Professional Documents
Culture Documents
ดิลกพุทธินี เกร็ดความรู้เกี่ยวกับภาษาบาลี - 03
ดิลกพุทธินี เกร็ดความรู้เกี่ยวกับภาษาบาลี - 03
ทำไมแปลวา “แหงกรุงราชคฤห”
-๏-
ตอบวา
ราชคหํ และ นาฬนฺทํ ในขอความวา อนฺตรา จ ภนฺเต ราชคหํ
อนฺตรา จ นาฬนฺทํ ราชาคารเก อมฺพลิกายนฺติ เปนทุติยาวิภัตติ แปล
หักทุติยาเปนฉัฏฐีวิภัตติ แปลวา แหงกรุงราชคฤห และ แหงเมืองนาฬันทา
ซึ่งเปนไปตามขอกำหนดแหงหลักที่ แสดงไวในคัมภีรปทรูปสิ ทธิ สูตรที่
๒๘๙. วา กฺวจิ ทุติยา ฉีนมตฺเถ. [ทุติยาวิภัตติ ใชในอรรถแหงฉัฏฐีวิภัตติ
ในบางแหง]
๒ ดิลกพุทธินี
ในภาษาบาลีมีการประกอบวิ ภัตติหนึ่ง แตใชในอรรถแหงวิภัตติ
หนึ่ง เช น ปฺุสฺส อุจฺจโย แปลว า การสั ่ งสมซึ่ ง บุ ญ คำวา ปุ ฺสฺส
ประกอบ ส ฉัฏ ฐีวิภัตติ แต ใชในอรรถแห งทุ ติ ยาวิ ภั ตติ จึ ง แปลว า ซึ่ ง
ลักษณะนี้ เรียกอยางไมเปนทางการวา แปลหักวิภัตติ เชน ปฺุสฺส นั้น
หักฉัฏฐีเปนอวุตตกรรม เรียกสัมพันธวา ฉฐีกมฺม การหักวิภัตตินี้ปรากฏ
อยูทั่วไปในทุกวิภัตติ แมในขอความตอไปนี้ ก็มีการหักวิภัตติ
ในสมันตปาสาทิกาภาค ๑ หนา ๑๕ ปรากฏขอความวา อนฺตรา จ
ภนฺเต ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทํ ราชาคารเก อมฺพลิกายนฺติ
ในฉบับ มมร. แปลขอความนี้ ว า “พระอานนทกราบทู ลแลวว า
ขาแตทานผูเจริญ ตรัสที่พระตำหนักหลวงในพระราชอุทยานชื่ออัมพลัฏฐิกา
ระหวางกรุงราชคฤหกับเมืองนาฬันทาตอกัน”
คำวา ราชคหํ และคำวา นาฬนฺทํ ในที่นี้ ลง อํ ทุติยาวิภัตติ ใชใน
อรรถแหงฉัฏฐีวิ ภัตติ แปลวา แหงกรุงราชคฤห และ แหงเมืองนาฬันทา
ซึ่ง เปน ไปตามขอกำหนดแหง คั ม ภี ร ป ทรู ปสิ ทธิ สู ต รที่ ๒๘๙. วา กฺวจิ
ทุติยา ฉีนมตฺเถ. [ทุติยาวิภัตติ ใชในอรรถแหงฉัฏฐีวิภัตติ ในบางแหง]
โดยมี ห ลัก การวา ในที่ป ระกอบด วย อนฺ ต รา (ระหว า ง), อภิ โต
(ภายใน), ปริโต (โดยรอบ), ปติ (ใกล), และ ปฏิ หนา ภา ธาตุ (ปรากฏ) ให
ทุติยาวิภัตติใชในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ
แมในขอความวา อนฺตรา จ ภนฺเต ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทํ
เปนตนนี้ คำวา ราชคหํ และคำวา นาฬนฺทํ ประกอบดวย อนฺตรา ฉะนั้น
จึงเปนทุติยาวิภัตติใชในอรรถแหงฉัฏฐีวิภัตติ แปลวา ในระหวางแหงกรุง
ราชคฤห และในระหวางแหงเมืองนาฬันทา
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๓
ความจริ งในสารั ตถที ป นี ฎี ก าวิ น ั ย (๑/๙๔) ก็ อ ธิ บ ายไว ชั ดว า
อนฺตรา ในขอความนี้ ใชในอรรถวา วิวเร คือชองวาง หรือระหว าง ในที่
เชนนี้ตองประกอบกับ ทุติยาวิภัตติ ใชในอรรถแหงฉัฏฐีวิภัตติ และ อนฺตรา
นั้น อาจประกอบศัพทเดียวก็ได คำอธิบายในสารัตถทีปนี ฎีกาวินัย วา
สฺวายมิธ วิวเร วตฺตติ ฯ ตสฺมา ราชคหสฺส จ นาฬนฺทาย จ
วิวเรติ เอวเมตฺถ อตฺโถ ทพฺโพ ฯ อนฺตราสทฺเทน ปน ยุตฺตตฺตา
อุปโยควจนํ กตํ ฯ อีทิเสสุ จ าเนสุ อกฺขรจินฺตกา อนฺตรา คามฺจ นทิฺจ
ยาตีติ เอวํ เอกเมว อนฺตราสทฺทํ ปยฺุชนฺติ ฯ โส ทุติยปเทนป
โยเชตพฺโพ โหติ ฯ อโยชิยมาเน อุปโยควจนํ น ปาปุณาติ สามิวจนสฺส
ปสงฺเค อนฺตราสทฺทโยเคน อุปโยควจนสฺส อิจฉฺ ิตตฺตา ฯ
[อนฺตรา ศัพทนี้นั้น ในที่นี้ เปนไปในอรรถวา ระหวาง. เพราะฉะนั้น
พึงเห็นความ ในขอนี้อยางนี้วา ในระหวางกรุงราชคฤหและเมืองนาลันทา.
ก็ เพราะประกอบดวย อนฺตรา ศัพท ทานจึงกระทําทุติยาวิภัตติไว. ก็ใน
ฐานะทั้งหลายเชนนี้ นักคิดอักขระทั้งหลายประกอบ อนฺตรา ศัพทไวบท
เดียวเทานั้น อยางนี้วา อนฺตรา คามฺจ นทิฺจ ยาติ แปลวา ไประหวาง
บานและแมนํ้า. อนฺตรา ศัพทยอมเปนอันตอง ประกอบเขาแมกับบทที่สอง
ดว ย. เมื ่อยั ง มิไดป ระกอบ ก็จ ะไม ถ ึงทุ ติ ยาวิ ภั ตติ เพราะเมื ่ อ เกี่ ยวของ
กับฉั ฏฐีวิภัตติ ทานก็ ประสงคทุติยาวิภัตติ โดยการประกอบกั บ อนฺ ตรา
ศัพท]
๔ ดิลกพุทธินี
มนํ
เล็กนอย, หนอยหนึ่ง, ครูหนึง่
-๏-
ถาม
มนํ ในธัม มปทัฏ ฐกถา ภาค ๘ หน า ๑๕๗ ปรากฏข อ ความว า
อาวุโส ชิวฺ หาวิฺเยฺยํ รสํ นิสฺส าย มนํ น โ สุนฺ ทรสมุ ทฺทตฺเถโร ...
