You are on page 1of 39

www.alist-academy.

com

เคมี 9 วิชาสามัญ (ปี ’61)


แบบปรนัย 5 ตัวเลือก เลือก 1 คำตอบที่ถูกที่สุด
จำนวน 50 ข้อ ข้อละ 2 คะแนน รวม 100 คะแนน

กำหนดให้

1. มวลอะตอม

H=1 C = 12 N = 14 O = 16

F = 19 S = 32 K = 39 Ca = 40

Br = 80

2. เครื่ องหมำย > หมำยถึงมำกกว่ำ และ < หมำยถึง น้อยกว่ำ

1. ธำตุ G มีเลขอะตอม 31 และเลขมวล 70 ธำตุน้ ีอยูใ่ นคำบใดของตำรำงธำตุและอะตอมของ G มีเวเลนต์


อิเล็กตรอนเป็ นจำนวนเท่ำใด

คำบ จำนวนเวเลนต์อิเล็กตรอน
1. 3 3
2. 3 4
3. 4 1
4. 4 3
5. 6 2
www.alist-academy.com
2. พิจำรณำตำแหน่งของธำตุ 4 ชนิดในตำรำงธำตุต่อไปนี้

A
X
M Z

ข้อใดแสดงอะตอมที่มีอิเล็กตรอนเดี่ยวน้อยที่สุดและมำกที่สุดได้ถูกต้อง

อะตอมที่มีอิเล็กตรอนเดี่ยว

น้อยที่สุด มำกที่สุด
1. A X
2. X M
3. M Z
4. Z M
5.
Z A
www.alist-academy.com
3. พิจำรณำพลังงำนไอออไนเซชันลำดับที่2 ของธำตุ A, D, Q และ R ซึ่งมีเลขอะตอม 3, 9, 13 และ
20 ตำมลำดับ ธำตุใดมีค่ำ IE2 ต่ำที่สุด และที่ใดมีค่ำ IE2 สู งที่สุด

ธำตุที่มีค่ำ IE2 ต่ำที่สุด ธำตุที่มีค่ำ IE2 สู งที่สุด


1. A R
2. R A
3. Q D
4.
R Q
5.
Q A

4. โมเลกุลคู่ใดมีมุมระหว่ำงพันธะใกล้เคียงกัน
1. SO2 และ CO2
2. BeCl2 และ O3
3. NCl3 และ CCl4
4. BF3 และ CO2
5. XeF4 และ CH4
www.alist-academy.com
5. เมื่อผสมแก๊ส CH4 กับ Cl2 ปริ มำณมำกเกินพอในภำชนะปิ ดใส แล้วฉำยแสงที่อุณหภูมิหอ้ ง พบว่ำ
ภำชนะร้อนขึ้นและมีหยดของเหลวเกิดขึ้นภำยในภำชนะซึ่ งภำยหลังพิสูจน์ได่วำ่ เป็ น CCl4 นอกจำกนี้
เมื่อภำชนะเปิ ดภำชนะออกมำยังพบว่ำในภำชนะมีแก๊สสำมำรถเปลี่ยนสี กระดำษลิตมัสชื้นจำกน้ ำเงิน
เป็ นแดง
จำกข้อมูลข้ำงต้นและแนวโน้มของสมบัติตำมตำรำงธำตุ ข้อควำมใดถูกต้อง
1. พลังงำนพันธะ Cl-Cl มีค่ำมำกกว่ำ พลังงำนพันธะ H-Cl
2. ควำมยำวพันธะ C-H มีค่ำมำกกว่ำ ควำมยำวพันธะ C-Cl
3. แก๊สที่สำมำรถเปลี่ยนสี กระดำษลิตมัสจำกสี น้ ำเงินเป็ นแดงคือแก๊ส CH4 ที่เหลืออยู่
4. ปฏิกิริยำเคมีที่เกิดขึ้นมีจำนวนพันธะเคมีที่สร้ำงขึ้นเท่ำกับจำนวนพันธะเคมีที่สลำยไป
5. ผลรวมพลังงำนพันธะ C-H กับ Cl-Cl มีค่ำมำกกว่ำ ผลรวมพลังงำนพันธะ C-Cl กับ H-Cl
www.alist-academy.com
6. กำหนดแผนภำพและพลังงำนบำงชนิดที่เกี่ยวข้องในกำรเกิดสำรประกอบ NaI ดังนี้
พลังงำนแลตทิซ = 690 kJ/mol
พลังงำนในกำรเกิดสำรประกอบ = 271 kJ/mol
พลังงำนในกำรระเหิ ด = 108 kJ/mol
พลังงำนไอออไนเซชันลำดับที่ 1 = 502 kJ/mol
พลังงำนในกำรเกิดเป็ นอะตอมไอโอดีน = 107 kJ/mol

Na+ (g) + I(g) + e-


bh

∆H3
∆H4
Na(g) + I(g)

Na+ (g) + I-(g)


∆H2

Na(g) + ½I2(s)
∆H5
∆H1

Na(s) + ½I2(s)

∆Hr
NaI(s)
www.alist-academy.com
ข้อใดไม่ถูกต้อง
1. ∆H2 คือพลังงำนที่ใช้ในกำรสลำยพันธะของไอโอดีน 1 mol
2. ∆H1 เป็ นพลังงำนที่ใช้เพื่อระเหิ ดโซเดียม ทำให้เกิดอะตอม 1 mol
3. กระบวนกำร I(g) + e- I-(g) มีกำรคำยพลังงำน 298 kJ/mol
4. ∆H3 เป็ นพลังงำนที่ใช้เพื่อดึงอิเล็กตรอนออกจำกอะตอมโซเดียม 1 mol
1
5. ∆Hr เป็ นพลังงำนที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยำ Na(s) + I2(s) NaI(s)
2

