You are on page 1of 326

ตัวอักษรกรีก

ตัวอักษร ตัวอักษร ตัวอักษร ตัวอักษร


ชื่อ ชื่อ
เล็ก ใหญ่ เล็ก ใหญ่
a A alpha แอลฟา n N nu นิว
b B beta บีตา x X xi ไซ
g G gamma แกมมา o O omicron โอไมครอน
´d,0
,∂ D delta เดลตา p P pi พาย
e E epsilon เอปไซลอน r R rho โร
z Z zeta ซีตา s S sigma ซิกมา
h H eta อีตา t T tau เทา
q Q theta ทีตา u U upsilon อิปไซลอน
i I iota ไอโอตา f F phi ฟาย, ฟี
k K kappa แคปปา c C chi ไค
l L lambda แลมบ์ดา y Y psi ซาย
m M mu มิว w W omega โอเมกา

ราชบัณฑิตยสถาน ศัพท์คณิตศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ครั้งที่ ๙ แก้ไขเพิ่มเติม กรุงเทพ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๙.


คู่มือครู

รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์

ฟิสิกส์
ชั้น

มัธยมศึกษาปีที่ ๕ เล่ม ๓
ตามผลการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน
้ พืน
้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

จัดทำาโดย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี กร ทรวงศกษา ิการ

เผยแพร่ พฤษภาคม ๒๕๖๒


คำชี้แจง
สถาบั นส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดทาตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้
แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเน้นเพื่อต้องการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถที่ทัดเทียมกับ
นานาชาติ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และ
แก้ปั ญ หาที่ห ลากหลาย มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติเพื่อให้ ผู้ เรียนได้ใช้ทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งในปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไปโรงเรียนจะต้องใช้หลักสูตร
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) สสวท. ได้มีการจัดทาหนังสือเรียนที่เป็นไปตาม
มาตรฐานหลักสูตรเพื่อให้โรงเรียนได้ใช้สาหรับจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน และเพื่อให้ครูผู้สอนสามารถ
สอนและจัดกิจกรรมต่างๆ ตามหนังสือเรียนได้อย่างมีประสิทธิภ าพ จึงได้จัดทาคู่มือครู สาหรับใช้ประกอบ
หนังสือเรียนดังกล่าว
คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติม วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ เล่ม ๓ นี้ ได้บอกแนวการจัดการ
เรียนการสอนตามเนื้อหาในหนังสือเรียนเกี่ยวกับ การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น
หลักการและพฤติกรรมของคลื่น พฤติกรรมเชิงคลื่นของแสง การแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่ การเลี้ยวเบน
ของแสงผ่านสลิตเดี่ยวและเกรตติง การสะท้อนและการหักเหของแสง การเกิดภาพจากเลนส์บางและกระจกเงา
ทรงกลม การมองเห็ น แสงสี และปรากฏการณ์ ธ รรมชาติที่ เกี่ ยวกับ แสง ซึ่ งครูผู้ ส อนสามารถน าไปใช้เป็ น
แนวทางในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยสามารถนาไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ได้ตามความเหมาะสมและความพร้อมของโรงเรียน ในการจัดทาคู่มือครูเล่มนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง
จากผู้ ท รงคุ ณ วุฒิ นั ก วิ ช าการอิ ส ระ คณาจารย์ รวมทั้ งครู ผู้ ส อน นั ก วิ ช าการ จากทั้ งภาครั ฐ และเอกชน
จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
สสวท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ เล่ม ๓ นี้
จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สอน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่จะช่วยให้การจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ หากมีข้อเสนอแนะใดที่จะทาให้คู่มือครูเล่มนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โปรดแจ้ง สสวท. ทราบด้วย
จะขอบคุณยิ่ง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
คำาอธิบายรายวิชาเพิ่มเติม
ฟิสิกส์ เล่ม ๓ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ เวลา ๘๐ ชั่วโมง จำานวน ๒ หน่วยกิต

ศกษาลักษณ การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่ างง่ าย ปริ มาณที่ เกี่ ยวข้ อ งกั บ การเคลื่ อ นที่ แ บบ
าร์มอนิกอย่างง่าย แรงกับการสั่นของมวลติดปลายสริงแล ลกตุ้มอย่างง่าย ความถี่ รรมชาติแล การสั่น
พ้อง รรมชาติของคลื่น อัตราเร็วของคลื่น หลักการที่เกี่ยวกับคลื่น พ ติกรรมของคลื่น แนวคิดเกี่ยวกับ
แสงเชิงคลื่น การแทรกสอดของแสง ่านสลิตค่ การเลี้ยวเบนของแสง ่านสลิตเดี่ยว การเลี้ยวเบนของ
แสง ่านเกรตติง การส ท้อนแล การหักเหของแสง การมองเห็นแล การเกิด าพ าพ ากเลนส์แล
กร กเงาทรงกลม แสงสีแล การมองเห็นแสงสี ปราก การณ์ รรมชาติแล การใช้ปร โยชน์เกี่ยวกับแสง
โดยใช้กร บวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสา หาความร้ การสืบค้นข้อมล การสังเกต วิเครา ห์ เปรียบเทียบ
อ ิบาย อ ิปราย แล สรุป เพื่อให้เกิดความร้ ความเข้าใ มีความสามารถในการตัดสินใ มีทักษ
กร บวนการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษ แห่งศตวรรษที่ ๒ ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ด้านการคิดแล การแก้ปญหา สามารถสือ่ สารสิง่ ทีเ่ รียนร้แล นาความร้ไปใช้ในชีวต
ิ ของตนเอง มี ต
ิ วิทยาศาสตร์
ริย รรม คุณ รรม แล ค่านิยมที่เหมา สม

ผลการเรียนรู้
. ทดลองแล อ บ
ิ ายการเคลือ
่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุตด
ิ ปลายสริงแล ลกตุม
้ อย่างง่าย
รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง
๒. อ ิบายความถี่ รรมชาติของวัตถุแล การเกิดการสั่นพ้อง
. อ บ
ิ ายปราก การณ์คลืน
่ ชนิดของคลืน
่ ส่วนปร กอบของคลืน
่ การแ ข
่ องหน้าคลืน
่ ด้วยหลักการ
ของ อยเกนส์ แล การรวมกันของคลื่นตามหลักการซ้อนทับ พร้อมทั้งคานวณอัตราเร็ว ความถี่
แล ความยาวคลื่น
๔. สังเกตแล อ บ
ิ ายการส ท้อน การหักเห การแทรกสอด แล การเลีย้ วเบนของคลืน
่ วิ น้า รวมทัง้
คานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง
๕. ทดลอง แล อ บ
ิ ายการแทรกสอดของแสง า่ นสลิตค่แล เกรตติง การเลีย้ วเบนแล การแทรกสอด
ของแสง ่านสลิตเดี่ยว รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง
. ทดลอง แล อ ิบายการส ท้อนของแสงที่ ิววัตถุตามก การส ท้อน เขียนรังสีของแสงแล
คานวณตาแหน่งแล ขนาด าพของวัตถุ เมือ่ แสงตกกร ทบกร กเงาราบแล กร กเงาทรงกลม
รวมทัง้ อ บ
ิ ายการนาความร้เรือ
่ งการส ท้อนของแสง ากกร กเงาราบ แล กร กเงาทรงกลม
ไปใช้ปร โยชน์ในชีวิตปร าวัน
. ทดลอง แล อ บ
ิ ายความสัมพัน ร์ หว่างดรรชนีหก
ั เห มุมตกกร ทบ แล มุมหักเหรวมทัง้ อ บ
ิ าย
ความสัมพัน ์ร หว่างความลก ริงแล ความลกปราก มุมวิก ตแล การส ท้อนกลับหมดของ
แสง แล คานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง
. ทดลอง แล เขียนรังสีของแสงเพื่อแสดง าพที่เกิด ากเลนส์บาง หาตาแหน่ง ขนาด ชนิดของ
าพ แล ความสัมพัน ร์ หว่างร ย วัตถุ ร ย าพแล ความยาวโฟกัส รวมทัง้ คานวณปริมาณ
ต่าง ทีเ่ กีย่ วข้อง แล อ บ
ิ ายการนาความร้เรือ
่ งการหักเหของแสง า่ นเลนส์บางไปใช้ปร โยชน์
ในชีวิตปร าวัน
๙. อ ิบายปราก การณ์ รรมชาติที่เกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง การทรงกลด มิรา แล การเห็นท้องฟา
เปนสีต่าง ในช่วงเวลาต่างกัน
. สังเกต แล อ ิบายการมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ การ สมสารสี แล การ สมแสงสี รวมทั้ง
อ ิบายสาเหตุของการบอดสี

รวมทั้งหมด ๑๐ ผลการเรียนรู้
ข้อแนะนำาทั่วไปในการใช้คู่มือครู

วิทยาศาสตร์มีความเก่ียวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตปร าวันแล การงานอาชีพต่าง รวมทั้ง


มีบทบาทสาคัญในการพั นา ล ลิตต่าง ที่ใช้ในการอานวยความส ดวกทั้งในชีวิต แล การทางาน
นอก ากนี้ วิ ท ยาศาสตร์ ยั ง ช่ ว ยพั นาวิ ี คิ ด แล ทาให้ มี ทั ก ษ ที่ าเปนในการตั ด สิ น ใ แล แก้ ป ญหา
อย่ า งเปนร บบ การ ั ด การเรี ย นร้ เ พื่ อ ให้ นั ก เรี ย นมี ค วามร้ แ ล ทั ก ษ ท่ี ส าคั ญ ตามเปาหมายของ
การ ั ด การเรี ย นร้ วิ ท ยาศาสตร์ งมี ค วามสาคั ญ ยิ่ ง ซ่ ง เปาหมายของการ ั ด การเรี ย นร้ วิ ท ยาศาสตร์
มีดังนี้

1. เพื่อให้เข้าใ หลักการแล ท ษ ีที่เปนพื้น านของวิชาวิทยาศาสตร์


2. เพื่อให้เกิดความเข้าใ ในลักษณ ขอบเขต แล ข้อ ากัดของวิทยาศาสตร์
3. เพื่อให้เกิดทักษ ท่ีสาคัญในการศกษาค้นคว้าแล คิดค้นทางวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี
4. เพื่อพั นากร บวนการคิดแล ินตนาการ ความสามารถในการแก้ป ญหาแล การ ัดการ
ทักษ ในการส่ือสารแล ความสามารถในการตัดสินใ
5. เพื่อให้ตร หนักถงความสัมพัน ์ร หว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์แล
ส าพแวดล้อม ในเชิงที่มีอิท ิพลแล ลกร ทบซ่งกันแล กัน
6. เพื่อนาความร้ความเข้าใ เรื่องวิทยาศาสตร์แล เทคโนโลยี ไปใช้ให้เกิดปร โยชน์ต่อ
สังคมแล การดารงชีวิตอย่างมีคุณค่า
7. เพื่อให้มี ิตวิทยาศาสตร์ มีคุณ รรม ริย รรม แล ค่านิยมในการใช้ความร้ทาง
วิทยาศาสตร์อย่างสร้างสรรค์

ค่ มื อ ครเปนเอกสารที่ ั ด ทาข้ น ควบค่ กั บ หนั ง สื อ เรี ย น สาหรั บ ให้ ค รได้ ใ ช้ เ ปนแนวทาง


ในการ ั ด การเรี ย นร้ เ พ่ื อ ให้ นั ก เรี ย นได้ รั บ ความร้ แ ล มี ทั ก ษ ที่ ส าคั ญ ตาม ุ ด ปร สงค์ ก ารเรี ย นร้
ในหนังสือเรียน ซ่งสอดคล้องกับ ลการเรียนร้ตามสาร การเรี ยนร้ ส่ งเสริ มให้ บ รรลุ เป้ าหมายของ
การ ั ด การเรียนร้วิทยาศาสตร์ได้ อย่างไรก็ตาม ครอา พิ ารณาดัดแปลงหรือเพ่ิมเติมการ ัดการเรียนร้
ให้เหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียนได้ โดยค่มือครมีองค์ปร กอบหลักดังต่อไปนี้

ผลการเรียนรู้
ลการเรียนร้เปน ลลัพท์ที่ควรเกิดกับนักเรียนทั้งด้านความร้เเล ทักษ ซ่งช่วยให้ครได้ทราบ
เปาหมายของการ ัดการเรียนร้ในแต่ล เนื้อหาแล ออกแบบกิ กรรมการเรียนร้ให้สอดคล้องกับ ลการ
เรียนร้ได้ ทัง้ นีค
้ รอา เพ่ม
ิ เติมเนือ
้ หาหรือทักษ ตามศักย าพของนักเรียน รวมทัง้ อา สอดแทรกเนือ
้ หาที่
เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น เพื่อให้นักเรียนมีความร้ความเข้าใ มากข้นได้
การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้
การวิเครา ห์ความร้ ทักษ กร บวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษ แห่งศตวรรษที่ 21 ต
ิ วิทยาศาสตร์
ที่เกี่ยวข้องในแต่ล ลการเรียนร้ เพื่อใช้เปนแนวทางในการ ัดการเรียนร้

ผังมโนทัศน์
แ น าพที่เเสดงความสัมพัน ์ร หว่างความคิดหลัก ความคิดรอง แล ความคิดย่อย เพื่อช่วยให้
ครเห็นความเชื่อมโยงของเนื้อหา ายในบทเรียน

สรุปเเนวความคิดสำาคัญ
การสรุปเนื้อหาสาคัญของบทเรียน เพื่อช่วยให้ครเห็นกรอบเนื้อหาทั้งหมด รวมทั้งลาดับของ
เนื้อหาในบทเรียนนั้น

เวลาที่ใช้
เวลาที่ใช้ในการ ัดการเรียนร้ ซ่งครอา ดาเนินการตามข้อเสนอแน ที่กาหนดไว้ หรืออา ปรับ
เวลาได้ตามความเหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียน

ความรู้ก่อนเรียน
คาสาคั ญ หรื อ ข้ อ ความที่ เ ปนความร้ พื้ น าน ซ่ ง นั ก เรี ย นควรมี ก่ อ นที่ เรี ย นร้ เ นื้ อ หาใน
บทเรียนนั้น

การจัดการเรียนรู้ของแต่ละหัวข้อ
การ ัดการเรียนร้ในเเต่ล ข้ออา มีองค์ปร กอบเเตกต่างกัน โดยรายล เอียดเเต่ล องค์ปร กอบ
มีดังนี้
- จุดประสงค์การเรียนรู้
เปาหมายของการ ั ด การเรี ย นร้ ที่ ต้ อ งการให้ นั ก เรี ย นเกิ ด ความร้ ห รื อ ทั ก ษ หลั ง าก ่ า น
กิ กรรมการเรียนร้ในเเต่ล หัวข้อ ซ่งสามารถวัดเเล ปร เมิน ลได้ ทัง้ นีค
้ รอา ตัง้ ด
ุ ปร สงค์
เพิ่มเติม ากที่ให้ไว้ ตามความเหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียน

- ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
เนื้อหาที่นักเรียนอา เกิดความเข้าใ คลาดเคลื่อนที่พบบ่อย ซ่งเปนข้อมลให้ครได้พงร วัง
หรืออา เน้นย้าในปร เด็นดังกล่าวเพื่อปองกันการเกิดความเข้าใ ที่คลาดเคลื่อนได้
- สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
สื่อการเรียนร้ เช่น บัตรคา คลิปวีดิทัศน์ หรือ วัสดุแล อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการปร กอบ
การ ัดการเรียนร้ ซ่งครควรเตรียมล่วงหน้าก่อนเริ่มการ ัดการเรียนร้้

- แนวการจัดการเรียนรู้
แนวทางการ ั ด การเรี ย นร้ ที่ ส อดคล้ อ งกั บ ุ ด ปร สงค์ ก ารเรี ย นร้ โดยมี ก ารนาเสนอทั้ ง ใน
ส่วนของเนื้อหาแล กิ กรรมเปนขั้นตอนอย่างล เอียด ทั้งนี้ครอา ปรับหรือเพิ่มเติมกิ กรรม
ากที่ให้ไว้ตามความเหมา สมกับบริบทของแต่ล ห้องเรียน

กิจกรรม
การป ิบัติที่ช่วยในการเรียนร้เนื้อหาหรือ ก นให้เกิดทักษ ตาม ุดปร สงค์การเรียนร้ของ
บทเรียน โดยอา เปนการทดลอง การสา ิต การสืบค้นข้อมล หรือกิ กรรมอื่น ซ่งควรให้
นักเรียนลงมือป ิบัติด้วยตนเอง โดยองค์ปร กอบของกิ กรรมมีรายล เอียด ดังนี้
ุดปร สงค์
เปาหมายที่ต้องการให้นักเรียนเกิดความร้หรือทักษ หลัง าก ่านกิ กรรมนั้น

วัสดุแล อุปกรณ์
รายการวัสดุ อุปกรณ์ หรือสารเคมีที่ต้องใช้ในการทากิ กรรม ซ่งครควรเตรียมให้เพียงพอ
สาหรับการ ัดกิ กรรม

สิ่งที่ครต้องเตรียม
ข้อมลเกี่ยวกับสิ่งที่ครต้องเตรียมล่วงหน้าสาหรับการ ัดกิ กรรม เช่น การเตรียม
สารล ลายที่มีความเข้มข้นต่าง การเตรียมตัวอย่างสิ่งมีชีวิต

ข้อเสนอแน การทากิ กรรม


ข้อมลที่ให้ครเเ ้งต่อนักเรียนให้ทราบถงข้อร วัง ข้อควรป ิบัติ หรือข้อมลเพิ่มเติมใน
การทากิ กรรมนั้น

ตัวอย่าง ลการทากิ กรรม


ตัวอย่าง ลการทดลอง การสา ิต การสืบค้นข้อมลหรือกิ กรรมอื่น เพื่อให้ครใช้เปนข้อมล
สาหรับตรว สอบ ลการทากิ กรรมของนักเรียน
อ ิปรายหลังการทากิ กรรม
ตัวอย่างข้อมลที่ควรได้ ากการอ ิปรายเเล สรุป ลการทากิ กรรม ซ่งครอา ใช้ค าถาม
ท้ายกิ กรรมหรือคาถามเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้นักเรียนอ ิปรายในปร เด็นที่ต้องการรวมทั้ง
ช่วยกร ตุ้นให้นักเรียนช่วยกันคิดแล อ ิปรายถงป ัยต่าง ที่ทาให้ ลของกิ กรรมเปนไป
ตามทีค
่ าดหวัง หรืออา ไม่เปนไปตามที่คาดหวัง

นอก ากนี้ อา มีข้อแน นาเพิ่มเติมสาหรับคร ความร้เพิ่มเติมสาหรับคร เพื่อให้ครมีความร้


ความเข้าใ ในเรื่องนั้น เพิ่มข้น ากเนื้อหาที่มีในหนังสือเรียน

- แนวการวัดและประเมินผล
แนวทางการวัดแล ปร เมิน ลที่สอดคล้องกับ ุดปร สงค์การเรียนร้ ซ่งปร เมินทัง้ ด้านความร้
ทักษ กร บวนทางการวิทยาศาสตร์์ ทักษ เเห่งศตวรรษที่ 21 ปร เมิน ิตวิทยาศาสตร์ของ
นักเรียนที่ควรเกิดข้นหลัง ากได้เรียนร้ในเเต่ล หัวข้อ ลที่ได้ ากการปร เมิน ช่วยให้คร
ทราบถงความสาเร็ ของการ ั ด การเรี ย นร้ รวมทั้ ง ใช้ เ ปนแนวทางในการปรั บ ปรุ ง แล
พั นาการเรียนร้ให้เหมา สมกับนักเรียน

เครื ่ อ งมื อ วั ด แล ปร เมิ น ลมี อย่ห ลายรปแบบ เช่น แบบทดสอบรปแบบต่าง


แบบปร เมินทักษ แบบปร เมินคุณลักษณ ด้าน ิตวิทยาศาสตร์ ซ่งครอา เรียกใช้เครื่องมือ
สาหรับการวัดแล ปร เมิน ล ากเครื่องมือมาตร านที่มี ้พั นาไว้ ดัดเเปลง ากเครื่องมือ
ที่ อ
้ น
่ื ทาไว้เเล้ว หรือสร้างเครือ
่ งมือใหม่ขน
้ เอง ตัวอย่างเครือ
่ งมือวัดแล ปร เมิน ล ดัง าค นวก

- แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ เเละเฉลยเบบฝึกหัด
แนวคาตอบของคาถามตรว สอบความเข้าใ แล เฉลยแบบ กหัดท้ายหัวข้อ ทั้งนี้ครควรใช้
คาถามตรว สอบความเข้าใ เรียนเพือ่ ตรว สอบความร้ความเข้าใ ของนักเรียนก่อนเริม
่ เนือ้ หาใหม่
เพื่อให้สามารถปรับการการ ด
ั การเรียนร้ให้เหมา สมต่อไป แล ให้แบบ กหัดเพือ
่ ก นทักษ
การแก้ปญหาแล ทักษ อื่น

- เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท
ปร กอบด้วยแนวคาตอบของคาถามท้ายบทเรียนในหนังสือเรียน รวมทั้ง เฉลยปญหา แล
เฉลยปญหาท้าทาย ซ่งครควรใช้คาถามแล ปญหาในแบบ กหัดท้ายบทในการตรว สอบว่า
หลัง ากที่นักเรียน เรียน บบทเรียนแล้ว นักเรียนยังขาดความร้ความเข้าใ ในเรื่องใดเพือ
่ ให้
สามารถวางแ นการทบทวนหรือเน้นย้าเนื้อหาให้กับนักเรียนก่อนการทดสอบได้ ส่วนปญหา
ท้าทาย เปนปญหาสาหรับนักเรียนที่มีศักย าพสง แล ต้องการโ ทย์ท้าทายเพิ่มเติม
สารบัญ บทที่ 8-9
บทที่ เนื้อหา หน้า

8
การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย
ลการเรียนร้ 1
การวิเครา ห์ ลการเรียนร้ 1
ังมโนทัศน์ การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย 4
สรุปแนวความคิดสาคัญ 5
เวลาที่ใช้ 6
ความร้ก่อนเรียน 6
8.1 ลักษณ การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย 7
8.2 ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิก
อย่างง่าย 10
8.2.1 การกร ด
ั ของการเคลือ
่ นทีแ่ บบ าร์มอนิก
อย่างง่าย 11
8.2.2 ความเร็วแล ความเร่งของการเคลื่อนที่
แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย 11
8.3 แรงกับการสั่นของมวลติดปลายสปริงแล ลกตุ้ม
อย่างง่าย 17
8.3.1 การสั่นของมวลติดปลายสปริง 18
8.3.2 การแกว่งของลกตุ้มอย่างง่าย 23
8.4 ความถี่ รรมชาติแล การสั่นพ้อง 31
เฉลยแบบ กหัดท้ายบทที่ 8 35

9
คลื่น
ลการเรียนร้ 63
การวิเครา ห์ ลการเรียนร้ 63
ังมโนทัศน์ คลื่น 66
สรุปแนวความคิดสาคัญ 67
เวลาที่ใช้ 68
ความร้ก่อนเรียน 68
สารบัญ บทที่ 9-10
บทที่ เนื้อหา หน้า

9.1 รรมชาติของคลื่น 69
9.1.1 การเกิดคลืน ่ 69
9.1.2 ชนิดของคลืน ่ 70
9.1.3 ส่วนปร กอบของคลื่น 72
9.2 อัตราเร็วของคลื่น 74
9.2.1 ความสัมพัน ร์ หว่างอัตราเร็ว ความถี่
แล ความยาวคลืน ่ 75
9.2.2 อัตราเร็วของคลื่นในตัวกลาง 76
9.3 หลักการทีเ่ กีย่ วกับคลืน
่ 85
9.3.1 หลักการของ อยเกนส์ 85
9.3.2 หลักการซ้อนทับ 88
9.4 พ ติกรรมของคลื่น 91
9.4.1 การส ท้อนของคลื่น 92
9.4.2 การหักเหของคลื่น 93
9.4.3 การแทรกสอดของคลื่น 97
9.4.4 การเลี้ยวเบนของคลื่น 102
เฉลยแบบ กหัดท้ายบทที่ 9 105

10
แสงเชิงคลื่น
ลการเรียนร้ 115
การวิเครา ห์ ลการเรียนร้ 115
ังมโนทัศน์ แสงเชิงคลื่น 117
สรุปแนวความคิดสาคัญ 118
เวลาที่ใช้ 119
ความร้ก่อนเรียน 119
10.1 แนวคิดเกี่ยวกับแสงเชิงคลื่น 120
10.2 การแทรกสอดของแสง ่านสลิตค่ 121
10.3 การเลีย้ วเบนของแสง า่ นสลิตเดีย่ ว 134
10.4 การเลี้ยวเบนของแสง ่านเกรตติง 141
เฉลยแบบ กหัดท้ายบทที่ 10 150
สารบัญ บทที่ 11
บทที่ เนื้อหา หน้า

11
แสงเชิงรังสี
ลการเรียนร้ 173
การวิเครา ห์ ลการเรียนร้ 174
ังมโนทัศน์ แสงเชิงรังสี 178
สรุปแนวความคิดสาคัญ 179
เวลาที่ใช้ 181
ความร้ก่อนเรียน 181
11.1 การส ท้อนแล การหักเหของแสง 182
11.1.1 การส ท้อนของแสง 182
11.1.2 การหักเหของแสง 185
11.2 การมองเห็นแล การเกิด าพ 196
11.2.1 การมองเห็น 196
11.2.2 การเกิด าพ 197
11.3 าพ ากเลนส์บางแล กร กเงาทรงกลม 202
11.3.1 การเกิด าพ ากเลนส์บาง 202
11.3.2 การคานวณเกี่ยวกับเลนส์บาง 205
11.3.3 การเกิด าพ ากกร กเงาทรงกลม 208
11.3.4 การคานวณเกี่ยวกับกร กเงาทรงกลม 210
11.4 แสงสีแล การมองเห็นแสงสี 217
11.4.1 การมองเห็นสีของมนุษย์ 218
11.4.2 การ สมแสงสี 220
11.4.3 แ ่นกรองแสงแล สีของวัตถุ 223
11.4.4 การ สมสารสี 227
11.5 การอ ิบายปราก การณ์ รรมชาติ
แล การใช้ปร โยชน์เกี่ยวกับแสง 230
11.5.1 ปราก การณ์ รรมชาติที่เกี่ยวกับแสง 230
11.5.2 การนาความร้เรื่องกร กเงา
แล เลนส์บางไปใช้ปร โยชน์ 235
เฉลยแบบ กหัดท้ายบทที่ 11 242
สารบัญ ภาคผนวก
บทที่ เนื้อหา หน้า

ภาคผนวก ตัวอย่างเครื่องมือวัดแล ปร เมิน ล 292


แบบทดสอบ 292
แบบปร เมินทักษ 296
แบบปร เมินคุณลักษณ ด้าน ิตวิทยาศาสตร์ 299
การปร เมินการนาเสนอ ลงาน 302
บรรณานุกรม 304
คณ กรรมการ ัดทาค่มือคร 305
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 1

8
บทที่ การเคลือ
่ นทีแ
่ บบฮาร์มอนิกอย่างง่าย

ipst.me/8838

ผลการเรียนรู้

1. ทดลองแล อ ิบายการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุติดปลายสปริงแล ลกตุ้ม


อย่างง่าย รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง
2. อ บ
ิ ายความถี่ รรมชาติของวัตถุแล การเกิดการสัน
่ พ้อง

การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้

ผลการเรียนรู้
1. ทดลองแล อ ิบายการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุติดปลายสปริงแล ลกตุ้ม
อย่างง่าย รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายลักษณ เฉพา ของการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
2. อ ิบายการกร ัด ความเร็ว แล ความเร่งของวัตถุที่เคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
3. คานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
4. อ ิบาย ลของแรงกับการสั่นของมวลติดปลายสปริงแล การแกว่งของลกตุ้มอย่างง่าย
5. ทดลองการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายของรถทดลองติดปลายสปริง
6. ทดลองการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่าย
7. คานวณปริมาณที่เกี่ยวข้องกับคาบการสั่นของมวลติดปลายสปริงแล การแกว่งของลกตุ้ม
อย่างง่าย

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การวัด ร ย ห่างร หว่าง 1. การสื่ อ สารสารสนเทศ 1. ความซื่อสัตย์


ุดบนแถบกร ดาษ แล แล การร้เท่าทันสื่อ 2. ความมุ่งมั่นอดทน
คาบการแกว่งของลกตุ้ม การอ ิปรายร่วมกันแล
อย่างง่าย การนาเสนอ ล
2. การทดลอง 2. ความร่วมมือ การทางาน
3. การ ั ด กร ทาแล สื่ อ เปนทีมแล าว ้นา
ความหมายข้อมล
การเขี ย นกราฟความ
สั ม พั น ์ ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ
ความเร็ว การกร ด
ั แล
ก ร า ฟ ค ว า ม สั ม พั น ์ ที่
เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ค า บ แ ล
ความยาวเชือก
4. การตี ค วามหมายข้ อ มล
แล ลงข้ อ สรุ ป การสรุ ป
ลการทดลอง
5. การใช้ านวน การกร ด

ความเร็ว ความเร่ง าก
สมการการเคลื่อนที่แบบ
าร์มอนิกอย่างง่าย

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 3

ผลการเรียนรู้
2. อ ิบายความถี่ รรมชาติของวัตถุแล การเกิดการสั่นพ้อง

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายความถี่ รรมชาติของวัตถุแล การเกิดการสั่นพ้อง

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การสังเกต การแกว่งของ . การสื่ อ สารสารสนเทศ . ความอยากร้อยากเห็น


ลกตุ้ม แล การร้เท่าทันสื่อ
2. การตี ค วามหมายข้ อ มล การอ ิปรายร่วมกันแล
แล ลงข้ อ สรุ ป เกี่ ย วกั บ การนาเสนอ ล
การเกิดการสั่นพ้อง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

ผังมโนทัศน์ การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย

การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย

การเคลื่อนที่เปนคาบ

การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
การเคลื่อนที่แบบวงกลม
สม่าเสมอ แสดง

ลักษณ การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย


นาไปหา

สมการเคลื่อนที่ของวัตถุขณ เวลาใด
เปนฟงก์ชันลักษณ แบบไซน์

นาไปส่
กราฟฟงก์ชัน ความสัมพัน ์ร หว่างความเร็วกับ
ลักษณ แบบไซน์ การกร ัดของวัตถุ
นาไปเขียน

กราฟการกร ัดกับเวลา ความสัมพัน ์ร หว่างความเร่งกับ


การกร ัดของวัตถุ
กราฟความเร็วกับเวลา

กราฟความเร่งกับเวลา แรงกับการเคลื่อนที่
นาไปหา

คาบการสั่นของวัตถุติดปลายสปริง คาบการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่าย

แอมพลิ ด
นาไปอ ิบาย

ความถี่ รรมชาติแล การสั่นพ้อง


นาไปส่

การใช้ปร โยชน์เกี่ยวกับการสั่นพ้อง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 5

สรุปแนวความคิดสำาคัญ
การสั่น (vibration) หรือการแกว่งกวัด (oscillation) ทั้งสองคานี้หมายถงการเคลื่อนที่เดียวกัน
การสั่นแบบที่ง่ายที่สุด คือ การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย (simple harmonic motion) เปน
การเคลื่อนที่กลับไปมาซ้ารอยเดิม ่านตำาแหน่งสมดุล (equilibrium position) มีคาบแล แอมพลิ ด
คงตัว
เมือ
่ ฉายแสงให้ขนานกับร นาบการเคลือ
่ นทีข
่ องวัตถุแบบวงกลมด้วยอัตราเร็วเชิงมุมคงตัว เงาของวัตถุ
บนฉาก เคลื่อนที่กลับไปกลับมาซ้ารอยเดิมในแนวตรงมีความเร่งเข้าส่ ุดสมดุลซ่งเปนการเคลื่อนที่
แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ากการวิเครา ห์การเคลื่อ นที่ ข องเงากั บ การเคลื่ อ นที่ แ บบวงกลมของวั ต ถุ
สรุปเปนสมการของปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายของเงาได้ดังนี้
การกร ัด x ! A sin #%t " & $
ความเร็ว v ! A% cos #%t " & $
ความเร่ง a ! " A& 2 sin $&t # ' %
ความเร่งแปร ันตรงกับการกร ัด แต่มีทิศทางตรงข้ามกัน สัมพัน ์กันตามสมการ a ! "# 2 x ส่วน
ความเร็วสัมพัน ์กับการกร ัดตามสมการ v ! "$ A2 # x 2
การเคลือ่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุ มีแรงทีด่ งวัตถุให้กลับมาทีต
่ าแหน่งสมดุล เรียกแรงนีว้ า่
แรงดึงกลับ (restoring force) การสัน่ ของมวลติดปลายสปริงแล การแกว่งของลกตุม ้ อย่างง่ายเปนตัวอย่าง
ของการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
การสั่นของมวลติดปลายสปริง แรงดงกลับเท่ากับ -kx ากก การเคลื่อนที่ข้อที่สองของนิวตัน ได้
k
ความสัมพัน ์ร หว่างค่าคงตัวสปริง (k) มวลของวัตถุ (m) กับความถี่เชิงมุมตามสมการ ! " แล
m
ากความสัมพัน ์ร หว่างความถี่เชิงมุมกับคาบแล ความถี่ ได้
m
คาบ T ! 2"
k
1 k
ความถี่ f !
2" m
ในทานองเดียวกันนีข
้ องการแกว่งของลกตุม
้ อย่างง่ายแรงดงกลับเท่ากับ !mg sin " เมือ
่ พิ ารณากรณี
θ < 10 ได้
g
ความถี่เชิงมุม !"

คาบ T ! 2"
g

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
6 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

1 g
ความถี่ f !
2"
เมื่อให้วัตถุสั่นหรือแกว่งอย่างอิสร เช่น การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายในวัตถุติดสปริงหรือ
ลกตุม
้ อย่างง่าย วัตถุ สัน
่ ด้วยความถีเ่ ฉพา ตัวค่าหน่ง เรียกว่า ความถีธ่ รรมชาติ (natural frequency)
เมื่อวัตถุถกกร ตุ้นต่อเนื่องให้สั่นอย่างอิสร ด้วยแรงหรือพลังงานที่มีความถี่เท่ากับหรือใกล้เคียงกับ
ความถี่ รรมชาติของวัตถุ วัตถุนน
้ั สัน
่ ด้วยความถี่ รรมชาติของวัตถุนน
้ั แล สัน
่ ด้วยแอมพลิ ดทีม
่ ค
ี า่ มาก
เรียกปราก การณ์นี้ว่า การสั่นพ้อง (resonance)
ความร้เรือ
่ งการเคลือ
่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่าย ความถี่ รรมชาติ แล การสัน
่ พ้องนามาปร ยุกต์ใช้
ในชีวิตปร าวัน เช่น ร บบต้านแ ่นดินไหวของตกสง การออกแบบส พาน อาคาร แล สิ่งก่อสร้าง
ต่าง

เวลาที่ใช้
บทนี้ควรใช้เวลาสอนประมา 20 ชั่วโมง

8.1 ลักษณ การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย 2 ชั่วโมง


8.2 ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย 6 ชั่วโมง
8.3 แรงกับการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย 10 ชั่วโมง
8.4 ความถี่ รรมชาติแล การสั่นพ้อง 2 ชั่วโมง

ความรู้ก่อนเรียน

เวกเตอร์ การเคลื่อนที่แนวตรง ก การเคลื่อนที่ข้อสองของนิวตัน การเคลื่อนที่แบบวงกลม

ครนาเข้าส่บทที่ 8 โดยยกตัวอย่างการเคลื่อนที่เปนคาบ เช่น การโค รของดาวเทียมรอบโลก การสั่น


ของวัตถุติดปลายสปริง การสั่นของวัตถุที่อย่บน ิวน้าเมื่อมีคลื่น ิวน้าเคลื่อนที่ ่าน การแกว่งของลกตุ้ม
นา ก
ิ า ครนาอ ป
ิ รายเกีย่ วกับลักษณ ทีเ่ หมือนหรือแตกต่างกันของการเคลือ
่ นทีเ่ ปนคาบทีก
่ ล่าวมาข้างต้น
นสรุปได้วา่ การสัน
่ หรือการแกว่ง มีการเคลือ
่ นทีก่ ลับไปกลับมาซ้ารอยเดิม า่ นตาแหน่งสมดุล แล ในบทนี้
นักเรียน ได้ศกษาการสั่นแบบที่ง่ายที่สุด ที่เรียกว่า การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
ครชีแ้ งคาถามสาคัญทีน
่ ก
ั เรียน ต้องตอบได้หลัง ากการเรียนร้บทที่ 8 แล หัวข้อต่าง ที่ ได้เรียนร้
ในบทที่ 8

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 7

8.1 ลักษ ะการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย


จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายลักษณ การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. การสั่นหรือการแกว่งกวัดทุกกรณีเปน 1. การสั่ น หรื อ การแกว่ ง กวั ด ที่ มี ค าบแล


การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย แอมพลิ ดคงตั ว เท่ า นั้ น ที่ เ ปนการเคลื่ อ นที่
แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. วีดิทัศน์การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายของรถทดลองติดปลายสปริง

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ ข้อที่ 1 ของหัวข้อ 8.1 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 8.1 โดยแสดงวีดิทัศน์การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายของรถทดลองติดปลาย
สปริง ครนาอ ิปรายเกี่ยวกับลักษณ การเคลื่อนที่ ากวีดิทัศน์ นสรุปเกี่ยวกับตาแหน่งสมดุล คาบ แล
ความถี่เวกตอร์บอกตาแหน่ง การกร ัด แอมพลิ ด ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ากนั้นครถามต่อว่า
คาบแล แอมพลิ ดของรถทดลองในวีดิทัศน์เปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร ครแล นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน
ต่อไป นสรุปได้วา่ รถทดลองติดสปริงเคลือ่ นทีก่ ลับไปกลับมาซ้ารอยเดิม า่ นตาแหน่งสมดุล โดยมีแอมพลิ ด
แล คาบคงตัว เรียกการเคลื่อนที่นี้ว่า การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
ากนั้นครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 8.1 โดยครเปน ้ให้คาแน นา แล้ว งให้นักเรียนตอบคาถามตรว
สอบความเข้าใ 8.1 แล ทาแบบ กหัด 8.1 โดยครอา มีการเฉลยคาตอบแล อ ป
ิ รายคาตอบร่วมกัน

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกีย
่ วกับลักษณ การเคลือ
่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่าย ากการอ ป
ิ รายร่วมกันแล การตอบ
คาถามตรว สอบความเข้าใ 8.1
2. ทักษ การสือ
่ สารสารสนเทศแล การร้เท่าทันสือ
่ ากการอ ป
ิ รายร่วมกัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
8 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 8.1

1. การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายมีลักษณ อย่างไร


แนวคำาตอบ การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายเปนการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาซ้ารอยเดิม
่านตาแหน่งสมดุล โดยมีขนาดของการกร ัดสงสุด แอมพลิ ด แล คาบของการเคลื่อนที่
คงตัว

2. งอ ิบายตาแหน่งสมดุล
แนวคำาตอบ ตาแหน่งสมดุลเปนตาแหน่งของวัตถุขณ แรงลัพ ์กร ทาต่อวัตถุมีค่าเปนศนย์
ตามแนวการเคลื่อนที่ เช่น ตาแหน่งสมดุลของลกตุ้มนา ิกาอย่ ณ ุดต่าสุดในแนวดิ่ง

3. การเคลือ่ นทีแ่ บบวงกลมของ กุ ยาง การแกว่งของลกตุม


้ อย่างง่าย เปนการเคลือ่ นทีแ่ บบ าร์มอนิก
อย่างง่ายหรือไม่ เพรา เหตุใด
แนวคำาตอบ การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายเปนการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาซ้ารอยเดิม
่านตาแหน่งสมดุล มีคาบแล แอมพลิ ดคงตัว ดังนั้นการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่าย งเปน
การเคลือ
่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่าย แต่การเคลือ
่ นทีแ่ บบวงกลมของ ก
ุ ยางไม่ได้เปน เนือ
่ ง าก
เปนการเคลือ
่ นทีใ่ นทางเดียวไม่มก
ี ารเคลือ
่ นทีก
่ ลับไปกลับมา

เฉลยแบบฝึกหัด 8.1

1. ถ้าอนุ าคสั่นครบ 20 รอบ ในเวลา 40 วินาที งหาความถี่แล คาบของอนุ าค


วิธีทำา ความถี่ f มีค่าเท่ากับ านวนรอบของวัตถุที่เคลื่อนที่ได้ในหน่งหน่วยเวลา
20 รอบ
f !
40 s
! 0.5 s "1
= 0.5 Hz
คาบ T มีค่าเท่ากับเวลาที่วัตถุใช้ในการเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ
40 s
T !
20 รอบ
! 2.0 s
1
T !
f
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
1
!
ฟิสิกส์ เล่ม 3 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย
40บทที
s ่8 9
T !
20
! 2.0 s
1
หรือ T !
f
1
!
0.5 s "1
! 2.0 s
ตอบ ความถี่แล คาบของอนุ าคมีค่า 0.50 เ ิรตซ์ แล 2.0 วินาที ตามลาดับ

2. งหาคาบของการเคลื่อนที่ต่อไปนี้ ในหน่วยวินาที
ก. ชีพ รเต้น 29 ครั้ง ใน 20 วินาที
ข. เครื่องยนต์หมุน 3200 รอบต่อนาที
วิธีทำา คาบ T มีค่าเท่ากับเวลาที่วัตถุใช้ในการเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ
20 s
ก. T =
29
= 0.69 s
60 s
ข. T =
3200
= 0.019 s
ตอบ ก. คาบของชีพ รเต้น 29 ครั้ง ใน 20 วินาที เท่ากับ 0.69 วินาที
ข. คาบของเครื่องยนต์หมุน 3200 รอบต่อนาที เท่ากับ 0.019 วินาที

3. งหาความถี่ของเหตุการณ์ต่อไปนี้ (ในหน่วยต่อวินาทีหรือเ ิรตซ์)์


ก. สายซอสั่น 43 รอบ ใน . วินาที
ข. ใบพัดเครื่องปนอาหารหมุน 13 000 รอบ ใน 1 นาที
วิธีทำา ความถี่ f มีค่าเท่ากับ านวนรอบของวัตถุที่เคลื่อนที่ได้ในหน่งหน่วยเวลา
43
ก. f =
0.1 s
= 430 s-1
13000
ข. f =
60 s
= 216.7 s -1
ตอบ ก. ความถี่ของสายซอสั่น 43 รอบ ใน 0.1 วินาที เท่ากับ 430 วินาที-1
ข. ความถีข่ องใบพัดเครือ่ งปนอาหารหมุน 13 000 รอบ ใน 1 นาที เท่ากับ 216.7 วินาที-1

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
10 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

4. คันเคา ครื่องเคา สัญญาณเวลาทาให้เกิด ุดบนแถบกร ดาษ 1200 ุด ใน 1 นาที คาบแล


ความถี่ของคันเคา มีค่าเท่าใด ในหน่วยวินาที แล ต่อวินาทีหรือเ ริตซ์ ตามลาดับ
วิธีทำา ุดบนแถบกร ดาษ 1 ุด หมายถงคันเคา เคา ได้หน่งครั้ง ดังนั้น
คาบ (T) มีค่าเท่ากับเวลาที่วัตถุใช้ในการเคลื่อนที่ครบ รอบ
60 s
T =
1200
= 0.05 s
ความถี่ ( f ) มีค่าเท่ากับ านวนรอบของวัตถุที่เคลื่อนที่ได้ในหน่งหน่วยเวลา
1200
f =
60 s
= 20 s -1
ตอบ คาบของคันเคา เท่ากับ 0.05 วินาที แล ความถี่ของคันเคา เท่ากับ 20 วินาที-1

8.2 ปริมา ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย


จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายการกร ัด ความเร็ว แล ความเร่งของวัตถุที่เคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
2. คานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. ความเร่งของวัตถุที่เคลื่อนที่แบบ าร์มอนิก 1. ความเร่งของวัตถุที่เคลื่อนที่แบบ าร์มอนิก


อย่างง่ายมีค่าคงตัวตลอดการเคลื่อนที่ อย่างง่ายมีค่าไม่คงตัว โดยขนาดความเร่ง
แปร ันตรงกับขนาดการกร ัด

2. การกร ัดแล ความเร่งของวัตถุท่ีเคลื่อนที่ 2. การกร ัดแล ความเร่งของวัตถุที่เคลื่อนที่


แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายมีทิศเดียวกัน แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายมีทศ
ิ ทางตามข้ามกัน

3. วัตถุหน่งที่สั่นแบบ าร์มอนิกอย่างง่ายหาก 3. วั ต ถุ ห น่ ง ที่ สั่ น แบบ าร์ ม อนิ ก อย่ า งง่ า ย มี


สัน
่ ด้วยแอมพลิ ดน้อย มีคาบการสัน
่ น้อยกว่า คาบการสั่นคงตัว ไม่ข้นกับแอมพลิ ด
เมื่อสั่นด้วยแอมพลิ ดมาก

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 11

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. วีดิทัศน์การเคลื่อนที่ของแ ่นกลมที่มีหมุดทรงกร บอก

แนวการจัดการเรียนรู้
ครยกสถานการณ์โดยใช้รป 8.2 ในหนังสือเรียน หรือแสดงวีดิทัศน์การหมุนด้วยอัตราเร็วเชิงมุมคงตัว
ของแ ่นกลมที่มีหมุดทรงกร บอกติดอย่บนแ ่นบริเวณขอบ ากนั้นครนานักเรียนอ ิปรายเกี่ยวกับ
การเคลือ
่ นทีข
่ องเงาบนฉาก นสรุปเพิม
่ เติม ากหนังสือเรียนได้วา่ เงาของหมุดมีการเคลือ
่ นทีแ่ บบ าร์มอนิก
อย่างง่ายมีคาบคงตัวเท่ากับคาบการเคลือ่ นทีข
่ องหมุดแล มีแอมพลิ ดคงตัวเท่ากับรัศมีการเคลือ่ นทีข
่ องหมุด
ากนั้ น ครถามต่ อ ว่ า สามารถหาการกร ั ด ความเร็ ว แล ความเร่ ง ของเงาของหมุ ด เปนฟงก์ ชั น
กับเวลาได้อย่างไร ให้นก
ั เรียนตอบอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง แล้วให้นก
ั เรียนศกษาหัวข้อต่อไป

8.2.1 การกระจัดของการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 2 แล 3 ของหัวข้อ 8.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกร ัดของ
การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 8.2.1 โดยใช้รป 8.3 ให้นักเรียนศกษาการหาการกร ัดของเงาของหมุดเปน
ฟงก์ชันของเวลา แล้วครนาอ ิปราย นสรุปได้สมการ (8.1) แล กราฟดังรป 8.4 ตามรายล เอียดใน
หนังสือเรียน ากนั้นให้นักเรียนศกษาข้อสังเกตร หว่างอัตราเร็วเชิงมุมกับความถี่เชิงมุม
ครใช้รป 8.5 นานักเรียนอ ป
ิ รายเกีย
่ วกับเฟสเริม
่ ต้น แล มุมเฟสของเงาของหมุด นสรุปได้สมการ
(8.2) ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 8.2 8.3 แล 8.4 โดยครเปน ้ให้คาแน นา

8.2.2 ความเรวและความเร่งของการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 2 แล 3 ของหัวข้อ 8.2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเร็วแล
ความเร่งของการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หวั ข้อที่ 8.2.2 โดยใช้รป 8.6 ให้นกั เรียนศกษาการหาความเร็วของเงาของหมุดเปนฟงก์ชน

ของเวลา แล้วครนาอ ิปราย นสรุปได้สมการ (8.3) แล กราฟดังรป 8.7 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครใช้รป 8.8 ให้นักเรียนศกษาการหาความเร่งของเงาของหมุดเปนฟงก์ชันของเวลา แล้วครนา
อ ิปราย นสรุปได้สมการ (8.4) แล กราฟดังรป 8.9 ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ครให้นักเรียน
พิ ารณาสมการ (8.2) แล (8.4) แล้วอ ป
ิ ราย นได้สมการ (8.5) แล สรุปได้วา่ ขนาดของความเร่งแปร น

ตรงกับขนาดของการกร ัด แต่มีทิศทางตรงข้ามกัน แล อ ิบายการกร ัด ความเร็ว แล ความเร่งของ
วัตถุที่มีการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายเปนฟงก์ชันกับเวลาด้วยสมการ (8.2) (8.3) แล (8.4)
ครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 8.5 8.6 แล 8.7 โดยครเปน ้ให้คาแน นา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
12 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครตัง้ คาถามว่า ากการศกษาที่ า่ นมาพบว่าความเร่งมีความสัมพัน ก


์ บ
ั การกร ด
ั ทานองเดียวกัน
เราสามารถพิ ารณาความเร็วสัมพัน ก์ บ
ั การกร ด
ั ของเงาของหมุดได้หรือไม่ อย่างไร แล้วให้นกั เรียนศกษา
ความสัมพัน ์ร หว่างความเร็วกับการกร ัดของเงาของหมุดในหนังสือเรียน ากนั้นอ ิปรายร่วมกัน
นสรุปได้สมการ (8.6) (8.7) แล (8.8) ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครให้นก
ั เรียนศกษาตัวอย่าง 8.8 โดยครเปน ใ้ ห้คาแน นา แล้ว งให้นก
ั เรียนตอบคาถามตรว สอบ
ความเข้าใ 8.2 แล ทาแบบ กหัด 8.2 โดยครอา มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้ เ กี่ ย วกั บ การกร ั ด ความเร็ ว แล ความเร่ ง ของวั ต ถุ ที่ เ คลื่ อ นที่ แ บบ าร์ ม อนิ ก
อย่างง่าย ความสัมพัน ข
์ องการกร ด
ั ความเร็ว แล ความเร่ง กับเวลา ากคาถามตรว สอบความเข้าใ 8.2
2. ทักษ การใช้ านวน ากการคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิก
อย่างง่าย ากแบบ กหัด 8.2

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 8.2

1. กราฟร หว่างการกร ัดกับเวลาของวัตถุชิ้นหน่งที่มีการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย


ให้ข้อมลอ ไรบ้าง
แนวคำาตอบ การกร ด
ั ของวัตถุทเ่ี วลาต่าง คาบ แล ความถีส่ ามารถหาได้ ากคาบ นอก ากนี้
ยังหาความเร็วที่เวลาต่าง ได้ ากความชัน

2. ากกราฟในตัวอย่าง 8.3 งบรรยายการเคลื่อนที่ของวัตถุ


แนวคำาตอบ เริ่ ม ต้ น t = 0 วั ต ถุ อ ย่ ที่ ต าแหน่ ง x = -5.0 cm ซ่ ง เปนตาแหน่ ง ที่ วั ต ถุ มี
การกร ด
ั มากทีส่ ด
ุ ต่อมาวัตถุเคลือ
่ นทีถ
่ งตาแหน่งสมดุลที่ x = 0 ทีเ่ วลา t = 1.0 s วัตถุเคลือ
่ นที่
ต่อไปที่ตาแหน่ง ซ่งเปนตาแหน่งที่วัตถุมีการกร ัดมีค่ามากที่สุด ที่เวลา t = 2.0 s ากนั้นวัตถุ
เคลื่อนที่กลับทิศทาง ่านตาแหน่งสมดุลที่ t = 3.0 s

3. ขณ ที่วัตถุสั่นแบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ปริมาณใดที่มีทิศทางตรงข้ามกันเสมอ


แนวคำาตอบ ความเร่งแล การกร ัด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 13

4. วัตถุที่สั่นแบบ าร์มอนิกอย่างง่ายโดยมีแอมพลิ ดเท่ากับ A วัตถุ เคลื่อนที่ได้ร ย ทางเท่าใด


ในเวลา 1 คาบ
แนวคำาตอบ สี่เท่าของแอมพลิ ด หรือ 4A

5. งอ ิบายรายล เอียดของปริมาณต่าง ในสมการการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย


x ! A sin #%t " & $
แนวคำาตอบ x แทนการกร ัดที่เวลาต่าง A แทนการกร ัดสงสุดหรือแอมพลิ ด ω แทน
ปริมาณความถีเ่ ชิงมุม t แทนปริมาณเวลาต่าง φ แทนเฟสเริม
่ ต้นทีเ่ วลา t = 0 แล ฟงก์ชน
ั sin
หมายถงเมือ
่ ! " 0 การเคลือ
่ นทีเ่ ริม
่ ทีต
่ าแหน่งสมดุลของการเคลือ
่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่าย

6. มุมเฟสแล เฟสเริ่มต้น ต่างกันอย่างไร แล มีความสาคัญอย่างไร


แนวคำาตอบ มุมเฟสใช้บอกตาแหน่งของของวัตถุทเ่ี วลาต่าง ของการเคลือ
่ นทีแ่ บบ าร์มอนิก
อย่างง่าย ส่วนเฟสเริ่มต้น เปนตาแหน่งของวัตถุที่เวลา t = 0

เฉลยแบบฝึกหัด 8.2

1. วัตถุเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย มีแอมพลิ ด 30 เซนติเมตร มีคาบการเคลื่อนที่ 4 วินาที


อัตราเร็วสงสุดของการเคลื่อนที่มีค่าเท่าใด
วิธีทาำ อัตราเร็วสงสุดของการเคลื่อนที่หาได้ ากสมการ vmax ! A"
2"
เราสามารถหา ω ได้ ากสมการ ! #
T
ากโ ทย์ T = 4.0 s
2"
แทนค่า ! #
4.0 s
# 0.5" rad/s
ากโ ทย์ A = 30 cm
แทนค่า vmax ! (0.3 m)(0.5" rad/s)
= 0.15" m/s
ตอบ อัตราเร็วสงสุดของการเคลื่อน 0.5 ที่มีค่า 0.15 π เมตรต่อวินาที

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
14 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

2. วัตถุหน่งเคลือ
่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่ายด้วยความถี่ 30 รอบต่อนาที มีขนาดการกร ด
ั สงสุด
20 เซนติเมตร ความเร่งสงสุดของวัตถุนี้มีค่าเท่าใด
วิธีทำา ความเร่งสงสุดของวัตถุหาได้ ากสมการ amax ! A" 2
เราสามารถหา ω ได้ ากสมการ ! # 2" f
ากโ ทย์ f = 30 รอบต่อนาที
$ 30 '
แทนค่า ! # 2" & )
% 60s (
# " rad/s
ากโ ทย์ A = 20 cm
แทนค่า amax ! (0.2 m)(" rad/s) 2
! 0.2" 2 m/s 2
ตอบ ความเร่งสงสุดของวัตถุ 0.2 π 2 เมตรต่อวินาที2

3. งเขียนสมการการกร ด
ั ทีข
่ น
้ กับเวลาของวัตถุตด
ิ ปลายสปริงทีเ่ คลือ
่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่าย
มีตาแหน่งเริ่มต้นต่างกันในตาราง กาหนดให้ ความถี่เชิงมุมเท่ากับ ω แอมพลิ ด เท่ากับ A

รูปแสดงตำาแหน่งเริ่มต้นที่ t = 0 เฟสเริ่มต้น ( φ ) สมการการกระจัด


A
x
x 0 2
ก.

x A x 0

ข.

วิธีทำา หาเฟสเริ่มต้น ด้วยการแทนค่า t = 0 แล การกร ัดที่เวลาเริ่มต้นในสมการ


x ! A sin #%t " & $ ได้ค่า φ ที่เวลาเริ่มต้น
A
ก. ากตาราง เมื่อ t = 0 การกร ัดที่เวลาเริ่มต้นมีค่าเท่ากับ x = ได้
2
A
! A sin #% (0) " & $
2
1
! sin #& $
2
1 "
!sin(30°) " ได้ว่า ! " 30# หรือ ! #
2 6

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 15

# *&
เขียนสมการการกร ัดได้เปน x ! A sin % )t " (
$ 6'
ข. ากตาราง เมื่อ t = 0 การกร ัดที่เวลาเริ่มต้นมีค่าเท่ากับ x = -A ได้

! A " Asin $& (0) # ' %


!1 " sin $' %
3"
∴ sin ! 270° " # $1 ได้ว่า ! " 270# หรือ ! #
2
# 3* &
เขียนสมการการกร ัดได้เปน x ! A sin % )t " (
$ 2 '
" # *&
ตอบ ก. เฟสเริ่มต้นเท่ากับ ! # เขียนสมการได้เปน x ! A sin % )t " (
6 $ 6'
3" # 3* &
ข. เฟสเริ่มต้นเท่ากับ ! # เขียนสมการได้เปน x ! A sin % )t " (
2 $ 2 '
4. วัตถุเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ด้วยความถี่ 5 รอบต่อวินาที
ก. เมื่อเวลา ่านไป 2 วินาที วัตถุอย่ในมุมเฟสต่าง ากเดิมเท่าใด
21π
ข. เมื่อวัตถุอย่ในเฟสต่าง ากเดิม เรเดียน วัตถุเคลื่อนที่ได้กี่รอบ
2
ค. วัตถุใช้เวลาเท่าใด ง อย่ในเฟสต่างไป ากเดิม π เรเดียน
วิธีทำา มุมเฟสมีค่าเท่ากับ !t # "
ก. ที่เวลา t0 มุมเฟสของวัตถุ = !t0 # "
เมื่อเวลา ่านไป ∆t มุมเฟสของวัตถุ ! # (t0 " %t ) " $
ดังนั้นวัตถุมีมุมเฟสต่าง ากเดิม ! #& (t0 " (t ) " ' $ % #&t0 " ' $ ! &(t ที่ t = 2 s
แล าก ! # 2" f
มุมเฟสต่าง ากเดิม ! 2# f $t
! 2# (5s "1 )(2s) rad
! 20# rad

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
16 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

ข. วัตถุอย่ในเฟสต่าง ากเดิม 2π rad วัตถุเคลื่อนที่ = 1 รอบ


21π
วัตถุอย่ในเฟสต่าง ากเดิม rad วัตถุเคลื่อนที่
2
1 21π
= ×
2π 2
= 5.25

ค. มุมเฟสต่าง ากเดิมเท่ากับ 2π f ∆t = 4π

ดังนั้น ∆t =
2π f
2
แทนค่า =
(5 Hz)
= 0.4 s
ตอบ ก. เวลา ่านไป 2 วินาที วัตถุอย่ในเฟสต่าง ากเดิม 20 π เรเดียน
21π
ข. เมื่อวัตถุอย่ในเฟสต่าง ากเดิม เรเดียน วัตถุเคลื่อนที่ได้ 5.25 รอบ
2
ค. วัตถุใช้เวลา 0.4 วินาที ง อย่ในเฟสต่างไป ากเดิม 4 π เรเดียน

5. วัตถุหน่งเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายรอบ ุดสมดุล O โดยมีอัตราเร็วสงสุด


5.0 เซนติเมตรต่อวินาที แล มีคาบการสั่นเท่ากับ 4 π วินาที ขณ ที่วัตถุมีอัตราเร็ว
3.0 เซนติเมตรต่อวินาที วัตถุอย่ห่าง าก ุดสมดุล O เปนร ย กี่เซนติเมตร
วิธีทำา หาร ย าก ุดสมดุลได้ ากสมการ v = ω A2 − x 2

เราสามารถหา w ได้ ากสมการ ω =
T
ากโ ทย์ T = 4 วินาที

แทนค่า ω =
4π s
= 0.5 rad/s
เราสามารถหา A ได้ ากสมการ max = Aω
v
ากโ ทย์ vmax 5.0 เซนติเมตรต่อวินาที
แทนค่า 5.0 cm/s = A(0.5 rad/s)
A 10 cm
ากโ ทย์ วัตถุมีอัตราเร็ว 3.0 เซนติเมตรต่อวินาที

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 17

3.0 cm/s = ! 0.5 rad/s " !10 cm "


2
แทนค่า # x2
x $ % 8.0 cm
ตอบ ขณ ที่วัตถุมีอัตราเร็ว 3.0 เซนติเมตรต่อวินาที วัตถุอย่ห่าง าก ุดสมดุล O เปนร ย
8.0 เซนติเมตร

8.3 แรงกับการสั่นของมวลติดปลายสปริงและลูกตุ้มอย่างง่าย
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบาย ลของแรงกับการสั่นของมวลติดปลายสปริงแล การแกว่งของลกตุ้มอย่างง่าย
2. ทดลองการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายของรถทดลองติดปลายสปริง
3. ทดลองการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่าย
4. คานวณปริมาณทีเ่ กีย่ วข้องกับคาบการสัน
่ ของมวลติดปลายสปริงแล การแกว่งของลกตุม
้ อย่างง่าย

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. การสั่นของมวลติดปลายสปริง ความเร็วของ 1. การสั่นของมวลติดปลายสปริง ความเร็วของ


มวล มีทศ
ิ ทางเดียวกับทิศทางของการกร ด
ั มวล มีทศ
ิ ทางเดียวกับทิศทางของการกร ด

เสมอ หรือมีทิศทางตรงกันข้ามก็ได้

2. มวลมี ลต่ อ คาบของการแกว่ ง ของลกตุ้ ม 2. มวลไม่มี ลต่อคาบของการแกว่งของลกตุ้ม


อย่างง่าย อย่างง่าย เพรา คาบของการแกว่งของลกตุ้ม
อย่างง่ายข้นกับความยาวเชือก

3. คาบการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่ายข้นอย่กับ 3. คาบการแกว่งของลกตุม
้ อย่างง่ายไม่ขน
้ อย่กบ

มุมที่เริ่มต้นปล่อย มุมที่เริ่มต้นปล่อย

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
18 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หัวข้อ 8.3 โดยยกสถานการณ์การสั่น ของวั ต ถุ ติ ด ปลายสปริ ง แล การแกว่ ง ของลกตุ้ ม
อย่างง่าย แล้วตั้งคาถามว่าเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ออก ากตาแหน่งสมดุลมีแรงกร ทาต่อวัตถุหรือไม่ อย่างไร
ากนั้นครนานักเรียนอ ิปราย นสรุปได้ว่า มีแรงกร ทาต่อวัตถุในทิศทางดงวัตถุกลับมายังตาแหน่ง
สมดุลเสมอ โดยแรงนีท
้ าให้วต
ั ถุเคลือ
่ นทีก
่ ลับไปกลับมาซ้ารอยเดิม า่ นตาแหน่งสมดุล เรียกว่า แรงดึงกลับ
(restoring force) ากนั้นครตั้งคาถามว่าแรงดงกลับสัมพัน ์กับปริมาณอื่น ของการเคลื่อนที่แบบ
าร์มอนิกอย่างง่าย อย่างไร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้องแล้วให้นักเรียนศกษาหัวข้อต่อไป

8.3.1 การสั่นของมวลติดปลายสปริง
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 4 แล 5 ของหัวข้อ 8.3 ตามหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนศกษาการกร ัด ความเร็ว แล ความเร่ง ของการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
ของรถทดลองติดปลายสปริงโดยทากิ กรรม 8.1

กิจกรรม 8.1 การทดลองการเคลื่อนที่ของรถทดลองติดปลายสปริง

จุดประสงค์
1. หาการกร ัดแล ความเร็วของรถทดลอง ซ่งเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายในช่วงเวลา
คร่งคาบ
2. เขียนกราฟร หว่างการกร ด
ั กับเวลา แล กราฟร หว่างความเร็วกับเวลาของการเคลือ่ นที่
ของรถทดลอง
3. อ ิบายการกร ัดแล ความเร็วที่เวลาเดียวกันโดยพิ ารณา ากกราฟในข้อ 2

เวลาที่ใช้ 50 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. รถทดลอง มวล 500 กรัม 1 คัน
2. แท่งเหล็ก แ ่นเหล็ก มวล 500 กรัม 1 แ ่น
3. ลวดสปริงพร้อมท่อ 1 ตัว
4. เครื่องเคา สัญญาณเวลา 1 เครื่อง
5. หม้อแปลงโวลต์ตา่ 1 เครือ
่ ง
6. รางไม้ 1 อัน
7. สายไฟ 1 ค่
8. แถบกร ดาษ 1 แถบ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 19

ตัวอย่างผลการทำากิจกรรม
ตัวอย่างแถบกร ดาษของรถทดลองติดปลายสปริงที่ ่านเครื่องเคา สัญญาณเวลา

รูป ตัวอย่างแถบกระดาษของรถทดลองติดปลายสปริง

ตัวอย่างตารางบันทึกผลการทำากิจกรรม
แอมพลิ ด 6.20 (×10−2 m)

เวลา การกระจัด เวลา ระยะทาง 2 ช่วงจุด ความเรว


 1  (×10−2 m)  1  (×10−2 m) (m/s)
× s  × s 
 50   50 
0 6.20 0 0.00 0.00
2 6.00 1 -0.20 -0.050
4 5.40 3 -0.60 -0.150
6 4.20 5 -1.20 -0.300
8 2.70 7 -1.50 -0.375
10 1.05 9 -1.65 -0.413
12 -0.55 11 -1.60 -0.400
14 -2.10 13 -1.55 -0.388
16 -3.35 15 -1.25 -0.313
18 -4.30 17 -0.95 -0.238
20 -4.90 19 -0.60 -0.150

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
20 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

ตัวอย่างกราฟ
การกระจดั

เวลา ( × 1 s)
0 2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 50
-2

-4

-6

รูป กราฟความสัมพันธ์ระหว่างการกระจัดกับเวลา

วา เรว (m/s)
0 1
เวลา ( s)
2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 50
-0.1

-0.2

-0.3

-0.4

-0.5

-0.6

รูป กราฟความสัมพันธ์ระหว่างความเรวกับเวลา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 21

แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม

กราฟการกร ด
ั กับเวลา แล ความเร็วกับเวลา มีลก
ั ษณ อย่างไร
แนวคำาตอบ ลักษณ ของกราฟความสัมพัน ร์ หว่างการกร ด
ั กับเวลาแล กราฟความสัมพัน ์
ร หว่างความเร็วกับเวลาเปนฟงก์ชันลักษณ แบบไซน์

ากกราฟการกร ัดกับเวลา รถทดลองมีการกร ัดมากที่สุดแล การกร ัดเปนศนย์ สมดุล


ณ เวลาใด
แนวคำาตอบ รถทดลองมีการกร ัดสงสุด ณ เวลา 0 วินาที รถทดลองมีการกร ัดเปนศนย์
ณ เวลา 11.5 วินาที
50

พิ ารณากราฟการกร ัดกับเวลา เปรียบเทียบกับกราฟความเร็วกับเวลา


. ขณ การกร ัดเปนศนย์ ความเร็วของรถทดลองเปนอย่างไร
แนวคำาตอบ ความเร็วของรถทดลองมีค่ามากที่สุด
2. ขณ การกร ัดมากที่สุด ความเร็วของรถทดลองเปนอย่างไร
แนวคำาตอบ ความเร็วของรถทดลองมีค่าเปนศนย์

ากกราฟการกร ัดกับเวลาแล กราฟความเร็วกับเวลาของรถทดลอง รถทดลองเคลื่อนที่ได้


กี่รอบแล ใช้เวลาเท่าใด
แนวคำาตอบ รถทดลองเคลื่อนที่ได้คร่งรอบ แล ใช้เวลา T
2

ากกราฟความเร็วกับเวลา ความชันของกราฟแทนปริมาณใด
แนวคำาตอบ ความชันของกราฟความเร็วกับเวลาแทนปริมาณความเร่งของรถทดลอง

ากกราฟความเร็วกับเวลา ก่อน ่านแล หลัง ่านตาแหน่งสมดุล ความเร่งรถทดลองมีขนาด


เปลี่ยนแปลงอย่างไรแล มีทิศทางเทียบกับการกร ัดอย่างไร
แนวคำาตอบ ความเร่งรถทดลองมีขนาดลดลงเมื่อเคลื่อนที่เข้าหาตาแหน่งสมดุล แล มีทิศทาง
ตรงกันข้ามกับการกร ัด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
22 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

อภิปรายหลังการทำากิจกรรม

หลัง ากครให้นักเรียนตอบคาถามท้ายกิ กรรม ครแล นักเรียนร่วมกันอ ิปราย ลการทา


กิ กรรม 8.1 นสรุปได้ดังนี้
1. กราฟการกร ด
ั กับเวลา แล กราฟความเร็วกับเวลา ของรถทดลองติดปลายสปริงทีเ่ คลือ
่ นที่
คร่งคาบเปนกราฟของฟงก์ชน
ั ลักษณ แบบไซน์ดงั รป 1 ซ่งพิ ารณาได้วา่ รถทดลองมีความเร็วสงสุด
ขณ มีการกร ัดเปนศนย์ แล รถทดลองมีความเร็วเปนศนย์ ขณ มีการกร ัดมากที่สุด
2. ากความชันของกราฟความเร็วกับเวลา พิ ารณาได้ว่าขนาดความเร่งของรถทดลองลดลง
ขณ เคลื่อนเข้าหาตาแหน่งสมดุล แล ขนาดความเร่งของรถทดลองเพิ่มข้น ขณ เคลื่อนออก าก
ตาแหน่งสมดุล โดยมีทิศทางตรงข้ามกับทิศทางการกร ัดขณ นั้น

ครใช้กราฟความสัมพัน ์ร หว่างกร ัดกับเวลาดังรป 8.11 ก.


