Professional Documents
Culture Documents
๑. การเริ่มต้นคดีอาญา
คดีอาญาแผ่นดิน (ความผิดยอมความไม่ได้) เกิดขึ้นได้โดย
๑) พนักงานสอบสวนพบการกระทาความผิดเอง หรือ
๒) บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้เสียหายกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม ป.วิ.อ.
มาตรา ๒ (๘)
คดีอาญาต่อส่วนตัว (ความผิดยอมความได้) หากจะให้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ผู้เสียหาย
จะต้องดาเนินการร้องทุกข์
๒. การร้องทุกข์ มาตรา ๒ (๗)
ใครมีอานาจร้องทุกข์ : ผู้อานาจร้องทุกข์ ได้แก่
๑) ผู้เสียหายโดยตรง คือ บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทาความผิดอาญา ตาม ป.วิ.อ.
มาตรา ๒ (๔) และ
๒) ผู้มีอานาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๔ , ๕ และ ๖ แล้วแต่กรณี
ร้องทุกข์ต่อใคร : จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตารวจก็ได้
ตามป.วิ.อ. มาตรา ๑๒๓ และ ๑๒๔
ร้องทุกข์อย่างไร : การร้องทุกข์ที่จะเป็นคาร้องทุกข์ตามระเบียบ จะต้องเป็นการร้องทุกข์ที่มี
เจตนาเพื่อให้ผู้กระทาความผิด ได้รับโทษ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒ (๗) (หากเพียงแต่แจ้งไว้เป็นหลักฐานในการ
ดาเนิ น คดี หรื อแจ้ ง แต่เพีย งว่าหากผู้ กระทาความผิ ด ย้อนกลั บมาจึงจะเอาความ เช่นนี้ไม่ใช่การร้องทุกข์
ตามระเบียบ เพราะผู้เสียหายไม่มีเจตนาให้ผู้กระทาความผิดได้รับโทษในทางอาญา)
ร้องทุกข์เมื่อใด : ต้องร้องทุกข์ภายในกาหนดอายุความตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๙๖ กล่าวคือ ร้อง
ทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องหรือรู้ตัวผู้กระทาความผิด มิฉะนั้นคดีขาดอายุความ
๓. ข้อแตกต่างของการสอบสวนกับการสืบสวน
การสืบสวน : สามารถที่จะสืบสวนก่อนหรือหลังการกระทาผิดก็ได้
การสอบสวน : จะต้องเป็นการสอบสวนภายหลังที่การกระทาผิดนั้นได้เกิดขึ้น
๔. การสอบสวน
จะต้องพิจารณาว่า พนักงานสอบสวนมีอานาจหน้าที่หรือไม่ และเป็นการสอบสวนที่อยู่ในเขตอานาจ
หรือไม่ หากทาไม่ถูกต้อง ส่ งผลไปถึงการสอบสวนและอานาจฟ้องของพนักงานอัยการ ซึ่งในเรื่องเขตอานาจ
การสอบสวน มีมาตราสาคัญ ได้แก่
การกระทาความผิดในราชอาณาจักร
- เกิดขึ้นในท้องที่เดียว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๘
- เกิดขึ้นในหลายท้องที่เกี่ยวพันกัน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙
การกระทาความผิดนอกราชอาณาจักร ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๐
เมื่อเป็นพนักงานสอบสวนที่มีเขตอานาจการสอบสวนจะทาการสอบสวน ในกระบวนการสอบสวนจะต้อง
พิจารณาว่า พนักงานสอบสวนได้ดาเนินการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกาหนดหรือไม่ อาทิ เช่น การสอบคาให้การ
การแจ้งสิทธิ เป็นต้น หากไม่ดาเนินการหรือดาเนินการไม่ถูกต้อง ถ้อยคาหรือพยานหลักฐานใดๆ จะรับฟังเป็น
พยานหลักฐานไม่ได้
๕. การสรุปสานวน
การสรุปสานวนเพื่อส่งไปยังพนักงานอัยการ ผู้มีหน้าที่ในการสรุปสานวนได้ต้องเป็นพนักงานสอบสวน
ผู้รับผิดชอบ มีมาตราที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
การสรุปสานวนและการทาความเห็น กรณีไม่รู้ตัวผู้กระทาความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๔๐
