมได้ และศึกษาการ
ดูดซับยาต้านการอักเสบ
ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
6. จัดทำรายงานฉบับ
สมบูรณ์
3.7 งบประมาณของโครงการวิจัย
ตารางที่ 3 ค่าใช้จ่ายในการทำโครงการวิจัย
55
จำนวน
รายการ เงิน
(บาท)
1. ค่าใช้สอย
- ค่าจ้างเหมาสร้าง Reactor ในการเตรี
ยมถ่านกัมมันต์ 1,000
2. ค่าวัสดุ
- ค่าสารเคมีในการเตรียมถ่านกัมมันต์ 4,000
- ค่าแก๊สไนโตรเจน
รวมงบประมาณที่เสนอขอ 5,000
56
บทที่ 4
ผลการทดลองและวิเคราะห์ผล
ผลการทดลองและการวิเคราะห์ผลการศึกษาในงานวิจัยนี้แบ่งออก
เป็ น 3 ขั้นตอน ได้แก่ การวิเคราะห์สมบัติของวัตถุดิบ การเตรียมถ่านกัม
มันต์ และการศึกษาการดูดซับไอบูโพรเฟน ซึ่งมีรายละเอียดของ
ผลการทดลองดังนี้
4.1 การวิเคราะห์สมบัติของวัตถุดิบ
ทำการตรวจสอบสมบัติของกลีบดอกบัวหลวงแห้งและก้านบัวหลวง
แห้งที่จะนำมาเตรียมเป็ น
ถ่านกัมมันต์ โดยผ่านวิธีการตรวจสอบ ได้แก่ การวิเคราะห์สมบัติแบบ
ประมาณ (proximate analysis)
การวิเคราะห์การสลายตัวทางความร้อน การวิเคราะห์หมู่ฟั งก์ชันพื้นผิว
และการวิเคราะห์หมู่ฟั งก์ชันพื้นผิว
4.1.1 การวิเคราะห์สมบัติแบบประมาณ (proximate analysis)
ของวัตถุดิบ
ตารางที่ 4 การวิเคราะห์สมบัติแบบประมาณ (proximate analysis)
ของกลีบดอกบัวหลวงแห้งและ
ก้านบัวหลวงแห้ง
สมบัติแบบประมาณ (% โดยน้ำหนัก, dry basis)
ความชื้น
สมบัติ คาร์บอน
(wet เถ้า สารระเหย
คงตัว
basis)
57
กลีบดอกบัวหลวง
8.20 12.11 67.58 20.31
แห้ง
ก้านบัวหลวงแห้ง 7.79 11.94 65.60 22.46
จากตารางที่ 4 แสดงการวิเคราะห์สมบัติแบบประมาณ
(proximate analysis) ของกลีบดอกบัวหลวงแห้งและก้านบัวหลวงแห้ง
สังเกตได้ว่าวัตถุดิบ (กลีบดอกบัวหลวงแห้งและก้านบัวหลวงแห้ง) ที่นำมา
วิเคราะห์มีปริมาณความชื้น 8.20 และ 7.79 %โดยน้ำหนัก ตามลำดับ
ปริมาณเถ้า 12.11 และ 11.94 %โดยน้ำหนัก ตามลำดับ ปริมาณสาร
ระเหย 67.58 และ 65.60 %โดยน้ำหนัก ตามลำดับ และมีปริมาณ
คาร์บอนคงตัว 20.31 และ 22.46 %โดยน้ำหนัก ตามลำดับ
ปริมาณสารระเหยของวัสดุชนิดอื่นๆ ที่นำมาใช้สำหรับการเตรียม
ถ่านกัมมันต์ พบว่า ชานอ้อยมีปริมาณสารระเหย 84.2 %โดยน้ำหนัก
(Kirubakaran et al., 2009) เส้นใยปาล์มมีปริมาณสารระเหย 77.46
%โดยน้ำหนัก (Hidayu et al., 2013) และกะลามะพร้าวมีปริมาณสาร
ระเหย 71.37
%โดยน้ำหนัก (Mohammed et al., 2014) ดังนั้นปริมาณสารระเหย
ของวัตถุดิบ (กลีบดอกบัวหลวงแห้งและก้านบัวหลวงแห้ง) นั้นมีค่าใกล้
เคียงกับวัสดุชนิดอื่น
ปริมาณเถ้าของกลีบดอกบัวหลวงแห้งและก้านบัวหลวงแห้งมีค่า
12.11 และ 11.94 %โดยน้ำหนัก ตามลำดับ เมื่อเทียบกับฟางข้าวสาลีซึ่ง
มีปริมาณเถ้า 11.2 %โดยน้ำหนัก (Kirubakaran et al., 2009)
มีความต่างกันไม่มาก
