Professional Documents
Culture Documents
กฎหมำยวิธีพจิ ำรณำ
ควำมอำญำ
ภำค 3
ไพบูลย์ วนพงศ์ทิพำกร
พนักงำนอัยกำร
-2-
การฟ้องคดีอาญา
มาตรา 158 (5)
ฎ.289/2560 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จาเลยที่ 2 พาไม้ขนาดเท่าใดไม่ปรากฏชัด เป็ นอาวุธติดตัวไปในเมือง
หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ และใช้ ไม้เป็ นอาวุธตีทาร้าย ณ. แต่ โจทก์ไม่ได้กล่าวบรรยายในฟ้ องถึงองค์ประกอบ
ความผิด ในข้ อ หาดัง กล่ า วว่ า เป็ น การพาอาวุ ธ โดยเปิ ด เผยหรือ ไม่ ม ีเ หตุ ส มควรมาด้ ว ย ฟ้ องโจทก์ จ ึง ขาด
องค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 เป็ นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ปญั หาเรื่องฟ้องโจทก์
เป็ นฟ้องซ้าหรือไม่และปญั หาเรื่องฟ้องขาดองค์ประกอบความผิด ล้วนเป็ นปญั หาข้อกฎหมายทีเ่ กี่ยวกับความสงบ
เรียบร้อย แม้ไม่มคี ่คู วามฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มอี านาจหยิบยกขึน้ วินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง
ประกอบมาตรา 225
ฎ.693/2559 โจทก์ฟ้ องว่าจาเลยที่ 1 ก่อให้ผู้อ่นื กระทาความผิดด้วยการโฆษณาหรือประกาศแก่ บุคคล
ทัวไปให้
่ กลุ่มคนชมรม ค. กระทาความผิดในคดีน้ี โดยบรรยายครบองค์ประกอบความผิดในแต่ละข้อหา จึงเป็ นฟ้อง
ทีช่ อบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว โดยหาจาต้องระบุตวั บุคคลผูถ้ ูกใช้หรือลงมือกระทาความผิดไม่
ฎ.12082/2557 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจาเลยทัง้ สองร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดนิ ของผู้เสียหายโดยไม่ได้รบั
อนุ ญาตและไม่มเี หตุอนั สมควร แล้วร่วมกันตัดต้นแสมของผู้เสียหาย และมีคาขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจาเลยทัง้ สอง
ตาม ป.อ. มาตรา 83, 358, 362, 365 แม้ในคาฟ้องจะไม่ได้บรรยายมาด้วยว่าเป็ นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์อนั
เป็ นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยปกติสุขก็ตาม แต่ในคาฟ้องระบุว่ามีการเข้าไปตัด
ฟนั ต้นแสม ย่อมมีความหมายบ่งชี้ชดั อยู่ในตัวแล้วว่าเป็ นการเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของ
โจทก์ร่วมโดยปกติสุขอยู่แล้ว ซึ่งจาเลยทัง้ สองเข้าใจข้อหาได้ด ี ฟ้องโจทก์จงึ ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ.
มาตรา 362 ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
ฎ.4976/2556 ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายสถานะทีซ่ ง่ึ เกิดการกระทาความผิดว่าเหตุเกิดทีใ่ ด จึงไม่ชอบด้วย ป.
่ โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องหรือไม่ประทับฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง
วิ.อ. มาตรา 158 (5) แต่การทีจ่ ะสังให้
ก็ล่วงเลยที่จะปฏิบตั ไิ ด้เพราะศาลชัน้ ต้นดาเนินกระบวนพิจารณาไปจนเสร็จสิน้ แล้ว ศาลฎีกาจาต้องยกฟ้องโดยไม่
จาต้องพิจารณาปญั หาอื่น
ฎ.8931/2556 โจทก์บรรยายฟ้ องเกี่ยวกับความผิดฐานะกระทาชาเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยา
ของตนโดยร่วมกันกระทาความผิดด้วยกันอันมีลกั ษณะเป็ นการโทรมเด็กหญิงในข้อ 2.1 ว่าจาเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกัน
พาเด็กหญิง ด. อายุ 14 ปี เศษ (เกิดวันที่ 21 ธันวาคม 2536) ผูเ้ สียหายที่ 2 ซึ่งเป็ นบุคคลอายุยงั ไม่เกินสิบห้าไป
เพื่อการอนาจารแล้วจาเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันข่มขืนกระทาชาเราผูเ้ สียหายที่ 2 ซึง่ เป็ นเด็กอายุไม่กนิ 15 ปี และ
มิใช่ภริยาของจาเลยทัง้ สามโดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหายที่ 2 จนสาเร็จความใคร่ของ
จาเลยทัง้ สามโดยผู้เสีย หายที่ 2 ไม่ ย ิน ยอมด้ว ย ฟ้ องโจทก์ บ รรยายเฉพาะส่ ว นที่จ าเลยทัง้ สามร่ว มกัน กระท า
ความผิดเท่านัน้ ไม่ได้บรรยายถึงองค์ประกอบในส่วนทีเ่ ป็ นการโทรมเด็กหญิง แม้การบรรยายฟ้องไม่จาเป็ นต้องใช้
ถ้อยคาว่า “โทรมเด็กหญิง” ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสี่ ก็ตาม แต่โจทก์ก็ต้องบรรยายถึงองค์ประกอบดังกล่าว
คำพิพำกษำศำลฎีกำ วิ.อำญำ ภำค 3 : อ.ไพบูลย์ วนพงศ์ทิพำกร
-3-
มาตรา 159
ฎ.801/2558 ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคสอง บัญ ญัติให้ศ าลอ่ านและอธิบายฟ้ องให้จาเลยฟ งั และถามว่ า
จาเลยได้กระทาคามผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสูอ้ ย่างไรบ้าง เป็ นบทบัญญัตใิ นการเริม่ ต้นพิจารณาของศาลเพื่อให้
