Professional Documents
Culture Documents
The Engineering Institute of Thailand under His Majesty the King’s Patronage
คณะกรรมการสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม
(Standard of Industrial Inspection)
รศ.ดร.ประจวบ กล่อมจิตร
มาตรฐาน วสท 041002- 61 ประธานสาขาวิศวกรรมตุสาหการ วสท.
EIT Standard 041002- 18 (วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์) 1
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม คานา
คานา
สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) เป็นหนึ่งในสถาบันวิชาการด้านวิศวกรรมที่มีส่วนร่วม
รับผิดชอบต่อวงการวิศวกรรมของไทย นโยบายสาคัญของ วสท. ประการหนึ่งคือ ส่งเสริมการจัดทา ตารา คู่มือ และมาตรฐานด้านการ
ประกอบวิชาชีพ เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ และสามารถนาไปใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิผลต่อบุคคลและวงการวิศวกรรมของไทย
วสท. เป็นสมาคมวิชาชีพที่รวมความรู้งานวิศวกรรมในสาขาต่างๆ มากกว่า 10 สาขา ซึ่งสาขาวิศวกรรมอุตสาหการเป็นสาขา
หนึ่ง มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมเป็นมาตรฐานของสาขาที่ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น
เจ้าของสถานประกอบการ วิศวกร ช่าง ผู้รับเหมาก่อสร้าง ที่ปรึกษาในการจัดการโรงงานเรื่องการตรวจสอบโรงงานซึ่งต้องมีองค์ความรู้ใน
งานวิศวกรรมเพื่อใช้ในการตรวจสอบดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย เหมาะสมในการใช้งาน ซึ่งคณะทางานจัดทามาตรฐานได้อุทิศเวลาให้กับ
การจัดทามาตรฐานฉบับนี้จนมาตรฐานแล้วเสร็จสามารถจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ให้ผู้ใช้งานเพื่อการอ้างอิงต่อไป
ในการนี้ วสท. ขอขอบพระคุณกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะทางานทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ และหากผู้ใช้มาตรฐานมีข้อคิดเห็น
ข้อแนะนาประการใด กรุณาแจ้งให้ วสท. ทราบเพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงมาตรฐานในโอกาสต่อไป
คณะทางานจัดทามาตรฐาน
การบริหารความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม
วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
2
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม สารบัญ
สารบัญ
• คานา
• คณะกรรมการ
• สารบัญ
• บทนา
• บทที่ 1 การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมและทาเลที่ตั้ง
▪ 1.1 ขอบเขต
▪ 1.2 มาตรฐานการตรวจสอบการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม
▪ 1.3 มาตรฐานการตรวจสอบทาเลที่ตั้ง การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม
• บทที่ 2 อาคารโรงงานอุตสาหกรรม
▪ 2.1 ขอบเขต
▪ 2.2 มาตรฐานการตรวจสอบอาคารโรงงานอุตสาหกรรม
3
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม สารบัญ
สารบัญ (ต่อ)
• บทที่ 3 เครื่องจักร ระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์
▪ 3.1 ขอบเขต
▪ 3.2 มาตรฐานการตรวจสอบ เครื่องจักร ระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์
• บทที่ 4 สภาพแวดล้อมในการทางานและความปลอดภัย
▪ 4.1 ขอบเขต
▪ 4.2 มาตรฐานการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในการทางาน
▪ 4.3 มาตรฐานการตรวจสอบด้านอุปกรณ์ดับเพลิง
▪ 4.4 มาตรฐานการตรวจสอบด้านวัตถุอันตราย
• บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
▪ 5.1 ขอบเขต
▪ 5.2 มาตรฐานการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม
4
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม สารบัญ
สารบัญ (ต่อ)
• บทที่ 6 บุคลาการในโรงงาน
▪ 6.1 ขอบเขต
▪ 6.2 มาตรฐานการตรวจสอบคนงานและบุคลาการในโรงงาน
• บทที่ 7 อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ในโรงงาน
▪ 7.1 ขอบเขต
▪ 7.2 มาตรฐานการการตรวจสอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ในโรงงาน
• บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
▪ 8.1 ขอบเขต
▪ 8.2 มาตรฐานการการตรวจสอบ การตรวจวัด จัดทารายงายและการส่งรายงาน
• ภาคผนวก
▪ ก. ชนิดและประเภทของสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วและวิธีการกาจัด
5
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทนา
บทนา
หลักการและเหตุผล
ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 กาหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องดาเนินการ
ขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และมีหน้าที่ในการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นไป
ตามกฎหมาย
คณะทำงำนจัดทำมำตรฐำนกำรตรวจสอบโรงงำนอุตสำหกรรม วิศวกรรมสถำนแห่งประเทศ
ไทยในพระบรมรำชูปถัมภ์ จึงได้จัดทำมำตรฐำนกำรตรวจสอโรงงำนอุตสำหกรรมขึ้น เพื่อรองรับ
ภำรกิจในกำรปฏิบัติงำนด้ำนกำรตรวจสอบโรงงำนอุตสำหกรรม โดยรวบรวมจำกกฎหมำยต่ำง ๆ ที่
เกี่ยวข้อง พระรำชบัญญัติพระรำชบัญญัติโรงงำน รวมถึงหลักกำร และมำตรฐำนต่ำง ๆ ทั้งในและ
ต่ำงประเทศ แล้วปรับปรุงให้เหมำะสม
1Occupational Safety and Health Administration: Standards for General Industrial (OSHA 1910)
6
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม จัดทาขึ้นเพื่อรองรับภารกิจในการ
ปฏิบัติงานด้านการตรวจโรงงานอุตสาหกรรม เป็นมาตรฐานอ้างอิงและเผยแพร่แก่ผู้ใช้
ด้านการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม หรืองานด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเพื่อเผยแพร่
แก่ผู้สนใจทั่วไป
7
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม ขอบเขต
ขอบเขต
งานตรวจสอบโรงงานจะเป็นงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของวิศวกร ผู้ซึ่งเป็น
สมาชิกสภาวิศวกรและถือใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมจากสภา
วิศวกร
ปัจจุบันมีวิศวกรบางส่วน รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจานวนมาก มีความ
ประสงค์ที่จะทราบการแนวทางการตรวจสอบโรงงานภาคปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วย
โรงงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องบัญญัติไว้ ซึ่งมาตรฐานนี้จะกล่าวถึงมาตรฐานการ
ตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะต้องใช้องค์ความรู้และข้อกาหนดต่าง ๆ ที่
เกี่ยวข้องจึงจะสามารถตรวจสอบโรงงาน เป็นไปอย่างได้มาตรฐานและเป็นไปตาม
ข้อกาหนดในเรื่องความปลอดภัย เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วย
วิศวกร กฎหมายว่าด้วยโรงงาน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
8
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 1 การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมและทาเลทีต่ ั้ง
บทที่ 1 การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมและทาเลที่ตั้ง
กำรประกอบกิจกำรโรงงำนอุตสำหกรรมและทำเลที่ตั้ง จะพิจำรณำตำมที่กฎหมำยว่ำด้วยโรงงำนและกฎหมำยที่เกี่ยวข้อง
บัญญัติไว้ ทำให้งำนตรวจสอบโรงงำนเป็นไปอย่ำงได้มำตรฐำน เป็นไปตำมข้อกำหนดในเรื่องกำรขออนุญำต เพื่อให้เกิดควำม
ปลอดภัยและมีมำตรฐำน ตำมเจตนำรมณ์ของกฎหมำยว่ำด้วย กฎหมำยโรงงำน และกฎหมำยอื่นที่เกี่ยวข้อง
1.1 ขอบเขต
มำตรฐำนที่กล่ำวถึงในหัวข้อนี้เป็นมำตรฐำนเพื่อกำหนดมำตรฐำนกำรดำเนินกำร ตำมกฎหมำยและมำตรฐำนต่ำง ๆ ที่
ต้องทำกำรตรวจสอบ
1.2 มาตรฐานการตรวจสอบการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม
1.2.1 โรงงำนที่ได้รับกำรยกเว้นจำกกำรปฏิบัติตำมพระรำชบัญญัติโรงงำน ทั้งหมดหรือบำงส่วน ประกอบด้วย 1.1
1.2.1.1 โรงงำนของทำงรำชกำร
1.2.1.2 โรงงำนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อที่ศึกษำวิจัย
1.2.1.3 โรงงำนของสถำบันกำรศึกษำ ในส่วนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกำรฝึกอบรม
1.2.1.4 โรงงำนที่ดำเนินงำนลักษณะเป็นอุตสำหกรรมในครอบครัว
1.2.1.5 โรงงำนที่ดำเนินงำนอันมีลักษณะ ที่จำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับกิจกำรที่มิใช่โรงงำน และตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
1.2.2 กำรนำเครื่องจักรสำหรับประกอบกิจกำรโรงงำน มำติดตั้งในอำคำร สถำนที่ หรือ ยำนพำหนะ ที่จะประกอบกิจกำร
โรงงำน หรือนำคนงำนมำประกอบกิจกำรโรงงำน ในกรณีที่ไม่มีกำรใช้เครื่องจักร ต้องได้รับใบอนุญำตประกอบกิจกำรโรงงำน
1.1
9
1.1 1. พระรำชบัญญัติโรงงำน พ.ศ.2535, 2. พระรำชบัญญัติโรงงำน ฉบับที่ 2 พ.ศ.2562
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 1 การบริหารความปลอดภัยระดับนโยบาย
พ.ศ.2535
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 1 การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมและทาเลทีต่ ั้ง
1.3 มาตรฐานการตรวจสอบทาเลที่ตั้ง การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม
1.3.1 กำรเลือกทำเลที่ตั้งโรงงำน ให้เป็นไปตำมมำตรฐำนกำรออกแบบผังโรงงำน (EIT Standard 041001-18) 1.24
1.3.2 ไม่อนุญำตให้ตั้ง หรือขยำยโรงงำนที่มีน้ำทิ้ง ซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้ ในบริเวณอนุรักษ์แหล่งน้ำดิบ เพื่อกำรประปำนครหลวง 1.25
1.3.3 ไม่อนุญำตให้ตั้งหรือขยำยโรงงำน โรงงำนฟอกย้อมหรือย้อมเส้นใย แต่งสำเร็จสิ่งทอ เกี่ยวกับกำรพิมพ์สิ่งทอ แต่งสำเร็จผ้ำ
ผ้ำลูกไม้ หรือเครื่องนุ่งห่มที่ถักด้วยด้ำยหรือเส้นใย ลำดับที่ 22(1) , 22(3) , 22(4) , และ 24 ยกเว้นโรงงำนดังต่อไปนี้ 1.26
1.3.4 ห้ำมตั้งโรงงำนเขตท้องที่ อำเภอพระนครศรีอยุธยำ อำเภอบำงประอิน และอำเภอบำงไทร จังหวัดพนครศรีอยุธยำ ยกเว้น 1.27