แปลวาอะไร
ตอบ
มนํ ในขอนี้ ควรแปลวา เล็กนอย หรือหนอยหนึ่ง
มนํ โดยทั่วไปแปลวา ซึ่ ง ใจ ประกอบขึ้ นจาก มน ศั พท และ อํ
ทุติยาวิภัตติ เปนไดทั้งปุงลิงคและนปุงสกลิงค ถาไมแปลง อํ เปน โอ เปน
มโน (ซึ่งใจ) ก็ยังคงเปน มนํ (ซึ่งใจ) อยูอยางนั้นเอง
แต มนํ ในบางแหง จัดเปนพวกอัพยยศัพท คือนิบาต มีความหมาย
วา เล็กนอย, หนอยหนึ่ง, ครูหนึ่ง, ครูเดียว ก็ได ในที่นี้ แปลวา หนอยหนึ่ง
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๕
ในธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๘ หนา ๑๕๗ ปรากฏขอความวา อาวุโส
ชิวฺหาวิฺเยฺยํ รสํ นิสฺสาย มนํ นโ สุนฺทรสมุทฺทตฺเถโร ...
นักเรียนสงสัยวา มนํ ในที่นี้ แปลวาอะไร
บางอาจารยแปลวา
แน ะ ท านผู ม ี อายุ อ. พระสุ น ทรสมุ ทรเถระ อาศั ย แล ว ซึ ่ งรส
อันบุคคลจะพึงรูไดดวยลิ้น เปนผูเสียแลว ซึ่งใจ
บางอาจารยแปลวา
ดูก อนท านผูม ีอายุ อ. พระเถระชื ่ อวาสุ นทรสมุ ทร ฉิ บหายแล ว
หนอยหนึ่ง เพราะอาศัย ซึ่งรส อันบุคคลพึงรูแ จงดวยลิ้น
พระไตรปฎกภาษาไทย
พระไตรปฎกฉบับหลวง วา เกือบถูกน้ำพัดไป
พระไตรปฎกภาษาไทย มจร.วา ถูกน้ำพัดไปหนอยหนึ่ง
พระไตรปฎกภาษาไทยและอรรถกถา ๙๑ เลม มมร. วา ไดถูกน้ำ
พัดไปเล็กนอย
อรรถกถา
อรรถกถาไขความวา
มนํ วุฬฺโห อโหสีติ อีสกํ อปฺปตฺตวุฬหฺ ภาโว อโหสิ.
[ขอวา มนํ วุฬฺโห อโหสิ มีความวา ไดเปนผูม ีภาวะอันน้ำพัดไป
ไมถึงนิดหนอย]
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๗
สอดคลองกับ มหาวคฺคโยชนา ปาจิตฺยาทิโยชนา วินยปฏก (ฏีกา) วา
มนนฺติ นิปาโต อีสกตฺโถติ ทสฺเสนฺโต อาห อีสกนฺติ. อปฺปมตฺตนฺติ
อิมินา อีสกนฺติ ปทสฺส อตฺถํ ทสฺเสติ.
[พระอาจารย หวังจะแสดงความหมายวา ศัพทวา มนํ เปนนิบาต
มีความหมายวา เล็กนอย จึงกลาวคำวา อีสกํ แปลวา เล็กนอย. ทานแสดง
ความหมายของบทว า อี สกํ ดั ง นี ้ ไ ว ด ว ยบทว า อปฺ ป มตฺ ต ํ แปลว า มี
ประมาณนอย ]
จากตัวอยางนี้ พึงทราบวา มนํ มีความหมายวา อีสกํ (นิดหนอย)
มหตี, มหนฺตี
มีใชทั้งสองบท
-๏-
มหตี มีใชมาก
ในสองบทนี้ บทวา มหนฺตี มีใชนอย สวน มหตี มีใชมาก จึงแนะนำ
ใหใช มหตี เป นหลั ก ซึ่ง อาจผั นรูปเปน มหตึ มหติ ยา เป น ต น ปรากฏ
กระจายอยูทั่วไป
ในหลักสูตรบาลีสนามหลวงนี้ มีปรากฏรูปใน มหนฺตี นอยแหง พบ
ในหนังสืออธิบายบาลีไวยากรณ สมาสและตัทธิต หนา ๙ วา มหนฺตี ธานี
มหาธานี
สวนรูปวา มหตี มีมาก นำมาแสดงไว เพียงเปนตัวอยาง เชน ใน
หนังสืออุภัยพากยปริวัตน ภาค ๑-๒ หนา ๓ ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๑ หนา
๓๗ วา มหตี สาลา และธัมมปทัฏฐถกา ภาค ๓ หนา ๒๑, ๑๑๑, ๑๓๔ วา
มหติยา เสนาย
แม ในคั มภีร บาลี ทั้งหลาย เช น ชุ ดพระไตรปฎ กและคั ม ภีร อ ื ่นๆ
ฉบับฉัฏฐสังคายนา ปรากฏรูปวา มหนฺตี จำนวน ๒๘ แหง สวนคำวา มหตี
ปรากฏมากกวา ๒๒๙ แหง รูปวา มหนฺติยา จำนวน ๒ แหง สวน มหติยา
จำนวน ๒๕๓ แหง
ฉะนั ้ น ในทางปฏิ บั ติ ถ า จะถื อ ตามนั ย ที ่ ปรากฏโดยมากก็ ควร
เลือกใช มหตี มหติยา เปนตน หรือแมนักเรียนจะใช มหนฺตี ก็ได
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๑๑
อายสฺมา
วิธีการทำตัวรูปและความหมาย
-๏-
อายสฺมา
แตว า โดยเฉพาะบทวา อายสฺ ม า ประกอบด วย อายุ ลง มนฺตุ
ปจจัย และ สิ ปฐมาวิภัตติ วิเคราะหเหมือน อายุมา ดังแสดงแลว
แปลง อุ แหง อายุ เปน อส บางแหงวาเปน อสฺ จึงเปน อายสฺ ตาม
ขอกำหนดแหงสูตร กจฺ.๓๗๑ รูป.๔๐๔ วา อายุสฺสุการาส มนฺตุมฺหิ แตใน
โมคคัลลานะ วา แปลง อายุ เปน อายสฺ ดวยสูตร โมคฺ.๑๓๔ วา อายุสฺสายส
มนฺตุมฺหิ แปลง นฺตุ กับ สิ เปน อา ดวยสูตร กจฺ.๑๒๔, รูป.๙๘ อา สิมฺหิ
สำเร็จรูปเปน อายสฺมา
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๑๓
ความหมายและความนิยมใช
อายสฺมา แปลตามศัพทวา ผูม ีอายุ ก็ จริง แตศัพท นี้ไมไดกล าว
อรรถผูมีอายุเทานั้น คือไมไดใชเรียกเฉพาะคนมีอายุมากกวา หรือคนอายุ
ยืนเทานั้น แตใชเปน ปยสมุทาจาร คือคำพูดที่ใชเรียกผูอื่นอยางเคารพรัก
อยางสุภาพ และ ปสํสา คือคำใชเรียกผูอื่นอยางสรรเสริญ แมผูนั้นอายุยัง
ไมมาก ก็เรียกวา อายสฺมา ได เชน
เอตทโหสิ
พิจารณาในแงการเรียงประโยค
-๏-
บทนำ
เอตทโหสิ ปรากฏในวรรณกรรมบาลี ม ากมาย ดั ง ที ่ ค น พบใน
พระไตรปฎกบาลีฉ บับฉัฏฐสังคายนา และคั มภีรประกอบอื่น ๆ จำนวน
มากกว า ๑,๔๐๐ แห ง เมื ่ อ สำรวจแล ว พบลั ก ษณะร ว มกั น ว า บทนี้
ประกอบดวย เอตํ กับ อโหสิ มักมีจตุตถีวิภัตติอยูหนา และ อิติ ศัพทอยู
หลัง บทวา เอตํ โยค จินฺ ต นํ ใชเ ปน ตัว เป ด อิ ติ ฉะนั ้ น ในทางเทคนิค
นักเรียนควรเรียง เอตทโหสิ ไวกอนเลขใน ไมควรเรียงไวหลังเลขใน และ
อิติ ศัพทนั้น สรูป วา เอตํ จินตฺ นํ
๑๖ ดิลกพุทธินี
สนธิ
เอตทโหสิ ตัดบทเปน เอตํ + อโหสิ เปนอาเทศนิคหิตสนธิ เพราะ
สระอยูหลัง แปลงนิคหิตเปน ท ดวยสูตร กจฺ.๓๔ รูป.๕๒ วา มทา สเร
จริงอยูวา สระอยูหลัง อาเทศนิคหิตเปน ม และ ท แต ท อักษรนี้
ไมใชแปลงไดทั่วไป อาเทศนิคหิตเปน ท ได ในเฉพาะกรณีที่นิคหิตนั้นอยู
กั บ สัพ พนาม ได แ ก ย ต และ เอต เท า นั ้ น เช น ยทนิ จ ฺ จํ , ตทนตฺ ต า,
เอตเทว แม เอตทโหสิ นี้ ก็จัดเขาในหลักการนี้ และมีขอสังเกตวา ไมมีรูป
วา เอตมโหสิ
การแปล
พิจารณาในแงการเรียงประโยค บทวา เอตทโหสิ มักใชในกรณีวา
ทานผูนี้มีความคิดเห็นอยางนี้ ผูที่เปนเจาของความคิดนั้น มักประกอบดวย
ฉัฏฐีวิภัตติ เรียงไวหนา เอตทโหสิ มีประโยคเลขในซึ่งประกอบ อิติ ศัพท
เรียงไวหลัง บทวา เอตํ โยค จินฺตนํ และ อิติ ศัพทนั้น สัมพันธเปน สรูป ใน
เอตํ จินฺตนํ
พิจารณาในแงการแปลวา ต องแปล เอตํ จิน ฺตนํ เปนตัวเปด อิติ
ศัพทวา เอตํ จินตฺ นํ อ. ความคิดนั่น อิติ วา... ดังนี้ อโหสิ ไดมีแลว แก...