ครใช้กราฟความสัมพัน ์ร หว่างความเร็วกับเวลาดังรป 8.11 ข. เพื่อนาไปพิ ารณาค่าความชัน
ดังรป 8.12 เพื่อนาไปเขียนกราฟความเร่งกับเวลาดังรป 8.13 ก. แล้วนาไปเปรียบเทียบกับกราฟการ
กร ัดกับเวลาดังรป 8.13 ข. ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน ครนาอ ิปราย นสรุปได้เปนกราฟการ
กร ัด ความเร็ว แล ความเร่ง กับเวลา ในช่วงเวลา 1 คาบ ได้กราฟดังรป 8.14 ากนั้นให้นักเรียนศกษา
ข้อสังเกต นสรุปได้ว่า สามารถอ ิบายการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ในรปสมการทั่วไปได้ท้ัง
x = A sin (ωt + φ ) หรือ x = A cos(ωt + φ )
ครใช้การเคลือ่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่ายของรถทดลองติดปลายสปริง ในกิ กรรม 8.1 นาอ ปิ ราย
นสรุปได้วา่ แรงดงกลับคือแรงทีส่ ปริงกร ทากับรถทดลองสัมพัน ก์ บ
ั การกร ด
ั ตามสมการ (8.9) อ ปิ ราย
ต่อตามรายล เอียดในหนังสือเรียน นได้ความสัมพัน ์ตามสมการ (8.11) (8.12) (8.13) แล (8.14)
ให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 8.9 – 8.11 โดยครเปน ้ให้คาแน นา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 23

8.3.2 การแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่าย
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 6 แล 7 ของหัวข้อ 8.3 ตามหนังสือเรียน
ครให้นักเรียนศกษาคาบการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่ายโดยทากิ กรรม 8.2

กิจกรรม 8.2 การทดลองเรื่องลูกตุ้มอย่างง่าย

จุดประสงค์
1. หาคาบการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่าย
2. เขียนกราฟร หว่างคาบการแกว่งของลกตุ้ม (T) กับรากที่สองของความยาวเชือก l
3. หาความสัมพัน ์ร หว่างคาบการแกว่งของลกตุ้มกับรากที่สองของความยาวเชือก

เวลาที่ใช้ 50 นาที

วัสดุและอุปกร ์
1. ลกตุ้มโลห ทรงกลม 1 อัน
2. เชือก 1 เมตร
3. ไม้เมตร 1 อัน
4. นา ิกา ับเวลา 1 เรือน

ตัวอย่างตารางบันทึกผลการทำากิจกรรม
ความยาวเชือก l เวลาที่ใช้ในการแกว่ง
คาบ (s) l (m1/2)
"2
(!10 m) 30 รอบ (s)
30 35.0 1.17 5.47
40 38.0 1.27 6.32
50 42.0 1.40 7.07
60 47.0 1.57 7.75
70 51.0 1.70 8.37

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
24 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

ตัวอย่างกราฟ
เขียนกราฟความสัมพัน ์ร หว่าง T กับ l กราฟมีลักษณ ดังรป
T (s)

2.0

1.6

1.2

0.8

0.4

l (m)
0 10 20 30 40 50 60 70

รูป กราฟความสัมพันธ์ระหว่าง T กับ l

เขียนกราฟความสัมพัน ์ร หว่าง T กับ l กราฟมีลักษณ ดังรป


T (s)

2.0

1.6

1.2

0.8

0.4

l (m1/2 )
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9

รูป กราฟความสัมพันธ์ระหว่าง T กับ l

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 25

แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม

ากกราฟ T กับ l มีลักษณ อย่างไร เขียนความสัมพัน ์ของสองปริมาณนี้ได้อย่างไร


แนวคำาตอบ ากกราฟ T กับ l มีลักษณ เปนเส้นโค้ง

ากกราฟ T กับ l มีลกั ษณ อย่างไร แล ปริมาณทัง้ สองมีความสัมพัน เ์ ชิงเส้นหรือไม่


แนวคำาตอบ กราฟ T กับ l มีลก ั ษณ เปนกราฟเส้นตรง แล ปริมาณทัง้ สองมีความสัมพัน ์
เชิงเส้น

อภิปรายหลังการทำากิจกรรม

หลัง ากครให้นักเรียนตอบคาถามท้ายกิ กรรม ครแล นักเรียนร่วมกันอ ิปราย ลการทา


กิ กรรม 8.2 นสรุปได้ดังนี้
คาบการแกว่งของลกตุม ้ อย่างง่ายข้นกับความยาวของเชือก โดยลกตุม
้ ทีม
่ ค
ี วามยาวเชือกมาก
มีคาบการแกว่งมากกว่าลกตุ้มที่มีความยาวเชือกน้อย โดยกราฟความสัมพัน ์ร หว่าง T กับ l
เปนกราฟเส้นตรง ่าน ุดกาเนิด หรือมีความสัมพัน ์เชิงเส้นตามสมการ (8.15)

ครใช้การแกว่งของลกตุ้มอย่างง่าย ในกิ กรรม 8.2 นาอ ิปราย นสรุปได้ว่า แรงดงกลับ คือ


องค์ปร กอบของแรงโน้มถ่วงที่อย่ในแนวการเคลื่อนที่ตามสมการ (8.16) อ ิปรายต่อตามรายล เอียดใน
หนังสือเรียน นได้ความสัมพัน ์ตามสมการ (8.19) (8.20) (8.21) แล (8.22)
ให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 8.12 โดยครเปน ้ให้คาแน นา แล้ว งให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบ
ความเข้าใ 8.3 แล ทาแบบ กหัด 8.3 โดยครอา มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน

แนวการวัดและประเมินผล
1. การวั ด การตี ค วามหมายข้ อ มลแล ลงข้ อ สรุ ป การ ั ด กร ทาแล สื่ อ ความหมายข้ อ มล
ความร่วมมือ การทางานเปนทีมแล าว น
้ า ากการอ ป
ิ รายร่วมกัน การทากิ กรรม แล การบันทก ล
2. การทดลองการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายของรถทดลองติดปลายสปริง ากการสังเกต
แล ากการตอบทากิ กรรม 8.1
3. อ ิ บ าย ลของแรงกั บ การสั่ น ของมวลติ ด ปลายสปริ ง แล การแกว่ ง ของลกตุ้ ม อย่ า งง่ า ย
ากการตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 8.3

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
26 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

4. การทดลองการแกว่ ง ของลกตุ้ ม อย่ า งง่ า ย ากการสั ง เกตการป ิ บั ติ แ ล ากการตอบ


คาถามท้ายกิ กรรม 8.2

การคานวณปริมาณที่เกี่ยวข้องกับคาบการสั่นของมวลติดปลายสปริงแล การแกว่งของลกตุ้ม
อย่างง่าย ากการทาแบบ กหัด 8.3

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 8.3

1. งอ ิบายแรงดงกลับ
แนวคำาตอบ แรงดงกลับเปนแรงที่ทาให้วัตถุเคลื่อนที่กลับมายังตาแหน่งสมดุล แล ทาให้วัตถุ
เคลื่อนที่กลับไปกลับมาซ้ารอยเดิม

2. ถ้าต้องการเพิ่มคาบการสั่นของวัตถุติดปลายสปริงสามารถทาได้ด้วยวิ ีใดบ้าง
แนวคำาตอบ คาบการสั่นของวัตถุติดปลายสปริงสามารถเพิ่มได้โดยการเพิ่มมวลของวัตถุหรือ
ลดค่าคงตัวของสปริง

3. ถ้าต้องการเพิ่มความถี่เชิงมุมของลกตุ้มอย่างง่าย ทาได้ด้วยวิ ีใดบ้าง


แนวคำาตอบ เพิ่มความถี่เชิงมุมของลกต้มอย่างง่ายได้โดยการลดความยาวเชือก

4. ถ้าความยาวเชือกเท่ากับ 60 เซนติเมตร คาบของลกตุ้มอย่างง่าย มวล m แล 2m มีค่าเท่ากัน


หรือไม่ อย่างไร
แนวคำาตอบ คาบของลกตุ้มอย่างง่ายของมวล m แล 2m มีค่าเท่ากัน เนื่อง ากมวลไม่มี ล
ต่อคาบการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่าย

เฉลยแบบฝึกหัด 8.3

1. แขวนมวล 4.9 กิโลกรัมกับสปริง แล้วปล่อยให้สั่นข้นลง วัดคาบของการสั่นได้ 0.5 วินาที ถ้า


เอามวล 4.9 กิโลกรัมออก สปริง สั้นกว่าตอนที่แขวนมวลอย่เท่าใด
วิธีทำา เมือ่ เอามวล 4.9 กิโลกรัม ออกแรงดงกลับของสปริง ดงสปริงกลับเข้ามาเปนร ย ทาง x
ด้วยแรง F = kx ซ่งเท่ากับน้าหนักของมวลที่นาออกไป
m
เราสามารถหา k ได้ ากสมการ T = 2π
k
2
4π m
k =
T2
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 27

m
ได้ T ! 2"
k
ากโ ทย์นาหนั
้ กของมวลมีค่าเท่ากับ mg 4แล
" mT = 0.5 วินาที
2
ได้
k !
T2
mg ! kx
4" 2 m
mg ! x
T2
gT 2
x !
4" 2
(9.8 m/s 2 )(0.5 s) 2
แทนค่า x !
(4)(3.14) 2
! 0.06 m
ตอบ สปริง หดสั้นลง 0.06 เมตร

2. เมื่อนามวล 0.5 กิโลกรัม แขวนกับปลายสปริงในแนวดิ่ง ทาให้สปริงมีความยาวเพิ่มข้น


4.9 เซนติเมตร ถ้าทาให้มวลติดสปริงสั่นในแนวดิ่ง สั่นได้กี่รอบในเวลา วินาที (ให้คาตอบ
ติดค่า π )
วิธีทำา แขวนมวล m ที่ปลายสปริงที่ห้อยไว้แนวดิ่ง ขณ มวล m นิ่ง แรงลัพ ์ในแนวดิ่งเปนศนย์
แรงดงกลับของสปริงมีค่าเท่ากับน้าหนักของมวล m
kx ! mg
k (4.9 "10#2 m) ! (0.5 kg )(9.8 m/s 2 )
k ! 100 N/m
1 k
ากสมการ f =
2$ m
1 100 N/m
ได้ f =
2$ 0.5 kg
5 2
! Hz
$
ตอบ สปริง สั่นได้ 5 2 รอบต่อวินาที
π

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
28 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

3. ากรป เปนกราฟแสดงความสัมพัน ์ร หว่างการกร ัดกับเวลาของการเคลื่อนที่ของวัตถุมวล


50.0 กรัม ซ่งติดไว้กับปลายข้างหน่งของลวดสปริงเบา ถ้าไม่คิดแรงเสียดทานที่กร ทาต่อวัตถุ
แล ลวดสปริง ค่าคงตัวของลวดสปริงมีค่าเท่าใดในหน่วยนิวตันต่อเมตร
x(cm)
6

0 t (s)
0.5 1.0 1.5 2.0
6

รูป ประกอบแบบฝึกหัดข้อ 3

วิธีทำา ากกราฟ คาบของการเคลื่อนที่ของวัตถุที่ติดปลายสปริงเปน 1 วินาที


m
าก T ! 2$
k
2
4$ m
ดังนั้น k !
T2
(4)(3.14) 2 (50 "10#3 kg)
!
(1 s) 2
! 1.97 N/m
ตอบ ค่าคงตัวของลวดสปริงมีค่าเท่ากับ 1.97 นิวตันต่อเมตร

4. ลกเหล็กทรงกลมมวล 1 กรัม แกว่งแบบ าร์มอนิกอย่างง่าย มีแอมพลิ ด 2 มิลลิเมตร ความเร่ง


ที่ ุดปลายของการแกว่งมีค่า 8 × 103 เมตรต่อวินาที2
ก. งหาความถี่ของการแกว่ง
ข. งหาความเร็วที่ ุดสมดุล
ค. งเขียนสมการแสดงแรงทีก่ ร ทาต่อให้ลกเหล็กทรงกลมให้เปนฟงก์ชน
ั ของตาแหน่งแล เวลา
วิธีทำา ก. หาความถี่ของการแกว่งได้ ากสมการ ! # 2" f แล amax ! " 2 A
ดังนั้น amax ! (2" f ) 2 A
1 amax
f !
2" A

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 29

ากโ ทย์ amax ! 8 " 103 m/s 2 แล A ! 2 " 10#3 m

แทนค่า
1 8 "103 m/s 2
f !
2(3.14) 2 "10#3 m
! 3.18 "102 Hz
ข. หาความเร็วที่ ุดสมดุลได้ ากสมการ v ! # A2 " x 2 ที่ตาแหน่งสมดุล x = 0
ดังนั้น v ! 2$ f A 2 " ( 0) 2
! 2$ fA
แทนค่า v ! 2(3.14)(3.18 #102 Hz)(2 #10"3 m)
! 4 m/s
x
ค. ากเรื่องลกตุ้มอย่างง่าย แรงกร ทาต่อลกตุ้ม F ! " mg ซ่งสามารถใช้สมการนี้
l
หาแรงกร ทาต่อลกเหล็กกลมเปนฟงก์ชันของตาแหน่งแล ยังทาให้ทราบอีกว่า
g
!2 "
l
2 g
ดังนั้น (2! f ) "
l
F " # 4! 2 f 2 mx
เนื่อง าก π , f, m เปนค่าคงตัว แล x เปนการกร ัดที่มีค่าเปลี่ยนแปลง
แทนค่า F ! " 4(3.14) 2 (3.18 #102 s "1 ) 2 (0.001 kg ) x
F ! " 3988 x
หาสมการแสดงแรงที่กร ทาต่อลกเหล็กที่เปนฟงก์ชันของเวลา t าก
F ! " ma
! " m# 2 x
ากสมการการกร ัดกับเวลา x ! A sin #%t " & $ ดังนั้น
F ! " m(2$ f ) 2 A sin(2$ ft # % )
เนื่อง าก π , f, m, A, φ เปนค่าคงตัว แล t เปนเวลาที่มีค่าเปลี่ยนแปลง
แทนค่า F ! " 8 sin(1997t # $ )
ตอบ ก. ความถี่ของการแกว่งเท่ากับ 3.18 × 102 เ ิรตซ์
ข. ความเร็วที่ ุดสมดุลเท่ากับ 4 เมตรต่อวินาที
ค. สมการแสดงแรงทีก
่ ร ทาต่อให้ลกเหล็กทรงกลมให้เปนฟงก์ชน
ั ของตาแหน่งแล เวลา
F = -3988x แล F = -8sin(1997t + φ ) ตามลาดับ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
30 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

5. ากรป เปนกราฟแสดงความสั ม พั น ์ ร หว่ า งคาบการแกว่ ง ของลกตุ้ ม กั บ รากที่ ส องของ


ความยาวเชือกบนดาวดวงหน่ง ถ้าลกตุ้มเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ค่าความเร่งโน้มถ่วง
เนื่อง ากดาวดวงนี้เปนเท่าใด
T (s)

2.5

2.0

1.5

1.0

0.5

0 l (m1/2 )
0.1 0.2 0.3 0.4 0.5
รูป ประกอบแบบฝึกหัดข้อ 5
l
วิธีทำา หาความเร่งโน้มถ่วงเนื่อง ากดาวได้ ากสมการ T ! 2"
g
เมื่อเทียบความชันของกราฟแล สมการ ได้

ความชัน
g
2.5 s ! 0.5 s 2(3.14)
แทนค่า !1/ 2 !1/ 2
"
0.5 m ! 0.1 m g
g " 1.58 m/s 2
ตอบ ความเร่งโน้มถ่วงเนื่อง ากดาวดวงนี้เปน 1.58 เมตรต่อวินาที2

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 31

8.4 ความถี่ธรรมชาติและการสั่นพ้อง
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายความถี่ รรมชาติของวัตถุแล การเกิดการสั่นพ้อง

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. เมื่อกร ตุ้นให้วัตถุสั่นหรือแกว่งอย่างอิสร 1. เมื่อกร ตุ้นให้วัตถุสั่นหรือแกว่งอย่างอิสร


คาบการแกว่ง เพิ่มข้น คาบการแกว่ ง คงตั ว แต่ ที่ พ บการแกว่ ง ใน
รรมชาติ คาบการแกว่ง เพิ่มข้นเนื่อง าก
มี แ ร ง ต้ า น ก า ร เ ค ลื่ อ น ที่ ข อ ง วั ต ถุ เ ช่ น
แรงต้านอากาศ แรงเสียดทาน

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 8 ของหัวข้อ 8.4 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อที่ 8.4 โดยยกสถานการณ์การสั่นของวัตถุติดปลายสปริงแล การแกว่งของลกตุ้ม
อย่างง่าย แล้วอ ป
ิ รายเกีย่ วกับความถีข
่ องวัตถุ นสรุปได้วา่ เมือ
่ วัตถุถกกร ตุน
้ ให้สน
ั่ หรือแกว่งอย่างอิสร
วัตถุ สั่นหรือแกว่งด้วยความถี่คงตัวค่าหน่งเรียกว่า ความถี่ รรมชาติ
ครให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 8.14 โดยครเปน ้ให้คาแน นา
ครตัง้ คาถามว่าหากกร ตุน
้ วัตถุดว้ ยความถีเ่ ท่ากับหรือใกล้เคียงกับความถี่ รรมชาติของวัตถุนน
้ั เกิด ล
อย่างไร ให้นักเรียนตอบอย่างอิสร โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วให้นักเรียนทากิ กรรม 8.3

กิจกรรม 8.3 ความถี่ธรรมชาติของการสั่นของวัตถุ

จุดประสงค์
1. เพื่อศกษาการสั่นหรือแกว่งของวัตถุที่ถกบังคับให้สั่นหรือแกว่งด้วยแรง าก ายนอกที่มี
ความถี่ต่าง กัน

เวลาที่ใช้ 30 นาที

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
32 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

วัสดุและอุปกร ์
1. ลกตุ้มขนาดเล็กทรงกลม 4 ลก
2. ลกตุ้มขนาดใหญ่ทรงกลม 1 ลก
3. เชือก 6 เส้น

ตัวอย่างตารางบันทึกผลการทำากิจกรรม
เมือ
่ ลกตุม
้ ขนาดใหญ่แกว่ง ลกตุม
้ ขนาดเล็กทุกลก แกว่ง โดยลกตุม
้ ขนาดเล็กทีม
่ ค
ี วามยาวเชือก
ใกล้เคียงกับความยาวเชือกของลกตุ้มขนาดใหญ่ แกว่งโดยมีการกร ัดมากที่สุด เมื่อเทียบกับ
ลกตุ้มขนาดเล็กลกอื่น

แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม

เมือ
่ ลกตุม
้ ขนาดใหญ่แกว่ง ลกตุม
้ ขนาดเล็กมีการเปลีย่ นแปลงอย่างไร
แนวคำาตอบ เมือ
่ ลกตุม
้ ขนาดใหญ่แกว่ง ลกตุม
้ ขนาดเล็กแกว่งแล ลกตุม
้ ขนาดเล็กทีม
่ ค
ี วามยาว
เชือกใกล้เคียงกับความยาวเชือกของลกตุ้มขนาดใหญ่แกว่งกว้าง ากเดิมมากที่สุด

ลกตุ้มขนาดเล็ก ลกใดมีการกร ัดมากที่สุด


แนวคำาตอบ ลกตุ้มขนาดเล็กที่มีความยาวเชือกใกล้เคียงกับลกตุ้มขนาดใหญ่มีการกร ัด
มากที่สุด

อภิปรายหลังการทำากิจกรรม

หลัง ากครให้นักเรียนตอบคาถามท้ายกิ กรรม ครแล นักเรียนร่วมกันอ ิปราย ลการทา


กิ กรรม 8.3 นสรุปได้ดังนี้
ลกตุ้มที่มีความยาวเชือกเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน มีความถี่ รรมชาติเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน
สามารถถ่ายโอนพลังงานให้แก่กันได้มากกว่าลกตุ้มที่มีความยาวเชือกแตกต่างกันมาก
ากนั้นครนานักเรียนอ ิปรายเกี่ยวกับการกร ตุ้นให้วัตถุสั่นด้วยความถี่ต่าง นได้ข้อสรุปว่า
เมือ
่ วัตถุถกกร ตุน
้ ต่อเนือ
่ งให้สน
ั่ อย่างอิสร ด้วยแรงหรือพลังงานทีม
่ ค
ี วามถีเ่ ท่ากับหรือใกล้เคียงกับ
ความถี่ รรมชาติของวัตถุ วัตถุนั้น สั่นด้วยความถี่ รรมชาติของวัตถุนั้นแล สั่นด้วยแอมพลิ ด
ที่มีค่ามาก เรียกปราก การณ์นี้ว่า การสั่นพ้อง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 33

ครให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 8.4 แล ทาแบบ กหัด 8.4 โดยครอา มี


การเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน

แนวการวัดและประเมินผล
1. อ ิ บ ายความถี่ รรมชาติ ข องวั ต ถุ แ ล การเกิ ด การสั่ น พ้ อ ง ากการตอบคาถามตรว สอบ
ความเข้าใ 8.4
2. การสังเกต การตีความหมายข้อมลแล ลงข้อสรุป ากการทากิ กรรม 8.3 แล การอ ป
ิ รายร่วมกัน

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 8.4

1. ในการกร ตุ้นให้วัตถุสั่นอย่างอิสร พบว่าทุกครั้ง วัตถุสั่นด้วยความถี่ค่าเดิมเสมอ ความถี่นี้


เรียกว่าอ ไร
แนวคำาตอบ ความถี่ รรมชาติ

2. ากกิ กรรม 8.3 การที่ลกตุ้ม ที่มีความยาวเชือกเท่ากับลกตุ้มลกใหญ่แกว่งด้วยการกร ัด


มากที่สุด เพรา เกิดปราก การณ์ใด
แนวคำาตอบ การสั่นพ้อง

เฉลยแบบฝึกหัด 8.4

1. งหาความถี่ รรมชาติของการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่ายที่ กติดกับเชือกเบาที่มีความยาว


50 เซนติเมตร
1 g
วิธีทาำ หาความถี่ รรมชาติของการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่ายได้ ากสมการ f !
2" l
ากโ ทย์ l = 0.50 m แล g = 9.8 m/s2
1 9.8 m/s 2
แทนค่า f !
2(3.14) 0.50 m
! 0.70 s "1
ตอบ ความถี่ รรมชาติของการแกว่งของลกตุ้มอย่างง่ายเท่ากับ 0.70 เ ริ ตซ์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
34 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

2. งหาความถี่ รรมชาติของวัตถุติดปลายสปริง เมื่อวัตถุมีมวล 0.1 กิโลกรัม แล สปริงมีค่าคงตัว


ของสปริง 1000 นิวตันต่อเมตร
1 k
วิธีทำา หาความถี่ รรมชาติของการแกว่งของวัตถุติดปลายสปริงได้ ากสมการ f =
2π m
ากโ ทย์ k = 1000 N/m แล m = 0.1 k
1 1000 N/m
แทนค่า f =
2(3.14) 0.1 kg
= 15.9 s −1
ตอบ ความถี่ รรมชาติของวัตถุติดปลายสปริงเท่ากับ 15.9 เ ริ ตซ์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 35

เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 8

คำาถาม

1. งบรรยายการเคลื่อนที่ของวัตถุในตัวอย่าง 8.2
แนวคำาตอบ เปนการเคลื่ อ นที่ แ บบ าร์ ม อนิ ก อย่ า งง่ า ย ซ่ ง เปนการเคลื่ อ นที่ ก ลั บ ไปมาซ้ า
รอยเดิม ่านตาแหน่งสมดุล

2. วัตถุที่มีการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ขณ ที่วัตถุอย่ที่ตาแหน่งสมดุล ปริมาณใดบ้าง


ที่เปนศนย์
แนวคำาตอบ การกร ัด ความเร่ง

3. งเปรียบเทียบมุมเฟสของกราฟตามสมการ v ! A# cos (#t " $ ) แล


a ! " A$ 2 sin ($t # % )
แนวคำาตอบ มุมเฟสมีค่าเท่ากับ !t # " ดังนั้นมุมเฟสของทั้งสองสมการมีค่าเท่ากัน

4. x ! A sin #%t " & $ แล x ! A cos(#t " $ ) เปนสมการการกร ั ด ของวั ต ถุ ที่ มี


การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย สมการทั้งสองแตกต่างกันอย่างไร
แนวคำาตอบ ที่ เ วลาเริ่ ม ต้ น t = 0 ได้ x = Asin φ , x = Acos φ ถ้ า φ = 0
ตาแหน่งของวัตถุที่เวลาเริ่มต้น แตกต่างกัน โดย x = Asin φ เริ่มที่การกร ัดเท่ากับศนย์
แล x = Acos φ เริ่มที่การกร ัดสงสุด

5. ลกตุ้มเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายร หว่าง ุด A แล ุด C โดย B เปน ุดต่าสุด ดังรป

qq

A C
B
รูป ประกอบคำาถามข้อ 5
งเขียนแ น าพแสดงแรงกร ทาต่อลกตุ้ม ในขณ ที่ลกตุ้มอย่ที่ ุด A ุด B แล ุด C

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
36 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

แนวคำาตอบ แ น าพของแรงที่กร ทาต่อลกตุ้มอย่างง่ายที่ ุด A B แล C แสดงได้ดังรป

qq

T T
T

A C
B

W W W

รูป ประกอบคำาถามข้อ 5

6. งอ ิบายการสา ิตการสั่นพ้องในห้องเรียน หรือห้องป ิบัติการ ร บุอุปกรณ์ที่ใช้ วิ ีการแล


ลที่เกิดข้น
แนวคำาตอบ ลกตุ้มมวลต่าง 4-5 ลก กห้อยกับเชือกที่ขงเปนราว โดยให้มีความยาวของ
เชื อ กที่ แ ขวนลกตุ้ ม ต่ า งกั น แล บางลกมี ค วามยาวเท่ า กั น เมื่ อ แกว่ ง ลกตุ้ ม ลกหน่ ง ลกตุ้ ม
ลกอื่น แกว่ง โดยลกตุ้มที่มีความยาวเท่ากัน แกว่งพร้อมกัน

ปญหา

. ส้อมเสียงอันหน่งสั่น 5000 รอบในเวลา 20 วินาที คาบแล ความถี่ของส้อมเสียงมีค่าเท่าใด


วิธีทำา คาบเปนเวลาที่วัตถุใช้ในการเคลื่อนที่ครบหน่งรอบ ได้
20 s
T =
5000
= 0.004 s
ความถี่เปน านวนรอบที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ในหน่งหน่วยเวลา ได้
5000
f !
20 s
! 250 s "#
ตอบ ส้อมเสียงมีคาบแล ความถี่เท่ากับ 0.004 วินาที แล 250 รอบต่อวินาที ตามลาดับ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 37

2. ในการบันทก าพการกร พือปีกของนกชนิดหน่ง พบว่านกกร พือปีกด้วยความถี่ 20 เ ิรตซ์


คาบแล ความถี่เชิงมุมของการกร พือปีกเปนเท่าใด
1
วิธีทำา คาบมีค่าเท่ากับ ได้
f
1
คาบ2 =
20 Hz
2 = 0.05 s
ความถี่เชิงมุมมีค่าเท่ากับ 2 π f ได้

ความถี่เชิงมุม = 2(3.1416 rad)(20 Hz)

= 125.66 rad/s

ตอบ คาบแล ความถี่เชิงมุมของการกร พือปีกเท่ากับ 0.05 วินาที แล

125.66 เรเดียนต่อวินาที

3. วัตถุหน่งเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายตามแนวแกน x มีคาบการเคลื่อนที่เปน 6 วินาที

" 2( %
มีสมการการเคลื่อนที่เปน x ! A sin $ t ' เมื่อ A แล T เปนค่าคงตัว t เปนเวลา เวลา
#T &
1
ที่ใช้เคลื่อนที่ ากตาแหน่ง x = 0 ไป x = A มีค่าเท่าใด
2
" 2( %
วิธีทำา ากสมการ x ! A sin $ t'
#T &
1 " 2( %
ได้ A ! A sin $ t '
2 #T &
1 " 2( %
! sin $ t '
2 #T &
" (% " 2( %
sin $ ' ! sin $ t'
# 6& #6 s &
( 2(
! t
6 6s
t ! 0.5 s
ตอบ เวลาที่ใช้เคลื่อนที่ 0.5 วินาที

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
38 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

4. รถทดลองติดอย่กับปลายข้างหน่งของสปริงที่วางบนพื้นราบลื่น ตรงปลายอีกข้างของสปริงไว้
ดังรป

รูป ประกอบปญหาข้อ 4

ถ้ารถเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย โดยมีแอมพลิ ด 0.4 เมตร แล อัตราเร็วสงสุดเปน


2.0 เมตรต่อวินาที ในเวลา 10 วินาที รถวิ่งกลับไปกลับมาได้กี่รอบ ให้คาตอบติดค่า π
วิธีทำา ากสมการ vmax ! " A
vmax ! (2# f ) A
ได้ 2 m/s ! (2# f )(0.4 m)
2.5 "1
f ! s
#
2.5
ในเวลา 1 s รถเคลื่อนที่ได้เท่ากับ รอบ
π
25
ในเวลา 10 s รถเคลื่อนที่ได้เท่ากับ รอบ
π
25
ตอบ ในเวลา 10 วินาที รถวิ่งกลับไปกลับมาได้ รอบ
π
5. อนุ าคมวล 0.2 กิโลกรัม เคลื่อนที่เปนวงกลมรัศมี 5.0 เซนติเมตร ด้วยอัตราเร็วเชิงมุมคงตัว
40 π เรเดียนต่อวินาที ทาให้เงาของวัตถุบนฉากเคลือ
่ นทีก
่ ลับไปกลับมาแบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
รอบ ุด O' ถ้าวัตถุเริ่มเคลื่อนที่ ากตาแหน่ง A ถง B โดยใช้เวลา 0.04 วินาที ดังรป
O' B A
าก

B t = 0.04 s
R

q A
t = 0.00 s

รูป ประกอบปญหาข้อ 5

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 39

ขณ วัตถุอย่ที่ตาแหน่ง B งหาขนาดของ
ก. การกร ัด
ข. ความเร็ว
ค. ความเร่ง
วิธีทำา ากรป วัตถุเริ่มเคลื่อนที่ ากตาแหน่งการกร ัดสงสุด ากตาแหน่ง A ไป B
ดังนั้นการกร ัด ความเร็ว แล ความเร่งของวัตถุ ณ ตาแหน่ง B เปนดังนี้
ก. ขนาดของการกร ัด x ! R cos%
! R cos &t

"
! (5 cm)cos ( 40' s $1 )(0.04 s) #
! 1.55 cm
ตอบ ขนาดของการกร ัดมีค่าเท่ากับ 1.55 เซนติเมตร

ข. ขนาดของความเร็ว v ! " % R sin &


! " % R sin %t
#
! " (40' s "1 )(5 cm)sin (40' s "1 )(0.04 s) $
! 190' cm/s
ตอบ ขนาดของความเร็วมีค่าเท่ากับ 190 π เซนติเมตรต่อวินาที

ค. ขนาดของความเร่ง a ! " % 2 R cos &


! " % 2 R cos %t
! " (40' s "1 ) 2 (5 cm) cos # (40' s "1 )(0.04 s) $
! " 2472' 2 cm/s 2
ตอบ ขนาดของความเร่งมีค่าเท่ากับ -2472 π 2 เซนติเมตรต่อวินาที2

$* '
6. สมการการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายของอนุ าคเปน x ! " 5.00 cm # cos & t )
% 60 (
เมื่อ x เปนการกร ัดในหน่วย เซนติเมตร t เปนช่วงเวลาการเคลื่อนที่ในหน่วย วินาที ที่เวลา
t = 10.0 วินาที
งหา ก. การกร ัดของอนุ าค
ข. ความเร็ว
ค. ความเร่ง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
40 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

π
วิธีทำา ก. ากโ ทย์ A = 5.00 cm , ω = rad/s
60
π 
หาการกร ัดที่เวลา t = 10.0 s ากสมการ x = ( 5.00 cm ) cos  t 
 60 
ได้
π 
x = (5.00 cm) cos  × 10 rad 
 60 
= (5.00 cm) cos ( 30° )
3
= (5.00 cm)
2
x = 4.33 cm
ตอบ การกร ด
ั ของอนุ าคเท่ากับ 4.33 เซนติเมตร

ข. หาความเร็ว ที่เวลา t = 10.0 วินาที


เมื่อ x มีค่าน้อยกว่า A ทิศของความเร็ว (v) ตรงข้ามกับการกร ัด คือ -
ากสมการ v = ± ω A2 − x 2
 π 
v =  − rad/s  (5.00 cm) 2 − (4.33 cm) 2
 60 
v = − 0.04π cm/s
ตอบ ความเร็วที่เวลา 10 วินาที เท่ากับ -0.04 π เซนติเมตรต่อวินาที

ค. หาความเร่งที่เวลา t = 10.0 วินาที


ากสมการ a = −ω2x
2
π 
แทนค่า a = −  rad/s  (4.33 cm)
 60 
a = − 1.20 ×10 π cm/s 2
−3 2

ตอบ ความเร่งที่เวลา 10 วินาที เท่ากับ −1.20 × 10−3 π 2 เซนติเมตรต่อวินาที2

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 41

7. อนุ าคหน่งเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย มีแอมพลิ ด 30 เซนติเมตร มีคาบการเคลื่อนที่


4 วินาที อัตราเร็วสงสุดของการเคลื่อนที่มีค่าเท่าใด
วิธีทำา ากสมการ vmax ! " A
" 2* %
ได้ vmax ! $ 'A
# T &
2(3.1416)
! ( 0.3 m )
4s
! 0.47 m/s
ตอบ อัตราเร็วสงสุดของการเคลื่อนที่มีค่า 0.47 เมตรต่อวินาที

8. กราฟร หว่างความเร็วกับเวลาของอนุ าคหน่ง เปนดังรป


วา เรว เ ร ว า
0.4

0 เวลา 10 2
ว า
5 10 15 20

-0.4

รูป ประกอบปญหาข้อ 8
ที่เวลา 5 × 10-2 วินาที อนุ าคมีขนาดความเร่งเท่าใด ให้คาตอบติดค่า π
วิธีทำา ากกราฟ vmax ! 0.4 m/s
คาบ T = 20 "10#2 s
2%
ากสมการ $ !
T
2%
ได้ $ !
20 "10#2 s
! 10% rad/s
ากสมการ vmax ! $ A
ได้ 0.4 m/s ! (10% rad/s)A
0.4
A ! m
10%

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
42 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

ที่เวลา 5 × 10-2 s อนุ าคมีความเร็วเปนศนย์ ที่ตาแหน่งนี้ มีความเร่งสงสุด


ากสมการ amax ! ( 2 A
" 0.4 %
ได้ ! (10) rad/s) 2 $ m'
# 10) &
! 4) m/s 2
ตอบ อนุ าคมีขนาดความเร่ง 4 π เมตรต่อวินาที2

9. วัตถุหน่งเคลือ่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่ายด้วยแอมพลิ ด 2.00 เซนติเมตร ในแนวร ดับ ความเร็ว


ของวัตถุที่ตาแหน่งใด ากตาแหน่งสมดุลมีค่าเปนคร่งหน่งของความเร็วสงสุด
วิธีทำา ให้ x เปนตาแหน่งที่วัตถุมีความเร็วเปนคร่งหน่งของความเร็วสงสุด
1
vx ! " vmax #
2
1
ได้ "
& A2 $ x 2 ! " & A #
2
#
1
"
A2 $ x 2 ! A
2
#
1
A2 $ x 2 ! A2
4
3
x 2 ! A2
4
3A
x ! %
2
แทนค่า A = 2.00 cm ได้
x ! "1.73 cm
ตอบ เมื่อการกร ัดเท่ากับ 1.73 เซนติเมตร ทิศไปทางซ้ายหรือขวา มีความเร็วเปน
คร่งหน่งของความเร็วสงสุด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 43

10. รถทดลองติดปลายลวดสปริงเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ด้วยแอมพลิ ด 15 เซนติเมตร


แล ความถี่ 4 รอบต่อวินาที งหาความเร็วสงสุด แล ความเร่งสงสุดของรถทดลอง
วิธีทำา หาความเร็วสงสุด าก vmax ! " A
vmax ! (2# f ) A
! 2(3.1416)(4 s "1 )(0.15 m)
! 3.8 m/s
หาความเร่งสงสุด าก amax ! " A 2

amax ! (2% f ) 2 A
! " 2(3.1416)(4 s $1 ) # (0.15 m)
2

! 94.7 m/s 2
ตอบ ความเร็วสงสุดเท่ากับ 3.8 เมตรต่อวินาที แล ความเร่งสงสุดเท่ากับ 94.7 เมตรต่อวินาที2

11. ลกตุ้มมวล m กเชือกยาว L แกว่งแบบ าร์มอนิกอย่างง่าย มีคาบการแกว่งเปน 2 วินาที ถ้าใช้


ลกตุ้ ม มวล 2m แกว่ ง แบบ าร์ ม อนิ ก อย่ า งง่ า ย ต้ อ งการให้ มี ค าบการแกว่ ง เปน วิ น าที
ต้องใช้เชือกยาวกี่เท่าของความยาว L
L
วิธีทำา ากสมการ T ! 2"
g
มวลลกตุ้ม ไม่มี ลต่อคาบการแกว่ง T
ลกตุ้มมวล m กเชือกยาว L1
L1
คาบการแกว่งเปน T1 ! 2" (1)
g
ลกตุ้มมวล 2m กเชือกยาว L2
L2
คาบการแกว่งเปน T2 ! 2" (2)
g
(2) T2 L2
=
(1) T1 L1
1s L2
แทนค่า =
2s L
1
L2 = L
4
1
ตอบ ต้องใช้เชือกยาว เท่าของความยาว L
4

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
44 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

12. อนุ าคหน่งสั่นแบบ าร์มอนิกอย่างง่ายในแนวแกน y โดยมีการกร ัด ความเร็วแล ความเร่ง


ของอนุ าค ดังสมการ y ! A cos "t v ! "# A sin #t แล a ! "# 2 A cos #t ตามลาดับ
ก. กรอกข้อมลการกร ด
ั ความเร็วแล ความเร่งของอนุ าคทีม
่ ม
ุ เฟสต่าง ลงในตารางต่อไปนี้

มุมเฟส ωt การกร ัด y ความเร็ว v ความเร่ง a


0 A 0 !" 2 A
π
0 !" A 0
2
π -A 0 !" 2 A

0 ω2 A 0
2
2π A 0 !" 2 A

ข. เขียนกราฟร หว่างการกร ัดกับเวลา ความเร็วกับเวลา แล ความเร่งกับเวลา

x(m)

t (s)
T T
2

n (m/s)

Aw

t (s)
T T
2
Aw

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 45

a (m/s 2 )

Aw 2

t (s)
T T
2

Aw 2

13. แขวนมวล 4.0 กิโลกรัมกับสปริงแล้วปล่อยให้สั่นข้นลงในแนวดิ่ง ปราก ว่าวัดคาบการสั่นได้


2.0 วินาที ถ้านามวล 8.0 กิโลกรัม มาแขวนแทนมวล 4.0 กิโลกรัม แล้วปล่อยให้สน
่ั ข้นลง สัน

ด้วยความถี่เท่าใด
m 4" 2 m
วิธีทำา หา k าก T ! 2" ดังนั้น k !
k T2
วัตถุมวล 4.0 กิโลกรัม สั่นข้นลงโดยมีคาบของการสั่นเท่ากับ 2.0 วินาที
4" 2 (4.0 kg )
แทนค่า k !
(2.0 s) 2
k ! 4" 2 kg/s 2
เมื่อเปลี่ยนมวลเปน 8.0 กิโลกรัม สั่นข้นลงด้วยความถี่
m 1 k
าก T ! 2" ดังนั้น f !
k 2" m
1 4# 2 kg/s 2
แทนค่า k แล m f !
2# 8 kg
f ! 0.35 s "1
ตอบ ความถี่ของมวล 8.0 กิโลกรัม เท่ากับ 0.35 เ ิรตซ์

14. เมื่อออกแรง 2.0 นิวตัน ดงปลายแ ่นสปริงของเครื่องชั่งมวล ปลายแ ่นสปริงเบนไป าก


ตาแหน่งสมดุล 10 เซนติเมตร ดังรป ทีป
่ ลายแ น
่ สปริงติดมวล 0.3 กิโลกรัม ถ้าดงให้ปลายแ น

สปริงเบนไป ากตาแหน่งสมดุล 15 เซนติเมตร แล้วปล่อยมือ งหา
ก. ค่าคงตัวสปริง
ข. คาบของการสั่นของมวล
ค. ขนาดความเร่งสงสุดของมวล

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
46 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

2.0 N
10 cm
รูป ประกอบปญหาข้อ 15

วิธีทำา ก. ออกแรง 2.0 นิวตัน ดงปลายแ ่นสปริงเบน ากตาแหน่งสมดุล 0.1 m


าก F = kx
2.0 N = k(0.1 m)
k = 20 N/m
ตอบ ค่าคงตัวสปริงเท่ากับ 20 นิวตันต่อเมตร

วิธีทำา ข. ต่อมาดงปลายแ ่นสปริงเบน ากตาแหน่งสมดุล แล้วปล่อยมือมวล 0.3 กิโลกรัม


สั่นด้วยคาบของการสั่น
m
T ! 2"
k
0.3 kg
! 2"
20 N/m
T ! 0.77 s
ตอบ คาบของการสั่นของมวล 0.3 กิโลกรัม เท่ากับ 0.77 วินาที

วิธีทำา ค. ขนาดความเร่งสงสุดของมวล
าก ax ! " * 2 x
k
ดังนั้น am ! " xm
m
# 20 N/m & "2
! "% ( (15 )10 m)
$ 0. 3 kg '
! " 10 m/s 2
ตอบ ความเร่งสงสุดของมวล 10 เมตรต่อวินาที2

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 47

15. รถทดลองมวล 2 กิโลกรัม ปลายทัง้ สองยดติดกับสปริงทีเ่ หมือนกันทุกปร การ ดังรป รถเคลือ


่ นที่
ร หว่างสปริงบนพื้นราบลื่น ไม่คิดแรงเสียดทาน ตอนบนของรถติดเข็มชี้ไว้แล เข็มชี้
เคลื่อนที่ร หว่าง ุด Q กับ S เปนแบบ าร์มอนิกอย่างง่าย บนสเกลที่วัดเปนเซนติเมตร มี R
เปน ุดสมดุล
ณ เวลา t = 0 รถเริ่มเคลื่อนที่ าก ุด Q ไปทางขวามือ ซ่งมีเครื่องหมายบวก
Q R S
0
-10 10

รูป ประกอบปญหาข้อ 16
ก. ถ้าคาบของการสั่นในหน่วยวินาทีเท่ากับ π แรงดงกลับที่กร ทาต่อรถในหน่วย
นิวตันต่อเมตร ณ เวลา เริ่มต้น มีค่าเท่าใด
ข. ความเร็วของรถทดลองที่ตาแหน่ง S มีค่าเท่าใด ในหน่วยเมตรต่อวินาที
วิธีทำา ก. าก a ! " 2 r
4$ 2 r
a !
T2
(4)(3.1416) 2 (10 "10#2 m)
!
(3.1416 s) 2
! 4.0 "10#1 m/s 2
หาแรงดงกลับ าก F = ma
F ! (2 kg )(4 " 10#1 m/s 2 )
! 0.8 N
ตอบ ก. แรงดงกลับที่กร ทาต่อรถ ณ เวลาเริ่มต้นเปน 0.8 นิวตัน
ข. ณ ตาแหน่ง S รถทดลองมีการกร ัดสงสุด รถทดลองมีความเร็วเท่ากับศนย์

16. กล่องมวล m ติดอย่กับปลายข้างหน่งของสปริงแล อย่บนพื้นลื่นร ดับ มีคาบของการสั่น


4.0 วินาที ถ้านาวัตถุมวล 1.0 กิโลกรัม ไปวางบนกล่อง คาบการสั่นเปน 5.0 วินาที งหามวล
ของกล่อง
m
วิธีทำา พิ ารณาสมการ T ! 2"
k

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
48 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

แทนค่า T = 4 s แล m = mbox ได้


mbox
4 s = 2π (1)
k
แทนค่า T = 5 s แล m = mbox + kg

mbox + 1 kg
5 s = 2π (2)
k
(1) ได้
5s mbox + 1 kg
=
(2) 4s mbox
25 m + 1 kg
= box
16 mbox
mbox = 1.78 kg
ตอบ มวลของกล่องมีค่าเท่ากับ 1.78 กิโลกรัม

17. กล่องมวล m อย่บนแ ่นราบที่กาลังสั่นแบบ าร์มอนิกอย่างง่ายในร นาบร ดับ ด้วยความถี่


2.0 เ ิ ร ตซ์ ถ้ า กล่ อ งไม่ ไ ถลบนแ ่ น ราบ งหาการกร ั ด สงสุ ด กาหนดให้ สั ม ปร สิ ท ์
ความเสียดทานสถิตร หว่างกล่องแล แ ่นราบเท่ากับ 0.6
วิธีทำา หาการกร ัดสงสุด ากสมการ f s = µs N แล สมการ amax = ω 2 A = (2π f ) 2 A
ากกรณีที่กล่องไม่ไถลความเร่งของกล่องต้องมีค่าเท่ากับความเร่งของแ ่นราบ
ากสมการ ∑ F = ma แล f s = µs N ได้
ma = µs N
= µs mg
a = µs g
ากสมการ amax = (2π f ) A แล a = µs g
2
ได้
(2π f ) 2 A = µs g
µs g
A =
(2π f ) 2
(0.6)(9.8 m/s 2 )
แทนค่า ได้ A
(2(3.1416)(2 Hz)) 2
0.037 m
ตอบ การกร ัดสงสงของแ ่นราบมีค่าเท่ากับ 3.7 เซนติเมตร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 49

18. สมการการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุเปน x = (5.00 cm) cos(3t) เมื่อ x


เปนการกร ดั หน่วย เซนติเมตร t เปนช่วงเวลาการเคลือ่ นที่ หน่วย วินาที ทีเ่ วลา t = 10.0 s
งหา
ก. การกร ัดของอนุ าค ข. ความเร็ว ค. ความเร่ง
$ "'
วิธีทำา ก. พิ ารณาฟงก์ชัน cos (θ ) สามารถเขียนได้ในอีกรปคือ sin & ! # )
% 2(
# )&
ดังนั้น งสามารถเขียนสมการใหม่ได้เปน x ! (5.00 cm) sin % 3t " (
$ 2'
แทนค่า t = 10.0 s ได้
# )&
x ! (5.00 cm) sin % (3 rad/s)(10.0 s) " (
$ 2'
! 0.771 cm
ตอบ การกร ัดของอนุ าคเท่ากับ 0.771 เซนติเมตร
"
วิธีทำา ข. เมื่อพิ ารณาสมการ ได้ว่า A = 0.05 m , ! " 3 rad/s แล !#
2
แทนค่าในสมการ v ! A# cos(#t " $ ) ได้
# )&
v ! (5.0 cm)(3 rad/s) cos % (3 rad/s)(10.0 s) " (
$ 2'
! 14.8 cm/s
ตอบ ความเร็วอนุ าคเท่ากับ 14.8 เซนติเมตรต่อวินาที มีทิศไปทางขวา
"
วิธีทำา ค. เมื่อพิ ารณาสมการ ได้ว่า A = 0.05 m, ω = 3 rad/s แล ! #
2
แทนค่าในสมการ a ! " A$ 2 sin($t # % ) ได้
# )&
a ! (5.0 cm)(3 rad/s) 2 sin % (3 rad/s)(10.0 s) " (
$ 2'
! 6.94 cm/s 2
ตอบ ความเร่งอนุ าคเท่ากับ 6.94 เซนติเมตรต่อวินาที2 มีทิศไปทางขวา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
50 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

ปญหาท้าทาย

19. วัตถุเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายด้วยความถี่ 5 รอบต่อวินาที ในแต่ล ช่วงเวลา 1 วินาที


วัตถุอย่มีมุมเฟสต่างกันเท่าใด
วิธีทำา พิ ารณาสมการ ! # 2" f แล มุมเฟส ! #t " $
ดังนั้นทุก เวลา 1 วินาที
มุมเฟสต่างกัน ! 2" f (1 s)
แทนค่า ! 2" (5 Hz)(1 s)
! 10" rad
ตอบ วัตถุมีมุมเฟสต่างกัน 10π เรเดียน

20. ลกเหล็กทรงกลมมวล 1 กรัม แกว่งแบบ าร์มอนิกอย่างง่ายมีแอมพลิ ด 2 มิลลิเมตร ความเร่ง


ที่ ุดปลายของการแกว่งมีค่า 8 × 103 เมตรต่อวินาที2
ก. งหาความถี่ของการแกว่ง
ข. งหาความเร็วที่ ุดสมดุล
ค. งเขียนสมการแสดงแรงทีก
่ ร ทาต่อลกเหล็กให้เปนฟงก์ชน
ั ของตาแหน่งแล ฟงก์ชน
ั ของ
เวลา
"
วิธีทำา ก. หาได้ ากสมการ f ! แล a ! " 2 x
2#
1 a
ดังนั้น f !
2" x
1 8 "103 m/s 2
แทนค่า f !
2(3.1416) 2 "10#3 m
! 3.18 "102 Hz
ตอบ ความถี่ของการแกว่งเท่ากับ 3.18 × 102 เ ิรตซ์

วิธีท ข. หาความเร็วที่ ุดสมดุล าก v ! " A


แทนค่า v ! 2$ fA
! 2(3.1416)(3.18 "102 Hz)(2 "10#3 m)
! 4 m/s
ตอบ ความเร็วที่ ด
ุ สมดุลเท่ากับ 4 เมตรต่อวินาที

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 51

วิธีทำา ค. ากเรื่องลกตุ้มอย่างง่าย
x
แรงกร ทาต่อลกตุม
้ F = − mg ซ่งสามารถใช้สมการนีห
้ าแรงกร ทาต่อลกเหล็กกลม
l
g
เปนฟงก์ชันของตาแหน่งแล ยังทราบอีกว่า ω 2 =
g l
ดังนั้น (2π f ) 2 =
l
แทนค่า F = − 4π 2 f 2 mx (1)
เนื่อง าก π , f, m เปนค่าคงตัว แล x เปนการกร ัดที่มีค่าเปลี่ยนแปลง ดังนั้น
สมการ (1) งเปนสมการแสดงแรงที่กร ทาต่อลกเหล็กที่เปนฟงก์ชันของตาแหน่ง
ถ้าแทนค่า π , f, m ลงในสมการ (1) ได้ F = -3992x
ตอบ สมการแสดงแรงทีก่ ร ทาต่อลกเหล็กทีเ่ ปนฟงก์ชน
ั ของตาแหน่ง คือ F = − 4π 2 f 2 mx
หรือ F = − ma = − mω 2 x
หาสมการแสดงแรงที่กร ทาต่อลกเหล็กที่เปนฟงก์ชันของเวลา
ากสมการ F = − ma = − mω 2 x ได้
2
F = − mω A sin(ωt )
= − m4π 2 f 2 A sin(2π ft )
เนื่อง าก π , f, m, A เปนค่าคงตัว แล เปนแรงที่มีค่าเปลี่ยนแปลง ดังนั้น งเปน
สมการแสดงแรงที่กร ทาต่อลกเหล็กที่เปนฟงก์ชันของเวลา
ถ้าแทนค่า π , f, m, A ลงในสมการ ได้ F = -8sin(1998t)
ตอบ สมการแสดงแรงที่กร ทาต่อลกเหล็กที่เปนฟงก์ชันของเวลา คือ
F = − m4π 2 f 2 A sin(2π ft ) หรือ F = -8sin(2000t)

21. วัตถุเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายรอบ ุดสมดุล O ที่อย่ร หว่างตาแหน่ง A แล B โดย


ใช้เวลา 1 วินาที ในการเคลื่อนที่ ากตาแหน่ง A ไป B ซ่งอย่ห่างกัน 20 เซนติเมตร ที่ตาแหน่ง
A แล B วัตถุ อย่นิ่ง ขณ ที่วัตถุ ่านตาแหน่ง C ซ่งอย่ห่าง าก O เปนร ย 6 เซนติเมตร
วัตถุ มีอัตราเร็วกี่เมตรต่อวินาที
วิธีทำา โ ทย์ร บุตาแหน่ง A แล B วัตถุ อย่นง่ิ แสดงว่าร ย าก ด
ุ O ไป ด
ุ A คือ แอมพลิ ด
ดังนั้นแอมพลิ ด (A) ของการเคลื่อนที่มีค่า 10 เซนติเมตร
ร ย เวลาที่เคลื่อนที่ าก A ไป B มีค่าเปนคร่งหน่งของคาบ
T
ดังนั้น 1s
2
T 2s

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
52 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

หาความเร็วของวัตถุที่ห่าง าก ุด O 6 เซนติเมตร ได้ าก v = ± ω A2 − x 2


 2π 
แทนค่า v = ± −2 2 −2
 (10 ×10 m) − (6 ×10 m)
2

 2s
= ± 0.08π m/s

ตอบ วัตถุ มีอัตราเร็ว 0.08 π เมตรต่อวินาที

22. มวล 2 กิโลกรัม ติดกับปลายลวดสปริง ดังรป ก. ดงสปริงให้ยืดออกแล้วปล่อยให้วัตถุเคลื่อนที่


แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย บนพืน
้ ราบเกลีย้ ง วัตถุเคลือ
่ นทีค
่ รบ 1 รอบ ใช้เวลา 1 วินาที ถ้ามีมวล
วางทับมวล 2 กิโลกรัมเดิมดังรป ข ทาให้วัตถุเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายแล ครบ 1 รอบ
ใช้เวลา 1.5 วินาที งหามวล m

2 kg

2 kg

รูป ประกอบปญหาท้าทายข้อ 22

m
วิธีทำา าก T = 2π
k
2 kg
ากรป ก. ได้ว่า 1s = 2π
k
m + 2 kg
ากรป ข. ได้ว่า 1.5 s = 2π (2)
k
(1) m + 2 kg
1.5 =
(2) 2 kg
m = 2.5 kg
ตอบ มวล m เท่ากับ 2.5 กิโลกรัม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 53

23. สปริงสองเส้นมีมวลน้อยมาก ปลายด้านหน่งยดติดกับเพดาน ปลายอีกด้านหน่งมีมวล m1 แล


m2 ติดไว้ ดังรป

k1 k2

m1 m2

รูป ประกอบปญหาท้าทายข้อ 22

โดยค่าคงตัวสปริง k1 เปน 3 เท่าของค่าคงตัวสปริง k2 แล มวล m1 เปน 2 เท่าของมวล m2


เมื่อออกแรงดงมวล m1 แล m2 ให้สปริงยืดออกเล็กน้อยแล้วปล่อย มวล m1 ใช้เวลาใน
การสั่นครบรอบ เปนกี่เท่าของมวล m2
m
วิธีทำา คาบของร บบมวลติดสปริงคานวนได้ าก T ! 2"
k
มวล m1 ติดกับสปริงที่มีค่าคงตัวสปริง ได้
m1
T1 ! 2" (1)
k1
มวล m2 ติดกับสปริงที่มีค่าคงตัวสปริง ได้
m2
T2 ! 2" (2)
k2
(1) T1 m1 k2
=
(2) T2 m2 k1
(2m2 ) k2
แทนค่า =
m2 (3k2 )
2
T1 = T2
3
2
ตอบ มวล m1 ใช้เวลาสั่นครบรอบเปน เท่าของมวล m2
3

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
54 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

24. อนุ าคเคลื่อนที่ในแนววงกลมในร นาบร ดับเคลื่อนที่ได้ 10 รอบ ใช้เวลา 3 วินาที เงาของ


อนุ าคเคลื่อนที่เปนแบบ าร์มอนิกอย่างง่าย โดยมีแอมพลิ ด 8.0 เซนติเมตร ณ ตาแหน่งที่
เงาของอนุ าคมีอัตราเร็วสงสุด มีขนาดของการกร ัดเท่าใด แล อัตราเร็วสงสุดมีค่าเท่าใด
วิธีทำา หาขนาดของการกร ัด ากสมการ v ! " $ A2 # x 2
ากสมการเมื่อ x = 0 ทาให้ v มีค่าสงสุด
ดังนั้นเงาของอนุ าคมีอัตราเร็วสงสุดเมื่อการกร ัดมีค่าเปนศนย์
แทนค่า x = 0 ในสมการ ได้
v ! *A
! 2+ fA
" 10 %
! (2)(3.1416) $ s )1 ' (8.0 (10)2 m)
# 3 &
! 1.67 m/s
ตอบ เงาของอนุ าคมีอัตราเร็วสงสุดเมื่อขนาดของการกร ัดเปนศนย์ แล อัตราเร็วสงสุด
เท่ากับ 1.67 เมตรต่อวินาที

25. อนุ าคหน่งเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ด้วยความถี่ 3 รอบต่อวินาที ถ้าแอมพลิ ดของ


การเคลื่อนที่ 2 เซนติเมตร อัตราเร็วสงสุดของการเคลื่อนที่มีค่าเท่าใด

วิธีทำา ากสมการ v ! " $ A2 # x 2 แล ! # 2" f


โดยอนุ าค มีอัตราเร็วสงสุดที่ตาแหน่งสมดุล (x = 0) ของการเคลื่อนที่

ดังนั้น v ! " (2$ f ) A2 # x 2

แทนค่า ! " (2% (3 Hz)) (2 #10$2 m) 2 $ (0)


! " 0.12% m/s
ตอบ อัตราเร็วสงสุดของการเคลื่อนที่มีค่า !0.12" เมตรต่อวินาที

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 55

26. วัตถุเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย มีแอมพลิ ด 10 เซนติเมตร มีความถี่ 2 รอบต่อวินาที


ณ ตาแหน่งที่มีการกร ัด 7 เซนติเมตร วัตถุ มีความเร่งเท่าใด
วิธีทำา ากสมการ a ! " # 2 x แล ! # 2" f
ความเร่งของวัตถุที่ตาแหน่งที่มีการกร ัด 7 เซนติเมตร มีค่า
a ! " (2' f ) 2 x
! " # 2' (2 Hz) $ (7 %10&2 m)
2
แทนค่า
! " 1.12' m/s 2
ตอบ วัตถุ มีความเร่ง 1.12 π เมตรต่อวินาที2

27. อนุ าคหน่งเคลือ


่ นทีแ่ บบ าร์มอนิกอย่างง่าย โดยใช้เวลา 2 วินาที ในการเคลือ
่ นที่ า่ น ด
ุ P ไป
Q ซ่งอย่ห่างกัน 22.0 เซนติเมตร ขณ ่าน P แล Q อนุ าคมีอัตราเร็วเท่ากัน อีก 2 วินาที
ต่อมาวัตถุเคลื่อนที่กลับมาที่ Q งหาคาบแล แอมพลิ ดของการเคลื่อนที่
2s 2s

า P Q
22 cm

รูป ประกอบปญหาท้าทายข้อ 27

วิธีทำา ากสมการ v ! " $ A2 # x 2 แล พิ ารณา ุด P แล Q เมื่ออัตราเร็วเท่ากัน ได้ว่า


ุด แล Q อย่ห่าง าก ุดสมดุลเปนร ย เท่ากันแล สามารถหาคาบของการเคลื่อนที่
ได้ดังรป
11 cm
2s 2s

2s P 2s O Q

2"
หาแอมพลิ ดได้ ากสมการ x ! A sin "t ซ่ง ! #
T
แทนค่า x = 0.11 m t = 1 s แล T = 8 s ในสมการ x ! A sin "t ได้
" 2( %
0.11 m ! A sin $ (1 s) '
#8 s &
ดังนั้น A = 0.156 m
ตอบ อนุ าคมีคาบเท่ากับ 8 วินาที แล อนุ าคมีแอมพลิ ดเท่ากับ 15.6 เซนติเมตร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
56 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

28. A B C เปน ุดบนเส้นตรงเส้นหน่ง อนุ าคหน่งเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายที่ตาแหน่ง B


แล C อนุ าค อย่นิ่งโดย ุด B แล C อย่ห่าง าก เปนร ย a แล b ตามลาดับ
ที่ ุดก่งกลางของ B แล C อนุ าคมีความเร็ว v งแสดงให้เห็นว่า คาบของการเคลื่อนที่มีค่า
π (b − a )
เท่ากับ
v
b
a
ก x
C ดล B A

วิธีทำา ุด B แล C เปน ุดปลายของการเคลื่อนที่
ดังนั้น แอมพลิ ด ได้
b−a
A =
2
ากสมการ v = w A
(b − a )
v = ω
2
2v
ได้ ω =
b−a

ากสมการ ω =
T
2π 2v
ดังนั้น =
T b−a
π (b − a )
ได้ T =
v
π (b − a )
ตอบ แสดงว่าคาบของการเคลื่อนที่เท่ากับ
v

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 57

29. ล้อวงกลมอันหน่งมีรัศมี 0.3 เมตร ที่ขอบล้อติดวัตถุไว้ก้อนหน่ง ล้อหมุนด้วยความถี่


0.5 รอบต่อวินาที รอบแกนหมุนในแนวแกนซ่งอย่กบ
ั ที่ ขณ นัน
้ มีแสงแดดตกตัง้ ฉากกับพืน
้ โลก
ทาให้เงาของวัตถุเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย
ก. คาบของการเคลื่อนที่ของเงามีค่าเท่าใด
ข. ความถี่ของการเคลื่อนที่ของเงามีค่าเท่าใด
ค. แอมพลิ ดของการเคลื่อนที่ของเงามีค่าเท่าใด
ง. งเขียนสมการแสดงการกร ัดในการเคลื่อนที่ ณ เวลาต่าง กาหนดให้มุมเฟสเริ่มต้น
เปนศนย์
วิธีทำา ก. คาบของการเคลื่อนที่ของเงา คือ เวลาที่เงา เคลื่อนที่กลับมาอย่ตาแหน่งเดิม
ซ่ง มีค่าเท่ากับคาบการหมุนของวงล้อ
1
าก T ได้
f 1
T
0.5 Hz
2s
ตอบ คาบของการเคลื่อนที่ของเงามีค่า 2 วินาที

1
ข. าก f ได้
T 1
f
2s
0.5 Hz
ตอบ ความถี่ของการเคลื่อนที่ของเงามีค่า 0.5 เ ิรตซ์

ค. แอมพลิ ดของเงามีขนาดเท่ากับรัศมีของล้อวงกลมซ่งเท่ากับ 0.3 เมตร


ตอบ แอมพลิ ดของการเคลื่อนที่ของเงามีค่า 0.3 เมตร

ง. ากสมการ x = A sin (ωt + φ )


ากสมการ w = 2 π f แทนค่า ได้
ω = 2π (0.5 Hz)
= π rad/s
แทนค่าในสมการ ได้สมการ x = 0.3sin( π t)
ตอบ สมการแสดงการกร ัดในการเคลื่อนที่ ณ เวลาต่าง x = 0.3sin( π t)

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
58 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

30. เชือกเส้นที่หน่งยาว L เชือกเส้นที่สองยาว 2L ต่างมีมวลติดที่ปลายเชือก เมื่อทาให้มวลแกว่ง


แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย ถ้าอัตราเร็วสงสุดของมวลที่ปลายเชือกทั้งสองมีค่าเท่ากัน แอมพลิ ด
ของมวลที่ปลายของเชือกเส้นที่หน่งเปนกี่เท่าของเส้นที่สอง
วิธีทำา กาหนดให้ vmax1 = vmax2
ได้ !1 A1 " !2 A2
2" L
ากสมการ ! # แล T ! 2"
T g
g
ได้ ! "
L
g g
ดังนั้น A1 = A2
L 2L
1
A1 = A2
2
A1 = 0.707 A2
ตอบ แอมพลิ ดของมวลที่ปลายของเชือกเส้นที่หน่งเปน 0.707 เท่าของเชือกเส้นที่สอง

31. การกร ัดของอนุ าคหน่งที่เคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย เปนฟงก์ชันของเวลาดังสมการ


#
x ! (2 m) sin(3# t " ) งหา
4
ก. การกร ัดที่เวลา t = 2.0 s
ข. มุมเฟสที่เวลา t = 2.0 s
ค. ความเร่งสงสุด
ง. สมการความเร็วที่เวลา t
. สมการความเร่งที่เวลา t
วิธีทำา ก. แทนค่า t = 2.0 s ลงในสมการ ได้
# )&
x ! (2 m) sin % 3) (2.0 s) " (
$ 4'
! 1.414 m
ตอบ การกร ด
ั ที่เวลา t = 2.0 s มีค่า 1.414 เมตร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 59

วิธีทำา ข. แทนค่า t = 2.0 s ลงในสมการ ได้


#
มุมเฟส ! 3# (2.0 s) "
4
25#
! rad
4
25π
ตอบ มุมเฟสที่เวลา t = 2.0 s มีค่า เรเดียน
4
#
วิธีทำา ค. ากสมการ x ! (2 m) sin(3# t " ) ได้ ! # 3" rad/s แล A = 2 m
4
ากสมการ amax ! " 2 A แทนค่า
amax ! (3" rad/s) 2 (2 m)
! 18" 2 m/s 2
ตอบ ความเร่งสงสุดมีค่าเท่ากับ 18 π 2 เมตรต่อวินาที2

วิธีทำา ง. ากสมการ v ! # A cos(#t " $ ) แล ากสมการที่โ ทย์กาหนดให้


"
ได้ A = 2 m, ! # 3" rad/s แล ! # ดังนั้น เขียนสมการได้เปน
4
# )&
v ! (3) rad/s)(2 m) cos % (3) rad/s)t " (
$ 4'
# )&
! 6) cos % 3) t " (
$ 4'
# )&
ตอบ สมการความเร็วที่เวลา t เปน v ! 6) cos % 3) t " (
$ 4'
วิธีทำา . ากข้อ ง. แล สมการ a ! " & A sin $&t # ' % แทนค่า ได้
2

$ *'
a ! " (3* rad/s) 2 (2 m) sin & (3* rad/s)t # )
% 4(
$ *'
! " 18* 2 sin & 3* t # )
% 4(
$ *'
ตอบ สมการความเร่งที่เวลา t เปน a ! " 18* 2 sin & 3* t # )
% 4(

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
60 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

32. อนุ าคหน่งมีการเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่ายรอบ ุด x = 0 ที่เวลา t = 0 อนุ าคมี


การกร ัด 0.0 เมตร แล ความเร็วเปนศนย์ ถ้าความถี่ของการเคลื่อนที่ 0.25 เ ิรตซ์ งหา
ก. คาบ ข. ความถีเ่ ชิงมุม ค. แอมพลิ ด ง. อัตราเร็วสงสุด . อัตราเร็วทีเ่ วลา t = 3.0 s
1
วิธีทำา ก. ากสมการ T = แทนค่า
f 1
T =
0.25 Hz
= 4s
ตอบ อนุ าคมีคาบเท่ากับ 4 วินาที

วิธีทำา ข. ากสมการ ! # 2" f แทนค่า


! # 2" (0.25 Hz)
# 0.5" rad/s
ตอบ อนุ าคมีความถี่เชิงมุมเท่ากับ 0.5 π เรเดียนต่อวินาที

วิธีทำา ค. ากสมการ v ! "$ A2 # x 2 แทนค่า v = 0 แล x = 0.02 m ได้

0 ! " $ A2 # 0.022
ดังนั้น A ! 0.02 m
ตอบ อนุ าคมีแอมพลิ ดเท่ากับ 0.02 เมตร

วิธีทำา ง. ากสมการ vmax ! " A แทนค่า ! # 0.5" rad/s แล A = 0.02 m ได้

vmax ! (0.5" rad/s)(0.02 m)


! 0.01" m/s
ตอบ อนุ าคมีอัตราเร็วสงสุดเท่ากับ 0.01 π เมตรต่อวินาที

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 61

วิธีทำา . ากสมการ v = ω A cos(ωt + φ )


แทนค่า A = 0.02 m, ω = 0.5π rad/s ได้ v = 0.01π cos(0.5π t + φ )
ากโ ทย์ที่ t = 0 ความเร็วเปนศนย์ (v = 0 แทนค่า ได้

0 = 0.01π cos(0.5π (0) + φ )


ดังนั้น cos(φ ) = 0
π
φ =
2
 π
เขียนสมการใหม่ได้เปน v = 0.01π cos  0.5π t +  แทนค่า
 2
 π
ได้ v = 0.01π cos  0.5π (3.0 s) + 
 2
= 0.01π m/s
ตอบ อนุ าคมีอัตราเร็วที่เวลา t = 3.0 s เท่ากับ 0.01 π เมตรต่อวินาที

33. อนุ าคหน่งเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย มีการกร ัดดังสมการ


π
y = (1.0 m) cos(10t − ) งหา
6
ก. ความถี่ ข. การกร ัดสงสุด ค. ความเร็วสงสุด ง. ความเร่งสงสุด
. การกร ัด ความเร็วแล ความเร่งที่เวลา t = 2.0 s
 π
วิธีทำา ก. าก cos (q ) เท่ากับ sin  θ +  ดังนั้นเขียนสมการใหม่ได้เปน
 2
 π π
y = (1.0 m) sin 10t − + 
 6 2
ากสมการสามารถบอกได้ว่า A = 1.0 m, w = 10 rad/s
ากสมการ ω = 2π f ได้
ω
f =

10 rad/s
แทนค่า =

5
= Hz
π
ตอบ อนุ าคมีความถี่เท่ากับ
5 เ ิรตซ์
π

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
62 บทที่ 8 | การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ฟิสิกส์ เล่ม 3

วิธีทำา ข. การกร ัดสงสุดมีค่าเท่ากับ 1.0 เมตร


ตอบ อนุ าคมีการกร ัดสงสุดเท่ากับ 1.0 เมตร

วิธีทำา ค. ากสมการ vmax ! A" แทนค่า


vmax = (1.0 m)(10 rad/s)
= 10 m/s
ตอบ อนุ าคมีความเร็วสงสุดเท่ากับ 10 เมตรต่อวินาที

วิธีทำา ง. ากสมการ amax ! A" 2 แทนค่า


amax = (1.0 m)(10 rad/s) 2
= 100 m/s 2
ตอบ อนุ าคมีความเร่งสงสุดเท่ากับ 100 เมตรต่อวินาที2

* *
วิธีทำา . ากสมการ y ! (1.0 m) sin $&10t " # ') สามารถเขียนให้อย่ในรปความเร็ว
% 6 2(
$ * *'
ได้เปน v y ! (1.0 m)(10) cos &10t " # ) แล เขียนในรปความเร่งได้เปน
% 6 2(
$ * *'
a y ! " (1.0 m)(100) sin &10t " # ) แทนค่า ในสมการ ได้
% 6 2(
$ * *'
การกร ัด y ! (1.0 m) sin &10(2.0 s) " # )
% 6 2(
! 0.81 m
$ * *'
ความเร็ว v y ! (1.0 m)(10) cos &10(2.0 s) " # )
% 6 2(
! " 5.87 m/s

$ * *'
ความเร่ง a y ! " (1.0 m)(100) sin &10(2.0 s) " # )
% 6 2(
! " 81 m/s 2
ตอบ การกร ัด ความเร็วแล ความเร่งที่เวลา t = 2.0 s เท่ากับ 0.81 เมตร
-5.87 เมตรต่อวินาที แล -81 เมตรต่อวินาที2

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 63

9
บทที่ คลืน

ipst.me/8839

ผลการเรียนรู้

1. อ ิบายปราก การณ์คลื่น ชนิดของคลื่น ส่วนปร กอบของคลื่น การแ ่ของหน้าคลื่นด้วยหลัก


การของ อยเกนส์ แล การรวมกันของคลื่นตามหลักการซ้อนทับ พร้อมทั้งคานวณอัตราเร็ว
ความถี่ แล ความยาวคลื่น
2. สังเกตแล อ บ
ิ ายการส ท้อน การหักเห การแทรกสอด แล การเลีย้ วเบนของคลืน
่ วิ น้า รวมทัง้
คานวณปริมาณต่าง ทีเ่ กีย่ วข้อง

การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้

ผลการเรียนรู้
1. อ ิบายปราก การณ์คลื่น ชนิดของคลื่น ส่วนปร กอบของคลื่น การแ ่ของหน้าคลื่นด้วย
หลักการของ อยเกนส์แล การรวมกันของคลื่นตามหลักการซ้อนทับ พร้อมทั้งคานวณ
อัตราเร็ว ความถี่ แล ความยาวคลื่น

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อ ิบายปราก การณ์คลื่น แล ลักษณ ที่สาคัญของคลื่นชนิดต่าง
2. อ ิบายองค์ปร กอบต่าง ของคลื่น
3. ร บุป ัยที่มี ลต่ออัตราเร็วคลื่นในตัวกลาง
4. อ ิบายความสัมพัน ์ร หว่างอัตราเร็ว ความถี่แล ความยาวคลื่นแล คานวณปริมาณต่าง
ที่เกี่ยวข้อง
5. อ ิบายการแ ่ของหน้าคลื่นโดยใช้หลักการของ อยเกนส์
6. อ ิบายการรวมกันของคลื่นโดยอาศัยหลักการซ้อนทับ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
64 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การสังเกต (คลืน
่ ในขดลวด 1. การสื่ อ สารสารสนเทศ 1. ความอยากร้อยากเห็น
สปริง คลื่น ิวน้า) แล การร้เท่าทันสื่อ
2. การตี ค วามหมายข้ อ มล 2. ความร่วมมือ การทางาน
แล ลงข้อสรุป (โดยอาศัย เปนทีมแล าว ้นา
ความร้ ากการเกิ ด คลื่ น
หลักการของคลื่น
ส่วนปร กอบของคลื่น)
3. ก า ร ใ ช้ า น ว น ( ก า ร
คานวณปริมาณต่าง ที่
เกี่ ย วกั บ อั ต ราเร็ ว คลื่ น
ความสั ม พั น ์ ร หว่ า ง
อัตราเร็วคลืน
่ ความยาวคลืน

แล ความถี่คลื่น เฟสแล
ความต่างเฟสของคลื่น)

ผลการเรียนรู้
2. สังเกตแล อ ิบายการส ท้อน การหักเห การแทรกสอด แล การเลี้ยวเบนของคลื่น ิวน้า
รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ทดลอง สังเกต แล อ บ
ิ ายการส ท้อน การหักเห การเลีย้ วเบน การแทรกสอดของคลืน
่ วิ น้า
รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ที่เกี่ยวข้อง
2. สังเกตแล อ ิบายการเกิดคลื่นนิ่ง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 65

ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์


วิทยาศาสตร์

1. การสั ง เกต (พ ติ ก รรม 1. การสื่ อ สารสารสนเทศ 1. ความซื่อสัตย์


ของคลื่น) แล การร้เท่าทันสื่อ 2. ความมุ่งมั่นอดทน
2. การทดลอง 2. ความร่วมมือ การทางาน
3. การตี ค วามหมายข้ อ มล เปนทีมแล าว ้นา
แล ลงข้อสรุป (พ ติกรรม
ของคลื่น)
4. การใช้ านวน (การคานวณ
การแทรกสอดของคลื่น
การเกิดคลืน
่ นิง่ )

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
66 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

ผังมโนทัศน์ คลื่น

คลื่น
ปราก การณ์ถ่ายโอนพลังงาน
นาไปอ ิบาย
การเกิดคลื่นแล การเคลื่อนที่ของคลื่น

นาไปพิ ารณา

ชนิดของคลื่น
ตามการอาศัย
ตัวกลาง ตามการเคลื่อนที่ ตามความต่อเนื่อง
ของอนุ าคตัวกลาง ของการเคลื่อนที่

คลื่นแม่เหล็ก
คลื่นกล คลื่นตามขวาง คลื่นตามยาว คลื่นดล คลื่นต่อเนื่อง
ไฟฟา

คลื่นรปไซน์ คลื่นในเส้นเชือก คลื่น ิวน้า


ใช้ศกษา
นาไปแสดง
อัตราเร็วของคลื่น ใช้อ ิบาย หลักการของ
ส่วนปร กอบคลื่น
ข้นกับตัวกลาง อยเกนส์

นาไปหา

ใช้แสดง
ความสัมพัน ์ หลักการซ้อนทับ
ความต่างเฟสตามร ย ทาง
ร หว่างอัตราเร็ว ความถี่
การเคลื่อนที่
แล ความยาวคลื่น

นาไปแสดงแล อ ิบาย

พ ติกรรมของคลื่น

การส ท้อนของคลื่น การหักเหของคลื่น การแทรกสอดของคลื่น การเลี้ยวเบนของคลื่น


ใช้อ ิบาย

คลื่นนิ่ง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 67

สรุปแนวความคิดสำาคัญ
คลื่นเปนปราก การณ์ถ่ายโอนพลังงาน ากที่หน่งไปยังที่หน่งโดยอาศัยตัวกลางเรียกว่า คลื่นกล โดย
แหล่งพลังงานซ่งทาหน้าทีเ่ ปนแหล่งกาเนิดคลืน
่ เมือ
่ พลังงานแ อ
่ อกไปทาให้ตวั กลางมีการเคลือ
่ นทีก
่ ลับไป
กลับมา หลัง ากคลื่น ่านไปแล้วตัวกลาง ไม่เคลื่อนที่ไปกับคลื่น กรณีที่ทิศการเคลื่อนที่ของตัวกลางอย่
ในแนวขนานกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น เรียกว่าคลื่นตามยาว ถ้าทิศการเคลื่อนที่ของตัวกลางทามุมฉาก
กับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น เรียกว่าคลื่นตามขวาง การทาให้เกิดข้นในช่วงเวลาสั้น เรียกว่าทาให้
เกิดคลื่นดล แต่ถ้าทาให้เกิดคลื่นต่อเนื่องเปนเวลานาน เรียกว่าทาให้เกิดคลื่นต่อเนื่อง คลื่นที่กล่าวมา
เปนคลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางแล แหล่งกาเนิดคลื่นเปนพลังงานกล ัดเปนคลื่นกล สาหรับคลื่นที่ไม่ต้อง
อาศั ย ตั ว กลางสามารถถ่ า ยโอนพลั ง งานของสนามแม่ เ หล็ ก แล สนามไฟฟา ่ า นสุ ญ ญากาศโดยการ
เปลีย่ นแปลงค่าสนามแม่เหล็กแล สนามไฟฟากลับไปกลับมาในทิศตัง้ ฉากกับทิศทางการเคลือ
่ นทีข
่ องคลืน

ัดเปนคลื่นแม่เหลกไฟฟา
ในขณ ทีม
่ ก
ี ารรบกวนตัวกลางด้วยคาบสม่าเสมอ เกิดคลืน
่ า่ นตัวกลางทาให้อนุ าคของตัวกลางสัน

มีคาบการสั่นเท่ากับคาบของการรบกวน เมื่ออนุ าคของตัวกลางสั่นหน่งรอบทาให้เกิดคลื่น ่านตัวกลาง
หน่งลก ดังนั้นคลื่น งมีความถี่เท่ากับความถี่แหล่งกาเนิดคลื่น
แอมพลิ ดของคลื่นเท่ากับแอมพลิ ดของอนุ าค เฟสของคลื่นเท่ากับเฟสของอนุ าค สาหรับคลื่น
ตามขวาง ตาแหน่งที่อนุ าคอย่ที่ตาแหน่งสงสุดเรียกว่าสันคลื่น แล ตาแหน่งที่อนุ าคอย่ที่ตาแหน่งต่าสุด
เรียกว่าท้องคลื่น ร ย ทางที่คลื่นแ ่ออกไปในเวลาหน่งคาบ (T) เท่ากับความยาวคลื่น ( l ) อัตราเร็วของ
λ
คลื่น (v) งเปนไปตามความสัมพัน ์ v = หรือ v = f λ เมื่อคลื่น ่านตัวกลางที่ต่าง ากเดิมอัตราเร็ว
T
เปลี่ยนไปเนื่อง ากอัตราเร็วของคลื่นข้นอย่กับสมบัติของตัวกลาง
หลักการทีอ
่ บ
ิ ายการแ ค
่ ลืน
่ า่ นตัวกลางคือหลักการของฮอยเกนส์ ซ่งกล่าวว่าแต่ล ด
ุ บนหน้าคลืน

เปนแหล่งกาเนิดแบบ ด
ุ ทาให้เกิดคลืน
่ หน้าวงกลมใหม่ซง่ ส่งคลืน
่ ออกไป โดยคลืน
่ ใหม่มอ
ี ต
ั ราเร็วแล ความถี่
เท่ากับคลืน
่ เดิม เมื่อคลืน
่ สองคลื่นพบกัน คลืน
่ รวม มีค่าตามหลักการซ้อนทับ โดยคลื่นรวมมีการกร ัด
เท่ากับ ลรวมของการกร ด
ั ของแต่ล คลืน
่ กรณีทก
ี่ ารกร ด
ั ของคลืน
่ ทัง้ สองอย่ในทิศเดียวกันคลืน
่ รวม
แบบเสริม กรณีที่การกร ัดของคลื่นทั้งสองอย่ในทิศตรงข้ามกันคลื่น รวมแบบหักล้าง
คลืน
่ หน่งคลืน
่ เคลือ
่ นที่ า่ นตัวกลางหน่งไปส่อก
ี ตัวกลางหน่ง เมือ
่ กร ทบ วิ รอยต่อของตัวกลาง คลืน

แสดงพ ติกรรมสองพ ติกรรมคือ คลืน
่ ส่วนหน่งส ท้อนกลับในตัวกลางเดิม เรียกว่าคลืน
่ ส ท้อน ซ่งคลืน
่ ที่
ส ท้อนกลับมาในตัวกลางเดิม มีอัตราเร็วแล ความถี่เดิม การส ท้อนของคลื่นเปนไปตามก การส ท้อน
เรียกพ ติกรรมนี้ว่าการส ท้อนของคลื่น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
68 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

คลืน
่ อีกส่วนหน่งเคลือ
่ น า่ นเข้าไปในอีกตัวกลางหน่ง เรียกว่าคลืน
่ หักเห คลืน
่ ที่ า่ นเข้าไปในอีกตัวกลาง
หน่งมีอัตราเร็วของคลื่นเปลี่ยนไปโดยความถี่คลื่นคงเดิม ทิศทางของคลื่นอา เปลี่ยนไป ากเดิม เรียก
พ ติกรรมนีว้ า่ การหักเหของคลืน
่ พ ติกรรมนีส
้ ามารถอ บ
ิ ายได้ดว้ ย ก การหักเห ซ่งมีความสัมพัน ต
์ าม
sin !1 v1
"
sin !2 v2
เมื่อคลื่นสองคลื่นเคลื่อนที่สวนทางมาพบกัน เกิดการรวมกันตามหลักการซ้อนทับของคลื่นเรียกว่า
การแทรกสอดของคลืน
่ ถ้าคลืน
่ ทีม
่ ารวมกันมีความถีเ่ ท่ากัน แอมพลิ ดเท่ากัน ตาแหน่งทีร่ วมกันแบบเสริม
คลืน
่ รวมมีแอมพลิ ดสงสุด อนุ าคของตัวกลางสัน
่ กลับไปกลับมามีการกร ด
ั มากทีส่ ด
ุ เรียกตาแหน่งนัน
้ ว่า
ป ิบัพ( ) แล ตาแหน่งที่รวมกันแบบหักล้าง คลื่นหักล้างกันหมดทาให้อนุ าคของตัวกลางไม่มี
การสัน
่ เรียกตาแหน่งนัน
้ ว่า บัพ (node) แล ดเหมือนคลืน
่ รวมไม่มก
ี ารเคลือ
่ นที่ เรียกว่าคลืน
่ นิง่ (standing
waves) สาหรับแหล่งกาเนิดคลืน
่ ทีอ
่ ย่ในตัวกลางเดียวกันมีความถีเ่ ท่ากัน แอมพลิ ดเท่ากัน ความยาวคลืน

เท่ากัน มีเฟสเริ่มต้นตรงกัน ัดเปนแหล่งกาเนิดอาพัน ์ (coherent sources) การแทรกสอดของแหล่ง
กาเนิดคลื่นนี้ เกิดคลื่นนิ่ง ถ้ากาหนดให้ S1 แล S2 เปนแหล่งกาเนิดคลื่นแบบ ุด ุด P แล Q เปน
ตาแหน่งที่เปนป ิบัพแล บัพ ตามลาดับ |S1P-S2P| หรือ |S1Q-S2Q| เรียกว่า ลต่างร ย ทาง ∆r
(path different) มี ค วามสั ม พั น ตามสมการ |S 1P-S 2P|v ! nf " เมื่ อ n = 0, 1, 2, 3, ... แล
# 1&
S1Q ! S 2Q " % n ! ( ) เมื่อ n = 1, 2, 3, ...
$ 2'
เมือ่ คลืน
่ หน่งคลืน
่ เคลือ่ นทีก่ ร ทบขอบของสิง่ กีดขวางหรือ า่ นช่องแคบ คลืน
่ สามารถอ้อมไปทางด้านหลัง
ของสิ่งกีดขวางได้ ซ่งอ ิบายได้ด้วยการแ ่ของหน้าคลื่นตามหลักของ อยเกนส์ เรียกพ ติกรรมนี้ว่า
การเลี้ยวเบนของคลื่น
เวลาที่ใช้
บทนี้ควรใช้เวลาสอนประมา 20 ชั่วโมง

9.1 รรมชาติของคลื่น 3 ชั่วโมง


9.2 อัตราเร็วของคลื่น 3 ชั่วโมง
9.3 หลักการที่เกี่ยวกับคลื่น 3 ชั่วโมง
9.4 พ ติกรรมของคลื่น 11 ชั่วโมง

ความรู้ก่อนเรียน

การเคลื่อนที่แนวตรง การเคลื่อนที่แบบ าร์มอนิกอย่างง่าย

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 69

ครนาเข้าส่บทที่ 9 โดยให้นักเรียนด าพนาบทแล้วให้อ ิปรายร่วมกันเกี่ยวกับคลื่นคืออ ไร คลื่นเกิด


ได้อย่างไร คลื่นเคลื่อนที่ไปได้อย่างไรแล มีสิ่งใดเคลื่อนที่ไปกับคลื่น โดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง
ครชี้แ งคาถามสาคัญที่นักเรียน ต้องตอบได้หลัง ากการเรียนร้บทที่ 9 แล หัวข้อต่าง ที่นักเรียน
ได้เรียนร้ในบทที่ 9

9.1 ธรรมชาติของคลื่น
จุดประสงค์การเรียนรู้
. อ ิบายปราก การณ์คลื่น แล ลักษณ ที่สาคัญของคลื่นชนิดต่าง
2. อ ิบายองค์ปร กอบต่าง ของคลื่น

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 9.1 โดย ใช้คาถามเพือ
่ ให้นก
ั เรียนตอบเกีย่ วกับคลืน
่ ว่า คลืน
่ คืออ ไร แล้วอ ป
ิ รายร่วม
กันเพือ
่ ตอบคาถาม โดยเปดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบทีถ
่ กต้อง าก
นั้นครใช้รป 9.1 ในหนังสือเรียนหรือยกสถานการณ์ใกล้เคียงมาอ ิปรายร่วมกับนักเรียน นสรุปได้ว่า
ปราก การณ์ทม
ี่ ก
ี ารรบกวนเนือ
้ สาร ณ ด
ุ ใด ด
ุ หน่ง การรบกวนนี้ ถกส่งต่อไปยัง ด
ุ อืน
่ รอบ ทุกทิศทาง
พร้อมกับพาพลังงานไปด้วย โดยทีอ่ นุ าคของเนือ้ สารทีถ่ กรบกวนไม่เคลือ่ นทีต
่ ามไปกับการถ่ายโอนพลังงาน
ปราก การณ์นี้เรียกว่าคลื่น

9.1.1 การเกิดคลื่น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

1. คลื่นทุกชนิดต้องอาศัยตัวกลางในการถ่าย 1. คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟาไม่ ต้ อ งอาศั ย ตั ว กลางใน


โอนพลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน

2. ตัวกลางเคลือ
่ นทีไ่ ปกับคลืน
่ 2. ตัวกลางไม่เคลือ
่ นทีไ่ ปกับคลืน
่ แต่ สัน
่ กลับไป
กลับมารอบตาแหน่งเดิม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
70 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

แนวการจัดการเรียนรู้
ครชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 1 หัวข้อ 9.1 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 9.1.1 โดยยกสถานการณ์การเกิดคลื่น ากหยดน้าดังรป 9.2 แล้วตั้งคาถาม
คลืน
่ เกิดข้นได้อย่างไร ให้นกั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกัน นสรุปได้วา่ การเกิดคลืน
่ ในรปมีหยดน้าเปนแหล่งกาเนิด
คลืน
่ เมือ
่ กร ทบ วิ น้ามีการถ่ายโอนพลังงานให้กบ
ั อนุ าคน้าซ่งเปนตัวกลางทาให้ วิ น้าถกรบกวนกร เพือ
่ ม
เปนลกคลื่น
ครอา ถามคาถามชวนคิดในหน้า 50 ให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกันโดยเปดโอกาสให้นักเรียนแสดง
ความเห็นอย่างอิสร นได้แนวคาตอบดังนี้

แนวคำาตอบชวนคิด

คลืน
่ ในสปริง คลืน
่ แ น
่ ดินไหว แล คลืน
่ เสียง สิง่ ใดเปนแหล่งกาเนิดคลืน
่ แล ตัวกลางทีท
่ าให้เกิดคลืน

