You are on page 1of 256

คู�มือครูรายวิชาพื้นฐาน

คูมือครู

ราย ิชาพื้นฐาน
คณิต า ตร
ชั้น

มัธยม ึก าปที่ ๔

ตามมาตรฐานการเรียนรูและตั ชี้ ัด
กลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร (ฉบับปรับปรุง พ. . ๒๕๖๐)
ตาม ลัก ูตรแกนกลางการ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช ๒๕๕๑

จัดทําโดย
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คํานํา

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี ( ท.) มี นาที่ในการพัฒนา


ลั ก ู ต ร ิ ธี ก ารเรี ย นรู การประเมิ น ผล การจั ด ทํ า นั ง ื อ เรี ย น คู มื อ ครู แบบฝ ก ทั ก ะ
กิจกรรม และ ื่อการเรียนรูเพื่อใชประกอบการเรียนรูในกลุม าระการเรียนรู ิทยา า ตรและ
คณิต า ตรของการ ึก าขั้นพื้นฐาน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ ๔ นี้ จัดทําตามมาตรฐาน
การเรี ย นรู แ ละตั ชี้ ั ด กลุ ม าระการเรี ย นรู ค ณิ ต า ตร (ฉบั บ ปรั บ ปรุ ง พ. . ๒๕๖๐ )
ตาม ลั ก ู ต รแกนกลางการ ึ ก าขั้ น พื้ น ฐาน พุ ท ธ ั ก ราช ๒๕๕๑ โดยมี เ นื้ อ า าระ
ขอเ นอแนะเกี่ย กับการ อน แน ทางการจัดกิจกรรมใน นัง ือเรียน การ ัดผลประเมินผล
ระ างเรี ยน การ ิเคราะ ค าม อดคลองของแบบฝก ัดทายบทกั บจุดมุง มายประจําบท
ค ามรูเพิ่มเติม ํา รับครูซึ่งเปนค ามรูที่ครูค รทราบนอกเ นือจากเนื้อ าใน นัง ือเรียน
ตั อยางแบบทด อบประจําบทพรอมเฉลย ร มทั้งเฉลยแบบฝก ัด ซึ่ง อดคลองกับ นัง ือ
เรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ ๔ ที่ตองใชค บคูกัน
ท. ังเปนอยางยิ่ง า คูมือครูเลมนี้จะเปนประโยชนตอการจัดการเรียนรู และ
เปน  น ําคัญในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการ ึก ากลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร
ขอขอบคุ ณ ผู ท รงคุ ณ ุ ฒิ บุ ค ลากรทางการ ึ ก าและ น ยงานต า ง ๆ ที่ มี  นเกี่ ย ข อ ง
ในการจัดทําไ  ณ โอกา นี้

(นางพรพรรณไ ทยางกูร)
ผูอําน ยการ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
กระทร ง ึก าธิการ
คําชี้แจง
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี ( ท.) ไดจัดทําตั ชี้ ัดและ าระ
การเรี ย นรู แ กนกลาง กลุ ม าระการเรี ย นรู ค ณิ ต า ตร ( ฉบั บ ปรั บ ปรุ ง พ. . ๒๕๖๐ )
ตาม ลัก ูตรแกนกลางการ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเนนเพื่อตองการพัฒนา
ผูเรียนใ มีค ามรูค าม ามารถที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ไดเรียนรูคณิต า ตรที่เชื่อมโยงค ามรู
กับกระบ นการ ใชกระบ นการ ืบเ าะ าค ามรูและแกปญ าที่ ลาก ลาย มีการทํากิจกรรม
ด ยการลงมือปฏิบัติเพื่อใ ผูเรียนไดใชทัก ะและกระบ นการทางคณิต า ตรและทัก ะแ ง
ต รร ที่ ๒๑ ท. จึงไดจัดทําคูมือครูประกอบการใช นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร
ชั้นมัธยม ึก าปที่ ๔ ที่เปนไปตามมาตรฐาน ลัก ูตร เพื่อเปนแน ทางใ โรงเรียนนําไปจัดการเรียน
การ อนในชั้นเรียน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ ๔ นี้ ประกอบด ยเนื้อ า าระ
ขอเ นอแนะเกี่ ย กั บการ อน แน ทางการจัดกิจกรรมใน นัง ื อเรี ยน การ ั ดผลประเมินผล
ระ างเรี ยน การ ิ เคราะ  ค าม อดคล องของแบบฝ ก ัดท ายบทกับจุ ดมุ ง มายประจํ าบท
ค ามรู เพิ่ มเติ ม ํ า รั บ ครู ซึ่ งเป น ค ามรู ที่ ค รู ค รทราบนอกเ นื อจากเนื้ อ าใน นั ง ื อเรี ย น
ตั อยางแบบทด อบประจําบทพรอมเฉลย ร มทั้งเฉลยแบบฝก ัด ซึ่งครูผู อน ามารถนําไปใช
เปนแน ทางในการ างแผนการจัดการเรียนรูใ บรรลุจุดประ งคที่ตั้งไ  โดย ามารถนําไปจัด
กิจกรรมการเรียนรูไดตามค ามเ มาะ มและค ามพรอมของโรงเรียน ในการจัดทําคูมือครูเลมนี้
ไดรับค ามร มมือเปนอยางดียิ่งจากผูทรงคุณ ุฒิ คณาจารย นัก ิชาการอิ ระ ร มทั้งครูผู อน
นัก ิชาการ จาก ถาบัน และ ถาน ึก าทั้งภาครัฐและเอกชน จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
ท. ังเปนอยางยิ่ง าคูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร เลมนี้ จะเปนประโยชน
แก ผู อน และผู ที่ เ กี่ ย ข อ งทุ ก ฝ า ย ที่ จ ะช ยใ  จั ด การ ึ ก าด า นคณิ ต า ตร ไ ด อ ย า งมี
ประ ิทธิภาพ ากมีขอเ นอแนะใดที่จะทําใ คูมือครูเลมนี้มีค าม มบูรณยิ่งขึ้น โปรดแจง
ท. ทราบด ย จะขอบคุณยิ่ง

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


กระทร ง ึก าธิการ
แนะนําการใชคูมือครู
ใน นัง ือเลมนี้แบงเปน 4 บท ตาม นัง ือเรียน นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร
ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 โดยแตละบทจะมี  นประกอบ ดังนี้

ตั ชี้ ัด

ตั ชี้ ัดระบุ ิ่งที่นักเรียนพึงรูและปฏิบัติได ร มทั้งคุณลัก ณะของผูเรียนในแตละ


ระดับชั้น ซึ่ง ะทอนถึงมาตรฐานการเรียนรู มีค ามเฉพาะเจาะจงและมีค ามเปน
รูปธรรม นําไปใชในการกํา นดเนื้อ า จัดทํา น ยการเรียนรู จัดการเรียนการ อน
และเปนเกณฑ ําคัญ ํา รับการ ัดประเมินผลเพื่อตร จ อบคุณภาพผูเรียน

จุดมุง มาย

เปา มายที่นักเรียนค รไปถึง ลังจากเรียนจบบทนี้

ค ามรูกอน นา

ค ามรูที่นักเรียนจําเปนตองมีกอนที่จะเรียนบทนี้
ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

ประเด็นเกี่ย กับเนื้อ าที่ครูค รเนนย้ํากับนักเรียน ประเด็นเกี่ย กับเนื้อ าที่ครูค ร


ระมัดระ ัง จุดประ งคของตั อยางที่นําเ นอใน นัง ือเรียน เนื้อ าที่ค รทบท น
กอน อนเนื้อ าใ ม และประเด็นเกี่ย กับการ อนที่ครูพึงระลึก

ค ามเขาใจคลาดเคลื่อน

ประเด็นที่นักเรียนมักเขาใจผิดเกี่ย กับเนื้อ า

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับแบบฝก ัด

ประเด็ น ที่ ค รู ค รทราบเกี่ ย กั บ แบบฝ ก ัด เช น จุด มุ ง มายของแบบฝ ก ั ด


ประเด็นที่ครูค รใ ค าม ําคัญในการทําแบบฝก ัดของนักเรียน เนื้อ าที่ค ร
ทบท นกอนทําแบบฝก ัด

กิจกรรมในคูมือครู

กิจกรรมที่คูมือครูเลมนี้เ นอแนะไ ใ ครูนําไปใชในชั้นเรียน ซึ่งมีทั้งกิจกรรมนําเขา


บทเรียน ที่ใชเพื่อตร จ อบค ามรูกอน นาที่จําเปน ํา รับเนื้อ าใ มที่ครูจะ อน
และกิจกรรมที่ใช ํา รับ รางค ามคิดร บยอดในเนื้อ า โดย ลังจากทํากิจกรรม
แล ครูค รเชื่อมโยงค ามคิดร บยอดที่ตองการเนนกับผลที่ไดจากการทํากิจกรรม
กิจกรรมเ ลานี้ครูค ร งเ ริมใ นักเรียนไดลงมือปฏิบัติด ยตนเอง
กิจกรรมใน นัง ือเรียน

กิจกรรมที่นักเรียน ามารถ ึก าเพิ่มเติมไดด ยตนเอง เพื่อช ยพัฒนาทัก ะการ


เรียนรูและน ัตกรรม (learning and innovation skills) ที่จําเปน ํา รับ ต รร ที่ 21
อันไดแก การคิด ราง รรคและน ัตกรรม (creative and innovation) การคิด
แบบมี ิจารณญาณและการแกปญ า (critical thinking and problem solving)
การ ื่อ าร (communication) และการร มมือ (collaboration)

เฉลยกิจกรรมใน นัง ือเรียน

เฉลยคําตอบ รือตั อยางคําตอบของกิจกรรมใน นัง ือเรียน

แน ทางการจัดกิจกรรมใน นัง ือเรียน

ตั อย า งการจั ด กิ จ กรรมใน นั ง ื อ เรี ย น ที่ มี ขั้ น ตอนการดํ า เนิ น กิ จ กรรม


ซึ่งเปดโอกา ใ นักเรียนไดใชและพัฒนาทัก ะและกระบ นการทางคณิต า ตร
ารบัญ บทที่ 1 – 2
บทที่ เนื้อ า นา
บทที่ 1 เซต

1
1

1.1 เนื้อ า าระ 2

1.2 ขอเ นอแนะเกี่ย กับการ อน 4

1.3 การ ัดผลประเมินผลระ างเรียน 15

1.4 การ ิเคราะ แบบฝก ัดทายบท 17

1.5 ค ามรูเพิ่มเติม ํา รับครู 22

1.6 ตั อยางแบบทด อบประจําบทและ 23

เซต เฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท


1.7 เฉลยแบบฝก ัด 35
d

บทที่ 2 ตรรก า ตรเบื้องตน

2
46

2.1 เนื้อ า าระ 47

2.2 ขอเ นอแนะเกี่ย กับการ อน 48

2.3 การ ัดผลประเมินผลระ างเรียน 57

2.4 การ ิเคราะ แบบฝก ัดทายบท 58

2.5 ค ามรูเพิ่มเติม ํา รับครู 62

2.6 ตั อยางแบบทด อบประจําบทและ 63

ตรรก า ตรเบื้องตน เฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท


2.7 เฉลยแบบฝก ัด 67
ารบัญ บทที่ 3 – 4
บทที่ เนื้อ า นา

3
บทที่ 3 ลักการนับเบื้องตน 72

3.1 เนื้อ า าระ 73

3.2 ขอเ นอแนะเกี่ย กับการ อน 74

3.3 แน ทางการจัดกิจกรรมใน นัง ือเรียน 85

3.4 การ ัดผลประเมินผลระ างเรียน 88

3.5 การ ิเคราะ แบบฝก ัดทายบท 89

3.6 ค ามรูเพิ่มเติม ํา รับครู 92

ลักการนับเบื้องตน 3.7 ตั อยางแบบทด อบประจําบทและ 92

เฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท


3.8 เฉลยแบบฝก ัด 97
d

บทที่ 2 ค ามนาจะเปน

4
101

4.1 เนื้อ า าระ 102

4.2 ขอเ นอแนะเกี่ย กับการ อน 103

4.3 แน ทางการจัดกิจกรรมใน นัง ือเรียน 107

4.4 การ ัดผลประเมินผลระ างเรียน 114

4.5 การ ิเคราะ แบบฝก ัดทายบท 115

4.6 ตั อยางแบบทด อบประจําบทและ 119

ค ามนาจะเปน เฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท


4.7 เฉลยแบบฝก ัด 126
ารบัญ
บทที่ เนื้อ า นา
เฉลยแบบฝก ัดและ ิธีทําโดยละเอียด 131
บทที่ 1 เซต 131
บทที่ 2 ตรรก า ตรเบื้องตน 167
บทที่ 3 ลักการนับเบื้องตน 178
บทที่ 4 ค ามนาจะเปน 198

แ ลงเรียนรู
236
เพิ่มเติม

บรรณานุกรม 237

คณะผูจัดทํา 239
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 1

บทที่ 1

เซต

การ ึก าเรื่องเซตมีค าม ําคัญตอ ิชาคณิต า ตรเพราะเปนรากฐานและเครื่องมือที่ ําคัญ


ในการพั ฒ นาองค ค ามรู ใ น ิ ช าคณิ ต า ตร มั ย ใ ม ทุ ก าขา เนื้ อ าเรื่ อ งเซตที่ นํ า เ นอ
ใน นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 มีจุดมุง มายเพื่อใ นักเรียน
เรี ย นรู เ กี่ ย กั บ ั ญ ลั ก ณ แ ละภา าทางคณิ ต า ตร ซึ่ ง เพี ย งพอที่ จ ะใช ใ นการ ื่ อ ารและ
ื่อค าม มายทางคณิต า ตรเพื่อเปนเครื่องมือในการเรียนรูเนื้อ าคณิต า ตรใน ั ขอตอไป
ในบทเรียนนี้มุงใ นักเรียนบรรลุตั ชี้ ัดและจุดมุง มายดังตอไปนี้

ตั ชี้ ัด

เขาใจและใชค ามรูเกี่ย กับเซตและตรรก า ตรเบื้องตน ในการ ื่อ ารและ ื่อค าม มาย


ทางคณิต า ตร

จุดมุง มาย

1. ใช ัญลัก ณเกี่ย กับเซต


2. าผลการดําเนินการของเซต
3. ใชแผนภาพเ นนแ ดงค าม ัมพันธระ างเซต
4. ใชค ามรูเกี่ย กับเซตในการแกปญ า

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

2 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ค ามรูกอ น นา

• ค ามรูเกี่ย กับจําน นและ มการในระดับมัธยม ึก าตอนตน

1.1 เนื้อ า าระ


1. ใน ิชาคณิต า ตร ใชคํา า “เซต” ในการกลา ถึงกลุมของ ิ่งตาง ๆ และเมื่อกลา ถึงกลุม
ใด แล ามารถทราบไดแนนอน า ิ่งใดอยูในกลุม และ ิ่งใดไมอยูในกลุม เรียก ิ่งที่อยูใน
เซต า “ มาชิก” คํา า “เปน มาชิกของ” รือ “อยูใน” เขียนแทนด ย ัญลัก ณ “∈”
คํา า “ไมเปน มาชิกของ” เขียนแทนด ย ัญลัก ณ “∉”
2. การเขียนแ ดงเซตเบื้องตนมี องแบบ คือ แบบแจกแจง มาชิก และแบบบอกเงื่อนไขของ
มาชิก
3. เซตที่ไมมี มาชิก เรียก า “เซต าง” เขียนแทนด ย ัญลั ก ณ “{ }” รือ “∅”
4. เซตที่มีจําน น มาชิกเปนจําน นเต็มบ กใด ๆ รือ ูนย เรียก า “เซตจํากัด” เซตที่ไมใช
เซตจํากัด เรียก า “เซตอนันต”
5. ในการเขียนเซตจะตองกํา นดเซตที่บงบอกถึงขอบเขตของ ิ่งที่จะพิจารณา เรียกเซตนี้ า
“เอกภพ ัมพัทธ” ซึ่งมักเขียนแทนด ย U เอกภพ ัมพัทธที่พบบอย ไดแก
 แทนเซตของจําน นนับ
 แทนเซตของจําน นเต็ม
 แทนเซตของจําน นตรรกยะ
' แทนเซตของจําน นอตรรกยะ
 แทนเซตของจําน นจริง

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 3

6. เซต A เทากับ เซต B มายถึง มาชิกทุกตั ของเซต A เปน มาชิกของเซต B และ


มาชิกทุกตั ของเซต B เปน มาชิกของเซต A เขียนแทนด ย A=B

เซต A ไมเทากับ เซต B มายถึง มี มาชิกอยางนอย นึ่งตั ของเซต A ที่ไมใช มาชิก


ของเซต B รื อ มี มาชิ ก อย า งน อ ย นึ่ ง ตั ของเซต B ที่ ไ ม ใ ช มาชิ ก ของเซต A

เขียนแทนด ย A≠B

7. เซต A เปน ับเซตของเซต B ก็ตอเมื่อ มาชิกทุกตั ของเซต A เปน มาชิกของเซต B

เขียนแทนด ย A⊂ B

เซต A ไมเปน ับเซตของเซต B ก็ตอเมื่อ มี มาชิกอยางนอย นึ่งตั ของเซต A ที่ไม


เปน มาชิกของเซต B เขียนแทนด ย A⊄ B

8. เรียกแผนภาพแ ดงเซต า “แผนภาพเ นน” การเขียนแผนภาพมักจะแทนเอกภพ ัมพัทธ


U ด ยรูป ี่เ ลี่ยมผืนผา รือรูปปดใด ๆ  นเซตอื่น ๆ ซึ่งเปน ับเซตของ U นั้น
อาจเขียนแทนด ย งกลม งรี รือรูปปดใด ๆ
9. การดําเนินการระ างเซต
1) อินเตอรเซกชันของเซต A และ B เขียนแทนด ย A∩ B

โดยที่ A ∩ B = { x x ∈A และ x ∈ B}

2) ยูเนียนของเซต A และ B เขียนแทนด ย A∪ B

โดยที่ A ∪ B = { x x∈A รือ x ∈ B}

3) คอมพลีเมนตของเซต A เมื่อเทียบกับ U รือคอมพลีเมนตของเซต A เขียนแทน


ด ย A′ โดยที่ A′ = { x | x ∈U และ x∉ A}

4) ผลตางระ างเซต A และ B มายถึง เซตที่มี มาชิกอยูในเซต A แตไมอยูในเซต B

เขียนแทนด ย A− B

โดยที่ A − B = { x x∈A และ x ∉ B}

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

4 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

10. มบัติของการดําเนินการของเซต
ใ  A, B และ C เปน ับเซตของเอกภพ ัมพัทธ U จะได
1) A∪ B = B ∪ A

A∩ B = B ∩ A
2) ( A ∪ B) ∪ C = A ∪ ( B ∪ C )
( A ∩ B) ∩ C = A ∩ ( B ∩ C )
3) A ∪ ( B ∩ C ) = ( A ∪ B) ∩ ( A ∪ C )
A ∩ ( B ∪ C ) = ( A ∩ B) ∪ ( A ∩ C )

4) ( A ∪ B )′ = A′ ∩ B′
( A ∩ B )′ = A′ ∪ B′
5) A − B = A ∩ B′
6) A′ = U − A
11. ถาเซต และ C เปนเซตจํากัดใด ๆ ที่มีจําน น มาชิกเปน n ( A) , n ( B ) และ n ( C )
A, B

ตามลําดับ แล
n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C )
+ n( A ∩ B ∩ C)

1.2 ขอเ นอแนะเกี่ย กับการ อน

เซต

ครูอาจนําเขา ูบทเรียนเพื่อใ นักเรียนเขาใจแน คิดเกี่ย กับเซตและ มาชิกของเซต โดยใช


กิจกรรมการจัดกลุม ดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 5

กิจกรรม : การจัดกลุม

ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3 – 4 คน แบบคละค าม ามารถ จากนั้นครูเขียนคําตอไปนี้
บนกระดาน
ญิง จันทร A พุธ
อาทิตย ชาย E อังคาร
ุกร U I พ ั บดี
O เ าร
2. ครูใ น ักเรียนแตละกลุมอภิปราย าจะจัดกลุมคําที่เขียนบนกระดานอยางไร
3. ครูใ ตั แทนนั กเรี ยนแตล ะกลุมนํ าเ นอการจัดกลุมคํา แล ร มกันอภิปรายเกี่ย กับ
กลุมคําที่จัด ในประเด็นตอไปนี้
3.1 จัดกลุมคําไดกี่กลุม พรอมใ เ ตุผลประกอบ
3.2 กลุ มคํ า ที่ กลุ มของตนเองจั ด ได เ มือน รือ แตกต างจากกลุ มคําของเพื่อนกลุมอื่ น
รือไม อยางไร
มายเ ตุ
• แน คํ า ตอบ เช น จั ด เป น 3 กลุ ม ได แ ก กลุ มคํ า ที่แ ดงเพ กลุ ม คํา ที่ แ ดงชื่ อ ั น
ใน นึ่ง ัปดา  และกลุมคําที่แ ดง ระในภา าอังก คําตอบของนักเรียนอาจมีได
ลาก ลาย ขึ้นกับเ ตุผลประกอบคําตอบ
• ครู อ าจเปลี่ ย นเป น คํ า อื่ น ๆ รื อ รู ป ภาพอื่ น ๆ เพื่ อ ใ  นั ก เรี ย น ามารถจั ด กลุ ม
ได ลายแบบ
• ครูอาจจัดกิจกรรมนอก องเรียน เชน ใน นพ ก า ตร แล ใ นักเรียนจัดกลุมพันธุพืช

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

6 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ครู ามารถเชื่อมโยงการจัดกลุมในกิจกรรมนี้กับเนื้อ าเรื่องเซต โดยแตละกลุมคําที่นักเรียนจัด


เปรียบได กับเซต และคําที่อยูในแตล ะกลุมเปรี ยบไดกับ มาชิกของเซต เมื่อนักเรีย นได ึก า
เกี่ย กับการเขียนแ ดงเซตแบบแจกแจง มาชิก และแบบบอกเงื่อนไขของ มาชิกแล ครูอาจใ 
นักเรียนเขียนกลุมของคําในรูปของเซต ทั้งแบบแจกแจง มาชิก และแบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

มาชิกของเซต
ตั อยางที่ 1
ใ  A = {0, 1, 2} จงพิจารณา าขอค ามตอไปนี้เปนจริง รือเท็จ
1) 0 ∈ A
2) {0} ∈ A
3) {1, 2} ∉ A

ตั อย า งนี้ มีไ  เ พื่ อ ร า งค ามเข า ใจเกี่ ย กั บ การเป น มาชิ กของเซต และการใช
ัญลัก ณแทนการเปน มาชิกของเซต โดยเฉพาะอยางยิ่งในขอ 1) และ 2) ครูค รใ 
นักเรียนร มกันอภิปรายทีละขอเกี่ย กับการเปน มาชิก รือไมเปน มาชิกของเซต
ที่กํา นดใ  และอาจใ ตั อยางเพิ่มเติมเพื่อตร จ อบค ามเขาใจของนักเรียน

การเขียนแ ดงเซต
ในการเริ่มตนยกตั อยางการเขียนแ ดงเซตแบบแจกแจง มาชิกนั้น ครูค รเริ่มตน
จากการยกตั อยางเซตที่ า มาชิกของเซตไดงาย เพื่อเปน การใ ค าม ําคัญกับ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 7

การเขี ย นแ ดงเซตแบบแจกแจง มาชิ กมากก  าการคํ าน ณเพื่ อ า มาชิ กของเซต


เชน เซตของพยัญชนะในภา าไทย เซตของจําน นคู เซตของจําน นนับที่นอยก า 5 เซตของ
จําน นเต็มทีย่ กกําลัง องแล ได 16

เอก พ ัมพัทธ
ในการเขียนเซตจะตองกํา นดเซตที่บงบอกถึงขอบเขตของ ิ่งที่จะพิจารณา เรียกเซตนี้ า
เอกภพ ั ม พั ท ธ โดยมี ข อ ตกลง  า เมื่ อ กล า ถึ ง มาชิ ก ของเซตใด ๆ จะไม ก ล า ถึ ง
ิ่งอื่นที่นอกเ นือจาก มาชิกในเอกภพ ัมพัทธ ดังนั้นเอกภพ ัมพัทธจึงมีค าม ําคัญ
ในการพิจารณา มาชิกของเซต โดยเซตที่มีเงื่อนไขเดีย กันแตมีเอกภพ ัมพัทธตางกัน
อาจมี มาชิกตางกัน เชน
A = { x ∈  x 2 = 4} และ B = { x ∈  x 2 = 4}

เขียน A และ B แบบแจกแจง มาชิกไดเปน


A = { 2 } และ B = { − 2, 2 }

เซต าง
• เซต างเปน ับเซตของเซตใด ๆ

ับเซต
• เซต างเปน ับเซตของเซตทุกเซต
• เซตทุกเซตเปน ับเซตของตั เอง
• ไม ามารถ า ับเซตที่เปนไปไดทั้ง มดของเซตอนันต

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

8 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ค ามเขาใจคลาดเคลื่อน

เซตจํากัด
• นักเรียนคิด าเซต างไมใชเซตจํากัด ซึ่งครูค รชี้ใ นักเรียนเ ็น าเซต างเปนเซต
ที่ไมมี มาชิก รือมี มาชิก 0 ตั ดังนั้น เซต างจึงเปนเซตจํากัด
• นั ก เรี ย นเข า ใจ  า { x | x ∈  , 0 ≤ x ≤ 1} เป น เซตจํ า กั ด เนื่ อ งจากเข า ใจ  า
มี มาชิกตั แรกคือ 0 และ มาชิกตั ุดทายคือ 1 ซึ่งครูค รใ นักเรียนพิจารณา
เอกภพ ัมพัทธของเซตนี้ ซึ่งเปนเซตของจําน นจริง จึงได าเซตนี้เปนเซตอนันต

เซต าง
นักเรียน ับ นเกี่ย กับ การใช ั ญลัก ณ แทนเซต าง เชน ใช { ∅ } แทนเซต าง
ซึ่งเปนการใช ัญลัก ณที่ไมถูกตอง ครูค รใ นักเรียนพิจารณาจําน น มาชิกของ
{ ∅ } จะได าเซตนี้มี มาชิก 1 ตั ดังนั้น เซตนี้จึงไมใชเซต าง นอกจากนี้ครูอาจ
ยกตั อยางเปรียบเทียบเซต างกับกลองเปลา โดยเซต างคือเซตที่ไมมี มาชิกและ
กล องเปล า คื อกล องที่ ไ ม มีอะไรบรรจุ อยู ภ ายในเลย แตถ านํากลองเปลาใบที่ นึ่ ง
ใ ลงไปในกลองเปลาใบที่ องแล จะพบ ากลองใบที่ องไมใชกลองเปลาอีกตอไป
เพราะมีกลองเปลาใบแรกบรรจุอยูภายใน

ับเซต
นักเรียนมีค าม ับ นเกี่ย กับค าม มายและ ัญลัก ณที่ใชแทนการเปน มาชิก
ของเซต (∈) และการเปน ับเซต ( ⊂ )

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 9

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับแบบฝก ัด

แบบฝก ัด 1.1ก
2. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก
1) {1, 3, 5, 7, 9}
2) {..., − 2, − 1, 0, 1, 2, ...}
3) {1, 4, 9, 16, 25, 36, ...}
4) {10, 20, 30, ...}
แบบฝก ัดนี้มีคําตอบได ลายแบบ เนื่องจากการเขียนแ ดงเซตแบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก
ามารถเขียนได ลายแบบ ค รใ นักเรียนมีอิ ระในการเขียนเงื่อนไขของ มาชิกของเซต ซึ่ง
เงื่อนไขของนักเรียนไมจําเปนตองตรงกับที่ครูคิดไ 

การดําเนินการระ างเซต

เมื่อนักเรียนมีค ามเขาใจเกี่ย กับการเขียนแผนภาพเ นนแ ดงเซตแล ครูใชกิจกรรมตอไปนี้


เพื่อ รางค ามเขาใจเกี่ย กับค าม มายของอินเตอรเซกชัน ยูเนียน คอมพลีเมนต และผลตาง
ระ างเซต

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

10 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

กิจกรรม : าเพื่อน

ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใ นักเรียนจับคูกัน แล ครูเขียนแผนภาพนี้ลงบนกระดาน

2. ครูใ น ักเรียนแตละคูอภิปรายในประเด็นตอไปนี้
2.1 มาชิกตั ใดบางที่เปน มาชิกของทั้งเซต A และเซต B

2.2 มาชิกตั ใดบางที่เปน มาชิกของเซต A รือเซต B รือทั้ง องเซต


2.3 มาชิกตั ใดบางที่เปน มาชิกของ U แตไมเปน มาชิกของเซต A

2.4 มาชิกตั ใดบางที่เปน มาชิกของ U แตไมเปน มาชิกของเซต B

2.5 มาชิกตั ใดบางที่เปน มาชิกของเซต A แตไมเปน มาชิกของเซต B

2.6 มาชิกตั ใดบางที่เปน มาชิกของเซต B แตไมเปน มาชิกของเซต A

3. ครูและนักเรียนร มกันอภิปรายเกี่ย กับคําตอบที่ไดในขอ 2

ครู ามารถเชื่อมโยงคําตอบที่ไดในกิจกรรมนี้กับเนื้อ าเรื่องการดําเนินการระ างเซต ไดแก


อินเตอรเซกชัน ยูเนียน คอมพลีเมนต และผลตางระ างเซต

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 11

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

ลําดับการดําเนินการระ างเซต
การเขี ย น งเล็ บ มี ค าม ํ า คั ญ กั บ ลํ า ดั บ การดํ า เนิ น การระ  า งเซตในกรณี ที่ มี ก าร
ดํ า เนิ น การต า งชนิ ด กั น เช น ( A ∪ B ) ∩ C มี ลํ า ดั บ การดํ า เนิ น การแตกต า งกั บ
A ∪ ( B ∩ C ) เพื่อไมใ เกิดการ ับ นเกี่ย กับลําดับในการดําเนินการ จึงจําเปนตองใ 

งเล็บเพื่อบอกลําดับการดําเนินการระ างเซตเ มอ

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับแบบฝก ัด

แบบฝก ัด 1.2
3.

จงแรเงาแผนภาพที่กํา นดใ เพื่อแ ดงเซตตอไปนี้


1) A′ 2) B′
3) A′ ∩ B′ 4) ( A ∪ B )′
5) A′ ∪ B′ 6) ( A ∩ B )′
7) A− B 8) A ∩ B′

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

12 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

แบบฝ ก ั ด นี้ มีไ  เ พื่ อเป น ตั อย า งของการแ ดง มบัติของการดํา เนิน การระ างเซต
จากการแรเงาแผนภาพนั ก เรี ย นจะ ั ง เกตเ ็ น  า แผนภาพที่ แ รเงาได ใ นบางข อ เป น
แผนภาพเดีย กันซึ่ง อดคลองกับ มบัติของการดําเนินการระ างเซต

4.

จงแรเงาแผนภาพที่กํา นดใ เพื่อแ ดงเซตตอไปนี้


1) ( A ∪ B) ∪ C 2) A∪(B ∪C)
3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A∩(B ∩C)
5) ( A ∪ B) ∩ C 6) ( A∩C) ∪(B ∩C)
แบบฝก ัดนี้มีไ เพื่อเปนตั อยางของการแ ดง มบัติของการดําเนินการของเซต จากการ
แรเงาแผนภาพนั กเรี ย นจะ ั ง เกตเ ็ น  า แผนภาพที่ แรเงาไดใ นบางขอ เปน แผนภาพ
เดีย กันซึ่ง อดคลองกับ มบัติของการดําเนินการของเซต

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 13

การแกปญ าโดยใชเซต

เมื่อนักเรียนมีค ามเขาใจเกี่ย กับการเขียนแผนภาพเ นนแ ดงเซตและการดําเนินการแล


ครูอาจใชกิจกรรมตอไปนี้เพื่อ รางค ามเขาใจเกี่ย กับค าม มายของอินเตอรเซกชัน ยูเนียน
คอมพลีเมนต และผลตางระ างเซต

กิจกรรม : แรเงา

ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใ นักเรียนจับคูกัน แล ครูเขียนแผนภาพนี้ลงบนกระดาน

2. ครู ถามนั กเรี ย น าจําน น มาชิกของเซต A เปนเทาใด เมื่อนั กเรี ย นตอบไดแล


ใ ค รูแนะนํา าจําน น มาชิกของเซต A เขียนแทนด ย n ( A)
3. ครูใ น ักเรียนแตละคู า
3.1 n ( B )
3.2 n ( A ∪ B )
3.3 n ( A ∩ B )
4. ครู ใ  นั ก เรี ย นแต ล ะคู พิ จ ารณา  า n ( A ∪ B ) มี ค าม ั ม พั น ธ กั บ n ( A) , n ( B ) และ
n ( A ∩ B ) อยางไร โดยครูอาจใ น  ักเรียนพิจารณาจากแผนภาพ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

14 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

5. จากแผนภาพตอไปนี้

ครู ใ  นั ก เรี ย นแรเงาเซต A จากนั้ น แรเงาเซต B โดยใช อี ก ี นึ่ ง และใ  นั ก เรี ย น


พิจารณา า
5.1  นที่แรเงาทั้ง มดแทนเซตใด
5.2  นที่แรเงา 2 ครัง้ แทนเซตใด
5.3 จากการแรเงา n ( A ∪ B ) มี ค าม ั ม พั น ธ กั บ n ( A) , n ( B ) และ n ( A ∩ B )
อยางไร

ครู ามารถเชื่อมโยงคําตอบที่ไดในกิจกรรมนี้กับเนื้อ าเรื่องการแกปญ าโดยใชเซต ในการ า


จําน น มาชิกของเซต A∪ B และครูยัง ามารถทํากิจกรรมในทํานองเดีย กันนี้ในการ า
จําน น มาชิกของเซต A∪ B ∪C

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

• ในการแกปญ าโดยใชเซตนั้น ครูอาจเ นอแนะใ นักเรียนใช ิธีเขียนแผนภาพแ ดง


เซตเพื่อช ยในการ าคําตอบ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 15

• ตั เลขที่แ ดงในแผนภาพแ ดงเซตอาจ มายถึง มาชิกของเซต รือจําน น มาชิกของเซต


ดังนั้น ครูค รเนนใ นักเรียนมีค ามเขาใจที่ชัดเจน

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับแบบฝก ัด

แบบฝก ัดทายบท
2. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก
1) {1, 4, 7, 10, 13}
2) {−20, − 19, − 18,  , − 10}
3) {5, 9, 13, 17, 21, 25, }
4) {1, 8, 27, 64, 125, 216, }
แบบฝก ัดนี้มีคําตอบได ลายแบบ เนื่องจากการเขียนแ ดงเซตแบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก
ามารถเขียนได ลายแบบ ค รใ นักเรียนมีอิ ระในการเขียนเงื่อนไขของ มาชิกของเซต ซึ่ง
เงื่อนไขของนักเรียนไมจําเปนตองตรงกับที่ครูคิดไ 

1.3 การ ัดผลประเมินผลระ างเรียน


การ ัดผลระ างเรียนเปนการ ัดผลการเรียนรูเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการ อน และ
ตร จ อบนักเรี ยนแต ละคน า มีค ามรู ค ามเขาใจในเรื่องที่ครู อนมากนอยเพีย งใด การใ 
นักเรียนทําแบบฝก ัดเปนแน ทาง นึ่งที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานค ามรูระ างเรียนของ
นักเรียน ซึ่ง นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ไดนําเ นอแบบฝก ัด
ที่ครอบคลุมเนื้ อ าที่ ํ าคั ญของแตละบทไ  ํา รับในบทที่ 1 เซต ครูอาจใชแบบฝก ัดเพื่อ
ัดผลประเมินผลค ามรูในแตละเนื้อ าไดดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

16 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

เนื้อ า แบบฝก ัด

ค าม มายของเซต มาชิกของเซต จําน น มาชิกของเซต 1.1ก ขอ 3, 4, 5


เซต าง เอกภพ ัมพัทธ
การเขียนแ ดงเซตแบบแจกแจง มาชิกและแบบบอกเงื่อนไข 1.1ก ขอ 1, 2
ของ มาชิก
เซตจํากัดและเซตอนันต 1.1ก ขอ 6
เซตที่เทากัน 1.1ก ขอ 7, 8
ับเซต 1.1ข ขอ 1 – 4
การเขียนแผนภาพเ นนแ ดงเซต 1.1ค ขอ 1, 2, 3
การดําเนินการระ างเซต 1.2ก ขอ 1 – 6
(อินเตอรเซกชัน ยูเนียน คอมพลีเมนต ผลตางระ างเซต)
การแกปญ าโดยใชเซต 1.3ก ขอ 1 – 9

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 17

1.4 การ ิเคราะ แบบฝก ัดทายบท


นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 มีจุดมุง มาย าเมื่อนักเรียน
ไดเรียนจบบทที่ 1 เซต แล นักเรียน ามารถ
1. ใช ัญลัก ณเกี่ย กับเซต
2. าผลการดําเนินการของเซต
3. ใชแผนภาพเ นนแ ดงค าม ัมพันธระ างเซต
4. ใชค ามรูเกี่ย กับเซตในการแกปญ า
ซึ่ง นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ไดนําเ นอแบบฝก ัดทายบท
ที่ประกอบด ยโจทยเพือ่ ตร จ อบค ามรู ลังเรียน โดยมี ัตถุประ งคเพื่อ ัดค ามรูค ามเขาใจ
ของนักเรียนตามจุดมุง มาย ซึ่งประกอบด ยโจทยฝกทัก ะที่มีค ามนา นใจและโจทยทาทาย
ครูอาจเลือกใชแบบฝก ัดทายบท ัดค ามรูค ามเขาใจของนักเรียนตามจุดมุง มายของบทเพื่อ
ตร จ อบ านักเรียนมีค าม ามารถตามจุดมุง มายเมื่อเรียนจบบทเรียน รือไม

ทั้งนี้ แบบฝก ัดทายบทแตละขอใน นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4


บทที่ 1 เซต อดคลองกับจุดมุง มายของบทเรียน ดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

18 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

จุดมุง มาย

ขอ ใชแผน าพ
ขอ าผลการ ใชค ามรู
ยอย ใช ัญลัก ณ เ นนแ ดง
ดําเนินการ เกี่ย กับเซต
เกี่ย กับเซต ค าม ัมพันธ
ของเซต ในการแกปญ า
ระ างเซต

1. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

2. 1) 

2) 

3) 

4) 

3. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

4. 1) 

2) 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 19

จุดมุง มาย

ขอ ใชแผน าพ
ขอ าผลการ ใชค ามรู
ยอย ใช ัญลัก ณ เ นนแ ดง
ดําเนินการ เกี่ย กับเซต
เกี่ย กับเซต ค าม ัมพันธ
ของเซต ในการแกปญ า
ระ างเซต

3) 

4) 

5) 

6) 

5. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

6) 

6. 1)  

2)  

3)  

7. 1) 

2) 

3) 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

20 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

จุดมุง มาย

ขอ ใชแผน าพ
ขอ าผลการ ใชค ามรู
ยอย ใช ัญลัก ณ เ นนแ ดง
ดําเนินการ เกี่ย กับเซต
เกี่ย กับเซต ค าม ัมพันธ
ของเซต ในการแกปญ า
ระ างเซต

8. 1) 

2)

3)

4)

5) 

6) 

7) 

9. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

6) 

7) 

8) 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 21

จุดมุง มาย

ขอ ใชแผน าพ
ขอ าผลการ ใชค ามรู
ยอย ใช ัญลัก ณ เ นนแ ดง
ดําเนินการ เกี่ย กับเซต
เกี่ย กับเซต ค าม ัมพันธ
ของเซต ในการแกปญ า
ระ างเซต

10. 1) 

2) 

3) 

11. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

12. 

13. 

14. 

15. 

16. 

17. 

18. 1) 

2) 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

22 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

จุดมุง มาย

ขอ ใชแผน าพ
ขอ าผลการ ใชค ามรู
ยอย ใช ัญลัก ณ เ นนแ ดง
ดําเนินการ เกี่ย กับเซต
เกี่ย กับเซต ค าม ัมพันธ
ของเซต ในการแกปญ า
ระ างเซต

3) 

19. 

