You are on page 1of 11

INTRODUCTION TO

gothic architecture
Present by Chotirot Thongphanich M. 4/2 No. 32
GOTHIC
ARCHITECTURE
รูปแบบลักษณะ นิยมใช้รูปทรงมาจากธรรมชาติและรูปทรงแบบอินทรีย์รูปซึ่งมีความรู้สึก ว่า
เจริญเติบโตและงอกงามได้ สถาปัตยกรรมกอธิกมีลักษณะสูง เรียว แหลม พุ่ง
โครงสร้าง ยอด สูงสง่าขึ้นเสียดฟ้าเป็นสิ่งที่แทนศรัทธาของคริสต์ศาสนิกชนที่พุ่งชื้นสูงสุด
สถาปัตยกรรม มีผนังเปิดกว้าง มีส่วนสูงเด่นเป็นพิเศษและมีแบบที่ออกมาเป็นลายเส้นอันซับ
ซ้อน ทุกส่วนล้วนประกอบเข้าด้วยกันเป็นสัญลักษณ์นิยม ทางศาสนา
กอธิก โครงสร้างหลังคาเป็นโค้งแหลม
ผังอาคารเป็นรูปไม้กางเขนลาติน
ใช้โครงสร้างอาร์ชแบบโค้งปลายแหลม Pointed Arch แทนประตูทรงโค้ง
กลม Round Arch
ใช้เสาค้ำยันภายนอกอาคาร Flying buttresses
อาคารมีลักษณะสูง หลังคายอดแหลม
ตกแต่งด้วยกระจกสี Stained Glass
เพดานโค้งคูหาไขว้
GOTHIC

คำว่า "กอธิค" เรียกศิลปกรรมของพวก กอช(Goth) เริ่มใช้ครั้งแรกในปลายสมัยเรอเนสซอง โดยศิลปินซึ่งเป็นนัก


Meaning วิจารณ์ศิลปะชื่อ "วาซารี"ในลักษณะเฮ้ยหยันผู้สร้างงานว่ามาตรฐานต่ำกว่ากรีกและโรมันในความหมายเชิงดูหมื่น เหยื
อดหยาม พวกป่าเดื่อนผู้ทำลายจักรวรรดิ
โรมัน
- ชาวยุโรปทั่วไป(ยกเว้นอิตาลี) เรียกศิลปกรรมกอชิคว่า
Opus Modernum หรืองานสมัยใหม่
_ อังกฤษเขียน Gothick (ซึ่งใช้แพร่หลายช่วงศตวรรษที่ 17 — 18)
ในลักษณะความหมายว่าไร้รสนิยม (tasteless)
สถาปัตยกรรมกอทิก (Gothic architecture)
เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่รุ่งเรืองในช่วงกลางสมัยกลางถึงปลายสมัยกลาง โดยวิวัฒนาการมาจาก
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์และตามด้วยสถาปัตยกรรมสมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยา สถาปัตยกรรมกอทิกเกิดขึ้น
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึง 16 โดยเริ่มขึ้นในประเทศฝรั่งเศสก่อนที่จะเผยแพร่ไปยังประเทศอังกฤษ
และต่อไปยังทวีปยุโรป

สถาปัตยกรรมกอทิกเริ่มขึ้นในฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และรุ่งเรืองต่อมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่
16 ในระยะแรก สถาปัตยกรรมทรงนี้เรียกกันว่า "แบบฝรั่งเศส" ( Opus Francigenum ) คำว่า "กอ
ทิก" มาเริ่มใช้กันในตอนปลาย ยุคฟื้ นฟูศิลปวิทยา ในทางที่เป็นการหมิ่นลักษณะสถาปัตยกรรม ลักษณะ
เด่นของสถาปัตยกรรมแบบกอทิกที่เป็นที่รู้จักกันดีคือการใช้โค้งแหลม เพดานสัน และ ค้ำยันปีก
สถาปัตยกรรมกอธิกมีการพัฒนาความสำคัญ
สามารถแบ่งออกได้ดังนี้