เหล่านี้
แนวคำาตอบ คลืน
่ ในสปริง สิง่ ทีอ่ อกแรงส บัดสปริงเปนแหล่งกาเนิดคลืน
่ มีอนุ าคสปริงเปนตัวกลาง
ของคลืน

คลืน
่ แ น
่ ดินไหว เกิด ากการปลดปล่อยพลังงาน ากความเครียดทีเ่ ก็บอย่ในหินใต้ วิ โลก
อย่างทันทีทน
ั ใด มีแ น
่ เปลือกโลกเปนตัวกลางของคลื่น
คลืน
่ เสียง การสัน
่ ของวัตถุเปนแหล่งกาเนิดคลืน
่ อนุ าคของสารทีเ่ สียง า่ น เช่น อากาศ
น้า เหล็ก ล เปนตัวกลางของคลืน

ครตัง้ คาถามการถ่ายโอนพลังงานของวัตถุทเ่ี คลือ


่ นทีแ่ ล คลืน
่ มีขอ
้ แตกต่างกันอย่างไร แล้วอ ป
ิ ราย
ร่วมกัน นสรุปได้วา่ วัตถุเคลือ
่ นที่ นาพลังงานไปกับวัตถุ สาหรับคลืน
่ พลังงาน ถกถ่ายโอน ่านอนุ าค
ในตัวกลาง แล แม้ว่าอนุ าคในตัวกลาง มีการเคลื่อนที่ แต่ เคลื่อนที่กลับไปกลับมา ณ ตาแหน่ง
หน่ง เท่านัน
้ โดยไม่ได้เคลือ
่ นทีไ่ ปพร้อมกับการถ่ายโอนพลังงาน ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

9.1.2 ชนิดของคลื่น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. วีดิทัศน์การเกิดคลื่นในสปริง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 71

แนวการจัดการเรียนรู้
ครแ ้ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 1 ของหัวข้อ 9.1 ตามหนังสือเรียน ครเข้าส่หัวข้อ 9.1.2 โดย
ตัง้ คาถามว่า หากไม่มต
ี วั กลางแล้วคลืน
่ เกิดข้นได้หรือไม่ ให้นก
ั เรียนยกตัวอย่างคลืน
่ ทีร่ ้ ก
ั แล้วเขียนชือ
่ คลืน

บนกร ดาน ากนั้นแบ่งนักเรียนออกเปนกลุ่ม กลุ่มล 5-6 คน ให้แต่ล กลุ่มร บุตัวกลางของคลื่นบน
กร ดาน แล้วนานักเรียนอ ิปราย นสรุปได้ว่า เมื่อพิ ารณา ากการอาศัยตัวกลางหรือไม่อาศัยตัวกลาง
แบ่งคลื่นได้เปนคลื่นกลแล คลื่นแม่เหล็กไฟฟาตามลาดับ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ากนัน
้ ครให้นกั เรียนชมคลิปวีดท
ิ ศ
ั น์การเกิดคลืน
่ ในสปริง หรืออา ให้นกั เรียนทากิ กรรมลองทาด

กิจกรรมลองทำาดู คลื่นในสปริง

จุดประสงค์
ศกษาลักษณ ของคลื่นในสปริง

วัสดุและอุปกร ์
1. สปริง
2. เชือกหรือริบบิ้นยาวปร มาณ 5 เซนติเมตร

แนวคำาตอบคำาถามท้ายกิจกรรม

เมื่อส บัดปลายสปริงในแนวตั้งฉากกับตัวสปริง เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เชือกหรือริบบิ้น


เคลือ่ นทีอ
่ ย่างไร
แนวคำาตอบ เมื่อส บัดปลายสปริงในแนวตั้งฉากกับตัวสปริง เกิดคลื่นเคลื่อน ่านตัวสปริง
ากด้านที่มีการส บัดมือไปยังปลายอีกด้านหน่ง เชือกหรือริบบิ้นที่ กติดกับสปริง เคลื่อนที่
กลับไปกลับมาในแนวตั้งฉากกับตัวสปริง

เมื่ออัดปลายสปริงในแนวตามยาวของตัวสปริง เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เชือกหรือริบบิ้น


เคลื่อนที่อย่างไร
แนวคำาตอบ เมือ
่ อัดปลายสปริงในแนวตามยาวของตัวสปริง เกิดคลืน
่ เคลือ
่ น า่ นตัวสปริง าก
ด้านทีม
่ ก
ี ารอัดปลายสปริงไปยังปลายอีกด้านหน่ง เชือกหรือริบบิน
้ ที่ กติดกับสปริงเคลือ
่ นทีก
่ ลับ
ไปกลับมาในแนวตามยาวของตัวสปริง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
72 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

หลังดวีดิทัศน์หรือทากิ กรรมลองทาด ครตั้งคาถามว่าถ้าแบ่งคลื่นตามทิศการเคลื่อนที่ของอนุ าค


ตัวกลางกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น แบ่งชนิดคลื่นได้อย่างไร ให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน นสรุปได้ว่า
เมื่ อ อนุ าคตั ว กลางเคลื่ อ นที่ ตั้ ง ฉากกั บ ทิ ศ การเคลื่ อ นที่ ข องคลื่ น แล อนุ าคตั ว กลางเคลื่ อ นที่ ใ น
แนวขนานกับทิศการเคลือ
่ นทีข
่ องคลืน
่ เรียกว่า คลืน
่ ตามขวางแล คลืน
่ ตามยาว ตามลาดับ ตามรายล เอียด
ในหนังสือเรียน
ครอา ให้นักเรียนศกษาเกี่ยวกับความร้เพิ่มเติมในหนังสือเรียนหน้า 54 โดยครเปน ้ให้คาแน นา
ครถามว่าหากใช้ช่วงเวลารบกวนตัวกลางให้เกิดคลื่นเปนเกณฑ์ เช่น ทาให้เกิดคลื่นโดยส บัดหรือ
อัดปลายสปริงในช่วงสั้น กับการส บัดหรืออัดปลายสปริงหลาย ครั้งต่อเนื่องกัน แบ่งคลื่นที่เกิด
ข้นได้กี่ชนิด ให้นักเรียนอ ิปรายร่วมกัน นสรุปได้ว่า หากใช้ช่วงเวลารบกวนตัวกลางให้เกิดคลื่นเปน
เกณฑ์ แบ่งคลืน
่ ได้สองชนิด คือ รบกวนตัวกลางในช่วงเวลาสัน
้ เกิดคลืน
่ านวนหน่ง เช่น หน่งลกหรือ
สองลก แล รบกวนตัวกลางต่อเนื่อง เกิดคลื่น านวนมากต่อเนื่องกันไป เรียกคลื่นดลแล คลื่นต่อเนื่อง
ตามลาดับ
ากนั้นครให้นักเรียนพิ ารณารป 9.6 แล ร่วมกันอ ิปราย นสรุปได้ว่าในกรณีคลื่นต่อเนื่อง
การรบกวนเปนคาบสม่าเสมอ ทาให้เกิดคลื่นแบบไซน์ได้ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครอา ให้นักเรียนศกษาเกี่ยวกับความร้เพิ่มเติมในหนังสือเรียนหน้า 55 โดยครเปน ้ให้คาแน นา

9.1.3 ส่วนประกอบของคลื่น
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

แนวการจัดการเรียนรู้
ครแ ้ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 2 ของหัวข้อ 9.1 ตามหนังสือเรียน ครนาเข้าส่หัวข้อ 9.1.3
โดยยกสถานการณ์การทาให้เกิดคลืน
่ ตามขวางด้วยการส บัดปลายเชือก ดังรป 9.7 ในหนังสือเรียนแล้วให้
นักเรียนพิ ารณาลักษณ การสัน
่ แล เฟสของอนุ าคตัวกลางขณ เวลาต่าง าก 9.7ก. ถง 9.7 . นครบ
หน่งคาบซ่ง ทาให้เกิดคลืน
่ ในเชือกหน่งลกคลืน
่ ากนัน
้ อ ป
ิ รายร่วมกัน นสรุปได้วา่ านวนลกคลืน
่ ทีเ่ กิดข้น
เท่ากับ านวนรอบของการส บัดมือทาให้ความถีข
่ องคลืน
่ เท่ากับความถีข
่ องแหล่งกาเนิดคลืน
่ แล อนุ าค
ของเชือกมีการสั่นในแนวตั้งฉากกับทิศทางของคลื่น
ให้นก
ั เรียนใช้รป 9.8 ในหนังสือเรียน ศกษาส่วนปร กอบของคลืน
่ แล้วอ ป
ิ รายร่วมกัน นสรุปได้วา่
ส่ ว นปร กอบต่ า ง ของคลื่ น ปร กอบด้ ว ย สั น คลื่ น ท้ อ งคลื่ น แอมพลิ ดคลื่ น แล ความยาวคลื่ น
ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 73

ให้นักเรียนใช้รป 9.7 . ในหนังสือเรียน ศกษาเฟสของอนุ าคแล้วอ ิปรายร่วมกัน นสรุปได้ว่า


ใช้ เ ฟสของอนุ าคที่ สั่ น มาอ ิ บ ายเฟสของคลื่ น แล ตาแหน่ ง บนคลื่ น 2 ตาแหน่ ง ที่ อ ย่ ห่ า งกั น เท่ า กั บ
ความยาวคลื่น มีเฟสต่างกัน 360o หรือ 2π เรเดียน
ครให้นก
ั เรียนพิ ารณาการเคลือ
่ นทีข
่ องอนุ าคตัวกลางทีต
่ าแหน่งใด ตัง้ แต่คลืน
่ เริม
่ เคลือ
่ นที่ า่ น
นคลื่น ่านครบหน่งลกคลื่น แล้วร่วมกันอ ิปรายเขียนกราฟการกร ัดกับเวลา แล กราฟการกร ัด
กับเฟส นได้ข้อสรุปดังกราฟรป 9.9 ในหนังสือเรียน
ครให้นก
ั เรียนพิ าณาเปรียบเทียบการกร ด
ั ทิศทางการสัน
่ ของอนุ าคตัวกลางในคลืน
่ ทีต
่ าแหน่ง
ต่าง ร่วมกันอ ิปราย นสรุปได้ว่า อนุ าคที่เฟสต่างกันเปน านวนเต็มเท่าของ 2π หรืออย่ห่างกันเปน
านวนเต็มเท่าของ มีการสั่นข้นลงพร้อมกัน เรียก มีเฟสตรงกัน แล อนุ าคที่มีเฟสต่างกันเปน π 3
π 5 π … หรื อ อย่ ห่ า งกั น เปน 0.5 1.5 2.5 ... มี ก ารสั่ น ข้ น ลงในทิ ศ ตรงข้ า มกั น เรี ย ก
มีเฟสตรงข้ามกัน ดังรป 9.10ก. แล 9.10ข. ตามลาดับ ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครตั้งคาถามว่าถ้าสองตาแหน่งบนคลื่นอย่หา่ งกันเปนร ย ∆x ในแนวการเคลือ
่ นที่ของคลืน
่ หา
เฟสที่ต่างกันอย่างไร แล มีค่าเท่าใด ร่วมกันอ ิปราย นสรุปได้ตามสมการ (9.1) ในหนังสือเรียนแล้วให้
นักเรียนศกษาตัวอย่าง 9.1 โดยครเปน ้ให้คาแน นา
ครอา ให้นักเรียนสรุปเกณฑ์ที่ใช้แบ่งชนิดของคลื่นแล บอกชนิดของคลื่นที่ใช้เกณฑ์นั้นแบ่ง โดย
อา ให้สรุปเปนตารางที่นักเรียนออกแบบข้นเอง ากนั้นให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 9.1
ทั้งนี้อา มีการเฉลยคาตอบแล อ ิปรายคาตอบร่วมกัน

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับการเกิดคลื่น ากคาถามตรว สอบความเข้าใ
2. ทักษ การแก้ปญหาแล การสื่อสาร
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความมีเหตุ ล ากการอ ิปรายร่วมกัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
74 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 9.1

รปข้างล่างนี้แสดงรปร่างคลื่นดลในเส้นเชือกที่กาลังเคลื่อนที่ไปทางซ้าย

1. อนุ าคของเชือกตรง ุด A แล ุด B กาลัง เคลื่อนที่ไปในทิศทางใด (ซ้าย ขวา ลง หรือข้น)


แนวคำาตอบ ด
ุ A เคลือ่ นทีข่ น
้ แล ด
ุ B เคลือ่ นทีล่ ง ในทิศตัง้ ฉากกับการเคลือ่ นทีข่ องคลืน

2. คลื่นกลต่าง ากคลื่นแม่เหล็กไฟฟาอย่างไร
แนวคำาตอบ คลื่นกลเปนการถ่ายโอนพลังงานกลต้องอาศัยตัวกลาง คลื่นแม่เหล็กไฟฟาเปน
การถ่ายโอนพลังงานไม่ต้องอาศัยตัวกลาง

9.2 อัตราเรวของคลื่น
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ร บุป ัยที่มี ลต่ออัตราเร็วคลื่นในตัวกลาง
2. อ ิ บ ายความสั ม พั น ์ ร หว่ า งอั ต ราเร็ ว ความถี่ แ ล ความยาวคลื่ น แล คานวณปริ ม าณต่ า ง
ที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า
1. วีดิทัศน์การเกิดคลื่นในสปริง

แนวการจัดการเรียนรู้
ครนาเข้าส่หวั ข้อ 9.2 โดยนานักเรียนอ ป
ิ รายทบทวนเกีย
่ วกับอัตราเร็วเฉลีย
่ แล อัตราเร็วคงตัวแล้วตัง้
คาถามว่าเมื่อทาให้เกิดคลื่นเคลื่อนที่ไปในตัวกลาง อัตราเร็วคลื่นข้นอย่กับตัวกลางหรือไม่ สามารถหา
อัตราเร็วคลืน
่ ได้อย่างไร แล อัตราเร็วคลืน
่ เกีย่ วข้องกับส่วนปร กอบใดของคลืน
่ โดยเปดโอกาสให้นก
ั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสร ไม่คาดหวังคาตอบที่ถกต้อง แล้วชี้แ ง ุดปร สงค์การเรียนร้ของหัวข้อ 9.2

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 75

9.2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเรว ความถี่และความยาวคลื่น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง

. อัตราเร็วของคลืน
่ ในตัวกลางหน่งเปลีย่ นแปลง . อั ต ราเร็ ว คลื่ น ในตั ว กลางหน่ ง มี ค่ า คงตั ว ไม่
เมื่อความถี่หรือความยาวคลื่นเปลี่ยนแปลง เปลีย่ นแปลงตามการเปลีย่ นแปลงของความถี่
หรื อ ความยาวคลื่ น โดยหากความถี่ เ ปลี่ ย น
ความยาวคลื่น เปลี่ยนตาม แต่ ลคณของ
ความถี่กับความยาวคลื่นคงเดิม

แนวการจัดการเรียนรู้
ครแ ้ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 9.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 9.2.1 โดยตั้งคาถามว่าเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ไปในตัวกลางเราสามารถนาความร้
การหาอัตราเร็วเฉลีย่ ของวัตถุทวั่ ไปมาใช้หาสมการอัตราเร็วคลืน
่ กับปริมาณทีเ่ กีย่ วข้องได้อย่างไรให้นก
ั เรียน
s
อ ิปรายร่วมกันโดยใช้ความสัมพัน ์ v = ตามรายล เอียดในหนังสือเรียน นได้อัตราเร็วคลื่นสัมพัน ์
t
กับความถี่แล ความยาวคลื่นดังสมการ (9.2)
ครตั้ ง คาถามว่ า ากสมการอั ต ราเร็ ว คลื่ น ที่ ไ ด้ หากความถี่ ค ลื่ น เปลี่ ย นแปลงอั ต ราเร็ ว คลื่ น
เปลีย่ นแปลงอย่างไรให้นก
ั เรียนอ ป
ิ รายร่วมกัน นสรุปได้วา่ ในตัวกลางหน่งเมือ
่ เปลีย่ นค่าความถีข
่ องคลืน

ความยาวคลื่น เปลี่ยนแปลงตาม แต่ ลคณของความถี่แล ความยาวคลื่นยังคงเท่ากับอัตราเร็วเดิม
ากนั้นให้นักเรียนศกษาตัวอย่าง 9.2 แล 9.3 โดยครคอยให้คาแน นา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
76 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

9.2.2 อัตราเรวของคลื่นในตัวกลาง
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

แนวการจัดการเรียนรู้
ครแ ้ง ุดปร สงค์การเรียนร้ข้อที่ 3 แล 4 ของหัวข้อ 9.2 ตามหนังสือเรียน
ครนาเข้าส่หัวข้อ 9.2.2 โดยตั้งคาถามว่าการที่ ลคณความถี่กับความยาวคลื่นในตัวกลางหน่ง
มีค่าเท่าเดิมเสมอแสดงว่าอัตราเร็วคลื่นในตัวกลางข้นกับสิ่งใด อ ิปรายร่วมกัน นสรุปได้ว่า อัตราเร็วคลื่น
ข้นอย่กับสมบัติของตัวกลางคลื่นที่คลื่นเคลื่อนที่ ่าน ากนั้นครยกสถานการณ์คลื่นเคลื่อน ่านเชือกเส้น
เดียวกันทีม่ ค
ี วามตงต่างกันแล้วถามนักเรียนว่า อัตราเร็วคลืน่ ในเชือกเปนอย่างไร ครนาอ ปิ ราย นสรุปได้
ว่าอัตราเร็วคลื่นในเชือกข้นอย่กับความตงของเชือกโดยเชือกยิ่งตงคลื่น เคลื่อนที่ ่านไปได้เร็ว ครถาม
ต่อว่าเชือกที่มีแรงดงเท่ากันแต่มีค่าความหนาแน่นเชิงเส้น (มวลต่อหน่วยความยาว) ของเชือกต่างกัน
อัตราเร็วคลื่นในเชือก เปนอย่างไร อ ิปรายร่วมกัน นสรุปได้ว่าเชือกที่มีแรงดงเท่ากันคลื่น เคลื่อนที่
่านเส้นเชือกที่มีความหนาแน่นเชิงเส้นสงได้ช้ากว่า แล้วให้ศกษาตัวอย่าง 9.4 โดยครคอยให้คาแน นา
ครนาอ ิปรายเน้นย้าสมการอัตราเร็วของเชือกตามสมการ (9.2) มีค่าไม่ข้นกับความถี่ของการ
ส บัดตามรายล เอียดในหนังสือเรียน
ครอา ให้นักเรียนศกษาเกี่ยวกับความร้เพิ่มเติมในหนังสือเรียนหน้า 64 โดยครเปน ้ให้คาแน นา
ครตั้งคาถามว่าแอมพลิ ดของคลื่นในเชือกแตกต่างกันเกิด ากอ ไร แล หมายถงสิ่งใดในคลื่น ให้
นักเรียนร่วมกันอ ป ิ ราย นสรุปได้วา่ คลืน
่ ทีม
่ แี อมพลิ ดแตกต่างกันเกิด ากการส บัดให้มกี ารกร ดั ต่าง
กัน โดยแอมพลิ ดมากกว่าเมื่อส บัดด้วยการกร ัดมากกว่าซ่งต้องใช้พลังงานมากกว่า ดังนั้นแอมพลิ
ดมากกว่าหมายถงต้องทางานหรือให้พลังงานแก่เชือกมากกว่าทาให้พลังงานที่ถ่ายโอนไปพร้อมกับการ
เคลื่อนที่ของคลื่นมากกว่า ค่าพลังงานที่คลื่นถ่ายโอนไป งสัมพัน ์กับแอมพลิ ดของคลื่นตามรายล เอียด
ในหนังสือเรียน
หลัง ากนั้นให้นักเรียนตอบคาถามตรว สอบความเข้าใ 9.2 ทั้งนี้อา มีการเฉลยแล อ ิปราย
วิ ีการคิดหาคาตอบร่วมกัน

แนวการวัดและประเมินผล
1. ความร้เกี่ยวกับความสัมพัน ์ร หว่างอัตราเร็วคลื่น ความถี่ แล ความยาวคลื่น ากคาถาม
ตรว สอบความเข้าใ 9.2
2. ทั ก ษ การแก้ ป ญหาแล การใช้ านวน ากการคานวณปริ ม าณต่ า ง ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ
ส่วนปร กอบของคลื่น
3. ิตวิทยาศาสตร์ด้านความอยากร้อยากเห็น ากการอ ิปรายร่วมกัน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 77

แนวคำาตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 9.2

1. ด้านล่างแสดงรปร่างคลื่นดลในเส้นเชือกที่กาลังเคลื่อนที่ไปทางขวาด้วยอัตราเร็ว
100 เซนติเมตรต่อวินาที โดยในรป แสดงเฉพา รปร่างคลื่นที่เวลา t = 0.01 s เท่านั้น
ก. งวาดรปร่างคลื่นที่เวลา t = 0.00 s, 0.02 s, 0.03 s แล 0.04 s
ข. อนุ าคของเชือกที่ ด
ุ A, B, C, D, E แล F มีคา่ การกร ด
ั เท่าใด ร หว่างเวลา t = 0.01 s
กับ t = 0.03 s การกร ัดเปนปริมาณเวกเตอร์ ต้องร บุทั้งขนาดแล ทิศทาง
y
t
x(cm)

t
x (cm)

t
x (cm)

t
x(cm)

t
x(cm)

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
78 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

แนวคำาตอบ ก. เนื่อง ากคลื่นมีอัตราเร็ว 100 เซนติเมตรต่อวินาที


เวลา า่ นไป 0.01 วินาที งเคลือ
่ นทีไ่ ด้ทางเท่ากับ 100 0.01 = 1 เซนติเมตร
ดังนัน
้ รปทีว่ าดทุกรปลกคลืน
่ เหมือนเดิมแต่รปทีเ่ วลา 0.00 วินาที ด
ุ B อย่ที่ 1 เซนติเมตร
ที่เวลา 0.02 s 0.03 s แล 0.04 s ุด B อย่ที่ร ย 3 4 แล 5 เซนติเมตรตามลาดับ

y
t
x (cm)

t
x (cm)

t
x (cm)

t
x (cm)

t
x (cm)

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 79

แนวคำาตอบ ข. ร ย เวลา าก t = 0.01 s ถง t = 0.03 s ใช้เวลาเท่ากับ


0.03-0.01 = 0.02 วินาที
คลื่นเคลื่อนที่ได้ร ย ทางเท่ากับ 100 0.02 = 2 เซนติเมตร ไปทางขวา
อนุ าคเชือกที่ ุด A มีการกร ัดเปนศนย์ตลอดเวลา
อนุ าคเชือกที่ ุด B มีการกร ัดเปนศนย์ตลอดเวลา
อนุ าคเชือกที่ ุด C มีการกร ัดลดลง าก 2 มิลลิเมตรเปน 0 มิลลิเมตร
อนุ าคเชือกที่ ุด D มีการกร ัดลดลง าก 2 มิลลิเมตรเปน 0 มิลลิเมตร
อนุ าคเชือกที่ ุด E มีการกร ัดเพิ่มข้น าก 0 มิลลิเมตรเปน 2 มิลลิเมตร
อนุ าคเชือกที่ ุด F มีการกร ัดเปนศนย์ตลอดเวลา

2. พิ ารณาเชือกหนาทีม
่ ค
ี วามหนาแน่นเชิงเส้น
สม่ าเสมอ ถกนามาห้ อ ยลงมา ากเพดาน
ดังรป เมือ
่ เราส บัดปลายเชือกด้านล่างให้เกิด
คลื่ น ดล คลื่ น ดลนี้ เคลื่ อ นที่ ข้ น ไปตาม
แนวเชื อ ก ขณ ที่ ค ลื่ น เคลื่ อ นที่ ข้ น นั้ น
อัตราเร็วของคลืน
่ มีการเปลีย่ นแปลงหรือไม่
ถ้าเปลีย่ น คลืน
่ ดลนีเ้ คลือ
่ นทีเ่ ร็วข้นหรือช้าลง
ก่อนที่ ชนเพดาน
แนวคำาตอบ อัตราเร็วของคลื่นมีการเปลี่ยนแปลง โดยคลื่นดลนี้เคลื่อนที่เร็วข้น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
80 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

3. พิ ารณาเชือกเส้นหน่งที่มีแรงดงเชือกเท่า
กันตลอดเส้น ถ้าเราทาให้มค
ี ลืน
่ ดลเคลือ
่ นที่ v
่ า นเชื อ กเส้ น นี้ ใ น 3 ลั ก ษณ ที่ ต่ า งกั น
ดังแสดงในรปด้านขวา คลื่นหมายเลขใด
มีอัตราเร็วมากที่สุด แล คลื่นหมายเลขใด
v
มีพลังงานมากที่สุด

v
แนวคำาตอบ อั ต ราเร็ ว ของคลื่ น ในเส้ น เชื อ กทั้ ง สามหมายเลขมี อั ต ราเร็ ว เท่ า กั น โดยคลื่ น
หมายเลขสามมีพลังงานมากที่สุด
เชือกเส้นเดียวกันแรงตงเท่ากันตลอดเส้นแสดงว่าอัตราเร็วคลืน
่ ในเชือกเส้นนีเ้ ท่า
กันเพรา สมบัติของเชือกเหมือนกันตลอดเส้น คลื่นในรปที่ 3 แอมพลิ ดมากที่สุดแสดงว่ามี
พลังงานมากที่สุด

4. รปด้านขวาแสดงคลื่น าร์มอนิกเคลื่อนที่ไปทาง สันคลื่นนี้ก ลังเคลื่อนที่ไปทางขวา


ขวา โดยรปบนสุ ด แสดงที่ เ วลาเริ่ ม ต้ น t 0=0 y v
A
ลกศรสี ด าชี้ ต าแหน่ ง ของ ุ ด สงสุ ด ของคลื่ น

ุ หน่งซ่งเลือ
่ นทีไ่ ปทางขวา งร บุวา่ เวลา t1, t2 t 0= 0 0 x
λ 2λ
มีค่าเปนกี่เท่าของคาบคลื่น -A
T
แนวคำาตอบ t1 เท่ากับ แล t2 เท่ากับ A
4
T
t1 = ? 0 x
2 λ 2λ
-A

t2 = ? 0 x
λ 2λ
-A

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 81

5. พิ ารณาคลื่นรปไซน์ด้านล่างนี้ โดยเปนคลื่นที่เคลื่อนที่ไปทางขวาด้วยอัตราเร็ว
25 เซนติเมตรต่อวินาที งวาดรปคลื่นไซน์นี้ที่เวลาอื่น ตามร บุในรป

y
t

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
82 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

แนวคำาตอบ

y
t

คลื่นมีอัตราเร็ว 25 เซนติเมตรต่อวินาที
ดังนั้นเวลา 0.1 วินาทีเคลื่อนที่ได้ร ย ทางเท่ากับ 25 × 0.1 = 2.5 เซนติเมตร
พิ ารณารปสเกลตามแกน x ขนาด 1 ช่องเท่ากับ 2.5 เซนติเมตร
ลกคลื่นที่วาด งเลื่อนไปทางขวา 1 ช่องทุกเวลาที่เพิ่มข้น 0.1 วินาที

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 บทที่ 9 | คลื่น 83

6. พิ ารณาคลืน
่ รปไซน์ดา้ นล่าง งหาว่า ด
ุ B C D E แล F ห่าง าก ด
ุ A เปนร ย ในแนวนอน
เท่ากับกี่เท่าของความยาวคลื่นนี้ แล มีค่าเฟสต่าง าก ุด A เท่าใด
y (cm)
B E
20

10

A C D F
0 x (cm)
3.0 6.0 9.0 12
-10

-20
5 3
แนวคำาตอบ ุด B C D E แล F ห่าง าก ุด A เปนร ย ตามลาดับ
4 2 4 2
แล ุด B C D E แล F มีเฟสต่าง าก ุด A เท่ากับ 90o 180o 360o 450o แล 540o
ตามลาดับ

7. เมื่อทาให้เกิดคลื่นในเส้นเชือกที่มีความถี่ 50 เ ิรตซ์ แล วัดค่าความยาวคลื่นของคลื่นนี้ได้


1.2 เมตร ถ้าทาให้เกิดคลื่นในเส้นเชือกเดิมนี้ โดยคลื่นมีความถี่ 60 เ ิรตซ์แทนอัตราเร็วแล
ความยาวคลื่นนี้ มีค่าเปลี่ยนไป หรือไม่ อย่างไร
แนวคำาตอบ อัตราเร็วของคลืน
่ ในเชือกมีคา่ เท่าเดิมเท่ากับ 60 เมตรต่อวินาที แต่ความยาวคลืน

เปลี่ยนไปเปน 1 เมตร

8. สันคลื่นกับท้องคลื่นที่อย่ถัดกันมีเฟสต่างกันกี่องศา
แนวคำาตอบ มีเฟสต่างกัน 180o หรือ π เรเดียน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
84 บทที่ 9 | คลื่น ฟิสิกส์ เล่ม 3

9. พิ ารณาคลื่นรปไซน์ด้านล่างนี้ งวาดรปของคลื่นไซน์อีก 2 คลื่น โดยคลื่นแรกมีความยาวคลื่น


เท่ากันกับคลืน
่ ด้านบนสุดแต่มแี อมพลิ ดเปนคร่งหน่ง แล คลืน
่ ทีส่ องมีแอมพลิ ดเท่ากันกับคลืน

บนสุดแต่มีความยาวคลื่นเปนคร่งหน่ง
y

แนวคำาตอบ y

0.5

x
0.5

ครอา ให้นก
ั เรียนศกษาเกีย่ วกับความร้เพิม
่ เติมในหนังสือเรียนหน้า 69 โดยครเปน ใ้ ห้คาแน นา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 85

9.3 ลกก เก ก ล
ส ์ก เ
1. อธิบายการแผ่ของคลื่นโดยใช้หลักการของฮอยเกนส์
2. อธิบายการรวมกันของคลื่นโดยอาศัยหลักการซ้อนทับ

ก ก เ
ครูนาำ เข้าสูห
่ วั ข้อ 9.3 โดยตัง้ คำาถามว่าคลืน
่ มีลกั ษณะแตกต่างกันตามชนิดของคลืน
่ และชนิดของตัวกลาง
ทีค
่ ลืน
่ เดินทางผ่าน เราจะสามารถอธิบายปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ของคลืน
่ แต่ละชนิด และคลืน
่ ในแต่ละตัวกลาง
ได้ด้วยหลักการเดียวกันหรือไม่ ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง

9.3.1 ลกก เก ส์
มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. หน้ า คลื่ น ที่ แ ผ่ อ อกไปเป็ น หน้ า คลื่ น เดิ ม ที่ 1. หน้าคลื่นที่แผ่ออกไปเป็นหน้าคลื่นใหม่ที่เกิด


เคลือ
่ นทีอ
่ อกไป จากแหล่งกำาเนิดคลืน
่ บนหน้าคลืน
่ เดิมแผ่ออก
ไปเสริมกัน

ก ก เ
ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 5 ของหัวข้อ 9.3 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 9.3.1 โดยยกสถานการณ์ที่ขว้างก้อนหินลงน้ำาแล้วตั้งคำาถามว่าเราจะอธิบาย
การแผ่ออกไปของวงคลื่นในน้ำาได้อย่างไร ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคำาตอบ
ที่ถูกต้อง จากนั้นให้นักเรียนทำากิจกรรม 9.1

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
86 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

กิ ก ม 9.1 ล ิ

ส ์
สังเกตและอธิบายหน้าคลื่น และทิศทางของคลื่นผิวน้ำา

ส ล ก ์
1. ชุดถาดคลื่น 1 ชุด
2. หม้อแปลงโวลต์ต่ำาพร้อมสายไฟ 1 ชุด
3. กระดาษขาว 1 แผ่น

่ ลก กิ ก ม

ก. คลื่นดลวงกลม ข. คลื่นดลเส้นตรง
9.1 ล ล

ค. คลื่นต่อเนื่องวงกลม ง. คลื่นต่อเนื่องเส้นตรง
9.2 ล ่ เ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 87

ม กิ ก ม

เมือ
่ ใช้ปลายดินสอ และไม้บรรทัดจุม
่ ลงในน้าำ 1 ครัง้ ภาพทีเ่ กิดขึน
้ บนกระดาษขาวเป็นอย่างไร
เมือ
่ ใช้ปลายดินสอจุม
่ ผิวน้าำ 1 ครัง้ เกิดภาพแถบวงกลมสีขาวบนกระดาษขาวใต้
ถาดคลื่นแถบเดียวแผ่ออกจากภาพของตำาแหน่งที่จ่ม
ุ ปลายดินสอ เสมือนกับตำาแหน่งภาพที่จ่ม

ปลายดินสอเป็นศูนย์กลางของวงกลม เมือ
่ ใช้ไม้บรรทัดจุม
่ ทีผ
่ วิ น้าำ ภาพทีเ่ กิดเป็นแถบเส้นตรงสี
ขาวเคลือ
่ นทีอ
่ อกจากภาพของตำาแหน่งทีจ่ ม
ุ่ ไม้บรรทัดออกไปทัง้ สองด้าน ด้านละแถบ

แถบสีดำาบนกระดาษขาวที่เกิดขึ้นจากการรบกวนผิวน้ำาอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนที่อย่างไร
เมือ่ ใช้ปม
ุ่ กำาเนิดคลืน
่ สัน
่ ทีผ
่ วิ น้าำ อย่างต่อเนือ่ งจะเกิดภาพแถบวงกลมสีดาำ สลับแถบ
วงกลมสีขาวแผ่ออกจากภาพปุ่มกำาเนิดคลื่นอย่างต่อเนื่อง โดยระยะห่างระหว่างแถบจะพอ ๆ
กัน
เมื่อใช้คานกำาเนิดคลื่นสั่นที่ผิวน้ำาอย่างต่อเนื่องจะเกิดแถบตรงสีดาำ สลับแถบตรง
สีขาวแผ่ออกไปทั้งสองด้านของคาน โดยมีระยะห่างระหว่างแถบพอ ๆ กัน

ิ ล ก กิ ก ม

ครูนาำ อภิปรายโดยให้นก
ั เรียนตอบคำาถามท้ายกิจกรรม แล้วอธิบายการสังเกตคลืน
่ ว่า ไม่สามารถ
สังเกตคลื่นผิวน้ำา จากการกระเพื่อมขึ้นลงของผิวน้ำาได้โดยตรง แต่จะดูจากภาพที่เป็นแถบสว่าง
แถบมืด บนกระดาษขาวซึง่ อยูบ
่ นพืน
้ โต๊ะใต้ถาดคลืน
่ แถบสว่างแถบมืดเกิดได้ดงั นี้ เมือ
่ รบกวนผิวน้าำ
น้าำ จะกระเพือ่ มโดยส่วนทีเ่ ป็นสันคลืน
่ ผิวน้าำ นูนขึน
้ ทำาหน้าทีค
่ ล้ายเลนส์นน
ู รวมแสงให้กระทบกระดาษ
ขาวด้านล่าง ทำาให้เกิดแถบสว่าง ส่วนที่เป็นท้องคลื่นผิวน้ำาเว้าลงทำาหน้าที่คล้ายเลนส์เว้ากระจาย
แสงให้กระทบกระดาษขาวด้านล่าง เกิดแถบมืด แถบเหล่านี้แทนหน้าคลื่นจริง แถบสว่างแทนสัน
คลื่นแถบมืดแทนท้องคลื่น จากนั้นให้ความรู้เรื่องหน้าคลื่น ทิศทางของคลื่น หลักของฮอยเกนส์
ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน แล้วให้นักเรียนแบ่งกลุ่มสรุปสาระในหัวข้อ 9.3.1 แล้วนำาเสนอ
ในห้องเรียนหรือส่งเป็นรายงาน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
88 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

9.3.2 ลกก
มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. เมื่อคลื่นพบกัน หลังจากผ่านพ้นกันคลื่นจะ 1. เมื่อคลื่นพบกัน หลังผ่านพ้นกันแล้วคลื่นยังคง


เปลีย่ นแปลงไป เหมือนเดิมทุกประการ

ก ก เ
ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 6 ของหัวข้อ 9.3 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 9.3.2 โดยยกสถานการณ์คลื่นสองคลื่นมาพบกัน ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่า
เมื่ อ ส่ ว นของลู ก คลื่ น ซ้ อ นทั บ กั น จะเกิ ด ผลอย่ า งไร และเมื่ อ เคลื่ อ นที่ ผ่ า นพ้ น กั น ไปแล้ ว คลื่ น ทั้ ง สอง
เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ อย่างไร เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระโดยไม่คาด
หวังคำาตอบทีถ ่ ก
ู ต้อง จากนัน ้ ให้นก ั เรียนร่วมกันอภิปรายจนสรุปได้วา่ เมือ ่ คลืน ่ มาพบกันจะรวมกันตามหลัก
การซ้อนทับของคลื่น หลังการซ้อนทับคลื่นทั้งสองยังคงสภาพเดิม ขณะที่ซ้อนทับกันมีการรวมแบบเสริม
และแบบหักล้างโดยใช้รป ู 9.13 ประกอบการอภิปราย ในกรณีคลืน ่ ทีแ่ อมพลิจด ู เท่ากันรวมแบบหักล้างกัน
จะมีจด ุ ทีอ่ นุภาคของตัวกลางไม่เคลือ ่ นทีโ่ ดยใช้รป
ู 9.14 ประกอบการอภิปราย รายละเอียดตามหนังสือเรียน
จากนั้นให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 9.5 แล้วหาตัวแทนนักเรียนจากอาสาสมัครหรือจากการสุ่มเพื่อ
อธิบายและแสดงวิธีคิดแก้ปัญหาตามตัวอย่าง โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรม ทั้งนี้
ครู เ ป็ น ผู้ ช่ ว ยในการแก้ ปั ญ หาตอบข้ อ สงสั ย ต่ า ง ๆ หรื อ บอกแนวคิ ด ที่ ถู ก ต้ อ งหากเกิ ด ความเข้ า ใจที่
คลาดเคลื่อน
ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายจนสรุปหัวข้อ 9.3 การแผ่ของคลื่นโดยใช้หลักการของฮอยเกนส์ และ
การรวมกันของคลืน
่ โดยใช้หลักการซ้อนทับ เปิดโอกาสให้นก
ั เรียนซักถามข้อสงสัยและจดบันทึกสาระสำาคัญ
ของหัวข้อ แล้วให้นก
ั เรียนตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 9.3 อาจให้ทาำ เป็นการบ้านแล้วนำามาอภิปราย
วิธีคิดเพื่อหาคำาตอบร่วมกัน

ก ล เมิ ล
1. ความรู้เกี่ยวกับหลักการของคลื่นจากคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 9.3
2. ทักษะการสื่อสารจากการอภิปรายและการนำาเสนอข้อสรุปหลักการของฮอยเกนส์
3. จิตวิทยาศาสตร์ด้านความมีเหตุผล จากการอภิปรายร่วมกัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 89

ม ส มเ 9.3

1. พิ จ ารณาหน้ า คลื่ น ระนาบ ณ เวลาเริ่ ม ต้ น t


y
t = 0 วินาที ทีก
่ าำ ลังเคลือ
่ นทีด
่ ว้ ยอัตราเร็ว
10 เซนติเมตรต่อวินาที ดังแสดงในรูปด้าน
ขวา ความยาวคลื่ น ของคลื่ น นี้ มี ค่ า เท่าใด
แนวของสันคลืน
่ กับแนวของท้องคลืน
่ อยู่ที่ ค่า y
เท่าใดบ้าง
พิจารณาจากรูปแนวหน้าคลื่น
อยู่ที่ระยะ y = -1 1 3 5 และ 7 เซนติเมตร
ตามลำ า ดั บ ถ้ า หน้ า คลื่ น เหล่ า นี้ แ ทนสั น คลื่ น
ระยะห่างระหว่างสันคลืน
่ เท่ากับ 2 เซนติเมตร x

ซี่งเท่ากับความยาวคลื่น และแนวของท้อง
คลื่นอยู่ที่ระยะ y = 0 2 4 และ 6 เซนติเมตร
ตามลำาดับ

2. พิจารณาคลื่นดล 2 คลื่นที่เคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้าม โดยทั้งคู่มีอัตราเร็วเท่ากันเท่ากับ


1.0 เมตรต่อวินาที โดยมีการกระจัดของตัวกลางที่ตำาแหน่งต่าง ๆ ที่เวลาเริ่มต้นเป็นดังรูป
รูปใน ตัวเลือกข้อใดแสดงการกระจัดของตัวกลางได้ถูกต้องหลังจากเวลาผ่านไปแล้ว 3.0 วินาที
จากตอนเริ่มต้น
1 m/s 1 m/s

x (m)
0 1 2 3 4 5 6 7 8
แสดงตำแหน�งของคลื่นดล 2 คลื่น ณ เวลา t = 0 s

A. C.

x (m) x (m)
0 1 2 3 4 5 6 7 8 0 1 2 3 4 5 6 7 8

B. D.

x (m) x (m)
0 1 2 3 4 5 6 7 8 0 1 2 3 4 5 6 7 8

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
90 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

จากรูปคลื่นดลทั้งสองอยู่ห่างกัน 6 เมตร มีอัตราเร็ว 1 เมตรต่อวินาที เมื่อเวลา


ผ่านไป 3 วินาที ระยะทางที่คลื่นเคลื่อนที่ได้คำานวณจาก s = v × t จะได้ s = 1 × 3 = 3 เมตร
จะพบว่าคลื่นทั้งสองเคลื่อนที่มาซ้อนทับกันพอดี แอมพลิจูดของคลื่นรวมจึงเป็นผลรวมของ
แอมพลิจูดของคลื่นทั้งสองซึ่งตรงกับรูปในตัวเลือก C

3. คลื่นดล 2 คลื่น มีรูปร่างต่างกัน เคลื่อนที่เข้าหากันด้วยอัตราเร็ว 10 เมตรต่อวินาที ดังรูป


จงวาดรูปร่างคลื่นรวมที่เวลาถัดมา ตามที่ระบุในรูป
y (mm)
2 t = 0.0 s
10 m/s 10 m/s
1
0 x (m)
0 5 10 15 20

2 t = 0.5 s
1

0 x (m)
0 5 10 15 20

2 t = 1.0 s
1

0 x (m)
0 5 10 15 20

2 t = 1.5 s
1

0 x (m)
0 5 10 15 20

จากรูป ทีเ่ วลา t = 0 คลืน


่ ทัง้ สองอยูห
่ า่ งกัน 20 เมตร สามารถคำานวณหาระยะทาง
ที่คลื่นเคลื่อนที่ได้จาก s = v × t จะได้ว่าที่เวลา t = 0.5 t = 1.0 และ t = 1.5 วินาที คลื่น
แต่ละลูกเคลือ
่ นทีไ่ ด้ระยะทาง 5 10 และ 15 เมตรตามลำาดับ ดังนัน
้ ทีเ่ วลา t = 0.5 วินาที คลืน

ทั้งสองอยู่ห่างกัน 10 เมตร ที่เวลา t = 1.0 วินาที คลื่นทั้งสองซ้อนทับกันพอดีคลื่นรวมมี
แอมพลิจด
ู เท่ากับผลรวมของแอมพลิจด
ู ของคลืน
่ ทัง้ สอง ทีเ่ วลา t = 1.5 วินาที คลืน
่ ทัง้ สองผ่านพ้น
กันและอยู่ห่างกัน 10 เมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 91

y (mm)
2 t = 0.0 s
10 m/s 10 m/s
1

0 x (m)
0 5 10 15 20

2 t = 0.5 s
1

0 x (m)
0 5 10 15 20

2 t = 1.0 s
1

0 x (m)
0 5 10 15 20

2 t = 1.5 s
1

0 x (m)
0 5 10 15 20

9.4 ิก ม ล
ส ์ก เ
1. ทดลอง สังเกต และอธิบายการสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน การแทรกสอดของคลื่นผิวน้ำา
รวมทั้งคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. สังเกตและอธิบายการเกิดคลื่นนิ่ง

ก ก เ
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 9.4 โดยอาจทำากิจกรรมต่อไปนี้ ทบทวนกิจกรรมคลื่นผิวน้ำาในถาดคลื่นแล้วให้
นักเรียนอภิปรายประเด็นที่คลื่นแผ่ออกไปแล้ว หากไปกระทบกับวัตถุอ่ืน คลื่นจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
อย่างไร เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง หรือ ให้ตัวแทน
นักเรียนขว้างลูกบอลกระทบผนัง นักเรียนสังเกตแล้วอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกบอล แล้วครูตั้งคำาถามว่า
ถ้าเปลี่ยนจากลูกบอลเป็นคลื่น ผลจะเป็นอย่างไร เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระไม่
คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
จากนัน
้ ให้นกั เรียนร่วมกันอภิปรายจนสรุปได้วา่ ในขณะทีค
่ ลืน
่ แผ่ออกไปจากแหล่งกำาเนิด อาจพบสิง่ กีดขวาง
ที่คลื่นผ่านไม่ได้ หรือผ่านได้บางส่วน หรือสิ่งกีดขวางมีช่องให้คลื่นผ่าน คลื่นจะแสดงพฤติกรรมออกมา
ซึ่งจะศึกษาได้จากหัวข้อนี้

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
92 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูอาจให้นักเรียนอภิปรายทบทวนการสะท้อนของอนุภาคว่าเป็นไปตามกฎการสะท้อน แล้วตั้งคำาถาม
ว่าคลืน
่ จะแสดงพฤติกรรมการสะท้อนเหมือนอนุภาคหรือไม่ เปิดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง
อิสระไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง

9.4.1 ก ส ล
มเ ล เ ล เกิ
-

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 7 ในส่วนของการสะท้อนของคลื่นผิวน้ำาของหัวข้อ 9.4 ตาม
หนังสือเรียน จากนั้น ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 9.4.1 โดยใช้กิจกรรม 9.2 การสะท้อนของคลื่นผิวน้ำา

กิ ก ม 9.2 ก ส ล ิ

ส ์
สังเกตและอธิบายการสะท้อนของคลื่นผิวน้าำ

ส ล ก ์
1. ชุดถาดคลื่น 1 ชุด
2. หม้อแปลงโวลต์ต่ำาพร้อมสายไฟ 1 ชุด
3. กระดาษขาว 1 แผ่น

่ ลก กิ ก ม

มม ่ ่ ก ก ิ มม ่ ล ส ก ิ

30 29

45 45

60 61

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 93

ม กิ ก ม

ในแต่ละกรณี มุมทีห
่ น้าคลืน
่ ตกกระทบกระทำาต่อแผ่นกัน
้ และมุมทีห
่ น้าคลืน
่ สะท้อนทำากับแผ่นกัน

มีความสัมพันธ์กน
ั หรือไม่ อย่างไร
มุมที่หน้าคลื่นตกกระทบกระทำาต่อแผ่นกั้น และมุมที่หน้าคลื่นสะท้อนกระทำาต่อ
แผ่นกัน
้ มีคา่ เท่ากันทุกกรณี

ิ ล ก กิ ก ม

หลังจากตอบคำาถามท้ายกิจกรรม ให้นก
ั เรียนอภิปรายร่วมกันอภิปรายจนสรุปได้วา่ การสะท้อน
ของคลื่นเกิดขึ้นเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ไปกระทบขอบเขตของตัวกลาง ทำาให้คลื่นส่วนหนึ่งกลับมาใน
ตัวกลางเดิมและอธิบายด้วยกฎการสะท้อน คือเส้นรังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน รอยต่อขอบเขตของ
ตัวกลาง และเส้นแนวฉากอยูใ่ นระนาบเดียวกัน และมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ตามรายละเอียด
ในหนังสือเรียน ให้นักเรียนซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการสะท้อนของคลื่นและบันทึกสาระสำาคัญ

9.4.2 ก กเ ล
มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. เมื่อคลื่นกระทบรอยต่อของตัวกลางจะเกิด 1. เมื่ อ คลื่ น กระทบรอยต่ อ ของตั ว กลางคลื่ น


คลืน
่ สะท้อนหรือคลืน
่ หักเหอย่างใดอย่างหนึง่ ส่วนหนึ่งเกิดการสะท้อนและอีกส่วนหนึ่งเกิด
เท่านัน
้ การหักเห

2. การหั ก เหของคลื่ น เป็ น การเปลี่ ย นทิ ศ ทาง 2. การหั ก เหของคลื่ น เป็ น การเปลี่ ย นอั ต ราเร็ ว
ของคลื่ น เมื่ อ ผ่ า นเข้ า ไปในตั ว กลางอี ก ของคลืน
่ เมือ่ ผ่านเข้าไปในตัวกลางอีกตัวกลางหนึง่
ตัวกลางหนึ่ง อาจไม่เปลี่ยนทิศทางก็ได้

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
94 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 7 ในส่วนของการหักเหของคลื่นผิวน้ำาของหัวข้อ 9.4 ตาม
หนังสือเรียน จากนัน
้ ครูนาำ เข้าสูห
่ วั ข้อ 9.4.2 โดยยกสถานการณ์คลืน
่ ผ่านจากตัวกลางหนึง่ เข้าสูอ่ กี ตัวกลางหนึง่
เกิดการสะท้อนหรือไม่ และคลืน
่ ทีผ
่ า่ นเข้าสูอ่ ก
ี ตัวกลางหนึง่ จะเกิดการเปลีย่ นแปลงหรือไม่ อย่างไร โดยเปิด
โอกาสให้นักเรียนนำาเสนอความคิดอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้นให้นักเรียนร่วมกัน
อภิปรายจนสรุปได้วา่ เมือ
่ คลืน
่ กระทบรอยต่อของตัวกลาง คลืน
่ ส่วนหนึง่ สะท้อนกลับสูต
่ วั กลางเดิม อีกส่วน
หนึง่ ผ่านเข้าไปในอีกตัวกลางหนึง่ เรียกว่าคลืน
่ หักเห ครูทบทวนเรือ
่ งอัตราเร็วของคลืน
่ ในตัวกลางต่างกันมี
ค่าต่างกันเพือ
่ ชีใ้ ห้เห็นว่า คลืน
่ หักเหมีอต
ั ราเร็วเปลีย
่ นไป แล้วอภิปรายต่อไปว่านอกจากอัตราเร็วเปลีย
่ นไป
แล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรได้อีก
จากนั้นยกสถานการณ์การสะท้อนและการหักเหของคลื่นในเชือกสองเส้นที่มีค่าความหนาแน่นเชิง
เส้นต่างกันต่อติดกัน ดังรูป 9.18 ให้นก
ั เรียนพิจารณาแล้วร่วมกันอภิปรายจนสรุปการสะท้อนและการหักเห
ของคลืน
่ ในเชือก ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ครูอาจถามคำาถามชวนคิดในหน้า 84 ให้นก
ั เรียนอภิปราย
ร่วมกันโดยเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความเห็นอย่างอิสระ
จากนั้นครูใช้ประเด็นชวนคิดนำาเข้าสู่กิจกรรม 9.3 การหักเหของคลื่นผิวน้ำา

คลื่นผิวน้ำาที่เคลื่อนที่ผ่านบริเวณน้ำาลึกไปยังน้ำาตื้น จะเกิดการสะท้อนและการหักเหหรือไม่ เพราะ


เหตุใด
คลื่นผิวน้ำาที่เคลื่อนที่ผ่านบริเวณน้ำาลึกไปยังน้ำาตื้น จะเกิดการสะท้อนและการหักเห
เนื่องจากเมื่อคลื่นผ่านน้ำาที่มีความลึกต่างกัน อัตราเร็วเปลี่ยนไปทำาให้มีคลื่นส่วนหนึ่งสะท้อนกลับ
ในน้ำาลึกและส่วนหนึ่งหักเหผ่านน้ำาตื้น

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 95

กิ ก ม 9.3 ก กเ ล ิ

ส ์
สังเกตและอธิบายการหักเหของคลื่นน้ำา

ส ล ก ์
1. ชุดถาดคลื่น 1 ชุด
2. หม้อแปลงโวลต์ต่ำาพร้อมสายไฟ 1 ชุด
3. กระดาษขาว 1 แผ่น

่ ลก กิ ก ม

ก. ทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นตั้งฉากกับรอยต่อ ข. ทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นไม่ตั้งฉากกับรอยต่อ
9.3 ก กเ ล ิ

ม กิ ก ม

เมือ
่ คลืน
่ ผิวน้าำ เคลือ ่ นทีผ
่ า่ นบริเวณรอยต่อระหว่างเขตน้าำ ลึกและเขตน้าำ ตืน ้ ถ้าหน้าคลืน
่ ตกกระทบ
ขนานกับรอยต่อ ทิศทางการเคลือ ่ นทีข่ องคลืน
่ และความยาวคลืน ่ เปลีย่ นแปลงอย่างไร
เมือ่ หน้าคลืน ่ ผ่านบริเวณรอยต่อระหว่างเขตน้าำ ลึกเข้าสูน ่ าำ้ ตืน
้ ถ้าหน้าคลืน
่ ขนานกับ
รอยต่อ ทิศทางของคลืน ่ ไม่มกี ารเปลีย่ นแปลง แต่ความยาวคลืน ่ เปลีย่ นแปลงไป โดยความยาวคลืน ่
น้อยลง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
96 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

เมือ่ คลืน
่ ผิวน้าำ เคลือ่ นทีผ ่ า่ นบริเวณรอยต่อระหว่างเขตน้าำ ลึกและเขตน้าำ ตืน ้ ถ้าหน้าคลืน
่ ตกกระทบ
ทำามุมกับรอยต่อ ทิศทางการเคลือ ่ นทีข่ องคลืน่ และความยาวคลืน ่ เปลีย่ นแปลงอย่างไร
เมือ่ คลืน
่ ผิวน้าำ เคลือ่ นทีผ
่ า่ นบริเวณรอยต่อระหว่างเขตน้าำ ลึกและเขตน้าำ ตืน้ ถ้าหน้า
คลืน ่ ตกกระทบทำามุมกับรอยต่อ ทิศทางการเคลือ ่ นทีข
่ องคลืน
่ เปลีย่ นไป โดยมุมระหว่างหน้าคลืน่
หักเหกับรอยต่อมีขนาดเล็กกว่ามุมระหว่างหน้าคลืน
่ ตกกระทบรอยต่อ

จากการสังเกตคลืน
่ ผิวน้าำ ในถาดคลืน
่ เมือ่ คลืน
่ เคลือ่ นทีม
่ าถึงรอยต่อระหว่างเขตน้าำ ลึกกับเขตน้าำ ตืน

คลืน
่ มีการสะท้อนหรือไม่ อย่างไร
เมื่อ คลื่น ผิ ว น้ำา เคลื่อ นที่ม าถึ ง รอยต่ อ ระหว่ า งเขตน้ำา ลึ ก กั บ เขตน้ำา ตื้น พบว่ า มี
การสะท้อนของคลืน
่ ซึง่ น้อยกว่าคลืน
่ หักเห

ิ ล ก กิ ก ม

หลังจากตอบคำาถามท้ายกิจกรรมให้นก
ั เรียนใช้ผลของการทำากิจกรรมมาอภิปรายร่วมกันโดยใช้
หลักของฮอยเกนต์อธิบายการหักเหของคลื่นตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จนสรุปได้ว่า คลื่น
หักเหมีความเร็วต่างไปจากคลืน
่ ตกกระทบ แต่ความถีข
่ องคลืน
่ ในตัวกลางทัง้ สองเท่ากันเนือ
่ งจากมา
จากแหล่งกำาเนิดเดียวกัน ทำาให้ความยาวคลื่นตกกระทบกับความยาวคลื่นหักเหต่างกัน และใน
ตัวกลางคู่เดิมค่ามุมตกกระทบและมุมหักเหของคลื่นมีความสัมพันธ์กับอัตราเร็วในตัวกลางทั้งสอง
sin !1 v1
ตามสมการ " ซึ่งเป็นกฎการหักเหของคลื่น
sin !2 v2
ในการสรุปนัน
้ ครูควรเน้นว่า ในกรณีทค
ี่ ลืน
่ จากตัวกลางหนึง่ ผ่านรอยต่อเข้าไปสูอ
่ ก
ี ตัวกลางหนึง่
จะเกิดการสะท้อนและการหักเหของคลืน
่ พร้อมกันเสมอ คลืน
่ หักเหไม่จาำ เป็นต้องเปลีย่ นทิศเสมอไป
กรณีที่หน้าคลื่นตกกระทบขนานผิวรอยต่อ คลื่นหักเหจะไม่เปลี่ยนทิศทางไปจากเดิม

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 97

9.4.3 ก กส ล
มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. คลืน
่ นิง่ เป็นคลืน
่ ทีไ่ ม่มก
ี ารเคลือ
่ นที่ 1. คลืน
่ นิง่ เป็นคลืน
่ รวมของคลืน
่ สองคลืน
่ ทีม
่ าจาก
แหล่งกำาเนิดอาพันธ์จด
ุ ทีเ่ ป็นปฎิบพ
ั และบัพอยูน
่ ง่ ิ
กับที่ ในขณะที่คลื่นทั่งสองยังเคลื่อนที่ตามเดิม

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 7 ในส่วนของการแทรกสอดและข้อ 8 ของหัวข้อ 9.4 ตาม
หนังสือเรียน จากนั้น ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 9.4.3 โดยยกสถานการณ์คลื่นสองคลื่นเคลื่อนที่มาพบกัน ทบทวน
ความรู้เดิมว่าคลื่นทั้งสองรวมกันหาคลื่นรวมได้จากหลักการซ้อนทับของคลื่น ให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย
ประเด็นที่คลื่นสองคลื่นมีความถี่เท่ากัน ผ่านตัวกลางเดียวกัน มีแอมพลิจูดเท่ากัน และเฟสตรงกัน จนสรุป
ได้วา่ คลืน
่ ดังกล่าวเป็นคลืน
่ อาพันธ์ แล้วยกสถานการณ์คลืน
่ ฮาร์มอนิกต่อเนือ่ งในเชือกเคลือ่ นทีม
่ าพบกันเกิด
การรวมกันตามลำาดับตามรูป 9.21 ร่วมกันอภิปรายจนสรุปได้วา่ ตำาแหน่งทีอ
่ นุภาคตัวกลางในคลืน
่ รวมมี
แอมพลิจด
ู สูงสุดเท่ากับ 2 เท่าของแอมพลิจด
ู ของคลื่นแต่ละขบวน เรียกจุดนี้ว่า จุดปฏิบัพ และตำาแหน่งที่
อนุภาคตัวกลางในคลื่นรวมอยู่นิ่ง เรียกจุดนี้ว่า จุดบัพ การที่มีจุดบัพนี้ทำาให้ดูเหมือนว่าคลื่นรวมไม่มี
การเคลื่อนที่ไปทางซ้ายหรือทางขวาจึงเรียกคลื่นรวมนี้ว่า คลื่นนิ่ง ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน
จากนั้นครูทบทวนการสะท้อนของคลื่นในเชือกที่ปลายตรึง ใช้คำาถามว่าคลื่นที่สะท้อนกลับเป็น
อย่างไร ถ้าเป็นคลื่นฮาร์มอนิกต่อเนื่องคลื่นสะท้อนกลับรวมกับคลื่นตกกระทบผลเป็นอย่างไร ให้นักเรียน
ศึกษาการรวมกันของคลืน
่ ตกกระทบกับคลืน
่ สะท้อนในเชือกตามรูป 9.22 โดยครูคอยให้คาำ แนะนำา จากนัน

ครูอาจถามคำาถามชวนคิดในหน้า 88 ให้นก
ั เรียนอภิปรายร่วมกันโดยเปิดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความเห็น
อย่างอิสระ เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นครูสามารถใช้กิจกรรมลองทำาดู คลื่นนิ่งในเชือก

ในรูป 9.21 มีตำาแหน่งอื่นอีกหรือไม่ที่เป็นจุดบัพกับจุดปฏิบัพ


ตำาแหน่งอื่น ๆ เป็นจุดบัพและปฎิบัพได้เช่นเดียวกัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
98 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ถ้าคลืน
่ ฮาร์มอนิก 2 ขบวนทีเ่ คลือ
่ นทีส
่ วนทางกันมาซ้อนทับกันโดยทัง้ คูม
่ ค
ี วามถีแ่ ละความยาวคลืน

เท่ากันแต่แอมพลิจูดไม่เท่ากันจะเกิดคลื่นนิ่งได้หรือไม่
จะเกิดคลืน
่ นิง่ ไม่ได้เพราะตำาแหน่งทีร่ วมแบบเสริมและหักล้างจะอยูน
่ ง่ิ แต่การรวมแบบ
หักล้างจะหักล้างกันไม่หมด

กิ ก มล ล ิ เส เ ก

ส ์
สังเกตและอธิบายคลื่นนิ่งในเส้นเชือก

ส ล ก ์
1. เครื่องเคาะสัญญาณเวลา 1 เครื่อง
2. เชือกสายป่านว่าวหรือด้ายเย็บผ้ายาวประมาณ 2 เมตร 1 เส้น
3. หม้อแปลงไฟฟ้าโวลต์ต่ำาพร้อมสายไฟ 1 ชุด
4. รางไม้พร้อมรอก 1 ชุด
5. นอต 6 ตัว

่ ลก กิ ก ม

9.4 ล ิ เส เ ก

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 99

ม กิ ก ม

ลักษณะของคลืน
่ เมือ
่ เพิม
่ แรงดึงเชือกเปลีย่ นแปลงอย่างไร
เมื่อเพิ่มแรงดึงเชือก ระยะห่างระหว่างบัพกับบัพที่อยู่ถัดกันมากกว่าเดิม

ิ ล ก กิ ก ม

หลังการตอบคำาถามท้ายกิจกรรม ให้นก
ั เรียนร่วมกันอภิปรายจนสรุปได้วา่ อัตราเร็วของคลืน
่ ใน
เชือกขึ้นอยู่กับแรงดึงเชือกและค่าความหนาแน่นเชิงเส้น เมื่อเพิ่มแรงดึงในเชือกทำาให้อัตราเร็ว
ในเชือกเพิ่มขึ้นในขณะที่ความถี่คลื่นเท่าเดิมจึงทำาให้ความยาวคลื่นลดลง ระยะห่างระหว่างบัพ
สองบัพทีอ
่ ยูถ
่ ด
ั กันเท่ากับครึง่ หนึง่ ของความยาวคลืน
่ จึงน้อยลง จากนัน
้ ให้นก
ั เรียนศึกษาตัวอย่าง 9.6
โดยครูคอยให้คาำ แนะนำา
ตั้งประเด็นว่าถ้าคลื่นทั้งสองเป็นคลื่นผิวน้ำา ซึ่งการแผ่ของคลื่นเป็นวงกลมผลจะเป็นอย่างไร
ให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย เพื่อนำาเข้าสู่กิจกรรม 9.4 การแทรกสอดของคลื่นผิวน้ำา

กิ ก ม 9.4 ก กส ล ิ

ส ์
สังเกตและอธิบายการแทรกสอดของคลื่นผิวน้าำ

ส ล ก ์
1. ชุดถาดคลื่น 1 ชุด
2. หม้อแปลงโวลต์ต่ำาพร้อมสายไฟ 1 ชุด
3. กระดาษขาว 1 แผ่น

่ ลก กิ ก ม
ตัวอย่างผลการทำากิจกรรมพิจารณาได้จากรูป 9.23 ในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
100 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ม กิ ก ม

จากภาพคลื่นต่อเนื่องวงกลมที่สร้างโดยปุ่มกำาเนิดคลื่นทั้งสองปรากฏเป็นแถบมืด แถบมืดนี้
เกิดขึน
้ ได้อย่างไร
ตำาแหน่งทีเ่ ป็นแถบมืดและแถบสว่าง คือจุดทีค
่ ลืน
่ จากปุม
่ กำาเนิดคลืน
่ ทัง้ สองไปรวม
กันแบบหักล้างและเสริมกันตามลำาดับ

ิ ล ก กิ ก ม

หลังตอบคำาถามท้ายกิจกรรมให้นก
ั เรียนร่วมกันอภิปรายจนสรุปได้วา่ การรวมกันของคลืน
่ ทีเ่ กิด
จากแหล่งกำาเนิดอาพันธ์ทม
ี่ แี อมพลิจด
ู เท่ากัน เมือ
่ รวมกันจะเกิดบัพและปฏิบพ
ั แล้วจึงเชือ
่ มโยงเข้า
กับผลการทำากิจกรรมโดยอภิปรายว่าปุ่มกำาเนิดคลื่นสองปุ่มติดอยู่กับคานกำาเนิดคลื่นเดียวกันจึง
ทำาให้เกิดคลื่นผิวน้าำ ด้วยความถี่เดียวกัน คลื่นผ่านตัวกลางเดียวกัน อัตราเร็วเท่ากัน ความยาวคลื่น
เท่ากัน สัน
่ แรงเท่ากัน แอมพลิจด
ู เท่ากัน เป็นแหล่งกำาเนิดอาพันธ์ เมือ
่ คลืน
่ จากแหล่งกำาเนิดทัง้ สอง
มาพบกัน จึงเกิดจุดทีค
่ ลืน
่ มารวมกันแบบเสริม เป็นจุดปฏิบพ
ั และจุดทีค
่ ลืน
่ รวมกันแบบหักล้าง เป็น
จุดบัพ ซึง่ ตำาแหน่งทีเ่ ป็นบัพและปฏิบพ
ั เหล่านี้ ไม่เคลือ
่ นที่ จึงเป็นคลืน
่ นิง่ ตามรูป 9.23 ตามหนังสือ
เรียน หลังจากนัน
้ พิจารณาตำาแหน่งทีเ่ ป็นปฎิบพ
ั และบัพ แล้วหาความสัมพันธ์ระหว่างผลต่างระยะ
ทาง กับความยาวคลื่น โดยใช้รูป 9.24 และ 9.25 ประกอบการอภิปรายจนได้ความสัมพันธ์
# 1&
|S1P-S2P| = n λ เมื่อ n = 0, 1, 2, 3, ... เมื่อจุด P เป็นปฏิบัพ และ S1Q ! S2Q " % n ! ( )
$ 2'
เมื่อ n = 1, 2, 3, ... เมื่อ Q เป็นบัพ ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน
จากนัน
้ ให้นก
ั เรียนตอบชวนคิดในหน้า 94 โดยอาจร่วมกันอภิปรายหาคำาตอบโดยครูเป็นผูใ้ ห้คาำ
แนะนำา

การแทรกสอดกันของคลืน
่ ทีจ่ ด
ุ อืน
่ ๆ ทีไ่ ม่ใช่จด
ุ ทีส
่ น
ั คลืน
่ (หรือท้องคลืน
่ ) ซ้อนทับกับสันคลืน
่ (หรือ
ท้องคลื่น) เป็นการแทรกสอดแบบใด
เป็นการแทรกสอดแบบหักล้าง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 101

หากเฟสเริม
่ ต้นของคลืน
่ จากแหล่งกำาเนิดทัง้ สองมีคา่ ต่างกัน 180 องศา หรือมีเฟสตรงข้ามกัน เงือ่ นไข
ของการแทรกสอดแบบเสริมกับแบบหักล้างจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด
หากเฟสเริ่มต้นของคลื่นจากแหล่งกำาเนิดทั้งสองมีค่าต่างกัน 180 องศา หรือมีเฟส
ตรงข้าม เงือ่ นไขของการแทรกสอดเปลีย่ นไป โดยทีแ่ นวกลางเป็นการแทรกสอดแบบหักล้าง เนือ่ งจาก
หน้าคลืน
่ แรกทีพ
่ บกันแทรกสอดแบบหักล้างกัน

ในรูป 9.26 แสดงเส้นแนวการแทรกสอดกัน แสดงค่า ∆r สูงสุดเท่ากับ 2 λ มีแนวการแทรกสอด


ที่ค่า ∆r มากกว่า 2 λ หรือไม่ เพราะเหตุใด
ไม่มี เนื่องจากแหล่งกำาเนิดคลื่นทั้งสองเป็นแหล่งกำาเนิดอาพันธ์และอยู่ห่างกัน 2 λ
เท่านั้น

หากเฟสเริ่มต้นของคลื่นจากแหล่งกำาเนิดทั้งสองมีค่าต่างกัน 180 องศาหรือมีเฟสตรงข้ามกัน


เส้ น แนวการแทรกสอดกั น ของคลื่ น ที่ จุ ด ซึ่ ง มี ร ะยะห่ า งจากแหล่ ง กำ า เนิ ด ทั้ ง สองเท่ า กั น จะเกิ ด
การแทรกสอดแบบใด
เกิดการแทรกสอดแบบหักล้าง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
102 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

9.4.4 ก เล เ ล
มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. การทีค
่ ลืน
่ อ้อมไปทางด้านหลังของสิง่ กีดขวาง 1. การที่คลื่นอ้อมไปทางด้านหลังของสิ่งกีดขวาง
เป็นการหักเหของคลืน
่ เป็นการเลี้ยวเบนของคลื่น

2. การเลี้ยวเบนของคลื่นเกิดขึ้นเมื่อคลื่นผ่าน 2. การเลี้ยวเบนของคลื่นเกิดขึ้นเมื่อคลื่นกระทบ
ช่องแคบทีม
่ ข
ี นาดใกล้เคียงกับความยาวคลืน
่ ขอบของสิง่ กีดขวางและผ่านช่องแคบทุกขนาด
เท่านั้น

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 7 ในส่วนของการเลี้ยวเบนของคลื่นผิวน้ำาของหัวข้อ 9.4 ตาม
หนังสือเรียน จากนั้นครูนาำ เข้าสู่หัวข้อ 9.4.4 โดยทบทวนพฤติกรรมของคลื่นเมื่อผ่านรอยต่อของตัวกลาง
ว่ามีคลืน
่ สะท้อนและหักเห จากนัน
้ ยกสถานการณ์ให้นก
ั เรียนร่วมกันอภิปรายกรณีทค
ี่ ลืน
่ กระทบสิง่ กีดขวาง
ที่ขนาดเล็กกว่าความยาวของหน้าคลื่นทำาให้คลื่นส่วนหนึ่งผ่านขอบของสิ่งกีดขวางได้ หรือสิ่งกีดขวางมี
ลักษณะเป็นช่องที่ให้คลื่นผ่านได้ คลื่นแสดงพฤติกรรมอย่างไร เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสระโดยไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้นนำาเข้าสู่กิจกรรม 9.5 การเลี้ยวเบนของคลื่น

กิ ก ม 9.5 ก เล เ ล

ส ์
สังเกตและอธิบายการเลี้ยวเบนของคลื่น

ส ล ก ์
1. ชุดถาดคลื่น 1 ชุด
2. หม้อแปลงโวลต์ต่ำาพร้อมสายไฟ 1 ชุด
3. กระดาษขาว 1 แผ่น

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 103

่ ลก กิ ก ม

d λ d ≈λ d λ
9.5 ส ก เล เ เกิ เม ล เ ล ่ ่ ม ่ ก

ม กิ ก ม

เมื่อใช้แผ่นกั้นขวางการเคลื่อนที่ของคลื่นผิวน้ำาบางส่วน คลื่นจะมีการเคลื่อนที่อย่างไรบริเวณ
ด้านหลังของแผ่นกัน ้
เมือ่ คลืน
่ เคลือ่ นทีผ
่ า่ นขอบของแผ่นกัน
้ พบว่ามีคลืน
่ แผ่เป็นแนวโค้งทางด้านหลังของ
แผ่นกัน
้ ตามรูปในหนังสือเรียน

เมือ่ ใช้แผ่นกัน
้ สองแผ่น ทำาช่องเปิดทีม
่ ค
ี วามกว้างมากกว่า ใกล้เคียงและน้อยกว่าความยาวคลืน
่ ของ
คลืน ่ ผิวน้าำ ในแต่ละครัง้ คลืน ่ ทีเ่ คลือ
่ นทีผ
่ า่ นช่องเปิดมีลก ั ษณะอย่างไร
เมื่ อ คลื่ น ผ่ า นช่ อ งเปิ ด ที่ มี ค วามกว้ า งมากกว่ า ความยาวคลื่ น ดั ง รู ป 9.28 ใน
หนังสือเรียน
เมือ่ คลืน่ ผ่านช่องเปิดทีม ่ ค ี วามกว้างใกล้เคียงกับความยาวคลืน ่ มีลกั ษณะดังรูป 9.28 ในหนังสือเรียน
เมือ ่ คลืน่ ผ่านช่องเปิดทีม ่ คี วามกว้างน้อยกว่าความยาวคลืน ่ มีลก
ั ษณะดังรูป 9.28 ในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
104 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ิ ล ก กิ ก ม

หลังจากตอบคำาถามหลังกิจกรรมให้นก
ั เรียนร่วมกันอภิปรายจนได้ขอ
้ สรุปว่า ทุกกรณีทค
ี่ ลืน
่ ผ่าน
ขอบของสิง่ กีดขวาง หรือผ่านช่องแคบจะเกิดคลืน
่ แผ่ออ
้ มไปทางด้านหลังของสิง่ กีดขวางเสมอ เรียก
พฤติกรรมของคลื่นนี้ว่าการเลี้ยวเบนของคลื่น แล้วตั้งคำาถามว่า คลื่นอ้อมเข้าไปด้านหลังของ
สิง่ กีดขวางได้อย่างไร ให้นก
ั เรียนร่วมกันอภิปรายอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคำาตอบทีถ
่ ก
ู ต้อง จากนัน
้ ครู
ทบทวนเรื่องการแผ่ของคลื่นโดยใช้หลักของฮอยเกนส์ อธิบายเชื่อมโยงกับการเลี้ยวเบนของคลื่น
จนสรุปลักษณะของคลื่นที่เลี้ยวเบนในแต่ละกรณีได้

ให้นักเรียนตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 9.4

ก ล เมิ ล
1. ความรู้ ก ารสะท้ อ น การหั ก เห การแทรกสอดและการเลี้ ย วเบนจากคำ า ถามตรวจสอบ
ความเข้าใจ 9.4
2. ทักษะการสังเกต การทดลองจากการอภิปรายร่วมกัน
3. จิตวิทยาศาสตร์ด้านความมีเหตุผล จากการอภิปรายร่วมกัน

ม ส มเ 9.4

1. พิจารณาคลื่นดลในเส้นเชือกที่ต่อกัน 2 เส้นในรูป 9.18 แล้วเปรียบเทียบอัตราเร็วของคลื่นตก


กระทบ คลื่นสะท้อน และคลื่นหักเหว่าเท่ากันหรือไม่ ถ้าไม่เท่ากัน ให้เรียงลำาดับอัตราเร็วของ
คลื่น จากมากไปหาน้อย
เชือกสองเส้นที่ต่อกันตามรูป 9.18 มีสองกรณีคือ
คลืน
่ ผ่านเชือกทีม
่ ค
ี วามหนาแน่นเชิงเส้นมากเข้าสูเ่ ชือกทีม
่ ค
ี วามหนาแน่นเชิงเส้น
น้อย กรณีนค
ี้ ลืน
่ ตกกระทบมีอต
ั ราเร็วเท่ากับคลืน
่ สะท้อนและไม่เท่ากับคลืน
่ หักเห โดยอัตราเร็ว
คลื่นหักเหมากกว่าอัตราเร็วคลื่นตกกระทบและคลื่นสะท้อน
คลืน
่ ผ่านเชือกทีม
่ ค
ี วามหนาแน่นเชิงเส้นน้อยเข้าสูเ่ ชือกทีม
่ ค
ี วามหนาแน่นเชิงเส้น
มาก กรณีนี้คลื่นตกกระทบมีอัตราเร็วเท่ากับคลื่นสะท้อนและไม่เท่ากับคลื่นหักเห โดยอัตราเร็ว
คลื่นตกกระทบเท่ากับคลื่นสะท้อนและมากกว่าอัตราเร็วของคลื่นหักเห

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 105

เ ล ก 9

1. ความเร็วคลื่นในเส้นเชือกแตกต่างจากความเร็วอนุภาคเล็กในเส้นเชือกอย่างไร
เมือ
่ คลืน
่ ผ่านเส้นเชือก คลืน
่ เคลือ
่ นทีไ่ ปตามเส้นเชือกด้วยอัตราเร็วทีข
่ น
ึ้ อยูก
่ บ
ั แรง
ดึงเชือกและมวลต่อความยาวเชือก ส่วนอนุภาคเล็ก ๆ ในเส้นเชือกเคลื่อนที่กลับไปกลับมาโดย
ไม่เคลื่อนที่ไปกับคลื่น

2. คลืน
่ ผิวน้าำ ในน้าำ ทีม
่ ค
ี วามลึกคงตัว และน้อยกว่าความยาวคลืน
่ จะมีความยาวคลืน
่ จะเปลีย่ นแปลง
อย่างไร เมื่อความถี่ของคลื่นเป็นสองเท่าของความถี่เดิม ความเร็วของคลื่นมีค่าคงตัว
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็ว ความถี่และความยาวคลื่นเป็นไปตามสมการ
v ! f " เมื่ อ อั ต ราเร็ ว คงตั ว v ! f1"1 และ v ! f 2 "2 ดั ง นั้ น f1!1 " f 2 !2 จะได้ ว่ า
f1 "2 !
! เมื่อความถี่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จะทำาให้ !2 " 1 หรือความยาวคลื่นลดลงเหลือ
f 2 "1 2
ครึ่งหนึ่งของความยาวคลื่นเดิม

3. อัตราเร็วของคลื่นจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ อย่างไร เมื่อความถี่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าและผ่าน


ตัวกลางเดิม
อัตราเร็วของคลืน
่ ขึน
้ อยูก
่ บ
ั สมบัตข
ิ องตัวกลาง เมือ
่ คลืน
่ เปลีย่ นแปลงความถีแ่ ต่ยงั
คงผ่านตัวกลางเดิมอัตราเร็วคลื่นยังคงตัวเท่าเดิม

4. เชือกเส้นใหญ่มีมวลต่อหนึ่งหน่วยความยาวมากกว่าเชือกเส้นเล็ก เมื่อนำามาต่อกันให้คลื่นผ่าน
จากเชือกเส้นใหญ่เข้าสู่เชือกเส้นเล็ก อัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น เปลี่ยนแปลงหรือไม่
อย่างไร
คลืน
่ เคลือ่ นทีจ่ ากเชือกเส้นใหญ่เข้าสูเ่ ชือกเส้นเล็กสิง่ ทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปคือ อัตราเร็ว
และความยาวคลื่น โดยที่อัตราเร็วเพิ่มขึ้น ความถี่คลื่นคงเดิมทำาให้ความยาวคลื่นเพิ่มขึ้น

5. คลืน
่ ดลสองลูกเคลือ
่ นทีใ่ นเชือกเข้าหากัน เมือ
่ พบกันจะเกิดการสะท้อนจากคลืน
่ อีกลูกหนึง่ หรือไม่
อธิบาย
คลืน
่ ดลสองลูกเคลือ
่ นทีเ่ ข้าหากันเมือ
่ พบกันจะเกิดการซ้อนทับกัน และผ่านพ้นกัน
โดยไม่มีการสะท้อนจากคลื่นอีกลูกหนึ่ง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
106 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

6. เมื่อคลื่นมาซ้อนทับกัน เงื่อนไขต้องเป็นอย่างไรเมื่อ
ก. แอมพลิจูดของคลื่นรวมมีค่ามากกว่าคลื่นที่มารวมกัน
ข. แอมพลิจูดของคลื่นรวมมีค่าน้อยกว่าคลื่นที่มารวมกัน
ค. แอมพลิจูดของคลื่นรวมมีค่าเท่ากับศูนย์
เมื่อคลื่นมาซ้อนทับกัน เมื่อ
ก. แอมพลิจูดของคลื่นรวมมีค่ามากกว่าคลื่นที่มารวมกัน คลื่นที่มีซ้อนทับกันต้องมีเฟสตรงกัน
เช่น สันคลื่นกับสันคลื่น หรือท้องคลื่นกับท้องคลื่น
ข. แอมพลิจด
ู ของคลืน
่ รวมมีคา่ น้อยกว่าคลืน
่ ทีม
่ ารวมกัน คลืน
่ ทีม
่ ซ
ี อ้ นทับกันต้องมีเฟสตรงข้ามกัน
คือสันคลื่นกับท้องคลื่น
ค. แอมพลิจูดของคลื่นรวมมีค่าเท่ากับศูนย์ คลื่นที่มีซ้อนทับกันต้องมีเฟสตรงข้ามกัน และมี
แอมพลิจูดเท่ากัน