20. แบบฝก ัดทาทาย

1.5 ค ามรูเพิ่มเติม ํา รับครู


• เซตอนันต จําแนกไดเปน 2 แบบ คือ
แบบที่ 1 เปนเซตอนันตนับได (countable infinite) เชน เซตของจําน นนับ
เซตของจําน นเต็ม เซตของจําน นตรรกยะ { x ∈  −
x ≤1 }
{ x ∈  x ≠ 0}
แบบที่ 2 เปนเซตอนันตนับไมได (uncountable infinite) เชน เซตของจําน นจริง
{ x ∈  1 < x < 2 } ซึ่งเซตเ ลานี้ไม ามารถเขียนแจกแจง มาชิกทั้ง มดได
• มบัติของการดําเนินการของเซต
มบัติของการดําเนินการของเซตเทียบเคียงไดกับ มบัติบางขอใน ัจพจนเชิงพีชคณิต
ของระบบจําน นจริง ดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 23

ใ  A, B และ C เปน ับเซตของเอกภพ ัมพัทธ U จะได


1) มบัติการ ลับที่
A∪ B = B ∪ A

A∩ B = B ∩ A

2) มบัติการเปลี่ยน มู
( A ∪ B) ∪ C = A ∪ ( B ∪ C )
( A ∩ B) ∩ C = A ∩ ( B ∩ C )
3) มบัติการแจกแจง
A ∪ ( B ∩ C ) = ( A ∪ B) ∩ ( A ∪ C )
A ∩ ( B ∪ C ) = ( A ∩ B) ∪ ( A ∩ C )

1.6 ตั อยางแบบทด อบประจําบทและเฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท


ใน  นนี้จะนําเ นอตั อยางแบบทด อบประจําบทที่ 1 เซต ํา รับราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร
ชั้ น มั ธ ยม ึ ก าป ที่ 4 ซึ่ งครู ามารถเลื อกนํา ไปใชไดตามจุด ประ งคการเรีย นรูที่ตองการ
ัดผลประเมินผล

ตั อยางแบบทด อบประจําบท
1. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบแจกแจง มาชิก
1) เซตของจําน นเฉพาะที่อยูระ าง 0 และ 20
2) {x ∈  }
2 x2 − x − 3 = 0

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

24 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

2. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก
1) 1 1 1 
 , , , 1, 2, 4 
8 4 2 
2) { 0.1, 0.2, 0.3, 0.4, }
3. ใ  A = { a , b, c , { d } } จงพิจารณา าขอค ามตอไปนี้เปนจริง รือเท็จ
1) a∈ A 2) {d } ∉ A
3) { {d } } ⊂ A 4) { a, b } ∈ A
4. จง าจําน น มาชิกของเซตตอไปนี้
1) {{1, 2, 3, …}}
2) {x ∈  x 2 < 150 }
5. กํา นดใ  A, B เปนเซตอนันต และ A≠B จงพิจารณา าขอค ามตอไปนี้เปนจริง
รือเท็จ ถาเปนเท็จจงยกตั อยางคาน
1) A∩ B เปนเซตอนันต
2) A∩ B เปนเซตจํากัด
3) A− B เปนเซตอนันต
4) A− B เปนเซตจํากัด
6. กํา นดใ  A = {a, b, c, d , e}

1) จง าจําน น ับเซตของ A ที่มี a เปน มาชิก


2) จง าจําน น ับเซตของ A ที่ไมมี a เปน มาชิก
3) จง าจําน น ับเซตของ A ที่มี a รือ b เปน มาชิก
7. ใ  A, B และ C เปนเซตใด ๆ ที่ไมใชเซต าง จงเขียนแผนภาพแ ดงเซตตอไปนี้
1) ( A ∪ C ) ∪ ( B − A)
2) (( A − B ) − ( A − C )) ∪ ( B − ( A ∪ C ))
8. จงพิจารณา า ( A − B ) ∪ ( B − A) และ ( A ∪ B ) − ( A ∩ B ) เทากัน รือไม

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 25

9. ถา A มีจําน น มาชิกมากก า B อยู 1 ตั และ n ( A ∪ B ) + n ( A ∩ B ) = 75


จง าจําน น มาชิกของ A

10. กํา นดใ  U = {1, 2, , 100} จง าจําน น มาชิกของ U ที่เปนจําน นคูแต ารด ย 3
ไมลงตั
11. กํา นดใ  U = {1, 2, , 60} จง าจําน น มาชิกของ U ที่ ารด ย 3 ลงตั รือ าร
ด ย 4 ลงตั รือ ารด ย 5 ลงตั
12. ใน องเรียน นึ่งมีนักเรียนที่เลี้ยง ุนัข 32 คน มีนักเรียนที่เลี้ยงแม 25 คน และมีนักเรียนที่
เลี้ยง ุนัข รือแม เพียงชนิดเดีย 47 คน จง าจําน นของนักเรียนที่เลี้ยงทั้ง ุนัขและแม
13. ในการ ําร จงานอดิเรกของคน 140 คน พบ า
72 คน ชอบดูภาพยนตร
65 คน ชอบออกกําลังกาย
58 คน ชอบอาน นัง ือ
23 คน ชอบดูภาพยนตรและออกกําลังกาย
18 คน ชอบดูภาพยนตรและอาน นัง ือ
40 คน ชอบออกกําลังกายและอาน นัง ือ
10 คน ไม นใจงานอดิเรกขางตน
จง าจําน นคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอาน นัง ือ
14. ในงานเลี้ยงแ ง นึ่งมีผูเขาร มงาน 200 คน โดยที่ทุกคนชอบรับประทานกุง ปลา รือปู
จากการ ําร จปรากฏ ามีคนที่ชอบรับประทานกุง ปลา และปู 63% , 42% และ 55%
ตามลําดับ มีคนที่ชอบรับประทานกุงและปลา 24% ชอบรับประทานปลาและปู 17%

และชอบรับประทานทั้ง ามอยาง 9% จง าจําน นของคนที่ชอบรับประทานทั้งกุงและปู


15. ในการ ําร จขอมูลเกี่ย กับการทองเที่ย ของนักทองเที่ย ชา ตางชาติจําน น 500 คน
พบ านักทองเที่ย ทุกคนเคยไปเชียงใ ม กระบี่ รือชลบุรี โดยมีนักทองเที่ย ที่เคยไป
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต

26 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ทั้งเชียงใ ม กระบี่ และชลบุรี จําน น 39 คน เคยไปเชียงใ มและกระบี่เทานั้น 78 คน


เคยไปเชียงใ มและชลบุรีเทานั้น 96 คน เคยไปกระบี่และชลบุรีเทานั้น 111 คน และมี
คนที่ไมเคยไปกระบี่ 208 คน จง าจําน นคนที่เคยไปกระบี่เพียงจัง ัดเดีย

เฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท


1. 1) {2, 3, 5, 7, 11, 13, 17, 19}
2) จาก 2 x2 − x − 3 = 0

( 2 x − 3)( x + 1) = 0
3
นั่นคือ x= รือ x = −1
2
3
เนื่องจาก ไมเปนจําน นเต็ม จึงได −1 เปนคําตอบของ มการ
2
ดังนั้น เขียน { x ∈  2 x2 − x − 3 = 0 } แบบแจกแจง มาชิกไดเปน {−1}
2. 1) {x x = 2n − 4 เมื่อ n∈ และ n ≤ 6}
n
2) {x x=
10
เมื่อ n ∈ }

3. 1) จริง 2) เท็จ
3) จริง 4) เท็จ
4. 1) เนือ่ งจาก {{1, 2, 3, …}} มี มาชิก คือ {1, 2, 3, …}
ดังนั้น {{1, 2, 3, …}} มีจําน น มาชิก 1 ตั
2) เนื่องจาก { x ∈  }
x 2 < 150 = {−12, − 11, … , 0, 1, … , 12}

นั่นคือ {x ∈  x 2 < 150 } มี มาชิก คือ −12, − 11, … , 0, 1, … , 12


ดังนั้น {−12, − 11, … , 0, 1, … , 12} มีจําน น มาชิก 25 ตั

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 27

5. 1) เปนเท็จ เชน เมื่อ A เปนเซตของจําน นคู และ B เปนเซตของจําน นคี่


จะได A∩ B = ∅ ซึ่ง ∅ เปนเซตจํากัด
ดังนั้น A∩ B ไมเปนเซตอนันต
2) เปนเท็จ เชน เมื่อ A= และ B=

จะได A∩ B =  ซึ่ง  เปนเซตอนันต


ดังนั้น A∩ B ไมเปนเซตจํากัด
3) เปนเท็จ เชน เมื่อ A =  ∪ {0} และ B=

จะได A − B = {0} ซึ่ง {0} เปนเซตจํากัด


ดังนั้น A− B ไมเปนเซตอนันต
4) เปนเท็จ เชน เมื่อ A= และ B เปนเซตของจําน นคี่
จะได A− B คือเซตของจําน นคู ซึ่งเซตของจําน นคูเ ปนเซตอนันต
ดังนั้น A− B ไมเปนเซตจํากัด
6. จาก A = {a, b, c, d , e}

จะได ับเซตของ A ที่มี มาชิก 0 ตั ไดแก ∅

ับเซตของ A ที่มี มาชิก 1 ตั ไดแก {a} , {b} , {c} , {d } , {e}


ับเซตของ A ที่มี มาชิก 2 ตั ไดแก {a, b} , {a, c} , {a, d } , {a, e} , {b, c} ,
{b, d } , {b, e} , {c, d } , {c, e} และ {d , e}
ับเซตของ A ที่มี มาชิก 3 ตั ไดแก {a, b, c} , {a, b, d } , {a, b, e} , {a, c, d } ,
{a, c, e} ,{a, d , e} , {b, c, d } , {b, c, e} ,
{b, d , e} และ {c, d , e}
ับเซตของ A ที่มี มาชิก 4 ตั ไดแก {a, b, c, d } , {a, b, c, e} , {a, b, d , e} ,
{a, c, d , e} และ {b, c, d , e}
ับเซตของ A ที่มี มาชิก 5 ตั ไดแก {a, b, c, d , e}
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต

28 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

1) ับเซตของ A ที่มี a เปน มาชิก มีอยู 16 ับเซต


2) ับเซตของ A ที่ไมมี a เปน มาชิก มีอยู 32 − 16 = 16 ับเซต
3) ใ  S เปนเซตของ ับเซตของ A ที่มี a เปน มาชิก
T เปนเซตของ ับเซตของ A ที่มี b เปน มาชิก
จะได n ( S ) = 16, n (T ) = 16 และ n ( S ∩ T ) = 8
จาก n(S ∪T ) = n ( S ) + n (T ) − n ( S ∩ T )
= 16 + 16 − 8
= 24
ดังนั้น ับเซตของ A ที่มี a รือ b เปน มาชิก มีอยู 24 ับเซต
7. 1) เขียนแผนภาพแ ดง ( A − B ) ∪ ( B − A) ไดดังนี้

2) เขียนแผนภาพแ ดง ( ( A − B ) − ( A − C ) ) ∪ ( B − ( A ∪ C ) )

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 29

8. เขียนแผนภาพแ ดง ( A − B ) ∪ ( B − A) และ ( A ∪ B ) − ( A ∩ B ) ไดดังนี้

( A − B ) ∪ ( B − A) ( A ∪ B) − ( A ∩ B)
จากแผนภาพ จะได า ( A − B ) ∪ ( B − A) = ( A ∪ B ) − ( A ∩ B )
ดังนั้น ( A − B ) ∪ ( B − A) และ ( A ∪ B ) − ( A ∩ B ) เทากัน
9. จาก n( A ∪ B) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )

จะได n( A ∪ B) + n( A ∩ B) = n ( A) + n ( B )

เนื่องจาก n ( A ∪ B ) + n ( A ∩ B ) = 75 และ n ( B ) = n ( A) − 1
นั่นคือ 75 = n ( A ) +  n ( A ) − 1

2  n ( A )  = 76

จะได n ( A) = 38

ดังนั้น จําน น มาชิกของ A คือ 38

10. ใ  A แทนเซตของจําน นที่เปน มาชิกของ U ซึ่งเปนจําน นคู จะได n ( A) = 50


B แทนเซตของจําน นที่เปน มาชิกของ U ซึ่ง ารด ย 3 ลงตั จะได n ( B ) = 33
A∩ B แทนเซตของจําน นที่เปน มาชิกของ U ซึ่งเปนจําน นคูและ ารด ย 3 ลงตั
เนื่องจาก จําน นคูที่ ารด ย 3 ลงตั คือ จําน นที่ ารด ย 6 ลงตั
จะได n ( A ∩ B ) = 16
ดังนั้น จําน น มาชิกของ U ซึ่งเปนจําน นคูที่ ารด ย 3 ไมลงตั มีอยู
n ( A ) − n ( A ∩ B ) = 50 − 16 = 34 ตั

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

30 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

11. ใ  A แทนเซตของจําน นที่เปน มาชิกของ U ซึ่ง ารด ย 3 ลงตั


B แทนเซตของจําน นที่เปน มาชิกของ U ซึ่ง ารด ย 4 ลงตั
C แทนเซตของจําน นที่เปน มาชิกของ U ซึ่ง ารด ย 5 ลงตั
จะได A = { 3, 6,  , 60 } นั่นคือ n ( A) = 20
B = { 4, 8,  , 60 } นั่นคือ n ( B ) = 15

C = { 5, 10,  , 60 } นั่นคือ n ( C ) = 12

ใ  A∩ B แทนเซตของจําน นที่เปน มาชิกของ U ซึ่ง ารด ย 3 และ 4 ลงตั


A∩C แทนเซตของจําน นที่เปน มาชิกของ U ซึ่ง ารด ย 3 และ 5 ลงตั
B ∩C แทนเซตของจําน นที่เปน มาชิกของ U ซึ่ง ารด ย 4 และ 5 ลงตั
A∩ B ∩C แทนเซตของจําน นที่เปน มาชิกของ U ซึ่ง ารด ย 3 และ 4 และ 5 ลงตั
จะได A ∩ B = { 12, 24, 36, 48, 60 } นั่นคือ n ( A ∩ B ) = 5
A ∩ C = { 15, 30, 45, 60 } นั่นคือ n ( A ∩ C ) = 4
B ∩ C = { 20, 40, 60 } นั่นคือ n ( B ∩ C ) = 3
A ∩ B ∩ C = { 60 } นั่นคือ n ( A ∩ B ∩ C ) = 1
ิธีที่ 1 เขียนแผนภาพแ ดงจําน น มาชิกของ A, B และ C ไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 12 + 8 + 6 + 4 + 3 + 2 + 1 = 36
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 31

ดังนั้น จําน น มาชิกของ U ที่ ารด ย 3 ลงตั รือ ารด ย 4 ลงตั รือ าร
ด ย 5 ลงตั มีอยู 36 ตั
ิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )

−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 20 + 15 + 12 − 5 − 4 − 3 + 1
= 36
ดังนั้น จําน น มาชิกของ U ที่ ารด ย 3 ลงตั รือ ารด ย 4 ลงตั รือ าร
ด ย 5 ลงตั มีอยู 36 ตั
12. ใ  A แทนเซตของนักเรียนที่เลี้ยง ุนัข จะได n ( A) = 32
B แทนเซตของนักเรียนที่เลี้ยงแม จะได n ( B ) = 25
x แทนจําน นนักเรียนที่เลี้ยงทั้ง ุนัขและแม
เขียนแผนภาพแ ดงจําน น มาชิกของ A และ B ไดดังนี้

เนื่องจาก มีนักเรียนที่เลี้ยง ุนัข รือแม เพียงชนิดเดีย 47 คน

จะได ( 32 − x ) + ( 25 − x ) = 47
57 − 2x = 47
2x = 10
x = 5
ดังนั้น จําน นของนักเรียนทีเ่ ลี้ยงทั้ง ุนัขและแม เทากับ 5 คน

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

32 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

13. ใ  A แทนเซตของคนที่ชอบดูภาพยนตร จะได n ( A) = 72


B แทนเซตของคนทีช่ อบออกกําลังกาย จะได n ( B ) = 65
C แทนเซตของคนทีช่ อบอาน นัง ือ จะได n ( C ) = 58
A∩ B แทนเซตของคนที่ชอบดูภาพยนตรและออกกําลังกาย จะได n ( A ∩ B ) = 23
A∩C แทนเซตของคนที่ชอบดูภาพยนตรและอาน นัง ือ จะได n ( A ∩ C ) = 18
B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบออกกําลังกายและอาน นัง ือ จะได n ( B ∩ C ) = 40
( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของคนที่ไมชอบงานอดิเรกขางตนเลย
จะได n ( A ∪ B ∪ C )′ = 10 นั่นคือ n ( A ∪ B ∪ C ) = 140 − 10 = 130
ิธีที่ 1 ใ  x แทนจําน นคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอาน นัง ือ
เขียนแผนภาพแ ดงจําน น มาชิกของ A, B และ C ไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได
( 31 + x ) + ( 23 − x ) + ( 2 + x ) + (18 − x ) + x + ( 40 − x ) + x = 130
x + 114 = 130
x = 16
ดังนั้น มีคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอาน นัง ือ 16 คน

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 33

ิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )

−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได 130 = 72 + 65 + 58 − 23 − 18 − 40 + n ( A ∩ B ∩ C )

นั่นคือ n ( A ∩ B ∩ C ) = 16
ดังนั้น มีคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอาน นัง ือ 16 คน
14. ใ  A แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานกุง
B แทนเซตของคนทีช่ อบรับประทานปลา
C แทนเซตของคนทีช่ อบรับประทานปู
A∩ B แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานกุงและปลา
B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานปลาและปู
A∩ B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานทั้ง ามอยาง
63
จะได n ( A) = × 200 = 126
100
42
n( B) = × 200 = 84
100
55
n (C ) = × 200 = 110
100
24
n( A ∩ B) = × 200 = 48
100
17
n(B ∩ C) = × 200 = 34
100
9
n( A ∩ B ∩ C) = × 200 = 18
100
A∪ B ∪C แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานกุง ปลา รือปู
เนื่องจาก มีคนมาร มงานทั้ง มด 200 คน โดยแตละคนชอบรับประทานกุง ปลา รือปู
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 200
จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต

34 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได 200 = 126 + 84 + 110 − 48 − n ( A ∩ C ) − 34 + 18

นั่นคือ n ( A ∩ C ) = 56

ดังนั้น มีคนที่ชอบรับประทานทั้งกุงและปู 56 คน
15. ใ  A แทนเซตของนักทองเที่ย ที่เคยไปเชียงใ ม
B แทนเซตของนักทองเที่ย ที่เคยไปกระบี่
C แทนเซตของนักทองเที่ย ที่เคยไปชลบุรี
ใ  a แทนจําน นนักทองเที่ย ที่เคยไปเชียงใ มเพียงจัง ัดเดีย
b แทนจําน นนักทองเที่ย ที่เคยไปกระบี่เพียงจัง ัดเดีย
c แทนจําน นนักทองเที่ย ที่เคยไปชลบุรีเพียงจัง ัดเดีย
เขียนแผนภาพแ ดงไดดังนี้

เนื่องจากมีนักทองเที่ย ที่ไมเคยไปกระบี่ 208 คน


จากแผนภาพ จะได า a + c + 96 = 208 นั่นคือ a + c = 112

จะได b = 500 − (112 + 78 + 96 + 111 + 39 ) = 64

ดังนั้น จําน นคนที่เคยไปกระบี่เพียงจัง ัดเดีย มี 64 คน

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 35

1.7 เฉลยแบบฝก ัด
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 แบงการเฉลยแบบฝก ัดเปน 2  น
คื อ  นที่ 1 เฉลยคํ า ตอบ และ  นที่ 2 เฉลยคํา ตอบพรอม ิ ธีทําอยางละเอีย ด ซึ่ง เฉลย
แบบฝก ัดที่อยูใน  นนี้เปนการเฉลยคําตอบของแบบฝก ัด โดยไมไดนําเ นอ ิธีทํา อยางไรก็ตาม
ครู ามารถ ึก า ิธีทําโดยละเอียดของแบบฝก ัดไดใน  นทายของคูมือครูเลมนี้

แบบฝก ัด 1.1ก
1. 1) { a, e, i, o, u } 2) { 2, 4, 6, 8 }
3) { 10, 11, 12,  , 99 } 4) { 101, 102, 103,  }
5) { − 99, − 98, − 97,  , − 1} 6) { 4, 5, 6, 7, 8, 9 }
7) ∅ 8) ∅
9) { − 14, 14 }
10) {ชลบุร,ี ชัยนาท, ชัยภูมิ, ชุมพร, เชียงราย, เชียงใ ม}

2. 1) ตั อยางคําตอบ {x | x เปนจําน นคี่บ กที่นอยก า 10 }


รือ {x∈ | x เปนจําน นคี่ตั้งแต 1 ถึง 9 }
2) ตั อยางคําตอบ {x | x เปนจําน นเต็ม }
3) ตั อยางคําตอบ {x∈ | x มีรากที่ องเปนจําน นเต็ม }
รือ { x | x = n2 และ n เปนจําน นนับ }
4) ตั อยางคําตอบ {x∈ | x ารด ย ิบลงตั }

รือ { x | x = 10n และ n เปนจําน นนับ }

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

36 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3. 1) 1 ตั 2) 5 ตั

3) 7 ตั 4) 9 ตั
5) 0 ตั

4. 1) เปนเท็จ 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ
5. 1) เปนเซต าง 2) ไมเปนเซต าง
3) ไมเปนเซต าง 4) เปนเซต าง
5) ไมเปนเซต าง
6. 1) เซตอนันต 2) เซตจํากัด
3) เซตอนันต 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต 6) เซตอนันต
7. 1) A ≠ Bจ 2) A≠B

3) A=B จ 4) A=B

5) A≠B จ
8. A=D จ

แบบฝก ัด 1.1ข
1. 1) ถูก 2) ผิด
3) ผิด 4) ถูก
5) ถูก 6) ผิด
2. A ⊂ B, C ⊂ A, C ⊂ B จ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 37

3. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนจริง
4. 1) ∅ และ { 1}
2) ∅ , { 1} , { 2 } และ { 1, 2 }
3) ∅ , { − 1 } , { 0 } , { 1 } , {−1, 0 } , {−1, 1 } , { 0, 1 } และ {−1, 0, 1}
4) ∅ , { x }, { y } และ { x , y }
5) ∅ , { a } , { b } , { c } , { a , b } , { a , c } , { b, c } และ { a , b , c }
6) ∅

แบบฝก ัด 1.1ค
1.

2. 1) 2)

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

38 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3)

3. 1) 1 ตั (คือ a )

2) 2 ตั (คือ d และ e)

3) 3 ตั (คือ x , y และ z)

แบบฝก ัด 1.2
1. 1) A ∪ B = { 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 } ก 2) A ∩ B = { 0, 2 }

3) A − B = { 1, 8 } ก 4) B − A = { 4, 7, 9 }

5) A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9 } ก 6) B′ = { 1, 3, 5, 6, 8 }

7) A ∪ B′ = { 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8 } ก 8) A′ ∩ B = { 4, 7, 9 }

2. 1) A∩ B = ∅ ก 2) B ∪ C = { 1, 3, 4, 5, 6, 7 }

3) B ∩ C = { 3, 5 } 4) A ∩ C = { 4, 6 }
5) C ′ = { 0, 1, 2, 7, 8 } 6) C ′ ∩ A = { 0, 2, 8 }
7) C ′ ∩ B = { 1, 7 } 8) ( A ∩ B ) ∪ B = { 1, 3, 5, 7 }

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 39

3. 1) A′ 2) B′ d

3) A′ ∩ B′ 4) ( A ∪ B )′ s

5) A′ ∪ B′ 6) ( A ∩ B )′ s

7) A− B 8) A ∩ B′ d

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

40 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

4. 1) ( A ∪ B) ∪ C 2) A∪(B ∪C) d

3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A∩(B ∩C) s

5) ( A∩C) ∪(B ∩C) 6) ( A ∪ B) ∩ C s

5. 1) A∩C ก 2) C ∪ B′

3) B−A ก

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 41

6. 1) ∅ ก 2) A

3) ∅ ก 4) U

5) U ก 6) ∅

7) A′ ก 8) ∅

แบบฝก ัด 1.3
1. ก
เซต A− B B−A A∪ B A′ B′ ( A ∪ B )′

จําน น มาชิก 34 19 59 60 75 41

2. 1) n ( A ∪ B ) = 42 2) n ( A − B ) = 12 ก
3) n ( A′ ∩ B′ ) = 8 ป
3. 1) n ( A ∪ C ) = 40 2) n ( A ∪ B ∪ C ) = 43 ก
3) n ( A ∪ B ∪ C )′ = 7 ก 4) n ( B − ( A ∪ C )) = 3 ก
5) n (( A ∩ B ) − C ) = 7 ก
4. n( A ∩ B) = 6 ก
5. n ( B ) = 60 ก

6. 10 คน

7. 152 คน คิดเปนรอยละ 48.72 ของจําน นผู ูบบุ รี่ทั้ง มด


8. 100 คน

9. 2,370 คน

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

42 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

แบบฝก ัดทายบท

1. 1) { 48 } ด 2) ∅

3) { 5, 10, 15, } ด 4) { − 2, 0, 2 }
5) { 1, 2, 3,  , 10 } ด
2. 1) ตั อยางคําตอบ { x | x = 3n − 2 เมื่อ n∈ และ 1 ≤ n≤ 5}

2) ตั อยางคําตอบ { x∈  | − 20 ≤ x ≤ − 10 }
3) ตั อยางคําตอบ { x | x = 4n + 1 เมื่อ n∈ }
4) ตั อยางคําตอบ { x | x = n เมื่อ n∈ } 3

3. 1) เซตจํากัด 2) เซตอนันต
3) เซตจํากัด 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต
4. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ 4) เปนจริง
5) เปนจริง 6) เปนเท็จ
5. 1) A จ 2) ∅

3) U จ 4) A

5) A จ 6) U

6. 1) A ∪ B = A ∪ ( B − A) จ 2) A ∩ B′ = A − ( A ∩ B )

3) A′ ∩ B′ = U − ( A ∪ B ) จ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 43

7. 1) A′ ∩ B ก จ 2) ( A ∩ B′ )′

3) ( A ∪ B′ )′ ก

8. 1) A ∪ ( A − B) ก 2) ( A′ ∩ B ) ∩ C

3) ( A − B )′ ∩ C ก 4) A ∪ (C′ − B )

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต

44 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

5) ( A ∩ B′ ) ∪ C ก 6) A′ ∩ ( C ′ ∩ B )

7) A ∪ ( C ′ ∩ B )′ ก

9. 1) { 0, 2, 4, 7 , 9, 12, 14 } จ 2) { 1, 4, 6, 9, 12, 15 }
3) { 1, 4, 5, 7 , 11, 12 } จ 4) { 4, 9, 12 }
5) { 1, 4, 12 } จ 6) { 4, 7 , 12 }
7) { 0, 2, 7 , 14 } จ 8) { 1, 5, 6, 11, 15 }
10. 1) เปนจริงจ 2) เปนจริง
3) เปนจริง
11. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนจริงจ 4) เปนจริง
5) เปนจริงจ
12. n ( A ) = 167 ก

13. 45% ด

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 45

14. 1) 10% ด 2) 75% ด

15. 1) 13 คัน 2) 10 คัน


16. 405 คน

17. 1) 72% ก 2) 84% ก

3) 65% ก 4) 13%ก

18. 1) 52 คน 2) 864 คน

3) 136 คน
19. 16%ก

20. 1% ก

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

46 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

บทที่ 2

ตรรก า ตรเบื้องตน

การ ึก าเรื่องตรรก า ตรมีค าม ําคัญตอการ ึก าคณิต า ตรเพราะคณิต า ตรเปน ิชา


ที่มีเ ตุมีผล และตรรก า ตรเปน า ตรที่ าด ยเรื่องของการใชเ ตุและผลในชี ิตประจํา ัน
ซึ่งค าม ามารถในการคิดและใ เ ตุผลเปน ิ่งมีคุณคามากที่ ุดของมนุ ย เนื้อ าเรื่องตรรก า ตร
ที่นําเ นอใน นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 นี้ มีเปา มายเพื่อใ 
นักเรียนเรียนรูเกี่ย กับตรรก า ตรเบื้องตน ในการ ื่อ ารและ ื่อค าม มายทางคณิต า ตร
ในบทเรียนนี้มุงใ นักเรียนบรรลุตั ชี้ ัดและจุดมุง มายดังตอไปนี้

ตั ชี้ ัด

เขาใจและใชค ามรูเกี่ย กับเซตและตรรก า ตรเบื้องตน ในการ ื่อ ารและ ื่อค าม มาย


ทางคณิต า ตร

จุดมุง มาย

1. จําแนกขอค าม าเปนประพจน รือไมเปนประพจน


2. าคาค ามจริงของประพจนที่มีตั เชื่อม
3. ใชค ามรูเกี่ย กับตรรก า ตรเบื้องตนในการ ื่อ ารและ ื่อค าม มายทางคณิต า ตร

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 47

ค ามรูกอน นา

• ค ามรูเกี่ย กับจําน นและ มการในระดับมัธยม ึก าตอนตน


• เซต

2.1 เนื้อ า าระ


1. ประพจน คื อ ประโยค รื อ ข อ ค ามที่ เ ป น จริ ง รื อ เท็ จ อย า งใดอย า ง นึ่ ง เท า นั้ น
ซึ่งประโยค รือขอค ามดังกลา จะอยูในรูปบอกเลา รือปฏิเ ธก็ได ในตรรก า ตรเรียก
การเปน “จริง” รือ “เท็จ” ของแตละประพจน า “คาค ามจริงของประพจน”
2. ใ  p และเปน ประพจน ใด ๆ เมื่อเชื่อมด ยตั เชื่อม “และ” ( ) “ รือ” ( )
q

“ถา...แล ... ” ( ) และ “ก็ ตอเมื่ อ” ( ) จะมีขอตกลงเกี่ย กับคาค ามจริงของ


ประพจนที่ไดจากการเชื่อมประพจน p และ q โดยใ  T และ F แทนจริงและเท็จ
ตามลําดับ ดังนี้
p q p q p q p q p q

T T T T T T

T F F T F F

F T F T T F

F F F F T T

ถา p เปนประพจนใด ๆ แล นิเ ธของ p เขียนแทนด ย ัญลัก ณ p และเขียน


ตารางคาค ามจริงของ p ไดดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

48 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

p p

T F

F T

3. ใ  p, q และ r เปนประพจนซึ่งยังไมกํา นดคาค ามจริง จะเรียก p, q และ r าเปน


ตั แปรแทนประพจนใด ๆ และเรียกประพจนที่มีตั เชื่อม เชน  p, p q, p q, p q,

p q า “รูปแบบของประพจน”

2.2 ขอเ นอแนะเกี่ย กับการ อน

ประพจน

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

• การจํ า แนกข อค าม  า เป น ประพจน รื อไม เ ป น ประพจน อาจไม จํ า เป น ต อ งทราบ


คาค ามจริงที่แนนอนของประพจนนั้น เชน มี ิ่งมีชี ิตอยูบนดา อังคาร
• การเลื อ กตั อย า งในชั้ น เรี ย น รื อ แบบทด อบระ  า งเรี ย นที่ จ ะใ  นั ก เรี ย นบอก
คาค ามจริงของประพจนที่ไมใชขอค ามทางคณิต า ตร ครูค รเลือกใ เ มาะ มกับ
ค ามรู และประ บการณ ของนั กเรี ย น เช น ยุ ง ลายเป น พา ะของโรคไข เลือ ดออก
โรคเลือดออกตามไร นเปนโรคที่เกิดจากการขาด ิตามินซี และ ลีกเลี่ยงตั อยางขอค าม
ที่ใชค ามรู ึกในการตัด ิน าขอค ามนั้นเปนจริง รือเท็จ เชน นารี ย ปกรณเปนคนดี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 49

• ในการ อนเกี่ย กับประพจน ครูไมค รยกตั อยางขอค ามที่ใช รรพนามบุรุ ที่ 2 และ 3
เชน เขาซื้อขนม ลุงกับปาไปเที่ย ตางประเท ซึ่งอาจทําใ นักเรียนเกิดค าม ับ น า
ขอค ามดังกลา เปนประพจน รือไม เนื่องจากนักเรียนจะตองทราบบริบทของขอค าม
ดังกลา จึงจะ ามารถ รุปคาค ามจริงของขอค ามดังกลา ได เชน “เขา” “ลุง” “ปา”
มายถึงใคร

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับแบบฝก ัด

แบบฝก ัด 2.1
2. จงเขี ย นประโยค รื อ ข อ ค ามที่ เ ป น ประพจน ม า 5 ประพจน พร อ มทั้ ง บอก
คาค ามจริงของประพจนนั้น ๆ
แบบฝก ัดนี้มีคําตอบได ลายแบบ โดยอาจเปนไดทั้งขอค ามทางคณิต า ตร เชน
∅ ∈{1, 2, 3} และไมใชขอค ามทางคณิต า ตร เชน นึ่งปมี ิบ องเดือน ค รใ 
นักเรียนมีอิ ระในการเขียนประโยค รือขอค ามที่เปน ป ร ะ พ จ น ซึ่ ง คํ า ต อ บ ข อ ง
นักเรียนไมจําเปนตองตรงกับที่ครูคิดไ 

การเชื่อมประพจน

การเชื่อมประพจนด ยตั เชื่อม “และ”


ครูอาจนําเขา ูบทเรียนเพื่อใ นักเรียนเขาใจการเชื่อมประพจนด ยตั เชื่อม “และ” โดยใ 
นักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

50 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

กิจกรรม การแตงกายของลูกปด

ใ  p แทนขอค าม “ลูกปดใ เ ื้อ ีขา ”

และ q แทนขอค าม “ลูกปดใ กางเกง ี า”


จะได า p q แทนขอค าม “ลูกปดใ เ ื้อ ีขา และลูกปดใ กางเกง ี า”
รือเขียนโดยยอเปน “ลูกปดใ เ ื้อ ีขา และกางเกง ี า”
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใ นักเรียนเติมตารางคาค ามจริง ตอไปนี้
ลูกปดใ เ ื้อ ีขา ลูกปดใ กางเกง ี า ลูกปดใ เ ื้อ ีขา และกางเกง ี า
( p) (q) (p q)

การ

2. ครูใ นักเรียนร มกันอภิปรายเกี่ย กับตารางคาค ามจริงที่ไดจากขอ 1

เมื่อจบกิจกรรมนี้แล ครูค รใ นักเรียน รุปได าในการเชื่อมประพจนด ย “และ” มีขอตกลง


าประพจนใ มจะเปนจริงในกรณีที่ประพจนที่นํามาเชื่อมกันนั้นเปนจริงทั้งคู กรณีอื่น ๆ เปน
เท็จทุกกรณี จากนั้นครู รุปการเขียนตารางคาค ามจริงของ p q

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 51

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

ํา รับภา าที่ใชในชี ิตประจํา ัน อาจแทนตั เชื่อม “และ” ด ยคําอื่นซึ่งใ ค าม มาย


อยางเดีย กัน เชน “แต” “นอกจากนั้นแล ” “ถึงแม า” “ในขณะที่” ตั อยางประโยค
ที่ พบได ในชี ิ ต ประจํ า ั น เช น รรณชอบ ิช าคณิต า ตรแต นุช ชอบ ิช าภา าอั งก
ม ักดิเปน ั นา องนอกจากนั้นแล เขายังเปนประธานนักเรียนด ย ิชัยทํางาน นัก
ถึงแม าเขาป ย น้ําผึ้งอาน นัง ือในขณะที่น้ําฝนดูโทรทั น

การเชื่อมประพจนด ยตั เชื่อม “ รือ”


ครูอาจนําเขา ูบทเรียนเพื่อใ นักเรียนเขาใจการเชื่อมประพจนด ยตั เชื่อม “ รือ” โดยใ 
นักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้

กิจกรรม ัต เลี้ยงของตนน้ํา

ใ  p แทนขอค าม “ตนน้ําเลี้ยงแม ”

และ q แทนขอค าม “ตนน้ําเลี้ยงนก”


จะได า p q แทนขอค าม “ตนน้ําเลี้ยงแม รือตนน้ําเลี้ยงนก”
รือเขียนโดยยอเปน “ตนน้ําเลี้ยงแม รือนก”
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใ นักเรียนเติมตารางคาค ามจริง ตอไปนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

52 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ตนน้ําเลี้ยงแม ตนน้ําเลี้ยงนก ตนน้ําเลี้ยงแม รือนก


( p) (q) ( p q)

การ

2. ครูใ นักเรียนร มกันอภิปรายเกี่ย กับตารางคาค ามจริงที่ไดจากขอ 1

เมื่อจบกิจกรรมนี้แล ครูค รใ น ักเรียน รุปได าในการเชื่อมประพจนด ย “ รือ” มีขอตกลง า


ประพจนใ มจะเปนเท็จในกรณีที่ประพจนที่นํามาเชื่อมกันเปนเท็จทั้งคู กรณีอื่น ๆ เปนจริง
ทุกกรณี จากนั้นครู รุปการเขียนตารางคาค ามจริงของ p q

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

การใช ตั เชื่ อม “ รือ” ในทางตรรก า ตรจ ะ มายถึงการเลือกอยางใดอยาง นึ่ง รือ


ทั้ง องอยาง

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 53

การเชื่อมประพจนด ยตั เชื่อม “ า แล ”

ครูอาจนําเขา ูบทเรียนเพื่อใ นักเรียนเขาใจการเชื่อมประพจนด ยตั เชื่อม “ถา...แล ...”


โดยใ น ักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้

กิจกรรม ัญญาระ างพอกับจิ

ใ  p แทนขอค าม “จิ ก าดบาน”


และ q แทนขอค าม “พอใ ขนม”
จะได า p q แทนขอค าม “ถาจิ ก าดบานแล พอจะใ ขนม”
การรัก า ัญญาของพอจะเทียบกับคาค ามจริงของ p q

ซึ่งในกรณีที่ p q เปนจริง มายถึง พอรัก า ัญญา


ในกรณีที่ p q เปนเท็จ มายถึง พอไมรัก า ัญญา
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใ นักเรียนเติมคาค ามจริงลงในตารางตอไปนี้
จิ ก าดบาน พอใ ขนม พอรัก า ัญญา

( p) (q) (p q)

2. ครูใ นักเรียนร มกันอภิปรายเกี่ย กับตารางคาค ามจริงที่ไดจากขอ 1

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

54 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

เมื่ อจบกิ จกรรมนี้ แล ครู ค รใ  นั กเรี ยน รุ ปได าในการเชื่ อมประพจน ด ย “ถา...แล ...”
มีขอตกลง าประพจนใ มจะเปนเท็จในกรณีที่เ ตุเปนจริงและผลเปนเท็จเทานั้น กรณีอื่น ๆ เปน
จริงทุกกรณี ครูค รชี้แจงเพิ่มเติม าประพจนซึ่งตาม ลังคํา า า เรียก า “เ ตุ”  นประพจน
ซึ่งตาม ลังคํา า แล เรียก า “ผล” จากนั้นครู รุปการเขียนตารางคาค ามจริงของ p q

การเชื่อมประพจนด ยตั เชื่อม “ก็ตอเมื่อ”


ครูอาจนําเขา ูบทเรียนเพื่อใ นักเรียนเขาใจการเชื่อมประพจนด ยตั เชื่อม “ก็ตอเมื่อ” โดยใ 
นักเรียนทํากิจกรรมตอไปนี้

กิจกรรม เกรด ิชาคณิต า ตรของปุยนุน

คาค ามจริงของประพจนที่มีตั เชื่อม “ก็ตอเมื่อ” อาจพิจารณาจาก ถานการณในชี ิตจริงได


เชน โรงเรียนแ ง นึ่งกํา นด  า “นั กเรียนไดเกรด 4 ิชาคณิต า ตรก็ตอเมื่อนักเรียนได
คะแนนตั้งแต 80% ของคะแนนเต็ม ิชาคณิต า ตร” มมติ าปุยนุนเปนนักเรียนของ
โรงเรียนแ งนี้
ใ  p แทนขอค าม “ปุยนุนไดเกรด 4 ิชาคณิต า ตร”
และ q แทนขอค าม “ปุยนุนไดคะแนนตั้งแต 80% ของคะแนนเต็ม ิชาคณิต า ตร”
จะได  า p q แทนขอค าม “ปุ ยนุ น ไดเกรด 4 ิช าคณิต า ตรก็ตอเมื่อปุย นุน
ไดคะแนนตั้งแต 80% ของคะแนนเต็ม ิชาคณิต า ตร”
การเกิดขึ้นไดของ ถานการณนี้จะเทียบไดกับคาค ามจริงของ p q

ในกรณีที่ ถานการณนี้เกิดขึ้นไดจริง จะได า p q เปนจริง


ในกรณีที่ ถานการณนี้ไม ามารถเกิดขึ้นได จะได า p q เปนเท็จ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 55

ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใ นักเรียนเติมตารางคาค ามจริง ตอไปนี้
ปุยนุนไดเกรด 4 ิชา ปุยนุนไดคะแนนตั้งแต การเกิดขึ้นไดของ
คณิต า ตร 80% ของคะแนนทั้ง มด ถานการณนี้
( p) (q) (p q)

2. ครูใ นักเรียนร มกันอภิปรายเกี่ย กับตารางคาค ามจริงที่ไดจากขอ 1


การ

เมื่ อ จบกิ จ กรรมนี้ แ ล ครู ค รใ  นั ก เรี ย น รุ ป ได  า ในการเชื่อ มประพจน ด ย “ก็ ตอ เมื่ อ ”
มีขอตกลง าประพจนใ มจะเปนจริงในกรณีที่ประพจนที่นํามาเชื่อมกันนั้นเปนจริงทั้งคู รือ
เปนเท็จทั้งคูเทานั้น กรณีอื่น ๆ เปนเท็จเ มอ จากนั้นครู รุปการเขียนตารางคาค ามจริง
ของ p q

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

ตั เชื่ อ ม “ ก็ ต อ เมื่ อ ” พบได บ อ ยในการ ึ ก าคณิ ต า ตร เช น บทนิ ย ามเกี่ ย กั บ


รูป ามเ ลี่ยม นาจั่ ซึ่งกลา า “รูป ามเ ลี่ยม นาจั่ คือ รูป ามเ ลี่ยมที่มีดานยา
เทากัน องดาน” มายค าม า “รูป ามเ ลี่ยมใดจะเปนรูป ามเ ลี่ยม นาจั่ ก็ตอเมื่อ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

56 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

รูป ามเ ลี่ยมนั้นมีดานยา เทากัน องดาน” ซึ่งมีค าม มายเดีย กับ “ถารูป ามเ ลี่ยมใด
เป น รู ป ามเ ลี่ ย ม น า จั่ แล รู ป ามเ ลี่ ย มนั้ น จะมี ด า นยา เท า กั น องด าน และถ า
รูป ามเ ลี่ยมใดมีดานยา เทากัน องดานแล รูป ามเ ลี่ยมนั้นจะเปนรูป ามเ ลี่ยม นาจั่ ”

นิเ ธของประพจน
ครูอาจนํ า เข า ู บ ทเรี ย นเพื่ อใ  นั กเรี ย นเข า ใจเกี่ ย กับ นิเ ธของประพจน โดยใ นักเรีย น
ทํากิจกรรมตอไปนี้

กิจกรรม งานอดิเรกของ นูดี

ใ  p แทนขอค าม “ นูดีอาน นัง ือ”


จะได า p แทนขอค าม “ นูดี ม ดอาน นัง ือ”
จะไดตารางคาค ามจริง ดังนี้
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใ น
 ักเรียนเติมคาค ามจริงลงในตารางตอไปนี้
นูดีอาน นัง ือ นูดี ม ดอาน นัง ือ
( p) p

2. ครูใ น ักเรียนร มกันอภิปรายเกี่ย กับตารางคาค ามจริงที่ไดจากขอ 1

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 57

เมื่อจบกิจกรรมนี้แล ครูค รใ นักเรียน รุปได าคาค ามจริงของนิเ ธจะตรงขามกับคาค ามจริง


ของประพจนเดิมเ มอ จากนั้นครู รุปการเขียนตารางคาค ามจริงของ p

การ าคาค ามจริงของประพจน

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

• ครู ค รเขี ย น งเล็ บ ในตั อย า งที่ ต อ งการใ  นั ก เรี ย นพิ จ ารณาค า ค ามจริ ง ทุ ก ครั้ ง
ไมค รละ งเล็บไ ใ นักเรียนตัด ินใจเอง ยกเ นตั เชื่อม “” ซึ่งใน นัง ือเรียน
ของ ท. ไมไดใ  งเล็บไ เชนกัน เนื่องจากถือ าเปนตั เชื่อมที่ตอง าคาค ามจริง
กอน เชน ํา รับประพจน p p นั้น ตอง าคาค ามจริงของ p กอน แล จึง า
คาค ามจริงของ p p ซึ่งมีค าม มายเชนเดีย กับ p ( p)
• การ าค า ค ามจริ ง ของประพจน ที่มี ตั เชื่อม ามารถทํ าได ลาย ิ ธี ทั้ ง นี้ ค รูค รใ 
นักเรียนฝกฝนการ าคาค ามจริงของประพจนที่มีตั เชื่อมโดยใชแผนภาพ ซึ่ง ามารถ
เขียนแ ดงได ลายแบบ ค รใ นักเรียนมีอิ ระในการเขียนแผนภาพโดยไม จําเป น
จะตองตรงกับที่ครูคิดไ  จะเปนประโยชนในการ ึก า ั ขอตอ ๆ ไป

2.3 การ ัดผลประเมินผลระ างเรียน


การ ัดผลระ างเรียนเปนการ ัดผลการเรียนรูเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการ อน และ
ตร จ อบนักเรียนแตละคน ามีค ามรูค ามเขาใจในเรื่องที่ครู อนมากนอยเพียงใด การใ 
นักเรียนทําแบบฝก ัดเปนแน ทาง นึ่งที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานค ามรูระ างเรียนของ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

58 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

นักเรียน ซึ่ง นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ไดนําเ นอแบบฝก ัด
ที่ครอบคลุมเนื้อ าที่ ําคัญของแตละบทไ  ํา รับในบทที่ 2 ตรรก า ตรเบื้องตน ครูอาจใช
แบบฝก ัดเพื่อ ัดผลประเมินผลค ามรูในแตละเนื้อ าไดดังนี้
เนื้อ า แบบฝก ัด

ประพจนและคาค ามจริงของประพจน 2.1ก ขอ 1, 2


การเชื่อมประพจนและคาค ามจริงของประพจนที่มีตั เชื่อม 2.2ก ขอ 1, 2, 3

2.4 การ ิเคราะ แบบฝก ัดทายบท


นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 มีจุดมุง มาย าเมื่อนักเรียน
ไดเรียนจบบทที่ 2 ตรรก า ตรเบื้องตน แล นักเรียน ามารถ
1. จําแนกขอค าม าเปนประพจน รือไมเปนประพจน
2. าคาค ามจริงของประพจนที่มีตั เชื่อม
3. ใชค ามรูเกี่ย กับตรรก า ตรเบื้องตนในการ ื่อ ารและ ื่อค าม มายทางคณิต า ตร
ซึ่ง นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ไดนําเ นอแบบฝก ัดทายบท
ที่ประกอบด ยโจทยเพื่อตร จ อบค ามรู ลังเรียน โดยมี ัตถุประ งคเพื่อ ัดค ามรูค ามเขาใจ
ของนักเรียนตามจุดมุง มาย ซึ่งประกอบด ยโจทยฝกทัก ะที่มีค ามนา นใจและโจทยทาทาย
ครูอาจเลือกใชแบบฝก ัดทายบท ัดค ามรูค ามเขาใจของนักเรียนตามจุดมุง มายของบท
เพื่อตร จ อบ านักเรียนมีค าม ามารถตามจุดมุง มายเมื่อเรียนจบบทเรียน รือไม

ทั้งนี้ แบบฝก ัดทายบทแตละขอใน นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4


บทที่ 2 ตรรก า ตรเบื้องตน อดคลองกับจุดมุง มายของบทเรียน ดังนี้
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 59

จุดมุง มาย

ใชค ามรูเกี่ย กับ


ขอ จําแนกขอค าม ตรรก า ตรเบื้องตน
ขอ าคาค ามจริงของ
ยอย าเปนประพจน ในการ ื่อ ารและ
ประพจนที่มีตั เชื่อม
รือ มเปนประพจน ื่อค าม มายทาง
คณิต า ตร

1. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

6) 

7) 

8) 

9) 

10) 

2. 1) โจทยฝกทัก ะ
2) โจทยฝกทัก ะ
3) โจทยฝกทัก ะ
4) โจทยฝกทัก ะ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

60 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

จุดมุง มาย

ใชค ามรูเกี่ย กับ


ขอ จําแนกขอค าม ตรรก า ตรเบื้องตน
ขอ าคาค ามจริงของ
ยอย าเปนประพจน ในการ ื่อ ารและ
ประพจนที่มีตั เชื่อม
รือ มเปนประพจน ื่อค าม มายทาง
คณิต า ตร

5) โจทยฝกทัก ะ
6) โจทยฝกทัก ะ
3. 1) 
2) 
3) 
4) 

4. โจทยฝกทัก ะ
5. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

6. 1) 

2) 

3) 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 61

จุดมุง มาย

ใชค ามรูเกี่ย กับ


ขอ จําแนกขอค าม ตรรก า ตรเบื้องตน
ขอ าคาค ามจริงของ
ยอย าเปนประพจน ในการ ื่อ ารและ
ประพจนที่มีตั เชื่อม
รือ มเปนประพจน ื่อค าม มายทาง
คณิต า ตร

4) 

7. 1) 

2) 

3) 

4) 

8. 

