Professional Documents
Culture Documents
คูมือครู
รายวิชาเพิ่มเติม
คณิตศาสตร
ชั้น
มัธยมศึกษาปที่ ๔ เลม ๑
ตามผลการเรียนรู
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คํานํา
(นางพรพรรณ
ไวทยางกูร)
ผูอํานวยการสถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
คําชี้แจง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.) ไดจัดทําตัวชี้วัดและ
สาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเนนเพื่อตองการพัฒนา
ผูเรียนใหมีความรูความสามารถที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ไดเรียนรูคณิตศาสตรที่เชื่อมโยงความรู
กับกระบวนการ ใชกระบวนการสืบเสาะหาความรูและแกปญหาที่หลากหลาย มีการทํากิจกรรม
ดวยการลงมือปฏิบัติเพื่อใหผูเรียนไดใชทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร และทักษะแหง
ศตวรรษที่ ๒๑ สสวท. จึงไดจัดทําคูมือครูประกอบการใชหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึ กษาปที่ ๔ เลม ๑ ที่เปนไปตามมาตรฐานหลักสู ตร เพื่อเปนแนวทางใหโรงเรียนนําไป
จัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ เลม ๑ นี้ ประกอบดวยเนื้อหา
สาระ ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน การวัดผลประเมินผล
ระหวางเรี ยน การวิ เคราะหความสอดคลองของแบบฝกหัดทายบทกับจุ ดมุ งหมายประจํ าบท
ความรู เพิ่ มเติ มสํ าหรั บ ครู ซึ่ งเปนความรู ที่ ค รู ค วรทราบนอกเหนื อจากเนื้ อหาในหนั งสื อเรี ย น
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทพรอมเฉลย รวมทั้งเฉลยแบบฝกหัด ซึ่งครูผูสอนสามารถนําไปใช
เปนแนวทางในการวางแผนการจัดการเรียนรูใหบรรลุจุดประสงคที่ตั้งไว โดยสามารถนําไปจัด
กิจกรรมการเรียนรูไดตามความเหมาะสมและความพรอมของโรงเรียน ในการจัดทําคูมือครูเลมนี้
ไดรับความรวมมือเปนอยางดียิ่งจากผูทรงคุณวุฒิ คณาจารย นักวิชาการอิสระ รวมทั้งครูผูสอน
นักวิชาการ จากสถาบัน และสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
สสวท. หวังเปนอยางยิ่งวาคูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร เลมนี้ จะเปนประโยชน
แกผู สอน และผู ที่ เ กี่ ย วของทุ ก ฝาย ที่ จ ะชวยใหจั ด การศึ ก ษาดานคณิ ต ศาสตรไดอยางมี
ประสิทธิภาพ หากมีขอเสนอแนะใดที่จะทําใหคูมือครูเลมนี้มีความสมบูรณยิ่งขึ้น โปรดแจง
สสวท. ทราบดวย จะขอบคุณยิ่ง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
แนะนําการใชคูมือครู
ในหนังสือเลมนี้แบงเปน 3 บทตามหนังสือเรียนหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 โดยแตละบทจะมีสวนประกอบ ดังนี้
ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรูและปฏิบัติได รวมทั้งคุณลักษณะของผูเรียนในแตละ
ระดับชั้น ซึ่งสะทอนถึงมาตรฐานการเรียนรู มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเปน
รูปธรรม นําไปใชในการกําหนดเนื้อหา จัดทําหนวยการเรียนรู จัดการเรียนการสอน
และเปนเกณฑสําคัญสําหรับการวัดประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผูเรียน
จุดมุงหมาย
เปาหมายที่นักเรียนควรไปถึงหลังจากเรียนจบบทนี้
ความรูกอนหนา
ความรูที่นักเรียนจําเปนตองมีกอนที่จะเรียนบทนี้
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ประเด็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่ครูควรเนนย้ํากับนักเรียน ประเด็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่ครูควร
ระมัดระวัง จุดประสงคของตัวอยางที่นําเสนอในหนังสือเรียน เนื้อหาที่ควรทบทวน
กอนสอนเนื้อหาใหม และประเด็นเกี่ยวกับการสอนที่ครูพึงระลึก
ความเขาใจคลาดเคลื่อน
ประเด็นที่นักเรียนมักเขาใจผิดเกี่ยวกับเนื้อหา
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
กิจกรรมในคูมือครู
กิจกรรมที่คูมือครูเลมนี้เสนอแนะไวใหครูนําไปใชในชั้นเรียน ซึ่งมีทั้งกิจกรรมนําเขา
บทเรียน ที่ใชเพื่อตรวจสอบความรูกอนหนาที่จําเปนสําหรับเนื้อหาใหมที่ครูจะสอน
และกิจกรรมที่ใชสําหรับสรางความคิดรวบยอดในเนื้อหา โดยหลังจากทํากิจกรรม
แลว ครูควรเชื่อมโยงความคิดรวบยอดที่ตองการเนนกับผลที่ไดจากการทํากิจกรรม
กิจกรรมเหลานี้ครูควรสงเสริมใหนักเรียนไดลงมือปฏิบัติดวยตนเอง
กิจกรรมในหนังสือเรียน
กิจกรรมที่นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมไดดวยตนเอง เพื่อชวยพัฒนาทักษะการ
เรียนรูและนวัตกรรม (learning and innovation skills) ที่จําเปนสําหรับศตวรรษที่ 21
อันไดแก การคิดสรางสรรคและนวัตกรรม (creative and innovation) การคิด
แบบมีวิจารณญาณและการแกปญหา (critical thinking and problem solving)
การสื่อสาร (communication) และการรวมมือ (collaboration)
เฉลยกิจกรรมในหนังสือเรียน
เฉลยคําตอบหรือตัวอยางคําตอบของกิจกรรมในหนังสือเรียน
แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
1
1
1.1 เนื้อหาสาระ 2
1.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน 5
1.3 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน 17
1.4 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท 18
1.5 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู 22
1.6 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและ 23
เซต เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1.7 เฉลยแบบฝกหัด 35
d
บทที่ 2 ตรรกศาสตร
2
47
2.1 เนื้อหาสาระ 48
2.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน 51
2.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน 68
2.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน 72
2.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท 74
2.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู 82
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
2.8 เฉลยแบบฝกหัด 89
สารบัญ บทที่ 3
บทที่ เนื้อหา หนา
3
บทที่ 3 จํานวนจริง 106
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
3.8 เฉลยแบบฝกหัด 183
d
เฉลยแบบฝกหัดและวิธีทําโดยละเอียด 198
บทที่ 1 เซต 198
บทที่ 2 ตรรกศาสตร 235
บทที่ 3 จํานวนจริง 328
d
แหลงเรียนรู
478
เพิ่มเติม
บรรณานุกรม 479
คณะผูจัดทํา 480
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 1
บทที่ 1
เซต
การศึกษาเรื่องเซตมีความสําคัญตอวิชาคณิตศาสตรเพราะเปนรากฐานและเครื่องมือที่สําคัญ
ในการพัฒนาองคความรูในวิชาคณิตศาสตรสมัยใหมทุกสาขา เนื้อหาเรื่องเซตที่นําเสนอในหนังสือ
เรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 มีเปาหมายเพื่อใหนักเรียนเรียนรู
เกี่ยวกับสัญลักษณและภาษาทางคณิตศาสตร ซึ่งเพียงพอที่จะใชในการสื่อสารและสื่อความหมาย
ทางคณิตศาสตรเพื่อเปนเครื่องมือในการเรียนรูเนื้อหาคณิตศาสตรในหัวขอตอไป ในบทเรียนนี้
มุงใหนักเรียนบรรลุตัวชี้วัด ผลการเรียนรูและจุดมุงหมายดังตอไปนี้
ตัวชี้วัด ผลการเรียนรู
ตัวชี้วัด
เขาใจและใชความรูเกี่ยวกับเซตและตรรกศาสตรเบื้องตน ในการสื่อสารและสื่อความหมาย
ทางคณิตศาสตร
ผลการเรียนรู
เขาใจและใชความรูเกี่ยวกับเซต ในการสื่อสารและสื่อความหมายทางคณิตศาสตร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
จุดมุงหมาย
1. ใชสัญลักษณเกี่ยวกับเซต
2. หาเพาเวอรเซตของเซตจํากัด
3. หาผลการดําเนินการของเซต
4. ใชแผนภาพเวนนแสดงความสัมพันธระหวางเซต
5. ใชความรูเกี่ยวกับเซตในการแกปญหา
ความรูกอนหนา
• ความรูเกี่ยวกับจํานวนและสมการในระดับมัธยมศึกษาตอนตน
1.1 เนื้อหาสาระ
1. ในวิชาคณิตศาสตร ใชคําวา “เซต” ในการกลาวถึงกลุมของสิ่งตาง ๆ และเมื่อกลาวถึงกลุมใด
แลวสามารถทราบไดแนนอนวาสิ่งใดอยูในกลุม และสิ่งใดไมอยูในกลุม เรียกสิ่งที่อยูในเซต
วา “สมาชิ ก ” คํ า วา “เปนสมาชิ ก ของ ” หรื อ “อยู ใน ” เขี ย นแทนดวยสั ญ ลั ก ษณ “∈ ”
คําวา “ไมเปนสมาชิกของ” เขียนแทนดวยสัญลักษณ “ ∉ ”
2. การเขียนแสดงเซตเบื้องตนมีสองแบบ คือ แบบแจกแจงสมาชิก และแบบบอกเงื่อนไขของ
สมาชิก
3. เซตที่ไมมีสมาชิก เรียกวา “เซตวาง” เขียนแทนดวยสัญลั กษณ “{ }” หรือ “∅”
4. เซตที่มีจํานวนสมาชิกเปนจํานวนเต็มบวกใด ๆ หรือศูนย เรียกวา “เซตจํากัด” เซตที่ไมใช
เซตจํากัด เรียกวา “เซตอนันต”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 3
5. ในการเขียนเซตจะตองกําหนดเซตที่บงบอกถึงขอบเขตของสิ่งที่จะพิจารณา เรียกเซตนี้วา
“เอกภพสัมพัทธ” ซึ่งมักเขียนแทนดวย U เอกภพสัมพัทธที่พบบอย ไดแก
แทนเซตของจํานวนนับ
แทนเซตของจํานวนเต็ม
แทนเซตของจํานวนตรรกยะ
' แทนเซตของจํานวนอตรรกยะ
แทนเซตของจํานวนจริง
6. เซต A เทากับ เซต B หมายถึง สมาชิกทุกตัวของเซต A เปนสมาชิกของเซต B และ
สมาชิกทุกตัวของเซต B เปนสมาชิกของเซต A เขียนแทนดวย A=B
เขียนแทนดวย A⊂ B
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
เขียนแทนดวย A− B
11. สมบัติของการดําเนินการของเซต
ให A, B และ C เปนสับเซตของเอกภพสัมพัทธ U จะได
1) A∪ B = B ∪ A
A∩ B = B ∩ A
2) ( A ∪ B) ∪ C = A ∪ ( B ∪ C )
( A ∩ B) ∩ C = A ∩ ( B ∩ C )
3) A ∪ ( B ∩ C ) = ( A ∪ B) ∩ ( A ∪ C )
A ∩ ( B ∪ C ) = ( A ∩ B) ∪ ( A ∩ C )
4) ( A ∪ B )′ = A′ ∩ B′
( A ∩ B )′ = A′ ∪ B′
5) A − B = A ∩ B′
6) A′ = U − A
12. ถาเซต และ C เปนเซตจํากัดใด ๆ ที่มีจํานวนสมาชิกเปน n ( A) , n ( B ) และ n ( C )
A, B
ตามลําดับ แลว
n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C )
+ n( A ∩ B ∩ C)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 5
1.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
เซต
ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจแนวคิดเกี่ยวกับเซตและสมาชิกของเซต โดยใช
กิจกรรมการจัดกลุม ดังนี้
กิจกรรม : การจัดกลุม
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3 – 4 คน แบบคละความสามารถ จากนั้นครูเขียนคําตอไปนี้
บนกระดาน
หญิง จันทร A พุธ
อาทิตย ชาย E อังคาร
ศุกร U I พ หัสบดี
O เสาร
2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมอภิปรายวาจะจัดกลุมคําที่เขียนบนกระดานอยางไร
3. ครูใหตัวแทนนักเรียนแตละกลุมนําเสนอการจัดกลุมคํา แลวรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ
กลุมคําที่จัด ในประเด็นตอไปนี้
3.1 จัดกลุมคําไดกี่กลุม พรอมใหเหตุผลประกอบ
3.2 กลุมคําที่ กลุมของตนเองจั ดไดเหมือนหรือแตกตางจากกลุมคําของเพื่อนกลุมอื่น
หรือไม อยางไร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
หมายเหตุ
• แนวคํ า ตอบ เชน จั ด เปน 3 กลุ ม ไดแก กลุมคํ าที่ แสดงเพศ กลุ มคํ า ที่แ สดงชื่อ วั น
ในหนึ่งสัปดาห และกลุมคําที่แสดงสระในภาษาอังก ษ คําตอบของนักเรียนอาจมีได
หลากหลายขึ้นกับเหตุผลประกอบคําตอบ
• ครู อ าจเปลี่ ย นเปนคํ า อื่ น ๆ หรื อ รู ป ภาพอื่ น ๆ เพื่ อ ใหนั ก เรี ย นสามารถจั ด กลุ ม
ไดหลายแบบ
• ครูอาจจัดกิจกรรมนอกหองเรียน เชน ในสวนพ กษศาสตร แลวใหนักเรียนจัดกลุม
พันธุพืช
ครูสามารถเชื่อมโยงการจัดกลุมในกิจกรรมนี้กับเนื้อหาเรื่องเซต โดยแตละกลุมคําที่นักเรียนจัด
เปรียบไดกับเซต และคําที่อยูในแตละกลุมเปรี ยบไดกับ สมาชิกของเซต เมื่อนักเรีย นไดศึกษา
เกี่ยวกับการเขียนแสดงเซตแบบแจกแจงสมาชิก และแบบบอกเงื่อนไขของสมาชิกแลว ครูอาจให
นักเรียนเขียนกลุมของคําในรูปของเซต ทั้งแบบแจกแจงสมาชิก และแบบบอกเงื่อนไขของสมาชิก
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สมาชิกของเซต
ตัวอยางที่ 1
ให A = {0, 1, 2} จงพิจารณาวาขอความตอไปนี้เปนจริงหรือเท็จ
1) 0 ∈ A
2) {0} ∈ A
3) {1, 2} ∉ A
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 7
การเขียนแสดงเซต
ในการเริ่มตนยกตัวอยางการเขียนแสดงเซตแบบแจกแจงสมาชิกนั้น ครูควรเริ่มตนจาก
การยกตัวอยางเซตที่หาสมาชิกของเซตไดงาย เพื่อเปนการใหความสําคัญกับการเขียน
แสดงเซตแบบแจกแจงสมาชิ ก มากกวาการคํ า นวณเพื่ อ หาสมาชิ ก ของเซต
เชน เซตของพยัญชนะในภาษาไทย เซตของจํานวนคู เซตของจํานวนนับที่นอยกวา 5
เซตของจํานวนเต็มที่ยกกําลังสองแลวได 16
เอก พสัมพัทธ
ในการเขียนเซตจะตองกําหนดเซตที่บงบอกถึงขอบเขตของสิ่งที่จะพิจารณา เรียกเซตนี้
วา เอกภพสัมพัทธ โดยมีขอตกลงวา เมื่อกลาวถึงสมาชิกของเซตใด ๆ จะไมกลาวถึง
สิ่งอื่นที่นอกเหนือจากสมาชิกในเอกภพสัมพัทธ ดังนั้นเอกภพสัมพัทธจึงมีความสําคัญ
ในการพิจารณาสมาชิกของเซต โดยเซตที่มีเงื่อนไขเดียวกันแตมีเอกภพสัมพัทธตางกัน
อาจมีสมาชิกตางกัน เชน
A = {x ∈ x 2 = 4} และ B = {x ∈ x 2 = 4}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
เซตวาง
• เซตวางเปนทั้งสับเซตและสมาชิกของเพาเวอรเซตของเซตใด ๆ
• เพาเวอรเซตของเซตวาง คือ { ∅ }
สับเซต
• เซตวางเปนสับเซตของเซตทุกเซต
• เซตทุกเซตเปนสับเซตของตัวเอง
• ไมสามารถหาสับเซตที่เปนไปไดทั้งหมดของเซตอนันต
ความเขาใจคลาดเคลื่อน
เซตจํากัด
• นักเรียนคิดวาเซตวางไมใชเซตจํากัด ซึ่งครูควรชี้ใหนักเรียนเห็นวาเซตวางเปนเซตที่
ไมมีสมาชิกหรือมีสมาชิก 0 ตัว ดังนั้น เซตวางจึงเปนเซตจํากัด
• นั ก เรี ย นเขาใจวา { x | x ∈ , 0 ≤ x ≤ 1} เปนเซตจํ า กั ด เนื่ อ งจากเขาใจวา
มีสมาชิกตัวแรกคือ 0 และสมาชิกตัวสุดทายคือ 1 ซึ่งครูควรใหนักเรียนพิจารณา
เอกภพสัมพัทธของเซตนี้ ซึ่งเปนเซตของจํานวนจริง จึงไดวาเซตนี้เปนเซตอนันต
เซตวาง
นั กเรี ย นสั บ สนเกี่ ย วกั บ การใชสั ญ ลั ก ษณแทนเซตวาง เชน ใช { ∅ } แทนเซตวาง
ซึ่งเปนการใชสัญ ลักษณที่ ไมถู กตอง ครู ควรใหนั กเรีย นพิจ ารณาจํ านวนสมาชิ กของ
{ ∅ } จะไดวาเซตนี้มีสมาชิก 1 ตัว ดังนั้น เซตนี้จึงไมใชเซตวาง นอกจากนี้ครูอาจ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 9
สับเซต
นักเรี ย นมี ความสั บ สนเกี่ ย วกั บ ความหมายและสัญลักษณที่ใชแทนการเปนสมาชิก
ของเซต (∈) และการเปนสับเซต ( ⊂ )
กิจกรรม : รับสมัครงาน
บริษัทแหงหนึ่งเปดรับสมัครงานหลายตําแหนง โดยหลังจากประกาศรับสมัครงานผานไป
หนึ่งเดือน มีผูที่สนใจสงใบสมัครทั้งหมด 15 คน แตละคนมีคุณสมบัติดังนี้
นางหนึ่ง อายุ 32 ป จบการศึกษาปริญญาตรี มีใบอนุญาตขับขี่
นายสอง อายุ 42 ป จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 ไมมีใบอนุญาตขับขี่
นายสาม อายุ 22 ป จบการศึกษาปริญญาตรี ไมมีใบอนุญาตขับขี่
นายสี่ อายุ 25 ป จบการศึกษาปริญญาโท มีใบอนุญาตขับขี่
นางหา อายุ 23 ป จบการศึกษาปริญญาตรี มีใบอนุญาตขับขี่
นายหก อายุ 34 ป จบการศึกษาปริญญาตรี ไมมีใบอนุญาตขับขี่
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
อายุ 25 – 35 ป
เพศชาย จบการศึกษาอยางต่ํา
มีใบอนุญาตขับขี่
ระดับปริญญาตรี
2. ครูใหนักเรียนหาวามีผูสมัครคนใดบางที่มีคุณสมบัติตรงกับตําแหนงตอไปนี้
2.1 พนักงานขับรถ เพศชาย จบการศึกษาระดับใดก็ได มีใบอนุญาตขับขี่
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 11
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัด 1.1ก
2. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบบอกเงื่อนไขของสมาชิก
1) {1, 3, 5, 7, 9}
2) {..., − 2, − 1, 0, 1, 2, ...}
3) {1, 4, 9, 16, 25, 36, ...}
4) {10, 20, 30, ...}
แบบฝกหั ด นี้ มีคํ า ตอบไดหลายแบบ เนื่ องจากการเขีย นแสดงเซตแบบบอกเงื่ อนไขของ
สมาชิกสามารถเขียนไดหลายแบบ ควรใหนักเรียนมีอิสระในการเขียนเงื่อนไขของสมาชิก
ของเซต ซึ่งเงื่อนไขของนักเรียนไมจําเปนตองตรงกับที่ครูคิดไว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
การดําเนินการระหวางเซต
เมื่อนักเรียนมีความเขาใจเกี่ยวกับการเขียนแผนภาพเวนนแสดงเซตแลว ครูใชกิจกรรมตอไปนี้
เพื่อสรางความเขาใจเกี่ยวกับความหมายของอินเตอรเซกชัน ยูเนียน คอมพลีเมนต และผลตาง
ระหวางเซต
กิจกรรม : หาเพื่อน
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใหนักเรียนจับคูกัน แลวครูเขียนแผนภาพนี้ลงบนกระดาน
2. ครูใหนักเรียนแตละคูอภิปรายในประเด็นตอไปนี้
2.1 สมาชิกตัวใดบางที่เปนสมาชิกของทั้งเซต A และเซต B
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับคําตอบที่ไดในขอ 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 13
ครูสามารถเชื่อมโยงคําตอบที่ไดในกิจกรรมนี้กับเนื้อหาเรื่องการดําเนินการระหวางเซต ไดแก
อินเตอรเซกชัน ยูเนียน คอมพลีเมนต และผลตางระหวางเซต
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ลําดับการดําเนินการระหวางเซต
การเขี ย นวงเล็ บ มี ค วามสํ า คั ญ กั บ ลํ าดั บ การดํา เนิ น การระหวางเซตในกรณี ที่มี การ
ดํ า เนิ น การตางชนิ ด กั น เชน ( A ∪ B ) ∩ C มี ลํ า ดั บ การดํ า เนิ น การแตกตางกั บ
A ∪ ( B ∩ C ) เพื่อไมใหเกิดการสับสนเกี่ยวกับลําดับในการดําเนินการ จึงจําเปนตอง
ใสวงเล็บเพื่อบอกลําดับการดําเนินการระหวางเซตเสมอ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัด 1.2
3.
จงแรเงาแผนภาพที่กําหนดใหเพื่อแสดงเซตตอไปนี้
1) A′ 2) B′
3) A′ ∩ B′ 4) ( A ∪ B )′
5) A′ ∪ B′ 6) ( A ∩ B )′
7) A− B 8) A ∩ B′
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
4.
จงแรเงาแผนภาพที่กําหนดใหเพื่อแสดงเซตตอไปนี้
1) ( A ∪ B) ∪ C 2) A∪(B ∪C)
3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A∩(B ∩C)
5) ( A ∪ B) ∩ C 6) ( A∩C) ∪(B ∩C)
แบบฝกหัดทั้งสองขอนี้มีไวเพื่อเปนตัวอยางของการแสดงสมบัติของการดําเนินการของเซต
จากการแรเงาแผนภาพนักเรียนจะสังเกตเห็นวา แผนภาพที่แรเงาไดในบางขอเปนแผนภาพ
เดียวกันซึ่งสอดคลองกับสมบัติของการดําเนินการของเซต
การแกปญหาโดยใชเซต
เมื่อนักเรียนมีความเขาใจเกี่ยวกับการเขียนแผนภาพเวนนแสดงเซตและการดําเนินการแลว
ครูอาจใชกิจกรรมตอไปนี้เพื่อสรางความเขาใจเกี่ยวกับความหมายของอินเตอรเซกชัน ยูเนียน
คอมพลีเมนต และผลตางระหวางเซต
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 15
กิจกรรม : แรเงา
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใหนักเรียนจับคูกัน แลวครูเขียนแผนภาพนี้ลงบนกระดาน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
5. จากแผนภาพตอไปนี้
ครูสามารถเชื่อมโยงคําตอบที่ไดในกิจกรรมนี้กับเนื้อหาเรื่องการแกปญหาโดยใชเซต ในการหา
จํานวนสมาชิ กของเซต A∪ B และครูยังสามารถทํากิจ กรรมในทํานองเดียวกันนี้ในการหา
จํานวนสมาชิกของเซต A∪ B ∪C
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• ในการแกปญหาโดยใชเซตนั้น ครูอาจเสนอแนะใหนักเรียนใชวิธีเขียนแผนภาพแสดง
เซตเพื่อชวยในการหาคําตอบ
• ตัวเลขที่แสดงในแผนภาพแสดงเซตอาจหมายถึง สมาชิกของเซต หรือจํานวนสมาชิก
ของเซต ดังนั้น ครูควรเนนใหนักเรียนมีความเขาใจที่ชัดเจน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 17
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัดทายบท
2. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบบอกเงื่อนไขของสมาชิก
1) {1, 4, 7, 10, 13}
2) {−20, − 19, − 18, , − 10}
3) {5, 9, 13, 17, 21, 25, }
4) {1, 8, 27, 64, 125, 216, }
แบบฝกหั ด นี้ มี คํา ตอบไดหลายแบบ เนื่ อ งจากการเขี ย นแสดงเซตแบบบอกเงื่อ นไขของ
สมาชิกสามารถเขียนไดหลายแบบ ควรใหนักเรียนมีอิสระในการเขียนเงื่อนไขของสมาชิก
ของเซต ซึ่งเงื่อนไขของนักเรียนไมจําเปนตองตรงกับที่ครูคิดไว
1.3 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
การวัดผลระหวางเรียนเปนการวัดผลการเรียนรูเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน และ
ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเรื่องที่ครูสอนมากนอยเพียงใด การให
นักเรียนทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหนึ่งที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของ
นักเรียน ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไดนําเสนอ
แบบฝกหั ด ที่ ครอบคลุ มเนื้ อหาที่ สํ า คั ญ ของแตละบทไว สํา หรั บ ในบทที่ 1 เซต ครู อ าจใช
แบบฝกหัดเพื่อวัดผลประเมินผลความรูในแตละเนื้อหาไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
เนื้อหา แบบฝกหัด
การแกปญหาโดยใชเซต 1.3ก ขอ 1 – 9
1.4 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท
หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 มีจุดมุงหมายวา
เมื่อนักเรียนไดเรียนจบบทที่ 1 เซต แลวนักเรียนสามารถ
1. ใชสัญลักษณเกี่ยวกับเซต
2. หาเพาเวอรเซตของเซตจํากัด
3. หาผลการดําเนินการของเซต
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 19
4. ใชแผนภาพเวนนแสดงความสัมพันธระหวางเซต
5. ใชความรูเกี่ยวกับเซตในการแกปญหา
ซึ่ ง หนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าเพิ่ มเติ มคณิ ต ศาสตร ชั้ น มั ธ ยมศึ กษาปที่ 4 เลม 1 ไดนํ า เสนอ
แบบฝกหัดทายบทที่ประกอบดวยโจทยเพื่อตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อ
วัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ซึ่งประกอบดวยโจทยฝกทักษะที่มีความ
นาสนใจและโจทยทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียน
ตามจุดมุงหมายของบทเพื่อตรวจสอบวานักเรียนมีความสามารถตามจุดมุงหมายเมื่อเรียนจบ
บทเรียนหรือไม
จุดมุงหมาย
ขอ ใชแผนภาพเวนน
ขอ ใชสัญลักษณ หาเพาเวอรเซต หาผลการดําเนินการ ใชความรูเกีย่ วกับเซต
ยอย แสดงความสัมพันธ
เกี่ยวกับเซต ของเซตจํากัด ของเซต ในการแกปญหา
ระหวางเซต
1. 1)
2)
3)
4)
5)
2. 1)
2)
3)
4)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
จุดมุงหมาย
ขอ
ขอ ใชแผนภาพเวนน
ยอย ใชสัญลักษณ หาเพาเวอรเซต หาผลการดําเนินการ ใชความรูเกีย่ วกับเซต
แสดงความสัมพันธ
เกี่ยวกับเซต ของเซตจํากัด ของเซต ในการแกปญหา
ระหวางเซต
3. 1)
2)
3)
4)
5)
4. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
5. 1)
2)
3)
4)
6. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7. 1)
2)
3)
8. 1)
2)
3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 21
จุดมุงหมาย
ขอ
ขอ ใชแผนภาพเวนน
ยอย ใชสัญลักษณ หาเพาเวอรเซต หาผลการดําเนินการ ใชความรูเกีย่ วกับเซต
แสดงความสัมพันธ
เกี่ยวกับเซต ของเซตจํากัด ของเซต ในการแกปญหา
ระหวางเซต
9. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
10. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
11. 1)
2)
3)
12. 1)
2)
3)
4)
5)
13.
14.
15. 1)
2)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
จุดมุงหมาย
ขอ
ขอ ใชแผนภาพเวนน
ยอย ใชสัญลักษณ หาเพาเวอรเซต หาผลการดําเนินการ ใชความรูเกีย่ วกับเซต
แสดงความสัมพันธ
เกี่ยวกับเซต ของเซตจํากัด ของเซต ในการแกปญหา
ระหวางเซต
16. 1)
2)
17.
18. 1)
2)
3)
4)
19. 1)
2)
3)
20.
21. แบบฝกหัดทาทาย
22. 1) แบบฝกหัดทาทาย
2) แบบฝกหัดทาทาย
3) แบบฝกหัดทาทาย
4) แบบฝกหัดทาทาย
1.5 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู
• เซตอนันต จําแนกไดเปน 2 แบบ คือ
แบบที่ 1 เปนเซตอนันตนับได (countable infinite) เชน เซตของจํานวนนับ เซตของ
จํานวนเต็ม เซตของจํานวนตรรกยะ { x ∈ −
| x ≤ 1} , {x∈ | x ≠ 0}
• สมบัติของการดําเนินการของเซต
สมบัติของการดําเนินการของเซตเทียบเคียงไดกับสมบัติบางขอในสัจพจนเชิงพีชคณิต
ของระบบจํานวนจริง ดังนี้
ให A, B และ C เปนสับเซตของเอกภพสัมพัทธ U จะได
1) สมบัติการสลับที่
A∪ B = B ∪ A
A∩ B = B ∩ A
2) สมบัติการเปลี่ยนหมู
( A ∪ B) ∪ C = A ∪ ( B ∪ C )
( A ∩ B) ∩ C = A ∩ ( B ∩ C )
3) สมบัติการแจกแจง
A ∪ ( B ∩ C ) = ( A ∪ B) ∩ ( A ∪ C )
A ∩ ( B ∪ C ) = ( A ∩ B) ∪ ( A ∩ C )
1.6 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
ในสวนนี้จะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทที่ 1 เซต สําหรับรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร
ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปที่ 4 เลม 1 ซึ่ ง ครู ส ามารถเลื อ กนํ า ไปใชไดตามจุ ด ประสงคการเรี ย นรู
ที่ตองการวัดผลประเมินผล
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบแจกแจงสมาชิก
1) เซตของจํานวนเฉพาะที่อยูระหวาง 0 และ 20
2) {x ∈ 2 x2 − x − 3 = 0 }
2. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบบอกเงื่อนไขของสมาชิก
1 1 1
1) , , , 1, 2, 4
8 4 2
2) { 0.1, 0.2, 0.3, 0.4, }
3. ให A = { a , b, c , { d } } จงพิจารณาวาขอความตอไปนี้เปนจริงหรือเท็จ
1) a∈ A 2) {d } ∉ A
3) { {d } } ⊂ A 4) { a, b } ∈ A
5) {b, {d }} ⊂ P ( A) 6) {∅, {d }} ⊂ P ( A)
4. จงหาจํานวนสมาชิกของเซตตอไปนี้
1) {{1, 2, 3, …}}
2) {x ∈ x 2 < 150 }
5. กําหนดให A, B เปนเซตอนันต และ A≠B จงพิจารณาวาขอความตอไปนี้เปนจริง
หรือเท็จ ถาเปนเท็จจงยกตัวอยางคาน
1) A∩ B เปนเซตอนันต
2) A∩ B เปนเซตจํากัด
3) A− B เปนเซตอนันต
4) A− B เปนเซตจํากัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 25
6. กําหนดให A = {a, b, c, d , e}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
18 คน ชอบดูภาพยนตรและอานหนังสือ
40 คน ชอบออกกําลังกายและอานหนังสือ
10 คน ไมสนใจงานอดิเรกขางตน
จงหาจํานวนคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอานหนังสือ
15. ในงานเลี้ยงแหงหนึ่งมีผูเขารวมงาน 200 คน โดยที่ทุกคนชอบรับประทานกุง ปลา หรือปู
จากการสํารวจปรากฏวามีคนที่ชอบรับประทานกุง ปลา และปู 63%, 42% และ 55%
และชอบรับประทานทั้งสามอยาง 9% จงหาจํานวนของคนที่ชอบรับประทานทั้งกุงและปู
16. ในการสํารวจขอมูลเกี่ยวกับการทองเที่ยวของนักทองเที่ยวชาวตางชาติจํานวน 500 คน
พบวานักทองเที่ยวทุกคนเคยไปเชียงใหม กระบี่ หรือชลบุรี โดยมีนักทองเที่ยวที่เคยไปทั้ง
เชียงใหม กระบี่ และชลบุรี จํานวน 39 คน เคยไปเชียงใหมและกระบี่เทานั้น 78 คน
เคยไปเชียงใหมและชลบุรีเทานั้น 96 คน เคยไปกระบี่และชลบุรีเทานั้น 111 คน และมี
คนที่ไมเคยไปกระบี่ 208 คน จงหาจํานวนคนที่เคยไปกระบี่เพียงจังหวัดเดียว
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. 1) {2, 3, 5, 7, 11, 13, 17, 19}
2) จาก 2 x2 − x − 3 = 0
( 2 x − 3)( x + 1) = 0
3
นั่นคือ x= หรือ x = −1
2
3
เนื่องจาก ไมใชจํานวนเต็ม จึงได −1 เปนคําตอบของสมการ
2
ดังนั้น เขียน { x ∈ 2 x2 − x − 3 = 0 } แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน {−1}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 27
2. 1) {x x = 2n − 4 เมื่อ n∈ และ n ≤ 6}
n
2) {x x= เมื่อ n∈ }
10
3. 1) จริง 2) เท็จ
3) จริง 4) เท็จ
5) เท็จ 6) เท็จ
4. 1) เนื่องจาก {{1, 2, 3, …}} มีสมาชิก คือ {1, 2, 3, …}
ดังนั้น {{1, 2, 3, …}} มีจํานวนสมาชิก 1 ตัว
2) เนื่องจาก { x ∈ }
x 2 < 150 = {−12, − 11, … , 0, 1, … , 12}
6. จาก A = {a, b, c, d , e}
จะได {
P ( A) = ∅, { 1 } , {{ 2, 3 }}, {1, { 2, 3 }} }
ดังนั้น {
P ( A) − A = P( A) = ∅, { 1 } , {{ 2, 3 }}, {1, { 2, 3 }} }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 29
8. 1) เขียนแผนภาพแสดง ( A − B ) ∪ ( B − A) ไดดังนี้
2) เขียนแผนภาพแสดง ( ( A − B ) − ( A − C ) ) ∪ ( B − ( A ∪ C ) )
( A − B ) ∪ ( B − A) ( A ∪ B) − ( A ∩ B)
จากแผนภาพ จะไดวา ( A − B ) ∪ ( B − A) = ( A ∪ B ) − ( A ∩ B )
ดังนั้น ( A − B ) ∪ ( B − A) และ ( A ∪ B ) − ( A ∩ B ) เทากัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
10. จาก n( A ∪ B) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได n( A ∪ B) + n( A ∩ B) = n ( A) + n ( B )
เนื่องจาก n ( A ∪ B ) + n ( A ∩ B ) = 75 และ n ( B ) = n ( A) − 1
นั่นคือ 75 = n ( A) + n ( A) − 1
2 n ( A) = 76
จะได n ( A) = 38
C = { 5, 10, , 60 } นั่นคือ n ( C ) = 12
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 31
จากแผนภาพ จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 12 + 8 + 6 + 4 + 3 + 2 + 1 = 36
ดังนั้น จํานวนสมาชิกของ U ที่หารดวย 3 ลงตัว หรือหารดวย 4 ลงตัว หรือหาร
ดวย 5 ลงตัว มีอยู 36 ตัว
วิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )
−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 20 + 15 + 12 − 5 − 4 − 3 + 1
= 36
ดังนั้น จํานวนสมาชิกของ U ที่หารดวย 3 ลงตัว หรือหารดวย 4 ลงตัว หรือหาร
ดวย 5 ลงตัว มีอยู 36 ตัว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
เนื่องจาก มีนักเรียนที่เลี้ยงสุนัขหรือแมวเพียงชนิดเดียว 47 คน
จะได ( 32 − x ) + ( 25 − x ) = 47
57 − 2x = 47
2x = 10
x = 5
ดังนั้น จํานวนของนักเรียนที่เลี้ยงทั้งสุนัขและแมว เทากับ 5 คน
14. ให A แทนเซตของคนที่ชอบดูภาพยนตร จะได n ( A) = 72
B แทนเซตของคนทีช่ อบออกกําลังกาย จะได n ( B ) = 65
C แทนเซตของคนทีช่ อบอานหนังสือจะได n ( C ) = 58
A∩ B แทนเซตของคนที่ชอบดูภาพยนตรและออกกําลังกาย จะได n ( A ∩ B ) = 23
A∩C แทนเซตของคนที่ชอบดูภาพยนตรและอานหนังสือ จะได n ( A ∩ C ) = 18
B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบออกกําลังกายและอานหนังสือ จะได n ( B ∩ C ) = 40
และ ( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของคนที่ไมชอบงานอดิเรกขางตนเลย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 33
จากแผนภาพ จะได
( 31 + x ) + ( 23 − x ) + ( 2 + x ) + (18 − x ) + x + ( 40 − x ) + x = 130
x + 114 = 130
x = 16
ดังนั้น มีคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอานหนังสือ 16 คน
วิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )
−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 20 + 15 + 12 − 5 − 4 − 3 + 1
130 = 72 + 65 + 58 − 23 − 18 − 40 + n ( A ∩ B ∩ C )
นั่นคือ n ( A ∩ B ∩ C ) = 16
ดังนั้น มีคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอานหนังสือ 16 คน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
15. ให A แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานกุง
B แทนเซตของคนทีช่ อบรับประทานปลา
C แทนเซตของคนทีช่ อบรับประทานปู
A∩ B แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานกุงและปลา
B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานปลาและปู
A∪ B ∪C แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานกุง ปลา หรือปู
และ A∩ B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานทั้งสามอยาง
63
จะได n ( A) = × 200 = 126
100
42
n( B) = × 200 = 84
100
55
n (C ) = × 200 = 110
100
24
n( A ∩ B) = × 200 = 48
100
17
n(B ∩ C) = × 200 = 34
100
9
n( A ∩ B ∩ C) = × 200 = 18
100
เนื่องจาก มีคนมารวมงานทั้งหมด 200 คน โดยแตละคนชอบรับประทานกุง ปลา หรือปู
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 200
จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )
−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
นั่นคือ n ( A ∩ C ) = 56
ดังนั้น มีคนที่ชอบรับประทานทั้งกุงและปู 56 คน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 35
16. ให A แทนเซตของนักทองเที่ยวที่เคยไปเชียงใหม
B แทนเซตของนักทองเที่ยวที่เคยไปกระบี่
และ C แทนเซตของนักทองเที่ยวที่เคยไปชลบุรี
ให a แทนจํานวนนักทองเที่ยวที่เคยไปเชียงใหมเพียงจังหวัดเดียว
b แทนจํานวนนักทองเที่ยวที่เคยไปกระบี่เพียงจังหวัดเดียว
และ c แทนจํานวนนักทองเที่ยวที่เคยไปชลบุรีเพียงจังหวัดเดียว
เขียนแผนภาพแสดงไดดังนี้
เนื่องจากมีนักทองเที่ยวที่ไมเคยไปกระบี่ 208 คน
จากแผนภาพ จะไดวา a + c + 96 = 208 นั่นคือ a + c = 112
ดังนั้น จํานวนคนที่เคยไปกระบี่เพียงจังหวัดเดียวมี 64 คน
1.7 เฉลยแบบฝกหัด
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 แบงการเฉลยแบบฝกหัด
เปน 2 สวน คือ สวนที่ 1 เฉลยคําตอบ และสวนที่ 2 เฉลยคําตอบพรอมวิธีทําอยางละเอียด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
ซึ่งเฉลยแบบฝกหัดที่อยูในสวนนี้เปนการเฉลยคําตอบของแบบฝกหัด โดยไมไดนําเสนอวิธีทํา
อยางไรก็ตามครูสามารถศึกษาวิธีทําโดยละเอียดของแบบฝกหัดไดในสวนทายของคูมือครูเลมนี้
แบบฝกหัด 1.1ก
1. 1) { a, e, i, o, u } 2) { 2, 4, 6, 8 }
3) { 10, 11, 12, , 99 } 4) { 101, 102, 103, }
5) { − 99, − 98, − 97, , − 1} 6) { 4, 5, 6, 7, 8, 9 }
7) ∅ 8) ∅
9) { − 14, 14 }
10) {ชลบุร,ี ชัยนาท, ชัยภูมิ, ชุมพร, เชียงราย, เชียงใหม}
2. 1) ตัวอยางคําตอบ { x x เปนจํานวนคี่บวกที่นอยกวา 10 }
หรือ { x ∈ x เปนจํานวนคี่ตั้งแต 1 ถึง 9 }
2) ตัวอยางคําตอบ { x x เปนจํานวนเต็ม }
3) ตัวอยางคําตอบ { x ∈ x มีรากที่สองเปนจํานวนเต็ม }
หรือ { x x = n2 และ n เปนจํานวนนับ }
4) ตัวอยางคําตอบ { x ∈ x หารดวยสิบลงตัว }
หรือ { x x = 10n และ n เปนจํานวนนับ }
3. 1) 1 ตัว 2) 5 ตัว
3) 7 ตัว 4) 9 ตัว
5) 0 ตัว
4. 1) เปนเท็จ 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 37
5. 1) เปนเซตวาง 2) ไมเปนเซตวาง
3) ไมเปนเซตวาง 4) เปนเซตวาง
5) ไมเปนเซตวาง
6. 1) เซตอนันต 2) เซตจํากัด
3) เซตอนันต 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต 6) เซตอนันต
7. 1) A≠B จ 2) A≠B
3) A=B จ 4) A=B
5) A≠B จ
8. A=D จ
แบบฝกหัด 1.1ข
1. 1) ถูก 2) ผิด
3) ผิด 4) ถูก
5) ถูก 6) ผิด
2. A ⊂ B, C ⊂ A, C ⊂ B จ
3. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนจริง
4. 1) ∅ และ { 1}
2) ∅ , { 1} , { 2 } และ { 1, 2 }
3) ∅ , { − 1 } , { 0 } , { 1 } , {−1, 0 } , {−1, 1 } , { 0, 1 } และ {−1, 0, 1}
4) ∅ , { x }, { y } และ { x , y }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
5) ∅ , { a } , { b } , { c } , { a , b } , { a , c } , { b, c } และ { a , b , c }
6) ∅
5. 1) {∅ , { 5 }}
2) {∅ , { 0 } , { 1} , { 0, 1}}
3) {∅ , { 2 } , { 3 } , { 4 } , { 2, 3 } , { 2, 4 } , { 3, 4 } , { 2, 3, 4 }}
4) {∅ }
แบบฝกหัด 1.1ค
1.