7. ในการแทรกสอดของคลื่นแบบเสริมและแบบหักล้าง พลังงานเพิ่มขึ้นหรือสูญหายไปหรือไม่
อธิบาย
การซ้อนทับกันของคลื่นทั้งสองแบบพลังงานไม่เพิ่มขึ้นหรือสูญหายไป สังเกตได้
จากเมื่อคลื่นผ่านพ้นการซ้อนทับกันแล้วคลื่นทั้งสองมีแอมพลิจูดเท่าเดิม

8. คลื่นสองคลื่นความถี่เท่ากัน อยู่ในตัวกลางเดียวกัน แต่แอมพลิจูดต่างกัน เมื่อมาแทรกสอดกัน


เฟสของคลืน
่ ทัง้ สองต้องต่างกันเท่าไรจึงจะทำาให้แอมพลิจด
ู ของคลืน
่ รวมมีคา่ มากทีส
่ ด
ุ และน้อย
ที่สุดตามลำาดับและค่าแอมพลิจูดรวมของคลื่นในแต่ละกรณีเป็นเท่าไร
คลื่นในตัวกลางเดียวกัน ความถี่เท่ากัน ทำาให้มีความยาวคลื่นเท่ากัน เมื่อมา
ซ้อนทับกันและรวมแบบเสริมเฟสต้องตรงกันหรือต่างกันศูนย์องศาจะทำาให้แอมพลิจด
ู ของคลืน

รวมมีค่ามากที่สุดและเท่ากับผลรวมของแอมพลิจูดของคลื่นทั้งสอง
เมื่อซ้อนทับกันและรวมแบบหักล้างคลื่นต้องมีเฟสต่างกัน 180 องศาทำ าให้
แอมพลิจูดของคลื่นรวมมีค่าน้อยที่สุดและเท่ากับผลต่างของแอมพลิจูดของคลื่นทั้งสอง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 107

9. จากภาพแสดงคลื่นในเชือกกำาลังเคลื่อนไปทางซ้ายด้วยอัตราเร็ว 10 เมตรต่อวินาที A และ B


เป็นอนุภาคเล็กในเส้นเชือก

ก ม 9

จุด A และ B เคลื่อนที่อย่างไร และความเร็วของจุดทั้งสองเปลี่ยนแปลงอย่างไร


จุด A กำาลังเคลื่อนที่ขึ้นและมีความเร็วที่ลดลง และจะวกกลับ
จุด B กำาลังเคลื่อนที่ลง และความเร็วลดลง หลังจากนั้นจะอยู่นิ่ง

1. ดึงสายยางท่อน้ำาเส้นเล็กให้ตรง ดีดสายยางให้สั่น สังเกตลูกคลื่นที่เกิดขึ้นในสายยาง อัตราเร็ว


ของลูกคลื่นในสายยางจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร เมื่อ
ก. ดึงสายยางให้ตึงมากขึ้น
ข. กรอกน้าำ ให้เต็มสายยาง
อัตราเร็วคลืน
่ ในเชือกขึน
้ อยูก
่ บ
ั แรงดึงในเชือกและมวลต่อหนึง่ หน่วยความยาวเชือกโดยที่
อัตราเร็วคลื่นมากถ้าแรงดึงในเชือกมากและอัตราเร็วคลื่นน้อยถ้ามวลต่อหนึ่งหน่วยความยาว
มาก
ก. เปรียบสายยางเป็นเชือก เมื่อดึงให้ตึงมากขึ้นคลื่นผ่านสายยางด้วยอัตราเร็วมากขึ้น
ข. เมือ
่ กรอกน้าำ ให้เต็มสายยางทำาให้มวลต่อหนึง่ หน่วยความยาวมากขึน
้ ทำาให้อต
ั ราเร็วคลืน

ในสายยางลดลง

2. ความยาวคลื่นในเส้นเชือกมีความสัมพันธ์กับสิ่งใดต่อไปนี้ ความยาวเชือก แรงดึงในเส้นเชือก


มวลต่อหนึ่งหน่วยความยาวของเชือก จงอธิบายความสัมพันธ์นั้น
ความยาวคลื่ น ในเชื อ กมี ค วามสั ม พั น ธ์ กั บ อั ต ราเร็ ว และความถี่ ค ลื่ น ซึ่ ง สิ่ ง ที่ มี ผ ลต่ อ
อัตราเร็วคลื่นในเชือกคือแรงดึงในเชือก และมวลต่อหนึ่งหน่วยความยาวเชือก โดยที่อัตราเร็ว
คลื่ น แปรตามแรงดึ ง ในเชื อ ก และแปรผกผั น กั บ มวลต่ อ หนึ่ ง หน่ ว ยความยาวของเชื อ ก
ความยาวคลื่นแปรตามอัตราเร็วคลื่น ดังนั้นจึงแปรตามแรงดึงเชือกและแปรผกผันกับมวลต่อ
หนึ่งหน่วยความยาวเชือกเช่นกัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
108 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

3. คลื่นผิวน้ำาผ่านเสาที่ปักอยู่ในน้ำาด้วยความเร็ว 2.8 เมตรต่อวินาที และมีสันคลื่นอยู่ห่างกัน


5 เมตร ระดับน้ำาที่เสาจะกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความถี่เท่าไร
ิ ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็ว ความยาวคลื่นและความถี่เป็นไปตามสมการ v ! f "
โดยที่ v = 2.5 m/s, λ = 5 m
2.5
f =
5
= 0.5 m/s
ระดับน้ำาที่เสาจะกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความถี่ 0.5 เมตรต่อวินาที

4. ใบไม้ลอยในน้าำ เมือ
่ มีคลืน
่ ผ่านจะกระเพือ
่ มขึน
้ ลง 15 รอบในเวลา 0.5 วินาทีและสันคลืน
่ ห่างกัน
2 เมตร อัตราเร็วคลื่นในน้ำาขณะนั้นเป็นเท่าไร
ิ ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็ว ความยาวคลื่นและความถี่เป็นไปตามสมการ v ! f "
15
f = รอบ/วินาที, λ = 2 m
0.5
15 " 2
v !
0.5
! 60 m/s
อัตราเร็วคลื่นในน้ำาขณะนั้นเป็น 60 เมตรต่อวินาที

5. เชือกเส้นหนึง่ ถูกสะบัดปลายเชือกอย่างสม่าำ เสมอ 50 รอบในเวลา 20 วินาที และทำาให้คลืน


่ ผ่าน
เชือกเป็นระยะทาง 10 เมตร ความยาวคลื่นในเส้นเชือกนี้เป็นเท่าไร
ิ สะบัดเชือก 50 รอบแสดงว่าเกิดคลื่นจำานวน 50 ลูก
คลื่นเคลื่อนที่ได้ระยะทาง 10 เมตร
10
ดังนั้น ความยาวคลื่นเท่ากับ = 0.2 เมตร
50
10 50
หรือ อัตราเร็วคลื่นเท่ากับ m/s ความถี่คลื่นเท่ากับ รอบ/วินาที
20 20

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 109

v
จาก ! "
f
0.5
"
2.5
" 0.2 m
ความยาวคลื่นในเส้นเชือกนี้เป็น 0.2 เมตร

6. ภาพแสดงคลื่นดลผ่านตัวกลางชนิดหนึ่ง
y
t=0 t = 2.0 s

x
1 2 3 4

ก 6
ก. คลื่นดลนี้มีความเร็วเท่าไร
ข. เมื่อเวลา t = 3 s คลื่นดลนี้จะอยู่ที่ตำาแหน่งใด
ก ิ จากรูป คลื่นเคลื่อนที่ได้ระยะทาง 2 เซนติเมตร ใช้เวลา 2 วินาที
2
v =
2
= 1 เซนติเมตร/วินาที

คลื่นดลนี้มีความเร็ว 1 เซนติเมตรต่อวินาที

ิ ในวินาทีที่ 3 คลื่นจะเคลื่อนที่ได้ระยะทาง 3 เซนติเมตรห่างจากจุดเริ่มต้น


จากรูปคลื่นเริ่มต้นที่ระยะ 0.5 เซนติเมตร
ดังนั้น วินาทีที่ 3 คลื่นจะอยู่ที่ 3.5 เซนติเมตร

คลื่นดลนี้จะอยู่ที่ตำาแหน่ง 3.5 เซนติเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
110 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

7. คลื่นกลผ่านตัวกลางแรกด้วยความเร็ว 4 เมตรต่อวินาที ตกกระทบรอยต่อของตัวกลางด้วย


มุมตกกระทบขนาด 30 องศา และผ่านเข้าสูต ่ วั กลางทีส
่ องด้วยมุมหักเห 45 องศา ความเร็วคลืน

ในตัวกลางที่สองเป็นเท่าไร
ิ จากกฎการหักเหของคลื่น sin θ1 = v1
sin θsin θ2 v v2
1
= 1
sin θ2 1 v2
4
1 2 =
1 v
2 = 4 2
1 2 v2
2 v2 = 4 2 m/s
ความเร็วคลื่นในตัวกลางที่สองเป็
v2 =น 4 2 เมตรต่อวินาที

8. ที่เวลา t = 0 คลื่นเคลื่อนที่เข้าหากันด้วยความเร็ว 1.0 เมตรต่อวินาที ดังรูป


y

v
v
x

ก ม 8

ก. อีกนานเท่าไรคลื่นทั้งสองจึงจะซ้อนทับกันพอดี
ข. จงวาดภาพการรวมกันของคลื่นทั้งสองที่เวลา t = 0.1 s และ t = 0.2 s

ก ิ เริ่มต้น ณ เวลาที่ t = 0 คลื่นทั้งสองอยู่ห่างกัน 20 เซนติเมตร และเคลื่อนที่เข้าหากัน


ด้วยอัตราเร็ว 1 เมตร หรือ 100 เซนติเมตร/วินาที
ให้เวลาผ่านไป t วินาที คลื่นจึงซ้อนทับกัน และระยะทางที่คลื่นทั้งสองเคลื่อนที่รวม
กันได้ 20 เซนติเมตร ระยะทางที่คลื่นแต่ละลูกเคลื่อนที่ได้ เท่ากับ 100 t
100 t +100 t 20
20
t
200
0.1 วินาที
เมื่อเวลาผ่านไป 0.1 วินาที คลื่นทั้งสองจึงจะซ้อนทับกันพอดี

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 111

ที่เวลา t = 0.1 วินาที คลื่นทั้งสองเคลื่อนที่ได้ระยะทาง เท่ากับ 100 × 0.1 = 10 เซนติเมตร


และซ้อนทับกันพอดีที่ตำาแหน่ง 20 เซนติเมตร ดังนั้น ภาพที่ได้เป็นลูกคลื่นยอดคลื่นอยู่ที่
ตำาแหน่ง 20 เซนติเมตร และมีความสูงของคลืน
่ เท่ากับผลรวมของแอมพลิจด
ู ของคลืน
่ ทัง้ สอง
ที่เวลา t = 0.2 วินาที คลื่นทั้งสองเคลื่อนที่ได้ระยะทาง เท่ากับ 100 × 0.2 = 20 เซนติเมตร
ดังนั้น ภาพที่ได้จะเป็นลูกคลื่นตำาแหน่งเดียวกับตอนเริ่มต้นแต่สลับลูกคลื่นกัน
y
20

ที่เวลา t = 0.1 s
y

v
v
x

ที่เวลา t = 0.2 s

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
112 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

9. ที่เวลา t = 0 คลื่นดลเคลื่อนที่เข้าหากัน ดังรูป


y

v
x

ก 9
ก. ที่เวลา t = 1 s คลื่นทั้งสองซ้อนทับกันได้พอดี ความเร็วคลื่นเป็นเท่าไร
ข. จงวาดภาพการรวมกันของคลื่นทั้งสองที่เวลา t = 1 s และ t = 2 s

ก ิ ที่เวลา t = 0 คลื่นทั้งสองอยู่ห่างกัน 4 เซนติเมตร


เวลาผ่านไป 1 วินาที คลื่นทั้งสองเคลื่อนที่ได้ระยะทาง v × 1 เซนติเมตร
ดังนั้น v+v =4
v = 2 cm/s
ความเร็วคลื่นเป็น 2 เซนติเมตรต่อวินาที

ทีเ่ วลา t = 1 วินาที คลืน ่ ทัง้ สองเคลือ่ นทีไ่ ด้ระยะทาง เท่ากับ 2 × 1 = 2 เซนติเมตร และซ้อนทับ
กั น พอดี ที่ ตำ า แหน่ ง 4 เซนติ เ มตร ดั ง นั้ น ภาพที่ ไ ด้ เ ป็ น ลู ก คลื่ น ยอดคลื่ น อยู่ ที่ ตำา แหน่ ง
4 เซนติเมตร และมีความสูงของคลื่นเท่ากับผลต่างของแอมพลิจูดของคลื่นทั้งสอง
ที่เวลา t = 2 วินาที คลื่นทั้งสองเคลื่อนที่ได้ระยะทาง เท่ากับ 2 × 2 = 4 เซนติเมตร
ดังนั้น ภาพที่ได้จะเป็นลูกคลื่นตำาแหน่งเดียวกับตอนเริ่มต้นแต่สลับลูกคลื่นกัน
y

ที่เวลา t = 1 s

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 9| ล 113

v
x

ที่เวลา t = 2 s

10. คลื่นผิวน้ำาในถาดคลื่นเกิดจากแหล่งกำาเนิดคลื่นสั่นด้วยความถี่ 50 รอบต่อวินาทีและคลื่น


แผ่ออกไปด้วยความเร็ว 1.0 เมตรต่อวินาที ตำาแหน่งของคลื่นผิวน้ำาที่มีเฟสต่างกัน 180 องศา
อยู่ห่างกันเท่าไร
ิ จากความสมการ v ! f"
แทนค่า 1 = 50 λ
λ = 0.02 เมตร
ตำาแหน่งบนผิวน้ำาที่มีเฟสต่างกัน 360 องศา อยู่ห่างกัน 1 ความยาวคลื่น = 0.02 เมตร
0.02 ! 180
ดังนั้น เฟสต่างกัน 180 องศา อยู่ห่างกัน " 0.01 เมตร
360
อยู่ห่างกัน 0.01 เมตร

11. เมื่อมองฉากรับภาพใต้ถาดคลื่น เห็นภาพคลื่นมีแถบสว่างห่างกัน 1.5 เซนติเมตร เมื่อคลื่นผ่าน


น้ำาบริเวณที่มีกระจกใสจมอยู่ มองเห็นแถบสว่างห่างกัน 1 เซนติเมตร อัตราส่วนความเร็วของ
คลื่นในถาดคลื่นกับคลื่นที่ผ่านน้ำาที่มีกระจกใสจมอยู่เป็นเท่าไร
ิ ระยะระหว่างแถบสว่างคือความยาวคลื่น
v1 "
จากกฎการหักเหของคลื่น ! 1
v2 "2
v1 1.5
แทนค่า !
v2 1
อัตราส่วนของความเร็วเท่ากับ 1.5

อัตราส่วนความเร็วของคลื่นในถาดคลื่นกับคลื่นที่ผ่านน้ำาที่มีกระจกใสจมอยู่เป็น 1.5

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
114 9| ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 115

10
ส เ ิ ล

ipst.me/8840

ลก เ

1. ทดลองและอธิ บ ายการแทรกสอดของแสงผ่ า นสลิ ต คู่ แ ละเกรตติ ง การเลี้ ย วเบนและ


การแทรกสอดของแสงผ่านสลิตเดี่ยว รวมทั้งคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ก ิเ ์ ลก เ

ลก เ
1. ทดลองและอธิ บ ายการแทรกสอดของแสงผ่ า นสลิ ต คู่ แ ละเกรตติ ง การเลี้ ย วเบนและ
การแทรกสอดของแสงผ่านสลิตเดี่ยว รวมทั้งคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ส ์ก เ
1. ระบุได้ว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
2. อธิบายรูปแบบการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่
3. คำานวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่
4. อธิบายรูปแบบการเลี้ยวเบนของแสงผ่านสลิตเดี่ยวที่มีความกว้างขนาดต่าง ๆ
5. คำานวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยวเบนของแสงผ่านสลิตเดี่ยว
6. อธิบายรูปแบบการเลี้ยวเบนของแสงผ่านเกรตติง
7. คำานวณหาความยาวคลื่นแสงและปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยใช้เกรตติง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
116 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ก ก ก ก ่ 21 ิ ิ ส ์
ิ ส ์

1. การสังเกต (แถบมืดและแถบ 1. การสื่ อ สารสารสนเทศ 1. ความซื่อสัตย์


สว่างจากสลิตคู่ เกรตติงและ แ ล ะ ก า ร รู้ เ ท่ า ทั น สื่ อ 2. ความมุ่งมั่นอดทน
สลิตเดี่ยว) (การอภิปรายร่วมกันและ
2. การวัด (ระยะห่างของแถบ การนำาเสนอผล)
มืดและแถบสว่าง) 2. ความร่วมมือ การทำางาน
3. การทดลอง เป็นทีมและภาวะผู้นำา
4. การตีความหมายข้อมูลและ
ลงข้อสรุป (การสรุปผลการ
ทดลอง)
5. การใช้จาำ นวน (ปริมาณต่าง ๆ
ทีเ่ กีย่ วข้องกับการแทรกสอด
แ ล ะ ก า ร เ ลี้ ย ว เ บ น ผ่ า น
สลิตเดีย่ ว สลิตคูแ่ ละเกรตติง)

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 117

ม ์ ส เ ิ ล

ส เ ิ ล

เป็น

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านที่ตามนุษย์ตอบสนองได้

ความต่างระยะทาง
หลักการการซ้อนทับ
และความต่างเฟส
นำาไปอธิบาย

การเลี้ยวเบนและ
แทรกสอดของแสงผ่านสลิตเดี่ยว

การเลี้ยวเบนและ
การแทรกสอดผ่านสลิตคู่
การแทรกสอดของแสงผ่านเกรตติง

หลักการของฮอยเกนส์ นำาไปอธิบาย

การเกิดแถบมืดจากสลิตเดี่ยว

นำาไปสู่
นำาไปสู่ นำาไปสู่

การคำานวณหาความยาวคลื่นแสงและปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
118 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ส ม ิ ส
แสงที่ ต ามองเห็ น ได้ เ ป็ น ช่ ว งหนึ่ ง ในสเปกตรั ม ของคลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า มี ค วามยาวคลื่ น อยู่ ใ นช่ ว ง
400-700 นาโนเมตร มีอัตราเร็วเท่ากับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั่วไปคือ 3 108 เมตรต่อวินาที เดิมเชื่อกันว่า
แสงเป็นอนุภาค จนกระทัง่ ธอมัส ยัง ได้ทาำ การทดลองให้เห็นว่าแสงมีการแทรกสอดได้ จึงยอมรับกันว่าแสง
เป็นคลื่น
การแทรกสอดของแสงศึกษาได้จากการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่ ซึ่งเป็นช่องขนาดเล็กสองช่องอยู่
ห่างกันระยะหนึ่ง เมื่อฉายแสงกระทบสลิตคู่ แต่ละช่องทำาหน้าที่เป็นแหล่งกำาเนิดคลื่นแสง แผ่คลื่นออกไป
กระทบฉาก บริเวณที่คลื่นแสงรวมกันมีเฟสตรงกัน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความต่างระยะทาง ∆r = nλ เมื่อ
n = 0, 1, 2, ... จะแทรกสอดแบบเสริม ทำาให้บริเวณนั้นเป็นแถบสว่าง และสามารถหาตำาแหน่งของแถบ
สว่างได้จากความสัมพันธ์ d sin θ = nλ เมื่อ n = 0, 1, 2, ... ส่วนบริเวณที่คลื่นแสงรวมกันมีเฟส
 1
ตรงข้ามกัน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความต่างระยะทาง ∆r =  n −  λ เมื่อ n = 1, 2, 3, ... จะแทรกสอด
 2
แบบหั ก ล้ า ง ทำ า ให้ บ ริ เ วณนั้ น เป็ น แถบมื ด และสามารถหาตำ า แหน่ ง ของแถบมื ด ได้ จ ากความสั ม พั น ธ์
 1
d sin θ =  n −  λ เมื่อ n = 1, 2, 3, ... ลักษณะของแถบสว่างแต่ละแถบมีความกว้างและความสว่าง
 2
เท่า ๆ กัน ระยะห่างระหว่างแถบสว่างกับแถบสว่างและแถบมืดกับแถบมืดเท่า ๆ กัน
เมื่อแสงผ่านสลิตเดี่ยว จะเกิดแถบสว่างแนวกลางกว้างและสว่างมากกว่าแถบสว่างด้านข้างทั้งสองข้าง
และความสว่างของแถบสว่างถัดออกไปจะลดลง ซึ่งสามารถใช้หลักการของฮอยเกนส์อธิบายการหาแถบ
มืดที่เกิดขึ้นได้ความสัมพันธ์ a sin θ = nλ เมื่อ n = 1, 2, 3, ... ถ้าความกว้างของช่องสลิตเข้าใกล้ขนาด
ของความยาวคลื่นแสง ( a λ ) ขนาดของความกว้างของแถบสว่างกลางจะเพิ่มขึ้น จำานวนแถบมืดทั้ง
สองด้านจะลดลง เมื่อความกว้างของช่องสลิตเท่ากับความยาวคลื่นแสงจะไม่ปรากฏแถบมืด แต่ปรากฏ
เฉพาะแถบสว่างกลางเพียงแถบเดียว
เกรตติงเป็นอุปกรณ์ทางแสงทีม
่ ช
ี อ
่ งเล็ก ๆ จำานวนหลาย ๆ ช่อง และระยะห่างแต่ละช่องเท่ากัน เมือ
่ แสง
ผ่านเกรตติงจะเกิดการเลีย้ วเบนและแทรกสอด ทำาให้เกิดแถบสว่างเบนไปจากแนวกลาง ซึง่ หาได้จากความ
สัมพันธ์ d sin θ = nλ เมื่อ n = 0, 1, 2, 3, ... หากแสงขาวผ่านเกรตติง ตำาแหน่งแถบสว่างของแสงแต่ละ
สี จะต่างกัน เนื่องจากความยาวคลื่นของแสงแต่ละสีมีค่าต่างกัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 119

เ ล

เ ล ส ม 12 ม

10.1 แนวคิดเกี่ยวกับแสงเชิงคลื่น 1 ชั่วโมง


10.2 การแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่ 3 ชั่วโมง
10.3 การเลี้ยวเบนของแสงผ่านสลิตเดี่ยว 3 ชั่วโมง
10.4 การเลี้ยวเบนของแสงผ่านเกรตติง 5 ชั่วโมง

ม ก่ เ

สเปกตรัมของแสง การรวมกันได้ของคลื่น การแทรกสอดของคลื่น การเลี้ยวเบนของคลื่น

สิ เ มล่
1. น้ำาสบู่พร้อมหลอดเป่า
2. แผ่นบันทึกข้อมูล
3. เตรียมฉากโดยเจาะพลาสติกลูกฟูกเป็นรูปสี่เหลี่ยม (ขนาด 10 20 เซนติเมตร)

ล ส ิกลกฟกส ก

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
120 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูนำาเข้าสู่บทที่ 10 โดยให้สังเกตปรากฎการณ์ของแสงเชิงคลื่น เช่น ให้นักเรียนสังเกตสีที่ปรากฏบน


ฟองสบู่ สังเกตสีจากแผ่นซีดีหรือแผ่นดีวีดี รวบรวมผลที่ได้จากการสังเกต ครูตั้งคำาถามว่าพฤติกรรมใด
ของแสงทำาให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าว โดยให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการสังเกต ไม่เน้นความถูกต้อง
ครูชี้แจงคำาถามสำาคัญที่นักเรียนจะต้องตอบได้หลังการเรียนรู้บทที่ 10 และหัวข้อต่าง ๆ ที่จะได้เรียนรู้
ในบทที่ 10

10.1 ิ เก ก ส เ ิ ล
ส ์ก เ
1. ระบุได้ว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ตามองเห็นได้

มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. แสงเป็นคลื่นชนิดเดียวกันกับคลื่นเสียง 1. แสงเป็ น คลื่ น ต่ า งจากคลื่ น เสี ย ง เพราะ


ค ลื่ น เ สี ย ง เ ป็ น ค ลื่ น ก ล แ ต่ แ ส ง เ ป็ น
คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า ซึ่ ง มี ค วามยาวคลื่ น
ในช่วงประมาณ 400-700 นาโนเมตร

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 1 หัวข้อ 10.1 ตามหนังสือเรียน
ครูนาำ เข้าสูห
่ วั ข้อที่ 10.1 โดยครูนาำ อภิปรายพฤติกรรมของคลืน
่ ว่ามีการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด
และการเลี้ยวเบน จากนั้นครูให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตามรายละเอียดใน
หนังสือเรียน และอภิปรายจนสรุปได้วา่ แสงเป็นคลืน
่ แม่เหล็กไฟฟ้าทีต
่ ามองเห็นได้ มีความยาวคลืน
่ ประมาณ
400 -700 นาโนเมตร
ครูตั้งคำาถามว่าในระยะแรกนักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าแสงเป็นคลื่นหรืออนุภาค ครูนำานักเรียนอภิปราย
จนได้ข้อสรุปตามรายละเอียดในหนังสือเรียนว่าแสงเป็นคลื่น เนื่องจากสามารถหาความยาวคลื่นของแสง
ได้จากการทดลองของ ธอมัส ยัง

ก ล เมิ ล
1. ความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับแสงเชิงคลื่น จากคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 10.1

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 121

ม ส มเ 10.1

1. พฤติกรรมใดที่แสดงว่าแสงเป็นคลื่น
พฤติกรรมการแทรกสอดและการเลี้ยวเบนของแสง แสดงให้เห็นว่าแสงเป็นคลื่น

2. มนุษย์สามารถรับรู้คลื่นแสงได้อย่างไร
มนุษย์สามารถรับรู้คลื่นแสงได้จากการมองเห็น

10.2 ก กส ส ่ สลิ ่
ส ์ก เ
1. อธิบายรูปแบบการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่
2. คำานวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่

มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. เมื่อแสงผ่านสลิตคู่ แสงจะผ่านไปตรง ๆ และ 1. เมื่อแสงผ่านสลิตคู่ แสงจะเกิดการเลี้ยวเบน


เกิดความสว่างตามขนาดของช่องสลิต อ้อมไปปรากฏด้านหลังของช่องสลิต และเกิด
การแทรกสอดปรากฏเป็นแถบมืดแถบสว่าง

2. ความกว้างของช่องสลิตคู่มีผลต่อจำานวนของ 2. จำ า นวนของแถบสว่ า งที่ ป รากฏไม่ ขึ้ น อยู่ กั บ


แถบสว่างที่ปรากฏ ความกว้างของช่องสลิตคู่ แต่ขึ้นกับระยะห่าง
ระหว่างช่องของสลิต

3. การแทรกสอดของแสงขาวผ่ า นสลิ ต คู่ จะ 3. แถบสว่างจะเป็นสีขาวเฉพาะแถบสว่างกลาง


ปรากฏแถบสว่างเป็นสีขาวเท่านั้น แถบสว่างถัดไปอาจจะเริม
่ แยกเป็นสีตา่ ง ๆ ขึน

อยู่กับระยะห่างระหว่างช่องของสลิตคู่ และ
ระยะห่างจากฉาก

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 2 และ 3 ของหัวข้อ 10.2 ตามหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
122 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูนำาเข้าสู่หัวข้อที่ 10.2 โดยครูนำาอภิปรายเรื่องการแทรกสอดของคลื่นผิวน้ำาที่ได้เรียนมาใน


บทที่ 9 จากนั้นครูอภิปรายต่อเกี่ยวกับสลิตจนสรุปได้ว่า เป็นอุปกรณ์ทางแสงมีลักษณะเป็นช่องเปิดขนาด
เล็กที่มีความกว้างน้อยๆ ค่าหนึ่ง หากมีช่องเดี่ยวเรียกว่า สลิตเดี่ยว มีสองช่องเรียกสลิตคู่ ครูตั้งคำาถามหาก
แสงผ่านสลิตคู่ไปตกบนฉาก ภาพที่ปรากฎบนฉากจะมีลักษณะอย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคำาตอบทีถ
่ ก
ู ต้อง จากนัน
้ ครูให้นก
ั เรียนทำากิจกรรม 10.1 การแทรกสอด
ของแสงผ่านสลิตคู่ ในหนังสือเรียน

กิ ก ม 10.1 ก กส ส ่ สลิ ่

ส ์
สังเกตและอธิบายการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่

เ ล 50 นาที

ส ล ก ์
1. เลเซอร์พอยเตอร์ชนิดสีแดง 1 อัน
2. เลเซอร์พอยเตอร์ชนิดสีเขียว 1 อัน
3. สลิตคู่ 1 แผ่น
4. ไม้เมตร 1 อัน
5. แท่นยึด 4 ชุด
6. ฉาก 1 แผ่น
7. อุปกรณ์บันทึกภาพ 1 เครื่อง
ควรมีกำาลังไม่เกิน 2200 มิลลิวัตต์ และหลีกเลี่ยงการชี้แสงเลเซอร์ไปยังนัยน์ตาของตนเอง
หรือผู้อื่น เพราะเป็นอันตรายต่อนัยน์ตา

ก่ ก กิ ก ม

่ สลิ ่

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 123

1. ตรวจสอบสลิตคู่ที่นำามาใช้ ควรมีระยะห่างระหว่างช่องเป็น 50 100 และ 250 ไมโครเมตร


2. ตรวจสอบเลเซอร์ที่นาำ มาใช้การทดลองหากมีกำาลังเกิน 2200 มิลลิวัตต์ ให้ใช้แบตเตอรี่
เก่าที่ใช้งานมาแล้วเพื่อลดความเข้มของแสงเลเซอร์ หรือสวมแว่นตาป้องกันขณะทำาการ
ทดลอง
3. ควรให้นักเรียนทุกกลุ่มติดตั้งอุปกรณ์ตามหนังสือเรียนให้พร้อมทำ าการทดลอง จากนั้นปิด
ไฟในห้องทดลองเพื่อเริ่มทำากิจกรรมพร้อมกัน
4. เพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบระยะต่าง ๆ บนฉาก กึ่งกลางของแถบสว่างกลางของลวดลาย
การแทรกสอดควรอยู่ที่ตาำ แหน่งเดียวกันทุกครั้ง โดยก่อนเริ่มทำากิจกรรม ให้นักเรียนเปิด
เลเซอร์โดยไม่ต้องผ่านแผ่นสลิตคู่ จากนั้นทำาเครื่องหมายที่ฉากตรงตำาแหน่งที่แสงเลเซอร์
ตกกระทบ เพื่อเป็นการกำาหนดตำาแหน่งของกึ่งกลางของแถบสว่างกลาง
5. การบันทึกภาพให้บันทึกจากด้านหลังฉาก เพื่อให้ได้ภาพมุมมองในแนวตรง และลดการ
สะท้อนของแสงเลเซอร์
6. ย้าำ กับนักเรียนถึงอันตรายของแสงเลเซอร์ว่าเป็นแสงที่มีความเข้มสูง ห้ามนำาเลเซอร์มาส่อง
เข้าตาของตัวเองและผู้อื่น และในการสังเกตห้ามสังเกตแสงเลเซอร์ในแนวรับลำาแสงเลเซอร์
โดยตรง

่ ลก กิ ก ม

สลิตคู่ 50 ไมโครเมตร

สลิตคู่ 100 ไมโครเมตร

สลิตคู่ 250 ไมโครเมตร

ก กส ส ่ สลิ ่ ส สเ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
124 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ม กิ ก ม

□ ในกรณี ที่ ใ ช้ แ สงเลเซอร์ สี แ ดงผ่ า นสลิ ต คู่ ที่ มี ร ะยะห่ า งระหว่ า งช่ อ งต่ า งกั น ภาพที่ ป รากฏ
บนฉากมีลักษณะอย่างไร มีความแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
เมื่ อ แสงเลเซอร์ สี แ ดงผ่ า นสลิ ต คู่ ลั ก ษณะภาพบนฉากประกอบด้ ว ยแถบสว่ า ง
และแถบมื ด สลั บ กั น โดยมี แ ถบสว่ า งตรงกลางสว่ า งกว่ า แถบสว่ า งด้ า นข้ า ง เมื่ อ ระยะห่ า ง
ระหว่างช่องสลิตคู่มีค่ามากขึ้น ความกว้างของแถบสว่างและแถบมืดมีค่าน้อยลง

□ ภาพการแทรกสอดของแสงที่ ไ ด้ จ ากกรณี ที่ ใ ช้ แ สงเลเซอร์ สี เ ขี ย วแตกต่ า งจากกรณี ที่ ใ ช้


แสงเลเซอร์สีแดงหรือไม่ อย่างไร
เมื่ อ แสงเลเซอร์ สี เ ขี ย วผ่ า นสลิ ต คู่ จะปรากฎแถบมื ด แถบสว่ า งเช่ น เดี ย วกั บ
แสงเลเซอร์สีแดง แต่แตกต่างกันคือ เมื่อใช้สลิตคู่ที่มีระยะห่างระหว่างช่องเท่ากัน แถบสว่าง
และแถบมื ด ที่ เ กิ ด จากแสงเลเซอร์ สี เ ขี ย วจะมี ค วามกว้ า งของแถบน้ อ ยกว่ า ที่ เ กิ ด จาก
แสงเลเซอร์สีแดง

เ ิมเ ิมส

1. หากภาพการแทรกสอดที่ปรากฎไม่ชัดเจน อาจปฏิบัติดังนี้
- ถ้าเลเซอร์ที่ใช้มีกำาลังน้อย ให้ใช้เลเซอร์ที่มีกำาลังมากขึ้น
- ลดแสงสว่างภายในห้องทำากิจกรรม
- ลดระยะห่างระหว่างสลิตกับฉาก
- กรณี สั ง เกตภาพด้ า นหลั ง ฉากได้ ไ ม่ ชั ด เจน อาจเปลี่ ย นมาถ่ า ยภาพด้ า นที่ แ สงเลเซอร์
ตกกระทบฉาก
2. การเตรี ย มฉากรั บ ภาพจากพลาสติ ก ลู ก ฟู ก การสั ง เกตภาพที่ เ กิ ด จากการเลี้ ย วเบน และ
การแทรกสอดนั้น จะให้ภาพเกิดบนกระดาษกราฟ เพื่อสะดวกในการเปรียบเทียบขนาดของ
แถบสว่าง ถ้าใช้กระดาษกราฟติดผนังหรือวัสดุทึบแสงอื่นๆ ต้องบันทึกภาพทางด้านเดียวกับ
เลเซอร์พอยเตอร์ อาจเกิดการสะท้อนของแสงรบกวน หรือแนวการถ่ายภาพไม่ตงั้ ฉากกับกระดาษ
กราฟ จึงแก้ไขโดยใช้พลาสติกลูกฟูกเจาะเป็นช่องขนาด 10 × 20 เซนติเมตร แล้วติดกระดาษ
กราฟปิดช่องที่เจาะไว้ เมื่อทำากิจกรรมให้ภาพเกิดบนกระดาษกราฟสังเกตและบันทึกภาพ
จากทางด้านหลังของฉาก

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 125

ิ ล ก กิ ก ม

ครูให้นกั เรียนตอบคำาถามท้ายกิจกรรม จากนัน


้ ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทำากิจกรรม
10.1 จนได้ข้อสรุปดังนี้
1. เมื่อแสงเลเซอร์ผ่านสลิตคู่ จะเห็นลวดลายการแทรกสอดของแสงเป็นแถบสว่าง และ
แถบมืดสลับกันบนฉาก คล้ายกับการเกิดปฏิบพ
ั และบัพจากการแทรกสอดของคลืน
่ ผิวน้าำ
ตามลำาดับ แสดงว่าคลื่นแสงมีการแทรกสอดแบบเสริมและแบบหักล้าง
2. ลวดลายการแทรกสอดทีป
่ รากฏเมือ่ แสงเลเซอร์ผา่ นสลิตคูน
่ น
ั้ แถบสว่างแต่ละแถบมีขนาด
ใกล้เคียงกัน แผ่ออกไปทั้งสองข้างจากกึ่งกลาง เมื่อเปลี่ยนสลิตที่มีระยะห่างระหว่างช่อง
ของสลิตคู่มากขึ้น ขนาดของแถบสว่างที่ปรากฎจะมีขนาดเล็กลง และอยู่ใกล้กันมากขึ้น
3. เมื่อให้แสงเลเซอร์สีแดงและสีเขียว ผ่านสลิตคู่ที่มีระยะระหว่างช่องเท่ากัน ความกว้าง
ของแถบสว่างที่ปรากฏจากแสงเลเซอร์สีเขียวกว้างน้อยกว่าที่ปรากฏจากแสงเลเซอร์
สีแดง แสดงให้เห็นว่าเมื่อใช้แสงเลเซอร์สีเขียวซึ่งมีความยาวคลื่นน้อยกว่าแสงเลเซอร์
สีแดงจะทำาให้ความกว้างของแถบสว่างมีค่าน้อยกว่า

ม เ ิมเ ิมส

แหล่งกำาเนิดแสงเลเซอร์สามารถแบ่งออก
เป็นชัน
้ ตามระดับอันตรายทีแ่ สงเลเซอร์สามารถ
ทำาให้เกิดต่อดวงตาและผิวหนัง แหล่งกำาเนิดแสง
เลเซอร์สามารถแบ่งได้เป็น 7 ชั้น (class) ตาม
รหั ส ที่ แ สดงไว้ ดั ง รู ป ซึ่ ง เรี ย งลำ า ดั บ ชั้ น จาก
อันตรายน้อยทีส่ ด
ุ (least hazardous) จนถึงชัน

อันตรายมากที่สุด (most hazardous)

ก ่ ล่ ก เ ิ ส เลเ ์

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
126


เกิ ก ส เลเ ์ ล

ชั้น กำาลังแสง* อันตรายที่เกิดขึ้นได้** ข้อควรระวัง ตัวอย่างเลเซอร์

ส่ เส ิมก ส
1 ! 0.4 "w ไม่มีอันตราย ไม่มีข้อควรระวัง เครื่องพิมพ์เลเซอร์


1M ! 0.4 "w ก่อให้เกิดอันตรายได้ถ้าแสง ระมัดระวังการใช้เลเซอร์เมื่อ
เลเซอร์ส่องผ่านเลนส์รวมแสง ทำางานร่วมกับอุปกรณ์รวมแสง


ก่อนเข้าตา เช่น เลนส์
10 | ส เ ิ ล

์ ล เ
2 ! 0.4 #w ก่อให้เกิดอันตรายต่อจอรับภาพ หลีกเลี่ยงการมองแสงเลเซอร์ ฮีเลียม-นีออนเลเซอร์ที่ใช้ในห้อง
" 1 mW


ได้เมื่อมองแสงโดยตรงในช่วง โดยตรง กลไกการกระพริบตา ปฎิบัติการทางแสง
เวลานาน ๆ เมื่อเริ่มเห็นแสงสามารถช่วย
ป้องกันอันตรายจากแสงเลเซอร์
ในกลุ่มนี้ได้
2M ! 0.4 #w ก่อให้เกิดอันตรายต่อจอรับภาพ กลไกการกระพริบตาเมื่อเริ่มเห็น
" 1 mW ได้เมื่อมองแสงโดยตรงในช่วง แสงสามารถช่วยป้องกันอันตราย
เวลานาน ๆ โดยอาศัยเลนส์รวม จากแสงเลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้ แต่ให้
แสง ระมัดระวังการใช้งานเลเซอร์เมื่อ
ทำางานร่วมกับอุปกรณ์รวมแสง
ฟิสิกส์ เล่ม 3

ระมัดระวังการใช้งานเลเซอร์เมื่อ
ทำางานร่วมกับอุปกรณ์รวมแสง
เกิ ก ส เลเ ์ ล (ต่อ)

ชั้น กำาลังแสง* อันตรายที่เกิดขึ้นได้** ข้อควรระวัง ตัวอย่างเลเซอร์


3R ! 1 mW ก่อให้เกิดอันตรายต่อจอรับภาพ หลีกเลี่ยงการมองแสงเลเซอร์ เลเซอร์พอยเตอร์
" 5 mW ได้เมื่อมองแสงโดยตรงในช่วง โดยตรงเป็นเวลานาน
เวลานาน แต่ไม่มีอันตรายต่อ
ฟิสิกส์ เล่ม 3

ผิวหนัง
3B ! 5 mW ก่อให้เกิดอันตรายต่อจอรับภาพ ผู้ใช้งาน สวมแว่นป้องกัน
" 0.5 W ได้เมื่อมองแสงโดยตรงในช่วง และแหล่งกำาเนิดเลเซอร์ควรมี
เวลานาน แต่ไม่มีอันตรายต่อ ระบบความปลอดภัย
ผิวหนัง
4 0.5 W ก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตา ผู้ใช้งาน สวมแว่นป้องกัน เลเซอร์ในโรงงานอุตสาหกรรม
และผิวหนังจากแสงตกกระทบ แสงจากแหล่งกำาเนิดเลเซอร์และ สำาหรับการเจาะ เชื่อม ตัด


โดยตรงหรือแสงกระเจิงจากผิว สถานที่ใช้งานควรมีระบบความ
สะท้อน นอกจากนี้ยังสามารถ ปลอดภัยที่รัดกุม
ทำาให้เกิดเพลิงไหม้ได้

ส่ เส ิมก ส
* อ้างอิงกับแสงเลเซอร์ชนิดต่อเนื่องในช่วงความยาวคลื่นที่ตามองเห็น


** เกณฑ์ในการแบ่งชั้นของเลเซอร์ข้างต้นอ้างอิงตาม IEC 60825-1 (International Electrotechnical Commisson)
10 | ส เ ิ ล


์ ล เ

127
128 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูอาจถามคำาถามชวนคิดในหน้า 112 ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียน


แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ แล้วครูนำาอภิปรายจนได้แนวคำาตอบดังนี้

ใช้เลเซอร์พอยเตอร์สีม่วง และสีเขียวฉายแสงผ่านสลิตคู่ที่มีระยะห่างเท่ากัน ความกว้างของแถบ


สว่างเนื่องจากแสงเลเซอร์สีม่วงและแสงเลเซอร์สีเขียว แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
แตกต่างกัน เนื่องจากแสงเลเซอร์สีม่วงมีความยาวคลื่นน้อยกว่าแสงเลเซอร์สีเขียว
ความกว้างของแถบสว่างของแสงเลเซอร์สีม่วงจะมีความกว้างน้อยกว่าแถบสว่างของแสงเลเซอร์สี
เขียว

ครูทบทวนและนำาอภิปรายตามหนังสือเรียน เรื่องความต่างระยะทาง และความต่างเฟสของคลื่น


จากแหล่งกำาเนิดอาพันธ์สองแหล่งกำาเนิด ให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 10.1 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา ครูนำา
อภิปรายจนได้สมการ (10.1) และ (10.2) จากนัน
้ ให้นก
ั เรียนศึกษาตัวอย่าง 10.2 โดยครูเป็นผูใ้ ห้คาำ แนะนำา
แล้วครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับเงื่อนไขการเกิดการแทรกสอดแบบเสริมและการแทรกสอด
แบบหักล้าง จนได้สมการ (10.3) และ (10.4) ตามลำาดับ และให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 10.3-10.4 โดย
ครูเป็นผู้ให้คาำ แนะนำา
ครูและนักเรียนอภิปรายเกีย่ วกับลักษณะลวดลายการแทรกสอดของแสงจากสลิตคูท
่ ม
ี่ ช
ี อ
่ งขนาดเล็ก
มาก จนถือว่าเป็นแหล่งกำาเนิดแสงแบบจุด ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน
ครูให้นักเรียนตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจข้อ 1-4 และทำาแบบ กหัดข้อ 1 โดยครูอาจมีการ
เฉลยคำาตอบและอภิปรายคำาตอบร่วมกัน

ก ล เมิ ล
1. ความรู้ เ กี่ ย วกั บ การแทรกสอดของแสงเมื่ อ ผ่ า นสลิ ต คู่ จ ากคำ า ถามตรวจสอบความเข้ า ใจ
และแบบ กหัด
2. ทักษะการสังเกต การทดลอง การวัดและการตี ค วามหมายและลงข้ อ สรุ ป จากการอภิ ป ราย
ร่วมกันการทำากิจกรรม และการบันทึกผลการทำากิจกรรม 10.1
3. ทักษะการใช้จำานวน จากการทำาโจทย์และคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสลิตคู่
4. จิ ต วิ ท ยาศาสตร์ ค วามซื่ อ สั ต ย์ จากรายงานผลการทดลอง และความมุ่ ง มั่ น อดทนจาก
การทดลองและการอภิปรายร่วมกัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 129

ม ส มเ 10.2

1. การทดลองเรื่องการแทรกสอดของธอมัส ยัง เมื่อประมาณ 200 ปีมาแล้ว เป็นการสนับสนุน


แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องใด
แนวคำ�ตอบ แสงเป็นคลื่น

2. ถ้ากำาหนดให้ระยะทาง S1P และ S2P เท่ากับ 125λ และ 120λ ตามลำาดับ ความต่างเฟสของ
คลื่นสองขบวนนี้ที่ตำาแหน่ง P เป็นเท่าใด
แนวคำ�ตอบ
ความต่างเฟส !r " S1P-S2 P
" 125$ # 120$
" 5$
2#
ความต่างเฟส !" % !r &
$
2#
% 5$ &
$
% 10#
ดังนั้นที่ตำาแหน่ง P คลื่นทั้งสองขบวนมีความต่างเฟส 5 " 2! # หรือเท่ากับ 2π

3. รูปแสดงแผนภาพการทดลองการแทรกสอดของยัง ซึ่งมีแหล่งกำาเนิดแสงส่องผ่านสลิตเดี่ยว S
และผ่านสลิตคู่ M กับ N ไปตกกระทบฉากซึ่งห่างจากสลิตคู่ M และ N เป็นระยะ D ถ้าแนว
แบ่งครึ่ง MN ผ่านฉากที่ตาำ แหน่ง G และแสงมีความยาวคลื่น λ ถ้า K เป็นจุดๆ หนึ่งบนฉาก
"
ที่ทำาให้ NK – MK !
2
ก. ภาพที่ ป รากฏบนฉากที่ K
ตำ า แ ห น่ ง G แ ล ะ K
เป็นอย่างไร M
แหลงกำเนิดแสง
ข. ถ้ า ต้ อ งการให้ แ ถบสว่ า ง G
S
อยู่ใกล้กันมากขึ้น จะต้อง N

ทำาอย่างไร
D
ฉาก
รูป สำ�หรับปัญห�ข้อ 3

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
130 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

แนวคำ�ตอบ
ก. ตำาแหน่ง G เป็นแถบสว่างกลาง เพราะ NG ! MG " 0
#
ตำาแหน่ง K เป็นแถบมืดอันดับที่ 1 เพราะ NK ! MK "
2
ข. พิจารณาจากสมการ 10.5 จะได้
" nL
x!
d
แสดงว่าแถบสว่างอยู่ใกล้กันมากขึ้น (ระยะห่างระหว่างแถบสว่างกับแถบสว่างกลาง (x) มี
ค่าลดลง) เมื่อระยะห่างระหว่างฉากกับสลิต (L) มีค่าน้อยลง ความยาวคลื่น ( λ ) น้อยลง หรือ
ระยะห่างระหว่างช่อง (d) เพิ่มขึ้น

4. AB เป็นสลิตคู่ เมื่อมีแสงที่มีความยาวคลื่น λ ตกกระทบสลิตคู่ ในแนวตั้งฉากภาพการ


แทรกสอดจะปรากฏที่ฉาก ถ้าระยะ AC ! n" และ BC ! (n " 3)# เมื่อ n เป็นจำานวนเต็ม
ให้ OM เป็นแนวกลาง ภาพแทรกสอดที่ C เป็นแถบสว่างหรือแถบมืดอันดับที่เท่าใด

O
M

ฉาก
ส 4

ภาพแทรกสอดที่ C เป็นแถบสว่างที่ 3 เพราะ BC ! AC " 3#

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 131

เ ล ก 10.2

1. แสงมีความยาวคลื่น 5.9 ! 10"7 เมตร ตกกระทบตั้งฉากในแนวสลิตคู่ ถ้าสลิตทั้งสองอยู่ห่างกัน


1.0 !10"3 เมตร ภาพการแทรกสอดบนฉากที่อยู่ห่างจากสลิตคู่เป็นระยะ L ให้ x คือ ระยะที่
แถบสว่างแรกอยู่ห่างจากแถบสว่างกลาง ดังรูป
หนา ลน

L
ฉาก
ก ก 1

ถ้า L มีค่า 1 เมตร x จะมีค่าเท่าใด


ิ ระยะห่างที่แถบสว่างอยู่ห่างจากแถบสว่างกลางคำานวณได้จากสมการ
d sin ! # n"
พิจารณาค่า sin
n"
sin ! #
d

sin ! #
%
n 5.9 $10'7 m &
%1.0 $10 '3
m &
sin ! 10'3

เนือ
่ งจากระยะห่างระหว่างช่องของสลิตคูม
่ ค ่ มาก ๆ " d !! $ #
ี า่ มากกว่าความยาวคลืน
ซึ่งทำาให้ค่า sin มีค่าน้อยมาก ดังนั้น
sin tan
x
L

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
132 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

x
จาก d = nλ
L
nλ L
จะได้ x=
d
(1) ( 5.9 ×10−7 m ) (1 m )
x=
(1.0 ×10 m )
−3

x = 5.9 × 10−4 m
ม เ หากไม่ทำาการประมาณค่า sin สามารถแสดงวิธีทาำ ได้ดังนี้

จาก d sin θ = nλ
x
จากรูป sin θ =
L + x2
2

x
ดังนั้น d = nλ
L2 + x 2
d2
จะได้ L=x −1
n2λ 2
(1.0 ×10−3 m) 2
แทนค่า (1 m) = x −1
12 (5.9 ×10−7 ) 2
(5.9 × 10−4 m) = x 1 − (5.9) 2 × 10−8

เนื่องจาก (5.9) 2 × 10−8 เข้าใกล้ศูนย์ จะได้

x = 5.9 ×10−4 m
จะเห็นว่าทั้งสองวิธีหากไม่ต้องการความละเอียดมากนัก จะได้คำาตอบที่เท่ากัน

x มีxค่า= 5.9 × 10−4 m


เมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 133

2. เส้ น ทึ บ ข้ า งล่ า งแทนแถบสว่ า งของภาพแทรกสอดที่ เ กิ ด จากแสงที่ มี ค วามยาวคลื่ น


6.0 !10"7 เมตร เมือ่ ตกกระทบสลิตคูใ่ นแนวตัง้ ฉาก ถ้าสลิตทัง้ สองอยูห
่ า่ งกัน 2.0 ! 10"5 เมตร
และฉากรับภาพอยู่ห่างจากสลิต 2.0 เมตร
ก. ระยะ x มีค่าเท่าใด
ข. ถ้าระยะระหว่างสลิตกับฉากเพิ่มขึ้น ระยะ x จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ค. ถ้าทำาให้แหล่งกำาเนิดแสงสว่างขึ้น ระยะ x จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร

แ ส าง
ก ก 2

ิ ก. ระยะ x คือระยะห่างระหว่างแถบสว่างอันดับที่ 1 กับแถบสว่างกลาง ซึ่งสำาหรับ


สลิตคู่ ระยะห่างระหว่างแถบสว่างที่ถัดกันจะห่างเท่ากันทุกคู่
พิจารณาระยะห่างแถบสว่างอันดับที่ 1 กับแถบสว่างกลาง
x
จาก d ! n&
L
x
แทนค่า #
2.0 "10%5 m
2m
$ ! #1$ (6.0 "10%7 m)

x ! 6.0 "10%2 m
ระยะ x เท่ากับ 6.0 ! 10"2 m

ิ ข. พิจารณา
x
จาก d ! n"
L
n" L
จะได้ x!
d
เนื่องจาก n, λ และ d เป็นค่าคงตัว ดังนั้น x แปรผันตรงกับ L
นั่นคือ ถ้า L มีค่าเพิ่มขึ้น x ก็มีค่าเพิ่มขึ้นด้วย

ถ้าระยะระหว่างสลิตกับฉากเพิ่มขึ้น ระยะ x ก็จะมีค่าเพิ่มขึ้น

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
134 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ิ ค. ถ้าทำาให้แหล่งกำาเนิดแสงสว่างขึ้น ระยะ x เปลี่ยนแปลงอย่างไร


ระยะ x จะคงเดิม เพราะความสว่างของแหล่งกำาเนิดแสงไม่มีผลต่อการเลี้ยวเบน
และแทรกสอด

3.

0 1 2 3 cm

จากรูป ความกว้างของแถบสว่างกลางมีค่าเท่าใด
ความกว้ า งของแถบสว่ า งกลางวั ด จากตำ า แหน่ ง ที่ มี ค วามสว่ า งน้ อ ยที่ สุ ด ถึ ง
ตำาแหน่งที่มีความสว่างน้อยที่สุดที่อยู่สองข้างของแถบสว่างกลางจากรูปคือ 1.85 เซนติเมตร
และ 1.20 เซนติเมตร ดังนั้น ความกว้างของแถบสว่างกลางมีค่า 1.85-1.20 = 0.65 เซนติเมตร

10.3 ก เล เ ส ่ สลิ เ
ส ์ก เ
1. อธิบายรูปแบบการเลี้ยวเบนของแสงผ่านสลิตเดี่ยวที่มีความกว้างขนาดต่าง ๆ
2. คำานวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยวเบนของแสงผ่านสลิตเดี่ยว

มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. แถบสว่างจะมีขนาดกว้างมากขึ้น เมื่อขนาด 1. แถบสว่างจะมีความกว้างมากขึ้น เมื่อขนาด


ช่องสลิตมีความกว้างเพิ่มขึ้น ของช่องสลิตมีความกว้างลดลง

2. แถบมื ด ที่ เ กิ ด จากสลิ ต เดี่ ย วคำ า นวณได้ จ าก 2. แถบมื ด ที่ เ กิ ด จากสลิ ต เดี่ ย วคำ า นวณได้ จ าก
% 1(
สมการ d sin ! # ' n $ * " สมการ a sin ! # n" เมื่อ n, 1, 2, 3, ...
& 2)

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 135

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 4 และ 5 หัวข้อ 10.3 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อที่ 10.3 โดยครูนำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับ การเลี้ยวเบนและการแทรกสอดของ
คลื่นผิวน้ำาที่ผ่านช่องเดี่ยวตามที่ได้เรียนมาในบทที่ 9 จากนั้นใช้คำาถามว่า หากฉายแสงผ่านสลิตเดี่ยว
ลวดลายการแทรกสอดทีเ่ กิดขึน
้ บนฉากจะมีลก
ั ษณะเป็นอย่างไร ให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
โดยไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง แล้วให้นักเรียนทำากิจกรรม 10.2

กิ ก ม 10.2 ก เล เ ส

ส ์
สังเกตและอธิบายรูปแบบการเลี้ยวเบนของแสงผ่านสลิตเดี่ยวที่มีความกว้างขนาดต่าง ๆ

เ ล 50 นาที

ส ล ก ์
1. เลเซอร์พอยเตอร์ชนิดสีแดง 1 อัน
2. สลิตเดี่ยว 1 แผ่น
3. ไม้เมตร 1 อัน
4. แท่นยึด 4 ชุด
5. ฉาก 1 แผ่น
6. อุปกรณ์บันทึกภาพ 1 เครื่อง

ก่ กิ ก ม

่ สลิ เ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
136 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

1. ตรวจสอบสลิตเดี่ยว ควรมีความกว้างของช่อง 50 100 200 และ 400 ไมโครเมตร


2. ควรเน้นวิธกี ารสังเกตความกว้างของแถบสว่างว่า วัดระยะห่างระหว่างตำาแหน่งมืด (ความสว่าง
น้อยที่สุด) สองข้างของแถบสว่างนั้น
3. ย้าำ ให้นักเรียนระวังอันตรายของแสงเลเซอร์

่ ลก กิ ก ม

50 ไมโครเมตร

100 ไมโครเมตร

200 ไมโครเมตร

ส ่ ล ม กสลิ เ ม มก ่

ม กิ ก ม

□ ขนาดแถบสว่างที่ปรากฏบนฉากเปรียบเทียบกับขนาดของสลิตเดี่ยว เป็นอย่างไร
ขนาดแถบสว่างที่ปรากฏบนฉากมีขนาดกว้างกว่าความกว้างของสลิตเดี่ยว

□ ภาพบนฉากในกรณีที่ใช้สลิตเดี่ยวที่ความกว้างต่างกัน มีลักษณะอย่างไร และเหมือนหรือ


แตกต่างกันอย่างไร
ภาพบนฉากมีลักษณะเหมือนกันคือ ปรากฏแถบสว่างและแถบมืดสลับกันบนฉาก
โดยแถบสว่างกลาง มีความสว่างและความกว้างมากกว่าแถบสว่างที่อยู่ถัดไปทั้งสองด้าน แตก
ต่างกันคือ เมื่อความกว้างของสลิตเดี่ยวมากขึ้น แถบสว่างจะมีความกว้างน้อยลง และอยู่ชิดกัน
มากขึ้น

□ แถบสว่างและแถบมืดที่ปรากฏบนฉากเหมือนหรือแตกต่างจากสลิตคู่อย่างไร
แตกต่างกัน โดยแถบสว่างกลางซึง่ เกิดจากสลิตเดีย่ วมีความกว้างมากกว่าแถบสว่าง
อื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่แถบสว่างที่เกิดจากสลิตคู่มีขนาดความกว้างเท่า ๆ กัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 137

ิ ล ก กิ ก ม

ครูให้นกั เรียนตอบคำาถามท้ายกิจกรรม จากนัน


้ ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทำากิจกรรม
10.2 จนได้ข้อสรุปดังนี้
1. เมื่อแสงเลเซอร์ผ่านสลิตเดี่ยว ปรากฏแถบสว่างกลางกว้างมากกว่าความกว้างของสลิต
แสดงว่าแสงมีการเลี้ยวเบน
2. ลวดลายการแทรกสอดที่ปรากฏเมื่อแสงเลเซอร์ผ่านสลิตเดี่ยวนั้น แถบสว่างกลางจะมี
ความกว้างมากกว่าแถบสว่างอื่น เมื่อเปลี่ยนสลิตโดยให้ความกว้างของสลิตมีขนาด
มากขึ้น แถบสว่างที่ปรากฏจะมีความกว้างลดลง
ครูนาำ อภิปรายเรือ่ งหลักการของฮอยเกนส์ และการพิจารณาแถบมืดซึง่ เกิดจากแสงผ่านสลิตเดีย่ ว
ตามหนั ง สื อ เรี ย น จนได้ ส มการ (10.7) และ (10.8) จากนั้ น ให้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาตั ว อย่ า ง
10.5-10.6 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา
ม เ การศึกษาเกีย่ วกับการเลีย้ วเบนของแสงผ่านสลิตเดีย่ ว ในระดับนีจ้ ะพิจารณาเฉพาะ
สมการสำาหรับตำาแหน่งของแถบมืดเท่านั้น

ครูอาจถามคำาถามชวนคิดในหน้า 134 ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียน


แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ แล้วครูนำาอภิปรายจนได้แนวคำาตอบดังนี้

เพราะเหตุใดการเลี้ยวเบนของแสงจึงพบเห็นได้ยาก แต่การเลี้ยวเบนของคลื่นน้าำ จึงพบได้ทั่วไป


คลื่นที่มีความยาวคลื่นมากเกิดการเลี้ยวเบนได้มากกว่าคลื่นที่มีความยาวคลื่นน้อย
คลืน
่ น้าำ มีความยาวคลืน
่ มากกว่าความยาวคลืน
่ ของแสงมาก จึงพบการเลีย้ วเบนของคลืน
่ น้าำ ในธรรมชาติ
ง่ายกว่าคลืน
่ แสง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
138 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูให้นักเรียนตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจข้อ 1 และทำาแบบ กหัดข้อ 1 โดยอาจมีการอภิปราย


และเฉลยคำาตอบร่วมกัน

ก ล เมิ ล
1. ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยวเบนของแสงเมื่อผ่านสลิตเดี่ยวที่มีความกว้างต่าง ๆ จากคำาถามตรวจสอบ
ความเข้าใจ 10.3 และแบบ กหัด 10.3
2. ทักษะการสังเกต การทดลอง การวัดและการตีความหมายและลงข้อสรุป จากการอภิปรายร่วมกัน
การทำากิจกรรม และการบันทึกผลการทำากิจกรรม 10.2
3. ทักษะการใช้จาำ นวน จากการทำาโจทย์และคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสลิตเดี่ยว
4. จิตวิทยาศาสตร์ความซื่อสัตย์ จากรายงานผลการทดลอง และความมุ่งมั่นอดทนจากการทดลอง
และการอภิปรายร่วมกัน

ม ส มเ 10.3

1. ในการทดลองเพื่ อ หาความยาวคลื่ น ของเลเซอร์ โ ดยใช้ เ ลเซอร์ ฉ ายผ่ า นสลิ ต เดี่ ย วที่ ท ราบ
ความกว้างของช่อง เลเซอร์จะเลีย้ วเบนทีส
่ ลิต แล้วไปแทรกสอดบนฉาก พบว่า จุดสว่างทีเ่ กิดขึน

อยู่ ชิ ด กั น มากทำ า ให้ ก ารวั ด ระยะห่ า งมี ค วามคลาดเคลื่ อ นมาก ความยาวคลื่ น ของเลเซอร์ ท่ี
คำานวณได้มีความคลาดเคลื่อนสูง จะทำาอย่างไรให้ผลที่ได้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
เพิ่มระยะทางระหว่างสลิตกับฉากให้มากขึ้น จะทำาให้จุดสว่างบนฉากห่างกัน
มากขึ้นตามสมการ
nλ L
x=
d
ทำาให้วด
ั ค่า x และ L ได้คลาดเคลือ
่ นน้อยลง เป็นผลให้ความยาวคลืน
่ ทีค
่ าำ นวณได้จะมีความคลาด
เคลื่อนลดลง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 139

เ ล ก 10.3

1. แสงมีความยาวคลืน
่ 500 นาโนเมตร ตกกระทบสลิตเดีย่ วทีม
่ ค
ี วามกว้างของช่อง 150 ไมโครเมตร
ในแนวตั้งฉาก ภาพการเลี้ยวเบนจะปรากฏบนฉากที่อยู่ห่างออกไป 1.30 เมตร
ก. ขนาดของมุมที่แถบมืดอันดับที่ 1 เบนจากเส้นแนวกลาง
ข. แถบสว่างกลางกว้างเท่าใด

ก. ขนาดของมุมที่แถบมืดอันดับที่ 1 เบนจากเส้นแนวกลาง หาได้ดังนี้
จาก a sin ! # n"
$150 &10 '6
% $
m sin ! # $1% 500 & 10'9 m %
sin ! # 0.0033
! # 0.19
ขนาดของมุมที่แถบมืดอันดับที่ 1 เบนจากเส้นแนวกลาง 0.19 องศา
ข. หาความกว้างแถบสว่างกลางได้ดังนี้
หาแถบมืดแรกนับจากแนวกลางจาก
x
a !$
L
x
ดังนั้น 0.015 " 10#2 m " ! 5.0 " 10#7 m
1.30 m
5.0 " 10#7 m " 1.30 m
x!
0.015 " 10#2 m
x ! 4.30 " 10#3 m
แถบสว่างกลางจะอยู่ระหว่างแถบมืดอันดับที่ 1 ทั้งสองข้าง
ดังนั้น แถบสว่างกลางกว้าง ! 2 x
! 2 " 4.3 " 10#3 m
แถบสว่างกลางกว้างเท่ากับ 8.6 ! 10"3 เมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
140 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

2. ฉายแสงความยาวคลืน
่ 600 นาโนเมตร ตกกระทบตัง้ ฉากกับแผ่นสลิตเดีย่ วทีก
่ ว้าง 0.3 มิลลิเมตร
ซึ่งอยู่ห่างจากฉาก 2.0 เมตร ตำาแหน่งมืดที่ 2 อยู่ห่างจากเส้นแนวกลางเป็นระยะเท่าใดในหน่วย
มิลลิเมตร
ิ ระยะห่างของแถบมืดจากเส้นแนวกลางคำานวณได้จาก
x
a ! n&
L
%3
(0.3 " 10 m) x
! # 2 $ (600 "10%9 m)
(2.0 m)
2(600 " 10%9 m)(2.0 m)
x!
(0.3 "10%3 m)
! 8 "10%3 m
x ! 8 mm
ตำาแหน่งมืดที่ 2 อยู่ห่างจากเส้นแนวกลางเท่ากับ 8 มิลลิเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 141

10.4 ก เล เ ส ่ เก ิ
ส ์ก เ
1. อธิบายรูปแบบการเลี้ยวเบนของแสงผ่านเกรตติง
2. คำานวณหาความยาวคลื่นแสงและปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยใช้เกรตติง

มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. เกรตติงสามารถแยกแสงขาวออกเป็นแสงสี 1. การกระจายแสงของปริซม
ึ เกิดจากพฤติกรรม
ต่าง ๆ เกิดจากพฤติกรรมของคลืน
่ เดียวกันกับ การหั ก เหของแสงที่ มี ค วามยาวคลื่ น ต่ า งกั น
การกระจายแสงของปริซึม ส่ ว นการแยกแสงขาวเป็ น สี ต่ า ง ๆ เมื่ อ ผ่ า น
เกรตติ ง เกิ ด จากพฤติ ก รรมการเลี้ ย วเบน
และการแทรกสอดของแสงที่มีความยาวคลื่น
ต่างกัน

2. แสงขาวทีผ
่ า่ นเกรตติง จะแยกเป็นแสงสีตา่ ง ๆ 2. แสงขาวทีผ
่ า่ นเกรตติง จะแยกเป็นแสงสีตา่ ง ๆ
ได้แก่สีม่วง สีน้ำาเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสด และปรากฎเป็นกลุม
่ ๆ กลุม
่ ของแสงสีทอี่ ยูใ่ กล้
และสีแดง โดยแสงสีม่วงคือแถบสว่างอันดับ ตำาแหน่งแนวสว่างกลางมากทีส่ ด
ุ คือ แถบสว่าง
ที่ 1 และแสงสีแดงคือแถบสว่างอันดับที่ 6 อันดับที่ 1

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 6 และ 7 หัวข้อ 10.4 ตามหนังสือเรียน
ครู นำ า เข้ า สู่ หั ว ข้ อ ที่ 10.4 โดยครู นำ า นั ก เรี ย นอภิ ป รายการเกิ ด แถบมื ด แถบสว่ า งจากสลิ ต คู่ และ
สลิตเดี่ยว จากนั้นตั้งคำาถามว่า ถ้าสลิตมีจำานวนช่องมากกว่า 2 ช่อง ลวดลายการแทรกสอดเป็นอย่างไร ครู
เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
อภิ ป รายต่ อ เกี่ ย วกั บ เกรตติ ง และการหาระยะห่ า งระหว่ า งช่ อ งและที่ ม าของสมการ (10.9) ตาม
รายละเอียดในหนังสือเรียน จากนั้นให้นักเรียนมองแสงหลอดไฟผ่านเกรตติง แล้วบอกสิ่งที่สังเกตได้และ
อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าแสงขาวเมื่อผ่านเกรตติงจะเกิดแถบสว่างของแสงสีต่าง ๆ ณ ตำาแหน่งต่างกัน
และสามารถนำามาหาความยาวคลื่นของแสงแต่ละสีไ ด้ ครู ใ ห้ นัก เรี ย นทำ ากิ จ กรรม 10.3 การทดลอง
หาความยาวคลื่นของแสงในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
142 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

กิ ก ม 10.3 ก ล ม ล ส

ส ์
1. หาความยาวคลื่นของแสงเลเซอร์พอยเตอร์สีแดงโดยใช้เกรตติง
2. หาความยาวคลื่นของแสงสีต่างๆ โดยใช้เกรตติง

เ ล 50 นาที

ส ล ก ์
1. กล่องแสง 1 กล่อง
2. หม้อแปลงโวลต์ตา่ำ 1 เครื่อง
3. เกรตติง 1 แผ่น
4. ไม้เมตร 1 อัน
5. เลเซอร์พอยเตอร์ 1 อัน
6. กระดาษเทาขาว 1 แผ่น
7. แท่นยึด 2 ชุด

1ก ม ล ส เลเ ์
ก่ กิ ก ม
1. การจัดตั้งฉากอาจติดกระดาษเทาขาวกับผนังห้องเรียนโดยฉากต้องอยู่ในแนวดิ่ง
2. ยึดเลเซอร์พอยเตอร์ให้อยู่ในแนวระดับเดียวกันกับเกรตติง โดยยึดด้วยแท่นยึด

่ ลก กิ ก ม
1

่ ส ่ 1 ก ส ่ กล ม ล
(cm) (cm) เ ล (cm) (nm)

18.6 18.5 18.55 656

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 143

ม กิ ก ม

□ เลเซอร์ที่ใช้ในการทดลองมีความยาวคลื่นเท่าใด

หาความยาวคลื่นได้จากสมการ
" x %
d$
$ 2 ' ( n)
2 '
# L !x &
แผ่นเกรตติงที่ใช้ทดลองเป็นชนิด 5300 ช่อง/เซนติเมตร
1 cm
d
5300 ช่อง
10 2 m
5300 ช่อง
ดังนั้น

10 2 18.55 cm
m 1
5300 ( 50 cm
2 2
18.55 cm )

10 2 18.55 10 2 m
m
5300 ( 502 18.552 ) 10 2 m
18.55 10 4
m
53 53.33
656.29 10 9
656 nm

แสงเลเซอร์ที่ใช้ในการทดลองมีความยาวคลื่นประมาณ 656 นาโนเมตร

ิ ล ก กิ ก ม

แสงจากเลเซอร์เป็นแสงที่มีความถี่เดี่ยว เมื่อให้แสงเลเซอร์ผ่านเกรตติง แสงเลเซอร์จะเกิด


การเลี้ยวเบนและไปแทรกสอดแบบเสริมกันที่ตำาแหน่งต่าง ๆ บนฉาก เพียงสีเดียว

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
144 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

2
ก่ กิ ก ม
1. จัดไส้หลอดไฟของกล่องแสงให้อยู่ในแนวดิ่ง
2. จัดให้แผ่นเกรตติงอยู่ในระดับเดียวกับไส้หลอด และมีระนาบอยู่ในแนวดิ่ง
3. การใช้เกรตติงจะต้องจับที่กรอบเท่านั้น ห้ามแตะแผ่นเกรตติง

่ ลก กิ ก ม

ม ม xเ ล ม ล
ส x x ((x + x )/2) (λ )
่ ่
(cm) (cm) (cm) (nm)

ม่วง 27.0 23.0 73.5 23.5 23.3 428


น้ำาเงิน 24.0 26.0 76.5 26.5 26.5 483
เขียว 21.5 28.5 79.0 29.0 28.8 522
เหลือง 18.5 31.5 81.5 31.5 31.5 567
แสด 17.0 33.0 83.0 33.0 33.0 591
แดง 13.0 37.0 87.0 37.0 37.0 655

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 145

ม กิ ก ม

□ แสงสีใดมีการเบนจากเส้นแนวกลางมากที่สุด และน้อยที่สุด
แสงสีแดงเบนจากแนวกลางมากที่สุด แสงสีม่วงเบนจากแนวกลางน้อยที่สุด
□ ความยาวคลื่นของแสงแต่ละสีมีค่าเท่าใด

ส ส ม ล ( λ ) (nm)
ม่วง 428
น้ำาเงิน 483

เขียว 522

เหลือง 567

แสด 591

แดง 655

ิ ล ก กิ ก ม

เมื่อมองแสงขาวผ่านเกรตติงจะเห็นเป็นแสงสีต่าง ๆ โดยแสงสีแดงจะเบนออกจากแนวกลาง
มากที่สุด และแสงสีม่วงเบนจากแนวกลางน้อยที่สุด แสงสีต่าง ๆ มีความยาวคลื่นเรียงจากสั้นที่สุด
ไปถึงความยาวคลื่นยาวที่สุดดังนี้ สีม่วง สีน้ำาเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสด และสีแดง

เ ิมเ ิมส

ในกรณีที่ผลการทดลองของนักเรียนแต่ละกลุ่มมีค่าไม่เท่ากันนั้นอาจเป็นเพราะการอ่านค่าตัว
เลขจากไม้เมตรเป็นค่าประมาณตรงกลางของแถบสี และแถบสีแต่ละสีมข
ี อบซ้อนกันทำาให้การอ่าน
ค่าตัวเลขคลาดเคลือ
่ นได้เช่นกัน ให้นาำ ผลทีไ่ ด้เทียบกับความยาวคลืน
่ ของแสงสีตา่ ง ๆ ในตาราง 10.1
ในหนังสือเรียน ถ้าอยู่ช่วงตามตารางถือว่ามีค่ายอมรับได้ หากไม่อยู่ในช่วงตามตาราง ควรอภิปราย

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
146 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

เพื่ อ หาข้ อ ผิ ด พลาด และการกำ า หนดนิ ย ามปฏิ บั ติ ก ารก่ อ นการทดลองว่ า ตำ า แหน่ ง ของแถบสี
หมายถึงอะไรให้ตรงกันทุกคน
ครูนาำ อภิปรายว่า แถบสีตา่ ง ๆ ทีเ่ ห็นจากการมองผ่านเกรตติงนัน
้ เรียกว่าสเปกตรัมของแสงขาว
แสดงว่าแสงขาวประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ ครูชี้ให้เห็นว่าเราสังเกตเห็นและบอกตำาแหน่งของแถบ
สว่างได้ เมื่อระยะห่างระหว่างช่องของเกรตติง และระยะห่างระหว่างเกรตติงกับฉาก L มีค่า
10−2
เหมาะสม เช่น จากกิจกรรม 10.3 เราใช้ค่า d เท่ากับ m =1.8 ×10−6 ≅ 10−6 เมตร และ
5300
ค่า L เท่ากับ 1 เมตร ปรากฏว่า สามารถมองเห็นสีตา่ งๆ ของแถบสว่างแยกออกจากกัน และสามารถ
บอกตำาแหน่งของแสงสีนน
ั้ ๆ ได้ ถ้าพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างค่า d และความยาวคลืน
่ ของแสง
7
ซึ่งมีค่าอยู่ในระดับขนาด 10 เมตรได้
d 10−6
=
λ 10−7
ดังนั้น d = 10λ
จากสมการ d sin θ = nλ สำาหรับแถบสว่างที่ 1 ถ้า d มีค่ามากขึ้น เช่น 100λ จะพบว่า x
มีค่าเท่ากับ 0.01 เมตร ในกรณีนี้เราจะบอกตำาแหน่งของแถบสว่างได้ยากและผิดพลาดได้ง่าย
ดังนัน
้ จะเห็นว่า เมือ
่ d มีคา่ มากขึน
้ เรือ
่ ย ๆ แถบสว่างแต่ละแถบจะอยูช
่ ด
ิ กันมากขึน
้ ทำาให้ไม่สามารถ
สังเกตภาพการแทรกสอดได้ชัดเจน แสดงว่า เกรตติงที่ใช้นั้น ควรมีจำานวนช่องมาก ๆ เพื่อทำาให้
ระยะ d มีค่าน้อย จะทำาให้แถบแสงสีของภาพแทรกสอดแยกออกจากกันชัดเจน สะดวกในการวัด
ระยะทางต่าง ๆ
ให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 10.7 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา จากนั้นครูให้นักเรียนตอบคำาถาม
ตรวจสอบความเข้าใจ 10.4 และทำาแบบ กหัด 10.4 โดยอาจมีการเฉลยคำาตอบและอภิปราย
คำาตอบร่วมกัน

ก ล เมิ ล
1. ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยวเบนของแสงผ่านเกรตติงจากคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 10.4 และ
แบบ กหัด 10.4
2. ทักษะการสังเกต การทดลอง การวัดและการตีความหมายและลงข้อสรุป จากการอภิปรายร่วมกัน
การทำากิจกรรม และการบันทึกผลการทำากิจกรรม 10.3
3. ทักษะการใช้จำานวน จากการทำาโจทย์และคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกรตติง
4. จิตวิทยาศาสตร์ความซือ
่ สัตย์ จากรายงานผลการทดลอง และความมุง่ มัน
่ อดทนจากการทดลองและ
การอภิปรายร่วมกัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 147

ม ส มเ 10.4

1. แสงขาวตกกระทบเกรตติงในแนวตั้งฉาก และเกิดภาพแทรกสอดบนฉาก มุมที่แสงแต่ละสีเบน


ไปจากแนวกลางขึ้นกับความยาวคลื่นของแสงหรือไม่ อย่างไร
มุมที่แสงแต่ละสีเบนจากแนวกลางขึ้นกับความยาวคลื่นแสง โดยในแถบสว่าง
ลำ า ดั บ เดี ย วกั น แสงที่ มี ค วามยาวคลื่ น สั้ น จะทำ า มุ ม กั บ เส้ น แนวกลางน้ อ ยกว่ า แสงที่ มี
ความยาวคลื่นยาว โดยพิจารณาจาก d sin ! # n"

2. อธิบายภาพที่ปรากฏบนฉากเมื่อฉายแสงขาวผ่านเกรตติง
เมื่ อ ฉายแสงขาวผ่ า นเกรตติ ง จะปรากฎแสงสี ต่ า ง ๆ บนฉาก เรี ย งตาม
ความยาวคลื่น โดยแสงสีแดงจะเบนออกจากเส้นแนวกลางมากที่สุด และแสงสีม่วงจะเบนจาก
เส้นแนวกลางน้อยที่สุด

เ ล ก 10.4

1. แสงความยาวคลื่น 625 นาโนเมตร เมื่อผ่านเกรตติง แถบสว่างอันดับที่ 2 เบนไปจากแนวแถบ


สว่างกลางเป็นมุม 30 องศา ดังรูป
เก ิง
แ ส าง 2

30o แ ส างกลาง

จงหาจำานวนช่องต่อเซนติเมตรของเกรตติงที่ใช้
ิ หาระยะห่างระหว่างช่องเกรตติงจาก
d sin ! # n"
แถบสว่างอันดับ 2 แทน n เท่ากับ 2 จะได้
d sin 30 ! (2)"

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
148 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ให้เกรตติงที่ใช้มีจาำ นวนช่อง N ต่อความยาว จะได้ระยะห่างระหว่างช่อง


1
d!
N
" 1 %" 1 %
จะได้
)9
$ ' $ ' ! 2(625 (10 m)
# N &# 2 &
N ! 400000 m )1
N ! 4000 cm )1
จำานวนช่องต่อเซนติเมตรของเกรตติงที่ใช้เท่ากับ 4000 ช่องต่อเซนติเมตร

2. ฉายแสงความยาวคลื่นเดียวตกกระทบในแนวตั้งฉากกับเกรตติงที่มีจำานวนช่อง 10000 ช่อง