7. ธำตุ X มีเลขอะตอมเท่ำกับ 53 ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสมบัติของธำตุและสำรประกอบของ X


1. บำงไอโซโทปของ X เป็ นไอโซโทปกัมมันตรังสี
2. X มีควำมสำมำรถในกำรเกิดปฏิกิริยำมำกกว่ำคลอรี น
3. สำรประกอบคลอไรด์ของ X ไม่นำไฟฟ้ำเมื่อหลอมเหลว
4. สำรประกอบออกไซด์ของ X แสดงควำมเป็ นกรดเมื่อละลำยน้ ำ
5. สำรประกอบระหว่ำง X กับโซเดียมเป็ นของแข็งที่อุณหภูมิหอ้ ง ซึ่ งนำไฟฟ้ำได้เมื่อ
หลอมเหลว
www.alist-academy.com
8. ครู นำบีกเกอร์ ที่มีสำรละลำยไม่มีสี เข้มข้น 0.1 mol/dm3 ปริ มำตร 100 cm3 มำ 3 บีกเกอร์ โดยติดฉลำก 1,
2 และ 3 แล้วให้นกั เรี ยนแบ่งสำรละลำยมำทดสอบ ได้ผลดังตำรำง

กำรทดสอบ สำรละลำย 1 สำรละลำย 2 สำรละลำย 3


หยดสำรละลำย Mg(NO3)2 ไม่เกิดตะกอน ตะกอนขำว ไม่เกิดตะกอน
หยดสำรละลำย Ba(NO3)2 ไม่เกิดตะกอน ตะกอนขำว ตะกอนขำว
หยดสำรละลำย HNO3 ไม่เห็นกำรเปลี่ยนแปลง เกิดแก๊ส ไม่เห็นกำรเปลี่ยนแปลง

สำรละลำย 1, 2 และ 3 ในข้อใดเป็ นไปได้

สำรละลำย 1 สำรละลำย 2 สำรละลำย 3

NaNO3 NaCl Na2CrO4


1.
Na2CO3 Na2SO4 Na2HPO4
2.
NaNO3 Na2CrO4 Na2CO3
3.
Na2HPO4 Na2CO3 Na2SO4
4.
NaCl Na2CO3 Na2SO4
5.
www.alist-academy.com
9. Db (Dubnlum) เป็ นธำตุกมั มันตรังสี ที่สังเครำะห์ข้ ึนด้วยปฏิกิริยำนิวเคลียร์ มีเลขอะตอม 105
ธำตุ X เป็ นสมำชิกที่มีเลขอะตอมน้อยที่สุดที่อยูใ่ นหมู่เดียวกับ Db พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี้
ก. สำรประกอบคลอไรด์ของ X มีมำกกว่ำ 1 ชนิด และมีสีต่ำงๆกัน
ข. สำรประกอบออกไซด์ของ Db ควรมีสูตร Db2O5
ค. Db เป็ นธำตุแทรนซิชนั ที่มี 5 อิเล็กตรอนเดี่ยว
ง. Db ไม่ควรเกิดสำรประกอบเชิงซ้อน เนื่ องจำกเป็ นธำตุกมั มันตรังสี
ข้อใดถูกต้อง
1. ก และ ข 2. ค และ ง เท่ำนั้น
3. ข และ ค เท่ำนั้น 4. ก และ ง
5. ข ค และ ง

10. ไอโซโทปกัมมันตรังสี Tl-206 สลำยตัวให้ Pb-206 โดยมีค่ำครึ่ งชีวติ 4.20 นำที ถ้ำเริ่ มต้นมี
Tl-206 จำนวน 5.0×1022 อะตอม เมื่อเวลำผ่ำนไป 21.0 นำทีจะเกิด Pb-206 กี่อะตอม
1. 1.56 × 1021
2. 3.13 × 1021
3. 4.69 × 1022
4. 4.84 × 1022
5. 4.92 × 1022
www.alist-academy.com
11. จำนวนโมลของกำมะถัน (S) ในข้อใดมำกที่สุด
(กำหนดให้ มวลสู ตรของ As2S3 = 246, FeS2 = 120 และ มวลโมเลกุลของ SO2 = 64, H2S = 34)
1. ตะกอน As2S3 0.4 mol
2. แร่ ไพไรด์ (pyrite, FeS2) 18 g
3. แก๊สซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ (SO2) 11.2 dm3 ที่ STP
4. แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟล์ (H2S) ที่มีกำมะถันอยู่ 12.8 g
5. แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟล์ (H2S) ที่มีกำมะถันอยู่ 2.408 × 1023 อะตอม

12. สำรละลำย A มีขอ้ มูลระบุขำ้ งขวดดังนี้


ควำมเข้มข้น = ร้อยละ 50 โดยมวล
ควำมหนำแน่น = 2.0 g/cm3
มวลโมเลกุลของ A = 200
หำกต้องกำรเจือจำงสำรละลำย A ให้มีควำมเข้มข้น 0.50 mol/dm3 ปริ มำตร 500 cm3 ต้องใช้
สำรละลำย A กี่ลูกบำศก์เซนติเมตร
1. 6.25
2. 50
3. 100
4. 200
5. 400
www.alist-academy.com
13. สำรอินทรี ยช์ นิดหนึ่งมี C, H, N และ O เป็ นองค์ประกอบ มวลโมเลกุลเท่ำกับ 292 เมื่อนำไป
วิเครำะห์พบว่ำ มี C 41.1%, H 5.5% และ N 9.6% โดยมวล สู ตรโมเลกุลของสำรชนิดนี้คือข้อ
ใด
1. C5H8NO4
2. C8H8N2O10
3. C9H14N3O8
4. C10H16N2O8
5. C10H20N4O6