อุทาหรณ
มาตาปตา, มาตาปตโร
ทำไมภาษาบาลีเรียง มาตา ขึ้นกอน ?
-๏-
เยภุยฺเยน เจตฺถ -
อจฺจิตปฺปสรํ ปุพฺพ,ํ อิวณฺณุวณฺณกํ กฺวจิ;
ทฺวนฺเท สราทฺยการนฺตํ, พหูสฺวนิยโม ภเว.
โอวาทานุสาสนี
พิจารณาในแงภาษาบาลี
-๏-
ลฬานมวิเสโส
ล ฬ ไมตา งกัน
-๏-
ฆรทินฺนกาพาธ, สีตาโลิ
โรคเสนหยาแฝด, ผาลไถลางอาถรรพ
-๏-
บาลี
เรื่องนี้ปรากฏในเภสัชชขันธกะ ซึ่งวาดวยเรื่องยา ในมหาวรรค แหง
พระไตรปฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ เลม ๕ ขอ ๔๔ หนา ๕๑ วา
อรรถกถา
มหาวรรคอรรถกถา (๓/๑๙๑) ซึ่งนักเรียน ป.ธ.๖ ศึกษานั้น เอง
ปรากฏคำอธิบายนี้ จับสาระสำคัญแลว ไดความวา ฆรทินนกาพาธ คือโรค
ที่เกิดขึ้นจากยาที่ดมื่ แลวทำใหรัก ซึ่งตรงกับเสนหยาแฝด ในภาษาไทยนี้เอง
สวนยาที่ชื่อวา สีตาโลิ ไดแก ทรงอนุญาตใหละลายดินเหนียวที่ติดไถของ
ชาวนาที่ไถดวยไถกับน้ำดืม่ จึงเปนอันตัดกรณีดนิ ที่ตดิ อยูกับไถของชาวนาที่
ไมไดไถดวยไถออกไป ขอความในอรรถกถานั้นวา
ฆรทินฺนกาพาโธติ วสีกรณปานกสมุิตโรโค. สีตาโลินฺติ นงฺคเลน
กสนฺตสฺส ผาเล ลคฺคมตฺติกํ อุทเกน อาโลเฬตฺวา ปาเยตุํ อนุชานามีติ
อตฺโถ.
ขอความนี้ อรรถกถาแปล ฉบับที่พิ มพรวมในพระไตรป ฎกและ
อรรถกถาแปล มมร. ๙๑ เลม เลม ๕ ภาค ๒ หนา ๑๗๐ แปลวา
[โรคที่เกิดขึ้นแตน้ำซึ่งสตรีใหเพื่อทำใหอยูในอำนาจ ชื่อวา อาพาธ
เกิดแตยาอันหญิงแมเรือนให. บทวา สีตาโลึ มีความวา เราอนุญาตให
ภิกษุเอาดินที่ติดผาลของผูไถนาดวยไถ ละลายน้ำดื่ม.]
๓๐ ดิลกพุทธินี
ฆรทินนกาพาธ ตามนัยอรรถกถาคือ โรคที่เกิดจาก วสีกรณปานก
คำวา ปานก คือเครื่องดื่ม, ยาสำหรับดื่ม, ยาน้ำ ในที่นี้ทานแปลวา น้ำ ที่ทำ
วสีกรณ ในที่นี้แปลวา ทำใหอยูในอำนาจ ซึ่งเปนคำแปลที่ไดจากโยชนา แต
ในฎีกาอธิบายตางออกไปวา วสีกรณ ในที่นี้คือ ทำใหรักใคร
ฎีกา
ในปาจิตยาทิโยชนาบาลี ฎีกาวินัยปฎก อธิบายไวคอนขางละเอียด
จับสาระสำคัญไดความวา ที่วา ฆรทินฺนกาพาธ คือเสนหยาแฝด นั้น ไดแก
โรคซึ่งเกิดจาก วสีกรณปานก คำวา วสีกรณ แปลวา ยาเปนเหตุกอความ
รัก คำวา วสี ในที่นี้ หมายถึง ความรักใคร (กนฺติภาว) ซึ่งตางจากอรรถกถา
ที่แปลตามมติโยชนาวา ยาทำใหอยูในอำนาจ สวน ปานก แปลวา ดื่ม, การ
ดื่ม ฉะนั้น ถาหากวาตามฎีกา คำวา ฆรทินฺนกาพาธ จึงไดแก โรคที่เกิดจาก
การดื่มยาทำใหเกิดความรักใคร คือเสนหยาแฝดนั่นเอง
สวนยาที่เรียกวา สีตาโลิ หมายถึงน้ำที่ละลายดินติดที่ไถ คำวา
สีตา วาโดยตรงหมายถึง ผาลไถที่ทำรอยไถ แตวาโดยสาระสำคัญมุงถึงดิน
ที่ติดผาลไถ คำวา อาโลิ หมายถึง ตองละลาย ขอนำขอความในฎีกานั้น
มาแสดงไวสำหรับผูสนใจภาษาบาลี
วสีกรณปานกสมุติ โรโคติ กนฺติภาวสงฺขาตํ วสํ กโรติ อเนนาติ
วสีกรณํ, เภสชฺชํ, ปวเต ปานํ, ตํเยว ปานกํ, วสีกรณสฺส ปานกํ
วสีกรณปานกํ, เตน สมุ ิโต โรโค วสีกรณปานกสมุิตโรโค. อิมินา
ฆรทินนฺ กาพาโธติ เอตฺถ ฆรณิยา ทินฺเนน วสีกรณปานเกน สมุโิ ต
อาพาโธ ฆรทินนฺ กาพาโธติ วจนตฺถํ ทสฺเสติ. สีตาย อาโลเฬตพฺพนฺติ
สีตาโลฬํ, อุทกํ. สีตาสทฺโท นงฺคลเลขาสงฺขาตํ ผาลปทฺธตึ มุขฺยโต วทติ,
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๓๑
ผาลปทฺธติกเร ผาเล ลคฺคมตฺติกํ อุปจารโต วทติ. เตน วุตฺตํ “สีตาย
อาโลเฬตพฺพนฺติ. อกถายมฺป ตมตฺถํ ทสฺเสนฺโต อาห
“นงฺคเลนา”ติอาทิ.