9. 

10. 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

62 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

2.5 ค ามรูเพิ่มเติม ํา รับครู


• เปา มายประการ นึ่งของ ิชาคณิต า ตร คือ การ ึก าทําค ามเขาใจธรรมชาติ รือ
ปรากฏการณตาง ๆ โดยใช “ระบบเชิงคณิต า ตร” (mathematical system) ซึ่งระบบ
เชิงคณิต า ตรเปนแน คิดเชิงนามธรรมที่ใชแทนธรรมชาติ รือปรากฏการณอยางใด
อยาง นึ่ง เชน “ระบบจําน นจริง” (real number system) เปนแน คิดที่ใชแทนจําน น รือ
ขนาดของ ิ่งตาง ๆ รือ “เรขาคณิตแบบยุคลิด” (Euclidean geometry) เปนแน คิด นึ่งที่ใช
แทน ัตถุตาง ๆ ในปริภูมิ
• ระบบเชิงคณิต า ตรแตละระบบ มีองคประกอบดังตอไปนี้
1. เอก พ ัมพัทธ (universe) คือ เซตของ ิ่งที่จะ ึก าในระบบนั้น เชน เซตของ
จําน นนับ เซตของจําน นเต็ม เซตของจําน นจริง
2. คําอนิยาม (undefined term) ไดแก คําซึ่งเปน ที่เขาใจค าม มายกันโดยทั่ ไป
โดยไม ต อ งอธิ บ าย เช น คํ า  า “เ มื อ นกั น ” รื อ คํ า  า “ จุ ด ” และ “ เ  น ” ใน
เรขาคณิตแบบยุคลิด
3. คํานิยาม (defined term) คือ คําที่ ามารถใ ค าม มายโดยใชคําอนิยาม รือคํานิยาม
อื่นที่มีมากอนแล ได เชน คํา า “จําน นคู” รือคํา า “รูป ามเ ลี่ยมมุมฉาก”
4. ัจ พจน (axiom) คื อ ข อ ค ามที่ กํา นดใ  เป น จริง ในระบบเชิง คณิ ต า ตร นั้ น
โดยไมตองพิ ูจน เชน ัจพจนเชิงพีชคณิตของระบบจําน นจริง ัจพจนเชิงอันดับ
ของระบบจําน นจริง ัจพจนค ามบริบูรณของระบบจําน นจริง
5. ท ีบท (theorem) คือ ขอค ามที่พิ ูจนแล าเปนจริงในระบบเชิงคณิต า ตร
ที่กํา นด โดยการพิ ูจน (proof) คือ กระบ นการอางเ ตุผลตาม ลักตรรก า ตร
เพื่อนําไป ูขอ รุปที่ตองการ ซึ่งมักตองนําคําอนิยาม คํานิยาม ร มทั้ง ัจพจน รือ
ท ีบทที่มีอยูกอนแล มาใชในการพิ ูจน เชน ท ีบทของพีทาโกรั
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 63

ในบางกรณี ขอค ามที่พิ ูจนแล าเปนจริง อาจไมเรียก าท ีบทเ มอไป โดย
มีคําเฉพาะที่ใชเรียกท ีบทบางประเภท เชน “บทตั้ง” (lemma) ที่ใชเรียกท ี
บทซึ่ งจะนํ าไปใช พิ ู จน ท ี บทถัดไปที่เปนท ี บท ลั ก รือท ีบทที่ มี
ค าม ําคัญมากก า และ “บทแทรก” (corollary) ที่ใชเรียกท ีบทซึ่งเปนผลอยาง
งายจากท ีบทที่มีมากอน นา
นอกจากนี้ ในบางกรณี จะใชคํา า “ มบัติ” (property) แทนขอค ามที่เปนจริงใด ๆ
ในระบบเชิงคณิต า ตรระบบ นึ่ง โดย มบัติอาจเปนค ามจริงเกี่ย กับคํานิยาม
ัจพจน รือท ีบทก็ได และอาจใชคํา า “ก ” (law) ํา รับค ามจริงที่เปน
ัจพจน รือท ีบทอีกด ย
ครูค รระลึกอยูเ มอ า ค ามรูทางคณิต า ตรที่กําลังพิจารณาเปนองคประกอบใด
ของระบบเชิงคณิต า ตร นั่นคือ ค รทราบ า ิ่งใดเปน ัจพจน ิ่งใดเปนท ีบ ท
เชน ไมค รพยายามพิ ูจน ัจพจนเกี่ย กับจําน นจริงในระบบจําน นจริง

2.6 ตั อยางแบบทด อบประจําบทและเฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท


ใน  นนี้จะนําเ นอตั อยางแบบทด อบประจําบทที่ 2 ตรรก า ตรเบื้องตน ํา รับราย ิชาพื้นฐาน
คณิ ต า ตร ชั้ นมั ธยม ึ ก าป ที่ 4 ซึ่ งครู ามารถเลื อกนํ าไปใช ได ตามจุ ดประ งค การเรี ยนรู
ที่ตองการ ัดผลประเมินผล

ตั อยางแบบทด อบประจําบท

1. จงพิจารณาประโยค รือขอค ามตอไปนี้ าเปนประพจน รือไม ถาเปนประพจน


จง าคาค ามจริงของประพจนนั้น

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

64 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

1) ง งนอนจัง
2) เธอตองไปเดีย นี้
22
3) =
7
4) 1∉ {2, 3}
5) 2 ไมใชจําน นจริง
6) 1, 2, 3, 
7) ทําไม a+b=b+a

2. กํา นดใ  p, q และ r เปนประพจน ซึ่ง p และ q มีคาค ามจริงเปนจริงและเท็จ


ตามลําดับ จง าคาค ามจริงของประพจนตอไปนี้
1) ( p q) r
2) ( p  q ) r
3. กํา นดใ  p และ q เปนประพจนใด ๆ ถา r เปนประพจนเชิงประกอบที่เกิดจาก
การเชื่อมประพจน p กับ q ซึ่งมีคาค ามจริงดังตารางตอไปนี้
p q r

T T F

T F T

F T T

F F F

จงเขียนประพจน r ในรูปประพจน p กับ q

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 65

4. กํา นดใ  p, q และ r เปนประพจน ซึ่ง p q, q r และ r p มีคาค ามจริง


เปนจริง จง าคาค ามจริงของประพจน p r

5. จง านิเ ธของขอค าม “ถา x เปนจําน นนับ แล x เปนจําน นคู รือ x เปนจําน นคี่”

เฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท

1. 1) ไมเปนประพจน 2) ไมเปนประพจน
3) เปนประพจน มีคาค ามจริงเปนเท็จ 4) เปนประพจน มีคาค ามจริงเปนจริง
5) เปนประพจน มีคาค ามจริงเปนเท็จ 6) ไมเปนประพจน
7) ไมเปนประพจน
2. 1) จาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ
ดังนั้น (p q) r มีคาค ามจริงเปนจริง
2) จาก q เปนเท็จ จะได q เปนจริง
จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง
ดังนั้น ( p  q) r มีคาค ามจริงเปนจริง
3. ตั อยางคําตอบ
 (p q)
 ( p q) (q p ) 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

66 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

4. พิจารณาตารางคาค ามจริงดังนี้
p q r p q q r r p

T T T T T T

T T F T F T

T F T F T T

T F F F T T

F T T T T F

F T F T F T

F F T T T F

F F F T T T

ังเกต าถา p q, q r และ r p มีคาค ามจริงเปนจริง


จะได p, q และ r ตองมีคาค ามจริงเปนจริงทั้ง มด รือเปนเท็จทั้ง มด
ดังนั้น p r มีคาค ามจริงเปนจริง
5. ใ  p แทนประพจน “ x เปนจําน นนับ”
q แทนประพจน “ x เปนจําน นคู”
r แทนประพจน “ x เปนจําน นคี่”
จะได าขอค าม “ถา x เปนจําน นนับ แล x เปนจําน นคู รือ x เปนจําน นคี่” เขียน
แทนด ยรูปแบบของประพจน p (q r)

นิเ ธของ p (q r) คือ   p (q r ) 

เนื่องจาก   p (q r )     p (q r ) 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 67

p  (q r )

p q r

โดยที่รูปแบบของประพจน p q r แทนขอค าม “ถา x เปนจําน นนับ และ x ไม


เปนจําน นคู และ x ไมเปนจําน นคี่”
ดังนั้น นิเ ธของขอค าม “ถา x เปนจําน นนับ แล x เปนจําน นคู รือ x เปนจําน นคี่”
คือ “ถา x เปนจําน นนับ และ x ไมเปนจําน นคู และ x ไมเปนจําน นคี่”

2.7 เฉลยแบบฝก ัด
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 แบงการเฉลยแบบฝก ัดเปน 2  น
คือ  นที่ 1 เฉลยคําตอบ และ  นที่ 2 เฉลยคําตอบพรอม ิธีทําอยางละเอียด ซึ่งเฉลยแบบฝก ัดที่
อยูใน  นนี้เปนการเฉลยคําตอบของแบบฝก ัด โดยไมไดนําเ นอ ิธที ํา อยางไรก็ตามครู ามารถ
ึก า ิธีทําโดยละเอียดของแบบฝก ัดไดใน  นทายของคูมือครูเลมนี้

แบบฝก ัด 2.1

1. 1) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ 2) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง


3) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ 4) ไมเปนประพจน
5) ไมเปนประพจน 6) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
7) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ 8) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
9) ไมเปนประพจน 10) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
11) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ 12) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
13) ไมเปนประพจน 14) ไมเปนประพจน
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

68 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

15) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ 16) ไมเปนประพจน


17) ไมเปนประพจน 18) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
2. ตั อยางคําตอบ
2 3 เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
∅ ∈ {1, 2, 3} เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
นึ่งปมี ิบ องเดือน เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
4 เปนจําน นอตรรกยะ เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
เดือนมกราคม มี 31 ัน เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง

แบบฝก ัด 2.2

1. 1) นิเ ธของประพจน 4 + 9 = 10 + 3 คือ 4 + 9 ≠ 10 + 3 มีคาค ามจริงเปนเท็จ


2) นิเ ธของประพจน −6 < 7 คือ −6 < 7 มีคาค ามจริงเปนจริง
3) นิเ ธของประพจน 100 ไมเปนจําน นเต็ม คือ 100 เปนจําน นเต็ม
มีคาค ามจริงเปนจริง
4) นิเ ธของประพจน 2 ⊄ {2} คือ 2 ⊂ {2} มีคาค ามจริงเปนเท็จ
2. 1) มีคาค ามจริงเปนเท็จ 2) มีคาค ามจริงเปนจริง
3) มีคาค ามจริงเปนเท็จ 4) มีคาค ามจริงเปนจริง
5) มีคาค ามจริงเปนเท็จ 6) มีคาค ามจริงเปนเท็จ
7) มีคาค ามจริงเปนจริง 8) มีคาค ามจริงเปนเท็จ
9) มีคาค ามจริงเปนเท็จ 10) มีคาค ามจริงเปนเท็จ
11) มีคาค ามจริงเปนจริง 12) มีคาค ามจริงเปนจริง

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 69

3. 1) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนจริง


2) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนจริง
3) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p และมีคา ค ามจริงเปนเท็จ
4) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนจริง
5) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนจริง
6) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนจริง
7) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนเท็จ
8) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนจริง

แบบฝก ัดทายบท

1. 1) ไมเปนประพจน 2) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง


3) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง 4) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
5) ไมเปนประพจน 6) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
7) ไมเปนประพจน 8) ไมเปนประพจน
9) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง 10) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
2. 1) ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป p q

2) ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป p q

3) ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป p qr

4) ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป ( p q) r

5) ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป p ( q  r)

6) ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป ( p q) (r s (r s ))

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน

70 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3. 1) นิเ ธของประพจน −20 + 5 −17 คือ −20 + 5 ≤ −17 มีคาค ามจริงเปนเท็จ


2) นิเ ธของประพจน 37 ไมเปนจําน นเฉพาะ คือ 37 เปนจําน นเฉพาะ
มีคาค ามจริงเปนจริง
3) นิเ ธของประพจน 2∈ คือ 2∉ มีคาค ามจริงเปนจริง
4) นิเ ธของประพจน ⊂ คือ ⊄ มีคาค ามจริงเปนเท็จ
4. ตั อยางคําตอบ
• ไมเปนจําน นตรรกยะ
• นิดาและนัดดาเปนนักเรียนชั้นมัธยม ึก าปที่ 4
• รูป ี่เ ลี่ยมอาจเปนรูป ี่เ ลี่ยมมุมฉาก รือรูป ี่เ ลี่ยมดานขนานก็ได
• รูป ามเ ลี่ยม ABC เปนรูป ามเ ลี่ยมดานเทาก็ตอเมื่อรูป ามเ ลี่ยม ABC มีดาน
ยา เทากันทุกดาน
5. 1) มีคาค ามจริงเปนจริง 2) มีคาค ามจริงเปนเท็จ
3) มีคาค ามจริงเปนจริง 4) มีคาค ามจริงเปนจริง
5) มีคาค ามจริงเปนเท็จ
6. 1) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนจริง
2) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนจริง
3) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนจริง
4) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนจริง
5) ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q และมีคาค ามจริงเปนเท็จ
7. 1) ประพจน q มีคาค ามจริงเปนจริง และประพจน r มีคาค ามจริงเปนจริง
2) ประพจน r มีคาค ามจริงเปนจริง และประพจน q มีคาค ามจริงเปนเท็จ
3) ประพจน ( p  q) r มีคาค ามจริงเปนจริง
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรก า ตรเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 71

4) ประพจน ( p q ) r มีคาค ามจริงเปนเท็จ


8. า ใ มี ิทธิไดเลื่อนตําแ นง
9. ุริยาจะไดรับเงินราง ัล 45,000 บาท
เม าจะไมไดรับเงินราง ัล
กมลจะไดรับเงินราง ัล 140,000 บาท
และทิ าจะไดรับเงินราง ัล 800,000 บาท
10. มานแก จะ ามารถกูเงินกับบริ ัทนี้ได

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

72 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

บทที่ 3

ลักการนับเบื้องตน

การ ึ ก าเรื่ อง ลั กการนั บ เบื้ องต น มี ค าม ํ า คั ญตอการแกปญ าในชี ิ ตประจํา ัน ซึ่งใน


ชี ิตประจํา ันจะพบปญ าที่ใชค ามรูเกี่ย กับการนับอยูเ มอ เชน การ างแผนการจัดการ
แขงขันกี า การกํา นดปายทะเบียนรถยนตนั่ง  นบุคคล การบริ ารจัดการเกี่ย กับการออกตั
ชมการแ ดง ซึ่งค ามรูเกี่ย กับ ลักการนับ เชน ลักการบ ก ลักการคูณ การเรียง ับเปลี่ยน
และการจัด มู จะช ยใ  ามารถนับจําน น ิ่งของตาง ๆ ได ะด กขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ ิ่งของนั้น
มีจํา น นมาก และมี อ งค ป ระกอบที่ ซับ ซ อน เนื้อ าเรื่อง ลักการนับ เบื้องตน ที่ นํ า เ นอใน
นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 นี้มีเปา มายเพื่อใ นักเรียน
เรียนรูเกี่ย กับ ลักการนับเบื้องต นและนําไปใชในการแกปญ า ํา รับในบทเรียนนี้มุงใ 
นักเรียนบรรลุตั ชี้ ัดและจุดมุง มายดังตอไปนี้

ตั ชี้ ัด

เขาใจและใช ลักการบ กและการคูณ การเรียง ับเปลี่ยน และการจัด มูในการแกปญ า

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 73

จุดมุง มาย

1. ใช ลักการนับเบื้องตนในการแกปญ า
2. ใช ิธีเรียง ับเปลี่ยนเชิงเ นกรณีที่ ิ่งของแตกตางกันทั้ง มดในการแกปญ า
3. ใช ิธีจัด มูกรณีที่ ิ่งของแตกตางกันทั้ง มดในการแกปญ า

ค ามรูกอน นา

• ค ามรูเกี่ย กับจําน นและ ลักการนับเบื้องตนในระดับมัธยม ึก าตอนตน

3.1 เนื้อ า าระ


1. ลักการบ ก
ในการทํางานอยาง นึ่ง ถา ามารถแบง ิธีทํางานออกเปน k กรณี โดยที่
กรณีที่ 1 ามารถทําได n1 ิธี
กรณีที่ 2 ามารถทําได n2 ิธี

กรณีที่ k ามารถทําได nk ิธี
ซึ่ง ิธีการทํางานในทั้ง k กรณีไมซ้ําซอนกันและการทํางานในแตละกรณีทําใ งานเ ร็จ
มบูรณ แล จะ ามารถทํางานนี้ไดทั้ง มด n1 + n2 +  + nk ิธี
2. ลักการคูณ
ในการทํางานอยาง นึ่ง ถา ามารถแบงขั้นตอนการทํางานออกเปน k ขั้นตอน ซึ่งตอง
ทําตอเนื่องกัน โดยที่
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

74 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ขั้นตอนที่ 1 มี ิธีเลือกทําได n1 ิ ธี
ในแตละ ิธีของขั้นตอนที่ 1 ามารถทําขั้นตอนที่ 2 ได n2 ิ ธี
ในแตละ ิธีของขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 2 ามารถทําขั้นตอนที่ 3 ได n3 ิ ธี

ในแตละ ิธีของขั้นตอนที่ 1 ถึงขั้นตอนที่ k −1 ามารถทําขั้นตอนที่ k ตอไปได nk ิธี
แล จะทํางาน k ขั้นตอน ได n1 × n2 ×  × nk ิ ธี
3. ใ  n เปนจําน นเต็มบ ก แ กทอเรียล n คือ การคูณของจําน นเต็มบ กตั้งแต 1 ถึง n
เขียนแทนด ย n!

4. การเรียง ับเปลี่ยนเชิงเ นของ ิ่งของที่แตกตางกันทั้ง มด


จําน น ิธี ในการนํ า ิ่ ง ของ r ชิ้ น จาก ิ่ งของที่แตกตางกัน n ชิ้น มาเรีย ง ับ เปลี่ย น
n!
เชิงเ น คือ Pn, r = ิธี
(n − r )!

5. การจัด มูของ ิ่งของที่แตกตางกันทั้ง มด


จําน น ิธีจัด มูของ ิ่งของที่แตกตางกัน n ชิ้น โดยเลือกครา ละ r ชิ้น คือ
n!
Cn , r = ิธี
(n − r )!r !

3.2 ขอเ นอแนะเกี่ย กับการ อน


ครูอ าจนํ า เข า ู บ ทเรี ย นเพื่ อ ใ  นั กเรี ย นเ ็ น ค าม ํ าคั ญ ของ ลัก การนั บ โดยใชกิ จ กรรม
การนับจําน น มายเลขทะเบียนรถยนต ดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 75

กิจกรรม มายเลขร ยนต

ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครู ย กตั อย า งรู ป ป า ยทะเบี ย นรถยนต นั่ ง  นบุ ค คลในกรุ ง เทพม านครในป จ จุ บั น
ซึ่งประกอบด ยเลขโดด 1 ตั ที่ไมใช 0 ตามด ยพยัญชนะไทย 2 ตั และจําน นเต็มบ กที่
ไมเกิน 4 ลัก 1 จําน น ซึ่งมีลัก ณะดังรูป

2. ครูใ นักเรียนบอกลัก ณะที่ ังเกตไดจากปายทะเบียน และเปรียบเทียบ ามีค ามแตกตาง


กับจัง ัดที่นักเรียนอา ัยอยูอยางไร เพราะเ ตุใดจึงมีค ามแตกตางเชนนั้น
3. ครูใ นั กเรีย นร มกัน อภิ ปราย า ถ าตองการทราบจําน น มายเลขทะเบียนรถยนต
ในรูปแบบนี้ จะมีไดทั้ง มดกี่ มายเลขและมี ิธีการนับอยางไร

ในการจัดกิจกรรมนี้ ครูค รเนนใ นักเรียนเ ็น า ในการนับจําน น มายเลขทะเบียนรถยนต


ขางตน อาจไม ะด กที่จะนับโดยตรง เ มือนกับการนับจําน น ิ่งของที่มีไมมากและไมซับซอน
เช น การนั บ จํา น นนั กเรี ยนใน  อง จํ าน นไมยืนตน ในบริเ ณบาน รือจําน น นัง ือใน
กระเปานักเรียน ดังนั้น การใชค ามรูเกี่ย กับ ลักการนับจะช ยใ  ามารถนับจําน น ิ่งของ
ตาง ๆ ได ะด กขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ ิ่งของที่นับมีจําน นมาก และมีองคประกอบที่ซับซอน

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

76 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ลักการบ กและ ลักการคูณ

ครูอาจนําเขา ู ลักการบ ก โดยยกตั อยางการเลือกบริ ัทผูใ บริการ ํา รับเดินทางกลับ


เชียงใ มของบั ตองจาก นัง ือเรียน ดังนี้
ถาบั ตองจะเดินทางจากกรุงเทพ กลับไปเยี่ยมบานที่เชียงใ ม โดยจะเลือกเดินทาง
โดยเครื่องบิน รือรถประจําทาง และ มมติ ามี ายการบินและบริ ัทรถประจําทาง
ใ เลือกดังตาราง แล บั ตองจะเลือกบริ ัทผูใ บริการไดทั้ง มดกี่ ิธี
ิธีเดินทาง บริ ัทผูใ บริการ
1. ยิ้ม ยาม
2. การบินเอเชีย
3. ิ คเ ิน า
เครื่องบิน
4. กรุงเทพการบิน
5. เชียงใ มแอรเ ย
6. ไทยการบิน

1. กรุงเทพทั ร
2. มาลีทั ร
รถประจําทาง 3. บายทั ร
4. ยามทั ร
5. ทั รทั่ ไทย

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 77

ครูใ นักเรียนร มกันอภิปราย และเปดโอกา ใ นักเรียนใช ิธีที่ ลาก ลายในการ าคําตอบ


ซึ่งนักเรียนอาจเขียนแ ดงโดยใชแผนภาพตนไม รือเขียนแ ดงในตาราง ดังตั อยางตอไปนี้

ตั อยางคําตอบที่ 1 แ ดงโดยใชแผนภาพตนไมไดดังนี้

ยิ้ม ยาม
การบินเอเชีย
เครื่องบิน ิ คเ ิน า
กรุงเทพการบิน
เชียงใ มแอรเ ย
ไทยการบิน
การเดินทาง
กรุงเทพทั ร
มาลีทั ร
รถประจําทาง บายทั ร
ยามทั ร
ทั รทั่ ไทย

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

78 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ตั อยางคําตอบที่ 2 แ ดงโดยแจกแจงกรณีในรูปตารางไดดังนี้
บริ ัทผูใ บริการ บริ ัทผูใ บริการ
ิธีเดินทาง
ิธีที่ เครื่องบิน ร ประจําทาง
เครื่องบิน ร ประจําทาง 1 2 3 4 5 6 1 2 3 4 5

1  
2  
3  
4  
5  
6  
7  
8  
9  
10  
11  

ครูแ ละนั กเรี ย นร มกั น รุป จากตั อย า ง ซึ่ ง จะพบ  า ในการแกป ญ าขา งต น ไดใช การนั บ
โดยแบง ิธีที่เปนไปไดออกเปน 2 กรณี ไดแก กรณีที่เดินทางโดยเครื่องบิน และกรณีเดินทาง
โดยรถประจําทาง ซึ่งบริ ัทผูใ บริการในทั้ง องกรณีไมซ้ําซอนกัน จากนั้นจึงนําจําน นบริ ัท
ผูใ บริการทั้ง องกรณีมาบ กกัน

ครูอาจใชตั อยางนําเขา ู ลักการคูณ โดยยกตั อยางการเลือกเ นทางขับรถยนตของบั ตอง


เพื่ อ เดิ น ทางไปเยี่ ย มบ า นที่ เ ชี ย งใ ม ข องบั ตองโดยระ  า งทางจะต อ งแ ะเยี่ ย มญาติ ที่
นคร รรค จาก นัง ือเรียน ดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 79

มมติ าบั ตองจะขับรถยนตจากกรุงเทพ กลับไปเยี่ยมบานที่เชียงใ ม โดยระ าง


ทางจะตองแ ะเยี่ยมญาติที่นคร รรคด ย ถาเ นทางจากกรุงเทพ ไปนคร รรค
มี 2 เ นทาง และเ นทางจากนคร รรคไปเชียงใ ม มี 3 เ นทาง แล บั ตอง
จะขับรถจากกรุงเทพ ไปเชียงใ มไดทั้ง มดกี่เ นทาง
โดยใ นักเรียนร มกันอภิปราย และเปดโอกา ใ นักเรียนใช ิธีที่ ลาก ลายในการ าคําตอบ
ซึ่งนักเรียนอาจเขียนแ ดงโดยใชแผนภาพ รือเขียนแ ดงในตาราง ดังตั อยางตอไปนี้

ตั อยางคําตอบที่ 1 แ ดงโดยใชแผนภาพ
กรุงเทพ เชียงใ ม
นคร รรค

ตั อยางคําตอบที่ 2 แ ดงโดยใชแผนภาพตนไม
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนที่ 2
กรุงเทพ – นคร รรค นคร รรค – เชียงใ ม
เ น ทางที่ 1
เ นทางที่ 1 เ น ทางที่ 2
เ น ทางที่ 3
การเดินทาง
เ น ทางที่ 1
เ นทางที่ 2 เ น ทางที่ 2
เ น ทางที่ 3

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

80 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ตั อยางคําตอบที่ 3 แ ดงโดยแจกแจงกรณีในรูปตารางไดดังนี้
กรุงเทพ – นคร รรค นคร รรค – เชียงใ ม
ิธีที่
เ นทางที่ 1 เ นทางที่ 2 เ นทางที่ 1 เ นทางที่ 2 เ นทางที่ 3
1  
2  
3  
4  
5  
6  

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

• จาก ถานการณ เ กี่ย กับ การเดิน ทางของบั ตองทั้ ง องปญ าข า งต น จะเ ็ น  า มี
ค ามแตกตางกัน โดย ถานการณแรกใช ลักการบ กในการ าจําน น ิธีเดินทาง
ของบั ตองนั้ น ซึ่ ง จะเ ็ น  า การเดิ น ทางแต ล ะ ิ ธี ไม  า จะโดยเครื่ อ งบิ น รื อ
โดยรถประจํ า ทาง ามารถทํ า ใ  การเดิ น ทางนั้น มบูร ณได แตใน ถานการณที่ 2
ใช ลั ก การคู ณ ในการ าจํ า น นเ  น ทางในการเดิ น ทาง ซึ่ งจะเ ็ น  า การเดิ น ทาง
ตองมี 2 ขั้นตอน นั่นคือ ขั้นตอนที่ 1 เปนการเดินทางจากกรุงเทพ ไปนคร รรค
ซึ่ ง มี 2 เ  น ทาง และขั้ น ตอนที่ 2 เป น การเดิ น ทางจากนคร รรค ไ ปเชี ย งใ ม
ซึ่งมี 3 เ นทาง โดยการเดินทางจะ มบูรณเมื่อมีครบทั้ง 2 ขั้นตอน

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 81

• ตั อยางที่ 5
รานอา ารแ ง นึ่งมีอา ารคา 4 อยาง และขนม 3 อยาง ถาลูกคาตองการ
อา ารคา นึ่งอยางและขนม นึ่งอยาง เขาจะมี ิธีเลือก ั่งอา ารไดกี่ ิธี
ตั อยางนี้ นําเ นอขั้นตอนการเลือก ั่งอา ารคา กอนการเลือก ั่งขนม อยางไรก็ตาม
อาจจะพิจารณาขั้นตอนการเลือก ั่งขนมกอนการเลือก ั่งอา ารคา ก็ได เพียงแต
ตองพิจารณาใ ครบทุกขั้นตอนเทานั้น นั่นคือ ในบาง ถานการณที่ใช ลักการคูณใน
การแกปญ า อาจ ลับขั้นตอนได
• ในการ อนเนื้อ าเรื่องนี้ ครูค รเริ่มจากการพิจารณาโจทย าโจทยกํา นด ิ่งใด ตองการใ 
า ิ่งใด จะ า ิ่งนั้นตองทราบอะไรบาง จําเปนตองมีขั้นตอนใดบาง ขั้นตอนเ ลานั้นเปน
อิ ระตอกัน รือไม การทํางานตามขั้นตอนเ ลานั้นตองใช ลักการบ ก รือ ลักการคูณ
• การแกปญ าเกี่ย กับ ลักการนับ ามารถทําได ลาย ิธี ครูค รเปดโอกา ใ นักเรียน
ไดลองคิด าคําตอบด ยตนเอง

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับแบบฝก ัด

แบบฝก ัด 3.1
5. ลูกเตาแตละลูกประกอบด ย นา 6 นา โดยมีแตม 1, 2, 3, 4, 5 และ 6 ปรากฏอยู
แตมละ นึ่ง นา

ถาทอดลูกเตา นึ่งลูก องครั้ง จง า

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

82 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

1) จําน น ิธีที่แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้งเทากัน


2) จําน น ิธีที่แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้งตางกัน
3) จําน น ิธีที่ผลร มของแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้งนอยก า 10
แบบฝก ัดนี้ ามารถ าคําตอบไดโดยการเขียนแจกแจงกรณีในรูปตาราง ซึ่งเปน ิธีที่นักเรียน
คุนเคยในระดับมัธยม ึก าตอนตน ครูค รกระตุนใ นักเรียนเชื่อมโยงการเขียนแจกแจงกรณี
ไป ูการใช ลักการนับเบื้องตน

การเรียง ับเปลี่ยนเชิงเ นของ ิ่งของที่แตกตางกันทั้ง มด

ครูอาจนําเขา ูบทเรียนเพื่อใ นักเรียนเขาใจแน คิดเกี่ย กับการเรียง ับเปลี่ยนเชิงเ นของ


ิ่งของที่แตกตางกันทั้ง มด โดยใชกิจกรรมการถายรูป ดังนี้

กิจกรรม การ ายรูป

ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูเลือกตั แทนนักเรียน 3 คน ออกมา นาชั้นโดยกํา นดตําแ นงที่ 1, 2 และ 3 เรียงกัน
เพื่อถายรูป
2. ครูใ นักเรียนร มกันอภิปรายและร มกันเขียนแจงกรณีเพื่อแ ดงการยืนเรียง ลับที่กัน
ของตั แทนทั้ง าม เพื่อพิจารณา าจะได ิธีการยืนเรียงที่แตกตางกันทั้ง มดกี่ ิธี
3. ครู ใ  นั ก เรี ย นใช ลั ก การคู ณ ที่ ไ ด ึ ก ามาแล ในการ าจํ า น น ิ ธี ก ารยื น เรี ย งกั น
เพื่อถายรูปที่แตกตางกันของตั แทนนักเรียนทั้ง ามคน

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 83

ครู ามารถเชื่ อ มโยง ิ ธี ก าร าจํ า น น ิ ธี ก ารยื น เรี ย งกั น เพื่ อ ถ า ยรู ป ในกิ จ กรรมนี้ กั บ เรื่ อ ง
การเรียง ับเปลี่ยนเชิงเ นของ ิ่งของที่แตกตางกันทั้ง มด โดยเชื่อมโยงกับ ลักการคูณ และ
ูตร Pn , r

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

ใ  n เป นจํ าน นเต็ มบ ก จะได  า n ! = n × ( n − 1) × ( n − 2 ) × ... × 1 และกํ า นดใ 


0! = 1

การจัด มู ิ่งของที่แตกตางกันทั้ง มด

ครูอาจนําเขา ูบทเรียนเพื่อใ นักเรียนเขาใจแน คิดเกี่ย กับการจัด มู ิ่งของที่แตกตางกัน


ทั้ง มด โดยใชกิจกรรมเลือกตั แทนนักเรียน ดังนี้

กิจกรรม เลือกตั แทนนักเรียน

ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูเลือกตั แทนนักเรียน 4 คน ออกมา นาชั้นเรียน
2. ครูใ นักเรียนร มกันอภิปรายและร มกันเขียนแจงกรณีเพื่อแ ดงการเลือกนักเรียน 2 คน
จากตั แทนนักเรียนทั้ง 4 คนนี้ เพื่อพิจารณา าจะได ิธีการเลือกนักเรียนที่แตกตางกัน
ทั้ง มดกี่ ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

84 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3. ครูใ นักเรีย นพิจ ารณาจากการเขีย นแจงกรณีที่ไดในขอ 2 โดย ังเกต าในการเลือก


ตั แทนนักเรียน องคนออกมาโดยไม นใจลําดับนั้น จะถือ าการเรียง ับเปลี่ยนของ
นักเรียน องคนนี้เปนแบบเดีย กัน
4. ครูใ นักเรียน า ิธีการเลือกตั แทนนักเรียนจากขอ ังเกตในขอ 3

ครู ามารถเชื่อมโยง ิธีการ าจําน น ิธีเลือกตั แทนนักเรียนในกิจกรรมนี้กับเรื่องการจัด มูของ


ิ่งของที่แตกตางกันทั้ง มด โดยเชื่อมโยงกับ ูตร Cn , r

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับแบบฝก ัด

แบบฝก ัดทายบท
9. ในการทอดลูกเตา นึ่งลูก องครั้ง จง า
1) จําน น ิธีที่ผลร มของแตมเทากับเจ็ด
2) จําน น ิธีที่ผลร มของแตมไมเทากับเจ็ด
แบบฝก ัดนีม้ ี ิธีการแกปญ าที่ ลาก ลาย โดยในบาง ิธีจะช ยลดค ามซับซอน ข อ ง ก า ร
แกปญ าได ครูค รใ นักเรียนมีอิ ระในการเขียนแ ดง ิธีการแกปญ า โดยไมจําเปนตองตรง
กับที่ครูคิดไ 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 85

3.3 แน ทางการจัดกิจกรรมใน นัง ือเรียน

กิจกรรม บทพากยเอรา ัณ

บทพากยเอรา ัณ จากพระราชนิพนธเรื่องรามเกียรติ ในพระบาท มเด็จพระพุทธเลิ ลา


นภาลัย เปนกาพยฉบัง 16 ซึ่งบรรยายลัก ณะของชางเอรา ัณ พา นะของพระอินทร
ซึ่งชางในบทพากยนี้เกิดจากการเนรมิตของอินทรชิต เพื่อ ลอกลอกองทัพของพระราม
โดย  น นึ่งของบทพากยเปนดังนี้
ชางนิมิต ทธิแรงแข็งขัน เผือกผองผิ พรรณ
ี ังข ะอาดโอ าร
าม ิบ ามเ ียรโ ภา เ ียร นึ่งเจ็ดงา
ดั่งเพชรรัตนรูจี
งา นึ่งเจ็ดโบกขรณี ระ นึ่งยอมมี
เจ็ดกออุบลบันดาล
กอ นึ่งเจ็ดดอกด งมาลย ดอก นึ่งเบงบาน
มีกลีบไดเจ็ดกลีบผกา
กลีบ นึ่งมีเทพธิดา เจ็ดองคโ ภา
แนงนอยลําเพานงพาล
นาง นึ่งยอมมีบริ าร อีกเจ็ดเยา มาลย
ล นรูปนิรมิตมายา

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

86 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ใ นักเรียนตอบคําถามตอไปนี้ โดยใชขอมูลจากบทพากยขางตน
1. ชางเอรา ัณมีกี่เ ียร
2. เ ียรชางเอรา ัณแตละเ ียรมีงากี่กิ่ง และชางเอรา ัณมีงาร มทั้ง มดกี่กิ่ง
3. งาแตละกิ่งมี ระบั กี่ ระ และชางเอรา ัณมี ระบั ร มทั้ง มดกี่ ระ
4. ระบั แตละ ระมีกอบั กี่กอ และชางเอรา ัณมีกอบั ร มทั้ง มดกี่กอ
5. กอบั แตละกอมีดอกบั กี่ดอก และชางเอรา ัณมีดอกบั ร มทั้ง มดกี่ดอก
6. ดอกบั แตละดอกมีกี่กลีบ และชางเอรา ัณมีกลีบดอกบั ร มทั้ง มดกี่กลีบ
7. กลีบดอกบั แตละกลีบมีเทพธิดากี่องค และชางเอรา ัณมีเทพธิดาร มทั้ง มดกี่องค
8. เทพธิดาแตละองคมีบริ ารกี่นาง และชางเอรา ัณมีบริ ารร มทั้ง มดกี่นาง
9. ชางเอรา ัณมีเทพธิดาและบริ ารร มทั้ง มดกี่นาง

เฉลยกิจกรรม บทพากยเอรา ัณ

1. 33 เ ียร
2. เ ียรชางแตละเ ียรมีงา 7 กิ่ง และชางเอรา ัณมีงาร มทั้ง มด 33 × 7 กิ่ง
3. งาแตละกิ่งมี ระบั 7 ระ และชางเอรา ัณมี ระบั ร มทั้ง มด 33 × 7 2 ระ
4. ระบั แตละ ระมีกอบั 7 กอ และชางเอรา ัณมีกอบั ร มทั้ง มด 33 × 73 กอ
5. กอบั แตละกอมีดอกบั 7 ดอก และชางเอรา ัณมีดอกบั ร มทั้ง มด 33 × 7 4 ดอก
6. ดอกบั แตละดอกมี 7 กลีบ และชางเอรา ัณมีกลีบบั ร มทั้ง มด 33 × 75 กลีบ
7. กลีบบั แตละกลีบมีเทพธิดา 7 องค และชางเอรา ัณมีเทพธิดาร มทั้ง มด 33 × 7 องค 6

8. เทพธิดาแตละองคมีบริ าร 7 นาง และชางเอรา ัณมีบริ ารร มทั้ง มด 33 × 77 นาง


9. ชางเอรา ัณมีเทพธิดาและบริ ารร มทั้ง มด 33 × 7 6 + 33 × 7 7 = 264 × 76 นาง
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 87

แน ทางการจัดกิจกรรม บทพากยเอรา ัณ

เ ลาในการจัดกิจกรรม 30 นาที
กิจ กรรมนี้เ นอไ ใ นั กเรีย นฝ กฝนการใชค ามรู เรื่อง ลักการบ กและ ลักการคูณ
เพื่อแกปญ า โดยกิจกรรมนี้มี ื่อ/แ ลงการเรียนรู และขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ดังนี้
ื่อ/แ ลงการเรียนรู
1. ใบกิจกรรม “บทพากยเอรา ัณ”
2. รูปชางเอรา ัณจาก ารานุกรมไทย ํา รับเยา ชน
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. ครูนําเขา ูกิจกรรมโดยเปด ื่อ ีดิทั น รือเลาเรื่องรา ั้น ๆ เกี่ย กับชางเอรา ัณ
2. ครูแจกใบกิจกรรม “บทพากยเอรา ัณ” ใ กับนักเรียนทุกคนและแบงกลุมนักเรียน
แบบคละค าม ามารถ กลุมละ 3 – 4 คน
3. ครูใ นักเรียนแตละกลุม ึก าใบกิจกรรมบทพากยเอรา ัณ จากนั้นช ยกันตอบคําถาม
ขอ 1 – 9 ในใบกิจกรรม ครูค รเปดโอกา ใ นักเรียนใชแน ทางที่ ลาก ลายในการ
าคําตอบ และอนุญาตใ นักเรียนเขียนแ ดงคําตอบในรูปของเลขยกกําลังได โดยใน
ระ างที่นักเรียนทํากิจกรรมครูค รเดินดูนักเรียนใ ทั่ ถึงทุกกลุม และคอยชี้แนะเมื่อ
นักเรียนพบปญ า
4. ครู ุมเลือกกลุมนักเรียนเพื่อตอบคําถาม และใ นักเรียนกลุมอื่น ๆ ร มกันอภิปราย
เกี่ย กับคําตอบ ร มทั้งกระตุนใ นักเรียนใ เ ตุผลประกอบคําตอบ
5. ครูแ ดงภาพตั อยางของชางเอรา ัณ จากนั้นครูและนักเรียนร มกันอภิปรายเพื่อ รุป
เกี่ย กับบทพากยเอรา ัณที่นักเรียนไดอาน ซึ่งเปนบทประพันธที่แ ดงถึงจินตนาการ
ของก ีที่พรรณนาค ามยิ่งใ ญของชางเอรา ัณ โดยนักเรียน ามารถใชค ามรูคณิต า ตร

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

88 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

เรื่อง ลักการนับเบื้องตน เพื่อทําค ามเขาใจเกี่ย กับค ามยิ่งใ ญของชางเอรา ัณ


ไดอีกด ย

3.4 การ ัดผลประเมินผลระ างเรียน


การ ัดผลระ างเรียนเปนการ ัดผลการเรียนรูเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการ อน และ
ตร จ อบนักเรียนแตละคน ามีค ามรูค ามเขาใจในเรื่องที่ครู อนมากนอยเพียงใด การใ 
นักเรียนทําแบบฝก ัดเปนแน ทาง นึ่งที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานค ามรูระ างเรียนของ
นักเรียน ซึ่ง นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ไดนําเ นอแบบฝก ัด
ที่ครอบคลุมเนื้อ าที่ ําคัญของแตละบทไ  ํา รับในบทที่ 3 ลักการนับเบื้องตน ครูอาจใช
แบบฝก ัดเพื่อ ัดผลประเมินผลค ามรูในแตละเนื้อ าไดดังนี้
เนื้อ า แบบฝก ัด

ลักการบ ก 3.1 ขอ 1, 2


ลักการคูณ 3.1 ขอ 4 – 8
การเรียง ับเปลี่ยนเชิงเ นของ ิ่งของที่แตกตางกันทั้ง มด 3.2 ขอ 1 – 5
การจัด มูของ ิ่งของที่แตกตางกันทั้ง มด 3.3 ขอ 1 – 6

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 89

3.5 การ ิเคราะ แบบฝก ัดทายบท


นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 มีจุดมุง มาย าเมื่อนักเรียนได
เรียนจบบทที่ 3 ลักการนับเบื้องตน แล นักเรียน ามารถ
1. ใช ลักการนับเบื้องตนในการแกปญ า
2. ใช ิธีเรียง ับเปลี่ยนเชิงเ นกรณีที่ ิ่งของแตกตางกันทั้ง มดในการแกปญ า
3. ใช ิธีจัด มูกรณีที่ ิ่งของแตกตางกันทั้ง มดในการแกปญ า
ซึ่ง นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ไดนําเ นอแบบฝก ัดทาย
บทที่ประกอบด ยโจทยเพื่อตร จ อบค ามรู ลังเรียน โดยมี ัตถุประ งคเพื่อ ัดค ามรูค าม
เขาใจของนักเรียนตามจุดมุง มาย ซึ่งประกอบด ยโจทยฝกทัก ะที่มีค ามนา นใจและโจทย
ทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝก ัดทายบท ัดค ามรูค ามเขาใจของนักเรียนตามจุดมุง มาย
ของบทเพื่อตร จ อบ านักเรียนมีค าม ามารถตามจุดมุง มายเมื่อเรียนจบบทเรียน รือไม

ทั้งนี้ แบบฝก ัดทายบทแตละขอใน นัง ือเรียนราย ิชาคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 บทที่ 3
ลักการนับเบื้องตน อดคลองกับจุดมุง มายของบทเรียน ดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

90 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

จุดมุง มาย

ขอ ใช ิธีเรียง ับเปลี่ยน ใช ิธีจัด มูกรณีที่


ขอ
ยอย ใช ลักการนับเบื้องตน เชิงเ นกรณีที่ ิ่งของ ิ่งของแตกตางกัน
ในการแกปญ า แตกตางกันทั้ง มด ทั้ง มด
ในการแกปญ า ในการแกปญ า
1. 