14. ปฏิกิริยำกำรเผำไหม้แก๊สเอทิลีน (C2H4) ในอำกำศอย่ำงสมบูรณ์ เป็ นดังสมกำร


C2H4(g) + O2(g) → CO2(g) + H2O(g) (สมกำรยังไม่ดุล)
ถ้ำเผำไหม้เอทิลีน 20 dm2 ที่ STP ในอำกำศอย่ำงสมบูรณ์ จะเกิดแก๊สคำร์ บอนไดออกไซด์กี่
ลูกบำศก์เดซิ เมตรที่ STP
1. 1.8
2. 10
3. 20
4. 30
5. 40
www.alist-academy.com
15. แก๊สเอทิลีนซึ่ งใช้ในกำรบ่มผลไม้ให้สุกเตรี ยมได้จำกปฏิกิริยำระหว่ำงแคลเซี ยมคำร์ ไบด์
(CaC2) กับน้ ำดังสมกำร
CaC2(s) + 2H2O(l) → C2H2(g) + Ca(OH)2(aq)
ถ้ำนำถ่ำนแก๊ส 5.00 g ซึ่งมี CaC2 ร้อยละ 80.0 โดยมวลมำทำปฏิกิริยำกับน้ ำมำกเกินพอจะได้แก๊ส
อะเซทิลีนกี่กรัม
1. 1.63 2. 2.03 3. 2.54
4. 9.85 5. 15.38

16. สำรละลำย KBrO3 เข้มข้น 0.100 mol/dm3 ปริ มำตร 10.0 cm3 ปฏิกิริยำกับ KBr 1.19 g ในสำรละลำยที่มี
กรด HCl มำกเกินพอ ดังสมกำร
BrO3-(aq) + 5Br- + 6H+(aq) → 3Br2(aq) + 3H2O(l)
โบรมีน (Br2) ที่เกิดขึ้นมีปริ มำณกี่กรัม
1. 0.053 2. 0.16
3. 0.48 4. 0.96
5. 2.67
www.alist-academy.com
17. แก๊สชนิดหนึ่งมีควำมหนำแน่นที่ STP เท่ำกับควำมหนำแน่นของแก๊สไนโตรเจนที่อุณหภูมิ 273 ℃
ควำมดัน 1,410 Torr แก๊สชนิดนี้อำจเป็ นแก๊สใด
(กำหนดให้ 1 Torr = 1 mmHg)
1. ฟลูออรี น
2. อะเซทิลีน
3. แอมโมเนีย
4. คำร์บอนไดออกไซด์
5. ไนโตรเจนมอนอกไซด์

18. จุดเดือดปกติของของเหลว 5 ชนิด เป็ นดังแสดงในตำรำง


ของเหลว HF CH3Cl CH3F HCl HBr
จุดเดือดปกติ(℃) 19.5 -24.2 -78.4 -85 -66
ของเหลวชนิดใดมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงโมเลกุลสู งที่สุด
1. HF
2. CH3Cl
3. CH3F

4. HCl

5. HBr
www.alist-academy.com
19. ควำมดันไอ (atm)
A B C D

2.5

2.0

1.5

1.0
0.5
อุณหภูมิ (℃)
0
20 40 60 80 100 120

จำกกรำฟแสดวควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอุณหภูมิกบั ควำมดันไอของของเหลว A B C และ D


จุดเดือดปกติของของเหลว C มีค่ำเท่ำใด
1. 40 ℃
2. 60 ℃
3. 70 ℃
4. 75 ℃
5. 80 ℃
www.alist-academy.com
20. จำกกำรวัดปริ มำตรของแก๊สที่ควำมดันต่ำงๆ โดยให้อุณหภูมิคงที่ที่ 100, 200 และ 300 K กรำฟในข้อ
ใด ถูกต้อง

100 K
300

200 K
1. 2.

K
P P

1/V 1/V
100 K

100 K
300
200 K

200 K
300

K
K

3. P 4.

1/V V
100 K

200 K

300

P
5.
K

V
www.alist-academy.com
21. จำกปฏิกิริยำออกซิ เดชี นของแอมโมเนีย 4NH3(g) + 3O2(g) → 2N2(g) + 6H2O(l) ข้อใด
แสดงอัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำได้ถูกต้อง
∆[𝑂2 ]
1. อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำ = −
∆𝑡
∆[𝑁2 ]
2. อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำ = −
∆𝑡
1 ∆[𝑂2 ]
3. อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำ =
3 ∆𝑡
1 ∆[𝑂2 ]
4. อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำ = −
3 ∆𝑡
1 ∆[𝑁𝐻3 ]
5. อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำ =
4 ∆𝑡
www.alist-academy.com
22. อุณหภูมิ 400K สังกะสี ทำปฏิกิริยำกับกรดไฮโดรคลอริ ก เกิดเป็ นแก๊สไฮโดรเจนและซิ งค์ (II)
คลอไรด์ ดังสมกำร
Zn(s) + 2HCl(aq) → H2(g) + ZnCl2(aq)]
เมื่อใส่ ผงสังกะสี ลงในกรดไฮโดรคลอริ กเข้มข้น 0.1 mol/dm3 ปริ มำตร 1 dm3 และวัดปริ มำตร
สังกะสี ขณะเกิดปฏิกิริยำ ได้ผลดังตำรำง