ในวินยาลังการฎีกา ฉบับที่รวมเขาชุดคัมภีรฉบับฉัฏฐสังคายนาของ
พมาอธิบายวา ทรงอนุญาตพระภิกษุที่อาพาธดวยฆรทินนกาพาธ คือยา
แฝด ดื่มยาสิตาโลิ อาพาธที่เรียกวา ฆรทินนกาพาธ คือ โรคที่เกิดจากยา
ที่ดื่มกินทำความใคร ฆร ศัพท ในคำวา ฆรทินนกาพาธ นี้ หมายถึง หญิงแม
เรือน ไมตางอะไรกับคำวา ฆรณี (หญิงแมเรือน)
ส ว นในวิ มติ ว ิโ นทนีฎ ี กาวิ น ั ย อธิ บ ายว า คำว า ฆรทิน นกาพาธ
หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นเพราะยาที ่ ทำใหรั กของหญิ งแม เรือน ส วนคำว า
สีตาโลิ หมายถึง ทรงอนุญาตใหละลายดินเหนียวที่ติดผาลไถของชาวนา
ซึ่งไถดวยไถกับน้ำแลวดื่ม ขอความในฎีกานั้นวา
ฆรทินนฺ กาพาธกถายํ “อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สีตาโลึ ปาเยตุนตฺ ิ
วจนโต ฆรทินฺนกาพาธสฺส ภิกฺขุโน สีตาโลึ ปาเยตุํ วฏติ. ตตฺถ ฆร-
ทินฺนกาพาโธติ วสีกรณปาณกสมุติ โรโค. ฏีกายํ ปน “ฆรทินนฺ กาพาโธ
นาม วสีกรณตฺถาย ฆรณิยา ทินฺนเภสชฺชสมุโิ ต อาพาโธ. เตนาห ‘วสี-
กรณปาณกสมุติ โรโค’ติ. ฆรสทฺโท เจตฺถ อเภเทน ฆรณิยา วตฺตมาโน
อธิปฺเปโตติ วุตฺตํ. วิมติวิโนทนิยมฺป “ฆรทินนฺ กาพาโธ นาม ฆรณิยา
ทินฺนวสีกรณเภสชฺชสมุโิ ต อาพาโธติ วุตฺตํ. สีตาโลินฺติ นงฺคเลน
กสนฺตสฺส ผาเล ลคฺคมตฺติกํ อุทเกน อาโลเฬตฺวา ปาเยตุํ อนุชานามีติ
อตฺโถ.
๓๒ ดิลกพุทธินี
โยชนา
ไดกลาวไวแลววา ฆรทินนกาพาธ คือโรคเสนหยาแฝด ที่เกิดเพราะ
วสีกรณปานก ซึ่งมีคำแปลอยางนอย ๒ นัย ไดแก นัยแหงฎีกาวาการดืม่ ยา
ที่ทำใหรักใคร (กนฺติภาว) สวนอีกนัยหนึ่งในอรรถกถาฉบับแปล มมร. ทาน
แปลวา ทำใหอยูในอำนาจ
นัยที่แปลวา ทำใหอยูในอำนาจ นี้ เขาใจวา ทานถือตามนัยที่
ปรากฏในโยชนาวินัย ภาค ๒ หนา ๑๖๓ วา
อตฺตโน วสํ กโรติ เอเตนาติ วสีกรณํ ฯ
[สตรียอมทำซึ่งอำนาจของตนดวยยาใด ยานั้นชื่อวา เปนเหตุทำ
อำนาจของตนของสตรี]
ความจริง วส ในประโยคนี้ นอกจากจะแปลวา อำนาจ ยังแปลวา
ความรักใคร ไดดวย ดังทีฎ่ ีกาทานไขความวา กนฺตภิ าวสงฺขาตํ วสํ (ซึ่งความ
รัก อันบันฑิตนับพรอมแลววาความใคร)
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๓๓
นุ อาคม
ในนามกิตก
-๏-
ข. มีบทกรรม ลงแลวไมลบวิภัตติ
ปาย
วุทฺธิ, เยภุยฺย
-๏-
ชาตรูป : ทอง
พิจารณาความหมายในภาษาบาลี
-๏-
นักเรียนถาม
ทำไม ชาตรูป ที่ปรากฏในศีล ๑๐ จึงแปลวา ทอง ในคำนี ้ ชาต
แปลวา เกิด รูป แปลวา รูป ไมใชหรือ
อาจารยตอบวา
ชาตรูป เปนคำเรียก ทอง โดยปริยาย แปลไดหลายนัย จะแปลวา
สิ่งที่เกิดมาดียิ่ง หรือ มีรูปอันเกิดแลว ก็ได
๔๒ ดิลกพุทธินี
ชาตรูป เปนไวพจนของ สุว ณฺณ แปลวา ทอง ประกอบขึ้นจาก
ชาต ศัพท แปลวา เกิด และ รูป แปลวา รูป หรือ ดียิ่ง, นาสรรเสริญ ก็ได
ฉะนั้น ชาตรูป จึงแปลไดอยางนอย ๒ นัย ไดแก สิ่งที่มีรูปอันเกิดแลว และ
สิ่งที่เกิดอยางดี
๑. ชาตรูป แปลวา สิ่งที่เกิดอยางดี ประกอบขึ้นจาก ชาต แปลวา
เกิด และ รูป ปจจัย ใชแทนคำวา ปก แปลวา ดียิ่ง นาสรรเสริญเชยชม
ฉะนั้น ชาตรูป จึงแปลตามศัพทวา สิ่งที่เกิดอยางดียิ่ง โดยสองนัยวา เปน
สิ ่ ง ที่ ม ี เ กิ ด มามี ค า มี ร าคาสู ง ดั ง ที ่ ป รากฏวิ เ คราะห แ ละคำอธิ บ ายใน
อภิธานัปปทีปกา คาถา ๔๘๗-๔๘๘ วา
ในอภิธานัปปทีปกาฎีกา ที่รวมอยูในพระไตรปฎกชุดฉัฏฐสังคายนา
มีเชิงอรรถบอกไววา ในคัมภีรจินตามณิฎีกาและคัมภีรปาณินิวา ปสํสายํ
รูปปจฺจโย แปลวา รูป ปจจัย ใชในอรรถวาสรรเสริญ ฉะนั้น ถือตามมตินี้
ชาตรูป จึงแปลวา สิ่งที่เกิดขึ้นอยางนาสรรเสริญเชยชม ก็ได
จากวิเคราะหที่แสดงขางตนนี้ พึงสังเกตวา ชาต มีความหมายวา
เกิด เพราะทานอธิบายวา ชนนํ ชาตํ (การเกิด) ชาตรูป วิเคราะหวา ปกํ
ชาตํ ชาตรูป เมื่อจะสำเร็จรูป สลับ ชาต ไปไวขางหนาและใช รูป ปจจัย
แทน ปก จึงสำเร็จรูปเปน ชาตรูป นัยนี้ รูป แปลวา ดียิ่ง
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๔๓
การสลับบทในวิเคราะหกับบทสำเร็จ มีปรากฏตัวอยางอยูบาง เชน
นครสฺส พหิ พหินครํ, อหสฺส ปุพฺพํ ปุพฺพณฺหํ
เปตฺติวิสย, เปตวิสย
เปรตวิสัย
-๏-
วิเคราะห
ความหมายและองคประกอบ
เปตวิสย หรือ เปตฺติวิสย แปลทับศัพทวา เปรตวิสัย คำวา เปต
แปลว า เปรต หมายถึ ง ผูไ ปสูโ ลกอื่ น พวกที ่ ไปจากประโยชน สุข ผู อยู
หางไกลสุขเหลือเกิน คือมีทุกขระทมนั่นเอง สวนคำวา วิสย แปลวา วิสัย
หมายถึง แดน โอกาส ที่ ภูม ิ เป น ต น ฉะนั ้ น เปตวิสย หรื อ เปตฺ ติวิสย
จึงหมายถึง ภูมิ ที่ หรือโอกาสแหงพวกเปรต คือเปนแดนที่อยูเสวยผลกรรม
ของเปรตทั้งหลาย
ในสองบทนี้ บทวา เปตฺติวิสย นอกจากจะแปลวา วิสัยแหงเปรต
แลว ยังมีความหมายอื่นๆ อีก เชน ความเปนเปรต, ประชุมแหงเปรต ก็ได
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๔๗
เพื่อสรุปเรื่องจึงขอวิเคราะหและคำอธิบายในจูฬธาตุปจจยโชติกา
มาแสดงไวดังตอไปนี้
ปรโลกํ เอติ คจฺฉตีติ เปโต, ปรสทฺทูปปท - อิ คติยํ, โต, รโลโป,
อิสฺเส, ปเรโตติป ปาโ. สุขโต ปกเน อิตา คตา ปวตฺตาติ เปตา, อิธ
ปสทฺโท ปกวาจโก, ปกเนาติป คเตน ทูรภาเวน วา. สุขสมุสฺสยโต
เปจฺจ ปกํ ปวาสํ ทูรํ คตาติ เปตา. นิชฺฌามตณฺหิกาทีนํ เปตานํ วิสโยติ
เปตฺติวิสโย, ตสฺส ทฺวิตฺตํ, อิอาคโม. ตสฺมา มณิสารมฺชูสายํ วุตตฺ ํ
เปตเปตฺติสทฺทา อฺมฺเววจนานีติ. วิสโยติ โอกาโสติ อตฺโถ. อถ วา
เปตตาย เปตฺติ, อิโต เปจฺจ คตภาโวติ อตฺโถ. เปตานํ วา สมูโห เปตฺติ,
ตทฺธิเต ณิ, ตการสฺส ทฺวติ ฺตํ. เปตฺติ เอว เปตฺติวิสโย
[ผูใดไปสูโลกอื่น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา เปรต, ปร ศัพทเปนบทเคียง -
อิ ธาตุ ในความไป, ต ปจจัย, ลบ ร, แปลง อิ เปน เอ, ปาฐะวา ปเรโต ก็มี.
สัตวเหลาใดไปจากความสุข อันดียิ่ง เหตุ นั้น สัตวเหลานั้นชื่อว า เปรต,
ป ศัพท ในที่นี้ ใชในความหมายวา ดียิ่ง, บทวา ดีิยิ่ง หมายถึง ไปไกลแสน
ไกล ก็ไ ด , สั ตว เหลา ใดจากบรรดาความสุ ข ไปอยู ไ กลแสนไกล เหตุนั้น
สัตวเหลานั้นชื่อวา เปรต. วิสัยแหงเปรตทั้งหลาย มีน ิชฌาตั ณหิกเปรต
เปนตน เหตุนั้น ชื่อวา เปตติวิสัย, ซอน ตฺ, ลง อิ อาคม. ฉะนั้น ในมณิสาร
มัญชุสา ทานจึงกลาววา เปต และ เปตฺติ ศัพท เปนไวพจนของกันและกัน.
บทวา วิสัย หมายความวา โอกาส. อีกอยางหนึ่ง ชื่อวา เปตฺติ เพราะความ
เปนผูไปโลกอื่น, หมายความวา ความที่เขาละโลกนี้ไป. อีกนัยหนึ่ง ประชุม
แหงเปรต ชื่อวา เปตฺติ, ณิ ปจจัย ในตัทธิต, ซอน ตฺ, ความเปนผูไปโลกอื่น
นั้นเอง ชื่อวา เปตติวิสัย]
๔๘ ดิลกพุทธินี
กรณีย :
หลักการแปลง น แหง อนีย เปน ณ
-๏-
กตฺตุกาโม กาตุกาโม
เหมือนกันและตางกันอยางไร ?
-๏-
ในการเรียนวิชาแตงฉันทภาษามคธ นักเรียนมีความจำเปนจะตอง
ใช วา หรือ จ แตดวยขอกำหนดแหงคณะฉันท ในบางกรณี จึงไมสะดวกจะ
ใช วา หรือ จ แตตองการใชศัพทแทน วา หรือ จ นั้น
อโถ อุท และ ตถา ใชในอรรถหลายอยาง หนึ่งในนั้นมีลกั ษณะรวม
กันคือใชเหมือน วา หรือ จ เฉพาะ อโถ อุท และ ตถา ที่ใชเหมือน วา หรือ
จ นั้น เมื่อสำรวจและสังเกตดูตัวอยางในคาถาแลว พบความนิยมซึ่งถือเปน
หลักกวางๆ ดังตอไปนี้
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๕๓
ที่ ป รากฏโดยมาก อโถ มั ก เรี ย งต น บาท ต น พากย ห รื อ ต น บท
มีตัวอยางทั้งบาทคี่ และบาทคู อุท มักเรียงระหวางในบาทนั้นๆ ไมอยูตน
หรือทายบาท สวน ตถา มักเรียงทายบาท มีตัวอยางดังนี้
ตัวอยาง อโถ
ใน อสีตินิบาต ชาดกบาลี แหงขุททกนิกาย วา
กุสลฺเจว เม หํส, อโถ หํส อนามยํ;
อโถ รมิทํ ผีต,ํ ธมฺเมน มนุสาสหํ”
ใน ปุริสวิมานวัตถุ วิมานวัตถุบาลี แหงขุททกนิกาย วา
สฺวาคตํ เต มหาปฺุ, อโถ เต อทุราคตํ;
เอตฺโต อุทกมาทาย, ปาเท ปกฺขาลยสฺสุ เต
ตัวอยาง อุท
ใน โกสลสังยุต สคาถวรรคบาลี แหงสังยุตตนิกาย วา
สพฺพํ นาทาย คนฺตพฺพ,ํ สพฺพํ นิกฺขิปฺปคามินํ ;
ยฺจ กโรติ กาเยน, วาจาย อุท เจตสา.
ตัวอยาง ตถา
ใน โสฬสมหาวาร ปริวารบาลี แหงพระวินัยปฎก วา
อุปาลิ ทาสโก เจว โสณโก สิคฺคโว ตถา
โมคฺคลิปุตฺเตน ปฺจมา เอเต ชมฺพุสิริวฺหเย
ทิวา ทิวสฺส
เที่ยงหรือบาย
-๏-
กาเลน กาลํ
ตลอดกาล ตามกาล หมายถึงอะไร?
-๏-
บทยอ
การเรียนภาษาบาลีในหลักสูตรบาลีสนามหลวง ทานสอนใหแปล
ทั้งโดยพยัญชนะ และโดยอรรถ การแปลโดยพยัญชนะคือการแปลตามหลัก
บาลีไวยากรณ แปลตามศัพทที่ปรากฏ สวนแปลโดยอรรถ คือการแปลใหได
ความหมายกระทัดรัด ดวยภาษาที่สอื่ กันเขาใจงาย
ศัพ ท บ างชุด นัก เรียนสามารถแปลโดยพยั ญ ชนะได โ ดยไม ยาก
แต พอจะแปลโดยอรรถ ก็ นึก สงสั ยวา จะแปลอย างไร เช น นั กเรียนพบ
สำนวนวา กาเลน กาลํ แปลโดยพยัญชนะวา ตลอดกาล ตามกาล แตจะ
แปลโดยอรรถวาอยางไร? ตลอดกาล ตามกาล คือเวลาไหน?
บทวา กาเลน กาลํ จัดเปนรุฬหีศัพท คือเปนประเภทสำนวน ที่เขา
ใช พู ด และหมายรู ร วมกั น อย า งนั ้น คล า ยในภาษาไทยว า สองต อ สอง
หมายถึง คนสองคน ฝายละหนึ่งคน อยูกันแตลำพังสองคน หนึ่งตอหนึ่ง
หมายถึง คนสองคน ฝา ยละหนึ ่ งคน ก็ ไ ด ซึ ่ งกล าวอยางหนึ ่ ง หมายถึง
อีกอยางหนึ่ง มีความหมายไมตรงกับศัพท
ในกรณีหนุมสาวอยูกันลำพังในที่ลับ ก็ใชสำนวนซึ่งผูพูดและผูฟง
หมายรูรวมกันจนลงตัวกันวา สองตอสอง ในกรณีนี้ ก็ไมใช หนึ่งตอหนึ่ง
บทขยาย
บทวา กาเลน กาลํ วาตามรูปที่ปรากฏ ศัพทเดิมเปน กาล เปน อ
การันต ในปุงลิงค บทวา กาเลน ประกอบดวย นา ตติยาวิภัตติ แปลวา
ตามกาล บทวา กาลํ ประกอบดวย อํ ทุติยาวิภัตติ แปลวา ตลอดกาล
๖๐ ดิลกพุทธินี
แต ท ั ้ง สองบทประกอบวิ ภั ตติ ไ ม ตรงกั บ อรรถที ่ ต องการ บทว า
กาเลน กาลํ นั้น ประกอบดวยตติยาและทุติยาวิภัตติตามลำดับก็จริง แตใช
ในอรรถของสัตตมีวิภัตติ จึงมีคำอธิบายวา กาเล กาเล ในกาล ในกาล หรือ
สมเย สมเย ในสมัย ในสมัย จัดเปนวิจฉา เปนคำซ้ำในภาษาบาลี หมายถึง
กิสฺมิฺจิ กาเล ในแตละเวลา เอเกกสฺมึ กาเล ในเวลาหนึ่งๆ ซึ่งเปนสวน
หนึ ่ง ที ่เ หมาะสม เลือ กกลา วจากทั ้ ง หมด ฉะนั ้ น บางแห ง จึ ง อธิ บ าย
ยุตฺตกาเล ในเวลาอันสมควร เทานั้น ไมใชทั้งหมด
อีกนั ยหนึ่ง คำอธิบายวา กาเล กาเล ซึ่งเปน วิจฉานั้น หมายถึง
ทุกๆ เวลา ตามสมควร ซึ่งเปนประจำอยางนั้น เชน ทุกกึ่งเดือน ทุกๆ ๑๐
วัน เปนตนก็ได นี้เปนคำอธิบายที่ไดจากอรรถกถาฎีกา ตอไปจะประมวล
ขอมูลในคัมภีรมาแสดง สำหรับผูสนใจขอมูลซึ่งเปนตนแหลง
อรรถกถาที ฆ นิ ก าย ๑/๑๙๖ ว า กาเลน กาลนฺ ติ กาเล กาเล,
อนฺวฑฺฒมาสํ วา อนุทสาหํ วาติ อตฺโถ
[ขอวา กาเลน กาลํ ไขความวา ในเวลา ในเวลา อธิบายวา ทุกๆ
กึ่งเดือน หรือทุกๆ ๑๐ วัน]
อรรถกถาทีฆนิกาย ๓/๓๕ วา กาเลน กาลนฺติ กาเล กาเล
[ขอวา กาเลน กาลํ ไขความวา ในเวลา ในเวลา]
อรรถกถาอังคุตตรนิกาย ๒/๒๕๕ วา กาเลน กาลนฺติ กาเล กาเล,
ยุตฺตกาลนฺติ อตฺโถ
[ขอวา กาเลน กาลํ ไขความวา ในเวลา ในเวลา, อธิบายวา เวลา
อันสมควร]
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๖๑
อรรถกถาขุททกนิกาย ๑/๒๑๔ วา กาเลน กาลนฺ ติ กาเล กาเล
อนฺตรนฺตรา, ตสฺมึ ตสฺมึ สมเยติ อตฺโถ
[ข อ ว า กาเลน กาลํ ไขความว า ในเวลา ในเวลา ในระหว า ง
ในระหวาง, อธิบายวา ในสมัยนั้นๆ]
อรรถกถาปญจปกรณ แหงอภิธรรม ๑/๓๕ วา กาเลน กาลนฺติ
เอตฺถ ภุมฺม วเสน อตฺโถ เวทิตพฺโพ, เอเกกสฺ มึ กาเลติ วุตฺตํ โหติ. สมเยน
สมยนฺติ อิทํ ปุริมสฺเสว เววจนํ.
[ขอวา กาเลน กาลํ นั้น พึงทราบความหมาย ดวยสามารถแหง
สัตตมีวิภัตติ, มีคำอธิบายวา ในกาลหนึ่งๆ. คำวา สมเยน สมยํ นี้เปนไวพจน
ของคำวา กาเลน กาลํ กอนนั้นแล]
ฎีกามัชฌิมนิกาย วา กาเลน กาลนฺติ กาเล กาเล, กิสฺมิฺจิ กาเลติ อตฺโถ.
[ขอวา กาเลน กาลํ ไขความวา ในเวลา ในเวลา, อธิบายวา ในแต
ละสมัย]
ฎีกาอังคุตตรนิกาย วา กาเลน กาลนฺติ เอตฺถ กาเลนาติ ภุมฺมตฺถ-
กรณวจนํ. กาลนฺติ จ อุปโยควจนนฺติ อาห กาเล กาเลติ.
[ขอวา กาเลน กาลํ นี้ คำวา กาเลน เปนตติยาวิภัตติ ใชในอรรถ
สัตตมีวิภัตติ. และคำวา กาลํ เปนทุติยาวิภัตติ ฉะนั้น ทานจึงกลาวอธิบาย
วา กาเล กาเล]
ฎี กาทีฆนิกาย วา กาเลน กาลนฺ ติ รุ ฬฺ ห ี ปทํ เอโก เอกายติอาทิ
วิยาติ วุตฺตํ กาเล กาเลติ.
[ขอวา กาเลน กาลํ เปนรุฬหีบท เชนคำวา เอโก เอกาย สองตอ-
สอง ฉะนั้น ทานจึงกลาวอธิบายไววา กาเล กาเล]
๖๒ ดิลกพุทธินี
ในพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ (Pali-English Dictionary) หนา ๙๙
ทานพุทธธัตตมหาเถระ อธิบาย กาเลน กาลํ วา from time to time ซึ่งมี
ความหมายวา occasionally คือ เปนครั้งคราว หรือ sometimes, but
not regularly แปลวา บางเวลา, แตไมใชทั้งหมด
อภิปราย
กาเลน กาลํ เป นสำนวน มี ค วามหมายวา กาเล กาเล ในเวลา
ในเวลา คือ กสฺมึจิ กาเล ในบางคราว ซึ่งประกอบวิภัตติไมตรงกับอรรถที่
ตองการ จึงเกิดคำถามวา ถาอยางนั้น ทำไมไมประกอบวิภัตติใหตรงกับ
อรรถที่ตองการ คือประกอบเปน กาเล กาเล ในกาล ในกาล หรือระบุ
กสฺมึจิ กาเล ในบางคราว ทำใหแน ใหตรงตัวลงไปเลย
ตอบวา ที่ทานใช กาเลน กาลํ เพราะเปนสำนวนที่ใชกันมาและ
หมายรูรวมกันอยางนั้น ถาแตงหรือแปลตามตัว ก็ไมตรงกับสำนวนที่ใชกัน
ถือวาผิดความนิยม เชน สำนวนไทย เขาพูดกันวา หนุมสาวอยูกันสองตอ
สอง หมายถึง หนุมสาวสองคนอยูกันเพียงลำพัง ฝายละ ๑ คน อาจมีผูแยง
วา ทั้งหนุมและสาวอยูกันเพียง ๒ คน คือฝายละ ๑ ทำไมไมใชสำนวนวา
หนึ่งตอหนึ่ง ในกรณีนี้ ถาขืนใชสำนวนวา หนุมสาวอยูกันหนึ่งตอหนึ่ง ก็จะ
มีความหมายอีกอยางหนึ่งซึ่งตางออกไป ซึ่งไมตรงกับสาระสำคัญที่ตองการ
วา อยูกันเพียงลำพังในที่ลับ กลายเปนใชภาษาผิดความนิยมไป
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๖๓
นีตตฺถ, เนยฺยตฺถ
คำคู ทีค่ วรทราบ
-๏-
โชตกะ
อุปสัคสองอรรถ
-๏-
อนฺโต, อพฺภนฺตร
ภายใน
-๏-
อาชานีย
อนีย ปจจัย ในอรรถกัตตุวาจก ?
-๏-
กิลาสุโน
แจกแบบไหน ทำตัวอยางไร
-๏-
เอก ศัพท
มีกี่ความหมาย ?
โอวรก หองนอย
คืออะไร ?
บทชุมนุมเทวดา
จัดเปนคาถาชนิดไหน ?
ปฐยาวัตตคาถา
สามัญคาถา
สามัญคาถา คือคาถาสามัญ ไมอยูในชื่อคาถาทั้งหลายที่ประมวลไว
ในคัมภีรวุตโตทัยเปนตน หมายความวา ในบาลีเปนตนมีคาถามากมาย ซึ่ง
ถูกจัดประมวลเขาเปนหมวดหมู แตมีคาถาพวกหนึ่งที่ไมไดจัดเขาหมวดหมู
เรียกคาถาเหลานี้วา สามัญคาถา คือคาถาที่ไมเขาลักษณะคาถาอยางอื่น
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๙๙
สูกรมัททวะ
คืออะไร ?
เรื่องยอ
ในพุทธประวัติตอนพระพุทธเจาใกลปรินิพพาน เหตุการณเกิดที่
เมือ งปาวา ในวั นกอ นพุทธปรินิพพานและในวั น พุ ทธปริ น ิ พ พาน ดั งที่
ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร (ที.ม.๑๐/๑๑๖/๑๔๗ สฺยามร) และในจุนทสูตร
ขุททกนิกาย อุทาน (ขุ.อุทาน. ๒๕/๑๖๒/๒๐๙ สฺยามร) เรื่องยอวา
พระพุทธเจาประทับที่โภคนครตามประสงคแลว เสด็จพรอมคณะ
สงฆไปประทับที่สวนมะมวงนายจุนทะผูเปนบุตรชางทองเมืองปาวา ณ ที่
นั้นพระองคทรงแสดงธรรมแกนายจุนทะใหราเริงอาจหาญเกิดกำลังใจแลว
เขาจึงทูลนิมนตให พระพุ ทธเจาและพระสงฆร ับ ภั ตตาหารในวั น รุ ง ขึ้ น
พระพุทธเจาทรงรับนิม นต ฝายนายจุนทะก็ จั ดแจงของเคี ้ยวของฉันอั น
ประณีต และจั ดแจง สู กรมัททวะ เปน อันมากไว เหตุ การณ ต อมา เมื่ อ
พระพุทธเจาเสด็จไปที่บานเขาแลว โปรดใหถวาย สูกรมัททวะ แกพระองค
เทานั้น ไมใหถวายแกพระรูปอื่น แลวรับสั่งใหนายจุนทะนำ สูกรมัททวะ ที่
เหลือไปฝงกลบ หลังจากนั้นพระพุทธเจาเสวยแลว ก็ทรงพระประชวรคือ
เกิดโรคโลหิตปกขันทิกาพาธอยางรุนแรง และปรินิพพานในเวลาตอมา
บาลี
เรื่องราวตรงนี้ ปรากฏเปนขอความภาษาบาลีในพระไตรปฎกบาลี
นั้น และนำมาใหดูพอเปนตัวอยาง เชน
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๑๐๑
อถ โข จุนฺโท กมฺมารปุตฺโต ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน สเก นิเวสเน
ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยาทาเปตฺวา ปหูตฺจ สูกรมทฺทวํ ภควโต กาลํ
อาโรจาเปสิ...
นิสชฺช โข ภควา จุนฺทํ กมฺมารปุตตฺ ํ อามนฺเตสิ “ยํ เต, จุนฺท,
สูกรมทฺทวํ ปฏิยตฺต,ํ เตน มํ ปริวิส. ยํ ปนฺํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยตฺต,ํ เตน
ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสา”ติ. (ที.ม.๑๐/๑๑๗/๑๔๗ สฺยามร)
พระไตรปฎกฉบับแปลไทย
ขอความตรงนี้ พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับหลวง (ที.ม.๑๐/๑๑๗/
๑๐๔) แปลไววา
นายจุนท กัมมารบุตร ใหตระเตรียมของเคี้ยวของฉันอันประณีต
และสุกรมัททวะเปนอันมาก ในนิเวศนของตน โดยลวงราตรีนั้นไป ใหกราบ
ทูลกาลแดพระผูมีพระภาค...
ครั้นพระผูมีพระภาคประทับนั่งแลวรับสั่งกะนายจุนท กัมมารบุตร
วา ดูกรนายจุนทะ ทานจงอังคาสเราดวยสุกรมัททวะที่ทานตระเตรียมไว
จงอังคาสภิกษุสงฆดวยของเคี้ยวของฉัน อยางอื่นที่ทานตระเตรียมไว
อรรถกถา
ในอรรถกถามหาปรินิพพานสูตร อธิบายไววา
สูกรมทฺทวนฺติ นาติตรุณสฺส นาติชิณฺณสฺส เอกเชกสูกรสฺส
ปวตฺตมํส.ํ ตํ กิร มุทุ เจว สินทิ ฺธฺจ โหติ, ตํ ปฏิยาทาเปตฺวา สาธุกํ
ปจาเปตฺวาติ อตฺโถ. เอเก ภณนฺติ – “สูกรมทฺทวนฺติ ปน มุทโุ อทนสฺส
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย) ๑๐๓
ปฺจโครสยูสปาจนวิธานสฺส นาเมตํ, ยถา ควปานํ นาม ปากนาม”นฺติ. เกจิ
ภณนฺติ – “สูกรมทฺทวํ นาม รสายนวิธิ, ตํ ปน รสายนสตฺเถ อาคจฺฉติ, ตํ
จุนฺเทน – ‘ภควโต ปรินิพฺพานํ น ภเวยฺยา’ติ รสายนํ ปฏิยตฺต”นฺติ. ตตฺถ ปน
ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ เทวตา โอชํ ปกฺขิปสุ.
