Professional Documents
Culture Documents
ข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีความผิดทางพินัย
พ.ศ. ๒๕๖๖
ส่วนที่ ๑
การฟ้อง การยื่นคาร้อง และการพิจารณาคดี
ข้อ ๑๑ ฟ้องต้องมีรายละเอียดถึงตาแหน่งของพนักงานอัยการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้เป็นโจทก์
ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และสัญชาติของจาเลย ฐานความผิดทางพินัย การกระทาที่อ้างว่าจาเลยได้กระทา
ความผิดทางพินัย ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเวลา สถานที่ และมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทาเช่นนั้น
เป็นความผิดทางพินัยเพียงพอที่จะให้จาเลยเข้าใจข้อหาได้ดี พร้อมทั้งสาเนาคาฟ้องมาส่งศาลให้เพียงพอกับ
จานวนของจาเลย
ในวันยื่นฟ้องโจทก์จะมีหรือไม่มีตัวจาเลยมาศาลก็ได้ แต่ให้โจทก์ส่งหลักฐานที่ทางราชการออกให้
ที่สามารถยืนยันตัวของจาเลย และเสนอสาเนาสานวนคดีความผิดทางพินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อศาล
พร้อมฟ้องในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
กรณีที่สามารถดาเนิ นกระบวนพิจารณาต่อจาเลยโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ศาลจะสั่งให้
โจทก์งดส่งสาเนาคาฟ้องตามวรรคหนึ่งก็ได้
ข้อ ๑๒ ถ้าฟ้องถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ให้ศาลประทับฟ้อง และส่งสาเนาคาฟ้องให้จาเลย
กรณีที่ศาลเห็นว่าฟ้องไม่ถูกต้อง ให้ศาลมีคาสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง
กรณีที่โจทก์ไม่มีตัวจาเลยมาพร้อมฟ้อง ให้ศาลส่งสาเนาคาฟ้องและหมายเรียกเพื่อให้จาเลย
ยื่นคาแถลงความประสงค์ในการต่อสู้คดี หรือมาศาลเพื่อแถลงความประสงค์ในการต่อสู้คดี ภายในกาหนด
เจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับสาเนาคาฟ้องและหมายเรียก
การส่งสาเนาคาฟ้องและหมายเรียกให้ส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ โดยหากส่งไปยัง
ที่อยู่ที่ปรากฏตามหลักฐานทางทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรของจาเลยหรือตามที่
ได้แจ้งไว้ต่อหน่วยงานของรัฐ ให้ถือว่าจาเลยได้รับตั้งแต่วันครบสิบห้าวันนับแต่วันที่ปรากฏในทะเบียนตอบรับ
หรือส่งโดยวิธีอื่นตามที่กาหนดในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามที่ศาลเห็นสมควร
ข้อ ๑๓ ถ้าจาเลยไม่ยื่นคาแถลงความประสงค์ ในการต่อสู้คดีหรือไม่ มาแถลงความประสงค์
ในการต่อสู้คดีภายในกาหนดเวลาตามข้อ ๑๒ หรือแถลงไม่ประสงค์ต่อสู้คดี ให้ศาลพิจารณาสานวนคดี
ความผิดทางพินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐและจะมีคาพิพากษาโดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้
ถ้าจาเลยประสงค์ต่อสู้คดี ให้ศาลสอบถามจาเลยว่าประสงค์จะโต้แย้งในปัญหาเกี่ยวกับความรับผิด
ทางพินั ยหรือจานวนค่าปรับเป็นพินัย จากนั้นให้ศาลพิจารณาว่าจาเป็นต้องสืบพยานหลักฐานหรือไม่
หากเห็นว่าจาเป็น ก็ให้โจทก์และจาเลยนาพยานหลักฐานเข้าสืบ
หนา้ ๖๖
เลม่ ๑๔๐ ตอนที่ ๓๖ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๖
ในกรณี ที่ ต้ องสื บพยานหลั กฐาน ให้ ศาลก าหนดวั นนั ดพิ จารณาโดยเร็ ว โดยแจ้ งให้ โจทก์
และจาเลยมาศาลตามกาหนดนัดเพื่อพิจารณาและสืบพยานในวันเดียวกัน
ข้อ ๑๔ ศาลอาจมอบหมายให้ เจ้ าพนั กงานคดี หรื อเจ้ าพนั กงานศาลด าเนิ นการตามข้ อ ๘
และอาจสั่ ง ให้ เ จ้ า หน้ า ที่ ข องรั ฐ ผู้ รั บ ผิ ด ชอบส านวนคดี ค วามผิ ด ทางพิ นั ย ตรวจสอบและรวบรวม
พยานหลั กฐานเพิ่ ม เติ ม แล้ ว จั ด ส่ งพยานหลั ก ฐานดั ง กล่ าวต่ อ ศาลภายในระยะเวลาที่ ศาลก าหนด
รวมถึงอาจเรียกพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานหรือบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคา
หรือดาเนินการอื่นใดตามที่ศาลเห็นสมควร และศาลอาจรับฟังสานวนคดีความผิดทางพินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
บันทึกถ้อยคายืนยันข้อเท็จจริงแทนคาเบิกความ พยานเอกสารหรือพยานหลักฐานอื่นใดเพื่อวินิจฉัยคดี
โดยหากเห็นว่าจาเป็นจะไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติมก็ได้
ข้อ ๑๕ ให้นาบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเกี่ยวกับการรับฟังและ
ชั่งน้าหนักพยานหลักฐานมาใช้บังคับกับคดีความผิดทางพินัยโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้
ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้าหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาให้รับผิดทางพินัยจนกว่าจะมี
พยานหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือว่าจาเลยกระทาความผิดทางพินัย
ข้อ ๑๖ การร้องขอให้กาหนดค่าปรับเป็นพินัยแก่ผู้กระทาความผิดทางพินัยที่เป็นบุคคลธรรมดา
ต่ ากว่ าที่ กฎหมายบั ญญั ติ ไว้ หรื อขอให้ ผู้ กระท าความผิ ด ทางพิ นั ยดั งกล่ าวท างานบริ การสั งคมหรื อ
ทางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับเป็นพินัยตามมาตรา ๑๐ วรรคสามและวรรคสี่ ของพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยื่นคาร้องพร้อมสาเนาคาร้องของผู้กระทา
ความผิดทางพินัยที่ได้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหนังสือให้ความยินยอมแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในการยื่นคาร้อง
แล้วแต่กรณี
ให้ เจ้ าพนั กงานคดี หรื อเจ้ าพนั กงานศาลเสนอความเห็ นเกี่ ยวกั บค าร้ องต่ อศาลโดยเร็ ว และ
จะไต่สวนเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้กระทาความผิดทางพินัยด้วยก็ได้ และเมื่อศาลมีคาสั่งคาร้องประการใดแล้ว
ให้แจ้งคาสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทราบ
ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล หากจาเลยยื่นคาร้องขอให้ศาลมีคาสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลไต่สวน
และมีคาสั่งรวมไปในคาพิพากษา
ส่วนที่ ๒
คาพิพากษาและคาสั่ง