2. 

3. 

4. 

5. 1) 

2) 

6. 

7. 

8. 

9. 1) 

2) 

10.  

11.  

12. 

13.  

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 91

จุดมุง มาย

ขอ ใช ิธีเรียง ับเปลี่ยน ใช ิธีจัด มูกรณีที่


ขอ
ยอย ใช ลักการนับเบื้องตน เชิงเ นกรณีที่ ิ่งของ ิ่งของแตกตางกัน
ในการแกปญ า แตกตางกันทั้ง มด ทั้ง มด
ในการแกปญ า ในการแกปญ า
14.  

15. 1) 

2)  
16.  
17.  

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

92 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3.6 ค ามรูเพิ่มเติม ํา รับครู


• P ใน Pn , r มาจากคํา า Permutation ในภา าอังก ซึ่งมีค าม มาย า “การเรียง
ับเปลี่ยน” ในบางตําราจะใช ัญลัก ณ Prn , n Pr , n Pr รือ P ( n, r )
• C ใน Cn , r มาจากคํา า Combination ในภา าอังก ซึ่งมีค าม มาย า “การจัด มู”
ซึ่งในบางตําราจะใช ัญลัก ณเปน Crn , n Cr , nCr รือ C ( n, r )

3.7 ตั อยางแบบทด อบประจําบทและเฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท


ใน  นนี้ จะนําเ นอตั อย างแบบทด อบประจําบทที่ 3 ลักการนับเบื้องตน ํา รับราย ิชา
พื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ซึ่งครู ามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประ งคการเรียนรู
ที่ตองการ ัดผลประเมินผล

ตั อยางแบบทด อบประจําบท
1. ในการเดินทางจากเมือง A ไปเมือง B ามารถไปทางถนน ายตรงได 2 เ นทาง และ
ามารถไปทางถนนที่ผานเมือง C ได โดยมีถนนจากเมือง A ไปเมือง C จําน น 2 เ นทาง
และมีถนนจากเมือง C ไปเมือง B จําน น 3 เ นทาง จะมี ิธีเดินทางจากเมือง A ไป
เมือง B ไดทั้ง มดกี่ ิธี
2. ตึกเรียน นึ่งมีประตู 3 ประตู ครูเลือกเดินเขาตึกเรียนด ยประตู นึ่ง ตอมานักเรียน อง
คนตองการเดินเขาตึกเรียนโดยใชประตูที่ตางจากครู จะมี ิธีเขาตึกเรียน ํา รับครูและ
นักเรียนไดทั้ง มดกี่ ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 93

3. นิภาตองการตั้งร ั ผาน ํา รับบัตรเอทีเอ็ม เปนร ั 4 ลัก ที่ประกอบด ยตั อัก ร


ภา าอังก ตั พิมพเล็ก นึ่ง ลัก และอีก าม ลักที่เ ลือประกอบด ยเลขโดดตั้งแต 0 ถึง 9
นิภาจะตั้งร ั ที่แตกตางกันไดทั้ง มดกี่ร ั
4. ิภูตองการตั้งร ั กระเปาซึ่งประกอบด ยเลขโดดตั้งแต 0 ถึง 9 จําน น 3 ตั จะมีร ั
ทั้ง มดกี่ ร ั ที่ เลขโดดใน ลั ก ุ ดท ายเปนจําน นคู และเลขโดดในตําแ นงที่อยูติดกัน
ตางกัน
5. พรรณภามีแ น 4 ง รอยคอ 3 เ น พรรณภาตองการเลือกใ เครื่องประดับโดยใ 
แ นไมเกิน 1 ง และใ  รอยคอไมเกิน 1 เ น พรรณภาจะเลือกใ เครื่องประดับไดกี่ ิธี
6. จง า าจะมี ิธีแจกของข ัญที่แตกตางกัน 7 ชิ้น ใ เด็ก 7 คน คนละ 1 ชิ้น ไดกี่ ิธี
7. จง า  า จะมี ิ ธี แ จกของข ั ญ ที่ แ ตกต า งกั น 7 ชิ้ น ใ  เ ด็ ก 8 คน โดยเด็ ก แต ล ะคนได
ของข ัญไมเกิน 1 ชิ้น ไดกี่ ิธี
8. มีจุด 10 จุดอยูบนระนาบ โดยไมมี ามจุดใดอยูบนเ นตรงเดีย กัน จะ าดรูป ามเ ลี่ยม
ที่มีจุดเ ลานี้เปนจุดยอดไดทั้ง มดกี่รูป
9. เซต A มี มาชิก 7 ตั จะมี ับเซตที่มี มาชิก 4 ตั ไดทั้ง มดกี่ ับเซต
10. จง า าจะมี ิธีแบงคน 9 คน ใ ไปเที่ย ภูเขา 3 คน ไปเที่ย ทะเล 3 คน และไปทําบุญ
ที่ ัด 3 คน ไดกี่ ิธี
11. ตองการ รางร ั ที่ประกอบด ยเลขโดดตั้งแต 1 ถึง 9 จําน น า ลัก จะมีร ั ที่มี าม ลัก
เปน เลขโดดตั เดี ย กัน และอี ก อง ลักที่เ ลือเปน เลขโดดตั เดีย กัน (เชน 25252)
ไดทั้ง มดกี่ร ั

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

94 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ตั อยางแบบทด อบประจําบท
1. พิจารณาการเดินทางจากเมือง A ไปเมือง B ไดดังนี้
กรณีที่ 1 เดินทางโดยถนน ายตรง มีเ นทาง 2 เ นทาง
กรณีที่ 2 เดินทางโดยผานเมือง C
ขั้นตอนที่ 1 เดินทางจากเมือง A ไปเมือง C มีเ นทาง 2 เ นทาง
ขั้นตอนที่ 2 เดินทางจากเมือง C ไปเมือง B มีเ นทาง 3 เ นทาง
จาก ลักการคูณ จึงได า จะเดินทางจากเมือง A ไปเมือง B โดยผาน
เมือง C ทําได 2×3 = 6 ิธี
จาก ลักการบ ก จึงได า จะมี ิธีเดินทางจากเมือง A ไปเมือง B ไดทั้ง มด 2+6=8 ิธี
2. การเขาตึกเรียน ํา รับครูและนักเรียน ประกอบด ย 2 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ครูเลือกเดินเขาตึกเรียนด ยประตู นึ่ง จากประตูทั้ง มด 3 ประตู
ทําได 3 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 นักเรียน องคนเลือกเดินเขาตึกเรียนโดยใชประตูที่ตางจากครู
ทําได 2× 2 = 4 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า จะมี ิธีเขาตึกเรียน ํา รับครูและนักเรียนไดทั้ง มด 3 × 4 = 12 ิธี
3. ร ั ผานของนิภา ประกอบด ย 2  น ดังนี้
 นที่ 1 ตั อัก รภา าอังก 1 ตั ประกอบด ย 2 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เลือก ลักที่จะเปนตั อัก รภา าอังก ได 4 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกตั อัก รภา าอังก เพื่อเปนร ั ใน ลักนี้ ได 26 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า จะมี ิธีตั้งร ั ด ยตั อัก รภา าอังก เทากับ
4 × 26 = 104 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 95

 นที่ 2 ร ั อีก าม ลักที่เ ลือเปนเลขโดดตั้งแต 0 ถึง 9 ทําได 10 × 10 × 10 = 1,000 ิธี


จาก ลักการคูณ จึงได า นิภาจะตั้งร ั ที่แตกตางกันไดทั้ง มด 104 × 1000 = 104,000 ร ั
4. ร ั กระเปาของ ิภูประกอบด ยเลขโดดตั้งแต 0 ถึง 9 จําน น 3 ตั
ซึ่งมีขั้นตอนการตั้งร ั กระเปา ดังนี้
ลักที่ 1 ลักที่ 2 ลักที่ 3

ขั้นตอนที่ 1 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลักที่ 3 จากเลขโดด 0, 2, 4, 6, 8 ได 5 ิธี


ขั้นตอนที่ 2 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลักที่ 2 จากเลขโดด 0, 1, 2, …, 9
ที่ไมซ้ํากับ ลัก ุดทาย ได 9 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลักที่ 1 จากเลขโดด 0, 1, 2, …, 9
ที่ไมซ้ํากับ ลักที่ 2 ได 9 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า จะมีร ั ทั้ง มด 5 × 9 × 9 = 405 ร ั
5. ิธีที่ 1 การเลือกใ เครื่องประดับของพรรณภามีได 3 กรณี
กรณีที่ 1 เลือกใ แ น 1 ง ทําได 4 ิธี
กรณีที่ 2 เลือกใ  รอยคอ 1 เ น ทําได 3 ิธี
กรณีที่ 3 เลือกใ ทั้งแ นและ รอยคอ ทําได 4 × 3 = 12 ิธี
จาก ลักการบ ก จึงได า พรรณภาจะเลือกใ เครื่องประดับได 4 + 3 + 12 = 19 ิธี
ิธีที่ 2 การเลือกใ เครื่องประดับของพรรณภามี 2 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 พรรณภาเลือกใ แ น 1 ง จากแ นที่มีอยู 4 ง รือเลือก
ไมใ แ น
นั่นคือ พรรณภาเลือกใ แ นไดทั้ง มด 5 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

96 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ขั้นตอนที่ 2 พรรณภาเลือกใ  รอย 1 เ น จาก รอยที่มีอยู 3 ง รือเลือก


ไมใ  รอย
นั่นคือ พรรณภาเลือกใ  รอยไดทั้ง มด 4 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า พรรณภาจะเลือกใ เครื่องประดับได 5 × 4 = 20 ิธี
แตเนื่องจากพรรณภาจะตองเลือกใ เครื่องประดับอยางใดอยาง นึ่ง
นั่นคือ จะไมเกิดกรณีที่พรรณภาไมใ ทั้งแ นและ รอย
ดังนั้น พรรณภาจะเลือกใ เครื่องประดับได 20 − 1 = 19 ิธี
6. จําน น ิธีแจกของข ัญที่แตกตางกัน 7 ชิ้น ใ เด็ก 7 คน คนละ 1 ชิ้น
เทากับ P77 = 5,040 ิธี
7. จําน น ิธีแจกของข ัญที่แตกตางกัน 7 ชิ้น ใ เด็ก 8 คน โดยเด็กแตละคนไดของข ัญ
ไมเกิน 1 ชิ้น เทากับ P8, 7 = 40,320 ิธี
8. เนื่องจากมีจุด 10 จุดอยูบนระนาบ โดยไมมี ามจุดใดอยูบนเ นตรงเดีย กัน
ดังนั้น เมื่อลาก  นของเ นตรงเชื่อมจุด 3 จุด จะไดรูป ามเ ลี่ยม
จะได า จําน นรูป ามเ ลี่ยมที่มีจุดยอดอยูที่จุดที่กํา นดใ มี C10,3 = 120 รูป
9. เซต A ซึ่งมี มาชิก 7 ตั จะมี ับเซตที่มี มาชิก 4 ตั ไดทั้ง มด C7, 4 = 35 ับเซต
10. การแบงคน 9 คน ใ ไปเที่ย ภูเขา ไปเที่ย ทะเล และไปทําบุญที่ ัด ทําไดดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เลือกคน 3 คน ไปเที่ย ภูเขา จากคนทั้ง มด 9 คน
9!
ทําได C9,3 = ิธี
6!3!
ขั้นตอนที่ 2 เลือกคน 3 คน ไปเที่ย ทะเล จากคน 6 คน ที่เ ลือจากขั้นตอนที่ 1
6!
ทําได C6,3 = ิธี
3!3!

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 97

ขั้นตอนที่ 3 เลือกคน 3 คน ไปทําบุญที่ ัด จากคน 3 คน ที่เ ลือจากขั้นตอนที่ 2


ทําได 1 ิธี
จาก ลักการคูณ จะได า จําน น ิธีแบงคน 9 คน ใ ไปเที่ย ภูเขา 3 คน ไปเที่ย ทะเล 3 คน
9! 6!
และไปทําบุญที่ ัด 3 คน เทากับ × × 1 = 1,680 ิธี
6!3! 3!3!
11. การ รางร ั ที่ตองการประกอบด ยขั้นตอน ดังนี้
ลักที่ 1 ลักที่ 2 ลักที่ 3 ลักที่ 4 ลักที่ 5

ขั้นตอนที่ 1 เลือก ลัก 3 ลัก ที่จะมีร ั เปนเลขโดดตั เดีย กัน


ทําได C5,3 = 10 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกเลขโดด 1 ตั จากเลขโดด 1, 2, … , 9 เพื่อเปนร ั ใน ลักที่เลือก
ในขั้นตอนที่ 1 ทําได 9 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 เลือกเลขโดด 1 ตั จากเลขโดด 1, 2, … , 9 ที่ไมซ้ํากับขั้นตอนที่ 2
เพื่อเปนร ั ใน อง ลักที่เ ลือ ทําได 8 ิธี
จาก ลักการคูณ จะได า มีร ั ที่ ประกอบด ยเลขโดดตั้งแต 1 ถึง 9 จํา น น 5 ลัก
โดยมี าม ลักเปนเลขโดดตั เดีย กัน และอีก อง ลักที่เ ลือเปนเลขโดดตั เดีย กัน
ทั้ง มด 10 × 9 × 8 = 720 ร ั

3.8 เฉลยแบบฝก ัด
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 แบงการเฉลยแบบฝก ัดเปน 2  น
คือ  นที่ 1 เฉลยคํา ตอบ และ  นที่ 2 เฉลยคําตอบพรอม ิธีทําอยางละเอีย ด ซึ่ง เฉลย

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

98 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

แบบฝก ัดที่อยูใน  นนี้เปนการเฉลยคําตอบของแบบฝก ัด โดยไมไดนําเ นอ ิธีทํา อยางไรก็


ตามครู ามารถ ึก า ิธีทําโดยละเอียดของแบบฝก ัดไดใน  นทายของคูมือครูเลมนี้

แบบฝก ัด 3.1
1. 25 ิธี
2. 13 รูป

3. 90 ิธี
4. 1,738,283,976 ตั

5. 1) 6 ิธี 2) 30 ิธี
3) 30 ิธี
6. 1) 900 จําน น 2) 810 จําน น
3) 90 จําน น
7. 676 คํา

8. 1) 1,296 ิธี 2) 360 ิธ ี

แบบฝก ัด 3.2
1. 362,880 ิธี
2. 1) 1,680 จ 2) 90

3) 120 จ 4) 1

3. 24 จําน น

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 99

4. 15,120 ิธี
5. 120 ิธี

แบบฝก ัด 3.3
1. 56 ิธี
2. 15 ิธี
3. 21,162,960 ิธี
4. 1) 1,001 ิธี จ 2) 70 ิธี
3) 210 ิธี จ
5. 45 ิธี
6. 1) 676 ิธี จ 2) 12 ิธี
3) 0 ิธี นั่นคื อ ไม ามารถ ยิบ ไพ 2 โพดํา ทั้ง องใบจากไพ นึ่ง ํารับ โดย ยิบไพ
ทีละใบและไมใ คืนกอน ยิบใบที่ องได

แบบฝก ัดทายบท
1. 22 รูป
2. 6 ิธี
3. 15,600 ที่นั่ง
4. 10,156,250 ิธี
5. 1) 25,974 ร ั จ 2) 18,720 ร ั
6. 109,879,011 มายเลข

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 3 | ลักการนับเบื้องตน

100 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

7. 60 จําน น
8. 1,024 ิธี
9. 1) 6 ิธี จ 2) 30 ิธี จ
10. 360 ิธี
11. 5,527,200 ิธี จ
12. 45 เ น
13. 300 ภาพ
14. 2,400 ิธี
15. 1) 45 ิธี จ 2) 21 ิธี จ
16. 399,000 ิธี
17. 34 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 101

บทที่ 4

ค ามนาจะเปน

การ ึก าเรื่องค ามนาจะเปนมีค าม ําคัญ เนื่องจากค ามนาจะเปนจะช ยใ นักเรียนรูจัก


การแกปญ าที่เกี่ย ของกับการคาดการณบางอยาง ดังนั้นการ ึก าเรื่องนี้จะเปนเครื่องมือ
ที่จะช ยใ นักเรียนนําค ามรูที่ไดไปช ยในการ างแผนและการตัด ินใจไดอยางมี ลักการ
มากขึ้ น เนื้ อ าเรื่องค ามน าจะเปน ที่ นํ าเ นอใน นัง ือเรีย นราย ิช าพื้น ฐานคณิต า ตร
ชั้ น มั ธ ยม ึ ก าป ที่ 4 นี้ มี ตั อย า งที่ เ พี ย งพอ ํ า รั บ เป น พื้ น ฐานในการเรี ย นรู เ กี่ ย กั บ
ค ามนาจะเปน ทั้งที่เปนตั อยางที่ ามารถพบเ ็นไดในชี ิตประจํา ัน และตั อยางที่เกี่ย ของ
กับปญ าทางคณิต า ตร โดยบทเรียนนี้มุงใ นักเรียนบรรลุตั ชี้ ัดและจุดมุง มายดังตอไปนี้

ตั ชี้ ัด

าค ามนาจะเปนและนําค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปนไปใช

จุดมุง มาย

1. าปริภูมิตั อยางและเ ตุการณ


2. ใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปนในการแกปญ า

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

102 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ค ามรูกอน นา

• ค ามรูเกี่ย กับจําน นในระดับมัธยม ึก าตอนตน


• เซต
• ลักการนับเบื้องตน

4.1 เนื้อ า าระ


1. การทดลอง ุม คือ การทดลองซึ่งทราบ าผลลัพธอาจจะเปนอะไรไดบาง แตไม ามารถ
บอกไดอยางแนนอน าในแตละครั้งที่ทดลอง ผลที่เกิดขึ้นจะเปนอะไรในบรรดาผลลัพธ
ที่อาจเปนไดเ ลานั้น
2. ปริภูมิตั อยาง รือ แซมเปล เปซ คือ เซตที่มี มาชิกเปนผลลัพธที่อาจจะเปนไปได
ทั้ง มดของการทดลอง ุม
3. เ ตุการณ คือ ับเซตของปริภูมิตั อยาง
4. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมซึ่งเปนเซตจํากัด
โดย มาชิกทุกตั ของ S มีโอกา เกิดขึ้นไดเทากัน
และใ  E เปน ับเซตของ S ค ามนาจะเปนของเ ตุการณ E

n(E)
เขียนแทนด ย P(E) โดยที่ P(E) =
n(S )

เมื่อ n(E) แทนจําน น มาชิกของเ ตุการณ E

n(S ) แทนจําน น มาชิกของปริภูมิตั อยาง S

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 103

4.2 ขอเ นอแนะเกี่ย กับการ อน


ครูอาจนําเขา ูบทเรียนเรื่องค ามนาจะเปน โดยใชกิจกรรมเกี่ย กับ Galton board ดังนี้

กิจกรรม Galton board

ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูแนะนํา Galton board ใ นักเรียนรูจัก ซึ่งเปนกระดานที่มีลัก ณะดังรูป

2. ครูใ นักเรียนอภิปรายและคาดการณ า ากเทลูกแก จําน น 100 ลูก ลงไปในชอง


ดานบนของ Galton board ลูกแก จะตกลงไปในชองใดมากที่ ุด พรอมใ เ ตุผล
ประกอบการคาดการณ
3. ครูอาจใ นักเรียน าค ามรูเพิ่มเติม เชน คน า ีดิทั นเกี่ย กับการทดลองเทลูกแก
ลงใน Galton board โดยใชคําคน า า Galton board จากนั้นครูและนักเรียนร มกัน
รุปผลการทดลอง
4. ครู รุป า ผลการทดลองดังกลา ามารถอธิบายไดโดยใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปน
ที่จะไดเรียนในบทนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

104 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

มายเ ตุ
• ครูและนักเรียนอาจประดิ ฐ Galton board โดยใชอุปกรณอยางงาย เชน ไม ลอด โ ม
มุด และลูกปดทรงกลม ในลัก ณะดังรูป

• นักเรียนอาจยังไม ามารถตอบ รือคาดการณไดถูกตอง แตครูค ร งเ ริมใ นักเรียน


ใ เ ตุผลประกอบคําตอบ โดยแน คําตอบของนักเรียน อาจเปนดังนี้
o ลูกแก จะตกลงไปในชองกลางมากที่ ุด เพราะเปนชองที่ตรงกับตําแ นงทีป่ ลอยลูกแก
o ลูกแก จะตกลงไปแตละชองเทา ๆ กัน เพราะแตละชองก างเทากันและลูกแก
แตละลูกมีขนาดเทากัน
o ไม ามารถระบุได  าลู กแก จะตกลงไปในชองใดมากที่ ุด เนื่องจากเมื่อลูกแก
กระทบกับ มุด ลูกแก อาจตกลงไปทางซาย รือข าก็ได ซึ่งไม ามารถคาดเดาได

การทดลอง ุมและเ ตุการณ

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

• ตั อย า งเกี่ ย กั บ การทดลอง ุ ม ที่ นํ า เ นอใน นั ง ื อ เรี ย นเป น ตั อย า งที่ เ พี ย งพอ
ํา รับเปนพื้นฐานในการเรียนเกี่ย กับปริภูมิตั อยาง เ ตุการณ และค ามนาจะเปน
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 105

• ในการ อนเรื่ อ งการทดลอง ุ ม ในระดั บ นี้ ไม ไ ด เ น น ใ  นั ก เรี ย นจํ า แนก ถานการณ
ที่ กํ า นดใ   า เป น การทดลอง ุ ม รื อ ไม แตต องการใ  นัก เรี ย นเข า ใจค าม มาย
ของการทดลอง ุม

ค ามนาจะเปน

ครูอาจนําเขา ูบทเรียน เรื่อง ค ามนาจะเปน โดยใ นักเรียนทํากิจกรรม The Last Banana

กิจกรรม The Last Banana

ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูแบงกลุมนักเรียน 3 – 4 คน แบบคละค าม ามารถ จากนั้นครูใ นักเรียน ึก า ถานการณ
ปญ า The Last Banana ซึ่งใน ถานการณปญ านี้ผูเลน 2 คน จะทอดลูกเตา 2 ลูก
ผูเลนคนที่ 1 จะเปนผูชนะ ถาจําน นที่มากที่ ุดที่ไดจากการทอดลูกเตาแตละครั้งเปน
1, 2, 3 รือ 4 แตผูเลนคนที่ 2 จะเปนผูชนะ ถาจําน นที่มากที่ ุดที่ไดจากการทอดลูกเตา
แต ละครั้ งเปน 5 รื อ 6 ครู อาจใ นั กเรียน าแ ลงค ามรูเพิ่มเติม เชน คน า ีดิทั น
เกี่ย กับ ถานการณปญ า The Last Banana โดยใชคําคน า า The Last Banana
2. ครูใ นักเรียนแตละกลุมพิจารณา าผูเลนคนใดใน ถานการณปญ า The Last Banana
จะมีโอกา เปนผูชนะ พรอมใ เ ตุผลประกอบ
3. ครูและนักเรียนร มกันอภิปราย ถานการณปญ า The Last Banana โดยเชื่อมโยงกับ
ค ามรู เรื่อง ปริภูมิตั อยางและเ ตุการณ พรอมทั้ง าจําน น มาชิกของปริภูมิตั อยาง
เ ตุการณที่ผูเลนคนที่ 1 จะเปนผูชนะ และเ ตุการณที่ผูเลนคนที่ 2 จะเปนผูชนะ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

106 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

4. ครูใ นักเรียน า
o อัตรา  นระ างจําน น มาชิกของเ ตุการณที่ผูเลนคนที่ 1 จะเปนผูชนะตอจําน น
มาชิกของปริภูมิตั อยาง
o อัตรา  นระ างจําน น มาชิกของเ ตุการณที่ผูเลนคนที่ 2 จะเปนผูชนะตอจําน น
มาชิกของปริภูมิตั อยาง
5. ครูและนักเรียนร มกันอภิปรายเกี่ย กับคําตอบที่ไดในขอ 4 โดยเชื่อมโยงกับบทนิยาม
เกี่ย กับค ามนาจะเปน
มายเ ตุ
• ในการอภิปรายคําตอบครูอาจเปดคลิป ีดิทั นเพื่อประกอบการอธิบาย รือเขียนแผนภาพ
แ ดงผลลั พธที่เปนไปได ทั้ง มดของการทดลอง ุมของการทอดลูกเตาที่เที่ยงตรง องลูก
นึ่งครั้ง ดังแ ดงใน นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน

• ครู ค รเน น ย้ํ า  า ปริ ภู มิ ตั อย า งที่ ใ ช ใ นการคํ า น ณ เรื่ อง ค ามน า จะเป น ในระดั บ นี้
จะตองประกอบด ย มาชิกที่มีโอกา เกิดขึ้นไดเทากัน
• ในการ าค ามน า จะเป น ของเ ตุ ก ารณ อาจพิ จ ารณาเพี ย งจํ า น น มาชิ ก ของ
ปริภูมิตั อยางและเ ตุการณ ซึ่งไมจําเปนตองเขียนแจกแจง มาชิกทุกตั โดยเฉพาะเมื่อ
ปริภูมิตั อยางและเ ตุการณเปนเซตที่มีจําน น มาชิกมาก
• ในการแกปญ าเกี่ย กับค ามนาจะเปน อาจเชื่อมโยงค ามรูเรื่อง ลักการนับเบื้องตน
มาใชในการแกปญ า

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 107

ประเด็น ําคัญเกี่ย กับแบบฝก ัด

แบบฝก ัด 4.2
5. กลองใบ นึ่งบรรจุ ลอดไ 5 ลอด ในจําน นนี้มี ลอดดี 3 ลอด และ ลอดเ ีย
2 ลอด ถา ุม ยิบ ลอดไ 2 ลอด จง าค ามนาจะเปนที่จะได ลอดดี 1 ลอด
และ ลอดเ ีย 1 ลอด
แบบฝก ัดนี้ไมไดระบุ าการ ยิบ ลอดไ เปนการ ยิบพรอมกัน (ลําดับไม ําคัญ) รือ ยิบ
ไมพรอมกัน (ลําดับ ําคัญ) แต ํา รับขอนี้ไม าจะ ยิบอยางไร ค ามนาจะเปนที่ไดจะเทากัน

4.3 แน ทางการจัดกิจกรรมใน นัง ือเรียน

กิจกรรม Monty Hall Problem

Monty Hall Problem เปนปญ าคณิต า ตรซึ่งมีที่มาจากเกมโช ทางโทรทั นชื่อ Let’s


Make a Deal โดยออกอากา ใน รัฐอเมริกาเมื่อ ค. . 1984 – 1986 และ Monty Hall
เป น พิ ธี กรของรายการ กติ กาของเกมโช นี้มีอยู า “มีป ระตูที่มีลัก ณะเ มือนกัน อยู
ามบาน คือ ประตู มายเลข 1, 2 และ 3 โดยดาน ลังประตูทั้ง ามบานนี้จะมีประตูเพียง
บานเดี ย ที่ มี ร ถยนต ซึ่ ง เป น ของราง ั ล ใ ญ อ ยู และอี ก องบานที่ เ ลื อ จะมี แ พะอยู
ผูเขาแขงขัน ามารถเลือกประตูบานใดก็ได 1 บาน เมื่อผูเขาแขงขันเลือกประตู มายเลขใด
มายเลข นึ่งแล พิธีกรจะเลือกเปดประตูที่มีแพะ 1 บาน จากประตู องบานที่ผูเขาแขงขัน
ไม ไ ด เ ลื อ ก ดั ง นั้ น ตอนนี้ จ ะมี ป ระตู ที่ ยั ง ป ด อยู องบาน ประตู บ าน นึ่ ง คื อ ประตู ที่
ผูเขาแขงขันเลือก และประตูอีกบาน นึ่งคือประตูที่ผูเขาแขงขันไมไดเลือก จากนั้นพิธีกร
บอกผูเขาแขงขัน า ใ โอกา ผูเขาแขงขัน ามารถเปลี่ยนใจมาเลือกประตูอีกบาน นึ่งได”
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

108 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ขั้นตอนการป ิบัติ
1. จาก ถานการณที่กํา นดใ  ถานักเรียนเปนผูเขาแขงขัน ค รจะเลือกเปลี่ยนประตู
รือไม เพราะเ ตุใด
2. เปดเ ็บไซต goo.gl/9c2kWZ
3. ทดลองเลนเกม โดยคลิกเลือกประตู มายเลข 1, 2 รือ 3 จากนั้นโปรแกรมจะเปด
ประตู บ านที่ เ ลื อ ที่ มี แ พะอยู 1 บาน คลิ ก เลื อ ก  า จะเปลี่ ย น รื อ ไม เ ปลี่ ย นประตู
ตามที่ตัด ินใจในขอ 1

4. ทดลองเลนเกมอยางนอย 30 ครั้ง โดยเลือกไมเปลี่ยนประตู


ใ นักเรียนทําเครื่อง มาย X ลงในตารางตามผลลัพธที่ไดจากการเปดประตูที่นักเรียนเลือก

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 109

กรณี มเปลี่ยนประตู
ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ
1 11 21
2 12 22
3 13 23
4 14 24
5 15 25
6 16 26
7 17 27
8 18 28
9 19 29
10 20 30

5. จากการทดลองในขอ 4 จง า าอัตรา  นระ างจําน น มาชิกของเ ตุการณที่เปด


ประตูแล มีรถยนตกับจําน นการทดลองเลนเกม 30 ครั้ง คิดเปนเทาใด
6. ทดลองเลนเกมอยางนอย 30 ครั้ง โดยเลือกเปลี่ยนประตู
ใ นักเรียนทําเครื่อง มาย X ลงในตารางตามผลลัพธที่ไดจากการเปดประตูทนี่ ักเรียนเลือก

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

110 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

กรณีเปลี่ยนประตู
ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ
1 11 21
2 12 22
3 13 23
4 14 24
5 15 25
6 16 26
7 17 27
8 18 28
9 19 29
10 20 30

7. จากการทดลองในขอ 6 จง า าอัตรา  นระ างจําน น มาชิกของเ ตุการณที่เปดประตู


แล มีรถยนตกับจําน นการทดลองเลนเกม 30 ครั้ง คิดเปนเทาใด
8. จากผลการทดลองขางตน นักเรียนคิด าการเลือกเปลี่ยน รือไมเปลี่ยนประตู มีผลตอ
การไดราง ัล รือไม เพราะเ ตุใด

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 111

เฉลยกิจกรรม Monty Hall Problem

1. คําตอบของผูเรียนในขอนี้อาจเปนเพียงการคาดเดาก็ได ขึ้นกับเ ตุผลประกอบคําตอบ


ของผูเรียน
2. –
3. –
4. กรณีไมเปลี่ยนประตู
ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ
1 X 11 X 21 X
2 X 12 X 22 X
3 X 13 X 23 X
4 X 14 X 24 X
5 X 15 X 25 X
6 X 16 X 26 X
7 X 17 X 27 X
8 X 18 X 28 X
9 X 19 X 29 X
10 X 20 X 30 X
มายเ ตุ คําตอบขึ้นอยูกับการทดลองของผูเรียน
5. จากการทดลองในขอ 4 จะได า อัตรา  นระ างจําน น มาชิกของเ ตุการณที่เปด
7
ประตูแล มีรถยนตกับจําน นการทดลองเลนเกม 30 ครั้ง คิดเปน 30
0.23

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

112 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

6. กรณีเปลี่ยนประตู
ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ
1 X 11 X 21 X
2 X 12 X 22 X
3 X 13 X 23 X
4 X 14 X 24 X
5 X 15 X 25 X
6 X 16 X 26 X
7 X 17 X 27 X
8 X 18 X 28 X
9 X 19 X 29 X
10 X 20 X 30 X
มายเ ตุ คําตอบขึ้นอยูกับการทดลองของผูเรียน
7. จากการทดลองในขอ 6 จะได า อัตรา  นระ างจําน น มาชิกของเ ตุการณที่เปด
20
ประตูแล มีรถยนตกับจําน นการทดลองเลนเกม 30 ครั้ง คิดเปน 30
0.67

8. การเลื อกเปลี่ ย น รื อไม เ ปลี่ ย นประตู มีผ ลตอการได ร าง ั ล โดยจะมี โ อกา ไดร าง ั ล
มากก าถาเลือกเปลี่ยนประตู ซึ่งพิจารณาจากอัตรา  นในขอ 5 และ 7
มายเ ตุ
1) คําตอบขึ้นอยูกับผลลัพธที่ไดจากการทดลองของนักเรียนในขอ 5 และ 7 ในกรณีที่มี
นักเรียนไดคําตอบในขอ 8 แตกตางจากเฉลย ครูค รใ นักเรียนเปรียบเทียบคําตอบกับ
เพื่อน และค ร งเ ริมใ นักเรียนอภิปรายร มกันเพื่อใ ไดขอ รุป า จากผลลัพธที่ได
จากการทดลองของนักเรียน  นใ ญ จะเ ็น าการเลือกเปลี่ยนประตูทําใ มีโอกา ได
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 113

ราง ัลมากก าไมเปลี่ยนประตู


2. การทดลองข า งต น เป น ตั อย า ง นึ่ ง ในการ าค ามน า จะเป น เชิ ง การทดลอง
(experimental probability)

แน ทางการจัดกิจกรรม Monty Hall Problem

เ ลาในการจัดกิจกรรม 50 นาที
กิจกรรมนี้เ นอไ ใ นักเรียนใชค ามรู เรื่อง ค ามนาจะเปน เพื่อแกปญ าใน ถานการณที่
กํา นด ในการทํากิจกรรมนี้นักเรียนแตละคูค รมีเครื่องคอมพิ เตอรอยางนอย 1 เครื่อง
โดยครูอาจเลือกจั ดกิจกรรมนี้ใน องคอมพิ เตอรก็ได กิจกรรมนี้มี ื่อ แ ลงการเรียนรู
และขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ดังนี้
ื่อ/แ ลงการเรียนรู
1. ใบกิจกรรม “Monty Hall Problem”
2. ไ ลกิจกรรม Monty Hall Problem จากเ ็บไซต goo.gl/9c2kWZ
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. ครูนําเขา ูกิจกรรมโดยเปด ื่อ ีดิทั น รือเลาเรื่องรา ั้น ๆ เกี่ย กับ Monty Hall Problem
2. ครูแจกใบกิจกรรม “Monty Hall Problem” ใ กับนักเรียนทุกคนและใ นักเรียนทํากิจกรรม
นี้เปนคู
3. ครูและนักเรียนร มกันอภิปรายปญ าจาก ถานการณที่กํา นดใ 
4. ครูใ นักเรียนตอบคําถามที่ปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรมขอ 1 ในใบกิจกรรม
พรอมใ เ ตุผลประกอบ โดยไมตองคํานึงถึงค ามถูกตองของคําตอบ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

114 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

5. ครูใ นักเรียนแตละคูเปดไ ลกิจกรรม Monty Hall Problem จากเ ็บไซต goo.gl/9c2kWZ

จากนั้นครูชี้แจง ิธีใชไ ลกิจกรรมใ นักเรียนเขาใจกอนเริ่มทํากิจกรรมในไ ลกิจกรรม


6. ครูใ นักเรียนทํากิจกรรมและตอบคําถามที่ปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรมขอ 3 – 7

ในใบกิจกรรม ซึ่งในระ างที่นักเรียนทํากิจกรรมครูค รเดินดูนักเรียนใ ทั่ ถึงทุกกลุม และ


คอยชี้แนะเมื่อนักเรียนพบปญ า
7. ครู ใ  นั กเรี ย นตอบคํ าถามที่ ปรากฏในขั้ น ตอนการปฏิ บั ติ กิ จ กรรมข อ 8 ในใบกิ จ กรรม
โดยใ นักเรียนพิจารณาจากผลการทดลองที่ได และใ นักเรียนเปรียบเทียบผลการทดลองกับ
นักเรียนคูอื่น ๆ
8. ครูและนักเรียนร มกันอภิปรายและ รุปคําตอบของคําถามที่ปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติ
กิจกรรมขอ 8 ในใบกิจกรรม
9. ครูอาจเพิ่มเติม าการทดลองดังกลา เปนตั อยาง นึ่งในการ าค ามนาจะเปนที่เรียก า
ค ามนาจะเปนเชิงประจัก  (empirical probability)

4.4 การ ัดผลประเมินผลระ างเรียน


การ ัดผลระ างเรียนเปนการ ัดผลการเรียนรูเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการ อน และ
ตร จ อบนั ก เรี ย นแต ล ะคน  า มี ค ามรู ค ามเข า ใจในเรื่ อ งที่ ค รู อนมากน อ ยเพี ย งใด
การใ  นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก ั ด เป น แน ทาง นึ่ ง ที่ ค รู อ าจใช เ พื่ อ ประเมิ น ผลด า นค ามรู
ระ างเรียนของนักเรียน ซึ่ง นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4
ไดนําเ นอแบบฝก ัดที่ครอบคลุมเนื้อ าที่ ําคัญของแตละบทไ  ํา รับในบทที่ 4 ค ามนาจะเปน
ครูอาจใชแบบฝก ัดเพื่อ ัดผลประเมินผลค ามรูในแตละเนื้อ าไดดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 115

เนื้อ า แบบฝก ัด

การทดลอง ุม ปริภูมิตั อยาง และเ ตุการณ 4.1 ขอ 1 – 3


ค ามนาจะเปนของเ ตุการณ 4.2 ขอ 1 – 8

4.5 การ ิเคราะ แบบฝก ัดทายบท


นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 มีจุดมุง มาย าเมื่อนักเรียน
ไดเรียนจบบทที่ 4 ค ามนาจะเปน แล นักเรียน ามารถ
1. าปริภูมิตั อยางและเ ตุการณ
2. ใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปนในการแกปญ า
ซึ่ง นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ไดนําเ นอแบบฝก ัดทายบท
ที่ประกอบด ยโจทยเพื่อตร จ อบค ามรู ลังเรียน โดยมี ัตถุประ งคเพื่อ ัดค ามรูค ามเขาใจ
ของนักเรียนตามจุดมุง มาย ซึ่งประกอบด ยโจทยฝกทัก ะที่มีค ามนา นใจและโจทยทาทาย
ครูอาจเลือกใชแบบฝก ัดทายบท ัดค ามรูค ามเขาใจของนักเรียนตามจุดมุง มายของบทเพื่อ
ตร จ อบ านักเรียนมีค าม ามารถตามจุดมุง มายเมื่อเรียนจบบทเรียน รือไม

ทั้งนี้ แบบฝก ัดทายบทแตละขอใน นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4


บทที่ 4 ค ามนาจะเปน อดคลองกับจุดมุง มายของบทเรียน ดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

116 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

จุดมุง มาย
ขอ
ขอ ใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปน
ยอย าปริ ูมิตั อยางและเ ตุการณ
ในการแกปญ า
1. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

2. 1) 

2) 

3. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

4. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 117

จุดมุง มาย
ขอ
ขอ ใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปน
ยอย าปริ ูมิตั อยางและเ ตุการณ
ในการแกปญ า
5. 1) 

2) 

3) 

6. 1) 

2) 

3) 

4) 

5) 

6) 

7. 

8. 

9. 1) 

2) 

3) 

10. 1) 

2) 

11. 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

118 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

จุดมุง มาย
ขอ
ขอ ใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปน
ยอย าปริ ูมิตั อยางและเ ตุการณ
ในการแกปญ า
12. 

13. 

14. 1) 

2) 

15. 

16. 

17. 

18. 1) 

2) 

3) 

19. 

20. 

21. 

22. 