2. 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 39
2)
3)
3. 1) 1 ตัว (คือ a)
แบบฝกหัด 1.2
1. 1) A ∪ B = { 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 } ก 2) A ∩ B = { 0, 2 }
3) A − B = { 1, 8 } ก 4) B − A = { 4, 7, 9 }
5) A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9 } ก 6) B′ = { 1, 3, 5, 6, 8 }
7) A ∪ B′ = { 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8 } ก 8) A′ ∩ B = { 4, 7, 9 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
2. 1) A∩ B = ∅ ก 2) B ∪ C = { 1, 3, 4, 5, 6, 7 }
3) B ∩ C = { 3, 5 } 4) A ∩ C = { 4, 6 }
5) C ′ = { 0, 1, 2, 7 , 8 } 6) C ′ ∩ A = { 0, 2, 8 }
7) C ′ ∩ B = { 1, 7 } 8) ( A ∩ B ) ∪ B = { 1, 3, 5, 7 }
3. 1) A′ 2) B′ d
3) A′ ∩ B′ 4) ( A ∪ B )′ s
5) A′ ∪ B′ 6) ( A ∩ B )′ s
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 41
7) A− B 8) A ∩ B′ d
4. 1) ( A ∪ B) ∪ C 2) A∪(B ∪C) d
3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A∩(B ∩C) s
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
5. 1) A∩C ก 2) C ∪ B′
3) B−A ก
6. 1) ∅ ก 2) A
3) ∅ ก 4) U
5) U ก 6) ∅
7) A′ ก 8) ∅
แบบฝกหัด 1.3
1. ก
เซต A− B B−A A∪ B A′ B′ ( A ∪ B )′
จํานวนสมาชิก 34 19 59 60 75 41
2. 1) n ( A ∪ B ) = 42 2) n ( A − B ) = 12 ก
3) n ( A′ ∩ B′ ) = 8 ป
3. 1) n ( A ∪ C ) = 40 2) n ( A ∪ B ∪ C ) = 43 ก
3) n ( A ∪ B ∪ C )′ = 7 ก 4) n ( B − ( A ∪ C )) = 3 ก
5) n (( A ∩ B ) − C ) = 7 ก
4. n( A ∩ B) = 6 ก
5. n ( B ) = 60 ก
6. 10 คน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 43
9. 2,370 คน
แบบฝกหัดทายบท
1. 1) { 48 } ด 2) ∅
3) { 5, 10, 15, } ด 4) { − 2, 0, 2 }
5) { 1, 2, 3, , 10 } ด
2. 1) ตัวอยางคําตอบ { x | x = 3n − 2 เมื่อ n∈ และ 1 ≤ n≤ 5}
2) ตัวอยางคําตอบ { x∈ | − 20 ≤ x ≤ − 10 }
3) ตัวอยางคําตอบ { x | x = 4n + 1 เมื่อ n∈ }
4) ตัวอยางคําตอบ { x | x = n เมื่อ n∈ }
3
3. 1) เซตจํากัด 2) เซตอนันต
3) เซตจํากัด 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต
4. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ 4) เปนจริง
5) เปนจริง 6) เปนเท็จ
7) เปนจริง 8) เปนจริง
9) เปนเท็จ
5. 1) P ( A) ∩ P ( B ) = { ∅ }
2) P ( A ∩ B) = { ∅ }
3) P ( A ) ∪ P ( B ) = { ∅ , { 5 } , { 6 } , { 8 } , { 9 } , { 5, 6 } , { 8, 9 } }
4) P ( A′ ) = { ∅ , { 5 } , { 6 } , { 7 } , { 5, 6 } , { 5, 7 } , { 6, 7 } , { 5, 6, 7 } }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
6. 1) A จ 2) ∅
3) U จ 4) A
5) A จ 6) U
7. 1) A ∪ B = A ∪ ( B − A) จ 2) A ∩ B′ = A − ( A ∩ B )
3) A′ ∩ B′ = U − ( A ∪ B ) จ จ
8. 1) A′ ∩ B ก จ 2) ( A ∩ B′ )′
3) ( A ∪ B′ )′ ก
9. 1) A ∪ ( A − B) ก 2) ( A′ ∩ B ) ∩ C
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 45
3) ( A − B )′ ∩ C ก 4) A ∪ (C′ − B )
5) ( A ∩ B′ ) ∪ C ก 6) A′ ∩ ( C ′ ∩ B )
7) A ∪ ( C ′ ∩ B )′ ก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
14. 45% ด
15. 1) 10% ด 2) 75% ด
3) 65% ก 4) 13%ก
19. 1) 52 คน 2) 864 คน
3) 136 คน
20. 16%ก
21. 1%
22. 1) 46จ 2) 7
3) 37จ 4) 14
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 47
บทที่ 2
ตรรกศาสตร
การศึกษาเรื่องตรรกศาสตรมีความสําคัญตอวิชาคณิตศาสตรเพราะเปนรากฐานและเครื่องมือที่
สํ า คั ญ ในการสื่ อสารและสื่ อความหมายในวิช าคณิตศาสตรและศาสตรอื่น ๆ เนื้อหาเรื่อ ง
ตรรกศาสตรที่นําเสนอในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
มีเปาหมายเพื่อใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับสัญลักษณและภาษาทางตรรกศาสตร ซึ่งเพียงพอที่จะ
ใชในการสื่อสารและสื่อความหมายทางคณิตศาสตรเพื่อเปนเครื่องมือในการเรีย นรูเนื้อหา
คณิตศาสตรในหัวขอตอไป ในบทเรียนนี้มุงใหนักเรียนบรรลุตัวชี้วัดและจุดมุงหมายดังตอไปนี้
ตัวชี้วัด ผลการเรียนรู
ตัวชี้วัด
เขาใจและใชความรูเกี่ยวกับเซตและตรรกศาสตรเบื้องตน ในการสื่อสารและสื่อความหมาย
ทางคณิตศาสตร
ผลการเรียนรู
เขาใจและใชความรูเกี่ยวกับตรรกศาสตรเบื้องตนในการสื่อสาร สื่อความหมาย และอางเหตุผล
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
จุดมุงหมาย
1. จําแนกขอความวาเปนประพจนหรือไมเปนประพจน
2. หาคาความจริงของประพจนที่มีตัวเชื่อม
3. ตรวจสอบความสมมูลระหวางประพจนสองประพจน
4. จําแนกประพจนวาเปนสัจนิรันดรหรือไมเปนสัจนิรันดร
5. ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการอางเหตุผล
6. หาคาความจริงของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
7. ตรวจสอบความสมมูลระหวางประโยคสองประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
8. หานิเสธของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
9. ใชความรูเกี่ยวกับตรรกศาสตรในการแกปญหา
ความรูกอนหนา
• ความรูเกี่ยวกับจํานวนและสมการในระดับมัธยมศึกษาตอนตน
• เซต
2.1 เนื้อหาสาระ
1. ประพจน คื อ ประโยคหรื อ ขอความที่ เ ปนจริ งหรือ เท็ จ อยางใดอยางหนึ่ง เทานั้ น ซึ่ ง
ประโยคหรือขอความดังกลาวจะอยูในรูปบอกเลาหรือปฏิเสธก็ได ในตรรกศาสตรเรียก
การเปน “จริง” หรือ “เท็จ” ของแตละประพจนวา “คาความจริงของประพจน”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 49
T T T T T T
T F F T F F
F T F T T F
F F F F T T
T F
F T
p q วา “รูปแบบของประพจน”
4. ถารูปแบบของประพจนสองรูปแบบใดมีคาความจริงตรงกันกรณีตอกรณี แลวจะสามารถ
นําไปใชแทนกันได เรียกสองรูปแบบของประพจนดังกลาววาเปน รูปแบบของประพจนที่
สมมูลกัน รูปแบบของประพจนที่สมมูลกันที่ควรทราบมีดังนี้
p ( p)
p q q p
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
p q q p
(p q) p q
(p q) p q
p q p q
p q q p
p q (p q) (q p)
p (q r) (p q) (p r)
p (q r) (p q) ( p r)
เปนสัจนิรันดร
7. ประโยคเปด คือ ประโยคบอกเลาหรือประโยคปฏิเสธที่มีตัวแปร และเมื่อแทนตัวแปรดวย
สมาชิกในเอกภพสัมพัทธแลวไดประพจน
8. เรียก “สําหรับ...ทุกตัว” และ “สําหรับ...บางตัว” วา ตัวบงปริมาณ แทนดวยสัญลักษณ
และ ตามลําดับ โดยใชสัญลักษณ
x แทน สําหรับ x ทุกตัว
x แทน สําหรับ x บางตัว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 51
สมาชิกแตละตัวในเอกภพสัมพัทธ แลวไดประพจนที่มีคาความจริง
เปนจริงทั้งหมด
x P ( x) มี ค าความจริ ง เปนเท็ จ ก็ ต อเมื่ อ แทนตั ว แปรใน P ( x ) ดวย
x
สมาชิกแตละตัวในเอกภพสัมพัทธ แลวไดประพจนที่มีคาความจริง
เปนเท็จทั้งหมด
2.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
ประพจน
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• การเลื อ กตั ว อยางในชั้ น เรี ย นหรื อ แบบทดสอบระหวางเรี ย นที่ จ ะใหนั ก เรี ย นบอก
คาความจริ งของประพจนที่ไมใชขอความทางคณิตศาสตร ครูควรเลือกใหเหมาะสมกับ
ความรู และประสบการณของนั ก เรี ย น เชน ยุ ง ลายเปนพาหะของโรคไขเลื อ ดออก
โรคเลือดออกตามไร นเปนโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินซี และหลีกเลี่ยงตัวอยางขอความ
ที่ใชความรูสึกในการตัดสินวาขอความนั้นเปนจริงหรือเท็จ เชน นารีสวย ปกรณเปนคนดี
• ในการสอนเกี่ยวกับประพจน ครูไมควรยกตัวอยางขอความที่ใชสรรพนามบุรุษที่ 2 และ 3
เชน เขาซื้อขนม ลุงกับปาไปเที่ยวตางประเทศ ซึ่งอาจทําใหนักเรียนเกิดความสับสนวา
ขอความดังกลาวเปนประพจนหรือไม เนื่องจากนักเรียนจะตองทราบบริบทของขอความ
ดังกลาวจึงจะสามารถสรุปคาความจริงของขอความดังกลาวได เชน “เขา” “ลุง” “ปา”
หมายถึงใคร
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัด 2.1
2. จงเขี ย นประโยคหรื อ ขอความที่ เ ปนประพจนมา 5 ประพจน พรอมทั้ ง บอก
คาความจริงของประพจนนั้น ๆ
แบบฝกหั ด นี้ มี คํ า ตอบไดหลายแบบ โดยอาจเปนไดทั้ ง ขอความทางคณิ ต ศาสตร เชน
∅ ∈{1, 2, 3} และไมใชขอความทางคณิตศาสตร เชน หนึ่งปมีสิบสองเดือน ควรใหนักเรียน
มีอิสระในการเขียนประโยคหรือขอความที่เปน ประพจน ซึ่งคําตอบของนักเรียนไมจําเปนตอง
ตรงกับที่ครูคิดไว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 53
การเชื่อมประพจน
การเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “และ”
ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจการเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “และ” โดยให
นักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้
กิจกรรม : การแตงกายของลูกปด
ให p แทนขอความ “ลูกปดใสเสื้อสีขาว”
และ q แทนขอความ “ลูกปดใสกางเกงสี า”
จะไดวา p q แทนขอความ “ลูกปดใสเสื้อสีขาวและลูกปดใสกางเกงสี า”
หรือเขียนโดยยอเปน “ลูกปดใสเสื้อสีขาวและกางเกงสี า”
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใหนักเรียนเติมตารางคาความจริง ตอไปนี้
ลูกปดใสเสื้อสีขาวและ
ลูกปดใสเสื้อสีขาว ลูกปดใสกางเกงสี า
กางเกงสี า
( p) (q)
(p q)
2. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับตารางคาความจริงที่ไดจากขอ 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
การเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “หรือ”
ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจการเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “หรือ” โดยให
นักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้
กิจกรรม : สัตวเลี้ยงของตนน้ํา
ให p แทนขอความ “ตนน้ําเลี้ยงแมว”
และ q แทนขอความ “ตนน้ําเลี้ยงนก”
จะไดวา p q แทนขอความ “ตนน้ําเลี้ยงแมวหรือตนน้ําเลี้ยงนก”
หรือเขียนโดยยอเปน “ตนน้ําเลี้ยงแมวหรือนก”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 55
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใหนักเรียนเติมตารางคาความจริง ตอไปนี้
ตนน้ําเลี้ยงแมว ตนน้ําเลี้ยงนก ตนน้ําเลี้ยงแมวหรือนก
( p) (q) (p q)
2. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับตารางคาความจริงที่ไดจากขอ 1
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
การเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “ า แลว ”
ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจการเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “ถา...แลว...”
โดยใหนักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
กิจกรรม : สัญญาระหวางพอกับจิว
ให p แทนขอความ “จิวกวาดบาน”
และ q แทนขอความ “พอใหขนม”
จะไดวา p q แทนขอความ “ถาจิวกวาดบานแลวพอจะใหขนม”
การรักษาสัญญาของพอจะเทียบกับคาความจริงของ p q
( p) (q) (p q)
2. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับตารางคาความจริงที่ไดจากขอ 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 57
การเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “ก็ตอเมื่อ”
ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจการเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “ก็ตอเมื่อ” โดยให
นักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้
กิจกรรม : เกรดวิชาคณิตศาสตรของปุยนุน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
2. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับตารางคาความจริงที่ไดจากขอ 1
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
นิเสธของประพจน
ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจเกี่ยวกับนิเสธของประพจน โดยใหนักเรียนทํากิจกรรม
ตอไปนี้
กิจกรรม : งานอดิเรกของหนูดี
ให p แทนขอความ “หนูดีอานหนังสือ”
จะไดวา p แทนขอความ “หนูดี ม ดอานหนังสือ”
จะไดตารางคาความจริง ดังนี้การ
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใหนักเรียนเติมคาความจริงลงในตารางตอไปนี้
2. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับตารางคาความจริงที่ไดจากขอ 1
เมื่ อ จบกิ จ กรรมนี้ แ ลว ครู ค วรใหนั ก เรี ย นสรุ ป ไดวาคาความจริ ง ของนิ เ สธจะตรงขามกั บ
คาความจริงของประพจนเดิมเสมอ จากนั้นครูสรุปการเขียนตารางคาความจริงของ p
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
การหาคาความจริงของประพจน
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• ครู ค วรเขี ย นวงเล็ บ ในตั ว อยางที่ ต องการใหนั ก เรี ย นพิ จ ารณาคาความจริ ง ทุ ก ครั้ ง
ไมควรละวงเล็บไวใหนักเรียนตั ดสินใจเอง ยกเวนตัวเชื่อม “ ” ซึ่งในหนังสือเรีย น
ของ สสวท. ไมไดใสวงเล็บไวเชนกัน เนื่องจากถือวาเปนตัวเชื่อมที่ตองหาคาความจริง
กอน เชน สําหรับประพจน p p นั้น ตองหาคาความจริงของ p กอน แลวจึงหา
คาความจริงของ p p ซึ่งมีความหมายเชนเดียวกับ p ( p)
รูปแบบของประพจนที่สมมูลกัน
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• การพิจารณารูปแบบของประพจนที่สมมูลกันสามารถทําไดโดยพิจารณาจากตาราง
คาความจริง และเมื่อนักเรียนรูจักรูปแบบของประพจนที่สมมูลกันที่ควรทราบแลว
นักเรียนสามารถใชรูปแบบของประพจนเหลานั้นชวยในการพิจารณาการสมมูลกันของ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 61
รูปแบบของประพจนคูอื่น ๆ ได ดังนั้นครูควรชี้แนะนักเรียนและฝกฝนใหนักเรียนจํา
รู ปแบบของประพจนที่ สมมู ลกั นใหได เนื่องจากนักเรียนจะตองนํ าความรู นี้ไปใชเปน
พื้นฐานในการเรียนคณิตศาสตร
• รูปแบบของประพจนที่ส มมูลกัน สามารถเทียบไดกับสมบัติการสลับที่ การเปลี่ยนหมู
และการแจกแจงของการบวกหรือการคูณจํานวน
• p q p q เปนรูปแบบของประพจนที่สมมูลกันที่สําคัญมาก เนื่องจากจะใชเปน
พื้นฐานในการแสดงการสมมูลของรูปแบบของประพจนคูอื่น ๆ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัด 2.5
1. จงเขียนขอความที่สมมูลกับขอความตอไปนี้
1) 2 เปนจํานวนตรรกยะ ก็ตอเมื่อ 2 เปนจํานวนจริง
2) ภพหรือภูมิเปนนักเรียน และ ภพหรือภัทรเปนนักเรียน
แบบฝกหัดนี้มีคําตอบไดหลายแบบ โดยใชความรูเกี่ยวกับรูปแบบของประพจนที่สมมูลกัน
ครูควรใหนักเรียนมีอิสระในการเขียนประโยคหรือขอความที่เปนประพจน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
สัจนิรันดร
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• ในหัวขอนี้จะเนนการตรวจสอบการเปนสัจนิรันดรของรูปแบบของประพจนที่เชื่อมดวย
“ถา ... แลว ...” เนื่องจากจะเปนพื้นฐานในการตรวจสอบความสมเหตุสมผลในหัวขอถัดไป
ความเขาใจคลาดเคลื่อน
นักเรียนมักเขาใจวาเมื่อใชวิธีหาขอขัดแยงในการตรวจสอบการเปนสัจนิรันดรของรูปแบบ
ของประพจนที่เชือ่ มดวย “ถา ... แลว ...” แลวพบขอขัดแยงแลวจะสรุปโดยทันทีวารูปแบบ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 63
T F
T T T F
F F T T
ขัดแยงกัน
อยางไรก็ตามกรณี รูปแบบของประพจนนี้มีกรณีที่ไมเกิดขอขัดแยง ดังแสดงในแผนภาพ
ตอไปนี้
T F
F T T F
F F F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
ในการตรวจสอบรูปแบบของประพจนวาเปนสัจนิรันดรหรือไม ครูควรสนับสนุนใหนักเรียน
ใชแผนภาพ เนื่องจากจะเปนพื้นฐานในการศึกษาเรื่องการอางเหตุผล แตในกรณีที่นักเรียน
ไมสามารถใชแผนภาพเพื่อตรวจสอบการเปนสัจนิรันดรได ครูอาจเปดโอกาสใหนักเรียนใช
ตารางคาความจริงได ทั้งนี้เมื่อนักเรียนฝกฝนมากพอจะสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมสําหรับ
โจทยแตละขอได
ประโยคเปด
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 65
ตัวบงปริมาณ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัด 2.9
1. จงเขียนขอความตอไปนี้ในรูปสัญลักษณ เมื่อ U =
4) จํานวนเต็มทุกจํานวนเปนจํานวนจริง
แบบฝกหัดนี้หากไมกําหนดเอกภพสัมพัทธ สามารถเขียนในรูปสัญลักษณไดเปน
x[ x ∈ ], U = หรือ x[ x ∈ x∈ ], U =
สมมูลและนิเสธของประโยคที่มีตัวบงปริมาณ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัด 2.11
2. จงหานิเสธของขอความตอไปนี้
แบบฝกหั ด นี้ มี คํ า ตอบไดหลายแบบ โดยใชความรู เกี่ ย วกั บ นิ เ สธของประพจนที่ มี
ตัวบงปริมาณ ครูควรใหนักเรียนมีอิสระในการเขียนนิเสธของขอความที่กําหนด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัดทายบท
3. จงเขี ย นประโยคหรื อ ขอความที่ เ ปนประพจนเชิ ง ประกอบที่ ใ ชตั ว เชื่ อ ม “ ไม ”
“และ” “หรือ” “ถา...แลว...” และ “ก็ตอเมื่อ” มาอยางละ 1 ประพจน
แบบฝกหัดนี้มีคําตอบไดหลายแบบ โดยอาจเปนไดทั้งขอความทางคณิตศาสตร และไมใช
ขอความทางคณิตศาสตร ครูควรใหนักเรียนมีอิสระในการเขียนประโยคหรือขอความที่เปน
ประพจน ซึ่งคําตอบของนักเรียนไมจําเปนตองตรงกับที่ครูคิดไว
2) ( p q ) r กับ ( p r ) ( q r )
3) ( p q ) r กับ ( p q r )
4) p q กับ ( p q) (q p)
แบบฝกหัดนี้ในการตรวจสอบวารูปแบบของประพจนที่กําหนดใหไมสมมูลกัน นอกจากจะ
แสดงไดโดยใชตารางคาความจริงแลว อาจแสดงไดโดยใชการจัดรูปประพจนที่กําหนดใหโดย
ใชรู ปแบบของประพจนที่ สมมู ลกั นพรอมใหเหตุ ผลประกอบ เชน รู ปแบบของประพจน
p ( q r) กับ ( p q) (p r) สามารถแสดงการตรวจสอบวา p ( q r)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 67
(p q) (p r) ( p q) ( p r)
p q p r
( p p) ( q r)
p ( q r)
p ( q r)
8. จงเขียนขอความทีส่ มมูลกับขอความตอไปนี้
แบบฝกหัดนี้มีคําตอบไดหลายแบบ โดยใชความรูเกี่ยวกับรูปแบบของประพจนที่สมมูลกัน ครู
ควรใหนักเรียนมีอิสระในการเขียนประโยคหรือขอความที่เปนประพจน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
2.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 69
นาย ข : p r
นาย ค : r ( p q)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คําใหการของนาย ข : p r เปนจริง
คําใหการของนาย ค : r ( p q) เปนเท็จ
2.3 ไมสอดคลอง
3. 3.1 เนื่องจากมีคนเดียวที่พูดจริง จะไดวา นาย ก และนาย ค พูดเท็จ
เนื่องจากผูบริสุทธิพูดจริง และ าตกรพูดเท็จ
ดังนั้น นาย ข เปนผูบริสุทธิ นาย ก และนาย ค เปน าตกร
นั่นคือ p เปนเท็จ q เปนจริง และ r เปนเท็จ
3.2 เนื่องจาก p เปนเท็จ q เปนจริง และ r เปนเท็จ
ดังนั้น คําใหการของนาย ก : q r เปนเท็จ
คําใหการของนาย ข : p r เปนจริง
คําใหการของนาย ค : r ( p q) เปนเท็จ
3.3 สอดคลอง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 71
เวลาในการจัดกิจกรรม 50 นาที
กิจกรรมนี้เสนอไวใหนักเรียนใชความรู เรื่อง ตรรกศาสตรเบื้องตน เพื่อแกปญหาในสถานการณ
ที่กําหนดให โดยกิจกรรมนี้มีสื่อ/แหลงการเรียนรู และขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ดังนี้
สื่อ/แหลงการเรียนรู
ใบกิจกรรม “ใครคือ าตกร”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. ครูแบงกลุมนักเรียนแบบคละความสามารถ กลุมละ 3 – 4 คน
2. ครูแจกใบกิจกรรม “ใครคือ าตกร” จากนั้นบอกภารกิจที่จะมอบหมายใหนักเรียนแตละ
กลุมชวยกันสอบสวนผูตองสงสัยจากสถานการณที่กําหนดให
3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมชวยกันตอบคําถามที่ปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติขอ 1 – 4 ในใบ
กิจกรรม ในระหวางที่ นั กเรียนทํ ากิ จกรรมครูควรเดินดูนักเรียนใหทั่วถึงทุกกลุม และ
สอบถามความคิดเห็นหรือแนวคิดที่ใชในการแกปญหา ทั้งนี้ ครูควรเนนย้ํากับนักเรียนวา
เงื่อนไขสําคัญของสถานการณนี้ คือ มีเพียงคนเดียวที่พูดจริง โดยผูบริสุทธิพูดจริง และ
าตกรพูดเท็จ
4. ครูสุมเลือกกลุมนักเรียน 3 กลุม นําเสนอแนวคิดและเหตุผลที่สนับสนุนคําตอบของตนเอง
และใหนักเรียนกลุมอื่น ๆ รวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของคําตอบ โดย
เปดโอกาสใหกลุมที่มีคําตอบแตกตางกันไดนําเสนอแนวคิด
5. ครูสรุปคําตอบพรอมแนวทางที่ถูกตองในการแกปญหา
2.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
การวัดผลระหวางเรียนเปนการวัดผลการเรียนรูเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน และ
ตรวจสอบนั ก เรี ย นแตละคนวามี ค วามรู ความเขาใจในเรื่ อ งที่ ค รู ส อนมากนอยเพี ย งใด
การใหนั ก เรี ย นทํ า แบบฝกหั ด เปนแนวทางหนึ่ ง ที่ ค รู อ าจใชเพื่ อ ประเมิ น ผลดานความรู
ระหวางเรียนของนักเรียน ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ไดนํ า เสนอแบบฝกหั ด ที่ ค รอบคลุ ม เนื้ อ หาที่ สํ า คั ญ ของแตละบทไว สํ า หรั บ ในบทที่ 2
ตรรกศาสตร ครูอาจใชแบบฝกหัดเพื่อวัดผลประเมินผลความรูในแตละเนื้อหาไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 73
เนื้อหา แบบฝกหัด
ประพจนและคาความจริงของประพจน 2.1ก ขอ 1, 2
การเชื่อมประพจน 2.2ก ขอ 1 – 4
การหาคาความจริงของประพจน 2.3 ขอ 1, 2
การสรางตารางคาความจริง 2.4 ขอ 1 – 6
รูป แบบของประพจนที่ส มมู ล กั น และรู ป แบบของประพจน 2.5 ขอ 1 – 3
ที่เปนนิเสธกัน
สัจนิรันดร 2.6ก ขอ 1 – 5
การอางเหตุผล 2.7ก ขอ 1, 2
ประโยคเปด 2.8 ขอ 1 – 10
ตัวบงปริมาณ 2.9 ขอ 1, 2
คาความจริงของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว 2.10 ขอ 1 – 10
สมมูลและนิเสธของประโยคที่มีตัวบงปริมาณ 2.11 ขอ 1, 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
2.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท
หนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม คณิ ต ศาสตร ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปที่ 4 เลม 1 มี จุ ด มุ งหมายวา
เมื่อนักเรียนไดเรียนจบบทที่ 2 ตรรกศาสตร แลวนักเรียนสามารถ
1. จําแนกขอความวาเปนประพจนหรือไมเปนประพจน
2. หาคาความจริงของประพจนที่มีตัวเชื่อม
3. ตรวจสอบความสมมูลของประพจนสองประพจน
4. จําแนกประพจนวาเปนสัจนิรันดรหรือไมเปนสัจนิรันดร
5. ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการอางเหตุผล
6. หาคาความจริงของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
7. ตรวจสอบความสมมูลระหวางประโยคสองประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
8. หานิเสธของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
ซึ่ง หนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าเพิ่ มเติ มคณิ ตศาสตร ชั้ น มั ธ ยมศึ กษาปที่ 4 เลม 1 ไดนํ า เสนอ
แบบฝกหัดทายบทที่ประกอบดวยโจทยเพื่อตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อ
วัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ซึ่งประกอบดวยโจทยฝกทักษะที่มีความ
นาสนใจและโจทยทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียน
ตามจุดมุงหมายของบทเพื่อตรวจสอบวานักเรียนมีความสามารถตามจุดมุงหมายเมื่อเรียนจบ
บทเรียนหรือไม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
จุดมุงหมาย
ตรวจสอบ
จําแนกขอความ ตรวจสอบ จําแนกประพจน หาคาความจริง ความสมมูล หานิเสธของ ใชความรู
ขอ หาคาความจริง ตรวจสอบความ
ขอ วาเปนประพจน ความสมมูล วาเปนสัจนิรันดร ของประโยคที่มี ระหวางประโยค ประโยคที่มี เกี่ยวกับ
ยอย ของประพจนที่ สมเหตุสมผลของ
หรือไมเปน ของประพจน หรือไมเปน ตัวบงปริมาณ สองประโยคที่มี ตัวบงปริมาณ ตรรกศาสตร
มีตัวเชื่อม การอางเหตุผล
ประพจน สองประพจน สัจนิรันดร ตัวเดียว ตัวบงปริมาณ ตัวเดียว ในการแกปญหา
ตัวเดียว
1. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
9)
10)
2. 1)
2)
3)
4)
3. โจทยฝกทักษะ
จุดมุงหมาย
ตรวจสอบ
จําแนกขอความ ตรวจสอบ จําแนกประพจน หาคาความจริง ความสมมูล หานิเสธของ ใชความรู
ขอ หาคาความจริง ตรวจสอบความ
ขอ วาเปนประพจน ความสมมูล วาเปนสัจนิรันดร ของประโยคที่มี ระหวางประโยค ประโยคที่มี เกี่ยวกับ
ยอย ของประพจนที่ สมเหตุสมผลของ
หรือไมเปน ของประพจน หรือไมเปน ตัวบงปริมาณ สองประโยคที่มี ตัวบงปริมาณ ตรรกศาสตร
มีตัวเชื่อม การอางเหตุผล
ประพจน สองประพจน สัจนิรันดร ตัวเดียว ตัวบงปริมาณ ตัวเดียว ในการแกปญหา
ตัวเดียว
4. 1)
2)
3)
4)
5)
5. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
9)
10)
11)
จุดมุงหมาย
ตรวจสอบ
จําแนกขอความ ตรวจสอบ จําแนกประพจน หาคาความจริง ความสมมูล หานิเสธของ ใชความรู
ขอ หาคาความจริง ตรวจสอบความ
ขอ วาเปนประพจน ความสมมูล วาเปนสัจนิรันดร ของประโยคที่มี ระหวางประโยค ประโยคที่มี เกี่ยวกับ
ยอย ของประพจนที่ สมเหตุสมผลของ
หรือไมเปน ของประพจน หรือไมเปน ตัวบงปริมาณ สองประโยคที่มี ตัวบงปริมาณ ตรรกศาสตร
มีตัวเชื่อม การอางเหตุผล
ประพจน สองประพจน สัจนิรันดร ตัวเดียว ตัวบงปริมาณ ตัวเดียว ในการแกปญหา
ตัวเดียว
12)
6. 1)
2)
3)
7. 1)
2)
3)
4)
8. 1)
2)
3)
4)
9. 1)
2)
3)
4)
จุดมุงหมาย
ตรวจสอบ
จําแนกขอความ ตรวจสอบ จําแนกประพจน หาคาความจริง ความสมมูล หานิเสธของ ใชความรู
ขอ หาคาความจริง ตรวจสอบความ
ขอ วาเปนประพจน ความสมมูล วาเปนสัจนิรันดร ของประโยคที่มี ระหวางประโยค ประโยคที่มี เกี่ยวกับ
ยอย ของประพจนที่ สมเหตุสมผลของ
หรือไมเปน ของประพจน หรือไมเปน ตัวบงปริมาณ สองประโยคที่มี ตัวบงปริมาณ ตรรกศาสตร
มีตัวเชื่อม การอางเหตุผล
ประพจน สองประพจน สัจนิรันดร ตัวเดียว ตัวบงปริมาณ ตัวเดียว ในการแกปญหา
ตัวเดียว
5)
6)
7)
8)
9)
10)
10. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
11. 1)
2)
3)
จุดมุงหมาย
ตรวจสอบ
จําแนกขอความ ตรวจสอบ จําแนกประพจน หาคาความจริง ความสมมูล หานิเสธของ ใชความรู
ขอ หาคาความจริง ตรวจสอบความ
ขอ วาเปนประพจน ความสมมูล วาเปนสัจนิรันดร ของประโยคที่มี ระหวางประโยค ประโยคที่มี เกี่ยวกับ
ยอย ของประพจนที่ สมเหตุสมผลของ
หรือไมเปน ของประพจน หรือไมเปน ตัวบงปริมาณ สองประโยคที่มี ตัวบงปริมาณ ตรรกศาสตร
มีตัวเชื่อม การอางเหตุผล
ประพจน สองประพจน สัจนิรันดร ตัวเดียว ตัวบงปริมาณ ตัวเดียว ในการแกปญหา
ตัวเดียว
4)
5)
12. 1)
2)
3)
4)
5)
13. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
9)
จุดมุงหมาย
ตรวจสอบ
จําแนกขอความ ตรวจสอบ จําแนกประพจน หาคาความจริง ความสมมูล หานิเสธของ ใชความรู
ขอ หาคาความจริง ตรวจสอบความ
ขอ วาเปนประพจน ความสมมูล วาเปนสัจนิรันดร ของประโยคที่มี ระหวางประโยค ประโยคที่มี เกี่ยวกับ
ยอย ของประพจนที่ สมเหตุสมผลของ
หรือไมเปน ของประพจน หรือไมเปน ตัวบงปริมาณ สองประโยคที่มี ตัวบงปริมาณ ตรรกศาสตร
มีตัวเชื่อม การอางเหตุผล
ประพจน สองประพจน สัจนิรันดร ตัวเดียว ตัวบงปริมาณ ตัวเดียว ในการแกปญหา
ตัวเดียว
10)
11)
12)
13)
14)
15)
14. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
15. 1)
2)
จุดมุงหมาย
ตรวจสอบ
จําแนกขอความ ตรวจสอบ จําแนกประพจน หาคาความจริง ความสมมูล หานิเสธของ ใชความรู
ขอ หาคาความจริง ตรวจสอบความ
ขอ วาเปนประพจน ความสมมูล วาเปนสัจนิรันดร ของประโยคที่มี ระหวางประโยค ประโยคที่มี เกี่ยวกับ
ยอย ของประพจนที่ สมเหตุสมผลของ
หรือไมเปน ของประพจน หรือไมเปน ตัวบงปริมาณ สองประโยคที่มี ตัวบงปริมาณ ตรรกศาสตร
มีตัวเชื่อม การอางเหตุผล
ประพจน สองประพจน สัจนิรันดร ตัวเดียว ตัวบงปริมาณ ตัวเดียว ในการแกปญหา
ตัวเดียว
3)
4)
5)
6)
7)
8)
9)
10)
16.
17.
18.
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
2.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู
• เปาหมายประการหนึ่งของวิชาคณิตศาสตร คือ การศึกษาทําความเขาใจธรรมชาติ หรือ
ปรากฏการณตาง ๆ โดยใช “ระบบเชิงคณิตศาสตร” (mathematical system) ซึ่งระบบ
เชิงคณิตศาสตรเปนแนวคิดเชิงนามธรรมที่ใชแทนธรรมชาติ หรือปรากฏการณอยางใด
อยางหนึ่ง เชน “ระบบจํานวนจริง” (real number system) เปนแนวคิดที่ใชแทนจํานวนหรือ
ขนาดของสิ่งตาง ๆ หรือ “เรขาคณิตแบบยุคลิด” (Euclidean geometry) เปนแนวคิดหนึ่ง
ที่ใชแทนวัตถุตาง ๆ ในปริภูมิ เปนตน
• ระบบเชิงคณิตศาสตรแตละระบบ มีองคประกอบดังตอไปนี้
1. เอก พสัมพัทธ (universe) คือ เซตของสิ่งที่จะศึกษาในระบบนั้น เชน เซตของ
จํานวนนับ เซตของจํานวนเต็ม เซตของจํานวนจริง
2. คําอนิยาม (undefined term) ไดแก คําซึ่งเปนที่เขาใจความหมายกันโดยทั่วไป
โดยไมตองอธิ บ าย เชน คํ า วา “เหมื อนกัน ” หรือ คําวา “จุ ด ” และ “เสน ” ใน
เรขาคณิตแบบยุคลิด เปนตน
3. คํานิยาม (defined term) คือ คําที่สามารถใหความหมายโดยใชคําอนิยาม หรือคํานิยาม
อื่นที่มีมากอนแลวได เชน คําวา “จํานวนคู” หรือคําวา “รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก”
เปนตน
4. สัจพจน (axiom) คือ ขอความที่กําหนดใหเปนจริงในระบบเชิงคณิตศาสตรนั้นโดย
ไมตองพิสูจน เชน สัจพจนเชิงพีชคณิตของระบบจํานวนจริง สัจพจนเชิงอันดับของ
ระบบจํานวนจริง สัจพจนความบริบูรณของระบบจํานวนจริง
5. ท ษ ีบท (theorem) คือ ขอความที่พิสูจนแลววาเปนจริงในระบบเชิงคณิตศาสตร
ที่กําหนด โดยการพิสูจน (proof) คือ กระบวนการอางเหตุผลตามหลักตรรกศาสตร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 83
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
2.7 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
ในสวนนี้จะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทที่ 2 ตรรกศาสตร สําหรับรายวิชาเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ซึ่งครูสามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประสงคการเรียนรู
ที่ตองการวัดผลประเมินผล
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. จงพิจารณาประโยคหรือขอความตอไปนี้วาเปนประพจนหรือไม ถาเปนประพจน
จงหาคาความจริงของประพจนนั้น
1) งวงนอนจัง
2) เธอตองไปเดียวนี้
22
3) =
7
4) 1∉ {2, 3}
5) 2 ไมใชจํานวนจริง
6) 1, 2, 3,
7) ทําไม a+b=b+a
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 85
p q r
T T F
T F T
F T T
F F F
หรือไม
7. กําหนดให p, q, r และ s เปนประพจน จงตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่กําหนดให
วาเปนสัจนิรันดรหรือไม
1) (p q) (q r) (p q) r
2) (p q) (r s) (p r) (q s)
8. จงตรวจสอบวาการอางเหตุผลตอไปนี้สมเหตุสมผลหรือไม
เหตุ 1. ถาแทนไทสอบไดที่หนึ่ง แลวแมจะใหรางวัล
2. ถาแมใหรางวัล แลวแทนไทจะนําไปซื้อของขวัญ
3. แทนไทสอบไดที่หนึ่ง หรือแมจะใหรางวัล
ผล แทนไทจะซื้อของขวัญ
9. จงหาคาความจริงของประพจนที่มีตัวบงปริมาณตอไปนี้
1) x x2 = 4 2x = 4 เมื่อ U =
2) x 0 < x3 < x 2 เมื่อ U =
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. 1) ไมเปนประพจน 2) ไมเปนประพจน
3) เปนประพจน มีคาความจริงเปนเท็จ 4) เปนประพจน มีคาความจริงเปนจริง
5) เปนประพจน มีคาความจริงเปนเท็จ 6) ไมเปนประพจน
7) ไมเปนประพจน
2. 1) จาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ
ดังนั้น ( p q) r มีคาความจริงเปนจริง
2) จาก q เปนเท็จ จะได q เปนจริง
จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง
ดังนั้น ( p q) r มีคาความจริงเปนจริง
3. ตัวอยางคําตอบ
(p q)
(p q) (q p)
4. พิจารณาตารางคาความจริงดังนี้
p q r p q q r r p
T T T T T T
T T F T F T
T F T F T T
T F F F T T
F T T T T F
F T F T F T
F F T T T F
F F F T T T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 87
นิเสธของ p (q r) คือ p (q r)
เนื่องจาก p (q r) p (q r)
p (q r)
p q r
โดยที่รูปแบบของประพจน p q r แทนขอความ “ถา x เปนจํานวนนับ และ x ไม
เปนจํานวนคู และ x ไมเปนจํานวนคี่”
ดังนั้น นิเสธของขอความ “ถา x เปนจํานวนนับ แลว x เปนจํานวนคู หรือ x เปนจํานวนคี่”
คือ “ถา x เปนจํานวนนับ และ x ไมเปนจํานวนคู และ x ไมเปนจํานวนคี่”
6. สรางตารางคาความจริงของ p q กับ ( p q) p ไดดังนี้
p q p q p p q ( p q) p
T T T F F T
T F F F T T
F T T T T T
F F T T F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
7. 1) สมมติให ( p q) (q r) (p q) r เปนเท็จ
(p q) (q r) (p q) r
T T T F
F F
F F T F
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p q) (q r) (p q) r เปนสัจนิรันดร
2) สมมติให ( p q) (r s) (p r) (q s) เปนเท็จ
(p q) (r s) (p r) (q s)
T T T F
F F
F F F F
F T
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 89
เปนสัจนิรันดร
8. ให p, q และ r แทนประพจน “แทนไทสอบไดที่หนึ่ง” “แมใหรางวัล” และ
“แทนไทซื้อของขวัญ” ตามลําดับ
จะไดรูปแบบประพจน คือ ( p → q ) ∧ ( q → r ) ∧ ( p ∨ q ) →r
จะได ∀x x = 4 → 2 = 4 เปนเท็จ
2 x
2.8 เฉลยแบบฝกหัด
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิ ตศาสตร ชั้นมัธ ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 แบงการเฉลยแบบฝกหัด
เปน 2 สวน คือ สวนที่ 1 เฉลยคําตอบ และสวนที่ 2 เฉลยคําตอบพรอมวิธีทําอยางละเอียด
ซึ่งเฉลยแบบฝกหัดที่อยูในสวนนี้เปนการเฉลยคําตอบของแบบฝกหัด โดยไมไดนําเสนอวิธีทํา
อยางไรก็ตามครูสามารถศึกษาวิธีทําโดยละเอียดของแบบฝกหัดไดในสวนทายของคูมือครูเลมนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
แบบฝกหัด 2.1
1. 1) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ 2) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
3) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ 4) ไมเปนประพจน
5) ไมเปนประพจน 6) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
7) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ 8) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
9) ไมเปนประพจน 10) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
11) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ 12) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
13) ไมเปนประพจน 14) ไมเปนประพจน
15) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ 16) ไมเปนประพจน
17) ไมเปนประพจน 18) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
2. ตัวอยางคําตอบ
2 >3 เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
∅ ∈ {1, 2, 3} เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
หนึ่งปมีสิบสองเดือน เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
4 เปนจํานวนอตรรกยะ เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
เดือนมกราคม มี 31 วัน เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 91
แบบฝกหัด 2.2
1. 1) เปนเท็จ 2) เปนจริง
3) เปนจริง 4) เปนเท็จ
5) เปนเท็จ 6) เปนเท็จ
7) เปนจริง 8) เปนจริง
9) เปนจริง 10) เปนเท็จ
11) เปนจริง 12) เปนเท็จ
13) เปนจริง 14) เปนจริง
2. 1) นิเสธของประพจน 4 + 9 = 10 + 3 คือ 4 + 9 ≠ 10 + 3 มีคาความจริงเปนเท็จ
2) นิเสธของประพจน −7 > 6 คือ −7 > 6 มีคาความจริงเปนจริง
3) นิเสธของประพจน เซตของจํานวนนับที่เปนคําตอบของสมการ x2 + 1 = 0
มีคาความจริงเปนเท็จ
7) นิเสธของประพจน 15 ไมใชจํานวนจริง คือ 15 เปนจํานวนจริง มีคาความจริง
เปนจริง
8) นิเสธของประพจน วาฬเปนสัตวเลี้ยงลูกดวยน้ํานม คือ วาฬไมเปนสัตวเลี้ยงลูก
ดวยน้ํานม มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
3. 1) p แทนประพจน “ฉันไมตื่นนอนแตเชา”
2) p→ q แทนประพจน “ถาฉันตื่นนอนแตเชา แลวฉันมาเรียนไมทันเวลา”
3) p∧q แทนประพจน “ฉันตื่นนอนแตเชาและฉันมาเรียนทันเวลา”
4) p↔q แทนประพจน “ฉันตื่นนอนแตเชาก็ตอเมื่อฉันมาเรียนทันเวลา”
5) p∨ q แทนประพจน “ฉันไมตื่นนอนแตเชาหรือฉันมาเรียนไมทันเวลา”
6) p ∨ ( p → q) แทนประพจน “ฉันไมตื่นนอนแตเชา หรือ ถาฉันตื่นนอนแตเชาแลว
ฉันมาเรียนทันเวลา”
4. 1) p∧ q มีคาความจริงเปนเท็จ
2) p∨q มีคาความจริงเปนจริง
3) q→ p มีคาความจริงเปนจริง
4) p ↔q มีคาความจริงเปนเท็จ
แบบฝกหัด 2.3
1. 1) มีคาความจริงเปนจริง 2) มีคาความจริงเปนจริง
3) มีคาความจริงเปนจริง 4) มีคาความจริงเปนเท็จ
5) มีคาความจริงเปนจริง 6) มีคาความจริงเปนจริง
7) มีคาความจริงเปนเท็จ 8) มีคาความจริงเปนจริง
9) มีคาความจริงเปนเท็จ 10) มีคาความจริงเปนเท็จ
11) มีคาความจริงเปนจริง 12) มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 93
แบบฝกหัด 2.4
1. สรางตารางคาความจริงของ p ∨ (q → p) ไดดังนี้
p q q→ p p ∨ (q → p)
T T T T
T F T T
F T F F
F F T T
2. สรางตารางคาความจริงของ ( p ∨ q ) ∧ ( p∨ q) ไดดังนี้
p q q p∨q p∨ q ( p ∨ q ) ∧ ( p∨ q)
T T F T T T
T F T T T T
F T F T F F
F F T F T F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
4. สรางตารางคาความจริงของ ( q∨ q) ↔ r ไดดังนี้
q r q q∨ q ( q∨ q) ↔ r
T T F T T
T F F T F
F T T T T
F F T T F
5. สรางตารางคาความจริงของ q ↔ p ∧ (q → p) ไดดังนี้
p q p q q→ p p ∧ (q → p) q ↔ p ∧ (q → p)
T T F F F F T
T F F T T T T
F T T F T F T
F F T T T F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 95
6. สรางตารางคาความจริงของ ( q ∧ r ) → ( r ∨ p ) ไดดังนี้
p q r q∧r r∨ p (q ∧ r ) → (r ∨ p)
T T T T T T
T T F F T T
T F T F T T
T F F F T T
F T T T T T
F T F F F T
F F T F T T
F F F F F T
แบบฝกหัด 2.5
1. 1) ตัวอยางคําตอบ
• 2 เปนจํานวนจริง ก็ตอเมื่อ 2 เปนจํานวนตรรกยะ
• ถา 2 เปนจํานวนตรรกยะแลว 2 เปนจํานวนจริง และถา 2 เปนจํานวนจริง
แลว 2 เปนจํานวนตรรกยะ
2) ตัวอยางคําตอบ
• ภพหรือภัทรเปนนักเรียน และ ภพหรือภูมิเปนนักเรียน
• ภพเปนนักเรียน หรือ ภูมิและภัทรเปนนักเรียน
2. 1) (ข) 2) (ก)
3) (ข) 4) (ก)
5) (ข) 6) (ข)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
แบบฝกหัด 2.6
1. เปนสัจนิรันดร 2. เปนสัจนิรันดร
3. เปนสัจนิรันดร 4. ไมเปนสัจนิรันดร
5. เปนสัจนิรันดร
แบบฝกหัด 2.7
1. 1) สมเหตุสมผล 2) ไมสมเหตุสมผล
3) ไมสมเหตุสมผล 4) ไมสมเหตุสมผล
5) สมเหตุสมผล
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 97
2. 1) ไมสมเหตุสมผล 2) สมเหตุสมผล
3) สมเหตุสมผล 4) ไมสมเหตุสมผล
5) สมเหตุสมผล
แบบฝกหัด 2.8
1. ไมใชทั้งประพจนและประโยคเปด 2. เปนประพจน
3. เปนประโยคเปด 4. เปนประโยคเปด
5. ไมเปนทั้งประพจนและประโยคเปด 6. ไมเปนทั้งประพจนและประโยคเปด
7. เปนประโยคเปด 8. เปนประพจน
9. เปนประพจน 10. เปนประโยคเปด
แบบฝกหัด 2.9
1. 1) ∀x [ x ∈ → x ⋅1 = x ] 2) ∃x x 2 = 2
3) ∃x [| x | +1 ≤ 1] 4) ∀x [ x ∈ → x∈ ]
2. 1) สําหรับจํานวนจริง x ทุกจํานวน ถา x<2 แลว x2 < 4
2) สําหรับจํานวนจริง y ทุกจํานวน y 2 − 4 = ( y − 2 )( y + 2 )
3) มีจํานวนจริง y ซึ่ง 2y +1 = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
แบบฝกหัด 2.10
1. เปนเท็จ 2. เปนเท็จ
3. เปนจริง 4. เปนเท็จ
5. เปนจริง 6. เปนเท็จ
7. เปนเท็จ 8. เปนจริง
9. เปนจริง 10. เปนจริง
แบบฝกหัด 2.11
1. 1) (ข) 2) (ก)
3) (ก) 4) (ข)
5) (ข) 6) (ก)
7) (ก) 8) (ข)
5) นิเสธของ ∃x P ( x ) ∧ Q ( x ) คือ ∀x P ( x) ∨ Q ( x)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 99
8) นิเสธของขอความ “จํานวนจริงบางจํานวนนอยกวาหรือเทากับศูนย
และมีจํานวนจริงบางจํานวน เมื่อยกกําลังสองแลวไมเทากับศูนย” คือ
“จํานวนจริงทุกจํานวนมากกวาศูนย หรือจํานวนจริงทุกจํานวนเมื่อยกกําลังสองแลว
เทากับศูนย”
แบบฝกหัดทายบท
1. 1) ไมเปนประพจน 2) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
3) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง 4) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
5) ไมเปนประพจน 6) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
7) ไมเปนประพจน 8) ไมเปนประพจน
9) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง 10) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
2. 1) นิเสธของประพจน −20 + 5 > −17 คือ −20 + 5 ≤ −17 มีคาความจริงเปนเท็จ
2) นิเสธของประพจน 37 ไมเปนจํานวนเฉพาะ คือ 37 เปนจํานวนเฉพาะ
มีคาความจริงเปนจริง
3) นิเสธของประพจน 2∈ คือ 2∉ มีคาความจริงเปนจริง
4) นิเสธของประพจน ⊂ คือ ⊄ มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
3. ตัวอยางคําตอบ
• π ไมเปนจํานวนตรรกยะ
• นิดาและนัดดาเปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4
• รูปสี่เหลี่ยมอาจเปนรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากหรือรูปสี่เหลี่ยมดานขนานก็ได
• รู ป สามเหลี่ ย ม ABC เปนรู ป สามเหลี่ ย มดานเทาก็ ต อเมื่ อ รู ป สามเหลี่ ย ม ABC
มีดานยาวเทากันทุกดาน
4. 1) มีคาความจริงเปนจริง 2) มีคาความจริงเปนเท็จ
3) มีคาความจริงเปนจริง 4) มีคาความจริงเปนจริง
5) มีคาความจริงเปนเท็จ
5. 1) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p→q และมีคาความจริงเปนจริง
2) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p∧q และมีคาความจริงเปนจริง
3) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p∨q และมีคาความจริงเปนจริง
4) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p∨q และมีคาความจริงเปนจริง
5) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p∧q และมีคาความจริงเปนเท็จ
6) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p∧q และมีคาความจริงเปนจริง
7) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p∧q และมีคาความจริงเปนเท็จ
8) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p∨q และมีคาความจริงเปนจริง
9) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p→ q และมีคาความจริงเปนเท็จ
10) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป ( p ∧ q ) → r และมีคาความจริงเปนจริง
11) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p↔q และมีคาความจริงเปนเท็จ
12) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p ↔ ( q ∨ r ) และมีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 101
6. 1) ( p ∨ q) ↔ ( p ∨ q) มีคาความจริงเปนเท็จ
2) p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ
3) p เปนจริง q เปนจริง r เปนเท็จ และ s เปนจริง
7. 1) p → ( q ∧ r) ไมสมมูลกับ ( p → q ) ∨ ( p → r )
2) ( p ∨ q) ∧ r ไมสมมูลกับ ( p ∨ r ) ∧ ( q ∨ r )
3) ( p → q ) → r ไมสมมูลกับ ( p ∧ q ∧ r )
4) p ↔q สมมูลกับ ( p → q) ∧ (q → p)
8. 1) แนวทางการตอบ
• “ถา 8 ไมนอยกวา 7 แลว 8 เปนจํานวนคู” สมมูลกับ “ 8 นอยกวา 7
หรือ 8 เปนจํานวนคู”
2) แนวทางการตอบ
12 12
• “ ∉ ก็ตอเมื่อ 5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 ” สมมูลกับ “ถา ∉ แลว
5 5
5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 และ ถา 5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 แลว
12
∉ ”
5
12
• “ ∉ ก็ตอเมื่อ 5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 ” สมมูลกับ “5 ไมเปน
5
12
ตัวประกอบของ 12 ก็ตอเมื่อ ∉ ”
5
3) แนวทางการตอบ
• “ไกและเปดเปนสัตวปก หรือ นกและไกเปนสัตวปก” สมมูลกับ “ไกเปนสัตวปก
และ เปดหรือนกเปนสัตวปก”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
4) แนวทางการตอบ
• “ถาพอและแมของแหนมมีเลือดหมู O แลวแหนมมีเลือดหมู O” สมมูลกับ
“พอหรือแมของแหนมไมมีเลือดหมู O หรือแหนมมีเลือดหมู O”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 103
6) รูปแบบของประพจน ( p → r ) ∧ ( q → r ) ↔ ( p ∨ q ) → r เปนสัจนิรันดร
7) รูปแบบของประพจน ( p ↔ q ) ↔ ( p ∧ q ) ∨ ( p∧ q ) เปนสัจนิรันดร
11. 1) ไมสมเหตุสมผล 2) ไมสมเหตุสมผล
3) ไมสมเหตุสมผล 4) สมเหตุสมผล
5) สมเหตุสมผล
12. 1) ไมสมเหตุสมผล 2) สมเหตุสมผล
3) สมเหตุสมผล 4) ไมสมเหตุสมผล
5) ไมสมเหตุสมผล
13. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนจริง 4) เปนเท็จ
5) เปนเท็จ 6) เปนจริง
7) เปนจริง 8) เปนจริง
9) เปนเท็จ 10) เปนเท็จ
11) เปนเท็จ 12) เปนจริง
13) เปนเท็จ 14) เปนจริง
15) เปนจริง
14. 1) นิเสธของ ∀x ( x ≠ 5) คือ ∀x [ x ≠ 5]
2) นิเสธของ ∃x [ x ∈ ∧ x≥5] คือ ∀x [ x ∉ ∨ x<5]
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
7) นิเสธของขอความ “มีจํานวนตรรกยะบางจํานวนเปนจํานวนคี่และจํานวนคี่
ทุกจํานวนไมเปนจํานวนอตรรกยะ” คือ “จํานวนตรรกยะทุกจํานวนไมเปน
จํานวนคี่หรือมีจํานวนคี่บางจํานวนเปนจํานวนอตรรกยะ”
8) นิเสธของขอความ “จํานวนนับทุกจํานวนมากกวาศูนยแตจํานวนเต็มบางจํานวน
ยกกําลังสองไมมากกวาศูนย” คือ “มีจํานวนนับบางจํานวนนอยกวาหรือเทากับ
ศูนยหรือกําลังสองของจํานวนเต็มใด ๆ มีคามากกวาศูนย”
15. 1) ∀x [ x ∈ ∧ x∉ ] ไมสมมูลกับ ∀x [ x ∈ ∨ x ∉ ]
2) ∀x x > 0 → x3 > 0 ไมสมมูลกับ ∀x x > 0 ∨ x3 > 0
3) ∃x x 2 > 0 สมมูลกับ ∀x x 2 ≤ 0
4) ∀x x = 9 ∧ x ≠ 3 ไมสมมูลกับ ∃x x =3→ x =9
8) ( ∀x [ x ∈ ] ∧ ∀x [ x ≠ 7 ]) สมมูลกับ ∃x [ x ≠ 7 ] → ∀x [ x ∈ ]
