You are on page 1of 8

วรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนต้น

๑.ลิลิตโองการแข่งน้้า
ผ้้แต่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำารงราชานุภาพ
ทรงสันนิ ษฐานว่าอาจแต่งในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี๑ (อ่่ทอง) ผ้แ ่ ต่งคงจะเป็ นผ้่ร้่พิธีพราหมณ์
และร้่วิธีประพันธ์ของไทยเป็ นอย่างดี สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ (อ่ท ่ อง)เป็ นปฐมกษัตริย์แห่งกรุง
อยุธยาสมเด็จฯกรมพระยาดำารงราชานุภาพ ทรงสันนิ ษฐานส่าสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑เป็ นเชื้อ
สายของพระเจ้าสิริชัยเชียงแสนแห่งแคว้นสิริธรรมราช จึงเป็ นต้นวงศ์เชียงราย เป็ นราชบุตรเขย
ของพระเจ้าอ่่ทอง เมื่อ พ.ศ.๑๘๘๗ ได้เป็ นเจ้าเมืองอ่่ทอง ซึง ่ ขณะนั้นขึน้ ต่อเมืองสุโขทัย ต่อมาเกิด
โรคระบาด จึงทรงย้ายราชธานี มาตั้งตำาบลหนองโสน แขวงเมืองอโยธยา เมื่อ พ.ศ.๑๘๙๓ ขนาน
นามใหม่ว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา และพระองค์ได้รับพระนามใหม่ว่า สมเด็จพระรามาธิบดี
ที่ ๑ ทรงตั้งพระองค์เป็ นใหญ่ไม่ขึ้นต่อกรุงสุโขทัยนับแต่สถาปนาราชธานี ในรัชกาลนี้ ได้รับ
วัฒนธรรมขอมและพราหมณ์เป็ นอันมาก ภาษาไทยจึงเริ่มมีคำาเขมรเข้ามาปะปนมากขึน ้ มีการ
ประกอบพิธีถือนำ้าพระพิพัฒน์สัตยา หรือพิธีศรีสัจปานกาล ตามแบบเขมร ซึ่งถ่ายทอดมาจาก
พราหมณ์อีกต่อหนึ่ ง
ประวัติ ต้นฉบับที่เหลืออย่่เขียนด้วยอักษรขอม ข้อความที่เพิ่มขึ้นในรัชกาลที่๔ ตามหลักฐานซึ่ง
รัชกาลที่ ๕ทรงยืนยันไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน คือ "แทงพระแสงศรประลัยวาต" "แทง
พระแสงศรอัคนิ วาต" และ "แทงพระแสงศรพรหมมาสตร์"คำาประพันธ์ท่ีใช้คือโคลงห้าและร่าย
โบราณ หนังสือเรื่องนี้ นับว่าเป็ นวรรณคดีเรื่องแรกของคนไทย ที่แต่งเป็ นร้อยกรองอย่าง
สมบ่รณ์แบบ ชื่อเรียกแต่เดิมว่าโองการแช่งนำ้าบ้าง ประกาศแช่งนำ้าโคลงห้าบ้าง ต้นฉบับที่ถอด
เป็ นอักษรไทยจัดเป็ นวรรคตอนคำาประพันธ์ไว้ค่อนข้างสับสน พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเจ้าอย่่หัว
ทรงสอบทานและพระราชวินิจฉัยเรียบเรียงวรรคตอนใหม่
ท้านองแต่ง มีลักษณะเป็ นลิลิต คือ มีร่ายกับโคลงสลับกัน ร่ายเป็ นร่ายโบราณ ส่วนโคลงเป็ น
โคลงแบบโคลงห้าหรือมณฑกคติ ถ้อยคำา ถ้อยคำาที่ใช้ส่วนมากเป็ นคำาไทยโบราณ นอกจากนั้นมี
คำาเขมร และบาลี สันสกฤต ปนอย่่ด้วย คำาสันสกฤตมีมากกว่าคำาบาลี
ความมุ่งหมาย ใช้อ่านในพิธีถือพระพิพัฒน์สัตยาหรือพิธีศรีสัจปานกาล ซึ่งกระทำาตั้งแต่รัชกาล
สมเด็จพระเจ้าอ่่ทองสืบต่อกันมาจนเลิกไปเมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็ นระบบ
ประชาธิปไตย ใน พ.ศ.๒๔๗๕
เรื่องย่อ เริ่มต้นด้วยร่ายดั้นโบราณ ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหมตาม
ลำาดับ ต่อจากนั้นบรรยายด้วยโคลงห้า และร่ายดั้นโบราณสลับกัน กล่าวถึงไฟไหม้โลกเมื่อสิ้น
กัลป์ แล้วพระพรหมสร้างโลกใหม่ เกิดมนุษย์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ การกำาหนดวัน เดือน ปี และ
การเริ่มพระราชาธิบดีในหม่่คน แล้วอัญเชิญพระกรรมบดีป่่เจ้ามาร่วมเพื่อความศักดิส ์ ิทธิ ์ ตอนต่อ
ไปเป็ นการอ้อนวอนให้สิ่งศักดิส ์ ิทธิเ์ รืองอำานาจมี พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เทพยาดา อส่ร ภ่ต
ปี ศาจ ตลอดจนสัตว์มีข้เี ล็บเป็ นพยาน ลงโทษผ้่คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน ส่วน

ผ้ซ ่ ่ ือตรงภักดี ขอให้มีความสุขและลาภยศ ตอนจบเป็ นร่ายยอพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน


ตังอย่างข้อความบางตอน
สรรเสริญพระนารายณ์ โอมสิทธิสธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วฤตย่ เอาง่ปนแท่น แกว่นกลืนฟ้ ากลืน
ดิน บินเอาครุธมาขี่ส สี่ถอ ื สังขืจักรคธารณีภีรุอวตาร อสุรแลงลาญทัก ททัคนี ยจรนายฯ แทงพระ
แสงศรปลัยวาดฯ
กล่าวถึงไฟประลัยกัลป์
นานเอนกน้าวเดิมกัลป์ จักรำ่าจักราพาฬเมื่อไหม้
กล่าวถึงตรวันเจดอันพลุ่ง นำ้าแล้วไข้อดหาย
เจ็ดปลามันพุ่งหล้าเป็ นไฟวาบ จัตุราบบายแผ่นขวำ้า
ชักไตรตรึงษ์เป็ นผ้า แลบลำ้าสีลอง
อัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพรหม เทพยาดา และภ่ตผีปีศาจ เป็ นพยาน
