Professional Documents
Culture Documents
เพื่อการผลิตน้ามันเชื้อเพลิงและสารหล่อลื่น
โดย
นายรังสรรค์ รุ่งเรืองศรี
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปีการศึกษา 2558
ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การกาจัดไขด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาของสารไฮโดรแครกเกอร์บอททอม
เพื่อการผลิตน้ามันเชื้อเพลิงและสารหล่อลื่น
โดย
นายรังสรรค์ รุ่งเรืองศรี
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปีการศึกษา 2558
ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
CATALYTIC DEWAXING OF HYDROCRACKER BOTTOMS
FOR FUEL AND LUBRICANT PRODUCTION
BY
หัวข้อวิทยานิพนธ์ การกาจัดไขด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาของสารไฮโดรแครกเกอร์
บอททอม เพื่อการผลิตน้ามันเชื้อเพลิงและสารหล่อลื่น
ชื่อผู้เขียน นายรังสรรค์ รุ่งเรืองศรี
ชื่อปริญญา วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชา/คณะ/มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม
วิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาลี สันติคุณาภรณ์
ปีการศึกษา 2558
บทคัดย่อ
การกาจัดไขด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาของโมเลกุลพาราฟินสายโซ่ยาวของไฮโดรแครกเกอร์บอ
ททอม โดยการใช้เครื่องปฏิกรณ์แบบเบดนิ่ง ด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะ (Ni, Pt, Ir) และตัวเร่งปฏิกิริยา
สองหน้าที่ (Ni/Cl) บนตัวรองรับแกมมาอลูมินา (พื้นที่ผิว = 160.25 ตารางเมตรต่อกรัมและ ปริมาณ
รูพรุนทั้งหมด = 0.4672 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อกรัม) ตัวเร่งปฏิกิริยาถูกวิเคราะห์คุณลักษณะโดยการ
ทดสอบหาพื้น ที่ผิ ว รู พรุ น และเทคนิคการคายดูดซับแอมโมเนียตามอุณหภูมิ (NH3-TPD) การทา
ปฎิกิริยาบนตัวเร่งปฏิกิริยาเหล่านี้ ถูกทดสอบที่อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส ความดัน 35 บาร์ และ
ปริมาณสารป้อนต่อปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยา 0.018 ต่อชั่วโมง ผลิตภัณฑ์ที่ได้เป็นของเหลวถูกวิเคราะห์
โดยเทคนิคแก๊สโครมาโตรกราฟีและดิฟเฟอเรนเชียลสแกนนิงแคลอริมิเตอร์ ผลการศึกษาพบว่าความ
เป็นกรดของตัวเร่งปฏิกิริยาที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาไอโซเมอไรเซซัน (isomerization) และ
แครกกิ้ง (cracking) ของไฮโดรแครกเกอร์บอททอม โดยตัว เร่งปฏิกิริยา 5Ni/3Cl ให้ ผ ลที่ดีที่สุ ด
ผลิตภัณฑ์ที่ได้ประกอบด้วย 40% โดยน้าหนักของน้ามันเชื้อเพลิงและ 60% โดยน้าหนักของสารหล่อ
ลื่น นอกจากนี้สีของผลิตภัณฑ์ยังเปลี่ยนจากสีน้าตาลเข้มเป็นสีเหลืองใสและค่าจุดหลอมเหลวลดต่าลง
จาก 31 องศาเซลเซียส ไปเป็น 17 องศาเซลเซียส
ABSTRACT
กิตติกรรมประกาศ
วิ ท ยานิ พ นธ์ ฉ บั บ นี้ จะส าเร็ จ ลุ ล่ ว งไม่ ไ ด้ ถ้ า ไม่ ไ ด้ รั บ การช่ ว ยเหลื อ จากผู้ ช่ ว ย
ศาสตราจารย์ ดร.มาลี สั น ติ คุ ณ าภรณ์ อาจารย์ที่ ป รึก ษาวิท ยานิ พ นธ์ ซึ่ งได้ ให้ ค วามกรุณ าให้
คาปรึกษาแนะนา ช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ ตลอดจนช่วยติดตามการ
ดาเนินงานวิจัยนี้มาโดยตลอด จึงขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้
ขอขอบคุณอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ และบุคคลากรในภาควิชาวิศวกรรมเคมี และคณะ
วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้กรุณาให้คาแนะนา ช่วยเหลือและสนับสนุนการทา
เล่มวิทยานิพนธ์นี้
ขอขอบคุณ สถาบันวิจัยและเทคโนโลยี ปตท. ที่เอื้อเฟื้อในเรื่องตัวอย่างน้ามัน เครื่องมือ
วิเคราะห์และสถานที่ในการค้นคว้าและดาเนินงานวิจัย รวมไปถึงข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากพี่ๆ
พนักงานที่มีต่องานวิจัยนี้ อีกทั้งการช่วยเหลือและกาลังใจจากผู้ช่วยนักวิจัยทุกคน
ขอขอบคุณเพื่อนร่วมรุ่นการศึกษาและเพื่อน พี่ น้องร่วมห้องทางานวิจัยที่คอยช่วยเหลือ
และให้กาลังใจมาตลอด
คุณ ค่าและประโยชน์ จากการค้นคว้าอันพึ งมีของวิท ยานิพ นธ์ฉบับ นี้ ผู้ วิจัยขอมอบ
ทดแทนบุญคุณค่าต่อบิดา มารดา ตลอดจนผู้มีพระคุณทุกท่าน และครู บาอาจารย์ทุกท่านที่เคยให้
วิชาความรู้ ให้ความอนุเคราะห์สั่งสอนมาทั้งภาคทฎษฎีและภาคปฎิบัติ
นายรังสรรค์ รุ่งเรืองศรี
(4)
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย (1)
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ (2)
กิตติกรรมประกาศ (3)
สารบัญตาราง (7)
สารบัญภาพ (8)
รายการสัญลักษณ์และคาย่อ (10)
บทที่ 1 บทนา 1
1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา 1
1.2 ทิศทางพลังงาน 1
1.2.1 สถานการณ์พลังงานโลก 1
1.2.2 สถานการณ์พลังงานไทย 3
1.3 วัตถุประสงค์ 4
1.4 ขอบเขตในการศึกษา 4
1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5
บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6
2.1 ประเภทของน้ามันเชื้อเพลิงและคุณภาพน้ามัน 6
2.1.1 น้ามันเบนซิน 6
2.1.2 น้ามันดีเซล 10
(5)
2.2 ประเภทของน้ามันหล่อลื่นและคุณภาพน้ามัน 13
2.3 กระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ามัน 15
2.3.1 การกาจัดไขด้วยปฏิกิริยาไฮโดรแครกกิ้ง 21
และปฏิกิริยาไฮโดรไอโซเมอร์ไรเซชั่น
2.3.2 ปฏิกิริยาไฮโดรแคร็กกิ้งและปฏิกิริยาไฮโดรไอโซเมอร์ไรเซชั่น 24
2.3.3 ตัวเร่งปฏิกิริยาที่นิยมใช้สาหรับไฮโดรแคร็กกิ้ง 26
และปฏิกิริยาไฮโดรไอโซเมอร์ไรเซชั่น
2.3.4 การพัฒนาและการใช้ปฏิกิริยาไฮโดรแคร็กกิ้ง 28
2.4 อลูมิเนียม อ๊อกไซค์ (Aluminium oxide, Al2O3) 31
บทที่ 3 วิธีการวิจัย 33
3.1 แผนการดาเนินงานวิจัย 33
3.2 วัตถุดิบและสารเคมี 34
3.2.1 สารตั้งต้น 34
3.2.2 การเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาโดยวิธีการเอิบชุ่มแบบเปียก 35
3.3 ขั้นตอนการดาเนินการทดลองโดยใช้เครื่องปฏิกรณ์ 37
3.4 เทคนิคทีใ่ ช้สาหรับการวิเคราะห์ 40
3.4.1 เทคนิคการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ 40
3.4.1.1 การวิเคราะห์หาองค์ประกอบสารไฮโดรคาร์บอน 40
3.4.1.2 การวัดความหนืดของเหลว 41
3.4.1.3 การตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของสาร 42
โดยอาศัยคุณสมบัติทางความร้อน
3.4.2 เทคนิคการวิเคราะห์ตัวเร่งปฏิกิริยา 44
3.4.2.1 การทดสอบหาพื้นที่ผิวของวัสดุ 44
3.4.2.2 เทคนิคการโปรแกรมอุณหภูมิเพื่อทดสอบการคายซับ 46
บทที่ 4 ผลการวิจัยและอภิปรายผล 48
4.1 ผลของการทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยา 48
4.2 วิเคราะห์สารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการผลิต 50
(6)
4.2.1 สารตั้งต้นไฮโดรแครกเกอร์บอททอม 50
4.2.2 การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ 51
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ 61
5.1 สรุปผลการทดลอง 61
5.2 ข้อเสนอแนะ 62
รายการอ้างอิง 63
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก วิธีการคานวณ 68
ภาคผนวก ข สภาวะเหมาะสมที่ใช้ในการทาวิจัย 69
ภาคผนวก ค การทดลองเพิ่มเติม 70
ภาคผนวก ง การวิเคราะห์ผลการทดสอบ 71
ประวัติผู้เขียน 73
(7)
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
2.1 แสดงคุณสมบัติของน้ามันหล่อลื่นกลุ่มต่าง ๆ ตามมาตรฐาน API 14
2.2 คุณสมบัติบางประการของไฮโดรคาร์บอนชนิดต่างๆ 17
2.3 ผลกระทบจากกระบวนการใช้ไฮโดรเจนร่วมในกระบวนการ (Hydroprocessing) 21
ต่อคุณสมบัตนิ ้ามันหล่อลื่นพื้นฐาน
2.4 แสดงค่าจุดหลอมเหลวของ iso-nonadecane 24
3.1 สภาวะทีใ่ ช้สาหรับการทดลอง 38
4.1 แสดงคุณสมบัติตัวเร่งปฏิกิริยาจากการทดสอบการหาพื้นที่ผิวจาเพาะและโครงสร้าง 48
รูพรุน (Brunauer- Emmett-Teller Method)
4.2 การทดสอบคุณสมบัติของสารตั้งต้นไฮโดรแครกเกอร์บอททอม 50
4.3 ผลรวมของการทดสอบตัวอย่างที่ได้จากการดาเนินการ 53
ข.1 สรุปผลสภาวะในการทดลองการปรับปรุงโครงสร้างโมเลกุลของไฮโดรแวกส์ 69
(8)
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
1.1 การเจริญเติบโตและความต้องการเชื้อเพลิงของโลกในปี 2010-2040 2
1.2 สถานการณ์พลังงานของประเทศไทย มกราคม – พฤษภาคม 2558 3
2.1 ภาพรวมการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีการปรับปรุงคุณภาพน้ามันดิบในปัจจุบัน 15
2.2 แผนภาพของการแตกตัวและไอโซเมอร์ไรเซชั่นด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาของสาร 19
ไฮโดรคาร์บอน
2.3 กระบวนการไฮโดรแครกกิ้ง (Hydrocracking Process) 20
2.4 ความเป็นไปได้ในการลดจุดหลอมเหลวของ linear alkane 22
2.5 ค่าการหลอมเหลว (Melting point) ของไอโซเมอร์และนอร์มอลสาร 23
ไฮโดรคาร์บอนพาราฟิน
2.6 แผนภาพแสดงคุณสมบัติของตัวเร่งปฏิกิริยาในการเกิด Hydroisomerization 25
2.7 การเกิดปฏิกิริยา Hydrocracking และ Hydroisomerization 25