9) “จํานวนคี่ทุกจํานวนมากกวาศูนย” สมมูลกับ “ไมจริงที่วาจํานวนคี่บางจํานวน
นอยกวาหรือเทากับศูนย”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 105
16. ฟาใสมีสิทธิ์ไดเลื่อนตําแหนง
17. สุริยาจะไดรับเงินรางวัล 45,000 บาท
เมฆาจะไมไดรับเงินรางวัล
กมลจะไดรับเงินรางวัล 140,000 บาท
และทิวาจะไดรับเงินรางวัล 800,000 บาท
18. มานแกวจะสามารถกูเงินกับบริษัทนี้ได
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
บทที่ 3
จํานวนจริง
การศึกษาเรื่องจํานวนจริงมีความสําคัญตอวิชาคณิตศาสตร เพราะความเขาใจเกี่ยวกับจํานวน
ไมไดหมายความเพี ย งการคิ ด คํ า นวณเทานั้ น แตหมายความรวมถึ ง ความเขาใจในระบบ
เชิงคณิตศาสตร ซึ่งประกอบไปดวย เอกภพสัมพัทธ คําอนิยาม คํานิยาม สัจ พจน ทฤษฎีบ ท
บทตั้ ง และบทแทรก เนื้ อ หาเรื่ อ งจํ า นวนจริ ง ที่ นํ า เสนอในหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม
คณิต ศาสตร ชั้น มัธ ยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 มีจุ ดมุงหมายเพื่อใหนักเรีย นเขาใจและนําระบบ
เชิงคณิตศาสตรไปใชในการแกปญหา และเพื่อเปนรากฐานสําหรับการเรียนคณิตศาสตรในหัวขอ
ตอไป ในบทเรียนนี้มุงใหนักเรียนบรรลุตัวชี้วัดและจุดมุงหมายดังตอไปนี้
ผลการเรียนรู
• เขาใจจํานวนจริงและใชสมบัติของจํานวนจริงในการแกปญหา
• แกสมการและอสมการพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีไมเกินสี่ และนําไปใชในการแกปญหา
• แกสมการและอสมการเศษสวนของพหุนามตัวแปรเดียว และนําไปใชในการแกปญหา
• แกสมการและอสมการคาสัมบูรณของพหุนามตัวแปรเดียว และนําไปใชในการแกปญหา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 107
จุดมุงหมาย
1. ใชความรูเกี่ยวกับจํานวนจริงในการแกปญหา
2. หาผลหารของพหุนามและเศษเหลือ
3. หาเศษเหลือโดยใชทฤษฎีบทเศษเหลือ
4. แยกตัวประกอบของพหุนาม
5. แกสมการและอสมการพหุนามตัวแปรเดียว
6. แกสมการและอสมการเศษสวนของพหุนามตัวแปรเดียว
7. แกสมการและอสมการคาสัมบูรณของพหุนามตัวแปรเดียว
8. ใชความรูเกี่ยวกับพหุนามในการแกปญหา
ความรูกอนหนา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
3.1 เนื้อหาสาระ
1. แผนผังแสดงความสัมพันธของจํานวนชนิดตาง ๆ
จํานวนเชิงซอน
จํานวนจริง จํานวนเชิงซอนที่ไมใชจํานวนจริง
จํานวนอตรรกยะ จํานวนตรรกยะ
จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะที่ไมใชจํานวนเต็ม
3. สัจพจนการเทากันของระบบจํานวนจริง
1) กฎการสะทอน (reflexive law)
สําหรับจํานวนจริง a จะไดวา a = a
2) กฎการสมมาตร (symmetric law)
สําหรับจํานวนจริง a และ b ถา a = b แลว b = a
3) กฎการถายทอด (transitive law)
สําหรับจํานวนจริง a, b และ c ถา a=b และ b=c แลว a = c
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 109
4. สัจพจนเชิงพีชคณิต
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง จะไดวา
สมบัติ การบวก การคูณ
สมบัติปด a +b∈ ab ∈
สมบัติการเปลี่ยนหมู ( a + b) + c = a + (b + c ) ( ab ) c = a ( bc )
a + ( −a ) = 0 = ( −a ) + a
สมบัติการมีตัวผกผัน ถา a ≠0 แลว
เรียก −a วา
a −1 ⋅ a = 1 = a ⋅ a −1
“ตัวผกผันการบวก หรือ
เรียก a −1 วา
อินเวอรสการบวกของ a”
“ตัวผกผันการคูณ หรือ
อินเวอรสการคูณของ a”
สมบัติการแจกแจง a ( b + c ) = ab + ac และ ( a + b ) c = ac + bc
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
5. ทฤษฎีบท 1 กฎการตัดออกสําหรับการบวก
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง
1) ถา a+c = b+c แลว a =b
2) ถา a +b = a +c แลว b =c
6. ทฤษฎีบท 2 กฎการตัดออกสําหรับการคูณ
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง
1) ถา ac = bc และ c ≠0 แลว a =b
7. ทฤษฎีบท 3
ให a เปนจํานวนจริง จะได a⋅0 = 0
8. ทฤษฎีบท 4
ให เปนจํานวนจริง จะได ( −1) a = − a
a
9. ทฤษฎีบท 5
ให a และ b เปนจํานวนจริง จะได ab = 0 ก็ตอเมื่อ a=0 หรือ b=0
10. ทฤษฎีบท 6
ให a และ b เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) a ( −b ) = − ab
2) ( − a ) b = − ab
3) ( − a )( −b ) = ab
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 111
11. บทนิยาม 1
ให a และ b เปนจํานวนจริง
a ลบดวย b เขียนแทนดวยสัญลักษณ a −b
โดยที่ a − b = a + ( −b )
12. บทนิยาม 2
ให a และ b เปนจํานวนจริง โดยที่ b≠0
a
a หารดวย b เขียนแทนดวยสัญลักษณ
b
a
โดยที่ = a ⋅ b −1
b
13. ทฤษฎีบท 7
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) a ( b − c ) = ab − ac
2) ( a − b ) c = ac − bc
14. ทฤษฎีบท 8
ให a เปนจํานวนจริง ถา a≠0 แลว a −1 ≠ 0
15. ทฤษฎีบท 9
ให a, b , c และ d เปนจํานวนจริง จะไดวา
a
b a
1) = เมื่อ b≠0 และ c≠0
c bc
a ac
2) = เมื่อ b≠0 และ c≠0
b bc
a c ad + bc
3) + = เมื่อ b≠0 และ d ≠0
b d bd
a c ac
4) = เมื่อ b≠0 และ d ≠0
b d bd
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
−1
b c
5) = เมื่อ b≠0 และ c≠0
c b
a
b ad
6) = เมื่อ b ≠ 0, c ≠ 0 และ d ≠0
c bc
d
16. ทฤษฎีบท 10 ขั้นตอนวิธีการหารสําหรับพหุนาม
ถา a ( x ) และ b ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ b ( x ) ≠ 0 แลวจะมีพหุนาม q ( x ) และ r ( x )
เพียงชุดเดียวเทานั้น ซึ่ง
a ( x) = b( x) q ( x) + r ( x)
เมื่อ r ( x ) = 0 หรือ deg ( r ( x ) ) < deg ( b ( x ) )
เรียก q ( x ) วา “ผลหาร” และเรียก r ( x ) วา “เศษเหลือจากการหารพหุนาม a ( x )
ดวยพหุนาม b ( x ) ”
17. ทฤษฎีบท 11 ทฤษฎีบทเศษเหลือ
ให p ( x ) เปนพหุนาม a x + a x + a x
n
n
n −1
n −1
n−2
n−2
+ + a1 x + a0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 113
ถา b 2 − 4ac ≥ 0 แลวจะมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการกําลังสองนี้
−b b 2 − 4ac
โดยคําตอบของสมการ คือ
2a
ถา b 2 − 4ac < 0 แลว จะไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการกําลังสองนี้
22. ให p ( x ) และ q ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ q ( x ) ≠ 0 จะเรียก p ( x ) วา
q x ( )
“เศษสวนของพหุนาม” ที่มี p ( x ) เปนตัวเศษ และ q ( x ) เปนตัวสวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
23. การคูณและการหารเศษสวนของพหุนาม
1) เมื่ อ p ( x ) , q ( x ) , r ( x ) และ s ( x ) เปนพหุ น าม โดยที่ q ( x ) ≠ 0 และ s ( x ) ≠ 0
จะไดวา
p ( x) r ( x) p ( x) r ( x)
⋅ =
q ( x) s ( x) q ( x) s ( x)
24. การบวกและการลบเศษสวนของพหุนาม
เมื่อ p ( x ) , q ( x ) และ r ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ q ( x ) ≠ 0 จะไดวา
p ( x) r ( x) p ( x) + r ( x)
+ =
q ( x) q ( x) q ( x)
p ( x) r ( x) p ( x) − r ( x)
− =
q ( x) q ( x) q ( x)
27. ทฤษฎีบท 14
ให a , b และ c เปนจํานวนจริง
1) สมบัติการถายทอด
ถา a>b และ b>c แลว a>c
2) สมบัติการบวกดวยจํานวนที่เทากัน
ถา a>b แลว a+c > b+c
3) สมบัติการคูณดวยจํานวนที่เทากันที่ไมเปนศูนย
กรณีที่ 1 ถา a>b และ c>0 แลว ac > bc
4) สมบัติการตัดออกสําหรับการบวก
ถา a+c > b+c แลว a>b
5) สมบัติการตัดออกสําหรับการคูณ
กรณีที่ 1 ถา ac > bc และ c>0 แลว a>b
28. ทฤษฎีบท 15
ให a , b , c และ d เปนจํานวนจริง
ถา a>b และ c>d แลว a+c > b+d
29. บทนิยาม 4
ให a , b และ c เปนจํานวนจริง
a<b<c หมายถึง a<b และ b<c
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
30. บทนิยาม 5
ให a และ b เปนจํานวนจริง ซึ่ง a<b
ชวงปดอนันต [ a , ) หมายถึง { x x ≥ a}
ชวงปดอนันต ( − , a ] หมายถึง { x x ≤ a}
31. บทนิยาม 6
ให a เปนจํานวนจริง คาสัมบูรณของจํานวนจริง a เขียนแทนดวย สัญลักษณ a โดยที่
เมื่อ
เมื่อ
32. ทฤษฎีบท 16
ให x และ y เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) x = − x
2) xy = x y
x x
3) = เมื่อ y≠0
y y
4) x − y = y − x
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 117
2
5) x = x2
6) x + y ≤ x + y
33. ทฤษฎีบท 17
ให a เปนจํานวนจริงบวก
เซตคําตอบของสมการ x = a คือ {−a , a}
34. ทฤษฎีบท 18
ให a เปนจํานวนจริงบวก
1) x <a ก็ตอเมื่อ −a < x < a
2) x ≤a ก็ตอเมื่อ −a ≤ x ≤ a
3.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
จํานวนจริง
กิจกรรม การจําแนกประเภทของจํานวน
ขั้นตอนการปฏิบัติ
1. ครูแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3 – 4 คน แบบคละความสามารถ จากนั้นครูเขียนจํานวน
ตอไปนี้บนกระดาน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
7π −7 + 8 − ( −5 ) − 6 5− 5
8
8 ⋅ 18 − 225 3
2
1
( −7 )
3
49 + 144 2 2
2
27
2.3 −0.57871234 85.71
363
10 22
4.5073 − 7.321321321...
3 7
10−3 0.123456 −32
2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมอภิปรายวาจะจําแนกประเภทของจํานวนอยางไร
3. ครูใหตัวแทนนักเรียนแตละกลุมนําเสนอการจัดประเภทของจํานวน แลวรวมกันอภิปราย
ในประเด็นตอไปนี้
3.1 จัดประเภทของจํานวนไดกี่กลุม พรอมใหเหตุผลประกอบ
3.2 ประเภทของจํานวนที่กลุมของตนเองจัดได เหมือนหรือแตกตางจากเพื่อนกลุมอื่น
หรือไม อยางไร
4. หลังการอภิปราย ครูใหนักเรียนแตละกลุมเขียนแผนผังแสดงความสัมพันธของจํานวนประเภท
ตาง ๆ จากนั้นครูสุมกลุมนักเรียนกลุมหนึ่งมานําเสนอการจัดประเภทของจํานวน พรอมทั้งให
นักเรียนกลุมอื่น ๆ รวมกันเพิ่มเติมประเภทของจํานวนจากที่เพื่อนนําเสนอใหสมบูรณ
หมายเหตุ
• แนวคํ าตอบ เชน จํ าแนกประเภทของจํ านวนเปน 2 กลุ ม ไดแก จํ านวนตรรกยะ และ
จํานวนอตรรกยะ
• ครูอาจเปลี่ยนเปนจํานวนอื่น ๆ ซึ่งจํานวนเหลานั้นควรจําแนกประเภทไดหลายแบบ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 119
กิจ กรรมนี้ มีไวเพื่ อ ทบทวนเกี่ ย วกั บ ประเภทของจํา นวนซึ่งนั กเรี ย นไดศึก ษามาแลวในระดั บ
มัธยมศึกษาตอนตน และใชเพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับหัวขอนี้ไดดวย ซึ่งในกรณี
ที่ครูพบวานักเรียนมีความเขาใจเกี่ยวกับประเภทของจํานวนเปนอยางดีแลว ครูสามารถสอนเนื้อหา
เกี่ยวกับระบบจํานวนจริงซึ่งอยูในหัวขอถัดไปไดโดยไมตองสอนเรื่องนี้อีก
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัด 3.1
2. ขอความตอไปนี้เปนจริงหรือเท็จ
9) มีจํานวนตรรกยะที่มากที่สุดที่นอยกวา 9
แบบฝกหั ด นี้ ค รู ควรกระตุ นและเปดโอกาสใหนั กเรี ย นใหเหตุ ผ ลประกอบการหาคํ า ตอบ
โดยนั ก เรี ย นอาจใหเหตุ ผ ลวาไมสามารถหาจํ า นวนตรรกยะที่ ม ากที่ สุ ด ที่ น อยกวา 9 ได
เนื่องจากจะมีจํานวนตรรกยะที่อยูระหวางจํานวนจริง 2 จํานวนเสมอ
ระบบจํานวนจริง
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• เนื้อหาในหั วขอนี้ โดยสวนใหญเปนเรื่ องที่ นัก เรีย นไดศึ กษามาแลวในระดับ มัธยมศึ กษา
ตอนตน แตในระดั บ นี้ เ ปนการนํ า เนื้ อ หามาจั ด ตามโครงสรางของระบบคณิ ต ศาสตร
โดยจะกลาวถึ ง สั จ พจนการเทากั น ของระบบจํ า นวนจริ ง และสั จ พจนเชิ ง พี ช คณิ ต
แตจะไมไดกลาวถึงสัจพจนความบริบูรณ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
• บทเรียนนี้ไมไดเนนการพิสูจนทฤษฎีบท แตครูอาจใหความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพิสูจน
ทฤษฎีบทสําหรับนักเรียนที่สนใจได
ทฤษฎีบทเศษเหลือ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ตัวอยางที่ 10
1
จงหาเศษเหลือจากการหาร 9 x3 + 4 x − 1 ดวย x−
2
1
คําถาม 1. จงหาร 9 x3 + 4 x − 1 ดวย x− โดยวิธี ห ารยาว แลวพิ จ ารณาวาเศษเหลื อ
2
1
ที่ไดเทากับ p หรือไม
2
2. จงหาร 9 x3 + 4 x − 1 ดวย 2x −1 โดยวิธีหารยาว แลวพิจารณาวาเศษเหลือที่ได
1
เทากับ p หรือไม
2
จากคําถามสองขอนี้นักเรียนควรสังเกตเห็นวาเศษเหลือที่ไดจากการหาร 9 x3 + 4 x − 1 ดวย
1
x− โดยวิธีหารยาว และเศษเหลือที่ไดจากการหาร 9 x3 + 4 x − 1 ดวย 2x −1 โดยวิธีหาร
2
17 1
ยาว ตางก็เทากับ ซึ่งคือ p นั่นเอง เนื่องจาก เมื่อเขียนแสดง 2x −1 ใหอยูในรูป
8 2
1
x−c แลวจะได x−
2
ซึ่งในกรณีทั่วไป ถาให p ( x ) เปนพหุนาม และ a, b เปนจํานวนจริง โดยที่ a≠0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 121
ทฤษฎีบทตัวประกอบ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
สมการพหุนามตัวแปรเดียว
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ในบทเรียนนี้นักเรียนตองใชความรูเกี่ยวกับการแยกตัวประกอบของพหุนามในการแกสมการ
พหุ น ามตั ว แปรเดี ย ว ซึ่ ง การแยกตั ว ประกอบของพหุ น ามทํ า ไดหลายวิ ธี ดั ง นั้ น ครู ค วร
ใหนั ก เรี ย นมี อิ ส ระในการเลื อ กวิ ธี ที่ ต นเองถนั ด ในการแยกตั ว ประกอบของพหุ น ามโดย
ไมจําเปนตองตรงกับวิธีที่ครูคิดไว
เศษสวนของพหุนาม
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 123
สมการเศษสวนของพหุนาม
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ในการเขียนเศษสวนของพหุนามในรูปผลสําเร็จนั้น นักเรียนควรระมัดระวังวาพหุนามที่เปนตัว
สวนจะตองไมเทากับศูนย ดังนั้นนักเรียนจึงตองระวังในการสรุปเซตคําตอบของสมการเศษสวน
ของพหุนาม
การไมเทากันของจํานวนจริง
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัด 3.8
กําหนดให a และ b เปนจํานวนจริง
1. จริงหรือไม ถา a > b แลว a 2 > b2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
ครูควรสนับสนุนใหนักเรียนยกตัวอยางคานสําหรับขอที่นักเรียนคาดการณวาขอความที่กําหนดให
ไมเปนจริง
1 1
7. กรณีใดบาง ถา a>b แลว < เมื่อ a≠0 และ b≠0
a b
1 1
8. กรณีใดบาง ถา a>b แลว > เมื่อ a≠0 และ b≠0
a b
แบบฝกหัดสองขอนี้ สามารถแสดงการพิสูจนไดดังนี้
ให a และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ ซึ่ง a>b และ a≠0 และ b≠0
1
พิจารณา กรณีที่ ab > 0 จะได >0
ab
1 1
และจาก a>b จะไดวา a >b
ab ab
1 1 1 1
นั่นคือ > หรือ <
b a a b
1
พิจารณา กรณีที่ ab < 0 จะได <0
ab
1 1 1 1
และจาก a>b จะไดวา a <b นั่นคือ <
ab ab b a
1 1
จากทั้งสองกรณีจะเห็นวา “ถา a > b แลว < เมื่อ a ≠ 0 และ b ≠ 0 ” จะเปนจริง
a b
เมื่อ a และ b เปนจํานวนจริงบวกทั้งคู หรือ a และ b เปนจํานวนจริงลบทั้งคู และ
1 1
“ถา a > b แลว > เมื่อ a ≠ 0 และ b ≠ 0 ” จะเปนจริง เมื่อ a เปนจํานวนจริงบวก
a b
แต b เปนจํานวนจริงลบ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 125
อสมการพหุนามตัวแปรเดียว
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• จากบทนิยาม 5 จะไดวาชวงเปนสับเซตของเซตของจํานวนจริง
• ครูควรฝกฝนนักเรียนใหใชแนวทางการแกอสมการพหุ นามตัวแปรเดี ยวโดยพิ จารณาเสน
จํานวนตามที่ นําเสนอในหนังสือเรียน เนื่องจากสามารถนําไปใชในการแกอสมการกรณีที่
แยกตัวประกอบของพหุนามแลวไดตัวประกอบซ้ํา รวมถึงการแกอสมการเศษสวนของพหุนาม
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัด 3.9ข
12. x 3 − x 2 − x + 1 ≥ 0
แบบฝกหัดนี้ควรกระตุนและเปดโอกาสใหนักเรียนแสดงวิธีการหาคําตอบพรอมใหเหตุผ ล
ประกอบการหาคําตอบ นักเรียนอาจแสดงโดยพิจารณาเสนจํานวนตามที่นําเสนอในหนังสือ
เรียน หรืออาจใชสมบัติของจํานวนจริง ซึ่งในที่นี้จะไดวา ( x − 1)2 ≥ 0
( x − 1)( x + 3)
15. ≤0
x−2
แบบฝกหัดขอนี้นักเรียนตองระมัดระวังวาพหุนามที่เปนตัวสวนจะตองไมเทากับศูนย
นั่นคือ x−2≠0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คาสัมบูรณ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แบบฝกหัด 3.10
3. จงหาเงื่อนไขของจํานวนจริง x และ y ที่ทําให
1) x + y < x + y
2) x + y = x + y
แบบฝกหัดขอนี้ สามารถแสดงการพิสูจนโดยแยกเปนกรณี ดังนี้
กรณี x=0 และ y=0
จะได x+ y = 0+0 = 0 =0
และ x + y = 0 + 0 =0+0=0
ดังนั้น x+ y = x + y
ดังนั้น x+ y = x+ y
และ x + y = x+ y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 127
ดังนั้น x+ y = x + y
จะได x = x, y = − y อาจแยกไดเปน
1) x+ y=0 จะได x+ y =0
ดังนั้น x + y < x + (− y)
จาก x = x, y = − y ดังนั้น x + y = x + (− y)
ดังนั้น x+ y < x + y
2) x+ y>0 จะได x+ y = x+ y
ดังนั้น x + y < x + (− y)
จาก x+ y = x+ y และ x + y = x + (− y)
ดังนั้น x+ y < x + y
จะไดวา ( − x ) + ( − y ) < x + ( − y )
จาก x + y = ( − x ) + ( − y ) และ x + y = x + (− y)
ดังนั้น x+ y < x + y
จะได x+ y<0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
ดังนั้น x + y = −( x + y) = (−x) + (− y)
3.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
หากใชรูปหลายเหลี่ยมดานเทามุมเทาที่มีจํานวนดานเทากัน คาประมาณของ π
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 129
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
ที่ไดจากแตละวิธีเปนอยางไร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 131
2 u + 1U un + U n
ในการหาคาประมาณของ π โดยใช 3 n 3 n
แทน 2
วิธีของ วิธีของ
รูปหลายเหลี่ยม
จํานวนดาน Archimedes Snell-Huygens
ดานเทามุมเทา
คาประมาณของ π ถูกตองถึง
6 หลักหนวย ทศนิยมตําแหนงที่ 1
12 ทศนิยมตําแหนงที่ 1 ทศนิยมตําแหนงที่ 2
24 ทศนิยมตําแหนงที่ 2 ทศนิยมตําแหนงที่ 3
48 ทศนิยมตําแหนงที่ 2 ทศนิยมตําแหนงที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 133
วิธีของ วิธีของ
รูปหลายเหลี่ยม
จํานวนดาน Archimedes Snell-Huygens
ดานเทามุมเทา
คาประมาณของ π ถูกตองถึง
96 ทศนิยมตําแหนงที่ 3 ทศนิยมตําแหนงที่ 6
3.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
การวัดผลระหวางเรียนเปนการวัดผลการเรียนรูเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน และ
ตรวจสอบนั ก เรี ย นแตละคนวามี ค วามรู ความเขาใจในเรื่ อ งที่ ค รู ส อนมากนอยเพี ย งใด
การใหนั ก เรี ย นทํ า แบบฝกหั ด เปนแนวทางหนึ่ ง ที่ ค รู อ าจใชเพื่ อ ประเมิ น ผลดานความรู
ระหวางเรียนของนักเรียน ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4
เลม 1 ไดนําเสนอแบบฝกหัดที่ครอบคลุมเนื้อหาที่สําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทที่ 3
จํานวนจริง ครูอาจใชแบบฝกหัดเพื่อวัดผลประเมินผลความรูในแตละเนื้อหาไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
เนื้อหา แบบฝกหัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 135
3.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท
หนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม คณิ ต ศาสตร ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปที่ 4 เลม 1 มี จุ ดมุ งหมายวา
เมื่อนักเรียนไดเรียนจบบทที่ 3 จํานวนจริง แลวนักเรียนสามารถ
1. ใชความรูเกี่ยวกับจํานวนจริงในการแกปญหา
2. หาผลหารของพหุนามและเศษเหลือ
3. หาเศษเหลือโดยใชทฤษฎีบทเศษเหลือ
4. แยกตัวประกอบของพหุนาม
5. แกสมการและอสมการพหุนามตัวแปรเดียว
6. แกสมการและอสมการเศษสวนพหุนามตัวแปรเดียว
7. แกสมการและอสมการคาสัมบูรณของพหุนามตัวแปรเดียว
8. ใชความรูเกี่ยวกับพหุนามในการแกปญหา
ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไดนําเสนอแบบฝกหัด
ทายบทที่ประกอบดวยโจทยเพื่อตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อวัดความรู
ความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ซึ่งประกอบดวยโจทยฝกทักษะที่มีความนาสนใจและ
โจทยทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย
ของบทเพื่อตรวจสอบวานักเรียนมีความสามารถตามจุดมุงหมายเมื่อเรียนจบบทเรียนหรือไม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
จุดมุงหมาย
แกสมการ แกสมการ
ขอ ใชความรูเกี่ยวกับ หาผลหารของ แกสมการ ใชความรู
ขอ หาเศษเหลือโดยใช แยกตัวประกอบ และอสมการ และอสมการ
ยอย จํานวนจริง พหุนาม และอสมการ เกี่ยวกับพหุนาม
ทฤษฎีบทเศษเหลือ ของพหุนาม เศษสวนพหุนาม คาสัมบูรณของ
ในการแกปญหา และเศษเหลือ พหุนามตัวแปรเดียว ในการแกปญหา
ตัวแปรเดียว พหุนามตัวแปรเดียว
1. 1)
2)
3)
2.
3. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
9)
4. 1)
2)
3)
จุดมุงหมาย
แกสมการ แกสมการ
ขอ ใชความรูเกี่ยวกับ หาผลหารของ แกสมการ ใชความรู
ขอ หาเศษเหลือโดยใช แยกตัวประกอบ และอสมการ และอสมการ
ยอย จํานวนจริง พหุนาม และอสมการ เกี่ยวกับพหุนาม
ทฤษฎีบทเศษเหลือ ของพหุนาม เศษสวนพหุนาม คาสัมบูรณของ
ในการแกปญหา และเศษเหลือ พหุนามตัวแปรเดียว ในการแกปญหา
ตัวแปรเดียว พหุนามตัวแปรเดียว
4)
5)
6)
5.
6.
7. 1)
2)
8.
9. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
จุดมุงหมาย
แกสมการ แกสมการ
ขอ ใชความรูเกี่ยวกับ หาผลหารของ แกสมการ ใชความรู
ขอ หาเศษเหลือโดยใช แยกตัวประกอบ และอสมการ และอสมการ
ยอย จํานวนจริง พหุนาม และอสมการ เกี่ยวกับพหุนาม
ทฤษฎีบทเศษเหลือ ของพหุนาม เศษสวนพหุนาม คาสัมบูรณของ
ในการแกปญหา และเศษเหลือ พหุนามตัวแปรเดียว ในการแกปญหา
ตัวแปรเดียว พหุนามตัวแปรเดียว
9)
10)
10. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
9)
10)
11)
12)
จุดมุงหมาย
แกสมการ แกสมการ
ขอ ใชความรูเกี่ยวกับ หาผลหารของ แกสมการ ใชความรู
ขอ หาเศษเหลือโดยใช แยกตัวประกอบ และอสมการ และอสมการ
ยอย จํานวนจริง พหุนาม และอสมการ เกี่ยวกับพหุนาม
ทฤษฎีบทเศษเหลือ ของพหุนาม เศษสวนพหุนาม คาสัมบูรณของ
ในการแกปญหา และเศษเหลือ พหุนามตัวแปรเดียว ในการแกปญหา
ตัวแปรเดียว พหุนามตัวแปรเดียว
11. 1)
2)
3)
4)
12. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
9)
10)
13. 1)
2)
3)
จุดมุงหมาย
แกสมการ แกสมการ
ขอ ใชความรูเกี่ยวกับ หาผลหารของ แกสมการ ใชความรู
ขอ หาเศษเหลือโดยใช แยกตัวประกอบ และอสมการ และอสมการ
ยอย จํานวนจริง พหุนาม และอสมการ เกี่ยวกับพหุนาม
ทฤษฎีบทเศษเหลือ ของพหุนาม เศษสวนพหุนาม คาสัมบูรณของ
ในการแกปญหา และเศษเหลือ พหุนามตัวแปรเดียว ในการแกปญหา
ตัวแปรเดียว พหุนามตัวแปรเดียว
4)
5) โจทยทาทาย
6)
7)
8)
9)
10)
11)
12)
14. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
จุดมุงหมาย
แกสมการ แกสมการ
ขอ ใชความรูเกี่ยวกับ หาผลหารของ แกสมการ ใชความรู
ขอ หาเศษเหลือโดยใช แยกตัวประกอบ และอสมการ และอสมการ
ยอย จํานวนจริง พหุนาม และอสมการ เกี่ยวกับพหุนาม
ทฤษฎีบทเศษเหลือ ของพหุนาม เศษสวนพหุนาม คาสัมบูรณของ
ในการแกปญหา และเศษเหลือ พหุนามตัวแปรเดียว ในการแกปญหา
ตัวแปรเดียว พหุนามตัวแปรเดียว
9)
10)
11)
12)
13)
14)
15)
15.
16.
17.
18.
19.
20. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
จุดมุงหมาย
แกสมการ แกสมการ
ขอ ใชความรูเกี่ยวกับ หาผลหารของ แกสมการ ใชความรู
ขอ หาเศษเหลือโดยใช แยกตัวประกอบ และอสมการ และอสมการ
ยอย จํานวนจริง พหุนาม และอสมการ เกี่ยวกับพหุนาม
ทฤษฎีบทเศษเหลือ ของพหุนาม เศษสวนพหุนาม คาสัมบูรณของ
ในการแกปญหา และเศษเหลือ พหุนามตัวแปรเดียว ในการแกปญหา
ตัวแปรเดียว พหุนามตัวแปรเดียว
7)
8)
9) โจทยทาทาย
10) โจทยทาทาย
21. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
9)
22.
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 143
3.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู
• ระบบจํานวนจริง คือ ระบบเชิงคณิตศาสตรที่ประกอบดวยเอกภพสัมพัทธ ซึ่งสอดคลอง
กับสัจพจน 3 กลุม 1 ดังนี้
0
(A2) a + ( b + c ) = ( a + b ) + c สําหรับทุกจํานวนจริง a , b, c
(A3) a + b = b + a สําหรับทุกจํานวนจริง a, b
(M1) a ⋅ b ∈ สําหรับทุกจํานวนจริง a, b
(M2) a ⋅ ( b ⋅ c ) = ( a ⋅ b ) ⋅ c สําหรับทุกจํานวนจริง a , b, c
(M3) a ⋅ b = b ⋅ a สําหรับทุกจํานวนจริง a, b
1
ในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 นําเสนอเพียงสัจพจนเชิงพีชคณิต
ในระบบจํานวนจริงและสัจพจนเชิงอันดับในระบบจํานวนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
2. ถา a, b ∈ +
แลว a ⋅b∈
+
3. สําหรับจํานวนจริง a ใด ๆ a∈ +
หรือ a=0 หรือ −a ∈ +
เพียงอยางใดอยางหนึ่ง
• สัจพจนความบริบูรณ
ถา A เปนสับเซตที่ไมใชเซตวางของ ซึ่งมีขอบเขตบนใน แลว A มีขอบเขต
บนนอยสุดใน
• ความหนาแนน (Density ของ และ ใน สามารถศึกษาไดจากหนังสือเรียนรู
เพิ่มเติมเพื่อเสริมศักยภาพคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 เรื่องระบบจํานวนจริง
หนา 61 – 63
• ทฤษฎี บ ทที่ ไ มไดแสดงการพิ สู จ นในหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าเพิ่ ม เติ ม คณิ ต ศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 แสดงการพิสูจนไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 145
ทฤษฎีบท 1 กฎการตัดออกสําหรับการบวก
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง
1) ถา a+c = b+c แลว a=b
พิสูจน
1) ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ a+c = b+c
จะได ( a + c ) + ( − c ) = (b + c ) + ( − c )
a + (c + ( − c )) = b + (c + ( − c )) (สมบัติการเปลีย
่ นหมูของการบวก)
a+0 = b+0 (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
a = b (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
จะได ( a + b ) + ( − a ) = (a + c) + (− a)
(− a) + (a + b) = ( − a ) + ( a + c ) (สมบัติการสลับที่ของการบวก)
( ( −a ) + a ) + b = ( ( −a ) + a ) + c (สมบัติการเปลีย่ นหมูของการบวก)
0+b = 0+c (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
b = c (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
ทฤษฎีบท 2 กฎการตัดออกสําหรับการคูณ
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง
1) ถา ac = bc และ c≠0 แลว a=b
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
พิสูจน
1) ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ a c = bc และ c≠0
จะได ( a c ) c −1 = ( bc ) c −1
a ( c c −1 ) = b ( c c −1 ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
a ⋅1 = b ⋅1 (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
a = b (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
จะได ( a b ) a −1 = ( a c ) a −1
a −1 ( ab ) = a −1 ( ac ) (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
(a a)b
−1
= ( a −1a ) c (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
1⋅ b = 1⋅ c (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
b = c (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
ทฤษฎีบท 3
ให a เปนจํานวนจริง จะได a⋅0 = 0
พิสูจน
ให a เปนจํานวนจริงใด ๆ
จาก 0+0 = 0
จะได a ( 0 + 0) = a ⋅ 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 147
a⋅0 = 0 (กฎการตัดออกสําหรับการบวก)
ทฤษฎีบท 4
ให aเปนจํานวนจริง จะได ( −1) a = − a
พิสูจน
ให a เปนจํานวนจริงใด ๆ
จาก a + ( −1) a = 1a + ( −1) a (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
a + ( −1) a = 0 ⋅ a (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
a + ( −1) a = a ⋅ 0 (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
a + ( −1) a = 0 (ทฤษฎีบท 3)
a + ( −1) a = a + ( − a ) (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
( −1) a = −a (กฎการตัดออกสําหรับการบวก)
พิสูจน
ให a และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ
1) จะแสดงวา ถา ab = 0 แลว a=0 หรือ b=0
ให ab = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
โดยทฤษฎีบท 3 จะไดวา ab = 0
โดยทฤษฎีบท 3 จะไดวา ab = 0
โดยทฤษฎีบท 3 จะไดวา ab = 0
หรือ b=0
ทฤษฎีบท 6
ให a และ b เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) a ( −b ) = − ab
2) ( −a ) b = − ab
3) ( −a )( −b ) = ab
พิสูจน
1) ให a และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ
จะได a⋅0 = 0 (ทฤษฎีบท 3)
a b + ( −b ) = 0 (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
ab + a ( −b ) = 0 (สมบัติการแจกแจง)
ab + a ( −b ) + ( − ab ) = 0 + ( − ab )
( −ab ) + ab + a ( −b ) = 0 + ( − ab ) (สมบัติการสลับที่ของการบวก)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 149
( −ab ) + ab + a ( −b ) = 0 + ( − ab ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
0 + a ( −b ) = 0 + ( − ab ) (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
a ( −b ) = − ab (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
ดังนั้น a ( −b ) = −ab
2) ให a และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ
จะได (− a)b = b(− a) (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
= −b a (ทฤษฎีบท 6 ขอ 1)
= − ab (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
ดังนั้น ( − a ) b = −ab
3) ให a และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ
จะได ( −a ) ⋅ 0 =0 (ทฤษฎีบท 3)
( −a ) b + ( −b ) = 0 (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
( −a ) b + ( −a )( −b ) =0 (สมบัติการแจกแจง)
( −ab ) + ( −a )( −b ) =0 (ทฤษฎีบท 6 ขอ 1)
( −ab ) + ( −a )( −b ) + ab = 0 + ab
ab + ( −ab ) + ( −a )( −b ) = 0 + ab (สมบัติการสลับที่ของการบวก)
ab + ( − ab ) + ( − a )( −b ) = 0 + ab (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
0 + ( − a )( −b ) = 0 + ab (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
( − a )( − b ) = ab (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
ดังนั้น ( −a )( −b ) = ab
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
ทฤษฎีบท 7
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) a (b − c ) = ab − ac
2) (a − b) c = ac − bc
พิสูจน
1) ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ
จะได a (b − c ) = a b + ( − c ) (บทนิยาม 1)
= a b + a (− c) (สมบัติการแจกแจง)
= a b + (− a c) (ทฤษฎีบท 6 ขอ 1)
= ab − a c (บทนิยาม 1)
ดังนั้น a ( b − c ) = ab − ac
2) ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ
จะได (a − b) c = a + ( −b ) c (บทนิยาม 1)
= a c + (− b) c (สมบัติการแจกแจง)
= a c + (−b c) (ทฤษฎีบท 6 ขอ 1)
= a c − bc (บทนิยาม 1)
ดังนั้น ( a − b ) c = ac − bc
ทฤษฎีบท 8
ให a เปนจํานวนจริง ถา a≠0 แลว a −1 ≠ 0
พิสูจน
โดยวิธีหาขอขัดแยง สมมติให a=0
จะไดวา a ⋅ a −1 = 0 ⋅ a −1 = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 151
ซึ่งขัดแยงกับสมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ ซึ่ง a ⋅ a −1 = 1
ทฤษฎีบท 9
ให a , b, c และ d เปนจํานวนจริง จะไดวา
a
b a
1) = เมื่อ b≠0 และ c≠0
c bc
a ac
2) = เมื่อ b≠0 และ c≠0
b bc
a c ad + bc
3) + = เมื่อ b≠0 และ d ≠0
b d bd
a c ac
4) = เมื่อ b≠0 และ d ≠0
b d bd
−1
b c
5) = เมื่อ b≠0 และ c≠0
c b
a
b ad
6)
c
= เมื่อ b ≠ 0, c ≠ 0 และ d ≠0
bc
d
พิสูจน
1) ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ b≠0 และ c≠0
จะได a
bc
(
= a b −1c −1 ) (บทนิยาม 2)
(
= ab −1 c −1 ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
ab −1
= (บทนิยาม 2)
c
a
b
= (บทนิยาม 2)
c
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
a
b a
ดังนั้น =
c bc
2) ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ b≠0 และ c≠0
ac
ac b
จะได = (ทฤษฎีบท 9 ขอ 1)
bc c
ac −1
= ⋅c (บทนิยาม 2)
b
(
= ac ⋅ b −1 c −1 ) (บทนิยาม 2)
(
= c −1 ac ⋅ b −1 ) (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
( )
= c −1 ⋅ ac b −1 (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
= ( ac ⋅ c ) b
−1 −1
(สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
= a (c ⋅ c )
−1
b −1 (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= ( a ⋅ 1) b −1 (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
= ab −1 (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
a
= (บทนิยาม 2)
b
a ac
ดังนั้น =
b bc
3) ให a , b, c และ d เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ b≠0 และ d ≠0
ad + bc
ad + bc b
จะได = (ทฤษฎีบท 9 ขอ 1)
bd d
ad + bc −1
= ⋅d (บทนิยาม 2)
b
= ( ad + bc ) b −1 d −1 (บทนิยาม 2)
= b −1 ⋅ ( ad + bc ) d −1 (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 153
= b −1 ( ad ) + b −1 ( bc ) d −1 (สมบัติการแจกแจง)
= (b −1
) ( )
⋅ a d + b −1 ⋅ b c d −1 (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= (b ⋅ a ) d + 1⋅ c d
−1 −1
(สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
= (b ⋅ a) d + c d
−1 −1
(สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
= (b ⋅ a) d + c d
−1 −1
(สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
= (b ⋅ a) d ⋅ d + (c ⋅ d )
−1 −1 −1
(สมบัติการแจกแจง)
= (b ⋅ a )( d ⋅ d ) + ( c ⋅ d )
−1 −1 −1
(สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= ( b ⋅ a ) ⋅1 + ( c ⋅ d )
−1 −1
(สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
= (b ⋅ a ) + (c ⋅ d )
−1 −1
(สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
= (a ⋅ b ) + (c ⋅ d )
−1 −1
(สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
a c
+= (บทนิยาม 2)
b d
a c ad + bc
ดังนั้น + =
b d bd
4) ให a , b, c และ d เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ b≠0 และ d ≠0
ac
ac b
จะได = (ทฤษฎีบท 9 ขอ 1)
bd d
ac −1
= d (บทนิยาม 2)
b
( )
= ac ⋅ b −1 d −1 (บทนิยาม 2)
= ( b ⋅ ac ) d
−1 −1
(สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
= (b ⋅ a ) c d
−1 −1
(สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= ( b ⋅ a )( c ⋅ d )
−1 −1
(สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
(
= a ⋅ b −1 c ⋅ d −1 )( ) (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
a c
= (บทนิยาม 2)
b d
a c ac
ดังนั้น =
b d bd
5) ให b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ b≠0 และ c≠0
−1
b
( )
−1
จะได = bc −1 (บทนิยาม 2)
c
1
= (บทนิยาม 2)
bc −1
1⋅ c
= (ทฤษฎีบท 9 ขอ 2)
bc −1 ⋅ c
1⋅ c
= (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
(
b c −1 ⋅ c )
1⋅ c
= (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
b ⋅1
c
= (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
b
−1
b c
ดังนั้น =
c b
6) ให a , b, c และ d เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ b≠ 0 และ d≠ 0
a
จะได b
=
( ab ) −1
(บทนิยาม 2)
c ( cd ) −1
=
( ab ) b−1
(บทนิยาม 9 ขอ 2)
( cd ) b−1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 155
a ( b −1b )
= (สมบัติการสลับที่ของการคูณและ
( cb ) d −1
สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
a ⋅1
= (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
( cb ) d −1
a
= (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
( cb ) d −1
a d
= ⋅ (บทนิยาม 9 ขอ 2)
( cb ) d d
−1
ad
= (บทนิยาม 9 ขอ 4)
( cb ) d −1 d
ad
= (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
( cb ) ( d −1d )
ad
= (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
cb ⋅ 1
ad
= (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
cb
a
b ad
ดังนั้น c
=
bc
d
ทฤษฎีบท 10 ขั้นตอนวิธีการหารสําหรับพหุนาม
ถา a ( x ) และ b ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ b ( x ) ≠ 0 แลวจะมีพหุนาม q ( x )
และ r ( x ) เพียงชุดเดียวเทานั้น ซึ่ง
a ( x) = b( x) q ( x) + r ( x)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
พิสูจน
ให a ( x ) และ b ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ b ( x ) ≠ 0
โดยขั้นตอนวิธีการหาร จะไดวามีพหุนาม q ( x ) และ r ( x )
โดยที่ r ( x ) = 0 หรือ deg ( r ( x ) ) < deg ( b ( x ) )
ซึ่งทําให a ( x ) = b ( x ) q ( x ) + r ( x ) ------- (1)
ซึ่งทําให a ( x ) = b ( x ) q ( x ) + r ( x )
1 1 ------- ( 2 )
0 = b ( x ) q ( x ) − b ( x ) q1 ( x ) + r ( x ) − r1 ( x )
0 = b ( x ) q ( x ) − q1 ( x ) + r ( x ) − r1 ( x )
b ( x ) q ( x ) − q1 ( x ) = r ( x ) − r1 ( x )
สมมติวา q ( x ) ≠ q ( x ) 1
จะไดวา q ( x ) − q ( x ) ≠ 0 และ r ( x ) ≠ r ( x )
1 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 157
ทฤษฎีบท 13
ให p ( x ) เปนพหุนาม an x n + an−1 x n−1 + + a1 x + a0 โดยที่ n เปนจํานวนเต็มบวก
และ a , a , , a , a เปนจํานวนเต็มซึ่ง a ≠ 0
n n −1 1 0 n
k
ถา x− เปนตัวประกอบของพหุนาม p ( x ) โดยที่ m และ k เปนจํานวนเต็ม
m
ซึ่ง m≠0 และ ห.ร.ม. ของ m และ k เทากับ 1 แลว m หาร an ลงตัว
และ k หาร a0 ลงตัว
พิสูจน
ให m และ k เปนจํานวนเต็ม ซึ่ง m ≠ 0 และ ห.ร.ม. ของ m และ k เทากับ 1
k
ซึ่งทําให x− เปนตัวประกอบของพหุนาม p ( x ) = a x n
n
+ an −1 x n −1 + + a1 x + a0
m
โดยที่ n เปนจํานวนเต็มบวก และ an , an −1 , , a1 , a0 เปนจํานวนเต็มซึ่ง an ≠ 0
โดยทฤษฎีบทตัวประกอบ จะไดวา ( )
p k =0
m
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
( ) ( ) ( )
n n −1
นั่นคือ an k + an −1 k + + a1 k + a0 = 0
m m m
คูณทั้งสองขางของสมการดวย mn
2) สมบัติการบวกดวยจํานวนที่เทากัน
ถา a>b แลว a+c > b+c
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 159
3) สมบัติการคูณดวยจํานวนที่เทากันที่ไมเปนศูนย
กรณีที่ 1 ถา a>b และ c>0 แลว ac > bc
4) สมบัติการตัดออกสําหรับการบวก
ถา a+c > b+c แลว a>b
5) สมบัติการตัดออกสําหรับการคูณ
กรณีที่ 1 ถา ac > bc และ c>0 แลว a>b
พิสูจน
1) ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ a>b และ b>c
และ ( a + c ) − ( b + c ) = a − b
จะได ( a + c ) − ( b + c ) > 0
นั่นคือ a+c>b+c
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
กรณีที่ 1 c>0
เนื่องจาก ( a − b ) c = ac − bc
จะได ac − bc > 0
นั่นคือ ac > bc
กรณีที่ 2 c<0
เนื่องจาก ( a − b ) c = ac − bc
จะได ac − bc < 0
นั่นคือ ac < bc
นั่นคือ ( a + c ) − (b + c ) > 0
a +c−b−c > 0
จะได a −b > 0
นั่นคือ a > b
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 161
กรณีที่ 1 c>0
ซึ่งขัดแยงกับที่กําหนดให ac > bc
ซึ่งขัดแยงกับที่กําหนดให ac > bc
กรณีที่ 2 c<0
ซึ่งขัดแยงกับที่กําหนดให ac > bc
ซึ่งขัดแยงกับที่กําหนดให c<0
ทฤษฎีบท 15
ให a , b, c และ d เปนจํานวนจริง
ถา a>b และ c>d แลว a+c>b+d
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
พิสูจน
ให a , b, c และ d เปนจํานวนจริงใด ๆ ซึ่ง a>b และ c>d
ทฤษฎีบท 16
ให x และ y เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) x = −x
2) xy = x y
x x
3) = เมื่อ y≠0
y y
4) x− y = y−x
2
5) x = x2
6) x+ y ≤ x + y
พิสูจน
1) แสดงการพิสูจนดังตัวอยางที่ 36
2) ให x และ y เปนจํานวนจริงใด ๆ
กรณีที่ 1 x≥0 และ y≥0 จะได xy ≥ 0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
จะได x = x, y = y และ xy = xy
จะเห็นวา xy = xy = x y
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
จะได x = x, y = − y และ xy = − xy
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 163
จะเห็นวา xy = − xy = x y
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
จะได x = − x, y = y และ xy = − xy
จะเห็นวา xy = − xy = x y
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
จะได x = − x, y = − y และ xy = xy
จะเห็นวา xy = xy = x y
จากทั้งสี่กรณี จะไดวา xy = x y
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
x x
จะได x = x, y = y และ =
y y
x x x
จะเห็นวา = =
y y y
x
กรณีที่ 2 x≥0 และ y<0 จะได ≤0
y
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
x x
จะได x = x, y = − y และ =−
y y
x x x
จะเห็นวา =− =
y y y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
x
กรณีที่ 3 x<0 และ y>0 จะได <0
y
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
x x
จะได x = − x, y = y และ =−
y y
x x x
จะเห็นวา =− =
y y y
x
กรณีที่ 4 x<0 และ y<0 จะได >0
y
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
x x
จะได x = − x, y = − y และ =
y y
x x x
จะเห็นวา = =
y y y
x x
จากทั้งสี่กรณี จะไดวา =
y y
4) แสดงการพิสูจนดังตัวอยางที่ 37
5) ให x เปนจํานวนจริงใด ๆ
กรณีที่ 1 x≥0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ จะได x =x
2
ทําใหไดวา x = x ⋅ x = x2
กรณีที่ 2 x<0
x = ( − x )( − x ) = x 2
2
ทําใหไดวา
2
จากทั้งสองกรณี จะไดวา x = x2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 165
6) ให x และ y เปนจํานวนจริงใด ๆ
กรณีที่ 1 x≥0 และ y≥0 นั่นคือ x+ y≥0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
จะได x = x, y = y และ x+ y = x+ y
จะเห็นวา x+ y = x+ y= x + y
- เมื่อ x+ y≥0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
จะได x = x, y = − y และ x+ y = x+ y
จะเห็นวา x+ y = x+ y แต x + y = x− y
นั่นคือ x+ y < x + y
- เมื่อ x+ y<0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
จะได x = x, y = − y และ x + y = −( x + y) = −x − y
จะเห็นวา x + y = −x − y และ x + y = x− y
นั่นคือ x+ y < x + y
- เมื่อ x+ y≥0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
จะได x = − x, y = y และ x+ y = x+ y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
จะเห็นวา x+ y = x+ y แต x + y = −x + y
นั่นคือ x+ y < x + y
- เมื่อ x+ y<0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
จะได x = − x, y = y และ x + y = −( x + y) = −x − y
จะเห็นวา x + y = −x − y และ x + y = −x + y
นั่นคือ x+ y < x + y
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
จะได x = − x, y = − y และ x + y = −( x + y) = −x − y
จะเห็นวา x + y = −x − y = x + y
จากทั้งสี่กรณี จะไดวา x+ y ≤ x + y
3.7 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
ในสวนนี้จะนําเสนอตัว อยางแบบทดสอบประจํ าบทที่ 3 จํา นวนจริง สํ าหรับรายวิ ชาเพิ่มเติม
คณิ ต ศาสตร ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปที่ 4 เลม 1 ซึ่ ง ครู ส ามารถเลื อ กนํ า ไปใชไดตามจุ ด ประสงค
การเรียนรูที่ตองการวัดผลประเมินผล
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 167
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
−3 28 1
3 1.01001000100001 (−25) ⋅
4 2 (−5)
π
( 9)
2
1− 7 2.33444444444 4
5
2. จงยกตัวอยางจํานวนอตรรกยะ a และ b ที่แตกตางกัน ซึ่งทําให
1) a −b เปนจํานวนตรรกยะ
2) a −b เปนจํานวนอตรรกยะ
3) ab เปนจํานวนตรรกยะ
4) ab เปนจํานวนอตรรกยะ
a
5) เปนจํานวนตรรกยะ
b
a
6) เปนจํานวนอตรรกยะ
b
3. จงระบุสมบัติของจํานวนจริงที่ใชในแตละขั้นตอนของบทพิสูจน
a⋅0 = a⋅0 + 0 สําหรับทุกจํานวนจริง a
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
6. จงแยกตัวประกอบพหุนามตอไปนี้
1) x3 − 4 x 2 − 3x + 18
2) 2 x 4 + 5 x3 − 2 x 2 + 4 x + 3
7. จงหาจํานวนเต็ม k ทั้งหมดที่ทําใหสมการ x3 − kx + 2 = 0 มีคําตอบที่เปนจํานวนตรรกยะ
8. จงหาเซตคําตอบของสมการตอไปนี้
1) x3 − 5 x 2 + 12 = 8 x
2) x 4 + x 2 = 2 x3 + 4
9. จงหาผลลัพธในรูปผลสําเร็จ
3x − 6 x2 − 2 x
1)
x2 − 1 x3 − 2 x 2 + 2 x − 1
x 2 x
2) − ⋅
( x − 1)( x − 2 ) ( x − 1)( x − 3) x−4
x 2 + bx + c a 2x − 3
10. จงหาจํานวนจริง a, b และ c ที่ทําให = + 2
( x + 2 ) ( 2 x − 1) 2 x − 1 x + 2
2
3 1 4
11. จงหาเซตคําตอบของสมการ + 2 = 2
x − 1 x − 3x + 2 x − 1
12. จงพิจารณาวาขอความตอไปนี้เปนจริงหรือเท็จ พรอมทั้งพิสูจนหรือยกตัวอยางคาน
1) ให a , b, c และ d เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ a<b และ c<d
จะไดวา a−c<b−d
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 169
จงหาเซตคําตอบของอสมการ ( 4 1) ( 1) ( 3) ( 8) ≤ 0
2 2 3
x− x x+ x− x−
14.