การสรุปสานวนและการทาความเห็น กรณีรู้ตัวผู้กระทาความผิดแต่ผู้กระทาความผิดหลบหนี
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๔๑
การสรุปสานวนและทาความเห็น กรณี รู้ตัวผู้กระทาความผิด แต่ผู้กระทาความผิดถูกควบคุม
หรือขังอยู่ หรือปล่อยชั่วคราว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๔๒
๖. การสั่งคดีของพนักงานอัยการ
คาสั่งไม่ฟ้องคดี จะต้องมีการตรวจสอบคาสั่งไม่ฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๔๕ มาตรา ๑๔๕/๑
แล้วแต่กรณี
คาสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม เป็นอานาจของพนักงานอัยการที่จะสั่งสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นใด
ก็ได้ หรือจะเรียกผู้ใดมาสอบสวนเพิ่มเติมก็ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๔๓ วรรคสอง
คาสั่งฟ้องคดี พนักงานอัยการจะต้องบรรยายฟ้อง เป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๘ โดยเฉพาะ
สองส่วนสาคัญที่ขาดไม่ได้ ซึง่ ได้แก่
- ส่วนที่เป็นเนื้อหาที่เป็นการกระทาทั้งหลายที่จาเลยได้กระทาความผิด ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๘ (๕)
เนื่องจากเป็นองค์ประกอบของการกระทาความผิด
- ส่วนที่เป็นคาขอท้ายฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๘ (๖)
๗. กระบวนพิจารณาของศาล
ผู้มีอานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๘ ได้แก่
๑) พนักงานอัยการ คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจาเลยเป็นคดีอาญา ต้องมี การสอบสวน
ก่อนเสมอ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๒๐ และจะต้องเป็นการสอบสวนทีช่ อบด้วยกฎหมาย
๒) ผู้เสียหาย คดีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจาเลยเป็นคดีอาญาไม่จาต้องมีการสอบสวนมาก่อน
กฎหมายจึงกาหนดให้มีการไต่สวนมูลฟ้อง (แต่ถ้าคดีนั้นพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจาเลยในข้อหาเดียวกันแล้ว ไม่
จาเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้อง ตามป.วิ.อ.มาตรา ๒ (๑๒) ประกอบมาตรา ๑๖๒ (๑)
การสอบสวนที่ ชอบด้ วยกฎหมาย หมายถึ ง การสอบสวนที่ ไม่ มี ข้ อผิ ดพลาดและไม่ บกพร่ อง
ในสิ่งซึ่งเป็นสาระสาคัญแห่งการสอบสวน ได้แก่
๑.๑) ต้องเป็นการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนที่มีอานาจหน้าที่
๑.๒) ต้องเป็นการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนที่มีเขตอานาจ
๑.๓) ต้องสรุปสานวนการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
๑.๔) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว จะต้องมีคาร้องทุกข์ตามระเบียบ
๑.๕) จะต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาแล้วโดยชอบ
หากมีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไม่ถูกต้องถือเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้พนักงาน
อัยการไม่มีอานาจฟ้อง
การตรวจฟ้อง
หลังขั้นตอนการตรวจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๑ ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ หากปรากฏต่อศาล
หรือมีพยานหลักฐานที่ศาลเรียกมาแล้วพบว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริต หรือบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกลั่นแกล้ ง
