Professional Documents
Culture Documents
ปี 2566
(ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความพ่ง)
โดย
นายวัชรพล กุประดิษฐ์
คานา
ผู้ เขี ย นได้ ท ำกำรรวบรวม ประเด็ น ข้ อ กฎหมำยน่ ำสนใจ ประจ ำปี 2565 โดยรวบรวมพร้อ มทั้ ง
ข้อสังเกต เพียงเท่ำที่ผู้เขียนจะมีควำมสำมำรถเท่ำนั้น โดยผู้เขียนมีควำมประสงค์ที่จะทำเอกสำรนี้ เพื่อให้เป็น
ประโยชน์แก่ผู้ที่ประสงค์จะเตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพำกษำ อัยกำรผู้ช่วย หรือ ใช้สำหรับเพิ่มพูนควำมรู้แม้เพียง
เล็กน้อย
หำกผู้ อ่ำนเห็ น ว่ ำคำพิพ ำกษำฎี กำ หรือ ข้อสั งเกต หรือกำรพิ สู จน์อักษรของผู้ เขียนนั้น ไม่ถูกต้อ ง
ไม่เป็นไปตำมหลักกฎหมำย ผู้เขียนก็ขอกรำบประทำนอภัยและ น้อมรับคำติชมทุกกรณี
นายวัชรพล กุประดิษฐ์
3
2. ไม่ใช่คู่ความในคดี แต่ได้ลงลายมือชื่อยินยอมรับผิดกับคู่ความในคดีในสัญญาประนีประนอมยอม
ความที่ทาในศาล เมื่อไม่ปฏิบัติตามสัญญายอม บังคับคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 274
1
นายวัชรพล กุประดิษฐ์ นิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1), น.บ.ท. ผูพ้ ิพากษาประจาสักนักงานศาลยุติธรรม
4
4. ศาลอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์กึ่งหนึ่ ง โจทก์ไม่นาเงินมาวางศาลส่วนที่ไม่ได้รับ
ยกเว้นตามระยะเวลาที่ศาลกาหนด ศาลชอบที่จะสั่งไม่รับฟ้องเฉพาะทุนทรัพย์ที่ไม่ได้รับยกเว้น ศาลสั่งไม่
รับฟ้องทั้งหมด ไม่ชอบ
คาพิพ ากษาฎีกาที่ 1176/2564 โจทก์ที่ 2 ไม่นำเงินค่ำธรรมเนียมศำลมำช ำระภำยใน
กำหนด ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับคาฟ้องของโจทก์ที่ 2 ในส่วนทุนทรัพย์ที่ โจทก์ที่ 2 ไม่ได้รับอนุญาตให้
ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล และรับคาฟ้อง ในส่วนทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียม
ศาล คำสั่งศำลชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องของโจทก์ที่ 2 ทั้งหมด เป็นกำรไม่ชอบ ด้วยกฎหมำย
7. เงิ น สมทบ เงิ น ชดเชย เงิ น ประเดิ ม และผลประโยชน์ ต อบแทน ในกองทุ น บ าเห น็ จ บ านาญ
ข้าราชการ เป็นเงินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
แต่เมื่อข้าราชการเจ้าของเงินตาย เงินดังกล่าวตกเป็นมรดกแก่ทายาท และสิ้นสภาพจากเงินที่ไม่
อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีแล้ว
คาพิพากษาฎีกาที่ 1473/2563 เงินสมทบ เงินชดเชย เงิน ประเดิม และผลประโยชน์
ตอบแทนเงิน ตำมพระรำชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนำญข้ำรำชกำร พ.ศ. 2539 ย่อมถือเป็นรายได้อื่นใน
ลักษณะเดียวกันกับบานาญบาเหน็จของข้าราชการ ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 302 (2) กำรที่ ศำลชั้นต้นอำยัดเงินในบัญชีเงินฝำกของผู้ร้อง จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติ ตำมบทบัญญัติ
แห่งประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่งในข้อที่มุ่งหมำย จะยังให้กำรเป็นไปด้วยควำมยุติธรรม หรือที่เกี่ยว
ด้ว ยควำมสงบเรีย บร้อย ของประชำชนในเรื่องกำรบังคับคดี ตำม ป.วิ.พ. มำตรำ 27 วรรคหนึ่ง ซึ่งควำม
ตอนท้ำยของบทมำตรำดังกล่ำว ให้อำนำจศำลที่จะสั่งให้เพิกถอน กำรพิจำรณำที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมด
หรือบำงส่วน หรือสั่งแก้ไข หรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง ตำมที่ศำลเห็นสมควร
ผู้ร้องถึงแก่ความตายย่อมมีผลให้เงินของผู้ร้องที่ธนำคำรท. ส่งมำยัง ศำลชั้นต้นตำมหมำย
แจ้งคำสั่ง เป็นทรัพย์มรดกของผู้ร้อง ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1600 และสิ้นสภาพจากเงินเดือน ค่าจ้าง บานาญ
บาเหน็จ เบี้ยหวัด หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของข้าราชการ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 302 (2) ผู้ร้อง
ประสงค์จะชำระค่ำปรับจำกเงินในบัญชีเงินฝำก ของผู้ร้องมำแต่ต้น และธนำคำร ท. ได้ส่งเงินตำมหมำยแจ้ง
คำสั่งมำยัง ศำลชั้นต้นเพื่อชำระค่ำปรับครบถ้วนตำมขั้นตอนของกำรบังคับคดีแล้ว จึงไม่จำต้องเพิกถอนกำร
อำยัดเงินในบัญชีเงินฝำกของผู้ร้องอีก
7
8. การบรรยายคาให้การลาดับการของการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ไม่เป็น
คาให้การที่ขัดแย้งกันเอง
คาพิพากษาฎีกาที่ 4123/2563 โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จาเลยบุกรุกที่ดินพิพำทของโจทก์ทั้ง
สอง ทำให้ โจทก์ทั้งสองได้รับควำมเสียหำย ขอให้บังคับจำเลยและบริวำรออกไปจำก ที่ดินพิพำทและห้ำม
เกี่ยวข้องกับเรียกค่ำเสียหำย ส่วนที่จาเลยให้การและ ฟ้องแย้งว่ำ ล. ทวดของจาเลยเข้าครอบครองและทา
ประโยชน์ในที่ดินพิพาท มาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.
