Professional Documents
Culture Documents
สารช่วยย่อยยางธรรมชาติ
สารช่วยย่อยยางธรรมชาติ
ยางธรรมชาติและพอลิแลคติคแอซิด
โดย
นางสาวอมรา ขวดบา
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปีการศึกษา 2558
ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การศึกษาผลของสารช่วยย่อยที่มีต่อคุณสมบัติของพอลิเมอร์ผสม
ยางธรรมชาติและพอลิแลคติคแอซิด
โดย
นางสาวอมรา ขวดบา
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปีการศึกษา 2558
ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
THE EFFECT OF PEPTIZING AGENTS ON THE PROPERTIES OF
POLY (LACTIC ACID)/NATURAL RUBBER BLENDS
BY
หัวข้อวิทยานิพนธ์ การศึกษาผลของสารช่วยย่อยที่มีต่อคุณสมบัติของ
พอลิเมอร์ผสมยางธรรมชาติและพอลิแลคติคแอซิด
ชื่อผู้เขียน นางสาวอมรา ขวดบา
ชื่อปริญญา วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชา/คณะ/มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม
วิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ รองศาสตราจารย์ ดร.แคทลียา ปัทมพรหม
ปีการศึกษา 2558
บทคัดย่อ
ABSTRACT
acid). The examined properties also included the viscosity, the impact strength and
the thermal properties which showed good trends. In the case of PLA blended with
the natural rubber masticated at 60 rpm with 0.3 phr of ULTRA PEP96, the impact
strengths were similar for different mixing time. The PLA blended with natural rubber
masticated at 100 rpm with 0.3 phr of ULTRA PEP96 had the highest impact strength
(152.8 J/m) when compounding for 9 minutes. However, the impact strength decreased
when the mixing time was too long. For the effect of peptizing agent content, it was
found that 0.3 phr. of the ULTRA PEP96 provided the highest impact strength at almost
all compounding time. The peptizing agents also reduced the size of natural rubber
domains in the PLA matrices. Additionally, the addition of the peptizing agents did not
negatively affect the thermal properties of poly(lactic acid).
Keywords: Poly(lactic acid) (PLA), Natural rubber (NR), Peptizing agent, PLA/NR blends
(5)
กิตติกรรมประกาศ
นางสาวอมรา ขวดบา
(6)
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย (1)
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ (3)
กิตติกรรมประกาศ (5)
บทที่ 1 บทนา 1
1.1 ที่มาและความสาคัญ 1
1.2 วัตถุประสงค์ 2
1.3 ขอบเขตของการวิจัย 2
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3
บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4
2.8.1 การทดสอบความทนแรงกระแทก 16
2.8.2 การทดสอบสมบัติทางรีโอโลยี (Rheological test) 17
2.8.3 การวิเคราะห์สมบัติทางความร้อนด้วยเครื่อง DSC 17
2.8.4 การศึกษาขนาดอนุภาคด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) 18
2.9 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารช่วยย่อยกับยางธรรมชาติ 19
2.10 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับพอลิเมอร์ผสมพอลิแลคติคแอซิดและยางธรรมชาติ 21
บทที่ 3 วิธีการวิจัย 22
3.1 วัตถุดิบและสารเคมี 22
3.2 ขั้นตอนการวิจัย 22
3.2.1 การเตรียมยางธรรมชาติ (NR) และยางบดลดขนาดโมเลกุลโดย 22
ใช้สารช่วยย่อย (NRMP)
3.2.2 การคอมพาวด์ PLA กับยาง NRMP ที่ทาการบดผสมที่เวลาต่างกัน 25
3.2.3 การขึ้นรูปชิ้นงานตัวอย่างของ PLA ผสมยางธรรมชาติ 27
3.3 การทดสอบสมบัติต่างๆ ของพอลิเมอร์ผสมพอลิแลคติคแอซิด (PLA) และ 28
ยางธรรมชาติ
3.3.1 การทดสอบความหนืดของยาง 28
3.3.2 การทดสอบความเสถียรต่ออุณหภูมิของ PLA และ PLA บดผสม 29
กับสารช่วยย่อย
3.3.3 การทดสอบสมบัติการรับแรงกระแทก (Impact resistance) ของ 29
PLA ผสมยางธรรมชาติ
3.3.4 การศึกษาสัณฐานวิทยาโดยการศึกษาการกระจายตัว 31
ของยาง NRMP ใน PLA
3.3.5 การทดสอบสมบัติทางความร้อนของ PLA, PLA ผสมสารช่วยย่อย 31
ULTRA PEP96 และ PLA ผสมยาง NRMP โดยใช้สารช่วยย่อย
ULTRA PEP96 ที่ปริมาณต่างๆ
3.3.6 การศึกษาการใช้พลังงานในการบดยางธรรมชาติ (NR) 33
(8)
บทที่ 4 ผลการวิจัยและอภิปรายผล 34
4.1 การบดยางธรรมชาติกับสารช่วยย่อยด้วยเครื่องบดผสมแบบปิด 34
4.1.1 ผลของชนิดสารช่วยย่อยต่อการบดยางธรรมชาติ 34
4.1.2 ผลของปริมาณสารช่วยย่อยต่อการบดยางธรรมชาติ 36