สำหรับปริมาณคาร์บอนคงตัวของวัสดุอื่น เช่น ต้นข้าวโพดมี
ปริมาณคาร์บอนคงตัว 19.9
%โดยน้ำหนัก (Kirubakaran et al., 2009) เส้นใยปาล์มมีปริมาณ
58
น้ำหนัก เมื่อพิจารณาการสลายตัวภายใต้บรรยากาศของ
ก๊าซไนโตรเจนที่อุณหภูมิการสลายตัวในช่วงอุณหภูมิตั้งแต่ 300 – 550
องศาเซลเซียส คือ การสลายตัวของคาร์บอนซึ่งมีค่าเท่ากับ 55 %โดยน้ำ
หนัก ในขณะที่การสลายตัวทางความร้อนภายใต้สภาวะอากาศน้ำหนัก
สุดท้ายที่เหลืออยู่คือปริมาณเถ้าซึ่งมีค่าเท่ากับ 5 %โดยน้ำหนัก จากผล
การทดลองดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า กลีบดอกบัวหลวงแห้งและก้านบัว
หลวงแห้งมีคาร์บอนเป็ นองค์ประกอบ ดังนั้น กลีบดอกบัวหลวงแห้งและ
ก้านบัวหลวงแห้ง จึงสามารถนำมาใช้เป็ นแหล่งคาร์บอนสำหรับการดูด
ซับไอบูโพรเฟนได้
4.2 การเตรียมถ่านกัมมันต์
4.2.1 การวิเคราะห์ผลของสารกระตุ้นต่อสมบัติรูพรุนของถ่านกัม
มันต์ที่เตรียมได้
ไอโซเทอมการดูดซับแก๊สไนโตรเจนที่อุณหภูมิ –196 องศาเซลเซียส
ของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จากก้านบัวหลวงแห้งทำการกระตุ้นทางเคมี
โดยใช้กรดฟอสฟอริก ซิงค์คลอไรด์ โพแทสเซียมไฮออกไซด์
โซเดียมไฮดรอกไซด์ และไอออน(III)คลอไรด์ ในอัตราส่วนร้อยละวัตถุดิบ
ต่อสารกระตุ้นเป็ น 1:2 โดยน้ำหนัก
ที่ความเข้มข้น 50 %โดยน้ำหนัก และผ่านการคาร์บอไนซ์ด้วยอุณหภูมิ
500 องศาเซลเซียส แสดงในรูปที่ 4.4 พบผลการทดลองไอโซเทอมการ
ดูดซับและคายซับแก๊สไนโตรเจนของถ่านกัมมันต์ที่ได้สอดคล้องกับไอโซ
62
จากตารางที่ 6 สมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จากสาร
กระตุ้นชนิดต่าง ๆ เมื่อทำการเปรียบเทียบผลของการกระตุ้นของสาร
กระตุ้นแต่ละชนิดจะได้ว่า เมื่อวัตถุดิบได้รับสารกระตุ้นที่ต่างกันก็จะมี
พื้นที่ผิวรูพรุนที่แตกต่างกัน โดยส่วนมากก้านบัวหลวงแห้งที่ผ่านการกระ
ตุ้นทางเคมีจะมีพื้นที่ผิวรูพรุนมากกว่ากลีบดอกบัวแห้ง ยกเว้นกลีบ
ดอกบัวหลวงแห้งที่กระตุ้นด้วยสารเคมีที่มีความเป็ นเบสซึ่งคือ
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์และโซเดียมไฮดรอกไซด์มีพื้นที่ผิวรุพรุนมากกว่า
ก้านดอกบัวแห้งที่ผ่านกระตุ้นทางเคมีด้วยสารประเภทอื่น เมื่อทำการ
เปรียบเทียบพื้นที่ผิวรูพรุนของวัสดุชนิดเดียวกันกับสารต่างประเภทกัน
63
ขึ้นที่ความดันสัมพัทธ์ต่ำ หลังจากนั้นการดูดซับจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่
ความดันสัมพัทธ์สูง เนื่องจากเกิดการควบแน่นแคปี ลารี (capillary
condensation)
ทำให้การคายซับสูงกว่าการดูดซับที่ความดันเดียวกัน จากไอโซเทอมที่ได้
สามารถนำไปคำนวณหาสมบัติรูพรุน
ต่างๆ ได้ในตารางที่ 7
พรุน อาจเนื่องมาจากอุณหภูมิที่มากขึ้นทำให้สารกระตุ้นไปทำลายผนังรู
พรุนพื้นที่ผิวจึงลดลง