เวลำ (s) มวลของสังกะสี (g)


0 0.016
4 0.0085
8 0.0055
12 0.0050
16 0.0045
20 0.0040

อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเฉลี่ยในช่วงเวลำ 0 – 20 s เป็ นเท่ำใด


1. 0.0019 g/s
2. 0.0013 g/s
3. 0.0009 g/s
4. 0.0007 g/s
5. 0.0006 g/s
www.alist-academy.com
23. ปฏิกิริยำกำรสลำยตัวของ N2O5 เป็ นดังสมกำร
2N2O5(g) → 4NO2(g) + O2(g)
ถ้ำบรรจุแก๊ส N2O5 2.0 dm3 ในกระบอกสู บที่อุณหภูมิ 27 ℃ ควำมดัน 1 atm แล้วปล่อยให้
เกิดปฏิกิริยำที่อุณหภูมิและควำมดันคงที่ เมื่อเวลำผ่ำนไป 20 s พบว่ำ แก๊สในกระบอกสู บมีปริ มำตร
เพิ่มขึ้น
อีก 60 cm3 อัตรำเฉลี่ยของกำรเกิดแก๊ส O2 มีค่ำเท่ำใด (กำหนดให้ R = 0.08 dm3 .atm/K.mol)
1. 2 × 10-5 mol/dm3.s
2. 4 × 10-5 mol/dm3.s
3. 6 × 10-5 mol/dm3.s
4. 1 × 10-4 mol/dm3.s
5. 2 × 10-2 mol/dm3.s
www.alist-academy.com
24. กรำฟกำรเปลี่ยนแปลงพลังงำนของปฏิกิริยำหนึ่งเป็ นดังนี้

พลังงาน
E

B
A C

การดาเนินไปของปฏิกิริยา

ข้อใดถูกต้อง

พลังงำนก่อกัมมันต์ สำรเชิงซ้อนกัมมันต์ ปฏิกิริยำ A → D


ดูด/คำยควำมร้อน
E B ดูด
1.
B E คำย
2.
E D ดูด
3.
B D คำย
4.
B E ดูด
5.

25. สำรละลำยอิ่มตัวของ Mg(OH)2 ที่อุณหภูมิ 25℃ มี pH เท่ำกับของสำรละลำย NaOH เข้มข้น


3.2 × 10-4 mol/dm3 ค่ำคงที่สมดุลของกำรละลำยดังสมกำร
Mg(OH)2(s) ⇌ Mg2+(aq) + 2OH-(aq) มีค่ำเท่ำใด
1. 1.6 × 10-1 2. 3.3 × 10-11 3. 6.6 × 10-11
4. 5.1 × 10-8 5. 1.0 × 10-7
www.alist-academy.com
26. บิวทีนสำยตรงสำมำรถเกิดปฏิกิริยำไอโซเมอไรเซชันระหว่ำง 3 ไอโซเมอร์ แสดงได้ดว้ ยสมดุล
2 ขั้นดังนี้
1-butene ⇌ cis-2-butene K1
cis-2-butene ⇌ trans-2-butene K2
ค่ำคงที่สมดุลในช่วงอุณหภูมิ 684 – 824 K เป็ นดังนี้

อุณหภูมิ (K) K1 K2
684 1.25 1.44
719 1.20 1.40
824 0.88 1.32

ข้อใดไม่ถูกต้อง
1. trans- 2-butene เป็ นไอโซเมอร์ที่มีพลังงำนต่ำที่สุด
2. สมดุลที่อุณภูมิ 824 K ไอโซเมอร์ 1-butene มีอยูม่ ำกที่สุด
3. ที่อุณหภูมิ 684 K อัตรำส่ วน [trans-2-butene]/[1-butene] = 1.8
4. ปฏิกิริยำ trans- 2-butene ⇌ 1-butene เป็ นปฏิกิริยำดูดควำมร้อน
5. สมดุลที่อุณหภูมิต่ำจะมี trans-2-butene > cis-2-butene > 1-butene
www.alist-academy.com
27. เมื่อแก๊สไนโตรซิ ลคลอไรด์ (NOCl) 0.10 mol สลำยตัวในภำชนะปิ ดขนำด 50 dm3 ดังสมกำร
2NOCl(g) ⇌ 2NO(g) + Cl2(g)
ที่สมดุล NOCl สลำยตัวไปครึ่ งหนึ่ง ค่ำคงที่สมดุลของปฏิกิริยำมีค่ำเท่ำใด
1. 5.0 × 10-4
2. 1.0 × 10-3
3. 2.0 × 10-3
4. 2.5 × 10-2
5. 5.0 × 10-2

28. เริ่ มต้นบรรจุแก๊ส NH3 2.0 mol ในภำชนะปิ ดปริ มำตรคงที่ 1.0 dm3 อุณหภูมิ 800 K เมื่อ
ปฏิกิริยำเข้ำสู่ สมดุลที่อุณหภูมิและปริ มำตรคงที่ดงั สมกำร
2NH3(g) ⇌ N2(g) + 3H2(g)
ที่สมดุล NOCl สลำยตัวไปครึ่ งหนึ่ง ค่ำคงที่สมดุลของปฏิกิริยำมีค่ำเท่ำใด
1. 1
2. 3
3. 4
4. 8
5. 12
www.alist-academy.com
29. ตำมทฤษฎีของเบริ นสเตน-ลำวรี โมเลกุลหรื อไอออนคู่ใดต่อไปนี้ไม่ใช่กรดและคู่เบสของ
กรดนั้น