( x − 1)( x − 2 )( x − 5)
4
15. จงหาเซตคําตอบของสมการตอไปนี้
1) x+2 =5
2) x2 − 4 = 4 − x2
16. จงหาเซตคําตอบของอสมการตอไปนี้
1) x2 − 5 ≥ 4
3 1− x −1
2) ≥1
x −1 +1
17. กระดาษแข็งรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากแผนหนึ่ง กวาง 3 ฟุต และยาว 4 ฟุต เมื่อตัดมุมกระดาษทั้ง
สี่ เ ปนรู ป สี่ เ หลี่ ย มจั ตุ รั ส ที่ ย าวดานละ x ฟุ ต ออก จะสามารถประกอบเปนกลอง
ทรงสี่ เ หลี่ ย มมุ ม ฉากซึ่ งไมมี ฝ าปดได ถากลองดั งกลาวมีป ริ มาตร 2 ลู ก บาศกฟุ ต จงหา
คาของ x
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
3 -
1.01001000100001 - - -
3
− - - -
4
28
2
1
( −25) ⋅ -
( −5)
π
- - -
5
1− 7 - - -
2.33444444444 - - -
( 9)
2
4
-
2. ตัวอยางคําตอบ
1) a = 1 + 2, b = 2
2) a = 2 2, b = 2
3) a = 2 2, b = 2
4) a = 2, b = 3
5) a = 2 2, b = 2
6) a = 6, b = 2
3. a⋅0 = a⋅0 + 0 สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก
= (
a ⋅ 0 + ( a ⋅ 0) + ( − ( a ⋅ 0)) ) สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก
= ( a ⋅ 0 + a ⋅ 0 ) + ( − ( a ⋅ 0 ) ) สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 171
= a ⋅ ( 0 + 0) + ( − ( a ⋅ 0)) สมบัติการแจกแจง
= a ⋅ 0 + ( − ( a ⋅ 0)) สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก
= 0 สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก
4. ให p ( x ) = x 4 − ax + 1
5. พิจารณาการหารยาวดังนี้
x + (a − 1)
x + x + 1 x3 +
2
ax 2 + bx − 1
x + 3
x + 2
x
(a − 1) x 2 + (b − 1) x − 1
(a − 1) x + (a − 1) x + (a − 1)
2
(b − a) x − a
คือ ( b − a ) x − a
เนื่องจาก โจทยกําหนดวา เศษเหลือจากการหาร x 3 + ax 2 + bx − 1 ดวย x2 + x + 1
คือ x+2
จะไดวา (b − a ) x − a = x+2
นั่นคือ b − a =1 และ −a = 2
b = −1 และ a = −2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
ดังนั้น a = −2 และ b = −1
6. 1) ให p ( x ) = x − 4 x − 3x + 18
3 2
พิจารณา p ( −2 )
p ( −2 ) = ( −2 ) − 4 ( −2 ) − 3 ( −2 ) + 18 = 0
3 2
นั่นคือ x 3 − 4 x 2 − 3 x + 18 = ( x + 2) ( x2 − 6x + 9)
( x + 2 )( x − 3)
2
=
ดังนั้น x3 − 4 x 2 − 3 x + 18 = ( x + 2 )( x − 3)
2
2) ให p ( x ) = 2 x + 5 x − 2 x + 4 x + 3
4 3 2
พิจารณา p ( −3)
ดังนั้น 2 x 4 + 5 x3 − 2 x 2 + 4 x + 3 = ( x + 3) ( 2 x 3 − x 2 + x + 1)
ให q ( x ) = 2 x − x + x + 1
3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 173
3 2
1 1 1 1
q − =2 − − − + − +1 = 0
2 2 2 2
1 1
จะเห็นวา q − =0 ดังนั้น x+ เปนตัวประกอบของ 2 x3 − x 2 + x + 1
2 2
1
นํา x+ ไปหาร 2 x3 − x 2 + x + 1 ไดผลหารเปน 2 x2 − 2 x + 2
2
1
นั่นคือ 2 x 4 + 5 x3 − 2 x 2 + 4 x + 3 = ( x + 3) x+
2
( 2x 2
− 2x + 2)
1
= ( x + 3) x+ ⋅ 2 ( x 2 − x + 1)
2
= ( x + 3)( 2 x + 1) ( x 2 − x + 1)
ดังนั้น 2 x 4 + 5 x3 − 2 x 2 + 4 x + 3 = ( x + 3)( 2 x + 1) ( x 2 − x + 1)
7. ให p ( x ) = x 3 − kx + 2
ดังนั้น k = −1
จะได 13 − k (1) + 2 = 0
ดังนั้น k = 3
จะได ( −2 ) − k ( −2 ) + 2
3
= 0
ดังนั้น k = 3
จะได 23 − k ( 2 ) + 2 = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
ดังนั้น k = 5
8. 1) จาก x3 − 5 x 2 + 12 = 8 x
จัดรูปสมการใหมไดเปน x3 − 5 x 2 − 8 x + 12 = 0
เนื่องจาก x3 − 5 x 2 − 8 x + 12 = ( x − 1) ( x 2 − 4 x − 12 ) = ( x − 1)( x + 2 )( x − 6 )
จะได ( x − 1)( x + 2 )( x − 6 ) = 0
ดังนั้น x − 1 = 0 หรือ x + 2 = 0 หรือ x−6 = 0
จัดรูปสมการใหมไดเปน x 4 − 2 x3 + x 2 − 4 = 0
เนื่องจาก x 4 − 2 x 3 + x 2 − 4 = ( x − 2 )( x + 1) ( x 2 − x + 2 )
จะได ( x − 2 )( x + 1) ( x − x + 2 ) = 0
2
ถา x +1 = 0 จะได x = −1
จะไดวาไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ {−1, 2}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 175
3x − 6 x2 − 2 x
9. 1)
x2 − 1 x3 − 2 x 2 + 2 x − 1
3( x − 2) x ( x − 2)
=
( x − 1)( x + 1) ( x − 1) ( x 2 − x + 1)
3( x − 2) ( x − 1) ( x 2 − x + 1)
=
( x − 1)( x + 1) x ( x − 2)
3 ( x 2 − x + 1)
= เมื่อ x ≠1 และ x≠2
x ( x + 1)
x 2 x
2) − ⋅
( x − 1)( x − 2 ) ( x − 1)( x − 3) x−4
x ( x − 3) − 2 ( x − 2 ) x
= ⋅
( x − 1)( x − 2 )( x − 3) x−4
x2 − 5x + 4 x
= ⋅
( x − 1)( x − 2 )( x − 3) x − 4
( x − 1)( x − 4 ) x
=
( x − 1)( x − 2 )( x − 3)( x − 4 )
x
= เมื่อ x ≠1 และ x≠4
( x − 2 )( x − 4 )
2 x − 3 a ( x + 2 ) + ( 2 x − 3)( 2 x − 1)
2
a
10. จาก + 2 =
2x −1 x + 2 ( 2 x − 1) ( x 2 + 2 )
จัดรูปสมการใหมไดเปน a 2x − 3
+ 2 =
( a + 4 ) x 2 − 8 x + ( 2a + 3)
2x −1 x + 2 ( 2 x − 1) ( x 2 + 2 )
จะไดวา x 2 + bx + c = ( a + 4 ) x 2 − 8 x + ( 2a + 3)
นั่นคือ a + 4 = 1, b = − 8 และ c = 2a + 3
ดังนั้น a = − 3, b = − 8 และ c = −3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
3 1 4
11. จาก + 2 = 2
x − 1 x − 3x + 2 x − 1
3 1 4
จัดรูปสมการใหมไดเปน + 2 − 2 =0
x − 1 x − 3x + 2 x − 1
3 1 4
จะได + − = 0
x − 1 ( x − 1)( x − 2 ) ( x − 1)( x + 1)
3 ( x − 2 )( x + 1) + ( x + 1) − 4 ( x − 2 )
= 0
( x − 1)( x − 2 )( x + 1)
3x 2 − 6 x + 3
= 0
( x − 1)( x − 2 )( x + 1)
3 ( x − 1)
2
= 0
( x − 1)( x − 2 )( x + 1)
3 ( x − 1)
= 0 เมื่อ x ≠1
( x − 2 )( x + 1)
จะได x −1 = 0 และ ( x − 2 )( x + 1) ≠ 0 และ x ≠ 1
นั่นคือ x =1 โดยที่ x ≠ 2 และ x ≠ − 1 และ x ≠ 1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
–4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5 6
–4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5 6
–4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5 6
จาก ( 4 x − 1) x ( x + 1) ( x − 3) ( x − 8)
2 2 3
14. ≤ 0
( x − 1)( x − 2 )( x − 5)
4
เนื่องจาก ( 4 x − 1) 2
≥ 0, ( x + 1) ≥ 0, ( x − 3) ≥ 0
2 2
และ ( x − 5) 4
≥0 เสมอ
นัน่ คือ ตองหาเซตคําตอบของอสมการ ( )( ) ≤ 0 เมื่อ
x x −3 x −8
x≠5
( x − 1)( x − 2 )
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
–1 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9
15. 1) จาก x + 2 = 5
จะได x+2 = 5
x=3 ซึ่ง 3 ≥ −2
นั่นคือ 3 เปนคําตอบของสมการ
กรณีที่ 2 x+2<0 นั่นคือ x < −2
จะได − ( x + 2) = 5
x = −7 ซึ่ง −7 < −2
นั่นคือ −7 เปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ {−7, 3}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 179
2) จาก x2 − 4 = 4 − x2
จะได x2 − 4 = 4 − x2
2x 2 = 8
x2 = 4
x = −2 หรือ x=2
จะได − ( x2 − 4) = 4 − x2
− x2 + 4 = 4 − x2
0=0 ซึ่งเปนจริงทุกจํานวนจริง x
จะได x 2 − 5 ≤ −4 หรือ x2 − 5 ≥ 4
x2 ≤ 1 หรือ x2 ≥ 9
x2 − 1 ≤ 0 หรือ x2 − 9 ≥ 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
3 1− x −1
2) จาก ≥1
x −1 +1
เนื่องจาก 1− x = x −1
3 x −1 −1
จะได ≥ 1
x −1 +1
3 x −1 −1
−1 ≥ 0
x −1 +1
( 3 x − 1 − 1) − ( x − 1 + 1) ≥ 0
x −1 +1
2 x −1 − 2
≥ 0
x −1 +1
2 ( x − 1 − 1)
≥ 0
x −1 +1
x −1 −1
≥ 0
x −1 +1
x ≤ 0 หรือ x ≥ 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 181
17. แสดงสิ่งที่โจทยกําหนดไดดังรูปตอไปนี้
2 x ( 3 − 2 x )( 2 − x ) = 2
x ( 3 − 2 x )( 2 − x ) = 1
2 x3 − 7 x 2 + 6 x − 1 = 0
( x − 1) ( 2 x 2 − 5 x + 1) =0
นั่นคือ x −1 = 0 หรือ 2 x2 − 5x + 1 = 0
ถา x −1 = 0 จะได x =1
− ( −5 ) ( −5) − 4 ( 2 )(1) 5
2
17
ถา 2 x2 − 5x + 1 = 0 จะได x= =
2 ( 2) 4
3
จะไดวา x ∈ 0,
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
5 − 17
ดังนั้น คาของ x ที่เปนไปได คือ 1 หรือ
4
18. จาก x 2 − ax − a + 3 = 0
จัดรูปสมการใหมไดเปน x 2 − ax + ( 3 − a ) = 0
− ( −a ) ( −a ) − 4 (1)( 3 − a )
2
จะได x =
2 (1)
a a 2 + 4a − 12
x =
2
จะไดวา x จะเปนจํานวนจริง ก็ตอเมื่อ a 2 + 4a − 12 ≥ 0
6 x3 − 22 x 2 + 40 ≤ 0
2 ( x − 2 ) ( 3 x − 5 x − 10 )
2
≤ 0
5 + 145 5 − 145
2 ( x − 2) x − x− ≤ 0
6 6
5 − 145 5 + 145
นั่นคือ x∈ − , ∪ 2,
6 6
5 + 145
แตความกวางของกระเปาตองมากกวา 0 นั่นคือ x ∈ 2,
6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 183
3.8 เฉลยแบบฝกหัด
คู มื อครู ร ายวิ ช าเพิ่ มเติ ม คณิ ต ศาสตร ชั้ น มั ธ ยมศึ กษาปที่ 4 เลม 1 แบงการเฉลยแบบฝกหั ด
เปน 2 สวน คือ สวนที่ 1 เฉลยคําตอบ และสวนที่ 2 เฉลยคําตอบพรอมวิธีทําอยางละเอียด
ซึ่งเฉลยแบบฝกหัดที่อยูในสวนนี้เปนการเฉลยคําตอบของแบบฝกหัด โดยไมไดนําเสนอวิธีทํา
อยางไรก็ตามครูสามารถศึกษาวิธีทําโดยละเอียดของแบบฝกหัดไดในสวนทายของคูมือครูเลมนี้
แบบฝกหัด 3.1
จํานวน
จํานวนนับ จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะ จํานวนอตรรกยะ
ที่กําหนดให
( 2)
2
-
–3.999 - - -
( −1)
2
-
2. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ 4) เปนเท็จ
5) เปนจริง 6) เปนจริง
7) เปนเท็จ 8) เปนจริง
9) เปนเท็จ
แบบฝกหัด 3.2
1. 1) สมบัติการสลับที่ของการคูณ 2) สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก
3) สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ 4) สมบัติปดของการคูณ
5) สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก 6) สมบัติการแจกแจง
7) สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ 8) สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ
9) สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก 10) สมบัติการสลับที่ของการบวก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 185
2. ตัวผกผันการบวกและตัวผกผันการคูณของจํานวนที่กําหนดใหเปนดังนี้
จํานวนที่กําหนดให ตัวผกผันการบวก ตัวผกผันการคูณ
1
−4 4 −
4
1
5 − 5
5
2 2 7
−
7 7 2
5 5 11
− −
11 11 5
(
− 1− 7 ) หรือ 1
1− 7
1− 7
−1 + 7
1
3
2 −3 2 3
2
−8
− หรือ
−8 2+ 3 2+ 3
−
2+ 3 8 8
2+ 3
3. พิจารณาสมบัติของเซตที่กําหนดใหไดดังนี้
สมบัติปด
สมบัติปด สมบัติปด สมบัติปด
ของการหาร
เ ตที่กําหนดให ของ ของ ของ
(ตัวหารไมเปน
การบวก การลบ การคูณ
ศูนย)
1) เซตของจํานวนนับ - -
2) เซตของจํานวนเต็ม -
3) เซตของจํานวนคี่ลบ - - - -
4) เซตของจํานวนคู -
5) เซตของจํานวนเต็มที่หารดวย 3 ลงตัว -
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
สมบัติปด
สมบัติปด สมบัติปด สมบัติปด
ของการหาร
เ ตที่กําหนดให ของ ของ ของ
(ตัวหารไมเปน
การบวก การลบ การคูณ
ศูนย)
6) เซตของจํานวนตรรกยะ
7) { ..., − 5, 0, 5, 10 } - - - -
8) { − 1, − 2, − 3, ... } - - -
9) { − 1, 0, 1} - -
1 1 1 1
10) , , , , , 1, 2, 4, 8, 16, - -
16 8 4 2
แบบฝกหัด 3.3
1. a = 5, b = 3 และ c=0
2. 1) p ( x ) + q ( x ) = 2 x2 − 2 x + 2
2) q ( x ) − p ( x ) = −2 x + 4
3) p ( x) q ( x) = x 4 − 2 x3 + 2 x 2 + 2 x − 3
3. p ( x ) q ( x ) = 3 x 6 + 5 x 5 − 16 x 4 − 25 x 3 + 26 x 2 + 35 x − 7
4. a + b = 12 และ ab = − 28
5. a =1 และ b=2
6. x 4 + 3x3 − x 2 − 2 x − 1
7. 1) ผลหาร คือ 4 x 2 − 3x + 2 และเศษเหลือ คือ −5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 187
แบบฝกหัด 3.4
1. 1) เศษเหลือ คือ 15 2) เศษเหลือ คือ 20
3) เศษเหลือ คือ 0 4) เศษเหลือ คือ 7
5) เศษเหลือ คือ 0
16
4. 1) m = 115 2) m=
9
3) m = −2 หรือ m = −3
( x − 2 )( x + 2 )( x − 1) ( x + 2 ) ( x − 3)
2
5. 1) 2)
3) ( x + 1)( x − 3) ( x 2 + 2 ) 4) ( x − 1) ( x 2 + x + 1)
5) ( x − 1)( x + 1) ( x 2 + 1) 6) ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )( x + 2 )
7) ( x − 1)( x − 2 ) ( x 2 + x + 2 ) 8) ( x + 1)( x − 2 )( x + 3)( x − 4 )
6. 1) ( x − 1)( 3x − 1)( 2 x − 1) 2) ( x + 1)( 3x + 2 )( 2 x − 3)
( 2 x + 1) ( 2 x 2 + 1) ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )( 3x − 2 )
2
3) 4)
แบบฝกหัด 3.5
1. 1) { − 2, 1, 3 } 2) { − 2, 3 }
1 1
3) − ,1 4) − 1, − , 2
2 3
1 3 1+ 5 1− 5
5) − 2, , 6) 2, ,
2 2 2 2
3
7) − , 1, 2 8) { 2}
2
3 1
9) − 2, 10) , 1, 2, 3
4 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
1 1 2
11) − 1, − , , 2 12) − 1, , 1, 2
2 2 3
13) { − 3, − 1, 2, 4 }
2. จํานวนที่นอยที่สุด คือ 9
แบบฝกหัด 3.6
2x − 3 3
1. 1) x2 + x + 1 เมื่อ x ≠1 2) เมื่อ x≠−
x −1 2
x +1
3) เมื่อ x ≠1
x − 2x −1
2
x
2. 1) เมื่อ x ≠ − 2, x ≠ 2 และ x≠3
x +1
2) x2 − 1
3) x−2 เมื่อ x ≠ −2 และ x ≠ −5
2x + 2
4) เมื่อ x≠0 และ x≠4
x+4
3x 2 + 6 x + 2 2x2 − x + 2
3. 1) 2)
x ( x + 1)( x + 2 ) ( x − 2 )( x + 2 )( x + 3)
− x 2 − 3x + 4 x2 + 4 x − 1
3) 4) เมื่อ x≠2
3 x ( x + 1)( x + 2 ) ( x + 2 )( x − 3)
แบบฝกหัด 3.7
1 1
1. 1) { 2} 2) − ,
2 2
1
3) 4) { − 1}
2
5) ∅ 6) { 2}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 189
3 − 41 3 + 41
7) − 1, , 8) { − 1, 1}
2 2
2. 1,000 กิโลเมตรตอชั่วโมง
แบบฝกหัด 3.8
1. ไมจริง
2. ไมจริง
3. จริง
4. จริง
5. จริง
6. จริง
7. กรณีที่ a และ b เปนจํานวนจริงบวกทั้งคู หรือ กรณีที่ a และ b เปน
จํานวนจริงลบทั้งคู
8. กรณีที่ a เปนจํานวนจริงบวก แต b เปนจํานวนจริงลบ
แบบฝกหัด 3.9ก
1. 1) { x | − 3 ≤ x < 1} –4 –3 –2 –1 0 1 2
2) { x | x > − 2}
–3 –2 –1 0 1 2 3
3) { x | 4 ≤ x ≤ 7}
2 3 4 5 6 7 8
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
4) { x | − 3 < x < 0} –4 –3 –2 –1 0 1 2
5) { x | x < − 3}
–5 –4 –3 –2 –1 0 1
6) { x | x ≥ 1}
–2 –1 0 1 2 3 4
7) { x | −1 < x ≤ 4 }
–2 –1 0 1 2 3 4
8) { x | x ≤ 1}
–4 –3 –2 –1 0 1 2
9) { x | − 10 < x < − 8 }
–12 –11 –10 –9 –8 –7 –6
2. 1) ( − 1, 4 ] 2) [ 0, 2 )
3) ( − 1, 0 ) 4) [ 2, 4 ]
5) ∅ 6) { 2}
3. 1) { x | − 1 < x ≤ 4 } หรือ ( − 1, 4 ]
2) { x | 2 ≤ x ≤ 4} หรือ [ 2, 4 ]
3) { x | − 1 < x ≤ 5 } หรือ ( − 1, 5 ]
4) { x | 2 ≤ x < 3 } หรือ [ 2, 3 )
5) { x | − 1 < x < 2 } หรือ ( − 1, 2 )
6) { x | 3 ≤ x ≤ 4} หรือ [ 3, 4 ]
7) { x |1 < x ≤ 4} หรือ ( 1, 4 ]
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 191
8) { x |1 < x ≤ 4} หรือ ( 1, 4 ]
แบบฝกหัด 3.9ข
5
1. ( − ∞, − 2 ) 2. − ,∞
2
1
3. − ,∞ 4. ( 1, ∞ )
3
1
5. [ − 2, 3 ] 6. ( − ∞ , − 3] ∪ − ,∞
2
7. [ 1, 5 ] 8. ( − 3, 1 )
1
9. ( − 5, 3 ) 10. − ∞, ∪ [ 2, ∞ )
3
11. ( − ∞ , − 2 ] ∪ [ 0, 5 ] 12. [ − 1, ∞ )
13. ( − 1, 1 ) ∪ ( 2, ∞ ) 14. ( − ∞ , 0 ) ∪ ( 1, 4 )
3
15. ( − ∞ , − 3 ] ∪ [ 1, 2 ) 16. − 2, ∪ ( 5, ∞ )
2
17. ( 0, 3 ) ∪ ( 4, ∞ ) 18. ( − ∞ , 0 ) ∪ [ 2, 3 ]
19. ( 1, 7 ) 20. ( 1, 3 )
21. [ − 2, 4 ) ∪ [ 5, ∞ ) 22. ( − ∞ , − 4 ] ∪ ( − 2, 2 ]
3 2
23. ( − ∞ , − 1 ) ∪ ( 1, 2 ) ∪ ( 3, ∞ ) 24. − ∞, − ∪ ( − 1, 0 ) ∪ ,∞
2 3
3
25. ( − ∞ , − 4 ) ∪ ( − 1, ∞ ) 26. − 2, ∪ [ 5, ∞ )
2
3
27. ( − ∞ , − 2 ) ∪ [ − 1, 0 ) ∪ [ 2, ∞ ) 28. ( − ∞, 0 ] ∪ , 3 ∪ [ 4, ∞ )
2
29. ( − ∞ , − 5 ) ∪ ( − 5, − 3 ] ∪ { 2 } ∪ ( 3, ∞ )
30. ( 1, ∞ )
31. ( − ∞ , 1 ) − { − 2 } หรือ ( − ∞ , − 2 ) ∪ ( − 2, 1 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
1
32. − 1, −
2
แบบฝกหัด 3.10
1. 1) 4 2) 0
3) 50 4) −36
14
5) 6) 0.5
3
2. 1) เปนเท็จ เชน เมื่อ a =1 และ b=1
3) เปนจริง
4) เปนจริง
5) เปนเท็จ เชน เมื่อ a =1 และ b =1
แบบฝกหัด 3.11ก
1. { − 2, 1} 2. { 1, 7 }
3. ∅ 4. { − 1}
5. { 1} 6. { − 2, − 1, 2, 3 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 193
4
7. { − 2, 0 } 8. − 8, −
3
แบบฝกหัด 3.11ข
1. 1) ( 1, 3 ) 2) ( − ∞ , − 8 ) ∪ ( 2, ∞ )
1
3) ( − ∞, − 3 ] ∪ − ,∞ 4) [ − 5, 6 ]
3
4 3
5) −∞ , ∪ ( 4, ∞ ) 6) − , −1
3 2
3
7) − ,∞ 8) ( − ∞ , 3 ) ∪ [ 3, ∞ ) หรือ
5
1 7
9) ,∞ 10) − , −1
2 3
1
11) [ 0, 6 ] 12) −∞ , − ∪ ( 5, ∞ )
7
8 8
13) − 8, − − { − 4} หรือ ( − 8, − 4 ) ∪ − 4, −
3 3
14) [ − 4, − 1 ] ∪ [ 1, 4 ]
4
15) ( − ∞, 0 ) 16) , 2 ∪ ( 2, 4 )
3
2. ตั้งแต −140 ถึง −28 องศาเซลเซียส
3. 0 ≤ x ≤ 41 หรือ 59 ≤ x ≤ 100
แบบฝกหัดทายบท
1. 1) เปนเท็จ เชน เมื่อ a = −2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
2. a=2 และ b =1
( 2 x − 1) ( x 2 + 3) ( x − 1) ( 2 x + 1)
2 2
7) 8)
9) ( x − 1)( x + 2 )( 2 x − 3)( x + 5)
3− 5 3+ 5
10) ( x + 2 )( 2 x − 1) x− x−
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 195
10. 1) {1 − 5 , 1+ 5 } 2) { − 4, 1, 3 }
3) { − 4, − 3, 2 } 4) { − 2, 2 }
−1 + 5 −1 − 5
5) { − 3, 2 } 6) 1, ,
2 2
1
7) { 2} 8) − ,2
2
1 1 1
9) , ,1 10) ,2
3 2 2
1 −1 + 5 −1 − 5 1 3 + 13 3 − 13
11) − , , 12) − , 1, ,
2 2 2 2 2 2
12. 1) { − 2} 2) { − 4}
3) { −1+ 2 , −1− 2 } 4) {1 + 2 , 1− 2 }
5+ 7 5− 7
5) , 6) ∅
2 2
7) { − 1} 8) { − 3}
1− 3 1+ 3
9) ∅ 10) ,
2 2
5
13. 1) ( − ∞, 0 ) 2) − ,∞
2
3
3) ( 1, ∞ ) 4) − ∞, − ∪ [ 2, ∞ )
2
5) 6) [ − 5, 4 ]
7) ∅ 8) ( − 1, 2 ) ∪ ( 2, ∞ )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
( − ∞ , 1 ) ∪ ( 2, 4 )
9) 10) [ 2, 4]
11) ( − ∞ , 2 ] ∪ { 3 } ∪ [ 4, ∞ ) 12) [ − 1, 4 ] ∪ { 6 }
14. 1) ( − ∞ , − 1 ) ∪ ( 0, ∞ ) 2) ( − ∞ , 1 ) ∪ [ 4, ∞ )
3) ( − ∞ , 1 ) 4) ( − 2, ∞ )
3
5) ( − ∞, − 4 ) ∪ ( − 1, ∞ ) 6) ( − ∞, − 2 ) ∪ ,5
2
7) ( − ∞, 0 ) ∪ { 2} 8) ( − ∞ , − 2 ) ∪ ( − 1, ∞ )
9) ( − 1, 3 ) 10) ( − ∞ , 2 ) ∪ { 3 } ∪ ( 5, ∞ )
11) 12) ∅
13) ( − ∞, − 2 − 17 ∪ ( − 1, 2 ) ∪ − 2 + 17 , ∞ )
14) [ 1, 2 ) ∪ ( 2, 3 ) ∪ ( 3, 4 )
15) [ − 3, 3 )
15. โรงงานจะตองผลิตกลองดินสออยางนอย 7,500 กลอง
16. บริษัทตองผลิตและจําหนายสินคาอยางนอยที่สุด 1,200 ชิ้น
17. ความยาวของฐานของรูปสามเหลี่ยมมีคาอยูระหวาง 7 และ 8 เซนติเมตร
18. ผลคูณที่มากที่สุดที่เปนไปไดของทั้งสามจํานวนเทากับ 5 × 7 × 9 = 315
3) − 2,
3
2
4) { 3, 1 + 2 }
5) { − 3, 2 } 6) { − 1, 2, 6 }
3
7) ∅ 8) − 1,
5
9) { 0, 3 } 10) { − 1, 1, 3 }
21. 1) ( − ∞ , 1 ) ∪ ( 5, ∞ )
2) [ 4, ∞ ) ∩ [ 1, 4 ) หรือ [ 1, ∞ )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 197
3) ( 4, ∞ )
4) ( − ∞, −1 ] ∪ { 2 }
5) [ − 1, 5 ]
6) − 17 , 3 ∪
11
3
, 17 − { 4, 5 } หรือ − 17 , 3 ∪
11
3
, 4 ∪ 4, 17(
7) [ − 5, − 2 ) ∪ ( 2, 5 ]
8) ( − 12, − 2 ) ∪ ( 3, 2 6 )
9) ( − ∞ , − 2 ) ∪ [ − 1, 0 ) ∪ ( 0, 1 ]
22. รานคาตั้งอยูที่หลักกิโลเมตรที่ 4 หรือหลักกิโลเมตรที่ 8
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
198 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
เฉลยแบบฝกหัดและวิธีทํา ดยละเอียด
บทที่ 1 เซต
แบบฝกหัด 1.1ก
1. 1) { a, e, i, o, u } 2) { 2, 4, 6, 8 }
3) { 10, 11, 12, , 99 } 4) { 101, 102, 103, }
5) { − 99, − 98, − 97, , − 1} 6) { 4, 5, 6, 7, 8, 9 }
7) ∅ 8) ∅
9) { − 14, 14 }
10) {ชลบุร,ี ชัยนาท, ชัยภูมิ, ชุมพร, เชียงราย, เชียงใหม}
2. 1) ตัวอยางคําตอบ {x | x เปนจํานวนคี่บวกที่นอยกวา 10 }
หรือ {x∈ | x เปนจํานวนคี่ตั้งแต 1 ถึง 9 }
2) ตัวอยางคําตอบ {x | x เปนจํานวนเต็ม }
3) ตัวอยางคําตอบ {x∈ |x มีรากที่สองเปนจํานวนเต็ม }
หรือ { x | x = n2 และ n เปนจํานวนนับ }
4) ตัวอยางคําตอบ {x∈ |x หารดวยสิบลงตัว }
หรือ { x | x = 10n และ n เปนจํานวนนับ }
3. 1) A มีสมาชิก 1 ตัว 2) B มีสมาชิก 5 ตัว
3) C มีสมาชิก 7 ตัว 4) D มีสมาชิก 9 ตัว
5) E มีสมาชิก 0 ตัว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 199
4. 1) เปนเท็จ 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ
5. 1) เปนเซตวาง
2) ไมเปนเซตวาง (มี 5 และ 7 เปนสมาชิกของเซต)
3) ไมเปนเซตวาง (มี 1 เปนสมาชิกของเซต)
4) เปนเซตวาง
5) ไมเปนเซตวาง (มี −2 และ −1 เปนสมาชิกของเซต)
6. 1) เซตอนันต 2) เซตจํากัด
3) เซตอนันต 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต 6) เซตอนันต
7. 1) จากโจทย A = { 0, 1, 3, 7 }
และเขียน B แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน B ={ , − 2, − 1, 0, 1, 2, , 9}
แต −1 A
และ B = { 2, 4, 6, 8 }
แต 0 B
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
200 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1 2 3 4
จ 4) จากโจทย เขียน A แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน A = 0, , , , ,
2 3 4 5
1 2 3 4
และ B = 0, , , , ,
2 3 4 5
ดังนั้น A=B เพราะสมาชิกทุกตัวของ A เปนสมาชิกของ B และสมาชิกทุกตัว
ของ B เปนสมาชิกของ A
และ B = { 6}
แต −6 B
C = {ม ก, ร, ค}
D = {ร, ก, ม}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 201
แบบฝกหัด 1.1ข
1. 1) ถูก 2) ผิด
3) ผิด 4) ถูก
5) ถูก 6) ผิด
2. เขียน A และ B แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน
A = { 2, 4, 6 }
B = { 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 }
และจากโจทย C = { 2, 4 }
C A เพราะสมาชิกทุกตัวของ C เปนสมาชิกของ A
C B เพราะสมาชิกทุกตัวของ C เปนสมาชิกของ B
4. 1) ∅ และ { 1}
2) ∅ , { 1} , { 2 } และ { 1, 2 }
3) ∅ , { − 1 } , { 0 } , { 1 } , {−1, 0 } , {−1, 1 } , { 0, 1 } และ {−1, 0, 1}
4) ∅ , { x }, { y } และ { x , y }
5) ∅ , { a } , { b } , { c } , { a , b } , { a , c } , { b, c } และ { a , b , c }
6) ∅
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
202 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
5. 1) {∅ , { 5 }}
2) {∅ , { 0 } , { 1} , { 0, 1} }
3) {∅ , { 2 } , { 3 } , { 4 } , { 2, 3 } , { 2, 4 } , { 3, 4 } , { 2, 3, 4 } }
4) {∅}
แบบฝกหัด 1.1ค
1. จากสิ่งที่กําหนดให A และ B ไมมีสมาชิกรวมกัน
เขียนแผนภาพเวนนแสดง A และ B ไดดังนี้
2. กําหนดให U เปนเซตของจํานวนนับ
1) จากสิ่งที่กําหนดให จะได B A
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 203
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
204 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 1.2
1. วิธีที่ 1 1) A มีสมาชิก คือ 0, 1, 2 และ 8
B มีสมาชิก คือ 0, 2, 4, 7 และ 9
ดังนั้น A ∪ B = { 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 205
จากแผนภาพ จะได
1) A ∪ B = { 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 } 2) A ∩ B = { 0, 2 }
3) A − B = { 1, 8 } 4) B − A = { 4, 7, 9 }
5) A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9 } 6) B′ = { 1, 3, 5, 6, 8 }
7) A ∪ B′ = { 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8 } 8) A′ ∩ B = { 4, 7, 9 }
2. ให U = { 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 } , A = { 0, 2, 4, 6, 8 } , B = { 1, 3, 5, 7 } และ
C = { 3, 4, 5, 6 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
206 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
8) A∩ B เปนเซตวาง
B มีสมาชิก คือ 1, 3, 5 และ 7
ดังนั้น ( A ∩ B ) ∪ B = { 1, 3, 5, 7 }
วิธีที่ 2 A และ B ไมมีสมาชิกรวมกัน
A และ C มีสมาชิกรวมกัน คือ 4 และ 6
B และ C มีสมาชิกรวมกัน คือ 3 และ 5
เขียนแผนภาพเวนนแสดง A, B และ C ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 207
จากแผนภาพ จะได
1) A∩ B = ∅ 2) B ∪ C = { 1, 3, 4, 5, 6, 7 }
3) B ∩ C = { 3, 5 } 4) A ∩ C = { 4, 6 }
5) C ′ = { 0, 1, 2, 7, 8 } 6) C ′ ∩ A = { 0, 2, 8 }
7) C ′ ∩ B = { 1, 7 } 8) ( A ∩ B ) ∪ B = { 1, 3, 5, 7 }
3. 1) A′ 2) B′ d
3) A′ ∩ B′ 4) ( A ∪ B )′ s
5) A′ ∪ B′ 6) ( A ∩ B )′ s
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
208 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
7) A− B 8) A ∩ B′ d
4. 1) ( A ∪ B) ∪ C 2) A∪(B ∪C) d
3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A∩(B ∩C) s
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 209
5. 1) A∩C ก 2) C ∪ B′
3) B−A ก
6. 1) ∅ ก 2) A
3) ∅ ก 4) U
5) U ก 6) ∅
7) A′ ก 8) ∅
แบบฝกหัด 1.3
1. เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
จํานวนสมาชิก 34 19 59 60 75 41
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
210 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2. เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
จากแผนภาพ จะได
1) n ( A ∪ B ) = 12 + 13 + 17 = 42 2) n ( A − B ) = 12 ก
3) n ( A′ ∩ B′ ) = 8 ป
3. เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
จากแผนภาพ จะได
1) n ( A ∪ C ) = 3 + 7 + 10 + 5 + 10 + 5 = 40
2) n ( A ∪ B ∪ C ) = 3 + 7 + 10 + 5 + 10 + 5 + 3 = 43 ก
3) n ( A ∪ B ∪ C )′ = 7 ก
4) n ( B − ( A ∪ C )) = 3 ก
5) n (( A ∩ B ) − C ) = 7 ก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 211
จะได 37 = 18 + 25 − n ( A ∩ B )
n ( A ∩ B ) = 18 + 25 − 37
= 6
ดังนั้น n ( A ∩ B ) = 6
5. จาก n ( A − B ) = 20 และ n ( A ∪ B ) = 80
เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
จากแผนภาพ จะได n( B) = n( A ∪ B) − n( A − B)
= 80 − 20
= 60
ดังนั้น n ( B ) = 60
6. ให U แทนเซตของพนักงานบริษัทแหงหนึ่งที่ไดรับการสอบถาม
A แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มชา
B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มกาแฟ
A∪ B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มชาหรือกาแฟ
A∩ B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มทั้งชาและกาแฟ
จะได n ( A ∪ B ) = 120
n ( A ) = 60
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
212 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
n ( B ) = 70
จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได 120 = 60 + 70 − n ( A ∩ B )
n ( A ∩ B ) = 60 + 70 – 120
นั่นคือ n ( A ∩ B ) = 10
ดังนั้น มีพนักงานที่ชอบดื่มทั้งชาและกาแฟ 10 คน
7. ให U แทนเซตของผูปวยที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของผูปวยที่สูบบุหรี่
B แทนเซตของผูปวยที่เปนมะเร็งปอด
A′ ∩ B′ แทนเซตของผูปวยที่ไมสูบบุหรี่และไมเปนมะเร็งปอด
A∩ B แทนเซตของผูปวยที่สูบบุหรี่และเปนมะเร็งปอด
จะได n (U ) = 1,000
n ( A ) = 312
n ( B ) = 180
n ( A′ ∩ B′ ) = 660
วิธีที่ 1 เนื่องจาก A′ ∩ B′ = ( A ∪ B )′
ดังนั้น n ( A′ ∩ B′ ) = n ( A ∪ B )′
จะได n ( A ∪ B ) = n (U ) − n ( A ∪ B )′
= n (U ) − n ( A′ ∩ B′ )
= 1,000 − 660
= 340
จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 213
นั่นคือ n ( A ∩ B ) = 152
เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
นั่นคือ x = 152
A∩C แทนเซตของนักเรียนที่สอบผานวิชาคณิตศาสตรและภาษาไทย
A∩ B ∩C แทนเซตของนักเรียนที่สอบผานทั้งสามวิชา
จะได n ( A ) = 37
n ( B ) = 48
n (C ) = 45
n ( A ∩ B ) = 15
n ( B ∩ C ) = 13
n( A ∩ C) = 7
n( A ∩ B ∩ C) = 5
วิธีที่ 1 เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
จาก n( A ∪ B ∪ C) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B )
−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
= 37 + 48 + 45 − 15 − 7 − 13 + 5
= 100
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 215
n ( A ) = 200
n ( B ) = 250
n (C ) = 300
n ( A ∩ B ) = 50
n ( B ∩ C ) = 40
n( A ∩ C) = 30
n( A ∩ B ∩ C) = 0
วิธีที่ 1 เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
216 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
= 200 + 250 + 300 − 50 − 30 − 40 + 0
= 630
จะได n ( A ∪ B ∪ C )′ = n (U ) − n ( A ∪ B ∪ C )
= 3,000 – 630
นั่นคือ n ( A ∪ B ∪ C )′ = 2,370
แบบฝกหัดทายบท
1. 1) { 48 } ด 2) ∅
3) { 5, 10, 15, } ด 4) { − 2, 0, 2 }
5) { 1, 2, 3, , 10 } ด
2. 1) ตัวอยางคําตอบ { x | x = 3n − 2 เมื่อ n∈ และ 1 ≤ n≤ 5}
2) ตัวอยางคําตอบ { x∈ | − 20 ≤ x ≤ − 10 }
3) ตัวอยางคําตอบ { x | x = 4n + 1 เมื่อ n∈ }
4) ตัวอยางคําตอบ { x | x = n เมื่อ n∈ }3
3. 1) เซตจํากัด 2) เซตอนันต
3) เซตจํากัด 4) เซตจํากัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 217
5) เซตอนันต
4. 1) จริง 2) จริง
3) เท็จ 4) จริง
5) จริง 6) เท็จ
7) จริง 8) จริง
9) เท็จ
5. จาก U = { 5, 6, 7, 8, 9 } , A ={ x| x > 7} และ B = { 5, 6 }
เขียน A แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน A = { 8, 9 }
จะได P ( A ) = { ∅ , { 8 } , { 9 } , { 8, 9 } }
P ( B ) = { ∅ , { 5 } , { 6 } , { 5, 6 } }
A∩ B = ∅
และ A′ = { 5, 6, 7 }
1) P ( A) ∩ P ( B ) = { ∅ }
2) P ( A ∩ B) = { ∅ }
3) P ( A ) ∪ P ( B ) = { ∅ , { 5 } , { 6 } , { 8 } , { 9 } , { 5, 6 } , { 8, 9 } }
4) P ( A′ ) = { ∅ , { 5 } , { 6 } , { 7 } , { 5, 6 } , { 5, 7 } , { 6, 7 } , { 5, 6, 7 } }
6. 1) A จ 2) ∅
3) U จ 4) A
5) A จ 6) U
7. 1) เนื่องจาก A ∪ ( B − A ) = A ∪ ( B ∩ A′ )
= ( A ∪ B ) ∩ ( A ∪ A′ )
= ( A ∪ B) ∩U
= A∪ B
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
218 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น A ∪ B = A ∪ ( B − A)
2) เนื่องจาก A − ( A ∩ B ) = A ∩ ( A ∩ B )′
= A ∩ ( A′ ∪ B′ )
= ( A ∩ A′ ) ∪ ( A ∩ B′ )
= ∅ ∪ ( A ∩ B′ )
= A ∩ B′
ดังนั้น A ∩ B′ = A − ( A ∩ B )
3) เนื่องจาก U − ( A ∪ B ) = U ∩ ( A ∪ B )′
= U ∩ ( A′ ∩ B′ )
= A′ ∩ B′
ดังนั้น A′ ∩ B′ = U − ( A ∪ B )
จ8. 1) A′ ∩ B ก จ 2) ( A ∩ B′ )′
3) ( A ∪ B′ )′ ก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 219
9. 1) A ∪ ( A − B) ก 2) ( A′ ∩ B ) ∩ C
3) ( A − B )′ ∩ C ก 4) A ∪ (C′ − B )
5) ( A ∩ B′ ) ∪ C ก 6) A′ ∩ ( C ′ ∩ B )
7) A ∪ ( C ′ ∩ B )′ ก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
220 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น เขียนแผนภาพแสดงเซตไดดังนี้
1)
จากแผนภาพ จะเห็นวา A B′
จากแผนภาพ จะเห็นวา B A′
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 221
3)
จากแผนภาพ จะเห็นวา A′ ∪ B′ = U
ดังนั้น เขียนแผนภาพแสดงเซตไดดังนี้
1) จากแผนภาพ จะเห็นวา A∪ B = B
A∪ B
2) จากแผนภาพ จะเห็นวา A∩ B = A
A∩ B
3)
B′ A′
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
222 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จากแผนภาพ จะเห็นวา B′ A′
A ∩ B′
5) จากแผนภาพ จะเห็นวา A′ ∪ B = U
A′ ∪ B
ดังนั้น n ( A) = 167
14.ดให U แทนเซตของผูปวยที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของผูปวยที่เปนโรคตา
B แทนเซตของผูปวยที่เปนโรคฟน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 223
A∩ B แทนเซตของผูปวยที่เปนทั้งสองโรค
A′ ∩ B′ แทนเซตของผูปวยที่ไมเปนโรคตาและไมเปนโรคฟน
จะได n (U ) = 100
n ( A ) = 40
n ( B ) = 20
n( A ∩ B) = 5
วิธีที่ 1 นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได n ( A ∪ B ) = 40 + 20 − 5
= 55
จาก n ( A ∪ B )′ = n (U ) − n ( A ∪ B )
จะได = 100 − 55
= 45
ดังนั้น มีผูปวยที่ไมเปนโรคตาและไมเปนโรคฟน 45%
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
224 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
15. ให U แทนเซตของลูกคาที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมชนิดตั้งโตะ
B แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมชนิดแขวนเพดาน
A∩ B แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมทั้งสองชนิด
จะได n (U ) = 100
n ( A ) = 60
n ( B ) = 45
n ( A ∩ B ) = 15
วิธีที่ 1 นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
จากแผนภาพ จะไดวา
1) มีลูกคาที่ไมใชพัดลมทั้งสองชนิดนี้ 10%
2) มีลูกคาที่ใชพัดลมเพียงชนิดเดียวเทากับ 45% + 30% = 75%
วิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได n ( A ∪ B ) = 60 + 45 − 15
= 90
1) มีลูกคาที่ไมใชพัดลมทั้งสองชนิดนี้เทากับ 100% – 90% = 10%
2) มีลูกคาที่ใชพัดลมชนิดเดียวเทากับ 90% – 15% = 75%
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 225
16. ให U แทนเซตของรถที่เขามาซอมที่อูของแดน
A แทนเซตของรถที่ตองซอมเบรก
B แทนเซตของรถที่ตองซอมระบบทอไอเสีย
A∪ B แทนเซตของรถที่ตองซอมเบรกหรือระบบทอไอเสีย
( A ∪ B )′ แทนเซตของรถที่มีสภาพปกติ
A∩ B แทนเซตของรถที่ตองซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเสีย
จะได n (U ) = 50
n ( A ) = 23
n ( B ) = 34
n ( A ∪ B )′ = 6
นั่นคือ n ( A ∪ B ) = 50 − 6 = 44
วิธีที่ 1 ให x แทนจํานวนรถที่ตองซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเสีย
นั่นคือ n ( A ∩ B ) = x
นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
1) จากแผนภาพ จะไดวา
44 = ( 23 − x ) + x + ( 34 − x )
44 = 57 − x
จะได x = 13
2) จากแผนภาพ จะไดวามีรถที่ตองซอมเบรกแตไมตองซอมระบบทอไอเสีย
เทากับ 23 – 13 = 10 คัน
วิธีที่ 2 1) จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได 44 = 23 + 34 − n ( A ∩ B )
n ( A ∩ B ) = 23 + 34 − 44
นั่นคือ n ( A ∩ B ) = 13
n ( B ) = 150
n ( C ) = 200
n ( A ∩ B ) = 50
n ( B ∩ C ) = 25
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 227
n( A ∩ C) = 0
n( A ∩ B ∩ C) = 0
n ( A ∪ B ∪ C )′ = 30
วิธีที่ 1 นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
0
0
−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 100 + 150 + 200 − 50 − 0 − 25 + 0
= 375
จาก n ( A ∪ B ∪ C )′ = 30
จะได n (U ) = n ( A ∪ B ∪ C ) + n ( A ∪ B ∪ C )′
= 375 + 30
= 405
ดังนั้น มีผูใชบริการขนสงที่เขารวมการสํารวจทั้งหมด 405 คน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
228 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
18. ให U แทนเซตของคนทํางานที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปา
B แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการไปทะเล
C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเลนสวนน้ํา
A∩ B แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปาและการไปทะเล
A∩C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปาและการเลนสวนน้ํา
B ∩C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการไปทะเลและการเลนสวนน้ํา
A∩ B ∩C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบทั้งการเดินปา การไปทะเล
และการเลนสวนน้ํา
จะได n ( A ) = 35
n ( B ) = 57
n ( C ) = 20
n( A ∩ B) = 8
n ( A ∩ C ) = 15
n(B ∩ C) = 5
n( A ∩ B ∩ C) = 3
นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
จากแผนภาพ จะไดวา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 229
1) มีคนที่ชอบการไปทะเลหรือชอบการเลนสวนน้ํา เทากับ
5% + 47% + 12% + 3% + 2% + 3% = 72%
2) มีคนที่ชอบการเดินปาหรือชอบการไปทะเล เทากับ
15% + 5% + 47% + 12% + 3% + 2% = 84%
3) มีคนที่ชอบทํากิจกรรมเพียงอยางเดียว เทากับ 15% + 47% + 3% = 65%
4) มีคนที่ไมชอบการเดินปา หรือไปทะเล หรือเลนสวนน้ํา 13%
19. ให U แทนเซตของประชาชนที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียน
B แทนเซตของคนที่ชอบมังคุด
C แทนเซตของคนที่ชอบมะมวง
A∩ B แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียนและมังคุด
B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบมังคุดและมะมวง
A∩C แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียนและมะมวง
A∩ B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบผลไมทั้งสามชนิดนี้
จะได n ( A ) = 720
n ( B ) = 605
n ( C ) = 586
n ( A ∩ B ) = 483
n ( B ∩ C ) = 470
n ( A ∩ C ) = 494
n ( A ∩ B ∩ C ) = 400
นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
230 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จากแผนภาพ จะไดวา
1) มีคนที่ชอบมังคุดอยางเดียว 52 คน
2) มีคนที่ชอบผลไมอยางนอยหนึ่งชนิดในสามชนิดนี้ เทากับ
143 + 83 + 52 + 94 + 400 + 70 + 22 = 864 คน