1.3.5 มำตรกำรควบคุม กำรตั้งหรือขยำยโรงงำน ตำมมำตรกำรควบคุมปริมำณควำมสกปรกของน้ำทิ้งจำกภำคอุตสำหกรรม เพื่อฟื้นฟู
คุณภำพน้ำในมำน้ำเจ้ำพระยำ ครอบคลุมจังหวัด นครสวรรค์ จังหวัดชัยนำท จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่ำงทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยำ
จังหวัดปทุมธำนี จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปรำกำร และจังหวัดกรุงเทพมหำนคร จะต้องมีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภำพสูง
สำมำรถบำบัดน้ำเสียที่เกิดจำกกำรประกอบกิจกำรจนสำมำรถนำกลับมำใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด หรือมีระบบเก็บกักน้ำทิ้งทั้งหมด โดยไม่
รั่วซึมสู่แหล่งน้ำใต้ดิน 1.28
1.3.6 ห้ำมตั้งโรงงำน ในเขตท้องที่ตำบลบ้ำนรุน ตำบลคลองตะเคียน และตำบลเกำะเรียน อำเภอพระนครศรีอยุธยำ ยกเว้นกำรตั้ง
โรงงำนซึ่งจัดอยู่ในประเภทกิจกำรอุตสำหกรรมบริกำร 1.29
1.24 มำตรฐำนกำรออกแบบผังโรงงำน (EIT Standard 041001-18)
1.25 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 เมษำยน 2522 , 12 มกรำคม 2531 , 11 กุมภำพันธ์ 2535
1.26 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำหนดจำนวน ขนำด และประเภทหรือชนิดของโรงงำน ที่ไม่ให้ตั้งหรือขยำยในทุกท้องทั่วรำชอำณำจักร พ.ศ.2549
1.27 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงำนที่จะให้ตั้งหรือไม่ให้ตั้งในเขตท้องที่ อำเภอพระนครศรีอยุธยำ อำเภอบำงประอิน และอำเภอบำงไทร พ.ศ. 2550[8]
1.28 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง มำตรกำรควบคุม กำรตั้งหรือขยำยโรงงำน ตำมมำตรกำรควบคุมปริมำณควำมสกปรกของน้ำทิ้งจำกภำคอุตสำหกรรม เพือ ่ ฟื้นฟูคุณภำพน้ำในมำน้ำ
เจ้ำพระยำ 2551[9]
1.29 ห้ำมตั้งโรงงำนตำมประเภทหรือชนิดของโรงงำนที่กำหนดในบัญชีท้ำยกฎกระทรวง (พ.ศ. 2535) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติโรงงำน พ.ศ. 2535 ในเขตท้องที่ตำบลบ้ำนรุน ตำบลคลอง
บทที่ 2 อาคารโรงงานอุตสาหกรรม
อำคำรโรงงำนอุตสำหกรรม พิจำรณำตำมที่กฎหมำยว่ำด้วยโรงงำนและกฎหมำยที่เกี่ยวข้องบัญญัติไว้ ทำให้งำน
ตรวจสอบโรงงำนเป็นไปอย่ำงได้มำตรฐำน เป็นไปตำมข้อกำหนดในเรื่องควำมปลอดภัยและมีมำตรฐำน ตำมเจตนำรมณ์ของ
กฎหมำยว่ำด้วยวิศวกร กฎหมำยโรงงำน และกฎหมำยอื่นที่เกี่ยวข้อง
2.1 ขอบเขต
มำตรฐำนที่กล่ำวถึงในหัวข้อนี้เป็นมำตรฐำนเพื่อกำหนด มำตรฐำนที่สำคัญตำมกฎหมำยและมำตรฐำนต่ำง ๆ ที่ต้อง
ทำกำรตรวจสอบ
2.2 มาตรฐานการตรวจสอบอาคารโรงงานอุตสาหกรรม
2.2.1 พื้นที่โดยรอบ ลักษณะอำคำร กำรก่อสร้ำง ต่อเติมดัดแปลงอำคำร เพิ่มพื้นที่อำคำร กำรระบำยอำกำศ ประตู
ทำงเข้ำออก ทำงเดิน ทำงหนีไฟ บันได ควำมสูง ระยะดิ่งระหว่ำงพื้นถึงเพดำน กำรแบ่งพื้นที่อำคำร พื้นที่กำรปฏิบัติงำน วัตถุ
ที่ใช้ในกำรก่อสร้ำง กำรจัดเก็บวัตถุอันตรำย วัตถุที่ติดไฟได้ง่ำย สถำนที่เก็บน้ำดับเพลิง ที่จอดรถ ห้องน้ำห้องส้วม ให้เป็นไป
ตำมมำตรฐำนกำรออกแบบผังโรงงำน (EIT Standard 041001-18) 2.1
2.2.2 อำคำรต้องมีควำมมั่นคงแข็งแรง เหมำะสม และมีบริเวณเพียงพอ โดยมีคำรับรองของผู้ประกอบวิศวกรรม
ควบคุม 2.2
2.2.3 มีบันไดระหว่ำงชั้นอย่ำงน้อย 2 แห่ง ห่ำงกันพอสมควร ขั้นบันไดต้องไม่ลื่น มีช่วงระยะเท่ำกันตลอด บันไดที่สูง
เกิน 1.50 เมตร ต้องมีรำว ที่มั่นคง แข็งแรง และเหมำะสม2.2
2.2.4 พื้นต้องมั่นคง แข็งแรง ไม่มีน้ำขัง หรือลื่น อันอำจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ำย2.2 20
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 2 อาคารโรงงานอุตสาหกรรม
2.2.5 วัตถุที่ใช้ในกำรก่อสร้ำงอำคำร ต้องเหมำะสมตำมขนำด ประเภท หรือชนิดของโรงงำน รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดกำรลุกลำม
ของอัคคีภัย 2.2
2.2.6 จัดให้มีที่เก็บรักษำวัตถุหรือสิ่งของที่อำจก่อให้เกิดอันตรำยหรืออัคคีภัยได้ง่ำยไว้ในที่ปลอดภัย2.2
2.2.7 ต้องจัดให้มีพื้นที่ปฏิบัติงำนไม่น้อยกว่ำ 3 ตำรำงเมตรต่อคนงำน 1 คน กำรคำนวณพื้นที่ให้นับรวมพื้นที่ที่ใช้วำงโต๊ะ
ปฏิบัติงำน เครื่องจักร และผลิตภัณฑ์หรือวัสดุที่เคลื่อนไปตำมกระบวนกำรผลิตด้วย
2.2.8 การป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงานต้องปฏิบัติ ดังนี้ 2.3
2.2.8.1 ช่องเปิดต่ำง ๆ ที่อยู่ที่ผนัง พื้น หรือคำนและช่องท่อต่ำง ๆ ต้องใช้วัสดุปิดกั้น ฃช่องท่อ และ ช่องเปิดเหล่ำนี้
ด้วยวัตถุทนไฟที่ป้องกันไฟได้อย่ำงน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันอันตรำยที่อำจเกิดจำกเพลิงไหม้ลุกลำมจำกบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณ
หนึ่ง
2.2.8.2 พื้นที่ของอำคำรโรงงำนที่มีควำมเสีย่ งต่อกำรเกิดอัคคีภัยสูงและปำนกลำง ที่มีสถำนที่จัดเก็บวัตถุดิบหรือ
ผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นวัตถุที่ติดไฟได้หรือสถำนที่จัดเก็บวัตถุไวไฟ ต้องกั้นแยกจำกพื้นที่ส่วนอื่นของอำคำรด้วยวัสดุที่มีอัตรำกำรทนไฟได้
ไม่น้อยกว่ำ 1 ชั่วโมง
2.2.8.3 อำคำรโรงงำนชั้นเดียวที่เป็นโครงเหล็ก ต้องปิดหุ้มโครงสร้ำงด้วยวัสดุทนไฟหรือด้วยวิธีกำรอื่น ที่ทำให้
สำมำรถทนไฟได้อย่ำงน้อย 1 ชั่วโมง ถ้ำเป็นอำคำรหลำยชั้น ต้องทนไฟได้ไม่น้อยกว่ำ 1 ชั่วโมง โครงหลังคำของอำคำรที่อยูส่ ูงจำก
พื้นอำคำรเกิน 8 เมตร และอำคำรนั้นมีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ หรือมีกำรป้องกันควำมร้อนหรือระบบระบำยควำมร้อนมิให้เกิด
อันตรำยต่อโครงหลังคำโครงหลังคำของอำคำรนั้นไม่ต้องมีอัตรำกำรทนไฟตำมที่กำหนดก็ได้
2.1 มำตรฐำนกำรออกแบบผังโรงงำน (EIT Standard 041001-18)
2.2 กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2535) ออกตำมพระรำชบัญญัตโรงงำน พ.ศ.2535
2.3 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำรป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงำน พ.ศ. 2552[12] 21
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 2 อาคารโรงงานอุตสาหกรรม
พ.ศ.2555
3.14 มำตรฐำนวิศวกรรมสถำนแห่งประเทศไทย มำตรฐำนกำรป้องกันและระงับอัคคีภัย (EIT Standard 3002-51)
31
3.15 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2513) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติโรงงำน พ.ศ. 2512 [47]
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 3 เครื่องจักร ระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์
พ.ศ.2555
3.14 มำตรฐำนวิศวกรรมสถำนแห่งประเทศไทย มำตรฐำนกำรป้องกันและระงับอัคคีภัย (EIT Standard 3002-51)
32
3.15 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2513) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติโรงงำน พ.ศ. 2512 [47]
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 3 เครื่องจักร ระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์
บทที่ 4 สภาพแวดล้อมในการทางานและความปลอดภัย
4.1 ขอบเขต
มำตรฐำนนี้ เพื่อกำหนดสภำพแวดล้อมในกำรทำงำน และอุปกรณ์ต่ำง ๆ ที่ต้องมีตำมกฎหมำยเพื่อให้เกิดควำมปลอดภัย
ในขณะคนงำนทำงำนในโรงงำน
4.2 มาตรฐานการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในการทางาน
4.2.1 การตรวจสอบสภาพแวดล้อมในการทางานด้านแสงสว่าง 4.1
4.2.1.1 ผู้ประกอบกิจกำรโรงงำนต้องป้องกันมิให้แสงตรงหรือแสงสะท้อนเข้ำตำคนงำนในกำรปฏิบัติงำน
4.2.1.2 ลำนจอดรถและทำงเดินนอกอำคำร ต้องมีควำมเข้มของกำรส่องสว่ำงไม่นอ้ ยกว่ำ 20 ลักซ์ หรือ 2 ฟุต-แคนเดิล
4.2.1.3 ทำงเดินในอำคำรโรงงำน ต้องมีควำมเข้มของกำรส่องสว่ำงไม่น้อยกว่ำ 50 ลักซ์ (ระเบียง บันได ห้องพักผ่อน
ห้องพักฟื้นของพนักงำน ห้องเก็บของที่มิได้มีกำรเคลื่อนย้ำย)
4.2.1.4 กำรปฏิบัติงำนที่ไม่ต้องกำรควำมละเอียด ต้องมีควำมเข้มของกำรส่องสว่ำงไม่น้อยกว่ำ 100 ลักซ์ (บริเวณกำรสี
ข้ำว กำรสำงฝ้ำย หรือกำรปฏิบัติงำนขั้นแรกในกระบวนอุตสำหกรรมต่ำง ๆ บริเวณจะขนถ่ำยสินค้ำ ป้อมยำม ลิฟต์ ห้องเปลี่ยน
เสื้อผ้ำและบริเวณตู้เก็บของ ห้องน้ำและห้องส้วม)
4.2.1.5 กำรปฏิบัติงำนที่ต้องกำรควำมละเอียดน้อยมำก ต้องมีควำมเข้มของกำรส่องสว่ำงไม่นอ้ ยกว่ำ 200 ลักซ์ (งำน
หยำบที่ทำที่โต๊ะหรือเครื่องจักร ชิ้นงำนที่มีขนำดใหญ่กว่ำ 0.75 มิลลิเมตร กำรตรวจงำนหยำบด้วยสำยตำ กำรนับ กำรตรวจเช็ค
สิ่งของที่มีขนำดใหญ่และบริเวณพื้นที่ในโกดัง)
4.1ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง มำตกำรคุ้มครองควำมปลอดภัยในกำรประกอบกิจกำรโรงงำน เกี่ยวกับสภำวะแวดล้อมในกำรทำงำน 36
พ.ศ.2546
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 4 สภาพแวดล้อมในการทางานและความปลอดภัย
4.2.2 การตรวจสอบสภาพแวดล้อมในการทางานด้านเสียง
4.2.2.1 ห้ำมมิให้บุคคลเข้ำไปในบริเวณที่มเี สียงดังเกินกว่ำ 140 dB (A)
4.2.2.2 ในสถำนที่ทำงำนจะต้องมีระดับเสียงเฉลี่ยที่ยอมรับได้ในระยะเวลำกำรทำงำน แต่ละวันดังนี้
ระยะเวลำทำงำน 12 ชั่วโมง ระดับเสียงเฉลี่ยไม่เกิน 87 dB(A)
ระยะเวลำทำงำน 8 ชั่วโมง ระดับเสียงเฉลีย่ ไม่เกิน 90 dB(A)
ระยะเวลำทำงำน 6 ชั่วโมง ระดับเสียงเฉลีย่ ไม่เกิน 92 dB(A)
ระยะเวลำทำงำน 4 ชั่วโมง ระดับเสียงเฉลีย่ ไม่เกิน 95 dB(A)
ระยะเวลำทำงำน 3 ชั่วโมง ระดับเสียงเฉลีย่ ไม่เกิน 97 dB(A)
ระยะเวลำทำงำน 2 ชั่วโมง ระดับเสียงเฉลีย่ ไม่เกิน 100 dB(A)
ระยะเวลำทำงำน 1.5 ชั่วโมง ระดับเสียงเฉลีย่ ไม่เกิน 102 dB(A)
ระยะเวลำทำงำน 1 ชั่วโมง ระดับเสียงเฉลีย่ ไม่เกิน 105 dB(A)
ระยะเวลำทำงำน 0.5 ชั่วโมง ระดับเสียงเฉลี่ยไม่เกิน 110 dB(A)
ระยะเวลำทำงำนน้อยกว่ำ 0.25 ชั่วโมง ระดับเสียงเฉลี่ยไม่เกิน 115 dB(A)
กรณีเวลำกำรปฏิบัติงำนไม่มีค่ำมำตรฐำนที่กำหนดข้ำงต้น
8
2 𝐿−90
ให้คำนวณจำกสูตร T =
5
เมื่อ T หมำยถึงเวลำกำรทำงำนที่ยอมให้ได้
L หมำยถึงระดับเสียง dB(A) 38
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 4 สภาพแวดล้อมในการทางานและความปลอดภัย
4.2.2.3 ถ้ำระดับเสียงเกินกว่ำค่ำมำตรฐำนผู้ประกอบกิจกำรโรงงำนต้องปิดประกำศเตือนให้ทรำบ
4.2.2.4 เสียงที่วัดนอกบริเวณโรงงำน หำกสูงกว่ำระดับเสียงพื้นฐำน เกินกว่ำ 10 เดซิเบลเอ ถือว่ำเป็นเสียงรบกวน 4.3
4.2.2.5 ระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง นอกบริเวณโรงงำน ที่เกิดจำกกำรประกอบกิจกำร ต้องไม่เกิน 70 เดซิเบลเอ 4.3
4.2.2.6 ระดับเสียงสูงสุดนอกบริเวณโรงงำน ที่เกิดจำกกำรประกอบกิจกำรโรงงำน ต้องไม่เกิน 115 เดซิเบลเอ 4.3
4.2.3 การตรวจสอบสภาพแวดล้อมในการทางานด้านความร้อน 4.4
“งานเบา” ต้องมีระดับควำมร้อน WBGT ไม่เกิน 34.0 C (งำนเบำเป็นงำนที่ใช้แรงน้อย หรือใช้กำลังงำนที่ทำให้เกิดกำรเผำ
ผลำญอำหำรในร่ำงกำยไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง เช่น งำนเขียนหนังสือ งำนพิมพ์ดีด งำนบันทึกข้อมูล งำนเย็บจักร งำนตรวจสอบ
ผลิตภัณฑ์ งำนประกอบชิ้นงำนขนำดเล็ก งำนบังคับเครื่องจักรด้วยเท้ำ กำรยืนคุมงำน เป็นต้น)
“งานปานกลาง” ต้องมีระดับควำมร้อน WBGT ไม่เกิน 32.0 C (งำนปำนกลำงเป็นงำนที่ใช้แรงปำนกลำงหรือใช้กำลังที่ทำให้
เกิดกำเผำผลำญอำหำรในร่ำงกำยเกินกว่ำ 200 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง ถึง 350 กิโลแคลอรี่/ชั่งโมง เช่น งำนยก ลำก ดัน หรือเคลื่อนย้ำยสิ่งของ
ด้วยแรงปำนกลำง งำนตอกตะปู งำนตะไบ งำนขับรถบรรทุก งำนขับรถแทรกเตอร์ เป็นต้น)
“งานหนัก” ต้องมีระดับควำมร้อน WBGT ไม่เกิน 30 C (งำนหนักเป็นงำนที่ใช้แรงมำกหรือใช้กำลังที่ทำให้เกิดกำรเผำผลำญ
อำหำรในร่ำงกำยเกินกว่ำ 350 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง ถึง 500 กิโลแคลอรี่/ชั่วโมง เช่น งำนที่ใช้พลั่วหรือเสียมขุดตัก งำนเลื่อยไม้ งำนเจำะไม้
เนื้อแข็ง งำนทุบโดยใช้ค้อนขนำดใหญ่ งำนยกหรือเคลื่อนย้ำยของหนักขึ้นที่สูงหรือที่ลำดชัน เป็นต้น)
หำก 3 กรณีแรก มีระดับควำมร้อนเกินมำตรฐำน ผู้ประกอบกิจกำรต้องปิดประกำศเตือนให้ทรำบ
หำก 3 กรณีแรก มีระดับควำมร้อนเกินมำตรฐำน ผู้ประกอบกิจกำรต้องดำเนินกำรแก้ไขปรับปรุง ถ้ำไม่สำมำรถป้องกันได้ต้องจัดหำอุปกรณ์
ป้องกันภัยส่วนบุคคลตลอดจนจัดให้มีกำรจัดอบรมกำรใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรำยส่วนบุคคลด้วย 4.4
4.3 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำหนดค่ำระดับเสียงกำรรบกวนและระดับเสียงที่เกิดจำกกำรประกอบกิจกำรโรงงำน พ.ศ. 2548
4.4 กฎกระทรวงกำหนดมำตรฐำนในกำรบริหำรจัดกำร และดำเนินกำรด้ำนควำมปลอดถัย อำชีวอนำมัยและสภำพแวดล้อมในกำรทำงำนเกี่ยวกับกำรป้องกันและระงับอัคคีภัย
39
พ.ศ.2555 ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติควำมปลอดภัย อำชีวอนำมัย และสภำพแวดล้อมในกำรทำงำน พ.ศ. 2554
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 4 สภาพแวดล้อมในการทางานและความปลอดภัย
4.4 มาตรฐานการตรวจสอบด้านวัตถุอันตราย
4.4.1 ต้องแยกอำคำรที่มีกำรผลิตหรือใช้วัตถุระเบิด หรือวัตถุไวไฟให้เป็นเอกเทศ โดยต้องอยู่ห่ำงจำกที่พักอำศัย หรือเตำ
ไฟ หรือที่เก็บสินค้ำต่ำงๆ และอำคำรอื่น และต้องดูแลรักษำอำคำรดังกล่ำวให้อยู่ในสภำพมั่นคงแข็งแรง เหมำะสมแก่กำรปฏิบัติงำน
4.13
51
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 4 สภาพแวดล้อมในการทางานและความปลอดภัย
- ในกำรจัดเก็บสำรกัมมันตภำพรังสีในภำชนะบรรจุซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ให้เก็บภำชนะดังกล่ำว ต้องทนไฟ
- บริเวณที่จัดเก็บสำรกัมมันตภำพรังสีต้องอยู่ในบริเวณที่ไม่เสี่ยงกับกำรเกิดอัคคีไฟ
- บริเวณที่มีกำรใช้สำรกัมมันตภำพรังสี และบริเวณที่เก็บรักษำสำรกัมมันตภำพรังสีอยู่ในบริเวณทีม่ ีคนผ่ำนน้อย และควบคุม
กำรเข้ำออกได้ง่ำย
- ห้ำมไม่ให้มีกำรรับประทำนอำหำรหรือเครื่องดื่มในบริเวณดังกล่ำว
- จัดสถำนที่และระบบระบำยอำกำศให้เหมำะสม
- ต้องมีกำรกำหนดให้สำรรังสีควำมแรงต่ำอยู่บริเวณทำงเข้ำและค่อยๆ เพิ่มขึ้น ให้สำรรังสีควำมแรงสูงอยู่ ด้ำนในเพื่อช่วยลด
กำรแพร่กระจำยกำรเปรอะเปื้อนทำงรังสี
4.4.30.2 ผู้ประกอบกิจกำรต้องจัดกำรเกี่ยวกับสถำนประกอบกิจกำรตำมที่กฎหมำยกำหนด ตัวอย่ำงเช่น
- สำรกัมมันตภำพรังสีที่ให้รังสีเบตำและแกมมำ จะต้องเก็บไว้ในภำชนะที่หนำตำมที่กฎหมำยกำหนด
- ในกำรจัดเก็บสำรกัมมันตภำพรังสีในภำชนะบรรจุซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ให้เก็บภำชนะดังกล่ำว ต้องทนไฟ
- บริเวณที่จัดเก็บสำรกัมมันตภำพรังสีต้องอยู่ในบริเวณที่ไม่เสี่ยงกับกำรเกิดอัคคีไฟ
- บริเวณที่มีกำรใช้สำรกัมมันตภำพรังสี และบริเวณที่เก็บรักษำสำรกัมมันตภำพรังสีอยู่ในบริเวณทีม่ ีคนผ่ำนน้อย และควบคุม
กำรเข้ำออกได้ง่ำย
- ห้ำมไม่ให้มีกำรรับประทำนอำหำรหรือเครื่องดื่มในบริเวณดังกล่ำว
- จัดสถำนที่และระบบระบำยอำกำศให้เหมำะสม
- ต้องมีกำรกำหนดให้สำรรังสีควำมแรงต่ำอยู่บริเวณทำงเข้ำและค่อยๆ เพิ่มขึ้น ให้สำรรังสีควำมแรงสูงอยู่ ด้ำนในเพื่อช่วยลด
กำรแพร่กระจำยกำรเปรอะเปื้อนทำงรังสี 54
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
5.1 ขอบเขต
มำตรฐำนนี้ เพื่อกำหนดกำรจัดกำรสิ่งแวดล้อมและของเสียจำกกำรประกอบกิจกำรโรงงำน ให้เป็นไปตำมกฎหมำยด้ำนกำร
ควบคุมสิ่งแวดล้อมเรื่องน้ำทิ้ง อำกำศเสีย สิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว
5.2 มาตรฐานการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม
5.2.1 การระบายน้าทิ้งออกจากโรงงาน
5.2.1.1 ต้องติดตั้งมำตรวัดปริมำณกำรใช้ไฟฟ้ำ สำหรับระบบบำบัดน้ำเสียโดยเฉพำะไว้ในที่ที่ง่ำยต่อกำรตรวจสอบ
และต้องจดบันทึกเลขหน่วยและปริมำณกำรใช้ไฟฟ้ำประจำวัน 5.1
5.2.1.2 กรณีมีกำรใช้สำรเคมี หรือสำรชีวภำพ ในระบบบำบัดน้ำเสีย ต้องมีกำรจดบันทึกประจำวัน และมีหลักฐำนใน
กำรจัดหำสำรเคมีหรือชีวภำพดังกล่ำว 5.1
5.2.1.3 ห้ำมระบำยน้ำทิ้งออกจำกโรงงำน เว้นแต่ได้ทำกำรอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง หรือหลำยอย่ำงจนน้ำทิ้งนั้นมีลักษณะ
เป็นไปตำมที่กำหนด แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช้วิธีทำให้เจือจำง (Dilution) 5.1 โดยต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 5.2
(1) ควำมเป็นกรดและด่ำง (PH) มีค่ำระหว่ำง 5.5-9.0
(2) อุณหภูมิ (Temperature) ไม่เกิน 40 องศำเซลเซียส
(3) สี (Color) ไม่เกิน 300 เอดีเอ็มไอ
5.1 กฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2535) ออกตำมพระรำชบัญญัตโรงงำน พ.ศ.2535
55
5.2 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำหนดมำตรฐำนควบคุมกำรระบำยน้ำทิ้งจำกโรงงำน พ.ศ.2560
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
56
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
58
5.3 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำหนดมำตรฐำนควบคุมกำรระบำยน้ำทิ้งจำกโรงงำนที่ประกอบกิจกำรเกี่ยวกับกำรฟอก ขัด หรือเคลือบสีหนังสัตว์ พ.ศ. 2561[45]
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
5.2.1.5 กาหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้าทิ้งจากโรงงานที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตเยื่อและโรงงานผลิตกระดาษ
ดังต่อไปนี้ [45] 5.4
(1) มำตรฐำนน้ำทิ้งจำกโรงงำนผลิตเยื่อ ต้องมีคุณภำพ ดังต่อไปนี้
(ก) สี (Color) ไม่เกิน 600 เอดีเอ็มไอ(ข) ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Dissolved Solids ) ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อลิตร
(ค) บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลิตร
(ค) ซีโอดี (Chemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อลิตร
(ง) ทีเคเอ็น (Total Kjeldahl Nitrogen) ไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อลิตร
(2) มำตรฐำนน้ำทิ้งจำกโรงงำนผลิตกระดำษ ต้องมีคุณภำพ ดังต่อไปนี้
(ก) สี (Color) ไม่เกิน 350 เอดีเอ็มไอ
(ข) ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Dissolved Solids ) ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อลิตร
(ค) บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อลิตร
(ง) ซีโอดี (Chemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 270 มิลลิกรัมต่อลิตร
(จ) ทีเคเอ็น (Total Kjeldahl Nitrogen) ไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อลิตร
(3) มำตรฐำนน้ำทิ้งจำกโรงงำนปรับคุณภำพของเสียรวม ต้องมีคุณภำพ ดังต่อไปนี้
(ก) สี (Color) ไม่เกิน 350 เอดีเอ็มไอ (ข) ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Dissolved Solids ) ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อลิตร
(ค) บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลิตร
(ง) ซีโอดี (Chemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 270 มิลลิกรัมต่อลิตร
(จ) ทีเคเอ็น (Total Kjeldahl Nitrogen) ไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อลิตร
5.4 ประกำศกรมโรงงำนอุตสำหกรรม 59
เรื่อง กำหนกมำตรฐำนควบคุมกำรระบำยน้ำทิ้งจำกโรงงำนผลิตเยื่อและโรงงำนผลิตกระดำษ พ.ศ.2561[46]
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
5.2.2 การระบายอากาศเสียออกจากโรงงาน
5.2.2.1 ห้ำมระบำยอำกำศเสียออกจำกโรงงำนเว้นแต่ได้ทำกำรอย่ำงใดอย่ำงหนึ่งหรือหลำยอย่ำง จนอำกำศที่ระบำยออก
นั้นมีปริมำณของสำรเจือปนไม่เกินกว่ำค่ำที่กฎหมำยกำหนด แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช้วิธีทำให้เจือจำง (Dilution) 5.8
5.2.2.2 ในกรณีมีเครื่องฟอกอำกำศ ต้องติดตั้งมำตรวัดไฟฟ้ำสำหรับเครื่องฟอกอำกำศ และต้องจดบันทึกเลขหน่วยและ
ปริมำณกำรใช้ไฟฟ้ำประจำวัน ในกรณีมีกำรใช้สำรเคมี ต้องมีกำรจดบันทึกกำรใช้ประจำวันและมีหลักฐำนในกำรจัดหำสำรเคมี
ดังกล่ำวด้วย 5.9
5.2.2.3 ค่ำควำมเข้มข้นของกลิ่นของโรงงำน จำนวน 23 ประเภท ต้องมีค่ำควำมเข้มกลิ่นโดยวิธีเจีอจำง ดังนี้ 5.10
ที่ตั้งโรงงำน ค่ำควำมเข้มข้นกลิ่นที่บริเวณรั้ว ค่ำควำมเข้มข้นกลิ่นที่ปล่อง
หรืขอบเขตภำยในโรงงำน ระบำยอำกำศของโรงงำน
เขตอุตสำหกรรม 30 1,000
นอกเขตอุตสำหกรรม 15 300
ค่ำปริมำณของสำรเจือปน
แหล่งที่มำของสำร ในอำกำศที่
ชนิดของสำรเจือปน (หน่วยวัด)
เจือปน ไม่มีกำรเผำไหม้ มีกำรเผำไหม้
เชื้อเพลิง เชื้อเพลิง
1. ฝุ่นละออง (Total Suspended Particulate) ก. แหล่งกำเนิดควำมร้อนที่ใช้
(มิลลิกรัมต่อลูกบำศก์เมตร) - น้ำมันหรือน้ำมันเตำ - 240
- ถ่ำนหิน - 320
- เชื้อเพลิงชีวมวล - 320
- เชื้อเพลิงอื่น ๆ - 320
ข. กำรถลุง หล่อหลอม รีดดึง
และ/หรือผลิต อลูมิเนียม 300 240
ค. กำรผลิตทั่วไป 400 320
2. พลวง (Antimony) (มิลลิกรัมต่อลูกบำศก์เมตร) กำรผลิตทั่วไป 20 16
3. สำรหนู (Arsenic) (มิลลิกรัมต่อลูกบำศก์เมตร) กำรผลิตทั่วไป 20 16
4. ทองแดง (Copper) (มิลลิกรัมต่อลูกบำศก์เมตร) กำรผลิตทั่วไป 30 24
5. ตะกั่ว (Lead) (มิลลิกรัมต่อลูกบำศก์เมตร) กำรผลิตทั่วไป 30 24 62
5.11 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำหนดค่ำปริมำณของสำรเจอปนในอำกำศที่ระบำยออกนอกโรงงำน พ.ศ. 2549[3]
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
ค่ำปริมำณของสำรเจือปน
แหล่งที่มำของสำร ในอำกำศที่
ชนิดของสำรเจือปน (หน่วยวัด)
เจือปน ไม่มีกำรเผำไหม้ มีกำรเผำไหม้
เชื้อเพลิง เชื้อเพลิง
6. ปรอท (มิลลิกรัมต่อลูกบำศก์เมตร) กำรผลิตทั่วไป 3 2.4
7. คลอรีน (Chlorine) (มิลลิกรัมต่อลูกบำศก์เมตร) กำรผลิตทั่วไป 30 24
8. ไฮโดรเจนคลอไรด์ (Hydrogen chloride) (มิลลิกรัมต่อ กำรผลิตทั่วไป 200 160
ลูกบำศก์เมตร)
9.กรดกำมะถัน (Sulfuric acid) (ส่วนในล้ำนส่วน) กำรผลิตทั่วไป 25 -
10. ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen sulfide) (ส่วนในล้ำน กำรผลิตทั่วไป 100 80
ส่วน)
11. คำร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon monoxide) (ส่วนใน กำรผลิตทั่วไป 870 690
ล้ำนส่วน)
63
5.11 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำหนดค่ำปริมำณของสำรเจอปนในอำกำศที่ระบำยออกนอกโรงงำน พ.ศ. 2549[3]
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
ค่ำปริมำณของสำรเจือปน
แหล่งที่มำของสำร ในอำกำศที่
ชนิดของสำรเจือปน (หน่วยวัด)
เจือปน ไม่มีกำรเผำไหม้ มีกำรเผำไหม้
เชื้อเพลิง เชื้อเพลิง
12. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur dioxide) ก. แหล่งกำเนิดควำมร้อนที่ใช้
(ส่วนในล้ำนส่วน) - น้ำมันหรือน้ำมันเตำ - 950
- ถ่ำนหิน - 700
- เชื้อเพลิงชีวมวล - 60
- เชื้อเพลิงอื่น ๆ - 60
ข. กำรผลิตทั่วไป 500 -
13. ออกไซด์ของไนโตรเจน แหล่งกำเนิดควำมร้อนที่ใช้
(Oxides of nitrogen) - น้ำมันหรือน้ำมันเตำ - 200
(ส่วนในล้ำนส่วน) - ถ่ำนหิน - 400
- เชื้อเพลิงชีวมวล เชื้อเพลิงอื่น ๆ - 200
14. ไซลีน (Xylene)(ส่วนในล้ำนส่วน) กำรผลิตทั่วไป 200 -
15. ครีซอล (Cresol) (ส่วนในล้ำนส่วน) กำรผลิตทั่วไป 5 -
64
5.11 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำหนดค่ำปริมำณของสำรเจอปนในอำกำศที่ระบำยออกนอกโรงงำน พ.ศ. 2549[3]
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
68
5.12 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำหนดค่ำปริมำณของสำรเจอปนในอำกำศที่ระบำยออกนอกโรงงำนปูนซีเมนต์ พ.ศ. 2549
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
ชนิดของสารเจือปนในอากาศ ค่าปริมาณสารเจือปนในอากาศ
ฝุ่นละออง (Particulate) 240 มิลลิกรัมต่อลูกบำศก์เมตร
ไฮโดรเจนคลอไรด์ (Hydrogen Chloride)และไฮโดรเจนฟลูออไรด์ (Hydrogen Chloride) รวมไม่เกิน 85 ส่วนในล้ำนส่วน
คำร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon Monoxide) 110 ส่วนในล้ำนส่วน
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur Dioxide) 800 ส่วนในล้ำนส่วน
ออกไซด์ของไนโตรเจนในรูปไนโตรเจนไดออกไซด์ (Oxide of Nitrogen as NO2) 200 ส่วนในล้ำนส่วน
ไดออกซิน/และฟูรำน (Dioxins/Furans) ในรูปสมมูลย์ควำมเป็นพิษ (TEQ) 0.5 นำโนกรัมต่อลูกบำศก์เมตร
ปรอท (Mercury) 0.15 มิลลิกรัมต่อลูกบำศก์เมตร
โลหะหนักจำพวกพลวง (Antiminy) สำรหนู (Arsenic) แคดเมี่ยม (Cadmium) ซีลีเนี่ยม รวมกันไม่เกิน 0.65 มิลลิกรัมต่อ
(Selenium) และเทลลูเรียม (Tellurium) ลูกบำศก์เมตร
โลหะหนักจำพวกวำเนเดียม (Vanadium) โครเมี่ยม (Chromium) โคบอลต์ (Cobalt) นิเกิล รวมกันไม่เกิน 13.0 มิลลิกรัมต่อ
(Nickle) ทองแดง (Copper) ตะกั่ว (Lead) แมงกำนีส (Manganese) และดีบุก (Tin) ลูกบำศก์เมตร
(16) ให้ของเสียอันตรำยตำมบัญชีรำยกำร
ท้ำยประกำศฉบับนี้ ต้องกำจัดโดยวิธีกำรเผำ
ทำลำยในเตำเผำอุตสำหกรรมเฉพำะสำหรับ
ของเสียอันตรำย ห้ำมมิให้นำของเสีย
อันตรำย มำกำจัดโดยวิธีกำรเผำทำลำยใน
เตำปูนซีเมนต์ และเตำเผำปูนขำว 5.23
5.23
ประกำศกรมโรงงำนอุตสำหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีกำรปฏิบัติเกี่ยวกับ
กำรจัดกำรสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2551[23] 78
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
5.2.3.2 กำรรวบรวมและขนส่งของเสียอันตรำยต้องดำเนินกำรดังนี้ 5.24
(1) ผู้แต่งตั้งตัวแทนเพื่อเป็นผู้รวบรวมและขนส่งของเสียอันตรำย ต้องเป็นผู้ก่อกำเนิดของเสียอันตรำย หรือผู้บำบัดและกำจัดของเสีย
อันตรำยที่ได้แจ้งเพื่อขอมีเลขประจำตัวและกรมโรงงำนอุตสำหกรรมได้ออกเลขประจำตัว ตำมประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง ระบบเอกสำร
กำกับกำรขนส่งของเสียอันตรำย พ.ศ. 2547 แล้ว
(2) ผู้ได้รับกำรแต่งตั้งเป็นตัวแทนเพื่อเป็นผู้รวบรวมและขนส่งของเสียอันตรำย ต้องเป็นผู้ขนส่งของเสียอันตรำยที่ได้แจ้งเพื่อขอมีเลข
ประจำตัวและกรมโรงงำนอุตสำหกรรมได้ออกเลขประจำตัว ตำมประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง ระบบเอกสำรกำกับกำรขนส่งของเสีย
อันตรำย พ.ศ. 2547 แล้ว
(3) ผู้ได้รับกำรแต่งตั้งเป็นตัวแทนเพื่อเป็นผู้รวบรวมและขนส่งของเสียอันตรำย ต้องมีที่ตั้งสถำนประกอบกำรและบริเวณที่ใช้จอดรถยนต์ที่
สำมำรถเก็บของเสียอันตรำยไว้ได้ชั่วครำว โดยมีควำมปลอดภัยและไม่เกิดควำมเสียหำยต่อชีวิตมนุษย์ สัตว์ พืช ทรัพย์หรือสิ่งแวดล้อม และต้องมี
หลักฐำนแสดงกรรมสิทธิ์ หรือหลักฐำนแสดงสิทธิในกำรใช้สถำนที่ตั้ง สถำนประกอบกำร และที่จอดรถยนต์ที่ใช้ขนส่งของเสียอันตรำย
(4) ผู้ได้รับกำรแต่งตั้งเป็นตัวแทนเพื่อเป็นผู้รวบรวมและขนส่งของเสียอันตรำย ต้องมีหลักฐำนกำรจดทะเบียนผู้ถือกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่ใช้ขนส่ง
ของเสียอันตรำย หรือหลักฐำนกำรเป็นผู้มีสิทธิ์รอบครองรถยนต์ที่ใช้ขนส่งของเสียอันตรำย รวมทั้งใบอนุญำตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรำย
(วอ.8) กรณีเข้ำข่ำยต้องได้รับอนุญำตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรำย (เพื่อกำรขนส่ง)
(5) ผู้ได้รับกำรแต่งตั้งเป็นตัวแทนเพื่อเป็นผู้รวบรวมและขนส่งของเสียอันตรำย ต้องมีมำตรกำรป้องกันและควบคุมกำรเกิดอุบัติภัยหรือเหตุ
ฉุกเฉินขณะเก็บรวบรวม และขนส่งของเสียอันตรำย
(6) ผู้แต่งตั้งตัวแทนต้องรับภำระควำมรับผิด (liability) ร่วมกับตัวแทนระหว่ำงกำรดำเนินกำรขนส่ง และต้องดำเนินกำรเพื่อให้ผู้รวบรวม
และขนส่งปฏิบัติดังนี้
(ก) ต้องปฏิบัติตำมประกำศมติคณะกรรมกำรวัตถุอันตรำย เรื่อง กำรขนส่งวัตถุอันตรำยทำงบก พ.ศ. 2545
(ข) ต้องส่งรำยงำนประจำปีให้แก่กรมโรงงำนอุตสำหกรรมตำมแบบ สก. 4 หรือทำงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ภำยในวันที่ 1 มีนำคม ของปีถัดไป
5.24 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำรกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ.2548[14] (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560[53] ประกำศกรมโรงงำนอุตสำหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีกำรปฏิบัติเกี่ยวกับกำรจัดกำร 79
สิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ของผู้ประกอบกิจกำรบำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2550 ประกำศกรมโรงงำนอุตสำหกรรม เรื่องหลักเกณฑ์กำรพิจำรณำ กำรแต่งตั้งตัวแทนเพื่อเป็นผู้รวบรวม
และขนส่งของเสียอันตรำย ตำมประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำรกำจัดสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
5.2.3.3 ผู้บำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ต้องปฏิบัติดังนี้ 5.25
(1) ต้องรับเฉพำะที่ได้รับอนุญำต และต้องแจ้งเป็นหนังสือ ให้ผู้ใช้บริกำรทรำบพร้อมทั้งแนบสำเนำใบอนุญำตกระกอบกิจกำรโรงงำน
(2) ต้องใช้ใบกำกับกำรขนส่ง และต้องปฏิบัติตำมมติคณะกรรมกำรวัตถุอันตรำย เรื่อง กำรขนส่งวัตถุอันตรำยทำงบก พ.ศ.2545 และเมื่อรับ
สิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ให้แจ้งกรมโรงงำนอุตสำหกรรมทำงสื่ออิเล็กทรอนิกส์
(3) ต้องรับภำระควำมรับผิด (liability) เมื่อรับสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุไม่ใช้แล้ว เมื่อลงลำยมือชื่อในใบกำกับกำรขนส่งแล้ว
(4) ต้องมีผลวิเครำะห์ ทำงเคมีและกำยภำพ ของสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และเก็บไว้อย่ำงน้อย 3 ปี
(5) ต้องจัดทำแผนกำรป้องกันอุบัติภัย เพื่อรองรับเหตุฉุกเฉิน ในกรณีเหตุรั่วไหล อัคคีภัย กำรระเบิดของสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว หรือ
เหตุที่คำดไม่ถึง ตำมที่กำหนด และต้องมีอุปกรณ์รักษำควำมปลอดภัยและอปกรณีรองรับเหตุฉุกเฉิน ภำนในบริเวณโรงงำนและมีเส้นทำงหนี
ภัยไปยังที่ปลอดภัย
(6) ต้องมีผู้ควบคุมดูแลระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมที่มีควำมรู้เฉพำะด้ำน และต้องจัดฝึกอบรมพนักงำนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สำมำรถปฏิบัติงำน
ตำมหน้ำที่ได้อย่ำงถูกต้องและปลอดภัย
(7) ต้องจัดทำแผนกำรป้องกันอุบัติภัยเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉิน ในกรณีเกิดเหตุรั่วไหลอัคคีภัย กำรระเบิดของสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว
หรือเหตุที่คำดไม่ถึง ตำมที่กำหนดในภำคผนวกที่ 3 ท้ำยประกำศนี้ และต้องมีอุปกรณ์รักษำควำมปลอดภัยและอุปกรณ์รองรับเหตุฉุกเฉิน
อย่ำงเหมำะสม และเพียงพออยู่ภำยในโรงงำน และมีเส้นทำงหนีภัยออกจำกพื้นที่ไปยังที่ปลอดภัย
(8) ต้องส่งรำยงำนประจำปีให้แก่กรมโรงงำนอุตสำหกรรมตำมแบบ สก. 5 ท้ำยประกำศนี้ ภำยในวันที่ 1 มีนำคม ของปีถัดไป
(9) ต้องรับสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจำกผู้ก่อกำเนิดตำมรำยชื่อและปริมำณของสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ที่ระบุไว้ในใบอนุญำต
เท่ำนั้น
5.25 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำรกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ.2548[14] (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560[53] ประกำศกรมโรงงำนอุตสำหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีกำรปฏิบัติเกี่ยวกับกำรจัดกำรสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้
80
แล้ว ของผู้ประกอบกิจกำรบำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2550
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
(10) กรณีรับบำบัดหรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เป็นของเสียอันตรำย ต้องตรวจสอบควำมถูกต้องของรำยชื่อ และปริมำณของเสีย
อันตรำยให้ถูกต้องตรงกันกับที่ระบุไว้ในใบกำกับกำรขนส่ง หำกพบว่ำรำยชื่อและปริมำณของเสียอันตรำยไม่ตรงกับรำยกำรในใบกำกับกำร
ขนส่งให้ผู้ประกอบกิจกำรรับบำบัดและกำจัด ฯ ดำเนินกำร ดังต่อไปนี้
(ก) กรณีเป็นสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ได้รับอนุญำตแล้ว ให้ผู้ประกอบกิจกำรรับบำบัดและกำจัด ฯ รับมอบของเสียอันตรำยนั้นไว้
ก่อน และแจ้งให้ผู้ก่อกำเนิด ฯ ทรำบทันทีโดยผู้ก่อกำเนิด ฯ ต้องรับผิดชอบค่ำเสียหำยและเสียค่ำใช้จ่ำยส่วนที่เพิ่มสำหรับกำรบำบัดหรือกำจัด
หำกไม่สำมำรถหำข้อยุติได้ภำยใน 15 วัน ให้ผู้รับบำบัดและกำจัด ฯ แจ้งต่อกรมโรงงำนอุตสำหกรรมหรือหน่วยงำนที่ได้รับมอบหมำยทรำบ
ทันที ภำยในวันที่ครบกำหนด เพื่อให้กรมโรงงำนอุตสำหกรรมหรือหน่วยงำนที่ได้รับมอบหมำยดำเนินกำรสั่งกำรต่อไป
(ข) กรณีเป็นสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่ได้รับอนุญำต ให้ผู้รับบำบัดและกำจัด ฯ ส่งคืนของเสียอันตรำยให้ผู้ก่อกำเนิด ฯ โดยทันที
พร้อมเก็บสำเนำใบกำกับกำรขนส่งไว้เป็นหลักฐำน แล้วแจ้งให้กรมโรงงำนอุตสำหกรรม หรือหน่วยงำนที่ได้รับมอบหมำยทรำบ ภำยใน 7 วัน
นับตั้งแต่วันที่ส่งคืนของเสียอันตรำยให้กับผู้ก่อกำเนิด ฯ ที่เป็นเจ้ำของของเสียอันตรำยเพื่อดำเนินกำรตำมกฎหมำยต่อไป
(ค) ห้ำมรับมอบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เป็นของเสียอันตรำย โดยไม่มีใบกำกับกำรขนส่งโดยเด็ดขำด
(11) ต้องจัดเก็บสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่รับมอบภำยในอำคำรหรือบริเวณที่จัดไว้โดยเฉพำะ และต้องดำเนินกำร ดังต่อไปนี้
(ก) กรณีที่จัดเก็บไว้ในอำคำร สภำพอำคำรต้องมีควำมมั่นคงแข็งแรง มีกำรระบำยอำกำศที่พอเพียง และมีพื้นที่เพียงพอต่อกำรจัดเก็บ
อย่ำงปลอดภัย
(ข) กรณีที่จัดเก็บไว้นอกอำคำร ต้องมีมำตรกำรป้องกันและควบคุมด้ำนควำมปลอดภัยและด้ำนสิ่งแวดล้อมโดยเฉพำะกำรปนเปื้อนและ
กระจำยสู่ดิน น้ำอำกำศโดยกำรจัดเก็บไว้นอกอำคำรต้องได้รับควำมเห็นชอบจำกกรมโรงงำนอุตสำหกรรมหรือหน่วยงำนที่ได้รับมอบหมำยก่อน
(ค) ต้องแยกเก็บสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่อันตรำยและที่เป็นของเสียอันตรำยหรือของเสียอันตรำยที่อำจก่อปฏิกริยำต่อกันออก
จำกกันเป็นสัดส่วนโดยต้องแสดงป้ำย เครื่องหมำยและคำเตือนควำมเป็นอันตรำยติดตั้งไว้ในบริเวณที่จัดเก็บของเสียอันตรำยด้วย
5.25 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง กำรกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ.2548[14] (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560[53] ประกำศกรมโรงงำนอุตสำหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีกำรปฏิบัติเกี่ยวกับกำรจัดกำรสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้
81
แล้ว ของผู้ประกอบกิจกำรบำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2550
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมและของเสีย
(12) ภำชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้บรรจุสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ที่เป็นของเสียอันตรำยต้องมีสภำพมั่นคงแข็งแรงและเป็นไปตำม
มำตรฐำนที่กำหนด และต้องติดฉลำก ป้ำย หรือเครื่องหมำยแสดงควำมเป็นอันตรำย โดยฉลำกที่ติดภำชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่สำมำรถ
เคลื่อนย้ำยได้ และไม่ได้ติดตรึงกับพื้น ต้องแสดงรำยละเอียด ชื่อ และปริมำณของเสียอันตรำย เลขที่ใบกำกับกำรขนส่งและชื่อผู้ก่อกำเนิด ฯ
ให้ครบถ้วน
(13) ต้องทำกำรบำบัดหรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วตำมกระบวนกำรหรือวิธีกำรที่ได้รับอนุญำตเท่ำนั้น
(14) กรณีที่ผู้ประกอบกิจกำรรับบำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วไม่สำมำรถรับบำบัดหรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้
แล้วภำยในระยะเวลำที่กำหนด และต้องกำรนำสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วส่งไปบำบัดหรือกำจัดโดยผู้รับบำบัดและกำจัด ฯ รำยอื่น ต้อง
ขออนุญำตต่อกรมโรงงำนอุตสำหกรรม หรือหน่วยงำนที่ได้รับมอบหมำยภำยใน 5 วัน ก่อนครบระยะเวลำที่กำหนดและต้องได้รับอนุญำต
ก่อน จึงจะดำเนินกำรได้ โดยให้ใช้หลักเกณฑ์และวิธีกำรขออนุญำตเช่นเดียวกับกำรขออนุญำตนำสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกนอก
บริเวณโรงงำน
(15) กำรจัดกำรกำกสุดท้ำยที่เกิดจำกกระบวนกำรบำบัดหรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ต้องดำเนินกำรขออนุญำตนำไป
บำบัดหรือกำจัดนอกบริเวณโรงงำน เช่นเดียวกับผู้ก่อกำเนิดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว
(16) กำรฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ที่เกิดจำกกระบวนกำรผลิตของโรงงำน ภำยในพื้นที่บริเวณโรงงำน ไม่ต้องขอรับ
ใบอนุญำตประกอบกิจกำรโรงงำน ลำดับที่ 105 แต่ถ้ำฝังกลบนอกบริเวณโรงงำนเดิม ต้องขอรับใบอนุญำตประเภทหรือชนิดของโรงงำน
เป็นลำดับที่ 105 5.26
บทที่ 6 บุคลากรในโรงงาน
6.1 ขอบเขต
มำตรฐำนนี้ เพื่อกำหนดบุคลำกรในโรงงำนให้เป็นไปตำมกฎหมำยด้ำนกำรตรวจสอบคนงำนและบุคลำกำรในโรงงำน
6.2 มำตรฐำนกำรตรวจสอบคนงำนและบุคลำกำรในโรงงำน
6.2.1 โรงงำนดังต่อไปนี้ต้องจัดให้มีบุคลำกรด้ำนสิ่งแวดล้อมประจำโรงงำน 6.1
ลำดับ ชนิดและขนำดของโรงงำน ประเภทของบุคลำกรด้ำนสิ่งแวดล้อมประจำโรงงำน
1 โรงงำนที่มีน้ำเสียปนเปื้อนสำรอินทรีย์ ผู้จัดกำรสิ่งแวดล้อมผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษน้ำ หรือ
โรงงำนที่มีปริมำณน้ำเสียก่อนเข้ำระบบบำบัดตั้งแต่ 500 ลูกบำศก์เมตรต่อวันขึ้นไป(ยกเว้นน้ำหล่อ ที่ปรึกษำผู้ปฏิบัติงำนประจำระบบบำบัดมลพิษน้ำ
เย็น) หรือโรงงำนที่มีปริมำณควำมสกปรกในรูปบีโอดีก่อนเข้ำระบบบำบัด (BOD Load of
Influent) ตั้งแต่ 100 กิโลกรัมต่อวันขึ้นไป
2 โรงงำนที่ใช้สำรหรือองค์ประกอบของสำรดังต่อไปนี้ในกระบวนกำรผลิตที่มีน้ำเสียก่อนเข้ำระบบ ผู้จัดกำรสิ่งแวดล้อม
บำบัด ตั้งแต่ 50 ลูกบำศก์เมตรต่อวันขึ้นไป ผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษน้ำ หรือที่ปรึกษำ
2.1 สังกะสี (Zinc) 2.2 แคดเมียม (Cadmium) ผู้ปฏิบัติงำนประจำระบบบำบัดมลพิษน้ำ
2.3 ไซยำไนด์ (Cyanide) 2.4 ฟอสฟอรัสที่อยู่ในรูปของสำรประกอบอินทรีย์ หมำยเหตุ ในกรณีมีกำรประกอบกิจกำรโรงงำนเกี่ยวกับ
2.5 ตะกั่ว (Lead) 2.6 ทองแดง (Copper) กำรชุบโลหะต้องมีผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษอำกำศ
2.7 บำเรียม (Barium) 2.8 เซเลเนียม (Selenium) หรือที่ปรึกษำผู้ควบคุมระบบกำรจัดกำรมลพิษกำก
2.9 นิเกิล (Nickel) 2.10 แมงกำนีส (Manganese) อุตสำหกรรม หรือที่ปรึกษำผู้ปฏิบัติงำนประจำระบบ
2.11 โครเมียม วำเลนซี 6 2.12 อำร์ซินิคและสำรประกอบอำร์ซินิค บำบัดมลพิษอำกำศผู้ปฏิบัติงำนประจำระบบกำรจัดกำร
2.13 ปรอทและสำรประกอบปรอท มลพิษกำกอุตสำหกรรม เพิ่มเติม
6.1 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรมเรื่อง กำรกำหนดชนิดและขนำดของโรงงำน กำหนดวิธีกำรควบคุมกำรปล่อยของเสียมลพิษ หรือสิ่งใด ๆ ที่มีผลกระทบต่ อสิ่งแวดล้อม กำหนดคุณสมบัติของผู้ควบคุมดูแล 85
ผู้ปฏิบัติงำนประจำ และหลักเกณฑ์กำรขึ้นทะเบียน ผู้ควบคุมดูแลสำหรับระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2554[21]
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 6 สารเคมีและสารอันตรายที่เป็นพิษ
87
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 6 สารเคมีและสารอันตรายที่เป็นพิษ
88
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 6 สารเคมีและสารอันตรายที่เป็นพิษ
89
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 6 สารเคมีและสารอันตรายที่เป็นพิษ
91
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 6 สารเคมีและสารอันตรายที่เป็นพิษ
92
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 6 สารเคมีและสารอันตรายที่เป็นพิษ
6.2.1.1บุคลำกรด้ำนสิ่งแวดลอมประจำโรงงำน ประกอบด้วย6.2
(1) ผู้จัดกำรสิ่งแวดล้อม ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(ก) เป็นผู้รับใบอนุญำตประกอบกิจกำรโรงงำน หรือเป็นพนักงำนของโรงงำนที่มีตำแหน่งเป็นผู้จัดกำรซึ่งผู้รับใบอนุญำตประกอบ
กิจกำรโรงงำนแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้ำที่เป็นผู้จัดกำรสิ่งแวดล้อม
(ข) ผ่ำนกำรอบรมหลักสูตรผู้จัดกำรสิ่งแวดล้อม
(2) ผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษน้ำ อำกำศ หรือผู้ควบคุมระบบกำรจัดกำรมลพิษกำก
อุตสำหกรรม ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(ก) เป็นผู้สอบผ่ำนกำรสอบมำตรฐำนที่กรมโรงงำนอุตสำหกรรมกำหนด และได้รับกำรอนุญำตให้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ควบคุมระบบ
บำบัดมลพิษแต่ละประเภท แล้วแต่กรณี โดยกรมโรงงำนอุตสำหกรรมจะออกหนังสืออนุญำตให้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นหลักฐำน
(ข) ในกรณีที่จะปฏิบัติงำนเป็นผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษน้ำ อำกำศ หรือผู้ควบคุมระบบกำรจัดกำรมลพิษกำกอุตสำหกรรม ต้อง
ได้รับกำรแต่งตั้งจำกผู้รับใบอนุญำตประกอบกิจกำรโรงงำนให้ปฏิบัติหน้ำที่ดังกล่ำว และยื่นขออนุญำตต่อกรมโรงงำนอุตสำหกรรม
(3) ผู้ปฏิบัติงำนประจำเครื่องระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ต้องเป็นผู้ผ่ำนกำรฝึกอบรม
หลักสูตรผู้ปฏิบัติงำนประจำเครื่องระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ (ระบบบำบัดมลพิษน้ำ อำกำศ หรือระบบกำรจัดกำรมลพิษกำก
อุตสำหกรรม แล้วแต่กรณี) และได้รับกำรแต่งตั้งจำกผู้รับใบอนุญำตประกอบกิจกำรโรงงำนให้ปฏิบัติหน้ำที่เป็นผู้ปฏิบัติงำนประจำ
เครื่องระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ (ระบบบำบัดมลพิษน้ำ อำกำศ หรือระบบกำรจัดกำรมลพิษกำกอุตสำหกรรม) และรับรองกำร
ปฏิบัติงำนโดยผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษน้ำ อำกำศ หรือผู้ควบคุมระบบกำรจัดกำรมลพิษกำกอุตสำหกรรม แล้วแต่กรณี
6.2 ประกำศกรมโรงงำนอุตสำหกรรม เรื่อง คุณสมบัติของบุคลำกรด้ำรสิ่งแวดล้อมประจำโรงงำน กำรฝึกอบรมและกำรสอบมำตรฐำน [10]
93
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 6 สารเคมีและสารอันตรายที่เป็นพิษ
โรงงำนที่มีกำรใช้สำรกัมมันตรังสี 95
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 6 สารเคมีและสารอันตรายที่เป็นพิษ
97
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 7 อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ในโรงงาน
- ชื่อและทะเบียนโรงงำน - รำยละเอียดปล่องและเครื่องมืออุปกรณ์ที่ติดตั้ง
- ค่ำที่ทำกำรตรวจวัด (Parameters) - รำยละเอียดเครื่องมือและอุปกรณ์ส่งสัญญำณ
- เบอร์โทรศัพท์ของโรงงำนทีใ่ ช้เชื่อมต่อกับระบบเชื่อมโยงของศูนย์ รับข้อมูล - ชื่อผู้ประสำนงำนและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
(2) เมื่อศูนย์รับข้อมูลพร้อมสำหรับกำรเชื่อมโยงระบบแล้ว โรงงำนจะต้องทำกำรทดสอบระบบและส่งข้อมูลให้ศูนย์รับข้อมูลที่กรม
โรงงำนอุตสำหกรรมกำหนด ทันที
7.2.16 มำตรกำรคุ้มครองควำมปลอดภัยในกำรประกอบกิจกำรโรงงำน หลอมตะกั่วจำกแบตเตอรี่เก่ำ ต้องดำเนินกำร ดังนี้ 7.4 130
(1) ต้องจัดให้มีอุปกรณืป้องกันส่วนบุคคล ประกอบด้วย หมวกครอบกันฝุ่น หน้ำกำกกันฝุ่น และไอสำรเคมี ชุดเสื่อผ้ำถลุมมิด
ชิด ถุงมือยำง และรองเท้ำหุ้มข้อ โดยเฉพำะเมื่อปฏิบัตงำนในสถำนที่จัดเก็บแผ่นธำตุแบตเตอรี่เก่ำและวัสดุที่ก่อให้เกิดฝุ่นตะกั่ว สถำนที่
เก็บแบตเตอรี่เก่ำ และสถำนที่ผ่ำแยกแผ่นธำคุแบตเตอรี่เก่ำ
(2) จัดให้มีห้องน้ำสำหรับอำบ ที่ล้ำงมือ และห้องผลัดเปลี่ยนชุดทำงำนที่เพียงพอเหมำะสม
(3) มีที่ดื่มน้ำหรือที่รับประทำนอำหำร โดยเฉพำะ ห่ำงจำกตัวอำคำรโรงงำนไม่น้อยกว่ำ 20 เมตร หรือตำมที่กรมโรงงำน
อุตสำหกรรมกำหนด และห้ำมดืมน้ำหรือรับทำนอำหำรในอำคำรโรงงำน
7.2.17 หลักเกณฑ์กำรพิจำรณำคุณสมบัติของหน่วยตรวจสอบ ภำชนะบรรจุก๊ำซ (21)7.5
ต้องมีอุปกรณ์ เครื่องมือ และกำรสอบเทียบ
7.2.18 จัดให้มีเครื่องมือในกำรปฐมพยำบำลตลอดจนอุปกรณ์ต้องอยู่ในสภำพที่สะอำด ถูกสุขลักษณะ พร้อมที่จะใช้งำนได้ทันที
7.4 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม เรื่อง มำตรกำรคุ้งครองควำมปลอดภัยในกำรประกอบกิจกำรโรงงำน หลอมตะกั่วจำกแบตเตอรี่เก่ำ พ.ศ.2544
7.5 ประกำศกรมโรงงำนอุตสำหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์กำรพิจำรณำให้ควำมเห็นชอบให้เป็นหน่วยตรวจสอบภำชนะบรรจุก๊ำซ พ.ศ. 2550
101
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
104
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
8.2.2 ต้องแจ้งข้อมูลรายเดือน ตามแบบ ร.ง.8 ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป และแจ้งข้อมูลรายปี ตามแบบ รง.9 ภายใน
เดือนเมษายนของปีถัดไป ณ สานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม 8.2
8.2.3 มาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับหม้อน้าและหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสือ่ นาความร้อน 8.3
(1) ต้องจัดให้มีการทดสอบก่อนการใช้งาน หม้อน้าและหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนาความร้อน ดังนี้
(ก) ต้องจัดให้มีการตรวจสอบภายนอกภายใน และการทางานของระบบการควบคุมก่อนการใช้งาน โดยวิศวกรตรวจ
ทดสอบ หรือหน่วยรับรองวิศวกรรมด้านหม้อน้า หรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนาความร้อน และจัดส่งต้นฉบับ รายงานให้กรม
โรงงานอุตสาหกรรมภายใน 30 วัน หลังจากทาการตรวจสอบความปลอดภัย
(ข) หม้อน้าที่นาชิ้นส่วนมาประกอบ ณ สถานที่ใช้งานต้องทาการตรวจสอบตามแนวเชื่อมส่วนรับแรงดัน ภายใต้การ
ควบคุมดูแลของวิศวกรควบคุมการสร้าง หรือซ่อม หรือหน่วยรับรอง
วิศวกรรมด้านหม้อน้า หรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสือ่ นาความร้อน
(2) ต้องจัดให้มีการตรวจทดสอบความปลอดภัยระหว่างการใช้งาน โดยวิศวกรตรวจทดสอบ หรือหน่วยรับรองวิศวกรรมด้าน
หม้อน้า หรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนาความร้อน เป็นประจาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในเรื่องต่อไปนี้
(ก) ตรวจสอบภายนอก
(ข) ตรวจสอบภายใน
(ค) ตรวจสอบการทางานของระบบการควบคุม และอุปกรณ์ความปลอดภัย
(3) หากประสงค์จะตรวจสอบภายในหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนาความร้อน ทุกระยะเวลาเกินกว่า 1 ปีแต่ไม่เกิน 3 ปีต่อ
การตรวจทดสอบหนึ่งครั้ง ก็ให้กระทาได้ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อน
8.2 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กาหนดแบบแจ้งข้อมูลรายเดือน (แบบ ร.ง.8) พ.ศ.2545
8.3 105
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง มาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับหม้อน้าและหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนาความร้อน พ.ศ. 2549
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
(4) หม้อน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะให้ความเห็นชอบในการตรวจสอบภายในหม้อน้า ทุกระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี
ต่อการตรวจสอบ 1 ครั้ง ได้แก่หม้อน้าดังต่อไปนี้ 8.4
(ก) หม้อน้าแบบท่อน้าที่มีอตั ราการผลิตไอน้าตั้งแต่ 20 ตันต่อชั่วโมงขึ้นไป
(ข) หม้อน้าที่ใช้ความร้อนจากกระบวนการผลิต (Process Boiler หรือ Process Steam Generator) ทุกอัตราการผลิตไอน้า
โดยหากหม้อน้าดังกล่าวหยุดการใช้งานจะทาให้กระบวนการผลิตไม่สามารถทางานอย่างต่อเนื่องได้
(5) หม้อน้าที่จะให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเห็นชอบ จะต้องเป็นหม้อน้าที่มีหลักฐานเอกสารและมีการดาเนินการ ดังต่อไปนี้ 8.4
(ก) ต้องมีหลักฐานการออกแบบโครงสร้าง การคานวณ การสร้างหรือการประกอบ และการตรวจทดสอบที่ได้รับการรับรอง
ตามมาตรฐาน ได้แก่ ASME, JIS, EN, ISO หรือตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมยอมรับ
(ข) มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัด อุปกรณ์ความปลอดภัยและระบบป้องกันอันตรายสาหรับหม้อน้าตามมาตรฐาน ได้แก่
ASME, JIS, EN, ISO หรือตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมยอมรับ และมีหลักฐานการสอบเทียบ (Calibration) ตามระบบรับรอง
คุณภาพ
(ค) มีการตรวจวิเคราะห์และปรับปรุงคุณสมบัติของน้าป้อนเข้าหม้อน้าและน้าภายในหม้อน้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน ได้แก่
ASME, JIS, EN, ISO หรือตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมยอมรับโดยต้องมีการตรวจสอบทุกวันยกเว้นหม้อน้าแบบท่อน้าตาม (1)
ของข้อ 4 น้าป้อนเข้าหม้อน้าและน้าภายในหม้อน้าเฉพาะค่าตัวแปรความเป็นกรด – ด่าง (pH) และค่าการนาไฟฟ้า (electric
conductivity) ให้มีการตรวจวิเคราะห์และบันทึกผลแบบต่อเนื่อง
113
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
8.5.4.10 เพื่อประโยชน์ในการดาเนินการตามกฎหมาย ผู้ประกอบกิจการโรงงาน ต้องแสดงข้อมูลได้ว่าตนเองได้ดาเนินการ
ติดตั้งบ่อสังเกตการณ์ ภายในบริเวณโรงงาน ซึ่งประกอบด้วยบ่อสองประเภท คือ บ่อที่อยู่ในตาแหน่งเหนือน้าเพื่อใช้เป็นบ่ออ้างอิง
(Up-gradient) และบ่อท้ายน้าเพื่อใช้ในการติดตามตรวจสอบการปนเปื้อนจากกระบวนการ (Down-gradient) โดยให้ครอบคลุม
พื้นที่โรงงานที่มีศักยภาพก่อให้เกิดการปนเปื้อนแล้ว
8.5.4.11 หากระดับน้าใต้ดินเฉลี่ยในพื้นที่สถานประกอบกิจการโรงงานอยู่ลึกจากผิวดินเกินกว่า 15 เมตร และพิสูจน์โดย
วิธีการที่ยอมรับได้ว่ามีชั้นหินแข็งอยู่ใต้พื้นที่โรงงานจนไม่สามารถเจาะดินและทาการติดตั้งบ่อสังเกตการณ์เพื่อเก็บตัวอย่างน้าใต้ดิน