กรด คู่เบส

1. HIO3 IO3-

2. H3O+ H2O

3. HSO4- SO42-

4. HPO42- H2PO4-

5. CH3NH3+ CH3NH2
www.alist-academy.com
30. พิจำรณำกรำฟของกำรไทเทรตกรดอ่อน 4 ชนิด ได้แก่ HA, HB, HC และ HD ที่มีควำม
เข้มข้นเท่ำกัน ปริ มำตร 50 cm3 NaOH จำกบิวเรตต์ ดังรู ป

14

12 5

10

HD
8
HC
pH
6 HB

HA

0
5 10 15 20
3
ปริ มำตรสำรละลำย NaOH (cm )

ข้อใดถูกต้อง

1. ค่ำคงที่กำรแตกตัวของกรดอ่อน HA > HB > HC > HD

2. กรดอ้อน HA แตกตัวเป็ นไอออนได้มำกกว่ำกรดอ่อน HD

3. ก่อนเติมสำรละลำย NaOH พบว่ำ ควำมเข้มข้นของกรดที่ไม่แตกตัว [HA] > [HB]

4. ร้อยละกำรแตกตัวของกรดอ่อน HC น้อยกว่ำร้อยละกำรแตกตัวของกรดอ่อน HB

5. ก่อนไทเทรต ควำมเข้มข้นของ H3O+ ในสำรละลำยกรดอ่อน HA > HB > HC > HD


www.alist-academy.com
31. นำสำรละลำย NH4Cl เข้มข้น 0.2 mol/dm3 ใส่ หลอดทดลอง 4 หลอด แต่ละหลอดหยดอินดิเคเตอร์

1 ชนิด ข้อมูลของอินดิเคเตอร์ที่ใช้แสดงดังตำรำง

อินดิเคเตอร์ ไทมอลบลู เมทิลเรด ฟี นอลเรด อะลิซำริ นเยลโล


ช่วง pH เปลี่ยนสี 1.2 – 2.8 4.2 – 6.3 6.8 – 8.4 10.1 – 12.0
สี ที่เปลี่ยน แดง – เหลือง แดง – เหลือง เหลือง – แดง เหลือง – แดง

สี ของสำรละลำยแต่ละหยดเป็ นดังข้อใด

(กำหนดให้ Kb ของ NH3 = 2 × 10-5)

หลอดที่ 1 หลอดที่ 2 หลอดที่ 3 หลอดที่ 4


ไทมอลบลู เมทิลเรด ฟี นอลเรด อะลิซำริ นเยลโล
1. ส้ม แดง เหลือง เหลือง
2. เหลือง ส้ม เหลือง เหลือง
3. เหลือง เหลือง แดง เหลือง
4. เหลือง เหลือง แดง ส้ม
5. เหลือง เหลือง ส้ม เหลือง
www.alist-academy.com
32. เมื่อเติมสำรละลำย NaOH เข้มข้น 0.10 mol/dm3 ปริ มำตร 15.00 cm3 ลงในสำรละลำยกรดฟอสฟอริ ก

(H3PO4) เข้มข้น 0.10 mol/dm3 ปริ มำตร 10.00 cm3 ปริ มำตร 10.00 cm3 ข้อใดถูกต้อง

(กำหนดให้ ค่ำคงที่กำรแตกตัวของ H3PO4 : Ka1 = 7 × 10-3, Ka2 = 6 × 10-7, Ka3 = 5 × 10-13)

1. NaOH ทำปฏิกิริยำหมดในสำรละลำยมี Na3PO4 เป็ นองค์ประกอบหลัก

2. ในสำรละลำยมี NaOH และ NaH2PO4 เป็ นองค์ประกอบหลักจึงมี pH มำกกว่ำ 7

3. ในสำรละลำยมี NaH2PO4 และ Na3PO4 เป็ นองค์ประกอบหลักจึงมีสมบัติเป็ นบัฟเฟอร์

4. ในสำรละลำยมี NaH2PO4 และ NaH2PO4 เป็ นองค์ประกอบหลักจึงมีสมบัติเป็ นบัฟเฟอร์

5. H3PO4 ทำปฏิกิริยำหมดในสำรละลำยมี NaOH เป็ นองค์ประกอบหลักจึงมี pH มำกกว่ำ 7


www.alist-academy.com
33. กรดอ่อน HA มีมวลโมเลกุล = 50 และ KL = 1 × 10-5 ถ้ำนำสำรละลำยของกรดอ่อน HA ปริ มำตร

50 cm3 ที่มี HA 0.20 g มำไทเทรตด้วยสำรละลำย NaOH เข้มข้น 0.10 mol/dm3 ข้อใดถูกต้อง

(กำหนดให้ ฟี นอล์ฟทำลีนเปลี่ยนสี ในช่วง pH 8.3 – 10.0 (ไม่มีสี – สี ชมพู))

1. ต้องใช้ NaOH 0.004 mol ในกำรสะเทิน

2. ใช้สำรละลำย NaOH น้อยกว่ำ 40 cm3 ในกำรสะเทิน

3. สำรละลำย HA ที่นำมำไทเทรตมีควำมเข้มข้น 0.004 mol/dm3

4. เมื่อใช้ฟีนอลทำลีนเป็ นอินดิเคเตอร์ สำรละลำยจะเปลี่ยนจำกสี ชมพูเป็ นไม่มีสี

5. เมื่อกรดอ่อน HA กับ NaOH ทำปฏิกิริยำกันหมดพอดี สำรละลำยมีค่ำ pH น้อยกว่ำ 7


www.alist-academy.com
34. ถ้ำต้องกำรเตรี ยมสำรละลำยบัฟเฟอร์ pH เท่ำกับ 4.0 ปริ มำตร 1 dm1 จำกสำรละลำย NaA และ

สำรละลำย HA ที่มีควำมเข้มข้นของ NaA และ HA รวมกันเป็ น 0.3 mol/dm3 จะต้องใช้ NaA และ HA

อย่ำงละกี่กรัม

(กำหนดให้ มวลสู ตรของ NaA = 72 และมวลโมเลกุลของ HA = 50 และ Ka ของ HA = 5 × 10-5)

มวล NaA (g) มวล HA (g)

5.0 14.4
1.
7.2 10.0
2.
10.0 7.2
3.
10.8 7.5
4.
14.4 5.0
5.

35. ตัวเลขจำนวนเต็ม a, b, c และ d ที่ทำให้สมกำรนี้ดุลมีค่ำเท่ำใดตำมลำดับ

aC2H5OH + bCr2O72- + cH+ → aCH3COOH + 2bCr3+ + dH2O

1. 3, 2, 16, 11

2. 1, 2, 24, 13

3. 1, 1, 10, 6

4. 3, 1, 2, 4

5. 2, 1, 6, 5
www.alist-academy.com
36. ปฏิกิริยำใดต่อไปนี้ไม่ใช่ปฏิกิริยำรี ดอกซ์

1. 2F2 + 2H2O → 4HF + O2

2. Ag2O(s) + 4NH3 + 2NaNO3 + H2O → 2Ag(NH3)2NO3 + 2NaOH


5 3 1
3. C3H5N3O9 (l) → 3CO2 + H2O + N2 + O2
2 2 4

4. 2MnO4- + 5H2C2O4 + 6H3O+ → 2Mn2+ + 10CO2 + 14H2O

5. C6H8O6 + 2[Fe(CN)6]3- → C6H6O6 + 2[Fe(CN)6]4- + 2H+

37. เมื่อดุลสมกำร H2O2 + Cr(OH)4- → CrO42- + H2O

จำนวนโมลของ H2O2 กับของ Cr(OH)4- จะสัมพันธ์กนั อย่ำงไร

สภำวะของสำรละลำย จำนวนโมล H2O2 จำนวนโมล Cr(OH)4-

กรด 1 1
1.
กรด 2 3
2.
เบส 2 1
3.
เบส 2 3
4.
เบส 3 2
5.
www.alist-academy.com
38. สำหรับเซลล์เชื้อเพลิงโพรเพน-ออกซิเจน ข้อใดถูกต้อง

1. ที่แอโนด เกิดปฏิกิริยำได้แก๊สออกซิ เจน ดังสมกำร

10H2O(g) → 5O2(g) + 20H+(aq) + 20e-

2. ที่แอโนด โพรเพนเกิดปฏิกิริยำได้แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ ดังสมกำร

C3H8(g) + 6H2O → 3CO2(g) + 20H+(aq) + 20e-

3. ที่แคโทด ต้องใช้แก๊สออกซิ เจนเพื่อให้เกิดปฏิกิริยำกำรสันดำปของโพรเพนได้ไอน้ ำอุณหภูมิสูง

C3H8(g) + 5O2(g) → 4H2O(g) + 3CO2(g)

4. ปฏิกิริยำรวมที่เกิดขึ้นจริ งในเซลล์เชื้อเพลิงโพรเพน-ออกซิเจนซึ่ งทำให้ได้แก๊สไฮโดรเจนเป็ น

แหล่งพลังงำนคือ

C3H8(g) + 6H2O(g) → 3CO2(g) + 10H2(g)

5. ที่แคโทดต้องใช้แก๊สออกซิ เจนทำปฏิกิริยำกับแก๊สคำร์ บอนไดออกไซด์ที่ได้จำกแอโนดเพื่อทำให้

เกิดคำร์ บอเนต หลังจำกนั้นแยกออกจำกเซลล์อีกครั้งโดยให้สลำยตัวกลำยเป็ นคำร์ บอดไดออกไซด์


1⁄ O (g) + CO (g) + 2e-
2 2 2 → CO32-(aq)
www.alist-academy.com
39. เมื่อดุลสมกำรรี ดอกซ์ต่อไปนี้

aCH3OH(l) + bCr2O7-(aq) + cH+ → dCH2O(aq) + eCr3+(aq) + fH2O(l)

สัมประสิ ทธิ์ a, b, c, d, e และ f มีค่ำเท่ำใด

a b c d e f
1. 1 1 14 1 2 7
2. 3 1 8 3 2 7
3. 3 1 8 3 2 8
4.
3 1 14 3 2 8
5.
1 1 14 3 2 8

40. กำรปรับปรุ งหรื อแปรวัสดุทำงธรรมชำติให้เป็ นผลิตภัณฑ์ที่ตอ้ งกำรในอุตสำหกรรมมักอำศัยควำมรู ้

เกี่ยวกับสมบัติและปฏิกิริยำเคมีของธำตุและสำรประกอบต่ำงๆ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งปฏิกิริยำรี ดอกซ์