จาเลยเข้าใจฟ้องและสามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่และถูกต้อง มิใช่หมายความรวมถึงการที่โจทก์ย่นื คาร้องขอแก้
ฟ้องเพิม่ โทษจาเลยฐานไม่เข็ดหลายด้วย ดังนัน้ แม้ศาลชัน้ ต้นไม่ได้สอบว่าจาเลยเป็ นบุคคลเดียวกับจาเลยในคดีท่ี
โจทก์ของเพิม่ โทษตามคาร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์หรือไม่ ก็ไม่ทาให้การดาเนินกระบวนพิจารณาของศาลชัน้ ต้นไม่
ชอบ ทัง้ ข้อเท็จจริงทีว่ ่าจาเลยเป็ นบุคคลเดียวกับจาเลยในคดีทโ่ี จทก์ขอให้เพิม่ โทษหรือไม่ เป็ นข้อเท็จจริงทีโ่ จทก์ม ี
หน้ าทีน่ าสืบให้ปรากฏ เมื่อโจทก์มไิ ด้แถลงต่อศาลเพื่อขอสืบพยานในข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงฟงั ไม่ได้ว่าจาเลยเป็ น
บุคคลเดียวกันกับจาเลยในคดีทโ่ี จทก์ขอให้เพิม่ โทษ
ฎ.6846/2558 จาเลยกระท าผิด วัน ที่ 9 พฤษภาคม 2555 โจทก์บ รรยายฟ้ องว่ าก่ อ นคดีน้ี เมื่อ วันที่ 25
กรกฎาคม 2550 จาเลยเคยต้องคาพิพากษาถึงทีส่ ุดของศาลนี้ ให้ลงโทษจาคุก 3 ปี และปรับ 300,000 บาท ข้อหา
มียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่ อจาหน่ าย จาเลยกระทาความผิดคดีน้ีอนั เป็ นความผิดตาม
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ขึน้ อีก แม้ฟ้องโจทก์ระบุว่าจาเลยพ้นโทษเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2555 ก็ตาม
แต่กเ็ ป็ นที่ชดั แจ้งว่าเป็ นความผิดพลาดในการพิมพ์ ทัง้ จาเลยก็ให้การรับสารภาพและรับว่าเป็ นบุคคลคนเดียวกับ
จาเลยในคดีท่โี จทก์ขอให้เพิม่ โทษ แสดงว่าจาเลยมิได้หลงต่อสู้และเข้าใจมาตลอดว่าจาเลยกระทาความผิดคดีน้ี
ภายในห้าปีนบั แต่วนั พ้นโทษ กรณีจงึ ต้องเพิม่ โทษจาเลยกึง่ หนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97
มาตรา 161
ฎ.4744/2560 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) บัญ ญั ติว่า “ฟ้องต้องทาเป็ นหนังสือ และมี... (7) ลายมือชื่อ
โจทก์ ผูเ้ รือ่ ง ผูเ้ ขียน หรือพิมพ์ฟ้อง” ซึง่ การยื่นฟ้องตาม ป.วิ.อ. ไม่ว่าจะเป็ นกรณีท่พี นักงานอัยการหรือราษฎรยื่น
ฟ้ องก็ ต าม จะต้ อ งยื่น ฟ้ องตามแบบที่ก ฎหมายก าหนด กล่ าวคือ ต้ อ งท าเป็ น หนั ง สือ และต้ อ งมีข้อ ความหรือ
รายละเอียดตามทีร่ ะบุไว้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (1) ถึง (7) จึงจะเป็ นฟ้องทีถ่ ูกต้อง แต่ตามฟ้องโจทก์คงปรากฏแต่
เพียงลายมือชื่อโจทก์ ท้ายฟ้องและผูเ้ ขียนหรือผูพ้ มิ พ์ฟ้อง โดยโจทก์ไม่ได้ลงชื่อผูเ้ รียงฟ้อง ฟ้องของ ป.วิ.อ. มาตรา
่ ให้โจทก์แก้ไขให้ถูกต้องหรือ ยกฟ้อง หรือไม่ประทับฟ้องได้ แต่ถ้าศาลชัน้ ต้นสังประทั
161 สังให้ ่ บฟ้องและดาเนิน
กระบวนพิจารณาจนคดีขน้ึ มาสู่ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 แล้ว การที่ จะสังให้ ่ โจทก์แก้ฟ้องให้ ถกู ต้ องหรือไม่ประทับ
ฟ้ องตาม ป.วิ .อ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ ง ย่อมล่วงเลยเวลาที่ จะปฏิ บตั ิ ได้ เพราะศาลชัน้ ต้ นได้สงประทั ั่ บฟ้ อง
และดาเนิ นกระบวนพิ จารณาจนเสร็จสิ้ นแล้ว ทัง้ กรณีดงั กล่าวไม่เข้าเหตุตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ที่ศาล
อุทธรณ์ ภาค 1 จะสังให้ ่ ศาลชัน้ ต้นทาการพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 ย่อมไม่มวี ธิ ปี ฏิบตั ิ
เป็ นประการอื่นนอกจากต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์เสีย
ฎ.15243/2557 คาฟ้องไม่มลี ายมือชื่อโจทก์ทงั ้ สองเป็ นฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อมีการยื่นคาร้อง
ขอแก้ไขฟ้องโดยลงลายมือชื่อโจทก์ทงั ้ สองมาในส่วนของคาขอท้ายฟ้องก่อนวันนัดไต่สวนมูลฟ้องและศาลชัน้ ต้นมี
คาสังอนุ
่ ญาต ดังนี้ กรณีถอื ได้ว่าศาลชัน้ ต้นได้สงโจทก์
ั่ ให้ แก้ฟ้องให้ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง จน
เห็นได้ว่าเป็ นฟ้องถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
คำพิพำกษำศำลฎีกำ วิ.อำญำ ภำค 3 : อ.ไพบูลย์ วนพงศ์ทิพำกร
-5-
มาตรา 162
ฎ.5135/2554 (ประชุมใหญ่) ในคดีก่อนศาลชัน้ ต้นมีคาสังประทั ่ บฟ้องของโจทก์ไว้พจิ ารณาแล้ว เมื่อโจทก์
ยืน่ คาร้องขอแก้ฟ้องโดยอาศัย ป.วิ.อ. มาตรา 163 วรรคแรก ศาลชัน้ ต้นจะต้องพิจารณาคาร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์
ก่อนว่ามีเหตุอนั ควรอนุ ญาตหรือไม่ แล้วจึงดาเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แต่ศาลชัน้ ต้นกลับวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์
มิได้บรรยายถึงวันเวลาทีจ่ าเลยกระทาความผิด จาเลยไม่อาจต่อสูค้ ดีได้ ฟ้องโจทก์จงึ ไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.