3) มีคนที่ไมชอบผลไมชนิดใดเลยในสามชนิดนี้ 136 คน
20. ให U แทนเซตของนักเรียนที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของนักเรียนที่ชอบวิชาคณิตศาสตร
B แทนเซตของนักเรียนที่ชอบวิชาฟสิกส
C แทนเซตของนักเรียนที่ชอบวิชาภาษาไทย
( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของนักเรียนที่ไมชอบวิชาใดเลยในสามวิชานี้
จะได n ( A ) = 56
n ( B ) = 47
n ( C ) = 82
n ( A ∪ B ∪ C )′ = 4
นั่นคือ n ( A ∪ B ∪ C ) = 100 − 4 = 96
ให x แทนจํานวนนักเรียนที่ชอบวิชาคณิตศาสตรและฟสิกส แตไมชอบวิชาภาษาไทย
y แทนจํานวนนักเรียนที่ชอบวิชาคณิตศาสตรและภาษาไทย แตไมชอบวิชาฟสิกส
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 231
z แทนจํานวนนักเรียนที่ชอบวิชาฟสิกสและภาษาไทย แตไมชอบวิชาคณิตศาสตร
k แทนจํานวนนักเรียนที่ชอบทั้งสามวิชา
วิธีที่ 1 นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
จากแผนภาพ จะไดวา
96 = ( 56 − x − y − k ) + ( 47 − x − z − k )
+ ( 82 − y − z − k ) + x + y + z + k
96 = 185 − x − y − z − 2k
89 = ( x + y + z ) + 2k
เนื่องจาก มีนักเรียนที่ชอบเพียง 2 วิชาเทานั้น จํานวน 71%
นั่นคือ x + y + z = 71
จะได 89 = 71 + 2k
2k = 18
ดังนั้น k =9
จะไดวา
( 56 − x − y − k ) + ( 47 − x − z − k ) + (82 − y − z − k )
= 185 − 2 x − 2 y − 2 z − 3k
= 185 − 2 ( x + y + z ) − 3k
= 185 − 2 ( 71) − 3 ( 9 )
= 185 − 142 − 27
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
232 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
= 16
ดังนั้น มีนักเรียนที่ชอบเพียงวิชาเดียวเทานั้น จํานวน 16 %
วิธีที่ 2 นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
จาก n( A ∪ B ∪ C) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B )
−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได 96 = 56 + 47 + 82 − ( x + k ) − ( y + k ) − ( z + k ) + k
x + y + z + 2k = 89
71 + 2k = 89
2k = 18
k = 9
ดังนั้น มีนักเรียนที่ชอบเพียงวิชาเดียวเทานั้น เทากับ 96% – 9% – 71% = 16 %
21. ให U แทนเซตของคนกลุมนี้
A แทนเซตของคนที่มีแอนติเจน A
B แทนเซตของคนที่มีแอนติเจน B
Rh แทนเซตของคนที่มีแอนติเจน Rh +
A∩ B แทนเซตของคนที่มีหมูเลือด AB
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 233
A− B แทนเซตของคนที่มีหมูเลือด A
B−A แทนเซตของคนที่มีหมูเลือด B
( A ∩ Rh ) − B แทนเซตของคนที่มีหมูเลือด A+
( B ∩ Rh ) − A แทนเซตของคนที่มีหมูเลือด B+
A ∩ B ∩ Rh แทนเซตของคนที่มีหมูเลือด AB +
จะได n ( A ) = n ( A+ ) + n ( A− ) + n ( AB ) = 29
n ( B ) = n ( B + ) + n ( B − ) + n ( AB ) = 39
n ( A ∩ B ) = n ( AB ) = 9
n ( ( A ∩ Rh ) − B ) = n ( A+ ) = 18
n ( ( B ∩ Rh ) − A ) = n ( B+ ) = 29
n ( A ∩ B ∩ Rh ) = n ( AB + ) = 8
n ( Rh − ( A ∪ B ) ) = n (O+ ) = 40
จากแผนภาพที่กําหนดให นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
234 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
จากแผนภาพ จะไดวา
1) n ( B ∪ C ′ ) = 7 + 13 + 2 + 4 + 6 + 14 = 46
2) n ( A ∩ B ∩ C ′) = 7
3) n ( A ∪ B ∪ C ) = 6 + 7 + 13 + 2 + 2 + 4 + 3 = 37
4) n ( A ∪ B ∪ C )′ = 14
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 235
บทที่ 2 ตรรกศาสตร
แบบฝกหัด 2.1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
236 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 2.2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 237
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
238 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
มีคาความจริงเปนเท็จ
7) นิเสธของประพจน 15 ไมใชจํานวนจริง คือ 15 เปนจํานวนจริง มีคาความจริง
เปนจริง
8) นิเสธของประพจน วา เปนสัตวเลี้ยงลูกดวยน้ํานม คือ วา ไมเปนสัตวเลี้ยงลูก
ดวยน้ํานม มีคาความจริงเปนเท็จ
3. ให p แทนประพจน “ฉันตื่นนอนแตเชา”
และ q แทนประพจน “ฉันมาเรียนทันเวลา”
1) p แทนประพจน “ฉันไมตื่นนอนแตเชา”
2) p q แทนประพจน “ถาฉันตื่นนอนแตเชา แลวฉันมาเรียนไมทันเวลา”
3) p q แทนประพจน “ฉันตื่นนอนแตเชาและฉันมาเรียนทันเวลา”
4) p q แทนประพจน “ฉันตื่นนอนแตเชาก็ตอเมื่อฉันมาเรียนทันเวลา”
5) p q แทนประพจน “ฉันไมตื่นนอนแตเชาหรือฉันมาเรียนไมทันเวลา”
6) p (p q) แทนประพจน “ฉันไมตื่นนอนแตเชา หรือ ถาฉันตื่นนอนแตเชาแลว
ฉันมาเรียนทันเวลา”
4. ให p แทนประพจน “12 หารดวย 3 ลงตัว”
และ q แทนประพจน “4−3 < 2”
1) p q มีคาความจริงเปนเท็จ 2) p q มีคาความจริงเปนจริง
3) q p มีคาความจริงเปนจริง 4) p q มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 239
แบบฝกหัด 2.3
ดังนั้น ( p q ) r มีคาความจริงเปนจริง
2) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง และ r เปนจริง จะได p r เปนจริง
ดังนั้น ( p r ) ( t s ) มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p r) (t s) มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
240 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( p s ) ( q r) มีคาความจริงเปนจริง
4) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p q เปนจริง
จาก p q เปนจริง และ t เปนเท็จ
ดังนั้น ( p q) t มีคาความจริงเปนเท็จ
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p q) t มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 241
ดังนั้น (r s) p มีคาความจริงเปนจริง
6) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง จะได p q เปนจริง
จาก r เปนจริง จะได r t เปนจริง
จาก p q เปนจริง และ r t เปนจริง
ดังนั้น ( p q) (r t) มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p q) (r t) มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
242 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( r q ) ( s t ) มีคาความจริงเปนเท็จ
8) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ
จาก r เปนจริง และ s เปนเท็จ จะได r s เปนเท็จ
จาก p q เปนเท็จ และ r s เปนเท็จ
ดังนั้น ( p q) (r s) มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p q) (r s) มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 243
ดังนั้น ( s p ) ( q r) มีคาความจริงเปนเท็จ
10) วิธีที่ 1 จาก r เปนจริง จะได q r เปนจริง
จาก q เปนเท็จ และ s เปนเท็จ จะได q s เปนเท็จ
จาก q r เปนจริง และ q s เปนเท็จ
ดังนั้น ( q r ) ( q s ) มีคาความจริงเปนเท็จ
ดังนั้น ( q r) (q s) มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
244 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( p q ) ( t r ) s มีคาความจริงเปนจริง
12) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง จะได p q เปนจริง
จาก t เปนเท็จ และ s เปนเท็จ จะได t s เปนเท็จ
จาก p q เปนจริง และ t s เปนเท็จ จะได ( p q) (t s) เปนเท็จ
จาก q เปนเท็จ จะได q r เปนจริง
จาก q r เปนจริง และ s เปนเท็จ จะได ( q r) s เปนจริง
จาก ( p q ) ( t s ) เปนเท็จ และ ( q r ) s เปนจริง
ดังนั้น ( p q) (t s) (q r) s มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 245
ดังนั้น ( p q ) ( t s ) (q r) s มีคาความจริงเปนจริง
2. กําหนดให p, q, r และ s เปนประพจน
1) จาก p q เปนจริง ดังนั้น p เปนจริง และ q เปนจริง
2) จาก p q เปนเท็จ ดังนั้น p เปนจริง และ q เปนเท็จ
3) จาก p q เปนเท็จ จะได p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ
จะได p q เปนเท็จ
ดังนั้น ( p q ) r มีคาความจริงเปนจริง
4) จาก p r เปนเท็จ จะได p เปนจริง และ r เปนเท็จ
จาก r เปนเท็จ ดังนั้น ( p q) r มีคาความจริงเปนเท็จ
5) จาก ( p q) ( r s) เปนเท็จ
จะได p q เปนจริง และ r s เปนเท็จ
จาก p q เปนจริง จะได p เปนจริง และ q เปนจริง
จาก r s เปนเท็จ จะได r เปนจริง และ s เปนเท็จ
จาก p เปนจริง จะได p r เปนเท็จ
จาก s เปนเท็จ จะได q s เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
246 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( p r) (q s) มีคาความจริงเปนจริง
แบบฝกหัด 2.4
T T T T
T F T T
F T F F
F F T T
T T F T T T
T F T T T T
F T F T F F
F F T F T F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 247
T T F T T
T F F T T
F T T T T
F F T F T
T T F T T
T F F T F
F T T T T
F F T T F
5. ประพจน q p (q p) ประกอบดวยประพจนยอยสองประพจน
คือ p และ q จึงมีกรณีเกี่ยวกับคาความจริงที่อาจเกิดขึ้นไดทั้งหมด 4 กรณี
จะไดตารางคาความจริงของ q p (q p) ดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
248 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
p q p q q p p (q p) q p (q p)
T T F F F F T
T F F T T T T
F T T F T F T
F F T T T F F
T T T T T T
T T F F T T
T F T F T T
T F F F T T
F T T T T T
F T F F F T
F F T F T T
F F F F F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 249
แบบฝกหัด 2.5
1. 1) ตัวอยางคําตอบ
ให p แทน “ 2 เปนจํานวนตรรกยะ”
q แทน “ 2 เปนจํานวนจริง”
จะได p q แทน “ 2 เปนจํานวนตรรกยะ ก็ตอเมื่อ 2 เปนจํานวนจริง”
แนวการตอบที่ 1
เนื่องจาก p q สมมูลกับ q p
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
250 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แนวการตอบที่ 1
เนื่องจาก ( p q ) ( p r ) สมมูลกับ ( p r ) ( p q )
ดังนั้น “ภพหรือภูมิเปนนักเรียน และ ภพหรือภัทรเปนนักเรียน” สมมูลกับ
“ภพหรือภัทรเปนนักเรียน และ ภพหรือภูมิเปนนักเรียน”
แนวการตอบที่ 2
เนื่องจาก ( p q ) ( p r ) สมมูลกับ p ( q r )
ดังนั้น “ภพหรือภูมิเปนนักเรียน และ ภพหรือภัทรเปนนักเรียน” สมมูลกับ
“ภพเปนนักเรียน หรือ ภูมิและภัทรเปนนักเรียน”
2. 1) p q (p q) (q p)
( q p) ( q p)
( p q) r
( p q) r
( p r) ( q r)
( p r ) (q r )
ดังนั้น ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ก)
3) (p r) (q r) ( p r) ( q r)
( p q) r
(p q) r
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 251
4) p (q p) p ( q p)
p ( q p)
p (q p)
p ( p q)
ดังนั้น ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ก)
5) p q (r p) p q (r p)
p ( q r p)
(p p) ( q r)
p ( q r)
(p q) r
ดังนั้น ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ข)
6) (p q) ( q r) (p q) ( q r)
( p q) ( q r)
p ( q q) r
( p q r)
p (q r)
p (q r)
ดังนั้น ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ข)
3. 1) สรางตารางคาความจริงของ p q กับ p q ไดดังนี้
p q p q p q p q
T T F F T F
T F F T F F
F T T F F F
F F T T F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
252 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะเห็นวามีคาความจริงของ p q บางกรณีที่ตรงกับคาความจริงของ p q
T T F F T F
T F F T T F
F T T F T F
F F T T F T
จะเห็นวาคาความจริงของ p q ตรงขามกับคาความจริงของ p q
ทุกกรณี
ดังนั้น p q กับ p q เปนนิเสธกัน
วิธีที่ 2 เนื่องจาก ( p q ) เปนนิเสธของ p q
และ ( p q ) สมมูลกับ p q
จะได p q เปนนิเสธของ p q
T T F T F
T F T F T
F T F T F
F F T T F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 253
จะเห็นวาคาความจริงของ p q ตรงขามกับคาความจริงของ p q
ทุกกรณี
ดังนั้น p q กับ p q เปนนิเสธกัน
วิธีที่ 2 เนื่องจาก ( p q ) เปนนิเสธของ p q
และ (p q) ( p q)
p q
จะได p q เปนนิเสธของ p q
T T F F T T
T F F T F T
F T T F T F
F F T T T T
จะเห็นวามีคาความจริงของ p q บางกรณีที่ตรงกับคาความจริงของ p q
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
254 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
p q p q p q p q q p (p q) (q p)
T T F F T F F F
T F F T F T F T
F T T F F F T T
F F T T T F F F
จะเห็นวาคาความจริงของ p q ตรงขามกับคาความจริงของ
(p q) (q p) ทุกกรณี
ดังนั้น p กับ ( p q ) ( q
q p) เปนนิเสธกัน
วิธีที่ 2 เนื่องจาก ( p q ) เปนนิเสธของ p q
และ (p q) (p q) (q p)
( p q) ( q p)
( p q) ( q p)
(p q) (q p)
จะได ( p q) (q p) เปนนิเสธของ p q
ดังนั้น p กับ ( p q ) ( q
q p) เปนนิเสธกัน
6) ให p แทน “ 2 เปนจํานวนตรรกยะ”
และ q แทน “ 3 เปนจํานวนตรรกยะ”
จะได p q แทน “ 2 หรือ 3 เปนจํานวนตรรกยะ”
และ p q แทน “ 2 หรือ 3 เปนจํานวนอตรรกยะ”
สรางตารางคาความจริงของ p q กับ p q ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 255
p q p q p q p q
T T F F T F
T F F T T T
F T T F T T
F F T T F T
จะเห็นวามีคาความจริงของ p q บางกรณีที่ตรงกับคาความจริงของ p q
T T F T F
T F T F T
F T F T F
F F T T F
จะเห็นวาคาความจริงของ p q ตรงขามกับคาความจริงของ q p
ทุกกรณี
ดังนั้น p q กับ q p เปนนิเสธกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
256 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
และ (p q) ( p q)
p q
q p
จะได q p เปนนิเสธของ p q
8) ให p แทน “4 เปนจํานวนคู”
และ q แทน “4 เปนจํานวนเต็ม”
จะได p q แทน “4 เปนจํานวนคูและเปนจํานวนเต็ม”
และ p q แทน “4 เปนจํานวนคี่หรือไมใชจํานวนเต็ม”
วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ p q กับ p q ไดดังนี้
p q p q p q p q
T T F F T F
T F F T F T
F T T F F T
F F T T F T
จะเห็นวาคาความจริงของ p q ตรงขามกับคาความจริงของ p q
ทุกกรณี
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 257
และ ( p q ) สมมูลกับ p q
จะได p q เปนนิเสธของ p q
แบบฝกหัด 2.6
T T T T T
T F F T T
F T T F T
F F T F T
จะเห็นวารูปแบบของประพจน ( p q ) p p เปนจริงทุกกรณี
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p q ) p p เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 2 สมมติให ( p q ) p p มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
258 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p q ) p p เปนเท็จ
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p q ) p p เปนสัจนิรันดร
2. วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p q ) q ไดดังนี้
p q p q (p q) q (p q) q
T T T F F T
T F F T T T
F T T F F T
F F T F T T
จะเห็นวารูปแบบของประพจน ( p q ) q เปนจริงทุกกรณี
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p q ) q เปนสัจนิรันดร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 259
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ q เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p q ) q เปนเท็จ
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p q ) q เปนสัจนิรันดร
3. วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p q ) ( p q) ไดดังนี้
p q p p q (p q) p q (p q) ( p q)
T T F T F F T
T F F F T T T
F T T T F T T
F F T T F F T
จะเห็นวารูปแบบของประพจน (p q) ( p q) เปนจริงทุกกรณี
นั่นคือ รูปแบบของประพจน (p q) ( p q) เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 2 สมมติให (p q) ( p q) มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
260 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
T T T F T F T
T F F T F T T
F T F T F T T
F F F T T F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 261
T T T T T T T T
T T F T F F F T
T F T F T T F T
T F F F T F F T
F T T T T T T T
F T F T F T F T
F F T T T T T T
F F F T T T T T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
262 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะเห็นวารูปแบบของประพจน ( p q) (q r) (p r) เปนจริงทุกกรณี
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p q) (q r) (p r) เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 2 สมมติให ( p q) (q r) (p r) มีคาความจริงเปนเท็จ
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ r เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p q ) ( q r ) ( p r ) เปนเท็จ
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p q ) ( q r ) ( p r ) เปนสัจนิรันดร
แบบฝกหัด 2.7
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 263
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
264 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 265
5) สมมติให ( p q) (r p) q (r s) s เปนเท็จ
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ q และ q เปนจริงทั้งคู
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p q) (r p) q (r s) s เปนเท็จ
นั่นคือ รูปแบบของประพจน ( p q) (r p) q (r s) s
เปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
2. 1) ให p แทนประพจน “พัฒนาชอบสีฟา”
q แทนประพจน “พัฒนีชอบสีชมพู”
เขียนแทนขอความในรูปสัญลักษณไดดังนี้
เหตุ 1. p q
2. p
ผล p
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p q) p q เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
266 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 267
สมมติให ( p q) (q r) (p r) เปนเท็จ
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ r เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p q ) ( q r ) ( p r ) เปนเท็จ
นั่นคือ รูปแบบของประพจน ( p q ) ( q r ) ( p r ) เปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
3) ให p แทนประพจน “ชัยทํายอดขายตามเปาหมายที่ผูจัดการตั้งไว”
q แทนประพจน “ชัยไดรับโบนัส”
เขียนแทนขอความในรูปสัญลักษณไดดังนี้
เหตุ 1. p q
2. p
ผล q
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p q) p q เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
268 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ q เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p q ) p q เปนเท็จ
นั่นคือ รูปแบบของประพจน ( p q ) p q เปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
4) ให p แทนประพจน “อิงฟาซื้อกระเปาถือสีดํา”
q แทนประพจน “อิงฟาซื้อรองเทาสีดํา”
เขียนแทนขอความในรูปสัญลักษณไดดังนี้
เหตุ 1. p q
2. q
ผล p
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p q) q p เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 269
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p q) q p เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
270 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ p และ p เปนจริงทั้งคู
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p q ) q p เปนเท็จ
นั่นคือ รูปแบบของประพจน ( p q ) q p เปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
แบบฝกหัด 2.8
1. ไมใชทั้งประพจนและประโยคเปด 2. เปนประพจน
3. เปนประโยคเปด 4. เปนประโยคเปด
5. ไมเปนทั้งประพจนและประโยคเปด 6. ไมเปนทั้งประพจนและประโยคเปด
7. เปนประโยคเปด 8. เปนประพจน
9. เปนประพจน 10. เปนประโยคเปด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 271
แบบฝกหัด 2.9
1. ให U =
1) x[ x ∈ x ⋅1 = x ] 2) x x2 = 2
3) x [| x | +1 ≤ 1] 4) x[ x ∈ x∈ ]
2. 1) สําหรับจํานวนจริง x ทุกจํานวน ถา x<2 แลว x2 < 4
2) สําหรับจํานวนจริง y ทุกจํานวน y 2 − 4 = ( y − 2 )( y + 2 )
3) มีจํานวนจริง y ซึ่ง 2y +1 = 0
แบบฝกหัด 2.10
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
272 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 273
แบบฝกหัด 2.11
เนื่องจาก P ( x ) Q ( x ) สมมูลกับ P ( x ) Q ( x )
จะได x x>0 x2 > 0 สมมูลกับ x x≤0 x2 > 0
สมมูลกับ x P ( x) Q ( x)
สมมูลกับ x P ( x) Q ( x)
จะได x x =4 x ≠ 16 สมมูลกับ x x =4 x = 16
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
274 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะได x[ x ∈ ] x[ x ∈ ] สมมูลกับ x[ x ] x[ x ]
ดังนั้น ขอความที่กําหนดใหสมมูลกับขอความในขอ (ข)
6) ให P ( x ) แทน x + 2 > 5 และ Q ( x ) แทน x ≤ 0 2
เมื่อ U เปนเซตของจํานวนคี่
จะไดวา ขอความ “มีจํานวนคี่บางจํานวนไมใชจํานวนเฉพาะ” สมมูลกับขอความ
“ไมจริงที่วาจํานวนคี่ทุกจํานวนเปนจํานวนเฉพาะ”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 275
ซึ่งสมมูลกับ x (x 2
< 0) x<0 และสมมูลกับ x x2 < 0 x≥0
5) นิเสธของ x P ( x) Q ( x) เขียนแทนดวย x P ( x) Q ( x)
ซึ่งสมมูลกับ x P ( x) Q ( x)
6) ให P ( x ) แทน “ x เปนจํานวนจริง”
ขอความที่กําหนดแทนดวยสัญลักษณ x P ( x) , U =
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
276 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
โดยที่นิเสธของ x P ( x) , U = เขียนแทนดวย x P ( x) , U =
ซึ่งสมมูลกับ x P ( x) , U =
7) ให P ( x ) แทน x เปนจํานวนจริง
ขอความที่กําหนดแทนดวยสัญลักษณ x P ( x) , U =
โดยที่นิเสธของ x P ( x) , U = เขียนแทนดวย x P ( x) , U =
ซึ่งสมมูลกับ x P ( x) , U =
8) ให P ( x) แทน x≤0
Q ( x) แทน x2 ≠ 0
ขอความที่กําหนดแทนดวยสัญลักษณ x P ( x) x Q ( x)
โดยที่นิเสธของ x P ( x) x Q ( x) เขียนแทนดวย ( x P ( x) x Q ( x) )
ซึ่งสมมูลกับ x P ( x) x Q ( x)
แสะสมมูลกับ x P ( x) x Q ( x)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 277
แบบฝกหัดทายบท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
278 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( p q ) r มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p q ) r มีคาความจริงเปนจริง
2) วิธีที่ 1 จาก q เปนจริง จะได q เปนเท็จ
จาก q เปนเท็จ และ r เปนเท็จ จะได q r เปนเท็จ
จาก q r เปนเท็จ และ เปนจริง จะได (
p q r) p เปนเท็จ
ดังนั้น ( q r ) p มีคาความจริงเปนเท็จ
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( q r ) p มีคาความจริงเปนเท็จ
3) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ
และจาก r เปนเท็จ จะได r p เปนจริง
ดังนั้น r p มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 279
ดังนั้น r p มีคาความจริงเปนจริง
4) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ
จาก r เปนเท็จ จะได r เปนจริง
จะได p r เปนจริง
ดังนั้น p r มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น p r มีคาความจริงเปนจริง
5) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง
จาก q เปนจริง และ r เปนเท็จ จะได q r เปนเท็จ
จาก p q เปนจริง และ q r เปนเท็จ
จะได ( p q ) ( q r ) เปนเท็จ
ดังนั้น ( p q ) ( q r ) มีคาความจริงเปนเท็จ
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
280 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( p q ) ( q r ) มีคาความจริงเปนเท็จ
5. 1) ให p แทนประพจน “4 เปนจํานวนเฉพาะ”
และ q แทนประพจน “4 เปนจํานวนคี่”
ดังนั้น ขอความ “ถา 4 เปนจํานวนเฉพาะ แลว 4 เปนจํานวนคี”่ แทนดวย p q
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
282 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1
ดังนั้น ขอความ “ −1 เปนจํานวนนับ และ เปนจํานวนเต็ม” มีคาความจริงเปนเท็จ
3
8) ให p แทนประพจน “ผลคูณของ 4 กับ −4 นอยกวา −12 ”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
284 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะได ( p q) (p q) เปนเท็จ
ดังนั้น ( p q) (p q) มีคาความจริงเปนเท็จ
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p q ) ( p q ) มีคาความจริงเปนเท็จ
2) วิธีที่ 1 จาก p ( q ) ( p q ) ( p q ) ( p q ) มีคาความจริง
เปนจริง จะได p ( q ) ( p q ) มีคาความจริงเปนจริง
และ (p q) ( p q) มีคาความจริงเปนจริง
จาก ( p q ) มีคาความจริงเปนเท็จ และ ( p q ) ( p q)
มีคาความจริงเปนจริงตามที่กําหนดไว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 285
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
286 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ไดดังนี้
p q r q q r
p q
p r p ( q r) (p q) (p r)
T T T F F F T F T
T T F F F F F F F
T F T T T T T T T
T F F T F T F F T
F T T F F T T T T
F T F F F T T T T
F F T T T T T T T
F F F T F T T T T
จะเห็นวาคาความจริงของ p ( q r) กับ ( p q) (p r)
มีบางกรณีที่ตางกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 287
ดังนั้น p ( q r) ไมสมมูลกับ ( p q) (p r)
วิธีที่ 2 (p q) (p r) ( p q) ( p r)
( p p) ( q r)
*
p ( q r)
p ( q r)
ซึ่ง p ( q r) / p ( q r)
ดังนั้น p ( q r)
ไมสมมูลกับ ( p q ) ( p r )
2) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p q ) r กับ ( p r ) ( q r ) ไดดังนี้
p q r p q p r q r (p q) r (p r) (q r)
T T T T T T T T
T T F T T T F T
T F T T T T T T
T F F T T F F F
F T T T T T T T
F T F T F T F F
F F T F T T F T
F F F F F F F F
มีบางกรณีที่ตางกัน
ดังนั้น ( p q ) r ไมสมมูลกับ ( p r ) ( q r)
วิธีที่ 2 จาก ( p r ) ( q r ) ( p q ) r
ซึ่ง ( p q) r (p q) r
*
เมื่อ p เปนประพจนใด ๆ จะไดวา p p p
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
288 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( p q ) r ไมสมมูลกับ ( p r ) ( q r )
3) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p q ) r กับ ( p q r) ไดดังนี้
p q r p q (p q) p q r (p q) r (p q r)
T T T T F T T F
T T F T F F T T
T F T F T F T T
T F F F T F F T
F T T T F F T T
F T F T F F T T
F F T T F F T T
F F F T F F T T
มีบางกรณีที่ตางกัน
ดังนั้น (p q) r ไมสมมูลกับ ( p q r)
วิธีที่ 2 จาก ( p q) r (p q) r
( p q) r
p q r
(p q r)
ซึ่ง ( p q r) / (p q r)
ดังนั้น ( p q) r ไมสมมูลกับ ( p q r)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 289
≡ ( p ∨ q) ∧ ( q∨ p)
≡ ( p ∨ q) ∧ q ∨ ( p ∨ q)∧ p
≡ ( p∧ q ) ∨ ( q∧ q ) ∨ ( p∧ p ) ∨ ( q∧ p)
**
≡ ( p∧ q ) ∨ ( q∧ p )
≡ ( p ∨ q)∨ ( q ∨ p)
≡ ( p → q)∨ (q → p)
≡ ( p → q) ∧ (q → p)
ดังนั้น p↔q สมมูลกับ ( p → q) ∧ (q → p)
8. 1) ให p แทน “8 ไมนอยกวา 7”
q แทน “8 เปนจํานวนคู”
**
เมื่อ p เปนประพจนใด ๆ จะไดวา p∧ p≡F และ p∨F ≡ p
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
290 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
หรือ 8 เปนจํานวนคู”
12
2) ให p แทน “ ∉ ”
5
q แทน “5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 ”
จะได p↔q แทน “ 12 ∉ ก็ตอเมื่อ 5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 ”
5
แนวทางการตอบที่ 1
เนื่องจาก p↔q สมมูลกับ ( p → q ) ∧ ( q → p )
ดังนั้น “ 12 ∉ ก็ตอเมื่อ 5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 ” สมมูลกับ
5
12
“ถา ∉ แลว 5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 และ ถา 5 ไมเปนตัวประกอบ
5
12
ของ 12 แลว ∉ ”
5
แนวทางการตอบที่ 2
เนื่องจาก p↔q สมมูลกับ q↔ p
12
ดังนั้น “ ∉ ก็ตอเมื่อ 5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 ” สมมูลกับ
5
12
“5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 ก็ตอเมื่อ ∉ ”
5
3) ให p แทน “ไกเปนสัตวปก”
q แทน “เปดเปนสัตวปก”
r แทน “นกเปนสัตวปก”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 291
q แทน “แมของแหนมมีเลือดหมู O”
r แทน “แหนมมีเลือดหมู O”
T T T T
T F F T
F T T F
F F T T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
292 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
T T T T F T F
T T F F T F T
T F T T F T F
T F F T T T F
F T T T F T F
F T F F T T F
F F T T F T F
F F F T T T F
จะเห็นวาคาความจริงของ p → (q → r ) ตรงขามกับคาความจริง
ของ p ∧ q∧ r ทุกกรณี
ดังนั้น p → (q → r ) กับ p ∧ q∧ r เปนนิเสธกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 293
และ p → (q → r ) ≡ p ∨ (q → r )
≡ p ∨ ( q ∨ r)
≡ p∧ ( q ∨ r)
≡ p ∧ q∧ r
จะได p → (q → r ) เปนนิเสธของ p ∧ q∧ r
ไดดังนี้
p q r p r p→q p∧ r q∧ r ( p → q) → r ( p∧ r ) ∨ ( q∧ r)
T T T F F T F F T F
T T F F T T F T F T
T F T F F F F F T F
T F F F T F F F T F
F T T T F T F F T F
F T F T T T T T F T
F F T T F T F F T F
F F F T T T T F F T
จะเห็นวาคาความจริงของ ( p → q ) → r ตรงขามกับคาความจริง
ของ ( p ∧ r ) ∨ ( q ∧ r ) ทุกกรณี
ดังนั้น p → (q → r ) กับ ( p∧ r ) ∨ ( q∧ r) เปนนิเสธกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
294 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะเห็นวามีคาความจริงของ p → (q ∨ r ) บางกรณีที่ตรงกับคาความจริงของ
(q ∨ r ) → p
ดังนั้น p → (q ∨ r ) กับ ( q ∨ r ) → p ไมเปนนิเสธกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 295
T T T F F T F T
T T F T T F T F
T F T F F T F T
T F F T F T F T
F T T F F T F T
F T F T T F F T
F F T F F T F T
F F F T F T F T
≡ q ∨ ( r ∨ s)
≡ q → ( r ∨ s)
≡ q → (r → s)
จะได q ∧ (r ∧ ~ s) เปนนิเสธของ q → (r → s)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
296 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
T T T T F F T F
T T F T F T T F
T F T F T F T F
T F F F T T F T
F T T T F F T F
F T F T F T T F
F F T T T F T F
F F F T T T T F
จะเห็นวาคาความจริงของ ( p → q ) ∨ r ตรงขามกับคาความจริงของ
p ∧ q ∧ r ทุกกรณี
≡ ( p ∨ q) ∧ r
≡ p ∧ q∧ r
จะได ( p → q ) ∨ r เปนนิเสธของ p ∧ q ∧ r
ดังนั้น ( p → q ) ∨ r กับ p ∧ q ∧ r เปนนิเสธกัน
8) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p ∨ q) → r กับ r ∧ ( p ∨ q) ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 297
p q r p∨q r ( p ∨ q) → r r ∧ ( p ∨ q)
T T T T F T F
T T F T T F T
T F T T F T F
T F F T T F T
F T T T F T F
F T F T T F T
F F T F F T F
F F F F T T F
จะเห็นวาคาความจริงของ ( p ∨ q) → r ตรงขามกับคาความจริงของ
r ∧ ( p ∨ q) ทุกกรณี
ดังนั้น ( p ∨ q) → r กับ r ∧ ( p ∨ q) เปนนิเสธกัน
วิธีที่ 2 เนื่องจาก [ ( p ∨ q) → r ] เปนนิเสธของ ( p ∨ q) → r
และ [ ( p ∨ q) → r ] ≡ [ ( p ∨ q) ∨ r ]
≡ ( p ∨ q) ∧ r
≡ r ∧ ( p ∨ q)
จะได ( p ∨ q) → r เปนนิเสธของ r ∧ ( p ∨ q)
q แทน “ 4 เปนตัวประกอบของ 24 ”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
298 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
p q q p→q q∧ p
T T F T F
T F T F T
F T F T F
F F T T F
ทุกกรณี
ดังนั้น p→q กับ q∧ p เปนนิเสธกัน
นั่นคือ “ 12 เปนตัวประกอบของ 24 แลว 4 เปนตัวประกอบของ 24 ”
เปนนิเสธกัน
วิธีที่ 2 เนื่องจาก ( p → q ) เปนนิเสธของ p → q
และ ( p → q) ≡ ( p ∨ q)
≡ p∧ q
≡ q∧ p
จะได q∧ p เปนนิเสธของ p→q
เปนนิเสธกัน
10) ให p แทน “ a เปนสระในภาษาอังกฤษ”
q แทน “ b เปนสระในภาษาอังกฤษ”
r แทน “ e เปนสระในภาษาอังกฤษ”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 299
จะเห็นวามีคาความจริงของ ( p∧ q) ∨ r บางกรณีที่ตรงกับคาความจริง
ของ r ∧ ( p → q )
ดังนั้น ( p ∧ q ) ∨ r กับ r ∧ ( p → q ) ไมเปนนิเสธกัน
นั่นคือ “ a และ b ไมเปนสระในภาษาอังกฤษ หรือ e เปนสระในภาษาอังกฤษ”
กับ “ e เปนสระในภาษาอังกฤษ แต ถา a ไมเปนสระในภาษาอังกฤษ แลว
b เปนสระในภาษาอังกฤษ” ไมเปนนิเสธกัน
10. 1) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ p → (q → r ) → ( p → q) → r
ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
300 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
p q r p→q q→r p → (q → r ) ( p → q) → r p → (q → r ) → ( p → q) → r
T T T T T T T T
T T F T F F F T
T F T F T T T T
T F F F T T T T
F T T T T T T T
F T F T F T F F
F F T T T T T T
F F F T T T F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 301
ดังนั้น รูปแบบของประพจน p → (q → r ) → ( p → q) → r
ไมเปนสัจนิรันดร
2) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ (p∨( p ∧ q )) → ( p∧ q) ไดดังนี้
p q p q p∧q p ∨ ( p ∧ q) p∧ q (p∨( p ∧ q )) → ( p∧ q)
T T F F F T F T
T F F T F T F T
F T T F T T F T
F F T T F F T F
ไมเปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 2 สมมติให (p∨( p ∧ q )) → ( p∧ q) มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
302 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
มีคาความจริงเปนเท็จ
ดังนั้น รูปแบบของประพจน (p∨( p ∧ q )) → ( p∧ q)
ไมเปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 3 เนื่องจาก p ∨ ( p ∧ q) ≡ ( p∨ p) ∧ ( p ∨ q)
≡ p∨q
จะได
(p∨( p ∧ q )) → ( p∧ q) ≡ ( p ∨ q) → ( p∧ q )
≡ ( p ∨ q) ∨ ( p∧ q )
≡ ( p ∨ q ) ∧ ( p∧ q)
≡ ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ q)
≡ p∨q
ซึ่งเมื่อ p และ q เปนเท็จ จะได p∨q เปนเท็จ
นั่นคือ p∨q ไมเปนสัจนิรันดร
ดังนั้น รูปแบบของประพจน (p∨( p ∧ q )) → ( p∧ q)
ไมเปนสัจนิรันดร
3) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ p ∧ ( p ∨ q) → q ไดดังนี้
p q p p∨q p ∧ ( p ∨ q) p ∧ ( p ∨ q) → q
T T F T F T
T F F T F T
F T T T T T
F F T F F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 303
จะเห็นวารูปแบบของประพจน p ∧ ( p ∨ q) → q เปนจริงทุกกรณี
ดังนั้น รูปแบบของประพจน p ∧ ( p ∨ q) → q เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 2 สมมติให p ∧ ( p ∨ q) → q มีคาความจริงเปนเท็จ
ขัดแยงกัน
≡ p∨ ( p ∨ q) ∨q
≡ p ∨( p∧ q) ∨ q
≡ ( p∨ p ) ∧ ( p∨ q) ∨ q
≡ ( p∨ q) ∨ q
≡ p ∨ ( q ∨ q)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
304 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
4) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p ∨ q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( q → r ) →r
ไดดังนี้
p q r ( p ∨ q) ∧ ( p → r ) ∧ (q → r ) ( p ∨ q) ∧ ( p → r ) ∧ (q → r ) →r
T T T T T
T T F F T
T F T T T
T F F F T
F T T T T
F T F F T
F F T F T
F F F F T
จะเห็นวารูปแบบของประพจน ( p ∨ q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( q → r ) →r
เปนจริงทุกกรณี
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p ∨ q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( q → r ) →r
เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 2 สมมติให ( p ∨ q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( q → r ) →r มีคาความจริงเปนเท็จ
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 305
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p ∨ q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( q → r ) → r เปนเท็จ
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p ∨ q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( q → r ) → r
เปนสัจนิรันดร
5) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p → q ) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r )
ไดดังนี้
p q r ( p → q) ∧ ( p → r ) p → (q ∧ r ) ( p → q) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r )
T T T T T T
T T F F F T
T F T F F T
T F F F F T
F T T T T T
F T F T T T
F F T T T T
F F F T T T
จะเห็นวารูปแบบของประพจน ( p → q ) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r )
เปนจริงทุกกรณี
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p → q ) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r )
เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 2 สมมติให ( p → q ) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r ) มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
306 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
กรณีที่ 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ r เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา
( p → q) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r ) เปนเท็จ
กรณีที่ 2
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ q เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา
( p → q) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r ) เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 307
จากทั้งสองกรณี จะไดวารูปแบบของประพจน
( p → q) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r ) เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 3 จาก ( p → q ) ∧ ( p → r ) ≡ ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r )
≡ p ∨ (q ∧ r )
≡ p → (q ∧ r )
นั่นคือ ( p → q ) ∧ ( p → r ) สมมูลกับ p → ( q ∧ r )
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p → q ) ∧ ( p → r ) ↔ p → (q ∧ r )
เปนสัจนิรันดร
6) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p → r ) ∧ ( q → r ) ↔ ( p ∨ q) → r
ไดดังนี้
p q r ( p → r ) ∧ (q → r ) ( p ∨ q) → r ( p → r ) ∧ (q → r ) ↔ ( p ∨ q) → r
T T T T T T
T T F F F T
T F T T T T
T F F F F T
F T T T T T
F T F F F T
F F T T T T
F F F T T T
จะเห็นวารูปแบบของประพจน ( p → r ) ∧ ( q → r ) ↔ ( p ∨ q) → r
เปนจริงทุกกรณี
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p → r ) ∧ ( q → r ) ↔ ( p ∨ q) → r
เปนสัจนิรันดร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
308 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา
( p → r ) ∧ (q → r ) ↔ ( p ∨ q ) → r เปนเท็จ
กรณีที่ 2
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ r เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา
( p → r ) ∧ (q → r ) ↔ ( p ∨ q ) → r เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 309
จากทั้งสองกรณี จะไดวารูปแบบของประพจน
( p → r ) ∧ (q → r ) ↔ ( p ∨ q ) → r เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 3 จาก ( p → r ) ∧ ( q → r ) ≡ ( p ∨ r) ∧ ( q ∨ r)
≡ ( p∧ q) ∨ r
≡ ( p ∨ q) ∨ r
≡ ( p ∨ q) → r
นั่นคือ ( p → r ) ∧ ( q → r ) สมมูลกับ ( p ∨ q ) → r
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p → r ) ∧ ( q → r ) ↔ ( p ∨ q ) → r
เปนสัจนิรันดร
7) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p ↔ q ) ↔ ( p ∧ q ) ∨ ( p∧ q)
ไดดังนี้
p q p↔q p∧q p∧ q ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) ( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q)
T T T T F T T
T F F F F F T
F T F F F F T
F F T F T T T
จะเห็นวารูปแบบของประพจน ( p ↔ q ) ↔ ( p ∧ q ) ∨ ( p∧ q)
เปนจริงทุกกรณี
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p ↔ q ) ↔ ( p ∧ q ) ∨ ( p∧ q)
เปนสัจนิรันดร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
310 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ q เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา
( p ↔ q) ↔ ( p ∧ q) ∨ ( p∧ q) เปนเท็จ
กรณีที่ 2
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 311
≡ ( p ∧ q)∨ p ∧ ( p ∧ q)∨ q
≡ ( p∨ p ) ∧ ( q∨ p) ∧ ( p∨ q ) ∧ ( q∨ q)
≡ ( q∨ p ) ∧ ( p∨ q )
≡ ( p ∨ q) ∧ ( q ∨ p)
≡ ( p → q) ∧ (q → p)
≡ p↔q
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p ↔ q ) ↔ ( p ∧ q ) ∨ ( p∧ q)
เปนสัจนิรันดร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
312 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ไมเปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้ไมสมเหตุสมผล
4) สมมติให ( p → q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( p ∧ s ) →(r → s) เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
314 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 315
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p → q ) ∧ ( q → r ) →( p ∧ r ) เปนเท็จ
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p ∨ q ) ∧ q → ( p∨ r) เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
316 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p ∨ q ) ∧ q → ( p∨ r) เปนเท็จ
นั่นคือ รูปแบบของประพจน ( p ∨ q ) ∧ q → ( p∨ r) เปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
3) ให p แทนประพจน “ชะเอมซื้อสินคาโดยใชบัตรเครดิต”
q แทนประพจน “ชะเอมซื้อสินคาโดยใชเงินสด”
เขียนแทนขอความในรูปสัญลักษณไดดังนี้
เหตุ 1. p ∨ q
2. p
ผล q
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p ∨ q ) ∧ p → q เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 317
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p ∨ q ) ∧ q → ( p∨ r) เปนเท็จ
นั่นคือ รูปแบบของประพจน ( p ∨ q ) ∧ q → ( p∨ r) เปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
4) ให p แทนประพจน “หนูดูหนัง”
q แทนประพจน “แนนดูหนัง”
r แทนประพจน “หนึ่งดูหนัง”
เขียนแทนขอความในรูปสัญลักษณไดดังนี้
เหตุ 1. p
2. q → p
3. p→ r
ผล q∨r
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให p ∧ (q → p) ∧ ( p → r ) →(q ∨ r ) เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
318 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ไมเปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนีไ้ มสมเหตุสมผล
5) ให p แทนประพจน “วิจิตไปกินขาวนอกบาน”
q แทนประพจน “วีรชัยอยูบาน”
r แทนประพจน “นิธิไปออกกําลังกาย”
s แทนประพจน “พชรไปเดินเลน”
เขียนแทนขอความในรูปสัญลักษณไดดังนี้
เหตุ 1. p ↔ q
2. q→r
3. s ∧ p
ผล s→r
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 319
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p ↔ q ) ∧ ( q → r ) ∧ ( s ∧ p) →( s → r ) เปนเท็จ
ไมเปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนีไ้ มสมเหตุสมผล
13. 1) ∀x [ x > 0] เปนจริง เมื่อ U =
เพราะวา เมื่อแทน x ดวยจํานวนนับ ใน “ x > 0 ” จะไดประพจนที่เปนจริง
2) ∀x [ x + x = x ⋅ x ] เปนจริง เมื่อ U = {0, 2 }
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 0 และ 2 ใน “ x + x = x ⋅ x ” จะไดประพจนที่เปนจริง
3) ∃x x = x 2 เปนจริง เมื่อ U = { 0, 1}
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 0 ใน “ x = x 2
” จะไดประพจนที่เปนจริง
4) ∀x x < 2 ↔ x 2 ≥ 4 เปนเท็จ เมื่อ U =
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 0 ใน “ x < 2 ↔ x 2
≥4” จะไดประพจนที่เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
320 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
5) ∃y [ y + 2 = y − 2] เปนเท็จ เมื่อ U =
เพราะวา ไมสามารถหาจํานวนจริง y แทนใน “ y + 2 = y − 2 ” แลวไดประพจน
ที่เปนจริง
6) ∀x [ x ∈ → x∈ ] เปนจริง เมื่อ U =
เนื่องจาก ∀x [ x ∈ → x∈ ] สมมูลกับ ∃x [ x ∈ ∧ x∉ ]
1
และเมื่อแทน x ดวย ใน “ ∃x [ x ∈ ∧ x∉ ] ” จะไดประพจนที่เปนจริง
2
7) ∃x [ x เปนจํานวนคู] เปนจริง เมื่อ U =
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 2 ใน “ x เปนจํานวนคู” จะไดประพจนที่เปนจริง
8) มีจํานวนตรรกยะ x ซึ่ง x > 0 เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 321
ซึ่งสมมูลกับ ∀x [ x ∉ ∨ x<5]
3) นิเสธของ ∀x x 2 − 5 < 4 → x − 2 ≠ 0
เขียนแทนดวย ( ∀x x2 − 5 < 4 → x − 2 ≠ 0 )
ซึ่งสมมูลกับ ∀x x 2
− 5 ≥ 4∨ x − 2 ≠ 0 และสมมูลกับ ∃x x 2 − 5 < 4 ∧ x − 2 = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
322 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
4) นิเสธของ ∃x [ x − 7 < 5 ] → ∀x [ x ≥ 2 ]
เขียนแทนดวย ( ∃x [ x − 7 < 5 ] → ∀x [ x ≥ 2 ])
ซึ่งสมมูลกับ ( ∃x [ x − 7 < 5 ] ∨ ∀x [ x ≥ 2 ]) และสมมูลกับ ∀x [ x − 7 ≥ 5 ] ∧ ∃x [ x < 2 ]
5) นิเสธของ ∀x [ x ∈ ∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6)
เขียนแทนดวย ( ∀x [ x ∈ ∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6 ) )
ซึ่งสมมูลกับ ∀x [ x ∈ ∧ x − 2 > 8 ] ∧ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6 )
และสมมูลกับ ∃x [ x ∉ ∨ x − 2 ≤ 8 ] ∧ ∀x [ x ≠ 5 ∧ x ≠ 6 ]
7) นิเสธของขอความ “มีจํานวนตรรกยะบางจํานวนเปนจํานวนคี่และจํานวนคี่
ทุกจํานวนไมเปนจํานวนอตรรกยะ” คือ “จํานวนตรรกยะทุกจํานวนไมเปน
จํานวนคี่หรือมีจํานวนคี่บางจํานวนเปนจํานวนอตรรกยะ”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 323
8) นิเสธของขอความ “จํานวนนับทุกจํานวนมากกวาศูนยแตจํานวนเต็มบางจํานวน
ยกกําลังสองไมมากกวาศูนย” คือ “มีจํานวนนับบางจํานวนนอยกวาหรือเทากับ
ศูนยหรือกําลังสองของจํานวนเต็มใด ๆ มีคามากกวาศูนย”
15. 1) ∀x [ x ∈ ∧ x∉ ] สมมูลกับ ∀x (x∈ ∨ x∉ )
เนื่องจาก ( x ∈ ∨ x∉ ) ไมสมมูลกับ x∈ ∨ x∉
ดังนั้น ∀x [ x ∈ ∧ x∉ ] ไมสมมูลกับ ∀x [ x ∈ ∨ x ∉ ]
2) ∀x x > 0 → x3 > 0 สมมูลกับ ∀x x ≤ 0 ∨ x3 > 0
ซึ่งสมมูลกับ ∃x x = 9 → x = 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
324 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ซึ่งสมมูลกับ ∀x [ x > −5 ] ∨ ∀x x 2 − 7 = 0
และสมมูลกับ ∃x [ x ≤ −5 ] ∨ ∀x x 2 − 7 = 0
เนื่องจาก ∃x [ x ≤ −5 ] ไมสมมูลกับ ∃x [ x ≤ −5 ]
8) ( ∀x [ x ∈ ] ∧ ∀x [ x ≠ 7 ]) สมมูลกับ ∀x [ x ∈ ] ∨ ∀x [ x ≠ 7 ]
ซึ่งสมมูลกับ ∀x [ x ≠ 7 ] ∨ ∀x [ x ∈ ]
และสมมูลกับ ∃x [ x = 7 ] ∨ ∀x [ x ∈ ]
และสมมูลกับ ∃x [ x = 7 ] → ∀x [ x ∈ ]
ดังนั้น ( ∀x [ x ∈ ] ∧ ∀x [ x ≠ 7 ]) สมมูลกับ ∃x [ x = 7 ] → ∀x [ x ∈ ]
9) “จํานวนคี่ทุกจํานวนมากกวาศูนย” เขียนใหอยูในรูปสัญลักษณไดเปน
∀x[ x > 0], U เปนเซตของจํานวนคี่
“ไมจริงที่วาจํานวนคี่บางจํานวนนอยกวาหรือเทากับศูนย” เขียนใหอยูในรูป
สัญลักษณไดเปน ∃x[ x ≤ 0], U เปนเซตของจํานวนคี่
เนื่องจาก ∀x [ x > 0] สมมูลกับ ∃x[ x ≤ 0]
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 325
เปน ∃x ∈ [ x2 = 0 ∨ x ≠ 0]
เนื่องจาก ∀x ∈ [ x 2 ≠ 0 ∨ x = 0] สมมูลกับ ∃x ∈ [ x2 = 0 ∧ x ≠ 0]
และ x2 = 0 ∧ x≠ 0 ไมสมมูลกับ x2 = 0 ∨ x ≠0
16. แสดงคุณสมบัติของพนักงานกับเงื่อนไขของการเลื่อนตําแหนงดังตารางตอไปนี้
ทํางานบริษัทนี้อยางนอย 3 ป
เงื่อนไข อายุไมต่ํากวา จบปริญญาโท
หรือทํางานดานคอมพิวเตอร
30 ป ขึ้นไป
ชื่อพนักงาน อยางนอย 7 ป
ฟาใส
รุงนภา
ธนา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
326 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
17. แสดงคุณสมบัติของพนักงานกับเงื่อนไขของการไดรับเงินรางวัลดังตารางตอไปนี้
เงื่อนไข ทํายอดขายใน 1 ป ได
ทํายอดขายใน 1 ป ได
ทํายอดขายใน 1 ป ได เกิน 10,000,000 บาท
เกิน 5,000,000 บาท
เกิน 3,000,000 บาท ไมลาพักผอน
และไมลากิจ
ชื่อพนักงาน และไมลากิจ
สุริยา
เมฆา
กมล
ทิวา
เนื่องจากพนักงานแตละคนจะสามารถรับเงินรางวัลที่ดีที่สุดไดเพียงรางวัลเดียว
ดังนั้น สุริยาจะไดรับเงินรางวัล 30,000 × 1.5 = 45,000 บาท
เมฆาจะไมไดรับเงินรางวัล
กมลจะไดรับเงินรางวัล 70,000 × 2 = 140,000 บาท
และทิวาจะไดรับเงินรางวัล 200,000 × 4 = 800,000 บาท
18. แสดงคุณสมบัติของผูกูกับเงื่อนไขของการกูเงินดังตารางตอไปนี้
เงื่อนไข ถาผูกูมีคูสมรส ผูกูตองมีเงินเหลือ
ผูกูตองมีเงินเดือน
แลวผูกูและคูสมรส หลังหักคาใชจายใน
ไมนอยกวา
ตองมีเงินเดือนรวมกัน แตละเดือน
30,000 บาท
ชื่อผูกู ไมนอยกวา 70,000 บาท มากกวา 5,000 บาท
สัญญา
กวิน
มานแกว ไมมีคูสมรส
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 327
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
328 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.1
1. พิจารณาการเปนจํานวนนับ จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะ หรือจํานวนอตรรกยะ
ของจํานวนที่กําหนดให ไดดังนี้
จํานวนที่
จํานวนนับ จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะ จํานวนอตรรกยะ
กําหนดให
0 - -
2
- - -
3
−22
- - -
7
3.1416 - - -
4 +1 -
1 − ( −8 ) -
6 −1 - - -
7π
- - -
22
0.09 - - -
12
− - -
3
( 2)
2
-
–3.999 - - -
( −1)
2
-
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 329
2. พิจารณาการเปนจริงหรือเท็จของขอความที่กําหนดให ไดดังนี้
1) เปนจริง
2) เปนจริง
3) เปนเท็จ
4) เปนเท็จ
5) เปนจริง
6) เปนจริง
7) เปนเท็จ
8) เปนจริง
9) เปนเท็จ
แบบฝกหัด 3.2
1. 1) สมบัติการสลับที่การคูณ
2) สมบัติการมีเอกลักษณการบวก
3) สมบัติการมีเอกลักษณการคูณ
4) สมบัติปดการคูณ
5) สมบัติการเปลี่ยนหมูการบวก
6) สมบัติการแจกแจง
7) สมบัติการมีตัวผกผันการคูณ
8) สมบัติการเปลี่ยนหมูการคูณ
9) สมบัติการมีตัวผกผันการบวก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
330 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
10) สมบัติการสลับที่การบวก
2. ตัวผกผันการบวกและตัวผกผันการคูณของจํานวนที่กําหนดใหเปนดังนี้
จํานวนที่กําหนดให ตัวผกผันการบวก ตัวผกผันการคูณ
−4 4 1
−
4
1
5 − 5
5
2 2 7
−
7 7 2
5 5 11
− −
11 11 5
1− 7 (
− 1− 7 ) หรือ 1
−1 + 7 1− 7
1
3
2 −3 2 3
2
−8
− หรือ
−8 2+ 3 2+ 3
−
2+ 3 8 8
2+ 3
3. พิจารณาสมบัติของเซตที่กําหนดใหไดดังนี้
สมบัติปด
สมบัติปด สมบัติปด สมบัติปด
ของการหาร
เซตที่กําหนดให ของการ ของการ ของการ
(ตัวหารไม
บวก ลบ คูณ
เปนศูนย)
1) เซตของจํานวนนับ - -
2) เซตของจํานวนเต็ม -
3) เซตของจํานวนคี่ลบ - - - -
4) เซตของจํานวนคู -
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 331
สมบัติปด
สมบัติปด สมบัติปด สมบัติปด
ของการหาร
เซตที่กําหนดให ของการ ของการ ของการ
(ตัวหารไม
บวก ลบ คูณ
เปนศูนย)
5) เซตของจํานวนเต็มที่หารดวย 3 ลงตัว -
6) เซตของจํานวนตรรกยะ
7) { ..., − 5, 0, 5, 10 } - - - -
8) { − 1, − 2, − 3, ... } - - -
9) { − 1, 0, 1} - -
1 1 1 1
10) , , , , , 1, 2, 4, 8, 16, - -
16 8 4 2
แบบฝกหัด 3.3
1. จากพหุนาม p ( x ) = 3 x 4 + 2 x 2 − ax + 3
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = 3 x 4 + 0 x 3 + 2 x 2 − ax + 3
2. ให p ( x ) = x2 − 1 และ q ( x ) = x 2
− 2x + 3
1) p ( x) + q ( x) = (x 2
− 1) + ( x 2 − 2 x + 3)
= 2 x2 − 2 x + 2
2) q ( x) − p ( x) = (x 2
− 2 x + 3) − ( x 2 − 1)
= −2 x + 4
3) p ( x) q ( x) = (x 2
− 1)( x 2 − 2 x + 3)
= x 2 ( x 2 − 2 x + 3 ) − 1( x 2 − 2 x + 3 )
= (x 4
− 2 x 3 + 3 x 2 ) − ( x 2 − 2 x + 3)
= x 4 − 2 x3 + 2 x 2 + 2 x − 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
332 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
3. ให p ( x ) = 3x 2 + 5 x − 1 และ q ( x ) = x 4
− 5x2 + 7
จะได p ( x) q ( x) = ( 3x + 5 x − 1)( x − 5 x + 7 )
2 4 2
= 3 x ( x − 5 x + 7 ) + 5 x ( x − 5 x + 7 ) − 1( x − 5 x + 7 )
2 4 2 4 2 4 2
= ( 3x − 15 x + 21x ) + ( 5 x − 25 x + 35 x ) − ( x − 5 x + 7 )
6 4 2 5 3 4 2
= 3 x 6 + 5 x 5 − 16 x 4 − 25 x 3 + 26 x 2 + 35 x − 7
4. ให x 2 − 12 x − 28 = ( x − a )( x − b )
นั่นคือ x 2 − 12 x − 28 = x ( x − b) − a ( x − b)
= (x 2
− bx ) − ( ax − ab )
= x 2 − ( a + b ) x + ab
จะได a + b = 12 และ ab = − 28
ให x2 − 2 x + 5 = ( x − a ) + b2 โดยที่
2
5. b>0
นั่นคือ x2 − 2 x + 5 = (x 2
− 2ax + a 2 ) + b 2
= x 2 − 2ax + (a 2 + b 2 )
จะได −2a = −2 นั่นคือ a =1
6. ให p( x) = x 2 + 3x , q ( x ) = x 2 − 1 และ r ( x ) = x − 1
จะได p ( x) q ( x) + r ( x) = (x 2
+ 3 x )( x 2 − 1) + ( x − 1)
= x 2 ( x 2 − 1) + 3 x ( x 2 − 1) + ( x − 1)
= (x 4
− x 2 ) + ( 3 x 3 − 3 x ) + ( x − 1)
= x 4 + 3x3 − x 2 − 2 x − 1
7. 1) วิธีที่ 1 พิจารณา 4 x 4 − 3x3 + 2 x 2 − 5 = ( 4 x − 3x + 2 x ) − 5
4 3 2
= x ( 4 x − 3x + 2 ) − 5
2 2
วิธีที่ 2 จาก a ( x ) = 4 x − 3x + 2 x
4 3 2
−5
เขียนใหมไดเปน a ( x ) = 4 x 4
− 3x3 + 2 x 2 + 0 x − 5
ใชการหารยาวดังนี้
4 x 2 − 3x + 2
x 2 4 x 4 − 3x3 + 2 x 2 + 0 x − 5
4 x4
− 3x3 + 2 x 2 + 0 x − 5
−3 x 3
2 x2 + 0 x − 5
2 x2
−5
จะได 4 x 4 − 3x3 + 2 x 2 − 5 = x 2 ( 4 x 2 − 3x + 2 ) − 5
2) จาก a ( x ) = x 3
−2 เขียนใหมไดเปน a ( x ) = x3 + 0 x 2 + 0 x − 2
และ b ( x ) = x 2
+2
ใชการหารยาวดังนี้
x
x + 2 x3 + 0 x 2 + 0 x − 2
2
x3 + 2x
−2 x − 2
จะได x 3 − 2 = ( x 2 + 2 ) ( x ) + ( −2 x − 2 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
334 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
3) ใชการหารยาวดังนี้
x 4 − 3 x3 + 5 x 2 − 11 x + 21
x + 2 x5 − x 4 − x3 − x 2 − x − 2
x5 + 2 x 4
− 3x 4 − x3 − x2 − x− 2
− 3x − 6 x
4 3
5 x3 − x2 − x− 2
5 x + 10 x
3 2
− 11x 2 − x− 2
−11x 2 − 22 x
21x − 2
21x + 42
−44
4) จาก a ( x ) = x 5
+1 เขียนใหมไดเปน a ( x ) = x5 + 0 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 1
และ b ( x ) = x 2
+1
ใชการหารยาวดังนี้
x3 − x
x 2 + 1 x5 + 0 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 1
x5 + x3
− x3 + 0 x 2 + 0 x + 1
− x3 − x
x +1
จะได x 5 + 1 = ( x 2 + 1)( x 3 − x ) + ( x + 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 335
5) จาก a ( x ) = x + x + 1
6 3
เขียนใหมไดเปน a ( x ) = x 6
+ 0 x5 + 0 x 4 + x3 + 0 x 2 + 0 x + 1 และ b ( x ) = x 3
−1
ใชการหารยาวดังนี้
x3 + 2
x3 − 1 x6 + 0 x5 + 0 x 4 + x3 + 0 x 2 + 0 x + 1
x6 − x3
2 x3 + 0 x 2 + 0 x + 1
2 x3 −2
3
จะได x 6 + x 3 + 1 = ( x 3 − 1)( x 3 + 2 ) + 3
แบบฝกหัด 3.4
1. 1) ให p ( x ) = x 4 − 3x + 5
= 16 − 6 + 5
= 15
= 2 ( −27 ) + 7 ( 9 ) − 5 ( −3) − 4
= −54 + 63 + 15 − 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
336 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
= 20
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 20
3) ให p ( x ) = 6 x 3 + 13x 2 − 4
= 6 ( −8 ) + 13 ( 4 ) − 4
= −48 + 52 − 4
= 0
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 0 (แสดงวา x + 2 หาร 6 x 3 + 13 x 2 − 4 ลงตัว)
4) ให p ( x ) = x 4 − 3x3 + 4 x 2 − x + 6
= 1− 3 + 4 −1+ 6
= 7
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 7
5) ให p ( x ) = 2 x 4 − 5 x3 − x 2 + 3x + 1
1 1
จากทฤษ ีบทเศษเหลือ เมื่อหาร p ( x ) ดวย x+ จะไดเศษเหลือ คือ p −
2 2
4 3 2
1 1 1 1 1
โดยที่ p − = 2 − −5 − − − +3 − +1
2 2 2 2 2
1 1 1 1
= 2 − 5 − − + 3 − +1
16 8 4 2
1 5 1 3
= + − − +1
8 8 4 2
= 0
1
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 0 (แสดงวา x + หาร 2 x 4 − 5 x3 − x 2 + 3x + 1 ลงตัว)
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 337
2. ให p ( x ) = x3 − 2 x 2 − 5 x + 6
3. ให p ( x ) = x3 + x 2 + x + 1
4. 1) ให p ( x ) = x3 − 2 x 2 + 8 x − m
= 125 − 50 + 40 − m
= 115 − m
เนื่องจาก x−5 หาร x3 − 2 x 2 + 8 x − m ลงตัว นั่นคือ p ( 5) = 0
2) ให p ( x ) = 3 x 4 − 2 x 3 + mx − 1
2 2
จากทฤษ ีบทเศษเหลือ เมื่อหาร p ( x ) ดวย x+ จะไดเศษเหลือ คือ p −
3 3
4 3
2 2 2 2
โดยที่ p − = 3 − −2 − +m − −1
3 3 3 3
16 8 2
= 3 −2 − + m − −1
81 27 3
16 16 2
= + − m −1
27 27 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
338 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
5 2
= − m
27 3
2 2
เนื่องจาก x+ หาร 3 x 4 − 2 x 3 + mx − 1 เหลือเศษ −1 นั่นคือ p − = −1
3 3
5 2 16
จะได − m = −1 นั่นคือ m=
27 3 9
2 16
ดังนั้น x+ หาร 3 x 4 − 2 x 3 + mx − 1 เหลือเศษ −1 เมื่อ m=
3 9
3) ให p ( x ) = x2 − 5x − 2
= m 2 + 5m − 2
เนื่องจาก x+m หาร x2 − 5x − 2 เหลือเศษ −8 นั่นคือ p ( −m ) = − 8
จะได m 2 + 5m − 2 = −8
m 2 + 5m + 6 = 0
( m + 2 )( m + 3) = 0
จะได m = −2 หรือ m = −3
5. 1) วิธีที่ 1 ให p ( x ) = x − x − 4 x + 4
3 2
พิจารณา p (1)
จะเห็นวา p (1) = 0
ดังนั้น x −1 เปนตัวประกอบของ x3 − x 2 − 4 x + 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 339
ดังนั้น x3 − x 2 − 4 x + 4 = ( x − 1) ( x 2 − 4 )
= ( x − 1)( x − 2 )( x + 2 )
วิธีที่ 2 x3 − x 2 − 4 x + 4 = (x 3
− x2 ) − ( 4 x − 4)
= x 2 ( x − 1) − 4 ( x − 1)
= (x 2
− 4 ) ( x − 1)
= ( x − 2 )( x + 2 )( x − 1)
2) ให p ( x ) = x 3 + x 2 − 8 x − 12
พิจารณา p ( −2 )
p ( −2 ) = ( −2 ) + ( −2 ) − 8 ( −2 ) − 12 = 0
3 2
ดังนั้น x 3 + x 2 − 8 x − 12 = ( x + 2) ( x2 − x − 6)
= ( x + 2 )( x + 2 )( x − 3)
( x + 2 ) ( x − 3) d
2
=
3) ให p ( x ) = x 4 − 2 x3 − x 2 − 4 x − 6
พิจารณา p ( −1)
ดังนั้น x 4 − 2 x3 − x 2 − 4 x − 6 = ( x + 1) ( x3 − 3x 2 + 2 x − 6 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
340 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
= ( x + 1) ( x3 − 3x 2 ) + ( 2 x − 6 )
= ( x + 1) x 2 ( x − 3) + 2 ( x − 3)
= ( x + 1)( x − 3) ( x 2 + 2 )
4) ให p ( x ) = x3 − 1
พิจารณา p (1)
p (1) = (1) − 1 = 0
3
ดังนั้น x3 − 1 = ( x − 1) ( x 2 + x + 1) s
5) วิธีที่ 1 ให p ( x ) = x4 − 1
พิจารณา p (1)
p (1) = (1) − 1 = 0
4
ดังนั้น x4 − 1 = ( x − 1) ( x3 + x 2 + x + 1)
= ( x − 1) ( x3 + x 2 ) + ( x + 1)
= ( x − 1) x 2 ( x + 1) + ( x + 1)
= ( x − 1)( x + 1) ( x 2 + 1)
วิธีที่ 2 x4 − 1 = ( x ) −1
2 2
= ( x − 1)( x
2 2
+ 1)
= ( x − 1)( x + 1) ( x 2 + 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 341
6) วิธีที่ 1 ให p ( x ) = x4 − 5x2 + 4
พิจารณา p (1)
ดังนั้น x4 − 5x2 + 4 = ( x − 1) ( x3 + x 2 − 4 x − 4 )
= ( x − 1) ( x3 + x 2 ) − ( 4 x + 4 )
= ( x − 1) x 2 ( x + 1) − 4 ( x + 1)
= ( x − 1)( x + 1) ( x 2 − 4 )
= ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )( x + 2 )
วิธีที่ 2 x4 − 5x2 + 4 = (x 2
− 1)( x 2 − 4 )
= ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )( x + 2 ) s
7) ให p ( x ) = x 4 − 2 x3 + x 2 − 4 x + 4
พิจารณา p (1)
ดังนั้น x 4 − 2 x3 + x 2 − 4 x + 4 = ( x − 1) ( x3 − x 2 − 4 )
ให q ( x ) = x3 − x 2 − 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
342 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
พิจารณา q ( 2 )
q ( 2) = ( 2) − ( 2) − 4 = 0
3 2
ดังนั้น x3 − x 2 − 4 = ( x − 2) ( x2 + x + 2)
จะได x 4 − 2 x3 + x 2 − 4 x + 4 = ( x − 1)( x − 2 ) ( x 2 + x + 2 )
8) ให p ( x ) = x 4 − 2 x 3 − 13x 2 + 14 x + 24
พิจารณา p ( −1)
ดังนั้น x 4 − 2 x 3 − 13 x 2 + 14 x + 24 = ( x + 1) ( x3 − 3x 2 − 10 x + 24 )
ให q ( x ) = x 3 − 3 x 2 − 10 x + 24
พิจารณา q ( 2 )
q ( 2 ) = ( 2 ) − 3 ( 2 ) − 10 ( 2 ) + 24 = 0
3 2
ดังนั้น x 3 − 3 x 2 − 10 x + 24 = ( x − 2 ) ( x 2 − x − 12 )
จะได x 4 − 2 x 3 − 13 x 2 + 14 x + 24 = ( x + 1)( x − 2 ) ( x 2 − x − 12 )
= ( x + 1)( x − 2 )( x + 3)( x − 4 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 343
6. 1) ให p ( x ) = 6 x 3 − 11x 2 + 6 x − 1
พิจารณา p (1)
ดังนั้น 6 x 3 − 11x 2 + 6 x − 1 = ( x − 1) ( 6 x 2 − 5 x + 1)
= ( x − 1)( 3x − 1)( 2 x − 1) ก
2) ให p ( x ) = 6 x 3 + x 2 − 11x − 6
พิจารณา p ( −1)
ดังนั้น 6 x3 + x 2 − 11x − 6 = ( x + 1) ( 6 x 2 − 5 x − 6 )
= ( x + 1)( 3x + 2 )( 2 x − 3)
3) ให p ( x ) = 8 x 4 + 8 x3 + 6 x 2 + 4 x + 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
344 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1
พิจารณา p −
2
4 3 2
1 1 1 1 1
p − =8 − +8 − +6 − +4 − +1 = 0
2 2 2 2 2
1 1
จะเห็นวา p − =0 ดังนั้น x+ เปนตัวประกอบของ 8 x 4 + 8 x3 + 6 x 2 + 4 x + 1
2 2
1
นํา x+ ไปหาร 8 x 4 + 8 x3 + 6 x 2 + 4 x + 1 ไดผลหารเปน 8 x3 + 4 x 2 + 4 x + 2
2
1
ดังนั้น 8 x 4 + 8 x3 + 6 x 2 + 4 x + 1 = x+
2
(8 x 3
+ 4 x2 + 4 x + 2)
1
= x+
2
(8 x 3
+ 4x2 ) + ( 4x + 2)
1
= x+ 4 x 2 ( 2 x + 1) + 2 ( 2 x + 1)
2
1
= x+ ( 2 x + 1) ( 4 x 2 + 2 )
2
1
= 2 x+ ( 2 x + 1) ( 2 x 2 + 1)
2
= ( 2 x + 1)( 2 x + 1) ( 2 x 2 + 1)
( 2 x + 1) ( 2 x 2 + 1)
2
=
ก 4) ให p ( x ) = 3x 4 − 8 x3 + x 2 + 8 x − 4
พิจารณา p (1)
ดังนั้น 3x 4 − 8 x3 + x 2 + 8 x − 4 = ( x − 1) ( 3x3 − 5 x 2 − 4 x + 4 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 345
ให q ( x ) = 3x3 − 5 x 2 − 4 x + 4
พิจารณา q ( −1)
q ( −1) = 3 ( −1) − 5 ( −1) − 4 ( −1) + 4 = 0
3 2
ดังนั้น 3x3 − 5 x 2 − 4 x + 4 = ( x + 1) ( 3x 2 − 8 x + 4 )
จะได 3x 4 − 8 x3 + x 2 + 8 x − 4 = ( x − 1)( x + 1) ( 3x 2 − 8 x + 4 )
= ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )( 3x − 2 )
แบบฝกหัด 3.5
1. เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
1) เนื่องจาก x 3 − 2 x 2 − 5 x + 6 = ( x − 1) ( x 2 − x − 6 ) = ( x − 1)( x + 2 )( x − 3)
จะได ( x − 1)( x + 2 )( x − 3) = 0
ดังนั้น x − 1 = 0 หรือ x + 2 = 0 หรือ x−3 = 0
จะได ( x + 2 )( x + 2 )( x − 3) = 0
ดังนัน้ x + 2 = 0 หรือ x − 3 = 0
จะได x = −2 หรือ x=3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
346 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
เนื่องจาก 3 x 3 − 2 x 2 − 7 x − 2 = ( x + 1)( x − 2 )( 3 x + 1)
จะได ( x + 1)( x − 2 )( 3x + 1) = 0
ดังนั้น x + 1 = 0 หรือ x − 2 = 0 หรือ 3x + 1 = 0
1
จะได x = −1 หรือ x=2 หรือ x=−
3
1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 1, − , 2
3
5) เนื่องจาก 6 − 13 x + 4 x 3 = ( x + 2 )( 2 x − 1)( 2 x − 3)
จะได ( x + 2 )( 2 x − 1)( 2 x − 3) = 0
ดังนั้น x + 2 = 0 หรือ 2 x − 1 = 0 หรือ 2x − 3 = 0
1 3
จะได x = −2 หรือ x= หรือ x=
2 2
1 3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 2, ,
2 2
6) เนื่องจาก x 3 − 3 x 2 + x + 2 = ( x − 2 ) ( x 2 − x − 1)
จะได ( x − 2 ) ( x − x − 1) = 0
2
ดังนั้น x − 2 = 0 หรือ x − x − 1 = 02
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 347
1 5
จะได x=2 หรือ x=
2
1+ 5 1− 5
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ 2, ,
2 2
7) จัดรูปสมการใหมไดเปน 2 x3 − 3x 2 − 5 x + 6 = 0
เนื่องจาก 2 x 3 − 3 x 2 − 5 x + 6 = ( x − 1)( x − 2 )( 2 x + 3)
จะได ( x − 1)( x − 2 )( 2 x + 3) = 0
ดังนั้น x − 1 = 0 หรือ x − 2 = 0 หรือ 2x + 3 = 0
3
จะได x =1 หรือ x=2 หรือ x=−
2
3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − , 1, 2
2
8) เนื่องจาก x 3 − x 2 − x − 2 = ( x − 2 ) ( x 2 + x + 1)
จะได ( x − 2 ) ( x + x + 1) = 0
2
ดังนั้น x − 2 = 0 หรือ x + x + 1 = 0
2
จะไดวาไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 2 }
9) เนื่องจาก 4 x3 + 13 x 2 + 4 x − 12 = ( x + 2 )( x + 2 )( 4 x − 3)
จะได ( x + 2 )( x + 2 )( 4 x − 3) = 0
ดังนั้น x + 2 = 0 หรือ 4 x − 3 = 0
3
จะได x = −2 หรือ x=
4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
348 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 2,
4
10) จัดรูปสมการใหมไดเปน 2 x 4 − 13x3 + 28 x 2 − 23x + 6 = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 349
ดังนั้น ( x − 2 )( x )( x + 2 ) = 1, 287
นั่นคือ x − 4 x − 1287 =
3
0
ถา x − 11 = 0 จะได x = 11
จะไดวาไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้
ดังนั้น x = 11
จัดรูปสมการใหมไดเปน s ( t ) = − 5t 2
+ 28t + 12
ลูกบอลจะกระทบพื้นเมื่อ s ( t ) = 0
นั่นคือ −5t 2 + 28t + 12 = 0
5t 2 − 28t − 12 = 0
( 5t + 2 )( t − 6 ) = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
350 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น 5t + 2 = 0 หรือ t −6 = 0
2
จะได t=− หรือ t=6
5
ดังนั้น ลูกบอลจะลอยอยูในอากาศนาน 6 วินาที กอนตกกระทบพื้นดินครั้งแรก
แบบฝกหัด 3.6
x3 − 1 ( x − 1) ( x 2 + x + 1)
1. 1) =
x −1 x −1
= x + x +1
2
เมื่อ x ≠ 1ด
2)
4 x2 − 9
=
( 2 x − 3)( 2 x + 3)
2 x2 + x − 3 ( 2 x + 3)( x − 1)
2x − 3 3
= เมื่อ x≠−
x −1 2
3)
x3 − x 2 − x + 1
=
(x 3
− x 2 ) − ( x − 1)
x 4 − 4 x3 + 4 x 2 − 1 (x 4
− 1) − ( 4 x 3 − 4 x 2 )
x 2 ( x − 1) − ( x − 1)
=
(x 2
− 1)( x 2 + 1) − 4 x 2 ( x − 1)
x 2 ( x − 1) − ( x − 1)
=
( x − 1)( x + 1) ( x 2 + 1) − 4 x 2 ( x − 1)
( x − 1) ( x 2 − 1)
=
( x − 1) ( x + 1) ( x 2 + 1) − 4 x 2
( x − 1)( x + 1)
= เมื่อ x ≠1
(x 3
+ x 2 + x + 1) − 4 x 2
=
( x − 1)( x + 1)
x3 − 3x 2 + x + 1
( x − 1)( x + 1)
=
( x − 1) ( x 2 − 2 x − 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 351
x +1
= เมื่อ x ≠1 ด
x − 2x −1
2
x 2 − 3x x2 − 4 x ( x − 3) ( x − 2 )( x + 2 )
2. 1) ⋅ = ⋅
x2 − x − 2 x2 − x − 6 ( x − 2 )( x + 1) ( x − 3)( x + 2 )
x
= เมื่อ x ≠ − 2, x ≠ 2 และ x≠3
x +1
x3 − 1 x3 + 1 ( x − 1) ( x 2 + x + 1) ( x + 1) ( x 2 − x + 1)
2) ⋅ = ⋅
x2 − x + 1 x2 + x + 1 x2 − x + 1 x2 + x + 1
2
1 3
= ( x − 1)( x + 1) เนื่องจาก x2 x +1 = x + >0
2 4
= x2 − 1
x 2 + 3 x − 10 x+5 x 2 + 3 x − 10 x + 2
3) = ⋅
x+2 x+2 x+2 x+5
=
( x + 5)( x − 2 ) ⋅ x + 2
x+2 x+5
= x−2 เมื่อ x ≠ −2 และ x ≠ −5
2x − 8 x 2 − 16 2 x − 8 x3 + x 2
4) = ⋅ 2
x2 x3 + x 2 x2 x − 16
2 ( x − 4) x 2 ( x + 1)
= ⋅
x2 ( x − 4 )( x + 4 )
2 ( x + 1)
= เมื่อ x≠0 และ x≠4
x+4
2x + 2
= เมื่อ x≠0 และ x≠4
x+4
1 1 1 ( x + 1)( x + 2 ) + x ( x + 2 ) + x ( x + 1)
3. 1) + + =
x x +1 x + 2 x ( x + 1)( x + 2 ) x ( x + 1)( x + 2 ) x ( x + 1)( x + 2 )
=
(x 2
+ 3x + 2 ) + ( x 2 + 2 x ) + ( x 2 + x )
x ( x + 1)( x + 2 )
3x 2 + 6 x + 2
=
x ( x + 1)( x + 2 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
352 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x x −1 x x −1
2) + = +
x + x − 6 x2 + 5x + 6
2
( x − 2 )( x + 3) ( x + 2 )( x + 3)
x ( x + 2) ( x − 1)( x − 2 )
= +
( x − 2 )( x + 2 )( x + 3) ( x − 2 )( x + 2 )( x + 3)
=
(x 2
+ 2 x ) + ( x 2 − 3x + 2 )
( x − 2 )( x + 2 )( x + 3)
2 x2 − x + 2
=
( x − 2 )( x + 2 )( x + 3)
2 2 1 2 ( x + 1)( x + 2 ) 2 ( 3 x )( x + 2 )
( 3x )( x + 1)
3) − + = − +
3x x + 1 x + 2 3 x ( x + 1)( x + 2 ) 3 x ( x + 1)( x + 2 ) 3 x ( x + 1)( x + 2 )
=
( 2x 2
+ 6 x + 4 ) − ( 6 x 2 + 12 x ) + ( 3 x 2 + 3 x )
3 x ( x + 1)( x + 2 )
− x 2 − 3x + 4
=
3 x ( x + 1)( x + 2 )
x2 − 5 4 x2 − 5 4
4) − 2 = −
x − 5x + 6 x − 4
2
( x − 2 )( x − 3) ( x − 2 )( x + 2 )
=
(x 2
− 5) ( x + 2 )
−
4 ( x − 3)
( x − 2 )( x + 2 )( x − 3) ( x − 2 )( x + 2 )( x − 3)
=
( x3 + 2 x 2 − 5 x − 10 ) − ( 4 x − 12 )
( x − 2 )( x + 2 )( x − 3)
x3 + 2 x 2 − 9 x + 2
=
( x − 2 )( x + 2 )( x − 3)
( x − 2 ) ( x 2 + 4 x − 1)
=
( x − 2 )( x + 2 )( x − 3)
x2 + 4 x − 1
= เมื่อ x≠2
( x + 2 )( x − 3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 353
แบบฝกหัด 3.7
1. 1) จัดรูปสมการใหมไดเปน ด
x ( x − 1) 2
− = 0
( x + 1)( x + 2 ) ( x + 1)( x + 2 )
x2 − x − 2
= 0
( x + 1)( x + 2 )
( x − 2 )( x + 1) = 0
( x + 1)( x + 2 )
x−2
= 0 เมื่อ x ≠ −1
x+2
จะได x−2 = 0 และ x+2 ≠ 0
จะได 2 x2 − 1 = 0 และ x ( x − 1) ≠ 0
1 1
จะได x=− หรือ x= โดยที่ x≠0 และ x ≠1
2 2
1 1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − ,
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
354 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
3) จัดรูปสมการใหมไดเปน
1 x+6
− = 0
x x2 + 3
x2 + 3
−
( x + 6 )( x )
= 0
x ( x + 3) x ( x 2 + 3)
2
(x 2
+ 3) − ( x 2 + 6 x )
= 0
x ( x 2 + 3)
−6 x + 3
= 0
x ( x 2 + 3)
จะได −6 x + 3 = 0 และ x ( x 2
+ 3) ≠ 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 355
( −3x − 1) − ( x 2 − x )
= 0
x ( x − 1)
− x2 − 2 x − 1
= 0
x ( x − 1)
x2 + 2 x + 1
= 0
x ( x − 1)
( x + 1)
2
= 0
x ( x − 1)
จะได ( x + 1) = 0 และ x ( x − 1) ≠ 0
2
(x 2
+ x ) − ( x 2 + 2 x + 1)
= 0
x 2 ( x + 1)
−x −1
= 0
x ( x + 1)
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
356 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x +1
= 0
x ( x + 1)
2
1
= 0 เมื่อ x ≠ −1
x2
จะเห็นวาไมมีจํานวนจริง x ที่ทําใหสมการนี้เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
6) จัดรูปสมการใหมไดเปน
1 1 6
+ − = 0
x +1 x −1 5
2
( x − 1)( 5) + ( x 2 + 1) ( 5) − 6 ( x − 1) ( x 2 + 1)
= 0
5 ( x − 1) ( x 2 + 1)
( 5 x − 5) + ( 5 x 2 + 5) − ( 6 x3 − 6 x 2 + 6 x − 6 )
= 0
5 ( x − 1) ( x 2 + 1)
−6 x 3 + 11x 2 − x + 6
= 0
5 ( x − 1) ( x 2 + 1)
6 x 3 − 11x 2 + x − 6
= 0
5 ( x − 1) ( x 2 + 1)
( x − 2 ) ( 6 x 2 + x + 3)
= 0
( x − 1) ( x 2 + 1)
จะได ( x − 2 ) ( 6 x + x + 3) = 0 และ ( x − 1) ( x + 1) ≠ 0
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 357
1 x 1
7) จาก − 2 =
x − 2 x +1 6
x2 + 1 x ( x − 2) 1
− =
( x − 2 ) ( x + 1) ( x − 2 ) ( x 2 + 1)
2
6
(x 2
+ 1) − ( x 2 − 2 x )
=
1
( x − 2) ( x 2
+ 1) 6
2x + 1 1
=
( x − 2 ) ( x 2 + 1) 6
2x + 1 1
− = 0
( x − 2 ) ( x + 1) 6
2
6 ( 2 x + 1) ( x − 2 ) ( x 2 + 1)
− = 0
6 ( x − 2 ) ( x 2 + 1) 6 ( x − 2 ) ( x 2 + 1)
(12 x + 6 ) − ( x3 − 2 x 2 + x − 2 )
= 0
6 ( x − 2 ) ( x 2 + 1)
− x 3 + 2 x 2 + 11x + 8
= 0
6 ( x − 2 ) ( x 2 + 1)
x 3 − 2 x 2 − 11x − 8
= 0
( x − 2 ) ( x 2 + 1)
( x + 1) ( x 2 − 3x − 8)
= 0
( x − 2 ) ( x 2 + 1)
จะได ( x + 1) ( x − 3x − 8) = 0 และ ( x − 2 ) ( x
2 2
+ 1) ≠ 0
3 − 41 3 + 41
จะได x = −1 , x = หรือ x= โดยที่ x≠2
2 2
3 − 41 3 + 41
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 1, ,
2 2
1 1 2
8) จาก − 2 =
x − x +1 x + x +1
2
3x
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
358 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x + x + 1) − ( x − x + 1)
2 2
=
2
( x − x + 1)( x + x + 1)
2 2
3x
2x 2
=
( x − x + 1)( x 2 + x + 1)
2
3x
2x 2
− = 0
( x − x + 1)( x + x + 1) 3x
2 2
x 1
− = 0
(x 2
− x + 1)( x + x + 1) 2
3x
( x )( 3x ) − ( x 2 − x + 1)( x 2 + x + 1)
= 0
( x 2 − x + 1)( x 2 + x + 1) ( 3x )
3 x 2 − ( x 4 + x 2 + 1)
= 0
(x 2
− x + 1)( x 2 + x + 1) ( 3 x )
− x4 + 2 x2 − 1
= 0
( x 2 − x + 1)( x 2 + x + 1) ( 3x )
x4 − 2 x2 + 1
= 0
( x 2 − x + 1)( x 2 + x + 1) ( 3x )
( x − 1) 2 2
= 0
( x − x + 1)( x + x + 1) ( 3x )
2 2
( x − 1) ( x + 1)
2 2
= 0
(x 2
− x + 1)( x 2 + x + 1) ( 3 x )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 359
1500
ในการบินระยะทาง 1,500 กิโลเมตร ดวยอัตราเร็วปกติ จะใชเวลา ชั่วโมง
x
เนื่องจากเครื่องบินพบกับสภาพอากาศแปรปรวน จึงบินดวยอัตราเร็วลดลง
100 กิโลเมตรตอชั่วโมง
นั่นคือ เมื่อพบสภาพอากาศแปรปรวน เครื่องบินจะบินดวยอัตราเร็ว
x − 100 กิโลเมตรตอชั่วโมง
1500
ดังนั้น เมื่อพบสภาพอากาศแปรปรวน เครื่องบินจะใชเวลาบิน ชั่วโมง
x − 100
เนื่องจากการบินในสภาพอากาศแปรปรวนจะถึงที่หมายชากวาปกติอยู 10 นาที
1500 1500 10
ดังนั้น − =
x − 100 x 60
1500 1500 1
− =
x − 100 x 6
1500 1500 1
− − = 0
x − 100 x 6
1500 ( 6 x ) − (1500 )( 6 )( x − 100 ) − x ( x − 100 )
= 0
6 x ( x − 100 )
9000 x − 9000 x + 900000 − x 2 + 100 x
= 0
6 x ( x − 100 )
x 2 − 100 x − 900000
= 0
6 x ( x − 100 )
( x + 900 )( x − 1000 ) = 0
6 x ( x − 100 )
แบบฝกหัด 3.8
1. ไมจริง (เชน a = −1 และ b = −2 จะได a2 = 1 และ b2 = 4
แบบฝกหัด 3.9ก
1. 1) { x | − 3 ≤ x < 1} –4 –3 –2 –1 0 1 2