กระบวนกำรในข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยำรี ดอกซ์

1. กำรผลิตสำรฟอกขำวจำกเกลือแกง

2. กำรผลิตแก้วโซดำไลม์จำกทรำยแก้ว

3. กำรเตรี ยมกรดซัลฟิ วริ กจำกกำมะถัน

4. กำรถลุงทองแดงจำกแร่ คำลโคไพโรต์

5. กำรเตรี ยมแก๊สแอมโมเนียจำกอำกำศ
www.alist-academy.com
41. พิจำรณำข้อควำมเกี่ยวกับกำรใช้ประโยชน์ของแก๊สออกซิ เจนในอุตสำหกรรมต่อไปนี้

ก. ใช้เผำกับแร่ บำงชนิดเพื่อเปลี่ยนองค์ประกอบของแร่ ให้เป็ นสำรประกอบออกไซด์

ข. ให้เผำกับแร่ เพื่อออกซิ ไดส์แร่ ให้เป็ นโลหะ

ค. ใช้ทำปฏิกิริยำกับแก๊สธรรมชำติโดยมีตวั เร่ งปฏิกิริยำ เพื่อเตรี ยมแก๊สไฮโดรเจนสำหรับกำร

ผลิตปุ๋ ยยูเรี ย

ง. ใช้เผำกับกำมะถัน เพื่อให้เกิดแก๊ส SO2 สำหรับกำรผลิตกรดซัลฟิ วริ ก

ข้อใดถูก

1. ก และ ข เท่ำนั้น

2. ข และ ค

3. ค และ ง เท่ำนั้น

4. ก ค และ ง

5. ก ข และ ง
www.alist-academy.com
42. สำรในข้อไม่ได้เป็ นไอโซเมอร์ กนั ทั้งหมด

1. H3C CH2CH3 H3C CH2CH3

C C C C

H CH3 H3C H

H3C CH3

C C

H CH2CH3

2. OH

O
CHO

3.
www.alist-academy.com

H3C Br OH

4.
OH Br CH3

OH CH3

Br

CH2OH
CH2OH
5. O
O OH
HO
OH H

H OH
HO
H OH
OH

CH2OH

HOCH2 O OH

HO

CH2OH

OH
www.alist-academy.com
43. คำร์บอนไดออกไซด์เป็ นแก๊สที่มีส่วนสำคัญในกำรทำให้เกิดปรำกฏกำรณ์โลกร้อนส่ วนใหญ่เกิดจำก

กำรเผำไหม้น้ ำมันที่ใช้ในยำนพำหนะ

สำรประกอบไฮโดรคำร์บอนใดเมื่อเผำไหม้จะให้ปริ มำณของคำร์ บอกไดออกไซด์ต่อมวลของสำรมำก

ที่สุด

1. โพรเพน

2. เฮปเทน

3. ไฮโซออกเทน

4. เฮกซะเดกเคน

5. ไซโคลเพนเทน

44. สำรประกอบอินทรี ที่มีออกซิเจนเป็ นองค์ประกอบชนิดหนึ่งมีมวลโมเลกุลเป็ น 60 และมีคำร์บอน

ร้อยละ 60 โดยมวล ข้อควำมข้อใดต่อไปนี้สรุ ปได้ถูกต้อง

1. สำรที่มีโครงสร้ำงที่เป็ นไปได้ 3 โครงสร้ำง

2. สำรไม่รวมตัวกับน้ ำโดยลอยอยูช่ ้ นั บน

3. สำรทำปฏิกิริยำกับโซเดียมได้ฟองแก๊ส

4. สำรเผำได้เปลวไฟที่มีเขม่ำ

5. สำรฟอกจำงสี โบรมีนในที่มืด
www.alist-academy.com
45. กำรเปรี ยบเทียบสมบัติทำงกำยภำพของสำรอินทรี ย ์ ข้อใดไม่ถูกต้อง

1. สภำพขั้ว : CH3CH2CH2COOH > CH3CH2COOCH

2. จุดเดือด : CH3CH2CH2CH2OH > CH3CH2CH2CHO

3. กำรละลำยน้ ำ : CH3CH(OH)CH2CH2CH3 > CH3CH2CH2OH

4. ควำมเป็ นกรด : CH3CH2CH2CH2OH > HCOOCH2CH2CH2CH3

5. พีเอชของสำรละลำย : CH3CH2CH2CH2NH2 > CH3CH2CH2CONH2

46. แก๊สธรรมชำติที่ได้จำกโรงแยกแก๊สแห่งหนึ่งมีส่วนผสมของมีเทนและอีเทนซึ่ งเมื่อนำแก๊สนี้ 94 g

มำเผำไหม้โดยสมบูรณ์ได้แก๊สคำร์ บอนไดออกไซด์ 264 g แก๊สธรรมชำติน้ ีมีอีเทนอยูร่ ้อยละเท่ำใดโดย

ปริ มำตร

1. 20

2. 25

3. 32

4. 68

5. 80
www.alist-academy.com
47. สำร 2 ชนิดทำปฏิกิริยำกันเกิดเป็ นพอลิเมอร์ แบบควบแน่นและสำรโมเลกุลขนำดเล็กอีกชนิดหนึ่ง

A + B → อลิเมอร์ แบบควบแน่น + สำรโมเลกุลขนำดเล็ก

พิจำรณำพอลิเมอร์ สังเครำะห์ที่เตรี ยมจำกปฏิกิริยำกำรเกิดพอลิเมอร์ แบบควบแน่นต่อไปนี้

CH3 O
O O

C C OCH2CH2 O C O

CH3
n n
พอลิเอทิลีนเทเรฟทำเลต พอลิคำร์บอเนต

-[NH-(CH2)6-NH-CO-(CH2)4-CO-]n -[CH2-NH-CO-NH-CH2]n-

พอลิเอไมด์ (ไนลอน-6,6) พอลิยเู รี ยฟอร์มำลดีไฮด์

พอลิเมอร์ แบบควบแน่นที่เกิดขึ้นพร้อมกับสำรโมเลกุลขนำดเล็กตำมที่ระบุ

ข้อใดถูกต้อง

พอลิเมอร์ + สำรโมเลกุลขนำดเล็ก พอลิเมอร์ + สำรโมเลกุลขนำดเล็ก


1. พอลิเอไมด์ (ไนลอน-6,6) + HCl พอลิยเู รี ยฟอร์มำลดีไฮด์ + CH3OH
2. พอลิเอทิลีนเทเรฟทำเลต + CH3OH พอลิคำร์บอเนต + HCl
3. พอลิคำร์บอเนต + H2O พอลิเอไมด์ (ไนลอน-6,6) + H2O
4. พอลิยเู รี ยฟอร์มำลดีไฮด์ + H2O พอลิเอทิลีนเทเรฟทำเลต + H2O
5.
พอลิยเู รี ยฟอร์มำลดีไฮด์ + HCl พอลิคำร์บอเนต + CH3OH
www.alist-academy.com

48. อะไมเลสเป็ นเอมไซม์ที่ทำหน้ำที่ยอ่ ยแป้ งน้ ำตำลโมเลกุลเล็ก ประสิ ทธิ ภำพในกำรทำงำนของอะไมเลส

ที่อุณหภูมิและ pH ต่ำงๆ แสดงในกรำฟข้ำงล่ำง

100
ประสิ ทธิภำพของเอมไซม์ (%)

80

60

40

20

0
0 20 40 60 80 100
อุณหภูมิ (℃)

120

100
ประสิ ทธิภำพของเอมไซม์ (%)

80

60

40

20

0
0 2 4 6 8 10 12
pH
www.alist-academy.com
ในชุดกำรทดลองหนึ่งได้ผสมอะไมเลสกับน้ ำแป้ งในปริ มำณที่ควบคุมให้เท่ำกันทุกประกำรทดลอง

และใช้เวลำในกำรทดลองเท่ำกันภำยใต้ภำวะที่ระบุจำกนั้นนำไปทดสอบกับสำรละลำยไอโอดีน และ

สำรละลำยเบเนดิกต์

กำรทดลอง อุณหภูมิ (℃) pH


1. น้ ำแป้ ง + อะไมเลส 0 6
2. น้ ำแป้ ง + อะไมเลส 50 9
3. น้ ำแป้ ง + อะไมเลส 50 6
4. น้ ำแป้ ง + อะไมเลสที่ผำ่ นกำรต้มแล้วทิ้งให้เย็น 50 6
5. น้ ำแป้ งที่ไม่อะไมเลส (ชุ ดควบคุม) 50 6

ผลกำรทดสอบ ข้อใดไม่ถูกต้อง

สำรละลำยไอโอดีน สำรละลำยเบเนดิกต์

กำรทดลองที่ 1 สำรละลำยสี น้ ำเงิน ไม่เกิดตะกอน


1.
กำรทดลองที่ 2 สำรละลำยสี น้ ำตำลปนม่วง เกิดตะกอนแดงเล็กน้อย
2.
กำรทดลองที่ 3 สำรละลำยสี น้ ำตำล เกิดตะกอนแดง
3.
กำรทดลองที่ 4 สำรละลำยสี น้ ำเงิน ไม่เกิดตะกอน
4.
กำรทดลองที่ 5 สำรละลำยสี น้ ำเงิน ไม่เกิดตะกอน
5.
www.alist-academy.com
49. ไซโคลสปอริ นเป็ นเพปไทด์ที่มีโครงสร้ำงดังแสดง มีฤทธิ์ กดภูมิคุม้ กันซึ่ งนำมำใช้เป็ นยำสำหรับผูท้ ี่

ปลูกถ่ำยอวัยวะ ใช้รักษำเยือ่ ตำขำวอักเสบ โรคจำกภูมิคุม้ กันผิดปกติและโรคทำงผิวหน้ำ

HO
O
H O
N N
N N

O N

N O N O
O O
H H
N N
H
N
N
O O

โครงสร้ำง 2 มิติ ของไซโคลสปอริ น


จำนวนพันธะเพปไทด์ในโครงสร้ำง 2 มิติของไซโคลสปอริ นเป็ นเท่ำใด
1. 9 2. 10 3. 11

4. 12 5. 13
www.alist-academy.com
50. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับไขมันและกรดไขมัน

1. เมื่อต้มไขมันกับสำรละลำยโซเดียวไฮดรอกไซด์จะได้สบู่

2. กำรเหม็นหื นของไขมันไม่อิ่มตัวป้ องกันได้โดยกำรเติมสำร BHA

3. กรดไขมันอิ่มตัวสำยยำวมีจุดหลอมเหลวสู งกว่ำกรดไขมันอิ่มตัวสำยสั้น

4. กรดไขมันอิ่มตัวมีจุดหลอมเหลวสู งกว่ำกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีจำนวนคำร์ บอนเท่ำกัน

5. กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพนั ธะคู่สองตำแหน่งมีจุดหลอมเหลวสู งกว่ำกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีจำนวน


คำร์ บอนเท่ำกันแต่มีพนั ธะคู่ตำแหน่งเดียว

You might also like