หรือเอาเปรียบ ให้ศาลยกฟ้อง เมื่อศาลยกฟ้องแล้ว ห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้องเรื่องเดียวกันอีก (เป็นการห้ามเฉพาะ
โจทก์ที่ฟ้องคดีโดยไม่สุจริต แต่ไม่ห้ามพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายคนอื่นยื่นฟ้องในเรื่องเดียวกัน
การไต่สวนมูลฟ้อง
- เงื่อนไขในการไต่สวนมูลฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๒
คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ จะต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องเสมอ แต่คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์จะไต่
สวนมูลฟ้องก็ได้ หากศาลเห็นว่า คดีมีมูล ศาลก็จะประทับรั บฟ้ องไว้พิจารณา แต่หากศาลเห็นว่าคดีไม่มีมู ล
ศาลจะพิพากษายกฟ้อง ซึ่งคาพิพากษาของศาลในชั้นไต่สวนมูลฟ้องสามารถอุทธรณ์ได้ แต่จะต้องอยู่ภายใต้บังคับ
บทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์หรือฎีกาด้วย ดังนั้น หากโจทก์อุทธรณ์และศาลยกฟ้องอีก กรณีจึงต้องห้ามฎีกา
ตามมาตรา ๒๒๐
- วิธีการหรือขั้นตอนในการไต่สวนมูลฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๕
- ผลของการไต่สวนมูลฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๗ และมาตรา ๑๗๐
การสอบคาให้การจาเลย
เมื่อจาเลยมาปรากฏตัวต่อหน้าศาล ให้ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จาเลยฟัง และแจ้งต่อจาเลย
ว่าจะมีสิทธิให้การหรือไม่ก็ได้ คาให้การของจาเลยให้จดไว้ ถ้าจาเลยไม่ยอมให้การ ก็ให้ศาลจดรายงานไว้และ
ดาเนินการพิจารณาต่อไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๗๒
การตั้งทนายความในชั้นศาล
หากเป็นคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตหรือในคดีที่จาเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปี ก่อนเริ่มพิจารณา
ให้ศาลถามจาเลย หากจาเลยไม่มีให้ศาลตั้งทนายความให้ โดยไม่คานึงว่าจาเลยต้องการหรือไม่ แต่หากเป็นคดีที่มี
อัตราโทษจาคุก หากจาเลยไม่มีและจาเลยต้องการทนายความ ให้ศาลตั้งทนายความ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๗๓
การพิจารณาพิพากษา
กรณีจาเลยรับสารภาพ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๗๖ หากเป็นคารับสารภาพที่ชัดแจ้ง ศาลอาจ
พิพากษาไปโดยไม่สื บพยานก็ได้ แต่หากเป็ นคดีที่มีอัตราโทษขั้นต่าให้จาคุกตั้งแต่ห้ าปีขึ้นไปหรื อโทษสถานที่
หนักกว่านั้น ศาลจะต้องสืบพยานประกอบจนเป็นที่พอใจว่าจาเลยกระทาความผิดจริง จะพิพากษาคดีไปโดยไม่
สืบพยานประกอบไม่ได้
กรณีจาเลยให้การปฏิเสธ จะพิพากษาทันทีไม่ได้ อาจมีการนัดตรวจพยานหลักฐานหรือการนัด
สืบพยาน (การนัดตรวจพยานหลักฐานจะเกิดขึ้นในคดีจาเลยไม่ให้การหรือจาเลยปฏิเสธ อาจเป็นกรณีที่ศาลเห็นเอง
หรือคู่ความร้องขอ หากศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม)
การพิพากษาเกินคาขอ
หากไม่ได้กล่าวมาในฟ้องหรือไม่ได้ขอให้ศาลลงโทษ ห้ามมิให้ศาลมีคาพิพากษาเกินคาฟ้องหรือ
คาขอ ตามป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ แต่มีข้อยกเว้น เช่น ฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ในทางพิจารณาได้ความว่าเป็น
ความผิดฐานยักยอก ถือว่าเป็นข้อแตกต่างในรายละเอียด หากจาเลยไม่หลงต่อสู้ ศาลจะพิพากษาตามที่พิจารณา
ได้ความก็ได้