ต่อเซนติเมตร เกิดแถบสว่างที่ 1 ทำามุม 30 องศากับแนวกลาง ถ้าเกรตติงอยู่ห่างจากฉาก
50 เซนติเมตร
ก. แถบสว่างที่ 1 อยู่ห่างจากแนวกลางเป็นระยะเท่าใดในหน่วยเซนติเมตร
ข. ความยาวคลื่นของแสงนี้มีค่าเท่าใดในหน่วยนาโนเมตร

ก. ให้แถบสว่างที่ 1 อยู่ห่างจากแนวกลางของเกรตติงเป็นระยะ x ดังรูป

เก ิง ฉาก

x
30o

50 cm
โดยพิจารณาจากรูปจะได้
x = (0.5 m)(tan 30 )
= 0.29 m
= 29 cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 149

ข. หาความยาวคลื่นจากเงื่อนไขการเกิดแถบสว่าง d sin ! # n" โดยแทน n = 1


จะได้
d sin ! # n"
$ 10-2 '
# & 4 m ) sin 30
% 10 (
$1'
# *10-6 m + & )
%2(
-9
# 500 ,10 m
# 500 nm
ความยาวคลื่นของแสงเท่ากับ 500 นาโนเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
150 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

เ ล ก 10

1. เพราะเหตุใดการเลี้ยวเบนของแสงจึงพบเห็นได้ยาก แต่การเลี้ยวเบนของเสียงจึงพบได้ทั่วไป
เสี ย งที่ เ ราได้ ยิ น มี ค วามถี่ ป ระมาณ 500-1000 เฮิ ร ตซ์ ซึ่ ง ที่ อุ ณ หภู มิ ห้ อ ง
มีความยาวคลื่นประมาณ 70-35 เซนติเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับขนาดของสิ่งก่อสร้างในชีวิต
ประจำาวัน เช่น ความกว้างของหน้าต่าง ประตูหรือช่องระบายอากาศ จึงมักได้ยน
ิ เสียงทีเ่ ลีย้ วเบน
ส่วนแสงทีม
่ องเห็นมีความยาวคลืน
่ ประมาณ 400 ! 10"7 " 700 ! 10"7 เซนติเมตร (400-700
นาโนเมตร) ซึ่งมีค่าน้อยมาก การเลี้ยวเบนรอบขอบหรือสันใด ๆ เช่นขอบหน้าต่างจึงน้อยมาก
และสังเกตยาก

2. คลื่นแสงจากสองแหล่งกำาเนิดแสงต้องมีผลต่างระยะทางเป็นเท่าไรจึงจะทำาให้การแทรกสอดที่
เกิดขึ้นเป็นแบบ
ก) เสริมกัน ข) หักล้างกัน

ก. การแทรกสอดแบบเสริมกันจะเกิดขึ้นเมื่อความต่างระยะทาง " !r # ของคลื่นแสงจาก


สองแหล่งกำาเนิดมีค่าเป็น 0 หรือจำานวนเท่าของความยาวคลื่น
!r " n# n = 0, 1, 2, ...
ข. การแทรกสอดแบบหักล้างกันจะเกิดขึ้นเมื่อความต่างระยะทางมีค่าเป็นจำานวนครึ่งเท่า
ของความยาวคลื่น
$ 1'
!r " & n # ) * n = 1, 2, 3, ...
% 2(
3. เราสามารถยกมือบังแสงแดดไม่ให้มาเข้าตาเราได้ ทำาไมเราไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันนี้ป้องกัน
ไม่ให้เสียงมาเข้าหูเราได้

เสียงที่เราได้ยินมีความถี่ประมาณ 500-1000 เฮิรตซ์ ซึ่งที่อุณหภูมิห้องมีความยาวคลื่น


ประมาณ 70-35 เซนติเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับขนาดของมือ เสียงจึงสามารถเลี้ยวเบนผ่านมือ
เข้าสู่หูเราได้ แต่แสงมีความยาวคลื่น 400-700 นาโนเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กมากเทียบกับมือ
จึงเลี้ยวเบนได้น้อย

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 151

4. เมือ
่ ฉายแสงผ่านสลิตเดีย่ ว ถ้าความกว้างของช่องสลิตแคบลง ความกว้างของแถบสว่างกลางจะ
เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพราะอะไร

เมื่อความกว้างของช่องสลิต (a) แคบลง ความกว้างของแถบสว่างกลางจะมีความกว้าง


มากขึน
้ ซึง่ ความกว้างของแถบสว่างกลางสามารถคำานวณได้จากระยะห่างระหว่างแถบมืดอันดับ
ที่ 1 ทางด้านซ้ายและขวาของแถบสว่างกลาง (x)
พิจารณาหาระยะห่างของแถบมืดอันดับที่ 1 ได้จากสมการ
x
a ! "1# $
L
$L
x!
a
สมการข้างต้นแสดงให้เห็นว่า เมือ
่ ความกว้างของช่องสลิตแคบลง (มีคา่ ลดลง) ระยะห่างของ
แถบมืดอับดับที่ 1 จะมีค่ามากขึ้น

5. วิธก
ี ารสังเกตการเลีย้ วเบนของแสงทีง่ า่ ยทีส
่ ด
ุ คือ การมองไปยังแหล่งกำาเนิดแสงผ่านช่องระหว่าง
นิ้วมือที่ชิดกัน วิธีดังกล่าวจะเกิดผลอย่างไร เพราะอะไร

สั ง เกตเห็ น การเลี้ ย วเบนของแสงผ่ า นช่ อ งระหว่ า งนิ้ ว มื อ ที่ ชิ ด กั น โดยจะเห็ น ลวดลาย


การแทรกสอดของแสงคล้ายกับการลวดลายการแทรกสอดของแสงที่ผ่านสลิตเดี่ยว เพราะ
ระยะห่างระหว่างช่องนิ้วมือที่ชิดกันทำาหน้าที่เสมือนสลิตเดี่ยว

6. เสียงสามารถเลีย้ วเบนผ่านขอบของมุมอาคารได้ ทำาให้ผฟ


ู้ งั ทีอ
่ ยูอ
่ ก
ี ด้านหนึง่ ของอาคารสามารถ
ได้ยินเสียงได้ เพราะเหตุใดแสงจึงไม่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้

เสียงทีเ่ ราได้ยน
ิ มีความถีป
่ ระมาณ 500-1000 เฮิรตซ์ ทีอ่ ณ
ุ หภูมห
ิ อ้ งมีความยาวคลืน
่ ประมาณ
70-35 เซนติ เ มตร ซึ่ ง มี ข นาดใกล้ เ คี ย งกั บ สิ่ ง ก่ อ สร้ า งในชี วิ ต ประจำ า วั น ในขณะที่ แ สงมี
ความยาวคลื่น 400-700 นาโนเมตร ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าสิ่งก่อสร้างมาก ดังนั้นเสียงจึงเลี้ยวเบน
ผ่านขอบของมุมอาคารได้ดีกว่าแสง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
152 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

1. แสงมีความยาวคลื่น 6.5 ! 10"7 เมตร ตกกระทบตั้งฉากในแนวสลิตคู่ ถ้าสลิตทั้งสองอยู่ห่างกัน


2.5 !10"4 เมตร ภาพการแทรกสอดบนฉากที่อยู่ห่างจากสลิตคู่เป็นระยะ L ให้ x คือ ระยะที่
แถบสว่างแรกอยู่ห่างจากแถบสว่างกลาง
หนา ลน

แ ส าง x

L
ฉาก
ก 1

ถ้า L มีค่า 1 เมตร x จะมีค่าเท่าใด


ิ ใช้เงื่อนไขการเกิดการแทรกสอดแบบเสริมได้แถบสว่าง จากสมการ
x
d ! n&
L
x
#
2.5 "10%4 m
#1 m $
$ #
! #1$ 6.5 "10%7 m $
#1$ # 6.5 "10%7 m $ #1 m $
x!
# 2.5 "10 %4
m$
! 2.6 "10%3 m
x มีค่า 2.6 ! 10"3 เมตร
m

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 153

2. x แ ส าง

0 1 2 3 4 5 6 7 8 cm

ก 2

จากรูประยะห่างของแถบสว่างมีค่าเท่าใด
ิ จากรูป วัดระยะห่างจากแถบสว่างได้ 0.70 เซนติเมตร
ระยะห่างของแถบสว่างมีค่า 0.70 เซนติเมตร

3. ในการทดลองหาความยาวคลื่นของแสงสีหนึ่ง โดยฉายแสงตั้งฉากกับแผ่นสลิตคู่ท่ีมีระยะห่าง
ระหว่างสลิต 0.20 มิลลิเมตร เกิดการแทรกสอดของแสงบนฉาก ซึ่งห่างจากแผ่นสลิต 1.0 เมตร
พบว่า แถบสว่างที่ 4 อยูห
่ า่ งจากแนวกลาง 1.2 เซนติเมตร แสงนีม
้ ค
ี วามยาวคลืน
่ เท่าใดในหน่วย
นาโนเมตร
ิ ใช้เงื่อนไขการเกิดการแทรกสอดแบบเสริมได้แถบสว่าง จากสมการ
dx
! n"
L
สำาหรับแถบสว่างที่ 4 แทน n เท่ากับ 4 จะได้
(0.20 !10#3 m)(1.2 !10#2 m)
" 4$
1.0 m
$ " 600×10#9 m
$ " 600 nm
แสงมีความยาวคลื่นเท่ากับ 600 นาโนเมตร

4. แสงความยาวคลืน
่ 500 นาโนเมตร ส่องตัง้ ฉากกับสลิตคู่ ซึง่ มีระยะห่างระหว่างสลิต 0.5 มิลลิเมตร
และอยู่ห่างจากฉาก 2 เมตร แถบสว่างถัดกันที่ปรากฏบนฉากห่างกันเท่าใดในหน่วยมิลลิเมตร
ิ ใช้เงื่อนไขในการเกิดแถบสว่างจากสมการ
dx
! n"
L
n" L
x!
d

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
154 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

หาระยะห่างระหว่างแถบสว่างถัดกันบนถาดได้
∆x = xn +1 − xn
λ L nλ L
= (n + 1) −
d d
λL
=
d
(500 ×10−9 m)(2 m)
=
0.5 ×10−3 m
= 2.0 ×10−3 m
∆x = 2.0 mm
แถบสว่างถัดกันที่ปรากฏบนฉากห่างกันเท่ากับ 2.0 มิลลิเมตร

5. ฉายแสงความยาวคลื่น 600 นาโนเมตรตั้งฉากกับสลิตคู่ เกิดการแทรกสอดของแสงบนฉาก


ซึ่งห่างจากแผ่นสลิต 1.0 เมตร ถ้าวัดระยะห่างระหว่างแถบสว่าง 2 แถบถัดกันได้ 5 มิลลิเมตร
แผ่นสลิตนี้มีระยะห่างระหว่างสลิตเท่าใดในหน่วยไมโครเมตร
ิ ใช้เงื่อนไขการเกิดแถบสว่างจากสมการ
dx
= nλ
L
หาระยะห่างระหว่างแถบสว่าง 2 แถบถัดกันได้
d ∆x

L
d (5 ×10−3 m)
= 600 ×10−9 m
1m
600 ×10−9 m
d=
5 ×10−3
= 120 ×10−6 m
d = 120 µm

แผ่นสลิตนี้มีระยะห่างระหว่างสลิตเท่ากับ 120 ไมโครเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 155

6. แสงความยาวคลื่นเดียวตกกระทบตั้งฉากกับสลิตคู่ที่ช่องสลิตอยู่ห่างกัน 200 ไมโครเมตร แถบ


สว่างที่ 4 เบนจากแถบสว่างกลางเป็นมุม 0.63 องศา ซึ่งมีค่า sin 0.63 = 0.011 ดังรูป

แ ส าง 4

S2

S1

ก 6
แสงมีความยาวคลื่นเท่าใดในหน่วยนาโนเมตร

สำาหรับแถบสว่างที่ 4 แทน n เท่ากับ 4 จะได้
dsin! # (4)"
(200×10-6 m)(0.011) # 4"
" # 550 $10%9 m
" # 550 nm
แสงมีความยาวคลื่นเท่ากับ 550 นาโนเมตร

7. แสงความยาวคลื่นเดียวตกกระทบตั้งฉากกับสลิตคู่เกิดแถบสว่างแถบคู่ ดังรูป

แ ส าง 1

S2 แ ด 1
3 mm

S1

ก 7

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
156 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

แถบมืดที่ 1 บนฉากเบนจากแนวเส้นกลางเป็นระยะ 3 มิลลิเมตร แถบสว่างที่ 1 บนฉากจะเบน


จากแนวเส้นกลางเป็นระยะเท่าใดในหน่วยมิลลิเมตร

ให้ระยะที่แถบมืดอันดับที่ 1 อยู่ห่างจากแนวเส้นกลางเท่ากับ x1
ให้ระยะที่แถบสว่างอันดับที่ 1 อยู่ห่างจากแนวเส้นกลางเท่ากับ x2
x1 1
d ! "
L 2
"L
! 2(3 mm)
d
"L
! 6 mm (1)
d
สำาหรับแถบสว่างที่ 1 แทน n เท่ากับ 1
x
d 2 ! 1"
L
"L
x2 ! (2)
d
สมการ (2) = (1)
จะได้ x2 = 6 mm
แถบสว่างที่ 1 บนฉากจะเบนจากแนวเส้นกลางเป็นระยะเท่ากับ 6 มิลลิเมตร

8. ในการเกิดการแทรกสอดของแสงที่มีความยาวคลื่น 6.5 ! 10"7 เมตร โดยใช้ช่องขนาดเล็ก


2 ช่อง ให้เกิดบนฉากที่อยู่ห่างออกไป 1.0 เมตร ถ้าต้องการให้แถบสว่าง 2 แถบที่ติดกันอยู่ห่าง
"3
กัน 1.0 ! 10 เมตร ช่องทั้งสองจะต้องอยู่ห่างกันเท่าใด (ให้ถือว่าตำาแหน่งแถบสว่างเบนไป
จากแนวกลางน้อยมาก)

ระยะระหว่างแถบสว่างแรกจากแนวกลางเท่ากับระยะระหว่างแถบสว่าง 2 แถบที่อยู่
ถัดกัน
ดังนั้น !x " 1.0 #10$3 m
และ !n " 1
เนื่องจากตำาแหน่งแถบสว่างเบนไปจากแนวกลางน้อยมาก

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 157

จาก d ( ∆x )
= ∆nλ
L
∆nλ L
d=
∆x
1× ( 6.5 ×10−7 m ) × (1.0 m )
d=
(1.0 ×10−3 m )
d = 6.5 ×10−4 m
−4
ช่องทั้งสองจะต้องอยู่ห่างกัน 6.5 × 10 เมตร

9. แสงความยาวคลื่นเดียวตกกระทบตั้งฉากกับสลิตเดี่ยวที่มีความกว้าง 250 ไมโครเมตร ความ


กว้างของแถบสว่างกลางบนฉากมีขนาด 5 มิลลิเมตร ถ้าเปลี่ยนเป็นสลิตเดี่ยวที่มีความกว้าง
50 ไมโครเมตร แถบสว่างกลางบนฉากเดิมจะกว้างเท่าใดในหน่วยมิลลิเมตร

ความกว้างของแถบสว่างกลางคำานวณได้จากระยะห่างระหว่างตำาแหน่งของแถบมืดอันดับ
ที่หนึ่งที่อยู่สองข้างของแถบสว่างกลาง
ระยะที่แถบมืดอันดับที่หนึ่งอยู่ห่างจากแถบสว่างกลางคำานวณได้จาก
x
a = nλ
L
เมื่อใช้สลิตที่มีความกว้าง 250 µm จะได้
x1
(250 ×10−6 m) = (1) λ (1)
L
เมื่อใช้สลิตที่มีความกว้าง 50 µ m จะได้
x
(
50 ×10−6 m 2 = λ
L
) (2)

สมการ (2) = (1)


−6  5 ×10−3 m 
−6
(50 ×10 m) x2 = (250 ×10 m)  
 2 
−3
25 ×10 m
x2 =
2
2 x2 = 25 mm
แถบสว่างกลางบนฉากเดิมจะกว้าง 25 มิลลิเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
158 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

10. ฉายแสงความยาวคลื่น 500 นาโนเมตร ตกกระทบตั้งฉากกับแผ่นสลิตเดี่ยวที่อยู่ห่างจากฉาก


1.20 เมตร พบว่าแถบมืดแรกห่างจากกึ่งกลางของแถบสว่างกลาง 0.02 เมตร จงหาความกว้าง
ของสลิตในหน่วยไมโครเมตร

x
จาก a ! n"
L
สำาหรับแถบมืดที่ 1 แทน n เท่ากับ 1 จะได้
$L
a!
x
(500 "10#9 m)(1.20 m)
!
0.02 m
#6
! 30 "10 m
a ! 30 %m
ความกว้างของสลิตเท่ากับ 30 ไมโครเมตร

11. แสงความยาวคลื่น 600 นาโนเมตร ตกกระทบตั้งฉากกับแผ่นสลิตเดี่ยวที่กว้าง 200 ไมโครเมตร


ระยะห่างระหว่างแถบมืดที่อยู่ด้านข้างของแถบสว่างกลางที่ตกบนฉากห่างกัน 1.0 เซนติเมตร
ฉากอยู่ห่างจากแผ่นสลิตเดี่ยวเป็นระยะเท่าใดในหน่วยเมตร

ระยะห่างระหว่างแถบมืดที่อยู่ด้านข้างของแถบสว่างกลางที่ตกบนฉากมีค่าเป็นสองเท่า
ของระยะห่างของแถบมืดอันดับที่หนึ่งจากแถบสว่างกลาง ดังนั้น
1.0 "10#2 m
x!
2
! 0.5 "10#2 m
จาก
x
a ! n"
L
สำาหรับแถบมืดที่ 1 แทน n เท่ากับ 1 จะได้
(200 !10%6 m)(0.5 !10%2 m)
" #1$ # 600 !10%9 m $
L
(200 !10%6 m)(0.5 !10%2 m)
L"
(600 !10%9 m)
L " 1.67 m
ฉากอยู่ห่างจากสลิตเดี่ยวเท่ากับ 1.67 เมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 159

12. มองไส้หลอดไฟที่ส่องสว่างผ่านเกรตติงที่มีจาำ นวน 5000 ช่องต่อเซนติเมตร โดยให้เกรตติงอยู่


ห่างจากไส้หลอดไฟ 1.0 เมตร และไส้หลอดอยู่ที่ตำาแหน่ง 50.0 เซนติเมตรของไม้เมตร ดังรูป

เก ิง เ
1.0 m

50.0 cm

79.0 cm

สำาหรับแสงสีหนึ่งในแถบสเปกตรัมอันดับที่ 1 ปรากฏบนไม้เมตรที่ตำาแหน่ง 79.0 เซนติเมตร


แสงสีนั้นมีความยาวคลื่นเท่าใดในหน่วยนาโนเมตร

เก ิง เ

1.0 m

29.0 cm

หามุม ของแถบสเปกตรัมอันดับที่ 1 โดยพิจารณาจากรูปจะได้


0.29 m
sin !"#
$1.0 m % & $ 0.29 m %
2 2

0.29 m
#
1.041 m
sin !"# 0.278
จากสมการ d sin ! # n" แทน n = 1 จะได้
# 10)2 m &
! "% ( (0.278)
$ 5000 '
! " 556 nm
แสงสีนั้นมีความยาวคลื่นเท่ากับ 556 นาโนเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
160 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

13. ในการทดลองเพือ
่ หาความยาวคลืน
่ ของแสงเลเซอร์ โดยใช้เกรตติงทีม
่ ี 5000 ช่องต่อเซนติเมตร
พบว่า แถบสว่างอันดับที่ 1 ทางด้านซ้ายและขวา อยูท
่ ต
ี่ าำ แหน่ง 11.6 และ 88.4 เซนติเมตรของ
ไม้เมตร ตามลำาดับ ถ้าฉากอยู่ห่างเกรตติงเป็นระยะ 100.0 เซนติเมตร ดังรูป
11.6 50.0 88.4 (cm)

100.0 cm

1 1

เก ิง
ก 13
ความยาวคลื่นของแสงเลเซอร์มีค่าเท่าใด

38.4 cm 38.4 cm

100.0 cm

107.12 cm

1 1

เก ิง

38.4 #10%2 m
จากรูป sin ! "
(100 #10%2 m) 2 $ (38.4 #10%2 m) 2
38.4 #10%2 m
"
107.12 #10%2 m
" 0.3585

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 161

ระยะห่างระหว่างช่อง (d) ของเกรตติงมีค่า


1×10−2 m
d=
5000
= 2.0 ×10−6 m
และ n=1
จาก d sin θ = nλ
แทนค่า (2.0 ×10 m)(0.3585) = (1 ) λ
−6

จะได้ λ = 717 ×10−9 m


λ = 717 nm
ความยาวคลื่นของแสงเลเซอร์มีค่า 717 นาโนเมตร

14. ฉายแสงขาวตั้งฉากกับเกรตติงที่มีจำานวนช่อง 10000 ช่องต่อเซนติเมตร จะปรากฏแถบ


สเปกตรัมอันดับที่สองในช่วงความยาวคลื่น 400 นาโนเมตรถึง 700 นาโนเมตร ได้ครบทุก
ความยาวคลื่นหรือไม่ แสดงเหตุผลประกอบคำาตอบ
ิ ตรวจสอบโดยพิจารณาจากค่าไซน์ของมุมของความยาวคลื่นสูงสุดของสเปกตรัมอันดับ
ที่สองที่ทาำ กับแนวกลาง ถ้ามากกว่า 1 แสดงว่าจะเกิดสเปกตรัมไม่ครบความยาวคลื่น
จากสมการ d sin θ = nλ
สำาหรับสเปกตรัมอันดับที่ 2 แทน n เท่ากับ 2 จะได้

sinθ =
d
2(700 ×10−9 m)
=
 10−2 
 4 m
 10 
sinθ = 1.4
มีค่าเกิน 1 ซึ่งค่า sin เกิน 1 ไม่ได้ นั่นคือ จะไม่ปรากฏสเปกตรัมอันดับที่สองของแสง
ความยาวคลื่นนี้
แถบสเปกตรัมอันดับที่สองในช่วงความยาวคลื่น 400 นาโนเมตรถึง 700 นาโนเมตร
ปรากฏไม่ครบทุกความยาวคลื่น

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
162 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

1. แสงความยาวคลื่น λ1 และ λ2 ตกกระทบตั้งฉากกับสลิตคู่ พบว่าภาพการแทรกสอดที่ปรากฎ


บนฉากของแถบมืดอันดับที่ 3 ของแสง λ1 เกิดที่เดียวกับแถบสว่างที่ 2 ของแสง λ2 อัตราส่วน
ระหว่าง λ1 กับ λ2 เป็นเท่าใด

% 1(
จาก d sin ! # ' n $ * "
& 2)
แถบมืดที่ 3 ของแสง λ1 n!3
# 1&
จะได้ d sin ) ! % 3 " ( *1
$ 2'
จาก d sin ) ! n*
แถบสว่างที่ 2 ของแสง λ2 n!2
จะได้ d sin " ! 2#1
เนื่องจากแถบมืดที่ 3 ของแสง λ1 เกิดที่เดียวกับแถบสว่างที่ 2 ของแสง λ2
" 1%
(1) = (2) $ 3 ! ' )1 ( 2)2
# 2&
)1 4
(
)2 5
อัตราส่วนระหว่าง λ1 กับ λ2 เป็น 4 : 5

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 163

2. แสงสีเขียวความยาวคลืน
่ 550 นาโนเมตร ตกกระทบตัง้ ฉากกับสลิตคู่ ถ้าทีต
่ าำ แหน่งการแทรกสอด
ห่างจากจุดกึ่งกลางของแถบสว่างกลางเป็นระยะ 1.1 เซนติเมตร มีเฟสต่างกัน 4π เรเดียน
ระยะห่างของสลิตคู่มีค่าเท่าใด ถ้าฉากอยู่ห่างออกไป 1.0 เมตร

ตำาแหน่งทีค
่ ลืน
่ แทรกสอดกันคลืน
่ ทัง้ สองมีเฟสต่างกัน 4π เรเดียน คำานวณหาความต่าง
ระยะทาง " !r # ได้จาก
& 2# )
!" % !r ( +
' $ *
& $ )
!r % !" ( +
' 2# *
& $ )
% , 4# - ( +
' 2# *
ดังนั้น !r % 2$
สำาหรับสลิตคู่ความต่างระยะทางคำานวณได้จาก
!r " d sin )
#x&
!r " d % (
$L'
#x&
จะได้ว่า d % ( " 2*
$L'
ในที่นี้ x ! 1.1" 10 m, L ! 1.0 m, $ ! 550 " 10#9 m
#2

(1.1!10#2 m)
แทนค่า d " 2(550 !10#9 m)
1.0 m
จะได้ d " 100 !10#6 m
d " 100 $ m
ระยะห่างของสลิตคู่มีค่าเท่ากับ 100 ไมโครเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
164 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

3. เมื่อใช้แสงสีเขียวที่มีความยาวคลื่น 5.2 ! 10"7 เมตร ตกกระทบสลิตคู่ในแนวตั้งฉาก เกิดภาพ


แทรกสอดบนฉาก ถ้าแถบสว่าง 2 แถบที่ติดกันอยู่ห่างกัน 0.2 มิลลิเมตร แต่ถ้าใช้แสงสีแดงที่มี
ความยาวคลื่น 6.5 ! 10"7 เมตร แทนแถบสว่าง 2 แถบที่ติดกันจะอยู่ห่างกันกี่มิลลิเมตร

x
จาก d ! n&
L
x
จะได้ว่า &!d
nL
(0.2 "10%3 m)
แทนค่า 5.2 "10%7 m ! d (1)
#1$ L
เมื่อใช้แสงสีแดง ! " 6.5 #10$7 m, n =1 ต้องการทราบค่า x
แทนค่า " 6.5 !10%7 m # $ d "1x# L (2)

(6.5 !10%7 m) x L
(2)/(1) %7
$d !
(5.2 !10 m) L d (0.2 ! 10%3 m)
x $ 0.25 !10%3 m
หรือ $ 0.25 mm
แถบสว่าง 2 แถบติดกันจะอยู่ห่างกัน 0.25 มิลลิเมตร

4. สลิตคูท
่ อ
ี่ ยูห
่ า่ งกัน d และอยูห
่ า่ งจากฉาก D เมือ
่ ฉายแสงความยาวคลืน
่ λ ตัง้ ฉากกับสลิตคู่ เกิด
การแทรกสอดของแสง ปรากฏเป็นแถบสว่างและแถบมืดบนฉาก ระยะห่างระหว่างแถบมืดที่ 1
กับแถบมืดที่ 2 ของภาพบนฉาก จะเป็นเท่าใด ในเทอม λ D และ d
ิ ใช้เงื่อนไขในการเกิดแถบมืด จากสมการ ฉาก
x # 1&
d ! %n " ()
L $ 2'
x2
S2 x1
d

S1

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 165

แถบมืดที่ 1 แทน n เท่ากับ 1 เกิดที่ตำาแหน่ง x1 บนฉากได้ จะได้


x λ
d 1= (1)
D 2
แถบมืดที่ 2 แทน n เท่ากับ 2 เกิดที่ตำาแหน่ง x2 บนฉากได้ จะได้
x 3λ
d 2 = (2)
D 2
สมการ (2) (1) จะได้
dx2 dx1 3λ λ
− = −
D D 2 2
d
( x2 − x1 ) = λ
D
λD
x2 − x1 =
d
λD
ระยะห่างระหว่างแถบมืดที่ 1 กับแถบมืดที่ 2 ของภาพบนฉาก จะห่างกันเท่ากับ
d
5. แสงความยาวคลื่นเดียวตกกระทบตั้งฉากกับสลิตคู่ เกิดการแทรกสอดบนฉาก ดังรูป

แ ส าง 1

S2 2.0 mm

S1
1.0 m
แถบสว่างที่ 1 เบนไปจากแนวเส้นกลางเป็นระยะ 2.0 มิลลิเมตร เมื่อฉากอยู่ห่างจากสลิต
1.0 เมตร ถ้าต้องการให้แถบสว่างที่ 1 เบนไปจากแนวเส้นกลางเป็นระยะ 3 มิลลิเมตร ต้องให้
ฉากอยู่ห่างจากสลิตเป็นระยะเท่าใดในหน่วยเมตร

สำาหรับแถบสว่างที่ 1 แทน n เท่ากับ 1
x
d = (1)λ
L
ถ้า x = 2.0 mm จะได้
d (2.0 mm)
=λ (1)
(1.0 m)

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
166 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

ถ้า x = 3.0 mm จะได้


d (3.0 mm)
=λ (2)
L2
d (2.0 mm) d (3.0 mm)
(1) = (2) =
(1.0 m) L2
L2 = 1.5 m

ฉากอยู่ห่างจากสลิตเป็นระยะเท่ากับ 1.5 เมตร

6. ถ้าใช้เลเซอร์สีแดงฉายผ่านสลิตคู่ที่มีระยะระหว่างช่อง 25 ไมโครเมตร เกิดภาพการแทรกสอด


บนกระดานที่อยู่ห่างจากสลิต 2.30 เมตร วัดระยะระหว่างแถบสว่างที่ 3 ทั้งสองข้างของแถบ
สว่างกลางได้ 35 เซนติเมตร แสงเลเซอร์ที่ใช้มีความยาวคลื่นเท่าใด

ในที่นี้ n = 3 ระยะระหว่างแถบสว่าง 35 cm ดังนั้น
35 ×10−2 m
x= , d = 25 ×10−6 m และ L 2.30 m
2
x
จาก d = nλ
L
ดังนั้น
 35 ×10-2 m 
( 25 × 10 −6
m ) 2 
  = 3λ
2.30 m
λ = 634 ×10−9 m
= 634 nm
แสงเลเซอร์ที่ใช้มีความยาวคลื่นเท่ากับ 634 นาโนเมตร

7. ในการทดลองให้แสงความยาวคลืน
่ เดียวตกกระทบตัง้ ฉากกับสลิตคูแ่ ละสลิตเดีย่ ว ถ้าต้องการให้
ตำาแหน่งมืดที่ 2 ของการแทรกสอดของแสงบนฉากที่ผ่านสลิตคู่ ตรงกับตำาแหน่งมืดที่ 2 ของ
การเลีย
้ วเบนของแสงผ่านสลิตเดีย
่ ว ต้องใช้สลิตคูท
่ ม
ี่ รี ะยะระหว่างสลิตเป็นกีเ่ ท่าของความกว้าง
สลิตเดี่ยว

ให้สลิตคู่มีระยะห่างสลิตเป็น d
ความกว้างของสลิตเดี่ยวเป็น a

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 167

พิจารณาการเกิดแถบมืดที่ 2 ของสลิตคู่ จากสมการ


% 1(
d sin ! # ' n $ * "
& 2)
3
d sin ! # " (1)
2
พิจารณาการเกิดแถบมืดที่ 2 ของสลิตเดี่ยว จากสมการ
a sin ! # n"
a sin ! # 2" (2)
(1) d 3
สมการ #
(2) a 4
3
d# a
4
3
ต้องใช้สลิตคู่ที่มีระยะระหว่างสลิตเป็น เท่าของความกว้างสลิตเดี่ยว
4
8. ฉายแสงความยาวคลืน
่ 560 นาโนเมตร ตกกระทบตัง้ ฉากกับแผ่นสลิตเดีย่ วทีก่ ว้าง 10 ไมโครเมตร
แถบสว่างกลางรองรับมุมที่จุดกึ่งกลางของสลิตเดี่ยวกี่องศา

หามุมที่แถบมืดแถบแรกทำากับแนวสว่างกลางโดยแทน n = 1 จะได้
"
sin ! #
a
560×10%9 m
#
10 $10%6 m
sin ! # 0.056
! ! 3"
แถบสว่ า งกลางอยู่ ร ะหว่ า งแถบมื ด อั น ดั บ ที่ ห นึ่ ง ที่ อ ยู่ ส องข้ า งของแถบสว่ า งกลาง
ดังนั้นแถบสว่างกลางรองรับมุมที่จุดกึ่งกลางของสลิตเดี่ยว 2 เท่ากับ 6 องศา

แถบสว่างกลางรองรับมุมที่จุดกึ่งกลางของสลิตเดี่ยว 6 องศา

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
168 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

9. ในการทดลองหาเส้นผ่านศูนย์กลางของลวดโลหะเส้นหนึง่ โดยการเลีย้ วเบนของแสง พบว่าเลเซอร์


สามารถเลี้ยวเบนผ่านลวด แล้วเกิดบริเวณสว่าง-มืดที่ฉากรับ โดยที่ระยะทางระหว่างบริเวณมืด
ที่ 1, 2 และ 3 อยูห
่ า่ งจากบริเวณสว่างกลางเท่ากับ 1 เซนติเมตร 2 เซนติเมตร และ 3 เซนติเมตร
ตามลำาดับ ถ้าฉากรับอยูห
่ า่ งจากลวดเป็นระยะทาง 1.00 เมตร จงหาเส้นผ่านศูนย์กลางของลวด
โลหะ ถ้าใช้เลเซอร์ฮีเลียม-นีออน ที่มีความยาวคลื่น 632.8 นาโนเมตร

ลวดลายของแสงที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยวเบนผ่านลวด จะมีลักษณะคล้ายกับลวดลาย
ของแสงทีเ่ ลีย้ วเบนผ่านสลิตเดีย่ วทีม
่ ค
ี วามกว้างระหว่างช่องสลิตเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลาง
ของเส้นลวด หาเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นลวดได้จาก
x
จากสมการ a ! n"
L
เขียนใหม่ จะได้เส้นผ่านศูนย์กลางของลวด เป็น
n" L
a!
x
เมื่อ n = 1 จะได้
(1)(632.8 "10#9 m)(1.00 m)
d!
0.01 m
! 0.0633 mm
เมื่อ n = 2 จะได้
(2)(632.8 "10#9 m)(1.00 m)
d!
0.02 m
! 0.0633 mm

เมือ
่ แทนค่า ไม่วา่ จะได้จากบริเวณมืดที่ 1, 2 หรือ 3 จะได้เส้นผ่านศูนย์กลางของลวดเป็น
0.0633 mm

เส้นผ่านศูนย์กลางของลวดเท่ากับ 0.0633 มิลลิเมตร

10. แสงความยาวคลืน
่ λ ตกกระทบตัง้ ฉากกับสลิตเดีย่ วทีม
่ ค
ี วามกว้างของช่อง d ทำาให้ความกว้าง
d
ของแถบสว่างกลางบนฉากเป็น a ถ้าฉากรับภาพอยู่ห่างจากสลิตเป็นระยะ L และ มีค่า
λ
เท่ากับ 200 ระยะ L เป็นกี่เท่าของความกว้าง a
ิ ขอบของแถบสว่ า งกลางถื อ ว่ า เป็ น ตำ า แหน่ ง มื ด ที่ 1 ซึ่ ง ห่ า งจากเส้ น แนวกลางของ
a
แถบสว่างกลางเป็นระยะ x=
2
x
สมการสำาหรับแถบมืดใด ๆ a ! n"
L

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 169

a
ในที่นี้ x = , DD==LL และ n = 1 สำาหรับตำาแหน่งมืดที่ 1
2
!a 1$
แทนค่า d# & ' 1(
"2 L %
d! a $
# & '1
( " 2L %
! a $
200 # & '1
" 2L %
L ' 100a
ระยะ L เป็น 100 เท่าของความกว้าง a

11. เมื่อให้แสงที่เปล่งจากหลอดบรรจุไฮโดรเจนตกกระทบแผ่นเกรตติงอันหนึ่ง ในแนวตั้งฉาก


ปรากฏว่า เส้นสเปกตรัมอันดับที่ 2 ทีเ่ กิดเนือ
่ งจากแสงสีแดง ซึง่ มีความยาวคลืน
่ 656 นาโนเมตร
ซ้อนทับเส้นสเปกตรัมอันดับที่ 3 ของแสงสีอน
ื่ อีกสีหนึง่ แสงสีนน
ั้ มีความยาวคลืน
่ เท่าใด ในหน่วย
นาโนเมตร
ิ การหาตำาแหน่งแถบสว่าง หาได้จาก d sin ! # n"
พิจารณาแสงสีแดงความยาวคลื่น 656 nm ที่มุม ที่เป็นเส้นสเปกตรัมอันดับที่ 2
จะได้ว่า d sin ! " # 2 $ # 656 %10&9 $ (1)
พิจารณาแสงสีอื่นที่ไม่รู้ความยาวคลื่นที่มุม ที่เป็นเส้นสเปกตรัมอันดับที่ 3
จะได้ว่า d sin ! # 3" (2)
การที่เส้นสเปกตรัมซ้อนทับกันแสดงว่า เท่ากันซึ่งจะทำาให้ sin เท่ากัน จึงได้ว่า
สมการ (1) เท่ากับ สมการ (2)
ดังนั้น 3! " # 2 $ # 656 %10'9 m $
" 437.33 %10'9 m
& 437 nm
แสงอีกสีหนึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 437 นาโนเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
170 10 | ส เ ิ ล ฟิสิกส์ เล่ม 3

12. ถ้าใช้เกรตติงที่มีจาำ นวนช่อง 5000 ช่องต่อเซนติเมตร และเกรตติงที่มีจาำ นวนช่อง 10000 ช่อง


ต่อเซนติเมตร รับแสงขาวทีม
่ าตกกระทบตัง้ ฉาก ทำาให้เกิดสเปกตรัมของแสงขาว ความยาวคลืน

400 นาโนเมตรถึง 700 นาโนเมตร เกรตติงแต่ละแผ่นจะให้สเปกตรัมสูงสุดกี่อันดับ
ิ ใช้ เ งื่ อ นไขการเกิ ด แถบสว่ า งจากสมการ d sin ! # n" ตามเงื่ อ นไขเกิ ด สเปกตรั ม
ครบทุ ก ความยาวคลื่ น เมื่ อ แสงที่ มี ค วามยาวคลื่ น สู ง สุ ด ซึ่ ง ในที่ นี้ มี ค่ า เท่ า กั บ
700 นาโนเมตร ทำามุมกับแนวกลางเป็นมุมโดยประมาณ 90 องศา ดังนั้น
d sin 90! " n#
d
n"
#
หา n1 เมื่อใช้เกรตติง 5000 ช่องต่อเซนติเมตรได้
# 1 &
% "10+2 m (
5000
n1 ! $ '
) 700 "10 m *
+9

!
) 2 "10 +6
m*
) 7 "10 +7
m*
n1 ! 2.86
คิดเฉพาะจำานวนเต็มได้ n1 = 2
หา n2 เมื่อใช้เกรตติง 10000 ช่องต่อเซนติเมตรได้
# 1 &
% "10+2 m (
10000
n2 ! $ '
)+9
700 "10 m *
!
)1"10 +6
m*
) 7 "10 +7
m*
n2 ! 1.43
คิดเฉพาะจำานวนเต็มได้ n2 = 1
สังเกต เกรตติงที่มีจำานวนช่องต่อความยาวยิ่งมาก จำานวนลำาดับของการเกิดสเปกตรัม
ยิ่งลดลง
2 ลำาดับ และ 1 ลำาดับ ตามลำาดับ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 10 | ส เ ิ ล 171

13. ถ้าใช้เกรตติงทีม
่ จี าำ นวนช่อง 8000 ช่องต่อเซนติเมตร รับแสงขาวความยาวคลืน
่ 400 นาโนเมตร
ถึง 700 นาโนเมตร ที่ตกกระทบตั้งฉาก ทำาให้เกิดสเปกตรัมของแสงบนฉากที่อยู่ห่างจาก
เกรตติง 1.0 เมตร ความกว้างของแถบสเปกตรัมอันดับที่หนึ่งที่ปรากฏบนฉากเป็นเท่าใด
ในหน่วยเซนติเมตร
ิ หามุมที่แสงความยาวคลื่น 400 นาโนเมตรและ 700 นาโนเมตร ของสเปกตรัมอันดับ
ที่หนึ่งทำากับแนวกลาง คือ 1 และ 2 ตามลำาดับ ดังรูป
เก ิง ฉาก
x
2
x2
x1
1

1.0 m

แล้วนำาไปหาความกว้างสเปกตรัมอันดับที่ 1
จากสมการ d sin ! # n" สำาหรับมุม 1 ของแสงความยาวคลื่น λ1 แทน n เท่ากับ 1
จะได้ dsin!1 # (1)"1
"1
sin!1 #
d

!
# 400 "10 ,9
m$
% 1 (
' "10,2 m *
& 8000 )
sin-1 ! 0.32
-1 ! 18.7+
สำาหรับมุม 2 ของแสงความยาวคลื่น λ2 แทน n เท่ากับ 1 จะได้
dsin! 2 # (1)"2
"2
sin! 2 #
d

sin! 2 #
% 700 $10-9 m &
' 1 *
) $10-2 m ,
( 8000 +
ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
sin! 2 # 0.56
172 10 | ส เ ิ ล dsin! 2 # (1)"2 ฟิสิกส์ เล่ม 3

"2
sin! 2 #
d

sin! 2 #
% 700 $10-9 m &
' 1 *
) $10-2 m ,
( 8000 +
sin! 2 # 0.56
! 2 # 34.1.
จากรูป !x " x2 # x1
" (1.0 m) tan 34.1$ # (1.0 m) tan18.7$
" 0.677 m # 0.3384 m
" 0.3386 m
!x " 33.86 cm
ความกว้างของแถบสเปกตรัมอันดับที่หนึ่งที่ปรากฏบนฉากเท่ากับ 33.86 เซนติเมตร

14. ฉายแสงความยาวคลื่น 450-600 นาโนเมตร ตกกระทบตั้งฉากกับเกรตติงที่มี 10000 ช่อง


ต่อเซนติเมตร จะเกิดชุดสเปกตรัมครบทุกความยาวคลื่นถึงอันดับที่เท่าใด
ิ แทน λ ค่ามากสุดคือ 600 nm เพื่อให้เกิดแถบสว่างสมบูรณ์ถึงชุดที่ n
โดยที่ = 90
ใช้เงื่อนไขการเกิดแถบสว่างจากสมการ d sin ! # n" จะได้
" 1 *2 % *9
$ 4 !10 m ' sin 90( ) n(600 !10 m)
# 10 &
n )1.7
ต้องเลือกค่า n ที่เป็นจำานวนเต็มเท่านั้น จึงได้สเปกตรัมที่สมบูรณ์
ดังนั้น เกิดชุดสเปกตรัมครบทุกความยาวคลื่นถึงลำาดับที่ 1
เกิดชุดสเปกตรัมครบทุกความยาวคลื่นถึงลำาดับที่ 1

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 173

11
ส เ ิ ส

ipst.me/8841

ลก เ

1. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดรรชนีหก
ั เห มุมตกกระทบ และมุมหักเห รวมทัง้ อธิบาย
ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริงและความลึกปรากฏ มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับหมดของ
แสง และคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและ
คำานวณตำาแหน่งและขนาดภาพของวัตถุเมือ
่ แสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม
รวมทัง้ อธิบายการนำาความรูเ้ รือ
่ งการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม
ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำาวัน
3. ทดลองและเขียนรังสีของแสงเพือ
่ แสดงภาพทีเ่ กิดจากเลนส์บาง หาตำาแหน่ง ขนาด ชนิดของภาพ
และความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส รวมทัง้ คำานวณปริมาณต่าง ๆ
ทีเ่ กีย่ วข้อง และอธิบายการนำาความรูเ้ รือ
่ งการหักเหของแสงผ่านเลนส์บางไปใช้ประโยชน์ในชีวต

ประจำาวัน
4. สังเกตและอธิบายการมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ การผสมสารสี และการผสมแสงสี รวมทัง้ อธิบาย
สาเหตุของการบอดสี
5. อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง การทรงกลด มิราจ และการเห็นท้องฟ้า
เป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเวลาต่างกัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
174 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ก ิเ ์ ลก เ

ลก เ
1. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดรรชนีหักเห มุมตกกระทบ และมุมหักเห รวมทั้ง
อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริงและความลึกปรากฏ มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับ
หมดของแสง และคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ส ์ก เ
1. ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสง กฎการสะท้อนของแสง
2. ทดลองและอธิบายการหักเหของแสง กฎของสเนลล์
3. อธิบายมุมวิกฤต การสะท้อนกลับหมด และการกระจายของแสงเมื่อผ่านปริซึม

ก ก ก ก ่ 21 ิ ิ ส ์
ิ ส ์

1. การสั ง เกต การวั ด และ 1. การแก้ปญ


ั หา (สถานการณ์ 1. ด้ า นความรอบคอบและ
การลงความเห็นจากข้อมูล ทีเ่ กีย่ วกับการสะท้อนและ ความรับผิดชอบ และความ
(จากการทำากิจกรรม) การหักเหของแสง) ร่วมมือช่วยเหลือ (จากการ
2. การใช้จำานวน (การคำานวณ 2. ความร่วมมือ การทำางาน ทำากิจกรรม)
ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็ น ที ม และภาวะผู้ นำ า
และการเขี ย นรายงานผล (การทำากิจกรรม)
การทำากิจกรรม) 3. การสื่อสาร (การอภิปราย
ร่วมกันและนำาเสนอผล)

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 175

ลก เ
2. ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและ
คำานวณตำาแหน่งและขนาดภาพของวัตถุเมือ
่ แสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรง
กลม รวมทัง้ อธิบายการนำาความรูเ้ รือ
่ งการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงา
ทรงกลมไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำาวัน
3. ทดลองและเขียนรังสีของแสงเพือ
่ แสดงภาพทีเ่ กิดจากเลนส์บาง หาตำาแหน่ง ขนาด ชนิดของ
ภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส รวมทั้งคำานวณ
ปริมาณต่าง ๆ ที่เกีย
่ วข้อง และอธิบายการนำาความรูเ้ รือ
่ งการหักเหของแสงผ่านเลนส์บางไป
ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำาวัน

ส ์ก เ
1. อธิบายวิธีการเขียนรังสีของแสงและการเกิดภาพ
2. เขียนรังสีของแสงและอธิบายการเกิดภาพ ระบุตำาแหน่งและชนิดของภาพที่เกิดจากการ
สะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบ
3. เขียนรังสีของแสง อธิบายและคำานวณหาปริมาณต่าง ๆ ของการเกิดภาพทีเ่ กิดจากการหักเห
ของแสงที่ผ่านตัวกลางที่ต่างกัน
4. ทดลอง และเขียนรังสีของแสงที่หักเหผ่านเลนส์บางเพื่อระบุตาำ แหน่งและชนิดของภาพ
5. คำานวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาพจากเลนส์บาง
6. เขี ย นรั ง สี ข องแสงที่ ส ะท้ อ นจากผิ ว ของกระจกเงาทรงกลมเพื่ อ ระบุ ตำ า แหน่ ง และชนิ ด
ของภาพ
7. คำานวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาพจากกระจกเงาทรงกลม

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
176 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ก ก ก ก ่ 21 ิ ิ ส ์
ิ ส ์

1. การสั งเกต การวั ด และ 1. การแก้ปญ


ั หา (สถานการณ์ 1. ด้ า นความรอบคอบและ
ก า ร ล ง ค ว า ม เ ห็ น จ า ก ที่ เ กี่ ย วกั บ การมองเห็ น ความรั บ ผิ ด ชอบ และ
ข้ อ มู ล ( จ า ก ก า ร ทำ า และการเกิ ด ภาพ ภาพ ความร่ ว มมื อ ช่ ว ยเหลื อ
กิจกรรม) จากเลนส์และกระจกเงา (จากการทำากิจกรรม)
2. ก า ร ใ ช้ จำ า น ว น ( ก า ร ทรงกลม)
คำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่ 2. ความร่วมมือ การทำางาน
เกี่ยวข้อง และการเขียน เป็ น ที ม และภาวะผู้ นำ า
ร า ย ง า น ผ ล ก า ร ทำ า (การทำากิจกรรม)
กิจกรรม) 3. การสื่อสาร (การอภิปราย
ร่วมกันและนำาเสนอผล)

ลก เ
4. สังเกตและอธิบายการมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ การผสมสารสี และการผสมแสงสี รวมทั้ง
อธิบายสาเหตุของการบอดสี

ส ์ก เ
1. อธิบายการมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ และสาเหตุของการบอดสี
2. อธิบายการผสมแสงสี และการผสมสารสี
ก ก ก ก ่ 21 ิ ิ ส ์
ิ ส ์

1. การสังเกต และการลง 1. ความร่วมมือ การทำางาน 1. ด้านความรอบคอบและ


ค ว า ม เ ห็ น จ า ก ข้ อ มู ล เป็นทีม และภาวะผู้นำา ความรั บ ผิ ด ชอบ และ
(จากการทำากิจกรรม) (การทำากิจกรรม) ความร่ ว มมื อ ช่ ว ยเหลื อ
2. การสือ่ สาร (การอภิปราย (จากการทำากิจกรรม)
ร่วมกันและนำาเสนอผล)

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 177

ลก เ
5. อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติทเี่ กีย่ วกับแสง เช่น รุง้ การทรงกลด มิราจ และการเห็นท้องฟ้า
เป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเวลาต่างกัน

ส ์ก เ
1. อธิบายการเกิดรุ้ง การทรงกลด มิราจ และการมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่
ต่างกัน
2. อธิบายการนำาความรู้เรื่องแสงเชิงรังสีไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำาวัน
ก ก ก ก ่ 21 ิ ิ ส ์
ิ ส ์

1. การสังเกต และการลง 1. ความร่วมมือ การทำางาน 1. ด้านความรอบคอบและ


ค ว า ม เ ห็ น จ า ก ข้ อ มู ล เป็นทีม และภาวะผู้นำา ความรั บ ผิ ด ชอบ และ
(จากการทำากิจกรรม) (การทำากิจกรรม) ความร่ ว มมื อ ช่ ว ยเหลื อ
2. การสือ่ สาร (การอภิปราย (จากการทำากิจกรรม)
ร่วมกันและนำาเสนอผล)

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
178 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ม ์ ส เ ิ ส

ส เ ิ ส

ส ส
เกี่ยวข้องกับ

ก ม เ ล
ก ส ส ก กเ ส ก เกิ

ดรรชนีหักเห
นำาไปสู่
นำาไปสู่
กฎการสะท้อนของแสง อธิบาย

การหักเหของแสง การเกิดภาพจาก
และกฎของสเนลล์ กระจกเงาราบ
นำาไปสู่ อธิบาย

มุมวิกฤต แสงขาว ภาพจากแสงผ่านรอยต่อ


อธิบาย ระหว่างตัวกลาง
อธิบาย
อธิบาย
การสะท้อน
กลับหมด การกระจายแสง ภาพจากเลนส์บาง
นำาไปสู่
เซลล์รูปกรวยที่จอตา สมการของเลนส์บาง
อธิบาย และกำาลังขยาย
อธิบาย
ก ม เ ส ส
ภาพจากกระจกเงา
อธิบาย ทรงกลม
นำาไปสู่
การผสมแสงสี การผสมสารสี การบอดสี
สมการสำาหรับ
อธิบาย กระจกเงาทรงกลม
และกำาลังขยาย
ก ก ์ ม ิ ล ก ์เก ก ส
ตัวอย่างเช่น

การเห็นท้องฟ้า
การเกิดรุ้ง การทรงกลด การเกิดมิราจ
เป็นสีต่าง ๆ

กล้องโทรทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์ กล้องถ่ายรูป

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 179

ส ม ิ ส
ปรากฏการณ์ธรรมชาติในเรือ
่ งการสะท้อนและการหักเหของแสงอธิบายได้โดยใช้มม
ุ มองของแสงในรูป
ส เ ิ ส (ray optics) โดยรังสีของแสงบอกทิศทางการเคลื่อนที่ของแสงและมีทิศทางตั้งฉากกับหน้า
คลื่น
ก ส ส (reflection of light) เกิดขึ้นเมื่อแสงตกกระทบผิววัตถุที่สามารถสะท้อนแสงได้
โดยเป็นไปตามกฎการสะท้อน (law of reflection) คือ
1. มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน
2. รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นแนวฉาก อยู่ในระนาบเดียวกัน
ก กเ ส (refraction of light) เกิดขึน
้ เมือ
่ แสงมีการเดินทางจากตัวกลางหนึง่ ไปอีกตัวกลาง
หนึง่ ทำาให้มอ
ี ต
ั ราเร็วเปลีย่ นไป โดยอัตราส่วนระหว่างอัตราเร็วแสงในสุญญากาศกับอัตราเร็วแสงในตัวกลาง
c
ใด ๆ คือ กเ (index of refraction) n = และ n1 sin !1 " n2 sin ! 2 เรียกว่า ก สเ ลล์
v
(Snell’s law)
การหักเหของแสงเป็นไปตามกฎการหักเห (law of refraction) คือ
1. n1 sin !1 " n2 sin ! 2
2. รังสีตกกระทบ รังสีหักเห และเส้นแนวฉาก อยู่ในระนาบเดียวกัน
ในกรณีทแี่ สงเดินทางจากตัวกลางทีม
่ ด
ี รรชนีหก
ั เหมากไปตัวกลางทีม
่ ด
ี รรชนีหก
ั เหน้อย จะทำาให้มม
ุ หักเห
โตกว่ามุมตกกระทบ เมื่อเพิ่มมุมตกกระทบ จนมีมุมหักเหเป็นมุม 90 องศาพอดี เรียกมุมตกกระทบนี้ว่า
n
มม ิก (critical angle, c ) ซึ่งเป็นไปตามสมการ sin ! c " 2 ถ้ามุมตกกระทบโตกว่ามุมวิกฤต
n1
จะทำาให้ไม่มีแสงหักเหผ่านเข้าสู่ตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหน้อย มีแต่แสงส่วนที่สะท้อนกลับในตัวกลางเดิม
เท่านั้น เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า ก ส กล ม (total internal reflection)
เมื่อให้แสงขาวผ่านปริซึมจะพบว่า แสงที่หักเหออกจากปริซึ มจะแยกออกเป็ นแสงสีต่าง ๆ เรี ยก
ปรากฏการณ์นี้ว่า ก ก ส (dispersion of light)
เมือ
่ แสงจากวัตถุถก
ู ทำาให้เปลีย่ นเส้นทางเดินมาเข้าตา เช่น การสะท้อนกับกระจกเงาราบ การหักเหผ่าน
เลนส์บาง การสะท้อนจากกระจกเงาทรงกลม ทำาให้เห็นวัตถุตรงตำาแหน่งทีแ่ นวรังสีทเี่ ปลีย
่ นเส้นทางมาเข้า
ตาตัดกัน ซึ่งอาจไม่พบวัตถุจริงตรงตำาแหน่งนั้น เรียกสิ่งที่มองเห็นว่า (image)
กระจกเงาราบสามารถสะท้อนแสงได้ดี ภาพของวัตถุที่เกิดจากการสะท้อนกับกระจกเงาราบหาได้จาก
การเขียนรังสีของแสง หรือใช้ความสัมพันธ์ s! " # s
เมือ
่ แสงจากวัตถุเดินทางผ่านรอยต่อระหว่างตัวกลางทีม
่ ด
ี รรชนีหก
ั เหต่างกัน ตำาแหน่งภาพทีม
่ องเห็นจะ
ต่างไปจากตำาแหน่งของวัตถุจริงทำาให้ความลึกทีป
่ รากฏต่อสายตาต่างไปจากความลึกจริงของวัตถุ ซึง่ หาได้
s! n
จากการเขียนรังสีของแสง หรือใช้ความสัมพันธ์ " 2
s n1

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
180 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

เลนส์บางทำางานโดยใช้หลักการหักเหของแสง ทำาจากแก้วหรือพลาสติกที่มีผิวโค้งทรงกลมทั้งสอง
ข้างไม่ขนานกัน เลนส์บางมี 2 ชนิด คือ เล ส์ (convex lens) และเล ส์เ (concave lens) เมื่อวาง
วัตถุหน้าเลนส์บางจะเกิดภาพของวัตถุโดยตำาแหน่ง ขนาดและชนิดของภาพที่เกิดขึ้น หาได้จากการเขียน
1 1 1
รังสีของแสง หรือใช้ความสัมพันธ์ ! " ซึ่งเรียกว่า สมก เล ส์
f s s#
ก ล (magnification, M ) เท่ากับอัตราส่วนความสูงของภาพ y กับความสูงของวัตถุ y
y"
ดังสมการ M !
y
กระจกเงาทรงกลมทำาด้วยวัสดุที่สามารถสะท้อนแสงได้ดีเช่นเดียวกับกระจกเงาราบ กระจกเงา
ทรงกลมมี 2 ชนิด คือ ก ก เ (concave mirror) และก ก (convex mirror) เมื่อวาง
วัตถุหน้ากระจกเงาทรงกลมจะเกิดภาพของวัตถุโดยตำาแหน่ง ขนาดและชนิดของภาพที่เกิดขึ้น หาได้จาก
การเขียนรังสีของแสงและการคำานวณโดยใช้รูปแบบสมการที่เหมือนกับสมการของเลนส์บาง
การมองเห็นแสงสีเป็นการรับรูอ
้ ย่างหนึง่ ทีเ่ กิดขึน
้ ในสมองเมือ
่ มีแสงมากระทบบน (retina) ซึง่
มีเ ลล์ ก (cone cell) 3 ชนิด คือ ชนิด S ชนิด และ ชนิด L โดยเซลล์รูปกรวยแต่ละชนิดจะมี
การตอบสนองต่อแสงที่มีความยาวคลื่นต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน การมองเห็นสีของวัตถุจะขึ้นกับแสงสีที่ตก
กระทบกับวัตถุและสารสีบนวัตถุ โดยสารสีจะดูดกลืนบางแสงสีและสะท้อนบางแสงสี เมือ
่ แสงสีสะท้อนจาก
วัตถุมาเข้าตาทำาให้สามารถมองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ ได้ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีนา้ำ เงิน จัดเป็น
ส ส ม มิ (primary colours of light) เพราะเมื่อแสงสีเหล่านี้มาผสมกันจะได้เป็นแสงสีต่าง ๆ ครบ
ทุกสี ส่วนสารสีนา้ำ เงินเขียว สารสีเหลือง และสารสีแดงม่วง จัดเป็นส ส ม มิ (primary colours of
pigment) เพราะเมื่อสารสีเหล่านี้มาผสมกันจะได้สีต่าง ๆ ครบทุกสี ถ้าเซลล์รูปกรวยชนิดใดชนิดหนึ่งหรือ
มากกว่ามีความบกพร่อง จะมองเห็นสีแตกต่างไปจากคนปกติ เรียกความผิดปกติในการมองเห็นสีนี้ว่า
ก ส (colour blindness)
ความรู้เรื่องแสงเชิงรังสีสามารถนำาไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น รุ้ง การทรงกลด มิราจ
และการเห็นท้องฟ้าเป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเวลาต่างกัน รวมทั้งการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับแสงในชีวิตประจำาวัน
เช่น กล้องโทรทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์ และกล้องถ่ายรูป

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 181

เ ล

เ ล ส ม 28 ม

11.1 การสะท้อนและการหักเหของแสง 5 ชั่วโมง


11.2 การมองเห็นและการเกิดภาพ 7 ชั่วโมง
11.3 ภาพจากเลนส์บางและกระจกเงาทรงกลม 10 ชั่วโมง
11.4 แสงสีและการมองเห็นแสงสี 3 ชั่วโมง
11.5 การอธิบายปรากฎการณ์ธรรมชาติและ 3 ชั่วโมง
การใช้ประโยชน์เกี่ยวกับแสง

ม ก่ เ

ธรรมชาติของแสง การสะท้อนของแสง การหักเหของแสง การกระจายของแสงผ่านปริซม


สิ เ มล่
ถ้าจะมีการให้นก
ั เรียนสังเกตการเกิดภาพจากการสะท้อนและหักเหของแสง ให้เตรียมวัสดุและอุปกรณ์
ดังนี้
1. กระจกเงาราบ
2. เลนส์ เช่น เลนส์นูน เลนส์เว้า ขวดน้ำา หรือแว่นตา
3. กระจกเงาทรงกลม เช่น กระจกโค้งนูน กระจกโค้งเว้า หรือช้อนสแตนเลส

ครูนาำ เข้าสูบ
่ ทที่ 11 โดยอาจใช้รป
ู นำาบทนำาอภิปรายโดยถามนักเรียนว่า เหตุใดภาพของเสาชิงช้าทีป
่ รากฏ
บนลูกแก้วทรงกลมจึงเป็นภาพหัวกลับและมีขนาดเล็กลง หรือครูอาจจัดกิจกรรมสาธิตโดยให้นก
ั เรียนสังเกต
ภาพที่เกิดขึ้นจากกระจกเงาราบ เลนส์บาง กระจกเงาทรงกลม ซึ่งครูอาจใช้วัตถุจากชีวิตประจำาวันทดแทน
เช่น ขวดน้ำา แว่นตา และช้อนสแตนเลส จากนั้น ครูนำาอภิปรายโดยถามนักเรียนว่า ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นได้
อย่างไร และเหตุใด ภาพทีเ่ กิดขึน
้ มีจงึ มีขนาดเท่าเดิม เพิม
่ ขึน
้ หรือลดลงเมือ
่ เทียบกับวัตถุจริง โดยเปิดโอกาส
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ และไม่คาดหวังคำาตอบถูกต้อง
ครูชี้แจงนักเรียนว่า ในบทที่ 11 นี้ นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเกิดภาพจากปรากฏการณ์ต่าง ๆ
ของแสงทีส
่ ามารถอธิบายได้โดยใช้มม
ุ มองของแสงในแบบทีเ่ ป็นรังสี จากนัน
้ ครูใช้รป
ู 11.1 ในหนังสือเรียน
นำาอภิปรายจนสรุปได้ว่า รังสีของแสงบอกทิศทางการเคลื่อนที่ของแสงและมีทิศทางตั้งฉากกับหน้าคลื่น

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
182 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูชี้แจงคำาถามสำาคัญที่นักเรียนจะต้องตอบได้หลังจากการเรียนรู้บทที่ 11 และหัวข้อที่นักเรียนจะได้
เรียนรู้ในบทเรียนนี้

11.1 ก ส ล ก กเ ส
ส ์ก เ
1. ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงและกฎการสะท้อนของแสง
2. ทดลองและอธิบายการหักเหของแสงและกฎของสเนลล์
3. อธิบายมุมวิกฤต การสะท้อนกลับหมด และการกระจายของแสงเมื่อผ่านปริซึม

11.1.1 ก ส ส
มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. เมือ
่ แสงตกกระทบวัตถุทผ
ี่ วิ เรียบและสามารถ 1. เมื่อแสงตกกระทบวัตถุที่ผิวเรียบและสามารถ
ส ะ ท้ อ น แ ส ง ไ ด้ แ ส ง ส ะ ท้ อ น ที่ เ กิ ด ขึ้ น สะท้อนแสงได้ แสงสะท้อนทีเ่ กิดขึน
้ จะมีเฉพาะ
จะเคลื่อนที่ออกไปทุกทิศทาง ในทิศทางที่มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน
และแนวรั ง สี ต กกระทบ รั ง สี ส ะท้ อ น และ
เส้นแนวฉาก อยู่ในระนาบเดียวกัน

สิ เ มล่
ถ้าจะมีการให้นักเรียนสังเกตการสะท้อนของแสง ให้เตรียมวัสดุและอุปกรณ์ ดังนี้
1. เครื่องกำาเนิดแสงเลเซอร์หรือไฟฉาย
2. กระจกหรือวัตถุที่ผิวสามารถสะท้อนแสงได้

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 1 ของหัวข้อ 11.1 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อที่ 11.1.1 โดยใช้รูป 11.2 ในหนังสือเรียน หรือจัดกิจกรรมสาธิตโดยให้นักเรียน
สังเกตการสะท้อนของแสงเมื่อฉายแสงจากเลเซอร์หรือไฟฉายไปยังกระจกเงาราบ จากนั้น ครูนำาอภิปราย
โดยถามนักเรียนว่า ขนาดของมุมตกกระทบและขนาดของมุมสะท้อนที่เกิดจากรังสีของแสงที่ตกกระทบ
และสะท้อนบนกระจกเงาราบ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสระ และไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้น ครูให้นักเรียนทำากิจกรรม 11.1 ในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 183

กิ ก ม 11.1 ก ส ส

ส ์
เพื่อศึกษาระนาบของรังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นแนวฉาก และความสัมพันธ์ระหว่าง
มุมตกกระทบและมุมสะท้อน

เ ล 30 นาที

ส ล ก ์
1. ชุดกล่องแสง 1 ชุด
2. หม้อแปลงโวลต์ตา่ำ ขนาด 12 โวลต์ 1 เครื่อง
3. แท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้า 1 แท่ง
4. ผิวสะท้อนเว้าและนูน 1 อัน
5. ครึ่งวงกลมวัดมุม 1 อัน
6. กระดาษขาว 1 แผ่น

ก่ กิ ก ม
1. จัดบริเวณที่ทาำ กิจกรรมให้มืดกว่าปกติจะได้สังเกตเห็นลำาแสงได้ชัดเจน
2. นำาแท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผิวสะท้อนเว้า หรือผิวสะท้อนนูน ใกล้แผ่นช่องแสงให้มาก
ที่สุดเพื่อให้ลำาแสงสว่างและชัดเจน
3. การเขียนรังสีตกกระทบและรังสีสะท้อนอาจใช้ดน
ิ สอเขียนจุด 2 จุดบนกระดาษ ในแนวกลาง
ของลำาแสงก่อน จากนั้น ยกวัตถุสะท้อนแสงออก แล้วลากเส้นตรงผ่านจุดทั้งสอง
4. การเขียนเส้นแนวฉาก ในกรณีของวัตถุผวิ ราบลากเส้นแนวฉากให้ตงั้ ฉากกับผิวราบตรงจุดที่
แสงตกกระทบ ส่วนในกรณีวัตถุผิวสะท้อนนูนและผิวสะท้อนเว้า ให้ลากเส้นตั้งฉากกับเส้น
สัมผัสผิววัตถุ ณ จุดที่แสงตกกระทบ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
184 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

่ ลก30.0
กิ ก ม
30.0

45.0
44.7

59.5
60.0
ก ส ส ่ ล ส ิกสเ ล ม
29.8
29.5

45.2
45.0

60.4
ก ส ส ิ ส 59.7
30.2
29.7

44.6
44.6

60.0
60.0

ก ส ส ิ ส เ

ม กิ ก ม

□ รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นแนวฉากอยู่ในระนาบเดียวกันหรือไม่


รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นแนวฉากอยู่ในระนาบเดียวกัน

□ มุมตกกระทบและมุมสะท้อนที่ผิวสะท้อนของแท่งพลาสติกเท่ากันทุกครั้งหรือไม่ อย่างไร
มุมตกกระทบและมุมสะท้อนมีค่าใกล้เคียงกันจนประมาณได้ว่าเท่ากันทุกครั้ง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 185

□ มุมตกกระทบและมุมสะท้อนที่ผิวสะท้อนนูนเท่ากันทุกครั้งหรือไม่ อย่างไร
มุมตกกระทบและมุมสะท้อนมีค่าใกล้เคียงกันจนประมาณได้ว่าเท่ากันทุกครั้ง

□ มุมตกกระทบและมุมสะท้อนที่ผิวสะท้อนเว้าเท่ากันทุกครั้งหรือไม่ อย่างไร
มุมตกกระทบและมุมสะท้อนมีค่าใกล้เคียงกันจนประมาณได้ว่าเท่ากันทุกครั้ง

ิ ล ก กิ ก ม

ครูนำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า เมื่อแสงผ่านช่องแสงชนิด 1 ช่อง จะทำาให้เกิดลำาแสง และ


เมื่อลำาแสงดังกล่าวตกกระทบกับผิวสะท้อน ลำาแสงจะเกิดการสะท้อนโดย
1. มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน
2. รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นแนวฉาก อยู่ในระนาบเดียวกัน

ครูใช้รูป 11.3 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับการสะท้อนของแสง จนสรุปได้ว่า การ


สะท้อนของแสงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง จากนัน
้ ครูนาำ อภิปรายโดยถามนักเรียนว่า ถ้าผิวสะท้อน
มีความขรุขระ การสะท้อนของแสงจะเป็นอย่างไร แล้วจึงใช้รูป 11.4 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปราย
ร่วมกันจนสรุปได้ว่า การสะท้อนของแสงในกรณีผิวสะท้อนมีความขรุขระยังคงเป็นไปตามกฎการสะท้อน
ของแสง หลังการอภิปราย ครูให้นก
ั เรียนศึกษาตัวอย่าง 11.1 โดยครูเป็นผูใ้ ห้คาำ แนะนำา และอาจให้นก
ั เรียน
ศึกษาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวสะท้อนแสงเลเซอร์บนดวงจันทร์
11.1.2 ก กเ ส
มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. เมื่ อ แสงเคลื่ อ นที่ จ ากตั ว กลางหนึ่ ง ไปอี ก 1. เมื่ อ แสงเคลื่ อ นที่ จ ากตั ว กลางหนึ่ ง ไปอี ก
ตั ว กลางหนึ่ ง แสงจะไม่ เ ปลี่ ย นทิ ศ ทางการ ตั ว กลางหนึ่ ง แสงจะเปลี่ ย นทิ ศ ทางการ
เคลื่อนที่ เคลือ
่ นที ่ ยกเว้นกรณีแสงตกกระทบตัง้ ฉากกับ
ผิวรอยต่อ

2. เมื่ อ แสงเคลื่ อ นที่ จ ากตั ว กลางหนึ่ ง ไปอี ก 2. เมื่ อ แสงเคลื่ อ นที่ จ ากตั ว กลางหนึ่ ง ไปอี ก
ตัวกลางหนึ่งในแนวตั้งฉากกับผิวรอยต่อ แสง ตั ว กลางหนึ่ ง แสงจะเกิ ด การหั ก เหเสมอ
จะไม่เกิดการหักเห เนื่องจากมีอัตราเร็วเปลี่ยนแปลงไป

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
186 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

มเ ล เ ล ิ ก

3. เมือ
่ แสงขาวเคลือ
่ นทีผ
่ า่ นปริซม
ึ สามเหลีย่ ม จะ 3. เมือ
่ แสงขาวเคลือ
่ นทีผ
่ า่ นปริซม
ึ สามเหลีย่ ม จะ
เกิดการหักเหแล้วยังคงเป็นแสงขาวเช่นเดิม เกิดการหักเหทำาให้แยกออกเป็นแสงสีต่าง ๆ

4. ดรรชนี หั ก เหของตั ว กลางหนึ่ ง มี ค่ า เดี ย วกั น 4. ดรรชนีหก


ั เหของตัวกลางหนึง่ มีคา่ แตกต่างกัน
สำาหรับแสงทุกความยาวคลื่น สำาหรับแสงแต่ละความยาวคลื่น

สิ เ มล่
ถ้าจะมีการให้นก
ั เรียนสังเกตการหักเหของแสงเมือ
่ แสงเคลือ
่ นทีผ
่ า่ นน้าำ ในแก้ว การสะท้อนกลับหมด
ของแสงเมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านสายใยนำาแสง และการกระจายแสงผ่านปริซึมสามเหลี่ยม ให้เตรียมวัสดุและ
อุปกรณ์ ดังนี้
1. เครื่องกำาเนิดแสงเลเซอร์หรือไฟฉาย
2. แก้วน้ำาที่บรรจุนา้ำ
3. สายใยนำาแสง
4. ปริซึมสามเหลี่ยม

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 2 และ 3 ของหัวข้อ 11.1 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อที่ 11.1.2 โดยใช้รูป 11.5 ในหนังสือเรียน หรือจัดกิจกรรมสาธิตโดยฉายลำาแสง
เลเซอร์ลงไปในแก้วที่บรรจุน้ำาแล้วให้นักเรียนร่วมกันสังเกตเส้นทางการเคลื่อนที่ของแสงเลเซอร์ แล้วร่วม
กันอภิปรายโดยให้นักเรียนตอบคำาถามว่า เพราะเหตุใดแสงเลเซอร์จึงเกิดการเปลี่ยนทิศทางเมื่อเคลื่อนที่
จากอากาศไปน้าำ โดยครูเปิดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบทีถ
่ ก
ู ต้อง
จากนัน
้ ครูให้นก
ั เรียนศึกษาการหักเหของแสงตามรายละเอียดในหนังสือเรียน และร่วมกันอภิปรายจนสรุป
ได้ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการหักเหของแสง โดยครูให้นักเรียนศึกษารังสีตกกระทบ รังสีหักเห
มุมตกกระทบ มุมหักเห และเส้นแนวฉาก จากรูป 11.6 ในหนังสือเรียน
ครูนำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับดรรชนีหักเหของตัวกลางตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จนสรุป
ได้ ว่ า การหั ก เหของแสงเป็ น ผลโดยตรงจากอั ต ราเร็ ว ของคลื่ น ในตั ว กลางแต่ ล ะชนิ ด ไม่ เ ท่ า กั น โดย
ดรรชนีหักเหของตัวกลางเป็นอัตราส่วนระหว่างอัตราเร็วแสงในสุญญากาศกับอัตราเร็วแสงในตัวกลางนั้น
จากนั้น ครูให้นักเรียนศึกษาตาราง 11.1 และอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับดรรชนีหักเหของสารชนิดต่าง ๆ
ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จนสรุปได้ว่า ดรรชนีหักของของสารแต่ละชนิดมีค่าไม่เท่ากัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 187

ครูนำาอภิปรายโดยถามนักเรียนว่า ในกรณีที่รังสีตกกระทบไม่ตั้งฉากกับผิวรอยต่อของตัวกลาง มุม


ของรังสีตกกระทบและมุมของรังสีหก
ั เหมีความสัมพันธ์กน
ั อย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความ
คิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง แล้วครูให้นักเรียนทำากิจกรรม 11.2 ในหนังสือเรียน

กิ ก ม 11.2 ก กเ ส

ส ์
ศึกษาการหักเหของแสง

เ ล 60 นาที

ส ล ก ์
1. ชุดกล่องแสง 1 ชุด
2. หม้อแปลงโวลต์ตา่ำ ขนาด 12 โวลต์ 1 เครื่อง
3. แท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้า 1 แท่ง
4. ครึ่งวงกลมวัดมุม 1 อัน
5. กระดาษขาว 1 แผ่น

ก่ กิ ก ม
1. จัดบริเวณที่ทาำ กิจกรรมให้มืดกว่าปกติจะได้สังเกตเห็นลำาแสงได้ชัดเจน
2. นำาแท่งพลาสติกสีเ่ หลีย่ มผืนผ้าวางใกล้แผ่นช่องแสงให้มากทีส่ ด
ุ เพือ่ ให้ลาำ แสงสว่างและชัดเจน
3. ใช้ดินสอปลายแหลมขีดแนวของพลาสติกทั้ง 4 ด้าน บนกระดาษขาว แล้วนำาแท่งพลาสติก
สี่เหลี่ยมผืนผ้าออกจากกระดาษ กำาหนดจุดให้แสงตกกระทบบริเวณด้านยาวของแนวแท่ง
พลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วลากเส้นแนวฉากจากจุดดังกล่าว และลากเส้นตรงเพื่อเป็นแนว
ลำาแสงตกกระทบทำามุม θ1 กับเส้นแนวฉาก ดังรูป ก.
4. เมื่อทำาการทดลอง วางแท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้าในกรอบที่ขีดไว้ แล้วจัดลำาแสงให้ทาบ
เส้นตรงที่ทำามุม θ1 กับเส้นแนวฉาก ใช้ดินสอจุดตำาแหน่งที่แนวรังสีของแสงออกจากแท่ง
พลาสติกสีเ่ หลีย่ มผืนผ้า จากนัน
้ ยกแท่งพลาสติกสีเ่ หลีย่ มผืนผ้าออก ลากเส้นตรงต่อจุดทีแ่ สง
ตกกระทบและจุดที่แสงออกจากแท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้า วัดมุมหักเหในแท่งพลาสติก
สี่เหลี่ยมผืนผ้า θ 2 พร้อมกับวัดมุมตกกระทบ θ3 และมุมหักเห θ 4 ดังรูป ข. แล้วบันทึก
มุมที่วัดได้

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
188 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

θ1 θ1

θ2

θ3

θ4

ก ่ ล ส ิก ส กก ล เส ก มม กก ล มม กเ
่ กก กเ ส

่ ลก กิ ก ม

sin θ1 sin θ3
ี่ θ1 ( ) θ2 ( ) θ3 ( ) θ4 ( )
sin θ 2 sin θ 4

1 30 19.5 19.5 30 1.49 0.67

2 45 28.5 28.5 45 1.48 0.67

3 60 36 36 60 1.47 0.68

ม กิ ก ม

sin θ1 sin θ3
□ ค่าของ และ ที่ได้ทั้งสามครั้ง เท่ากันหรือไม่
sin θ 2 sin θ 4
ใกล้เคียงกันหรือเท่ากัน

sin θ1 sin θ3
□ ค่าของ เท่ากับส่วนกลับของ หรือไม่
sin θ 2 sin θ 4
sin θ1 sin θ3
มีค่าใกล้เคียงหรือเท่ากับส่วนกลับของ
sin θ 2 sin θ 4

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 189

ิ ล ก กิ ก ม

ครูนำานักเรียนอภิปรายจนได้ข้อสรุป ดังนี้
1. เมื่อลำาแสงเคลื่อนที่จากอากาศเข้าสู่แท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้า แสงจะเกิดการหักเห
และเมื่อแสงเคลื่อนที่จากแท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้ากลับออกสู่อากาศ แสงจะเกิด
การหักเหอีกครั้ง ดังรูป

θ1

θ2

θ3

θ4

ก กเ ส
2. มุม θ1 โตกว่า θ 2 นั่นคือ เมื่อแสงเคลื่อนที่จากอากาศเข้าไปในแท่งพลาสติกสี่เหลี่ยม
ผืนผ้า มุมหักเหจะเล็กกว่ามุมตกกระทบ
3. มุม θ3 เล็กกว่า θ 4 นั่นคือ เมื่อแสงเคลื่อนที่จากแท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้าเข้าไปใน
อากาศ มุมหักเหจะโตกว่ามุมตกกระทบ
sin θ1 sin θ3
4. อัตราส่วนของ และอัตราส่วนของ มีค่าคงตัว
sin θ 2 sin θ 4
sin θ1 sin θ3
5. อัตราส่วนของ เท่ากับส่วนกลับของอัตราส่วน
sin θ 2 sin θ 4

ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทำากิจกรรมจนสรุปได้วา่ สำาหรับตัวกลางคูห
่ นึง่ อัตราส่วน
ระหว่างไซน์ของมุมตกกระทบกับไซน์ของมุมหักเหมีค่าคงตัว
ครูให้นก
ั เรียนศึกษาเกีย
่ วกับการหักเหของแสงตามรายละเอียดในหนังสือเรียน แนะนำาอภิปราย
จนได้ความสัมพันธ์ตามสมการ (11.2) ในหนังสือเรียน ซึ่งเป็นกฎของสเนลล์ และสามารถสรุปได้ว่า การ
หักเหของแสงเป็นไปตามกฎการหักเห
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 11.2 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา
ครูอาจถามคำาถามชวนคิด ในหน้า 170 โดยให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูเปิดโอกาส
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ แล้วครูนาำ อภิปรายจนได้แนวคำาตอบดังนี้

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
190 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ถ้าแสงตกกระทบแท่งแก้วที่มีดรรชนีหักเห 1.5
ที่มีความหนาสม่ำาเสมอ ด้วยมุมตกกระทบ 30°
30°
ดังรูป แสงจะหักเหออกจากแท่งแก้วด้วยมุมหักเห อากาศ n1 = 1.00
เท่าใด กำาหนดให้แท่งแก้วนี้วางอยู่ในอากาศที่มี
ดรรชนีหักเห 1.00

แกว n2 = 1.5

แท่งแก้วมีความหนาสม่ำาเสมอทำาให้ผิวด้านบนขนานกับผิวด้านล่าง จะได้มุมหักเหใน
แท่งแก้วเท่ากับมุมตกกระทบในแท่งแก้วโดยให้เป็น θ x และให้มุมหักเหสู่อากาศเป็น θ y ดังรูป

30°
อากาศ n1 = 1.00

θx

θx
แกว n2 = 1.5

θy

ก ิ

sin 30! sin # y


จะได้ "
sin # x sin # x
แสดงว่า # y " 30!
ดังนั้น แสงจะหักเหออกจากแท่งแก้วสู่อากาศด้วยมุมหักเหเท่ากับ 30 องศา

ม เ : อาจหาคำ า ตอบได้ โ ดยใช้ วิ ธี คำ า นวณหา θ x และ θ y ได้ จ ากความสั ม พั น ธ์ ต าม


กฎของสเนลล์ คือ n1 sin !1 " n2 sin ! 2

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 191

ครูนำาอภิปรายเกี่ยวกับการสะท้อนกลับหมด โดยให้นักเรียนตอบคำาถามว่า ในกรณีที่แสงเดินทาง


จากตั ว กลางที่ มี ด รรชนี หั ก เหมากไปยั ง ตั ว กลางที่ มี ด รรชนี หั ก เหน้ อ ยซึ่ ง ทำ า ให้ มุ ม หั ก เหมี ข นาดโตกว่ า
มุมตกกระทบ ถ้าเพิ่มขนาดของมุมตกกระทบมากขึ้นเรื่อย ๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับรังสีของแสงหักเห โดยครู
เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
ครูใช้รูป 11.7 และ 11.8 ในหนังสือเรียน นำาอภิปรายเกี่ยวกับปรากฏการณ์การสะท้อนกลับหมด
จนสรุปได้ว่า มุมตกกระทบที่ทำาให้มุมหักเหเท่ากับ 90 องศา เรียกว่า มุมวิกฤต และเมื่อมุมตกกระทบโต
กว่ามุมวิกฤตจะเกิดการสะท้อนกลับหมด และสามารถหามุมวิกฤตได้ ดังสมการ (11.3) ในหนังสือเรียน
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 11.3 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา จากนั้นครูอาจถามคำาถามชวนคิด
ในหน้า 173 โดยให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
แล้วครูนำาอภิปรายจนได้แนวคำาตอบดังนี้

ถ้าแก้ววางอยู่ในน้ำาแทนที่จะเป็นอากาศ มุมวิกฤตสำาหรับการสะท้อนกลับหมดในแก้วที่รอยต่อ
ระหว่างแก้วกับน้ำาจะเท่ากับ 41.8° หรือไม่
หามุมวิกฤตจากกฎของสเนลล์โดยพิจารณามุมหักเหมีขนาดเท่ากับ 90 องศา และใช้
ดรรชนีหักเหของน้าำ เท่ากับ 1.33
จากกฎของสเนลล์ n1 sin !1 " n2 sin ! 2
แทนค่า #1.50 $# sin ! c $ " #1.33$ # sin 90% $
1.33
จะได้ sin ! c "
1.50
! c " arcsin(0.887)
! c " 62.46%
ดังนั้น ค่ามุมวิกฤตสำาหรับการสะท้อนกลับหมดที่รอยต่อระหว่างแก้วกับน้าำ เท่ากับ 62.5 องศา

ครูใช้รูป 11.9 ในหนังสือเรียน หรืออาจจัดกิจกรรมสาธิตเพื่อให้นักเรียนสังเกตการเดินทางของแสง


ผ่านสายใยนำาแสง แล้วนำาอภิปรายโดยให้นักเรียนตอบคำาถามว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร
โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้น ครูให้
นักเรียนศึกษารายละเอียดในหนังสือเรียนจนสรุปได้วา่ สายใยนำาแสงหรือเส้นใยนำาแสงประกอบด้วยชัน
้ ใน
เรียกว่าแกน และชั้นนอกเรียกว่าเปลือกหุ้มแกน โดยส่วนที่เป็นแกนจะมีดรรชนีหักเหมากกว่าส่วนที่เป็น
เปลือกหุม
้ แกนทำาให้แสงทีเ่ คลือ
่ นทีเ่ ข้าไปยังแกนเกิดการสะท้อนกลับหมดอยูภ
่ ายในแกนของเส้นใยนำาแสง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
192 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูใช้รูป 11.9 ในหนังสือเรียน หรืออาจจัดกิจกรรมสาธิตเพื่อให้นักเรียนสังเกตการเดินทางของแสง


ผ่านเส้นใยนำาแสง แล้วนำาอภิปรายโดยให้นักเรียนตอบคำาถามว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร
โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้น ครูให้
นักเรียนศึกษารายละเอียดในหนังสือเรียนจนสรุปได้วา่ เส้นใยนำาแสงประกอบด้วยชัน
้ ในเรียกกว่าแกน และ
ชัน
้ นอกเรียกว่าเปลือกหุม
้ แกน โดยส่วนทีเ่ ป็นแกนจะมีดรรชนีหก
ั เหมากกว่าส่วนทีเ่ ป็นเปลือกหุม
้ แกนทำาให้
แสงที่เคลื่อนที่เข้าไปยังแกนเกิดการสะท้อนกลับหมดอยู่ภายในแกนของเส้นใยนำาแสง
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 11.4 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา
ครูใช้รูป 11.11 ในหนังสือเรียน หรืออาจจัดกิจกรรมสาธิตเพื่อให้นักเรียนสังเกตการกระจายแสง
ผ่านปริซม
ึ สามเหลีย่ ม แล้วนำาอภิปรายโดยให้นก
ั เรียนตอบคำาถามว่า ปรากฏการณ์ดงั กล่าวเกิดขึน
้ ได้อย่างไร
โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้นครูให้
นักเรียนศึกษารายละเอียดในหนังสือเรียนจนสรุปได้ว่า แสงแต่ละสีจะมีดรรชนีหักเหไม่เท่ากัน ทำาให้มุม
หักเหของแสงแต่ละสีต่างกัน เมื่อแสงขาวเคลื่อนที่ผ่านปริซึมสามเหลี่ยมจึงเกิดการหักเหแยกจากกันเป็นสี
ต่าง ๆ จากนัน
้ ครูอาจให้นก
ั เรียนศึกษาความรูเ้ พิม
่ เติมเกีย
่ วกับการค้นพบสเปกตรัมของแสงขาวผ่านปริซม

สามเหลี่ยม

ก ล เมิ ล
1. ความรู้เกี่ยวกับการสะท้อนและการหักเหของแสง จากการตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ
11.1 และการทำาแบบฝึกหัด 11.1
2. ทักษะการแก้ปญ
ั หาและการใช้จาำ นวนจากการคำานวณปริมาณต่าง ๆ ทีเ่ กีย
่ วข้องกับการสะท้อน
และการหักเหของแสง
3. จิตวิทยาศาสตร์ดา้ นความมีเหตุผล และความรอบคอบ จากการทำากิจกรรมและการอภิปรายร่วม
กัน และจากการทำาแบบฝึกหัด 11.1

ม ส มเ 11.1

1. การสะท้อนของแสงเกิดอย่างไร
การสะท้อนของแสงเกิดขึน
้ จากการทีแ่ สงตกกระทบผิววัตถุทสี่ ามารถสะท้อนแสง
ได้ โดยมุมตกกระทบจะมีคา่ เท่ากับมุมสะท้อน และรังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นแนวฉาก
อยู่ในระนาบเดียวกัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 193

2. การหักเหของแสงเกิดอย่างไร
การหักเหของแสงเกิดจากการที่แสงเดินทางจากตัวกลางหนึ่งไปอีกตัวกลางหนึ่ง
ซึ่งอาจทำาให้แสงเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนแปลงอัตราเร็ว โดยที่
n1 sin θ1 = n2 sin θ 2 และรังสีตกกระทบ รังสีหักเห และเส้นแนวฉากอยู่ในระนาบเดียวกัน

3. เพราะเหตุใดแสงเลเซอร์ที่เคลื่อนที่จากอากาศไปยังแท่งแก้วและน้ำาด้วยมุมตกกระทบที่เท่ากัน
จึงมีมุมหักเหที่ต่างกัน
เพราะแท่งแก้วและน้ำามีดรรชนีหักเหที่แตกต่างกัน แสงเลเซอร์ที่เคลื่อนที่จาก
อากาศไปยังแท่งแก้วและน้ำาด้วยมุมตกกระทบที่เท่ากัน จึงมีมุมหักเหที่ต่างกัน

4. เพราะเหตุใดเมื่อให้แสงขาวเคลื่อนที่ผ่านปริซึมจึงเกิดเป็นแถบแสงหลายสี
เพราะแสงขาวประกอบด้วยแสงหลายสี และดรรชนีหก
ั เหของแสงแต่ละสีสาำ หรับ
วั ส ดุ เ ดี ย วกั น มี ค่ า ไม่ เ ท่ า กั น เมื่ อ ให้ แ สงขาวเคลื่ อ นที่ ผ่ า นปริ ซึ ม มุ ม หั ก เหของแสงแต่ ล ะสี
จึงไม่เท่ากันและแยกออกจากกันเกิดเป็นแถบแสงหลายสี

เ ล ก 11.1

1. รังสีของแสง CB ตกกระทบกระจกเงาราบทำามุม 10 องศา กับเส้น AB ซึ่งอยู่ในแนวตั้งฉากกับ


กระจก ดังรูป
C A

10°

B
ก ก 11.1 1
เมือ
่ บิดกระจกเงาราบทำามุม 10 องศา กับแนวเดิมของกระจกเงาราบ รังสีสะท้อนจะทำามุมเท่าใด
กับเส้น AB ถ้า
ก. บิดกระจกเงาราบในทิศทางทวนเข็มนาฬิการอบจุด B
ข. บิดกระจกเงาราบในทิศทางตามเข็มนาฬิการอบจุด B

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
194 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3


ก. เมื่อบิดกระจกเงาราบในทิศทวนเข็มนาฬิกาในทิศทางทำามุม 10 องศา กับแนวเดิม
รังสีสะท้อนจะสะท้อนกลับในแนวของรังสีตกกระทบเดิม เพราะรังสีตกกระทบทับกับ
เส้นแนวฉาก ดังนั้น รังสีสะท้อนทำามุมกับเส้น AB เท่ากับ 10 องศา ดังรูป

C A

10°
กก

10°
B
ก เ ล ก 11.1 ก

ข. เมื่อบิดกระจกเงาราบในทิศตามเข็มนาฬิกาในทิศทางทำามุม 10 องศา กับแนวเดิม


เส้นแนวฉากใหม่ทำามุมกับรังสีตกกระทบเดิม 20 องศา ดังนั้น รังสีสะท้อนทำามุมกับเส้น
AB เท่ากับ 30 องศา ดังรูป
C A แ ว าก

10°
10°

กก

10°
B

ก เ ล ก 11.1

ก. เมือ่ บิดกระจกเงาราบในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา รังสีสะท้อนทำามุม 10 องศากับเส้น AB


ข. เมื่อบิดกระจกเงาราบในทิศทางตามนาฬิกา รังสีสะท้อนทำามุม 30 องศากับเส้น AB

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 195

2. แสงความยาวคลืน
่ 589 นาโนเมตร เดินทางจากสุญญากาศเข้าสูซ
่ ล
ิ ก
ิ าโดยมีอต
ั ราเร็วของแสงใน
ซิลิกาเป็น 2.06 × 108 เมตรต่อวินาที ดรรชนีหักเหของซิลิกาเป็นเท่าใด กำาหนดอัตราเร็วของ
แสงในสุญญากาศเท่ากับ 3.00 × 108 เมตรต่อวินาที
c
ิ จากนิยาม ดรรชนีหักเหของตัวกลาง n =
v
เมื่อ n คือ ดรรชนีหักเหของซิลิกา
c คือ อัตราเร็วของแสงในสุญญากาศ มีค่าเท่ากับ 3.00 × 108 เมตรต่อวินาที
v คือ อัตราเร็วของแสงในซิลิกา มีค่าเท่ากับ 2.06 × 108 เมตรต่อวินาที
3.00 "108 m/s
แทนค่า n !
2.06 "108 m/s
จะได้ n ! 1.46

ดรรชนีหักเหของซิลิกา เท่ากับ 1.46

3. แสงเดินทางออกจากแก้วคราวน์สู่อากาศทำามุ ม ตกกระทบ 30 องศา ที่ ผิ ว รอยต่ อ ระหว่ า ง


แก้ ว คราวน์ กั บ อากาศ แสงจะมี มุ ม หั ก เหเป็ น เท่ า ใด กำ า หนดดรรชนี หั ก เหของอากาศและ
แก้วคราวน์เท่ากับ 1.00 และ 1.52 ตามลำาดับ
ิ จากกฎของสเนลล์ n1 sin !1 " n2 sin ! 2
เมื่อ n1 คือ ดรรชนีหักเหของแก้วคราวน์ มีค่าเท่ากับ 1.52
n2 คือ ดรรชนีหักเหของอากาศ มีค่าเท่ากับ 1.00
θ1 คือ มุมตกกระทบ มีค่าเท่ากับ 30°
θ2 คือ มุมหักเห
แทนค่า (1.52) sin 30! " (1.00) sin # 2
sin # 2 " (1.52)(0.5)
" 0.760
# 2 " 49.5!
แสงที่เดินทางออกจากแก้วคราวน์สู่อากาศมีมุมหักเหเท่ากับ 49.5 องศา

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
196 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

4. จงหามุมวิกฤตของเพชรเมื่อแสงผ่านจากเพชรไปยังน้ำา กำาหนดดรรชนีหักเหของเพชรและน้ำา
เท่ากับ 2.42 และ 1.33 ตามลำาดับ
ิ จากกฎของสเนลล์ n1 sin θ1 = n2 sin θ 2
เมื่อ n1 คือ ดรรชนีหักเหของเพชร มีค่าเท่ากับ 2.42
n2 คือ ดรรชนีหักเหของอากาศ มีค่าเท่ากับ 1.33
θ1 คือ มุมตกกระทบในเพชร
θ 2 คือ มุมหักเหในน้ำา มีค่าเท่ากับ 90°
แทนค่า (2.42) sin θ1 = (1.33) sin 90°
sin θ1 = 0.5496
θ1 = 33.34°
มุมวิกฤตของเพชรเท่ากับ 33.34 องศา

11.2 ก ม เ ล ก เกิ
ส ์ก เ
1. อธิบายวิธีการเขียนรังสีของแสงและการเกิดภาพ
2. เขียนรังสีของแสงและอธิบายการเกิดภาพ ระบุตำาแหน่งและชนิดของภาพที่เกิดจากการสะท้อน
ของแสงจากกระจกเงาราบ
3. เขียนรังสีของแสง อธิบายและคำานวณหาปริมาณต่าง ๆ ของการเกิดภาพที่เกิดจากการหักเหของ
แสงที่ผ่านตัวกลางที่ต่างกัน

11.2.1 ก ม เ
มเ ล เ ล เกิ

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 4 ของหัวข้อ 11.2 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อที่ 11.2.1 โดยยกสถานการณ์ว่า ในเวลากลางคืนหรือเวลาที่เราอยู่ในสถานที่ที่มืด
สนิ ท ทำ า ให้ เ ราไม่ ส ามารถมองเห็ น วั ต ถุ ไ ด้ แต่ ถ้ า มี ก ารส่ อ งแสง เช่ น แสงจากไฟฉายไปกระทบวั ต ถุ
จะทำาให้สามารถมองเห็นวัตถุได้ จากนัน
้ ครูนาำ อภิปรายโดยให้นกั เรียนตอบคำาถามว่า จากสถานการณ์ดงั กล่าว
จะสามารถนำามาอธิบายการมองเห็นวัตถุได้อย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง
อิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 197

ครูใช้รป
ู 11.12 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกีย่ วกับการมองเห็นตามรายละเอียดในหนังสือ
เรียนจนสรุปได้ว่า การมองเห็นวัตถุเกิดขึ้นเนื่องจากมีแสงจากวัตถุเข้าตา โดยเลนส์ตาทำาหน้าที่ช่วยให้แสง
ไปรวมกันทีต
่ าำ แหน่งต่าง ๆ บนจอตาทำาให้เกิดการรับรูบ
้ นจอตาส่งสัญญาณให้สมองแปลความหมายเป็นการ
มองเห็นวัตถุ ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยการเขียนรังสีของแสงจากวัตถุมายังตา

11.2.2 ก เกิ
มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. ภาพทีเ่ ห็นจากกระจกเงาราบอยูบ
่ นพืน
้ ผิวของ 1. ภาพที่ เ ห็ น จากกระจกเงาราบอยู่ ด้ า นหลั ง
กระจกเงาราบ เนื่องจากแสงสะท้อนจากผิวที่ กระจกเงาราบ เนื่องจากภาพที่เห็นเกิดจาก
กระจกเงาราบ แสงสะท้ อ นที่ ผิ ว กระจก โดยแสงดั ง กล่ า ว
เสมื อ นออกมาจากตำ า แหน่ ง ภาพที่ อ ยู่ ห ลั ง
กระจกเงาราบ

2. เมื่ออยู่ในอากาศและมองวัตถุที่อยู่ในน้ำาจาก 2. เมื่ออยู่ในอากาศและมองวัตถุที่อยู่ในน้ำาจาก
ด้ า นบน จะเห็ น ภาพของวั ต ถุ ใ นน้ำ า อยู่ ที่ ด้านบน จะเห็นภาพของวัตถุในน้ำาอยู่ตื้นกว่า
ตำาแหน่งเดียวกับวัตถุจริง ตำาแหน่งของวัตถุจริง

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที ่ 5 ของหัวข้อ 11.2 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อที่ 11.2.2 โดยครูยกสถานการณ์การส่องกระจกเงาราบ โดยใช้รูป 11.13 แล้วนำา
อภิปรายโดยให้นักเรียนตอบคำาถามว่า เหตุใด จึงเห็นตัวเราในกระจกเงาราบได้ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
ครูให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการเกิดภาพจากการสะท้อนตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จนสรุปได้ว่า
กระจกเงาราบสะท้อนแสงจากตัวเรามาเข้าตา ทำาให้เห็นภาพตัวเราในกระจกเงาราบได้ จากนั้น ครูใช้รูป
11.14 – 11.17 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า ภาพของวัตถุสามารถเกิดขึ้นคนละ
ตำาแหน่งกับวัตถุได้ เมื่อมีบางสิ่งมาเปลี่ยนทางเดินของแสงที่ออกจากวัตถุมาเข้าตา ทำาให้เห็นภาพตรง
ตำาแหน่งทีแ่ นวรังสีทเี่ ข้าตาตัดกัน เช่น การเห็นวัตถุ P จากการสะท้อนจากกระจกเงาราบตามกฎการสะท้อน
ดังรูป 11.17 ในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
198 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูใช้รป
ู 11.18 และ 11.19 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกีย่ วกับการหาความสัมพันธ์ระหว่าง
ระยะวั ต ถุ แ ละระยะภาพ จนสรุ ป ได้ ว่ า ระยะจากภาพถึ ง กระจกมี ค่ า เท่ า กั บ ระยะวั ต ถุ ถึ ง กระจก
นัน
่ คือ s! " # s โดยให้หน้ากระจกเป็นบวกและหลังกระจกเป็นลบ จากนัน
้ ครูให้นก
ั เรียนศึกษาและทดสอบ
ตำาแหน่งการเกิดภาพของกระจกเงาราบตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ซึง่ ควรสรุปได้วา่ ภาพจากกระจกเงา
ราบเกิดหลังกระจกเงาราบ
ครูอาจถามคำาถามชวนคิด ในหน้า 182 โดยให้นก
ั เรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูเปิดโอกาสให้นก
ั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ แล้วครูนำาอภิปรายจนได้แนวคำาตอบดังนี้

จะออกแบบการทดลองอย่างไรเพื่อพิสูจน์ว่า ระยะระหว่างภาพถึงกระจกเท่ากับระยะหว่างวัตถุถึง
กระจก
สามารถทำาได้โดยการวางกระจกเงาราบบนกระดาษขาว โดยให้ผิวหน้าของกระจกตั้ง
ฉากกับระนาบของกระดาษ นำาวัตถุ เช่น เข็มหมุด ปักไว้หน้ากระจก แล้วมองภาพของเข็มหมุดใน
กระจก จากนั้นนำาเข็มหมุดอีกอันมาปักไว้ด้านหลังกระจกโดยปรับตำาแหน่งให้เข็มหมุดที่อยู่หลัง
กระจกอยู่ซ้อนกับภาพเข็มหมุดในกระจก จนพบตำาแหน่งที่เมื่อเอียงศีรษะไปทางซ้ายและทางขวา
เข็มหมุดที่อยู่หลังกระจกยังคงซ้อนกับภาพของเข็มหมุดในกระจก ดังรูป

ก ิ
เมื่อเปรียบเทียบระยะระหว่างเข็มหมุดที่อยู่หน้ากระจกไปตั้งฉากกับผิวกระจกซึ่งเป็นระยะวัตถุกับ
ระยะระหว่างเข็มหมุดที่อยู่หลังกระจกไปตั้งฉากกับผิวกระจกซึ่งเป็นระยะภาพ ควรพบว่า ระยะ
วัตถุเท่ากับระยะภาพ

ครูใช้รป
ู 11.21 และ 11.22 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกีย่ วกับการเกิดภาพจากกระจกเงา
ราบสำาหรับวัตถุทม
ี่ ข
ี นาดใหญ่จนสรุปได้วา่ การเกิดภาพจากกระจกเงาราบสำาหรับวัตถุทม
ี่ ข
ี นาดใหญ่สามารถ
พิจารณาได้เช่นเดียวกับกรณีวัตถุที่เป็นจุด ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 199

ครูนาำ นักเรียนอภิปรายโดยใช้รป
ู 11.23 หนังสือเรียน หรืออาจจัดกิจกรรมสาธิตโดยให้นกั เรียนสังเกต
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อมองวัตถุ เช่น เหรียญ ไม้บรรทัด ที่อยู่ในแก้วน้ำาในขณะที่ยังไม่มีนา้ำ กับขณะที่
มีน้ำา จากนั้น ครูนำาอภิปรายโดยให้นักเรียนตอบคำาถามว่า เหตุใดภาพของวัตถุที่อยู่ในแก้วน้าำ ที่มีน้ำากับไม่มี
น้ำาจึงแตกต่างกัน ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
จากนัน
้ ครูใช้รป
ู 11.24 และ 11.25 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกีย่ วกับการเกิดภาพจากการหักเห
ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จนสรุปได้ว่า เมื่อแสงจากวัตถุเดินทางผ่านรอยต่อระหว่างตัวกลางที่มี
ดรรชนีหักเหต่างกัน ตำาแหน่งภาพที่มองเห็นจะต่างไปจากตำาแหน่งของวัตถุจริงทำาให้ความลึกที่ปรากฏต่อ
สายตาต่างไปจากความลึกจริงของวัตถุ โดยในกรณีมองวัตถุที่อยู่ในน้ำาโดยผู้สังเกตอยู่ในอากาศ จะพบว่า
ความลึกทีป
่ รากฏต่อสายตานัน
้ น้อยกว่าความลึกจริงของวัตถุ และเมือ
่ เขียนรังสีของแสงจะได้ความสัมพันธ์
s! n2
ดังสมการ "
s n1
ก ล เมิ ล
1. ความรู้เกี่ยวกับการมองเห็นภาพและการเกิดภาพ จากการตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ
11.2 และการทำาแบบฝึกหัด 11.2
2. ทักษะการแก้ปญ
ั หาและการใช้จาำ นวน จากการคำานวณปริมาณต่างๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกับการมองเห็น
ภาพและการเกิดภาพ
3. จิตวิทยาศาสตร์ด้านความมีเหตุผล และความรอบคอบ จากการอภิปรายร่วมกัน และจากการทำา
แบบฝึกหัด 11.2

ม ส มเ 11.2

1. การสะท้อนของแสงทำาให้เกิดภาพได้อย่างไร
ภาพจากการสะท้อนเกิดจากรังสีของแสงที่ออกมาจากตำาแหน่งใดตำาแหน่งหนึ่ง
ของวัตถุเกิดการสะท้อนที่ผิวสะท้อน ทำาให้รังสีสะท้อนทุกรังสีเปลี่ยนทิศทางมีแนวตัดกันที่จุด
หนึ่งเกิดเป็นภาพของวัตถุที่ตำาแหน่งนั้น

2. การหักเหของแสงทำาให้เกิดภาพได้อย่างไร
ภาพจากการหักเหเกิดจากรังสีของแสงทีอ
่ อกมาจากตำาแหน่งใดตำาแหน่งหนึง่ ของ
วัตถุเกิดการหักเหทีผ
่ วิ รอยต่อระหว่างตัวกลาง ทำาให้รงั สีหก
ั เหทุกรังสีเปลีย่ นทิศทางมีแนวตัดกัน
ที่จุดหนึ่งเกิดเป็นภาพของวัตถุุที่ตำาแหน่งนั้น

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
200 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

เ ล ก 11.2

1. หญิงคนหนึ่งสูง h ยืนอยู่หน้ากระจก ดังรูป


จงหาขนาดความสูงของกระจกที่น้อยที่สุดที่
ทำาให้ผู้หญิงคนนี้สามารถมองตัวเองได้เต็มตัว
และต้องติดตั้งกระจกสูงจากพื้นเท่าไร

ก ก 1

ิ พิจารณาแผนภาพรังสีของแสงในการมองภาพตัวเองในกระจก โดยลากทางเดินของแสง
จากเท้าและจากศีรษะไปกระทบกระจกแล้วสะท้อนเข้าตา ดังรูป

C
A
D
E

F B

ก ิ ส ก 1
จากรูป เส้นตรง AD เป็นเส้นแนวฉาก ดังนั้น ∆CAD และ ∆EAD เป็นสามเหลี่ยมที่
เท่ากันทุกประการ จะได้
CD = DE (1)
และ เส้นตรง BF เป็นเส้นแนวฉาก ดังนั้น ∆EBF และ ∆GBF เป็นสามเหลี่ยมที่เท่า
กันทุกประการจะได้
EF = FG (2)
แต่ CD + DE + EF + FG = h

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 201

แทนค่า (1) ใน (2) จะได้


2DE + 2EF = h
h
นั่นคือ DE + EF =
2
h
ดังนั้น ขนาดความสูงของกระจกที่น้อยที่สุดเท่ากับ โดยระยะติดตั้งกระจกให้สูงจาก
2
พื้นเท่ากับ FG ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของระยะจากพื้นถึงตา
ขนาดความสูงของกระจกที่น้อยที่สุดที่ทำาให้ผู้หญิงคนนี้สามารถมองตัวเองได้เต็มตัว
h
เท่ากับ และต้องติดตั้งกระจกโดยให้สูงจากพื้นเป็นครึ่งหนึ่งของระยะจากพื้นถึงตา
2
ของผู้หญิงคนนี้

2. ปลาอยู่ในน้าำ ที่ระดับความลึกจากผิวน้าำ 0.20 เมตร ความลึกปรากฏของปลาเป็นเท่าใด เมื่อผู้


สังเกตมองปลาในแนวดิ่งตรงตัวปลา กำาหนดให้ดรรชนีหักเหของอากาศเท่ากับ 1.00 และ
ดรรชนีหักเหของน้ำาเท่ากับ 1.33
s! n2
ิ จาก "
s n1
เมื่อ n1 คือ ดรรชนีหักเหของน้าำ มีค่าเท่ากับ 1.33
n2 คือ ดรรชนีหักเหของอากาศ มีค่าเท่ากับ 1.00
s′ คือ ความลึกปรากฏ
s คือ ความลึกจริง มีค่าเท่ากับ 0.20 เมตร
s! 1.00
แทนค่า "
0.20 m 1.33
s! " 0.150 m
ความลึกปรากฏของปลาเท่ากับ 0.15 เมตร

3. ถ้าปลาตัวหนึง่ มองนกอินทรีทบ
ี่ น
ิ อยูใ่ นอากาศสูงจากผิวน้าำ 20.00 เมตร ปลาจะเห็นนกอินทรีสงู
จากผิวน้าำ เท่าใด กำาหนดให้นา้ำ มีดรรชนีหก
ั เหเท่ากับ 1.33 และอากาศมีดรรชนีหก
ั เหเท่ากับ 1.00
s! n2
ิ จาก "
s n1
เมื่อ n1 คือ ดรรชนีหักเหของอากาศ มีค่าเท่ากับ 1.00
n2 คือ ดรรชนีหักเหของน้าำ มีค่าเท่ากับ 1.33
s′ คือ ความลึกปรากฏ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
202 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

s คือ ความลึกจริง มีค่าเท่ากับ 20.00 เมตร


s! 1.33
แทนค่า "
20.00 m 1.00
s! " 26.60 m
ความลึกปรากฏของนกอินทรีเท่ากับ 26.60 เมตร

11.3 กเล ส์ ล ก กเ กลม


ส ์ก เ
1. ทดลอง และเขียนรังสีของแสงที่หักเหผ่านเลนส์บางเพื่อระบุตาำ แหน่งและชนิดของภาพ
2. คำานวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาพจากเลนส์บาง
3. เขียนรังสีของแสงที่สะท้อนจากผิวของกระจกเงาทรงกลมเพื่อระบุตาำ แหน่งและชนิดของภาพ
4. คำานวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาพจากกระจกเงาทรงกลม

11.3.1 ก เกิ กเล ส์


มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. ภาพทีเ่ กิดจากเลนส์บางอยูห
่ ลังเลนส์บางเสมอ 1. ภาพทีเ่ กิดจากเลนส์บางสามารถเกิดได้ทงั้ หน้า
เพราะแสงที่ผ่านเลนส์บางเกิดการหักเหผ่าน เลนส์บางและหลังเลนส์บาง โดยถ้าแสงหักเห
เลนส์บางไปทางด้านหลังของเลนส์บาง ผ่านเลนส์บางไปตัดกันจริง จะเกิดภาพที่หลัง
เลนส์ บ าง ถ้ า แสงหั ก เหผ่ า นเลนส์ บ างแล้ ว
เสมือนไปตัดกันหน้าเลนส์บาง จะเกิดภาพที่
หน้าเลนส์บาง

สิ เ มล่
ถ้าจะมีการให้นักเรียนสังเกตการเกิดภาพจากเลนส์บาง ให้เตรียมวัสดุและอุปกรณ์ คือ
1. เลนส์บาง เช่น เลนส์นูน (แว่นขยาย แว่นตา) และเลนส์เว้า
2. กระจกเงาทรงกลม เช่น กระจกโค้งเว้า กระจกโค้งนูน
3. วัตถุ เช่น ตุ๊กตา ต้นไม้จำาลอง รถของเล่น เทียนไข

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 203

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 11.3 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 11.3.1 โดยใช้รูป 11.26 ในหนังสือเรียน หรือนำาเลนส์นูนและเลนส์เว้าแบบ
ต่าง ๆ มาให้นักเรียนสังเกต แล้วนำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า เลนส์เป็นอุปกรณ์ทางแสงที่ทำางาน
โดยใช้หลักการหักเหของแสง ทำาจากแก้วหรือพลาสติกที่มีผิวโค้งทรงกลมทั้งสองข้างไม่ขนานกัน มี 2 ชนิด
คือ เลนส์นูน และเลนส์เว้า
ครูให้นักเรียนสังเกตจากการสาธิตการเกิดภาพจากเลนส์นูนเมื่อวัตถุอยู่ห่างจากเลนส์นูนในระยะที่
แตกต่างกัน แล้วให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันโดยตอบคำาถามต่อไปนี ้
- ภาพจากเลนส์นูนเกิดขึ้นได้อย่างไร
- ระยะวัตถุที่อยู่ห่างจากเลนส์นูนมีผลต่อภาพที่เกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร
- หาระยะภาพจากเลนส์นูนได้อย่างไร
ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้น
ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาการเกิ ด ภาพจากเลนส์ นู น ตามรายละเอี ย ดในหนั ง สื อ เรี ย น และใช้ รู ป 11.27
ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า การหักเหของแสงผ่านเลนส์บางถือว่าเกิดขึ้นเพียง
ครั้งเดียวที่แกนเลนส์
ครูใช้รูป 11.28 และ 11.29 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับเส้นแกนมุขสำาคัญ โฟกัส
ความยาวโฟกัส และสามารถสรุปได้ว่า เลนส์นูนมีคุณสมบัติทำาให้รังสีของแสงขนานลู่เข้าหากัน ทำาให้
บางครั้งเรียกเลนส์นูนว่า เลนส์รวมแสง โดยเลนส์นูนบางจะมีความยาวโฟกัสเท่ากันสองด้าน
ครูใช้รูป 11.30 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับลักษณะสำาคัญในการหักเหของแสง
ผ่านเลนส์นูนจนสรุปได้ว่า รังสีของแสงที่ขนานกับเส้นแกนมุขสำาคัญจะรวมกันที่โฟกัสด้านหลังเลนส์ รังสี
ของแสงที่ผ่านโฟกัสด้านหน้าเลนส์จะหักเหเป็นรังสีขนานเส้นแกนมุขสำาคัญ รังสีของแสงที่ผ่านจุดกึ่งกลาง
เลนส์จะไม่เปลี่ยนแปลงทิศทางจากเดิม
ครูใช้รูป 11.31 และ 11.32 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับการเขียนรังสีของแสง
เพือ
่ แสดงการเกิดภาพจากเลนส์นน
ู จนสรุปได้วา่ การหาภาพจากเลนส์นน
ู สามารถทำาได้โดยเขียนรังสี 3 เส้น
ทีล
่ ากจากส่วนปลายบนของวัตถุมาผ่านเลนส์ ได้แก่ รังสีของแสงทีข
่ นานกับเส้นแกนมุขสำาคัญ รังสีของแสง
ทีผ
่ า่ นโฟกัสด้านหน้าเลนส์ และรังสีของแสงทีผ
่ า่ นจุดกึง่ กลางเลนส์ โดยต่อเส้นรังสีหก
ั เหจากรังสีตกกระทบ
ทั้งสามจนตัดกันจะเป็นตำาแหน่งภาพปลายบนของวัตถุ จากนั้น วาดภาพวัตถุส่วนที่เหลือทั้งหมดจากภาพ
ปลายบนไปตั้งฉากกับแกนมุขสำาคัญ ถ้ารังสีของแสงหักเหไปตัดกันจริง จะได้ภาพจริงมีลักษณะกลับหัวกับ
วัตถุ
ครูอาจให้นักเรียนทำากิจกรรมลองทำาดู
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 11.5 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
204 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูอาจถามคำาถามชวนคิดในหน้า 193 โดยให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดง


ความคิดเห็นอย่างอิสระ แล้วครูนำาอภิปรายจนได้แนวคำาตอบดังนี้

ถ้าใช้รังสีเพียงสองเส้นจะเพียงพอที่จะหาตำาแหน่งของภาพหรือไม่ อย่างไร
การใช้รังสีเพียงสองเส้นเพียงพอที่จะหาตำาแหน่งของภาพ โดยสามารถเลือกใช้รังสี 2
เส้นใน 3 เส้นได้ แต่มีโอกาสทำาให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย

ครูนำานักเรียนอภิปรายโดยให้นักเรียนตอบคำาถามว่า หากวางวัตถุไว้หน้าเลนส์นูนที่ระยะน้อยกว่า
ความยาวโฟกั ส ภาพที่ เ กิ ด ขึ้ น จะเป็ น อย่ า งไร โดยให้ นั ก เรี ย นเขี ย นรั ง สี ข องแสงเพื่ อ หาภาพที่ เ กิ ด ขึ้ น
จากนั้น ครูใช้รูป 11.33 นำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า เมื่อระยะวัตถุน้อยกว่าความยาวโฟกัสของเลนส์
รังสีหักเหของแสงจะถ่างออกจากกันไม่ตัดกันจริง จึงต้องต่อรังสีย้อนกลับไปจะเสมือนตัดกันที่หน้าเลนส์
เป็นตำาแหน่งที่เกิดภาพ เรียกว่า ภาพเสมือน มีลักษณะหัวตั้งเหมือนวัตถุ
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 11.6 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา
ครูทบทวนความรู้โดยให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับการเกิดภาพของเลนส์นูน จนสรุปได้ว่า
เลนส์นน
ู สามารถทำาให้เกิดได้ทงั้ ภาพจริงและภาพเสมือน ขึน
้ อยูก
่ บ
ั ตำาแหน่งของวัตถุ จากนัน
้ ครูนาำ อภิปราย
โดยให้นก
ั เรียนตอบคำาถามว่า ถ้าหากนำากระดาษขาวซึง่ เป็นฉากไปวางทีต
่ าำ แหน่งทีเ่ กิดภาพจะเกิดอะไรขึน

โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
ครูใช้รป
ู 11.34 ในหนังสือเรียน หรือจัดกิจกรรมสาธิตให้นก
ั เรียนสังเกตภาพทีป
่ รากฏบนฉาก โดยครู
นำ า วั ต ถุ ท่ี มี แ สงสว่ า งในตั ว เอง เช่ น เที ย นไข วางวั ต ถุ ท่ี ร ะยะห่ า งจากเลนส์ ม ากกว่ า 2 เท่ า ของ
ความยาวโฟกัส แล้วเลือ
่ นฉากรับภาพไปทีต
่ าำ แหน่งต่าง ๆ ด้านหลังเลนส์ จากนัน
้ วางวัตถุทร่ี ะยะน้อยกว่า
ความยาวโฟกัส แล้วเลือ่ นฉากรับภาพไปทีต
่ าำ แหน่งต่าง ๆ ด้านหน้าเลนส์ โดยครูตง้ั คำาถามให้นกั เรียนอภิปราย
ร่ ว มกั น ว่ า ภาพเกิ ด ขึ้ น บนฉากรั บ ภาพได้ อ ย่ า งไร และภาพชนิ ด ใดสามารถปรากฏบนฉากรั บ ภาพได้
โดยครู เ ปิ ด โอกาสให้ นั ก เรี ย นแสดงความคิ ด เห็ น อย่ า งอิ ส ระและไม่ ค าดหวั ง คำ า ตอบที่ ถู ก ต้ อ ง จากนั้ น
ครูนำานักเรียนอภิปรายตามรายละเอียดในหนังสือเรียนจนสรุปได้ว่า ภาพจริงจะนำาฉากไปรับได้ ส่วน
ภาพเสมือนจะนำาฉากไปรับไม่ได้
ครูอาจถามคำาถามชวนคิดในหน้า 196 และให้นก
ั เรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูเปิดโอกาสให้นก
ั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ จากนั้นครูนำาอภิปรายจนได้แนวคำาตอบดังนี้

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 205

การใช้เลนส์นูนเป็นแว่นขยาย ระยะวัตถุต้องเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับความยาวโฟกัสของเลนส์
ระยะวัตถุต้องน้อยกว่าความยาวโฟกัสของเลนส์

ครูให้นักเรียนศึกษาลักษณะของเลนส์เว้าในหนังสือเรียน จากนั้นครูใช้รูป 11.36 ในหนังสือเรียน


นำานักเรียนอภิปรายจนสรุปเกี่ยวกับโฟกัสของเลนส์เว้า รังสีหักเหที่เกิดจากรังสีที่ตกกระทบเลนส์เว้ามีแนว
ขนานเส้นแกนมุขสำาคัญ มีแนวผ่านโฟกัส และมีแนวผ่านกึ่งกลางเลนส์ ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน
รวมทัง้ สรุปได้วา่ การหาภาพทีเ่ กิดจากเลนส์เว้าสามารถทำาได้โดยการเขียนรังสีของแสงเช่นเดียวกับเลนส์นน

ครูให้นักเรียนศึกษาการเขียนรังสีของแสงในการหาภาพที่เกิดจากเลนส์เว้า จากตัวอย่าง 11.7 โดยครูเป็น
ผู้ให้คำาแนะนำา จากนั้น ครูนาำ อภิปรายจนสรุปได้ว่า ภาพจากเลนส์เว้าเป็นภาพเสมือนเท่านั้น และเป็นภาพ
ที่มีขนาดเล็กกว่าวัตถุเสมอ

11.3.2 ก เก ก เล ส์
มเ ล เ ล เกิ

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 8 ของหัวข้อ 11.3 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 11.3.2 โดยให้นักเรียนร่วมกันตอบคำาถามว่า นอกจากการเขียนรังสีของแสง
เพือ
่ หาตำาแหน่งของภาพทีเ่ กิดจากเลนส์นน
ู และเลนส์เว้าแล้ว จะมีวธิ ก
ี ารคำานวณหาตำาแหน่งของภาพทีเ่ กิด
จากเลนส์นน
ู และเลนส์เว้าได้อย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาด
หวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้นครูให้นักเรียนทำากิจกรรม 11.3 ในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
206 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

กิ ก ม 11.3 ก กเ ส ่ เล ส์

ส ์
ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัสของเลนส์นูน

เ ล 30 นาที

ส ล ก ์
1. เลนส์นูน 1 อัน
2. ฉากขาว 1 อัน
3. ชุดกล่องแสง 1 ชุด
4. ไม้เมตร 1 อัน

ก่ กิ ก ม
1. ในการหาความยาวโฟกัสของเลนส์ ควรใช้วัตถุที่มีความสว่างมากพอ เพื่อให้ภาพที่ปรากฏ
บนฉากเห็นได้ชัดเจน ทำาให้การปรับภาพให้คมชัดที่สุดสังเกตได้ง่าย
2. ฉากควรอยู่ในบริเวณที่มีแสงไม่สว่างมาก เพื่อให้ภาพที่ปรากฎบนฉากชัดเจน
3. การวัดระยะต่าง ๆ ให้วัดจากกึ่งกลางเลนส์ถึงตำาแหน่งสิ่งที่จะวัด เช่น วัตถุ ภาพ และโฟกัส

่ ลก กิ ก ม
1 การหาความยาวโฟกัสของเลนส์นูน
ความยาวโฟกัสของเลนส์นูน เท่ากับ 14.5 เซนติเมตร
2 การหาความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัสของเลนส์นูน
!1$
ส่วนกลับของความยาวโฟกัสของเลนส์นูน # & เท่ากับ 6.9 เซนติเมตร
" f %
1 −1 1 "1 1 1 #1
ครั้งที่ s (cm) s′ (cm) (m ) (m ) ! (m )
s s! s s"
1 25.0 34.5 4.0 2.9 6.9
2 30.0 28.1 3.3 3.6 6.9
3 35.0 24.8 2.9 4.0 6.9
4 40.0 22.7 2.5 4.4 6.9
5 50.0 20.4 2.0 4.9 6.9

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 207

ม กิ ก ม

1 1
□ เมื่อเลื่อนเลนส์นูนห่างจากหลอดไฟเป็นระยะต่าง ๆ ผลรวมของ กับ มีค่าเท่ากัน
s s′
ทุกครั้งหรือไม่
เท่ากันทุกครั้ง

1 1 !1$
□ ผลรวมของ กับ มีค่าเท่ากับ# หรื
& อไม่
s s′ " f %
1 1 !1$
ผลรวมของ กับ เท่ากับ
# &
s s′ " f %

ิ ล ก กิ ก ม

ครูนำานักเรียนอภิปรายจนได้ข้อสรุป ดังนี้
1. เมื่อวัตถุอยู่ไกลจากเลนส์นูนมาก ๆ แสงจากวัตถุส่วนที่มากระทบเลนส์นูนถือว่าเป็นแสง
ขนาน และเมื่อแสงขนานผ่านเลนส์นูนจะไปตัดกันที่โฟกัส นั่นคือ เกิดภาพของวัตถุที่อยู่
ไกลมากที่โฟกัสของเลนส์ ทำาให้สามารถหาความยาวโฟกัสของเลนส์นูน เท่ากับ 14.5
เซนติเมตร
2. ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งส่ ว นกลั บ ของระยะวั ต ถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกั ส
คือ 1 ! 1 # 1
s s" f

ครูให้นก
ั เรียนศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส ในหนังสือเรียน
และครูใช้รูป 11.37 และ 11.38 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้สมการของเลนส์บางตาม
รายละเอียดในหนังสือเรียน
ครูให้นักเรียนศึกษาการใช้เครื่องหมายสำาหรับสมการของเลนส์บางและร่วมกันอภิปรายจนสรุปได้
ตามตาราง 11.2 ในหนังสือเรียน จากนัน
้ ครูให้นกั เรียนศึกษากำาลังขยายในหนังสือเรียน และร่วมกันอภิปราย
จนสรุปได้ว่า กำาลังขยายเท่ากับอัตราส่วนความสูงของภาพต่อความสูงของวัตถุ โดยกำาลังขยายเป็นบวก
สำาหรับภาพเสมือน และกำาลังขยายเป็นลบสำาหรับภาพจริง
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 11.8 – 11.10 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
208 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

11.3.3 ก เกิ กก กเ กลม

มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. ภาพที่เกิดจากกระจกเงาทรงกลมจะเกิดหลัง 1. ภาพที่ เ กิ ด จากกระจกเงาทรงกลมเกิ ด ได้ ทั้ ง


กระจกเงาทรงกลมเสมอ เหมือนกับกระจกเงา หน้าและหลังกระจกเงาทรงกลม โดยถ้าแสง
ราบ สะท้อนกระจกเงาทรงกลมไปตัดกันจริง จะเกิด
ภาพที่หน้ากระจกเงาทรงกลม ถ้าแสงสะท้อน
กระจกเงาทรงกลมเสมื อ นไปตั ด กั น หลั ง
ก ร ะ จ ก เ ง า ท ร ง ก ล ม จ ะ เ กิ ด ภ า พ ที่ ห ลั ง
กระจกเงาทรงกลม

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 9 ของหัวข้อ 11.3 ตามหนังสือเรียน
ครูนาำ เข้าสูห
่ วั ข้อ 11.3.3 โดยครูนาำ นักเรียนอภิปรายทบทวนความรูเ้ กีย่ วกับภาพทีเ่ กิดจากกระจกเงาราบ
แล้วร่วมกันอภิปรายต่อโดยตอบคำาถามว่า ภาพที่เกิดจากกระจกเงาที่มีผิวโค้งจะเหมือนหรือแตกต่างจาก
กระจกเงาราบหรือไม่ อย่างไร และกระจกเงาผิวโค้งมีกี่แบบ แต่ละแบบจะทำาให้เกิดภาพเหมือนหรือ
แตกต่างกันหรือไม่ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
ครูนำานักเรียนอภิปรายตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จนสรุปได้ว่า กระจกเงาโค้งสามารถทำาให้
เกิดภาพจากการสะท้อนของแสง ทำาด้วยวัสดุที่สามารถสะท้อนแสงได้ดีเช่นเดียวกับกระจกเงาราบแต่มี
ผิวโค้ง จากนั้น ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ในระดับนี้ นักเรียนจะศึกษาเกี่ยวกับกระจกเงาโค้งที่มีผิวโค้งเป็น
ส่วนประกอบของผิวของทรงกลม ซึ่งเรียกว่า กระจกเงาทรงกลม ซึ่งแบ่งได้เป็นกระจกโค้งนูนและกระจก
โค้งเว้า
ครูให้นักเรียนศึกษาลักษณะของกระจกโค้งเว้าในหนังสือเรียน จากนั้นครูใช้รูป 11.39 นำานักเรียน
อภิปรายจนสรุปเกี่ยวกับโฟกัสของกระจกเว้า รังสีสะท้อนที่เกิดจากรังสีตกกระทบมีแนวขนานเส้นแกนมุข
สำาคัญ มีแนวผ่านโฟกัส มีแนวผ่านกึ่งกลางกระจก และมีแนวผ่านศูนย์กลางความโค้ง ตามรายละเอียดใน
หนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 209

ครูใช้รูป 11.40 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับการหาภาพที่เกิดจากกระจกโค้งเว้า


โดยการเขียนแผนภาพรังสีของแสง จนสรุปได้ว่า การหาภาพจากกระจกเว้าสามารถทำาได้โดยเขียนรังสี
4 เส้น ที่ลากจากส่วนปลายบนของวัตถุมากระทบกระจกโค้งเว้า ได้แก่ รังสีของแสงที่ขนานกับเส้นแกนมุข
สำาคัญ รังสีของแสงที่ผ่านโฟกัสด้านหน้ากระจกโค้งเว้า รังสีของแสงที่กระทบกึ่งกลางกระจก และรังสีของ
แสงที่ผ่านศูนย์กลางความโค้ง โดยต่อเส้นรังสีสะท้อนของรังสีตกกระทบทั้งสี่เส้นจนตัดกันจะเป็นตำาแหน่ง
ภาพปลายบนของวัตถุ จากนั้น วาดภาพวัตถุส่วนที่เหลือทั้งหมดจากภาพปลายบนไปตั้งฉากกับแกนมุข
สำาคัญ โดยภาพจริงจากกระจกโค้งเว้าเกิดจากรังสีของแสงตัดกันจริงทีด
่ า้ นเดียวกับวัตถุซงึ่ เป็นด้านหน้าของ
กระจกโค้งเว้า
ครูควรให้ความรูเ้ พิม
่ จากหนังสือเรียนว่า ภาพเสมือนจากกระจกโค้งเว้าเกิดจากรังสีของแสงทีส่ ะท้อน
กระจกเสมือนไปตัดกันที่คนละด้านกับวัตถุซึ่งเป็นด้านหลังกระจกโค้งเว้า
ครูให้นักเรียนศึกษาลักษณะของกระจกโค้งนูนในหนังสือเรียน จากนั้นครูใช้รูป 11.41 นำานักเรียน
อภิปรายจนสรุปเกีย่ วกับโฟกัสของกระจกโค้งนูน รังสีสะท้อนทีเ่ กิดจากรังสีตกกระทบมีแนวขนานเส้นแกน
มุขสำาคัญ มีแนวผ่านโฟกัส มีแนวผ่านกึ่งกลางกระจก และมีแนวผ่านศูนย์กลางความโค้ง โดยการหาภาพที่
เกิ ด จากกระจกโค้ ง นู น สามารถทำ า ได้ โ ดยการเขี ย นแผนภาพรั ง สี ข องแสงเช่ น เดี ย วกั บ กระจกโค้ ง เว้ า
ดังรูป 11.42 ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน
ครูให้นักเรียนศึกษา ตัวอย่าง 11.11 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา และครูนำาอภิปรายเพื่อสรุปว่า ภาพ
ที่เกิดจากกระจกโค้งเว้าเป็นได้ทั้งภาพจริงและภาพเสมือนขึ้นกับตำาแหน่งของวัตถุ ดังนี้
1. เกิดภาพจริง เมื่อวัตถุอยู่ห่างจากกระจกโค้งเว้ามากกว่าความยาวโฟกัส
2. เกิดภาพเสมือน เมื่อวัตถุอยู่ห่างจากกระจกโค้งเว้าน้อยกว่าความยาวโฟกัส
ครูอาจถามคำาถามชวนคิด ในหน้า 211 โดยให้นก
ั เรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูเปิดโอกาสให้นก
ั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ แล้วครูนำาอภิปรายจนได้แนวคำาตอบดังนี้

จากตัวอย่าง 11.11 ถ้าเปลี่ยนเป็นกระจกโค้งนูน ระยะวัตถุมีผลต่อชนิดของภาพที่เกิดขึ้นหรือไม่


ระยะวัตถุไม่มีผลต่อชนิดของภาพที่เกิดจากกระจกโค้งนูน เนื่องจากภาพที่เกิดจาก
กระจกโค้งนูนเป็นภาพเสมือนเสมอ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
210 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

11.3.4 เก ก ก กเ กลม
มเ ล เ ล เกิ

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 10 ของหัวข้อ 11.3 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 11.3.4 โดยให้นักเรียนร่วมกันตอบคำาถามว่า นอกจากการเขียนรังสีของแสงเพื่อ
หาตำาแหน่งของภาพทีเ่ กิดจากกระจกโค้งเว้าและกระจกโค้งนูนแล้ว จะมีวธิ ก
ี ารคำานวณหาตำาแหน่งของภาพ
ที่เกิดจากกระจกโค้งเว้าและกระจกโค้งนูนได้อย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง
อิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
ครูให้นก
ั เรียนศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส ในหนังสือเรียน
จากนั้น ครูเขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดภาพจริงจากกระจกโค้งเว้า ดังรูป

ก ก เ

y
C P'' O P'
เส ก ม ส
P y'
Q'' Q'

f
s'
s

11.1 ส ส ส ก เกิ ิ กก ก เ

ครูนำานักเรียนอภิปรายโดยใช้รูป 11.1 จนสรุปได้ว่า รูปสามเหลี่ยมสีแดง POQ และรูปสามเหลี่ยม


สีเขียว P′OQ′ เป็นสามเหลีย่ มคล้ายเนือ
่ งจากขนาดของมุมภายในทัง้ 3 มุม เท่ากันเป็นคู ่ ๆ ทำาให้อต
ั ราส่วน
ระหว่างด้านที่สมนัยกัน มีค่าเท่ากัน นั่นคือ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 211

ด้าน P Q ด้าน P O
ด้าน PQ ด้าน PO
y! f
แทนค่า " (a)
y s# f
ครูเขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดภาพจริงจากกระจกโค้งเว้าพิจารณาคู่สามเหลี่ยมคล้าย
อีกคู่ ดังรูป
ก ก เ

y
C P'' O P'
เส ก ม ส
P y'
Q'' Q'

f
s-f s'
s

11.2 ส ส ส ก เกิ ิ กก ก เ

ครู นำ า นั ก เรี ย นอภิ ป รายเพื่ อ พิ จ ารณาคู่ ส ามเหลี่ ย มคล้ า ยอี ก คู่ โ ดยใช้ รู ป 11.2 จนสรุ ป ได้ ว่ า
รูปสามเหลี่ยมสีน้ำาตาล PP′Q และรูปสามเหลี่ยมสีเหลือง P′′P′Q′′ เป็นสามเหลี่ยมคล้ายเนื่องจากขนาด
ของมุมภายในทั้ง 3 มุม เท่ากันเป็นคู่ ๆ ทำาให้อัตราส่วนระหว่างด้านที่สมนัยกัน มีค่าเท่ากัน นั่นคือ
ด้าน P'' Q'' ด้าน P' P''
ด้าน PQ ด้าน P' P
! !
แทนค่า y " s (b)
y s
จากนั้น ครูนำานักเรียนอภิปรายแสดงการจัดรูปโดยใช้ความสัมพันธ์ (a) = (b) ดังนี้
s! f
"
s s# f
s# f f
"
s s!
f f
1# "
s s!
1 1 1
# "
f s s!
ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
1 1 1
$ "
212 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3
s! f
"
s s# f
s# f f
จัดรูปใหม่ จะได้ "
s s!
f f
1# "
s s!
1 1 1
# "
f s s!
1 1 1
$ "
s s' f
ซึ่งเป็นสมการเดียวกับสมการ (11.13) ในหนังสือเรียน
ครูให้นักเรียนศึกษาข้อสังเกตและอภิปรายการใช้เครื่องหมายสำาหรับการคำานวณภาพจากกระจก
โค้งทรงกลม และร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับกำาลังขยายตามรายละเอียดในหนังสือเรียน
ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 11.12 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา
ครูอาจถามคำาถามชวนคิด ในหน้า 214 โดยให้นก ั เรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูเปิดโอกาสให้นก
ั เรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ แล้วครูนำาอภิปรายจนได้แนวคำาตอบดังนี้

จากตัวอย่าง 11.12 จงเขียนแผนภาพของรังสีของแสงแสดงการเกิดภาพ


เขาจะเห็นหน้าตัวเองโดยห่างจากตาของเขาเป็นระยะทาง
30 เซนติเมตร - 6 เซนติเมตร = 24 เซนติเมตร ดังรูป

เส ก ม ส
C

f = 5 cm
s' = 6 cm
s = 30 cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 213

ครูอาจให้นักเรียนศึกษาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกระจกทรงโค้งพาราโบลอยด์ตามรายละเอียดใน
หนังสือเรียน

ก ล เมิ ล
1. ความรู้เกี่ยวกับการเกิดภาพจากเลนส์และกระจกเงาทรงกลม จากการตอบคำาถามตรวจสอบ
ความเข้าใจ 11.3 และการทำาแบบฝึกหัด 11.3
2. ทักษะการแก้ปญ
ั หาและการใช้จาำ นวน จากการคำานวณปริมาณต่างๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกับการเกิดภาพ
จากเลนส์และกระจกเงาทรงกลม
3. จิตวิทยาศาสตรด้านความมีเหตุผล และความรอบคอบ จากการทำากิจกรรมและการอภิปราย
ร่วมกัน และจากการทำาแบบฝึกหัด 11.3

ม ส มเ 11.3

1. เพราะเหตุใด กระจกติดรถยนต์สาำ หรับใช้ดูยานพาหนะที่อยู่ข้างหลัง มักเป็นกระจกโค้งนูน


เพราะว่ า กระจกโค้ ง นู น รั บ แสงได้ เ ป็ น มุ ม กว้ า งกว่ า กระจกเงาราบ ทำ า ให้ เ ห็ น
สิ่งแวดล้อมและยานพาหนะที่อยู่ข้างหลังได้มากกว่า จึงทำาให้มีความปลอดภัยมากกว่า

2. เพราะเหตุใด ทันตแพทย์จึงใช้กระจกโค้งเว้าส่องดูฟันคนไข้
เนื่องจากภายในช่องปากแคบ การใช้กระจกโค้งเว้าส่องดูฟันคนไข้จะทำาให้เมื่อ
ตำาแหน่งฟันอยูห
่ า่ งจากกระจกโค้งเว้าน้อยกว่าความยาวโฟกัสของกระจกโค้งเว้า เกิดภาพเสมือน
มีขนาดขยาย ทันตแพทย์จึงเห็นรายละเอียดของฟันคนไข้ได้มากขึ้นและชัดเจนขึ้น

3. ถ้าระยะวัตถุมากกว่าความยาวโฟกัสแต่นอ
้ ยกว่าสองเท่าของความยาวโฟกัสของเลนส์นน
ู จะได้
ภาพชนิดใด และมีขนาดเล็กกว่าหรือใหญ่กว่าขนาดวัตถุ
ได้ภาพจริงหัวกลับ ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
214 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

เ ล ก 11.3

1. วางวัตถุหน้าเลนส์นูนที่มีความยาวโฟกัส 10 เซนติเมตร ให้ห่างจากเลนส์นูน 30 เซนติเมตร


จงหาระยะภาพ ชนิดของภาพ และกำาลังขยาย ด้วยวิธีดังนี้
ก. การเขียนแผนภาพรังสีของแสง
ข. การคำานวณ

ิ ก. การเขียนแผนภาพรังสีของแสง

5 cm h'

f = 10 cm f = 10 cm
s' = 15 cm
s = 30 cm

ข. การคำานวณ
กำาหนดให้ f = 10 cm และ s = 30 cm
1 1 1
หาระยะภาพจาก ! #
s s" f
1 1 1
แทนค่า ! #
30 cm s" 10 cm
1 1 1
# $
s" 10 cm 30 cm
30 10
# $
300 cm 300 cm
20
#
300 cm
s" # 15 cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 215

s′ มีเครื่องหมาย + แสดงว่าเป็นภาพจริงหัวกลับ
s#
หากำาลังขยายจาก M !"
s
15 cm
แทนค่า M !"
30 cm
! " 0.5
ภาพเกิดหลังเลนส์นูนและอยู่ห่างจากเลนส์นูนเท่ากับ 15 เซนติเมตร เป็นภาพจริง
และมีกำาลังขยายเท่ากับ 0.5 (ภาพเล็กกว่าวัตถุ)

2. วางวั ต ถุ ไ ว้ ห น้ า กระจกโค้ ง นู น ที่ มี รั ศ มี ค วามโค้ ง 24 เซนติ เ มตร ให้ ห่ า งจากกระจกโค้ ง นู น


20 เซนติเมตร จงหาระยะภาพ ชนิดของภาพ และกำาลังขยาย ด้วยวิธีดังนี้
ก. การเขียนแผนภาพรังสีของแสง
ข. การคำานวณ

ิ ก. การเขียนแผนภาพรังสีของแสง

h'

c s' c
4 cm
f = 12 cm f = 12 cm

s = 20 cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
216 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ข. การคำานวณ
R
กำาหนดให้ f ! " ! "12 cm (มีเครือ่ งหมาย − เพราะโฟกัสอยูห
่ ลังกระจกโค้งนูน)
2
s ! "20 cm (มีเครื่องหมาย + เพราะวัตถุอยู่หน้ากระจกโค้งนูน)
1 1 1
หาระยะภาพจาก ! #
s s" f
1 1 1
แทนค่า ! #
20 cm s" $12 cm
1 1 1
#$ $
s" 12 cm 20 cm
20 12
#$ $
240 cm 240 cm
32
#$
240 cm
s" # $ 7.5 cm
s′ มีเครื่องหมาย − แสดงว่าเป็นภาพเสมือนหัวตั้งเกิดด้านหลังกระจกโค้งนูน
s#
หากำาลังขยายจาก M ! "
s

M !"
$ "7.5 cm %
20 cm
! 0.38
ภาพเกิ ด หลั ง กระจกเงานู น และอยู่ ห่ า งจากกระจกเงานู น เท่ า กั บ 7.5 เซนติ เ มตร
เป็นภาพเสมือน และมีกำาลังขยายเท่ากับ 0.38 (ภาพเล็กกว่าวัตถุ)

3. เทียนไขสูง 4 เซนติเมตร ตั้งอยู่บนเส้นแกนมุขสำาคัญของกระจกโค้งเว้าที่มีความยาวโฟกัส 10


เซนติเมตร ทำาให้เกิดภาพหน้ากระจกโค้งเว้าห่างจากกระจกโค้งเว้า 15 เซนติเมตร เทียนไขอยู่
ห่างจากกระจกโค้งเว้ากี่เซนติเมตร และภาพเทียนไขสูงกี่เซนติเมตร
ิ กำาหนดให้ f ! "10 cm (มีเครื่องหมาย + เพราะโฟกัสอยู่หน้ากระจกโค้งเว้า)
s! " #15cm (มีเครื่องหมาย + เพราะภาพอยู่หน้ากระจกโค้งเว้า)
1 1 1
หาระยะวัตถุจาก ! #
s s" f
1 1 1
แทนค่า ! #
s 15 cm 10 cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 217

1 1 1
! "
s 10 cm 15 cm
15 10
! "
150 cm 150 cm
5
!
150 cm
s ! 30 cm
หาขนาดภาพจาก M ! ! "
y# s#
y s
y# 15 cm
แทนค่า !"
4 cm 30 cm
y# ! " 2 cm
y′ มีเครื่องหมาย − แสดงว่าเป็นภาพจริงหัวกลับ
เทียนไขอยู่หน้ากระจกโค้งเว้า 30 เซนติเมตร และภาพของเทียนไขสูง 2 เซนติเมตร

11.4 ส ส ล ก ม เ ส ส
ส ์ก เ
1. อธิบายการมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ และสาเหตุของการบอดสี
2. อธิบายการผสมแสงสี และการผสมสารสี

สิ เ มล่
ครูควรเตรียมวีดท
ิ ศ
ั น์เกีย่ วกับการผสมแสงสี การผสมสารสี การจัดฉากการแสดงด้วยแสงสี การผสมสาร
สีสำาหรับวาดเขียน หรือฉายแสงสีต่าง ๆ ลงบนวัตถุ

ก ก เ
ครูนาำ เข้าสูบ
่ ทเรียนโดยการเปิดวีดท
ีิ ศ
ั น์เกีย่ วกับการผสมแสงสี การผสมสารสี การจัดฉากการแสดงด้วย
แสงสี การผสมสารสีสาำ หรับวาดเขียน หรือฉายแสงสีตา่ ง ๆ ลงบนวัตถุ ให้นก
ั เรียนร่วมกันอภิปรายว่า มีปจั จัย
ใดบ้างที่ส่งผลต่อการมองเห็นสี เหตุใดจึงไม่ใช้ตาของมนุษย์ในการระบุสี แต่ใช้รหัสสีและการจำาแนกสี
เช่น ใช้ RGB code ในงานผสมแสงสี และใช้ CYMK code ในงานผสมสารสี ครูเปิดโอกาสให้นักเรียน
แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
ครูตงั้ คำาถามว่า ตาของมนุษย์เกีย
่ วข้องกับการมองเห็นสีอย่างไร จากนัน
้ ให้นก
ั เรียนศึกษาการมองเห็นสี
ของมนุษย์ในหัวข้อถัดไป

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
218 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

11.4.1 ก ม เ ส ม ์
มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. ตาของมนุษย์มเี ซลล์รป
ู กรวย 3 ชนิด ซึง่ แต่ละ 1. ตาของมนุษย์มีเซลล์รูปกรวย 3 ชนิดที่ตอบ
ชนิ ด จะตอบสนองเฉพาะแสงสี ใ ดสี ห นึ่ ง ใน สนองต่อแสงที่มีช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ กัน
สามสีคือ แสงสีน้ำาเงิน แสงสีเขียว แสงสีแดง ซึ่งมากกว่าหนึ่งแสงสี

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 11 ของหัวข้อ 11.4 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 11.4.1 โดยให้นักเรียนสังเกตวัตถุที่มีสีต่าง ๆ แล้วตอบคำาถามว่า ส่วนใดของตา
ของมนุษย์ทำาให้มองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและ
ไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
ครูใช้รูป 11.44 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับการมองเห็นสีของมนุษย์ จนสรุปได้ว่า
จอตาของมนุษย์ มีเซลล์รูปกรวย 3 ชนิด คือ ชนิด S ชนิด M และชนิด L ที่การตอบสนองต่อแสง
ความยาวคลืน
่ ต่าง ๆ แตกต่างกัน การมองเห็นสีตา่ ง ๆ เกิดขึน
้ เนือ
่ งจากเซลล์รป
ู กรวยหนึง่ ชนิดหรือมากกว่า
ถูกกระตุน
้ ทำาให้มองเห็นเป็นสีนน
ั้ ๆ โดยการตอบสนองของเซลล์รป
ู กรวยทัง้ 3 ชนิด ทำาให้สามารถมองเห็น
คลื่นแสงเป็นสีต่าง ๆ ในช่วงความยาวคลื่น 400-700 นาโนเมตร ตั้งแต่สีม่วงไปจนถึงสีแดงได้ ตาม
รายละเอียดในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 219

ม เ ิมเ ิมส

จอตามีเซลล์รับแสงเป็นจำานวนมาก ซึ่งเซลล์เหล่านี้มีสองชนิด คือ เซลล์รูปกรวย และเซลล์รูปแท่ง


โดยเซลล์รูปกรวยจะไวต่อแสงที่มีความเข้มสูงและสามารถทำาให้มองเห็นสีต่าง ๆ ได้หลายสี ดังรูป
11.3 ก. ส่วนเซลล์รป
ู แท่งจะไวต่อแสงทีม
่ ค
ี วามเข้มต่าำ เช่น ในทีม
่ แี สงสว่างน้อย ทำาให้มองเห็นได้แต่
ไม่สามารถแยกสีได้ ดังรูป 11.3 ข.

ก ก ม เ ส ่ ก ม เ ม ส ส ่
11.3 ล ก ม เ ส ่ ล ม ส ส ่

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
220 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

11.4.2 ก สม ส ส

มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. แสงสีแต่และแสงสีมีความยาวคลื่นเฉพาะจึง 1. การมองเห็นแสงสีเกิดจากการถูกกระตุ้นของ
ไม่ ส ามารถนำ า แสงสี ค วามยาวคลื่ น อื่ น ๆ มา เซลล์รป
ู กรวยทีจ่ อตา ทำาให้เมือ
่ นำาแสงสีตัง้ แต่
ผสมกันให้มองเห็นเป็นแสงสีนั้น ๆ ได้ สองแสงสี ม าผสมกั น เกิ ด เป็ น แสงสี อื่ น ๆ ได้
เช่น แสงสีเหลืองเกิดจากการผสมระหว่างแสง
สี แ ดงกั บ แสงสี เ ขี ย ว แสงสี แ ดงม่ ว งเกิ ด จาก
การผสมระหว่างแสงสีแดงกับแสงสีน้ำาเงิน

2. การผสมแสงสี จ ะทำ า ให้ เ กิ ด แสงสี ใ หม่ ที่ มี 2. การผสมแสงสี ไ ม่ ทำ า ให้ เ กิ ด แสงสี ใ หม่ แต่
ความยาวคลืน
่ เท่ากับความยาวคลืน
่ เฉลีย
่ ของ เป็ น การกระตุ้ น ของเซลล์ รู ป กรวยที่ จ อตา
แสงสี ที่ ม าผสมกั น เช่ น การผสมแสงสี แ ดง ทำาให้มองเห็นเป็นแสงสีใหม่ เช่น การผสมแสง
ความยาวคลืน
่ 650 นาโนเมตร กับแสงสีเขียว สีแดงความยาวคลื่น 650 นาโนเมตร กับแสง
ความยาวคลื่น 530 นาโนเมตร จะได้แสงสี สี เ ขี ย วความยาวคลื่ น 530 นาโนเมตร จะ
เหลืองที่มีความยาวคลื่น 590 นาโนเมตร กระตุน
้ เซลล์รป
ู กรวยชนิด L และ M เช่นเดียว
กับการกระตุ้นของแสงสีเหลือง จึงทำาให้มอง
เห็นเป็นแสงสีเหลือง แต่ไม่ได้เกิดแสงสีเหลือง
ที่มีความยาวคลื่น 590 นาโนเมตร

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 11 และ 12 ของหัวข้อ 11.4 ตามหนังสือเรียน
ครูนาำ เข้าสูห
่ วั ข้อ 11.4.2 โดยให้นก
ั เรียนร่วมกันตอบคำาถามว่า ถ้าฉายแสงหลายสีมาผสมกันบนฉาก
ขาวจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ถ้าฉายแสงสีแดงผสมกับแสงสีเขียว หรือ ฉายแสงสีเขียวผสมกับแสงสีน้ำาเงิน จะ
มองเห็นเป็นแสงสีใด การผสมแสงสีดงั กล่าว มีผลต่อการกระตุน
้ เซลล์รป
ู กรวยทีต
่ าอย่างไร ครูเปิดโอกาสให้
นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้นครูให้นักเรียนทำากิจกรรม
11.4 ในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 221

กิ ก ม 11.4 ก สม ส ส ก

ส ์
เพื่อศึกษาการผสมแสงสี

เ ล 30 นาที

ส ล ก ์
1. กล่องผสมแสงสี 1 อัน

ก่ กิ ก ม
1. ฉากควรมีสีขาวจริงหากฉากในกล่องผสมแสงสีมีสีซีดเหลือง อาจใช้กระดาษขาวมาวางทับ
เพื่อป้องกันการเห็นแสงสีผิดเพี้ยน

่ ลก กิ ก ม
ส ก ก
ส ส สม ่
ิเ ส ส ก

1. แดง+เขียว+น้ำาเงิน ขาว

2. แดง+เขียว เหลือง

3. แดง+น้ำาเงิน แดงม่วง

4. เขียว+น้ำาเงิน น้ำาเงินเขียว

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
222 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ม กิ ก ม

□ สีที่ปรากฎบนฉาก ณ บริเวณที่วงสีซ้อนกัน เหมือนกับสีของแสงที่มาซ้อนสีใดสีหนึ่งหรือไม่


สีทป
ี่ รากฎบนฉาก ณ บริเวณทีว่ งสีซอ
้ นกัน ไม่เหมือนสีของแสงทีม
่ าซ้อนสีใดสีหนึง่

ิ ล ก กิ ก ม

ครูนาำ นักเรียนอภิปรายจนสรุปได้วา่ เมือ


่ นำาแสงสีตา่ ง ๆ มาผสมกันจะเห็นเป็นแสงสีใหม่ โดยการ
ผสมระหว่างแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำาเงิน จะเห็นเป็นแสงสีขาว

ครูใช้รูป 11.46 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับการใช้ไดโอดแปล่งแสงชนิดสามสี


ในการสร้างภาพ ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จนสรุปได้ว่า การผสมของแสงสีแดง แสงสีเขียว และ
แสงสีน้ำาเงิน ทำาให้เกิดการกระตุ้นเซลล์รูปกรวยในลักษณะต่าง ๆ จึงมองเห็นเป็นแสงสีอื่น ๆ ได้ ครบทุกสี
เช่น การผสมแสงสีจากไดโอดเปล่งแสง
ครู ใ ช้ รู ป 11.47 ในหนั ง สื อ เรี ย น นำ า นั ก เรี ย นอภิ ป รายเกี่ ย วกั บ การผสมแสงสี จนสรุ ป ได้ ว่ า
แสงสีปฐมภูม ิ ประกอบด้วยแสงสี 3 แสงสี คือ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำาเงิน
ครูให้นักเรียนร่วมกันตอบคำาถามว่า ถ้าเซลล์รูปกรวยบางชนิดบกพร่อง เช่น เซลล์รูปกรวยชนิด L
บกพร่อง การมองเห็นแสงสีจะเป็นอย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและ
ไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้น ครูใช้รูป 11.48 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับ
การบอดสีตามรายละเอียดในหนังสือเรียนจนสรุปได้ว่า การบอดสีเกิดจากการทำางานผิดปกติของเซลล์
รู ป กรวยบางชนิ ด ส่ ง ผลให้ ม องเห็ น สี ผิ ด เพี้ ย นไปจากคนปกติ ซึ่ ง ถ้ า เซลล์ รู ป กรวยชนิ ด L บกพร่ อ ง
การมองเห็นจะผิดเพี้ยนไปจากคนที่มีสายตาปกติ โดยไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างแสงที่มี
ช่วงความยาวคลื่น 530 – 700 นาโนเมตร ได้ เนื่องจากเห็นเป็นสีใกล้เคียงกัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 223

ม เ ิมเ ิมส

แสงสีที่ไม่สามารถผสมขึ้นใหม่ได้มี 3 สี คือ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำาเงิน เรียกว่า


ส ส ม มิ ส่ ว นแสงสี ที่ เ กิ ด จากการผสมของแสงสี ป ฐมภู มิ ทำ า ให้ เ ห็ น เป็ น แสงสี อื่ น เช่ น
แสงสีเหลือง แสงสีแดงม่วง และแสงสีน้ำาเงินเขียว เรียกว่า ส ส ิ มิ เมื่อแสงสีปฐมภูมิทั้ง
สามสีผสมกันจะเห็นเป็นแสงขาว โดยแสงสีคใู่ ดเมือ
่ ผสมกันแล้วเห็นเป็นแสงขาว เรียกแสงสีคน
ู่ น
ั้ ว่า
ส สเ ิมเ ม เช่น แสงสีแดงกับแสงสีน้ำาเงินเขียว

11.4.3 ่ ก ส ล ส

มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. แผ่นกรองแสงสีทำาหน้าที่เติมสีนั้น ๆ ลงไปใน 1. แผ่นกรองแสงสีทำาหน้าที่กั้นบางแสงสีไว้และ


แสง เช่น เมื่อแสงสีขาวผ่านแผ่นกรองแสงสี ยอมให้บางแสงสีผ่านไปได้ เช่น เมื่อแสงสีขาว
แดง จะถูกเติมสีแดงทำาให้ได้เป็นแสงสีแดง ผ่านแผ่นกรองแสงสีแดง แสงสีแดงและแสงสี
ใกล้เคียงกับสีแดงจะผ่านได้ ส่วนแสงสีอื่น ๆ
จะถูกกั้นไว้ จึงเห็นเป็นแสงสีแดง

2. แผ่นกรองแสงสีใดจะทำาหน้าที่กั้นแสงสีนั้นไว้ 2. แผ่นกรองแสงสีใดจะยอมให้แสงสีนัน
้ และแสง
ทำาให้มองเห็นแผ่นกรองแสงสีเป็นสีนั้น สี ใ กล้ เ คี ย งสี นั้ น ผ่ า นได้ ทำ า ให้ ม องเห็ น แผ่ น
กรองแสงสีเป็นสีนั้น

สิ เ มล่
ถ้าจะมีการให้นักเรียนสังเกตการกรองแสงสีของแผ่นกรองแสงสี ให้เตรียมวัสดุและอุปกรณ์ คือ
แผ่นกรองแสงสี ไฟฉายหรือแหล่งกำาเนิดแสงสีขาว

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
224 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 12 ของหัวข้อ 11.4 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 11.4.3 โดยให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่า เหตุใดเมื่อให้แสงขาวส่องไปยังวัตถุจึง
มองเห็นวัตถุมีสีแตกต่างกัน การมองเห็นสีของวัตถุขึ้นกับปัจจัยอะไรบ้าง แสงสีมีอิทธิพลต่อการมองเห็นสี
ของวัตถุอย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
ครูชแ้ี จงว่า การทำาความเข้าใจเกีย่ วกับการเห็นสีของวัตถุแตกต่างกัน ขึน
้ กับปัจจัยอะไรบ้าง ควรเริม

จากการศึกษาเกี่ยวกับการเห็นแสงที่ผ่านแผ่นกรองแสงสี โดยครูอาจสาธิตด้วยการฉายแสงขาวผ่านแผ่น
กรองแสงสีแล้วให้นักเรียนสังเกตแสงสีที่ปรากฏบนฉากขาวหรือครูยกสถานการณ์ฉายแสงผ่านแผ่นกรอง
แสงสีแล้วให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่าเหตุใดจึงทำาให้เห็นเป็นสีนั้น ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความ
คิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้นครูให้นักเรียนทำากิจกรรม 11.5 ในหนังสือเรียน

กิ ก ม 11.5 ่ ก ส ส

ส ์
เพื่อศึกษาสมบัติของแผ่นกรองแสงสีต่าง ๆ

เ ล 30 นาที

ส ล ก ์
1. ชุดกล่องแสง 1 อัน
2. หม้อแปลงโวลต์ตา่ำ 12 โวลต์ 1 เครื่อง
3. ปริซึมสามเหลี่ยม 1 อัน
4. แผ่นช่องแสงชนิด 1 ช่อง 1 แผ่น
5. แผ่นพลาสติกโปร่งใสสีม่วงสีนา้ำ เงิน สีเขียว สีเหลือง สีส้ม และสีแดง อย่างละ 1 แผ่น

ก่ กิ ก ม
1. จัดบริเวณที่ทำากิจกรรมให้สว่างน้อยกว่าปกติ จะสังเกตเห็นลำาแสงได้ชัดเจน
2. ควรวางปริซิมสามเหลี่ยมให้ใกล้กับแผ่นช่องแสงมากที่สุด เพื่อใช้ลำาแสงช่วงที่สว่างมาก
ทำาให้ได้ผลการทำากิจกรรมที่สังเกตได้ชัดเจน
3. เขียนรังสีแทนลำาแสงของสีต่าง ๆ บนกระดาษขาว ณ ตำาแหน่งที่เห็น พร้อมทั้งบันทึกสีที่เห็น

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 225

่ ลก กิ ก ม

ส ่ ส ส ส เ เม ิ มส มเ ล มก ่
ล ส ิก ่ ล ส ิก ส ่ ่ ล ส ิก ่ ส
่ ส ่ ส เ ม่ เ ิ เ เ ล สม
สีม่วง สีม่วง
สีน้ำาเงิน สีน้ำาเงิน
สีเขียว สีเขียว
สีเหลือง สีเหลือง
สีส้ม สีส้ม
สีแดง สีแดง

ม กิ ก ม

๙เมื่อกั้นแสงหน้าช่องแสงด้วยแผ่นพลาสติกโปร่งใสแต่ละสี เปรียบเทียบกับแถบสีท่ีเห็นกรณีไม่มี
แผ่นพลาสติกใสแต่ละสีกั้น แตกต่างกันอย่างไร
เมื่อกั้นช่องแสงด้วยแผ่นพลาสติกโปร่งใสแต่ละสีจะพบว่ามีแสงสีบางแสงสีทะลุ
ผ่านได้ แต่บางแสงสีหายไป ส่วนในกรณีไม่มีแผ่นพลาสติกใสกั้นจะเห็นแถบสีครบทุกสี

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
226 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ิ ล ก กิ ก ม

ครูนำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า เมื่อให้แสงขาวซึ่งประกอบด้วยแสงหลายสีตกกระทบแผ่น
พลาสติกโปร่งใสสีตา่ ง ๆ ก็จะเห็นแสงทีผ
่ า่ นพลาสติกโปร่งใสเป็นสีนน
ั้ ๆ แต่เมือ
่ นำาปริซม
ึ สามเหลีย่ ม
มากระจายแสงที่ผ่านแผ่นพลาสติกโปร่งใสสีต่าง ๆ พบว่า แสงสีบางสีจะถูกแผ่นพลาสติกโปร่งใส
ดูดกลืนไว้ และมีแสงสีบางสีทะลุผ่านแผ่นพลาสติกโปร่งใส เช่น แผ่นพลาสติกโปร่งใสสีน้ำาเงิน
จะพบว่า แสงสีแดงถูกดูดกลืนไว้ แต่แสงสีน้ำาเงินทะลุผ่านได้ดี และอาจมีแสงสีม่วงและสีเขียว
ปนออกมาด้วย แต่สว่างน้อยกว่าแสงสีน้ำาเงิน

ครูใช้รป
ู 11.49 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับแสงสีที่ผ่านแผ่นพลาสติกโปร่งใส จน
สรุปได้ว่า แผ่นพลาสติกโปร่งใสสีต่างๆ ทำาหน้าที่กั้นแสงบางสีไว้และยอมให้แสงบางสีผ่านไปได้ ซึ่งเรียกว่า
แผ่นกรองแสงสี นอกจากนี้ ครูอาจชี้แจงว่า ความสามารถในการกรองแสงสีของแผ่นกรองแสงสีขึ้นอยู่กับ
คุณภาพของแผ่นกรองแสงสี ยิง่ แผ่นกรองแสงสีมค
ี ณ
ุ ภาพสูงก็จะกรองแสงสีออกมาเป็นสีนน
้ั ๆ ได้ โดยแสงสี
อื่น ๆ ปนออกมาน้อยมาก
ครูใช้รูป 11.50 และ 11.51 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับการมองเห็นสีของวัตถุ
เนื่องจากสารในวัตถุที่เรียกว่า สารสี จนสรุปได้ว่า สารสีทำาหน้าที่ดูดกลืนแสงบางแสงสีไว้และสะท้อนแสงสี
ส่วนที่เหลือจากการดูดกลืน ทำาให้มองเห็นวัตถุเป็นสีเดียวกับแสงที่สะท้อนมาเข้าตา เช่น ใบไม้ที่มีสีเขียว
เนื่องจากมีส่วนประกอบของคลอโรฟิลด์ที่สามารถสะท้อนแสงสีเขียวในปริมาณมากที่สุด ทำาให้มองเห็น
ใบไม้เป็นสีเขียว

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 227

ม เ ิมเ ิมส

วัตถุสามารถแบ่งตามปริมาณแสงและลักษณะที่แสงผ่านวัตถุได้ ดังนี้
1. ่ ส (transparent material) หมายถึง วัตถุที่แสงผ่านไปได้เกือบหมด ทำาให้สามารถ
มองผ่านวัตถุชนิดนี้ได้อย่างชัดเจน เช่น กระจกใส พลาสติกใส พลาสติกใสสี และแก้วใส
2. ่ ส (translucent material) หมายถึง วัตถุทแี่ สงผ่านไปได้อย่างไม่เป็นระเบียบ ทำาให้
ไม่สามารถมองผ่านวัตถุนี้ได้ชัด เช่น น้ำาขุ่น กระจกฝ้า และกระดาษชุบไข
3. ส (opaque material) หมายถึง วัตถุทแี่ สงผ่านไปไม่ได้เลย แสงทัง้ หมดจะถูกดูดกลืน
ไว้หรือสะท้อนกลับ จึงไม่สามารถมองผ่านวัตถุชนิดนี้ได้ เช่น ไม้ ผนังตึก และกระจกเงา

11.4.4 ก สมส ส

มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. การมองเห็ น สี ข องวั ต ถุ เ กิ ด จากการผสมกั น 1. การมองเห็นสีของวัตถุไม่ได้เกิดจากการผสม


ระหว่างสารสีของวัตถุและแสงสีที่ตกกระทบ กันระหว่างสารสีของวัตถุและแสงสีที่ตกกระ
วัตถุ ทบวัตถุ แต่ขึ้นกับแสงสีที่ตกกระทบวัตถุและ
แสงสีที่สะท้อนโดยสารสีของวัตถุ

2. การมองเห็นสีของวัตถุไม่ขึ้นกับสีของแสงที่ 2. สีของวัตถุที่เห็นขึ้นกับสีของแสงที่ตกกระทบ
ตกกระทบวัตถุ วัตถุ

3. ผลของการผสมสารสีเหมือนกับผลของการ 3. ผลของการผสมสารสีแตกต่างจากผลของการ
ผสมแสงสี เช่ น ถ้ า แสงสี แ ดงผสมกั บ แสงสี ผสมแสงสี เช่น ถ้าแสงสีแดงผสมกับแสงสี
เขียวจะได้แสงสีเหลือง ดังนั้น ถ้าสารสีแดง เขียวจะได้แสงสีเหลือง แต่ถ้าสารสีแดงผสม
ผสมกับสารสีเขียวจะได้สารสีเหลือง กับสารสีเขียวจะได้สารสีดำา

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
228 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

สิ เ มล่
ถ้าจะมีการให้นักเรียนสังเกตการผสมสารสี ให้เตรียมวัสดุและอุปกรณ์ คือ
1. สีโปสเตอร์ 3 สี ได้แก่ สีเหลือง สีน้ำาเงินเขียว และสีแดงม่วง
2. พู่กันและจานสี
3. กระดาษขาว

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 12 ของหัวข้อ 11.4 ตามหนังสือเรียน
ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 11.4.4 โดยนำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า คุณสมบัติการดูดกลืนและสะท้อน
แสงสีของสารสีในวัตถุนำามาใช้อธิบายการผสมสารสี สารสีที่ไม่อาจสร้างขึ้นจากการผสมสารสีต่าง ๆ เข้า
ด้วยกันมี 3 สี คือ สารสีนา้ำ เงินเขียว (Cyan) สารสีเหลือง (Yellow) และสารสีแดงม่วง (Magenta) ซึ่ง
เรียกว่า สารสีปฐมภูมิ ซึ่งเมื่อนำามาผสมกันจะได้เป็นสารสีอื่น ๆ ตามต้องการ จึงนำามาใช้เป็นหมึกพิมพ์
ดังรูป 11.52 ในหนังสือเรียน
ครูนาำ นักเรียนอภิปรายเกีย่ วกับการเห็นสีทเี่ กิดจากแสงสะท้อนมากระตุน
้ เซลล์รป
ู กรวยและมีผลต่อ
การมองเห็นเป็นสีต่าง ๆ ได้อย่างไร ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน
ครูใช้รูป 11.53 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับการเห็นวัตถุที่มีสารสีเหลือง จนสรุป
ได้วา่ เมือ
่ แสงขาวกระทบวัตถุทม
ี่ สี ารสีเหลือง จะดูดกลืนแสงส่วนทีเ่ ป็นสีนา้ำ เงินซึง่ เป็นส่วนทีจ่ ะกระตุน
้ เซลล์
รูปกรวยชนิด S แต่จะสะท้อนแสงความยาวคลื่นอื่น ๆ ที่จะกระตุ้นให้เซลล์รูปกรวยชนิด M และ L ทำางาน
พร้อมกัน การที่เซลล์รูปกรวยสองชนิดนี้ ถูกกระตุ้นพร้อมกัน จึงทำาให้ตาเราเห็นเป็นสีเหลือง อาจอธิบาย
ง่าย ๆ ว่า สารสีเหลืองที่เราเห็นนั้น คือ แสงสีเขียวที่กระตุ้นเซลล์รูปกรวยชนิด M และแสงสีแดงที่กระตุ้น
เซลล์รูปกรวยชนิด L โดยสามารถสรุปสำาหรับการเห็นสารสีน้ำาเงินเขียวและสารสีแดงม่วงได้ในทำานอง
เดียวกัน ดังตาราง 11.3 ในหนังสือเรียน ซึ่งแสดงการดูดกลืนและสะท้อนแสงสีปฐมภูมิของสารสีปฐมภูม ิ
และสามารถเขียนแผนภาพการผสมสารสีปฐมภูมิได้ดังรูป 11.54

ม เ ิมเ ิมส

ในวิชาศิลปะ แม่สีสำาหรับการผสมสีจะมี 3 สี คือ สีเหลือง สีแดง และสีน้ำาเงิน เพื่อใช้ผสมให้เกิดเป็น


สีอน
ื่ ๆ ได้ ซึง่ อาจจะทำาให้นก
ั เรียนสับสนเพราะชือ
่ เรียกแม่สใี นวิชาศิลปะไม่ตรงกับชือ
่ สารสีปฐมภูมิ
ในทางวิทยาศาสตร์เนื่องจากมีเกณฑ์ในการจำาแนกสีที่แตกต่างกัน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 229

ก ล ก เมิ ล
1. ความรู้เกี่ยวกับแสงสีและการมองเห็นสี จากการตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 11.4
2. จิตวิทยาศาสตร์/เจตคติด้านความมีเหตุผล และความรอบคอบ จากการทำากิจกรรมและการ
อภิปรายร่วมกัน และจากการทำาแบบฝึกหัด 11.4

ม ส มเ 11.4

1. หากฉายแสงขาวไปตกกระทบวัตถุทม
ี่ สี ด
ี าำ แสงสีใดบ้างทีจ่ ะถูกดูดกลืนโดยสารสีของวัตถุนน
ั้ และ
แสงสีใดบ้างจะสะท้อนโดยสารสีของวัตถุนั้นกลับเข้าสู่ตาผู้สังเกต
เห็นวัตถุเป็นสีดำา เนื่องจากวัตถุสีดำาจะดูดกลืนแสงสีทุกสี จึงไม่มีแสงสีใดสะท้อน
ออกมา

2. จงอธิบายสีที่เกิดจากการผสมสารสีนา้ำ เงินเขียวและสารสีแดงม่วง โดยอาศัยความรู้เรื่องการดูด


กลืนและการสะท้อนแสงสีของสารสี
สารสีน้ำาเงินเขียวจะดูดกลืนแสงสีแดง ส่วนสารสีแดงม่วงจะดูดกลืนแสงสีเขียว
เมื่อนำามาผสมกันทำาให้สารสีดังกล่าวดูดกลืนทั้งแสงสีแดงและแสงสีเขียว สะท้อนเพียงแค่แสง
สีน้ำาเงินเท่านั้น ทำาให้สารสีที่ผสมระหว่างสีนา้ำ เงินเขียวกับสีแดงม่วงเป็นสารสีนา้ำ เงิน

3. เหตุใด หมึกของเครือ
่ งพิมพ์เอกสารส่วนใหญ่จงึ มีเพียงแค่ 4 สี คือ สีนา้ำ เงินเขียว (Cyan) สีเหลือง
(Yellow) สีแดงม่วง (Magenta) และสีดำา (Blak)
เนือ
่ งจากการใช้หมึกสีนา้ำ เงินเขียว หมึกสีเหลือง และหมึกสีแดงม่วง ก็เพียงพอทีจ่ ะ
ใช้ผสมเป็นสารสีอื่น ๆ ได้ครบทุกสี ส่วนการใช้หมึกสีดาำ (Blak) เนื่องจากเป็นการประหยัดสาร
สีอื่น ๆ ในงานที่ต้องการสีดาำ

4. เมื่อฉายแสงจากแหล่งกำาเนิดแสงสีน้ำาเงินไปบนวัตถุสีแดง เรามองเห็นเป็นสีอะไร เพราะเหตุใด


เห็นวัตถุเป็นสีดำา เนื่องจากวัตถุสีแดงจะสะท้อนสีแดง และดูดกลืนแสงสีอื่นไว้ เมื่อ
ฉายแสงสีน้ำาเงินลงบนวัตถุสีแดงทำาให้ไม่มีแสงสีใดสะท้อนออกมา

5. การผสมแสงสีในรูป 11.47 และการผสมสารสีในรูปที ่ 11.54 มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร


สารสีปฐมภูมแิ ต่ละสีในรูปที่ 11.54 จะสะท้อนแสงสีปฐมภูมจิ าำ นวน 2 แสงสี ทำาให้
สารสีปฐมภูมิตรงกับส่วนของการรวมแสงสีปฐมภูมินั่นคือตรงกับแสงสีทุติยภูมิ ส่วนสารสี
ทุติยภูมิจะสะท้อนแสงสีปฐมภูมิเพียงสีเดียว ทำาให้สารสีทุติยภูมิตรงกับแสงสีปฐมภูมิ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
230 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

11.5 ก ิ ก ก ์ ม ิ ล ก ์เก ก ส
ส ์ก เ
1. อธิบายการเกิดรุ้ง การทรงกลด มิราจ และการมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่ต่างกัน
2. อธิบายการนำาความรู้เรื่องแสงเชิงรังสีไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำาวัน

11.5.1 ก ก ์ ม ิ เก ก ส
มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. เ มื่ อ มี ล ะ อ อ ง น้ำ า ใ น อ า ก า ศ ใ น ป ริ ม า ณ ที่ 1. เ มื่ อ มี ล ะ อ อ ง น้ำ า ใ น อ า ก า ศ ใ น ป ริ ม า ณ ที่


เหมาะสม เราสามารถมองเห็นรุง้ ทุกทิศทางได้ เหมาะสม เราสามารถมองเห็นรุ้งได้เมื่อหัน
โดยไม่เกี่ยวข้องกับตำาแหน่งของดวงอาทิตย์ หลังให้ดวงอาทิตย์เท่านั้น

2. ภาพมิราจเกิดจากแสงสะท้อนไอน้ำาบนถนน 2. ภาพมิ ร าจเกิ ด จากการหั ก เหของแสงใน


บรรยากาศชั้นต่าง ๆ เพราะความหนาแน่น
ของอากาศในแต่ละชั้นไม่เท่ากัน ทำาให้แสง
เบนขึ้นทีละน้อยจนเกิดการสะท้อนกลับหมด

3. ท้องฟ้าในตอนกลางวันมีสีฟ้าจึงเห็นท้องฟ้า 3. โมเลกุลของอากาศทำาให้แสงอาทิตย์เกิดการ
เป็นสีฟ้า และท้องฟ้าตอนเช้าหรือตอนเย็น กระเจิ ง โดยแสงสี น้ำ า เงิ น กระเจิ ง ได้ ม ากกว่ า
เป็นสีแดงเพราะแสงจากดวงอาทิตย์ในช่วง แสงสีอื่นและแสงสีแดงกระเจิงน้อยกว่าแสงสี
เวลานั้นเป็นแสงสีแดง อืน
่ ทำาให้เห็นท้องฟ้าในตอนกลางวันเป็นสีฟา้
และเห็ น ท้ อ งฟ้ า ตอนเช้ า หรื อ ตอนเย็ น เป็ น
สีแดง

สิ เ มล่
ถ้าจะมีการให้นักเรียนสังเกตการกระเจิงของแสง ให้เตรียมวัสดุและอุปกรณ์ คือ
1. ไฟฉาย
2. กล่องพลาสติกใสบรรจุน้ำา
3. นม

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 231

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 13 ของหัวข้อ 11.5 ตามหนังสือเรียน
ครูนาำ เข้าสูห
่ วั ข้อครูนาำ เข้าสูห
่ วั ข้อ 11.5.1 โดยให้นก
ั เรียนร่วมกันอภิปรายว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ทีเ่ กีย่ วกับแสง ได้แก่ การเกิดรุง้ การทรงกลด มิราจ และการมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีตา่ ง ๆ ในช่วงเวลาทีต
่ า่ งกัน
มีลก
ั ษณะอย่างไร เกิดเมือ
่ ไร และเกิดได้อย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและ
ไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายในประเด็นต่อไปนี ้ รุง้ มีกช
ี่ นิด แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร รุง้ เกิด
ขึ้นเมื่อใด และรุ้งเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาด
หวังคำาตอบทีถ่ กู ต้อง จากนัน
้ ครูให้นกั เรียนศึกษาเกีย่ วกับรุง้ ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน แล้วครูนาำ นักเรียน
อภิปรายโดยใช้รูป 11.55 11.56 11.57 และ 11.58 ในหนังสือเรียน จนสรุปได้ว่า รุ้งเกิดจากแสงขาว
จากดวงอาทิตย์หักเหเข้าสู่หยดน้ำาแล้วเกิดการสะท้อนภายในหยดน้ำา แล้วจึงหักเหออกจากหยดน้ำาอีกครั้ง
หนึ่ง และเนื่องจากดรรชนีหักเหของแสงสีแต่ละแสงสีมีค่าไม่เท่ากัน ทำาให้แสงสีแต่ละแสงสีหักเหออกจาก
หยดน้ำาด้วยมุมที่ต่างกัน เนื่องจากสายตาของผู้สังเกตจะทำามุมใดมุมหนึ่งกับหยดน้ำาแต่ละหยดเท่านั้น จึง
ทำาให้แสงสีที่เข้าตาผู้สังเกตจากหยดน้ำาหนึ่งหยดจะต้องเป็นแสงสีใดแสงสีหนึ่งตามมุมที่เหมาะสมเท่านั้น
การเห็นรุ้งจึงเกิดจากการที่แสงแต่ละสีที่เข้าตามาจากหยดน้ำาคนละหยด

ม เ ิมเ ิมส

การสร้างรุ้งสามารถทำาได้โดยการหันหลังให้กับ
ดวงอาทิตย์ แล้วฉีดละอองน้ำาที่ด้านหน้าผู้สังเกต
ในระดับสูงกว่าศีรษะของผูส
้ งั เกต เมือ
่ แสงอาทิตย์
เคลื่ อ นที่ ผ่ า นละอองน้ำ า แล้ ว เกิ ด การหั ก เหเข้ า สู่
หยดน้าำ สะท้อนภายในหยดน้าำ และหักเหออกจาก
หยดน้ำา จะทำาให้ผู้สังเกตเห็นรุ้งที่เกิดขึ้นได้ หรือ
ก ก เกิ ิเ มล
อาจใช้การสังเกตบริเวณที่มีละอองน้ำาที่อยู่ด้าน
ตรงข้ามกับแสงอาทิตย์ ดังรูป 11.4 ก. นอกจากนี้
อาจใช้ ก ารนำ า กระจกมาวางลงในน้ำ า ในมุ ม ที่
เหมาะสมทำาให้แสงเกิดการหักเหในน้ำา สะท้อนที่
กระจก และหักเหออกจากน้าำ อีกครัง้ เกิดการแยก
แสงสีเป็นรุ้ง ดังรูป 11.4 ข.
ก เกิ กก กเ ล ส
ก กเกิ เกิ
11.4

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
232 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูใช้รูป 11.59 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับการมองเห็นรุ้ง จนสรุปได้ว่า รุ้งที่


มองเห็นจะต้องเป็นส่วนของวงกลมเพื่อทำาให้มุมของแสงแต่ละสีท่ีเข้าสู่ตาของผู้สังเกตมีค่าคงเดิมในทุก ๆ
ส่วนของรุ้ง
ครู ใ ช้ รู ป 11.60 ในหนั ง สื อ เรี ย น นำ า นั ก เรี ย นอภิ ป รายเปรี ย บเที ย บการเกิ ด รุ้ ง ปฐมภู มิ แ ละ
รุ้งทุติยภูมิ จนสรุปได้ว่า รุ้งปฐมภูมิแสงมีการสะท้อนภายในหยดน้ำาจำานวน 1 ครั้ง แต่รุ้งทุติยภูมิแสงมี
การสะท้อนภายในหยดน้ำาจำานวน 2 ครั้ง ทำาให้ลำาดับของแสงที่ออกมาและมุมที่แสงแต่ละสีมีความเข้ม
มากที่สุดระหว่างรุ้งปฐมภูมิและรุ้งทุติยภูมิมีความแตกต่างกัน
ครูนาำ นักเรียนอภิปรายว่า การทรงกลดเกิดขึน
้ ได้อย่างไร มีลก
ั ษณะเป็นอย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้
นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้น ครูให้นักเรียนศึกษา
เรื่องการทรงกลด และใช้รูป 11.61 11.62 และ 11.63 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า
การทรงกลดเกิดขึ้นจากการที่แสงเบี่ยงเบนเนื่องจากผลึกน้ำาแข็งรูปหกเหลี่ยมในชั้นบรรยากาศสูง ๆ ทำาให้
ผู้สังเกตเห็นแสงอาทิตย์อีกที่หนึ่งที่ทำามุม 22 องศากับแนวตรงของดวงอาทิตย์ เกิดเป็นวงกลมรอบดวง
อาทิตย์
ครูนำาอภิปรายโดยถามนักเรียนว่า มิราจเกิดขึ้นได้อย่างไร มีลักษณะเป็นอย่างไร โดยครูเปิดโอกาส
ให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบทีถ
่ ก
ู ต้อง จากนัน
้ ครูให้นก
ั เรียนศึกษาเรือ
่ ง
การเกิดมิราจ และใช้รูป 11.64 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า มิราจเกิดจากการที่แสง
เกิ ด การหั ก เหอย่ า งต่ อ เนื่ อ งระหว่ า งรอยต่ อ ระหว่ า งอากาศที่ มี อุ ณ ภู มิ แ ตกต่ า งกั น ทำ า ให้ แ สง
เปลี่ยนทิศทางทีละน้อยจนเกิดการสะท้อนกลับหมด เกิดเป็นภาพที่อยู่คนละตำาแหน่งกับวัตถุจริง เช่น
การเห็นภาพของท้องฟ้าอยู่บนพื้นถนน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 233

ม เ ิมเ ิมส

หากความแตกต่างของอากาศในส่วนที่อยู่ด้านล่างเย็นกว่าด้านบน แสงก็จะเกิดการหักเหอย่างต่อ
เนือ
่ งจนเกิดการสะท้อนกลับหมดเช่นเดียวกัน เรียกปรากฏการณ์นวี้ า่ looming โดยผูส
้ งั เกตจะเห็น
ภาพของวัตถุลอยอยู่เหนือพื้นระดับ ดังรูป 11.5

ส เก ม เ

ส เกิ ก กเ
ส เกิ ก
ส กล ม
ก เ

11.5 ก ก ์ looming

ครูนำาอภิปรายโดยถามนักเรียนว่า สีของท้องฟ้าในแต่ละวันมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร ซึ่ง


ควรได้คำาตอบว่า ในแต่ละเวลาสีของท้องฟ้าจะต่างกันไป โดยในตอนเช้าและตอนเย็นจะเห็นท้องฟ้าเป็น
สีแดงหรือสีส้มแดง ส่วนในเวลากลางวันจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า จากนั้น ครูนำาอภิปรายโดยถามนักเรียน
ต่อว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวัง
คำาตอบที่ถูกต้อง
ครูอาจสาธิตการกระเจิงของแสงโดยใช้ไฟฉายส่องแสงเข้าไปในน้าำ ในกล่องพลาสติกใสเพือ
่ ให้แสงไป
ตกตั้งฉากกับผิวกล่อง แล้วให้นักเรียนสังเกตผล ใส่นมผสมลงไปในน้าำ คนให้ทั่ว แล้วสังเกตผลที่เกิดขึ้นโดย
มองด้านที่ตั้งฉากกับลำาแสง และด้านตรงข้ามกับไฟฉาย จากนั้นครูให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับ
ผลการสั ง เกต จนสรุ ป ได้ ว่ า เมื่ อ ฉายไฟฉายผ่ า นน้ำ า ที่ ยั ง ไม่ ผ สมนมลงไป จะเห็ น ลำ า แสงเป็ น สี ข าว
ดังรูป 11.6 ก. และ 11.6 ข. แต่เมื่อผสมนมลงไปในน้ำา แล้วสังเกตแสงด้านที่ตั้งฉากกับลำาแสงจะมองเห็น
แสงจากไฟฉายที่กระทบน้ำาผสมนมเป็นสีฟ้า ในช่วงแรก ๆ ดังรูป 11.6 ค. แต่ถ้ามองด้านตรงข้ามไฟฉาย
จะมองเห็นแสงเป็นสีแดงส้ม ดังรูป 11.6 ง.

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
234 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ก เม ม ก ล ส เ ส เม ม ม ล ส เ ส

เม ม ก ล ส สม มเ สฟ เม ม ม ล ส สม ม
่ ก เ ส สม

11.6 ก ก ก ก เ ิ ส

ครูให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการกระเจิงของแสงตามรายละเอียดในหนังสือเรียน และใช้รูป 11.65


ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า การกระเจิงของแสงเกิดจากแสงตกกระทบโมเลกุลของ
อากาศในชั้ น บรรยากาศแล้ ว ทำ า ให้ แ สงกระเจิ ง ออกมาทุ ก ทิ ศ ทาง โดยแสงสี ม่ ว งและแสงสี น้ำ า เงิ น ซึ่ ง มี
ความยาวคลื่นสั้นจะเกิดการกระเจิงได้ดี ส่วนแสงสีแดงซึ่งมีความยาวคลื่นมากจะกระเจิงได้น้อย
จากนั้น ครูใช้รูป 11.66 ในหนังสือเรียน นำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า แสงอาทิตย์ในเวลา
กลางวันจะเกิดการกระเจิงทำาให้เมื่อมองส่วนอื่น ๆ ของท้องฟ้าที่ไม่ใช่บริเวณดวงอาทิตย์จะเห็นเป็นสีฟ้า
ในขณะทีแ่ สงอาทิตย์ในเวลาเช้าหรือเย็นจะต้องเดินทางผ่านชัน
้ บรรยากาศเป็นระยะทางมาก จึงเห็นแต่แสง
สีแดงเพราะเกิดการกระเจิงน้อยที่สุด

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 235

11.5.2 ก ม เ ก กเ ล เล ส์ ์

มเ ล เ ล เกิ

มเ ล เ ล ิ ก

1. หากนำาเลนส์บางหรือกระจกโค้งทรงกลมอัน 1. หากนำาเลนส์บางหรือกระจกโค้งทรงกลมอัน
หนึ่งมารับภาพจากเลนส์บางหรือกระจกโค้ง หนึ่งมารับภาพจากเลนส์บางหรือกระจกโค้ง
ทรงกลมอีกอันหนึ่ง จะไม่ทำาให้เกิดภาพใหม่ ทรงกลมอีกอันหนึ่ง จะทำาให้เกิดภาพใหม่ขึ้น
ขึ้ น เนื่ อ งจากไม่ มี วั ต ถุ อ ยู่ ใ นตำ า แหน่ ง นั้ น เนื่องจากภาพจากเลนส์บางหรือกระจกโค้ง
จริง ๆ ทรงกลมอันหนึ่ง จะกลายเป็นวัตถุให้กับเลนส์
บางหรือกระจกโค้งทรงกลมอีกอัน

ก ก เ
ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 14 ของหัวข้อ 11.5 ตามหนังสือเรียน
ครูนาำ เข้าสูห
่ วั ข้อ 11.5.2 โดยให้นก
ั เรียนร่วมกันอภิปรายโดยตัง้ คำาถามว่า ความรูเ้ รือ
่ งกระจกเงาและ
เลนส์บางสามารถนำามาใช้ประโยชน์ในชีวต
ิ ประจำาวันได้อย่างไรบ้าง โดยครูเปิดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความ
คิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง
ครูนำาอภิปรายโดยถามนักเรียนว่า ถ้าต้องการนำาความรู้เรื่องกระจกเงาและเลนส์บางมาช่วยทำาให้
มองเห็นวัตถุที่ไกลออกไป จะสามารถทำาได้อย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
และไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้นครูให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับกล้องโทรทรรศน์ตามรายละเอียดใน
หนังสือเรียน พร้อมทัง้ นำาอภิปรายเกีย่ วกับหลักการทำางานของกล้องโทรทรรศน์ แล้วให้นก
ั เรียนทำากิจกรรม
11.6 ในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
236 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

กิ ก ม 11.6 กล ์

ส ์
เพื่อศึกษาหลักการทำางานของกล้องโทรทรรศน์
เ ล 30 นาที
ส ล ก ์
1. ชุดกล้องโทรทรรศน์และจุลทรรศน์ 1 ชุด
2. ไม้เมตร 1 อัน
ก่ กิ ก ม
1. ให้ นั ก เรี ย นเลื อ กทิ ว ทั ศ น์ ห รื อ อาคารบ้ า นเรื อ นที่ อ ยู่ ไ กลออกไปเป็ น วั ต ถุ สำ า หรั บ การ
ทำากิจกรรมนี ้ เพื่อให้ถือว่าลำาแสงที่มาตกกระทบเป็นลำาแสงขนาน
2. ชุดกล้องจุลทรรศน์และโทรทรรศน์ มีเลนส์นูน 2 อัน เลนส์นูนอันใหญ่มีความยาวโฟกัส
มากกว่าเลนส์นูนอันเล็ก อาจให้นักเรียนตรวจสอบโดยการหาความยาวโฟกัสตามกิจกรรม
11.3 ตอนที่ 1
3. เพื่อความสะดวก ควรวางเลนส์นูนที่มีความยาวโฟกัสสั้นอยู่ชิดปลายข้างหนึ่งของรางเลื่อน
และปรับตำาแหน่งของเลนส์นูนที่มีความยาวโฟกัสมากเท่านั้น
่ ลก กิ ก ม
- เลนส์นูนอันใหญ่มีความยาวโฟกัสประมาณ 14.5 เซนติเมตร เป็นเลนส์ใกล้วัตถุ
- เลนส์นูนอันเล็กมีความยาวโฟกัส ประมาณ 5.0 เซนติเมตร เป็นเลนส์ใกล้ตา
- ผลรวมระหว่างความยาวโฟกัสระหว่างเลนส์ใกล้วต
ั ถุและเลนส์ใกล้ตาเท่ากับ 19.5 เซนติเมตร
- ภาพทีเ่ กิดจากเลนส์ใกล้ตาเป็นภาพเสมือนหัวกลับขนาดใหญ่ และจะชัดทีส่ ด
ุ เมือ
่ เลนส์ทงั้ สอง
อยู่ห่างกันประมาณ 19.3 เซนติเมตร

ม กิ ก ม

□ ระยะระหว่างเลนส์ทงั้ สองขณะเห็นภาพชัดทีส่ ดุ เป็นอย่างไร เมือ่ เปรียบเทียบกับความยาวโฟกัส


ของเลนส์แต่ละอัน
ภาพชัดที่สุดเมื่อเลนส์ทั้งสองห่างกันประมาณ 19.3 เซนติเมตร ซึ่งมีค่าใกล้เคียง
กับผลรวมของความยาวโฟกัสของเลนส์ทั้งสองคือ 14.5 เซนติเมตร + 5.0 เซนติเมตร เท่ากับ
19.5 เซนติเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 237

□ ภาพที่เห็นเหมือนหรือแตกต่างวัตถุหรือไม่ อย่างไร
ภาพที่เห็นแตกต่างจากวัตถุโดยเป็นภาพเสมือนหัวกลับขนาดขยาย

ิ ล ก กิ ก ม

ครูนาำ นักเรียนอภิปรายจนสรุปได้วา่ กล้องโทรทรรศน์ประกอบด้วยเลนส์นน


ู สองอัน เลนส์นน
ู อัน
ใหญ่ซึ่งเป็นเลนส์ใกล้วัตถุมีความยาวโฟกัสมากกว่าเลนส์นูนอันเล็กซึ่งเป็นเลนส์ใกล้ตา เมื่อใช้
กล้องโทรทรรศน์สอ่ งดูวต
ั ถุทอี่ ยูไ่ กล รังสีขนานจากวัตถุจะผ่านเลนส์ใกล้วต
ั ถุแล้วมาตัดกันทีห
่ ลังเลนส์
ใกล้วัตถุ ภาพที่เกิดจากเลนส์ใกล้วัตถุนี้กลายเป็นวัตถุของเลนส์ใกล้ตาซึ่งได้ภาพเสมือนขนาดขยาย
ภาพที่เกิดขึ้นในกล้องโทรทรรศน์ เมื่อใช้ส่องดูวัตถุที่อยู่ไกล ๆ จะได้เป็นภาพหัวกลับ

ครู ใ ช้ รู ป 11.67 ในหนั ง สื อ เรี ย น นำ า นั ก เรี ย นอภิ ป รายเกี่ ย วกั บ การเกิ ด ภาพโดยใช้ เ ลนส์ นู น
สองอันมาประกอบกัน จนสรุปได้วา่ ภาพทีเ่ กิดจากเลนส์อน
ั แรกจะกลายเป็นวัตถุของเลนส์อน
ั ทีส่ อง จากนัน

ครูให้นก
ั เรียนศึกษาตัวอย่าง 11.14 โดยครูเป็นผูใ้ ห้คาำ แนะนำา แล้วใช้รป
ู 11.68 ในหนังสือเรียน นำานักเรียน
อภิปรายเกี่ยวกับ การเพิ่มเลนส์บางอีกหนึ่งอันมาใช้ประโยชน์ในการออกแบบกล้องโทรทรรศน์ จนสรุปได้
ว่า การใช้เลนส์บางสองอันมาสร้างกล้องโทรทรรศน์จะทำาให้ได้ภาพหัวกลับและเป็นภาพเสมือนขนาดขยาย
ซึ่งนำาเลนส์บางอีกอันมาวางระหว่างเลนส์ทั้งสองในตำาแหน่งที่เหมาะสม จะทำาให้ภาพที่เห็นเป็นภาพหัวตั้ง
จากนั้น ครูนำานักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับเลนส์ประกอบตามรายละเอียดในหนังสือเรียน
ครูนาำ อภิปรายโดยถามนักเรียนว่า ในกรณีทต
่ี อ้ งการนำาความรูเ้ รือ่ งกระจกเงาและเลนส์บางมาช่วยทำาให้
มองเห็นวัตถุทม
่ี ข
ี นาดเล็กมาก ๆ จะสามารถทำาได้อย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นก
ั เรียนแสดงความคิดเห็น
อย่างอิสระและไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง จากนั้นครูให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับกล้องจุลทรรศน์ตามราย
ละเอียดในหนังสือเรียน พร้อมทั้งนำาอภิปรายเกี่ยวกับหลักการทำางานของกล้องจุลทรรศน์ แล้วให้นักเรียน
ทำากิจกรรม 11.7 ในหนังสือเรียน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
238 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

กิ ก ม 11.7 กล ล ์

ส ์
เพื่อศึกษาหลักการทำางานของกล้องจุลทรรศน์
เ ล 30 นาที

ส ล ก ์
1. ชุดกล้องโทรทรรศน์และจุลทรรศน์ 1 ชุด
2. ไม้เมตร 1 อัน
3. แผ่นกระดาษแข็งทึบแสง 1 แผ่น
4. แผ่นกระดาษฝ้า 1 แผ่น
5. ตัวอย่างภาพสไลด์ 1 ชุด
6. ไม้เมตร 1 อัน

ก่ กิ ก ม
1. ชุดกล้องจุลทรรศน์และโทรทรรศน์ มีเลนส์นูน 2 อัน เลนส์นูนอันใหญ่มีความยาวโฟกัส
มากกว่าเลนส์นูนอันเล็ก อาจให้นักเรียนตรวจสอบโดยการหาความยาวโฟกัสตามกิจกรรม
11.3 ตอนที่ 1
2. แผ่นลูกศรที่เสียบหน้ากล่องแสงต้องอยู่ระดับเดียวกับศูนย์กลางของเลนส์นูนทั้งสอง

่ ลก กิ ก ม
- เลนส์นูนอันเล็กมีความยาวโฟกัส ประมาณ 5.0 เซนติเมตร เป็นเลนส์ใกล้วัตถุ
- เลนส์นูนอันใหญ่มีความยาวโฟกัสประมาณ 14.5 เซนติเมตร เป็นเลนส์ใกล้ตา
- ผลรวมระหว่างความยาวโฟกัสระหว่างเลนส์ใกล้วต
ั ถุและเลนส์ใกล้ตาเท่ากับ 19.5 เซนติเมตร
- ตำาแหน่งของลูกศรต้องอยู่ระหว่าง 5.5 เซนติเมตร ถึง 9.0 เซนติเมตร ของเลนส์ใกล้วัตถุ
จึงจะเกิดภาพจริงหน้าเลนส์ใกล้ตา
- ภาพที่เกิดจากเลนส์ใกล้ตาเป็นภาพเสมือนหัวกลับขนาดใหญ่ และจะมีขนาดใหญ่ที่สุด
เมื่อเลนส์ทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณ 24.5 เซนติเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 239

ม กิ ก ม

□ ขนาดและลักษณะของภาพเป็นอย่างไรเมื่อมองผ่านเลนส์นูนที่มีความยาวโฟกัสยาว
ภาพเสมือนหัวกลับขนาดขยาย

□ ระยะระหว่างเลนส์ทั้งสองมีค่าเท่าใด และระยะนี้แตกต่างจากความยาวโฟกัสของเลนส์นูน
ทั้งสองอย่างไร
ภาพมีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเลนส์ทั้งสองห่างกันประมาณ 24.5 เซนติเมตร ซึ่งมีค่า
มากกว่าผลรวมของความยาวโฟกัสของเลนส์ทั้งสองคือ 5.0 เซนติเมตร +14.5 เซนติเมตร
เท่ากับ 19.5 เซนติเมตร

ิ ล ก กิ ก ม

ครูนำานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า กล้องจุลทรรศน์ประกอบด้วยเลนส์นูนสองอัน เลนส์นูนอัน


ใหญ่ซงึ่ เป็นเลนส์ใกล้ตามีความยาวโฟกัสมากกว่าเลนส์นน
ู อันเล็กซึง่ เป็นเลนส์ใกล้วต
ั ถุ ถ้านำาวัตถุมา
วางทีร่ ะยะระหว่าง f กับ 2f ของเลนส์ใกล้วต
ั ถุ จะทำาให้เกิดภาพจริงทีม
่ ข
ี นาดใหญ่กว่าวัตถุหน้าเลนส์
ใกล้ตาโดยมีระยะน้อยกว่าความยาวโฟกัสของเลนส์ใกล้ตา ซึ่งภาพจากเลนส์ใกล้วัตถุจะกลายเป็น
วัตถุของเลนส์ใกล้ตาทำาให้ตามองเห็นเป็นภาพเสมือนขนาดใหญ่

ครู ใ ช้ รู ป 11.69 ในหนั ง สื อ เรี ย น นำ า นั ก เรี ย นอภิ ป รายเกี่ ย วกั บ แผนภาพรั ง สี ข องแสงสำ า หรั บ
กล้องจุลทรรศน์ จนสรุปได้ว่า กล้องจุลทรรศน์ประกอบด้วยเลนส์นูนสองอันที่มีความยาวโฟกัส ระยะห่าง
ระหว่างเลนส์ และระยะห่างระหว่างวัตถุที่เหมาะสม จนทำาให้เกิดภาพที่มีกาำ ลังขยายมาก ๆ ได้ จากนั้นครู
นำานักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับกล้องจุลทรรศน์ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน
ครูนาำ นักเรียนอภิปรายเกีย่ วกับประโยชน์ของกล้องถ่ายรูปและการเปลีย่ นแปลงเทคโนโลยีของกล้อง
ถ่ายรูปตัง้ แต่อดีตจนถึงปัจจุบน
ั ครูเน้นว่ากล้องถ่ายรูปปัจจุบน
ั ทีน
่ ก
ั เรียนใช้ในชีวต
ิ ประจำาวันเป็นกล้องถ่าย
รูปแบบดิจิทัล แต่กล้องถ่ายรูปที่นักเรียนจะได้ศึกษาเป็นกล้องที่ใช้ระบบเลนส์ซึ่งพัฒนามาก่อนที่จะเป็น
กล้องถ่ายรูปแบบดิจิทัลที่ใช้งานง่ายและแพร่หลายอย่างมากในปัจจุบัน
ครู ใ ห้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาหลั ก การทำ า งานของกล้ อ งถ่ า ยรู ป และส่ ว นประกอบของกล้ อ งถ่ า ยรู ป ตาม
รายละเอียดในหนังสือเรียน โดยครูใช้รป
ู 11.70 จากนัน
้ ครูนาำ อภิปราย จนสรุปได้วา่ กล้องถ่ายรูปอย่างง่าย
ประกอบด้วย เลนส์นูน ฟิล์มถ่ายรูป วงแหวนปรับความชัด ช่องมองภาพ ไดอะแฟรม และชัตเตอร์

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
240 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ครูนำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับกล้องถ่ายรูปแบบดิจิทัลตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จนสรุปได้
ว่า กล้องดิจิทัลใช้เซนเซอร์รับภาพแทนฟิล์มรับภาพ โดยพื้นที่ผิวของเซนเซอร์รับภาพจะถูกแบ่งออกเป็น
จุดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า พิกเซล ซึ่งใช้สำาหรับบันทึกข้อมูลแต่ละจุดของภาพ จำานวนพิกเซลต่อเซนเซอร์รับภาพ
จึงมีผลต่อความละเอียดของภาพ
ก ล เมิ ล
1. ความรู้ เ กี่ ย วกั บ ปรากฏการณ์ ธ รรมชาติ แ ละการใช้ ป ระโยชน์ เ กี่ ย วกั บ แสง จากการตอบ
คำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 11.5
2. จิตวิทยาศาสตร์ด้านความมีเหตุผลและความรอบคอบ จากการทำากิจกรรมและการอภิปราย
ร่วมกัน

ม ส มเ 11.5

1. ดวงจันทร์สามารถเกิดการทรงกลดได้หรือไม่ ถ้าได้จะเกิดขึ้นเมื่อไร
ดวงจันทร์สามารถเกิดการทรงกลดได้โดยจะเกิดในคืนที่ดวงจันทร์สว่างจ้า และใน
ชั้นบรรยากาศมีเมฆที่ประกอบด้วยผลึกน้ำาแข็งรูปหกเหลี่ยมในประมาณที่เหมาะสม

2. การเกิดรุ้งปฐมภูมิและการเกิดรุ้งทุติยภูมิเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
การเกิดรุ้งปฐมภูมิและรุ้งทุติยภูมิเกิดจากการที่แสงหักเหและสะท้อนภายในหยด
น้ำา โดยรุ้งปฐมภูมิเกิดจากการที่แสงสะท้อนภายในหยดน้ำา 1 ครั้ง แต่รุ้งทุติยภูมิเกิดจากการที่
แสงสะท้อนภายในหยดน้ำา 2 ครั้ง

3. เหตุใดภาพทีเ่ กิดจากกล้องโทรทรรศน์ทป
ี่ ระกอบด้วยเลนส์นน
ู จำานวน 2 อัน จึงเป็นภาพกลับหัว
และถ้าต้องการทำาให้ภาพที่เกิดขึ้นไม่กลับหัวด้วยการเพิ่มเลนส์นูนจำานวน 1 อัน จะต้องนำา
เลนส์นูนนี้ไปวางไว้ที่ตำาแหน่งใด
ภาพที่เกิดจากกล้องโทรทรรศ์ที่ประกอบด้วยเลนส์นูนจำานวน 2 อันเป็นภาพกลับ
หัวเนื่องจากการมองวัตถุอยู่ห่างจากเลนส์ใกล้วัตถุมาก ๆ เช่น ที่ตำาแหน่ง P จะทำาให้ภาพที่เกิด
จากเลนส์ใกล้วัตถุเป็นภาพหัวกลับที่อยู่ใกล้เคียงกับตำาแหน่งโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุที่ตาำ แหน่ง
P' ซึ่งภาพนี้จะเป็นวัตถุให้กับเลนส์ใกล้ตาที่ตำาแหน่งใกล้เคียงกับตำาแหน่งโฟกัสของเลนส์
ใกล้ตาทำาให้เกิดภาพเสมือนขนาดใหญ่ที่มีทิศทางเดียวกับวัตถุของเลนส์ใกล้ตา (ภาพของเลนส์
ใกล้วัตถุ) จึงได้ภาพที่มีลักษณะหัวกลับกับวัตถุจริง ที่ตำาแหน่ง P'' ดังรูป

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 241

เลนส์ใกล้วัตถุ เลนส์ใกล้ตา
f1 f1 f2 f2
P

P'
วัตถุ
P''
เลนส์ใกล้วัตถุ เลนส์ใกล้ตา
f1 f1 f2 f2
Pถ้าต้องการทำาให้ภาพที่เกิดขึ้นไม่กลับหัว จะต้องนำาเลนส์นูนจำานวน 1 อันไปวางระหว่างเลนส์
เลนส์ใกล้วัตถุ เลนส์ใกล้ตา
ใกล้วัตถุและเลนส์ใกล้ตา โดยให้ระยะจากภาพของเลนส์fใกล้วัตถุทf ี่ตำาแหน่
P' ง P' มีค่ามากกว่า
f f
วัตถุ 1 1 2 2
Pความยาวโฟกัสของเลนส์ที่นำาไปวางเพื่อให้เกิดเป็นภาพจริงหัวกลับP''
และเป็P'''นวัตถุของเลนส์ใกล้
ตาที่ตำาแหน่ง P'' จึงได้ภาพเสมือนหัวตั้งเหมือนวัตถุจริงที่ตาำ แหน่ง P''' ดังรูป
วัตถุ P''
P'
เลนส์ใกล้วัตถุ
f3 f3 เลนส์ใกล้ตา
f1 f1 เลนส์ที่ 3 f2 f2
P P'''

วัตถุ P''
P'
f3 f3
เลนส์ที่ 3

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
242 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

เ ล ก 11

1. ชายคนหนึง่ กำาลังล่าปลาโดยใช้ไม้ปลายแหลม ถ้าเขามองเห็นปลาทีต


่ าำ แหน่ง ค. เขาต้องพุง่ ไม้ไป
ที่ตำาแหน่งใด จึงมีโอกาสถูกตัวปลา

ก.
ข.
ค.
ง.

ก ม 1
เนือ
่ งจากการหักเหของแสงทำาให้ชายคนนีม
้ องเห็นปลาอยูต
่ น
ื้ กว่าความเป็นจริง ดัง
นั้น เขาควรพุ่งไม้ไปยังตำาแหน่งที่ต่ำากว่าตำาแหน่ง ค. เพื่อให้มีโอกาสถูกตัวปลา นั่นคือ เขาต้อง
พุ่งไม้ไปที่ ตำาแหน่ง ง.

2. เมื่อฉายแสงเลเซอร์เข้าไปในน้ำาที่ผสมน้ำาตาล ปรากฎว่าแนวของลำาแสงเบนดังรูป จงอธิบายว่า


เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
เลเซอร์

น้ ผสมน้ ตาล

อ่างแก้ว

ก ม 2
น้ำาผสมน้าำ ตาลเป็นของผสมที่มีความหนาแน่นไม่เท่ากัน ด้านบนมีความหนาแน่น
น้อยทีส
่ ด
ุ ลึกลงไปจะมีความหนาแน่นเพิม
่ ขึน
้ และมีความหนาแน่นมากทีส
่ ด
ุ บริเวณด้านล่าง น้าำ
ผสมน้ำาตาลจึงเปรียบเสมือนชั้นของเหลวที่มีดรรชนีหักเหของแสงแตกต่างกันหลาย ๆ ชั้น

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 243

เมือ
่ ฉายแสงเลเซอร์ไปทีด
่ า้ นบน แสงจะหักเหผ่านชัน
้ เหล่านี ้ จนกระทบพืน
้ กล่อง แล้วสะท้อนและ
หักเหผ่านชัน
้ ต่าง ๆ จนเคลือ
่ นทีอ
่ อกจากกล่อง ทำาให้มองเห็นแนวของลำาแสงมีลก
ั ษณะดังกล่าว

3. ในตอนเช้า ขณะดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้า และในตอนเย็น ขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า


ไปแล้ว เราสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้ เพราะเหตุใด
เราสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้แม้ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้าหรือดวง
อาทิตย์ลบ
ั ขอบฟ้าไปแล้ว เนือ
่ งจากแสงจากดวงอาทิตย์เมือ
่ เคลือ
่ นทีผ
่ า่ นบรรยากาศ อาจเกิดการ
หักเหจนทำาให้เห็นภาพของดวงอาทิตย์ปรากฏคนละตำาแหน่งกับดวงอาทิตย์จริง ดังรูป

ิ ์ ส เก ม เ
ส เกิ ก กเ

ิ ์

ลก

ก ส ม 3

4. จงอธิบายการเกิดการกระจายของแสงขาว เมื่อตกกระทบผิวด้านหนึ่งของปริซึมสามเหลี่ยม
เมื่อฉายแสงขาวไปตกกระทบปริซึมสามเหลี่ยม จะเกิดการหักเหที่ผิวโดยแสงขาว
ซึ่งประกอบด้วยแสงสีหลายสี แต่เนื่องจากดรรชนีหักเหของปริซึมสามเหลี่ยมสำาหรับแสงแต่ละ
สีไม่เท่ากัน ทำาให้มุมหักเหของแสงแต่ละสีไม่เท่ากัน เมื่อนำาฉากไปรับแสงที่หักเหออกจากปริซึม
จะพบแสงสีต่าง ๆ เรียงกัน ได้แก่ แสงสีม่วง สีน้ำาเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสดและสีแดงโดยแสง
สีม่วงมีการหักเหมากที่สุด แสงสีแดงมีการหักเหน้อยที่สุด เรียกว่า การกระจายของแสงขาว

5. กระจกเงาราบทำาให้เกิดภาพจริงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ไม่ได้ เพราะแสงที่สะท้อนจากกระจกเงาราบไม่สามารถไปตัดกันได้ ต้องต่อแนว
รังสีสะท้อนย้อนกลับไปตัดกัน ซึ่งจะได้ภาพเสมือนเท่านั้น

6. เมื่อส่องกระจกเงาราบจะมองเห็นภาพสลับซ้ายเป็นขวา แต่ทำาไมจึงไม่เห็นภาพกลับจากบน
เป็นล่าง และจากล่างเป็นบน
ภาพที่เกิดจากกระจกเงาราบจะเกิดด้านเดียวกับวัตถุเสมอ เมื่อเรามองภาพที่เกิด
ขึน
้ จะเห็นภาพมือซ้ายอยูท
่ างด้านซ้ายและภาพมือขวาอยูท
่ างด้านขวา แต่ความรูส้ ก
ึ จากการมอง
ทำาให้เหมือนภาพสลับซ้ายเป็นขวา

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
244 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

7. ฉายแสงขนานผ่านเลนส์นน
ู บางในน้าำ ทำาให้แสงรวมกันทีโ่ ฟกัส ความยาวโฟกัสของเลนส์นน
ู ทีไ่ ด้
เปลี่ยนแปลงไปจากการฉายแสงขนานผ่านเลนส์นูนบางในอากาศหรือไม่ อย่างไร
เปลีย่ นแปลงโดยทีค
่ วามยาวโฟกัสของเลนส์นน
ู ทีไ่ ด้จากการฉายแสงขนานในน้าำ จะ
มีค่ามากกว่าความยาวโฟกัสของเลนส์นูนที่ได้จากการฉายแสงขนานในอากาศ

8. รังสีของแสงเบนเข้าหากันที่จุด A ถ้านำาเลนส์ไปวางไว้ที่จุด B รังสีของแสงคู่นี้จะเบนไปพบกันที่


จุด C เลนส์ที่นำาไปวางเป็นเลนส์ชนิดใด จงอธิบาย

รังสีของแสง

B A C

ก ม 8
เลนส์ที่นำาไปวางเป็นเลนส์เว้า เพราะเลนส์เว้าทำาให้รังสีบานออก จึงเป็นผลทำาให้
รังสีเบนไปพบกันไกลกว่าจุดเดิม ดังรูป

รังสีของแสง

B A C

ก ส ม 8
9. ถ้าต้องการให้ลำาแสงสีเดียวส่องขนานเข้าไปในกล่องที่ภายในมีเลนส์บรรจุอยู่แล้วทำาให้รังสีทะลุ
ออกมามีลักษณะต่าง ๆ ดังรูป

กล่องที่ 1 กล่องที่ 2

กล่องที่ 3 กล่องที่ 4

ก ม 9

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 245

จงหาชนิดของเลนส์ที่อยู่ในกล่องแต่ละกล่อง โดยในแต่ละกล่องอาจมีเลนส์มากกว่า 1 อันก็ได้


ชนิดของเลนส์ที่ต้องใส่ในกล่อง ดังรูป

ก ส ม 9

10. นำาวัตถุไปวางที่ตำาแหน่งระว่าง F กับ 2F ของเลนส์นูนบาง ภาพที่เกิดโดยเลนส์นี้มีลักษณะ


อย่างไร กำาหนดให้ F เป็นโฟกัสของเลนส์
เลนส์นูนบาง

2F F F 2F

ก ม 10
วัตถุอยู่ระหว่าง F กับ 2F ของเลนส์นูนบาง จะพบว่า ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพจริง
หัวกลับ ขนาดขยายและอยู่ไกลกว่า 2F ดังรูป
เลนส์นูนบาง

วัตถุ

2F F F 2F

ภาพ
ก ส ม 10

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
246 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

11. เมื่อแสงผ่านละอองฝนและปริซึมจะเกิดสเปกตรัมของแสง การเกิดสเปกตรัมของแสงทั้งสอง


กรณีเป็นเพราะสมบัติใดของแสง
สเปกตรัมของแสงเมือ
่ แสงผ่านละอองฝนเกิดจากการหักเห สะท้อนกลับหมดและ
การกระจายแสง และสเปกตรัมของแสงเมื่อแสงผ่านปริซึมเกิดจากการหักเหและการกระจาย
แสง

12. ภาพของวัตถุที่วางหน้ากระจกเงาราบ เป็นภาพเสมือนเสมอ เพราะเหตุใด


เมื่อมีรังสีของแสงจากวัตถุตกกระทบกระจกเงาราบ เกิดรังสีสะท้อนซึ่งต้องต่อ
ออกไปด้านหลังจึงจะพบกันเกิดเป็นภาพ และตำาแหน่งนั้นจะเอาฉากมารับภาพไม่ได้

13. ภาพของวัตถุที่วางหน้ากระจกโค้งนูน เป็นภาพเสมือนเสมอ เพราะเหตุใด


เพราะเมื่อมีรังสีตกกระทบกระจกโค้งนูน เกิดรังสีสะท้อนซึ่งต้องต่อออกไป
ด้านหลังจึงจะพบกัน และตำาแหน่งนั้นเอาฉากมารับไม่ได้

14. ถ้าใช้กระจกโค้งเว้าเป็นกระจกมองข้างสำาหรับรถยนต์จะเกิดปัญหาอะไรบ้าง
การใช้กระจกโค้งเว้าเป็นกระจกมองข้างสำาหรับรถยนต์ จะเกิดปัญหาในกรณีที่
วัตถุอยูไ่ กลกว่าความยาวโฟกัสของกระจก เพราะภาพทีเ่ กิดขึน
้ จะเป็นภาพกลับหัว และต้องใช้
ฉากรับจึงจะมองเห็นภาพได้ ซึ่งถ้าแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการใช้กระจกโค้งเว้าที่มีความยาว
โฟกัสมาก ๆ แม้จะทำาให้ได้ภาพเสมือน แต่ภาพดังกล่าวจะมีขนาดใหญ่กว่าวัตถุทาำ ให้เห็นภาพ
ของวัตถุบางส่วนเท่านั้น

15. สุภาพสตรีผห
ู้ นึง่ ยืนหน้ากระจกโค้งเว้าทีม
่ ค
ี วามยาวโฟกัส 30 เซนติเมตร เธอจะต้องทำาอย่างไร
จึงจะเห็นภาพใบหน้าขยายขนาดขึ้นกว่าปกติ และภาพใบหน้าของเธอจะปรากฏอยู่ที่ไหน
สุภาพสตรีผู้นี้จะต้องยืนหน้ากระจกโดยมีระยะทางน้อยกว่า 30 เซนติเมตร เธอ
จึงจะเห็นภาพใบหน้าขยายขนาดขึน
้ กว่าปกติ โดยภาพใบหน้าของเธอจะปรากฏอยูห
่ ลังกระจก
โค้งเว้า ดังรูป

C ก ก C

ก ส ม 15

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 247

16. แหล่งกำาเนิดแสงเป็นจุดเล็ก ๆ วางห่างหน้ากระจกโค้งเว้า 15 เซนติเมตร แสงจากแหล่งกำาเนิดนี้


เมื่อกระทบกระจกจะสะท้อนออกจากกระจกและขนานกัน ความยาวโฟกัสของกระจกเป็น
เท่าไร
ความยาวโฟกัสของกระจกโค้งเว้าเท่ากับ 15 เซนติเมตร

17. กระจกในข้อใด ต่อไปนีท


้ ส
ี่ ามารถทำาให้เกิดภาพเสมือนทีม
่ ข
ี นาดใหญ่กว่าวัตถุ ให้เขียนทางเดิน
ของแสงประกอบคำาอธิบาย
ก. กระจกเงาราบ
ข. กระจกโค้งนูน
ค. กระจกโค้งเว้า
กระจกโค้งเว้าทำาให้เกิดภาพเสมือนที่มีขนาดใหญ่กว่าวัตถุได้ เมื่อระยะวัตถุน้อย
กว่าความยาวโฟกัส ดังรูป

C ก

ก ส ม 17

18. วางหลอดไฟที่โฟกัส F ของกระจกโค้งเว้า A แล้วนำากระจกโค้งเว้า B มารับแสงจากกระจกโค้ง


เว้า A ดังรูป B A

หลอดไฟ

ก ม 18

ภาพของหลอดไฟนีท
้ เี่ กิดจากกระจกโค้งเว้า B จะเกิด ณ ตำาแหน่งใดบ้าง และเป็นภาพจริงหรือ
ภาพเสมือน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
248 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

เมือ
่ แสงจากหลอดไฟตกกระทบกระจกโค้งเว้า A รังสีสะท้อนจะเป็นรังสีขนาน ถ้า
กระจกโค้งเว้า B มารับรังสีของแสงขนานดังกล่าวจะทำาให้แสงสะท้อนไปตัดกันจริงทีโ่ ฟกัสของ
กระจกเงาเว้า B เกิดภาพจริงของหลอดไฟ ดังรูป

B A

ภาพหลอดไฟ หลอดไฟ

ก ส ม 18

19. สารสีปฐมภูมิประกอบด้วยสารสีใดบ้าง เมื่อผสมสารสีปฐมภูมิทีละคู่จะได้สารสีใดบ้าง


สารสีปฐมภูมิประกอบด้วยสารสีเหลือง แดงม่วงและน้ำาเงินเขียว เมื่อผสมสารสี
ปฐมภูมิทีละคู่ คือ ผสมสารสีเหลืองและแดงม่วงจะได้สารสีแดง ผสมสารสีแดงม่วงและน้าำ เงิน
เขียวจะได้สารสีน้ำาเงิน ผสมสารสีน้ำาเงินเขียวและเหลืองจะได้สารสีเขียว (สารสีแดง สาร
สีน้ำาเงินและสารสีเขียว เรียกว่า สารสีทุติยภูม)ิ

20. ถ้าฉายแสงเหลืองไปที่วัตถุสีขาว จะมองเห็นวัตถุเป็นสีอะไร


วัตถุสีขาวสะท้อนแสงทุกสี ดังนั้นเมื่อฉายแสงสีเหลืองไปที่วัตถุสีขาว วัตถุจะ
สะท้อนแสงสีเหลืองออกมา ทำาให้มองเห็นวัตถุเป็นสีเหลือง

21. ถ้าให้แสงสีต่าง ๆ ตกกระทบวัตถุทึบแสง จะเห็นสีของวัตถุต่างกันหรือไม่ เพราะเหตุใด


ต่างกัน เนื่องจากการมองเห็นสีของวัตถุขึ้นอยู่กับสารสีและแสงสีที่ตกกระทบกับ
วัตถุ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 249

22. ถ้ามองแสงขาวผ่านแผ่นกรองแสงสีแดงและสีเขียวที่วางซ้อนกัน ดังรูป


แผ่นกรองแสง แผ่นกรองแสง
สีแดง สีเขียว

แสงสีแดง

แสงสีเขียว
แสงขาว
แสงสีน้ เงิน

ก ม 22
แสงสีใดจะผ่านแผ่นกรองแสงสีมาเข้าตา
แสงขาวตกกระทบแผ่นกรองแสงสีแดง แสงสีอน
ื่ จะถูกดูดกลืนไว้ ยกเว้นแสงสีแดง
เมือ
่ ตกกระทบแผ่นกรองแสงสีเขียว แสงสีแดงจะถูกดูดกลืนไว้ จึงไม่มแี สงสีใดจะผ่านแผ่นกรอง
แสงสีมาเข้าตา ดังรูป
แผ่นกรองแสง แผ่นกรองแสง
สีแดง สีเขียว

แสงสีแดง แสงสีแดง

แสงสีเขียว
แสงขาว
แสงสีน้ เงิน

ก ม 22

23. เมื่อฉายวัตถุด้วยแสงขาว เห็นวัตถุ A มีสีขาว และวัตถุ B มีสีเขียว โดยที่วัตถุทั้งสองเป็นวัตถุ


ทึบแสง ถ้าฉายวัตถุด้วยแสงสีแดง จะเห็นวัตถุ A และ B เป็นสีอะไร
เห็นวัตถุ A มีสีแดง และเห็นวัตถุ B มีสีดำา

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
250 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

24. รถ 4 คัน เมื่อมองในแสงขาว จะเห็นเป็นสีดำา สีเหลือง สีแดง และสีนา้ำ เงิน ถ้านำารถทั้ง 4 คันนี้
ไปจอดในบริเวณที่มีแสงไฟสีเหลือง จะเห็นรถเป็นสีอะไร ตามลำาดับ
เห็นรถเป็นสีดำา สีเหลือง สีแดง และสีดาำ ตามลำาดับ

25. ถ้านำาสารสีเหลืองมาผสมกับสารสีนา้ำ เงินเขียว และฉายแสงสีแดงลงไปจะเห็นเป็นสีอะไร


ถ้านำาสารสีเหลืองมาผสมกับสารสีน้ำาเงินเขียวจะได้สารสีเขียว เมื่อฉายแสงสีแดง
ลงไปจึงเห็นเป็นสีดำา

26. วัตถุชิ้นหนึ่งอยู่ในที่มืด เมื่อฉายแสงสีแดงไปยังวัตถุนั้นเห็นวัตถุมีสีแดง เมื่อฉายแสงสีเขียวไป


ยังวัตถุนั้นเห็นวัตถุมีสีเขียว เมื่อนำาวัตถุนั้นออกมาในห้องที่มีแสงขาว จะเห็นวัตถุนั้นมีสีอะไร
วัตถุนั้นมีสีขาวหรือสีเหลือง

27. เพราะเหตุใด ไฟสัญญาณเตือนอันตรายจึงนิยมใช้แสงสีแดง


เนื่องจากแสงสีแดงขณะผ่านหมอกและฝุ่นละอองใกล้พื้นดินจะเกิดการกระเจิง
ของแสงน้อยกว่าแสงสีอื่น ๆ จึงสังเกตไฟสัญญาณของแสงสีแดงได้ในระยะไกลกว่าแสงสีอื่น ๆ
และมองเห็นชัดเจนกว่าแสงสีอื่น ๆ

1. ถ้ายืนส่องกระจกเงาราบในแนวตั้งฉากกับกระจกเงาราบเป็นระยะ 1.0 เมตร จากนั้นถอยห่าง


จากกระจกเงาราบไปในแนวตัง้ ฉากกับกระจกเงาราบอีก 0.5 เมตร จะสังเกตเห็นภาพของตัวเอง
ในกระจกเงาราบห่างจากตัวเป็นระยะเท่าใด
ิ กระจกเงาราบทำาให้เกิดภาพที่มีระยะภาพเท่ากับระยะวัตถุ
เมื่อถอยห่างไปอีก 0.5 เมตร จะทำาให้ระยะวัตถุเป็น 1.5 เมตร
นั่นคือ ระยะภาพ = 1.5 m
จะได้ ระยะวัตถุ + ระยะภาพ = 1.5 m + 1.5 m
= 3.0 m
จะเห็นภาพตัวเองในกระจกห่างจากตัวเป็นระยะ 3.0 เมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 251

2. กระจกเงาราบ M1 และ M2 วางทำามุมฉากกัน มีรังสีตกกระทบที่กระจก M1 ทำามุมตกกระทบ


เป็น 35 องศา ดังรูป
M1

35°

M2
ก 2
รังสีสะท้อนจากกระจกเงาราบ M2 ทำามุมสะท้อนเท่าใด
ิ เมื่อแสงตกกระทบกระจกเงาราบ แสงจะเกิดการสะท้อนโดยมีมุมตกกระทบเท่ากับมุม
สะท้อน
เขียนแผนภาพรังสีแสงการสะท้อนของแสงที่กระจกเงาราบ M1 และ M2 ได้ดังนี้
M1

35°
A 35°
55°

55° 55°
35°
B M2
C
ก ิ ส 2
พิจารณา รังสีตกกระทบที่จุด A บน M1 จะได้
มุมตกกระทบ = 35
°

ดังนั้น มุมสะท้อน
= 35°
!
พิจารณา ∆ABC โดยที่ B A C = 90" # 35" $ 55"
!
จะได้ A C B $ 180" # 90" # 55" $ 35"

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
252 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

พิจารณา รังสีตกกระทบที่จุด C บน M2 ซึ่งทำามุมกับผิวของ M2 = 35° จะได้


มุมตกกระทบ = 90! " 35! # 55!
ดังนั้น มุมสะท้อน = 55!
รังสีสะท้อนจากกระจกเงาราบทำามุมสะท้อน 55 องศา

3. กระจกเงาราบสองบานหันหน้าเข้าหากันทำามุม 70 องศา ถ้ารังสีของแสงตกกระทบกระจกบาน


แรกเป็นมุม 30 องศากับกระจก รังสีของแสงที่สะท้อนออกจากกระจกบานที่สองทำามุมกี่องศา
กับกระจกบานที่สอง
ิ เมื่อแสงตกกระทบกระจกเงาราบ แสงจะเกิดการสะท้อนโดยมีมุมตกกระทบเท่ากับ
มุมสะท้อน เขียนแผนภาพรังสีแสงการสะท้อนของแสงที่กระจกเงาราบ M1 และ M2
ได้ดังนี้
M1

A 30°
30°
60°

40° 40°
70° 50°
B M2
C
ก ิ ส 3
พิจารณา รังสีตกกระทบที่จุด A บน M1 จะได้
มุมตกกระทบ = 30
°

มุมสะท้อน
= 30°
!
พิจารณา ∆ABC โดยที ่ B A C = 90" # 30" $ 60"
!
จะได้ A C B = 180" # 70" # 60" $ 50"
พิจารณา รังสีตกกระทบที่จุด C บน M2 ซึ่งทำามุมกับผิวของ M2 = 50° จะได้
มุมตกกระทบ ! 90# " 50# ! 40#
มุมสะท้อน ! 40#

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 253

ดังนั้น มุมที่รังสีของแสงที่สะท้อนออกจากกระจกบานที่สอง ! 90# " 40# ! 50#


รังสีของแสงที่สะท้อนออกจากกระจกบานที่สองทำามุม 50 องศากับกระจกบานที่สอง

4. ชายคนหนึ่งสูง 1.80 เมตร ต้องการกระจกเงาราบเพื่อจะใช้ส่องมองเห็นได้ตลอดตัว จงหา


ก. ความสูงน้อยที่สุดของกระจกเงาราบ
ข. ระยะที่ชายคนนี้ต้องยืนห่างจากกระจกเงาราบ
ค. หากชายคนนี้ ยื น ห่ า งจากกระจกเงาราบมากกว่ า ระยะในข้ อ ข. ภาพที่ ป รากฏบน
กระจกเงาราบจะมีขนาดเป็นอย่างไร
ิ ในการหาความสูงของกระจกเงาที่จะใช้ส่องมองเห็นได้ตลอดตัว ควรจะลากทางเดินของ
แสงจากเท้าและจากศีรษะไปกระทบกระจกแล้วสะท้อนเข้าตา ระยะห่างของจุดทั้งสอง
ที่รังสีของแสงตกกระทบกระจก คือ ความสูงของกระจกที่ต้องการ ดังรูป
C
A
D
E

F
B

ก ิ ส 4
จากรูป เส้นตรง AD เป็นเส้นแนวฉาก จะได้ !CAD " !EAD ทุกประการ
ดังนั้น CD = DE และเส้นตรง BF เป็นเส้นแนวฉาก จะได้ !EBF " !GBF
ทุกประการ ดังนั้น EF = FG
เพราะฉะนั้น DE + EF = CD + FG
แต่ DE + EF + CD + FG = 1.80 m
ดังนั้น DE + EF = 0.90 m
จะได้ AB = 0.90 m ด้วย เพราะ AB = DE + EF
ก. ความสูงน้อยที่สุดของกระจกเงาราบเท่ากับ 0.90 เมตร
ข. ไม่ว่าชายคนนี้จะยืนห่างจากกระจกเงาราบเท่าใดก็ยังคงมองเห็นภาพตลอดตัว
ค. ภาพที่ ม องเห็ น จากกระจกเงาราบจะมี ข นาดเล็ ก ลงเมื่ อ ชายคนนี้ ยื น ห่ า งจาก
กระจกเงาราบมากขึ้น

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
254 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

5. แสงเดินทางจากอากาศเข้าสู่วัตถุโปร่งแสง ดังรูป

45 °
วัตถุ ก
อากาศ 30 °

แสง

ก 5
จงหาดรรชนีหักเหของวัตถุนี้
ิ มุมตกกระทบในอากาศเท่ากับ 90 ! 30 " 60
มุมหักเหในวัตถุ ก เท่ากับ 45°
ให้ n เป็นดรรชนีหักเหของวัตถุ ก
sin #1
จะได้ n !
sin # 2
sin 60"
แทนค่า !
sin 45"
3/2
!
1/ 2
! 1.22
ดรรชนีหักเหของวัตถุ ก เท่ากับ 1.22

6. รังสีของแสงในอากาศตกกระทบผิวน้ำาทำามุมตกกระทบ 43 องศา จงหามุมสะท้อนและมุมหักเห


ิ หามุมสะท้อน
จากกฎการสะท้อนของแสง ในกรณีที่รังสีของแสงในอากาศตกกระทบผิวน้ำาทำามุมตก
กระทบ 43 องศา จะได้ มุมสะท้อนเท่ากับ 43 องศา

หามุมหักเห
sin "1
จากสมการ n !
sin " 2

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 255

ในที่นี้ ดรรชนีหักเหของน้าำ n = 1.333 และมุมตกกระทบ θ1 = 43°


sin 43°
แทนค่า 1.333 =
sin θ 2
0.6820
sin θ 2 = = 0.5116
1.333
จะได้ θ 2 = 30.77°
มุมสะท้อนและมุมหักเหเท่ากับ 43 องศา และ 31 องศา ตามลำาดับ

7. นำาแท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมกว้าง 3 เซนติเมตร ขวางทางเดินของแสง ทำาให้แสงมีการหักเห ดังรูป

60 °
แสง
x

m
3c

ก 7
จงหาระยะ x ถ้าพลาสติกมีดรรชนีหักเหเท่ากับ 1.50
ิ พิจารณาแผนภาพรังสีของแสง ดังรูป

60 A B
แสง
θ2 x
C

m D
3c

ก ิ ส 7
sin θ1
จากสมการ n =
sin θ 2
พิจารณาการหักเหที่ A

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
256 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

sin 60#
แทนค่า 1.50 !
sin $ 2
3/2
sin $ 2 ! ! 0.577
1.50
จะได้ $ 2 " 35#
พิจารณา ∆ABC จะได้
" AD "
x ! BC ! AC sin B A C ! sin B A C
cos # 2
!
แทนค่า AD ! 3 cm , # 2 ! 35 และ B A C # 60" $ 35" # 25" จะได้
"

33 cm
cm sin 25""
xx !
! sin 25
cos 35
cos 35""
33 cm
cm (0.423)
!
! (0.423)
00..819
819
!11..54
! m
54 m
ระยะ x เท่ากับ 1.54 เซนติเมตร

8. จงหามุมวิกฤตของน้าำ เมือ
่ แสงเคลือ
่ นทีจ่ ากน้าำ ไปยังอากาศ ถ้ากำาหนดให้ดรรชนีหก
ั เหของน้าำ และ
อากาศเท่ากับ 1.33 และ 1.00 ตามลำาดับ
ิ จากกฎของสเนลล์ n1 sin !1 " n2 sin ! 2
ในที่นี้ n1 คือ ดรรชนีหักเหของน้าำ เท่ากับ 1.33
n2 คือ ดรรชนีหักเหของอากาศ เท่ากับ 1.00
θ1 คือ มุมตกกระทบในน้ำาซึ่งเป็นมุมวิกฤต เท่ากับ θ c
θ 2 คือ มุมหักเหในอากาศ เท่ากับ 90°
แทนค่า 1.33 sin ! c " 1.00 sin 90#
sin ! c " 0.751
! c " 48.677
จะได้
#

มุมวิกฤตในน้าำ ไปสู่อากาศเท่ากับ 48.68 องศา

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 257

9. จงหามุมวิกฤตของเพชรเมือ
่ แสงเคลือ
่ นทีจ่ ากเพชรไปยังน้าำ ถ้ากำาหนดให้ดรรชนีหก
ั เหของเพชร
และน้ำาเท่ากับ 2.42 และ 1.33 ตามลำาดับ
ิ จากกฎของสเนลล์ n1 sin !1 " n2 sin ! 2
ในที่นี้ n1 คือ ดรรชนีหักเหของเพชร เท่ากับ 2.42
n2 คือ ดรรชนีหักเหของน้าำ เท่ากับ 1.33
θ1 คือ มุมตกกระทบในน้ำาซึ่งเป็นมุมวิกฤต เท่ากับ θ c
θ 2 คือ มุมหักเหในอากาศ เท่ากับ 90°
แทนค่า 2.42 sin ! c " 1.33 sin 90#
sin ! c " 0.5496
! c " 33.34
จะได้
#

มุมวิกฤตของเพชรเท่ากับ 33.34 องศา

10. ถังน้าำ สูง 1.00 เมตร เมือ


่ บรรจุนา้ำ เต็มถัง แล้วมองลงไปตรง ๆ จะเห็นก้นถังมีความลึกจากผิวน้าำ
เท่าใด ถ้ากำาหนดให้ดรรชนีหักเหของน้ำาเท่ากับ 1.33
s! n
ิ จาก " 2
s n1
ในที่นี้ n1 คือ ดรรชนีหักเหของน้าำ เท่ากับ 1.33
n2 คือ ดรรชนีหักเหของอากาศ เท่ากับ 1.00
s คือ ความลึกจริง เท่ากับ 1.00 เมตร
s′ คือ ความลึกปรากฏ
s! 1.00
แทนค่า "
1.00 m 1.33
s! " 0.7519 m
จะเห็นก้นถังมีความลึกจากผิวน้าำ เท่ากับ 0.75 เมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
258 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

11. จงเขียนแผนภาพแสดงการเกิดภาพ และระบุชนิดภาพที่เกิดขึ้นว่าเป็นภาพจริงหรือภาพเสมือน


ในกรณีวัตถุอยู่หน้าเลนส์นูนและเลนส์เว้า โดยวัตถุวางตั้งฉากกับแกนมุขสำาคัญของเลนส์ และ
วัตถุอยู่ห่างจากเลนส์ทั้งสองเป็นระยะต่าง ๆ กัน ดังนี้
ก. s > 2f ข. s = 2f ค. f < s < 2f ง. s = f จ. s < f
แผนภาพแสดงการเกิดภาพ ในกรณีวัตถุอยู่หน้าเลนส์นูน มีดังนี้
ก. s > 2f


f f
2f 2f

เมื่อ s > 2f ภาพที่เกิดเป็นภาพจริง หัวกลับ ขนาดเล็กกว่าวัตถุ เพราะรังสีที่หักเหผ่าน


เลนส์นูนไปตัดกันจริงหลังเลนส์นูน

ข. s = 2f

f f
2f 2f

เมื่ อ s = 2f ภาพที่ เ กิ ด เป็ น ภาพจริ ง หั ว กลั บ ขนาดเท่ า วั ต ถุ เพราะรั ง สี ที่ หั ก เห


ผ่านเลนส์นูนไปตัดกันจริงหลังเลนส์นูน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 259

ค. f < s < 2f

2f
f


f
2f

เมื่อ f < s < 2f ภาพที่เกิดเป็นภาพจริง หัวกลับ ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ เพราะรังสีที่หักเห


ผ่านเลนส์นูนไปตัดกันจริงหลังเลนส์นูน

ง. s = f

f f
2f 2f

เมื่อ s = f ภาพที่เกิดเป็นภาพจริง ที่ระยะไกลมาก เพราะรังสีที่หักเหผ่านเลนส์นูน


จะไปตัดกันจริงที่ระยะไกลมากหลังเลนส์นูน

จ. s < f

า ว
f f
2f 2f

เมื่อ s < f ภาพที่เกิดเป็นภาพเสมือน หัวตั้ง ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
260 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

แผนภาพแสดงการเกิดภาพ ในกรณีวัตถุอยู่หน้าเลนส์เว้า มีดังนี้

ว า า

f f f f
2f 2f 2f 2f

ก. s > 2f ข. s = 2f

ว ว

า า

f f f f
2f 2f 2f 2f

ค. f < s < 2f ง. s = f

f f
2f 2f

จ. s < f

ภาพจากเลนส์เว้าทุกกรณีเป็นภาพเสมือนหัวตั้ง ขนาดเล็กกว่าวัตถุ เพราะรังสีที่หักเห


ผ่านเลนส์ไม่ไปตัดกันจริงหลังเลนส์เว้า แต่เสมือนตัดกันหน้าเลนส์เว้า

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 261

12. ต้องการใช้แว่นขยายความยาวโฟกัส 12 เซนติเมตร ทำาให้ตัวหนังสือมีขนาดขยาย 4 เท่า ต้อง


ให้แว่นขยายห่างจากตัวหนังสือเป็นระยะเท่าใด
ิ แว่นขยายทำาจากเลนส์นูน ต้องการให้เกิดกำาลังขยาย M = 4 และเห็นภาพเสมือน
s#
จาก M ! "
s
s#
แทนค่า จะได้ 4!"
s
ดังนั้น s# ! "4 s

หา s จากสมการของเลนส์บาง
1 1 1
! "
f s s#
1 1 1
! "
12 cm s ($4 s )
1 4 $1
!
12 cm 4s
s ! 9 cm
ต้องให้แว่นขยายห่างจากตัวหนังสือเป็นระยะ 9 เซนติเมตร

13. วัตถุสูง 2.0 เซนติเมตร อยู่ห่างจากเลนส์นูน 20.0 เซนติเมตร เกิดภาพจริงห่างจากเลนส์


10.0 เซนติเมตร จงหาความยาวโฟกัสของเลนส์นูนและขนาดภาพ ด้วยวิธีดังนี้
ก. การเขียนแผนภาพรังสีของแสง
ข. การคำานวณ

ก. การเขียนภาพรังสีของแสง

A
2 cm B′
B
6.7 cm A′
20 cm 10 cm

ดังนั้น ความยาวโฟกัสของเลนส์นูนเท่ากับ 6.7 เซนติเมตร และขนาดของภาพเท่ากับ


1.0 เซนติเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
262 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ข. การคำานวณ
1 1 1
จากสมการเลนส์บาง = +
f s s′
ในที่นี้ s = +20.0 cm และ s′ = +10.0 cm
1 1 1
แทนค่า = +
f +20.0 cm +10.0 cm
1 1+ 2
=
f +20.0 cm
จะได้ f = 6.67 cm
หาขนาดของภาพจากกำาลังขยาย
y′ s′
M= =−
y s
ในที่นี้ s = +20.0 cm s′ = +10.0 cm และ y = +2.0 cm
y′ +10.0 cm
แทนค่า =−
+2.0 cm +20.0 cm
จะได้ เครื
y′ = −1.0 cm ่องหมายลบแสดงว่าเป็นภาพจริงหัวกลับ
ความยาวโฟกั ส ของเลนส์ นู น เท่ า กั บ 6.7 เซนติ เ มตร และขนาดของภาพเท่ า กั บ
1.0 เซนติเมตร

14. วั ต ถุ สู ง 3.0 เซนติ เ มตร อยู่ ห่ า งจากเลนส์ เ ว้ า 15.0 เซนติ เ มตร เกิ ด ภาพห่ า งจากเลนส์
5.0 เซนติเมตร จงหาความยาวโฟกัสของเลนส์เว้าและขนาดภาพ ด้วยวิธีดังนี้
ก. การเขียนแผนภาพรังสีของแสง
ข. การคำานวณ

ก. การเขียนภาพรังสีของแสง
A

3.0 cm A′

B B′
5.0 cm
7.5 cm
15.0 cm

ดั ง นั้ น ความยาวโฟกั ส ของเลนส์ เ ว้ า เท่ า กั บ 7.5 เซนติ เ มตร ขนาดภาพเท่ า กั บ


1.0 เซนติเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 263

ข. การคำานวณ
1 1 1
จากสมการเลนส์บาง ! "
f s s#
ในที่นี้ s = +15.0 cm และ s′ = -5.0 cm
1 1 1
แทนค่า ! "
f "15.0 cm #5.0 cm
1 1# 3
!
f "15.0 cm
จะได้ เครื
f ! #7.5 cm ่องหมายลบแสดงว่าโฟกัสอยู่หน้าเลนส์เว้า
หาขนาดของภาพจากกำาลังขยาย
y" s"
M ! !#
y s
ในที่นี้ s = +15.0 cm และ s = -5.0 cm และ y = +3.0 cm

y! $5.0 cm
แทนค่า #$
"3.0 cm "15.0 cm
จะได้ เครื
y! # "1.0 cm ่องหมายบวกแสดงว่าเป็นภาพเสมือนหัวตั้ง

ความยาวโฟกั ส ของเลนส์ นู น เท่ า กั บ 7.5 เซนติ เ มตร และขนาดของภาพเท่ า กั บ


1.0 เซนติเมตร
3
15. วางวัตถุหน้าเลนส์ 10 เซนติเมตร ได้ภาพขนาด เท่าของวัตถุ และอยูด
่ า้ นเดียวกับวัตถุ เลนส์
4
ที่ใช้เป็นเลนส์ชนิดใด และมีความยาวโฟกัสเท่าใด
ิ หาระยะภาพจากกำาลังขยาย
s#
M !"
s
3
ในที่นี้ s = +10.0 cm และ M =
4
3 s#
แทนค่า !"
4 $10.0 cm
จะได้ s# ! "7.5 cm

หาความยาวโฟกัสจากสมการเลนส์บาง
1 1 1
! "
f s s#

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
264 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ในที่น ี้ s = +10.0 cm และ s′ = -7.5 cm

แทนค่า 1 = 1
+
1
f +10.0 cm −7.5 cm
1 7.5 − 10.0
=
f +75.0 cm
จะได้ เครื
f = −30.0 cm ่องหมายลบแสดงว่าเป็นเลนส์เว้า

เลนส์ที่ใช้เป็นเลนส์เว้า และมีความยาวโฟกัสเท่ากับ 30.0 เซนติเมตร

16. วัตถุสงู 5 เซนติเมตร วางอยูห


่ า่ งจากกระจกโค้งเว้า 10 เซนติเมตร ถ้ากระจกโค้งเว้ามีความยาว
โฟกัส 25 เซนติเมตร จงหาระยะภาพ ชนิดของภาพ และขนาดของภาพ ด้วยวิธีดังนี้
ก. การเขียนแผนภาพรังสีของแสง
ข. การคำานวณ

ิ ก. การเขียนภาพรังสีของแสง



8.3 cm

16.7 cm
10 cm
25 cm
50 cm

ดังนัน
้ ระยะภาพประมาณเท่ากับ 17 เซนติเมตร เป็นภาพเสมือนหัวตัง้ มีความสูงเท่ากับ
8 เซนติเมตร

ข. การคำานวณ
1 1 1
จากสมการ = +
f s s′
ในที่นี้ s = +10 cm และ f = +25 cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 265

1 1 1
แทนค่า ! "
25 cm 10 cm s#
1 1 1
! $
s# 25 cm 10 cm
1 2$5
!
s# 50 cm
จะได้ เครื
s# ! $16.67 cm ่องหมายลบแสดงว่าเป็นภาพเสมือน
หาขนาดของภาพจากกำาลังขยาย
y" s"
M ! !#
y s
ในที่นี้ s ! "10 cm s# ! $50 / 3 cm และ y = +5 cm
y! $50 / 3 cm
แทนค่า #$
"5 cm "10 cm
จะได้ เครื
y! # $8.33 cm ่องหมายลบแสดงว่าเป็นภาพเสมือนหัวตั้ง

ระยะภาพเท่ากับ 17 เซนติเมตร เป็นภาพเสมือนหัวตั้ง มีความสูงเท่ากับ 8 เซนติเมตร

17. กระจกโค้งเว้า P ความยาวโฟกัส 25 เซนติเมตร และกระจกโค้งเว้า Q ความยาวโฟกัส 34


เซนติเมตร วางหันหน้าเข้าหากันและห่างกัน 150 เซนติเมตร โดยมีเส้นแกนมุขสำาคัญร่วมกัน
ถ้านำาวัตถุขนาดเล็ก ไปวางที่จุด A ซึ่งเป็นตำาแหน่งโฟกัสของกระจกโค้งเว้า P ดังรูป
Q
P

A B

25 cm
150 cm

ก 17
พิจารณาแสงจากวัตถุที่จุด A ไปตกกระทบกระจกโค้งเว้า P แล้วสะท้อนกลับไปที่กระจกโค้ง
เว้า Q จากนั้นสะท้อนกลับมาพบกันที่จุด B จะพบว่าจุด B อยู่ห่างจากกระจกโค้งเว้า P เป็น
ระยะเท่าใด

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
266 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ิ เขียนภาพทางเดินแสงระหว่างกระจกเงาเว้าทั้งสองได้ดังนี้
Q
P

A B

25 cm 34 cm
150 cm
116 cm
ก ิ ส 17

กระจกโค้งเว้า P มีความยาวโฟกัส 25 cm และกระจกเงาเว้า Q มีความยาวโฟกัส


34 cm
วัตถุวางอยู่ที่จุด A ซึ่งเป็นโฟกัสของกระจกโค้งเว้า P แสงจากวัตถุท่ีจุด A ไปตก
กระทบกระจกโค้งเว้า P จึงเป็นแสงขนาน เมือ
่ ไปกระทบกระจกโค้งเว้า Q สะท้อนกลับ
มาพบกันที่จุด B ดังนั้น จุด B โฟกัสของกระจกเงาเว้า Q จะได้
ระยะระหว่างจุด B กับกระจกเงาเว้า P เท่ากับ 150 cm – 34 cm = 116 cm

จุด B อยู่ห่างกระจกโค้งเว้า P เท่ากับ 116 เซนติเมตร

18. ถ้าวัตถุอยู่ห่างจากกระจกโค้งเว้า 36.4 เซนติเมตร จะเกิดภาพจริงที่มีความสูงเท่ากับวัตถุ

กระจกโค้งเว้านี้มีรัศมีความโค้งเท่าใด

ิ 1 ถ้าวัตถุวางหน้ากระจกโค้งเว้าที่ศูนย์กลางความโค้งของกระจก จะเกิดภาพจริง

ขนาดเท่าเดิมและอยู่ที่ตำาแหน่งเดิม นั่นคือ รัศมีความโค้งของกระจกโค้งเว้าเท่ากับ

36.4 เซนติเมตร

ิ 2 เนื่องจากภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพจริงมีความสูงเท่ากับวัตถุ ดังนั้น กำาลังขยาย M

เท่ากับ 1
y" s"
จากสมการ M ! ! # จะได้ s! " s " #36.4 cm
y s

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 267

1 1 1
จากสมการ = +
f s s′
1 1 1
แทนค่า = +
f +36.4 cm +36.4 cm
จะได้ f = +18.2 cm
เนื่องจากรัศมีความโค้ง R=2f
ดังนั้น R = 2(+18.2 cm) = +36.4 cm

รัศมีความโค้งของกระจกเงาเว้าเท่ากับ 36.4 เซนติเมตร

19. กระจกโค้งนูนมีความยาวโฟกัส 24 เซนติเมตร จงหากำาลังขยายเมื่อ


ก. ระยะวัตถุเท่ากับ 8 เซนติเมตร
ข. ระยะวัตถุเท่ากับ 16 เซนติเมตร

1 1 1
ก. จากสมการ
= +
f s s′
เมื่อ s = +8 cm และ f = -24 cm แทนค่า
1 1 1
= +
−24 cm +8 cm s′
จะได้ s′ = −6 cm
s′
หากำาลังขยายจาก M = −
s
−6 cm
แทนค่า M =− = +0.75
8 cm
1 1 1
ข. จากสมการ = +
f s s′
เมื่อ s = +16 cm และ f = -24 cm แทนค่า
1 1 1
= +
−24 cm +16 cm s′
จะได้ s′ = −9.6 cm
หากำาลังขยายจาก s′
M =−
s
แทนค่า −9.6 cm
M =− = +0.60
16 cm
ก. หากำาลังขยายจากเท่ากับ 0.75 และ ข. หากำาลังขยายจากเท่ากับ 0.60

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
268 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

20. ถ้าจะทำาให้เกิดภาพหลังกระจกโค้งนูนและอยูห
่ า่ งจากกระจกโค้งนูน 20 เซนติเมตร โดยทีก่ ระจก
โค้งนูนมีรัศมีความโค้ง 60 เซนติเมตร จงหาตำาแหน่งที่ต้องวางวัตถุ ด้วยวิธีดังนี้
ก. การเขียนแผนภาพรังสีของแสง
ข. การคำานวณ

ก. การเขียนภาพรังสีของแสง

20 cm
30 cm 30 cm
60 cm

ต้องวางวัตถุหน้ากระจกโค้งนูนเป็นระยะเท่ากับ 60 เซนติเมตร
ข. การคำานวณ
1 1 1
จากสมการ
! "
f s s#
ในที่นี้ s! " #20 cm (ภาพเสมือน) และ f = -30 cm (กระจกโค้งนูน)

แทนค่า 1 1 1
" #
!30 cm s !20 cm
1 1 1
" #
s 20 cm !30 cm
1 3! 2
"
s 60 cm
จะได้ s " #60 cm

ต้องวางวัตถุหน้ากระจกโค้งนูนเป็นระยะเท่ากับ 60 เซนติเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 269

21. วางวัตถุห่างจากกระจกโค้งนูนเป็นระยะครึ่งหนึ่งของความยาวโฟกัส ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพ


ชนิดใด และมีกาำ ลังขยายเท่าใด
1 1 1
ิ จากสมการ ! "
f s s#
ในที่นี้ s = f / 2 และ f เป็นลบเนื่องจากกระจกโค้งนูน
1 2 1
แทนค่า " #
!f f s$
1 %2 1(
" !' # *
s$ & f f )
f
จะได้ s$ " ! cm
3
แสดงว่า ภาพที่เกิดเป็นภาพเสมือน เพราะ s′ มีเครื่องหมาย –
s#
หากำาลังขยายจาก M !"
s
"f /3 2
แทนค่า M !" !
f /2 3
2
ภาพที่เกิดเป็นภาพเสมือน มีกาำ ลังขยายเท่ากับ
3
22. กระจกมองด้านข้างของรถยนต์เป็นกระจกโค้งนูนทีม ่ ค
ี วามยาวโฟกัส 6 เมตร ถ้ารถมอเตอร์ไซต์
คันที่วิ่งตามหลังอยู่ห่างออกไป 10 เมตร จะเกิดภาพที่กระจกเป็นระยะทางเท่าใด และมี
กำาลังขยายเท่าใด
1 1 1
ิ จากสมการ ! "
f s s#
ในที่นี้ s = +10 mและ f = -6 m (กระจกโค้งนูน)
1 1 1
แทนค่า " #
!6 m #10 m s$
1 1 1
" #
s$ !6 m !10 m
1 5#3
"!
s$ 30 m
จะได้ s$ " !3.75 m
s$
หากำาลังขยายจาก M "!
s
!3.75 m
M "! " #0.375
10สm ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
= +
s′ −6 m −10 m
1 5+3
=−
s′ 30 m
270 11 | ส เ ิ ส s′ = −3.75 m ฟิสิกส์ เล่ม 3

s′
M =−
s
−3.75 m
แทนค่า M =− = +0.375
10 m
ระยะภาพของรถมอเตอร์ไซด์เท่ากับ 3.75 เมตร และกำาลังขยายเท่ากับ +0.375

23. กระจกเงาราบสองบานหันหน้าเข้าหากันทำามุม 60 องศา รังสีของแสงตกกระทบต้องทำามุม


เท่าไรกับกระจกบานแรก จึงจะทำาให้รังสีของแสงที่สะท้อนจากกระจกบานที่สองขนานกับ
กระจกบานแรก

ิ เมื่ อ แสงตกกระทบกระจกเงาราบ M1
แ ส ง จ ะ เ กิ ด ก า ร ส ะ ท้ อ น โ ด ย มี
มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน A
30°
เขียนแผนภาพรังสีแสงการสะท้อน 60° 30 °

ของแสงทีก่ ระจกเงาราบ M1 และ M2


30° 30°
ได้ดังนี้
60° 60° 60°
B M2
C
ก ิ ส 23

พิจารณารังสีสะท้อนทีจ่ ด
ุ C บน M2 ซึง่ ขนานกับกระจก M1 แสดงว่า มุมทีร่ งั สีของแสง
ที่สะท้อนออกจากกระจกบานที่สอง = 60°
มุมสะท้อน = 90° − 60° = 30°
ดังนั้น มุมตกกระทบ = 30°

พิจารณา ∆ ABC โดยที่ A C B = 90° − 30° = 60°

จะได้ B A C = 180° − 60° − 60° = 60°

พิจารณา รังสีตกกระทบที่จุด C บน M2 ซึ่งทำามุมกับผิวของ M2 = 60° จะได้


มุมสะท้อน = 90° − 60° = 30°
ดังนั้น มุมตกกระทบ = 30°

รังสีของแสงตกกระทบต้องทำามุม 30 องศากับกระจกบานแรก

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 271

24. ดินสอแท่งหนึ่งวางไว้ระหว่างกระจกเงาราบ 2 บาน ที่ทำามุมกันเท่ากับ 45 องศา ดังรูป

MA

45°
MB

ก 24

จงเขียนแผนภาพรังสีของแสงเพื่อแสดงภาพที่เกิดจากกระจกเงาราบทั้งสอง โดยพิจารณาแสง
จากดินสอที่กระทบกระจกเงาราบ A แล้วสะท้อนไปยังกระจกเงาราบ B
เขียนแผนภาพรังสีของแสงได้ดังนี้

า ก าก
ก ก าา A MA

45°
MB

า ก าก
ก ก าา B

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
272 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

25. กระจกเงาราบ 2 บานมีความสูง 1 เมตรเท่ากัน แขวนห้อยหันหน้าเข้ากันให้ขนานกันและ


ห่างกัน 1 เมตร ถ้าฉายสำาแสงเลเซอร์ทำามุม 6 องศากับแนวด้านล่างของขอบกระจก ดังรูป

1m

1m

ก 25

แสงกระทบกระจกแต่ละบานได้กี่ครั้ง (กำาหนดให้ tan 6! " 0.10 )


ิ เขียนแผนภาพการสะท้อนของแสงได้ดังนี้
1m

L= 1 m
d
d
d 6°
d
a

เนื่องจากมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ทำาให้ระยะ d มีค่าเท่ากันตลอดทั้งกระจก
หา d จาก d ! a tan #
แทนค่า d ! (1 m) tan 6"
! 0.10 m
จาก L ! ( n )d
แทนค่า 1 m ! (n)(0.10 m)
n ! 10
แสงตกกระทบกระจกทัง้ สองจำานวน 10 ครัง้ แสดงว่า แสงกระทบกระจกบานละ 5 ครัง้
แสงกระทบกระจกบานละ 5 ครั้ง

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 273

26. รังสีของแสงทีเ่ คลือ


่ นทีจ่ ากอากาศเข้าสูน
่ า้ำ แข็งและน้าำ โดยทำามุมตกกระทบเท่ากับ 50 องศา ผล
ต่างของมุมหักเหของแสงที่เกิดขึ้นในน้ำาแข็งและน้ำาเป็นเท่าใด ถ้าดรรชนีหักเหของน้าำ แข็งและ
น้ำาเท่ากับ 1.309 และ 1.333 ตามลำาดับ

ิ กรณีแสงเดินทางจากอากาศเข้าสู่น้ำาแข็ง

sin !1 n2
จากสมการ "
sin ! 2 n1
ในทีน
่ ้ี n1 = 1, n2 = nice = 1.309 และ !1 " 50#

แทนค่า sin 50! 1.309


"
sin # 2 1
sin 50! 0.7660
sin # 2 " " " 0.5852
1.309 1.309
จะได้ # 2 " 35.82!

กรณีแสงเดินทางจากอากาศเข้าสู่น้ำา

sin !1 n2
จากสมการ "
sin ! 2 n1
ในทีน
่ ้ี n1 = 1, n2 = nwater = 1.333 และ !1 " 50#
sin 50! 1.333
แทนค่า "
sin # 2 1
sin 50! 0.7660
sin # 2 " " " 0.5746
1.333 1.333
จะได้ # 2 " 35.07!
ดังนั้น ผลต่างของมุมหักเห ! 35.82# " 35.07# ! 0.75#

ผลต่างของมุมหักเหในน้าำ แข็งและในน้ำาเท่ากับ 0.75 องศา

27. เทคาร์บอนไดซัลไฟต์ซึ่งเป็นของเหลวใสที่มีดรรชนีหักเห 1.63 ลงไปในอ่างแก้วใบใหญ่ที่สูง


10 เซนติเมตร จนเต็มอ่าง โดยที่ก้นอ่างมีหลอดไฟขนาดเล็กดวงหนึ่งเปิดสว่างอยู่ จงหาพื้นที่
ผิวที่มากที่สุดของคาร์บอนไดซัลไฟต์ที่แสงลอดผ่านขึ้นมาได้

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
274 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ิ เขียนแผนภาพการหักเหได้ดังนี้

อากาศ
C B D
θC

θC
A


ก ิ ส 27

ให้ C และ D เป็นจุดที่แสงสว่างจากหลอดไฟ A ตกกระทบรอยต่อแล้วหักเหทำามุม


90 องศาพอดี ดังนั้นพื้นที่ผิวของคาร์บอนไดซัลไฟด์ใหญ่ที่สุดที่แสงลอดผ่านขึ้นมาได้
จะเป็นรูปวงกลมที่มี CD เป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง
พิจารณาที่จุด C
จากกฎของสเนลล์ n1 sin !1 " n2 sin ! 2
ในที่นี้ n1 = 1.63, n2 = 1, θ1 = θ c และ !1 " 90#
แทนค่า 1.63 sin ! C " 1sin 90#
1
sin ! C " " 0.6135
1.63
! C " 37.84#
หารัศมีของวงกลม BC โดยพิจารณา ∆ABC
จาก BC ! AB tan # C
แทนค่า BC !
(10 cm) tan 37.84" ! 7.768 cm
จาก พื้นที่วงกลม
! $ r2
แทนค่า พื้นที่วงกลม ! $ (BC) 2 ! (3.14)(7.768 cm) 2 ! 189.5 cm 2

พืน
้ ทีผ่ วิ ทีม่ ากทีส่ ดุ ของคาร์บอนไดซัลไฟด์ทแ่ ี สงลอดผ่านขึน
้ มาได้เท่ากับ 189.5 ตารางเซนติเมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 275

28. แสงทำามุมตกกระทบบนด้านของปริซึมสามเหลี่ยมมุมฉากที่ A แล้วหักเหเข้าไปในปริซึม


จากนั้น แสงกระทบผิวปริซึมที ่ B แล้วหักเหเป็นมุม 90 องศา ดังรูป

α A
แสง B

ก 28
จงหา
ก. ดรรชนีหักเหของปริซึมในเทอมของ α มีค่าเท่าใด
ข. ถ้ามุมตกกระทบ α มีขนาดเพิม
่ ขึน
้ เล็กน้อย จะเกิดอะไรขึน
้ หลังจากแสงกระทบผิวปริซม

ที่ B

ิ เขียนแผนภาพการหักเห ได้ดังนี้

n1 = 1 n3 = n1 = 1
n2 = n
α A
แสง θ2 B θ 4 = 90°
θ3

ก ิ ส 28

ก. หาดรรชนีหักเหของปริซึมในเทอมของ α
จากกฎของสเนลล์ n1 sin !1 " n2 sin ! 2
พิจารณาการหักเหที่ A
จะได้ 1 sin ! # n sin " 2
1
sin " 2 # sin ! (a)
n

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
276 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

พิจารณาการหักเหที่ B
จะได้ n sin !3 " 1 sin ! 4
แต่ !3 " (90$ # ! 2 ) และ sin ! 4 " sin 90#
แทนค่า n sin(90! " $ 2 ) # 1 sin 90!
1
cos $ 2 # (b)
n
2 2
พิจารณา (a ) + (b) จะได้
2 2
%1 ( %1(
sin 2 ! 2 # cos 2 ! 2 $ ' sin " * # ' *
&n ) &n)
1
1 $ 2 + sin 2 " # 1,
n
นั่นคือ n $ sin 2 " # 1
ข. ถ้ามุมตกกระทบ α มีขนาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จะทำาให้มุมตกกระทบที ่ B เพิ่มขึ้น
ด้วย ส่งผลให้มุมตกกระทบที ่ B มีค่ามากกว่ามุมวิกฤต แสงที ่ B จึงเกิดการสะท้อน
กลับหมด
ก. ดรรชนีหักเหของปริซึมเท่ากับ sin 2 ! " 1
ข. แสงที่ B จะเกิดการสะท้อนกลับหมด

29. ที่ทับกระดาษรูปทรงกลมรัศมี 4.0 เซนติเมตร ทำาด้วยอำาพันซึ่งมีดรรชนีหักเห 1.6 โดยมี


ดอกไม้ขนาดเล็กวางอยู่บนเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวดิ่ง และห่างจากผิวด้านบนของทรงกลม
3.0 เซนติเมตร เมื่อมองดูดอกไม้ตามแนวดิ่ง ดังรูป

nอากาศ= 1.0

s = 3 cm

ดอกไม้
R = 4 cm

nอ พั=น 1.6

ก 29

ภาพดอกไม้อยู่ลึกจากผิวทรงกลมด้านที่มองเท่าใด กำาหนดดรรชนีหักเหของอากาศเป็น 1.0

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 277

s! n2
ิ หาระยะภาพจาก
"
s n1
ในที่นี้ s = 3.0 cm, n1 = 1.6 และ n2 = 1.0
s! 1.0
แทนค่า "
3.0 cm 1.6
จะได้ s! " 1.88 cm
ภาพดอกไม้อยู่ลึกจากผิวทรงกลมด้านที่มองเท่ากับ 1.88 เซนติเมตร

30. ชายคนหนึง่ มองลงไปในสระน้าำ ในแนวดิง่ เพือ ่ หานาฬิกาทีต


่ กลงไปในสระน้าำ ปรากฎว่าเขาเห็น
H
นาฬิกาอยู่ลึกจากผิวน้ำา h ถ้าสระน้าำ ลึก H และมีดรรชนีหักเห n จงแสดงว่า h =
n
ิ เขียนแผนภาพการหักเห ได้ดังนี้

h
H า


ก 30
s! n2
จาก
"
s n1
ในที่นี้ s ! H , s" ! h, n1 ! n และ n2 = 1
h 1
แทนค่า =
H n
H
จะได้ h=
n
H
h=
n

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
278 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

31. วัตถุตน
ั ทำาจากวัสดุโปร่งใสทรงลูกบาศก์ ยาวด้านละ 20.0 เซนติเมตร ภายในมีเม็ดทรายเล็ก ๆ
1 เม็ด เมื่อมองด้านหนึ่งเห็นเม็ดทรายที่ระยะ 7.5 เซนติเมตร จากผิว แต่เมื่อมองด้านตรงข้าม
จะเห็นที่ระยะ 5.0 เซนติเมตร จากผิวด้านตรงข้าม เม็ดทรายอยู่ที่ตาำ แหน่งใดจากผิวด้านแรก
ที่มอง และวัสดุโปร่งใสนี้มีดรรชนีหักเหเท่าใด
ิ เขียนแผนภาพการหักเห ได้ดังนี้

วแ ก
7.5 cm
s


20 cm - s
5.0 cm

ว า
ให้ s เป็นระยะที่เม็ดทรายอยู่ห่างผิวแรกหรือความลึกจริงของเม็ดทราย
ดังนั้น เม็ดทรายจะห่างผิวตรงข้ามเป็นระยะ 20.0 cm - s
หาความลึกจริงและดรรชนีหักเห จาก
s! n2
"
s n1

เมื่อมองผิวแรก
7.5 cm 1
"
s n
จะได้ s " (n)(7.5 cm)
s
หรือ n " (a)
7.5 cm
5.0 cm 1
เมื่อมองผิวตรงข้าม "
20.0 cm - s n
s " 20.0 cm # (n)(5.0 cm) (b)
$ s '
แทนค่า (a) ใน (b) จะได้ s " 20.0 cm # & ) (5.0 cm)
% 7.5 cm (
s * 0.667 s " 20.0 cm
s " 11.998 cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 279

11.998 cm
นำาค่าของ s แทนใน (a) n=
7.5 cm
n = 1.60
ดังนั้น วัสดุโปร่งใสมีดรรชนีหักเหเท่ากับ 1.6

เม็ดทรายอยู่ที่ตำาแหน่ง 12 เซนติเมตร จากผิวแรก และวัสดุโปร่งใสมีดรรชนีหักเห


เท่ากับ 1.6

32. ภาชนะรูปทรงกระบอกเส้นผ่านศูนย์กลาง 6.0 เซนติเมตร เมื่อผู้สังเกตมองผ่านขอบด้านบน


เห็นขอบของก้นภาชนะด้านตรงข้ามพอดี แต่เมือ
่ เติมน้าำ จนเต็มภาชนะผูส้ งั เกตทีอ
่ ยูท
่ ต
ี่ าำ แหน่ง
เดิมจะเห็นจุดกึง่ กลางของก้นภาชนะพอดี ภาชนะใบนีส
้ งู เท่าไร ถ้าดรรชนีหก
ั เหของน้าำ เท่ากับ
1.333
ิ เขียนแผนภาพรังสีได้ดังนี้

θ2
θ1

3.0 cm
6.0 cm

ก ิ ส 32
ให้ภาชนะสูงเท่ากับ h
พิจารณาการมองภาชนะรูปทรงกระบอกโดยไม่มีน้ำา จากทฤษฎีบทพีทาโกรัสและ
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ จะได้
d
sin θ1 =
h + d2 2

พิจารณาการมองภาชนะรูปทรงกระบอกโดยมีนา้ำ จากทฤษฎีบทพีทาโกรัสและฟังก์ชน

ตรีโกณมิติ จะได้
(d / 2)
sin θ 2 =
h + (d / 2) 2
2

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
280 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

จากการหักเหของแสง
n1 sin !1 " n2 sin ! 2
6.0 cm 3.0 cm
แทนค่า 1 " 1.333
h 2 # (6.0 cm) 2 h 2 # $ 3.0 cm %
2

3 h 2 # 9 cm 2 " 2 h 2 # 36 cm 2
9 (h 2 # 9 cm 2 ) " 4(h 2 # 36 cm 2 )
9h 2 # 81 cm 2 " 4h 2 # 144 cm 2
(99 & 4)h 2 " 144 cm 2 & 81 cm 2
h 2 " 12.6 cm 2
แทนค่า h " '3.5496 cm

ภาชนะใบนี้สูงเท่าประมาณ 3.55 เซนติเมตร

33. นักเรียนวางวัตถุไว้หน้าเลนส์นน
ู ทีร่ ะยะต่าง ๆ แล้วบันทึกระยะวัตถุและระยะภาพทีส่ ม
ั พันธ์กน

โดยนำามาเขียนกราฟ ได้ดังรูป

cm

90
80
70
ระยะภาพ

60
50
40 A
30
20 B
10
cm
10 20 30 40 50 60 70 80 90
ระยะวัตถุ
ก 33

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 281

จงหา
ก. ความยาวโฟกัสของเลนส์นูน
ข. ระยะภาพเมื่อวางวัตถุที่ระยะ 40 เซนติเมตร จากเลนส์
ค. ระยะวัตถุและระยะภาพ ณ จุด A ในกราฟ
ง. ภาพ ณ จุด A ในกราฟ เป็นภาพจริงหรือภาพเสมือน และมีขนาดขยายหรือย่อ
จ. จุดบนกราฟที่จะทำาให้เกิดภาพจริงและมีขนาดขยายเป็น 2 เท่าของวัตถุ

ก. หาความยาวโฟกัสจากกราฟ เมื่อระยะวัตถุ s = +20 cm จะได้ระยะภาพ s! " #
แสดงว่าวัตถุอยู่ที่โฟกัส ดังนั้นความยาวโฟกัสของเลนส์นูนเป็น +20 cm
หรือหาความยาวโฟกัสจากสมการเลนส์บางโดยเลือกคูล่ าำ ดับใด ๆ เช่น s = +30 cm
และ s! " #60 cm
1 1 1
จากสมการ ! "
f s s#
1 1 1
แทนค่า ! "
f "30 cm "60 cm
จะได้ f ! "20 cm

ข. หาระยะภาพจากกราฟ เมือ
่ ระยะวัตถ s = +40 cm จะได้ระยะภาพ s! " #40 cm
หรือหาจากสมการเลนส์บาง โดยที่ f = +20 cm และ s = +40 cm
1 1 1
แทนค่า " !
!20 cm !40 cm s#
จะได้ s# " !40 cm
ค. หาระยะภาพจากกราฟ ณ ตำาแหน่ง A ระยะวัตถุ s = +50 cm จะได้ระยะภาพ
s! " #35 cm หรือหาจากสมการเลนส์บาง โดยที่ f = +20 cm และ s = +50 cm
1 1 1
แทนค่า " !
!20 cm !50 cm s#
จะได้ s# " !33.3 cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
282 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ง. ณ ตำาแหน่ง A จะได้ภาพจริง เพราะระยะภาพมีคา่ เป็น + และภาพมีขนาดย่อ เพราะ


อัตราส่วนระหว่างระยะภาพและระยะวัตถุมีค่าน้อยกว่า 1 กล่าวคือ
s′ +30 cm
M =− =− ดังนั้น M < 1
s +50 cm
จ. จุดบนกราฟที่ได้ภาพจริง ขนาดขยาย 2 เท่าของวัตถุมี 2 จุด คือ
s = +10 cm ( s′ = +20 cm ) และ s = +30 cm ( s′ = +60 cm )

ก. ความยาวโฟกัสของเลนส์นูนเท่ากับ 20 เซนติเมตร
ข. ระยะภาพเท่ากับ 40 เซนติเมตร
ค. ระยะวัตถุเท่ากับ +50 เซนติเมตร และระยะภาพเท่ากับ +33 เซนติเมตร
ง. ณ ตำาแหน่ง A จะได้ภาพจริง ขนาดย่อ
จ. จุดบนกราฟที่จะได้ภาพจริง ขนาดขยายใหญ่เป็น 2 เท่าของวัตถุม ี 2 จุด คือ
+10 เซนติเมตร และ +30 เซนติเมตร
ม เ ุ จากกราฟเมือ่ ระยะวัตถุมากกว่าความยาวโฟกัส (s > f ) ความสัมพันธ์ระหว่าง
s และ s′ จะเป็นกราฟเส้นขวา แต่เมื่อระยะวัตถุน้อยกว่าความยาวโฟกัส (s < f )
ความสัมพันธ์ระหว่าง s และ s′ จะเป็นกราฟเส้นซ้าย

34. แมวตัวหนึ่งอยู่ที่ระยะ 10 เมตร หน้าเลนส์นูนที่มีความยาวโฟกัส 15 เซนติเมตร ถ้าแมว


เดินออกจากเลนส์ไป 5 เมตร ภาพที่เกิดขึ้นเลื่อนไปจากเดิมเท่าไร และเลื่อนเข้าหาหรือ
ออกจากเลนส์
ิ หาระยะภาพขณะแมวอยู่ที่ระยะ 10 เมตรหน้าเลนส์นูน
1 1 1
จากสมการ = +
f s s′
1 1 1
แทนค่า = +
+15 cm +10 m s′
1 1 1
= −
s′ 0.15 m 10 m
จะได้ s′ = −0.15228 m

หาระยะภาพขณะแมวอยู่ที่ระยะ 15 เมตรหน้าเลนส์นูน
1 1 1
จากสมการ = +
f s s′
1 1 1
= +
+15 cm +10 m s′
ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
1 1 1
= −
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 283

1 1 1
! "
f s s#
1 1 1
แทนค่า ! "
"15 cm "15 m s#
11 1 1
"! 1 #$ 1
ss!# 00..15 15 mm 1510 m
m
จะได้ ss!# "! $$00..15151
15228m m
ดังนั้น ภาพที่เกิดขึ้นเลื่อนไปจากเดิม = (!0.15228 m) " (!0.15151 m)
= ! 0 .00077 หรื
m อ 0.077 cm

ภาพที่เกิดขึ้นเลื่อนเข้าหาเลนส์เป็นระยะทาง 0.077 เซนติเมตร

35. วางวัตถุอยู่หน้าเลนส์นูนและห่างจากเลนส์นูน 1.00 เมตร ถ้าเลนส์นูนมีความยาวโฟกัส


0.50 เมตร และอยู่หน้ากระจกเงาราบ โดยเลนส์นูนและกระจกเงาราบอยู่ห่างกัน 2.00 เมตร
เมื่อมองผ่านเลนส์นูนตรงไปที่กระจกเงาราบ จงหา
ก. ระยะภาพสุดท้ายเทียบกับเลนส์นูน
ข. ภาพสุดท้ายเป็นภาพจริงหรือภาพเสมือน

ิ พิจารณาเลนส์นูน
1 1 1
หาระยะภาพ จากสมการเลนส์บาง ! "
f s s#
ในที่นี้ s = +100 cm และ f = +50 cm
1 1 1
แทนค่า " !
!50 cm !100 cm s#
จะได้ s# " !100 cm
s#
หากำาลังขยายจาก M "$
s
!100 cm
จะได้ M "$ " $1
!100 cm
ภาพที่เกิดจากเลนส์นูนเป็นภาพจริงหัวกลับมีระยะภาพ 100 เซนติเมตร ขนาดเท่ากับ
วั ต ถุ อยู่ ห ลั ง เลนส์ นู น แต่ อ ยู่ ห น้ า กระจกเงาราบจึ ง เป็ น วั ต ถุ จ ริ ง มี ร ะยะวั ต ถุ เ ป็ น
200 เซนติเมตร - 100 เซนติเมตร เท่ากับ 100 เซนติเมตร และเกิดภาพจากกระจก
เงาราบเป็นภาพเสมือนขนาดเท่ากับวัตถุเป็นภาพเสมือน หัวกลับอยู่ด้านหลังกระจก
เงาราบ ดังรูป

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
284 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

2.0 m

ÀÒ¾¢Í§
θ ¡ÃШ¡à§ÒÃÒº
θ
Çѵ¶Ø
ÀÒ¾¢Í§
s = 1.0 m f = 0.5 m s′ = 1.0 m
àŹÊì¹Ù¹
ก ิ ส 35
ก. เมือ
่ มองผ่านเลนส์นน
ู ตรงไปทีก
่ ระจกเงาราบจะมองเห็นภาพสุดท้ายเป็นภาพหัวกลับ
โดยมีระยะทางห่างจากเลนส์นูนเท่ากับ 300 เซนติเมตร หรือ 3 เมตร
ข. ภาพสุดท้ายเป็นภาพเสมือนหัวกลับกับวัตถุ

36. เลนส์นูนมีความยาวโฟกัส 0.20 เมตร และเลนส์เว้ามีความยาวโฟกัส 0.15 เมตร วางอยู่โดยมี


เส้นแกนมุขสำาคัญร่วมกัน เมื่อให้แสงขนานตกกระทบเลนส์นูน ดังรูป

ก 36

ถ้าต้องการให้แสงที่ผ่านเลนส์เว้าออกมาเป็นแสงขนานอีกครั้ง เลนส์ทั้งสองจะต้องอยู่ห่างกัน
เท่าใด
ิ เมื่อแสงขนานที่เข้ามาตกกระทบเลนส์นูน แสงที่ผ่านเลนส์นูนจะไปพบกันที่ตำาแหน่ง
โฟกัสของเลนส์นน
ู และถ้าต้องการให้แสงดังกล่าวทีผ
่ า่ นเลนส์เว้าออกมาเป็นแสงขนาน
แสงที่ผ่านเลนส์เว้าจะต้องเสมือน ไปพบกันที่ตำาแหน่งโฟกัสของเลนส์เว้าพอดี ดังนั้น
ตำาแหน่งโฟกัสของเลนส์นน
ู ต้องเป็นตำาแหน่งโฟกัสของเลนส์เว้าด้วย ระยะระหว่างเลนส์
จึงเท่ากับ0.20 เมตร - 0.15 เมตร เท่ากับ 0.05 เมตร ดังรูป

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 285

f = 0.20 m f = 0.15 m

0.15 m
0.05 m
0.20 m

ก ิ ส 36
เลนส์ทั้งสองอยู่ห่างกันเท่ากับ 0.05 เมตร

37. เลนส์ นู น ความยาวโฟกั ส 24.0 เซนติ เ มตร อยู่ ท างซ้ า ยของเลนส์ เ ว้ า ที่ มี ค วามยาวโฟกั ส
28.0 เซนติเมตร โดยเลนส์ทงั้ สองวางห่างกัน 56.0 เซนติเมตร และมีเส้นแกนมุขสำาคัญร่วมกัน
ถ้าวางวัตถุทางซ้ายของเลนส์นน
ู และห่างจากเลนส์นน
ู 12.0 เซนติเมตร จงหาตำาแหน่งของภาพ
สุดท้ายเทียบกับเลนส์เว้า
ิ เขียนแผนภาพทางเดินของแสงได้ดังนี้

ภาพจากเลนสนูน

ภาพจากเลนสเวา

วัตถุ

12.0 cm 20.7 cm

f1= 24.0 cm f1 = 24.0 cm f2 = 28.0 cm f2 = 28.0 cm

56.0 cm

ก ิ ส 37
1 1 1
จากสมการเลนส์บาง ! "
f s s#
หาตำาแหน่งของภาพแรกที่เกิดจากเลนส์นูน ในที่นี้ s = +12.0 cm และ f = +24.0 cm
1 1 1
แทนค่า " !
!24.0 cm !12.0 cm s#
จะได้ s# " $24.0 cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
286 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

หาตำาแหน่งของภาพที่สองที่เกิดจากเลนส์เว้า ในที่น ี้
s = (+56.0 cm) + (+24.0 cm) = +80.0 cm และ f = -28.0 cm
1 1 1
แทนค่า = +
−28.0 cm +80.0 cm s′
จะได้ s′ = −20.7 cm

ภาพสุดท้ายอยู่หน้าเลนส์เว้าโดยมีระยะห่างเท่ากับ 20.7 เซนติเมตร

38. เลนส์ เ ว้ า ความยาวโฟกั ส 9.0 เซนติ เ มตร ที่ มี ลั ก ษณะเหมื อ นกั น สองอั น วางห่ า งกั น
16.0 เซนติเมตร และมีเส้นแกนมุขสำาคัญร่วมกัน ถ้าวางวัตถุทางซ้ายห่างจากเลนส์ที่อยู่ทาง
ซ้ายเท่ากับ 4.0 เซนติเมตร จงหาระยะภาพสุดท้ายเทียบกับเลนส์ที่อยู่ทางขวา
ิ เขียนแผนภาพทางเดินของแสงได้ดังนี้

วัตถุ ภาพแรก ภาพสุดท้าย

4.0 cm

16.0 cm

ก ิ ส 38
1 1 1
จากสมการเลนส์บาง = +
f s s′
หาตำา แหน่งของภาพแรกที่เกิดจากเลนส์ เ ว้ า ทางซ้ า ย ในที่ นี้ s = +4.0 cm และ
f = -9.0 cm
1 1 1
แทนค่า = +
−9.0 cm +4.0 cm s′
36
จะได้ cm s′ = −
13
หาตำาแหน่งของภาพสุดท้ายที่เกิดจากเลนส์เว้าทางขวา ในที่นี้
36 244
s = +16.0 cm + cm = + cm และ f = -9.0 cm
13 13

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 287

1 1 1
แทนค่า = +
−9.0 cm (+244 / 13) cm s′
จะได้ s′ = − 6.08 cm

ภาพสุดท้ายอยู่หน้าเลนส์เว้าอันที่อยู่ทางขวาโดยมีระยะห่างเท่ากับ 5.6 เซนติเมตร

39. เลนส์ เ ว้ า ความยาวโฟกั ส 10.0 เซนติ เ มตร อยู่ ท างซ้ า ยของเลนส์ นู น ความยาวโฟกั ส
30.0 เซนติเมตร เป็นระยะ 20.0 เซนติเมตร ถ้าวางวัตถุสูง 3.0 เซนติเมตรอยู่ทางซ้ายของ
เลนส์เว้าที่โฟกัสพอดี จงหาระยะภาพสุดท้ายเทียบกับเลนส์นูน และความสูงของภาพสุดท้าย

1 1 1
จากสมการเลนส์บาง = +
f s s′
หาตำาแหน่งของภาพแรกที่เกิดจากเลนส์เว้า ในที่น ี้ s = +10.0 cm และ f = -10.0 cm
1 1 1
แทนค่า = +
−10.0 cm +10.0 cm s′
จะได้ s′ = −5.0 cm
y′ s′
หากำาลังขยายจาก
M = =−
y s
y′ −5.0 cm
แทนค่า =−
+3.0 cm +10.0 cm
จะได้ y′ = 1.5 cm
หาตำาแหน่งของภาพที่เกิดจากเลนส์นูน ในที่นี้
s = (+20.0 cm) + (+50.0 cm) = +25.0 cm และ f = +30.0 cm
11 11 11
แทนค่า +30.0 cm == +25.0 cm ++ s′
+30.0 cm +25.0 cm s′
จะได้ ss′′== −−150
150..00cmcm
yy′′ ss′′
M
M == y ==−− s
หากำาลังขยายจาก
y s
yy′′ −150.0 cm
แทนค่า == −− −150.0 cm
++11..55 cm
cm ++25
25..00 cm
cm
จะได้

yy′ == 99..00 cm
cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
288 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

ภาพสุดท้ายอยู่หน้าเลนส์นูนโดยมีระยะห่างเท่ากับ 150.0 เซนติเมตร และเป็นภาพที่มี


ความสูงเท่ากับ 9.0 เซนติเมตร

40. วัตถุหนึ่งอยู่หน้ากระจกโค้งนูน 25 เซนติเมตร เกิดภาพหลังกระจก 20 เซนติเมตร ถ้าวัตถุอยู่


ที่ 18 เซนติเมตร จะเกิดภาพที่ใด

ิ หาโฟสกัสของกระจกโค้งนูนจากสมการ
1 1 1
= +
f s s′
ในที่นี้ s = +25 cm และ s′ = −20 cm
1 1 1
แทนค่า = +
f +25 cm −20 cm
จะได้ f = −100 cm
หาระยะภาพ เมื่อ s = +18 cm และ f = -100 cm
1 1 1
แทนค่า = +
−100 cm +18 cm s′
จะได้ s′ = −15.25 cm

เกิดภาพหลังกระจกโค้งนูนเป็นระยะทางเท่ากับ 15.25 เซนติเมตร

41. วางวัตถุไว้หน้ากระจกโค้งเว้าที่มีความยาวโฟกัสเท่ากับ 10.0 เซนติเมตร ทำาให้เกิดภาพจริง


ขนาดขยาย 4 เท่า วัตถุนี้อยู่ห่างจากกระจกเป็นระยะเท่าใด
s′
ิ จากกำาลังขยาย M = −
s
s′
ในที่นี้ M = -4 แทนค่า −4 = −
s
จะได้ s′ = +4s
1 1 1
จากสมการ = +
f s s′
ในที่นี้ s' = +4s และ f = +10.0 cm

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 11 | ส เ ิ ส 289

แทนค่า 1 1 1
! "
10.0 cm s #4 s
1 4 #1
!
10.0 cm 4s
s ! 7.5 cm
วัตถุอยู่ห่างจากกระจกโค้งเว้าเป็นระยะทางเท่ากับ 7.5 เซนติเมตร

42. ชายคนหนึ่งยืนริมฝั่งแม่นำ้า และฝั่งตรงข้ามมีต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาใช้กระจกบานหนึ่งหาความสูง


ของต้นไม้ และระยะทางระหว่างต้นไม้กบ
ั ตัวเขา พบว่า กระจกเงาทำาให้เกิดภาพของดวงอาทิตย์
ที่ระยะ 0.80 เมตรจากหน้ากระจก เกิดภาพของต้นไม้ที่มีความสูง 0.10 เมตร และอยู่ที่
0.81 เมตร จากหน้ากระจก จงหา
ก. กระจกเงาที่ใช้เป็นกระจกโค้งเว้าหรือกระจกโค้งนูน
ข. ต้นไม้อยู่ห่างจากชายคนนั้นประมาณเท่าใด
ค. ต้นไม้สูงประมาณเท่าใด

ก. เนื่องจากกระจกเงาทำาให้เกิดภาพของดวงอาทิตย์ที่ 0.80 เมตร หน้ากระจกเงา
แสดงว่า กระจกเงาที่ใช้เป็นกระจกเงาโค้งเว้า มีความยาวโฟกัส f = +0.80 cm
ข. กระจกโค้งเว้าทำาให้เกิดภาพจริงหน้ากระจก โดยมีระยะภาพ s! " #0.81 m
1 1 1
จากสมการ ! "
f s s#
ในที่นี้ f = +0.80 cm และ s! " #0.81 m

แทนค่า 1 1 1
" !
!0.80 m s !0.81 m
จะได้ s " !64.8 m
y# s#
M " "$
y s
!0.10 m !0.81 m
"$
y !64.8 m
y " $8.0 m
s " !64.8 m

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
290 11 | ส เ ิ ส ฟิสิกส์ เล่ม 3

1 1 1
" !
!0.80 m s !0.81 m
ค. หาความสูงของต้นไม้ s " !64.8 m
y# s#
จากำาลังขยาย M " "$
y s
!0.10 m !0.81 m
แทนค่า "$
y !64.8 m
จะได้ y " $8.0 m
ก. กระจกเงาที่ใช้เป็นกระจกโค้งเว้าs " !64.8 m
ข. ต้นไม้อยู่ห่างจากชายคนนั้นประมาณ 65 เมตร
ค. ต้นไม้สูงประมาณ 8 เมตร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 ก 291

ภาคผนวก

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
292 ก ฟิสิกส์ เล่ม 3

่ เ ม ล เมิ ล

การประเมิ น ผลด้ ว ยแบบทดสอบเป็ น วิ ธี ท่ี นิ ย มใช้ กั น อย่ า งแพร่ ห ลายในการวั ด ผลสั ม ฤทธิ ใ น
การเรียนโดยเฉพาะด้านความรู้เเละความสามารถทางสติปัญญา ครูควรมีความเข้าใจในลักษณะของ
แบบทดสอบ รวมทั้งข้อดีและข้อจำากัดของแบบทดสอบรูปแบบต่าง ๆ เพ่ือประโยชน์ในการสร้างหรือเลือก
ใช้แบบทดสอบให้เหมาะสมกับส่ิงที่ต้องการวัด โดยลักษณะของแบบทดสอบ รวมท้ังข้อดีและข้อจำากัดของ
แบบทดสอบรูปแบบต่าง ๆ เป็นดังน้ี
1) ส ม เล ก
แบบทดสอบแบบที่มีตัวเลือก ได้แก่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ แบบทดสอบแบบถูกหรือผิด
และแบบทดสอบแบบจับคู่ รายละเอียดของแบบทดสอบแต่ละแบบเป็นดังนี้
1.1) แบบทดสอบแบบเลือกตอบ
เป็นแบบทดสอบที่มีการกำาหนดตัวเลือกให้หลายตัวเลือก โดยมีตัวเลือกที่ถูกเพียงหน่ึง
ตัวเลือก องค์ประกอบหลักของแบบทดสอบแบบเลือกตอบมี 2 ส่วน คือ คำาถามและตัวเลือก แต่บางกรณี
อาจมีส่วนของสถานการณ์เพิ่มขึ้นมาด้วย แบบทดสอบแบบเลือกตอบมีหลายรูปแบบ เช่น แบบทดสอบ
แบบเลือกตอบคำาถามเดี่ยว แบบทดสอบแบบเลือกตอบคำาถามชุด แบบทดสอบแบบเลือกตอบคำาถาม
2 ชั้น โครงสร้างดังตัวอย่าง

ส เล ก มเ ม่มส ก ์

คำาถาม...............................................................................................

ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 ก 293

ส เล ก มเ มส ก ์

สถานการณ์.......................................................................................

คำาถาม...............................................................................................

ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................

ส เล ก มเ

สถานการณ์.......................................................................................

คำาถามที่ 1...............................................................................................

ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................

คำาถามที่ 2...............................................................................................

ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
294 ก ฟิสิกส์ เล่ม 3

ส เล ก ม2

สถานการณ์.......................................................................................

คำาถามที่ 1.........................................................................................

ตัวเลือก ก.................................................................................
ข.................................................................................
ค.................................................................................
ง.................................................................................

คำาถามที่ 2...(ถามเหตุผลของการตอบคำาถามที่ 1)...


.........................................................................................................
.........................................................................................................

แบบทดสอบแบบเลือกตอบมีข้อดีคือ สามารถใช้ผลสัมฤทธิของนักเรียนได้ครอบคลุม
เน้ือหาตามจุดประสงค์ สามารถตรวจให้คะแนนและแปลผลคะแนนได้ตรงกัน แต่มีข้อจำากัด คือ ไม่เปิด
โอกาสให้นักเรียนได้แสดงออกอย่างอิสระจึงไม่สามารถวัดความคิดระดับสูง เช่น ความคิดสร้างสรรค์ได้
นอกจากนี้นักเรียนที่ไม่มีความรู้สามารถเดาคำาตอบได้
1.2) แบบทดสอบแบบถูกหรือผิด
เป็นแบบทดสอบท่ีมีตัวเลือก ถูกและผิด เท่านั้น มีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ คำาสั่งและ
ข้อความให้นักเรียนพิจารณาว่าถูกหรือผิด ดังตัวอย่าง

ส ก ิ

ส ให้พิจารณาว่าข้อความต่อไปนี้ถูกหรืือผิด เเล้วใส่เครื่องหมาย หรือ หน้าข้อความ


................ 1. ข้อความ............................................................................
................ 2. ข้อความ............................................................................
................ 3. ข้อความ............................................................................
................ 4. ข้อความ............................................................................
................ 5. ข้อความ............................................................................

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 ก 295

แบบทดสอบรูปแบบนี้สามารถสร้างได้ง่าย รวดเร็ว เเละครอบคลุมเนื้อหา สามารถตรวจ


ได้รวดเร็วเเละให้คะเเนนได้ตรงกัน แต่นักเรียนมีโอกาสเดาได้มาก และการสร้างข้อความเป็นจริงหรือ
เป็นเท็จโดยสมบูรณ์ในบางเนื้อทำาได้ยาก
1.3) แบบทดสอบแบบจับคู่
ประกอบด้วยส่วนที่เป็นคำาสั่ง และข้อความสองชุดที่ให้จับคู่กัน โดยข้อความชุดที่ 1
อาจเป็นคำาถาม และข้อความชุดท่ ี 2 อาจเป็นคำาตอบหรือตัวเลือก โดยจำานวนข้อความในชุดท่ี 2 อาจมี
มากกว่าในชุดท่ี 1 ดังตัวอย่าง

ส ่

ส ให้นาำ ตัวอักษรหน้าข้อความในชุดคำาตอบมาเติมในช่องว่างหน้าข้อความในชุดคำาถาม

............ 1. ข้อความ.............................. ก. ข้อความ..............................


............ 2. ข้อความ.............................. ข. ข้อความ..............................
............ 3. ข้อความ.............................. ค. ข้อความ..............................
ง. ข้อความ..............................

แบบทดสอบรูปแบบน้ีสร้างได้ง่าย ตรวจให้คะแนนได้ตรงกัน และเดาคำาตอบได้ยาก


เหมาะสำาหรับวัดความสามารถในการหาความสัมพันธ์ระหว่างคำาหรือข้อความ 2 ชุด แต่ในกรณีที่นักเรียน
จับคู่ผิดไปแล้วจะทำาให้มีการจับคู่ผิดในคู่อื่น ๆ ด้วย

2) ส เ
เป็นแบบทดสอบที่ให้นักเรียนคิดคำาตอบเอง จึงมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นและสะท้อน
ความคิดออกมาโดยการเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจ โดยทั่วไป การเขียนตอบมี 2 แบบ คือ การเขียนตอบแบบ
เติมคำาหรือการเขียนตอบอย่างสัน
้ และการเขียนตอบแบบอธิบาย รายละเอียดของแบบทดสอบทีม
่ ก
ี ารตอบ
แต่ละแบบเป็นดังน้ี
2.1) แบบทดสอบเขียนตอบแบบเติมคำาหรือตอบอย่างส้ัน
ประกอบด้วยคำาสั่งและข้อความที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะมีส่วนที่เว้นไว้เพื่อให้เติมคำาตอบหรือ
ข้อความสั้น ๆ เพื่อให้เติมคำาตอบหรือข้อความสั้น ๆ ท่ีทาำ ให้ข้อความข้างต้นถูกต้องหรือสมบูรณ์ นอกจากนี้
แบบทดสอบยั ง อาจประกอบด้ ว ยสถานการณ์ แ ละคำ า ถามที่ ใ ห้ นั ก เรี ย นตอบโดยการเขี ย นอย่ า งอิ ส ระ
แต่สถานการณ์และคำาถามจะเป็นส่ิงที่กำาหนดคำาตอบให้มีความถูกต้องและเหมาะสม

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
296 ก ฟิสิกส์ เล่ม 3

แบบทดสอบรูปแบบน้ีสร้างได้ง่าย มีโอกาสเดาได้ยาก และสามารถวินิจฉัยคำาตอบที่


นักเรียนตอบผิด เพื่อให้ทราบถึงข้อบกพร่องทางการเรียนรู้หรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ แต่การจำากัด
คำาตอบให้นักเรียนตอบเป็นคำา วลี หรือประโยคได้ยาก ตรวจให้คะแนนได้ยากเนื่องจากบางคร้ังมีคาำ ตอบ
ถูกต้องหรือยอมรับได้หลายคำาตอบ
2.2) แบบทดสอบเขียนตอบแบบอธิบาย
เป็นแบบทดสอบที่ต้องการให้นักเรียนตอบอย่างอิสระ ประกอบด้วยสถานการณ์และ
คำาถามที่สอดคล้องกัน โดยคำาถามเป็นคำาถามแบบปลายเปิด
แบบทดสอบรูปแบบนี้ในการตอบจึงสามารถใช้วัดความคิดระดับสูงได้ แต่เนื่องจาก
นักเรียนต้องใช้เวลาในการคิดและเขียนคำาตอบมาก ทำาให้ถามได้น้อยข้อ จึงอาจทำาให้วัดได้ไม่ครอบคลุม
เนื้อหาทั้งหมด รวมทั้งตรวจให้คะแนนยาก และการตรวจให้คะแนนอาจไม่ตรงกัน

เมิ ก
เมื่อนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมจริงจะมีหลักฐานร่องรอยท่ีแสดงไว้ทั้งวิธีการปฏิบัติและผล
การปฏิบัติ ซ่ึงหลักฐานร่องรอยเหล่านั้นสามารถใช้ในการประเมินความสามารถ ทักษะการคิด และทักษะ
ปฏิบัติได้เป็นอย่างดี
การปฏิบัติการทดลองเป็นกิจกรรมที่สำาคัญที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไป
ประเมินได้ 2 ส่วน คือประเมินทักษะการปฏิบต
ั ก
ิ ารทดลองและการเขียนรายงานการทดลอง โดยเคร่อ
ื งมือ
ที่ใช้ประเมินดังตัวอย่าง

่ ส ก ก ิ ิก ล

ลก ส
ก ส ม
ม่ม

การวางเเผนการทดลอง

การทดลองตามขั้นตอน

การสังเกตการทดลอง

การบันทึกผล

การอภิปรายผลการทดลองก่อนลงข้อสรุป

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 ก 297

่ เมิ ก ิ ิก ล
เก ์ก เเ เเ เเ ก ์ ก ่

ก ิ ิก

3 2 1

การเลือกใช้อป
ุ กรณ์ / เลือกใช้อุปกรณ์ / เลือกใช้อุปกรณ์ / เลือกใช้อุปกรณ์ /
เครื่องมือใน เครือ่ งมือในการทดลอง เครือ่ งมือในการทดลอง เครือ่ งมือในการทดลอง
การทดลอง ได้ถูกต้องเหมาะสม ได้ถก
ู ต้องเเต่ไม่เหมาะสม ไม่ถก
ู ต้อง
กับงาน กับงาน

การใช้อุปกรณ์ / เลือกใช้อุปกรณ์ / ใช้อุปกรณ์ /เครือ่ งมือใน ใช้อุปกรณ์ /เครือ่ งมือใน


เครื่องมือใน เครือ่ งมือในการทดลอง การทดลองได้ถก
ู ต้องตาม การทดลองไม่ถก
ู ต้อง
การทดลอง ได้อย่างคล่องเเคล่ว หลักการปฏิบต
ิ ิ แต่ไม่
และถูกต้องตามหลัก คล่องเเคล่ว
การปฏิบัติ

การทดลองตาม ทดลองตามวิธีการเเละ ทดลองตามวิธีการเเละ ทดลองตามวิธีการเเละ


เเผนที่กำาหนด ขั้นตอนที่กำาหนดไว้ ขั้นตอนที่กาำ หนดไว้ มี ขั้นตอนที่กำาหนดไว้หรือ
อย่างถูกต้อง มีการปรับ การปรับปรุงเเก้ไขบ้าง ดำาเนินการข้ามขั้นตอน
ปรุงเเก้ไขเป็นระยะ ที่กาำ หนดไว้ ไม่มีการ
ปรับปรุงแก้ไข

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
298 ก ฟิสิกส์ เล่ม 3

่ เมิ ก ิ ิก ล
เก ์ก เเ เเ ม ม ่

ลก เมิ
ก เมิ
ระดับ 3 ระดับ 2 ระดับ 1

1.วางแผนการทดลองอย่างเป็นขั้นตอน ระดับ 3 ระดับ 2 ระดับ 1


2.ปฏิบัติการทดลองได้อย่างคล่องเเคล่ว สามารถ หมายถึง หมายถึง หมายถึง
เลือกใช้อุปกรณ์ได้ถูกต้อง เหมาะสมเเละจัดวาง ปฏิบัติได้ทั้ง ปฏิบัติได้ ปฏิบัติได้
อุปกรณ์เป็นระเบียบ สะดวกต่อการใช้งาน 3 ข้อ 2 ข้อ 1 ข้อ
3.บันทึกผลการทดลองได้ถูกต้องเเละครบถ้วน
สมบูรณ์

่ เเ เเ ก เ ก ล

เเ

3 2 1

เขียนรายการตามลำาดับ เขียนรายงานการทดลองตาม เขียนรายงานโดยลำาดับขั้นตอน


ขั้นตอน ผลการทดลองตรง ลำาดับ เเต่ไม่สื่อความหมาย ไม่สอดคล้องกัน เเละสื่อ
ตามสภาพจริงเเละสื่อ ความหมาย
ความหมาย

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 ก 299

เมิ ลก ิ ิ ส ์
การประเมินจิตวิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำาได้โดยตรง โดยท่ัวไปทำาโดยการตรวจสอบ
พฤติ ก รรมภายนอกที่ ป รากฏให้ เ ห็ น ในลั ก ษณะของคำ า พู ด การแสดงความคิ ด เห็ น การปฏิ บั ติ ห รื อ
พฤติ ก รรมบ่ ง ชี้ ที่ ส ามารถสั ง เกตหรื อ วั ด ได้ และแปลผลไปถึ ง จิ ต วิ ท ยาศาสตร์ ซึ่ ง เป็ น สิ่ ง ท่ี ส่ ง ผลให้ เ กิ ด
พฤติกรรมดังกล่าว เครื่องมือที่ใช้ประเมินคุณลักษณะด้านจิตวิทยาศาสตร์ ดังตัวอย่าง

่ เมิ ลก ิ ิ ส ์

เเ จงทำาเครื่องหมาย ลงในช่องว่างที่ตรงกับคุณลักษณะที่นักเรียนเเสดงออก โดยจำาเเนกระดับ


พฤติกรรมการเเสดงออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้

มาก หมายถึง นักเรียนเเสดงออกในพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างสม่าำ เสมอ


ปานกลาง หมายถึง นักเรียนเเสดงออกในพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นครั้งคราว
น้อย หมายถึง นักเรียนเเสดงออกในพฤติกรรมเหล่านั้นน้อยครั้ง
ไม่มีการเเสดงออก หมายถึง นักเรียนเเสดงออกในพฤติกรรมเหล่านั้นเลย

ิก มก เเส ก
ก ิก มก เเส ก
ม่มก
ม ก กล
เเส ก

ม ก กเ
1.นักเรียนสอบถามจากผู้รู้หรือไปศึกษาค้นคว้า
เพิม
่ เติม เมือ่ เกิดความสงสัยในเรือ่ งราววิทยาศาสตร์
2.นักเรียนชอบไปงานนิทรรศการวิทยาศาสตร์
3.นักเรียนนำาการทดลองทีส่ นใจไปทดลองต่อทีบ
่ า้ น

ม ส ์
1.นักเรียนรายงานผลการทดลองตามทีท
่ ดลองได้จริง
2.เมื่อทำางานทดลองผิดพลาด นักเรียนจะลอกผล
การทดลองของเพื่อนส่งครู
3.เมื่อครูมอบหมายให้ทาำ ชิ้นงานสิ่งประดิษฐ์
นักเรียนจะประดิษฐ์ตามเเบบที่ปรากฏอยู่ใน
หนังสือ

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
300 ก ฟิสิกส์ เล่ม 3

ิก มก เเส ก
ก ิก มก เเส ก
ม่มก
ม ก กล
เเส ก

ม ก
1.แม้ว่านักเรียนจะไม่เห็นด้วยกับการสรุปผลการ
ทดลองในกลุ่ม แต่ก็ยอมรับผลสรุปของสมาชิก
ส่วนใหญ่
2.ถ้าเพื่อนแย่งวิธีการทดลองนักเรียนและมีเหตุผล
ที่ดีกว่า นักเรียนพร้อมที่จะนำาข้อเสนอเเนะของ
เพื่อนไปปรับปรุงงานของตน
3.เมื่องานที่นักเรียนตั้งใจและทุ่มเททำาถูกตำาหนิ
หรือโต้เเย้ง นักเรียนจะหมดกำาลังใจ


1.นักเรียนสรุปผลการทดลองทันทีเมื่อเสร็จสิ้น
การทดลอง
2.นักเรียนทำาการทดลองซ้ำา ๆ ก่อนที่จะสรุปผล
การทดลอง
3.นักเรียนตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ก่อน
ทำาการทดลอง

มม่ ม
1.ถึงแม้ว่างานค้นคว้าที่ทำาอยู่มีโอกาสสำาเร็จได้ยาก
นักเรียนจะยังค้นคว้าต่อไป
2.นักเรียนล้มเลิกการทดลองทันที เมื่อผลการ
ทดลองที่ได้ขัดจากที่เคยเรียนมา
3.เมื่อทราบว่าชุดการทดลองที่นักเรียนสนใจต้อง
ใช้ระยะเวลาในการทดลองนาน นักเรียนก็
เปลี่ยนไปศึกษาชุดการทดลองที่ใช้เวลาน้อยกว่า

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 ก 301

ิก มก เเส ก
ก ิก มก เเส ก
ม่มก
ม ก กล
เเส ก

เ ิ ่ ิ ส ์
1.นักเรียนนำาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้
เเก้ปัญหาในชีวิตประจำาวันอยู่เสมอ
2.นักเรียนชอบทำากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ
วิทยาศาสตร์
3.นักเรียนสนใจติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ
วิทยาศาสตร์

ิ ก เเ
ตรวจให้คะเเนนตามเกณฑ์โดยกำาหนดน้ำาหนักของตัวเลขในช่องต่าง ๆ เป็น 4 3 2 1 ตามลำาดับ
ข้อความทีม
่ ค
ี วามหมายเป็นทางบวก กำาหนดให้คะเเนนเเต่ละข้อความดังต่อไปนี้

ิก มก เเส ก เเ

มาก 4

ปานกลาง 3

น้อย 2

ไม่มีการเเสดงออก 1

ส่วนของข้อความทีม
่ ค
ี วามหมายเป็นทางลบ กำาหนดให้ค
้ ะเเนนในแต่ละข้อความมีลก
ั ษณะตรงข้าม

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
302 ก ฟิสิกส์ เล่ม 3

ก เมิ ก เส ล
การประเมิ น ผลและให้ ค ะแนนการนำ า เสนอผลงานอาจใช้ แ นวทางการประเมิ น เช่ น เดี ย วกั บ
การประเมินภาระงานอื่น คือ การใช้คะแนนแบบภาพรวม และการให้คะแนนแบบแยกองค์ประกอบย่อย
ดังรายละเอียด ต่อไปนี้
1) ก ม เป็นการให้คะแนนที่ต้องการสรุปภาพรวมจึงประเมินเฉพาะ
ประเด็นหลักที่สำาคัญ ๆ เช่น การประเมินความถูกต้องของเนื้อหา ความรู้และการประเมินสมรรถภาพ
ด้านการเขียน โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนแบบภาพรวม ดังตัวอย่างต่อไปนี้

่ เก ์ก เมิ ม ก เ ม ม

ก เมิ เมิ

- เนื้อหาไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ต้องปรับปรุง
- เนื้อหาถูกต้องเเต่ให้สาระสำาคัญน้อยมาก เเละระบุเเหล่งที่มาของความรู้ พอใช้
- เนื้อหาถูกต้อง มีสาระสำาคัญ แต่ยังไม่ครบถ้วน มีการระบุเเหล่งที่มาของความรู้ ดี
- เนื้อหาถูกต้อง มีสาระสำาคัญครบถ้วน เเละระบุเเหล่งที่มาของความรู้ชัดเจน ดีมาก

่ เก ์ก เมิ สม ก เ ม

ก เมิ เมิ

- เขียนสับสน ไม่เป็นระบบ ไม่บอกปัญหาและจุดประสงค์ ขาดการเชื่อมโยง ต้องปรับปรุง


เนื้อหาบางส่วนไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ ใช้ภาษาไม่เหมาะสมเเละสะกดคำาไม่
ถูกต้อง ไม่อ้างอิงเเหล่งที่มาของความรู้

- เขียนเป็นระบบเเต่ไม่ชัดเจน บอกจุดประสงค์ไม่ชัดเจน เนื้อหาถูกต้องเเต่มี พอใช้


รายละเอียดไม่เพียงพอ เนื้อหาบางตอนไม่สัมพันธ์กัน การเรียบเรียงเนื้อหาไม่
ต่อเนื่อง ใช้ภาษาถูกต้อง อ้างอิงแหล่งที่มาของความรู้

- เขียนเป็นระบบ แสดงให้เห็นโครงสร้างของเรื่อง บอกความสำาคัญเเละที่มาของ ดี


ปัญหา จุดประสงค์ เเนวคิดหลักไม่ครอบคุมประเด็นสำาคัญทั้งหมด เนื้อหาบาง
ตอนเรียบเรียงไม่ต่อเนื่อง ใช้ภาษาถูกต้อง มีการยกตัวอย่าง รูปภาพเเผนภาพ
ประกอบ อ้างอิงเเหล่งที่มาของความรู้
- เขียนเป็นระบบ แสดงให้เห็นโครงสร้างของเรื่อง บอกความสำาคัญเเละที่มาของ ดีมาก
ปัญหา จุดประสงค์ เเนวคิดหลักได้ครอบคุมประเด็นสำาคัญทั้งหมด เรียบเรียง
เนื้อหาได้ต่อเนื้องต่อเนื่อง ใช้ภาษาถูกต้อง ชัดเจนเข้าใจง่าย รูปภาพเเผนภาพ
ประกอบ อ้างอิงเเหล่งที่มาของความรู้

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 ก 303

2) ก ก ์ ก ่ เป็นการประเมินเพื่อต้องการนำาผลการประเมิน
ไปใช้พฒ
ั นางานให้มค
ี ณ
ุ ภาพผ่านเกณฑ์ และพัฒนาคุณภาพให้สงู ขึน
้ กว่าเดิมอย่างต่อเนือ่ ง โดยใช้เกณฑ์ยอ่ ย ๆ
ในการประเมินเพื่อทำาให้รู้ทั้งจุดเด่นที่ควรส่งเสริมและจุดด้อยที่ควรแก้ไขปรับปรุงการทำางานในส่วนนั้น ๆ
เกณฑ์การให้คะแนนแบบแยกองค์ประกอบย่อย มีตัวอย่างดังนี้
่ เก ์ก เมิ สม ก ์ ก ่

ก เมิ

ก เเ

- ไม่สามารถออกเเบบได้ หรือออกเเบบได้เเต่ไม่ตรงกับประเด็นปัญหาทีต
่ อ
้ งการเรียนรู้ ต้องปรับปรุง

- ออกเเบบการได้ตามประเด็นสำาคัญของปัญหาบางส่วน พอใช้

- ออกเเบบครอบคลุมประเด็นสำาคัญของปัญหาเป็นส่วนใหญ่ เเต่ยังไม่ชัดเจน ดี

- ออกเเบบได้ครอบคลุมประเด็นสำาคัญของปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน ดีมาก
เเละตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการ

ก เ ิ ก

- ดำาเนินการไม่เป็นไปตามแผน ใช้อป
ุ กรณ์เเละสือ
่ ประกอบถูกต้องเเต่ไม่คล่องเเคล่ว ต้องปรับปรุง

- ดำาเนินการตามแผนทีว่ างไว้ ใช้อป


ุ กรณืเเละสือ
่ ประกอบถูกต้องเเต่ไม่คล่องเเคล่ว พอใช้

- ดำาเนินการตามแผนที่วางไว้ ใช้อุปกรณ์เเละสื่อประกอบการสาธิตได้อย่าง ดี
คล่องเเคล่วและเสร็จทันเวลา ผลงานในบางขั้นตอนไม่เป็นไปตามจุดประสงค์
- ดำาเนินการตามแผนที่วางไว้ ใช้อุปกรณ์เเละสื่อประกอบได้ถูกต้อง คล่องเเคล่ว ดีมาก
เเละเสร็จทันเวลา ผลงานทุกขั้นตอนเป็นไปตามจุดประสงค์
ก ิ
- อธิบายไม่ถูกต้อง ขัดเเย้งกับเเนวคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ ต้องปรับปรุง
- อธิบายโดยอาศัยเเนวคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ เเต่การอธิบายเป็นเเนวพรรณนา พอใช้
ทั่วไป ซึ่งไม่คำานึงถึงการเชื่อมโยงกับปัญหาทำาให้เข้าใจยาก
- อธิบายโดยอาศัยเเนวคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ ตรงตามประเด็นของปัญหา ดี
เเต่ข้ามไปในบางขั้นตอน ใช้ภาษาได้ถูกต้อง
- อธิบายโดยอาศัยเเนวคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ ตรงตามประเด็นของปัญหาเเละ ดีมาก
จุดประสงค์ ใช้ภาษาได้ถูกต้องเข้าใจง่าย สื่อความหมายให้ชัดเจน

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
304 ก ฟิสิกส์ เล่ม 3

ก ม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2559). ่ม ิ เ ิมเ ิม ฟิสิกส์ เล่ม 1.


(พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพ โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2557). ่ม ิ เ ิมเ ิม ฟิสิกส์ เล่ม 3.
(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพ โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2547). ม
่ ส ก เ ล เ มเ
ิ มิ
ฟิสิกส์ เล่ม 2. (พิมพ์ครั้งที ่ 1). กรุงเทพ โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
Giancoli, D. C. (2014). Physics: Principles with Applications. (7th ed.). Pearson.
Halliday, D., Resnick, R., Walker, J. (2013). Fundamentals of Physics. (10th ed.).
John Wiley & Sons, Inc.
Serway, R. A., Faughn, J. S. (2009). Holt Physics. Holt, Rinehart and Winston.
Serway, R. A., Jewett, Jr., J. W. (2014). Physics for Scientists and Engineers with
Modern Physics. (9th ed.). Brooks/Cole.
Young, H. D., Freedman, R. A. (2015). Sears and Zemansky’s University Physics with
Modern Physics. (14th ed.). Pearson.

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 ก 305

ก มก ่ม ิ เ ิมเ ิม ิ ส ์ ฟิสิกส์ เล่ม 3


ม ลก เ กล่มส ก เ ิ ส ์( 2560)
ม ลกส ก กล ก ก ก 2551
--------------

1. ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำานงค์ ผู้อาำ นวยการ


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2. ดร.วนิดา ธนประโยชน์ศักดิ ผู้ช่วยผู้อาำ นวยการ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีี

่ม ิ เ ิมเ ิม ิ ส ์ ฟิสิกส์
ม ม ก 5 เล่ม 3

1. นายรังสรรค์ ศรีสาคร ผู้เชี่ยวชาญ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2. นายบุญชัย ตันไถง ผู้ชำานาญ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3. นายวัฒนะ มากชื่น ผู้ชำานาญ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4. นายโฆสิต สิงหสุต ผู้ชำานาญ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
5. นายรักษพล ธนานุวงศ์ นักวิชาการอาวุโส สาขาวิทยาศาสตร์มธั ยมศึกษาตอนปลาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
6. ดร.กวิน เชื่อมกลาง นักวิชาการอาวุโส สาขาวิทยาศาสตร์มธั ยมศึกษาตอนปลาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
7. ดร.ปรีดา พัชรมณีปกรณ์ นักวิชาการ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
8. ดร.จำาเริญตา ปริญญาธารมาศ นักวิชาการ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
9. นายสรจิตต์ อารีรัตน์ นักวิชาการ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
10. นายจอมพรรค นวลดี นักวิชาการ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
306 ก ฟิสิกส์ เล่ม 3

11. นายเทพนคร แสงหัวช้าง นักวิชาการ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
12. นายธนะรัชต์ คัณทักษ์ นักวิชาการ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

่ ม ิ ่ม ิ เ ิมเ ิม ิ ส ์ ฟิสิกส์
ม ม ก 5 เล่ม 3 ่

1. ผศ.ดร.บุรินทร์ อัศวพิภพ จุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2. ผศ.ดร.สุชัย นพรัตน์แจ่มจำารัส สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู ้ มหาวิทยาลัยมหิดล จ.นครปฐม

3. นายสุมิตร สวนสุข โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร

4. นายประสิทธิ สลัดทุกข์ โรงเรียนย่านตาขาวรัฐชนูปถัมภ์ จ.ตรัง

5. นายนิกรณ์ นิลพงษ์ โรงเรียนศรีคูณวิทยบัลลังก์ จ.อำานาจเจริญ

6. นายอดิศักดิ ยงยุทธ โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก กรุงเทพมหานคร

7. นางสาวสายชล สุขโข โรงเรียนจ่านกร้อง จ.พิษณุโลก

8. นายชรินทร์ วัฒนธีรางกูร โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จ.นครปฐม

9. นายบุญโ ม สุขล้วน โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร

10. นายพลพิพัฒน์ วัฒนเศรษฐานุกุล สำานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 2


กรุงเทพมหานคร

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
ฟิสิกส์ เล่ม 3 ก 307

ิก

1. นายวิศาล จิตต์วาริน นักวิชาการอิสระ

2. ดร.ศักดิ สุวรรณฉาย มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปภัมภ์

3. ดร.รังสันต์ จอมทะรักษ์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

4. ดร.กวิน เชื่อมกลาง นักวิชาการอาวุโส สาขาวิทยาศาสตร์มธั ยมศึกษาตอนปลาย


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
308 ก ฟิสิกส์ เล่ม 3

ส ส่ เส ิมก ส ิ ส ์ ล เ ล
่ ล มล ก

ปริมาณ สัญลักษณ์ ค่าประมาณ

อัตราเร็วของแสง c , c0 3.0 × 108 m s-1


ค่าคงตัวโน้มถ่วง G 6.6726 × 10-11 m3 kg-1 s-2
ค่าคงตัวพลังค์ h 6.6261 × 10-34 J s
ประจุมูลฐาน e 1.6022 × 10-19 C
ค่าคงตัวริดเบิร์ก R 1.0974 × 107 m-1
รัศมีโบร์ a0 5.2918 × 10-11 m
มวลอิเล็กตรอน me 9.1094 × 10-31 kg
มวลโปรตอน mp 1.6726 × 10-27 kg
มวลนิวตรอน mn 1.6749 × 10-27 kg
มวลดิวเทอรอน md 3.3436 × 10-27 kg
ค่าคงตัวอาโวกาโดร NA , L 6.0221 × 1023 mol-1
ค่าคงตัวมวลอะตอม mu 1.6605 × 10-27 kg
ค่าคงตัวแก๊ส R 8.3145 J mol-1 K-1
ค่าคงตัวโบลต์ซมันน์ kB 1.3807 × 10-23 J K-1

มล ก

ปริมาณ ค่า

มวลของโลก 5.97 × 1024 kg


มวลของดวงจันทร์ 7.36 × 1022 kg
มวลของดวงอาทิตย์ 1.99 × 1030 kg
รัศมีของโลก (เฉลี่ย) 6.38 × 103 km
รัศมีของดวงจันทร์ (เฉลี่ย) 1.74 × 103 km
รัศมีของดวงอาทิตย์ (เฉลี่ย) 6.96 × 105 km
ระยะทางระหว่างโลกและดวงจันทร์ (เฉลี่ย) 3.84 × 105 km
ระยะทางระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ (เฉลี่ย) 1.496 × 108 km

You might also like