Early Gothic 115o - 1200 High Gothic 1200 - 1300 Late Gothic 1300 - 1417
กอทิกอังกฤษยุคแรกได้รับอิทธิพลจากสไตล์ ลักษณะที่บ่งว่าเป็นสถาปัตยกรรมกอทิกสมัยชั้น ตั้งแต่ คศ. 1370 เป็นตั้นไป มีการเปลียนแปลงบางประการ
ฝรั่งเศสการเน้นที่ความยาวมากกว่าความสูง และ สูงคือการตกแต่งหน้าต่างด้วย ลวดลายตกเเต่ง ของศิลปะกอธิก โดยเฉพาะในรูปลักษณะที่มีชื่อว่าแบบ เรดิเอชั่น
แผนผังพื้นที่ซับซ้อนและไม่สมมาตรเป็นรูปสี่เหลี่ยม การตกแต่งภายในในสมัยนี้มักจะใช้คอลัมน์ที่สูง หรือแรยอนนอง Radiation or Rayonnant ของสมัย รุ่ง
จัตุรัสแทนที่จะเป็นปลายด้านตะวันออกโค้งมน และ และเพรียวที่งามกว่าที่ใช้กันในสมัยกอทิกตอนต้น เรื่องมาสู่รูปลักษณะที่แปลกตาไปกว่าเดิม รวมทั้งมีการตกแต่งที่
การตกแต่งแบบโพลีโครมโดยใช้หินอ่อน Purbeck ที่ใช้ในการช่วยรับน้ำหนักของเพดานโค้งเเหลม ที่ เปลียนแปลงไป ด้วยเหตุนี้สถาปัตยกรรมกอธิกสมัยหลังจึงมีชื่อ
โกธิคขั้นต้นปรากฏขึ้นทางตอนเหนือของฝรั่งเศสใน สร้างอย่างซับซ้อนมากขึ้น โค้งที่ใช้เป็นโค้ง เฉพาะใช้เรียกรูปและลักษณะนี้ว่า "ฟลังบัวเย" โดยมีการใช้ทรง
ช่วงทศวรรษที่ 130 ในนอร์ม็องดีมีการผสมผสานกับ สมมาตรและบัวตกแต่งรอบโค้งมักจะเด่นชัดกว่า ลวดลาย ที่มีความโค้งสะบัดลายกับเปลวไฟ โครงสร้างดูบอบบาง
ประเพณีของภูมิภาค ในอังกฤษ ที่มีความสูงและยิ่ง ที่ใช้กันในสมัยกอทิกตอนต้นแต่ลวดลายไม่ลึกเท่า และสูงระหง ช่วงเสากว้างขึ้น หัวเสาไม่นิยมทำให้เด่นออกไปต่าง
ใหญ่เป็นพิเศษ เต็มไปด้วยแสงจากหน้าต่างกระจกสี และมักจะใช้การตกแต่งที่มีลักษณะเป็นแถบแคบ หาก แสดงโครงสร้างให้ไขวัสลับกันคล้ายดาว มองเห็นได้ชัดเจน
โกธิคตอนต้นประสบความสำเร็จในต้นศตวรรษที่ 13 ๆ ตกแต่งรอบโค้ง บนเพดาน
โดยคลื่นลูกใหม่ของอาคารที่ใหญ่และสูงขึ้น พร้อม ศิลปะกอธิกได้เจริญสูงสุดในคริสต์ศตวรรณที่ 13
ด้วยนวัตกรรมทางเทคนิคเพิ่มเติม ในรูปแบบที่รู้จัก และ 14 หลังจากนั้นก็เริ่มเสื่อมความนิยม พร้อมๆ
กันในชื่อโกธิคชั้นสูงในเวลาต่อมา กับการเริ่มตั้นกำเนิดของศิลปะสมัยพื้นฟู
วิทยาการในประเทศอิตาลี คือ ศิลปะเรอเนซอง
องค์ประกอบที่สำคัญของ GOTHIC
ARCHITECT

องค์ประกอบที่สำคัญของ Gothic Architect ที่จำเป็นต้องมีถึงจะเรียก


ว่า Gothic Architect มีอยู่สามอย่างคือ Pointed Arch, Ribbed
Vault ba& Flying Buttresses
I.
Ribbed cross Vaults