23. 1)   ก
2) 

3) 

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 119

จุดมุง มาย
ขอ
ขอ ใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปน
ยอย าปริ ูมิตั อยางและเ ตุการณ
ในการแกปญ า
4) 

24. 

25. 

4.6 ตั อยางแบบทด อบประจําบทและเฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท


ใน  นนี้จะนําเ นอตั อยางแบบทด อบประจําบทที่ 4 ค ามนาจะเปน ํา รับราย ิชาพื้นฐาน
คณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ซึ่งครู ามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประ งคการเรียนรู
ที่ตองการ ัดผลประเมินผล

ตั อยางแบบทด อบประจําบท
1. คน องคนเลือกเลขโดดจาก 1 ถึง 5 โดยที่ไมซ้ํากัน จง าเ ตุการณที่คนที่ องไดเลขโดด
ที่มีคามากก าเลขโดดของคนแรก
2. ในการโยนเ รียญ 4 เ รียญ 1 ครั้ง จง าค ามนาจะเปนที่จะไดจําน นเ รียญที่ขึ้น ั
เทากับจําน นเ รียญที่ขึ้นกอย
3. จง าค ามนาจะเปนที่คน องคนมี ันเกิด (อาทิตย – เ าร) ันเดีย กัน แต มูเลือด
( A, B, AB, O ) ตางกัน

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

120 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

4. ในการ ุมจําน นที่มี ี่ ลัก มา 1 จําน น จง าค ามนาจะเปนที่เลขโดดที่อยูใน ลักพันกับ


เลขโดดที่อยู ลัก น ยเปนเลขโดดเดีย กัน และเลขโดดที่อยูใน ลักรอยกับเลขโดดที่อยู
ใน ลัก ิบเปนเลขโดดเดีย กัน
5. ในการ ุมจําน นที่มี า ลัก มา 1 จําน น จง าค ามนาจะเปนที่จะไดจําน นที่มี า ลัก
ที่ประกอบด ยเลขโดด 5 ตั ที่เปนจําน นที่เรียงติดกันซึ่งเพิ่มขึ้น รือลดลงทีละ นึ่ง
(เชน 23456, 76543 )

6. ใน องเรียนที่มีนักเรียน 40 คน มีนักเรียนที่ชอบออกกําลังกาย 25 คน มีนักเรียนที่ชอบดู


ารคดี 20 คน มีนักเรียนที่ชอบทั้งออกกําลังกายและดู ารคดี 12 คน จง าค ามนาจะเปน
ที่ ุมนักเรียนมา นึ่งคนแล ไดนักเรียนทีช่ อบออกกําลังกาย รือดู ารคดี
7. กลองใบ นึ่งบรรจุลูกบอล ีแดง 1 ลูก และ ีขา 9 ลูก ุม ยิบลูกบอลออกจากกลอง 3 ลูก
โดย ยิบทีละ นึ่งลูกและไมใ คืนกอน ยิบลูกบอลลูกตอไป จง าค ามนาจะเปนที่ ยิบ
ไมไดลูกบอล ีแดงเลย
8. กลองใบ นึ่งบรรจุ ลาก 10 ใบ โดยเขียน มายเลข 1 ถึง 10 กํากับไ  จง าค ามนาจะเปน
ที่จะ ยิบ ลากพรอมกัน 3 ใบ ได ลากที่ผลบ กของ มายเลขบน ลาก ทั้ง ามเปน 17 และ
ไมมใี บใดเลยที่มี มายเลขที่นอยก า 3
9. ณิชาเลือกร ั 4 ลัก ซึ่งประกอบด ยเลขโดด 0 ถึง 9 จง า
1) ค ามนาจะเปนทีณ
่ ัชชาจะทายร ั ของณิชาถูกตองเพียง อง ลัก ุดทาย
2) ค ามนาจะเปนทีณ
่ ัชชาจะทายร ั ของณิชาถูกเพียง อง ลักเทานั้น

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 121

เฉลยตั อยางแบบทด อบประจําบท


1. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได
S = {(1, 1) , (1, 2 ) , (1, 3) , (1, 4 ) , (1, 5 ) ,

( 2, 1) , ( 2, 2 ) , ( 2, 3) , ( 2, 4 ) , ( 2, 5) ,

( 3, 1) , ( 3, 2 ) , ( 3, 3) , ( 3, 4 ) , ( 3, 5) ,

( 4, 1) , ( 4, 2 ) , ( 4, 3) , ( 4, 4 ) , ( 4, 5) ,

( 5, 1) , ( 5, 2 ) , ( 5, 3) , ( 5, 4 ) , ( 5, 5)}

ใ  E แทนเ ตุการณที่คนที่ องไดเลขโดดที่มีคามากก าเลขโดดของคนแรก


ดังนั้น E = {(1, 2 ) , (1, 3) , (1, 4 ) , (1, 5 ) , ( 2, 3) , ( 2, 4 ) , ( 2, 5 ) , ( 3, 4 ) , ( 3, 5 ) , ( 4, 5 )}

2. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้


จะได n ( S ) = 24 = 16
ใ  E แทนเ ตุการณที่จะไดจําน นเ รียญที่ขึ้น ั เทากับจําน นเ รียญที่ขึ้นกอย
เนื่องจากเ ตุการณที่จะไดจําน นเ รียญที่ขึ้น ั เทากับจําน นเ รียญที่ขึ้นกอย
คือ ไดเ รียญที่ขึ้น ั 2 เ รียญ และไดเ รียญที่ขึ้นกอย 2 เ รียญ จากการโยนเ รียญ
ทั้ง มด 4 ครั้ง
4!
นั่นคือ n ( E ) = C 4, 2 = =6 ิธี
2!2!

จะได P ( E ) = 6 = 3
16 8
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดจําน นเ รียญที่ขึ้น ั เทากับจําน นเ รียญที่ขึ้นกอย คือ
8

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

122 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้


ขั้นที่ 1 คนที่ นึ่งเกิด ันใดก็ได และมี มูเลือดใดก็ได มีได 7×4 ิธี
ขั้นที่ 2 คนที่ องเกิด ันใดก็ได และมี มูเลือดใดก็ได มีได 7×4 ิธี
จะได n ( S ) = ( 7 × 4 )( 7 × 4 )
ใ  E แทนเ ตุการณที่คน องคนมี ันเกิด ันเดีย กันแตมี มูเลือดตางกัน
ขั้นที่ 1 คนที่ นึ่งเกิด ันใดก็ได และมี มูเลือดใดก็ได มีได 7×4 ิธี
ขั้นที่ 2 คนที่ องเกิด ันเดีย กับคนที่ นึ่ง แตมี มูเลือดตางจากคนที่ นึ่ง มีได 1× 3 ิธี
จะได n ( E ) = ( 7 × 4 )(1× 3)
นั่นคือ P ( E ) = 7 × 4 × 3 = 3
7 × 4 × 7 × 4 28
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่คน องคนมี ันเกิด ันเดีย กันแตมี มูเลือดตางกัน คือ
28
4. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากจําน นที่มี ี่ ลักมีทั้ง มด 9,000 ตั
จะได n ( S ) = 9,000
ใ  E แทนเ ตุการณที่ ุมไดจําน นที่มี ี่ ลักที่มีเลขโดดที่อยูใน ลักพันกับเลขโดดที่อยูใน
ลัก น ยเปนเลขโดดเดีย กัน และเลขโดดที่อยูใน ลักรอยกับเลขโดดที่อยูใน ลัก ิบ
เปนเลขโดดเดีย กัน
เนื่องจากจําน นที่มี ี่ ลักที่มีเลขโดดที่อยูใน ลักพันกับเลขโดดที่อยูใน ลัก น ยเปนเลขโดด
เดีย กัน และเลขโดดที่อยูใน ลักรอยกับเลขโดดที่อยูใน ลัก ิบเปน เลขโดดเดีย กัน มีอยู
9 × 10 × 1 × 1 = 90 จําน น นั่นคือ n ( E ) = 90
จะได P ( E ) = 90 = 1
9000 100

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 123

ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ ุมจําน นที่มี ี่ ลัก มา 1 จําน น ไดจําน นที่มี ี่ ลักที่มีเลขโดดที่อยู


ใน ลักพันกับเลขโดดที่อยูใน ลัก น ยเปนเลขโดดเดีย กัน และเลขโดดที่อยูใน ลักรอยกับ
1
เลขโดดที่อยูใน ลัก ิบเปนเลขโดดเดีย กัน คือ
100
5. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากจําน นที่มี า ลักมีทั้ง มด 90,000 ตั
จะได n ( S ) = 90,000
ใ  E แทนเ ตุการณที่ ุมไดจําน นที่มี า ลักที่ประกอบ ด ยเลขโดด 5 ตั ที่เปนจําน นที่
เรียงติดกันที่เพิ่มขึ้น รือลดลงทีละ นึ่ง
เนื่องจาก จําน นที่มี า ลักที่ประกอบด ยเลขโดด 5 ตั ที่เปนจําน นที่เรียงติดกันที่เพิ่มขึ้น
ทีละ นึ่ง มีอยู 5 จําน น ไดแก 12345, 23456, 34567, 45678 และ 56789

และจําน นที่มี า ลักที่ประกอบด ยเลขโดด 5 ตั ที่เปนจําน นที่เรียงติดกันที่ลดลงทีละ นึ่ง


มีอยู 6 จําน น ไดแก 98765, 87654, 76543, 65432, 54321 และ 43210

นั่นคือ n ( E ) = 5 + 6 = 11
จะได P ( E ) = 11
90000

ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ ุมจําน นที่มี า ลัก มา 1 จําน น ไดจําน นที่มี า ลักที่ประกอบ


11
ด ยเลขโดด 5 ตั ที่ เปนจําน นที่เรียงติดกันซึ่งเพิ่มขึ้น รือลดลงทีละ นึ่ง คือ
90000
6. ใ  A แทนเซตของนักเรียนที่ชอบออกกําลังกาย
B แทนเซตของนักเรียนที่ชอบดู ารคดี
มีนักเรียนที่ชอบออกกําลังกาย 25 คน นั่นคือ n ( A) = 25
มีนักเรียนที่ชอบดู ารคดี 20 คน นั่นคือ n ( B ) = 20
มีนักเรียนที่ชอบทั้งออกกําลังกายและดู ารคดี 12 คน นั่นคือ n ( A ∩ B ) = 12
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

124 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
= 25 + 20 − 12
= 33
ดังนั้น มีนักเรียนที่ชอบออกกําลังกาย รือดู ารคดี 33 คน
ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากใน องเรียนนี้มีนักเรียน 40 คน
จะได n ( S ) = 40
ใ  E แทนเ ตุการณที่ไดนักเรียนที่ชอบออกกําลังกาย รือดู ารคดี
จะได n ( E ) = 33
จะได P ( E ) = 33
40
33
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดนักเรียนชอบออกกําลังกาย รือดู ารคดี คือ
40
7. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากกลองใบนี้บรรจุลูกบอลทั้ง มด 10 ลูก
จะได n ( S ) = C = 10 × 9 × 8
10,3

ใ  E แทนเ ตุการณที่ ยิบไมไดลูกบอล ีแดงเลย


จะได n ( E ) = 9 × 8 × 7
จะได P ( E ) = 9 × 8 × 7 = 7
10 × 9 × 8 10
7
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ ยิบไมไดลูกบอล ีแดงเลย คือ
10

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 125

8. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้


เนื่องจากกลองใบนี้บรรจุ ลาก 10 ใบ และตองการ ยิบ ลาก 3 ใบพรอมกัน
จะได n ( S ) = C10,3 = 10! = 10 × 9 × 8 = 120
7!3! 3× 2
ใ  E แทนเ ตุการณที่จะ ยิบ ลาก 3 ใบ ได ลากที่ผลบ กของ มายเลขบน ลาก
ทั้ง ามเปน 17 และไมมีใบใดเลยที่มี มายเลขที่นอยก า 3
เนื่องจาก ลาก 3 ใบ ที่ผลบ กของ มายเลขบน ลากทั้ง ามเปน 17 และไมมีใบใดเลยที่มี
มายเลขนอยก า 3 ไดแก ( 3, 4, 10 ) , ( 3, 5, 9 ) , ( 3, 6, 8) , ( 4, 5, 8) และ ( 4, 6, 7 )
จะได n ( E ) = 5
จะได P ( E ) = 5 = 1
120 24
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ ยิบ ลาก 3 ใบ ได ลากที่ผลบ กของ มายเลขบน ลากทั้ง าม
1
เปน 17 และไมมีใบใดเลยที่มี มายเลขที่นอยก า 3 คือ
24
9. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 104 = 10000
1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่ณัชชาจะทายร ั ของณิชาถูกเพียง อง ลัก ุดทาย

จะได n ( E ) = C
1 9,1 × C9,1 × 1 × 1 = 81

จะได P ( E1 ) = 81
10000
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ณัชชาจะทายร ั ของณิชาถูกเพียง อง ลัก ุดทาย
81
คือ
10000

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

126 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

2) ใ  E2 แทนเ ตุการณทณ
ี่ ัชชาจะทายร ั ของณิชาถูกเพียง อง ลักเทานั้น
4!
เลือก ลัก อง ลักที่ณัชชาจะทายไดถูก มีได C4, 2 = =6 แบบ
2!2!
จะได n ( E ) = 6 × C
2 9,1 × C9,1 × 1 × 1 = 486

จะได P ( E2 ) = 486 = 243


10000 5000
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ณัชชาจะทายร ั ของณิชาถูกเพียง อง ลักเทานั้น
243
คือ
5000

4.7 เฉลยแบบฝก ัด
คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 แบงการเฉลยแบบฝก ัดเปน 2  น
คือ  นที่ 1 เฉลยคําตอบ และ  นที่ 2 เฉลยคําตอบพรอม ิธีทําอยางละเอียด ซึ่งเฉลยแบบฝก ัด
ที่อยูใ น  นนี้เปนการเฉลยคําตอบของแบบฝก ัด โดยไมไดนําเ นอ ิธีทํา อยางไรก็ตามครู ามารถ
ึก า ิธีทําโดยละเอียดของแบบฝก ัดทุกขอไดใน  นทายของคูมือครูเลมนี้

แบบฝก ัด 4.1
1. 1) S1 = {ร ม, ร องุน, ร มะนา , ร กาแ }

2) S 2 = {0, 1, 2, 3, …, 10}
3) S3 = {ชช, ชพ, พช, พพ}
4) S 4 = {3, 4, 5, …, 18}
5) S5 = {0, 1, 2, 3, 4, 5}

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 127

2. 1) S = { HH , HT , TH , TT } 2) E1 = { HH }
3) E2 = { HT , TH } ก

3. 1) E1 = {T 1, T 3, T 5} ก 2) E2 = {H 2, H 4, H 6}

3) E3 = {H 3, H 6, T 3, T 6} ก 4) E4 = ∅

5) E5 = S ก

แบบฝก ัด 4.2
3 2
1. 1) 2)
5 5
1 1
2. 1) 2)
2 3
1
3) 0 4)
3
1
3. 1) 1 2)
2
1 4
3) 4)
5 5
3 19
4. 1) 2)
4 20
1
3)
10
3
5.
5
1
6.
3
3
7.
4

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

128 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

2 2
8. 1) 2)
3 3
1
3)
2

แบบฝก ัดทายบท

1. 1) S = {HHH , HHT , HTH , HTT , THH , THT , TTH , TTT }


2) E1 = {HTT , THT , TTH } ก

3) E2 = {HHH } ก

4) E3 = {HHH , HHT , HTH , HTT , THH , THT , TTH } ก

5) E4 = {TTT } ก

2. 1) S = { RR, RW , RG , WR, WW , WG , GR, GW , GG }


2) E2 = { RW , WR}
53 389
3. 1) 2)
250 1000
31 21
3) 4)
250 200
17
5)
100
7 1
4. 1) 2)
20 2
43 1
3) 4)
100 10
5) 0
1 8
5. 1) 2)
5 25
1
3)
5

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 129

1 1
6. 1) 2)
10 5
3 2
3) 4)
5 5
1
5) 6) 1
2
1
7.
365
1
8.
2
1 1
9. 1) 2)
8 8
1
3)
4
11 5
10. 1) 2)
12 6
5
11.
6
4
12.
5
13. นม น้ําเกก ย และน้ํา ม
1 2
14. 1) 2)
15 9
1
15.
28
3
16.
11
73
17.
145
7 8
18. 1) 2)
15 15
14
3)
15

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน

130 คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

1
19.
5
3
20.
20
2
21.
11
12
22.
25
1 4
23. 1) 2)
5 5
9 13
3) 4)
25 25
1
24.
380
25 13
25. 1) 2)
102 102
1
3)
221
26. แ นค รจะใ  ลากคืนกอนจะ ยิบ ลากใบที่ อง เพราะค ามนาจะเปนเมื่อ ยิบ ลาก
แบบใ คนื มากก าค ามนาจะเปนเมื่อ ยิบ ลากแบบไมใ คืน
9
27.
10
14 1
28. 1) 2)
285 1140
23 7
3) 4)
57 95
18
5)
95

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 131

เฉลยแบบฝก ัดและ ิธีทําโดยละเอียด


บทที่ 1 เซต

แบบฝก ัด 1.1ก
1. 1) { a, e, i, o, u } 2) { 2, 4, 6, 8 }
3) { 10, 11, 12,  , 99 } 4) { 101, 102, 103,  }
5) { − 99, − 98, − 97,  , − 1} 6) { 4, 5, 6, 7, 8, 9 }
7) ∅ 8) ∅
9) { − 14, 14 }
10) {ชลบุร,ี ชัยนาท, ชัยภูมิ, ชุมพร, เชียงราย, เชียงใ ม}
2. 1) ตั อยางคําตอบ {x | x เปนจําน นคี่บ กที่นอยก า 10 }
รือ {x∈ | x เปนจําน นคี่ตั้งแต 1 ถึง 9 }
2) ตั อยางคําตอบ {x | x เปนจําน นเต็ม }
3) ตั อยางคําตอบ {x∈ | x มีรากที่ องเปนจําน นเต็ม }
รือ { x | x = n2 และ n เปนจําน นนับ }
4) ตั อยางคําตอบ {x∈ | x ารด ย ิบลงตั }

รือ { x | x = 10n และ n เปนจําน นนับ }


3. 1) A มี มาชิก 1 ตั 2) B มี มาชิก 5 ตั
3) C มี มาชิก 7 ตั 4) D มี มาชิก 9 ตั
5) E มี มาชิก 0 ตั
4. 1) เปนเท็จ 2) เปนจริง
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
132 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3) เปนเท็จ
5. 1) เปนเซต าง
2) ไมเปนเซต าง (มี 5 และ 7 เปน มาชิกของเซต)
3) ไมเปนเซต าง (มี 1 เปน มาชิกของเซต)
4) เปนเซต าง
5) ไมเปนเซต าง (มี −2 และ −1 เปน มาชิกของเซต)
6. 1) เซตอนันต 2) เซตจํากัด
3) เซตอนันต 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต 6) เซตอนันต
7. 1) จากโจทย A = { 0, 1, 3, 7 }
และเขียน B แบบแจกแจง มาชิกไดเปน B = {  , − 2, − 1, 0, 1, 2,  , 9 }

ดังนั้น A≠B เพราะมี มาชิกของ B ที่ไมเปน มาชิกของ A เชน −1∈ B

แต −1∉ A

2) จากโจทย เขียน A แบบแจกแจง มาชิกไดเปน A = {  , − 2, 0, 2, 4, 6, 8 }

และ B = { 2, 4, 6, 8 }

ดังนั้น A≠B เพราะมี มาชิกของ A ที่ไมเปน มาชิกของ B เชน 0∈ A

แต 0∉ B

3) จากโจทย A = { 7, 14, 21,  , 343 }

และเขียน B แบบแจกแจง มาชิกไดเปน B = { 7, 14, 21,  , 343 }

ดังนั้น A=B เพราะ มาชิกทุกตั ของ A เปน มาชิกของ B และ มาชิกทุกตั


ของ B เปน มาชิกของ A

 1 2 3 4 
4) จากโจทย เขียน A แบบแจกแจง มาชิกไดเปน A =  0, , , , ,  
 2 3 4 5 
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 133

 1 2 3 4 
และ B =  0, , , , ,  
 2 3 4 5 
ดังนั้น A=B เพราะ มาชิกทุกตั ของ A เปน มาชิกของ B และ มาชิกทุกตั
ของ B เปน มาชิกของ A

5) จากโจทย เขียน A แบบแจกแจง มาชิกไดเปน A = {−6, 6}

และ B = { 6}

ดังนั้น A≠B เพราะมี มาชิกของ A ที่ไมเปน มาชิกของ B คือ −6 ∈ A

แต −6 ∉ B

8. จากโจทย เขียน A, B , C และ D แบบแจกแจง มาชิก ไดดังนี้


A = {ก, ร ม}
B = {ม, ร, ค}

C = {ม ก, ร, ค}
D = {ร, ก, ม}

ดังนั้น A≠B เพราะมี มาชิกของ A ที่ไมเปน มาชิกของ B คือ ก ∈ A แต ก ∉ B


A≠C เพราะมี มาชิกของ C ที่ไมเปน มาชิกของ A คือ ค ∈ C แต ค ∉ A
A=D เพราะ มาชิกทุกตั ของ A เปน มาชิกของ D และ มาชิกทุกตั
ของ D เปน มาชิกของ A

B≠C เพราะมี มาชิกของ C ที่ไมเปน มาชิกของ B คือ ก ∈ C แต ก ∉ B


B≠D เพราะมี มาชิกของ D ที่ไมเปน มาชิกของ B คือ ก ∈ D แต ก ∉ B
C≠D เพราะมี มาชิกของ C ที่ไมเปน มาชิกของ D คือ ค ∈ C แต ค ∉ D

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


134 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

แบบฝก ัด 1.1ข

1. 1) ถูก 2) ผิด
3) ผิด 4) ถูก
5) ถูก 6) ผิด
2. เขียน A และ B แบบแจกแจง มาชิกไดเปน
A = { 2, 4, 6 }
B = { 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 }

และจากโจทย C = { 2, 4 }

ดังนั้น A⊂ B เพราะ มาชิกทุกตั ของ A เปน มาชิกของ B

C⊂A เพราะ มาชิกทุกตั ของ C เปน มาชิกของ A

C⊂B เพราะ มาชิกทุกตั ของ C เปน มาชิกของ B

3. เขียน Y แบบแจกแจง มาชิกไดเปน Y = { 1, 3, 5, 7, 9, 11}


1) เปนจริง เพราะ มาชิกทุกตั ของ X เปน มาชิกของ Y
2) เปนจริง เพราะ มาชิกทุกตั ของ Y เปน มาชิกของ X

3) เปนจริง เพราะ X ⊂Y และ Y⊂X

4. 1) ∅ และ { 1}
2) ∅ , { 1} , { 2 } และ { 1, 2 }
3) ∅ , { − 1 } , { 0 } , { 1 } , {−1, 0 } , {−1, 1 } , { 0, 1 } และ {−1, 0, 1}
4) ∅ , { x }, { y } และ { x , y }
5) ∅ , { a } , { b } , { c } , { a , b } , { a , c } , { b, c } และ { a , b , c }
6) ∅

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 135

แบบฝก ัด 1.1ค

1. จาก ิ่งที่กํา นดใ  A และ B ไมมี มาชิกร มกัน


เขียนแผนภาพเ นนแ ดง A และ B ไดดังนี้

2. กํา นดใ  U เปนเซตของจําน นนับ


1) จาก ิ่งที่กํา นดใ  จะได B⊂ A

เขียนแผนภาพเ นนแ ดง A และ B ไดดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


136 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

2) จาก ิ่งที่กํา นดใ  จะได C⊂B และ B⊂ A

เขียนแผนภาพเ นนแ ดง A, B และ C ไดดังนี้

3) จาก ิ่งที่กํา นดใ  จะได B ⊂ A และ C ⊂ A โดยที่ B และ C มี มาชิกร มกัน คือ 5
เขียนแผนภาพเ นนแ ดง A, B และ C ไดดังนี้

3. 1) มาชิกที่อยูใน A แตไมอยูใน B มี 1 ตั (คือ a )

2) มาชิกที่ไมอยูใน A และไมอยูใน B มี 2 ตั (คือ d และ e)

3) มาชิกที่อยูทั้งใน A และ B มี 3 ตั (คือ x , y และ z)

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 137

แบบฝก ัด 1.2

1. ิธีที่ 1 1) A มี มาชิก คือ 0, 1, 2 และ 8


B มี มาชิก คือ 0, 2, 4, 7 และ 9
ดังนั้น A ∪ B = { 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 }

2) A และ B มี มาชิกร มกัน คือ 0 และ 2


ดังนั้น A ∩ B = { 0, 2 }

3) มาชิกที่อยูใน A แตไมอยูใน B คือ 1 และ 8


ดังนั้น A − B = { 1, 8 }

4) มาชิกที่อยูใน B แตไมอยูใน A คือ 4, 7 และ 9


ดังนั้น B − A = { 4, 7, 9 }

5) มาชิกที่อยูใน U แตไมอยูใน A คือ 3, 4, 5, 6, 7 และ 9


ดังนั้น A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9 }

6) มาชิกที่อยูใน U แตไมอยูใน B คือ 1, 3, 5, 6 และ 8


ดังนั้น B′ = { 1, 3, 5, 6, 8 }

7) A มี มาชิก คือ 0, 1, 2 และ 8


B′ มี มาชิก คือ 1, 3, 5, 6 และ 8
ดังนั้น A ∪ B′ = { 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8 }

8) A′ มี มาชิก คือ 3, 4, 5, 6, 7 และ 9


B มี มาชิก คือ 0, 2, 4, 7 และ 9
จะได A′ และ B มี มาชิกร มกัน คือ 4, 7 และ 9
ดังนั้น A′ ∩ B = { 4, 7, 9 }

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


138 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ิธีที่ 2 A และ B มี มาชิกร มกัน คือ 0 และ 2


เขียนแผนภาพเ นนแ ดง A และ B ไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได
1) A ∪ B = { 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 } 2) A ∩ B = { 0, 2 }
3) A − B = { 1, 8 } 4) B − A = { 4, 7, 9 }
5) A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9 } 6) B′ = { 1, 3, 5, 6, 8 }
7) A ∪ B′ = { 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8 } 8) A′ ∩ B = { 4, 7, 9 }

2. ใ  U = { 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 } , A = { 0, 2, 4, 6, 8 } , B = { 1, 3, 5, 7 } และ
C = { 3, 4, 5, 6 }

ิธีที่ 1 1) A และ B ไมมี มาชิกร มกัน


ดังนั้น A∩ B = ∅

2) B มี มาชิก คือ 1, 3, 5 และ 7


C มี มาชิก คือ 3, 4, 5 และ 6
ดังนั้น B ∪ C = { 1, 3, 4, 5, 6, 7 }

3) B และ C มี มาชิกร มกัน คือ 3 และ 5


ดังนั้น B ∩ C = { 3, 5 }

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 139

4) A และ C มี มาชิกร มกัน คือ 4 และ 6


ดังนั้น A ∩ C = { 4, 6 }

5) มาชิกที่อยูใน U แตไมอยูใน C คือ 0, 1, 2, 7 และ 8


ดังนั้น C ′ = { 0, 1, 2, 7, 8 }

6) C′ และ A มี มาชิกร มกัน คือ 0, 2 และ 8


ดังนั้น C ′ ∩ A = { 0, 2, 8 }

7) C′ และ B มี มาชิกร มกัน คือ 1 และ 7


ดังนั้น C ′ ∩ B = { 1, 7 }

8) A∩ B เปนเซต าง
B มี มาชิก คือ 1, 3, 5 และ 7
ดังนั้น ( A ∩ B ) ∪ B = { 1, 3, 5, 7 }
ิธีที่ 2 A และ B ไมมี มาชิกร มกัน
A และ C มี มาชิกร มกัน คือ 4 และ 6
B และ C มี มาชิกร มกัน คือ 3 และ 5
เขียนแผนภาพเ นนแ ดง A, B และ C ไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได
1) A∩ B = ∅ 2) B ∪ C = { 1, 3, 4, 5, 6, 7 }

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


140 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3) B ∩ C = { 3, 5 } 4) A ∩ C = { 4, 6 }
5) C ′ = { 0, 1, 2, 7, 8 } 6) C ′ ∩ A = { 0, 2, 8 }
7) C ′ ∩ B = { 1, 7 } 8) ( A ∩ B ) ∪ B = { 1, 3, 5, 7 }
3. 1) A′ 2) B′ d

3) A′ ∩ B′ 4) ( A ∪ B )′ s

5) A′ ∪ B′ 6) ( A ∩ B )′ s

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 141

7) A− B 8) A ∩ B′ d

4. 1) ( A ∪ B) ∪ C 2) A∪(B ∪C) d

3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A∩(B ∩C) s

5) ( A∩C) ∪(B ∩C) 6) ( A ∪ B) ∩ C s

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


142 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

5. 1) A∩C ก 2) C ∪ B′

3) B−A ก
6. 1) ∅ ก 2) A

3) ∅ ก 4) U

5) U ก 6) ∅

7) A′ ก 8) ∅

แบบฝก ัด 1.3

1. เขียนแผนภาพเพื่อแ ดงจําน น มาชิกของเซตไดดังนี้

จากแผนภาพ จะไดจําน น มาชิกของเซตตาง ๆ ดังตอไปนี้


เซต A− B B−A A∪ B A′ B′ ( A ∪ B )′

จําน น มาชิก 34 19 59 60 75 41

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 143

2. เขียนแผนภาพเพื่อแ ดงจําน น มาชิกของเซตไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได
1) n ( A ∪ B ) = 12 + 13 + 17 = 42 2) n ( A − B ) = 12 ก
3) n ( A′ ∩ B′ ) = 8 ป
3. เขียนแผนภาพเพื่อแ ดงจําน น มาชิกของเซตไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได
1) n ( A ∪ C ) = 3 + 7 + 10 + 5 + 10 + 5 = 40

2) n ( A ∪ B ∪ C ) = 3 + 7 + 10 + 5 + 10 + 5 + 3 = 43 ก
3) n ( A ∪ B ∪ C )′ = 7 ก

4) n ( B − ( A ∪ C )) = 3 ก
5) n (( A ∩ B ) − C ) = 7 ก

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


144 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

4. ใ  A และ B เปนเซตจํากัด โดยที่ n ( A) = 18, n ( B ) = 25 และ n ( A ∪ B ) = 37


จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )

จะได 37 = 18 + 25 − n ( A ∩ B )
n ( A ∩ B ) = 18 + 25 − 37
= 6
ดังนั้น n ( A ∩ B ) = 6
5. จาก n ( A − B ) = 20 และ n ( A ∪ B ) = 80
เขียนแผนภาพเพื่อแ ดงจําน น มาชิกของเซตไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได n( B) = n( A ∪ B) − n( A − B)
= 80 − 20
= 60
ดังนั้น n ( B ) = 60
6. ใ  U แทนเซตของพนักงานบริ ัทแ ง นึ่งที่ไดรับการ อบถาม
A แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มชา
B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มกาแ
A∪ B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มชา รือกาแ
A∩ B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มทั้งชาและกาแ
จะได n( A ∪ B) = 120

n ( A ) = 60
n ( B ) = 70
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 145

จาก n( A ∪ B) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )

จะได 120 = 60 + 70 − n ( A ∩ B )

n( A ∩ B) = 60 + 70 – 120

นั่นคือ n( A ∩ B) = 10

ดังนั้น มีพนักงานที่ชอบดื่มทั้งชาและกาแ 10 คน

7. ใ  U แทนเซตของผูป ยที่เขาร มการ ําร จ


A แทนเซตของผูป ยที่ ูบบุ รี่
B แทนเซตของผูป ยที่เปนมะเร็งปอด
A′ ∩ B′ แทนเซตของผูป ยที่ไม ูบบุ รี่และไมเปนมะเร็งปอด
A∩ B แทนเซตของผูป ยที่ ูบบุ รี่และเปนมะเร็งปอด
จะได n (U ) = 1,000

n ( A ) = 312
n ( B ) = 180
n ( A′ ∩ B′ ) = 660

ิธีที่ 1 เนื่องจาก A′ ∩ B′ = ( A ∪ B )′
ดังนั้น n ( A′ ∩ B′ ) = n ( A ∪ B )′

จะได n( A ∪ B) = n (U ) − n ( A ∪ B )′

= n (U ) − n ( A′ ∩ B′ )
= 1,000 − 660
= 340
จาก n( A ∪ B) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )

จะได 340 = 312 + 180 − n ( A ∩ B )

n( A ∩ B) = 312 + 180 – 340

นั่นคือ n( A ∩ B) = 152

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


146 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ดังนั้น มีผูป ยที่ ูบบุ รี่และเปนมะเร็งปอด 152 คน


152
คิดเปนรอยละ × 100 48.72 ของจําน นผู ูบบุ รี่ทั้ง มด
312
ิธีที่ 2 ใ  x แทนจําน นผูป ยที่ ูบบุ รี่และเปนมะเร็งปอด นั่นคือ x = n( A ∩ B)

เขียนแผนภาพเพื่อแ ดงจําน น มาชิกของเซตไดดังนี้

เนื่องจาก โรงพยาบาลแ งนี้ทําการ ําร จขอมูลจากผูป ยทั้ง มด 1,000 คน


จะได 1,000 = ( 312 − x ) + x + (180 − x )  + 660

1,000 = ( 492 − x ) + 660


x = 492 + 660 − 1, 000
นั่นคือ x = 152

ดังนั้น มีผูป ยที่ ูบบุ รี่และเปนมะเร็งปอด 152 คน


152
คิดเปนรอยละ × 100 48.72 ของจําน นผู ูบบุ รี่ทั้ง มด
312
8. ใ  U แทนเซตของนักเรียนชั้นมัธยม ึก าตอนปลาย อง นึ่ง
A แทนเซตของนักเรียนที่ อบผาน ิชาคณิต า ตร
B แทนเซตของนักเรียนที่ อบผาน ิชา ังคม ึก า
C แทนเซตของนักเรียนที่ อบผาน ิชาภา าไทย
A∩ B แทนเซตของนักเรียนที่ อบผาน ิชาคณิต า ตรและ ังคม ึก า
B ∩C แทนเซตของนักเรียนที่ อบผาน ิชา ังคม ึก าและภา าไทย
A∩C แทนเซตของนักเรียนที่ อบผาน ิชาคณิต า ตรและภา าไทย
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 147

A∩ B ∩C แทนเซตของนักเรียนที่ อบผานทั้ง าม ิชา


จะได n ( A ) = 37

n ( B ) = 48
n (C ) = 45
n ( A ∩ B ) = 15
n ( B ∩ C ) = 13
n( A ∩ C) = 7
n( A ∩ B ∩ C) = 5

ิธีที่ 1 เขียนแผนภาพเพื่อแ ดงจําน น มาชิกของเซตไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได ามีนักเรียนที่ อบผานอยางนอย นึ่ง ิชา เทากับ


20 + 10 + 25 + 2 + 5 + 8 + 30 = 100 คน
ิธีที่ 2 เนื่องจากนักเรียนที่ อบผานอยางนอย นึ่ง ิชา คือ นักเรียนที่ อบผาน
ิชาคณิต า ตร รือ อบผาน ิชา ังคม ึก า รือ อบผาน ิชาภา าไทย
ซึ่งคือ A∪ B ∪C

จาก n( A ∪ B ∪ C) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B )

−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
= 37 + 48 + 45 − 15 − 7 − 13 + 5
= 100

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


148 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ดังนั้น มีนักเรียนที่ อบผานอยางนอย นึ่ง ิชา 100 คน


9. ใ  U แทนเซตของผูถือ ุนในตลาด ลักทรัพยแ งประเท ไทยที่ร มการ ําร จ
A แทนเซตของผูถือ ุนบริ ัท ก
B แทนเซตของผูถือ ุนบริ ัท ข
C แทนเซตของผูถือ ุนบริ ัท ค
A∩ B แทนเซตของผูถือ ุนบริ ัท ก และ ข
B ∩C แทนเซตของผูถือ ุนบริ ัท ข และ ค
A∩C แทนเซตของผูถือ ุนบริ ัท ก และ ค
A∩ B ∩C แทนเซตของผูถือ ุนทั้ง ามบริ ัท
จะได n (U ) = 3,000

n ( A ) = 200
n ( B ) = 250
n (C ) = 300
n ( A ∩ B ) = 50
n ( B ∩ C ) = 40
n ( A ∩ C ) = 30
n( A ∩ B ∩ C) = 0

ิธีที่ 1 เขียนแผนภาพเพื่อแ ดงจําน น มาชิกของเซตไดดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 149

จากแผนภาพ จะได ามีผูที่ถือ ุนบริ ัทอื่น ๆ ที่ไมใช ุนของ ามบริ ัทนี้


2,370 คน
ิธีที่ 2 ใ  A∪ B ∪C แทนเซตของผูถือ ุนบริ ัท ก รือ ข รือ ค
( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของผูถือ ุนบริ ัทอื่น ๆ ที่ไมใช ุนของ ามบริ ัทนี้
จาก n( A ∪ B ∪ C) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B )

−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
= 200 + 250 + 300 − 50 − 30 − 40 + 0
= 630
จะได n ( A ∪ B ∪ C )′ = n (U ) − n ( A ∪ B ∪ C )
= 3,000 – 630
นั่นคือ n ( A ∪ B ∪ C )′ = 2,370

ดังนั้น มีผูที่ถือ ุนบริ ัทอื่น ๆ ที่ไมใช ุนของ ามบริ ัทนี้ 2,370 คน

แบบฝก ัดทายบท

1. 1) { 48 } ด 2) ∅

3) { 5, 10, 15,  } ด 4) { − 2, 0, 2 }
5) { 1, 2, 3,  , 10 } ด
2. 1) ตั อยางคําตอบ { x | x = 3n − 2 เมื่อ n∈ และ 1 ≤ n≤ 5}

2) ตั อยางคําตอบ { x∈  | − 20 ≤ x ≤ − 10 }
3) ตั อยางคําตอบ { x | x = 4n + 1 เมื่อ n∈ }
4) ตั อยางคําตอบ { x | x = n เมื่อ n∈ }
3

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


150 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3. 1) เซตจํากัด 2) เซตอนันต
3) เซตจํากัด 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต
4. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ 4) เปนจริง
5) เปนจริง 6) เปนเท็จ
5. 1) A จ 2) ∅

3) U จ 4) A

5) A จ 6) U

6. 1) เนื่องจาก A ∪ ( B − A ) = A ∪ ( B ∩ A′ )

= ( A ∪ B ) ∩ ( A ∪ A′ )
= ( A ∪ B) ∩U
= A∪ B
ดังนั้น A ∪ B = A ∪ ( B − A)

2) เนื่องจาก A − ( A ∩ B ) = A ∩ ( A ∩ B )′

= A ∩ ( A′ ∪ B′ )
= ( A ∩ A′ ) ∪ ( A ∩ B′ )
= ∅ ∪ ( A ∩ B′ )
= A ∩ B′
ดังนั้น A ∩ B′ = A − ( A ∩ B )

3) เนื่องจาก U − ( A ∪ B ) = U ∩ ( A ∪ B )′

= U ∩ ( A′ ∩ B′ )
= A′ ∩ B′
ดังนั้น A′ ∩ B′ = U − ( A ∪ B )

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 151

7. 1) A′ ∩ B ก จ 2) ( A ∩ B′ )′

3) ( A ∪ B′ )′ ก

8. 1) A ∪ ( A − B) ก 2) ( A′ ∩ B ) ∩ C

3) ( A − B )′ ∩ C ก 4) A ∪ (C′ − B )

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


152 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

5) ( A ∩ B′ ) ∪ C ก 6) A′ ∩ ( C ′ ∩ B )

7) A ∪ ( C ′ ∩ B )′ ก

9. 1) { 0, 2, 4, 7, 9, 12, 14 } จ 2) { 1, 4, 6, 9, 12, 15 }
3) { 1, 4, 5, 7, 11, 12 } จ 4) { 4, 9, 12 }
5) { 1, 4, 12 } จ 6) { 4, 7, 12 }
7) { 0, 2, 7, 14 } จ 8) { 1, 5, 6, 11, 15 }
10. เนื่องจาก A∩ B = ∅

ดังนั้น เขียนแผนภาพแ ดงเซตไดดังนี้


1)

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 153

จากแผนภาพ จะเ ็น า A ⊂ B′

ดังนั้น ขอค าม “ A ⊂ B′ ” เปนจริง


2)

จากแผนภาพ จะเ ็น า B ⊂ A′

ดังนั้น ขอค าม “ B ⊂ A′ ” เปนจริง


3)

จากแผนภาพ จะเ ็น า A′ ∪ B′ = U

ดังนั้น ขอค าม “ A′ ∪ B′ = U ” เปนจริง


11. เนื่องจาก A⊂ B

ดังนั้น เขียนแผนภาพแ ดงเซตไดดังนี้


1) จากแผนภาพ จะเ ็น า A∪ B = B

ดังนั้น ขอค าม “ A ∪ B = B ” เปนจริง

A∪ B

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


154 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

2) จากแผนภาพ จะเ ็น า A∩ B = A

ดังนั้น ขอค าม “ A ∩ B = A ” เปนจริง

A∩ B
3)

B′ A′
จากแผนภาพ จะเ ็น า B′ ⊂ A′

ดังนั้น ขอค าม “ B′ ⊂ A′ ” เปนจริง


4) จากแผนภาพ จะเ ็น า A ∩ B′ = ∅

ดังนั้น ขอค าม “ A ∩ B′ = ∅ ” เปนจริง

A ∩ B′
5) จากแผนภาพ จะเ ็น า A′ ∪ B = U

ดังนั้น ขอค าม “ A′ ∪ B = U ” เปนจริง

A′ ∪ B

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 155

12. ใ  A และ B เปนเซตที่มจี ําน น มาชิกเทากัน คือ x ตั


นั่นคือ n ( A) = n ( B ) = x
จากโจทย n ( A ∩ B ) = 101 และ n ( A ∪ B ) = 233
จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )

จะได 233 = x + x − 101


2x = 233 + 101
นั่นคือ x = 167

ดังนั้น n ( A) = 167
13.ดใ  U แทนเซตของผูป ยที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของผูป ยที่เปนโรคตา
B แทนเซตของผูป ยที่เปนโรค น
A∩ B แทนเซตของผูป ยที่เปนทั้ง องโรค
A′ ∩ B′ แทนเซตของผูป ยที่ไมเปนโรคตาและไมเปนโรค น
จะได n (U ) = 100

n ( A ) = 40
n ( B ) = 20
n( A ∩ B) = 5
ิธีที่ 1 นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได ามีผูป ยที่ไมเปนโรคตาและไมเปนโรค น 45%


ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
156 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ิธีที่ 2 เนื่องจาก A′ ∩ B′ = ( A ∪ B )′

นั่นคือ เซตของผูป ยที่ไมเปนโรคตาและไมเปนโรค น คือ ( A ∪ B )′


จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )

จะได n ( A ∪ B ) = 40 + 20 − 5
= 55
จาก n ( A ∪ B )′ = n (U ) − n ( A ∪ B )

จะได = 100 − 55
= 45
ดังนั้น มีผูป ยที่ไมเปนโรคตาและไมเปนโรค น 45%
14. ใ  U แทนเซตของลูกคาที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมชนิดตั้งโตะ
B แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมชนิดแข นเพดาน
A∩ B แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมทั้ง องชนิด
จะได n (U ) = 100

n ( A ) = 60
n ( B ) = 45
n ( A ∩ B ) = 15
ิธีที่ 1 นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได า
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 157

1) มีลูกคาที่ไมใชพัดลมทั้ง องชนิดนี้ 10%


2) มีลูกคาที่ใชพัดลมเพียงชนิดเดีย เทากับ 45% + 30% = 75%
ิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )

จะได n ( A ∪ B ) = 60 + 45 − 15
= 90
1) มีลูกคาที่ไมใชพัดลมทั้ง องชนิดนี้เทากับ 100% – 90% = 10%
2) มีลูกคาที่ใชพัดลมชนิดเดีย เทากับ 90% – 15% = 75%

15. ใ  U แทนเซตของรถที่เขามาซอมที่อูของแดน
A แทนเซตของรถที่ตองซอมเบรก
B แทนเซตของรถที่ตองซอมระบบทอไอเ ีย
A∪ B แทนเซตของรถที่ตองซอมเบรก รือระบบทอไอเ ีย
( A ∪ B )′ แทนเซตของรถที่มี ภาพปกติ
A∩ B แทนเซตของรถที่ตองซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเ ีย
จะได n (U ) = 50

n ( A ) = 23
n ( B ) = 34

n ( A ∪ B )′ = 6

นั่นคือ n ( A ∪ B ) = 50 − 6 = 44
ิธีที่ 1 ใ  x แทนจําน นรถที่ตองซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเ ีย
นั่นคือ n ( A ∩ B ) = x
นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


158 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

1) จากแผนภาพ จะได า
44 = ( 23 − x ) + x + ( 34 − x )
44 = 57 − x
จะได x = 13

ดังนั้น มีรถที่ตองซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเ ีย 13 คัน


2) จากแผนภาพ จะได ามีรถที่ตองซอมเบรกแตไมตองซอมระบบทอไอเ ีย
เทากับ 23 – 13 = 10 คัน

ิธีที่ 2 1) จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )

จะได 44 = 23 + 34 − n ( A ∩ B )

n ( A ∩ B ) = 23 + 34 − 44
นั่นคือ n ( A ∩ B ) = 13

ดังนั้น มีรถที่ตองซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเ ีย 13 คัน


2) มีรถที่ตองซอมเบรกแตไมตองซอมระบบทอไอเ ีย เทากับ 23 – 13 = 10 คัน
16. ใ  U แทนเซตของผูใชบริการขน งที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของผูใชบริการขน งทางรถไ
B แทนเซตของผูใชบริการขน งทางรถยนต
C แทนเซตของผูใชบริการขน งทางเรือ
A∩ B แทนเซตของผูใชบริการขน งทางรถไ และรถยนต

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 159

B ∩C แทนเซตของผูใชบริการขน งทางรถยนตและเรือ
A∩C แทนเซตของผูใชบริการขน งทางรถไ และเรือ
A∩ B ∩C แทนเซตของผูใชบริการขน งทั้งทางรถไ รถยนต และเรือ
( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของผูใชบริการขน งอื่น ๆ ที่ไมใชทางรถไ รถยนต รือเรือ
A∪ B ∪C แทนเซตของผูใชบริการขน งทางรถไ รถยนต รือเรือ
จะได n ( A ) = 100

n ( B ) = 150
n ( C ) = 200
n ( A ∩ B ) = 50
n ( B ∩ C ) = 25
n( A ∩ C) = 0
n( A ∩ B ∩ C) = 0

n ( A ∪ B ∪ C )′ = 30

ิธีที่ 1 นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได ามีผูใชบริการขน งที่เขาร มการ ําร จทั้ง มด เทากับ


50 + 50 + 75 + 25 + 175 + 30 = 405 คน
ิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B )

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


160 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 100 + 150 + 200 − 50 − 0 − 25 + 0
= 375
จาก n ( A ∪ B ∪ C )′ = 30

จะได n (U ) = n ( A ∪ B ∪ C ) + n ( A ∪ B ∪ C )′
= 375 + 30
= 405
ดังนั้น มีผูใชบริการขน งที่เขาร มการ ําร จทั้ง มด 405 คน
17. ใ  U แทนเซตของคนทํางานที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปา
B แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการไปทะเล
C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเลน นน้ํา
A∩ B แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปาและการไปทะเล
A∩C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปาและการเลน นน้ํา
B ∩C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการไปทะเลและการเลน นน้ํา
A∩ B ∩C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบทั้งการเดินปา การไปทะเล
และการเลน นน้ํา
จะได n ( A ) = 35

n ( B ) = 57
n ( C ) = 20
n( A ∩ B) = 8
n ( A ∩ C ) = 15
n(B ∩ C) = 5
n( A ∩ B ∩ C) = 3

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 161

นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได า
1) มีคนที่ชอบการไปทะเล รือชอบการเลน นน้ํา เทากับ
5% + 47% + 12% + 3% + 2% + 3% = 72%
2) มีคนที่ชอบการเดินปา รือชอบการไปทะเล เทากับ
15% + 5% + 47% + 12% + 3% + 2% = 84%
3) มีคนที่ชอบทํากิจกรรมเพียงอยางเดีย เทากับ 15% + 47% + 3% = 65%
4) มีคนที่ไมชอบการเดินปา รือไปทะเล รือเลน นน้ํา 13%
18. ใ  U แทนเซตของประชาชนที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียน
B แทนเซตของคนที่ชอบมังคุด
C แทนเซตของคนที่ชอบมะม ง
A∩ B แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียนและมังคุด
B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบมังคุดและมะม ง
A∩C แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียนและมะม ง
A∩ B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบผลไมทั้ง ามชนิดนี้
จะได n ( A ) = 720

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


162 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

n ( B ) = 605
n ( C ) = 586
n ( A ∩ B ) = 483
n ( B ∩ C ) = 470
n ( A ∩ C ) = 494
n ( A ∩ B ∩ C ) = 400
นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได า
1) มีคนที่ชอบมังคุดอยางเดีย 52 คน
2) มีคนที่ชอบผลไมอยางนอย นึ่งชนิดใน ามชนิดนี้ เทากับ
143 + 83 + 52 + 94 + 400 + 70 + 22 = 864 คน
3) มีคนที่ไมชอบผลไมชนิดใดเลยใน ามชนิดนี้ 136 คน
19. ใ  U แทนเซตของนักเรียนที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของนักเรียนที่ชอบ ิชาคณิต า ตร
B แทนเซตของนักเรียนที่ชอบ ิชา  ิก 
C แทนเซตของนักเรียนที่ชอบ ิชาภา าไทย
( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของนักเรียนที่ไมชอบ ิชาใดเลยใน าม ิชานี้
จะได n ( A ) = 56

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 163

n ( B ) = 47
n ( C ) = 82

n ( A ∪ B ∪ C )′ = 4
นั่นคือ n ( A ∪ B ∪ C ) = 100 − 4 = 96

ใ  x แทนจําน นนักเรียนที่ชอบ ิชาคณิต า ตรและ  ิก  แตไมชอบ ิชาภา าไทย


y แทนจําน นนักเรียนที่ชอบ ิชาคณิต า ตรและภา าไทย แตไมชอบ ิชา  ิก 
z แทนจําน นนักเรียนที่ชอบ ิชา  ิก และภา าไทย แตไมชอบ ิชาคณิต า ตร
k แทนจําน นนักเรียนที่ชอบทั้ง าม ิชา
ิธีที่ 1 นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้

จากแผนภาพ จะได า
96 = ( 56 − x − y − k ) + ( 47 − x − z − k )
+ ( 82 − y − z − k ) + x + y + z + k
96 = 185 − x − y − z − 2k
89 = ( x + y + z ) + 2k
เนื่องจาก มีนักเรียนที่ชอบเพียง 2 ิชาเทานั้น จําน น 71%
นั่นคือ x + y + z = 71

จะได 89 = 71 + 2k
2k = 18

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


164 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ดังนั้น k =9

จะได า
( 56 − x − y − k ) + ( 47 − x − z − k ) + (82 − y − z − k )
= 185 − 2 x − 2 y − 2 z − 3k
= 185 − 2 ( x + y + z ) − 3k
= 185 − 2 ( 71) − 3 ( 9 )
= 185 − 142 − 27
= 16
ดังนั้น มีนักเรียนที่ชอบเพียง ิชาเดีย เทานั้น จําน น 16 %
ิธีที่ 2 นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้

เนื่องจาก มีนักเรียนที่ชอบเพียง 2 ิชาเทานั้น จําน น 71%


นั่นคือ x + y + z = 71

จาก n( A ∪ B ∪ C) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B )

−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได 96 = 56 + 47 + 82 − ( x + k ) − ( y + k ) − ( z + k ) + k
x + y + z + 2k = 89
71 + 2k = 89
2k = 18
k = 9

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 165

ดังนั้น มีนักเรียนที่ชอบเพียง ิชาเดีย เทานั้น เทากับ 96% – 9% – 71% = 16 %


20. ใ  U แทนเซตของคนกลุมนี้
A แทนเซตของคนที่มีแอนติเจน A
B แทนเซตของคนที่มีแอนติเจน B
Rh แทนเซตของคนที่มีแอนติเจน Rh +

A∩ B แทนเซตของคนที่มี มูเลือด AB
A− B แทนเซตของคนที่มี มูเลือด A
B−A แทนเซตของคนที่มี มูเลือด B
( A ∩ Rh ) − B แทนเซตของคนที่มี มูเลือด A+

( B ∩ Rh ) − A แทนเซตของคนที่มี มูเลือด B+

A ∩ B ∩ Rh แทนเซตของคนที่มี มูเลือด AB +

จะได n ( A ) = n ( A+ ) + n ( A− ) + n ( AB ) = 29

n ( B ) = n ( B + ) + n ( B − ) + n ( AB ) = 39
n ( A ∩ B ) = n ( AB ) = 9
n ( ( A ∩ Rh ) − B ) = n A ( )
+
= 18

n ( ( B ∩ Rh ) − A ) = n(B )
+
= 29
n ( A ∩ B ∩ Rh ) = n ( AB )+
= 8

n ( Rh − ( A ∪ B ) ) = n (O )
+
= 40

จากแผนภาพที่กํา นดใ  นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพแ ดงจําน น มาชิกของเซตไดดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


166 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

จากแผนภาพ จะได ามีคนกลุมนี้ 1% ที่มเี ลือด มู O−

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 167

บทที่ 2 ตรรก า ตรเบื้องตน

แบบฝก ัด 2.1

1. 1) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ 2) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง


3) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ 4) ไมเปนประพจน
5) ไมเปนประพจน 6) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
7) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ 8) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
9) ไมเปนประพจน 10) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
11) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ 12) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
13) ไมเปนประพจน 14) ไมเปนประพจน
15) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ 16) ไมเปนประพจน
17) ไมเปนประพจน 18) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
2. ตั อยางคําตอบ
2 3 เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
∅ ∈ {1, 2, 3} เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
นึ่งปมี ิบ องเดือน เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
4 เปนจําน นอตรรกยะ เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
เดือนมกราคม มี 31 ัน เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


168 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

แบบฝก ัด 2.2

1. 1) นิเ ธของประพจน 4 + 9 = 10 + 3 คือ 4 + 9 ≠ 10 + 3 มีคาค ามจริงเปนเท็จ


2) นิเ ธของประพจน −6 < 7 คือ −6 < 7 มีคาค ามจริงเปนจริง
3) นิเ ธของประพจน 100 ไมเปนจําน นเต็ม คือ 100 เปนจําน นเต็ม
มีคาค ามจริงเปนจริง
4) นิเ ธของประพจน 2 ⊄ {2} คือ 2 ⊂ {2} มีคาค ามจริงเปนเท็จ
2. 1) เนื่องจาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ
ดังนั้น p มีคาค ามจริงเปนเท็จ
2) เนื่องจาก q เปนเท็จ จะได q เปนจริง
ดังนั้น q มีคาค ามจริงเปนจริง
3) เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ
ดังนั้น p q มีคาค ามจริงเปนเท็จ
4) เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p q เปนจริง
ดังนั้น p q มีคาค ามจริงเปนจริง
5) เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ
ดังนั้น p q มีคาค ามจริงเปนเท็จ
6) เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ
ดังนั้น p q มีคาค ามจริงเปนเท็จ
7) เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง
ดังนั้น p q มีคาค ามจริงเปนจริง
8) เนื่องจาก p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 169

ดังนั้น p q มีคาค ามจริงเปนเท็จ


9) เนื่องจาก p เปนเท็จ และ q เปนจริง จะได  p q เปนเท็จ
ดังนั้น  p q มีคาค ามจริงเปนเท็จ
10) เนื่องจาก p q เปนจริง จะได  ( p  q ) เปนเท็จ
ดังนั้น (p  q ) มีคาค ามจริงเปนเท็จ

11) เนื่องจาก q เปนเท็จ และ p เปนจริง จะได q p เปนจริง


จาก p เปนจริง และ q p เปนจริง จะได p (q p) เปนจริง
ดังนั้น p (q p) มีคาค ามจริงเปนจริง
12) เนื่องจาก  p q เปนเท็จ และ p  q เปนจริง

จะได (  p q ) ( p  q ) เปนจริง
ดังนั้น (  p q ) ( p  q ) มีคาค ามจริงเปนจริง
3. 1) ใ  p แทน งูเ าเปน ัต มีพิ
q แทน งูจงอางเปน ัต มีพิ
ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง


ดังนั้น ประพจน “งูเ าและงูจงอางเปน ัต มีพิ ” มีคาค ามจริงเปนจริง
2) ใ  p แทน โลมาเปน ัต เลีย้ งลูกด ยน้ํานม
q แทน คนเปน ัต เลี้ยงลูกด ยน้ํานม
ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง


ดังนั้น ประพจน “โลมา รือคนเปน ัต เลี้ยงลูกด ยน้ํานม” มีคาค ามจริงเปนจริง

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


170 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3) ใ  p แทน ด งอาทิตยขึ้นทางทิ ตะ ันออก


ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p

เนื่องจาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ


ดังนั้น ประพจน “ด งอาทิตยไมไดขึ้นทางทิ ตะ ันออก” มีคาค ามจริงเปนเท็จ
4) ใ  p แทน มามีปก
q แทน คนบินได
ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ จะได p q เปนจริง


ดังนั้น ประพจน “มามีปกก็ตอเมื่อคนบินได” มีคาค ามจริงเปนจริง
5) ใ  p แทน 13 เปนจําน นเฉพาะ
q แทน 13 มีตั ประกอบคือ 1 กับ 13 เทานั้น
ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง


ดังนั้น ประพจน “ 13 เปนจําน นเฉพาะ ก็ตอเมื่อ 13 มีตั ประกอบคือ 1 กับ 13
เทานั้น” มีคาค ามจริงเปนจริง
6) ใ  p แทน 3 เปนจําน นคี่
q แทน 32 เปนจําน นคี่
ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง


ดังนั้น ประพจน “ถา 3 เปนจําน นคี่ แล 32 เปนจําน นคี่” มีคาค ามจริงเปนจริง
7) ใ  p แทน 1 ∉ { 1, 2 }

q แทน 1 ⊂ { 1, 2 }

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 171

ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ


ดังนั้น ประพจน “ 1∉{1,2} และ 1 ⊂ {1, 2} ” มีคาค ามจริงเปนเท็จ
8) ใ  p แทน 9 ไมเทากับ 10
q แทน 10 ไมนอยก า 9

ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง


ดังนั้น ประพจน “ 9 ไมเทากับ 10 รือ 10 ไมนอยก า 9 ” มีคาค ามจริงเปนจริง

แบบฝก ัดทายบท

1. 1) ไมเปนประพจน 2) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง


3) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง 4) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
5) ไมเปนประพจน 6) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนเท็จ
7) ไมเปนประพจน 8) ไมเปนประพจน
9) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง 10) เปนประพจน ที่มีคาค ามจริงเปนจริง
2. 1) ใ  p แทน นทีไปโรงเรียนโดยรถประจําทาง
q แทน นทีไปโรงเรียนโดยจักรยานยนตรับจาง
ดังนั้น ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป p q

2) ใ  p แทน บุคคลตองรับผิดในทางอาญา
q แทน บุคคลไดกระทําโดยเจตนา
ดังนั้น ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป p q

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


172 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3) ใ  p แทน าครมีเงิน
q แทน าครมีเพื่อนรายลอม
r แทน าครมีค าม ุข
ดังนั้น ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป p q r

4) ใ  p แทน ออม อบชิงทุนไปเรียนตอตางประเท ได


q แทน ออมเรียนจบด ยคะแนนเกียรตินิยม
r แทน พอของออมซื้อรถยนตใ เปนราง ัล
ดังนั้น ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป ( p q ) r

5) ใ  p แทน จําเลยในคดีเปนผู ิกลจริต


q แทน จําเลยในคดีถูก อบ น
r แทน จําเลยในคดีรับโท
ดังนั้น ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป p ( q  r)

6) ใ  p แทน ตนปลอมธนบัตร
q แทน ตนแปลงธนบัตร
r แทน ตนไดรับโท จําคุก 20 ป

s แทน ตนไดรับโท ปรับไมเกิน 40,000 บาท


ดังนั้น ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป ( p q ) ( r s ( r s ) )
3. 1) นิเ ธของประพจน −20 + 5 −17 คือ −20 + 5 ≤ −17 มีคาค ามจริงเปนเท็จ
2) นิเ ธของประพจน 37 ไมเปนจําน นเฉพาะ คือ 37 เปนจําน นเฉพาะ มีคาค ามจริง
เปนจริง
3) นิเ ธของประพจน 2∈ คือ 2∉ มีคาค ามจริงเปนจริง
4) นิเ ธของประพจน ⊂ คือ ⊄ มีคาค ามจริงเปนเท็จ
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 173

4. ตั อยางคําตอบ
ไมเปนจําน นตรรกยะ
นิดาและนัดดาเปนนักเรียนชั้นมัธยม ึก าปที่ 4
รูป ี่เ ลี่ยมอาจเปนรูป ี่เ ลี่ยมมุมฉาก รือรูป ี่เ ลี่ยมดานขนานก็ได
รู ป ามเ ลี่ ย ม ABC เป น รู ป ามเ ลี่ ย มด า นเท า ก็ ต อ เมื่ อ รู ป ามเ ลี่ ย ม ABC

มีดานยา เทากันทุกดาน
5. 1) จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง
จาก p q เปนจริง และ เปนเท็จ จะได ( p
r q) r เปนจริง
ดังนั้น ( p q ) r มีคาค ามจริงเปนจริง
2) จาก q เปนจริง จะได q เปนเท็จ
จาก q เปนเท็จ และ r เปนเท็จ จะได q r เปนเท็จ
จาก q r เปนเท็จ และ เปนจริง จะได (  q
p r) p เปนเท็จ
ดังนั้น (  q r ) p มีคาค ามจริงเปนเท็จ
3) จาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ
และจาก r เปนเท็จ จะได r p เปนจริง
ดังนั้น r p มีคาค ามจริงเปนจริง
4) จาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ
จาก r เปนเท็จ จะได r เปนจริง จะได  p r เปนจริง
ดังนั้น  p r มีคาค ามจริงเปนจริง
5) จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง
จาก q เปนจริง และ r เปนเท็จ จะได q r เปนเท็จ
จาก p q เปนจริง และ q r เปนเท็จ จะได ( p q) (q r) เปนเท็จ
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
174 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ดังนั้น ( p q ) ( q r ) มีคาค ามจริงเปนเท็จ


6. 1) ใ  p แทนประพจน 4 เปนจําน นเฉพาะ
q แทนประพจน 4 เปนจําน นคี่
ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก p เปนเท็จ จะได p q เปนจริง


ดังนั้น ประพจน “ถา 4 เปนจําน นเฉพาะ แล 4 เปนจําน นคี”่ มีคาค ามจริง
เปนจริง
2) ใ  p แทนประพจน 3 2

q แทนประพจน −2 −3

ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง


ดังนั้น ประพจน “ 3 2 และ −2 −3 ” มีคาค ามจริงเปนจริง
3) ใ  p แทนประพจน 100 กิโลกรัม เทากับ 1 ตัน
q แทนประพจน 10 ขีด เทากับ 1 กิโลกรัม
ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก q เปนจริง จะได p q เปนจริง


ดังนั้น ประพจน “ 100 กิโลกรัมเทากับ 1 ตัน รือ 10 ขีดเทากับ 1 กิโลกรัม”
มีคาค ามจริงเปนจริง
4) ใ  p แทนประพจน { x ∈  | 3 < x < 4} เปนเซต าง
q แทนประพจน { x ∈  | x 2 = 1} ไมเปนเซต าง
ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก p เปนจริง จะได p q เปนจริง


ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 175

ดังนั้น ประพจน “ { x ∈  | 3 < x < 4} เปนเซต าง รือ { x ∈  | x 2 = 1}


ไมเปนเซต าง” มีคาค ามจริงเปนจริง
5) ใ  p แทนประพจน A∪ A = A

q แทนประพจน A−∅ =U

ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q

เนื่องจาก q เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ


ดังนั้น ประพจน “ A ∪ A = A และ A−∅ =U ” มีคาค ามจริงเปนเท็จ
7. 1) จาก q r มีคาค ามจริงเปนจริง จะได ประพจน q มีคาค ามจริงเปนจริง
และประพจน r มีคาค ามจริงเปนจริง
2) จาก r q มีคาค ามจริงเปนเท็จ จะได ประพจน r มีคาค ามจริงเปนจริง
และประพจน q มีคาค ามจริงเปนเท็จ
3) จาก p q มีคาค ามจริงเปนเท็จ จะได p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ
าคาค ามจริงของ ( p  q) r

จาก p เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ


จาก p q เปนเท็จ จะได ( p  q ) r เปนจริง
ดังนั้น ( p  q ) r มีคาค ามจริงเปนจริง

4) จาก p r มีคาค ามจริงเปนเท็จ จะได p เปนจริง และ r เปนเท็จ


าคาค ามจริงของ ( p q ) r
จาก r เปนเท็จ จะได ( p q ) r เปนเท็จ
ดังนั้น ( p q ) r มีคาค ามจริงเปนเท็จ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


176 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

8. แ ดงคุณ มบัติของพนักงานกับเงื่อนไขของการเลื่อนตําแ นงดังตารางตอไปนี้


เงื่อน ข ทํางานบริ ัทนี้อยางนอย 3 ป
อายุ มต่ําก า จบปริญญา
รือทํางานดานคอมพิ เตอร
30 ป โทขึ้น ป
ชื่อพนักงาน อยางนอย 7 ป
าใ   

รุงนภา  

ธนา  

จากตารางจะเ ็น า าใ เปนพนักงานคนเดีย ที่มีคุณ มบัติ อดคลองกับเงื่อนไข


ของการเลื่อนตําแ นงทั้ง 3 ขอ
ดังนั้น าใ มี ิทธิไดเลื่อนตําแ นง
9. แ ดงคุณ มบัติของพนักงานกับเงื่อนไขของการไดรับเงินราง ัลดังตารางตอไปนี้
เงื่อน ข ทํายอดขายใน 1 ป
ทํายอดขายใน 1 ป ทํายอดขายใน 1 ป
ดเกิน 10,000,000
ดเกิน 3,000,000 ดเกิน 5,000,000
บาท มลาพักผอน
บาท บาท และ มลากิจ
ชื่อพนักงาน และ มลากิจ
ุริยา 

เม า
กมล  

ทิ า   

เนื่องจากพนักงานแตละคนจะ ามารถรับเงินราง ัลที่ดีที่ ุดไดเพียงราง ัลเดีย


ดังนั้น ุริยาจะไดรับเงินราง ัล 30,000 × 1.5 = 45,000 บาท
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 177

เม าจะไมไดรับเงินราง ัล
กมลจะไดรับเงินราง ัล 70,000 × 2 = 140,000 บาท
และทิ าจะไดรับเงินราง ัล 200,000 × 4 = 800,000 บาท
10. แ ดงคุณ มบัติของผูกูกับเงื่อนไขของการกูเงินดังตารางตอไปนี้
เงื่อน ข ผูกูตองมี าผูกูมีคู มร ผูกูตองมีเงินเ ลือ
เงินเดือน แล ผูกูและคู มร ลัง ักคาใชจายใน
มนอยก า ตองมีเงินเดือนร มกัน แตละเดือน
ชื่อผูกู 30,000 บาท มนอยก า 70,000 บาท มากก า 5,000 บาท
ั ญา
ญ  
ก ิน  
มานแก  ไมมีคู มร 

จากตารางจะเ ็น า มานแก เปนผูกูคนเดีย ที่มีคุณ มบัติ อดคลองกับเงื่อนไขของ


การกูเงินทั้ง 3 ขอ ดังนั้น มานแก จะ ามารถกูเงินกับบริ ัทนี้ได

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


178 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

บทที่ 3 ลักการนับเบื้องตน

แบบฝก ัด 3.1

1. จาก ลักการบ ก จะมี ิธีเลือก ั่งอา ารได 12 + 8 + 5 = 25 ิธี


2. รูป ามเ ลี่ยมดานเทาที่เกิดจากการจัดเรียงกระเบื้องมี 3 แบบ ไดแก
แบบที่ 1 มีรูป ามเ ลี่ยมดานเทาที่แตละดานยา 1 น ย อยู 9 รูป
แบบที่ 2 มีรูป ามเ ลี่ยมดานเทาที่แตละดานยา 2 น ย อยู 3 รูป
แบบที่ 3 มีรูป ามเ ลี่ยมดานเทาที่แตละดานยา 3 น ย อยู 1 รูป
จาก ลักการบ ก จึงได า มีรูป ามเ ลี่ยมดานเทาทั้ง มด 9 + 3 + 1 = 13 รูป
3. จาก ลักการคูณ จะมี ิธีเลือกประตูเขาออกได 10 × 9 = 90 ิธี
4. การจัดระบบร ั นัง ือของ อง มุดแ งนี้ มีองคประกอบ 4  น ดังนี้
 นที่ 1 ตั อัก รภา าอังก 2 ตั มีได 26 × 26 แบบ
 นที่ 2 เลขโดด 3 ตั ที่ไมเปน ูนยพรอมกัน มีได 999 แบบ จาก 001 ถึง 999
 นที่ 3 ตั อัก รภา าอังก 1 ตั มีได 26 แบบ
 นที่ 4 เลขโดด 2 ตั ที่ไมเปน ูนยพรอมกัน มีได 99 แบบ จาก 01 ถึง 99
จาก ลักการคูณ จึงได า การจัดระบบร ั นัง ือของ อง มุดแ งนี้จะมีจําน นร ั
ที่เปนไปไดทั้ง มด 26 × 26 × 999 × 26 × 99 = 1,738, 283,976 ตั

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 179

5. เขียนตารางแ ดงแตมที่ไดจากการทอดลูกเตา นึ่งลูก องครั้ง ไดดังนี้


ครั้งที่ 2
1 2 3 4 5 6
ครั้งที่ 1
1 (1, 1) (1, 2) (1, 3) (1, 4) (1, 5) (1, 6)
2 (2, 1) (2, 2) (2, 3) (2, 4) (2, 5) (2, 6)
3 (3, 1) (3, 2) (3, 3) (3, 4) (3, 5) (3, 6)
4 (4, 1) (4, 2) (4, 3) (4, 4) (4, 5) (4, 6)
5 (5, 1) (5, 2) (5, 3) (5, 4) (5, 5) (5, 6)
6 (6, 1) (6, 2) (6, 3) (6, 4) (6, 5) (6, 6)

1) ิธีที่ 1 จากตาราง จะไดจําน น ิธีที่แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้ง


เทากันเปน 6 ิธี
ิธีที่ 2 ขั้นตอนที่ 1 แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 1 มีได 6 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เนื่องจากแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้งเทากัน
จะได าแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 2 มีได 1 ิธี
ดังนั้น จําน น ิธีที่แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้งเทากันเปน
6 ×1 = 6 ิธี
2) ิธีที่ 1 จากตาราง จะไดจําน น ิธีที่แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้ง
ตางกันเปน 30 ิธี
ิธีที่ 2 เนื่องจาก จําน น ิธีที่ไดแตมจากการทอดลูกเตา องครั้ง มีได 36 ิธี
แตมีจําน น ิธีที่แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้งเทากัน 6 ิธี
ดังนั้น จําน น ิธีที่แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้งตางกันเปน
36 − 6 = 30 ิธี
ิธีที่ 3 ขั้นตอนที่ 1 แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 1 มีได 6 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


180 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ขั้นตอนที่ 2 เนื่องจากแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 2 ตางจาก


ครั้งแรก จะได าแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 2
มีได 5 ิธี
ดังนั้น จําน น ิธีที่แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้งตางกันเปน
6 × 5 = 30 ิธี
3) จากตาราง จะไดจําน น ิธีที่ผลร มของแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องครั้ง
นอยก า 10 เปน 30 ิธี
6. ปญ าดังกลา ามารถแกไดโดยใช ลักการคูณ ดังนี้
ลักรอย ลัก ิบ ลัก น ย

1) ขั้นตอนที่ 1 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลักรอย จากเลขโดด 1, 2, 3, …, 9 ได 9 ิธี


ขั้นตอนที่ 2 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลัก ิบ จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, …, 9
ได 10 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลัก น ย จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, …, 9
ได 10 ิธี
ดังนั้น มีจําน นเต็มบ กที่มี 3 ลัก ทั้ง มด 9 × 10 × 10 = 900 จําน น
2) ขั้นตอนที่ 1 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลักรอย จากเลขโดด 1, 2, 3, …, 9 ได 9 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลัก น ย จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, …, 9
ที่ไมซ้ํากับเลขโดดใน ลักรอย ได 9 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลัก ิบ จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, …, 9
ได 10 ิธี
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 181

ดังนั้น มีจําน นเต็มบ กที่มี 3 ลัก โดยเลขโดดใน ลักแรกและ ลัก ุดทาย


ไมซ้ํากันทั้ง มด 9 × 9 × 10 = 810 จําน น
3) ขั้นตอนที่ 1 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลักรอย จากเลขโดด 1, 2, 3, …, 9 ได 9 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลัก น ย ที่ทําใ ผลร มของเลขโดดใน
ลักรอยและ ลัก น ยเปน 10 ได 1 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลัก ิบ จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, …, 9
ได 10 ิธี
ดังนั้น มีจําน นเต็มบ กที่มี 3 ลัก โดยเลขโดดใน ลักแรกและ ลัก ุดทาย
ร มกันได 10 ทั้ง มด 9 × 1 × 10 = 90 จําน น
7. โดยค าม มายของพาลินโดรม จะได าตั อัก รภา าอังก ตั ที่ 1 กับตั ที่ 4
และตั ที่ 2 กับตั ที่ 3 ตองเปนตั อัก รเดีย กัน ดังแผนภาพ
ตั ที่ 1 ตั ที่ 2 ตั ที่ 3 ตั ที่ 4

ขั้นตอนที่ 1 ตั ที่ 1 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 26 ิธี


ขั้นตอนที่ 2 ตั ที่ 2 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 26 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 ตั ที่ 3 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 1 ิธี
ขั้นตอนที่ 4 ตั ที่ 4 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 1 ิธี
ดังนั้น พาลินโดรมที่ประกอบด ยตั อัก รภา าอังก 4 ตั โดยจะมีค าม มาย รือไม
ก็ได มีทั้ง มด 26 × 26 × 1 × 1 = 676 คํา

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


182 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

8. 1) การนําผลไมใ ตะกราโดยไมมีเงื่อนไข ามารถทําไดดังนี้


ขั้นตอนที่ 1 นําผลไมชนิดที่ 1 ไปใ ตะกราใดตะกรา นึ่ง ทําได 6 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 นําผลไมชนิดที่ 2 ไปใ ตะกราใดตะกรา นึ่ง ทําได 6 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 นําผลไมชนิดที่ 3 ไปใ ตะกราใดตะกรา นึ่ง ทําได 6 ิธี
ขั้นตอนที่ 4 นําผลไมชนิดที่ 4 ไปใ ตะกราใดตะกรา นึ่ง ทําได 6 ิธี
ดังนั้น จําน น ิธีในการนําผลไมใ ตะกราโดยไมมีเงื่อนไข มีทั้ง มด
6 × 6 × 6 × 6 = 1, 296 ิธี
2) การนําผลไมใ ตะกราโดยที่ตะกราแตละใบมีผลไมไมเกิน 1 ผล ามารถทําไดดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 นําผลไมชนิดที่ 1 ไปใ ตะกราใดตะกรา นึ่ง ทําได 6 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 นําผลไมชนิดที่ 2 ไปใ ตะกราใดตะกรา นึ่งที่เ ลืออยู ทําได 5 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 นําผลไมชนิดที่ 3 ไปใ ตะกราใดตะกรา นึ่งที่เ ลืออยู ทําได 4 ิธี
ขั้นตอนที่ 4 นําผลไมชนิดที่ 4 ไปใ ตะกราใดตะกรา นึ่งที่เ ลืออยู ทําได 3 ิธี
ดังนั้น จําน น ิธีทนี่ ําผลไมใ ตะกราโดยที่ตะกราแตละใบมีผลไมไมเกิน 1 ผล
มีทั้ง มด 6 × 5 × 4 × 3 = 360 ิธี

แบบฝก ัด 3.2

1. เนื่องจากมี นัง ือคณิต า ตร 2 เลม นัง ือภา าไทย 3 เลม นัง ือภา าอังก 4 เลม
นั่นคือ มี นัง ือทั้ง มด 9 เลม ที่แตกตางกันทั้ง มด
ดังนั้น ถานํา นัง ือทั้ง 9 เลม มา างเรียงบนชั้น าง นัง ือชั้น นึ่ง ทําได
9! = 9 × 8 × 7 × 6 × 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 362,880 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 183

8!
2. 1) P8, 4 =
(8 − 4)!
8!
=
4!
8 × 7 × 6 × 5 × 4!
=
4!
= 1,680
10!
2) P10, 2 =
(10 − 2)!
10!
=
8!
10 × 9 × 8!
=
8!
= 90
5!
3) P5, 5 =
(5 − 5)!
5!
=
0!
5 × 4 × 3 × 2 ×1
=
1
= 120
7!
4) P7, 0 =
(7 − 0)!
7!
=
7!
= 1
3. ิธีที่ 1 จากการเรียง ับเปลี่ยน จะได
4!
P4, 3 =
(4 − 3)!
4!
=
1!
= 24
ดังนั้น จะมี ิธี รางจําน นที่แตกตางกันทั้ง มด 24 จําน น
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
184 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ิธีที่ 2 การ รางจําน น 3 ลัก จากเลขโดด 2, 3, 5 และ 9 ทําไดดังนี้


ลักรอย ลัก ิบ ลัก น ย

ขั้นตอนที่ 1 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลักรอย จากเลขโดด 2, 3, 5, 9 ได 4 ิธี


ขั้นตอนที่ 2 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลัก ิบ จากเลขโดด 2, 3, 5, 9 ที่ไมซ้ํา
กับเลขโดดใน ลักรอย ได 3 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลัก น ย จากเลขโดด 2, 3, 5, 9 ที่ไมซ้ํา
กับเลขโดดใน ลักรอยและ ลัก ิบ ได 2 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า จะมี ิธี รางจําน นที่แตกตางกันทั้ง มด
4 × 3 × 2 = 24 ิธี
4. ิธีที่ 1 จากการเรียง ับเปลี่ยน จะได
9!
P9,5 =
(9 − 5)!
9!
=
4!
= 15,120
ดังนั้น มีจําน น ิธีการนั่งเกาอี้ โดยที่เกาอี้แตละตั จะมีคนนั่ง นึ่งคน
15,120 ิธี
ิธีที่ 2 การเลือกเกาอี้ 5 ตั ที่ปายรถประจําทางซึ่ง างเรียงกันกันเปนแถ ยา ใ กับ
คน 9 คน ที่มารอรถที่ปายรถประจําทางนี้ ประกอบด ย 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เกาอี้ตั ที่ 1 มี ิธีเลือกคนมานั่งได 9 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เกาอี้ตั ที่ 2 มี ิธีเลือกคนมานั่งได 8 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 เกาอี้ตั ที่ 3 มี ิธีเลือกคนมานั่งได 7 ิธี
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 185

ขั้นตอนที่ 4 เกาอี้ตั ที่ 4 มี ิธีเลือกคนมานั่งได 6 ิธี


ขั้นตอนที่ 5 เกาอี้ตั ที่ 5 มี ิธีเลือกคนมานั่งได 5 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า มีจําน น ิธีการนั่งเกาอี้ โดยที่เกาอี้แตละตั จะมีคนนั่ง
นึ่งคน 9 × 8 × 7 × 6 × 5 = 15,120 ิธี
5. นํารูปภาพที่แตกตางกัน 5 รูป มาจัดแ ดงโดยเรียงตอกันในแน เ นตรง ทําไดทั้ง มด
5! = 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 120 ิธี

แบบฝก ัด 3.3

1. จําน น ิธีในการเลือกนักเรียน 5 คน จากนักเรียนกลุม นึ่งซึ่งมี 8 คน มีทั้ง มด


8! 8! 8 × 7 × 6 × 5!
C8, 5 = = = = 56 ิธี
(8 − 5)! 5! 3! 5! (3 × 2 × 1)5!

2. ขอ อบอัตนัยชุด นึ่งมี 6 ขอ ซึ่งมีคํา ั่งระบุ าใ เลือกทําเพียง 4 ขอ


จะมีจําน น ิธีในการเลือกทําขอ อบทั้ง มด
6! 6! 6 × 5 × 4!
C6, 4 = = = = 15 ิธี
(6 − 4)! 4! 2! 4! (2 × 1) × 4!

3. การเลือกกรรมการนักเรียน ประกอบด ย 2 ขั้นตอน ดังนี้


ขั้นตอนที่ 1 เลือกกรรมการนักเรียนชาย 5 คน จากผู มัครที่เปนนักเรียนชาย 20 คน
ทําได C20,5 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกกรรมการนักเรียน ญิง 4 คน จากผู มัครที่เปนนักเรียน ญิง 15 คน
ทําได C15, 4 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า มีจําน น ิธีในการเลือกกรรมการนักเรียนทั้ง มด
20! 15!
C20,5 × C15, 4 = × = 21,162,960 ิธี
15! 5! 11! 4!

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


186 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

4. 1) เนื่องจากในตะกรามีเงาะ 8 ผล ม 4 ผล และมังคุด 2 ผล
ดังนั้น ตะกราใบนี้มีผลไมร มทั้ง ิ้น 14 ผล
การ ยิบผลไม 4 ผล จะตองเลือกผลไม 4 ผล จากตะกราที่มีผลไม 14 ผล
ดังนั้น จะมีจําน น ิธีในการเลือก ยิบผลไมโดยที่ไมมีเงื่อนไขเพิ่มเติม
14! 14! 14 × 13 × 12 × 11 × 10!
C14, 4 = = = = 1,001 ิธี
(14 − 4)! 4! 10! 4! 10! (4 × 3 × 2 × 1)

2) เนื่องจากการ ยิบผลไม 4 ผล โดยที่ ยิบใ ไดเงาะทั้ง 4 ผล จะตองเลือก ยิบ


เงาะ 4 ผล จากเงาะในตะกราทั้ง มด 8 ผล
ดังนั้น จะมีจําน น ิธีในการเลือก ยิบไดเงาะทั้ง 4 ผล
8! 8! 8 × 7 × 6 × 5 × 4!
C8, 4 = = = = 70 ิธี
(8 − 4)! 4! 4! 4! 4! (4 × 3 × 2 × 1)

3) เนื่องจากในตะกรามีเงาะ 8 ผล ม 4 ผล และมังคุด 2 ผล
ดังนั้น ตะกราใบนี้มีผลไมอื่น ๆ ที่ไมใช มร มทั้ง ิ้น 10 ผล
การ ยิบผลไม 4 ผล โดยที่ไมมี ม จะตองเลือกผลไม 4 ผล จากตะกราที่มีผลไมอื่น ๆ
ที่ไมใช ม 10 ผล
ดังนั้น จะมีจําน น ิธีในการเลือก ยิบผลไมที่ไมมี มเลย
10! 10! 10 × 9 × 8 × 7 × 6!
C10, 4 = = = = 210 ิธี
(10 − 4)! 4! 6! 4! 6! (4 × 3 × 2 × 1)

5. จําน น ิธีการ ยิบลูกบอล ามารถทําไดดังนี้


ขั้นตอนที่ 1 เลือกลูกบอล ีแดง 1 ลูก จากลูกบอล ีแดง 5 ลูก ทําได C5, 1 ธิ ี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกลูกบอล ีขา 1 ลูก จากลูกบอล ีขา 3 ลูก ทําได C3, 1 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 เลือกลูกบอล ีน้ําเงิน 1 ลูก จากลูกบอล ีน้ําเงิน 3 ลูก ทําได C3, 1 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า มีจําน น ิธีในการ ยิบลูกบอล โดยที่ไดลูกบอลครบทุก ี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 187

5! 3! 3!
ทั้ง มด C5, 1 × C3, 1 × C3, 1 = × × = 5 × 3 × 3 = 45 ิธี
4!1! 2!1! 2!1!

6. 1) การ ยิบไพใบแรกไดไพ ีแดงและใบที่ องไดไพ ีดํา ามารถทําไดดังนี้


ขั้นตอนที่ 1 เลือกไพ ีแดง 1 ใบ จากไพ ีแดง 26 ใบ ทําได C26, 1 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกไพ ีดํา 1 ใบ จากไพ ีดํา 26 ใบ ทําได C26, 1 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า มีจําน น ิธีที่ ยิบไพใบแรกไดไพ ีแดงและใบที่ องไดไพ ี
26! 26!
ดําทั้ง มด C 26, 1 × C26, 1 = × = 26 × 26 = 676 ิธี
25!1! 25!1!

2) เนื่องจากไพ นึ่ง ํารับมีไพ K 4 ใบ ดังนั้นการ ยิบไดไพ K ทั้ง องใบ


ามารถทําไดดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เลือกไพ K 1 ใบ จากไพ K 4 ใบ ทําได C4, 1 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกไพ K 1 ใบ จากไพ K 3 ใบที่เ ลือจากขั้นตอนที่ 1
ทําได C3, 1 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า มีจําน น ิธีที่ ยิบไดไพ K ทั้ง องใบทั้ง มด
4! 3!
C4, 1 × C3, 1 = × = 4 × 3 = 12 ิธี
3!1! 2!1!
3) เนื่องจากไพ นึ่ง ํารับมีไพ 2 โพดํา 1 ใบ ดังนั้น การ ยิบไดไพ 2 โพดํา ทั้ง องใบ
ามารถทําไดดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เลือกไพ 2 โพดําใบที่ นึ่ง ได 1 ิธี จากไพ 2 โพดํา 1 ใบ
ขั้นตอนที่ 2 เลือกไพ 2 โพดําใบที่ อง ได 0 ิธี จากไพ 2 โพดําที่เ ลือ
จาก ลักการคูณ จึงได า มีจําน น ิธีที่ ยิบไดไพ 2 โพดํา ทั้ง องใบ ทั้ง มด
1× 0 = 0 ิธี
นั่นคือ ไม ามารถ ยิบไพ 2 โพดํา ทั้ง องใบจากไพ นึ่ง ํารับ โดย ยิบไพทีละใบ
และไมใ คืนกอน ยิบใบที่ องได
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
188 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

แบบฝก ัดทายบท

1. รูป ี่เ ลี่ยมผืนผาที่เกิดขึ้น มีทั้ง มด 3 แบบ ไดแก


แบบที่ 1 รูป ี่เ ลี่ยมผืนผาที่ก าง 1 น ย และยา 2 น ย มี 12 รูป
แบบที่ 2 รูป ี่เ ลี่ยมผืนผาที่มีก าง 1 น ย และยา 3 น ย มี 6 รูป
แบบที่ 3 รูป ี่เ ลี่ยมผืนผาที่ก าง 2 น ย และยา 3 น ย มี 4 รูป
จาก ลักการบ ก จะได า เกิดรูป ี่เ ลี่ยมผืนผาทั้ง มด 12 + 6 + 4 = 22 รูป
2. เนื่องจากทาขาม องฝงแมน้ํามีเรือยนตขาม ากอยู 3 ลํา
ขั้นตอนที่ 1 เลือกลงเรือยนตขาม ากในเที่ย ไป ได 3 ิธี จากเรือ 3 ลํา
ขั้นตอนที่ 2 เลือกลงเรือยนตขาม ากในเที่ย กลับ ได 2 ิธี จากเรือที่ตางจากเที่ย ไป
จาก ลักการคูณ จึงได า มีจําน น ิธีที่ผูโดย ารคนนี้จะขาม ากโดยที่เที่ย ไปและเที่ย
กลับลงเรือไมซ้ําลํากันทั้ง มด 3× 2 = 6 ิธี
3. เนื่องจาก นามกี าแ ง นึ่งกํา นด มายเลขที่นั่งโดยใชตั เลขแ ดงโซนที่นั่งตั้งแต 1
ถึง 20 อัก รแ ดงแถ ที่นั่งใช A ถึง Z และตั เลขแ ดงตําแ นงที่นั่งตั้งแต 1 ถึง 30
การ าจําน นที่นั่งทั้ง มด นามกี าแ งนี้ ประกอบด ย 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 มีโซนที่นั่งที่แตกตางกัน 20 โซน จาก ตั เลขตั้งแต 1 ถึง 20
ขั้นตอนที่ 2 มีแถ ที่นั่งที่แตกตางกัน 26 แถ จาก A ถึง Z

ขั้นตอนที่ 3 มีที่นั่งที่แตกตางกัน 30 ที่นั่ง จากตั เลขตั้งแต 1 ถึง 30


จาก ลักการคูณ จึงได า นามกี าแ งนี้มีที่นั่งทั้ง มด 20 × 26 × 30 = 15,600 ที่นั่ง
4. การ รางคําที่ไมคํานึงค าม มาย ซึ่งประกอบด ยตั อัก รภา าอังก 5 ตั
โดยที่ตั อัก ร 2 ตั ที่ติดกันตองแตกตางกัน ามารถทําได 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ตั ที่ 1 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 26 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 189

ขั้นตอนที่ 2 ตั ที่ 2 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 25 ิธี จากตั อัก รทั้ง มด
ที่ไมซ้ํากับตั ที่ 1
ขั้นตอนที่ 3 ตั ที่ 3 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 25 ิธี จากตั อัก รทั้ง มดที่
ไมซ้ํากับตั ที่ 2
ขั้นตอนที่ 4 ตั ที่ 4 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 25 ิธี จากตั อัก รทัง้ มดที่
ไมซ้ํากับตั ที่ 3
ขั้นตอนที่ 5 ตั ที่ 5 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 25 ิธี จากตั อัก รทั้ง มดที่
ไมซ้ํากับตั ที่ 4
จาก ลักการคูณ จึงได า มี ิธี รางคําที่ไมคํานึงค าม มาย ซึ่งประกอบด ยตั อัก ร
ภา าอังก 5 ตั โดยที่ตั อัก ร 2 ตั ที่ติดกันตองแตกตางกันทั้ง มด
26 × 25 × 25 × 25 × 25 = 10,156, 250 ิธี
5. 1) ร ั ประจําตั พนักงานในบริ ัทแ งนี้ ที่มีเลขโดดซ้ํากันได ประกอบด ย 2  น ดังนี้
 นที่ 1 ตั อัก รภา าอังก 1 ตั มีได 26 แบบ
 นที่ 2 เลขโดด 3 ตั ที่ไมเปน ูนยพรอมกัน มีได 999 แบบ
จาก 001 ถึง 999
จาก ลักการคูณ จึงได า ร ั ประจําตั พนักงานในบริ ัทแ งนี้ ที่มีเลขโดดซ้ํากันได
มีทั้ง มด 26 × 999 = 25,974 ร ั

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


190 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

2) ร ั ประจําตั พนักงานในบริ ัทแ งนี้ ที่ไมมีเลขโดดซ้ํากัน ประกอบด ย 2  น ดังนี้


 นที่ 1 ตั อัก รภา าอังก 1 ตั มีได 26 แบบ
 นที่ 2 เลขโดด 3 ตั มี 3 ขั้นตอน ดังนี้
ลักที่ 1 ลักที่ 2 ลักที่ 3

ขั้นตอนที่ 1 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลักที่ 1 จากเลขโดด


0, 1, 2, 3, …, 9 ได 10 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลักที่ 2 จากเลขโดด
0, 1, 2, 3, …, 9 ที่ไมซ้ํากับเลขโดดใน ลักที่ 1 ได 9 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 เลือกเลขโดด 1 ตั เปน ลักที่ 3 จากเลขโดด
0, 1, 2, 3, …, 9 ที่ไมซ้ํากับเลขโดดใน ลักที่ 1 และ
ลักที่ 2 ได 8 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า ร ั ประจําตั พนักงานในบริ ัทแ งนี้ ที่ไมมีเลขโดดซ้ํากัน
มีทั้ง มด 26 × 10 × 9 × 8 = 18,720 ร ั
6. เนื่องจาก มายเลขทะเบียนรถยนตนั่ง  นบุคคลในกรุงเทพม านคร มีองคประกอบ
3  น ไดแก
 นที่ 1 เลขโดดที่ไมใช 0 มีได 9 ตั ไดแก 1, 2, 3,  , 9
 นที่ 2 พยัญชนะ 2 ตั ที่มีเงื่อนไขตามที่โจทยกํา นด มีได (35 × 35) − 4 แบบ
 นที่ 3 จําน นเต็มบ กที่ไมเกิน 4 ลัก มีได 9,999 ตั
จาก ลักการคูณ จึงได า มายเลขทะเบียนรถยนตนั่ง  นบุคคลในกรุงเทพม านคร
มีไดไมเกิน 9 × [(35 × 35) − 4] × 9,999 = 109,879,011 มายเลข
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 191

7. รางจําน น าม ลักที่มากก า 300 จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, 4 และ 5 โดยเลขโดด


ในแตละ ลักไมซ้ํากัน ามารถทําได 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ลักรอย เลือกเลขโดดได 3 ิธี จากเลขโดด 3, 4, 5

ขั้นตอนที่ 2 ลัก ิบ เลือกเลขโดดได 5 ิธี จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, 4, 5

ที่ไมซ้ํากับเลขโดดใน ลักรอย
ขั้นตอนที่ 3 ลัก น ย เลือกเลขโดดได 4 ิธี จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, 4, 5

ที่ไมซ้ํากับเลขโดดใน ลักรอย
และ ลัก ิบ
จาก ลักการคูณ จึงได า จําน น าม ลักที่มากก า 300 จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, 4 และ 5

โดยเลขโดดในแตละ ลักไมซ้ํากันทั้ง มด 3 × 4 × 5 = 60 จําน น


8. ิธีที่นักเรียนจะทําขอ อบประเภทใ เ ลือกตอบ าจริง รือเท็จ ซึ่งมี 10 ขอ โดยจะตอง
ตอบคําถามทุกขอ ามารถทําได 10 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ขอที่ 1 เลือกตอบได 2 ิธี คือ จริง รือเท็จ
ขั้นตอนที่ 2 ขอที่ 2 เลือกตอบได 2 ิธี คือ จริง รือเท็จ
ขั้นตอนที่ 3 ขอที่ 3 เลือกตอบได 2 ิธี คือ จริง รือเท็จ

ขั้นตอนที่ 10 ขอที่ 10 เลือกตอบได 2 ิธี คือ จริง รือเท็จ


จาก ลักการคูณ จึงได า มี ิธีที่นักเรียนจะทําขอ อบประเภทใ เลือกตอบ าจริง รือเท็จ
ซึ่งมี 10 ขอ โดยจะตองตอบคําถามทุกขอ ทั้ง มด
2 × 2 × 2 × 2 × 2 × 2 × 2 × 2 × 2 × 2 = 210 = 1,024 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


192 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

9. เขียนตารางแ ดงแตมที่ไดจากการทอดลูกเตา นึ่งลูก องครั้ง ไดดังนี้


ครั้งที่ 2
1 2 3 4 5 6
ครั้งที่ 1
1 (1, 1) (1, 2) (1, 3) (1, 4) (1, 5) (1, 6)
2 (2, 1) (2, 2) (2, 3) (2, 4) (2, 5) (2, 6)
3 (3, 1) (3, 2) (3, 3) (3, 4) (3, 5) (3, 6)
4 (4, 1) (4, 2) (4, 3) (4, 4) (4, 5) (4, 6)
5 (5, 1) (5, 2) (5, 3) (5, 4) (5, 5) (5, 6)
6 (6, 1) (6, 2) (6, 3) (6, 4) (6, 5) (6, 6)

1) ิธีที่ 1 จากตาราง จะไดจําน น ิธีที่ผลร มของแตมเทากับ 7 เปน 6 ิธี


ิธีที่ 2 ขั้นตอนที่ 1 แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 1 มีได 6 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เนื่องจากผลร มของแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาเทากับ 7
จะได าแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 2 มีได 1 ิธี
จาก ลักการคูณ จะไดจําน น ิธีที่ผลร มของแตมเทากับ 7 เปน
6 ×1 = 6 ิธี
2) ิธีที่ 1 จากตาราง จะไดจําน น ิธีที่ผลร มของแตมไมเทากับ 7 เปน 30 ิธี
ิธีที่ 2 เนื่องจากจําน น ิธีที่แตมที่ไดจากการทอดลูกเตา นึ่งลูก องครั้ง
ทําได 6 × 6 = 36 ิธี
แตจําน น ิธีที่ผลร มของแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาเทากับ 7 ทําได 6 ิธี
ดังนั้น จําน น ิธีที่ผลร มของแตมไมเทากับ 7 เปน 36 – 6 = 30 ิธี
ิธีที่ 3 ขั้นตอนที่ 1 แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 1 มีได 6 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เนื่องจากผลร มของแตมที่ไดจากการทอดลูกเตา
ไมเทากับ 7
จะได าแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาครั้งที่ 2 มีได 6 – 1 = 5 ิธี
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 193

จาก ลักการคูณ จะไดจําน น ิธีที่ผลร มของแตมไมเทากับ 7 เปน


6 × 5 = 30 ิธี
10. ิธีที่ 1 จําน น ิธีในการจัดเรียง นัง ือ 4 เลม จาก นัง ือที่แตกตางกัน 6 เลม
เปนแถ บนชั้น คือ
6!
P6, 4 =
(6 − 4)!
6!
=
2!
= 360
ดังนั้น จําน น ิธีในการจัดเรียง นัง ือ เทากับ 360 ิธี
ิธีที่ 2 เนื่องจากการจัด นัง ือ 4 เลม จาก นัง ือที่แตกตางกัน 6 เลม เปนแถ บนชั้น
ประกอบด ย 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ตําแ นงที่ 1 เลือก นัง ือได 6 ิธี จาก นัง ือทั้ง มด 6 เลม
ขั้นตอนที่ 2 ตําแ นงที่ 2 เลือก นัง ือได 5 ิธี จาก นัง ือที่เ ลือ
ขั้นตอนที่ 3 ตําแ นงที่ 3 เลือก นัง ือได 4 ิธี จาก นัง ือที่เ ลือ
ขั้นตอนที่ 4 ตําแ นงที่ 4 เลือก นัง ือได 3 ิธี จาก นัง ือที่เ ลือ
จาก ลักการคูณ จึงได า จําน น ิธีในการจัดเรียง นัง ือ เทากับ
6 × 5 × 4 × 3 = 360 ิธี
11. ิธีที่ 1 จําน น ิธีในการเลือกคณะกรรมการชุดนี้ ซึ่งมี 4 ตําแ นง คือ นายก มาคม
อุปนายก มาคม เลขานุการ และเ รัญญิก ทําได
50!
P50, 4 = = 5,527, 200 ิธี
(50 − 4)!

ดังนั้น มี ิธีในเลือกคณะกรรมการได 5,527, 200 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


194 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ิธีที่ 2 เนื่องจากคณะกรรมการชุดนี้มี 4 ตําแ นง คือ นายก มาคม อุปนายก


มาคม เลขานุการ และเ รัญญิก การเลือกคณะกรรมการชุดนี้จากผู มัคร
50 คน ประกอบด ย 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ตําแ นงนายก มาคม เลือกได 50 ิธี จากผู มัคร 50 คน
ขั้นตอนที่ 2 ตําแ นงอุปนายก มาคม เลือกได 49 ิธี จากผู มัครที่เ ลือ 49 คน
ขั้นตอนที่ 3 ตําแ นงเลขานุการ เลือกได 48 ิธี จากผู มัครที่เ ลือ 48 คน
ขั้นตอนที่ 4 ตําแ นงเ รัญญิก เลือกได 47 ิธี จากผู มัครที่เ ลือ 47 คน
จาก ลักการคูณ จึงได า มี ิธีเลือกคณะกรรมการได
50 × 49 × 48 × 47 = 5,527, 200 ิธี
12. จะมี  นของเ นตรงที่เกิดจากการเชื่อมจุด 2 จุด จากจุด 10 จุด บนเ นรอบ งของ
10!
งกลม ง นึ่ง ทั้ง มด C 10, 2 = = 45 เ น
8! 2!

13. ิธีที่ 1 การจัดคน 5 คน ยืนเปนแถ เพื่อถายรูป โดยแตละครั้งที่ถายรูปจะมี


อยางนอย 3 คน ามารถทําได 3 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 มีคน 3 คน ยืนเปนแถ เพื่อถายรูป จะไดภาพที่แตกตางกัน P5,3 ภาพ
กรณีที่ 2 มีคน 4 คน ยืนเปนแถ เพื่อถายรูป จะไดภาพที่แตกตางกัน P5, 4 ภาพ
กรณีที่ 3 มีคน 5 คน ยืนเปนแถ เพื่อถายรูป จะไดภาพที่แตกตางกัน P5,5 ภาพ
จาก ลักการบ ก จึงได า มีภาพที่แตกตางกันทั้ง มดจากการจัดคน 5 คน
ยืนเปนแถ เพื่อถายรูป โดยแตละครั้งที่ถายรูปจะมีอยางนอย 3 คน เทากับ
5! 5! 5!
P5,3 + P5,4 + P5,5 = + + = 60 + 120 + 120 = 300 ภาพ
(5 − 3)! (5 − 4)! (5 − 5)!

ิธีที่ 2 การจัดคน 5 คน ยืนเปนแถ เพื่อถายรูป โดยแตละครั้งที่ถายรูปจะมี


อยางนอย 3 คน ามารถทําได 3 กรณี ดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 195

กรณีที่ 1 มีคน 3 คน ยืนเปนแถ เพื่อถายรูป ประกอบด ย 3 ขั้นตอน ดังนี้


ขั้นตอนที่ 1 เลือกคนที่ นึ่ง ได 5 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกคนที่ อง ได 4 ิธี จากคนที่เ ลือ
ขั้นตอนที่ 3 เลือกคนที่ าม ได 3 ิธี จากคนที่เ ลือ
จาก ลักการคูณ จึงได า มีภาพที่แตกตางกันจากการถายรูปคน
3 คน ทั้ง มด 5 × 4 × 3 = 60 ภาพ
กรณีที่ 2 มีคน 4 คน ยืนเปนแถ เพื่อถายรูป ประกอบด ย 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เลือกคนที่ นึ่ง ได 5 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกคนที่ อง ได 4 ิธี จากคนที่เ ลือ
ขั้นตอนที่ 3 เลือกคนที่ าม ได 3 ิธี จากคนที่เ ลือ
ขั้นตอนที่ 4 เลือกคนที่ ี่ ได 2 ิธี จากคนที่เ ลือ
จาก ลักการคูณ จึงได า มีภาพที่แตกตางกันจากการถายรูปคน
4 คน ทั้ง มด 5 × 4 × 3 × 2 = 120 ภาพ
กรณีที่ 3 มีคน 5 คน ยืนเปนแถ เพื่อถายรูป ประกอบด ย 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เลือกคนที่ นึ่ง ได 5 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกคนที่ อง ได 4 ิธี จากคนที่เ ลือ
ขั้นตอนที่ 3 เลือกคนที่ าม ได 3 ิธี จากคนที่เ ลือ
ขั้นตอนที่ 4 เลือกคนที่ ี่ ได 2 ิธี จากคนที่เ ลือ
ขั้นตอนที่ 5 เลือกคนที่ า ได 1 ิธี จากคนที่เ ลือ
จาก ลักการคูณ จึงได า มีภาพที่แตกตางกันจากการถายรูปคน
5 คน ทั้ง มด 5 × 4 × 3 × 2 × 1= 120 ภาพ
จาก ลักการบ ก จึงได า มีภาพที่แตกตางกันทั้ง มดจากการจัดคน 5 คน
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
196 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ยืนเปนแถ เพื่อถายรูป โดยแตละครั้งที่ถายรูปจะมีอยางนอย 3 คน เทากับ


60 + 120 + 120 = 300 ภาพ
14. จําน น ิธีในการจัดคนที่มา มัครเขาทํางานในที่ทํางานแ งนี้ ประกอบด ย 2 ขั้นตอน
ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เลือกตําแ นง ํา รับผูชาย 3 ตําแ นง จากผู มัครเขาทํางานเปน
ผูชาย 6 คน ได P6,3 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกตําแ นง ํา รับผู ญิง 2 ตําแ นง จากผู มัครเขาทํางานเปน
ผู ญิง 5 คน ได P5, 2 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า มีจําน น ิธีจัดคนที่มา มัครเขาทํางานไดทั้ง มด
6! 5!
P6,3 × P5, 2 = × = 120 × 20 = 2, 400 ิธี
( 6 − 3 )! ( 5 − 2 )!
15. 1) ชมรมเลน มากรุกมี มาชิกที่เปนชาย 6 คน และ ญิง 4 คน
นั่นคือ ชมรมนี้มี มาชิกทั้ง มด 10 คน
เนื่องจากการจับคูเลน มากรุกจะตองเลือกคน 2 คน จาก มาชิกของชมรม 10 คน
ดังนั้น จะมีจําน น ิธีในการจับคูเลน มากรุกโดยที่ไมมีเงื่อนไข
10!
C10, 2 = = 45 ิธี
(10 − 2)! 2!

2) การจับคูเลน มากรุกโดยที่เพ ตรงขามกัน ามจับคูกัน ามารถเกิดขึ้นได


2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 ผูเลนเปนผูชายทั้งคู
ดังนั้น การจับคูเลน มากรุกจะตองเลือกคน 2 คน จาก มาชิกของชมรมที่
6!
เปนผูชาย 6 คน จะมีจําน น ิธีในการจับคูได C6, 2 = = 15 ิธี
(6 − 2)! 2!

กรณีที่ 2 ผูเลนเปนผู ญิงทั้งคู


ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 197

ดังนั้น การจับคูเลน มากรุกจะตองเลือกคน 2 คน จาก มาชิกของชมรมที่


เปนผู ญิง 4 คน จะมีจําน น ิธีในการจับคูได
4!
C4, 2 = =6 ิธี
(4 − 2)! 2!

จาก ลักการบ ก จึงได า มีจําน น ิธีในการจับคูเลน มากรุกโดยที่


เพ ตรงขามกัน ามจับคูกัน 15 + 6 = 21 ิธี
16. การเลือกกรรมการชุดนี้ ประกอบด ย 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เลือกนักเรียนชาย 2 คน จาก 20 คน ทําได C20, 2 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกนักเรียน ญิง 2 คน จาก 25 คน ทําได C25, 2 ิธี
ขั้นตอนที่ 3 เลือกครู 1 คน จาก 7 คนทําได C7,1 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า มีจําน น ิธีในการเลือกกรรมการทั้ง มด
20! 25! 7!
C20, 2 × C25, 2 × C7,1 = × × = 399,000 ิธี
18! 2! 23! 2! 6!1!

17. การเลือกกรรมการ 3 คน จากคน 9 คน ซึ่งเปนผูชาย 4 คน และผู ญิง 5 คน


โดยตองมีผูชายอยางนอย 2 คน ามารถทําได 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 มีผูชาย 2 คน เปนกรรมการ ประกอบด ย 2 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เลือกผูชาย 2 คน จาก 4 คน ทําได C4, 2 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกผู ญิง 1 คน จาก 5 คน ทําได C5,1 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า มี ิธีเลือกกรรมการ 3 คน โดยมีผูชาย 2 คน
ทําได C4, 2 × C5,1 ิธี
กรณีที่ 2 มีกรรมการเปนผูชายทั้ง ามคน ทําได C4,3 ิธี
จาก ลักการบ ก จึงได า มี ิธีในการเลือกกรรมการชุดนี้
4! 5! 4!
(C 4, 2 × C5,1 ) + C4,3 = ×
2!2! 1!4!
+
1!3!
= 30 + 4 = 34 ิธี
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
198 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

บทที่ 4 ค ามนาจะเปน

แบบฝก ัด 4.1
1. ใ  S1 , S 2 , S3 , S 4 และ S5 เปนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมในขอ 1), 2), 3), 4)
และ 5) ตามลําดับ
1) เนื่องจากในการ ยิบลูกอม 1 เม็ด จากถุงที่กํา นดใ  จะ ยิบไดลูกอมร ม
ร องุน ร มะนา รือร กาแ
ดังนั้น S1 = {ร ม, ร องุน, ร มะนา , ร กาแ }

2) เนื่องจากในการทําขอ อบแบบถูกผิด 10 ขอ ขอละ 1 คะแนน คะแนน อบที่


เปนไปได คือ 0, 1, 2, 3, …, 10
ดังนั้น S2 = {0, 1, 2, 3, …, 10}

3) เนื่องจากในการแขงขัน อลเลยบอลแตละครั้ง ผลการแขงขันที่อาจเปนได คือ


ชนะ รือแพ
ใ ผลการแขงขันที่ชนะแทนด ย “ช” และผลการแขงขันที่แพแทนด ย “พ”
จะได ผลลัพธของการแขงขันของทีม อลเลยบอล ญิงไทย 2 นัด ที่อาจเปนได คือ
ชช, ชพ, พช รือ พพ
ดังนั้น S3 = {ชช ชพ, พช, พพ}
4) เนื่องจากการทอดลูกเตา นึ่งลูก นึ่งครั้ง ผลลัพธที่อาจเกิดขึ้น คือ แตม 1, 2, 3,
4, 5 รือ 6
จะได ผลบ กของแตมบน นาลูกเตาที่อาจเกิดขึ้นในการทอดลูกเตา ามลูก นึ่งครั้ง
คือ 3, 4, 5, …, 18

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 199

ดังนั้น S4 = {3, 4, 5, …, 18}

5) เนื่องจากในการขายพัดลม 5 เครื่อง จําน นพัดลมที่ขายไดอาจเปน 0, 1, 2, 3, 4


รือ 5 เครื่อง
ดังนั้น S5 = {0, 1, 2, 3, 4, 5}

2. ใ  H แทนเ รียญขึ้น ั
T แทนเ รียญขึ้นกอย
จะได ผลลัพธที่ไดจากการโยนเ รียญ นึ่งเ รียญ องครั้งที่เปนไปได คือ HH, HT, TH, TT
1) ใ  S เปนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุม
จะได S = { HH , HT , TH , TT }

2) ใ  E1 เปนเ ตุการณที่เ รียญขึ้น ั ทั้ง องครั้ง


จะได E1 = { HH }

3) ใ  E2 เปนเ ตุการณที่เ รียญขึ้น นาตางกัน


จะได E2 = { HT , TH }

3. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้


H แทนเ รียญขึ้น ั
T แทนเ รียญขึ้นกอย
ใ เลขโดด 1, 2, 3, 4, 5 และ 6 แทนลูกเตาขึ้น นา 1, 2, 3, 4, 5 และ 6 ตามลําดับ
ามารถเขียนแผนภาพแ ดงผลลัพธของการทดลอง ุมไดดังนี้

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


200 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

H1

H2
H3
H
H4

H5

H6

T1

T2

T3
T
T4

T5

T6

โดยที่ ัญลัก ณ Hi มายถึง เ รียญขึ้น ั และลูกเตาขึ้น นา i

และ ัญลัก ณ Ti มายถึง เ รียญขึ้นกอยและลูกเตาขึ้น นา i

เมื่อ i ∈ {1, 2, 3, 4, 5, 6}

1) ใ  E1 เปนเ ตุการณที่เ รียญขึ้นกอยและแตมบน นาลูกเตาเปนจําน นคี่


จะได E1 = {T 1, T 3, T 5}

2) ใ  E2 เปนเ ตุการณที่เ รียญขึ้น ั และแตมบน นาลูกเตาเปนจําน นคู


จะได E2 = {H 2, H 4, H 6}

3) ใ  E3 เปนเ ตุการณที่แตมบน นาลูกเตาเปนจําน นที่ ารด ย 3 ลงตั


จะได E3 = {H 3, H 6, T 3, T 6}

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 201

4) ใ  E4 เปนเ ตุการณที่เ รียญขึ้นกอยและแตมบน นาลูกเตาเปนจําน นที่


ารด ย 7 ลงตั
เนื่องจากไมมีแตมใดบน นาลูกเตาที่เปนจําน นที่ ารด ย 7 ลงตั
จะได E4 = ∅

5) ใ  E5 เปนเ ตุการณที่แตมบน นาลูกเตาเปนจําน นที่ ารด ย 7 ไมลงตั


เนื่องจากแตมบน นาลูกเตาเปนจําน นที่ ารด ย 7 ไมลงตั
จะได E5 = {H 1, H 2, H 3, H 4, H 5, H 6, T 1, T 2, T 3, T 4, T 5, T 6}

นั่นคือ E5 = S

แบบฝก ัด 4.2
1. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 30
1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่จับ ลากไดเปนชื่อของนักเรียนชาย

จะมี ิธีเลือกนักเรียนชาย 1 คน จากนักเรียนชาย 18 คน ได 18 ิธี


นั่นคือ n ( E1 ) = 18
จะได P ( E ) = 18 = 3
1
30 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนของเ ตุการณที่จับ ลากชื่อของนักเรียน นึ่งคนไดเปน
3
ชื่อของนักเรียนชาย เทากับ
5
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่จับ ลากไดเปนชื่อของนักเรียน ญิง
จะมี ิธีเลือกนักเรียน ญิง 1 คน จากนักเรียน ญิง 12 คน ได 12 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


202 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

นั่นคือ n ( E2 ) = 12
จะได P ( E ) = 12 = 2
2
30 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนของเ ตุการณที่จับ ลากชื่อของนักเรียน นึ่งคนไดเปน
2
ชื่อของนักเรียน ญิง เทากับ
5
2. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 6
1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่จะไดเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นเฉพาะ

เนื่องจากเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นเฉพาะมี 3 อัน คือเบี้ย มายเลข 3, 7 และ 11


ดังนั้น จะมี ิธี ยิบเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นเฉพาะได 3 ิธี นั่นคือ n ( E1 ) = 3
จะได P ( E ) = 3 = 1
1
6 2
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นเฉพาะ เทากับ
2
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่จะไดเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 3 ลงตั
เนื่องจากเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 3 ลงตั มี 2 อัน คือเบี้ย
มายเลข 3 และ 9
ดังนั้น จะมี ิธี ยิบเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 3 ลงตั ได 2 ิธี
นั่นคือ n ( E2 ) = 2
จะได P ( E ) = 2 = 1
2
6 3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 3 ลงตั
1
เทากับ
3
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่จะไดเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 6 ลงตั

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 203

เนื่องจากไมมีเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 6 ลงตั


ดังนั้น จะมี ิธี ยิบเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 6 ลงตั ได 0 ิธี
นั่นคือ n ( E3 ) = 0
จะได P ( E ) = 0 = 0
3
6
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 6 ลงตั เทากับ 0

4) ใ  E4 แทนเ ตุการณที่จะไดเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่เปนกําลัง อง มบูรณ


เนื่องจากเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่เปนกําลัง อง มบูรณมี 2 อัน คือ
เบี้ย มายเลข 4 และ 9
ดังนั้น จะมี ิธี ยิบเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่เปนกําลัง อง มบูรณได 2 ิธี
นั่นคือ n ( E4 ) = 2
จะได P ( E ) = 2 = 1
4
6 3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นที่เปนกําลัง อง มบูรณ
1
เทากับ
3
3. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n( S ) = 100

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นเต็มบ ก


ดังนั้น จะมี ิธี ยิบเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นเต็มบ กได 100 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 100
1

จะได P ( E ) = 100 = 1
1
100
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นเต็มบ ก เทากับ 1

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


204 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นคู


เนื่องจากเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นคูมี 50 เ รียญ ไดแก เ รียญ มายเลข
2, 4, 6, …, 100
ดังนั้น จะมี ิธี ยิบเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นคูได 50 ิธี
นั่นคือ n( E2 ) = 50
50 1
จะได P ( E2 ) = =
100 2
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นคู เทากับ
2
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ลงตั
เนื่องจากเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ลงตั มี 20 เ รียญ ไดแก
เ รียญ มายเลข 5, 10, 15, …, 100

จะมี ิธี ยิบเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ลงตั ได 20 ิธี
นั่นคือ n( E3 ) = 20
20 1
จะได P ( E3 ) = =
100 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ลงตั
1
เทากับ
5
4) ิธีที่ 1 ใ  E4 แทนเ ตุการณที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่
ารด ย 5 ไมลงตั
จากขอ 3) มีเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ลงตั 20 เ รียญ
ดังนั้น มีเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ไมลงตั 80 เ รียญ
จะมี ิธี ยิบเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ไมลงตั ได 80 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 80
4

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 205

80 4
จะได P ( E4 ) = =
100 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่
4
ารด ย 5 ไมลงตั เทากับ
5
ิธีที่ 2 ใ  E4 แทนเ ตุการณที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่
ารด ย 5 ไมลงตั
เนื่องจาก ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญทีม่ ี มายเลขเปนจําน นที่
1
ารด ย 5 ลงตั เทากับ
5

จะได P ( E ) = 1 − 1 = 4
4
5 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่
4
ารด ย 5 ไมลงตั เทากับ
5
4. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n( S ) = 20

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่ ยิบไดลูกปงปอง ีแดง


เนื่องจากมีลูกปงปอง ีแดงอยู 15 ลูก
ดังนั้น จะมี ิธี ยิบลูกปงปอง ีแดงได 15 ิธี
นั่นคือ n( E1 ) = 15

จะได P ( E ) = 15 = 3
1
20 4
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะ ยิบไดลูกปงปอง ีแดง เทากับ
4
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่ ยิบไมไดลูกปงปอง ีดํา
เนื่องจากมีลูกปงปอง ีอื่นที่ไมใช ีดําอยู 19 ลูก
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
206 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ดังนั้น จะมี ิธี ยิบไมไดลูกปงปอง ีดํา 19 ิธี


นั่นคือ n ( E2 ) = 19
จะได P ( E ) = 19
2
20
19
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะ ยิบไมไดลูกปงปอง ีดํา เทากับ
20
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่ ยิบไดลูกปงปอง ีดํา รือ ีขา
กรณีที่ 1 ยิบไดลูกปงปอง ีดํา
เนื่องจากมีลูกปงปอง ีดําอยู 1 ลูก จะมี ิธี ยิบลูกปงปอง ีดําได 1 ิธี
กรณีที่ 2 ยิบไดลูกปงปอง ีขา
เนื่องจากมีลูกปงปอง ีขา อยู 1 ลูก จะมี ิธี ยิบลูกปงปอง ีขา ได 1 ิธี
โดย ลักการบ ก จะมี ิธี ยิบไดลูกปงปอง ีดํา รือ ีขา 1+1=2 ิธี
นั่นคือ n ( E3 ) = 2
จะได P ( E ) = 2 = 1
3
20 10
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะ ยิบไดลูกปงปอง ีดํา รือ ีขา เทากับ
10
5. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C = 10 5, 2

ใ  E แทนเ ตุการณที่จะได ลอดดี 1 ลอด และ ลอดเ ีย 1 ลอด


ขั้นที่ 1 ยิบ ลอดไ ดี 1 ลอด จาก ลอดดีทั้ง มด 3 ลอด จะได 3 ิธี
ขั้นที่ 2 ยิบ ลอดไ เ ีย 1 ลอด จาก ลอดเ ียทั้ง มด 2 ลอด จะได 2 ิธี
ดังนั้น n ( E ) = 3 × 2 = 6
6 3
จะได P(E) = =
10 5

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 207

3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะได ลอดดี 1 ลอด และ ลอดเ ีย 1 ลอด เทากับ
5
6. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C = 64, 2

ใ  E แทนเ ตุการณที่จะไดถุงเทาทั้ง องคูเปน ีเดีย กัน


กรณีที่ 1 ยิบไดถุงเทาทั้ง องคูเปน ีขา มีได 1 ิธี
กรณีที่ 2 ยิบไดถุงเทาทั้ง องคูเปน ีดํา มีได 1 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 1 + 1 = 2
2 1
จะได P( E ) = =
6 3
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดถุงเทาทั้ง องคูเปน ีเดีย กัน เทากับ
3
7. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 6 × 6 = 36
ใ  E แทนเ ตุการณทผี่ ลคูณของแตมที่ไดเปนจําน นคู
ิธีที่ 1 ในการทอดลูกเตาที่เที่ยงตรง องลูก นึ่งครั้ง ผลคูณของแตมที่ไดจะเปน
จําน นคูเปนได 3 กรณี
กรณีที่ 1 ทอดลูกเตาทั้ง องลูกไดแตมเปนจําน นคู

จําน นคู จําน นคู


ลูกที่ 1 ลูกที่ 2
แตมที่ไดในการทอดลูกเตาลูกที่ 1 เปนได 3 ิธี คือ 2, 4 รือ 6
แตมที่ไดในการทอดลูกเตาลูกที่ 2 เปนได 3 ิธี คือ 2, 4 รือ 6
จะมีจําน น ิธีที่ผลคูณของแตมที่ไดเปนจําน นคู 3× 3 = 9 ิธี
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
208 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

กรณีที่ 2 ทอดลูกเตาลูกที่ 1 ไดแตมเปนจําน นคูเพียงลูกเดีย


จําน นคู จําน นคี่
ลูกที่ 1 ลูกที่ 2
แตมที่ไดในการทอดลูกเตาลูกที่ 1 เปนได 3 ิธี คือ 2, 4 รือ 6
แตมที่ไดในการทอดลูกเตาลูกที่ 2 เปนได 3 ิธี คือ 1, 3 รือ 5
จะมีจําน น ิธีทผี่ ลคูณของแตมที่ไดเปนจําน นคู 3× 3 = 9 ิธี
กรณีที่ 3 ทอดลูกเตาลูกที่ 2 ไดแตมเปนจําน นคูเพียงลูกเดีย
จําน นคี่ จําน นคู
ลูกที่ 1 ลูกที่ 2
แตมที่ไดในการทอดลูกเตาลูกที่ 1 เปนได 3 ิธี คือ 1, 3 รือ 5
แตมที่ไดในการทอดลูกเตาลูกที่ 2 เปนได 3 ิธี คือ 2, 4 รือ 6
จะมีจําน น ิธีที่ผลคูณของแตมที่ไดเปนจําน นคู 3× 3 = 9 ิธี
โดย ลักการบ ก จะมี ิธีทอดลูกเตาทีผ่ ลคูณของแตมที่ไดเปนจําน นคู
9 + 9 + 9 = 27 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 27
จะได P ( E ) = 27 = 3
36 4
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ผลคูณของแตมที่ไดเปนจําน นคู เทากับ
4
ิธีที่ 2 ในการทอดลูกเตาที่เที่ยงตรง องลูก นึ่งครั้ง ผลคูณของแตมที่ไดจะเปน
จําน นคี่เมื่อแตมที่ไดจากการทอดลูกเตาทั้ง องลูกเปนจําน นคี่
จะไดจําน น ิธีที่ไดผลคูณของแตมเปนจําน นคี่ C3,1 × C3,1 = 3 × 3 = 9 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 209

ดังนั้นจําน น ิธีที่ไดผลคูณของแตมเปนจําน นคู 36 – 9 = 27 ิธี


นั่นคือ n ( E ) = 27
27 3
จะได P( E ) = =
36 4
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ผลคูณของแตมที่ไดเปนจําน นคู เทากับ
4
8. 1) ใ  S1 แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C = 6
1 4, 2

ใ  E1 แทนเ ตุการณที่ ยิบไดลูกบอล ีแดงและ ีเขีย อยางละ 1 ลูก


นั่นคือ n ( E ) = C1 2,1 × C2,1 = 2 × 2 = 4
4 2
จะได P ( E1 ) = =
6 3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ ยิบไดลูกบอล ีแดงและ ีเขีย อยางละ 1 ลูก เมื่อ ยิบ
2
ลูกบอล องลูกพรอมกัน เทากับ
3
2) ใ  S2 แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C × C = 12
2 4, 1 3, 1

ใ  E2 แทนเ ตุการณที่ ยิบไดลูกบอล ีแดงและ ีเขีย อยางละ 1 ลูก


กรณีที่ 1 ยิบลูกบอลลูกแรกได ีแดง
มี ิธี ยิบลูกบอลลูกแรกได ีแดง C2,1 = 2 ิธี
มี ิธี ยิบลูกบอลลูกที่ องได ีเขีย C2,1 = 2 ิธี
ดังนั้น มี ิธี ยิบลูกบอลลูกแรกได ีแดง และลูกบอลลูกที่ องได
ีเขีย 2× 2 = 4 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


210 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

กรณีที่ 2 ยิบลูกบอลลูกแรกได ีเขีย


มี ิธี ยิบลูกบอลลูกแรกได ีเขีย C2,1 = 2 ิธี
มี ิธี ยิบลูกบอลลูกที่ องได ีแดง C2,1 = 2 ิธี
ดังนั้น มี ิธี ยิบลูกบอลลูกแรกได ีเขีย และลูกบอลลูกที่ องได
ีแดง 2× 2 = 4 ิธี
โดย ลักการบ ก จะไดจําน น ิธี ยิบไดลูกบอล ีแดงและ ีเขีย อยางละ 1 ลูก
อยู 4 + 4 = 8 ิธี
นั่นคือ n ( E2 ) = 8
8 2
จะได P ( E2 ) = =
12 3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ ยิบไดลูกบอล ีแดงและ ีเขีย อยางละ 1 ลูก เมื่อ ยิบ
2
ลูกบอลทีละลูกโดยไมใ คืนกอนจะ ยิบลูกบอลลูกที่ อง เทากับ
3
3) ใ  S3 แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C × C = 4 × 4 = 16
3 4,1 4,1

ใ  E3 แทนเ ตุการณที่ ยิบไดลูกบอล ีแดงและ ีเขีย อยางละ 1 ลูก


กรณีที่ 1 ยิบลูกบอลลูกแรกได ีแดง
มี ิธี ยิบลูกบอลลูกแรกได ีแดง C2,1 = 2 ิธี
มี ิธี ยิบลูกบอลลูกที่ องได ีเขีย C2,1 = 2 ิธี
ดังนั้น มี ิธี ยิบลูกบอลลูกแรกได ีแดง และลูกบอลลูกที่ องได
ีเขีย 2× 2 = 4 ิธี
กรณีที่ 2 ยิบลูกบอลลูกแรกได ีเขีย
มี ิธี ยิบลูกบอลลูกแรกได ีเขีย C2,1 = 2 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 211

มี ิธี ยิบลูกบอลลูกที่ องได ีแดง C2,1 = 2 ิธี


ดังนั้น มี ิธี ยิบลูกบอลลูกแรกได ีเขีย และลูกบอลลูกที่ องได
ีแดง 2× 2 = 4 ิธี
โดย ลักการบ ก จะไดจําน น ิธี ยิบไดลูกบอล ีแดงและ ีเขีย อยางละ 1 ลูก
อยู 4 + 4 = 8 ิธี
นั่นคือ n ( E3 ) = 8
8 1
จะได P ( E3 ) = =
16 2
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ ยิบไดลูกบอล ีแดงและ ีเขีย อยางละ 1 ลูก เมื่อ ยิบ
1
ลูกบอลทีละลูกโดยใ คืนกอนจะ ยิบลูกบอลลูกที่ อง เทากับ
2

แบบฝก ัดทายบท
1. ใ  H แทนเ รียญขึ้น ั
T แทนเ รียญขึ้นกอย
1) ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากผลลัพธที่เปนไปไดจากการโยนเ รียญ นึ่งเ รียญ ามครั้ง คือ HHH,
HHT, HTH, HTT, THH, THT, TTH และ TTT

ดังนั้น S = {HHH , HHT , HTH , HTT , THH , THT , TTH , TTT }

2) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่เ รียญขึ้น ั เพียง นึ่งครั้ง


เนื่องจากเ ตุการณที่เ รียญขึ้น ั เพียง นึ่งครั้ง ไดแก HTT, THT และ TTH
ดังนั้น E1 = {HTT , THT , TTH }

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


212 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

3) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่เ รียญขึ้น ั ามครั้ง


เนื่องจากเ ตุการณที่เ รียญขึ้น ั ามครั้ง คือ HHH
ดังนั้น E2 = {HHH }

4) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่เ รียญขึ้น ั อยางนอย นึ่งครั้ง


เนื่องจากเ ตุการณที่เ รียญขึ้น ั อยางนอย นึ่งครั้ง ไดแก HHH, HHT, HTH,
HTT, THH, THT และ TTH

ดังนั้น E3 = {HHH , HHT , HTH , HTT , THH , THT , TTH }

5) ใ  E4 แทนเ ตุการณที่เ รียญไมขึ้น ั เลย


เนื่องจากเ ตุการณที่เ รียญไมขึ้น ั เลย คือ TTT
ดังนั้น E4 = {TTT }

2. ใ  R แทนลูกบอล ีแดง
W แทนลูกบอล ีขา
G แทนลูกบอล ีเขีย
1) ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากผลลัพธที่เปนไปไดจากการ ยิบลูกบอลทีละลูกแล ใ คืนกอน ยิบ
ลูกบอลลูกที่ อง จากกลองที่บรรจุลูกบอล ีแดง 1 ลูก ีขา 1 ลูก และ ีเขีย 1 ลูก

คือ RR, RW , RG , WR, WW , WG , GR, GW และ GG

ดังนั้น S = { RR, RW , RG , WR, WW , WG , GR, GW , GG }

2) ใ  E แทนเ ตุการณที่ไดลูกบอล ีขา และ ีแดงอยางละ นึ่งลูก


เนื่องจากเ ตุการณที่ไดลูกบอล ีขา และ ีแดงอยางละ 1 ลูก ไดแก RW และ WR
ดังนั้น E = { RW , WR}

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 213

3. ใ  S เปนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุม


จากตาราง มีใบ ั่งซื้อ ินคาทั้ง มด 212 + 389 + 124 + 105 + 170 = 1000 ใบ
จะได n ( S ) = 1000

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคเ นือ


จากตาราง มีใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคเ นือ 212 ใบ นั่นคือ n( E1 ) = 212

จะได P ( E1 ) = 212 = 53
1000 250
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคเ นือ
53
เทากับ
250
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคกลาง
จากตาราง มีใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคกลาง 389 ใบ นั่นคือ n( E2 ) = 389

จะได P ( E2 ) = 389
1000
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคกลาง
389
เทากับ
1000
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคตะ ันออก
จากตาราง มีใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคตะ ันออก 124 ใบ นั่นคือ n( E3 ) = 124

จะได P ( E3 ) = 124 = 31
1000 250
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคตะ ันออก
31
เทากับ
250
4) ใ  E4 แทนเ ตุการณที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาค
ตะ ันออกเฉียงเ นือ
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
214 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

จากตาราง มีใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคตะ ันออกเฉียงเ นือ 105 ใบ


นั่นคือ n( E4 ) = 105

จะได P ( E4 ) = 105 = 21
1000 200
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาค
21
ตะ ันออกเฉียงเ นือเทากับ
200
5) ใ  E5 แทนเ ตุการณที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาค ใต
จากตาราง มีใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคใต 170 ใบ นั่นคือ n( E5 ) = 170

จะได P ( E5 ) = 170 = 17
1000 100
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคใต
17
เทากับ
100
4. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 100
1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 7

จากตาราง มีนักเรียนที่ มรองเทาเบอร 7 อยู 35 คน นั่นคือ n( E1 ) = 35

จะได P ( E1 ) = 35 = 7
100 20
7
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 7 เทากับ
20
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเล็กก าเบอร 8
จากตาราง มีนักเรียนที่ มรองเทาขนาดเล็กก าเบอร 8 อยู 3 + 12 + 35 = 50 คน
นั่นคือ n ( E2 ) = 50
จะได P ( E2 ) = 50 = 1
100 2
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 215

1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเล็กก าเบอร 8 เทากับ
2
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 8 รือ 9
จากตาราง มีนักเรียนที่ มรองเทาขนาดเบอร 8 รือ 9 อยู 27 + 16 = 43 คน
นั่นคือ n ( E3 ) = 43
จะได P ( E3 ) = 43
100
43
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 8 รือ 9 เทากับ
100
4) ใ  E4 แทนเ ตุการณที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 5 รือ 10
จากตาราง มีนักเรียนที่ มรองเทาขนาดเบอร 5 รือ 10 อยู 3 + 7 = 10 คน
นั่นคือ n ( E4 ) = 10
จะได P ( E4 ) = 10 = 1
100 10
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 5 รือ 10 เทากับ
10
5) ใ  E5 แทนเ ตุการณที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาใ ญก าเบอร 10
จากตาราง ไมมีนักเรียนที่ มรองเทาใ ญก าเบอร 10
นั่นคือ n ( E5 ) = 0
จะได P ( E5 ) = 0
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาใ ญก าเบอร 10 เทากับ 0
5. ใ  S เปนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุม
จากตาราง มีจําน นพนักงานขายทั้ง มด 30 + 50 + 80 + 70 + 20 = 250 คน
จะได n ( S ) = 250

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


216 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่พนักงานคน นึ่งจะขาย ินคาไดตั้งแต 10,000 ถึง


19,999 บาท

จากตาราง จําน นพนักงานขายที่ขาย ินคาไดตั้งแต 10,000 ถึง 19,999 บาท


เทากับ 50 คน
นั่นคือ n( E1 ) = 50

จะได P ( E1 ) = 50 = 1
250 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนทีพ่ นักงานขายคน นึ่งจะขาย ินคาไดตั้งแต 10,000 ถึง
1
19,999 บาท เทากับ
5
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่พนักงานคน นึ่งจะขาย ินคาไดนอยก า 20,000 บาท
จากตาราง จําน นพนักงานขายที่ขาย ินคาไดนอยก า 20,000 บาท
เทากับ 30 + 50 = 80 คน
นั่นคือ n( E2 ) = 80

จะได P ( E2 ) = 80 = 8
250 25
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่พนักงานขายคน นึ่งจะขาย ินคาไดนอยก า 20,000 บาท
8
เทากับ
25
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่พนักงานคน นึ่งจะขาย ินคาไดต่ําก า 10,000 บาท
รืออยางนอย 40,000 บาท
จากตาราง จําน นพนักงานขายที่ขาย ินคาไดต่ําก า 10,000 บาท เทากับ 30 คน
และจําน นพนักงานที่ขาย ินคาไดอยางนอย 40,000 บาท เทากับ 20 คน
จะได า จําน นพนักงานที่ขาย ินคาไดต่ําก า 10,000 บาท รืออยางนอย
40,000 บาท เทากับ 30 + 20 = 50 คน
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 217

นั่นคือ n( E3 ) = 50

จะได P ( E3 ) = 50 = 1
250 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่พนักงานขายคน นึ่งจะขาย ินคาไดต่ําก า 10,000 บาท
1
รืออยางนอย 40,000 บาท เทากับ
5
6. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n( S ) = 10

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปน 1


จากรูปมีชองที่มีเลขโดดเปน 1 อยู 1 ชอง นั่นคือ n ( E1 ) = 1
จะได P ( E1 ) = 1
10
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปน 1 เทากับ
10
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปน 6
จากรูปมีชองที่มีเลขโดดเปน 6 อยู 2 ชอง นั่นคือ n ( E2 ) = 2
จะได P ( E2 ) = 2 = 1
10 5
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปน 6 เทากับ
5
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปนจําน นคู
จากรูปมีชองที่มีเลขโดดเปนจําน นคู คือ 2, 4 รือ 6 อยูท ั้ง มด 6 ชอง
นั่นคือ n ( E3 ) = 6
จะได P ( E3 ) = 6 = 3
10 5
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปนจําน นคู เทากับ
5

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


218 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

4) ใ  E4 แทนเ ตุการณที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปนจําน นคี่


จากรูปมีชองที่มีเลขโดดเปนจําน นคี่ คือ 1, 3, 5 รือ 7 อยูท ั้ง มด 4 ชอง
นั่นคือ n( E4 ) = 4
4 2
จะได P ( E4 ) = =
10 5
2
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปนจําน นคี่ เทากับ
5
5) ใ  E5 แทนเ ตุการณที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปนจําน นเฉพาะ
จากรูปมีชองที่มีเลขโดดเปนจําน นเฉพาะ คือ 2, 3, 5 รือ 7 อยูท ั้ง มด 5 ชอง
นั่นคือ n ( E5 ) = 5
จะได P ( E5 ) = 5 = 1
10 2
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปนจําน นเฉพาะ เทากับ
2
6) ใ  E6 แทนเ ตุการณที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปนจําน นที่นอยก า 8
จากรูปมีชองที่มีเลขโดดเปนจําน นที่นอยก า 8 คือ 1, 2, 3, 4, 5, 6 รือ 7
อยูทั้ง มด 10 ชอง
นั่นคือ n ( E6 ) = 10
จะได P ( E6 ) = 10 = 1
10
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ลูก รจะชี้ที่ชองที่มีเลขโดดเปนจําน นที่นอยก า 8 เทากับ 1
7. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลองนี้
เนื่องจากใน 1 ป มี 365 ัน
ดังนั้น ันเกิดที่เปนไปไดของคน นึ่งคนมีได 365 ิธี
จะได า ันเกิดที่เปนไปไดของคน 2 คน มีได 365 × 365 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 219

นั่นคือ n( S ) = 365 × 365

ใ  E แทนเ ตุการณที่คน 2 คน เกิดใน ันที่และเดือนเดีย กัน


ขั้นที่ 1 ันเกิดของคนที่ 1 มีได 365 ิธี
ขั้นที่ 2 เนื่องจากทั้ง องคนเกิดใน ันที่และเดือนเดีย กัน
นั่นคือ ันเกิดของคนที่ 2 มีได 1 ิธี
โดย ลักการคูณ เ ตุการณที่คน 2 คน จะเกิดใน ันและเดือนเดีย กัน มีได 365 × 1 = 365 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 365
365 1
จะได P(E) = =
365 × 365 365
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่คน 2 คน จะเกิดใน ันที่และเดือนเดีย กัน เทากับ
365
8. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
E แทนเ ตุการณที่เ รียญขึ้น ั ในการโยนเ รียญครั้งแรก
นั่นคือ n ( S ) = 25 = 32
เนื่องจากจําน น ิธีที่เ รียญขึ้น ั ในการโยนเ รียญครั้งแรก ในการโยนเ รียญ นึ่งเ รียญ
าครั้งมี 1 × 2 × 2 × 2 × 2 = 16 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 16
16 1
จะได P(E) = =
32 2
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่เ รียญแรกขึ้น ั ในการโยนเ รียญครั้งแรก เทากับ
2
9. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากบุตรแตละคนเปนเพ ชาย รือเพ ญิง
จะได n ( S ) = 2 × 2 × 2 = 8

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


220 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่บุตรทั้ง ามเปนผู ญิง


ขั้นที่ 1 เ ตุการณที่บุตรคนที่ 1 เปนผู ญิง มีได 1 ิธี
ขั้นที่ 2 เ ตุการณที่บุตรคนที่ 2 เปนผู ญิง มีได 1 ิธี
ขั้นที่ 3 เ ตุการณที่บุตรคนที่ 3 เปนผู ญิง มีได 1 ิธี
โดย ลักการคูณ เ ตุการณที่บุตรทั้ง ามเปนผู ญิง มีได 1× 1× 1 = 1 ธิ ี
นั่นคือ n ( E1 ) = 1
1
จะได P ( E1 ) =
8
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่บุตรทั้ง ามเปนผู ญิง เทากับ
8
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่มีบุตรชายอยางนอย 3 คน
เนื่องจากครอบครั นี้มีบุตร 3 คน
ดังนั้น เ ตุการณที่มีบุตรชายอยางนอย 3 คน คือเ ตุการณที่บุตรทั้ง ามคนเปนผูชาย
ขั้นที่ 1 เ ตุการณที่บุตรคนที่ 1 เปนผูชาย มีได 1 ิธี
ขั้นที่ 2 เ ตุการณที่บุตรคนที่ 2 เปนผูชาย มีได 1 ิธี
ขั้นที่ 3 เ ตุการณที่บุตรคนที่ 3 เปนผูชาย มีได 1 ิธี
โดย ลักการคูณ เ ตุการณที่มีบุตรชายอยางนอย 3 คน มีได 1× 1× 1 = 1 ิธี
นั่นคือ n ( E2 ) = 1
1
จะได P ( E2 ) =
8
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่มีบุตรชายอยางนอย 3 คน เทากับ
8
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่บุตรคนแรกและคน ุดทายเปนผูชาย
ขั้นที่ 1 เ ตุการณที่บุตรคนแรกเปนผูชาย มีได 1 ิธี
ขั้นที่ 2 เ ตุการณที่บุตรคน ุดทายเปนผูชาย มีได 1 ิธี
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 221

ขั้นที่ 3 เ ตุการณที่บุตรคนที่ 2 เปนผูชาย รือผู ญิง มีได 2 ิธี


โดย ลักการคูณ เ ตุการณที่มีบุตรคนแรกและคน ุดทายเปนผูชาย มีได 1× 1× 2 = 2 ิธี
นั่นคือ n ( E3 ) = 2
2 1
จะได P ( E3 ) = =
8 4
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่มีบุตรคนแรกและคน ุดทายเปนผูชาย เทากับ
4
10. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n( S ) = 6 × 6 = 36

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่ผลบ กของแตมบน นาลูกเตาทั้ง องมากก า 3


เนื่องจากเ ตุการณที่ผลบ กของแตมบน นาลูกเตาทั้ง องไมมากก า 3 ไดแก
(1, 1) , (1, 2 ) และ ( 2, 1)
นั่นคือ จําน น ิธีที่ผลบ กของแตมบน นาลูกเตาทั้ง องไมมากก า 3 มี 3 ิธี
จะได จําน น ิธีที่ผลบ กของแตมบน นาลูกเตามากก า 3 มี 36 – 3 = 33 ิธี
นั่นคือ n ( E1 ) = 33
33 11
จะได P ( E1 ) = =
36 12
11
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ผลบ กของแตมบน นาลูกเตามากก า 3 เทากับ
12
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่แตมบน นาลูกเตาทั้ง องไมซ้ํากัน
เนื่องจากเ ตุการณที่แตมบน นาลูกเตาทั้ง องซ้ํากัน มี 6 ิธี ไดแก (1, 1) , ( 2, 2 ) ,
( 3,3) , ( 4, 4 ) , ( 5,5) และ ( 6,6 )
จะได เ ตุการณที่แตมบน นาลูกเตาทั้ง องไมซ้ํากัน มี 36 – 6 = 30 ิธี
นั่นคือ n ( E2 ) = 30

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


222 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

30 5
จะได P ( E2 ) = =
36 6
5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่แตมบน นาลูกเตาทั้ง องไมซ้ํากัน เทากับ
6
11. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n( S ) = 6 × 6 = 36

ใ  E แทนเ ตุการณที่ผูประชุมเขาและออกประตูที่ตางกัน
ขั้นที่ 1 เลือกประตูเขา ได 6 ิธี
ขั้นที่ 2 เลือกประตูออกที่ไมซ้ํากับประตูเขา ได 5 ิธี
โดย ลักการคูณ จําน น ิธีที่ผูประชุมเขาและออกประตูที่ตางกัน ได 6 × 5 = 30 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 30
30 5
จะได P(E) = =
36 6
5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ผูเขาประชุมคน นึ่งจะเขาและออกประตูที่ตางกัน เทากับ
6
12. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n( S ) = 5

ใ  E แทนเ ตุการณที่นักเรียนคนนี้จะตอบผิด
เนื่องจากจําน น ิธีที่นักเรียนคนนี้จะตอบถูก มีได 1 ิธี
ดังนั้น จําน น ิธที ี่นักเรียนคนนี้จะตอบผิด มีได 5 – 1 = 4 ธิ ี นั่นคือ n ( E ) = 4
4
จะได P(E) =
5
4
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคนนี้จะตอบผิด เทากับ
5

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 223

13. ใ  E1 เปนเ ตุการณที่นักเรียนจะดื่มน้ํา ม ซึ่ง P ( E1 ) = 1 0.17


6

E2 เปนเ ตุการณที่นักเรียนจะดื่มน้ําเกก ย ซึ่ง P ( E2 ) = 3 = 0.30


10

E3 เปนเ ตุการณที่นักเรียนจะดื่มนม ซึ่ง P ( E3 ) = 2 = 0.40


5

E4 เปนเ ตุการณที่นักเรียนจะดื่มน้ําอัดลม ซึ่ง P ( E4 ) = 2 0.13


15
นั่นคือ P ( E3 ) P ( E2 ) P ( E1 ) P ( E4 )
ดังนั้น ถารานคาตองการนําเครื่องดื่มมาขายเพียง 3 ชนิด รานคาค รนํานม น้ําเกก ย
และน้ํา มมาขาย
14. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C × C = 90
10, 1 9, 1

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่จะไดลูกบอล ีแดงทั้ง องลูก

ขั้นที่ 1 มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกแรกไดลูกบอล ีแดง C3, 1 = 3 ิธี


ขั้นที่ 2 มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกที่ องไดลูกบอล ีแดง C2, 1 = 2 ิธี
โดย ลักการคูณ มี ิธีที่จะ ยิบไดลูกบอล ีแดงทั้ง องลูก 3× 2 = 6 ิธี
นั่นคือ n ( E1 ) = 6
6 1
จะได P ( E1 ) = =
90 15
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดลูกบอล ีแดงทั้ง องลูก เทากับ
15
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่จะ ยิบไดลูกบอล ีขา และ ีดํา
กรณีที่ 1 มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกแรกไดเปน ีขา C2, 1 = 2 ิธี
มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกที่ องไดเปน ีดํา C5, 1 = 5 ิธี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


224 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

โดย ลักการคูณ มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกแรกไดเปน ีขา และ ยิบลูกบอล


ลูกที่ องไดเปน ีดํา 2 × 5 = 10 ิธี
กรณีที่ 2 มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกแรกไดเปน ีดํา C5, 1 = 5 ิธี
มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกที่ องไดเปน ีขา C2, 1 = 2 ิธี
โดย ลักการคูณ มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกแรกไดเปน ีดํา และ ยิบลูกบอล
ลูกที่ องไดเปน ีขา 5 × 2 = 10 ิธี
โดย ลักการบ ก มี ิธีที่จะ ยิบไดลูกบอล ีขา และ ีดํา 10 + 10 = 20 ิธี
นั่นคือ n ( E2 ) = 20
20 2
จะได P ( E2 ) = =
90 9
2
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดลูกบอล ีขา และ ีดํา เทากับ
9
15. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C × C × C = 336
8, 1 7, 1 6, 1

ใ  E แทนเ ตุการณที่จะ ยิบลูกบอลครั้งที่ 1 ไดลูกบอล ีแดง และครั้งที่ 2 และ 3 ได


ลูกบอล ีเ ลือง
ขั้นที่ 1 มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกแรกไดเปน ีแดง C2, 1 = 2 ิธี
ขั้นที่ 2 มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกที่ องไดเปน ีเ ลือง C3, 1 = 3 ิธี
ขั้นที่ 3 มี ิธีที่จะ ยิบลูกบอลลูกที่ ามไดเปน ีเ ลือง C2, 1 = 2 ิธี
โดย ลักการคูณ มี ิธีที่จะ ยิบไดลูกบอล ีแดง 1 ลูก และ ีเ ลือง 2 ลูก ตามลําดับ
2 × 3 × 2 = 12 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 12
12 1
จะได P(E) = =
336 28

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 225

ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะ ยิบลูกบอลครั้งที่ 1 ไดลูกบอล ีแดง และครั้งที่ 2 และ 3 ได


1
ลูกบอล ีเ ลือง เทากับ
28
16. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C12, 3 = 12 × 11× 10
3× 2
ใ  E แทนเ ตุการณที่จะไดลูกแก ีตางกันทั้ง ามลูก
นั่นคือไดลูกแก ีเขีย 1 ลูก ีชมพู 1 ลูก และ ี า 1 ลูก
ขั้นที่ 1 มี ิธีที่จะ ยิบลูกแก ไดเปน ีเขีย C4, 1 = 4 ิธี
ขั้นที่ 2 มี ิธีที่จะ ยิบลูกแก ไดเปน ีชมพู C3, 1 = 3 ิธี
ขั้นที่ 3 มี ิธีที่จะ ยิบลูกแก ไดเปน ี า C5, 1 = 5 ิธี
โดย ลักการคูณ มี ิธีที่จะ ยิบลูกแก 3 ลูก พรอมกัน ไดลูกแก ีตางกันทั้ง ามลูก
4 × 3× 5 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 4 × 3 × 5
จะได P ( E ) = 4 × 3 × 5 × 3 × 2 = 3
12 × 11 × 10 11
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ไดลูกแก ีตางกันทั้ง ามลูก เทากับ
11
17. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C = 435
30, 2

ใ  E แทนเ ตุการณที่เลือกนักเรียนทั้ง องคนไดเปนเพ เดีย กัน


กรณีที่ 1 มี ิธีที่จะเลือกไดนักเรียนทั้ง องคนเปนนักเรียน ญิง C18, 2 = 153 ิธี
กรณีที่ 2 มี ิธีที่จะเลือกไดนักเรียนทั้ง องคนเปนนักเรียนชาย C12, 2 = 66 ิธี
โดย ลักการบ ก มี ิธีที่จะเลือกไดนักเรียนทั้ง องคนไดเปนเพ เดีย กัน 153 + 66 = 219 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 219
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
226 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

219 73
จะได P(E) = =
435 145
73
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะเลือกไดนักเรียนทั้ง องคนเปนเพ เดีย กัน เทากับ
145
18. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C = 45 10, 2

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณทพ
ี่ นักงานที่ถูกเลือกเปนกรรมการเปนชาย นึ่งคนและ ญิง นึ่งคน
ขั้นที่ 1 มี ิธีที่จะเลือกพนักงานชายเปนกรรมการ 1 คน ได C7, 1 = 7 ิธี
ขั้นที่ 2 มี ิธีที่จะเลือกพนักงาน ญิงเปนกรรมการ 1 คน ได C3, 1 = 3 ิธี
โดย ลักการคูณ มี ิธีที่จะเลือกกรรมการเปนชาย นึ่งคนและ ญิง นึ่งคนได
7 × 3 = 21 ิธี
นั่นคือ n ( E1 ) = 21
21 7
จะได P ( E1 ) = =
45 15
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่พนักงานที่ถูกเลือกเปนกรรมการเปนชาย นึ่งคนและ ญิง นึ่งคน
7
เทากับ
15
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณทพี่ นักงานที่ถูกเลือกเปนกรรมการเปน ญิงอยางนอย นึ่งคน
กรณีที่ 1 กรรมการเปนผู ญิง นึ่งคน มี ิธีเลือกได C3, 1 × C7, 1 = 3 × 7 = 21 ิธี
กรณีที่ 2 กรรมการเปนผู ญิงทั้ง องคน มี ิธีเลือกได C3, 2 = 3 ิธี
โดย ลักการบ ก มี ิธีที่จะเลือกกรรมการเปน ญิงอยางนอย นึ่งคนได
21 + 3 = 24 ิธี
นั่นคือ n ( E2 ) = 24
24 8
จะได P ( E2 ) = =
45 15

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 227

ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่พนักงานที่ถูกเลือกเปนกรรมการเปน ญิงอยางนอย นึ่งคน


8
เทากับ
15
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่พนักงานที่ถูกเลือกเปนกรรมการเปนชายอยางนอย นึ่งคน
กรณีที่ 1 มี ิธีที่จะเลือกพนักงานชาย 1 คน เปนกรรมการได
C7, 1 × C3, 1 = 7 × 3 = 21 ิธี
กรณีที่ 2 มี ิธีที่จะเลือกพนักงานชาย 2 คน เปนกรรมการได C7, 2 = 21 ิธี
โดย ลักการบ ก มี ิธีที่จะเลือกกรรมการเปนชายอยางนอย นึ่งคนได
21 + 21 = 42 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 423

42 14
จะได P ( E3 ) = =
45 15
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่พนักงานที่ถูกเลือกเปนกรรมการเปนชายอยางนอย นึ่งคน
14
เทากับ
15
19. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C = 10 5, 3

ใ  E แทนเ ตุการณที่ไดผลร มของ มายเลขบนบัตรมากก า 10


เนื่องจากเ ตุการณที่ผลร มของ มายเลขบนบัตรเปน 11 มี 1 ิธี คือ ยิบไดบัตรซึ่งมี
มายเลข 2, 4 และ 5
และเ ตุการณที่ผลร มของ มายเลขบนบัตรเปน 12 มี 1 ิธี คือ ยิบไดบัตรซึ่งมี
มายเลข 3, 4 และ 5
ดังนั้น มี ิธีที่จะ ยิบไดบัตรไดผลร มของ มายเลขบนบัตรมากก า 10 อยู 1 + 1 = 2 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 2
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
228 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

2 1
จะได P(E) = =
10 5
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะ ยิบบัตรไดผลร มของแตมบนบัตรมากก า 10 เทากับ
5
20. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 40
ใ  E แทนเ ตุการณที่ไดนักกี าที่มีฝาแฝด
เนื่องจากมีนักกี าที่มีฝาแฝด 3 คู ซึ่ง มายถึงมีนักกี า 6 คนที่มีฝาแฝด
นั่นคือ n ( E ) = 6
6 3
จะได P(E) = =
40 20
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะ ุมไดนักกี าที่มีฝาแฝด เทากับ
20
21. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C12, 4 = 12 × 11× 10 × 9
4 × 3× 2
ใ  E แทนเ ตุการณที่ไดเงาะ 2 ผล และ มกับชมพูอยางละ 1 ผล
4×3
ขั้นที่ 1 มี ิธีที่จะ ยิบไดเงาะ 2 ผล จะได C4, 2 = ิธี
2
ขั้นที่ 2 มี ิธีที่จะ ยิบได ม 1 ผล จะได C3, 1 = 3 ิธี
ขั้นที่ 3 มี ิธีที่จะ ยิบไดชมพู 1 ผล จะได C5, 1 = 5 ิธี
โดย ลักการคูณ มี ิธีที่จะ ยิบผลไมจากตะกรา 4 ผล พรอมกัน โดยไดเงาะ 2 ผล
4×3
และ มกับชมพูอยางละ 1 ผล × 3× 5 ิธี
2

นั่นคือ n ( E ) = 4 × 3 × 3 × 5
2
4×3 4 × 3× 2
จะได P(E) = × 3× 5×
2 12 × 11 × 10 × 9

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 229

ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะ ยิบผลไมจากตะกรา 4 ผล พรอมกัน โดยไดเงาะ 2 ผล


2
และ มกับชมพูอยางละ 1 ผล เทากับ
11
22. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 5 × 5 × 5
ใ  E แทนเ ตุการณทชี่ ายคนนี้ใ จด มายในตูไมซ้ํากันเลย
นั่นคือ n ( E ) = 5 × 4 × 3
5 × 4 × 3 12
จะได P(E) = =
5 × 5 × 5 25
12
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ชายคนนี้จะใ จด มายในตูที่ไมซ้ํากันเลย เทากับ
25
23. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C × C = 25
5, 1 5, 1

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขเดีย กัน

มี ิธีไดบัตร องใบที่มี มายเลขเดีย กัน 5 ิธี คือ (2, 2), (5, 5), (6, 6), (7, 7)
และ (8, 8)
นั่นคือ n ( E1 ) = 5
5 1
จะได P ( E1 ) = =
25 5
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขเดีย กัน เทากับ
5
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขไมซ้ํากัน
เนื่องจาก มี ิธี ยิบไดบัตร องใบที่มี มายเลขซ้ํากัน 5 ิธี
ดังนั้น มี ิธี ยิบบัตรไดบัตร องใบที่มี มายเลขไมซ้ํากัน 25 − 5 = 20 ธิ ี
นั่นคือ n ( E2 ) = 20

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


230 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

20 4
จะได P ( E2 ) = =
25 5
4
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขไมซ้ํากัน เทากับ
5
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขเปนจําน นคู
เนื่องจาก บัตรที่มี มายเลขเปนจําน นคูมี 3 ใบ คือ 2, 6 และ 8
นั่นคือ n ( E ) = C3 3, 1 × C3, 1 = 9
9
จะได P ( E3 ) =
25
9
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขเปนจําน นคู เทากับ
25
4) ใ  E4 แทนเ ตุการณที่ไดบัตรที่มีผลบ กของ มายเลขบน นาบัตรทั้ง องเปนจําน นคู
ในการ ยิบใ ไดบัตรที่มีผลบ กของ มายเลขบน นาบัตรทั้ง องเปนจําน นคู
เปนได 2 กรณี
กรณีที่ 1 มายเลขบน นาบัตรทั้ง องเปนจําน นคู
จําน นคู จําน นคู
ใบที่ 1 ใบที่ 2
มี ิธี ยิบไดบัตร องใบมี มายเลขเปนจําน นคู C3, 1 × C3, 1 = 9 ิธี
กรณีที่ 2 มายเลขบน นาบัตรทั้ง องเปนจําน นคี่
จําน นคี่ จําน นคี่
ใบที่ 1 ใบที่ 2
มี ิธี ยิบไดบัตร องใบมี มายเลขเปนจําน นคี่ C2, 1 × C2, 1 = 4 ิธี
โดย ลักการบ ก จะมี ิธี ยิบไดบัตรที่มีผลบ กของ มายเลขบนบัตรทั้ง องเปน
จําน นคู 9 + 4 = 13 ิธี
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 231

นั่นคือ n ( E4 ) = 13
13
จะได P ( E4 ) =
25
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ ยิบไดบัตรที่มีผลบ กของ มายเลขบน นาบัตรทั้ง อง
13
เปนจําน นคู เทากับ
25
24. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = P = 20 × 19 × 18 × 17
20, 4

ใ  E แทนเ ตุการณที่ ม รีไดเปนนายกชมรมและ มปองไดเปนอุปนายกชมรม


ขั้นที่ 1 มี ิธีที่ ม รีไดเปนนายกชมรม 1 ิธี
ขั้นที่ 2 มี ิธีที่ มปองไดเปนอุปนายกชมรม 1 ิธี
ขั้นที่ 3 มี ิธีเลือกเลขานุการจาก มาชิก 18 คนที่เ ลือ 18 ิธี
ขั้นที่ 4 มี ิธีเลือกเ รัญญิกจาก มาชิก 17 คนที่เ ลือ 17 ิธี
โดย ลักการคูณ มี ิธีเลือกคณะกรรมการที่ ม รีไดเปนนายกชมรมและ มปองไดเปน
อุปนายกชมรม 1× 1× 18 × 17 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 18 × 17
18 × 17 1
จะได P(E) = =
20 × 19 × 18 × 17 380
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ ม รีไดเปนนายกชมรมและ มปองไดเปนอุปนายกชมรม
1
เทากับ
380
25. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C = 26 × 51
52, 2

1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่ไดไพ ีแดงทั้ง องใบ

นั่นคือ n ( E ) = C
1 26, 2 = 13 × 25
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
232 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

13 × 25 25
จะได P ( E1 ) = =
26 × 51 102
25
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดไพ ีแดงทั้ง องใบ เทากับ
102
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่ไดไพโพดําและโพแดง
นั่นคือ n ( E ) = C 2 13, 1 × C13, 1 = 13 × 13
13 × 13 13
จะได P ( E2 ) = =
26 × 51 102
13
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดไพโพดําและโพแดง เทากับ
102
3) ใ  E3 แทนเ ตุการณที่ไดไพ J ทั้ง องใบ
นั่นคือ n ( E ) = C 3 4, 2 =6
6 1
จะได P ( E3 ) = =
26 × 51 221
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดไพ J ทั้ง องใบ เทากับ
221
26. ใ  S1 แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุม ยิบ ลาก 2 ใบ โดยใ  ลากคืนกอนจะ
ยิบ ลากใบที่ อง
จะได n ( S ) = C × C = 100
1 10, 1 10, 1

ใ  E1 แทนเ ตุการณที่ผลบ กของ มายเลขบน ลากทั้ง องเทากับ 10 เมื่อ


ใ  ลากคืนกอน ยิบ ลากใบที่ อง
จะได E1 = {(1, 9 ) , ( 2, 8 ) , ( 3, 7 ) , ( 4, 6 ) , ( 5, 5 ) , ( 6, 4 ) , ( 7, 3) , ( 8, 2 ) , ( 9, 1)}

นั่นคือ n ( E1 ) = 9
9
จะได P ( E1 ) = = 0.09
100
ใ  S2 แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุม ยิบ ลาก 2 ใบ โดยไมใ  ลากคืนกอนจะ
ยิบ ลากใบที่ อง
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 233

จะได n ( S ) = C × C = 90
2 10, 1 9, 1

ใ  E2 แทนเ ตุการณที่ผลบ กของ มายเลขบน ลากทั้ง องเทากับ 10 เมื่อไมใ  ลากคืน


กอน ยิบ ลากใบที่ อง
จะได E2 = {(1, 9 ) , ( 2, 8 ) , ( 3, 7 ) , ( 4, 6 ) , ( 6, 4 ) , ( 7, 3) , ( 8, 2 ) , ( 9, 1)}

นั่นคือ n ( E2 ) = 8
8
จะได P ( E2 ) = 0.089
90
เนื่องจาก P ( E1 ) P ( E2 )

นั่นคือ ค ามนาจะเปนที่ผลบ กของ มายเลขบน ลากทั้ง องเทากับ 10 เมื่อ ยิบ ลาก


แบบใ คืนมากก าค ามนาจะเปนที่ผลบ กของ มายเลขบน ลากทั้ง องเทากับ 10
เมื่อ ยิบ ลากแบบไมใ คืน
ดังนั้น แ นค รจะใ  ลากคืนกอนจะ ยิบ ลากใบที่ อง
27. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C × C = 20
5, 1 4, 1

ใ  E แทนเ ตุการณที่ชายคนนี้จะ มเ ื้อและกางเกง ีตางกัน


เนื่องจาก มี ิธีแตงตั โดย มเ ื้อและกางเกง ีเดีย กัน (เ ื้อ ีดําและกางเกง ีดํา)
C1, 1 × C2, 1 = 2

ดังนั้น เ ตุการณที่ชายคนนี้จะ มเ ื้อและกางเกง ีตางกัน มีได 20 – 2 = 18 ิธี


นั่นคือ n ( E ) = 18
18 9
จะได P(E) = =
20 10
9
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ชายคนนี้จะ มเ ื้อและกางเกง ีตางกัน เทากับ
10

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


234 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

28. ใ  S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้


20 × 19 × 18
จะได n ( S ) = C 20,3 =
3× 2
1) ใ  E1 แทนเ ตุการณที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพดีมากทั้ง ามเครื่อง
8× 7 × 6
นั่นคือ n ( E1 ) = C8,3 =
3× 2
8× 7 × 6 3× 2 14
จะได P ( E1 ) = × =
3× 2 20 × 19 × 18 285
14
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพดีมากทั้ง ามเครื่อง เทากับ
285
2) ใ  E2 แทนเ ตุการณที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพปานกลางทั้ง ามเครื่อง
นั่นคือ n ( E2 ) = C3,3 = 1
3× 2 1
จะได P ( E2 ) = 1 × =
20 × 19 × 18 1140
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพปานกลางทั้ง ามเครื่อง เทากับ
1140
3) ิธีที่ 1 ใ  E3 แทนเ ตุการณที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพปานกลางอยางนอย นึ่งเครื่อง
ซึ่งแบงเปน 3 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 มี ิธีที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพปานกลางเพียงเครื่องเดีย
C3,1 × C17, 2 = 408 ิธี
กรณีที่ 2 มี ิธีที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพปานกลาง องเครื่อง C3, 2 × C17,1 = 51 ิธี
กรณีที่ 3 มี ิธีที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพปานกลางทั้ง ามเครื่อง C3,3 = 1 ิธี
โดย ลักการบ ก จะมี ิธีที่จะไดพัดลมคุณภาพปานกลางอยางนอย นึ่งเครื่อง
เทากับ 408 + 51 + 1 = 460 ิธี
นั่นคือ n ( E3 ) = 460
3× 2 23
จะได P ( E3 ) = 460 × =
20 × 19 × 18 57
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 235

ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพปานกลางอยางนอย นึ่งเครื่อง


23
เทากับ
57
ิธีที่ 2 ใ  E3 แทนเ ตุการณที่ไมไดพัดลมที่มีคุณภาพปานกลางเลย
17! 17 × 16 × 15
นั่นคือ n ( E ) = C 3 17, 3 = = = 17 × 8 × 5 ิธี
14!3! 3× 2
3× 2 34
จะได P ( E3 ) = 17 × 8 × 5 × =
20 × 19 × 18 57
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพปานกลางอยางนอย นึ่งเครื่อง
เทากับ 1 − P ( E ) = 1 − 34 = 23
3
57 57
4) ใ  E4 แทนเ ตุการณที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพดีมาก องเครื่องและปานกลาง
นึ่งเครื่อง
8× 7 ×3
นั่นคือ n ( E4 ) = C8, 2 × C3,1 =
2
8× 7 ×3 3× 2 7
จะได P ( E4 ) = × =
2 20 × 19 × 18 95
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพดีมาก องเครื่องและปานกลาง
7
นึ่งเครื่อง เทากับ
95
5) ใ  E5 แทนเ ตุการณที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพดีมาก ดี และปานกลางอยางละเครื่อง
นั่นคือ n ( E5 ) = C8,1 × C9,1 × C3,1 = 8 × 9 × 3
3× 2 18
จะได P ( E5 ) = 8 × 9 × 3 × =
20 × 19 × 18 95
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดพัดลมที่มีคุณภาพดีมาก ดี และปานกลางอยางละเครื่อง
18
เทากับ
95

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


236 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

แ ลงเรียนรูเพิ่มเติม
forvo.com เปนเ ็บไซตที่ร บร มการออกเ ียงคําในภา าตาง ๆ กอตั้งขึ้นเมื่อ ค. . 2008
โดยมีจุดมุง มายเพื่อพัฒนาการ ื่อ ารทางการพูด ผานการแลกเปลี่ยนการออกเ ียงคําในภา า
ตาง ๆ ทั้งจากบุคคลที่เปนเจาของภา าและบุคคลที่ไมใชเจาของภา า forvo.com ไดรับคัดเลือก
จากนิตย าร Times ใ เปน 50 เ ็บไซตที่ดีที่ ุดใน ค. . 2013 (50 best websites of 2013) ปจจุบัน
เ ็บไซตนี้เ ปนฐานขอมูลที่ร บร มการออกเ ียงที่ใ ญที่ ุด มีคลิปเ ียงที่แ ดงการออกเ ีย ง
คํา ัพทประมาณ ี่ลานคําในภา าตาง ๆ มากก า 330 ภา า

ครูอาจใชเ ็บไซต forvo.com เพื่อ ึก าเพิ่มเติมเกี่ย กับการออกเ ียงคํา ัพทคณิต า ตร


รือชื่อนักคณิต า ตรในภา าอังก รือภา าอื่น ๆ ที่ปรากฏใน นัง ือเรียนราย ิชาเพิ่มเติม
คณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 เลม 1 ได เชน finite set และ infinite set ซึ่งเปนคํา ัพท
คณิต า ตรในภา าอังก รือ Georg Cantor ซึ่งเปนชื่อนักคณิต า ตรชา เยอรมัน
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 237

บรรณานุกรม
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2524). คูมือครู ิชาคณิต า ตร ค 012 ตาม
ลัก ูตรมัธยม ึก าตอนปลาย พุทธ ักราช 2524 ของกระทร ง ึก าธิการ. กรุงเทพ :

โรงพิมพคุรุ ภาลาดพรา .
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2558). คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร
เลม 1 ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 – 6 กลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร ตาม ลัก ูตรแกนกลาง
การ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ ก ค. ลาดพรา .
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2556). คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร
เลม 2 ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 – 6 กลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร ตาม ลัก ูตรแกนกลาง
การ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ ก ค. ลาดพรา .
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2554). คูมือครูราย ิชาเพิ่มเติมคณิต า ตร
เลม 4 ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 – 6 กลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร ตาม ลัก ูตรแกนกลาง
การ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ ก ค. ลาดพรา .
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2557). คูมือครูราย ิชาเพิ่มเติมคณิต า ตร
เลม 1 ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 – 6 กลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร ตาม ลัก ูตรแกนกลาง
การ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ ก ค. ลาดพรา .
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2561). นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐาน
คณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ตามผลการเรียนรูกลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร
(ฉบับปรับปรุง พ. . 2560) ตาม ลัก ูตรแกนกลางการ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช
2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ ก ค. ลาดพรา .

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


238 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2557). นัง ือเรียนรูเพิ่มเติมเพื่อเ ริม


ักยภาพคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 – 6 ระบบจําน นจริง. กรุงเทพ : พัฒนา
คุณภาพ ิชาการ.
ํานักงานคณะกรรมการการ ึก าขั้นพื้นฐาน. (2552). ลัก ูตรแกนกลางการ ึก าขั้นพื้นฐาน
พุทธ ักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพชุมนุม กรณการเก ตรแ งประเท ไทย.

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 239

คณะผูจัดทํา
คณะที่ปรึก า
ดร.พรพรรณ ไ ทยางกูร ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ร .ดร. ัญญา มิตรเอม ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร. ุพัตรา ผาติ ิ ันติ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี

คณะผูจัดทําคูมือครู
นาง า ปฐมาภรณ อ ชัย ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า อัมริ า จันทนะ ิริ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นายท ธรรม เมขลา ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นายพัฒนชัย ร ิ รรณ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า ภิญญดา กลับแก ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร. ิ รรณ เมลืองนนท ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร. ุธาร นิลรอด ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาย มภพ รี ิทธิไพบูลย ม า ิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
นายธีร รรค ขันธ ิทย นัก ิชาการอิ ระ
นายอัฐ ิช นริ ยาพร นัก ิชาการอิ ระ

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


240 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4

คณะผูพิจารณาคูมือครู
นายประ าท อาน ง  ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ร .ดร. มพร ูตินันทโอภา ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ร .ดร. ิริพร ทิพยคง ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า จินตนา อารยะรัง ฏ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า จําเริญ เจีย าน ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาย ุเทพ กิตติพิทัก  ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร.อลงกรณ ตั้ง ง นธรรม ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า ปฐมาภรณ อ ชัย ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า อัมริ า จันทนะ ิริ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นายพัฒนชัย ร ิ รรณ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า ภิญญดา กลับแก ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร. ิ รรณ เมลืองนนท ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร. ุธาร นิลรอด ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี

คณะบรรณาธิการ
ร .ดร. ิริพร ทิพยคง ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า จินตนา อารยะรัง ฏ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า จําเริญ เจีย าน ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาย ุเทพ กิตติพิทัก  ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี


คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 241

กิตติกรรมประกา
นาง า ข ัญใจ ภา พันธุ โรงเรียนราช ินิตบางเขน กรุงเทพ
นายเชิด ักดิ ภักดี ิโรจน โรงเรียน ภ.ป.ร. ราช ิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ จ.นครปฐม
นายณรงค ทธิ ฉายา โรงเรียน าธิตแ งม า ิทยาลัยเก ตร า ตร กรุงเทพ
นายถนอมเกียรติ งาน กุล โรงเรียน ตรีภูเก็ต จ.ภูเก็ต
นาง า ปรารถนา ิริยธรรมเจริญ โรงเรียนพระปฐม ิทยาลัย จ.นครปฐม
นาย ิฑิตพงค พะ ง า โรงเรียน ภาราชินี จ.ตรัง
นาย รัณย แ งนิลา ิ ัฒน โรงเรียนจุ าภรณราช ิทยาลัย เพชรบุรี จ.เพชรบุรี
นาง า ราญลัก ณ บุตรรัตน โรงเรียนบางละมุง จ.เพชรบุรี
าที่รอยตรี ามารถ นาธรัตน โรงเรียนเฉลิมข ัญ ตรี จ.พิ ณุโลก
นาง ุธิดา นานชา โรงเรียนยานตาขา รัฐชนูปถัมภ จ.ตรัง
นาย ุรชัย บุญเรือง โรงเรียนเบ็ญจะมะม าราช จ.อุบลราชธานี
นาง รี กุล ุข าง ขาราชการบํานาญ
นาง ุภรา ท รรณกุล ขาราชการบํานาญ
นาย ุกิจ มงาม ขาราชการบํานาญ
นาง ุปราณี พ งพี ขาราชการบํานาญ

ฝาย นับ นุน ิชาการ


นายชัยรัตน ุนทรประพี นัก ิชาการอิ ระ
นาง า ปยาภรณ ทองมาก ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี

ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี

You might also like