ผ้ใ่ ดเภทจงคด ถือขันสรดใบพ่ตานเสียด มารเฟี ยดไททศพล ช่วยด่ ธรรมารคประเตยก ช่วยด่
อเนกกถ่องพระสงฆ์ช่วยด่ ขุนหงส์ทองเกล้าสี่ ช่วยด่ ฟ้ าฟั ดพรีใจยังด่ ช่วยด่ สี่ปวงผรีหาวแห่ง ช่วย
ด่ฟ้าชรแร่งหกคลอง ช่วยด่ ผองผีกลางหาวแอ่น ช่วยด่ ฟ้ ากระแฉ่นเรืองผยอง ช่วยด่ เจ้าผาดำา
สามเส้า ช่วยด่ แสนผีพึงยอมเท้า เจ้าผาดำาผาเผือก ช่วยด่ฯ
ค้าสาปแช่งผ้้คิดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน จงเทพยดา ฝ่งนี้ ให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันใน
สามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี อย่าให้มีสุขสวัสดิ ์ เมื่อใดฯ
ลิลิตโองการแช่งนำ้า ใช้ถ้อยคำาสำานวนที่เข้าใจยาก และเป็ นคำาห้วนหนักแน่ น เพื่อให้เกิดความ
น่ าเคารพยำาเกรง ความพรรณนาบางตอนละเอียดลออ เช่น ตอนกล่าวกถึงสิ่งศักดิส ์ ิทธิแ
์ ละมี
อำานาจก็สรรหามากล่าวไว้มากมาย นอกจากนี้ ยังใช้ถอ ้ ยคำาประเภทโคลงห้าและร่ายดั้น ซึง ่ มี
จังหวะลีลาไม่ราบรื่น สะดุดเป็ นตอน ๆ ยิ่งเพิ่มความขลังขึ้นอีกเป็ นอันมาก จึงนับได้ว่าลิลิต
โองการแช่งนำ้าเรื่องนี้ แต่งได้เหมาะสมกับความมุ่งหมายสำาหรับใช้อ่านหรือสวดในพระราชพิธีถือ
นำ้าพระพิพัฒน์สัตยา ซึง ่ มีความสำาคัญแก่การเพิ่มพ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ใน
ระบบสมบ่รณาญาสิทธิราชย์
วรรณคดีเรื่องนี้ มก ี ำาเนิ ดจากพระราชพิธีในระบบสมบ่รณาญาสิทธิราชย์ แสดงถึงอิทธิพล
ของวัฒนธรรมเขมร และพราหมณ์อย่างชัดเจน สมเด็จพระเจ้าอ่่ทองทรงรับการปกครองระบอบ
สมบ่รณาญาสิทธิราชย์ และพระราชพิธีศรีสัจปานจากเขมรมาใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์
ของบ้านเมืองที่ต้องการสร้างอำานาจปกครองของพระเจ้าแผ่นดินและความมั่นคงของบ้านเมืองใน
ระยะที่เพิ่งก่อสร้างราชอาณาจักร ในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏว่ามีพระราชพิธีศรีสัจปานกาล
เนื่องจากกษัตริย์สุโขทัยทรงปกครองบ้านเมือบแบบพ่อปกครองล่ก ถึงแม้หลักศิลาจารึกสุโขทัย
หลักที่ ๔๕ มีเนื้อความเกี่ยวกับการสบถสาบานระหว่างกษัตริย์สุโขทัยผ้่เป็ นหลานกับเจ้าเมือง
น่ านผ้่ป่่ และถ้อยคำาบางตอนคล้ายกับลิลิตโองการแช่งนำ้า แต่ก็เป็ นการสาบานระหว่างบุคคล
เฉพาะกรณี ไม่ใช่พิธีทางราชการทั่วไปกระทำาต่อพระเจ้าแผ่นดินเป็ นการทั่วไปอย่างที่กรึง
ศรีอยุธยา อนึ่ งข้อความนี้ จารึกไว้ใน พ.ศ.๑๙๓๕ ซึ่งอาจเป็ นสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒หรือพระ
มหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสยลือไท)ตรงกับรัชการสมเด็จพระราเมศวรแห่งกรุงรีอยุธยา เป็ นช่วงที่
กรุงสุโขทัยเสียอิสระภาแก่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ.๑๙๒๑ ถ้าพระราชพิธีสัจปานกาลเคยกระทำา
ที่สุโขทัยก็จะต้องเป็ นเวลาภายหลังที่กรุงสุโขทัยตกอย่่ในอำานาจปกครองและอิทธพลทาง
วัฒนธรรมของ กรุงศรีอยุธยาแล้ว
------------------------------------------------------------------------------------------------
๒.มหาชาติค้าหลวง
ผ้้แต่ง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตช่วยกันแต่ง เมื่อ
จุลศักราช ๘๔๔ พุทธศักราช๒๐๒๕ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็ นพระราชโอรสของสมเด็จ
พระบรมรามาธิบดีท่ี ๒ หรือสามพระยา ก่อนเสวยราชย์ พระราชบิดาอภิเษกให้เป็ นพระมหา
อุปราช และโปรดให้เสด็จไปครองเมืองพิษณุโลก มีอำานาจสิทธิข ์ าดในหัวเมืองฝ่ ายเหนื อ ได้รับ
ราชสมบัติสืบต่อพระราชบิดา ระหว่าง พ.ศ.๑๙๙๑ - ๒๐๓๑ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรง
สร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่กรุงศรีอยุธยาเป็ นอันมาก ทรงแก้ไขการปกครอง โดยแยกทหารและ
พลเรือนออกจากกัน ฝ่ ายทหารมีหัวหน้าเป็ นสมุหกลาโหม ฝ่ ายพลเรือนมีสมุหนายก ทรงตั้งยศ
ข้าราชการลดลั่นกันตามชั้น เช่น ขุน หลวง พระยา พระ ทรงทำาสงครามกับเชียงใหม่ ได้เมือง
เชียงใหม่ พ.ศ.๒๐๑๗ เป็ นเหตุให้เกิดลิลิตยวนพ่าย พระองค์มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา
เสด็จออกผนวชชั่วระยะหนึ่ ง ที่วัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก การทำานุบำารุงพระศาสนาในรัชกาลนี้
ทำาให้เกิดมหาชาติคำาหลวง
ประวัติ มหาชาติคำาหลวงเป็ นหนังสือมหาชาติฉบับภาษาไทย และเป็ นประเภทคำาหลวงเรื่อง
แรก เรื่องเกี่ยวกับผ้่แต่งและปี ที่ แต่งมหาชาติคำาหลวง ปรากฏหลักฐานในเรื่องพงศาวดารฉบับ
คำาหลวงกล่าวยืนยันปี ที่แต่งไว้ตรงกับมหาชาติคำาหลวงเดิมหายไป ๖ กัณฑ์ พระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระบรมราชโองการให้พระราชาคณะและนักปราชญ์ราชบัณฑิต
แต่งซ่อมให้ครอบ ๑๓ กัณฑ์เมื่อจุคศักราช ๑๑๗๖ พุทธศักราช ๒๓๔๗ ได้แก่ กัณฑ์ หิมพานต์ ทาน
กัณฑ์ จุลพน มัทรี สักกบรรพ และฉกษัตริย์
ท้านองแต่ง แต่งด้วยคำาประพันธ์หลายอย่าง คือ โคลง ร่าง กาพย์ และฉันท์ มีภาษาบาลี
แทรกตลอดเรื่อง มหาชาติคำาหลวงเรื่องนี้ เป็ นหนังสือประเภทคำาหลวง
ความมุ่งหมาย เพื่อใช้อ่านหรือสวดในวันสำาคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา และอาจเรียก
รอยตามพระพุทธธรรมราชาลิไท ซึง ่ พระราชนิ พนธ์เรื่องไตรภ่มิพระเรื่อง
เรื่องย่อ แบ่งออกเป็ น ๑๓ ตอน ซึ่งเรียกว่ากัณฑ์ดังนี้
กัณฑ์ทศพร เริม ่ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสร้่ แล้วเสด็จไปเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ต่อจากนั้น
เสด็จไปโปรดพุทธบิดา และพระประย่รญาติท่ีกรุงกบิลพัสด์ุ เกิดฝนโบกขพรรษ พระสงฆ์สาวก
กราบท่ลอาราธนาให้ทรงแสดงเรื่องพระเวสสันชาดก เริ่มตั้งแต่เมื่อกัปที่ ๙๘ นับเป็ นแต่ปัจจุบัน
พระนางผุสดีซึ่งจะทรงเป็ นพระมารดาของพระเวสสันดร ทรงอธิฐานขอเป็ นมารดาของผ้่มใี จบุญ
จบลงตอนพระนางได้รับพระ ๑๐ ประการจากพระอินทร์กัณฑ์หิมพานต์ พระเวสสันดรทรงเป็ น
พระราชโอรสของพระเจ้าสัญญชัยกับพระนาวผุสดี แห่งแคว้นสีวีราษฎร์ประส่ติตรอกพ่อค้า เมื่อ
พระเวสสันดรได้เวนราชสมบัติจากพระมารดา ได้พระราชทานช้างปั จจัยนาคแก่กษัตริย์แห่ง
แคว้นกลิงรางราษฎร์ ประชาชนไม่พอใจ พระเวสสันดรจึงถ่กเนรเทศไปอย่่ป่าหิมพานต์กัณฑ์ทาน
กัณฑ์ ก่อนเสด็จไปอย่่ป่า พระเวสสันดรได้พระราชทานสัตตดกทาน คือ ช้าง ม้า รถ ทาสชาย
ทาสหญิง โคนม และนางสนม อย่าง ๗๐๐ กัณฑ์วนประเวสน์ พระเวสสันดรทรงพาพระนางมัทรี
พระชายา พระชาลีและพระกันหาพระโอรสพระธิดา เสด็จจากเมืองผ่านแคว้นเจตราษฏร์จนเสด็จ
ถึงเขาวงกตในป่ าหิมพานต์กัณฑ์ชช ่ ก ช่ชกพราหมณ์ขอทานได้นางอมิตดาเป็ นภรรยา นางใช้ให้
ไปขอสองกุมาร ช่ชกเดินทางไปสืบข่าวในแคว้นสีวีราษฏร์ สามารถหลบหลีกการทำาร้ายของชาว
เมือง พบเจตบุตร ลวงเจตบุตร ให้บอกทางไปยังเขาวงกตกัณฑ์จุลพน ช่ชกเดินทางผ่านป่ าตาม
เส้นทางตามที่เจตบุตรแนะจนถึงทีอย่่ของอัจจุตฤษีกัณฑ์มหาพน ช่ชกลวงอัจจุจฤษี ให้บอกทาง
ผ่านป่ าใหญ่ไปยังที่ประทับของพระเวสสันดรกัณฑ์กุมาร ช่ชกท่ลขอสองกุมาร ทุบตีสองกุมาร
เฉพาะพรพักตร์พระเวสสันดร แล้วพาออกเดินทางกัณฑ์มัทรี พระนางมัทรีเสด็จกลับมาจากหาผล
ไม้ท่ีป่า ออกติดตามสองกุมารตลอกคืน จนถึงทางวิสัญญีเฉพาะพระพักตร์พระเวสสันดร เมื่อทรง
พื้นแล้ว พระเวสสันดรเล่าความจริงเกี่ยวกับสองกุมาร พระนางทรงอนุโมทนาด้วยกัณฑ์สักกบร
รพ พระอินทร์ทรงเกรงว่าจะผ้่ท่ม ี าพระนางมัทรีไปเสีย ทรงเปลงเป็ นพราหมณ์ชรามาท่ลของพระ
นางมัทรีแล้วฝากไว้ท่ีพระเวสสันดร กัณฑ์มหาราช ช่ชกเดินทางเข้าแคว้นสีวีราษฎร์ พระเจ้าสญ
ชัยทรงไถ่สองกุมาร ช่ชกได้รับพระราชทานเลี้ยง และถึงแก่กรรมด้วยการบริโภคอาหารมากเกิน
ควร กัณฑ์ฉกษัตริย์ พระเจ้าสัญญชัย พระนางผุสดี พระชาลี และพระกันหา เสด็จไปท่ลเชิญพระ
เวสสันดรและพระนางมัทรีกลับ เมื่อกษัตริย์หกพระองค์ทรงพบกัน ก็ทรงวิสัญญี ต่อฝนโบกข
พรรษตก จึงทรงฟื้ นขึ้น กัณฑ์นครกัณฑ์ กษัตริย์ท้ังหกพระองค์เสด็จกลับพระนคร พระเวสสันดร
ได้ครองราชย์ดังเดิม บ้านเมืองสมบ่รณ์พ่นสุข
ตัวอย่างบางตอน
นางมัทรีโศกถึงชาลีกัณหา
หำสาว
ดุจหงษโปฏก กระเหว่าเล่านนก พลัดแม่ส่ญหาย
อุปริปลฺลเล
ตกตำ่าติดตม อดนมปางตาย ดุจแก้วแม่หาย ไม่คอยมารดา
เต มิคา วิย อุกกณฺณา
หนึ่ งบุตรเนื้อทราย มิโรทกบวย ทรามรักษาเสนหา
สมนฺตามฺมภิธาวิโน
ยกห่ช่คอ คอยถ้ามารดา เห็นแม่กลับมา วิ่งเข้า เชอยชม
อานนฺทิโน ปมุทิตา
วิ่งซ้ายวิ่งเข้ามา ชมรอบมารดา แล้วเข้ากินนม
วคฺคมานาว กมฺปเร
ลองเชองเรองไป ให้แม่ช่ ืนชม ให้ลม ื อารมณ์ ดุจสองพงงงา
ตฺยชฺช ปตฺเต น ปสฺสามิ
พระแก้วแม่เอย บุรโพ้นย่อมคอย คอนรับมารดา
ชาลิง กณฺหาชินำ จุโภ
วนนี้ ไปไหน ไม่ร้่เห็นหา โอ้สองพงงงา กัณหาชาลี
มหาชาติคำาหลวง เป็ นวรรณคดีเกี่ยวกับศาสนาโดยตรง เป็ นหนังสือมหาชาติฉบับภาษาไทย
เล่มแรก ที่ปรากฏหลักฐานเหลืออย่่ มีใจความใกล้เคียงกับข้อความที่แต่งเป็ นภาษาบาลี แสดงถึง
ความสามารถในการแปลและเรียบเรียงข้อความ การแทรกบาลีลงไว้มากมายเช่นนี้ ทำาให้ฟัง
ยากจนต้องมีการแต่งกาพย์มหาชาติขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มหาชาติคำาหลวงทั้ง
ของเดิมและที่แต่งซ่อมใหม่ในรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตโกสินทร์ นักปราชญ์ราชบัณฑิตที่เป็ นกวี
หลายท่านช่วยกันแต่ง จึงมีสำานวนโวหารและถ้อยคำาไพเราะเพราะพริ้งอย่ม ่ าก แทรกไว้ด้วยรส
วรรณคดีหลายประการ เช่น ความโศก ความอาลัยรัก ความน้อยใจ และความงามของธรรมชาติ
เป็ นต้น นอกจากนี้ ยังให้ความร้่ทางด้านภาษา ทำาให้ทราบคำาโบราณ คำาแผลง และภาษาต่าง
ประเทศ เช่น สันสกฤต และเขมรเป็ นต้น มหาชาติคำาหลวงแสดงถึงความเลื่อมใสในพุทธศาสนา
และความเชื่อในบุญกุสลที่เกิดจากฟั งเทศน์เรื่องมหาชาติของคนไทยสืบต่อมาจากสุโขทัย
นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา
อย่างยิ่ง การโปรดเกล้าฯให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติคำาหลวง ก็เทียบได้พญาลิ
ไททรงพระราชนิ พนธ์ไตรภ่มิพระร่วง
๓.ลิลิตยวนพ่าย
ผ้้แต่ง ไม่ปรากฏ
ประวัติ สันนิ ษฐานแต่งในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราว พ.ศ.๒๐๑๗ ซึง ่ เป็ นปี เสด็จ
ศึกเชียงชื่น แต่ความเห็นอีกประการหนึ่ งว่า แต่งในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ (พ.ศ.๒๐๓๔
- ๒๐๗๒) เหตุท่ีว่าลิลิตยวนพ่าย อาจแต่งในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ ก็เนื่องด้วยพระมหา
กษัตริย์พระองค์น้ี เป็ นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และทรงพระปรีชาสามารถทุ
นะบำารุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองรอยพระราชบิดาก็เป็ นได้ คำาว่า "ยวน"ในลิลิตเรื่องนี้ หมายถึง
"ชาวลานนา"คำา "ยวนพ่าย"หมายถึง "ชาวล้านาแพ้"เนื้อเรื่องของลิลิตยวนพ่ายกล่าวชาวลานนา
ในสมัยพระเจ้าติโลกราช ซึง ่ พ่ายแพ้แก่กรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ท้านองแต่ง แต่งเป็ นลิลิตดั้น ประกอบด้วยร่ายดั้นโคลงดั้นบาทกุญชร ร่ายดั้น ๒ บท และ
โคลงดั้นบทกุญชร ๓๖๕ บท
ความมุ่งหมาย เพื่อยอพระเกียรติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสดุดีชัยชนะที่มีต่อ
เชียงใหม่ในรัชกาลนั้น
เรื่องย่อ ตอนต้นกล่าวนมัสการพระพุทธเจ้าและนำาหัวข้อธรรมมาแจกแจงทำานองยกย่อง
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถว่า ทรงคุณธรรมข้อนั้น ๆ กล่าวถึงพระราชประวัติ ตั้งแต่ประส่ติจนได้
ราชสมบัติ ต่อมาเจ้าเมืองเชียงชื่น(เชลียง)เอาใจออกหาง นำาทัพเชียงใหม่มาตีเมืองชัยนาท แต่ถ่ก
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตีแตกกลับไป และยึดเมืองสุโขทัยคืนมาได้ แล้วประทับอย่่เมือง
พิษณุโลก เสด็จออกบวชชั่วระยะหนึ่ ง ต่อจากนั้นกล่าวถึงการทำาสงครามกับเชียงใหม่อย่าง
ละเอียดครั้งหนึ่ ง แล้วบรรยายเหตุการณ์ทางเชียงใหม่ ว่าพระเจ้าติโลกราชเสียพระจริต ประหาร
ชีวิตหนานบุญเรืองราชบุตร และหมื่นดังนครเจ้าเมืองเชียงชื่น ภรรยาหมื่นดังนครไม่พอใจ ลอยมี
สารมาพึ่งพระบรมโพธิ สมภารของสมเด็จสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและขอกองทัพไปช่วย
พระเจ้าติโลกราชทรงยอทัพมาป้ องกันเมืองเชียง

ชื่น เสร็จแล้วเสด็จกลับไปรักษาเมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงกรีธาทัพหลวงขึ้น


ไปรบตีเชียงใหม่พ่ายไปได้เมือวเชียวชื่ม ตอนสุดท้ายสรรเสริญพระบารมีสมเด็จพระบรมไตรโลก
นาถอีกครั้งหนึ่ ง
ตัวอย่างข้อความบางตอน
กล่าวถึงการแต่งยวนพ่าย
สารสยามภาคพร้อง กลกานท นี้ ฤา
คือค่ม ่ าลาสวรรค ช่อช้อย
เบญญาพิศาลแสดง เดอมกยรติพระฤา
คือคุ่ไหมแส้งร้อย กึ่งกลาง
ยอพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
กษัตริย์สุราชเรื้อง รศธรรม์
บรรหารยศยอยวน พ่ายฟ้ า
สมภารปราบปลยกัลป์ ทุกทวีป
ร้อยพิภพเหลื้องหล้า อย่่เย็น
ร้อยเท้าวรมมรีบเข้า มาท่ล ท่านนา
ถวายประทุมทองเปน ปิ่ นเกล้า
สำภารพ่อพยวส่รย โสภิต
มอญแลยวนพ่ายเข้า ข่ายบร
ลิลิตยวนพ่าย มีลักษณะเป็ นวรรณคดีหรือเฉลิมพระเกียรติกษัตริย์ แต่งขึ้นเนื่องจากความ
ปลาบปลื้มยินดีในพระบารมีของพระมหากษัตริย์ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา
ต้อนต้นอย่างยิ่ง เพราะบรรยายเรื่องราวต่างๆไว้อย่างละเอียด และแต่งในระยะเวลาที่เกิด
เหตุการณ์หรือใกล้เคียงกับเหตุการณ์น้ัน จึงเป็ นหลักฐานทางประวัตศ ิ าสตร์ท่ีน่าเชื่อถือ ลิลิต
ยวนพ่าย มีลักษณะมาจนวันนี้ ยังสมบ่รณ์หรือถ่กแต่งเหมือนวรรณคดีบางเรื่อง ถ้อยคำาที่ใช้ใน
โบราณและคำาสันสกฤตส่วนมาก ถึงแม้จะใช้ถอ ้ ยคำาเหล่านี้ ยังไม่ถ่กดัดแปลงแก้ไขจากคนชั้นหลัง
จึงเป็ นประโยชน์แก่การศึกษาด้านภาษาอย่างมาก ถึงแม้จะใช้ถอ ้ ยคำาสำานวนที่เข้าใจยาก และ
เรื่องส่วนใหญ่เกี่ยวกับการรบทัพจับศึก แต่ลิลิตเรื่องนี้ ก็ยังมีลักษณะวรรณคดีดีเด่นเพราะใช้
ถ้อยคำาไพเราะ โวหารพรรณนาที่ก่อให้เกิดจิตนาภาพ ให้อารมณ์ช่ ืนชมยินดีในบุญญาธิการของ
พระเจ้าแผ่นดิน และความรุ่งเรืองของบ้านเมือง อันเป็ นลักษณะสำาคัญของวรรณคดีประเภทสดุดี
ความดีเด่นของลิลิตยวนพ่าย ทำาให้กวีภายหลัวถือเป็ นแบบอย่าง เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาปรมานุชิตชิโนรสทรงนิ พนธ์ลิลิตตะเลงพ่าย เพื่อสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช
------------------------------------------------------------------------------------------------
๔.ลิลิตพระลอ
ผ้้แต่งและสมัยทีแ ่ ต่ง เพื่อพิจารณาจากร่ายบทนำาเรี่อง ซึ่งกล่าวสดุดีพระเจ้าแผ่น
ดินกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงมีชัยแก่ชาวลานนาที่ว่า "ฝ่ ายช้างยวนแพ้พ่าย ฝ่ ายช้างลาวประลัย ฝ่ าย
ช้างไทยชัเยศคืนยังประเทศพิศาล"พอสันนิ ษฐานได้ว่าช่วงเวลาที่แต่งลิลิตพระลอ จะต้องอย่่ภาย
หลังการชนะศึกเชียงใหม่ครั้งใดครั้งหนึ่ ง อาจเป็ นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.
๒๐๑๗)หรือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.๒๒๐๕) เมื่อพิจารณาถึงลักษณะคำาประพันธ์ ลิลิต
พระลอแต่งด้วนลิลิต ซึง ่ เป็ นลักษณะคำาประพันธ์ท่ีนิยมใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เช่น ลิลิต
โองการแช่งนำ้า ลิลิตยวนพ่าย ส่วนในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมักแต่งโคลงฉันท์เป็ น
ส่วนมาก เช่น โคลงเฉลิมพระเกีรยติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมุทรโฆษคำาฉันท์ และอนิ รุทธ์
คำาฉันท์ ลิลิตพระลอยังใช้ภาษาเก่ากว่าภาษาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เช่น คำา "ชิน ่
แล"และคำา "แว่น"ซึง ่ เป็ นคำาทีมีใช้ในมหาชาติคำาหลวงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นอกจาก
นี้ หนังสือจินดามณี ของพระโหราธิบดี สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ยกโทคลงในลิลิตพระ
ลอเป็ นตัวอย่างโคลงสี่สุภาพที่ว่า
เสียงฦาเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฦาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
จากเหตุผลดังกล่าวพอสร่ปได้ว่า ลิลิตพระลอ จะต้องแต่งก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราชสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำารงราชานุภาพ ทรงพิจารณาโคลงบอกผ้่แต่ง
สองบทท้ายเรื่องที่ขึ้นต้นว่า "จบเสร็จมหาราชเจ้า นิ พนธ์"และ "จบเสร็จเยาวราชบรรจง"ทรง
สันนิ ษฐานว่าลิลิตพระลออาจแต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน ในขณะที่ผ้่แต่งยังเป็ นพระมหาอุปราช ต่อ
มาพระมหาอุปราชพระองค์น้ันได้รับรัชทายาทเป็ นพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
อาจเป็ นสมเด็จพระบรมราชาธิปดีท่ี ๓ สมเด็จพระรามาธิปดีท่ี ๒ หรือ สมเด็จพระบรมราชาหน่อ
พุทธางก่รก็ได้
ส่วนเหตุผลที่ว่า ลิลิตพระลอแต่งในสมัยพระนารายณ์มหาราช เนื่องจากสันนิ ษฐานคำา
"มหาราชเจ้านิ พนธ์"และ"สมเด็จเยาวเจ้าบรรจง"ในโคลงสองบทดังกล่าวว่า หมายถึงสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราชทรงพระราชนิ พนธ์ และเจ้าฟ้ าอภัยทศพระราชอนุชาทรงเขียน
ท้านองแต่ง เป็ นคำาประพันธ์ประเภทลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพเป็ นส่วน
ใหญ่ บางโคลงมีลักษณะคล้ายโคลงดั้นและโคลงโบราณ และร่ายบางบทเป็ นร่ายโบราณและร่าย
ดั้น
ความมุ่งหมาย แต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อให้เป็ นที่สำาราญหฤทัย
เรื่องย่อ เมืองสรวงและเมืองสรองเป็ นศัตร่กัน พระลอกษัตริย์เมืองสรวงทรงพระสิริโฉมยิ่งนัก
จนเป็ นทีต้องพระทัยพระเพื่อนพระแพงราชธิดาของท้าวพิชัยพิษณุกรกษัตริย์แห่งเมืองสรอง นาง
รื่นนางโรยพระพี่เลี้ยงได้ขอให้ป่เจ้าสมิงพรายช่วยทำาเสน่ ห์ให้พระลอเสด็จมาเมืองสรวง เมื่อพระ
ลอต้องเสน่ หไ์ ด้ตรัสลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และนางลักษณวดีมเหสี เสด็จไปเมืองส
รองพร้อมกับนายแก้งนางขวัญพระพี่เลี้ยง พระลอทรงเสี่ยวนำ้าที่แม่น้ ำากาหลง ถึงแม้จะปรากฏ
รางร้ายก็ทรงผืนพระทัยเสด็จต่อไป ไก่ผข ี องป่เจ้าสมิงพรายล่อพระลอกับนายขวัญและนายแก้ว
ไปจนถึงสวนหลวง นางรื่นนางโรยออกอุบายลอบนำาพระลอกับนายแก้วและนายขวัญไปไว้ใน
ตำาหนักของพระเพื่อนพระแพง ท้าวพิชัยพิษณุกรทรงทราบเรื่องก็ทรงพระเมตตารับสั่งจะจัดการ
อภิเษกพระลอกับพระเพื่อนและพระแพงให้ แต่พระเจ้าย่าเลี้ยงของพระเพื่อนพระแพงยังทรง
พยาบาลพระลอ อ้างรับสั่งท้าวพิชัยพิษณุกรตรัสสั่งใช้ให้ทหารไปรุมจับพระลอ พระเพื่อนพระอพง
และพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ช่วยกันต่อส้่จนสิ้นชีวิตทั้งหมดท้าวพิชัยพิษณุกรทรงพระพิโรธพระเจ้าย่าและ
ทหาร รับสั่งให้ประหารชีวิตทุกคน พระนางบุญเหลือทรงส่งท่ตมาร่วมงานพระศพกษัตริย์สาม ใน
ที่สุดเมืองสรวงและเมืองสรองกัลเป็ นไมตรีตอ ่ กัน
ตัวอย่างข้อความบางตอน
บทโศก
๑.พระนางบุญเหลือทรงรำาพันเมื่อพระลอท่ลลาเไปมืองสรอง
คงชีพหวังได้พึ่ง ภ่มี พ่อแล
ม้วยชีพหวังฝากผี พ่อได้
ดังฤาพ่อจักลี- ลาจาก อกนา
ผีแม่ตายจักได้ ฝากให้ใครเผา
๒.ข้าราชการและประชาชนราษฎร์ครำ่าครวญตอนพระลอลาจากเมือง
เสียงโหยเสียงไห้มี เรือนหลวง
ขุนหมื่นมนตรีปวง ป่ วยชำ้า
เรือนราษฎณ์ร่ ำาตีทรวง ทุกข์ท่ัว กันนา
เมืองจะเย็นเป็ นนำ้า ย่อมนำ้าตาครวญ
บทพรรณนาความรัก
๑.ระหว่างช้่ค่ครอง ค่่ครองกับแม่ พระลอครำ่าครวญที่แม่น้ ำากาหลง
ร้อยช้่ฤาเท่าเนื้ อ เมียตน
เมียแล่พันฤาดล แม่ได้
ทรงครรภ์คลอดเป็ นคน ฤาง่า เลยนา
เลียงยากนักท้าวไท้ ธิราชผ้่มีคุณ
๒.ช้่รัก พระลอตรัสต่อพระเพื่อนพระแพง
เมืองกว้างช้างม้าซ่่ ละเสีย อ่อนเอย
เสียแม่เสียเมียมา ส้่นอ
้ ง
เสียสนมดุจดวงพเยีย งามแง่ งามนา
มาแต่ตัวเข้าข้าง ข่ายท้าวทั้งสอง
พี่พบน้องเพี้ยงแต่ ยามเดียว
คือเชือกผสมสามเกลียง แฝดฝั้ น
ดั่งฤาจะพลันเหลียว คืนจาก เรียมนา
เจ้าจากเรียมจักกลั้น สวามกลั้นใจตาย
คติธรรม
๑.พระลอตรัสต่อพระนางบุญเหลือตอนที่เสด็จออกจากเมือง
ใดใดในโลกล้วน อนิ จจัง
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ น อย่่นา
ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อรักษา
๓. นายแก้วนายขวัญนางรื่นนางโรยกล่าวเตือนสติต่อกัน เพื่ออดใจไม่แสดงความรักต่อกันในตำา
หนับของพระเพื่อนพระแพง เป็ นการแสดงความเคารพและจงรักภักดีต่อเจ้านายและสถานทที่
สำาคัญในตำาหนักพระเพื่อนพระแพง เป็ นการแสดงความเคารพและจงรักภักดีต่อเจ้านายและ
สถานที่สำาคัญ
เรานี้ เราเผ่าผ้่ ภักดี
ผิดเท่าธุลีกลัว เกลียดใกล้
ผิผิดกึ่งเกศี แหน่ งว่า ตายนา
ดีกว่าเป็ นคนให้ ท่านชี้หลังตน
วรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้ตัดสินให้ลิลิตพระลอเป็ นยอดแห่งวรรณคดีประเภทลิลิต
วรรณคดีเรื่องนี้ มีลักษณะเด่นหลายประการ โคลงเรื่องประกอบด้วยเหตุการณ์ท่ีต่ ืนเต้น สะเทือน
ใจตลอด มีตอนรัก ตอนสยดสยองการใช้ถ้อยคำาและโวหารนับว่าคมคายยิ่งนัก จึงเป็ นที่นิยม
ตลอดมา
ลิลิตพระลอได้เค้าเรื่องมาจากนิ ทานพื้นเมือง แสดงถึงสภาพความเป็ นไปของสังคมในเวลานั้น
อย่างเด่นหลายประการในด้านการปกครองแสดงให้เห็นการปกครองแบบนครัฐ คือ เมือง เล็ก ๆ
ตั้งเป็ นอิสระแก่กัน อันเป็ นลักษณะที่ปรากฏทั่วไปก่อนสมัยสุโขทัย และกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
โดยดินแดนทางภาคเหนื อของประเทศไทย นอกจากนี้ เรื่องพระลอยังเป็ นตัวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ
การปกครองแบบสมบ่รณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งอำานาจส่งสุดในการปกครองประเทศตกอย่่แก่ประม่ข
ผ้่เดียวเกี่ยวกับลัทธความเชื่อของสังคมก็ปรากฏเด่นชัดในด้านภ่ตผีปีศาจ เสน่ ห์ยาแฝดโชคลาง
ความฝั น และความชื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินพระพี่เลี้ยงทั้ง ๔ ดังปรากฏในสุภาษิต
พระร่วง ที่ว่า "อาสาเจ้าจนตัวตาย"สภาพสังคมทั่วไปที่เห็นได้จากวรรณคดีเรื่องนี้ ได้แก่ การใช้
ช้างทำาสงครามและเป็ นพาหนะ ความนิ ยมและขับร้อง และการบรรจุพระศพกษัตริย์ลงโลงทอง
แทนพระโกศอย่างในสมัยหลัง
ลิลิตพระลอเป็ นที่นิยมยกย่องมาช้านาน เช่น พระโหราธิบดีสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้
ยก

โคลงที่แต่งถ่กแผนบังคับและมีความไพเราะจับใจอันเป็ นคำาของพระเพื่อนพระแพงตรัสแก่พระพี่
เลี้ยงไปไว้เป็ นแบบอย่างโคลงสี่สุภาพในหนังสือจินดามณี โคลงดังกล่าวคือ
เสียงฦาเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฦาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
ลิลิตพระลอเป็ นวรรณคดีแบบฉบับ คือ เป็ นแบบคร่ท่ีวรรณคดีในสมัยหลังนิ ยมเลียน

อย่างในการพรรณนาและบรรยายขยายความ เช่น ลิลิตเพชรมุฏ และลิลิตตะเลงพ่าย


-------------------------------------------------------------------------------------------
๕.โคลงก้าสรวล
ผ้้แต่ง เคยเชื่อกันมาแต่เดิมว่าศีปราชญ์ผ้่แต่งโคลงกำาสรวลถ่กเนรเทศไปนครศรีธรรมราช
ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และหญิงที่ศรีปราชญ์ครำ่าครวญอาลัย คือ พระสนมศรี
จุฬาลักษณ์ แต่มีผอ ้่ อกความเห็นค้านความเชื่อดังกล่าวว่าเรื่องโคลงกำาสรวล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ
เมืองนครศรีธรรมราช กล่าวถึงเส้นทางการเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาไปสุดแค่จังหวัดประจวบคิ
รีขนั ธ์ ทั้งไม่ได้กล่าวถึงความทุกข์รอ ้ นและม่ลที่ต้องเนรเทศ เมื่อพิจารณาถึงลักษณะคำาประพันธ์
และถ้อยคำาสำานวนภาษาที่ใช้โคลงกำาสรวลน่ าจะแต่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
ท้านองแต่ง แต่งด้วยโคลงตั้งบาทกุญชร บทแรกเป็ นร่ายดั้น มีร่าย ๑ บท โคลงดั้น ๑๒๙ บท
ความมุ่งหมาย เพื่อแสดงความอาลัยคนรัก ซึ่งผ้่แต่งต้องจากไป
เรื่องย่อ เริ่มด้วยร่ายสดุดีกรุงศรีอยุธยาว่ารุ่งเรืองงดงาม เป็ นศ่นย์กลางแห่งพุทธศาสนา
ราษฎร์สมบ่รณ์พ่นสุข ต่อจากนั้นกล่าวถึงการที่ต้องจากนาง แสดงความห่วงใย ไม่แน่ใจว่าควรจะ
ฝากนางไว้กับผ้่ใดเดินทางผ่านตำาบลหนึ่ ง ๆ ก็รำาพันเปรียบเทียบชื่อตำาบลเข้ากับความอาลัยที่มี
ต่อนาง ตำาลบที่ผ่าน เช่น บางกะจะ เกาะเรียน ด่านขนอน บางทรนาง บางขดาน ย่านขวาง ราช
คราม ทุ่งพญาเมือง ละเท เชิงราก นอกจากนี้ ได้นำาบุคคลในวรรณคดีมาเปรียบเทียบกับ
เหตุการณ์ในชีวิตของตน เกิดความทุกข์ระทมที่ยังไม่พบได้นางอีกอย่างบุคคลในวรรณคดีเหล่า
นั้น โดยกล่าวถึง พระรามกับนางสีดา พระส่ตรธน่(สุธน่)กับนางจิราประภา และพระสมุทรโฆษก
กับนางพิษทุมดีว่าต่างได้อย่่ร่วมกันอีก ภายหลังที่ต้องจากกันชั่วเวลาหนึ่ ง การพรรณนาสถานที่
สิ้นสุดลงโดยที่ไม่ถึงนครศรีธรรมราช
ตัวอย่างข้อความบางตอน
ชมเมือง
อยุธยายศยิ่งฟ้ า ลงดิน แลฤา
อำานาจบุญเพรงพระ ก่อเกื้อ
เจดียลอออินทร ปราสาท
ในทาบทองแล้วเนื้ อ นอกโสม
พรายพรายพระธาตุเจ้า จยนจันทร์ แจ่มแฮ
ไตรโลกยเลงคือโคม คำ่าเช้า
พิหารรบยงบรรพ รุจิเรข เรืองเฮ
ทุกแห่งห้องพระเจ้า น่ งงเนื อง
ฝากนาง
โฉมแม่จกฝากน่านนำ้า อรรณพ แลฤา
อินทรท่านทอดโฉมเอา ส่่ฟ้า
โฉมแม่จกฝากดิน ดินท่าน แล้วแฮ
ดินฤาขดดเจ้าเหล้า ส่่สำสองสำ
โฮมแม่ฝากน่ านนำ้า อรรณพ แลฤา
ยยวนาคเชอยชำอก พี่ไหม้
โฉมแม่รำาพึงจบ ไตรโลก
โฉมแม่ใครสงวนได้ เท่าเจ้าสงวนเอง
โคลงกำาสรวลเป็ นงานนิ พนธ์เรื่องเอกของศรีปราชญ์ มีคุนค่าทางวรรณคดีอย่างยอดเยียมถ้อยคำา
สำานวนโวหารที่คมคายจับใจ แสดงความเป็ นต้นคิดหลายตอน ทำาให้กวีรุ่นหลังพากันเลียมแบบ
อย่าง เช่น ตอนชนเมือง และตอนฝากนาง นอกจากนี้ ยังให้ความร้เ่ กี่ยวกับวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ
บางเรื่อง เช่น รามเกียรติ ์ สมุทรโฆษ ในด้านภาษา โคลงกำาสรวลใช้คำาที่เป็ นภาษาโบราณ ภาษา
ถิ่น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตและภาษาเขมรอย่่มาก โคลงกำาสรวลแสดงให้เห็นความวิจิต
ตระการของปราสาทราชวัง และวัดวาอารามของกรุงศรีอยุธยา ความเป็ นอย่่ของประชาชนใน
ด้านการแต่งกาย อาหารการกิน การเล่นรื่นเริง และสภาพภ่มิศาสตร์เส้นทางการเดินทางของกวี
---------------------------------------------------------------------------------------------
๖.โคลงทวาทศมาส
ผ้้แต่ง พระเยาวราช ขุนพรมมนตรี ขุนกวีราช ขุนสารประเสริฐ
ประวัติ หนังสือนี้ มีการสันนิ ษฐานผ้่แต่งต่างกันไป เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา
ดำารงราชานุภาพ ทรงสันนิ ษฐานว่าผ้่แต่ง คือ ขุนศรีกวีราช ขุนพรหมมนตรี และขุนสารประเสริฐ
บางท่านว่า พระเยาวราช ทรงนิ พนธ์ ที่เหลือช่วยแก้ไข ส่วนพระยาตรังคภ่มิบาล และนายนริ
นทรธิเบศร กล่าวแต่เพียงสามคนร่วมกันแต่ง
ท้านองแต่ง โคลงดั้นวิริธมาลี
ความมุ่งหมาย มีผ้่สันนิ ษฐานว่าคงแต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน มิได้จากนางจริง
โดยสมมติเหตุการณ์ขึ้น
เรื่องย่อ โคลงเรื่องนี้ ได้ช่ ือว่าทวาทศมาส เพราะพรรณนาถึงความรักความอาลัยรัก และ
พิธีกรรมต่าง ๆ ในรอบสิบเดือน ทวาทศมาสแปลว่าสิบสองเดือน ตอนต้นสรรเสริญเทพเจ้า และ
พระเจ้าแผ่นดิน ชมความงามของนางที่ต้องจากมา กล่าวถึงบุคคลในวรรณคดี เช่น พระอนิ รุทธ์
พระสมุทรโฆษ พระสุธน่ พระส่ตรธน่ แล้วแสดงความน้อยใจที่ตนไม่อาจไปอย่่ร่วมกับนางอีกอย่าง
บุคคลเหล่านั้น ตอนต่อไปนำาเหตุการณ์ต่าง ๆ และลมฟ้ าอากาศในรอบปี หนึ่ งๆ ตั้งแต่เดือน ๕ ถึง
เดือน ๔ มาพรรณนา เดือนใดมีพิธีอะไรก็นำามากล่าวไว้ละเอียดละออ เช่น เดือนสิบเอ็ดมีพิธีอาศว
ยุช เดือนสิบสองมีพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป เดือนยี่ประกอบพิธีตรียัมปวาย และเดือนสี่
กระทำาพิธีตรุษ เป็ นต้น ต่อจากนั้นถามข่าวคราวของนางจาก ปี เดือน วัน และยาม ขอพระ
เทพเจ้าให้ได้พบนาง ตอนสุดท้ายกล่าวสรรเสริญพระบารมีพระเจ้าแผ่นดิน
วรรณคดีเรื่องนี้ นอกจากประกอบด้วยรสกวีนิพนธ์ดังกล่าวมาแล้ว ยังให้ความร้เ่ กี่ยวกับ
ขนบประเพณี และสภาพความเป็ นอย่่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างละเอียดแจ่มแจ้ง โดยบรรยาย
สภาพดินฟ้ าอากาศและกิจพิธีต่าง ๆ ในแต่ละเดือน นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ เช่น
รามเกียรติ ์ อนิ รุทธ์ สมุทรโฆษ สุธน ส่ธน่ เป็ นต้น
---------------------------------------------------------------------------------------------
๗.โคลงหริภุญชัย
ผ้้แต่งสันนิ ษฐานทีผ้่แต่งคนหนึ่ ง อาจชื่อทิพแต่งไว้เป็ นภาษาไทยเหนื อ ต่อมามีผ้่ถอดออกมาเป็ น
ภาษาไทยกลางอีกตอนหนึ่ ง
ประวัติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำารงราชานุภาพ ทรงสันนิ ษฐานไว้ว่าอาจเป็ น
ประมาน พ.ศ.๒๑๘๐หรือก่อนหน้านั้นขึน ้ ไป ซึง่ เป็ นระยะที่พระพุทธสิหิงค์ยังประดิษฐานอย่่ท่ี
เชียงใหม่ราวศักราชสมเด็จพรเจ้าปราสาททอง และกวีทางใต้คงนำามาดัดแปลงราวศักราชสมเด็จ
พระนารายณ์มหาราช ศาสตราจารย์ ประเสริฐ ณ นคร ได้ศึกษาโคลงเรื่องนี้ โดยเทียบกับ
ต้นฉบับภาษาไทยเหนือที่เชียงใหม่และลงความว่าจะแต่งขึ้นในสมัย พ.ศ.๒๐๖๐ ตรงกับรัชกาล
สมเด็จพระรามาธิปดีท่ี ๒ ซึ่งเป็ นเวลาที่พระแก้วมรกตยังอย่่ท่ีเจดีย์เชียงใหม่ เนื่ องจากนิ ราศเรื่อง
นี้ กล่าวถึงพระแก้วมรกตไว้ด้วย
ท้านองแต่ง เดิมแต่งไว้เป็ นโคลงไทยเหนื อ ต่อมามีผ้่ถอดเป็ นโคลงสุภาพ
ความมุ่งหมาย ผ้่แต่งมีความมุ่งหมายเพื่อบรรยายความร้่สึกที่ต้องจากหญิงรักไปนมัสการพระ
ธาตุหริภญชัย ที่เมืองหริภุญชัย(ลำาพ่น)ก่อนออกเดินทางไปนมัสการลาพระพุทธสิหิงค์ขอพระพระ
มังราชหรือ พระมังรายซึ่งสถิต ณ ศาลาเทพารักษ์ นมัสการลาพระแก้วมรกต เมื่อเดินทางพบสิ่ง
ใดหรือตำาบลใดก็พรรณาครำ่าครวญรำาพันรักไปตลอด จนถึงเมืองหริภุญชัยได้นมัสการพระธาตุ
สมความตั้งใจ บรรยายพระธาตุ งานสมโภชพระธาตุ ตอนสุดท้ายลาพระธาตุกลับเชียงใหม่
นอกจากนี้ วรรณคดีเรื่องนี้ ยังเป็ นหลักฐานยืนยันถึงที่ต้ังป่ชนี ยสถาน และโบราณวัตถุท่ีเชียงใหม่
และลำาพ่น กล่าวถึง

การเล่นมหรสพต่างๆ ในสมัยโบราณ และวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ เช่น สุธน่ สมุทรโฆษ พระรถเมรี


เป็ นต้น
สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำารงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายเกี่ยวกับความสำาคัญของ
โคลงหริภุญชัย ไว้ในฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๔๖๗ ว่า "อาจเป็ นต้นแบบอย่างของนิ ราศที่แต่งเป็ นโคลง
และกลอนกันในกรุงศรีอยุธยาตลอดมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ ถ้ามิได้เป็ นแบบอย่างก็เป็ นนิ ราศชั้น
เก่าที่สุด"

http://www.nuanphun.com/no102.html

http://writer.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=255764#ixzz13Tm8JrkH

You might also like