วิ.อ. มาตรา 158 (5) โดยมิได้มคี าสังเกี ่ ่ ยวกับ ค าร้อ งขอแก้ ฟ้ องของโจทก์เสีย ก่ อ น จึงเป็ น การด าเนิ น กระบวน
พิจารณาทีไ่ ม่เป็ นไปตามลาดับขัน้ ตอนของกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าศาลชัน้ ต้นมีคาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิด
ซึง่ ได้ฟ้องแล้ว โจทก์จงึ มีสทิ ธิฟ้องจาเลยในคดีน้ไี ด้โดยไม่ตอ้ งห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
ฎ.1688-1689/2557 การขอแก้ หรือเพิ่ มเติ มฟ้ องตาม พ.ร.บ.จัดตัง้ ศาลทรัพย์สนิ ทางปญั ญาและการค้า
ระหว่างประเทศและวิธพี จิ ารณาคดีทรัพย์สนิ ทางปญั ญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ
ป.วิ.อ. มาตรา 163 วรรคหนึ่ง นัน้ จะต้องปรากฏว่าฟ้ องเดิ มเป็ นฟ้ องที่สมบูรณ์ ตามกฎหมายมาแต่แรก โจทก์
จึงจะขอแก้หรือเพิ่ มเติ มฟ้ องได้ เมื่อคาฟ้องของโจทก์ขาดองค์ประกอบของความผิดอันเป็ นคาฟ้องทีไ่ ม่ชอบด้วย
กฎหมายดังได้วนิ ิจฉัยมาข้างต้น โจทก์จงึ ไม่อาจขอแก้หรือเพิม่ เติมฟ้องได้
ฎ.3071/2559 ฟ้องโจทก์มไิ ด้มลี ายมือชื่อโจทก์ เป็ นฟ้องไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) ตัง้ แต่ต้น การ
ทีท่ นายโจทก์ขอแก้ฟ้องโดยจะนาตัวโจทก์มาลงลายมือชื่อในฟ้องเป็ นการแก้ฟ้องทีไ่ ม่ชอบด้วยกฎหมายให้เป็ นฟ้อง
ทีช่ อบด้วยกฎหมาย ทัง้ เป็ นกรณีถอื ว่าทาให้จาเลยเสียเปรียบในการต่อสูค้ ดี ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 164 แล้ว จึงไม่ม ี
เหตุอนั ควรทีศ่ าลจะอนุ ญาตให้โจทก์แก้ฟ้องและต้องยกฟ้องโจทก์
ฎ.11066/2558 คดีแ พ่ งเกี่ยวเนื่ อ งกับ คดีอ าญานัน้ หมายถึงคดีท่ีการกระท าผิด อาญานัน้ ก่ อ ให้เกิดสิท ธิ
เรีย กร้อ งทางแพ่ งติด ตามมาด้ว ย เมื่อ ศาลชัน้ ต้ น ไต่ ส วนมูล ฟ้ องคดีส่ ว นอาญาแล้ว มีค าสัง่ ให้ ป ระทับ ฟ้ องและ
หมายเรียกจาเลยแก้คดีย่อมเป็ นการสังรั ่ บฟ้องคดีส่วนอาญาและคาฟ้องคดีส่วนแพ่งด้วยโดยไม่จาต้องสังรั ่ บฟ้องคดี
ส่วนแพ่งอีก ดังนี้ ในการฟ้องคดีแพ่งเกีย่ วเนื่องกับคดีอาญาโจทก์จงึ ต้องฟ้องคดีแพ่งมาพร้อมกับคดีอาญาตัง้ แต่แรก
แต่คดีน้ีโจทก์ย่นื ฟ้องเฉพาะคดีในส่วนอาญาจนศาลชัน้ ต้นมีคาสังประทั ่ บฟ้องและจาเลยให้การต่อสูค้ ดีแล้วโจทก์จงึ
มายืน่ คาร้องขอเพิม่ เติมฟ้องให้จาเลยรับผิดคดีในส่วนแพ่ง ซึง่ การขอเพิม่ เติมฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 164 ประกอบ
พ.ร.บ.จัดตัง้ ศาลแขวงและวิธพี จิ ารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 นัน้ ฟ้องเดิมจะต้องสมบูรณ์อยู่
แล้ว เมื่อโจทก์ฟ้องจาเลยเฉพาะคดีอาญาแล้วต่อมาได้ย่นื คาร้องขอเพิม่ เติมฟ้องโดยขอให้จาเลยรับผิดในทางแพ่ง
โดยอ้างว่าโจทก์ต้องจ่ายเงินให้แก่บริษทั บ. ห้างหุ้นส่วนจากัด ห. และนาย ท. จาเลยจึงต้องคืนเงิ นพร้อมดอกเบี้ย
ให้โจทก์ ดังนี้คาร้องขอเพิม่ เติมฟ้องดังกล่าวถือได้ว่าเป็ นการกล่าวอ้างความรับผิดทางแพ่งของจาเลยขึน้ มาใหม่
โจทก์จะมาขอเพิม่ เติมฟ้องเช่นนี้ไม่ได้
-------------------------------------------------------------------
การไต่สวนมูลฟ้อง
มาตรา 165
ฎ.6638/2559 เอกสารที่ทนายจาเลยใช้ประกอบถามค้านพยานโจทก์ในชัน้ ไต่ สวนมูล ฟ้อ ง พยานโจทก์
ตรวจดูและรับรองความถูต้องบ่างสวน ทัง้ เป็ นเอกสารราชการทีม่ เี จ้าหน้าทีร่ บั รองความถูกต้องแล้ว จาเลยชอบทีจ่ ะ
ส่งศาลประกอบการถามค้านได้ ไม่ถอื ว่าเป็ นเรื่องที่จาเลยนาพยานหลักฐานเข้าสืบในชัน้ ไต่สวนมูลฟ้อง ดังนี้ ศาล
ย่อมรับฟงั ประกอบการพิจารณาได้
ฎ.10569/2558 การฟ้องคดีอาญาต่อบริษทั จากัดซึง่ เป็ นนิตบิ ุคคล ต้องมีกรรมการผู้อานาจกระทาการแทน
บริษทั ซึง่ เป็ นผูแ้ ทนบริษทั จึงจะดาเนินคดีได้ ขณะยื่นฟ้ อง ส. เป็ นกรรมการผู้มีอานาจกระทาการแทนจาเลยที่
1 โจทก์จึงต้ องนาตัว ส. มาส่งศาลชัน้ ต้ นพร้อมกับฟ้ อง โจทก์ไม่ได้นาตัว ส. มาศาลต้ องถือว่าจาเลยที่ 1 ไม่
มีตวั อยู่อย่างสมบูรณ์ ตามกฎหมายและต้ องถือว่าโจทก์ไม่มีตวั จาเลยที่ 1 มาศาลในวันฟ้ องด้วย การทีศ่ าล
ชัน้ ต้นประทับรับฟ้องโจทก์สาหรับจาเลยที่ 1 จึงเป็ นการไม่ชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 165 วรรคหนึ่ง และทาให้การ
ดาเนินกระบวนพิจารณาสาหรับจาเลยที่ 1 หลังจากนัน้ เป็นการไม่ชอบด้วย
ฎ.7411/2556 พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผูต้ ดิ ยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 33 วรรคสอง บัญญัตวิ ่า ในกรณีท่ี
ผูเ้ ข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผูต้ ดิ ยาเสพติด ผูใ้ ดแม้จะได้รบั การฟื้นฟูสมรรถภาพผูต้ ดิ ยาเสพติดจนครบกาหนดตาม
มาตรา 25 แล้ว แต่ผลการฟื้นฟูสมรรถภาพผูต้ ดิ ยาเสพติดยังไม่เป็ นทีพ่ อใจ ให้คณะอนุ กรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้
ติดยาเสพติดรายงานความเห็นไปยังพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณี เพื่อประกอบการพิจารณา
ดาเนินคดีผนู้ นั ้ ต่อไปและให้นามาตรา 22 วรรคสี่ ซึง่ เป็ นบทบัญญัตใิ ห้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมารับ
ตัวผู้ต้องหาไปในทันทีท่สี ามารถกระทาได้ มาบังคับใช้โดยอนุ โลม คดีนี้พนักงานสอบสวนนาตัวจาเลยไปศาล
ตัง้ แต่ วนั ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2555 ศาลมี ค าสังให้่ ส่ งตัวจาเลยไปตรวจพิ สูจน์ การเสพหรือการติ ดยาเสพติ ด
ต่อมาวันที่ 2 มีนาคม 2555 สานักงานคุมประพฤติจงั หวัดน่ านมีหนังสือรายงานผลการฟื้นฟูสมรรถภาพผูต้ ดิ ยาเสพ
ติดและแจ้งคาวินิจฉัยคณะอนุ กรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผูต้ ดิ ยาเสพติดจังหวัดน่ านว่า การฟื้ นฟูดงั กล่าวไม่น่าจะ
ใช้ ได้ และไม่เป็ นประโยชน์ สาหรับจาเลย กรณี ถือว่าการฟื้ นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติ ดยังไม่เป็ นที่ พอใจ
ทัง้ ปรากฏจากรายงานการผัดฟ้ องจาเลยครัง้ ที่ 1 ซึ่งพันตารวจโท ท. บันทึ กว่า ในวันที่ 12 เมษายน 2555 จะ
นาตัวจาเลยมาศาลเพื่อผัดฟ้ องต่ อไป แสดงให้ เห็นว่า ในระยะเวลาดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน
โจทก์จึงไม่มีอานาจฟ้ องจาเลยโดยไม่นาตัวจาเลยมาศาล ดังนัน้ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2555 โจทก์ย่นื ฟ้องคดี
นี้โดยไม่มตี วั จาเลยมาศาล จึงขัดต่อบทบัญญัติ ป.วิ.อ. มาตรา 165 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัว ฯ
มาตรา 6
ฎ.353/2556 ในชัน้ ไต่สวนมูลฟ้องจาเลยทัง้ สองยังไม่อยู่ในอานาจของศาลจนกว่าศาลจะมีคาสังประทั ่ บฟ้อง
ไว้พจิ ารณา การทีศ่ าลชัน้ ต้นหมายแจ้งวันไต่สวนมูลฟ้องให้จาเลยทัง้ สองทราบ จาเลยทัง้ สองมีสทิ ธิทจ่ี ะไม่มาศาลใน
วันนัดได้เพราะหมายเรียกเป็ นเพียงหมายแจ้งให้จาเลยทัง้ สองทราบวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง แม้จาเลยทัง้ สองได้รบั
หมายและมาฟงั การพิจารณาของศาลในชัน้ ไต่สวนมูลฟ้อง ก็ยงั ไม่ถอื ว่าจาเลยทัง้ สองเข้ามาอยู่ในอานาจศาลแล้ว
คำพิพำกษำศำลฎีกำ วิ.อำญำ ภำค 3 : อ.ไพบูลย์ วนพงศ์ทิพำกร
-8-
จึง ไม่ ถือ ว่ าโจทก์ ฟ้ องและได้ ต ัว ผู้ก ระท าความผิด มายัง ศาลภายในอายุ ค วามตาม ป.อ. มาตรา 95 (2) จะน า
บทบัญญัตใิ นทางแพ่งเรือ่ งอายุความสะดุดหยุดลงเมื่อฟ้องคดีมาใช้บงั คับไม่ได้ เพราะ ป.อ. มาตรา 95 บัญญัตเิ รือ่ ง
อายุความโดยเฉพาะแล้ว
มาตรา 166
ฎ.7846/2559 โจทก์ ย่ นื ฟ้ องจาเลยวัน ที่ 21 พฤษภาคม 2558 ศาลชัน้ ต้น มีค าสังในฟ ่ ้ องของโจทก์ว ัน
เดียวกันว่า ประทับฟ้อง สาเนาให้จาเลย จาเลยถูกควบคุมตัวอยู่ในสถานพินิจและคุม้ ครองเด็กและเยาวชน เบิกตัว
จาเลยมาสอบคาให้การพร้อมผูป้ กครองในวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 แจ้งสถานพินิจฯ และผูป้ กครองทราบ ครัง้ ถึง
วันนัดสอบคาให้การจาเลยคงมีแต่จาเลยผู้ปกครอง และที่ปรึกษากฎหมายของจาเลยมาศาล ส่วนโจทก์ไม่มาศาล
ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชัน้ ต้นว่า ได้ให้เจ้าหน้ าทีห่ น้าบัลลังก์โทรศัพท์ตดิ ต่อไปยังสานักงาน
ของโจทก์ แจ้งให้โจทก์มาศาลแล้ว แต่รอจนกระทังเวลา ่ 16.30 น. โจทก์ก็ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขดั ข้อง ศาล
ชัน้ ต้นจึงพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อง มาตรา 181 ประกอบ มาตรา 166
หมายเหตุ : เมื่อโจทก์ย่นื ฟ้องต่ อศาลและศาลได้มคี าสังในวั
่ นเดียวกัน โดยกาหนดวันนัดสอบคาให้การ
จาเลย กรณีเช่นนี้ยอ่ มถือว่าโจทก์ทราบคาสังศาลชั
่ น้ ต้นในวันดังกล่าวแล้ว ศาลชัน้ ต้นไม่จาต้องแจ้งคาสังดั
่ งกล่าวให้
โจทก์ทราบหรือมีหมายแจ้งวันนัดให้โจทก์ทราบอีก
ฎ.10383/2559 ศาลชัน้ ต้นนับสืบพยานโจทก์ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2558 ตัง้ แต่เวลา 9.30 น. ถึง 16.30
น. แต่โจทก์เข้าใจผิดว่าศาลชัน้ ต้นนัดสืบพยานโจทก์ตงั ้ แต่เวลา 13.30 น. ถึง 16.30 น. เมื่อถึงเวลานัดสืบพยาน
โจทก์เวลา 9.30 น. โจทก์ไม่มาศาล จาเลยจึงยื่นคาร้องขอให้ศาลยกฟ้อง ศาลชัน้ ต้นมีคาสังเมื ่ ่อเวลา 12.30 น. ว่า
โจทก์ไม่มาศาลตามกาหนดนัด โดยไม่มเี หตุสมควร ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎกี าขอให้ยกคดีขน้ึ พิจารณาใหม่ เห็นว่า
เมื่อคู่ความนาคดีมาสู่ศาลแล้วก็มหี น้าทีต่ ้องมาศาลตามกาหนดนัด หากมีความจาเป็ นจนมิอาจมาศาลได้กต็ ้องแจ้ง
ให้ศ าลทราบถึงเหตุ จาเป็ น ดังกล่ าว แม้ในวัน นัดสืบ พยานโจทก์ โจทก์จ ะอยู่ท่ีศ าลชัน้ ต้น แต่ โจทก์ ก็อ ยู่ในห้อ ง
พิจารณาคดีอ่นื โดยไม่ได้ไปแสดงตัวต่อเจ้าหน้ าที่ศาลในห้องพิจารณาคดีน้ีเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มาศาลตาม
กาหนดนัดแต่ตดิ ว่าความในห้องพิจารณาคดีอ่นื และไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าหน้าทีศ่ าลทีจ่ ะต้องประกาศเสียงตามสาย
เรียกโจทก์หรือติดตามโจทก์เข้ามาในฟ้องพิจารณาคดีเพื่อดาเนินคดีน้ี แม้จะฟงั ว่าโจทก์อยู่ในฟ้องพิจารณาคดีอ่นื
เมื่อเวลา 10 นาฬิกา ก็ไม่ใช่เป็ นการมาศาลในคดีน้ีตามกาหนดนัดของศาลชัน้ ต้น ความเข้าใจผิดของโจทก์เป็ น
ความผิดพลาดบกพร่องของโจทก์เอง กรณีไม่มเี หตุสมควรทีจ่ ะยกคดีขน้ึ พิจารณาใหม่
มาตรา 167
ฎ.1268/2558 ในชัน้ ไต่สวนมูลฟ้องนัน้ ป.วิ.อ. มาตรา 167 บัญญัตวิ ่า “ถ้าปรากฏว่าคดีมมี ลู ให้ศาลประทับ
ฟ้องไว้พจิ ารณาต่อไปเฉพาะกระทงทีม่ มี ลู ถ้าคดีไม่มมี ลู ให้พพิ ากษายกฟ้อง” และมาตรา 170 วรรคหนึ่ง บัญญัตวิ ่า
“คาสังของศาลที
่ ใ่ ห้คดีมมี ลู ย่อมเด็ดขาด แต่คาสังที
่ ว่ ่าคดีไม่มมี ลู นัน้ โจทก์มอี านาจอุทธรณ์ฎกี าได้ตามบทบัญญัตวิ ่า
ด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎกี า” ดังนัน้ เมื่อปรากฏว่าศาลชัน้ ต้นมีคาสังว่ ่ าคดีโจทก์มมี ูลและให้ประทับฟ้องสาหรับข้อหา
ดังกล่าวแล้ว ศาลชัน้ ต้นจะต้องดาเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามขัน้ ตอนในชัน้ พิจารณา ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงไม่
คำพิพำกษำศำลฎีกำ วิ.อำญำ ภำค 3 : อ.ไพบูลย์ วนพงศ์ทิพำกร
-9-
มาตรา 170
ฎ.1664/2559 ส่วนคดีโจทก์สาหรับจาเลยที่ 3 โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายว่า แม้ขอ้ เท็จจริงตามทางไต่สวนมูล
ฟ้องแตกต่างจากฟ้องก็มใิ ช่ขอ้ แตกต่างในสาระสาคัญและจาเลยมิได้หลงต่อสู้ ชัน้ ไต่สวนมูลฟ้องศาลมีอานาจใช้ ป.
วิ.อ. 192 ได้นนั ้ เมื่อข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนมูลฟ้องฟงั ไม่ได้ว่าจาเลยที่ 3 กระทาความผิดฐานฉ้อโกง คดีจงึ ไม่ม ี
ข้อเท็จจริงที่จะนาไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายตามที่โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาไม่รบั วินิจฉัยให้ แม้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา
170 บัญญัตวิ ่าคาสังของศาลที
่ ใ่ ห้คดีมมี ลู ย่อมเด็ดขาด ซึง่ หมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎกี าโต้แย้งคาสังศาลชั
่ น้ ต้น
ทีใ่ ห้คดีมมี ลู ได้ แต่หากคดีขน้ึ สู่การพิจารณาของศาลฎีกา และศาลฎีกาเห็นว่าการกระทาของจาเลยที่ 3 ตามทางไต่
สวนมูลฟ้องไม่เป็ นความผิดฐานฉ้อโกง ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง
ฎ.4932/2557 คดีทศ่ี าลชัน้ ต้นไต่สวนมูลฟ้องและมีคาสังว่
่ าคดีมมี ลู ให้ประทับรับฟ้องแล้ว คาสังดั
่ งกล่าวย่อม
เป็นเด็ดขาด ต้องให้ศาลชัน้ ต้นพิจารณาและพิพากษาต่อไปตามรูปคดี ทัง้ นี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 170 วรรคหนึ่ง การ
ที่ศาลอุทธรณ์ หยิบยกขึ้นพิจารณาและวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีโดยมิให้ศาลชัน้ ต้นได้สบื พยานแล้วพิจารณาและ
พิพากษาเสียก่อนตามลาดับชัน้ ศาล ย่อมไม่มเี หตุอนั สมควรและไม่ถูกต้อง
------------------------------------------------
การพิจารณาในศาลชัน้ ต้น
มาตรา 172
บฟ้องคดีโจทก์ไว้พจิ ารณา ศาลชัน้ ต้นมีหน้ าที่อ่านและอธิบาย
ฎ.6007/2557 เมื่อศาลชัน้ ต้นมีคาสังประทั
่
ฟ้องให้จาเลยฟงั และถามว่าจาเลยกระทาความผิดหรือไม่ จะให้การต่อสูอ้ ย่างไรบ้าง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรค
สอง คดีน้โี จทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่ง ศาลชัน้ ต้นอ่านและอธิบายฟ้อง
ให้จาเลยฟงั แล้ว จาเลยให้การรับสารภาพ ศาลชัน้ ต้นต้องสอบถามด้วยว่าจาเลยจะให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์
หรือรับของโจร แล้วพิพากษาลงโทษจาเลยในความผิดนัน้ แต่ ศาลชัน้ ต้นมิได้สอบถามให้ชดั แจ้งกลับพิพากษา
ลงโทษจาเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจาเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานดังกล่าว
การดาเนินกระบวนพิจารณาของศาลชัน้ ต้นในส่วนนี้จงึ ไม่ชอบ และมีผลให้กระบวนพิจารณาถัดมา ตลอดจนคา
พิพากษาศาลชัน้ ต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงไม่ชอบไปด้วย
ฎ.3865/2557 คดีน้ี เมื่อ ศาลชัน้ ต้ นมีค าสังประทั
่ บฟ้ องคดีโจทก์ไว้พ ิจารณา ศาลชัน้ ต้น มีห น้ าที่อ่ านและ
อธิบายฟ้องให้จาเลยฟงั และถามว่าจาเลยกระทาความผิดหรือไม่ จะให้การต่อสูอ้ ย่างไรบ้างตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172
วรรคสอง คดีน้ีโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่ง ศาลชัน้ ต้นอ่านและอธิบาย
ฟ้องให้จาเลยฟงั แล้ว จาเลยให้การรับสารภาพ ศาลชัน้ ต้นก็ต้องสอบถามด้วยว่าจาเลยจะให้การรับสารภาพฐานลัก
ทรัพย์หรือรับของโจร แล้วพิพากษาลงโทษจาเลยในฐานความผิดนัน้ แต่ศาลชัน้ ต้นมิได้สอบถามให้ชดั แจ้งกลับ
พิพากษาลงโทษจาเลยฐานลักทรัพย์ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจาเลยให้การรับสารภาพในฐานความผิดดังกล่าว
การดาเนินกระบวนพิจารณาของศาลชัน้ ต้นในส่วนนี้จงึ ไม่ชอบ และมีผลให้กระบวนพิจารณาถัดมาตลอดจ นค า
พิพากษาของศาลชัน้ ต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 จึงไม่ชอบไปด้วย
สังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมในการถามปากคาผู้เสียหายด้วย มีการบันทึกภาพและเสียงการถาม
ปากคาผูเ้ สียหายดังกล่าวออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่องไว้เป็นพยาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 133 ทวิ ซึง่ การทีไ่ ม่ได้ตวั
ผู้เสียหายมาเบิกความเพราะมีเหตุจาเป็ นอย่างยิง่ ศาลย่อมรับฟงั สื่อภาพและเสียงคาให้การของผู้เสียหายในชัน้
สอบสวนดังกล่าวได้เสมือนหนึ่งเป็ นคาเบิกความของผู้เสียหายในชัน้ พิจารณาของศาลประกอบพยานหลักฐานอื่น
ของโจทก์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 ตรี วรรคท้าย และมาตรา 226/3 วรรคสอง (2)
มาตรา 173
ฎ.8287/2559 เจตนารมณ์ของ ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคสอง เพื่อให้จาเลยมีทนายความช่วยเหลือในการ
ต่อสูค้ ดีทม่ี อี ตั ราโทษจาคุก แม้ปรากฏว่าก่อนศาลชัน้ ต้ นอ่านและอธิ บายฟ้ องให้ จาเลยฟั งและสอบคาให้ การ
จาเลย ศาลชัน้ ต้ นไม่ได้ ถามจาเลยว่ ามีทนายความหรือไม่ แต่ ในวันนั ดฟั งคาพิ พากษา จาเลยได้ แต่ งตัง้
ทนายความ และทนายจาเลยก็ได้ทาหน้ าที่ ทนายจาเลยตลอดมาจนศาลชัน้ ต้นมีคาพิ พากษาโดยไม่ปรากฏ
ว่ าจาเลยเสี ยเปรีย บในเชิ งคดี ทัง้ จาเลยก็มิได้ เปลี่ ย นแปลงค าให้ การของจาเลยแต่ ประการใด ถือ ได้ว่า