4.1.3 ผลของความเร็วรอบโรเตอร์ต่อการบดยางธรรมชาติ 39
4.1.4 พลังงานที่ใช้ในการบดยางธรรมชาติ 41
4.2 การศึกษาผลกระทบของสารช่วยย่อยต่อสมบัติของ PLA 42
4.3 การบดผสมพอลิเมอร์ผสมระหว่างยางบดลดขนาดโมเลกุลที่ใช้ 46
สารช่วยย่อยกับ PLA
4.3.1 ผลของยางบดลดขนาดโมเลกุลกับสารช่วยย่อยที่ใช้ความเร็วรอบ 46
ในการบดต่างกัน
4.3.2 ผลของยางบดลดขนาดโมเลกุลที่มีปริมาณสารช่วยย่อยต่างกัน 50
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ 54
5.1 สรุปผลการวิจัย 54
5.2 ข้อเสนอแนะ 55
รายการอ้างอิง 56
ภาคผนวก
ประวัติผู้เขียน 66
(9)
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
3.1 สูตรยางบดลดขนาดโมเลกุลโดยใช้สารช่วยย่อย 25
3.2 สูตรคอมพาวด์ PLA กับยางบดลดขนาดโมเลกุลโดยใช้สารช่วยย่อย อัตราส่วน 26
PLA ต่อยางเป็น 90:10 โดยน้าหนัก
4.1 สมบัติทางความร้อนจากการให้ความร้อนครั้งที่ 1 ของ PLA บด และ 45
PLA ใส่สารช่วยย่อย ULTRA PEP96 0.3 phr
4.2 สมบัติทางความร้อนจากการให้ความร้อนครั้งที่ 1 ของ PLA/NRMP ซึ่งมีสารช่วยย่อย 53
ULTRA PEP96 ปริมาณต่างๆ
(10)
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
2.1 โครงสร้างของพอลิแลคติคแอซิด (PLA) 5
2.2 โครงสร้างทั้ง 3 รูปแบบของ lactide ที่แตกต่างกัน ได้แก่ แอลแลคไทด์ (L-lactide), 6
เมโซแลคไทด์ (Meso-lactide) และดีแลคไทด์ (D-lactide)
2.3 การสังเคราะห์พอลิแลคติคแอซิดจากกรดแลคติคชนิดแอลและดี 6
2.4 โครงสร้างยางธรรมชาติ 8
2.5 ตัวอย่างโครงสร้างของสารช่วยย่อย (peptizing agents) 10
2.6 โครงสร้างของ Dibenzamido diphenyl disulphide 11
2.7 กลไกการทางานของสารช่วยย่อยกับสายโซ่ยาง 12
2.8 กลไกการบดยางในขั้นตอนเชิงกล 13
2.9 ประสิทธิภาพการบดยางที่อุณหภูมิต่างๆ 14
2.10 ลักษณะการแตกตัวและกระจายตัวของอนุภาคในเมทริกซ์ (a) การแตกตัวและ 15
การกระจายต่า (b) การแตกตัวดีแต่การกระจายตัวต่า (c) การแตกตัวต่าแต่
การกระจายตัวดี และ (d) การแตกตัวและกระจายตัวดี
2.11 การทดสอบความต้านทานต่อแรงกระแทกแบบ pendulum test 16
2.12 รูปแบบการวางชิ้นงานสาหรับการทดสอบความต้านทานต่อแรงกระแทก 17
แบบ Charpy test และ Izod test
2.13 แสดง DSC เทอร์โมแกรม 18
3.1 ยางธรรมชาติเกรด STR 5L (ซ้าย) และยางธรรมชาติตัดเม็ด (ขวา) 23
3.2 เครื่องตัดเม็ดยาง 23
3.3 เครื่องบดผสมแบบปิด (Internal mixer) 24
3.4 สารช่วยย่อย ULTRA PEP96 (U) (ซ้าย) และ PEPTON22 (P) (ขวา) 24
3.5 ยางที่บดผสมที่ใส่สารช่วยย่อย (NRMP) 24
3.6 คอมพาวด์ที่บดผสม (ซ้าย) และคอมพาวด์ที่บดเป็นเม็ดเล็กๆ (ขวา) 27
3.7 เครื่องขึน้ รูปแบบกดอัด (compression mold) 27
3.8 ชิ้นงานที่ได้จากการขึ้นรูปแบบกดอัด 28
3.9 เครื่องรีโอมิเตอร์ 28
3.10 เครื่องทดสอบสมบัติการรับแรงกระแทก 30
(11)
3.11 ขนาดและลักษณะชิ้นงานทดสอบสมบัติการรับแรงกระแทก 30
ตามมาตรฐาน ASTM D256
3.12 กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) 31
3.13 เครื่อง DSC 32
3.14 โปรแกรม Barbender Mixer Program Version 4.2.10 33
4.1 ความสัมพันธ์ระหว่างทอร์ค-เวลา ของการบดยางธรรมชาติแบบไม่ใช้สารช่วยย่อย 35
และใช้สารช่วยย่อย ULTRA PEP96 และ PEPTON22 ปริมาณ 0.2 phr
4.2 ความสัมพันธ์ระหว่างทอร์ค-เวลา ของการบดยางธรรมชาติแบบไม่ใช้สารช่วยย่อย 35
และใช้สารช่วยย่อย ULTRA PEP96 และ PEPTON22 ปริมาณ 0.3 phr
4.3 ความสัมพันธ์ระหว่างทอร์ค-เวลา ของการบดยางธรรมชาติแบบไม่ใช้สารช่วยย่อย 36
และใช้สารช่วยย่อย ULTRA PEP96 และ PEPTON22 ปริมาณ 0.4 phr
4.4 ความสัมพันธ์ระหว่างทอร์ค-เวลา ของการบดยางธรรมชาติโดยใช้สารช่วยย่อย 37
PEPTON 22 ที่ปริมาณต่างๆ
4.5 ความสัมพันธ์ระหว่างทอร์ค-เวลา ของการบดยางธรรมชาติโดยใช้สารช่วยย่อย 37
ULTRA PEP96 ที่ปริมาณต่างๆ
4.6 ความหนืดที่ความถี่ต่างๆ ของการบดยางธรรมชาติแบบไม่ใช้สารช่วยย่อยและ 38
ใช้สารช่วยย่อยปริมาณต่างๆ ที่ความเร็วรอบโรเตอร์ (a) 60 รอบ/นาที
(b) 100 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิทดสอบ 160 องศาเซลเซียส
4.7 ความหนืดของยางธรรมชาติที่บดโดยใช้สารช่วยย่อย ULTRA PEP96 ที่ปริมาณต่างๆ 39
ที่อุณหภูมิทดสอบ 160 องศาเซลเซียส และความถี่ในการทดสอบเป็น 10 rad/s
4.8 ความสัมพันธ์ระหว่างทอร์ค-เวลา ของการบดยางธรรมชาติแบบไม่ใช้สารช่วยย่อย 40
และใช้สารช่วยย่อย ULTRA PEP96 ที่ปริมาณต่างๆ ที่ความเร็วรอบโรเตอร์ 60
และ 100 รอบ/นาที
4.9 ความหนืดที่ความถี่ต่างๆ ของการบดยางธรรมชาติแบบไม่ใช้สารช่วยย่อย 41
