You are on page 1of 271

ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐

เรื่ อง เมืองนครจาปาศักดิ์

พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ
หม่ อมเจ้ าหญิงคอยท่ า ปราโมช
ณ เมรุวดั เทพศิรินทราวาส
วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔

พิมพ์ ท่ โี รงพิมพ์ พระจันทร์


คานา
พ.ต.อ. พระพินิจชนคดี และ ม.ร.ว.บุญรับ พินิจชนคดี จะใคร่
ได้ หนังสือสําหรับพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมเจ้ าหญิง
คอยท่า ปราโมช ผู้เป็ นป้า ได้ ขอให้ กรมศิลปากรช่วยจัดหาให้ สกั เรื่ อง
หนึง่ และต้ องการหนังสือเรื่ องซึง่ จะเป็ นประโยชน์แก่ความรู้ทาง
ประวัตศิ าสตร์ เกี่ยวกับดินแดนภาคอีศาน กรมศิลปากรจึงจัดเรื่ องที่
พิมพ์อยูน่ ี ้ รวมเป็ นประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ ให้ พิมพ์ตาม
ประสงค์
ประชุมพงศาวดาร เป็ นหนังสือชุดรวบรวมเรื่ องที่เกี่ยวกับ
พงศาวดารและตํานานต่าง ๆ ในภาษาไทย ที่พิมพ์แล้ วก็มี ที่ยงั ไม่ได้
พิมพ์ก็มี บางเรื่ องยาว ซึง่ ควรพิมพ์ฉะเพาะเรื่ อง บางเรื่ องมีขนาด
สัน้ ก็เอามารวมพิมพ์ไว้ ในเล่มเดียวกันก็มี ทังนี
้ ้ก็เพื่อให้ บรรดา
ผู้ศกึ ษาจะได้ มีโอกาสพบเห็น ทําการค้ นคว้ าเรื่ องทางประวัตศิ าสตร์
ได้ สะดวก เรื่ องที่รวบรวมอยูใ่ นชุดหนังสือประชุมพงศาวดาร ไม่มี
กําหนดว่ากี่ภาค หรื อเรี ยบเรี ยงเรื่ องเป็ นลําดับอย่างไร แล้ วแต่จะหา
เรื่ องอันเนื่องด้ วยพงศาวดารได้ พอรวบรวม ถ้ ามีผ้ ศู รัทธาว่าจะสร้ าง
ก็พิมพ์เป็ นภาค ๆ ลําดับไป หนังสือประชุมพงศาวดารจึงมีขนาดต่าง ๆ
กัน แล้ วแต่จะรวบรวมได้ และตามขนาดที่มีผ้ ศู รัทธา ในประชุม
พงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ เล่มนี ้ มีเรื่ องที่พิมพ์ไว้ คือ :-

๑. พงศาวดารนครจําปาศักดิ์ ฉะบับพระยามหาอํามาตย์ ฯ
เรี ยบเรี ยงทูลเกล้ า ฯ ถวายในรัชชกาลที่ ๕
๒. พงศาวดารนครจําปาศักดิ์ ฉะบับหม่อมอมรวงศ์วิจิตร
(ม.ร.ว.ปฐม คเณจร) เรี ยบเรี ยง เคยพิมพ์อยูใ่ นหนังสือเทศาภิบาล
๓. ตํานานเมืองจําปาศักดิ์ เป็ นเรื่ องเกี่ยวด้ วยตํานานพระพุทธ-
บุษยรัตน์ ฉะบับเจ้ าพรหมเทวานุเคราะห์ และเจ้ าราชวงศ์เมืองนคร-
จําปาศักดิ์ เรี ยบเรี ยง
๔. เรื่ องขุนบรม นายสุด ศรี สมวงศ์ เจ้ าหน้ าที่ในหอสมุด
แห่งชาติถอดจากต้ นฉะบับเดิมในใบลาน
๕. พงศาวดารเมืองยโสธร (เดี๋ยวนี ้เป็ นอําเภอขึ ้นจังหวัด
อุบล ฯ )
๖. ตํานานเมืองทรายฟอง ถอดจากฉะบับเดิมเป็ นใบลาน
(เมืองทรายฟอง เป็ นเมืองร้ างอยูท่ างฝั่ งซ้ ายแม่นํ ้าโขงใต้ เมือง
เวียงจันทน์ลงมา แต่อยูเ่ หนือจังหวัดหนองคาย)
๗. ตํานานเมืองพวน ๒ ฉะบับ (เป็ นแคว้ นอยูท่ างตะวันออก
ของเวียงจันทน์ มีเมืองเชียงขวาง เชียงคํา เป็ นต้ น)
๘. พงศาวดารย่อเวียงจันทน์ ๒ ฉะบับ (เป็ นชะนิดปูมโหร
มีประโยชน์ในการสอบค้ นศักราชเหตุการณ์)
๙. เรื่ องสร้ างวัดพระแก้ วศรี เชียงใหม่ (บ้ านศรี เชียงใหม่
อยูใ่ นจังหวัดหนองคาย ตรงข้ ามกับเมืองเวียงจันทน์)

๑๐. ประวัตทิ ้ าวสุวอ เจ้ าเมืองหนองคาย
๑๑. คําให้ การพระยาเมืองฮาม เรื่ องเมืองเชียงแตง
คําให้ การพระกําแหงพลศักดิ์ เรื่ องเมืองเชียงแตง
คําให้ การท้ าวลอง เรื่ องเมืองอัตปื อ
คําให้ การพระราชวิตรบริรักษ์ เรื่ องเมืองสพังภูผา
คําให้ การหลวงเทียม ฯ เรื่ องเมืองเซลําเภา
คําให้ การเหล่านี ้ ได้ สําเนามาจากกระทรวงมหาดไทย เมืองที่
กล่าวเหล่านี ้ ขึ ้นอยูก่ บั เขตต์แคว้ นนครจําปาศักดิ์ ส่วนมากเป็ นเมือง
อยูท่ างฝั่ งซ้ ายแม่นํ ้าโขงถัดเมืองปากเซออกไป
๑๒. พงศาวดารเมืองนครพนมสังเขป ฉะบับพระยาจันทร
โงนคํา
๑๓. ตํานานเมืองวังมล
๑๔. พงศาวดารเมืองมูลปาโมข
เรื่ องที่รวบรวมดัง่ มีรายชื่อแจ้ งมาข้ างต้ นนี ้ เป็ นเรื่ องของ
บ้ านเมืองภาคอีศาน และข้ ามไปถึงบ้ านเมืองทางฝั่ งซ้ ายแม่นํ ้าโขง
ด้ วยเรื่ องเหล่านี ้และรวมทังที ้ ่ได้ จดั พิมพ์มาแล้ วในประชุมพงศาวดารภาค
ที่ ๑,๔,๙,๑๑ และ ๒๒ ย่อมเป็ นเครื่ องมือสําหรับนักศึกษาทําการ
สอบสวน ค้ นคว้ าเรื่ องราวของชาติทางภาคลุม่ แม่นํ ้าโขง อันหนังสือ
ประวัตศิ าสตร์ จะเกิดมีขึ ้นได้ นนั ้ ก็ต้องอาศัยเอกสารบางอย่างที่พิมพ์อยูน่ ี ้
เป็ นหลักฐาน กรมศิลปากรจึงเชื่อว่า ในการที่ พ.ต.อ.พระพินิจชนคดี
และ ม.ร.ว.บุญรับ พินิจชนคดี ได้ จดั พิมพ์ประชุมพงศาวดาร ภาคที่
๗๐ นี ้ขึ ้น

ย่อมอํานวยประโยชน์แก่นกั ศึกษาไม่น้อย และคงจะยินดีอนุโมทนา
ทัว่ กัน
เพื่อให้ ทราบว่าดินแดนตอนที่มีกล่าวไว้ ในประชุมพงศาวดารภาค
ที่ ๗๐ นี ้ มีเรื่ องราวมาแต่โบราณอย่างไร จึงจะขอเล่าเป็ นสังเขปไว้
ในที่นี ้ด้ วย
แผ่นดินตอนสองฟากแม่นํ ้าโขง เมื่อราว ๑๖๐๐ ปี ที่ลว่ งมานี ้
เป็ นอาณาเขตต์ตอนหนึง่ ของอาณาจักรฟูนนั ชื่อนี ้เป็ นอย่างจีน
เรี ยกชื่อจริงของฟูนนั จะเรี ยกว่าอะไร ยังไม่มีหลักฐานให้ ทราบได้
ประเทศฟูนนั สมัยมีอํานาจ มีอาณาเขตต์ทางตะวันตกจดแดนประเทศ
พะม่า และลงไปถึงแหลมมะลายู ทางเหนือว่ากินไปถึงภาคอีศาน
สองฝั่ งแม่นํ ้าโขง จดแคว้ นหลวงพระบาง ทิศใต้ จดทะเล เป็ นอันว่า
ประเทศฟูนนั สมัยมีอํานาจ จึงรวมประเทศเขมรและลุม่ นํ ้าเจ้ าพระยา
อยูด่ ้ วย ทิศตะวันออกจดเขตต์แดนประเทศญวน ซึง่ ในสมัยที่เล่านี ้เป็ น
ประเทศจัมปาของพวกจาม ครัน้ ถึง พ.ศ.๑๐๙๓ โดยประมาณ คือ
ล่วงจากที่เล่ามาข้ างต้ นราว ๒๐๐ ปี ประเทศฟูนนั ถูกประเทศซึง่ จีน
เรี ยกว่าเจนละ และเป็ นเมืองขึ ้นของฟูนนั เป็ นกบฏ แย่งเอากรุงของ
ประเทศฟูนนั ได้ แต่นนมา ั้ ประเทศฟูนนั ก็คอ่ ยเสื่อมและศูนย์สิ ้นชื่อไป
จนไม่มีใครทราบ นอกจากมีชื่อปรากฏอยูใ่ นจดหมายเหตุของจีนจดไว้
ส่วนประเทศที่จีนเรี ยกว่า เจนละ นัน้ ต่อมาได้ แก่ประเทศเขมรกัมพุ
ชา
ทางลุม่ แม่นํ ้าโขงตอนเหนือเป็ นแคว้ นหลวงพระบาง ถัดแคว้ น
หลวงพระบางไปทางเหนือและทางตะวันออก เป็ นแคว้ นสิบสองจุไทย


ซึง่ ทางตะวันออกต่อแดนกับแคว้ นตังเกี๋ย และทางเหนือต่อแดนกับ
มณฑลยูนนานซึง่ เป็ นบ้ านเมืองของไทย เดิมอยูใ่ นตอนใต้ ของประเทศ
จีน เขตต์แดนแคว้ นสิบสองจุไทยกว้ างขวางมาก เพราะฉะนัน้ ในตอนที่
อยูใ่ กล้ เมืองหลวงพระบางไปทางตะวันออก จึงเรี ยกแยกว่า “เมือง
หัวพันห้ าทังหก”
้ หรื อ “หัวพันทังหก” ้ ส่วนตอนที่อยูใ่ กล้ เมือง
เวียงจันทน์ คงเรี ยกว่า เมืองพวน ถัดแดนหัวพันห้ าทังหกและเมื ้ องพวน
ออกไป คงเรี ยกว่า แคว้ นสิบสองจุไทย มีเมืองไล เมืองแถง หรื อ
แถน เป็ นต้ น ในสมัยโบราณเห็นจะราว ๒๐๐๐ ปี ขึ ้นไป ได้ มีไทย
อพยพเข้ ามาตังภู ้ มิลําเนาอยูใ่ นแดนสิบสองจุไทย ส่วนมากเห็นจะได้
กับพวกผู้ไทย ซึง่ เป็ นไทยสาขาหนึง่ สายเดียวกับพวกไทยซ่ง แล้ ว
ก็มีไทยอีกสาขาหนึง่ เรี ยกในประวัตศิ าสตร์ วา่ ไทยน้ อย ยกลงมาตังกรุ ้ ง
ศรี สตั ตนาคนหุตล้ านช้ างขึ ้น ในที่สดุ สายหนึง่ ได้ แผ่อาณาเขตต์ลงมา
ใต้ ตามลุม่ นํ ้าโขง จนจดเขตต์แดนกัมพุชาตอนใต้ จงั หวัดนครจําปาศักดิ์
เพราะฉะนัน้ แผ่นดินในลุม่ นํ ้าโขง บางตอนจึงมีเรื่ องราวเกี่ยวเนื่องกับ
ประเทศกัมพุชาด้ วย ในระยะเดียวกับที่ไทยยกลงมาอยูใ่ นแว่นแคว้ น
สิบสองจุไทย ญวนซึง่ มีภมู ิลําเนาอยูใ่ นประเทศจีนเหนือ มณฑล
ฮกเกี ้ยนขึ ้นไป ถูกจีนตีบ้านเมืองแตก ต้ องหนีร่นลงมาใต้ จนเข้ าแดน
ตังเกี๋ย ก็มาเผชิญเข้ ากับพวกจาม ซึง่ เป็ นชนชาติในตระกูลชะวามะลายู
ปนชาวอินเดียใต้ พวกจามสู้ญวนไม่ได้ หนีร่นลงมาใต้ เรื่ อย แล้ ว
ยังถูกเขมรตีซํ ้าเติมทางด้ านหลังเป็ นศึกขนาบ ในที่สดุ ประเทศจาม
ก็ศนู ย์ไป กลายเป็ นประเทศญวนในปั จจุบนั

รวมความ พวกไทย, ญวน, จาม, เขมร ในแดนเหล่านี ้ ครัง้
โบราณมีเขตต์แดนติดต่อถึงกันโดยลําดับ จึงย่อมมีเรื่ องราวเกี่ยวข้ อง
พ้ องพานกันทังในทางวั
้ ฒนธรรมและในทางสงครามด้ วยประการฉะนี ้
ขออนุโมทนากุศลราศีทกั ษิณานุปทาน ซึง่ นายพันตํารวจเอก
พระพินิจชนคดีและ ม.ร.ว.บุญรับ พินิจชนคดี พร้ อมด้ วยญาติมิตร
ได้ บําเพ็ญกุศลแด่ผ้ ซู งึ่ ล่วงลับไปแล้ ว และจัดพิมพ์หนังสือประชุม
พงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ นี ้แจกจ่ายเป็ นวิทยาทาน เกื ้อกูลแก่ความรู้เป็ น
สาธารณประโยชน์ ขอจงสัมฤทธิ์แด่ หม่อมเจ้ าหญิงคอยท่า ปราโมช
เพื่อประโยชน์สขุ ในสัมปรายภพ สมดังมโนปณิธานทุกประการ เทอญ.

กรมศิลปากร
๑๘ มีนาคม ๒๔๘๔
ลาดับพระวงศ์
ของ
หม่ อมเจ้ าหญิงคอยท่ า ปราโมช

ทางพระบิดา
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัย เจ้ าจอมมารดา อําภา
มีพระโอรส ธิดา ๖ พระองค์ คือ
๑. พระเจ้ าบรมวงศ์เธอชัน้ ๒ กรมหมื่นนฤบาล (พระองค์เจ้ า
กปิ ฐา ต้ นสกุล กปิ ฐา ณอยุธยา)
๒. พระเจ้ าบรมวงศ์เธอชัน้ ๒ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ (พระ-
องค์เจ้ าปราโมช ต้ นสกุลปราโมช ณ อยุธยา)
๓. พระองค์เจ้ าชาย กรรฐา
๔. พระองค์เจ้ าชาย เกยูร
๕. พระองค์เจ้ าหญิง กัลยาณี
๖. พระองค์เจ้ าหญิง กนิษฐน้ อยนารี

สายทางพระมารดาสืบมาดั่งนี ้
กรมพระราชวังสถานพิมขุ (พระวังหลัง)
พระองค์เจ้ าทับทิม หม่อมแย้ ม
มีธิดา ๓ ท่าน คือ
(ข)
๑. หม่อมราชวงศ์ ดวงใจ ปราโมช
๒. หม่อมราชวงศ์ จร อิศรางกูร
๓. หม่อมราชวงศ์ ดา
ว ปราโมช
กรมขุนวรจักร ฯ และ หม่อมราชวงศ์ ดวงใจ ปราโมช มีพระ-
โอรส, พระธิดา ๑๑ องค์
๑. หม่อมเจ้ าหญิง ไม่มีนาม
๒. หม่อมเจ้ าชาย ไม่มีนาม
๓. หม่อมเจ้ าหญิง เมาฬี ปราโมช
๔. หม่อมเจ้ าหญิง ฉวีวาด ปราโมช
๕. หม่อมเจ้ าหญิง คอยท่า ปราโมช
๖. หม่อมเจ้ าชาย จํารูญ ปราโมช
๗. หม่อมเจ้ าชาย ไม่มีนาม
๘. หม่อมเจ้ าชาย เสพย์บณ ั ฑิตย์ ปราโมช
๙. หม่อมเจ้ าหญิง โอษฐอ่อน ปราโมช
๑๐. หม่อมเจ้ าหญิง รัมแข ปราโมช
๑๑. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ าคํารบ
หม่อมเจ้ าหญิงคอยท่า ปราโมช ได้ เสด็จเข้ าไปอยูใ่ นพระบรม-
มหาราชวัง กับสมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร ตังแต่ ้ พระชันษา
ย่าง ๑๖ ปี เข้ าไปอยูไ่ ด้ ๔ เดือนด้ วยคุณงามความดีของท่าน สมเด็จ
กรมพระยาสุดารัตน ฯ ได้ ทรงมอบให้ เป็ นหน้ าที่ปอกผลไม้ ตังเครื
้ ่ อง
พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั รัชชกาลที่ ๕ ตลอดมาและเทียบเครื่ องคาว
(ค)
ด้ วย จนพระชันษาได้ ๓๗ ปี ตรงกับปี ร.ศ.๑๑๒ ซึง่ เป็ นปี ที่ทา่ นได้ ทรง
รับพระราชทานเครื่ องราชอิสสริยาภรณ์ตติยจุลจอมเกล้ าที่ ๓ ได้ รับ
พระราชทานเบี ้ยหวัดขึ ้นทังข้ ้ างในและข้ างนอก
ปี ร.ศ. ๑๑๔ สมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร ทิวงคต
พระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้ าอุบลรัตนนารี นาค ได้ ทรงมอบ
ให้ หม่อมเจ้ าหญิงคอยท่า เป็ นผู้จดั การจ่ายเงินเครื่ องพระศพ และ
ค่าอาหารของข้ าหลวงทังหมด ้
ปี กุน ร.ศ. ๑๑๗ ถวายพระเพลิงกรมพระยาสุดารัตน ฯ แล้ ว
ท่านได้ ไปรับราชการทําเครื่ องต้ นอยูก่ บั พระวิมาดาเธอ กรมพระสุท
ธาสินีนาฎ
ปี จอ ร.ศ. ๑๒๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั รัชชกาลที่ ๕
สวรรคตแล้ ว ท่านยังทรงทําเครื่ องพระบรมศพตลอดไปจนถวาย
พระเพลิง
ร.ศ. ๑๒๙ ปลายปี สมเด็จพระศรี พชั รินทราพระบรมราชินี
พระพันปี หลวง ได้ ทรงขอร้ องให้ ไปช่วยทําเครื่ องพระบาทสมเด็จพระ-
มงกุฎเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ได้ เป็ นผู้ชว่ ยคุณท้ าวราชกิจทําอยู่ ๒ ปี จนถึง
ปี ร.ศ. ๑๓๑ ได้ รับพระราชทานตราทุตยิ จุลจอมเกล้ าที่ ๒
ปี ร.ศ.๑๓๒ ได้ ทรงเป็ นผู้อํานวยการห้ องเครื่ องต้ นทังหมด
้ แทน
คุณท้ าวราชกิจ และต่อมาได้ รับราชทานเหรี ยญรัตนาภรณ์ชนั ้ ๓ เข็ม
พระบรมนามาภิไธยชัน้ ๑ ประดับเพ็ชร และเข็มเสมา ร.ร.๖ ชัน้ ๒

(ฆ)
ระหว่างที่ทา่ นทรงรับราชการอยู่ ได้ โดยเสด็จพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้ า ฯ ไปตามจังหวัดต่าง ๆ ทุกคราว เหตุด้วยพระองค์ทา่ น
มีพระนิสสัยอันดีงาม และโอบอ้ อมอารี ทําให้ เป็ นที่รักใคร่นบั ถือของ
บรรดาข้ าราชการหัวเมือง ที่มาติดต่อกับพระองค์ทา่ น ต่างพากัน
ชมเชยคุณความดีของท่านอยูเ่ สมอ คราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ
เกล้ า ฯ เสด็จไปซ้ อมรบเสือป่ า ท่านทรงทําเครื่ องต้ นและรับเลี ้ยงอาหาร
เสือป่ าที่ไปซ้ อมรบเป็ นจํานวนมากทังหมด ้ ขณะที่ทรงรับราชการอยูน่ นั ้
ได้ รับพระราชทานเบี ้ยหวัดทังในและนอกปี
้ ละ ๓,๐๐๐ บาท และ
เงินเดือนๆละ ๓๐๐ บาท ต่อมาท่านได้ กราบถวายบังคมลาออกจาก
ราชการ ด้ วยโรคภัยเบียดเพียฬ เมื่อปี จอ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๕
ตอนนี ้ยังได้ ทรงรับเงินปี อยูป่ ี ละ ๑,๐๐๐ บาท
หม่อมเจ้ าหญิงคอยท่า ปราโมชทรงเป็ นผู้ที่เลื่อมใสใน
พระพุทธศาสนาอย่างแท้ จริง ดังจะเห็นได้ ที่ยามท่านล่วงลับไปแล้ ว ใน
ฐานะที่ทา่ นทรงเป็ นอุบาสิกาในวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันท่านสิ ้นนัน้
สมเด็จ-วชิรญาณ ฯ ได้ มีการเทศนาถึงคุณความดีของท่านที่ได้ มีแก่วดั
และแก่พระสงฆ์ดงั ปรากฏอยูแ่ ก่ทา่ นผู้ฟังธรรมในวัดนันแล้ ้ วทุกท่าน ทัง้
คณะสงฆ์วดั บวร ฯ ได้ ทําบุญถวายท่าน ๗ วันครัง้ หนึง่ อุบาสิกาในวัด
บวร ฯ ๗ วันครัง้ หนึง่ สมเด็จวัดบวร ฯ ๗ วันครัง้ หนึง่ ท่านได้ ทรงสร้ าง
กุฏิคอยท่า ปราโมช ๑ หลังเป็ นเงิน ๕,๕๐๐ บาท และทรงบริ จาค
ทรัพย์สร้ างเสนาสนะ และถนนในวัดบวร ฯ และถวายนิตยภัตต์
ประจําเดือนแก่ภิกษุบางรูป ทรงเป็ นประมุขของอุบาสิกาในวัดบวร
นิเวศ ฯ

(ง)
ส่วนวัดบรมนิวาสได้ ทรงสร้ างหอเขียว ฉะเพาะหอเขียวนี ้ส่วน
พระองค์ทา่ นได้ ทรงออกเงิน ๘,๐๐๐ บาท และสร้ างกุฏิอีกหนึง่ หลัง
ได้ เคยทรงสร้ างกุฏีวดั ราชาธิวาส ๑ หลัง ซึง่ ภายหลังได้ ใช้ เป็ น
โรงเรี ยนบาลีสําหรับพระสงฆ์ และได้ ทรงสร้ างพระพุทธรูปใหญ่ ๑ องค์
บนพระตําหนักเขียวที่วดั ราชาธิวาสและซ่อมศาลาแดงคูท่ ี่หน้ าวัดราชาฯ
วัดเสาธงทองที่จงั หวัดนนทบุรี ซึง่ เป็ นวัดคุณจอมมารดาอําภา
คุณย่าของท่านปฏิสงั ขรณ์ วัดนี ้เมื่อหม่อมเจ้ าหญิงคอยท่ายังมี
พระชนม์อยู่ และเมื่อยังอยูใ่ นราชการท่านเคยทรงทอดกฐิ นหลายครัง้
ได้ ทรงช่วยปฏิสงั ขรณ์โบสถ์ สร้ างศาลานํ ้า และกุฎี และเคยทรง
สอนหลาน ๆ ว่าวัดนี ้เป็ นวัดคุณชวดได้ ปฏิสงั ขรณ์ ถ้ าต่อไปหลาน
คนใดมีอนั จะกินขึ ้นควรจะมาทอดกฐิ นทุกคนจะได้ มีความเจริญรุ่งเรื อง
ในภายหน้ า นี่ก็เป็ นการแสดงให้ เห็นพระทัยอันดีงามของท่านว่า แม้ แต่
สิ่งใดที่เป็ นของบรรพบุรุษก็มิได้ ทรงลืม แม้ ทรงเห็นว่าพระชนม์ของ
ท่านมากแล้ ว ก็ยงั อุตส่าห์ทรงสอนหลาน ๆ ไว้ ให้ ชว่ ยกันทํานุบํารุง
พระพุทธศาสนาต่อพระองค์ทา่ นอีก
ส่วนตามวัดหัวเมือง ได้ ทรงเข้ าทําโบสถ์วดั เมืองหลังสวน
๕๐๐ บาท และวัดจันนฤมิตต์ (เขาพระงาม) จังหวัดสระบุรี ๔๐๐ บาท
เมื่อสมเด็จพระมงกุฏเกล้ า ฯ ทรงซ่อมองค์พระปฐมเจดีย์ ท่านก็ได้ เข้ า
เงินตามเสด็จซ่อมองค์ปฐม ๑ ช่อง
ทางโรงพยาบาลท่านได้ เข้ าเงินที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ๓๐๐๐
บาท ได้ ทรงเป็ นสมาชิกกิตมิ ศักดิแ์ ห่งโรงพยาบาลนี ้ และเมื่อทรง

(จ)
ทําบุญพระชันษาครบ ๕ รอบ ก็ได้ เข้ าเงินตามโรงพยาบาลเท่าพระชนม์
มีวชิรพยาบาล, โรงพยาบาลกลาง, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อ
ทรงทําบุญ ๘๑ ก็ทรงเข้ าตามโรงพยาบาลเหล่านี ้อีกเช่นกัน
อนึง่ ท่านได้ ทรงเป็ นบุพพการี แก่หลานทุกคน ไม่วา่ มีหรื อจน
ได้ ทรงช่วยเหลือตามวิทยะฐานะ มิได้ ทรงลําเอียงเลย ผู้ใดประพฤติดีก็
ทรงยินดีด้วย ถ้ าผู้ใดยากจนก็ทรงประทานตามพระกําลังที่พอจะทําได้
ทรงเป็ นหลักของสกุลปราโมช ไม่วา่ เจ้ านายพี่น้องก็ดี หลานก็ดี ทรง
พระเมตตาทัว่ ถึงกัน ยามใครมีสขุ ก็ทรงยินดีด้วยนํ ้าพระทัยอันแท้ จริง
ยามทุกข์ก็ทรงสัง่ สอนด้ วยธรรมให้ คลายทุกข์ ทรงเป็ นผู้อปุ การะ
แก่มวลญาติเป็ นที่พงึ่ แก่ผ้ นู ้ อย เป็ นมิตรที่ดี แม้ ยามประชวรนายแพทย์
มีพระวรสุนทรโรสถได้ เคยกล่าวว่าท่านเป็ นคนไข้ ที่เอาใจหมอดีมาก แม้
จะทรงหงุดหงิดเพราะพยาธิ ก็ยงั ทรงคุยให้ สนุกสนานได้ ในเมื่อยาม
ทรงทุเลา ในคราวประชวรหนักคราวนี ้ยังได้ นิมนต์พระสงฆ์มาสวด
ถวายทุกคืน เมื่อเวลาพระสวดท่านอุตส่าห์พะยุงพระองค์ขึ ้นนัง่ ประณม
พระหัตถ์ฟังตลอดเวลา จนลุกไม่ได้ ก็บรรทมประณมพระหัตถ์ฟังโดย
สํารวม ท่านเป็ นผู้ที่มนั่ อยูใ่ นพระพุทธศาสนาอันแท้ จริง
เมื่อเวลาประชวรก่อนสิ ้นพระชนม์ทา่ นทรงปรารภว่า ถ้ า
ชีวิตยังมีอยู่ จะรวมเงินช่วยป้องกันภัยทางอากาศ การป้องกันภัย
ทางอากาศนี ้รัฐบาลได้ แถลงในวิทยุ ท่านทรงฟั งวิทยุทีไรก็ปรารภ
อยูเ่ สมอ แต่หากเป็ นเวลากําลังประชวร ทังยั ้ งมีพระทัยเป็ นห่วงพวก
พี่น้องที่อพยพมาจากอินโดจีนด้ วยความสงสาร เคยรับสัง่ อยูเ่ สมอ

(ฉ)
จะได้ จดั การมอบเงินเพื่อประโยชน์แก่องค์การณ์ ทังนี
้ ้ให้ สบพระทัย
เมื่อเวลายังมีพระชนม์อยูต่ อ่ ไป
หม่อมเจ้ าหญิงคอยท่า ปราโมช ประชวรด้ วยพระโรคชรา
สิ ้นชีพตักษัยด้ วยพระอาการอันสงบ ในท่ามกลางพระสงฆ์ที่มาเยี่ยม
และหมูพ่ ระญาติมิตร เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๔๘๓ เวลา ๑๖.๕๕ น.
คํานวณพระชันษาได้ ๘๔ บริบรู ณ์ เป็ นที่วิปโยคแก่บรรดาพระญาติ
วงศ์มิตรสหาย และบริวารทัว่ กัน

ม.ร.ว.บุญรับ พินิจชนคดี
ตานานเมืองนครจาปาศักดิ์
ฉะบับ พระยามหาอํามาตยาธิบดี

ข้ าพระพุทธเจ้ า พระยามหาอํามาตยาธิบดี ขอพระราชทาน


เรี ยบเรี ยงพงศาวดารเมืองนครจําปาศักดิ์ ทูลเกล้ าทูลกระหม่อมถวาย ฯ
เดิมเมืองนครจําปาศักดิน์ นว่ ั้ า เป็ นเมืองจําปานคร มี
พระมหากษัตริย์ครอบครองบ้ านเมืองต่อมาแล้ วก็ขาดวงศ์ตระกูล
แล้ วยังมีท้าวพระยาผู้หนึง่ มีนามปรากฏว่าท้ าวคัชนามครอบครองเมือง
จําปานครต่อไป ครัน้ ท้ าวคัชนามทิวงคตแล้ ว ก็หามีเจ้ านายที่จะ
ครอบครองบ้ านเมืองต่อไปไม่ ครัน้ ภายหลังมา ยังมีกษัตริย์พระองค์
หนึง่ มีพระ-นามว่าพระยากํามะทาเป็ นเชื ้อแขก ยกไพร่พลแขกจามขึ ้น
ไปสร้ างเมืองที่เมืองจําปานคร แต่พระยากํามะทาสร้ างเมืองลงที่ริมฝั่ ง
แม่นํ ้าของฟากตะวันตกตรงเขาหนองสระลงไป ที่บนเขาหนองสระนัน้
พระยากํามะทาก็ไปสร้ างปราสาทและเรื อนสนมกํานัลตึกแถว และถนน
กําแพงแก้ วมีป้อมอยูต่ ามเนินเขาแล้ วไปด้ วยศิลาทังสิ ้ ้น แล้ วพระยากํามะ
ทาให้ ชา่ งปั น้ รูปของตนไว้ ทําด้ วยศิลา และแต่งตัวสามเทริดใส่สงั วาลย์
เหมือนอย่างคนตีมงครุ่มตังไว้ ้ ที่หน้ าปราสาทณบนเขาหนองสระ รูป
นันยั
้ งปรากฏอยูจ่ นทุกวันนี ้ ครัน้ พระเจ้ ากํามะทาทิวงคตแล้ วเมืองนันก็

ว่างมาช้ านาน หามีกษัตริย์ผ้ ใู ดที่จะปกครองต่อไปไม่ มีแต่
บ้ านเรื อนพวกลาวพวก


ส่วยตังเรี
้ ยงรายอยูท่ ี่เมืองเก่าริมฝั่ งโขงและตามเชิงเขาหนองสระ ว่า
ยังมีกษัตริย์พระองค์หนึง่ นามมิได้ ปรากฏ ยกพลเขมรแขกจามขึ ้นไป
สร้ างพระนคร ที่เมืองพระเจ้ ากํามะทาสร้ างอยูน่ นั ้ ครัน้ สร้ างเมือง
สําเร็จบริบรู ณ์แล้ ว จึงขนานนามเมืองใหม่ชื่อว่านครกาลจําปากนาค
บุรีศรี พระเจ้ านครกาลจําปากนาคบุรีศรี กบั พระเจ้ ากรุงกําพุชาธิบดี
เป็ นทางพระราชไมตรี ซงึ่ กันและกัน ครัน้ อยูม่ าพระเจ้ านครกาลจําปาก
นาคบุรีมีพระราชโอรสองค์หนึง่ ซึง่ พอเจริญวัยวัฒนาการ พระเจ้ า
นครกาลจําปากนาคบุรีศรี ก็ถึงแก่พิราลัย เจ้ าพระยาเสนาพฤฒามาตย์
ผู้ใหญ่ผ้ นู ้ อยพร้ อมกัน จึงอัญเชิญพระราชโอรสพระเจ้ านครกาลจําปาก
นาคบุรีศรี ขึ ้นครองราชสมบัติ ถวายพระนามว่าพระเจ้ าสุทศั สาราชา ๆ
ก็ปกป้องท้ าวพระยาประชาราษฎรอยูเ่ ย็นเป็ นสุขหาอันตรายมิได้ พระ-
เจ้ าสุทศั สาราชากับพระเจ้ ากรุงกําพุชาธิบดี ก็เป็ นทางพระราชไมตรี ตอ่
กันมาเหมือนอย่างแต่ก่อน ครัน้ อยูม่ าพระเจ้ ากรุงกําพุชาธิบดีมีพระราช
สาส์นมายังพระเจ้ าสุทศั สาราชาว่า มีอริราชไพรี ยกมากระทํายํ่ายีแก่กรุง
กําพุชาธิบดีขอให้ พระเจ้ าสุทศั สาราชาเห็นแก่ทางพระราชไมตรี เกณฑ์
กําลังไปช่วยปราบปรามอริราชดัษกร พระเจ้ าสุทศั สาราชได้ ทราบใน
พระราชสาสน์แล้ ว จึงสัง่ ให้ ท้าวพระยาเกณฑ์ไพร่พลลํ่าฉกรรจ์พร้ อม
ไปด้ วยช้ างม้ าเครื่ องสรรพศาสตราวุธ ครัน้ ได้ วนั มหาพิชยั ฤกษ์
พระเจ้ าสุทศั สาราชาท้ าวพระยานายทัพนายกองยกไพร่พลไปถึงกรุงกํา-
พุชาธิบดี ก็ยกกองทัพเข้ าตีข้าศึกซึง่ มาตังรบพุ
้ ง่ กําพุชาธิบดีแตก
พ่ายหนีไป แล้ วพระเจ้ ากรุงกําพุชาธิบดี ก็อญ ั เชิญพระเจ้ าสุทศั สาราชา


เข้ าพักอยูใ่ นพระนคร แล้ วพระเจ้ ากรุงกําพุชาธิบดีก็จดั สิ่งของอันมีคา่
ให้ พระเจ้ าสุทศั สาราชา และพระราชทานเสื ้อผ้ าแก่ท้าวพระยานายทัพ
นายกองเมืองนครกาลจําปากนาคบุรีศรี ตามลําดับผู้ใหญ่ผ้ นู ้ อย แล้ ว
พระเจ้ าสุทศั สาราชา ก็ลาพระเจ้ ากรุงกําพุชาธิบดียกไพร่พลกลับมายัง
เมืองนครกาลจําปากนาคบุรีศรี
ลุจลุ ศักราช ๙๘๙ ปี เถาะนพศก พระเจ้ าสุทศั สาราชาก็ถึงแก่
พิราลัย พระเจ้ าสุทศั สาราชาหามีโอรสนัดดาที่จะสืบวงศ์ตระกูล
ต่อไปไม่ ก็วา่ งกษัตริย์ที่จะครอบครองเมืองนครกาลจําปากนาคบุรี
ศรี
จนถึงศักราชได้ ๑๐๐๐ ปี ขานสัมฤทธิศก ยังมีบรุ ุษผู้หนึง่ เป็ น
คนตังอยู
้ ใ่ นยุตติธรรมซื่อตรง สมณชีพราหมณ์ประชาราษฎรก็เป็ นที่
นับถือเคารพยําเกรง จะว่ากล่าวกิจสุขทุกข์สิ่งใดก็เด็ดขาด จึงพร้ อม
กันสมมุตขิ ึ ้นให้ เป็ นใหญ่แก่คนทังปวง ้ แต่นามหาได้ ปรากฏไม่ แต่
นันมาจะบั
้ ญชาการก็เด็ดขาดในราชอาณาเขตต์นครกาลจําปากนาค
บุรีศรี ผู้ครองเมืองนันมี
้ บตุ รี คนหนึง่ มีนามว่านางเภา ๆ เจริญขึ ้นมา
บิดาก็ถึงแก่อสัญญกรรมไป พระยาคํายาตรพระยาสองฮาดเสนาของ
บิดานางเภา พร้ อมด้ วยท้ าวเพี ้ยใหญ่น้อยรักษาบ้ านเมือง
ต่อมาในศักราชได้ ๑๐๐๓ ปี มะเส็งตรี ศก เจ้ าปางคําบ้ าน
หนองบัวลําภู เดินช้ างพลายพังหมอควานพร้ อมด้ วยท้ าวเพี ้ยไพร่พลยก
ลงมาเที่ยวโพนแซกคล้ องช้ างตามอรัญราวป่ าประเทศ ก็ถึงเขตต์แดน
นครกาลจําปากนาคบุรีศรี หยุดพักอาศัยในนครได้ หลายวัน เจ้ าปาง
คําเห็นนางเภามีสิริรูปอันงาม เจ้ าปางคําพูดจาลอบรักร่วมสังวาส
ด้ วย


นางเภาจนมีครรภ์ แล้ วเจ้ าปางคําพร้ อมด้ วยท้ าวเพี ้ยไพร่พลช้ างต่อ
หมอควานยกกลับไปบ้ านหนองบัวลําภู อยูภ่ ายหลังนางเภาครรภ์แก่
พอถ้ วนทศมาสแล้ วจะคลอดบุตรก็มีความเจ็บปวดลําบาก นางเภาจึง
แช่งไว้ วา่ ถ้ าหญิงคนใดหาผัวมิได้ มีชายมาลอบรักร่วมสังวาสจนมี
ครรภ์ดงั นี ้ ให้ หญิงนันจั
้ ดหากระบือแต่งเครื่ องพลีกรรมบวงสรวงเสื ้อ
เมืองทรงเมือง ถ้ าผู้ใดไม่ทําตามดังนี ้ให้ ข้าวในไร่ในนาตายแล้ ง แล้ ว
นางเภาจึงสัง่ ให้ พระยาคํายาตรพระยาสองฮาด พร้ อมด้ วยท้ าวเพี ้ยใหญ่
น้ อยทําหนังสือประทับตราประจําครั่งรูปช้ างยืนแท่น ประกาศให้ พวก
ส่วยรักษาเขตต์แขวงอําเภอตามคํานางเภา จึงเป็ นเยี่ยงอย่างมาจนทุก
วันนี ้ ครัน้ นางเภาคลอดบุตรออกมาเป็ นกุมารี นางเภาจึงให้ ชื่อบุตร
ว่านางแพง
และเมื่อศักราชได้ ๑๐๐๕ ปี มะแมเบ็ญจศกนันว่
้ ายังมีทา่ นพระครู
ยอดแก้ วอยูเ่ มืองเวียงจันทน์ ในเวลากลางคืนจําวัดอยูน่ ิมิตต์ฝันเห็น
ว่า มีคชสารพลายตัวใหญ่เข้ ามาในอารามทําลายพระวิหารขึ ้นไปบน
กุฎีแล้ วแทงหอไตรทําลายลง ช้ างจึงจับเอาหนังสือกลืนเป็ นอาหารหมด
ทังหี
้ บ พอรุ่งสว่างก็ตกใจตื่นขึ ้น แล้ วท่านพระครูยอดแก้ วก็เล่านิมิตต์
ให้ สงฆ์ทงปวงฟั
ั้ ง ๆ แล้ วก็พากันไปบิณฑบาตร พอเวลาสายพระสงฆ์
กลับมาจากบิณฑบาตรก็เห็นสามเณรองค์หนึง่ อายุประมาณ ๑๓-๑๔ ปี
มานัง่ อยูใ่ นอาราม พระสงฆ์ทงปวงจึ
ั้ งถามสามเณรว่ามาแต่แห่งใด
สามเณรจึงบอกแก่พระสงฆ์วา่ มาแต่กะลึมเมืองพาน ข้ าพเจ้ าเป็ นสานุ-
ศิษย์พระครูลมึ บองเที่ยวมาหาที่เล่าเรี ยน พระสงฆ์ทงปวงจึ
ั้ งไปแจ้ ง


ความแก่พระครูยอดแก้ ว พระครูยอดแก้ วจึงนิมนต์สามเณรขึ ้นไปบน
กุฎี แล้ วพระครูยอดแก้ วก็ทํานุบํารุงสามเณรนันไว้ ้ แล้ วพระครู
ยอดแก้ วก็ให้ สามเณรเล่าสวดมนต์จนถึงพระปาฏิโมกข์ สามเณรเล่า
เรี ยนแม่นยําจนชํานิชํานาญ พระครูยอดแก้ วจึงให้ สามเณรเล่าสูตรจําได้
จนจบ แล้ วพระครูยอดแก้ วก็บอกหนังสือพระไตรปิ ฎก ตังแต่ ้ ธรรม
บทบันต้
้ นบันปลายและเล่
้ าเรี ยนในพระคัมภีร์ใด ๆ สามเณรก็เล่าเรี ยน
ได้ หมดสิ ้น จึงเอาหนังสือในหีบอยูใ่ นหอไตรมาให้ สามเณร ๆ ก็รอบรู้
ทุกพระคัมภีร์ไม่มีผ้ ใู ดจะเปรี ยบได้ กิตศิ พั ท์ได้ ยินเลื่องลือถึงพระเจ้ า
เมืองเวียงจันทน์ ๆ ก็ยินดีมีจิตต์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงจัดผ้ าไตร
มาถวายยกชื่อขึ ้นให้ เป็ นราชาจัว่ แต่นนมาก็
ั ้ ลือชาทัว่ ไปทังอาณาเขตต์

เมืองเวียงจันทน์ พออายุสามเณรถ้ วนถึง ๒๑ ปี ครบอุปสมบทพระเจ้ า
เวียงจันทน์ก็นิมนต์ราชาจัว่ ให้ บวชเป็ นภิกษุ ราชาจัว่ จึงว่าแก่ทา่ น
พระครูยอดแก้ วว่าถ้ าจะบวชข้ าพเจ้ าแล้ ว ขอให้ นิมนต์พระสงฆ์นงั่ หัตถ
บาสให้ ได้ ๕๐๐ รูป ให้ ทําโบสถ์นํ ้าจึงจะบวช ท่านพระครูก็เข้ าไปถวาย
พระพรแก่พระเจ้ าเวียงจันทน์ตามถ้ อยคําสามเณร พระเจ้ าเวียงจันทน์
ได้ ทราบดังนัน้ จึงสัง่ ให้ ท้าวพระยาจัดหาเรื อใหญ่มาพ่วงติดกันเข้ าแล้ ว
ทําเป็ นโสบถ์นํ ้า ครัน้ ถึงวันกําหนดก็แห่สามเณรไปยังโบสถ์นํ ้า พระ
อุปัชฌาย์อนุกรรมวาจากับพระสงฆ์อนั ดับ ๕๐๐ รูป ก็พร้ อมกันอุปสม-
บทสามเณรขึ ้นเป็ นภิกษุ ขอนิสสัยเสร็จแล้ วอนุกรรมวาจาจะให้ อนุ-
ศาสน์ แพโบสถ์นํ ้าก็จมลง ทันใดนันสงฆ์ ้ ทงปวงก็
ั้ ต้องว่ายนํ ้าขึ ้นฝั่ งไป
ไตรจีวรก็เปี ยกทุกองค์ แต่ภิกษุที่บวชใหม่นนไม่ั ้ เปี ยก สบงจีวรก็แห้ ง


อยูส่ งฆ์ทงปวงเห็
ั้ นแล้ วก็พากันอัศจรรย์ยิ่งนัก พระเจ้ าเวียงจันทน์ก็ยินดี
ปรี ดา ครัน้ ได้ พรรษาหนึง่ พระเจ้ าเวียงจันทน์ก็จดั หาเครื่ องไตรอัฏฐ
บริกขารครบเสร็จแล้ ว พร้ อมด้ วยคณะสงฆ์จงึ ตังพระภิ
้ กษุองค์นนขึ
ั ้ ้น
เป็ นพระครูให้ อยูว่ ดั โพนเสม็ด คนทังหลายจึ
้ งเรี ยกพระครูโพนเสม็ด
มาจนเท่าทุกวันนี ้ แล้ วพระครูก็อยูร่ ักษาวินยั สิกขาบริบรู ณ์ได้ ถึง
อภิญญาห้ าอัฏฐสมาบัติ ๘ ประการสําเร็จไปด้ วยญาณ จะว่าสิ่งใดก็
แม่นยําด้ วยบุญบารมีธรรมโปรดสําเร็จดังใจนึก คนทังปวงก็
้ นิยมเป็ น
อันมาก ต่างคนต่างสรรเสริญบุญพระครูโพนเสม็ด พระเจ้ าเวียง-
จันทน์ก็โปรดเป็ นอุปัฏฐาก พระเจ้ าเวียงจันทน์มีพระราชโอรสพระองค์
หนึง่ เรี ยกว่าเจ้ าหล่ออายุได้ ๑๓ ปี และพระมเหสีพระเจ้ าเวียงจันทน์
คนหนึง่ มีครรภ์ประมาณได้ ๖ - ๗ เดือน
ศักราช ๑๐๕๐ มีมะโรงสัมฤทธิศก พระเจ้ าเวียงจันทน์ก็ถึงแก่
พิราลัย พระยาเมืองแสนชิงเอาสมบัตไิ ด้ แล้ วก็ขึ ้นครองเมืองเวียงจันทน์
จะรับเอานางที่เป็ นมเหสีพระเจ้ าเวียงจันทน์ขึ ้นเป็ นภรรยา นางไม่ยอม
ร่วมสังวาสกับพระยาเมืองแสน นางจึงเข้ าไปพึง่ อาศัยอยูก่ บั พระครู
โพนเสม็ด ๆ กลัวจะมีความครหาติเตียน จึงให้ นางลงไปอยูภ่ สู ะง้ อ
หอคํา ฝ่ ายพรรคพวกเจ้ าองค์หล่อบุตรพระเจ้ าเวียงจันทน์จงึ พาเจ้ า
องค์หล่อหนีไปอยู่ ณ เมืองญวน ๆ ก็รับเอาเจ้ าองค์หล่อไว้ แล้ วให้ ชื่อว่า
เจ้ าองค์เวียด ฝ่ ายพระมเหสีพระเจ้ าเวียงจันทน์พอครรภ์นางถ้ วน
ทศมาสนางก็คลอดบุตรเป็ นราชกุมาร พระครูโพนเสม็ดจึงให้ นามว่า
เจ้ าหน่อกษัตริย์ ครัน้ นานมาพระยาเมืองแสนที่ได้ ครองเมืองเวียงจันทน์


เห็นว่าท้ าวพระยาไพร่บ้านพลเมืองพากันนิยมนับถือพระครูโพนเสม็ด
เป็ นอันมาก พระยาเมืองแสนกลัวว่านานไปภายหน้ า พระครูโพนเสม็ด
จะชิงเอาสมบัติ จึงคิดเป็ นความลับกับพรรคพวกที่สนิทจะทําอันตราย
แก่พระครูโพนเสม็ด ๆ ก็ลว่ งรู้ในความคิดของพระยาเมืองแสน พระ-
ครูโพนเสม็ดจึงให้ ไปรับเอาเจ้ าหน่อกษัตริย์กบั มารดามาแต่ภสู ะง้ อหอ
คํา แล้ วจึงปรึกษากับญาติโยมและศิษย์สานุศษิ ย์ผ้ อู ปุ ั ฏฐากพร้ อมกัน
รวมได้ ชายหญิงใหญ่น้อย ๓๓๓๓ คน ก็ยกออกจากเมืองเวียงจันทน์ไป
ถึงบ้ านงิ ้วพันลําโสมสนุก พระครูโพนเสม็ดจึงให้ เจ้ าหน่อกษัตริย์กบั
มารดาและพรรคพวกตังอยู ้ ท่ ี่บ้านงิ ้วพันลําโสมสนุก แล้ วพระครูโพน
เสม็ดก็เที่ยวไปตามลําชี พระครูโพนเสม็ดไปหยุดพักอยูท่ ี่แห่งใด
ตําบลใด คนก็ปีติยินดีเป็ นอันมาก ครัน้ ยกไปแห่งใดญาติโยมก็
ยกติดตามไปตําบลละ ๒ - ๓ ครัว แล้ วพระครูโพนเสม็ดก็ลงไปกรุง
อินทปั ทมหานคร ครอบครัวที่เฉื่อยช้ าติดตามลงไปมิได้ ก็ให้ ตงั ้
บ้ านเรื อนเรี ยงรายกันไป จึงเรี ยกว่าลาวเดิมบานบารายมาจนทุกวันนี ้
แล้ วพระครูโพนเสม็ดกับครอบครัวญาติโยมสานุศษิ ย์ก็ลงไป
ถึงหางตุยจังวะสุดแดน แต่บดั นี ้เรี ยกว่าจะโรยจังวา(๑) พระครู
โพนเสม็ดเห็นที่ตําบลจะโรยจังวาข้ ามเป็ นชัยภูมิกว้ างขวางและมีเขา
ใหญ่น้อย จึงพักญาติโยมครอบครัวศิษย์สานุศษิ ย์อยูท่ ี่นนั ้ แล้ ว
พระครูโพนเสม็ดจึงสร้ างพระเจดีย์องค์หนึง่ บนเขานัน้ เมื่อวันจะสําเร็จ
(๑) แปลว่าแหลม


ยังมีหญิงเขมรแก่คนหนึง่ ชื่อเป็ น ลงไปอาบนํ ้าในลํานํ ้าใหญ่ ยายเป็ น
เห็นพระบรมธาตุเลื่อนไหลมาบนหลังนํ ้า มีพระรัศมีมีโอภาสเป็ นอันงาม
ยายเป็ นเห็นประหลาด จึงเอาขันนํ ้าเข้ ารับรองขึ ้นไปถวายแก่พระครู
โพนเสม็ด ๆ เห็นว่าเป็ นพระบรมธาตุแน่แล้ วก็บณ ิ ฑบาตรกับยายเป็ น
แล้ วพระครูโพนเสม็ดก็อญ ั เชิญพระบรมสาริกธาตุเข้ าบรรจุไว้ ในพระ
เจดีย์ แล้ วพระครูโพนเสม็ดเห็นว่าภูเขานันภาษาเขมรเรี
้ ยกว่าพนม
แล้ วเอานามยายเป็ นที่ได้ พระบรมสาริกธาตุมาประกอบกันเข้ า พระครู
โพนเสม็ดจึงให้ ชื่อว่าพระเจดีย์พนมเป็ น ครัน้ ภายหลังมาเจ้ ากรุง
กําพุชาธิบดียกเมืองจากเมืองประทายเพ็ชรลงไปสร้ างเมืองขึ ้นที่ตําบล
นันเป็
้ นเมืองหลวง จึงเรี ยกนามเมืองว่าพนมเป็ นมาจนทุกวันนี ้ และ
เมื่อพระครูโพนเสม็ดสร้ างพระเจดีย์แล้ ว จึงหล่อพระพุทธปฏิมากร
องค์หนึง่ ได้ ตงแต่
ั ้ พระเศียรลงมาถึงพระกร เบื ้องขวายังหาทันสําเร็จไม่
เจ้ ากรุงกําพุชาธิบดีแจ้ งว่าพระครูโพนเสม็ดพาครอบครัวญาติโยมลาว
เข้ ามาอยูใ่ นเขตต์แดน จึงแต่งให้ พระยาพระเขมรไปตรวจบัญชี
ครอบครัว พระยาพระเขมรจะเรี ยกเอาเงินครัวละ ๘ บาท พระครู
โพนเสม็ดเห็นว่าญาติโยมจะได้ ความยากแค้ น จึงพาญาติโยม
ครอบครัวหนีขึ ้นไปตามลํานํ ้าโขง ถึงสถานบ้ านแห่งหนึง่ ที่เรี ยกว่าเมือง
สมบูรณ์บดั นี ้
พระครูโพนเสม็ดจึงได้ พาญาติโยมครอบครัวตังพั ้ กอาศัยอยูใ่ น
ที่นนั ้ แล้ วพระครูโพนเสม็ดจึงชักชวนญาติโยมศิษย์สานุศษิ ย์สร้ าง
พระวิหารไว้ หลังหนึง่ ในที่ตําบลนัน้ ครัน้ เจ้ ากรุงกําพุชาธิบดีได้ แจ้ งว่า


พระครูโพนเสม็ดยกไปยังไม่พ้นเขตต์แดน จึงแต่งให้ พระยาพระเขมร
ยกทัพมาขับไล่พระครูโพนเสม็ด ๆ เห็นว่าญาติโยมทายกจะพากันเป็ น
อันตราย จึงตังอธิ
้ ษฐานว่าเดชบารมีธรรมที่ได้ บําเพ็ญมาแต่หนหลัง
ครัง้ นี ้จงช่วยสร้ างสรรพสัตว์ให้ พ้นอันตราย ขอเทพยเจ้ าจงช่วยอภิบาล
ในครัง้ นี ้ ด้ วยอํานาจกุศลเผอิญให้ พระยาพระเขมรหาคิดที่จะทําอันตราย
ไม่ พระครูโพนเสม็ดก็พาครอบครัวไปได้ โดยสะดวก พระยา
พระเขมรก็เลิกทัพกลับคืนไปยังกรุงกําพุชาธิบดี
ฝ่ ายพระครูโพนเสม็ดไม่มีที่พกั อาศัย จึงตังอธิ
้ ษฐานว่าเดช
กุศลธรรม ดินก็ผดุ ขึ ้นเป็ นเกาะ ในที่นนก็ ั ้ เป็ นหาดทราย ราษฎรก็
เรี ยกว่าหาดท่านพระครูมาเท่าจนบัดนี ้ พระครูโพนเสม็ดก็พาญาติโยม
ทายกหยุดพักอยูใ่ นเกาะนัน้ พร้ อมกันหล่อพระพุทธปฏิมากรแต่บา่
พาดพระกรเบื ้องซ้ ายถึงหน้ าตักหัตถบาสตลอดพระแท่นสําเร็จแล้ ว จึง
ให้ ศษิ ย์ไปเชิญพระปฏิมากรที่หล่อไว้ ที่เจดีย์พนมเป็ นยังไม่สําเร็จนันมา ้
สวมต่อกันเข้ า เกาะนันก็้ เรี ยกกันว่าเกาะพาดเกาะทรายมาจนบัดนี ้ แล้ ว
พระครูโพนเสม็ดจึงพาญาติโยมทายกแห่พระขึ ้นมาถึงหางโค ปากนํ ้า
เซกองฝั่ งตะวันออก เห็นภูมิสถานที่นนสมควร ั้ พระครูโพนเสม็ด
เห็นว่านานไปภายหน้ าก็คงจะได้ เป็ นเมือง จึงพร้ อมญาติโยมทายก
สร้ างพระวิหารลงไว้ ที่นนั ้ แล้ วอัญเชิญพระพุทธปฏิมากรพระแสน
ประดิษฐานไว้ ในพระวิหารนัน้ แล้ วก่อพระเจดีย์ไว้ ที่บาจงองค์หนึง่
พระครูโพนเสม็ดจึงให้ ศษิ ย์ผ้ หู นึง่ กับทังครอบครั
้ วเป็ นผู้อปุ ั ฏฐาก
พระพุทธปฏิมากรพระแสนที่นนั ้

๑๐
ครัน้ นานมาศิษย์ผ้ นู นมีั ้ บตุ รชายผู้หนึง่ ชื่อเชียงแปง ครัน้ บิดา
ถึงแก่กรรมแล้ ว เชียงแปงก็รักษาครอบครัวอยูใ่ นที่ตําบลนันต่ ้ อมา
และพระครูโพนเสม็ดก็พาศิษย์ทงปวงขึ ั้ ้นไปตามลํานํ ้าโขง ถึงดอนสี่ผี
พระครูโพนเสม็ดจึงสร้ างพระเจดีย์ด้วยศิลาองค์หนึง่ สูงสี่ศอก สร้ าง
พระวิหารไว้ หลังหนึง่ แล้ วพระครูโพนเสม็ดก็ขึ ้นไปตามลํานํ ้าโขง
ถึงเกาะใหญ่แห่งหนึง่ จึงพักอยูใ่ นที่นนั ้ แล้ วพระครูโพนเสม็ดนัง่ บริ -
กรรมเห็นว่า ในเกาะนี ้นานไปภายหน้ าจะได้ เป็ นเมือง จึงสร้ างพระเจดีย์
ไว้ องค์หนึง่ บนยอดนพสูรจารึกเป็ นอักษรขอมไว้ วา่ ศักราชได้ ๑๐๗๐ ปี
ณ วัน ๑ ๑๔ ฯ ๒ คํ่า พระครูโพนเสม็ดมีศรัทธาสร้ างพระเจดีย์ไว้
นครโขงให้ เป็ นที่ไหว้ ที่บชู าแก่เทพยดาและคนทังหลาย ้ แล้ วหล่อระฆัง
ใหญ่ไว้ ระฆังหนึง่ วัดโดยกว้ างได้ สองศอก แล้ วจึงประชุมบุตร
หลานลาวเดิมให้ ไว้ เป็ นข้ าพระมหาธาตุเจดีย์ตอนโขงตราบเท่า ๕๐๐๐
พรรษา แล้ วให้ จารี ยฮวดอยูร่ ักษาอาณาเขตต์อําเภอโขง แล้ ว
พระครูโพนเสม็ดก็ขึ ้นมาศีร์ษะเกาะไชย เห็นว่าถ้ าตังอยู ้ ท่ ี่นี ้คงจะมีไชย
แต่เกาะน้ อยไม่พอจะเป็ นเมืองได้ จึงให้ เรี ยกว่าเกาะไชยมาจนบัดนี ้
แล้ วพระครูโพนเสม็ดก็ขึ ้นมาถึงเกาะแดงหยุดพักอยู่ แล้ วให้ ศษิ ย์
๑๖ คนนุง่ ขาวห่มขาวรับศีลแล้ วให้ ไปเที่ยวนอนเอานิมิตต์ ณ กลางเกาะ
แห่งหนึง่ ศีร์ษะเกาะแห่งหนึง่ ผ้ าขาว ๑๖ คนมาถึงตําบลกลางเกาะ
หยุดนอนแล้ วพร้ อมกันอธิษฐานเสร็จแล้ ว เทพยเจ้ าก็ลงมานิมิตต์วา่
ตําบลนี ้จะเป็ นศรี นคร แต่จะมีปรปั กษ์มาเบียดเบียฬในศาสนา
ครัน้ ได้ นิมิตต์แล้ วผ้ าขาว ๑๖ คนก็ขึ ้นไปนอนศีร์ษะเกาะพร้ อมกัน

๑๑
ตังสั
้ ตยาธิษฐานเสร็จแล้ ว เทพยเจ้ าลงมาให้ นิมิตต์วา่ เห็นปุถชุ นทังปวง ้
มีใจกล้ าหาญหยาบช้ าก่อการวิวาทเป็ นปรปั กษ์แก่กนั อยู่ ผ้ าขาว ๑๖ คน
ได้ นิมิตต์ ๒ ตําบลแล้ ว ก็เข้ าไปแจ้ งความแก่พระครูโพนเสม็ด ๆ
เห็นว่าตําบลนี ้กษัตริย์องค์ใดมาครอบครองสมบัตใิ นนครอันนี ้ สอง
พี่น้องก็จะไม่ถกู ต้ องปรองดองกัน ประชาราษฎรก็จะเป็ นปรปั กษ์
ฉกลักเบียดเบียฬซึง่ กันและกัน
ฝ่ ายข้ างเมืองนครกาลจําปากนาคบุรีศรี นางเภาชราแล้ วก็ถึงแก่
กรรม นางแพงผู้บตุ รกับท้ าวพระยาก็กระทําการฌาปนกิจเสร็จแล้ ว
นางแพงผู้บตุ รกับพระยาคํายาตร พระยาสองฮาดจึงว่าราชการบ้ านเมือง
ต่อมา ครัน้ ได้ ทราบกิตศิ พั ท์วา่ พระครูโพนเสม็ดมาพักอยูท่ ี่เกาะแดง
มีคนนับถือเป็ นอันมาก นางแพงก็มีจิตต์เลื่อมใสจึงปรึกษาด้ วยท้ าว
พระยาผู้ใหญ่ผ้ นู ้ อยว่า เราจะอาราธนาพระครูโพนเสม็ดมา จะได้ ทํานุ
บํารุงพระพุทธศาสนาให้ จิรฐิ ตถิ าวรไปภายหน้ า ท้ าวพระยาทังปวงก็

เห็นชอบด้ วย นางแพงจึงให้ พระยาคํายาตร พระยาสองฮาดไปอาราธนา
พระครูโพนเสม็ด ๆ จึงพาญาติโยมสานุศษิ ย์ข้ามแม่นํ ้าโขงมาฝั่ ง
ตะวันตกตังพั้ กอยูท่ ี่ห้วยสระหัว นางแพงก็ปลูกกุฎีเสนาสนะถวายพระ
ครูโพนเสม็ดให้ จําพรรษาอยู่ ณ วัดห้ วยสระหัว คนทังหลายก็

เรี ยกว่าวัดหลวง แล้ วนางแพงกับท้ าวพระยาทังปวงจึ
้ งมอบพุทธจักร
อาณา-จักร ให้ พระครูโพนเสม็ดทํานุบํารุงสมณพราหมณาจารย์ท้าว
พระยาอาณาประชาราษฎรในเมืองนครกาลจําปากนาคบุรีศรี
ในศักราช ๑๐๗๑ ปี ฉลูเอกศก แล้ วพระครูโพนเสม็ดจึงชัก

๑๒
ชวนชาวเมืองหล่อพระพุทธปฏิมากรองค์หนึง่ หน้ าตักสิบเก้ านิ ้วสําเร็จ
บริบรู ณ์ ก็อญ ั เชิญพระพุทธปฏิมากรประดิษฐานไว้ ที่พระวิหาร
วัดบางซ้ ายอยูม่ าจนเท่าทุกวันนี ้ ครัน้ นานมาประชาชนทังหลายก็

เกิดเป็ นโจรผู้ร้ายฉกลักเครื่ องอัญญมณีของสมณะและทรัพย์สิ่งของ
อาณาประชาราษฎรทังปวง ้ แล้ วก็เกิดฆ่าฟั นกันขึ ้นหลายแห่งหลาย
ตําบล พระครูโพนเสม็ดจะชําระว่ากล่าวตามอาญาก็กลัวจะผิดด้ วยวินยั
สิกขา-บท ครัน้ จะนิ่งเสียไม่ปราบปรามให้ ราบคาบ สมณพราหมณา
จารย์ราษฎรก็จะได้ ความเดือดร้ อนยิ่งขึ ้นไป พระครูโพนเสม็ดจึงเห็น
ว่าเจ้ าหน่อกษัตริย์ซงึ่ เป็ นโอรสพระเจ้ าเวียงจันทน์ จะปกครองประชา
ราษฎรต่อไปได้ พระครูโพนเสม็ดจึงให้ จารี ยแก้ วจารี ยเสียงช้ างกับ
ท้ าวเพี ้ยไพร่พลไปอัญเชิญเจ้ าหน่อกษัตริย์ ซึง่ ตังอยู
้ บ่ ้ านงิ ้วพันลํา-
โลมสนุกลงมาเมืองนครกาลจําปากนาคบุรีศรี
ในศักราช ๑๐๗๕ ปี มะเส็งเบ็ญจศก แต่มารดาของเจ้ าหน่อ
กษัตริย์นนถึั ้ งแก่กรรมเสียก่อนแล้ ว แล้ วพระครูโพนเสม็ดให้ ตงโรงราช ั้
พิธีที่จะได้ ราชาภิเษกเสร็จแล้ ว ครัน้ ได้ วนั อันเป็ นมหาพิชยั ฤกษ์ พระครู
โพนเสม็ด ก็อญ
ั เชิญเจ้ าหน่อกษัตริย์เข้ าสรงมุรธาสนานราชาภิเษก
เสร็จแล้ ว สมณพราหมณาจารย์ท้าวพระยาทังปวงถวายพระนามว่
้ า
เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรเป็ นเจ้ าเอกราชครองราชสมบัตติ ามโบราณ
ราชประเพณีกษัตริย์ในมาลาประเทศ แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูร
จึงให้ ทําระเนียดเสาไม้ แก่นสร้ างเมืองขึ ้นที่ตําบลริมฝั่ งศรี สมุ งั แล้ ว
เปลี่ยนนามเมืองใหม่ให้ เรี ยกว่านครจําปาบาศักดิน์ าคบุรีศรี และ

๑๓
นางแพงบุตรนางเภานัน้ เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรก็รับเข้ าไปไว้ ใน
วังเลี ้ยงดูทํานุบํารุงเคารพเป็ นอันดี แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูร
ก็จดั แจงราชการบ้ านเมืองตังเจ้ ้ านายและแสนท้ าวพระยา พระยาเมือง
แสนเป็ นเสนาบดีฝ่ายขวา พระยาเมืองขวาปลัด พระยาเชียงเหนือ
พระยาเมืองฮาม นามฮุงศรี สองเมืองสมุหบัญชี สุวอกรมหนึง่ พระยา
เมืองจันเป็ นเสนาบดีฝ่ายซ้ าย พระยาเมืองซ้ ายปลัด พระยาเชียง
ใต้ ศกั ขาเมืองปาก หมื่นวิสยั สมุหบัญชี พันหนองกรมหนึง่ พระยาเสระ
โยธากรมนครบาล พระยาคํามูลปลัด พระยาเวียงคําเมืองคุก กรมเมือง
สมุหบัญชี พระโยหะ อินทกุมพันขันธฤาไชย หารเพ็ชรลักไชยบาลกรม
หนึง่ พระยาวิไชยมนเทียรกรมวัง พระยาพะชุมปลัด พุทธวงษ์พลลัก
ขวาอัคชา มหาวงษ์ หมื่นวงษ์ไชยกรมหนึง่ พระยารามโฆษาพระคลัง
ราชโกฏิสิหาคลัง แสนยศ ศรี สทุ ธสมุหบัญชีกรมหนึง่ กรม นาพระยา
จิตตะเสนา พระยาหมื่นเยียปลัด พันนา พระทิพสาลี ทิพ-มุนตรี กรม
หนึง่ กรมสัสดีพระยาเมืองกลาง พระยาโยธา ราชานนพัฒมานศรี
สุนนท สุขนันทา แสนจัน ศรี สมุดกรมหนึง่ นายเวรสาลาพันโนฤทธิ
พันโนลาษ ศรี สธุ รรม ชาบูฮม กรมหนึง่ พนักงานรับแขก แขก
ขวา แขกซ้ าย กรมหนึง่ กรมไพร่หลวง พระละครมหาโฆษ พลลัก
ซ้ าย นามราชา หมื่นเสมอใจ กางสงคราม ศรี - ทิพเนตรกรมหนึง่
ผู้จําหน่ายของหลวง ศรี สมบัติ หอมสมบัติ เพี ้ยจ่าย จันทพานิช ยศ
สมบัติ กรมหนึง่ กรมช่างทองสุวรรณจักคํา สุวรรณวิจิตร สุวรรณ
ปั ญญา หลวงสุวรรณ กรมหนึง่ หกเหล่า

๑๔
พระยาสุโพ พระยาพลเชียงสา เวียงแก อุปราชา เมืองซอง มหา-
สงคราม กรมหนึง่ สี่ท้าวช้ าง นาใต้ นาเหนือ หมื่นนาเมืองแพน
กรมหนึง่ กรมแสง สินระแสง พรมเทพ พันลูกท้ าว กรมหนึง่
ช่างเหล็ก แสนนามเกียน แสนแก้ ว หมื่นอาวุธ พนทะนี กรมหนึง่
นายมหาดเล็ก นักภูมินทร คําชุมภู ขันขวา ขันซ้ าย กรมหนึง่ นาย
เวรมหาดเล็ก คําพีทลู แก้ วพิทลู แก้ วมาลา แก้ วกินนรี ลาดปาอิน
อินทสริยา กวอินตา อินทวีไชย แก้ วดวงดี นามลคร พทักภูบาล
สีหาจักร กรมหนึง่ ตํารวจ พลเดชซาภักดี ซาหลาบคํา วงษภูธร
กรมหนึง่ นายประตู แสนแกว่ง แสนวัง แสนคุ้ม เพี ้ยสูน มหาวัง
กรมหนึง่ พ่อมโรง มหาโนชิต มหามุนตรี ซาโนชิต ซามาต ซา
เนตร ซากํานัน ซาทิพฮต ซามุนตรี อุทธามุนตรี แสนไชย กรม
หนึง่ เถ้ าแก่ ซาบรรทม ซามะรัต คําเพียงตา ราชอาส กรมหนึง่
กรมโหรสีมงั คละ สิทธิมงคล สีกาชะโยก โสระบัณฑิต โลกวิวร
ไลยณุโยก กรมหนึง่ เป็ นตําแหน่งไว้ ครบทุกตําแหน่ง ตามอย่างเมือง
เวียงจันทน์ แล้ วจัดการทําเนียบเมืองตามโบราณราชประเพณีสืบมา
แต่ก่อน
แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูร จึงสร้ างอารามขึ ้นใหม่อาราม
หนึง่ สําเร็จบริบรู ณ์แล้ ว จึงอาราธนาพระครูโพนเสม็ดกับพระสงฆ์
อันดับมาอยูท่ ี่อารามใหม่นนั ้ จึงเรี ยกว่าวัดหลวงใหม่ และวัดที่พระ
ครูโพนเสม็ดอยูเ่ ดิมนัน้ เรี ยกว่าวัดหลวงเก่ามาจนทุกวันนี ้
ครัน้ ณ วันสงกรานต์วนั เถลิงศก เจ้ านายและแสนท้ าวพระยา
ครบตําแหน่งและเจ้ าเมืองกรรมการเมืองขึ ้น และท้ าวฝ่ ายในจัด
๑๕
บายศรี สองสํารับซ้ ายขวา เจ้ านายแสนท้ าวพระยาข้ าราชการใหญ่น้อย
ทุกตําแหน่งมีข้าวตอกดอกไม้ เทียนใหญ่คหู่ นึง่ พร้ อมกันณหอราชสิงห์หาร
กราบถวายบังคมแล้ ว พราหมณ์จงึ ถวายพรแก่เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุท
ธางกูร ครัน้ เวลาบ่ายโมงหนึง่ จึงพร้ อมกันเข้ าไปสูพ่ ระอุโบสถ
พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ทํานํ ้าพระราชพิธี เจ้ าท้ าวพระยาทังปวง

ก็กระทําสัตยานุสตั ย์ รับพระราชทานนํ ้าพิพฒ ั น์
ครัน้ รุ่งขึ ้นนางเภาเถ้ าแก่หม่อมนางข้ างใน และภรรยาเจ้ านาย
พระยาแสนท้ าวครบตําแหน่ง พร้ อมกันณหอราชสิงห์หารรับนํ ้าพระราช
พิธี ครัน้ ถึงณวันเดือนสิบเอ็ดแรมคํ่าหนึง่ เป็ นวันปวารณาทําบุญให้ ทาน
วันแรมสองคํ่าแต่งเครื่ องกระยาบูชาเทพยดา วันแรมสี่คํ่าแต่งการ
บวงสรวงแข่งเรื อ ให้ พวกข่าสูลงเรื อลําหนึง่ เรี ยกว่าเรื อมเหศักดิ์ ตี
ฆ้ องใหญ่น้อยสามฆ้ อง สวมเสื ้อแดงหมวกแดงแต่งเป็ นคนรํ า ๔ คน
พายเรื อขึ ้นล่องกํากับเรื อทังปวง้ เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรเสด็จ
ออกหอไชยดูแข่งเรื อทุก ๆ วัน ถ้ วนคํารบสามวัน รุ่งขึ ้นพอเวลาตี
สิบเอ็ดยิงปื นใหญ่สามนัด พวกคนทรงทอดทุน่ เหนือนํ ้าใต้ นํ ้าแล้ ว แล้ ว
เอาเนื ้อกระบือเขา มาประชุมที่ทา่ หอแต่งพล่ายําทําเครื่ องบวงสรวงเสื ้อ
เมืองทรงเมืองเสร็จแล้ วก็แจกจ่ายแก่เจ้ านายแสนเท้ าพระยาข้ าราชการ
ผู้ใหญ่ผ้ นู ้ อยแล้ วก็แข่งเรื อกันไปถึงเวลาบ่าย ๔ โมงเศษ เจ้ านายท้ าว
พระยาที่รับเลี ้ยงสีพาย เรื อลําใดก็จดั เทียนใส่ขนั เงินผ้ าแดงปกปากขัน
นุง่ ขาวห่มขาวนัง่ มาบนศีร์ษะเรื อ พายลงมาถึงหน้ าหอไชยแล้ วจอดเรื อ
ขึ ้นถวายเทียนแก่เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรทุกลํา แล้ วก็แจกหมาย

๑๖
คาดคูเ่ รื อบ้ านนันกั้ บบ้ านนันลํ ้ าดับกันไปตามเรื อมากและน้ อยเป็ นคูๆ่ กัน
พอเวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เรื อมเหศักดิพ์ วกข่าลงมาก่อน เรื อแข่งคูห่ นึง่
คูส่ องคูส่ ามก็แข่งเป็ นคู่ ๆ ลงมา ถึงเรื อทอดทุน่ แล้ วพอเวลายํ่า
คํ่ายิงปื นใหญ่นดั หนึง่ พวกสีพายเรื อก็ตงโห่ ั ้ ร้องแข่งเรื อเสมอหน้ ากันลง
มา เรื อมเหศักดิพ์ วกข่าก็จดุ เทียนที่ศีร์ษะเรื อพายตามหลังเรื อทังปวง ้
ลงมาถึงเพียงท่าหอไชยยิงปื นใหญ่อีกนัดหนึง่ ก็จดุ ดอกไม้ ไฟพะเนียง
บูชาเทพารักษ์ ครัน้ เรื อไปถึงทุน่ ใต้ นํ ้าก็ยิงปื นใหญ่อีกนัดหนึง่ ครบ
สามวันแล้ วก็เลิกการพิธีแข่งเรื อ จนเป็ นธรรมเนียมมาจนเท่าบัดนี ้
เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรให้ ทําเงินเป็ นนํ ้าหนัก ๔ หุนตอกตรา
รูปหงส์เรี ยกว่าเงินสิงห์ แล้ วหล่อทองเหลืองเหมือนรูปกระสวยยาว
ประมาณ ๕ นิ ้วเศษ ๖ นิ ้วข้ างหลังกลม ข้ างท้ องเป็ นร่องเหมือนตัว
ชันลุกะเรี ยกว่าลาดให้ ใช้ ตา่ งเบี ้ย แต่ลาดนันยั ้ งใช้ ตอ่ มาจนเท่าทุก
วันนี ้ เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรมีราชบุตรด้ วยนางมเหสีขวาชื่อเจ้ าไชย
กุมาร ๑ มีบตุ รกับมเหสีซ้าย ๒ องค์ ๆ หนึง่ ชื่อเจ้ าธรรมเทโว องค์
หนึง่ ชื่อเจ้ าสุริโย ฝ่ ายนางแพงครัน้ ชราลงก็ถึงแก่กรรม เจ้ าสร้ อย
ศรี สมุทพุทธางกูรกับพระยาลาวท้ าวแสน ก็กระทําการฌาปณกิจตาม
สมควร แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรจึงปรึกษา เจ้ านายแสนท้ าว
พระยาเสนาพฤฒามาตย์ข้าราชการว่า ครัง้ พระครูโพนเสม็ดลงไป
กรุงกําพุชาธิบดี เจ้ ากรุงกําพุชาธิบดีคดิ ก่อการวิวาทกับฝ่ ายลาว
พระยาพระเขมรยกทัพมาขับไล่พระครูโพนเสม็ดกับญาติโยมพา
กันหนีมานาน ต่อไปภายหน้ าเกลือกพระเจ้ ากําพูชาธิบดีจะยกมาคิด

๑๗
การสงครามสืบต่อไป จําเราจะแต่งเครื่ องมงคลราชบรรณาการไป
อ่อนน้ อมขอเป็ นทางสัมพันธมิตรสืบโบราณราชประเพณี จะเห็นเป็ น
ประการใด แสนท้ าวพระยาข้ าราชการใหญ่น้อยก็พร้ อมกันเห็นชอบด้ วย
จึงแต่งราชสาส์นเครื่ องมงคลราชบรรณาการให้ ทตู านุทตู จําทูลพระราช
สาส์นเจริญทางพระราชไมตรี ไปขอพระราชธิดาของพระเจ้ ากรุงกําพู
ชาธิบดี ๆ ทราบในราชสาส์นแล้ ว จึงแต่งพระยาพระเขมรและบ่าวไพร่
ให้ ท้าวพระยานําราชธิดากับเครื่ องมงคลราชบรรณาการตอบแทนมา
ให้ กบั เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรตามราชประเพณี เจ้ ากรุงกําพุชาธิบดียก
ให้ บ่าวไพร่ชายหญิงมาอยู่กบั พระราชธิดาเป็ นอันมาก ธิดาเจ้ ากรุงกําพูชาธิ
บดี มาอยูไ่ ด้ สามเดือนก็มีครรภ์ แต่หาทราบว่านางมีครรภ์ไม่ แล้ วนางก็
ลาเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรลงไปเยี่ยมเยือนพระราชบิดา เจ้ าสร้ อย
ศรี สมุทพุทธางกูร จึงแต่งท้ าวพระยาพานางลงไปเยี่ยมเยือนพระราช
บิดา ณกรุงกําพุชาธิบดี ครัน้ ครรภ์นางแก่ขึ ้น พระเจ้ ากรุงกําพุชาธิบดีก็
ส่งพระราชธิดาคืนมา เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรมีความสงสัย จึงเสี่ยง
สัตย์อธิษฐานว่าถ้ าเป็ นบุตรแล้ วคลอดออกมาขอให้ เสียอวัยวะแห่งหนึง่
้ สทุ ธิ์ประกอบไปด้ วยอวัยวะสามสิบสอง
ถ้ ามิใช่บตุ รขอให้ กมุ ารนันบริ
ประการ ครัน้ นางคลอดกุมารออกมาเสียเนตรข้ าง ๑ เป็ นสําคัญ ครัน้
พระราชกุมารใหญ่ขึ ้นมาให้ นามว่าเจ้ าโพธิสาร แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุท
พุทธางกูร จึงจัดตังบ้ ้ านอําเภอโขง ขึ ้นเป็ นเมืองโขง ให้ จารี ยฮวด
เป็ นเจ้ าเมืองรักษาอาณาเขตต์ที่ตําบลนัน้ ให้ จารี ยเสียงช้ างขึ ้นไป
เป็ นเจ้ าเมืองศรี ครอเตา ให้ จารี ยแก้ วเป็ นเจ้ าเมืองท่งรักษาเขตต์

๑๘
แดนฝ่ ายเหนือ ตังแต่
้ ยางสามต้ นอ้ นสามข้ อยหลักทอดยอดยาง
ตะวันออกเขาประทัดต่อแดนกับญวณ ตะวันตกลํานํ ้ากระยุงเป็ นแดน
แล้ วก็ยกให้ นายมัน่ ข้ าหลวงเดิมเป็ นคนใช้ สอยสนิท ไปเป็ นหลวงเอก
รักษาอําเภอบ้ านโพนเรี ยกว่าเมืองมัน่ ให้ นายพรมไปเป็ นซาบุตตโคต
รักษาอําเภอบ้ านแก้ งอาเฮิม มีพระเจดีย์อยูใ่ นตําบลนันองค์ ้ หนึง่ เรี ยกว่า
ธาตุกระเดาทึก จึงให้ เป็ นเมืองคําทองหลวง ให้ จารี ยโสมไปเป็ นใหญ่
รักษาอําเภอบ้ านอิดกระบือ แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรจึงมี
ราชสาส์นให้ ท้าวพระยาถือไปยังกรุงกําพุชาธิบดี ขอยืมฉะบับ
พระไตรปิ ฎก พระเจ้ ากําพุชาธิบดีก็ให้ พระราชาคณะสงฆ์ผ้ ใู หญ่จดั พระ
ไตร
ปิ ฎกให้ แก่ท้าวพระยาคุมขึ ้นไปเมืองนครการจําปาศักดิเ์ จ้ าสร้ อยศรี สมุท
พุทธางกูรก็ให้ จําลองออกแล้ ว ให้ พระเถรานุเถระที่ร้ ูอรรถธรรม
บอกแก่พระสงฆ์สามเณรให้ เล่าเรี ยนศึกษาในคันธธุระวิปัสสนาธุระ
ตังแต่
้ นนมาเจ้
ั้ านายท้ าวพระยาสมณพราหมณาจารย์ประชาราษฎรก็อยู่
เย็นเป็ นสุข
ลุจลุ ศักราช ๑๐๘๒ ปี ชวดโทศก พระครูโพนเสม็ดก็อาพาธลง
ครัน้ อาการมากแล้ วพระครูโพนเสม็ดเห็นว่าจะไม่รอดจึงสัง่ ไว้ วา่ ถ้ า
ถึงแก่มรณภาพแล้ วให้ เอาอัฏฐิ ไปบรรจุไว้ ที่ธาตุพนม ครัน้ ถึง
ณ วันพุธขึ ้นห้ าคํ่าเดือนเจ็ด พระครูโพนเสม็ดก็ถึงแก่มรณภาพ
อายุได้ ๙๐ ปี เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรจึงสัง่ ให้ พระยาลาวท้ าวแสน
ให้ ทําเมรุเสร็จแล้ วก็ชกั ศพพระครูโพนเสม็ดเข้ าสูเ่ มรุ แต่งตังการ

ทําบุญให้ ทานมีการเล่นต่าง ๆ ได้ เดือนหนึง่ แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุท

๑๙
พุทธางกูรกับแสนท้ าวพระยา พร้ อมกันก็จดุ เพลิงเผาศพพระครูโพน
เสม็ดเสร็จแล้ ว เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรจึงให้ สร้ างพระอาราม
ขึ ้นในที่ตําบลเผาศพพระครูโพนเสม็ดอารามหนึง่ และก่อพระเจดีย์
ใหญ่องค์หนึง่ พระเจดีย์เล็กสามองค์บรรจุองั คารพระครูโพนเสม็ดไว้ ใน
พระอารามนัน้ จึงได้ เรี ยกว่าวัดธาตุมาจนบัดนี ้ แต่อฏั ฐิ นนเจ้
ั ้ าสร้ อย
ศรี สมุทพุทธางกูรให้ ท้าวพระยาคุมขึ ้นไปให้ บรรจุไว้ ที่ธาตุพนมตามคํา
พระครูโพนเสม็ดสัง่ ไว้ แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูร จึงปรึกษาพร้ อม
ด้ วยเจ้ านายพระยาลาวท้ าวแสนว่า จะให้ เจ้ าโพธิสารราชบุตรที่มารดา
มาแต่ฝ่ายเขมรออกตังรั้ กษาประชาราษฎรฝ่ ายเขมร จึงได้ มีพระราช-
สาส์นไปยังเจ้ ากรุงกําพุชาธิบดีผ้ ตู าเจ้ าโพธิสาร ๆ ได้ ทราบในพระราช-
สาส์นแล้ ว ก็ให้ พระยาพระเขมรผู้ใหญ่มาพร้ อมกันจัดการตังให้ ้
เจ้ าโพธิสารเป็ นเจ้ าเมืองศรี จําบังอยู่ ลํานํ ้าเซลําเภาแล้ วพระยาพระเขมร
จึงปั นเขตต์แดนฝ่ ายใต้ ให้ เป็ นเขตต์แดนเมืองนครจําปาศักดิ์ นํ ้าโขงฝั่ ง
ตะวันจดตังแต่้ ปากคลองนํ ้าจะหลีกไปตามปลายคลองถึงลํานํ ้าเสน ฟาก
ฝั่ งเสนเป็ นเขตต์แดนเมืองสะโทงกําปงสวาย ฝั่ งนํ ้าโขงตะวันออก
บุงขาถึงลํานํ ้าปากคลองสบา
ครัน้ ลุศกั ราช ๑๐๙๘ ปี มะโรงอัฏฐศก นายพรานนําข่าวสารมา
แจ้ งต่อท้ าวพระยาเสนาบดีวา่ พรานทึงพรานเทืองข่าบ้ านส้ มป่ อย
นายอนได้ พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกมาองค์หนึง่ พวกข่าหารู้จกั ว่า
เป็ นพระปฏิมากรไม่ ว่าเป็ นรูปเจว็ดเอาเซ่นบวงสรวง ถ้ าจะไป
เที่ยวยิงสัตว์ก็เซ่นบอก ครัน้ ได้ สตั ว์มาแล้ วก็เอาโลหิตสัตว์นนมาทาที
ั้ ่

๒๐
พระโอษฐ์ พระ ถ้ าจะตากเข้ าและของก็เอาพระปฏิมากรมาตังไว้ ้ ให้
เฝ้า ไก่กาก็หาทําอันตรายแก่ของที่ตากไม่ แต่พระกรรณนันข่ ้ าเมื่อได้
พระเอาหน้ าไม้ คอนมาพระกรรณกระทบหน้ าไม้ บนิ่ ข้ างหนึง่ ท้ าวพระยา
เสนาบดีจงึ นําข้ อความขึ ้นกราบทูลเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูร ๆ ทราบ
แล้ วก็มีปีติโสมนัส จึงแต่งท้ าวพระยาผู้ใหญ่คมุ ไพร่พลขึ ้นไปอัญเชิญ
พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกลงมาณเมืองนครจําปาบาศักดิ์ ท้ าวพระยา
คุมไพร่พลขึ ้นไปถึงบ้ านส้ มป่ อยนายอนแล้ ว ก็อญ
ั เชิญพระพุทธ
ปฏิมากรแก้ วผลึกแห่ลงมา พวกข่าบ้ านส้ มป่ อยนายอนก็พากันตาม
ลงมาส่งพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก จนถึงปากคลองบางเลียง ท้ าว
พระยาผู้ไปอัญเชิญพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกนัน้ ก็ให้ พวกข่าบ้ าน
ส้ มป่ อยนายอนกลับคืนไปตามภูมิลําเนาเดิม แล้ วก็อญ
ั เชิญพระพุทธ
ปฏิมากรแก้ วผลึกลงเรื อ พอจะออกเรื อลงมานครจําปาบาศักดิเ์ กิด
มหัศจรรย์คลื่นลมพายุก็หามีไม่ เผอิญให้ เรื อที่ทรงพระพุทธปฏิมากร
แก้ วผลึกเอียงลง พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกก็จมนํ ้าหายไป ท้ าว
พระยาจึงให้ ไพร่พลลงดํานํ ้าค้ นคว้ าหาถึงสองวันสามวันก็หาได้ ไม่ จึงได้
นําข้ อความไปกราบทูลเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูร ๆ ได้ ทรงทราบแล้ ว
ก็มีความเสียดายเสียพระทัยเป็ นอันมาก แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุท-
ธางกูรจึงให้ ตงพิ
ั ้ ธีบวงสรวงเทพารักษ์เสร็จแล้ ว ตังสั
้ ตยาธิษฐานว่า
บุญบารมีเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรจะมีบญ ุ ญาภิสมภารแล้ วขอให้ ได้
พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกองค์นี ้ ครัน้ เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูร
ตังสั
้ ตยาธิษฐานแล้ ว ในวันนันเวลาคํ
้ ่าเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูร

๒๑
เข้ าที่บรรทมบังเกิดสุบนิ นิมิตต์เป็ นเทพสังหรณ์ว่า ให้ เอาพวกข่าบ้ าน
ส้ มป่ อยนายอนที่ตามมาส่งพระปฏิมากรแก้ วผลึก มาดํานํ ้าค้ นหาจึงจะได้
แต่พระพุทธปฏิมากรแกล้ วผลึกองค์นี ้อยู่ที่บ้านใด เมืองใด เมืองนันก็ ้ จะ
บริบรู ณ์หาอันตรายมิได้ เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรตื่นบรรทมแล้ ว
ก็มีปิตโิ สมนัส จึงสัง่ ให้ แสนท้ าวพระยาขึ ้นไปหาตัวพวกข่าส้ มป่ อยนายอน
ที่ตามมาส่งพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกแต่ก่อนนัน้ ทังหญิ
้ งทังชาย

ลงมาแล้ วให้ พวกข่าลงดํานํ ้าค้ นหาพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก พรานทึง
นายข่าจึงดําได้ พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกขึ ้นมา เจ้ าสร้ อยศรี สมุท
พุทธางกูร จึงให้ ชา่ งทําฐานและเครื่ องทรงพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก
เสร็จแล้ ว แห่เข้ าสูโ่ รงสมโภชมีการเล่นต่าง ๆ ครบ ๗ วัน ๗ คืน
แล้ วให้ อญ
ั เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึ ประดิษฐานไว้ ในหอพระที่วงั เจ้ า
สร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรเป็ นที่สกั การบูชา พวกข่าที่ตามลงมาส่ง
พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกนัน้ ก็ให้ ตงบ้
ั ้ านเรื อนอยู่บ้านขามเนิ่งจึง
เรี ยกว่าข่าข้ าพระแก้ วมาจนบัดนี ้
แต่พรานทึงนันตั
้ งให้้ เป็ นนายกองพิทกั ษ์รักษาข่าบ้ านส้ มป่ อย
นายอนที่ยงั เหลืออยูใ่ ห้ เป็ นส่วยขี ้ผึ ้งผ้ าขาว ถวายพระพุทธปฏิมากรแก้ ว
ผลึกตังแต่
้ ได้ พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกมาไว้ ในบ้ านเมือง สมณ
พราหมณาจารย์เจ้ านายพระยาท้ าวแสนก็อยูเ่ ย็นเป็ นสุข
ลุศกั ราช ๑๐๙๙ ปี มะเส็งนพศก เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูร
ประชวรโรคชรา จึงให้ หาตัวเจ้ านายท้ าวพระยามาพร้ อมกัน มอบ
ราชสมบัตบิ ้ านเมืองให้ แก่เจ้ าไชยกุมารผู้บตุ ร แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุท

๒๒
พุทธางกูรก็ถึงแก่สวรรคต เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรครองราชสมบัติ
ได้ ๒๕ ปี แต่ชนมายุเท่าใดมิได้ ปรากฎ เสนาบดีทงปวงจึ ั้ งอัญเชิญ
เจ้ าไชยกุมารขึ ้นครองราชสมบัตใิ นเมืองนครจําปาบาศักดิ์ ถวาย
พระนามว่าพระเจ้ าองค์หลวง ๆ จึงตังเจ้ ้ าธรรมเทโวอนุชาเป็ นมหาอุป-
ราช ตังเจ้ ้ าสุริโยเป็ นราชวงศ์ แล้ วพระเจ้ าองค์หลวงทําเงินพดด้ วง
ตอกตรา ๆ ดวงหนึง่ เป็ นเม็ด ๆ เจ็ดเม็ด ตราดวงหนึง่ เรี ยกว่าตรา
ดอกรักนํ ้าหนัก ๓ สลึงเฟื อ้ งลาวเรี ยกว่าเงินเป้งแปด หาเรี ยกว่าเงินบาท
ไม่ แต่ทกุ วันนี ้เรี ยกว่าเงินบาทลาวเงินเนื ้อตํ่า พระองค์เจ้ าหลวงจึงสัง่
ให้ ท้าวพระยาเกณฑ์ไพร่ทําเมรุขึ ้นที่ข้างวัง ครัน้ การทําเมรุเสร็จแล้ ว
จึงได้ ชกั ศพเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรเข้ าสูเ่ มรุทําบุญให้ ทานพระเจ้ า
องค์หลวงแลเจ้ านายท้ าวพระยาก็เผาศพเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรเสร็จ
แล้ ว พระเจ้ าองค์หลวงจึงให้ เกณฑ์ไพร่พลก่อพระเจดีย์ขึ ้นที่ตําบลทํา
เมรุ บรรจุอฏั ฐิ เจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุทธางกูรไว้ ในที่พระเจดีย์นนยั ั ้ งปรากฏ
มาจนทุกวันนี ้
ครัน้ ลุศกั ราช ๑๑๐๐ ปี มะเมียสัมฤทธิศก พระเจ้ าองค์หลวง
หล่อพระพุทธปฏิมากรองค์หนึง่ หน้ าตักศอก ๘ นิ ้ว ครัน้ สร้ างสําเร็จ
บริบรู ณ์แล้ ว จึงอัญเชิญพระพุทธปฏิมากรประดิษฐานไว้ ในพระ
อุโบสถวัดศรี สมังจนทุกวันนี ้ อยูน่ านมาชาวบ้ านราษฎรพากันไปเที่ยว
ซุม่ ซ่อมช้ อนปลาในลําห้ วย แล้ วไปพบพระพุทธไสยาสน์องค์หนึง่ เป็ น
ศิลา แต่ผ้ ทู ี่ไปพบหาทราบว่าเป็ นพระพุทธปฏิมากรไสยาสน์ไม่ด้วยจม
อยูใ่ นลําห้ วย เห็นแต่พระกรสูงขึ ้นมาพ้ นนํ ้า ราษฎรชาวบ้ านจึงได้ เอา

๒๓
มีดไปลับที่พระกรพระนันเนื้ อง ๆ มา วันหนึง่ มีคนไปลับมีดที่พระกร
พระแล้ ว เป็ นด้ วยอํานาจเทพยดาให้ พระร้ องปรากฏขึ ้น คนที่ลบั มีด
ก็ตกใจแล้ วไปบอกแก่ชาวบ้ านทังปวง
้ ราษฎรชาวบ้ านพากันไปขุด
ค้ นดูจงึ เห็นองค์พระพุทธไสยาสน์
ตานานเมืองนครจาปาศักดิ์
ฉะบับ หม่อมอมรวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม) เรี ยบเรี ยง

เมืองนครจําปาศักดิน์ ี ้ พงศาวดารมณฑลอีสานว่า พระครู


โพนเสม็ดได้ ตงขึ ั ้ ้นเมื่อพุทธศักราช ๑๒๕๑ ปี มะเส็งเบ็ญจศกจุล-
ศักราช ๑๐๗๕ ต่อนันมาจนถึ ้ งปี รัตนโกสินทรศก ๑๒๖ นี ้ได้ ๑๙๔ ปี
มีเรื่ องราวดังนี ้
เมื่อก่อนจุลศักราช ๑๐๐๐ ปี เมืองนครจําปาศักดิน์ ี ้ยังเป็ นทําเล
ป่ าดง แต่มีชาวบ้ านเรี ยกว่าข่า, ส่วย, กวย, อยูส่ ืบเชื ้อสายต่อมา
ภายหลังลาวชาวเมืองเหนือ (มีเมืองศรี สตั นาคนหุตเป็ นต้ น) พากันมา
ตังนิ
้ วาสถานอยูม่ ากขึ ้น แล้ วพร้ อมกันยกหัวหน้ าแห่งตนขึ ้นเป็ น
ผู้ปกครองสืบตระกูลต่อมา จนถึงผู้ครองเมืองคนหนึง่ ได้ สร้ าง
เมืองขึ ้นที่ริมแม่นํ ้าโขงฝั่ งตะวันตก คือตําบลที่เรี ยกว่าบ้ านกระตึบ
เมืองกลางเดี๋ยวนี ้ ขนานนามเมืองว่า พระนครกาลจําบากนาคบุรี
ครัน้ พิราลัยแล้ วเจ้ าสุทศั นราชาผู้บตุ รได้ ครองเมืองต่อมาจนถึง จุลศักราช
๑๐๐๐ ปี พิราลัยไม่มีบตุ ร ประชุมชนจึงยกผู้มีตระกูลผู้หนึง่ นามไม่
ปรากฏ ขึ ้นเป็ นผู้อํานวยการบ้ านเมืองได้ ๖ ปี ก็ถึงแก่กรรม นางแพง
บุตรนางเภาหลานได้ เป็ นหัวหน้ าอํานวยการบ้ านเมืองต่อมา
จุลศักราช๑๐๐๕(ระหว่างรัชชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่๕ พระ
เจ้ าปราสาททอง) มีภิกษุรูปหนึง่ อยูว่ ดั โพนเสม็ดแขวงเมืองศรี สตั นา-

๒๕
คนหุต ชาวเมืองเรี ยกว่าพระครูโพนเสม็ด ๆ มีญาติโยมสานุศษิ ย์มาก
ครัน้ เมื่อจุลศักราช ๑๐๕๑ (ระหว่างรัชชกาลสมเด็จพระมหาบุรุษ
พระเพทราชา) ผู้ครองเมืองศรี สตั นาคนหุตพิราลัย มีบตุ รชายชื่อเจ้ า
องค์หล่ออายุ ๓ ปี และมารดายังมีครรภ์อยู่ พระยาเมืองแสนจึงชิง
สมบัตขิ ึ ้นครองเมือง และมีความปรารถนาจะใคร่ได้ มารดาเจ้ าองค์
หล่อเป็ นภรรยา นางไม่ยินดีพาบุตรหนีไปอยูก่ บั พระครูโพนเสม็ด ๆ
จึงให้ ไปอยูท่ ี่ตําบลภูฉะง้ อหอคํา ครัน้ นางคลอดบุตรเป็ นชาย คน
ทังหลายเรี
้ ยกว่าเจ้ าหน่อกษัตริย์ ฝ่ ายเจ้ าองค์หล่อผู้เป็ นเชษฐา
ครัน้ เจริญวัยขึ ้นคิดคุมโทษโกรธแค้ นพระยาเมืองแสน จึงพาบ่าวไพร่
หนีไปตังเกลี
้ ้ยกล่อมส้ องสุมผู้คนอยูณ ่ เมืองญวน ส่วนพระยาเมือง
แสนคิดจะกําจัดพระครูโพนเสม็ด ด้ วยเห็นว่าเป็ นผู้มีกําลังวังชามากเกรง
จะเป็ นศัตรูตอ่ บ้ านเมือง พระครูโพนเสม็ดรู้ตวั จึงพาเจ้ าหน่อกษัตริย์กบั
มารดาพร้ อมทังญาติ
้ โยมพรรคพวกประมาณ ๓๐๐๐ เศษ อพยพออก
จากเมืองศรี สตั นาคนหุตไปถึงตําบลงิ ้วพันลํานํ ้าโสมสนุก จึงให้ เจ้ า
หน่อกษัตริย์กบั มารดาและสานุศษิ ย์ตงเคหะสถานอยู
ั้ ท่ ี่นนบ้
ั ้ าง เหลือ
นันพระครู
้ โพนเสม็ดก็พาต่อไปถึงตําบลใด ก็มีผ้ นู ิยมยินดีนบั ถือและ
ติดตามไปด้ วยเป็ นอันมาก จนไปถึงเขตต์แขวงเมืองบันทายเพ็ชร
คิดว่าจะตังพั
้ กอยูณ ่ แขวงเมืองบันทายเพ็ชร ๆ ตรวจสํามะโนครัว
และจะเก็บเงินครัวละ ๘ บาท พระครูเสม็ดเห็นว่ายังไม่มีผลประโยชน์
และจะเป็ นความเดือดร้ อนแก่พวกญาติโยม จึงได้ พากันย้ อนกลับมา
ทางลําแม่นํ ้าโขง ถึงนครกาลจําบากนาคบุรีศรี ก็หยุดตังพั ้ กอาศัยอยู่
แต่

๒๖
พวกศิษย์ซงึ่ เป็ นลาวและเขมรก็พากันแยกไปตังนิ้ วาสถานอยูณ ่ ที่ตา่ ง ๆ
คละปะปนกันอยูก่ บั พวกข่า, กวย, ตามภูมิลําเนาอันสมควร
ฝ่ ายนางแพงนางเภา ตังแต่ ้ พระครูโพนเสม็ดมาอยูใ่ นเมืองแล้ ว
ก็มีความนิยมนับถือ จึงพร้ อมด้ วยแสนท้ าวพระยาลาวอาราธนาให้
พระครูโพนเสม็ดบัญชาการบ้ านเมือง และสัง่ สอนพระพุทธศาสนา
ครัน้ จุลศักราช ๑๐๗๑ (ระหว่างรัชชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์
ที่ ๙ ขุนหลวงท้ ายสระ) ประชาชนชาวนครกาลจําบากนาคบุรีศรี
เกิดวิวาทบาดหมางและคบพากันตังชุ ้ มนุมประพฤติเป็ นโจรผู้ร้ายกําเริบ
ทวีขึ ้น จนราษฎรซึง่ ตังอยู ้ ใ่ นความสุจริตพากันเดือดร้ อน พระครูโพน
เสม็ดได้ วา่ กล่าวห้ ามปรามโดยทางธรรม ก็หาเป็ นการสงบเรี ยบร้ อย
สมประสงค์ไม่ ครัน้ จะใช้ อํานาจปราบปรามเอาตามอาญาจารี ตก็
เกรงว่าจะผิดวินยั สมณเพศ จึงดําริเห็นว่าเจ้ าหน่อกษัตริย์ซงึ่ ให้
ตังอยู
้ ต่ ําบลงิ ้วพันลํานํ ้าโสมสนุก มีความเจริญวัยประกอบด้ วยเกียรติยศ
เกียรติคณุ พอจะเป็ นผู้ระงับปราบปรามและปกครองบ้ านเมืองได้ จึง
ให้ แสนท้ าวพระยาลาวไปอัญเชิญเจ้ าหน่อกษัตริย์ กับมารดามายัง
นครกาลจําบากนาคบุรีศรี
ครัน้ จุลศักราช ๑๐๗๕ พระครูโพนเสม็ดพร้ อมด้ วยแสนท้ าว
พระยาลาวจัดตังพิ ้ ธียกเจ้ าหน่อกษัตริย์ ขึ ้นเป็ นเจ้ าสร้ อยศรี สมุทพุท-
ธางกูรครองนครกาลจําบากนาคบุรีศรี แล้ วเปลี่ยนนามเมืองว่านคร
จําปาศักดิน์ าคบุรีศรี แล้ วตําแหน่งเจ้ านายแสนท้ าวพระยาลาวเต็มตาม
ตําแหน่งอย่างกรุงศรี สตั นาคตหุต (เวียงจันทน์) และตังอั ้ ตราเก็บเงิน

๒๗
ส่วยแก่ชายที่มีบตุ รเขย ๑๐ เก็บแต่พอ่ ตา ๑ บุตรเขย ๑ ถ้ ามี ๕
เก็บฉะเพาะพ่อตา ๑ กําหนดคนละ ๑ ลาด และข้ าวเปลือกหนักคนละ
ร้ อยชัง่ (ข้ าวเวลานันหนั
้ กร้ อยชัง่ ต่อบาท ลาดนันทํ ้ าด้ วยทองแดงบ้ าง
ทองเหลืองบ้ างทองขาวบ้ าง รูปคล้ ายเรื อชะล่าแต่หวั แหลมท้ ายแหลม
ขนาดยาว ๓, ๔, ๕ นิ ้ว ใช้ เป็ นอัตราสิบหกอันต่อบาทของเงินพดด้ วง
ลาว ที่เรี ยกว่าเงินเป้งแปดนํ ้าหนักสามสลึงเฟื อ้ ง) แล้ วเจ้ าสร้ อย
ศรี สมุท ฯ สร้ างอารามขึ ้นในเมืองวัดหนึง่ ให้ ชื่อว่าวัดหลวงใหม่ อา-
ราธนาพระครูโพนเสม็ดกับพระสงฆ์อนั ดับ มาอยูณ
่ วัดหลวงใหม่นนั ้
(วัดนันยั้ งปรากฏอยูจ่ นบัดนี ้) เจ้ าสร้ อยศรี สมุทรมีบตุ รชาย ๓ คน
ชื่อเจ้ าไชยกุมาร ๑ เจ้ าธรรมเทโว ๑ เจ้ าสุริโย ๑ และเจ้ าสร้ อย
ศรี สมุท ฯ มีศภุ อักษรแต่งให้ แสนท้ าวพระยาลาว คุมบรรณาการไปขอ
ธิดาเจ้ าเขมรเมืองบันทายเพ็ชรมาเป็ นชายา มีบตุ รอีกคนหนึง่ ชื่อเจ้ า
โพธิสาร แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุท ฯ ให้ จารหวดเป็ นนายอําเภอรักษาบ้ าน
ดอนโขง ซึง่ เป็ นเกาะอยูใ่ นลําแม่นํ ้าโขง (คือที่เรี ยกว่าเมืองศรี ทนั ดร
บัดนี ้) ให้ ท้าวสุดเป็ นพระไชยเชษฐ์ รักษาอําเภอบ้ านหางโคปากนํ ้าเซ-
กอง ซึง่ อยูฝ่ ั่ งโขงตะวันออก (คือเมืองเชียงแตงเดี๋ยวนี ้) ให้ จารแก้ ว
เป็ นนายอําเภอรักษาบ้ านทง (ภายหลังเรี ยกบ้ านเมืองทงคือเมือง
สุวรณภูมิบดั นี ้) ให้ จนั สุริยวงศ์เป็ นอําเภอรักษาบ้ านโพนสิมเมือง
ตะโปนเมืองพินเมืองนอง ให้ นายมัน่ บ่าวเดิมของนางแพง เป็ นหลวง
เอกรักษาอําเภอบ้ านโพน (ภายหลังเรี ยกว่าเมืองมัน่ คือเมืองศาลวัน
เดี๋ยวนี ้) ให้ นายพรหมเป็ นซาบุตตโคตรักษาอําเภอบ้ านแก้ วอาเฮิม

๒๘
ซึง่ มีเจดีย์อยูท่ ี่นนลาวเรี
ั้ ยกว่าธาตุกําเดาทึก ภายหลังเรี ยกว่าเมือง
คําทองหลวง (คือเมืองคําทองใหญ่บดั นี ้) ให้ จารโสมรักษาบ้ านทุง่ อิด
กระบือ (คือเมืองอัตปื อบัดนี ้) เป็ นทําเลเมืองร้ างมาก่อนเรี ยกว่าเมือง
โศรก เมืองซุงคือซองและพะเนียดแต่ก่อนพวกเวียงจันทน์แซกคล้ อง
และฝึ กช้ างเถื่อนที่นนั ้ ให้ ท้าวหลวงบุตรพระละงุมเป็ นขุนนักเฒ่า
รักษาอําเภอโขงเจียม เขตต์แขวงเมืองนครจําปาศักดิใ์ นเวลานันมี
้ วา่
ทิศเหนือตังแต่้ ยางสามต้ นอันสามขวายหลักทอดยอดยาง ทิศ
ตะวันออกถึงแนวภูเขาบรรทัดต่อแดนญวน ทิศใต้ เวลานันยั ้ งไม่ปรากฏ
ทิศตะวันตกต่อเขตต์แขวงเมืองพิมายฟากลํานํ ้ากระยุง
จุลศักราช ๑๐๘๒ พระครูโพนเสม็ดอาพาธเป็ นโรคชรา ถึง
มรณภาพอายุ ๙๐ ปี เจ้ าสร้ อยศรี สมุท ฯ ได้ จดั การฌาปนกิจเสร็จแล้ ว
สร้ างพระเจดีย์ที่ตรงหอไว้ ศพ ๓ องค์ กับสร้ างพระเจดีย์องค์ใหญ่ณที่
ปลงศพองค์หนึง่ ลาวเรี ยกว่าธาตุฝนุ่ ภายหลังได้ สร้ างวิหารขึ ้นณที่นนั ้
จึงได้ ปรากฏนามว่าวัดธาตุฝนมาจนบั ุ่ ดนี ้ แล้ วเจ้ าสร้ อยศรี สมุท ฯ ให้
เจ้ าโพธิสารบุตร ไปเป็ นเจ้ าเมืองควบคุมคนเขมรอยูณ ่ บ้ านทุง่ บัวศรี
ยกบ้ านทุง่ บัวศรี เป็ นเมืองศรี จําบัง คือตําบลที่ตงอยู
ั ้ ฝ่ ั่ งลํานํ ้าใต้ เมือง
เซลําเภาในปั ตยุบนั นี ้ แล้ วได้ ตกลงกับเมืองเขมรปั นเขตต์แดนเป็ นเขตต์
แขวงเมืองนครจําปาศักดิ์ ในทิศใต้ ตงแต่ ั ้ ริมลํานํ ้าโขงฝั่ งตะวันตกปาก-
คลองนํ ้าจะหลีกไปตามปลายคลอง ถึงลํานํ ้าเสนต่อแดนเมืองสะทม
กําพงสวาย ฝั่ งนํ ้าโขงตะวันออกแต่บงุ่ ขลาไปถึงลํานํ ้าปากคลองสบา
จุลศักราช ๑๐๘๖ พรานทึงพรานเทืองข่าบ้ านส้ มป่ อยนายอน

๒๙
(คือที่เป็ นเมืองสะพาดบัดนี ้) ได้ พระแก้ วผลึกมา แต่เข้ าใจว่าเป็ นรูป
มนุษย์จงึ ให้ บตุ รเล่น พระกรรณลิไปข้ างหนึง่ ครัน้ ความทราบถึงเจ้ า
สร้ อยศรี สมุท ฯ จึงจัดให้ แสนท้ าวพระยาลาว ไปเชิญพระแก้ วผลึกแห่
มาประดิษฐานไว้ ณเมืองนครจําปาศักดิ์
จุลศักราช ๑๐๘๗ เจ้ าสร้ อยศรี สมุท ฯ ป่ วย จึงให้ เจ้ าไชยกุมารผู้
บุตรว่าการบ้ านเมืองแทน แล้ วออกจําศีลอยู่
จุลศักราช ๑๐๙๔ เจ้ าองค์หล่อซึง่ หนีไปตังเกลี ้ ้ยกล่อมผู้คนอยู่
ณเมืองญวนนัน้ ครัน้ ได้ กําลังมากขึ ้นก็ยกมาจับพระยาเมืองแสนฆ่า
เสีย แล้ วขึ ้นครองเมืองศรี สตั นาคตหุตต่อไป
จุลศักราช ๑๐๙๙ (ระหว่างรัชชกาลสมเด็จพระบรมราชธิราช
ที่ ๓ พระเจ้ าหัวบรมโกศ) เจ้ าสร้ อยศรี สมุท ฯ พิราลัย อายุได้ ๕๐ ปี
เจ้ าไชยกุมารบุตรได้ ครองเมืองต่อไป เจ้ าไชยกุมารได้ ตงให้
ั ้ เจ้ าธรรม
เทโวผู้น้องเป็ นเจ้ าอุปราช และเปลี่ยนธรรมเนียมเก็บส่วยเป็ นไหม
หนักคนละ ๑ บาท แก่ชายฉกรรจ์ที่มีภรรยาแล้ ว
จุลศักราช ๑๑๒๐ (ระหว่างรัชชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ กับ
ที่ ๔ ต่อกัน) เจ้ าไชยกุมารกับเจ้ าอุปราชธรรมเทโววิวาทกัน เจ้ า
อุปราชคบคิดกับศรี ธาตุบตุ รจารหวดผู้รักษาอําเภอดอนโขงส้ องสุมผู้คน
ได้ มาก แล้ วยกมาเมืองนครจําปาศักดิ์ เจ้ าไชยกุมารมิได้ คดิ ต่อสู้
จึงหนีไปอยูด่ อนมดแดง ซึง่ ตังอยู ้ ใ่ นลํานํ ้ามูนแขวงเมืองนครจําปาศักดิ์
(บัดนี ้เป็ นแขวงเมืองอุบล ฯ) เจ้ าอุปราชจึงเข้ ารักษาเมืองนครจําปาศักดิ์
อยู่ ครัน้ ทราบว่าเจ้ าไชยกุมารหนีไปตังอยู ้ ด่ อนมดแดงก็เกณฑ์กําลัง

๓๐
จะยกไปขับไล่เพื่อให้ ไปเสียให้ พ้นเขตต์แขวงเมืองจําปาศักดิ์ ฝ่ ายมารดา
จึงห้ ามเจ้ าอุปราชไว้ และว่ากล่าวให้ คืนดีกนั กับเจ้ าไชยกุมาร เจ้ าอุปราช
จึงแต่งให้ แสนท้ าวพระยาลาวไปอัญเชิญเจ้ าไชยกุมารกลับมาครองเมือง
นครจําปาศักดิต์ ามเดิม
จุลศักราช ๑๑๒๑ (ระหว่างรัชชกาลสมเด็จพระบรมราชที่ ๓
พระเจ้ าอยูห่ วั พระที่นงั่ สุริยามรินทร์ คือเจ้ าฟ้าเอกทัศ กรมขุนอนุรักษ์
มนตรี ) เวลานันพระยาช้
้ างเผือกแตกโรงออกจากกรุง ไปอยูใ่ นป่ า
ดงทางตะวันตกเมืองนครจําปาศักดิ์ จึงโปรดให้ สองพี่น้อง (ผู้เรี ยบ
เรี ยงพงศาวดารเดิมนี ้เข้ าใจว่า คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลก แต่ครัง้ ยังดํารงพระยศเป็ นหลวงยกบัตรเมืองราชบุรี กับ
กรมราชวังบวรสถานมงคลมหาสุรสีหนาท แต่ครัง้ ยังดํารงพระยศ
เป็ นนายสุจินดา) กับพวกกรมช้ างคุมไพร่พลเที่ยวติดตามพระยาช้ าง
เผือกไปทางแขวงเมืองพิมายแล้ วเลยไปถึงดงทางฟากลํานํ ้ามูนข้ างใต้
จึงได้ ขา่ วพระยาช้ างเผือกจากพวกเขมรส่วยอยูป่ ่ าดงคือ ตากะจะ เชียง
ขัน ซึง่ ตังอยู
้ บ่ ้ านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลําดวนใหญ่ ตาคะบ้ านดงยาง
หรื อเรี ยกว่าโคกอัจประหนึง่ เชียงปุ่ มบ้ านโคกเมืองพี่เชียงสี (หรื อตา
พ่อควาน) บ้ านกุดหวาย (หรื อบ้ านเมืองเตาตามชื่อเชียงสีเมื่อเป็ น
หลวงศรี นครเตา) เป็ นผู้นําสองพี่น้องติดตามพระยาช้ างเผือกได้ มา
จุลศักราช ๑๑๒๙ เจ้ าองค์หล่อผู้ครองเมืองศรี สตั นาคนหุต
พิราลัยไม่มีบตุ ร แสนท้ าวพระยาลาวและนายวอนายตาจึงพร้ อมกัน
เชิญกุมารสองคน (นามไม่ปรากฏ) ซึง่ เป็ นเชื ้อวงศ์ผ้ คู รองเมืองศรี สตั นา

๓๑
คนหุตคนเก่า (ไม่ปรากฏว่าคนไหน) ซึง่ ได้ หนีไปอยูก่ บั นายวอนายตา
เมื่อเจ้ าองค์หล่อยกกําลังมาจับพระยาเมืองแสนฆ่าเสียนัน้ ขึ ้นครอง
เมืองศรี สตั นาคนหุตแล้ วนายวอนายตาขอเป็ นที่มหาอุปราช กุมารผู้
เป็ นเชษฐาเห็นว่านายวอนายตามิได้ เป็ นเชื ้อเจ้ า จึงตังให้
้ นายวอนาย
ตาเป็ นแต่ตําแหน่งพระเสนาบดี และตังให้ ้ กมุ ารผู้น้องเป็ นมหาอุปราช
พระวอพระตามีความโทมนัสจึงพากันอพยพไปสร้ างเวียงอยูท่ ี่บ้าน
หนองบัวลําภู ให้ ชื่อว่าเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้ วบัวบาน (บัดนี ้เป็ น
เมือง กมุทาไสย) ผู้ครองเมืองศรี สตั นาคนหุต ได้ ห้ามไม่ให้ พระวอ
พระตาตังเป็้ นเมือง ก็หาฟั งไม่ จึงได้ ยกกําลังไปตีพระวอพระตาสู้รบกัน
ได้ ประมาณ ๓ ปี พระวอพระตาเห็นจะต้ านมิได้ จึงได้ แต่งคนไป
อ่อนน้ อมแก่พะม่าขอกําลังไปช่วย พะม่าได้ แต่งให้ มองละแงะเป็ นแม่ทพั
ยกไปช่วยพระวอพระตา ฝ่ ายผู้ครองเมืองศรี สตั นาคนหุตแจ้ งดังนัน้
จึงแต่งบรรณาการให้ แสนท้ าวพระยาลาวคุมลงมาดักกองทัพพะม่าอยู่
กลางทาง แล้ วพูดเกลี ้ยกล่อมชักชวนเอาพะม่าเข้ าเป็ นพวกเดียวกัน
ยกไปตีพระวอพระตา พระตาตายในที่รบ ยังอยูแ่ ต่พระวอกับท้ าว
ฝ่ ายหน้ าท้ าวคําผง ท้ าวทิพยพรหมผู้เป็ นบุตรพระตา กับท้ าวทิตยกํ่า
บุตรพระวอจึงพาครอบคัวหนีอพยพลงไปพึง่ อยูก่ บั เจ้ าไชยกุมารเมือง
นครจําปาศักดิ์ ตังอยู ้ ต่ ําบลเวียงดอนกอง (คือที่เรี ยกว่าบ้ านดูบ่ ้ านแค
แขวงเมืองนครจําปาศักดิบ์ ดั นี ้)
เจ้ าอุปราชธรรมเทโวถึงแก่กรรม มีบตุ รชาย ๔ คน คือเจ้ าโอ
๑ เจ้ าอิน ๑ เจ้ าธรรมกิตกิ า ๑ เจ้ าคําสุก ๑ บุตรหญิง ๑ ชื่อนางตุย่

๓๒
จุลศักราช ๑๑๓๓ (ระหว่างรัชชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ ๔
พระเจ้ าตากสินกรุงธนบุรี) ผู้ครองเมืองศรี สตั นาคนหุตทราบว่าพระวอ
แตกหนีไปตังอยู
้ ต่ ําบลดอนกอง จึงได้ แต่งให้ อคั ฮาดคุมกําลังยกตาม
ไปถึงแขวงนครจําปาศักดิ์ เจ้ าไชยกุมารจึงแต่งให้ พระยาพลเชียง
สาคุมกองทัพขึ ้นไปต้ านทานไว้ แล้ วมีศภุ อักษรถึงผู้ครองเมืองศรี
สัตนาคนหุตขอโทษพระวอ ผู้ครองเมืองศรี สตั นาคนหุตก็มีศภุ อักษร
ตอบยกโทษให้ โดยทางไมตรี และมีคําสัง่ ให้ อคั ฮาดยกกําลังกลับไป
ยังเมืองศรี สตั นาคนหุต
ฝ่ ายเจ้ าไชยกุมารดําริจะสร้ างเมืองใหม่ ที่ตําบลศรี สมุ งั ถอยไป
จากเมืองเดิมทางประมาณ ๒๐๐ เส้ น พระวอรับอาสาเป็ นผู้สร้ างกําแพง
เมือง พระมโนสาราชและพระศรี อคั ฮาดเมืองโขงรับอาสาสร้ างหอคํา
ครัน้ สร้ างเสร็จแล้ ว เจ้ าไชยกุมารยกไปอยูเ่ มืองใหม่ อยูม่ าวันหนึง่
เจ้ าไชยกุมารออกว่าการณหอราชสิงห์หาร พร้ อมด้ วยเจ้ านายแสนท้ าว
พระยาลาว พระวอจึงทูลว่าที่พระวอได้ สร้ างกําแพงเมืองถวาย กับผู้
ที่ได้ สร้ างหอคําถวายนัน้ ใครจะประเสริฐกว่ากัน เจ้ าไชยกุมารตอบ
ว่า กําแพงเมืองนันก็ ้ ดีเป็ นที่กําบัง สําหรับป้องกันศัตรูซงึ่ จะมาทําร้ าย
แต่หอคํานันจะดี
้ กว่าสักหน่อยด้ วยได้ เป็ นที่อาศัยนัง่ นอนมีความสุขสําราญ
มาก พระวอได้ ฟังดังนันก็
้ มีความอัปยศโทมนัส จึงพาครอบครัว
อพยพหนีไปตังส้ ้ องสุมผู้คนอยูด่ อนมดแดงในลํานํ ้ามูน (ซึง่ เป็ นแขวง
เมืองอุบล ฯ เดี๋ยวนี ้) แล้ วมีใบบอกแต่งให้ ท้าวเพี ้ยพี่น้องคุมเครื่ อง
บรรณาการมายังเมืองนครราชสิมา ให้ นําขึ ้นสมัครอยูใ่ นความปกครอง
ของกรุงธนบุรี
๓๓
ฝ่ ายผู้ครองเมืองศรี สตั นาคนหุตทราบว่า พระวอมีความวิวาท
บาดหมางกับเจ้ านครจําปาศักดิ์ ยกครอบครัวไปตังอยู
้ ด่ อนมดแดง
จึงแต่งให้ พระยาสุโปคุมกองทัพไปตีพระวอ ๆ เห็นจะสู้มิได้ จงึ พา
ครอบครัวหนีไปตังอยู้ ต่ ําบลเวียงดอนกอง แล้ วแต่งคนให้ มาขอกําลัง
เจ้ านครจําปาศักดิไ์ ปช่วย เจ้ านครจําปาศักดิก์ ็หาไปช่วยไม่ กองทัพ
พระยาสุโพจึงยกตามไปล้ อมเวียงไว้ จับพระวอได้ ฆา่ เสีย ท้ าวกํ่าบุตร
พระวอกับท้ าวฝ่ ายหน้ าท้ าวคําผงท้ าวทิตยพรหมบุตรพระตาหนีออกจาก
ที่ล้อมได้ จึงมีใบบอกแต่งคนลงมาเมืองนครราชสิมา เพื่อให้ บอก
ลงมากรุงธนบุรีขอกองทัพขึ ้นไปช่วย
จุลศักราช ๑๑๔๐ เจ้ าธนบุรี จึงโปรดให้ พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แต่ครัง้ ยังทรงพระยศเป็ นสมเด็จเจ้ าพระยา
มหากษัตริย์ศกึ เป็ นแม่ทพั ยกไปทางบกสมทบกับกําลังเกณฑ์ของ
หัวเมืองตะวันออก และโปรดให้ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
มหาสีหนาท แต่เมื่อยังดํารงพระยศเป็ นเจ้ าพระยาสุรสีห์พิศณวา
ธิราชเป็ นแม่ทพั ยกไปเมืองกัมพูชา เกณฑ์พลเมืองเขมรต่อเรื อรบ
ยกขึ ้นไปตามลํานํ ้าโขง
ฝ่ ายกองทัพพระยาสุโพทราบว่ากองทัพกรุ งยกขึ ้นไปเห็นจะต้ านทาน
มิได้ ก็ยกถอยกลับไปยังเมืองศรี สตั นาคนหุต กองทัพกรุงทังสองทั ้ พ
ก็ยกขึ ้นไปตีเมืองนครจําปาศักดิ์ เจ้ าไชยกุมารผู้ครองเมืองนครจํา-
ปาศักดิ์ เห็นว่าจะต่อสู้ต้านทานมิได้ จึงพาครอบครัวอพยพหนีไป
ตังอยู
้ ท่ ี่เกาะไชย กองทัพกรุงตามไปจับเจ้ าไชยกุมารได้ แล้ วก็เลยยก
ไป

๓๔
ตีเมืองนครพนมและเมืองหนองคาย (บางทีจะเป็ นเมืองไชยบุรี) ได้
แล้ วยกเลยไปล้ อมเมืองศรี สตั นาคนหุตไว้ ผู้ครองเมืองศรี สตั นาคนหุต
ต่อสู้ต้านทานไม่ได้ ก็แตกหนีไปทางเมืองคําเกิด กองทัพกรุงยกเข้ าเมือง
ศรี สตั นาคนหุตได้ แล้ ว จึงตังให้
้ พระยาสุโพเป็ นผู้รัง้ เมืองศรี สตั นาคนหุต
และจัดราชการบ้ านเมืองเรี ยบร้ อยแล้ วเชิญพระแก้ วมรกตหนึง่ พระบาง
หนึง่ ซึง่ อยูใ่ นเมืองศรี สตั นาคนหุตกับคุมตัวเจ้ าไชยกุมารยกกองทัพ
กลับมายังกรุงธนบุรี เจ้ ากรุงธนบุรีจงึ โปรดให้ เจ้ าไชยกุมารกลับไป
ครองเมืองนครจําปาศักดิ์ เป็ นเมืองประเทศราชขึ ้นกับประเทศไทยแต่
นันมา

เจ้ าสุริโยราชวงศ์เมืองนครจําปาศักดิถ์ ึงแก่กรรม มีบตุ รชาย
ชื่อเจ้ าหมาน้ อย ๑ แล้ วท้ าวคําผงบุตรพระตาไปได้ นางตุ้ยบุตรเจ้ าอุป
ราชธรรมเทโวเป็ นภรรยา เจ้ าไชยกุมารเห็นว่าท้ าวคําผงมาเกี่ยวเป็ นเขย
และเป็ นผู้มีครอบครัวบ่าวไพร่มาก จึงตังให้
้ ท้าวคําผงเป็ นพระประทุม
สุรราชนายกองใหญ่ ควบคุมครอบครัวตัวเลขตังบ้ ้ านเวียงดอน
กองแขวงนครจําปาศักดิ์ (คือตําบลที่เรี ยว่าบ้ านดูก่ บั บ้ านแกบัดนี ้)
จุลศักราช ๑๑๔๒ เจ้ าโอบุตรเจ้ าอุปราชธรรมเทโวผู้เป็ นเจ้ าเมือง
และเจ้ าอินอุปฮาดผู้น้องเมืองอิดกระบือ (คือเมืองอัตปื อ) กระทํา
การกดขี่ขม่ เหงราฎษรได้ ความเดือดร้ อน เจ้ านครจําปาศักดิ์ (ไชย
กุมาร) ทราบจึงให้ เจ้ าเชฐ เจ้ านู หลานคุมกําลังไปตามตัวเจ้ าโอ
เจ้ าอิน ๆ รู้ตวั หนีไป แต่เจ้ าโอนันหนี ้ เข้ าไปกอดพระศอพระปฏิมากรอยู่
เจ้ าเชฐจึงให้ จบั ตัวเจ้ าโออกมา แล้ วให้ เอาเชือกหนังรัดคอเจ้ าโอถึง
แก่กรรม เจ้ าโอมีบตุ รชายสองคน ชื่อเจ้ านากหนึง่ เจ้ าฮุยหนึง่

๓๕
จุลศักราช ๑๑๔๔ (ระหว่างรัชชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลก) ได้ ทรงทราบว่าเมืองนคจําปาศักดิก์ บั เมืองอัตปื อ
เกิดวิวาทฆ่าฟั นกัน จึงโปรดให้ ข้าหลวงขึ ้นไปคุมเอาตัวเจ้ านคร-
จําปาศักดิ์ (ไชยกุมาร) กับเจ้ าเชฐเจ้ านูและเจ้ าหมาน้ อยลงมากรุงเทพฯ
ถึงกลางทางเจ้ านครจําปาศักดิ์ (ไชยกุมาร) ป่ วยจึงโปรดให้ กลับไป
รักษาตัวอยูเ่ มืองนครจําปาศักดิ์ ข้ าหลวงก็คมุ เอาแต่ตวั เจ้ าเชฐ
เจ้ านูเจ้ าหมาน้ อยลงมากรุงเทพ ฯ
จุลศักราช ๑๑๕๓ อ้ ายเชียงแก้ วซึง่ อยูต่ ําบลเขาโองฝั่ งนํ ้าลํานํ ้า
โขงตะวันออกแขวงเมืองโขง แสดงตนว่าเป็ นคนมีวิทยาคุณมีผ้ คู น
นับถือมาก และอ้ ายเชียงแก้ วรู้ขา่ วว่า เจ้ านครจําปาศักดิ์ (ไชยกุมาร)
ป่ วยหนักอยูเ่ ห็นเป็ นโอกาสอันดี จึงคิดการเป็ นขบถยกกําลังมาล้ อม
เมืองนครจําปาศักดิไ์ ว้
ฝ่ ายเจ้ านครจําปาศักดิ์ (ไชยกุมาร) ทราบดังนัน้ ก็ตกใจโรค
กําเริบขึ ้นเลยถึงแก่พิราลัยอายุได้ ๘๑ ปี มีบตุ รชายชื่อเจ้ าหน่อเมือง ๑
บุตรหญิงชื่อเจ้ าป้อมหัวขวากุมารี ๑ เจ้ าท่อนแก้ ว ๑ แลกองทัพอ้ าย
เชียงแก้ วก็เข้ าตีเมืองนครจําปาศักดิไ์ ด้ ครัน้ ความทราบถึงกรุงเทพ ฯ
จึงโปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าพระยานครราชสิมา (ทองอิน) แต่เมื่อครัง้ ยังเป็ น
พระพรหมยกบัตร ยกกองทัพขึ ้นไปปราบปรามอ้ ายเชียงแก้ ว และ
จัดราชการเมืองนครจําปาศักดิ์ กองทัพยกขึ ้นไปยังมิทนั ถึง
ฝ่ ายพระประทุมสุรราช (คําผง) นายกองใหญ่บ้านเวียงดอนกอง
ซึง่ ย้ ายไปตังอยู
้ บ่ ้ านห้ วยแจะละแม (คือตําบลที่อยูร่ ิมเมืองอุบลฯ เดี๋ยวนี ้)

๓๖
กับท้ าวฝ่ ายหน้ าบุตรพระตาซึง่ ไปตังอยู
้ บ่ ้ านสิงทา (คือเป็ นเมืองยโสธร
เดี๋ยวนี ้) จึงพากันยกกําลังไปตีอ้ายเชียงแก้ ว ๆ ยกกําลังออกต่อสู้
ณที่แก่งตนะ (อยูใ่ นลํานํ ้ามูนแขวงเมืองพิมลู มังษาหารเดี๋ยวนี ้)
กองทัพอ้ ายเชียงแก้ วแตกหนี ท้ าวฝ่ ายหน้ าจับตัวอ้ ายเชียงแก้ วได้ ให้
ฆ่าเสียแล้ ว พอกองทัพเจ้ าพระยานครราชสิมา (ทองอิน) ยกขึ ้นไป
ถึงก็พากันไปจัดราชการที่เมืองนครจําปาศักดิ์ จึงทรงพระกรุณา
โปรดเกล้ า ฯ ตังให้
้ ท้าวฝ่ ายหน้ าเป็ นเจ้ าพระวิไชยราชขัตยิ วงศาเจ้ า
นครจําปาศักดิ์ และโปรดให้ เจ้ าเชฐเจ้ านูขึ ้นไปช่วยราชการอยูด่ ้ วยเจ้ า
พระวิไชยราชขัตวิ งศา จึงได้ ย้ายเมืองขึ ้นไปตังอยู ้ ท่ างเหนือ (คือที่
เรี ยกว่าเมืองเก่าคันเกิงเดี๋ยวนี ้) จุลศักราช ๑๑๖๗ เจ้ าพระวิไชย
ราชขัตวิ งศา ขอตังบ้ ้ านนายอนเป็ นเมือง จึงโปรดเกล้ า ฯ ให้ ขนานนาม
ว่าเมืองสะพาด (อยูฝ่ ั่ งลํานํ ้าโขงตะวันออก) ตังพระศรี้ อคั ฮาดบุตร
จารหวดเจ้ าเมืองโขง (ศรี ทนั ดร) เป็ นเจ้ าเมืองขึ ้นเมืองนครจําปาศักดิ์
จุลศักราช ๑๑๗๒ (ระหว่างรัชชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ-
เลิศหล้ านภาลัย) พระยาเดโช (เม่ง) เจ้ าเมืองกําพงสวาย (เขมร)
กับนักปรังผู้เป็ นน้ องชาย มีความวิวาทกันกับนักพระอุทยั ราชา (นัก
องจัน) เจ้ ากรุงกําพุชประเทศ พระยาเดโชกับนักปรังจึงอพยพ
ครอบครัวเข้ ามาขอพึง่ พระบรมโพธสมภารอยูณ ่ แขวงเมืองโขง (ศรี
ทันดร) เมืองนครจําปาศักดิม์ ีบอกเข้ ามากรุงเทพ ฯ จึงโปรดเกล้ า ฯ
ให้ พระยากลาโหมราชเสนา คุมกําลังขึ ้นไปขัดตาทัพรับครัวเขมรอยู่
ณท่าหม้ อออม ครัวพระยาเดโช ได้ มาตังอยู ้ ณ่ บ้ านลงปลา ครัว

๓๗
นักปรังตังอยู
้ บ่ ้ านเวนฆ้ อง (เมืองเซลําเภา)
จึงมีเขมรแซกปนอยูใ่ น
เมืองโขงตังแต่
้ นนมาั้
จุลศักราช ๑๑๗๓ เจ้ าพระยาวิไชยราชขัตยิ วงศา (ท้ าวฝ่ ายหน้ า)
เจ้ านครจําปาศักดิพ์ ิราลัย มีบตุ รชายชื่อเจ้ าบุตร ๑ บุตรหญิง ๓
ชื่อนางแดง ๑ นางไทย ๑ นางก้ อนแก้ ว ๑ แสนท้ าวพระยาลาวมีใบ
บอกมากรุงเทพ ฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ พระยากลาโหม
ราชเสนา เป็ นข้ าหลวงเชิญตรากับหีบศิลาหน้ าเพลิงเครื่ องไทยทาน ซึง่
พระราชทานในการศพเจ้ าพระวิไชยราชขัตยิ วงศา กับสัญญาบัตร
ซึง่ โปรดเกล้ า ฯ พระราชทานให้ เจ้ านูบตุ รเจ้ าหน่อเมืองหลานเจ้ านคร
จําปาศักดิ์ (ไชยกุมาร) เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิน์ นขึ ั ้ ้นไปถึงนครจําปาศักดิ์
ได้ ๓ วัน เจ้ านครจําปาศักดิ์ (นู) ก็พิราลัย พระยากลาโหมราชเสนาจึง
พร้ อมด้ วยท้ าวพระยาลาวจัดการปลงศพเจ้ าพระวิไชยราชขัตยิ วงศาเสร็ จ
แล้ ว บุตรเจ้ าพระวิไชยราชขัตยิ วงศากับแสนท้ าวพระยาลาวได้ ก่อ
เจดีย์บรรจุอฎั ฐิ ไว้ ณวัดเหนือ ซึง่ อยูใ่ นเมืองเก่าคันเกิง (คําลาวเรี ยกว่า
ธาตุหลวงเฒ่ามาจนบัดนี ้)
จุลศักราช ๑๑๗๔ พระยากลาโหมราชเสนาจัดราชการเมืองนคร
จําปาศักดิเ์ รี ยบร้ อยแล้ วจึงได้ เชิญพระแก้ วผลึกซึง่ เจ้ าสร้ อยศรี สมุท ฯ
ประดิษฐานไว้ ณเมืองนครจําปาศักดิน์ นั ้ นํากลับมาทูลเกล้ า ฯ
ถวายณกรุงเทพ ฯ (พระแก้ วผลึกองค์นี ้หน้ าตักกว้ าง ๙ นิ ้วกึ่ง สูง
๑๒ นิ ้วเศษ ซึง่ ปรากฏพระนามในปั ตยุบนั นี ้ ว่าพระพุทธบุษยรัตน-
จักรพรรดิพิมลมณีมยั )

๓๘
จุลศักราช ๑๑๗๕ ทรงกระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าหมาน้ อย
บุตรเจ้ าราชวงศ์ (สุริโย) หลานเจ้ าสร้ อยศรี สมุท ฯ เป็ นเจ้ านคร
จําปาศักดิ์ ให้ เจ้ าธรรมกิตกิ าบุตรเจ้ าอุปราช (ธรรมเทโว) เป็ นเจ้ า
อุปราชเมืองนครจําปาศักดิ์ ภายหลังเจ้ านครจําปาศักดิ์ (หมาน้ อย)
กับเจ้ าอุปราช (ธรรมกิตกิ า) มีความวิวาทบาดหมางคุมกันลงมา
เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จึงโปรดเกล้ า ฯ ให้ แยกเจ้ าอุปราชอยู่
เสีย ณกรุงเทพ ฯ ให้ เจ้ านครจําปาศักดิก์ ลับไปครองเมืองนครจําปา
ศักดิ์
จุลศักราช ๑๑๗๙ มีภิกษุอลัชชีรูปหนึง่ ชื่อสาอยูบ่ ้ านหลุดเลา
เตาปูนแขวงเมืองสารบุรี ได้ มาพักอยูเ่ ขาเกียดโง้ งฝั่ งลํานํ ้าโขง
ตะวันออก แขวงเมืองนครจําปาศักดิ์ อ้ ายสมีสาแสดงตนว่าเป็ นคนมี
วิชาและมีฤทธานุภาพต่าง ๆ เป็ นต้ นว่าเอาแว่นแก้ วมาส่องแดดให้
ติดเชื ้อเป็ นไฟขึ ้น แล้ วอวดว่าเรี ยกไฟฟ้าได้ และสามารถที่จะเรี ยกให้
ไฟนันมาเฝ
้ ้ าบ้ านเมืองให้ ไหม้ วินาศไปสิ ้นก็ได้ คนในเขตต์แขวงเหล่านันมี ้
พวกข่าเป็ นต้ นซึง่ ประกอบไปด้ วยความโง่เขลา ครัน้ เมื่อเห็นอ้ ายสมีสา
แสดงวิชาเช่นนันก็ ้ เห็นเป็ นอัศจรรย์ ต่างมีความกลัวเกรง ก็พากัน
มีความนิยมยินดีเชื่อถือเข้ าเป็ นพวกอ้ ายสมีสาเป็ นอันมาก อ้ ายสมีสา
ใจกําเริบจึงคิดขบถยกเป็ นกระบวนทัพเที่ยวตีตามตําบลบ้ านใหญ่น้อย
ไปจนถึงเมืองนครจําปาศักดิ์ เจ้ านครจําปาศักดิ์ (หมาน้ อย) ทราบ
ดังนันก็้ ตกใจมิทนั ที่จะเตรี ยมตัว จึงอพยพครอบครัวหนีเข้ าป่ าไป
อ้ ายสาเกียดโง้ งก็ยกเข้ าเมืองนครจําปาศักดิไ์ ด้ เที่ยวเก็บเงินเอาทรัพย์
สิ่งของต่าง ๆ แล้ วเอาไฟจุดเผาเมืองนครจําปาศักดิ์ ขณะนันเจ้้ า

๓๙
พระยานครราชสิมา (ทองอิน) กําลังเที่ยวปราบข่าพวกเสม็ดกัญชา
และข่าประไรนบประไรต่างอยูณ ่ แขวงเมืองโขง (ศรี ทนั ดร) ครัน้
ทราบว่าอ้ ายสาเกียดโง้ งคิดการเป็ นขบถขึ ้นเช่นนัน้ จึงมีใบบอกลงมา
กรุงเทพ ฯ แล้ วเจ้ านายพระยานครราชสิมากับพระศรี อคั ฮาดพระโพสา
ราชเมืองโขง จึงเกณฑ์กําลังยกไปตีอ้ายสาเกียดโง้ งแตกหนีไปตังอยู ้ ่
ณเขายาปุ แขวงเมืองอัตปื อ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ พระยามหาอํามาตย์ (ป้อม)
กับพระศรสําแดงคุมกองทัพยกขึ ้นไปตามจับอ้ ายสาเกียดโง้ ง อ้ ายสา
เกียดโง้ งก็หนีตอ่ ไปหาได้ ตวั ไม่ พระยามหาอํามาตย์ พระศรสําแดง
จึงคุมเอาตัวเจ้ านครจําปาศักดิ์ (หมาน้ อย) ลงมาถึงกรุงเทพ ฯ แล้ ว
เจ้ านครจําปาศักดิ์ (หมาน้ อย) ถึงแก่พิราลัย มีบตุ รชาย ๖ คน ชื่อ
เจ้ าอุน่ ๑ เจ้ านุด ๑ เจ้ าแสง ๑ เจ้ าบุญ ๑ เจ้ าจุน่ ๑ เจ้ าจู ๑
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าอนุเวียงจันทน์ยกกําลัง
เทียวตามจับอ้ างสาเกียดโง้ ง ฝ่ ายกองเจ้ าราชบุตร (โย่) บุตรเจ้ า
อนุเวียงจันทน์จบั ตัวอ้ ายสาเกียดโง้ งได้ สง่ ลงมากรุงเทพ ฯ
จุลศักราช ๑๓๘๓ จึงโปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าราชบุตร (โย่) เป็ น
เจ้ านครจําปาศักดิ์ และให้ เจ้ าคําป้อมเมืองเวียงจันทน์เป็ นเจ้ าอุปราช
เจ้ านครจําปาศักดิ์ (โย่) ไปอยูเ่ มืองนครจําปาศักดิ์ แล้ วเกณฑ์
ไพร่พลขุดดินพูนขึ ้นเป็ นกําแพงเมือง และก่อสร้ างกําแพงวัง และ
สร้ างหอพระแก้ วไว้ สําหรับเจ้ านายแสนท้ าวพระยาลาวถือนํ ้าตามธรรม-
เนียม แล้ วเปลี่ยนธรรมเนียมเก็บส่วยแก่ชายฉกรรจ์ที่มีภรรยาแล้ ว

๔๐
เป็ นไหมหรื อป่ านหรื อผลเร่วคนหนึง่ หนักชัง่ ห้ าตําลึง ส่วนข้ าวเปลือก
คงเก็บตามเดิม
จุลศักราช ๑๑๘๘ (ระหว่างรัชชกาลพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั ) ฝ่ ายเจ้ าอนุบดิ าผู้ครองเมืองเวียงจันทน์ และเจ้ านคร
จําปาศักดิ์ (โย่) บุตรผู้ครองเมืองนครจําปาศักดิ์ เห็นว่ามีเขตต์
แขวงและกําลังผู้คนมากขึ ้น ก็มีความกําเริบคิดการเป็ นขบถขึ ้น เจ้ า
อนุจงึ แต่งให้ เจ้ าอุปราช (ศรี ถาน) กับเจ้ าราชวงศ์เมืองเวียงจันทน์
และเจ้ านครจําปาศักดิ์ (โย่) คุมกองทัพตีเมืองรายทางเข้ ามาตังค่ ้ าย
อยูท่ ี่ตําบลมูลเคงแห่งหนึง่ ที่บ้านส้ มป่ อยแห่งหนึง่ ที่ทงุ่ มนแห่งหนึง่
ที่คา่ ยนํ ้าคําแห่งหนึง่ ที่บกหวานแห่งหนึง่
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ กรมพระราชวังบวรสถานมง-
คลเป็ นทัพหลวง เจ้ าพระยาบดินทร์ เดชาแต่เมื่อยังเป็ นเจ้ าพระยา
ราชสุภาวดีเป็ นทัพหน้ ายกขึ ้นไปปราบปราม ครัน้ กองทัพกรุงยกขึ ้นไป
ถึงแขวงเมืองนครราชสิมา ก็พบกับกองทัพเจ้ าราชวงศ์เวียงจันทน์
ได้ ส้ รู บกันเป็ นสามารถ กองทัพเจ้ าราชวงศ์แตกถอยไปค่ายมูลเคงก
องทัพกรุงก็ยกตามไปตีคา่ ยมูลเคงแตกแล้ วยกไปตีคา่ ยส้ มป่ อย และค่าย
ทุง่ มน ค่ายนํ ้าคําแตกกระจัดกระจายไปทุก ๆ ค่าย จนถึงปะทะกับ
กองทัพเจ้ านครจําปาศักดิ์ (โย่) ขณะนันพวกครั
้ วลาวเขมรที่เจ้ า
นครจําปาศักดิ์ (โย่) ให้ กวาดส่งไปไว้ ยงั เมืองนครจําปาศักดิน์ นั ้ ครัน้
ทราบว่ากองทัพกรุงยกขึ ้นไปก็พากันจุดเผาบ้ านเรื อนในเมืองนครจําปา-
ศักดิข์ ึ ้น ไพร่บ้านพลเมืองก็พากันแตกตื่นเป็ นอลหม่าน กองทัพเจ้ านคร

๔๑
จําปาศักดิ์ (โย่) ก็แตกหนีข้ามแม่นํ ้าโขงไป แต่เจ้ าอุปราช (คําป้อม)
เมืองนครจําปาศักดิห์ นีไปตายอยูก่ ลางป่ า กองทัพเจ้ าอุปราชและเจ้ า
ราชวงศ์เวียงจันทน์ก็แตกหนีไปตังรวบรวมอยู
้ ด่ า่ นบกหวาน เจ้ าพระยา
ราชสุภาวดีจงึ ยกกองทัพตามไปตังอยู ้ เ่ มืองยโสธรพักผ่อนไพร่พล และ
จัดเกณฑ์หวั เมืองต่าง ๆ มาเข้ ากองทัพ แล้ วให้ เจ้ าฮุยบุตรเจ้ าโอ
เมืองอัตปื อยกกําลังกองหนึง่ ไปติดตามจับเจ้ านครจําปาศักดิ์ (โย่) ณ
ฟากโขงตะวันออก และให้ เจ้ านากพี่เจ้ าฮุยคุมกําลังมาสมทบกองทัพ
พร้ อมแล้ ว เจ้ าพระยาราชสุภาวดีก็ยกไปตีกองทัพเจ้ าอุปราช เจ้ า
ราชวงศ์เวียงจันทน์ซงึ่ ตังอยู
้ ต่ ําบลบกหวานนัน้ และมีเสียงกล่าวกันว่า
วันหนึง่ เจ้ าพระยาราชสุภาวดีได้ ขี่ม้าไปกับนายทัพนายกอง เพื่อเที่ยว
ตรวจหาชัยภูมิที่ตงค่ ั ้ าย ครัน้ ถึงที่เลี ้ยวแห่งหนึง่ พอพบเจ้ าราชวงศ์
ขี่ม้ามากับนายทหารสองสามคนจนหน้ าม้ าชนกันโดยยังมิ ้ ทนั เจ้ าพระยา
ราชสุภาวดีไม่ร้ ูจกั เจ้ าราชวงศ์ เจ้ าราชวงศ์เอาหอกแทงเจ้ าพระยา
ราชสุภาวดี ๆ หลบปลายหอกพลาดถากถูกสีข้าง ๆ ซ้ ายตกม้ าลง นาย
ทัพนายกองที่ตามไปรู้จกั ตัวเจ้ าราชวงศ์ และได้ ตอ่ สู้ป้องกันเจ้ าพระยา
ราชสุภาวดี ๆ ขึ ้นม้ าได้ แล้ วก็ชว่ ยกันต่อรบกับเจ้ าราชวงศ์ ๆ น้ อยกว่าก็
หนีไปทางฝั่ งแม่นํ ้าโขง แล้ วเจ้ าพระยาราชสุภาวดีก็ยกกองทัพไปตีทพั
เจ้ าอุปราชเวียงจันทน์แตกในวันนัน้ แล้ วก็ยกกองทัพไปตีเมือง
เวียงจันทน์แตก และจับเจ้ าอนุได้ จงึ เข้ าตังพั ้ กกองทัพอยูใ่ นเมือง
เวียงจันทน์ ฝ่ ายเจ้ าฮุยตามไปจับเจ้ านครจําปาศักดิ์ (โย่) ได้ ที่ปลาย
ลํานํ ้าคลองบางเรี ยงฟากแม่นํ ้าโขงตะวันออก คุมมาส่งเจ้ าพระยา
ราชสุภาวดี ๆ

๔๒
หยุดพักไพร่พลจัดราชการหัวเมืองลาวตะวันออกฝ่ ายเหนือทังปวง ้
เรี ยบร้ อยแล้ ว ให้ คมุ เอาตัวเจ้ าอนุเวียงจันทน์ เจ้ านครจําปาศักดิ์
(โย่) ยกกองทัพกลับลงมากรุงเทพ ฯ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าพระยาราชสุภาวดีเป็ น
เจ้ าพระยาบดินทร์ เดชา ให้ เจ้ าฮุยเป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์ ให้ เจ้ านาก
เป็ นเจ้ าอุปราชเมืองนครจําปาศักดิ์ ให้ ตงเงิ
ั ้ นส่วยปี ละร้ อยชัง่
กําหนดให้ เก็บแก่ชายฉกรรจ์คนละสี่บาทสลึง ถ้ าชราพิการคนละสองบาท
สลึง(เศษสลึงนี ้คือเป็ นค่าเผา) และให้ เมืองนครจําปาศักดิจ์ ดั เครื่ อง
บรรณาการลงมาทูลเกล้ า ฯ ถวายณกรุงเทพ ฯ กําหนดสามปี ครัง้ หนึง่
จุลศักราช ๑๑๙๙ เกิดเพลิงไหม้ ในเมืองนครจําปาศักดิ์
บ้ านเรื อนเจ้ านายแสนท้ าวพระยาลาว เสียไปด้ วยเพลิงครัง้ นันเป็ ้ นอัน
มาก เจ้ านครจําปาศักดิ์ (ฮุย) จึงได้ พาไพร่บ้านพลเมืองอพยพจาก
เมืองเก่าคันเกิง ย้ ายลงมาตังเมื
้ องอยูท่ ี่ตําบลเมืองหินรอด (จึงได้
เรี ยกว่าเมืองเก่าหินรอดมาจนบัดนี ้)
จุลศักราช ๑๒๐๒ เจ้ านครจําปาศักดิ์ (ฮุย) พิราลัย อายุได้
๖๓ ปี มีบตุ รชาย ๗ คน ชื่อเจ้ าโสม ๑ เจ้ าอิน ๑ เจ้ าคําใหญ่ ๑
เจ้ าคําสุก ๑ เจ้ าคําสุย ๑ เจ้ าน้ อย ๑ เจ้ าพรหมบุตร ๑ บุตรหญิง
๗ คน ชื่อเจ้ าพิมพ์ ๑ เจ้ าเข็ม ๑ เจ้ าทุม ๑ เจ้ าคําสิง ๑ เจ้ าไช ๑
เจ้ าคําแพง ๑ เจ้ าดวงจันทร์ ๑ รวม ๑๔ คน พร้ อมกันจัดการ
ปลงศพแล้ วก่อพระเจดีย์บรรจุอฏั ฐิ ไว้ ที่วดั ไชยเมืองเก่าหินรอด (คํา
ลาวเรี ยกว่าธาตุเจ้ ายํ่าขม่อมปาศักดิฮ์ ยุ ปรากฎอยูจ่ นบัดนี ้)

๔๓
จุลศักราช ๑๒๐๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าอุปราช
(นาก) เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์ ให้ เจ้ าเสือบุตรเจ้ าอินหลานเจ้ าอุปราช
(ธรรมเทโว) เป็ นเจ้ าอุปราช เจ้ าเสนเป็ นเจ้ าราชวงศ์ เจ้ าสาเป็ น
เจ้ าราชบุตร ทังสองคนนี
้ ้เป็ นบุตรเจ้ านครจําปาศักดิ์ (นาก)
จุลศักราช ๑๒๑๒ เจ้ าเมืองบัวกับเจ้ าเมืองเดชอุดมเกิดวิวาทเรื่ อง
เขตต์แดนที่ตดิ ต่อว่ากล่าวไม่ตกลงกัน เจ้ านครจําปาศักดิ์ (นาก)
กับพระศรี สรุ ะเจ้ าเมืองเดชอุดม จึงได้ พากันลงมาณกรุงเทพ ฯ
ขอให้ กระทรวงมหาดไทย ตัดสินเรื่ องวิวาทเขตต์แดนเป็ นการตกลงกัน
แล้ วเจ้ านครจําปาศักดิ์ (นาก) ป่ วยเป็ นอหิวาตกโรคพิราลัยอยูณ ่
กรุงเทพ ฯ อายุได้ ๗๖ ปี มีบตุ รชาย ๖ คน ชื่อเจ้ าราชวงศ์ (เสน) ๑
เจ้ าราชบุตร (สา) ๑ เจ้ าโพธิสาร (หมี) ๑ เจ้ าอินทชิต (บุตร) ๑
เจ้ าสิงคํา ๑ เจ้ าคําน้ อย ๑ บุตรหญิง ๔ คน ชื่อดวงจันทร์ ๑ เจ้ า
อิ่ม ๑ เจ้ าเจียง ๑ เจ้ าเข็ม ๑ รวม ๑๐ คน ในระหว่างนันยั ้ งมิได้
โปรดเกล้ า ฯ ตังให้ ้ ผ้ ใู ดเป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์
จุลศักราช ๑๒๑๓ (ระหว่างรัชชกาลพระบาทสมเด็จพระจอม-
เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ หลวงอนุรักษ์ภเู บศร์
เป็ นข้ าหลวงขึ ้นไปจัดราชการณเมืองนครจําปาศักดิ์
จุลศักราช ๑๒๑๔ เจ้ าอุปราช (เสือ) เมืองนครจําปาศักดิป์ ่ วย
ถึงแก่กรรม หลวงอนุรักษ์ภเู บศร์ จงึ พาตัวเจ้ าบัวบุตรเจ้ านู กับ
เจ้ าราชวงศ์ (เสน) เจ้ าโพธิสาร (หมี) เจ้ าแสงคุมเครื่ องยศและ
เงินส่วยเมืองนครจําปาศักดิล์ งมาทูลเกล้ า ฯ ถวาย ณ กรุงเทพ ฯ

๔๔
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ ตงเจ้ ั ้ าบัวเป็ นเจ้ านครจําปา-
ศักดิ์ แต่ยงั หาได้ ทนั รับพระราชทานสัญญาบัตรไม่ เจ้ าบัวป่ วย
พิราลัยอยู่ ณ บ้ านช่างแสงกรุงเทพ ฯ เจ้ าราชวงศ์ (เสน) กับ
เจ้ าแสง ต่างกราบบังคมทูลพระกรุณาขอเป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์ และ
ต่างกล่าวโทษซึง่ กันและกันอยู่ จึงทรงพระกรุณาโปรดกล้ า ฯ ให้
หลวงอนุรักษ์ภเู บศร์ กบั หลวงเสนีพิทกั ษ์ เป็ นข้ าหลวงขึ ้นไปตามสมัคร
และจัดราชการ ณ เมืองนครจําปาศักดิ์
จุลศักราช ๑๒๑๕ เจ้ าท้ าวพระยาลาวเมืองนครจําปาศักดิ์ มีใบ
บอกกล่าวโทษหลวงอนุรักษ์ภเู บศร์ หลวงเสนีพิทกั ษ์วา่ ทําการข่มขู่
ลงเอาเงินราษฎร จึงโปรดเกล้ า ฯ ให้ มีตราให้ หลวงอนุรักษ์ภเู บศร์
หลวงเสนีพิทกั ษ์กลับมากรุงเทพ ฯ แล้ วให้ นําตัวเจ้ าคําใหญ่บตุ รเจ้ า
นครจําปาศักดิ์ (ฮุย) เจ้ าจูบตุ รเจ้ านครจําปาศักดิ์ (หมาน้ อย) ลงมา
เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพ ฯ แล้ วโปรดเกล้ า ฯ ให้
พระวัชรินทรารักษ์ พระมหาวินิจฉัยเป็ นข้ าหลวงพาเจ้ าคําใหญ่ เจ้ าจู
กลับไปจัดราชการบ้ านเมือง ณ เมืองนครจําปาศักดิ์ พระวัชริ นทรารักษ์
ป่ วยถึงแก่กรรมอยูเ่ มืองนครจําปาศักดิ์ พระมหาวินิจฉัยจึงพาเจ้ า
ใหญ่ เจ้ าจู กลับลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพ ฯ
ครัน้ จุลศักราช ๑๒๑๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าคําใหญ่
บุตรเจ้ านครจําปาศักดิ์ (ฮุย) เป็ นเจ้ ายุตติธรรมธรเจ้ านครจําปาศักดิ์
เจ้ าจูเป็ นอุปราช เจ้ าหมีบตุ รเจ้ าราชบุตร (เกต) เป็ นเจ้ าราชวงศ์
เจ้ าอินทชิตบุตรเจ้ านครจําปาศักดิ์ (นาก) เป็ นเจ้ าราชบุตร เจ้ า

๔๕
สุริย (บ้ ง) น้ องเจ้ านครจําปาศักดิ์ (ฮุย) เป็ นเจ้ าศรี สรุ าช
กลับไปรักษาราชการเมืองนครจําปาศักดิ์ และโปรดเกล้ า ฯ ให้ เปลี่ยน
ธรรมเนียมกําหนด ให้ จดั เครื่ องราชบรรณาการลงมาทูลเกล้ า ฯ
ถวาย ณ กรุงเทพ ฯ ปี ละครัง้ ทุกปี
จุลศักราช ๑๒๒๐ เจ้ านครจําปาศักดิ์ (คําใหญ่) พิราลัย อายุ
๒๘ ปี มีบตุ รหญิง ๒ คน ชื่อเจ้ าคําผิว ๑ เจ้ ามาลา ๑ โปรดเกล้ า ฯ
ให้ เจ้ าอุปราช (จู) บังคับบัญชาเมืองต่อไป
จุลศักราช ๑๒๒๔ เจ้ าอุปราช (จู) ผู้บงั คับบัญชาการเมือง
นครจําปาศักดิไ์ ม่ถกู กับแสนท้ าวพระยาแล มีผ้ ทู ําเรื่ องราวกล่าวโทษ
เจ้ าอุปราชา (จู) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ หาตัวเจ้ าอุปราช
(จู) ลงมาแก้ คดีที่กรุงเทพ ฯ และโปรดให้ มีตราถึงเจ้ าพระยายมราช
(แก้ ว) เมื่อยังเป็ นพระยากําแหงสงคราม เจ้ าเมืองนครราชสิมา
ซึง่ ตังกองสั
้ กอยู่ ณ เมืองยโสธรนัน้ ให้ เลือกหาบุตรหลานเจ้ านคร
จําปาศักดิเ์ ก่า ซึง่ สมควรจะได้ รับตําแหน่งเป็ นเจ้ านครจําปาศักดิต์ อ่ ไป
พระยากําแหงสงครามจึงมีใบบอกลงมา ณ กรุงเทพ ฯ ขอเจ้ าคําสุก
บุตรเจ้ านครจําปาศักดิ์ (ฮุย) เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์
จุลศักราช ๑๒๒๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าคําสุกเป็ น
เจ้ ายุตติธรรมธรเจ้ านครจําปาศักดิ์ ฯ ระหว่างนันเจ้ ้ าอุปราช (จู) ป่ วย
ถึงแก่กรรมอยู่ ณ บ้ านช่างแสนกรุงเทพ ฯ โปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าแสง
บุตรเจ้ านครจําปาศักดิ์ (หมาน้ อย) เป็ นเจ้ าอุปราช ให้ เจ้ าหน่อคําบุตร
เจ้ าเสือหลานเจ้ าอนุเวียงจันทน์เป็ นเจ้ าราชวงศ์

๔๖
จุลศักราช ๑๒๒๖ เจ้ ายุตติธรรมธรเจ้ านครจําปาศักดิ์ (คําสุก)
ได้ ย้ายครอบครัวจากเมืองเก่าหินรอด ไปตังอยู้ ท่ ี่ตําบลระหว่างโพนบก
กับวัดละครริ มแม่นํ ้าโขงฝั่ งตะวันตก เป็ นเมืองนครจําปาศักดิซ์ งึ่ คง
ปรากฏมาจนบัดนี ้ ฯ

ตานานเมืองนครจาปาศักดิ์
ฉะบับเจ้ าพรหมเทวานุเคราะห์ และเจ้ าราชวงศ์
เมืองนครจําปาศักดิ์

วัน ๔ เดือน ๖ ขึ ้นคํ่า ๓ ปี ระกาตรี ศกศักราช ๑๒๒๓ ตรงกับ


ปี คฤสตศักราช ๑๘๖๑ เป็ นปี ที่ ๑๑ ในรัชชกาลที่ ๔ ในพระบรมราช
วงศ์อนั นี ้
พระบาทสมเด็จพระบรเมนทรมหามงกุฎ สุทธสมมติเทพยพงศ์
วงศาดิศวรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมราชมหาจักร
พรรดิราชสังกาศบรเมธรรหิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตรพระจอม
เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั เป็ นพระเจ้ าแผ่นดินใหญ่ที่ ๔ ในพระบรมราชวงศ์อนั นี ้
มีพระบรมราชโองการดํารัสสัง่ พระศรี สนุ ทรโวหารเจ้ ากรมพระอา-
ลักษณ์ และเจ้ าพรหมเทวานุเคราะห์เจ้ าเมืองอุบลราชธานี และเจ้ า
ราชวงศ์เมืองนครจําปาศักดิเ์ ก่า ซึง่ เป็ นโทษต้ องถอดออกนอกราชการ
ค้ างอยูน่ านในกรุงเทพมหานคร มารวบรวมพงศาวดารเก่าของเมือง
นครจําปาศักดิ์ และรวบรวมจดหมายเหตุเก่าใหม่มีใน ๔ แผ่นดิน
มาเลือกเอาความตามสมควร แล้ วเรี ยงเรื่ องพระพุทธปฏิมากรแก้ ว
ผลึกเอกอุดมลงไว้ เพื่อจะให้ ผ้ อู า่ นได้ ทราบความเดิม ตามเหตุที่มี
จริงเป็ นจริงดังจะกล่าวไปนี ้ พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกซึง่ ทรง
พระปรารภเป็ นสาทนิยารมณ์พระองค์นี ้ เป็ นพระพุทธปฏิมาล้ วนแล้ ว

๔๘
ด้ วยแก้ วผลึก อย่างเอกอุดมที่ชา่ งพลอยเรี ยกว่าบุศนํ ้าขาวบ้ าง เพ็ชร
นํ ้าค้ างบ้ าง และมีสว่ นทรวดทรงฝี มือช่างทํางานดีกว่าพระพุทธรูปอื่น
บรรดามีในที่ตา่ ง ๆ ซึง่ ช่างดี ๆ ได้ ทําไว้ เมื่อพิเคราะห์ไปโดยละเอียด
จนถึงจับกางเวียนมาจับกระเบียดเทียบเคียงดู จะจับส่วนที่
คลาดเคลื่อนไม่เที่ยงเท่ากันนัน้ ก็จะได้ เป็ นอันยาก มีประมาณสูงแต่ที่สดุ
ทับเกษตรขึ ้นไปจนสุดปลายพระจุฬาธาตุ ๑๒ นิ ้ว ๒ กระเบียดอัศฎางค์
หน้ าตักวัดแต่ระหว่างพระชานุทงสอง ั้ ๙ นิ ้วกับ ๔ กระเบียดอัศฎางค์
ระหว่างพระกรรปุรทังสอง ้ ๖ นิ ้ว ๑ กระเบียดอัศฏางค์ ระหว่าง
พระอังศกูฎ ๕ นิ ้วกับ ๗ กระเบียดอัศฎางค์ ประมาณพระเศียรแต่
ปลายพระหนุขึ ้นไป ถึงที่สดุ พระจุฬาธาตุ ๑ นิ ้วกึ่งกับ ๑ กระเบียด
อัศฎางค์ กว้ างพระพักตร์ วดั ในระหว่างปลายพระกรรณสองข้ าง ๒ นิ ้ว
กับ ๗ กระเบียดอัศฎางค์ นิ ้วที่วา่ นันคื ้ อนิ ้วช่างไม้ นับนิ ้วหนึง่ คือเจ็ด
เมล็ดข้ าวเปลือกเรี ยงกัน พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกพระองค์นี ้ แต่
เดิมจะเป็ นก้ อนแก้ วณตําบลใด ท่านผู้ใดได้ มาแล้ วและสร้ างขึ ้น สร้ าง
ณ ที่ใดเมื่อใดความลับลึกไปไม่ได้ ความแจ้ งชัด พระพุทธปฏิมากร
แก้ วบุศนํ ้าขาวพระองค์นี ้ ได้ มายังกรุงเทพมหานครนี ้แต่เมืองนคร
จําปาศักดิ์ เมื่อปลายปี มะแมตรี ศกศักราช ๑๑๗๓ เป็ นปี ที่ ๓ ใน
แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัย เป็ นแผ่นดินที่ ๒ ใน
พระบรมราชวงศ์นี ้
เมืองนครจําปาศักดิน์ นั ้ เป็ นเมืองลาวขึ ้นกรุงเทพมหานคร
ตังอยู
้ ใ่ นฝั่ งแม่นํ ้าโขง เป็ นแม่นํ ้าใหญ่ไหลมาแต่เมืองลาว หรื อ ๑๒
พัน
๔๙
มาที่ไม่ได้ ขึ ้นแก่กรุงเทพมหานคร และไหลมาทางเมืองเชียงแสน
และเมืองหลวงพระบาง เมืองล้ านช้ าง และเมืองเวียงจันทน์ และ
อื่น ๆ ซึง่ เป็ นเมืองกรุงเทพมหานคร ตลอดไปในแผ่นดินเขมรและ
ไปมีปากนํ ้าออกนํ ้าออกทะเลในแผ่นดินเขมร ที่อยูใ่ นอํานาจญวน คือ
ปากนํ ้าป่ าสักพระตะพัง เมืองนครจําปาศักดิน์ นั ้ ตังอยู ้ ใ่ นที่ตอ่ ลาวกับ
แดนเขมรเมืองนครจําปาศักดิน์ นั ้ แต่ก่อนเป็ นแต่ตําบลชื่อจําปะ ยัง
ไม่ได้ เป็ นบ้ านเมืองมีเจ้ านายเปนที่เปลี่ยวอยู่ เมืองล้ านช้ างเมือง
เวียงจันทน์ตงก่ ั ้ อนช้ านาน ครัง้ หนึง่ ไม่ร้ ูกําหนดว่าปี ใดนานกว่าปี ๒๐๐ ปี
มาแล้ ว ก่อนแต่เมืองล้ านช้ างและเมืองเวียงจันทน์ได้ มาขึ ้นกรุงเทพมหา
นคร เมื่อปี กุนเอกศกศักราช ๑๑๔๑ ตรงกับปี มีคฤสตศักราช ๑๗๗๙
นันไปช้
้ านาน เมืองเวียงจันทน์ยงั เป็ นเมืองไม่ขึ ้นข้ างไหนมีเจ้ าแผ่นดิน
ครองเมืองเอง ครัน้ เจ้ าเวียงจันทน์องค์หนึง่ จําชื่อไม่ได้ เป็ นเจ้ าแผ่นดินถึง
พิราลัยลง เจ้ านายบุตรหลานวิวาทรบพุง่ กันอยูช่ ้ านาน จนไพร่บ้าน
พลเมืองได้ ความร้ อนรนระสํ่าระสาย เพราะเจ้ านายชักเย่อแย่งชิงจับกุม
เอาไปเป็ นพวกข้ างโน้ นข้ างนี ้ แล้ วกะเกณฑ์ให้ รบพุง่ ฆ่าฟั นรันตีกนั ไม่
เป็ นอันที่จะได้ ทํามาหากินล่วงกาลนานหลายปี ไป จึงมีลาวบางจําพวก
ซึง่ เป็ นไพร่มากมายหลายครอบครัวด้ วยกัน เห็นว่าจะอยูใ่ นเขตต์
แคว้ นแดนแขวง ใกล้ เคียงเมืองล้ านช้ างเมืองเวียงจันทน์จะหามี
ความสุขไม่ ครัน้ จะหนีเข้ าป่ าดงพงไพรไปทังครอบครั
้ วบุตรภรรยาก็
เห็นว่าจะยากลําบาก ด้ วยไม่มีถิ่นที่ไร่นาทํามาหากิน จะต้ องซุกซ่อน
ปล้ อนปลิ ้นหลบลี ้หนีเจ้ านายไม่วายลง ถ้ าจะพากันลงเรื อแพแล้ วถ่อพาย
ทวนนํ ้าขึ ้น
๕๐
ไป อาศัยเขตต์แขวงเมืองเซ่าหลวงพระบางหรื อเมืองเชียงแสนเมือง
เชียงรุ้ง ก็จะได้ ความลําบาก ยากที่จะหนีเจ้ านายที่วนุ่ วายกันอยูน่ นให้ ั้
พ้ นไปได้ จึงพากันผูกแพบ้ าง ที่มีเรื อก็ลงเรื อบ้ าง รวบรวมสะเบียง
อาหารบรรทุกแล้ วพาครอบครัวล่องนํ ้าลําของลงไปเป็ นอันมากด้ วยกัน
ครัง้ นันมี
้ พระครูอยูว่ ดั โพนเสม็ด เป็ นอาจารย์บอกพระกรรมฐาน
เป็ นที่นบั ถือของชนเป็ นอันมาก ได้ ลงไปกับครอบครัวลาวเหล่านันด้ ้ วย
เมื่อพวกครอบครัวเหล่านัน้ จะมีการขุน่ ข้ องหมองหมางไม่สมัคร
สโมสรกันประการใด พระครูโพนเสม็ดช่วยว่ากล่าวเกลี่ยไกล่ ชัก
โยงให้ สมัครสโมสรพร้ อมเพรี ยงกัน แล้ วพากันล่องลงไปจนถึงเขาลี่ผี
แล้ วยังจะกลัวว่าจะหนีนายฝ่ ายเวียงจันทน์ไม่พ้น พากันล่วงข้ ามเขา
เขาลี่ผีผกู พ่วงแพหนีตอ่ ไป เข้ าอาศัยอยูณ ่ ที่เมืองพนมเพ็ญในแผ่นดิน
แดนเมืองเขมรช้ านาน ครัน้ ล่วงกาลนานมาผู้ครองฝ่ ายเขมรเห็นว่า
พวกลาวเป็ นคนผิดเพศภาษา มาอาศัยอยูใ่ นอํานาจของตัวแล้ ว ถึงแต่
แรกได้ รับรองอนุเคราะห์ให้ เป็ นสุข พอเป็ นที่ยินดี ภายหลังก็มีกรุณา
น้ อยไปกะเกณฑ์ใช้ การงานหนักบ่าหนักแรงมาก และเรี ยกส่วยไร่เกิน
พิกดั ทําให้ ไพร่ลาวเหล่านัน้ ได้ ความยากจนทนมิได้ พวกลาวเหล่านัน้
พร้ อมใจกันกับพระครูโพนเสม็ด ยกอพยพหลบหนีขึ ้นมาข้ างบนจน
ข้ ามเขาลี่ผีพ้นแดนเขมรมาได้ ครัน้ จะกลับคืนไปยังภูมิลําเนาเดิม ก็
ยังกริ่งเกรงผู้ครองฝ่ ายเมืองเวียงจันทน์อยู่ จึงได้ พากันตังบ้
้ านเรื อน
อยูต่ ําบลนัน้ ๆ ที่ได้ ชื่อว่าเชียงแตงและโขงและอัตปื อและคําทองน้ อย
คําทองใหญ่และอื่น ๆ แต่พระครูโพนเสม็ดกับครอบครัวพวกพ้ องเป็ น
๕๑
อันมาก มาตังอยู ้ ท่ ี่ตําบลจําปะ เพราะเห็นว่าที่นนเป็ ั ้ นภูมิสถานอันดี
ควรเป็ นที่ตงอยู
ั ้ ส่ บาย เมื่อพระครูโพนเสม็ดกับครอบครัว ยกอพยพ
มาจากเมืองเขมรมาตังอยู ้ ท่ ี่ตําบลเชียงแตงเป็ นที่แรกนัน้ ได้ เรี่ ยไรพวก
ครอบครัว ให้ ประมวญทองแดงทองเหลืองเป็ นอันมากหนักได้ ๑๖๐
ชัง่ เศษ หล่อขึ ้นเป็ นพระพุทธรูปพระองค์หนึง่ เนื ้อหนาดี ขัดสีเกลี ้ยง
เกลางาม พระครูโพนเสม็ดถวายพระนามว่าพระแสน เพราะคิดนํ ้าหนัก
ได้ กว่าแสนเฟื อ้ งตังไว้
้ ในวัด ซึง่ เปนที่อยูข่ องพระครูโพนเสม็ดณเมือง
เชียงแตง พระแสนนันก็ ้ อยูท่ ี่เมืองเชียงแตงมาจนถึงแผ่นดินปั จ-
จุบนั นี ้ พระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงสืบทราบต้ อง
พระราชประสงค์ เสด็จลงมากราบทูลขอให้ มีท้องตราให้ ข้าหลวงขึ ้น
ไปเชิญอาราธนาลงมา เมื่อปี มะแมนักษัตรเอกศกศักราช ๑๒๒๑
ตรงกับปี มีคฤสตศักราช ๑๘๕๙ ครัน้ เชิญเสด็จพระแสนลงมาถึงแล้ ว
ก็พระราชทานไปในพระบวรราชวังตามพระราชประสงค์
พระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั จึงมีรับสัง่ ให้ อญ ั เชิญไปสร้ าง
แท่นฐาน ประดิษฐานไว้ ในพระอุโบสถวัดหงส์รัตนารามคลอง
บางกอกใหญ่อยู่ จนทุกวันนี ้ พระแสนนันรู ้ ปพรรณเป็ นฝี มือช่าง
ลาวโบราณประหลาดอยูก่ ็พระครูโพนเสม็ดนัน้ อยูท่ ี่เชียงแตงไม่สบาย
ก็ย้ายถิ่นยกครอบครัวมาตังอยู ้ ท่ ี่เมืองโขง เป็ นเกาะกลางแม่นํ ้าโขง
แล้ วไปอยูท่ ี่ตําบลอัตปื อแล้ วจึงไปอยูท่ ี่คําทองน้ อย แล้ วย้ ายไปอยูท่ ี่คํา
ทองใหญ่ แล้ วไปอยูต่ ําบลมัน่ ตําบลเจียม ภายหลังจึงมาตังอยู ้ ท่ ี่
ตําบลจําปะ ก็เมื่อพระครูนนยั
ั ้ กย้ ายที่อยูไ่ ปในที่ตา่ ง ๆ รอบครัวญาติ
โยมยกเหย้ าย้ ายเรื อนตาม

๕๒
ต่อไปบ้ าง คงตังอยู ้ ต่ ามที่ตงนัั ้ น้ ๆ บ้ าง นายครัวผู้ใหญ่ที่ตงอยู ั ้ ใ่ นที่
นัน้ ก็เกลี ้ยกล่อมผู้คนไปมา และชาวป่ าชาวดอนมาอยูด่ ้ วยแน่นหนา
มากขึ ้น พวกนันเพราะเป็
้ นศิษย์ญาติโยมครูโพนเสม็ด เมื่อมีเหตุการณ์
วิวาทบาดคล้ องกันบ้ างประการใด ๆ ก็พากันตามไปฟ้องร้ องต่อพระครู
โพนเสม็ด ให้ ชว่ ยว่ากล่าวไกล่เกลี่ยระงับความให้ สงบไป การก็
เรี ยบร้ อยกันอยูไ่ ด้ ไม่แตกร้ าวจากกัน ตําบลต่าง ๆ ตังแต่ ้ เชียงแตงมา
จนถึงจําปะ ก็อยูใ่ นอํานาจพระครูโพนเสม็ดทังสิ ้ ้นหลายปี ครัน้
ภายหลังไม่ช้ามีเจ้ าฝ่ ายลาวเวียงจันทน์ผ้ หู นึง่ ชื่อว่าเจ้ าสร้ อยศรี สมุท ฯ
มีความวิวาทกับญาติพี่น้องซึง่ เป็ นเจ้ านายผู้ครองเมืองเวียงจันทน์
จึงได้ พาครอบครัวบุตรภรรยาบ่าวไพร่เป็ นอันมาก ลงเรื อล่องนํ ้าหนีลง
มาจนถึงตําบลจําปะ ได้ พบกับพระครูโพนเสม็ด และพวกครอบครัว
ซึง่ ตังอยู
้ ก่ ่อนก็สมัครสโมสร ขึ ้นอยูก่ ลมเกลียวเป็ นอันเดียวกัน ด้ วย
ประการนี ้ที่ตําบลจําปะนัน้ ก็เป็ นถิ่นสถานโตใหญ่ขึ ้นควรจะเป็ น
บ้ านเมือง จึงพระครูโพนเสม็ดปรึกษาพร้ อมกับนายครัว ซึง่ มีกําลังเป็ น
ญาติโยมและศิษย์ทงปวงว่ ั้ า เจ้ าสร้ อยศรี สมุท ฯ นันเป็้ นเชื ้อสาย
เจ้ านายเมืองเวียงจันทน์มาแต่เดิม ขอให้ ชาวบ้ านทังปวง
้ ยอมยก
ให้ เจ้ าสร้ อยศรี สมุท ฯ เป็ นเจ้ าแผ่นดินว่าราชการเมือง แล้ วให้ ตงบ้
ั ้ าน
้ นเมืองหลวง เรี ยกว่าเมืองนครจําปาศักดิเ์ ถิด นายครัว
จําปะนันเป็
ทังปวงก็
้ เห็นชอบด้ วย ยอมทําตามพระครูโพนเสม็ดทุกประการ
ตังแต่
้ นนมาเจ้
ั้ าสร้ อยสมุท ฯ ก็ได้ เป็ นเจ้ าเมืองนครจําปาศักดิเ์ ป็ นปฐม
เมืองนครจําปาศักดิน์ นเมื ้ ้นแล้ ว เจ้ านครจําปาศักดิม์ ีอํานาจ ได้
ั ้ ่อตังขึ

๕๓
ว่ากล่าวลาวชาวตําบลต่าง ๆ ที่อยูใ่ กล้ เคียง ตังขึ
้ ้นเรี ยกว่าเมืองเจ็ด
หัวเมือง คือเมืองโขง เมืองเชียงแตง เมืองอัตปื อ เมืองคําทองน้ อย
เมืองทองคําใหญ่ เมืองมัน่ เมืองเจียม เมืองนครจําปาศักดิค์ รัง้
นันก็
้ ตงตัั ้ วเป็ นใหญ่ ไม่ได้ ขึ ้นอยูใ่ นอํานาจแผ่นดินไทย และเขมร
และญวนและลาวเวียงจันทน์ ซึง่ เป็ นเมืองมีอํานาจใหญ่อยูร่ อบด้ าน
เพราะครัง้ นันเมื
้ องทังปวงก็
้ มีการทัพจับศึกวุน่ วายไม่สบายอยูด่ ้ วยเหตุ
ต่าง ๆ เจ้ านครจําปาศักดิส์ ร้ อยศรี สมุทมีบตุ รชายใหญ่ ๆ สี่คือ
เจ้ าไชยกุมาร ๑ เจ้ าธรรมเทโว ๑ เจ้ าสุริโย ๑ เจ้ าโพธิสาร ๑
ภายหลังพระครูโพนเสม็ดก็ถึงมรณภาพ แล้ วเจ้ านครจําปาศักดิ์
สร้ อยศรี สมุท ฯ ก็ถึงแก่พิราลัยล่วงไป ท้ าวเพี ้ยผู้ใหญ่ในเมืองนคร
จําปาศักดิพ์ ร้ อมกัน ตังเจ้ ้ าไชยกุมารบุตรผู้ใหญ่ของเจ้ านครจําปาศักดิ์
สร้ อยศรี สมุท ฯ นัน้ เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิส์ ืบมา แล้ วจึงตังเจ้ ้ าธรรม
เทโวเป็ นเจ้ าอุปราช ตังเจ้ ้ าสุริโยเป็ นเจ้ าราชวงศ์ รักษาเมืองนคร
จําปาศักดิส์ ืบไป ก็เมื่อเวลาเจ้ าไชยกุมารเป็ นเจ้ านครจําปาศักดิอ์ ยูน่ นั ้
มีลกู ค้ าลาวผู้หนึง่ ชาวนครจําปาศักดิ์ มาแจ้ งความแก่เจ้ าไชยกุมารผู้
เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์ และเจ้ าธรรมเทโวผู้เป็ นอุปราชว่า ได้ เห็น
พระพุทธรูปแก้ วงามดีเป็ นของวิเศษมีอยูใ่ นเรื อนพรานป่ า ชื่อพรานทึง
พรานเทิงตําบลบ้ านส้ มป่ อยนายอน พรานทึงพรานเทิงสองคนหาได้
นับถือเป็ นพระไม่ ถือว่าเป็ นผีเสื ้อหน้ าไม้ ศกั ดิส์ ิทธิ์ จึงซ่อนเก็บไว้ เป็ น
มิ่งบ้ านขวัญเรื อน ลูกค้ าผู้นนเห็
ั ้ นว่าไม่ควร เพราะพระพุทธรูปเป็ น
ของดี ถ้ าได้ มาไว้ เป็ นที่มหาชนได้ นมัสการด้ วยกันเป็ นอันมากจึงจะ

๕๔
สมควร เจ้ าไชยกุมารผู้เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์ เจ้ าธรรมเทโวอุปราช
จึงได้ สงั่ ให้ ลกู ค้ าผู้นนั ้ นําท้ าวเพี ้ยกรมการไปยังบ้ านพรานทึงพรานเทิง
ขอดูพระพุทธรูปแก้ วได้ เห็นว่ามีจริงแล้ ว จึงได้ ให้ ท้าวเพี ้ยกรมการ
พร้ อมกัน แห่พระพุทธรูปแก้ วนันเข้ ้ ามาไว้ ในเมืองนครจําปาศักดิ์ ทํา
สักการบูชาสมโภชฉลองเป็ นอันมากแล้ ว ยกไพร่ขา่ บ้ านส้ มป่ อยนายอน
บ้ านพรองบ้ านจองออน ถวายเป็ นข้ าพระแก้ วเก็บส่วยมาทํา
สักการบูชา และสร้ างสถานที่ไว้ ที่โดยสมควร พรานทึงพรานเทิง
พรานป่ าเจ้ าของพระแก้ วนัน้ เมื่อเจ้ านครจําปาศักดิซ์ กั ถามว่า
พระพุทธรูปแก้ วนี ้ได้ มาแต่ที่ไหน พรานทึงพรานเทิงให้ การว่า ตัว
พรานทึงพรานเทิงเป็ นพรานป่ าไปเที่ยวยิงสัตว์ในป่ า แต่ก่อนหาใคร่จะ
พบปะสัตว์ที่ควรจะยิงไม่ วันหนึง่ เดินไปถึงถํ ้าเปลี่ยวในเขาส้ มป่ อยนาย
อน เป็ นเวลาร้ อนแวะเข้ าไปในปากถํ ้า จึงได้ เห็นพระพุทธรูปแก้ วองค์นี ้
้ ใ่ นถํ ้าเป็ นของประหลาดอยู่ เข้ าใจว่าจะมีผีศกั ดิส์ ิทธิสิง จึงกราบ
ตังอยู
ไหว้ บนบานขอให้ ยิงสัตว์ได้ มากจะถวายเครื่ องเซ่น ครัน้ พรานทึง
พรานเทิงไปเที่ยวยิงสัตว์ในป่ า แต่นนมาก็ ั ้ พบช้ างพบแรด และสัตว์ที่
ควรจะยิงมากกว่าปกติแต่ก่อน พรานทึงพรานเทิงทําเครื่ องเซ่นไป
สังเวย ใช้ บนพระพุทธรูปแก้ วแล้ วก็บนต่อไปด้ วยเหตุนี ้ พรานทึง
พรานเทิงต้ องทําเครื่ องเซ่นไปใช้ บนพระพุทธรูปแก้ วเนือง ๆ ภายหลัง
พรานทึงพรานเทิงมีความเกียจคร้ าน เพื่อจะไปยังถํ ้าเปลี่ยวนันเนื ้ อง ๆ
อนึง่ มีความวิตกว่า เมื่อพรานทึงพรานเทิงเดินไปมายังถํ ้านันเนื
้ อง ๆ
เกลือกจะมีผ้ อู ื่นรู้เข้ าตามไป แล้ วยักเอาพระพุทธรูปแก้ วไปอื่นเสีย
พรานทึง

๕๕
พรานเทิงจึงได้ อาราธนาอัญเชิญพระพุทธรูปแก้ ว ว่าเชิญท่านไปอยูบ่ ้ าน
ด้ วยกันเถิด จะได้ เครื่ องเซ่นวักบูชาเนือง ๆ ทุกวัน เมื่อว่าดังนี ้แล้ ว
จึงได้ เอาสายหน้ าไม้ ผกู พระศอพระพุทธรูปแก้ ว ให้ ตดิ เนืองแน่นกับขา
หน้ าไม้ แล้ วคอนกลับมาบ้ าน เมื่อคอนกวัดแกว่งไปมา ปลายพระ
กรรณขวาของพระพุทธรูปแก้ ว กระทบกับขาหน้ าไม้ ลิหกั แตกตกหายไป
เสียข้ างหนึง่ ครัน้ มาถึงบ้ านแล้ ว พรานทึงพรานเทิงจึงเชิญพระพุทธรูป
แก้ วไว้ ในเรื อนเซ่นวักสักการบูชา เมื่อไปยิงช้ างได้ งา ยิงแรดได้ นอ
เมื่อใด ก็นําเอาโลหิตสัตว์มาทาเข้ าไปในองค์พระพุทธรูปแก้ วเป็ น
สังเวยเมื่อนัน้ ครัน้ นานมาโลหิตสัตว์ก็ตดิ กรังหนาพอกพระองค์พระ-
พุทธรูปแก้ วอยู่ เมื่อไรพรานทึงพรานเทิงและบุตรภรรยา จะตากเข้ า
หรื อเนื ้อสัตว์ไว้ และมีกิจธุระไปนาไปไร่ไปเที่ยวยิงสัตว์ ก็ได้ วา่ สัง่
พระพุทธรูปแก้ ว ที่เรี ยกว่าผีเสื ้อหน้ าไม้ นนั ้ ให้ อยูเ่ ฝ้าเรื อนเฝ้าของที่
ตากไว้ ถึงเรื อนและของที่ตากไว้ นนไม่ ั ้ มีผ้ ใู ดเฝ้า ก็ไม่เคยมีอนั ตราย
เลย โจรผู้ร้ายไม่ได้ ขึ ้นเรื อน นกกาไก่ก็ไม่ได้ มากินเข้ ากินเนื ้อซึง่ เป็ น
ของตากไว้ พรานทึงพรานเทิงจึงเห็นว่า พระพุทธรูปแก้ วที่ชื่อผีเสื ้อ
หน้ าไม้ นี ้เป็ นของที่ดีที่ลาวเรี ยกว่าคําคุณ ควรหวงควรสงวนซ่อนไว้ ก็
ลูกค้ าซึง่ นําท้ าวเพี ้ยกรมการไปรับพระพุทธรูปแก้ ว ผู้นนได้
ั ้ เห็น
พรานทึงพรานเทิงมีนอระมาดงาช้ าง มากกว่าพรานป่ าที่หากินด้ วยยิง
สัตว์ทงปวงทุ
ั้ กแห่ง จึงได้ ไปขอซื ้อนอระมาดงาช้ างเนือง ๆ จน
คุ้นเคยเข้ าสนิทเป็ นมิตรสหาย ลูกค้ านันถามถึ
้ งพรานทึงพรานเทิงว่า
ด้ วยเหตุอนั ใด พรานทึงพรานเทิงจึงยิงสัตว์ได้ มากกว่าผู้อื่น
พรานทึง

๕๖
พรานเทิงจึงได้ บอกว่าได้ ด้วยอํานาจผีเสื ้อหน้ าไม้ เป็ นของคําคุณ ลูกค้ า
ผู้นนขอดู
ั้ พรานทึงพรานเทิงได้ ให้ ดู ลูกค้ านันเห็้ นแล้ วจึงว่าของนี ้ใช่
เจว็ดผี เป็ นพระพุทธรูปแท้ แล้ วจึงมาแจ้ งความแก่เจ้ านครจําปาศักดิ์
ดังนี ้ และเจ้ านครจําปาศักดิไ์ ชยกุมาร ได้ รักษาพระพุทธรูปแก้ วองค์นี ้
ไว้ ในเมืองนครจําปาศักดิเ์ ก่า ได้ เป็ นใหญ่รักษาแผ่นดินอยูต่ ามอํานาจ
เดิมนัน้ นานล่วงกาลหลายปี มา จนเจ้ าธรรมเทโวอุปราชและเจ้ าสุริโย
ผู้น้องถึงแก่พิราลัยล่วงไปก่อน ภายหลังพวกเมืองนครจําปาศักดิ์
สมคบกับผู้สําเร็จราชการกรมการเมืองนางรอง พระยานางรอง
เพราะสมคบกับพวกเมืองนครจําปาศักดิเ์ ป็ นกําลัง ก็มีความกําเริ บ
กระด้ างกระเดื่องขึ ้น ครัง้ นันฝ่้ ายไทย เจ้ าตากสินเป็ นเจ้ าแผ่นดินใหญ่
อยู่ ณ กรุงธนบุรี ประมาณเมื่อนันเป็ ้ นปี มะแมสัปตศกศักราช ๑๑๓๗
ตรงกับปี มีคฤสตศักราช ๑๗๗๘ ผู้สําเร็จราชการ และกรมการเมือง
นครราชสิมาเป็ นเมืองขึ ้นกรุงธนบุรี จึงมีหนังสือบอกลงมายังกรุง
ธนบุรีเจ้ ากรุงธนบุรีจงึ ได้ แต่งกองทัพขึ ้นไป กําราบปราบปรามพระยา
นางรองและเพราะมีการเกี่ยวข้ องกับพวกเมืองนครจําปาศักดิ์ กองทัพ
ไทยจึงได้ ยกไปปราบปรามเมืองนครจําปาศักดิแ์ ละเมืองลาว ซึง่ ขึ ้นแก่
นครจําปาศักดิท์ งปวงนั
ั้ นด้
้ วย ครัง้ นันเจ้ ้ านครจําปาศักดิไ์ ชยกุมารยอม
แพ้ ขอถวายดอกไม้ ทองเงินเป็ นเมืองขึ ้นแก่กรุงธนบุรี ตังแต่
้ ปีระกานพศก
ศักราช ๑๑๓๙ มา ตรงกับปี มีคฤสตศักราช ๑๗๓๗ และเมื่อกองทัพ
ใหญ่ฝ่ายไทย ขึ ้นไปปราบปรามเมืองนครจําปาศักดิค์ รัง้ นัน้ เจ้ านครจํา-
ปาศักดิจ์ งึ ยอมแพ้ ขอขึ ้นแก่กรุงธนบุรี ก็ยงั มีความตระหนี่เสียดายซ่อน

๕๗
พระพุทธปฏิมากรแก้ ว ซึง่ เป็ นของวิเศษนันเสี ้ ย ปิ ดความไม่ให้ แม่ทพั
นายกองฝ่ ายไทยได้ ทราบความเลย ว่าพระพุทธปฏิมากรแก้ วมีอยูใ่ น
เมืองนครจําปาศักดิ์ ครัน้ กาลล่วงมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลก เมืองนครจําปาศักดิก์ ็คงขึ ้นแก่กรุงเทพมหานครอยู่
ภายหลังมีขา่ วว่า เจ้ านครจําปาศักดิไ์ ชยกุมารแก่ชรา เจ้ าหลานผู้บตุ ร
ของเจ้ าธรรมเทโวเจ้ าสุริโยผู้น้อง และบุตรของเจ้ าหน่อเมือง ผู้บตุ ร
ของเจ้ านครจําปาศักดิไ์ ชยกุมาร เกิดวิวาทริ ษยาชิงกันจะเป็ นใหญ่จน
เกิดรบพุง่ ฆ่าฟั นกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงมี
พระราชโองการ ให้ ข้าหลวงเชิญท้ องตราขึ ้นไปเมืองนครจําปาศักดิ์
ให้ หาตัวเจ้ านครจําปาศักดิไ์ ชยกุมาร กับหลานซึง่ มีกําลังจะได้ ราชการ
ลงมาเฝ้ าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อจะทรงบังคับบัญชาไกล่เกลี่ยการ
บ้ านเมืองเสียให้ เป็ นปกติเรี ยบร้ อย ข้ าหลวงไปถึงเมืองนครจําปาศักดิ์
แล้ ว จึงพาตัวเจ้ านครจําปาศักดิไ์ ชยกุมาร กับเจ้ าหลานสามนายลง
มาจากเมืองนครจําปาศักดิ์ เจ้ านครจําปาศักดิไ์ ชยกุมารป่ วยลงกลาง
ทาง ลาข้ าหลวงกลับคืนไปรักษาตัวที่เมืองนครจําปาศักดิ์ แล้ วป่ วย
หนักลงถึงแก่พิราลัย เจ้ าหลานสามนายลงมากับข้ าหลวงจนถึง
กรุงเทพมหานคร ต้ องตกค้ างอยูน่ านเพราะการไม่ตกลงกัน ก็เพราะ
เจ้ านครจําปาศักดิไ์ ชยกุมารถึงแก่พิราลัยลง แล้ วไม่มีผ้ เู ป็ นใหญ่ใน
เมืองนครจําปาศักดิ์ มีลาวผู้หนึง่ ชื่อนายเชียงแก้ วชาวเมืองโขง ตังซ่ ้ องสุม
ผู้คนมีกําลังได้ มาก ยกเข้ ามาตีเอาเมืองนครจําปาศักดิแ์ ตกกระจัด
กระจาย ครัง้ นันเจ้้ าหน้ าอยูบ่ ้ านสินท่า เป็ นเชื ้อสายสืบวงศ์วานมาแต่

๕๘
เจ้ าอุปราชเวียงจันทน์คนเก่า กับท้ าวพรหมบ้ านเจรแม และท้ าวคํา
บ้ านคงเพนียงพร้ อมใจกัน คุมคนไปรบพวกนายเชียงแก้ วเอาไชยชะนะ
ได้ แล้ วรวบรวมไพร่บ้านพลเมืองให้ ตงอยูั ้ ต่ ามภูมิลําเนาโดยปกติ รักษา
เมืองนครจําปาศักดิไ์ ว้ แล้ วมีใบบอกลงมายังกรุงเทพมหานคร
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระราชดําริเห็นว่า
เจ้ าหน้ าและท้ าวพรหมท้ าวคํามีความชอบมาก จึงมีพระราชโองการ
ดํารัสให้ หาตัวลงมา ้ าหน้ าที่เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์
แล้ วทรงแต่งตังเจ้
ท้ าวพรหมเป็ นพระพรหมราชวงษา บ้ านเจรแมเป็ นเมืองคือเมืองอุบล
ราชธานี ท้ าวคําเป็ นพระเทพวงษา แล้ วยกบ้ านคงเพนียงเป็ นเมืองคือ
เมืองเขมราช ให้ ขึ ้นแก่กรุงเทพมหานครทังสามเมื ้ อง บ้ านสินท่าบ้ าน
เดิมของเจ้ าหน้ านัน้ ก็ให้ ยกเป็ นเมืองคือเมืองยโสธร แล้ วจึงตังท้้ าว
ม่วงน้ องชายเจ้ าหน้ าเป็ นพระสุนทรราชวงษาเจ้ าเมือง แต่ให้ ขึ ้นแก่เมือง
นครจําปาศักดิ์ เมื่อเจ้ าหน้ าได้ เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิแ์ ล้ ว ก็ยงั หวง
ซ่อนพระปฏิมากรแก้ วผลึกไว้ ไม่เชิญลงมา หรื อบอกข่าวลงมาทูลเกล้ า
ทูลกระหม่อมถวาย ภายหลังเจ้ าหน้ าผู้เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิไ์ ม่ชอบ
ใจสถานที่เมืองนครจําปาศักดิเ์ ก่า ซึง่ ตังอยู ้ ่ ณ ตําบลจําปะแต่เดิมนัน้
คิดยักย้ ายมาตังบ้
้ านเมืองใหม่ที่ตําบลบ้ านคันตะเกิง อยูฝ่ ั่ งแม่นํ ้า
ของฝ่ ายตะวันตก ก่อเป็ นกําแพงเมืองมีใบเสมา และสร้ างพระวิหาร
สถานที่ประดิษฐานพระปฏิมากรแก้ วผลึกขึ ้นในที่นนั ้ แล้ วบอกกล่าว
ป่ าวร้ องพระสงฆ์สามเณรท้ าวเพี ้ยราษฎรทังปวง
้ ให้ พร้ อมกันอัญเชิญ
พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก แห่ออกจากเมืองนครจําปาศักดิเ์ ก่ามายัง

๕๙
เมืองใหม่ แล้ วประดิษฐานไว้ ในพระวิหารใหม่ซงึ่ สร้ างขึ ้นนัน้ แล้ ว
แบ่งข้ าพระพวกที่เจ้ านครจําปาศักดิไ์ ชยกุมารได้ อทุ ิศถวายไว้ แต่ก่อน
ให้ ผลัดกันมาพิทกั ษ์ รักษาปฏิบตั อิ ยู่ เจ้ าหน้ าเจ้ านครจําปาศักดิก์ บั บุตร
หลานท้ าวเพี ้ยทังปวงถื
้ อใจว่า พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกพระองค์นี ้
เป็ นของสําหรับเมืองนครจําปาศักดิม์ าแต่เดิม เมื่อไม่มีท้องตราไปแต่
กรุงเทพมหานคร บังคับให้ สง่ มาก็นิ่งอยู่ ความที่พระพุทธปฏิมา-
กรแก้ ว มีอยูท่ ี่เมืองนครจําปาศักดิน์ นั ้ ในกรุงเทพมหานครก็ยงั
ไม่มีผ้ ใู ดรู้ จะกล่าวขึ ้นให้ ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลก ตลอดแต่ต้นจนสิ ้นสุดรัชชกาลแผ่นดินนัน้ เจ้ าหน้ า
ได้ เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์ ทําราชการฉลองพระเดชพระคุณรักษา
บ้ านเมืองเป็ นปกติ ถวายดอกไม้ ทองเงินเครื่ องราชบรรณาการ ส่งลงมา
กรุงเทพมหานครทุกปี มิได้ ขาด ล่วงกาลนานถึง ๓๐ ปี จึงป่ วยโรค
ชราถึงแก่พิราลัยลง ในปี มะเมียนักษัตรโทศกศักราช ๑๑๗๒ ตรงกับ
ปี มีคฤสตศักราช ๑๘๑๐ เป็ นปี ที่ ๒ ในรัชชกาลแผ่นดินพระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้ านภาลัย ครัน้ เมื่อปี มะแมตรี ศกศักราช ๑๑๗๓ ตรงกับ
ปี คฤสตศักราช ๑๘๑๑ เป็ นลําดับปี นันมา ้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หล้ านภาลัย ได้ ทราบความพิราลัยของเจ้ านครจําปาศักดิ์ แล้ วจึงมี
พระราชโองการดํารัสสัง่ ให้ แต่งข้ าหลวงเชิญหีบศิลาหน้ าเพลิง และเครื่ อง
ไทยธรรมของพระราชทานในการศพเจ้ าหน้ า ซึง่ เป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์
ที่ถึงแก่พิราลัยนัน้ ขึ ้นไปพระราชทานเพลิง ครัง้ นันข้
้ าหลวงเมื่อไปถึง
เมืองนครจําปาศักดิแ์ ล้ ว ได้ เข้ าไปนมัสการพระพุะทธปฏิมา-

๖๐
กรแก้ วผลึก พิเคราะห์ดเู ห็นว่าเป็ นของดีมาก ควรที่จะเป็ นของต้ อง
พระราชประสงค์ และเป็ นสิ่งมิ่งมงคลศรี สวัสดิร์ ัตนราชดิลก เฉลิม
กรุงเทพมหานคร ไม่ควรจะประดิษฐานอยูใ่ นเมืองนครจําปาศักดิ์
เป็ นแต่เมืองประเทศราชน้ อยจึงได้ ไต่ถามความต้ นเดิมว่า พระพุทธ
ปฏิมากรแก้ วพระองค์นี ้ ได้ มีมาอยูใ่ นเมืองนครจําปาศักดิแ์ ต่ครัง้ ใด
ท้ าวเพี ้ยทังปวงก็
้ แจ้ งความตามเรื่ องซึง่ บรรยายมาแต่หลัง ตังแต่

พรานทึงพรานเทิงได้ พระพุทธปฏิมากรแก้ วองค์นี ้ มาแต่ถํ ้าเขาส้ มป่ อย
นายอนนันเป็ ้ นเดิม มาจนถึงเวลาเมื่อเจ้ าหน้ าเจ้ านครจําปาศักดิ์ เชิญ
มาประดิษฐานไว้ ในพระวิหารนันให้ ้ ข้าหลวงฟั งทราบทุกประการ ข้ า-
หลวงได้ จดหมายไว้ แล้ ว จึงชักชวนท้ าวเพี ้ยทังปวงให้
้ พร้ อมใจกัน
เข้ าชื่อกับข้ าหลวง ลงใบบอกมายังลูกขุน ณ ศาลา ให้ กราบทูล
ถวายพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ า
นภาลัย แล้ วข้ าหลวงได้ มอบให้ ท้าวเพี ้ยรักษาพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก
นันไว้
้ ให้ มนั่ คงมิให้ มีอนั ตราย แล้ วก็คมุ ใบบอกลงมา
กรุงเทพมหานครวางยังศาลามหาดไทย ขอให้ กราบทูลพระกรุณา
ครัน้ เมื่อความในใบบอกนันเจ้ ้ าพนักงานได้ กราบทูลพระกรุณาแล้ ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัย ได้ ทรงสดับก็ทรงพระโสมนัส
โดยพระราชศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระราชโองการ ดํารัสให้ กรม
มหาดไทยมีท้องตราให้ ข้าหลวงคุมขึ ้นไปสัง่ เมืองรายทาง ให้ แต่งที่
ทางรับส่งพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก ด้ วยแห่แหนสักการบูชา และ
ฉลองสมโภชในระยะทางและที่ประทับโดยสมควรทุกเมือง ตามระยะ
เมือง

๖๑
รายทางตังแต่้ เมืองสระบุรีขึ ้นไป จนถึงเมืองนครจําปาศักดิ์ แล้ ว
ให้ ข้าหลวงกับท้ าวเพี ้ยเมืองนครจําปาศักดิพ์ ร้ อมกัน ทําสักการบูชา
สมโภชฉลองพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก ที่เมืองนคจําปาศักดิโ์ ดย
สมควร แล้ วก็ตงกระบวนแห่
ั้ รับเชิญออกจากเมืองนครจําปาศักดิ์
พรักพร้ อมด้ วยราษฎรที่มีความเลื่อมใสศรัทธามาตามส่งเป็ นอันมาก
เจ้ าเมืองกรมการแลราษฎรทุกหัวเมืองตามรายทางก็มีความชื่นชมยินดี
ได้ แต่งกระบวนการแห่แลการสมโภชสักการบูชามาทุกเมือง ตาม
ระยะทางตลอดเวลาอันควร จนพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกมาถึง
เมืองสระบุรี มีใบบอกลงมากราบทูลพระกรุณา จึง่ มีพระราช
โองการให้ เจ้ าพนักงานคุมเรื อพระที่นงั่ ศรี มีเรื อดังแลเรื
้ อเจ้ าพนักงาน
ป้องกันขึ ้นไปรับ เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้ วลงเรื อพระที่นงั่ ศรี
ล่องลงมาโดยทางชลมารคแต่เมืองสระบุรีมา มีกําหนดให้ ประทับ
สมโภชที่กรุงเก่า แล้ วล่วงลงมาประทับที่วดั เขียนตลาดแก้ วแขวงเมือง
นนทบุรีทนั ในวันมีมงคลศุภนักขัตตฤกษ์แล้ ว ในกรุงเทพมหานครให้ กะ
เกณฑ์กระบวนมหาพยุหยาตราอย่างใหญ่ เรื อพระที่นงั่ กิ่ง เรื อไชย
เรื อพระที่นงั่ ศรี เรื อพระที่นงั่ กราบ เรื อรูปสัตว์เหราทังปวง ้ แลเรื อ
ข้ าราชการทุกตําแหน่ง ฝ่ ายพระบรมมหาราชวังแลพระบวรราชวัง
จัดขะบวนเป็ นขะบวน ๆ แห่พระพุทธรูป ทอดลงมาแต่วดั เขียนตลาด
แก้ วขะบวนหนึง่ ขะบวนเสด็จพระราชดําเนิน ในพระบรมมหาราชวัง
ขะบวนหนึง่ ขะบวนเสด็จพระราชดําเนินในพระบวรราชวังขะบวนหนึง่
แล้ วให้ บอกบุญป่ าวร้ องพระราชาคณะถานานุกรมเจ้ าอธิการ แลลูกค้ า
วานิชราษฎร

๖๒
ในกรุงเทพมหานคร บรรดาที่มีเรื อพายแลกําลังผู้พายจะไปได้ ให้ แต่ง
เครื่ องสักการบูชาตังแลธงปั
้ กในลําเรื อ ไปแห่รับพระพุทธปฏิมากร
แก้ วผลึกตามศรัทธา ครัน้ เมื่อพระพุทธปฏิมากร เจ้ าพนักงานไป
รับมาแต่เมืองสระบุรีถึงวัดเขียนตลาดแก้ ว ทันในวันกําหนดพยุหยาตรา
ใหญ่ไปรับแล้ วนัน้ เจ้ าพนักงานก็เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก ขึ ้น
ประดิษฐานบนพานทองใหญ่แล้ วเชิญขึ ้นตังบนบั ้ ลลังก์บษุ บกพิมาน ใน
เรื อกิ่งไกรแก้ วจักรรัตน์ เป็ นเรื อพระที่นงั่ ใหญ่ประดับไปด้ วยเครื่ อง
พระอภิรมย์หกั ทองขวางอย่างเอก มีพานพุม่ แลเชิงเทียนทอง ตังบู ้ ชา
ในชันเก็้ ดพระที่นงั่ บุษบกนัน้ แลเรื อไชยอื่นก็มีเครื่ องสูงแลเครื่ อง
สักการบูชา ตังบนพระที
้ ่นงั่ บุษบกพิมานทุกลาแวดล้ อมเป็ นบริวาร
มีแตรสังข์อยูใ่ นท้ ายเรื อกิ่งเรื อไชยเป็ นที่ให้ สญ ั ญา กลองชะนะในเรื อ
คูช่ กั แลเรื อดังเป็
้ นลําดับมา พร้ อมทังพิ
้ ณพาทย์มโหรี ดรุ ิยางค์ดนตรี
ต่าง ๆ ทุกลํา พลพายเรื อขะบวนแห่พระพุทธรูปทังเรื ้ อนํา แลเรื อ
ตามสวนสอดสวมเสื ้อสีงามต่างกัน เจ้ าพนักงานรายตีนตอง แล
นักสาตรสํารับเรื อกิ่งเรื อไชยทุกลํานุง่ สมปั กษ์ลายสอดสวมเสื ้อครุย
แลพอกเกี ้ยวตามอย่างธรรมเนียมพยุหยาตราใหญ่ ทอดไว้ คอยรับ
เสด็จพระราชดําเนิน ณตําบลวัดเขียนตลาดแก้ วแขวงกรุงเทพมหานคร
กับเมืองนนทบุรีตอ่ กัน ครัน้ ได้ เวลาจึง่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หล้ านภาลัยพระเลิศเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงเรื อพระที่นงั่ กราบดาดสีลาย
ทอง เสด็จพระราชดําเนินโดยขะบวนมีเรื อดังตามตํ้ าแหน่ง เรื อ
ตํารวจนําแลตามเรื อประตูหน้ าประตูหลัง แลเรื ออาสากลองนําพร้ อม

๖๓
อย่างเสด็จพระราชดําเนินพระราชทานกฐิ น แลขะบวนเสด็จพระราช
ดําเนินพระเจ้ าอยูห่ วั กรมพระราชวังบวร ฯ ก็จดั ไปพร้ อมตามตําแหน่ง
เหมือนกัน พระราชวงศานุวงศ์แลเสนาบดีข้าทูลละอองธุลีพระบาท
ก็โดยเสด็จพระราชดําเนินด้ วยเรื อกราบ ตามบรรดาศักดิท์ งสิ
ั ้ ้นพร้ อม
ทังเรื
้ อโขมดยาพระราชาคณะ แลเรื อต่าง ๆ ของถานานุกรมเปรี ยญ
เจ้ าอธิการเจ้ าคณะแลเรื อต่าง ๆ ของราษฎรขึ ้นไปรับถึงตําบลตลาด
แก้ วพร้ อมกัน ครัง้ นันเรื
้ อขบวนแลเรื ออื่นแน่นนันเต็มไปทังแม่ ้ นํ ้า
ครัน้ เสด็จพระราชดําเนินถึงขบวนพระพุทธรูปทอดอยู่ ก็ให้ ประทับเรื อ
พระที่นงั่ เข้ าขนานกับเรื อพระที่นงั่ กิ่งไกรแก้ วจักรรัตน์ซงึ่ ทรงพระพุทธรูป
อยูน่ นั ้ แล้ วทรงถวายนมัสการพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก ทรงจุด
เทียนทองธูปกระแจะหอม แล้ วทรงระลึกพระพุทธคุณอุทิศเป็ นพุทธบู
ชาแล้ วตังบนเก็
้ ดหน้ าพระที่นงั่ บุษบกพิมานซึง่ ทรงพระพุทธรูปอยู่ แล้ ว
มีพระราชโองการดํารัสถามเจ้ าพนักงานว่า พระพุทธรูปแก้ วผลึกองค์นี ้
เมื่ออยูเ่ มืองลาวมีเครื่ องประดับประดาเป็ นอย่างไร เจ้ าพนักงานกราบ
ทูลว่ามีปลอกทองคําประดับด้ วยแก้ วต่าง ๆ รัดทับเกษตรอยูโ่ ดยรอบ
กับเทริดอย่างลาวแลเครื่ องประดับทองคําบ้ าง ได้ ตามเสด็จพระพุทธ-
รูปมาด้ วยจึง่ มีพระราชโองการดํารัสให้ เจ้ าพนักงานนําเครื่ องประดับเดิม
ออกประดับเข้ าในองค์พระปฏิมากรถวายทอดพระเนตร ครัน้
ทอดพระเนตรแล้ วทรงพระราชดําริวา่ เครื่ องประดับนันเป็้ นฝี มือ
ลาวรุงรังนัก เมื่อประดับอยูใ่ นองค์พระพุทธรูปแห่ล งไปกําบังเนื ้อ
แก้ วเป็ นของวิเศษเสีย หางามสมควรไม่ ให้ เปลื ้องเครื่ องตัง้
ไว้ แต่

๖๔
พระองค์เปล่าเห็นเนื ้อแก้ วปลอดโปร่งตลอดงามดีกว่า ครัน้ ทรงมนัส
การบูชาแลทอดพระเนตรแล้ ว ก็ให้ ปละเรื อพระที่นงั่ ออกตังขะบวน

แห่พระพุทธรูป ลงมาในกลางแม่นํ ้าลําเจ้ าพระยาขะบวนเสด็จใน
พระบรมมหาราชวัง กระหนาบขะบวนแห่พระพุทธรูปมาโดยฝั่ ง
ตะวันออก ขะบวนเสด็จพระราชดําเนินฝ่ ายพระราชวังบวร ฯ กระหนาบ
ขะบวนแห่พระพุทธรูปมาโดยฝั่ งตะวันตก ครัน้ ถึงหน้ าท่าราชวรดิษฐ์ แล้ ว
ให้ ประทับเรื อพระที่นงั่ กิ่งไกรแก้ วจักรรัตน์เข้ ากับแพขะบวนซึง่ ผูกแล้ ว
ทอดสมอไว้ กลางแม่นํ ้า เพื่อจะให้ ราษฎรได้ นมัสการทัว่ กัน บรรดาเรื อ
ไชยเรื อศรี เหรารูปสัตว์ในขะบวนแห่พระพุทธรูปนัน้ ก็ให้ จอดกับบวบซึง่
ทอดไว้ เรี ยงรายแวดล้ อมเป็ นบริวารเรื อพระที่นงั่ กิ่งไกรแก้ วจักรรัตน์
เหนือนํ ้าบ้ างใต้ นํ ้าบ้ างพร้ อมทังเครื
้ ่ องสูงแลเครื่ องสักการบูชา เรื อ
เหราเรื อรูปสัตว์ซงึ่ มีปืนหน้ าเรื อก็ให้ ทอดไว้ เป็ นเรื อจุกช่องล้ อมวง
ด้ านเหนือนํ ้าด้ านท้ ายนํ ้า มีคนเฝ้าประจํารักษาอยูท่ กุ ลํา แลที่บนบวบ
ข้ างเรื อพระที่นงั่ กิ่งไกรแก้ วจักรรัตน์ มีราวเทียนกระถางธูป ตังไว้

สําหรับรับเทียนรับธูปดอกไม้ เครื่ องสักการบูชา โปรดให้ พระสงฆ์
สามเณรแลราษฎรลงเรื อเข้ าไปนมัสการใกล้ ๆ ตามปรารถนา แล้ ว
ให้ มีงานมหรสพโขนหุน่ ละครมอญรํ าต่าง ๆ ในโรงบนแพบวบทอดราย
อยูเ่ หนือนํ ้าใต้ นํ ้าบ้ างสามวัน มีดอกไม้ เพลิงในเรื อดอกไม้ ในกลางคืน
ด้ วยทังสามวั
้ น มีละครข้ างในที่โรงเรื อริมที่ประทับท่านํ ้าด้ วยทังสามวั้ น
ตังแต่
้ วนั ขะบวนแห่มาถึง มีพระราชโองการโปรดให้ อาราธนาพระราชา
คณะ มาสวดพระพุทธมนต์ ที่พระที่นงั่ ประทับริมนํ ้าเวลาบ่าย

๖๕
เวลาเช้ าพระราชทานบิณฑบาตรทานแลไทยธรรมโดยสมควรแก่พระสงฆ์
มีประมาณพอสมควรแก่ที่บนพระที่นงั่ ที่ประทับริมนํ ้านัน้ ผลัดเปลี่ยน
ต่อไปทังสามเวลา
้ ครัน้ การฉลองในนํ ้าเสร็จแล้ ว มีพระราชโองการ
ให้ เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้ วขึ ้นบกโดยท่าราชวรดิษฐ์ แล้ วเชิญขึ ้น
พระยานุมาศ แวดล้ อมด้ วยขุนนางคูเ่ คียงอินทร์ พรหม และเครื่ อง
พระภิรมย์เอกหน้ าหลัง แตรสังข์กลองชะนะธงชายธงฉานแห่ขึ ้นจาก
ท่าราชวรดิษฐ์ เข้ าในพระบรมมหาราชวัง โดยประตูรัตนพิศาลมา
ทางหน้ าศาลาลูกขุนใน แล้ วแห่วงไปโดยถนนริมกําแพง ข้ างวัด
พระศรี รัตนศาสนาดารามด้ านเหนือ วงไปจนถึงประตูหน้ าพระอุโบสถ
แล้ วเชิญเข้ าพระอุโบสถวัดพระศรี รัตนศาสดาราม ประดิษฐานไว้ ใน
พานทองตังอยู ้ บ่ นพระแท่นทอง แลมีเครื่ องนมัสการทองสํารับใหญ่
ตังบู
้ ชาในเบื ้องพระพักตร์ พระพุทธปฏิมากร แล้ วโปรดให้ พระราช
วงศานุวงศ์ ข้ าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ ายใน มาทําสักการบูชาตาม
ปรารถนาเมื่อเวลาแห่พระพุทธปฏิมากรขึ ้นมานัน้ เสด็จประทับอยูท่ ี่พลับ
พลาโรงละครด้ านตะวันตกวัดพระศรี รัตนศาสดาราม ให้ มีละครข้ างใน
รับเสด็จพระพุทธปฏิมากรเมื่อเวลาแห่นนด้ ั ้ วย ตังแต่
้ วนั นันมาโปรด

ให้ อาราธนาพระสงฆ์ราชาคณะ ถานานุกรมเปรี ยญ มีประ-มาณโดย
สมควรแก่ฐานในพระอุโบสถวัดพระศรี รัตนศาสดาราม มาสวดพระ
พุทธมนต์เวลาบ่าย เวลาเช้ าขึ ้นพระราชทานบิณฑบาตรทานเลี ้ยง
พระสงฆ์ แล้ วพระราชทานไทยธรรมโดยสมควร ผลัดเปลี่ยน
พระสงฆ์ไปทังสามวั
้ น เวลาบ่ายก่อนพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ แลในวัน

๖๖
สุดนันเจ้
้ าพนักงานได้ ตงบายศรี
ั้ เงินบายศรี ทองบายศรี แก้ ว แลเสนาบดี
มีสกุลเป็ นเชื ้อพราหมณ์แลเชื ้อเจ้ านายโบราณ เบิกแว่นเวียนเทียนรอบ
พระอุโบสถทังสามวั้ น ในวันทังสามนี ้ ้นับเป็ นสี่ กับทังวั ้ นเชิญพระพุทธ
ปฏิมาขึ ้นแห่เข้ าในพระราชวังนัน้ มีละครข้ างในที่โรงละครใหญ่ แลมี
การเล่นต่าง ๆ บนบกแลดอกไม้ เพลิงเวลากลางคืน เป็ นการสมโภชด้ วย
ทัง้ ๔ วัน ๔ คืน รวมการสมโภชพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกเมื่อแรก
มาถึงเป็ นเจ็ดวันเจ็ดคืน ในงานสี่วนั นันก็ ้ ดี พ้ นวันงานวันนันไป้
หลายวันก็ดี พระราชวงศ์ศานุวงศ์ แลข้ าราชการฝ่ ายหน้ าฝ่ ายใน แล
พระภิกษุสงฆ์สามเณรราษฎรเป็ นอันมาก มานมัสการพระพุทธ
ปฏิมากรแก้ วผลึกเนือง ๆ ไปหลายวันหลายเวลา ครัน้ ชนนมัสการเบา
บางช้ าไปแล้ ว จึง่ มีพระราชโองการให้ เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้ ว
ผลึกนันไปประทั
้ บไว้ ในโรงที่ประชุมช่างอยูข่ ้ างพระที่นงั่ จักรพรรดิพิมาน
แล้ วเสด็จพระราชดําเนินมาทอดพระเนตร ให้ ชา่ งจัดเนื ้อแก้ วผลึกที่
เหมือนกับเนื ้อแก้ วในพระองค์พระพุทธรูป มาเจียรไนเป็ นรูปปลาย
พระกรรณที่ลิอยูน่ นต่
ั ้ อติดให้ บริบรู ณ์แล้ ว ให้ ขดั เกลาชักเงาชําระพระ
พุทธปฏิมากรแก้ วผลึก ให้ เกลี ้ยงเกลามีเงาขึ ้นสนิทเสมอกัน
แล้ วทรงพระราชดําริพระราชทานอย่างให้ ชา่ งปั น้ ฐาน มีหน้ ากระดาน
ชันสิ
้ งห์บวั หงาย แลหน้ ากระดานบนลวดทับหลัง ย่อเก็ดเป็ นหลัน่
แลมีหน้ ากระดานท้ องไม้ ชนรองรั
ั้ บบัวกลุม่ หุ้มรับทับเกษตรแก้ วต่อองค์
พระพุทธปฏิมา โดยทรวดทรงสัณฐานที่พงึ พอพระราชหฤทัยแล้ ว ก็ให้
หล่อด้ วยทองสัมฤทธิ์ แต่งให้ เกลี ้ยงเกลาสนิทแล้ วหุ้มด้ วยทองคํา

๖๗
ทําให้ เกลี ้ยงกวดขึ ้นเงางาม ด้ วยชอบพระราชหฤทัย ว่าเนื ้อแก้ ว
เกลี ้ยงใสสะอาด ติดต่อกับเครื่ องทองอันเกลี ้ยงนันงามยิ ้ ่งนัก เพราะ
พระราชประสงค์ครัง้ นัน้ จะใคร่ให้ เนื ้อแก้ วอันบริ สทุ ธิ์ใสสะอาด ทึบ
ทังแท่
้ งนันปรากฏตลอดงามดี
้ แต่ยอดพระรัศมีแลพระศกยังไม่มี
ต้ องอย่างแบบแผนพระพุทธรูป จึง่ มีพระราชโองการให้ ชา่ งแผ่
ทองคําหุ้มส่วนพระเศียรที่มีพระศก แล้ วดุนเป็ นเม็ดพระศกเต็ม
ตามที่แล้ วต่อกับพระรัศมีลงยาราชาวดี มีเพ็ชรประดับใจกลาง
หน้ าหลังแลกลีบต้ นพระรัศมี เมื่อเครื่ องทองพระศกพระรัศมีเสร็จแล้ ว
ถวายสวมลง พื ้นทองแลช่องดุนพระศก ก็มาปรากฏข้ างพระพักตร์
เป็ นรวงผึ ้งไป พระพักตร์ ก็เห็นพรรณเหลืองคลํ ้าไม่ผอ่ งใสเหมือนสี
พระองค์ จึง่ มีพระราชโองการให้ ชมุ นุมนายช่างที่มีสติปัญญาปรึกษา
กันคิดแก้ ไข จึง่ ปรึกษาตกลงกัน เอาเนื ้อเงินไล่ขาวบริสทุ ธิห้ มุ ลง
เสียก่อนชันหนึ้ ง่ แล้ วขัดข้ างในให้ เกลี ้ยงชักเงางามแล้ ว จึง่ สวม
พระศกทองคําลงชันนอกแผ่ ้ นเงิน ก็เห็นพระพักตร์ ใสสะอาดขาวนวลดี
เสมอกับพระองค์ แล้ วมีพระราชโองการให้ ทําพระสุวรรณกรัณฑ์น้อย
พอจะสอดลงในช่องบนพระจุฬาธาตุ ได้ เป็ นที่บรรจุพระบรมธาตุไว้
ให้ สมควรเป็ นอุดมปูชนียวัตถุ แลให้ ทําตัวทองน้ อยเท่ากับช่องพระ
เนตร แล้ วลงยาราชาวดีขาวดํา ตามที่พระเนตรขาวดํา แล้ วฝั ง
ให้ แนบพระเนตรให้ งามดีขึ ้น เพราะแต่ก่อนนันช่ ้ องพระเนตรเป็ นแต่
ขุม แล้ วแลแต้ มหมึกแลฝุ่ นเป็ นขาวดําเท่านัน้ ไม่มีผิวเป็ นมัน
มัน่ คงเหมือนผิวยาราชาวดี แลมีพระราชโองการให้ ชา่ งทองทําฉัตร
ทอง

๖๘
คํา ๕ ชัน้ ๆ ต้ นเท่าส่วนพระอังศา ลงยาราชาวดีประดับพลอยมีใบโพธิ์
แก้ วห้ อยเป็ นเครื่ องประดับ ปลายคันฉัตรปั กลงไปในสายยูเนื่องกับ
ฐาน เบื ้องพระปฤษฏางค์พระพุทธปฏิมากร แลให้ ทําสันถัดห้ อย
หน้ าฐานพระพุทธปฏิมา ด้ วยทองคําจําหลักลายพื ้นเป็ นทรงเข้ าบิน
มีชายกรวยเชิงงอนแล้ วลงยาราชาวดีประดับพลอยเพ็ชร ครัน้ การ
สําเร็จจึง่ ให้ เชิญไปประดิษฐานในหอพระเทพาติเทพย์พิมาน ซึง่ ประดิษ-
ฐานอยูข่ ้ างบูรพทิศ ของพระที่นงั่ ไพศาลทักษิณเป็ นที่มนัสการ ข้ าง
ในบรรจุพระบรมธาตุไว้ สามพระองค์ ในพระสุวรรณกรัณฑ์ซงึ่ มีอยู่
ในช่องบนพระจุฬาธาตุ แล้ วทรงสักการบูชานมัสการวันละสองเวลา
เช้ าคํ่ามิได้ ขาด แลการซึง่ ได้ ทรงบริจาค แลพระราชอุสาหใน
ที่ประดับพระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึก ครัง้ เป็ นประถมเพียงนี ้ด้ วยพระ
ราชหฤทัยรี บร้ อน จะให้ การแล้ วเร็วทันตามพระราชประสงค์ จะตังไว้ ้
ทอดพระเนตรนมัสการไปเนือง ๆ ทรงพระปฏิญญาณว่าจะค่อยทรง
พระราชดําริการที่ควร แล้ วจึงจะให้ ทําแก้ ไขเพิ่มเติมต่อภายหลัง
ตังแต่
้ พระพุทธปฏิมากรแก้ วผลึกมาไว้ ในพระนคร แลทรงสักการบูชา
ดังนี ้ ก็ดปู ระหนึง่ ว่าจะเห็นผลเป็ นทิฎฐธรรมเวทนีย์มีโชคไชยพระเดชา
นุภาพพระบารมีจําเริญมากขึ ้นไป ในปี วอกจัตวาศกศักราช ๑๑๗๔
ตรงกับปี มีคฤสตศักราช ๑๘๑๒ ซึง่ เป็ นแต่ปีมแมตรี ศกนันมา ้ ก็ได้
พระยาเศวตกุญชรช้ างเผือกพรายมาประดับพระบารมีเป็ นศรี พระนคร
ครัน้ ล่วงข้ ามสามปี ไปถึงปี ชวดอัฏฐศกศักราช ๑๑๗๘ ตรงกับปี มีคฤสต
ศักราช ๑๘๑๖ แลปี ฉลูนพศกศักราช ๑๑๗๙ ตรงกับปี คฤสตศักราช

๖๙
๑๘๑๗ เป็ นปี ที่ ๘ ที่ ๙ ในรัชชกาลอันนัน้ ก็ได้ พระยาเศวตไอยรา
แลพระยาเศวตคชลักษณ์ เป็ นช้ างเผือกพรายมีลกั ษณในกาย
เหมือนกันเป็ นอันเดียวกับพระยาเศวตกุญชร มาสูพ่ ระนครเป็ นมิ่งมงคล
สวัสดิศ์ รี พระบรมมหาราชวัง พร้ อมทังพระเทพกุ
้ ญชรช้ างเผือกพังเก่า
ซึง่ มาสูพ่ ระนครแต่ปีระกาตรี ศกศักราช ๑๑๖๓ ตรงกับปี มีคฤสตศักราช
๑๘๐๑ ก่อนแต่เวลาเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ๘ ปี นัน้ ได้ ตงโรง
ั้
เรี ยงกันเป็ นแถวไปในระวางพระที่นงั่ ดุสิตมหาปราสาท กับพระที่นงั่
ไพศาลทักษิณ มีแต่ช้างเผือกเอกอุดมทังสี ้ ่ ไม่มีช้างอย่างอื่นคัน่
อนึง่ ในปี จอฉศกต่อกันกับปี กุนสัปตศก เป็ นปี ที่ ๖ ที่ ๗ แห่งรัชชกาล
อันนัน้ มีคนครอบครัวพะม่ารามัญเป็ นอันมากกว่าสามหมื่นเศษ ซึง่
เป็ นชาวเมืองเมาะตะมะ แลเมืองใกล้ เคียงเป็ นข้ าแผ่นดินเจ้ าอังวะ เมื่อ
ไม่มีใคร ฝ่ ายไทยไปเกลี ้ยกล่อมก็พร้ อมใจกันสวามิภกั ดิ์ อพยพยก
ครอบครัวเข้ ามาขอพึง่ พระบารมียอมเป็ นข้ าแผ่นดิน เมื่ออ้ ายพะม่า
ข้ าศึกคิดอ่านไปสมคบเมืองญวน ชักชวนให้ คดิ ร้ ายต่อกรุงเทพมหานคร
พะม่าที่ไปนันก็้ มีผ้ จู บั ได้ นําตัวเข้ ามาถวาย ทําลายความประสงค์ศตั รู
เสียได้ เมื่อผู้ครองฝ่ ายญวนทราบความไปแล้ ว แต่งทูตให้ โดย
สารจ้ างกําปั่ นลูกค้ าไปเมืองพะม่า แล้ วกลับรับเอาทูตพะม่ามาถึงเมือง
เกาะหมาก กําปั่ นลํานันก็ ้ เกิดเพลิงไหม้ ทตู ญวนทูตพะม่าแตกกระจัด
กระจายกันไป ข้ าศึกภายในคือ ผู้ใดคิดการลอบลักกระทําผิด ๆ ไม่
สัตย์ซื่อตรงต่อพระเดชพระคุณ ความก็ปรากฏอื ้ออึงออกเอง จนผู้
ผิดนันต้
้ องอันตรายไปต่าง ๆ เห็นประจักษ์เป็ นหลายเรื่ องหลายราย ลูก

๗๐
ค้ าวานิชต่างประเทศที่ไม่เคยเข้ ามาค้ าขายก็เข้ ามา มีเครื่ องบรรณาการ
ทูลเกล้ าทูลกระหม่อมถวาย ขอพึง่ พระบารมีไปมาค้ าขายมากมายหลาย
พวก จนสมบัตใิ นพระนครจําเริญขึ ้นกว่าแต่ก่อน ตังแต่
้ พระพุทธ
ปฏิมากรแก้ วผลึกพระองค์นี ้มาอยูใ่ นพระนคร เมื่อมีการพระราชพิธี
ใหญ่ ๆ คือเฉลิมพระที่นงั่ ใหม่ลงสรงโสกันต์ พระราชพิธีสมั พัจฉร-
ฉินท์สําหรับปี แลพระราชพิธีพิรุณสาตร แลอาพาธวินาศอุทโกสารนะ
สําหรับการเมื่ออุบตั มิ ีมา ก็มีพระราชโองการให้ เชิญพระพุทธปฏิมา-
กรแก้ วผลึก ไปตังบนแท่
้ นพระมณฑล ทําสักการบูชาเสร็จการ
พระราชพิธีแลเชิญไปเป็ นประธาน ในการที่มีขบวนแห่เรื อแลบกตาม
นิยม การพระราชพิธีนนั ้ ๆ ทุกครัง้ อนึง่ เวลาใดว่าง ๆ ทรงบําเพ็ญ
พระราชกุศลโดยสําราญพระราชหฤทัย ก็มีพระราชโองการให้ เชิญ
พระพุทธปฏิมากรแก้ ว ไปสมโภชทําสักการบูชาในที่นนั ้ ๆ เนือง ๆ
นับครัง้ ไม่ถ้วน
นิทาน เรื่ องขุนบรมราชา
พงศาวดารเมืองล้ านช้ าง

นโมตัสสภควโตอรหโตสัมมาสัมพุทธัสส นโมอันว่ากิริยาอัน
น้ อมไหว้ เมแห่งข้ า อัตถุจงมี ตัสสแห่งพระพุทธเจ้ าตนนัน้ ภควโต
ตนมีทําเนาเลาตนอันงาม หาบุคคลผู้จกั เทียบเทียมบ่ได้ อรหโตตน
ไกลแก่ราคาทิกิเลส สัมมาสัมพุทธัสสตนตรัสรู้ยงั ธรรมทังมวล

ด้ วยดีด้วยตนแล อหังอันว่าข้ าผู้นนั ้ นมัสสิตวาไหว้ แล้ วแล พุทธัง
ธัมมัง สังฆังยังพระพุทธเจ้ า พระธรรมเจ้ า และพระสังฆเจ้ า ด้ วย
คาถาว่าศรี ศรี อญ
ั ชลีปณาเมเตย รตตนาคุณณ นโมพุยาโลโก ปก
รนสัมพุทธัง ดังนี ้ แล พุทโธ ธัมโม สังโฆ จงมาทะรงทรงแทบไท้
สีรสามารัง ขออย่ามีมารมาประจนเบียดม้ าง บารมีโยบารมีแม่งกําจัด
เจียรจาคสัพพโรคา สัพพอันตรายา สัพพภยา ขออย่าให้ มีโภยภัยต้ อง
หนีไกลแสนโยชน์ พ้ นจากโทษบาปเวรหนา ด้ วยผละแห่งผู้ข้าได้ สร้ างแล
ได้ เขียน ยังปิ ฎกธรรมเจ้ าดวงนี ้ไว้ โชตนา พุทธศาสนาเท่า ๕๐๐๐
พระวัสสา ให้ เป็ นที่ไหว้ นบเคารพยําแยงแก่คนแลเทวดาทังหลาย้ สืบ
เมื่อภายหน้ าพุ้นแล ฯ
โภสาธโว ดูกรสัปปุริสเจ้ าทังหลาย
้ ฝูงมีผยาปรารถนาเถิงสุข
สามประการ มีนิรพานเป็ นที่แล้ ว จงตังยั ้ งโสตประสาทหูฟังยังรส
ธรรมดวงนี ้ ให้ มีขนั ข้ าวตอกดอกไม้ ธูปเทียนหมากพลู กล้ วยอ้ อย

๗๒
เครื่ องบูชาแล้ วจึงฟั งเทอญ เหตุวา่ เป็ นคําบุคคลผู้ลํ ้าหยิ่ง ผู้มีบญ ุ มีศีล
๕ ศีล ๘ ดีหลีดาย
ดูกรสัปปุริสทังหลาย
้ บัดนี ้จักกล่าวตํานานนิทานแห่งขุนบรมรา-
ชาธิราชเจ้ าก่อนแล คําไทยว่าแถนฟ้าขื่นนัน้ บิดา หากเป็ นพ่อขุนบรม
แล คือว่าตนแห่งพระยาอินทาธิปติราช แลเขาว่าแถนแต่งนัน้ คือว่า
พิศณุกรรมเทวบุตร แลอันว่าแถนคมและแถนชัง่ นันแถนเถื ้ อก แถน
ผู้นี ้หูหิงแลแถนสี่ตนนี ้อยูช่ นฟ
ั ้ ้ าจาตุมหาราชิกา แต่งยังโลกหลิงยังสัตว์
ยังคนอันกระทํายังบาปแลบุญแล ที่แท้ คนทังหลายว่ ้ าผีฟ้าผีแถน ว่า
อันที่แท้ แหม่นพระยาอินทรแลท้ าวจตุโลกทังสี ้ ่ดาย จัดเขียนถามยัง
คนทังหลายฝู
้ งกระทําบุญคุณแลโทษ แลยังมีนางเทวดาตนหนึง่ ชื่อว่า
นางธรณีอนั รักษายังนํ ้าหยาดหมายทานแห่งคนทังหลาย ้ ยังมีนางเทวดา
ตนหนึง่ ชื่อว่านางเมกขลา อยูร่ ักษาพระยาท้ าวขุนแลคนทังหลาย ้ ผู้มี
บุญก็ดีบม่ ีบญ ุ ก็ดีหากรู้สคู่ นในโลกนี ้ทังมวลดาย
้ คนทังหลายผี
้ เสื ้อเมือง
นันบ่
้ มีแล แหม่นนางเมกขลานันแล ้ คนทังหลายกระทํ
้ าบาปบุญคุณ
โทษดังนัน้ ก็เมื่อบอกแก่ท้าวทังสี้ ่ให้ แจ้ งเขียนถามดูตอ่ เขาหันแล้ ฯ
ดูราสัปปุริสนักปราชญ์เจ้ าทังหลาย
้ จงตังยั
้ งโสตปราสาท หูฟังยัง
ตํานานนิทานมหากัปนี ้เทอญ โพธิสตั โตอันว่าโพธิสตั ว์เจ้ าเราได้ เกิดเป็ น
สมันตรพรหม เป็ นใหญ่แก่พรหมทังหลาย้ ก็หากเสด็จลงมาดูยงั
จักรวาฬทังมวลอั
้ นกว้ างแลแคบ ให้ ร้ ูชมพูทวีปเรานี ้ กว้ างได้ หมื่นโยชน์
พรหมทังหลายก็
้ มาหมายไว้ ยงั ที่อนั จักตังเมื
้ องใหญ่ทงหลาย
ั้ ๑๖ เมือง
ใส่หลักแก้ ว ใส่หลักคํา ใส่หลักเงินไว้ ที่อนั จักตังเมื ้ องน้ อยทังหลาย

๗๓
มี ๑๕ เมือง ใส่หลักเงิน ใส่หลักคํา ใส่หลักหิน หมายไว้ สแู่ ห่งหัน้
แล เมื่อนันจึ
้ งให้ พรหมตนชื่อว่าตัปปะระเมศวรรักษากํ ้าตะวันออก
พรหมตนหนึง่ คือพระนารายรักษากํ ้าตะวันตก พรหมคนหนึง่ ชื่อว่า
มโนสิทธิรักษากํ ้าหนเหนือ พรหมตนหนึง่ ชื่อว่าเสละสิทธิรักษากํ ้าใต้
อยูส่ อนศาสตร์ ศลิ ป์ทังมวล
้ จึงได้ ชื่อว่าเมืองตักกะศิลานครหันแล ้
พระโคตมเราเป็ นสมันตรพรหมนัน้ อยูร่ ักษาเขิ่งกางเมือง อันว่า
พระพุทธเจ้ า ๕ พระองค์ คือพระเมตไตรยเจ้ า จักมาเป็ นพระลุนพระ
เจ้ าทังหลายในมหากั
้ ปนี ้แล แดนแต่นนเมื
ั ้ อหน้ า บ้ านเมืองทังมวนอั ้ น
พรหมทังหลาย
้ ตังแต่
้ งหมายไว้ นนั ้ ก็บงั เกิดมีท้าวพระยาหญิงชาย
ทังหลายอ่
้ อนเต็มไป ท้ าวพระยาก็อยูใ่ นศีล ๕ ศีล ๘ ชอบทศราชธรรม
แต่งคองชอบโลกสะกําราบงามดีก็มีวนั นันแล ้ พระกุกกุสนธเจ้ าเกิด
มาเป็ นพระ แลศาสนาก็ลาลดไป แล้ วชุมพูทีปก็เศร้ าศูนย์เป็ นอันเหิง
นานนัก ดังนันพระยาอิ
้ นทร์ แลวิศณุกรรมเทวบุตรแลท้ าวจตุโลกทังสี ้ ่
แลนางธรณีแลนางเมกขลา อันลาวเก่าเขาว่าผีฟ้าผีแถนว่าอัน้ จึงเอา
เทวดาอันอยูช่ นฟั ้ ้ าภายบนลงมาใส่ เป็ นท้ าวเป็ นพระยาด้ วยอันเป็ นโอป
ปาติกชาติ ก็ให้ ท้าวพระยาอยูใ่ นราชธรรม ๑๐ ประการ คือทาน ศีล
ภาวนา เป็ นต้ นดีแล้ ว เมื่อพระพุทธเจ้ าโกนาคมมาเกิดเป็ นพระ หมด
ศาสนาพระโกนาคมแล้ ว ชุมพูทีปทังมวลก็ ้ เศร้ าศูนย์เสียทังมวล
้ พระยา
อินทร์ แลเทวดาทังหลายก็
้ เล่าเอาเทวบุตรเทวดาอันอยูช่ นฟ
ั ้ ้ าภายบน ลง
มาเป็ นท้ าวเป็ นพระยาเหมือนดังกล่าวแล้ วแต่ภายหลังนันแล ้ บ้ านเมือง
ทังหลายก็
้ สภาพราบงามแล เมื่อพระพุทธเจ้ าองค์ชื่อว่กสั สปเจ้ า มา

๗๔
เกิดเป็ นพระหมดศาสนาพระกัสสป อยูม่ านานนักผีเผดผียกั ษ์ทงหลาย ั้
อยูเ่ บียดกุกกวนกระทําร้ ายในชุมพุทวีปเรานี ้ แลคนทังหลายก็
้ รบเลว
ผีเผดผียกั ษ์ ๆ ทังหลายก็
้ รบเลวคน ฆ่าฟั นกันไปมาหันแล ้
พระพุทธเจ้ าตนชื่อว่าพระโคดมเจ้ าแห่งเรามาเกิดแล้ วดังนัน้ ก็
กระทําเพียรไปได้ ๖๐ วัสสาจึงได้ เป็ นพระ ยังบ่ได้ โผดสัตว์ทงหลาย ั้
ในเมืองใหญ่ทงหลาย ั้ ๑๖ เมืองพุ้น ไป่ มาฮอดเราสักเทือยังเป็ นบัน้
เป็ นท่อนเสียแล ฯ
บัดนี ้มาจักจายังนางกางฮีเมืองลานช้ างเราพี ้ ทังผี ้ เสื ้อแลอ้ าย
ชะเลิกเกิกแลเถ้ าชะโคมฟ้า และอ้ ายเจ็ดใหแลปู่ พีสีแลย่าพีใส แล
นางเงือกอยูภ่ ชู ้ างนันแลพระยางู
้ เหลือมตัวหนึง่ อยูภ่ ซู วงหลวง เขานี ้
เป็ นผัวเมียกัน จึงมีลกู ผู้หนึง่ ชื่อว่านางปากกว้ างหูฮี กับทังนางนั ้ นทาเทวี
เขาฝูงนี ้เป็ นผีเสื ้อเมืองแลเขารักษาเขตต์ขงกงเมืองลานช้ างทังมวลแล ้
แต่นนไปภายหน้
ั้ ายังมีเจ้ ารัสสีสองพี่น้อง จึงมาตังหลั้ กหมายแผ่นดิน
ไว้ เบื ้องตะวันออกนันฝั
้ งหลักคํา หลุม่ ใส่หลักเงิน กลางใส่หลักไม้ ฝั ง
ลงเลิ ้กมี ๑๖ ศอกอันนี ้ชื่อว่าหลักปฐมหัวที ใส่ชื่อหลักหมัน้ ทีหนึง่ ชื่อว่า
ท้ ายขันธตังกางเมื
้ องหลักหนึง่ หันแล
้ หลักหนึง่ ตังไว้
้ ท้ายเมืองที่งอน
ห้ วยสบโฮบ กํ ้าฝ่ ายเหนือ แล้ วจึงฝั งหลักหินแก้ ว อันหนึง่ หลัก
คําหลักเงินไว้ ที่ต้นไม้ ถ่อนต้ นหนึง่ มีดอกบานตระกานงาม บานสูเ่ ดือนบ่
ขาดเหมือนดังดอกทองแดง มีลําใหญ่ได้ ๑๗ อ้ อม สูงได้ ๑๑๗ วา
เจ้ ารัสสีสองพี่น้องจึงเอาหินหน่วยหนึง่ ชื่อว่า ก้ อนก่ายฟ้ามาหมายไว้ ให้
เป็ นที่ตงปราสาทเจ้
ั้ าภูมิปาลเจ้ าแผ่นดินหันแล

อัตถ ถัดนันเจ้
้ ารัสสีพี่น้องสองพระองค์ จึงไปเอานํ ้าอโนมตัสส

๗๕
มาหดเสาหลักคําทังสี ้ ่แห่งนี ้แล้ ว นํ ้าอันเหลือกว่านันเจ้
้ ารัสสีจงึ ไปไว้
ในบ่อนหนึง่ คนทังหลายเรี
้ ยกว่าถํ ้านํ ้าเที่ยงแห่งหนึง่ หันแล
้ จึงไป
ตักเอามาหดสรงท้ าวพระยาทังหลายตนจั ้ กนัง่ เมืองหันแล
้ ถัดนัน้
เจ้ ารัสสีจงึ มาตังนั
้ กขัตตฤกษ์ชื่อไว้ วา่ เป็ นชาตาเมืองไว้ กบั แผ่นดินที่เชียง
ทองเป็ นต้ นว่าดังนี ้ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ลัคคนาว่า ฤกษ์
ทังหลายมวลฝู
้ งนี ้อยูใ่ นสิงทราษีแล ตังหลั
้ กคําฝูงนี ้ไว้ กบั แผ่นดิน
อันนี ้แหม่นยามจักใกล้ รุ่ง ไว้ ลคั คนาที่กรกฎทราษี อันเป็ นชาตาแผน
เมืองเจ้ ารัสสีจงึ ก่อตังแผ่
้ นดินแล ถัดนันเจ้ ้ ารัสสีพี่น้องไปสถิตอยูท่ ี่หิน
สบคานที่นํ ้าของคบกันหัน้ จึงเรี ยกมายังนาคทังหลาย ้ ๑๕ ตัว ๆ หนึง่
อยูถ่ ํ ้าภูซวง ตัวหนึง่ อยูภ่ ชู ้ าง ตัวหนึง่ อยูแ่ ก่งหลวงนํ ้าเซือง ตัวหนึง่
อยูส่ บเชือง ตัวหนึง่ อยูผ่ ารังเมืองที่สบอู ตัวหนึง่ อยูแ่ ก่งหลวงนํ ้าอู
ตัวหนึง่ อยูท่ า่ งของแก่งอ้ อยผาธนู ตัวหนึง่ อยูผ่ าเสื ้อ ตัวนี ้เป็ นแก่กว่า
พระยานาคแล ตัวหนึง่ อยูผ่ าเดี่ยวหลุม่ ผาจอมเพ็ชรหันแล ้ ตัวหนึง่ อยู่
คตเฮือ ตัวหนึง่ อยูก่ กถ่อน ตัวหนึง่ อยูผ่ าตัดแคแลผาต่างนาย ตัวหนึง่
อยูแ่ ก่งแตนท่างนํ ้าของดอนควายฟูม ตัวหนึง่ อยูป่ ากสบโฮบหัน้ ตัวนี ้
เป็ นพระยาใหญ่รักษานํ ้ารักษาเมืองกํ ้าฝ่ ายใต้ ตัวอยูผ่ าเสื ้อเป็ น
ใหญ่รักษาฝ่ ายหนนํ ้ากํ ้าฝ่ ายเมืองหนเหนือหันแล ้ พระยานาค ๑๕ ตระกูล
ก็ออกมาแล้ ว ก็เอากันเนรมิตร ตัวเป็ นทหาร เป็ นท้ าว เป็ นพระยา ออกมา
พร้ อมกัน แล้ วเจ้ ารัสสีพี่น้องจึงมาสถิตอยูก่ ้ อนหินก่ายฟ้าที่กกไม้ ทอง
ต้ นใหญ่ แล้ วก็สงั่ สอนพระยานาคทังหลายว่ ้ าดังนี ้ ดูราพระยานาค
ทังหลายบ่
้ อนที่นี ้ เป็ นที่ตงปราสาทเจ้
ั้ าผู้มีบญ
ุ อันจักมาเป็ นท้ าวพระยา

๗๖
ข้ างหน้ าพุน่ ดีหลีแล เจ้ าทังหลายจงพร้
้ อมเพรี ยงกับด้ วยกันพิทกั ษ์รักษา
บ้ านเมืองแม่นํ ้า ภูดอยใต้ เหนือทางเทิงแผ่นดินแผ่นทราย แม่นํ ้าใหญ่
นํ ้าน้ อย แม่นํ ้าใหญ่ทงหลายสู
ั้ ท่ ี่สแู่ ห่งเทอญ เจ้ าทังหลายพร้ ้ อมกัน
รักษาที่เชียงดงเชียงทองนี ้เป็ นเค้ าเทอญ จงมารักษาสี่เดือนให้ พร้ อม
กันมาเทือหนึง่ พระยานาคตัวอยูห่ น้ าห้ วยให้ มาที่ก้อนผาขวางก้ อน
เยียบหันก่ ้ อน พระยานาคตัวอยูน่ ํ ้าของครัน้ ว่ามาเซาที่ ที่เซาที่ก้อนผา
เดียวหันแลวั
้ งคกเฮือหันเทอญ้ อันนี ้เจ้ ารัสสีกฎหมายบอกส่วน
ให้ แก่พระยานาคทังหลายแลพลอยเหล่
้ าเรี ยกเอาเทวดาทังหลายให้
้ มา
บอกรักษา ให้ รักษายังเมืองทังมวลแลแม่ ้ นํ ้าแลแผ่นดิน ยังภูดอยทัง้
มวลนันมา ้ เทวดาตนหนึง่ เรี ยกชื่อว่าเป็ นพี่สี ตนหนึง่ ชื่อว่านางพีใส
สองขานี ้อยูภ่ ซู วงหลวงแลภูช้างนัง่ สองขานี ้หากเป็ นผัวเป็ นเมียกัน
เจ้ ารัสสีให้ รักษาเบื ้องตะวันออก เทวดาตนหนึง่ ชื่อว่าเก้ าง้ าว ( เก้ าเง่า )
เทวดาตนหนึง่ ชื่อว่าท้ าวบุญเหลือสองขานี ้หากเป็ นผัวเมียกันอยูภ่ แู สน
ข้ าวคํา เจ้ ารัสสีให้ รักษาเมืองฝ่ ายเหนือ เทวดาตนหนึง่ ชื่อว่าเจ้ าฟ้า
แสดองค์หนึง่ ชื่อว่านางพิจิตรเลขาลูกแถนคม เจ้ ารัสสีให้ รักษาฝ่ าย
ใต้ ขาหากเป็ นผัวเมียกันเจ้ ารัสสีแต่งให้ รักษาเมืองกํ ้าเหนือ แล
บ้ านเมืองทังมวนดั
้ งนี ้ ผู้ใดจักเป็ นท้ าวพระยาที่เชียงดงเชียงทองดังนัน้
ให้ แต่งขันข้ าวตอกดอกไม้ ภาชนะคาวหวานบูชาเจ้ ารัสสีแลเทวดาเจ้ า
ทังหลายฝู
้ งว่ามานี ้เทอญ เจ้ ารัสสีหากสัง่ สอนเขาไว้ ดงั นี ้แล ตโตกาเล
ในการแต่นนไปภายหน้
ั้ า โสตาปั สโสอันว่าเจ้ ารัสสีทงหลายตนอื
ั้ ่น ก็
หนีไปตังบ้
้ านตังเมื้ องที่เข้ าเจ้ ากฎหมายไว้ ที่จกั ตังบ้้ านแปงเมืองหันแล ้
ยังแต่

๗๗
เจ้ ารัสสีพี่น้องตนพี่นนชื
ั ้ ่อว่ารัสสีทอง ตนน้ องนันชื
้ ่อว่าทวาทรัสสี
เจ้ าจึงมากฎชื่อเมืองกํ ้าใต้ นนเอาภูั้ ช้างเป็ นนิมิตต์ ฝ่ ายกํ ้าเหนือนันเอา ้
ภูช้างนัง่ เป็ นนิมิตต์แล ชื่อสองอันนี ้จึงได้ ชื่อว่าเมืองชวาลานช้ างเพื่อ
อันแล
้ ตทนันตรังถัดนันเสฎฐตาปั
้ สโสอันว่าเจ้ ารัสสีทองตนพี่ ก็จงึ
ให้ เจ้ ารัสสีตนน้ องอยูเ่ ฝ้าที่นนั ้ แล้ วเจ้ ารัสสีตนพี่จงึ เข้ ายังฌานสมาบัติ
แล้ วเจ้ าก็เสด็จขึ ้นเมือสูช่ นฟ
ั ้ ้ าดาวดึงสา แล้ วเจ้ าก็เข้ าไปสูส่ ํานักแห่ง
พระยาอินทร์ เจ้ ากล่าวกิจการทังมวล ้ อันตังหมายเขตต์
้ แดนบ้ านเมือง
ทังมวล
้ ท่อจักให้ หาท้ าวพระยาตนอยูช่ อบโลก ชอบทศราชธรรม
๑๐ ประการเป็ นต้ นว่าให้ ทานรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ฟั งธรรมเมตตาภาวนา
บ่ขม่ เหงข้ อยไพร่ใหญ่ไทย อนึง่ บ่ให้ ม้างราชประเวณีบรุ าณธรรม
ตังไว้
้ เก่าถมใหม่ถางฮีดกอง แต่ปิตปุ ิ ตาหากตังไว้้ แล้ วพอยเหล่าริม้าง
เสีย อันนี ้ก็เป็ นคองฉิบหายในโลกอันนี ้แลโลกภายหน้ า ประการหนึง่
ข้ าแห่งพระยาอินทร์ เจ้ า ให้ ซอกหาท้ าวพระยาตนประเสริฐลงไปนัง่
บ้ านแปงเมืองให้ ชอบ ให้ ข้อยไพร่ใหญ่ไทยได้ สขุ ย่อนเจ้ าแผ่นดิน
ดูราพระยาอินทร์ เจ้ าเป็ นแทนท้ าวพระยานี ้ ตนใดยังเห็นแก่คติ ๔ คือ
โทสคติ โมหคติ ฉันทาคติ พยาคติ บ่พิจารณาหลิงโทษหนัก
โทษเบา หลง ๆ เข้ าไปในวัตถุกาม แลกิเลสกาม ถ้ อยความคนเขา
สูร่ ้ ูหาตัดแต่งร้ ายดีไปไกล รักชังโคตรวงศ์เห็นแก่ทรัพย์สิน รู ปทรงมี
คุณบ่มีคณ ุ ได้ ยอ่ นบ่อได้ ยอ่ นคําหลายให้ น้อย คําน้ อยให้ เกิดมีหลาย
อิ่มก็ดีใจอิดฮ่อน แหม่นให้ ผิดผิดให้ แหม่นฮ่าย เห็นแก่หยับตายิกคิ ้วย่าน
กลัวภายลุน โทษทันบาปไหมหย่าเป็ นใหญ่ ผิแผ่นแก่อนารัฐคาดคา

๗๘
บ่ตามฤดูปีเดือนวันยาม บ่ตามโบราณราชประเพณี คําฮีบให้ เวีย
กการแต่งเบี ้ยเงิน ผู้พา่ ยให้ แพ้ ผ้ แู พ้ ให้ พา่ ยเห็นแก่สินจ้ างนัดเหินดังนัน้
บ้ านเมืองอันนันบ่
้ สขุ คุ้มชุม่ เย็น ฉิบหายในชาตินี ้ แหม่นท้ าวพระยา
เสนาอํามาตย์แปงบ้ านนัง่ เมือง เป็ นดังว่ามานี ้ ครัน้ จุตติ ายไปสูน่ รก
มีกองทุกข์ทงมวลหากเป็
ั้ นพ่อเป็ นแม่ เป็ นพี่น้อง กองทุกข์อนั นันหาก ้
ควรพิลกึ พึงกลัวหนักหนา หาความสบายบ่ได้ ฮ้องให้ อยูเ่ วย ๆ แก่ท้าว
พระยาเสนาอํามาตย์ผ้ นู งั่ บ้ านแปงเมืองบ่ให้ ชอบโลกชอบธรรมนันแล ้
ดูกรพระยาอินทร์ ตนเป็ นแก่กว่าเทวดาทังหลาย ้ ท้ าวพระยาเสนา
อํามาตย์หญิงชาย แต่งให้ แหม่นทํานองสัปปุริสเจ้ าดังนัน้ อโกธัง
อย่าได้ มีคํากอยลัก ใจน้ อยขื่นขมใน อวิหิงสัญจรอย่าได้ ปองบังเบียด ผิ
แผ่นอันบ่แหม่นคองเมือง อัชชวังให้ มีใจอันซื่อต่อ ตังใจห่ ้ อคองบุญ
มัทธ-วังให้ มีใจอ่อนขามละเอียด บ่กอยเคียดย่อมปราณี ขันตีย่อมอด
คําเคียมย่อมปราณี ปริจาคังมีใจดีสะจ่ายให้ ด้วยง่ายเป็ นทาน หิริ
โอตัปปะปากอันได้ กระทําอันใด ให้ ละอายแก่นกั ปราชญ์ ผู้ฉลาดคอง
ธรรม อวิโรทนังแต่งให้ ราบตามคองเมือง สีลทานังให้ มีศีลแลทาน
ทุกเมื่อ ใจกว้ างเพื่อมักบุญก็จิงได้ นําตัวไปเกิด ชันฟ ้ ้ าเลิศดุสิดาแท้
ดีหลีแล ตโตภายหน้ าแต่นนเสฏฐอิ ั้ สิ อันว่าเจ้ ารัสสีตนพี่คือรัสสีทอง
จึงได้ รัสสีตนน้ อง อยูร่ ักษาที่นนก่
ั ้ อนแล เจ้ าก็เข้ ายังฌานสมาบัติ
ทยานขึ ้นเมือชันฟ้ ้ าดาวดิงสา เล่ากิจการถ้ อยคําทังมวลแก่้ พระยาอินทร์
อันได้ แต่งบ้ านแปงเมือง ให้ ท้าวพระยาตนแต่งชอบโลก ให้ เป็ นสุข
แก่สตั ว์แก่คนทังหลาย
้ แล้ วก็ต้านจารจากับดอมพระยาอินทร์ ให้ ท้าว

๗๙
ทังสี
้ ่มาเลียบดูยงั ชุมพูทวีป ให้ เป็ นบ้ านเป็ นเมืองแล้ วหันแล ้ เมื่อ
พระพุทธเจ้ าเกิดมาตรัสสัพพัญญูเป็ นพระในโลกนี ้ แล้ วยังไป่ ได้ โผด
สัตว์ทงหลายั้ ในเมืองใหญ่ทงหลาย
ั้ ๑๖ เมืองก่อนแล เมืองน้ อย
ทังหลาย
้ ๑๕ เมืองนี ้พระพุทธเจ้ าไปโผดสัตว์บท่ นั ฮอดทันเถิงเมืองเพื่อ
บ่มีท้าวพระยาตนใดรักษาแผ่นดินหันแล ้ เจ้ ารัสสีมีคําต้ านจารจากับ
ดอมพระยาอินทร์ ดงั นี ้แล้ ว จึงสัง่ อําลาพระยาอินทร์ เจ้ าฟ้ากับทังท้ ้ าว
ทังสี้ ่กบั ทังวิ
้ ศณุกรรมเทวบุตรทังหลาย
้ ก็มาชุมชนุมกันในสํานักแห่ง
พระยาอินทร์ ตนเป็ นแก่กว่าเทวดาทังหลายหั ้ นแล
้ เมื่อนันเจ้
้ ารัสสี
โอตริตวาก็เสด็จลงมาจากชันฟ ้ ้ าตาวดิงสา มาแล้ วก็มาบอกเล่าอัน
ได้ ต้านจารจากับดอมพระยาอินทร์ แก่เจ้ ารัสสีตนเป็ นน้ องแห่งตน
สูป่ ระการแล้ ว ก็โตเจ้ ารัสสีทงสองพี
ั้ ่น้องก็เสด็จไปสูท่ ี่อยูแ่ ห่งตนก็มี
วันนันแล
้ ฯ
โภสาธโวดูราสัปปุริสทังหลาย ้ ฝูงมีผยาจักกล่าวยังพระยา
ผีแถน จักให้ ท้าวขุนบรมลงมาเกิดในเมืองลาวเก่าเฮานี ้ก่อนแล แต่
นันผี
้ แถนก็ให้ ท้าวขุนบรมราชาลงมาเกิดในเมืองลาว ให้ เป็ นพระยา
หันแล้ หิด้วยมีแท้ อนั ว่าลาวเก่าเขาว่า แถนฟ้าขื่นนันคื ้ อตนพระยาอินทร์
เจ้ าฟ้าแล แถนองค์นี ้หูบอ่ งหูหิ ้งแล แถนผู้ให้ เป็ นฝนเป็ นลมนันก็ ้ ดี
แถนผู้ให้ เป็ นเครื่ องเสพของรํ าก็ดี แถนผู้แต่งให้ เป็ นเครื่ องไฮเครื่ อง
นาแลแต่งให้ เป็ นโลกทังหลายฝู
้ งนี ้ แหม่นเทวบุตรเทวดาทังหลาย ้
อันอยูใ่ นชันฟ
้ ้ าจาตุมหาราชิกา ทังมวลเป็ ้ นองค์ประเสริฐยิ่งนักแลลาว
เมืองล่างปางก่อนนัน้ เขาเรี ยกว่าผีฟ้าผีแถนว่าอัน้ ที่แท้ บเ่ ป็ นดังคํา

๘๐
เขาดาย บัดนี ้เราทังหลายตามคํ
้ าลาวเก่านันก่ ้ อนแล แถนฟ้าขื่นจึงว่า
เจ้ ารัสสีมาเล่าต่อเราดังนี ้ เราทังหลายจั
้ กให้ ไผไปเป็ นท้ าวพระยาใน
เมืองหลุม่ นี ้จา แถนทังหลายจึ
้ งกล่าวว่า เออควรให้ แถนชัง่ มาชัง่ ดู
ก่อน ลูกฟ้าแกนทังหลายทั ้ งหญิ
้ งทังชาย
้ บุญไผมีมากทลาย เขาจึงให้
ลงไปเป็ นเจ้ าแผ่นดิน ที่เชียงดงเชียงทองเทอญ ผู้บญ ุ น้ อยให้ ไปเป็ น
เจ้ าเป็ นใหญ่ที่นนบ่
ั ้ ได้ แลผีแถนทังหลายจากั
้ นดังนี ้ ด้ วยมีแท้ คํา
เจ้ ารัสสีมาเล่าต่อเราดังนี ้ เป็ นหนักเป็ นใหญ่กว้ างขวางดีหลี ผู้บญ ุ น้ อย
บ่ควรเป็ นเจ้ าเป็ นใหญ่บค่ วรเลย อนึง่ ไม้ ทองต้ นนันใหญ่
้ นกั ยอด
ปลายมันนันแหม่
้ นหินกัมพลศิลาบาทแห่งพระอินทร์ เจ้ าฟ้าแท้ ดีหลีดาย
บ้ านเมืองชวาลานช้ างอันนี ้ เป็ นหนักเป็ นใหญ่ดายเงินคําเหล็กทอง
ทังต้
้ นไม้ แลเป็ นใบ แลมีรสหอมนัก แก้ ว ๗ ประการก็มีในพื ้น
แผ่นดินนันหั้ นแล
้ เจ้ ารัสสีวา่ ดังนันแถนฟ
้ ้ าขื่นกล่าวว่าผู้ใดบุญ
น้ อยลงไปเป็ นเจ้ าแผ่นดินเมืองอันนันบ่้ ได้ แล แถนทังหลายจึ
้ งมาชัง่
คุณดูในแถนทังหลายในเมื
้ องฟ้าเมืองแถน ทังผู
้ ้ หญิงผู้ชาย
หลายนัก จึงมาได้ ลกู แถนขื่นผู้หนึง่ จึงมาได้ ลกู แถนชัง่ หญิงหนึง่ จึง
มาได้ ลกู แถนแต่งหญิงหนึง่ สามคนเขานี ้ แถนทังหลายจึ ้ งเอามาตังไว้
้ ณ
ท่าม กลางแถนทังหลาย ้ ส่วนว่าแถนฟ้าขื่น จึงมาสัง่ สอนแก่เขาทัง้
สามว่าดังนี ้ ดูราเจ้ าทังสาม
้ สูเจ้ าครัน้ เป็ นผัวเมียกันแล้ วจงไปสูท่ ี่อยูท่ ี่
กินในเมืองหลุม่ พุ้นเทอญ ลูกแถนคมนันใส่ ้ ชื่อนางยมมะพาลา ให้ เป็ น
เทวีกํ ้าขวา ลูกแถนชัง่ นันใส่
้ ชื่อนางเอ็ดแคง ให้ เป็ นเทวีกํ ้าซ้ าย เจ้ าผู้
เป็ นผัวนันให้
้ ชื่อว่าขุนบรมราชธิราช แล้ วจึงมาให้ เครื่ องท้ าวทัง้ ๕
ประการ

๘๑
เพื่อเป็ นเครื่ องราชาภิเษก แล้ วจึงมาให้ ดาบแม่วี กับทังตาวฮางกอน ้
กับทังดาบฟั
้ นเหลียว และดาบสายฟ้าแมบ และดาบเหล็กกอนแข้ เผือก
กับทังด่ ้ างสามดวง กับทังแคนสามงา
้ กับฆ้ องฮางเงินฮางคํา และ
ง้ าวฟ้าฟื น้ กับแสงฟ้ากระตาก ทังกลองไชยทั ้ งฆ้
้ องน้ อยฆ้ องใหญ่ ให้
ไว้ คนหอยสังข์ดงั เสียงมี่ทงปี
ั ้ ่ แก้ วชื่อว่าสอนไร ทังไตเงิ
้ นไตคําเป็ นขัน
หมาก ทังหม้ ้ อไหไตพาดทังบวยเงิ ้ นบวยคํา ทังเงิ ้ นแก้ วเครื่ องแสง
หลากหลายสิ่งสูป่ ระการ กับทังเจี ้ ยดพันลายปกหัวช้ าง กับทังประคื ้ อ
กว้ างกางกันกางหาว
้ กับทังสาวสนมสามฮ่
้ อยคู่ แถนก็ให้ นงั่ อยูเ่ ป็ น
ถ้ องถันแถวหันแล ้ เมื่อนันแถนฟ
้ ้ าขื่นจึงให้ เอาช้ างเอาม้ าทังมวลมาดู

จึงมาได้ (ช้ าง) ตัวหนึง่ ชื่อว่าช้ างงาเกี ้ยวงากอด ช้ างตัวนี ้เป็ น
ลูกช้ างเอราวัณ มีตวั อันขาวกระโบงตาทังสองนั ้ นดํ
้ า มีริมปากทัง้
สองนันก็ ้ ดําเป็ นดังแต้ มเขียนนันแล ้ มีงาอันขาวเป็ นดังแก้ วผลึกนันแล

จึงเอาม้ าตัวหนึง่ เป็ นชาติเชื ้อพลหก จึงหาลูกแถนอันผู้มาต้ อนหน้ า
นันผู
้ ้ หนึง่ ชื่อว่าขุนธรรมราช ผู้หนึง่ ชื่อขุนแสงมโนศาสตร์ เจ้ านันรู ้ ้
ศาสตร์ เพททังมวล ้ ไปก่อนขุนบรมราชา ผู้หนึง่ ชื่อขุนอุน่ ผู้หนึง่ ชื่อ
ขุนคลีและสองขุนนี ้ขี่ม้าตามหลังช้ างขุนบรม และแถนฟ้าขื่นจึงให้ ผ้ ู
หนึง่ ชื่อปู่ เถ้ าเยอ ผู้หนึง่ ชื่อว่าแม่ยา่ งาม สองคนนี ้เป็ นผัวเมียกัน แบก
ขวานไปก่อนเถ้ าไลแลแม่มด สองขานี ้เป็ นผัวเมียกัน แบกพร้ าแบก
จกแบกเสียมไปตามหลังเถ้ าเยอแลแม่ยา่ งาม ๔ คนเขานี ้จักมาผาบข่ม
ผีเผดผียกั ษ์ ผีเสื ้อเมืองผู้ร้ายกล้ าแข็งอัน้ บ่ให้ เข้ าบ้ านเข้ าเมือง ก่อน
ขุนพรมหันแล ้ แต่นนฟ
ั ้ ้ าขื่นจึงให้ ผ้ หู นึง่ ชื่อว่าขุนคัว ขี่ควายเขาลู่ จึง

๘๒
ให้ ผ้ หู นึง่ ชื่อลางเชิงขี่งวั อ้ ายเขากว้ าง สองขานี ้คือรี พ้ ลเสนาหมอบ
หลังขุนบรมมาหันแล ้ ขุนบรมจึงขี่ช้างงาเกี ้ยวงากอด ขัดทังตาวแม่ ้ วี
ทังสะพายไถ้
้ แล่งทังเครื
้ ่ องราชาภิเษก อันแถนฟ้าขื่นตนเป็ นใหญ่ให้ นนั ้
จึงเอานางยมมะพาลาทังนางเอ็ ้ ดแคง ขี่ช้างดอมจึง่ เอาขุนศาลขี่ท้าย
ช้ างถือประดือหลวงไกวแกว่ง เมื่อขุนบรมจักลงมานันมื ้ ้อกาบอันนี ้
เป็ นแม่มื ้อ มื ้อไจ้ อนั นี ้เป็ นลูกมื ้อ จึงว่ากาบไจ้ เพื่อดังนันแลเป็ ้ นต้ นแล
แลวันอันขุนบรมลงมานันวั ้ นอาทิตย์ อันนี ้เป็ นพระยาวันวันจันทร์ อนั
นี ้เป็ นนางวันทะเทวี เป็ นเมียพระอาทิตย์แล แต่นนแถนฟ ั้ ้ าขื่นจึงให้
แถนชี ้ชีบอ่ นชี ้ที่ให้ แก่ขนุ บรมว่า เจ้ าจงไปตังที ้ ่นาน้ อยอ้ อยหนูหนก่ ั ้ อน
แถนชีจงึ ชี ้ว่าสิ่งนันเมื
้ ่อใดเจ้ าไปตังอยู
้ แ่ ล้ ว จัดให้ เจ้ ามีลกู ๗ ชาย
ผู้พี่นนเจ้
ั ้ าให้ ไปเป็ นเจ้ าแผ่นดินที่ต้นไม้ ทอง เจ้ ารัสสียงั เอาหินหน่วย
ชื่อว่าก้ อนก่ายฟ้าหมายไว้ หนแล ั้ ครัน้ เจ้ ามีลกู ผู้พี่ให้ ไปเป็ นเจ้ าแผ่นดิน
หันเทอญ
้ แถนชี ้หันแล้
้ วเหล่าชี ้ไปที่เมืองญวน ที่เมืองโยธิยาชาวใต้
ที่เมืองพวน ที่เมืองสา ใน ๗ แห่ง ๗ ที่นี ้ แถนฟ้าขื่นจึงให้ แถนชีชี ้บ่อน
ชี ้ที่ทงมวล
ั้ แล้ วแถนฟ้าขื่นจึงให้ นกั ขัตตฤกษ์ทงมวล ั้ เป็ นต้ นว่าอาทิตย์
จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุก เสาร์ ราหูเข้ าในราษีกนั อยู่
ก่อน จึงให้ ขนุ บรมโยงฆ้ องหน่วยชื่อว่าท้ าวฆ้ องนันป่ ้ าวพลทังหลายให้

แต่งดา ขุนบรมจึงเป่ าหอยสังข์ เถ้ าเยอเถ้ าไลจึงลงก่อนหน้ าหันแล ้ แต่
นันขุ ้ นบรมจึงเอารี พ้ ลลงมาฮอดที่นาน้ อยอ้ อยหนู พอยามที่จะใกล้ รุ่ง
แถนแต่งจึงให้ ไว้ ลคั คณาเมืองที่สิงราษีหนั ้ อันนี ้เป็ นชาตาเมืองอัน้
ก่อนแล เจ้ ารัสสีใส่ชาตาไว้ นนเป็ ั ้ นชาตาแผ่นดินเหตุเพื่อไป่ มีคนมาอยู่

๘๓
มาตัง้ อันแถนแต่งใช้ นี ้ขุนบรมมาตังบ้ ้ านตังเมื
้ องแล้ วมีคนอยูใ่ นแผ่นดิน
แล้ วเป็ นชาตาเมืองหันแล ้ อันชื่อว่าแถนแต่งนันเป็ ้ นวิศกุ รรมเทวบุตร
แล จึงมาแต่งโฮงแต่งศาลแต่งสูส่ ิ่งสูอ่ นั สูเ่ หยื่องไว้ ทงเครื
ั ้ ่ องเสพเครื่ อง
รํ าเครื่ องหลิ่นเครื่ องหัวทังมวล
้ แล้ วจึงมาอธิษฐานให้ เป็ นไฟไว้ ในไม้ ใน
หิน แล้ วจึงอธิษฐานให้ เป็ นวังนํ ้าร้ อน อนึง่ จึงมาอธิษฐานให้ เป็ นฮูลม
อันหนึง่ แล้ วจึงสัง่ เทวดาทังหลายอั้ นอยูพ่ ื ้นแผ่นดินก็ดี อยูต่ ้ นไม้ และภู
เขาก็ดี ตนอยูใ่ นนํ ้าน้ อยนํ ้าใหญ่ทงมวลก็
ั้ ดี ให้ มารักษาขุนบรมราชา
แลเจ้ าขุนทังหลาย
้ อันลงเมืองฟ้ามาหันแลแถนแต่
้ งจึงสัง่ สอนขุนบรม
แล้ วจึงขึ ้นเมือฟ้าคอบแถนหันแล ้ อยูน่ านได้ สองปี ขุนบรมจึงมีลกู
ชายหนึง่ ดอมนางยมมะพาลา จึงใส่ชื่อว่าขุนลอแล้ วจึงมีลกู ชายหนึง่
ดอมนางเอ็ดแคง จึงใส่ชื่อว่าขุนลาน แล้ วจึงมีลกู ดอมนางยมมะพาลา
ผู้หนึง่ ชื่อว่าจุสง แล้ วจึงมีลกู ดอมนางเอ็ดแคงชายหนึง่ ใส่ชื่อว่า
ขุนคําพวง แล้ วมีลกู ดอมนางยมมะพาลาชายหนึง่ ชื่อว่าขุนบานจึงเหลา
แล้ วมีลกู ดอมนางเอ็ดแคงชายหนึง่ ชื่อว่อขุนเจ็ดเจืองจึงเหลา มีลกู
ดอมนางยมมะพาลาชายหนึง่ ชื่อว่าขุนเจ็ดเจียงแล แต่ขนุ บรมมาตัง้
เมืองได้ ๙ ปี มีลกู ๗ ชายเท่าว่าบ่มีข้อยมีไพร่ บ่มีเสนามนตรี บม่ ี
ช้ างม้ าเข้ าของสมบัตอิ นั ใด เอาแต่เมืองฟ้ามาจึงมีแล
แต่นนขุ
ั ้ นบรมราชากับทังนางยมมะพาลา
้ กับทังนางเอ็
้ ดแคง
จึงค้ างทุกข์ค้างยาก จึงให้ ขนุ สานทังเถ้
้ าเยอทังแม่้ ยา่ งามเมือไหว้ แถน
ฟ้าขื่นหันแล
้ อนึง่ ต้ นไม้ เครื อเขากาดมาเป็ นในหนองคู ว่าหันเป็ ้ นอัน
ร่มเย็นนัก แดดบ่เห็นตะวันบ่สอ่ งได้ อนึง่ เครื อหมากนํ ้าเต้ าปุงสอง

๘๔
หน่วยก็เมือเกี ้ยวเครื อไฮหลวง ที่หวั หนองหันเฮงฮกเฮงมื
้ ดบ่เห็นฟ้า
เห็นบนหนาวนัก อยูเ่ มืองหลุม่ บ่ได้ จกั ให้ ตขู ้ อยเฮ็ดสิ่งใด เจ้ าทังหลาย ้
เท่าไหว้ สิ่งนันเทอญ
้ ขุนแลเขาทังหลายก็
้ เมือไหว้ ตามขุนบรมหากใช้
หันแล
้ ครัน้ ว่าฮอดเมืองฟ้าแล้ วเขาก็ไหว้ แถนฟ้าขื่นสูส่ ิ่งสูอ่ นั ตามความ
ขุนบรมสัง่ สูอ่ นแล ั้ แถนหลวงจึงว่าดัง่ นี ้ ถ้ อยคําอันเจ้ าทังหลายเล่
้ านี ้
เราก็ร้ ูก็แจ้ งสูอ่ นั แล ท่อว่าลูกไปตังอยู
้ เ่ มืองหลุม่ บ่เถิง ๙ ปี ๑๐
ปี เถื่อแล จักให้ ไปปํ ้าไม้ ฟันไม้ ใหญ่เสียสิ่งนันก็ ้ บด่ ี แลบัดนี ้กูก็ให้
แถนทังหลายไปส่
้ อยแต่งบ้ านแปงเมืองสูอ่ นั นี ้แล ท่านเถ้ าเยอแม่ยา่
งามสองเขือนี ้ เถ้ าไปปํ ้าไม้ เครื อเขากาดเทอญเถ้ าไลแม่มดบน สอง
ข้ านี ้ให้ ไปปํ ้าไม้ ไฮหลวง อันเครื อหมากนํ ้าเกี ย้ วนันเสี ้ ยเทอญ แถนสิ่ว
ให้ ไปสิ่วนํ ้าเต้ าปุงหน่วยพี่นนั ้ ให้ คนผู้หญิงผู้ชาย ช้ างเถิกช้ างแหม่
ม้ าเถิกม้ าแหม่ เข้ าของเงินคําแก้ วแหวนผ้ าผ่อนท่อนจันทร์ ฮําแพแฮจีน
หากออกในนํ ้าเต้ าปุงหันสู ้ เ่ หยื่องสูอ่ นั แลแถนชีให้ ไปชีนํ ้าเต้ าปุง
หน่วยน้ องนัน้ ให้ คนผู้หญิงผู้ชายทังควายทั ้ งงั ้ ว ทังแบ้
้ ทงเยืั ้ องทังหมู

หมาเป็ ดไก่ แลอาหารอันเป็ นของเลี ้ยงของดู ทังต้ ้ นส้ มต้ นหวานนํ ้าส้ ม
นํ ้าเค็ม ทังต้้ นพร้ าวต้ นตาลกล้ วยอ้ อย ทังพริ ้ กขิงผักหอมผักเทียม ผักบัว่
หมากไม้ ทงมวนอั ั้ นเป็ นของควรเคี ้ยวควรกินทังมวน ้ หากจักออกมา
นําสองเต้ าปุงหน่วยน้ องนันแล ้ แถนฟ้าขื่นจึงให้ แถนเถือกไขประตูคํา
ประตูเงินประตูทองประตูเหล็ก ให้ แถนทังหลายลงมาแต่ ้ งแปงให้ แก่ขนุ
บรม สูอ่ นั สูส่ ิ่งสูเ่ หยื่องหันแลแต่
้ นนแถนสิ
ั้ ่วก็มาสิ่วนํ ้าเต้ าปุงหน่วยพี่นนั ้
แถนชีก็มาชีนํ ้าเต้ าปุงหน่วยน้ องนัน้ เขาทังมวลคื
้ อว่าคนผู้หญิงผู้ชาย

๘๕
ช้ างม้ าวัวควายก็ไหลออกมาจากนํ ้าเต้ าปุงสองหน่วยนันหั ้ นแล
้ แต่นนคน
ั้
ทังหลายจึ
้ งได้ ชื่อว่าลาวเก่า ก็เพื่อความออกจากนํ ้าเต้ าปุงสองเต้ านัน้
แล แต่นนแถนสิั้ ่วแถนชีจงึ ว่าแก่เถ้ าเยอเถ้ าไลว่า ครัน้ ว่าเขือเมือเมือง
ฟ้าแล้ ว เขือจงปํ ้าเครื อเขาทังต้ ้ นไฮหลวงทังผ่ ้ านํ ้าเต้ าปุงเสียเทอญ
สูอย่าเมือหาตูที่เมืองฟ้าพุ้นเทอญ ดูก็บเ่ ทียวมาหาสูแล ครัน้ สูทงสี ั้ ่
ตายแล้ วจงให้ คนเมืองหลุม่ เวนทงสูเทอญ ตูก็สงั่ ขุนบรมไว้ นี ้ ครัน้
ว่าคนเมืองหลุม่ จักกินอันใดก็ดี ครัน้ ว่ามาเยอสูทงสี ั ้ ่จงแล่นมากินก่อน
เทอญ แถนทังสองสั
้ ง่ สูส่ ิ่งอันแล้ ว ขึ ้นเมือคอบแถนฟ้าขื่นหันแล ้
แต่นนเขาก็
ั้ ปํ้าเครื อเขากาดกับต้ นไม้ ไฮหลวงเสียหันแล ้ ผ่านํ ้าเต้ าปุง
แลหน่วยให้ เป็ นสองเสี่ยงเสียที่แคมหนองคูวาหันแล ้ บัดนี ้เฝื่ องนํ ้าเต้ า
ปุงก็ยงั กายเป็ นหินอยูห่ นแล ั้ แต่นนบ้
ั ้ านเมืองแห่งขุนบรมที่นาน้ อย
อ้ อยหนูก็รุ่งแจ้ งดีนกั แล เถ้ าเยอเถ้ าไลแม่ยา่ งามแม่มดมันก็ตายไป
เป็ นผีเสื ้อเมืองตาบต่อเท่าบัดนี ้แล แต่นนไปภายหน้ ั้ าขุนบรมจึงใส่ไฮใส่
นาปูกแปงท้ าวพระยาหันแล ้ ขุนศรี ธรรมราชให้ เป็ นแสนเมืองแต่งรักษา
ไพร่ไทยทังมวล ้ ต่างขุนบรมหัน้ ขุนแสงให้ เป็ นหมื่นหลวงกลางเมือง
รักษาคนทังมวล ้ ขุนสานให้ แต่งเครื่ องเสิกเครื่ องเวียกทังมวล ้ เบื ้อง
ขวาขุนพี ให้ รักษาเครื่ องเสิกเครื่ องเวียกทังมวล ้ กํ ้าซ้ ายขุนสานผู้ขี่ท้าย
ช้ างดอมขุนบรม ให้ รักษาราชวัตกํ ้าหน้ าทังใต้ ้ ถ้อยสวนความ ทังมวล ้
สูอ่ นั ขุนอินทร์ ให้ รักษาราชวัดกํ ้าหลัง ทังไต่ ้ ถ้อยสวนความดอมขุนสาน
ขาทังสองนี
้ ้แต่งพิจารณาตามขุนบรมให้ ชอบธรรม ขุนธรรมราชาอัน
เป็ นแสนเมืองนัน้ แต่งรักษาสูส่ ิ่งสูเ่ หยื่องบ่ให้ เคืองใจขุนบรมสัก

๘๖
เหยื่องแล แต่นนมาจึ ั ้ งตังให้
้ เป็ นห้ าหัวเสิกหัวเวียกเพื่ออันแล ้ บัดนี ้
เมือภายหน้ าขุนบรมจึงให้ หาบัวหานางอันออกที่นํ ้าเต้ าปุงหน่วยพี่นนั ้ ผู้
มีลกั ษณะกิจอันดีงามมาเป็ นลูกนัน้ มาเป็ นลูกสะใภ้ ทงั ้ ๗ คนนันแล ้
แล้ วจึงมาแปงแต่งเอาคนผู้เป็ นเจ้ าเป็ นขุน แบ่งปั นลูกชายทัง้ ๗ นัน้
จึงเล่าแต่งเอาไพร่เอาคน ผู้ควรอันเป็ นไพร่ให้ แก่เขาเจ้ าสูค่ นหันแล้
จึงเอาไม้ เครื อเขากาดทังไม้
้ ไฮหลวงต้ นใหญ่นนมาแปงดางสามงาให้
ั้ แก่
ลูกชายทัง้ ๗ คน แลคนแลสามดวงหันแล ้ แต่นนช้ั ้ างงาเกี ้ยวงา
กอดอันลงมานํานันก็ ้ ตายเสีย จึงเอางามาเหลือ (เลื่อย) เป็ น ๗
ท่อนให้ แก่ลกู ทัง้ ๗ คน เครื่ องหอกเครื่ องดาบเครื่ องแก้ วเครื่ อง
แหวนทังมวล ้ อันแถนฟ้าขื่นให้ แต่เมืองฟ้ามานัน้ ก็มาแจกมาปั น
ให้ แก่ลกู ชายทัง้ ๗ หันแล ้ แล้ วจึงหามื ้อดีวนั ดีนกั ขัตตฤกษ์ทงมวล
ั้
อันอยูใ่ น ๑๒ ราษีอนั เป็ นอุตตมราษีอนั ประเสริฐสูต่ วั แล้ วจึงเอา
ลูกชายทัง้ ๗ มาไว้ ซอ่ งหน้ าคน กับเสนาอํามาตย์ทงหลายตามฮี ั้ ดคอง
ดังแถนฟ้าขื่นแต่งลงมาในเมืองหลุม่ นันแล ้ จึงมาราชาภิเษกเอานํ ้า
ใส่ไตคําอันใหญ่ จึงเอามือลูกชายทัง้ ๗ คนทังลู ้ กสะใภ้ ทงั ้ ๗ คนมาสบ
ในไตคํา แล้ วแลให้ พระพรอันวิเศษว่า เจ้ าทังหลายไปกิ ้ นบ้ านกิน
เมืองตามความแถนชีชี ้บ่อนชี ้ที่แต่เมืองฟ้าให้ นนั ้ ทังความกู
้ พอ่ จิงบอก
กล่าวแก่สทู งหลายบั
ั้ ดนี ้ ไปกินบ้ านกินเมืองปกข้ อยห้ อมไพร่ อย่า
เฮ็ดใจอ้ ายใจเคียด อย่าเฮ็ดใจสันใจหลอนอย่้ ามักติมกั เตียนท่าน อย่า
มักฆ่ามักฟั นกันกระทําตามใจตน ให้ คอ่ ยคิดค่อยอ่าวดูสเู่ หยื่องก่อน
รู้แจ้ งแล้ วจึงกระทํา อนึง่ นันผู
้ ้ หญิงผิดสิ่งใดก็ดีอย่าฆ่าอย่าฟั นเสีย

๘๗
แถนฟ้าขื่นสัง่ กูพอ่ สิ่งนันแต่
้ เมืองฟ้าพุ้น ว่าอย่าฆ่าอย่าฟั นผู้ห ญิงเสีย
เหตุวา่ ผู้หญิงนี ้ แต่ปฐมกัลปพุ้นเขาหากเป็ นเค้ าเป็ นเดิมมาท้ าวพระยา
ผู้ใดยังฆ่าผู้หญิงย่อมบ่มนั่ บ่ยืน บ้ านเมืองอันนันย่
้ อมเศร้ าศูนย์เสีย
แถนฟ้าขื่นสัง่ กูพอ่ สิ่งนี ้ดีหลีดาย สูเจ้ าทังหลายไปกิ
้ นบ้ านกินเมืองตาม
ความกูพอ่ บุญไผมีหากได้ ที่กว้ างที่ขวางหันแล
้ อย่าขี่ช้างตกนา
พาแพนตกท่งกัน เมืองอ้ ายไว้ แก่อ้าย เมืองน้ องไว้ แก่น้อง ลูกสืบลูก
หลานสืบหลาน เหลนสืบเหลน หมัน่ ใช้ ถามข่าวกล่าวซึง่ กันผู้ใดได้
เครื่ องหลากของต่างในบ้ านในเมือง ให้ มาส่งมาถวายแก่กนั ผู้ใดฟั ง
คํากูพอ่ ดังนี ้ ทังลู
้ กหลานเหลนอันได้ ร้อยชัว่ พันชัว่ หมื่นชัว่ แสนชัว่ ให้
มัน่ ให้ ยืนเทอญ ผู้ใดบ่ฟังคํากูพอ่ ชัว่ อย่าฮีปีอย่ากว้ าง ผู้ใดฟั งความ
กูให้ มนั่ ให้ ยืนเทอญ อนึง่ ขุนบรมจึงว่าลูกใภ้ กู ๗ คนนี ้ นอนให้
นอนลุนผัวตื่นก่อนผัว ให้ คดึ หาเวียกการผัวอันจักแต่งจักปุนต่างผัว
ให้ คดึ หาอันจักตํ่าหูกเขนฝ้าย ให้ คดึ หาอันจักเลี ้ยงข้ าเลี ้ยงไทย ให้ คดึ
หาอันจักกระทําไฮ่นาทํากินทําสวน อนึง่ ไฟในเฮือนอย่าเอาไปนอกเฮือน
ไฟนอกเฮือนอย่าเอาไปในเฮือน คือว่าผู้ใดมาว่าดีวา่ ฮ้ ายผู้ใดมาส่อมาสน
ก็ดี ให้ พิจารณาดูก่อนควรบอกควรเล่าต่อผัว ก็จิงเล่า บ่ควรเล่า
ก็อย่าเล่า ควรให้ แล้ วแก่ตน อนึง่ ให้ เอาผู้หญิงสี่คนผู้ร้ ูดีสามคน
สองคนก็ดีมาไว้ พางไว้ ใกล้ จักกระทําอันใดให้ อือให้ ยินเขาทังสี ้ ่คนนัน้
ดูก่อน แหม่นแล้ วจึงกระทํา อนึง่ ตัวลูกใภ้ กทู งั ้ ๗ คนนี ้สูเจ้ าอย่าฆ่าสัตว์
แหม่นเผิ่นก็อย่าจําให้ ฆา่ แหม่นฆ่าคนก็ดีก็อย่าพร้ อมอย่าจําเผิ่นฆ่า อนึง่
อย่าลักของผัวของท่านผู้อื่นก็ดี อนึง่ อย่าหลิ ้นชู้กบั ผัวแหม่นว่าฝั นกลาง

๘๘
วันกลางคืนก็ดี ก็อย่าได้ ยินดีดอมมันผู้นนเทอญ
ั้ อนึง่ อย่าหล่าย
ถ้ อยหล่ายคํา อันมีจิงว่ามีบม่ ีอย่าว่ามี อนึง่ อย่ากินเหล้ ากินยาให้
เมาย่อมเสียสมบัตปิ ั ญญาดีหลีดาย อนึง่ ยามไฮ่ไถนาให้ บอกให้ เตือน
คนทังหลาย
้ อนึง่ เถิงยามหลิ ้นมโหรสพก็ให้ บอกให้ เตือนคนทังหลาย ้
หลิ ้นให้ หม่วนงัน เถิงยามกระทําก็ให้ บอกให้ เตือนคนทังหลายให้ ้ พร้ อม
กันเฮ็ดเพื่อสัพพัญญูเจ้ า เกิดมาตรัสสัพพัญญูเป็ นพระแล้ วยังไป่ โผด
สัตว์ทงหลายในเมื
ั้ องใหญ่ไป่ ทันมาเถิงเฮาดีหลีดาย กูพอ่ ก็สอนเจ้ า
ทังหลาย
้ ตามปู่ สูเจ้ าแถนฟ้าขื่นสัง่ สอนตู แต่เมืองฟ้ามาก็สิ่งเดียว
นี ้แล จึงให้ เอามือเขาเจ้ าออกจากไตคําอันใส่นํ ้านันหั ้ นแลจึ
้ งให้ เสนา
อํามาตย์ทงหลาย
ั้ หดสรงสูเจ้ าสูเ่ ข้ าเล่าขวัญอุสาภิเษกแล้ วขุนบรม-
ราชาธิราชทังนางยมมะพาลากั
้ บทังนางเอ็
้ ดแคง แล้ วเสนาอํามาตย์
พร้ อมกัน จึงให้ ขนุ เขียนดาบแก้ วดาบคําใส่ชื่อขุนลอ ให้ เมือกิน
เมืองชะวาลานช้ าง เชียงดงเชียงทอง อันที่เจ้ ารัสสีกฎหมายบ่อน
ที่ไว้ หนแล
ั้ จึงเขียนดาบคําใส่ชื่อว่าขุนลาน ให้ เมือกินเมืองห้ อวอง
แต่นํ ้าท้ ายชายคําวิทธิราชพุ้น จึงมาเขียนดาบคําอันหนึง่ ให้ แก่ขนุ สง
ให้ เมือกินเมืองระณีพรหมทัตราช จึงเขียนดาบคําอันหนึง่ ให้ แก่ขนุ
คําพวง ให้ เมือกินเมืองกุมกามโยนกราชละพุนเชียงใหม่ จึงเขียน
ดาบคําอันหนึง่ ให้ แก่ขนุ อินทร์ ให้ เมือกินเมืองละโว้ โยทธิยา จึงเขียน
ดาบคําอันหนึง่ ให้ แก่ขนุ เจ็ดเจืองให้ เมือกินเมืองพวนตะวันออก จึง
มาเขียนดาบคําอันหนึง่ ให้ แก่ขนุ เจ็ดเจียง ให้ เมือกินเมืองมวนหันแล ้

๘๙
ขุนบรมราชาธิราชปูกลูกชายไปกินบ้ านกินเมือง ตามความ
แถนฟ้าขื่นแถนชี แถนแต่งหันแล ้ แต่นนเล่
ั ้ าซํ ้าสัง่ สอนว่าดังนี ้ ครัน้
เจ้ าทังหลายจั
้ กให้ มีรูปมีโฉมอันดีอนั งามดังนัน้ ให้ รักษาศีล ๕ ศีล ๘
ให้ มีผยาปั ญญา อันจัดให้ ไปนําตนนี ้มีทอ่ ให้ ทา่ นพ่อแล้ ว เจ้ าทัง-้
หลายไปกินบ้ านกินเมืองตัวแล มีสมบัตเิ ข้ าของให้ แจกเป็ น ๗ ส่วน
พ่อเนอ ส่วนหนึง่ ให้ ใส่เล่มฉางไว้ ขนันบ้ านเมืองไว้ ส่วนหนึง่ ให้ นงุ่ ให้
กินพ่อเนอ ส่วนหนึง่ ให้ ทานแก่ลกู แก่เมียข้ อยคนทังหลาย ้ ฝูงอยูใ่ ช้
ช่วงตน ส่วนหนึง่ ทานแก่พระสงฆ์เจ้ า ผิบม่ ีให้ ทานแก่เจ้ ารัสสีแล
คนอันมีศีลพ่อเนอ ส่วนหนึง่ ให้ ทานแก่เสนาอํามาตย์ใหญ่ ผู้จกั อาสา
ให้ แล้ วกิจแห่งตน ส่วนหนึง่ ไว้ ตอบแขกอันจักมาไหว้ มานบตนของ เขาท่อ
ใดให้ ตอบสองท่อของเขานันเทอญ ้ ส่วนหนึง่ ให้ ทานแก่ยาจกคนขอ
ฝูงหมูห่ หู นวกตาบอดคนทุกข์ไฮ้ ขีนใจนันพ่ ้ อเนอ ของทังหลายฝู ้ งนี ้ก็หาก
จักไปนําลูกทังหลายสู
้ แ่ ห่งสูท่ ี่พอ่ แล้ ว อันนี ้คําปู่ สูเจ้ าแถนฟ้า ขื่นหากได้
สัง่ สอนกูพอ่ แต่ในเมืองฟ้าพุ้นมา บัดนี ้กูก็สงั่ ก็สอนตามความปู่ สูเจ้ าพ่อ
แล แต่นนขุ ั ้ นบรมราชาธิราช สัง่ สอนลูกชายลูกสะใภ้ ทงั ้ ๑๔ คน
ก็แล้ วเท่านี ้ก่อนแล ฯ
นับแต่ขนุ บรมลงมาตังเมื ้ องหลุม่ ได้ ๒๐๕ ปี (๒๕ ปี ) ขุนลอ
ใหญ่มาได้ ๒๓ ปี ก็ลว่ งมาตังเมื ้ องชะวาลานช้ าง ที่เชียงดงเชียงทอง
อันเจ้ ารัสสีแฮกหมายใส่หลักคําใส่หลักเงินไว้ ที่ก้อนก่ายฟ้าหันแลยาม ้
นันขากั
้ นฮางปู่ มัน พระยานาคอยูน่ ํ ้าท่าผาติงสบอูหนั ้ ขุนลอจึงมาเลว
แพ้ ไล่เขาเมือภูเลาภูคาจึงเป็ นข้ าเก่าบัดนี ้แล อันนันแหม่ ้ นชากันฮางแล

๙๐
ยังมีคนชุมหนึง่ แม่เขานันชื ้ ่อว่านางกางฮีผีเสื ้อ พ่อเขานันเป็้ นคน
มาเอากันเป็ นผัวเมียจึงมีลกู เขาใส่ชื่อลูกผู้พี่นนั ้ ชื่อขุนเค็ด ผู้น้อง
ว่าขุนคาน เขาอยากมาตังที ้ ่เชียงดงเชียงทองบุญเขาน้ อยมาตังบ่ ้ ได้
เขาจึงไปตังที ้ ่เชียงงวดอันเฮาว่าขึงมวกบัดนี ้แล บ่อนหันเป็ ้ นบ้ านเมือง
เขา ขุนลอจึงไปเลวเอา แต่นนเขาก็ ั้ เอารี พ้ ลมาฮอดท้ ายขันหัน้ ขุนลอ
ก็ไปเลวได้ ชนกัน ขุนลอก็เหล่าแพ้ ไล่ไป ก็ได้ ขนุ เค็ดขุนคานที่เชียงงวด
ทังพ่
้ อทังลู
้ กเอาไปจมนํ ้าเสียที่ดอนสิงหันแล ้ เชื ้อแนวขุนคานก็พา่ ยหนี
ไปลี่ซอ่ นอยูห่ นแลแต่
ั้ นนเจ้
ั ้ าขุนลอก็คืนมาฮอดเชียงดงเชียงทอง แล้ ว
คนทังหลายจึ
้ งราชาภิเษกให้ เป็ นเจ้ าแผ่นดินหันแล ้ เขาทังหลาย

จึงมาแปงโฮงบ่อนเจ้ ารัสสีหมายเอาก้ อนหินก่ายฟ้าไว้ หนแล ั้ จึง
ราธนาเจ้ าขุนลอเมือนัง่ แท่นเงินแท่นคํา เป็ นเจ้ าแผ่นดินเมืองศรี สตั -
นาคนหุตอุตตมราชธานี เอางอนหมื่นหลวงเท่าสบโฮบเป็ นหางนาค
เอาสบคานแลนํ ้าของกํ ้าเหนือเป็ นหัวนาค จึงได้ ชื่อว่าเมืองศรี สตั ตนาค
เพื่อดังนันแลอั
้ นชื่อว่าเมืองลานช้ างนี ้เอานิมิตต์ เบื ้องเหนือเอาภูช้าง
น้ อยเป็ นนิมิตต์ กํ ้าใต้ เอาภูช้างหลวงเป็ นนิมิตต์ จึงเรี ยกชื่อว่าเมือง
ลานช้ างเพื่ออันแล
้ อนึง่ เจ้ ารัสสีเขียนหนังสือใส่ไว้ ในก้ อนก่ายฟ้าหัน้
หน่วยหนึง่ อันหมายบ่อนเชียงทองนัน้ ไว้ ให้ ผ้ ใู ดจักเป็ นท้ าวพระยา
ในที่นี ้ ให้ มีศีล ๕ ศีล ๘ เหตุเพื่อสัพพัญญูเจ้ ายังจักมาโผดสัตว์
ทังหลาย
้ ฮอดบ้ านเมืองอันนี ้ดีหลีตาย ผู้ใดจักเป็ น (เจ้ า) ใน
เมืองอันนี ้ จงให้ ทานแก่สตั ว์ทงหลายแลคนทั
ั้ งหลายทุ
้ กวันอย่าให้
ขาดสักวันเทอญ ภายหน้ าพุ้นครัน้ ศาสนาพระพุทธเจ้ ามาฮอดมาเถิง
ในบ้ านในเมืองอันนี ้ เล่าเร่งให้ ทานแก่พระพุทธเจ้ าพระธรรมเจ้ า
๙๑
พระสังฆเจ้ า ให้ เชื่อใสในคุณแก้ วสามประการ เหตุวา่ ศาสนาเป็ น
เจ้ าแผ่นดินมี ๖ ชัว่ เจ้ าแผ่นดิน ๗ ชัว่ เขาจึงเอายาหลวงโงมมาเป็ น
เจ้ าแผ่นดิน มีลกู ๙ คนผู้หญิง ๔ คน ลูก ๙ คนนี ้เฮาบ่อจาก่อน
แลเฮาท่อจักจาผู้กินเมืองแทนหลวงโงมแล
เขาจึงเอายาคําเฮียวผู้เป็ นลูกอ้ ายมาเป็ นเจ้ าแผ่นดินแทน ยาคํา
เฮียวมีลกู ๔ คน ผู้หญิงสอง ผู้ชายสอง ผู้น้องเหล่านันมี ้ แข้ วออก
๓๓ เหล่มแต่ในท้ องออกมา เสนาอํามาตย์ทงหลายว่ ั้ าเข็ดว่าขวง
จักแพ้ บ้านแพ้ เมืองว่าดังนัน้ เขาจึงเอาใส่แพไหลเสีย เอาข้ อยเลี ้ยง
ทังมวลใส่
้ แพไปดอม ผู้หนึง่ ชื่อบาคุม ผู้หนึง่ ชื่อบากิม ผู้หนึง่ ชื่อบาโบ
ผู้หนึง่ ชื่อบาเสียม ผู้หนึง่ ชื่อบาจีแข้ ผู้หนึง่ ชื่อบาลูข้อยเลี ้ยงทังหลาย ้
ฝูงนี ้ ทังข้ ้ อยหญิงข้ อยชายทังมวล ้ ๓๓ คน ไหลแต่เชียงดงเชียงทอง
ไปดอมเจ้ าเขาหันแล ้ นางยาคําเฮียวผู้เป็ นแม่จงึ อุ้มไปฮอดแพอันจัก
ไหลเสียนัน้ จึงเอิ ้นป่ าวเทวดาแลพระยานาคทังหลายว่ ้ า ให้ รักษา
ลูกข้ อยผู้นี ้อย่าให้ ฉิบหายเสียแด่ เสนาทังหลายว่
้ าแข้ วออกแต่ในท้ อง
๓๓ เหล่ม เขาว่าเป็ นคนฮ้ ายว่าเข็ดว่าขวงแลให้ ไหลเสีย ครัน้ ว่า
บุญลูกข้ อยยังมีขออย่าให้ หล่มให้ จมเสีย ให้ ได้ มาเป็ นเจ้ าแผ่นดินใน
เชียงดงเชียงทอง ด้ วยอันชอบโลกชอบธรรมอย่าให้ ได้ ด้วยหยาบช้ า
ทารุณเทอญ แหม่จงึ ฝากเทวดาสิ่งนัน้ จิงสัง่ ข้ อยเลี ้ยงทังมวลนั
้ นว่
้ า
ลูกกูนี ้ตกที่ใดให้ สวู า่ พระยา อย่าให้ วา่ ลูกฟ้าคําเฮียว แหม่จงึ ใส่ชื่อสิ่ง
นันแล
้ เขาจึงไหลไปแหม่ก็นําไปส่งฮอดเมืองขายจึงคืนเล แต่นนไหล ั้
ไปฮอดบ้ านใดเมืองใด เขาก็ให้ ข้าวให้ ของกินสูบ่ ้ านสูเ่ มือง จึงไปฮอด

๙๒
หัวลีพ้ นุ ที่เมืองหนึง่ ชื่อว่าถํ ้ามหาเถรเจ้ าป่ าสมัน เขาจึงมาเหล่าต่อ
พระ ๆ จึงไปอุ้มเอาออกมาจากแพอันไหลเสียนันเมื ้ อดอมตนหันแล ้
นับแต่เจ้ าใหญ่มาได้ ๓ ปี ไหลเสียได้ ปีหนึง่ จึงมาฮอดท่าพระสมัน
พระเลี ้ยงไว้ ๓ ปี พระยานครหลวงจึงเอาเมือเลี ้ยงได้ ๗ ปี ทังมวล ้
เป็ น ๑๔ ปี พระยานครหลวงจิงให้ ลกู สาวได้ ๒ ปี พระยานครจิงเอา
หมอหูฮาทังมวลมาดู
้ ชาตาแลนักขัตตฤกษ์เมืองลานช้ าง หมอจิงทวย
ว่าพ่อเจ้ านี ้แม่เจ้ านี ้ตายแล้ ว เขาจึงเอาอาว์เจ้ าเป็ นเจ้ าแผ่นดินที่เชียงดง
เชียงทองแทนแล พระยานครหลวงจิงว่าเฮาจักแต่งรี พ้ ลคํ่าคงเมือง
ปูกยังจักได้ เป็ นเจ้ าแผ่นดินที่เชียงดงเชียงทองบ่จา หมอทังหลายจิ ้ งว่าอ
ย่าว่าได้ แต่เชียงดงเชียงทองเทอญ ยังจักได้ เมืองโยทธิยาทังเมื
้ องพิง
เชียงใหม่ ทังเมื
้ องลื ้อเมืองเขิน ทังเมื ้ องจุลนีแต่ฟากนํ ้าแม่แท้ มาพี่
ต่อเท่าเมืองมีฮา่ นก้ วนมีเสาหินสุม่ เสานํ ้าเต้ าแก้ วพุ้นดีหลี หมอหูฮา
พระยาเมืองนครหลวงว่าดังนี ้ หากท่อว่าเจ้ านี ้บ่ได้ ตายในเชียงดงเชียง
ทอง จักได้ ตายในเมืองอันหนึง่ เบื ้องตะวันตก ด้ วยวุฒิสวัสดีแล หมอ
ทังหลายว่
้ าดังนัน้ แต่อยูป่ ี หนึง่ พระยานครหลวงจิงแต่งช้ างม้ ารี พ้ ลให้
จึงราชาภิเษกใส่ชื่อว่าพระยาฟ้าหล้ าธรณีหนแล ั้ จิงมาแต่งหมอผู้จกั
ผาบเสิก ๔ คน จิงแต่งเครื่ องผาบเสิกม่นทังมวล ้ ให้ ฆ้องไชย ๔ หน่วย
แส่งไชย ๔ หน่วย จองวองไชย ๔ หน่วย หอกไชย ๔ ดวง ขวนไชย
๔ ดวง แพนไชย ๔ ดวง คนอันรักษาเครื่ องไชย ๔๐๐ จิงให้ หมอ
ทังหลายหามื
้ ้อดียามดี แล้ วก็ลงจากเมืองนครหลวงไปหันแล ้ กับ
ทังลู ้ กตนผู้ชื่อว่านางแก้ วกัญญาก็ให้ ไปดอมหันแล ้ ลงมาฮอดเมือง

๙๓
อันหนึง่ ชื่อว่าพรหมทัต พระยาพรหมทัตมารบขาได้ ชนช้ างกันแพ้ พระยา
พรหมทัต ฆ่าพระยาพรหมทัตกับคอช้ าง จิงแจกเมืองพรหมทัต ปูก
ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาปางกบ ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยากุญชร ผู้หนึง่ ให้ เป็ น
พระยาคําแหง ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาดอนแดง ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาโสก
ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาฆ้ องทอง ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาจันทอม ผู้หนึง่ ให้ เป็ น
พระยาอ้ าย ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาพรหมทัตแทนหันแล ้ พระยาทังหลาย

ฝูงนี ้ พระยาฟ้าให้ เป็ นเมืองส่วยช้ าง ส่วยคํา ส่วยข้ อย แล้ วพระยาฟ้า
จิงเอารี พ้ ลโยธาขึ ้นมารบพระยาแปดบ่อ ที่เมืองกระบองหัน้ พระยา
แปดบ่อขี่ช้างออกมาชนบ่ทนั ฮอด พระยาฟ้าพระยาแปดบ่อก็แหล่นหนี
เขาจิงไปไล่เอาได้ ทงเป็ั ้ นมาจมนํ ้าเสียที่ปากทอกหันแล
้ พระยาแปดบ่อ
ผู้นี ้เป็ นปู่ พระยาแปดบ่อ ผู้วา่ ลูกหญิงโตนนํ ้าตาย เอากว้ านไปตึกเอาลูก
แลได้ พระหิน อันเขาว่าพระแปดบ่อนันแล ้ นับแต่พระยากระบองตน
ชนช้ างกับพระยาฟ้านันมา ้ ได้ ๗ ชัว่ พระยาแปดบ่อ จิงมาเถิงพระยา
แปดบ่อตนว่าลูกโตนนํ ้าตาย แลได้ พระหินนี ้แล พระยาฟ้าจิงให้ พระยา
กระบองผู้น้องแทน จิงตังอาชญาไว้ ้ วา่ ให้ สว่ ยช้ างฮ้ อยหนึง่ ข้ อย
ฮ้ อยหนึง่ ข้ อยกับช้ างสองฮ้ อย ให้ สว่ ยคําสองพัน ให้ สว่ ยลัว่ ส่วยแพ
ลาสองฮ้ อยฮํา ให้ สว่ ยข้ อยหญิง ข้ อยชายสองฮ้ อย แล้ วจิงเอารี พ้ ล
ไปรบพระยาจําปาธิราช แพ้ พระยาจําปาธิราชแล้ วฆ่าตายกับคอช้ าง
พระยาฟ้าจิงใส่ชื่อผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาจําปาธิราชแทน ผู้หนึง่ ให้ เป็ น
พระยาจําปานคร ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาจิม ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาจาม ผู้
หนึง่ ให้ เป็ นพระยาดอนชัคแค ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาสนัง ผู้หนึง่ ให้ เป็ น

๙๔
พระยาชุง ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาโสก พระยาทังหลายฝู ้ งนี ้ พระยาฟ้าให้
เป็ นเมืองส่วยสูด ส่วยม่าน ส่วยด้ าย ส่วยไหม ส่วยคํา ส่วยช้ าง
ส่วยจําหงาย ส่วยข้ อย สู่เมืองหันแล ้ พระยาฟ้าจิงยอพลเข้ ามานํ ้าหินบูน
พระยาตนหนึง่ ชื่อว่าเวียงออกมารบเห็นดูหลากแล้ วพ่ายหนี บากิมไปไล่
ได้ ฆา่ เสีย จิงให้ น้องเป็ นพระยาเจ็ดเจียงแทน จิงใส่ผ้ หู นึง่ ให้ เป็ นพระยา
กว้ างเสียม ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยากว้ างทง ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาเมืองหลวง
ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาเมืองมวน ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาวัง ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระ
ยากระตาก ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาชุมพร ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาชะโปน พระ
ยาทังหลายฝู
้ งนี ้พระยาฟ้าให้ สว่ ยด้ าย ส่วยไหม ส่วยผ้ ากังแลพี
้ ดานทัง้
ส่วยข้ อยสูป่ ี ให้ เมือแต่เดือน ๑๒ เดือนสามให้ ฮอดสูเ่ มืองหันแล ้ แต่
นันพระยาก็
้ ยกพลมาฮอดปากชะดิง ยังมีผ้ หู นึง่ ชื่อว่าพระยาสามค้ อม
มันเป็ นเจ้ าเมืองพระนํ ้ารุ่ง ดาพลได้ ๔ หมื่นช้ างห้ าฮ้ อย มารบพระ
ยาฟ้า ๆ ให้ บาจีแข้ ถือพบมารบแพ้ พระยาสามค้ อม บาจีแข้ ไล่เอาพระ
ยาสามค้ อมได้ เอามาจมนํ ้าเสียที่ปากบางบาทหัน้ พระยาฟ้าจึงยอพล
มาอยูเ่ มืองพระนํ ้ารุ่ง จิงให้ ผ้ หู นึง่ เป็ นพระยาพระนํ ้ารุ่งแทนพระยาสาม
ค้ อมหันแล้ แต่นนส่ั ้ าเมือฮอดพระยาเจ็ดเจียง อันเป็ นเจ้ าเมืองพวกเชียง
ขวาง ๆ จิงแต่งหมื่นหลวงพวนทังหมื ้ ่นคํามาไหว้ พระยาฟ้า ที่พระนํ ้ารุ่ง
หันว่้ าดังนี ้ ผู้ข้านี ้หากเป็ นหลานเป็ นเหลนเชื ้อแนวขุนบรมราชาธิราชเจ้ า
ทังขุ ้ นลอ แต่บรุ าณมาดีหลีดาย ในที่นี ้แลพระยาฟ้าเจ้ าแลจักผาบ
บ้ านผาบเมืองที่ใดก็ดี ข้ าจักแต่งรี พ้ ลไปส่อยไปเติมสูแ่ ห่งสูท่ ี่แล
พระยาฟ้าจิงว่าดังนี ้ พี่น้องเฮายังคิดเถิงเฮาดังนันก็ ้ ชอบดีแลบ้ านเมือง
อันหลานเฮากับน้ องเฮาแต่ก่อนที่ใดก็ดี ให้ ไว้ แก่น้องเฮา
๙๕
เทอญ เครื่ องเสิกเครื่ องเวียกเครื่ องเหล็กอันใดก็ดี เฮาหากจักให้ มา
เอาดอม อนึง่ บ้ านเมืองแต่เฮาผาบได้ แต่เมืองชาเมืองมวนก็ให้ มาไหว้
มานบแก่น้องเฮา พระยาฟ้าว่าดังนัน้ แต่นนเจ้ ั ้ าจิงยอพลนํานับชวนไป
รูปพระยามีฮ้านกว้ านมีเสา ทังพระยาอ่ ้ างสิงอ่างหนาม ไล่เอาพระยา
ทังสามเมื
้ องนัน้ แล้ วพระยาฟ้าก็เอาพระยาทังสามเมื ้ อง เมือมอบแก่
เจ้ าบัวหลวง เจ้ าบัวหลวงก็ถามดูเชื ้อแนวพระยาฟ้าว่า เป็ นหลานเป็ น
เหลนขุนบรมราชาธิราชสืบ ๆ มา หลายชัว่ หลายปางนัก จิงมาเถิง
พระยาฟ้าหันแล ้ แล้ วเจ้ าบัวหลวงจิงว่าผิวา่ แหม่นเชื ้อแหม่นแนว เจ้ า
ขุนบรมขุนลอแท้ ให้ แต่เมืองมีฮ้านกว้ านมีเสา แต่หินสามเส้ านํ ้าเต้ า
แก้ ว บ้ านเมืองดินดอนที่ใดก็ดี ฟ้าแถนหากแต่งไว้ ฝนตกนํ ้าใหลเมือ
เมืองลาวให้ ไว้ เขตต์แดนเมืองลาว ฝนตกนํ ้าไหลเมือเมืองบัวแต่ใด
ให้ ไว้ เป็ นเมืองบัวแต่นนั ้ เจ้ าบัวหลวงจิงแต่งคํามาสามหมื่น เงินมา
สามแสนทังไม้ ้ กําพักเกสสนา ทังลั
้ ว่ แฮแพจีนเป็ นอันมากอันหลาย
นัก ให้ แก่นายผู้ใช้ อนั เอาอานสิงอ่างหนามเมือมอบแก่เจ้ าบัวนัน้ มา
ถวายแก่พระยาฟ้าที่แดนเมืองหันแล ้ แต่นนพระยาฟ
ั้ ้ าจิงใช้ ให้ พระยา
เมืองมีฮ้านกว้ านมีเสา แต่งให้ เขาส่วยคําทังส่ ้ วยลัว่ แฮแพด้ ายไหมสูอ่ นั
แต่นนพระยาจิ
ั้ งยอพลมาตังที ้ ่นาน้ อยอ้ อยหนู ที่ขนุ บรมที่ขนุ ลอเกิดหัน้
จึงได้ ชื่อว่าเมืองแถนเพื่อว่าแถนฟ้าขื่นมาแต่งมาแปงหันก่ ้ อน จิงเป็ น
บ้ านเป็ นเมืองมาตราบเท่าบัดนี ้แล ฯ บ่อเงินบ่อคําบ่อแก้ วบ่อทองบ่อ
เหล็กมีสอู่ นั แล พระยาฟ้าใสผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยาที่เมืองแถนนาน้ อยอ้ อย
หนูหนั ้ จิงให้ ผ้ หู นึง่ ป็ นพระยาเมืองไชยใส่ให้ ผ้ หู นึง่ เป็ นพระยาเมืองไล
ให้ ผ้ หู นึง่ เป็ นพระยาเมืองกว้ าง ให้ ผ้ หู นึง่ เป็ นพระยาสามสิบพองเมือง
๙๖
โฮมมา ให้ ผ้ หู นึง่ เป็ นพระยากางล้ าน ผู้หนึง่ เป็ นพระยาสิงหาว ผู้หนึง่
เป็ นพระยาเมืองหุม ผู้หนึง่ เป็ นพระยาเมืองวาด ผู้หนึง่ ให้ เป็ นพระยา
เมืองกว้ างทง แต่ฟากนํ ้าแท้ นาพี ้เจ้ าบัวหลวงหากเวนให้ แก่พระยาฟ้า
พระยาฟ้าจึงใส่ให้ เป็ นท้ าวเป็ นพระยา ให้ เขาส่งส่วยคําส่วยเงินส่วยข้ อย
ส่วยผ้ ากังผ้ ้ าไหมแลพีดาน แลเครื่ องเสิกส่วยม้ าทังอานเงิ ้ นอานคํา ทัง้
ลัว่ แลหอกแพนทังมวล ้ แล้ วจิงใช้ เมือเล่าแก่เจ้ าบัวหลวง โดย
ดังความทังมวลฝู ้ งนี ้ เจ้ าบัวหลวงว่าให้ พี่เฮาคืนเมืออยู่เชียงดงเชียง
ทองพุ้นเทอญ แต่นนพระยาฟ
ั้ ้ าก็เอารี พ้ ลข้ ามนํ ้าอูเมือเมืองบูนใต้ บนู
เหนือ สองขาพระยาบูนเอาพลออกมารบพระยาฟ้าก็แพ้ เอาสองขา
ฆ่าเสีย แล้ วจิงใช้ เมือหาพระยาเชียงฮุงว่า ยังจักรบจักชนเฮาหรื อ
พระยาเชียงฮุงจิงว่าเฮานี ้ก็หากเป็ นเชื ้อ เป็ นแนวอันเดียวดาย เฮาบ่รบ
บ่เลวพระยาเจ้ าแล ให้ พระยาเจ้ าเอาเขตต์บ้านแดนเมืองแต่บ้านป่ งลวง
ขวงเท่าเมือบูนใต้ บนู เหนือพุ้น เป็ นเขตต์ของเมืองลานช้ างเทอญ เฮา
ก็จกั ให้ บวั ให้ นางแก่เจ้ าฟ้าแล บัดนี ้ลูกเฮายังน้ อยภายหน้ าจิงเอาเมือ
ปั ดเสื่อปูหมอนแก่เจ้ าฟ้าเทอญ เจ้ าเชียงฮุงจิงแต่งเงินแสนหนึง่ ม้ า
ฮ้ อยหนึง่ ทังอานเงิ
้ นอานคําฮําแฮแพจีนมากนัก พระยาฟ้าก็เอาแล้ ว จิง
ใส่ข้อยผู้หนึง่ ชื่อว่าบากิม ให้ เป็ นเจ้ าขวา เขาจิงเรี ยกว่าขวากิมหันแล ้
แต่นนพระยาฟ
ั้ ้ าจึงล่องมาฮอดเมืองน้ อย เจ้ าเมืองน้ อยจิงขอเป็ นเมือง
กางย่าวกางเฮือน พระยาเจ้ าฟ้าเทอญ พระยาฟ้าจิงให้ เถ้ าเสียงเป็ น
เจ้ าเมืองน้ อยหันแล ้ เถ้ าเสียงแต่งที่เข้ าขวัญทังผอกผี
้ พลีเสื ้อ พระยา
ฟ้าสูอ่ นั แล แต่นนพระยาฟ
ั้ ้ าล่องมาฮอดสบอูหนั ้ เจ้ าฟ้าคําเฮียวผู้นี ้เป็ น

๙๗
อาว์น้องพ่อพระยาฟ้า พ่อพระยาฟ้าตายเสีย เขาจิงเอามันเป็ นพระเจ้ า
แผ่นดินแทน มันมีลกู หญิงสองคนลูกชายบ่มี มันก็ร้ ูวา่ พระยาฟ้าล่อง
มาฮอดสบอู มันก็ยา่ นพระยาฟ้าฆ่าขาทังสองผั ้ วเมีย ลวดกินสานตาย
ทังสองหั
้ นแล
้ ยังแต่ลกู หญิงทังสอง
้ เสนาอํามาตย์เมียนคาบส่งซะกาน
บรบวนแล้ วเสนาอํามาตย์ทงหลายจิ ั้ งเมือราธนาพระยาฟ้าที่สบอูพ้ นุ มา
ฮอดเชียงดงเชียงทอง แล้ วจิงมาราชาภิเษกพระยาฟ้า ทังนางแก้ ้ ว
เก่งกัญญา อันเป็ นลูกพระยานครหลวงนัน้ ให้ เป็ นเจ้ าแผ่นดินใน
เชียงดงเชียงทอง ให้ ปเลี ู่ ้ยงเป็ นแสนเมืองให้ ตาเลี ้ยงเป็ นหมื่นหลวง
ให้ อาว์เลี ้ยงเป็ นพูมเหนือ ให้ น้าเลี ้ยงเป็ นพูมใต้ ให้ พี่เลี ้ยงเป็ นพระยา
กระชัก ข้ าภูทงมวลให้
ั้ ขึ ้นลงดอมพระยากระชักหันแล ้ ขึ ้นโฮงขึ ้นศาล
ขึ ้นฟ้าขึ ้นแถน ให้ พระยากระชักขึ ้นก่อน จิงให้ แปงโฮงหลังหนึง่ ให้
มันอยูท่ ้ ายโฮงเชียงทองหัน้ ของฝากอันเขามายื่นมาถวายแด่เจ้ า
แผ่นดิน ก็ให้ มนั รับเอาก่อน แต่งแปงสูอ่ นั มันจิงใส่ผ้ หู นึง่ ให้ ฮบั ตาง
เขาจิงว่ารามราชอัน้ ทังหลายว่ ้ าหมื่นราชบัดนี ้แล แต่นนพระยาฟ ั้ ้า
จิงเอาพลขึ ้นเมือลานนา ทางนํ ้าของจิงไว้ นางแก้ วเก่งกัญญาที่เมือง
เชียงดงเชียงทองรักษาแผ่นดิน เหตุเพื่อนางทรงครรภ์ได้ สามเดือน
แล้ วพระยาฟ้าก็ขึ ้นเมือฮอดท่าหัวเฮือเมืองเลิกหัน้ ยังมีลกู อ้ ายขี ้หูด
ผู้หนึง่ มันเป็ นลูกนางแก้ วมหาฮี เรี ยกชื่อท้ าวอูลอง มันเป็ นหลาน
ฟ้าคําเฮียว มันจิงออกมาไหว้ พระยาฟ้าที่ทา่ สวงคอคําหัน้ พระยา
อูลองจิงว่าข้ อยนี ้เป็ นลูกนางแก้ วมหาฮี แม่ข้อยนี ้เป็ นลูกฟ้าคําเฮียว
ก็หากเป็ นวงศาแห่เจ้ ากูตาย พระยาฟ้าจิงว่าผิวา่ เป็ นดังนันแท้ ้ เมืองเลิก

๙๘
นี ้เจ้ าจงกินเทอญ ให้ เป็ นเมืองกางเฮือนกูเทอญ แล้ วพระยาฟ้าจิงขึ ้น
เมืออยูส่ บแบ่ง แล้ งจิงให้ ขึ ้นเมือเอาลามเมืองฮุนลามเมืองแบ่ง ได้
แล้ วจิงเมือตังอยู ้ ส่ บท่าหัน้ จิงจักเอาเมืองเชียงของคกฮําเชียงทอง จิง
ใส่ผ้ หู นึง่ ให้ กินเมืองเชียงตืนสี่เมืองนี ้จิงได้ วา่ สี่หมื่นท่างนํ ้าแล ให้
เชียงตืนเป็ นเจ้ าสี่หมื่น จิงให้ เอาเมืองผาเมืองพัวที่ภคู บุ ทังเมื ้ องแหง จิง
ให้ เจ้ าเมืองผาเป็ นสี่หมื่นทางบก แต่นนพระยาฟ ั้ ้ าก็มาพาดูพลที่สบท่าหัน้
ได้ พลสี่แสนแต่ลาวได้ ยายได้ แกวแสนหนึง่ ช้ างได้ ห้าฮ้ อยตัว จิงขึ ้น
เมือเอาเมืองหินเมืองงาวได้ แล้ ว จิงยอพลขึ ้นเมือตังที ้ ่คอนมูลหัน้ แต่
นันเจ้
้ าเมืองลานนาผู้หนึง่ ชื่อว่าพระยาสามผยา มันก็อวนพลแต่เมือง
ลานนามาสูแ่ ห่งได้ พลสี่แสน ยามนันเอาเมื ้ องเชียงแสนเป็ นลานนา มัน
จิงให้ เสนามันผู้หนื่งชื่อว่าแสนเมือง มันก็ถือพลมารบพระยาฟ้า ๆ จิง
ขี่ช้างตัวหนึง่ ชื่อว่าเชียงทอง ว่ายนํ ้ากกเมือสูแ่ สนเมืองลานนา แล้ ว
ขวากิมขาก็ชนกันขวาก็แพ้ ฆ่าแสนเมืองลานนาตายกับคอช้ าง แต่นนั ้
พระยาสามผยา อันเป็ นเจ้ าแผ่นดินลานนา ก็พา่ ยหนีเข้ าเวียงลานนา
เชียงฮายพระยาฟ้าก็ให้ ไปไล่เอาฮอดเมืองแพวเมืองเลม ทังเมื ้ องไฮบ้ าน
ยูเมืองยองหัวพวง หัวฝาย คุงเมืองลื ้อเมืองเขินเมืองเชียงแข็งหันแล ้
แต่นนพระยาสามผยาจิ
ั้ งใส่ผ้ หู นึง่ ว่าหมื่นกุมกาม ผู้หนึง่ ชื่อว่าหมื่นชูน
ผู้หนึง่ ชื่อว่าหมื่นกางเมืองเชียงฮาย มาขอส่งส่วยข้ าวพันคานแก่
พระยาฟ้า เมื่อใดลูกผู้ข้านางน้ อยอ่อนสอยังใหญ่ได้ ๑๖ ปี จักให้ เมือ
ปั ดเสื่อปูหมอนแก่เจ้ าฟ้าชะแด บัดนี ้ยังน้ อยขอแก่เจ้ าฟ้าเอาแต่เวียงผา
ใดไป ให้ เป็ นบ้ านเมืองเจ้ าฟ้าข้ อยท่อน พระยาสามผยามอบเวนให้

๙๙
แต่นนเป็
ั ้ นแดนเมืองลานช้ างหันก่ ้ อน เล่าแต่งคํามาถวายพระยาฟ้า
สองหมื่นคํา เงินสองแสน แหวนนิลลูกหนึง่ ชื่อว่ายอดเชียงแสน
แก้ วพิฑรู ย์ลกู หนึง่ ชื่อว่ายอดเชียงฮาย แหวนแดงลูกหนึง่ ชื่อว่ามณี
ฟ้าหลวง เอามาถวายแก่พระยาฟ้าหันแล ้ บ่เท่าแต่นนเล่
ั ้ าแต่งเงินคํา
มาให้ แก่เสนาพระยาฟ้าผู้ใหญ่สคู่ น เป็ นอันมากหลายนัก แต่นนพระยา ั้
ฟ้าก็ลอ่ งมาเมืองลานช้ าง จิงมากวาดเอาข้ าเก่าแต่หวั นํ ้าทา เท่าเมือง
กอเมืองหลาเท่าแดนลื ้อ หมดสูแ่ ห่งสูท่ ี่ ท่อยังจ่งไว้ ให้ เป็ นเชื ้อเป็ นแนว
เขาที่หนึง่ ว่าภูคมุ ซาวครัว ที่หนึง่ ว่าภูจอมแลงซาวครัว ภูคาง
ซาวครัว ไว้ สี่แห่งนี ้เป็ นเชื ้อสายแห่งเขาหันแล
้ จิงบอกสอนเขาว่า
ดังนี ้ สูอย่าบ่าอย่างานแก่ไทแก่ลาว สูอย่ายาดเอาสิ่งเอาของลาวอันใด
ก็ดี อนึง่ สูหากผิดกันแลว่าจักไปรบไปเลวกันก็ดี ให้ สจู ื่อความกูสิ่งนี ้
มื ้อกาบมื ้อฮับมื ้อฮวยมื ้อเมิงมื ้อเบิก ห้ ามื ้อนี ้ให้ เป็ นมื ้อเสิก สูจกั รบ
จักเลวกันก็ตามสู มื ้อกัดมื ้อกดมื ้อฮ้ วงมื ้อเตามื ้อกา ห้ ามื ้อนี ้อย่าให้
สูรบเลวกัน อย่าให้ หยุบเอาควายบายเอาคนกัน ผู้ใดหากบ่ฟังยังความ
กูสิ่งนี ้ หินหน่วยนี ้กูเอาแต่สบคานเชียงดงเชียงทองพุ้นมาไว้ แก่สนู ี ้
แล้ วหินหน่วยนี ้หนักสองพันห้ าฮ้ อยห้ าบาท ผู้ใดหากบ่ฟังความกูอนั เป็ น
เจ้ าแผ่นดินเชียงดงเชียงทองนี ้ ให้ สทู งสี
ั ้ ่ขนุ ราชนี ้สัง่ เอาเงินท่อหิน
หน่วยนี ้ เล่าเอาควายโตหนึง่ กินแก่สู อย่าให้ กนั สัง่ ว่าดังนี ้ อย่าฮื ้อ
ฮอกคอกครัวกัน พระยาฟ้าสัง่ สอนข้ าเก่าดังนี ้ แล้ วจิงเอาเขาล่องมา
ไว้ ภบู อ่ นหัน้ แต่งให้ เขาเชียงโปะเชียงพาหันแล ้ พระยาฟ้าไปขว่า
ได้ สองปี จิงมาฮอดเชียงดงเชียงทอง จิงเห็นหน้ าลูกชายหนึง่ ใส่ชื่อ

๑๐๐
ว่าท้ าวอุน่ เรื อน อันตนเป็ นพระยาสามแสนไทบัดนี ้แล ได้ ข้าเก่าทัง้
มวลทังหญิ ้ งทังชายน้
้ อยใหญ่แสนหนึง่ ให้ ขวากิมเป็ นเจ้ าเป็ นล่ามแก่
เขาหันแล้ แต่นนพระยาฟ
ั้ ้ าก็ยอพลล่องจากเมืองชะวา ให้ บาโบบา
จีแข้ เป็ นหัวหน้ า ถือพลไปฮอดเมืองซาย ท้ าวไคหลานขุนเค็ด
ขุนคานเมืองซาย ถือพลมารบบาโบบาจีแข้ ๆ แพ้ ท้าวไคเสียที่เชียง
สมหัน้ จิงใส่บาโบเป็ นชาย เขาจิงว่าชายโบหันแล ้ แต่นนพระยา
ั้
ฟ้าล่องไปคอแก่งชายบาโบบาจีแข้ เอาพลตังท่ ้ านาเหนือ ท้ าวเชียงมุง
กินเวียงจันทน์ พระยาเภากินเวียงคํา สองขาพ่อลูกมีพลสองแสนช้ าง
ห้ าฮ้ อยท้ างเชียงมุงขี่ช้างตัวหนึง่ ชื่อว่าวังบุรีสงู แปดศอก พระยาเภาขี่
ช้ างตัวหนึง่ ชื่อว่าแสนนางคอยสูงเก้ าศอก บาโบขี่ช้างตัวหนึง่ ชื่อว่าแผ่ว
จักรวาฬ บาจีแข้ ขี่ช้างตัวหนึง่ ชื่อว่าขวานลวงฟ้า พระยาฟ้าขี่ช้างตัว
หนึง่ ชื่อว่าห่มเชียงทอง ท้ าวเชียงมุงแลพระยาเภาสองขาพ่อลูกออกมา
รบ พระยาฟ้าตังอยู ้ ท่ า่ นาเหนือ บาโบบาจีแข้ อยูถ่ ินจําปี สองขาพ่อลูก
ลวงเข้ ามาชน เขาจิงว่าหนองลวง ที่นนบาจี ั ้ แข้ ชนท้ าวเชียงมุงแพ้ ฆา่
ท่านตายกับหัวช้ าง บาโบแลขวากิมเข้ าชนพระยาเภา ๆ เห็นช้ างขา
แข็ง พระยาเภาลวดพ่ายหนีเมือเวียงคําที่เมืองท่านพุ้น แต่นนพระ
ั้
ยาฟ้าเข้ าไปตังอยู ้ เ่ วียงจันทน์หนั ้ จิงให้ บากิมผู้หนึง่ บาเสียมผู้หนึง่
บาจีแข้ ผ้ หู นึง่ สามคนนี ้ เขาถือพลไปเอาเวียงคําบ่ได้ เขาจึงใส่มา
เล่าแก่พระยาฟ้าว่า เวียงไม้ ไผ่ขดั นัก พระยาเภาบ่ออกมาชนเอายากนัก
พระยาฟ้าจิงว่าบ่ยากสัง จิงมาตีเงินตีคําเฮ็ดเกียงปื นไปให้ แก่เขาจิง
ใส่หนังสือไปว่าแก่สามขุนเขา ให้ สคู มุ เวียงเอาปื นอันนี ้ยิงไปในป่ า

๑๐๑
ไม้ ไผ่สามวัน แล้ วให้ คืนมาอยูก่ ่อนท่อน กูหากฮมเพิงภายหน้ าว่า
ดังนัน้ เขาก็เฮ็ดตามเจ้ าฟ้าว่า แล้ วคืนมา พระยาฟ้าจิงหวายเมือ
อยูเ่ ป็ นแก่ ขมแต่งรบเอาแต่เมืองแก่นท้ าวเท่าฮอดนครไท แล
ขอบดานทังมวล ้ จิงให้ บาจีแข้ เป็ นหมื่นแก่ แล้ วพระยาฟ้าจิงมา
เวียงจันทน์ จิงไปคุมเอาเวียงคําได้ หนแล ั ้ จิงเอาพระยาเภา มันก็เมือ
ตายที่เชียงดงเชียงทองหัน้ จิงเอาใส่ซองมาทางบก จิงตายที่บ้านถิ
นแห่งหันแล ้ เขาจิงว่าเมืองซองบัดนี ้แล พระยาฟ้าจิงคืนมาอยู่
เวียงจันทน์หนแล ั้ พระยาจิงโฮมช้ างโฮมพลดูได้ ช้างสองพันตัว ได้ ม้า
พันหนึง่ ได้ คนหกแสน อันนี ้แต่ห้วยหลวงมาเหนือเท่าเวียงผาใด พระ
ยาฟ้าจิงให้ บาเสียมไปเป็ นหมื่นกระบอง มันโฮมพลแต่พระนํ ้าฮุงเชียง
สาไปใต้ เท่าแดนจาม แลด่านละแวกแดนแกวกํ ้าใต้ ชื่อเมืองปากวางได้
คน ๔ แสน ได้ ช้างพันหนึง่ ได้ ม้าห้ าฮ้ อยตัว จิงให้ บากุมเป็ นหมื่นจันทร์
พระยาโฮมพลท่อแต่ไท อันเป็ นเฮือนบองทองได้ สามแสน อันเป็ นลาว
ได้ ๗ แสนทังมวล ้ คนในเมืองลานช้ างได้ ล้านหนึง่ จิงให้ ขวากิม
เอาข้ าเก่าไปใส่กระแดฟ้าแตบนอกเวียงจันทน์หนั ้ หมื่นครัวหนึง่ เอา
ไปใส่หนองหานน้ อยหานหลวง ทังภู ้ วานเถ้ าวานปาว ทังเชื
้ องชายแสน
ครัวหันแล
้ พระยาฟ้ายอพลไปเมืองลานเพียศรี ยทุ ธิยามีคนหกแสน
ช้ างห้ าฮ้ อยตัว ยังไว้ พลรักษาเมืองสี่แสนคนช้ างสามพันตัว มีทอ่
นี ้แต่งไว้ รักษาเมืองลานช้ างหันแล
้ พระยาฟ้าจิงให้ หมื่นแก่หมื่นกระบอง
ถือพลไปเป็ นหัวหน้ า ขวากิมเป็ นปี กขวา ชายโบเป็ นปี กซ้ าย หมื่นจันทร์
เป็ นทัพหลัง พระยาฟ้าจิงยอพลไปทางบัวกองฮอดเวียงพระงาม ได้

๑๐๒
ได้ เจ้ าเวียงบึงพระงาม แล้ วออกมาอยูเ่ วียงฮ้ อยเอ็ดประตูหนแล ั้ จิงให้
ไปขับเอาท้ าวทังหลายสู
้ แ่ ห่งสูท่ ี่ จิงได้ เมืองพระสาดพระสะเขียน
พระลิงพระนารายณ์นางเทียนเชขมาดสะพังสีแจ ทังพระยาจั ้ นทร์ พระยา
ธรรมสองขานี ้อยูเ่ มืองโพนผิงแดด ท้ าวพระยาทังหลายฝู ้ งนี ้เขาเป็ นลูก
เป็ นหลานพระยากูบาหางแล พระยาฟ้าก็ให้ ไปไล่เอาได้ หมด มาผูกใส่
คางวงเหล็กไว้ ที่เมืองฮ้ อยเอ็ดประตูหนั ้ ทังพระยาฮ้
้ อยประตูก็ผกู ไว้ หนั ้
พระยาก็ฮื ้อเทบ้ านเมืองศาสนาสารี ริกธาตุพระพุทธเจ้ าก็ม้างก็เทหันแล ้
พระยาฟ้าก็ใช้ ไปหาพระยาเมืองสิงอโยทธิยาว่า จักรบหรื อฮู้วา่ สิ่งใดนัน้
จา เจ้ าโยทธิยาจิงกล่าวว่า เฮาหากเป็ นพี่กนั มาแต่ขนุ บุรมบุราณปาง
ก่อนพุ้นมาดาย เจ้ าอยากได้ บ้านได้ เมืองให้ เอาเขตต์แดนแต่ดงสามเส้ า
เมือเท่าภูพระยาผ่อแล แดนเมืองนครไทยเป็ นเจ้ าทอน อนึง่ ลูกข้ อย
จักส่งอ้ อยนํ ้าตาลสูป่ ี อนึง่ ลูกหญิงข้ า (ชื่อ) นางแก้ วลอดฟ้า ใหญ่
มาแล้ วจักส่งให้ เมือปั ดเสื่อปูหมอนแก่เจ้ าฟ้าแล จิงแต่งช้ างพลาย
ห้ าสิบช้ าง พังห้ าสิบช้ าง คําสองหมื่นเงินสองหมื่นนอแสนหน่วย
ของอันอื่นกว่านันแต่
้ งเครื่ องฮ้ อยสูอ่ นั จิงส่งมาให้ แก่พระยาฟ้าหันแล ้
พระยาทังหลายอั
้ นพระยาฟ้าได้ ผกู เอานัน้ เป็ นต้ นว่าพระยากูบางหาง
พระยาฮ้ อยประตู พระยาฟ้าก็จกั ให้ เอาไปฆ่าเสียแท้ เมื่อนันยั้ งมี
มหาเถรเจ้ าตนหนึง่ พารี พ้ ลทังมวลเข้
้ ามาฮอดพระยาฟ้า และอยูไ่ กล
พระยาชัว่ ห้ าวาหันแล
้ พระยาจิงกล่าวว่า ภันเตข้ าไหว้ เจ้ ากู ๆ มี
ประโยชน์ด้วยอันใด จิงมาฮอดมาเถิงผู้ข้าในกาลบัดนี ้จะ แต่นนมหา ั้
เถรเจ้ าจิงกล่าวว่า เฮาจักมาถามปั ญหานําพระยาแล เฮานี ้ก็หากเป็ น

๑๐๓
พ่อครูมหาปาสมันตนอันเลี ้ยงพระยาใหญ่มานันดายพระยาฟ้ ้ าจิงปูอาสน
ไว้ แล้ ว จิงอาราธนามหาปาสมันเจ้ านัน้ ๆ เจ้ าก็นงั่ ตามนิมนต์หนแล ั้
พระยาฟ้าจิงว่าเจ้ ากูจกั ถามปั ญหาดอมผู้ข้าสิ่งใดก็ถามไปข้ อยท่อน มหา
เถรเจ้ าจิงกล่าวว่า อันแข้ วพระยาออกมาแต่ท้องแม่สามสิบสามเหล่ม
นัน้ ยังสูเ่ หล่มเบานันจา
้ พระยาก็วา่ หล่อนเสียหมดแล้ ว มหาเถรจิงว่า
อันใหม่ยงั ออกมาแทนท่อเก่าเบาจา พระยากล่าวว่ายังออกมาทังสาม- ้
สิบสามเหล่มดังเก่าก็ข้าแล มหาเถรเจ้ าจิงว่าแข้ วอันออกแต่ท้อง
มาแล้ วนัน้ ยังเป็ นคุณสิ่งใดเล่ายังเป็ นโทษสิ่งใดแก่มหาราชนันจา ้ พระ
ยาจิงว่า อันยังเป็ นคุณนันข้ ้ าว่าได้ เคี ้ยวกินจิงใหญ่ อันนันข้้ าว่าเป็ น
คุณแล อนึง่ โทษนันคื ้ อว่าแข้ วออกมาแต่ท้องคนทังหลายว่ ้ าเป็ นขวง ข้ อย
ว่าเป็ นโทษเพื่อสิ่งนันแล้ แข้ วอันเก่าหล่อนเสียแล้ วอันใหม่ออกมาแทน
ยังเป็ นคุณสิ่งใดเล่า ยังเป็ นโทษสิ่งใด พระยาจิงว่าอันเป็ นคุณมีแวน
หลาย เพื่อข้ อยได้ เคี ้ยวได้ กิน อันเป็ นโทษนันได้ ้ ขบลิ ้นขบสบมันเจ็บ
มันปวดอันนันข้ ้ อยว่าเป็ นโทษเพื่อสิ่งนันก็ ้ ข้าแล พระมหาเถรเจ้ าจิงว่ามหา
ราชเจ้ านี ้ได้ สร้ างโพธิสมภารมากนักแล จิงแก้ ปัญหาเฮาได้ สิ่งนี ้หันแล

แล้ วพระมหาเถรก็สงั่ สอนพระยาทังเสนาอํ ้ ามาตย์มนุ ตรี มากนักหันแล ้
มหาเถรเจ้ าจิงขอชีวิต ท้ าวพระยาทังหลายฝู
้ งผูกไว้ นนเป็
ั ้ นต้ นว่าพระ
ยาฮ้ อยเอ็ดประตู พระยาฟ้าก็แก้ ก็ป่อยเสีย ให้ เมือหาบ้ านหาเมืองสูค่ น
ตามความพระมหาปาสมันเจ้ าหันแล ้ พระมหาเถรจิงสัง่ อําลาพระยา
แล้ วออกไปทางปองเอี ้ยมด้ วยอากาศกางหาวหันแล ้
แต่นนพระยาฟ
ั้ ้ าก้ เอารี พ้ ลทังมวล
้ ขึ ้นมาตามดาวหางจิงมาฮอด

๑๐๔
เวียงจันทน์ อยูแ่ ต่งบูนบ้ านเมืองสูท่ ี่สแู่ ห่งบรมวล แล้ วเสนาอํามาตย์
ทังหลายเป็
้ นต้ นว่าปู่ เลี ้ยงผู้ให้ เป็ นแสนเมืองนัน้ ทังหมื
้ ่นกระบองสอง
ขาเจ้ านี ้ ให้ เป็ นผู้ใหญ่กว่าเจ้ าหัวเสิกทังห้ ้ า หมื่นหลวงเป็ นใหญ่
เจ้ าขวาเจ้ าซ้ าย พูนเหนือพูนใต้ ห้ าขุนนี ้ พระยาฟ้าให้ เป็ นหัวเสิกทัง้
ห้ าแล หมื่นหน้ าหมื่นแพนสองขานี ้ให้ เป็ นขุนราชวัตรกํ ้าหน้ า หมื่นนา
เหนือหมื่นนาใต้ สองขานี ้ให้ เป็ นราชวัตรหลัง นายหลวงเหนือให้ รักษา
คุ้มในกํ ้าหน้ า ให้ หาความเจ้ าพูมเหนือ นายหลวงใต้ ให้ รักษาคุ้มกํ ้าหลัง
ให้ หาถ้ อยความเจ้ าพูมใต้ ขุนทังมวลอั ้ นจักไหว้ สาเจ้ าแผ่นดิน เมื่อจักไป
เสิกก็ดีอยูบ่ ้ านอยูเ่ มืองก็ดีมีเท่านี ้แล ขุนอันเจ้ าเมืองใหญ่มีหมื่นจันทร์ เป็ น
ต้ น ถัดนันมาเจ้
้ าเวียงคํามาเจ้ าเวียงแก หมื่นพระนํ ้าฮุง เจ้ าปากห้ วย
หลวง เจ้ าเมืองเชียงสา เท่านี ้เป็ นขุนใหญ่เชื่อนเมือง ขุนใหญ่ขอบ
เมืองแก่นท้ าว เจ้ าเมืองหนองบัว เจ้ าเมืองซายขวา เอาด่านสาม
หมื่น ขุนทังมวลฝู ้ งนี ้พระยาฟ้าใสให้ รักษาขอบเมืองลานช้ างแลแต่นนั ้
ท้ าวพระยาทังหลาย
้ เป็ นต้ นว่าหมื่นจันทร์ แลหมื่นกระบองทังหมื ้ ่นหลวง
จิงไหว้ พระยาฟ้าว่าดังนี ้ เจ้ ากูไปผาบบ้ านเมืองได้ สแู่ ห่งสูท่ ี่แล้ ว บัดนี ้ผู้
ข้ าทังหลายขอกระทํ
้ าไชยาภิเษกแก่เจ้ ากู ให้ มนั่ ให้ ยืน หมื่นหลวงไหว้
สาว่าดังนัน้ พระยาฟ้าจิงว่าเจ้ าทังหลายว่้ าดังนันก็
้ ชอบแล้ ว เขาจิงมาหา
บ่อนหาที่อนั จักเป็ นมุงคุล จิงมาได้ ที่อนั หนึง่ อันตังวั
้ ดประสักบัดนี ้แล
เมื่อก่อนนันไปตั
้ งวั ้ ดประสักที่นนั ้ เขาจิงแปงหอสรงแล้ วจิงเอาพระยาฟ้า
ไปสรงกระทําไชยาภิเษกหันแล ้ อยูเ่ ลี ้ยงรี พ้ ล ๗ วัน ๗ คืน ฆ่าช้ างกิน
๑๐ ตัว ฆ่าวัวกิน ๑๐๐๐ ตัว ฆ่าควายกิน ๒๐๐๐ ตัว

๑๐๕
บรบวร แล้ วพระยาฟ้าจิงสัง่ สอนท้ าวพระยาทังมวลสู
้ ต่ นสูค่ นว่าดังนี ้
เจ้ าทังหลายรั
้ กษาบ้ านเมืองอย่าให้ มีข้าลักคนโจร อนึง่ อย่าให้ ฆา่ ฟั นกัน
แหม่นว่าข่อยตนผิดก็ดี เมียตนผิดก็ดีเสนาแลลูกค้ ามาผิดก็ดี ตนอย่า
หลอนฆ่าฟั นเสีย ให้ ผ้ อู ื่นพิจารณาดูก่อนเป็ นโทษอันหนักจิงตามเหตุมนั
โทษบ่อหนักอย่าได้ ฆา่ ท่อว่าให้ ใส่คอกขังไว้ สมโทษ แล้ วให้ ป่อยเสีย
หาเวียกหาการสมบัตอิ นั จักเกิดมาในแผ่นดินนี ้ คันบ่ ้ มีคณ ุ สมบัตกิ ็จิงมี
คันบ่
้ มีคณ ุ สมบัตเิ ข้ าของก็หาบได้ แล เหตุเฮาบ่ให้ ฆา่ คนเพื่อดังนันแล

อนึง่ เจ้ าทังหลายก็
้ อย่าผิดอย่าข้ องกัน ให้ พ้อมกันดูขอบบ้ านขอบเมือง
ทังมวล
้ อนึง่ ต่างบ้ านต่างเมืองทังมวล
้ เขาจักกระทําเบียดเบียฬ
บ้ านเมืองเฮาสิ่งใด ก็ให้ ร้ ูให้ เห็นแจ้ ง อนึง่ สองเดือนให้ ใช้ เมือไหว้ สา
หาเฮาสูบ่ ้ านสูเ่ มือง ให้ เฮาฮู้อนั ฮ้ ายอันดี สามปี จิงให้ ตวั เจ้ าทังหลายขึ
้ ้น
เมือไหว้ เฮา เมื่อฮอดเชียงดงเชียงทองพุ้นแล้ ว เฮาจักได้ บชู าแถนฟ้า
ขื่นทังแถนคมแถนแต่
้ ง แถนชัง่ แถนเถือก ทังเถ้ ้ าเยอเถ้ าไลแม่ยา่ งาม
แม่มดบนทังเทวดาอั
้ นรักษาผาติงแลสบอู ทังสบเชื
้ องแลแสนเขาคํา
ทังสบคาน
้ สบโฮบสบดงผากับแกตังนาย ทังหลั
้ กมัน่ ท้ ายขันทัง้
นาไฮเดียว ภูเขากล้ าอายมาท้ าวคอง อยูห่ นองหล่มภูเขากล้ าหัน้
ทังผาหลวงขวางกอนฟานเยี
้ ่ยม ทังก้
้ อนฟ้าอันหมายไว้ ที่เชียงดงเชียง
ทองนันเป็ ้ นควาย ๓๖ ตัว คันเมื ้ ่อฮอดแล้ วเฮาจักได้ บชู าผีฟ้าผีแถน
ทังหลายฝู
้ งนี ้ และคันเถิ
้ งเดือนเจียงให้ ขึ ้นสูบ่ ้ านสูเ่ มือง เดือนสามให้
ฮวดเมืองชะวา คันผู ้ ้ ใดบ่ขึ ้นเฮาว่าบ่ซื่อต่อเฮาแล อันว่าให้ เลี ้ยงฟ้า
เลี ้ยงแถนปู่ เจ้ าฟ้าหลวงโงม หากได้ สงั่ เฮาไว้ ให้ ร้ ูจกั หัวใจเจ้ าขุนทัง้
มวล

๑๐๖
อันอยูแ่ ผ่นดินเมืองลานช้ างผู้ซื่อแลผู้คด จากเจ้ าแผ่นดินหันแล ้ ปู่ เฮา
เจ้ าฟ้าหลวงโงมสัง่ ไว้ สืบ ๆ มาดังนี ้แล อนึง่ เจ้ าทังหลายอย่
้ าเอา
ไพร่เมือเป็ นข้ อย ไพร่ผิดกันเป็ นอันหนัก เป็ นต้ นว่ามีช้ สู เู่ มียท่าน
ให้ ไหมเอาแต่ห้าบาท เขาหากฆ่ากันตายเอาตัวมันแทนผู้หนึ่งอันตาย
นัน้ อนึง่ ไปเสิกอย่าเอาค่าหัวไพร่แต่บาทหนึง่ ถึงสองบาท ต่อเท่า
เถิงฮ้ อย ก็วา่ เป็ นค่าหัว แล้ วเจ้ าขุนอย่าไหมไพร่กายฮ้ อยขึ ้นไปเทิง
ผู้ใดยังไหมจักเสียหน้ าตัวมันจักเอามาใส่ตา่ งไพร่ พระยาฟ้าสัง่ สอน
เจ้ าขุนทังหลายมากหนั
้ กกว่านัน้ อันนี ้ว่าสมพอก่อนแล แต่นนเจ้ ั้ า
ขุนทังหลาย
้ ก็ออกไปกินบ้ านกินเมืองสูแ่ ห่งหันแล ้ พระยาก็เอารี พ้ ล
ออกมาทางบกฮวดเชียงดงเชียงทอง เมื่อเดือนสี่ขึ ้นสามคํ่าวันอังคาร
มื ้อกาบซะง่าหันแล ้ นางแก้ วฟ้าผู้เป็ นเจ้ าแทน ทังชาวบ้ ้ านชาวเมือง
ทังหลาย
้ จิงมาสูเ่ ข้ าเล่าขวัญกระทําอุสาภิเษก ให้ ขาเจ้ าฟ้าทังสอง ้
ผัวเมียเสวยราชย์เป็ นท้ าวเป็ นพระยา ในเชียงดงเชียงทองมัน่ ยืนมี
ลูกหญิงลูกชาย สืบสายไปบ่ให้ ขาด สืบเชื ้อชาติแผ่นดินไปหันแล ้ ฯ
เมื่อพระยาฟ้าผาบบ้ านผาบเมืองทังมวลได้ ้ แล้ วจิงขึ ้นมาอยู่
เชียงดงเชียงทองยามนัน้ คนทังหลายในเมื
้ องลานช้ างทังมวลเอาผี
้ ฟ้า
ผีแถนผีพอ่ ผีแม่เขาเป็ นที่จงที ั ้ ่เพิง เขาก็ฮ้ายนัก เขาบ่ฮ้ จู กั คุณพระพุทธ
พระธรรมพระสงฆ์เจ้ าสักอัน อันใดท่ออ้ างแก้ วอ้ างหารอ้ างหอก
อ้ างดาบ นางแก้ วฟ้าอันเป็ นลูกพระยานครหลวง อันเป็ นเมียพระยา
ฟ้าโงมนัน้ นางจิงจากับผัวว่าเมืองอันใดบ่อมีศาสนาพระเจ้ าดังนี ้ ข้ า
ก็อยูบ่ เ่ ป็ นข้ าจักคืนเมือหาพ่อข้ า ชื่อเมืองพระนครหลวงพุ้นแล พระยา
ฟ้าผู้เป็ นผัวจิงว่าคันดั ้ งนัน้ เฮาพาไปไหว้ พระนครหลวง ขอเอาศาสนา
๑๐๗
พระพุทธเจ้ ามาเทอญ จิงแต่งนายคนใช้ เอาคําไปสามหมื่นเงินสามแสน
แก้ วนํ ้าดงแก้ วภูก่อแก้ วจอมเพ็ชรทังมวลนี ้ ้เป็ นบรรณาการแก่พระนคร
หลวง อันเป็ นพ่อนางแก้ วเก่งกัญญานันแล ้ พระนครหลวงจิงฮมเพิง
หาลูกตน อนึง่ ก็อยากให้ ศาสนาสัพพัญญูเจ้ าแผ่ไปทัว่ ชมพูทวีปทังมวล ้
จิงจักให้ มหาเถรเจ้ าตนหนึง่ ชื่อว่าพระปาสมัน เจ้ าตนพี่กบั ทังพระมหา ้
เถรเจ้ าเทพลังกา ลูกศิษย์พระทังสองมี ้ ๒๐ คน จึงนําเอาพระบางเจ้ า
อันชาวลังกา ฮอมเอาเงินเอาคํามาตังไว้ ้ ที่พระเจดีย์หลวง แล้ วเล่า
บอกแก่พระมหาจุลนาคเถรเจ้ าว่า ตูข้าทังหลายอยากหล่ ้ อพระพุทธเจ้ า
ไว้ โผดสัตว์ทงหลาย
ั้ พระมหาจุลนาคเถรเจ้ า ได้ ยินชาวลังกาว่าดังนัน้
จิงเข้ าสมาบัตทิ ะยานไปสูป่ ่ าหิมพานต์ ที่ก้อนหินเสลาบาทอันหร่างมีกบั
ป่ าหิมพานต์ แต่ปฐมกัลปพุ้น จิงพบเจ้ ารัสสีซาวตน มีรัสสีทองตน
หนึง่ รัสสีซาวตนหนึง่ สองตนนี ้แก่กว่ารัสสีทงหลาย
ั้ มหาจุลนาคเถรเจ้ า
จิงต้ านจารจากับเจ้ ารัสสี อันชาวลังกาอยากหล่อรูปพระพุทธเจ้ านันจิ ้
งฮ้ อนหนบันฑุกมั พลศิลาอาสน พระยาอินทร์ วิสกุ รรมเทวบุตรทังพระ

ยาอินทร์ แลเทวดาทังหลาย
้ อันอยูช่ นฟ
ั ้ ้ าดุสิดายามาตาวติงสาจาตุมแล
เทวดาทังหลาย
้ อันอยูใ่ นแผ่นดินแลจักรวาฬทังมวล ้ พร้ อมกันมีพระ
ยาอินทร์ เป็ นประธาน แลมหาจุลนาคเถรเจ้ าเป็ นประธาน ภายในจิง
ใช้ รัสสีสองตนมาเอาเงินเอาคําดอมพระยาลังกา อันชาวลังกาหาก
ฮอมไว้ ที่มหาเจดีย์หลวง จักให้ หล่อรูปพระพุทธเจ้ านัน้ เจ้ ารัสสีจงึ
ไปตระหมวดเอาเข้ าของทังมวลแล้ ้ ว ท่อเม็ดข้ าวฝ้างเอาแล คนท่อ
เม็ดงาดาได้ แล้ ว พระยาลังกาจิงเอาคําฮ้ อยนิกขหนึง่ ให้ แก่เจ้ ารัสสีเอา

๑๐๘
หล่อกับของชาวเมืองแลเทวดาทังหลาย ้ พระยาลังกาจึงอธิษฐานว่าคํา
ข้ านี ้ให้ เป็ นตีนทังสองให้
้ เป็ นมือทังสอง
้ ให้ เป็ นหัวใจพระพุทธเจ้ า
เทอญ อธิษฐานแล้ วสัง่ เจ้ ารัสสีทงสองว่ ั้ า เมื่อใดหล่อพระเจ้ าแล้ ว
เจ้ ากูจงให้ มหานาคเถรเจ้ ามาหาผู้ข้าแด่ จักมุทธาภิเสกในเมืองลังกา
พี ้ให้ ลือชาปรากฏทัว่ ทีปทังมวล้ คันพระยาสั
้ ง่ สอนแล้ ว เจ้ ารัสสี
ก็ไปฮอดมหาจุลนาคเถรเจ้ าหันแล ้ พระอินทร์ แลเทวดาทังหลาย

ก็ฮอมเอาเงินคํา แลทองอันเป็ นของแห่งตนมีมหาจุลนาคเถรเจ้ า แล
พระยาอินทร์ เป็ นประธาน จึงไว้ หนักแก่วิสกุ รรมเทวบุตรหล่อเมื่อ
จักหล่อนันเดื
้ อนสี่เพ็งวันอาทิตย์ยามจักใกล้ รุ่ง ครัน้ ว่าหล่อแล้ ว
มหาจุลนาคเถรเจ้ า ทังพระยาอิ
้ นทร์ แลเทวดาทังหลายจิ
้ งนําเอามา
ตังไว้
้ ในข่วงหลวงลังกากางเมือง จิงให้ เมือสัญญาแก่พระยาลังกา
พระยาจิงเอาราชสมบัตทิ งมวล ั้ มาบูชาธาตุพระพุทธเจ้ าห้ าองค์
ใส่ในไตคํามาตังไว้้ ชอ่ งหน้ าพระพุทธเจ้ า แล้ วจิงถวายราชสมบัติ
ทังมวลบู
้ ชาพระพุทธเจ้ า พระยาลังกาจิงอธิษฐานว่าดังนี ้ ผิวา่
พระพุทธเจ้ าองค์นี ้จักตังอยู
้ โ่ ผดสัตว์ทงหลาย
ั้ ในลังกาทีปแลชมภู
ทีปให้ แล้ วคํามักคําปรารถนาแห่งคนทังหลายดั้ งนัน้ จงให้ ธาตุ
พระพุทธเจ้ าทังห้
้ าพระองค์นี ้ เสด็จเข้ าในตนตัวพระพุทธเจ้ าณบัดนี ้
เทอญ ครัน้ ว่าพระยาลังกาอธิษฐานแล้ วดังนัน้ ธาตุพระเจ้ าก็เสด็จเข้ า
ในหน้ าผากองค์หนึง่ เสด็จเข้ าในต่อมคอองค์หนึง่ เสด็จเข้ าในกลางอก
องค์หนึง่ เสด็จเข้ าในฝ่ ามือขวาองค์หนึง่ เสด็จเข้ าฝ่ ามือซ้ ายองค์หนึง่
ธาตุพระพุทธเจ้ าทังห้้ าองค์นี ้ เสด็จเข้ าในตนตัวพระพุทธเจ้ ารูปเจ้ าช่อง

๑๐๙
หน้ า มหาจุลนาคเถรเจ้ ากับทังพระยาลั
้ งกา แลเสนาอํามาตย์ทงหลาย ั้
หันแล
้ เทวดาทังหลายแต่
้ หมื่นโลกจักรวาฬทังมวล้ ตราบต่อเท่าเถิง
ชันฟ
้ ้ าดุสสิดา สาธุการผายเข้ าตอกดอกไม้ บชู าประทูปประเทีปมากนัก
แล พระยาลังกาอยู่ ๗ วัน ๗ คืน จิงสร้ างวิหารที่ขว่ งหลวงหันไว้ ้
พระพุทธเจ้ าแล ที่นนยั ั ้ งมีสระใหญ่อนั หนึง่ ข้ างข่วงวิหารหันชื้ ่อว่าสระบาง
พุทธาเขาลวดว่าพระบางเจ้ า อนึง่ เขาเอานิมิตต์เมื่อไปเอาเงินคําดอมพระ
ยาลังกาหล่อฮันแล้ เสนาชาวเมืองทังหลายว่
้ าเอาของขาใส่บ้าง ๆ ว่า
ดังนัน้ อันนี ้เป็ นโวหารชาวลังกาแล อนึง่ คันว่
้ าผู้ใดได้ ไหว้ ได้ บชู า
พระพุทธรูปเจ้ า ความอันเคียดแลตัณหากิเลส และพยาธิอนั เกิดมี
ในเนื ้อตน ก็ลวดน้ อยลวดบางหายเสีย พระยาลังกาจิงเอานิมิตต์สาม
ประการนันมาเป็
้ นชื่อจิงเฮียกชื่อพระพุทธรูปเจ้ าองค์นี ้ว่า พระบาง เพื่อ
ดังนันแล
้ แต่นนพระเจ้
ั้ าอยูโ่ ผดสัตว์แลคนทังหลาย
้ ในเมืองลังกาได้
๗ ชัว่ พระยาแล
มหาพุทธโฆษาจารย์เจ้ าไปจารหนังสือในเมืองลังกา มาฮอด
เมืองนครหลวงจิงเล่าต่อพระยานครหลวงว่า ยังมีพระบาทเจ้ าตนหนึง่
อยูเ่ มืองลังกาวิเศษนัก ย่อมให้ แล้ วคํามักคําปรารถนาแห่งคนทังหลาย ้
องค์พระเจ้ านันหนั
้ กสี่หมื่นสี่พนั ห้ าฮ้ อย เป็ นปั ญจโลหะคําทังเงิ
้ นทัง้
ทองหล่อกับดอมกัน อนึง่ หากเป็ นแต่ตํานานแต่ลงั กามากับพระบาง
เจ้ าแล พระยานครหลวงได้ ยินจิงใช้ ไปทํามิตรทําสหายกับพระยาลังกา
ขอเอาธรรมไตรปิ ฏกทังสามกั้ บทังพระบางเจ้
้ า มาไหว้ นบให้ โผดสัตว์
ทังหลายในเมื
้ องนครหลวง พระยาลังกาจิงให้ ธรรมไตรปิ ฏกทังสาม ้

๑๑๐
มาก่อนพระบางเจ้ าจิงหากเสด็จมาในเมืองนครหลวงเมื่อเดือนสี่เพ็ง อยู่
โผดสัตว์ทงหลายในเมื
ั้ องนครหลวง ได้ ๗ ชัว่ พระยาจิงได้ มาอยูใ่ น
เมืองลานช้ าง เมื่อพระยาฟ้างุ่มแลนางแก้ วเก่งกัญญา อันให้ ไป
ขอดอมพ่อตนผู้ชื่อว่าพระยานครหลวงนัน้ แลเมื่อจักเอาพระบาง
เจ้ ามานัน้ มีพระมหาปาสมันเจ้ ากับเทพมหาลังกาเจ้ าเป็ นประธาน
ชาวเจ้ ามาดอมซาวตน จิงให้ คนผู้เป็ นคําคงรักษาพระบางเจ้ าทังไตร ้
ปิ ฎกทังสาม
้ แลพระสงฆ์เจ้ าทังหลายมากนั
้ กผู้หนึง่ ชื่อนรสิงห์ ผู้หนึง่
ชื่อนรเดช ผู้หนึง่ นรสาด เขาทังสามนี ้ ้ประกอบด้ วยศาสตร์ เพททังมวล ้
มีโหราศาสตร์ เป็ นเค้ าแลคนการช่างสักช่างพระช่างเหล็กช่างทองช่างคํา
แลเครื่ องหลิ่นทังมวล
้ เป็ นต้ นว่าหลิ่นหนังรามเกียรติและฆ้ องเม็งคุม
เครื่ องหลิ่นเครื่ องเสพทังมวลจั
้ ดให้ คนชาวนครหลวงมาปางนันสี ้ ่บ้านกับ
พระปาสมัน กับทังพระเทพลั้ งกาเจ้ านันพั
้ นหนึง่ คนกับนรสิงห์พนั หนึง่
คนกับนรเดชพันหนึง่ คนกับนรสาดพันหนึง่ คนกับแม่นมนางเก่ง
กัญญาพันหนึง่ ทังหญิ ้ งชายน้ อยใหญ่ทงมวลสี ั้ ่พนั จิงให้ เมืองสายมา
เป็ นเมืองโอมนาง คนทังมวลฝู ้ งนี ้ พระนครหลวงเจ้ าส่งให้ มาดอมพระปา
สมันเจ้ าหันแล
้ มาฮอดเมืองแกหัน้ แม่นมนางแก้ วเก่งกัญญาเป็ นพยาธิ
มาบ่ได้ จิงอยูท่ ี่หนึง่ ว่าโคบไผ่ดนิ เมืองแกหัน้ เถ้ าเมืองแกกับเจ้ าหมื่น
แกจิงแทกดินที่โคบไผ่ให้ แก่แม่นมนางแก้ วเก่งกัญญาแล้ ว ลวงกว้ างสอง
พันวาลวงยาวสองพันวา ให้ เขาตังเป็
้ นบ้ านขวงเขาหันแล้ จิงได้ ชื่อว่า
บ้ านไผ่แม่นมเพื่อดังนันแล ้ อยูห่ นสองเดื
ั้ อน พระยาฟ้าทังนางแก้
้ วเก่ง
กัญญาจิงแต่งรับเอาพระนางเจ้ าฮอดเมืองแก มาเจ้ า

๑๑๑
หนื่นจันทร์ ทงชาวบ้
ั้ านชาวเมืองทังหลาย
้ จิงราธนาพระเจ้ าเซาที่ดอน
จันทร์ หนก่
ั ้ อน ท้ าวพระยาทังหลายทั ้ งชาวบ้
้ านชาวเมือง ก็ไปไหว้
พระบางเจ้ าทังไหว้
้ พระมหาเถรเจ้ าทังสองจิ้ งถามท้ าวพระยาทังหลายว่
้ า
ดังนี ้ ที่ใดว่าปากบางไซที่ใดว่าปากปาสัก ที่ใดว่าโพนสบกที่ใดว่า
หนองจันทร์ ที่ใดว่าหนองกระแดที่ใดว่าพังหมอพระมหาปาสมันเจ้ า
ถามดังนัน้ เขาจิงหาเจ้ าเมืองเชียงมุงมาถามเถ้ าเมืองเวียงจันทร์ แล
เถ้ าเมืองเชียงมุง จิงบอกจิงเล่าบ่อนเล่าที่ทงมวลดัั้ งนัน้ พระจิงเอา
ตํานานแต่เมืองนครหลวงนันมาอ่ ้ านดูแหม่นดังเถ้ าเมืองแลท้ าวพระยา
ทังหลายบอกแท้
้ แล พระจิงว่าอันที่ปากปาสักหัน้ เจ้ ารัสสีทงหลาย
ั้
หมายหลักไม้ จนั ทร์ ไว้ ในที่นี ้แล อันที่สระโพนสูงเบื ้องตะวันออกเล่า
ข้ างหนองกระแดมากํ ้าตะวันตก เจ้ ารัสสียงั เอาหลักหินอันหนึง่ เป็ น
สี่เหลี่ยม หมายไว้ แต่ธาตุพระเจ้ าทังสี ้ ่ตนพู้น เป็ นต้ นว่าพระกุกกุสนั โท
พระโกนาคม พระกัสสปเจ้ า มาใส่สิงคําตัวหนึง่ อธิษฐานจิงเอา
หลักหินหมายไว้ อันนี ้เป็ นธาตุพระพุทธเจ้ าทังสี ้ ่พระองค์ดีหลีแล ธาตุ
อันมาตกที่ในเมืองสุวรรณภูมิที่หลักหินเป็ นเค้ าแล เมื่อพระยาศรี
ธรรมอโศกราช ให้ อรหันตาเจ้ าทังหลาย ้ เอาธาตุมาตกในเมืองอันนี ้
ที่หนึง่ ว่ากู่พระหางที่นี ้เป็ นเค้ า ที่หนึง่ พระนาราย ที่หนึง่ พระสาด ที่หนึง่
พระเขียน ที่หนึง่ พระนาเทียน สองที่นี ้อยูใ่ นเมืองขวาง โลกบานที่หนึง่
ว่าพระนม ที่หนึง่ ว่าโพนผิงแดด อันที่ปากปาสักกํ ้าใต้ อนั เจ้ ารัสสีใส่ธาตุ
อูปไม้ จนั ทน์ไว้ นนธาตุ
ั ้ พระเจ้ าทังสี ้ ่ใส่อปู แก้ วทัง้ สี่ลกู จิงอธิษฐานไว้ หนั ้
แลอันนี ้เป็ นธาตุพระพุทธเจ้ าทังสี ้ ่ตนนี ้แล อันว่าเมืองชะวาอันเฮาจักเมือ

๑๑๒
อยูน่ นั ้ อันนันตนพระโคดมเจ้
้ าได้ มาโผดสัตว์ทงหลาย
ั้ ตามดัง
พระพุทธเจ้ าทังหลายแต่
้ ก่อนพุ้นดีหลีแล ที่หนึง่ ว่าผาบูนฟากนํ ้าของกํ ้า
เหนือ เมือวันตกเหนือคกทอนหัน้ ที่หนึง่ ว่างอนสบโฮบเบื ้องเหนือ ที่
หนึง่ ว่าภูเขาก้ าที่หนึง่ หลุม่ ภูเขาก้ ากํ ้ามานํ ้าของ เขาว่าก้ อนหินหมอโลน
ที่หนึง่ หลุม่ ภูเขาก้ ากํ ้ามาวันออก ไต่สบห้ วยช้ างย่านเท็งฝั่ งนํ ้าคานหัว
นาเข้ าจ้ าวอรหันตาเจ้ ายังไว้ ฮอยตีนสี่อนั ท่อว่านิ ้วตีนบ่สําแดงที่
ภูเขาก้ ากํ ้าเมือนํ ้าคานหันแล
้ ศาสนาพระพุทธเจ้ าอันมาตังอยู ้ ท่ ี่เมืองชะ
วา ยังจักเป็ นไปเท่าห้ าพันวัสสาพุ้นดีหลีดาย พระมหาปาสมันเจ้ าว่า
ตํานานอันเฮาอ่านให้ ท้าวพระยาทังหลายฟั ้ งนี ้ หากมีแตปฐมกัลปพุ้นมา
อินทร์ พรหมทังหลายหากเขี
้ ยนไว้ ในแผ่นหิน อนึง่ ในเมืองอินทปถนครพุ้น
ดีหลีดาย พระว่าดังนันแล้ อยูห่ นได้
ั ้ สามวันสามคืน ผู้มกั เมือทางนํ ้าก็
เมือตัวพระมหาปาสมันเจ้ าทังสอง ้ ก็จิงเอาพระบางเจ้ าออกมาเวียงคํา
หันแล
้ พระยาเวียงคําจิงราธนาพระพุทธเจ้ าไว้ ไหว้ นบเคารบบูชา พระ
บางเจ้ าจิงกระทําปาฏิหาริ ย์เมื่อการคืนนัน้ มากนักรุ่งเช้ าแล้ วเขาจิงแต่งออกมา
เมืองชวา คนผู้หามพระเจ้ านันมี ้ แปดคนสูว่ นั เมื่อจักมานันยอบ่ ้ ได้ หนัก
นัก ๑๖ คนยอก็บไ่ ด้ ๒๔ คนยอก็บไ่ ด้ พระทังสองนายทั ้ งสามอั
้ นรักษา
พระเจ้ ามาแต่เมืองนครหลวงพุ้น จิงถอดสากดูสากออกว่าพระเจ้ ามัก
อยูห่ นก่
ั ้ อน เหตุวา่ พระเจ้ าหลิงเห็นพระยาฟ้างุ่มอยูบ่ ช่ อบโลกชอบธรรม
แลข่มเอาค่าไฮค่านาข่มเอาลูกหญิงนางสาวเผื่อนแลเอาเมียเพื่อนมาอยู่
มานอน ข่มเอาบ้ านเอาเมืองเพื่อน ฆ่าเจ้ าบ้ านเจ้ าเมืองเสีย คนทังหลาย ้
จักได้ ขบั หนีจากเมืองลานช้ างเพื่อนันแล ้ อนึง่ อายุนางแก้ วเก่งกัญญา

๑๑๓
ก็บม่ นั่ ยืนหลาย พระบางเจ้ าหลิงเห็นสิ่งนัน้ จิงบ่มาออดเมืองชะวา
เพื่อดังนันแล้ แลอยูโ่ ผดสัตว์ทงหลายหั
ั้ นก่
้ อน ภายหน้ าส่าลูกสํ่าหลาน
อันเป็ นเจ้ าแผ่นดินเชียงดงเชียงทอง ชอบโลกชอบธรรมพระเจ้ าจิง
มาโผดสัตว์ทงหลายแล
ั้ แต่นนพระมหาปาสมั
ั้ นเจ้ ากับทังเทพลั
้ งกา
เจ้ า จิงไว้ พระบางที่เวียงคําหันแล
้ พระมหาเถรเจ้ าทังสองกั
้ บทัง้
นายสามคนนัน้ จิงเอาหมูช่ มุ ขึ ้นมาฮอดเมืองชะวาก่อน พระจิงมาต้ าน
จารจากับพระยาฟ้าแลเสนาอํามาตย์ทงหลาย ั้ พระจิงเอาตํานานแต่
เมืองนครหลวงมาอ่านตามตํานาน ให้ พระยาแลเสนาอํามาตย์ฟังก็แห
ม่นบ่อนที่อนั พระพุทธเจ้ าทํานายไว้ นนแลั้ ที่นนพระพุ
ั้ ทธโคดมเจ้ า
มาโผดสัตว์ทงหลาย
ั้ ไว้ บาทพระลักษณ์กํ ้าซ้ ายท่อบ่สําแดงนิ ้วให้
ปรากฏแลตํานานหากออกว่าดังนัน้ พระมหาปาสมันเจ้ าจิงมาก่อเจดีย์
วิหารตามนิทานตํานานแต่อินทปถนนครหลวงพุ้นมาแล อันว่าเมือง
ลานช้ างชื่อว่าสุวรรณภูมินี ้ก็หากมีในตํานานพระยาอินทร์ เขียนไว้ ที่ก้อน
หินในเมืองอินทปถนครพุ้นแล
แต่นี ้เมื่อภายหน้ า จักว่าที่พระยาฟ้าแต่งบ้ านแต่งเมืองอันชอบ
แลบ่ชอบนี ้ก่อนแล ภายหน้ าพุ้นยังจักมีสํ่าหลานสํ่าเหลน ผู้มีบญ ุ
สมภารได้ มาตังพระเจดี
้ ย์อนั ใหญ่อนั หลวง เป็ นที่เพิงแก่สตั ว์ทงหลาย
ั้
ดีหลีแล พระบางเจ้ าจิงจักมาโผดสัตว์ยามนัน้ ที่เชียงดงเชียงทองหัน้
แล พระยาฟ้างุ่มมีลกู ชายสองคน ผู้หนึง่ ชื่อว่าท้ าวอุน่ เฮือนผู้หนึง่ ชื่อว่า
ท้ าวคํากอง เป็ นแสนเมืองแก่ท้าวอุน่ เฮือนผู้เป็ นพระยาสามแสนไทนัน้
แล ลูกหญิงผู้หนึง่ ชื่อว่านางแก้ วเกษเกษี มีนํานางแก้ วเก่งกัญญา

๑๑๔
ลูกพระยานครหวงหันแล ้ เมื่อพระยาฟ้างุ่มออกจากนครหลวง มี
อายุได้ ๒๑ ปี มาผาบบ้ านผาบเมืองทังหลายได้ ้ ๔ ปี จิงมานัง่
เชียงดงเชียงทองปี ถ้ วน ๕ เสวยราชย์บ้านเมืองนับแต่อายุทา่ นมาได้ ๒๕ ปี
จิงฮอดเชียงดงเชียงทองหันแล ้ นับแต่นนไปได้
ั้ ๑๕ ปี นางแก้ วเก่ง
กัญญาจิงตาย แต่นนท่ ั ้ านอยูบ่ ช่ อบโลกชอบธรรม ตัดถ้ อยสวน
ความอันผิดท่านว่าแหม่น อันแหม่นท่านว่าผิด อนึง่ ข้ อยคนเสนา
อํามาตย์ทา่ นอันลุกแต่นครหลวงมานัน้ ท่านเลี ้ยงดูให้ เพิงใจเขาสูค่ น
แม้ เขาผิดบ่วา่ สัง อนึง่ เสนามนตรี แต่พอ่ แต่เก่าอันบ่ได้ ไปดอมตัว
ท่านลวดข่มเสีย เขาผิดน้ อยก็วา่ ผิดหลาย ฮอดโทษทังหลายฝู
้ ง
นี ้ เสนาอํามาตย์ใหญ่ทงหลายกั ั้ บทังชาวเมื
้ อง และพระสงฆ์พร้ อม
กันจิงขับพระยาฟ้างุ่มหนีหนแล ั้ เมื่อท่านหนึง่ นันมี
้ อายุได้ ๔๘ ท่าน
หนีทางตาดนํ ้าเมือตกเมืองน่าน อยูไ่ ด้ ๒ ปี ท่านจิงตาย เมื่อท่านตาย
นัน้ จิงอธิษฐานไว้ วา่ ดังนี ้ ดูกกูนี ้ให้ สง่ เมือเมืองลานช้ างแด่วา่ ดังนี ้
เขาจิงสร้ างวัดสบกระดูกอันหนึง่ จิงได้ ชื่อว่าวัดพระยาฟ้า พระยาน่านจิ
งเอากระดูกหน้ าผากหยิบสนใส่ธุงดวงหนึง่ ไว้ บชู า พระพุทธเจ้ าหันจิ
้ ง
เขียนความอันพระยาฟ้าสัง่ ไว้ นนั ้ ใส่ในธุงหันว่ ้ าดังนี ้ ธุงตัวนี ้แลกระดูก
หน้ าผากพระยาฟ้า นี ้แต่วา่ บุญท่านยังจักได้ เลิกศาสนาพระ-พุทธเจ้ า
เมื่อสํ่าลูกสํ่าหลานสํ่าเหลนพุ้น จงให้ ลมพัดตัดเอาธุงอันนี ้เมือฮวดเมือง
ลานช้ าง ให้ ลกู ท่านได้ สร้ างเจดีย์วิหารไว้ ดงั ท่านอธิษฐานนี ้เทอญ
พระยาน่านอธิษฐานแล้ ว เทวดาจิงให้ ลมพัดเอามาตกดอนสุงที่หนึง่ เขา
จิงเอิ ้นว่าดอนวานหันแล

๑๑๕
เมื่อนันท้
้ าวอุน่ เฮือนผู้ลกู ได้ เป็ นพระยาแทนพระยาฟ้านัน้ จิง
เอาธุงหน้ าผากอันนันมาตั้ งสร้
้ างเป็ นเจดีย์ธาตุก่ไู ตหันแล
้ ภูก่กู างนัน้
กระดูกฟ้าคําเฮียว ภูก่เู หนือนันกระดู ้ กฟ้ามืดแล
บัดนี ้จักจาพงศาท้ าวพระยาไปภายหน้ า เสนาทังหลายพระสงฆ้
เจ้ าเป็ นต้ นว่า พระมหาสามีเจ้ าทังสองเป็้ นประธาน จิงเอาท้ าวอุน่ เฮือน
มาเป็ นพระยาแทน จิงใส่ชื่อว่าพระยาสามแสนไทหันแล ้ จิงเอานาง
น้ อยนงเลียวลูกพระยาคําเฮียว อันเป็ นลูกอาว์น้องพ่อพระยาสามแสนไท
จิงเอามาเป็ นนางแทน จิงใส่ชื่อว่าบัวแทนหันแล ้ ยังมีพี่เลี ้ยงผู้หนึง่
ชื่อว่านางกาฮู้แต่งฮู้แบงสูส่ ิ่งสูเ่ หยื่องหันแล
้ แต่นนบ้
ั ้ านเมืองก็
กว้ างขวางไปภายหน้ า ศาสนาพระพุทธเจ้ าก็รุ่งเฮืองไปหันแล ้ แล้ ว
จิงมา สร้ างวัดแล้ ว จิงเอาแก้ วลูกหนึง่ อันนางแก้ วเก่งกัญญา อันเป็ น
พระยาสามแสนไทนัน้ เอาแต่เมืองนครหลวงมานันใส่ ้ ในอก
พระพุทธเจ้ าก็รุ่งเฮืองไปหันแล ้ จิงใส่ชื่อว่าวัดแก้ วหันแล
้ เมื่อสร้ าง
วัดแก้ วแล้ วจิงราธนาพระมหาเทพลังกาเจ้ ามาเป็ นพระมหาสามีเจ้ าวัด
แก้ ว จิงให้ อภัยแก่สตั ว์ทงหลายผู
ั้ ้ ควรฆ่าแลควรตีควรผูกควรเงินฮ้ อย
เงินพันขันคา คอก็ดี คันได้ ้ เข้ ามาเขตต์วดั แก้ วแล้ ว ลวดบ่ให้ กระทําบ่
ให้ เสียหนี ้เสียเงินสัง ท่อให้ มีข้าวตอกดอกไม้ เผิ ้งเทียนสมา แล้ วให้
บอกสอนไปหาเวียกหาการดังเก่า อภัยโทษเสียทังมวลหั
้ นแล
้ จิง
ให้ เขตต์ให้ แดนให้ ทานบ้ านเมืองทังมวลกั ้ บวัดแก้ ว เป็ นอันมากอันหลาย
นัก ทังไทบ้ ้ านไผ่แม่นมทังตั ้ วแม่นมให้ ทานกับวัดแก้ วหันแล ้ เจ้ า
แผ่นดินทังสองผั
้ วเมีย จิงตังคํ
้ าปรารถนาว่า เผือข้ าทังสองขอให้ ้ มี
ลูกชายสองคน

๑๑๖
ผู้ประเสริฐ ลูกหญิงสองคนผู้ประเสริฐ มีผยาปั ญญาสูสิ่งสูเหยื่อง
อนึง่ อานิสงส์ผลอันได้ สร้ างวิหารแลพระพุทธรูปเจ้ านี ้ ให้ ไปฮอดจอด
เถิงปู่ ย่าตายายเป็ นต้ นว่าขุนบรมราชาริราช แลนางยมมะพาลาทังนาง ้
น้ อยเอ็ดแคงทังเผ่้ าพงศ์วงศาสูค่ น ผู้ตายไปแล้ วก็ดีผ้ ยู งั บัดนี ้ก็ดี
อยูใ่ นทุกข์ให้ พ้นจากทุกข์ อยูใ่ นสุขเห่งให้ เถิงสุข ผู้ยงั บัดนี ้เป็ นต้ นว่า
เจ้ าแสนแลหมื่นหลวงแลเสนาอํามาตย์ ขุนหมื่นขุนพันกวานน้ อยกวาน
ใหญ่ ไพร่ฟ้าหน้ าไททังหลาย ้ ผู้ได้ สร้ างได้ กระทําดอมก็ดี ผู้ได้
อนุโมทนาดอมก็ดี พอแต่หไู ด้ ยินก็ดีในเขตต์ขงเมืองลานช้ าง ที่นี ้
สูแ่ ห่งสูท่ ี่เทอญ พระยาสามแสนไทเจ้ า ทังบั ้ วแทนหลัง่ นํ ้าแผ่ไปให้ แก่
สัตว์ทงหลายดั
ั้ งนี ้แล แต่นนอยู ั ้ ไ่ ปได้ สองเดือนมา นางจิงฝั นเห็นภูซวง
เป็ นคําทังมวล ้ ฮุงเช้ าแล้ วนางจิงเล่าต่อพระยาตนเป็ นผัวแล แต่นนั ้
พระยาจิงเรี ยกหายังนักปราชญ์ทงหลายมา ั้ เป็ นต้ นว่านรสิงนรเดช
นราสาด พระยาจิงให้ นางเล่านิมิตต์คําฝั นว่า เห็นภูซวงน้ อยภูซวง
หลวงเป็ นคําหมดทังมวล ้ พราหมณ์จิงถวายว่าเจ้ าจักมีลกู ชายผู้
ประเสริฐเหตุเพื่อนางฝั นนัน้ แลเดือนสามออกห้ าคํ่าวันอาทิตย์ แต่นนั ้
นางก็ทรงครรภ์ไปเถิงเดือน ๑๒ ออกคํ่าหนึง่ จิงได้ ลกู ชายผู้หนึง่ อันม่
มเดือนแล้ วจิงใส่ชื่อว่าเจ้ าลําคําแดงหันแล ้ อยูป่ ี หนึง่ เจ้ าเมืองลาน
นาจิงเอาน้ อยอ่อนสอทังเอาเมื ้ องทินอม ทังไทเมื
้ องพยาวมาดอมพันหนึง่
ครัวพันหนึง่ พระยาสามแสนไท เจ้ าจิงให้ แปงโฮงหลังหนึง่ หอสูง
หลังหนึง่ เป็ นหอนอน จิงใส่ชื่อว่ากางหอสูงเชียงกาง ครัวไทยเมือง
พยาวพันครัวนัน้ จิงให้ อยูน่ อนท้ ายภูเขาก้ า จิงใส่ชื่อว่าง่อนพระยาว

๑๑๗
อยูไ่ ด้ ปีหนึง่ จิงมีลกู ชายผู้หนึง่ ตื่ม จิงใส่ชื่อว่าท้ าวก่อนก่อเมือง ใหญ่
มาแล้ วพ่อจิงให้ ไปกินเมืองเชียงสา จิงใส่ชื่อว่าเชียงสา พระยาโยทธิ
ยาจิงส่งลูกสาวผู้หนึง่ ชื่อว่า นางแก้ วยอดฟ้ามาเป็ นเมีย พระยาสามแสน
ไทเจ้ าจิงแปงโฮงหลวงหลังหนึง่ เหนือสบดงให้ อยู่ จิงใส่ชื่อว่าโฮง
เชียงใต้ หนแล
ั้ นางมาอยูป่ ี หนึง่ จิงมีลกู ชายผู้หนึง่ จิงใส่ชื่อว่าท้ าววัง
บุรีแลพ่อให้ ไปกินเมืองประสมเล่ามีลกู หญิงผู้หนึง่ ชื่อว่านางมหาไกล
ใหญ่มาได้ ๕ ขวบจิงตายเสีย ผู้พี่อ้ายเอาดูกล่องมาสร้ างไว้ ที่ จิงใส่
ชื่อว่าวัดศรี หอม จิงมามอบวัดอันนันมากั ้ บวัดแก้ วเมืองชะวาหันแล้ อยู่
น้ อยหนึง่ พระยาเชียงฮุงจิงเอาลูกสาวมาเป็ นเมีย พระยาสามแสน
ไทจิงให้ อยูห่ อท้ ายเชียงทอง จิงใส่ชื่อว่าแมเหี่ยวโฮงทองหันแล ้ มีลกู
ชายหนึง่ จิงใส่ชื่อว่าท้ าวก้ อนคํา พ่อให้ ไปกินเมืองปากห้ วยหลวง เจ้ า
ปากห้ วยหลวงมีลกู ชายหนึง่ ใส่ชื่อว่าท้ าวต่อมคํา ๆ เป็ นหลานพระ
ยาสามแสนไท นับแต่พระยาสามแสนไท มีอายุได้ ๗๙ ปี หมอทาย
แต่น้อยว่าจักตายดิกนํ ้า มาได้ กินเมืองสังขานไปแค้ นนํ ้าตายที่โฮงเชียง
ทองหันแล้ นางแทนผู้เป็ นเมียนันจิ้ งเอาลูกชายผู้ชื่อว่าเจ้ าล้ านคํานัน้ มา
เป็ นพระยาแทนพ่อหันแล ้ พระมหาสามีเจ้ าวัดแก้ วแลเสนาอํามาตย์
ทังหลายจิ
้ งใส่ชื่อว่าสุวรรณปารัง พระยาจิงมาสร้ างวัดหลังหนึง่
สบกระดูกพี่ทิดว่าขึ ้นแถนเมื่อสร้ างแล้ วใส่ชื่อว่าวัดสวนแถนหันแล ้ เล่า
สร้ างอุโบสถหลังหนึง่ ที่กงเมืองหันไว้
้ จิงราธนามหาสัทธาทิโกเจ้ า
มาเป็ นมหาสามีเจ้ าวัดโบสถ เล่าเอามหาสมุดเจ้ ามาเป็ นสงฆเสนา
เจ้ าอยูส่ วนแถน จิงมาให้ ทานผู้หนึง่ ชื่อว่าทานลุงลวดมาเป็ นเศรษฐี ให้ คํ ้า
คง

๑๑๘
วัดสวนแถน จิงเฮียกว่าเศรษฐี ลงุ ลอดวัดสวนแถน นี ้หากเป็ นวัดสบ
กระดูกพระยาสามแสนไทเจ้ าหันแล ้ พระยาสุวรรณปารัง จิงได้ มาเป็ น
เจ้ าแผ่นดิน จิงฝั นว่าได้ กินนํ ้าใจใคกระเสลาแลได้ ดอกบัวในสระหัน้
จิงเล่าคําฝั นแก่นกั ปราชญ์ทงหลายหั
ั้ นแล
้ ๆ เขาจิงทายว่าเจ้ ากูจกั ได้ ลกู
ชายผู้ประเสริฐคนหนึง่ แล แต่นนไปพระยาจิ ั้ งมีลกู ชายผู้หนึง่ จิงใส่ชื่อ
ว่าท้ าวไคบัวบานหันแล้ พระยาสุวรรณปารัง มีอายุได้ ๖๔ ปี จิงตาย
เขาจิงเอาไปเผาที่หนึง่ จิงสร้ างวัดหลังหนึง่ สบกระดูก จิงใส่ชื่อว่า
มโนรมหันแล้ แต่นนเมื
ั ้ อภายหน้ าจิงเอาเจ้ าพรหมกุมารหลานพระยา
สามแสนไท เป็ นพระยาแทนได้ สามปี มหาเทวีเอาหลานน้ อยไปฆ่าเสีย
ที่คกทอนหันแล
้ แดนแต่นนไปนางเทวี
ั้ ผ้ เู ป็ นลูกฟ้าคําเฮียวนัน้ ชื่อน้ อยว่า
นางอามพัน เป็ นเมียเค้ าพระยาสามแสนไทนันแล ้ แต่งบ้ านแปงเมืองบ่
เป็ น พระสังฆเจ้ าทังหลายเสนาอํ
้ ามาตย์ที่พี่เลี ้ยง ผู้ชื่อว่านางกานันห้ ้ าม
ขอว่าอย่าให้ เฮ็ดให้ กระทําก็บฟ่ ั ง แต่นนบ้ ั ้ านเมืองลวดเส้ าศูนย์เสี ยหันแล้
แต่นนจิ
ั ้ งมาเอาท้ าวไคบัวบาน แทนเป็ นพระยาได้ ๙ เดือนนางเทวีจกั
ฆ่าเสีย เจ้ าฮู้แล้ วลักหนีนางเทวีให้ ไปนําทันที่ผาคาว เขาจิงสระแปงเสีย
หัน้ นางเทวีจิงให้ ไปเอาท้ าวเชียงสาอันเป็ นพระยา ลูกนางน้ อยอ่อน
สอ มาเป็ นพระยาได้ ปีปายเกิ่งหนึง่ ให้ เอาไปฆ่าเสียคกเฮือหันแล ้ แต่นนั ้
นางกาก็หนีเสีย มาตังบ้ ้ านอยูท่ ี่หนึง่ ชื่อว่างอนภูสี เผ่าพงศ์วงศาเจ้ า
แผ่นดิน ลวดหนีไปควาลี ้ควาซ่อนอยูห่ นแล ั้ นางเทวีจิงให้ ไปเอาพระยา
ปากห้ วยหลวง มาเป็ นพระยาได้ ๑๐ เดือน จิงขอหนีไปอยูป่ ากห้ วย
หลวงดังเก่า ได้ ขวบหนึง่ จิงตายเสีย เขาจิงเผาเสีย

๑๑๙
ปากห้ วยหลวงกํ ้าเหนือ จิงสร้ างวัดหลังหนึง่ ชื่อว่าวัดสบกระดูกพระยา
ปากห้ วยหลวง แลนางเทวีให้ มาเอาเพียงขวาประสักเมือเป็ นพระยา
แทนบ่มกั มา ยังมีผ้ หู นึง่ ชื่อว่าหมอมนมันเอาข้ อยจือของพระยาสาม
แสนไทเป็ นเมีย มันจิงมีลกู ดอมผู้หนึง่ ชื่อว่าท้ าวคําเกิด มันผู้เป็ นเมีย
จิงบอกชื่อช้ างชื่อม้ า เสนามนตรี ทงหลาย ั้ เข้ าของอันใดก็ดีมนั ก็บอก
ลูกมันไว้ ให้ จื่อได้ สสู่ ิ่งสูอ่ นั มันจิงว่าลูกกูนี ้พระยาสามแสนไทมาเกิด
ดาย ความอันนันลวดส่ ้ าไปฮอดมหาเทวี ๆ จิงให้ ลอ่ งมาเอาเมือเป็ น
เจ้ าแผ่นดิน เหตุเพื่อว่าเขือทังหลายฮั ้ กพระยาสามแสนไทเจ้ า คันไป ้
เกิดที่ใดทังหลายก็
้ นําเอาเพื่อสิ่งนัน้ ได้ มาเป็ นเจ้ าแผ่นดินแล้ วจิงสร้ าง
วัดหลังหนึง่ เหนือสวนแถนหันแล ้ นางเทวีจิงใส่ชื่อว่าวัดสีเกิดมัน
เป็ นเจ้ าแผ่นดินได้ สองปี ปายสองเดือน มันเป็ นฮุงท้ องแตกตาย นาง
เทวีแลหมอมนผู้เป็ นพ่อจิงมาสร้ างวัดสบกระดูก ที่ใต้ บ้านเจ้ าแม่กาหันจิ ้
งชื่อว่าวัดมนหันแล ้ นางเทวีนนมั ั ้ นฮ้ ายก้ าแข็งเพื่อมันเอาลูกปู่ เลี ้ยงพระ
ยาฟ้าเป็ นผัวมัน มันใส่ชื่อว่าแสนหลวงเชียงลอ ทังหลายจิ ้ งว่าขานี ้บ่
ชอบโลกธรรมดีหลีแล เสนาทังหลายจิ
้ งเอาออกจากโฮงเชียงทองไป
ฆ่าเสียที่ผาเดียวฟากในเชียงทองหันแล ้ ยามเมื่อนางเทวีตายนันอายุ ้
ได้ ๙๕ แม่กาจิงมาขอเอาคาบดอมเสนาทังหลาย ้ เมือเผาเสียบ้ านท่าน
หัน้ จิงสร้ างวัดหลังหนึง่ สบกระดูกมหาเทวี จิงใส่ชื่อว่าวัดแม่กาหันแล ้
เจ้ าแม่กานี ้เป็ นพี่เลี ้ยงมหาเทวีแล ฯ
บัดนี ้จักเล่าพงศาแม่กาก่อนแล แม่กานี ้มีลกู ผู้หนึง่ เป็ นนาง
สองหมื่นไต นางนันมี ้ ลกู สาวสองคน ผู้พี่อ้ายได้ เป็ นพุมเหนือเมื่อปาง

๑๒๐
พระวิชลุ ราชเจ้ านี ้แล เจ้ าพุมเหนือนันได้
้ เอาน้ องหรื อพระวิชลุ เป็ นเมีย จิง
มีลกู ผู้หนึง่ ชื่อว่าพระสองเมือง อันทังหลายว่
้ าพระรูปนันแล
้ แม่พระ
สองเมืองตายเจ้ าพุมเหนือ ผู้ชื่อว่าเจ้ าชายนัน้ จิงมาเอาพี่เอื ้อยพระยา
กาง ทังเป็ ้ นพี่เอื ้อยตนพระไชยเชษฐาธิราชเจ้ านันแล
้ สามตนนี ้เป็ น
ลูกพ่อเดียวแม่เดียวกัน เชื ้อพระยาจิกคําเอาเจ้ าพุมเหนือจิงมีลกู นําผู้ใส่
ชื่อว่าบุญสาน อันได้ เป็ นแสนเมืองลานช้ าง จิงใส่ชื่อว่าอุปราชาหันแล ้
อันนี ้พงศาเจ้ าแม่กาแลพระยาจิกคําเป็ นโคตรเป็ นวงศ์อนั เดียวกันหันแล ้
จาพงศ์พนั ธ์แม่กาก็แล้ วเท่านี ้ก่อนแล ฯ
แต่นี ้ไปภายหน้ าจักจาพงศ์พนั ธ์นกั ปราชญ์ก่อนแล นักปราชญ์
เจ้ าอันมาแต่เมืองนครหลวง เป็ นต้ นว่านรสิง ๆ มีลกู สองชาย ผู้พี่ชื่อ
ว่านรเดชผู้น้องชื่อว่านรราช ขาเจ้ าทังสองนั ้ นจบไตรเพททั
้ งสาม
้ อันมี
กําลังเร็วยิ่งนักผยาปั ญญาทะยานขึ ้นเมืออากาศกางหาวได้ ๒๒ ศอก ๑๘
ศอก ได้ ๑๖ ศอก อันนี ้เป็ นปกติ นรเดชมีลกู ชายผู้หนึง่ จบไตรเพท
ทังสาม
้ นรราชมีลกู ชายผู้หนึง่ ก็จบไตรเพททังสามริ
้ ทธิเฮวแฮงแลผยา
ปั ญญาก็สิ่งเดียวกัน กําลังเขาเจ้ าแลคนนันคนเฮา ้ นี ้ฮ้ อยหนึง่ ก็ดี
พันหนึง่ ก็ดี จับกุมต่อมือเขาเจ้ านันแขนหั
้ กมือหัก หัวเข่าแตก
ออกดังนัน้ ก็บอ่ าจจักกุมเอาได้ แล อันเชิงดาบเขานันฟั ้ นคนเมือ
ต่อเถิงหมื่น ก็เจ็บก็ตายบ่อาจจักเอาได้ นักปราชญ์ทงสามอัั้ น
เป็ นพ่อเขาเจ้ าทังสี
้ ่นี ้ก็ตายไปด้ วยสวัสดี ตามกําลังเขาเจ้ าทังสาม ้
หันแล้ จักสร้ างวัดหลังหนึง่ สบกระดูกนักปราชญ์ทงสาม ั้ ใส่ชื่อว่า
วัดหัวขวงเชียงกาง พระมหาปาสมันเจ้ าก็ตาย พระมหาเทพลังกา

๑๒๑
และพระมหาสามีเจ้ าวัดแก้ ว ก็จตุ ไิ ปตามกรรม จิงมาแปงเจดีย์
ดวงหนึง่ ต่อหน้ าวัดป่ าหมันหัน้ จิงใส่ชื่อว่าวัดพระพี่น้องทังสามหั
้ น้ แต่
นันบ้
้ านเมืองลวดเส้ าศูนย์เสีย หาท้ าวพระยาบ่ได้ เถิงสามปี นักปราชญ์
ทังสี
้ ่และเสนาอํามาตย์ทงหลายพร้
ั้ อมกัน จิงมาเอาพระมหาสัทธาทิโก
เป็ นมหาสามี เจ้ าวัดแก้ วจิงมาเอาสมุทโคตเจ้ าวัดป่ าสมัน จิงได้
ชื่อว่าพระมหาสามีเจ้ าตนพี่ตนน้ องปางนันแล ้ จิงจักได้ ชื่อว่าราชครู
เจ้ าแผ่นดินเมืองลานช้ าง หล่างมีสองตนแล นักปราชญ์ผ้ จู กั เป็ น
ที่แสงที่ถามหล่างมีสี่มีสอง คนทังหลายอั
้ นเป็ นข้ าเจ้ าแผ่นดินจิงสุข
เกษมมาเพื่อดังนันแล ้ ฯ
บัดนี ้จักจาพงศาพระยาฟ้าและพระยาสามแสนไทก่อนแล พระ
มหาสามีเจ้ าทังสองและนั
้ กปราชญ์ทงสี ั้ ่ และเสนาอํามาตย์ทงหลาย ั้
จิงพร้ อมกันไปราธนาพองชะวาประสัก มาเป็ นเจ้ าแผ่นดินเชียงดง
เชียงทอง โฮงท่านอยูต่ ้ นเดื่อหานที่เวียงจันทน์หนแล ั้ เจ้ าก็ขึ ้นมา
ตามนิมนต์ จิงมาฮอดเมืองชะวา พระมหาสามีเจ้ าทังสองนั ้ กปราชญ์
ทังสี
้ ่ กับทังเสนาอํ้ ามาตย์ทงหลาย
ั้ พร้ อมกันยอขึ ้นให้ เป็ นเจ้ าแผ่นดิน
จิงใส่ชื่อว่าพระยาไชยจักรพรรดิแ์ ผ่นแผ้ วนันแล ้ เจ้ าจิงมายอพระมหา
สมุทรเจ้ าเป็ นธรรมเสนา ให้ อยูว่ ดั มโนรม จิงเอาพระมหายานคัมภีร์
เจ้ า เป็ นสังฆเสนาให้ อยูว่ ดั โบสถ์กางเมือง จิงให้ อาชญาอภัยโทษ
ชีวิตแก่สตั ว์โลกทังหลายโดยดั
้ งโบราณนัน้ เจ้ ามาเสวยราชมีลกู ชาย
ผู้หนึง่ ชื่อว่าท้ วเชียงลอ ให้ เมือเป็ นแสงเมืองแก่พอ่ จิงมีผ้ นู ้ อง
ให้ เมือกินเมืองกระบอง จิงใส่ชื่อว่าพระยาหมื่นเก้ า ลูกชายผู้หนึง่

๑๒๒
ชื่อว่าเจ้ าตนหล้ า ให้ ไปกินเมืองแก ผู้หนึง่ ชื่อว่าวิชลุ ราชา ให้ ไปกิน
เวียงคํา ทังท้้ าวหล้ าพันหนอง ผู้หนึง่ ชื่อว่าคําเฮือง ให้ เมือกินเมืองชาย
และเมืองชอง จิงใส่ชื่อว่าเจ้ าชายซอง ผู้หนึง่ ชื่อว่าคําพาให้ เมือกิน
เมืองขวา จิงใส่ชื่อว่าขวาเทพา จิงให้ พอ่ เลี ้ยงผู้หนึง่ ให้ เมือเฮ็ด
ตางใส่ชื่อว่าขวาลูง ช้ างตัวหนึง่ เมือแข็ง เมืองขวามีขแดงคีงแดง
เป็ นดังทองแดงนันแล้
้ ว สูงได้ เก้ าศอก แต่เค้ าหูกํ ้าขวามาเถิงเค้ าหู้กํ ้า
ซ้ ายได้ สามศอก จิงใส่ชื่อว่าเชยบังทอง้ ตัวนี ้ช้ างต้ นเจ้ าขวาเทพาแล
เท่านี ้ลูกชายพระยาไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ วหันแล ้ ลูกหญิงผู้หนึง่ ให้ กิน
เมืองหมื่นหน้ า ผู้น้องหญิงให้ กินเมืองหมื่นแพน พระยาไชยจักรพรรดิ
แผ่นแผ้ ว มีลกู ชายห้ าคนลูกหญิงสองคน คันคนทั ้ งหลายว่
้ าแม่หยัว
เจ้ านางหมื่นหน้ า นางมื่นแพนนันแล ้ บ้ านเมืองแต่นนชายมุ ั้ ยกิน
เวียงจันทน์แล จักเอาแต่ตาดนํ ้าไปใต้ ทังเมื ้ องกระบองเป็ นเมืองหมัน้
เสนาอํามาตย์ทงหลายว่
ั้ าบ่ชอบ จึงแต่งให้ เด็กน้ อยและนายหลวงทังสอง ้
ล่องเอาไปฆ่าเสียที่ดอนจันทน์ มันมาหลิ ้นนํ ้าหลิ ้นไกลหันแล ้ เขา
จิงเอามันไปเผาเสียที่หนึง่ จิงสร้ างวัดหลังหนึง่ ใส่ชื่อว่าวัดใต้ หนั แล
อันว่าวัดประสักนี ้พระมหาสมันเจ้ าและนักปราชญ์ทงสาม ั้ เอาตํานาน
แต่งเมืองนครหลวงพุ้นมาว่ามหารัสสีเจ้ าตนตังหลั ้ กไม้ จนั ทน์ ทังหลั
้ ก
แก้ วหมายบ้ านหมายเมืองไว้ ที่นี ้แล พระมหาสมันเจ้ าบอกให้ ตงอาราม ั้
ทังพุ
้ ทธรูปเจ้ า ไว้ ในที่นี ้เทอญ พระว่าให้ เมือเอาพระบางเจ้ าขึ ้นมา
เซาหัน้ ๗ วัน จิงออกมาเวียงคําหันแล ้ เมื่อสร้ างแล้ วจิงใส่ชื่อว่า
วัดประสักหันแล้ พระยาไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ วเจ้ า จิงพิจารณา

๑๒๓
ดูจิงได้ หลานผู้หนึง่ มีอายุได้ ๓๕ ปี มันเป็ นหงอกแต่หนุม่ มีลกู สองชาย
จิงให้ มากินเมืองเวียงจันทน์ แต่พระนํ ้าฮุงมาเหนือเท่าเขตต์เมืองชาย
แล ขอบด่านทังมวลไว้ ้ อาชญาให้ แต่งหันแล
้ เขาจิงว่าพระยาจันทน์
หงอกแดงเขาว่าเจ้ าตนนี ้แล แต่นนมาปี
ั้ หนึง่ ยังมีพระยาตนหนึง่ ชื่อว่า
แก่นท้ าว ได้ ช้างเผือกตัวหนึง่ มาถวายแก่พระยาไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ ว
เจ้ าหันแล
้ ช้ างตัวนันสู
้ งได้ ๗ ศอก รูปโฉมงามนักจิงแปงโฮงหลังหนึง่
ไว้ หลุม่ ภูเขากล้ าแคมนํ ้าคานหันแล้ พ่อหมอช้ างผู้หนึง่ จิงทวยว่าช้ าง
ตัวนี ้อยูเ่ มืองได้ เถิง ๗ ปี เมืองอันนันก็ ้ จกั วายแล มันทวยสิ่งนันผู ้ ้ ทวย
นี ้แหม่นพ่อหมื่นช้ างคําฮอน อันเป็ นปู่ หมื่นคานคอนแก้ ว ว่าเป็ น
พระยานครคางมูมนันแล ้ ได้ ช้างเผือกสาปี ความส่าเท่าบัวหลวงจิงให้
มาขอขนเมือดู พระยาเชียงลอเอาขี ้ช้ างเมือให้ บวั หลวงดู พระยา
บัวหลวงก็เคียดมากนัก จิงป่ าวพลได้ ปีหนึง่ ปี ลุนนันมาทางเมื ้ องขวาสาม
ล้ าน ให้ เสนากํ ้าขวาชื่อว่าคกกงมาผู้หนึง่ ไตหนึง่ ผู้หลานม้ างเมือง
ขวามีคน ๕ ล้ าน ขันจักชนช้ างเผือกเจ้ าเชียงลอ เสนาผู้หนึง่ ถือ
พลมา ๓ ล้ าน ชื่อว่ากางกงมาทางเมืองซ้ าย เสนาผู้หนึง่ ชื่อว่าจุถวาย-
ไตวาง เป็ นหลานเจ้ าบัวขัน ๆ ชนช้ างหมื่นจันตัวชื่อว่าพิมานคํา ให้
เสนาผู้หนึง่ ชื่อว่ากงการถือพลมา ๓ ล้ าน มาทางพระนํ ้าฮุงเสียงสา
ให้ เสนาผู้หนึง่ ชื่อว่ากงผูแสด ถือพลมา ๓ ล้ านมาทางเมืองกระบอง
แกวหลวง มาตกแผ่นดินเมืองลานช้ างปางนันสองตื ้ ้อหันแล
้ พระยาเชียง
ลอถือพลสองแสน ให้ นรสิงห์นรนารายณ์ นรเดช นรสาด ๔ คน เขานี ้มี
คนล้ านสี่พนั พันหลวงสี่หมื่น ไปรบแต่ต้นภูมงุ เมืองมา แกว

๑๒๔
ตายล้ านหนึง่ เถิงคาเข้ าก็กมุ กันลงมาจากภูมงุ เมืองมานอนตีนภุมงุ
เมืองมานอนตีนภูก่หู นไตหนึ
ั้ ง่ ก็นอนที่หลักหมัน้ พอยามเที่ยงคืนผีแถน
มาเอิ ้นบอกแก่ไตหนึง่ ว่าเป็ นความแกวว่า ท่านจักตายวันหน้ าที่กางเมือง
ชะวาหัน้ แล้ วเล่ามาเอิ ้นบอกพระยาเชียงลอว่า ให้ ดาพระยาไชย
เจ้ าล่องหนีทอ่ น พระยาเชียงลอก็จกั ได้ ชนช้ างแกววันหัน้ แล้ ว
บ้ านเมืองก็จกั วายวันหัน้ แล้ วผีแถนมาเอิ ้นบอกว่าสันนัน้ ฮุงเช้ า
แล้ วก็ดาช้ างอันจักชนต้ อนหน้ าช้ างเผือกนันสี ้ ่ร้อยตัว คนสี่หมื่น หมื่น
หลวงหมื่นบุนขี่ช้างอ้ ายตาขาว ถือพลแปดหมื่น ช้ างตัวจักชนดอม
แปดร้ อย ออกมาทางงอน หมื่นหลวงลัดหลังไตหนึง่ ช้ างตัวนันงา ้
กํ ้าขวาเป็ นดังทบศอก งากํ ้าซ้ ายลงกกงาได้ สี่กํา สูงได้ เก้ าศอก
ขวาลูชี่ช้างแดงตัวว่าไชยบอมทอง ชุมช้ างหันได้ ้ แปดร้ อย คนแปด
หมื่นอยูท่ างผาเผิ ้ง พลหลวงทังมวลตั
้ งนาข้
้ าวจ้ าวที่อนั สร้ างวัดวิชณ ุ
บัดนี ้แล เขาเจ้ าทังหลายสี
้ ่ขนุ คือว่านรสิงห์เป็ นต้ นถือพลออกสี่หมื่น
ไปตังนามุ
้ งคุณ รบมาเถิงนาไฮเดียว พระยาเชียงลอก็มาตังนาไฮเดี ้ ยว
หัน้ หมื่นหลวงลัดหลังไตหนึง่ ก็มาฮอดหัน้ ขวาลูชนก็มาฮอดหัน้
ไตหนึง่ ยังตังอยู
้ น่ าข้ าวจ้ าวไป่ มา เจ้ าหมื่นหลวงทังขวาลู ้ ถือพล มีช้าง
สองพันคนสองแสน เขาเจ้ าทังสี
้ ่คนนี ้คือว่านรสิงเป็ นต้ น ฮูมคน
แกวแต่ยามตาวันเที่ยงเถ้ ายามแลง แพ้ แก้ วสี่เถื่อคุงไตหนึง่ หันแล้
คนสองแสนช้ างสองพันเลวแกวห้ าล้ าน ขาก็บแ่ พ้ แทงก็บแ่ พ้ ช้างพา
ควานแล่นหนีไปกินนํ ้า แผ่นดินบ่ได้ ยํ่าท่อยํ่าแกวตายหันแล ้ แต่นนไตั้
หนึง่ เข้ ามาชนช้ างเผือก ขลูวาวางไชยบอมทองใสกอนเบิง่ บัวหลวงมาฮูม

๑๒๕
สามตัวไชยบอมทองเอาหมดทังสาม ้ ผู้หนึง่ ว่าดือกองมากํ ้าซ้ ายไตหนึง่
ชุมช้ างมันสี่ตวั หมื่นหลวงหมื่นบุนวางอ้ ายตาขาว ใส่ท้าวทังสี้ ่
แกวก็ตายทังสี ้ ่ โหนยกํ ้าขวาไตหนึง่ ชื่อว่าหลีกพาชุมช้ างมันมีหกตัว
วางมาก่อนไตหนึง่ ข้ อยพระยาเชียงลอผู้หนึง่ ชื่อนายหลวงเหนือ มัน
ขี่ช้างตัวหนึง่ ชื่อว่าอ้ ายหมากหญ้ ามันชนอีก พาท้ าวขาทังสองฮุ
้ มชน
ช้ างหกตัวนันท่้ าวไป องค์ทงหกก็ ั ้ ตายไปขาทังสองตาย
้ ช้ างอ้ าย
หมากหญ้ าทังไชยบอมทองลอยนํ
้ ้าของหนี ผู้วา่ นายหลวงเหนือนันแห ้
ม่นปู่ เจ้ าภูมิเหนือ อันว่าท้ าวแจงพ่อท้ าวบุญสารอันเป็ นพระยาแสนนัน้
แล แต่นนพลกํ ั้ ้าลาวเฮาก็บกบางไปหันแล ้
แต่นนไตหนึ
ั้ ง่ ก็เอาพลทังมวลเข้
้ ามาชนช้ างเผือกพระยาเชียงลอ
ทังหมื
้ ่นหลวงหมื่นบุนชนไตหนึง่ ที่นาไฮเดียวหันช้ างเผือกเอาช้ างไตหนึง่
ท่าวลงมันก็ตายไปหันแล ้ ช้ างเฮาทังสองพั้ นนันลางตั
้ วก็ตาย ลางตัว
ก็ลอยข้ ามนํ ้าคานหนี ลางตัวก็ข้ามนํ ้าของหนี หมื่นหลวงหมื่นบุน
เอาทังหลายกวนรบชนกั
้ นหันท่
้ านก็ตายช้ างก็ตาย ขุนทังสี ้ ่เป็ นต้ น ว่า
นรสิง นรนารายณ์ นรเดช นรสาด เขาเจ้ าทังหลายนี ้ ้ แกวก็กมุ
เอาได้ ทงเป็
ั ้ น มาเสียบหลักเสียที่นาข้ าวจ้ าว ที่สร้ างวัดหัวของหันแล ้
ตัวพระยาเชียงลอก็เจ็บก็ป่วยจิงขี่ช้างเผือกหนี มาฮอดโฮงเชียงทอง
จิงลงช้ างไปเข้ าเฮือเหล่มหนึง่ ชื่อว่าเพเลากาเฮือลวดจมที่ทา่ เชียงทอง
หันเจ้
้ าก็ตายหัน้ แล้ วแกวมาเมืองลาวบางมีช้างห้ าล้ าน นายหลวง
เขาอันเป็ นเจ้ าช้ างห้ าร้ อยกับทังไตหนึ
้ ง่ ก็ตายหมดมื่อเดียว อัน
พระยาเชียงลอได้ ชนที่นาไฮเดียวหันแล้ ้ ว เขาก็วางช้ างวางม้ าวางเคื่อง

๑๒๖
เคาเสียหมด ยังมีผ้ หู นึง่ ลูกดึกพาชื่อว่าองวางเอารี พ้ ลทังหลาย
้ อยู่
สามวันจิงหนีเมือโฮมดูพลที่เมืองลาบได้ คนสองแสนหันแล ้ เขาจิงเมืออ
ยูฟ่ ากนํ ้ามา อันเขาโฮมพลเอาก้ อนหินมากองไว้ นนั ้ เมื่อเขาขึ ้นเมือ
เมือง เขาเอาก้ อนหินขึ ้นแลคนแลก้ อน ค่อมได้ คนห้ าล้ าน เสียคนตื ้อ
ปายห้ าล้ าน นายผู้ใหญ่มาปางนันสี ้ ่พนั ยังคืนหกฮ้ อย เสียสาม
พันปายสี่ฮ้อย ย่อมเป็ นโดยผู้ใหญ่ทงมวล ั้ ย่อมเป็ นลูกเป็ นหลานเป็ น
เชื ้อแนวเจ้ าบัวหลวงสูค่ นหันแล ้ เจ้ าบัวหลวงจิงเคียด จิงตังอาชญาว่ ้ า
ตังแต่
้ นี ้ไปไผอย่าชวนกันเมือเมืองล้ านช้ างท่อน เมืองอันนันหากเป็
้ น
เมืองพี่เมืองน้ องกันแต่ชวั่ ขุนบรมราชาธิราช หากได้ กินได้ แช่งไว้ เรา
จิงดับจิงวายเพื่อสิ่งนันแล้ จิงป่ าวคนในเวียงให้ สกั ฮอยตีนลาวที่
ขม่อมสูค่ น ชาวนอกเวียงสักหน้ า แลทังฮอยตี ้ นไว้ หนแล
ั ้ อย่าให้ ไผชวน
กันเมือเมืองลานช้ างสักเทื่อไผยังมาชวนดูนํ ้าเมิกที่หน้ าผากหันเทอญ ้ เจ้ า
บัวหลวงตังอาชญาไว้
้ ดงั นี ้ แต่แคมนํ ้าแท้ เมื่อพุ้นไว้ เป็ นเมืองลานช้ าง
เก่าบูฮาน เขตต์กํ ้าใต้ เอาแต่เมืองมีฮ้านกว้ านมีเสา แต่ตีนสุมเส้ านํ ้าเก่า
แกว ไว้ เป็ นเขตต์เมืองลานช้ าง ตามบุฮานปางก่อนท่อน ฯ
บัดนี ้เมือหน้ าจักจาที่เมืองลาวมาตังลุ ้ มแกวก่อนแล มหาสามี
เจ้ าวัดแก้ ว ตนชื่อว่ายานสมุทกับทังพระธรรมเสนาเจ้
้ า และเจ้ าหยัวฮ้ อย
ปายตน อยูว่ ดั แก้ วทังวั ้ ดปาสมัน อยูว่ ดั สวนแถนสีเกิด ทังวั ้ ดโบสถ์
กางเมือง ห้ าวัดนี ้ เบาหินแกวก้ เบาเฮ็ดสัง ท่อลาวผู้เฒ่าผู้เบียวฝูงนี ้
เบาหินก็อยูด่ อมแกวก็เบาเฮ็ดสัง แกวฝูงเจ็บฝูงป่ วยนัน้ พระก็เอา
มาปั วดีแล้ วก็หนี ผู้มกั หนีเขาก็หนี ผู้มกั อยูเ่ ขาก็อยู่ แกวจิงมี
ใน

๑๒๗
เมืองลาวตราบต่อเท่าบัดนี ้แล พระมหาสามีเจ้ าวัดแก้ ว จิงให้ พระธรรม
เสนาเจ้ า กับชาวเจ้ าสามสิบตน ทังคนฝู
้ งอยูด่ อมนัน้ ล่องมาราธนา
พระยาไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ วมาเสวยราชย์ เป็ นพระยาดังเก่าเถิงสาม
ทีเจ้ าก็บม่ า จิงไปราธนาพระยาหล้ าแสนไตตนกินเมืองแกนันมาเป็
้ นเจ้ า
แผ่นดิน เจ้ าก็มาตามนีรมนต์พระมหาสามีเจ้ าและพระสงฆ์เจ้ าทังหลาย

ทังตามความพ่
้ อตนหันแล ้ คันว่
้ าฮอดเชียงดงเชียงทองแล้ วพระมหา
สามีเจ้ าทังพระยาไชยจั
้ กรพรรดิแผ่นแผ้ ว จิงให้ อาราธนาเจ้ าวิชลุ กุมาร
ตนไปกินเมืองทาราพันหนองทังเวี ้ ยงคํานันมาเป็
้ นแสนเมือง เจ้ าตนนัน้
มีช้างตัวหนึง่ เป็ นมุงคุลนัก ชื่อว่าช้ างบานงาอ้ าเจ้ าก็ขี่มาทางบกฮอด
เวียงคําหัน้ จิงมาตังคํ ้ าปรารถนาต่อพระบางเจ้ าหัน้ ว่าภายหน้ าผู้ข้าหาก
ยังเมือฮอดเซียงดงเชียงทอง และยังแล้ วคํามักคําปรารถนา ข้ าจัก
แปงวิหารหลังหนึง่ ลวงกว้ าง ๑๐ วา ลวงยาว ๒๐ วา จักราธนา
สัพพัญญูเจ้ าเมือโผด อนึง่ ข้ อยก็นิมนต์ไว้ นี่ แล้ วแต่นนเจ้ ั ้ าก็ขึ ้นมาทาง
บกฮอดเมืองชะวาหันแล ้ พระมหาสามีเจ้ าตนพี่ตนน้ อง ทังพระเจ้ ้ าตน
หล้ าและชื่อเมือง เจ้ าทังหลายจิ
้ งยอให้ เป็ นแสน ให้ ไปอยูเ่ ชียงลอ
หันแล้ พระเจ้ าตนหล้ ามาเป็ นเจ้ าเชียงดงเชียงทองปี หนึง่ พระยา
ไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ วจิงตายที่เชียงคานหัน้ จิงแปงหีบเงินใส่ไว้ จิง
ใช้ ไปเล่าแก่พระยาศีโยทธิยา ปางนันพระยาไปเป็
้ นเจ้ าเมืองศีโยทธิ
ยาจิงแต่งโลงคําลูกหนึง่ โลงไม้ จนั ทน์ลกู หนึง่ พินพันแพห้ าฮ้ อย
ให้ ขนุ ศรี ราชโกษามาส่งชกาน พระยาไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ ว ๆ มี
อายุได้ ๘๓ ปี จิงตาย จิงเผาเสียที่เชียงคาน จิงสร้ างวัดสบกระดูกหลัง
หนึง่

๑๒๘
ที่เชียงคานนัน้ ขุนศรี ราชโกษาจิงคืนเมือคอบพระยาศรี โยทธิยา ปี ลุน
นันพระยาศรี
้ โยทธิยาจิงแต่งเครื่ องราชาภิเษก ให้ ขนุ อินทร์ ขุนพรหม
ขุนศรี ราชโกษาเอาเคื่องทังมวลขึ
้ ้นมาพร้ อมกับมหาสามีเจ้ าทังสอง
้ และ
ชื่อเมืองเจ้ าทังหลายจิ
้ งอุสาภิเษกเจ้ าตนหล้ า ให้ เป็ นเจ้ าแผ่นดิน เจ้ า
วิชลุ กุมารให้ เป็ นแสนเมืองหันแล้ เมืองโยทธิยา เมืองลานช้ างก็เป็ น
อันหนึง่ อันเดียวกัน แต่นนมาพระยาเจ้
ั้ าตนหล้ าจิงมีปฏิญาณว่า
เมื่อใดพี่เฮาเจ้ าโยทธิยา ยังใค่ได้ ใค่เอาไปที่แดนเมืองหันกํ ้ ้าพุ้นมาให้
เซาที่ชงาปี และห้ วยประหวัดหันก่ ้ อน กํ ้านี ้ไปจักให้ เซาที่หนองบัวหัน้
ก่อนแม่นจักเป็ นคําบ้ านคําเมืองก็ดี แม่นจักเป็ นคําซื ้อคําขายก็ดี จิงให้
มาต้ านมาจากันที่แดนเมืองหัน้ จิงใส่ชื่อว่านาสองฮักเพื่อสิ่งนันแล ้
พระยาหล้ าแสนไกเจ้ า เป็ นเจ้ าแผ่นดิน ศักราชได้ ๘๕๓ ตัวปี ฮวงเป้า
เดือนห้ าขึ ้นสิบสามคํ่าวันจันทร์ ยามกองงาย แลเจ้ าเสวยราชย์ได้ ปีหนึง่
มหาสามีเจ้ าตนพี่ ตนน้ องก็ตายไปหันแล ้ เจ้ าแผ่นดินก็เลิกซากส่ง
ซกานแล้ วจิงราธนามหาเถรเจ้ าคัมภิร เป็ นมหาสามีเจ้ าตนพี่อยูว่ ดั
แก้ ว เล่ายอมหาเถรเจ้ าสัทธรรมวัง ให้ อยูเ่ ป็ นเจ้ าวัดปาสมัน เล่า
ยอมหาเถรเจ้ าเทพหลวงเป็ นธรรมเสนาให้ อยูว่ ดั มโนรม พระเจ้ าตน
หล้ าให้ อาชญาแก่พระเจ้ าพี่น้องทังสาม ้ เป็ นอันสิทธิ์อนั คม คันว่ ้ าผิด
ตนก็ดีผิดอาชญาท้ าวพระยาฝูงอื่นก็ดี เป็ นโจรจูดเล่าเผาบ้ านก็ดี ฆ่าเจ้ า
เอาของก็ดี หลิ่นกับเมียท่านแลลักราชสมบัตกิ ็ดี โทษทังมวลฝู
้ ง
นี ้คันเขาได้
้ เข้ าเขตต์พระเจ้ าพี่น้องตนใดตนหนึง่ ก็ดี ก็บใ่ ห้ ผกู ให้ ฆา่ ให้
เสียชีวิตแล ท่อให้ บอกให้ สอนเขาเมือหาเวียกหาการดังเก่า สัตว์
ทัง้

๑๒๙
หลายปางนันมี ้ สขุ มากนักแล นับแต่พระเจ้ าหล้ าเสวยราชย์ได้ ๔๐ ปี
นับแต่เจ้ าเกิดมาได้ ๗๔ เจ้ าจิงได้ นิพพานหันแล ้ จัวนางแทนผู้เป็ นเมีย
พระเจ้ าพี่น้องทังสามแล
้ เจ้ าวิชลุ อันเป็ นแสนเมือง จิงมาส่งซกาน
เผาเสียที่งอนเท็งโฮงเชียงกางหันแล ้ จิงสร้ างวัดสบกระดูกลูกหนึง่
จิงใส่ชื่อว่าบุพพอารามอันเขาว่าวัดบวมพามนันแล ้ จิงราธนามหาเถร
เจ้ าตนหนึง่ ชื่อว่าสุเมธา มาเป็ นเจ้ าวัดหัน้ ใส่ชื่อว่าสงฆเสนา ทังเอา ้
ท่านอาจารย์น้อยมาอยูห่ นั ้ แต่งให้ สอนธรรมจักแทน ให้ ข้าวปี หกแสน
เงินเดือนหกฮ้ อย หมากเกือขิงเทียมเมี่ยงให้ ทา่ นสูเ่ ดือน ท่านนันมี ้ ผยา
ปั ญญาจบไตรเภททังสามหั ้ นแล
้ ทังหลายทํ
้ าบุญส่งทานไปหาพระเจ้ าตน
หล้ าบรบวร แล้ วทังหลายจิ
้ งเอาลูกเจ้ าตนหล้ าผู้หนึ่งชื่อพระเจ้ าชุมพู
เจ้ านันมี
้ อายุได้ ๒๕ เสียตากํ ้าหนึง่ เจ้ านันมี ้ รูปโฉมอันงามนัก แล
เจ้ าเสวยราชย์แทนพ่อได้ ๓ ปี ลวดตาย จิงเอามาเผาเสียที่หน้ าวัดบวม
พามหันแล ้ จิงให้ พอ่ เลี ้ยงผู้หนึง่ ชื่อว่าหมื่นนาสร้ างเจดีย์ลกู หนึง่ ที่เผา
หันจิ
้ งใส่ชื่อว่าเจดีย์หมื่นนาเพื่อดังนันแล ้ ดูกพระชุมพูเจ้ าจัวนางแทน
ผู้เป็ นแม่เอาไปใส่อบู คําสองลูก มาใส่วดั สบที่ห้วยหลวงหัน้ จิงให้ กอง
ข้ อยสองฮ้ อยให้ เขารักษาจิงใส่ชื่อว่าวัดสบพระยาปากทังพระชุ ้ มพูหนแล
ั้
อูบคําลูกหนึง่ เอาไปสร้ างวัดปากชวยดอมกองข้ อยหัน้ ให้ เขารักษา
กระดูกพระชุมพูหนแล ั้ อยูไ่ ด้ ๔ เดือนลูกหญิงพระเจ้ าตนหล้ าผู้หนึง่ ชื่อ
ว่านางสีไว ก็ตายเอาไปเผาเสียที่ใต้ วดั มโนหัน้ จิงสร้ างวัดสบกระดูก
จิงใส่ชื่อว่าวัดเชียงกาง จิงให้ เมืองอันหนึง่ ชื่อว่าเมืองบางอยูด่ นิ เมืองสุย

๑๓๐
ทังให้
้ นาสี่เผียก ทังให้
้ ทานเศรษฐี สินกับหมูช่ มุ ทังมวลให้
้ คํ ้าคงวัด
เลี ้ยงกางหัน้ นานมาได้ ปีหนึง่ จัวแทนแม่พระเจ้ าตนหล้ าแลมหาสามี
เจ้ า เป็ นประธานแลพระสงฆเจ้ าทังหลาย
้ กับเสนาทังมวลแล

ชาวเมืองพร้ อมกัน จิงมายอเจ้ าวิชลุ ราชอันเป็ นแสนเมืองนัน้ มา
เป็ นเจ้ าแผ่นดินแทนพี่ตนน้ องหันแล ้ คันว่
้ าเจ้ าวิชลุ ราชาได้ เป็ นเจ้ า
แผ่นดินปี หนึง่ ปี ลุนนันให้
้ ไปราธนาพระบางเจ้ ามาทางบก มาไว้ ที่วดั
มโนรมหันก่ ้ อนแผ่นดินได้ สามปี ยังมีนางผู้หนึง่ อยูห่ ลุม่ วัดสีเกิดหันแม่

นางนันเป็้ นชาวสีเกิด พระเจ้ าเชียงลอเอามาเป็ นเมีย จิงมีนางนัน้ ๆ
ใหญ่มาพระวิชลุ ราชาไปฟั งธรรมวัดสีเกิดแลเห็น จิงถามเชื ้อถามโคตรดู
ว่าแหม่นเป็ นลูกพระเจ้ าเชียงลอ จิงเอาเมือเป็ นเมีย จิงใส่ชื่อว่าจัว
นางพันตีนเชียงหันแล ้ เมียเค้ านันทั้ งหลายปู
้ กสร้ างให้ เป็ นบัวแทนเมีย
พระวิชลุ ราชเจ้ ามีสองคนนี ้แล พระวิชลุ ราชเสวยเมืองได้ ๗ ปี มีลกู หญิง
หนึง่ ดอมนางพันตีนเชียง ใหญ่มาได้ สามปี แลตาย เอาไปเผาเสียหลุม่
วัดแม่กาหัน้ จิงสร้ างวัดสบกระดูกหลังหนึง่ จิงใส่ชื่อว่าวัดอโศก อยู่
ปี ลุนจัวแทนอันเป็ นเมียเค้ านันเล่้ าตาย เอาไปเผาเสียที่งอนลินแสน
เสร้ าหันจิ
้ งสร้ างเจดีย์ลกู หนึง่ ที่เผาหันแล
้ แต่นนอยูั ้ ไ่ ด้ สามปี จัวนางพัน
ตีนเชียง จิงฝั นเห็นไม้ ฮงั ต้ นใหญ่นกั มีหง่ามีใบมีดอกงาม
ยิ่งนัก ฮุง่ เช้ าจิงเล่าแก่พระวิชลุ ราช ๆ เจ้ าจิงให้ หามาอาจารย์น้อยธรรม
จุลลา อาจารย์สารพังมา ขาเจ้ าทังสามนี ้ ้หากเป็ นเชื ้อเป็ นชาติกนั แต่
นครหลวงพุ้นมา จิงทวยว่าเจ้ ากูจกั มีลกู ชายผู้ประเสริฐ อันเป็ นที่เพิง

๑๓๑
แก่คนทังหลายแล
้ อยูไ่ ด้ ๗ วันนางก็ทรงครรภ์เถิง ๑๐ เดือน จิง
ประสูตรออกมาก็เป็ นผู้ชายแท้ แล ออกปี ฮวายยี พระวิชลุ ราชยินดี
ดอมลูกชายมากนัก อันนี ้ก็หากได้ ดงั คําปรารถนากู ยามเมือจากเวียง
ซํ ้ามาเป็ นแสนเมืองนันแล ้ ได้ ปราถนาดอมพระบางเจ้ า บัดนี ้คําปรารถนา
ก็ได้ ดงั คํามักนี ้แล บัดนี ้กูจกั สร้ างเจดีย์อนั ใหญ่หนึง่ ทังวิ ้ หารหลัง
ใหญ่หนึง่ แลเอาพระบางเจ้ ามาไหว้ บชู าเทอญ จิงราธนามหาสามีเจ้ า
วัดแก้ วแลอาจารย์ทงสาม ั้ แลชื่อเมืองทังหลายมาต้
้ านถามดู ที่อนั
จักตังเจดี
้ ย์วิหารให้ เป็ นไปในสถาน พระมหาสามีเจ้ าวัดแก้ ว แล
อาจารย์เจ้ าทังสาม ้ เอาตํานานอันพระมหาสมันเจ้ าเอาแต่เมืองนคร
หลวงมานัน้ อ่านดูตํานานจิงออกว่ายังมีที่หนึง่ ว่านาข้ าวเจ้ าที่หินก้ อน
หนึง่ กว้ างได้ ๑๖ ศอก ยาวได้ ๑๘ ศอก อยูไ่ ด้ สบห้ วยช้ างหย่านหัว
นาข้ าวเจ้ า หลุม่ ภูเขาเก้ าหันแล ้ พระพุทธเจ้ าทํานายไว้ วา่ หินหน่วย
กูนงั่ นี ้จักมีพระยาตนหนึง่ อยูช่ อบโลกชอบธรรมจักมาตังศาสนาที้ ่นี ้แล
ตํานานว่าสิ่งนัน้ พระวิชลุ ราชเจ้ ากับนางเทวีก็ยินดีมีใจภิรมย์มากนัก จิ
งตกแต่งให้ เสนาทังหลาย ้ เป็ นต้ นว่าหมื่นหลวงแลเจ้ าชาย เจ้ าขวาพูม
ใต้ พมู เหนือหมื่นจันหมื่นแก ให้ หาไม้ อนั จักแปงวิหารตีนแท่นตีนเชียง
สี่พนั จ่าเฮือน ขุนพอง ขุนหอ กองข้ อยทังหลาย ้ ให้ หาดินกี่อนั จัก
ตังเจดี
้ ย์กวมก้ อนหิน อันออกในตํานานนันว่ ้ า พระพุทธเจ้ านัง่ นัน้ มหา
เทวีคําสร้ างเจดีย์ พระวิชลุ ราชเจ้ าสร้ างวิหารหลวง ก่อเจดีย์ทงสร้ ั ้ าง
วิหารหลวงนันปี ้ เตาสัน เดือนสามออกสองคํ่าวันเสาร์ สามปี ปายเจ็ด

๑๓๒
เดือนจิงแล้ ว ฮูปพระพุทธเจ้ าทังเจดี
้ ย์หลวง ลวงสูง ๒๓ วา จิงให้
บ้ านเมืองไฮนา กับแต่ทางหลวงหัวของ แจกํ ้าไต้ กํ ้าเทิง เถิง
เมืองเท่าฮอดห่องลินแสนเสร้ า เลาะดอมห้ วยหันเลาะนันมาตกนํ
้ ้ามาว
ล่องมาตกสบมาว ล่องนํ ้าคานมาเท่าท่าควายขึ ้นไปดอมทางหลวง
ฮอดห่องลิน

พงศาวดารเมืองยโสธร

จุลศักราช ๑๒๕๙ ตรงกับวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๑๖


เรื่ องพงศาวดารแลแผ่นศิลาเลขที่ทา่ นได้ จารึกไว้ แต่ก่อนได้ ความว่าเดิม
ราชกุลที่ได้ มาตังเมื
้ องยโสธร มีพอ่ ตาแม่ยายชื่อว่าพระตาพระวอ
ตังอยู
้ บ่ ้ านหนองบัวลุม่ ภูแขวงกรุงจันทบุรี มีบตุ รเจ้ าลานช้ างคนหนึง่
ออกมาแต่กรุงจันทบุรีมาอาศัยอยูก่ บั พระตาพระวอ ในขณะนันข้ ้ างกรุง
จันทบุรีหามีคนใดจะนัง่ เสวยเมืองจันทบุรีมิได้ จึงมาเชิญเอากษัตริย์
บุตรเจ้ าจันทบุรีที่มาอาศัยอยูก่ บั พระตาพระวอบ้ านหนองบัวลุม่ ภูขึ ้นไป
เป็ นเจ้ าจันทบุรี ในขณะนันเจ้้ าจันทบุรีจงึ แต่งให้ กรมการออกมาขอ
เอาบุตรหลานของพระตาพระวอไปเป็ นห้ ามพระตาพระวอไม่ยอมให้ บตุ ร
หลานเป็ นห้ ามของเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรี จึงจัดเอากําลังออกมาจับ
ได้ ตวั พระตาไปฆ่าแล้ วท้ าวพระวอท้ าวหน้ าท้ าวกํ่าท้ าวคําผงท้ าวมุมจึงพา
พวกพันธ์พี่น้องอพยพหนีจะไปถึงเจ้ านครจําปาศักดิ์ ครัน้ ถึงดงสิง
โคกสิงทาท้ าวมุมบุตรหลานท้ าวพระวอจึงพาครัวหนึง่ พักอยูด่ งสิงโคกสิง
ทา ท้ าวมุมเป็ นคนครอบครองบ้ านสิงโคกสิงทา ท้ าวพระวอท้ าวหน้ า
ท้ าวกํ่าท้ าวคําผงทิดพรมไปตังอยู้ บ่ ้ านดูบ่ ้ านแก เจ้ าเมืองเวียงจันทบุรี
จึงแต่งให้ เพี ้ยสุโพกับอัครฮาดหําทองคุมเอาไพร่พลลงไปขอเอาครัว
พระตาพระวอ ท้ าวคําผงบ้ านดูบ่ ้ านแกริมห้ วยพริงแขวงเมืองนครจํา
ปาศักดิ์ จึงบอกให้ เพี ้ยสุโพอัครฮาดหําทองว่าให้ ไปเกลี ้ยกล่อม

๑๓๔
เล้ าโลมเอาเทอญ ข้ างเพี ้ยสุโพอัครฮาดหําทองว่าได้ คําสัง่ ของเจ้ า
นครจําปาศักดิแ์ ล้ วก็ทําตัวมีอํานาจออกมาว่าจับผูกมัดเอาท้ าวพระวอแล
ท้ าวฝ่ ายหน้ าบ้ านดูบ่ ้ านแกไม่ยอมกลับคืนไปเมืองเวียงจันทบุรีนําเพี ้ยสุโพ
อัครฮาดหําทอง ข้ างเพี ้ยสุโพแลอัครฮาดหําทองก็เลยโกรธขึ ้งขึ ้น
ว่าจะจับเอาตัวพระวอแลท้ าวฝ่ ายหน้ าท้ าวกํ่า ๆ ไม่ยอมให้ จบั ก็เลยเกิด
ความวิวาทกันที่บ้านดูบ่ ้ านแก ข้ างพระวอท้ าวฝ่ ายท้ าวกํ่าจึงแต่งให้
ท้ าวคําผงไปขอเอากําลังกับเจ้ านครจําปาศักดิ์ ๆ หาให้ กําลังไม่ ท้ าว
คําผงจึงกลับคืนมาหาพระวอท้ าวฝ่ ายหน้ าท้ าวกํ่า ข้ างเพี ้ยสุโพอัครฮาด
หําทองรู้กระแสว่าพระวอท้ าวฝ่ ายหน้ าท้ าวกํ่าแต่งให้ ท้าวคําผงไปขอเอา
กําลังกับเจ้ านครจําปาศักดิจ์ งึ แต่งให้ เพี ้ยแก้ วอาสาขึ ้นไปขอเอากําลังกับ
เจ้ าจันทบุรี ข้ างพระวอท้ าวฝ่ ายหน้ าท้ าวกํ่ารู้กระแสจึงได้ แต่งให้ เพี ้ยแก้ ว
โยธาเพี ้ยแก้ วนายช้ างลงไปทูลขอเอากําลังกับพระเจ้ าตากณกรุงเทพ ฯ
พระเจ้ าตากจึงโปรดให้ พระยาจักรี พระยาสรศรี คมุ เอากองทัพขึ ้นมา
เมืองนครจําปาศักดิก์ ็ยงั หามาถึงเมืองนครจําปาศักดิไ์ ม่ ฝ่ ายข้ างเพี ้ย
สุโพอัครฮาดหําทองรู้กระแสว่ากองทัพใหญ่จะขึ ้นมาแต่กรุงเทพ ฯ จึง
พากันลอบมองจับเอาพระวอไปได้ แล้ วก็เลยเอาพระวอไปฆ่าเสียริมนํ ้า
ห้ วยพริง ในขณะนันยั ้ งแต่ท้าวหน้ าท้ าวคําผงท้ าวกํ่าทิดพรมรักษา
ควบคุมเอาไพร่พลไว้ ที่บ้านดูบ่ ้ านแก ครัน้ เจ้ าแม่ทพั ใหญ่ขึ ้นมาถึง
กลางทาง จึงใช้ ราชทูตถือราชสาส์นขึ ้นมาถึงพระวอท้ าวหน้ าท้ าวกํ่า
ท้ าวคําผงทิดพรม ฝ่ ายข้ างเพี ้ยสุโพอัครฮาดหําทองแจ้ งกระแส
ข้ อความว่ากองทัพใหญ่กรุงเทพ ฯ จะมาถึงแล้ วเพี ้ยสุโพอัครฮาดหํา
ทอง

๑๓๕
ก็เลยพากําลังหลบตัวหนีขึ ้นไปทางเมืองเวียงจันทบุรี ครัน้ เจ้ าพระยา
จักรี เจ้ าพระยาสรศรี แม่กองทัพใหญ่ขึ ้นมาถึงเมืองนครจําปาศักดิ์
จึงเรี ยกหาตัวพระวอท้ าวหน้ าท้ าวกํ่าท้ าวคําผงทิดพรมเข้ าไปถามดูพวก
พลทหารเมืองเวียงจันทน์อยูท่ ี่ไหนพวกท้ าวหน้ าจึงกราบเรี ยนว่าเมื่อข้ าพ-
เจ้ ามีใบบอกลงไปขอกองทัพณกรุงเทพ ฯ ในขณะนันเพี ้ ้ยสุโพอัครฮาด
หําทองก็ลอบมองเข้ ามาจับเอาท้ าวพระวอได้ ไปแล้ วก็เลยเอาไปฆ่าริม
ห้ วยพริง ครัน้ เจ้ าพระยาจักรี แม่ทพั ใหญ่มีราชสาส์นขึ ้นมาถึงข้ าพเจ้ า
ฝ่ ายเพี ้ยสุโพอัครฮาดหําทองรู้วา่ พณหัวเจ้ าท่านจะมาถึงแล้ ว เพี ้ย
สุโพอัครฮาดหําทองกลัวพระบารมีของพณหัวเจ้ าท่านก็หลบตัวพากําลัง
หนีขึ ้นไปเมืองเวียงจันทน์พณหัวเจ้ าท่านตรัสถามคนไหนเป็ นเจ้ านคร
จําปาศักดิฆ์ า่ ศึกเกิดมีในท้ องแขวงเมืองนครจําปาศักดิท์ ําไมจึงไม่เอา
กําลังมาช่วยมีใจเพิกเฉยเสีย ท้ าวหน้ าท้ าวคําผงทิดพรมจึงเรี ยนว่า เมื่อ
เพี ้ยสุโพ ฯ มาสู้รบกับพวกข้ าพเจ้ า ๆ ก็ใช้ ให้ ท้าวคําผงไปขอกําลังเจ้ า
นครจําปาศักดิม์ าช่วยแรงพวกข้ าพเจ้ า เจ้ านครจําปาศักดิก์ ็หาให้
กําลังไม่ ฝ่ ายเพี ้ยสุโพ ฯ รู้กระแสว่าพวกข้ าพเจ้ าไปขอเอากําลังกับเจ้ า
นครจําปาศักดิ์ ก็เลยมีใบบอกขึ ้นไปขอกําลังกับเจ้ าเมืองเวียงจันทน์
พวกข้ าพเจ้ าก็ร้ ู วา่ พวกเพี ้ยสุโพ ฯ มีใบบอกขึ ้นไปขอกําลังเจ้ าเมืองเวียงจันทน์
พวกข้ าพเจ้ าก็น้อยตัวเห็นจะสู้กําลังเมืองเวียงจันทบุรีไม่ได้ จงึ ได้ มีใบ
บอกลงไปกราบบังคมทูลพระเจ้ าอยูห่ วั ณกรุงเทพ ฯ จึงโปรด
ให้ พณหัวเจ้ าท่านขึ ้นมา เจ้ านครจําปาศักดิก์ ็หามาดแลไม่ พณหัว
เจ้ าท่านจึงมีบญ
ั ชาต่อท้ าวกํ่าท้ าวหน้ าท้ าวคําผงทิดพรม ว่าถ้ ามีคําจริง

๑๓๖
้ พาเราไปหาเจ้ านครจําปาศักดิเ์ ทอญเราจะได้ เรี ยกเอาตัวมาถามดู
ดังนันก็
พวกท้ าวหน้ า ฯลฯ จึงพาพณหัวเจ้ าท่านไปหาเจ้ านครจําปาศักดิ์
พักอยูท่ ี่วดั ศรี เกิดขณะนัน้ เจ้ านครจําปาศักดิร์ ้ ูวา่ พณหัวเจ้ าท่านพักอยูท่ ี่
วัดศรี เกิด เจ้ านครจําปาศักดิก์ ็เลยลงเรื อล่องไปพักอยูท่ ี่บ้านหัวดอน
ไชย พณหัวเจ้ าท่านจึงใช้ ให้ คนไปตามเอาตัวเจ้ านครจําปาศักดิ์ ได้
ตัวเจ้ านครจําปาศักดิแ์ ล้ ว พณหัวเจ้ าท่านจึงตรัสถามว่าข้ าศึกเกิด
ในท้ องแขวงเมืองนครจําปาศักดิ์ เจ้ านครจําปาศักดิท์ ําไมจึงไม่ชว่ ย
เจ้ านครจําปาศักดิจ์ งึ กราบทูลว่าเมื่อเพี ้ยสุโพ ฯ ถือเอาตราเจ้ ากรุงจันท
บุรีมาถึงข้ าพระพุทธิเจ้ าขอเอาครอบครัวท้ าวหน้ า ฯลฯ ที่มาตังอยู ้ บ่ ้ านดู่
บ้ านแกขึ ้นไปจันทบุรีตามเดิม ข้ าพเจ้ าก็ได้ ให้ เพี ้ยสุโพ ฯ เกลี ้ยกล่อม
เอาตามใจไพร่สมัคร เพี ้ยสุโพ ฯ ไปถึงบ้ านดูบ่ ้ านแกก็ทําตัวมีอํานาจ
จะผูกมัด ข้ างฝ่ ายพระวอ ฯลฯ ไม่ยอมขึ ้นไปแลไม่ยอมให้ ผกู มัดก็
เลยเกิดความวิวาทรบกัน ครัน้ ทีหลังท้ าวพระวอ ฯลฯ จึงใช้ ให้ ท้าว
คําผงมาขอเอากําลังกับข้ าพเจ้ า ๆ ไม่ร้ ูจกั ที่จะให้ กําลังไปเพราะนายบ่าว
เป็ นข้ าศึกแก่กนั ครัน้ ข้ าพเจ้ าจะให้ กําลังไป กลัวเมืองเวียงจันทบุรี
จะว่าข้ าพเจ้ าเอาใจช่วยพระวอ พณหัวเจ้ าท่านจึงมีบญ ั ชาว่าเจ้ าเมือง
นครจําปาศักดิม์ ีความผิดเป็ นอันมาก จะคุมเอาตัวลงไปกรุงเทพ ฯ
เพราะให้ ไพร่ฟ้าข้ าแผ่นดินเป็ นข้ าศึกแก่ทา่ นในท้ องแขวงเมืองนครจํา
ปาศักดิต์ วั ไม่ไปห้ ามปรามและไม่ไปกํากับดูแล พณหัวเจ้ าท่านมีบญ ั ชา
แล้ วเจ้ านครจําปาศักดิก์ ็ยอมตัวถวายดอกไม้ ทองเงินขึ ้นกับกรุงเทพ ฯ
ขณะนันพณหั้ วเจ้ าท่านถึงภาคโทษเจ้ านครจําปาศักดิไ์ ว้ ครัง้ หนึง่
พณหัวเจ้ าท่านจึงมีบญ ั ชาถามท้ าวทิดพรมว่า ครัง้ นี ้พระเจ้ าอยูห่ วั โปรด
๑๓๗
ให้ เรามารบข้ าศึกเมืองเวียงจันทบุรี ที่มาตังอยู ้ บ่ ้ านดูบ่ ้ านแก ครัน้ เรา
ขึ ้นมาถึงแล้ วหาได้ รบข้ าศึกตามท่านโปรดมาไม่ ให้ ทา่ นทังปวงพาเรา

ไปดูเมืองเวียงจันทบุรีเทอญ ขณะนันท้ ้ าวหน้ า ฯลฯ ก็เลยพาพณ
หัวเจ้ าท่านขึ ้นไปถึงพรรณพร้ าวที่ริมแม่นํ ้าโขงใกล้ เคียงกับเมืองเวียง
จันทบุรี ขณะนันเจ้้ าผู้เป็ นเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีหลบตัวหนีขึ ้นพึง่
เจ้ านครหลวงพระบางครัน้ พณหัวเจ้ าท่านมีราชสาส์นไปถึงเจ้ าเมือง
เวียงจันทบุรี ยังแต่เจ้ าอุปฮาดดวงหน้ าหลังนําเอาราชสาส์นออกมา
หาพณหัวเจ้ าท่าน อยูท่ ี่พรรณพร้ าว พณหัวเจ้ าท่านจึงถามเจ้ า
อุปฮาดดวงหน้ าหลัง ว่าเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีหนีไปแห่งใด เจ้ าอุปฮาด
บอกว่าเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีหนีขึ ้นไปเมืองนครหลวงพระบางขณะนัน้
พณหัวเจ้ าท่านให้ อปุ ฮาดพาขึ ้นไปตามตัวเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีที่เมือง
นครหลวงพระบาง พณหัวเจ้ าท่านจึงใช้ ให้ อปุ ฮาดเข้ าไปเชิญเอาเจ้ า
นครหลวงพระบางออกมาหาพณหัวเจ้ าท่าน แล้ วพณหัวเจ้ าท่าน
จึงถามเจ้ านครหลวงพระบางว่าเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีหนีขึ ้นมาอยูก่ บั
เมืองของท่านที่นี่แล้ วหนีไปแห่งใด เจ้ านครหลวงพระบางกราบ
เรี ยนว่าเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรียงั อยูท่ ี่นี่ ขณะนันพณหั
้ วเจ้ าท่านจึง
ให้ เจ้ านครหลวงพระบางส่งตัวเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีออกมาหาพณหัว
เจ้ าท่าน เจ้ านครหลวงพระบางจึงส่งตัวเจ้ าเมืองเวียงจันทน์
ออกมาหาพณเจ้ าท่าน ๆ จึงถามเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีวา่ เหตุใดท่าน
จึงแต่งเพี ้ยสุโพอัครฮาดหําทองไปก่อการกองทัพที่แขวงเมืองจําปาศักดิ์
เจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีจงึ ว่าได้ แต่งให้ เพี ้ยสุโพอัครฮาดหําทองไปเกลี ้ย
กล่อมเอาท้ าวพระวอท้ าวคําผงคืนมาบ้ านเมืองตามเดิม หาได้ ให้ ไปคิด
๑๓๘
ก่อการกองทัพไม่ พณหัวเจ้ าท่านจึงมีบญ ั ชาว่าท้ าวพระวอท้ าวคําผง
ท้ าวหน้ าอยูบ่ ้ านคูบ่ ้ านแกแขวงเมืองนครจําปาศักดิ์ เหตุใดจึงให้ เพี ้ย
สุโพอัครฮาดหําทองไปเกลี ้ยกล่อมเอาขึ ้นมาเมืองเวียงจันทบุรีแล้ วเจ้ า
เมืองเวียงจันทบุรีจงึ ว่าแต่ก่อนท้ าวพระวอท้ าวคําผงท้ าวหน้ า พา
ครอบครัวตังบ้ ้ านเรื อนอยูบ่ ้ านหนองบัวลุม่ ภูขึ ้นกับเมืองเวียงจันทบุรีแล้ ว
พากันหลบตัวหนีไปตังอยู ้ บ่ ้ านดูบ่ ้ านแกแขวงเมืองนครจําปาศักดิ์ แต่ปี
มะโรงตรี ศกศักราช ๑๑๓๓ หาได้ บอกกับข้ าพเจ้ าไม่ พณหัวเจ้ า
ท่านจึงว่าเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีหามีเหตุจบั เอาตัวท้ าวพระตาผู้ไม่มีผิดมา
ผลาญชีวิตท้ าวพระวอท้ าวคําผงท้ าวหน้ าท้ าวกํ่าก่ออํานาจ เจ้ าจันทบุรี
จึงได้ พากันอพยพไปพึง่ เจ้ านครจําปาศักดิแ์ ล้ วเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีก็รับ
ว่าได้ ฆา่ ท้ าวพระตาจริงด้ วยท้ าวพระตาขัดไม่ให้ บตุ รแก่ข้าพเจ้ าไปเป็ น
ภรรยา แล้ วพณหัวเจ้ าท่านจึงว่าเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีเป็ นพระมหากษัตริย์
ครอบงําปกครองบ้ านเมืองไม่อยูใ่ นยุตติธรรมกดขี่ขม่ เหงแม่ป้าน้ าสาวเอา
ท้ าวพระตาไปฆ่าเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีตกไปตามพณหัวเจ้ าท่านจึงฆ่า
เจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีตกไปตามกันอยูณ ่ เมืองหลวงพระบาง
แล้ วพณหัวเจ้ าท่านจึงให้ เจ้ าอุปราชเป็ นเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรี แล้ วเจ้ า
เมืองเวียงจันทบุรีคนใหม่กบั เจ้ านครหลวงพระบางเห็นว่าพณหัวเจ้ าท่าน
มีอํานาจฆ่าเจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีได้ เจ้ าเมืองเวียงจันทบุรีเจ้ านครหลวง
พระบางจึงยอมถวายดอกไม้ ทองเงินขึ ้นกับกรุงเทพ ฯ แล้ วเจ้ า
จันทบุรีจงึ จัดเอานางเขียวค้ อมบุตรออกมาถวายพณหัวเจ้ าท่าน ๆ จึง
แต่งให้ พระหลวงขุนหมื่น พาเอานางเขียวค้ อมลงไปถวายพระเจ้ า

๑๓๙
ตาก ณ กรุงเทพ ฯ แล้ ว พณหัวเจ้ าท่านเลยกลับไปเมืองนคร
จําปาศักดิ์ แล้ วบอกเจ้ านครจําปาศักดิว์ า่ แต่ครัวท้ าวคําผง ทิด-
พรม หน้ า กํ่า สิงห์ กุลบุตรจะได้ ให้ ยกขึ ้นไปตังอยู
้ ต่ ามลํานํ ้ามูล
ลํานํ ้าชี เจ้ านครจําปาศักดิก์ ็ยอมให้ ท้าวหน้ าขึ ้นมาตามคําสัง่ พณหัว
เจ้ าท่าน ท้ าวทิดพรม กุลบุตร คําผง กํ่าขึ ้นมาตังอยู ้ บ่ ้ านแจะระแม
ริมลํานํ ้ามูลท้ าวหน้ า สิงห์ ตังอยู
้ บ่ ้ านสิงห์ทาริมลํ ้านํ ้าชีพากัน
เป็ นหมวดกองอยูไ่ ด้ ประมาณ ๒๐ ปี ปี ขานตรี ศกศักราช ๑๑๔๓ เกิด
ทัพเมืองปะทาย พระเจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ เจ้ าพระยาจักรี เจ้ าพระยาสรศรี
เป็ นแม่ทพั ขึ ้นมาปราบปรามกองทัพเมืองปะทาย เจ้ าพระยาจักรี เจ้ า
พระยาสรศรี จงึ มีตรามาถึงท้ าวหน้ า คําผง ทิดพรม กํ่าที่ยกมาจาก
บ้ านดูแ่ กขึ ้นมาตังอยู
้ บ่ ้ านสิงห์ทาบ้ านแจะระแมนัน้ ให้ คมุ กําลังลงไป
รบกองทัพบรรจบกับเจ้ าพระยาจักรี เจ้ าพระยาสรศรี ที่พระตะบอง แล้ ว
เจ้ าพระยาจักรี เจ้ าพระยาสรศรี แม่ทพั ใหญ่ พร้ อมด้ วยพระยาคทาธร
เจ้ าเมืองพระตะบองท้ าวหน้ าผง ทิดพรม กํ่า สิงห์บ้านสิงห์ทา
แจะระแมคุมกําลังไปรบเมืองปะทายมีไชยชนะแล้ ว เจ้ าพระยาจักรี
เจ้ าพระยาสรศรี กลับเข้ าไปกรุงเทพ ฯ พวกท้ าวหน้ าก็พากันกลับคืน
มาบ้ านสิงห์ทาแจะระแม ครัน้ อยูม่ ากองทัพจามสมมุตเชียงแก้ วเขาโอ
งยกมารบเมืองนครจําปาศักดิ์ สมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั กรุงเทพ ฯ
โปรดเกล้ า ฯ ให้ ท้าวหน้ า คําผงสิงห์เป็ นแม่ทพั ใหญ่คมุ กําลังหัวเมือง
ฝ่ ายตะวันออกไปรบจามสมมุตเชียงแก้ วเขาโอง มีไชยชะนะแล้ วท้ าวหน้ า
จึงตามจับได้ ตวั เจ้ านครจําปาศักดิ์ ที่หนีกองทัพจามสมมุตเชียงแก้ ว
เขา

๑๔๐
โอง คุมลงไปส่ง ณ กรุงเทพ ฯ โปรดเกล้ า ฯ ให้ ท้าวหน้ าเป็ นเจ้ านคร
จําปาศักดิ์ ให้ ท้าวสิงห์เป็ นเจ้ าราชวงศ์ขึ ้นมาครอบครองอยูเ่ มืองนคร
จําปาศักดิ์ แล้ วเจ้ านครจําปาศักดิใ์ ห้ เจ้ าราชวงศ์ไปอยูเ่ มืองโขง
ครัน้ ถึงปี ขานศักราช ๑๑๔๗ เจ้ านครจําปาศักดิ์ จึงมีบอกรับ
พระราชทานท้ าวทิดพรมเป็ นเจ้ าเมือง ท้ าวกํ่าเป็ นอุปฮาดโปรดเกล้ า ฯ
พระราชทานสัญญาบัตร ตังท้ ้ าวทิดพรมเป็ นที่พระพรหมวงศาเจ้ าเมือง
ท้ าวกํ่าเป็ นอุปฮาดยกบ้ านแจะระแมขึ ้นเป็ นเมืองอุบล เป็ นข้ าหลวง
เดิมผูกส่วยนํ ้ารัก ๒ เลขต่อเบี ้ยป่ าน ๒ เลขต่อขอด ครัน้ ถึงปี วอกจัตวา
ศกศักราช ๑๑๗๔ เจ้ านครจําปาศักดิบ์ อกขอรับพระราชทานท้ าวสิงห์ผ้ ู
เป็ นที่ราชวงศ์เมืองโขงเป็ นเจ้ าเมือง ขอสีชาบุตรเจ้ าเมืองนครจําปา
ศักดิเ์ ป็ นที่อปุ ฮาด ยกบ้ านสิงห์ทาเป็ นเมืองยโสธร แล้ วทรงพระมหา
กรุณาโปรดเกล้ า ฯ พระราชทานสัญญาบัตรตังพระราชวงศ์ ้ สิงห์เป็ นที่พระ
สุนทรราชวงศาเจ้ าเมือง ตังท้ ้ าวสีชาเป็ นอุปฮาด ตังท้ ้ าวบุตร ๆ พระ
สุนทรเป็ นราชวงศ์ ตังท้ ้ าวเสนบุตรท้ าวพระวอเป็ นราชบุตร ยกบ้ านสิงห์
ทาขึ ้นเป็ นเมืองยโสธรผูกส่วยนํ ้ารัก ๒ เลขต่อเบี ้ยป่ าน ๒ เลขต่อขอด
ครัน้ ถึงปี มะโรงนพศกศักราช ๑๑๖๙ อุปฮาดกํ่าออกจากเมืองอุบลไป
ตังอยู
้ บ่ ้ านโคกก่งดงพะเนียงริมแม่นํ ้าโขง แล้ วพระพรหมวงศาเจ้ าเมือง
อุบลพระสุนทรเจ้ าเมืองยโสธร บอกขอรับพระราชทานอุปฮาดกํ่าเป็ น
เจ้ าเมืองโปรดเกล้ า ฯ พระราชทานสัญญาบัตร ตังอุ ้ ปฮาดกํ่าเมืองอุบล
เป็ นที่พระเทพวงศาเจ้ าเมือง ยกบ้ านโคกก่งดงพะเนียงขึ ้นเป็ นเมือง
เขม-
๑๔๑
ราฐผูกส่วยนํ ้ารัก ๒ เลขต่อเบี ้ย ป่ าน ๒ เลขต่อขอดด้ วยความชอบรบ
ข้ าศึกศัตรูมีไชยชะนะจึงได้ เป็ นเมืองข้ าหลวงเดิม ครัน้ อยูไ่ ด้ ประมาณ
๘-๙ ปี พระสุนทรราชวงศาสิงห์เลยถึงแก่กรรม แล้ วโปรดเกล้ า ฯ
พระราชทานสัญญาบัตรตังอุ ้ ปฮาดสีชา เป็ นที่พระสุนทรราชวงศา
เจ้ าเมืองราชวงศ์บตุ รเป็ นที่อปุ ฮาด ราชบุตรที่เป็ นราชวงศ์ท้าวสุตตา
บุตรเจ้ านครจําปาศักดิ์ ท้ าวหน้ าเป็ นราชบุตรอยูไ่ ด้ ประมาณ ๓ เดือน
พระสุนทรราชวงศาก็เลยถึงแก่กรรมไป
บ้ านเมืองก็ยงั ว่างอยูถ่ ึงปี จอสัปตศกศักราช ๑๑๘๗ แล้ วเจ้ าอนุ
ผู้เป็ นที่เจ้ าเวียงจันทบุรีครอบงําเมืองเวียงจันทบุรี จึงคิดก่อการ
กองทัพรบกับกรุงเทพ ฯ แล้ ว เจ้ าอนุแต่งให้ เจ้ าราชวงศ์เจ้ าราชบุตร
เจ้ าสุทธิสารเป็ นแม่ทพั คุมกําลังออกจากจันทบุรี เจ้ าราชวงศ์คมุ
กําลังมารบเมืองร้ อยเอ็ดกาฬสินธุ์ยโสธรแลหัวเมืองต่าง ๆ ลงไป
จนถึงเมืองนครราชสิมา เจ้ าราชบุตรคุมกําลังลงมารบเมืองเขมราฐ
นครจําปาศักดิแ์ ลหัวเมืองต่าง ๆ ไปจนถึงเมืองพระตะบองนครเสียม-
ราฐ เจ้ าสุทธิสารคุมกําลังไปรบเมืองหล่มศักดิ์ และหัวเมืองต่าง ๆ
ไปจนถึงเมืองเลย ขณะนันข้ ้ อความล่ายกองทัพขุน่ เคืองไปจนถึงใต้
ฝ่ าละอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพ ฯ สมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั มิไว้ ใจแก่
ข้ าศึกสัตย์จริง จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าพระยาราช
สุภาวดีเป็ นแม่ทพั คุมทหาร ณ กรุงเทพ ฯ แลไพร่หวั เมืองออกจาก
กรุงเทพ ฯ มาปราบปรามกองทัพราชวงศ์ในปี นัน้ ครัน้ พระยาราช-
สุภาวดีคมุ กําลังขึ ้นมาแกล้ งคอยพบราชวงศ์กบั พวกกําลังอยูท่ ี่นนั ้ เจ้ า
๑๔๒
พระยาบดินทรเดชาแต่ยงั เป็ นเจ้ าพระยาสุภาวดีพากําลังแลนายทัพนายกอง
เข้ าสู้รบกับกองทัพราชวงศ์ ๆ กับนายทัพนายกองแลไพร่ กําลังสู้เจ้ า
พระยาสุภาวดีไม่ได้ เลยพากําลังหลบกองทัพขึ ้นมาถึงมูลแล้ งแขวงเมือง
นครราชสิมา เจ้ าพระยาสุภาวดีคมุ กําลังตามกองทัพราชวงศ์ขึ ้นมาถึง
มูลแล้ งพบราชวงศ์กบั กําลังอยูท่ ี่นนั ้ เจ้ าพระยาราชสุภาวดีคมุ กําลังเข้ า
สู้รบกองทัพราชวงศ์อยูท่ ี่มลู แล้ ง แล้ วพวกครอบครัวเมืองนคร
ราชสิมาที่ราชวงศ์ส้ รู บได้ วา่ จะคุมขึ ้นไปเมืองเวียงจันทบุรีนนั ้ ก็กลับ
สวามิภกั ดิต์ อ่ เจ้ าพระยาราชสุภาวดี เข้ าสู้รบกับกองทัพราชวงศ์ ๆ ทน
ไม่ได้ ก็เลยพากําลังหักจากกองทัพเจ้ าพระยาราชสุภาวดี ขึ ้นมาตังอยู
้ ่
ณ ค่ายส้ มป่ อย ขณะนันเจ้ ้ าพระยาราชสุภาวดีแม่ทพั นายหมวดนายก
องแลไพร่กําลัง ตามกองทัพราชวงศ์ขึ ้นมาถึงค่ายส้ มป่ อยแขวงเมือง
ศีรษะเกษ แล้ วเจ้ าพระยาราชสุภาวดีพากําลังเข้ าสู้รบกองทัพราชวงศ์
ด้ วยอาวุธสันยาว
้ ราชวงศ์และนายหมวดนายกองสู้รบกองทัพพระยา
ราชสุภาวดีไม่ได้ เลยพากองทัพหักจากกองทัพเจ้ าพระยาสุภาราชวดี
กลับคืนไปเมืองเวียงจันทน์ แล้ วเจ้ าพระยาราชสุภาวดีจงึ ขึ ้นมาตังอยู
้ ่
เมืองยโสธร จัดเอานายหมวดนายกองแลไพร่กําลังเมืองอุบล ฯ ได้ อปุ
ฮาดเมืองเขมราฐคุมกําลังเมืองยโสธรได้ อปุ ฮาด บุตรท้ าวฝ่ ายท้ าว
จันทน์สีสรุ าชเป็ นแม่ทพั คุมกําลัง ครัน้ เจ้ าพระยาราชสุภาวดีจดั ได้ นาย
หมวดนายกองแลไพร่กําลังสิ ้นเชิงแล้ ว ถึงฤกษ์ยามก็เลยพานายหมวด
นายกองแลไพร่ยกจากเมืองยโสธร ตามกองทัพราชวงศ์ขึ ้นไปเมือง
เวียงจันทบุรี ครัน้ ไปถึงบ้ านผักหวานเมืองหนองคายราชวงศ์ตงค่ ั ้ าย
๑๔๓
อยูท่ ี่นนั ้ เจ้ าพระยาราชสุภาวดีราชวงศ์ขี่ม้าเข้ าสู้รบกับอุปฮาดบุตร
ท้ าวฝ่ ายท้ าวคําท้ าวสุวอตามหลังม้ า เจ้ าพระยาราชสุภาวดีคมุ กําลังเข้ า
สู้รบกับกองทัพราชวงศ์ ทนกําลังกองทัพเจ้ าพระยาราชสุภาวดีไม่ได้
ก็เลยพากําลังข้ ามโขงไปพึง่ อยูเ่ มืองญวน ขณะนันเจ้ ้ าอนุเป็ นเจ้ าเมือง
เวียงจันทบุรี หนีไปพึง่ อยูเ่ มืองพวนเจ้ าพระยาราชสุภาวดีพานายทัพ
นายกองตามเจ้ าอนุแลราชวงศ์ไปเมืองเวียงจันทบุรีอีก หาเห็นราชวงศ์
ไม่ เมืองเวียงจันทบุนีก็เงียบงอมอยู่ ขณะนันเจ้ ้ าน้ อยบุตรเขยเจ้ าอนุ
ผู้เป็ นเจ้ าเมืองเชียงขวาง จึงอาสาพิทกั ษ์ตอ่ เจ้ าพระยาสุภาวดียอม
ถวายดอกไม้ ทองเงินเป็ นทางพระราชไมตรี ขึ ้นอยูก่ บั กรุงเทพ ฯ แล้ วเจ้ า
พระยาราชสุภาวดีจงึ บังคับให้ เจ้ าน้ อยเมืองเชียงขวาง ส่งตัวเจ้ าอนุ
กับราชวงศ์ที่หนีตวั ไปอยูเ่ มืองญวน ครัน้ เจ้ าน้ อยเมืองเชียงขวาง
ตามไปได้ เจ้ าอนุมาส่งให้ เจ้ าพระยาราชสุภาวดี แล้ วเจ้ าอนุจงึ เอา
พระแก้ วออกมาถวาย เจ้ านครหลวงพระบางจึงเอาพระบางออกมา
ถวายเจ้ าพระยาราชสุภาวดี แล้ วเจ้ าพระยาราชสุภาวดีเลยคุมเอาตัว
เจ้ าอนุแลเชิญองค์พระแก้ วพระบางลงมา ณ กรุงเทพ ฯ ขณะนันเจ้ ้ า
พระยาราชสุภาวดี จึงตรวจดูครอบครัวเมืองเวียงจันทบุรีจะคุมลงไป
กรุงเทพ ฯ แล้ วท้ าวบุตรจึงกราบเรี ยนเจ้ าพระยาราชสุภาวดีวา่ ท้ าวคํา
น้ องชายอุปฮาดปิ ดบังครอบครัวไว้ ครัน้ พระยาราชสุภาวดีไต่สวน
ก็ได้ ความ จึงว่าท้ าวําปิ ดบังครอบครัวเมืองเวียงจันทบุรีไว้ จึง
เจ้ าพระยาราชสุภาวดีจะเอาท้ าวคํามวนประหารชีวิต แล้ วอุปฮาดบุตร
จึงกราบเรี ยนเจ้ าพระยาราชสุภาวดี ว่าท้ าวคําเป็ นน้ องชายข้ าพเจ้ า ไป
๑๔๔
รบศึกศัตรูมาด้ วย ก็มีไชยชนะแก่ข้าศึกศัตรูมาแล้ ว ก็จะอาตัวท้ าวคํา
ไปประหารชีวิตก็ขอให้ เอาตัวข้ าพเจ้ ามาประหารชีวิตด้ วยกัน ว่าดังนี ้
แล้ วเจ้ าพระยาราชสุภาวดี เลยสัง่ ให้ พลทหารทําคอกริมนํ ้าลําชีหวั
เมืองยโสธรเสร็จแล้ ว เอาดินปื นเข้ าใส่ไว้ ในคอก ครัน้ ถึงกําหนดแล้ ว
เจ้ าพระยาราชสุภาวดีให้ เพ็ชฆาฎเอาอุปฮาดผู้พี่ ท้ าวคําผู้น้องแล
ภรรยาญาติพี่น้องของอุปฮาดบุตรท้ าวคําเข้ าใส่ในคอก ถึงกําหนด
แล้ วเอาเพลิงจุด อุปฮาดบุตรท้ าวคําภรรยาญาติพี่น้องก็พร้ อมกัน
สิ ้นชีวิตไป ครัน้ ณ ปี เถาะโทศกศักราช ๑๑๙๒ เจ้ าพระยาราชสุภาวดี
จึงโปรดให้ ท้าวฝ่ ายบุตรเจ้ านครจําปาศักดิ์ เป็ นที่พระสุนทรราชวงศ์
เจ้ าเมืองให้ ท้าวแพงบุตรพระปทุมเป็ นที่อปุ ฮาด ท้ าวสุตตาเป็ นราช-
วงศ์ท้าวอินเป็ นราชวงศ์บตุ รคุ้มครองเมืองยโสธร แล้ วเห็นว่าพระ
สุนทรมีความชอบมาก โปรดประทานครัวที่รบมาได้ ให้ พระสุนทร ฯ
๕๐๐ ครัว แลให้ เป็ นเจ้ าเมืองทัง้ ๒ คือ เมืองยโสธร นครพนม
ครัน้ เจ้ าพระยาราชสุภาวดีกลับเข้ าไปกรุงเทพ ฯ พระสุนทร ฯ จึงให้ อปุ -
ฮาดแพง เป็ นผู้วา่ ราชการแทนอยู่ ณ เมืองยโสธร พระสุนทร ฯ เลยขึ ้น
ไปจัดการอยูเ่ มืองนครพนมประมาณ ๖-๗ ปี พระสุนทร ฯ จึงบอก
ขอรับประทานคืนที่ควรเมืองนครพนมสร้ างวัด แลพระอารามเจดีย์หนึง่
หลังไว้ กบั เมืองนครพนม ก็เป็ นที่สะอาดภาคภูมิแก่บ้านเมืองมาเท่าทุก
วันนี ้ แต่อปุ ฮาดแพงผู้วา่ ราชการแทนพระสุนทร ฯ อยู่ ณ เมืองยโสธร
ก็พร้ อมด้ วยท้ าวเพี ้ยกรรมการบอกขอรับพระราชทาน คืนที่ควรเมือง
ยโสธร ๒ แห่ง ที่บ้านขวาแขวงเมืองยโสธรแห่ง ๑ สร้ างวัดแล
๑๔๕
สร้ างพระเจดีย์อารามที่เมืองยโสธร ๒ วัด ๆ หนึง่ ชื่อวัดศรี เมืองคุล
วัดหนึง่ ชื่อวัดบัวรพานุทิศ แลสร้ างอุปมุงใส่พระพุทธรูปมหากระจาย
หลังวัด และสร้ างพระพุธรูปใหญ่ปิดทองก็หลายองค์เป็ นที่สะอาดแก่
บ้ านเมืองเท่าทุกวันนี ้ แลอุปฮาดแพงได้ ไปตีทพั เมืองพระตะบอง
ขณะเมื่อพระสุนทร ฯ ขึ ้นไปเป็ นเจ้ าเมืองนครพนมนัน้ ก็ได้ รับราชการ
ฉลองพระเดชพระคุณต่อใต้ ฝ่าละอองธุลีพระบาทมาช้ านานก็หามี
ความผิดไม่ แล้ วพระสุนทร ฯ จึงไปเกลี่ยกล่อมส้ องสุมเอาครอบครัว
เมืองตะโปน เมืองวัง เมืองมหาไชยก่องแก้ ว๑ ได้ ครอบครัวนอก
พระ-ราชทานอาณาเขตต์แขวงมาขึ ้นกับกรุงเทพ ฯ เป็ นครอบครัว
หลายร้ อยพัน แต่ครัวเมืองพินตะโปนยกมาตังห้ ้ วยแซงขึ ้นเป็ นบ้ านห่อง
แซง ครัวเมืองมหาไชยก่องแก่ว พระสุนทร ฯ มีใบบอกขอรับ
พระราชทานขึ ้นเป็ นเมืองเวครัวเมืองนอง พระสุนทร ฯ บอกขอรับ
พระราชทานขึ ้นเป็ นเมืองท่าอุเทนขึ ้นแก่เมืองนครพนม แต่เมืองวานร
นิวาศน์พระสุนทร ฯ บอกให้ เป็ นเมืองขึ ้นกับเมืองสกลนคร ครัน้ ต่อมา
ได้ ๕ - ๖ ปี พระ-สุนทร ฯ แต่งให้ ช้างต่อหมอควาญคุมเอาช้ างพังพาย
เข้ าไปโพนแซกคล้ องตามเถื่อนป่ า หมอควาญไพร่เมืองยโสธรได้ ช้างสี
ประหลาดมาให้ พระสุนทร ฯ จึงมีใบบอกถวายช้ างสีประหลาดลงไป
กรุงเทพ ฯ สมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั เสด็จพระราชดําเนินออกมาทอดพระเนตร
รับช้ างสีประ-หลาดแล้ วทรงพระกรุณาโปรดเกล้ า ฯ นามสัญญาบัตร
เลื่อนยศช้ างสีประหลาดเป็ นพระพิมลช้ าง ๑ เป็ นพระวิสทุ ธิ์ช้าง ๑ แล้ ว
โปรดพระราชทานตราความชอบให้ แก่พระสุนทร ฯ จะโปรดเกล้ านาม
สัญญาบัตรตัง้
๑. ต้ นฉะบับเป็ นมหาชนไชยก่องแก้ ว
๑๔๖
หมอควาญอยูต่ อ่ มาถึง ณ ปี ชวดจัตวาศกศักราช ๑๒๑๔ พระสุนทร ฯ
จึงมอบเมืองนครพนมคืนให้ แก่อปุ ฮาด และกรมการเมืองนครพนม
แล้ วพระสุนทร ฯ จึงกราบถวายบังคมลามาอยูเ่ มืองยโสธรตามเดิมแล้ ว
ก็สร้ างวัดขึ ้นที่เมืองยโสธรอีก ๑ วัด ครัน้ ถึงปี มะเส็งนพศกศักราช
๑๒๑๙ พระสุนทรเจ้ าเมืองยโสธรเมืองนครพนมถึงแก่กรรมอุปฮาด
ราชวงศ์ราชบุตรก็เลยถึงแก่กรรมไปด้ วยกัน ยังแต่หลวงศรี วรราช
เผาศพบิดารักษาราชการบ้ านเมืองอยู่ หามีเจ้ าเมืองอุปฮาดราชวงศ์
ราชบุตรไม่ บ้ านเมืองก็วา่ งเปล่าอยู่ ครัน้ ถึงปี มะเมียสัมฤทธิศก
๑๒๒๐ หลวงศรี วรราชผู้ชว่ ย จึงมีใบบอกขอรับพระราชทานหีบ
ศิลาหน้ าเพลิงเผาศพพระสุนทร ฯ บิดาเสร็จแล้ ว ครัน้ ถึงปี มะแมเอกศก
๑๒๒๑ จึงมีตราพระราชสีห์โปรดเกล้ า ฯ ให้ พระยายมราชแต่ยงั เป็ นที่
พระยากําแหงสงครามเจ้ านครราชสิมา ขึ ้นมาเป็ นข้ าหลวงแม่กองสักตัง้
สักเลขหัวเมืองทังปวงฝ่้ ายตะวันออกอยูเ่ มืองยโสธร ครัน้ ถึงณปี วอก
โทศก ๑๒๒๒ เมืองแสนเมืองจัน ท้ าวเพี ้ยกรมการเมืองยโสธรเห็นว่า
หลวงศรี วรราชบุตรพระสุนทร ฯ ท้ าวแข้ เป็ นบุตรอุปฮาดท้ าวอันเป็ นบุตร
ท้ าวจันสีสรุ าชท้ าวพิมเป็ นหลานอุปฮาดแพง ท้ าวสุพรมเป็ นบุตรพระ-
สุนทร ฯ แลมีความชอบมา ด้ วยได้ ตีทพั แลช้ างเผือกแลเมื่อยังมีชีวิตนัน้
ก็พากันรับราชการมัน่ คงแข็งแรง เมืองแสนเมืองจันท้ าวเพี ้ยกรมการ
ญาติพี่น้อง จึงพร้ อมกันมีใบบอกลงไปกราบบังคมทูลพระกรุณาใต้ ฝ่า
ละอองธุลีพระบาทขอพระราชทานหลวงศรี วรราชเหมนเป็ นพระสุนทร ฯ
ท้ าวแข้ เป็ นอุปฮาด ท้ าวอ้ นเป็ นราชวงศ์ ท้ าวพิมเป็ นราชบุตร ท้ าวสุพรม
๑๔๗
เป็ นหลวงศรี วรราชผู้ชว่ ยราชการ จึงทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้ า ฯ นาม
สัญญาบัตรตังหลวงศรี
้ วรราชเป็ นพระสุนทร ฯ ผู้วา่ ราชการเมืองยโสธร
ท้ าวแข้ เป็ นอุปฮาดท้ าวอ้ นเป็ นราชวงศ์ท้าวพิมเป็ นราชบุตรท้ าวสุพรม
เป็ นหลวงศรี วรราช ผู้ชว่ ยขึ ้นมาครอบครองแม่ป้าน้ าสาวบ่าวไพร่เมือง
ยโสธรครัน้ อยูม่ าได้ ประมาณ ๓ - ๔ ปี อุปฮาดแข้ จงึ ถึงแก่กรรม ครัน้
อยูม่ าประมาณ ๒-๓ ปี พระสุนทร ฯ แต่งให้ ช้างต่อหมอควาญไปแซกโพน
ได้ ช้างสีประหลาดช้ าง ๑ ได้ บอกลงไปทูลเกล้ าถวายชื่อเสวก ครัน้ อยูม่ า
ช้ านาน ๒-๓ ปี พระสุนทรราชวงศ์บตุ ร หลวงศรี วรราชและบุตรภรรยา
สร้ างวัด และสร้ างพุทธอารามสร้ างพระพุทธรูป และสร้ างพระเจดีย์ได้
ประมาณ ๒-๓ ปี ราชวงศ์ราชบุตรถึงแก่กรรมครัน้ ปี ระกาเบ็ญจศก
๑๒๓๕ พระสุนทรราชวงศ์เจ้ าเมืองยโสธรบอกขอรับพระราชทานพระ-
ศรี สพุ รมเป็ นที่อปุ ฮาดขอท้ าวบาเป็ นราชบุตรท้ าวแก่เป็ นพระศรี วรราช
ผู้ชว่ ยราชการเมืองยโสธร พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั โปรดเกล้ า ฯ
นามสัญญาบัตรตังพระศรี ้ สพุ รมเป็ นที่อปุ ฮาดตังท้
้ าวบาเป็ นราชบุตรตัง้
ท้ าว แก่เป็ นที่พระศรี วรราชขึ ้นมารับราชการช่วยพระสุนทร ฯ ครัน้ ต่อ
มาถึงปี จอฉศก๑๒๓๖ เกิดทัพอ้ ายฮ่อที่คา่ ยสมิด ค่ายวัดจันแขวงเมือง
หนองคายจึงมีตราโปรดเกล้ า ฯ ให้ พระยามหาอํามาตย์เป็ นข้ าหลวงแม่
ทัพขึ ้นไปตีทพั อ้ ายฮ่อณเมืองหนองคายพระยามหาอํามาตย์ จึงเก็บเอา
กําลังเมืองยโสธร ๕๐๐ คน พระสุนทร ฯ ผู้วา่ ราชการเมืองจึงแต่งให้
อุปฮาดบาแต่ยงั เป็ นที่ราชบุตรท้ าวกัลยาแต่ยงั เป็ นที่ท้าวสุทธิสมเป็ นาย
หมวดกองคุม กําลังทัพ ๕๐๐ คน ขึ ้นไปตีทพั อ้ ายฮ่อพร้ อมกับพระมหา
อํามาตย์ณเมือง
๑๔๘
หนองคายครัน้ เสร็จราชการแล้ ว ครัน้ ต่อมาถึงปี ฉลูนพศก ๑๒๓๙
พระสุนทร ฯ ถึงแก่กรรมครัน้ ถึงณปี ขานสัมฤทธิศก ๑๒๔๐ อุปฮาดสุพรม
ราชบุตรบาพระศรี วรราชแก่บอกขอรับพระราชทานหีบศิลาหน้ าเพลิง
ขึ ้นมาเผาศพพระสุนทร ฯ อุปฮาดแข้ ราชวงศ์อนั ราชบุตรพิมเสร็จแล้ ว
เมืองแสนเมืองจันท้ าวเพี ้ยกรมการพร้ อมกันเห็นว่าอุปฮาดสุพรมราชบุตร
บาพระศรี วรราชแก่ท้าวกลัยาบุตรอุปฮาดแพงบุตรราชวงศ์สตุ ตา เป็ นคน
สัตย์ซื่อมัน่ คงรับราชการฉลองพระเดชพระคุณโดยความสุจริต จึงได้ บอก
ให้ อปุ ฮาดสุพรมลงไปเฝ้าทูลละองธุลีพระบาท แล้ วพระบาทสมเด็จ
พระเจ้ าหัวโปรดเกล้ า ฯพระราชทานตังอุ ้ ปฮาดสุพรมเป็ นพระสุนทรฯ ราช
บุตรบาเป็ นอุปฮาดพระศรี แก่เป็ นราชวงศ์ท้าวกัลยาเป็ นราชบุตรท้ าวอ้ น
เป็ นพระศรี วรราชผู้ชว่ ยราชการ ขึ ้นมารับราชการครอบครองเมือง
ยโสธร เมื่อเวลาพระสุนทร ฯ จะลงไปรับสัญญาบัตรนันหลวงจุ ้ มพล
ภักดีนายกองบุตรพระปทุมชิง พระสุนทรเหมนตังแต่ ้ งเป็ นกรมการ
มีความทะเลาะวิวาท อยากทําส่วยผลเร่วเป็ นแผนกขึ ้นกับกรุงเทพ ฯ
ต่างหาก อุปฮาดสุพรมไม่ยอมให้ หลวงจุมพลภักดีทําส่วยผลเร่วเป็ น
แผนกจะให้ ทําส่วยผลเร่วขึ ้นกับเมืองยโยธรตามเดิม หลวงจุมพล
ภักดี นายกองหายอมขึ ้นเมืองยโสธรไม่ จึงทําเอาบัญชีรายชื่อ
ตัวเลขเมืองยโสธรไปขึ ้นเมืองกมลาไสย แล้ วพระราชบริหารผู้วา่
ราชการ เมืองกมลาไชยจึงบอกขอรับพระราชทานหลวงจุมพลภักดีเป็ น
ที่เจ้ าเมือง ขอบ้ านเขาดินบึงโดนในเขตต์แขวงเมืองยโสธรขึ ้นเป็ น
เมืองเสลภูมิ์ครัน้ ถึงณปี เถาะเอกศก ๑๒๔๑ มีท้องตราพระราชสีห์โปรด
๑๔๙
เกล้ า ฯ ขึ ้นมาถึงพระสุนทรราชวงศ์ราชบุตรว่าพระบาทสมเด็จพระ
เจ้ าอยูห่ วั โปรดเกล้ า ฯ นามสัญญาบัตร ตังหลวงจุ ้ มพลภักดีขึ ้นเป็ นที่พระ
นิคมบริ รักษ์ ผ้ วู า่ ราชการเมืองเสลภูม์ิ ยกบ้ านเขาดินบึงโดนเขตต์แขวง
เมืองยโสธรขึ ้นเป็ นเมืองเสลภูมิ์ แล้ วโปรดเกล้ า ฯ แบ่งเขตต์แขวงเมือง
ยโสธร แต่ห้วยยางฝ่ ายเหนือให้ เป็ นเขตต์แขวงเมืองเสลภูม์ฝิ ่ ายใต้
เป็ นเขตต์แขวงเมืองยโสธรโปรดเกล้ า ฯ ดังนี ้ พระสุนทรยังหายอมได้
แบ่งปั นไม่ ครัน้ ประมาณ ๔-๕ ปี พระศรี วรราชอ้ นเลยถึงแก่กรรม
พระสุนทร ฯ เห็นว่าท้ าวสุยบุตรราชบุตรเป็ นคนสัตย์ซื่อมัน่ คงพระสุนทร ฯ
เจ้ าเมืองอยูไ่ ด้ ประมาณ ๔-๕ ปี ราชบุตรกัลยา พระยาศรี วรราชสุย
เลยถึงแก่กรรมไปยังหาทันได้ เผาศพไม่ ครัน้ ถึงปี มะเส็งตรี ศก ๑๒๔๓
อุปฮาดบาถึงแก่กรรมไป ครัน้ บอกขอรับพระราชทานหีบศิลาหน้ าเพลิง
ขึ ้นมาเผาศพอุปฮาดบาเสร็จแล้ ว ครัน้ ต่อมาถึง ณ ปี มะแม๑ เบ็ญจศก
๑๒๔๕ อ้ ายฮ่อยกกองทัพมาตังอยู ้ ท่ งุ่ เชียงคําพระบาทสมเด็จพระ
เจ้ าอยูห่ วั กรุงเทพ ฯ มีตราพระราชสีห์โปรดเกล้ า ฯ ให้ พระยาราชวรานุกลู
เป็ นแม่ทพั ขึ ้นมาตีทพั อ้ ายฮ่ออยูณ ่ ทุง่ เชียงคํา พระยาราชวรานุกลู จึงมี
หนังสือแต่งให้ หลวงอภัยพิพิธ เป็ นข้ าหลวงมาเกณฑ์เอาช้ างม้ าโค
ต่างเมืองยโสธรบรรทุกข้ าวนํ ้าไปเลี ้ยงกองทัพ พระยาราชวรานุกลู
อยูท่ งุ่ เชียงคําพระสุนทรสุพรมจึงแต่งให้ ราชวงศ์ฮู่ แต่ยงั เป็ นสุริยงเป็ น
นายคุมเอาช้ างม้ าโคต่างบรรทุกข้ าวนํ ้า ขึ ้นไปเลี ้ยงกองทัพทุง่ เชียงคํายัง
หาทันเสร็จไม่พระยาราชวรานุกลุ จึงพาแม่ทพั นายกองกลับคืนมาตังอยู ้ ่
ณ เมืองหนองคาย ครัน้ ปี รัตนโกสินทรศก ๑๐๓ มีตราโปรดเกล้ า ฯ
๑. ต้ นฉะบับเป็ นปี มะเส็ง
๑๕๐
ให้ พระเจ้ าน้ องยาเธอกรมหมื่นประจักรศิลปาคม เป็ นแม่ทพั ใหญ่คมุ นาย
ทัพนายกองขึ ้นมาตีทพั ฮ่ออยูเ่ มืองหนองคาย พระเจ้ าน้ องยาเธอกรม
หมื่นประจักรศิลปาคม ข้ าหลวงต่างพระองค์ผ้ สู ําเร็จราชการมณฑล
ลาวพวน จึงมีตราเกณฑ์เอาช้ างม้ าต่างเมืองยโสธรไปเข้ ากระบวนทัพ
ณ เมืองหนองคาย พระสุนทรเมืองอุปฮาดราชวงศ์ราชบุตร พระศรี
วรราชท้ าวเพี ้ยกรมการจึงจัดช้ าง แต่งให้ ท้าวโพธิสารเพ็ชรบุตร
พระสุนทร ฯ คนเก่าเป็ นนายคุมเอาช้ างไปเข้ ากองทัพ พระเจ้ าน้ องยาเธอ
กรมหมื่นประจักรศิลปาคม ข้ าหลวงต่างพระองค์ผ้ สู ําเร็จราชการ
มณฑลลาวพวนณเมืองหนองคาย พระเจ้ าน้ องยาเธอกรมหมื่นประ-
จักร ฯ และแม่ทพั นายกองปราบปรามอ้ ายฮ่อมีไชยชนะเสร็จแล้ ว ครัน้
ถึงปี จออัฏฐศก ๑๒๔๘ พระสุนทร ฯ เห็นว่าราชวงศ์แก่เป็ นผู้ใหญ่และได้
สัญญาบัตรและมีความชอบกับไปเห็นท้ าวฮูบ่ ตุ รอุปฮาดแข้ ไปส่งข้ าวนํ ้า
เลี ้ยงกองทัพฮ่อครัง้ พระยาราชวรานุกลู พระสุนทร ฯ จึงบอกขอรับพระ-
ราชทานราชวงศ์แก่เป็ นอุปฮาดท้ าวฮุเ่ ป็ นราชวงศ์ ขึ ้นมารับราชการ
ฉลองพระเดชพระคุณอยูก่ บั พระสุนทร ฯ เจ้ าเมือง ครัน้ ปี รัตนโกสินทร
ศก ๑๐๙ ตรงกับปี ขานโทศก ๑๒๕๒ พระสุนทร ฯ ราชวงศ์เจ้ าเมืองสุพรม
พร้ อมด้ วยท้ าวเพี ้ยกรมการคุมเอาเงินแทนผลส่วยของหลวงไปทูลเกล้ า
ถวายกรุงเทพ ฯ แลไปใส่กณั ฑ์สมเด็จพระบรมโอรสสาธิราชสยาม
กุฎราชกุมาร แล้ วพระสุนทร ฯ ท้ าวเพี ้ยเมืองยโสธรที่คมุ เงินส่วยจึง
พร้ อมกันทําฎีกาน้ อมเกล้ า ฯ ถวายพระราชทาน ท้ าววรบุตรหุนเป็ นที่
ราชบุตร ท้ าวจันสีราชเป็ นที่หลวงศรี วรราชแล้ ว พระสุนทร ฯ เลย
กราบถวายบันคมลาขึ ้นมารับราชการเมืองยโสธร ครัน้ ถึงปี รัตนโก-
๑๕๑
สินทรศก ๑๑๐ ตรงกับปี เถาะตรี ศก ๑๒๕๓ ราชุบตุ ร ขุนหลวงศรี
วรราชผู้ชว่ ยศรี สรุ าชเชิญเอานามสัญญาบัตร ที่พระเจ้ าอยูห่ วั โปรด
พระราชทานขึ ้นไปรับราชการอยูก่ บั พระสุนทร ฯครัน้ อยูถ่ ึงเดือนพฤศจิกา-
ยน ร,ศ,๑๑๐ ตรงกับปี เถาะตรี ศก ๑๒๕๓ พระสุนทร ฯ เจ้ าเมืองราชวงศ์
ฮูถ่ ึงแก่กรรม อยูม่ าครัน้ ถึงปี ร,ศ, ๑๑๐ มีบรมราชโองการดํารัส
เหนือเกล้ าให้ พระเจ้ าน้ องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรี ชากรอธิบดีเสด็จ
ขึ ้นมาประทับอยูณ ่ เมืองอุบล ฯ เป็ นข้ าหลวงต่างพระองค์ผ้ สู ําเร็จราชการ
มณฑลลาวกาว แล้ วโปรดเกล้ า ฯ ลายพระราชหัตถ์ ให้ ท้าวสิทธิกมุ าร
(ทองดี) อุปฮาด (บา) รับราชการตําแหน่งราชวงศ์ ครัน้ ถึงณปี
ร,ศ, ๑๑๑ อุปฮาดแก่ราชวงศ์หนุ หลวงศรี วรราชผู้ชว่ ยพร้ อมด้ วยท้ าวเพี ้ย
กรมการบอกขอพระราชทานหีบศิลาหน้ าเพลิงขึ ้นมาเผาศพพระสุนทร ฯ
เจ้ าเมืองสุพรม แต่ยงั หาทันได้ เผาไม่ ครัน้ ณ ปี ร,ศ, ๑๑๒ พระเจ้ า
น้ องยาเธอกรมหลวงพิชิตปรี ชากรอธิบดีข้าหลวงต่างพระองค์ ผู้สําเร็จ
ราชการมณฑลลาวกาวโปรดเกล้ า ฯ ให้ หลวงพิทกั ษ์สเุ ทพ ข้ าหลวงท้ าว
ไชยกุมารกรมการเมืองอุบล ฯ ขึ ้นมาจัดราชการอยูเ่ มืองยโสธร แล้ ว
อุปฮาดบุตรหลวงศรี วรราชท้ าวสิทธิกมุ ารผู้รับราชวงศ์ จึงพร้ อมด้ วย
หลวงพิทกั ษ์สเุ ทพ ฯ ข้ าหลวงเผาศพพระสุนทร ฯ เจ้ าเมืองยโสธรเสร็จ
แล้ วบ้ านเมืองก็วา่ งเปล่าอยู่ มีแต่อปุ ฮาดแก่ราชบุตรหุนหลวงศรี วรราช
รับราชการบ้ านเมืองอยูก่ บั ข้ าหลวงพิทกั ษ์สเุ ทพ ฯ ครัน้ ถึงปี ร,ศ, ๑๑๒
เกิดทัพฝรั่งเศสขึ ้นทางเมืองเขมราฐแห่งหนึง่ เมืองสามโบกแห่งหนึง่
พระเจ้ าน้ องยาเธอกรมหลวงพิชิตปรี ชากรอธิบดี ข้ าหลวงต่างพระองค์
สําเร็จราชการมณฑลลาวโปรดเกล้ า ฯ เกณฑ์เอากําลัง เมืองยโสธร
๑๕๒
ได้ ๑๐๐๐คนให้ หลวงพิทกั ษ์สเุ ทพคุมไปทังเมื
้ องเขมราฐ๑๕๐๐คนอุปฮาด
ราชบุตรหลวงศรี วรราชกรมการแต่งให้ ราชวงศ์ราชบุตรคุมไปเข้ ากอง
ทัพทังเมื
้ องสามโบก ๕๐๐ คนครัน้ เสด็จราชการพ้ นแล้ ว พระเจ้ าน้ อง
ยาเธอกรมหรวงพิชิตปรี ชากรเสด็จกลับเข้ าไปกรุงเทพ ฯ ครัน้ ถึงปี ๑๑๓
พระเจ้ าน้ องยาเธอกรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ เสด็จขึ ้นมาประทับ
อยูเ่ มืองอุบล ฯ เป็ นข้ าหลวงต่างพระองค์ผ้ สู ําเร็จราชการมณฑลลาวกาว
แลโปรดเกล้ า ฯ ให้ นายร้ อยโทเป็ นษร เป็ นข้ าหลวงขึ ้นมาจัดราชการ
เมืองยโสธรแล้ วโปรดเกล้ า ฯ ให้ อปุ ฮาดรับราชการตําแหน่งอุปฮาดให้
หลวงศรี วรราชผู้พิเศษรับราชการตําแหน่งราชบุตร ครัน้ ถึงศก ๑๒๗
โปรดพระราชทานนามสัญญาบัตรให้ หลวงศรี วรราช ผู้วา่ ราชการเมือง
ยะโสธรเป็ นพระสุนทรราชเดชผู้วา่ ราชการเมืองยโสธร
ตานานเมืองทรายฟอง

นโมตสฺสตฺถุ ดูราโสดุชนะสัปปุริสสทังหลายจงตั
้ งโสตปราสาท

ฟั ง ยังตํานานนิทานพระยาอินทาธิราชอันนี ้เทอญ สัตถาอันว่า
สัพพัญญูพระพุทธเจ้ าแห่งเฮา จักเข้ าสูน่ ีพพานพระพุทธเจ้ าก็ไปเที่ยว
โผดปั นสัตว์ทงหลายในสกลชุ
ั้ มพูทีปทังมวล
้ ในเขตต์ขงกงเมือง
ทังหลาย
้ คือบ้ านน้ อยแลนิคมบ้ านใหญ่แลเมืองหลวงทังหลาย ้ ตาม
ประเวณีดงั่ พระพุทธเจ้ าทังหลายแต่
้ ก่อน เข้ าสูน่ ีพพานไปแล้ ว
พระพุทธเจ้ าก็ตระเดินเลียบโลกโผดสัตว์ทงหลาย ั้ ตามประเวณีดงั่
พระพุทธเจ้ าทังหลาย ้ อันล่วงไปแล้ วแต่ก่อนก็มีแล มหาอานนทและ
อรหัตตาเจ้ าทังหลายมี
้ พระยาอโสกกมหากษัตริย์ ก็ไปตามอุปปั ฏฐาก
ฮกษาพระพุทธเจ้ า ไปด้ วยลําดับบ้ านน้ อยแลนิคมห้ วยหนองคลอง
บึงบาง คือว่าแม่นํ ้าแลภูดอยทังหลาย ้ ควรโผดพระเจ้ าก็โผด คือว่า
คนแลเทวดาอาฮักกษ์มเหสักขาแลคุธนาคทังหลายแล้ ้ ว พระก็ไว้
ปาทลักขณ์แล้ ว ให้ เป็ นที่ไหว้ แลบูชา แก่คนแลเทวดาทังหลายแล้
้ ว
พระพุทธเจ้ าก็เสด็จไปเถิงด้ อยอัน ๑ ชื่อว่าดอยช้ างสาร เป็ นที่อดุ ม
ยิ่งนัก ดอยอันนันเป็ ้ นรูปช้ างนอนอยู่ มีสระนํ ้าบ่ออัน ๑ ตังอยู ้ เ่ หนือ
ปายดอยที่นนยั ั ้ งมีหินผาศิลาก้ อน ๑ ฮาบเฮียงเพียงงาม ก็ควรระเมา
เอาใจยิง่ นัก ยังมีพระยานาคตัว ๑ ออกมาขอสรณาคมดอมนัน้
พระพุทธเจ้ าก็อีดกู รุณายังพระยานาค ก็ให้ สรณาคมแก่พระยานาคแต่
นัน้
๑๕๔
พระยานาคก็ขอฮับเอาพระปาทลักขณ์ ไว้ ให้ แก่พระยานาคอุปปั ฏฐาก
เพื่อให้ เป็ นที่ไหว้ แลบูชา แก่คนแลเทวดาทังหลายก็
้ มีแล อถตทา
ในการเมื่อนันสั ้ กโกเทวราชา อันว่าพระยาอินทาธิราชก็มาติคนิงดังนี ้
ในใจแห่งตนว่า กูก็ควรลงไปไหว้ สพั พัญญูพระพุทธเจ้ าเทศนาให้ แจ้ ง
จิงควรแท้ ดีหลีแล อินทาติคนิงดัง่ นี ้แล้ ว โอตริตวาก็ลงมา คันว่ามา
ฮอดแล้ วก็ไหว้ นบแลบูชาวันทิตวา พระยาอินทร์ ก็ไหว้ พระพระพุทธเจ้ า
ว่า ภันเต ภควา ข้ าไว้ สพั พัญญูเจ้ า ในเมื่อพระพุทธเจ้ ายังอยูโ่ ผด
สัตว์โลกทังหลาย
้ ก็สมฤทธิบรบวรด้ วยคํามักคําปรารถนาแห่งสัตว์
โลกแท้ แล คันว่าสัพพัญญูเจ้ าหากมีนีพพานไปแล้ วดัง่ นัน้ คนทังหลาย ้
เขาทําบุญให้ ทาน รักษาศีลฟั งธรรม ได้ สร้ างกุศลโกศล คือว่าเป็ น
อันคุรุอนั ใหญ่ลหุ อันน้ อยอันเบาอันนัก ก็ยงั จักมีผลบุญผลอานิสงส์
เป็ นดัง่ ฤาก็ข้าจา เหมือนดังพระพุทธเจ้ ายังอยูโ่ ผดสัตว์โลกนี ้ ก็ข้าจา
ฤาฮู้ ว่าจักหาอานิสงส์บอ่ ได้ ก็ข้าจา ภควา อันว่าพระพุทธเจ้ าก็ได้ ยินคํา
พระยาอินทร์ หากไหว้ ตนดัง่ นัน้ พระพุทธเจ้ าก็เทศนาว่ามหาราชดูรามหา
ราชในเมื่อกูพระตถาคตนีพพานไปแล้ ว ท่อจักตังไว้ ้ ยงั คองแก้ ว คือว่า
ศาสนาไว้ ถ้วน ๕๐๐๐ วัสสาดัง่ นันบุ
้ คคลผู้ใดมีใจใส่ศรัทธาในศาสนาดัง่ นัน้
คือว่าให้ ทานรักษาศีลเมตตาภาวนากระทําบุญกุศลโกศลอันใหญ่อนั น้ อย
ดัง่ นัน้ อันว่าผลอานิสงส์แห่งเขาอันได้ กระทําบุญให้ ทาน รักษาศีลภาวนา
ในศาสนากูตถาคตปฐมหัวทีพนั ตนนัน้ ก็จกั มีผลอานิสงส์มีประมาณว่า
ได้ แสนกัลปแท้ แล ศาสนากูตถาคต ลดลงไปเถิงพันถ้ วน ๒ คนทังหลาย ้
กระทําบุญให้ ทาน สร้ างกุศลอันน้ อยใหญ่ก็ดี อันว่าผลอานิสงส์ก็มี
๑๕๕
ประมาณหมื่น ๑ แล ดูราอินทาธิราช ในเมื่อศาสนากูตถาคต ลาลด
ถอยลงไปถ้ วน ๓,๐๐๐ วัสสาดัง่ นัน้ คนทังหลายเขาเหลื ้ ่อมใสในศาสนา
เขากระทําบุญให้ ทานเมตตาภาวนา กระทํากุศลอันน้ อยอันใหญ่
อันว่าผลอานิสงส์บญ ุ มีประมาณพันหนึง่ แล เหตุเขาได้ กระทําบุญ
ดัง่ นัน้ เขาบ่เชื่อใสในกุศลบุญ ใจแห่งสัตว์ทงหลายเป็ ั้ นบาปธรรม
อกุศลเสีย จิงบ่มีผลมากคามเพื่อดัง่ นันแล ้ เจ้ าภิกขุตนฮับทานทายก
นันก็
้ บท่ รงธุตงั ควัตสิ ิบสามท่อบ่ฮกั ษาสิกขาบทอันน้ อยอันใหญ่ ท่อ
บ่ฮกั ษาแต่ปาราชึก ๔ ตัวทังยาก ้ จิงหาผลบ่ได้ เพื่ออันแล ้ ผิวา่
เจ้ าภิกขุทะรงวินยั ก็จิงมีผลมากพอสน่อยแล ดูราอินทาธิราช เหตุใด
กูตถาคตว่าอัน้ เหตุวา่ หาอรหันตาขีณาสวเจ้ าบ่ได้ แล ภันเตข้ าไหว้
สัพพัญญูเจ้ า ศาสนาสัพพัญญูเจ้ า ยังจักตังอยู ้ เ่ ท่า ๕,๐๐๐ วัสสาดัง่ นัน้
บุคคลเจ้ าองค์ใดแลจักขับตาม คําสอนสัพพัญญูเจ้ าก็ยงั จักมีก็ข้าฤา
ฮู้วา่ บ่มีก็ข้าจา เท่านับอยู่ ภควา อันว่าสัพพัญญูเจ้ าก็เข้ าเทศนาว่า
มหาราช ดูรามหาราช ลูกศิษย์กตู ถาคตเขามักน้ อยมักบาง หาบุคคล
ผู้จกั กระทําคองอันเป็ นที่สดุ ที่แล้ ว ในสิกขาบทอันน้ อยใหญ่ ก็หาบ่ได้
แล เท่านับอยูน่ บั กินตามอาจารย์แห่งเขาสัง่ สอนไว้ นนท่ ั ้ อขับตามฮิด
คองเขาไปนันแล ้ คันว่าศาสนาของเฮาไปเถิง ๔ พันวัสสาดัง่ นัน้ หา
บุคคลภิกขุตนใดตน ๑ จักชุมนุมกันพอถ้ วน ๔ ให้ ฮ้ วู า่ ทีสงั ฆกรรมมี
ต้ นว่าอุโบสถ จตุทสี สามัคคีก็หาบ่อมีได้ แล ดูรามหาราชในเมื่อ
ศาสนาของเฮาล่วงไปเถิง ๕,๐๐๐ วัสสามาตรว่าผ้ าเหลืองน้ อย ๆ ห้ อย
บ่าไปมาเขาสมมุตวิ า่ บุคคลผู้นนเป็
ั ้ นภิกขุภาวยามนันบุ ้ คคลผู้มีใจใส
๑๕๖
ศรัทธาให้ ทานก็มีผลแท้ แล เหตุวา่ เขาเหลื่อมใสในศาสนาของกู
พระตถาคตแท้ แล พระพุทธเจ้ าเทศนาแด่พระยาอินทร์ เท่านันแล้ ้ ว
พระยาอินทร์ ก็ไหว้ นบคมรพยําแยงสัพพัญญูเจ้ าแล้ ว ก็เสด็จเมือ
สูท่ ี่อยูแ่ ห่งตนก็มีแล กิริยาจาห้ องพระยาอินทร์ ลงมาไหว้ ถามผล
อานิสงส์แห่งคนทังหลาย ้ อันกระทําบุญให้ ทาน ก็เป็ นห้ องเท่านี ้
ก่อนแล ฯ
 อถสักโก ที่นนบั
ั ้ นอิ
้ นทาธิราช ก็เสวยสมบัตทิ ิพยแห่งตน
เลี ้ยงกาลอันนานนัก พระพุทธเจ้ าก็เสด็จเข้ าสูน่ ีพพานไป นานได้ สองพัน
ปายสี่ฮอยสามสิบพระวัสสาดัง่ นัน้ อินทาธิราชก็มาหลิงดูสตั ว์โลก
ทังหลาย
้ อันจักเป็ นโภยภัยหลายประการต่าง ๆ ก็มีแก่คนทังหลาย ้
หาสุขสําบายใจบ่ได้ จักเกิดโภยภัย ๗ ประการ ทุพภิกขาอัน ๑
คือว่าอึดข้ าวอัน ๑ คือว่าผีตกห่า อัน ๑ คือว่าโภยภัยต่าง ๆ แก่คน
ทังหลายมากนั
้ ก ยักษ์คนั ธัพพา ๔ ตัว มันให้ เกิดเป็ นไข้ ฮ้อนไข้ หนาว
แก่คนทังหลายทุ้ กบ้ านทุกเมืองก็มีแล ยักษ์ตวั ๑ มันกระทําให้ เป็ นไข่
เป็ นพอง เป็ นบาดเป็ นฝี เจ็บปวดเวทนามากนักก็มีแล ยักษ์ตวั ๑ มัน
กระทําให้ เป็ นเสือขบเสือกินควายชน แข่แลเงือกกินตายด้ วยประสูตร
ลูกแก่ผ้ หู ญิงทังหลาย
้ ยักษ์ตวั ๑ มันให้ บงั เกิดเป็ นท้ องขี ้ฮากตากหงาย
ลงเลือดลงมูกให้ ลําบากนักแล ยังมียกั ษ์ตวั ๑ ชื่อว่ามัคคะลาดมาฟั ง
คําป้อยคําด่าแส้ งคนทังหลาย ้ ด่าว่ามึงตายเนอว่าดัง่ นัน้ ก็ตายแท้
เสือขบเสือกินเนอก็กินผีหงุ ห่ากินเนอว่าดัง่ นันก็ ้ กินแท้ แล อินทาเจ้ าฟ้า
ใค้ อีดกู ณ ู าคนทังหลาย
้ จิงให้ คาถาแก่คนทังหลายแล
้ คันอยากเห็น
๑๕๗
หน้ าเจ้ าผู้มีบญ
ุ แท้ จงให้ พร้ อมกันฮักษาศีลฟั งธรรมเทอญ ก็จกั พ้ น
จากโภยภัยอนตาย จักได้ เห็นหน้ าผู้มีบญ ุ ชะแล เถิงปี ระกาจัก
บังเกิดโภยภัยอึดอยาก ผีหงุ ผีหา่ เจ็บพ้ องขี ้ฮากตากหงายตายมาก
นักแล อัน ๑ จักเป็ นกลหลทุกบ้ านทุกเมือง ในชมพูทีปนี ้แล เถิง
ปี ระกาไปต่อปี จอ จักบังเกิดเป็ นเสิกคนโจรวิวาทผิดเถียงกัน บ้ านใต้
ผิดบ้ านเหนือ บ้ านเหนือผิดบ้ านใต้ เฮือนใต้ ผิดเฮือนเหนือ เฮือนเหนือผิด
เฮือนใต้ ท้ าวพระยาทังหลายก็
้ ยาดชิ่งกันด้ วยเขตต์แดนไฮ่นาฮัวสวน ้
ขาดชพาดอาภรณ์ จักฆ่าฟั นกันตายหาคําสุขาสําบายใจบ่ได้ แก่คน
ทังหลายชะแล
้ พระยาอินทาธิราชเจ้ าจิงให้ เอาคาถานี ้ให้ แก่คนทังหลาย้
ใค่อยากเห็นหน้ าท่านผู้มีบญ ุ จิงภาวนาคาถาอันนี ้เทอญ ปูเรยุก
เขสัพ์พสตสัพ์พสัต์ตานํอิน์ธาเสฏฐํ กมุ พัน์ทมํ เทวเทโวสัพ์เพยัก์ขา
ปรายันตุ หิริโอตตัป์ปสัม์ปัน์นาสุกกาธัม์มา สัมมาหิตา ตัปปุริสสา
โลโกธัม์มาติอจุ จเร ดัง่ นี ้ว่า บุคคลผู้คด ภาวนาคาถาอันนี ้ พ้ นพยุโภ
ยภัยอนตายทังมวล ้ จักเห็นหน้ าท่านผู้มีบญ ุ ให้ วา่ พุทธํ สรณํ คัจ์ฉา
มิ ธัม์มํสรณํคจั ์ฉามิ สังฆํสรณํคจั ์ฉามิ ตาบต่อเท่าเถิงทุตติ ติเทอญ
เมื่อจักภาวนาให้ ชําระเนื ้อตนสระเก้ าดําหัวเสียแล้ ว ฮักษาศีล ๕ ศีล ๘
จิงภาวนาเทอญ จักได้ เห็นหน้ าท่านผู้มีบญ ุ ชะแล ให้ คมรพยําแยง
ผู้เฒ่าผู้แก่ พ่อแม่คบู าอาจารย์เทอญ พระยาอินทาเจ้ าฟ้าก็มาหลิงเห็น
อันเป็ นโภยภัยอนตายแก่คนทังหลายดั ้ ง่ นัน้ จิงไว้ คาถาบทนี ้ ให้ ภาวนา
ไปหาท่านผู้มีบญ ุ เทอญ เสทํสนํโสอสอธพุม ๒ บทนี ้ภาวนาไปหาเจ้ าผู้มี
บุญชะแล โอมนิทิตเิ ลสอุวหมมมาอิติ เขยยอิตกิ รมนมิทานนาโทม์ทิกะ
๑๕๘
บทนี ้ ภาวนากันยักษ์แลพะยุทงมวลแลั้ ให้ คนทังหลายฮู
้ ้ แจ้ ง
หนังสือพระยาอินทาเจ้ าเทอญ ในปี ระกาปี จอต่อกันนันท่ ้ านผู้มีบุญจัก
มาโผดสัตว์ทงหลายบ่
ั้ อย่าชะแล ท่านผู้มีบญ ุ นันเกิ
้ ดมาในเมืองภูชนุ ชะ
แล ยังไปเฮียนศาสตรศิลป์ในป่ าหิมพานต์ จบบรบวรแล้ วจิงจักออก
มาสร้ างเมืองทรายฟองหนองคําแสนแท้ แล ตาปั สโสอันว่าเจ้ ารัสสี ก็สงั่
สอนสิปปคุณบรบวรทุกสิ่งทุกอัน อัน๑คือว่าดําฮอดพื ้นปถวีพายลุม่ บท ๑
เผ่นขึ ้นเมือฟ้าดัง่ หงส์ บท ๑ มนต์ก่อมกุ้มหลับตาทัว่ ทังเมื ้ อง คน
ทังหลายบ่
้ ตงึ ตนได้ บท ๑ สบใส่ไม้ ล้มท่าวเป็ นถัน ฝูงสาขาหล่าวเลียนไป
เสี ้ยงบรบวรแล้ ว ตาปั สโสสัง่ สอนเจ้ าก็ยอยืน ให้ ธนูศลิ ป์อันประเสริฐ
เจ้ าก็ชมชื่นยินดี ต่อรัสสีเจ้ าพ่อคู เจ้ าก็ก้มขาบไหว้ ตาปั สโสลาเลิก
นบนอบนิ ้วพระรัสสีแล้ วลวดหนี ท้ าวก็เดินไปหน้ าเถิงทิพพระยาทรณ์
ตน ๑ เจ้ าก็ก้มขาบไหว้ ทรณ์เจ้ าซูอนั ผู้ข้าไหว้ เจ้ าพ่อพระยาทรณ์
ขอกูณาโผดผายตัวข้ า ข้ อยจักไปอยูส่ ร้ างเมืองใหญ่ทรายฟอง ขอ
อย่ามีอนตายถืกตนตัวข้ า ทรณ์สอนสัง่ ให้ สิปปคุณทุกสิ่ง สอนสัง่ ให้
บาท้ าวจือจํา บรบวรแล้ วพระยาทรณ์ ยอยื่นตระบองเพ็ชรแก้ ว ยอ
ให้ แต่บาแท้ แล้ ว ดูราท้ าวสิปปคุณอันนี ้ ท่านจักดําดินบินบนก็ได้ แล
ตระบองเพ็ชรอันนี ้กวัดแกว่งขึ ้นเป็ นนํ ้าเป็ นไฟก็ได้ แม้ นว่าข้ าเศิกศัตรู
จักมาท้ าวจงกวัดแกว่งไป อันว่าคนข้ าเศิกเขาก็อรทายหายไป บ่
อาจจักตังอยู
้ ไ่ ด้ แล พระยาทรณ์ก็สอนสัง่ ทุกประการถ้ วนถี่แล้ ว
ท้ าวก็อําลาเจ้ าพระยาตนพ่อคู ท้ าวก็มาตามลําดับทางแล้ ว สัมปั ตโต
ก็มาฮอดมาเถิงเมืองภูชนุ ก็มีแล คันว่าฮอดผาสาทอันเป็ นที่อยูแ่ ห่งตน
๑๕๙
แล้ ว แลบาก็นบนอบไหว้ พระแม่มารดา ขอกูณาโผดผายตัวข้ า
ข้ าจักไปหลํ่าเยี่ยมหนโลกโลกา อย่าให้ มีโภยภัยเบียดตนตัวข้ า ค่อม
ไหว้ แล้ วพระแม่มารดา บาก็วอย ๆ มาฮอดเมืองพายพี่ มาเถิง
ห้ องทรายทองหลิงหลํ่า เจ้ าผ่อเยี่ยมไปแท้ ซูพาย ก็จิงเอามือบายน้ าว
ศรทรณ์ยิงผ่า เป็ นดัง่ ฟ้าผ่าไม้ หกั หมุน่ เป็ นกระจวน คนทังหลายอั ้ นอยู่
ในชุมพูทีปทังมวล้ ก็ตื่นสะดุ้งตกใจกัวมากนักก็มีแล ปื นก็กบั คืน
มาสูแ่ หล่งดัง่ เก่าหันแล
้ ท้ าวก็ลงมาสูพ่ ื ้นปถวีถานตํ่า มือฮวยน้ าวสาย
ธนูแล้ วยิงไปดัง่ ฟ้าผ่า ๗ ทีนนแล ั้ ปื นก็กลับคืนมาแหลงดัง่ เก่าก็มีแล
แล้ วกายเกิดขึ ้นมาแท้ บน่ าน ปาสาทํ ยังผาสาท ๗ หลังพร้ อมทังหอห ้
ลิงหอเลยทังมวล
้ ก็ประดับไปด้ วยแก้ วช่อฟ้าแลดวงปี เปนดัง่
วิมานเทวดาเทวบุตร อันเกิดในชันฟ ้ ้ าตาวตึงสาก็มีแล ปาการํ อันว่า
ปราการเวียง ๓ ชันก็ ้ แวดล้ อมทุกกํ ้าทุกพาย หอหลิงหอเลยพร้ อมบ
รบวร ก็ควรอัศจรรย์มากนักแล อันว่าเสนาทัง้ ๔ ก็เกิดมาไหว้ คม
รพอยูก่ ็มีแล อันว่าเสนาอํามาตย์ทงหลายอั ั้ นได้ ๓ แสน ๖ หมื่นก็เกิดมา
มากนัก อันว่านางนักสนมทังหลายก็ ้ ได้ สามพันหกหมื่นก็มา
แวดล้ อมอยูท่ กุ วันทุกยามก็มีแล เจ้ าเสด็จขึ ้นสูห่ อผาสาทแล้ ว ก็นงั่
อยูเ่ หนือแท่นแก้ วอันประดับด้ วยแก้ ว ๗ ประการ ดูฮงุ่ เฮืองงามเป็ นดัง่
วิมานแห่งเทวบุตรนันก็ ้ มีแล อถ ในกาลยามนันสวนดั ้ ง่ รี พ้ ลพหล
โยธาทังหลายก็
้ ได้ เป็ นแสนโกฏิก็บงั เกิดมา ก็ด้วยเดชานุภาพบุญสมภาร
ก็มีแล อันว่าช้ างม้ าก็เกิดมาได้ ด้วยล้ านด้ วยแสน ก็เข้ ามาสู่
สมภารมหาสัตว์เจ้ าตนบุญมาก สวัณณํรัชชตํ อันว่าเงินคํา
๑๖๐
แก้ วแหวน ๗ ประการ ก็ไหลหลัง่ เข้ ามาสูเ่ หล่มฉางมากนักแล อันว่า
เสื ้อผ้ าเงินคําฮัวแฮแพจี ้ นก็เกิดมา ด้ วยบุญสมภารเจ้ ามากนัก อันว่า
เข้ าของคือว่าข้ าวเปื อกข้ าวสารทังหลาย ้ ก็ได้ ไหลหลัง่ มามากนัก อัน
ว่าคนทังหลายเก็
้ บได้ กระทําไฮ่นา เถิงกาลดูหากเกิดมาด้ วยบุญสมภาร
มหากษัตริย์ตนนันแล ้ อันว่าตลาดใหญ่ตงเดี ั ้ ยรดาษเป็ นถัน ยูทา่ ง
คนทังหลายซื
้ ้อขายตามคํามักชูประการก็มีแล อันว่าฝูงชายหนุม่ น้ อย
เป็ นบ่าวนงฮาม ยูทา่ งกินสุราปี บโฮทังค่ ้ าย อยูส่ นุกล้ นทรายฟอง
เมืองเอก ฮ้ อยประเทศท้ าวมาน้ อมส่วยไฮ คนไหลเข้ าทรายฟอง
แสนโกฏิ คับคัง่ เท่าเมืองกว้ างซูพายก็มีแล ท้ าวก็เททานให้ สงั โฆ
ทุกหมู่ อยูส่ ําบายสุขเพิ่งบุญบาท้ าว ท้ าวก็บม่ ีกวั เกงสังแต่ข้าเศิก
ศัตรูก็หาบ่ได้ แล อันว่าคนทังหลายอยู ้ ป่ ระเทศ ก็เข้ ามาสูส่ มภาร
บ่ขาดหันแล ้ ท้ าวพระยาทังหลายก็ ้ นํามาส่วยไฮทุกปี ๆ ก็ด้วยเดช
สมภารมหาสัตว์เจ้ าก็มีแล อถตทา ในกาลเมื่อนัน้ พุทธฮูปพระสหิง
เจ้ าก็เสด็จมาด้ วยลวงอากาศ มาตังอยู ้ ใ่ นเมืองทรายฟองโผดคน
ทังหลายก็
้ มีแล โภยภัยทังมวลก็ ้ ระงับกับหายบ่บงั เกิด ด้ วยเดชะ
พุทธฮูปเจ้ าองค์ประเสริฐ คนทังหลายอยู
้ ส่ ําบายด้ วยข้ าวนํ ้าเครื่ อง
บริโภคทังมวล ้ ก็ด้วยบุญสมภารมหาสัตว์เจ้ าตนนัน้ ก็อปุ ั ฏฐาก
พุทธฮูปเจ้ าหันแล ้ คนทังหลายก็
้ บไ่ ด้ กระทําไฮ่นาฮัวสวนกิ ้ นก็หาบ่ได้
เครื่ องทังหลายมี
้ ต้นว่าเสื ้อผ้ าอาภรณ์ ก็หากเกิดด้ วยบุญสมภารพระยา
บุญตนนันแล ้ อันว่าคนทังหลายก็
้ บม่ ีใจเบียดเบียฬกันสังสักอัน หา
ลักหาโจรบ่ได้ เขาก็บเ่ บียดบีบตีกนั ด้ วยขอบไฮ่ดนิ นา ฮัวสวน

๑๖๑
ช้ างม้ าวัวควายของเลี ้ยงของดูเซิงกันไปมา ยูทา่ งกระทําบุญให้ ทาน
ตามอันมักแห่งเขาอันว่าโภยภัยอนตายอันใด ก็บอ่ บังเกิดแก่คนทังหลาย ้
ก็มีแล ตทา ในกาลเมื่อนัน้ อันว่าแท่นแห่งพระพุทธเจ้ าพระสหิงนัน้
ก็อยูใ่ นถํ ้าคูหา อัน ๑ อยูจ่ ิมใกล้ แคมแม่นํ ้า อัน ๑ อยูฝ่ ่ ายข้ าง
ดอยผาบทกํ ้าหนเหนือ ยังมีตระกูลผู้ ๑ มีนามปรากฏเขื่อนทันบุรินทร์
บุคคลผู้นนเป็ ั ้ นคนเลื่อมใสในคุณแก้ ว ๓ ประการ ถือสัจจ์ ๔ ประการ
ท่านผู้นนอุ
ั ้ ปัฏฐากปิ นปั วบัวระบัตปิ ั กกติ ในแท่นพระสหิงเจ้ าหันแล ้
ท่านก็จกั ได้ นําเอายังแท่นพระพุทธฮูปออกมาถวายแก่ทา่ นผู้มีบญ ุ ก็
จักได้ เอายังแท่นองค์พระพุทธฮูปเจ้ า ก็ด้วยบุญกรรมอันท่านทังหลาย ้
หากกระทําแต่ก่อนพุ้นแล คันว่าเมี ้ยนคาบแล้ วก็จกั เมือเสวยสุขตาม
บุญแห่งตนก็มีแล พระสหิงเจ้ าก็ให้ บงั เกิดยังสุขสวัสดี ในเขตต์
โขงตรงแดนเมืองทรายฟองเทพมหานคร ก็ปรากฏอาบซาบไปด้ วย
เตชสมภารพระสหิงเจ้ าแล สมภารพระมหากษัตริย์ตนมีบญ ุ อันมาก
ก็มีอนั นันแล้ เจ้ าเสวยเมืองทรายฟองนานได้ ๑๖ ปี แล้ ว สวนดัง่
นางเทวีก็ทรงครรภ์ได้ ๑๐ เดือนแล้ ว วิชายิ ก็ประสูตอิ อกแล้ วเป็ น
กุมารผู้ ๑ มีฮปู อันงามยิ่งนักเป็ นดัง่ คํา อันช่างผู้ฉลาดหากเรี ยงในเบ้ า
บ่เศร้ าแลดูงาม ส่วนอันว่าพระยาตนพ่อก็ใส่ชื่อนามกรกุมารผู้นนั ้
ชื่อว่าท้ าวอําคา เหตุวา่ ฮูปอันงามยิ่งนักก็มีแล เจ้ ากุมารผู้นนั ้
เกิดมาแล้ วก็หาพยาธิโรคาบ่อได้ มีสติปัญญาก็ฉลาด มีบญ ุ สมภาร
ก็มาก มีฮปู ก็งามเป็ นดัง่ เทวบุตรลงมาแต่ชนฟ ั ้ ้ าก็มีแล ฝูงคนทังหลาย ้
เห็นฮูปท้ าว ก็เป็ นที่ฮกั และเพิงใจ แก่คนและเทวดาทังหลาย ้ มี
๑๖๒
ศาสตราศิลป์ก็กล้ าคมยิ่งนัก ฝูงสาวน้ อยหนุม่ ทังหลายเห็
้ นฮูปเจ้ าก็
สลบทบท่าวไป ด้ วยฮูปกายแห่งกุมารผู้นนหั ั ้ นแล
้ ตทา ในกาล
เมื่อนันเจ้
้ าก็ขึ ้นใหญ่ ด้ วยลําดับปี เดือนนานนัก ได้ ๑๖ ปี แล้ วเจ้ า
ก็ไหว้ พระบิดาแห่งตนว่า ข้ าไหว้ พระบิดาเป็ นเจ้ าข้ าจักเข้ าป่ าไม้ ไพยะ
มาสหิมพานต์ ไปไหว้ เจ้ าตาปั สโสพระยอดคุณพายพุ้น บิดาไท้
พระยาปุนกอยกล่าว เจ้ าจงไปฮอดผู้รัสสีเจ้ ายอดคุณพ่อท่อน อถ
ในกาลเมื่อนันเจ้ ้ าอําคาตนประเสริฐ สัง่ พ่อแล้ วบาท้ าวล่วงไป ตนเดียว
ผ่ายดงหลวงไพยะมาส ไปฮอดผู้รัสสีเจ้ ากูนาผายโผด สอนสัง่ ให้
สิปปคุณอันวิเศษ ข้ าจัดไปอยูส่ ร้ างเมืองบ้ านที่ไกล ค้ อมว่า
แล้ วรัสสีสอนสัง่ บอกให้ แก่เจ้ าอําคาท้ าวซูอนั มนต์ไต่นํ ้าเดินไปได้
โยชน์แม่นจักดําสอดพื ้นแผ่นดินก็ดงั เดียว อัน ๑ แม่นจักบินบนผ่าย
เวหาอากาศ เป็ นดัง่ หงส์บนิ ผ่ายไปแท้ บส่ งู แม่นจักมนต์ก่อมกิ ้ง
หลับทัว่ ทังเมื
้ อง คนทังหลายบ่
้ ตีงตนได้ บาก็เฮียนเอาแล้ ว
สิบปปคุณทุกสิ่ง ท้ าวก็ชมชื่นดังใจเจ้ าซูอนั พระรัสสีก็บายเอาให้
ธนูศลิ ป์อันประเสริฐ ว่าดูราท้ าวกุมารท่านธนูศลิ ป์ได้ แล้ ว ท่านอย่า
กลัวอันใดเทอญ คันว่ายิงธนูอนั นี ้ จักใช้ ให้ เป็ นไฟก็ได้ ดงั่ ใจนัก จัก
ใช้ ให้ เป็ นนํ ้าก็จกั เป็ นนํ ้าท่วมไล่ข้าเศิกศัตรูทงมวลแล
ั้ ผิวา่ ใช้ ให้ ไป
กําจัดข้ าเศิกก็ฉิบหายเสียเสี ้ยงบ่หลอแท้ แล ตทา ในกาลเมื่อนัน้
ท้ าวอําคากุมารก็สงั่ อําลาพระรัสสีเจ้ าแล้ ว ก็คืนมาหาบ้ านเมืองแห่งตน
แล้ ว ก็ไหว้ พระบิดามารดาพ่อแม่ แล้ วก็สงั่ อําลาพระยาตนพ่อว่า ข้ า
ไหว้ พระบิดาเป็ นเจ้ า ข้ าจักไปหลํ่าเยียมหนโลกเมืองไกลก่อนแล้ ว ขอ
อย่ามี

๑๖๓
โภยภัยเบียดเบียฬตัวข้ า ขอให้ พระบิดาเจ้ าอนุญาตโทษาแก่ข้าเทอญ
พระยาพ่อก็ให้ อนุญาตแล้ ว ท้ าวก็บายเอาธนูทิพย์กบั ดาบสีคนั ไช
แล้ วก็เสด็จไปด้ วยลวงอากาศ ก็ไปฮอดไปเถิงเมืองใหญ่กลุ าแล้ วก็ห
ลํ่าหลิงดูไปทุกแห่งแล้ ว ก็เป็ นอันเต็มไปทุกบ้ านทุกเมืองแล้ ว ก็กบั
คืนมาฉะเพาะหน้ าเถิงนครเชียงใหม่แล้ ว ก็เต็มไปด้ วยคนทังหลายทุ
้ ก
บ้ านทุกเมืองก็มีแล เจ้ าก็หลิงมากํ ้าทิศาเภณีทกุ ที่ทกุ แห่งแล้ ว ก็
เป็ นบ้ านเป็ นเมืองซูที่ซูแห่งแล้ วก็มีหนแล
ั้ เจ้ าก็ทราบไปเถิงเชียงแสนเชียง
ของก็เป็ นเมืองฮ้ างอยู่ บ่มีท้าวพระยาอยูเ่ สวยเมืองที่นนั ้ เจ้ าก็ฮว
ยมือน้ าวธนูศลิ ป์ยิงผ่า เป็ นดัง่ เสียงฟ้าผ่าฮ้ องดัง่ ก้ องทุกแดนเป็ นดัง่
ฟ้าผ่า ๗ ทีก็มีแล ท้ าวก็ลงสูพ่ ื ้นปถวีพายลุม่ เจ้ าก็บายเอาธนู ศิลป์ยิงไป
ห้ อมขงเมือง ๓ ฮอบ ก็บงั เกิดเป็ นเวียงแวดอ้ อม ๓ ชัน้ มีหอเลยมี
ปราการอ้ อมเป็ นดัง่ คนเฮานันแล ้ แล้ ววอดบังเกิดขึ ้นผาสาท ๗ หลัง
โฮง ๆ ใสดัง่ ดาวตึงฟ้า บังเกิดขึ ้นเสนาเค้ าขุนหลวงทัง้ ๔ นบนอมนิ ้วชู
ลีไหว้ ซูพาย เสนาพร้ อมสามพันหกหมื่น มาแวดล้ อมบาท้ าวซูพาย
นางสนมพร้ อมสามพันหกหมื่น มาแนบเฝ้าบาท้ าวซูพาย อันว่าคน
ไหลเข้ าเชียงแสนแสนโกฏิ ช้ างแลม้ าไหลเข้ าซูทางเงินคําล้ นไหลมาคับ
คัง่ คือดัง่ ฝนหลัง่ ล้ นเดือน ๙ เห่งมา เสื ้อผ้ าพร้ อมทังแผ่
้ นแพรขาว
กาสาไหลนองมาดังทรายไหลแล้ ง ตลาดใหญ่ตงเดี ั ้ ยรดาษเป็ นแถว ยู
สําบายสุขไพ่ไทยทังค่ ้ าย ฝูงบ่าวน้ อยคนเปี ยวซายฮาม เสียงโห่นนั ทัว่
เมืองทังค่
้ าย อยูส่ นุกล้ นเชียงแสนสนุกยิ่ง ฝูงไพ่น้อยไหลเข้ าสูพ่ าย
เขาก็บฮ่ ้ อนกระทําไฮ่นาสวน เถิงยามมาก็หากมี

๑๖๔
เต็มเล้ า ก็บบ่ งั เกิดแท้ คนลักเอาของ ทังงั ้ วควายบ่หอ่ นมีคนฆ่าก็
สุขอยูย่ ้ อมบุญบารมีมาก ยูทา่ งเททอดให้ สงั โฆเจ้ าซูองค์ ก็หากฤๅชา
เท่าเชียงแสนสนุกยิง คําซ่าเท่าเมืองกว้ างซูแดน อันว่าคนไหลเข้ า
เชียงแสนบ่มีขาด เจ้ าสนุกอยูส่ ร้ างเมืองกว้ างแห่งตน ก็บม่ ีหย่อนย้ า
นทุกประเทศแดนไกล ยูสําบายสุขไพ่ไทยยอย้ อง ตทา ในกาลเมื่อนัน้
คําซ่าเท่าพระยาใหญ่สามขา พระยาก็โกธาแข็งเคียดเคมบ่มียา่ นก็มี
แล ตทา ในกาลยามนันพระยาสามขาก็ ้ เข้ ามายังเสนาอํามาตย์มาพร้ อม
เพรี ยงกันแล้ ว ก็ตกแต่งรี พ้ ลทังหลายได้ ้ สามล้ านปายสี่แสน พระยาก็
เสด็จไปกับด้ วยเสนาโยธาทังหลาย ้ ไปด้ วยลําดับคาวทางนานได้ ๓
เดือนแล้ ว สัมปั ตโต ก็ไปฮอดไปเถิงนาหลวงทุ่งใหญ่แล้ วก็ตงอยู ั ้ ท่ พั
ฮาวคาวจอดอยูใ่ นที่นนแล้ ั ้ ว ก็ใช้ ขา่ วสาส์นไปเถิงท้ าวอําคาอันเป็ นเจ้ า
เมืองแสนว่า ตูราพระยาเชียงแสน ท่านจักโดยเฮาฤๅ ฤๅว่าบ่โดยนัน้
จา เถิงฤดูแท้ สงั ขารปี ใหม่เมื่อใด ท่านจงนําช้ างม้ าเงินคําแท้ สว่ ยเฮา
คันว่าบ่โดยเฮาแท้ จกั ตัดหัวให้ ขาด คันว่าจักสู้แท้ เชียงแสนให้ วา่ มา
ท่อน ตูจกั บ่ไว้ เมืองท้ าวบ่ยอมแท้ แล้ ว คันว่าขืนขัดแล้ วจํานายใช้
ฮีบ ขึ ้นขี่ม้าตัวกล้ าฮีบไป เถิงท่านท้ าวเมืองใหญ่เชียงแสน เขา
ก็เมือขาบไหว้ ทลู เจ้ าบ่นาน ฝูงทูตาเจ้ าสามขาเมืองใหญ่ มาฮอด
เจ้ าพายพี่ขาบกรณ์ ว่าให้ เจ้ าองค์อาจยอมตนจงให้ มีช้างม้ าเงินคําแท้
ขาบถวาย เถิงเมื่อสังขารข้ ามฮอดเถิงปี ใหม่สง่ ส่วยเจ้ าอย่าได้ หลาคา
ตทา ในกาลเมื่อนันอํ
้ าคาเจ้ าตนอาจเชียงแสนจิง กล่าวว่าดูราท่านนายทู
ตาคนใช้ สจู งคืนคอบท้ าวพระยาใหญ่สามขาเที่ยว

๑๖๕
เทอญ ให้ สนู ําบรรณาการไปส่วยไฮกูแท้ กูนี ้ฤๅชาแท้ เสวยราชย์
เสียงแสน กูก็บม่ ีกวั แท้ เมืองใดสักหยาด ให้ นําช้ างม้ าเงินคํานัน้
ส่วยกูวา่ เนอ คันว่าบ่นํามาแท้ บรรณาการส่งส่วยกูนนั ้ กูจกั ฟั นมอด
เมี ้ยนตายแท้ บห่ ลอ สูจงคืนคอบเจ้ าพระยาใหญ่สามขา จงให้ เดาดารี ้
พลกับต่าวคืนเมือบ้ าน อันบิดาไท้ ภรรยาลูกรักสูนนั ้ เขาอยูบ่ ้ านคอง
ถ้ าจ่มหาแลนา อถ ในกาลเมื่อนัน้ พระยาเชียงแสนกล่าวดังนัน้ บันคน ้
ใช้ พระยาสามขาก็ลาลงหนีจากบาบุญกว้ าง เขาก็เมือฮอดเท่าทัพฮาว
คาวจอดแล้ ว ก็ก้มขาบไหว้ พระยาเจ้ าแห่งเขา พระยามีใจโกธเคียด
มากนัก เป็ นดัง่ งูอิสรพิษ อันท่านหากไม้ มาตีวงหางนันแล ้
กล่าวว่าเฮาจักไปรบเอาเมืองเชียงแสนให้ ได้ เทอญ ว่าดัง่ นัน้ อถ ตทา
ในกาลเมื่อคนใช้ หนีจากเมืองแล้ วดัง่ นัน้ พระยาเชียงแสนก็สงั่ เสนา
อํามาตย์ ให้ ฮกั ษาบ้ านเมืองแห่งเฮาก่อนเทอญ เฮาจักเมือขออัญเชิญ
พระยาบิตามาแข็งบ้ านเมืองก่อนแล ค้ อมสัง่ เสนาอํามาตย์แล้ ว
ดังนันก็
้ บายเอาธนูกบั ดาบสีคนั ไชแล้ ว เจ้ าก็เสด็จมาด้ วยลวงอากาศ
มาเถิงเมืองทรายฟองอันเป็ นเมืองพ่อดัง่ นัน้ เจ้ าก็ลงมาจากอากาศ
แล้ ว ก็ขึ ้นเมือสู่ผาสาทพระยาพ่อแลแม่แห่งตนแล้ ว ก็ไหว้ วา่ ข้ าแด่
พระบิดาธิราชเจ้ า ข้ าผู้ลกู ก็ได้ เมืองใหญ่เชียงแสนที่พ้ นุ ก็ด้วยสมภาร
พ่อเป็ นเจ้ าก็ข้าแล ยังมีพระยาตน ๑ เป็ นใหญ่กว่าท้ าวพระยา
ทังหลาย
้ เรี ยกชื่อว่าพระยาสามขา ก็ได้ เสวยเมืองอัน ๑ ชื่อว่าเมือง
ลื ้อนคร ก็เต้ าเอารี พลพหลโยธามาประมาณว่าได้ ๑๒ โกฏิ มาตัง้
ทัพฮาวคาวจอดอยูใ่ นนาหลวงทุง่ ใหญ่ที่พ้ นุ เขาก็ใช้ ขา่ วสาส์นมาเถิง

๑๖๖
ข้ าผู้เป็ นลูกว่า ให้ นําดอกไม้ เงินคําช้ างม้ าวัวควาย เมือส่วยไฮทุกปี ๆ
ว่าดัง่ นัน้ ข้ าผู้เป็ นลูกก็มีขา่ วสาส์นเมือตอบว่าให้ ทา่ นพระยาใหญ่สามขา
ให้ สนู ําบรรณาการส่วยไฮเฮาพี่ กูบอ่ มีกวั เกงย่านฝูงพระยาเมืองอื่น
ที่ใดนัน้ ให้ สนู ําช้ างม้ าเงินคํานันส่
้ วยกู ข้ าผู้ลกู ก็มีขา่ วสาส์นไปตอบ
ดัง่ นัน้ บัดนี ้ขอพ่อเป็ นเจ้ าเมือดอมข้ าอย่าไลแด่ทอ่ น พระยาเชียงแสน
ตนลูกก็เล่ากิริยาอาการดัง่ นัน้ ที่นนพระยาใหญ่
ั้ ตนเป็ นเจ้ าเมืองทราย-
ฟอง คันว่าเจ้ าได้ ยินพระยาตนลูกเล่าเหตุแก่ตนดัง่ นัน้ เจ้ าก็บอ่ กัว
สักหน่อย เจ้ าก็มกั ใค่เมือกับด้ วยลูกว่า ดูราเจ้ าลูกฮักแก่พอ่ เฮย เจ้ า
อย่ากัวเกงสังก็พอ่ เทอญ แม้ วา่ มันจักล้ นเหลือดินก็ตามส่างเขาท่อน
แม้ นว่าเขาจักบินบนขึ ้นเวหาอากาศก็สา่ งเขาพ่อท่อน แม่นว่าเขาจักฮว
ยมนต์กล้ าเป็ นคนเหลือแผ่นก็ตาม แม้ นว่าเขาจักดําสอดพื ้นมาแท้ ก็
บ่อกัว เขาจักมนต์เป่ าให้ เป็ นไฟเผาแผ่นก็ตาม เขาจักมนต์เป่ าให้ เป็ น
นํ ้าท่วมนองก็ดี ก็บอ่ กัวอาคมเขาท่อไยยองน้ อย พระยาใหญ่ทราย
ฟอง จาด้ วยลูกแห่งตนดัง่ นัน้ พระอาทิตย์ก็ตกตํ่าคํ่าไปแล้ ว พระยาทัง้
๒ พ่อลูกก็นอนอยูเ่ หนืออาสนาอันดีแล้ ว วิภาตายรัตติยาในคืนวันนัน้
ฮ่ง สายสุริยะก็พงุ่ ขึ ้นมา พระยาทังสองพ่ ้ อลูกก็ลกุ จากอาสนาแล้ ว
ก็สงนํ ้าชําระเนื ้อตนบรบวร ก็เสวยข้ าวนํ ้าโภชนอาหารเหนือไตคํา อัน
นายพ่อครัวหากตกแต่งมาถวายหันแล ้ คันว่าเสวยข้ าวแล้ ว ๒
กษัตริย์ก็ตกแต่งเดาดา ถือเอาธนูแลตะบองเพ็ชรแล้ วก็สงั่ อํามาตย์
ว่า ดูราเสนาทังหลายเฮย
้ เฮาพระองค์ก็จกั ไปกับด้ วยลูกเฮา
เจ้ าพระยาเชียงแสนก่อนแล ท่านทังหลายจงฮั
้ กษาบ้ านเมือง

๑๖๗
ก่อนเทอญ ค้ อมว่าพระยาสัง่ เสนาทังหลายแล้้ ว ๒ กษัตริย์ก็
เสด็จไปด้ วยลวงอากาศ ก็ไปฮอดไปเถิงเมืองใหญ่เชียงแสนพอยาม
งาย ก็ขึ ้นเมือสูผ่ าสาทโฮงหลวงแล้ ว ก็สถิตอยูเ่ หนือแท่นแก้ ว
ด้ วยศรี สวัสดีหนแล ั้ ตทา ในกาลเมื่อนันบั ้ นเสนาทั
้ งหลายก็
้ พร้ อมกัน
มาแวดล้ อม อ้ อมเฝ้าพระยาทัง้ ๒ ฮอดทุกกํ ้าทุกพายหันแล ้ แต่นนั ้
นายพ่อครัวก็ตกแต่งพางายมาถวายพระยาทัง้ ๒ พระองค์ ๆ ก็เสวย
ข้ าวงายแล้ ว ๆ เจ้ าก็แต่งเดาดา ถือธนูแลดาบสีคนั ไช ก็เสด็จไปเถิง
นาหลวงทุง่ ใหญ่ ที่พระยาสามขาเอารี พ้ ลมาตังทั ้ พฮาวคาวจอดอยู่
พระยาสามขาทิสวาคันว่าเห็นพระยาทัง้ ๒ พ่อลูกไปเถิงดัง่ นัน้ ก็เอิ ้น
ป่ าวเสนาแก้ วหาญทังหลาย ้ ให้ ห้างศาสตราวุธทุกทัพทุกที่แล้ ว ก็
ฉะเพาะเพื่อรบเล็วกับด้ วยพระยาทัง้ ๒ ก็มีแล อถ ในกาลเมื่อนันบั ้ น้
พระยาตนลูก ก็กล่าวคําด้ วยสีหนาทบ่เกงขามว่า ดูราพระยาสามขา
เฮย จงให้ ทา่ นเอารี พ้ ลเสนาแห่งท่านคือเมือเมืองแห่งท่านเสียเทอญ
ลูกแลเมียแห่งท่านทังหลายก็ ้ วา่ จักคองหาทุกวันทุกคืนบ่อขาดชะแลผิ
ว่าสูบ่ ค่ ืนเมือ ดัง่ นันจงพร้
้ อมกันนํารี พ้ ลช้ างม้ าเมือน้ อมนมัสการเฮา
พระองค์ประการ ๑ จงให้ ทา่ นเข้ าเมือมอบเมือง ส่วยดอกไม้ เงินคํา
ทุกปี ๆ นันเทอญ
้ พระยาเชียงแสนกล่าวดัง่ นัน้ บันพระยาสามขาได้

ยินแล้ ว ก็ลวดมีใจอันเคียดมากนัก ก็เตินป่ าวโยธาแก้ วหาญ
ทังหลายเพื
้ ่อจักรบเล็วดัง่ นันแล้้ ว ท้ าวก็บายเอาธนูแล้ วก็ยิงไปประดุจ
จะดัง่ ฟ้าผ่าได้ ๗ ที อันว่าบุคคลทังหลาย
้ คือช้ างม้ าก็ล้มท่าวตายไป
บ่เศษสลอก็มีหนแล ั้ ส่วนว่าปื นก็ไปตัดยังหัวแห่งพระยาสามขา ก็
เถิง

๑๖๘
ซึง่ อนตายไปบัดเดียวหันแล ้ ท้ าวก็เห็นคนแลสัตว์ตายไปบ่เศษ
สลอดัง่ นัน้ พระยาก็ซํ ้ายิงธนูให้ คนแลสัตว์ช้างม้ าโยธาคืนมาดัง่ เก่า
อันว่าคนทังหลายอั ้ นตายแล้ วก็คืนมา ช้ างม้ าทังหลายก็
้ คืนหมดเสี ้ยง
เสียแล้ ว เขาก็พร้ อมกันทูลเมือไหว้ ทกุ คน ๆ หันแล ้ พระยากล่าวว่า
ดูราท่านทังหลายฝู้ งเป็ นเสนาโยธาทังหลาย
้ จงคืนเมือสูบ่ ้ านสูเ่ มือง
แห่งสูทงหลายเทอญ
ั้ อันว่าลูกแลเมียพายบ้ านแห่งสูทงหลายก็ ั้ จกั
คองเห็นหน้ าชะแล ตทา ในกาลเมื่อนันบั ้ นคนทั
้ งหลาย
้ คันว่ ้ าได้ ยิน
พระยากล่าวดัง่ นัน้ เขาก็ยอมือไหว้ ตงไว้
ั ้ เหนือหัวทุกคน ๆ ยัง
มีเสนาใหญ่ผ้ เู ป็ นแก่กว่าคนทังหลาย
้ ท้ าวพระยาใหญ่น้อยก็พร้ อม
กันว่าไหว้ ท้าวเธอ ข้ าไหว้ เจ้ าผู้หาทุกข์บไ่ ด้ ฝูงข้ าทังหลายขออั้ ญเชิญ
เจ้ ากูทงั ้ ๒ ให้ ลงมาในท่ามกลางทัพที่นี ้ ฝูงข้ าทังหลายขอถวายยั ้ ง
เครื่ องฝูงนี ้ มีเครื่ องศาตราวุธ หอก ดาบ และช้ างม้ าทังหลายฝู ้ งนี ้
แก่เจ้ าข้ าทัง้ ๒ ขอให้ ไว้ ชีวิตแก่ฝงู ข้ าแด่เทอญ พระยาทัง้ ๒ พ่อลูก
คันว่าได้ ยินถ้ อยคําฝูงโยธาเสนาอํามาตย์ไหว้ ขอโยมดังนัน้ เจ้ าทัง้ ๒ก็ลง
มาในกลางหมูค่ นทังหลายแล้้ ว เขาก็ขออัญเชิญเจ้ าทัง้ ๒ ขึ ้นสูช่ ้ าง
มังคละตัวประเสริฐ อันห้ างแล้ วด้ วยเครื่ องประดับประดาทังหลายแล้ ้ ว
ก็แห่แหนเอาพระยาทัง้ ๒ คืนมาสูเ่ มืองเชียงแสนเทพมหานครแล้ ว ก็
ขึ ้นสูว่ ิชยั ยนต์ผาสาทแล้ ว เขาก็พร้ อมกันถวายบ้ านเมืองทังมวลแก่ ้
พระยาทัง้ ๒ ว่า เทวฝูงข้ าไหว้ มหาราชเจ้ า บัดนี ้ฝูงข้ าทังหลายขอถวาย

บ้ านเมืองทังมวล
้ ในอาณารัฐเขตต์ขงกงเมืองสามขาและเมืองน้ อย
๑๒ หัวเมือง เป็ นข้ าส่วยไฮบ่ขาดแก่มหาราชเจ้ าทังมวลก็
้ ข้าเทอญ ตัง้

๑๖๙
แฮกแต่วนั นี ้ไปหน้ าขอมหาราชเจ้ าจงเป็ นเจ้ าแก่ฝงู ข้ าทังหลายก็ ้ ข้าเทอญ
เสนาอํามาตย์ท้าวพระยาก็พร้ อมกันถวายบ้ านเมืองและหอกดาบ ช้ าง
ม้ าทังมวลแล้
้ วเขาก็อําลามหากษัตริย์เจ้ าแล้ ว ก็หนีเมือหาบ้ านหาเมือง
แห่งพระยาสามขา อันเป็ นที่อยูแ่ ห่งตนก็มีแล อถตทา ในกาลเมื่อนัน้
พระยาทรายฟองตนเป็ นพ่อ เจ้ าก็สงั่ ลูกแก้ วใค่จกั คืนมาหาบ้ านเมือง
แห่งตน ก็บอกให้ หมูเ่ สนาทังหลาย ้ ก็จงพร้ อมกันปฏิบตั เิ จ้ าพระยา
ตนเป็ นลูกแห่งเฮา ไว้ ให้ เป็ นนาคราชในเมืองเชียงแสนมหานครที่นี ้
อย่าได้ ประมาทสักคนเทอญ เฮาพระองค์ก็ใค่จกั คืนเมือหาบ้ านเมือง
แห่งเฮาก่อนแล พระยาก็สงั่ เสนาอํามาตย์แล้ ว ก็แต่งห้ างจัดดาบสี
คันไชและธนูทิพย์แล้ ว ก็เสด็จมาด้ วยลวงอากาศ สัมปั ตโต ก็มาฮอด
มาเถิงเมืองทรายฟองเทพมหานครแล้ ว ก็ขึ ้นสูผ่ าสาทมีอํามาตย์เสนา
หากชะพัศแวดล้ อมอ้ อมเป็ นบริวารก็มีหนแล ั้ เจ้ าก็สนุกชมชื่นยินดีด้วย
ชาวเมืองทรายฟองทังมวล ้ ทําบุญให้ ทานบ่ขาดทุกวัน ๆ ก็มีแล บ่อาจ
จักกัวเกงแต่ท้าวพระยาข้ าเศิกทังมวล ้ อันจักมาเถิงแก่บ้านเมืองก็หา
บ่ได้ สกั แห่งก็มีแล เจ้ าก็เสวยราชสมบัตใิ นเมืองทรายฟองที่นนนาน ั้
ประมาณว่าได้ ๘๑ ปี แล้ ว เจ้ าสุระคตจุตจิ ากฟากเมืองคน ได้
เอาตนเมื่อเสวยสมบัตใิ นเมืองฟ้าเสวยสุขก็มีแล กิริยาอาจารย์เจ้ า
ผู้มีปัญญา จาแก้ ไขในเรื่ องเมืองทรายฟองจักเกิดมาภายหน้ าให้
นักปราชญ์เจ้ าทังหลายผู
้ ้ ฉลาดด้ วยปั ญญาจงพิจารณาในมโนทวารจื่อ
จําไว้ อันเทพยูดาหากมาบอกแก่ชาวเมืองทังหลาย
้ ให้ เป็ นนิทานอันจัก
มาภายหน้ าบ่คาดบ่คา โดยดัง่ นิมิตต์กําลัง สัมมัตตัง ก็เสด็จบรบวร
ควรเท่านี ้ก่อนแล
ตานานเมืองพวน

ก่อนจะกล่าวเรื่ องนี ้ เราจะต้ องกล่าวไว้ ก่อนว่า ผู้ใดได้ เสวย


ราชย์เป็ นกษัตริย์องค์แรกที่ในแผ่นดินลาว กษัตริย์องค์แรกนันชื ้ ่อว่าขุน
บัลลินนัว ได้ เสวยราชย์ลว่ งมาได้ ประมาณหลายร้ อยปี มาแล้ ว และ
มีบตุ รห้ าองค์ ๆ หนึง่ ได้ เป็ นเจ้ าเมืองหลวงพระบาง องค์ที่สองได้ เป็ น
เจ้ าเมืองเวียงจันทน์ องค์ที่สามเป็ นเจ้ าเมืองพวน องค์ที่สี่เป็ นเจ้ าเมือง
เชียงใหม่ และองค์ที่ห้าเป็ นเจ้ าเมืองเขมร แต่การครอบครองเมือง
เหล่านี ้ก็ไม่ได้ จดั ให้ ถกู ต้ องตามฐานาศักดิข์ องเจ้ าเมือง และผู้ใดได้ เป็ น
เจ้ าเมืองแทนเจ้ าเมืองเหล่านันต่ ้ อไปข้ าพเจ้ าก็หาทราบไม่ กษัตริย์
เมืองพวนองค์แรกที่ข้าพเจ้ าทราบนันชื ้ ่อเจ้ าหลวง ครัน้ สิ ้นพระชนม์
แล้ ว เจ้ าชมภูผ้ บู ตุ รขึ ้นเสวยราชย์แทน เจ้ าชมภูลว่ งไปแล้ ว เจ้ า
เสียงผู้บตุ รแทน ครัน้ เจ้ าเสียงล่วงไปแล้ ว เจ้ าน้ อยผู้บตุ รนัง่ เมือง
แทน เจ้ าน้ อยมีบตุ รห้ าองค์ ชื่อ เจ้ าโพ, เจ้ าทัพ, เจ้ าพรหมมา, เจ้ าอุง
, เจ้ ากํ่า แต่องค์แรกสี่องค์นนได้ ั ้ สิ ้นพระชนม์ ยังอยูแ่ ต่เจ้ ากํ่าได้ ครอง
เมืองพวน กษัตริย์เวียงจันทน์องค์แรกนันชื ้ ่อเจ้ าอินทร์ ครัน้ ล่วงไปแล้ ว
เจ้ านันทผู้เป็ นน้ องนัง่ เมืองแทน ครัน้ เจ้ านันทล่วงไปแล้ ว เจ้ าอนุผ้ เู ป็ น
น้ องนัง่ เมืองแทน เมื่อครัง้ เจ้ าชมภูเป็ นเจ้ าเมืองพวนประมาณ ๗๐ ปี
มาแล้ ว เมืองพวนได้ ขึ ้นกับหลวงพระบางและได้ สง่ บรรณาการ
ดอกไม้ เงินปี ละสองตําลึงทุก ๆ ปี เมื่ อครัง้ เจ้ านันทได้ เป็ นเจ้ าเมือง
เวียง

๑๗๑
จันทน์ พระเจ้ าแผ่นดินไทยได้ มีโองการไปถึงเจ้ าชมภูให้ ยกกองทัพไป
ตีเมืองหลวงพระบาง ซึง่ ได้ ตีได้ สําเร็จ ฝ่ ายน้ องเจ้ านันทได้ เกณฑ์ให้
คนหนึง่ ชื่อเขียวเป็ นแม่ทพั ยกไปรบกับเจ้ าชมภู ๆ ปราชัย เจ้ านันทจับได้
แล้ วได้ เอาตัวส่งมาเวียงจันทน์ ให้ เอาตัวไปแทงเสียด้ วยหอก ครัน้
เพ็ชรฆาฎได้ พาตัวเจ้ าชมภูเดินทางมาถึงตําบลที่จะฆ่าแล้ ว ก็เผอิญฟ้าผ่า
ถูกหอกซึง่ เพ็ชรฆาฏถือนันหั ้ กสบันไป้ ครัน้ เจ้ านันทเห็นเหตุเป็ นดัง่ นี ้แล้ ว
จึงสัง่ ให้ ปล่อยเจ้ าชมภูไปครองเมืองพวนตามเดิม และให้ ส่งเครื่ อง
บรรณาการแก่เมืองเวียงจันทน์ตามที่เจ้ าชมภูได้ สง่ แก่เมืองหลวงพระบาง
แต่ก่อน ครัน้ อยูม่ าเจ้ านันทได้ ลว่ งไป เจ้ าอนุจงึ ได้ ครองเวียง-
จันทน์แทน และในเวลาครัง้ นันเมื ้ องพวนได้ อยูใ่ นการปกครองแห่งเจ้ า
น้ อย ครัน้ อยูม่ าในปี กุน เจ้ าอนุได้ คดิ กบฎยกกองทัพมาทําศึกกับ
พระเจ้ าแผ่นดินไทย ๆ ได้ จดั กองทัพออกไปตีทพั เจ้ าอนุแตก เจ้ า
อนุจงึ ได้ หนีเล็ดลอดไปเมืองญวน ณวันเสาร์ แรมสองคํ่าเดือนหก
และได้ ยกเมืองให้ เป็ นเมืองขึ ้นกับเจ้ าเมืองญวนเจ็ดเมือง คือ เมืองพวน
เมืองเชียงกัน, เมืองสวย, เมืองจัมใหญ่, เมืองจัมน้ อย, เมืองสอน,
และเมืองลาม แล้ วเจ้ าเมืองญวนจึงให้ เจ้ าอนุไปอยูใ่ นเมืองพวน ซึง่
ในเวลาขณะนันอยู ้ ใ่ นการปกครองแห่งเจ้ าน้ อย ซึง่ เป็ นปู่ ของพระพนม
สารนรินทร ครัน้ อยูม่ าหน่อยหนึง่ พระเจ้ าแผ่นดินไทยได้ ทราบความ
ตามเรื่ องราวเจ้ าอนุแล้ ว จึงได้ โองการสัง่ ให้ เจ้ าพระยาโหราบดินทร
เดชาเป็ นแม่ทพั เจ้ าพระยาบดินทรเดชาจึง่ จัดให้ พระพิเรนทรเทพคุม
ทหารเป็ นทัพหน้ ายกล่วงไปเมืองพวนก่อน แล้ วเจ้ าน้ อยจึง่ ได้ ยกทัพออก

๑๗๒
มาบรรจบกับพระพิเรนทรเทพเจ้ าจับเจ้ าอนุได้ จึง่ ได้ สง่ ตัวลงมากรุงเทพฯ
ครัน้ เจ้ าเมืองญวนทราบข่าวว่า พระเจ้ าแผ่นดินไทยจับเจ้ าอนุไปได้ จึง่
ได้ ให้ องรี บดั เป็ นแม่ทพั ยกไปตีเมืองพวนจับเจ้ าน้ อยและบุตรชายได้ ส่ง
มาเมืองญวน เจ้ าเมืองญวนจึง่ ให้ เอาตัวไปแทงเสีย ครัน้ เจ้ าน้ อย
ล่วงไปแล้ ว เจ้ าเมืองญวนจึงได้ ตงให้ ั ้ เจ้ าสานซึ่งเป็ นลูกพี่ลกู น้ องกับ
เจ้ าน้ อยนันขึ
้ ้นครองเมืองพวน และได้ ให้ ทหารไว้ ๓๐๐๐ สําหรับจะได้
ป้องกันอาณาเขตต์ อยูม่ าหน่อยหนึง่ เจ้ าสานเอาใจออกหาก เจ้ า
เมืองญวนมีหนังสือมาถึงพระพิเรนทรเทพว่าเมืองญวนนี ้แต่ก่อนได้
เป็ นอาณาเขตต์ของไทย และบัดนี ้ขอให้ พระพิเรนทร ฯ ยกกองทัพมา
ช่วยกันไล่พวกญวนออกไปเสียจากเมือง ครัน้ พระพิเรนทร ฯ ทราบความ
แล้ วจึงได้ ยกกองทัพมาบันจบกับเจ้ าสานล้ อมพวกญวนไว้ และไล่ฆา่ ฟั น
ทหารญวนสามพันตายลงมาก ที่เหลือตายบ้ างเล็กน้ อยก็หนีไปเมือง
ญวน แล้ วเจ้ าสานจึง่ ได้ อพยพครอบครัวและชาวเมืองพวนมาตัง้
บ้ านเรื อนอยูห่ นองคาย แล้ วให้ เจ้ าสากับเจ้ าสาลีซงึ่ เป็ นลูกพี่ลกู น้ อง
คุมชาวเมืองพวนกลับไปครองเมืองพวนทังสองคน ้ อยูม่ าหน่อยหนึง่
พระพิเรนทรเทพได้ พาเจ้ าสานลงมาเผ้ าพระเจ้ าแผ่นดินไทย พระเจ้ า
แผ่นดินไทยจึง่ ได้ ทรงตังให้ ้ เป็ นขุนนาง เมื่อครัง้ เจ้ าสานลงมาจากเมือง
พวนแล้ ว พวกชาวเมืองได้ คดิ ประทุษฐร้ าย จับเจ้ าสากับเจ้ าสาลีฆา่
เสีย ยกผู้อื่นขึ ้นว่าการแทนได้ ประมาณ ๑๕ ปี ครัง้ นันเตดุ้ ยได้ เป็ นเจ้ า
เมืองญวน ๆ จึงสัง่ ให้ ปล่อยบุตรเจ้ าน้ อย ซึง่ เจ้ าเมืองคนก่อนได้ จําคุก
ไว้ นนกลั
ั ้ บไปเมืองพวน ตังให้
้ เจ้ าโพครองเมือง ครัน้ เจ้ าเมืองหลวง
พระบาง

๑๗๓
ทราบข่าวว่าเจ้ าโพครองเมืองพวนจึงมีหนังสือไปถามว่า เจ้ าโพจะ
ยอมส่งเครื่ องบรรณาการแก่หลวงพระบางตามเคยเหมือนอย่างบิดาเจ้ า
โพได้ สง่ แต่ก่อนหรื อไม่ ถ้ าไม่สง่ แล้ วจะยกกองทัพไปรบ, เจ้ าโพจึงมี
คําตอบไปว่า จะยอมส่งเครื่ องบรรณาการแก่หลวงพระบาง เจ้ า
เมืองหลวงพระบางจึงมีคําสัง่ ลงมายังกรุงเทพ ฯ ด้ วยเรื่ องเจ้ าโพนัน้ พระ
เจ้ าแผ่นดินไทยจึงทรงพระอนุมตั อิ อกไปให้ เจ้ าโพครองเมืองพวนต่อไป
และในเวลาขณะนัน้ เจ้ าเมืองญวนได้ ยกมาเบียดเบียฬเมืองพวนอยู่เนืองๆ
เจ้ าโพจึงได้ ส้ ยู อมเสียส่วยให้ ญวนอีกทุก ๆ ปี เพราะจะไม่ให้ ญวนมา
ข่มเหงเบียดเบียฬต่อไป ครัน้ อยูม่ าเจ้ าโพล่วงไป เจ้ าอุงผู้เป็ นน้ อง
ได้ วา่ การแทน ในขณะนันพวกฮ่
้ อได้ มายํ่ายีชิงเอาหัวเมืองขึ ้นซึง่ อยู่
ปลายแดนข้ างเหนือเมืองพวน คือเมืองลาใหญ่, เมืองลาน้ อย, เมืองห้ อ
, เมืองคีว, เมืองลา, เมืองมัว, เมืองทัก, เมืองทาอวย, เมืองเมือก เมือง
ดอย, เมืองพวน ชาวเมืองเหล่านันเรี ้ ยกว่ามอยแลภูไทย (แปลว่าไทย)
แต่วา่ อยูใ่ นการปกครองแห่งญวน แลชื่อเหล่านันก็
้ ได้ เรี ยกตาม
คุณประโยชน์ของเมืองนัน้ ๆ แล้ วพวกฮ่อได้ ยกมาตีเอาเมืองกัน,
เมืองโสบัด, เมืองคําเหนือ, เมืองฮ่อ, เมืองคําใหญ่, เมืองลาน,
เมืองออ, ซึง่ เป็ นเมืองขึ ้นของเวียงจันทน์, แล้ วพวกฮ้ อได้ ยกไปตีเอาเมือง
เชียงคํา ครัน้ เจ้ าเมืองญวนรู้ความว่าพวกฮ่อมายํ่ายีเบียดเบียฬเมืองขึ ้น
จึง่ ได้ จดั กองทัพยกไปรบฮ่อที่ตําบลบ้ านขัวแขวงเมืองเชียงคํา แตก
พวกฮ่อ, แล้ วแม่ทพั ญวนจึง่ ได้ มีหนังสือไปถึงเจ้ าอุง ซึง่ เป็ นเจ้ าเมือง
พวนให้ ยกมาช่วย แล้ วเจ้ าอุง เสียทีฮอ่ ตายที่บ้านบัว ทัพญวนก็แตก

๑๗๔
ยับเยินไป ไม่ได้ มารบฮ่ออีก อยูม่ าไม่ช้านัก พวกฮ่อมีใจกําเริบขึ ้น
ยกมาตีเอาเมืองพวนได้ ในปี คริสตศักราช ๑๘๗๓ ก่อนฝรั่งเศสทําหนังสือ
สัญญากับญวนปี หนึง่ ครัน้ เมืองพวนเสียแก่ฮอ่ พระพนมสารนรินทร
ซึง่ เป็ นหลานของเจ้ าอุง ได้ อพยพครอบครัวเจ้ าอุงลงมาหนองคาย,
แลพวกฮ่อก็ได้ ตามตีลงมาจนถึงเวียงจันทน์ ครัง้ นันพระยามหาอํ้ ามาตย์
ได้ ออกไปเป็ นข้ าหลวงว่าการเมืองอุบล ครัน้ ทราบกิจการแห่งพวกฮ่อ
แล้ วจึง่ ได้ ยกกองทัพขึ ้นไปเวียงจันทน์ ตีทพั ฮ่อแตกยับเยิน หนีไปได้ แต่
หกคนเท่านัน้ ในเวลาขณะนัน้ พระยาราชวรานุกลู ได้ ยกกองทัพออก
จากหลวงพระบางตามพวกฮ่อขึ ้นไป ตีทพั แตกสองทัพ ๆ หนึง่ ที่นาบัว
อีกทัพหนึง่ ที่ทงุ่ เชียงคํา พวกฮ่อได้ หนีตงบ้ ั ้ านเมืองที่ตีได้ สิ ้น ครัน้ พระ
ยามหาอํามาตย์ทราบว่าพวกฮ่อแตกหนีไปหมดแล้ ว จึง่ ได้ ให้ พระ
พนมสารนรินทรไปเป็ นเจ้ าเมืองพวนพลาง ๆ ครัน้ อยูม่ าภายหลัง เจ้ า
ขันทีซงึ่ เป็ นบุตรของเจ้ าอุงนันขึ
้ ้นว่าการเมืองพวน ล่วงมาได้
ประมาณ ๑ ปี แล้ ว ครัน้ ฮ่อรู้ขา่ วว่าทัพไทยกลับ จึง่ ได้ ยกมาตีเอาเมือง
ซึง่ ตีได้ แต่ก่อนนันกลั
้ บคืนได้ สิ ้น ตังแต่
้ เวลานันมา
้ ฐานทัพศึกฝ่ ายไทย
จึง่ ได้ มีอยูก่ บั พวกฮ่อเนือง ๆ จนทุกวันนี ้ พวกฮ่อเหล่านี ้คือพวกจีนซึง่
ตังซ่
้ องสุมอยูใ่ นป่ าเที่ยวเป็ นโจรตีปล้ นบ้ านเมืองเล็กน้ อยในพวกนี ้ แบ่ง
ออกเป็ นสามพวก ๆ หนึง่ มีธงดําเป็ นสําคัญ พวกหนึง่ ธงเหลืองเป็ นสําคัญ
แลอีกพวกหนึง่ นันซึ
้ ง่ ตีเมืองพวนได้ มีธงแดงเป็ นสําคัญ

ตานานเมืองพวน

เมื่อขุนลอผู้เป็ นพี่อยูค่ รอบครองเมืองหลวงพระบางอยูเ่ ป็ นสุข


สบายแล้ ว ขุนลอมีความคิดถึงเจ็ดเจืองผู้น้องซึง่ ครอบครองเมืองพวน
เพราะเจ็ดเจืองกับขุนลอสองพี่น้องมีความรักกันมาก ทังฝ่้ ายเจ็ดเจืองก็มี
ความคิดถึงพี่ เจ็ดเจืองจึงพาเอากําลังลงไปหาขุนลอผู้พี่ ครัน้ เจ็ดเจือง
ลงไปถึงเมืองหลวงพระบาง ขุนลอผู้พี่ก็มีความยินดี ขุนลอจึง
ออกไปรับเจ็ดเจืองเข้ าไปในเมือง ให้ ที่พกั รับที่ภศู รี กลางเมือง
หลวงพระบาง ภูศรี นี ้ชื่อเดิมชื่อเขากล้ า ขุนลอแลเจ็ดเจืองสองพี่น้องก็
พร้ อมกันเข้ าพักในที่ทําไว้ นนั ้ แล้ วท้ าวพระยาแลชาวเมืองก็พร้ อมมา
ทําขวัญเสร็จแล้ ว พวกชาวเมืองก็มีความยินดี เจ็ดเจืองกับขุนลอส
องพี่น้องนัง่ เคียงกันอยูแ่ ล้ วก็สนทนากันด้ วยราชการเมืองต่าง ๆ ขุนลอกับ
เจ็ดเจืองความคิดถูกต้ องกันเหมือนดังความคิดพรหม แล้ วขุนลอ จึงว่า
เรานี ้เป็ นพี่น้องบิดามารดาเดียวกัน แต่เราต่างคนต่างได้
ครอบครองเมือง เมืองเราสองพี่น้องเขตต์แดนใกล้ ชิดติดกัน เรา
ทังสองต้
้ องประกอบด้ วยความรักษาไมตรี อย่าให้ เป็ นที่แตกร้ าวกันได้
ให้ เหมือนดังพระบิดาได้ สาบานนํ ้าให้ เรากินนันเทอญ ้ อนึง่ เราก็ควร
จะหมายเขตต์ที่แดนติดต่อกันไว้ อย่าให้ เป็ นที่เสื่อมศูนย์ในกาลข้ างหน้ า
ขุนลอแลเจ็ดเจืองคิดถูกกันที่จะแบ่งหมายเขตต์แดนเมืองพวนเมืองหลวง
พระบางเพื่อจะได้ ตงมั
ั ้ น่ ในชัว่ มหากัลป แลจะได้ เป็ นหลักสืบไปจนบุตร

๑๗๖
หลานเหลน เจ็ดเจืองกับขุนลอจึงพร้ อมจัดแต่งขุน ๘ นาย ให้ ออกไป
หมายเขตต์แดน กําหนดให้ ขึ ้นไปทางนํ ้าคาน ถ้ าถึงภูเขาหลูบแล้ ว
ให้ ตงที
ั ้ ่นนเป็
ั ้ นต้ น แล้ วจึงแบ่งกันไปทางฝ่ ายเหนือฝ่ ายใต้ ขุนทัง้ ๘
รับคําสัง่ ของขุนลอแลเจ็ดเจืองแล้ ว แปดขุนก็รีบไป ครัน้ ขุนทัง้ ๘
ไปถึงเขาหลูบแล้ ว แปดขุนก็พากันขึ ้นไปถึงยอดเขาหลูบ แล้ วก็พากัน
นัง่ พักแบ่งกัน สี่ขนุ ให้ ไปหมายเขตต์แดนฝ่ ายเหนือ สี่ขนุ ให้ ไปหมาย
เขตต์แดนฝ่ ายใต้ สี่ขนุ ที่ไปทางใต้ นนออกจากเขาหลู
ั้ บ ไต่สนั เขาหลูบ
ไปถึงเขาโทน ไต่สนั เขาโทนไปถึงเขากิ่วก่อง ไต่สนั เขากิ่วกับ
กิ่วก่องไปถึงเขากิ่วคอง ไต่สนั เขากิ่วคองไปถึงเขามอน ไต่สนั เขามอน
ไปถึงเขากะแทะ ไต่สนั เขากะแทะไปถึงเขากะทิงขึ ้นเขากะทิงไต่สนั ไป
ถึงเขากะซิงขึ ้นเขากะซิงไต่สนั ไปลงใส่บ้านค่วง จากบ้ านค่วงถึงเมือง
กายเมืองซองจากเมืองกายเมืองซองถึงหน้ าง่าป่ าแค จากหน้ าง่าป่ าแค
ไปถึงบ้ านถินน้ อย จากบ้ านถินน้ อยไปถึงนาขม จากนาขมไปลงใส่ห้วย
ใหญ่ ตามห้ วยใหญ่ร่องถึงนํ ้างึ่มที่ทา่ หวาย จากท่าหวายนํ ้างึ่มขึ ้นเขาหงส์
ไต่สนั เขาหงส์ไปถึงสะกาบ้ านด่านหินคอน จากสะกาบ้ านด่านหินคอนไป
ถึงเสวตซ้ อยเชียงค้ อมปากซาว จากที่เสวดซ้ อยเชียงค้ อมปากซาว ลงไป
ใส่นํ ้าชันตามนํ ้าชันร่องถึงหาดทรายพวนริมนํ ้าชันออกจากหาดทรายพวน
ขึ ้นเขากิ่วใต้ ไต่สนั เขากิ่วใต้ ไปถึงพนอมบ้ านแดด จากพนอมบ้ านแดด
ไปลงใส่ปากนํ ้ากะดิงในส่วนนํ ้ากระดิงนี ้คือนํ ้าม่วนแต่ปากที่ออกต่อกับนํ ้า
ของเขาเรี ยกว่าปากกะดิง แล้ วตามนํ ้ากะดิงขึ ้นไป ถึงที่หมอนท้ าวท่าเพีย
จากหมอนท้ าวท่าเพียไปถึงยอดนํ ้าซุน จากยอดนํ ้าซุนไปถึงยอดนํ ้ายาง

๑๗๗
จากยอดนํ ้ายางขึ ้นเขาแร้ ว ไต่สนั เขาแร้ วไปถึงเขาใส ไต่สนั เขาใสไป
ถึงเขาแสด ไต่สนั เขาแสดไปถึงเขาผาดับ ไต่สนั เขาผาดับไปลงใส่
ยอดห้ วยเผือก ตามห้ วยเผือกร่องไปถึงห้ วยหาดคาว แล้ วข้ ามนํ ้าโม้
ขึ ้นเขาผาหลวง ไต่สนั เขาผาหลวงลงไปใส่เพียงบ้ าง จากเพียงบ้ างลง
ไปใส่นํ ้าโม้ ตามนํ ้าโม้ ลอ่ งถึงปากห้ วยสวาง จากปากห้ วยสวางขึ ้น
เขาหลวง ไต่สนั เขาหลวงไปถึงแคว้ นแร้ วเมืองตํา จากแควนแร้ วเมือง
ตําขึ ้นเขาหลวงเมืองตํา ไต่สนั เขาหลวงเมืองตําไปลงใส่นํ ้าเนินตามนํ ้า
เนินขึ ้นถึงปากนํ ้าลาน เท่านี ้เป็ นเขตต์เมืองพวนทิศบูรพ์ ฯ ที่นี ้จะว่า
ด้ วยสี่ขนุ ที่ขึ ้นไปหมายเขตต์เมืองพวนกับเมืองหลวงพระบางฝ่ ายเหนือตัง้
ต้ นเขาหลูบที่แปดขุนแบ่งกันนัน้ สี่ขนุ ที่ไปฝ่ ายเหนือก็ตามนํ ้าคานขึ ้นไป
ถึงปากนํ ้าคาว จากปากนํ ้าคาวตามนํ ้าคานขึ ้นไป ถึงปากนํ ้าสวยแล้ ว
ขึ ้นเขาปากนํ ้าสวย ไต่สนั เขาปากนํ ้าสวยไปถึงต้ นมะม่วงเค้ าแดนเมือง
ที่มีผลสองอย่าง อย่างหนึง่ เป็ นมะม่วงคํา อย่างหนึง่ เป็ นมะม่วงป่ าน
จึงได้ เรี ยกชื่อต่อ ๆ กันมาว่าต้ นมะม่วงเค้ าแดนเมืองตัน มะม่วงนันสู ้ ง
ตังแต่
้ ดนิ ขึ ้นไปถึงค่าคบประมาณได้ ๕ วา โตได้ ๔ อ้ อม จากต้ น
มะม่วงเค้ าแดนเมืองไปถึงเขานางคําผง ไต่สนั เขานางคําผงไปถึงบ้ าน
ตาด จากบ้ านตาดลงไปใส่นํ ้าเสียบเมืองสันลงไปใส่ปากนํ ้าซิ่ว ตามนํ ้า
ซิ่วล่องไปถึงห้ วยนาหลวง จากห้ วยนาหลวงไปลงใส่ห้วยนาแร้ ง ตาม
ห้ วยนาแร้ งล่องถึงนํ ้าเนิน ตามนํ ้าเนินล่องถึงปากนํ ้าลาน แปดขุนที่แบ่ง
กันไปหมายเขตต์แดนเลยไปบรรจบกันในที่ปากนํ ้าลาน ตังแต่ ้ พ้นเมือง
ลานลงไปเป็ นแดนดินเมืองประกันหลวง คือเมืองญวนแปดขุนหมาย

๑๗๘
เขตต์แดนแล้ ว ก็พากันกลับลงไปยังเมืองหลวงพระบางเข้ าไปเฝ้า
ขุนลอแลเจ็ดเจืองทูลการที่ได้ ไปหมายสําคัญเขตต์แดน ขุนลอกับ
เจ็ดเจืองได้ ทราบความของแปดขุนแล้ วก็มีความยินดี การซึง่ เมือง
ลานช้ างกับเมืองพวนได้ แบ่งเขตต์แดนกันนี ้ ขอให้ เป็ นหลักอันมัน่ คง
ไปชัว่ มหากัลป ใครอย่าได้ เอาเขตต์แดนซึง่ กันและกัน จนชัว่ บุตร
หลานเหลนที่จะได้ สืบสกุลต่อ ๆ ไปในข้ างหน้ า จนกว่ามหาสมุทรแห้ ง
จนเห็นทรายพื ้นสมุทรแห้ งปลิวขึ ้นไปทัว่ โลก
หรื อว่าเขาพระสุเมรุล้มอันตรธานลงไปก็ดี หรื อว่าไฟเกิดไหม้
ในพัทกับปนี ้ จึงให้ ที่หมายเขตต์แดนและคําที่แบ่งปั นเขตต์แดนกันนี ้
ศูนย์เมื่อนันเมื
้ ่อใดในพัทกลัปนี ้ยังตังอยู ้ ต่ ราบใด ขอให้ เขตต์แดน
และคําที่ไว้ สญั ญาตกลงกันนี ้ตังอยู ้ ต่ ราบนัน้ ถ้ าใครไม่ฟังตามคําสัญญา
ที่ได้ ตกลงกันนันให้
้ ผ้ นู นดั
ั ้ บไปเหมือนดังเพลิง และให้ คนนันเล็้ กและ
น้ อยและน้ อยเข้ าไปดังคนปอกกองปี และขอให้ มีอนั ตราย ๑๐ ประการ
เกิดขึ ้นในตัวตนนัน้ และเมื่อคนนันตายขอให้
้ ไปตกนรกหมกไหม้ ให้
มากกว่าแสนปี แลผู้นนอย่ ั ้ าได้ มีอายุยืน ให้ ปีในอายุสนเข้
ั ้ ามา คนนัน้
แม้ นปลูกต้ นไม้ อย่าให้ โต ปลูกหวายก็อย่าให้ ทนั เถาหวายล่อนและ
แก่ แม้ ผ้ นู นแหงนหน้
ั้ าขึ ้นไปบนให้ ฟ้าผ่า คนนันไปป่
้ าให้ เสือกิน
แม้ คนนันไปทางนํ
้ ้าให้ เงือกใหญ่กิน และให้ อปั รี ย์จญั ไรถึงตัวคนนัน้
ทุกวันจนชัว่ บุตรและหลานเหลนโหลน ใครอย่าได้ ชิงเขตต์แดนซึง่ กัน
และกัน และอย่าได้ ยกกําลังไปรบราฆ่าฟั นซึง่ กันและกัน ถ้ าราษฎร
และช้ าง ม้ า โค กระบือ เมืองใดหนีอยูใ่ นเขตต์ของผู้ใดให้ สง่ คืนให้ กนั

๑๗๙
โดยดี เมืองใครให้ เป็ นเมืองคนนัน้ เพราะเจ็ดเจืองกับขุนลอสอง
พี่น้องได้ สาบานนํ ้าให้ แก่กนั แล้ ว และคําที่กล่าวมานี ้ขอให้ มนั่ คงอยู่
ได้ แสนมหากัลป จะได้ เป็ นหลักมัน่ คงดังพัทธสีมาแก่พงศ์พนั ธุ์
ต่อไป ถ้ าผู้ใดไม่ฟังคําดังที่กล่าวมานัน้ ถึงพระพุทธเจ้ าเกิดขึ ้นมาก็
อย่าให้ เห็นผู้นนั ้ ครัน้ ขุนลอกับเจ็ดเจืองทําสาบานกันแล้ ว เจ็ดเจือง
ก็ลาขุนลอผู้เป็ นพี่กลับคืนไปยังเมือเชียงขวางดังเก่า ต่อ ๆ มาได้
หลายชัว่ แล้ ว
ครัน้ เมื่อเจ้ าสุวรรณปั นลังได้ ครอบครองเมืองหลวงพระบางใน
เมื่อศักราช ๑๕๔๒ เจ้ าสุวรรณปั นลังจึงแบ่งเขตต์แดนของเมืองหลวง
พระบางเดิมให้ กบั นายคํากองเมืองพวนอีก กําหนดเขตต์แดนเมือง
หลวงพระบางที่เติมให้ นายคํากองเมืองพวน คือตังแต่ ้ บ้านพริกบ้ านผึ ้ง
ไปถึงเมืองคะมัง จากเมืองคะมังไปถึงเกาะจาวเหนือปากนํ ้าคะมัง จาก
ปากคะมังไปถึงบ้ านแขม จากบ้ านแขมไปถึงบ้ านขาม จากบ้ านขาม
ไปถึงบ้ านครก จากบ้ านครกไปถึงเกาะตรวสลาลาศ จากเกาะ
ตรวจสลาลาศไปถึงยอยไฮ จากยอยไฮไปถึงพวกรัก จากพวกรัก
ไปถึงบ้ านเกิน จากบ้ านเกินไปถึงปากนํ ้าทะวาย จากปากนํ ้าทะวาย
ถึงหอคํา จากหอคําไปถึงฮางชิงปากนํ ้าเนียด จากปากนํ ้าเนียดไป
ปากนํ ้าชัน จากปากนํ ้าชันไปถึงปากห้ วยขอก จากปากห้ วยขอก
ไปถึงเชียงษา จากเชียงษาไปถึงเมืองษา เหล่านี ้เจ้ าลานช้ างได้
จัดเติมให้ แก่เมืองพวน ครัน้ มาถึงเมื่อศักราช ๑๕๖๐ เจ้ าเชฐวังโศ
ได้ ครอบครองเมืองหลวงพระบาง จึงซํ ้ายกเขตต์แดนที่ทา่ กือริมนํ ้า

๑๘๐
คานให้ กบั เมืองพวนอีก เพื่อมิให้ เสียทางไมตรี พี่น้องกัน ตามดัง
กษัตริย์แต่ก่อนที่ได้ เคยยกเขตต์แดนแก่กนั เขตต์แดนดังที่กล่าว
มาแล้ วนันมิ
้ ใช่เป็ นเขตต์ของเมืองหลวงพระบางแล้ ว หาเป็ นเขตต์แดน
ของเมืองพวนโดยแท้
ต่อนี ้ไปจะกล่าวถึงแดนเมืองคําเกิดคําม่วน อันเจ้ าเมืองคําเกิด
คําม่วนได้ ยกเขตต์แดนเมืองมาให้ กบั เมืองพวน จําเดิมต้ นเหตุที่พระยา
เมืองคําเกิดคําม่วนจะยกเขตต์แดนมาเป็ นของพวนนัน้ เจ้ าเมืองคําเกิด
ได้ กระทําความผิดต่อน้ องเจ้ าเมืองพวน เจ้ าเมืองพวนจึงปรับไหมเจ้ า
เมืองคําเกิดคําม่วนเป็ นเงินตายหนักร้ อยเจ็ดสิบหกชัง่ สี่สิบบาท กับ
ทองคําหนักร้ อยสี่สิบเจ็ดชัง่ สิบเก้ าตําลึงสองบาทกับสลึงเฟื อ้ ง พระ
คําเกิดทังท้
้ าวเพี ้ยกรมการราษฎรพากันกลัวเจ้ าเมืองพวน เพราะหา
เงินทองที่เสียค่าปรับไหมไม่มี เจ้ าเมืองคําเกิดและท้ าวเพี ้ยกรมการ
ทังหลายจึ
้ งพร้ อมกันยกเมืองคําเกิดคําม่วน ทังเขตต์
้ แขวงของเมือง
คําเกิดคําม่วนให้ กบั เมืองพวน ในเมื่อศักราช ๙๔๕ ปี มะแมเบ็ญจศก
พระคําเกิดได้ ยกเขตต์แดนเมืองคําเกิดคําม่วนและไพร่พลเมืองมาเป็ น
เขตต์ของเมืองพวน เพื่อจะใช้ แทนเงินค่าปรับไหมกําหนดเขตต์แดนที่
เจ้ าเมืองคําเกิดคําม่วนได้ ยกเขตต์แดนมาเป็ นเขตต์เมืองพวน ตังแต่

เขตต์เมืองโม้ และเมืองม่วนใหญ่ เมืองม่วนน้ อย เมืองพึง จาก
เมืองพึงไปเมืองแสด จากเมืองแสดไปถึงเมืองหนาง จากเมือง
หนางไปถึงเมืองราช จากเมืองราชไปถึงเมืองจอย จากเมืองจอย
ไปถึงเมืองจวน จากเมืองจวนไปถึงบ้ านแซยางและนาเดื่อ จาก

๑๘๑
นาเดื่อไปถึงเชียงซางเชียงหิน จากเชียงซางเชียงหินไปถึงปากนํ ้าม่วน
จากปากนํ ้าม่วนขึ ้นไปถึงปากนํ ้างอม จากปากนํ ้างอมไปถึงแดนเมือง
พึง จากแดนเมืองพึงออกไปฝ่ ายซ้ ายไปถึงแดนเมืองจอง จากแดน
เมืองจองขึ ้นเขาหนอก ไต่สนั เขาหนอกไปลงใส่ดอนแม่ค้อม จาก
ดอนแม่ค้อมขึ ้นฝ่ ายเหนือไปถึงต้ นมะม่วงใหญ่ เอาต้ นมะม่วงใหญ่เป็ นที่
สําคัญหมายเขตต์แดนจากต้ นมะม่วงขึ ้นเขากําและเขาลานต่อไปถึง เขายําไก่
จากเขายําไก่ไปลงใส่ยอดนํ ้ายวน จากยอดยํ ้ายาวนลงไปใส่ยอดนํ ้าโม้
เอานํ ้าโม้ เป็ นเขตต์แดน เท่านี ้พระยาคําเกิดได้ มอบเขตต์แดนมาเป็ น
เขตต์แดนเมืองพวน เหล่านี ้ทังสิ ้ ้นเป็ นเขตต์แดนเมืองพวน ขอให้ เขตต์
แดนดังที่กล่าวมานี ้ มัน่ คงไปชัว่ ในพัทกัลปนี ้ เพราะกฏหมายสําหรับ
เมืองมีที่ได้ ยกเขตต์แดนใช้ หนี ้ซึง่ กันและกัน ขอจงพากันฟั งเถิด
นักปราชญ์และท้ าวเพี ้ยกรมการราษฏรทังหลาย ้ เขตต์แดนที่ได้ กล่าวมานี ้
เป็ นเขตต์บ้านเมืองของเรา ถ้ าผู้ใดเป็ นคนราชการก็จงพากันจําออกที่
หมายเขตต์แดนดังกล่าวมาแล้ วนัน้ เพราะพระเดชพระคุณของเจ้ านาย
ของเรามากอาจที่จะนับไม่ได้ เหตุวา่ ขุนบรมราชาได้ ให้ มาเป็ นเจ้ าแห่ง
เราทังหลายเป็
้ นสิ ้นเขตต์แดนเมืองพวนแต่เพียงนี ้
พงศาวดารย่ อเมืองเวียงจันทน์

จุลศักราช ๑๒๕๕ ตัวปี มะเส็งเป็ นเดือน ๑๑ แรม ๓ คํ่า วันเสาร์


องค์เป็ นเจ้ ากัตยิ ะได้ สร้ างตํานานเมือง แผนเมือง และโศกเมือง และอัคร
นามตามโบราจริยมาดังนี ้ ให้ พิจารณาเอาเทอญ

อันนีแ้ ผนเมืองฉะบับหนึ่งแล
ศักราช ๕๗( ๑ ) ปี ไค้ (กุน) เจ้ าองค์หล่อนิพพานต์
ศักราชได้ ๖๐ ทัศปี ยี (ขาล) พระไชยเข้ าเมือง
ศักราช ๖๘ ปี เส็ด (จอ) จันธุลงโขน
ศักราชได้ ๖๙ ปี ไค้ (กุน) นํ ้าท่วมหลวง
ศักราช ๗๐ ทัดปี ไจ้ (ชวด) อาชญาเจ้ าทังสองขึ ้ ้นตังทรายฟอง

ศักราชได้ ๗๔ ปี สี (มะโรง) ไฟไหม้ ทงุ่ ฝน
ศักราชได้ ๗๕ ปี ไส้ (มะเส็ง) ครัวขึ ้นตังเมื
้ องคุก
ศักราชได้ ๘๐ ทัดปี เส็ด (จอ) เมืองฮมคต (ขบถ) กวาด
ครัวออก
ศักราชได้ ๘๘ ปี ซะง้ า (มะเมีย) เศิกเพี ้ยฮม
ศักราชได้ ๙๒ ปี เส็ด (จอ) พนมแตกทีก่อน
ศักราชได้ ๙๘ ปี สี (มะโรง) พนมผ้ าขาวพนางแตก
(๑) จ.ศ. ๑๒๕๗

๑๘๓
ศักราชได้ ๑๔ ตัวปี เส็ด (จอ) อากาศสูนตะวันมืดปี นัน้ (สุริย-
คาธ) อาชญาเจ้ านิพพานก็แม่นปี นันแล ้
ศักราชได้ ๑๗๐ ตัวปี เป้า (ฉลู) เจ้ าองค์หลวงนิพพาน
ศักราชได้ ๑๘๐ ตัวปี มด (มะแม) อาชญาเจ้ าบุญได้ เวียงจันทน์
ศักราชได้ ๑๒๐ ทัศปี ยี (ขาล) ปาศักแตก (จําปาศักดิ)์
ศักราชได้ ๑๒๔ ปี มด (มะแม) ครัวแสนนครไชยแตก ขึ ้น
เวียงจันทน์
ศักราชได้ ๑๒๘ ปี เส็ด (จอ) แผ่นดินไหว เศิกหมื่นจุมก็
แม่นปี นันแล

ศักราชได้ ๑๒๙ ปี ไค้ (กุน) แกว (ญวน) ม้ าง (รบ) เมือง
ลคร
ศักราชได้ ๑๓๔ ปี สี (มะโรง) เจ้ าวงเมืองหลวง (หลวงพระบาง)
มาเลว (รบ) เวียงจันทน์ แผ่นดินไหวก็แม่นปี นัน้ เศิกผ้ าขาวเป็ น
ปี เก่าเท่าฮอดปี ใหม่
ศักราชได้ ๑๓๙ ปี เมิงเฮ้ า ( ระกา ) บาศัก แตกเดือน ๔ อาชญา
ปาศักดิเ์ ข้ าเมืองไทยเดือน ๗
ศักราชได้ ๑๔๐ ทัดปี เส็ด (จอ) เจ้ าพระวอและเมืองลครแตก
เดือน ๔ ขึ ้น ๑๔ คํ่า วันจันทร์
ศักราชได้ ๑๔๑ ปี กัดไค้ เวียงจันน์แตก
ศักราชได้ ๑๔๒ ปี ไจ้ (ชวด) เจ้ าเวียงจันทน์คืน (กลับมา
เมือง) เดือนเจียง (อ้ าย)

๑๘๔
ศักราชได้ ๑๔๕ ปี กาเม่า (เถาะ) สังฆะ (สงฆ์ ) เมืองลาว
เข้ าเมืองไทย
ศักราชได้ ๑๔๘ ปี ชะง้ า (มะเมีย) อาชญาเจ้ านันทได้ เมืองพวน
(เชียงขวาง) แล
ศักราชได้ ๑๔๙ ปี มด แกวเบียนยาก (ญวนเบียดเบียฬ)
ศักราชได้ ๑๕๐ ทัดปี สัน อาชญาเจ้ านันท์ได้ เมืองหลวง (หลวง
พระบาง) แล
ศักราชได้ ๑๕๓ ปี ไค้ (กุน) จําปาศักดิน์ ิพพานเวียงจันทน์
เมืองนครเจ้ าสมพมิตแตกแกว (ยวน) ก็แม่นปี นันแล ้
ศักราชได้ ๑๕๖ ปี ยี (ขาน) ไทยเอาเจ้ านันท์ใส่ซีก (ตรวน)
ศักราชได้ ๑๕๙ ปี ไส้ เจ้ าอินมาม้ าง (รื อ้ ) กอนงัว
ศัราชได้ ๑๖๓ ปี ฮวงเฮ้ า (ระกา) เจ้ าอินและเจ้ าปาศักดิแ์ ล
หัวเมืองทังหลายมาพั
้ ง (ทําลาย) โพคํ ้าแต่ปีเก่าเท่าฮอด (จนถึง)
ปี ใหม่
ศักราชได้ ๑๖๔ ปี เส็ด (จอ) แกว (ยวน) มาแต่ใต้
ศักราชได้ ๑๖๕ ปี ไค้ (กุน) เจ้ าบางกอกองค์น้องนิพพาน
เจ้ าอึง่ ก็นิพพาน คนทังหลายตั
้ ดผมก็แม่นปี นันแล

ศักราช ๑๖๒ ตัวปี กาบไจ้ (ชวด)อาชญาแม่เจ้ าบังมุก (มุกดาหาร)
จุติ (ตาย) แล
ศักราชได้ ๑๖๘ ตัวปี ยี (ขาน) เจ้ าอนุแลเมืองนครแลบังมุก
(มุกดาหาร) สร้ างขัว (สพาน) ในพระมหาธาตุวดั ท่ง (ทุง่ ) บ่ (ไม่)
ทันแล้ ว
๑๘๕
ศักราชได้ ๑๖๙ ปี เม่า (เถาะ) เจ้ าอนุเวียงจันทน์กลับเมือง
ละครบังมุก (มุกดาหาร) พร้ อมกันฉลองขัว (สพาน) ในพระมหา
ธาตุแลวัดท่ง (ทุง่ ) เสตสัด (เสวตรฉัตร์ ) ธาตุหกั ก็แม่นปี นัน้
อาชญาเจ้ าบังมุก (มุกดาหาร) จุติ (ตาย) ก็แม่นปี นัน้
ศักราชได้ ๑๗๑ ตัวปี ไส้ (มะเส็ง) เจ้ าบางกอกผู้พี่ก็ จุติ
(สวรรคต) แล
ศักราชได้ ๑๗๓ ตัวปี มด (มะแม) เจ้ าน่าปาศักดิจ์ ตุ ิ (ตาย)
แลพื ้นบาทเจ้ านุนิพพานก็แม่นปี นันแล้
ศักราชได้ ๑๗๔ ตัวปี เตาสัน (วอก) เจ้ ามหาชีวิตเวียงจันทน์
ลงมาฉลองหอพระในพระมหาธาตุ แลแผ่นดินไหวเดือน ๕ แรม ๑๑
คํ่าวันเสาร์ ก็แม่นปี นัน้
ศักราชได้ ๑๗๗ ตัวปี ฮับไค้ ( ) อาชญาเจ้ าอุปฮาดบังมุก
(มุกดาหาร) จุติ (ตาย) เดือน ๑๐ (แรม ๑๕ คํ่า) วันพุธเจ้ าเมือง
คํ่าทองหนีจากเมืองขึ ้นมาถึงบังมุก (มุกดาหาร) ก็แม่นปี นันแล ้
ศักราชได้ ๑๗๘ ตัวปี ฮวยไจ้ (ชวด) กักแห้ งแล้ งหลวง คน
ทังหลายตายอึ
้ ด (อด) เข้ าแล
ศักราชได้ ๑๗๙ ตัวปี เป้า (ฉลู) อาชญาเจ้ าบางกอกองค์
น้ องนิพพานนํ ้าท่อมหลวงก็แม่นปี นันแล

ศักราชขได้ ๑๘๑ ตัวปี เม่า (เถาะ) ข่ามาจุด (เผา) เมือง
ปาศักดิ์ (นครจําปาศักดิ)์ เมืองอัตปื อแตกปี นัน้
ศักราชได้ ๑๘๓ ตัวปี ไส้ (มะเส็ง) คนตายพากหลวง (อหิวาตก-
โรค) ในเมืองลานช้ าง (เวียงจันทน์) ก็แม่นปี นัน้
๑๘๖
ศักราชได้ ๑๘๔ ตัวปี สง้ าเจ้ าเวียงจันทน์ให้ ลกู ชายลงไปนัง่ เมือง
ปาศักดิ์ ( นครจําปาศักดิ์ ) เดือนเจียง ( เดือนอ้ าย ) แต่ปีเก่าเท่า
ฮอด (ถึง) ปี ใหม่
ศักราชได้ ๑๘๕ ตัวปี มด ( ) ไทยออกมาสักเลขเมือง
ลาวทังหลาย
้ นอกกว่า (เว้ นแต่) เวียงจันทน์แต่ปีเก่าเท่าฮอด
ปี สัน ( )
ศักราชได้ ๑๘๖ ปี สัน ( ) เจ้ าบางกอกนิพพานเดือน
๙ ขึ ้น ๖ คํ่า วันพุธ
ศักราชได้ ๑๘๙ ปี ไค้ ( ) เจ้ าเวียงจันทน์ยกกําลัง
(พล) ไปตีไทยเดือนสามบ่ (ไม่) ได้ จึงทบ (กลับ) คืนมา
ฮอด (ถง) เวียงจันทน์
ศักราชได้ ๑๙๐ ปี ไจ้ (ชวด) เดือน ๖ แรม ๒ คํ่าวันศักร์
เวียงจันทน์จงึ แตกคืนมาอยูเ่ มืองมหาไชยฮอด (ถึง) เดือน ๘ เจ้ า
เวียงจันทน์จงึ ลงมาอยูเ่ มืองแกว (ญวน)
ศักราชได้ ๑๙๑ ปี เป้า ( ) เจ้ าเวียงจันทน์เสด็จคืนเมือ
ฮอดเมือง (ถึง) เดือน ๑๑ ไทยจึงได้ เจ้ าเวียงจันทน์แล
ศักราชได้ ๑๙๕ ตัวปี ไส้ เศิกไทยมาตีเมืองมหาไชยแตก เดือน
๓ ขึ ้น ๑๓ คํ่าวันอังคารแล

๑๘๗
โอมนโมเมสิทธิเชยยะวะวิวิเชยยันต์ สิทธิกิจงั สิทธิโลภัง
รปาตะติตากัดสะโกวา คุรุวินงั มหะโสธาธินิระสิละนากะโยวาชิยะเน
ชะเนหิตานังกร อันนี ้คาถาไปเฝ้าเจ้ าแล

อันนีแ้ ผนเมืองฉะบับหนึ่งแล
ศักราชได้ ๖๐ ตัว พระไชยนัง่ เมืองปี ยี (ขาน) แล
ศักราชได้ ๖๑ ปี กัดเม่า ( ) พระยานงขึ ้นมาเมืองแล
ศักราชได้ ๖๒ ปี กดสี ( ) ข้ าหลวงนําบุนกวาดขึ ้นมาแล
ศักราชได้ ๖๓ ปี ฮวงไส้ ( ) ข้ าหลวงนํานางขึ ้นมา
ศักราชได้ ๖๔ ปี เตาสะง่า ( ) เพีนไปม้ าง ( รื อ้ ) ละคร
เอาเมืองนันขึ
้ ้นมา
ศักราชได้ ๖๕ ปี กามด ( ) เพีนเอาเมืองจันทน์ป่าวปั ก
ลงเสีย
ศักราชได้ ๖๖ ปี กาบสัน ( ) เพินไปเอาราชวงศ์พระ-
นครแล
ศักราชได้ ๖๗ ปี ฮับเฮ้ า เมืองจันลงโขนแล
ศักราชได้ ๖๘ ปี ฮวยเส็ด เจ้ าบ้ านท่ากวาดครัวนอกเข้ ามาใน
ศักราชได้ ๖๙ ปี เมีงไค้ นํ ้าท่วมหลวงไหลช้ าง
ศักราชได้ ๗๐ ปี เปิ กไจ้ ( ) เศิกโขงขึ ้นมาตังเวี
้ ยงคุกแล
ศักราชได้ ๗๑ ปี กัดเป้า ( ) เจ้ าใต้ มาตังทรายฟอง

๑๘๘
ศักราชได้ ๗๓ ปี ฮวงเม่ากวาดครัวท่งฝนเดือนเจียง ( อ้ าย ) ทราย
ฟองแตกไปตังสง้ ้ อแล
ศักราชได้ ๗๕ ปี กาไส้ ( ) เจ้ าโอเทวะลัสะเจ้ าบ้ านทาน
ซํ ้าไปไล่หนีแล
ศักราชได้ ๗๖ ปี กาบสะง่า ( ) เจ้ าบ้ านท่านกวาดครัว
ภูเวียงลง
ศักราชได้ ๗๙ ปี เมิงเฮ้ า ( ) นํ ้าท่วมเมืองแล
ศักราชได้ ๘๐ ปี เปิ กเส็ดเก็บฮมขง
ศักราชได้ ๘๘ ปี ฮวยสะง่า ( ) เป็ นเศิกดอนตูมเพี ้ยปู่ แล
ศักราชได้ ๙๒ ปี กดเส็ดพระไชยนิพพานแล เดือน ๖ เพ็ง จึงหด
(ยก) เจ้ าบุญนัง่ เมืองนันแล

ศักราชได้ ๙๓ ปี ฮวงไค้ ( ) ออมกลืม
ศักราชได้ ๙๘ ปี ฮวงสี ( ) เจ้ าคําตาย ขุดหลุมภูเดือน
๓ แรม ๙ คํ่า วันศุกร์ ไปธาตุพนมปี นัน่
ศักราชได้ ๙๙ ปี เมิงไส้ ธาตุดอกช้ อย ๆ
ศักราชได้ ๑๐๑ ปี กัดมด ( ) นํ ้าท่วมไหลอีทมุ
ศักราชได้ ๑๐๒ ปี กดสัน ( ) เศิกบ้ านเป้า
ศักราชได้ ๑๐๒ ปี ฮับเป้า เจ้ าอุปราชคด ( ขบถ ) แก่องค์
หลวงองค์โตนัง่ เมืองก็ปีนัน้
ศักราชได้ ๑๑๑ ปี กัดไส้ ( ) เจ้ าทังสองได้
้ บ้านโชกปี
พระลางพร้ อมกัน

๑๘๙
ศักราชได้ ๑๑๓ ปี ฮวงมด ( ) เจ้ าทังสองได้

เวียงจันทน์แล
ศักราชได้ ๑๑๖ ปี กาบเส็ด ( ) สอง ( ฉลอง ) ธาตุ
หลวงขึ ้นโคบ ( ปิ ด ) จังโกก็ปีนัน้
ศักราชได้ ๑๑๙ ปี เมิงเฮ้ า นํ ้าท่วมไหลอีแก้ ว
ศักราชได้ ๑๒๑ ยอ (ยก) หอ
ศักราชได้ ๑๒๒ ปี กดสี ( ) เจ้ าแผ่นหนีจากเมือง
ศักราชได้ ๑๒๖ ปี กาบสัน ( ) ซา (เล่าลือ) เศิกโขง
ศักราชได้ ๑๒๗ ปี ฮับเฮ้ า ( ) เดือน ๔ เพ็งวันจันทน์
กบกินเดือนยอ (ยก) หอพระแก้ วเทีง (บน) หนองเต่า
ศักราชได้ ๑๒๘ ปี ฮวยเส็ด ( ) เดือน ๘ เพ็งพระไชย
น้ อยเอาลูกสาวถวาย
ศักราชได้ ๑๒๙ ปี เมิงไค้ ( ) เศิกหมื่นจุมเสียราช
บุตรย้ อน
ศักราชได้ ๑๓๐ ปี เปิ กไจ้ ( ) เอาเจ้ าองค์นางเมือ
(ไป) ม่าน
ศักราชได้ ๑๓๑ ปี กัดเป้า ( ) ลงทัพไชยทุง่ หนองด้ วง
ศักราชได้ ๑๓๗ ปี ฮับมด ( ) ฉลองหอพระบางเพิน
สร้ างปี กายนัน้
ศักราชได้ ๑๔๐ ปี เปิ กเส็ด ( ) สร้ างภูทรวงแล
ศักราชได้ ๑๔๑ ปี กัดไค้ ( ) เดือน ๑๐ แรม ๓ คํ่า
วันจันทร์ แตกเศิกไทยวันนัน้
๑๙๐
ศักราชได้ ๑๔๘ ปี ฮวยสะง่า ( ) เจ้ านันทไปตีเมือง
พวน ( เชียงขวาง) แตกปี นัน้ เดือน ๖ ขึ ้นนํ ้าฟ้าลําพู้น (โน้ น) ก็ปี
เดียวนันแล

ศักราชได้ ๑๔๙ ขึ ้นตีเมือง ( หลวงพระบาง ) ฮวด (ถึง) ๑๕๐
ปี เบีกสัน ( ) เมืองหลวงแตกเดือน ๖ เจ้ าฝ่ ายหน้ าตายแล
เอาเจ้ าชุมภูลงมาแต่เมืองขวางก็ปีเดียวนันแล้
ศักราชได้ ๑๕๐ ปี กัดเฮ้ า ( ) ไปขุดคลองเมืองไทย
ศักราชได้ ๑๕๒ ปี กดเส็ด ( ) จึงคืนมาและเอาธิสาร
เมืองพวนลงมาก็แม่นปี นันแล

ศักราชได้ ๑๕๓ ปี ฮวงไค้ ( ) แตกเศิกแกว ( ยวน)
เสียเจ้ าอุปราช
ศักราชได้ ๑๕๔ ปี เต่าไจ้ เจ้ าแกว (ยวน) วาดครัวนอกลงถิ่น
ศักราชได้ ๑๕๕ ปี กาเป้า ( ) เข้ าแพงนักเป็ นพ้ อมฮ้ อย
นับหกสารเป็ นโปะ (ทะนาน) ๓๐๐๐ เบี ้ยแต่ มื ้อดอก
ศักราชได้ ๑๕๖ ปี กาบยี ( ) เดือนเจียง (อ้ าย) ขึ ้น ๔
คํ่า เจ้ านันท์หนีไปไทย เจ้ าองค์หลวงมาก็ปีเดียวนัน้
ศักราชได้ ๑๕๗ ปี ฮับเม่า ( ) จึงได้ นงั่ เมืองแลเมือ (ไป)
เศิกเมืองแถงก็ปีเดียวนัน้
ศักราชได้ ๑๕๘ ปี ฮวยสี ( ) แก่พระเจ้ าวัดใต้ แลสาว
ราชเหล็กเฮย

๑๙๑
ศักราชได้ ๑๕๙ ปี เมีงใส้ ( ) เศิกพระนาคีบไ่ ด้ คืนมา
โลดไปเลว (รบ) พระมาเมืองเชียงใหม่ก็ในปี นัน้
ศักราชได้ ๑๖๐ ซํ ้าว่าไปเลว (รบ) พะม่าไปฮอด (ถึง)
เมืองระแหงหันบ่้ ได้ ไปลวดกลับคืนมา
ศักราชได้ ๑๖๑ ปี กัดมด ( ) ไปเอาอาชญาคําเกิดกับ
ไพร่มาอยูเ่ ชียงหัวซายหมด
ศักราชได้ ๑๖๒ ปี กดสัน องทวยมาขอกําลังไปตีประกันขึ ้นทาง
เมืองพวนกวาดคืนมา เจ้ าแกวบ่วายเสียธาตุ
ศักราชได้ ๑๖๓ ปี ฮวงเฮ้ า พระยาสุโพ ฯ เป็ นแม่ทพั ไปตีแกวท่า
สีดา เจ้ าอินทไปพอก (ปิ ด) ธาตุ ไทยมาเมืองนคร ๒,๐๐๐๐ ตาม
พระยาใต้ นํ ้า
ศักราชได้ ๑๖๔ ปี เต่าเส็ด ( ) เจ้ าอินทเมือเศิกเชียง
แสนบ่ได้
ศักราชได้ ๑๖๕ ปี กาไค้ ( ) เจ้ าหลอนิพพานเดือนสาม
ขึ ้น ๗ คํ่าวันศุกร์ แล
ศักราชได้ ๑๖๖ ปี กาบไจ้ พระศรี หะตะนุได้ นงั่ เมืองแล
ศักราชได้ ๑๖๘ ปี ฮวยยี ( ) เจ้ าเวียงจันทน์สร้ างโฮง
( วัง ) แล
ศักราชได้ ๑๖๙ ปี เม่า ( ) เจ้ าเวียงจันทน์ไปฉลองขัว
(สะพาน) ธาตุ
ศักราชได้ ๑๗๐ ปี เปิ กสี ( ) สร้ างวัดหนองคาย

๑๙๒
ศักราชได้ ๑๗๕ ปี เต่าสัน ( ) เดือนเจียง (อ้ าย)
แรม ๔ คํ่าวันอังคารเจ้ าเวียงจันทน์ไปฉลองวัดธาตุ คืนมาเมื่อเดือนยี่
ขึ ้นสามคํ่าวันพฤหัศบดีฮอด (ถึง) มื ้อ (วัน) นันเดื
้ อนสามเพ็งตัง้
บุญหลวงเท่า ฮอด (จนถึง) มื่อฮับ ( ) จึงแล้ ว สร้ าง
ขัว (สพาน) ข้ ามของก็ปีนัน้ เดือน ๔ แรม ๑๑ คํ่า วันเสาร์ มื่อ (วัน)
เมีงไค้ ( ) ยามใกล้ รุ่งแผ่นดินไหวแล
ศักราชได้ ๑๗๖ ปี กาบเส็ด ( ) เดือน ๖ ขึ ้น ๒ คํ่าวัน
จันทร์ มื่อ (วัน) เมิงไค้ ( ) เทวดาลัน่ กลอง (ตีกลอง)
เท่าฮอด (จนถึง) ๓ คํ่าวันอังคารจึงอย่า (หยุด) แล เดือน ๖ ขึ ้น
๘ คํ่า วันอาทิตย์ยามกลองแลง ( บ่ายสามโมงเศษ ) ลมหลวง
ศักราชได้ ๑๗๘ ปี ฮวยใจ้ ( ) เดือน ๔ ขึ ้น ๘ คํ่าวัน
อาทิตย์ ตังบุ
้ ญหลวงฉลองหอพระแก้ ว หอไต (หอไตร) ให้ ทาน
ผ้ า ๗๐๐๐ ผืน แรม ๗ คํ่าจึงแล้ วแล
ศักราชได้ ๑๗๙ ปี เมิงเป้า เจ้ าหลวงนิพพาน
ศักราชได้ ๑๘๒ ปี กดสี ( ) เดือน ๗ ผีหา่ (อหิวาตะ
กะโรค) กินคนเท่าฮอด (จนถึง) ปี ฮวงไส้ จงึ หายแล
ศักราชได้ ๑๘๓ ปี ฮวงใส้ ( ) เดือนยี่ขึ ้น ๙ คํ่าวันอังคาร
มื่อ (วัน) ฮับเฮ้ า ( ) เจ้ าแผ่นดินเสด็จจากเมืองไปสร้ างเมือง
ปาศักดิ์ ( จําปาศักดิ)์ เจ้ าราชบุตรไปนัง่ (เป็ นเจ้ าเมือง) แล
ศักราชได้ ๑๘๖ ปี กาบสัน ( ) เดือน ๖ ขึ ้น ๘ คํ่าวัน
พุธมื่อกดไจ้ ( ) ตังบุ ้ ญหลวงฉลองวัดศรี สระเกษ มื่อ (วัน)

๑๙๓
๙ คํ่าแก่ฮบู แฮม ( แรม ) ๒ คํ่าไฟ, เดือน ๑๐ ขึ ้น ๕ คํ่า วันเสาร์ มื่อ
(วัน) ฮับมด ( ) ไหล (ล่องนํ ้า) ท้ างศุขสาวสัน้ เจ้ า
เมืองไทยนิพพานปี นัน้
ศักราชได้ ๑๘๗ ปี ฮับเฮ้ าเดือน ๕ ขึ ้น ๓ คํ่าวันอาทิตย์มื่อ (วัน)
กาบสัน ( ) ลมเพ (พัง) หอพระบาง, เดือน ๖ ขึ ้นคํ่า ๑
มื่อ (วัน) เมิงไค้ ( ) ยามกองแลง (บ่าย ๓ โมงเศษ)
ลมหลวง (พยุใหญ่) เพโฮง (พังวัง) เดือน ๘ ขึ ้น ๑๔ คํ่าวันอังคาร
มื่อกัดไค้ แผ่นดินไหว
ศักราชได้ ๑๘๘ ปี ฮวยเส็ด ( ) เดือน ๖ แรม ๓ คํ่า
วันอังคารยามกองงาย ( เวลาเช้ า ๓ โมง ) ยอ (ยก) หอพระบาง
ตะวันออก ๒ หน่วย (ลูก) แล
ศักราชได้ ๑๘๙ ปี เมิงไค้ ( ) เดือน ๖ แรม ๒ คํ่าวันศุกร์
แตกไทยแล
ศักราชได้ ๑๙๐ ปี เปิ กไจ้ ( ) เดือน ๗ เจ้ าเวียงจันทน์
คืนมาฮอด (ถึง) ฆ่าไทยตัว (กะโดด) หนี, เดือน ๑๑ แรมคํ่า ๑
ไทยคืนมาไล่แตกหนีจากเวียงจันทน์
ศักราชได้ ๑๙๑ ปี กัดเป้าเดือนเจียง (อ้ าย) ขึ ้น ๓ คํ่าเจ้ าน้ อย
เมืองพวน (เชียงขวาง) เข้ ามาฮอด (ถึง) มื่อ (วัน) ๙ คํ่าออกมา
แรม ๓ คํ่าไปเมืองแกว (ญวน) แล
ศักราชได้ ๑๙๒ ตัวปี กดยี ( ) พระยาพิไชยขึ ้นมาเอา
ครัวเมืองหลวง (หลวงพระบาง) โลด (เลย) จับเอาเจ้ าอุปราชเมือง

๑๙๔
หลวง เดือน ๕ พระยาพิไชยตายในเมืองหลวงก็ปีเดียวกันนันแล้ ้ ว
เดือน ๘ เพ็งวันจันทน์เจ้ าของนัง่ เมืองพานก็ปีนันเจ้
้ าสุวรวงษาเอาครัว
แต่หนองบัวมาตังอยู
้ ห่ นองคายก็ปีเดียวกันนันแล้
้ ว
ศักราชได้ ๑๙๓ ปี ฮ่วงเม่า ( ) ศักราชได้ ๑๙๔ ปี เต่าสี
ศักราชได้ ๑๙๕ ตัวปี กาใส้ เดือน ๓ แรม ๓ คํ่าวันจันทร์ พระพิเรนทร์
ยกทัพเมือตีเมืองเชียงขวาง, เดือน ๔ แรม ๘ คํ่าเมืองพวนแตกแล
ศักราชได้ ๑๙๖ ปี กาบสะง่า พระพิเรนทรเทพยกทัพจากเมือง
หนองคายเมือตีเมืองพวนบ่ (ไม่) ได้ คืนมา
ศักราชได้ ๑๙๗ ปี ฮับมด ( ) เดือน ๕ พระพิเรนทร
เทพเอาเจ้ าของเมืองพวนไปจากเมืองหนองคายไปไทย
ศักราชได้ ๑๙๘ ปี ฮวยสันเดือน ๖ ขึ ้น ๘ คํ่าวันเสาร์ มื่อเต่าสี
( ) ยามกองแลง ( บ่าย ๓ โมงเศษ ) แผ่นดินยะ (แยก)
วัดหอกองต่อหน้ าพระเสรี มแล
ศักราชได้ ๑๙๙ ปี เมีงเฮ้ า
ศักราชได้ ๒๐๐ ปี เปิ กเส็ด เจ้ าเถื่อนออกจากเมืองมหาไชย
มาถึงเมืองหนองคายเดือนยี่ขึ ้น ๑๒ คํ่าวันศุกร์ มื่อกดเส็ด ( ) ยาม
เที่ยงวันแล
ศักราชได้ ๒๐๑ ปี กัดไค้ เจ้ าเมืองหนองคาย (ยก) วัดโพไชย
เมื่อเดือน ๓ แรม ๔ คํ่า วันเสาร์ แล เดือน ๔ ขึ ้น ๑ คํ่าวันพุธอากาศ
สูนตะวัน (สุริยคราส) ก็ปีเดียวนันแล ้
ศักราชได้ ๒๐๒ ปี กดไจ้

๑๙๕
ศักราชได้ ๒๐๓ ปี ฮวงเป้า เดือน ๑๐ แรม ๑๐ คํ่าวันพฤหัศบดี
ได้ เกณฑ์ทพั เมืองหนองคายไปตีเมืองวังครัง้ ก่อน
ศักราชได้ ๒๐๔ ปี เต่ายี ( ) ขึ ้น ๑๑ คํ่าวันพุธไปทัพเมือง
วังทีกลาง
ศักราชได้ ๒๐๕ ปี กาเม่า เดือน ๕ ขึ ้น ๓ คํ่าวันอังคารไปทัพ
เมืองวังทีลนุ (หลัง)
ศักราชได้ ๒๐๖ ปี กาบสี ( )
ศักราชได้ ๒๐๗ ปี ฮับไส้ ( )
ศักราชได้ ๒๐๘ ปี ฮวยสะง่า ( ) เดือน ๑๑ แรม ๘ คํ่า
เจ้ าเมืองหนองคายลงไปให้ (ทอด) กะฐิ นธาตุพนมปี นัน้
ศักราชได้ ๒๐๙ ปี เมิงมด ( ) เดือน ๗ ขึ ้น ๙ คํ่าวันศุกร์
เก็บโขนใหม่ขึ ้นครูเมื่อนัน,้ เดือน ๙ ขึ ้น ๙ คํ่าวันศุกร์ ยามแลใกล้ คํ่า
มื่อฮับไค้ ( ) พระธาตุใหญ่หนองคายเพ (พัง) ลงนํ ้า
ของมื่อนันแล

ศักราชได้ ๒๑๐ ตัวเปิ กสัน ( ) เดือนยี่ขึ ้น ๓ คํ่าวัน
อังคาร เจ้ าเมืองหนองคายลงไปปลงศพ (เผาศพ) พระบรมราชาเมือง
ลครแล
ศักราชได้ ๒๑๑ ปี กัดเฮ้ า ( ) วันเสาร์ เดือน ๕ ขึ ้น ๑๐ คํ่า
ปี ระกา ท้ าวพรมมาลูกเจ้ าน้ อยเมืองพวนออกมาถึงเมืองหนองคายมื่อนัน้
ศักราชได้ ๒๑๒ ตัวปี กดเส็ด ( ) เดือน ๘ แรมคํ่า ๑
วันเสาร์ เกิดพยุ ( อหิวาตกโรค ) คนตายเป็ นอันมาก ถึงเดือน ๑๑
จึงหายแล
๑๙๖
ศักราชได้ ๑๒๑๓๑ ตัวบีฮวงใค้ ( ใทยว่าปี กุน ) เดือน ๖ แรม
๑๐ คํ่าวันอาทิตย์ หลวงทิพย์จํานวจ (ตํารวจ) เมืองโคราชเป็ นข้ า
หลวงเชิญท้ องตราขึ ้นมาว่าเจ้ าอยูห่ วั ขึ ้นสูส่ วรรคตแล้ วเจ้ านายกรมการ
พร้ อมกันเถหัวทุกคนในปี นันแล ้
ศักราชได้ ๑๒๑๔๒ ตัวปี เต่าไจ้ ( ) เดือน ๕ ขึ ้น ๑๑ คํ่า
วันอาทิตย์ มื่อฮวยเส็ด ( ) ยามกองงาย ( ๓ โมงเช้ า ) เจ้ า
สุวรรณวงศาผู้เป็ นพระประทุมเทวาเจ้ าเมืองหนองคายนิพพาน ( ถึงแก่
กรรม ) มื่อนันแล

ศักราชได้ ๑๒๑๕๓ ตัวปี กาเป้า เดือน ๓ แรม ๔ คํ่าวันพฤหัศบดี
จึงให้ เผาศพเจ้ าเมืองแล
ศักราชได้ ๑๒๑๖๔ ปี กาบยี ( ) เดือน ๔ ขึ ้น ๑๑ คํ่าวันอังคาร
เจ้ าราชบุตรบ้ านสิงโคกผู้เป็ นอุปฮาดขึ ้นนัง่ เมืองหนองคายมื่อนัน้
ศักราชได้ ๑๒๑๗๕ ปี ฮับเม่า ( ) เดือน ๑๑ แรม ๖ คํ่า
วันพฤหัสบดี เจ้ าครู ( พระครู ) หอพระแก้ วฟากใน (ฝั่ งซ้ าย) องค์มา
เป็ นเจ้ าครูหลักคําเมืองหนองคายนิพพานมื่อนัน,
้ ถึงเดือนยี่ขึ ้น ๑๒ คํ่า
วันเสาร์ จงึ ให้ เผาศพแล, เดือน ๔ แรม ๑๐ คํ่าวันจันทร์ เจ้ าหน่อคํา

๑. ต้ นฉะบับเป็ น ๒๐๑๓
๒. “ “ ๒๒๑๔
๓. “ “ ๑๐๑๕
๔. “ “ ๑๐๑๖
๕. “ “ ๑๐๑๗

๑๙๗
เป็ นข้ าหลวงเชิญท้ องตราขึ ้นมาชําระเลข เมืองหนองคายแลเมืองลาว
ฝ่ ายตะวันออกแล
ศักราชได้ ๑๒๑๘๑ ตัวปี มะโรงอัฏฐศก เดือน ๖ แรม ๓ คํ่า
วันพฤหัสบดี เจ้ าหน่อคําจึงยกจากเมืองหนองคายไปไทยแล, เดือน ๙
ขึ ้น ๕ คํ่าวันพฤหัสบดี นํ ้าท่วมเมืองไหลออกจากทุง่ นาเป็ นอันมาก,
เดือน ๓ ขึ ้น ๙ คํ่าวันอังคาร มื่อเต่าเส็ด ( ) ขุนวรธานีแลเจ้ า
เหม็นเป็ นข้ าหลวงขึ ้นมาเอาพระเสริมยกจากเมืองหนองคายไปไทยก็ปีนัน้
ศักราชได้ ๑๒๑๙๒ ตัวปี มะเสงนพศก เดือน ๗ ขึ ้น ๙ คํ่าวันจันทร์
หลวงศรี วรโวหารท้ าว, เหม็นเป็ นข้ าหลวง ขึ ้นมาเอาพระไสยกไปไทยมื่อ
นันอิ
้ กเล่าแล, เดือน ๑๐ แรม ๗ คํ่าเจ้ าราชบุตรบ้ านสิงโคกผู้เป็ นพระ
ประทุมเทวาธิบาลเจ้ าเมืองหนองคายนิพพาน ( ถึงแก่กรรม ) มื่อ (วัน)
นันแล้
พิเห็นควันดาว ชื่อว่าทุมเกตให้ ดแู ลทายว่าสันทิเห็นทุมเกตหน
(ทิศ) บูรพา เกรงข้ าเศิกจักมาขุนเมืองขุนนายจักเสียเข้ าของหลาย,
เห็นหนทิศทักษิณมีทกุ ข์แก่เมืองนันเศิ
้ กจักมาให้ แขง, เห็นหนประจิม
ขุนนางจักมีคํากังวลจักเสียเมืองคนจักเจ็บไข้ มาก เห็นหนอุดรจักเสีย
ขุนใหญ่จกั มา, เห็นอาคเณเมืองบ้ านจักแล้ งเศิกจักมามากนัก, เห็น

๑. ต้ นฉะบับเป็ น ๑๐๑๘
๒. “ “ ๑๐๑๙

๑๙๘
หนหรดีไฟไหม้ บม่ ีจกั เสียนางใหญ่ ๑ แล เห็นหนพายัพจักกังวลด้ วย
ยากข้ าว ๆ จักแพงเศิกจักมาให้ กินให้ แขง เห็นหนอิสาณให้ แขงแก
พรามสูตร์ จงึ ดี ตายบ่มีจกั เสียขุนมวลแล

บทตังบ้
้ านเมืองในชมภูทวีปเฮานี ้เป็ นดังเดียวกันแล, แผ่นดิน
หนาได้ ถึง ๒๔๐๐๐๐ โยชน์ก็หวัน่ ไหวไปมาถึง ๒ ที พระอาทิตย์พระ-
จันทร์ พระอังคารก็หวัน่ ไหวไปมาแล, ออกเบื ้องหุง่ (รุ่ง) ทีปกํ ้าทีป
ยังบ่หวัน่ ไหวไปมา แต่พระเพลิงสิ่งเดียวแล กะธา, สามพระพระยา
มาปั ดสุมชุมลุม (ชุมนุม) กันตังกาตลาดลี
้ (ตลาด) ก็จดั มีมืดมน
อนทกาล ๗ วัน ๗ คืนแล, วันถ้ วน ๗ ผู้พระเพลิงหนี วันถ้ วน ๗ เป็ น
ฝนแลลม วันถ้ วน ๘ เห็นผาสาด (ปราสาท) เงินผาสาดคําผาสาด
แก้ วจักออกมาฝ้าแผ่นดินหนานี ้, พ่อเหลือมแม่เหลือม (งูเหลือม)
จักออกมา, พ่อจิเข็บ (ตะขาบ) แม่จิเข็บจักออกมาหน้ านี ้แล, พ่องู
แม่งจู กั ออกมาหน้ านี ้
นโมตัสสะภควโต ชื่อว่าอินกะเตวาคําราชา อันว่า พระยาหมา
จิ ้งจอก ๔ ตัวนี ้แม่นแม่แห่งเขาทังหลายแล
้ บริวารแลตัวนัน้ ๑๖๐๐ ตัว
แลจักกินคนใจบาปหาบุญหาศิลมิได้ แล, ทางลุม่ (ใต้ ) นางธรณี
อิสรู ิย์แต่งทางนํ ้าพระยาครุธพระยานาค, นางน้ อยเมขลาแต่งทางบน
ท้ าวจัตโุ ลกบาลทัง้ ๓ กับทังพระยาเวสุ
้ วรรณ์แต่งทางเหนือพระยา
กุมภัณฑ์ พระยาอินทร์ พระยาพรหมแต่งมาเอาคนคนใจบาปไปสู่นรก,

๑๙๙
แลชมภูทวีป เฮานี ้ทอเกล็ดหอยหาที่พงึ่ บได้ แลให้ หาที่พงึ่ เทอญ
ชายคาฝาคํ ้าบมีหากจักฆ่าฟั นกันกอบกํากินแล, ดงพระยากับปั ณะทรง
(ครอง) เมืองได้ ๔ เดือน พระยาสุบรรณ์บนิ ขึ ้นมาแต่ตอนโขงจุด
เผาผาสาด (ปราสาท) พระยาทัง้ ๔ นี ้เพื่อบได้ ชนช้ างหอเจ้ า ๔ คนฝูง
บาปหากฆ่ากัน พ่อฆ่าลูก ๆ ฆ่าพ่อแลในเมืองลานช้ างตายเสีย เป็ น
คนแสนล้ านสามแสนสามหมื่นสามพันสามร้ อยสามสิบสามคนแล แตก
ตกต่างเมืองเป็ นคน ๔๙๙๐๙ คนแล ยังกับเมืองลานช้ างล้ านปลาย
สี่หมื่นสี่พนั สี่ร้อยสี่คนแล หล่านํ ้า (ใต้ นํ ้า) เหนือนํ ้ากลางนํ ้าจักเห็น
เป็ นใหญ่เป็ นเจ้ าแผ่นดินผู้เดียวหนึง่ ยังจักมีเจ้ ายอดธรรมจักลงมาบัด
แผ้ ว (ปราบ) แล ชื่อว่าบุรมมหาจักร์ มาปั ดแผ้ วให้ พระยาธรรม
นันแล
้ คนตายเสียได้ เจ็ดแสนปลาย สองหมื่นสองคนยังต่อห้ าแสน
ทัดแลฝูงยังนันเขาจะได้
้ เห็นพระยาเจ้ าสุคนแล อายุผ้ เู ฒ่ายังจักได้
๑๐๐๐ ปี ผู้หนุม่ จักได้ ๑๐๐๐๐ ปี เด็กน้ อยได้ ๑๐๐๐๐๐ ปี พระ
อาทิตย์พระจันทร์ พระอังคารออกเคิง่ เขาพระสุเมรุแล สองปี เฮา (เรา)
เดียวนี ้จึงเป็ นปี พระยาธรรมปี หนึง่ แล สองมื่อ (วัน) จึง่ เป็ นมื่อ (วัน)
พระยาธรรมมื่อหนึง่ แลให้ คนทังหลายฮํ
้ าพึง (พิจารณา) ดูเทอญ เดียว
นี ้นาผู้ใดฆ่าพ่อตีแม่ฆา่ เฒ่าแก่ลกู อาวชาวเฒ่าได้ กี่ยานคํากังห่้ ม (ร่ม)
ขาวยากสองดวง (คัน) แลผู้ใดฆ่าพ่อจิจมุ ตัดศรี มหาโพธิได้ ขี่ช้าง
เครื่ องคํากังฮ่
้ ม (ร่ม) ๓ ดวง (คัน) แล อายุยืนปานเห็ดละโงก
นันแล
้ ตายได้ ตกนรกก็บเกิดสักเทือแล ตายหมดถ้ วนแล แม่ฮ้าว ๆ
ย้ ายที่ออกจากตมหมดถ้ วนแล้ ว เทวดาก็ทกุ ข์ใฮ้ เข้ าฆ่าฟั นกันถ้ วนแล้ ว

๒๐๐
ไม้ ไผ่บ้านเป็ นขีแล้ ว นํ ้าสระหนองบกแห้ งหมดถ้ วนแล้ ว สัตว์สิงกวน
กินกันหมดแล้ ว วังเป็ นหาด ๆ เป็ นวังหมดถ้ วนแล้ ว เสนาพระยาครุธ
ในเมืองลุม่ ก็หนี เทวดาก็หนีหมดถ้ วนแล้ ว ผีทกุ ข์กระเซิบเข้ าสูนคนหานี ้
ให้ เบิง่ บาฬีสี่พนั หมื่น เหตุวา่ คนกระทําบาปหนักหนา บ้ านเมืองบดีแล
ฝูงนี ้พระยาให้ พิจารณาดูเทอญ ให้ รักษาธรรมสามัวนี ้เทอญ พื ้นเมือง
ลานช้ างเฮาแล ฯ
สิทธิการ จักกล่าวตํานานบ้ านเมืองเฮานี ้ เมื่อศักราชได้ ๙๔๑ ตัว
เดือน ๗ ขึ ้น ๑๓ คํ่า ยังมีเจ้ าระษี ๓ ตน ๆ หนึง่ ชื่อว่านาคคระษี ตน
หนึง่ ชื่อว่าบรรพตระษี ตนหนึง่ ชื่อว่าอชิตระษี ๔ ตน กับเจ้ าสัมณ
คุทธะเถรมาประสุมชุมกันที่ดอยสิงคุตราชแล้ วจากันว่า เมืองทังสอง

คือว่าเมืองเชียงใหม่แลเมืองลานช้ างจักเป็ นอลหนนัก เจ้ าระษีแลมหา
เถรเจ้ าจึงพิจารณาดูบ้านเมืองทังมวลแล้
้ ว จึงทํานวยไว้ แก่คนทังหลาย้
ให้ แจ้ งแล้ ว จึงว่าเมืองเชียงใหม่จกั เป็ นอนตายเมื่อศักราชได้ ๙๔๒ ปี
กดยีนนั ้ เจ้ าหน่อเมืองจักได้ มาเสวยราชในเมืองลานช้ าง ปางนันจั ้ กมี
อานุภาพมากนักแล อยูบ่ น่ านท่อใดชาวหงษาจักมาอยูเ่ มืองเชียงใหม่
จิงซํ ้าตกประเทศอื่นแล้ วแตกมาเมืองลานช้ างแล เมื่อเสวยราชย์ได้ ๑๒ ปี
จุตติ ายไปหันแล ้ เมื่อศักราชได้ ๙๕๔ ตัวปี ฮวยสัน ยังมีผ้ หู นึง่ ชื่อว่า
ขุนหลวงจักได้ เสวยชาวลาวลานช้ างอยูเ่ มืองเชียงใหม่ จักแตกมาเมือง
ลานช้ างปางนัน้ เมืองเชียงใหม่จกั เป็ นอันตรายมากนักหันแลชาว

เชียงใหม่จกั แตกมาเมืองลานช้ างปางนันแล ้ คนผู้บาปจิงเอาคําธาตุนํ ้า
พูนหนีมาตกเมืองลานช้ างปางนันแล ้ ศักราชได้ ๙๖๐ ตัวปี กัดใค้ พระ
ยาคนหนึง่ เสวยราชย์คงนั ั ้ นยั
้ งมีพระยาตนหนึง่ ชื่อว่ามะละอักตัญญูจิ
๒๐๑
กําจัดพ่อ ชื่อว่าขุนหลวงละหนีมาเมืองเชียงใหม่ แดนแต่ชาวเมือง
ลานช้ าง จักฆ่ากันเพื่อเหตุคําธาตุนํ ้าพุนไปตกเมืองลานช้ าง พระยา
กตัญญูจกั เสวยราชได้ ๙ เดือนจักตายไปตามกรรมหันแล ้ ศักราชได้
๙๘๔ ตัวปี เต่าสัน ยังมีพระยาตนหนึง่ เข้ าสูอ่ ํานาจพระยาธรรมจักเกิด
ท่งย่างเมืองขวางหันแล ้ หลักหนึง่ แม่นหงษาหลักหนึง่ แม่นลานช้ างหลัก
หนึง่ เมืองศรี ยธุ ยา ในสามเมืองนี ้เป็ นเมืองเดียวกัน พระยาจึงใส่ชื่อว่า
เมืองลานช้ างตามราชภูบาลแล พระยาลายตีนเป็ นกงจักรรักษาเมือง
อินทปั ถนคร พระยาไตพระยาลิ ้นก่านรักษาเมืองอังวะ พระยาป่ าลิไลย
รักษาเมืองสาวดี พระยาสบฮุ้ง (รุ้ง) เอิกออง (อกนูน) รักษาเมือง
ศรี ยธุ ยา สี่พระยานี ้เป็ นใหญ่กบั พระยาธรรมเจ้ าแล พระยาธรรมทรง
เมือง (ครอง) ท่งย่างเมืองฝางหัน้ (นัน) ้ แล บ่อนอยูค่ นทังหลาย

ได้ ซื ้อคําสุกฮ้ อยหนึง่ แล แต่ผาสาทแก้ วฮุง่ ได้ ๑๐๐ วาแล เมือหน้ า
หากแม่นพ่อพระเจ้ าเมตไตแล พระยาธรรมนี ้แม่นพระยาปั ดเสนลอก
ดาบมาลงเลิกศาสนาอยูย่ ามซิขึ ้นเมือสูค่ าบตนแล้ ว จึงปลุกนางฟ้า
ทังหลายจิ
้ งว่าพอให้ ผ้ ขู าทังหลายฮู
้ ้ เมื่อไปดอม (ด้ วย) แม่นางฟ้า
ทังหลายว่
้ าดังนันแล้
้ ว
ศาสนาพระกุกกุสนให้ พระยาปั ดเลีกศาสนาไว้ ถ้ าพระโกนาตะ-
มะนะ พระโกนาคะมะนะนิพพานไปแล้ ว พระยาธรรมผู้ตามเลิกศาสนา
ไว้ ถ้าพระเจ้ ากัสปะ พระกัสปะนิพพานไปแล้ ว พระยาสะราสเลิก
ศาสนาไว้ ถ้าพระโคตะมะ พระโคตะมะนิพพานไปแล้ ว พระยาธรรม
แต่งเลิกศาสนาไว้ ถ้าพระเมไตรเจ้ าหันแล ้ พระยาตนมีบญ ุ สมภารมาก

๒๐๒
กว่าพระยาธรรม ตนสี่องค์นนบมิ ั ้ ตาทัว่ ทิศะแล พระยาธรรมตนนี ้จัก
มิตาทัว่ ทิศะแล ในร้ อยเอ็ดเมืองนี ้จะมาเป็ นบริวารพระยาเจ้ าเสี ้ยง
(หมด) แล หมดเช่นพระเจ้ าเมตไตรแล้ วศาสนาบมีแล หมดพระยา
จักรแลพระปั จเจก เทวทัดเกิดมาเป็ นพระปั จเจกวันนี ้แล้ วนิพพาน ไป
ไหว้ ธาตุพระปั จเจก เสด็จเข้ าพระเจ้ า ๕ พระองค์อยูก่ บั พระปั จเจก
เทศนาตังอยู
้ ่ ๗ วัน ๗ คืน อนึง่ แล้ วจึงขึ ้นเมือยอดฟ้านิพพานกํ ้า
ตะวันออก แลศาสนาชื่อว่าปั จเจกพัดแล คําสุขในเมืองลานช้ างเท่า
เม็ดข้ าวเปลือกหนึง่ แล คําสุขในเมืองศรี อยุธยาเท้ าเม็ดข้ าวสารหักท่อง
(ครึ่ง) หนึง่ แล คําสุขในเมืองอังวะเท่าเม็ดพันธุ์ผกั กาดหนึง่ แล คํา
สุขในเมืองฮ่อหลวงท่อในหมากหลอดหนึง่ แล คําสุขในเมืองแกวปะกัน
เท่ากับเม็ดงาหนึง่ แล คําสุขในเมืองลังกาทวีปเท่าใยบัวหนึง่ แล คําสุข
ในเมืองโกสัมภีทอ่ เส้ นผมตัดมนหนึง่ แล คําสุขในเมืองละแวกท่อเข้ า
ปลายเบียนหนึง่ แล เจ็ดวันหนึง่ ปลาอยูน่ ํ ้าออกมาแห้ งอิถีอยูก่ ํ ้าตะวันออก
มาเป็ นพระยาได้ ๕ ปี ๆ ถ้ วน ๖ นันอนิ้ จเสียหันแล้ เมื่อศักราชได้
๙๘๙ ตัวปี เมิ่งเม้ า ยังมีพระยาตนหนึง่ ชื่อว่าสุรมิตศักจักมาเสวยราชย์
๙ ปี ตายแล ศักราชทุก ๑๐๐๐ ปี ยังมีพระยาตนหนึง่ ชื่อว่าสุริยกุมารจัก
มาเสวยราชย์บ้านเมือง ตังอยู ้ ท่ ศราชตามธรรม ๑๐ ประการตามฮีด
พระกษัตริย์ ๕๔ คน คือว่าพระยาสามแสนและพระยาพระธิสารแล
พระยาไชยเชษฐาธิราชอายุ ๖๙ จักได้ เมืองใหญ่ ๑๓ เมืองจักมาส่วย
จักได้ เสวยราชย์เป็ นพระยาใหญ่กว่าท้ าวพระยาฟากนํ ้าสมุทรนี ้ทังมวล ้
อายุได้ ๘๖ เมืองลานช้ างจักอิ่มเต็มปางนันแล ้ ศักราชได้ ๙ ตัวเมือง

๒๐๓
ล้ านช้ างจักฆ่าฟั นกันมากนัก เพื่อว่าคําธาตุนํ ้าพูนมาเมืองล้ านช้ างเฮานี ้
เป็ นคําสองแสนสามหมื่นหกพันปาย ศักราชได้ ๕๗ ตัวปี ฮับได้ ยังมี
เสนาผู้หนึง่ ชื่อว่าพระมละจักโลภเอาเมือง เสวยราชได้ ๖ เดือนตาย
ไปตามกรรมหันแล ้ ศักราช ๕๘ ตัวปี ฮวยใจ้ ยังมีพระยาตนหนึง่ ชื่อ
ว่าโสมนัศราชจักมาเสวยราช คือว่าตังอยู
้ ใ่ นธรรม ๑๐ ประการแท้
ดังนัน้ เทวดาทังหลายจั ้ กเอาเข้ ามาใส่ให้ เต็มฉางแล้ วดังนัน้ เสวยราช
ได้ ๕๘ ปี ตายหันแล ้ เมื่อศักราชได้ ๘๔ ตัวปี กาเม่า ยังมีพระยา
ตนหนึง่ อยูห่ นอิสาณ ชื่อว่ากบิละพัฒน์จกั ผากดแล้ วอยูเ่ สวยราชจักมี
ลูกผู้หนึง่ แล ลูกท้ าวกบิละพัฒน์จกั ได้ ไปสร้ างทรายฟองหันแล ้ เมือง
ลานช้ างจักอิ่มเต็มปางนันมากนั
้ กแลตังแรกแต่
้ นนสื
ั ้ บไปบางพ่อง ๓ปี ตาย
บางพ่อง ๔ ปี ตายก็มีแล แต่เช่นพระยา ๖ ตนนันสื ้ บมาทังมวลได้

พระยาแล ศักราชได้ ๘ ตัวปี สะง่า ยังจักมีพระยาตนหนึง่ มีบรุ มสมภาร
อันมาก จักได้ เสวยราชคนทังหลายจั
้ กมีสขุ ดอมพระยาเจ้ าตนนันแล

แต่นนศั
ั ้ กราชได้ ร้อยปายสองตัวเดือน ๘ เพ็งวันพุธ พระเจ้ าแก่นจันทน์
แดงอยูเ่ มืองฮ่อหลวงมาหาพระบางพระแก้ วพระแซกคําเจ้ ามาโฮมเมือง
ลานช้ างได้ ๑๖ ปี แล้ ว กล่าวศักราชได้ สองร้ อยปายแปดตัวพระเจ้ า
แก่นจันทน์แดง พระแก้ ว พระบางพระแซกคําเจ้ าจิงหนีไป
เมืองลังกาทวีปพุ้นแล ในพระพุทธฮูปเจ้ า ๔ องค์นี ้ หนีจากเมือง
ลานช้ าง เมื่อใดหาสังฆเจ้ าพอเป็ นบริวาสกรรมได้ แล ศักราชล่วงไป
ได้ ๔๘๖ ตัวนันหาสั
้ งฆ เจ้ าพอสัง่ สอนบ่ได้ แลเมืองลานช้ างจักเป็ น ๔ หมู่
๕ หมู่ ๖ หมูไ่ ปแล คาเนนติ คนทังหลายจั้ กฆ่าฟั นกันมากนัก มนุสสา-

๒๐๔
ชาเนนติยกั ขา อันว่ายักษ์ทงหลายออกมากิ
ั้ นคนบาปปางนันเสี
้ ยแล้ ว
พระยาธรรมเจ้ าจักเกิดมาสังฮอม คนบุญทังหลายให้
้ รักษาศิลภาวนา
ผู้เว้ นจากบาปจักเห็นหน้ าพระยาธรรมเจ้ า เมื่อศักราชได้ ๒๕๐ ตัวนันแล ้
สูบเ่ ชื่อคําระษี ๓ ตน ๔ กับทังมหาสมุ ้ ณรุทธเถร เจ้ าตนอรหันตาแท้
ดังนันจั้ กเถิงมันผู้นนแล
ั้ ตายไปได้ ตกอบายทัง้ ๔ พุ้นแล บุคละไผ่เชื่อ
ใสยังจักได้ เมื่อเกิดในชันฟ ้ ้ าสวรรค์เทวโลกพุ้นแล ตํานานเมืองหมด
เท่านี ้แล
เรื่ องสร้ างวัดพระแก้ วศรี เชียงใหม่

จุลศักราช ๑๑๗๒ ปี ซะง้ าเดือน ๕ แรม ๒ คํ่า ๔


ยามดูดตัง้ เมื่อเช้ า ๒ นิ ้วบาทติถีนอก ๑๘ ดิถิใน ๑๖ ดิถี ๔๓
เลิกลูกนิละมิต ๕ ลูก ๖๓๑๘๖ หอละคูณตัวนี ้
๑. หมูค่ ณะสัตว์พระราชาอาจยาลาด จอมสมเด็จบอรมมะบอ
พิศ พระยามหาธรรมมิกะสีหา บุตร์ ตาราชาที่ลามะหาจักพัศ
พรมมินทะลา ปะตนสะกนใตยะพูวนาดชะตะยูกะโพที่สทั ธา ตัสา
กาลาพิปลู ะตูละยาโพธิสทั ธา ขัตติยพุทธัง โลยะตะละนาคะลา มหา
โสพัศสันโตทันยะลัทาราชา ปุริธรรมทิราชบอรมมะนาด บรมมะบอ
พิศตน ประกอบด้ วยโทศาทิศราชสาธรรม สาชนา ประถําพบ ใน

๒๐๖
วะระพุทธสาสนาเป็ นอันยิ่ง จริงปงประสิทธิพระพอน ลายจูมดวงนี ้
ไว้ กบั วัดหาพระแก้ วที่นี ้ แต่พระพุทธศักราชสาสนา แห่งพระบรม
สัพพัญญูเจ้ าล่วงไปแล้ ว ๒๓๕๓ ตัวปี ชะง้ า เดือน ๕ แรม ๒ คํ่า วัน ๔
ประกอบด้ วยนัขขัตะลึก ถึกนวยชื่อว่าสวัสดี ยอวัดหอพระแก้ วที่นี ้
พระพุทธรูปเจ้ า ในพระทานนัน้ สมเด็จพระเป็ นเจ้ าให้ ชา่ งผู้ที่คดิ ริด
จะนา ปั จติสงั คะละณะ ฝาผนังอาลามนัน้ สมเด็จพระเป็ นเจ้ า เหล่า
จ้ างช่างในเขียนพระพุทธรูปพันพระองค์ บอเท่าแต่นนสมเด็ ั้ จพระเป็ น
เจ้ า เหล่าจ้ างช่างทังปวง
้ ช่างแปงพระพุทธรูปเจ้ าร้ อยปลายสิบสาม
พระองค์ ตังไว้
้ ในพระระเบียงจมกมทัง้ ๔ ด้ าน ฝาผนังจมกม
ละเบียงทัง้ ๔ ด้ านนัน้ สมเด็จพระเป็ นเจ้ าเหล่าส้ างพระพิมใส่ไว้ มี
สองพันหกร้ อยปายสองพระองค์ เพื่อให้ เป็ นที่นมัศการไหว้ สกั การะบูชา
หิตะหีตาปราโยชะนา แก่สปั ปูรูด มนุษย์กทุ พัน คันทะพระนาคา คุ
ลุดธา เทวา คะณะยาสาปั นจาวัสสาหัสสานิ ตาบเท้ า ๕ พันพระวัดสา
คะละณา แต่สมเด็จพระเป็ นเจ้ าสาละสางวางไป ยังปั จจัยชาติ ราช
สม บัติ ส้ างแปง โชติตะณา วอระพระพุทธสาสนาที่นี ้ แต่คําปิ วหนัก
สามแสนสองหมื่นสองพันปายสองร้ อยสามสิบเก้ ากีบ เงินปิ วหมื่นสี่
พันปายเจ็ดร้ อยเก้ าสิบหกกีบ คิดเป็ นดา (เงินตรา) สี่สิบเก้ าชัง่ สิบ
ตําลึงปายบาทสองสลึงเฟื อ้ ง นํ ้าหนักหกร้ อยปายสามสิบเจ็ดคนาน คิด
เป็ นเงินตาหกชัง่ เจ็ดตําลึงปายบาทสองสลึง แก้ วประดับหนักห้ าหมื่น
เก้ าพันปายห้ าร้ อยชัง่ คิดเป็ นเงินตาชัง่ เก้ าตําลึงปายสามบาท (เหล็ก)
เก้ าแสนปายสามหมื่นห้ าพันหัว เป็ นเงินตาสามชัง่ ปายสิบตําลึง ปูน

๒๐๗
หมื่นเจ็ดพันปายแปดร้ อยแปดสิบเจ็ดถัง คิดเป็ นเงินตาสามสิบเจ็ดชัง่
ปายห้ าตําลึงปายบาทหนึง่ ปูนจีนสองร้ อยสามสิบห้ านวย เป็ นเงินตา
ห้ าตําลึงปายสามบาท นํ ้ามันปา ตําจีนสองร้ อยแปดสิบสองคนาน เป็ น
เงินเจ็ดตําลึง นํ ้าอ้ อยเจ็ดแสนเก้ าหมื่นปายสี่พนั เป็ นเงินตาหกตําลึง
ปายสองบาทเฟื อ้ ง นํ ้ามันยางเจ็ดร้ อยห้ าสิบห้ าคนาน ขี ้ซีแสนปา
ยสามพัน เป็ นเงินตาหกตําลึงปายบาทสองสลึงเฟื อ้ ง ชาดหนักห้ า
พันปายห้ าบาท เป็ นเงินตาสิบเจ็ดตําลึงปายสองบาทสลึง เส็นหนักห้ า
พันปายเจ็ดร้ อยห้ าบาท เป็ นเงินตาชัง่ สามตําลึงปายสามบาท รงหนัก
สามพัน เป็ นเงินตาห้ าตําลึง เมิกหนักสามพันปายเจ็ดร้ อยห้ าบาท
เป็ นเงินตาเจ็ดตําลึงปายสามบาทสลึง ฝุ่ นขาวหนักหมื่นปายสองร้ อย
เป็ นเงินตาสองตําลึงปายสองบาท ฝุ่ นเขียวชีทองหนักสามพันปายห้ า
ร้ อยเจ็ดบาท เป็ นเงินตาสองชัง่ สองตําลึงปายบาทสลึง คาบเพ็ชร์
หนักห้ าพันปายเก้ าบาท เป็ นเงินตาสิบตําลึงสองบาทปายสองสลึงเฟื อ้ ง
กาวหนักสองหมื่นปายสามพันชัง่ เป็ นเงินตาชัง่ สามตําลึงปายสามบาท
สามสลึง เบี ้ยจ่ายเบี ้ยจ้ าง หมดแสนปายหมื่นหนึง่ ปายแปด แหวน
ยี่สิบสามหน่วย เป็ นเงินตาชัง่ สองตําลึงปายบาทสองสลึงเฟื อ้ ง กระ
เบื ้องห้ าแสน ๔ หมื่นแปดพันปายสี่ร้อย เป็ นเงินยี่สิบสองชัง่ ปายสิบ
เอ็ดตําลึง สมเด็จพระเป็ นเจ้ าเล่าส้ าง คะอุปปะถากไว้ กบั พระสาสนา
ที่นี ้ มีชายแฮง ๕ ยิงแฮง ๓ หญิงเด็ก หญิงเท้ าหนึง่ คิดเป็ นเงินตา
หกชัง่ ปายสี่ตําลึง คะละณารวมกันเป็ นเงินตาร้ อยสี่สิบชัง่ ปายห้ าตําลึง
สามบาทปายสองสลึง คิดเป็ นเงินนํ ้าหก สามแสนสองหมื่นปายห้ าร้ อย

๒๐๘
นํ ้าหกปายสองบาทเงินตา สมเด็จพระเป็ นเจ้ าไว้ รักษาอาณาเขตต์ แทก
แต่กํ ้าตวันออก ยี่สิบเอ็ดด้ ามสองศอก กํ ้าใต้ ยี่สิบสองด้ ามกับสองศอกกํ ้า
ตวันตก ยี่สิบสามด้ ามกับสามศอก ๖ นิ ้ว กํ ้าเหนือยี่สิบสี่ด้ามกับสอง
ศอก ๓ นิ ้ว พระหลาพิศชะทังปวงเกิ ้ ดมีในอาลามมะเขตต์ที่นี ้ สมเด็จ
พระเป็ นเจ้ าก็ชะละส้ างวางไว้ ให้ เป็ น อุปการแก่แก้ วทังสามในที
้ ่นี ้ทังมวล

สมเด็จพระเป็ นเจ้ าอุปถัมภ์ พระกะปั ศติสงั คละณาสําเร็จเสร็จการแล้ วปี
เตาสัน
หน้ าที่ ๒
๑. จุลศักราช พันร้ อยเจ็ดสิบสี่ ปี เตาสัน เดือน ๓ เพ็ง วัน ๒
สมเด็จพระเป็ นเจ้ า ทรงพระราชา สัทธาสมโภชน์เบิกฉลอง ทําบุญ
เป็ นมหาทานอันประเสริฐ เพื่อให้ บงั เกิดสัทธา กิจในพระสาสนา จึง
มีพระราชองค์การตรัสสัง่ เสนาอามาตย์สาวกให้ ตกแต่งยังปั จจัยสร้ าง
ทังสี
้ ่วนั มีกี่ระวะปั จจัยเป็ นต้ น แล้ วให้ มีศาลาทาน ๓ หลัง และ
ปาวเตินประชาณาลาถา และยาจกคนทุกใฮ่ ทังปวงให้ ้ เข้ ามารับเอายัง
มหาทานบ่อเท่าแต่นนั ้ สมเด็จพระแป็ นเจ้ าเหล่าให้ สงั่ สร้ างตะพานข้ าม
แม่นํ ้าของ ปิ ดปองบ่อให้ ลําบากแก่สมณชีพราหมณ์มะณะสัปปารุส
มนุษย์ทงปวง
ั้ ฝูงปราศนาเอายังคองนิพพาน ได้ ข้ามไปมาไหว้ นพคมรพ
บูชาตามคําปราศณา คะณะณาปั จจัยทานสมเด็จพระเป็ นเจ้ าครัง้ นัน้
ผ้ าไตรแฮทังสอง
้ มีหกไตร เป็ นเงินตาสองชัง่ ปายแปดตําลึง ผ้ าไตร
แฮ ๑ เทศ หนึง่ มีสิบหกไตร เป็ นเงินตาห้ าชัง่ ปายสี่ตําลึง เฮ๊ ดทัง้ ๒
สิบไตร เป็ นเงินตาสองชัง่ ปาย ๑๐ ตําลึง ผ้ าไตรเทศ ๑ ไตร ไตร

๒๐๙
ลาวหนึง่ มีห้าสิบเอ็ดไตร เป็ นเงินตาแปดชัง่ ปายสิบแปดตําลึงปา
ยสองบาท ไตรขาวทังสอง ้ ๑๘ ไตร เป็ นเงินตาสิบสองชัง่ ปายห้ าตําลึง
ไตรแพรญวนเจ็ดไตร เป็ นเงินตา ๑๔ ตําลึง ไตรแบ่งแพรลาวสอง
ร้ อยสี่สิบเจ็ดไตร เป็ นเงินตา ๑๕ ชัง่ ปายแปดตําลึง
ผ้ าคุมหนึง่ ผ้ าสะบงหนึง่ ร้ อยสิบแปดชุม เป็ นเงินตราสามชัง่
ปายสิบสามตําลึงปายสามบาท คุมยาน ๖ ผืน เป็ นเงินตาหกตําลึง
คุมลาวเปี ยวสี่ร้อยยี่สิบหกผืน เป็ นเงินตราสิบชัง่ ปายสิบสามตําลึงผ้ าชะ
บงเปี ยวเก้ าร้ อยหกสิบสามผืนเป็ นเงินตราหกชัง่ ปายบาทสองสลึง บาตร
ทังสิ
้ บบาตร เก้ าสิบห้ าใบ เป็ นเงินตราสิบห้ าชัง่ ปายแปดตําลึงสามบาท
ผ้ ากํามะลอหกสิบสี่ใบ เป็ นเงินตราแปดชัง่ เลียนท้ าว ฮ้ อยท้ าว เป็ น
เงินตราชัง่ ปายสิบเจ็ดตําลึงสองบาท ถ้ วยจานกะลา เก้ าสิบเก้ าใบ
เป็ นเงินตราสองตําลึงปายสลึง ถ้ วยนํ ้าปลาเก้ าสิบเก้ าใบ เป็ นเงินตรา
ตําลึงปายสามบาท ถ้ วยกะลาหนึง่ ฮ้ อยสี่สิบเอ็ดใบ เป็ นเงินตาตําลึง
ปายบาทสลึงเฟื อ้ ง ถ้ วยซอมยี่สิบเก้ าสิบเก้ าใบ เป็ นเงินตราตําลึงปา
ยสองบาท กานํ ้าถามปั ดใบหนึง่ เงี ้ยงถมปั จใหญ่ใบหนึง่ เข้ ากันสองใบ
เป็ นเงินตาสองตําลึงปายสองบาท กานํ ้าทอง ๒๐ ใบ เป็ นเงินตราสิบเจ็ด
ตํา ลึงปายสองบาท เงี ้ยงทองยี่สิบใบ เป็ นเงินตราห้ าตําลึง กานํ ้ากิน
ฮ้ อยยี่ สิบแปดใบ เป็ นเงินตราตําลึงเฟื อ้ ง เงี ้ยงดินหกสิบเก้ าใบ เป็ น
เงินตราสามบาทปายสลึงเฟื อ้ ง เกิบหัวแดงฮ้ อยยี่สิบคู่ เป็ นเงินตรา
สิบตําลึงเครื่ องเล็กระร้ อยสํารับ เป็ นเงินตราสามชัว่ สิบห้ าตําลึง ศาด
หมอนร้ อยสํารับ เป็ นเงินตราชัง่ ปายห้ าตําลึง มีดแถร้ อยดวง เป็ น
เงินตราหกตําลึงปายบาท ตาดร้ อยดวง เป็ นเงินตราสองตําลึงปา
ยสามสลึง
๒๑๐
ยูสามสิบแปดคัน เป็ นเงินตราสามบาทเฟื อ้ ง บวยห้ าสิบบวย เป็ น
เงินตราบาทปายสลึงเฟื อ้ ง ตองนํ ้าห้ าสิบคัน เป็ นเงินตราสามสลึงเก้ าผ้ า
ห้ าสิบเล็น เป็ นเงินตราสามสลึง คุห้าสิบหาบ เป็ นเงินตราสองตําลึงปาย
สลึง อุห้าสิบหน่วย เป็ นเงินตราสองบาทปายสลึง คะณะนาแต่ปัจจัย
ทานอันได้ ถวายแก่พระสงฆ์คะเจ้ าทังปวง ้ คิดเป็ นเงินตราร้ อยปายแปด
ชัง่ ปายตําลึงปายบาทสองสลึงเฟื อ้ ง ผ้ ากายยาพึก พันปายหกผื่น เป็ น
เงินตรา ๕ ชัง่ ปายสี่ตําลึงปายสามบาทสามเฟื อ้ ง สิ ้นกายาพึก พันผืน
เป็ นเงินตราสี่ชงั่ ปายสามตําลึงปายบาทสลึงเฟื อ้ ง เงินเฟื อ้ งกาละพึก
ห้ าพันปายเจ็ดร้ อยปายห้ าสิบเฟื อ้ ง เป็ นเงินตราแปดชัง่ ปายสิบเก้ า
ตําลึงปาย ๒ บาท ๓ สลึง เงินขาวกาละพึกสามร้ อยบปายสิบสามตอน
เป็ นเงินตราเก้ าตําลึงสามบาทเฟื อ้ ง เบี ้ยกะละพึกเจ็ดหมื่น เป็ นเงิน
สิบสี่ตําลึงปายสองบาทปายสลึงเฟื อ้ ง รางวัลเงินตราเจ็ดตําลึง เงิน
เฟื อ้ งเก้ าร้ อยปายห้ าสิบเฟื อ้ ง เป็ นเงินตราชัง่ ปายเก้ าตําลึงปายสอง
บาทสามสลึง กับเบี ้ยสองหมื่นปายพันหนึง่ เป็ นเงินตราสี่ตําลึงปาย
บาทสองสลึง กายะพึก รางวัลเข้ ากันเป็ นเงินตรายี่สิบเอ็ดชัง่ ปายสิบสาม
ตําลึงหกสลึงเฟื อ้ ง คะณะนา คิละณะ ปั จจัยยะเพสัชชะ ปั จจัยยะ
ในสาละทานสามหลัง ถวายจังหันบิณฑบาตแก่สมณะชีพราหมณ์ และ
ให้ ทานแก่ยายกคนทุกใฮ ฝูงเข้ ามารับเอายังมหาทานตามเพิงใจ ใน ๗
วัน ๗ คืนนัน้ หมดเงินหลังละห้ าชัง่ ๗ ตําลึงปายสามสลึงเฟื อ้ ง
เท่ากันทังสามหลั
้ ง เป็ นเงินตรา ๑๖ ชัง่ ปายตําลึงปายสองบาทสองสลึง
เฟื อ้ ง โฮมปั จตากีวะลาปั จจัย และเพสัชชะปาริชาลาปั จจัย อัน

๒๑๑
สมเด็จพระเป็ นเจ้ าทรงพระราชศรัทธา ถวายแก่พระสังฆะเจ้ าทังปวง

กับทังพระราชะทานให้
้ แก่ยาจกทุกคนไฮ เข้ ากันทังมวลเป็
้ นเงินตรา
ร้ อยยี่สิบห้ าชัง่ ปายสิบสี่ตําลึง ปายสองบาทสองสลึง จักคณะณาปั จ-
จัยยะทานสมเด็จพระเป็ นเจ้ า ได้ โชตะณาสร้ างแปง วรพระพุทธ
ศาสนาอัตถานี ้ กับทัง่ สมโภช เบิกฉลองทําบุญให้ ทานทังมวล ้ ประ-
มวลเข้ ากันคิดเป็ นเงินตราสองร้ อยปายแปดสิบสองชัง่ ปายสองตําลึง ปา
ยสองสลึงเฟื อ้ ง คิดเป็ นเงินนํ ้าหกได้ หกแสนปายสี่หมื่นปายสี่พนั ปายแปด
ร้ อยปายบาท นิพพานะปั จจโยโหตุ เอวังก็มีในกาลฉะนี ้ ก่อนแล ฯ
ประวัตทิ ้ าวสุวอเจ้ าเมืองหนองคาย

เดิมท้ าวสุวอ เป็ นบุตรอัครฮาดเมืองยโสธร เป็ นหลานเจ้ าปา


ศักดิค์ นเก่าอยูเ่ มืองยโสธร ครัง้ เจ้ าอนุเป็ นกบฎ เจ้ าคุณพระยาบดินทร
เดชา ฯ ยกกองทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ เอาท้ าวสุวอไปด้ วย แล้ วตัง้
ท้ าวสุวอเป็ นที่พระปทุมเทวาเจ้ าเมืองหนองคาย แล้ วเอาราชบุตรเมือง
ยโสธรไปเป็ นอุปฮาดเมืองหนองคาย ท้ าวพิมพ์น้องชายพระปทุมเป็ นที่
ราชวงศ์ ท้ าวบิตา หลานพระปทุมเป็ นราชบุตร
พระปทุมเทวา มีบตุ ร ท้ าวกํ่า เป็ นท้ าวขัตยะ อายุ ๓๖ ปี ท้ าว
เซม เป็ นท้ าวไชยกุมาร อายุ ๒๐ เด็ก ๕
อุปฮาด มีบตุ ร ท้ าวเสม เป็ นท้ าวสุราชวงศ์ อายุ ๒๐ ปี
ราชวงศ์ มีบตุ ร ท้ าวสุริยวงศ์ อายุ ๓๐ ปี ๑ ท้ าวไชยเสน
อายุ ๒๗ ปี ๑ , ท้ าวศรี สรุ าช อายุ ๒๕ ปี ท้ าวเชษฐา อายุ ๒๗ ปี
ท้ าวทิตย์กุ อายุ ๒๓ ปี เด็ก ๔
เดิมเพี ้ยเมือง เป็ นพระลครเจ้ าเมือง ท้ าวจันทโสภา หลาน
พระลครเป็ นราชวงศ์ เอาท้ าวคํายวงบุตรพระลครเมืองแพน เป็ น
ราชบุตรรักษาบ้ านเมืองมาได้ ๑๑ ปี พระลครเมืองแพนถึงแก่กรรม
จึงตัง้ ท้ าวคําบุง บุตรพระลครเมืองแพน เป็ นพระลคร แต่ราชวงศ์
ราชบุตรนันคงที
้ ่ตามเดิม ท้ าวบุงรักษาบ้ านเมืองมาได้ ๒๑ ปี พระ
ลครราชวงศ์ถึงแก่กรรม จึงตังราชบุ ้ ตร เป็ นท้ าวคํายวงบุตร พระ

๒๑๓
ลครเมืองแพน เป็ นที่พระลคร ๑ เอาท้ าวสุวรรณบุตร์ พระลครคําบุง
เป็ นอุปฮาด ๑ เอาท้ าวบุญจันทร์ บุตรพระลครคํายวงเป็ นราชวงศ์ ๑
เอาท้ าวคําพาง บุตรพระลครคํายวงเป็ นราชบุตร ๑ ๔ คน พระลคร
เมืองแพนมีบตุ ร คือ ท้ าวคํายวงเป็ นราชบุตร ๑ ท้ าวคําบุง เป็ นพระ
ลครตาย ๑ ๒ คน
พระลครคําบุงมีบตุ ร คือ ท้ าวสุวรรณ เป็ นที่อปุ ฮาดคนหนึง่
พระลครคํายวงมีบตุ ร คือ ท้ าวคําฟาง เป็ นราชบุตร อายุ ๕๖
ปี ท้ าวบุญจันทร์ เป็ นราชวงศ์ อายุ ๔๓ ปี ท้ าวคําบุง เป็ นขัตยิ
อายุ ๔๙ ปี รวม ๓ คน
อุปฮาด ท้ าวสุวรรณ มีบตุ ร เดิมท้ าวบุญมา ตังให้
้ เป็ นท้ าว
จันทรชมภู อายุ ๒๘ ปี ท้ าวอิง อายุ ๑๖ ปี

คาให้ การพระยาเมืองฮาม

หลวงเสนีพิทกั ษ
ขุนพิศณุแสน ข้ าหลวง
วัน ๒ ๘ฯ ๑๒ คํ่า ปี จออัฏฐศกศักราช ๑๒๔๘ นายทองมหาดเล็ก
เจ้ าราชสัมพันธวงษ์
เจ้ า หมุน เมือ
ณ จําปาศักดิ์
ราชวงศ์ผ้ วู า่ ราชการเมืองเชียงแตง นัง่ พร้ อมกัน ณ ทําเนียบ
ที่พกั เมืองเชียงแตง ได้ หาตัวพระยาเมืองฮามมาถามด้ วยรายเขตต์
แดนเมืองเชียงแตง กับเมืองพนมเปญติดต่อกัน พระยาเมืองฮาม อายุ
๕๖ ปี ให้ การว่า เดิมพระยาเมืองฮาม ชื่อนายอยู่ บุตรพระยานาเหนือ
มารดาชื่อแพง ตังบ้ ้ านเรื อนอยูจ่ ําปาศักดิ์ ครัน้ อายุพระยาเมืองฮามได้
ยี่สิบเก้ าปี มาได้ บตุ รสาวของเพี ้ยนันทา เมืองนครจําปาศักดิเ์ ป็ น
ภรรยาพระยาเมืองฮาม ก็ได้ รับราชการอยูก่ บั เจ้ านครจําปาศักดิค์ ํา ๆ
้ เป็ นที่เพี ้ยสุขรนันทา รับราชการมาช้ านาน เจ้ านครจําปาศักดิถ์ ึง
ตังให้
แก่พิราลัยแล้ ว เจ้ าคําศุขลงไปรับสัญญาบัตรเป็ นเจ้ านครจําปาศักดิ์
พระยาเมืองฮามได้ เข้ ารับราชการมาช้ านาน เจ้ านครจําปาศักดิจ์ งึ ตังให้ ้
เป็ นที่พระยาเมืองฮาม ข้ าพเจ้ าได้ ทราบความเมื่อครัง้ ปี วอกฉศก
ศักราช ๑๒๔๖ ปี มีท้องตราพระราชสีห์โปรดเกล้ า ฯ

๒๑๕
ให้ พระยาราชเสนาแต่ยงั เป็ นที่หลวงภักดีณรงค์ ขึ ้นมาจัดการอยูท่ ี่เมือง
นครจําปาศักดิ์ พระยาราชเสนาได้ หาตัวอุปฮาดราชวงศ์ เมืองเชียง
แตงแลกรมการผู้ใหญ่ผ้ นู ้ อย เมืองธราบริวฒ ั เมืองศรี ทนั ดร เมือง
แสนปางขึ ้นมาพร้ อมกันที่เมืองนครจําปาศักดื พระยาราชเสนา กับ
เจ้ านครจําปาศักดิ์ ได้ ถามอุปฮาดราชวงศ์เมืองเชียงแตง ว่าอาณา
เขตต์เมืองพนมเปญมาติดต่อกับเมืองเชียงแตงที่ตําบลใดได้ ปักปั นสิ่งใด
ไว้ เป็ นสําคัญ อุปฮาดราชวงศ์เมืองเชียงแตง แจ้ งความต่อพระยา
ราชเสนาข้ าหลวง แลเจ้ านครจําปาศักดิว์ า่ เขตต์แดนเมืองเชียงแตง
ต่อติดกับเมืองพนมเปญนันมี ้ ต้นมะขามที่บงุ่ ขลาท้ ายเกาะแพ ด่านจะลับ
นันต่
้ อติดกันที่ต้นกะโดนต้ นหนึง่ ต้ นรังต้ นหนึง่ หว่างเขาตาปมแต่เดิมมา
ภายหลังเจ้ าพระยาบดินทรเดชา ฯ ก็ได้ แต่งข้ าหลวงออกมาปั กปั นเขตต์
แดนที่ตําบลบุง่ ขลาแห่งหนึง่ ด่านจะลับแห่งหนึง่ ครัน้ ปี ฉลูสปั ตศก
ศักราช ๑๒๒๗ ปี เจ้ าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์แต่ยงั เป็ นเจ้ าราชวงศ์เมือง
นครจําปาศักดิ์ ได้ ลงไปวัดเส้ นตรวจทางไปถึงบุง่ ขลา ได้ เอาหลัก
เสาไม้ แก่นปั กซํ ้ารอยหลักเดิมหลักหนึง่ ไปปั กด่านจะลับตามรอยหลัก
เดิมหลักหนึง่ แล้ วพระยาราชเสนากับเจ้ านครจําปาศักดิ์ แต่งให้
ข้ าพเจ้ ากับอํามาตย์เสนาเพี ้ยเมืองซองเมืองนครจําปาศักดิ์ กับราชบุตร
แสนปานท้ าวสีโสราชเมืองศรี ทนั ดร ไปปั กหลักเขตต์แดนพร้ อมด้ วย
อุปฮาดราชวงศ์เมืองเชียงแตง ข้ าพเจ้ าพร้ อมกันได้ ออกไปถึงด่าน
บุง่ ขลาได้ ตรวจตราเห็นว่ามีต้นมะขามสามต้ น แต่หลักเก่านันชํ
้ ารุด
ผุโค่นเสียหมด ข้ าพเจ้ าจึงตัดไม้ แก่นปั กลงไว้ ที่ตําบลบุง่ ขลาหลักหนึง่

๒๑๖
แต่ที่ดา่ นจะลับนันได้้ ตรวจตราเห็นว่ามีต้นกะโดนต้ นหนึง่ ต้ นรังต้ นหนึง่
อยูห่ ว่างช่องเขาตาปม แต่ต้นกะโดนต้ นรังห่างพ้ นเขาตาปมประมาณ
สิบเส้ น ข้ าพเจ้ าก็พร้ อมกันตัดเสาไม้ แก่นปั กไว้ หา่ งต้ นรังเข้ ามาสองวา
ซํ ้ารอยหลักเดิม แล้ วข้ าพเจ้ าก็กลับมาแจ้ งความต่อพระยาราชเสนา
เจ้ านครจําปาศักดิ์ ข้ าพเจ้ าให้ การตามรู้ตามเห็น สิ ้นคําให้ การข้ าพเจ้ า
แต่เท่านี ้
ข้ าพเจ้ าได้ ประทับตรารูปองคตถือพระขรรค์ไว้ เป็ นสําคัญ
คาให้ การพระกาแหงพลศักดิ์

วัน ๑ ๗ฯ ๒ คํ่า ปี จออัฏฐศกศักราช ๑๒๔๗


หลวงเสนีพิทกั ษ์
ขุนเพ็ชรลูแสน ข้ าหลวง
นายทองมหาดเล็ก

เจ้ าราชสําพันธวงศ์ นัง่ พร้ อม


เจ้ า หมุน เมืองนครจําปาศักดิ์
ราชวงศ์ผ้ วู า่ ราชการเมือง
ราชบุตร กรมการ เมืองเชียงแตง
ณ ทําเนียบที่พกั ได้ หาพระคําแหงพลศักดิเ์ จ้ าเมืองสุตนครมาถามด้ วย
ราชการเขตต์แดน เมืองกําภูชา ฯ กับเมืองเชียงแตงซึง่ ติดต่อกัน
เอาความจริง พระกําแหงพลศักดิอ์ ายุ ๗๙ ปี ให้ การว่าเดิมข้ าพเจ้ าชื่อ
ท้ าวเชียงบุญราชเป็ นบุตรราชบุตรมารดาชื่ออําแดงดา ตังบ้
้ านเรื อน
อยูบ่ ้ านแก่นท้ าวแขวงเมืองหล่มศักดิ์ ครัน้ อายุข้าพเจ้ าได้ ๒๔ ปี บิดา
มารดาข้ าพเจ้ าไปขอนางสุขมุ า บุตรสาวเพี ้ยไชยราชบ้ านแก่นท้ าว
อยูก่ ินเป็ นสามีภิริยาจนเกิดบุตรหญิง ๑ ชาย ๑ รวม ๒ คน อยูม่ า
ช้ านานข้ าพเจ้ าจึงได้ มาค้ าขาย ณ บ้ านข่าแขวงเมืองนครจําปาศักดิ์
แล้ วข้ าพเจ้ าได้ ชว่ ยไถ่ขา่ มาเป็ นภรรยาคนหนึง่ ครัน้ ณปี มะโรงฉศก
ศักราช ๑๒๐๖ อายุข้าพเจ้ าได้ ๓๐ ปี ท่านเจ้ าพระยาบดินทรเดชา

๒๑๘
ยกกองทัพกรุงเทพ ฯ ออกมาสู้รบญวนปราบปรามเมืองเขมรเรี ยบ
ร้ อยแล้ วจึงยกองค์ด้วงเขมร ขึ ้นเป็ นพระหริรักษ์รามาธิบดี ราชการ
เมืองพนมเป็ ญก็ราบคาบได้ ครัง้ นัน้ แล้ วท่านเจ้ าพระยาบดินทรเดชา
จึงให้ ข้าหลวงแลพระยาพระเขมรออกไปปั กปั นเขตต์แดน ซึง่ เป็ น
เมืองติดต่อกันใกล้ เคียงกันกับเมืองพนมเป็ ญ ขณะนันข้
้ าพเจ้ าได้ ลง
ไปรับราชการอยูก่ บั ท่านเจ้ าพระยาบดินทรเดชา ข้ าพระเจ้ าได้ รับตราตัง้
เป็ นที่ขนุ โยธาภักดีนายกองควบคุมเลขจรจัดท่านเจ้ าพระยาบดินทรเดชา
ได้ ใช้ ข้าพเจ้ ากับหลวงอนุรักษ์ภเู บศ ฯ ขุนสิทธิณรงค์ข้าหลวง พระยา
วรจุลกับพระยาพระเขมรหลายนาย ขึ ้นมาปั กปั นเขตต์แดนเมือง
พนมเป็ ญซึง่ ติดต่อกันกับเมืองเชียงแตง ได้ ปักไว้ ที่บงุ่ ขลามีต้นมะขาม
เล็กโตกํากึ่งอยู่ ๔ ต้ น แล้ วข้ าพเจ้ ากับข้ าหลวงแลพระยาเขมรจึงพากัน
ขนก้ อนหินศิลามากองไว้ ที่ต้นมะขามแลต้ นเสา แล้ วเอาไม้ พยอมโต
ประมาณ ๓ กํากึ่งสูง ๓ ศอก มาทําหลักฝั งไว้ ที่ริมต้ นมะขามเป็ น
เขตต์แดนครัน้ ปั กหลักที่บงุ่ ขลาเสร็จแล้ ว ข้ าหลวงกับข้ าพเจ้ าแล
พระยาเขมร ก็พากันขึ ้นไปปั กที่ดา่ นจะลับอีกแห่งหนึง่ มีต้นกะโดน
ต้ นหนึง่ ต้ นรังสองต้ นเป็ นสําคัญแล้ วได้ เอาไม้ รังโต ๓ กํากึ่งสูง ๓ ศอก
ฝั งไว้ ที่เป็ นเขตต์แดนเสร็จแล้ ว ข้ าพเจ้ ากับท่านข้ าหลวงแลพระยา
เขมรก็กลับมาถึงเมืองเชียงแตง ข้ าพเจ้ าจึงลาหลวงอนุรักษ์ภเู บศ ฯ
ขุนสุทธิณรงค์กลับขึ ้นไปบ้ านเรื อนข้ าพเจ้ าที่บ้านข่าตะแบง ฝ่ ายหลวง
อนุรักษ์ ภเู บศ ฯ ขุนสิทธิณรงค์ก็เลยขึ ้นไปเมืองนครจําปาศักดิ์ พระยา
วรจุลเขมรกับพระยาเขมรพักคอยอยูท่ ี่เมืองเชียงแตง ข้ าพเจ้ าไปถึง

๒๑๙
บ้ านเรื อนข้ าพเจ้ าแล้ วได้ ทราบข่าวว่า หลวงอนุรักษ์ภเู บศ ฯ ขุนสิทธิ -
ณรงค์พาเจ้ าโพสาราชเมืองนครจําปาศักดิ์ แลพระยาเขมรลงไปปั ก
เขตต์แดนที่เสียมโบกอีกแห่งหนึง่ แล้ วกลับลงไปกราบเรี ยนชี ้แจง
รายเขตต์แดนต่อท่านเจ้ าพระยาบดินทรเดชาที่เมืองพนมเป็ ญ ครัน้ ณปี
มะเมียอัฏฐศก ข้ าพเจ้ าจึงกลับลงไปที่เมืองพนมเป็ ญได้ นองาลงมาไป
เป็ นของนํ ้าใจท่านเจ้ าพระยาบดินทรเดชา แลกราบเรี ยนชี ้แจงการเขตต์
แดนซึง่ ข้ าพเจ้ ามาปั กที่บงุ่ ขลาที่ดา่ นจะลับ ท่านเจ้ าพระยาบดินทรเดชา
มีบญ ั ชาว่าชอบด้ วยราชการอยูแ่ ล้ ว ข้ าพเจ้ าก็ได้ รับราชการอยูป่ ระ-
มาณหลายเดือน ท่านเจ้ าพระยาบดินทรเดชาจวนจะลงไปกรุงเทพ ฯ
ข้ าพเจ้ ากราบลามาบ้ านข้ าพเจ้ า ท่านเจ้ าพระยาบดินทรเดชา ได้ ให้ ตรา
สําหรับตัวฉบับหนึง่ ใจความว่ามิให้ เจ้ าเมืองกรมการกดขี่คมุ เหงให้
ได้ ความเดือดร้ อน ครัน้ ณ ปี มะเมียนพศก อายุข้าพเจ้ าได้ ๖๓ ปี
ข้ าพเจ้ าได้ รับราชการอยูก่ บั เจ้ านครจําปาศักดิ์ ภายหลังโปรดมีศภุ -
อักษรออกมาถึงเจ้ านครจําปาศักดิ์ ว่าเมืองได้ วา่ งเปล่าอยูไ่ ม่มีเจ้ า
เมืองก็ให้ ตงข้
ั ้ าพเจ้ าเป็ นเจ้ าเมือง ควบคุมเลขทําราชการขึ ้นกับเมือง
นครจําปาศักดิ์ เจ้ าเมืองนครจําปาศักดิค์ ําสุขคนนี ้ จึงได้ ยกบ้ าน
ตะแบงขึ ้นเป็ นเมืองสุตนครตังให้ ้ ข้าพเจ้ าเป็ นพระกําแหงพลศักดิ์ เจ้ า
เมืองทําราชการขึ ้นกับเมืองนครจําปาศักดิ์ ต่อมาจนทุกวันนี ้ เป็ นความ
สัตย์จริงที่ได้ ร้ ูเห็นการเขตต์แดน สิ ้นคําให้ การแต่เท่านี ้ ได้ เขียนชื่อ
ประทับตรารูปมนุษยไว้ เป็ นสําคัญ

คาให้ การเรื่ องเมืองอัตปื อ

วันที่ ๙ พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก ๑๐๙


พระพิศณุเทพ หลวงสากลกิจประมวล หลวงเทเพนทร หลวง
ทรงวิไชย ขุนมหาวิไชย ขุนวิชิตรชลหาร ในพระบรมมหาราชวัง
จหมื่นมนเทียรพิทกั ษ์ หลวงเทพนเรนทร์ หลวงโจมพินาศ
ฝ่ ายพระราชวังบวรสถานมงคล
เจ้ ายุตธิ รมธร เจ้ านครจําปาศักดิ์ เจ้ าอุปราช เจ้ าธรรม
โนเรศ เมืองนครจําปาศักดิ์ นัง่ พร้ อมกันณศาลากลางหน้ าทําเนียบ
พัก รับบัญชามาตามพระสุวรรณวงศา ว่าที่อปุ ฮาดเมืองอัตปื อว่า
เขตร์ แดนบ้ านเมือง ๆ อัตปื อเพียงใด ข่าขัดตังอยู ้ เ่ พียงใดจะ
นํากองแผนที่เซอละเวแนวพระราชอาณาเขตต์ไปได้ เพียงใด ต่อไปที่
ติดขัดด้ วยเหตุการสิ่งใด ให้ พระสุวรรณวงศาว่าที่อปุ ฮาดชี ้แจงไปให้
ชัดแจ้ งโดยละเอียด
ข้ าพเจ้ าท้ าวลองผู้เป็ นที่พระสุวรรณวงศา ว่าที่อปุ ฮาดให้ ถ้อยคํา
ว่า ข้ าพเจ้ าเป็ นบุตรพระราชวงศาพิลา เจ้ าเมืองอัตปื อคนเก่าที่ถึงแก่
กรรม อายุข้าพเจ้ าได้ ๓๔ ปี มีภรรยาชื่อเมียง มีบตุ รชายหนึง่ หญิง
หนึง่ รวม ๒ คน ตังบ้ ้ านเรื อนอยูใ่ นเมืองอัตปื อ ข้ าพเจ้ าได้ ทราบ
ความเดิมว่า จะเป็ นปี ใดศักราชเท่าใดจําไม่ได้ พระไชยคนลาวแต่จะ
เป็ นคนลาวเมืองไหนไม่ปรากฏ ออกไปตังบ้
้ านเรื อนอยูท่ ี่บ้านอิต-

๒๒๑
กระบือ ปลายเขตต์แดนเมืองนครจําปาศักดิ์ แล้ วพระไชยเที่ยว
เกลี ้ยกล่อมข่าขัดชาติขา่ นาที่ตงบ้
ั ้ านเรื อนอยูใ่ นบ้ านอิดกระบือ เข้ ามา
ตามชายภูหลวงข้ างทิศตะวันตกบ้ านอิดกระบือ ได้ ขา่ ขัดชาติขา่ นา
บ้ านกระบือหนึง่ บ้ านดองฮังหนึง่ บ้ านละยาวหนึง่ บ้ านจําปาวหนึง่
บ้ านเคมซังหนึง่ บ้ านตะหมอเลยหนึง่ บ้ านฮมหนึง่ บ้ านคงหนึง่ บ้ าน
ชุมโพยหนึง่ บ้ านอินทรี หนึง่ บ้ านเจิดหนึง่ บ้ านเฮาะหนึง่ บ้ านตะบาก
หนึง่ บ้ านแพหนึง่ รวม ๑๔ ตําบลบ้ าน แต่บ้านอิดกระบือมาถึงบ้ าน
แพระยะทางวันหนึง่ พระไชยเที่ยวเกลี ้ยกล่อมข่าขัดที่ตงบ้
ั ้ านเรื อนอยู่
พวกบ้ านอิดกระบือไปข้ างทิศตะวันออกได้ ขา่ ชาติสะลัง บ้ านปะดา ๑
บ้ านตาแสง ๑ บ้ านเมืองตง ๑ บ้ านเสม็ดตง ๑ บ้ านเอก ๑ บ้ าน
ออกยา ๑ รวม ๖ ตําบลบ้ าน แต่บ้านอิตกระบือไปถึงบ้ านข่าบ้ าน
ออกยา ระยะทาง ๖ วัน รวมข่าขัดพระไชยเกลี ้ยกล่อมได้ ๒๐ ตําบล
บ้ านพระไชยตังเกลี
้ ้ยกล่อมข่าอยูท่ ี่บ้านอิดกระบือมาได้ ประมาณ ๖ ปี
๗ ปี พระไชยก็ป่วยถึงแก่กรรม
ครัน้ ณปี ระกานพศกศักราช ๑๑๓๙ พระพุทธเจ้ าหลวงเมืองนคร
จําปาศักดิ์ ยกบ้ านอิดกระบือขึ ้นเป็ นเมืองอัตปื อ ตังให้
้ เจ้ าโอเป็ น
เจ้ าเมือง ตังให้
้ เจ้ าอินทร์ เป็ นอุปฮาดคอยคุมไพร่ลาวข่า แต่บนั ดา
พระไชยเกลี ้ยกล่อมได้ ทําส่วยทองขึ ้นแก่เมืองนครจําปาศักดิ์ ปี ละ
๓ ชัง่ ทอง ครัน้ อยูม่ ามีผ้ มู าร้ องต่อพระพุทธเจ้ าหลวงว่า เจ้ าโอเจ้ า
อินทร์ กระทําการกดขี่ขม่ เหงท้ าวเพี ้ยราษฏรไพร่ลาวข่า ให้ ได้ ความ
เดือดร้ อน พระพุทธเจ้ าหลวงสืบได้ ความจริง พระพุทธเจ้ าหลวง

๒๒๒
จึงแต่งให้ เจ้ าเชฐเจ้ านูคมุ กําลังออกไปจับเจ้ าโอเจ้ าอินทร์ สําเร็จโทษเสีย
ที่เมืองอัตปื อ เจ้ าโอเจ้ าอินทร์ รักษาราชการเมืองมาได้ ๔ ปี ตาย
ครัน้ เจ้ าเชฐเจ้ านูสําเร็จโทษเจ้ าอินทร์ เจ้ าโอแล้ ว ท้ าวเง่าท้ าวจันทรัง
บุตรพระพรหมกรมการเมืองอัตปื อพากันหลบหนีลงไป ณ กรุงเทพ ฯ
ครัน้ ณปี ฉลูตรี ศกศักราช ๑๑๔๓ โปรดเกล้ า ฯ ตังให้ ้ ท้าวเง่าเป็ น
ที่พระราชวงศาเจ้ าเมือง ตังให้ ้ ท้าวจันทรังเป็ นที่อปุ ฮาด, ออกมา
รักษาราชการเมืองอัตปื อ คอยคุมไพร่ลาวข่าทําส่วยทองของหลวงขึ ้น
แก่กรุงเทพ ฯ ปี ละ ๖ ชัง่ ทอง ต่อมาพระราชวงศาเง่าเจ้ าเมืองจึงแต่ง
ให้ ท้าวเพี ้ยกรมการออกไปเที่ยวเกลี ้ยกล่อม ข่าขัดซึง่ ตังบ้
้ านเรื อน
อยูน่ อกบ้ านข่าสะลังไพร่ ออกไปได้ ชาติขา่ แพ บ้ านแพน้ อยหนึง่
บ้ านแพใหญ่หนึง่ บ้ านพัดวันหนึง่ บ้ านจามหนึง่ รวม ๔ ตําบลบ้ าน
แต่บ้านออกยาไปถึงบ้ านพัดวังระยะทางสองวัน
ครัน้ ณปี มะเส็งนพศกศักราช ๑๑๕๙ พระราชวงศาเง่าเจ้ าเมือง
ป่ วยถึงแก่กรรม พระราชวงศาเง่าเจ้ าเมืองรักษาราชการมาได้ ๑๗ ปี
ณ ปี มะแมสําฤทธิศกศักราช ๑๑๖๐ โปรดเกล้ า ฯ ตังให้ ้ อปุ ฮาด
จันทรังเป็ นที่พระราชวงศาเจ้ าเมือง ๆ ได้ แต่งให้ ท้าวเพี ้ยกรมการ
ออกไปเกลี ้ยกล่อมข่าขัดที่ตงบ้ั ้ านเรื อนอยูน่ อกบ้ านจาระข่าไพร่ ออกไป
ได้ ขา่ กะเสง บ้ านดวงมาหนึง่ บ้ านทักเดอหนึง่ บ้ านทักขะมาดหนึง่
บ้ านทักลอมหนึง่ บ้ านนํ ้าโซะหนึง่ บ้ านทักยัดหนึง่ บ้ านซวนหนึง่
บ้ านพัดแยะหนึง่ บ้ านพัดเลี่ยงหนึง่ รวม ๙ ตําบลบ้ าน แต่บ้านทักวัง
ไปถึงบ้ านทักเวียงระยะทาง ๙ วัน พระราชวงศาจันทรังรักษา
ราชการได้

๒๒๓
๑๖ ปี ครัน้ ณปี ระกาเบญจศกศักราช ๑๑๗๕ พระราชวงศาจันทรังป่ วย
ถึงแก่กรรม
ณ ปี จอฉศกศักราช ๑๑๗๖ โปรดเกล้ า ฯ ตังให้ ้ ท้าวพรหมบุตร
พระราชวงศาเง่าเจ้ าเมืองคนก่อน เป็ นที่พระราชวงศาเจ้ าเมือง พระราช
วงศาเจ้ าเมือง ได้ แต่งให้ ท้าวเพี ้ยกรมการออกไปเที่ยวเกลี ้ยกล่อมข่า
ขัดที่ยงั มิได้ ขึ ้นแก่เมืองใดเมืองหนึง่ ตังบ้
้ านเรื อนอยูห่ มวดข่าไพร่บ้าน
พัดเลียง ได้ ขา่ ชาติละแวบ้ าน ๑ ละมวงใหญ่ ๑ ละมวงน้ อย ๑ บ้ าน
ตุลาด ๑ รวม ๔ ตําบลบ้ าน แต่เมืองอัตปื อไปถึงบ้ านจอมระยะทาง
๔ วัน พระราชวงศาท้ าวพรหมเจ้ าเมือง รักษาราชการเมืองมาได้
๑๗ ปี ถึงปี ขานโทศกศักราช ๑๑๙๒ พระราชวงศาท้ าวพรหมเจ้ าเมือง
ถึงแก่กรรม
ณ ปี เถาะตรี ศกศักราช ๑๑๙๓ โปรดเกล้ า ฯ ตังให้ ้ ท้าวกํ่าบุตร
พระราชวงศาจันทรังเจ้ าเมืองคนก่อน เป็ นที่พระราชวงศาเจ้ าเมือง
รักษาราชการบ้ านเมืองมาได้ ๑๖ ปี พระราชวงศากํ่าเจ้ าเมืองมีความผิด
ในราชการ ถึงปี มะเมียอัฐศกศักราช ๑๒๐๘ เจ้ าพระยาบดินทรเดชา
แม่ทพั ถอดพระราชวงศากํ่าเจ้ าเมืองออกเสียจากที่
ณปี มะแมนพศกศักราช ๑๒๐๙ โปรดเกล้ า ฯ ตังให้ ้ ท้าวฮุยบุตร
ท้ าวกะออก กรมการเมืองอัตปื อ เป็ นที่พระราชวงศาเจ้ าเมือง ทํา
ส่วยทองคําของหลวงทูลเกล้ า ฯ ถวายปี ละ ๘ ชัง่ ทองต่อมา และมีท้อง
ตราพระราชสีห์โปรดเกล้ า ฯ ชี ้แจงเจตต์แดนเมืองอัตปื อ ข้ างทิศ
ตะวันออกถึงฟ้าหนองฟ้าหนองยศ แต่เมืองอัตปื อไปถึงหนองฟ้าหนอง

๒๒๔
ยศระยะทาง ๘ วัน ข้ างทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดพรมแดนเมืองสาละ
วันที่ตําบลพิมตังฝั
้ ่ งนํ ้าเซกอง แต่เมืองอัตปื อไปถึงพิมตังฝั
้ ่ งนํ ้าเซกอง
ระยะทาง ๔ วัน ข้ างทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปจดพรมแดนเมืองแสนปาง
ที่ปากนํ ้าสะทัย แต่เมืองอัตปื อไปถึงปากนํ ้าสะทัยระยะทาง ๘ วัน ข้ าง
ทิศตะวันตกมาต่อพรมแดนเมืองนครจําปาศักดิ์ ที่ตําบลคําพอ แต่
เมืองอัตปื อมาถึงคําพอระยะทาง ๓ วัน ข้ างทิศตะวันตกเฉียงเหนือไป
จดพรมแดนเมืองสาละวันเมืองคําทอง ที่ตําบลหนองปงทุง่ หลวง แต่
เมืองอัตปื อไปถึงหนองปงทุง่ หลวงระยะทาง ๕ วัน ข้ างทิศตะวันตก
เฉียงใต้ ไปชนพรมแดนเมืองแสนปาง ที่ตําบลแก้ งสักแอดลํานํ ้าเซกอง
ระยะทาง ๓ วัน แล้ วพระราชวงศาฮุยเจ้ าเมือง แต่งให้ ท้าวเพี ้ยกรมการ
ออกไปเกลี ้ยกล่อมข่าขัดที่ตงบ้
ั ้ านเรื อนอยูน่ อกหนองฟ้าหนองยศ ได้
ข่าชาติสะลังบ้ านพัดดูก ๑ บ้ านพัดลัง ๑ บ้ านกองเบาะ ๑ บ้ านเป็ ง
ลาม ๑ รวม ๔ ตําบลบ้ าน แต่หนองฟ้าหนองยศออกไปถึงบ้ านเบน
ลามระยะทาง ๒ วัน พระราชวงศาฮุยเจ้ าเมืองรักษาราชการได้ ๑๗ ปี
ถึง ณ ปี กุนเบญจศกศักราช ๑๒๒๕ พระราชวงศาฮุยเจ้ าเมืองถึงแก่กรรม
ณ ปี ชวดฉศกศักราช ๑๒๒๖ โปรดเกล้ า ฯ ตังให้ ้ ท้าวพิลาบุตร
อุปฮาดลี เป็ นที่พระราชวงศาเจ้ าเมือง ๆ รักษาราชการมาได้ ๓ ปี ถึง
ปี เถาะนพศกศักราช ๑๒๒๙ พระราชวงศาถึงแก่กรรม
ณ ปี มะโรงสําฤทธิศกศักราช ๑๒๓๐ โปรดเกล้ า ฯ ตังให้ ้ ท้าวกึง
บุตรท้ าวสุตร์ กรมการ เป็ นที่พระราชวงศาเจ้ าเมือง ข่าไพร่บ้านแพ
บ้ าน ๑ ข่าละแวบ้ าน ๑ ซึง่ ตังบ้ ้ านเรื อนอยูท่ ี่เชิงเขาหลวง ตะวันตก

๒๒๕
เมืองอัตปื อโจทย์สมัครมาขึ ้นแก่เมืองนครจําปาศักดิ์ รวมสองตําบล
ข่าไพร่ที่เจ้ าเมืองคนเก่าแต่ก่อน ๆ เกลี ้ยกล่อมไว้ ได้ ยังคงขึ ้นแก่
เมืองอัตปื ออยูแ่ ต่ ๔๒ ตําบลบ้ าน ครัน้ ถึงเทศกาลระดูปีพระราชวงศา
กิ่งเจ้ าเมือง แต่งให้ ท้าวเพี ้ยกรมการขึ ้นไปเก็บส่วยของหลวงแต่บนั
ดาข่าไพร่ ๆ ก็เอาคนข่า เอาขี ้ผึ ้งตีแทนเอาเงินทองของส่วยมอบให้ ท้าวเพี ้ย
กรม การ ๆ ก็คมุ มาให้ พระราชวงศากิ่งเจ้ าเมือง ๆ ก็เอาคนข่าและขี ้ผึ ้ง
จําหน่ายให้ แก่ท้าวเพี ้ยกรมการ ๆ เอาเงินซื ้อทองคําส่วยลงไปทูลเกล้ า ฯ
ถวายเนือง ๆ ทุกปี มิได้ ขาด แต่ขา่ ระแดข่าขัดที่ตงบ้ ั ้ านเรื อนอยูน่ อกบ้ าน
พัดดูก บ้ านพัดลัง บ้ านดองเบาะ บ้ านเปงลา ตรงไปทิศตะวันออก
ถึงเชิงเขาบันทัดต่อแดนญวนระยะทาง ๑๕ วันนัน้ พระราชวงศากิ่งเจ้ า
เมืองท้ าวเพี ้ยกรมการยังหาได้ เกลี ้ยกล่อมได้ ไม่
ครัน้ ณ ปี วอกฉศกศักราช ๑๒๔๖ มีท้องตราพระราชสีห์โปรด
เกล้ า ฯ มาถึงพระราชวงศากิ่งเจ้ าเมืองและหัวเมืองลาวปลายพระราช
อาณาเขตต์ เมืองละฉะบับความต้ องกันว่า ห้ ามมิให้ ผ้ วู า่ ราชการ
เมืองท้ าวเพี ้ยกรมการราษฎรไปตีขา่ จับข่ามาซื ้อขายซึง่ กันและกันแจ้ ง
อยูใ่ นท้ องตรา ซึง่ โปรดเกล้ า ฯ ออกมานันแล้ ้ ว ๆ พระราชวงศากิ่งเจ้ า
เมืองและผู้วา่ ราชการเมืองบันดาได้ รับท้ องตรา ก็ได้ ออกหมายประกาศ
ป่ าวร้ องแก่ท้าวเพี ้ยราษฎรในเขตต์แขวงบ้ านเมืองทราบทัว่ กันว่า ห้ าม
มิให้ ผ้ ใู ดผู้หนึง่ ไปตีขา่ จับข่ามาซื ้อขายและแลกเปลี่ยน เหมือนอย่างแต่
ก่อนเป็ นอันขาด ตังแต่
้ นนมาท้
ั้ าวเพี ้ยกรมการราษฎร ก็มิได้ ออกไป
ตีขา่ จับข่ามาซื ้อขายซึง่ กันและกัน ต่อมาครัน้ ถึงระดูปีเก็บส่วย พระ

๒๒๖
ราชวงศากิ่งเจ้ าเมืองก็แต่งให้ ท้าวเพี ้ย กรมการคุมสิ่งของออกไป
แจกจ่ายให้ พวกข่าไพร่ และขอเก็บเงินทองของส่วยแก่บนั ดาข่าไพร่ ๆ
ก็เอาคนข่ามาตีแทนส่วยให้ แก่ท้าวเพี ้ยกรมการผู้เก็บส่วย ๆ ก็มิอาจรับ
เอาคนข่าตีแทนส่วย แต่ขา่ มาได้ ไม่เกรงความผิด ฝ่ ายข่าไพร่ร้องว่า
ถ้ าไม่รับเอาคนข่าไปแทนส่วย บรรดาข่าไพร่ก็มิร้ ูที่จะเอาสิ่งใดเสียแทน
ส่วยไม่ ๆ ยอมให้ สว่ ยของหลวง ข่าไพร่ขา่ ขัดได้ ทราบความชัดว่า
ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้ า ฯ ห้ ามมิให้ คนไทยคนลาวไปตีขา่ จับข่า
มาซื ้อขาย พวกข่าไพร่และข่าขัดก็พากันมีใจกําเริบเสิบสานขึ ้น ท้ าว
เพี ้ยกรมการราษฎรจะไปมากิจราชการหรื อค้ าขายในตําบลบ้ านไพร่และ
ข่าขัด ข่าไพร่และข่าขัดมักจะตีปล้ นจับกุมเอาท้ าวเพี ้ยราษฎร ข้ า
ขอบขันธเสมาไปเที่ยวเร่ขายในเขตต์แดนนา ๆ ประเทศชุกชุมมากขึ ้น
กว่าแต่ก่อนโดยมาก แต่ขา่ ไพร่บ้านพัดดูก บ้ านพัดลัง บ้ านดวงเยาะ
บ้ านเปลงลามที่พระราชวงศาฮุยเจ้ าเมืองเกลี ้ยกล่อมไว้ ที่ตงบ้ ั ้ านเรื อน
อยูต่ ามลํานํ ้ากะเตือกลํานํ ้ากระจานัน้ กลับใจไม่ยอมขึ ้นเป็ นข่าไพร่
เมืองอัตปื อ แต่ปีอัฐศกศักราช ๑๒๔๘ ครัน้ พระราชวงศากิ่งเจ้ า
เมืองจะคุมไพร่ไปปราบปรามข่าไพร่ซงึ่ กลับใจ ก็เกรงความผิดจึงได้ ทิ ้ง
ละไว้
ครัน้ ณ ปี จออัฐศกศักราช ๑๒๔๙ พณฯ ข้ าหลวงใหญ่มีท้อง
ตราจุลราชสีห์บงั คับไปถึงผู้วา่ ราชการเมืองกรมการว่า ให้ ออกไปยก
ประตูข้ามเรื อนด่านไว้ ตามหน้ าที่เขตต์แดน ผู้วา่ ราชการเมืองกรมการ
ก็ได้ ตมุ ไพร่ไปยกประตูข้ามเรื อนด่านไว้ ที่ทา่ รองฟ้ารองยศตําบลหนึง่
ตาม………..แต่ท้องตราปั กปั นเขตต์แดนนันต้ ้ องเพียงไม่สญ ู ไป เมื่อ

๒๒๗
เกิดเพลิงในบ้ านเรื อน พระราชวงศาเจ้ าเมืองรักษาราชการได้ ๒๒ ปี
ถึงณปี รัตนโกสินทรศก ๑๐๘ นันแล้
้ ว พระราชวาศากิ่งเจ้ าเมืองถึง
แก่กรรม
ครัน้ ณ ปี รัตนโกสินทรศก ๑๐๙ พณฯ ข้ าหลวงใหญ่โปรดเกล้ าฯ
ตังให้
้ อปุ ฮาดโมบุตรอุปฮาดเปาคนเก่า ว่าที่พระราชวงศาเจ้ าเมือง
ต่อมา แล้ วพณฯ ข้ าหลวงใหญ่มีท้องตราจุลบังคับไปยังอุปฮาดโมผู้
ว่าที่พระราชวงศาเจ้ าเมืองท้ าวเพี ้ยกรมการ ออกไปเกลี ้ยกล่อมข่า
บ้ านพัดตูก บ้ านพัดลัง บ้ านดองเยาะ บ้ านเปงลาม ที่พระราชวงศา
ฮุยเจ้ าเมืองคนก่อนเกลี ้ยกล่อมได้ แล้ วแข็งขัดกลับใจ ให้ กลับคงมา
ขึ ้นเมืองอัตปื อไปตามเดิมจะได้ นําข้ าหลวงกองแผนที่เซอละเวโอบเอา
ข่า บ้ านพัดตูก บ้ านพัดลัง บ้ านดองเยาะ บ้ านเปงลามเข้ าไว้ ในพระ
ราชอาณาเขตต์ มีข้อความหลายประการแจ้ งอยูใ่ นท้ องตราซึง่ โปรด
เกล้ าฯ ขึ ้นไปแล้ ว อุปฮาดโมผู้วา่ ที่พระราชวงศาเจ้ าเมืองได้ ยกออกไป
พูดเกลี ้ยกล่อมข่า บ้ านพัดตูก บ้ านพัดลัง บ้ านดองเยาะ บ้ านแปง
ลาม แต่ ณ วัน ๑๘ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๐๙ ฝ่ ายข้ าเจ้ าก็ยก
ออกจากเมืองอัตปื อ ลงมาฟั งข้ อราชการที่เมืองนครจําปาศักดิ์ แต่
อุปฮาดผู้วา่ ที่พระราชวงศาเจ้ าเมืองออกไปเกลี ้ยกล่อมข่าที่กลับใจจะได้
หรื อมิได้ นนั ้ ข้ าพเจ้ ายังไม่ทราบ การที่จะนําข้ าหลวงกองแผนที่เซอ
ละเว แนวพระราชอาณาเขตต์ก็ยงั ไม่เป็ นที่มนั่ ใจว่าจะทําได้ แต่
เพียงไร เพราะด้ วยในเวลานี ้ข่าไพร่และข่าขัดยังกําเริบเสิบสานอยู่ ถ้ า
จะโปรดเกล้ าฯ ให้ นําข้ าหลวงกองแผนที่เซอละเวแนวพระราชอาณา
เขตต์

๒๒๘
ไปถึงตําบลใดในบริเวณข่าขัด ต้ องจัดนายทัพนายกองคุมพลทหาร
ประมาณ ๘๐๐๐ - ๙๐๐๐ คน ปั น้ กระสุนดินดําเครื่ องศาสตราวุธครบมือ
พร้ อมด้ วยเสบียงอาหารยกไปปราบปรามพวกข่าขัดเสียให้ ราบคาบก่อน
จึงจะนําข้ าหลวงกองแผนที่เซอละเวแนวพระราชอาณาเขตต์ไปถึงตําบล
นันได้
้ ตามพระราชประสงค์ ครัน้ ข้ าพเจ้ าจะนําข้ าหลวงกองแผนที่เซอ-
ละเวแนวพระราชอาณาเขตต์ไปถึงเชิงเขาบันทัดต่อแดนญวน แต่ลํา
พังเกลือกว่าพวกข่าขัดจะออกกันกางสะกั้ ดรบพุง่ ข้ าหลวงกองแผน
ที่มีเหตุการณ์เป็ นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศพระราชอาญาก็จะไม่พ้น
เกล้ า ฯ ควรมิควรแล้ วแต่จะโปรดเป็ นความสัตย์จริงสิ ้นคําให้ การ
ข้ าพเจ้ าแต่เท่านี ้ ข้ าพเจ้ าเขียนลายมือลงชื่อให้ ไว้ แก่ทา่ นที่ท้าย
คําให้ การเป็ นสําคัญ (พระสุวรรณวงศาว่าที่อปุ ฮาด)

คาให้ การเรื่ องเมืองสพังภูผา

วัน ๑ ๕ฯ ๑๒ คํ่า ปี จอ อัฏฐศกศักราช ๑๒๔๘


เจ้ าราชสมพันธวงษา เมืองนครจํา
เจ้ าหมุน ปาศักดิ์ ๓
พระยาเมืองฮาม
พระเจริญรัตนสมบัติ นัง่
หลวงสุพรมมาตรา เมืองขุขนั ๒
ราชวงศ์ผ้ วู า่ ราชการ
อุปฮาด เมืองเชียงแตง ๓
ราชวงศ์
พร้ อมกัน ณ ทําเนียบเมืองเชียงแตง ข้ าพเจ้ าพระราชวิตบริรักษ์
เจ้ าเมืองอายุหกสิบสี่ปี ราชวงศ์กรมการเมืองสพังภูผาอายุ ๕๑ ปี
ให้ การต้ องคํากันว่า เดิมพระราชฤทธิ์บริ รักษ์ เมื่อยังเป็ นที่ท้าวอินธิสาร
ราชวงศ์เมื่อยังเป็ นที่ท้าวชามาต ควบคุมท้ าวเพี ้ยตัวเลข ๒๕๐ คนอยู่
เมืองศรี ทนั ดร สมัครไปทําราชการขึ ้นกับเมืองจําปาศักดิ์ เจ้ านคร
จําปาศักดิบ์ อกขอหักโอนลงไปณกรุงเทพ ฯ โปรดมีท้องตราพระ
ราชสีห์ มาถึงเมืองศรี ทนั ดรฉะบับหนึง่ พระกระแสโปรดว่าให้ อยูต่ าม
สมัครทราบในท้ องตรานัน้ พวกข้ าพเจ้ าพาท้ าวเพี ้ยตัวเลขยกไปตัง้
บ้ านเรื อนอยูณ ่ ห้ วยหินเป็ นบ้ านหนึง่ แขวงเมืองเซลําเภา ที่เปลี่ยนชื่อ

๒๓๐
ั ขึ ้น กับเมืองนครจําปาศักดิ์
เป็ นเมืองธราบริ วฒ ณปี ขานสําฤทธิศก
ศักราช ๑๒๔๐ เจ้ านครจําปาศักดิม์ ีใบบอกลงไปณกรุงเทพ ฯ ขอยก
บ้ านห้ วยหินเปนเมืองหนึง่ โปรดเกล้ าฯ ตังท้
้ าวอินธิสารเป็ นพระราช
ฤทธิบริรักษ์เจ้ าเมือง ตังท้ ้ าวศรี วรราชเป็ นอุปฮาด ตังท้ ้ าวชามาตเป็ น
ราชวงศ์ ตังท้ ้ าวอาทิตสาราชเป็ นราชบุตร ยกบ้ านห้ วยหินเป็ นเมือง
สพังภูผา ขึ ้นกับเมืองจําปาศักดิ์ แล้ วมีศภุ อักษรฉะบับ ๑ ท้ องตรา
พระราชสีห์ฉะบับหนึง่ มาถึงเมืองนครจําปาศักดิ์ พระกระแสโปรดว่า
ให้ เจ้ านครจําปาศักดิแ์ บ่งปั นเขตต์แดนให้ กบั เมืองสพังภูผา พอสมควร
แก่การบ้ านเมืองทราบในศุภอักษรท้ องตราพระราชสีห์นนแล้ ั้ ว เจ้ า
นครจําปาศักดิย์ งั หาได้ แบ่งปั นเขตต์แดน ให้ เมืองสพังภูผาไม่ พระราช
ฤทธิบริรักษ์เจ้ าเมืองกับราชวงศ์ ที่ได้ รับตราตังออกมาคนนี
้ ้ ได้ รับ
ราชการอยูเ่ ท่าทุกวันนี ้ พระราชฤทธิบริรักษ์เจ้ าเมืองประทับตรารูป
เทวดาราชวงศ์ประทับตรารูปเทวดาไว้ เป็ นสําคัญ ฯ

คาให้ การเรื่ องเมืองเซลาเภา

ฯ ๑๒ คํ่าปี จอ อัฏฐศกศักราช ๑๒๔๘ มี


วัน ๔ ๑๓
พระยาโพษาราช ๑
พระยาเมืองปาก ๑ นี ้เมืองนคร ๓
ไชยอํามาตย์ ๑ จําปาศักดิ์
พระยาภักดีศรี สิทธิสงครามเจ้ าเมือง ๑
หลวงรักษ์ ๑ รวม ๙ คนนี ้
หลวงพล ๑ นี ้เมือง
หลวงกําแหง ๑ ธราบริ ๖
ขุนชํานานอักษร ๑ วัฒ
ขุนราชโยธา ๑
นัง่ พร้ อมกันณศาลากลางเมืองธราบริวฒ ั ได้ ถามหลวงเทียม
อายุ ๖๒ ปี นายอ้ วน อายุ ๗๐ ปี นายแก้ ว อายุ ๖๖ ปี ให้ การต้ องคํา
กันว่า เดิมเขตต์แดนเมืองนครจําปาศักดิย์ งั ตังอยู
้ ค่ ลองฉลองแต่
เซลําเภายังไม่ได้ เป็ นเมือง มีแต่เขมรป่ าดงครอบครัวอยูใ่ นเขมร
แขวงเมืองนครจําปาศักดิ์ อยูม่ าหลายปี พระยาเดโชเม่งเจ้ าเมือง
กะปงสวายกับองค์จนั เจ้ าเมืองอุดงมีไชยมีความอริวิวาทกันสิ่งหนึง่
พระยาเดโชจึงพานักปั งผู้น้อยสนองอี่ผ้ บู ตุ รนําอพยพครอบครัวเข้ ามาพึง่
โพธิสมภารอยูใ่ นพระราชอาณาเขตต์ ครัง้ แผ่นดินพระบาทสมเด็จ
พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั พระยาเดโชเม่งมาตังอยู้ บ่ ้ านลงปลา นักปั ง

๒๓๒
อยูบ่ ้ านเวินฆ้ อง สนองอี่อยูบ่ ้ านท่าแสงแขวงเมืองนครจําปาศักดิ์ แล้ ว
นักปั งลงไปเฝ้าณกรุงเทพ ฯ จึงโปรดเกล้ า ฯ ให้ นกั ปั งเป็ นพระวิเสศ
ขึ ้นมารักษาครอบครัวอยูบ่ ้ านเวินฆ้ อง ท้ าวบุญสารที่เป็ นเจ้ าเมือง
เชียงแตงให้ หม่อมเตียงบุตรจีนฮุยเป็ นภรรยาเกิดบุตรคนหนึง่ ชื่อนักอิน
ท้ าวบุญสารถึงแก่กรรมแล้ ว พระวิเสศปั งจึงได้ หม่อมเตียงมาเป็ น
ภรรยาเกิดบุตรชื่อนัก ดม เมือง เตก ๓ คน พระวิเสศปั งได้ ลาวฟุ้งดํา
มาเป็ นภรรยาอีกคนหนึง่ เกิดบุตรชื่อนักแย้ ม ๑ พระวิเสศปั งได้ ลาว
เมืองนครราชสีมามาเป็ นภรรยาคน ๑ มีบตุ รชื่อนักบัว พระวิเสศปั ง
ถึงแก่กรรมแล้ ว นักดมลงไปเฝ้าณกรุงเทพ ฯ จึงโปรดเกล้ า ฯ ตัง้
นักดมเป็ นพระวิเสศสัจจาแทนบิดา ตังอยู ้ บ่ ้ านเวินฆ้ อง แล้ วเขมร
เมืองสมบูรณ์พากันคิดกระบถ จึงโปรดเกล้ า ฯ ให้ พระยาบําเรอภักดี
พระราชมะนูออกมาพร้ อมเจ้ าจําปาศักดิฮ์ ยุ ยกกองทัพลงไปตีเมืองสม
บูรณ์ แล้ วพระวิเสศสัจจาคิดเอาใจไปเผื่อแผ่แก่เขมรเมืองสมบูรณ์
พระยาภักดีบอกกล่าวโทษพระวิเสศสัจจาไปกราบเรี ยนเจ้ าพระยาบดิน-
ทรเดชา ซึง่ ขึ ้นมาขัดทัพอยูท่ ี่เมืองพระตะบองเห็นว่าพระวิเสศสัจจา
มีความผิด เจ้ าพระยาบดินทรเดชาจึงถอดพระวิเสศสัจจาออกจากที่
จะกวาดเอาครอบครัวพระวิเสศลงไปกรุงเทพ ฯ แล้ วเจ้ าเมืองขุขนั
จึงกราบเรี ยนขอเอาพระวิเสศกับครอบครัวลงไปไว้ เมืองขุขนั หลวง
ภักดีจํานงเมืองสังฆจึงมาให้ นางหมด บุตรพระยาเดโชเป็ นภรรยา แล้ ว
หลวงภักดีจํานงบุตรเขยพระยาเดโช จึงบอกกล่าวโทษพระยาเดโชพ่อตา
เข้ าไปยังกรุงเทพ ฯ เห็นว่าเป็ นการกระบถ จึงโปรดเกล้ า ฯ ให้ พระแก้ ว

๒๓๓
ยกกระบัตร พระพุทธโยธีข้าหลวงกับเจ้ าเมืองสังฆ ขึ ้นมากวาดเอา
ครอบครัวพระยาเดโชลงไป ณ กรุงเทพฯ เจ้ าพระยาบดินทรเดชาจึงโปรด
ให้ นกั เมืองบุตรพระวิเสศปั ง กับหลวงภักดีจํานงบุตรเขยพระยาเดโช
เกลี ้ยกล่อมเอาครอบครัวบ่าวไพร่ที่แตกหนีเข้ าป่ าดงออกมาไว้ แล้ ว
เจ้ าพระยา บดินทรเดชาจึงบอกให้ นกั เมืองกับหลวงภักดีจํานงเข้ าไปณ
กรุงเทพ ฯ จึงโปรดเกล้ า ฯ ตังนั
้ กเมืองเป็ นพระณรงค์ภกั ดีเจ้ าเมือง
นักอินบุตรท้ าวขุนสารเป็ นหลวงอภัยภูธรปลัด นักเตกเป็ นหลวงแก้ วมนตรี
ยกกระ บัตร ยกบ้ านท่าแสนขึ ้นเป็ นเมืองเซลําเภาที่ ๑ แล้ วโปรดให้
สนองอี่บตุ รพระยาเดโช ที่ตงอยู
ั ้ เ่ มืองท่าแสงนันกลั
้ บคืนไปเมืองกะปง
สวาย เจ้ าปาศักดิฮ์ ยุ จึงขอเอาตัวพระวิเศษ ณ เมืองขุขนั มาไว้ เมืองนคร
จําปาศักดิแ์ ล้ วจึงโปรดเกล้ า ฯ ตังหลวงภั
้ กดีจํานงเป็ นพระมโนจํานงเจ้ า
เมืองมโนไพร โปรดให้ หลวงอนุรักษ์ภเู บศข้ าหลวงเจ้ าโง่นเพี ้ยอุปราช
เมืองนครจําปาศักดิ์ กับปลัดกรมการเมืองขุขนั พาตัวพระมโนจํานงไป
ตังเมื
้ องมโนไพรและปั นหลักเขตต์แดน เมืองเซลําเภาทิศอุดรถึงคลอง
ตะเคียน ทิศบูรพาตามฝั่ งนํ ้าโขงลงไปปากคลองเสียมโบก ทิศทัก
สิณตามดง
กาวี
ฉลองไปถึงเขาจะลอมหนอง เขาดองกําเบ็ดกะปงทมไปถึงคลอง
ปอาว
นํ ้าเสน ทิศปราจีณขึ ้นมาตามคลองสําปลุกมาถึงหนองฉแงหินโคนเขาหิน
เหล็กเขาโกนจะแก ถึงหนองกังสวายมาถึงหนองตําหนักถมหนองจอก
บรรจบครบปากคลองเกดียนเป็ นเขตต์แดนเมืองเซลําเภา ณ ปี จอสําฤทธิ
ศกศักราช ๑๒๐๐ เจ้ าปาศักดิฮ์ ยุ ถึงแก่พิราลัยแล้ ว ถึงณปี ขานจัตวา
๒๓๔
ศกศักราช ๑๒๐๔ จึงโปรดเกล้ า ฯ ตังเจ้ ้ าอุปราชนากเจ้ าจําปาศักดิ์
พระวิเศษสัจจาลงไปเมืองเซลําภา ตังอยู
้ บ่ ้ านลงปลา แล้ วพระณรงค์
ภักดีเจ้ าเมืองถึงแก่อนิจกรรม จึงโปรดเกล้ า ฯ ตังนั ้ กอินปลัดเป็ น
พระณรงค์ภกั ดีเจ้ าเมืองเซลําเภาที่ ๒ ตังอยู ้ บ่ ้ านกะโปงปาง ยกกระบัตร
เต็กเป็ นหลวงอภัยภูธรปลัด นักบัวเป็ นหลวงแก้ วมนตรี ยกกระบัตร นัก
แย้ มเป็ นผู้ชว่ ย ณ ปี จอโทศกศักราช ๑๒๑๒ เจ้ าปาศักดิน์ ากถึงแก่พิราลัย
ถึง ณ ปี มะโรงอัฏฐศกศักราช ๑๒๑๘ โปรดเกล้ า ฯ ให้ เจ้ าคําเป็ นเจ้ าปา-
ศักดิ์ แล้ วพระณรงค์ภกั ดีเจ้ าเมืองก็ถึงแก่อนิจกรรม จึงโปรดเกล้ า ฯ
ตังปลั
้ ดเต็กเป็ นพระณรงค์ภกั ดี เจ้ าเมืองเซลําเภาที่ ๓ ตังอยู ้ บ่ ้ านท่าไฮ
ผู้ชว่ ยแย้ มเป็ นหลวงปลัดเป็ นหลวงอภัยภูธรปลัด ท้ าวบัวบุตรนัก
เมืองเป็ นหลวงแก้ วมนตรี ยกกระบัตร แล้ วพระณรงค์ภกั ดีเจ้ าเมือง
ถึงแก่อนิจจกรรม ถึงปี มะเมียสัมฤทธิศกศักราช ๑๒๒๐ เจ้ าปาศักดิ์
ถึงแก่พิราลัย ครัน้ ถึงปี กุนเบญจศกศักราช ๑๒๒๕ จึงโปรดเกล้ า ฯ
ให้ เจ้ าคําสุขเป็ นเจ้ าปาศักดิ์ ๆ บอกขอเอานักดมผู้เป็ นพระวิเศษสัจจา
เป็ นพระณรงค์ภกั ดีเจ้ าเมืองเซลําเภาที่ ๔ ตังอยู ้ บ่ ้ านลงปลา ท้ าวเหมา
บุตรเจ้ าเมืองตมเป็ นหลวงแก้ วมนตรี ยกกระบัตร ปลัดแย้ มออกเป็ น
กองนอกแล้ วพระณรงค์ภกั ดีเจ้ าเมืองถึงแก่อนิจจกรรมถึง ณ วันที่ ๓ ๙ ๕
คํ่า ปี มะเมียจัตวาศกศักราช ๑๒๔๔ เจ้ าคุณพระยามหาอํามาตย์ แต่ยงั
ลาว
เป็ นที่เจ้ าคุณพระยาศรี สิงห์เทพขึ ้นมาว่าราชการศีรษะเมือง ฝ่ าย
เขมร
ตะวันออกตังอยู ้ ท่ ี่เมืองจําปาศักดิ์ ถึงณเดือน ๗ ปี มะแมเบ็ญจศก
๒๓๕
ศักราช ๑๒๔๕ ปลัดแย้ มกองนอกขึ ้นมาเฝ้าพณ ฯ ที่เมืองนครจําปาศักดิ์
จึงโปรดให้ ปลัดแย้ ม เป็ นที่พระณรงค์ภกั ดีเจ้ าเมืองเซลําเภาที่ ๕ ยก
กระบัตรเหมาว่าที่หลวงอภัยภูธรปลัด ปลัดแย้ มว่าที่เจ้ าเมืองได้ ๓ เดือน
ถึงแก่อนิจจกรรม ครัน้ ณ เดือน ๙ ปี ระกาสัปตศกศักราช ๑๒๔๗ จึง
โปรดเกล้ า ฯ ตั ้งท้ าวคําผุยผู้เป็ นหลวงนราผู้ช่วย บุตรเจ้ าเมืองอิน
เป็ นพระยาภักดีศรี สทิ ธิสงครามเจ้ าเมือง ยกบ้ านเวินฆ้ องขึ ้นเป็ นเมือง
ธราบริวฒั แล้ วพณ ฯ จึงโปรดตั ้งท้ าวบุญจันเป็ นหลวงภักดีบตุ รเจ้ า
เมืองเต็กเป็ นพระภักดีพรมเรศปลัดเหมาเป็ นพระวิเศษรักษาอยู่ในเมือง
ธราบริวฒ ั ทุกวันนี ้
นักเมง ๑ เป็ นพระยาเดโชเจ้ าเมืองกะปงสวาย ๑
มีบตุ รชื่อสนองอี่ ๑ คน
ท้ าวเหมาเป็ น ๑
พระวิเศษรักษา
นักดมเป็ นเจ้ าเมืองมีบตุ รชื่อ ท้ าวนวนเป็ น ๑
ผู้ช่วย ๓
ท้ าวเอี่ยมเป็ น ๑
หลวงณริ นทร
เดิมบิดามารดา ท้ าวบัวเป็ นหลวง ๑ ตาย
มีบตุ ร ชื่อ วิไชยยกกระบัตร
ท้ าวทองเป็ น ๑ ๓
นักเมืองเป็ น ยกกระบัตร
เจ้ าเมืองมีบตุ ร ท้ าวแสนเป็ น ๓ ตาย
ชื่อ หลวงนริ น
๒๓๖
นักปั งเป็ น
พระวิเศษ ๕
บุตร ๕ คน ชื่อ ท้ าวคําพันเป็ นผู้ชว่ ย ๑
ท้ าวบุญจันเป็ นพระภักดี
พรมเรศ ๑ ๔
นักเต็กเป็ นเจ้ าเมืองมีบตุ รชื่อท้ าวจูเป็ นหลวงภักดี ๑
ท้ าวพิมเป็ นหลวงนริน ๑ ตาย
นักแย้ มเป็ นปลัดแล้ วว่าที่เจ้ าเมืองได้ ๓ เดือน
ถึงแก่กรรมมีบตุ รชื่อนางแก ๑
นักบัวเป็ นหลวงแก้ วมนตรี ยกกระบัตรมีบตุ ร
ชื่อหลวงจินดา ๑
บุตรท้ าวบุญสารชื่อนักอิน ๑ นักอินเป็ นเจ้ าเมืองมีบตุ รชื่อ ท้ าว
คําผุย พระยาภักดีศรี สิทธิสงครามเจ้ าธราบริวฒ ั
พงศาวดารเมืองนครพนม สังเขป
ฉะบับพระยาจันทร์ โงนคา เรียบเรียง
ณ วัน ๗ ๔ฯ ๑ ค่า ปี ขาล ฉศก ๑๒๗๖

ณ วัน ๓ ๑ฯ ๘ คํ่า ปี กุนนพศก ศักราช ๑๒๔๙ ปี ฯ พณ ฯ หัว


เจ้ าท่านที่สมุห์มหาดไทยฝ่ ายเหนือ ปริวีเคาน์ซิลอ ข้ าหลวงใหญ่ ซึง่
ตังจั
้ ดราชการหัวเมืองลาว เมืองเขมรฝ่ ายตะวันออก อยูท่ ี่เมืองนคร
จําปาศักดิ์ มีบญั ชาโปรดเล้ า ฯ ให้ เจ้ าเมืองกรมการเมืองสกลนคร
เรี ยบเรี ยงพงศาวดารแต่ตงเมื ั ้ องนครพนม ที่แยกออกเป็ นเมืองมหา
ไชย เมืองสกลนครต่อ ๆ มานัน้ พระเดชพระคุณเป็ นที่สดุ เดิม
เมืองนครพนมพระบรมราชาเจ้ าเมืองนครพนม มีบตุ รชายชื่อว่าท้ าว
กู่แก้ ว บุตรหญิงชื่อว่านางสุวรรณทอง นายคําสิงห์บตุ รเพี ้ยรามแขก
ได้ กบั นางสุวรรณทองเป็ นภรรยาสามีกนั ท้ าวกู่แก้ วอายุได้ ๑๕ ปี
พระบรมราชาผู้เป็ นบิดา เอาท้ าวกู่แก้ วผู้บตุ รไปถวายเป็ นมหาดเล็ก
เจ้ าจําปาศักดิไ์ ด้ ๒ ปี พระบรมราชาเจ้ าเมืองนครพนมก็เถิงแก่กรรม
เจ้ าเวียงจันทน์จงึ ตังนายคํ
้ าสิงห์ บุตรเขยพระบรมราชาผู้เป็ นผัวนาง
สุวรรณทอง เป็ นพระลคอนเจ้ าเมืองนครพนม ครัน้ ทราบข่าวถึง
ท้ าวกู่แก้ วว่าบิดาถึงแก่กรรม พี่เขยได้ เป็ นเจ้ าเมือง ท้ าวกู่แก้ วจึงลา
เจ้ าจําปาศักดิข์ ึ ้นมาเข้ าในลําเซบังไฟ ้ เกลี ้ยกล่อมเอาท้ าวเพี ้ยพวกลํานํ ้า
เซ กะตากกะปอง เมืองวังเชียงรม ผาบัง คําเกิด คํามวน จึงพา
๒๓๘
ไปขัดพระละคอนคําสิงห์ เจ้ าเมืองนครพนม จึงแต่งกรมการเอา
ช้ างพลาย ๒ นอ ๒ ยอด เงิน ๔๐ แน่นไปขอกําลังจากเจ้ าพาพูชนุ ยวน
เจ้ าพาพูชนุ ยวนให้ กําลังมา ๖๐๐๐ มารบกับพวกลํานํ ้าเซ นายไชย
เมืองนครพนมจึงลาเจ้ าพาพูซุนมาก่อนกําลัง แต่เดือน ๑๒ ถึงเดือนอ้ าย
กําลังเจ้ าพาพูซุนยวนมาถึงเมืองคําเกิดรู้ขา่ วถึงท้ าวกู่แก้ ว จึงแต่ง
กรมการ เอาช้ างพลาย ๑ นอยอด ๑ ไพร่ ๑๐๐ ไปรับกําลังเจ้ าฟ้า
ญวนที่เมืองคําเกิดว่า เป็ นนายไชยเมืองนครพนม กําลังญวนก็เชื่อฟั ง
จึงยกมาตีเมืองนครพนม ท้ าวกู่แก้ วจึงเกณฑ์ไพร่พลที่ฉกรรจ์
พรรคพวกได้ ๓๐๐๐ รวมทังกํ ้ าลังญวนรวม ๙๐๐๐ ยกรบเมืองนครพนม
แตกข้ ามนํ ้าของมาอยูด่ งเซกาข้ างตะวันตก พระละคอนเจ้ าเมืองนคร
พนมจึงแต่งกรมการไปเฝ้าเจ้ าเวียงจันทน์ ญวนจึงทําสะพานข้ ามนํ ้าของ
มาตังค่
้ ายอยูห่ าดทรายข้ างตะวันตก เจ้ าเวียงจันทน์จงึ แต่งพระยา
เชียงสาคุมไพร่ ๑๐๐๐๐ ยกรบญวนที่คา่ ยชะนะญวน ฆ่าญวนตายมาก
จึงได้ เรี ยกว่าหาดแกวกอง พระยาเชียงสาแม่ทพั จึงได้ เอาครอบครัว
พระละคอนคําสิงห์เจ้ าเมืองนครพนมขึ ้นไปอยูเ่ วียงจันทน์ ให้ ตงอยู ั ้ บ่ ้ าน
เวินทาย รวมสํามะโนครัวชายหญิงใหญ่น้อย ๓๕๐๐ คน พระยา
เชียงสาแม่ทพั จึงเกลี ้ยกล่อมท้ าวกู่แก้ วมาเป็ นพระบรมราชาเจ้ าเมือง
นครพนม ขึ ้นกับเจ้ าเวียงจันทน์ตามเดิม พระบรมราชากู่แก้ วมี
บุตรชายชื่อว่าท้ าววุทธัง, ท้ าวพรหมมา, ท้ าวศรี วิไช, ท้ าวอุน่ เมือง
ท้ าวเลาคํา, ท้ าวราช, ท้ าวแก้ วมณีโชติ, ท้ าวพรหมบุตร์ รวม ๘ ชาย
บุตรหญิงชื่อว่า นางแท่งคํา, นางแท่งแก้ ว, นางคําเภา , นางมิ่ง,
๒๓๙
นางด่อม, นางคําพัว่ , นางเยา, นางแมะ รวมบุตรหญิง ๙ คน
พระบรมราชากู่แก้ วอยูใ่ นราชการ ๑๒ ปี จุลศักราช ๑๒๔๐ ปี จอฉอศก
เจ้ าพระวอเอากําลังกรุงเทพ ฯ ขึ ้นมาตีเวียงจันทน์แตก พระบรมราชา
กู่แก้ วจึงพาครอบครัวไปตังค่
้ ายกวนหมูได้ ๕ เดือนก็ถึงแก่กรรมที่นนั ้
ท้ าวพรหมมาผู้บตุ รจึงพาครอบครัวบ่าวไพร่ออกมาอยูเ่ มืองนครพนม
ท้ าวพรหมมาได้ เป็ นที่พระบรมราชาเจ้ าเมืองนครพนม ท้ าวอุธทังได้
เป็ นที่อปุ ฮาด ท้ าวศรี วิไชยได้ เป็ นที่ราชวงศ์ ได้ ออกไปถวายดอกไม้
ทองเงิน แต่จลุ ศักราช ๑๑๔๒ ปี ชวดโทศก พระบรมราชาพรหมา
มีบตุ รชายชื่อว่าท้ าวหมาแพง ท้ าวหล้ า, ท้ าวคําสาย, ท้ าวพูเพ,
ท้ าวจันทน์, ท้ าววัง, ท้ าวปุย, ท้ าวขวาง, ท้ าวโท, ท้ าวขัดตะวัน,
ท้ าวแสง, ท้ าวโก รวม ๑๕ คน บุตรหญิงชื่อ นางเกด, นาง
สุรคันที, นางจิก, นางจอม, นางแก้ วปั ดทํา, นางสุรีรวงคํา, นาง
คิม, นางชม รวมบุตรหญิง ๑๐ คน อุปฮาดอุธทังมีบตุ รชายชื่อว่า
ท้ าวจุลณี ๑ บุตรหญิงชื่อว่า นางยอด, นางอินสะ รวม ๒ คนก็ถึง
แก่กรรม ราชวงศ์ศรี วิไชยได้ เป็ นอุปฮาด พระบรมราชาพรหมมา
อยูใ่ นราชการ ๑๔ ปี คิดกบฎเข้ ากับเจ้ าเวียงจันทน์ เมื่อจุลศักราช ๑๑๕๕
ปี ฉลูเอกศก เจ้ านันเวียงจันทน์จงึ มีหนังสือไปขอกําลังจากเจ้ าฟ้าญวน
ไม่ให้ จึงส่งใบบอกลงไปกรุงเทพมหานคร จึงโปรดเกล้ า
โปรดกระหม่อมให้ กองทัพขึ ้นมาจับเจ้ าเวียงจันทน์ พระบรมราชา
พรหมมาลงไปกรุงเทพ ฯ เมื่อจุลศักราช ๑๑๕๖ ปี ขาลโทศก พระ
บรมราชาต้ องโทษลงพระอาชญา ๑๐๐ ที หนานมาล้ อมเมืองเชียงใหม่
๒๔๐
ให้ ชะนะ จึงโปรดเกล้ าโปรดกระหม่อมให้ เจ้ านันไปรบหนานที่เมือง
เชียงใหม่ให้ มีไชยชะนะ พระบรมราชาพรหมมาขึ ้นไปถึงเมืองเถิน
จึงเบื่อผักหวานเลยถึงแก่กรรม นายสุดตาเป็ นที่พระศรี เชียงใหม่ เดิม
เป็ นพี่เมียตน พระบรมราชาพรหมาอยูร่ ักษาเมือง ไปเฝ้าที่กรุงเทพ ฯ
โปรดเกล้ าโปรดกระหม่อมให้ เป็ นพระบรมราชาเจ้ าเมืองนครพนม ท้ าว
อุน่ เมืองเป็ นอุปฮาด ท้ าวเลาคําเป็ นที่ราชวงศ์ ๒ คนนี ้เป็ นบุตร
พระบรมราชากู่แก้ ว อุปฮาดศรี วิไชยไม่ยอม จึงอพยพครอบครัวลง
ไปกรุงเทพ ฯ โปรดเกล้ าโปรดกระหม่อมให้ เป็ นเมืองอยูป่ ากนํ ้า
ท้ าวอินทิสาร, ท้ าวจุลณี, บุตรอุปฮาด, ท้ าวกิ่งหงสา, ท้ าวคําสาย,
ท้ าววัง, ท้ าวปุย, ท้ าวหมาหล้ า, บุตรพระบรมราชาพรหมมาไม่ยอม
ว่าเชื ้อไพร่ได้ เป็ นเจ้ าเมือง จึงอพยพครอบครัวบ่าวไพร่ข้ามนํ ้าโขงไป
อยูซ่ อกนํ ้าเซบังไฟ
้ เมื่อจุลศักราชได้ ๑๑๕๗ ปี เถาะสัปตศก ท้ าวจุลณี,
ท้ าวกึ่งหงสา พาบ่าวไพร่ขดั ว่า เชื่อไพร่ได้ เป็ นเจ้ าเมืองนครพนมไม่
ยอมขึ ้นพระบรมราชาสุดตา จึงแต่งกรมการขึ ้นไปขอกําลังจากเจ้ า
อินทร์ เจ้ าเวียงจันทน์จงึ แต่งเจ้ าสีถานกับพระยาสุโพเป็ นแม่ทพั มาช่วย
แต่งเพียขันขวาไปขอกําลังจากเจ้ านคจําปาศักดิ์ เมืองสุวรรณภูมิ
เมืองร้ อยเอ็จ แลท้ าวสมพมิด เมืองกาฬสินธุ์ มาพร้ อมกันที่เมืองนคร
ทางกรุงเทพ ฯ โปรดให้ พระยาอํามาตย์ขึ ้นมาตังอยู ้ ท่ ี่โพคํา เมื่อ
จุลศักราช ๑๑๕๘ ปี มะโรงจัตวาศก พระยาอํามาตย์จงึ แต่งคนขึ ้นไป
เกลี ้ยกล่อมท้ าวจุลณี ท้ าวกึ่งหงษาไม่ยอมลงมา ครัน้ ถึงเมื่อจุลศักราช
๑๑๕๙ ปี มะเส็งนพศก กองทัพเวียงจันทน์กบั กองทัพเมืองนคร
๒๔๑
จําปาศักดิ์ และหัวเมืองทังปวงยกข้
้ ามนํ ้าโขงไปรบพวกท้ าวจุลณี
ท้ าวกิ่งหงสาที่กวนกู่กวนงัว่ แตก จึงได้ ท้าวหมาหล้ า นางคําพัว่ ผัวเมีย
กับนางยอดภรรยาท้ าวศรี กิ่งหงสานัน้ ราชวังหน้ าเมืองไชยบุรีเอาเป็ น
ภรรยา ครัน้ เมื่อจุลศักราช ๑๑๖๑ ปี มะแม เอกศก ท้ าวกิ่งหงสา
ท้ าวคําสาย จึงยกทัพ ๖๐๐๐ คน มาตังอยู ้ เ่ บื ้องช้ างราช ริมนํ ้าโขง ว่าจะ
รบเมืองนครพนม พระยาสุโพเวียงจันทน์ กับอุปฮาดอุน่ เมือง จึง
พร้ อมปรึกษาเห็นว่า ท้ าวเกษเป็ นพี่หญิงท้ าวกิ่ง นางสุรคันทีเป็ น
น้ องสาว ท้ าวกิ่งหงสากับบุตรหลานหญิง ๑๐๐ มีขนั ธูปเทียนดอกไม้ ไป
เอาปฏิสณ ั ถาร ท้ าวกิ่งท้ าวคําสายก็ดีใจ เห็นพี่สาวกับน้ องสาวกิ่ง
ท้ าวคําสาย ก็วา่ ไม่ขึ ้นกับเมืองนครพนม จะขึ ้นกับเจ้ าเวียงจันทน์
พระยาสุโพกับอุปฮาดอุน่ เมืองจึงข้ ามนํ ้าโขงไปอยูว่ ดั ธาตุเมืองนครเก่า
จึงเอาท้ าวกิ่งหงสา ท้ าวคําสายมารับนํ ้าสาบานตัว แล้ วก็พร้ อมกัน
เลิกทัพกลับ
เมื่อจุลศักราช ๑๑๖๒ ปี วอก โทศก ท้ าวจุลณี ท้ าวกิ่งหงษา
ท้ าวคําสาย ท้ าวน้ อย พร้ อมกันขึ ้นไปเฝ้าเจ้ าเวียงจันทน์ จึงตังให้ ้ ท้าว
จุลณีเป็ นที่พระพรหม เจ้ าเมืองมหาไชยกองแก้ ว ท้ าวกิ่งหงสา เป็ น
อุปฮาด พระนาคี ท้ าวคําผายเป็ นราชวงศ์ ท้ าวน้ อยเป็ นบุตร์ พระพรหม
เป็ นราชบุตร์ ขึ ้นกับเจ้ าเวียงจันทน์กึ่ง ๑ ขึ ้นกับญวนกึ่ง ๑ พระพรหม
เจ้ าเมืองมหาไชยกองแก้ ว มีบตุ ร์ ชายชื่อว่าท้ าวโก่ง ท้ าวคํา ท้ าวเหม็น
ท้ าวเง้ า ท้ าวเสือ ท้ าวเม้ า ท้ าวแก้ ว ท้ าวสีแก้ ว ท้ าวละ ท้ าวนาก
ท้ าวหล้ า รวม ๑๑ คน, บุตร์ หญิง นางไผ่ นางสิง นางสุย นางปิ ก,
๒๔๒
นางตุก นางลุน, รวม ๖ คน พระนาคีอปุ ฮาดกึ่งมีบตุ ร์ ชาย ท้ าวคํา
ท้ าวอินทร์ ท้ าวเกษ ท้ าวสิง ท้ าวเมืองแก้ ว ท้ าวสวน ท้ าวเขียว
ท้ าวจัน, รวม ๘ คน บุตร์ หญิง นางตุ้ย นางพอง นางลุน นางหมา
นางน้ อย นางกอง นางดอกแก้ ว รวม ๗ คน, พระนาดีอปุ ฮาดอยูใ่ น
ราชการ ๑๐ ปี ก็ถึงแก่กรรม
เจ้ าเวียงจันทน์ ตังราชวงศ์
้ คําสายเป็ นที่อปุ ฮาดตี เจ้ าท้ าวคําบุตร์
อุปฮาดพระนาดี-เป็ นราชวงศ์ อุปฮาดตีมีบตุ ร์ ชายชื่อว่า ท้ าวโก ท้ าว
เอก ท้ าวปิ ด ท้ าวเกษ ท้ าวตุง ท้ าวคํา ท้ าวสอน ท้ าวหนู ท้ าว
อุน่ หล้ า รวม ๙ คน บุตรหญิงนางนาง นางจวง นางนุด นางหมา
นางสัน้ นางผิว นางเขียว นางหลาว นางน้ อย รวม ๙ คน, พระ
พรหมอาสาเจ้ าเมืองมหาไชยกองแก้ วอยูใ่ นราชการ ๒๙ ปี เจ้ าอนุ
เวียงจันทน์กบฎต่อกรุงเทพมหานคร เมื่อจุลศักราช ๑๑๘๗๑ ปี กุนนพ
ศกกองทัพกรุงเทพ ฯ ยกขึ ้นมาตีเวียงจันทน์ ต่อถึงปี ชวดสัมฤทธิศก
ศักราช ๑๑๙๐ ปี เจ้ าอนุเวียงจันทน์แตกขึ ้นไปเมืองมหาไชยกองแก้ ว
เลยขึ ้นไปเมืองญวน กลับลงมาทางเมืองพวน เจ้ าน้ อยเมืองพวนจึง
จับเจ้ าอนุเวียงจันทน์สง่ ให้ แม่ทพั กรุงเทพ ฯ เมื่อปี มะเมียฉอศกศักราช
๑๑๙๖ กองทัพกรุงเทพ ฯ ยกขึ ้นไปตังเกลี ้ ้ยกล่อมเอาเมืองมหาไชย
๑. ในพระราชพงศาวดาร ร.๓ เป็ นปี จอ ๑๑๘๘ ถ้ าเป็ นปี กุนตามต้ น
ฉะบับต้ องเป็ น ๑๑๘๙
๒๔๓
กองแก้ ว พระพรหมเจ้ าเมืองมหาไชยกองแก้ วแตกหนีขึ ้นไปถึงเมือง
ญวน ก็เลยถึงแก่กรรมเสีย
ครัน้ ณ ปี มะแมสัปตศกศักราช ๑๑๙๗ ปี อุปฮาดตีเจ้ าคําสาย
ราชวงศ์คํา เอาครอบครัวบ่าวไพร่มาสูพ่ ระบรมโพธิสมภาร พระเจ้ า
แผ่นดินกรุงสยาม ตังอยู ้ เ่ มืองสกลนครเดี๋ยวนี ้ ถึงปี ระกานพศกศักราช
๑๑๙๙ ปี อุปฮาดตีเจ้ าคําสายก็ถึงแก่กรรม เมื่อปี จอสัมฤทธิศก
ศักราช ๑๒๐๐ ปี ราชวงศ์คําลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรุง-
เทพมหานคร จึงโปรดเกล้ าโปรดกระหม่อม ให้ ราชวงศ์คําเป็ นที่พระยา
ประเทศธานี เจ้ าเมืองสกลนคร โปรดให้ ท้าวอิน บุตรอุปฮาดพระ
นาดีเมืองมหาไชยกองแก้ วคนเก่าเป็ นราชวงศ์ โปรดให้ ราชวงศ์เมือง
กาฬสินธุ์มาเป็ นอุปฮาด โปรดให้ ราชบุตรเมืองกาฬสินธุ์มาเป็ นอุปฮาด
ราชบุตรเมืองสกลนคร พระยาประเทศธานี มีบตุ รชายชื่อว่า
ท้ าวไชย ท้ าวหมาพอง ท้ าวหมาพรหม ท้ าวสีนวล ท้ าวไค ท้ าวทับ
ท้ าวแค้ รวม ๗ คน มีบตุ รหญิงชื่อว่า นางแพง นางหนู นางสิง
นางพิมพา นางบัวคํา นางกํ่า รวม ๖ คน, อุปฮาดมีบตุ รชายชื่อว่า
ท้ าวโคก ท้ าวชิน ท้ าวพิมพา ท้ าวแสง ท้ าวคาน ท้ าวพู ท้ าวโชติ
ท้ าวโส รวม ๗ คน บุตรหญิงชื่อว่า นางผิว นางตื ้อ นางแพง
นางทองแดง นางกัณหา รวม ๕ คน, ราชวงศ์อินทร์ มีบตุ รชายชื่อว่า
ท้ าวเหม้ น ท้ าวขี ท้ าวเมก ท้ าวคําสงกา ท้ าวตูบ ท้ าวเฮ้ า
ท้ าวเม้ า ท้ าวคําจัน ท้ าวซ้ าย รวม ๙ คน, บุตรหญิงชื่อว่า นางอุน่
นางบัวละพัน นางหมี นางพู นางหนู นางเขียด นางแก้ ว นางป้อง
๒๔๔
นางสุพา นางเพือง นางเหลือง นางจันทน์แดง รวม ๑๒ คน ราช
บุตรรับราชการได้ ก็ถึงแก่กรรมเมื่อปี ชวดโทศก ศักราช ๑๒๐๒ ปี
ท้ าวขัตยิ ะรับเป็ นราชบุตรได้ ๕ ปี ก็ถึงแก่กรรม เมื่อปี มะโรงฉศก
ศักราช ๑๒๐๖ ปี ท้ าวอินทิสารได้ เป็ นราชบุตรอุปฮาดรับราชการได้
๑๓ ปี ก็ถึงแก่กรรม เมื่อปี จอโทศก จุลศักราช ๑๒๑๒ ท้ าวโก่งได้
เป็ นที่พระอุปฮาด ท้ าวเหม็นเป็ นที่ราชบุตร ๒ คนนี ้เป็ นบุตรพระพรหม
เจ้ าเมืองมหาไชยกองแก้ ว แต่ราชบุตรอินทิสารนันกลั
้ บคืนไปอยูเ่ มือง
กาฬิสนธุ์ พระอุปฮาดโก่งนันมี
้ ลกู ชายชื่อว่า ท้ าวราช ท้ าวมุม
ท้ าวจุม ท้ าวจี ท้ าวอินทร์ ท้ าวคํา ท้ าวพรหม ท้ าวเสน ท้ าวสา
ท้ าวหํา ท้ าวไชย ท้ าววันนี รวม ๑๒ คน, บุตรหญิง นางจวง นาง
จัน นางวัน นางป้อง นางหนู นางยัน นางมาด นางมิ่ง นางตุ้ม
นางแอก นางอ้ วน นางสัน้ รวม ๑๓ คน ราชวงศ์อินทร์ รับราชการ
ได้ ๒๑ ปี ก็ถึงแก่กรรม เมื่อจุลศักราช ๑๒๒๐ ปี มะเมีย สัมฤทธิศก
เมื่อจุลศักราช ๑๒๒๕ ปี กุนเบญจศก โปรดเกล้ าโปรดกระหม่อมให้
ราชบุตรเหม้ นเป็ นที่พระภูวดลบริรักษ์ โปรดเกล้ าโปรดกระหม่อมให้
บ้ านภูวาเป็ นเมืองภูวดลสอาง ท้ าวเกษ บุตรอุปฮาดดี เจ้ าเป็ นอุปฮาด
ท้ าวไชย บุตรพระยาประเทศธานี เป็ นราชวงศ์ ท้ าวเมก บุตรพระภูวดล
บริรักษ์ ว่าที่ราชบุตร ถึงเมื่อจุลศักราช ๑๒๒๙ ปี เถาะนพศก โปรด
เกล้ าโปรดกระหม่อมให้ ท้าวปิ ดบุตรอุปฮาดตี เป็ นราชวงศ์ท้าวราชบุตร
อุปฮาดโถง เป็ นราชบุตรเมืองสกลนคร ถึงเมื่อจุลศักราช ๑๒๓๔ ปี
วอก จัตวาศก โปรดเกล้ าโปรดกระหม่อม ตังท้ ้ าวเหม้ น บุตรราชวงศ์
๒๔๕
อินทร์ เป็ นพระศรี สกุลวงศ์ ผู้ชว่ ยพระยาประเทศธานี เจ้ าเมืองสกล
นคร รับราชการได้ ๓๙ ปี อายุได้ ๘๖ ปี ก็ถึงแก่กรรม เมื่อจุล
ศักราช ๑๒๓๘ ปี ชวด อัฏฐศก อุปฮาดราชบุตรก็ถึงแก่กรรมในปี
นัน้ พระยามหาอํามาตย์ขึ ้นมาเป็ นแม่ทพั อยูเ่ มืองหนองคายโปรดว่าที่
ราชวงศ์ปิด ว่าที่พระอุปฮาดพระศรี สกุนวงศ์ผ้ ชู ว่ ย เหม้ นว่าที่ราชวงศ์
ท้ าวจูมบุตรอุปฮาดโถง ว่าที่ราชบุตร ท้ าวพองบุตรพระยาประเทศธานี
ว่าที่พระศรี สกุนวงศ์ผ้ ชู ว่ ย ท้ าวนากบุตรพระยาพรหมเจ้ าเมืองมหาไชย
กองแก้ วว่าที่พระพิพิธมนตรี ผ้ ชู ว่ ย
ครัน้ เมื่อจุลศักราช ๑๒๒๙ ปี ฉลูนพศกโปรดเกล้ า โปรดณหม่อม
ตังพระศรี
้ สกุนวงศ์เหม้ นผู้ชว่ ยว่าที่ราชวงศ์ลงมากรุงเทพ ฯ โปรดเป็ นที่
พระอุปฮาด ท้ าวพองผู้วา่ ที่พระศรี สกุนวงศ์ผ้ ชู ว่ ย เหม้ นว่าที่ราชวงศ์
เป็ นพระอุปฮาด ท้ าวพองผู้วา่ ที่พระศรี สกุนวงศ์ผ้ ชู ว่ ยเป็ นราชวงศ์
ครัน้ ถึงเมื่อจุลศักราช ๑๒๔๐ ปี ขานสัมฤทธิศกโปรดเกล้ าโปรด
กระหม่อมตังราชวงศ์
้ ปิดผู้วา่ ที่พระอุปฮาดเป็ นพระยาประจันตประเทศธานี
ท้ าวจูมเป็ นราชบุตร ท้ าวหอมบุตรท้ าวกะแสเป็ นพระศรี สกุนวงศ์ผ้ ชู ว่ ย.
พระยาประจันตประเทศธานีปิด มีบตุ รชายชื่อว่าท้ าวแสง ท้ าว
คําเพา ท้ าวฮก ท้ าวจูม ท้ าวเกษ ท้ าวสิน ท้ าวนาก รวม ๗ คน,
บุตรหญิงนางเหม้ น นางคําผิว นางทองคํา นางน้ อย นางเข็ม นางสอน
รวม ๖ คน,
พระอุปฮาดเหม้ นมีบตุ รชาย ท้ าวพังคี ท้ าวอรดี ท้ าวนรกา ท้ าว
จรกา ท้ าวสิง ท้ าวสัง ท้ าวเส ท้ าวโห ท้ าวบัวคํา รวม ๙ คน,
๒๔๖
บุตรหญิงนางหน่อแก้ ว นางสุบนั ศรี สมยศ นางจันทโครบ บิดา
รบห้ อวัดจันเกิดทีหลัง นางทองคาย นางคําอ้ วน นางโม นางจันทน์
นางพิสหลู นางแขวงคําค้ านชะกุน นางแคว้ นคําตุ้ย รวม ๑๐ คน,
ราชวงศ์พองมีบตุ รชายชื่อว่าท้ าวสุวรรณดี ท้ าวอินที ท้ าว
แตงอ่อน รวม ๓ คน, บุตรหญิง นางคําหยด นางคําตัน นางแพง
รวม ๓ คน,
ราชบุตรจูมมีบตุ รชาย ชื่อว่าท้ าวขี ท้ าวอีนทอง ท้ าวชาลี ท้ าว
คํามี ท้ าวโคด รวม ๕ คน, บุตรหญิงนางกดชา ๑
พระยาประจันตประเทศธานี รับราชการได้ ๗ ปี ก็ถึงแก่กรรม
เมื่อจุลศักราช ๑๒๔๗ ปี วอกฉอศกอายุได้ ๖๙ ปี ถึงเมื่อจุลศักราช ๑๒๔๘
พณ ฯ หัวเจ้ าท่านสมุหมหาดไทยฝ่ ายเหนือปรี วีเคาน์ซินลอ ข้ าหลวง
้ ดราชการอยูเ่ มืองนครจําปาศักดิโ์ ปรดว่า
ใหญ่ซงึ่ ตังจั พระอุปฮาด
เหม้ นว่าที่พระยาประเทศธานี ราชวงศ์พองว่าที่พระอุปฮาด ราชบุตร
จุมว่าที่ราชวงศ์ ท้ าวเมกว่าที่ราชบุตร.
ตานานเมืองวังมล

วัน ๗ ๓ฯ ๗ คํ่า ปี ฉลูเอกศก ๑๒๕๑


ข้ าพเจ้ าหลวงณรงค์โยธา ข้ าหลวง ได้ หาตัว ท้ าวลม อายุ
๑๗ ปี ว่าที่อปุ ฮาด ๑ ท้ าวโพธิราชอายุ ๔๕ ปี ว่าที่ราชวงษ์ ๑
ท้ าวไชยวงษ์อายุ ๔๒ ปี ว่าที่ราชบุตร ๑ ท้ าวพรหมจักรอายุ ๔๐ ปี
ว่าที่พระศรี วรวงษ์ผ้ ชู ว่ ย ๑ เมืองแสนอายุ ๓๙ ปี ๑ เมืองจัน
อายุ ๕๘ ปี ๑ เมืองกลางอายุ ๖๓ ปี ๑ กรมการ เมืองวังมลมา
ปฤกษาราชการที่พกั เมืองวัง คํา ท้ าวลมว่าที่อปุ ฮาด ๑ ท้ าว
โพธิราชว่าที่ราชวงศ์ ๑ ท้ าวไชยวงศ์วา่ ที่ราชบุตร ๑ ท้ าวพรหมจักร
ว่าที่พระศรี วรวงศ์ผ้ ชู ว่ ย ๑ เมืองแสน ๑ เมืองจันทน์ ๑ เมือง
กลาง ๑ ให้ ถ้อยคําต่อหน้ า ท้ าวไชยสารกรมการเมืองมุขดาหาร ๑
ท้ าวมหาพันขวา ๑ ท้ าวอุปปละ ๑ (รวม) เมืองนครพนม ๒
ชาเนตรกรมการเมืองสกลนคร ๑ ท้ าวสุทธิสารเมืองภูวดลสอาง ๑
พระสุวรรณภักดีเจ้ าเมืองวังคํา ๑ ว่าครัง้ ท่านพระยามหาสงคราม
ขึ ้นมาตีเมืองตะโปนเมืองวังมล เจ้ าคํา เจ้ าเมืองวังมลจึงพา
ครอบครัวบิดามารดาขึ ้นไปอาศัยอยู่ ณ เมืองญวน ครัน้ บ้ านเมืองชุม่
เย็นเป็ นปกติแล้ ว พระนาคีรัตนเจ้ าเมืองพาครอบครัวบิดา
มารดาพวกข้ าพเจ้ ากลับลงมาอยูต่ ามภูมิลําเนาเดิม พระจันทร์ สรุ ิ
ยวงศ์เจ้ าเมืองมุกดาหารคนเก่า จัดให้ ท้าวเพี ้ยกรมการขึ ้นมาเกลี ้ย
กล่อม
๒๔๘
พระนาคีรัตน ๆ ก็ออ่ นน้ อมยอมขึ ้นกับเมืองมุกดาหารพระนาคีรัตนแบ่ง
เงินส่วยเสียไปทางเมืองมุกดาหารเสมอปี ละ ๔ ๒ เสียไปทางเมือง
ญวนปี ละ ๔ ๒ เท่ากัน ต่อมาช้ านานหลายปี แล้ วครัน้
พระจันทร์ สรุ ิยวงศ์เจ้ าเมืองมุกดาหาร พระนาคีรัตนเจ้ าเมืองวัง
มลถึงแก่กรรม เจ้ าหนูมาเป็ นเจ้ าเมืองมุกดาหาร จึงแต่งให้ กรมการเมือง
มุกดาหารนําเอาตราตังมามอบให้
้ ท้าวยะบุตรพระนาคีรัตนเป็ นที่พระนาคี
รัตนวงศาเจ้ าเมืองวังมล แล้ วเจ้ าเมืองวังมล แล้ วเจ้ าเมืองลาด
คําโล่ แต่งให้ กรมการญวนมาหาตัวพระนาคีรัตนวงศาขึ ้นไปเมืองลาด
คําโล่ เจ้ าเมืองลาดคําโล่ตงให้
ั ้ พระนาคีรัตนวงศาเป็ นโถติเจาเจ้ าเมือง
วังมล แล้ วเขียนเอาเงินส่วยกับพระนาคีรัตนวงศาเสมอปี ละ ๔ ๒
ตามเดิมเท่ากับเมืองมุกดาหารต่อ ๆ มาคงท้ าวบัดนี ้ท้ าวยักษ์วา่ ที่พระนา
ดีรัตนวงศาเจ้ าเมืองวัลมลแต่ณปี ชวดฉศกได้ แบ่งส่วยไปทางเมืองญวน
เมืองมุกดาหารเสมอมาได้ ๒๕ ปี แต่สว่ ยเมืองมุกดาหารนัน้ พระจันทร์
สุริยวงศ์คนเก่าคนใหม่จะส่งลงไปทูลเกล้ า ฯ ถวายเข้ าท้ องพระคลังฦาจะ
เอาไปจับจ่ายใช้ สอยประการใด ข้ าพระพุทธเจ้ าหาทราบไม่ บัดนี ้
พระนาคีรัตนวงศาเจ้ าเมืองก็หนีหายเสีย หารู้วา่ ไปแห่งใดไม่ จึง
โปรดเกล้ า ฯ ให้ หลวงณรงค์โยธาข้ าหลวงขึ ้นมาจัดราชการฝั งหลักด่าน
แบ่งภูมิแดนพระราชอาณาเขตต์กรุงเทพ ฯ ต่อแดนกับญวนตังรั้ กษา
ราชการคุ้มครองป้องกันพวกข้ าพเจ้ าไว้ ไม่ให้ ญวนมาทําอันตรายกับ
พวกข้ าพเจ้ าได้ แล้ ว ข้ าพเจ้ ากรมการจะพร้ อมกันตังใจสวามิ
้ ภกั ดิต์ อ่
ใต้ ฝ่าละออง ฯ สมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั กรุงเทพ ฯ ผู้ทรงพระคุณธรรมอัน
๒๔๙
มหาประเสริฐ กราบถวายบังคมรับพระราชทานนํ ้าพิพฒ ั สัตยาปี
ละ ๒ ครัง้ ตามอย่างธรรมเนียม รับราชการฉลองพระเดชพระคุณโดย
สัจสุจริตทําส่วยทูลเกล้ า ฯ ถวายสืบไปชัว่ บุตรแลหลานจนกราบท้ าวสิ ้น
อายุ เป็ นคําสัตย์คําจริงข้ าพเจ้ าดังนี ้ ข้ าพเจ้ าพร้ อมเอาตรารูป
ราชสีห์ประจําเมืองประทับไว้ เป็ นสําคัญ
ตานานเมืองมูลปาโมข

วัน ๓ ๑๒ ฯ ๑๒ คํ่า ปี จออัฏฐศกศักราช ๑๒๔๘ ข้ าพเจ้ าพระวงษา


สุระเดชเจ้ าเมือง อุปฮาดราชวงศ์ราชบุตรเมืองมูลปาโมช ขอทํา
พงศาวดารเดิมบ้ านจานมายื่นต่อท่านหลวงเสนีพิทกั ษ์ นายทองมหาด
เล็กข้ าหลวงฉะบับหนึง่ แต่แรกจะเป็ นบ้ านเมืองต่อมา มีอาจารย์คน
หนึง่ นุง่ ผ้ าขาวรักษาศีลห้ าเป็ นนิจสิน ประกอบไปด้ วยความเมตตา
ภาวนา คนทังปวงพร้
้ อมกันสักการบูชานับถืออาจารย์ อาจารย์
จึงเกลี ้ยกล่อมชักชวนเอาคนทังปวงที ้ ่แตกหนีกองทัพไทย เที่ยวซุม่ ซ่อน
ชาย
อยูต่ ามป่ าดง ได้ ผ้ คู น ประมาณ ๔๐ คนเศษ อาจารย์ผ้าขาว
หญิง
จึงพาครอบครัวผู้คนลงมาตังบ้ ้ านปลูกเรื อนอยูร่ ิมนํ ้าโขง จึงเรี ยกชื่อ
บ้ านจานขึ ้นกับเมืองโขงเท่าทุกวันนี ้ เจ้ าเมืองโขงจึงตังให้
้ ฑิตยกัณหา
อําแดงจันทร์ เป็ นเพี ้ยบุตรวงศ์กํานันบ้ านต่อ ๆ มา ครัน้ เพี ้ยบุต
วงศ์ถึงแก่กรรม เจ้ าเมืองโขงตังให้ ้ จานรุนบุตรเพี ้ยบุตรวงศ์เป็ นเพี ้ยชิณ
บุตรกํากัน ครัน้ เพี ้ยชิณบุตรถึงแก่กรรม เจ้ าเมืองโขงตังให้
้ ฑิตย
ลีเป็ นเพี ้ยไชยสงครามกํานัน ครัน้ เพี ้ยไชยสงครามถึงแก่กรรม พระ
ศรี เชียงใหม่เจ้ าเมืองโขงออกจากเมืองนครจําปาศักดิ์ ทําราชการ
ขึ ้นกับกรุงเทพ ฯ พระเจ้ าอยูห่ วั ทรงพระกรุณา ตังให้
้ พระศรี
เชียงใหม่เป็ นที่พระอภัยราชวงษาเจ้ าเมือง ขนานนามเมืองโขง
เป็ นเมืองศรี

๒๕๑
ทันดร เจ้ าเมืองศรี ทนั ดรจึงตังให้
้ นายฑิตยทุมเป็ นเพี ้ยเมืองคุกกํานัน
ครัน้ เพี ้ยเมืองคุกถึงแก่กรรม ราชวงศ์เมืองศรี ทนั ดรไปตังเรื
้ อนอยูท่ ี่
บ้ านจาน ราชวงศ์ถึงแก่กรรมเจ้ าเมืองศรี ทนั ดร ตังให้
้ เชียงจันทา
เป็ นเพี ้ยเมืองแสนอยูบ่ ้ านจาน ครัน้ เพี ้ยเมืองแสนถึงแก่กรรม เจ้ า
เมืองศรี ทนั ดรตังให้้ ทิตยหาเป็ นที่เพี ้ยพันนารักษาบ้ านจานต่อมา
ถึงณ วัน ๑ ๑๐ ฯ ๗ คํ่าปี มเส็งตรี ศกศักราช ๑๒๔๓ พระอภัยราชวงษา
เจ้ า
ศรี มหาราช
เมืองศรี ทนั ดรที่ ๓ แต่งให้ ท้าวสุริยวงศ์ ท้ าวสุริย ท้ าว
จันทเสน
ถือบอกคุมเงินส่วยลงไปทูลเกล้ า ฯ ถวาย จึงโปรดเกล้ า ฯ ตังให้

ท้ าวสุริยวงศ์บตุ รท้ าวศรี วรราชเป็ นที่พระวงษาสุรเดชเจ้ าเมือง ตังให้

ท้ าวสุริยบุตพระอภัยราชวงษา เจ้ าเมืองศรี ทนั ดรที่ ๒ เป็ นที่อปุ ฮาด
ให้ ท้าวศรี ราชบุตร ท้ าวจิตตราชว่าที่ราชวงศ์ ให้ ท้าวจันทเสน บุตร
ท้ าววรบุตรว่าที่ราชบุตร ขนานนามบ้ านจานเป็ นเมืองมูลปาโมข ขึ ้นกับ
เมืองศรี ทนั ดร มีจํานวนวัดเรื อนเจ้ านายราษฎร แจ้ งในนี ้
๒๕๒
พระ ๖
วัดโพไชยหัวเมือง รวม ๑๖
เณร ๑๐
พระ ๑๑
วัดศรี บญ
ุ เรื องท้ ายเมือง รวม ๒๕
เณร ๑๔
เจ้ าเมือง ๑
อุปฮาด ๑
ราชวงศ์ ๑ รวม ๔
ทําการอยู่ ราชบุตร ๑
ในเมือง กรมการ ๑๘
รวม ๓๒
ไพร่ ๑๔ รวมทังสิ
้ ้นเป็ น
เขยสู่ ๑๔ ๑๒๐ เรื อน
จีนสู่ ๒ รวม ๑๖
กรมการ ๔
ทําราชการขึ ้นกับ
เมืองศรี ทนั ดร ไพร่ ๑๓ รวม ๒๑
เขยสู่ ๔
กรมการ ๑
ทําการขึ ้นกับ
เมืองสพังภูผา ไพร่ ๒ รวม ๖
เขยสู่ ๒

You might also like