โครงสร้างของสถาปัตยกรรมกอธิก Ribbed Vault จะถ่ายแรงจาก


หลังคาผ่านตัว Ribbed ที่เป็นแกนของหลังคา ที่จะมีจุดศูนย์
รวมกันที่กลางหลังคา แล้วทำตัวเป็นแกนกระจายแรงจากหลังคาลง
มายังเสาที่รองรับ ส่วนกลางระหว่าง Ribbed จะใช้วัสดุที่มี
ขนาดเบาและแข็งแรงน้อยกว่าในการปิดส่วน ที่เหลือของหลังคา
ตัว Ribbed Vault ในช่วงแรกจะนิยมทำเป็นแบบ Quadripartite
Vault ที่แบ่งหลังคาเป็นสี่ส่วน และต่อมาพัฒนาเ ป็น Sexpartite
Vault ที่แบ่งหลังคาเป็นหกส่วน และ แบบ Fan Vault ที่สาน Ribbed
แบบถี่ๆ จนเหมือนใบพัด เพื่อเพิ่มความแข็งแรงขึ้นตาม
ลำดับช่วยให้ได้พื้นที่ภายในกว้างขวางและมีความสูงสง่างามมาก
II.
Pointed Arch
Pointed Arch หรือ วงโค้งแหลม ด้วยการเปลี่ยนจากโค้งมนแบบ Romanesque architecture ให้ยอดแหลมขึ้น ทำให้พื้นที่
รับแสงมากขึ้น อาคารสูงโปร่ง การทำให้ยอดแหลมยังทำให้แรงกระทำจากหลังคาถ่ายลงมาสู่ฐานรากส่วนล่างได้ง่ายขึ้น แรงถีบ
ด้านข้างลดลง จึงทำให้กำแพงหรือเสามีขนาดเล็กกว่าโครงสร้างแบบ Romanesque architecture ในยุคคลาสสิค
อาร์ชยอดปลายแหลม (รูปที่ 2) นับเป็นระบบโครงสร้างสำคัญของสถาปัตยกรรมกอธิก ช่วยให้ได้ความสูงและภายในมีแสงสว่าง
มากขึ้น เช่นเดียวกันระบบบริบบ์ กรอย โวลท์ Ribbed cross Vaults (รูปที่ 4) ส่วนรูปที่ 1 และ 3 ใช้กันมากในสมัยโรมาเนสก์
Flying Buttresses
ส่วนประกอบสุดท้ายคือ ครีบยันลอย หรือ Flying Buttresses ซึ่งถือได้ว่า
เป็นเอกลัษณ์และเด่นที่สุดในศิลปะแบบโกทิค
เนื่องจากลักษณะของ Point Arch ที่ถ่ายแรงจากหลังคาลงสู่พื้นได้ดีกว่าแบบ
Semi-Circular Arch แต่ก็ยังมีแรงด้านข้างกระทำที่หัวเสาหรือกำแพงอยู่
ในยุคแรกมีความคิดว่า Point Arch นั้นดีกว่าลดแรงถีบด้านข้างได้ดีกว่าแบบ
เดิมมาก จึงพยายามจะลดขนาดกำแพงหรือเสาลง และเพิ่มกระจกหน้าต่าง
เพื่อรับแสง แต่พบว่าโครงสร้างยังไม่มีเสถียรภาพเพียงพอ แต่ไม่ต้องการที่
จะเพิ่มความหนาของเสาและกำแพงเพื่อรับแรงด้านข้าง หรือที่เรียกว่า
Buttresses เนื่องจากจะกลับไปสู่รูปแบบเดิมแบบ Romanesque
architecture ที่มีความเทอะทะ จึงมีการพัฒนารูปแบบ ที่เรียกว่า Flying
Buttresses ที่เป็นกำแพงซ้อนขึ้นมาข้างนอก แล้วใส่ตัวค้ำหรือ Buttresses
ค้ำลอยออกมาจากจุดที่มีการถ่ายแรงด้านข้างของกำแพงด้านใน มายัง
กำแพงด้านนอก โดยอาจจะมีกำแพงซ้อนกันสามชั้น แล้วเพิ่ม Flying
Buttresses ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งก็ได้
From romanesque
To gothic

สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ หรือ สถาปัตยกรรมนอร์มันที่เป็นคำที่ใช้ในอังกฤษเพราะ


ความสัมพันธ์กับการรุกรานของนอร์มันเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่วางรากฐานของ
รูปทรงพื้นฐานทางสถาปัตยกรรมที่ค่อยมาเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปตลอด
สมัยกลาง โครงสร้างพื้นฐานของมหาวิหาร โบสถ์ประจำเขตแพริช, อาราม, ปราสาท,
วัง, โถงใหญ่ (great hall) และ เรือนเฝ้าประตูต่างก็ได้รับการวางรากฐานไว้เป็นอย่างดี
เช่นเดียวกับการสร้างเพดานโค้งสัน, กำแพงครีบ, เสากลุ่ม (clustered columns),
ยอดแหลม (spires), ประตูแกะสลัก
ความเปลี่ยนแปลงสิ่งเดียวที่มีความสำคัญต่อการแยกระหว่างลักษณะของ
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์กับกอทิกคือการการเปลี่ยนแปลงจากการใช้ผนังอันหนา
เทอะทะที่มีช่องเปิดแคบ ๆ เป็นระยะ ๆ ไปเป็นลักษณะของสิ่งก่อสร้างที่เต็มไปด้วยแสง
ที่ใช้ลักษณะเด่นของเพดานโค้งแหลม การใช้เพดานโค้งแหลมทำให้เกิดการพัฒนาวิธี
การก่อสร้างหลายอย่างที่ได้ทำการทดลองกันตามที่ต่างจนเมื่อประสบผลสำเร็จแล้วจึง
ได้ทำการเผยแพร่ให้ใช้ได้โดยทั่วไป การพัฒนาก็เพื่อการตอบสนองความต้องการทาง
โครงร่าง, ความงดงาม และความต้องการทางปรัชญา ความเปลี่ยนแปลงก็รวมทั้ง
กำแพงปีกนก, ยอดแหลมรายบนหลังคา, หน้าต่างตกแต่งด้วยซี่หินเป็นลวดลาย
GOTHIC ARCHITECTURE
examples

Cologne Cathedral Cathedral Church of Church of our lady


Germany Milan Bruges

Italy

You might also like