และใช้สารช่วยย่อยปริมาณต่างๆ ที่ความเร็วรอบโรเตอร์ 60 และ 100 รอบ/นาที
ที่อุณหภูมิทดสอบ 160 องศาเซลเซียส
4.10 ผลของชนิดสารช่วยย่อยและปริมาณ ที่มีต่อพลังงานที่ใช้ในการบดยางธรรมชาติ 42
เมื่อความเร็วรอบโรเตอร์ 100 รอบ/นาที เวลาบด 15 นาที
(12)
บทที่ 1
บทนา
1.1 ที่มาและความสาคัญ
1.2 วัตถุประสงค์
1.3 ขอบเขตของการวิจัย
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.4.1 สามารถใช้สารช่วยย่อยในการลดความหนืดของยางธรรมชาติได้
1.4.2 ทราบถึงผลของสารช่วยย่อยที่มีต่อสมบัติของยางที่บดลดขนาดโมเลกุลโดยใช้สาร
ช่วยย่อย และผลกระทบต่อ พอลิเมอร์ผสมระหว่างพอลิ แลคติคแอซิด (PLA) และยางธรรมชาติ ที่ล ด
ขนาดโมเลกุลด้วยสารช่วยย่อย
4
บทที่ 2
วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ภาพที่ 2.1 โครงสร้างของพอลิแลคติคแอซิด (PLA) (Petinakis, Yu, Simon and Dean, 2013)
2.1.2 คุณสมบัติของพอลิแลคติคแอซิด
ความบริสุทธิ์เชิงแสง (Optical purity) ของพอลิแลคติคแอซิดส่งผลอย่างมากต่อ
สมบัติทางความร้อน สมบัติเชิงกลและสมบัติต้านการซึมผ่ านของก๊าซและของเหลว พอลิแลคติค
แอซิ ด ที่ มี สั ด ส่ ว นของ แอล-ไอโซเมอร์ สู ง กว่ า ร้ อ ยละ 90 มี แ นวโน้ ม เป็ น พอลิ เ มอร์ กึ่ ง ผลึ ก
(Semicrystalline polymer) ในขณะที่พอลิ เมอร์ที่มีดี - ไอโซเมอร์ในองค์ประกอบเพิ่มขึ้น มีความ
7
กระจายตั ว ของน้ าหนั กโมเลกุล ที่ก ว้ างมาก ยางธรรมชาติ มีค วามหนาแน่ นเท่า กั บ 0.93 กรัม ต่ อ
ลูกบาศก์เซนติเมตร (g/cm3) ที่อุณหภูมิ 20 °C และมีอุณหภูมิของการเปลี่ยนสถานะคล้ายแก้ว (glass
transition temperature , Tg) ประมาณ -72 °C (พงษ์ธร แซ่อุย, 2547)
H3C H
C C
CH2 H2C
n
เนื่องจากยางธรรมชาติมีความหนืดสูงซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมที่จะน้าไปใช้ผลิต
ผลิตภัณฑ์ยางได้โดยตรงหรือน้าไปบดผสมกับพอลิเมอร์ชนิดอื่น จากการที่ยางมีความหนืดสูงจะท้าให้
การบดผสมเป็นไปได้ยากเนื่องจากสารเคมีจะเข้าผสมกับยางได้ยาก และจะใช้พลังงานในการบดผสม
สูง ด้ว ยเหตุนี้ ก่อนการใส่ส ารเคมีจึงต้องมีการลดความหนืดโดยการบดยางให้นิ่ม (mastication)
ด้วยวิธีเชิงกล หรือในบางครั้งมีการเติมสารช่วยย่อยโมเลกุลหรือ peptizing agent เพื่อท้าให้ยางนิ่ม
เร็วขึ้น โดยจะท้าการบดยางในเครื่องบดระบบปิด (internal mixer) หรือเครื่องบดระบบเปิด (two-
roll-mill) โดยขั้นตอนนี้ยางจะถูกท้าให้นิ่มโดยโมเลกุลของยางถูกท้าให้ฉีกขาดด้วยแรงเฉือนจาก
เครื่องบด ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการบดนานเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความหนืดเริ่มต้นของยาง ถ้ายางมี
ความหนืดสูงมาก เช่น ยางธรรมชาติ จะใช้เวลาบดนาน หลังจากบดยางจนนิ่มแล้วจะท้าการเติม
สารเคมีต่างๆ ลงไป
การทาพอลิเมอร์ผสมเป็นวิธีการปรับปรุงสมบัติของพอลิเมอร์ที่นิยมใช้กันมาก โดยการ
น าพอลิ เมอร์ 2 ชนิ ด ซึ่ง อยู่ ในสถานะที่เป็ นของไหล ได้แก่ เป็น สารละลาย (solution) หรื อสาร
หลอมเหลว (molten) มาผสมให้ อ ยู่ ร วมเป็ น เนื้ อ เดี ย วกั น (blending) ได้ เ ป็ น พอลิ เ มอร์ ผ สม
(polymer blend) ซึ่งมีสมบัติที่ดีของพอลิเมอร์แต่ละชนิดมารวมกัน แต่การผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
ของพอลิเมอร์ต่างชนิดกันนั้น โดยธรรมชาติแล้วจะเป็นไปได้ยาก ดังนั้นพอลิเมอร์ผสมที่ได้จึงไม่เป็น
9
สารช่วยย่อยจะใส่ในยางเมื่อเริ่มต้นการบดในเครื่องบดผสมแบบปิดหรือการบดในเครื่อง
บดผสมสองลูกกลิ้ง โดยปริมาณสารช่วยย่อยที่ใช้นั้นจะใช้ในปริมาณที่น้อยคือ 0.1-1 phr และปล่อย
ให้สารเคมีนั้นท้าปฏิกิริยากับยางเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะใส่สารอื่นๆ ลงไป การท้าเช่นนี้เพื่ อให้
ประสิทธิภาพของสารช่วยย่อยสูงสุด เพราะถ้าใส่สารอื่นๆ เช่น สารเชื่อมโยงหรือสารตัวเติม เป็นต้น
สารเหล่านี้จะเข้าไปท้าปฏิกิริยากับสารช่วยย่อยจะท้าให้ประสิทธิภาพของสารช่วยย่อยด้อยลงไป
สารช่วยย่อยเป็นสารที่จะเข้าไปท้าปฏิกิริยาเคมีกับยางขณะท้าการบดผสมโดยปฏิกิริย า
จะเป็นดังนี้
R-R คือโมเลกุลของยาง ArSH คือโมเลกุลของเมอร์แคปแทน (mercaptan)
R-R R + R (2.1)
R + ArSH RH + ArS (2.2)
R + ArS RSAr (2.3)
กรณีถ้าเป็นฟีนอลหรือไดซัลไฟด์ ปฏิกิริยาที่ (2.2), (2.3) จะเปลี่ยนเป็นดังนี้
ถ้าเป็นฟีนอล
R + Ar-OH RH + ArO (2.4)
R + ArO R-OAr (2.5)
11
ถ้าเป็นไดซัลไฟด์
R + Ar-S-S-Ar R-SAr + ArS (2.6)
R + Ar-S R-S-Ar (2.7)
จากปฏิกิริยาดังกล่าวพบว่า สารช่วยย่อย (peptizing agent) เหล่านี้จะท้าหน้าที่จับ
อนุมูลอิสระของยางที่แตกออกเนื่องจากการบด ท้าให้อนุมูลอิสระไม่สามารถกลับไปรวมตัวกันได้อีก
ดังนั้นโมเลกุลของยางจะสั้นลง โดยประโยชน์ของสารช่วยย่อยมีดังนี้
- ช่วยเร่งการบดย่อยยาง (ลดเวลาบดย่อย)
- ลดการใช้พลังงานในการบดย่อย
- ช่วยให้การผสมยางกับสารเคมีอื่นเข้ากันได้ดี
- ลดต้นทุนในการบดผสม
- ช่วยให้เกิดการกระจายตัวของยางที่ดี
ในงานวิจัยนี้เลือกใช้สารประเภท Dibenzamido diphenyl disulphide เป็นสารช่วย
ย่อยโดยมีโครงสร้างแสดงดังภาพที่ 2.6 และกลไกในการเกิดปฏิกิริยากับสารโซ่ยางดังภาพที่ 2.7
2.7 กลไกการผสม
ในระหว่างการผสมคุณภาพของการผสมขึ้นอยู่กับสารตัวเติมสามารถกระจายในเมทริกซ์
เพื่อให้วัสดุที่มีลักษณะเป็นเนื้อเดียวกัน (homogeneous) มากที่สุด ซึ่งเกิดจาก 2 กระบวนการคือ
การแตกตัว (dispersion) และการกระจายตัว (distribution) ของสารตัวเติม ซึ่งลักษณะกลไกการ
ผสมประกอบด้วย 2 กลไกดังนี้
การแตกตัว (dispersion) เป็นขั้นตอนแรก ประกอบด้วยการสร้างการไหลของเมทริกซ์
ท้าให้เกิดการท้าลายแรงที่สารตัวเติมใช้เกาะกลุ่มกัน อนุภาคของสารตัวเติมจึงเล็กลง ซึ่งการแตกตัวนี้
ขึ้นกับแรงเฉือนและลักษณะของฟันสกรู (screw flight)
การกระจายตัว (distribution) ขั้นตอนที่สองนี้คือ ขั้นตอนการผสมที่สร้างการไหลที่
เหมาะสมที่จะกระจายอนุภาคให้สม่้าเสมอเป็นเนื้อเดียวกันทั่วทั้งเมทริกซ์
โดยตัวอย่างของการแตกตัวและการกระจายตัวที่ดีและไม่ดี แสดงไว้ดังภาพที่ 2.10
2.8 การทดสอบสมบัติของพลาสติก
2.8.1 การทดสอบความทนต่อแรงกระแทก
ความทนต่อแรงกระแทก (impact resistance) ของพอลิเมอร์มักจะสัมพันธ์กับ
สมบัติความเหนียว (toughness) พอลิเมอร์ที่มีแนวโน้มจะแตกง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก มักจะไม่
ค่อยมีประโยชน์ในการน้าไปประยุกต์ใช้ เช่น พอลิเมอร์ที่อยู่ในสถานะคล้ายแก้ว (glassy state) หรือ
พอลิเมอร์ที่อยู่ในสภาวะอุณหภู มิต่้ากว่าค่าอุณหภูมิเปลี่ยนสถานะคล้ายแก้ว (Tg) ของพอลิเมอร์นั้น
การทดสอบโดยทั่วไปมี 2 วิธี คือการเหวี่ยงลูกตุ้ม (pendulum) จากความสูงต่างๆ ให้กระแทก หรือ
การปล่อยก้อนน้้าหนักจากระดับความสูงต่างๆ ให้ตกลงมากระแทกตัวอย่าง โดยเพิ่มน้้าหนักหรือแรง
กระแทกจนตัวอย่างพอลิเมอร์แตก ข้อมูลที่ได้จากการทดสอบนี้สามารถใช้เพื่อเปรียบเทียบสมบัติ
ความเหนียว (toughness) โดยต้องค้านึงถึงขนาดและความหนาของตัวอย่างด้วย
การทดสอบความต้านทานต่อแรงกระแทกเป็นการวัดการส่งถ่ายพลังงานที่จ้าเป็น
ในการแตกหักของวัสดุ ค่าความแข็งแรงการกระแทกจะบ่งบอกถึงความสามารพในการรับแรงแบบ
ฉับพลัน (shock load) แม้พลังงานไม่สามารถสร้างและท้าลาย แต่พลังงานการกระแทกจะสูญเสียไป
ในหลายลักษณะ เช่น ถูกใช้ในการเสียรูปแบบยืดหยุ่นและแบบถาวรของวัสดุและแรงเสียดทานจาก
การเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนต่างๆ เป็นต้น
การทดสอบความต้านทานต่อแรงกระแทก (impact resistance) การทดสอบ
สมบัติด้านการทนแรงกระแทกของพอลิเมอร์จะมีจุดเด่นตรงที่เป็นการทดสอบด้วยอัตราการกระแทก
ด้ว ยความเร็ ว สู ง โดยมี รู ป แบบ 2 ลั กษณะ คื อ แบบ pendulum test และ falling weight test
ลักษณะการทดสอบแบบ pendulum test จะใช้ค้อนเหวี่ยงลงมากระแทกชิ้นงาน พลังงานส่วนหนึ่ง
สูญเสียไปในการท้าให้ชิ้นงานแตกหัก ซึ่งสามารถอ่านค่าพลังงานที่ใช้ไปได้จากเข็ม หน้าปัด (หน่วย
เป็น ft-lbs) ซึ่งในกรณีที่ทดสอบแล้วชิ้นงานไม่หักแสดงว่าพลังงานไม่พอ ซึ่งจะต้องเพิ่มน้้าหนักขึ้นไป
อีก (หรือใช้เครื่องที่ มีขนาดใหญ่กว่าหรือ specification ตรงกว่า) ชิ้นงานทดสอบจะต้องมีการท้ารอย
บากเพื่อให้เกิดจุดรวมแรง (stress concentration point) ดังภาพที่ 2.11
การวางชิ้นงานจะท้าได้ 2 ลักษณะตามรูปแบบของการทดสอบกล่าวคือถ้าเป็น
แบบ Charpy test จะวางแนวนอน แต่ถ้าเป็นแบบ Izod test จะวางแนวตั้ง แสดงดังภาพที่ 2.12
Exo
Endo Tc Td
Tg
T
Exo Td
Endo Tm
Temperature
สะอาด จากนั้นระบบจ่ายก้าลั งไฟฟ้าหลัก (Main Power Supply) ซึ่งมี 2 ส่วน คือ แหล่งจ่ายไฟฟ้า
ศักย์สูง (High Voltage PowerSupply) และแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าส้าหรับเลนส์แม่เหล็ก (Magnetic
Lens Supply) จึงจะท้างานได้ แหล่งจ่ายไฟฟ้าศักย์สูง ท้าหน้าที่สร้างสนามไฟฟ้าเร่งให้กับระบบ
อิเล็กตรอนออพติคเพื่อสร้างล้าอิเล็กตรอนความเร็วสูง ท้าให้อิเล็กตรอนมีสมบัติคล้ายคลื่นแสง และ
แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าส้าหรับเลนส์แม่เหล็กจะควบคุมการท้างานของระบบเลนส์อิเล็กตรอนเพื่อสร้าง
ก้าลังขยายภาพขึ้นในระบบอิเล็กตรอนออพติคทั้งระบบสุญญากาศ และแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับ
เลนส์อิเล็กตรอนจะประกอบด้วยอุปกรณ์ที่เกิดความร้อนสูง ได้แก่ เครื่องสูบอากาศ แบบดิฟฟิวชัน
ทรานซิสเตอร์ก้าลังส้าหรับขับกระแสในขดลวดแม่เหล็ก เป็นต้น ดังนั้น จึงจ้าเป็นต้องมีระบบระบาย
ความร้อนด้วยน้้าเย็นเพื่อรักษาอุณหภูมิของการท้างานให้อยู่ที่อุณหภูมิห้อง ชิ้นตัวอย่างที่ต้องการ
ศึกษาโครงสร้างจะต้องใส่ในห้องสุญญากาศภายในคอลัมน์ที่จัดได้สภาพโครงสร้างของระบบเลนส์
ภาพสัญญาณอิเล็กตรอนที่เกิดขึ้นในระบบอิเล็กตรอนออพติคต้องอาศัยระบบการสร้างภาพ (Image
Translating Unit) เพื่อ ให้ ส ามารถมองเห็ นภาพขยายนั้ นด้ว ยตาเปล่ า และสามารถบันทึ กลงบน
แผ่นฟิล์มได้ด้วยหน่วยบันทึกภาพ (Photo Recording Unit) ระบบบันทึกสัญญาณ
2.9 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารช่วยย่อยกับยางธรรมชาติ
2.10 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับพอลิเมอร์ผสมระหว่างพอลิแลคติคแอซิดและยางธรรมชาติ
บทที่ 3
วิธีการวิจัย
3.1 วัตถุดิบและสารเคมี
3.2 ขั้นตอนการวิจัย
การเตรียมยางบดลดขนาดโมเลกุลตัดเม็ดโดยใช้สารช่วยย่อย(NRMP) ทาโดยนา
ยางเม็ดที่ตัดไว้และสารช่ว ยย่ อยปริมาณต่างๆ ไปบดในเครื่องผสมแบบปิด (Internal mixer) รุ่น
350E 3Z ของบริษัท Brabender ดังแสดงในภาพที่ 3.3 โดยใช้โรเตอร์ชนิดแบนบูรี (Banbury rotor)
ทาการบดยางด้ว ยความเร็ วรอบโรเตอร์เท่ากับ 60 และ 100 รอบต่อนาทีที่อุณหภูมิ เริ่มต้น 100
องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15 นาที โดยมีการเปรียบเทียบการใช้สารช่วยย่อย 2 ชนิด คือ PEPTON22
และ ULTRA PEP96 ดังแสดงในภาพที่ 3.4 ซึ่งมีการกาหนดปริมาณในการใช้ดังนี้ คือ 0, 0.2, 0.3
และ 0.4 phr ซึ่งสูตรยางที่ได้แสดงดังตารางที่ 3.1 โดยยางที่บดลดขนาดโมเลกุลโดยไม่ใช้สารช่วย
ย่อย ในที่นี้ เรี ยกว่ายาง NRM ส่ ว นยางที่บดลดขนาดโดยใช้ส ารช่ว ยย่อยเรียกว่า ยาง NRMPและ
ลักษณะยางที่บดผสมที่ใส่สารช่วยย่อยแล้วดังแสดงในภาพที่ 3.5
24
ภาพที่ 3.4 สารช่วยย่อย ULTRA PEP96 (U) (ซ้าย) และ PEPTON22 (P) (ขวา)
ตารางที่ 3.1
สูตรยางบดลดขนาดโมเลกุลโดยใช้สารช่วยย่อย
ชนิดสารช่วย ปริมาณสารช่วยย่อย ความเร็วรอบโรเตอร์
สูตรที่ ชื่อตัวอย่าง
ย่อย (phr) (รอบต่อนาที)
1 NRM60 - - 60
2 NRM100 - - 100
3 NRM60-U0.2 ULTRA PEP96 0.2 60
4 NRM60-U0.3 ULTRA PEP96 0.3 60
5 NRM60-U0.4 ULTRA PEP96 0.4 60
6 NRM100-P0.2 PEPTON22 0.2 100
7 NRM100-P0.3 PEPTON22 0.3 100
8 NRM100-P0.4 PEPTON22 0.4 100
9 NRM100-U0.2 ULTRA PEP96 0.2 100
10 NRM100-U0.3 ULTRA PEP96 0.3 100
11 NRM100-U0.4 ULTRA PEP96 0.4 100
ตารางที่ 3.2
3.3.1 การทดสอบความหนืดของยาง
การทดสอบความหนืดของยางธรรมชาติบดลดขนาดโมเลกุลและยางบดลดขนาด
โมเลกุลโดยใช้สารช่วยย่อย โดยทาการขึ้นรูปยางให้เป็นแผ่นมีความหนา 1 มิลลิเมตรด้วยเครื่องขึ้น
รูปแบบกดอัด ใช้อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียสในการขึ้นรูป เป็นเวลา 2 นาที จากนั้นนาชิ้นงานที่ได้มา
ตัดเป็นชิ้นตัวอย่างทดสอบรูปวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 มิลลิเมตร เท่าหัววัดแบบ Parallel-
plate การทดสอบหาค่าความหนืดของยางโดยใช้วิธีการทดสอบแบบ Frequency sweep ด้ว ย
เครื่ อ งรี โ อมิ เ ตอร์ Rotational Rheometer, Gemini 200 HR Nano ดั ง แสดงในภาพที่ 3.9 โดย
กาหนดสภาวะในการทดสอบดั งนี้ ค่าความถี่อยู่ในช่วง 0.1-100 rad/s อุณหภูมิทดสอบ 160 องศา
เซลเซียส ค่า strain คงที่เท่ากับ 1%
H m - H c
Crystallinity (%) = x 100 (3.2)
X PLA H f
บทที่ 4
ผลการวิจัยและอภิปรายผล
งานวิจัยนี้ได้ทาการศึกษาผลของสารช่วยย่อยในการลดขนาดโมเลกุลของยางธรรมชาติ
และผลของสารช่วยย่อยต่อคุณสมบัติของพอลิเมอร์ผสมพอลิแลคติคแอซิด (PLA) กับยางธรรมชาติ
โดยใช้สารช่วยย่อย (peptizing agent) คือ PEPTON22 และ ULTRA PEP96 ซึ่งผลการศึกษาที่ได้
แสดงดังนี้
4.1 การบดยางธรรมชาติกับสารช่วยย่อยด้วยเครื่องบดผสมแบบปิด
4.1.1 ผลของชนิดสารช่วยย่อยต่อการบดยางธรรมชาติ
การศึกษาผลของชนิดสารช่วยย่อย PEPTON22 และ ULTRA PEP96 ต่อการบด
ยางธรรมชาติในเครื่องผสมแบบปิดเปรียบเทียบกับการบดยางธรรมชาติแบบไม่ใช้สารช่วยย่อยโดย
พิจารณาจากกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง ทอร์ค -เวลา ที่ใส่ปริมาณสารช่วยย่อย 0.2, 0.3 และ 0.4
phr ดังแสดงในภาพที่ 4.1, 4.2 และ 4.3 ตามลาดับ พบว่าในช่วงเริ่มต้นที่ใส่สารตั้งต้นลงไปในเครื่อง
ผสมแบบปิดค่าทอร์คจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนสูงสุดเนื่องด้วยความหนืดของยางธรรมชาติที่มาก
หลังจากนั้นเมื่อเกิดการบดด้วยเชิงกลเพื่อลดขนาดโมเลกุลจึงทาให้ค่าทอร์คค่อยๆ ลดลงจนเข้าสู่
สมดุล ซึ่งแสดงได้จากกราฟเส้น NRM100 และเมื่อเปรียบเทียบกับในกรณีที่มีการเติมสารช่วยย่อยลง
ในการบดยางพบว่าผลของสารช่วยย่อยนั้นช่วยลดความหนืดของสารได้ดีและเร็วกว่าการบดด้วย
เชิงกลแสดงดังกราฟความสัมพันธ์ระหว่างค่าทอร์ค -เวลา แต่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างชนิด
ของสารช่วยย่อยจะพบว่าไม่เ กิดความแตกต่างมากนักในการลดความหนืดของยางธรรมชาติโดยสาร
ช่วยย่อย ULTRA PEP96 มีประสิทธิภาพดีกว่า PEPTON22 เล็กน้อย
35
140
120 NRM100
NRM100-U0.2
100
Torque (Nm)
NRM100-P0.2
80
60
40
20
Time (min)
0
140
120 NRM100
NRM100-U0.3
100
Torque (Nm)
NRM100-P0.3
80
60
40
20
Time (min)
0
140
NRM100
120
NRM100-U0.4
100
Torque (Nm)
NRM100-P0.4
80
60
40
20
Time (min)
0
4.1.2 ผลของปริมาณสารช่วยย่อยต่อการบดยางธรรมชาติ
เมื่อเปรียบเทียบปริมาณสารช่วยย่อยต่อการบดยางธรรมชาติ โดยพิจารณาจาก
กราฟความสัมพันธ์ระหว่าง ทอร์ค -เวลา กรณีที่ใช้สารช่วยย่อย PEPTON22 ดังแสดงในภาพที่ 4.4
พบว่าปริมาณของสารช่วยย่อยที่เพิ่มขึ้นไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าทอร์ค แต่ให้ค่าทอร์คที่ต่า
เมื่อเปรียบเทียบกับการบดยางธรรมชาติด้วยเชิงกล แสดงให้เห็นว่าสารช่วยย่อยมีประสิทธิภาพลด
ขนาดโมเลกุลของยางธรรมชาติได้ดีกว่าการบดด้วยเชิงกล สาหรับกรณีสารช่วยย่อย ULTRA PEP96
ให้แนวโน้มค่าทอร์ค-เวลา ลดลงและเข้าสู่สมดุลได้เร็วขึ้นเมื่อปริมาณ ULTRA PEP96 เพิ่มขึ้นแต่ผล
ของปริมาณที่เหมาะสมและทาให้ค่าทอร์คลดลงได้เร็วที่สุดอยู่ที่ 0.3 phr แสดงดังภาพที่ 4.5 และเมื่อ
พิจารณาค่าความหนืดที่ปริมาณสารช่วยย่อยต่างๆ พบว่ากรณีที่ความเร็วรอบในการบด 60 รอบ/นาที
ความเร็วรอบโรเตอร์มีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณสารช่วยย่อยที่เพิ่มขึ้น คือ ปริมาณสารช่วยย่อย
ที่เพิ่มขึ้นจะทาให้ค่าความหนืดลดลงได้มาก แสดงดังภาพที่ 4.6 (a) แต่ในกรณีที่ความเร็วรอบในการ
บด 100 รอบ/นาที ปริมาณสารช่วยย่อยที่เพิ่มขึ้นทาให้ค่าความหนืดลดลงไม่แตกต่างกันมาก แสดง
ดังภาพที่ 4.6 (b) โดยความหนืดที่ได้หลังบดที่ความเร็ วรอบโรเตอร์ 60 และ 100 รอบ/นาที ได้สรุป
รวมไว้ในภาพที่ 4.7
37
140
NRM100
120
NRM100-P0.2
Torque (Nm)
100 NRM100-P0.3
80 NRM100-P0.4
60
40
20
Time (min)
0
140
NRM100
120 NRM100-U0.2
100 NRM100-U0.3
Torque (Nm)
80 NRM100-U0.4
60
40
20
Time (min)
0
(a)
(b)
ภาพที่ 4.6 ความหนืดที่ความถี่ต่างๆ ของการบดยางธรรมชาติแบบไม่ใช้สารช่วยย่อยและใช้สารช่วย
ย่อยปริมาณต่างๆ ที่ความเร็วรอบโรเตอร์ (a) 60 รอบ/นาที (b) 100 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิทดสอบ
160 องศาเซลเซียส
39
at frequency = 10 rad/s
6000
5000
4634
60 rpm
4000
100 rpm
3000 2481
1878
2000 1687
1339 1439
1222 1207
1000
4.1.3 ผลของความเร็วรอบโรเตอร์ต่อการบดยางธรรมชาติ
ความหนืดของยางธรรมชาติเป็นปัจจัยที่สาคัญที่ส่งผลต่อการกระจายตัวของยาง
ใน PLA โดยถ้าความหนืดต่าจะส่งผลให้การกระจายตัวของยางใน PLA ได้ดี ดังนั้นการศึกษาความ
หนื ด ของยางจึ งเป็ น ปั จ จั ย หนึ่ ง ที่น ามาประกอบการพิ จารณา และการลดขนาดโมเลกุ ล ของยาง
ธรรมชาติมีความสัมพันธ์โดยตรงกับค่าความหนืด โดยการลดลงของค่าความหนืดสามารถพิจารณาได้
จากค่าทอร์ค-เวลา แสดงดังภาพที่ 4.8 โดยในกรณีที่ไม่ใช้สารช่วยย่อยที่ความเร็วรอบบดสูงขึ้นค่า
ความหนืดจะลดลงได้มากกว่าที่ความเร็วรอบต่าอย่างเห็นได้ชัดเจน และเมื่อมีการใช้สารช่วยย่อย
เพิ่มขึ้นพบว่าจะมีประสิทธิภาพในการลดความหนืดมากขึ้นโดยดูจากค่าทอร์คที่ลดลงอย่างมากเมื่อ
เวลาผ่านไป ซึ่งเมื่อพิจารณาในกรณีที่ความเร็วรอบบด 60 รอบ/นาที อิทธิพลของสารช่วยย่อยในการ
ลดความหนืดมีมากกว่าในกรณีที่ความเร็วรอบ 100 รอบ/นาที แสดงให้เห็นว่าการใช้สารช่วยย่อยนั้น
ทาให้สามารถลดความเร็วรอบในการบดยางลงมาที่ความเร็วรอบต่าๆ ได้ ช่วยให้ประหยัดพลังงานใน
การบดได้ และเมื่อพิจ ารณากราฟค่าความหนืดแสดงดังภาพที่ 4.9 ให้ ผลมีแ นวโน้มไปในทิศทาง
เดียวกันกับค่าทอร์ค
40
4.1.4 พลังงานที่ใช้ในการบดยางธรรมชาติ
เมื่อพิจารณาพลังงานที่ใช้ในการบดยางธรรมชาติโดยใช้สารช่วยย่อยแต่ละชนิดที่
ปริมาณต่างๆ แสดงดังภาพที่ 4.10 จะเห็นได้พลังงานที่ใช้นั้นน้อยกว่าร้อยละ 20.25 เมื่อเทียบกับ
กรณีที่ไม่ใช้สารช่วยย่อย แต่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบชนิดและปริมาณสารช่วยย่อยจะเห็นได้ว่าค่า
พลังงานไม่แตกต่างกันมากนัก โดยสารช่วยย่อย ULTRA PEP96 ที่ปริมาณ 0.3 phr ให้ค่าพลังงานที่
ใช้ต่าไม่แตกต่างกับปริมาณ 0.4 phr และ PEPTON22 0.4 phr ดังนั้นในการเลือกชนิดสารช่วยย่อย
และปริมาณที่เหมาะสมกับยางธรรมชาติเพื่อนาไปคอมพาวด์เป็นพอลิเมอร์ผสมระหว่าง PLA/NRMP
จึงเลือกสารช่วยย่อย ULTRA PEP96 0.3 phr เนื่องจากผลของความหนืดและพลังงานที่ใช้
42
250
12PLA-U0.3
200 12M-PLA
Torque (Nm)
150
100
50
Time (min)
0
12000
PLA-U0.3
11000
M-PLA
10000
9000
8000
7000
6000
ภาพที่ 4.12 ความหนืดของ PLA บด และ PLA บดผสมสารช่วยย่อย 0.3 phr แบบ time sweep
ที่อุณหภูมิทดสอบ 160 องศาเซลเซียส ที่ความถี่ 10 rad/s
40
29.47
35
Impact resistance (J/m)
30 27.85
25
20
15
10
0
M-PLA PLA-U0.3
ภาพที่ 4.13 ความทนแรงกระแทกของ PLAบด และ PLAบดผสมสารช่วยย่อย ULTRA PEP96 0.3 phr
45
ตารางที่ 4.1
4.3.1 ผลของยางลดขนาดโมเลกุลพร้อมสารช่วยย่อยที่ใช้ความเร็วรอบในการบด
ต่างกัน
จากการศึกษาผลของทอร์ค -เวลา ของการบดผสม PLA กับยาง NRMP ที่มีสาร
ช่วยย่อย ULTRA PEP96 ปริมาณ 0.3 phr ที่ใช้ความเร็วรอบ 60 และ 100 รอบ/นาที แสดงดังภาพ
ที่ 4.15 พบว่าการผสม PLA กับยางที่มีความหนืดน้อยลงค่าทอร์คจะขึ้นช้า แบ่งพิจารณาได้ 2 กรณี
คือ กรณีที่ 1 ยางที่มาจากการบด 100 รอบ/นาที โดยไม่ใช้สารช่วยย่อย ซึ่งมีความหนืดต่ากว่าทอร์ค
จะขึ้นช้ากว่ายางบดที่ 60 รอบ/นาที และกรณีที่ 2 ยางบดที่ความเร็วรอบ 60 รอบ/นาที และใช้สาร
ช่วยย่อยจะทาให้ค่าความหนืดของยางต่ากว่าและทาให้ค่าทอร์คของพอลิเมอร์ผสม PLA/NRM60-0.3
ขึ้นช้ากว่ายางที่บดโดยไม่ใช้สารช่วยย่อย และเมื่อพิจารณายางบดที่ความเร็วรอบ 100 รอบ/นาที
แบบใช้และไม่ใช้สารช่วยย่อยพบว่ามีค่าความหนืดใกล้เคียงกันดังรูปที่ 4.7 แต่กรณียางใช้สารช่วยย่อย
ULTRA PEP96 0.3 phr ทาให้ทอร์คของพอลิเมอร์ผสมขึ้นและลงเร็วขึ้น ลดเวลาในการบดผสมได้
47
100
90 PLA/NRM60
80 PLA/NRM100
Torque (Nm)
70
PLA/NRM60-U0.3
60
PLA/NRM100-U0.3
50
40
30
20
10
0 Time (min)
จากการศึกษาเปรียบเทียบการปรับปรุงคุณสมบัติความทนแรงกระแทกของ PLA
ด้วยยางNRMP ที่มีสารช่วยย่อย ULTRA PEP96 ปริมาณ 0.3 phr ที่มาจากการบดที่ความเร็วรอบ 60
รอบ/นาที เทียบกับ 100 รอบ/นาที ที่ระยะเวลาในการบดผสมต่างกันดังภาพที่ 4.16 พบว่าโดยส่วน
ใหญ่แล้วการใช้สารช่วยย่อยให้ค่าความทนแรงกระแทกเท่ากับการไม่ใช้สารช่วยย่อยในเวลาบดผสมที่
สั้ น กว่ า และให้ ค่ า ควานทนแรงกระแทกที่ สู ง กว่ า (152.89 J/m) ที่ ค วามเร็ ว รอบ 100 รอบ/นาที
9 นาที แต่เมื่อระยะเวลาในการบดผสมมากกว่า 9 นาที ค่าความทนแรงกระแทกลดลง ทั้งนี้อาจ
เนื่องจากเกิดการรวมตัวกันของอนุภาคยางในเฟส PLA จากการบดที่นานเกินไปโดยไม่มีสารเสริม
ความเข้ากันได้ (compatibilizer) มาช่วย ส่วนกรณียางบดจากความเร็วรอบ 60 รอบ/นาที เมื่อนามา
บดผสมกับ PLA ที่เวลาต่างกันพบว่าให้ค่าความทนแรงกระแทกที่ไม่แตกต่างกันมาก ผลแสดงดังภาพ
ที่ 4.16
48
12PLA/(NRM100)
8PLA/(NRM100-U0.3) 9PLA/(NRM100-U0.3)
10PLA/(NRM100-U0.3) 12PLA/(NRM100-U0.3)
4.3.2 ผลของยางบดลดขนาดโมเลกุลที่มีปริมาณสารช่วยย่อยต่างกัน
จากการศึกษาผลของทอร์ค -เวลา ของการบดผสม PLA กับยาง NRMP บดที่
ความเร็วรอบ 60 รอบ/นาที โดยมีสารช่วยย่อย ULTRA PEP96 ปริมาณต่างกันดังภาพที่ 4.19 พบว่า
เมื่อปริมาณสารช่วยย่อยเพิ่มขึ้นความหนืดจะลดลงค่าทอร์คขึ้นช้าลงแต่เข้าสู่สมดุลในเวลาใกล้เคียงกัน
51
ตารางที่ 4.2
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ
5.1 สรุปผลการวิจัย
1. จากการศึกษาผลของชนิดของสารช่วยย่อยต่อการบดยางธรรมชาติ พบว่าสารช่วย
ย่ อ ย ULTRA PEP96 ซึ่ ง มี ส ารช่ ว ยในการกระจายตั ว (dispersing agent) เป็ น องค์ ป ระกอบด้ ว ย
เหมาะสมที่จะใช้ในการบดลดขนาดโมเลกุลของยางธรรมชาติ โดยดูจากค่าทอร์ค -เวลาที่ลดลงและเข้า
สู่สมดุลได้อย่างรวดเร็ว และปริมาณสารช่วยย่อยที่เหมาะสม คือ 0.3 phr. เนื่องจากให้ผลในการลด
ความหนืดของยางธรรมชาติได้มีประสิทธิภาพดีที่สุด โดยบทบาทของสารช่วยย่อยที่ความเร็วรอบโร
เตอร์ 60 รอบ/นาที ให้ผลชัดเจนกว่าที่ความเร็วรอบ 100 รอบ/นาที โดยสามารถช่วยลดความหนืด
และพลังงานในการบดได้ดีกว่าการไม่ใช้สารช่วยย่อยและเมื่อพิจารณาพลังงานที่ใช้ในการบดยาง
ธรรมชาติพบว่าปริมาณสารช่วยย่อย ULTRA PEP96 0.3 phr สามารถลดการใช้พลังงานได้ดีที่สุด คือ
20.25% ที่เวลาบด 15 นาที เมื่อเทียบกับไม่ใช้สารช่วยย่อย
2. สาหรับการใช้งานกับ PLA จาเป็นต้องศึกษาผลกระทบของสารช่วยย่อยต่อสมบัติ
PLA พบว่าสารช่วยย่อยไม่ส่งผลเสียต่อ PLA ทั้งนี้พิจารณาจากค่าความหนืด ความทนแรงกระแทก
และคุณสมบัติทางความร้อนที่มีแนวโน้มไปในทางที่ดี และพบว่าการใช้สารช่วยย่อยใน PLA โดยตรง
ช่วยให้ PLA หลอมได้เร็วขึ้น
3. การนายางบดขนาดโมเลกุลโดยใช้สารช่ว ยย่อย ULTRA PEP96 มาคอมพาวด์กับ
PLA เป็นพอลิเมอร์ผสม ที่ปริมาณสารช่วยย่อย 0.3 phr พบว่าการใช้สารช่วยย่อยมีผลให้การบดผสม
ยางกับ PLA เกิ ดขึ้น ได้ ช้าลงแม้จ ะมีข นาดอนุ ภ าคยางใน PLA ที่เล็ กกว่า ทาให้ ค่ าความทนแรง
กระแทกมีแนวโน้ มต่าลงเล็ กน้ อย แต่ยางที่บดที่ความเร็วรอบ 100 รอบ/นาที นามาบดผสมเป็น
เวลานาน 9 นาที ให้ค่าความทนแรงกระแทกสูงที่สุด 152.8 J/m แต่ถ้าบดผสมนานเกินไปค่าความ
ทนแรงกระแทกจะลดลง
4. กรณีปริมาณสารช่วยย่อยต่างกันของยางที่บดที่ความเร็วรอบ 60 รอบ/นาที และ
ควบคุมเวลาในการบดผสมกับพอลิแลคติคแอซิดเท่ากัน พบว่า ปริมาณสารช่วยย่อย 0.3 phr ให้ค่า
ความทนแรงกระแทกสูงที่สุดในทุกช่วงเวลาการบดผสม (8, 9, 10 และ 12 นาที)
55
5.2 ข้อเสนอแนะ
รายการอ้างอิง
หนังสือและบทความในหนังสือ
บทความวารสาร
Earl Kaplan. (1978). PEPTIZING AGENT FOR NATURAL RUBBER AND SYNTHETIC
BUTADIENE-STYRENE RUBBER. American Cyanamid Company, Stamford,
Conn. 1-8.
Drumright, R. E., Gruber, P.R., & Henton, D.E. (2000). Polylactic acid Technology.
Advance Material, 12, 1841–1846.
Erwin Aron. (1974). NOVEL PROCESSING AIDS FOR NATURAL AND SYNTHETIC RUBBER
COMPOUNDS. Technical processing, Inc., Paterson, N.J. 1-10
Engels H.-W., Abele M. (1991). Improved economics in the production of NR goods
through the use of peptizers. Rubber World, 204 (5), 5.
Garlotta, D. (2001). A Literature Review of Poly(lactic acid). Journal Polymer
Environment. 9, 63–84.
Jaratrotkamjorn, R., Khaokong, C., & Tanrattanakul, V. (2011). Toughness Enhancement
of Poly (lactic acid) by Melt Blending with Natural Rubber. Journal of
Applied Polymer Science, 124, 5027-5036.
Lim, L. T., Auras, R., & Rubino, M. (2008). Processing Technologies for Poly(lactic acid).
Progress in Polymer Science, 33, 820–852.
Nampoothiri, K. M., Nair, N. R., & John, R. P. (2010). An Overview of the Recent
Developments in Polylactide (PLA) Research. Bioresource Technology, 101,
8493–8501.
Suksut, B., & Deeprasertkul, C. (2011). Effect of Nucleating Agents on Physical
Properties of Poly(lactic acid) and Its Blend with Natural Rubber. Journal
Polymer Environment, 19, 288–296.
Sul, I. H., Youn, J. R., & Song, Y S. S. (2011, April 4). Quantitative Dispersion Evaluation
of Carbon Nanotubes Using a New Analysis Protocol, Carbon, 49, 1473–1478.
Westall, B. (1968). The Molecular Weight Distribution of Natural Rubber Latex.
Polymer, 9, 243–248.
Hensel M., Menting K.-H., Mergenhagen T., Umland H. (2004). New Insights Into the
Mastication Process. KGK-Kautschuk und Gummi Kunststoffe, 57 (3), 95-98.
Kadivec I., Susteric Z., Rus B. (1993). Effects of a peptizer on the mastication and
mixing of a compound with natural rubber. Polimeri, 14 (1), 13-18.
Subahmanian V., Arun B., Taneja V., Nithya A. (2006). The effect of peptizer on carbon
black-rubber interaction in the internal mixer. Rubber World, 234 (1), 37-41.
58
วิทยานิพนธ์
สื่ออิเล็กทรอนิกส์
www.rubber.sc.mahidol.ac.th
59
ภาคผนวก
60
ภาคผนวก ก
ข้อมูลทางเทคนิคของพอลิแลคติคแอซิด (Poly (lactic acid), PLA)
61
62
63
ภาคผนวก ข
ข้อมูลทางเทคนิคของสารช่วยย่อย (Peptizing agents)
64
PEPTON22
65
66
ประวัติผู้เขียน
ผลงานทางวิชาการ