ตารางที่ 7 สมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้ผ่านการคาร์บอไนซ์ที่
อุณหภูมิต่างๆ
ร้อยละผล
อุณหภูมิในการก SBET Vmic Vmeso VT DP
ได้ 2 3 3 3
ระตุ้น (m / (cm / (cm / (cm / (n
(%โดยน้ำ
(องศาเซลเซียส) g) g) g) g) m)
หนัก)
0.31 0.31 3.5
400 69.6 709 0.62
(50%) (50%) 0
0.32 0.47 4.2
500 68.2 740 0.79
(41%) (59%) 9
0.31 0.30 3.3
600 62.6 719 0.61
(51%) (49%) 9
0.32 0.23 3.2
700 50.4 674 0.55
(58%) (42%) 7
0.21 0.15 3.0
800 46.8 474 0.36
(58%) (42%) 8
ผลการทดลองพบว่า เมื่อเพิ่มอุณหภูมิขึ้นพื้นที่ผิวจะมีค่าเพิ่มมากขึ้น
และตกลงในที่สุด ดังนั้นจากตารางที่ 7 แสดงให้เห็นว่า ก้านบัวหลวงแห้ง
ที่ผ่านการกระตุ้นด้วยกรดฟอสฟอริกที่ความเข้มข้น 50
%โดยน้ำหนัก ในอัตราส่วน%โดยน้ำหนักของวัตถุดิบต่อสารกระตุ้นคือ
1:2 แช่ทิ้งไว้ระยะเวลา 1 วัน และ
ทำการคาร์บอไนซ์ที่อุณหภูมิ 500 องศาเซลเซียส เป็ นเวลา 1 ชั่วโมง มี
พื้นที่ผิวมากที่สุด (740 ตารางเมตรต่อกรัม) หลังจากเทียบกับอุณหภูมิใน
67
ตารางที่ 8 เปรียบเทียบพื้นที่ผิวและปริมาตรรูพรุนรวมของ
ถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จากก้านบัวหลวงแห้งโดยการกระตุ้นทางเคมีด้วย
กรดฟอสฟอริกของงานวิจัยนี้เปรียบกับถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จากวัสดุ
ชีวมวลชนิดอื่นๆ โดยผ่านการกระตุ้นทางเคมีเช่นเดียวกันจากงานวิจัยอื่น
พบว่า ถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จากก้านบัวหลวงแห้งมีพื้นที่ผิวสูงกว่าถ่าน
กัมมันต์ที่เตรียมได้จากกากกาแฟที่ถูกกระตุ้นด้วย
โซเดียมไฮดรอกไซด์ เครือกล้วยที่กระตุ้นด้วยกรดฟอสฟอริก ก้านยาสูบที่
กระตุ้นด้วยซิงค์คลอไรด์ รวมถึงสายบัวและเมล็ดองุ่นที่กระตุ้นจากไอออน
(III) คลอไรด์ โดยถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จากก้านบัวหลวงแห้งที่กระตุ้นก
รดฟอสฟอริกมีพื้นที่ผิวใกล้เคียงกับชานอ้อยที่เตรียมได้จากการกระตุ้น
ด้วยกรดฟอสฟอริก
69
ตารางที่ 8 สมบัติรูพรุนของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จากงานวิจัยนี้เปรียบ
เทียบกับงานวิจัยอื่นๆ
สาร SBET VT
วัตถุดิบ 2 3
อ้างอิง
กระตุ้น (m /g) (cm /g)
ก้านบัวหลวง
H3PO4 740 0.79 งานวิจัยนี้
แห้ง
ชานอ้อย H3PO4 671.54 0.43 Elwakeel et al., 2015
Laowachirasuwan,
กากกาแฟ NaOH 27.15 0.02
2009
เครือกล้วย H3PO4 15.37 0.46 Sugumaran et al.,
หางนกยูงฝรั่ง KOH 0.01 0.35 2012
ก้านยาสูบ ZnCl2 382.7 0.20 Chen et al., 2017
สายบัว FeCl3 374 0.20 Feng et al., 2018
เมล็ดองุ่น FeCl3 417 0.19 Diaz et al., 2019
4.2.3.2 การวิเคราะห์สมบัติแบบประมาณ (proximate
analysis) ของถ่านกัมมันต์
ตารางที่ 9 การวิเคราะห์สมบัติแบบประมาณ (proximate analysis)
ของถ่านกัมมันต์เปรียบเทียบกับ
ก้านบัวหลวงแห้ง
สมบัติแบบประมาณ (% โดยน้ำหนัก, dry basis)
ความชื้น
สมบัติ คาร์บอน
(wet เถ้า สารระเหย
คงตัว
basis)
ก้านบัวหลวงแห้ง 7.79 11.94 65.60 22.46
70
ถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้ 0.40
4.2.3.5 การวิเคราะห์หมู่ฟั งก์ชันพื้นผิว
ถ่านกัมมันต์ที่มีสภาวะที่ดีที่สุด เมื่อนำมาวิเคราะห์หมู่ฟั งก์ชัน
พื้นผิวโดยใช้เทคนิค FTIR พบว่า แถบสเปกตรัมที่คลื่น 3315 ต่อ
เซนติเมตร สอดคล้องกับหมู่ฟั งก์ชัน O-H ที่อาจเกิดจากไฮดรอกซิลและ
ยังดูดซับน้ำด้วยถ่านกัมมันต์มากกว่าวัตถุดิบ บริเวณตำแหน่งหมู่ฟั งก์ชัน
ของ C-H จากหมู่เมทิลหรือ
หมู่เมทิลลีน (Samanta et al., 2011) มีปริมาณลดลงอย่างเห็นได้ชัดโดย
ลดลงหลังการกระตุ้นด้วย
กรดฟอสฟอริกเนื่องจากการเผาไหม้ของคาร์บอนและการปล่อยออกมา
ในรูปแบบของคาร์บอนออกซิไดซ์ พีคที่ตำแหน่ง 1597 ต่อเซนติเมตร
เป็ นการสั่นยืดของ C=C ซึ่งเป็ นหมู่แอลคีน (Qian et al., 2007) และ
นอกจากนี้ยังพบหมู่ฟั งก์ชัน C-O ในตำแหน่ง 1034 ต่อเซนติเมตร อีก
ด้วย (Sohaimi et al., 2017) อย่างไรก็ตาม สำหรับถ่านกัมมันต์จากก้าน
บัวหลวงแห้งที่กระตุ้นด้วย H3PO4 มีการอยู่ของกลุ่มฟอสฟอรัสอาจทำให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในตำแหน่งของพีคที่กล่าวถึงข้างต้นและการ
ซ้อนทับกันของพันธะ ซึ่งพันธะที่มีฟอสฟอรัส เช่น P=O, P–O–C และ
P=OOH อาจมีอยู่ในโครงสร้างของถ่านกัมมันต์ H3PO4 ดังแสดงในรูปที่
4.8
73
4.2.3.6 การศึกษาสัณฐานวิทยาของพื้นผิวถ่านกัมมันต์
และการวิเคราะห์ธาตุและองค์ประกอบของถ่านกัมมันต์
มีการใช้เทคนิคแสกนไมโครสโคปอิเล็กตรอนแบบส่องกราด
หรือ Scanning Electron Microscope (SEM) เพื่อตรวจสอบสัณฐาน
และรายละเอียดของพื้นที่ถ่านกัมมันต์ รูปที่ 4.9 (ก) แสดงให้เห็นถึง
Scanning Electron Microscope (SEM) ของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้
จากก้านบัวหลวงแห้ง โดยเป็ นภาพถ่านกัมมันต์ที่ถูกกระตุ้นด้วย H3PO4
ผ่านการคาร์บอไนซ์ที่ 500 องศาเซลเซียส ซึ่งจากรูปดังกล่าวเห็นได้ว่า
พื้นที่ผิวภายนอกของถ่านกัมมันต์มีขนาดรูพรุนและรูปร่างที่ต่างกัน
เนื่องจากเมื่อเทียบกับพื้นที่ผิว BET ที่สูง
รูพรุนของถ่านกัมมันต์เป็ นผลมาจากการระเหยของสารกระตุ้น H3PO4 ใน
ระหว่างการทำให้เป็ นคาร์บอน ทำให้เหลือพื้นที่การดูดซับ ดังภาพที่
ปรากฏ สเปกตรัม EDX ที่แสดงในรูปที่ 4.9 (ข) เผยให้เห็นว่าองค์
74
c)
โครงสร้าง
(ก)
(ข)
(ก)
(ข)
(ค)
79
ตารางที่ 11 พารามิเตอร์การดูดซับไอบูโพรเฟนจากแบบจำลองทาง
จลนศาสตร์อันดับหนึ่งเทียม (pseudo-first order) และแบบจำลองทาง
จลนศาสตร์อันดับสองเทียม (pseudo-second order)
qe,ex Pseudo-first order Pseudo-second order
ความเข้ม
p
ข้น qe,cal K1 2
qe,cal K2 2
(mg -1
R -1
R
(mg/L) (mg/g) (min ) (mg/g) (min )
/g)
58.3 0.026 0.536 0.002
20 16.10 60.98 0.984
2 8 2 4
128. 0.044 0.597 131.5 0.002
40 31.80 0.999
33 4 2 8 7
158. 0.027 0.746 161.2 0.002
60 35.17 0.999
46 9 9 9 0
จากข้อมูลตารางที่ 11 พบว่าข้อมูลการทดลองเป็ นไปตามแบบ
จำลองทางจลนศาสตร์อันดับสองเทียม ที่ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัมต่อ
2
ลิตร มีค่า R เท่ากับ 0.984 และความเข้มข้นของสารละลาย 40 และ 60
2
มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่า R เท่ากับ 0.999 จะเห็นว่าแบบจำลองทาง
2
จลนศาสตร์อันดับสองเทียมมีค่า R
ที่มากกว่าแบบจำลองทางจลนศาสตร์อันดับหนึ่งเทียม และจากการ
คำนวณความสามารถการดูดซับ
80
4.3.3 ไอโซเทอมของการดูดซับไอบูโพรเฟน
จากการศึกษาการใช้ถ่านกัมมันต์ที่เตรียมจากก้านบัวหลวงแห้งโดย
ใช้เวลาในการดูดซับที่เข้าสู่
สภาวะสมดุล 50 นาที และ pH เป็ น 2 ที่สภาวะที่ดีที่สุด โดยทำการปรับ
ความเข้มข้นของสารละลายที่ต่างกัน 5-100 มิลลิกรัมต่อลิตร พบว่าถ่าน
กัมมันต์จะดูดซับได้มาก เมื่อความเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในช่วง
แรกนั้นตัวดูดซับยังมีพื้นผิวอยู่จำนวนมาก และเมื่อพื้นที่ผิวเหลืออยู่น้อยห
รือหมด จะเริ่มดูดซับได้น้อยลงเมื่อใกล้เข้าสู่สมดุล ดังแสดงในรูปที่ 4.14
จากนั้นทำการวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองไอโซเทอมของ Langmuir และ
แบบจำลองไอโซเทอมของ Freundlich จากสมการที่ (1) และ (2) ทำให้
ทราบค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ได้จากกราฟรูปที่ 4.14 ซึ่งแสดงข้อมูลของ
พารามิเตอร์ต่างๆในตารางที่ 12 จะเห็นว่าการใช้ถ่านกัมมันต์ที่เตรียมจาก
ก้านบัวหลวงแห้งสอดคล้องกับแบบจำลองของ Langmuir มากที่สุด
2
เนื่องจากค่า R เท่ากับ 0.9914
2
ซึ่งมากกว่า R ของแบบจำลอง Freundlich ที่เท่ากับ 0.9451 ดังนั้นการ
ดูดซับจะเป็ นการดูดซับชั้นเดียว
มีความสอดคล้องกับงานวิจัยของ Omorogie et al.,2021 และ Balarak
et al.,2021 ที่ศึกษาการดูดซับ
ไอบูโพรเฟน และผลการทดลองเป็ นไปตามแบบจำลองของ Langmuir
เช่นเดียวกัน
เมื่อพิจารณาปริมาณการดูดซับสูงสุด พบว่าถ่านกัมมันต์ที่เตรียม
จากก้านบัวหลวงแห้ง มีปริมาณ
การดูดซับสูงสุดเท่ากับ 323.50 มิลลิกรัมต่อกรัม และได้มีการเปรียบ
เทียบกับงานวิจัยอื่นที่มีการศึกษา
การดูดซับไอบูโพรเฟน จากวัตถุดิบต่างๆ เช่น งานวิจัยของ Omorogie
83
et al.,2021 เตรียมถ่านกัมมันต์จาก
ต้นโอพีเป (Nauclea diderrichii) มีปริมาณการดูดซับสูงสุด 70.92
มิลลิกรัมต่อกรัม งานวิจัยของ
Balarak et al.,2021 เตรียมถ่านกัมมันต์จากแหน (Lemna minor) มี
ปริมาณการดูดซับสูงสุด 181.2 มิลลิกรัมต่อกรัม และงานวิจัยของ
Nourmoradi et al.,2018 ที่ใช้โอ๊กมาเตรียมเป็ นถ่านกัมมันต์ ได้ปริมาณ
การดูดซับสูงสุด 96.15 มิลลิกรัมต่อกรัม จะเห็นว่าถ่านกัมมันต์ที่เตรียม
จากก้านบัวหลวงแห้งสามารถดูดซับไอบูโพรเฟนได้ในปริมาณที่มากกว่า
ของงานวิจัยอื่นๆที่ได้กล่าวมา ซึ่งบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการดูดซับ
ไอบูโพรเฟน
0 0
การเปลี่ยนแปลงพลังงานอิสระของกิบส์ (∆G ) : (∆G ) = -
RTlnk สมการที่ (7)
o o
0 ∆S ∆H
การเปลี่ยนแปลงเอนทาลปี การดูดซับ (∆H ) : lnk = R - RT
สมการที่ (8)
qe
โดย k หาจากสมการ k = Ce เมื่อ k คือ ค่าคงที่ qe คือ ปริมาณการ
ดูดซับไอบูโพรเฟนที่สมดุล (มิลลิกรัมต่อกรัม) และCe คือ ความเข้มข้นของ
ไอบูโพรเฟนหลังการดูดซับที่สมดุล (มิลลิกรัมต่อกรัม)
เมื่อพลอตกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง lnk และ 1/T ดังรูปที่ 4.16
0 0
จะทำให้ทราบค่าความชัน คือ ∆H /RT และจุดตัดแกน คือ ∆S /R จาก
85
ตารางที่ 13 ค่าพารามิเตอร์ทางเทอร์โมไดนามิกส์ของการดูดซับไอบูโพ
รเฟน
0
∆G (kJ/mol) 0 0
ความเข้ม ∆H ∆S
313 323
ข้น(mg/L) 303 K 333 K (kJ/mol) (kJ/mol)
K K
20 -5.37 -6.52 -6.96 -7.56 15.92 0.071
40 -5.56 -6.48 -7.15 -7.49 14.03 0.065
60 -4.34 -4.96 -5.22 -5.54 7.32 0.039
87
(ก) (ข)
(ค)
รูปที่ 4.16 กราฟความสัมพันธ์ระหว่าง lnk กับ 1/T ที่ความเข้มข้น
สารละลายต่างๆ โดย
(ก) ความเข้มข้น 20 mg/L (ข) 40 mg/L และ (ค) 60 mg/L
88
บทที่ 5
สรุปผลการทดลองและข้อเสนอแนะ
จากการทดลองการเตรียมถ่านกัมมันต์จากกลีบดอกบัวหลวงแห้ง
และก้านบัวหลวงแห้ง โดยผ่านการกระตุ้นด้วยวิธีการทางเคมี คือ การก
ระตุ้นด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ กรดฟอสฟอริก
ซิงค์คลอไรด์ และไอออน(III)คลอไรด์ และการศึกษาการดูดซับไอบูโพ
รเฟน สามารถสรุปผลการทดลองได้ดังนี้
5.1 สรุปผลการทดลอง
จากการศึกษาการเตรียมถ่านกัมมันต์จากกลีบดอกบัวหลวงแห้ง
และก้านบัวหลวงแห้ง เมื่อนำมาวิเคราะห์จากสมบัติแบบประมาณ
(proximate analysis) และการสลายตัวทางความร้อน พบว่ากลีบดอก
บัวหลวงแห้งมีปริมาณความชื้นประมาณ 9 %โดยน้ำหนัก ปริมาณเถ้า 12
%โดยน้ำหนัก ปริมาณสารระเหย 68 %โดยน้ำหนัก และปริมาณ
คาร์บอนคงตัว 20 %โดยน้ำหนัก ก้านบัวหลวงแห้งมีปริมาณความชื้น
ประมาณ 7 %โดยน้ำหนัก ปริมาณเถ้า 12 %โดยน้ำหนัก ปริมาณสาร
ระเหย 66 %โดยน้ำหนัก และปริมาณคาร์บอน
คงตัว 22 %โดยน้ำหนัก และเมื่อนำกลีบดอกบัวหลวงแห้งและก้านบัว
หลวงแห้งมาเปรียบเทียบกับวัสดุชีวมวลอื่นๆ สรุปได้ว่ากลีบดอกบัวหลวง
แห้งและก้านบัวหลวงแห้ง มีสมบัติที่เหมาะสมในการนำมาเป็ นวัตถุดิบ
สำหรับการเตรียมถ่านกัมมันต์
ผลการของสารกระตุ้นต่อสมบัติต่อรูพรุนและผลของอุณหภูมิการ
คาร์บอไนซ์ต่อสมบัติต่อรูพรุนของถ่านกัมมันต์ สรุปได้ว่าสารกระตุ้นและ
อุณหภูมิมีผลต่อพื้นที่ผิวรูพรุน โดยถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้จาก
89
การกระตุ้นด้วยกรดฟอสฟอริกความเข้มข้น 50 %โดยน้ำหนัก ใน
อัตราส่วนร้อยละโดยน้ำหนักของวัตถุดิบต่อ
สารกระตุ้นคือ 1:2 แช่ทิ้งไว้ระยะเวลา 24 ชั่วโมง และทำการคาร์บอไนซ์
ที่อุณหภูมิ 500 องศาเซลเซียส
เป็ นเวลา 1 ชั่วโมง มีพื้นที่ผิวมากที่สุด (740 ตารางเมตรต่อกรัม) และ
ขนาดรูพรุนที่พบเป็ นขนาดกลาง
เมื่อวิเคราะห์สมบัติแบบประมาณออกมาจะได้ว่า ถ่านกัมมันต์ปริมาณ
ความชื้นประมาณ 10 %โดยน้ำหนัก ปริมาณเถ้า 8 %โดยน้ำหนัก
ปริมาณสารระเหย 17 %โดยน้ำหนัก และปริมาณคาร์บอนคงตัว 74
%โดยน้ำหนัก และสอดคล้องกับผลที่ได้จากเทคนิค Energy Dispersive
X-Ray Spectroscopy (EDX) บ่งชี้ว่ามีปริมาณคาร์บอนถึง 81.1 %โดย
น้ำหนัก ซึ่งเป็ นไปตามสมบัติของถ่านกัมมันต์
การศึกษาค่า pH ของตัวดูดซับพบว่ามีค่า pH เท่ากับ 6.77 เมื่อนำ
ไปเปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆแล้วมีค่าที่ใกล้เคียงและเป็ นที่ยอมรับใน
การจะใช้เป็ นตัวดูดซับ และการศึกษาค่าประจุพื้นผิวเป็ นศูนย์ (pH at
the point of zero charge , pHpzc) พบว่ามีค่า pHpzc เท่ากับ 5.2
ทำให้ทราบว่าพื้นผิวของตัวดูดซับเป็ นประจุบวก ซึ่งสามารถดูดซับไอบูโพ
รเฟนที่เป็ นประจุลบได้
การศึกษาการดูดซับที่ใช้ถ่านกัมมันต์จากก้านบัวหลวงในสภาวะที่ดี
ที่สุดมาใช้ดูดซับไอบูโพรเฟน
ที่ความเข้มข้นสารละลายต่างๆ โดยมีความเข้มข้น 20, 40 และ 60
มิลลิกรัมต่อลิตร พบว่า การดูดซับจะเข้าสู่สมดุลที่เวลา 50 นาที ส่วนค่า
pH สำหรับการดูดซับไอบูโพรเฟนที่เหมาะสมที่สุดจะมีค่า pH เท่ากับ 2
และอุณหภูมิที่ 333 เคลวิน สามารถดูดซับไอบูโพรเฟนได้ดีที่สุด ทำให้
ทราบถึงความเป็ นไปของกระบวนการดูดซับว่าเป็ นกระบวนการดูดซับที่
90
5.2 ข้อเสนอแนะ
- ควรนำถ่านกัมมันต์ทางการค้ามาเปรียบเทียบโดยวิเคราะห์สมบัติ
ต่างๆ รวมถึงประสิทธิภาพของ
การดูดซับไอบูโพรเฟนด้วย
- ควรนำถ่านกัมมันต์จากก้านบัวหลวงไปวิเคราะห์ช่วงเวลาและ
ความเข้มข้นของการดูดซับเหมาะสมกับการนำไปใช้งานจริงในอนาคต
หรือไม่
91
เอกสารอ้างอิง
กุสุมา เชาวลิด. (2562). การเตรียมถ่านกัมมันต์จากกากกาแฟโดย
ไมโครเวฟร่วมกับการกระตุ้นด้วยโซเดียม
คลอไรด์เพื่อการดูดซับสีย้อมผ้าบาติก. มหาวิทยาลัยบูรพา
จาก.http://lib3.dss.go.th/fulltext/Vichakran/vichakran_lpd_000
6.pdf?fbclid=IwAR12z21 evPNhL20Gh9ufHBq_-
WeVk3QDdfvWBCAeCgj-gDQmXdKej_CFLN8
93
Baccar, R., Sarrà, M., Bouzid, J., Feki, M., & Blánquez, P. (2012).
Removal of pharmaceutical compounds by activated
carbon prepared from agricultural by-product. Chemical
Engineering Journal, 211–212, 310–317.
94
Balarak, D., Taheri, Z., Joon Shim, M., Lee, S.-M., & Jeon, C.
(2021). Adsorption kinetics and thermodynamics and
equilibrium of ibuprofen from aqueous solutions by
activated carbon prepared from Lemna minor.
Carlsson, C., Johansson, A. K., Alvan, G., Bergman, K., & Kühler,
T. (2006). Are pharmaceuticals potent environmental
pollutants?. Part I: Environmental risk assessments of
selected active pharmaceutical ingredients. Science of the
Total Environment, 364(1–3), 67–87.
Chen, R., Li, L., Liu, Z., Lu, M., Wang, C., Li, H., Ma, W., & Wang,
S. (2017). Preparation and characterization of activated
carbons from tobacco stem by chemical activation. Journal
of the Air and Waste Management Association, 67(6), 713–724
Fröhlich, A. C., dos Reis, G. S., Pavan, F. A., Lima, É. C., Foletto,
E. L., & Dotto, G. L. (2018).
97
Guedidi, H., Reinert, L., Lévêque, J.-M., Delpeux, S., Soneda, Y.,
Bellakhal, N., Duclaux, L., & Duclaux, L. (2020). Comptes
Rendus Chimie Ultrasonic pre-treatment of an activated
carbon powder in different solutions and influence on the
ibuprofen adsorption Ultrasonic pre-treatment of an
activated carbon powder in different solutions and
influence on the ibuprofen adsorption. 23(1), 17–31.
98
Han, S., Choi, K., Kim, J., Ji, K., Kim, S., Ahn, B., Yun, J., Choi, K.,
Khim, J. S., Zhang, X., & Giesy, J. P. (2010). Endocrine
disruption and consequences of chronic exposure to
ibuprofen in Japanese medaka (Oryzias latipes) and
freshwater cladocerans Daphnia magna and Moina
macrocopa. Aquatic Toxicology, 98(3), 256–264.
Huang, L., Sun, Y., Wang, W., Yue, Q., & Yang, T. (2011).
Comparative study on characterization of activated
carbons prepared by microwave and conventional heating
methods and application in removal of oxytetracycline
(OTC). Chemical Engineering Journal, 171(3), 1446–1453.
99
Liu, H., Zhang, J., Bao, N., Cheng, C., Ren, L., & Zhang, C.
(2012). Textural properties and
surface chemistry of lotus stalk-derived activated
carbons prepared using different phosphorus oxyacids:
Adsorption of trimethoprim. Journal of Hazardous
Materials, 235–236, 367–375.
100
Miège, C., Choubert, J. M., Ribeiro, L., Eusèbe, M., & Coquery,
M. (2008). Removal efficiency of pharmaceuticals and
personal care products with varying wastewater treatment
processes and operating conditions - Conception of a
database and first results. Water Science and Technology,
57(1), 49–56.
Qian, Y., Zuo, C., Tan, J., & He, J. (2007). Structural analysis of
bio-oils from sub-and supercritical water liquefaction of
woody biomass. Energy, 32(3), 196–202
103
Wong, S., Lim, Y., Ngadi, N., Mat, R., Hassan, O., Inuwa, I. M.,
Mohamed, N. B., & Low, J. H. (2018). Removal of
acetaminophen by activated carbon synthesized from
spent tea leaves: equilibrium, kinetics and
thermodynamics studies. Powder Technology, 338, 878–
886.
105
106
ประวัติย่อนักศึกษาผู้ทำโครงการ
เบอร์โทร 0883605883
เบอร์โทร 0823665228