ได้ด้วยวิธีการปกติให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานเก็บตัวอย่างดินชั้นบนก่อน ถ้าพบว่าดินชั้นบนดังกล่าวมีสารปนเปื้อนเกินกว่าเกณฑ์การ
ปนเปื้อนในดิน ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องดาเนินการตรวจสอบคุณภาพดินและน้าใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน โดยละเอียดต่อไป
ทันที
8.5.4.12 การติดตั้งบ่อสังเกตการณ์จะต้องให้มีระดับความลึกของบ่อจากระดับน้าใต้ดินลงไปมากพอเพื่อให้มีปริมาณน้าใต้ดิน
อยู่ในบ่อดังกล่าวเพียงพอเพื่อดาเนินการเก็บตัวอย่างน้าใต้ดินได้
8.5.4.13 ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน มีการติดตั้งบ่อสังเกตการณ์ก่อนประกาศนี้ใช้บังคับถ้าตาแหน่งและความลึกของ
บ่อสังเกตการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของประกาศนี้ ผู้ประกอบกิจการโรงงานอาจใช้บ่อสังเกตการณ์นั้นเก็บตัวอย่างน้า
ใต้ดินก็ได้
ผู้ประกอบกิจการโรงงานอาจใช้บ่อสังเกตการณ์ที่อยู่นอกพื้นที่โรงงานของตนเป็นบ่อสังเกตการณ์ที่ใช้เป็นบ่ออ้างอิง (Up-
gradient) โดยไม่ต้องติดตั้งบ่อสังเกตการณ์เพิ่มเติมก็ได้ หากบ่อดังกล่าวมีตาแหน่งความลึกและมีแนวของทิศทางการไหลของน้าใต้
ดินที่เหมาะสมและผู้ประกอบกิจการโรงงานสามารถเข้าไปเก็บตัวอย่างหรือแสดงผลวิเคราะห์ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ
ประกาศนี้ได้ 114
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
8.5.5 โรงงานที่ใช้ระบบทาความเย็น ต้องจัดให้มีวิศวกรที่ได้รับอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงาน
อุตสาหกรรม ตรวจสอบทดสอบอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และจัดส่งรายงานผลให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือสานักงานอุตสาหกรรมที่
โรงงานตั้งอยู่ ภายใน 30 วันหลังจากทาการตรวจสอบ 8.10
8.5.7 รถฟอร์คลิฟท์ (Forklift) ที่ใช้ก๊าซปิโตรเลี่ยมเหลวเป็นเชื้อเพลิง ถังก๊าซที่ใช้กับรถฟอร์คลิฟท์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวสาหับรถฟอร์ลิฟท์ ต้องทาการตรวจทดสอบรับรองการติดตั้งถังก๊าซและส่วนควบของ
ระบบก๊าซ โดยวิศวกรผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม 8.11
8.5.8 หลักเกณฑ์การพิจารณาอนุญาตประเภทหรือชนิดของโรงงาน ลาดับที่ 105 และลาดับที่ 106 ต้องดาเนินการดังนี้ 8.12
8.5.8.1 โรงงานดัดแยกหรือโรงงานฝังกลบ หรือโรงงานคัดแยกและฝังกลบ สิ่งปฏิกูลหรือวัสดุไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตราย ใน
การขออนุญาต ต้องแนบรายงานเกี่ยวกับการศึกษาและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิง่ แวดล้อม
8.5.8.2 โรงงานดัดแยกหรือโรงงานฝังกลบ หรือโรงงานคัดแยกและฝังกลบ สิ่งปฏิกูลหรือวัสดุไม่ใช้แล้วที่เป็นอันตราย ในการ
ขออนุญาต ต้องแนบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม
8.5.8.3 ในรายงานอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
(1) รายละเอียดโครงการและการเลือกสถานที่ตั้ง เช่น ขั้นตอนการดาเนินงาน กระบวนการผลิต ปริมาณสิงปฏิกูลหรือ
วัสดที่ไม่ใช้แล้ว (ของเสีย) ที่นามาฝังกลบ ปริมาณละชนิด ของมลสารที่เกิดขึ้น บัญชีเครื่องจักร ที่ใช้ตามขั้นตอนการผลิต ปริมาณ
การใช้พลังงาน เชื้อเพลิง หรือไฟฟ้า (หากมี) ตลอดจนวิธีพิจารณาเลือกสถานที่ตั้งของหลุมฝังกลบ
8.16
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กาหนดมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในการประกอบกิจการโรงงาน ที่เกี่ยวกับการผลิต การเก็บ การบรรจุ การใช้
121
และการขนส่งก่ซ พ.ศ.2548
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
8.5.13 ต้องตรวจสอบ ทดสอบ และบารุงรักษาระบบและอุปกรณ์สาหรับป้องกันและระงับอัคคีภัย ให้สามารถพร้อมทางานได้
ตลอดเวลา เป็นไปตามมาตรฐาน และเก็บเอกสารไว้ที่โรงงานจัดให้มีการฝึกอบรมเรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัย และเก็บเอกสาร
ไว้ที่โรงงาน 8.17
8.5.14 การปฏิบัติงานในโรงงานซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือทาให้เกิดประกายไฟหรือความร้อน
ที่เป็นอันตราย ต้องจัดทาระบบการอนุญาตทางานที่มีประกายไฟหรือความร้อนที่เป็นอันตราย (Hot Work Permit System) ให้
เป็นไปตามหลักวิชาการด้านความปลอดภัยโดยมีเอกสารหลักฐาน ที่สามารถตรวจสอบได้
8.5.15 การใช้ การจัดเก็บ การขนถ่ายหรือขนย้าย ตลอดจนการจัดการต่าง ๆ เกี่ยวกับสารไวไฟและสารติดไฟ ให้ปฏิบัติตาม
ข้อกาหนดที่ระบุไว้ในเอกสารข้อมูลความปลอดภัย (Safety Data Sheet) ของสารนั้น
8.5.16 ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงาน ประกอบด้วยแผนการตรวจสอบความปลอดภัย
ด้านอัคคีภัย แผนการอบรมเรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัย แผนการดับเพลิง และแผนการอพยพหนีไฟ โดยเก็บแผนนี้ไว้ที่โรงงาน
และต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผน
8.5.17 โรงงานทีต้องทารายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย
ดังนี้ 8.18
(1) ด้านสิ่งแวดล้อม
(ก) ข้อมูลรายละเอียดของโครงการ ได้แก่ ที่ตั้งแผนที่ ผังโครงการขั้นตอน กระบวนการผลิต ระบบน้าใช้และการ
ระบายน้า ระบบพลังงาน ระบบการติดต่อสื่อสารการใช้เชื้อเพลิง วัตถุดิบและสารเคมี
8.17 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงาน พ.ศ. 2552[12]
8.18 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การทารายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย
122
พ.ศ.2552 [13] ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2559)
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
(ข) ข้อมูลในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คุณภาพอากาศคุณภาพผิวดิน คุณภาพน้าใต้ดิน คุณภาพน้า
ทะเล การใช้ประโยชน์ที่ดิน และการคมนาคม
(ค) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และระดับความรุนแรงของการประกอบกิจการโรงงาน
(ง) มาตรการป้องกันและแก้ไขเพื่อลดผลกระทบที่ได้
(2) ด้านความปลอดภัย
(ก) ประเมินและวิเคราะห์อนั ตรายที่อาจเกิดขึ้นจากโรงงานในแต่ละด้านได้แก่ การเก็บ การขนถ่าย การใช้วัตถุดิบ
เชื้อเพลิง สารเคมี ผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์ที่ใช้ ตลอดจนกระบวนการผลิต และขั้นตอนการปฏิบัติงาน
(ข) จัดทามาตรการควบคุมความป้องกันหรือแก้ไขเพื่อลดผลกระทบจากการประเมินและวิเคราะห์อนั ตราย ที่อาจทา
ให้เกิดอันตรายถึงชีวิต ทุพพลภาพไฟไหม้ ระเบิด สารเคมีรั่วไหล รวมทั้งจัดให้มีระบบป้องกัน ระงับอัคคีภัย และแผนฉุกเฉิน
(ค) จัดให้มีระบบบริหารจัดการด้านความปลอดภัย เพื่อจัดทาแผนงานและติดตามผลการดาเนินงาน
8.5.18 มาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในการดาเนินการ (การประเมินความเสี่ยง) ดังนี้ 8.19
8.5.18.1 โรงงานที่ต้องจัดทา มาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในการดาเนินการ
8.5.18.2 การจัดทารายงานการศึกษา วิเคราะห์ และทบทวน การดาเนินงานเพื่อชี้บ่งอันตราย ประเมินความเสี่ยงและจัดทา
แผนการจัดการความเสี่ยง ต้องจักทาโดยบุคลากรในโรงงานอย่างน้อย 3 คน ดังนี้
(1) มีความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับการประกอบกิจการโรงงาน เช่น เทคโนโลยีการ
ผลิต กระบวนการผลิต การซ่อมบารุง เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ วัตถุดิบ ผลิตภัณฑและวัตถุพลอยได้ เป็นต้น
8.19 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง มาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในการดาเนินการ (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ.2552[14]
ระเบียบกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์การชี้บงอันตราย การประเมินความเสี่ยงและการจัดทาแผนงานบริหารจัดการความเสี่ยง พ.ศ.2543[3] 123
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
(2) มีความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมการทางาน
(3) มีความรู้ และความเข้าใจในการชี้บ่งอันตราย การประเมินความเสี่ยง และการบริหารจัดการความเสี่ยง
8.5.18.3 ขั้นตอนการศึกษา
1) ทาการศึกษาและจัดทาบัญชีรายการสิ่งที่เป็นความเสี่ยงและอันตรายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบุคคล ชุมชน
ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม
2) เลือกวิธีการชี้บ่งอันตรายที่เหมาะสม โดยระบุถึงเหตุการณ์ อุบัติเหตุ อุบัติภัยร้ายแรง อันตรายที่เกิดขึ้นได้หรือผลที่จะเกิด
ตามมา
8.15.8.4 ทาการประเมินความเสี่ยง โดยพิจารณษโอกาส และความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น จากรายการที่เป็นความเสี่ยง และอันตราย
นั้น ในการพิจารณานั้นต้องคานึงถึงลาดับเหตุการณ์ เงื่อนไขหรือปัจจัยที่เป็นต้นเหตุในการเกิดด้วย
8.15.8.5 จัดระดับความเสี่ยง
8.15.8.6 จัดทาแผนงานบริหารจัดการความเสี่ยง (แผนลดความเสี่ยง และแผนควบคุมความเสี่ยง)
8.15.8.7 รายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยง อย่างน้อยประกอบด้วย
(1) ข้อมูลรายละเอียดการประกอบกิจการ (2) บัญชีรายการสิ่งที่เป็นความเสี่ยง และอันตราย
(3) ข้อมูลรายละเอียดการชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสีย่ งและอันตราย
(4) ข้อมูลรายละเอียดแผนงานบริหารจัดการความเสี่ยง
(5) บทสรุปผลการศึกษา วิเคราะห์ และทบทวนการดาเนินงานที่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความเสี่ยงสูง
ความเส่ยงที่ยอมรับไม่ได้ รวมทั้งแผนงานลดความเสี่ยงและควบคุมความเสีย่ ง
124
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
8.15.8.8 วิธีการชี้บ่งอันตรายตามกฏหมายโรงงาน ให้ใช้ได้ดังนี้
(1) Checklist เป็นวิธีการชี้บ่งอันตราย โดยใช้แบบตรวจ เผื่อตรวจสอบว่า ปฏิบัติตามมาตรฐาน การออกแบบ มาตรฐานการ
ปฏิบัติงาน หรือกฎหมาย
(2) What If Analysis เป็นวิธีการชีบ่งอันตราย โดยการใช้คาถาม “จะเกิดอะไรขึ้น....ถ้า.....” (What If) และหาคาตอบในคาถาม
เหล่านั้น วิธีนี้ครอบคลุม ทั้ง กรณีเกิดเพลิงไหม้ ระเบิด สารเคมีหรือวัตถุอันตรายรั่วไหล
(3) Hazard and Operability Study (HAZOP) เป็นวิธีการชีบ่ ่งอันตราย โดยวิเคราะห์หาอันตรายและปัญหาของระบบต่าง ๆ ซึ่ง
อาจจะเกิดจากความไม่สมบูรณื ในการออกแบบ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ด้วยการตั้งคาถาม ที่สมมติสถานการณ์ ความผิดปกติ ของการ
ผลิตในสภาวะต่าง ๆ เช่น อัตราการไหล อุณหภูมิ ความดันเป็นต้น ตาม HAZOP Guride Words
(4) Fault Tree Analysis เป็นวิธีการชี้บ่งอันตราย ที่เน้นถึงอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยร้ายแรง ที่เกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ่น เหตุการณ์
แรกก่อนแล้วนามาแจกแจงเหตุการณ์ย่อยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เช่น เกิดขึ้นจากความบกพร่องของเครื่องจักร อุปกรณ์หรือความ
ผิดพลาดจากการปฏิบัติงาน โดยใช้สัญลักษณ์ ในการวิเคราะห์ การชี้บ่งอันตราย
(5) Faillure Modes and Effecfs Analysis (FMEA) เป็นวิธีชี้บ่งอันตราย ที่ใช้วิเคราะห์ ในรูปแบบความล้มเหลว ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็น
การตรวจสอบชิ้ยส่วนเครื่องจักร อุปกรณ์ ในแต่ละส่วนของระบบ แล้วนามาวิเคราะห์หาผลที่จะเกิดขึ้น เมื่อเกิดความล้มเหลว ของ
เครื่องจักรอุปกรณ์ ผู้วิเคราะห์ต้องมีความรู้พื้นฐานด้านโครงสร้าง และการปฏิบัติงานของชิ้นส่วนนั้น ๆ อย่างเพียงพอ เพื่อที่จะ
สามารถชี้ได้ว่า ความสัมพันธ์ ระหว่างกับแบบไหนที่เป็นอันตราย และแบบไหนทีผ่ ิดไปจากระบบที่ได้ออกแบบไว้
(6) Event Tree Analysis เป็นวิธีการชี้บ่งอันตราย ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์แรกขึ้น (Initiating Event) ซึ่งเป็นการคิดเพื่อ
คาดการณ์ล่วงหน้า เพื่อวิเคราะห์หาผลสืบเนื่องทีจ่ ะเกิดขึ้น เมื่อเครื่องจักรอุปกรณ์เสียหายหรือคนงานทางานผิดพลาด
125
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
ผู้ประกอบกิจการโรงงาน อาจเลือกใช้วิธีชีบ่งอันตราย อื่น ๆ ได้แต่ต้องส่งวิธีการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเห็นชอบก่อน
การจัดระดับโอกาสในการเกิดเหตุการณ์ ต่างๆ
ระดับ รายละเอียด
1 มีโอกำสในกำรเกิดยำก เช่น ไม่เคยเกิดเลยในช่วงเวลำตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
2 มีโอกำสในกำรเกิดน้อย เช่น ควำมถี่ในกำรเกิด เกิดขึ้น 1 ครั้ง ในช่วง 5-10 ปี
3 มีโอกำสในกำรเกิดปำนกลำง เช่น ควำมถี่ในกำรเกิด เกิดขึ้น 1 ครั้ง ในช่วง 1-5 ปี
4 มีโอกำสในกำรเกิดสูง เช่น ควำมถี่ในกำรเกิด เกิดขึ้นมำกกว่ำ 1 ครั้ง ใน 1 ปี
กำรจัดระดับควำมรุนแรงของเหตุกำรณ์ต่ำง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อบุคคล
ระดับ ความรุนแรง รายละเอียด
1 เล็กน้อย มีกำรบำดเจ็บเล็กน้อยในระดับปฐมพยำบำล
2 ปำนกลำง มีกำรบำดเจ็บที่ต้องได้รับกำรรักษำทำงกำรแพทย์
3 สูง มีกำรบำดเจ็บหรือเจ็บป่วยสำหัส ต้องพักรักษำตัวในโรงพยำบำล
4 สูงมำก ทุพพลภำพ หรือเสียชีวิต
126
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
การจัดระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน
ระดับ ความรุนแรง รายละเอียด
1 เล็กน้อย ไม่มีผลกระทบต่อชุมชนรอบที่ทำกำร หรือมีผลกระทบเล็กน้อย
2 ปำนกลำง มีผลกระทบต่อชุมชนรอบที่ทำกำร และแก้ไขได้ในระยะอันสั้น
3 สูง มีผลกระทบต่อชุมชนรอบที่ทำกำร และต้องใช้เวลำในกำรแก้ไข
4 สูงมำก มีผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนเป็นบริเวณกว้ำง หรือหน่วยงำนของรัฐต้องเข้ำดำเนินกำรแก้ไข
กำรจัดระดับควำมรุนแรงของเหตุกำรณ์ต่ำง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ระดับ ความรุนแรง รายละเอียด
1 เล็กน้อย มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเล็กน้อย สำมำรถแก้ไขหรือควบคุมได้
2 ปำนกลำง มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมปำนกลำง สำมำรถแก้ไขในระยะเวลำไม่เกิน 1 เดือน
3 สูง มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรง ต้องใช้เวลำในกำรแก้ไข ระหว่ำง 1 – 6 เดือน
4 สูงมำก มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรงมำก ต้องใช้ทรัพยำกรและเวลำนำนในกำรแก้ไข มำกกว่ำ
6 เดือน
127
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
การจัดระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อทรัพย์สิน
ระดับ ความรุนแรง รายละเอียด
1 เล็กน้อย ทรัพย์สินเสียหำยน้อยมำกหรือไม่เสียหำยเลย
2 ปำนกลำง ทรัพย์สินเสียหำยปำนกลำงและสำมำรถดำเนินกำรผลิตต่อไปได้
3 สูง ทรัพย์สินเสียหำยมำกและต้องหยุดกำรผลิตในบำงส่วน
4 สูงมำก ทรัพย์สินเสียหำยมำกและต้องหยุดกำรทั้งหมด
กำรจัดระดับควำมเสี่ยงอันตรำย
ระดับความเสี่ยง ผลลัพธ์ ความหมาย
1 1-2 ควำมเสี่ยงเล็กน้อย
2 3-6 ควำมเสี่ยงที่ยอมรับได้ ต้องมีกำรทบทวนมำตรกำรควบคุม
3 8-9 ควำมเสี่ยงสูง ต้องมีกำรดำเนินกำรเพื่อลดควำมเสี่ยง
4 12-16 ควำมเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ ต้องหยุดกำรดำเนินกำรและปรับปรุงแก้ไขเพื่อ
ลดควำมเสี่ยงลงทันที
8.15.8.9 มาตรการระงับและฟื้นฟูเหตุการณ์ ได้แก่
(1) จัดทาและจัดให้มีการซ้อมแผนฉุกเฉิน
(2) จัดให้มีการสอบสวนอุบัติเหตุ และอุบัติการณ์
(3) จัดให้มีแผนฟื้นฟูโรงงาน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นผลจากการชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยง 128
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
8.15.11.4 อุปกรณ์ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องตรวจวัดการรั่วซึม
(1) อุปกรณ์ที่อยู่ในจุดหรือสถานที่ที่มีความเสี่ยงทีอ่ าจก่อให้เกิดอันตราย หมายถึงจุดที่อยู่ในสถานที่ที่อาจทาให้ผู้ที่เข้าทาการ
ตรวจวัดได้รับอันตราย หรือสภาวะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือชีวิต เช่น ออกซิเจนน้อยกว่าร้อยละ 19.5 หรือเกิดการติด
ไฟ ระเบิด หรือจุดที่มีความดันสูงหรือความร้อนสูง เป็นต้น
(2) อุปกรณ์ที่อยู่ในจุดที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ หมายถึงจุดที่อยู่ในสถานที่จา กัดซึง่ ม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการทางานอย่าง
ต่อเนื่องและยากต่อการเข้าไปทาการตรวจวัดได้ เช่นอุปกรณ์ที่อยู่ในจุดที่มีความสูงเกิน 2 เมตรขึ้นไปจากระดับพื้นที่ปฏิบัติงานปกติ
ข้อต่อและหน้าแปลนที่ถูกฝังใต้พื้นดินหรือถูกกีดขวางจนเครื่องมือตรวจวัดเข้าไปไม่ถึง
8.15.13.10 ลาดับที่ 60 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการถลุง ผสม ทาให้บริสุทธิ์ หลอม หล่อ รีด ดึง หรือผลิตโลหะใน
ขั้นต้น ซึ่งไม่ใช่เหล็กหรือเหล็กกล้า
8.15.13.11 ลาดับที่ 88 โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า โรงงานที่มีกาลังการผลิตตั้งแต่ 10 เมกกะวัตต์ขึ้นไป
8.15.13.12 ลาดับที่ 89 โรงงานผลิตก๊าซ ซึ่งมิใช่ ก๊าซธรรมชาติ ส่งหรือจาหน่ายก๊าซ
8.15.13.13 ลาดับที่ 101 โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวมเฉพาะ การบาบัดน้าเสียรวม การเผาของเสียรวม การบาบัดด้วย
วิธีเคมีฟิสิกส์
8.15.13.14 ลาดับที่ 105 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการคัดแยกหรือฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่มีลักษณะ
และคุณสมบัติตามที่กาหนดในกฎหมายโรงงาน โรงงานทุกขนาดเฉพาะการฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เป็นของเสีย
อันตราย
8.15.13.15 ลาดับที่ 106 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการนาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงาน
มาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โรงงานที่มีกาลัง การผลิตตั้งแต่ ๕๐ ตันต่อวันขึ้นไป
8.15.13.16 ลาดับที่ 1 – 107 โรงงานที่มีน้าเสีย โรงงานที่มีปริมาณ น้าเสียก่อนเข้าระบบบาบัด (Influent) ตั้งแต่ 500
ลูกบาศก์ เมตรต่อวันขึ้นไป (รวมน้าหล่อเย็นที่มกี ารปนเปื้อนในรูปบีโอดีหรือซีโอดี) หรือปริมาณความสกปรกก่อนเข้าระบบบาบัด
(BOD Load of Influent) ตั้งแต่ 100 กิโลกรัมต่อวันขึ้นไป
8.15.13.17 ลาดับที่ 1 – 107 โรงงานที่ใช้สารหรือองค์ประกอบของสารดังต่อไปนี้โดยตรงในกระบวนการผลิต ได้แก่ สังกะสี
แคดเมียม ไซยาไนด์ ฟอสฟอรัสที่อยู่ในรูปของ สารประกอบอินทรีย์ ตะกั่ว ทองแดง บาเรียม เซเลเนียม นิเกิล แมงกานีส เฮกซาวา
เลนซ์โครเมียม อาร์เซนิค และปรอท โรงงานที่มีปริมาณน้าเสียก่อนเข้าระบบบาบัด (Influent) ตั้งแต่ 50 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ขึ้นไป
8.24 ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรมเรื่อง กาหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ต้องจัดทารายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษที่ระบายออกจากโรงงาน พ.ศ. 2553[27] 135
มาตรฐานการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม บทที่ 8 การตรวจวัด จัดทารายงานและการส่งรายงาน
138
การบริหารความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม คณะกรรมการประจามาตรฐาน
คณะกรรมการประจามาตรฐาน
• รศ.ดร.ยุทธชัย บรรเทิงจิตร กรรมการ
• ผศ.สุรัตน์ ตรัยวนพงศ์ กรรมการ
• นายอภิวัฒน์ เธียรพิรากุล กรรมการ
• ผศ. พิศิษฐ์ แสง-ชูโต กรรมการ
• นายรัชตะ พันธุ์เพ็ง กรรมการ
• รศ.ดร.ประจวบ กล่อมจิตร กรรมการและเลขานุการ
139
การบริหารความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม คณะทางาน
140