จาเลยยังคงให้การรับสารภาพ คดีจงึ ไม่มเี หตุจาเป็นต้องย้อนสานวนไปให้ศาลชัน้ ต้นสอบจาเลยเรือ่ งทนายความ
ฎ.10744/2559 คดีมอี ตั ราโทษจาคุก ก่อนศาลชัน้ ต้นสอบถามคาให้การของจาเลยที่ 1 ศาลชัน้ ต้นได้ถาม
จาเลยที่ 1 ว่า จาเลยที่ 1 มีทนายความและต้องการทนายความหรือไม่ จาเลยที่ 1 แถลงว่าไม่มแี ละไม่ต้องการ
ทนายความ แล้วให้การรับสารภาพ การดาเนินกระบวนพิจารณาของศาลชัน้ ต้นในขัน้ ตอนสอบถามคาให้การของ
จาเลยที่ 1 ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคสองแล้ว
ฎ.4923/2557 บทบัญญัตเิ รื่องละเมิดอานาจศาลเป็ นกฎหมายพิเศษที่ศาลมีอานาจค้นหาความจริงได้โดย
การไต่สวนและไม่จาต้องกระทาต่อหน้าจาเลยดังเช่นการพิจารณาคดีอาญาทัวไป ่ จึงไม่อาจนาประมวลกฎหมายวิธ ี
พิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสอง มาใช้บงั คับได้ ศาลไม่จาต้องสอบถามผูถ้ ูกกล่าวหาในคดีละเมิดอานาจ
ศาลเรื่องทนายความและตัง้ ทนายความให้ แม้ศาลชัน้ ต้นจะแต่งตัง้ ผูร้ อ้ งให้เป็ นทนายความของผูถ้ ูกกล่าวหาทัง้ สาม
และผู้รอ้ งได้ทาหน้าที่ทนายความให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาจนศาลชัน้ ต้นมีคาสัง่ ก็ไม่มผี ลกระทบต่อการไต่สวนคดีของ
ศาลชัน้ ต้นทีด่ าเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย
ไม่มบี ทบัญญัตขิ องกฎหมายใดให้ศาลชัน้ ต้นตัง้ ทนายความให้แ ก่ผถู้ ูกกล่าวหาในคดีละเมิดอานาจศาล และ
คณะกรรมการบริหารศาลยุตธิ รรมไม่ได้ออกระเบียบให้ทนายความของผูถ้ ูกกล่าวหาในคดีละเมิดอานาจศาลมีสทิ ธิ
ได้รบั เงินรางวัลและค่าใช้จ่าย ผู้รอ้ งซึ่งศาลชัน้ ต้นขอแรงให้เป็ นทนายความของผู้ถูกกล่าวหาทัง้ สามในคดีละเมิด
อานาจศาลไม่มสี ทิ ธิได้รบั ค่าทนายความ ตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสาม
ฎ.2840/2555 ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคหนึ่ง บัญ ญัติว่า “ในคดีท่ีมอี ัต ราโทษประหารชีว ิต หรือ ในคดีท่ี
จาเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปี ในวันทีถ่ ูกฟ้องต่อศาล ก่อนเริม่ พิจารณาให้ศาลถามจาเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้า
ไม่มกี ็ให้ศาลตัง้ ทนายความให้” และวรรคสอง บัญญัตวิ ่า “ในคดีท่มี อี ตั ราโทษจาคุก ก่อนเริม่ พิจารณาให้ศาลถาม
จาเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มแี ละจาเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตัง้ ทนายความให้ ” บทบัญญัตดิ งั กล่าว
มีเจตนารมณ์เพื่อให้จาเลยมีทนายความช่วยเหลือในการต่อสูค้ ดีทเ่ี ป็ นความผิดอุกฉกรรจ์มอี ตั ราโทษประหารชีวติ
หรือจาคุก อันเป็ นการเปิ ดโอกาสให้จาเลยสามารถต่อสูค้ ดีได้อย่างเต็มที่ แม้การริบทรัพย์เป็ นโทษทางอาญาอย่าง
คำพิพำกษำศำลฎีกำ วิ.อำญำ ภำค 3 : อ.ไพบูลย์ วนพงศ์ทิพำกร
- 12 -
มาตรา 176
่ โจทก์ฟ้ องจาเลยที่ 2 เข้ามาใหม่ โดยให้จาหน่ ายคดีชวคราวเฉพาะ
ฎ.8286/2559 ศาลชัน้ ต้นมีค าสังให้ ั่
จาเลยที่ 2 และจาหน่ายคดีเด็ดขาดเมื่อโจทก์ฟ้องหรือไม่ฟ้องภายในเวลาทีศ่ าลกาหนด จึงไม่มคี ดีของจาเลยที่ 2 ใน
ระหว่างพิจารณาที่จาเลยที่ 2 จะอุทธรณ์คาสังขอให้
่ รวมการพิจารณาคดี คาสังขอขยายระยะเวลาอุ
่ ทธรณ์ หรือคา
พิพากษาของศาลชัน้ ต้นได้ จาเลยที่ 2 จึงไม่มสี ทิ ธิอุทธรณ์ คาสังและค
่ าพิพากษาดังกล่าว การที่ศ าลชัน้ ต้นสังรั
่ บ
อุทธรณ์ ของจาเลยที่ 2 และศาลอุทธรณ์ ภาค 6 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจาเลยที่ 2 จึงเป็ นการไม่ชอบ และไม่ก่อสิทธิ
ให้แก่จาเลยที่ 2 ทีจ่ ะฎีกา
ฎ.4526/2559 โจทก์ไม่ได้นาสืบให้เห็นว่าองค์เทพเจ้ากิมอ้วงเอีย๊ ะ องค์เทพเจ้าเตียงง่วยส่วย องค์เทพซาไซ
ส่วยพร้อมอุปกรณ์เป็ นวัตถุในทางศาสนาพุทธหรือศาสนาใด เพราะเหตุใด และมีความเกี่ยวข้องกับทางศาสนาพุทธ
หรือศาสนาใด เพราะเหตุใด อย่างไร จึงรับฟงั ไม่ได้ว่าองค์เทพเจ้าทัง้ สามองค์พร้อมอุปกรณ์เป็ นวัตถุในทางศาสนา
แม้จาเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง แต่ความผิดฐานรับของโจรโดยมีเหตุฉกรรจ์
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสาม กฎหมายกาหนดอัตราโทษอย่างต่ าไว้ให้จาคุกตัง้ แต่หา้ ปีขน้ึ ไป
ศาลต้ อ งฟ งั พยานหลัก ฐานโจทก์ จนกว่ าจะพอใจว่ าจ าเลยที่ 1 ได้ก ระท าผิด จริงจึงจะลงโทษได้ ตามประมวล
กฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟงั ไม่ได้ว่า องค์เทพเจ้าทัง้ สามพร้อม
อุปกรณ์เป็ นวัตถุในทางศาสนาแล้ว ย่อมไม่อาจลงโทษจาเลยที่ 1 ในความผิดฐานรับของโจรโดยมีเหตุฉกรรจ์ ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสาม ได้
ฎ.1231/2559 ในการสืบพยานโจทก์ป ระกอบกับค ารับ สารภาพของจาเลย ศาลต้ อ งรับ ฟ งั พยานโจทก์
จนกว่าจะพอใจว่าจาเลยได้กระทาความผิดจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เมื่ออุทธรณ์ของจาเลยเป็ นการ
โต้แย้งคาพิพากษาศาลชัน้ ต้นว่า พยานโจทก์ท่นี าสืบประกอบคารับสารภาพของจาเลยไม่มนี ้ าหนักรับฟงั ลงโทษ
จาเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่นื ดังที่ศาลชัน้ ต้นวินิจฉัย จึงเป็ นอุทธรณ์ ในปญั หาข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นว่ากัน
มาแล้วโดยชอบในศาลชัน้ ต้น หาใช่เป็นการยกข้อเท็จจริงขึน้ ใหม่ในชัน้ อุทธรณ์ ซึง่ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225
วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ไม่ จาเลยจึงอุทธรณ์คาพิพากษาศาลชัน้ ต้นในความผิดดังกล่ าวได้
ฎ.12681/2558 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จาเลยลักสร้อยคอทองคาหนัก 3 บาท 1 เส้น พร้อมพระสมเด็จหลวง
พ่อโสธร 1 องค์ ของ อ. ผู้เสียหายไป โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็ นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทาผิด การพา
ทรัพย์นนั ้ ไป และเพื่อให้พน้ การจับกุม ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 335, 336 ทวิ ซึง่ ข้อหาความผิดตามฟ้องมิใช่
เป็ นคดีทม่ี อี ตั ราโทษอย่างต่ าจาคุกตัง้ แต่หา้ ปีขน้ึ ไปหรือโทษสถานทีห่ นักกว่านัน้ เมื่อศาลชัน้ ต้นสอบคาให้การ และ
จาเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ศาลชัน้ ต้นย่อมพิพากษาโดยไม่สบื พยานหลักฐานต่อไปได้ตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงย่อมรับฟงั เป็ นยุตไิ ด้ว่า จาเลยกระทาความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้
รถจักรยานยนต์เป็ นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทาผิด การพาทรัพย์นัน้ ไปและเพื่อให้พ้นการจับกุม ศาล
คำพิพำกษำศำลฎีกำ วิ.อำญำ ภำค 3 : อ.ไพบูลย์ วนพงศ์ทิพำกร
- 14 -
อุทธรณ์ภาค 2 จะยกเอาข้อเท็จจริงตามคาร้องขอฝากขังผูต้ ้องหาครัง้ ที่ 1 ลงวัน ที่ 15 มีนาคม 2557 มาฟงั ว่าจาเลย
ใช้ยานพาหนะในการเดินทางไปมาเท่านัน้ มิใช่ใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทาผิดหรือการพาทรัพย์นนั ้ ไป
มาเป็ นเหตุยกฟ้องในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ หาได้ไม่
ฎ.3701/2558 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 313 วรรคแรก ต้องระวางโทษ
จาคุกตัง้ แต่ 15 ถึง 20 ปี และปรับตัง้ แต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจาคุกตลอดชีวติ หรือประหารชีวติ เมื่อ
จาเลยให้การรับสารภาพ โจทก์มหี น้ าที่ต้องนาพยานหลักฐานมาสืบประกอบคาให้การรับสารภาพเพื่อพิสูจน์ ว่า
จาเลยได้กระทาความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามฟ้อง และศาลจะต้องฟ้องพยานหลักของโจทก์จนกว่าจะพอใจ
ว่ า จ าเลยกระท าความผิ ด ฐานเพื่ อ ให้ ไ ด้ ม าซึ่ ง ค่ า ไถ่ ต ามฟ้ องจริง จึง จะลงโทษได้ เมื่อ ศาลชัน้ ต้ น พิ จ ารณา
พยานหลักฐานทีโ่ จทก์นาสืบและพิพากษาลงโทษจาเลยฐานเพื่อให้ได้มาซึง่ ค่าไถ่ตามฟ้อง จาเลยอุทธรณ์ว่า จาเลย
ไม่มเี จตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เท่ ากับอ้างว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ท่นี าสืบฟงั ไม่ได้ว่าจาเลย
กระทาความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึง่ ค่าไถ่ มิใช่เป็ นการยกข้อเท็จจริงใหม่ในชัน้ อุทธรณ์ ซึง่ เป็ นข้อทีม่ ไิ ด้ยกขึน้ ว่ากัน
มาแล้วโดยชอบในศาลชัน้ ต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 การที่ศาลอุทธรณ์
ภาค 5 ไม่วนิ ิจฉัยอุทธรณ์ของจาเลยจึงไม่ชอบ
บฟ้องคดีโจทก์ไว้พจิ ารณา ศาลชัน้ ต้นมีหน้ าที่อ่านและอธิบาย
*ฎ.6007/2557 เมื่อศาลชัน้ ต้นมีคาสังประทั
่
ฟ้องให้จาเลยฟงั และถามว่าจาเลยกระทาความผิดหรือไม่ จะให้การต่อสูอ้ ย่างไรบ้าง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรค
สอง คดีน้โี จทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่ง ศาลชัน้ ต้นอ่านและอธิบายฟ้อง
ให้จาเลยฟงั แล้ว จาเลยให้การรับสารภาพ ศาลชัน้ ต้นต้องสอบถามด้วยว่าจาเลยจะให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์
หรือรับของโจร แล้วพิพากษาลงโทษจาเลยในความผิดนัน้ แต่ ศาลชัน้ ต้นมิได้สอบถามให้ชดั แจ้งกลับพิพากษา
ลงโทษจาเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจาเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานดังกล่าว
การดาเนินกระบวนพิจารณาของศาลชัน้ ต้นในส่วนนี้จงึ ไม่ชอบ และมีผลให้กระบวนพิจารณาถั ดมา ตลอดจนคา
พิพากษาศาลชัน้ ต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงไม่ชอบไปด้วย
ฎ.3865/2557 คดีน้ี เมื่อ ศาลชัน้ ต้ นมีค าสังประทั
่ บฟ้ องคดีโจทก์ไว้พ ิจารณา ศาลชัน้ ต้น มีห น้ าที่อ่ านและ
อธิบายฟ้องให้จาเลยฟงั และถามว่าจาเลยกระทาความผิดหรือไม่ จะให้การต่อสูอ้ ย่างไรบ้างตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172
วรรคสอง คดีน้ีโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่ง ศาลชัน้ ต้นอ่านและอธิบาย
ฟ้องให้จาเลยฟงั แล้ว จาเลยให้การรับสารภาพ ศาลชัน้ ต้นก็ต้องสอบถามด้วยว่าจาเลยจะให้การรับสารภาพฐานลัก
ทรัพย์หรือรับของโจร แล้วพิพากษาลงโทษจาเลยในฐานความผิดนัน้ แต่ศาลชัน้ ต้นมิได้สอบถามให้ชดั แจ้งกลับ
พิพากษาลงโทษจาเลยฐานลักทรัพย์ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจาเลยให้การรับสารภาพในฐานความผิดดังกล่าว
การดาเนินกระบวนพิจารณาของศาลชัน้ ต้นในส่วนนี้จงึ ไม่ชอบ และมีผลให้กระบวนพิจารณาถัดมาตลอดจนค า
พิพากษาของศาลชัน้ ต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 จึงไม่ชอบไปด้วย
ฎ.7735/2557 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยในข้อหาความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและใน
เคหสถานหรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่ง ศาลชัน้ ต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จาเลยฟงั แล้ว จาเลยให้การรับสารภาพ
ตามฟ้อง แต่ศาลชัน้ ต้นมิได้สอบถามคาให้การของจาเลยให้ชดั เจนว่าจะให้การรับสารภาพในข้อหาใดข้อหาหนึ่ง
กลับพิพ ากษาลงโทษจาเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและในเคหสถาน โดยไม่ปรากฏแน่ ชดั ว่า
คำพิพำกษำศำลฎีกำ วิ.อำญำ ภำค 3 : อ.ไพบูลย์ วนพงศ์ทิพำกร
- 15 -
-------------------------------------------------------
คาพิพากษาและคาสัง่
มาตรา 186 (9)
ฎ.12797/2558 ตามบันทึกการตรวจยึดและบัญ ชีของกลางคดีอาญาระบุว่า ป้ายผ้าผืนแรกมีข้อความว่า
“ที่ดินคนไทย ทาไมให้ต่ างชาติทากิน ” ผืนที่สองมีข้อความว่า “แผ่ นดินไทยแต่ค นไทยไม่มที ่ที ากิน ต้องยกเลิก
สัญญา” ส่วนไม้กระดานอัดแผ่นแรกเขียนข้อความเกี่ยวกับระเบียบการเข้ามาอยู่ในที่ดนิ ที่เกิดเหตุและแผ่นที่สอง
เขียนข้อความเกี่ยวกับค่าสมัครสมาชิก แม้ป้ายผ้าและไม้กระดานอัดซึง่ มีขอ้ ความดังกล่าวแขวนหรือติดไว้ในทีเ่ กิด
เหตุ แต่ป้ายผ้าและไม้กระดานอัดไม่ใช่ทรัพย์สนิ ทีบ่ ุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทาความผิดในคดีน้ีโดยตรง
จึงริบทรัพย์สนิ ดังกล่าวไม่ได้ ที่ศาลล่างทัง้ สองมีคาพิพากษาให้ร ิ บทรัพย์สนิ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ปญั หาดังกล่าวเป็ นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มคี ู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอานาจยกขึน้
วินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 เมื่อไม่รบิ ทรัพย์สนิ ดังกล่าว
จึงต้องคืน แก่ เจ้าของ แม้โจทก์มไิ ด้มคี าขอมาก็ต าม ศาลฎีกามีอานาจสังคื ่ นของกลางแก่ เจ้าของได้ตาม ป.วิ.อ.
มาตรา 49 ประกอบมาตรา 186 (9)
ฎ.22121/2555 คดีน้ี โจทก์ ไม่ ได้บ รรยายฟ้ องว่ า ยึด สร้อ ยคอทองค าหนั ก 2 บาท เป็ น ของกลาง แม้จ ะ
ปรากฏตามบัญชีของกลางคดีอาญาว่า เจ้าพนักงานตารวจยึดสร้อยคอทองคาหนัก 2 บาท มาด้วยก็ตาม เมื่อศาล
มิได้สงริ
ั ่ บ ศาลฎีกามีอานาจสังคื
่ นของกลางแก่เจ้าของได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 49 และมาตรา 186 (9)
มาตรา 192
ฎ.697/2560 คาฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จาเลยกระทาความผิดหลายกรรมต่างกรรม คือ ชิงทรัพย์กรรม
หนึ่งแล้วจึงทาร้ายร่างกายผูเ้ สียหายอีกกรรมหนึ่ง โจทก์หาได้บรรยายคาฟ้องว่า จาเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายเป็ นเหตุ
ให้ผูเ้ สียหายรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจไม่ คาฟ้องของโจทก์เพียงแต่บรรยายว่าจาเลยชิงทรัพย์ของผูเ้ สียหายโดย
มีอาวุธ อันเป็ นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสอง เท่านัน้ จึงลงโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม
ไม่ได้ เพราะเป็ นเรื่องที่โจทก์มไิ ด้กล่าวในฟ้ อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 9
พิพากษายืนตามศาลชัน้ ต้นว่าจาเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม ประกอบมาตรา 340 ตรี และวาง
โทษตามมาตราดังกล่าว จึงยังไม่ถูกต้อง
ฎ.218/2560 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 288 แม้ศาลชัน้ ต้นฟงั ว่า การกระทาของจาเลยเป็ น
ความผิดฐานเป็ นผู้สนับสนุ นให้ผู้อ่นื กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) โดยไตร่ตรองไว้ก่อนก็ไม่อาจปรับ
บทลงโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา 298 ได้ เพราะตามคาฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวหาว่าจาเลยกับพวกกระทาโดย
ไตร่ตรอง ทัง้ ไม่มบี ทขอให้ลงโทษในคาขอท้ายฟ้อง การทีศ่ าลชัน้ ต้นพิพากษาลงโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา 298
เป็นการพิพากษาเกินคาขอ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
ฎ.9425/2559 โจทก์ฟ้องว่าบริษทั ช. จากัด เป็ นนายจ้าของจาเลยและเป็นเจ้าของเงินทีจ่ าเลยลักไป และ
ข้อเท็จจริงปรากฏตามคาร้องขอชีแ้ จ้งถึงความเป็ นผูเ้ สียหายในคดีของบริษทั ส. ว่า บริษทั ส. เป็นนายจ้างขอจาเลย
คำพิพำกษำศำลฎีกำ วิ.อำญำ ภำค 3 : อ.ไพบูลย์ วนพงศ์ทิพำกร
- 17 -
------------------------------------------------------------------------