2500 เป็นเวลำนำนหลำยปี จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2498 ทางราชการแจ้งให้ ผู้ที่ครอบครองทาประโยชน์ใน
ที่ดิ นแจ้งการครอบครองเพื่อออกหลักฐำน กำรครอบครอง ล. จึงแจ้งการครอบครองตามแบบแจ้งการ
ครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) และหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. 3) ต่อมำ ล. ถึงแก่ความตาย ที่ดิน
พิพาทได้ตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาทสืบเนื่องติดต่อกันตลอดมา จนกระทั่งถึงจาเลย ซึง่ ทายาทแต่ละคนได้
เข้าครอบครองและทาประโยชน์ ในที่ดิน พิพ าทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็น เจ้าของ
ติดต่อกันตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 50 ปี แล้ว จาเลยจึงได้ กรรมสิทธิ์ ในที่ดินพิพาทโดยการ
ครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 นั้น คาให้การของจาเลยดังกล่าวตอนต้นเป็นการกล่าวให้
เห็นถึง ที่มาของการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทว่าเป็นการเข้าครอบครองยึดถือ เพื่อตนในที่ดินของผู้อื่น
และได้แจ้งการครอบครองต่อทางราชการ หลังจากนั้นที่ดิ นพิพาทตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาทสืบต่อมา
จนถึงปัจจุบัน ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็น โฉนดที่ดินรุ่นเก่า ที่
ได้มำตั้งแต่สมัยพระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว และไม่มีหลักเขตแน่นอน ทั้งฝ่ำยโจทก์ทั้งสองและ
ฝ่ำยจำเลยต่ำงครอบครอง อย่ำงเป็นสัดส่วนกันมำนำน ซึ่งที่ดินพิพำทที่ ล. เข้ำครอบครองมำตั้งแต่เริ่มต้นอยู่ใน
ที่ดินของโจทก์ทั้งสอง การที่จาเลยให้การต่อมาว่าจาเลยและทายาททุกคนครอบครองและทาประโยชน์ใน
ที่ดินพิพาทโดยความสงบและ โดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตลอดมาเป็นเวลากว่า 50 ปี
กรณีก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าจาเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทนั้นแล้วโดยการ ครอบครอง อันเป็นการโต้แย้ง
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกับโจทก์ทั้งสอง คาให้การของจาเลยดังกล่าวจึงหาถือว่าขัดแย้งกันอันทาให้เป็น
คาให้การที่ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง แต่อย่างใดไม่ หำกแต่เป็นกำร ลำดับที่มำของกำร
เข้ำครอบครองที่ดินพิพำทตั้งแต่แรกจนได้กรรมสิทธิ์ โดยชัดแจ้งและนับว่ำมีเหตุผลที่จำเลยจะให้กำรเช่นนั้นได้
9. เจ้าหนี้ตามคาพิพากษาเดิมไม่ได้ยื่นคาร้องขอบังคับคดีจนพ้นกาหนดระยะเวลาบังคับคดีแล้ว ผู้รับ
โอนสิทธิเรียกร้องยื่นคาร้องขอสวมสิทธิได้
คาพิพากษาฎีกาที่ 8334/2563 (ป) ผู้ร้องเคยยื่นคาร้องขอสวมสิทธิเป็นคู่ความแทน
โจทก์ฉบับแรก ศาลชั้นต้นมีคาสั่งยกคาร้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ร้องขอให้บังคับคดี ตามคาพิพากษา
ภายใน 10 ปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับคดีแก่จาเลยทั้งสอง อีกต่อไป กรณีไม่มีเหตุอนุญำตให้ผู้ร้องเข้ำสวม
สิทธิเป็นเจ้ำหนี้ ตำมคำพิพำกษำแทนโจทก์ ส่วนฉบับที่สองศาลชั้นต้นมีคาสั่งจาหน่ายคดี โดยมิได้วินิจฉัยใน
เนื้อหาแห่งคดีเนื่องจากผู้ร้องทิ้งคาร้อง คำสั่งศำลชั้นต้น ทั้งสองคาสั่งดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นคาสั่งยกคา
8