Professional Documents
Culture Documents
มุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ
โดย
ดร.อับดุลเลาะ การีนา
ภาควิชาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี
2549
ISBN 974-9944-75-5
มุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ
พิมพครั้งที่ 1
จํานวน 300 เลม
พ.ศ. 2549
วิทยาลัยอิสลามศึกษา
ภาควิชาอิสลามศึกษา
วิทยาลัยอิสลามศึกษา
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี
sa i
กิตติกรรมประกาศ
(( ﺖ ﻭﺇﻟﻴﻪ ﺃﻧﻴﺐ
ُ )) ﻭﻣﺎ ﺗﻮﻓﻴﻘﻲ ﺇ ﹼﻻ ﺑﺎﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﺗﻮﻛﻠ
คํานํา
หนังสือเลมนี้ไดรวบรวมหัวขอตาง ๆ สอดคลองกับเนื้อหาวิชามุศ
เฏาะละหฺ อัล หะดีษที่ควรคาแกการศึกษา โดยไดยึดหลักการศึกษาของอุ
ละมาอฺผูเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ดานหะดีษทั้งอุละมาอฺมุตะกอดดิมูนและอุ
ละมาอฺ มุ ต ะอั ค คิ รู น และอุ ล ะมาอฺ ร ว มสมั ย เนื้ อ หาของหนั ง สื อ เล ม นี้
ประกอบดวยแปดบท คือ บทที่หนึ่งกลาวถึงหนาที่ที่มีตอหะดีษและการนํา
หะดีษมาใชเปนหลักฐาน บทที่สองกลาวถึงถึงวิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ
บทที่สามกลาวถึงความหมายของหะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนกับ
หะดีษ บทที่สี่กลาวถึงหะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม
บทที่หากลาวถึงสะนัดและมะตัน บทที่หกกลาวถึงการจําแนกประเภทของ
หะดีษ บทที่เจ็ดกลาวถึงชนิดตาง ๆ ของหะดีษ และบทที่แปดกลาวถึงการ
ยอมรับหะดีษ
sa iii
ขอวิงวอนตออัลลอฮฺ ผูทรงดลบรรดาลความรูดวยพระประสงค
ของพระองคใหหนังสือเลมนี้อํานวยประโยชนแกทุกทานที่ไดศึกษา หากมี
คําผิดพลาดและบกพรองประการใดผูแตงขออภัยมา ณ ที่นี้ดวยและขอ
รับผิดชอบเพียงผูเดียว
อับดุลเลาะ การีนา
7 มกราคม 2549
sa iv
สารบัญ
เนือ้ หา หนา
กิตติกรรมประกาศ (3)
คํานํา (4)
บทที่ 1 บทนํา 1
บทที่ 2 วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ 5
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 10-17
3.1 ความหมายของหะดีษ 11
3.2 ความหมายของอัสสุนนะฮฺ 13
3.3 ความหมายของเคาะบัร 15
3.4 ความหมายของอะษัร 16-17
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงทีม่ าของบทบัญญัติอสิ ลาม 18-27
4.1 ความเปนจริงของหะดีษ 18
4.2 ฐานะของหะดีษ 19
4.3 การยึดมัน่ ในหะดีษ 20
4.4 การรายงานหะดีษ 23-27
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 28-41
5.1 นิยามของสะนัด 29
5.2 ความประเสริฐของสะนัด 30
5.3 รุนของผูรายงาน 31
5.4 ประเภทของสะนัด 32
5.5 นิยามของมะตัน 33
5.6 ลักษณะของมะตัน 34
sa v
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถกู พาดพิง 42-56
6.1 หะดีษกุดสีย 43
6.2 หะดีษมัรฟูอฺ 44
6.3 หะดีษเมากูฟ 49
6.4 หะดีษมักฏอฺ 54
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาที่มาถึงเรา 57-151
7.1 หะดีษมุตะวาติร 59
7.2 หะดีษอาหาด 65
7.2.1 หะดีษมัชฮูร 66
7.2.2 หะดีษอะซีซ 68
7.2.3 หะดีษเฆาะรีบ 70
7.3 หะดีษมักบูล 75
7.3.1 หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ 76
7.3.2 หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ 80
7.3.3 หะดีษหะสันลิซาติฮฺ 83
7.3.4 หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ 85
7.3.5 หะดีษมะอฺรูฟ 88
7.3.6 หะดีษมะหฺฟูศ 89
7.4 หะดีษมัรดูด 91
7.4.1 หะดีษเฎาะอีฟ 92
1) หะดีษมุอัลลัก้ 97
2) หะดีษมุรสัลตาบิอนี 100
3) หะดีษมุรสัลเศาะหาบีย 102
4) หะดีษมุรสัลเคาะฟย 104
5) หะดีษมุอฺฎอล 106
6) หะดีษมุนเกาะฏิอฺ 108
sa vi
7) หะดีษมุดัลลัส้ 108
8) หะดีษมุอัลลัล้ 113
9) หะดีษมุดรอจญ 116
10) หะดีษมักลูบ 121
11) หะดีษมุตเฏาะรอบ 124
12) หะดีษชาซ 127
13) หะดีษมุเศาะหฺหฟั 131
14) หะดีษมุหัรรอฟ 133
7.4.2 หะดีษฎออีฟญิดดัน 135
1) หะดีษมุนกัร 138
2) หะดีษมัตรูก 140
7.4.3 หะดีษเมาฎอฺ 140
1) หะดีษเมาฎอฺ 142
2) อิสรออีลิยาต 151
บทที่ 8 บทสงทาย 154
บรรณานุกรม 157
บทที่ 1 บทนํา 1
บทที่ 1
บทนํา
อัลลอฮฺ ทรงตรัสไวในอัลกุรอานวา:
ความวา :
“อัมมา บะอฺดุ! แทจริงคําพูดที่สัจจะนั้นคือกิตาบอัลลอฮฺ (อัลกุรอาน) และ
แนวทางอันประเสริฐยิ่ง คือ แนวทางของทานนบีมุฮัมมัด และสิ่งที่เลวที่สุด
(1)
ซูเราะฮฺอันนิสาอฺ อายะฮฺที่ 65
บทที่ 1 บทนํา 2
คือ สิ่งอุปโลกนทั้งหลาย เนื่องจากแทจริงสิ่งอุปโลกนนั้นลวนเปนสิ่งอุตริ
ทั้งสิ้น”(2)
มีกระแสรายงานทานนบีมุฮัมมัด กลาววา
" ﻓﺈﻥ ﺧﲑ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ﻭﺧﲑ ﺍﳍﺪﻱ ﻫﺪﻯ ﳏﻤﺪ،" ﺃﻣﺎ ﺑﻌﺪ
(2)
เปนสวนหนึ่งของหะดีษบันทึกโดยอะหฺมัด : 3/31, 319, 371, 4/126-127 หะดีษเศาะหีหฺ
(3)
เปนสวนหนึ่งของหะดีษบันทึกโดยมุสลิม : 1/392
บทที่ 1 บทนํา 3
รายงานดวยสายรายงานที่ติดตอกันตั้งแตผูรายงานคนแรกจนถึงทานนบีมุฮัมมัด
ใชวาจําเปนที่ จะตองนํามาเปนหลักฐาน ยกเวนเมื่อมี การวิเคราะห คุณลักษณะของ
ผูรายงานแตละคนในดานคุณธรรมและความบกพรอง มีการพิจารณาสถานภาพของ
ผูรายงานทุกทานที่กลาวพาดพิงหะดีษถึงทานนบี เวนแตบรรดาเศาะหาบะฮฺ
เทานั้น เนื่องจากบรรดาเศาะหาบะฮฺเปนคนที่มีคุณธรรม บริสุทธิ์ใจ และนอมรับทุกสิ่ง
ทุกอยางที่มีการกลาวไวในอัลกุรอาน”
การปฏิบัติตามหะดีษอยางเครงครัดและการรายงานหะดีษนั้นมุสลิมมีความรูสึก
วาเปนหนาที่ที่จะตองรับผิดชอบรวมกัน โดยเฉพาะในสภาพสังคมมุสลิมที่เต็มไปดวยสิ่ง
บิดอะฮฺตาง ๆ ความเชื่อที่ขัดแยงกับอะกีดะฮฺอิสลาม ผิดศีลธรรมอันดีงามของมนุษย
และการบิดเบือนหลักคําสอนของศาสนาอิสลามที่แทจริง
(1)
เปนสวนหนึ่งของหะดีษบันทึกโดยอะบูดาวูด : 5/13 หะดีษเศาะหีหฺ
บทที่ 1 บทนํา 4
การทุ ม เทความพยายามกั บ หะดี ษ ถื อ ว า เป น เรื่ อ งที่ ดี เ ลิ ศ ในบรรดาวิ ช าการ
อิ ส ลาม อั น เนื่ อ งจากว า หะดี ษ นั้ น เป น แหล ง ที่ ม าในการบั ญ ญั ติ หุ ก ม ต า ง ๆ ของ
กฏหมายอิสลาม อิมามอันนะวะวียกลาววา “สิ่งที่สําคัญบางอยางเกี่ยวกับวิชาการ
คือ การยืนยันในหะดีษของทานนบี ทุกบท กลาวคือ พิสูจนมะตัน (ตัวบท) หะดีษวา
เปนตัวบทที่เศาะหีหฺหะซัน หรือเฎาะอีฟ” เปนตน เพราะหะดีษทุกบทที่มาถึงเราโดย
ผานสายรายงานนั้นมิใชวาทั้งหมดถูกตอง แตมีทั้งหะดีษเศาะหีหฺ หะดีษหะซัน หะดีษ
เฎาะอีฟ หะดีษเมาฎอฺและเรื่องราวของอิสรออีลิยาต
จากขอเท็จจริงพบวา บรรดาอุละมาอฺมุสลิมไดพยายามวิเคราะหสถานภาพของ
ผูรายงานหะดีษทั้งในดานคุณธรรมและดานความบกพรอง ซึ่งพวกเขาก็ไดอธิบายไว
ถึงบุคคลที่สามารถยอมรับการรายงานและผูที่ไมควรใหการยอมรับ บางทานเปนผูที่
เชื่ อ ถื อ ได แ ละบางท า นไม ใ ช เ ช น นั้ น ด ว ยเหตุ ดั ง กล า ว บรรดาอุ ล ะมาอฺ ไ ด คิ ด ค น
หลักการทางวิชาการและวางกฎเกณฑอยางละเอียดเพื่อเปนเครื่องมือในการจําแนก
แยกแยะประเภทของหะดีษและเพื่อใชในการวิเคราะหชนิดตาง ๆ ของหะดีษ ตลอดจน
สถานะของหะดี ษ แต ล ะชนิ ด ด ว ย รวมทั้ ง เรื่ อ งอื่ น ๆ ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ หะดี ษ อี ก
มากมาย
หลักฐานชิ้นสําคัญที่ทําใหบรรดาอุละมาอฺมุสลิมพิถีพิถันในเรื่องหะดีษ คือ การ
รายงานของอิมามอัชชาฟอียในหนังสือ “อัลริสาละฮฺ” ทานกลาววา “แทจริงอุมัร เบ็ญ
อัลคอฎฎอบไดตัดสินในเรื่องของการตัดนิ้วนั้นสมควรแกการจายอูฐสิบหาตัว เมื่ออุมัร
ไดอานคําบันทึกของอะบูอาลิอัมรฺ เบ็ญ หัซมฺ ที่ไดบันทึกการปฏิบัติของรสูลุลลอฮฺ
ในเรื่องดังกลาว ความวา : “และทุกๆ นิ้วที่เสียนั้น คือ อูฐสิบตัว” อุมัรกลาววา : “พวก
เจาทั้งหลายอยาไดใหการยอมรับคําบันทึกของอะบูอาลิอัมรฺ เบ็ญ หัซมฺ อัลลอฮฺ
เทานั้นที่ทรงรูความจริงจนกวาพวกเขาสามารถยืนยันสิ่งนั้นวามาจากรสูลุลลอฮฺ
จริง”
อิมามอัชชาฟอียกลาวอีกวา “จากหะดีษแสดงใหเห็นสองประการที่สําคัญคือ
การยอมรับหะดีษที่มาจากการรายงานของบุคคลเพียงคนเดียว หรือที่เรียกวา อาหาด
และการยอมรับหะดีษเมื่อมีการพิสูจนความจริงของมันแลว ถึงแมวาเนื้อหาของหะดีษ
นั้นยังไมมีใครคนหนึ่งคนใดใหการยอมรับก็ตาม หากมีการปฏิบัติของนักวิชาการแตมัน
บทที่ 1 บทนํา 5
ขัดแยงกับหะดีษ แนนอนการปฏิบัตินั้นถือเปนโมฆะโดยปริยายดวยบทบัญญัติของหะ
ดีษซึ่งมีอยูในเนื้อหาของมันอยูแลว”
อิบนุ อัลกอยยิมกลาววา “หะดีษที่มาจากรสูลุลลอฮฺ ดวยวิธีการรายงาน
อยางถูกตองและไมมีหะดีษอื่นมายืนยันวาเปนหะดีษมันสูค (ถูกยกเลิกไปแลว) จําเปน
จะตองใหการยอมรับและปฏิบัติตามหะดีษนั้น โดยไมจําเปนตองคํานึงถึงสิ่งที่ขัดแยง
กับหะดีษวามาจากไหนและเปนของใคร” อิมามอัลบุคอรียและอิมามมุสลิมไดรายงาน
หะดีษบทหนึ่งมาจากมุอาซ เบ็ญ ญะบัลเลาวา ฉันเดินตามหลังทานนบี ทานกลาว
วา
. ﻭﻣﺎ ﺣﻖ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﷲ؟،)) ﻳﺎ ﻣﻌﺎﺫ! ﻫﻞ ﺗﺪﺭﻱ ﻣﺎ ﺣﻖ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ
ﻓﺈﻥ ﺣﻖ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ ﺃﻥ ﻳﻌﺒﺪﻭﻩ ﻭﻻ: ﻗﺎﻝ. ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﺃﻋﻠﻢ: ﻗﻠﺖ
ﻭﺣﻖ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﺰﻭﺟﻞ ﺃﻥ ﻻ ﻳﻌﺬﺏ ﻣﻦ ﻻ ﻳﺸﺮﻙ،ﺗﺸﺮﻛﻮﺍ ﺑﻪ ﺷﻴﺌﺎ
ﻻ: ﺃﻓﻼ ﺃﺑﺸﺮ ﺑﻪ ﺍﻟﻨﺎﺱ؟ ﻗﺎﻝ، ﻳﺎ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: ﺖ ُ ﻗﻠ: ﻗﺎﻝ،ﺑﻪ ﺷﻴﺌﺎﹰ
((ﺗﺒﺸﺮﻫﻢ ﻓﻴﺘﻜﻞ
(1)
บันทึกโดยบุคอรีย : 4/430 และมุสลิม หนา 49
บทที่ 1 บทนํา 6
ถึงอยางไรก็ตาม หะดีษทุกบทนาจะมีการวิเคราะหดวยความกระจางระหวาง
หะดีษเศาะหีหฺ หะดีษหะซัน หะดีษเฎาะอีฟ และหะดีษเมาฎอฺ เนื่องจากหะดีษ คือ
สัจจะอันแทจริงมิใชสิ่งที่งมงาย หมายความถึง หะดีษเศาะหีหฺไมใชหะดีษเมาฎอฺ ซึ่ง
ดวยวิธีเชนนี้เทานั้นบรรดามุสลิมจะสามารถปฏิบัติในเรื่องตาง ๆ ของศาสนาดวยความ
ถูกตองและปราศจากขอครหาตาง ๆ ตอบทบัญญัติของอัลลอฮฺ และคําสอนของรสู
ลุลลอฮฺ ซึ่งเปนการปฏิบัติตามแนวทางอันเที่ยงตรง
บทที่ 2 วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ 7
บทที่ 2
วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ
1. นิยาม
วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ คือ วิชาที่วาดวยหลักการและกฏเกณฑตาง ๆ
ที่สามารถทราบถึงสถานภาพของสะนัด (กระบวนการรายงาน) และมะตัน
(ตัวบทหะดีษ) ในแงของการยอมรับและการปฏิเสธหะดีษ
จากนิยามขางตนเปนที่ประจักษวาการใหการยอมรับหะดีษแตละบทนั้น
จําเปนที่จะตองผานการวิเคราะหทั้งกระบวนการรายงานและสภาพของตัวบท
หะดีษอยางละเอียดกอนที่จะใหการยอมรับหะดีษ และนําหะดีษนั้น ๆ มาใชเปน
หลักฐาน
2. เรื่องที่พูดถึง
วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษจะพูดถึงเรื่องราวสองประการ คือ ที่เกี่ยวของ
กับสายรายงานและตัวบทหะดีษในแงของการยอมรับนํามาใชเปนหลักฐาน และ
บางทัศนะมีความเห็นวา เปนวิชาที่พูดถึงรสูลุลลอฮฺ โดยตรงในแงที่วาทาน
เปนศาสนทูตของอัลลอฮฺ ซึ่งเปนแบบ อยางในทุก ๆ ดานในการดําเนินชีวิต
ของประชาชาติ
3. วัตถุประสงค
1. เพื่อแยกแยะระหวางหะดีษที่มีการรายงานอยางถูกตองกับหะดีษที่มี
การรายงานดวยสายรายงานที่ออนหรืออุปโลกนตอทานนบีมุฮัมมัด
บทที่ 2 วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ 8
2. เพื่อสามารถทราบที่มาของบทบัญญัติตางๆที่เกี่ยวกับกฎหมายอิสลาม
เปนตน
4. ผลที่คาดวาจะไดรับ
1. สามารถทราบถึงระดับของหะดีษแตละบท เชน ระดับหะดีษเศาะหีหฺ
หะดีษ หะสัน หะดีษเฎาะอีฟ หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน หรือหะดีษเมาฎอฺ
2. สามารถทราบถึงประเภทตางๆ ของหะดีษนบี เชน หะดีษกุดซีย
หะดีษมัรฟูอฺ หะดีษเมากูฟ และหะดีษมักฏอฺ
3. สามารถทราบถึงสถานะของหะดีษที่สามารถนํามาใชเปนหลักฐานได
หรือไมได ซึ่งจะทําใหการปฏิบัติศาสนกิจเปนไปอยางถูกตอง
5. ศัพทเฉพาะ
สํ า หรั บ วิ ช ามุ ศ เฏาะละหฺ อั ล หะดี ษ จะพบศั พ ท ม ากมายที่ ถู ก นํ า มาใช
บ อ ยครั้ ง ในทางปฏิ บั ติ แ ละเป น ที่ ท ราบกัน อย า งแพร ห ลายในหมูนั ก วิ ช าการ
หะดีษ คําเหลานั้น คือ
1. อัลมุสนัด ( )ﺍﳌﺴَﻨﺪตัวอักษร “ ”نอานสระขางบนซึ่งมี 2 ความหมาย
ความหมายที่ 1 หมายถึง หะดีษที่มีการรายงานดวยสะนัดติดตอกัน
ตั้งแตผูรายงานคนแรกจนถึงคนสุดทาย เชน หะดีษมัรฟูอฺ หะดีษเมากูฟและหะ
ดีษมักฏอฺแตอิมามอัลหากิมมีความเห็นที่ตางกันซึ่งทานกลาววา “คํานี้อนุญาต
ใหใชกับหะดีษมัรฟูอฺที่มีการรายงานดวยสะนัดที่ติดตอกันเทานั้น” ทัศนะนี้ไดรบั
การสนับสนุนจากอัลหาฟศ อิบนุ หะญัร อัลอัสเกาะลานียใน หนังสือชัรหฺ
อันนุคบะฮฺ
ความหมายที่ 2 หมายถึง หนังสือที่รวบรวมคําพูด การกระทําและการ
ยอมรับของบรรดาเศาะหาบะฮฺ
บทที่ 2 วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ 9
2. อัลมุสนิด ( )ﺍﳌﺴِﻨﺪตัวอักษร “ ”نอานดวยสระขางลาง หมายถึง
ผูรายงาน หะดีษดวยสายรายงานของเขาเอง ไมวาเขาจะมีความรูเกี่ยวกับ
หะดีษหรือไมก็ตาม
3. อัลมุหัดดิษ ( )ﺍﶈﺪﺙแปลวา นักหะดีษ หมายถึงผูเชี่ยวชาญในเรื่องของ
วิธีการยืนยันหะดีษ มีความรูเกี่ยวกับสถานภาพของผูรายงานแตละคนทั้ง
ทางดานคุณธรรมและความบกพรองไมใชแคฟงหะดีษเพียงอยางเดียวเทานั้น
อิมามอิบนุ ซัยยิดินนาส กลาววา “นักหะดีษในสมัยของเราจะมีความสามารถ
คือ เปนผูรายงานและอธิบายหะดีษ รวบรวมชีวประวัติของนักรายงานหะดีษ
สามารถพิจารณาการรายงานหะดีษของนักหะดีษรวมสมัย สามารถแยกประเภท
และชนิดของหะดีษ และเปนผูที่รูกันอยางแพรหลายในสังคมมุสลิมวาเปนผูที่มี
ความศรัทธาที่หนักแนน”
4. อัลหาฟศ ( )ﺍﳊﺎﻓﻆหมายถึง ผูที่มีความรูในเรื่องรุนตางๆ ของนัก
หะดีษมากกวา
ที่ไมรู อัลกอฎีย มุฮัมมัด อัตตะฮานะวีย มีความเห็นวา “ผูที่ทองหะดีษตั้งแต
100,000 ขึ้นไป หะดีษทั้งสะนัดและมะตัน มีความรูเกี่ยวกับประวัติของนักหะดีษ
และสถานภาพของพวกเขา ทั้งทางดานคุณธรรมและความบกพรอง”
อัลหุจญะฮ ( )ﺍﳊﺠﺔหมายถึง ผูที่ทองหะดีษตั้งแต 300,000 หะดีษขึ้นไป
ทั้งตัวบทและสายรายงาน
1. อัลหากิม ( )ﺍﳊﺎﻛﻢหมายถึง ผูที่ทองหะดีษตั้งแต 1,000,000 หะดีษ
(ทั้งตัวบท
และสายรายงาน
2. อัลรอวีย ( )ﺍﻟﺮﺍﻭﻱหมายถึง ผูร ายงานหะดีษดวยสายรายงานของเขา
เอง
บทที่ 2 วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ 10
3. อัลฏอลิบ ( )ﺍﻟﻄﺎﻟﺐหมายถึง ผูที่เรียนหะดีษดวยความประสงคเพื่อ
เขาใจ
ความหมายของหะดีษ ในความจริงแลว คํานี้ไมไดใชเฉพาะบุคคลที่เรียนวิชา
หะดีษเทานั้น แตยังสามารถใชกับผูที่เรียนวิชาอื่น ๆ ดวย เชน ผูเรียนวิชา
เตาหีด วิชาฟกฮฺและวิชาอัคลาก เปนตน
6. ประวัติความเปนมา
เปนที่ยอมรับในหมูนักวิชาการอิสลามวา วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษยัง
ไมมีการบันทึกเปนการเฉพาะในสามศตวรรษแรก (300 ปแหงฮิจเราะฮฺศักราช)
แตวิชานี้ถูกบันทึกไวรวมกับวิชาอื่น ๆ อาทิเชน วิชาฟกฮฺและวิชาอุศูล อัลฟกฮฺ
ผู ที่ ทํา การบั น ทึ ก เป น คนแรกคื อ อิม ามอั ช ชาฟอี ยซึ่ ง บัน ทึก ไวใ นหนั งสื ออั ล ริ
สาละฮฺและหนังสืออัลอุม และอิมามมาลิกในหนังสืออัลมุวัตเฏาะอฺ ครั้นเมื่อวิชา
ความรูของหะดีษไดมีการพัฒนาการขึ้น ความรูไดแตกแขนงมากมายและศัพท
ตาง ๆ เริ่มเปนที่รูจักกันอยางแพรหลายจนสามารถใหการยอมรับในแตละแขนง
วิชา อุละมาอฺก็ไดแยกวิชาตาง ๆ เหลานั้นออกเปนรายวิชาตางหากและหนึ่งใน
วิชาเหลานั้นคือ วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ
อุละมาอฺทานแรกที่ไดเรียบเรียงหลักสูตรวิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษตาม
ความ หมายของมัน คือ อิมามอัรรอมฮุรมุซีย (360 ฮ.ศ.)ในศตวรรษที่สี่ หลังจาก
นั้นวิชานี้ก็ไดรับความสนใจจากบรรดาอุละมาอฺในแตละสมัยจนถึงปจจุบัน โดยมี
การพัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวของและไดมีการอธิบายอยางละเอียด จนในที่สุดวิชา
นี้ ไ ด แ ตกแขนงต า ง ๆ มากมาย เช น วิ ช าตั ค รี จ หะดี ษ วิ ช าอิ ลั ล หะดี ษ
วิชาอัลญัรฮฺวะอัตตะอฺดีล วิชาวาตุลหะดีษ วิชาอัลอัสมาอฺวัลกุนนา และอื่น ๆ
แตละสาขาวิชามีการรวบรวมเนื้อหาที่เกี่ยวของกับวิชานั้นอยางสมบูรณ
บทที่ 2 วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ 11
7. ตําราที่เกี่ยวของ
.1ﻛﺘﺎﺏ ﺍﶈﺪﺙ ﺍﻟﻔﺎﺻﻞ ﺑﲔ ﺍﻟﺮﺍﻭﻱ ﻭﺍﻟﻮﺍﻋﻲ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻟﻘﺎﺿﻲ ﺃﺑﻮ ﳏﻤﺪ
ﻱ )ﺕ360ﻫـ(. ﺍﳊﺴﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﺧﻼﹼﺩ ﺍﻟﺮﺍﻣﻬﺮﻣﺰ ّ
.2ﻛﺘﺎﺏ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺍﳊﺎﻛﻢ
ﻱ )ﺕ405ﻫـ( ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭ ّ
.3ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺴﺘﺨﺮﺝ ﻋﻠﻰ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺃﺑﻮ ﻧﻌﻴﻢ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ
ﱐ )ﺕ430ﻫـ( ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺍﻷﺻﺒﻬﺎ ﹼ
.4ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻜﻔﺎﻳﺔ ﰲ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺔ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﻠ ّﻲ ﺑﻦ
ﻱ )ﺕ463ﻫـ( ﺛﺎﺑﺖ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩ ّ
.5ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﻷﺧﻼﻕ ﺍﻟﺮﺍﻭﻱ ﻭﺁﺩﺍﺏ ﺍﻟﺴﺎﻣﻊ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﳋﻄﻴﺐ
ﻱ.
ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩ ّ
.6ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻹﳌﺎﻉ ﺇﱃ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺔ ﻭﺗﻘﻴﻴﺪ ﺍﻟﺴﻤﺎﻉ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ
ﱯ )ﺕ544ﻫـ( ﺍﻟﻘﺎﺿﻲ ﻋﻴﺎﺽ ﺑﻦ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻟﻴﺤﺼ ّ
.7ﻛﺘﺎﺏ ﻣﺎ ﻻ ﻳﺴﻊ ﺍﶈﺪﺙ ﺟﻬﻠﻪ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺣﻔﺺ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ
ﺍﺠﻤﻟﺒﺪ ﺍﳌﻴﺎﳒ ّﻲ )ﺕ580ﻫـ(
.8ﻛﺘﺎﺏ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﻋﻤﺮﻭ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ
ﺍﻟﺸﻬﺮﺯﻭﺭﻱّ ،ﺍﳌﺸﻬﻮﺭ ﺑﺎﺑﻦ ﺍﻟﺼﻼﺡ )ﺕ643ﻫـ(
.9ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺐ ﻭﺍﻟﺘﻴﺴﲑ ﳌﻌﺮﻓﺔ ﺳﻨﻦ ﺍﻟﻨﺬﻳﺮ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﻔﻘﻴﻪ ﳏﻲ
ﻱ )676ﻫـ( ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳛﻲ ﺍﺑﻦ ﺷﺮﻑ ﺍﻟﻨﻮﻭ ّ
บทที่ 2 วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ 12
.10ﻛﺘﺎﺏ ﻧﻈﻢ ﺍﻟﺪﺭﺭ ﰲ ﻋﻠﻢ ﺍﻷﺛﺮ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺯﻳﻦ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺣﻴﻢ
ﺑﻦ ﺍﳊﺴﲔ ﺍﻟﻌﺮﺍﻗ ّﻲ )806ﻫـ(
.11ﻛﺘﺎﺏ ﳔﺒﺔ ﺍﻟﻔﻜﺮ ﰲ ﻣﺼﻄﻠﺢ ﺃﻫﻞ ﺍﻷﺛﺮ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻠ ّﻲ
ﱐ )ﺕ825ﻫـ( ﺑﻦ ﻋﻠ ّﻲ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼ ﹼ
.12ﻛﺘﺎﺏ ﻓﺘﺢ ﺍﳌﻐﻴﺚ ﰲ ﺷﺮﺡ ﺃﻟﻔﻴﺔ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ
ﻱ )ﺕ902ﻫـ( ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﺴﺨﺎﻭ ّ
.13ﻛﺘﺎﺏ ﺗﺪﺭﻳﺐ ﺍﻟﺮﺍﻭﻱ ﰲ ﺷﺮﺡ ﺗﻘﺮﻳﺐ ﺍﻟﻨﻮﻭﻱّ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺟﻼﻝ
ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃ ّﻲ )ﺕ911ﻫـ(
ﱐ )ﺕ1080ﻫـ( .14ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻨﻈﻮﻣﺔ ﺍﻟﺒﻴﻘﻮﻧﻴﺔ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﺒﻴﻘﻮ ﹼ
ﻱ
.15ﻛﺘﺎﺏ ﺗﻮﺟﻴﻪ ﺍﻟﻨﻈﺮ ﺇﱃ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻷﺛﺮ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﻃﺎﻫﺮ ﺑﻦ ﺻﺎﱀ ﺍﳉﺰﺍﺋﺮ ّ
)ﺕ1320ﻫـ(.
.16ﻛﺘﺎﺏ ﻗﻮﺍﻋﺪ ﺍﻟﺘﺤﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﻘﺎﲰ ّﻲ )ﺕ1333ﻫـ(.
.17ﻛﺘﺎﺏ ﻗﻮﺍﻋﺪ ﰲ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻟﻔﻘﻴﻪ ﻇﻔﺮ ﺃﲪﺪ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﱐ
ﻱ )ﺕ1394ﻫـ( ﺍﻟﺘﻬﺎﻧﻮ ّ
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 13
บทที่ 3
หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ
1. ความหมายของหะดีษ ()ﺍﳊﺪﻳﺚ
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﺣﺪﻳﺚเปนอาการนามเอกพจน แปลวาใหม พหูพจน คือ
ﺃﺣﺎﺩﻳﺚเหมือนกับคําวา “ ”ﻗﻄﻴﻊแปลวาตัดขาด พหูพจน คือ ﺃﻗﺎﻃﻴﻊซึ่งมี
ความหมายตรงกันขามกับคําวา “ ”ﻗﺪﱘแปลวา ถาวร(1)
คําวา “ ”ﺣﺪﻳﺚตามรากศัพทเดิมนั้นมีความหมายหลายนัยดวยกัน อาทิ
เชน สิ่งใหม หรือของใหม ซึ่งตรงกันขามกับคําวา เกา(2) คําพูดที่กลาวออกมา
มากหรือนอย แมแ ตคํา พู ด ที่เปล งออกมาเฉย ๆ มี ความหมายหรือไม ก็ ต าม
การใหความหมายเชนนี้ นํามาจากคําตรัสของอัลลอฮฺ
(1)
อัลอะซีม อะบาดีย : 1/164
(2)
อัสสุยูฏีย : 1/6
(3)
ซูเราะฮฺอัลกะฮฺฟฺ อายะฮฺที่6
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 14
แตคํานี้ ( )ﺣﺪﻳﺚถูกใชเปนการเฉพาะเจาะจงกับทานนบีมุฮัมมัด
เทานั้นจะเปนคําพูด การกระทํา การยอมรับและอื่น ๆ ทานอิบนุมัสอูด
กลาววา
ตามหลักวิชาการ
การนิยามความหมายของหะดีษตามหลักวิชาการพบวา มีหลายทัศนะที่
ตางกันพอสรุปไดดังนี้
(4)
บันทึกโดยมุสลิม : 1/189
(1)
อัตเฏาะหานะวีย หนา 24
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 15
1. อุละมาอฺหะดีษไดนิยามวา ทุกสิ่งทุกอยางที่พาดพิงถึงทานนบีมุฮัมมัด
ไมวาจะเปนคําพูด การกระทํา การยอมรับ คุณลักษณะตลอดจนชีวประวัติ
ของทาน ทั้งกอนไดรับการแตงตั้งเปนนบีหรือหลังจากการเปนนบี(2)
ความหมายหะดี ษ เช น นี้ ก็ เ หมื อ นกั บ ความหมายของอั ส สุ น นะฮฺ ต าม
ความเห็นของอุละมาอฺหะดีษสวนใหญ
2. อิมามอันนะวะวีย กลาววา “หะดีษ คือ ทุก ๆ ปรากฏการณที่สามารถ
พาดพิงถึงทานนบีมุฮัมมัด แมวาทานไดปฏิบัติเพียงครั้งเดียวเทานั้นตลอด
ชีวิต หรือถูกบันทึกไวโดยบุคคลเพียงคนเดียวก็ตาม”(3)
ตามทัศนะของอิมามอันนะวะวีย การที่จะเรียกวาอัลหะดีษนั้นไมเฉพาะที่
เปนคําพูด การกระทําเทานั้น แตจะครอบคลุมทุกสิ่งทุกอยางที่มีความเกี่ยวพัน
กับทานนบี แมแตชั่วขณะหนึ่งเทานั้นก็ตาม
3. มีทัศนะอื่นกลาววา หะดีษ คือ คําพูดของทานนบีมุฮัมมัด เทานั้น
ไมวาทานจะกลาวในเหตุการณใดก็ตาม ไมรวมถึงการกระทํา การยอมรับและ
อื่นๆ(4)
ทั ศ นะนี้ ใ ห ค วามหมายต า งกั น กั บ อิ ม ามอั น นะวะวี ย ซึ่ ง เป น การให
ความหมายที่แคบเปนการเฉพาะ คือ คําพูดของทานนบีมุฮัมมัด เทานั้น
จากหลาย ๆ ทัศนะขางตนพบวา ความหมายของหะดีษตามหลักวิชาการ
นั้นเปนคําที่ใชเฉพาะเจาะจงสําหรับทานนบีมุฮัมมัด เทานั้นไมสามารถจะใช
กับบุคคลอื่นไดเสมือนวาคําๆนี้ถูกกําหนดขึ้นมาเปนคําเฉพาะ ดังรายงานจาก
หะดีษบทหนึ่ง
(2)
มุฮัมมัด อะญาจญ อัลเคาะฏีบ หนา 21-22
(3)
ซัยยิด สุลัยมาน อันนะดะวีย หนา 18
(4)
มุฮัมมัด อะญาจญ อัลเคาะฏีบ หนา 22
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 16
! ﻳﺎ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: ﺳﺄﻝ ﺃﺑﻮ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﻓﻘﺎﻝ
: ﻣﻦ ﺃﺳﻌﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺑﺸﻔﺎﻋﺘﻚ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ؟ ﻓﻘﺎﻝ ﻟﻪ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ
ﺖ ﻳﺎ ﺃﺑﺎ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺃﻻ ﻳﺴﺄﻟﲏ ﻋﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺃﺣ ٌﺪ ﺃﻭﻝ
ُ )) ﻟﻘﺪ ﻇﻨﻨ
(( ﺖ ﻣﻦ ﺣﺮﺻﻚ ﻋﻠﻰ ﺍﳊﺪﻳﺚ ُ ﳌﺎ ﺭﺃﻳ،ﻣﻨﻚ
ในทํานองเดียวกันมีรายงานจากอะบูฮารูนกลาววา “เมื่อพวกเราไดพบ
กับอะบู สะอีด อัลคุดรีย ทานมักจะกลาวสม่ําเสมอวา ยินดีตอนรับสูการสั่งเสีย
ของรสูลุลลอฮฺ เขากลาววา พวกเราไดถามอะบูสะอีด วา การสั่งเสีย
ของทานนบีนั้นคืออะไร? ทานอะบู สะอีดตอบวา รสูลุลลอฮฺ ไดกลาววา
(1)
มุฮัมมัด อะญาจญ อัลเคาะฏีบ หนา 22
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 17
ความวา : “แทจริงจะมีกลุมหนึ่งจากประชาชาติของฉันจะมาพบกับ
พวกเจา (ณ เมืองมะดีนะห) ซึ่งพวกเขาเหลานั้นจะถาม
เกี่ยวกับหะดีษของฉัน ดังนั้น เมื่อพวกเขาไดมาพบพวกเจา
แลวก็จงนอมรับและจงสอนพวกเขาใหถูกตอง”(2)
การนําคําวา “หะดีษ” มาใชนั้นอาจจะแบงออกเปนสองลักษณะดวยกัน
คือ ใชใ นลั กษณะเฉพาะเจาะจงกับทา นนบี มุ ฮั มมั ด เทา นั้น และบางครั้ ง
อาจจะใชในลักษณะทั่วไปกับบุคคลอื่น ๆ ที่สมควรจะพาดพิงดวย
2. ความหมายของอัสสุนนะฮ ()ﺍﻟﺴﻨﺔ
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﺍﻟﺴﻨﺔแปลวา การปฏิบัติที่ถูกกําหนดมาหรือแนวทาง สวน
ความหมายตามหลักภาษาศาสตรมีหลายความหมายดวยกันแตที่จะยกมาในที่นี้
เพียงบางสวนเทานั้น
1. อัสสุนนะฮฺ คือ แนวทางที่ดีหรือแนวทางที่เลว ทานนบี กลาววา
(2)
อัลอัสเกาะลานีย : 1/204
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 18
ความวา : “ผูใดก็ตาม(1)ไดคิดแนวทางที่ดีในอิสลามแลว ดังนั้น เขาจะ
ไดรับผลตอบแทนจากการปฏิบัติของคนอื่นหลังจากเขาโดยที่
ผลตอบแทนนั้นไมลดหยอนแมแตนิดเดียว และผูใดก็ตามได
คิดแนวทางที่เลวในอิสลาม เขาจะไดรับผลตอบแทนจากการ
ปฏิบัติของคนอื่น หลังจากเขาเชนเดียวกันโดยที่ผลตอบแทน
นั้ น ไม ล ดหย อ น แม แ ต นิ ด เดี ย วเช น กั น จากการปฏิ บั ติ ใ น
แนวทางนั้น”(2)
2. อัสสุนนะฮฺ คือ หนทาง อัลลอฮฺ ทรงตรัสไววา
(1)
ตามหลักภาษาอาหรับคําวา “ ”ﻣَﻦเปนคํานะกิเราะฮฺที่มีลักษณะทั่วไป (อุมูม) ใชไดกับเพศชายและเพศหญิง ซึ่ง
แสดงถึงจํานวนมาก ดังนั้น ความหมายของคํานี้คือ ใครก็ตามจะเปนชายหรือหญิงก็ได
(2)
บันทึกโดยมุสลิม : 1/134
(3)
ซูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 137
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 19
ตามหลักวิชาการ
บรรดาอุ ล ะมาอฺ มี ค วามเห็ น แตกต างกัน เกี่ ยวกับ นิ ย ามของอัสสุ น นะฮฺ
ที่มาจากการพิจารณา การเนน และการใหความสําคัญของแตละสาขาวิชา
1. อุละมาอฺหะดีษ
อัสสุนนะฮฺ คือ ทุกสิ่งทุกอยางที่มาจากทานนบีมุฮัมมัด ไมวาจะเปน
คําพูด การกระทํา การยอมรับ คุณลักษณะและชีวประวัติทั้งกอนที่ทานไดรับ
การแตงตั้งใหเปนนบีหรือหลังจากไดรับการแตงตั้งใหเปนนบี
ความหมายของอัสสุนนะฮฺเชน นี้เหมือนกับความหมายของหะดีษตาม
ทัศนะของอุละมาอฺหะดีษสวนใหญ(1) ทั้งอุละมาอฺมุตะกอดดิมูน เชน อัลบุคอรีย
มุสลิม อะบูดาวูด อัตติรมิซีย อันนะสาอีย และอิบนุมาญะฮฺ และอุละมาอฺมุตะ
อั ค คิ รู น เช น อิ ม ามอิ บ นุ อั ล กอยยิ ม อั ล หาฟ ศ อั ล อั ส เกาะลานี ย เป น ต น
เพราะฉะนั้น บางครั้งอุละมาอฺหะดีษใชคําวา “หะดีษ” และบางครั้งใชคําวา
“อัสสุนนะฮฺ” เชน สุนนะฮฺรสูลุลลอฮฺ หรือหะดีษนบี
อุละมาอฺกลุมนี้ใหความสําคัญกับอัสสุนนะฮฺในดานของการเปนรสูล ซึ่ง
เปนแบบ อยางอันดีงามสําหรับประชาชาติทั้งมวล
2. อุละมาอฺอะกีดะฮฺและอุละมาอฺดะฮฺวะฮฺ
อัสสุนนะฮฺ คือ สิ่งที่สอดคลองกับหลักการอัลกุรอานและอัลหะดีษและ
สอดคลองกับการอิจญมาอฺของชาวสะลัฟในดานอะกีดะห อิบาดาต ซึ่งตรงกัน
ขามกับบิดอะฮฺ(2)
(1)
อุละมาอฺบางทานมีความเห็นวา ระหวางหะดีษกับอัสสุนนะฮฺมีขอแตกตาง คือ หะดีษมักจะใชกับคําพูดของ
ทานนบี สวนอัสสุนนะฮฺใชกับการกระทําเปนประจําหรือสวนมากเปนการปฏิบัติของทาน ทัศนะนี้เปน
ทัศนะของอับดุลเราะหฺมาน อัลมะฮฺดีย
(2)
อุมัร หะสัน ฟุลลาตะฮฺ : 1/39
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 20
อุ ล ะมาอฺ ก ลุ ม นี้ ใ ห ค วามสํ า คั ญ กั บ อั ส สุ น นะฮฺ ใ นด า นความสอดคล อ ง
หรือไมขัดกับหลักการศรัทธาและวิธีการปฏิบัติของชาวสะลัฟ ตามทัศนะนี้เรื่อง
ตางๆ ที่เกี่ยวของกับอะกีดะฮฺและอิบาดาตจะมีสองแงเทานั้น คือ สิ่งที่เปนอัสสุน
นะฮฺหรือสิ่งที่เปนบิดอะฮฺ
3. อุลามาอฺฟกฮฺ
อัสสุนนะฮฺ คือ สิ่งที่เปนแนวทางปฏิบัติในเรื่องศาสนาที่ไมใชหุกมวาญิบ
(บังคับใหทํา) และไมใชที่เปนฟรฎ(3)
อุละมาอฺฟกฮฺจะใหนิยามอัสสุนนะฮฺในสิ่งที่เปนหุกมสุนัตเทานั้น
อุละมาอฺกลุมนี้จะใหความสําคัญตออัสสุนนะฮฺในดานหุกมขอบัญญัติที่
เปนสุนัต เมื่อมีการปฏิบัติจะไดรับผลตอบแทนและหากไมปฏิบัติก็ไมเปนบาป
แตประการใด โดยไมมีการแยกระหวางสิ่งที่ทานนบี ปฏิบัติอยางปกติหรือ
เปนประจํา หรือปฏิบัติบางครั้งบางคราวเทานั้น บางครั้งจะใชอัสสุนนะฮฺตรงขาม
กับสิ่งที่เปนบิดอะฮฺ
4. อุละมาอฺอุศูล อัลฟกฮฺ
อัสสุนนะฮฺ คือ ทุกสิ่งทุกอยางที่มาจากทานนบี ที่ไมไดระบุในอัลกุ
รอาน ไม ว า จะเป น คํ า พู ด การกระทํ า หรื อ การยอมรั บ ซึ่ ง สามารถอ า งเป น
หลักฐานไดและยังสามารถบัญญัติหุกมอีกดวย(1)
อุละมาอฺกลุ มนี้ ใ หความสํ าคั ญกับอั สสุ น นะฮฺ ในด านการบั ญญัติ หุกม ที่
ไมไดระบุในอัลกุรอาน แตมาจากทานนบี โดยตรง สวนมากแลวพวกเขาจะ
เนนในสิ่งที่มีความเกี่ยวของกับหุกมตักลีฟยทั้งหาคือ หุกมวาญิบ หุกมหะรอม
หุกมสุนัต หุกมมุบาหฺ และหุกมมักรูฮฺ
(3)
มุฮัมมัด อะญาจญ อัลเคาะฏีบ หนา 21
(1)
อัชเชากานีย หนา 33
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 21
3. ความหมายของเคาะบัร ()ﺍﳋﱪ
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ” ﺧﱪเปนคําเอกพจนซึ่งแปลวา ขาว(2) คําพหูพจน คือ อัคบาร
หมายถึง ขาวหลายเรื่อง หรือเรื่องราวตาง ๆ ที่ไดรายงานสืบทอดกันมา
ตามหลักวิชาการ
เคาะบัรตามหลักวิชาการ อุละมาอฺมีความเห็นที่แตกตางกันดังนี้
1. อุละมาอฺหะดีษมีความเห็นวา ความหมายของเคาะบัรเหมือนกับ
ความหมายของหะดีษหรืออัสสุนะฮฺ(3) ตามทัศนะของอุลามาอฺกลุมนี้คําวา
เคาะบัรอาจจะใชกับการรายงานโดยทั่วไป สวนหะดีษและอัสสุนนะฮฺใชกับ
คําพูด การกระทํา และการยอมรับ
2. อุละมาอฺบางทานมีความเห็นวา เคาะบัร คือ สิ่งที่พาดพิงถึงบรรดา
เศาะหาบะฮฺหรือตาบิอีน(1) ตามทัศนะของอุละมาอฺกลุมนี้ การใชเคาะบัรนั้น
ใชไดเฉพาะกับคํากลาว และการกระทําของเศาะหาบะฮฺหรือตาบิอีนเทานั้นไม
รวมถึงสิ่งที่ถูกพาดพิงไปยังทานนบีมุฮัมมัด แตประการใด
3. มีบางทัศนะกลาววา หะดีษ คือ สิ่งที่พาดพิงถึงทานนบี สวนเคาะบัร คือ
สิ่งที่มาจากนบีมุฮัมมัด และคนอื่น ๆ(2) ทัศนะนี้มีความเห็นวา อัลหะดีษ
และอัลเคาะบัรใชไดทั้งกับทานนบี เศาะหาบะฮฺ และตาบิอีนโดยไมไดแยกออก
จากกัน
(2)
อัลอะซีม อะบาดีย : 2/17
(3)
ดู อัสสุยูฏีย : 1/9
(1)
ดู อัสสุยูฏีย : 1/9
(2)
ดู หนังสือเดิม
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 22
4. ความหมายของอะษัร ()ﺍﻷﺛﺮ
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ” ﺃﺛﺮเปนคําเอกพจนซึ่งแปลวา รองรอย หรือแผล คําพหูพจน
คือ อัลอาษาร(3) แปลวา รองรอยมากมาย หรือหลายบาดแผล และสามารถใช
กับการติดตาม เชน คนหนึ่งเดินตามอีกคนหนึ่ง หรือรุนหนึ่งเดินตามคนรุนกอน
หนาพวกเขา เปนตน
ตามหลักวิชาการ
อะษัรตามหลักวิชาการมีหลายความหมายดวยกันดังนี้
1. อุละมาอฺหะดีษสวนใหญมีความเห็นวา อะษัรมีความหมายเหมือนกับ
หะดีษ อัสสุนนะฮฺ และเคาะบัร
2. อุละมาอฺฟกฮฺ(4) กลาววา อะษัร คือ หะดีษเมากูฟ(5) ของเศาะหาบะฮฺ
สวนเคาะบัร คือ หะดีษมัรฟูอ(6)ฺ ของทานนบีมุฮัมมัด
อิมามอัสสุยูฏีย กลาววา “บรรดาอุละมาอฺหะดีษเรียกสิ่งที่เปนมัรฟูอฺและ
เมากูฟวา อัลอะษัร สวนอุละมาอฺฟกฮฺเมืองคุรอซานสวนมากเรียกสิ่งที่เปนมัรฟูอฺ
วา อะษัร และสิ่งที่เปนเมากูฟวา เคาะบัร(1)
5. ความหมายในทางปฏิบัติ
ในทางปฏิบัติหรือการใชจริงของบรรดาอุละมาอฺจะเห็นอยางชัดเจนถึง
ความแตก ตางของการใชศัพททั้งสี่ ซึ่งพอสรุปไดดังตอนี้
(3)
อัลอะซีม อะบาดีย : 1/362
(4)
อัสสุยูฏีย : 1/6
(5)
หะดีษเมากูฟ คือ หะดีษที่พาดพิงถึงเศาะหาบะฮฺ ดูรายละเอียดหนา 49-53
(6)
หะดีษมัรฟูอฺ คือ หะดีษที่พาดพิงถึงทานนบีมุฮัมมัด ดูรายละเอียดหนา 45-49
(1)
อัสสุยูฏีย : 1/6
บทที่ 3 หะดีษและคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 23
1. อุละมาอฺหะดีษสวนใหญมีความเห็นวา หะดีษและอัสสุนนะฮฺใชกับ
ทานนบีมุฮัมมัด และคุละฟาอฺอัรรอชิดีนเทานั้น สวนเคาะบัรใชกับบรรดา
เศาะหาบะฮฺ และอะษัรใชกับบรรดาตาบิอีนและตาบิอฺตาบิอีน
2. อุละมาอฺฟกฮฺและอุละมาอฺอุศูล อัลฟกฮฺใชคําวา หะดีษกับคําพูด การ
กระทํา และการยอมรับของทานนบีมุฮัมมัด สวนอัสสุนนะฮใชกับการปฏิบัติ
ของทานนบี เคาะบัรใชกับบรรดาเศาะหาบะฮฺ และอะษัรใชกับบรรดาตา
บิอีนและตาบิอฺตาบิอีน
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 24
บทที่ 4
หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มา
ของบทบัญญัติอิสลาม
1. ความเปนจริงของหะดีษ
หะดีษเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลามอันดับสองรองจากอัลกุรอาน
เนื่อง จากหะดีษถือเปนสวนหนึ่งของวะหฺยูเชนกัน ดังที่ปรากฏในอัลกุรอาน
ﺇﻥ ﻫﻮ ﺇﻻ ﻭﺣﻲ ﻳﻮﺣﻰ
(1)
ซูเราะฮฺอันนัจญมฺ อายะฮฺที่ 4
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 25
“ทุก ๆ บทบัญญัติที่ทานนบีมุฮัมมัด ไดตัดสินไปนั้นเปนผลมาจากการเขาใจ
ในอัลกุรอานอยางถูกตองที่สุด” ทานยังกลาวเพิ่มเติมอีกวา “คําพูดของอุละมาอฺ
ทั้งหมดเปนการอธิบายอัสสุนนะฮฺและอัสสุนนะฮฺเปนการอธิบายอัลกุรอาน”(2)
จากคํากลาวนี้สอดคลองกับอัลกุรอานที่มีการหามปฏิบัติในสิ่งที่ตรงกัน
ข า มกั บ การปฏิ บั ติ ข องท า นนบี และในสิ่ ง ที่ ไ ม ใ ช เ ป น หุ ก ม เฉพาะเจาะจง
สําหรับทานเทานั้น อิมาม อิบนุกะษีร(3) ไดอธิบายอายะฮฺ ﻓﻠﻴﺤﺬﺭ ﺍﻟﺬﻳﻦ
ﳜﺎﻟﻒ ﻋﻦ ﺃﻣﺮﻩ กลาววา “การหามปฏิบัติในลักษณะที่ขัดแยงกับคําสั่งของ
ทานนบีมุฮัมมัด คือ ขัดแยงกับแนวทาง วิธีการ บทบัญญัติ แนวคิดตลอดจน
หลักสูตรการสั่งสอนของทาน ดังนั้น สมควรเปนอยางยิ่งที่จะตองเปรียบเทียบ
เพื่อใหสอดคลองกับคําพูดและการปฏิบัติของทาน สิ่งที่สอดคลองกับมันก็ตอง
ยอมรับมันเสียโดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น และสิ่งที่ขัดแยงจะตองปฏิเสธ
ไปอยางสิ้นเชิง ดังที่ปรากฏในหะดีษเศาะหีหฺบทหนึ่งบันทึกโดยอัลบุคอรียและ
มุสลิม จากทานนบีมุฮัมมัด กลาววา (ﻼ ﻟﻴﺲ ﻋﻠﻴﻪ ﺃﻣﺮﻧﺎ ﻓﻬﻮ ﺭﺩ ) ﻣﻦ ﻋﻤﻞ ﻋﻤ ﹰ
ความวา “ผูใดไดปฏิบัติในสิ่งที่ไมใชเปนเรื่องที่ศาสนาบัญญัติไว สิ่งนั้นจะตอง
ปฏิเสธไป”(1)
ดวยเหตุนี้ อัสสุนนะฮฺจึงอยูในลําดับที่สองรองจากอัลกุรอาน อยางไรก็
ตาม สําหรับอิมามอัชชาฟอียแลวหะดีษตองตามหลังอัลกุรอานเสมอ แมวาทาน
จะจัดลําดับของทั้งสองอยูในระดับเดียวกันก็ตาม
2. ฐานะของหะดีษ
(2)
อัลกอสิมีย หนา 59
(3)
อิบนุกะษีร : 3/131
(1)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 13/56 และมุสลิม : 2/1243
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 26
ฐานะในที่นี้ คือ บทบาทและหนาที่ หมายความถึงหนาที่ของหะดีษนบีใน
ฐานะที่เปนคําสอนของศาสนาอิสลาม
หะดี ษ มี ห น า ที่ อ ธิ บ ายบทบั ญ ญั ติ ต า งๆ ให ส มบู ร ณ ยิ่ ง ขึ้ น ชี้ แ จง
วัตถุประสงคของแตละอายะฮฺ การขยายความอัลกุรอานที่มีลักษณะเปนอายะฮฺ
มุจมัล (ที่มีความหมายสั้นๆ) อายะฮฺที่มีลักษณะเปนอายะฮฺมุฏลั้ก (อิสระ) และ
อายะฮฺที่มีลักษณะเปนอายะฮฺอุมูม (ทั่วไป)
การอธิ บ ายบทบั ญ ญั ติ ใ ห ส มบู ร ณ เช น การอธิ บ ายอายะฮฺ ที่ เ กี่ ย วกั บ
อิบาดาต อายะฮฺ มุอามะลาต อายะฮฺนิกาหฺ อายะฮฺหะลาลและหะรอม เปนตน
การชี้ แ จงวั ต ถุ ป ระสงค ห รื อ เจตนารมณ ข องอายะฮฺ บ างอายะฮฺ เช น
อายะฮฺที่พูดถึงการสั่งเสียใหแกคนที่ไมใชญาติพี่นองในการยกทรัพยสินใหพวก
เขา และอื่นๆ
การระบุถึงหุกมตางๆ ที่ยังไมไดกลาวไวอยางชัดเจนในอัลกุรอาน หุกม
นั้นไมสามารถเปลี่ยนแปลงเปนอยางอื่น เวนแตจะมีหะดีษอื่นมาบงชี้วาเปนหุก
มอื่นเทานั้น เนื่องจากเปนการอธิบายของทานนบีนั่นเอง อิมามอัลบัยฮากียได
บั น ทึ ก หะดี ษ บทหนึ่ ง จากการรายงานของอุ มั ร เบ็ ญ อั ล ค อ ฏฏ อ บ กล า วว า
“โอมนุษ ยทั้งหลาย แทจริ งความคิดที่ ถูกตองนั้นมาจากรสูลุลลอฮฺ เนื่อง
จากอัลลอฮฺไดชี้แจงใหแกทาน แตความคิดของเราบางครั้งเปนการคาดคะเน
และเปนความคิดที่ออนแอดวย”
การบรรยายวิธีการปฏิบัติตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับเรื่องศาสนาที่ยังไมไดระบุ
ไวใน อัลกุรอาน หรือเปนการกลาวถึงเรื่องนั้นไวอยางกวาง ๆ ไมครอบคลุม
ประการทั้ ง ปวงที่ ไ ด ก ล า วข า งต น ไม มี ข อ สงสั ย ใด ๆ สํ า หรั บ บรรดา
อุละมาอฺทั้งสมัยกอนและรุนหลัง หรือแมแตอุละมาอฺสมัยปจจุบัน ตางก็ยอมรับ
วา หะดีษนั้นไดทําหนาที่อยางสมบูรณในการอธิบายอัลกุรอาน อยางไรก็ตาม
ในอัลกุรอานจะพบแตการกลาวถึงหลักใหญหรือกลาวถึงอยางสังเขปเทานั้น
โดยไมมีการอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติแตประการใด
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 27
3. การยึดมั่นในหะดีษ
ในอัลกุรอานไดกลาวถึงอยางชัดเจนเกี่ยวกับการยึดมั่นในหะดีษ หรือ
อัสสุนนะฮฺในลักษณะตาง ๆ เชน การเคารพภักดีตอรสูล การปฏิบัติตาม การ
ยอมรับในสิ่งที่ทานนบี ไดดําเนินการมาในชวงที่ทานนบียังมีชีวิตอยูหรือ
หลังจากที่ทานเสียชีวิตไปแลว หลักฐานตาง ๆ ที่เกี่ยวของมีดังนี้
หลักฐานจากอัลกุรอาน ขอยกตัวอยางเพียงบางอายะฮฺเทานั้น
1. อัลลอฮฺ ทรงตรัสไววา
ความวา : “และสิ่งที่ทานรสูลไดนํามาแกพวกเจาก็จงรับมันไว
และสิ่งที่ทาน (รสูล) หามก็จงหลีกเลี่ยงมันเสีย”(1)
การน อ มรั บ ในสิ่ ง ที่ ท า นรสู ล นํ า มาถื อ เป น การแสดงถึ ง การนํ า หะดี ษ
สุนนะฮฺใชเปนหลักฐานและการยึดมั่นในหะดีษอีกดวย
2. อัลลอฮฺ ทรงตรัสไววา
(1)
ซูเราะฮฺอันนิสาอฺอายะฮฺที่ 59
(2)
ซูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 31
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 29
ความวา : “จําเปนอยางยิ่งสําหรับพวกเจายึดในสุนนะฮฺของฉันและ
สุนนะฮฺบรรดาเคาะลีฟะฮฺอัรรอชิดีนที่ไดรับการชี้นําทาง
พวกเจาจงกัดมันดวยฟนกรามแนนๆ และจงระมัดระวัง
สิ่งใหมๆ (อุปโลกนขึ้นมา) เนื่องจากแทจริงการอุตริ
กรรมทุกประเภทนั้นคือ การหลงทาง”(3)
(3)
หะดีษเศาะหีหฺ บันทึกโดยอะบูดาวูด : 5/34, อัตตัรมิซีย : 5/39, อิบนุมาญะฮฺ : 2/254 และอะหฺมัด : 2/245
(1)
หะดีษหะซัน บันทึกโดยมาลิก : 1/123 และอัลหากิม : 1/345 สํานวนหะดีษเปนของอัลหากิม
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 30
3. ทานนบีมุฮัมมัด กลาววา
คํายืนยันของอุละมาอฺ
1. อิมามอัชชาฟอียมีความเห็นวา ในเมื่อทานนบีสนับสนุนใหฟงหะดีษของ
ทาน และยังสนับสนุนใหคนที่มีความรูเกี่ยวกับหะดีษทองจําและรายงานหะดีษ
ให ค นอื่ น ฟ ง ด ว ย อั น นี้ ถื อ เป น เรื่ อ งจํ า เป น อย า งยิ่ ง ยวดที่ จ ะชี้ ใ ห เ ห็ น ว า การ
สนับสนุนนั้นเปนหลักฐานประการหนึ่งที่เปนหนาที่ของผูรู เนื่องจากการปฏิบัติ
เชนนั้นจะไดรับผลบุญและการหลีกเลี่ยงมันเปนที่ตองหามในขอบเขตที่จะตอง
(2)
มุตตะฟก อะลัยฮฺ บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 13/20 และมุสลิม : 15/107
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 31
ปฏิบัติเปรียบเสมือนทรัพยสินเมื่อมีการรับยอมมีการแจกจายใหผูที่มีสิทธิ์ไดรับ
และตักเตือนซึ่งกันและกันทั้งเรื่องศาสนาและเรื่องดุนยาทุกประการ(1)
ดั ง นั้ น การชี้ ท างของสุ น นะฮฺ ห รื อ หะดี ษ ในเรื่ อ งต า ง ๆ ที่ เ กี่ ย วกั บ
บทบัญญัติอิสลามนั้นเปนการตัดสินที่เด็ดขาดหากประโยคเหลานั้นสามารถ
พาดพิงถึงทานนบี อยางถูกตอง อิมามอัชชาฟอียไดกลาวย้ําวา “แทจริง
บรรดาอุละมาอฺตั้งแตสมัยเศาะหาบะฮฺและตาบิอีน พวกเขาไขวควาหะดีษในทุก
ๆ เรื่ อ ง หากพวกเขาไม พ บหะดี ษ พวกเขาจะนํ า สิ่ ง อื่ น ๆ มาใช เ ป น หลั ก ฐาน
หลังจากนั้นหากพวกเขาพบหะดีษที่เกี่ยวของแลวพวกเขาจะกลับตัวและปฏิบัติ
ตามหะดีษที่เขารูดวยความมั่นใจ”(2)
จากขอเท็จจริงที่กลาวมาขางตนสามารถยืนยันวา การกลับสูหะดีษโดย
วิธีการใดก็ตามเปนเรื่องที่จําเปนอยางยิ่งทั้งทางดานอะกีดะฮฺ ดานอิบาดะฮฺ
ดานมุอามะลาต ดาน มุนากะฮาต และดานอื่นๆ ประการหนึ่งที่สําคัญ คือ
บรรดาอุละมาอฺในทุกยุคทุกสมัยตางก็มีความเห็นพองกันวา การกลับสูหะดีษ
เปนการปฏิบัติที่ถูกตองที่สุด ไมสามารถปฏิเสธได ไมเฉพาะสําหรับผูที่มีความรู
เทานั้น แมแตคนที่อานไมออกเขียนไมไดก็จําเปนเหมือนกัน เพราะเปนการ
แสดงถึงการมีความรักตอทานนบี
3. การรายงานหะดีษ
1. หุกมของการรายงานหะดีษ
การรายงานหะดีษของทานนบี ใหแกผูอื่นเปนหนาที่อยางหนึ่งสําหรับ
มุสลิมและมุสลิมะฮฺโดยเฉพาะผูที่มีความรูเกี่ยวกับหะดีษจะมีความรูมากหรือ
นอยก็ตาม แตทวาผูที่มีความรูมากหรือผูเชี่ยวชาญในสาขาหะดีษจะมีหนาที่หนัก
(1)
อัสสุยูฏีย หนา 99
(2)
อัสสุยูฏีย หนา 99
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 32
กวาคนอื่น เพราะเขาเขาใจความหมายของหะดีษ อับดุลเลาะ เบ็ญ อัมรฺ เบ็ญ
เอาศฺ ไดรายงานจากรสูลุลลอฮฺ ทานกลาววา
(1)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 2/374, อัตติรมิซีย : 5/40 อะบูอีซากลาววา หะดีษบทนี้เปนหะสันเศาะหีหฺและ อะหฺมัด :
3/159, 203, 314
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 33
ความวา : “อัลลอฮฺทรงใหเกียรติแกบาวที่ยอมฟงคําพูด (หะดีษ)
ของฉันและเขาไดทองจํามัน หลังจากนั้นเขาไดเผยแพรแก
คนอื่นที่ยังไมไดฟง ดังนั้น บอยครั้งผูที่เผยแพรไมเขาใจ
มั น และบ อ ยครั้ ง ผู ถู ก ถ า ยทอดเข า ใจมากกว า ผู
เผยแพร”(2)
จากหะดีษขางตนพอสรุปไดวา หนาที่ของมุสลิมที่มีตอหะดีษของทานนบี
นั้นก็คือ ฟงหะดีษ ทองจําหะดีษ และรายงานหะดีษใหแกผูอื่นที่ยังไมไดฟง
หรือยังไมมีความรูเกี่ยวกับหะดีษ ที่สําคัญยิ่ง คือ ผูที่ทําหนาที่รายงานหะดีษ
ตองเปนคนที่มีความรูเรื่องหะดีษซึ่งอาจจะมีลักษณะที่หลากหลายแตกตางกัน
เชน บางคนมีทั้งความรูและเขาใจเนื้อหาของแตละหะดีษ บางคนมีความรู แตไม
เข าใจความหมายของหะดีษ บางคนมีความรูมากและบางคนมีความรู นอย
ไมจําเปนตองเปนคนอาลิมเสมอไป
2. วิธีการรายงานหะดีษ
เนื่องจากวิธีการรายงานหะดีษยังไมมีขอเสนอแนะจากทานนบี เปน
รูปธรรมอยางชัดเจน บรรดาเศาะหาบะฮฺก็ไดใชความพยายาม (อิจญติฮาด) ใน
การอธิบายถึงวิธี การรายงานที่สอดคลองกับฐานะที่เปนหะดีษของทานนบี
ใหมากที่สุด มุฮัมมัด เบ็ญ สีรีนไดกลาวถึงวิธีการรายงานอยางกวาง ๆ
ดังนี้
(2)
หะดีษเศาะหีหฺ บันทึกโดยอะบูดาวูด : 3/322, อัตตัรมิซีย : 5/33-34, อิบนุมาญะฮฺ : 1/85, อะหฺมัด : 1/437, 3/225,
4/80,82, 5/183 และอัดดาริมีย : 1/86 สํานวนขางตนเปนของอะหฺมัด
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 34
แปลวา : “ฉันไดยินหะดีษจากสิบคน (เศาะหาบะฮฺซึ่งพวกเขาได
รายงาน) เปนความหมายเดียวกัน และหลากหลายตัวบท”(1)
จากอะษัรบทนี้พอสรุปไดวา การรายงานหะดีษนั้นมี 2 วิธีใหญ ๆ คือ
วิธีการที่ 1 การรายงานตัวบทหะดีษ
การรายงานตามวิธีการนี้จะเห็นไดจากการปฏิบัติของบรรดาเศาะหาบะฮฺ
ที่ ร ายงานหะดี ษ จากท า นนบี กล า วคื อ บางคนได ร ายงานหะดี ษ อย า ง
สมบูรณทั้งประโยคที่ไดฟงจากทานและบางคนไดรายงานหะดีษอยางสมบูรณที่
ไดฟงจากเศาะฮาบะฮฺทานอื่น ซึ่งแตละคนนั้นไดรายงานดวยความซื่อสัตยตอหะ
ดีษ โดยไมมีการโกหกและเพิ่มเติมในสิ่งที่พวกเขาไดฟงจากทานนบี การ
รายงานหะดีษในหมูเศาะหาบะฮฺมีทั้งการรายงานตัวบทและมีการรายงานตัวบท
พร อ มกั บ สะนั ด ของหะดี ษ การรายงานด ว ยวิ ธี ก ารเช น นี้ ไ ด มี ม าตั้ ง แต ส มั ย
เศาะหาบะฮฺ จ นถึ ง สมั ย ตาบิ อฺ อั ต บาอฺ อั ต ตาบิ อี น และได มี ก ารถ า ยทอด
อยางตอเนื่องเรื่อยมาจนถึงสมัยอุละมาอฺมุตะอัคคิรูน(2)
การรายงานหะดีษดวยวิธีนี้สามารถจําแนกออกเปน 3 วิธีการ ดังนี้
1. วิธีการรายงานแบบสมบูรณ
หมายถึง การรายงานหะดีษทั้งสะนัดและมะตันโดยไมมีการตัดตอและ
เพิ่มเติมจากประโยคเดิมที่ไดฟงกันมาตั้งแตตนจนจบหะดีษ เชน การรายงาน
(1)
อัลกอสิมีย หนา 222
(2)
คือ ตั้งแตสมัยอิมามอันนะสาอียจนถึงสมัยของอัตฏอบะรอนีย
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 35
ของบรรดานักหะดีษทั้งหก(3) และทานอื่นๆจะมีการวิพากษวิจารณสถานะของ
สายรายงานในดานความสมบูรณหรือไมก็ตาม แมแตการวิเคราะหตัวบทหะดีษ(4)
2. วิธีการรายงานแบบยอ
หมายถึง การรายงานเฉพาะตัวบทหะดีษบางสวนเทานั้น ไมมีการ
กลาวถึงในสวนอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับตัวบท การรายงานเชนนี้เปนการปฏิบัติของ
อุละมาอฺฟกฮฺ
ตามทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญแลวมีความเห็นวา การรายงานหะดีษ
ดวยวิธีนี้สามารถทําไดแตขึ้นอยูกับเงื่อนไขสําคัญ คือ ผูที่รายงานหะดีษตอง
เปนคนที่มีความรูในเรื่องหะดีษเปนอยางดี เนื่องจากการยอหะดีษของคนอาลิม
มิอาจทําใหความหมายหรือจุดประสงคของหะดีษเพี้ยนไปจากเดิม ไมทําให
ขัดแยงในการบัญญัติหุกมและขอความหะดีษไมขาดหายไปจนทําใหกลายเปน
คนละตั ว บท ผิ ด จากการย อ ของคนญาฮิ ล ซึ่ ง จะทํ า ให เ กิ ด ความสั บ สนใน
ความหมายของหะดีษได เชน การละเลยเรื่องอิสติษนาอฺ(1)
3. วิธีการรายงานแบบตัดสะนัด
หมายถึง การรายงานเฉพาะตัวบทหะดีษเทานั้นไมมีการกลาวถึงสะนัด
หรือกลาวผูรายงานเพียงเศาะหาบะฮฺเทานั้น สวนผูรายงานคนอื่น ๆ ถัดจาก
เศาะหาบะฮฺจนถึงสิ้นสุดสะนัดไมไดกลาวถึงแมแตคนเดียว
การรายงานเช น นี้ เ ป น การปฏิ บั ติ ข องอุ ล ะมาอฺ ฟ ก ฮฺ แ ละอุ ล ะมาอฺ อุ ศู ล
อัลฟกฮฺ อิมามอันนะวะวียกลาววา “สวนการรายงานเฉพาะตัวบทหะดีษอยาง
เดี ย วที่ ส อดคล อ งกั บ หั ว ข อ ฟ ก ฮฺ ส ามารถทํ า ได ซึ่ ง ถื อ เป น การปฏิ บั ติ ที่ ดี แ ละ
(3)
นักหะดีษทั้งหกทาน คือ อัลบุคอรีย มุสลิม อะบูดาวูด อัตติรมิซีย อันนะสาอีย และอิบนุมาญะฮฺ หรือที่เรียกวา
อัศหาบ อัลกุตุบ อัซซิตตะฮฺ
(4)
รายละเอียดเรื่องสะนัดและมะตันจะมีการอธิบายในบทที่ 4
(1)
อัลอัสเกาะลานีย หนา 48
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 36
อาจจะสามารถหลีกเลี่ยงจากการขัดแยงไดอีกดวย”(2) ไมวาดานตัวบทหะดีษ
หรือการรับหุกมตาง ๆ จากหะดีษ
วิธีการที่ 2 การรายงานความหมายของหะดีษ
การรายงานหะดีษดวยวิธีการนี้อุละมาอฺมีความเห็นที่แตกตางกัน พอสรุป
ไดดังนี้
กลุมที่หนึ่ง ไมเห็นดวยกับการรายงานความหมายหะดีษ โดยที่ไมได
รายงานตั ว บทที่ ม าจากท า นนบี ทั ศ นะนี้ เ ป น ทั ศ นะของอุ ล ะมาอฺ ห ะดี ษ
อุละมาอฺฟกฮฺและอุละมาอฺอุศูลุลอัลฟกฮฺบางทาน เชน มุฮัมมัด เบ็ญ สีรีน อะบู
บักรฺ อิบนุอะบีชัยบะฮฺ และทานอื่น ๆ
กลุมที่สอง เห็นดวยกับการรายงานความหมายหะดีษ โดยไมจําเปนตอง
ยกตัวบทก็ได ทัศนะนี้เปนทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญทั้งสะลัฟหรือคอลัฟจากอุ
ละมาอฺ ฟ ก ฮฺ ห รื อ อุ ล ะมาอฺ อุ ศู ล ฟ ก ฮฺ เช น อิ ม ามอะบู ห ะนี ฟ ะฮฺ อิ ม ามมาลิ ก
อิมามอัชชาฟอีย และ อิมาม อะหฺมัด เบ็ญ หันบัล แตมีเงื่อนไขวาผูที่จะรายงาน
หะดีษดวยความหมายนั้นจะตองประกอบดวยคุณลักษณะ 2 ประการ
1. ผูรายงานจะตองเขาใจตัวบทและเจตนารมณของหะดีษเปนอยางดี
2. ผูรายงานจะตองเชี่ยวชาญในการตีความหมายหะดีษไดอยางถูกตอง
นอกจากสองประการขางตนแลว ผูรายงานหะดีษจะตองกลาวอยาง
สม่ําเสมอดวยกับคําวา “ ”ﺃﻭ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝแปลวา หรือดังที่ทานนบี ไดกลาวไว
หรือกลาวคําวา “ ”ﺃﻭ ﳓﻮﻩแปลวา หรือเสมือนคําพูดของทานนบี หรือกลาว
คําวา “ ”ﺃﻭ ﺷﺒﻬﻪแปลวา อุปมากับคําพูดของทานนบี ทุกครั้งเมื่อจบการรายงาน
หะดีษ(1)
(2)
อัลกอสิมีย หนา 224-225
(1)
มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน กลาววา “ทั้งหมดที่กลาวนั้นอนุญาตแกผูที่ไดยินจากปากอาจารยที่เขารับหะดีษเทานั้น
สวนผูที่รับหะดีษโดยวิธีการอานเองจากตําราหะดีษ ไมอนุญาตใหรายงานดวยความหมายแมแตตัวอักษรเดียว
บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม 37
อิมามอัสสุยูฏียกลาววา “หากผูรายงานไมมีความรูและไมเชี่ยวชาญใน
การแปลความหมายหะดีษไมอนุญาตใหรายงานหะดีษดวยความหมายโดยไมมี
ขอสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น แตเขาจะตองรายงานตัวบทหะดีษเหมือนที่เขาไดฟงหะดีษ
หรือรับมาจากอาจารยดวยตนเอง”(2)
ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดในการรายงานหะดีษของทานนบี คือ สมควร
อยางยิ่งที่จะตองรายงานตัวบทหะดีษ และไมมีความจําเปนที่จะรายงานหะดีษ
ดวยความหมาย เนื่อง จากปจจุบันตัวบทและสะนัดหะดีษถูกบันทึกไวในตํารา
หะดีษตาง ๆ อยางสมบูรณ ไมวาการบันทึกทั้งสะนัดและมะตัน หรือทําการ
บันทึกโดยเริ่มตนจากเศาะหาบะฮฺผูรับหะดีษโดยตรงจากทานนบี และ
ตําราหะดีษถูกตีพิมพ อยางแพรหลายสามารถหาซื้อไดไ มยาก หากต องการ
แสวงหาความรูที่มีคุณคา
เนื่องจากการอนุญาตใหรายงานดวยความหมายนั้นเปนการอนุญาตในกรณีจําเปนหรือยังไมมีการบันทึกหะดีษ
เปนเลม แตในกรณีที่หะดีษตางๆ ถูกบันทึกไวในตําราหะดีษอยางสมบูรณแลวก็ไมมีความจําเปนอีกแลวที่จะ
รายงานหะดีษดวยความหมายดังเชนในปจจุบันนี้” (ดู หนา 171-172)
(2)
อัลกอสิมีย หนา 222
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 38
บทที่ 5
สะนัดและมะตัน
พึงรูเปนการเบื้องตนไววาหะดีษของทานนบี ที่ถูกถายทอดมาถึงตัวเรา
นั้นตองประกอบดวยสองสวน คือ สะนัดและมะตัน ตัวอยาง
คําอธิบายตัวอยาง
- สะนัดหะดีษ
، ﺃﺧﱪﻧﺎ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﻌﻔﺮ، ﺃﺧﱪﻧﺎ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﻣﺮﱘ،ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺇﺳﺤﺎﻕ
، ﻋﻦ ﺃﺑﻴـﻪ،ﻗـﺎﻝ ﺃﺧﱪﱐ ﺍﻟﻌﻼﺀ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻳﻌﻘﻮﺏ ﺑﻦ ﺍﳊﹸ َﺮﹶﻗـﺔ
ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ
- มะตันหะดีษ
، ﻭﺇﺫﺍ ﻭﻋـﺪ ﺃﺧﻠﻒ،)) ﻣﻦ ﻋﻼﻣـﺎﺕ ﺍﳌﻨـﺎﻓﻖ ﺛﻼﺛـﺔ؛ ﺇﺫﺍ ﺣـﺪﺙ ﻛﺬﺏ
(( ﻭﺇﺫﺍ ﺍﺋﺘﻤﻦ ﺧﺎﻥ
การรายงานหะดีษทั้งสะนัดและตัวบทเชนนี้ก็ไดมีการปฏิบัติกันในกลุม
ของ นักหะดีษตั้งแตสมัยเศาะหาบะฮฺจนถึงปจจุบัน แตก็มีอุละมาอฺบางทาน
ไดรายงานหะดีษ โดยมิไดกลาวอางสะนัดนอกจากกลาวเพียงศอหาบะฮฺเทานั้น
ซึ่งการรายงานเชนนี้เปนที่อนุญาตเชนกัน
สวนที่ 1 สะนัดหะดีษ
อัลลอฮฺทรงตรัสไววา
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คํา วา ( َﺳَﻨ ٌﺪสะนั ด ) เป น คําเอกพจน แปลว า สายรายงานหรือสายสื บ
พหูพจน คือ ( ِﺇ ْﺳﻨَﺎ ٌﺩอิสนาด) หมายถึง การถายทอดจากคนหนึ่งไปยังอีกคน
หนึ่ง
ตามหลักวิชาการ
มีทัศนะอุละมาอฺหลายทัศนะดวยกันที่ไดอธิบายความหมายของสะนัดขอ
ยก ตัวอยางในที่นี้เพียงบางสวนเทานั้น
1. อิมามอัสสะคอวีย กลาววา สะนัด หมายถึง สายรายงานที่จะนําเขาสู
มะตัน(3) (ตัวบทหะดีษ)
2. อิมามอิบนุ ญะมาอะฮฺ กลาววา อิสนาด หมายถึง การรายงานหะดีษ
พรอมกับระบุผูรายงาน และคําวาสะนัด คือ สายสืบที่นําเขาสูมะตันหะดีษ(4)
(1)
ซูเราะฮฺอัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 4
(2)
อับดุลวะฮาบ เบ็ญอับดุลละตีฟ หนา 17
(3)
หนังสือเดิม หนา 16
(4)
ดู หนังสือเดิม
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 41
3. ชัยคฺซะกะริยา กลาววา สะนัดหรืออิสนาดมักจะถูกใชในความหมาย
เดียวกัน ในกลุมของนักหะดีษ(5) ทั้งสองคํานี้จะใชเปนคําตัดสินชี้ขาดตอระดับ
ของหะดีษ เพื่อแยกระหวางหะดีษที่ถูกตองและหะดีษที่ไมถูกตอง
จากทัศนะของอุละมาอฺขางตนพอสรุปไดวา สะนัดหรืออิสนาด หมายถึง
สายรายงานเพื่อนําสูตัวบทหะดีษที่สามารถจะพิสูจนเปนหะดีษที่แทจริงหรือไม
2. ความประเสริฐของสะนัด
สะนัดหรืออิสนาดมีความประเสริฐที่เดนชัด เนื่องจากดวยสะนัดสามารถ
ปกปองบทบัญญัติจากการปะปน เบี่ยงเบน อุตริกรรม และการโกหกของผูหนึ่ง
ผูใดที่ไมประสงคดีตออัลอิสลาม การพูดถึงเรื่องสะนัดไมเคยปรากฏมากอนใน
ศาสนาอื่ น ๆ เว น แต ใ นอิ ส ลามเท า นั้ น บรรดาอุ ล ะมาอฺ ไ ด ส าธยายถึ ง ความ
ประเสริฐของสะนัดไวมากมายและ ยังไดใหความสําคัญตอสะนัดมาก ซึ่งจะขอ
กลาวในที่นี้เพียงบางสวนเทานั้น
1. อิมามอับดุลเลาะ เบ็ญ อัลมุบารอก กลาววา “อิสนาดเปนสวนหนึ่ง
ของศาสนา หากไมมีอิสนาดแลวผูใดก็สามารถจะกลาวถึงเรื่องศาสนาตามความ
ตองการของตนเอง”(1) แมการกลาวเท็จตอรสูลุลลอฮฺ ดวยวิธีการพาดพิง
หะดีษถึงทานก็ตาม
2. อิมามอัลฮากิมไดอธิบายวา “หากไมมีกลุมหนึ่งในจํานวนอุละมาอฺหะ
ดีษที่ปกปองอิสนาด แนนอนความเขมแข็งของอิสลามจะไมยั่งยืนจนถึงทุกวันนี้
ทั้ งยั งเป น การเป ด ช องทางใหแ ก กลุ ม มุ ลฮิ ด (พวกปฏิ เสธศรั ทธา) และ
(5)
ดู หนังสือเดิม
(1)
อักรอม ฎิยาอฺ อัลอุมะรีย หนา 27
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 42
นัก อุ ป โลกน ใ นเรื่ อ งศาสนาได ทํ า การกุ ห ะดี ษ ขึ้ น มาอย า งสะดวกสบาย และ
สับเปลี่ยนอิสนาดหะดีษไดสะดวกขึ้น”(2)
3. อิมามอัชชาฟอีย กลาววา “เปรียบเทียบผูเรียนหะดีษโดยไมมีสะนัดนั้น
เสมือนกับผูที่ตัดไมในเวลากลางคืน บางทีเขาจะตัดแคยอดไมอยางเดียวก็ได”(3)
4. อิมามอะฮฺมัด เบ็ญฮันบัลกลาววา “อิสนาดเปนแนวทางของบรรดา
อุละมาอฺสะลัฟ”(4) เพราะพวกเขายอมรับหะดีษดวยวิธีการพิจารณาสะนัดและ
องคประกอบของ สะนัดเปนหลัก หากไมสามารถยืนยันในความถูกตองของ
สะนัดก็จะไมมีการรับฟงหะดีษตลอดจนใหการยอมรับหะดีษโดยเด็ดขาด
ดังนั้น อิสนาดที่มาจากการรายงานของคนซีเกาะห (เชื่อถือได) จนถึง
ทา นนบี นั้ น เป น จุด เด นของประชาชาติ อิ สลามและความแตกตา งจากบรรดา
ประชาชาติทั้งหมดอีกดวย การรายงานดวยวิธีการสะนัดและการรับคําบอกเลา
ของคนในแตละชวงโดยการถายทอดจากคนแรกจนถึงคนสุด ทายยังไม มีใ น
ประชาชาติกอน ๆ แตเนื่องดวยวิธีการอยางนี้ทําใหการรับขาวหรือเรื่องเลาขาน
ถูกตองและชัดเจนยิ่งขึ้นอีกดวย
3. รุนของผูรายงาน
สะนัดหรืออิสนาดของหะดีษประกอบดวยผูรายงานจากหลายรุนในทุกยุค
ทุกสมัยตั้งแตสมัยเศาะหาบะฮฺจนถึงสมัยของการบันทึกหะดีษ แตที่มีชื่อเสียง
มากที่สุดและเปนที่รูจักกันอยางแพรหลายมีสี่รุน(1) ดวยกัน คือ รุนเศาะหาบะฮฺ
รุนตาบิอีน รุนตาบิอฺ ตาบิอีน และรุนอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีน
(2)
อัสสุยูฏีย : 1/101
(3)
อัลดุบวะฮาบ อับดุลละตีฟ หนา 18
(4)
ดู หนังสือเดิม
(1)
อัลอัสกอลานียไดแบงรุนของศอหาบะฮฺออกเปน 12 รุน (ดู : 1/22)
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 43
รุนที่หนึ่ง รุนเศาะหาบะฮฺ (เริ่มตั้งแตป 10 ถึงป 110 แหงฮิจเราะฮฺศักราช)
1. ความหมายของเศาะหาบะฮฺ
เศาะหาบะฮฺตามหลักภาษาศาสตร เปนอาการนามมาจากคําวา “ ﺐ َ ﺤ ِﺻ َ
” เหมือนกับคําวา “ ” َﺳ ِﻤ َﻊอาจเปนคําพหูพจนและคําเอกพจนก็ได ซึ่งแปลวา
เพื่อน สหาย อัครสาวก ผูติดตามหรือผูที่เขาใจคนอื่น
ความหมายตามหลักภาษาศาสตรสามารถใชทั้งในลักษณะทั่วไป เชน
ใชกับ คนที่ ไ ม ใ ช เป น นบี และยั งสามารถใช ใ นลัก ษณะเฉพาะเจาะจง เช น
ใชกับคนที่เปนทานนบี
สวนความหมายตามหลักวิชาการนั้นอัลอัสเกาะลานียใหความหมายวา
“ผู ที่ พ บเห็ น ท า นนบี มุ ฮั ม มั ด ศรั ท ธาต อ ท า น และเสี ย ชี วิ ต ในขณะที่ เ ป น
มุสลิม”(2) ในทางตรงกันขามผูใดที่ไมไดพบเห็นและไมไดศรัทธาตอทานนบี
ไมเรียกวา เศาะหาบะฮฺ เชนเดียวกันกับบุคคลที่เห็นทานนบีหลังจากทาน
เสียชีวิตไปแลว
2. คุณลักษณะของเศาะหาบะฮฺ
บรรดาเศาะหาบะฮฺเปนคนที่มีคุณธรรม ไมวาพวกเขาไดสัมผัสกับฟตนะฮฺ
หรือไมก็ตาม(3) เปนทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญ มีหลักฐานชัดเจนมากมาย
สามารถยืนยัน ในความอะดาละฮฺของบรรดาเศาะหาบะฮฺ
ก. อัลลอฮฺทรงตรัสไววา
(2)
อัลอัสกอลานีย : 1/4
(3)
ดู อัลคอฏีบ อัลบัฆดาดีย หนา 38-39
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 44
ﺑﺈﺣﺴﺎﻥ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻢ ﻭﺭﺿﻮﺍ ﻋﻨﻪ ﻭﺃﻋﺪ ﳍﻢ ﺟﻨﺎﺕ ﲡﺮﻱ
ﻣﻦ ﲢﺘﻬﺎ ﺍﻷﻬﻧﺎﺭ ﺧﺎﻟﺪﻳﻦ ﻓﻴﻬﺎ ﺃﺑﺪﹰﺍ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﻔﻮﺯ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ
ความวา : “และบรรดาชนรุนแรกจากกลุมมุฮาญิรีนและกลุมอันศอร
และผู ที่ ติ ด ตามพวกเขาด ว ยความอ อ นโยน ได รั บ ความชอบ
ธรรมจากอัลลอฮฺและพวกเขานอมรับดังกลาว และพระองคทรง
เตรี ย มสวรรค สํ า หรั บ พวกเขา ซึ่ ง ใต มั น มี ลํ า ธารไหลเชี่ ย ว
พวกเขาจะอยูในสวรรคอยางถาวร นั่นคือความสําเร็จที่ยิ่งใหญ
ของพวกเขา”(1)
การบงบอกของอายะฮฺถึงคุณธรรมของบรรดาเศาะหาบะฮฺ คือ การที่
บรรพชน รุนกอนไดปฏิบัติในศีลธรรมและจริยธรรมในทุกๆ อิริยาบถทั้งการ
กลาวและการปฏิบัติตามคําสั่งของอัลลอฮฺและรสูลุลลอฮฺ จนในที่สุดพวกเขา
ไดรับความชอบธรรมจากอัลลอฮฺ
ข. อะบูสะอีด อัลคุดรียไดรายงานวา ทานนบี ไดกลาวในลักษณะ
หามปฏิบัติหรือกลาวสิ่งไมสมควรทุกประการตอบรรดาเศาะหาบะฮฺ
(1)
ซูเราะฮฺอัลเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 100, อายะฮฺที่เกี่ยวของมีกลาวไวในซูเราะฮฺตาง ๆ ตอไปนี้ คือ อัลฟตฮฺ อายะฮฺที่ 18
และ29, ซูเราะฮฺอัลอันฟาล อายะฮฺที่ 73 และซุเราะฮฺอัลหัชรฺ อายะฮฺที่ 8-10
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 45
ความวา : จากอะบูสะอีด อัลคุดรีย กลาววา รสูลุลลอฮฺ กลาววา
“พวกเจ า อย า สาปแช ง เศาะหาบะฮฺ ข องฉั น แม แ ต ค นเดี ย ว
เนื่องจากคนหนึ่งคนใดในหมูพวกเจาหากบริจาคทองหนักเทา
ภูเขาอุฮูด แนนอนพวกเจาไมสามารถเทียบเทากับพวกเขาได
หรอกและแมแตบางสวนเทานั้นก็ตาม”(2)
ค. บรรดาอุละมาอฺมีความเห็นพองกันวา บรรดาเศาะหาบะฮฺนั้นเปนผูที่มี
คุณธรรมและซื่อสัตยโดยไดรับการรับรองจากอัลลอฮฺและทานนบีเอง เวนแตคน
บางกลุมเทานั้น ที่ไมยอมรับในความอะดาละฮฺของเศาะหาบะฮฺ เชน กลุมชีอะฮฺ
และกลุมรอฟเฏาะฮฺ
3. รุนตาง ๆ ของเศาะหาบะฮฺ
โดยทั่ วไปแลว บรรดาเศาะหาบะฮฺนั้นแบงออกเปนสองรุน ดวยกันคือ
เศาะหาบะฮฺรุนอาวุโสและเศาะหาบะฮฺรุนเล็ก
เศาะหาบะฮฺรุนอาวุโสประกอบดวย เศาะหาบะฮฺสิบทาน ที่ทานนบีให
การรับรองจะไดเขาสวรรคอยางแนนอน ผูศรัทธาในสมัยมักกะฮฺ ผูที่อพยพไป
ยังเมืองหาบะชะฮฺ ผูที่เขารวมในคราวทําสนธิสัญญาอัลอะเกาะเบาะฮฺครั้งแรก
และครั้งที่สอง ผูที่อพยพระหวางสงครามบัดรฺและสงครามฮุดัยบิยะฮฺ บรรดา
ผูเขารวมในสงครามทุกประเภท และอื่น ๆ
เศาะหาบะฮฺรุนเล็ก คือ บรรดาเศาะหาบะฮฺที่ไดเห็นทานนบีในวันสงคราม
ฟ ต หฺ แ ละวั น ทํ า ฮั จ ญ ว ะดาอฺ เช น อั ส สาอิ บ เบ็ ญ ยะซี ด อั ล กั ล บี ย อั ล หะซั น
และอัลฮุซัยน เบ็ญอาลี เบ็ญอะบีฏอลิบ อัลดุลเลาะ เบ็ญอัซซุบัยรฺ อับดุลเลาะ
เบ็ญอับบาส เปนตน
(2)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 11/256 และมุสลิม : 10/123
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 46
4. เศาะหาบะฮฺผูที่รายงานหะดีษเปนจํานวนมาก
บรรดาเศาะหาบะฮฺเปนผูรายงานหะดีษรุนแรก แตก็มีความแตกตางอยู
บางขึ้นอยูกับความจําและความสามารถของแตละทาน เศาะหาบะฮฺบางทานได
รายงานหะดีษเปนจํานวนมากและบางทานรายงานหะดีษไดนอยกวา แตที่จะ
กลาวในที่นี้เฉพาะบรรดา เศาะหาบะฮฺที่รายงานหะดีษเปนจํานวนมากเทานั้น
มีรายนามดังนี้
1. อะบูฮุรอยเราะฮฺ (59 ฮ.ศ.) รายงานหะดีษ 5,735 หะดีษ
2. อับดุลเลาะ เบ็ญ อุมัร (73 ฮ.ศ.)รายงานหะดีษ 2,630 หะดีษ
3. อะนัส เบ็ญ มาลิก (93 ฮ.ศ.) รายงานหะดีษ 2,286 หะดีษ
4. อาอิชะฮฺ อุมมุลมุมินีน (58 ฮ.ศ.) รายงานหะดีษ 2,210 หะดีษ
5. อับดุลเลาะ เบ็ญอับบาส (68ฮ.ศ.) รายงานหะดีษ 1,660 หะดีษ
6. ญาบิร เบ็ญอับดุลเลาะ (78 ฮ.ศ.) รายงานหะดีษ 1,540 หะดีษ
7. อะบูสะอีด อัลคุดรีย (74 ฮ.ศ.) รายงานหะดีษ 1,170 หะดีษ
และอื่น ๆ ตามลําดับ
พึงรูไววา ในบรรดาศอหาบะฮฺที่เปนนักรายงานหะดีษที่ชื่อ อับดุลเลาะ มี
ประมาณ 300 ทาน แตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเพียง 4 ทานเทานั้น ซึ่งทั้งสี่ทานนี้มี
ฉายานามวา ( ﺍﻟ ُﻌﺒَـﺎ ِﺩﻟﹶﺔอัลอุบาดิละฮฺ) คือ
1. อับดุลเลาะ เบ็ญ อับบาส (68 ฮ.ศ.)
2. อับดุลเลาะ เบ็ญ อุมัร เบ็ญ อัลคอฏฏอบ (73 ฮ.ศ.)
3. อับดุลเลาะ เบ็ญ อัซซุบัยรฺ (73ฮ.ศ.)
4. อับดุลเลาะ เบ็ญ อัมรฺ เบ็ญ อัลเอาศฺ (65ฮ.ศ.)
อุ ล ะมาอฺ บ างท า นมี ค วามเห็ น ว า อั บ ดุ ล เลาะ เบ็ ญ มั ส อู ด นั บ เป น
อุบาดิละฮฺแทน อับดุลเลาะ เบ็ญ อัมรฺ เบ็ญเอาศฺ
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 47
บรรดาเศาะหาบะฮฺที่เปนนักรายงานที่ถายทอดหะดีษดวยความบริสุทธิ์ใจ
ซื่อสัตย และดวยความอะมานะฮฺ โดยการถายทอดตัวบทที่เปนคําพูด การ
ปฏิบัติ การยอมรับคํากลาวทั้งซิกรฺและดุอาอฺในทุกอิริยาบถของทานนบี
ตามความรูของพวกเขา
รุนที่สอง รุนตาบิอีน (ตั้งแตป 93 จนถึงป 124 แหงฮิจเราะฮฺศักราช)(1)
1. ความหมายของตาบิอีน
ตามหลักภาษาศาสตรคือ ผูที่เดินตามหลัง หรือผูที่เจริญรอยตามคนอื่น
ตามหลักวิชาการ คือ ผูที่พบเห็นเศาะหาบะฮฺ ศรัทธาตอทานนบี และ
เสียชีวิตในขณะที่นับถือศาสนาอิสลาม(2) เปนทัศนะของอุละมาอฺบางทาน ตาม
ทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญมีความเห็นวา ตาบิอีน คือ ผูที่พบเห็นเศาะหาบะฮฺ
หนึ่งคนหรือมากกวา ศรัทธาตอทานนบี และเสียชีวิตในอิสลาม(3)
ทั้งสองทัศนะนี้ไมมีความขัดแยงระหวางกัน แตเปนการอธิบายซึ่งกันและ
กัน จะเห็นไดวา ทัศนะที่สองพูดในลักษณะของการพบเห็นของตาบิอีนกับ
เศาะหาบะฮฺ ในขณะที่ ทัศ นะที่ ห นึ่ งนั้ น กล า วถึ ง การรั บ หะดี ษ ระหว า งตาบิ อี น
กับเศาะหาบะฮฺ
2. ผูรายงานหะดีษ
ผูรายงานหะดีษในรุนตาบิอีนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ
1. อิบรอเฮ็ม เบ็ญ ยะซีด อันนะคออีย (96 ฮ.ศ.)
2. อามิร เบ็ญ ชะระฮบิล อัชชุอฺบีย (103 ฮ.ศ.)
3. สาลิม เบ็ญ อับดุลเลาะ เบ็ญอุมัร (106 ฮ.ศ.)
4. มุฮัมมัด เบ็ญ สีรีน (110 ฮ.ศ.)
(1)
อับดุลวะฮาบ อับดุลละตีฟ หนา 46
(2)
หนังสือเดิม
(3)
อัสสุยูฏีย : 2/69
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 48
5. นาฟอฺ เมาลาอิบนุอุมัร (117ฮ.ศ.)
6. มุฮัมมัด เบ็ญ ชิฮาบ อัซซุฮรีย (124 ฮ.ศ.)
7. อัลกอมะฮฺ เบ็ญ กัอยสฺ อันนะคออีย (162 ฮ.ศ.)
3. นักฟกฮฺทั้งเจ็ดทาน
จากรุนตาบิอีนพบวามีกลุมหนึ่งที่เปนชาวมะดีนะฮฺที่มีชื่อเสียงมากเปนคน
อาลิมทั้งในดานหะดีษและฟกฮฺอิสลามีย ซึ่งเปนที่รูจักกันในนาม อัลฟุเกาะฮาอฺ
อัซซับอะฮฺ(4)
1. สะอีด เบ็ญ อัลมุสัยยิบ (94 ฮ.ศ.)
2. อุรวะฮฺ เบ็ญ อัซซุบัยร (94 ฮ.ศ.)
3. อะบูสะละมะฮฺ เบ็ญ อับดุลเราะหมาน (94 ฮ.ศ.)
4. อุบัยดุลเลาะ เบ็ญ อับดุลเลาะ เบ็ญอุตบะฮฺ (98 ฮ.ศ.)
5. คอริญะฮฺ เบ็ญ ซัยด (100 ฮ.ศ.)
6. อัลกอซิม เบ็ญ มุฮัมมัด (106 ฮ.ศ.)
7. สุลัยมาน เบ็ญ ยะซาร (110 ฮ.ศ.)
4. ชาวมุคอดรอมูน(1)
คําวา “( ”ﳐﻀﺮﻣﻮﻥมุคอดรอมูน) เปนคําพหูพจนของคําวา ﳐﻀﺮﻡซึ่งเปน
เผาหนึ่งที่อาศัยอยูในประเทศเยเมน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งวา หัดรอเมาตฺ
อัลมุคอดรอมูน หมายถึง ผูที่มีชีวิตอยูในสมัยญะฮิลิยะฮฺและสมัยของทานน
บี แตพวกเขาเหลานี้ไมไดพบเห็นทานนบี เขารับนันถือศาสนาอิสลาม
อิมามมุสลิมระบุวา “ชาวมุคอดรอมูนมีจํานวนไมมากประมาณ 20 ทาน”(2)
(4)
อัลอิรอกีย หนา 231
(1)
มุคอดรอม คือ ชนเผากลุมหนึ่งของชาวเยเมน
(2)
มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 231
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 49
5. จํานวนรุนของตาบิอีน
อุละมาอฺตาบิอีนโดยรวมแลวแบงออกเปน 3 รุนดวยกันคือ
รุนที่ 1 ตาบิอีนรุนอาวุโส
ตาบิอีนรุนอาวุโส คือ ผูที่พบเห็นเศาะหาบะฮฺ ไดเรียนรูเรื่องตางๆ ของ
ศาสนาและ รับหะดีษโดยตรงจากเศาะหาบะฮฺ เชน สะอีด เบ็ญ อัลมุสัยยิบ-
กอยสฺ เบ็ญซัยดฺ เปนตน
รุนที่ 2 ตาบิอีนรุนกลาง
ตาบิอีนรุนกลางคือ ผูที่พบเห็นเศาะหาบะฮฺบางทานเทานั้นโดยเฉพาะ
เศาะหาบะฮฺรุนเล็กและรวมสมัยกับตาบิอีนรุนอาวุโส เชน อัลหะซันอัลบัศรีย
มุฮัมมัด เบ็ญสีรีน อิมาม อัซซุฮฺรีย และเกาะตาดะฮฺ เปนตน ตาบิอีนรุนนี้
เปนอุละมาอฺที่มีชื่อเสียงในการรายงานและบันทึกหะดีษ
รุนที่ 3 ตาบิอีนรุนเล็ก
ตาบิ อี น รุ น เล็ ก คื อ ผู ที่พบเห็น ตาบิ อี น รุ น กลางและร ว มสมั ยกั บ เศาะ-
ฮาบะฮฺรุนเล็กบางทาน พวกเขาไมไดพบเห็นเศาะหาบะฮฺรุนอาวุโส เชน อัลอะอฺ
มัช อิบนุ ุรัอยจญ อิมาม อะบูหะนีฟะฮฺ เปนตน
ผูรายงานหะดีษในรุนตาบิอีนทั้งหมดเปนผูรายงานซึ่งอยูในชวงกลางของ
สะนัด บางสะนัดจะพบวาในรุนนี้จะมีผูรายงานหะดีษติดตอกันถึงสองหรือสาม
ท า น คุ ณ ลั ก ษณะของตาบิ อี น ผู เ ป น นั ก รายงานหะดี ษ มี ทั้ ง ที่ เ ป น ษิ เ กาะฮฺ
เศาะดูกฺ เฎาะอีฟ มัจฮูล ฟาสิก และโกหก เปนตน
รุนที่สาม รุนตาบิอฺ ตาบิอีน (ตั้งแตป 124 ฮ.ศ. ถึงป 224 ฮ.ศ.)(1)
1. ความหมายของตาบิอฺ ตาบิอีน
ตามหลักภาษาศาสตร คือ ผูที่เดินตามหลังชนรุนกอน
(1)
อับดุลวะฮาบ อัลดุลละตีฟ หนา 21
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 50
ตามหลักวิชาการ คือ ผูที่พบเห็นตาบิอีน ศรัทธาตอทานนบี และเสียชีวิต
ในอิสลาม พวกเขาไมไดพบเห็นทานนบี และไมไดพบเห็นเศาะหาบะฮฺ(2)
2. ผูรายงานหะดีษ(3)
ผูรายงานหะดีษจากรุนตาบิอฺตาบิอีนที่มีชื่อเสียง และเปนที่รูจักกันในหมู
นักวิชาการและสังคมมุสลิมก็คือ
1. ซุฟยาน เบ็ญ สะอีด อัสเษารีย (161ฮ.ศ.)
2. อิมามมาลิก เบ็ญ อะนัส (179 ฮ.ศ.)
3. วะกีอฺ เบ็ญ อัลญัรรอหฺ (190 ฮ.ศ.)
4. ซุฟยาน เบ็ญ อุยัยนะฮฺ (198 ฮ.ศ.)
5. ฎอมิเราะฮฺ เบ็ญ เราะบีอะฮฺ (202 ฮ.ศ.)
6. อิมามมุฮัมมัด เบ็ญ อิดริส อัชชาฟอีย (204 ฮ.ศ.)
7. อัลฟฎลฺ เบ็ญ ดุกัอยนฺ (218 ฮ.ศ.)
8. มุสัดดัด เบ็ญ มุซัรฮัด (220 ฮ.ศ.)
และทานอื่นๆ
อุละมาอฺตาบิอฺ ตาบิอีน สวนมากเปนผูรายงานที่มีความจําในระดับดีหรือ
ดี เ ยี่ ย มและเป น ผู ร ายงานที่ มี ค วามรู แ ม น ยํ า ทั้ ง ในด า นการรายงานและการ
ทองจําหะดีษตลอดจนมีความสามารถในการวิเคราะหดานคุณธรรมและความ
บกพรองของผูรายงานหะดีษทุกคนตั้งแตชวงตนจนถึงชวงสุดทายของสะนัด(4)
3. รุนตาง ๆ ของตาบิอฺ ตาบิอีน
(2)
มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 231
(3)
บางคนเปนทั้งนักรายงานหะดีษและนักฟกฮฺ บางคนเปนผูเชี่ยวชาญเฉพาะหะดีษอยางเดียว
(4)
รายงละเอียดตางๆ ที่เกี่ยวของกับสถานภาพดานคุณธรรมและความบกพรองจะมีการอธิบายในบทตอไป
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 51
อุลามาอฺตาบิอฺ ตาบิอีน ที่เปนผูรายงานหะดีษ ตั้งแตบุคคลแรกจนถึง
บุคคลสุดทายที่เสียชีวิตแบงออกเปน 3 รุนคือ
รุนที่ 1 ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนอาวุโส
ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนอาวุโส คือ ผูที่พบเห็นตาบิอีน ไดเรียนรูเรื่องตางๆ
ของศาสนาและรับ หะดีษโดยตรงจากตาบิอีน เชน อิมามมาลิก เบ็ญอะนัส
ซุฟยาน อัซเษารีย เปนตน
รุนที่ 2 ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนกลาง
ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนกลาง คือ ผูที่พบเห็นรุนตาบิอีนบางทานเทานั้นและรวม
สมัยกับตาบิอีนรุนอาวุโส เชน ซุฟยาน เบ็ญอุยัยนะฮฺ อิบนุ อุลัยยะฮฺ เปนตน
รุนที่ 3 ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนเล็ก
ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนเล็ก คือ ผูที่ไดพบเห็นและรวมสมัยเดียวกันกับตาบิอฺ
ตาบิอีน รุนกลาง แตพวกเขาไมไดพบเห็นเศาะหาบะฮฺ เชน อิมามอัชชาฟอีย
อะบูดาวูด อัตตอยาลิซีย เปนตน
4. สถานภาพของนักรายงาน
สถานภาพโดยทั่วไปของรุนตาบิอฺ ตาบิอีน มีทั้งผูรายงานที่เชื่อถือไดใน
การรายงานหะดีษและมีผูที่เชื่อถือไมได เนื่องจากหลายสาเหตุดวยกันเช น
ความจําไมดี ปกปดอาจารย ไมเปนที่รูจักกันวาเปนผูรายงานหะดีษ เปนคน
โกหก เปนตน
รุนที่สี่ รุนอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีน (ตั้งแตป224 จนถึงป 303 แหงฮิจเราะฮฺ
ศักราช)(1)
1. ความหมายของอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีน
ตามหลักภาษา คือ ผูที่เดินตามหลังชนรุนกอนพวกเขา
(1)
อัลดุลวะฮาบ อัลดุลละตีฟ หนา 48
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 52
ตามหลักวิชาการ คือ ผูที่ไดพบเห็นรุนตาบิอฺ ตาบิอีน ศรัทธาตอทาน
นบี และเสียชีวิตในขณะที่นับถือศาสนาอิสลาม
2. ผูรายงานหะดีษ
ผูที่มีชื่อเสียงในการรายงานหะดีษของอุละมาอฺรุนนี้มีมากมายแตที่จะ
กลาวในที่นี้เปนตัวอยางเพียงบางทานเทานั้น ในจํานวนนี้มีคณาจารยของอิมาม
ทั้งหกดวย(2)เชน
1. หัฟศ เบ็ญ อุมัร (225 ฮ.ศ.)
2. อับดุลเลาะ เบ็ญ มุฮัมมัด อันนุฟยลีย (234 ฮ.ศ.)
3. อะบูบักร เบ็ญ อะบีชัยบะฮฺ (239 ฮ.ศ.)
4. มุฮัมมัด เบ็ญ อัลอะลาอฺ (247 ฮ.ศ.)
4. มุฮัมมัด เบ็ญ ยะหฺยา เบ็ญฟาริส (255 ฮ.ศ.)
5. มุฮัมมัด เบ็ญ บะซาร (250 ฮ.ศ.)
และทานอื่นๆ
อุ ล ะมาอฺ รุ น นี้ ส ว นมากแล ว จะอยู ใ นช ว งท า ยของสะนั ด หะดี ษ (สาย
รายงาน) ในบรรดานักรายงานทั้งสามชวงของสะนัด
3. รุนตาง ๆ ของอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีน
ผูรายงานหะดีษในรุนอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีนแบงออกเปน 3 รุน ดังนี้
รุนที่ 1 อัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนอาวุโส คือ ผูที่พบเห็นตาบิอฺ ตาบิอีน
เชน อิมาม อะหฺมัด เบ็ญ หันบัล อะบูบักร อิบนุ อะบีชัยบะฮฺ เปนตน
(2)
อิมามทั้งหกหรืออัศหาบ อัลกุตุบ อัซซิตตะฮคือ อัลบุคอรีย ( )ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱมุสลิม ( )ﻣﺴﻠﻢอะบูดาวูด ()ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ
อัตตัรมิซีย ( )ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱอันนะสาอีย ( )ﺍﻟﻨﺴﺎﺋﻲและอิบนุมาญะฮฺ ( )ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪและอีกกลุมหนึ่งเรียกวาอิมามทั้งเกา
หรือที่รูจักกันในนาม อัศหาบ อัลกุตุบ อัตติสอะฮ คือ อิมามอีก3ทาน อะหฺมัด เบ็ญฮันบัล ( )ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺟﻨﺒﻞอิ
มามมาลิก ( )ﻣﺎﻟﻚและอัดดาริมีย ()ﺍﻟﺪﺍﺭﻣﻲ
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 53
รุนที่ 2 อัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนกลาง คือ ผูที่พบเห็นตาบิอฺ ตาบิอีน
และรวมสมัยกับตาบิอฺ ตาบิอีนรุนกลาง
รุนที่ 3 อัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนเล็ก คือ ผูที่พบเห็นและรวมสมัยกับ
ตาบิอฺตาบิอีนรุนเล็ก แตพวกเขาไมไดพบเห็นตาบิอฺ ตาบิอีนรุนอาวุโส
4. สถานภาพของนักรายงานหะดีษ
ผูรายงานหะดีษทั้งสามรุนหรือสี่รุนดังที่กลาวขางตน คือ สุดยอดของนัก
รายงานหะดีษโดยที่ พวกเขาเหล านั้นได ทุมเทความพยายามอยางสูงในการ
รวบรวมหะดี ษ วิ ธี ก ารที่ ใ ช เป น วิ ธี ก ารที่ ยอดเยี่ ยม ได ว างรากฐานที่ เกี่ยวกั บ
หลักการและระเบียบตางๆ ในการรายงานหะดีษ ในชวงระยะดังกลาวบรรดา
อุ ล ะมาอฺ เ หล า นี้ ก็ ไ ด ส ะสมผลงานที่ น า ยกย อ งเป น อย า งมากโดยเฉพาะใน
สาขาวิชาหะดีษดังนี้
หนึ่ง ติดตามสายรายงานหะดีษ(1)
สอง ใหการยอมรับตัวบทหะดีษ(2)
สาม วิเคราะหสถานภาพของผูรายงานแตละคนจนสามารถแยกระหวาง
ผูรายงานที่มีคุณธรรมกับผูรายงานที่ฟาสิก(3)
ถึงอยางไรก็ตามเรื่องสะนัดหรือสายรายงานหะดีษเปนเรื่องที่สําคัญใน
บรรดาเรื่องตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับสาขาวิชาหะดีษ จากการศึกษาเรื่องสะนัดอยาง
จริงจังทําใหทราบวา บรรดาอุลามาอฺหะดีษสามารถจําแนกหะดีษออกเปนหลาย
ระดับ เชน หะดีษเศาะหีหฺ หะดีษเฎาะอีฟ และหะดีษเมาฎอฺ หะดีษที่แข็งแรง
และหะดี ษ อ อ น หะดี ษ ที่ ใ ช ไ ด แ ละหะดี ษ ที่ ใ ช ไ ม ไ ด ยะหฺ ย า เบ็ ญ สะอี ด
อั ล ค อ ตฏอน กล า วตอบคํ า ถามที่ ว า “คุ ณ ไม ก ลั ว หรื อ ที่ คุ ณ ได ตํ า หนิ แ ละไม
(1)
มุสลิม : 1/11
(2)
อักรอม ฎิยาอฺ อัลอุมะรีย หนา 24
(3)
หนังสือเดิม
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 54
ยอมรับหะดีษจากการรายงานของพวกเขา (ผูรายงานที่มีความบกพรอง) ซึ่งจะ
เปนผูที่โตแยงทาน ณ อัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺ? ทานยะหฺยาตอบวา ฉันคิดวาการ
โตตอบของพวกเขาในเรื่องดังกลาวดีกวาที่ทานนบีจะตําหนิฉันดวยคํากลาวของ
ทานนบี ที่วา “ทําไมทานเปนผูโกหกตอหะดีษของฉัน”(1)
4. ประเภทของสะนัด
หะดีษทุกบทเมื่อพิจารณาสายรายงานตั้งแตตนสะนัดจนถึงปลายสะนัด
อาจจะแบงออกเปน 2 ประเภท คือ
ประเภทที่หนึ่ง สะนัดอาลีย ()ﺍﻟﺴﻨﺪ ﺍﻟﻌﺎﱄ
สะนัดอาลีย หมายถึง สายรายงานที่มีผูรายงานเปนจํานวนนอย หาก
เปรียบเทียบกับสะนัดอื่น ซึ่งบรรดาอุละมาอฺมีความเห็นที่แตกตางกันในเรื่อง
จํานวนที่แนนอนของจํานวนนอย บางทัศนะกลาววา อยางนอยมีสามคนและ
บางทัศนะระบุวาหาคน เชน สะนัดของหะดีษที่บันทึกโดยอิมามมาลิก เบ็ญอะนัส
ในหนังสือ อัลมุวัตเฏาะอฺ
ประเภทที่สอง สะนัดนาซิล ()ﺍﻟﺴﻨﺪ ﺍﻟﻨﺎﺯﻝ
สะนัดนาซิล หมายถึง สายรายงานที่มีผูรายงานเปนจํานวนมาก หาก
เปรียบเทียบกับสะนัดอื่นที่มีผูรายงานนอย(2) หมายความถึง ผูรายงานที่มี
จํานวนระหวางสามทานหรือหาทานขึ้นไป เชน สะนัดของหนังสือหะดีษทั้งหก
และหนังสืออื่น ๆ(3)
ระหวางสองประเภทสะนัดนี้ สะนัดอาลียจะมีฐานะสูงกวาสะนัดนาซิล
เพราะการที่ ห ะดี ษ บทใดมี ผูร ายงานจํ า นวนน อ ยก็แ สดงให เห็ น ว า หะดีษ นั้ น
(1)
มุศฏอฟา อัสสิบาอีย หนา 98
(2)
มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 180
(3)
หนังสืออื่น ๆ เชน หนังสืออัลมะสานีด หนังสืออัลมะอาญิม และหนังสืออัซซุนัน
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 55
ภายในตัวมีความแข็งแรงกวาและมีน้ําหนักมากกวาสายรายงานที่มีผูรายงาน
เปนจํานวนมาก
ตัวอยางลักษณะของสะนัด
สะนัด
สะนัดอาลีย สะนัดนาซิล
ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ
ﺍﺑﻦ ﻋﻤﺮ
ﻃﺎﻭﺱ
ﻧﺎﻓﻊ
ﺃﺑﻮ ﺍﻟﺰﺑﲑ
ﻣﺎﻟﻚ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﲪﻴﺪ
(1/82)
ﳛﻲ ﺑﻦ ﺁﺩﻡ
ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ
ﺍﻟﻨﺴﺎﺋﻲ
(3/35
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 56
สวนที่ 2 มะตันหะดีษ
ตามที่ ไ ด ก ล า วมาแล ว ว า หะดี ษ แต ล ะบทที่ ม าจากท า นนบี โ ดยผ า น
กระบวนการรายงานนั้นมีสวนประกอบ 2 สวน คือ สะนัดหะดีษและมะตันหะดีษ
สวนที่หนึ่ งก็ ไดอธิบายไปแลวก อนหนา นี้และส วนที่ สอง คือ มะตันหะดีษ ซึ่ ง
ประกอบดวยรายละเอียด ดังตอไปนี้
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร คําวา ﻣﱳแปลวา สิ่งที่ยกมาจากพื้นดิน
ตามหลักวิชาการ แปลวา สิ่งที่สิ้นสุดของสะนัดจากคําพูดหรือการ
กระทํา
มะตันหะดีษโดยสังเกตจากความหมายแลวสามารถพาดพิงถึงใครก็ได
เชน มะตันหะดีษ กุดสีย มะตันหะดีษมัรฟูอฺ มะตันหะดีษเมากูฟ และมะตัน
หะดีษมักฏอฺ
2. ลักษณะของมะตันหะดีษ
เมื่อพิจารณามะตันหะดีษหรือตัวบทหะดีษโดยรวม จะเห็นไดวามะตัน
หะดีษนั้นประกอบ ดวยคําพูดหลายลักษณะหรือหลายทํานองพอสรุปไดดังนี้
1. คําพูดที่มาจากอัลลอฮฺ และทานนบี
2. คําพูดที่มาจากทานนบีเพียงคําเดียว
3. คําพูดของทานนบีผสมผสานกับคําพูดของเศาะหาบะฮฺ
4. คําพูดของทานนบีผสมผสานกับคําพูดของตาบิอีน
5. คําพูดของคนหนึ่งคนใดแลวพาดพิงไปยังทานนบี
6. คําพูดของชาวยะฮูดียและนะศอรอ หรือที่เรียกวา อิสรออีลิยะฮฺ
บทที่ 5 สะนัดและมะตัน 57
ทั้ ง นี้ คํ า พู ด เหล า นี้ จํ า เป น ต อ งทํ า การศึ ก ษาอย า งถี่ ถ ว นและทํ า การ
วิเคราะหอยางละเอียดโดยยึดหลักทางวิชาการ เพื่อแยกแยะระหวางคําพูดของ
ทานนบี กับคําพูดของคนอื่น ๆ
การจําแนกหะดีษ
การจําแนกประเภทของหะดีษจะพิจารณาจาก 2 ดาน
พิจารณาผูที่ถูกพาดพิง มี 4 ประเภท
ประเภทที่ 1 หะดีษกุดสีย
ประเภทที่ 2 หะดีษมัรฟูอฺ
ประเภทที่ 3 หะดีษเมากูฟ
ประเภทที่ 4 หะดีษมักฏอฺ
พิจารณาที่มาถึงมือพวกเรา มี 2 ประเภท
ประเภทที่ 1 หะดีษมุตะวาติร
ประเภทที่ 2 หะดีษอาหาด
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
58
บทที่ 6
การจําแนกหะดีษ
โดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
ประเภทที่ 1 หะดีษกุดสีย
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻗﺪﺳ ّﻲแปลวา สะอาด บริสุทธิ์ เชน น้ําที่สะอาดหรือน้ําที่บริสุทธิ์
ดังนั้น หะดีษ กุดสีย คือ หะดีษที่บริสุทธิ์
ตามหลักวิชาการ
หะดีษกุดสีย หมายถึง หะดีษที่รายงานโดยทานนบี ดวยสายรายงาน
ของทานเองพาดพิงถึงอัลลอฮฺ (1)
สาเหตุ ที่ เ รี ย กหะดี ษ เป น หะดี ษ กุ ด สี ย เ พราะคํ า พู ด นั้ น พาดพิ ง ไปยั ง
อัลลอฮฺ ซึ่งเปนคําพูดที่สะอาดบริสุทธิ์
2. การรายงานหะดีษกุดสีย
สําหรับการรายงานหะดีษกุดสียนั้นสามารถรายงานโดยใชสํานวนหนึ่ง
สํานวนใดจาก 2 สํานวนดวยกัน
(1)
มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 120
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
59
สํานวนที่ 1 ผูรายงานกลาววา จากทานนบี ตามที่ทานไดรายงาน
จากอัลลอฮฺ หรือ พระเจา พระองคทรงตรัสวา “…………….” ตัวอยางเชน
(1)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย เลมที่8 หนา 103
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
60
สํานวนที่ 2 ผูรายงานกลาววา รสูลุลลอฮฺ กลาววา อัลลอฮฺ
ทรงตรัสวา “………….” ตัวอยางเชน
จากสองสํานวนที่ไดกลาวขางตน การรายงานหะดีษกุดสียจะใชสํานวน
เฉพาะ เจาะจง คือ สํานวนหนึ่งสํานวนใดเทานั้น ไมสามารถที่จะเปลี่ยนเปน
สํ า นวนอื่ น ได ฉะนั้ น การที่ จ ะรู จั ก หะดี ษ กุ ด สี ย นั้ น จะต อ งสั ง เกตสํ า นวนการ
รายงาน เพราะทั้งสองสํานวนนั้นจะใชสําหรับรายงานหะดีษประเภทอื่น ๆ มิได
3. ขอแตกตางระหวางหะดีษกุดสียกับอัลกุรอานและหะดีษนะบะวีย
ระหวางหะดีษกุดสียกับอัลกุรอานและหะดีษนะบะวียมีความแตกตางทั้ง
ทางดานตัวบทและความหมาย คือ
ก. อัลกุรอาน
1. อัลกุรอานเปนคําตรัสที่เต็มไปดวยมุอฺญิซะฮฺ
2. อัลกุรอานมาจากอัลลอฮฺ ทั้งตัวบทและความหมาย
(2)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย เลมที่ 11 หนา 340-341
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
61
3. อัลกุรอานใชประกอบอิบาดะฮฺได
4. อัลกุรอานถูกประทานลงมาโดยผานมลาอิกะฮฺญิบรีล
5. อัลกุรอานไมอนุญาตใหจับหรือแตะตองถาไมมีวุฎอฺ (น้ําละหมาด)
6. อัลกุรอานตองมาจากการรายงานอยางมุตะวาติร(1)
ข. หะดีษกุดสีย
1. หะดีษกุดสียไมใชคําพูดที่เปนมุอฺญิซะฮฺ
2. หะดีษกุดสียมาจากอัลลอฮฺในแงความหมาย สวนถอยคําเปน
ของทานนบี
3. หะดีษกุดสียใชประกอบอิบาดะหไมได
4. หะดีษกุดสียไมจําเปนตองผานมลาอิกะฮฺญิบรีล
5. หะดีษกุดสียอนุญาตใหจับหรือแตะตองโดยไมมีวุฎอฺ
6. หะดีษกุดสียไมจําเปนตองมาจากการรายงานอยางมุตะวาติร
ค. หะดีษนะบะวีย
1. หะดีษนบีไมใชคําพูดที่เปนมุอญิซะฮฺ
2. หะดีษนบีทั้งตัวบทและความหมายมาจากทานนบี
3. หะดีษนบีใชประกอบอิบาดะฮฺไมได
4. หะดีษนบีไมจําเปนตองผานมลาอิกะฮฺญิบรีล
5. หะดีษนบีอนุญาตจับหรือสัมผัสโดยไมมีวุฎอฺ
6. หะดีษนบี มีทั้งหะดีษมุตะวาติรและหะดีษอาหาด
ที่จริงแลวขอแตกตางระหวางหะดีษกุดสียกับอัลกุรอานและหะดีษนะบะ
วีย(2)มีอีกมากมายที่ยังไมไดระบุไวในหนังสือเลมนี้ ไมวาจะพิจารณาดานใดก็
(1)
มุตะวาติร หมายถึง การรายงานของผูคนเปนจํานวนมาก (ดูรายละเอียดหนา 59-64 หนังสือเลมนี้)
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
62
ตาม เชน สํานวนโวหาร การนํามาใชเปนหลักฐาน การประกอบอิบาดะฮฺ
หุกมหะกัม ความเปนมุอฺญิซะฮฺ ลักษณะคําพูด เปนตน
4. จํานวนหะดีษกุดสีย
หะดีษกุดสียมีจํานวนไมมากเมื่อเทียบกับหะดีษนะบะวียโดยประมาณมี
จํานวน 200 กวาหะดีษเทานั้น
5. ระดับของหะดีษกุดสีย
หะดีษกุดสียมีหลายระดับดวยกันทั้งที่เปนหะดีษกุดสียเศาะหีหฺ หะดีษ
กุ ด สี ย ห ะซั น หะดี ษ กุ ด สี ย ฎ ออี ฟ และหะดี ษ กุ ด สี ย เ มาฎ อฺ ซึ่ ง ขึ้ น อยู กั บ
สถานภาพของผูรายงานแตละทานทั้งทางดานคุณธรรมและความบกพรอง ทั้งนี้
เพราะหะดี ษ กุ ด สี ย มี ส ายรายงานเหมื อ นกั บ หะดี ษ นะบะวี ย ที่ ป ระกอบด ว ย
ผูรายงานที่มีสถานภาพหลากหลาย
6. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดีษกุดสียที่อยูในระดับเศาะหีหฺหรือหะซันจําเปนจะตองนํามาใชเปน
หลักฐาน สวน หะดีษกุดสียที่มีระดับเฎาะอีฟหรือเมาฎอฺไมอนุญาตใหนํามาใช
เปนหลักฐาน
7. ตําราที่เกี่ยวของ
(2)
อัลกุรอาน, ความหมายและตัวบทมาจากอัลลอฮฺ หะดีษกุดสีย, ความหมายมาจากอัลลอฮฺ สวนตัวบทมา
จากรสูลุลลอฮฺ และหะดีษนะบะวีย, ความหมายและตัวบทมาจากรสูลุลลอฮฺ
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
63
ประเภทที่ 2 หะดีษมัรฟูอฺ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﺮﻓﻮﻉแปลวา ยกขึ้นไปยัง หรือพาดพิงถึง เชน ยกสิ่งของไปยัง
คนหนึ่งคนใด หรือพาดพิงถึงคน ๆ หนึ่ง ในดานภาษาคําวา “ ”ﻣﺮﻓﻮﻉจะใชได
กับทานนบี บุคคลทั่วไปหรือแมแตสิ่งของก็ตาม
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมัรฟูอฺ คือ สิ่งที่ผูรายงานพาดพิงถึงทานนบี โดยระบุเปนคําพูด
การกระทํา การยอมรับ หรือคุณลักษณะตลอดจนชีวประวัติของทานนบี(1)
ในทางปฏิบัติจริงหะดีษมัรฟูอฺมักจะใชในลักษณะเฉพาะเจาะจงกับทานนบี
เทานั้น การใชในลักษณะเชนนี้เปนที่รูกันอยางแพรหลายในหมูนักวิชาการทุก
สาขา
2. ชนิดและตัวอยางของหะดีษมัรฟูอฺ
จากนิยามขางตนพอสรุปไดวา หะดีษมัรฟูอฺมี 4 ชนิดดวยกัน คือ มัรฟูอฺ-
เกาลีย (ที่เปนคําพูด) มัรฟูอฺฟอฺลีย (การกระทํา) มัรฟูอฺตักรีรีย (การยอมรับ)
และมัรฟูอฺวัศฟย (คุณลักษณะ)
ชนิดที่ 1 หะดีษมัรฟูอฺเกาลีย (ﱄ
)ﺍﳌﺮﻓﻮﻉ ﺍﻟﻘﻮ ﹼ
หมายถึ ง คํ า พู ด ของท า นนบี ที่ ไ ด ก ล า วในสถานการณ ต า ง ๆ จะ
เกี่ยวกับเรื่องศาสนาหรือเรื่องทางโลก เชน การดุอาอฺ การใหคําตักเตือน การ
อาน เปนตน
(1)
ดู ความหมายของหะดีษ หนา 9
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
64
หะดีษมัรฟูอฺชนิดนี้ เรียกอีกชื่อวา หะดีษเกาลีย ตัวอยาง มีเศาะ
หาบะฮฺทานหนึ่งไดรายงานวา ทานนบี ไดกลาวเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งใน
สถานการณ สถานที่ และเวลา เปนตน เชน กลาวถึงเรื่องหะลาลและหะรอม
การหาม คําตักเตือน และอื่น ๆ
หะดีษมัรฟูอฺเกาลียจะใหหุกมทั้งที่เปนวาญิบ สุนัต หะรอม และมักรูฮฺ ซึ่ง
ขึ้นอยูกับสํานวนคําพูดที่กลาวออกมาหรือกรณีแวดลอมอื่น ๆ
ชนิดที่ 2 หะดีษมัรฟูอฺฟอฺลีย ()ﺍﳌﺮﻓﻮﻉ ﺍﻟﻔﻌﻠ ّﻲ
หมายถึง การกระทําของทานนบี ตอหนาศอหาบะฮฺหรือตอหนาทาน
หญิงในกลุมภริยาของทาน การกระทําในทุก ๆ อิริยาบถของทานนบีไมวาจะเปน
เรื่องสวนตัว อิบาดะฮฺ มุอามะลาต มุนากะฮาต เปนตน
หะดี ษ มั ร ฟู อฺ ฟ อฺ ลี ย เรี ย กอี ก ชื่ อ หนึ่ ง ว า หะดี ษ ฟ อฺ ลี ย (2) ตั ว อย า งเช น
เศาะหาบะฮฺ กลาววา การกระทําของทานนบี อยางนี้หรือทานนบีไดปฏิบัติ
ในลักษณะนี้
หะดีษ มัร ฟูอฺฟอฺลียจะให หุก มทั้ งที่ เปนวาญิบ สุ นัต หะรอม และมักรู ฮฺ
เหมือนกับ หุกมของหะดีษมัรฟูอฺเกาลีย
ชนิดที่ 3 หะดีษมัรฟูอฺตักรีรีย (ﻱ ّ )ﺍﳌﺮﻓﻮﻉ ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺮ
หมายถึง การยอมรับของทานนบี ตอการกระทําของเศาะหาบะฮฺบาง
คนที่ไดปฏิบัติตอหนาทานนบี หรือใหการยอมรับตอคําอานของเศาะหาบะฮฺ
บางคนที่ไดอานตอทาน
หะดี ษ มั ร ฟู อฺ ช นิ ด นี้ เ รี ย กอี ก ชื่ อ หนึ่ ง ว า หะดี ษ ตั ก รี รี ย ตั ว อย า งเช น
เศาะหาบะฮฺทานหนึ่งกลาววา ไดมีการปฏิบัติตอหนาทานนบี อยางนี้ และ
(2)
มัรฟูอฺฟอฺลียไมวาการกระทํานั้นเปนเรื่องสวนตัวของทานนบี หรือไมก็ตาม หุกมของการกระทําสําหรับ
ทานนบี เพียงผูเดียวหรือรวมถึงประชาชาติดวย
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
65
ไมมีการปฏิบัติจากทานในเรื่องดังกลาว การใหการยอมรับของทานนบี
มักจะใชสํานวนที่หลากหลาย เชน
1. สํานวนที่ชัดเจนตอขอซักถามของเศาะหาบะฮฺ เชน ทานนบี กลาว
วา “คุณปฏิบัติถูกตองแลว” (َﺻْﺒﺖ َ )ﹶﺃ
2. สํานวนที่พูดในเชิงใหกําลังใจตอการกระทําของเศาะหาบะฮฺ หรือตอ
คําพูดของพวกเขา เชน ทานนบี กลาววา “แทจริงอัลลอฮฺ ทรงรักเขา”
( )ﺇﻥ ﺍﷲ ﳛﺒﻪเปนตน
3. การเงียบตอการกระทําของเศาะหาบะฮฺบางคน กลาวคือ ทานนบี
ไมไดปฏิเสธ หรือไมไดใหการยอมรับ เชน ไมไดสั่งและไมไดหามเศาะหาบะฮฺ
หะดีษมัรฟูอฺตักรีรียจะมีเพียงหุกมเดียวเทานั้น คือ หุกมมุบาหฺ (ฮารุส)
อนุญาตใหปฏิบัติได กลาวคือ ผูใดตองการปฏิบัติก็สามารถทําไดและผูใดไม
ประสงคจะปฏิบัติก็ไมผิดกับบทบัญญัติอิสลามแตอยางใด หะดีษมัรฟูอฺชนิดนี้
เปนการเปดโอกาสแกประชาชาติในเรื่องตางๆ โดยเฉพาะเรื่องที่สามารถอํานวย
ประโยชนในการดํารงชีวิต
ชนิดที่ 4 หะดีษมัรฟูอฺวัศฺฟย ()ﺍﳌﺮﻓﻮﻉ ﺍﻟﻮﺻﻔ ّﻲ
หมายถึ ง คุ ณ ลั ก ษณะที่ ท า นนบี ไ ด ป ฏิ บั ติ ใ นทุ ก อิ ริ ย าบถและในทุ ก
สถานการณ ตลอดชีวิต เชน เศาะหาบะฮฺกลาววา ทานนบี ปฏิบัติตัวอยาง
นี้ หรือทานกลาวเชนนี้ เปนตน
หะดีษมัรฟูอฺตามลักษณะเชนนี้เรียกอีกชื่อวา หะดีษวัศฺฟย
หะดีษมัรฟูอฺวัศฟยจะมีหุกมทั้งที่เปนหุกมวาญิบ สุนัต และมุบาหฺ ซึ่งเปน
สิ่งที่ดีหากมีการปฏิบัติตามดังเชนการปฏิบัติของทานนบี
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
66
3. ระดับของหะดีษมัรฟูอฺ
หะดีษ มัรฟู อฺมีหลายระดับทั้งที่ เปนหะดีษเศาะหีหฺ หะดี ษหะซัน หะดีษ
เฎาะอี ฟ หะดี ษ ฎออี ฟ ญิ ด ดั น และเมาฎ อฺ หะดี ษ ทั้ ง ห า ระดั บ นี้ ก็ ขึ้ น อยู กั บ
สถานภาพของผูรายงานหะดีษแตละคนตั้งแตชวงตน ชวงกลางหรือชวงสุดทาย
ของสะนัด (รายละเอียดมีการอธิบายในบทที่ 5 และบทที่ 6)
4. การนํามาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตาม
หะดีษมัรฟูอฺนั้นใชวาสามารถใชเปนหลักฐานไดทั้งหมด หากแตบางหะดีษ
ใชเปนหลักฐานไดและบางหะดีษก็ใชเปนหลักฐานไมได ตามทัศนะของอุละมาอฺ
หะดี ษ หากหะดี ษ มั ร ฟู อฺ ส ามารถพาดพิงไปยังท า นนบี ด ว ยกระบวนการ
รายงานที่ถูกตองแลว วาญิบ จะตองปฏิบัติตามและนํามาใชเปนหลักฐานได
พึงทราบเปนการเบื้องตนวา หะดีษมัรฟูอฺบางครั้งจะขัดแยงกับหะดีษเมา
กูฟ และบางครั้งจะขัดแยงกับหะดีษมัรฟูอฺดวยกัน ในกรณีเชนนี้จะตองยึดปฏิบัติ
ตามหะดีษมัรฟูอฺที่มีฐานะเหนือกวา
ประเภทที่ 3 หะดีษเมากูฟ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﻮﻗﻮﻑเปนอาการนามในรูปของมัฟอูล (กรรม) มาจากคําวา
“ ”ﺍﻟﻮﻗﹾﻒซึ่งแปลวา หยุด หรือสุดที่
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
67
ตามหลักวิชาการ
หมายถึง สิ่งที่พาดพิงถึงบรรดาศอหาบะฮฺจะเปนคําพูด การกระทํา
และการยอมรับ ที่ไมใชพาดพิงถึงทานนบี (1)
การที่เรียกวา หะดีษเมากูฟนั้นก็เนื่องจากสิ้นสุดคําพูด การกระทํา และ
การยอมรับเพียงแคเศาะหาบะฮฺเทานั้น
2. ชนิดและตัวอยางของหะดีษเมากูฟ
จากนิยามขางตน หะดีษเมากูฟสามารถจําแนกออกเปน 3 ชนิดดังนี้
ชนิดที่ 1 หะดีษเมากูฟเกาลีย (ﱄ
)ﺍﳌﻮﻗﻮﻑ ﺍﻟﻘﻮ ﹼ
หมายถึง คําพูดของศอหาบะฮฺที่ไดกลาวในเวลาและสถานที่ตาง ๆ ที่
ไมมีสวนเกี่ยวของใด ๆ กับทานนบี
คําพูดหรือคํากลาวของเศาะหาบะฮฺที่ผูรายงานแอบอางไดยินหรือเห็น
โดยตรงจากเศาะหาบะฮฺซึ่งไมมีกรณีแวดลอม(1) บงชี้ถึงการอางมาจากทานนบี
แมแตคําเดียว แตหากมีกรณีแวดลอมแสดงถึงการพาดพิงถึงทานนบีจะไม
เรียกวา หะดีษเมากูฟ เชน ผูรายงานกลาววา มีเศาะหาบะฮฺทานหนึ่งกลาววา
“…………….” ตัวอยาง
(1)
อัลอิรอกีย หนา 51
(1)
กรณีแวดลอมเปนที่รูกันในหมูอุละมาอฺวา “ ”ﻗﺮﻳﻨﺔหรือหลักฐานจากอัลกุรอานและอัสสุนนะฮฺ
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
68
(2)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย เลมที่1 หนา 56
(3)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย เลมที่1 หนา 82
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
69
ตัวอยางหะดีษเมากูฟตักรีรีย เชน ตาบิอีนทานหนึ่งไดรายงานวา
เขาไดปฏิบัติอยางหนึ่งอยางใดตอหนาเศาะหาบะฮฺทานหนึ่ง แตไมไดรับการ
ปฏิเสธจากพวกเขาแมแตคนเดียว หรือตาบิอีนกลาววา เขาไดกระทําสิ่งหนึ่งตอ
หนาเศาะหาบะฮฺทานหนึ่ง เศาะหาบะฮฺทานนั้นใหการยอมรับตอการกระทํา
หรือพวกเขาไมปฏิเสธ ดังที่ปรากฏในคอบัรตอไปนี้
(4)
คือ เศาะหาบะฮฺใหการยอมรับตอคําพูดหรือการกระทําของเศาะหาบะฮฺดวยกัน หรือใหการยอมรับตอคํา พูด
หรือการกระทําของตาบิอีน และไมไดรับการคัดคานจากเศาะหาบะฮฺทานอื่น
(1)
ซูเราะฮฺอันนิสาอฺ อายะฮฺที่ 20
(2)
บันทึกโดยอับดุรรอซาคฺ (อางใน อัศศอนอานีย เลมที่3 หนา 321)
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
70
สิ่ ง ที่ น า สั ง เกตประการหนึ่ ง คื อ การที่ ผู ร ายงานกล า วพาดพิ ง ถึ ง
เศาะหาบะฮฺ แ ละเศาะหาบะฮฺ กล า วพาดพิ งไปยังท า นนบี ในลั ก ษณะใดก็
ตามที่สามารถเขาใจวามาจากทานนบี กรณีเชนนี้ไมใชเปนหะดีษเมากูฟ แต
เปนหะดีษมัรฟูอฺ(3)
3. ระดับของหะดีษเมากูฟ
หะดีษเมากูฟไมไดอยูในระดับเดียวกัน แตบางหะดีษอยูในระดับหะดีษ
ศอหีฮฺ บางหะดีษอยูในระดับหะซัน และบางหะดีษอยูในหะดีษฎออีฟ(4)
4. การนํามาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตาม
การนําหะดีษเมากูฟมาเปนหลักฐานนั้นใหพิจารณาจาก 2 ประการ คือ
ประการแรก หะดีษเมากูฟที่ไมใชหุกมมัรฟูอฺ หากอยูในระดับหะดีษเมากูฟที่
เศาะหีหฺหรือหะซันก็สามารถนํามาใชเปนหลักฐานได และยังสามารถใหการ
สนับสนุนหะดีษมัรฟูอฺเฎาะอีฟอีกดวย เนื่องจากบรรดาเศาะหาบะฮฺจะปฏิบัติ
ตามสุนนะห และประการที่สองคือ หะดีษเมากูฟที่มีหุกมเปนมัรฟูอฺก็มีฐานะ
เหมือนกับหะดีษมัรฟูอฺทุกประการ
ที่กลาวมาขางตนนั้น คือ ในกรณีที่หะดีษเมากูฟไมขัดแยงกับหะดีษมัรฟูอฺ
ที่ใชเปนหลักฐานได(1) สวนหะดีษเมากูฟที่ขัดแยงกับหะดีษมัรฟูอฺที่มีฐานะฎออีฟ
อุละมาอฺมีความเห็นที่แตกตาง ซึ่งบางทัศนะระบุวา ใหนําหะดีษเมากูฟใชเปน
หลักฐาน และบางทัศนะกลาววา ใหนําหะดีษมัรฟูอฺเฎาะอีฟเปนหลักฐานได แต
(3)
รายละเอียดจะอธิบายในเรื่องหะดีษเมากูฟหุกมมัรฟูอฺ
(4)
รายละเอียดมีการอธิบายในบทที่ 6
(1)
หะดีษเมากูฟและหะดีษมัรฟูอฺที่มีระดับเศาะหีหฺ หะซัน แมแตเฎาะอีฟ
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
71
ในกรณีหะดีษเมากูฟขัดแยงกับหะดีษเมาฎอฺ จะตองใชหะดีษเมากูฟเปน
หลักฐาน ถึงแมวาจะอยูในระดับหะดีษฎออีฟก็ตาม
แตในทางปฏิบัติจริง การนําหะดีษเมากูฟมาเปนหลักฐานนั้นมีอุลามาอฺ 2
กลุมดวยกัน คือ
กลุมที่หนึ่ง เปนการปฏิบัติของอิมามอัชชาฟอีย อิมามอะหฺมัด เบ็ญ หัน
บัล อิมาม อัลบัยฮะกียและอื่น ๆ ใชหะดีษเมากูฟเปนหลักฐาน ตามทัศนะของ
อุละมาอฺบางกลุม หะดีษเมากูฟตองมากอนกิยาสเสมอ(2) ตัวอยาง การยกมือ
ทั้งสองขางในการละหมาด ญะนาซะฮฺ ซึ่งอุละมาอฺกลุมนี้ใหฟตวาวา สุนัตใหยก
สองมือทุกครั้งเมื่อกลาวตักบีร ทั้ง 4 ครั้งโดยยึดหะดีษเมากูฟของอิบนุ อุมัรที่มี
ฐานะเปนหะดีษหะซัน(3)
กลุมที่สอง เปนการปฏิบัติของอิมามอะบูหะนีฟะฮฺ ซึ่งมีความเห็นวาหะดีษ
เมากูฟใชเปนหลักฐานไมได เนื่องจากเปนเพียงคําพูดของคนบางคนเทานั้น
คําพูดนั้นอาจจะถูกหรือผิดก็ได(4) ดวยเหตุดังกลาว อิมามอะบูหะนีฟะฮฺกลาววา
ไมสุนัตในการยกมือทั้งสองขางขณะกลาวตักบีรในละหมาดญะนาซะฮฺทั้งสี่ครั้ง
ทานใชหะดีษมัรฟูอฺเฎาะอีฟถือเปนหลักฐานเพื่อยืนยันตอฟตวาดังกลาว(5)
หะดีษเมากูฟที่มีหุกมเปนหะดีษมัรฟูอฺ
นอกจากหะดีษเมากูฟที่ไดอธิบายไปแลวนั้น จะมีหะดีษเมากูฟอีกชนิด
หนึ่ง ซึ่งเปนที่รูจักกันอยางแพรหลายในนาม หะดีษเมากูฟที่มีฐานะเปนหุกมมัร
ฟูอฺ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งวา หะดีษเมากูฟหุกมีย ที่เรียกหะดีษเชนนี้ก็เพราะเปน
(2)
ดู มัดกูร หนา 81
(3)
บันทึกโดยอัลบัยฮะกีย : 3/258
(4)
ดู มัดกูร หนา 81
(5)
บันทึกโดยอะบูดาวูด : 2/169
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
72
คํากลาวหรือการกระทําของเศาะหาบะฮฺแตมีการเกี่ยวพันกันกับทานนบี
ในเรื่องนั้น ๆ ในดานของหุกม กลาวคือ ตัวบทหะดีษเปนเมากูฟแตหุกมของหะ
ดีษเปนมัรฟูอฺ โดยทั่วไปแลวหะดีษในลักษณะนี้มี 3 ลักษณะดวยกัน คือ
ลักษณะที่ 1 คําพูดของเศาะหาบะฮฺที่ไมอยูในกรอบของการอิจญติฮาด
และไมไดอยูในฐานะของการอธิบายศัพทหรือขยายความเอง ตัวอยางเชน
1. คําอธิบายเกี่ยวกับเรื่องราวตาง ๆ ที่ผานมาในอดีตเกี่ยวกับการสราง
มัคลูก
2. คําพูดที่กลาวถึงเรื่องราวตาง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเชน มีการพูดถึง
การฆาฟนกัน ฟตนะฮฺตาง ๆ และวันกิยามะฮฺ เปนตน
3. คําพูดที่กลาวถึงผลตอบแทนที่มีตอมนุษย
ลักษณะที่ 2 ผูรายงานกลาวรายงานหะดีษแตพาดพิงถึงเศาะหาบะฮฺโดย
ใชคําหนึ่งคําใดตอไปนี้ “ ”ﻳﺮﻓﻌﻪหรือ “ ”ﻳﻨﻤﻴﻪหรือ “ ”ﻳﺒﻠﻎ ﺑﻪหรือ “”ﺭﻭﺍﻳﺔ ﻋﻨﻪ
ตัวอยางเชน หะดีษจากการรายงานของอัลอะอฺรอจญ กลาววา
ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺในบางสายรายงานกลาววา
พวกเขาจะตอสูกับกลุมหนึ่งที่มีอายุนอย(1)
(1)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 4/56
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
73
ลักษณะที่ 3 ผูรายงานกลาววา มีเศาะหาบะฮฺทานหนึ่งกลาวรายงาน
หะดีษโดยสํานวนการรายงานตอไปนี้ “ ”ﺃﻣﺮﻧﺎ ﺑﻜﺬﺍหรือ “ ”ﻬﻧﻴﻨﺎ ﻋﻦ ﻛﺬﺍหรือ
“ ”ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﻛﺬﺍและใชสํานวนอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน(2) ตัวอยางเชน
1. คําพูดของเศาะหาบะฮฺบางทานกลาววา
ความวา : “บิลาลไดสั่งพวกเราใหกลาวอะซานในสํานวนเปนคูและกลาว
อิกอมัตเปนคี่”(3)
2. คําพูดของอุมมุอะฏิยะฮฺกลาววา
3. คํารายงานของอะบูกิลาบะฮฺจากญาบิร กลาววา
(2)
สํานวนขางตนเปนสํานวนที่แสดงถึงการพาดพิงถึงทานนบี
(3)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 2/189
(4)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 3/56
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
74
นอกจากสํานวนที่กลาวมาแลวขางตน ยังมีอีกหลายสํานวนที่กลาวใน
ทํานอง และมีความหมายเดียวกันซึ่งไมจําเปนตองอธิบายซ้ําอีก
อยางไรก็ตาม หะดีษเมากูฟที่มีหุกมเปนมัรฟูอฺก็สามารถใชเปนหลักฐาน
ไดหากการรายงานของหะดีษนั้น ๆ มีฐานะเปนหะดีษเศาะหีหฺหรือหะดีษหะซัน
แตหากการรายงานไมไดอยูในระดับเศาะหีหฺหรือหะซันไมอนุญาตนํามาใชเปน
หลั ก ฐานได โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ในเรื่ อ งที่ เ กี่ ย วกั บ อะกี ด ะฮฺ อิ บ าดะฮฺ
การนิกาฮฺ เปนตน แตบางทัศนะมีความเห็นวา หะดีษเมากูฟหุกม มัรฟูอฺใช
เปนหลักฐานไดโดยไมตองวิเคราะหสถานภาพของหะดีษแตอยางใด เนื่องจาก
บรรดาเศาะหาบะฮฺไดปฏิบัติตามทานนบีในทุกสิ่งทุกอยางโดยไมตองสงสัยใด ๆ
ทั้งสิ้น
ประเภทที่ 4 หะดีษมักฏอฺ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﻘﻄﻮﻉเปนอาการนามในรูปของกรรม (อิสมฺ มัฟอูล) จากคําวา
“ ”ﹶﻗ ﹶﻄ َﻊแปลวา ขาด ตรงกันขามกับคําวา “ﺻ ﹸﻞ
ْ ”ﺍﻟﻮแปลวา ถึงหรือติอตอ ดังนั้น
(1)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 8/68
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
75
หะดีษมักฏอฺ หมายถึง หะดีษที่มีการรายงานไมถึงตนสาย คือ รสูลุลลอฮฺ
และเศาะหาบะฮฺ
`
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมักฏอฺ คือ สิ่งที่พาดพิงไปยังตาบิอีนเทานั้นทั้งที่เปนคําพูดและการ
กระทํา(2)
หะดีษประเภทนี้สามารถใชกับคําพูดหรือการกระทําของตาบิอฺ ตาบิอีน
เชน คําพูดของอิมามมาลิก เบ็ญ อะนัส อิมามอัชชาฟอีย อิมามอัษเษารีย เปน
ตน และยังสามารถใช กับคํ าพูดหรือการกระทํ าของอัตบาอฺ ตาบิ อฺ ตาบิอี น
เชนกัน เชน คําพูดหรือการกระทําของอิบนุอุยัยนะฮฺ อิบนุอุลัยยะฮฺ และทาน
อื่น ๆ
2. ชนิดและตัวอยางของหะดีษมักฏอฺ
จากนิยามขางตน หะดีษมักฏอฺแบงออกเปน 2 ชนิด
ชนิดที่ 1 หะดีษมักฏอฺเกาลีย (ﱄ )ﺍﳌﻘﻄﻮﻉ ﺍﻟﻘﻮ ﹼ
หมายถึง คําพูดของตาบิอีน ตาบิอฺตาบิอีน และอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีน
(1)
ที่ไดกลาวในเวลาและสถานการณตาง ๆ เชน คําพูดของอัลหะซัน อัลบัศรีย
เกี่ยวกับละหมาดตาม หลังอิมามมุบตะดิอฺ (อุตริ) กลาววา “จงละหมาดเถิด
ถึงแมวาเขาจะทําในเรื่องอุตริก็ตาม”(2)
ชนิดที่ 2 หะดีษมักฏอฺฟอฺลีย ()ﺍﳌﻘﻄﻮﻉ ﺍﻟﻔﻌﻠ ّﻲ
(2)
อัสสุยูฏีย : 2/ 96
(1)
อุละมาอฺทั้งสามรุนนี้เปนทั้งนักรายงาน นักบันทึกและนักทองจําหะดีษ
(2)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 1/158
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
76
หมายถึง การกระทําของตาบิอีน ตาบิอฺตาบิอีน หรืออัตบาอฺ ตา
บิอฺ- ตาบิอีน เชน คํารายงานของอิบรอเฮ็ม เบ็ญ มุฮัมมัด เบ็ญ อัลมุนตะศิรที่
กลาววา “อิมามมัสรูคไดกั้นมานระหวางเขากับครอบครัวของเขา ทานก็หันหนา
ทางกิบลัตในเวลาละหมาด ประกอบ อิบาดะฮฺ และใชสําหรับพูดคุยเรื่องดุนยา
ณ สถานที่นั้น”(3)
3. ระดับของหะดีษมักฏอฺ
หะดี ษ มั ก ฏ อฺ มี ทั้ ง ที่ เ ป น หะดี ษ มั ก ฏ อฺ เ ศาะหี หฺ หะดี ษ มั ก ฏ อฺ ห ะซั น และ
หะดีษมักฏอฺ เฎาะอีฟ และหะดีษมักฏอฺเมาฎอฺ
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดี ษ มั ก ฏ อฺ ไ ม อ นุ ญ าตให นํ า มาใช เ ป น หลั ก ฐานได ใ นเรื่ อ งเกี่ ย วกั บ
บทบัญญัติอิสลามและเรื่องอื่น ๆ เนื่องจากเปนคําพูดหรือการกระทําของบุคคล
หนึ่งเทานั้น แตหากมีกรณีแวดลอมบงชี้อยางชัดเจนวามาจากเศาะหาบะฮฺโดยใช
สํานวนรายงานที่ชัดเจน เชน“ ”ﻗﺎﻝหะดีษมักฏอฺในลักษณะนี้ จะมีหุกมเปน
หุกมมัรฟูอฺมุรซัล(4)
อีกประการหนึ่งที่สําคัญเกี่ยวกับคําพูดของบรรดาอุละมาอฺตาบิอีน ตาบิอฺ
ตาบิอีน และอัตบาอฺ ตาบิอฺตาบิอีนดังนี้
เมื่อพวกเขากลาววา “ ”ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻳﻔﻌﻠﻮﻥ ﻛﺬﺍแปลวา พวกเขาไดปฏิบัติอยาง
นี้ หรือกลาววา “ ”ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ ﻛﺬﺍแปลวา พวกเขาไดกลาวเชนนี้ หรือกลาว
วา “ ”ﻻ ﻳﺮﻭﻥ ﺑﺬﻟﻚ ﺑﺄﺳﹰﺎแปลวา พวกเขามีความเห็นวานั้นไมเปนไร สํานวน
(3)
บันทึกโดยอัดดัยละมีย : 2/96
(4)
รายละเอียดจะมีการอธิบายในเรื่องหะดีษมุรซัล
บทที่ 6 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาผูที่ถูกพาดพิง
77
เหลานี้มีความหมายแสดงการพาดพิงถึงเศาะหาบะฮฺทั้งที่เปนคําพูด การ
กระทําหรือแมแตการยอมรับ เวนแตมีหลักฐานบงชี้อยางชัดเจนวามาจากคน
อื่น ในทํานองเดียวกัน เมื่อพวกเขากลาววา “ ”ﻛﺎﻥ ﺍﻟﺴﻠﻒ ﻳﻔﻌﻠﻮﻥ ﻛﺬﺍแปลวา
ชาวสะลัฟไดปฏิบัติอยางนี้ หรือกลาววา “ ”ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ ﻛﺬﺍแปลวา ชาวสะลัฟได
กลาวเชนนี้
สํานวนตาง ๆ เหลานี้มีความหมายเจาะจงใชกับเศาะหาบะฮฺเทานั้น
เพราะคําวา “สะลัฟ” ที่มาจากคําพูดของตาบิอีน คือ เศาะหาบะฮฺ แตหากเปน
คํากลาวของคนอื่นจะมีความหมายดังนี้
ตาบิอฺตาบิอีนกลาววา ชาวสะลัฟ หมายถึงเศาะหาบะฮฺและตาบิอีน
อัตบาอฺ ตาบิอฺตาบิอีน กลาววา ชาวสะลัฟ หมายความถึง เศาะหาบะฮฺ
ตาบิอีน และตาบิอฺตาบิอีน
หากกลาววา ชาวสะลัฟ ที่มาจากคําพูดของคนในสมัยตอ ๆ มาหรือคนใน
สมัย มุตะอัคคิรูน หมายถึง เศาะหาบะฮฺ ตาบิอีน ตาบิอฺตาบิอีน และอัตบาอฺ
ตาบิอฺตาบิอีน หรือผูที่มีชีวิตอยูในชวง 300 ปแรกแหงฮิจเราะฮฺศักราช
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 78
บทที่ 7
การจําแนกหะดีษ
โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน
แผนภูมิการจําแนกหะดีษ…
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 79
แผนภูมกิ ารจําแนกหะดีษ
หะดีษ
หะดีษกุดสีย หะดีษนบี
หะดีษมุตะวาติร หะดีษอาหาด
หะดีษมักบูล หะดีษมัรดูด
หะดีษเศาะหีฮฺ หะดีษเฎาะอีฟ
หะดีษหะซัน หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดีษเมาฎอฺ
ประเภทที่ 1 หะดีษมุตะวาติร…
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 80
ประเภทที่ 1 หะดีษมุตะวาติร
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”َﺗﻮَﺍُﺗ ٌﺮมาจากรากศัพทของคําวา “”ﺗﻮﺍﺗﺮ ﻳﺘﻮﺍﺗﺮ ﺗﻮﺍﺗﺮﹰﺍแปลวา ติดๆ
กัน หรือไมขาดสาย เชน ฝนตกอยางติดตอกัน หมายถึงฝนตกลงมาติดตอกันไม
ขาดสาย สวนคําวา “ ”ﻣﺘﻮﺍﺗﺮเปนนามในรูปของประธานซึ่งเปนชื่อเฉพาะของหะ
ดีษมุตะวาติร
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมุตะวาติร คือ หะดีษที่มีการรายงานโดยบุคคลเปนจํานวนมาก ซึ่ง
เปน ไปไมไดที่บุคคลเหลานั้นจะสมรูรวมคิดโกหกตอทานนบี และหะดีษของ
ทาน(1)
2. เงื่อนไขของหะดีษมุตะวาติร
การที่จะเรียกหะดีษมุตะวาติรไดนั้นจะตองประกอบดวยเงื่อนไข 4 ประการ
ประการที่ 1 มีการรายงานโดยผูรายงานเปนจํานวนมาก(2)
ประการที่ 2 ผูรายงานจํานวนมากนั้นตองมีในทุกสายสะนัด(3)
(1)
ดู อัตตะฮานะวีย หนา 31
(2)
บรรดาอุละมาอฺมีความเห็นที่ตางกันเกี่ยวกับจํานวนผูรายงานขั้นต่ําของจํานวนมาก บางทัศนะกลาววาตั้ง แต 8
คนขึ้นไปบางทัศนะกลาววาตั้งแต 9 คนขึ้นไป และมีบางทัศนะกลาววาตั้งแต 10 คนขึ้นไป แตทัศนะที่ถูกตอง
คือ ทัศนะสุดทาย (ดู อัสสุยูฏีย : 2/188)
(3)
หมายความวา ในทุก ๆ ชวงของสะนัดนั้นตองมีผูรายงานอยางนอย 10 คนขึ้นไป
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 81
ประการที่ 3 ผูรายงานจํานวนมากนั้นเปนไปไมไดที่จะสมรูรวมคิดโกหก
ตอหะดีษ(4)
ประการที่ 4 การรายงานของพวกเขามีการสัมผัสดวยตนเอง(5)
หากขาดเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งในจํานวนสี่ประการนี้ ไมเรียกวาหะดีษมุตะ
วาติร แตจะเปนหะดีษอาหาด
3. ชนิดและตัวอยางหะดีษมุตะวาติร
หะดีษมุตะวาติรแบงออกเปน 2 ชนิด
ชนิดที่หนึ่ง หะดีษมุตะวาติรลัฟซีย ()ﺍﳌﺘﻮﺍﺗﺮ ﺍﻟﻠﻔﻈ ّﻲ
หมายถึ ง หะดี ษ ที่ เ ป น มุ ต ะวาติ ร ทั้ ง ตั ว บทและความหมายของหะดี ษ
ตัวอยาง
(4)
คือ ผูรายงานเปนจํานวนมากนั้นจะมาหลายเมือง หลายรุนและหลายมัซฮับ
(5)
คําวาสัมผัสดวยเองคือการรับหรือไดยินหะดีษโดยตรงจากอาจารยตลอดทั้งสายรายงานโดยใชสํานวนการ
รายงานหะดีษคําวา “ﺖ ُ ”ﲰﻌﻨﺎ“ ”ﺳَﻤ ْﻌหรือ “ﺖ
ُ ” ﹶﳌﺴْﻨﺎ“ ”ﳌ ْﺴเปนตน
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 82
หะดีษบทนี้เปนหะดีษมุตะวาติรทั้งตัวบทหะดีษและความหมาย อัลอัส
เกาะลานียกลาววา “สายรายงานของหะดีษในรุนเศาะหาบะฮฺมีมากกวา 70
คน”(2) ดังนั้น สายรายงานของหะดีษมีทั้งหมด 70 สาย สวนตัวบทของหะดีษมี
การรายงานดวยสํานวนที่หลากหลาย บางตอนของตัวบทหรือบางคําไมมีการ
รายงานของสะนัดอื่น แตตัวบทหะดีษจะกลาวในเรื่องเดียวกัน (ดูแผนภูมิสะนัด
หนา 61)
นอกจากสะนัดตาง ๆ ที่ไดยกมาจะมีสะนัดอื่นอีกหลายสะนัดที่รายงานหะ
ดีษดังกลาวทั้งหมดอยูในระดับหะดีษเศาะหีหฺหรือหะดีษหะซัน บางสะนัดมี
ลักษณะเปนสะนัดอาลียและบางสะนัดมีลักษณะเปนสะนัดนาซิล
แผนภูมิสะนัดหะดีษมุตะวาติรลัฟซีย. ..
(1)
บันทึกโดยอัลบุคอรียดวยสองสะนัด คือ 1/577 จากอะบูฮุรัยเราะฮฺ และ จากอัลมุฆีเราะฮฺ : 3/160, มุสลิม
จากอะบูสะอีด : 18/129, อะบูดาวูด : 4/63 และอัตตัรมิซีย จากอับดุลเลาะ : 4/524, อิบนุมาญะฮฺไดรายงาน
ดวยสามสะนัด คือ จากอะนัส เบ็ญ มาลิกและ ญาบิร เบ็ญ อับดุลเลาะ : 1/13 และจากอะบูสะอีด อัลคุดรีย : 1/14
อะหฺมัด เบ็ญ หันบัล ไดรายงานดวยสองสะนัด คือ จากอะบูสะอีด อัลคุดรีย : 3/39 และจากอะนัส เบ็ญ มาลิก :
3/44, อัดดาริมียไดรายงานดวยสองสะนัด คือ จากอิบนุอับบาสและจาก ยะอฺลา เบ็ญ มุรเราะฮฺ : 1/88
(2)
อัลอัสเกาะลานีย : 1/129
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 83
แผนภูมิสะนัดหะดีษมุตะวาติรลัฟซีย
)) ﻣﻦ ﻛﺬﺏ ﻋﻠ ّﻲ ﻣﺘﻌﻤﺪﹰﺍ ﻓﻠﻴﺘﺒﻮﺃ ﻣﻘﻌﺪﻩ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺭ ((
ﺟﺪﻩ )ﻳﻌﻠىﱭ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺃﻧﺲ ﺑﻦ ﺃﺑﻮ ﺳﻌﻴﺪ ﺃﺑﻮ ﺳﻌﻴﺪ ﺟﺎﺑﺮ
ﻣﺮﺓ( ﻣﺎﻟﻚ ﻱ
ﺍﳋﺪﺭ ّ ﻱ
ﺍﳋﺪﺭ ّ
ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﺰﺑﲑ
ﺃﺑﻴﻪ )ﻋﺒﺪﺍﷲ( ﺟﺒﲑ ﻋﺒﺪﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻋﻄﺎﺀ ﺑﻦ ﻳﺴﺎﺭ ﻋﻄﻴﺔ
ﻫﺸﻴﻢ
ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﻋﺒﺪﺍﻷﻋﻠﻰ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺯﻳﺪ ﺑﻦ ﺃﺳﻠﻢ ﻣﻄﺮﻑ
ﺯﻫﲑ ﺑﻦ
ﺍﻟﺼﺎﱀ ﺑﻦ ﺃﺑﻮ ﻋﻮﺍﻧﺔ ﺑﻴﺎﻥ ﺑﻦ ﺑﺸﺮ ﳘﺎﻡ ﺑﻦ ﳛﻲ ﻋﻠ ّﻲ ﻳﻦ ﻣﺴﻬﺮ ﺣﺮﺏ
ﳏﺎﺭﺏ
ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻫﺸﻴﻢ ﺃﺑﻮ ﻋﺒﻴﺪﺓ ﺳﻮﻳﺪ ﺑﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ
ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﲪﻴﺪ ﻋﻴﺴﻰ )(1/13
ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ
ﺍﻟﺪﺍﺭﻣ ّﻲ ﺍﻟﺪﺍﺭﻣ ّﻲ ﺟﻌﻔﺮ )(3/39 )(1/14
)(1/88 )(1/88
ﺃﲪﺪ
)(3/44
จากหะดีษบทนี้และหะดีษอื่น ๆ ไดพูดถึงเรื่องการยกสองมือขณะขอดุอาอฺ
ได การยกสองมือในเหตุการณที่แตกตางกันไมถึงขั้นหะดีษมุตะวาติร อิมามอัสสุ
ยูฏียกลาววา “เมื่อรวบรวมสายรายงานของหะดีษที่พูดถึงเฉพาะการยกสองมือ
เทานั้น โดยมิไดพิจารณาเหตุการณหะดีษบทนี้อยูในระดับหะดีษมุตะวาติร”(2)
(1)
บันทึกโดยอะบูดาวูด : 5/234, อัตติรมิซีย : 5/45 จากอิบนุอับบาส สํานวนหะดีษเปนของอัตติรมิซีย หะดีษนี้
บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺจากสองกระแสรายงาน คือ จากอิบนุอับบาส : 1/1234 และจากอัสสาอิบ เบ็ญ ยะซีด :
2/1234 อัลอัสเกาะลานีย กลาววา สําหรับหะดีษบทนี้มีชะวาฮิดบันทึกโดยอะบูดาวูดและทาน อื่น ๆ เมื่อ
รวบรวมกระแสรายงานของหะดีษทั้งหมดสามารถสนับสนุนจึงเลื่อนฐานะเปนหะดีษหะซัน (ดูอิบนุ อัลลาน :
2/254) หมายถึง หะดีษหะซันลิฆัยริฮฺ
(2)
อัสสุยูฏีย : 2/180
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 86
4. หุกมของหะดีษมุตะวาติร
อุละมาอฺสวนใหญมีความเห็นวา หะดีษมุตะวาติรจะมีหกุ มอิลมุฎอรูรีย –
ﻱ
ّ ( ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻟﻀﺮﻭﺭความรูที่แนนอน) หรือบอกหุกมอยางเด็ดขาดที่วาญิบตอง
ปฏิบัติและจําเปน ในการศรัทธาเสมือนเขาไดเห็นดวยตนเองในสิ่งนั้น ๆ
5. หุกมของการนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดีษมุตะวาติรวาญิบใหนํามาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตาม(3)ในทุกๆ
เรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา หะลาลและหะรอม อิบาดะฮฺ การแตงงาน และ
อื่นๆ เปนตน
6. จํานวนหะดีษมุตะวาติร
หะดีษมุตะวาติรมีจํานวนไมมากหากเทียบกับหะดีษอาหาด เพราะสาย
รายงานที่มีลักษณะมากกวา 10 คนในทุกชวงและทุกรุนของสายรายงานไมใช
เรื่องที่งาย และการรายงานเพื่อจะไดมาซึ่งจํานวนดังกลาวเปนเรื่องที่เหนือขีด
ความสามารถของแตละคนโดยคนอะวาม เวนแตบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและ
ทุมเทเพื่อหะดีษของทานนบี เทานั้น ที่สามารถทําได
7. ตําราที่เกี่ยวของ
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃ ّﻲ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻷﺯﻫﺎﺭ ﺍﳌﺘﻨﺎﺛﺮﺓ ﰲ ﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺍﳌﺘﻮﺍﺗﺮﺓ.1
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃ ّﻲ، ﻛﺘﺎﺏ ﻗﻄﻒ ﺍﻷﺯﻫﺎﺭ.2
ﱐ
ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﻌﻔﺮ ﺍﻟﻜﺘﺎ ﹼ، ﻛﺘﺎﺏ ﻧﻈﻢ ﺍﳌﺘﻨﺎﺛﺮﺓ ﻣﻦ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﳌﺘﻮﺍﺗﺮ.3
(3)
วาญิบในที่นี้หมายถึงวาญิบอัยนีย (สําหรับบุคคล) คือ ผูใดปฏิเสธหะดีษหรือไมยอมปฏิบัติตามเนื้อหาสาระของ
หะดีษมุตะวาติรทั้ง ๆ ที่เขามีความรูในเรื่องนั้น เปนหุกมหะรอม สวนผูที่ไมมีความรูหรือปฏิเสธเนื่องจาก
ความญาฮิลของเขา อุละมาอฺมีความเห็นวาเปนที่อนุโลมกัน
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 87
ประเภทที่ 2 หะดีษอาหาด
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﺁﺣﺎﺩเปนคําพหูพจนของ ﺃﺣ ٌﺪแปลวา หนึ่งเดียว หมายถึง หะดีษ
ที่มีผูรายงานหนึ่งเดียวหรือสายรายงานเดียว
จุดประสงคของการใชคําพหูพจน “ ”ﺁﺣﺎﺩเพื่อแสดงถึงสายรายงานนั้นไม
ถึงขั้นหะดีษ มุตะวาติร คือ สะนัดแตละสะนัดของหะดีษแตละบทไมถึง 10
สะนัดนั่นเอง
ตามหลักวิชาการ
หะดีษอาหาด คือ หะดีษที่มีการรายงานที่ไมครบเงื่อนไขของหะดีษ มุตะ
วาติร(1)
2. หุกมของหะดีษอาหาด
ตามทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญระบุวา หะดีษอาหาดใหหุกมอิล
มุศอนนีย –( ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻟﻈﻨّﻲคาดคะเน) ไมใชหุกมที่แนนอน อิบนุ ฮัซมฺ กลาววา “หะ
ดีษอาหาดที่รายงานโดยผูที่มีคุณธรรมจากคนที่มีลักษณะเดียวกันจนถึงทานนบี
วาญิบปฏิบัติตามและตองมีการศรัทธาในหะดีษอีกดวย”(2)
3. ชนิดของหะดีษอาหาด
การจําแนกหะดีษอาหาดออกเปนชนิดตาง ๆ นั้น มีวิธีการพิจารณา 2
ดาน
(1)
อัลอัสเกาะลานีย หนา 26
(2)
อิบนุฮัซมฺ เลมที่1 หนา 165
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 88
1. พิจารณาจํานวนผูรายงานในแตละสะนัดของแตละรุน
ชนิดที่ 1 หะดีษมัชฮูร ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﳌﺸﻬﻮﺭ
ชนิดที่ 2 หะดีษอะซีซ ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ
ชนิดที่ 3 หะดีษเฆาะรีบ ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﻐﺮﻳﺐ
2. พิจารณาสถานภาพของผูรายงานทั้งดานสถานภาพของแตละคน
ชนิดที่ 1 หะดีษมักบูล ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﳌﻘﺒﻮﻝ
ชนิดที่ 2 หะดีษมัรดูด ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﳌﺮﺩﻭﺩ
แตละชนิดของหะดีษอาหาดจะมีการอธิบายตามลําดับหัวขอ ดังนี้
การจําแนกหะดีษอาหาดโดยพิจารณาจํานวนผูรายงาน
ชนิดที่ 1 หะดีษมัชฮูร
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
หะดีษมัชฮูร “ ”ﻣﺸﻬﻮﺭคือ หะดีษที่รูกันอยางแพรหลายจากการบอกเลา
หรือหะดีษที่ใชกันอยางแพรหลาย
ตามหลักวิชาการ
หมายถึง หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานตั้งแตสามคนขึ้นไป แตไมถึงขั้น
หะดีษมุตะวาติร(1)
(1)
ดู อัลญะซาอิรีย หนา 35
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 89
อุละมาอฺสวนใหญไดกําหนดจํานวนผูรายงานหะดีษมัชฮูรในขั้นต่ําคือ 3
คน ขึ้นไป(2) ทัศนะนี้ไมไดแยกระหวางหะดีษมัชฮูรกับหะดีษอิสติฟาเฎาะฮ(3)
ดังนั้น หะดีษมัชฮูรมีชื่อเรียกอีกอยางหนึ่งคือ หะดีษมุสตะฟฎ
2. ตัวอยางหะดีษมัชฮูร
ﻋﻦ، ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﻣﻌﺎﻭﻳﺔ، ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﻛﺮﻳﺐ: ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﻣﺴﻠﻢ
، ﻋﻦ ﺃﰊ ﻣﺴﻌﻮﺩ ﺍﻟﺒﺪﺭﻱ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ،ﺃﰊ ﻋﻤﺮﻭ ﺍﻟﺸﻴﺒﺎﱐﹼ
)) ﻣﻦ ﺩ ﹼﻝ ﻋﻠﻰ ﺧﲑ ﻓﻠﻪ: ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ
(( ﻣﺜﻞ ﺃﺟﺮ ﻓﺎﻋﻠﻪ
วิธีการรูจักหะดีษมัชฮูรใหพิจารณาจํานวนสายรายงานของหะดีษที่มีสาม
สะนัดขึ้นไปหรือไม (ดูสะนัดหะดีษขางลางนี้)
(2)
หนังสือเดิม
(3)
มีบางทัศนะเห็นวาระหวางหะดีษมัชฮูรกับหะดีษมุสตะฟฎมีขอแตกตาง คือ หะดีษมุสตะฟฎมีผูรายงานสามคน
สวนหะดีษมัชฮูรมีผูรายงานตั้งแตสี่คนถึงเกาคน ทัศนะที่ถูกตอง คือ ทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญ (ดู อัลญะซาอิ
รีย หนา 35)
(1)
บันทึกโดยมุสลิม : 13/ 38
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 90
แผนภูมสิ ะนัดหะดีษมัชฮูร
ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ
ﻱ
ﺃﺑﻮ ﻣﺴﻌﻮﺩ ﺍﻟﺒﺪﺭ ّ
ﱐ
ﺃﺑﻮ ﻋﻤﺮﻭ ﺍﻟﺸﻴﺒﺎ ﹼ
ﺍﻷﻋﻤﺶ
ﺇﺳﺤﺎﻕ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ
ﻣﺴﻠﻢ
)(13/39
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 91
3. ระดับของหะดีษมัชฮูร
หะดีษมัชฮูรมีทั้งหะดีษเศาะหีหฺ หะดีษหะซัน หะดีษเฎาะอีฟ หะดีษฎอ
อีฟญิดดัน และ หะดีษเมาฎอฺ
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดีษมัชฮูรอนุญาตใชเปนหลักฐานได หากเปนหะดีษเศาะหีหฺหรือหะดีษ
หะซันและไมอนุญาตใหนําหะดีษมัชฮูรที่เฏาะอีฟและเมาฎอฺมาใชเปนหลักฐาน
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﻱ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺴﺨﺎﻭ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻘﺎﺻﺪ ﺍﳊﺴﻨﺔ ﻓﻴﻤﺎ ﺍﺷﺘﻬﺮ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﻟﺴﻨﺔ.1
ﻛﺘﺎﺏ ﻛﺸﻒ ﺍﳋﻔﺎﺀ ﻭﻣﺰﻳﻞ ﺍﻹﻟﺒﺎﺱ ﻓﻴﻤﺎ ﺍﺷﺘﻬﺮ ﻣﻦ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻋﻠﻰ ﺃﻟﺴﻨﺔ.2
ﱐ
ﺍﻟﻌﺠﻠﻮ ﹼ،ﺍﻟﻨﺎﺱ
، ﻛﺘﺎﺏ ﲤﻴﻴﺰ ﺍﻟﻄﻴﺐ ﻣﻦ ﺍﳋﺒﻴﺚ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﺪﻭﺭ ﻋﻠﻰ ﺃﻟﺴﻨﺔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻦ ﺍﳊﺪﻳﺚ.3
ﱐ
ﺍﺑﻦ ﺍﻟﺪﻳﺒﻊ ﺍﻟﺸﻴﺒﺎ ﹼ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 92
ชนิดที่ 2 หะดีษอะซีซ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
หะดีษอะซีซ คือ หะดีษที่เกิดขึ้นเปนบางครั้งบางคราว
ตามหลักวิชาการ
หมายถึง หะดีษที่มีการรายงานโดยผูรายงานสองคนในทุก ๆ รุนตลอด
ทั้งสายรายงาน(1) ตั้งแตชวงตนจนถึงชวงสุดทายของสะนัด
2. ตัวอยางหะดีษอะซีซ
ﻋﻦ، ﻗﺎﻝ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺷﻌﺒﺔ، ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺁﺩﻡ: ﻱ ّ ﻓﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ
)) : ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ: ﻋﻦ ﺃﻧﺲ ﻗﺎﻝ،ﻗﺘﺎﺩﺓ
ﻻ ﻳﺆﻣﻦ ﺃﺣﺪﻛﻢ ﺣﱴ ﺃﻛﻮﻥ ﺃﺣﺐ ﺇﱃ ﺍﷲ ﻣﻦ ﻭﺍﻟﺪﻩ ﻭﻭﻟﺪﻩ
(( ﻭﺍﻟﻨﺎﺱ ﺃﲨﻌﲔ
(1)
อัลญะซาอิรีย หนา 36
(1)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 2/15
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 93
แผนภูมสิ ะนัดหะดีษอะซีซ
ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ
3. ระดับของหะดีษอะซีซ
หะดีษอะซีซบางหะดีษอยูในระดับหะดีษเศาะหีหฺ หะดีษหะซัน และบางหะ
ดีษ อยูในระดับหะดีษเฎาะอีฟ
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
อนุญาตใหนําหะดีษอะซีซมาใชเปนหลักฐานไดหากเปนหะดีษเศาะหีหฺและ
หะดีษหะซัน และไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐาน ในกรณีที่เปนหะดีษเฎาะอีฟ
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ยังไมมีหนังสือเฉพาะที่รวบรวมหะดีษอะซีซ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 94
ชนิดที่ 3 หะดีษเฆาะรีบ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻏﺮﻳﺐแปลวา ไมเหมือนกับคนอื่น หรือหะดีษที่มีการรายงาน
แปลกกวาการรายงานของคนอื่น หรือหะดีษที่แปลกกวาหะดีษอื่น(1)
ตามหลักวิชาการ
หะดีษเฆาะรีบ หมายถึง หะดีษที่มีการรายงานโดยผูรายงานเพียงคน
เดียวเทานั้นตลอดทั้งสายรายงาน(2)
2. ตัวอยางหะดีษเฆาะรีบ
(1)
คําวาแปลกกวาหะดีษอื่นในที่นี้หมายถึงดานสายรายงาน คือ หะดีษที่มีการรายงานเพียงสายรายงานเดียวเทานั้น
ทั้ง ๆ สายรายงานของหะดีษนั้นมีสองสะนัดหรือมากกวาที่มีผูรายงานทั้งที่เปนคนษิเกาะฮฺหรือไมก็ตาม หรือ
ผูรายงานทั้งหมดเปนคนษิเกาะฮฺ
(2)
มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 123
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 95
ﻓﻤﻦ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺠﺮﺗﻪ ﺇﱃ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ،ﻭﺇﳕﺎ ﻟﻜﻞ ﺍﻣﺮﺉ ﻣﺎ ﻧﻮﻯ
ﻭﻣﻦ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺠﺮﺗﻪ ﻟﺪﻧﻴﺎ ﻳﺼﻴﺒﻬﺎ ﺃﻭ،ﻓﻬﺠﺮﺗﻪ ﺇﱃ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ
(( ﺍﻣﺮﺃﺓ ﻳﻨﻜﺤﻬﺎ ﻓﻬﺠﺮﺗﻪ ﺇﱃ ﻣﺎ ﻫﺎﺟﺮ ﺇﻟﻴﻪ
3. ระดับของหะดีษเฆาะรีบ
หะดีษเฆาะรีบมีหลายระดับเหมือนกับหะดีษมัชฮูรและหะดีษอะซีซ มีทั้ง
หะดีษเศาะหีหฺ หะดีษหะซัน และหะดีษเฎาะอีฟ(2)
(1)
มุตตะฟค อะลัยฮฺ บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 1/9 และมุสลิม : 13/53
(2)
การพิจารณาในการตัดสินระดับของหะดีษจะพิจารณาจากสถานะของผูรายงานหะดีษแตละคน และรวบ รวม
สายรายงานของหะดีษทั้งหมด แตหากไมมีสายรายงานอื่นรวมรายงานดวยนอกจากหนึ่งสายเทานั้น หะดีษ
ดังกลาวจะถือเปนหะดีษเฆาะรีบ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 96
แผนภูมสิ ะนัดหะดีษเฆาะรีบ
ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ
ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳋﻄﺎﺏ
ﻋﻠﻘﻤﺔ ﺑﻦ ﻭﻗﺎﺹ
ﻱ
ّ ﳛﻲ ﺑﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭ
ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﻳﻮﺳﻒ
ﲏ
ّ ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄ ﺃﲪﺪ ﺍﻟﻨﺴﺎﺋ ّﻲ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ ﻱ
ّ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ
(1/50) (1/25) (1/58) (2/651) (1/9)
ﺍﻟﺒﻴﻬﻘ ّﻲ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ ﻱ
ّ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ ﻣﺴﻠﻢ
(1/41) (1/1412) (3/125) (13/53)
4. การใชเปนหลักฐาน
อนุญาตใหนําหะดีษเฆาะรีบมาใชเปนหลักฐานไดเฉพาะที่เปนหะดีษเศาะ
หีฮฺและหะดีษหะซันเทานั้นและไมอนุญาตนําหะดีษเฆาะรีบที่เฏาะอีฟและเมาฎอฺ
มาใชเปนหลักฐาน
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﲏ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄ، ﻛﺘﺎﺏ ﻏﺮﺍﺋﺐ ﻣﺎﻟﻚ.1
ﲏ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻹﻓﺮﺍﺩ.2
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 97
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺒﺰﺍﺭ، ﻛﺘﺎﺏ ﻣﺴﻨﺪ ﺍﻟﺒﺰّﺍﺭ.3
ﱐ
ﺍﻟﻄﱪﺍ ﹼ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻌﺠﻢ ﺍﻷﻭﺳﻂ.4
ถึ งอย า งไรก็ ต ามการรู จั ก หะดี ษ อาหา ดทั้ ง สามชนิ ด นี้ โ ดยวิ ธี ก ารศึ ก ษา
สะนัดของแตละ หะดีษ คือ
1. ศึกษาจํานวนสายรายงานของแตละหะดีษและจํานวนผูรายงานของแต
ละรุน
2. ศึกษาสถานภาพของผูรายงานหะดีษดานคุณธรรมและขอบกพรอง
การจําแนกหะดีษอาหาดโดยพิจารณาสถานภาพของผูรายงาน
การจําแนกหะดีษอาหาดทั้งสามชนิดที่ไดอธิบายแลวนั้น – หะดีษมัชฮูร
หะดีษอะซีซ และหะดีษเฆาะรีบ – โดยพิจารณาสถานภาพของผูรายงานแตละคน
ตั้งแตชวงตน จนถึงชวงสุดทายของสะนัดแบงออกเปน 2 ชนิด คือ
ชนิดที่ 1 หะดีษมักบูลมี 2 ระดับ
ระดับที่ 1 หะดีษเศาะหีหฺ
- หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ
- หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ
ระดับที่ 2 หะดีษหะสัน
- หะดีษหะสันลิซาติฮฺ
- หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ
ชนิดที่ 2 หะดีษมัรดูดมี 3 ระดับ
ระดับที่ 1 หะดีษเฎาะอีฟ
ระดับที่ 2 หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
ระดับที่ 3 หะดีษเมาฎอฺ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 98
การจําแนกหะดีษอาหาด
หะดีษอาหาด
หะดีษมักบูล หะดีษมัรดูด
มุนเกาะฏีอฺ มุตฏอรอบ
มุเศาะหฺหฟั
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 99
หะดีษอาหาดชนิดที่หนึ่ง
หะดีษมักบูล
1. นิยาม
หะดีษมักบูล คือ หะดีษที่ไมครบเงื่อนไขตาง ๆ ที่สามารถใหการยอมรับ
และนํามาใชเปนหลักฐานได
2. เงื่อนไขของหะดีษมักบูล
การที่จะเรียกวาเปนหะดีษมักบูลจะตองประกอบดวยเงื่อนไขดังนี้
1. สายรายงานติดตอกัน
2. ผูรายงานมีคุณธรรม
3. ผูรายงานมีความจําที่ดีหรือดีเยี่ยม
4. ผูรายงานไมมีความบกพรอง
5. ผูรายงานไมมีการปกปดที่ซอนเรน
6. การรายงานไมขัดแยงกับการรายงานของคนอื่น
7. ไดรับการสนับสนุนจากสายรายงานอื่น
3. ระดับของหะดีษมักบูล
หะดีษมักบูลพิจารณาเงื่อนไขตาง ๆ นั้น แบงออกเปน 2 ระดับ
ระดับที่ 1 หะดีษเศาะหีหฺ
- หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ
- หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 100
ระดับที่ 2 หะดีษหะสัน
- หะดีษหะสันลิซาติฮฺ
- หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ
ระดับที่ 1 หะดีษเศาะหีหฺ
บรรดาอุละมาอฺไดแบงหะดีษเศาะหีหฺออกเปน 2 ชนิด คือ หะดีษเศาะหีหฺ
ลิซาติฮฺและหะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ
ชนิดที่ 1 หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﺻﺤﻴﺢแปลวา ถูกตอง ตรงกันขามกับวา “ ”ﺳﻘﻴﻢแปลวา ผิด
หรือออน หมายถึง หะดีษที่มีการรายงานอยางถูกตอง
ตามหลักวิชาการ
หะดี ษ เศาะหี หฺ ลิ ซ าติ ฮฺ คื อ หะดี ษ ที่ มี ก ารรายงานอย า งติ ด ต อ กั น โดย
ผูรายงานที่มีคุณธรรมและมีความจําดีเยี่ยมจากบุคคลที่มีสถานภาพเดียวกัน ไม
ขัดแยงและไมมีความบกพรองที่ซอนเรน(1)
2. เงื่อนไขของหะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ
การที่ จ ะตั ด สิ น หุ ก ม เป น หะดี ษ เศาะหี หฺ ลิ ซ าติ ฮฺ ที่ ส มบู ร ณ นั้ น ต อ ง
ประกอบดวยเงื่อนไขทั้ง 5 ประการ คือ
(1)
อิบนุ อัลเศาะลาหฺ หนา 10
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 101
1. สายรายงานติดตอกัน
หมายถึง ผูรายงานทุกคนรับหะดีษดวยตัวเองจากอาจารยของแตละคน
โดยไม ขาดตอนแมแ ตคนเดี ยวตั้ งแตผูรายงานคนแรกจนถึงทา นนบี การ
รายงานนั้นใชสํานวนที่ชัดเจน(2) ตรงกันขาม คือ การรายงานที่ขาดตอนชวงหนึ่ง
ชวงใดของสายรายงาน(3)
2. ผูรายงานที่มีคุณธรรม
หมายถึง ผูรายงานเปนผูยําเกรงตออัลลอฮฺ พยายามรักษาตัวเอง
เปนผูมีวินัยและหลักจริยธรรมอันดีงามสม่ําเสมอ ตรงกันขาม คือ คนฟาสิก(1)
คนมุบตะดิอ(2)ฺ และคนมุรตัด (3)
3. ผูรายงานที่มีความจําดีเยี่ยม
หมายถึง ผูรายงานที่มีความจําเปนเลิศสามารถเรียกความรูจากความจํา
ของเขาเมื่อตองการ ซึ่งนักหะดีษไดแบงความจําออกเปน 2 ประเภท คือ จําแบบ
ถึงใจและจําแบบบันทึก ตรงกันขาม คือ คนหลงลืม ผิดพลาด สับสน
4. ผูรายงานไมขัดแยงกันกับคนอื่น
(2)
สํานวนการรายงานหะดีษมี 2 สํานวน คือ สํานวนที่ชัดเจน เชน ﻗﺎﻝ ﺃﺧﱪﻧﺎ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﲰﻊและสํานวนที่
คลุมเครือ เชน ﻱ ﺣُ ِﻜ َﻲَ ﺭُ ِﻭ،ﻗﻴﻞ
(3)
สายรายงานที่ขาดตอนเรียกวา มุนเกาะฏิอฺ (ดู รายละเอียดเกี่ยวกับหะดีษมุนเกาะฏิอฺ หนา 103)
(1)
คนฟาสิก คือ ผูที่กระทําบาปใหญแมเพียวครั้งเดียวหรือบาปเล็กเปนเนืองนิจโดยไมมีการเตาบะฮฺแตอยางใดจาก
สิ่งเหลานั้น ผูรายงานที่เปนคนฟาสิกไมสามารถยอมรับได เนื่องจากอะดาละฮฺเปนเงื่อนไขหลักของการรายงาน
หะดีษ
(2)
คนมุบตะดิอฺ คือ ผูที่ทําอุตริในเรื่องตาง ๆ ของศาสนาที่ไมใชมาจากทานนบีหรือเศาะหาบะฮฺ
(3)
คนมุรตัด คือ ผูที่พนสภาพจากการเปนมุสลิมอันเนื่องมาจากไดกระทําในสิ่งที่ขัดแยงกับหลักการศรัทธาของ
อิสลามดวยการศรัทธา คําพูด หรือการกระทํา
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 102
หมายถึง ผูรายงานที่มีการรายงานไมขัดแยงกับคนอื่นที่มีสถานภาพที่แข็ง
กวาหรือที่มีความจําดีกวา ตรงกันขาม คือ ผูรายงานที่รายงานขัดแยงกันไมวาจะ
ขัดแยงในสะนัดหรือขัดแยงในมะตันหะดีษ
5. ผูรายงานไมมีความบกพรอง
หมายถึง ผูรายงานที่มีการรายงานเปดเผยหรือความบกพรองที่ซอนเรน
ทําใหฐานะของการรายงานมีผลตอฐานะของหะดีษ
ความบกพร อ งมี 2 ประเภท คื อ บกพร อ งที่ เ ป ด เผยหรื อ บกพร อ งใน
กระบวนการรายงาน เชน การรายงานที่ขาดตอน เปนตน และบกพรองที่ซอนเรน
หรือบกพรองที่ไมสามารถพิสูจนไดนอกจากผูเชี่ยวชาญในดานหะดีษเทานั้น
3. ตัวอยางหะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ
หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺมีมากมาย เชน หะดีษเศาะหีหฺอัลบุคอรียและเศาะ
หี หฺ มุ ส ลิ ม และหะดี ษ บางส ว นในหนั ง สื อ อั ซ ซุ นั น และหนั ง สื อ หะดี ษ อื่ น ๆ ที่ มี
สถานภาพเดียวกันกับหะดีษในหนังสือดังกลาว แตขอยกตัวอยางเพียงหะดีษ
เดียวเทานั้น
(1)
อับดุลเลาะ เบ็ญ ยูซุฟ ( ﺛﻘﺔ ﻣﺘﻘﻦอัลอัสเกาะลานีย : 1/463)
(2)
มาลิก เบ็ญ อะนัส ﺭﺃﺱ ﺍﳌﺘﻘﻨﲔ، ﺇﻣﺎﻡ ﺩﺍﺭ ﺍﳍﺠﺮﺓ،( ﺍﻟﻔﻘﻴﻪอัลอัสเกาะลานีย : 2/223)
(3)
อิบนุชิฮาบ, มุฮัมมัด เบ็ญ มุสลิม อัซซุฮฺรีย ﻣﺘﻘﻦ ﻋﻠﻰ ﺟﻼﻟﺘﻪ ﻭﺇﺗﻘﺎﻧﻪ،( ﺍﻟﻔﻘﻴﻪ ﺍﳊﺎﻓﻆอัลอัสเกาะลานีย : 2/223)
(4)
มุฮัมมัด เบ็ญ ุบัยรฺ เบ็ญ มุฏอิม ( ﺛﻘﺔ ﻋﺎﺭﻑ ﺑﺎﻟﻨﺴﺐอัลอัสเกาะลานีย : 2/150)
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 103
ความวา : จากุบัยรฺ เบ็ญ มุฏอิมเลาจากบิดาของเขากลาววา ฉันได
ยินรสูลุลลอฮฺ อานสูเราะฮฺอัตฏรในการละหมาดมัฆริบ(6)
ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ
ﺍﺑﻦ ﺷﻬﺎﺏ
ﻣﺎﻟﻚ
ﻗﺘﻴﺒﺔ ﱯ
ّ ﺍﻟﻘﻌﻨ ﳛﻲ ﺑﻦ ﳛﻲ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻳﻮﺳﻒ
(5)
อะบูฮุ คือ ุบัยร เบ็ญ มุฏอิม เศาะหาบะฮฺที่ประเสริฐ
(6)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 2/247
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 104
4. ฐานะของหะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ
หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลามในทุกๆ ดาน
รองจากอัลกุรอาน เนื่องจากเปนสวนหนึ่งของวะหฺยูที่ถูกประทานลงมาแกทานน
บีมุฮัมมัด
5. การนํามาใชเปนหลักฐาน
บรรดาอุละมาอฺในทุกมัซฮับมีความเห็นพองกันวาวาญิบที่จะตองนําหะดีษ
เศาะหี หฺ ลิซ าติ ฮฺ ม าเป น หลั ก ฐานในทุ ก ๆ เรื่ องที่เกี่ ยวกับศาสนาและดุ น ยา อิ
มามอัชชาฟ อีย กลา ววา “การยอมรั บเคาะบั รและนํามาปฏิบัติ ไดนั้นก็ ตอเมื่ อ
สามารถยืนยันในความถูกตองของมัน แมนวาจะมีนักวิชาการคนหนึ่งคนใดไมได
ปฏิ บั ติ ต ามหรื อ ได นํ า หะดี ษ มาเป น หลั ก ฐานก็ ต าม แต ห ลั ง จากนั้ น พบว า การ
กระทําของเขาขัดแยงกับหะดีษของรสูลุลลอฮฺ แนนอนเขาจะตองยุติการ
กระทํานั้นและหันมาปฏิบัติตามหะดีษเศาะหีหฺ เนื่องจากการยืนยันของการ
ปฏิบัติในแตละเรื่องนั้นมาจากหะดีษเศาะหีหฺ มิใชมาจากการปฏิบัติของใครคน
หนึ่งคนใดที่มิใชทานนบี ”(1)
6. ศัพทตาง ๆ ที่ใชกับหะดีษเศาะหีหฺ
- “หะดีษเศาะหีหฺ” หรือ “นี่คือหะดีษเศาะหีหฺ” หมายถึง หะดีษที่มี
คุณสมบัติของหะดีษเศาะหีหฺขางตนครบทุกประการ
- บันทึกโดยอัลบุคอรีย หรือบันทึกโดยมุสลิม
(1)
ดู อัลกอสิมีย หนา 94
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 105
- “หะดีษนี้ไมเศาะหีหฺ” หมายถึง หะดีษที่ประกอบดวยคุณสมบัติเพียงสาม
ประการเทานั้น หรือสวนหนึ่งจากคุณสมบัติทั้งหาประการ(2)
- “หะดีษนี้คือหะดีษเศาะหีหฺอิสนาด” หมายถึง หะดีษเศาะหีหฺเฉพาะสะนัด
หรือจากหลายๆ สะนัดมารวมกัน แตไมใชเปนหะดีษเศาะหีหฺเสมอไป ศัพทเชนนี้
เปนศัพทเฉพาะในหนังสือมุสตัดรอก อะลา อัศเศาะหีหัยนฺของอิมามอัลหากิม
เทานั้น
- “สะนะดุฮูศอหีฮฺ” หรือ “อิสนาดุฮูเศาะหีหฺ” หมายถึง หะดีษเศาะหีหฺ
พิจารณาเพียงสะนัดของหะดีษนั้น ๆ เทานั้น ไมรวมถึงสะนัดอื่นที่รายงานตัวบท
เดียวกัน
7. ตําราที่เกี่ยวของ
ﻱ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ.1
ﻱ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﻣﺴﻠﻢ ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ.2
ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺴﻨﻦ.3
ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺴﺎﻧﻴﺪ.4
ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺼﻨﻔﺎﺕ.5
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳊﺎﻛﻢ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺴﺘﺪﺭﻙ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ.6
(2)
มะหฺมูด อัลเฏาะหฺหาน หนา123
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 106
ชนิดที่ 2 หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ
1. นิยาม
หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ คือ หะดีษหะสันลิซาติฮฺที่ไดรับการสนับสนุนจาก
สะนัดอื่นที่มีฐานะเดียวกันหรือมีฐานะสูงกวา
การที่เรียกวา “หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ” นั้นเนื่องจากความเศาะหีหฺของ
หะดีษไมใชมาจากคุณสมบัติอันพึงประกอบภายในตัวของมันเอง แตไดรับการ
สนับสนุนจาก สะนัดอื่นหนึ่งหรือมากกวา ซึ่งสะนัดอื่นนั้นมีฐานะเดียวกันหรือสูง
กวา
2. การเลื่อนฐานะเปนหะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ
การเลื่อนฐานะของหะดีษหะสันลิซาติฮฺเปนหะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺตอง
ประกอบดวยเงื่อนไข 2 ประการดังนี้
1. ไดรับการสนับสนุนจากสะนัดอื่นหนึ่งสะนัดหรือมากกวา จะเปน
ประเภทหะดีษมัรฟูอฺ(1) หรือหะดีษเมากูฟ(2) ก็ตาม
2. สะนัดอื่นนั้นตองมีฐานะเดียวกันหรือมีฐานะสูงกวา(3)
3. ตัวอยางหะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ
(1)
ดู หนา 46-49 หนงสือเลมนี้
(2)
ดู หนา49-54 หนังสือเลมนี้
(3)
หากสะนัดอื่นนั้นมีฐานะต่ํากวา เชน สะนัดเฎาะอีฟ เฎาะอีฟญิดดัน หรือเมาฎอฺ ไมสามารถใหการสนับ สนุนได
และไมสามารถเลื่อนฐานะไดเชนเดียวกัน
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 107
ﺣﺪﺛﻨﺎ، (1) ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﻛﺮﻳﺐ: ﻱ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ
ّ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ
،(4) ﻋﻦ ﺃﰊ ﺳﻠﻤﺔ،(3) ﻋﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻤﺮﻭ،(2)ﻋﺒﺪﺓ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ
ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﺃﻥ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ
)) ﻟﻮ ﻻ ﺃﻥ ﺃﺷﻖ ﻋﻠﻰ ﺃﻣﱵ ﻷﻣﺮﺗُﻬﻢ ﺑﺎﻟﺴﻮﺍﻙ ﻋﻨﺪ: ﻭﺳﻠﻢ ﻗﺎﻝ
.(( ﻛﻞ ﺻﻼﺓ
(1)
อะบูกุรัอยบฺ : ( ﺛﻘﺔอัลอัสเกาะลานีย : 2/197)
(2)
อับดะฮฺ เบ็ญ สุลัยมาน : ( ﺛﻘﺔอัลอัสเกาะลานีย : 1/530)
(3)
มุฮัมมัด เบ็ญ อัมรฺ : ( ﺛﻘﺔอัลอัสเกาะลานีย : 2/196)
(4)
อะบูสะละมะฮฺ : ( ﺻﺪﻭﻕอัลอัสเกาะลานีย : 2/270)
(5)
อะบูฮุรอยเราะฮฺ : ( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞอัลอัสเกาะลานีย : 2/484)
(6)
บันทึกโดยอัตติรมิซีย : 1/34, หะดีษนี้บันทึกโดยอะบูดาวูด : 1/40 จากซัยดฺ เบ็ญ คอลิด อัลุฮะนีย
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 108
4. ฐานะของหะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ
หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺมีฐานะต่ํากวาหะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ และมีฐานะสูง
กวาหะดีษหะสันลิซาติฮฺ
5. การนํามาใชเปนหลักฐาน
บรรดาอุละมาอฺมีความเห็นพองกันวา หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺเหมือนกับ
หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺในดานการนํามาใชเปนหลักฐานและการปฏิบัติตาม
แผนภูมสิ ายรายงานของหะดีษเศาะหีหลฺ ฆิ อั ยริฮฺ
สายรายงานที่มฐี านะสูงกวา สายรายงานที่มฐี านะเดียวกัน
ﺍﻷﻋﺮﺝ ﻱ
ّ ﺳﻌﻴﺪ ﺍﳌﻘﱪ ﺃﺑﻮ ﺳﻠﻤﺔ
ﻣﺴﻠﻢ ﻱ
ّ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺷﻴﺒﺔ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ
(3/56) (1/354) (1/275) (1/34)
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 109
ระดับที่ 2 หะดีษหะสัน
อุละมาอฺไดแบงหะดีษหะสันออกเปน 2 ชนิด คือ หะดีษหะสันลิซาติฮฺและ
หะดีษหะสัน ลิฆัอยริฮฺ รายละเอียดของแตละชนิดมีดังนี้
ชนิดที่ 1 หะดีษหะสันลิซาติฮฺ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﺣﺴﻦแปลวา ดี หรือสวย หมายถึง หะดีษที่ดี แตไมถึงขั้นดีมาก
เพราะหะดีษที่มีลักษณะดีมากก็อยูในระดับหะดีษเศาะหีหฺ
ตามหลักวิชาการ
หะดีษหะสันลิซาติฮฺ คือ หะดีษที่มีสายรายงานติดตอกัน จากการรายงาน
ของผู รายงานที่มีคุณธรรมและมีความจําดีจากบุคคลที่มีสถานภาพเดียวกันจนถึง
ปลายสะนัดการรายงานนั้นไมขัดแยงกับการรายงานของคนอื่นและไมมีความ
บกพรองดวย(1)
ขอแตกตางระหวางหะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺกับหะดีษหะสันลิซาติฮฺ คือ ดาน
ความจําของผูรายงานหะดีษระหวางความจําดีเยี่ยมกับความจําดี
2. เงื่อนไขของหะดีษหะสันลิซาติฮฺ
สําหรับหะดีษหะสันลิซาติฮฺมีเงื่อนไข 5 ประการดวยกัน คือ
1. สายรายงานติดตอกัน
2. ผูรายงานที่มีคุณธรรม
(1)
อัลอัสเกาะลานีย หนา 29
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 110
3. ผูรายงานมีความจําดี (ไมถึงขั้นดีเยี่ยมหรือดีมาก)
4. การรายงานไมขัดแยงกับการรายงานของคนอื่น
5. ไมมีความบกพรองในการรายงานหะดีษ
3. ตัวอยางหะดีษหะสันลิซาติฮฺ
หะดีษดวยสะนัดนี้เปนหะดีษหะสันลิซาติฮฺ เนื่องจากผูรายงานในสะนัด
ท า นหนึ่ ง เป น ผู ที่ มี ส ถานภาพเป น คนเศาะดู ก คื อ ญะอฺ ฟ ร เบ็ ญ สุ ลั ย มาน
อัฎฎบะอีย สวนผูรายงานทานอื่น ๆ ทั้งหมดเปนคนษิเกาะฮฺ (เชื่อถือได)
(1)
ญะอฺฟร เบ็ญ สุลัยมาน อัดฎบะอัย : ( ﺻﺪﻭﻕอัลอัสเกาะลานีย : 1/131)
(2)
อะบูอิมรอน อัลเญานีย : ( ﺛﻘﺔอัลอัสเกาะลานีย : 2/456)
(3)
อะบูบักรฺ เบ็ญ อะบูมูซา อัลอัชอะรีย : ( ﺛﻘﺔอัลอัสเกาะลานีย : 2/400)
(4)
อะบูมูซา อัลอัชอะรีย : ( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞอัลอัสเกาะลานีย : 2/478)
(5)
บันทึกโดยอัตติรมิซีย : 5/300 อะบูอีซากลาววา “หะดีษนี้เปนหะดีษหะสัน”
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 111
สายรายงานของหะดีษอะบูมซู า อัลอัชอะรีย
ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ
ﻱ
ّ ﺃﺑﻮ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻷﺷﻌﺮ
ﻱ
ّ ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻷﺷﻌﺮ
ﱐ
ﺃﺑﻮ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﺍﳉﻮ ﹼ
ﺟﻌﻔﺮ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ
ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ
(5/300)
4. ฐานะของหะดีษหะสันลิซาติฮฺ
หะดีษหะสันลิซาติฮฺมีฐานะสูงกวาหะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ และมีฐานะต่ํากวา
หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ เนื่องจากผูรายงานในสะนัดมีสถานะเหมือนกับสถานะ
ของผูรายงาน หะดีษเศาะหีหฺ เชน ษิเกาะฮฺ มีคุณธรรมและจริยธรรม เปนตน
เวนแตดานความจําเทานั้น ดังที่ไดอธิบายไปแลว
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 112
5. การนํามาใชเปนหลักฐาน
ตามทั ศ นะของอุ ล ะมาอฺ ห ะดี ษ ฟ ก ฮฺ แ ละอุ ศู ล อั ล ฟ ก ฮฺ มี ค วามเห็ น ว า
หะดีษหะสัน ลิซาติฮฺเหมือนกับหะดีษเศาะหีหฺในดานการนํามาเปนหลักฐาน คือ
วาญิบใหนํามาใชเปนหลักฐานในทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องดุนยาและเรื่องตาง ๆ
ของศาสนา
6. ตําราที่เกี่ยวของ
ﻱ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ،ّ ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻨﻦ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ.1
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ، ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻨﻦ ﺃﰊ ﺩﺍﻭﺩ.2
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﻣﻨﺼﻮﺭ، ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻨﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﻣﻨﺼﻮﺭ.3
ชนิดที่ 2 หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ
1. นิยาม
หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ คือ หะดีษเฎาะอีฟที่ไดรับการสนับสนุนจากสะนัด
อื่น(1)
ตามทัศนะของอิมามอันนะวะวีย คือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานมัจฮูล
(2)
แตไมปรากฏวาเคยกระทําบาป(3)
2. ตัวอยางของหะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ
(1)
อัลอัสเกาะลานีย หนา 29
(2)
มัจญฮูล หมายถึง ผูรายงานไมเปนที่รูจักกันของการเปนนักรายงานที่ดี
3)
อันนะวะวีย : 1/58
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 113
،(1) ﺣﺪﺛﻨﺎ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺍﻷﺳﺒﺎﻃ ّﻲ: ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ
ﻋﻦ،(3) ﻋﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺳﺤﺎﻕ،(2)ﺣﺪﺛﻨﺎ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺣﻴﻢ ﺍﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ
ﻋﻦ ﺭﺍﻓﻊ ﺑﻦ،(5) ﻋﻦ ﳏﻤﻮﺩ ﺑﻦ ﻟﺒﻴﺪ،(4)ﻋﺎﺻﻢ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻗﺘﺎﺩﺓ
ﺖ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ُ ﲰﻌ: ( ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻝ6)ﺧﺪﻳﺞ
)) ﺍﻟﻌﺎﻣﻞ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺼﺪﻗﺔ ﺑﺎﳊﻖ ﻛﺎﻟﻐﺎﺯﻱ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ: ﻭﺳﻠﻢ
.(( ﺣﱴ ﻳﺮﺟﻊ ﺇﱃ ﺑﻴﺘﻪ
หะดีษดวยสะนัดขางตนเปนหะดีษเฎาะอีฟเนื่องจากเปนการรายงานของ
มุฮัมมัด เบ็ญ อิสหาก ซึ่งเปนคนเฎาะอีฟ แตหะดีษบทนี้มีการรายงานจากสะนัด
อื่นที่มีฐานะเหนือกวาจึงสามารถเลื่อนฐานะเปนหะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ (ดู แผนภูมิ
หนา 87)
(1)
มุฮัมมัด เบ็ญ อิบรอฮีม อัลอัสบาฏีย : ( ﺻﺪﻭﻕอัลอัสเกาะลานีย : 2/140 และ : 9/11)
(2)
อับดุลรอฮีม เบ็ญ สุลัยมาน : ( ﺛﻘﺔอัลอัสเกาะลานีย : 1./504 และ : 2/185)
(3)
มุฮัมมัด เบ็ญ อิสหากฺ : ﻭﺭﻣﻲ ﺑﺎﻟﺘﺸﻴﻊ ﻭﺍﻟﻘﺪﺭ،( ﺻﺪﻭﻕ ﻳﺪﻟﺲอัลอัสเกาะลานีย : 2/144 และ : 9/38)
(4)
อาศิม เบ็ญ อุมัร เบ็ญ เกาะตาดะฮฺ : ( ﺛﻘﺔอัลอัสเกาะลานีย : 1/185 และ : 5/53)
(5)
มะหฺมูด เบ็ญ ละบีบ : ( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞอัลอัสเกาะลานีย : 2/233 และ 10/65)
(6)
รอฟอฺ เบ็ญ เคาะดีจญ : ( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞอัลอัสเกาะลานีย : 2/241 และ 3/229)
(7)
บันทึกโดยอะบูดาวูด : 3/348-349
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 114
3. การเลื่อนฐานะของหะดีษเฎาะอีฟ
หะดีษ เฎาะอี ฟสามารถเลื่ อ นฐานะเป น หะดี ษ หะสั น ลิฆั อยริฮฺ ไ ด จ ะต อง
ประกอบดวยเงื่อนไข 3 ประการ คือ
1. ความเฎาะอีฟของหะดีษมาจากความบกพรองในสะนัด หรือความ
บกพรองอันเนื่องมาจากความจําของผูรายงาน
2. มีการรายงานหะดีษดวยบทเดียวกัน หรือมีความหมายเหมือนกัน
3. มีการรายงานจากสะนัดอื่นที่มีฐานะเหมือนกันหรือเหนือกวา และสาย
รายงานอื่นนั้นมีหนึ่งสะนัดหรือมากกวา
ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ
4. ฐานะของหะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ
หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺมีฐานะต่ํากวาหะดีษหะสันลิซาติฮฺและมีฐานะสูงกวา
หะดีษเฎาะอีฟ หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน และหะดีษเมาฎอฺ ถึงแมวาเดิมนั้นเปนหะดีษ
เฎาะอีฟก็ตาม
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 116
5. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺเปนสวนหนึ่งของหะดีษมักบูล ดังนั้น การนํามาใช
เปนหลักฐานก็เหมือนกับหะดีษเศาะหีหฺและหะดีษหะสัน คือ วาญิบใหนํามาใช
เป น หลั ก ฐานและสามารถปฏิ บั ติ ต ามในทุ ก ๆ เรื่ อ งเชน อะกี ด ะฮฺ อิ บ าดะฮฺ
หะลาลและหะรอม เปนตน
ชนิดอื่นของหะดีษมักบูล
1. หะดีษมะอฺรูฟ
1. นิยาม
หะดีษมะอฺรูฟ คือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่ษิเกาะฮฺขัดแยงกับหะ
ดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่เฎาะอีฟ(1) ตรงกันขามกับหะดีษมะอฺรูฟ คือ หะดีษ
มุนกัร(2)
2. ตัวอยางหะดีษมะอฺรูฟ
(1)
อัลอัสเกาะลานีย หนา 33
(2)
ดู รายละเอียดในเรื่องหะดีษมุนกัร หนา 137 -138 หนังสือเลมนี้
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 117
ความวา : ทานนบี กลาววา “ผูใดดํารงการละหมาด (หาเวลา)
และจายซะกาต และประกอบพิธีฮัจญและถือศีลอดในเดือนรอ
มะฎอน และใหเกียรติแขกเรือน เขาจะไดเขาสวรรค”(3)
3. ฐานะของหะดีษมะอฺรูฟ
หะดี ษ มะอฺ รู ฟ เป น ส ว นหนึ่ ง ของหะดี ษ มั ก บู ล ที่ มี ฐ านะเหมื อ นกั บ หะดี ษ
เศาะหีหฺและหะดีษหะสัน เนื่องจากมีคุณสมบัติของหะดีษมักบูลครบทุกประการ
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดีษมะอฺรูฟวาญิบใหนํามาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามในทุก ๆ เรื่อง
ที่เกี่ยวกับศาสนาดังการปฏิบัติของอุละมาอฺหะดีษและอุละมาอฺในสาขาอื่น ๆ(2)
(3)
ดู อิบนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 73
(1)
ดู อิบนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 73
(2)
เปนที่นาสังเกตเรื่องหนึ่ง คือ หะดีษมะอฺรูฟมักจะไมมีการกลาวถึงและเรียกหะดีษนี้อยางอิสระเหมือนกับการ
เรียกหะดีษอื่น ๆ แตอุละมาอฺสวนใหญแลวมักจะเรียกแตหะดีษเศาะหีหฺหรือหะดีษหะสันเทานั้น ไมไดแยก
ระหวางหะดีษเศาะหีหฺมะอฺรูฟกับหะดีษหะสันมะอฺรูฟ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 118
ชนิดอื่นของหะดีษมักบูล
2. หะดีษมะหฺฟูศ
1. นิยาม
หะดีษมะหฺฟูศคือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่ษิเกาะฮฺกวาขัดแยงกับ
การรายงานของผู ษิเกาะฮฺ(3) ตรงกันขามกับหะดีษมะฮฺฟูศ คือ หะดีษชาซ(4)
2. ตัวอยางหะดีษมะหฺฟูศ
(3)
อับนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 150
(4)
ดูรายละเอียดหะดีษชาซ หนา126-129
(1)
บันทึกโดยอะหฺมัด : 4/395 และอัลหากิม : 1/50
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 119
3. ฐานะของหะดีษมะหฺฟูศ
หะดี ษ มะหฺ ฟู ศ เป น ส ว นหนึ่ ง ของหะดี ษ มั ก บู ล เหมื อ นกั บ หะดี ษ มะอฺ รู ฟ
เหมือนกัน และมีฐานะเทากับหะดีษเศาะหีหฺและหะดีษหะสัน(2)
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
อุละมาอฺหะดีษ อุละมาอฺฟกฮฺ และอุละมาอฺอื่น ๆ มีความเห็นวา วาญิบให
นําหะดีษมะหฺฟูศมาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามในทุก ๆ เรื่องที่เกี่ยวของกับ
ศาสนา
หะดีษอาหาดชนิดที่สอง
หะดีษมัรดูด
1. นิยาม
หะดีษมัรดูด คือ หะดีษที่ขาดคุณสมบัติของหะดีษมักบูล
หมายความวา หะดีษที่ขาดองคประกอบที่เปนเงื่อนไขของหะดีษที่ถูกตอง
ทั้งเจ็ดประการดังที่กลาวมาแลวในเรื่องของหะดีษมักบูล
2. สาเหตุของหะดีษมัรดูด
สาเหตุที่ทําใหหะดีษเปนมัรดูดนั้นมี 3 ประการ
หนึ่ง สาเหตุมาจากความบกพรองในกระบวนการรายงาน
สอง สาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน
สาม สาเหตุมาจากความบกพรองในแงคุณธรรมของผูรายงาน
(2)
การเรียกชื่อหะดีษมะหฺฟูศก็เหมือนกับการเรียกชื่อหะดีษมะอฺรูฟ (ดู รายละเอียดหนา 79 เชิงอรรถที่ 4)
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 120
หะดีษมัรดูดที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในกระบวนการรายงานและ
ความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน สามารถเลื่อนฐานะได เมื่อไดรับการ
สนับสนุนจากสายรายงานอื่นที่มีฐานะเดียวกันหรือเหนือกวา สะนัดอื่นนั้นมีหนึ่ง
สะนั ด หรื อมากกว า ส วนหะดีษ มั ร ดู ดที่ มี สาเหตุ มาจากความบกพรอ งในแง
คุณธรรมของผูรายงาน ไมสามารถเลื่อนฐานะได เนื่องจากคุณธรรมนั้นเปน
เงื่อนไขสําคัญในการยอมรับหะดีษ
3. ระดับของหะดีษมัรดูด
เมื่อพิจารณาสาเหตุของหะดีษมัรดูดทั้งสามประการขางตนแลว หะดีษมัร
ดูดสามารถแบงออกเปน 3 ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 หะดีษเฎาะอีฟ คือ ระดับที่สามของจํานวนหะดีษอาหาด
ระดับที่ 2 หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน คือ ระดับที่สี่ของจํานวนหะดีษอาหาด
ระดับที่ 3 หะดีษเมาฎอฺ คือ ระดับที่หาของจํานวนหะดีษอาหาด
การอธิบายจะเรียงลําดับตามจํานวนระดับหะดีษดังนี้ ระดับที่ 3 หะดีษ
เฎาะอีฟ ระดับที่ 4 หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน และระดับที่ 5 หะดีษเมาฎอฺ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 121
ระดับที่ 3 หะดีษเฎาะอีฟ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﺿﻌﻴﻒแปลวา ออน ตรงกันขามกับแข็ง ดังนั้นหะดีษเฎาะอีฟ คือ
หะดีษออน หมายถึง เฎาะอีฟในกระบวนการรายงาน
ตามหลักวิชาการ
หะดี ษ เฎาะอี ฟ คื อ หะดี ษ ที่ ข าดคุ ณ สมบั ติ ข องหะดี ษ เศาะหี หฺ แ ละ
คุณสมบัติของหะดีษหะซัน(1)
ตามทัศนะของอุละมาอฺบางทาน ระหวางหะดีษเฎาะอีฟและหะดีษมัรดูด
เปน หะดีษชนิดเดียวกัน ดังนั้น บางครั้งเรียกวาหะดีษมัรดูดและบางครั้ง
เรียกวา หะดีษเฎาะอีฟ
2. ตัวอยางหะดีษเฎาะอีฟ
ﺣﺪﺛﻨﺎ ﳏﻤﺪ،(2) ﺣﺪﺛﻨﺎ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ: ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ
ﻋﻦ ﳛﻲ ﺑﻦ،(4) ﻋﻦ ﺃﰊ ﺳﻠﻤﺔ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻢ،(3)ﺑﻦ ﺣﺮﺏ
ﻋﻦ ﺟﺪﻩ ﺍﳌﻘﺪﺍﻡ ﺑﻦ،(6) ﻋﻦ ﺻﺎﱀ ﺑﻦ ﳛﻲ ﺑﻦ ﺍﳌﻘﺪﺍﻡ،(5)ﺟﺎﺑﺮ
(1)
อะหฺมัด ชากิร หนา 38
(2)
อัมรฺ เบ็ญ อุษมาน : ( ﺛﻘﺔอัลอัสเกาะลานีย : 2/153)
(3)
มุฮัมมัด เบ็ญ หัรบฺ : ( ﺛﻘﺔอัลอัสเกาะลานีย : 2/153)
(4)
อะบู สะละมะฮฺ สุลัยมาน เบ็ญ สุลัยมฺ : ( ﺛﻘﺔ ﺛﺒﺖอัลอัสเกาะลานีย : 1/325)
(5)
ยะหฺยา เบ็ญ ญาบิร : ( ﻣﻘﺒﻮﻝอัลอัสเกาะลานีย : 2/360)
(6)
ศอลิหฺ เบ็ญ ยะหฺยา เบ็ญ อัลมิกดาม : ( ﹶﻟﻴﱢﻦอัลอัสเกาะลานีย : 1/364)
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 122
ﺃﻥ ﺭﺳـﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳـﻠﻢ ﺿﺮﺏ،(7)ﻣﻌﺪﻳﻜﺮﺏ
ﺖ ﻭﱂ
ﺇﻥ ﻣ ﱡ،ﺖ ﻳﺎ ﻗﺪﱘ
َ )) ﺃﻓﻠﺤ: ﰒ ﻗﺎﻝ ﻟﻪ،ﻋﻠﻰ ﻣﻨﻜﺒﻴﻪ
(( ﻭﻻ ﻋﺮﻳﻔﹰﺎ، ﻭﻻ ﻛﺎﺗﺒﺎﹰ،ﺗﻜﻦ ﺃﻣﲑﺍﹰ
3. การรายงานหะดีษเฎาะอีฟ
การรายงานหะดีษเฎาะอีฟตามวิธีการปฏิบัติของบรรดาอุละมาอฺนั้นพอ
สรุปสาระสําคัญ 2 ประการดวยกัน
1) หุกมการรายงานหะดีษเฎาะอีฟ
สําหรับผูที่มีความรูในดานหะดีษหรือทราบวาเปนหะดีษเฎาะอีฟ ตาม
ทัศนะของอุละมาอฺหะดีษ อุละมาอฺฟกฮฺและอุละมาอฺอุศูล อัลฟกฮฺมีความเห็นวา
(7)
อัลมิกดาม เบ็ญ มะอฺดิกะริบ : ( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞอัลอัสเกาะลานีย : 2/272)
(1)
บันทึกโดยอะบูดาวูด : 3/346 และอะหฺมัด : 4/123
(2)
อัลอัสเกาะลานีย : 4/407, 1/364
(3)
อัลอัลบานีย : 2/268
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 123
อนุญาตใหรายงานหะดีษเฎาะอีฟโดยไมตองระบุระดับของหะดีษแตอยางใด คือ
หะดีษเฎาะอีฟที่เกี่ยวกับคุณคาของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดีและการ
ตั ก เตื อ นไม ใ ห ทํ า ความชั่ ว เท า นั้ น และไม อนุ ญ าตให ร ายงาน หะดี ษ ฎออี ฟ ที่
เกี่ ย วกั บ อะกี ด ะฮฺ หะลาลและหะรอม อิ บ าดะฮฺ การแต ง งาน ญะนาอิ ซ
ประวัติศาสตร และอื่น ๆ นอกจากจะระบุระดับของหะดีษอยางชัดเจนวาเปนหะ
ดีษเฎาะอีฟเมื่อจบการรายงาน(4)
สวนผูที่ไมมีความรูหรือคนเอาวาม (คนทั่วไป) หากรายงานหะดีษโดยไม
เจตนาก็ถือวาอนุโลม เนื่องจากความญะฮีลของเขานั่นเอง แตทางที่ดีที่สุดก็คือ
ควรหลีกเลี่ยงจากการรายงานหะดีษเฎาะอีฟ เพราะคนที่ไมมีความรูเรื่องหะดีษ
เปนที่ตองหามพูดถึงหะดีษโดยเด็ดขาด
2) วิธีการรายงานหะดีษเฎาะอีฟ
การรายงานหะดีษเฎาะอีฟสามารถทําไดดวย 2 วิธี คือ รายงานทั้งตัวบท
และสะนัดหะดีษ หรือรายงานเฉพาะตัวบทเพียงอยางเดียว
วิธีที่ 1 รายงานทั้งตัวบทและสะนัดหะดีษ อุละมาอฺมีความเห็นพองกัน
วา การรายงานโดยวิธีนี้เปนที่อนุญาตโดยไมจําเปนตองระบุระดับของหะดีษแต
อยางใด(1)
วิธีที่ 2 รายงานตัวบทเพียงอยางเดียวโดยไมอางสะนัดของหะดีษ
การรายงานดวยวิธีนี้ผูรายงานเลือกปฏิบัติอยางใดอยางหนึ่งตอไปนี้
1. เมื่อมีการรายงานหะดีษเฎาะอีฟ ผูรายงานจะตองระบุระดับของ
หะดีษวาเปนหะดีษเฎาะอีฟทันทีเมื่อจบการรายงานตัวบทหะดีษ
(4)
มะหฺมูด อัฏเฏาะหฺหาน หนา 134
(1)
มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 134
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 124
2. เมื่อตองการรายงานหะดีษเฎาะอีฟ ผูรายงานจะตองกลาวดวยสํานวน
ไมชัดเจนไดหรือสํานวนคลุมเครือ เชน กลาววา “ ﻯ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ
َ ﺭُ ِﻭ
”ﻭﺳﻠﻢแปลวา มีการรายงานจากทานรสูลุลลอฮฺ (2) หากผูรายงานไมปฏิบัติ
ตามจะถือวาเปนการปฏิ บัติ ที่ผิ ดตอหลั กการรายงานหะดีษตามหลั กวิ ชาการ
มุศฺเฏาะละหฺ อัลหะดีษ
4. การปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟ
การนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามเทาที่ปรากฏในหมู
บรรดาอุละมาอฺนั้นอาจจําแนกออกเปน 3 กลุม คือ
กลุมที่หนึ่ง อนุญาตใหนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐานไดในทุก ๆ
เรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา เชน อะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ หุกมหะกัม เรื่องราวตาง
ๆ คุณคาของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดีและหามปรามทําความชั่ว เปน
ตน
อุละมาอฺกลุมนี้ไดแก อิมามอะบูหะนีฟะฮ, อิมามอะหฺมัด เบ็ญ หันบัล,
อิมาม อับดุลเราะหฺมาน เบ็ญ มะฮฺดีย และทานอื่น ๆ ที่มีความเห็นเหมือนกัน
เหตุ ผ ลของอุ ล ะมาอฺ ก ลุ ม นี้ ไ ด แ ก หะดี ษ เฎาะอี ฟ มี ฐ านะดี ก ว า การใช
หลักการกิยาส (อนุมาน) และความคิดของคนใดคนหนึ่ง(3)
(2)
อัตตะฮานะวีย หนา 156
(3)
อัลกอสิมีย หนา 93
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 125
กลุมที่สอง ไมอนุญาตนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐานที่เกี่ยวกับทุก ๆ
เรื่องของศาสนาโดยเด็ดขาด(1) การปฏิบัติของอุละมาอฺกลุมนี้ตรงกันขามกับ
อุละมาอฺกลุมแรกโดยสิ้นเชิง
อุละมาอฺกลุมนี้ ไดแก อิมามอัลบุคอรีย อิมามมุสลิม ยะหฺยา เบ็ญ มะอีน
อะบูบักรฺ อิบนุอัลอะรอบีย(2) อิบนุหัซมฺ อะบูชาเมาะฮฺ และอัชเชาวกานีย
(3)
(1)
อันนะวะวีย หนา 84-85
(2)
อัลอัสเกาะลานีย หนา 24
(3)
อิบนุ อัลลาน : 1/258
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 127
จากหลาย ๆ ทั ศ นะข า งต น ทั ศ นะที่ ส มควรนํ า มาปฏิบัติ ม ากที่ สุ ด คื อ
ทัศนะของอิบนุหะญัรอัลอัสเกาะลานีย เนื่องจากเปนการปฏิบัติอยางระมัดระวัง
ที่สุดโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ หุกมหะกัมและสิ่งที่เปนสุนัต ﻭﺍﷲ ﺃﻋﻠﻢ
5. ชนิดของหะดีษเฎาะอีฟ
เมื่อพิจารณาสาเหตุของหะดีษเฎาะอีฟสามารถแบงออกเปน 2 สาเหตุ
1. สาเหตุที่มาจากความบกพรองในกระบวนการสายรายงาน มี 6 ชนิด
หะดีษ
ชนิดที่ 1 หะดีษมุอัลลั้ก
ชนิดที่ 2 หะดีษมุรซัลตาบิอีน
ชนิดที่ 3 หะดีษมุรซัลเคาะฟย
ชนิดที่ 4 หะดีษมุอฺฎ็อล
ชนิดที่ 5 หะดีษมุนเกาะฏิอฺ
ชนิดที่ 6 หะดีษมุดัลลั้ส
2. สาเหตุที่มีมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน มี 7 ชนิด
หะดีษ
ชนิดที่ 1 หะดีษมุอัลลั้ล
ชนิดที่ 2 หะดีษมุดรอจญ
ชนิดที่ 3 หะดีษมักลูบ
ชนิดที่ 4 หะดีษมุฏอรอบ
ชนิดที่ 5 หะดีษชาซ
ชนิดที่ 6 หะดีษมุเศาะหฺหัฟ
ชนิดที่ 7 หะดีษมุหัรรอฟ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 128
หะดีษเฎาะอีฟมาจากความบกพรองในกระบวนการสะนัด
ชนิดที่ 1 หะดีษมุอัลลั้ก
หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในกระบวนการรายงานหรือ
สะนัด คือ ผูรายงานตกหลนตลอดทั้งสาย เวนแตเศาะหาบะฮฺหรือตาบิอีน หะดีษ
ลักษณะเชนนี้เรียกวา หะดีษมุอัลลั้ก
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﻌﻠﻖมาจากรากศัพท “ ”ﺗﻌﻠﻴﻘﺎﹰแปลวา คางอยู หรือติดไว
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมุอัลลั้ก คือ หะดีษที่มีการตัดผูรายงานออกหนึ่งคนหรือมากกวา
ติดตอกันตัง้ แตตนสะนัดจนถึงเศาะหาบะฮฺหรือตาบิอีน(1)
การสังเกตหะดีษมุอัลลั้ก เชน ผูกลาวตองเปนนักบันทึกหะดีษ(2) การตก
หลนในสายรายงานตองติดตอกัน และผูกลาวรายงานหะดีษเปนเศาะหาบะฮฺ
หรือตาบิอีน
2. ลักษณะและตัวอยางหะดีษมุอัลลั้ก
โดยทั่วไปแลวการรายงานหะดีษมุอัลลั้กมี 3 ลักษณะดวยกัน
ลักษณะที่หนึ่ง หะดีษที่มีการตัดสายรายงานออกทั้งหมด ตัวอยาง
(1)
อัตตะฮานะวีย หนา 39
(2)
ผูบันทึกหะดีษ เชน อัลบุคอรีย ( )ﺥมุสลิม ( )ﻡอะบูดาวูด ( )ﺩอัตตัรมิซีย ( )ﺕอันนะสาอีย ( )ﻥอิบนุมาญะฮฺ ()ﺟﻪ
อะหฺมัด ( )ﺣﻢมาลิก ( )ﻁอัดดาริมีย ( )ﺩﻱอัลฮากิม ( )ﻙอัตฏอบะรอนีย ( )ﻃﺐอัดดารอกุฏนีย ( )ﻗﻂอิบนุคุซัยมะฮฺ
( )ﻣﻪอิบนุหิบบาน ( )ﺣﺐอิบนุอะบีชัยบะฮฺ ( )ﺑﻪอับดุรรอซาค ( )ﻋﺐอิบนุอะดีย ()ﻋﺪ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 129
การรายงานหะดีษบทนี้ผูบันทึกกลาวเพียงทานรสูลุลลอฮฺและตัวบทหะดีษ
มิไดกลาวสายรายงานของหะดีษแตอยางใด
ลั ก ษณะที่ ส อง หะดี ษ ที่ มี ก ารตั ด สะนั ด ออก เว น แต เ ศาะหาบะฮฺ
ตัวอยาง
การรายงานหะดีษบทนี้ผูบันทึกไดกลาวรายงานเริ่มตั้งแตเศาะหาบะฮฺ
รสูลุลลอฮฺ และตัวบทหะดีษ ไมไดกลาวสายรายงานของหะดีษกอนอะบูมูซา
อัลอัชอะรีย
(1)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 1/401
(2)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 1/90
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 130
ลักษณะที่สาม หะดีษที่มีการตัดสะนัดออกทั้งหมดเวนแตเศาะหาบะฮฺและ
ตาบิอีน ตัวอยาง
ﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ
ّ ﻭﻗﺎﻝ ﻬﺑﺰ ﻋﻦ ﺃﺑﻴﻪ ﻋﻦ ﺟﺪﻩ ﻋﻦ ﺍﻟﻨ: ﻱ
ّ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ
(( )) ﺍﷲ ﺃﺣﻖ ﺃﻥ ﻳﺴﺘﺤﻲ ﻣﻨﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ: ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ
การรายงานหะดีษบทนี้ ผูบันทึกไดกลาวรายงานโดยเริ่มตั้งแตตาบิอีน
เศาะหาบะฮฺ รสูลุล ลอฮฺ และตัวบทหะดีษ ไมไดกลาวสายรายงานของ
หะดีษระหวางเขากับตาบิอีน
อยางไรก็ตาม การรายงานหะดีษมุอัลลั้กสามารถเลือกวิธีการรายงาน
อยางหนึ่งอยางใดจากทั้งสามวิธีที่ไดกลาวมาแลว
3. ฐานะของหะดีษมุอัลลั้ก
ที่จริงแลว หะดีษมุอัลลั้กที่มีอยูในหนังสือหะดีษทั้งหลายพอสรุปไดดังนี้
1. หะดีษมุอัลลั้กในหนังสืออัลญามิอฺ อัศเศาะหีหฺของอัลบุคอรียและของ
มุสลิม บรรดาอุละมาอฺยอมรับวาทั้งหมดเปนหะดีษเศาะหีหฺ ทั้งนี้เนื่องจากนักการ
หะดี ษ ได ทํ า การ ศึ ก ษาวิ เ คราะห พ บว า หะดี ษ มุ อั ล ลั้ ก ในหนั ง สื อ ทั้ ง สองมี ก าร
(3)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 1/300
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 131
รายงานดวยสายรายงานที่ติดตอกันโดยทราบจากสะนัดอื่นตั้งแตสองสะนัดหรือ
มากกวา และสะนัดอื่นนั้นอยูในระดับเศาะหีหฺหรืออยางต่ําอยูในระดับหะซัน
2. หะดีษมุอัลลั้กในหนังสืออัซซุนัน อัลมะสานีด อัลมุศอนนะฟาต และ
หนังสืออื่น ๆ จะตองพิจารณาสํานวนการรายงานเปนหลักดังนี้
ก. หากการรายงานหะดีษมุอัลลั้กนั้นใชสํานวน ( ﺟﺰﻡสํานวนชัดเจนชี้ชัด)
เชน กลาววา “ ”ﻗﺎﻝหรือ “ ” ﹶﺫ ﹶﻛ َﺮหรือ “ ” َﺣ ﹶﻜﻲหะดีษมุอัลลั้กอยูในระดับหะดีษ
เศาะหีหฺ
ข. หากการรายงานหะดี ษ มุ อั ล ลั้ ก นั้ น โดยใช สํ า นวน ( ﲤﺮﻳﺾสํ า นวน
คลุมเครือ) เชน กลาววา “ ”ﻗﻴﻞหรือ “ ” ﹸﺫ َِﻛﺮหรือ “ ”ﺣُ ِﻜ َﻲหะดีษมุอัลลั้กใน
ลักษณะเชนนี้ไมสามารถจะตัดสินเปนหะดีษเศาะหีหฺได บางหะดีษเปนหะดีษ
เศาะหี หฺ หะดี ษ หะซั น และหะดี ษ เฎาะอี ฟ หรือแม แ ต ห ะดีษ เมาฎ อฺ ขึ้ น อยู กับ
สถานภาพของสายรายงานที่ไดรายงานหะดีษที่เกี่ยวของ(1)
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดีษมุอัลลั้กสามารถนํามาใชเปนหลักฐานได หากเปนหะดีษเศาะหีหฺหรือ
หะดีษหะซัน โดยเฉพาะอยางยิ่งหะดีษในเศาะหีหฺอัลบุคอรียและเศาะหีหฺมุสลิม
สวนหะดีษมุอัลลั้กที่เปนหะดีษเฎาะอีฟจะมีหุกมเหมือนกับหุกมของหะดีษเฎาะอีฟ
ทั่วไป
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﻛﺘﺎﺏ ﺻﺤﻴﺢ ﻣﺴﻠﻢ، ﻛﺘﺎﺏ ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ.1
ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺴﻨﻦ ﺍﻷﺭﺑﻌﺔ.2
(1)
ดู มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 134
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 132
ชนิดที่ 2 หะดีษมุรซัลตาบิอีน
หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในสายรายงาน เนื่องจาก
ตกหลนผูรายงานหนึ่งคนหรือสองคนในชวงทายของสะนัดเรียกวา หะดีษมุรซัล
ตาบิอีน
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﺮﺳﻞมาจากรากศัพทของคํา “ ”ﺃﺭﺳﻞ ﻳﺮﺳﻞ ﺇﺭﺳﺎ ﹰﻻแปลวา ขาม
ไปปลอยไป หมายถึง ผูรายงานขามผูรายงานอีกทานหนึ่ง (1)
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมุรซัลตาบิอีน คือ หะดีษที่ตกหลนผูรายงานหนึ่งคนหรือสองคน
ในชวงทายของ สะนัดหลังจากรุนตาบิอีน(2)
หะดีษมุรซัลตาบิอีนเปนการตกหลนเศาะหาบะฮฺหรือตาบิอีน ซึ่งเปนการ
รายงานของตาบิอีนที่กลาววา จากรสูลุลลอฮฺ
2. ตัวอยางหะดีษมุรซัลตาบิอีน
(1)
ผูรายงานในชวงตนและชวงกลางของสะนัดมีการกลาวอยางชัดเจน มิไดตัดออกหรือตกหลนแตอยางใด แตหาก
การตกหลนนั้นในสองชวง คือ ชวงตนหรือชวงกลางและชวงทายของสะนัด หะดีษในลักษณะนี้จะมีสองชื่อ คือ
หะดีษมุรซัลและหะดีษมุนเกาะฏิอฺ
(2)
อัลอัสเกาะลานีย หนา 23
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 133
3. ฐานะของหะดีษมุรซัลตาบิอีน
หะดีษมุรซัลตาบิอีนเปนหะดีษเฎาะอีฟเนื่องจากขาดคุณสมบัติของหะดีษ
เศาะหีหฺ คือ สะนัดที่ขาดตอน เพราะตกหลนผูรายงานระหวางตาบิอีนกับ
ทานนบี จะเปนตาบิอีนหรือเศาะหาบะฮฺ
อยางไรก็ตาม บรรดาอุละมาอฺหะดีษมีความเห็นวาหะดีษมุรซัลตาบิอีนใน
หนังสือเศาะหีหฺอัลบุคอรียและเศาะหีหฺมุสลิมเปนหะดีษมุรซัลที่เศาะหีหฺ เพราะมี
กระแสรายงานอื่นที่ติดตอกันมายืนยันและเปนการรายงานของคนษิเกาะฮฺ(2)
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
การนําหะดีษมุรซัลตาบิอีนมาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามนั้นมีทัศนะ
อุละมาอฺที่หลากหลายพอสรุปไดดังนี้
(1)
บันทึกโดยมุสลิม : 15/198
(2)
หะดีษมุรซัลตาบิอีนจะมีสายรายงานสองลักษณะดวยกัน คือ ลักษณะที่ขาดตอนสําหรับสายรายงานหนึ่งและ
ลักษณะที่ติดตอกันอีกสายรายงานหนึ่ง
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 134
ทัศนะที่ 1 ไมอนุญาตใหใชหะดีษมุรซัลตาบิอีนเปนหลักฐาน ทัศนะนี้เปน
ทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญ เชน อุละมาอฺหะดีษ อุละมาอฺฟกฮ และอุละมาอฺ
อุศูล อัลฟกฮฺ
ทัศนะที่ 2 อนุญาตใหนําหะดีษมุรซัลตาบิอีนมาใชเปนหลักฐาน ทัศนะนี้
เป น ทั ศ นะของ อิ ม าม อะบู ห ะนี ฟ ะฮฺ อิ ม ามมาลิก และอิม ามอะหฺมั ด เบ็ ญ
หันบัล
ทัศนะที่ 3 อนุญาตใหนําหะดีษมุรซัลตาบิอีนเปนหลักฐานขึ้นอยูกับ
เงื่อนไขเปนทัศนะของอิมามอัชชาฟอียและอุละมาอฺบางทาน เงื่อนไขที่วานี้คือ
1. ผูรายงานที่ขามนั้นตองเปนตาบิอีนรุนอาวุโสเทานั้น เชน สะอีด เบ็ญ
อัลมุสัยยิบ และทานอื่น ๆ
2. ผูรายงานที่กลาวอางตองเปนผูรายงานที่ษิเกาะฮฺ
3. หากมี ผู อื่ น ร ว มรายงานหะดี ษ ด ว ยผู ร ายงานคนนี้ ก็ ต อ งเป น คนที่ มี
ความจํ า ดี เ ยี่ ย มและมี คุ ณ ธรรม และไม ขั ด แย ง กั บ การรายงานของคนอื่ น ที่
เหนือกวา
4. ตองมีการรายงานหะดีษจากสายรายงานอื่นที่มีสะนัดติดตอกัน(1)
ตัวอยาง
(1)
เงื่อนไขที่ 4 โดยเลือกเงื่อนไขหนึ่งเงื่อนใดตอไปนี้ คือ 1) ผูรายงานที่ขามนั้นตองไมใชเปนผูที่โกหกหรือถูก
กลาวหาวาเปนคนโกหก 2) ผูรายงานที่ขามนั้นไมใชตาบิอีนรุนเล็ก
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 135
ความวา : จากมักฮูล จากรสูลุลลอฮฺ กลาววา “จงแสวงหาการตอบ
รับการดุอาอฺ คือ เมื่อมีการเผชิญหนากับศัตรู และเวลายืนขึ้นจะ
ละหมาด และเวลาฝนตกหนัก (วาตภัย)”(2)
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ.1
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ.2
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﻌﻼﺋ ّﻲ، ﻛﺘﺎﺏ ﺟﺎﻣﻊ ﺍﻟﺘﺤﺼﻴﻞ ﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ.3
หัวขอยอย
หะดีษมุรซัลเศาะหาบีย
1. นิยาม
หะดีษมุรซัลเศาะหาบีย คือ หะดีษที่รายงานโดยเศาะหาบะฮฺทานหนึ่งจาก
ทานนบี ซึ่งไมไดยินโดยตรงจากทานนบี ในสิ่งที่เขารายงานจะเปน
คําพูดหรือการกระทํา(3)
สาเหตุของการเปนหะดีษมุรซัลเศาะหาบียนั้น อันเนื่องมาจากเศาะหาบะฮฺ
ทานนั้นอายุยังนอย เขารับนับถือศาสนาอิสลามในชวงปลายของชีวิตหรือไมได
อยูในเหตุการณ เชน อิบนุอับบาส อิบนุอัซซุบัยร และทานอื่น ๆ
(2)
บันทึกโดยอัชชาฟอีย: 1/223-224 อิมามอันนะวะวียกลาววา: หะดีษนี้เปนหะดีษมุรซัลและอัลอัสเกาะลานียระบุ
วา อิสนาดจัยยิด (อิบนุ อัลลาน : 1/451)
(3)
มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 73
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 136
2. ตัวอยางหะดีษมุรซัลเศฺาะหาบีย
(1)
บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 1/659, อัดดารอกุฏนีย : 4/170 และอัลบัยฮะกีย : 7/356
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 137
หาบะฮฺไมมีผลตอการยอมรับหะดีษแตอยางใด เนื่องจากผูแอบอางรับหะดีษจาก
ทานนบี เปนคนษิเกาะฮฺ หรืออยางนอยเปนคนเศาะดูก โดยเฉพาะอยางยิ่ง
เปนการรายงานของตาบิอีนรุนอาวุโส
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
ตามทัศนะอุละมาอฺสวนใหญ (อุละมาอฺหะดีษ อุละมาอฺฟกฮฺ และอุละมาอฺ
อุศูล อัลฟกฮฺ) มีความเห็นวา หะดีษมุรซัลเศาะหาบียสามารถนํามาใชเปน
หลักฐานได
ชนิดที่ 3 หะดีษมุรซัลเคาะฟย
หะดีษที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในสายรายงานเนื่องจากมีผูรายงาน
ตกหลนระหวางตาบิอีนกับเศาะหาบะฮฺ หะดีษในลักษณะเชนนี้เรียกวา หะดีษ
มุรซัลเคาะฟย
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﺧﻔﻲแปลวา ไมปรากฏ หรือซอนเรน หมายถึง ผูรายงานที่ตก
หลนไปจากสะนัดซอนอยูหรือไมปรากฏใหเห็นอยางชัดเจน
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมุรซัลเคาะฟย คือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่เคยพบเห็น หรือ
รวมสมัย การรายงานนั้นโดยใชสํานวนไดชัดเจน แตทั้งสองไมเคยปรากฏรับหะ
ดีษโดยตรง(1)
(1)
อิบนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 145
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 138
จากนิ ย ามข า งต น สามารถรู จั ก หะดี ษ มุ ร ซั ล เคาะฟ ย ด ว ยประการใด
ประการหนึ่งจาก 3 ประการตอไปนี้
1. อุละมาอฺผูเชี่ยวชาญระบุวา ผูรายงานคนนั้นไมไดพบเห็น หรือไมไดฟง
หะดีษจากผูที่ถูกแอบอาง(2)
2. ผูรายงานกลาวยอมรับเองวา เขาแอบอางจากบุคคลที่เขาไมไดยินและ
ไมไดฟง
3. มีกระแสรายงานอื่นระบุถึงผูรายงานที่ตกหลนระหวางผูรายงานทั้งสอง(3)
2. ตัวอยางหะดีษมุรซัลเคาะฟย
(2)
ระหวางตาบิอีนกับเศาะหาบะฮฺจากการรายงานของตาบิอีนดวยกันหรือตาบิอ ตาบิอีน
(3)
มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 79
(1)
บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 2/925
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 139
หะดี ษ บทนี้ คื อ หะดี ษ มุ ร ซั ล เคาะฟ ย อั ล หาฟ ศ อั ล มิ ซ ซี ย กล า วว า
เนื่องจากอุมัร เบ็ญ อับดุลอะซีซ ไมไดรับหะดีษโดยตรงจากอุกบะฮฺ เบ็ญ อามิร
3. ฐานะของหะดีษมุรซัลเคาะฟย
หะดีษมุรซัลเคาะฟยเปนหะดีษเฎาะอีฟ เนื่องจากขาดคุณสมบัติของหะดีษ
มักบูล คือ สะนัดไมติดตอกัน เพราะมีผูรายงานตกหลนหนึ่งคนระหวางตาบิอีน
กับเศาะหาบะฮฺ อุละมาอฺบางทานใหเหตุผลวา หะดีษในลักษณะนี้เปนทั้งหะดีษ
มุรซัลเคาะฟยและหะดีษ มุนเกาะฏิอฺ(2)
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดี ษ มุ ร ซั ล เคาะฟ ย ด ว ยสายรายงานที่ ต กหล น จั ด อยู ใ นระดั บ หะดี ษ
เฎาะอีฟ ไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐาน เวนแตจะมีสะนัดอื่นที่เศาะหีหฺระบุ
ถึ ง ผู ร ายงานที่ ต กหล น ไปจึ ง สามารถนํ า มาใช เ ป น หลั ก ฐานได โ ดยได รั บ การ
สนับสนุนจากสะนัดอื่นนั้น(3)
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﻱ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳋﻄﻴﺐ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩ،ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﻔﺼﻴﻞ ﳌﺒﻬﻢ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ
(2)
คือ พิจารณาดานตกหลนของผูรายงานระหวางเขากับอาจารยของเขา
(3)
สะนัดอื่นนั้นตองประกอบดวย 1) มีหนึ่งสะนัดหรือมากกวา 2) สะนัดติดตอกัน 3) มีฐานะเดียวกันหรือ
เหนือกวา
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 140
ชนิดที่ 4 หะดีษมุอฺฎอล
หะดีษที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในสะนัดเนื่องจากมีการตกหลน
ผูรายงานสองคนติดตอกันเรียกวา หะดีษมุอฺฎอล
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﻌﻀﻞมาจากรากศัพทของคําวา “ﻼ ”ﺃﻋﻀﻞ ﻳﻌﻀﻞ ﺇﻋﻀﺎ ﹰﻻ ﻭﻣﻌﻀ ﹰ
แปลวา ติด ๆ กัน หรือติดตอกัน
ตามหลักวิชาการ
หะดี ษ มุ อฺ ฎ อ ล คื อ หะดี ษ ที่ มี ผู ร ายงานตกหล น ในสะนั ด สองคนหรื อ
มากกวาติดตอกัน(1)
การตกหลนสองคนหรือมากกวานั้นไดแกการตกหลนในชวงกลางของสะ
นัดและ หากมีการตกหลนไมติดตอกัน หรือตกหลนหลายคนในหลายๆ ชวงของ
สะนัด(2)ไมเรียกวา หะดีษมุอฺฎอล
2. ตัวอยางหะดีษมุอฺฎอล
: ﻣﺎ ﺭﻭﺍﻩ ﺍﳊﺎﻛﻢ ﻋﻦ ﻣﺎﻟﻚ ﺃﻧﻪ ﺑﻠﹼﻐﻪ ﺃﻥ ﺃﺑﺎ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻝ
)) ﻟﻠﻤﻤﻠﻮﻙ ﻃﻌﺎﻣﻪ ﻭﻛﺴﻮﺗﻪ: ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ
(( ﻭﻻ ﻳﻜﻠﻒ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻤﻞ ﺇ ﹼﻻ ﻣﺎ ﻳﻄﻴﻖ،ﺑﺎﳌﻌﺮﻭﻑ
(1)
อัสสุยูฏีย : 2/ 234
(2)
หมายความวา ตกหลนในชวงตนหรือชวงกลางของสะนัด ไมใชหลาย ๆ ที่ของสะนัด สวนใหญแลวมักเกิดขึ้น
ในชวงกลางของสะนัด คือ รุนตาบิอีนหรือตาบิอฺ ตาบิอีน
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 141
(1)
บันทึกโดยอัลหากิม ทานกลาววา “หะดีษบทนี้เปนหะดีษมุอฺฎอลจากมาลิก (อางในหนังสืออุลูม อัลหะดีษ
ของอิบนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 46)
(2)
การตกหลนติดตอกันหลายคนนั้นในชวงตนหรือชวงกลางของสะนัดเทานั้น แตหากตกหลนทั้งชวงตนและชวง
กลางไมเรียกวา หะดีษมุอฺฎอล อาจจะเปนหะดีษมุรซัลเศาะหาบีย หรือหะดีษมุรซัลเคาะฟย หรือหะดีษมุอัลลั้ก
(3)
สะนัดอื่นนั้นตองเปนสะนัดที่ติดตอกันหนึ่งสะนัดหรือมากกวา ซึ่งมีฐานะเดียวกันหรือเหนือกวา
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 142
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻨﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﻣﻨﺼﻮﺭ.1
ﻛﺘﺎﺏ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ.2
ชนิดที่ 5 หะดีษมุนเกาะฏิอฺ
หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรอง อันเนื่องมาจากการตก
หลนในสะนัดหนึ่งคนหรือสองคนไมติดตอกันเรียกวา หะดีษมุนเกาะฏิอฺ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﻨﻘﻄﻊมาจากรากศัพทของคํา “ ”ﺍﻧﻘﻄﻊ ﻳﻨﻘﻄﻊ ﺍﻧﻘﻄﺎﻋﹰﺎแปลวา ทํา
ใหขาดตอน หรือไมติดตอกัน
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมุนเกาะฏิอฺ คือ หะดีษที่มีผูรายงานตกหลนในสะนัดหนึ่งคน หรือ
มากกวาแตไมติดตอกัน(1)
จากนิยามขางตนพอสรุปไดวา หากมีการตกหลนผูรายงานในหลายที่ของ
สะนัด เรียกวา หะดีษมุนเกาะฏิอฺเหมือนกัน
(1)
อัสสุยูฏีย : 2/349
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 143
2. ตัวอยางหะดีษมุนเกาะฏิอฺ
3. ฐานะของหะดีษมุนเกาะฏิอฺ
อุละมาอฺหะดีษมีความเห็นตรงกันวา หะดีษมุนเกาะฏิอฺเปนสวนหนึ่ง
ของหะดีษ เฎาะอีฟ เนื่องจากการตกหลนของผูรายงานในสะนัดนั้นไมทราบวา
เปนใคร
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดีษมุนเกาะฏิอฺไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตาม เวน
แตเมื่อมี สะนัดอื่นที่ติดตอกันมายืนยันผูรายงานที่ตกหลน สะนัดอื่นนั้นมีหนึ่ง
สะนัดหรือมากกวา
(2)
บันทึกโดยอะหฺมัด อัลบัซซารและอัตฏอบะรอนีย (อัลฮัยตะมีย : 5/176)
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 144
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺴﻨﻦ ﻭﻏﲑﻫﺎ.1
ชนิดที่ 6 หะดีษมุดัลลั้ส
หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากการตกหลนผูรายงานในสะนัดเนื่องจาก
การปกปดที่ซอนเรนเรียกวา หะดีษมุดัลลั้ส
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﺪﻟﺲมาจากคําวา “ ”ﺩﻟﹼﺲ ﻳﺪﻟﺲ ﺗﺪﻟﻴﺴﹰﺎแปลวา ปกปด ซอนเรน
หมายถึง การปกปดผูรายงาน
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมุดัลลั้ส คือ หะดีษที่มีการรายงานในลักษณะปกปดผูรายงานโดย
เจตนาเพื่อใหเห็นภายนอกวาเปนหะดีษที่ไมมคี วามบกพรองแตอยางใด(1)
2. ประเภทของหะดีษมุดัลลัส
หะดีษมุดัลลั้สแบงออกเปน 2 ประเภทใหญ ๆ คือ ตัดลีสอิสนาดและ
ตัดลิสสุยูค แตละประเภทมีรายละเอียดดังนี้
ประเภทที่ 1 ตัดลิสอิสนาด ()ﺗﺪﻟﻴﺲ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ
1. ความหมาย
(1)
อัสสุยูฏีย : 2/234
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 145
หะดีษตัดลีสอิสนาด หมายถึง หะดีษที่ผูรายงานไดรายงานหะดีษที่เขา
ไมไดยินจากบุคคล (อาจารย) ที่เขาเคยไดยินหะดีษโดยไดระบุวารับหะดีษมาจาก
อาจารยทานนั้น(1)
2. ตัวอยาง
ﻗﺎﻝ ﻟﻨﺎ ﺍﺑﻦ: ﻣﺎ ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﳊﺎﻛﻢ ﺑﺴﻨﺪﻩ ﺇﱃ ﻋﻠ ّﻲ ﺑﻦ ﺧﺸﺮﻡ ﻗﺎﻝ
ﻭﻻ، ﻻ: ﲰﻌﺘَﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﺰﻫﺮﻱّ؟ ﻓﻘﺎﻝ: ﻗﻴﻞ ﻟﻪ،ّ ﻋﻦ ﺍﻟﺰﻫﺮﻱ: ﻋﻴﻴﻨﺔ
.ﻱ
ّ ﺣﺪﺛﲏ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺯﺍﻕ ﻋﻦ ﻣﻌﻤﺮ ﻋﻦ ﺍﻟﺰﻫﺮ.ﻱّ ﳑﻦ ﲰﻌﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﺰﻫﺮ
แปลวา : หะดีษรายงานโดยอัลหากิมดวยสะนัดถึงอะลี เบ็ญ คอชรอมเลา
วา อิบนุอุยัยนะฮฺไดเลาใหแกพวกเราวารับหะดีษจากอัซซุฮฺรีย
บางคนถามทานวา คุณไดยินหะดีษจากอัซซุฮฺรียจริงหรือ? ทาน
ตอบวาไมและไมไดยินจากคนที่ไดฟงหะดีษจากอัซซุฮฺรียเหมือนกัน
แตฉันรับหะดีษจากอับดุลรอซาค จากมะอฺมัร จากอัซ ซุฮฺรีย(2)
หะดีษบทนี้ คือ หะดีษตัดลีสอิสนาด เนื่องจากอิบนุอุยัยนะฮฺไดทําการ
ปกปด ผูรายงานสองคนระหวางเขากับอัซซุฮฺรีย ทั้งสองทานนั้น คือ อับดุลรอ-
ซาคและมะอฺมัร
3. หุกมการตัดลีสอิสนาด
อุละมาอฺสวนใหญไดตําหนิการกระทําตัดลีสอิสนาด และอิมามชุอฺบะฮฺผู
หนึ่ ง ที่ เ ป น ผู ที่ ตํ า หนิ อ ย า งหนั ก ต อ การกระทํ า ตั ด ลี ส อิ ส นาด ท า นกล า วว า
“ตัดลีสนั้นเสมือนเปนเพื่อนของการโกหก”(3)
(1)
อัตตะฮานะวีย หนา 41
(2)
อัลหากิม หนา 130
(3)
อัศศอนอานีย หนา 131
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 146
4. เปาหมายของตัดลีสอิสนาด
การทําตัดลีสอิสนาดมีเปาหมายหลายประการดวยกันที่สําคัญ คือ
1. เพื่อตองการใหเห็นวาหะดีษนั้น ๆ มีอิสนาดอาลีย (อิสนาดที่สูง)
2. เพื่อตองการลดการรับหะดีษจากอาจารยบอยครั้ง
3. เพื่อลบภาพพจนของอาจารยที่เปนคนเฎาะอีฟหรือไมษิเกาะฮฺ
4. เพื่อปกปดคนอื่นที่ไดยินหะดีษรวมกับเขาจากอาจารยคนเดียวกัน
5. เพื่อปกปดอาจารยที่มีอายุนอยกวาเขา
ประเภทที่ 2 ตัดลีสสุยูค ()ﺗﺪﻟﻴﺲ ﺍﻟﺸﻴﻮﺥ
1. ความหมาย
หะดี ษ ตั ด ลี ส สุ ยู ค หมายถึ ง ผู ร ายงานได ร ายงานหะดี ษ โดยตรงจาก
อาจารยที่เขาเคยไดยิน โดยที่เขาไมไดระบุชื่ออาจารยอยางชัดเจน แตกลาวเปน
ชื่ออื่นที่ไมเปนที่รูจักกันมากอน(1)
หรือกลาวอีกนัยหนึ่ง คือ ผูรายงานไดรายงานหะดีษที่เขารับโดยตรงจาก
อาจารยทานหนึ่ง ซึ่งเปนที่รูจักกันอยางแพรหลายในสังคม เมื่อกลาวรายงาน
หะดีษ ผูรายงานไมไดเอยชื่อของอาจารยทานนั้นอยางชัดเจน แตกลับใชชื่ออื่น
หรื อ ใช ส ร อ ย หรื อ บอกลั ก ษณะที่ เ ป น ที่ รู จั กกั น การกระทํ า เช น นี้ เ พื่อ ปกป ด
อาจารยนั้นเอง
2. ตัวอยาง
ﺣﺪﺛﻨﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ: ﻗﻮﻝ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﳎﺎﻫﺪ ﺃﺣﺪ ﺃﺋﻤﺔ ﺍﻟﻘﺮّﺍﺀ
.ﱐ
ﻳﺮﻳﺪ ﺃﺑﺎ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺩﺍﻭﺩ ﺍﻟﺴﺠﺴﺘﺎ ﹼ،ﺃﰊ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ
(1)
อิบนุอัศเศาะลาหฺ หนา66
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 147
แปลวา : คําพูดของอะบูบักร เบ็ญ มุญาฮิด (หนึ่งในบรรดานักอาน) กลาว
วา อับดุลเลาะ เบ็ญ อะบีอับดุลเลาะไดรายงานแกพวกเรา
หมายถึง อะบูบักร เบ็ญ อะบูดาวูด อัซซิญิสตานีย(1)
3. หุกมของการตัดลีสสุยูค
การตัดลีสสุยูคนั้นเปนที่นารังเกียจของบรรดาอุละมาอฺ
4. เปาหมายของการตัดลีสสุยูค
การตัดลิสสุยูคมีเปาหมายที่สําคัญดังนี้
1. เพื่อปกปดอาจารยที่มีสถานภาพเฎาะอีฟ
2. เพื่ อ ปกป ด ผู ร ายงานคนอื่ น ที่ ร ว มรั บ หะดี ษ กั บ เขาอั น เนื่ อ งมาจาก
อาจารยมีอายุยืน
3. เพื่อปกปดตัวเองที่มีอายุมากกวาอาจารย
4. เพื่อปกปดการรายงานของเขาจากอาจารยบอยครั้ง
3. รายชื่อผูรายงานที่มีสถานภาพเปนตัดลีส
ผูรายงานที่มีสถานภาพเปนนักตัดลีสอิสนาดตอหะดีษนะบะวียนั้นแบง
ออกเปน 5 รุนดวยกัน(1)
กลุมที่ 1 ผูที่ไดทําการตัดลีสเปนบางครั้งบางคราวเทานั้น เชน ยะหฺยา
เบ็ญ สะอีด อัลอันศอรีย
กลุมที่ 2 ผูที่อุลามาอฺนับเปนนักตัดลีสแตมีการรายงานในหนังสือเศาะหีหฺ
เนื่อจากความเปนอิมามของเขาและการทําตัดลีสนอยมากเมื่อมีการรายงาน
(2)
อัสสุยูฏีย : 2/234
(1)
อัลอัสเกาะลานีย หนา 23-24
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 148
หะดีษหรือการทําตัดลีสของเขานั้นมาจากผูรายงานที่มีสถานภาพษิเกาะฮฺ เชน
สุฟยาน เบ็ญ อุยัยนะฮฺ
กลุมที่ 3 ผูที่บรรดาอุลามาอฺมีความเห็นที่แตกตางกันในความเปนนักตัด
ลีสของเขา ซึ่งอุละมาอฺบางทานใหการยอมรับการรายงานของเขาและอุละมาอฺ
อีกกลุมหนึ่งไมยอมรับการรายงานของเขาในการนํามาใชเปนหลักฐาน เวนแตใน
กรณีที่เขารายงานหะดีษโดยใชสํานวนที่ชัดเจน เชน อะบูอัซซุบัยร อัลมักกีย
กลุมที่ 4 ผูที่อุละมาอฺมีความเห็นตรงกันวาไมสามารถนําหะดีษจากการ
รายงานของเขามาเปนหลักฐาน เวนแตในกรณีที่เขารายงานหะดีษโดยใชสํานวน
ที่ ชั ด เจน เนื่ อ งจากการตั ด ลี ส ของเขาจากผู ร ายงานที่ มี ส ถานภาพเฎาะอี ฟ
บ อ ยครั้ ง หรื อ ผู ที่ ไ ม รู จั ก กั น อย า งแพร ห ลายในสั ง คมว า เป น นั ก หะดี ษ เช น
บะกิยะฮฺ เบ็ญ อัลวะลีด
กลุมที่ 5 ผูรายงานที่เฎาะอีฟเนื่องมาจากสาเหตุอื่นที่ไมไดมาจากการ
ตัดลีส การรายงานหะดีษของเขาตองปฏิเสธ แมนวาการรายงานของเขานั้นโดย
ใชสํานวนชัดเจนก็ตาม เวนแตไดรับการยอมรับจากผูที่ษิเกาะฮฺวาเปนคนเฎาะอีฟ
เล็กนอย เชน อับดุลเลาะ เบ็ญ ละฮีอะฮฺ แตหากการรายงานของเขาใชสํานวน
คลุมเครือ หะดีษนั้นยอมเปนหะดีษเฏาะอีฟที่ใชไมได
4. ฐานะของหะดีษมุดัลลั้ส
หะดีษมุดัลลั้สเปนสวนหนึ่งของหะดีษเฎาะอีฟ เนื่องจากขาดคุณสมบัติของ
หะดีษมักบูล คือ ความบกพรองในการรายงาน(2)
(2)
การตัดลีสเปนการปกปดผูรายงานโดยเจตนา ซึ่งถือวาเปนการกระทําที่ไมเหมาะสม นักหะดีษถือวาเปนความ
บกพรองชนิดหนึ่งในบรรดาความบกพรองทั้งหลาย
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 149
5. การนํามาใชเปนหลักฐาน
การนําหะดีษมุดัลลั้สมาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามในเรื่องบทบัญญัติ
ตางๆ ที่เกี่ยวของกับเรื่องศาสนามีการขัดแยงในกลุมอุละมาอฺออกเปนหลาย
ทัศนะ แตที่แพรหลายมากที่สุดมี 2 ทัศนะเทานั้นคือ
ทัศนะที่ 1 ไมอนุญาตนําหะดีษมุดัลลั้สมาใชเปนหลักฐานไมวาในกรณี
ใดๆ ก็ตาม เนื่องจากการตัดลีสเปนเสมือนกับการโกหกตอทานนบี
ทัศนะที่ 2 พิจารณาจากลักษณะการรายงานของนักตัดลีส คือ
1. หากการรายงานนั้นใชสํานวนชัดเจน เชน กลาววา “ُ ” َﺳ ِﻤ ْﻌﺖหรือ
อื่นๆ สามารถนําหะดีษมาใชเปนหลักฐานได
2. ถาการรายงานนั้นใชสํานวนคลุมเครือ เชน กลาววา “ ”ﻋﻦหรือที่
เรียกวา “ ”ﻫﻮ ﻣﺪﻟﺲ ﻭﻗﺪ ﻋﻨﻌﻨﺔแปลวา เขาเปนนักตัดลีสโดยใชสํานวน “”ﻋﻦ
ไมสามารถนําหะดีษมาเปนหลักฐานได
จากสองทั ศ นะที่ ไ ด ก ล า วข า งต น ทั ศ นะที่ ถู ก ต อ ง คื อ ทั ศ นะที่ ส อง
เนื่องจากการรายงานนั้นโดยใชสํานวนที่ชัดเจนซึ่งแสดงถึงการมีผูรายงานไดยิน
หะดีษจริงจากอาจารยไมใชเปนการตัดลีสแตอยางใด
6. ตําราที่เกี่ยวของ
ﻱ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳋﻄﻴﺐ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﺒﻴﲔ ﻷﲰﺎﺀ ﺍﳌﺪﻟﺴﲔ.1
ﱯ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺑﺮﻫﺎﻥ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﺍﳊﻠ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﺒﻴﲔ ﻷﲰﺎﺀ ﺍﳌﺪﻟﺴﲔ.2
، ﻛﺘﺎﺏ ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺘﻘﺪﻳﺲ ﲟﺮﺍﺗﺐ ﺍﳌﻮﺻﻮﻓﲔ ﺑﺎﻟﺘﺪﻟﻴﺲ.3
ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 150
หะดีษเฎาะอีฟอันเนื่องมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน
ชนิดที่ 1 หะดีษมุอัลลั้ล
(1)
อุละมาอฺหะดีษมุตะกอดดิมูน เรียกวา หะดีษมะอฺลูล และอุละมาอฺหะดีษมุตะอัคคิรูน เรียกวา หะดีษมุอัล สวนอุ
ละมาอฺภาษาศาสตรสวนใหญเรียกวา มุอัลลั้ล
(2)
อัสสุยูฏีย : 2/245
(3)
ดู มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 98-99
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 151
2. ชนิดและตัวอยางหะดีษมุอัลลั้ล
หะดีษมุอัลลั้ลแบงออกเปน 2 ชนิด คือ มุอัลลั้ลอิสนาดและมุอัลลั้ลมะตัน
ชนิดที่ 1 มุอัลลั้ลอิสนาด ตัวอยาง
หะดีษบทนี้เปนหะดีษมุอัลลั้ล เนื่องจากผูรายงานที่ชื่ออัษเษารียสับสนใน
การรายงานหะดีษที่กลาววา จากอัมรฺ เบ็ญ ดีนาร แตผูรายงานหะดีษที่ถูกตองก็
คือ มาจาก อับดุลเลาะ เบ็ญ ดีนาร
ชนิดที่ 2 มุอัลลั้ลมะตัน ตัวอยาง
ﱯ
ّ ﺖ ﺧﻠﻒ ﺍﻟﻨ
ُ ﺻﻠﻴ: ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺃﻧﺲ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻝ
ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﻭﻋﻤﺮ ﻓﻜﺎﻧﻮﺍ ﻳﺴﺘﻔﺘﺤﻮﻥ
.ﺑﺎﳊﻤﺪ ﷲ ﻻ ﻳﻘﺮﺃ ﺑﺴﻢ ﺍﷲ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﺮﺣﻴﻢ
(4)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 7/125
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 152
ความวา : จากอะนัส เบ็ญ มาลิก เลาวา ฉันเคยละหมาดอยู
ดานหลัง (เปนมะมูม) ของ นบี และหลัง อะบูบักร และหลัง
อุมัร เขาเหลานั้นเริ่มการละหมาดดวยการอาน ﺍﳊﻤﺪﷲโดยมิได
อาน บิสมิลลาฮฺฮิรเราะฮฺมานิรริหีม(1)
3. ฐานะของหะดีษมุอัลลั้ล
หะดีษมุอัลลั้ลเปนหะดีษเฎาะอีฟ เนื่องจากขาดคุณสมบัติของหะดีษมักบูล
คื อ บกพร อ งในแง ค วามจํ า ของผู ร ายงานที่ ม าจากสาเหตุ ค วามสั บ สนในการ
รายงานหะดีษ(3)
(1)
อิบนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 83
(2)
การรายงานที่เศาะหีหฺหมายถึง หะดีษจากอะบูฮุรัยเราะฮฺ อะนัส เบ็ญ มาลิก อับดุลเลาะ อิบนุ อับบาส อุษมาน
เบ็ญ อัฟฟาน อะลี เบ็ญ อะบีฏอลิบ อัมมาร เบ็ญ ยาซิร และอันนุมาน
(3)
ลักษณะของหะดีษ เชน ผูรายงานกลาวรายงานหะดีษดวยความสับสนของเขา กลาวคือ รายงานหะดีษที่มี
ลักษณะมุรซัลเปนหะดีษเมาศูล หรือมีการรายงานหะดีษหนึ่งเปนหะดีษอื่น หะดีษเศาะหีหฺเปนหะดีษเฎาะอีฟ
หรือไมกลาตัดสินหะดีษ (ดู อุมัร ฟุลลาตะฮฺ : 2/79)
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 153
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดีษมุอัลลั้ลไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานและนํามาปฏิบัติตาม เวน
แตเมื่อมีการรายงานจากสะนัดอื่นหนึ่งสะนัดหรือหลายสะนัด ซึ่งมีฐานะเดียวกัน
หรือเหนือกวามาสนับสนุนสายรายงานดังกลาว(1)
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﲏ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﺍﳌﺪﻳ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻌﻠﻞ.1
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ، ﻛﺘﺎﺏ ﻋﻠﻞ ﺍﳊﺪﻳﺚ.2
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺟﻨﺒﻞ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻌﻠﻞ ﻭﻣﻌﺮﻓﺔ ﺍﻟﺮﺟﺎﻝ.3
ﻱ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻌﻠﻞ ﺍﻟﻜﺒﲑ ﻭﺍﻟﻌﻠﻞ ﺍﻟﺼﻐﲑ.4
ชนิดที่ 2 หะดีษมุดรอจญ
หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน
เนื่ อ งจากการขั ด แย ง ของผู ร ายงานจนทํ า ให มี สํ า นวนหะดี ษ เพี้ ย นไปเรี ย กว า
หะดีษมุดรอจญ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﺪﺭﺝมาจากรากศัพทของคําวา “ ”ﺃﺩﺭﺝ ﻳﺪﺭﺝ ﺇﺩﺭﺍﺟﹰﺎแปลวา มี
การแทรกเขาไป หรือมีการเพิ่มเติม
(1)
สะนัดอื่นนั้นตองเปนสะนัดที่ติดตอกันและไมใชเปนการบกพรองในแงคุณธรรมของผูรายงาน
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 154
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมุดรอจญ คือ หะดีษที่มีการเปลี่ยนแปลงสะนัด หรือมีการแทรกใน
มะตัน ที่ไมใชตัวบทหะดีษ(2)
จากนิยามขางตน การอิดรอจญเกิดขึ้นทั้งในสะนัดและในมะตัน
1. การอิดรอจญในสะนัด หมายถึง เปลี่ยนผูรายงานจากคนเดิมกลายเปน
คนอื่น
2. การอิดรอจญในมะตัน หมายถึง ผูรายงานนําคําพูดของตนเองหรือ
สํานวนคนอื่นแทรกในตัวบทหะดีษ
2. ชนิดและตัวอยางหะดีษมุดรอจญ
ชนิดที่ 1 การอิดรอจญในสะนัด ตัวอยาง
ﺕ ﺻﻼﺗﻪ
ْ " ﻣﻦ ﻛﺜﺮ: ﻗﺼﺔ ﺛﺎﺑﺖ ﺑﻦ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻟﺰﺍﻫﺪ ﰲ ﺭﻭﺍﻳﺘﻪ
." ﺑﺎﻟﻠﻴﻞ ﺣﺴﻦ ﻭﺟﻬﻪ ﺑﺎﻟﻨﻬﺎﺭ
(2)
อัสสุยูฏีย : 2/245
(1)
บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 1/422
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 155
หะดีษบทนี้เปนหะดีษมุดรอจญ ผูทําการอิดรอจญ คือ ษาบิต เบ็ญ มูซา
ซึ่งเขาใจวาสํานวนนี้เปนหะดีษของสายรายงานดังกลาว(2)
ชนิดที่ 2 การอิดรอจญในมะตัน
การอิดรอจญในมะตันมี 3 ลักษณะดวยกัน
ลักษณะที่ 1 การอิดรอจญในชวงตนของมะตัน ตัวอยาง
(2)
ที่มาของเรื่องราวขางตน คือ แทจริงษาบิต เบ็ญ มูซา เขามาในมัจญลิสของชะริก เบ็ญ อับดุลเลาะ อัลกอฎีย
ในขณะที่กําลังกลาวหะดีษ ทานกลาววา “อัลอะอฺมัชไดรายงานแกพวกเรา จากอะบีสะอีด จากญาบิร ซึ่งทาน
กลาววา รสูลุลลอฮฺ ไดกลาววา “.......” ทานก็หยุดพักครูหนึ่งเพื่อใหผูฟงทําการบันทึกหะดีษ ในขณะนั้นทาน
(อะลี บินอับดุลเลาะ) ก็เห็นษาบิต (ซึ่งเปนคนขยันละหมาดตะฮัจุด) เขามา ทาน (อะลี) กลาววา (( ﻣﻦ ﻛﺜﺮﺕ
))ﺻﻼﺗﻪ ﺑﺎﻟﻠﻴﻞ ﺣﺴﻦ ﻭﺟﻬﻪ ﺑﺎﻟﻨﻬﺎﺭเมื่อษาบิตไดยินประโยคนั้นเขาใจวาเปนตัวบทหะดีษของ สะนัดดังกลาว
ทาน (ษาบิต) ก็รายงานตามที่ไดฟงจากอะลีจนกลายเปนตัวบทหะดีษไป ดวยเหตุดังกลาว อุละมาอฺหะดีษมี
ความเห็นวา หะดีษนี้เปนหะดีษเมาฎอฺ
(1)
อัสสุยูฏีย : 1/270
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 156
ประโยคที่นํามาแทรกในหะดีษ คือ (( )) ﺃﺳﺒﻐﻮﺍ ﺍﻟﻮﺿﻮﺀซึ่งเปนคําพูด
ของอะบูฮุรอยเราะฮฺที่ถูกนํามาแทรกในชวงตนของหะดีษ อัลเคาะฏีบ อัลบัฆดาดีย
กลาววา อะบูกุฏนฺและชะบาบะฮฺเขาใจผิดวาเปนคําพูดของทานนบี ซึ่งสังเกต
ไดจากการรายงานของอัลบุคอรีย จากอาดัม จากชุอฺบะฮฺ จากมุฮั มมัด เบ็ญ
ซิยาด จากอะบูฮุรอยเราะฮฺกลาววา
(3)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 1/23
(1)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 10/ 715
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 158
ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺกลาววา รสูลุลลอฮฺ กลาววา
“สําหรับผูเปนทาสที่ดีไดรับผลบุญสองเทา ฉันขอสาบานตอผูที่
ชีวิตของฉันอยูในพระหัตถของพระองค หากไมมีการญิฮาดใน
หนทางของอัลลอฮฺ การทําฮัจญ และการทําความดีตอมารดาแลว
ไซร แนนอนฉันพรอมที่จะตายในขณะที่ฉันเปนทาส”(2)
ความวา “แทจริงชีวิตของอะบูฮุรอยเราะฮฺอยูในพระหัตถของพระองค
หากไมมีการญิฮาด การทําฮัจญ และการทําความดีตอมารดาแลว
ไซร แนนอนฉันพรอมที่จะตายในขณะที่ฉันเปนทาส(3)
3. ฐานะของหะดีษมุดรอจญ
หะดีษมุดรอจญเปนสวนหนึ่งของหะดีษเฎาะอีฟเนื่องจากขาดคุณสมบัติของ
หะดีษมักบูล คือ การขัดแยงกับการรายงานของคนอื่นที่มีฐานะเปนคนษิเกาะฮฺ(1)
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดีษมุดรอจญนํามาใชเปนหลักฐานไมไดหากมิใชมาจากสาเหตุที่ไดกลาว
มาขางตน เชน เพิ่มสํานวน แตถาการอิดรอจญนั้นมีการแยกสํานวนระหวางตัว
บทหะดีษกับคําพูดของผูรายงานและมีฐานะเปนหะดีษเศาะหีหฺหรือไดรับการ
สนับสนุนจากสายรายงานอื่นที่มีฐานะเดียวกันหรือเหนือกวาก็สามารถนํามาใช
เปนหลักฐานได
(1)
การแทรกจะเปนในสะนัดโดยนําผูรายงานที่ไมใชผูรายงานคนเดิมหรือแทรกในมะตันหะดีษไมไดแยกใหอยาง
ชัดเจนระหวางสํานวนตัวบทกับประโยคที่นํามาแทรกนั้น อาจจะมาจากสาเหตุตาง ๆ เชน ผูรายงานที่มีความจํา
ไมดี หลงลืม หรือสับสนในขณะที่รายงานหะดีษ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 160
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳋﻄﻴﺐ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻔﺼﻞ ﻟﻠﻮﺻﻞ ﺍﳌﺪﺭﺝ ﰲ ﺍﻟﻨﻘﻞ.1
ﱐ
ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼ ﹼ، ﻛﺘﺎﺏ ﺗﻘﺮﻳﺐ ﺍﻟﻨﻬﺞ ﺑﺘﺮﺗﻴﺐ ﺍﳌﺪﺭﺝ.2
ชนิดที่ 3 หะดีษมักลูบ
หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน
คือ การขัดแยงโดยการสับเปลี่ยนจากกอนเปนหลังหรือสลับกัน หะดีษลักษณะนี้
เรียกวา หะดีษมักลูบ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﻘﻠﻮﺏมาจากรากศัพทของคํา “ ”ﻗﻠﺐ ﻳﻘﻠﺐ ﻗﻠﺒﹰﺎแปลวา
สับเปลี่ยน หมายถึง การสับเปลี่ยนจากกอนเปนหลังหรือจากหลังเปนกอน
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมักลูบ คือ หะดีษที่มีการสับเปลี่ยนในสะนัดหรือในมะตันจากกอน
เปนหลังหรือจากหลังเปนกอน(1)
จากนิยามพบวา การสับเปลี่ยนนั้นสามารถเกิดขึ้นทั้งในสะนัดและในมะ
ตันของหะดีษ ไมวาในชวงตน ชวงกลาง และชวงทายของทั้งสอง
(1)
อัสสุยูฏีย : 2/234
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 161
มักลูบในสะนัดหมายถึง การสับเปลี่ยนชื่อของผูรายงานเปนชื่อพอ เชน
ผูรายงานชื่อวา กะอฺบ เบ็ญ มุรเราะฮฺ เปนมุรเราะฮฺ เบ็ญ กะอฺบ การสับเปลี่ยน
ในประเภทนี้อุละมาอฺหะดีษเรียกวา “การโจรกรรมหะดีษ”(2)
มั กลู บในมะตั นหมายถึ ง การสั บเปลี่ ยนคํ าบางคํ าจากก อนเป นหลั งหรื อ
สับเปลี่ยน ตัวบทของสะนัดหนึ่งเปนตัวบทของอีกสะนัดหนึ่งที่มิใชตัวบทหะดีษนั้น ๆ(3)
2. ชนิดและตัวอยางหะดีษมักลูบ
หะดีษมักลูบแบงออกเปน 2 ชนิด
ชนิดที่ 1 มักลูบในสะนัด การสับเปลี่ยนชนิดนี้มี 2 รูปแบบ
รูปแบบที่หนึ่ง การสับเปลี่ยนชื่อของผูรายงานเปนชื่อพอดังตัวอยางที่ได
กลาวมาแลว
รูปแบบที่สอง การสับเปลี่ยนตัวผูรายงานที่รูจักกันวาเปนผูรายงานหะดีษ
นั้น ๆ เปนอีกคนหนึ่งที่ไมเปนที่รูจัก ซึ่งทั้งสองรวมสมัยเดียวกัน ตัวอยาง
(2)
อุมัร หะสัน ฟุลลาตะฮฺ : 2/234
(3)
หนังสือเดิม
(1)
อิบนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 134
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 162
สะนัดหะดีษนี้มีการสับเปลี่ยนกันโดยหัมมาด อันนะศีบีย ซึ่งไดรายงาน
กลาววาไดยินมาจากอัลอะอฺมัช แตที่ถูกตองจากสุฮัยลฺ ดังการรายงานของอิ
มามมุสลิม คือ
(2)
ดู อัสสุยูฏีย : 2/345
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 163
)) ﻭﺭﺟﻞ ﺗﺼﺪﻕ ﺑﺼﺪﻗﺔ ﻓﺄﺧﻔﺎﻫﺎ ﺣﱴ ﻻ ﺗﻌﻠﻢ ﴰﺎﻟﻪ ﻣﺎ ﺗﻨﻔﻖ
(( ﳝﻴﻨﻪ
(1)
ดู อัลอัสเกาะลานีย หนา 486-487
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 164
1. ถาการสับเปลี่ยนนั้น (การอิกลาบ) เพื่อดึงดูดความสนใจผูอื่นใหการ
ยอมรับการรายงานและยอมรับหะดีษของเขา การสับเปลี่ยนในลักษณะนี้เปน
หุกุมหะรอม
2. ถาการสับเปลี่ยนนั้น (การอิกลาบ) เพื่อทดสอบความจําของผูรายงาน
ดั ง ที่ ไ ด เ กิ ด ขึ้ น กั บ อิ ม ามอั ล บุ ค อรี ย การสั บ เปลี่ ย นในลั ก ษณะเช น นี้ เ ป น
หุกมญาอิซ (ฮารุส)
3. ถาการสับเปลี่ยนนั้นมาจากความผิดพลาดของผูรายงานเองโดยไมได
ตั้งใจ การสับเปลี่ยนในลักษณะนี้เปนหุกมญาอิซ (ฮารุส)(2)
4. ถาการสับเปลี่ยนนั้นเนื่องมาจากความตั้งใจของผูรายงานเป น
หุกมหะรอม(3)
3. ฐานะของหะดีษมักลูบ
หะดีษมักลูบเปนหะดีษเฎาะอีฟ เนื่องจากผูรายงานขาดความอะมานะฮฺ
และไมมีความรับผิดชอบในการรายงานหะดีษโดยตั้งใจทําการสับเปลี่ยนเพื่อ
ดึงดูดความสนใจหรือทําใหระดับของหะดีษจากหะดีษเศาะหีหฺหรือหะดีษหะซัน
เปนหะดีษเฎาะอีฟ
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
ตามทัศนะของอุละมาอฺหะดีษ การนําหะดีษมักลูบมาใชเปนหลักฐานมี
ความเห็นดัง ตอไปนี้
(2)
มะหฺมูด อัลเฏาะหฺหาน หนา 89
(3)
อุมัร หะสัน ฟุลลาตะฮฺ : 1/83
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 165
1. หะดีษมักลูบอันเนื่องมาจากจุดประสงคเพื่อดึงดูดความสนใจผูอื่น
นํ า มาใช เ ป น หลั ก ฐานไม ไ ด การกระทํ า ในลั ก ษณะเช น นี้ เ ป น การกระทํ า ของ
ผูอุปโลกนหะดีษ
2. หะดีษมักลูบอันเนื่องมาจากเพื่อการทดสอบความจําของนักรายงาน
นํามาใชเปนหลักฐานไดแตมีเงื่อนไขวา(1) จะตองบอกใหชัดเจนถึงตัวบทหะดีษที่
ถูกตองกอนที่จะเสร็จสิ้นจากการทดสอบ ถาไมเชนนั้นแลวไมอนุญาตใหนํามา
ปฏิบัติโดยเด็ดขาด
3. หะดีษมักลูบอันเนื่องมาจากความผิดพลาด(2) ของนักรายงานหะดีษ
หรือไม ระมัดระวังในการรายงานหะดีษ กรณีเชนนี้ไมอนุญาตใหนํามาเปน
หลั ก ฐานเว น แต มี ก ระแสรายงานอื่ น ที่ มี ฐ านะเดี ย วกั น หรื อ เหนื อ กว า ระบุ
สถานภาพของหะดีษที่ถูกตองมาสนับสนุน
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﺍﻹﻣﺎﻡ، ﻛﺘﺎﺏ ﺭﺍﻓﻊ ﺍﻹﺭﺗﻴﺎﺏ ﰲ ﺍﳌﻘﻠﻮﺏ ﻣﻦ ﺍﻷﲰﺎﺀ ﻭﺍﻷﻟﻘﺎﺏ.1
ﺍﳋﻄﻴﺐ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ
ชนิดที่ 4 หะดีษมุตเฏาะร็อบ
หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน
เนื่องมาจากการขัดแยงกับสายรายงานอื่นที่มีจํานวนมากกวา หะดีษในลักษณะนี้
เรียกวา หะดีษมุตเฏาะร็อบ
(1)
การวางเงื่อนไขเชนนี้เพื่อปองกันไมใหเกิดการเขาใจผิดตอหะดีษ
(2)
ความผิดพลาดในที่นี้ คือ ความผิดพลาดบางครั้งบางคราวเทานั้น ไมใชบอยครั้ง
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 166
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﻀﻄﺮﺏมาจากรากศัพท “ ”ﺍﺿﻄﺮﺏ ﻳﻀﻄﺮﺏ ﺍﺿﻄﺮﺍﺑﹰﺎแปลวา
เพี้ยน หรือซับซอนกัน
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมุตเฏาะร็อบ คือ หะดีษที่มีการรายงานที่หลากหลาย ซึ่งทุกสาย
รายงาน มีสถานภาพเทาเทียมกัน(3)
จากนิ ย าม การที่ จ ะเรี ย กหะดี ษ เป น หะดี ษ มุ ต เฏาะร็ อ บได นั้ น ต อ ง
ประกอบดวยเงื่อนไข 2 ประการ
1. กระแสรายงานที่ขัดแยงกันไมอาจประสานเขากันได
2. กระแสรายงานมีสถานภาพเทาเทียมกันไมสามารถตัดสินเปนอยางอื่น
ไดเชน กระแสรายงานใดเปนเศาะหีหฺและกระแสรายงานใดเปนเฎาะอีฟ
หากสามารถตัดสินหรือประสานเขากันไดระหวางกระแสรายงานของหะ
ดีษ ไมเรียกวา หะดีษมุตเฏาะรอบ แตเรียกกระแสรายงานที่ถูกตองเปนหะดีษ
มักบูลและ กระแสรายงานที่ผิดเปนหะดีษมัรดูด(1)
2. ชนิดและตัวอยางหะดีษมุตเฏาะร็อบ
หะดีษมุตเฏาะรอบสามารถเกิดขึ้นไดทั้งในสะนัดและในมะตันหะดีษ และ
บาง ครั้งอาจเกิดขึ้นทั้งสองดานที่มาจากผูรายงานคนเดียวกันหรือหลาย ๆ คน(2)
(3)
อัตเฏาะหานะวีย หนา 44
(1)
หะดีษมุตเฏาะร็อบอาจจะเปนหะดีษมักบูลและหะดีษมัรดูด หากขาดเงื่อนไขดังกลาว
(2)
ดู อิบนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 84-85
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 167
ชนิดที่ 1 หะดีษมุตเฏาะร็อบในสะนัด หมายถึง หะดีษที่รายงานจาก
บุคคลคนเดียวกันที่มีฐานะเทากันหรือมากกวา แตเกิดการขัดแยงกัน หะดีษชนิด
นี้เกิดขึ้นเปนสวนใหญ ตัวอยาง
(3)
บันทึกโดยอัตติรมิซีย : 5/402 คําวา “ซูเราะฮฺที่เหมือนกัน” ในหะดีษนี้หมายความถึง ซูเราะฮฺอัลวากิอะฮฺ และ ซู
เราะฮฺอัลมุรซะลาต
(4)
อัสสุยูฏีย : 1/266
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 168
ﻋﻦ ﻓﺎﻃﻤﺔ ﺑﻨﺖ،ّ ﻋﻦ ﺍﻟﺸﻌﱯ، ﻋﻦ ﺃﰊ ﲪﺰﺓ،ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺷﺮﻳﻚ
ﺳﺌﻞ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ: ﻗﻴﺲ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ﻗﺎﻟﺖ
(( )) ﺇﻥ ﰲ ﺍﳌﺎﻝ ﳊﻘﺎ ﺳﻮﻯ ﺍﻟﺰﻛﺎﺓ: ﻭﺳﻠﻢ ﻋﻦ ﺍﻟﺰﻛﺎﺓ ﻓﻘﺎﻝ
ความวา : จากฟาติมะฮฺ เบ็ญตุ กอยสฺ กลาววา รสูลุลลอฮฺ ถูก
ถามเกี่ยวกับซะกาต ทานตอบวา “แทจริงยอมถือเปนสิทธิ์ใน
ทรัพยสินนอกจากซะกาต”(1)
ในเรื่องเดียวกันมีการรายงานอีกสะนัดหนึ่งที่แตกตางในดานตัวบทของหะ
ดีษ คือ
3. ฐานะของหะดีษมุตเฏาะร็อบ
หะดี ษ มุ ต เฏาะร็ อ บเป น หะดี ษ เฎาะอี ฟ เนื่ อ งจากผู ร ายงานหะดี ษ ได
รายงานขัดแยงกับผูรายงานมีสถานภาพเดียวกัน(4)
(1)
บันทึกโดยอัตตัรมิซีย : 3/39
(2)
บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 1/582
(3)
อัลอิรอกีย : 1/244
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 169
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
ไมอนุญาตใหนําหะดีษมุตเฏาะรอบมาใชเปนหลักฐานดวยสายรายงาน
ของมั น เอง เว น แต มี ก ระแสรายงานอื่ น ที่ ไ ม ใ ช ห ะดี ษ มุ ต เฏาะร อ บซึ่ ง มี ฐ านะ
เดียวกันหรือเหนือกวามาสนับสนุน ไมวาจะเปนประเภทหะดีษมัรฟูอฺหรือประเภท
หะดีษเมากูฟ
หากไมมีสายรายงานอื่นมาสนับสนุน หรือสายรายงานอื่นมีฐานะต่ํากวา
ฐานะของหะดีษมุตเฏาะร็อบ เชน หะดีษเฎาะอีฟญิดดันและหะดีษเมาฎอฺ สาย
รายงานลักษณะเชนนี้ไมสามารถใหการสนับสนุนได และหะดีษมุตเฏาะร็อบไม
สามารถนํามาใชเปนหลักฐานไดแมวาสะนัดนั้นมีการรายงานหลายกระแสก็ตาม
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﱐ
ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼ ﹼ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻘﺘﺮﺏ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﺍﳌﻀﻄﺮﺏ.1
ชนิดที่ 5 หะดีษชาซ
หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําเนื่องจากการ
ขัดแยงกันกับคนอื่นที่เหนือกวา หะดีษในลักษณะนี้เรียกวา หะดีษชาซ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﺷﺎﺫมาจากรากคํา “ ”ﺷﺬ ﻳﺸﺬ ﺷﺬﻭﺫﺍ ﻭﺷﺎﺫﹰﺍแปลวา แปลกกวา
สิ่งอื่น หมายถึง การรายงานที่ขัดแยงกับการรายงานของคนอื่น
(4)
เนื่องจาก การผิดพลาดโดยไมไดตั้งใจ หากตั้งใจทําการอิดติร็อบหะดีษ ๆ ชนิดนี้เรียกวา หะดีษมุนกัรหรือหะ
ดีษเมาฎอฺ (ดู รายละเอียดในเรื่องหะดีษเมาฎอฺ)
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 170
ตามหลักวิชาการ
หะดี ษ ช า ซ คื อ หะดี ษ ที่ ร ายงานโดยผู ร ายงานษิ เ กาะฮฺ ขั ด แย ง กั บ การ
รายงานของผูที่มีสถานะษิเกาะฮฺกวา(1)
การขัดแยงในที่นี้หมายถึง การขัดแยงระหวางผูรายงานที่ษิเกาะฮฺกับการ
รายงานของผูรายงานที่ษิเกาะฮฺกวา(2) โดยการสังเกตจากสํานวนที่บอก
สถานภาพของผูรายงานจะใชสํานวนระหวางอิสิมมัศดัร (อาการนาม) กับ
อิสิมตัฟฎีล (นามตัฟฎีล) ตัวอยาง
นามมัศดัร นามตัฟฎีล
ษิเกาะ เอาษัก
เศาะดูก อัศดัก
ษับตุน อัษบัต
การขัดแยงหรือชาซเกิดขึ้นไดทั้งในสะนัดและในมะตันหะดีษ
การขัดแยงในสะนัด หมายถึง การขัดแยงในตัวบุคคลของนักรายงานหะ
ดีษที่มีฐานะเหนือกวา
การขัดแยงในมะตัน หมายถึง การขัดแยงในตัวบทอันเนื่องมาจากการ
รายงานของนักรายงานที่มีฐานะต่ํากวา
2. ชนิดและตัวอยางหะดีษชาซ
หะดีษชาซแบงออกเปน 2 ชนิด คือ ชาซในสะนัดและชาซในมะตัน
(1)
อัลอัสเกาะลานีย หนา 37
(2)
อัลตะฮานะวีย หนา 42
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 171
ชนิดที่ 1 ชาซในสะนัด ตัวอยาง
ﻋﻦ، ﻋﻦ ﻋﻮﺳﺠﺔ، ﻋﻦ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﺩﻳﻨﺎﺭ،ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﻴﻴﻨﺔ
ﻼ ﺗﻮﰲ ﻋﻠﻰ ﻋﻬﺪ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺃﻥ ﺭﺟ ﹰ
.ﻭﺳﻠﻢ ﻭﱂ ﻳﺪﻉ ﻭﺍﺭﺛﹰﺎ ﺇ ﹼﻻ ﻣﻮﱃ ﻫﻮ ﺃﻋﺘﻘﻪ
(1)
บันทึกโดยอัลตัรมิซีย : 4/423 และอิบนุมาญะฮฺ : 2/915
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 172
รับใชคนนี้ที่เขาไดใหความเปนอิสระแกเขา (ทานนบี ) ก็ยก
มรดกใหเขา (คนรับใชคนนั้น)”(1) หรือเสมือนกับคํากลาวคํานั้น
(1)
บันทึกโดยอะบูดาวูด : 3/324
(2)
บันทึกโดยอัลติรมิซีย : 2/281 อะบูอีซา กลาววา หะดีษนี้เปนหะดีษหะซันเศาะหีหฺเฆาะรีบ หมายถึง กระแส
รายงานของอัตติรมิซีย
(3)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 3/43
(4)
บันทึกโดยมุสลิม : 6/16 และอิบนุมาญะฮฺ : 1/378
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 173
ﻛﺎﻥ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ: ﻋﻦ ﻋﺎﺋﺸﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ﻗﺎﻟﺖ
.ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺇﺫﺍ ﺻﻠﻰ ﺭﻛﻌﱵ ﺍﻟﺼﺒﺢ ﺍﺿﻄﺠﻊ ﻋﻠﻰ ﳝﻴﻨﻪ
จากการอธิบายขางตนจะเห็นไดวา หะดีษชาซที่มีเพียงสะนัดเดียวของมัน
เอง จะเปนหะดีษเศาะหีหฺเพราะผูรายงานแตละคนมีสถานะเปนคนษิเกาะฮฺ
แตหากหะดีษนั้นมีหลายสะนัดก็ตองพิจารณาวา การรายงานนั้นขัดแยงหรือไม
ในกรณีไมขัดแยงก็ตองใชหลักการการประสานระหวางหะดีษ(1) แตเมื่อขัดแยงกัน
สะนัดที่เหนือกวาจะเปนสะนัด ที่เศาะหีหฺและอีกสะนัดหนึ่งจะเปนหะดีษชาซ
ดังนั้น การที่จะตัดสินวาเปนหะดีษชาซนั้นก็ตอเมื่อมีการขัดแยงกันกับสะนัดอื่น
ที่มาจากการรายงานของผูรายงานที่มีสถานภาพ ที่ษิเกาะฮฺกวา และหะดีษทั้ง
สองบทไมสามารถจะประสานกันได
(5)
บันทึกโดยมุสลิม : 6/16 และอิบนุมาญะฮฺ : 1/378
(1)
หลักการ “ประสานระหวางหะดีษ” หรือที่เรียกวา “ ”ﺍﳉﻤﻊ ﺑﲔ ﺍﳊﺪﻳﺜﲔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔเปนหลักการที่ใชในกรณีที่มี
การขัดแยงกันระหวางหะดีษเศาะหีหฺดวยกัน ตามหลักมุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ เมื่อหะดีษเศาะหีหฺดวยกันขัดแยง
ในดานตัวบทหะดีษ จะตองพิจารณาหลักการประสานกัน หากสามารถประสานกันได แตในกรณีการขัดแยงที่
ไมสามารถจะประสานเขากันไดแลว ตามหลักวิชาการหะดีษจะตองพิจารณาสถาน ภาพของสายรายงานของแต
ละหะดีษ สายรายงานที่เหนือกวาเนื่องจากสถานภาพของผูรายงานดีกวา หะดีษนี้เรียกวา หะดีษเศาะหีหฺและ
อีกหะดีษหนึ่งเรียกวา หะดีษชาซ แตหากการขัดแยงกันระหวางหะดีษเศาะหีหฺกับหะดีษเฎาะอีฟจะไมเขาขาย
เรื่องหะดีษชาซเลยแมแตนิดเดียว
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 174
3. ฐานะของหะดีษชาซ
หะดีษชาซเปนสวนหนึ่งของหะดีษเฎาะอีฟ เนื่องจากขาดคุณสมบัติของ
หะดีษมักบูล คือ ขัดแยงกับการรายงานของคนอื่นที่มีฐานะเหนือกวา
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดี ษ ช า ซด ว ยสะนั ด ที่ ขั ด แย ง กั น ไม ส ามารถนํ า มาใช เ ป น หลั ก ฐานได
เว น แต เ มื่ อ ได รั บ การสนั บ สนุ น จากกระแสรายงานอื่ น ที่ ติ ด ต อ กั น ซึ่ ง มี ฐ านะ
เดียวกันหรือเหนือกวา(2)
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ยังไมมีหนังสือเฉพาะที่เขียนเกี่ยวกับหะดีษชาซ
ชนิดที่ 6 หะดีษมุเศาะหฺหัฟ
หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน
หะดี ษ คื อ การผิ ด พลาดที่ ทํ า ให เ ปลี่ ย นแปลงตั ว อั ก ษร หะดี ษ ในลั ก ษณะนี้
เรียกวา หะดีษมุเศาะหฺหัฟ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﺼﺤﻒมาจากรากศัพทของ “ ”ﺻﺤّﻒ ﻳﺼﺤّﻒ ﺗﺼﺤﻴﻔﹰﺎแปลวา
เปลี่ยนไป หรือแทนที่
(2)
สะนัดอื่นนั้นมีหนึ่งสะนัดหรือมากกวา
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 175
ตามหลักวิชาการ
หะดี ษ มุ เ ศาะหฺ หั ฟ คื อ หะดี ษ ที่ มี ก ารเปลี่ ย นตั ว อั ก ษรในสะนั ด หรื อ ใน
มะตัน ซึ่งเปนการรายงานที่ไมเหมือนกับการรายงานของผูษิเกาะฮฺ(1)
หะดี ษ ในลั ก ษณะนี้ มิ ใ ช เ ป น การขั ด แย ง กั น เหมื อ นกั บ หะดี ษ ช า ซซึ่ ง มี
ผูรายงานสองคนไดรายงานขัดแยงกัน แตเปนการเปลี่ยนตัวอักษรเพียงหนึ่งตัว
เทานั้น สวนคําของมันยังเหมือนเดิมไมเปลี่ยนเปนคําอื่น
การตัศหีฟสามารถเกิดขึ้นไดทั้งในสะนัดและในมะตัน
การตั ศหี ฟ ในสะนั ด หมายถึ ง การเปลี่ ย นตั ว อั ก ษรของชื่ อ ผู ร ายงาน
หะดีษ สวนการตัศหีฟในมะตันก็ หมายถึง การเปลี่ยนตัวอักษรของตัวบทหะดีษ(2)
2. ชนิดและตัวอยางหะดีษมุเศาะหฺหัฟ
หะดีษมุเศาะหฺหัฟมี 2 ชนิด คือ มุเศาะหฺหัฟในสะนัดและมุเศาะหฺหัฟใน
มะตัน
ชนิดที่ 1 มุเศาะหฺหัฟในสะนัด ตัวอยาง
(1)
อัลเฏาะหานะวีย หนา 40
(2)
การพิจารณาถึงการตัศหีฟหะดีษนั้นตองพิจารณาจากการรายงานของผูรายงานมิใชมาจากการตีพิมพ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 176
ความวา “ผูใดถือศีลอดในเดือนรอมะฎอนและถือศีลอดอีกบางวันของ
เดือนเชาวัล”
ตัวบทหะดีษที่ถูกตองคือ
(1)
บันทึกโดยมุสลิม : 8/18
(2)
บันทึกโดยมุสลิม : 3/196
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 177
เชนนั้น โดยกลาววา หามรับหะดีษโดยยึดจากการบันทึก หรือรับหะดีษจาก
บุคคลอื่นที่รับหะดีษดวยวิธีการคัดลอกจากหนังสือ
3. ฐานะของหะดีษมุเศาะหฺหัฟ
หะดีษมุเศาะหฺหัฟเปนสวนหนึ่งของหะดีษเฎาะอีฟ เนื่องจากขาดคุณสมบัติ
ของหะดีษมักบูล คือ ความจําไมดี
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
การตัศหีฟที่เกิดจากการรายงานที่ผิดพลาดเปนบางครั้งบางคราวไมมีผล
ตอการนําหะดีษมาใชเปนหลักฐานแตอยางใด แตหากการตัศหีฟนั้นเกิดจาก
การผิดพลาดบอยครั้งไมอนุญาตนํามาใชเปนหลักฐาน เวนแตมีหะดีษอื่นระบุ
อย า งชั ด เจนของการตั ศ หี ฟ ไม ว า ในสะนั ด หรื อ ในมะตั น หะดี ษ อื่ น นั้ น มี ฐ านะ
เดียวกันหรือเหนือกวา หนึ่งสะนัดหรือมากกวา
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ﲏ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﺼﺤﻴﻒ.1
ﰊ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳋﻄﹼﺎ، ﻛﺘﺎﺏ ﺇﺻﻼﺡ ﺧﻄﺄ ﺍﶈﺪﺛﲔ.2
ﻱ
ّ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﰊ ﺃﲪﺪ ﺍﻟﻌﺴﻜﺮ، ﻛﺘﺎﺏ ﺗﺼﺤﻴﻔﺎﺕ ﺍﶈﺪﺛﲔ.3
ชนิดที่ 7 หะดีษมุหัรรอฟ
หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําเนื่องจาก
ความผิ ด พลาดในการรายงานหะดี ษ ทํ า ให เ ปลี่ ย นแปลงสระเรี ย กว า
หะดีษมุหัรรอฟ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 178
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﳏﺮﻑมาจากรากคํา “ ”ﺣﺮﱠﻑ ﳛﱢﺮﻑ ﲢﺮﻳﻔﹰﺎแปลวา เปลี่ยนแปลง
หมายถึง เปลี่ยนแปลงสระ
ตามหลักวิชาการ
หะดีษมุหัรรอฟ คือ หะดีษที่มีการเปลี่ยนแปลงสระไมเปลี่ยนตัวอักษร(1)
การตะหฺรีฟมีทั้งในสะนัดและในมะตัน
1. การตะหฺรีฟในสะนัด หมายถึง เปลี่ยนสระของชื่อผูรายงานหะดีษ
2. การตะหฺรีฟในมะตัน หมายถึง เปลี่ยนสระของตัวบทหะดีษ(2)
2. ชนิดและตัวอยางหะดีษมุหัรรอฟ
หะดีษมุหัรรอฟมี 2 ชนิด
ชนิดที่ 1 การตะหฺรีฟในสะนัด เชน ผูรายงานชื่อ َﻋ ِﻘﻴْﻞเปลี่ยนเปน ُﻋ ﹶﻘْﻴﻞ
จาก َﺣ ْﻤ ٌﺮเปลี่ยนเปน َﺣ ْﻤ ٌﺪเปนตน
ชนิดที่ 2 การตะหฺรีฟในมะตัน ตัวอยาง
(( )) ﺭﻣﻲ ﹸﺃَﺑﻲّ ﻳﻮﻡ ﺍﻷﺣﺰﺍﺏ: ﻋﻦ ﺟﺎﺑﺮ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ
แปลวา : จากญาบิร กลาววา “อุบัยยิงธนูในสงครามอัลอะฮฺซาบ”(1)
(1)
ดู อัตตะหานะวีย หนา 41
(2)
เปลี่ยนในที่นี่หมายถึง เปลี่ยนจากสระขางบนเปนสระขางลาง หรือจากสระขางลางเปนสระขางหนา
(1)
บันทึกโดยมุสลิม : 7/22
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 179
หะดีษที่ถูกตองไดรายงานตัวบทหะดีษกลาววา
(( ﰊ ﻳﻮﻡ ﺍﻷﺣﺰﺍﺏ
ْ )) ﺭﻣﻲ ﺃ
ความวา : “พอของญาบิรยิงธนูในสงครามอัลอะฮฺซาบ”
การเปลี่ยนแปลงในลักษณะเชนนี้เปนการเปลี่ยนเฉพาะสระเทานั้น สวนคํา
ยังเขียนในรูปเดิมของมันครบทุกตัวอักษร ไมขาดตกบกพรองแมแตตัวอักษร
เดียว
3. ฐานะของหะดีษมุหัรรอฟ
หะดีษมุหัรรอฟเปนสวนหนึ่งของหะดีษเฎาะอีฟ เนื่องจากขาดคุณสมบัติ
ของหะดีษเศาะหีหฺ คือ ความสับสน
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
หะดีษมุหัรรอฟเหมือนกับหะดีษมุเศาะหฺหัฟทุกประการ
5. ตําราที่เกี่ยวของ
ไมมีหนังสือที่แตงขึ้นเฉพาะหะดีษมุหัรรอฟ
ระดับที่สี่ หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดีษระดับนี้มีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงคุณธรรมของนักรายงาน
ซึ่ ง มี ลั ก ษณะเป น คนฟาสิ ก ถู ก กล า วหาว า เป น คนโกหก มั ต รู ก มุ น กั ร
เฎาะอีฟญิดดัน
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 180
1. นิยาม
หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน คือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่มีลักษณะตาง
ๆ ดังที่กลาวมาขางตน เชน มัตรูก มุนกัร ถูกกลาวหาวาเปนคนโกหก ฟาสิก
และเฎาะอีฟญิดดัน
2. ตัวอยางหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดี ษ เฎาะอี ฟ ญิ ด ดั น มี ม ากมาย แต ที่ จ ะยกตั ว อย า งเพี ย งบางหะดี ษ
เทานั้น เชน
ﻋﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ
)) ﻣﺎ ﳝﻨﻊ ﺃﺣﺪﻛﻢ ﺇﺫﺍ ﻋﺴﺮ ﻋﻠﻴﻪ ﺃﻣﺮ ﻣﻌﻴﺸﺘﻪ ﺃﻥ: ﻭﺳﻠﻢ ﻗﺎﻝ
، ﺑﺴﻢ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﻧﻔﺴﻲ ﻭﻣﺎﱄ ﻭﺩﻳﲏ: ﻳﻘﻮﻝ ﺇﺫﺍ ﺧﺮﺝ ﻣﻦ ﺑﻴﺘﻪ
ﻭﺑﺎﺭﻙ ﱄ ﻓﻴﻤﺎ ﻗﺪﺭ ﱄ ﺣﱴ ﻻ ﺃﺣﺐ،ﺍﻟﻠﻬﻢ ﺭﺿﲏ ﺑﻘﻀﺎﺋﻚ
(( ﺖ
ُ ﺕ ﻭﻻ ﺗﺄﺧﲑ ﻣﺎ ﻋﺠﻠ
ُ ﺗﻌﺠﻴﻞ ﻣﺎ ﺃﺧﺮ
ความวา : จากอับดุลเลาะ เบ็ญอุมัร เลาจากทานนบี ซึ่งทานกลาว
วา “ไมมีสิ่งใดกีดกั้นคนใดในหมูพวกเจา เมื่อรูสึกยุงยากตอการ
งานใหเขาอานดุอาอฺในขณะที่จะกาวเทาออกจากบาน “ ﺑﺴﻢ ﺍﷲ
ﻭﺑﺎﺭﻙ ﱄ ﻓﻴﻤﺎ، ﺍﻟﻠﻬﻢ ﺭﺿﲏ ﺑﻘﻀﺎﺋﻚ،ﻋﻠﻰ ﻧﻔﺴﻲ ﻭﻣﺎﱄ ﻭﺩﻳﲏ
(” ﻗﺪﺭ ﱄ ﺣﱴ ﻻ ﺃﺣﺐ ﺗﻌﺠﻴﻞ ﻣﺎ ﺃﺧﺮﺕ ﻭﻻ ﺗﺄﺧﲑ ﻣﺎ ﻋﺠﻠﺖ1)
(1)
บันทึกโดยอิบนุอัซซุนนีย หนา 321 หมายเลขหะดีษ 352
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 181
อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย กลาววา หะดีษนี้เปนหะดีษเฆาะรีบ บันทึก
โดย อิบนุ อัสสุนนีย ซึ่งในสะนัดของหะดีษมีผูรายงานทานหนึ่งชื่อวา อีซา
เบ็ญ มัยมูน มีสถานะเปนคนเฎาะอีฟญิดดัน (ออนมาก)
3. ฐานะของหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดีษเฎาะอีฟญิดดันมีฐานะสูงกวาหะดีษเมาฎอฺและต่ํากวาหะดีษเฎาะอีฟ
(หะดีษเฎาะอีฟธรรมดา) เนื่องจากผูรายงานในสะนัดมีสถานภาพที่ต่ํากวา
4. สถานะของหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดีษเฎาะอีฟญิดดันไมสามารถใหการสนับสนุนหะดีษเฎาะอีฟที่มาจาก
สาเหตุความบกพรองในกระบวนการรายงานและความบกพรองในแงความจํา
ของผูรายงาน และยังไมสามารถรับการสนับสนุนจากสายรายงานอื่นอีกดวย
แมวามีกระแสรายงานมากมายก็ตาม เนื่องจากความบกพรองของผูรายงาน
หะดีษนี้เกี่ยวของกับคุณธรรม(1)
5. การรายงานหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
ตามทัศนะของอุละมาอฺหะดีษไมอนุญาตใหรายงานหะดีษเฎาะอีฟญิดดันที่
เกี่ยวของกับเรื่องศาสนา เวนแตจะระบุระดับของหะดีษอยางชัดเจนหลังจาก
กลาวหะดีษ
6. การนํามาใชเปนหลักฐาน
ตามทัศนะของบรรดาอุละมาอฺไมอนุญาต (หะรอม) นําหะดีษเฎาะอีฟญิด
ดันมาใชเปนหลักฐานและนํามาปฏิบัติตามในเรื่องตาง ๆ ของศาสนาอิสลาม
(1)
คุณธรรมเปนเงื่อนไขที่สําคัญมากสําหรับวิชาการอิสลามในทุก ๆ สาขาวิชา โดยเฉพาะอยางยิ่งวิชาการหะดีษ
และตัฟซีร ซึ่งมีความเกี่ยวของกับคําดํารัสของอัลลอฮฺและคํากลาวของรสูลุลลอฮฺ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 182
เชน เรื่องอะกีดะฮฺ เรื่องอิบาดะฮฺ เรื่องอะฮฺกาม เรื่องอีมาน เรื่องคุณคาของ
อะมาล เรื่องการสนับสนุนใหทําความดีและหามปรามการทําความชั่ว เปนตน
อยางไรก็ตาม เมื่อมีการขัดแยงกันระหวางหะดีษเฎาะอีฟญิดดันกับหะดีษ
เศาะหีหฺหรือหะดีษหะซัน จะตองปฏิบัติตามหะดีษศอหีหฺและหะดีษหะซัน เชน
หะดีษของอิบนุอุมัร และหะดีษอื่น ๆ ที่มีฐานะเดียวกัน ตัวอยาง
ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ: ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﻗﺎﻝ
(( )) ﺍﺫﻛﺮﻭﺍ ﳏﺎﺳﻦ ﻣﻮﺗﺎﻛﻢ ﻭﻛﻔﻮﺍ ﻋﻦ ﻣﺴﺎﻭﻳﻬﻢ: ﻭﺳﻠﻢ
หะดีษบทนี้เปนหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน เนื่องจากมีผูรายงานคนหนึ่งชื่อ อิ
มรอน เบ็ญ อัลหุศ็อยนฺ อัลมักกีย อิมามอัลบุคอรียกลาววา “มีสถานภาพเปน
คนมุนกัรหะดีษ” และหะดีษบทนี้ขัดแยงกับหะดีษจากอาอิชะฮฺ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ
และจากอานัส เบ็ญ มาลิก
1) หะดีษจากอาอิชะฮฺ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎกลาววา รสูลุลลอฮฺ กลาววา
(1)
บันทึกโดยอัตติรมิซีย : 3/330
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 183
ความวา : “พวกเจาอยาสาปแชงคนที่เสียชีวิตไปแลว เพราะพวกเขาได
จากในสิ่งที่พวกเขาไดกอไว”(2)
(2)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 3/258, อันนะสาอีย : 4/53 และอัลบัยฮะกีย : 4/126
(3)
บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 3/228, มุสลิม : 2/655 และอัลบัยฮะกีย : 4/126
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 184
7. ชนิดของหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดีษเฎาะอีฟญิดดันแบงออกเปน 2 ชนิด
ชนิดที่ 1 หะดีษมุนกัร
ชนิดที่ 2 หะดีษมัตรูก
ชนิดที่ 1 หะดีษมุนกัร
หะดีษที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองของผูรายงานในแงคุณธรรมที่มี
ลักษณะคือเฎาะอีฟญิดดัน มุนกัรหะดีษ ฟสกฺ ฟุฮฺชู เฆาะลัฏ กัษเราะฮฺฆอฟ
ละฮฺ และกัษเราะฮฺเอาฮามเรียกวา หะดีษมุนกัร
1. นิยาม
หะดีษมุนกัร คือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่เฎาะอีฟขัดแยงกับการ
รายงานของผูรายงานที่ษิเกาะฮฺ(1) หรือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานเปนคนฟา
สิก และอื่น ๆ
2. ตัวอยางหะดีษมุนกัร
1) หะดีษจากอะบูสะอีด อัลคุดรีย กลาววา รสูลุลลอฮฺ กลาววา
(1)
อัลเฏาะหานะวีย หนา 42
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 185
ความวา : “เมื่อพวกเจาเขาเยี่ยมผูปวย ก็จงทําใหเขามีความสบายใจ
ในอะญัลของเขา เนื่องจากสิ่งนั้นไมสามารถปฏิเสธไดแมแตนิด
เดียว และจงปะน้ําหอมบนตัวของเขา”(2)
หะดีษบทนี้เปนหะดีษมุนกัร เนื่องจากมีผูรายงานทานหนึ่งชื่อวา มูซา เบ็ญ
มุฮัมมัด เบ็ญ อิบรอฮีม อัตตัยมีย มีสถานภาพเปนคนมุนกัรหะดีษ
2) จากอิบนุอุมัร กลาววา รสูลุลลอฮฺ กลาววา
(2)
บันทึกโดยอัตตัรมิซีย : 4/412 อะบูอีซากลาววา หะดีษนี้เปนหะดีษเฆาะรีบ
(1)
บันทึกโดยอัตติรมิซีย : 3/330
(2)
อุละมาอฺบางทานมีความเห็นวา หะดีษมุนกัรเปนสวนหนึ่งของหะดีษเฎาะอีฟโดยไมไดแยกระหวางหะดีษเฎาะ
อีฟธรรมดากับหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน ซึ่งเปนการพิจารณาที่ระดับของหะดีษเทานั้นโดยไมไดพิจารณาที่
สถานภาพของผูรายงานหะดีษแตอยางใด
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 186
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
อุละมาอฺหะดีษมีความเห็นวา ไมอนุญาตใหรายงานหะดีษมุนกัรใหสังคม
ฟงนอกจากจะระบุสถานภาพของหะดีษอยางชัดเจน และไมอนุญาตใหนํามาใช
เปนหลักฐานในเรื่องตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับศาสนา
มี การเข า ใจผิ ด เกี่ ย วกั บ ระดั บของหะดีษ มุน กั ร วา เป น หะดี ษ เฎาะอี ฟที่
สามารถนํามาใชเปนหลักฐานในสวนที่เปนหุกมสุนัต เชน การละหมาดสุนัต
การถือศีลอดสุนัต การทําความดี และการหามปรามทําความชั่ว เปนตน จาก
นิยามขางตนพอสรุปไดวา หากพิจารณาลักษณะเดิมของสายรายงานที่เปน
เฎาะอีฟ หรือการรายงานของคนเฎาะอีฟที่ ไมขัดแยงกับการรายงานของคน
ษิเกาะฮฺ หะดีษในลักษณะนี้จะถือเปนหะดีษเฎาะอีฟ แตการพิจารณาของการ
เปนหะดีษมุนกัรนั้นก็ตองพิจารณาระหวางการรายงานของคนเฎาะอีฟที่ขัดแยง
กับการรายงานของคนษิเกาะฮฺ ดังนั้น การตัดสินหะดีษเปนหะดีษมุนกัรจะตอง
พิจารณาจํานวนสายรายงานที่มีมากกวาหนึ่งสายหรือสายรายงานที่มาจากการ
รายงานของคนฟาสิก เปนตน
ชนิดที่ 2 หะดีษมัตรูก
หะดีษที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองของผูรายงานในแงคุณธรรมคือ ถูก
กล า วหาว าเป น คนโกหก มั ต รู ก หะดี ษ และซาฮิบหะดีษ หะดี ษ ในลั ก ษณะนี้
เรียกวา หะดีษมัตรูก
1. นิยาม
หะดีษมัตรูก คือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่มีสถานภาพเปนคนถูก
กลาววาเปนคนโกหก หรือซาฮิบหะดีษ หรือมัตรูกหะดีษ(1)
(1)
อัลศอนอานีย หนา 252
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 187
จากนิยามขางตนพอสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับหะดีษมัตรูก 2 ประการ
หนึ่ง ลักษณะของผูรายงานหะดีษมัตรูก
1. ผูที่ทราบกันอยางแพรหลายวาเปนคนที่ชอบพูดโกหก(2) แตไมเคย
ปรากฏการโกหกตอหะดีษนะบะวียแมแตนิดเดียว
2. ผูที่ถูกกลาววาเปนคนโกหกตอหะดีษนะบะวีย
สอง การเรียกชื่อหะดีษเปนหะดีษมัตรูก
การเรียกหะดีษมัตรูกนั้นตองประกอบดวยเงื่อนไข 2 ประการคือ
1. มีการรายงานหะดีษจากผูรายงานเพียงคนเดียวเทานั้น
2. หะดีษที่ถูกรายงานนั้นมีเนื้อหาที่ขัดแยงกับหลักการทั่วไปของ
บทบัญญัติ(3)
อุละมาอฺบางทานเรียกหะดีษมัตรูก วา “หะดีษมัตรูหฺ”(4)
2. ตัวอยางหะดีษมัตรูก
1. หะดีษจากอัมรฺ เบ็ญ ชัมมัร อัลุอฺฟย อัลกูฟย อัลชีอีย จากญาบิร
จาก อะบูอัลฏฟยลฺ จากอะลีและอัมรฺ ทั้งสองทานนี้กลาววา
(1)
อัซซะฮะบีย : 2/268
(2)
หนังสือเดิม
(3)
บันทึกโดยอัลติรมิซีย : 3/376 และอัลบัยฮะกีย : 4/49
(4)
ดู มุฮัมมัด เบ็ญ อัลลาน : 4/137
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 189
3. ฐานะของหะดีษมัตรูก
หะดีษมัตรูกเปนสวนหนึ่งของหะดีษเฎาะอีฟญิดดันมีฐานะต่ํากวาหะดีษ
มุนกัรและสูงกวาหะดีษเมาฎอฺ
4. การนํามาใชเปนหลักฐาน
การนําหะดีษมัตรูกมาใชเปนหลักฐานเหมือนกับการนําหะดีษมุนกัรเปน
หลักฐาน
ระดับที่หา หะดีษเมาฎอฺ
หะดีษที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองของผูรายงานในแงคุณธรรม คือ
กล า วเท็ จ ต อ ท า นนบี แ ละหะดี ษ ของท า น หะดี ษ ในลั ก ษณะนี้ เ รี ย กว า
หะดีษเมาฎอฺ
1. นิยาม
ตามหลักภาษาศาสตร
คําวา “ ”ﻣﻮﺿﻮﻉเปนคํานามในรูปมัฟอูล มาจากรากศัพทของคํา ﻭﺿﻊ
ﻳﻀﻊ ﻭﺿﻌﹰﺎแปลว า กุ หรื อ ประดิ ษ ฐ หรื อ แต ง ขึ้ น มา ดั ง นั้ น คํ า ว า “เมาฎ อฺ ”
หมายถึง สิ่งที่ถูกกุขึ้นมา
ตามหลักวิชาการ
หะดีษเมาฎอฺ คือ หะดีษทีอุปโลกนขึ้นมาแลวพาดพิงไปยังทานนบี ไม
วาดวยความตั้งใจหรือเกิดจากการผิดพลาด(1)
อุลามาอฺบางทาน กลาววา ควรแยกระหวางการโกหกโดยตั้งใจกับการ
ผิดพลาด กลาวคือ สิ่งที่กุขึ้นมาโดยเจตนาโกหกแลวพาดพิงไปยังทานนบี
(1)
อัสสุยูฏีย : 1/273
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 190
เรียกวา หะดีษเมาฎอฺสวนสิ่งพาดพิงไปยังทานนบี เนื่องจากไมไดตั้งใจหรือ
เกิดจากการผิดพลาดเรียกวา หะดีษบาติล(2) และสิ่งที่พาดพิงไปยังทานนบี
จากคําพูดหรือการกระทําของใครคนหนึ่งคนใดนั้นนาจะเรียกวา ลาอัศลาละฮฺ
(ไมรูที่มาที่ไป)
อุ ล ะมาอฺ บ างท า นได อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม กล า วว า ทุ ก อย า งที่ พ าดพิ ง ไปยั ง
เศาะหาบะฮฺและตาบิอีน แตมีขอสังเกตวา เมื่อมีการพูดนั้นถูกกลาวไวในลักษณะ
อิสระแลวความหมายของมันจะเจาะจงเฉพาะการโกหกตอทานนบี เทานั้น
สวนคําพูดที่ถูกกลาวในลักษณะเงื่อนไข คํานี้มักจะใชกับเศาะหาบะฮฺเทานั้น เชน
เมาฎอฺตออิบนุอับบาสและตอตาบิอีน เชน เมาฎอฺตอมุญาฮิด(3) เปนตน
โดยทั่วไปแลวหะดีษในระดับนี้จะมีชื่อเรียกที่หลากหลาย เชน
หนึ่ง หะดีษเมาฎอฺ ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ
สอง หะดีษบาติล ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﺒﺎﻃﻞ
สาม หะดีษลาอัศลาละฮฺ ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻻ ﺃﺻﻞ ﻟﻪ
2. ที่มาของหะดีษเมาฎอฺ
จากนิยามขางตนสามารถทราบไดวา ที่มาของหะดีษเมาฎอฺมี 2 แหลง
หนึ่ง ผูกุหะดีษไดแตงสํานวนขึ้นมาจากตัวเขาเอง แลวพาดพิงไปยัง
ทานนบี หรือพาดพิงไปยังเศาะหาบะฮฺ หรือพาดพิงไปยังตาบิอีน
(2)
อุมัร หะสัน ฟุลลาตะฮฺ : 1/100
(3)
อะบูชุฮฺบะฮฺ หนา 14
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 191
สอง ผูกุหะดีษลอกคําพูดของเศาะหาบะฮฺบางทาน ตาบิอีนบางทาน
คําพูดของนักแตงเรื่อง (หุกะมาอฺ) นักซูฟย หรือจากเรื่องราวของชาวอิสรออีล
แลวพาดพิงไปยังทานนบี โดยหวังไดรับการยอมรับจากบุคคลทั่วไป(1)
3. ตัวอยางหะดีษเมาฎอฺ
หะดีษเมาฎอฺ หะดีษบาติล และหะดีษลาอัศลาละฮฺ สวนมากแลวการกุหะ
ดีษนั้น จะพาดพิงไปยังบุคคลตาง ๆ 4 รุนดวยกัน
(1) คําพูดที่พาดพิงไปยังทานนบี ตัวอยาง
หะดีษที่ 1 มีการรายงานวา ทานนบี กลาววา
ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: ))ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ﻗﺎﻝ: ﺣﺪﻳﺚ
ﻭﻣﻔﺘﺎﺡ ﺍﳉﻨﺔ ﺣﺐ، )) ﻟﻜﻞ ﺃﻣﺮ ﻣﻔﺘﺎﺡ: ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ
(( ﻭﻫﻢ ﺟﻠﺴﺎﺀ ﺍﷲ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ،ﺍﳌﺴﺎﻛﲔ ﻭﺍﻟﻔﻘﺮﺍﺀ
(1)
อะบูชุฮฺบะฮฺ หนา 14
(2)
อัชเชากานีย หนา 62
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 192
ความวา : “ทุก ๆ การงานมีกุญแจของมัน กุญแจของสวนสวรรคคือ รัก
และเอ็ น ดู ค นยากจน ซึ่ ง พวกเขาเหล า นี้ เ ป น คนที่ ส วามิ ภั ก ดิ์
ตออัลลอฮฺในวันกิยามัต” (3)
หะดีษบทนี้มีการวิพากษวิจารษมากมาย แตขอยกเปนตัวอยางเพียงสอง
ทัศนะเทานั้น(1) คือ อิมามอิบนุอัลเญาซีย กลาววา : อัดดารอกุฏนียกลาววา:
หะดีษบทนี้มาจากการกุขึ้นมาโดยอุมัร เบ็ญ รอชิด อัลญารีย จากมาลิก เบ็ญ
อะนัสแลวพาดพิงไปยังอะบูมัศอับ(2) และอิบนุหิบบาน กลาววา : เปนหะดีษ
เมาฎอฺ มาจากการกุของอะหฺมัด เบ็ญ ดาวุด เขาเปนนักกุหะดีษ ไมอนุญาตให
นําหะดีษนี้บอกกลาวใหคนอื่นฟง เวนแตเพื่อเปดเผยใหคนทั่วไปไดทราบฐานะ
ของหะดีษเพื่อจะไดหลีกเลี่ยงการนําหะดีษมาใชจากการรายงานของเขา(3)
(2) คําพูดของเศาะหาบะฮฺบางคนซึ่งถูกนํามาพาดพิงไปยังทานนบี
ตัวอยาง
หะดีษที่ 3 มีการรายงานมาจากทานนบี ซึ่ง
ทานกลาววา
(3)
บันทึกโดยอิบนุอะดีย : 6/2375, อิบนุอัลเญาซีย : 3/141 จากสายรายงานของอะหฺมัด เบ็ญดาวูด เบ็ญ อับ
ดุลกอเดร จากอะบูมัศอับ จากมาลิด เบ็ญ อะนัส จากนาฟอฺ จากอิบนุอุมัร
(1)
ดู อัลอัลบานีย : 3/582-584
(2)
บันทึกโดยอิบนุหิบบาน : 1/146-147
(3)
อิบนุอัลเญาซีย : 3/141
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 193
ความวา : “จงรักคนที่เขารักทาน (พอประมาณ) เผื่อวาสักวันหนึ่งทานจะ
เกลียดเขา และจงเกลียดคนที่เขาเกลียดทาน(พอประมาณ) เผื่อ
วาสักวันหนึ่งเขาจะรักทาน”(4)
สํานวนหะดีษขางตนไมใชคําพูดของทานนบี แตอยางใด แตเปนคําพูด
ของทาน อะลี เบ็ญ อะบีฏอลิบ
(3) คํ า พู ด มาจากตาบิ อี น บางท า นแล ว พาดพิ ง ไปยั ง ท า นนบี
ตัวอยาง
หะดีษที่ 4 มีการรายงานมาจากทานนบี ซึ่งทานกลาววา
.(( ﻭﺑﺎﻵﺧﺮﺓ ﱂ ﺗﺰﻝ، ))ﻛﺄﻧﻚ ﰲ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﱂ ﺗﻜﻦ: ﺣﺪﻳﺚ
สํา นวนหะดี ษ ข า งต น เป น คํ า กล า วของอุ มั ร เบ็ ญ อั บดุ ล อะซี ซ (6) แต ถู ก
พาดพิงไปยังทาน นบี
(4) คําพูดของฮุกะมาอฺ(1)บางคนแลวพาดพิงไปยังทานนบี ตัวอยาง
หะดีษที่ 5 มีการรายงานวา ทานนบี กลาววา
(4)
อะบูชุฮฺบะฮฺ หนา 14-15
(5)
หนังสือเดิม
(6)
อุมัร เบ็ญ อับดุลอะซีซ ไมไดพบเจอและฟงหะดีษโดยตรงจากรสูลุลลอฮฺ เนื่องจากทานเกิดหลังจากที่ทาน
เสียชีวิตไปแลว
(1)
หุกะมาอฺ หมายถึง นักพูดหรือนักอรรถาธิบายเรื่องราวตาง ๆ
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 194
ﻭﻋﻮﺩﻭﺍ ﻛﻞ، ﻭﺍﳊﻤﻴﺔ ﺃﺻﻞ ﺍﻟﺪﻭﺍﺀ، )) ﺍﻟﺒﻄﻨﺔ ﺃﺻﻞ ﺍﻟﺪﺍﺀ: ﺣﺪﻳﺚ
((ﺟﺴﻢ ﻣﺎ ﺍﻋﺘﺎﺩ
หะดีษบทนี้เปนหะดีษลาอัศลาละฮฺ มาจากการรายงานของอัลุวัยบะรีย
อิมาม อัลซุฮฺรีย กลาววา อัลุบะรียเปนนักกุหะดีษแลวพาดพิงไปยังทานนบี
(3)
(2)
บันทึกโดยอิบนุอะดีย : 2/207
(3)
อัลอัลบานีย : 1/415
(4)
ดู หนังสือเดิม : 3/582-584
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 195
จะยกยองหรือตําหนิ การสั่งเสีย การสนับสนุนทานหนึ่งทานใดและปฏิเสธพวก
เขา เปนตน
4. ฐานะของหะดีษเมาฎอฺ
หะดีษเมาฎอฺ คือ หะดีษที่มีฐานะต่ําที่สุดในบรรดาหะดีษเฎาะอีฟเนื่องจาก
เปนการกลาวเท็จตอหะดีษนบี และเปนเพียงคําพูดของสามัญชนเทานั้นแลว
พาดพิงไปยังทานนบี
5. การรายงานหะดีษเมาฎอฺ
บรรดาอุ ละมาอฺ มีความเห็น พองกัน วา ไมอนุ ญาต (หะรอม) แกผู ที่
ทราบวาเปนหะดีษเมาฎอฺนํามารายงานใหแกสาธารณชนทั้งหลายที่เกี่ยวกับเรื่อง
ตาง ๆ ของศาสนา เชน อะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ คุณคาของอะมาล และอื่น ๆ เวน
แตมีการระบุระดับของหะดีษดวย(1) เนื่องจากมีหะดีษบทหนึ่ง ซึ่งทานนบี
กลาววา
(1)
อิบนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 109
(2)
บันทึกโดยมุสลิม : 2/231
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 196
ของอะมาล ชีวประวัติของทาน นบีและเศาะหาบะฮฺ การสนับสนุนใหทําความดี
และหามปรามทําความชั่ว เปนตน(3)
7. การรูจักหะดีษเมาฎอฺ
การรูจักหะดีษเมาฎอฺสามารถพิจารณาจากหลาย ๆ อยางตอไปนี้
1. ผูกุหะดีษยอมรับสารภาพวาเขากุขึ้นมาเอง เชน การสารภาพของนักกุ
หะดีษวา เขาได กุหะดีษเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใดของศาสนาและเรื่องอื่นๆ เชน
การสารภาพของอะบูอัศมะฮฺ นูหฺ เบ็ญ อะบีมัรยัม
2. คําหรือสํานวนที่มีความหมายเหมือนกับการสารภาพ หรือการยอมรับ
ของการกุหะดีษ เชน มีการรายงานหะดีษจากอาจารยทานหนึ่งซึ่งเขาไมเคยรับหะ
ดีษมากอนและหะดีษนั้นไมมีใครคนอื่นที่รายงานนอกจากเขาเพียงผูเดียวเทานั้น
3. มีกรณีแวดลอมในตัวผูรายงาน เชน ผูรายงานเปนพวกรอฟเฎาะฮฺหรือ
ชีอะฮฺ(1) โดยสวนใหญแลวมักจะกุหะดีษเกี่ยวกับครอบครัวของทานนบี (2)
4. ตัวบทของหะดีษขัดแยงอยางชัดเจนกับอัลกุรอาน หะดีษเศาะหีหฺและ
ความคิดที่ถูกตอง(3)
8. ประวัติความเปนมาของหะดีษเมาฎอฺ
ดังที่กล าวมาแลวในเรื่ องของสะนัด วา บรรดาเศาะหาบะฮฺ เป นคนที่ มี
คุณธรรม ซึ่งไดรับการยอมรับจากอัลลอฮฺ วาเปนกัลยาณชนที่ชอบปฏิบัติ
ตามและเลียนแบบทานนบี ดวยจิตวิญญาณและการกระทําตลอดชีวิตของ
พวกเขา อะนัส เบ็ญ มาลิกไดรายงาน หะดีษบทหนึ่งเลาวา มีผูชายคนหนึ่งถาม
(3)
อุมัร หะสัน ฟุลลาตะฮฺ : 1/135
(1)
กลุมรอฟเฎาะฮฺและกลุมชีอะฮฺก็นับถือศาสนาอิสลามเชนกัน แตไมใชอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ
(2)
มะหฺมูด อัลเฏาะหฺหาน หนา 176
(3)
อุมัร หะสัน ฟุลลาตะฮฺ : 1/334
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 197
ทานวา “ทานไดฟงหะดีษจากรสูลุลลอฮฺ ใชหรือไม?” ทานตอบวา “ใช หรือ
ทานกลาววา ฉันไดยินมาจากบุคคลไมเคยพูดโกหก ขาขอสาบานดวยพระนาม
ของอัลลอฮฺวา พวกเราไมเคยโกหกและพวกเราไมทราบดวยซ้ําไปวาวิธีการโกหก
นั้นเปนอยางไร”(4)
การกุหะดีษไมใชเปนฝมือของผูที่ศรัทธาตออัลลอฮฺ อยางแทจริง
โดยเฉพาะมุสลิมที่อยูในชวงตนๆ ของอิสลาม แตมาจากฝมือของพวกมุนาฟกีนที่
ตองการทําลายอิสลามและใสรายมุสลิม ซึ่งเริ่มตนตั้งแตสมัยเคาะลีฟะฮฺอุษมาน
หลักฐานบางอยางบงบอกถึงเรื่องนี้อยางชัดเจน ซึ่งไดติดตามผูที่มีสวนเกี่ยวของ
ในการรายงานหะดีษของทาน นบี มุฮัมมัด เบ็ญ สีรีน (110ฮ.ศ.) ไดกลาวไววา
“พวกเขา(บรรดาเศาะหาบะฮฺ) ไมเคยถามเลยเกี่ยวกับอิสนาดหะดีษ เมื่อฟตนะฮฺ
ไดเกิดขึ้นพวกเขาก็เริ่มมีการตรวจสอบสถานะของนักรายงานโดยใหบอกชื่อของ
เขา ดังนั้น เมื่อหะดีษมาจากกลุม อะฮลฺ อัลซุนนะฮฺพวกเขาจะยอมรับหะดีษ
และเมื่อพบวาหะดีษมาจากกลุมบิดอะฮฺพวกเขาจะไมรับหะดีษ”(5)
จากขอเท็จจริงนี้ สามารถยืนยันตอประวัติการเริ่มตนของการโกหกตอรสู
ลุลลอฮฺ และหะดีษของทาน ซึ่งเปนจุดเริ่มตนของการแพรหลายหะดีษเมาฎอฺ
ในสังคมอิสลามอยางกวางขวางและเปนสาเหตุหนึ่งทําใหสังคมอิสลามเกิดความ
แตกแยกเปนกลุม ๆ
ส ว นหะดี ษ เมาฎ อฺ ที่ถู กกุ ขึ้ น มาเป น ครั้ ง แรก คื อ หะดี ษ ที่ เกี่ ย วกั บ ความ
ประเสริฐของบุคคลซึ่งมีอับดุลเลาะ เบ็ญ อุบัย เบ็ญ สะลูลเปนหัวหนากลุมนี้ได
ทําการกุหะดีษเมาฎอฺอยางมากมายโดยเริ่มจากหะดีษที่เกี่ยวกับความประเสริฐ
ของผูนํา มีการบอกเลาวากลุมแรกที่ไดริเริ่มกุหะดีษ คือ กลุมของชีอะฮฺ อิบนุ
อะบีอัลหะดีดไดกลาววา “พึงรูไววา เดิมทีนั้นการโกหกมดเท็จที่เกี่ยวกับความ
(4)
บันทึกโดยอิบนุอะดีย : 1/51
(5)
บันทึกโดยมุสลิม : 1/15
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 198
ประเสริฐมาจากกลุมชีอะฮฺ ซึ่งไดรับการตอบรับเชนกันจากกลุมอะฮฺลุซซุนนะฮฺ
บางคนที่ไมมีความรูในเรื่องนี้”(1)
ที่ จ ริ ง แล ว พวกชี อ ะฮฺ มี ห ลายกลุ ม ด ว ยกั น แต ที่ เ ป น กลุ ม แรกที่ ทํ า
การกุหะดีษเมาฎอฺนั้นคือ กลุมรอฟเฎาะฮฺ มีคนถามอิมามมาลิกเกี่ยวกับเรื่อง
ดังกลาว ทานตอบวา “อยาไปพูดกับพวกเขาและอยารายงานหะดีษจากพวกเขา
เพราะพวกเขาเปนคนโกหก”(2)
(1)
มุศเฏาะฟา อัสสิบาอีย หนา 75-76
(2)
ชัยคฺอิสลามอิบนุตัยมิยะฮฺ : 1/13
(3)
หนังสือเดิม
(4)
มุศเฏาะฟา อัสสิบาอีย หนา 79
(5)
หนังสือเดิม หนา 80-81
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 199
(6)
หะดีษบทนี้มีการเลาวาเปนสวนหนึ่งในจํานวนการสั่งเสียของทานนบี ซึ่งทานไดกลาวหะดีษนี้ ณ ตําบลเฆาะ
ดีรคอม (ดู มุศเฏาะฟา อัสสิบาอีย หนา 79-80)
(1)
มุศเฏาะฟา อัสสิบาอีย หนา 80
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 200
ตามวิธีการที่ผิด ๆ ซึ่งตั้งอยูบนพื้นฐานของหะดีษเมาฎอฺที่ไมสามารถจะอางอิงได
เด็ดขาด
ตัวอยาง เชน อิบนุมะฮฺดีย กลาววา “ฉันกลาวแกมัยซะเราะฮฺ เบ็ญ
อับดุลรอบบิฮฺ วา คุณไดรับหะดีษนี้มาจากใคร คือ หะดีษที่วาใครอานสูเราะฮฺนี้
จะไดรับผลบุญเทานี้? เขาตอบวา ฉันเองกุมันขึ้นมาเพื่อสนับสนุนใหคนอื่นทํา
อิบาดะฮฺ (ตออัลลอฮฺ )”(2)
2. ใหการสนับสนุนมัซฮับของตนเองหรือนิกายของกลุมพวกพอง วิธีหนึ่งที่
สามารถดึงดูดคนอื่นหันมาใหการสนับสนุนมัซฮับ หรือพรรคการเมืองของตนเอง
โดยอางหลักฐานจากหะดีษเมาฎอฺดังที่ไดปรากฏจากการกระทําของพวกชีอะฮฺ
และเคาะวาริจญ ซึ่งกลุมเหลานี้ไดกุหะดีษเมาฎอฺแลวกลาววาเปนหะดีษของ
ทานนบี เพราะมุสลิมคลั่งไคลในหะดีษและปฏิบัติตามซุนนะฮฺของทานในทุก
ๆ เรื่อง ตัวอยาง เชน
(2)
อัสสุยูฏีย : 1/273
(1)
อัสสุยูฏีย : 1/273
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 201
(2)
หนังสือเดิม : 1/283
(3)
อุมัร หะสัน ฟุลลาตะฮฺ : 1/270
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 202
10. ความผิดพลาดของนักอรรถาธิบายหะดีษ
มี อี ก เรื่ อ งที่ สํ า คั ญ มากสมควรแก ก ารพู ด ถึ ง เมื่ อ กล า วถึ ง หะดี ษ เมาฎ อฺ
นั่นคือ ความ ผิดพลาดของนักอรรถาธิบายหะดีษบางทานที่ไดหยิบยกหะดีษ
เมาฎอฺมาอางเปนหลักฐานในการอรรถาธิบายอัลกุรอานบางอายะฮฺโดยไมได
ระบุระดับของหะดีษอยางชัดเจนวาเปนหะดีษเมาฎอฺ เชน อิมามอัลษะอฺละบีย
อิมามอัลวาหิดีย อิมามอัชเชากานีย อิมาม อัลบัยฎอวีย และอิมามอัลซะมัคชะรีย
อยางไรก็ตาม สําหรั บผูที่คนควาความรูจากหนังสือตั ฟซีรขางตนควร
ตระหนักในเรื่องนี้ดวยโดยการสืบคนหะดีษกอนนํามาใชเปนหลักฐาน อยางนอย
ๆ ให ค น หาระดั บของหะดี ษ จากหนั งสื อตั ครีจ หะดี ษ เพื่อ สามารถยื น ยั น ความ
ถูกตองของหะดีษ
11. ตําราที่เกี่ยวของ
ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻮﺿﻮﻋﺎﺕ ﻟﻺﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ.1
ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻼﱄﺀ ﺍﳌﺼﻨﻮﻋﺔ ﰲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﳌﻮﺿﻮﻋﺔ ﻟﻺﻣﺎﻡ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ.2
ﻛﺘﺎﺏ ﺗﱰﻳﻪ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﳌﺮﻓﻮﻋﺔ ﻋﻦ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺸﻨﻴﻌﺔ ﺍﳌﻮﺿﻮﻋﺔ ﻻﺑﻦ.3
ﻋﺮﺍﻕ ﺍﻟﻜﺘﺎﱐ
ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻔﻮﺍﺋﺪ ﺍﺠﻤﻟﻤﻮﻋﺔ ﻟﻺﻣﺎﻡ ﺍﻟﺸﻮﻛﺎﱐ.4
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 203
หัวขอยอย อัลอิสรออีลิยาต
1. นิยาม
คําวา “อิสรออีลิยาต” เปนคําพหูพจนของคําวา “อิสรออีลิยะฮฺ” คือ
เรื่องราวของ บะนีอิสรออีล (เผาอิสรออีล) หมายถึง เผานบียะอฺกูบ และบะนี
อิสรออีลในที่นี้ก็คือครอบครัวของนบียะอฺกูบและรุนตอ ๆ มาจากวงศตระกูลของ
ทาน(1)
อิสรออีล คือ ยะฮูด(2) กลุมนี้เปนกลุมที่มีความรูและวัฒนธรรมของตัวเอง
มาจากคัมภีรเตารอฮฺและหนังสืออธิบายของเตารอฮฺ อัลอัสฟารและเนื้อหาของ
มั น คั ม ภี ร ตั ล มู ด และหนั ง สื อ อธิ บ าย เรื่ อ งเล า ต า ง ๆ และเรื่ อ งงมงาย
ขอกลาวหาที่เปนเท็จ หรือเรื่องราวตางๆ ที่เลาสูกันฟงจากกลุมอื่นๆ
เรื่องตาง ๆ ขางตนเปนแหลงที่มาที่แทจริงของอิสรออีลิยาต ซึ่งมักจะ
บรรจุไวในหนังสือตัฟซีร หนังสือประวัติศาสตร และหนังสือที่มีการอธิบาย
เกี่ยวกับเรื่องราวตาง ๆ ของศาสนา สิ่งเหลานี้มีทั้งที่เปนจริงและบางสวนเปน
เท็จ แตสวนมากจะเปนเท็จที่ไมสามารถอางไดมาจากคัมภีรเตารอฮฺ(1)
ที่เรียกวา อิสรออีลิยาต เพราะสวนใหญแลวมาจากวัฒนธรรมของบะนี
อิสรออีล หรือมาจากหนังสือตาง ๆ ที่พวกเขาแตงขึ้นมาเอง หรือมาจากการเลา
สูกันฟงในหมูพวกเขาโดยไมมีการอางอิงที่สามารถเชื่อถือได(2)
2. ประเภทของอิสรออีลิยะฮฺ
อิมามอิบนุกะษีรกลาวในหนังสือตัฟซีรวา อิสรออีลิยาตมี 3 ประเภทคือ
1. อิสรออีลิยาตที่สามารถพิสูจนไดวาถูกตองหรือเศาะหีหฺ
(1)
อะบูชุฮฺบะฮฺ หนา 12
(2)
เมื่อกลาวถึงยะฮูดจะหมายถึงพวกยะฮูดีย (ยิว)
(1)
อะบูชุฮฺบะฮฺ หนา 13
(2)
อะบูซะฮฺเราะฮฺ : 1/165
บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 204
2. อิสรออีลิยาตที่พิสูจนแลวเปนของปลอมหรือเฎาะอีฟ
3. อิสรออีลิยาตที่ไมสามารถพิสูจนไดระหวางอันไหนเปนเศาะหีหฺและอัน
ไหนเปนเฎาะอีฟ ไมสามารถเชื่อไดและไมสามารถที่จะปฏิเสธไดเหมือนกัน เชน
อิสรออีลิยะฮฺที่กลาวถึงชาวอัลกะฮฺฟย สีสุนัขของพวกเขา จํานวนของชาวอัลกะฮฺ
ฟย (ที่อยูในถ้ํา) ไมเทาของนบีมูซาทํามาจากอะไร ชื่อนกที่อัลลอฮฺ ไดใหมี
ชีวิตใหมสําหรับนบีอิบรอฮีม และอื่น ๆ(3)
3. ตัวอยางอิสรออีลิยะฮฺ
เรื่องอิสรออีลิยะฮฺมีมากมาย แตขอยกตัวอยางเพียงบางสวนเทานั้น เชน
6. การนํามาใชเปนหลักฐาน
อิสรออีลิยะฮฺที่เปนเศาะหีหฺอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานได สวนอิสรอ
อีลิยะฮฺที่เปนเฎาะอีฟหรือเมาฎอฺไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานและหาม
ปฏิบัติตามโดยเด็ดขาด
บทที่ 8 บทสงทาย 206
บทที่ 8
บทสงทาย
หะดี ษ นบี เ ป น ส ว นหนึ่ ง ของวะฮฺ ยู อั ล ลอฮฺ ซึ่ ง เป น แหล ง ที่ ม าของ
บัญญัติอิสลามรองจากอัลกุรอาน มุสลิมทุกคนวาญิบตองนอมรับและนํามาใช
เปนหลักฐานตลอดจนนํามาปฏิบัติในทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามและ
เรื่องทางโลกเมื่อสามารถยืนยัน หะดีษนั้นๆวามาจากทานนบีมุฮัมมัด จริง
โดยใชหลักการและกฎเกณฑของวิชามุศเฎาะละหฺ อัลหะดีษและวิชาอื่น ๆ ที่
เกี่ยวของ
การนําหะดีษมาใชเปนหลักฐาน และปฏิบัติตามนั้นเปนการแสดงถึงการ
จงรักภักดีตอคําสั่งของอัลลอฮฺ ที่ใหมุสลิมทุกคนนอมรับในหะดีษของทาน
นบี ดังที่ปรากฏใน อัลกุรอาน
(1)
สูเราะฮฺอัลหัชรฺ อายะฮฺที่7
บทที่ 8 บทสงทาย 207
อิมามอัชชาฟอียอธิบายวา “ทุกสิ่งทุกอยางที่ทานนบี ไดปฏิบัติหรือ
แสดงออก เปนแบบฉบับนั้น อัลลอฮฺ บังคับใหปฏิบัติตามซึ่งเปนการแสดง
ถึงการเคารพภักดี ตอพระองคอัลลอฮฺ และรสูลุลลอฮฺ สวนการ
หลีกเลี่ยงไมยอมปฏิบัติตามหะดีษถือเปนมุอฺศิยะฮฺและไมแสดงตนเปนคนนอม
รับคําสั่งของอัลลอฮฺ เพราะการปฏิบัติตาม หะดีษเปนทางเลือกที่ดีที่สุด”
ตามความเป น จริ ง แล ว การปฏิ บั ติ ต ามหะดี ษ หรื อ อั ส สุ น นะฮฺ นั้ น เป น
สิ่งจําเปนอยางมากสําหรับมุสลิมเพราะเปนการเลือกวิถีทางดําเนินชีวิตที่ถูกตอง
และเปนการปฏิบัติตามผูที่ไดรับคัดเลือกจากอัลลอฮฺ มาเปนแบบอยางอันดี
งามในทุก ๆ ดานสําหรับมนุษยชาติ โดยเฉพาะมุสลิมที่ศรัทธายิ่งในอัลลอฮฺ
และรสูลุลลอฮฺ และหามปฏิบัติขัดแยงกับคําพูดและการปฏิบัติของทานนบี
อัลลอฮฺ ทรงตรัสไววา
ความวา : “ดังนั้นก็จงระวังพวกที่ปฏิบัติขัดแยงกับการปฏิบัติของทาน
(นบี) พวกเขาจะประสบกับฟตนะฮฺหรือพวกเขาจะพบกับความ
หายนะที่แสนสาหัส”(1)
อัลหะซัน อัลบัศรีย กลาววา “การศรัทธานั้นไมใชเปนความฝนและไมใช
เปนการแสดงออกที่ลอย ๆ เทานั้น แตการศรัทธานั้นเปนการปฏิบัติอยางจริงจัง
และนอมรับดวยการกระทําตามขอบัญญัติตาง ๆ ที่ไดกําหนดไวในอัลกุรอาน” ก็
เชนเดียวกันกับการศรัทธาตอรสูลุลลอฮฺ ดวยการปฏิบัติตามหะดีษหรือ
(1)
สูเราะฮฺอันนูร อายะฮฺที่ 63
บทที่ 8 บทสงทาย 208
อัสสุนนะฮฺ ซึ่งแสดงถึงการรักรสูลุลลอฮฺ และยกยองทาน อัลลอฮฺ ทรง
ตรัสไววา
ﻗﻞ ﺇﻥ ﻛﻨﺘﻢ ﲢﺒﻮﻥ ﺍﷲ ﻓﺎﺗﺒﻌﻮﱐ ﳛﺒﺒﻜﻢ ﺍﷲ ﻭﻳﻐﻔﺮ
ﻟﻜﻢ ﺫﻧﻮﺑﻜﻢ
(2)
สูเราะฮฺอัลอะหฺซาบ อายะฮฺที่ 21
บทที่ 8 บทสงทาย 209
หะรอม มุนากะฮาต เปนตน และอีกประการหนึ่งที่สําคัญ คือ การนําหะดีษ
เหล า นั้ น เป น หลั ก ฐานเป น การปฏิ บั ติ ใ นสิ่ งที่ เป น บิด อะฮฺ (อุ ต ริ ก รรมในเรื่ อ ง
ศาสนา) ซึ่งสิ่งที่เปนบิดอะฮฺทั้งหลายควรแกการหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด แมแตนํา
หะดีษดังกลาวมารายงานเปนที่ตองหามเหมือนกันเพราะแสดงถึงการชี้นําใหคน
อื่นหลงผิดจากหลักคําสอนที่ถูกตอง อะบูฮุรอยเราะฮฺ เลาวา รสูลุลลอฮฺ
กลาววา
(1)
บันทึกโดยอัตติรมิซีย : 4/149 ทานกลาววา: หะดีษนี้เปนหะดีษหะสันเศาะหีหฺ