2) { x | x > − 2} –3 –2 –1 0 1 2 3
3) { x | 4 ≤ x ≤ 7}
2 3 4 5 6 7 8
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 361
4) { x | − 3 < x < 0} –4 –3 –2 –1 0 1 2
5) { x | x < − 3}
–5 –4 –3 –2 –1 0 1
6) { x | x ≥ 1} –2 –1 0 1 2 3 4
7) { x | −1 < x ≤ 4 } –2 –1 0 1 2 3 4
8) { x | x ≤ 1}
–4 –3 –2 –1 0 1 2
9) { x | − 10 < x < − 8 }
–12 –11 –10 –9 –8 –7 –6
10 ) { x | 2.5 ≤ x ≤ 4 } –2 –1 0 1 2 2.5 3 4
–2 –1 0 1 2 3 4
1) A ∪ B = ( − 1, 4 ] ด
2) A B = [ 0, 2 )
3) A − B = ( − 1, 0 ) ด
4) B − A = [ 2, 4 ]
5) A′ = ( − , − 1 ] ∪ [ 2, )ด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
362 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
6) B′ = ( − , 0 ) ∪ ( 4, )
3. เขียนแสดง A, B และ C บนเสนจํานวนไดดังนี้
–1 0 1 2 3 4 5
จากเสนจํานวนจะไดวา
1) { x | − 1 < x ≤ 4 } หรือ ( − 1, 4 ]
2) { x | 2 ≤ x ≤ 4 } หรือ [ 2, 4 ]
3) { x | − 1 < x ≤ 5 } หรือ ( − 1, 5 ]
4) { x | 2 ≤ x < 3 } หรือ [ 2, 3 )
5) { x | − 1 < x < 2 } หรือ ( − 1, 2 )
6) { x | 3 ≤ x ≤ 4 } หรือ [ 3, 4 ]
7) { x | 1 < x ≤ 4 } หรือ ( 1, 4 ]
8) { x | 1 < x ≤ 4 } หรือ ( 1, 4 ]
แบบฝกหัด 3.9
1. จาก 3x + 1 < 2x −1
จะได 3x − 2 x < −1 − 1
x < −2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 363
จะได 4y + 7 > 2y + 2
4y − 2y > 2−7
2y > −5
5
y > −
2
5
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ,
2
3. จาก 2 ( 3 y − 1) > 3 ( y − 1)
จะได 6y − 2 > 3y − 3
6 y − 3y > −3 + 2
3y > −1
1
y > −
3
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ,
3
4. จาก 4 − (3 − x ) < 3x − ( 3 − 2 x )
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
364 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
–2 –1 0 1 2 3 4
พิจารณาเสนจํานวน
2x + 1 < 0 2x + 1 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − , − 3] ∪ − ,
2
7. จาก 6x − x 2 ≥ 5
จะได x2 − 6 x + 5 < 0
( x − 5)( x − 1) < 0
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 365
0 1 2 3 4 5
จะได x2 + 2 x − 3 < 0
( x − 1)( x + 3) < 0
พิจารณาเสนจํานวน
x+3 < 0 x+3 > 0
–4 –3 –2 –1 0 1
จะได x 2 + 2 x − 15 < 0
( x − 3)( x + 5) < 0
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
366 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5
จะได 3x 2 − 7 x + 2 > 0
( 3x − 1)( x − 2 ) > 0
พิจารณาเสนจํานวน
3x – 1 < 0 3x – 1 > 0
–1 0 1 2 3 4
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − , ∪ [ 2, )
3
11. จาก x3 − 3x 2 < 10x
จะได x 3 − 3 x 2 − 10 x < 0
x ( x 2 − 3 x − 10 ) < 0
x ( x + 2 )( x − 5 ) < 0
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 367
x< 0 x> 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5 6
12. จาก x − x − x +1 3 2
> 0
จะได (x 3
− x 2 ) − ( x − 1) > 0
x 2 ( x − 1) − ( x − 1) > 0
( x − 1) ( x 2 − 1) > 0
( x − 1)( x − 1)( x + 1) > 0
( x − 1) ( x + 1)
2
> 0
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–1 < 0 x–1 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
368 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะได x3 − 2 x 2 − x + 2 > 0
(x 3
− 2x2 ) − ( x − 2) > 0
x2 ( x − 2) − ( x − 2) > 0
( x − 2 ) ( x 2 − 1) > 0
( x − 2 )( x − 1)( x + 1) > 0
พิจารณาเสนจํานวน
x–2 < 0 x–2 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
x3 − 5 x 2 + 4 x < 0
x ( x − 5x + 4)
2
< 0
x ( x − 1)( x − 4 ) < 0
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 369
x < 0 x > 0
–1 0 1 2 3 4 5
–4 –3 –2 –1 0 1 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
370 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2x – 3 < 0 2x – 3 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 2, ∪ ( 5, )
2
x 2 + 12
17. จาก > 7
x
x 2 + 12
จะได −7 > 0
x
x 2 − 7 x + 12
> 0
x
( x − 3)( x − 4 )
> 0
x
พิจารณาเสนจํานวน
x–3< 0 x–3> 0
x–4< 0 x–4> 0
x < 0 x > 0
–1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 371
x2 + 6
18. จาก < 5
x
x2 + 6
จะได −5 < 0
x
x2 − 5x + 6
< 0
x
( x − 2 )( x − 3)
< 0
x
พิจารณาเสนจํานวน
x –3 < 0 x –3 > 0
x –2 < 0 x –2 > 0
x < 0 x > 0
–2 –1 0 1 2 3 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
372 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
–1 0 1 2 3 4 5 6 7
–2 –1 0 1 2 3 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 373
6 − ( x 2 − 3x − 4 )
< 0
x−4
− x 2 + 3 x + 10
< 0
x−4
x − 3 x − 10
2
> 0
x−4
( x − 5)( x + 2 )
> 0
x−4
พิจารณาเสนจํานวน
x–5 < 0 x–5 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
374 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x + 4 )( x − 2 )
< 0
x+2
พิจารณาเสนจํานวน
x–2<0 x–2>0
x+2<0 x+2>0
x+4<0 x+4>0
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2
5− x
จะได −1 < 0
x − 3x + 2
2
( 5 − x ) − ( x 2 − 3x + 2 )
< 0
x 2 − 3x + 2
− x2 + 2 x + 3
< 0
x 2 − 3x + 2
x2 − 2 x − 3
> 0
x 2 − 3x + 2
( x + 1)( x − 3) > 0
( x − 1)( x − 2 )
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 375
x–3<0 x–3>0
x–2<0 x–2>0
x–1<0 x–1>0
x+1<0 x+1>0
–3 –2 –1 0 1 2 3 4
( x + 6 ) − 6 x ( x + 1) < 0
x ( x + 1)
( x + 6) − ( 6 x2 + 6 x )
< 0
x ( x + 1)
−6 x 2 − 5 x + 6
< 0
x ( x + 1)
6 x2 + 5x − 6
> 0
x ( x + 1)
( 3x − 2 )( 2 x + 3) > 0
x ( x + 1)
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
376 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
3x – 2 < 0 3x – 2 > 0
x< 0 x > 0
2x + 3 < 0 2x + 3 > 0
4 3 –2 –1 0 1 2 3
3 2
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ,− ∪ ( − 1, 0 ) ∪ ,
2 3
1 1
25. จาก >
x +1 x+4
1 1
จะได − > 0
x +1 x + 4
( x + 4 ) − ( x + 1) > 0
( x + 1)( x + 4 )
3
> 0
( x + 1)( x + 4 )
พิจารณาเสนจํานวน
x+1 < 0 x+1 > 0
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 377
1 1
26. จาก >
x+2 2x − 3
1 1
จะได − > 0
x + 2 2x − 3
( 2 x − 3) − ( x + 2 ) > 0
( x + 2 )( 2 x − 3)
x−5
> 0
( x + 2 )( 2 x − 3)
พิจารณาเสนจํานวน
x–5 < 0 x–5 > 0
2x – 3 < 0 2x – 3 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 2, ∪ [ 5, )
2
x 1
27. จาก >
x+2 x
x 1
จะได − > 0
x+2 x
x2 − ( x + 2)
> 0
x ( x + 2)
x2 − x − 2
> 0
x ( x + 2)
( x + 1)( x − 2 ) > 0
x ( x + 2)
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
378 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x < 0 x > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 379
2x – 3 < 0 2x – 3 > 0
x < 0 x > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − , 0]∪ , 3 ∪ [ 4, )
2
29. จาก (x 2
+ 3 x − 10 )( x 2 + x − 6 )
> 0
x 2 + 2 x − 15
> 0 เมื่อ x ≠ −5
( x − 3)
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–3 < 0 x–3 > 0
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
380 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x − 2 ) ( x + 3)
2
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–1 < 0 x–1 > 0
–4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5
นั่นคือ x > 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 381
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–1 < 0 x–1 > 0
–4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5
วิธีที่ 2 จาก ( x − 1) ( x + 2 )
3 4
< 0
หรือ ( − , − 2 ) ∪ ( − 2, 1 )
จาก ( 2 x + 1) ( x + 1)
3 5
32. < 0
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
2x + 1 < 0 2x + 1 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 1, −
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
382 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
วิธีที่ 2 จาก ( 2 x + 1) ( x + 1)
3 5
< 0
เนื่องจาก ( 2 x + 1) ≥ 0 และ ( x + 1)
2 4
≥0 เสมอ
จะได ( 2 x + 1)( x + 1) < 0
พิจารณาเสนจํานวน
2x + 1 < 0 2x + 1 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 1, −
2
แบบฝกหัด 3.10
1. 1) − 12 + 8 = −4 = 4
2) − 25 + − 25 = −25 + 25 = 0
3) − 5 (10 ) = − 50 = 50
− ( 6)
2 2
4) − 6 = = −36
28 14 14
5) − = − =
6 3 3
6) − 2.5 − 3 = 2.5 − 3 = − 0.5 = 0.5
จะได a + ( −b ) = 1 − 1 = 0 = 0
แต a + − b = 1 + −1 = 1 + 1 = 2
จะเห็นวา a + ( −b ) ≠ a + − b
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 383
จะได = (1) = 1
2 2 2
−a = −1
แต − ( a 2 ) = − (1) = − 1
2
จะเห็นวา ≠ − ( a2 )
2
−a
3) เปนจริง
4) เปนจริง
5) เปนเท็จ เชน เมื่อ a =1 และ b =1
จะได − a − b = −1−1 = − 2 = 2
แต − a − b = −1 − 1 = 1−1 = 0
จะเห็นวา −a −b > −a − b
จะได a = −1 = 1
จะเห็นวา a >a
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
384 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.11ก
1. วิธีที่ 1 จาก 2x + 1 = 3
1
กรณีที่ 1 2x + 1 ≥ 0 นั่นคือ x≥−
2
จะได 2x + 1 = 3
2x = 2
1
x = 1 ซึ่ง 1≥ −
2
นั่นคือ 1 เปนคําตอบของสมการ
1
กรณีที่ 2 2x + 1 < 0 นั่นคือ x<−
2
จะได − ( 2 x + 1) = 3
2x + 1 = −3
2x = −4
1
x = −2 ซึ่ง −2 < −
2
นั่นคือ −2 เปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2, 1}
วิธีที่ 2 จาก 2x + 1 = 3
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
2
2x + 1 = 32
( 2 x + 1) − 32
2
= 0
( 2 x + 1 − 3)( 2 x + 1 + 3) = 0
( 2 x − 2 )( 2 x + 4 ) = 0
จะได x =1 หรือ x = −2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 385
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
386 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( x + 2)
2 2
2x − 5 =
( 2 x − 5) − ( x + 2 )
2 2
= 0
( 2 x − 5) − ( x + 2 ) ( 2 x − 5) + ( x + 2 ) = 0
( x − 7 )( 3x − 3) = 0
จะได x =1 หรือ x=7
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 387
2x = 1
1 1 2
x = ซึ่ง <
2 2 3
1
นั่นคือ ไมเปนคําตอบของสมการ
2
2
กรณีที่ 2 3x − 2 < 0 นั่นคือ x<
3
จะได − ( 3x − 2 ) = x −1
3x − 2 = − ( x − 1)
3x − 2 = −x +1
4x = 3
3 3 2
x = ซึ่ง >
4 4 3
3
นั่นคือ ไมเปนคําตอบของสมการ
4
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
วิธีที่ 2 จาก 3x − 2 = x −1
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( x − 1)
2 2
3x − 2 =
( 3x − 2 ) − ( x − 1)
2 2
= 0
( 3x − 2 ) − ( x − 1) ( 3x − 2 ) + ( x − 1) = 0
( 2 x − 1)( 4 x − 3) = 0
1 3
จะได x= หรือ x=
2 4
1
ตรว คาตอบ แทน x ในสมการ 3x − 2 = x − 1 ดวย จะได
2
1 1
3 −2 = −1
2 2
1 1
− = −
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
388 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1 1
= − เปนเท็จ
2 2
3
แทน x ในสมการ 3x − 2 = x − 1 ดวย จะได
4
3 3
3 −2 = −1
4 4
1 1
= −
4 4
1 1
= − เปนเท็จ
4 4
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
กรณีที่ 1 x≥0
จะได x = x+2
0 = 2 เปนเท็จ
นั่นคือ ไมมีคําตอบของสมการ
กรณีที่ 2 x<0
จะได −x = x+2
x = − ( x + 2)
x = −x − 2
2x = −2
x = −1 ซึ่ง −1 < 0
นั่นคือ −1 เปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1}
วิธีที่ 2 จาก x = x+2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 389
( x + 2)
2 2
x =
( x ) − ( x + 2)
2 2
= 0
x − ( x + 2) x + ( x + 2) = 0
−2 ( 2 x + 2 ) = 0
จะได x = −1
1 = 1 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1}
5. วิธีที่ 1 จาก x = 3 − 2x
กรณีที่ 1 x≥0
จะได x = 3 − 2x
3x = 3
x = 1 ซึ่ง 1≥ 0
นั่นคือ 1 เปนคําตอบของสมการ
กรณีที่ 2 x<0
จะได −x = 3 − 2x
x = − ( 3 − 2x )
x = −3 + 2x
x = 3 ซึ่ง 3>0
นั่นคือ 3 ไมเปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 1}
วิธีที่ 2 จาก x = 3 − 2x
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
390 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( 3 − 2x )
2 2
x =
( x ) − (3 − 2x )
2 2
= 0
x − (3 − 2x ) x + (3 − 2x ) = 0
( 3x − 3)( − x + 3) = 0
จะได x =1 หรือ x=3
ยกกําลังสองทั้งสองขาง x2 − x − 4
2
= 22
(x − x − 4)
2 2
= 22
( x − x − 4) − 2
2 2 2
= 0
(x 2
− x − 4) − 2 ( x − x − 4) + 2
2
= 0
(x 2
− x − 6 )( x 2 − x − 2 ) = 0
( x − 3)( x + 2 )( x − 2 )( x + 1) = 0
จะได x = −1 หรือ x = −2 หรือ x=2 หรือ x =3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 391
1+1− 4 = 2
−2 = 2
2 = 2 เปนจริง
แทน x ในสมการ x2 − x − 4 =2 ดวย −2 จะได
( −2 ) − ( −2 ) − 4 =
2
2
4+2−4 = 2
2 = 2
2 = 2 เปนจริง
แทน x ในสมการ x2 − x − 4 =2 ดวย 2 จะได
22 − 2 − 4 = 2
4−2−4 = 2
−2 = 2
2 = 2 เปนจริง
แทน x ในสมการ x2 − x − 4 =2 ดวย 3 จะได
32 − 3 − 4 = 2
9−3− 4 = 2
2 = 2
2 = 2 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2, − 1, 2, 3 }
7. จาก x −1 = 2x + 1
ยกกําลังสองทั้งสองขาง x −1
2
= 2x + 1
2
( x − 1) − ( 2 x + 1)
2 2
= 0
( x − 1) − ( 2 x + 1) ( x − 1) + ( 2 x + 1) = 0
( − x − 2 )( 3x ) = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
392 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ยกกําลังสองทั้งสองขาง (2 )
2 2
x+3 = x−2
4 ( x + 3) − ( x − 2 )
2 2
= 0
2 ( x + 3) − ( x − 2 ) 2 ( x + 3) + ( x − 2 ) = 0
( x + 8)( 3x + 4 ) = 0
4
จะได x = −8 หรือ x=−
3
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ 2 x+3 = x−2 ดวย −8 จะได
2 −8+3 = −8− 2
2 −5 = − 10
2 ( 5) = 10
10 = 10 เปนจริง
4
แทน x ในสมการ 2 x+3 = x−2 ดวย − จะได
3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 393
4 4
2 − +3 = − −2
3 3
5 10
2 = −
3 3
5 10
2 =
3 3
10 10
= เปนจริง
3 3
4
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 8, −
3
แบบฝกหัด 3.11ข
1. 1) จาก x−2 < 1
จะได 3x + 5 ≤ −4 หรือ 3x + 5 ≥ 4
3x ≤ −4 − 5 หรือ 3x ≥ 4−5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
394 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
3x ≤ −9 หรือ 3x ≥ −1
−9 −1
x ≤ หรือ x ≥
3 3
1
x ≤ −3 หรือ x ≥ −
3
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , − 3 ] ∪ − ,∞ ด
3
4) จาก 2x −1 ≤ 11
จะได −11 ≤ 2x −1 ≤ 11
−11 + 1 ≤ 2x ≤ 11 + 1
−10 ≤ 2x ≤ 12
−10 12
≤ x ≤
2 2
−5 ≤ x ≤ 6
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ − 5, 6 ]
5) จาก 2 x−2 > x
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
กรณีที่ 1 x− 2 ≥ 0 นั่นคือ x≥2
จะได 2 ( x − 2) > x
2x − 4 > x
x > 4
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ x>4
จะได −2 ( x − 2 ) > x
2 ( x − 2) < −x
2x − 4 < −x
3x < 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 395
4
x <
3
4
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ x<
3
4
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ −∞ , ∪ ( 4, ∞ ) ด
3
6) วิธีที่ 1 จากอสมการ 3x + 4 ≤ x+2
จะได − ( x + 2) ≤ 3x + 4 ≤ x+2
−4x ≤ 6 และ 2x ≤ −2
3
x ≥ − และ x ≤ −1
2
3
จะได − ≤ x ≤ −1
2
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − , −1
2
วิธีที่ 2 จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
4
กรณีที่ 1 3x + 4 ≥ 0 นั่นคือ x≥−
3
จะได 3x + 4 ≤ x+2
2x ≤ −2
x ≤ −1
4
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ − ≤ x ≤ −1
3
4
กรณีที่ 2 3x + 4 < 0 นั่นคือ x<−
3
จะได − ( 3x + 4 ) ≤ x+2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
396 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
−4x ≤ 6
3
x ≥ −
2
3 4
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ − ≤x<−
2 3
3 4 4
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ,− ∪ − , −1
2 3 3
3
หรือ − , −1
2
7) วิธีที่ 1 จากอสมการ 2 x + 1 < 3x + 2
2
เนื่องจาก 2x + 1 ≥ 0 ดังนั้น 3x + 2 > 0 หรือ x>−
3
จะได − ( 3x + 2 ) < 2x + 1 < 3x + 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 397
1 1
นั่นคือ x≥− หรือ − ,∞
2 2
1
กรณีที่ 2 2x + 1 < 0 นั่นคือ x<−
2
จะได − ( 2 x + 1) < 3x + 2
−2 x − 1 < 3x + 2
−5x < 3
3
x > −
5
1 3
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ x<− และ x>−
2 5
3 1 3 1
นั่นคือ − <x<− หรือ − ,−
5 2 5 2
1 3 1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ,∞ ∪ − ,−
2 5 2
3
หรือ − ,∞
5
8) วิธีที่ 1 จากอสมการ x +1 > x−3
เนื่องจาก x +1 ≥ 0 ทุกจํานวนจริง x
นั่นคือ 1 ≥ −3 หรือ x ≤ 1
หรือ x ≤1
แตเนื่องจาก x≥3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
398 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะได x
2
≥ x −1
2
( x − 1)
2
x2 ≥
x2 ≥ x2 − 2 x + 1
2x ≥ 1
1
x ≥
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 399
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ,∞
2
10) เนื่องจาก x+2 ≥ 0 และ x+3 ≥ 0 สําหรับทุกคา x∈
จะได 4 x+2
2
< x+3
2
4 ( x + 2) ( x + 3)
2 2
<
4 ( x2 + 4 x + 4) < x2 + 6 x + 9
4 x 2 + 16 x + 16 < x2 + 6 x + 9
3 x 2 + 10 x + 7 < 0
( 3x + 7 )( x + 1) < 0
7
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − , −1
3
11) เนื่องจาก x−2 ≥ 0 และ x+6 ≥ 0 สําหรับทุกคา x∈
จะได 9 x−2
2
≤ x+6
2
9 ( x − 2) ( x + 6)
2 2
≤
9 ( x2 − 4 x + 4) ≤ x 2 + 12 x + 36
9 x 2 − 36 x + 36 ≤ x 2 + 12 x + 36
8 x 2 − 48 x ≤ 0
8x ( x − 6) ≤ 0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ 0, 6 ]
12) เนื่องจาก 2 x − 1 ≥ 0 และ x + 1 ≥ 0 สําหรับทุกคา x∈
จะได 4 2x −1
2
> 9 x +1
2
4 ( 2 x − 1) 9 ( x + 1)
2 2
>
4 ( 4 x 2 − 4 x + 1) > 9 ( x 2 + 2 x + 1)
16 x 2 − 16 x + 4 > 9 x 2 + 18 x + 9
7 x 2 − 34 x − 5 > 0
( 7 x + 1)( x − 5) > 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
400 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ −∞ , − ∪ ( 5, ∞ )
7
13) จากโจทย ทราบวา x ≠ −4
x
จาก > 2
x+4
จะได x > 2 x+4 เมื่อ x ≠ −4
(2 )
2 2
x > x+4
2 ( x + 4)
2
x2 >
x2 − 2 ( x + 4)
2
> 0
x − 2 ( x + 4) x + 2 ( x + 4) > 0
( − x − 8)( 3x + 8) > 0
( x + 8)( 3x + 8) < 0
8
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 8, − − { − 4} หรือ
3
8
( − 8, − 4 ) ∪ − 4, −
3
14) จากโจทย ทราบวา x≠0
4
จาก x− ≤ 3
x
2
4
จะได x− ≤ 9
x
2
4
x− ≤ 9
x
2
x2 − 4
≤ 9
x
(x − 4)
2 2
≤ 9
x2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 401
(x − 4) เมื่อ
2
2
≤ 9x 2 x≠0
( x − 4) ( 3x )
2 2
2
≤
( x − 4 ) − ( 3x )
2 2
2
≤ 0
( x − 4 ) − 3x ( x − 4 ) + 3x
2 2
≤ 0
( x − 4 )( x + 1)( x + 4 )( x − 1) ≤ 0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ − 4, − 1 ] ∪ [ 1, 4 ]
15) จากโจทย ทราบวา x ≠ 1
x +1
จาก < 1
x −1
x +1 < x −1 เมื่อ x ≠1
2 2
x +1 < x −1
( x + 1) ( x − 1)
2 2
<
( x + 1) − ( x − 1)
2 2
< 0
( x + 1) − ( x − 1) ( x + 1) + ( x − 1) < 0
2 ( 2x ) < 0
x < 0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , 0 )
16) จากโจทย ทราบวา x ≠ 2
x
จาก > 2
x−2
x > 2 x−2 เมื่อ x≠2
2 2
x > 4 x−2
4 ( x − 2)
2
x2 >
2 ( x − 2)
2
x2 >
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
402 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x2 − 2 ( x − 2)
2
> 0
x − 2 ( x − 2) x + 2 ( x − 2) > 0
( − x + 4 )( 3x − 4 ) > 0
( x − 4 )( 3x − 4 ) < 0
4
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ , 2 ∪ ( 2, 4 )
3
2. จากโจทย ให C แทนอุณหภูมิบนพื้นผิวดาวอังคารในหนวยองศาเซลเซียส
ซึ่งเปนไปตามอสมการ
C + 84 ≤ 56
นั่นคือ −56 ≤ C + 84 ≤ 56
−56 − 84 ≤ C ≤ 56 − 84
−140 ≤ C ≤ −28
ดังนั้น อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวอังคารที่เปนไปได คือ ตั้งแต −140 ถึง −28 องศาเซลเซียส
3. จากโจทย ให x แทนจํานวนครั้งที่เกิดหัวในการโยนเหรียญ
ซึ่งเปนไปตามอสมการ
x − 50
≥ 1.645
5
x − 50
จะได ≥ 1.645
5
x − 50 ≥ 8.225
จะได x − 50 ≤ −8.225 หรือ x − 50 ≥ 8.225
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 403
แบบฝกหัดทายบท
1
1. 1) เปนเท็จ เชน เมื่อ a = −2 จะได a −1 = −
2
จะเห็นวา a <1 แต a −1 >/ 1
จาก ( x + a)
2
2. x2 + 4 x + 5 = + b2
จะได x2 + 4 x + 5 = (x 2
+ 2ax + a 2 ) + b 2
x2 + 4 x + 5 = x 2 + 2ax + ( a 2 + b 2 )
นั่นคือ 2a = 4 และ a 2 + b2 = 5
เนื่องจาก b>0
3. 1) จาก p ( x ) = x3 − x 2 + 3x − 4
และ q ( x) = x −1
ใชการหารยาวดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
404 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x2 + 3
x − 1 x3 − x 2 + 3x − 4
x3 − x 2
3x − 4
3x − 3
−1
จะได x 3 − x 2 + 3 x − 4 = ( x − 1) ( x 2 + 3) − 1
2) จาก p ( x ) = 4 x3 + 2 x 2 − x + 6
และ q ( x) = 2x + 1
ใชการหารยาวดังนี้
1
2 x2 −
2
2x + 1 4x + 2x2 − x + 6
3
4 x3 + 2 x 2
−x+6
1
−x −
2
13
2
1 13
จะได 4 x3 + 2 x 2 − x + 6 = ( 2 x + 1) 2 x 2 − +
2 2
1 13
ดังนั้น ผลหาร คือ 2 x2 − และเศษเหลือ คือ
2 2
3) จาก p ( x ) = x5 + 2 x3 + 5 x + 6
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = x5 + 0 x 4 + 2 x3 + 0 x 2 + 5 x + 6
และ q ( x ) = x2 − 2
ใชการหารยาวดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 405
x3 + 4 x
x 2 − 2 x5 + 0 x 4 + 2 x3 + 0 x 2 + 5 x + 6
x5 − 2 x3
4 x3 + 0 x 2 + 5 x + 6
4 x3 − 8x
13 x + 6
จะได x 5 + 2 x3 + 5 x + 6 = ( x 2 − 2 )( x3 + 4 x ) + (13 x + 6 )
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = x 4 + 0 x3 + 0 x 2 − 3x − 4
และ q ( x ) = 2x2 + 3
ใชการหารยาวดังนี้
1 2 3
x −
2 4
2 x 2 + 3 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 − 3x − 4
3 2
x4 + x
2
3
− x 2 − 3x − 4
2
3 9
− x2 −
2 4
7
−3 x −
4
1 2 3 7
จะได x 4 − 3 x − 4 = ( 2 x 2 + 3) x − + −3 x −
2 4 4
1 2 3 7
ดังนั้น ผลหาร คือ x − และเศษเหลือ คือ −3 x −
2 4 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
406 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
5) จาก p ( x ) = 2 x7 − 2 x4 + 3
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = 2 x7 + 0 x6 + 0 x5 − 2 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 3
และ q ( x) = x −1
ใชการหารยาวดังนี้
2 x6 + 2 x5 + 2 x 4
x − 1 2 x7 + 0 x6 + 0 x5 − 2 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 3
2 x7 − 2 x6
2 x6 + 0 x5 − 2 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 3
2 x6 − 2 x5
2 x5 − 2 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 3
2 x5 − 2 x 4
3
จะได 2 x 7 − 2 x 4 + 3 = ( x − 1) ( 2 x 6 + 2 x 5 + 2 x 4 ) + 3
6) จาก p ( x ) = x9 − 3x 4 + 2
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = x 9 + 0 x8 + 0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 − 3 x 4 + 0 x 3 + 0 x 2 + 0 x + 2
และ q ( x ) = x4 + 2 x
ใชการหารยาวดังนี้
x5 − 2 x 2 − 3
x 4 + 2 x x 9 + 0 x8 + 0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 − 3 x 4 + 0 x 3 + 0 x 2 + 0 x + 2
x9 + 2 x6
− 2 x6 + 0 x5 − 3x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 2
−2 x 6 − 4 x3
− 3x 4 + 4 x3 + 0 x 2 + 0 x + 2
− 3x 4 − 6x
4x 3
+ 6x + 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 407
จะได x 9 − 3 x 4 + 2 = ( x 4 + 2 x )( x 5 − 2 x 2 − 3) + ( 4 x 3 + 6 x + 2 )
7) จาก p ( x ) = x10 − 2 x + 1
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = x10 + 0 x 9 + 0 x8 + +0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 + 0 x 3 + 0 x 2 − 2 x + 1
และ q ( x ) = x2 − 1
ใชการหารยาวดังนี้
x8 + x 6 + x 4 + x 2 + 1
x 2 − 1 x10 + 0 x9 + 0 x8 + 0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 + 0 x 3 + 0 x 2 − 2 x + 1
x10 − x8
x8 + 0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 + 0 x 3 + 0 x 2 − 2 x + 1
x8 − x6
x6 + 0 x5 + 0 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 − 2 x + 1
x6 − x4
x 4 + 0 x3 + 0 x 2 − 2 x + 1
x4 − x2
x2 − 2x + 1
x2 −1
−2 x + 2
8) จาก p ( x ) = 3 − 3 x10 − x 2
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = − 3 x10 + 0 x 9 + 0 x8 + 0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 + 0 x 3 − x 2 + 0 x + 3
และ q ( x ) = x3 + 1
ใชการหารยาวดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
408 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
−3 x 7 + 3 x 4 − 3 x
x 3 + 1 −3 x10 + 0 x 9 + 0 x8 + 0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 + 0 x 3 − x 2 + 0 x + 3
−3 x10 − 3x 7
3x 7 + 0 x 6 + 0 x5 + 0 x 4 + 0 x3 − x 2 + 0 x + 3
3x 7 + 3x 4
− 3x 4 + 0 x3 − x 2 + 0 x + 3
−3 x 4 − 3x
− x + 3x + 3
2
9) จาก p ( x ) = x10 − 6 x 7 + 2 x 6 − 8 x 3
เขียนใหมไดเปน
p ( x ) = x10 + 0 x 9 + 0 x8 − 6 x 7 + 2 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 − 8 x 3 + 0 x 2 + 0 x + 0
และ q ( x ) = x6 + x3 − 1
ใชการหารยาวดังนี้
x4 − 7 x + 2
x 6 + x 3 − 1 x10 + 0 x 9 + 0 x8 − 6 x 7 + 2 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 − 8 x 3 + 0 x 2 + 0 x + 0
x10 + x7 − x4
− 7 x7 + 2 x6 + 0 x5 + x 4 − 8 x3 + 0 x 2 + 0 x + 0
−7 x 7 − 7 x4 + 7x
2 x6 + 0 x5 + 8 x 4 − 8 x3 + 0 x 2 − 7 x + 0
2 x6 + 2 x3 −2
8 x − 10 x
4 3
− 7x + 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 409
4. 1) ให p ( x ) = x 3 − 3 x + 15 และ q ( x) = x + 3
= −27 + 9 + 15
= −3
ดังนั้น เศษเหลือ คือ −3
3) ให p ( x ) = x 6 − x 4 − 125 x 3 + 25 x 2 + 75 และ q ( x) = x − 5
= 56 − 54 − 5353 + 5252 + 75
= 56 − 54 − 56 + 54 + 75
= 75
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 75
= 2100 − 2100 + 4 + 2 + 5
= 11
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 11
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
410 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
= a6 − a6 − 2
= −2
ดังนั้น เศษเหลือ คือ −2
1
6) ให p ( x ) = 4 x3 + x − 2 และ q ( x) = x −
2
1
จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เมื่อหาร p ( x ) ดวย q ( x ) จะไดเศษเหลือ คือ p
2
3
1 1 1
โดยที่ p = 4 + −2
2 2 2
1 1
= + −2
2 2
= −1
ดังนั้น เศษเหลือ คือ −1
= 0 + ( 2 + 13)
= 15
6. ใหผลหารและเศษเหลือจากการหารพหุนาม p ( x) ดวย x2 − 5x + 6 คือ q ( x )
และ 7x − 8 ตามลําดับ
นั่นคือ p ( x) = (x 2
− 5 x + 6 ) q ( x ) + ( 7 x − 8)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 411
จะได p ( 2) ( 2) − 5( 2) + 6 q ( x ) + 7 ( 2) − 8
2
=
= ( 4 − 10 + 6 ) q ( x ) + (14 − 8)
= 6
และ p ( 3) ( 3) − 5 ( 3) + 6 q ( x ) + 7 ( 3) − 8
2
=
= ( 9 − 15 + 6 ) q ( x ) + ( 21 − 8)
= 13
ดังนั้น p ( 2 ) − p ( 3) = 6 − 13 = −7
7. 1) ให p ( x ) = x3 − 3
และ q ( x ) = x − m
เนื่องจาก q ( x ) หาร p ( x ) เหลือเศษ 5
จะได p ( m ) = 5
นั่นคือ m3 − 3 = 5
m3 = 8
ดังนั้น m = 2
2) ให p ( a ) = a 3 − 3a 2b + b3 + m
และ q ( a ) = a −b
b3 − 3b3 + b3 + m = 0
−b3 + m = 0
ดังนั้น m = b3
จ8. ให p ( x ) = x 3 − 3 yx 2 + y 3 + a
และ q ( x ) = x− y
เนื่องจาก q ( x ) เปนตัวประกอบของ p ( x )
จะได p ( y ) = 0
นั่นคือ y3 − 3 y ( y 2 ) + y3 + a = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
412 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
− y3 + a = 0
ดังนั้น a = y3
9. 1) ให p ( x ) = x + 6 x + 11x + 6 ก
3 2
พิจารณา p ( −1)
จะเห็นวา p ( −1) = 0
ดังนั้น x 3 + 6 x 2 + 11x + 6 = ( x + 1) ( x 2 + 5 x + 6 )
= ( x + 1)( x + 2 )( x + 3)
2) ให p ( x ) = x3 − 2 x 2 + 4 x − 8
พิจารณา p ( 2)
p ( 2) = ( 2) − 2 ( 2) + 4 ( 2) − 8 = 0
3 2
จะเห็นวา p ( 2) = 0
ดังนั้น x3 − 2 x 2 + 4 x − 8 = ( x − 2) ( x2 + 4)
3) ให p ( x ) = x 3 + 5 x 2 + 2 x − 12 ก
เนื่องจากจํานวนเต็มที่หาร −12 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 3, ± 4, ± 6, ± 12
พิจารณา p ( −3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 413
จะเห็นวา p ( −3) = 0
ดังนั้น x 3 + 5 x 2 + 2 x − 12 = ( x + 3) ( x 2 + 2 x − 4 )
= ( x + 3) (
x − −1 + 5 ) (
x − −1 − 5 )
= ( x + 3) ( x + 1 − )(
5 x +1+ 5 )
4) ให p ( x ) = x 4 − x 3 − 4 x 2 − 2 x − 12
พิจารณา p ( −2 )
p ( −2 ) = ( −2 ) − ( −2 ) − 4 ( −2 ) − 2 ( −2 ) − 12 = 0
4 3 2
จะเห็นวา p ( −2 ) = 0
ดังนั้น x 4 − x 3 − 4 x 2 − 2 x − 12 = ( x + 2 ) ( x3 − 3x 2 + 2 x − 6 )
= ( x + 2 ) ( x3 − 3x 2 ) + ( 2 x − 6 )
= ( x + 2) x 2 ( x − 3) + 2 ( x − 3)
= ( x + 2 )( x − 3) ( x 2 + 2 )
5) ให p ( x ) = x 4 − 8 x 3 + 24 x 2 − 32 x + 16 ก
เนื่องจากจํานวนเต็มที่หาร 16 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 4, ± 8, ± 16
พิจารณา p ( 2)
p ( 2 ) = ( 2 ) − 8 ( 2 ) + 24 ( 2 ) − 32 ( 2 ) + 16 = 0
4 3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
414 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะเห็นวา p ( 2) = 0
ดังนั้น x 4 − 8 x 3 + 24 x 2 − 32 x + 16 = ( x − 2 ) ( x3 − 6 x 2 + 12 x − 8)
ให q ( x ) = x 3 − 6 x 2 + 12 x − 8
พิจารณา q ( 2 )
q ( 2 ) = ( 2 ) − 6 ( 2 ) + 12 ( 2 ) − 8 = 0
3 2
จะเห็นวา q ( 2 ) = 0
ดังนั้น x − 2 เปนตัวประกอบของ x 3 − 6 x 2 + 12 x − 8
จะได x 3 − 6 x 2 + 12 x − 8 = ( x − 2) ( x2 − 4x + 4)
= ( x − 2) ( x2 − 4x + 4)
( x − 2 )( x − 2 )
2
=
( x − 2)
3
=
ดังนั้น ( x − 2 )( x − 2 )
3
x 4 − 8 x 3 + 24 x 2 − 32 x + 16 =
( x − 2)
4
=
6) ให p ( x ) = 4 x + 5 x + 5 x + 1
3 2
1
พิจารณา p −
4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 415
3 2
1 1 1 1
p − =4 − +5 − +5 − +1 = 0
4 4 4 4
1
จะเห็นวา p − =0
4
1
ดังนั้น x+ เปนตัวประกอบของ 4 x3 + 5 x 2 + 5 x + 1
4
1
นํา x+ ไปหาร 4 x3 + 5 x 2 + 5 x + 1 ไดผลหารเปน 4 x2 + 4 x + 4
4
1
ดังนั้น 4 x3 + 5 x 2 + 5 x + 1 = x+
4
( 4x 2
+ 4x + 4)
1
= 4 x+
4
(x 2
+ x + 1)
= ( 4 x + 1) ( x 2 + x + 1)
7) วิธีที่ 1 ให p ( x ) = 2 x3 − x 2 + 6 x − 3
1
พิจารณา p
2
3 2
1 1 1 1
p =2 − +6 −3 = 0
2 2 2 2
1
จะเห็นวา p =0
2
1
ดังนั้น x− เปนตัวประกอบของ 2 x3 − x 2 + 6 x − 3
2
1
นํา x− ไปหาร 2 x3 − x 2 + 6 x − 3 ไดผลหารเปน 2 x2 + 6
2
1
ดังนั้น 2 x3 − x 2 + 6 x − 3 = x−
2
( 2x 2
+ 6)
1
= x− ( 2 ) ( x 2 + 3)
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
416 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
= ( 2 x − 1) ( x 2 + 3)
วิธีที่ 2 2 x3 − x 2 + 6 x − 3 = ( 2x 3
− x 2 ) + ( 6 x − 3)
= x 2 ( 2 x − 1) + 3 ( 2 x − 1)
= ( 2 x − 1) ( x 2 + 3) ก
8) ให p ( x ) = 4 x 4 − 4 x3 − 3x 2 + 2 x + 1
พิจารณา p (1)
จะเห็นวา p (1) = 0
ดังนั้น x −1 เปนตัวประกอบของ 4 x 4 − 4 x3 − 3x 2 + 2 x + 1
ดังนั้น 4 x 4 − 4 x3 − 3x 2 + 2 x + 1 = ( x − 1) ( 4 x3 − 3x − 1)
ให q ( x ) = 4 x3 − 3x − 1
พิจารณา q (1)
q (1) = 4 (1) − 3 (1) − 1 = 0
3
จะเห็นวา q (1) = 0
ดังนั้น x − 1 เปนตัวประกอบของ 4 x3 − 3x − 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 417
จะได 4 x3 − 3x − 1 = ( x − 1) ( 4 x 2 + 4 x + 1)
( x − 1)( 2 x + 1)
2
=
ดังนั้น ( x − 1) ( 2 x + 1)
2 2
4 x 4 − 4 x3 − 3x 2 + 2 x + 1 =
9) ให p ( x ) = 2 x 4 + 9 x 3 − 12 x 2 − 29 x + 30
พิจารณา p (1)
จะเห็นวา p (1) = 0
ดังนั้น x −1 เปนตัวประกอบของ 2 x 4 + 9 x 3 − 12 x 2 − 29 x + 30
ดังนัน้ 2 x 4 + 9 x 3 − 12 x 2 − 29 x + 30 = ( x − 1) ( 2 x3 + 11x 2 − x − 30 )
ให q ( x ) = 2 x 3 + 11x 2 − x − 30
พิจารณา q ( −2 )
q ( −2 ) = 2 ( −2 ) + 11( −2 ) − ( −2 ) − 30 = 0
3 2
จะเห็นวา q ( −2 ) = 0
ดังนั้น x + 2 เปนตัวประกอบของ 2 x 3 + 11x 2 − x − 30
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
418 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
พิจารณา p ( −2 )
p ( −2 ) = 2 ( −2 ) − 3 ( −2 ) − 9 ( −2 ) + 9 ( −2 ) − 2 = 0
4 3 2
จะเห็นวา p ( −2 ) = 0
ดังนั้น 2 x 4 − 3x3 − 9 x 2 + 9 x − 2 = ( x + 2 ) ( 2 x3 − 7 x 2 + 5 x − 1)
ให q ( x ) = 2 x3 − 7 x 2 + 5 x − 1
1
พิจารณา q
2
3 2
1 1 1 1
q =2 −7 +5 −1 = 0
2 2 2 2
1
จะเห็นวา q =0
2
1
ดังนั้น x− เปนตัวประกอบของ 2 x3 − 7 x 2 + 5 x − 1
2
1
นํา x− ไปหาร 2 x3 − 7 x 2 + 5 x − 1 ไดผลหารเปน 2 x2 − 6 x + 2
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 419
1
จะได 2 x3 − 7 x 2 + 5 x − 1 = x−
2
( 2x 2
− 6x + 2)
1
= 2 x−
2
(x 2
− 3 x + 1)
3− 5 3+ 5
= ( 2 x − 1) x− x−
2 2
3− 5 3+ 5
จะได 2 x 4 − 3x3 − 9 x 2 + 9 x − 2 = ( x + 2 )( 2 x − 1) x− x−
2 2
10. 1) จาก x2 − 2 x − 4 = 0
จะได x = 1± 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
420 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
4) จัดรูปสมการใหมไดเปน x3 + 2 x 2 − 4 x − 8 = 0
เนื่องจาก x3 + 2 x 2 − 4 x − 8 = ( x − 2) ( x2 + 4x + 4)
( x − 2 )( x + 2 )
2
=
จะได ( x − 2 )( x + 2 ) = 0 2
ดังนั้น x − 2 = 0 หรือ x + 2 = 0
จะได x=2 หรือ x = −2
ดังนั้น x − 2 = 0 หรือ x + 3 = 0
จะได x=2 หรือ x = −3
จะได ( x − 1) ( x + x − 1) = 0
2
ดังนั้น x − 1 = 0 หรือ x + x − 1 = 02
−1 + 5 −1 − 5
จะได x =1 หรือ x= หรือ x=
2 2
−1 + 5 −1 − 5
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ 1, ,
2 2
7) จัดรูปสมการใหมไดเปน x3 − x 2 − x − 2 = 0
เนื่องจาก x 3 − x 2 − x − 2 = ( x − 2 ) ( x 2 + x + 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 421
จะได ( x − 2 ) ( x + x + 1) = 0
2
ดังนั้น x − 2 = 0 หรือ x + x + 1 = 0
2
จะไดวาไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้
ดังนัน้ เซตคําตอบของสมการ คือ { 2 } จ
8) เนื่องจาก 4 x3 − 4 x 2 − 7 x − 2 = ( x − 2 ) ( 4 x 2 + 4 x + 1)
( x − 2 )( 2 x + 1)
2
=
จะได ( x − 2 )( 2 x + 1) = 0
2
ดังนั้น x − 2 = 0 หรือ 2 x + 1 = 0
1
จะได x=2 หรือ x =−
2
1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − ,2
2
9) จัดรูปสมการใหมไดเปน 6 x3 − 11x 2 + 6 x − 1 = 0
เนื่องจาก 6 x 3 − 11x 2 + 6 x − 1 = ( x − 1) ( 6 x 2 − 5 x + 1)
= ( x − 1)( 3x − 1)( 2 x − 1)
จะได ( x − 1)( 3x − 1)( 2 x − 1) = 0
ดังนั้น x − 1 = 0 หรือ 3x − 1 = 0 หรือ 2x −1 = 0
1 1
จะได x =1 หรือ x= หรือ x=
3 2
1 1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ , ,1
3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
422 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
10) เนื่องจาก 2 x 4 − 7 x3 + 9 x 2 − 7 x + 2 = ( x − 2 ) ( 2 x3 − 3x 2 + 3x − 1)
1
= 2 ( x − 2) x −
2
(x 2
− x + 1)
1
จะได ( x − 2 ) x−
2
(x 2
− x + 1) = 0
1
ดังนั้น x−2 = 0 หรือ x− =0 หรือ x2 + x + 1 = 0
2
ถา x−2 = 0 จะได x=2
1 1
ถา x− =0 จะได x=
2 2
ถา และเนื่องจาก (1) − 4 (1)(1) = − 3
x2 + x + 1 = 0