อรรถกถาฉบับแปล โดย มมร. ๙๑ เลม วา
[บทวา สูกรมทฺทวํ ไดแก ปวัตตมังสะ ของสุกรที่ใหญที่สุดตัวหนึ่ง
ไมหนุมนัก ไมแกน ัก. นัยวา ปวัตตมังสะนั้นนุมสนิท. อธิบายวา ใหจัด
ปวั ต ตมั ง สะนั้ น ทำให ส ุ ก อย า งดี . อาจารย พ วกหนึ่ ง กล า วว า ก็ ค ำว า
สูกรมัททวะนี้เปนชื่อของขาวสุกออน ที่จัดปรุงดวยปญจโครส (ขีร นมสด
ทธิ นมสม ฆตํ เนยใส ตกฺกํ เปรียง และ โนนีตํ เนยแข็ง) และถั่ว เหมือน
ของสุก ชื่อวา ควปานะ ขนมผสมน้ำนมโค. อาจารยบางพวกกลาววา วิธี
ปรุงรส ชื่อวาสูกรมัททวะ ก็สูกรมัททวะนัน้ มาในรสายนศาสตร. สูกรมัททวะนัน้
นายจุนทะตบแตงตามรสายนวิธี ดวยประสงควาการปรินิพพานจะยังไมพึง
มีแกพระผูมีพระภาคเจา. แตเหลาเทวดาในมหาทวีปทั้ง ๔ ซึ่งมีทวีปนอย
๒,๐๐๐ ทวีปเปนบริวาร ใสโอชะลงในสูกรมัททวะนั้น]
ปวัตตมังสะ คืออะไร ?
ฎีกา
ในฎีกามหาปรินิพพานสูตร อธิบายไววา สูกรมัททวะ คือเนื้อออน
ของหมูปา นายจุนทะซึ่งเปนโสดาบันทั้งคนอื่นๆ ก็จัดแจงอาหารที่เหมาะ
สำหรับพระผูมีพระภาคเจาและพระสงฆ ฉะนั้น อรรถกถาวา เตรียมปวัตต
๑๐๖ ดิลกพุทธินี
มังสะไว ที่วาเนื้อสูกรไมเด็กนักไมแกนักนั้น เปนวิธีพูดอยางหนึ่ง ที่จริงก็คือ
เนื้อนุมและสนิทดี เพราะเปนเนื้อนั้นเปนเนื้อนุมและเพราะปรุงพิเศษจึงได
ชื่อวา มัททวะ แปลวา ออน ดังขอความวา
สูกรมทฺทวนฺติ วนวราหสฺส มุทุมํสํ. ยสฺมา จุนฺโท อริยสาวโก
โสตาปนฺโน, อฺเ จ ภควโต, ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ อาหารํ ปฏิยาเทนฺตา
อนวชฺชเมว ปฏิยาเทนฺต,ิ ตสฺมา วุตฺตํ “ปวตฺตมํส”นฺติ. ตํ กิราติ
“นาติตรุณสฺสา”ติอาทินา วุตฺตวิเสสํ. ตถา หิ ตํ “มุทุ เจว สินิทธฺ ฺจา”ติ วุตตฺ ํ.
มุทุมํสภาวโต หิ อภิสงฺขรณวิเสเสน จ “มทฺทว”นฺติ
บทสรุป
จากที่แสดงมานี้ สรุปไดวา สูกรมัททวะ คือเนื้อสุกรหรือหมูปาที่ไม
เด็กนักไมแกนักเนื้อนุมสนิทดีของสุกรชั้นดีที่ตายแลว มตินี้เปนที่ยอมรับ
และศึกษาเลาเรียนกันมาโดยลำดับ
สวนมติอื่น ๆ ซึ่งเปนของเกจิอาจารย เชนเห็นวา สูกรมัททวะ คือ
มุทุโอทนะ ขาวสุกออน ปรุงดวยผลิตภัณฑนม ๕ อยาง ที่เรียกวา ปญจ-
โครส และถั่ว วํสกีระ แขนงไผ หนอไผ หนอไมซึ่งถูกสุกรเหยียบย่ำแลว
อหิฉัตตกะ เห็ดหัวงู ที่เกิดบริเวณที่ถูกสุกรเหยียบย่ำ และ รสายนวิ ธิ
วิธีปรุงอาหารชนิดหนึ่ง ซึ่งเปนอายุวัฒนะอยางหนึ่ง จัดเขาในศาสตรวาดวย
การปรุงอาหาร
๑๐๘ ดิลกพุทธินี
ปาปุณาติ๑
อุณาปจฺจเย กเต รูป. รูปสิทฺธิยํ ปน อป=ปาปุเณ พฺยฺชเน เจติ อการสฺส ทีฆวเสน วุตฺตํ.
[กจฺจายนวณฺณนา คำอธิบายสูตร ๔๔๘]
๒ สกาปานํ กุกฺกู เณ. [โมคฺ. ๕/๑๒๑]
“พฺยฺชเน ทีฆรสฺสา”ติ ๑/๓๓ รสฺโส. สกฺโกติ “ตนาทิโตฺว”ติ ๕/๒๖ โอ “สรมฺหา เทฺว”ติ ๑/๓๔
กสฺส ทฺวิภาโว. ปาเปติ ปปุพฺพสฺส ปโยชกพฺยาปาเร ณิมฺหิ เอตฺเต จ. [ปญจิกา, ๕/๑๒๑]
๔ จมาปปาวปา โป. [โมค. ๗/๑๑๔]
๑๑๒ ดิลกพุทธินี
๘) คัมภีรนิรุตติทีปนี๑ ไวยากรณบาลีสายโมคคัลลานะ พระญาณ-
ธชะ พระเถระชาวพม า (ชาวพม า เรี ย กว า แลดี ส ยาดอ) เป น ผู ร จนา
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๖ ซึ่งตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ไดระบุถึงธาตุไว
ทายคัมภีร ทำใหผูอานคนหาโดยสะดวก มีปรากฏเฉพาะ อาป ธาตุเทานั้น
๙) คัมภีรธาตวัตถสังคหะ รจนาโดยพระวิสุทธาจารย พระเถระ
ชาวพมา ไดแตงจบเมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๒ มีทั้งหมด ๔๓๓ คาถา หรือมี
๔๔๕ คาถาเมื่อรวมนิคมคาถาอีก ๑๒ บท และมีธาตุทั้งหมด ๑๖๓๗ ธาตุ
๑๐ ธาตุปาฐะ √ √
๑๑๖ ดิลกพุทธินี
ปาปุณาติ
บรรณานุกรม
***
๏
๑๒๐ ดิลกพุทธินี
ภาคผนวก
ผลงานการประพันธ งานแปล และรวบรวม-เรียบเรียง
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย)
-๏-
๐
๑๒๒ ดิลกพุทธินี
บันทึก
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................
......................................................................................................................