2.8 แผนผังของการเกิด hydroisomerization และ hydrocracking ในความสัมพันธ์ 26
ระหว่างโลหะและส่วนประกอบที่เป็นกรดในตัวเร่งปฏิกิริยา
2.9 กระบวนการแบบใช้ตัวทาละลาย (Solvent Refining Process) กระบวนการไฮโดรแคร็ก 29
กิง้ (Hydrocracking) และกระบวนการไฮโดรไอโซเมอร์ไรเซชั่น (Hydroisomerization)
2.10 การเปลียบเทียบเทคโนโลยี MSDW โดยตัวเร่งปฏิกิริยา -1 และ -2 30
กับ Solvent dewaxing
2.11 ตัวเร่งปฏิกิริยาอลูมินา 31
3.1 ขั้นตอนการดาเนินงานการวิจัยโดยรวม 34
3.2 สารตั้งต้นสาหรับทดลอง สารไฮโดแครกเกอร์บอททอม (ไข) 35
3.3 แกมม่า-อลูมิน่า (Gamma – Al2O3) จาก Sasol Germany 36
3.4 ตัวอย่างตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้จากการเตียม 37
3.5 การปรับสภาพตัวเร่งปฏิกิริยาก่อนใช้งาน 38
3.6 เครื่องปฏิกรณ์แบบเบดคงที่ (Micro continuous fixed bed reactor) 39
3.7 เครื่องจาลองการกลั่นโดยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี ยีห่ อ้ Agilent รุ่น 7890B 40
3.8 เครื่องวัดความหนืด รุ่น SVM 3000 41
3.9 เครื่อง Differential Scanning Calorimetry; DSC 42
(9)
รายการสัญลักษณและคํายอ
สัญลักษณ/คํายอ คําเต็ม/คําจํากัดความ
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
เป็ นที่ ทราบกั นดี ว่ าพลั งงานเป็ นปั จจั ยส าคั ญ ในการสร้ างเสริ มความสุ ขสวั สดิ ภาพแก่
ประชาชน หลายประเทศ พลั งงานมี ส่ วนเกี่ ยวข้ องกั บความมั่ นคงทางเศรษฐกิ จ การเมื อง และ
วัฒนธรรมของชาติ ประเทศไทยก็มีพลังงานที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจหลายแหล่ง สมัยอดีตมนุษย์ใช้
พลังงานที่หาได้ง่ายๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังงานที่มีการทดแทนอยู่ตลอดเวลา ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่ม
ใช้พลังงานประเภทอื่น เช่น นามัน ถ่านหิน มนุษย์ก็มีเวลาในการพัฒนาเรื่องต่างๆ มีการคิดค้นทาง
วิ ท ยาศาสตร์ ศิ ล ปกรรม และเรื่ อ งอื่ น ๆ ที่ มี ป ระโยชน์ ม ากขึ น ท าให้ ม นุ ษ ย์ มี อ ารยธรรมความ
เจริญรุ่งเรือง สะดวกสบายมากขึน โดยใช้พลังงานเป็นหลักสาคัญในการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ดังนัน
การพัฒนาในด้านพลังงานจึงเป็นสิ่งสาคัญอันดับต้น ๆ สาหรับปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการหา
แหล่งพลังงานใหม่ ๆ หรือการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึน ให้มีประสิทธิภาพมากขึน1
1.2 ทิศทำงพลังงำน
1.2.1 สถำนกำรณ์พลังงำนโลก
จากการเพิ่มขึนของประชากรโลกอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการพัฒนาทางด้าน
วิทยาการและเทคโนโลยี ตลอดจนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ตังแต่อดีตมา
จนถึงปัจจุบัน ทาให้ความต้องการใช้พลังงานของมนุษย์เพิ่มสูงขึนตามไปด้วย จะเห็นได้ว่า แนวโน้ม
ของการใช้พลังงานจะเพิ่มสูงขึนตลอดเวลา เพียงแต่ประเภทและชนิดของพลังงานที่นามาใช้เท่านันที่
มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ไปตามยุคสมัย2
ความต้องการพลังงานของโลกเพิ่มสูงขึนมากกว่า 1 ใน 3 ในระหว่างช่วงเวลา
ปัจจุบันจนถึงปี 2035 เนื่องจาก มาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึนในจีน อินเดีย และประเทศในภูมิภาค
ตะวันออกกลาง ทังนี การเจริญ เติบโตของความต้องการพลังงานได้สูงมากขึนในภูมิภาคเอเชียใต้
แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่ มีความต้องการพลังงานมากที่สุดในทศวรรษปัจจุบัน แต่อินเดียจะกลับ
ขึนมาแซงในช่วงทศวรรษที่ 2020 และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กจ็ ะกลายเป็นภูมิภาคสาคัญอีก
ภูมิภาคหนึ่งที่มีความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึนเรื่อยๆ ดั งนันจะเห็นได้ว่าศูนย์กลางความต้องการ
พลังงานของโลกนันจะอยู่ที่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Economies) สัดส่วนการใช้
เชือเพลิงฟอสซิลในปัจจุบันยังคงอยู่ที่ร้อยละ 82 ซึ่งเหมือนกับที่เป็นมาตลอดระยะเวลา 25 ปี ที่ผ่าน
2
1.2.2 สถำนกำรณ์พลังงำนไทย
การใช้พลังงานยังคงเพิ่มขึนตามการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยที่นามันสาเร็จรูป
ยังคงเป็นพลังงานที่ใช้มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 48.3 ของการใช้พลังงานขันสุดท้ายทังหมดรองลงมา
ประกอบด้วยไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียนดังเดิม พลังงานหมุนเวียนก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน/ลิกไนต์
คิดเป็น ร้อยละ 18.7, 11.5, 7.9, 7.7 และ 5.9 ตามลาดับ และในขณะที่ประเทศไทยกาลังเดินหน้า
เข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี 2558 ความท้าทายทางเศรษฐกิจประการหนึ่งที่กาลังจะ
เกิดขึนคือ เรื่องพลังงาน เพราะหากเราวิเคราะห์ถึงสถานการณ์พลังงานของประเทศไทย ประเทศไทย
มีแนวโน้มการใช้พลังงานที่สูงขึนอย่างต่อเนื่องทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม และภาค
ขนส่งที่มีสัดส่วนการใช้พลังงานรวมกันสูงถึงกว่าร้อยละ 70 และภาคส่วนอื่นๆ รวมกันอีกประมาณ
ร้อยละ 30 ของการใช้พลังงานขันสุดท้ายทังประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้นาเข้าพลังงานชนิดต่างๆ ทัง
ไฟฟ้า ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ นามันสาเร็จรู ป และนามันดิบ เพื่อรองรับการใช้งานภายในประเทศ
สาหรับการใช้แหล่งพลังงานใหม่ และการใช้พลังงานที่มี ประสิทธิภาพมากขึน ความจาเป็นในการ
พัฒนารูปแบบ และชนิดของพลังงานจากเชือเพลิงฟอสซิล และนิวเคลียร์มาเป็นเชือเพลิงทดแทน
ร่ว มกั บ การรัก ษาสิ่ งแวดล้ อ ม ลดการปล่ อ ยก๊ าซเรื อ นกระจกโลก การบั งคั บ ใช้ ก ฎระเบี ย บด้ า น
สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึนเนื่องจากมีการปล่อย CO2 มากขึน จึงต้องมีการจัดการกับการปล่อยมลพิษที่เกิด
จากสภาวะเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน
งานวิจัยนีจึงศึกษาการผลิตเชือเพลิงและสารหล่อลื่นจากกระบวนการกาจัดไขโดยใช้
ตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalytic dewaxing) ซึ่งเป็นกระบวนการเปลี่ยนนามันที่มีลักษณะเป็นไข (wax) ให้
เป็นเชือเพลิงและนามันหล่อลื่นเหลว เพื่อความเหมาะสมในการนาไปใช้งาน โดยการประเมินความ
เป็นไปได้ในการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความเป็นกรด เพื่อลดการใช้สถาวะที่สูงสาหรับกระบวนการผลิต
ในการเกิดปฏิกิริยาการแตกหักของสายโซ่โมเลกุล (Hydrocracking) และการเพิ่มกิ่งของโซ่โมเลกุล
ด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาโดยใช้ไฮโดรเจนร่วม (Hydroisomerization)
1.3 วัตถุประสงค์
1.4 ขอบเขตกำรวิจัย
การผลิตเชือเพลิงและสารหล่อลื่อจากการปรับปรุงโครงสร้างโมเลกุล ของไฮโดรแครก
เกอร์บอททอมที่มีโครงสร้างโมเลกุลเป็นอัลเคนแบบสายโซ่ตรง (n-paraffin) เป็นองค์ประกอบหลัก
และมีขนาดโมเลกุลอยู่ในช่วงของคาร์บอนระหว่าง C18 – C40 ซึ่งทาให้สารเป็นไขที่อุณหภูมิห้อง จึง
ไม่เหมาะสมในการใช้ประโยชน์ ดังนันจึงทาการศึกษาการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลให้เป็นอัลเคนแบบ
กิ่ง (iso-paraffin) และการทาให้สายโซ่โมเลกุลสันลง เพื่อให้ได้เชือเพลิงและสารหล่อลื่นที่สามารถ
นาไปใช้ประโยชน์ได้ โดยได้ทาการศึกษาผ่านกระบวนการไฮโดรแครกกิงและไฮโดรไอโซเมอไรเซซัน
ด้วยเครื่องปฏิกรณ์ แบบเบดคงที่ (Micro continuous fixed bed reactor) ผ่านตัวเร่งปฎิกิริยา ที่
สภาวะ อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส, ความดัน 35 บาร์ และปริมาณอัตราการไหลของสารป้อนต่อ
ปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยา 0.018 ต่อชั่วโมง
ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา คือ ตัวเร่งปฎิกิริยาที่มีปริมาณธาตุ นิกเกิล (Ni), แพลทตินัม
(Pt), อิ ริ เ ดี ย ม (Ir) และคลอรี น (Cl) บนตั ว รองรั บ อลู มิ น า โดยใช้ วิ ธี ก ารเตรี ย มแบบเอิ บ
ชุ่ม (Impregnation method)
5
การศึกษาจะดูอิทธิพลความเป็นกรดและโลหะของตัวเร่งปฏิกิริยาที่ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยา
ไฮโดรแครกกิงและไฮโดรไอโซเมอไรเซซันในสารของไฮโดแครกเกอร์บอททอม
1.5 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ
1.5.1 เพิ่มมูลค่าให้กับสารตังต้นไฮโดรแครกเกอร์บอททอม
1.5.2 ประมาณความเป็นไปได้ในการเกิดปฏิกิริย าไฮโดรแครกกิงและไฮโดรไอโซเมอไร
เซซันในตัวเร่งปฏิกิริยาอลูมินาที่มี นิกเกิล (Ni), แพลทินัม (Pt), อิริเดียม (Ir) และ คลอรีน (Cl) เป็น
องค์ประกอบ
1.5.3 ได้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม
6
บทที่ 2
วรรณกรรมและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้อง
ผลิ ต ภั ณ ฑ์ น้ ำมั น เชื้ อ เพลิ งที่ ได้ จ ำกกระบวนกำรกลั่ น น้้ ำมั น ปิ โตรเลี ย มมี ห ลำยชนิ ด
สำมำรถน้ำมำไปใช้ประโยชน์ได้อย่ำงกว้ำงขวำงทั้งทำงตรงและทำงอ้อม คุณภำพของน้้ำมันเชื้อเพลิง
ได้รับกำรพัฒนำอย่ำงต่อเนื่องตลอดเวลำ เพื่อให้ทันกับวิวัฒนำกำรของเครื่องยนต์ที่เจริญก้ำวหน้ำ
อย่ำงไม่หยุดยั้ง ณ ที่นี้ขอกล่ำวถึงคุณภำพน้้ำมันเชื้อเพลิง 2 ชนิด ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันอย่ำงกว้ำงขวำง
คือ น้้ำมันเบนซินและน้้ำมันดีเซล
2.1.1 น้้ามันเบนซิน7
น้้ำมันเบนซิน เป็นน้้ำมันที่ได้จำกกำรปรุงแต่งคุณภำพของผลิตภัณฑ์ที่ได้จำกกำร
กลั่นน้้ำมันโดยตรง และอำจได้จำกกำรแยกก๊ำซธรรมชำติเหลวหรือแก๊สโซลีนธรรมชำติ น้้ำมันเบนซิน
จะผสมสำรเพิ่มคุณภำพเพื่อให้เหมำะกับกำรใช้งำน เช่น สำรเพิ่มค่ำออกเทน สำรต้ำนกำรรวมตัวกับ
อำกำศ สำรเคมี ส้ ำหรับ ป้ องกัน สนิม ป้ องกัน กำรกัดกร่อนในถังน้้ ำมัน และท่ อทำงน้้ ำมัน รวมทั้ ง
สำรเคมี ที่ ช่ ว ยท้ ำ ควำมสะอำดคำร์ บู เรเตอร์ จึ ง เหมำะที่ จ ะใช้ กั บ ยำนพำหนะ เช่ น รถยนต์
รถจักรยำนยนต์ หรือเครื่องยนต์ทั่วไป เช่น เครื่องสูบน้้ำ เครื่องปั่นไฟขนำดเล็ก
หลี ก เลี่ ย งกำรใช้ ส ำรประกอบของตะกั่ วให้ น้ อ ยที่ สุ ด หรือ ไม่ ต้ อ งใช้ เลย ควรใช้ กั บ เครื่อ งยนต์ ที่ มี
อัตรำส่วนกำรอัดประมำณ 8:1 ขึ้นไป เช่นเดียวกับน้้ำมันเบนซินชนิดพิเศษ แต่ควรเป็นเครื่องยนต์รุ่น
ใหม่ที่มีกำรออกแบบกำรใช้โลหะชนิดพิเศษในกำรท้ำบ่ำลิ้น (Value seat) ของเครื่องยนต์ เพรำะสำร
ตะกั่วจะช่วยลดกำรสึกหรอของบ่ำลิ้น ดังนั้น เครื่องยนต์ที่จะใช้กับน้้ำมันเบนซินไร้สำรตะกั่วได้จึงต้อง
ออกแบบสร้ำงบ่ำลิ้นมำเป็นพิเศษ เครื่องยนต์ที่ติดตั้งเครื่องกรองไอเสีย (Catalytic converter) ก็ต้อง
ใช้น้ำมันเบนซินไร้สำรตะกั่วเท่ำนั้น เพรำะถ้ำใช้น้ำมันเบนซินที่ผสมสำรตะกั่วมำกจะท้ำให้ระบบเครื่อง
กรองไอเสียใช้งำนไม่ได้
กำรใช้ น้ ำ มั น เบนซิ น ที่ มี ค่ ำ ออกเทนต่้ ำ จะท้ ำ ให้ เครื่ อ งยนต์ เ สี ย ก้ ำ ลั ง เกิ ด
อำกำรน๊อค (Knock) ท้ำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วขึ้น อำยุกำรใช้งำนสั้นลง กำรใช้น้ำมันเบนซินที่มีค่ำ
ของออกเทนสูงกับเครื่องยนต์ที่มีอัตรำส่วนกำรอัดต่้ำ ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อเครื่องยนต์มำกนัก จะท้ำ
ให้สิ้นเปลืองค่ำใช้จ่ำยเพิ่ม เพรำะรำคำน้้ำมันเบนซินที่มีค่ำออกเทนสูงรำคำแพงกว่ำ กำรดัดแปลง
เครื่องยนต์เบนซินที่ใช้น้ำมันเบนซินชนิดพิเศษอยู่แล้วให้มำใช้กับน้้ำมันเบนซินชนิดธรรมดำโดยกำร
ปรับแต่เครื่องยนต์ เช่น กำรตั้งไฟให้อ่อนลงก็จะท้ำให้เครื่องยนต์ร้อน และเสียก้ำลัง จึงไม่ควรกระท้ำ
เพรำะจะมีผลเสียมำกกว่ำ ส่วนสีในน้้ำมันไม่ใช่เป็นตัวเพิ่มคุณภำพของน้้ำมัน แต่กำรเติมสีในน้้ำมัน
แสดงถึงควำมเป็นเนื้อเดียวกัน และต้องใส่สีเพื่อแสดงให้ทรำบถึงเกรดของน้้ำมันแต่ ละชนิด ซึ่งไม่ได้มี
กฎตำยตัวของแต่ละประเทศ เช่น ประเทศไทยมีกำรเปลี่ยนแปลงสีของน้้ำมันเบนซิน เพรำะมีกำร
ปลอมปนอยู่เสมอ ทำงรำชกำรจึง ได้งก้ำหนดให้น้ำมันเบนซินชนิดพิเศษเป็นสีใสออกเหลืองนิด ๆ
ส้ำหรับเบนซินชนิดธรรมดำให้เป็นสีแดง ส่วนน้้ำมันก๊ำดให้เป็นสีน้ำเงิน ซึ่งน้้ำมันเบนซินเป็นผลิตภัณฑ์
เชื้อเพลิงที่ใช้กันอย่ำงกว้ำงขวำงมำกปัจจุบัน เป็นน้้ำมันเชื้อเพลิงที่ระเหยง่ำยและไวไฟ จึงควรเก็บไว้
ในที่ปลอดภัยให้ห่ำงจำกควำมร้อนและประกำยไฟ หรือแม้แต่สำรเคมีประเภท strong oxidants เช่น
คลอรีน ควรหลีกเลี่ยงกำรใช้น้ำมันเบนซินเป็นสำรละลำย ในกำรล้ำงท้ำควำมสะอำด เพรำะไอระเหย
ของน้้ำมันเบนซินไวไฟ สำมำรถลุกติดไฟได้ง่ำยหำกมีเปลวไฟเพียงเล็กน้อย ควรหลีกเลี่ยงกำรสัมผัส
หรือกำรสูดดมไอระเหยของน้้ำมันเบนซินโดยตรง เพรำะจะท้ำให้เกิดอำกำรวิงเวียนศีรษะ และอำจ
หมดสติ ควรหลีกเลี่ยงกำรใช้ป ำกดูดสำยน้้ำมัน เพรำะน้้ ำมั น เบนซิ นเพียงเล็กน้อยสำมำรถจะท้ ำ
อันตรำยต่อปอดได้อย่ำงร้ำยแรง กำรสัมผัสน้้ำมันเบนซินโดยตรงเป็นเวลำนำน ๆ หรือบ่อยครั้งอำจท้ำ
ให้เกิดอำกำรระคำยเคืองต่อผิวหนังได้ และอำจท้ำเกิดเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง แต่ถ้ำหำกมีควำมจ้ำเป็น
ที่ต้องสัมผัสกับน้้ำมันเบนซินแล้ว หลังจำกเสร็จสิ้นจำกงำน ควรรีบล้ำงท้ำควำมสะอำดด้วยสบู่และน้้ำ
ให้สะอำด ในกำรล้ำงอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนเครื่องยนต์ เครื่องจักรกล ควรใช้สำรละลำยที่ไม่เป็นพิษต่อ
ร่ำงกำย เช่ น ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ท้ ำควำมสะอำดที่ ใช้ ล้ ำ งเครื่ อ งโดยเฉพำะ หำกหลี ก เลี่ ย งไม่ ได้ ห รือ ไม่ มี
ผลิตภัณฑ์ดังกล่ำว กำรใช้น้ำมันก๊ำดหรือน้้ำมันโซล่ำจะปลอดภัยกว่ำ โดยเฉพำะด้ำนอัคคีภัย อันตรำย
จำกน้้ ำ มั น เบนซิ น เมื่ อ น้ ำ ไปใช้ ใ นกำรเดิ น เครื่ อ งยนต์ คื อ ก๊ ำ ซไอเสี ย จำกเครื่ อ งยนต์ เช่ น ก๊ ำ ซ
8
ลักษณะและคุณภาพของน้้ามันเบนซิน
1. ค่าออกเทน
ค่ำออกเทน หมำยถึง คุณสมบัติของน้้ำมันเชื้อเพลิงที่แสดงถึงควำมสำมำรถในกำร
ต้ำนทำนกำรชิงจุดระเบิดก่อนเวลำที่ก้ำหนดในเครื่องยนต์เบนซิน อีกนัยหนึ่งคือตัวเลขแสดงควำม
ต้ำนทำนกำรน็อคของน้้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์เบนซิน เนื่องจำกกำรเพิ่มอุณหภูมิ ภำยในบริเวณ
ของส่วนผสมอำกำศกับน้้ำมันเชื้ อเพลิงที่ก้ำลังถูกอัดโดยคลื่นเปลวไฟ ก่อนกระบวนกำรเผำไหม้จะ
สิ้ น สุ ด ภำยใน กระบอกสู บ ของเครื่ อ งยนต์ กำรน็ อ คท้ ำ ให้ เครื่ อ งยนต์ ไม่ มี ก้ ำ ลั ง อย่ ำ งไรก็ ต ำม
เครื่องยนต์แต่ละแบบจะมีค่ำออกเทนไม่เท่ำกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับกำรออกแบบของบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์
2. ปริมาณตะกั่ว
แม้ในปัจจุบันจะไม่มีกำรเติมตะกั่วในน้้ำมันเบนซิน เพื่อเพิ่มค่ำออกเทนแล้วก็ตำม
แต่ตะกั่วอำจจะมีกำรปนเปื้อนมำจำกน้้ำมันดิบหรือจำก กระบวนกำรในกำรผลิตก็ได้ เพรำะเนื่องจำก
ตะกั่วเป็ น สำรก่อมลพิ ษ ในไอเสี ยและเป็ น โทษต่อร่ำงกำย จึงต้องมีกำรก้ำหนดปริมำณมำตรฐำน
ควบคุมไว้
3. ปริมาณก้ามะถัน
เมื่ อ ก้ ำ มะถั น ในน้้ ำ มั น ถู ก เผำไหม้ จ ะสำมำรถกั ด กร่ อ นเครื่ อ งยนต์ ใ ห้ สึ ก หรอ
นอกจำกนั้นยังเป็นฝุ่นท้ำให้เครื่องยนต์สกปรกและ เป็นตัวก่อมลพิษทำงอำกำศ
4. ปริมาณฟอสฟอรัส
ฟอสฟอรัสมักจะมำจำกกำรเติมสำรเพิ่มคุณภำพในน้้ำมันเบนซิน สำมำรถท้ำให้เครื่อง
กรองไอเสียช้ำรุดเสียหำย
5. การกัดกร่อน
น้้ำมันที่มีสิ่งปนเปื้อน เช่น ก้ำมะถัน จะก่อให้เกิดกำรกัดกร่อนชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ ท้ำ
ให้เกิดเครื่องยนต์สึกหรอ ค่ำกำรกัดกร่อนเป็น ตัวบ่งชี้กำรสึกหรอของเครื่องยนต์
6. เสถียรภาพต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น
เป็ นค่ ำที่ บ่ งถึงควำมสำมำรถของน้้ ำมั นที่ จะเกิดปฏิกิริยำกับออกซิ เจนแล้วได้ยำง
เหนียว ซึ่งมีผลกระทบต่อไอดี ห้องเผำไหม้และกำรเก็บส้ำรองน้้ำมัน
9
7. ปริมาณยางเหนียว
เมื่อน้้ำมันที่มีสำรประกอบของไนโตรเจน ท้ำปฏิกิริยำกับออกซิเจนในอำกำศจะท้ำให้
เกิดเป็นยำงเหนียว เป็นสิ่งสกปรกในระบบไอดี และห้องเผำไหม้ ท้ำให้วำล์วติดตำย คำร์บูเรเตอร์
ขัดข้อง แหวนติด
8. อัตราการระเหย
เป็นคุณสมบัติที่บ่งบอกว่ำน้้ำมันมีองค์ประกอบส่วนหนักเบำอย่ำงไร จะถูกเผำไหม้ได้
ในลักษณะใด ต่อเนื่องแค่ไหน เช่น ถ้ำมีส่วนเบำน้อยจะจุดสตำร์ทยำก ถ้ำน้้ำมันค่อยๆระเหยอย่ำง
สม่้ำเสมอเมื่อค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น กำรเผำไหม้ก็จะต่อเนื่องเครื่องยนต์ก็จะเดินได้รำบเรียบ
อัตรำกำรระเหยของน้้ำมันจึงมีผลต่อกำรสตำร์ทของเครื่องยนต์ กำรเร่งเครื่องยนต์ และกำรผลต่ อกำร
ประหยัดน้้ำมันเชื้อเพลิง
9. ความดันไอ
ควำมดันไอจะต้องไม่เกินมำตรฐำนที่ก้ำหนด เพื่อป้องกันกำรเกิดปัญหำไอน้้ำมันอุด
ขวำงท่อทำงเดินน้้ำมัน เกิดกำรขำดตอนของน้้ำมันในคำร์บูเรเตอร์ ท้ำให้เครื่องยนต์สตำร์ทไม่ติด
กระตุกหรือดับ
10. ปริมาณสารเบนซิน
เบนซิ น เป็ น สำรจ้ำพวกอะโรเมติ ก ส์ มี ค่ำออกเทนสู ง แต่ มี พิ ษ ต่ อระบบทำงเดิ น
หำยใจและสมอง กำรสูดดมสำรนี้เป็นระยะเวลำ นำนๆ อำจเป็นสำเหตุของโรคมะเร็ง
11. ปริมาณสารอะโรมาติก
สำรอะโรมำติก จะมีค่ำของออกเทนสูง แต่ก็มีสำรอะโรมำติกบำงตัว เช่น เบนซิน
โพลีไซคลิกอะโรมำติก ซึ่งจะก่อให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง นอกจำกนี้แล้ว กำรเผำไหม้ของน้้ำมันที่มี
สำรอะโรมำติกสูงจะท้ำให้มีเขม่ำปริมำณสูงและหำกกำรเผำไหม้ไม่สมบูรณ์จะท้ำเกิดไอเสียที่มีสำร อะ
โรมำติกด้วย
12. สี
โดยปกติเนื้ อน้้ ำมั น เบนซิ น เองไม่ มี สี แต่ผู้ ป ระกอบกำรใส่สี ลงไปเพื่ อให้ สำมำรถ
แยกแยะชนิดของน้้ำมันได้ง่ำยและป้องกันกำรปลอมปน เช่น น้้ำมันเบนซินออกเทน 91 มีสีแดง และ
น้้ำมันเบนซินออกเทน 95 มีสีเหลือง
13. ปริมาณน้้า
น้้ำมีผลท้ำให้น้ำมันเสื่อมคุณภำพเร็วและท้ำให้เกิดกำรอุดตันที่อุณหภูมิต่้ำหรือท้ำให้
เครื่องยนต์เดินไม่เรียบ
10
14. สารออกซิเจนเนท
สำรออกซิเจนเนท ที่เติมในน้้ำมันเบนซินจะเพื่อช่วยเพิ่มปริมำณออกซิเจน ได้แก่
MTBE (Methyl Tertiary Butyl Ether) ช่วยให้กำรเผำไหม้สมบูรณ์ ดี ลดกำรเกิดมลพิษ เช่น
คำร์บอนมอนอกไซด์ ขณะเดียวกันกำรที่ MTBE มีค่ำออกซิเจนสูงกว่ำ 100 จึงช่วยเพิ่มค่ำออกเทนใน
น้้ำมันเบนซินส้ำเร็จรูปด้วย แต่เนื่องจำก MTBE เป็นสำรที่สำมำรถดูดซับน้้ำได้ดี ผู้ประกอบกำร จึงถูก
ควบคุมปริมำณกำรใช้ในระดับทีเ่ หมำะสม
15. สารเพิ่มคุณภาพในน้้ามันเบนซิน
กำรเติมสำรเพิ่มคุณ ภำพลงในน้้ำมันเบนซินก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพในกำรใช้งำน
สำรเหล่ ำนี้ ได้ แ ก่ สำรท้ ำ ควำมสะอำด จะท้ ำกำรช่ วยชะล้ ำงสิ่ งสกปรกที่ ต กค้ ำงในระบบน้้ ำมั น
เชื้อเพลิงและช่วยรักษำคำร์บูเรเตอร์ให้สะอำดอยู่เสมอ สำรต้ำนกำรรวมตัวกับอำกำศ จะช่วยป้องกัน
ไม่ให้น้ำมันเบนซินรวมตัวกับออกซิเจนในอำกำศ เพื่อป้องกันกำรเกิดยำงเหนียว ซึ่งเป็นอันตรำยต่อ
ระบบน้้ำมันเชื้อเพลิงและ สำรป้องกันสนิมและกำรกัดกร่อน จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสนิมอุดตันไส้
กรองน้้ำมันเชื้อเพลิงที่คำร์บูเรเตอร์
2.1.2 น้้ามันดีเซล7
น้้ำมันดีเซลเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่ได้จำกกำรกลั่นน้้ำมันดิบ แต่มีช่วงจุดเดือด
และควำมข้นใสสูงกว่ำน้้ำมันเบนซิน เครื่องยนต์ดีเซล มีพื้นฐำนกำรท้ำงำนที่แตกต่ำงจำกเครื่องยนต์
เบนซิ น กล่ ำวคื อ กำรจุด ระเบิ ด ของเครื่อ งยนต์ ดี เซลใช้ ค วำมร้อ นที่ เกิ ด จำกกำรอั ด อำกำศ อย่ ำง
มำกมำยในกระบอกสูบแล้วฉีดเชื้อเพลิงเข้ำไปเพื่อท้ำกำรเผำไหม้ ไม่ใช่เป็นกำรจุดระเบิดจำกหัวเทียน
เหมือนในเครื่องยนต์เบนซิน
น้้ำมันดีเซลเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่ได้จำกกำรกลั่นน้้ำมันดิบ แต่จะมีช่วงของจุด
เดือดและควำมข้นใสสูงกว่ำน้้ำมันเบนซิน เนื่องจำกเครื่องยนต์ดีเซลเป็นเครื่องยนต์ที่มีมูลฐำนของกำร
ท้ำงำนที่แตกต่ำงจำกเครื่องยนต์เบนซิน กำรจุดระเบิดของเครื่องยนต์ดีเซลใช้ควำมร้อนที่เกิดจำกกำร
อัดอำกำศอย่ำงมำกภำยในกระบอกสูบ แล้วฉีดเชื้อเพลิงเข้ำไปเพื่อท้ำกำรเผำไหม้ ไม่ใช่เป็นกำรจุด
ระเบิดจำกหัวเทียนเหมือนเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งเครื่องยนต์ดีเซลในสมัยแรก ๆ นั้นมีขนำดใหญ่โตมำก
เพรำะต้องกำรให้ทนกับควำมร้อนและแรงอัดสูง ๆ ได้ เครื่องยนต์ดีเซลสมัยก่อนก็น้ำไปใช้เป็ นเครื่อง
ต้นก้ำลัง เช่น ใช้เป็นต้นก้ำลังในกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำ โรงงำนอุตสำหกรรม และใช้ในเรือ ต่อมำได้มี
กำรพั ฒ นำสร้ำงเครื่องยนต์ให้มีขนำดเล็กลงแต่มีประสิทธิภำพสูง เช่น ใช้เป็นเครื่องต้นก้ำลังของ
เครื่องมือและอุปกรณ์หลำยชนิดที่มีควำมส้ำคัญทำงเศรษฐกิจ เช่น รถไฟ รถบรรทุ ก รถแทร็กเตอร์
เรื อ ประมง เป็ น ต้ น ดั ง นั้ น จึ ง ต้ อ งมี ก ำรปรั บ ปรุ ง คุ ณ ภำพของน้้ ำ มั น ดี เซลเพื่ อ ให้ เหมำะสมกั บ
เครื่องยนต์ต่ำง ๆ ที่ใช้กับงำนนั้น ๆ
11
ลักษณะและคุณสมบัติของน้้ามันดีเซล
1. การติดไฟ
คุณสมบัติกำรติดไฟบ่งบอกถึงควำมสำมำรถในกำรติดเครื่องยนต์ที่อุณหภูมิต่้ำ และ
กำรป้องกันกำรน็อคในเครื่องยนต์ระหว่ำงกำร เผำไหม้เชื้อเพลิงภำยในกระบอกสูบ ลักษณะกำรเผำ
ไหม้ เช่น กำรเผำไหม้เร็ว กำรเผำไหม้จะมีประสิทธิภำพสูง เหล่ำนี้แสดงออกมำเป็นตัวเลข ของดัชนีซี
เทน หรือ ซี เทนนั ม เบอร์ ค่ ำซี เทนควรให้ สู งพอกั บ ควำมเร็ว รอบของเครื่อ งยนต์ ซึ่ งจะท้ ำให้ ติ ด
เครื่องยนต์ง่ำยไม่น็อค และประหยัดกำรใช้น้ำมัน
2. ความสะอาด
ควำมสะอำดเป็นคุณสมบัติที่ส้ำคัญอีกอย่ำงหนึ่งของน้้ำมันดีเซล ซึ่งในน้้ำมันดีเซล
ต้องมีควำมสะอำดทั้งก่อนและหลังกำรเผำไหม้ เช่น ต้องมีตะกอน น้้ำ กำกหรือเขม่ำให้น้อยที่สุดเท่ำที่
12
2.2 ประเภทของน้้ามันหล่อลื่นและคุณภาพน้้ามัน
2.3 กระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้้ามัน
Hydrocracking
Hydrotreating
(Ebullating Bed), 3.92%
(Fixed Bed),
18.25%
Hydrocracking
(Slurry phase), 0.03%
Coking, 40.29%
Deasphalting, 3.62%
Cracking/Visreaking,
33.89%
ในกำรกลั่นน้้ำมันดิบจะถูกอุ่นให้ร้อนโดยได้รับควำมร้อนจำกผลิตภัณฑ์ที่ยังร้อนๆ ซึ่ง
ออกมำจำกหอกลั่น จำกนั้นก็ถูกผ่ำนเข้ำไปในเตำเผำเพื่อท้ำให้ร้อนถึงอุณหภูมิที่ต้องกำร (ไม่เกิน 360
องศำเซลเซียส เพื่อป้องกันกำรแตกตัวของน้้ำมันและกำรเกิดเขม่ำในท่อ) แล้วจึงฉีดเข้ำไปในหอกลั่น
ไฮโดรคำร์บอนส่วนที่เบำก็จะระเหยขึ้นไป และส่วนที่ หนักก็จะตกลงมำก้นหอ ไอน้้ำร้อนหลังจำกรับ
ควำมร้อนในเตำเผำจะฉีดเข้ำมำในบริเวณก้นหอ ให้ควำมร้อนแก่น้ำมันอุณหภูมิในแต่ละส่วนของหอ
สำมำรถควบคุมโดยหอแยกเล็ก 4 ตัว (Strippers) ซึ่งมีไอน้้ำร้อนฉีดให้ควำมร้อนเช่นกัน อุณหภูมิ ณ
ยอดหอกลั่นจะอยู่รำว 105 องศำเซลเซียส จำกยอดหออุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงก้นหอก
ลั่นซึ่งมีอุณหภูมิรำว 380 - 400 องศำเซลเซียส ผลิตภัณฑ์ที่เบำที่สุดได้จำกยอดหอจะถูกท้ำให้เย็น
แล้วผ่ำนเข้ำหม้อแยก (Gas Separator) ก็จะได้แก๊ส ซึ่งเมื่อน้ำมำแยกอีกทีจะได้แก๊สหุงต้ม ส่วนแก๊สที่
เบำมำกได้แก่มีเทน (CH4) และอีเทน (C2H6) ไม่คุ้มที่จะอัดเป็นของเหลวขำย จะน้ำไปเผำให้ควำมร้อน
ในเตำอุ่นน้้ำมัน และที่เหลือก็เผำทิ้ งไป แก๊สหุงต้มประกอบด้วยโพรเพน (C3H8) และบิวเทน (C4H10)
เป็นส่วนใหญ่มีอีเทน (C2H6) และเพนเทน (C5H10) อยู่ในจ้ำนวนเล็กน้อย
ผลิตภัณฑ์ของเหลวจำกหม้อแยกคือแนฟทำเบำ (Light Naphtha) ซึ่งก็คือน้้ำมันเบนซิน
ธรรมดำนั่ น เอง ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ถั ด ลงมำจะถู ก ดึ งออกมำจำกหอแยก ตั วบนคื อ แนฟทำหนั ก (Heavy
Naphtha) ซึ่งมักจะมีค่ำอ็อคเทนยังไม่สูงพอที่จะใช้งำนได้ ต้องน้ำไปผ่ำนขบวนกำรเพิ่มอ็อคเทนอีก ที
จึงจะได้ น้ ำมั น เบนซิ น อ็อ คเทนสู งมำใช้ ส้ำหรับ น้้ ำมั น เบนซิ น ที่ ใช้ในเครื่อ งยนต์ข องเครื่องบิ น นั้ น
ต้องกำรค่ำอ็อคเทนสูงมำกและยังต้องเติมสำรอื่น ๆ เช่น กำรก่อตัวของน้้ำแข็ง (Anti-Icing) และกำร
ป้องกันไฟฟ้ำสถิตย์ (Anti-Static) อีกด้วย
ผลิตภัณฑ์ที่หนักถัดลงมำคือ น้้ำมันก๊ำดซึ่งน้ำมำจุดให้ควำมสว่ำง หำกจะน้ำไปใช้เป็น
น้้ำมันเครื่องบินเจ็ท (Gas Turbine) ก็ต้องผ่ำนขบวนกำรเพิ่มคุณภำพและก้ำจัดพวกอะโรมำติก ออก
18
สภำวะที่ใช้ในกระบวนกำรไฮโดรแครกกิ้งโดยทั่วไป เป็นดังนี้
- อุณหภูม,ิ องศำเซลเซียส 300-500
- ควำมดันไฮโดรเจน, ปอนด์ต่อตำรำงนิ้ว 1100 - 2300
- ปริมำณอัตรำกำรไหลของสำรตั้งต้นต่อปริมำณตัวเร่งปฏิกิริยำ 0.7 – 2.5
- อัตรำส่วนไฮโดรเจนต่อสำรตั้งต้น, ลูกบำศก์ฟุตมำตรฐำนต่อบำร์เรล 4000 - 10000
- ไนโตรเจร, ส่วนในล้ำนส่วนโดยน้้ำหนัก 0.1 – 50+
- กำรเปลี่ยนแปลง 35 – 80%
ในระดับเชิงพำณิชย์ กำรก้ำจัดไขด้วยตัวเร่งปฏิกิริยำกลำยเป็นส่วนหนึ่งของแผนกำร
ของโรงกลั่ น น้้ำมั นปิ โตรเลี ยม ตั้งแต่กลำงปี 1980 กำรก้ำจัดไขด้วยตัวเร่งปฏิ กิริยำจะด้ำเนิ นกำร
ภำยใต้สภำวะที่ แตกต่ำงจำกกระบวนกำรกำรใช้ไฮโดรเจนร่วมโดยทั่วไป เช่น อุณ หภูมิ 260-430
องศำเซลเซียส ควำมดัน 2-5 เมกะปำสคำลของแก๊สไฮโดรเจนและอัตรำกำรป้อนแก๊สไฮโดรเจน 250-
450 ลูกบำศก์เมตรต่อลูกบำศก์เมตรของสำรป้อน โดยปกติแล้วกำรเร่งปฏิกิริยำของกำรก้ำจัดไขจะ
ด้ำเนินกำรในเครื่องปฏิกรณ์โดยสำรป้อนไหลผ่ำนตัวเร่งปฏิกิริยำ ท้ำให้ได้ผลิตภัณฑ์ตำมต้องกำร
2.3.1 การก้าจัดไขด้วยปฏิกิริยาไฮโดรแครกกิ้งและปฏิกิริยาไฮโดรไอโซเมอร์ไรเซชั่น
(Dewaxing by Hydrocracking and Hydroisomerization)
กำรก้ำจัดส่วนที่เป็นไขของน้้ำมันจำกปัจจัยของสำรที่มีโครงสร้ำงแบบนอร์มอล
พำรำฟิน คือ กำรเปลี่ยนแปลงสำยโซ่โมเลกุลให้เป็นแบบไอโซพำรำฟิน ปฏิกิริยำหลักที่เกิดร่วมกันคือ
ไฮโดรแครกกิ้ง (Hydrocracking) และ ไฮโดรไอโซเมอร์ไรเซชั่น (Hydroisomerization) โดยปัจจัย
ทั่วไปของปฏิกิริยำเหล่ำนี้ จะขึ้นอยู่กับ ตัวเร่งปฏิกิริยำ, โครงสร้ำงสำรป้อน, อุณหภูมิ และควำมดัน
ตัวอย่ำง เช่น ปฏิกิริยำไฮโดรแครกกิ้งมีควำมส้ำคัญ มำกขึ้นในกำรผลิตในส่วนของน้้ำมันเชื้อเพลิง
ดี เซล และเบนซิ น จำกน้้ ำ มั น ก๊ ำ ซออยล์ สุ ญ ญำกำศ (Vacuum gas oil) และ น้้ ำ มั น ดี แ อสฟั ล ต์
(Deasphlted oil)17 ซึ่งตัวเร่งปฏิกิริยำที่ใช้โดยทั่วไปส่วนใหญ่ คือตัวเร่งปฏิกิริยำที่มีคุณสมบัติสอง
อย่ ำง (Bifunctional catalyst) โดยจะประกอบด้ วยส่ วนที่ มี ค วำมเป็ น กรดซึ่ งจะท้ ำหน้ ำที่ ในกำร
เกิ ด ป ฏิ กิ ริ ย ำไฮโด รแ ค ร ก กิ้ ง (Hydrocracking) แ ล ะป ฏิ กิ ริ ย ำไฮโด รไอ โซ เม อ ร์ ไ รเซ ชั่ น
(Hydroisomerization) และส่ ว นที่ เป็ น โลหะซึ่ ง จะท้ ำ หน้ ำ ที่ ใ นกำรเกิ ด ปฏิ กิ ร ยำไฮโดรจี เนชั่ น
(Hydrogenation) หรือดีไฮโดรจีเนชั่น (Dehydrogenation)
25
กลไกเกิดปฏิกิริยำไอโซเมอร์ไรเซชั่นและไฮโดรแครกกิ้งของไฮโดรคำร์บอนพันธะ
เดี่ยวโดยใช้ bifunctional catalysts จะเกิดในรูปแบบคู่ขนำนโดยเกิดดีไฮโดรจีเนชั่นของโมเลกุล
ไฮโดรคำร์บอนพันธะเดี่ยวที่บริเวณส่วนที่เป็นโลหะเพื่อผลิต โอเลฟินซึ่งมีควำมสำมำรถในกำรเกิดเป็น
คำร์บี เนี ยมไอออนและเกิ ด ไอโซเมอร์ไรเซชั่ น หรือไฮโดรแครกกิ้งอย่ำงรวดเร็วไปเป็ น โอเลฟิ น ที่ มี
โมเลกุลเล็กลงบริเวณส่วนของตัวเร่งปฏิกิริยำที่มีควำมเป็นกรด กำรแตกสลำยและกำรท้ำให้โครงสร้ำง
มีกิ่งของสำรมัธยันต์ของโอลิฟินิกจะถูกไฮโดรจี เนทในขั้นตอนสุดท้ำย อย่ำงไรก็ตำมมีข้อสันนิษฐำนว่ ำ
อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำไฮโดรแครกกิ้งและไอโซเมอร์ไรเซชั่นขึ้นอยู่กับควำมสำมำรถของส่วนที่เป็น
โลหะด้วย
กำรวิจัยและพัฒนำของตัวเร่งปฏิกิริยำและกระบวนกำรเร่งปฏิกิริยำไอโซเมอร์ไร
เซชั่นและไฮโดรแครกกิ้งของสำรป้อนปิโตรเลียมในสถำบัน Dalian Institute of Chemical Physics
(DICP) ได้มีกำรศึกษำตั้งแต่ปี 1960 บนพื้นฐำนของกำรตรวจสอบและครอบคลุมของตัวเร่งปฏิกิริยำ
26
เกิดปฏิกิริยำไฮโดรจีเนชั่นและดีโฮโดรจีเนชั่นเป็นสิ่งส้ำคัญแรกที่จะใช้ในกำรบอกถึงควำมเลือกสรร
ของผลิตภัณฑ์ส้ำหรับผลิตภัณฑ์ที่เกิดจำกปฏิกิริยำไอโซเมอร์ไรเซชั่นและปฏิกิริยำไฮโดรแครกกิง้
Gong, S และคณะได้ท้ำกำรศึกษำตัวเร่งปฏิกิริยำแพลทินัม (Pt) ที่ถูกใช้ในหลำย ๆ ตัว
สนับสนุนที่เป็นกรด เช่น SAPO -11, Al-SBA -15 และ Al2O3 และในกำรทดลองได้ใช้ตังเร่ง
ปฏิกิริยำ SAPO -11 โดยมีกำรเปรียบเทียบโลหะหลำกหลำยชนิด เช่น แพลเลเดียม, นิกเกิล, รูทีเนียม
และแพลทินัม สำรตั้งต้นที่ใช้เป็นน้้ำมันที่สกัดได้จำกพืชสบู่ด้ำ โดยปฏิกิริยำไฮโดรดีออกซีเจเนท
(Hydrodeoxygenated) ซึ่งถูกด้ำเนินกำรโดยใช้เครื่องปฏิกรณ์ขนำดเล็กด้วยกำรไหลของสำรป้อนที่
คงที่ ตัวเร่งปฏิกิริยำที่ใช้ทั้งหมดคือ Pt/SAPO-11, Pt/Al-SBA-15 และ Pt/Al2O3 จำกผลกำรทดสอบ
แสดงให้เห็นถึง กำรเกิดปฏิกิริยำไอโซเมอไรเซชันที่สูงส้ำหรับนอร์มอลพำรำฟินและคำร์บอนสำยโซ่
ยำว โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งตัวเร่งปฏิกิริยำ Pt/SAPO-11 ท้ำให้เกิด iso-C10-C18 ถึง 79.4% ผลจำกกำร
ทดลองท้ำให้ทรำบว่ำตัวเร่งปฏิกิริยำของ SAPO-11 ที่มีโลหะชนิดต่ำงๆ ที่ท้ำให้เกิดไอโซพำรำฟิน โดย
เรียงตำมกำรเกิดสูงสุดดังนี้ Pt/SAPO-11 > Pd/SAPO-11 > Ni/SAPO-11 > Ru/SAPO-11 ซึ่ง
อำจจะเนื่องมำจำก ควำมแตกต่ำงของกำรเกิดปฏิกิริยำไฮโดรจีเนชันและดีไฮโดรจีเนชัน เพรำะเป็น
กำรท้ำงำนของธำตุโลหะ ดังนั้นธำตุโลหะที่แตกต่ำงกันท้ำให้กำรเกิดปฏิกิริยำแตกต่ำงกันด้วย20
Roman M. และคณะได้ท้ำกำรศึกษำควำมเป็ น กรด โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยำ y-Al2O3
เป็นตัวสนับสนุนและมีกำรปรับเปรียนอัตรำส่วนของโบรอนที่แตกต่ำงกันรวมทั้งมีกำรใช้ CoMo และ
NiMo ควบคู่ไปด้วย ตัวเร่งปฏิ กิริยำได้มีกำรทดสอบกับ สำร Dibenzothiophene (DBT) และ o-
xylene ภำยใต้สภำวะของไฮโดรทรีตทั่วไป จำกกำรทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยำพบว่ำตัวเร่งปฏิกิริยำมี
ควำมสำมำรถในกำรก้ำจัดก้ำมะถัน กำรแตกหักของสำยโซ่โมเลกุลและกำรเกิด ไอโซเมอไรเซชัน และ
พบว่ำมีควำมสัมพันธ์กับกำรเป็นกรดและควำมสัมพันธ์ นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกำรใช้งำนของ CoMo และ
NiMo กระบวนกำรของกำรก้ำจัดก้ำมะถันจะไม่เกิดขึ้นเมื่อโบรอนในตัวเร่งปฏิกิริยำมีอยู่ในระดับต่้ำ21
ในปี 2556 ดร.มำลี และคณะได้มีกำรศึกษำกำรเกิดปฏิกิริยำไอโซเมอไรเซชันจำกสำรตั้ง
ต้ น เป็ น BHD (Bio - Hydrogenated Diesel) ที่ มี ค ำร์บ อนอยู่ ในช่ วง C15-C18 และไฮโดรแครก
เกอร์บอททอมที่มีคำร์บอนอยู่ในช่วง C20-C40 โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยำอลูมินำที่มีโลหะนิกเกิลและ
คลอรีนกับฟลูออรีนเป็นองค์ประกอบ ผ่ำนเครื่องปฏิกรณ์แบบคงที่ ที่สภำวะต่ำง ๆ ผลจำกกำรศึกษำ
พบว่ำตัวเร่งปฏิกิริยำ 5Ni1Cl/SA เป็นตัวเร่งปฏิกิริยำที่เหมำะสมกับปฏิกิริยำไอโซเมอไรเซชัน โดยมีพื
นที่ ผิ ว ปริ ม ำตรและขนำดรู พ รุ น เท่ ำ กั บ 161.4 ตำรำงเมตรต่ อ กรั ม 0.45 ซี ซี ต่ อ กรั ม และ 120
อังสตรอมตำมล้ำดับ และมีปริมำณกรดอยู่ที่ 0.2480 มิลลิโมลต่อกรัม และตัวเร่งปฏิกิริยำที่มีกำร
เสริม ประสิ ท ธิภ ำพด้วยปริม ำณคลอไรด์ร้อยละ 1 มีควำมเหมำะสมกับ ปฏิกิริยำไอโซเมอไรเซชัน
มำกกว่ำตัวเร่งปฏิกิริยำที่ เสริม ประสิทธิภ ำพด้วยปริมำณคลอไรด์ร้อยละ 3 เพรำะนอกจำกจะให้
ปริมำณไฮโดรคำร์บอนสำยโซ่กิ่งช่วงคำร์บอน 15 ถึง 18 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ต้องกำรมำกกว่ำแล้ว
28
ยังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยำที่ใช้สำรละลำยกรดไฮโดรคลอริกน้อยกว่ำในกำรเตรียมตัว เร่งปฏิกิริยำอีกด้วย22
และจำกกำรศึกษำส้ำหรับคำร์บอนอยู่ในช่วง C20-C40 โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยำ 5Ni/5F-Al2O3 พบว่ำ
สำมำรถลดจุ ด ไหลเทจำกสำรตั้ ง ต้ น 33 องศำเซลเซี ย ส ไปเป็ น 12.10 องศำเซลเซี ย ส ซึ่ ง จำก
กำรศึกษำเพิ่มเติมพบว่ำจ้ำนวนโครงสร้ำงแบบไอโซเมอร์ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ำตัวเร่งปฏิกิริยำที่
ใช้สำมำรถส่งเสริมให้เกิดปฏิกิริยำไอโซเมอไรเซชันได้ด้วย23
Hao Ling และคณะได้มีกำรศึกษำกำรเกิดปฏิกิริยำไอโซเมอไรเซชันและไฮโดรแครกกิ้ง
กับสำรตั้งต้น Normal hexadecane โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยำจำกสถำบันวิจัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี
ของ Fushun ผ่ำนเครื่องปฏิกรณ์แบบคงที่ ที่สภำวะต่ำง ๆ ผลจำกกำรศึกษำพบว่ำคำร์บอนสำยโซ่
ตรงถูกเปลี่ยนไปเป็นสำยโซ่แบบกิ่งและบำงส่วนเกิดกำรแตกหัก ซึ่งส่งผลให้คุณสมบัติดัชนีควำมหนืด
ลดลงตำมไปด้วยแต่ในทำงกลับกันส่งผลให้คุณสมบัติกำรไหลเทดีขึ้น และโครงสร้ำงแบบอะโรมำติกก็
ลดลงไปด้วยโดยกำรเติมไฮโดรเจนแต่ไม่ได้ส่งผลกับคุณสมบัติโดยรวมมำก เนื่องจำกสำรอะโรมำติกมี
ประมำณไม่มำก24
Yacine Rezgui และคณะได้ศึกษำอิทธิพลของโลหะนิกเกิล , แพลทินัม และทังสเตน
บนตัวรองรับอลูมินำซิลิกำกับสำรตั้งต้น n-decane เพื่อวิเครำะห์กำรเกิดปฏิกิริยำไอโซเมอไรเซชัน
จำกกำรศึกษำในระยะยำวพบว่ำ เมื่อปริมำณนิกเกิลเพิ่มมำกขึ้นกำรเกิดโค้กเพิ่มขึ้นตำมไปด้วยและท้ำ
ให้ตัวเร่งปฏิกิริยำเสื่อมเร็วขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้จำกตัวเร่งที่มีองค์ประกอบเป็น (12%Ni-0.1–0.4%Pt)AC
เกิ ด ไอโซเมอร์ ข อง Methylnonane นอกจำกนี้ ยั งพบกำรแตกแขนงของ n-decanes บนตั ว เร่ ง
(12%Ni-0.1–0.3%Pt)AC ไปเป็น Cyclopropane อีกด้วย หลังจำกทดลองในหลำยอัตรำส่วนพบว่ำ
อัตรำส่วนที่มีควำมเหมำะสมที่สุดคือ (12Ni0.2Pt)AC เนื่องจำกมีควำมสมดุลในส่วนของกรดและโลหะ
มำกที่สุด25
หลำยปีต่อมำหลังจำกที่บริษัท บริติชปิโตรเลียมได้ท้ำกำรพัฒนำตัวเร่งปฏิกิริยำ
ส้ำหรับกำรก้ำจัดไขของน้้ำมัน บริษัทเอ็กซอนโมบิล (ExxonMobil Limited) ก็ได้มีกำรพัฒนำตัวเร่ง
ปฏิ กิ ริ ย ำในชื่ อ MLDW (Mobil Lube Dewaxing) ส้ ำ หรั บ กำรลดค่ ำ กำรไหลเทของน้้ ำ มั น โดย
กระบวนกำรไฮโดรแครกกิ้งซึ่งได้บำยโปรดักส์เป็นแก๊สโซลีน (Gasoline) และสำรที่มีน้ำหนักโมเลกุลที่
ต่้ำกว่ำ พร้องทั้งยังก้ำจัดธำตุจ้ำพวกก้ำมะถัน (Sulphur) และไนโตรเจน (Nitrogen) ที่มีอยู่ในสำรตั้ง
ต้น ส้ำหรับตัวเร่งปฏิกิริยำที่ได้รับกำรพัฒนำคือ ซีโอไลต์ที่มีธำตุโซเดียม (Sodium) และ แคลเซียม
(Calcium) ในกำรศึ ก ษำ และได้ มี ก ำรพั ฒ นำกำรก้ ำ จั ด ไขด้ ว ยเทคโนโลยี MSDW TW lube
30
isomerization dewaxing ซึ่ งกระบวนกำรแบ่ งเป็ น สองขั้ น โดยขั้ น แรกเป็ น ไฮโดรแครกกิ้ งหรื อ
ไฮโดรทรีตติ้งและกำรก้ำจัดก้ำมะถันและไนโตรเจน ต่อมำก๊ำสไฮโดรเจนและน้้ำมันจะถูกป้อนเข้ำอีก
เครื่องปฏิกรณ์เพื่อท้ำปฏิกิริยำกับตัวเร่ง ผลิตภัณฑ์หลักที่ได้คือน้้ำมันหล่อลื่นและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น
แนฟทำที่มีค่ำซีเทนสูง
ในปี 1983 บริษัทเชฟรอน (Chevron Corporation) ได้มีกำรผลิตสำรโมเลกุล
ไฮโดรคำร์ บ อนน้้ ำ หนั ก เบำ (100N), กลำง (250N) และหนั ก อย่ ำ งน้้ ำ มั น หล่ อ ลื่ น โดยผ่ ำ น
กระบวนกำรไฮโดรโพรเซสซิ่ง (Hydroprocessing) ซึ่งสำรโมเลกุลหนักจะต้องท้ำกำรก้ำจัดไขโดยใช้
ตัวเร่งปฏิกิริยำซีโอไลต์ (ZSM-5) เนื่องจำกสำมำรถคัดเลือกกำรท้ำปฏิกิริยำขององค์ประกอบประเภท
นอร์มอลพำรำฟินซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักให้ไปเป็นโพรเพน (Propane), บิวเทน (Butane) หรือสำร
น้้ำหนักโมเลกุลต่้ำกว่ำ
ใน ปี 1993 บ ริ ษั ท เช ฟ ร อ น ได้ มี ก ำ ร น้ ำ เท ค โน โล ยี MSDW TW lube
isomerization dewaxing ของ เอ็กซอนโมบิล มำใช้ในกระบวนกำรโดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยำซีโอไลต์
(SAPO-11) ที่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ แต่เดิมนั้น เชฟรอนใช้กำรก้ำจัดไขด้วยตัวท้ำละลำย (Solvent
dewaxing) ซึ่งจำกผลกำรทดสอบท้ำให้ทรำบว่ำกำรก้ำจัดไขด้วยเทคโนโลยี MSDW ให้ผลตอบแทนที่
สูงกว่ำกำรใช้สำรละลำยแบบเดิมดังภำพที่ 2.10
ตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ริ ย ำอลู มิ น ำมี ลั ก ษณะเป็ น สี ข ำว มี ชื่ อ ทำงเคมี คื อ อลู มิ เนี ย ม อ๊ อ กไซค์
(Aluminium oxide, Al2O3) เป็นวัสดุทรงกลมที่มีรูพรุนหลำกหลำยขนำด ปลอดสำรพิษ ไม่มีกลิ่น ไม่
ละลำยในน้้ำและแอลกอฮอล์ สมบัติเชิงกลที่ดีและเสถียรภำพที่ดี เหมำะส้ำหรับเป็นตัวสนับสนุนหรือ
ตัวรองรับส้ำหรับตัวเร่งปฏิกิริยำที่ดี
อลูมินำในธรรมชำติจัดเป็นแร่ธำตุที่พบในรูปของแร่ Corundum (Al2O3), Diaspore
(Al2O3 ·H2O), Gibbsite (Al2O3 ·3H2O) และ Bauxite (Al2O3 ·2H2O) โดยแร่คอรันดัม ที่ พ บจะเป็ น
รัตนชำติ เช่น ทับทิม (Ruby), ไพลิน (Sapphire) และ บุษรำคัม (Yellow Sapphire) เป็นรูปแบบ
ของ แร่คอรันดัมที่มีมลทิน ในขณะที่แร่คอรันดัมที่ไม่มีมลทินจะไม่มีสีอลูมินำบริสุทธิ์และไฮเดรตอลูมิ
นำ สำมำรถสกัดได้จำกแร่บอกไซต์และดินลูกรังโดยวิธีของ Bayer (Bayer Process) คือน้ำแร่มำบด
32
บทที่ 3
วิธีการวิจัย
3.1 แผนการดาเนินงานวิจยั
เนื่ อ งจากได้ เคยมี ก ารศึ ก ษาอิ ท ธิ พ ลขอตั ว เร่ งปฏิ กิ ริ ย า ที่ มี ค วามเหมาะสมกั บ การ
เกิดปฏิกิริยาไอโซเมอไรเซซันกับน้ามันดีเซลชีวภาพสังเคราะห์ (Bio Hydrogenated Diesel : BHD)
และผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณไฮโดรคาร์บอนสายโซ่กิ่งของคาร์บอนช่วง 15 ถึง
18 เท่ากับร้อยละ 52 และ 37 ตามล้าดับ22 เราจึงท้าการประยุกต์โดยน้าตัวเร่งปฏิกิริยานันมาใช้กับ
สารไฮโดรคาร์บอนน้าหนักโมเลกุลสูง เช่น สารสารไฮโดรแครกเกอร์บอททอม ที่ช่วงของคาร์บอนมี
ความเหมาะสมกับการผลิตน้ามันเชือเพลิงและสารหล่อลื่น ถือเป็นการต่อยอดงานวิจัยที่สามารถท้าให้
ตัวเร่งปฏิกิริยาสามารถใช้งานที่กว้างขึน มีความคุ้มค่ามากขึนในทางอุตสาหกรรม
ส้ าหรับ สภาวะการทดลองที่ ใช้ในงานวิจัย นี จะได้ ม าจากงานวิจั ยที่ เคยมี ก ารศึ กษา
อิทธิพลของสภาวะการเกิดปฏิกิริยาไอโซเมอไรเซซันกับสารไฮโดรคาร์บอนน้าหนักโมเลกุล สูงซึ่งได้มี
การวิจัยทัง อุณหภูม,ิ ความดัน และอัตราการไหลของสาร ที่มีความเหมาะสมกับการเกิดปฏิกิริยาและ
สารป้อนที่ใช้ โดยสามารถท้าให้สารมีค่าการไหลเทลดต่้าลงถึง 12 องศาเซลเซียส จากสารป้อนที่มีค่า
การไหลเท 33 องศาเซลเซียส23
ขันตอนการวิจัยเริ่ม แรกจะท้าการศึกษาข้อมูลงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ ยวข้องเพื่ อศึกษา
อิทธิพลและความเป็นไปได้ของการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาและสภาวะที่ใช้ในการผลิตต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ ,
ความดั น , อั ต ราการไหลของสารป้ อ น จากนั นจึ งท้ า การออกแบบการทดลองการและทดสอบ
ผลิตภัณฑ์เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ที่เราตังไว้ หลังจากนันจึงท้าการสรุปผลต่อไป
ขันตอนการด้าเนินงานวิจัย
ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
วิเคราะห์สารตังต้น เตรียมตัวเร่งปฏกิกิริยา
ด้าเนินการทดลองด้วยเครื่อง
Micro continuous fixed bed reactor
วิเคราะห์ผลิตภัณฑ์
สรุปผลการทดลองและจัดท้ารูปเล่ม
3.2 วัตถุดิบและสารเคมี
3.2.1 สารตั้งต้น
สารไฮโดรแครกเกอร์บอททอมเป็นสารที่ได้จากกระบวนการไฮโดรแครกกิง ซึ่ง
เป็นส่วนหนักหลังจากผ่านการกลั่นสุญญากาศหรือก้นหอกลั่น ซึ่งมีความยาวของคาร์บอนอยู่ในช่วง
C20-C54 โครงงสร้างหลักของโมเลกุลจะเป็นแบบเส้นตรงหรือที่เรียกว่า n-paraffin ท้าให้สารเป็น
ไขที่อุณหภูมิห้อง ดังนันก่อนน้าสารมาใช้งานต้องท้าการอบเพื่อให้สารเกิดการหลอมละลายเป็น
ของเหลว และท้าการกรองสารด้วยสุญญากาศเพื่อก้าจัดสิ่งแปลกปลอมที่เป็นของแข็ง ก่อนน้ามาใช้
งาน กับเครื่องปฏิกรณ์ ดังภาพที่ 3.2
35
ขันตอนการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยา
สารเคมีที่ใช้ในการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยา
1. แกมมา อลูมินา (Gamma – Al2O3) จาก Sasol Germany
2. กรดไฮโดรคลอริก (HCl)
3. นิกเกิลไนเตรท (Ni (NO3)2 6H2O)
4. น้ากลั่น (DI Water)
10%Ni1%Cl -Al2O3
3.3 ขั้นตอนการดาเนินการทดลองโดยใช้เครื่องปฏิกรณ์แบบเบดคงที่
(Micro continuous fixed bed reactor)
สารเคมีที่ใช้ในการทดลอบ
1. สารตังต้น Hydrocracker bottom (wax)
2. ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้จากการเตรียม
3. แก๊ส Hydrogen (99.995% purity)
4. แก๊ส Nitrogen (99.995% purity)
เมื่อท้าการติดตังเครื่องปฏิกรณ์ เรียบร้อยแล้วจะต้องท้าการตรวจสอบระบบให้
พร้อมส้าหรับการใช้งานก่อน เช่น การรั่วซึมตามจุดต่าง ๆ
38
Catalysts
Reactor Condens
er
Separator
Stripper
Pump
3.4 เทคนิคที่ใช้สาหรับการวิเคราะห์
3.4.1 เทคนิคการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์
3.4.1.1 การวิเคราะห์หาองค์ประกอบสารไฮโดรคาร์บอนโดยเทคนิคแก๊สโครมา
โ ต ร ก ร า ฟี ต า ม ม า ต ร า ฐ า น ASTM D6352 ( Simulation Distillation Gas
Chromatography)
การเตรียมตัวอย่างในการทดสอบเราจะใช้ตัวอย่างปริมาณ 1 เปอร์เซ็นต์
โดยน้าหนัก ในคาร์บอนไดซัลไฟด์ (CS2) ใส่ขวดไวแอล ขนาด 1.5 มิลลิลิตร และการทดสอบจะใช้การ
ตรวจสอบแบบ Flame ionization detector (FID) ดังนัน เราจะใช้แก๊สไฮโดรเจนและอากาศที่มี
ความบริสุทธิ์สูงเป็นเชือเพลิงและใช้แก๊สไนโตรเจนและฮีเลียมเป็นตัวพาไอสารเข้าไปยังคอลัมน์เพื่อท้า
การแยกต่อไป ส้าหรับการทดสอบ GC-Simdist ตามมาตราฐาน ASTM D635230
3.4.1.3 การตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของสารโดยอาศัยคุณสมบัติทาง
ความร้อน (Differential Scanning Calorimetry; DSC)
เท่ากัน ดังนัน furnace ที่อยู่ใต้ sample pan จะต้องท้างานหนักกว่า furnace ที่อยู่ใต้ reference
pan คือมันต้องให้ความร้อนมากกว่า และการวัดความแตกต่างของปริมาณความร้อนจาก furnace
ทังสองนี คือหน้าที่หลักของเครื่อง DSC โดยปกติแล้วการทดสอบสารตัวอย่างท้าโดยการเพิ่ม (หรือ
ลด) อุณหภูมิสารตัวอย่างด้วยอัตราการเพิ่มอุณหภูมิที่คงที่ หรือการรักษาอุณหภูมิสารตัวอย่างไว้คงที่
(Isothermal) เป็นระยะเวลาหนึ่ง และส้าหรับการทดลองส่วนใหญ่แล้ว บรรยากาศก็มีบทบาทส้าคัญ
ต่อผลการทดลองเช่นเดียวกับอุณหภูมิและอัตราการเพิ่มอุณหภูมิ โดยส่วนใหญ่แล้วบรรยากาศที่ใช้ใน
การทดลองมี ส องแบบคื อ บรรยากาศเฉื่ อ ย (inert atmosphere เช่ น แก๊ ส ไนโตรเจน) และ
บรรยากาศที่มีแก๊สออกซิเจน (oxidizing atmosphere เช่น แก๊สออกซิเจน หรืออากาศ)
3.4.1 เทคนิคการวิเคราะห์ตัวเร่งปฏิกิริยา
3.4.2.1 การทดสอบหาพื นที่ ผิ ว ของวั ส ดุ (Brunauer- Emmett-Teller
Method; BET)
เทคนิคการโปรแกรมอุณหภูมิเพื่อทดสอบการคายซับเป็นเทคนิคที่
ใช้เพื่อทดสอบอันตรกิริยา (Interaction) ระหว่างตัวถูกดูดซับซึ่งเป็นแก๊สและตัวดูดซับ (Adsorbent)
ซึ่งคือตัวเร่งปฏิกิริยา ถ้าตัวเร่งสารที่ใช้เป็นตัวถูกดูดซับจะมีสมบัติเป็นเบส เช่น แอมโมเนีย (ปกติใช้
แอมโมเนียความเข้มข้น 5-10 เปอร์เซ็นต์ในแก๊สฮีเลียม) ซึ่งอาจเรียกเทคนิคนีว่าเทคนิคการโปรแกรม
อุณหภูมิเพื่อทดสอบการคายซับแอมโมเนีย (NH3-TPD) ในกรณีที่ตัวเร่งปฏิกิริยามีต้าแหน่งที่ว่องไว
เป็นต้าแหน่งเบส สารที่ ใช้เป็ นตัวถูกดูด ซับจะมีสมบัติเป็นกรด เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (ปกติใช้
คาร์บอนไดออกไซด์ความเข้มข้น 1-5 เปอร์เซ็นต์ในแก๊สฮีเลียม) ซึ่งอาจเรียกเทคนิคนีว่า เทคนิคการ
โปรแกรมอุณหภูมิเพื่อทดสอบการคายซับ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 -TPD) พืนที่ใต้พีคที่แสดงการ
คายซับ จะแสดงถึงปริมาณของต้าแหน่งที่ว่องไวของตัวเร่งปฏิกิริยา และอุณหภูมิที่เกิดการคายซับจะ
แสดงถึงประสิทธิภาพของตัวเร่งปฏิกิริยา
การทดลองเทคนิคการโปรแกรมอุณหภูมิเพื่อ ทดสอบการคายซับ
สามารถท้าได้โดย ขันตอนแรก ตัวเร่งปฏิกิริยาจะถูกให้ความร้อน (อุณ หภูมิตามต้องการ) เพื่อท้า
ความสะอาดพื นผิ ว ในขั นตอนนี อาจใช้ แก๊ ส เฉื่ อ ย หรื อ ถ้ า ต้ อ งการปรั บ สภาพตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ริ ย า
(Treatment) เช่น การออกซิเดชัน (oxidation) ก็อาจใช้อากาศ (หรือออกซิเจน) หรือการรีดักชัน
(Reduction) ก็อาจใช้แก๊สไฮโดรเจนเป็นแก๊สตัวพา (อัตราการไหลของแก๊ส 30-50 มิลลิลิตรต่อนาที)
จากนั นตั วเร่งปฏิ กิ ริย าจะถู ก ท้ าให้ เย็ น ลงภายใต้ บ รรยากาศของแก๊ ส เฉื่ อ ย (หรือ แก๊ ส ที่ ต้ อ งการ)
47
บทที่ 4
ผลการวิจัยและอภิปรายผล
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการหาตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสมสาหรับการเกิดปฏิกิริยาไฮโดร
แครกกิ้งและไฮโดรไอโซเมอไรเซชัน โดยใช้สารตั้งต้น คือ ไฮโดรแครกเกอร์บอททอม (ลักษณะเป็นไข
ที่อุณหภูมิห้อง) ไหลผ่านตัวเร่งปฏิกิริยาพร้อมกับแก๊สไฮโรเจนในเครื่องปฏิกรณ์แบบเบดคงที่ตาม
สภาวะที่กาหนด และนาผลิตภัณฑ์ที่ได้วิเคราะห์การกระจายตัวของคาร์บอน ลักษณะของคาร์บอน
และคุณสมบัติอื่น ๆ โดยงานวิจัยนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ คือ
1. วิเคราะห์ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้จากการเตรียม
2. วิเคราะห์สารตั้งต้น และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการผลิต
4.1 ผลของการทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยา
สาหรับการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรแครกกิ้งและไอโซเมอไรเซชันของสารตั้งต้น ไฮโดรแครก
เกอร์บอททอมที่มีส่วนประกอบหลักคือ n-alkanes และมีความยาวของสายโซ่โมเลกุลไฮโดรคาร์บอน
มาก จากการศึกษาพบว่าความเป็นกรดของตัวเร่งปฏิกิริยามีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาตามที่ต้องการ
ดังนั้นหลังจากการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาเราจึงนามาทดสอบค่าความเป็นกรดจากการเติมคลอรีน ผล
ของการทดสอบความเป็นกรดของตัวเร่งปฏิกิริยา จากภาพที่ 4.1 โดยเป็นการการทดสอบ NH3-TPD
(Temperature programmed desorption) ของสารแอมโมเนียในการดาเนินการหาความแข็งแรง
ของกรด จากรูปแสดงให้เห็นถึงเส้นโค้ง ที่ 127-327 องศาเซลเซียส และ 527-627 องศาเซลเซียส
ตามลาดับ ซึ่งเป็นการการดูดซับของสารแอมโมเนีย แสดงให้เห็นความเป็นกรดแบบกลางและแบบ
แข็งแรงตามลาดับ ปริมาณโมเลกุลของสารแอมโมเนียต่อจานวนความเป็นกรดและการกระจายของ
กรดสามารถดูได้จากพื้นที่ใต้เส้นโค้ง TPD ซึ่งจะเห็นได้ว่าจานวนรวมของกรดในตัวเร่งปฏิกิริยา 5Ni-
AlSa, 10Ni1C-AlSa และ Al2O3 (AlSa) เกือบจะเหมือนกัน และพื้นที่ใต้เส้นโค้งของตัวเร่งปฏฺกิริยา
5Ni3Cl-AlSa ซึ่งใส่คลอรีน 3% มีพื้นที่ใต้กราฟสูงขึ้น มากกว่า 10Ni1C-AlSa ที่มี 1% คลอรีน จึง
สรุปผลได้ว่าการใส่คลอรีนในตัวเร่งปฏิกิริยา 5Ni3Cl-AlSa ทาให้ความเป็นกรดของตัวเร่งปฏิกิริยา
เพิ่มสูงขึ้น
4.2 วิเคราะห์สารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการผลิต
Hydrocracker bottoms
Properties Unit Method analysis
feedstock. (HDCB)
Viscosity @ 40 oC mm2/s 17.12
D445
Viscosity @ 100 oC mm2/s 3.97
Viscosity index 130.85
Pour point oC 33 D5950
DSC (onset) oC 31
Refractive Index 1.4628 D1218
Distribution
D6352
C5-C10 %wt 0.00
C11-C16 %wt 0.32
C17-C22 %wt 12.09
C23-C28 %wt 46.68
C29-C34 %wt 30.39
C35-C54 %wt 12.76
51
4.2.2 การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์
สาหรับการดาเนินการโดยไม่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อทดสอบผลกระทบของสภาวะที่ใช้ในการทดสอบ
คือ คือ อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส, ความดัน 35 บาร์ และปริมาณอัตราการไหลของสารตั้งต้น
0.018 ต่อชั่วโมง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากรูปจะพบว่า สารมีสีที่ใสขึ้นเล็กน้อยและส่วนที่เป็นไขหายไปเมื่อ
ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง สาหรับการเปลี่ยนแปลงทางเคมีจาเป็นต้องวิเคราะห์ เทคนิคโครมาโตกราฟี อีก
ครั้ง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุลของสารต่อไป
หลังจากทดสอบสภาวะในการผลิตต่อไปเป็นการทดสอบอิทธิพลโลหะบนตัวรองรับอลูมินา เพื่อศึกษา
ผลกระทบของโลหะที่มีต่อปฏิกริยา โดยโลหะที่ ใช้จะมีดังนี้ 5%Ni, 0.5%Pt และ 1%Ir โดยโลหะและ
ปริมาณโลหะที่ใช้ได้จากการศึกษางานวิจัยหลาย ๆ งานวิจัยที่ใช้ในงานผลิตเชื้อเพลิงและสารหล่อลื่น
โดยการแตกตั ว โดยใช้ ตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ริ ย า (Catalytic cracking) เมื่ อ ตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ริ ย าทั้ ง 3 ตั ว มาท า
ปฏิกริยากับสารตั้งต้นตามสถานะที่กาหนด (อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส, ความดัน 35 บาร์ และ
ปริมาณอัตราการไหลของสารตั้งต้น 0.018 ต่อชั่วโมง) พบว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้มีสีที่ใสขึ้นกว่าการไม่ใช้
ตัวเร่งปฏิกิริยา โดยเฉพาะ 0.5%Pt และ 1%Ir มีสีที่ใสมากกว่า 5%Ni และทั้ง 3 ตัวไม่เป็นไขเมื่อทิ้ง
ไว้ที่อุณหภูมิห้อง สาหรับการเปลี่ยนแปลงทางเคมีจาเป็นต้องวิเคราะห์ เทคนิคโครมาโตกราฟีอีกครั้ง
เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุลของสารต่อไป
5Ni3Cl-AlSa 10Ni1Cl-AlSa
ต่อไปเป็นการศึกษาผลกระทบของกรดและปริมาณโลหะที่เพิ่มขึ้นกับการเกิดปฏิกิริยา โดยเป็นการ
ทางานร่วมกันของกรดและโลหะ ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้มี 2 ตัว คือ 5Ni3Cl-AlSa และ 10Ni1Cl-AlSa
ผ่านการดาเนินการด้วยสภาวะที่กาหนด ผลิตภั ณฑ์ที่ได้เป็นดังรูป คือ ตัวเร่งปฏิกิริยา 10Ni1Cl-AlSa
ท าให้ เกิ ด ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ที่ ใ สกว่ า ตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ริ ย า 5Ni3Cl-AlSa และทั้ ง 2 ตั ว ไม่ เป็ น ไขเมื่ อ ทิ้ ง ไว้ ที่
อุณหภูมิห้องและสาหรับการเปลี่ยนแปลงทางเคมีจาเป็นต้องวิเคราะห์ เทคนิคโครมาโตกราฟี อีกครั้ง
เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุลของสารต่อไป
53
ลักษณะสายโซ่โมเลกุล
การกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ (%) การประมาณจุด
คาร์บอน C16-C34 (%)
ตัวเร่งปฏิกิริยา ไหลเทจาก DSC
เชื้อเพลิงเหลว น้ามันหล่อลื่น แบบเส้นตรง แบบกิ่ง (oC)
C5-C20 C21-C44+ (Normal) (Branch)
HDCB Feed 2 98 44 56 31
No Catalyst 5 95 43 57 20
5Ni-AlSa 17 83 44 56 20
0.5Pt-AlSa 15 85 41 59 23
1Ir-AlSa 17 83 40 60 18
5Ni3Cl-AlSa 40 60 43 57 17
10Ni1Cl-AlSa 19 81 42 58 20
54
และเมื่อมองภาพรวมของการเกิดกิ่งทั้งหมดจะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากสารตั้งต้นเพียงเล็กน้อย
เท่ า นั้ น ดั งภาพที่ 4.7 แต่ เนื่ อ งจากผลิ ต ภั ณ ฑ์ ที่ ได้ จ ากตั ว เร่ง ปฏิ กิ ริ ย า 5Ni3Cl-AlSa เกิ ด จ านวน
คาร์บอนเบาเป็นจานวนมากจากการแตกหักของสายโซ่โมเลกุล ซึ่งคาร์บอนที่ได้อยู่ ในช่วง C5-C20
ดังนั้นจึงทาการวิเคราะห์คาร์บอนหลังจากการแตกหักของสายโซ่โมเลกุลว่าเกิดแบบโครงสร้างสายโซ
ตรงหรือกิ่งในอัตราส่วนต่างกันเท่าไร ดังภาพที่ 4.8
และเมื่อนาผลิตภัณฑ์ที่ได้ทั้งหมดมาตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของสารโดยอาศัยคุณสมบัติ
ทางความร้อน (Differential Scanning Calorimetry; DSC) ดังภาพที่ 4.9 จะพบว่าสารตั้งต้นมีค่า
อุณหภูมิสูงที่สุด คือ 31 องศาเซลเซียส และการไม่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริย (No Cat.) กับการใช้ตัวเร่ง 5Ni-
AlSa และ 10Ni1C-AlSa ได้ ผ ลที่ เท่ ากั น คื อ 20 องศาเซลเซี ย ส ส าหรับ ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ที่ ได้ จ ากตั วเร่ ง
5Ni3Cl-AlSa มีค่าอุณหภูมิต่าที่สุด คือ 17 องศาเซลเซียส ซึ่งผลที่ได้มีความสอดคล้องกับผลจากการ
หาองค์ประกอบสารไฮโดรคาร์บอนโดยเทคนิคแก๊สโครมาโตรกราฟี แสดงให้เห็นว่าการเกิดกิ่งของสาย
โซ่โมเลกุลทาให้จุดเยือกแข็งหรือจุดไหลเทลดลงได้ ส่งผลให้การใช้งานได้กว้างขึ้นในสภาพอากาศต่าง
ๆ ที่ลดต่าลง
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ
5.1 สรุปผลการทดลอง
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาอิทธิพลของความเป็นกรดและโลหะบนตัวเร่งปฏกิริยาอลูมินา
กับการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรแครกกิ้งและไฮโดรไอโซเมอไรเซชัน สาหรับผลิตน้ามันเชื้อเพลิงและสาร
หล่อลื่นจากสารตั้งต้นไฮโดรไฮแครกเกอร์บอททอม สิ่งที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้
5.1.1 การการศึ ก ษาอิ ท ธิ พ ลของโลหะ 3 ชนิ ด ที่ นิ ย มใช้ กั น มากที่ สุ ด คื อ นิ ก เกิ ล
แพลทินัมและอิริเดียม โดยโหลดลงไปบนตัวรองรับอลูมินา ดังนี้ 5Ni-AlSa, 0.1Pt-AlSa และ 1Ir-
AlSa ซึ่งพบว่าทาให้เกิดการแตกหักของสายโซ่ โมเลกุลเพียงเล็กน้อย โดยเกิดเป็นแก๊สโซลีน C5-C14
เพียง 10% โดยประมาณ ซึ่งโลหะทั้ง 3 ชนิดให้ผลที่เหมือนกัน และจากสภาวะที่ใช้ในการทดสอบ
คือ อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส, ความดัน 35 บาร์และปริมาณอัตราการไหลของสารตั้งต้น 0.018
ต่อชั่วโมง ส่งผลให้เกิดการแตกหักของสายโซ่โมเลกุลเพียงเล็กน้อย โดยทาให้ C45+ ที่มีอยู่ 2% เกิด
การแตกหั ก และ C15-C20 เพิ่ ม มา 3% สาหรับ การเกิด ไอโซเมอไรเซชัน นั้ น โลหะแพลทิ นั ม และ
อิริเดียมทาให้ไอโซเมอร์เพิ่มมา 3-4% ส่วนโลหะนิกเกิลไม่ส่งผลให้เกิดไอโซเมอร์
5.1.2 การศึกษาอิทธิพลของกรด โดยใช้คลอรีนซึ่งจะถูกโหลดลงไปบนตัวรองรับอลูมินา
ที่มีการโหลดโลหะนิกเกิลไว้ก่อนแล้ว ดังนี้ 5Ni3Cl-AlSa และ 10Ni1Cl-AlSa จากการศึกษาพบว่า
กรดมีอิทธิพลทาให้เกิดการแตกหักของสายโซ่โมเลกุลเพิ่มมากขึ้นและเปอร์เซ็นกรดที่มากขึ้นส่งผลให้
เกิดการแตกหักที่มากขึ้นด้วย โดยการเติม 3Cl ส่งผลให้เกิดการแตกหักเพึ่มขึ้น 23% โดยประมาณ
แบ่งเป็นเกิดเป็นแก๊สโซลีน 13% และดีเซล 10% และจากผลการเพิ่มโลหะนิกเกิลเป็นหนึ่งเท่าตัว
(10%Ni) พบว่าผลการแตกหักของสายโซ่ โมเลกุล ที่ได้ไม่แตกต่างจากการเติม 5%Ni มากนัก เมื่อ
พิจารณาภาพรวมของการเกิดไอโซเมอไรเซชันพบว่าเกิดเพียงเล็กน้อย โดยคิดจาก C16-C32 เท่านั้น
เนื่องจากเป็นจานวนคาร์บอนที่มีเหมือนกันทุกตัวและจานวนคาร์บอนที่มากกว่า C32 ผลการทดสอบ
โครมาโทกราฟีไม่สามารถแยกไอโซเมอร์ออกได้ แต่เมื่อพิจารณาเฉพาะคาร์บอนเบา C12-C20 ผลที่
ได้จากตัวเร่ง 5Ni3Cl-AlSa จึงพบว่าเกิดไอโซเมอร์เพิ่มขึ้น โดยคิดเป็น 69% ของ C12-C20 ซึ่งแสดง
ให้เห็นว่าตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้มีความเหมาะสมเฉพาะคาร์บอนเบาที่ต่ากว่า C20 เพราะถ้าสูงกว่านี้จะ
ไม่ค่อยเห็นผลที่ทาให้เกิดปฏิกิริยาไอโซเมอไรเซชันอย่างชัดเจน
62
5.2 ข้อเสนอแนะ
จากผลของงานวิจัยจะเห็นได้ว่าการเกิดปฏิกิริยาไอโซเมอไรเซชันจะเกิดได้ดีในจานวน
คาร์บ อนสายโซ่ สั้ น เช่น C12-C20 และจากการศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม พบว่านอกจากความเป็ น กรดและ
อิทธิพลของโลหะของตัวเร่งปฏิกิริยาจะส่งผลต่อการเกิดปฏิกิริยาไอโซเมอไรเซชันแล้ว ลักษณะของ
ตัวเร่งปฏิกิริยา เช่น พื้นที่ผิวหรือรูพรุน ของตัวรองรับก็ส่งผลเช่นเดียวกัน ดังนั้นการทดลองสาหรับ
ลักษณะของตัวเร่งที่ ต่างออกไปอาจจะสามารถท าให้เกิดการตอบสนองหรือเกิดปฏิ กิริยากับ สาร
ไฮโดรคาร์บอนสายโซ่ยาวได้
63
รายการอ้างอิง
10. Yaws CL. Transport Properties of Chemicals and Hydrocarbons (2th ed).
Waltham: Elsevier; 2014.
11. Murzin DY. Cracking Chemical Reaction Technology. Finland: Walter de
Gruyter GmbH & Co K; 2015.
12. Beychok M. Schematic flow diagram of a typical hydrocracker [Internet]. US:
Citizendium; 2009 [cited 13 Feb 2015] Available from:
http://en.citizendium.org/wiki/File:Hydrocracking_process.png
13. Pirro MD, Webster M, Daschner E. Lubrication Fundamentals (3th ed). Boca
Raton: CRC Press; 2016.
14. Huve LG, Szynkarczuk R, Robinson M. Dewaxing Challenging Paraffinic Feeds in
North America [Internet]. Florida: American Fuel & Petrochemical Manufacturers; 2014
[cited 2015 Mar 10] Available from:
http://www.aiche.org/academy/videos/conference-presentations/dewaxing-
challenging-paraffinic-feeds-north-america
15. Wise J.J, Katzer J.R, Chen NY. Catalytic Dewaxing in Petroleum Processing.
Washington: American Chemical Society National Meeting; 1986
16. Yaws CL. The Yaws Handbook of Physical Properties for Hydrocarbons and
Chemicals (2th ed). Texas: Gulf Professional Publishing; 2015.
17. Furimsky E. Catalysts for Upgrading Heavy Petroleum Feeds. Canada: Elsevier;
2007.
18. Zhijian T, LIANG D, LIN L. Research and Development of Hydroisomerization
and Hydrocracking Catalysts in Dalian Institute of Chemical Physics (DICP). Chinese
Journal of Catalysis. 2009;30(8):705-10
19. Cejka G, Corma A, Zones S. Zeolites and Catalysis Synthesis. Weinheim:
WILEY-VCH Verlag GmbH & Co. KGaA; 2010.
20. Gong, S., Chen, N., Nakayama S, Qian EW. Isomerization of n-alkanes derived
from jatropha oil over bifunctional catalysts. Journal of molecular catalysis a
chemical. 2013;370:14-21.
65
21. Mironenko RM, Belskaya OB, Talsi VP, Gulyaeva TI, Kazakov MO, Nizovskii AI, et
al. Effect of y-Al2O3 hydrothermal treatment on the formation and properties of
platinum sites in Pt/y-Al2O3 catalysts. Applied Catalysis A: General. 2014;469:472-82
22. Santikunaporn M. Isomerization of Bio Hydrogenated Diesel on gamma
alumina. (Master’s thesis). Pathumthani: Thammasat University, Faculty of
Engineering; 2013
23. Santikunaporn M. Restructuring Hydrowax to High Quality Base Oil. (Master’s
thesis). Pathumthani: Thammasat University, Faculty of Engineering; 2012.
24. Linga H, Wangb Q, Shena B. Hydroisomerization and hydrocracking of
hydrocracker bottom for producing lube base oil. Fuel Processing Technology.
2009;90(4 Suppl):531-5.
25. Rezgui Y, Guemini M. Hydroisomerization of n-decane over Ni–Pt–W
supported on amorphous silica–alumina catalysts. Applied Catalysis A: General.
2010;374(1-2 Suppl):31-40
26. The HT severe hydrocracking makes the difference [Internet]. Canada: Petro-
Canada Lubricants; 2013 [cited 2015 Feb 13] Available from: http://lubricants.petro-
canada.ca/resource/download.aspx?type=Tech Data&id=IM-6502E&language=en
27. Daage M. Base oil Production and Processing [Internet]. Texas: ExxonMobil
presentation; 2001 [cited 2015 Feb 13] Available from:
http://www.prod.exxonmobil.com/reffiningtechnologies/pdf/base_oil_refining_lubes_
daage_france070601.pdf
28. European Base Oils & Lubricants Agenda Committee. Surrey: R David Whitby,
Chief Executive, Pathmaster Marketing Ltd; 2009.
29. สุจินต์ พราวพันธุ.์ อะลูมินากับการนาไปใช้งานทางเซรามิก [อินเทอร์เน็ต]. ลาปาง: ศูนย์วิจัย
และพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก; 2545 [สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2558] จาก:
http://www.dss.go.th/images/st-article/ct_2_2545_alumina.pdf
30. ASTM International. ASTM D6352 – 12 Standard Test Method for Boiling Range
Distribution of Petroleum Distillates in Boiling Range from 174 to 700°C by Gas
Chromatography. Pennsylvania: Annual Book of ASTM Standards; 2009.
66
ภาคผนวก ก
วิธีการคานวณ
1. การเตรียม 3Cl-Al2O3
หานาหนักโมเลกุลของคลอรีนและกรดไฮโดรคลอริกซึ่งมีค่าเท่ากับ 35.5 และ 36.5
ตามลาดับ
เตรียม Al2O3 100 กรัม ค่าการดูดซึมนา 40 กรัม
คลอรีน 35.5 กรัม จากกรดไฮโดรคลอริก 36.5 กรัม
36.5
ต้องการ คลอรีน 3 กรัม เตรียมจาก ×3 กรัม
35.5
2. การเตรียม 5Ni3Cl-Al2O3
หลังจากได้ 3Cl-Al2O3 นามาเตรียม 5Ni ต่อไป โดยใช้ นาหนักโมเลกุล ของนิคเกิล
และนิคเกิลไนเตรท ซึ่งมีค่า 58.69 และ 290.81 ตามลาดับ
เตรียม 3Cl-Al2O3 100 กรัม ค่าการดูดซึมนา 40 กรัม
นิคเกิล 58.69 กรัม จากนิคเกิลไนเตรท 290.81 กรัม
290.81
ต้องการ นิคเกิล 5 กรัม เตรียมจาก ×5 กรัม
58.69
ดังนันต้องเตรียม นิคเกิลไนเตรท 24.78 กรัม ในนา 40 กรัม
เพื่อนาไปใช้ในวิธกี ารเอิบชุ่มแบบเปียก (Wet impregnation) ใน 3Cl-Al2O3 100 กรัม
ต่อไป
69
ภาคผนวก ข
สภาวะเหมาะสมที่ใช้ในการทาวิจัย
จากผลการทดลองข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ผลการศึกษาสภาวะที่ดีที่สุดในการทดลอง
คือ อัตราสารป้อนต่อปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยา 0.018 ต่อชั่วโมง ความดัน 35 บาร์ และอุณหภูมิ 300
องศาเซลเซียส ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีค่าดัชนีความหนืดเท่ากับ 120 ซึ่งอยู่ในช่วงของนามันหล่อลื่นกลุ่มที่
3 และค่าจุดไหลเทมีค่า 12.10 องศาเซลเซียส ลักษณะของผลิตภัณฑ์สีใส ไม่มีสี และไม่เป็นไข การ
กระจายตัวของสารไฮโดรคาร์บอนอยู่ในช่วงนามันหล่อลื่น โดยแบ่งเป็น นามันหล่อลื่น 82.7 เปอร์เซ็น
และนามันเชือเพลิง 17.3 เปอร์เซ็น
70
ภาคผนวก ค
การทดลองเพิ่มเติม
จากผลการวิจยั จะเห็นว่าตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความเป็นกรดจะส่งผลต่อการเกิดปฏิกิริยา
ไฮโดรไอโซเมอไรเซชันและไฮโดรแครกกิงได้ดี ซึ่งกรดที่เราใช้ในงานวิจัยคือ คลอรีน และเนื่องจากยังมี
กรดชนิดอื่นที่ยังไม่ได้มีการทดลอง เช่น ฟลูออรีน จึงได้มีการทดลองเพิ่มเติมเพื่อดูผลกระทบที่เกิดขึน
โดยการทดลองที่เพิ่มเติมจะใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา 10Ni5F-AlSa ที่สภาวะในการทดสอบคือ อัตราสาร
ป้อนต่อปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยา 0.018 ต่อชั่วโมง ความดัน 35 บาร์ และอุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส
ในเครื่องปฏิกรณ์แบบเบดคงที่ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ฟลูออรีน (F) เมื่อเทียบกับคลอรีน
(Cl)ผลการทดลองเป็นดังนี
ภาคผนวก ง
การวิเคราะห์ผลการทดสอบ
1. การวิเคราะห์ผล GC-Simdist
ประวัติผู้เขียน
ผลงานทางวิชาการ