2
จะไดวาไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้
1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ,2
2
11) จัดรูปสมการใหมไดเปน 4 x 4 + 8 x3 + x 2 − 3x − 1 = 0
2
1
เนื่องจาก 4 x 4 + 8 x3 + x 2 − 3x − 1 = 4 x +
2
(x 2
+ x − 1)
2
1
จะได 4 x+
2
(x 2
+ x − 1) = 0
1
ดังนั้น x+ =0 หรือ x2 + x − 1 = 0
2
1 −1 + 5 −1 − 5
จะได x=− หรือ x= หรือ x=
2 2 2
1 −1 + 5 −1 − 5
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − , ,
2 2 2
12) จัดรูปสมการใหมไดเปน 2 x 4 − 7 x3 + 4 x + 1 = 0
1
เนื่องจาก 2 x 4 − 7 x 3 + 4 x + 1 = 2 ( x − 1) x +
2
(x 2
− 3x − 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 423
1
จะได 2 ( x − 1) x+
2
(x 2
− 3 x − 1) = 0
1
ดังนั้น x −1 = 0 หรือ x+ =0 หรือ x 2 − 3x − 1 = 0
2
1 3 ± 13
จะได x =1 หรือ x=− หรือ x=
2 2
1 3 + 13 3 − 13
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − , 1, ,
2 2 2
5x − 7 A B
11. 1) จาก = +
( x − 3)( x + 1) x − 3 x +1
5x − 7 A ( x + 1) + B ( x − 3)
=
( x − 3)( x + 1) ( x − 3)( x + 1)
5x − 7
=
( A + B ) x + ( A − 3B )
( x − 3)( x + 1) ( x − 3)( x + 1)
5x − 7 = ( A + B ) x + ( A − 3B )
จะได A+ B = 5 และ A − 3B = − 7
3x3 + 2 x − 4 A Bx + C
2) จาก = 3+ +
x3 + 3x x x2 + 3
3x3 + 2 x − 4 A Bx + C
−3 = +
x3 + 3x x x2 + 3
( 3x 3
+ 2 x − 4 ) − 3 ( x3 + 3x )
=
A ( x 2 + 3) + ( Bx + C )( x )
x3 + 3x x ( x 2 + 3)
−7 x − 4
=
( A + B ) x 2 + Cx + 3 A
x3 + 3x x3 + 3x
−7 x − 4 = ( A + B ) x 2 + Cx + 3 A
จะได A+ B = 0 และ C = −7 และ 3A = − 4
4 4
ดังนั้น A=− และ B= และ C = −7
3 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
424 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2x2 − x + 5 A B C
3) จาก = + −
x3 + 4 x 2 − 5 x x x −1 x + 5
2 x2 − x + 5 A ( x − 1)( x + 5 ) + Bx ( x + 5 ) − Cx ( x − 1)
=
x3 + 4 x 2 − 5 x x ( x − 1)( x + 5 )
2x2 − x + 5
=
( Ax 2
+ 4 Ax − 5 A ) + ( Bx 2 + 5 Bx ) − ( Cx 2 − Cx )
x3 + 4 x 2 − 5 x x3 + 4 x 2 − 5 x
2 x2 − x + 5 ( A + B − C ) x 2 + ( 4 A + 5B + C ) x − 5 A
=
x3 + 4 x 2 − 5 x x3 + 4 x 2 − 5 x
2 x2 − x + 5 = ( A + B − C ) x 2 + ( 4 A + 5B + C ) x − 5 A
จะได A+ B −C = 2 และ 4 A + 5B + C = − 1 และ −5 A = 5
x ( x − 3)( x + 2 )
12. 1) จาก = 0
x ( x − 3)( x − 2 )
( x + 2) เมื่อ และ
= 0 x≠0 x≠3
( x − 2)
จะได x+2 = 0 และ x−2 ≠ 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 425
( x + 1) + ( x − 1) − ( x − 1)( x + 1) = 0
( x − 1)( x + 1)
( x + 1) + ( x − 1) − ( x 2 − 1)
= 0
( x − 1)( x + 1)
− x2 + 2 x + 1
= 0
( x − 1)( x + 1)
x2 − 2 x − 1
= 0
( x − 1)( x + 1)
จะได x2 − 2 x − 1 = 0 และ ( x − 1)( x + 1) ≠ 0
นั่นคือ x = 1+ 2 หรือ x = 1 − 2 โดยที่ x ≠ − 1 และ x ≠1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 427
1 1 1
6) จาก + 2 + 2 = 0
x − 2 x − 8 x − 5x + 4 x + x − 2
2
1 1 1
+ + = 0
( x + 2 )( x − 4 ) ( x − 1)( x − 4 ) ( x − 1)( x + 2 )
( x − 1) + ( x + 2 ) + ( x − 4 ) = 0
( x − 1)( x + 2 )( x − 4 )
3x − 3
= 0
( x − 1)( x + 2 )( x − 4 )
3 ( x − 1)
= 0
( x − 1)( x + 2 )( x − 4 )
3
= 0 เมื่อ x ≠1
( x + 2 )( x − 4 )
3
จะเห็นวา ไมมีจํานวนจริง x ที่ทําให =0
( x + 2 )( x − 4 )
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
x 1 2x
7) จาก + + 2 = 0
x + 4 x + 2 x + 6x + 8
x 1 2x
+ + = 0
x + 4 x + 2 ( x + 4 )( x + 2 )
x ( x + 2) + ( x + 4) + 2x
= 0
( x + 4 )( x + 2 )
( x2 + 2 x ) + ( x + 4) + 2 x = 0
( x + 4 )( x + 2 )
x2 + 5x + 4
= 0
( x + 4 )( x + 2 )
( x + 4 )( x + 1) = 0
( x + 4 )( x + 2 )
x +1
= 0 เมื่อ x ≠ −4
x+2
จะได x +1 = 0 และ x+2 ≠ 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
428 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2x + 1 2 5
− =
( x − 1)( x + 1) x − 2 x ( x + 1)
2x + 1 5 2
− =
( x − 1)( x + 1) x ( x + 1) x−2
( 2 x + 1)( x ) − 5 ( x − 1) =
2
x ( x − 1)( x + 1) x−2
( 2 x2 + x ) − ( 5x − 5) =
2
x ( x − 1)( x + 1) x−2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 429
2 x2 − 4 x + 5 2
=
x ( x − 1)( x + 1) x−2
2x2 − 4x + 5 2
− = 0
x ( x − 1)( x + 1) x − 2
( 2x 2
− 4 x + 5 ) ( x − 2 ) − 2 x ( x − 1)( x + 1)
= 0
x ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
( 2x 3
− 8 x 2 + 13 x − 10 ) − ( 2 x 3 − 2 x )
= 0
x ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
−8 x 2 + 15 x − 10
= 0
x ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
8 x 2 − 15 x + 10
= 0
x ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
430 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2x2 − 2x − 1
= 0
( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
จะได 2 x2 − 2 x − 1 = 0 และ ( x − 1)( x + 1)( x − 2 ) ≠ 0
1+ 3 1− 3
นั่นคือ x= หรือ x= โดยที่ x ≠ −1 , x ≠ 1 และ x≠2
2 2
1− 3 1+ 3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ,
2 2
จะได 4x + 7 > 2x + 2
2x > −5
5
x > −
2
5
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ,∞
2
3) จาก 4 − (3 − x ) < 3x − ( 3 − 2 x )
จะได ( x − 2 )( 2 x + 3) ≥ 0
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 431
2x + 3 < 0 2x + 3 > 0
–23
−
–1 0 1 2 3 4
2
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ∞, − ∪ [ 2, ∞ )
2
5) จาก x2 ≥ 2x − 3
จะได x2 − 2 x + 3 ≥ 0
(x 2
− 2 x + 1) − 1 + 3 ≥ 0
( x − 1)
2
+2 ≥ 0
( x − 1)
2
≥ −2
เนื่องจาก ( x − 1) ≥ 0 เสมอ
2
จะได x2 + x ≤ 20
x 2 + x − 20 ≤ 0
( x − 4 )( x + 5) ≤ 0
พิจารณาเสนจํานวน
x–4 < 0 x–4 > 0
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
432 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
(x 2
− 5x + 4) − ( x2 − 5x + 6) > 0
4−6 > 0
−2 > 0 เปนเท็จ
นั่นคือ ไมมีจํานวนจริงที่ทําให ( x − 1)( x − 4 ) > ( x − 2 )( x − 3)
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ∅
8) จาก x3 + 4 > 3x 2
จะได x3 − 3x 2 + 4 > 0
( x − 2 ) ( x + 1)
2
> 0
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–2 < 0 x–2 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 433
( x − 1)( x − 2 ) ( x − 3) − 1 < 0
( x − 1)( x − 2 )( x − 4 ) < 0
พิจารณาเสนจํานวน
x–1 < 0 x–1 > 0
–1 0 1 2 3 4 5
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–2 < 0 x–2 > 0
–1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
434 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
พิจารณาเสนจํานวน
x–2 < 0 x–2 > 0
–1 0 1 2 3 4 5
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–2 < 0 x–2 > 0
–1 0 1 2 3 4 5
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 435
–1 0 1 2 3 4 5
จะได ( x + 1)( x − 4 )( x − 6 )
2
≤ 0
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–4< 0 x–4> 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5 6
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
436 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x–4< 0 x–4> 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5 6
พิจารณาเสนจํานวน
x < 0 x > 0
–2 –1 0 1 2 3 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 437
−x + 4
≤ 0
x −1
x−4
≥ 0
x −1
พิจารณาเสนจํานวน
x–4 < 0 x–4 > 0
–1 0 1 2 3 4 5 6 7
–2 –1 0 1 2 3 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
438 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x +1
จะได −1 < 0
x+2
( x + 1) − ( x + 2 ) < 0
x+2
−1
< 0
x+2
1
> 0
x+2
พิจารณาเสนจํานวน
x+2 < 0 x+2 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
–4 –3 –2 –1 0 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 439
2x – 3 < 0 2x – 3 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , − 2 ) ∪ ,5
2
4
7) จาก x+ ≤ 4
x
4
x+ −4 ≤ 0
x
x2 − 4 x + 4
≤ 0
x
( x − 2)
2
≤ 0
x
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
440 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x < 0 x > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
–3 –2 –1 0 1 2
( 2x 2
− 6 x + 1) − ( x 2 − 2 x − 3)
≤ 0
x2 − 2 x − 3
x2 − 4 x + 4
≤ 0
x2 − 2 x − 3
( x − 2)
2
≤ 0
( x + 1)( x − 3)
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–3 < 0 x–3 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
–2 –1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
442 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1− x
10) จาก ≤ 1
( x − 2 )( x − 5)
1− x
จะได −1 ≤ 0
( 2 )( x − 5)
x −
(1 − x ) − ( x − 2 )( x − 5)
≤ 0
( x − 2 )( x − 5)
(1 − x ) − ( x 2 − 7 x + 10 )
≤ 0
( x − 2 )( x − 5)
− x2 + 6 x − 9
≤ 0
( x − 2 )( x − 5)
x2 − 6 x + 9
≥ 0
( x − 2 )( x − 5)
( x − 3)
2
≥ 0
( x − 2 )( x − 5)
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–5 < 0 x–5 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 443
–2 –1 0 1 2 3 4 5
2 x − ( x 2 + 1)
≤ 0
2 ( x 2 + 1)
x2 − 2 x + 1
≥ 0
2 ( x 2 + 1)
( x − 1)
2
≥ 0
2 ( x 2 + 1)
x
จะได −3 ≥ 0
x +2
2
x − 3( x2 + 2)
≥ 0
x2 + 2
−3 x 2 + x − 6
≥ 0
x2 + 2
1
x2 − x + 2
3 ≤ 0
x2 + 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
444 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1 1 1
x2 − x + − +2
3 36 36
≤ 0
x2 + 2
2
1 71
x− +
6 36
≤ 0
x2 + 2
2
1 71
เนื่องจาก x− + >0 และ x2 + 2 > 0
6 36
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ∅
11 − 5 x
13) จาก ≤ 1
x2 − x − 2
11 − 5 x
จะได −1 ≤ 0
x2 − x − 2
(11 − 5 x ) − ( x 2 − x − 2 )
≤ 0
x2 − x − 2
− x 2 − 4 x + 13
≤ 0
x2 − x − 2
x 2 + 4 x − 13
≥ 0
( x − 2 )( x + 1)
(
x − −2 − 17 ) (
x − −2 + 17 ) ≥ 0
( x − 2 )( x + 1)
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 445
–7 –6 –5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3
–2 –1 0 1 2 3 4 5
15) จาก (x 2
+ 3 x − 10 )( x 2 + x − 6 )
≤ 0
x 2 + 2 x − 15
จะได ( x + 5)( x − 2 )( x − 2 )( x + 3) ≤ 0
( x + 5)( x − 3)
( x − 2 ) ( x + 3)
2
≤ 0 เมื่อ x ≠ −5
( x − 3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
446 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
พิจารณาเสนจํานวน
x–3 < 0 x–3 > 0
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3
บริษัทผลิตและจําหนายสินคาโดยไมขาดทุน นั่นคือ p ( x) ≥ 0
x 2 − 1198 x − 2400 ≥ 0
( x + 2 )( x − 1200 ) ≥ 0
นั่นคือ x ≤ −2 หรือ x ≥ 1200
เนื่องจาก x≥0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
448 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
คือ 5, 7 และ 9
( 550 x − 5 x 2
+ 6000 ) − 680 x
= 0
x ( x + 10 )
−5 x 2 − 130 x + 6000
= 0
x ( x + 10 )
x 2 + 26 x − 1200
= 0
x ( x + 10 )
( x − 24 )( x + 50 ) = 0
x ( x + 10 )
จะได ( x − 24 )( x + 50 ) = 0 และ x ( x + 10 ) ≠ 0
นั่นคือ x = 24 หรือ x = − 50 โดยที่ x ≠ 0 และ x ≠ − 10
เนื่องจาก x>0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
450 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
(x 2
+ 55 x − 300 ) − 68 x
= 0
x ( x − 5)
x 2 − 13 x − 300
= 0
x ( x − 5)
( x + 12 )( x − 25) = 0
x ( x − 5)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 451
เนื่องจาก x>0
จะได x−2 = 2x
x = −2 ซึ่ง −2 < 2
นั่นคือ −2 ไมใชคําตอบของสมการ
กรณีที่ 2 x−2 < 0 หรือ x<2
จะได − ( x − 2 ) = 2x
x−2 = −2x
3x = 2
2 2
x = ซึ่ง <2
3 3
2
นั่นคือ เปนคําตอบของสมการ
3
2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ
3
วิธีที่ 2 จาก x−2 = 2x
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
452 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( 2x )
2 2
x−2 =
( x − 2) ( 2x )
2 2
=
( x − 2) − ( 2x )
2 2
= 0
( x − 2) − 2x ( x − 2) + 2x = 0
( − x − 2 )( 3x − 2 ) = 0
( x + 2 )( 3x − 2 ) = 0
2
จะได x = −2 หรือ x=
3
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x − 2 = 2x ดวย −2 จะได
−2−2 = 2 ( −2 )
−4 = −4
4 = −4 เปนเท็จ
2
แทน x ในสมการ x − 2 = 2x ดวย จะได
3
2 2
−2 = 2
3 3
4 4
− =
3 3
4 4
= เปนจริง
3 3
2
ดังนัน้ เซตคําตอบของสมการ คือ
3
2) วิธีที่ 1 จาก 2x −1 = x+4
1
กรณีที่ 1 2x −1 ≥ 0 หรือ x≥
2
จะได 2x −1 = x+4
1
x = 5 ซึ่ง 5≥
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 453
นั่นคือ 5 เปนคําตอบของสมการ
1
กรณีที่ 2 2x −1 < 0 หรือ x<
2
จะได − ( 2 x − 1) = x+4
2x −1 = − ( x + 4)
2x −1 = −x − 4
3x = −3
1
x = −1 ซึ่ง −1 <
2
นั่นคือ −1 เปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1, 5 }
วิธีที่ 2 จาก 2x −1 = x+4
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( x + 4)
2 2
2x −1 =
( 2 x − 1) ( x + 4)
2 2
=
( 2 x − 1) − ( x + 4 )
2 2
= 0
( 2 x − 1) − ( x + 4 ) ( 2 x − 1) + ( x + 4 ) = 0
( x − 5)( 3x + 3) = 0
( x − 5)( x + 1) = 0
จะได x=5 หรือ x = −1
2 ( −1) − 1 = −1 + 4
− 2 −1 = 3
−3 = 3
3 = 3 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1, 5 }
3) จาก 3x − 1 = x−5
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
2 2
3x − 1 = x−5
( 3x − 1) ( x − 5)
2 2
=
( 3x − 1) − ( x − 5)
2 2
= 0
( 3x − 1) − ( x − 5) ( 3x − 1) + ( x − 5) = 0
( 2 x + 4 )( 4 x − 6 ) = 0
( x + 2 )( 2 x − 3) = 0
3
จะได x = −2 หรือ x=
2
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ 3x − 1 = x − 5 ดวย −2 จะได
3 ( −2 ) − 1 = −2−5
−7 = −7
7 = 7 เปนจริง
3
แทน x ในสมการ 3x − 1 = x − 5 ดวย จะได
2
3 3
3 −1 = −5
2 2
7 7
= −
2 2
7 7
= เปนจริง
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 455
3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 2,
2
4) จาก x 2 − 3x + 1 = x−2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( x − 2)
2 2
x 2 − 3x + 1 =
( x − 3x + 1) ( x − 2)
2 2 2
=
( x − 3x + 1) − ( x − 2 )
2 2 2
= 0
( x − 3x + 1) − ( x − 2 ) ( x − 3x + 1) + ( x − 2 )
2 2
= 0
( x − 4 x + 3)( x − 2 x − 1)
2 2
= 0
( x − 1)( x − 3) (
x − 1+ 2 ) (
x − 1− 2 ) = 0
−1 = −1
1 = −1 เปนเท็จ
แทน x ในสมการ x 2 − 3x + 1 = x − 2 ดวย 3 จะได
( 3) − 3 ( 3) + 1
2
= 3− 2
1 = 1
1 = 1 เปนจริง
แทน x ในสมการ x 2 − 3x + 1 = x − 2 ดวย 1 + 2 จะได
(1 + 2 ) ( ) (1 + 2 ) − 2
2
− 3 1+ 2 +1 =
(1 + 2 2 + 2 − 3+3) ( 2 ) +1 = −1 + 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
456 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1− 2 = 2 −1
(
− 1− 2 ) = 2 −1
2 −1 = 2 −1 เปนจริง
แทน x ในสมการ x 2 − 3x + 1 = x − 2 ดวย 1 − 2 จะได
(1 − 2 ) ( ) (1 − 2 ) − 2
2
− 3 1− 2 +1 =
(1 − 2 ) (
2 + 2 − 3−3 2 ) +1 = −1 − 2
1+ 2 = ( )
− 1+ 2
1+ 2 = − (1 + 2 ) เปนเท็จ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 3, 1 + 2}
5) จาก x2 + 2 x − 1 = x+5
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( x + 5)
2 2
x2 + 2 x − 1 =
( x + 2 x − 1) ( x + 5)
2 2 2
=
( x + 2 x − 1) − ( x + 5)
2 2 2
= 0
( x + 2 x − 1) − ( x + 5) ( x + 2 x − 1) + ( x + 5)
2 2
= 0
( x + x − 6 )( x + 3x + 4 )
2 2
= 0
( x − 2 )( x + 3) ( x + 3x + 4 ) 2
= 0
จะไดวา ไมมีจํานวนจริงที่ทําให x 2 + 3x + 4 = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 457
2 = 2
2 = 2 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 3, 2 }
6) จาก x 2 − 3x − 4 = 2x + 2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
2 2
x 2 − 3x − 4 = 2x + 2
( x − 3x − 4 ) ( 2x + 2)
2 2 2
=
( x − 3x − 4 ) − ( 2 x + 2 )
2 2 2
= 0
( x − 3x − 4 ) − ( 2 x + 2 ) ( x − 3x − 4 ) + ( 2 x + 2 )
2 2
= 0
( x − 5 x − 6 )( x − x − 2 )
2 2
= 0
( x + 1)( x − 6 )( x + 1)( x − 2 ) = 0
จะได x = −1 หรือ x=6 หรือ x=2
0 = 0
0 = 0 เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
458 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
14 = 14
14 = 14 เปนจริง
แทน x ในสมการ x 2 − 3x − 4 = 2x + 2 ดวย 2 จะได
( 2) − 3( 2) − 4 2 ( 2) + 2
2
=
−6 = 6
6 = 6 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1, 2, 6 }
7) วิธีที่ 1 จาก x + x−3 = 2
x−3 = 2− x
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
(2 − x )
2 2
x−3 =
( x − 3) (2 − x )
2 2
=
2
x2 − 6 x + 9 = 4−4 x + x
x2 − 6 x + 9 = 4 − 4 x + x2
4 x = 6x − 5
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( 6 x − 5) (4 x )
2 2
=
( 6 x − 5) ( 4x )
2 2
=
( 6 x − 5) − 4 x ( 6 x − 5) + 4 x = 0
( 2 x − 5)(10 x − 5) = 0
( 2 x − 5)( 2 x − 1) = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 459
5 1
จะได x= หรือ x=
2 2
5
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x + x−3 = 2 ดวย จะได
2
5 5
+ −3 = 2
2 2
5 1
+ = 2
2 2
3 = 2 เปนเท็จ
1
แทน x ในสมการ x + x−3 = 2 ดวย จะได
2
1 1
+ −3 = 2
2 2
1 5
+ = 2
2 2
3 = 2 เปนเท็จ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
วิธีที่ 2 จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
กรณีที่ 1 x<0
จะได − x − ( x − 3) = 2
−2x = −1
1
x = ซึ่ง x>0
2
1
นั่นคือ ไมเปนคําตอบของสมการ
2
กรณีที่ 2 0≤ x<3
จะได x − ( x − 3) = 2
3 = 2 เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
460 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
นั่นคือ ไมมีคําตอบของสมการ
กรณีที่ 3 x≥3
จะได x + ( x − 3) = 2
2x = 5
5
x = ซึ่ง x<3
2
5
นั่นคือ ไมเปนคําตอบของสมการ
2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
8) วิธีที่ 1 จาก 4 x = x − 2 +1
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
(4 x ) ( x − 2 +1 )
2 2
=
( x − 2)
2
16x 2 = + 2 x − 2 +1
16x 2 = x2 − 4 x + 4 + 2 x − 2 + 1
15 x 2 + 4 x − 5 = 2 x−2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
(15 x + 4 x − 5) (2 )
2 2
2
= x−2
(15 x + 4 x − 5) 2 ( x − 2)
2 2 2
=
(15 x + 4 x − 5) − 2 ( x − 2 )
2 2 2
= 0
(15 x 2
+ 4 x − 5 ) − 2 ( x − 2 ) (15 x + 4 x − 5 ) + 2 ( x − 2 )
2
= 0
(15 x + 2 x − 1)(15 x + 6 x − 9 )
2 2
= 0
(15 x + 2 x − 1)( 5 x + 2 x − 3)
2 2
= 0
( 5 x − 1)( 3x + 1)( 5 x − 3)( x + 1) = 0
1 1 3
จะได x= หรือ x=− หรือ x= หรือ x = −1
5 3 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 461
1
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ 4 x = x − 2 +1 ดวย จะได
5
1 1
4 = − 2 +1
5 5
1 9
4 = − +1
5 5
4 9
= +1
5 5
4 14
= เปนเท็จ
5 5
1
แทน x ในสมการ 4 x = x − 2 +1 ดวย − จะได
3
1 1
4 − = − − 2 +1
3 3
1 7
4 = − +1
3 3
4 7
= +1
3 3
4 10
= เปนเท็จ
3 3
3
แทน x ในสมการ 4 x = x − 2 +1 ดวย จะได
5
3 3
4 = − 2 +1
5 5
3 7
4 = − +1
5 5
12 7
= +1
5 5
12 12
= เปนจริง
5 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
462 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะได 4(−x) = − ( x − 2) + 1
−4x = −x + 2 +1
−3x = 3
x = −1 ซึ่ง −1 < 0
นั่นคือ −1 เปนคําตอบของสมการ
กรณีที่ 2 0≤ x<2
จะได 4x = − ( x − 2) + 1
4x = −x + 2 +1
5x = 3
3 3
x = ซึ่ง 0≤ <2
5 5
3
นั่นคือ เปนคําตอบของสมการ
5
กรณีที่ 3 x≥2
จะได 4x = ( x − 2) + 1
4x = x − 2 +1
3x = −1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 463
1 1
x = − ซึ่ง − <2
3 3
1
นั่นคือ − ไมเปนคําตอบของสมการ
3
3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 1,
5
9) วิธีที่ 1 จาก x −1 + x − 2 = 3
x −1 − 3 = − x−2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( x −1 − 3 ) (− )
2 2
= x−2
( x −1 − 3 ) ( x − 2)
2 2
=
( x − 1) ( x − 2)
2 2
− 6 x −1 + 9 =
(x 2
− 2 x + 1) − 6 x − 1 + 9 = x2 − 4 x + 4
x+3
x −1 =
3
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
2
2 x+3
x −1 =
3
2
x+3
( x − 1)
2
=
3
2
x+3
( x − 1) −
2
= 0
3
x+3 x+3
( x − 1) − ( x − 1) + = 0
3 3
2x − 6 4x
= 0
3 3
4 x ( x − 3) = 0
จะได x=0 หรือ x=3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
464 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะได − ( x − 1) − ( x − 2 ) = 3
−2 x + 3 = 3
−2x = 0
x = 0 ซึ่ง 0 <1
นั่นคือ 0 เปนคําตอบของสมการ
กรณีที่ 2 1≤ x < 2
จะได ( x − 1) − ( x − 2 ) = 3
1 = 3 เปนเท็จ
นั่นคือ ไมมีคําตอบของสมการ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 465
กรณีที่ 3 x≥2
จะได ( x − 1) + ( x − 2 ) = 3
2x − 3 = 3
2x = 6
x = 3 ซึ่ง 3≥ 2
นั่นคือ 3 เปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 0, 3 }
10) วิธีที่ 1 จาก x − x−2 = x −1
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( ) ( x − 1)
2 2
x − x−2 =
( x − 1)
2 2 2
x −2 x x−2 + x−2 =
x2 − 2 x ( x − 2) + ( x − 2) ( x − 1)
2 2
=
x2 − 2 x ( x − 2) + ( x2 − 4x + 4) = x2 − 2 x + 1
x2 − 2 x + 3 = 2 x ( x − 2)
x2 − 2 x + 3 = 2 x2 − 2 x
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
(x − 2 x + 3) (2 x )
2 2
2
= 2
− 2x
(x − 2 x + 3) 2 ( x2 − 2 x )
2 2
2
=
( x − 2 x + 3) − 2 ( x − 2 x )
2 2
2 2
= 0
( x − 2 x + 3) − 2 ( x − 2 x ) ( x − 2 x + 3) + 2 ( x − 2 x )
2 2 2 2
= 0
( − x + 2 x + 3)( 3x − 6 x + 3)
2 2
= 0
( x − 2 x − 3)( x − 2 x + 1)
2 2
= 0
( x + 1)( x − 3)( x − 1)
2
= 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
466 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะได − x + ( x − 2) = x −1
x = −1 ซึ่ง −1 < 0
นั่นคือ −1 เปนคําตอบของสมการ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 467
กรณีที่ 2 0≤ x<2
จะได x + ( x − 2) = x −1
x−2 = −1
x = 1 ซึ่ง 0 ≤1< 2
นั่นคือ 1 เปนคําตอบของสมการ
กรณีที่ 3 x≥2
จะได x − ( x − 2) = x −1
x −1 = 2
x = 3 ซึ่ง 3≥ 2
นั่นคือ 3 เปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1, 1, 3 }
21. 1) จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
กรณีที่ 1 2x − 4 ≥ 0 จะได x≥2
และ 2x − 4 > x +1
x > 5
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ x>5
และ − ( 2x − 4) > x +1
−2 x + 4 > x +1
−3x > −3
x < 1
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ x <1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
468 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
−2 x − 1 ≤ x−4 และ x ≥ −5
−3x ≤ −3
x ≥ 1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ 1, ∞ )
วิธีที่ 2 จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
กรณีที่ 1 x−4 ≥ 0 จะได x≥4
และ x−4 ≤ 2x + 1
x ≥ −5
นั่นคือ คา x ที่สอดคลอง คือ x≥4
และ x−4 ≥ − ( 2 x + 1)
x−4 ≥ −2 x − 1
3x ≥ 3
x ≥ 1
นั่นคือ คา x ที่สอดคลอง คือ 1 ≤ x < 4
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ 4, ∞ ) ∩ [ 1, 4 ) หรือ [ 1, ∞ )
3) วิธีที่ 1 จาก 2x − 3 < 3x − 7
7
เนื่องจาก 2x − 3 ≥ 0 ดังนั้น 3x − 7 > 0 หรือ x>
3
จะได − ( 3x − 7 ) < 2x − 3 < 3x − 7
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 469
จะได x2 − 4
2
≤ x2 − 2 x
2
(x − 4) (x − 2x)
2 2
2
≤ 2
( x − 4) − ( x − 2x )
2 2
2 2
≤ 0
( x − 4) − ( x − 2x ) ( x − 4) + ( x − 2x )
2 2 2 2
≤ 0
( 2x − 4) ( 2x − 2x − 4)
2
≤ 0
( x − 2) ( x − x − 2)
2
≤ 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
470 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x − 2 )( x − 2 )( x + 1) ≤ 0
( x − 2 ) ( x + 1)
2
≤ 0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , − 1 ] ∪ { 2 }
5) เนื่องจาก 2 x − 5 x − 1 ≥ 0 และ x − x + 4 ≥ 0 สําหรับทุกคา
2 2
x∈
จะได 2 x2 − 5x − 1
2
≤ x2 − x + 4
2
( 2 x − 5 x − 1) (x − x + 4)
2 2
2
≤ 2
( 2 x − 5 x − 1) − ( x − x + 4 )
2 2
2 2
≤ 0
( 2x 2
− 5 x − 1) − ( x − x + 4 ) ( 2 x − 5 x − 1) + ( x − x + 4 )
2 2 2
≤ 0
( x − 4 x − 5)( 3x − 6 x + 3)
2 2
≤ 0
( x − 4 x − 5)( x − 2 x + 1)
2 2
≤ 0
( x + 1)( x − 5)( x − 1)
2
≤ 0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ − 1, 5 ]
6) จากโจทย ทราบวา x ≠ 5 และ x ≠ 4
x −1 x−5
จาก 2 ≤
x−5 x−4
2 2
x −1 x−5
2 ≤
x−5 x−4
2 2
x −1 x−5
2 ≤
x−5 x−4
2 2
x −1 x−5
2 − ≤ 0
x−5 x−4
x −1 x−5 x −1 x−5
2 − 2 + ≤ 0
x−5 x−4 x−5 x−4
2 ( x − 1)( x − 4 ) − ( x − 5 ) 2 ( x − 1)( x − 4 ) + ( x − 5 )
2 2
≤ 0
( x − 5)( x − 4 ) ( x − 5)( x − 4 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 471
( 2x 2
− 10 x + 8 ) − ( x 2 − 10 x + 25 ) ( 2x 2
− 10 x + 8 ) + ( x 2 − 10 x + 25 )
≤ 0
( x − 5)( x − 4 ) ( x − 5)( x − 4 )
x 2 − 17 3 x 2 − 20 x + 33
≤ 0
( x − 5)( x − 4 ) ( x − 5)( x − 4 )
(x − 17 )( x + 17 ) ( x − 3)( 3x − 11) ≤ 0
( x − 5) ( x − 4 )
2 2
11
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 17 , 3 ∪ , 17 − { 4, 5 } หรือ
3
− 17 , 3 ∪
11
3
, 4 ∪ 4, 17 (
7) จากโจทย ทราบวา x ≠ −2 และ x≠2
1 2
จาก ≥
x −2 x +1
กรณีที่ 1 x<0
1 2
จะได ≥
−x − 2 −x +1
1 2
≤
x+2 x −1
1 2
− ≤ 0
x + 2 x −1
( x − 1) − 2 ( x + 2 ) ≤ 0
( x + 2 )( x − 1)
−x − 5
≤ 0
( x + 2 )( x − 1)
x+5
≥ 0
( 2 )( x − 1)
x +
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
472 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
กรณีที่ 2 x≥0
1 2
จะได ≥
x−2 x +1
1 2
− ≥ 0
x − 2 x +1
( x + 1) − 2 ( x − 2 ) ≥ 0
( x − 2 )( x + 1)
−x + 5
≥ 0
( x − 2 )( x + 1)
x−5
≤ 0
( x − 2 )( x + 1)
ที่สอดคลอง คือ ( 2, 5 ]
ดังนั้น คา x
x +6 x
จาก +1 <
x+2 x−3
กรณีที่ 1 x<0
−x + 6 −x
จะได +1 <
x+2 x−3
x−6 x
−1 >
x+2 x−3
x−6 x
− −1 > 0
x+ 2 x−3
( x − 6 )( x − 3) − x ( x + 2 ) − ( x + 2 )( x − 3) > 0
( x + 2 )( x − 3)
(x 2
− 9 x + 18 ) − ( x 2 + 2 x ) − ( x 2 − x − 6 )
> 0
( x + 2 )( x − 3)
− x 2 − 10 x + 24
> 0
( x + 2 )( x − 3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 473
x 2 + 10 x − 24
< 0
( x + 2 )( x − 3)
( x + 12 )( x − 2 ) < 0
( x + 2 )( x − 3)
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ ( − 12, − 2 )
กรณีที่ 2 x≥0
x+6 x
จะได +1 <
x+2 x−3
x+6 x
− +1 < 0
x+ 2 x−3
( x + 6 )( x − 3) − x ( x + 2 ) + ( x + 2 )( x − 3) < 0
( x + 2 )( x − 3)
(x 2
+ 3 x − 18 ) − ( x 2 + 2 x ) + ( x 2 − x − 6 )
< 0
( x + 2 )( x − 3)
x 2 − 24
< 0
( x + 2 )( x − 3)
( x − 2 6 )( x + 2 6 ) < 0
( x + 2 )( x − 3)
ดังนั้น คา x ( 3, 2 6 )
ที่สอดคลอง คือ
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − 12, − 2 ) ∪ ( 3, 2 6 )
9) จากโจทย ทราบวา x≠0 และ x ≠ −2
x−3 x+5
จาก ≥
x x+2
x−3
กรณีที่ 1 x<0 จะได x−3 < 0 ดังนั้น >0
x
จะไดอสมการเปน
x−3 x+5
≥
x x+2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
474 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x−3 x+5
− ≥ 0
x x+2
( x − 3)( x + 2 ) − x ( x + 5)
≥ 0
x ( x + 2)
(x 2
− x − 6) − ( x2 + 5x )
≥ 0
x ( x + 2)
( −6 x − 6 ) ≥ 0
x ( x + 2)
( x + 1)
≤ 0
x ( x + 2)
(x 2
+ 5x ) + ( x2 − x − 6)
≤ 0
x ( x + 2)
2 x2 + 4 x − 6
≤ 0
x ( x + 2)
x2 + 2 x − 3
≤ 0
x ( x + 2)
( x − 1)( x + 3) ≤ 0
x ( x + 2)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 475
x−3
กรณีที่ 3 x≥3 จะได x−3 ≥ 0 ดังนั้น >0
x
จะไดอสมการเปน
x−3 x+5
นั่นคือ ≥
x x+2
x−3 x+5
− ≥ 0
x x+2
( x − 3)( x + 2 ) − x ( x + 5)
≥ 0
x ( x + 2)
(x 2
− x − 6) − ( x2 + 5x )
≥ 0
x ( x + 2)
( −6 x − 6 )
≥ 0
x ( x + 2)
( x + 1) ≤ 0
x ( x + 2)
เนื่องจากที่ทํางานของสมชายตั้งอยูที่หลักกิโลเมตรที่ 5
จะไดวาสมชายเดินทางจากที่ทํางานเพื่อไปซื้อของที่รานคาเปนระยะทาง x−5 กิโลเมตร
และเนื่องจากบานของสมชายตั้งอยูที่หลักกิโลเมตรที่ 7
จะไดวา สมชายเดินทางจากรานคากลับบานของตนเองเปนระยะทาง x−7 กิโลเมตร
เนื่องจาก สมชายเดินทางไปซื้อของที่รานคาแลวเดินกลับบานตนเองเปนระยะทาง
ทั้งสิ้น 4 กิโลเมตร
จะไดวา x−5 + x−7 = 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
476 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
(4 − )
2 2
x−5 = x−7
( x − 5) (4 − x−7 )
2 2
=
( x − 5) 16 − 8 x − 7 + ( x − 7 )
2 2
=
( x − 5) − ( x − 7 )
2 2
= 16 − 8 x − 7
( x − 5) − ( x − 7 ) ( x − 5) + ( x − 7 ) = 16 − 8 x − 7
2 ( 2 x − 12 ) = 16 − 8 x − 7
x−6 = 4−2 x−7
x − 10 = −2 x − 7
( x − 10 ) ( −2 )
2 2
= x−7
( x − 10 ) 2( x − 7)
2 2
=
( x − 10 ) − 2( x − 7)
2 2
= 0
( x − 10 ) − 2 ( x − 7 ) ( x − 10 ) + 2 ( x − 7 ) = 0
( − x + 4 )( 3x − 24 ) = 0
( x − 4 )( x − 8) = 0
นั่นคือ เซตคําตอบของสมการ คือ {4, 8}
ดังนั้น รานคาตั้งอยูที่หลักกิโลเมตรที่ 4 หรือหลักกิโลเมตรที่ 8
วิธีที่ 2 จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
กรณีที่ 1 x<5
จะได − ( x − 5) − ( x − 7 ) = 4
−2 x + 12 = 4
−2x = −8
x = 4 ซึ่ง 4<5
นั่นคือ 4 เปนคําตอบของสมการ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 477
กรณีที่ 2 5≤ x<7
จะได ( x − 5) − ( x − 7 ) = 4
2 = 4 เปนเท็จ
นั่นคือ ไมมี x ที่สอดคลองกับอสมการ
กรณีที่ 3 x≥7
จะได ( x − 5) + ( x − 7 ) = 4
2 x − 12 = 4
2x = 16
x = 8 ซึ่ง 8≥7
นั่นคือ 8 เปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ {4, 8}
ดังนั้น รานคาตั้งอยูที่หลักกิโลเมตรที่ 4 หรือหลักกิโลเมตรที่ 8
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
478 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แหลงเรียนรูเพิ่มเติม
forvo.com เปนเว็บไซตที่รวบรวมการออกเสียงคําในภาษาตาง ๆ กอตั้งขึ้นเมื่อ ค ศ 2008
บรรณานกรม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (2524). คูมือครูวิชาคณิตศาสตร ค 012 ตาม
หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 ของกระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพ :
โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (2558). คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร
เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ สกสค ลาดพราว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (2557). คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร
เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ สกสค ลาดพราว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (2561). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ตามผลการเรียนรูกลุมสาระการเรียนรู
คณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ สกสค ลาดพราว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (2557) หนังสือเรียนรูเพิ่มเติมเพื่อเสริม
ศักยภาพคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 ระบบจํานวนจริง กรุงเทพ : พั นา
คุณภาพวิชาการ
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
480 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
คณ ูจัดทํา
คณ ที่ปรึกษา
ดร พรพรรณ ไวทยางกูร สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รศ ดร สัญญา มิตรเอม สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร สุพัตรา ผาติวิสันติ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คณ ูจัดทําคูมือครู
นางสาวปฐมาภรณ อวชัย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวอัมริสา จันทนะสิริ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายทศธรรม เมขลา สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายพั นชัย รวิวรรณ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวภิญญดา กลับแกว สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร ศศิวรรณ เมลืองนนท สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร สุธารส นิลรอด สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายสมภพ ศรีสิทธิไพบูลย มหาวิทยาลัยราชภั กาญจนบุรี
นายธีรสรรค ขันธวิทย นักวิชาการอิสระ
นายนิธิ รุงธนาภิรมย นักวิชาการอิสระ
นายอัฐวิช นริศยาพร นักวิชาการอิสระ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 481
คณ ูพิจารณาคูมือครู
นายประสาท สอานวงศ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รศ ดร สมพร สูตินันทโอภาส สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รศ ดร สิริพร ทิพยคง สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวจินตนา อารยะรังสฤษ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวจําเริญ เจียวหวาน สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายสุเทพ กิตติพิทักษ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร อลงกรณ ตั้งสงวนธรรม สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวปฐมาภรณ อวชัย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวอัมริสา จันทนะศิริ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายพั นชัย รวิวรรณ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวภิญญดา กลับแกว สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร ศศิวรรณ เมลืองนนท สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร สุธารส นิลรอด สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คณ บรรณาธิการ
รศ ดร สิริพร ทิพยคง สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวจินตนา อารยะรังสฤษ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวจําเริญ เจียวหวาน สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายสุเทพ กิตติพิทักษ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
482 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
กิตติกรรมปร กาศ
นางสาวขวัญใจ ภาสพันธุ โรงเรียนราชวินิตบางเขน กรุงเทพ
นายเชิดศักดิ ภักดีวิโรจน โรงเรียน ภ ป ร ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ จ นครปฐม
นายณรงคฤทธิ ายา โรงเรียนสาธิตแหงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร กรุงเทพ
นายถนอมเกียรติ งานสกุล โรงเรียนสตรีภูเก็ต จ ภูเก็ต
นางสาวปรารถนา วิริยธรรมเจริญ โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จ นครปฐม
นายวิ ิตพงค พะวงษา โรงเรียนสภาราชินี จ ตรัง
นายศรัณย แสงนิลาวิวั น โรงเรียนจุ าภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี จ เพชรบุรี
นางสาวสราญลักษณ บุตรรัตน โรงเรียนบางละมุง จ เพชรบุรี
วาที่รอยตรีสามารถ วนาธรัตน โรงเรียนเ ลิมขวัญสตรี จ พิษณุโลก
นางสุธิดา นานชา โรงเรียนยานตาขาวรัฐชนูปถัมภ จ ตรัง
นายสุรชัย บุญเรือง โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ อุบลราชธานี
นางศรีสกุล สุขสวาง ขาราชการบํานาญ
นางศุภรา ทวรรณกุล ขาราชการบํานาญ
นายสุกิจ สมงาม ขาราชการบํานาญ
นางสุปราณี พวงพี ขาราชการบํานาญ
ฝายสนับสนนวิชาการ
นายชัยรัตน สุนทรประพี นักวิชาการอิสระ
นางสาวปยาภรณ ทองมาก สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี