Professional Documents
Culture Documents
คูมือครู
ราย ิชาพื้นฐาน
คณิต า ตร
ชั้น
มัธยม ึก าปที่ ๔
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตั ชี้ ัด
กลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร (ฉบับปรับปรุง พ. . ๒๕๖๐)
ตาม ลัก ูตรแกนกลางการ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช ๒๕๕๑
จัดทําโดย
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คํานํา
(นางพรพรรณไ ทยางกูร)
ผูอําน ยการ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
กระทร ง ึก าธิการ
คําชี้แจง
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี ( ท.) ไดจัดทําตั ชี้ ัดและ าระ
การเรี ย นรู แ กนกลาง กลุ ม าระการเรี ย นรู ค ณิ ต า ตร ( ฉบั บ ปรั บ ปรุ ง พ. . ๒๕๖๐ )
ตาม ลัก ูตรแกนกลางการ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเนนเพื่อตองการพัฒนา
ผูเรียนใ มีค ามรูค าม ามารถที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ไดเรียนรูคณิต า ตรที่เชื่อมโยงค ามรู
กับกระบ นการ ใชกระบ นการ ืบเ าะ าค ามรูและแกปญ าที่ ลาก ลาย มีการทํากิจกรรม
ด ยการลงมือปฏิบัติเพื่อใ ผูเรียนไดใชทัก ะและกระบ นการทางคณิต า ตรและทัก ะแ ง
ต รร ที่ ๒๑ ท. จึงไดจัดทําคูมือครูประกอบการใช นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร
ชั้นมัธยม ึก าปที่ ๔ ที่เปนไปตามมาตรฐาน ลัก ูตร เพื่อเปนแน ทางใ โรงเรียนนําไปจัดการเรียน
การ อนในชั้นเรียน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ ๔ นี้ ประกอบด ยเนื้อ า าระ
ขอเ นอแนะเกี่ ย กั บการ อน แน ทางการจัดกิจกรรมใน นัง ื อเรี ยน การ ั ดผลประเมินผล
ระ างเรี ยน การ ิ เคราะ ค าม อดคล องของแบบฝ ก ัดท ายบทกับจุ ดมุ ง มายประจํ าบท
ค ามรู เพิ่ มเติ ม ํ า รั บ ครู ซึ่ งเป น ค ามรู ที่ ค รู ค รทราบนอกเ นื อจากเนื้ อ าใน นั ง ื อเรี ย น
ตั อยางแบบทด อบประจําบทพรอมเฉลย ร มทั้งเฉลยแบบฝก ัด ซึ่งครูผู อน ามารถนําไปใช
เปนแน ทางในการ างแผนการจัดการเรียนรูใ บรรลุจุดประ งคที่ตั้งไ โดย ามารถนําไปจัด
กิจกรรมการเรียนรูไดตามค ามเ มาะ มและค ามพรอมของโรงเรียน ในการจัดทําคูมือครูเลมนี้
ไดรับค ามร มมือเปนอยางดียิ่งจากผูทรงคุณ ุฒิ คณาจารย นัก ิชาการอิ ระ ร มทั้งครูผู อน
นัก ิชาการ จาก ถาบัน และ ถาน ึก าทั้งภาครัฐและเอกชน จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
ท. ังเปนอยางยิ่ง าคูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร เลมนี้ จะเปนประโยชน
แก ผู อน และผู ที่ เ กี่ ย ข อ งทุ ก ฝ า ย ที่ จ ะช ยใ จั ด การ ึ ก าด า นคณิ ต า ตร ไ ด อ ย า งมี
ประ ิทธิภาพ ากมีขอเ นอแนะใดที่จะทําใ คูมือครูเลมนี้มีค าม มบูรณยิ่งขึ้น โปรดแจง
ท. ทราบด ย จะขอบคุณยิ่ง
ตั ชี้ ัด
จุดมุง มาย
ค ามรูกอน นา
ค ามรูที่นักเรียนจําเปนตองมีกอนที่จะเรียนบทนี้
ประเด็น ําคัญเกี่ย กับเนื้อ าและ ิ่งที่ค รตระ นักเกี่ย กับการ อน
ค ามเขาใจคลาดเคลื่อน
ประเด็นที่นักเรียนมักเขาใจผิดเกี่ย กับเนื้อ า
กิจกรรมในคูมือครู
1
1
2
46
3
บทที่ 3 ลักการนับเบื้องตน 72
บทที่ 2 ค ามนาจะเปน
4
101
แ ลงเรียนรู
236
เพิ่มเติม
บรรณานุกรม 237
คณะผูจัดทํา 239
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 1
บทที่ 1
เซต
ตั ชี้ ัด
จุดมุง มาย
ค ามรูกอ น นา
เขียนแทนด ย A≠B
เขียนแทนด ย A⊂ B
โดยที่ A ∩ B = { x x ∈A และ x ∈ B}
เขียนแทนด ย A− B
10. มบัติของการดําเนินการของเซต
ใ A, B และ C เปน ับเซตของเอกภพ ัมพัทธ U จะได
1) A∪ B = B ∪ A
A∩ B = B ∩ A
2) ( A ∪ B) ∪ C = A ∪ ( B ∪ C )
( A ∩ B) ∩ C = A ∩ ( B ∩ C )
3) A ∪ ( B ∩ C ) = ( A ∪ B) ∩ ( A ∪ C )
A ∩ ( B ∪ C ) = ( A ∩ B) ∪ ( A ∩ C )
4) ( A ∪ B )′ = A′ ∩ B′
( A ∩ B )′ = A′ ∪ B′
5) A − B = A ∩ B′
6) A′ = U − A
11. ถาเซต และ C เปนเซตจํากัดใด ๆ ที่มีจําน น มาชิกเปน n ( A) , n ( B ) และ n ( C )
A, B
ตามลําดับ แล
n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C )
+ n( A ∩ B ∩ C)
เซต
กิจกรรม : การจัดกลุม
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3 – 4 คน แบบคละค าม ามารถ จากนั้นครูเขียนคําตอไปนี้
บนกระดาน
ญิง จันทร A พุธ
อาทิตย ชาย E อังคาร
ุกร U I พ ั บดี
O เ าร
2. ครูใ น ักเรียนแตละกลุมอภิปราย าจะจัดกลุมคําที่เขียนบนกระดานอยางไร
3. ครูใ ตั แทนนั กเรี ยนแตล ะกลุมนํ าเ นอการจัดกลุมคํา แล ร มกันอภิปรายเกี่ย กับ
กลุมคําที่จัด ในประเด็นตอไปนี้
3.1 จัดกลุมคําไดกี่กลุม พรอมใ เ ตุผลประกอบ
3.2 กลุ มคํ า ที่ กลุ มของตนเองจั ด ได เ มือน รือ แตกต างจากกลุ มคําของเพื่อนกลุมอื่ น
รือไม อยางไร
มายเ ตุ
• แน คํ า ตอบ เช น จั ด เป น 3 กลุ ม ได แ ก กลุ มคํ า ที่แ ดงเพ กลุ ม คํา ที่ แ ดงชื่ อ ั น
ใน นึ่ง ัปดา และกลุมคําที่แ ดง ระในภา าอังก คําตอบของนักเรียนอาจมีได
ลาก ลาย ขึ้นกับเ ตุผลประกอบคําตอบ
• ครู อ าจเปลี่ ย นเป น คํ า อื่ น ๆ รื อ รู ป ภาพอื่ น ๆ เพื่ อ ใ นั ก เรี ย น ามารถจั ด กลุ ม
ได ลายแบบ
• ครูอาจจัดกิจกรรมนอก องเรียน เชน ใน นพ ก า ตร แล ใ นักเรียนจัดกลุมพันธุพืช
มาชิกของเซต
ตั อยางที่ 1
ใ A = {0, 1, 2} จงพิจารณา าขอค ามตอไปนี้เปนจริง รือเท็จ
1) 0 ∈ A
2) {0} ∈ A
3) {1, 2} ∉ A
ตั อย า งนี้ มีไ เ พื่ อ ร า งค ามเข า ใจเกี่ ย กั บ การเป น มาชิ กของเซต และการใช
ัญลัก ณแทนการเปน มาชิกของเซต โดยเฉพาะอยางยิ่งในขอ 1) และ 2) ครูค รใ
นักเรียนร มกันอภิปรายทีละขอเกี่ย กับการเปน มาชิก รือไมเปน มาชิกของเซต
ที่กํา นดใ และอาจใ ตั อยางเพิ่มเติมเพื่อตร จ อบค ามเขาใจของนักเรียน
การเขียนแ ดงเซต
ในการเริ่มตนยกตั อยางการเขียนแ ดงเซตแบบแจกแจง มาชิกนั้น ครูค รเริ่มตน
จากการยกตั อยางเซตที่ า มาชิกของเซตไดงาย เพื่อเปน การใ ค าม ําคัญกับ
เอก พ ัมพัทธ
ในการเขียนเซตจะตองกํา นดเซตที่บงบอกถึงขอบเขตของ ิ่งที่จะพิจารณา เรียกเซตนี้ า
เอกภพ ั ม พั ท ธ โดยมี ข อ ตกลง า เมื่ อ กล า ถึ ง มาชิ ก ของเซตใด ๆ จะไม ก ล า ถึ ง
ิ่งอื่นที่นอกเ นือจาก มาชิกในเอกภพ ัมพัทธ ดังนั้นเอกภพ ัมพัทธจึงมีค าม ําคัญ
ในการพิจารณา มาชิกของเซต โดยเซตที่มีเงื่อนไขเดีย กันแตมีเอกภพ ัมพัทธตางกัน
อาจมี มาชิกตางกัน เชน
A = { x ∈ x 2 = 4} และ B = { x ∈ x 2 = 4}
เซต าง
• เซต างเปน ับเซตของเซตใด ๆ
ับเซต
• เซต างเปน ับเซตของเซตทุกเซต
• เซตทุกเซตเปน ับเซตของตั เอง
• ไม ามารถ า ับเซตที่เปนไปไดทั้ง มดของเซตอนันต
ค ามเขาใจคลาดเคลื่อน
เซตจํากัด
• นักเรียนคิด าเซต างไมใชเซตจํากัด ซึ่งครูค รชี้ใ นักเรียนเ ็น าเซต างเปนเซต
ที่ไมมี มาชิก รือมี มาชิก 0 ตั ดังนั้น เซต างจึงเปนเซตจํากัด
• นั ก เรี ย นเข า ใจ า { x | x ∈ , 0 ≤ x ≤ 1} เป น เซตจํ า กั ด เนื่ อ งจากเข า ใจ า
มี มาชิกตั แรกคือ 0 และ มาชิกตั ุดทายคือ 1 ซึ่งครูค รใ นักเรียนพิจารณา
เอกภพ ัมพัทธของเซตนี้ ซึ่งเปนเซตของจําน นจริง จึงได าเซตนี้เปนเซตอนันต
เซต าง
นักเรียน ับ นเกี่ย กับ การใช ั ญลัก ณ แทนเซต าง เชน ใช { ∅ } แทนเซต าง
ซึ่งเปนการใช ัญลัก ณที่ไมถูกตอง ครูค รใ นักเรียนพิจารณาจําน น มาชิกของ
{ ∅ } จะได าเซตนี้มี มาชิก 1 ตั ดังนั้น เซตนี้จึงไมใชเซต าง นอกจากนี้ครูอาจ
ยกตั อยางเปรียบเทียบเซต างกับกลองเปลา โดยเซต างคือเซตที่ไมมี มาชิกและ
กล องเปล า คื อกล องที่ ไ ม มีอะไรบรรจุ อยู ภ ายในเลย แตถ านํากลองเปลาใบที่ นึ่ ง
ใ ลงไปในกลองเปลาใบที่ องแล จะพบ ากลองใบที่ องไมใชกลองเปลาอีกตอไป
เพราะมีกลองเปลาใบแรกบรรจุอยูภายใน
ับเซต
นักเรียนมีค าม ับ นเกี่ย กับค าม มายและ ัญลัก ณที่ใชแทนการเปน มาชิก
ของเซต (∈) และการเปน ับเซต ( ⊂ )
แบบฝก ัด 1.1ก
2. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก
1) {1, 3, 5, 7, 9}
2) {..., − 2, − 1, 0, 1, 2, ...}
3) {1, 4, 9, 16, 25, 36, ...}
4) {10, 20, 30, ...}
แบบฝก ัดนี้มีคําตอบได ลายแบบ เนื่องจากการเขียนแ ดงเซตแบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก
ามารถเขียนได ลายแบบ ค รใ นักเรียนมีอิ ระในการเขียนเงื่อนไขของ มาชิกของเซต ซึ่ง
เงื่อนไขของนักเรียนไมจําเปนตองตรงกับที่ครูคิดไ
การดําเนินการระ างเซต
กิจกรรม : าเพื่อน
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใ นักเรียนจับคูกัน แล ครูเขียนแผนภาพนี้ลงบนกระดาน
2. ครูใ น ักเรียนแตละคูอภิปรายในประเด็นตอไปนี้
2.1 มาชิกตั ใดบางที่เปน มาชิกของทั้งเซต A และเซต B
ลําดับการดําเนินการระ างเซต
การเขี ย น งเล็ บ มี ค าม ํ า คั ญ กั บ ลํ า ดั บ การดํ า เนิ น การระ า งเซตในกรณี ที่ มี ก าร
ดํ า เนิ น การต า งชนิ ด กั น เช น ( A ∪ B ) ∩ C มี ลํ า ดั บ การดํ า เนิ น การแตกต า งกั บ
A ∪ ( B ∩ C ) เพื่อไมใ เกิดการ ับ นเกี่ย กับลําดับในการดําเนินการ จึงจําเปนตองใ
งเล็บเพื่อบอกลําดับการดําเนินการระ างเซตเ มอ
แบบฝก ัด 1.2
3.
แบบฝ ก ั ด นี้ มีไ เ พื่ อเป น ตั อย า งของการแ ดง มบัติของการดํา เนิน การระ างเซต
จากการแรเงาแผนภาพนั ก เรี ย นจะ ั ง เกตเ ็ น า แผนภาพที่ แ รเงาได ใ นบางข อ เป น
แผนภาพเดีย กันซึ่ง อดคลองกับ มบัติของการดําเนินการระ างเซต
4.
การแกปญ าโดยใชเซต
กิจกรรม : แรเงา
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใ นักเรียนจับคูกัน แล ครูเขียนแผนภาพนี้ลงบนกระดาน
5. จากแผนภาพตอไปนี้
แบบฝก ัดทายบท
2. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก
1) {1, 4, 7, 10, 13}
2) {−20, − 19, − 18, , − 10}
3) {5, 9, 13, 17, 21, 25, }
4) {1, 8, 27, 64, 125, 216, }
แบบฝก ัดนี้มีคําตอบได ลายแบบ เนื่องจากการเขียนแ ดงเซตแบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก
ามารถเขียนได ลายแบบ ค รใ นักเรียนมีอิ ระในการเขียนเงื่อนไขของ มาชิกของเซต ซึ่ง
เงื่อนไขของนักเรียนไมจําเปนตองตรงกับที่ครูคิดไ
เนื้อ า แบบฝก ัด
จุดมุง มาย
ขอ ใชแผน าพ
ขอ าผลการ ใชค ามรู
ยอย ใช ัญลัก ณ เ นนแ ดง
ดําเนินการ เกี่ย กับเซต
เกี่ย กับเซต ค าม ัมพันธ
ของเซต ในการแกปญ า
ระ างเซต
1. 1)
2)
3)
4)
5)
2. 1)
2)
3)
4)
3. 1)
2)
3)
4)
5)
4. 1)
2)
จุดมุง มาย
ขอ ใชแผน าพ
ขอ าผลการ ใชค ามรู
ยอย ใช ัญลัก ณ เ นนแ ดง
ดําเนินการ เกี่ย กับเซต
เกี่ย กับเซต ค าม ัมพันธ
ของเซต ในการแกปญ า
ระ างเซต
3)
4)
5)
6)
5. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
6. 1)
2)
3)
7. 1)
2)
3)
จุดมุง มาย
ขอ ใชแผน าพ
ขอ าผลการ ใชค ามรู
ยอย ใช ัญลัก ณ เ นนแ ดง
ดําเนินการ เกี่ย กับเซต
เกี่ย กับเซต ค าม ัมพันธ
ของเซต ในการแกปญ า
ระ างเซต
8. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
9. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
จุดมุง มาย
ขอ ใชแผน าพ
ขอ าผลการ ใชค ามรู
ยอย ใช ัญลัก ณ เ นนแ ดง
ดําเนินการ เกี่ย กับเซต
เกี่ย กับเซต ค าม ัมพันธ
ของเซต ในการแกปญ า
ระ างเซต
10. 1)
2)
3)
11. 1)
2)
3)
4)
5)
12.
13.
14.
15.
16.
17.
18. 1)
2)
จุดมุง มาย
ขอ ใชแผน าพ
ขอ าผลการ ใชค ามรู
ยอย ใช ัญลัก ณ เ นนแ ดง
ดําเนินการ เกี่ย กับเซต
เกี่ย กับเซต ค าม ัมพันธ
ของเซต ในการแกปญ า
ระ างเซต
3)
19.
A∩ B = B ∩ A
2) มบัติการเปลี่ยน มู
( A ∪ B) ∪ C = A ∪ ( B ∪ C )
( A ∩ B) ∩ C = A ∩ ( B ∩ C )
3) มบัติการแจกแจง
A ∪ ( B ∩ C ) = ( A ∪ B) ∩ ( A ∪ C )
A ∩ ( B ∪ C ) = ( A ∩ B) ∪ ( A ∩ C )
ตั อยางแบบทด อบประจําบท
1. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบแจกแจง มาชิก
1) เซตของจําน นเฉพาะที่อยูระ าง 0 และ 20
2) {x ∈ }
2 x2 − x − 3 = 0
2. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบบอกเงื่อนไขของ มาชิก
1) 1 1 1
, , , 1, 2, 4
8 4 2
2) { 0.1, 0.2, 0.3, 0.4, }
3. ใ A = { a , b, c , { d } } จงพิจารณา าขอค ามตอไปนี้เปนจริง รือเท็จ
1) a∈ A 2) {d } ∉ A
3) { {d } } ⊂ A 4) { a, b } ∈ A
4. จง าจําน น มาชิกของเซตตอไปนี้
1) {{1, 2, 3, …}}
2) {x ∈ x 2 < 150 }
5. กํา นดใ A, B เปนเซตอนันต และ A≠B จงพิจารณา าขอค ามตอไปนี้เปนจริง
รือเท็จ ถาเปนเท็จจงยกตั อยางคาน
1) A∩ B เปนเซตอนันต
2) A∩ B เปนเซตจํากัด
3) A− B เปนเซตอนันต
4) A− B เปนเซตจํากัด
6. กํา นดใ A = {a, b, c, d , e}
10. กํา นดใ U = {1, 2, , 100} จง าจําน น มาชิกของ U ที่เปนจําน นคูแต ารด ย 3
ไมลงตั
11. กํา นดใ U = {1, 2, , 60} จง าจําน น มาชิกของ U ที่ ารด ย 3 ลงตั รือ าร
ด ย 4 ลงตั รือ ารด ย 5 ลงตั
12. ใน องเรียน นึ่งมีนักเรียนที่เลี้ยง ุนัข 32 คน มีนักเรียนที่เลี้ยงแม 25 คน และมีนักเรียนที่
เลี้ยง ุนัข รือแม เพียงชนิดเดีย 47 คน จง าจําน นของนักเรียนที่เลี้ยงทั้ง ุนัขและแม
13. ในการ ําร จงานอดิเรกของคน 140 คน พบ า
72 คน ชอบดูภาพยนตร
65 คน ชอบออกกําลังกาย
58 คน ชอบอาน นัง ือ
23 คน ชอบดูภาพยนตรและออกกําลังกาย
18 คน ชอบดูภาพยนตรและอาน นัง ือ
40 คน ชอบออกกําลังกายและอาน นัง ือ
10 คน ไม นใจงานอดิเรกขางตน
จง าจําน นคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอาน นัง ือ
14. ในงานเลี้ยงแ ง นึ่งมีผูเขาร มงาน 200 คน โดยที่ทุกคนชอบรับประทานกุง ปลา รือปู
จากการ ําร จปรากฏ ามีคนที่ชอบรับประทานกุง ปลา และปู 63% , 42% และ 55%
ตามลําดับ มีคนที่ชอบรับประทานกุงและปลา 24% ชอบรับประทานปลาและปู 17%
( 2 x − 3)( x + 1) = 0
3
นั่นคือ x= รือ x = −1
2
3
เนื่องจาก ไมเปนจําน นเต็ม จึงได −1 เปนคําตอบของ มการ
2
ดังนั้น เขียน { x ∈ 2 x2 − x − 3 = 0 } แบบแจกแจง มาชิกไดเปน {−1}
2. 1) {x x = 2n − 4 เมื่อ n∈ และ n ≤ 6}
n
2) {x x=
10
เมื่อ n ∈ }
3. 1) จริง 2) เท็จ
3) จริง 4) เท็จ
4. 1) เนือ่ งจาก {{1, 2, 3, …}} มี มาชิก คือ {1, 2, 3, …}
ดังนั้น {{1, 2, 3, …}} มีจําน น มาชิก 1 ตั
2) เนื่องจาก { x ∈ }
x 2 < 150 = {−12, − 11, … , 0, 1, … , 12}
2) เขียนแผนภาพแ ดง ( ( A − B ) − ( A − C ) ) ∪ ( B − ( A ∪ C ) )
( A − B ) ∪ ( B − A) ( A ∪ B) − ( A ∩ B)
จากแผนภาพ จะได า ( A − B ) ∪ ( B − A) = ( A ∪ B ) − ( A ∩ B )
ดังนั้น ( A − B ) ∪ ( B − A) และ ( A ∪ B ) − ( A ∩ B ) เทากัน
9. จาก n( A ∪ B) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได n( A ∪ B) + n( A ∩ B) = n ( A) + n ( B )
เนื่องจาก n ( A ∪ B ) + n ( A ∩ B ) = 75 และ n ( B ) = n ( A) − 1
นั่นคือ 75 = n ( A ) + n ( A ) − 1
2 n ( A ) = 76
จะได n ( A) = 38
C = { 5, 10, , 60 } นั่นคือ n ( C ) = 12
จากแผนภาพ จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 12 + 8 + 6 + 4 + 3 + 2 + 1 = 36
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 31
ดังนั้น จําน น มาชิกของ U ที่ ารด ย 3 ลงตั รือ ารด ย 4 ลงตั รือ าร
ด ย 5 ลงตั มีอยู 36 ตั
ิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )
−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 20 + 15 + 12 − 5 − 4 − 3 + 1
= 36
ดังนั้น จําน น มาชิกของ U ที่ ารด ย 3 ลงตั รือ ารด ย 4 ลงตั รือ าร
ด ย 5 ลงตั มีอยู 36 ตั
12. ใ A แทนเซตของนักเรียนที่เลี้ยง ุนัข จะได n ( A) = 32
B แทนเซตของนักเรียนที่เลี้ยงแม จะได n ( B ) = 25
x แทนจําน นนักเรียนที่เลี้ยงทั้ง ุนัขและแม
เขียนแผนภาพแ ดงจําน น มาชิกของ A และ B ไดดังนี้
จะได ( 32 − x ) + ( 25 − x ) = 47
57 − 2x = 47
2x = 10
x = 5
ดังนั้น จําน นของนักเรียนทีเ่ ลี้ยงทั้ง ุนัขและแม เทากับ 5 คน
จากแผนภาพ จะได
( 31 + x ) + ( 23 − x ) + ( 2 + x ) + (18 − x ) + x + ( 40 − x ) + x = 130
x + 114 = 130
x = 16
ดังนั้น มีคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอาน นัง ือ 16 คน
ิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )
−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได 130 = 72 + 65 + 58 − 23 − 18 − 40 + n ( A ∩ B ∩ C )
นั่นคือ n ( A ∩ B ∩ C ) = 16
ดังนั้น มีคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอาน นัง ือ 16 คน
14. ใ A แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานกุง
B แทนเซตของคนทีช่ อบรับประทานปลา
C แทนเซตของคนทีช่ อบรับประทานปู
A∩ B แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานกุงและปลา
B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานปลาและปู
A∩ B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานทั้ง ามอยาง
63
จะได n ( A) = × 200 = 126
100
42
n( B) = × 200 = 84
100
55
n (C ) = × 200 = 110
100
24
n( A ∩ B) = × 200 = 48
100
17
n(B ∩ C) = × 200 = 34
100
9
n( A ∩ B ∩ C) = × 200 = 18
100
A∪ B ∪C แทนเซตของคนที่ชอบรับประทานกุง ปลา รือปู
เนื่องจาก มีคนมาร มงานทั้ง มด 200 คน โดยแตละคนชอบรับประทานกุง ปลา รือปู
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 200
จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได 200 = 126 + 84 + 110 − 48 − n ( A ∩ C ) − 34 + 18
นั่นคือ n ( A ∩ C ) = 56
ดังนั้น มีคนที่ชอบรับประทานทั้งกุงและปู 56 คน
15. ใ A แทนเซตของนักทองเที่ย ที่เคยไปเชียงใ ม
B แทนเซตของนักทองเที่ย ที่เคยไปกระบี่
C แทนเซตของนักทองเที่ย ที่เคยไปชลบุรี
ใ a แทนจําน นนักทองเที่ย ที่เคยไปเชียงใ มเพียงจัง ัดเดีย
b แทนจําน นนักทองเที่ย ที่เคยไปกระบี่เพียงจัง ัดเดีย
c แทนจําน นนักทองเที่ย ที่เคยไปชลบุรีเพียงจัง ัดเดีย
เขียนแผนภาพแ ดงไดดังนี้
1.7 เฉลยแบบฝก ัด
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 แบงการเฉลยแบบฝก ัดเปน 2 น
คื อ นที่ 1 เฉลยคํ า ตอบ และ นที่ 2 เฉลยคํา ตอบพรอม ิ ธีทําอยางละเอีย ด ซึ่ง เฉลย
แบบฝก ัดที่อยูใน นนี้เปนการเฉลยคําตอบของแบบฝก ัด โดยไมไดนําเ นอ ิธีทํา อยางไรก็ตาม
ครู ามารถ ึก า ิธีทําโดยละเอียดของแบบฝก ัดไดใน นทายของคูมือครูเลมนี้
แบบฝก ัด 1.1ก
1. 1) { a, e, i, o, u } 2) { 2, 4, 6, 8 }
3) { 10, 11, 12, , 99 } 4) { 101, 102, 103, }
5) { − 99, − 98, − 97, , − 1} 6) { 4, 5, 6, 7, 8, 9 }
7) ∅ 8) ∅
9) { − 14, 14 }
10) {ชลบุร,ี ชัยนาท, ชัยภูมิ, ชุมพร, เชียงราย, เชียงใ ม}
3. 1) 1 ตั 2) 5 ตั
3) 7 ตั 4) 9 ตั
5) 0 ตั
4. 1) เปนเท็จ 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ
5. 1) เปนเซต าง 2) ไมเปนเซต าง
3) ไมเปนเซต าง 4) เปนเซต าง
5) ไมเปนเซต าง
6. 1) เซตอนันต 2) เซตจํากัด
3) เซตอนันต 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต 6) เซตอนันต
7. 1) A ≠ Bจ 2) A≠B
3) A=B จ 4) A=B
5) A≠B จ
8. A=D จ
แบบฝก ัด 1.1ข
1. 1) ถูก 2) ผิด
3) ผิด 4) ถูก
5) ถูก 6) ผิด
2. A ⊂ B, C ⊂ A, C ⊂ B จ
3. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนจริง
4. 1) ∅ และ { 1}
2) ∅ , { 1} , { 2 } และ { 1, 2 }
3) ∅ , { − 1 } , { 0 } , { 1 } , {−1, 0 } , {−1, 1 } , { 0, 1 } และ {−1, 0, 1}
4) ∅ , { x }, { y } และ { x , y }
5) ∅ , { a } , { b } , { c } , { a , b } , { a , c } , { b, c } และ { a , b , c }
6) ∅
แบบฝก ัด 1.1ค
1.
2. 1) 2)
3)
3. 1) 1 ตั (คือ a )
2) 2 ตั (คือ d และ e)
3) 3 ตั (คือ x , y และ z)
แบบฝก ัด 1.2
1. 1) A ∪ B = { 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 } ก 2) A ∩ B = { 0, 2 }
3) A − B = { 1, 8 } ก 4) B − A = { 4, 7, 9 }
5) A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9 } ก 6) B′ = { 1, 3, 5, 6, 8 }
7) A ∪ B′ = { 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8 } ก 8) A′ ∩ B = { 4, 7, 9 }
2. 1) A∩ B = ∅ ก 2) B ∪ C = { 1, 3, 4, 5, 6, 7 }
3) B ∩ C = { 3, 5 } 4) A ∩ C = { 4, 6 }
5) C ′ = { 0, 1, 2, 7, 8 } 6) C ′ ∩ A = { 0, 2, 8 }
7) C ′ ∩ B = { 1, 7 } 8) ( A ∩ B ) ∪ B = { 1, 3, 5, 7 }
3. 1) A′ 2) B′ d
3) A′ ∩ B′ 4) ( A ∪ B )′ s
5) A′ ∪ B′ 6) ( A ∩ B )′ s
7) A− B 8) A ∩ B′ d
4. 1) ( A ∪ B) ∪ C 2) A∪(B ∪C) d
3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A∩(B ∩C) s
5. 1) A∩C ก 2) C ∪ B′
3) B−A ก
6. 1) ∅ ก 2) A
3) ∅ ก 4) U
5) U ก 6) ∅
7) A′ ก 8) ∅
แบบฝก ัด 1.3
1. ก
เซต A− B B−A A∪ B A′ B′ ( A ∪ B )′
จําน น มาชิก 34 19 59 60 75 41
2. 1) n ( A ∪ B ) = 42 2) n ( A − B ) = 12 ก
3) n ( A′ ∩ B′ ) = 8 ป
3. 1) n ( A ∪ C ) = 40 2) n ( A ∪ B ∪ C ) = 43 ก
3) n ( A ∪ B ∪ C )′ = 7 ก 4) n ( B − ( A ∪ C )) = 3 ก
5) n (( A ∩ B ) − C ) = 7 ก
4. n( A ∩ B) = 6 ก
5. n ( B ) = 60 ก
6. 10 คน
9. 2,370 คน
แบบฝก ัดทายบท
1. 1) { 48 } ด 2) ∅
3) { 5, 10, 15, } ด 4) { − 2, 0, 2 }
5) { 1, 2, 3, , 10 } ด
2. 1) ตั อยางคําตอบ { x | x = 3n − 2 เมื่อ n∈ และ 1 ≤ n≤ 5}
2) ตั อยางคําตอบ { x∈ | − 20 ≤ x ≤ − 10 }
3) ตั อยางคําตอบ { x | x = 4n + 1 เมื่อ n∈ }
4) ตั อยางคําตอบ { x | x = n เมื่อ n∈ } 3
3. 1) เซตจํากัด 2) เซตอนันต
3) เซตจํากัด 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต
4. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ 4) เปนจริง
5) เปนจริง 6) เปนเท็จ
5. 1) A จ 2) ∅
3) U จ 4) A
5) A จ 6) U
6. 1) A ∪ B = A ∪ ( B − A) จ 2) A ∩ B′ = A − ( A ∩ B )
3) A′ ∩ B′ = U − ( A ∪ B ) จ
7. 1) A′ ∩ B ก จ 2) ( A ∩ B′ )′
3) ( A ∪ B′ )′ ก
8. 1) A ∪ ( A − B) ก 2) ( A′ ∩ B ) ∩ C
3) ( A − B )′ ∩ C ก 4) A ∪ (C′ − B )
5) ( A ∩ B′ ) ∪ C ก 6) A′ ∩ ( C ′ ∩ B )
7) A ∪ ( C ′ ∩ B )′ ก
9. 1) { 0, 2, 4, 7 , 9, 12, 14 } จ 2) { 1, 4, 6, 9, 12, 15 }
3) { 1, 4, 5, 7 , 11, 12 } จ 4) { 4, 9, 12 }
5) { 1, 4, 12 } จ 6) { 4, 7 , 12 }
7) { 0, 2, 7 , 14 } จ 8) { 1, 5, 6, 11, 15 }
10. 1) เปนจริงจ 2) เปนจริง
3) เปนจริง
11. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนจริงจ 4) เปนจริง
5) เปนจริงจ
12. n ( A ) = 167 ก
13. 45% ด
3) 65% ก 4) 13%ก
18. 1) 52 คน 2) 864 คน
3) 136 คน
19. 16%ก
20. 1% ก
บทที่ 2
ตรรก า ตรเบื้องตน
ตั ชี้ ัด
จุดมุง มาย
ค ามรูกอน นา
T T T T T T
T F F T F F
F T F T T F
F F F F T T
p p
T F
F T
p q า “รูปแบบของประพจน”
ประพจน
• ในการ อนเกี่ย กับประพจน ครูไมค รยกตั อยางขอค ามที่ใช รรพนามบุรุ ที่ 2 และ 3
เชน เขาซื้อขนม ลุงกับปาไปเที่ย ตางประเท ซึ่งอาจทําใ นักเรียนเกิดค าม ับ น า
ขอค ามดังกลา เปนประพจน รือไม เนื่องจากนักเรียนจะตองทราบบริบทของขอค าม
ดังกลา จึงจะ ามารถ รุปคาค ามจริงของขอค ามดังกลา ได เชน “เขา” “ลุง” “ปา”
มายถึงใคร
แบบฝก ัด 2.1
2. จงเขี ย นประโยค รื อ ข อ ค ามที่ เ ป น ประพจน ม า 5 ประพจน พร อ มทั้ ง บอก
คาค ามจริงของประพจนนั้น ๆ
แบบฝก ัดนี้มีคําตอบได ลายแบบ โดยอาจเปนไดทั้งขอค ามทางคณิต า ตร เชน
∅ ∈{1, 2, 3} และไมใชขอค ามทางคณิต า ตร เชน นึ่งปมี ิบ องเดือน ค รใ
นักเรียนมีอิ ระในการเขียนประโยค รือขอค ามที่เปน ป ร ะ พ จ น ซึ่ ง คํ า ต อ บ ข อ ง
นักเรียนไมจําเปนตองตรงกับที่ครูคิดไ
การเชื่อมประพจน
กิจกรรม การแตงกายของลูกปด
การ
กิจกรรม ัต เลี้ยงของตนน้ํา
ใ p แทนขอค าม “ตนน้ําเลี้ยงแม ”
การ
( p) (q) (p q)
เมื่ อจบกิ จกรรมนี้ แล ครู ค รใ นั กเรี ยน รุ ปได าในการเชื่ อมประพจน ด ย “ถา...แล ...”
มีขอตกลง าประพจนใ มจะเปนเท็จในกรณีที่เ ตุเปนจริงและผลเปนเท็จเทานั้น กรณีอื่น ๆ เปน
จริงทุกกรณี ครูค รชี้แจงเพิ่มเติม าประพจนซึ่งตาม ลังคํา า า เรียก า “เ ตุ” นประพจน
ซึ่งตาม ลังคํา า แล เรียก า “ผล” จากนั้นครู รุปการเขียนตารางคาค ามจริงของ p q
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูใ นักเรียนเติมตารางคาค ามจริง ตอไปนี้
ปุยนุนไดเกรด 4 ิชา ปุยนุนไดคะแนนตั้งแต การเกิดขึ้นไดของ
คณิต า ตร 80% ของคะแนนทั้ง มด ถานการณนี้
( p) (q) (p q)
เมื่ อ จบกิ จ กรรมนี้ แ ล ครู ค รใ นั ก เรี ย น รุ ป ได า ในการเชื่อ มประพจน ด ย “ก็ ตอ เมื่ อ ”
มีขอตกลง าประพจนใ มจะเปนจริงในกรณีที่ประพจนที่นํามาเชื่อมกันนั้นเปนจริงทั้งคู รือ
เปนเท็จทั้งคูเทานั้น กรณีอื่น ๆ เปนเท็จเ มอ จากนั้นครู รุปการเขียนตารางคาค ามจริง
ของ p q
รูป ามเ ลี่ยมนั้นมีดานยา เทากัน องดาน” ซึ่งมีค าม มายเดีย กับ “ถารูป ามเ ลี่ยมใด
เป น รู ป ามเ ลี่ ย ม น า จั่ แล รู ป ามเ ลี่ ย มนั้ น จะมี ด า นยา เท า กั น องด าน และถ า
รูป ามเ ลี่ยมใดมีดานยา เทากัน องดานแล รูป ามเ ลี่ยมนั้นจะเปนรูป ามเ ลี่ยม นาจั่ ”
นิเ ธของประพจน
ครูอาจนํ า เข า ู บ ทเรี ย นเพื่ อใ นั กเรี ย นเข า ใจเกี่ ย กับ นิเ ธของประพจน โดยใ นักเรีย น
ทํากิจกรรมตอไปนี้
• ครู ค รเขี ย น งเล็ บ ในตั อย า งที่ ต อ งการใ นั ก เรี ย นพิ จ ารณาค า ค ามจริ ง ทุ ก ครั้ ง
ไมค รละ งเล็บไ ใ นักเรียนตัด ินใจเอง ยกเ นตั เชื่อม “” ซึ่งใน นัง ือเรียน
ของ ท. ไมไดใ งเล็บไ เชนกัน เนื่องจากถือ าเปนตั เชื่อมที่ตอง าคาค ามจริง
กอน เชน ํา รับประพจน p p นั้น ตอง าคาค ามจริงของ p กอน แล จึง า
คาค ามจริงของ p p ซึ่งมีค าม มายเชนเดีย กับ p ( p)
• การ าค า ค ามจริ ง ของประพจน ที่มี ตั เชื่อม ามารถทํ าได ลาย ิ ธี ทั้ ง นี้ ค รูค รใ
นักเรียนฝกฝนการ าคาค ามจริงของประพจนที่มีตั เชื่อมโดยใชแผนภาพ ซึ่ง ามารถ
เขียนแ ดงได ลายแบบ ค รใ นักเรียนมีอิ ระในการเขียนแผนภาพโดยไม จําเป น
จะตองตรงกับที่ครูคิดไ จะเปนประโยชนในการ ึก า ั ขอตอ ๆ ไป
นักเรียน ซึ่ง นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ไดนําเ นอแบบฝก ัด
ที่ครอบคลุมเนื้อ าที่ ําคัญของแตละบทไ ํา รับในบทที่ 2 ตรรก า ตรเบื้องตน ครูอาจใช
แบบฝก ัดเพื่อ ัดผลประเมินผลค ามรูในแตละเนื้อ าไดดังนี้
เนื้อ า แบบฝก ัด
จุดมุง มาย
1. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7)
8)
9)
10)
2. 1) โจทยฝกทัก ะ
2) โจทยฝกทัก ะ
3) โจทยฝกทัก ะ
4) โจทยฝกทัก ะ
จุดมุง มาย
5) โจทยฝกทัก ะ
6) โจทยฝกทัก ะ
3. 1)
2)
3)
4)
4. โจทยฝกทัก ะ
5. 1)
2)
3)
4)
5)
6. 1)
2)
3)
จุดมุง มาย
4)
7. 1)
2)
3)
4)
8.
9.
10.
ในบางกรณี ขอค ามที่พิ ูจนแล าเปนจริง อาจไมเรียก าท ีบทเ มอไป โดย
มีคําเฉพาะที่ใชเรียกท ีบทบางประเภท เชน “บทตั้ง” (lemma) ที่ใชเรียกท ี
บทซึ่ งจะนํ าไปใช พิ ู จน ท ี บทถัดไปที่เปนท ี บท ลั ก รือท ีบทที่ มี
ค าม ําคัญมากก า และ “บทแทรก” (corollary) ที่ใชเรียกท ีบทซึ่งเปนผลอยาง
งายจากท ีบทที่มีมากอน นา
นอกจากนี้ ในบางกรณี จะใชคํา า “ มบัติ” (property) แทนขอค ามที่เปนจริงใด ๆ
ในระบบเชิงคณิต า ตรระบบ นึ่ง โดย มบัติอาจเปนค ามจริงเกี่ย กับคํานิยาม
ัจพจน รือท ีบทก็ได และอาจใชคํา า “ก ” (law) ํา รับค ามจริงที่เปน
ัจพจน รือท ีบทอีกด ย
ครูค รระลึกอยูเ มอ า ค ามรูทางคณิต า ตรที่กําลังพิจารณาเปนองคประกอบใด
ของระบบเชิงคณิต า ตร นั่นคือ ค รทราบ า ิ่งใดเปน ัจพจน ิ่งใดเปนท ีบ ท
เชน ไมค รพยายามพิ ูจน ัจพจนเกี่ย กับจําน นจริงในระบบจําน นจริง
ตั อยางแบบทด อบประจําบท
1) ง งนอนจัง
2) เธอตองไปเดีย นี้
22
3) =
7
4) 1∉ {2, 3}
5) 2 ไมใชจําน นจริง
6) 1, 2, 3,
7) ทําไม a+b=b+a
T T F
T F T
F T T
F F F
5. จง านิเ ธของขอค าม “ถา x เปนจําน นนับ แล x เปนจําน นคู รือ x เปนจําน นคี่”
1. 1) ไมเปนประพจน 2) ไมเปนประพจน
3) เปนประพจน มีคาค ามจริงเปนเท็จ 4) เปนประพจน มีคาค ามจริงเปนจริง
5) เปนประพจน มีคาค ามจริงเปนเท็จ 6) ไมเปนประพจน
7) ไมเปนประพจน
2. 1) จาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p q เปนเท็จ
ดังนั้น (p q) r มีคาค ามจริงเปนจริง
2) จาก q เปนเท็จ จะได q เปนจริง
จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง
ดังนั้น ( p q) r มีคาค ามจริงเปนจริง
3. ตั อยางคําตอบ
(p q)
( p q) (q p )
4. พิจารณาตารางคาค ามจริงดังนี้
p q r p q q r r p
T T T T T T
T T F T F T
T F T F T T
T F F F T T
F T T T T F
F T F T F T
F F T T T F
F F F T T T
เนื่องจาก p (q r ) p (q r )
p (q r )
p q r
2.7 เฉลยแบบฝก ัด
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 แบงการเฉลยแบบฝก ัดเปน 2 น
คือ นที่ 1 เฉลยคําตอบ และ นที่ 2 เฉลยคําตอบพรอม ิธีทําอยางละเอียด ซึ่งเฉลยแบบฝก ัดที่
อยูใน นนี้เปนการเฉลยคําตอบของแบบฝก ัด โดยไมไดนําเ นอ ิธที ํา อยางไรก็ตามครู ามารถ
ึก า ิธีทําโดยละเอียดของแบบฝก ัดไดใน นทายของคูมือครูเลมนี้
แบบฝก ัด 2.1
แบบฝก ัด 2.2
แบบฝก ัดทายบท
บทที่ 3
ลักการนับเบื้องตน
ตั ชี้ ัด
จุดมุง มาย
1. ใช ลักการนับเบื้องตนในการแกปญ า
2. ใช ิธีเรียง ับเปลี่ยนเชิงเ นกรณีที่ ิ่งของแตกตางกันทั้ง มดในการแกปญ า
3. ใช ิธีจัด มูกรณีที่ ิ่งของแตกตางกันทั้ง มดในการแกปญ า
ค ามรูกอน นา
ขั้นตอนที่ 1 มี ิธีเลือกทําได n1 ิ ธี
ในแตละ ิธีของขั้นตอนที่ 1 ามารถทําขั้นตอนที่ 2 ได n2 ิ ธี
ในแตละ ิธีของขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 2 ามารถทําขั้นตอนที่ 3 ได n3 ิ ธี
ในแตละ ิธีของขั้นตอนที่ 1 ถึงขั้นตอนที่ k −1 ามารถทําขั้นตอนที่ k ตอไปได nk ิธี
แล จะทํางาน k ขั้นตอน ได n1 × n2 × × nk ิ ธี
3. ใ n เปนจําน นเต็มบ ก แ กทอเรียล n คือ การคูณของจําน นเต็มบ กตั้งแต 1 ถึง n
เขียนแทนด ย n!
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครู ย กตั อย า งรู ป ป า ยทะเบี ย นรถยนต นั่ ง นบุ ค คลในกรุ ง เทพม านครในป จ จุ บั น
ซึ่งประกอบด ยเลขโดด 1 ตั ที่ไมใช 0 ตามด ยพยัญชนะไทย 2 ตั และจําน นเต็มบ กที่
ไมเกิน 4 ลัก 1 จําน น ซึ่งมีลัก ณะดังรูป
1. กรุงเทพทั ร
2. มาลีทั ร
รถประจําทาง 3. บายทั ร
4. ยามทั ร
5. ทั รทั่ ไทย
ตั อยางคําตอบที่ 1 แ ดงโดยใชแผนภาพตนไมไดดังนี้
ยิ้ม ยาม
การบินเอเชีย
เครื่องบิน ิ คเ ิน า
กรุงเทพการบิน
เชียงใ มแอรเ ย
ไทยการบิน
การเดินทาง
กรุงเทพทั ร
มาลีทั ร
รถประจําทาง บายทั ร
ยามทั ร
ทั รทั่ ไทย
ตั อยางคําตอบที่ 2 แ ดงโดยแจกแจงกรณีในรูปตารางไดดังนี้
บริ ัทผูใ บริการ บริ ัทผูใ บริการ
ิธีเดินทาง
ิธีที่ เครื่องบิน ร ประจําทาง
เครื่องบิน ร ประจําทาง 1 2 3 4 5 6 1 2 3 4 5
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
ครูแ ละนั กเรี ย นร มกั น รุป จากตั อย า ง ซึ่ ง จะพบ า ในการแกป ญ าขา งต น ไดใช การนั บ
โดยแบง ิธีที่เปนไปไดออกเปน 2 กรณี ไดแก กรณีที่เดินทางโดยเครื่องบิน และกรณีเดินทาง
โดยรถประจําทาง ซึ่งบริ ัทผูใ บริการในทั้ง องกรณีไมซ้ําซอนกัน จากนั้นจึงนําจําน นบริ ัท
ผูใ บริการทั้ง องกรณีมาบ กกัน
ตั อยางคําตอบที่ 1 แ ดงโดยใชแผนภาพ
กรุงเทพ เชียงใ ม
นคร รรค
ตั อยางคําตอบที่ 2 แ ดงโดยใชแผนภาพตนไม
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนที่ 2
กรุงเทพ – นคร รรค นคร รรค – เชียงใ ม
เ น ทางที่ 1
เ นทางที่ 1 เ น ทางที่ 2
เ น ทางที่ 3
การเดินทาง
เ น ทางที่ 1
เ นทางที่ 2 เ น ทางที่ 2
เ น ทางที่ 3
ตั อยางคําตอบที่ 3 แ ดงโดยแจกแจงกรณีในรูปตารางไดดังนี้
กรุงเทพ – นคร รรค นคร รรค – เชียงใ ม
ิธีที่
เ นทางที่ 1 เ นทางที่ 2 เ นทางที่ 1 เ นทางที่ 2 เ นทางที่ 3
1
2
3
4
5
6
• จาก ถานการณ เ กี่ย กับ การเดิน ทางของบั ตองทั้ ง องปญ าข า งต น จะเ ็ น า มี
ค ามแตกตางกัน โดย ถานการณแรกใช ลักการบ กในการ าจําน น ิธีเดินทาง
ของบั ตองนั้ น ซึ่ ง จะเ ็ น า การเดิ น ทางแต ล ะ ิ ธี ไม า จะโดยเครื่ อ งบิ น รื อ
โดยรถประจํ า ทาง ามารถทํ า ใ การเดิ น ทางนั้น มบูร ณได แตใน ถานการณที่ 2
ใช ลั ก การคู ณ ในการ าจํ า น นเ น ทางในการเดิ น ทาง ซึ่ งจะเ ็ น า การเดิ น ทาง
ตองมี 2 ขั้นตอน นั่นคือ ขั้นตอนที่ 1 เปนการเดินทางจากกรุงเทพ ไปนคร รรค
ซึ่ ง มี 2 เ น ทาง และขั้ น ตอนที่ 2 เป น การเดิ น ทางจากนคร รรค ไ ปเชี ย งใ ม
ซึ่งมี 3 เ นทาง โดยการเดินทางจะ มบูรณเมื่อมีครบทั้ง 2 ขั้นตอน
• ตั อยางที่ 5
รานอา ารแ ง นึ่งมีอา ารคา 4 อยาง และขนม 3 อยาง ถาลูกคาตองการ
อา ารคา นึ่งอยางและขนม นึ่งอยาง เขาจะมี ิธีเลือก ั่งอา ารไดกี่ ิธี
ตั อยางนี้ นําเ นอขั้นตอนการเลือก ั่งอา ารคา กอนการเลือก ั่งขนม อยางไรก็ตาม
อาจจะพิจารณาขั้นตอนการเลือก ั่งขนมกอนการเลือก ั่งอา ารคา ก็ได เพียงแต
ตองพิจารณาใ ครบทุกขั้นตอนเทานั้น นั่นคือ ในบาง ถานการณที่ใช ลักการคูณใน
การแกปญ า อาจ ลับขั้นตอนได
• ในการ อนเนื้อ าเรื่องนี้ ครูค รเริ่มจากการพิจารณาโจทย าโจทยกํา นด ิ่งใด ตองการใ
า ิ่งใด จะ า ิ่งนั้นตองทราบอะไรบาง จําเปนตองมีขั้นตอนใดบาง ขั้นตอนเ ลานั้นเปน
อิ ระตอกัน รือไม การทํางานตามขั้นตอนเ ลานั้นตองใช ลักการบ ก รือ ลักการคูณ
• การแกปญ าเกี่ย กับ ลักการนับ ามารถทําได ลาย ิธี ครูค รเปดโอกา ใ นักเรียน
ไดลองคิด าคําตอบด ยตนเอง
แบบฝก ัด 3.1
5. ลูกเตาแตละลูกประกอบด ย นา 6 นา โดยมีแตม 1, 2, 3, 4, 5 และ 6 ปรากฏอยู
แตมละ นึ่ง นา
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูเลือกตั แทนนักเรียน 3 คน ออกมา นาชั้นโดยกํา นดตําแ นงที่ 1, 2 และ 3 เรียงกัน
เพื่อถายรูป
2. ครูใ นักเรียนร มกันอภิปรายและร มกันเขียนแจงกรณีเพื่อแ ดงการยืนเรียง ลับที่กัน
ของตั แทนทั้ง าม เพื่อพิจารณา าจะได ิธีการยืนเรียงที่แตกตางกันทั้ง มดกี่ ิธี
3. ครู ใ นั ก เรี ย นใช ลั ก การคู ณ ที่ ไ ด ึ ก ามาแล ในการ าจํ า น น ิ ธี ก ารยื น เรี ย งกั น
เพื่อถายรูปที่แตกตางกันของตั แทนนักเรียนทั้ง ามคน
ครู ามารถเชื่ อ มโยง ิ ธี ก าร าจํ า น น ิ ธี ก ารยื น เรี ย งกั น เพื่ อ ถ า ยรู ป ในกิ จ กรรมนี้ กั บ เรื่ อ ง
การเรียง ับเปลี่ยนเชิงเ นของ ิ่งของที่แตกตางกันทั้ง มด โดยเชื่อมโยงกับ ลักการคูณ และ
ูตร Pn , r
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูเลือกตั แทนนักเรียน 4 คน ออกมา นาชั้นเรียน
2. ครูใ นักเรียนร มกันอภิปรายและร มกันเขียนแจงกรณีเพื่อแ ดงการเลือกนักเรียน 2 คน
จากตั แทนนักเรียนทั้ง 4 คนนี้ เพื่อพิจารณา าจะได ิธีการเลือกนักเรียนที่แตกตางกัน
ทั้ง มดกี่ ิธี
แบบฝก ัดทายบท
9. ในการทอดลูกเตา นึ่งลูก องครั้ง จง า
1) จําน น ิธีที่ผลร มของแตมเทากับเจ็ด
2) จําน น ิธีที่ผลร มของแตมไมเทากับเจ็ด
แบบฝก ัดนีม้ ี ิธีการแกปญ าที่ ลาก ลาย โดยในบาง ิธีจะช ยลดค ามซับซอน ข อ ง ก า ร
แกปญ าได ครูค รใ นักเรียนมีอิ ระในการเขียนแ ดง ิธีการแกปญ า โดยไมจําเปนตองตรง
กับที่ครูคิดไ
กิจกรรม บทพากยเอรา ัณ
ใ นักเรียนตอบคําถามตอไปนี้ โดยใชขอมูลจากบทพากยขางตน
1. ชางเอรา ัณมีกี่เ ียร
2. เ ียรชางเอรา ัณแตละเ ียรมีงากี่กิ่ง และชางเอรา ัณมีงาร มทั้ง มดกี่กิ่ง
3. งาแตละกิ่งมี ระบั กี่ ระ และชางเอรา ัณมี ระบั ร มทั้ง มดกี่ ระ
4. ระบั แตละ ระมีกอบั กี่กอ และชางเอรา ัณมีกอบั ร มทั้ง มดกี่กอ
5. กอบั แตละกอมีดอกบั กี่ดอก และชางเอรา ัณมีดอกบั ร มทั้ง มดกี่ดอก
6. ดอกบั แตละดอกมีกี่กลีบ และชางเอรา ัณมีกลีบดอกบั ร มทั้ง มดกี่กลีบ
7. กลีบดอกบั แตละกลีบมีเทพธิดากี่องค และชางเอรา ัณมีเทพธิดาร มทั้ง มดกี่องค
8. เทพธิดาแตละองคมีบริ ารกี่นาง และชางเอรา ัณมีบริ ารร มทั้ง มดกี่นาง
9. ชางเอรา ัณมีเทพธิดาและบริ ารร มทั้ง มดกี่นาง
เฉลยกิจกรรม บทพากยเอรา ัณ
1. 33 เ ียร
2. เ ียรชางแตละเ ียรมีงา 7 กิ่ง และชางเอรา ัณมีงาร มทั้ง มด 33 × 7 กิ่ง
3. งาแตละกิ่งมี ระบั 7 ระ และชางเอรา ัณมี ระบั ร มทั้ง มด 33 × 7 2 ระ
4. ระบั แตละ ระมีกอบั 7 กอ และชางเอรา ัณมีกอบั ร มทั้ง มด 33 × 73 กอ
5. กอบั แตละกอมีดอกบั 7 ดอก และชางเอรา ัณมีดอกบั ร มทั้ง มด 33 × 7 4 ดอก
6. ดอกบั แตละดอกมี 7 กลีบ และชางเอรา ัณมีกลีบบั ร มทั้ง มด 33 × 75 กลีบ
7. กลีบบั แตละกลีบมีเทพธิดา 7 องค และชางเอรา ัณมีเทพธิดาร มทั้ง มด 33 × 7 องค 6
แน ทางการจัดกิจกรรม บทพากยเอรา ัณ
เ ลาในการจัดกิจกรรม 30 นาที
กิจ กรรมนี้เ นอไ ใ นั กเรีย นฝ กฝนการใชค ามรู เรื่อง ลักการบ กและ ลักการคูณ
เพื่อแกปญ า โดยกิจกรรมนี้มี ื่อ/แ ลงการเรียนรู และขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ดังนี้
ื่อ/แ ลงการเรียนรู
1. ใบกิจกรรม “บทพากยเอรา ัณ”
2. รูปชางเอรา ัณจาก ารานุกรมไทย ํา รับเยา ชน
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. ครูนําเขา ูกิจกรรมโดยเปด ื่อ ีดิทั น รือเลาเรื่องรา ั้น ๆ เกี่ย กับชางเอรา ัณ
2. ครูแจกใบกิจกรรม “บทพากยเอรา ัณ” ใ กับนักเรียนทุกคนและแบงกลุมนักเรียน
แบบคละค าม ามารถ กลุมละ 3 – 4 คน
3. ครูใ นักเรียนแตละกลุม ึก าใบกิจกรรมบทพากยเอรา ัณ จากนั้นช ยกันตอบคําถาม
ขอ 1 – 9 ในใบกิจกรรม ครูค รเปดโอกา ใ นักเรียนใชแน ทางที่ ลาก ลายในการ
าคําตอบ และอนุญาตใ นักเรียนเขียนแ ดงคําตอบในรูปของเลขยกกําลังได โดยใน
ระ างที่นักเรียนทํากิจกรรมครูค รเดินดูนักเรียนใ ทั่ ถึงทุกกลุม และคอยชี้แนะเมื่อ
นักเรียนพบปญ า
4. ครู ุมเลือกกลุมนักเรียนเพื่อตอบคําถาม และใ นักเรียนกลุมอื่น ๆ ร มกันอภิปราย
เกี่ย กับคําตอบ ร มทั้งกระตุนใ นักเรียนใ เ ตุผลประกอบคําตอบ
5. ครูแ ดงภาพตั อยางของชางเอรา ัณ จากนั้นครูและนักเรียนร มกันอภิปรายเพื่อ รุป
เกี่ย กับบทพากยเอรา ัณที่นักเรียนไดอาน ซึ่งเปนบทประพันธที่แ ดงถึงจินตนาการ
ของก ีที่พรรณนาค ามยิ่งใ ญของชางเอรา ัณ โดยนักเรียน ามารถใชค ามรูคณิต า ตร
ทั้งนี้ แบบฝก ัดทายบทแตละขอใน นัง ือเรียนราย ิชาคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 บทที่ 3
ลักการนับเบื้องตน อดคลองกับจุดมุง มายของบทเรียน ดังนี้
จุดมุง มาย
2.
3.
4.
5. 1)
2)
6.
7.
8.
9. 1)
2)
10.
11.
12.
13.
จุดมุง มาย
15. 1)
2)
16.
17.
ตั อยางแบบทด อบประจําบท
1. ในการเดินทางจากเมือง A ไปเมือง B ามารถไปทางถนน ายตรงได 2 เ นทาง และ
ามารถไปทางถนนที่ผานเมือง C ได โดยมีถนนจากเมือง A ไปเมือง C จําน น 2 เ นทาง
และมีถนนจากเมือง C ไปเมือง B จําน น 3 เ นทาง จะมี ิธีเดินทางจากเมือง A ไป
เมือง B ไดทั้ง มดกี่ ิธี
2. ตึกเรียน นึ่งมีประตู 3 ประตู ครูเลือกเดินเขาตึกเรียนด ยประตู นึ่ง ตอมานักเรียน อง
คนตองการเดินเขาตึกเรียนโดยใชประตูที่ตางจากครู จะมี ิธีเขาตึกเรียน ํา รับครูและ
นักเรียนไดทั้ง มดกี่ ิธี
ตั อยางแบบทด อบประจําบท
1. พิจารณาการเดินทางจากเมือง A ไปเมือง B ไดดังนี้
กรณีที่ 1 เดินทางโดยถนน ายตรง มีเ นทาง 2 เ นทาง
กรณีที่ 2 เดินทางโดยผานเมือง C
ขั้นตอนที่ 1 เดินทางจากเมือง A ไปเมือง C มีเ นทาง 2 เ นทาง
ขั้นตอนที่ 2 เดินทางจากเมือง C ไปเมือง B มีเ นทาง 3 เ นทาง
จาก ลักการคูณ จึงได า จะเดินทางจากเมือง A ไปเมือง B โดยผาน
เมือง C ทําได 2×3 = 6 ิธี
จาก ลักการบ ก จึงได า จะมี ิธีเดินทางจากเมือง A ไปเมือง B ไดทั้ง มด 2+6=8 ิธี
2. การเขาตึกเรียน ํา รับครูและนักเรียน ประกอบด ย 2 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ครูเลือกเดินเขาตึกเรียนด ยประตู นึ่ง จากประตูทั้ง มด 3 ประตู
ทําได 3 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 นักเรียน องคนเลือกเดินเขาตึกเรียนโดยใชประตูที่ตางจากครู
ทําได 2× 2 = 4 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า จะมี ิธีเขาตึกเรียน ํา รับครูและนักเรียนไดทั้ง มด 3 × 4 = 12 ิธี
3. ร ั ผานของนิภา ประกอบด ย 2 น ดังนี้
นที่ 1 ตั อัก รภา าอังก 1 ตั ประกอบด ย 2 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เลือก ลักที่จะเปนตั อัก รภา าอังก ได 4 ิธี
ขั้นตอนที่ 2 เลือกตั อัก รภา าอังก เพื่อเปนร ั ใน ลักนี้ ได 26 ิธี
จาก ลักการคูณ จึงได า จะมี ิธีตั้งร ั ด ยตั อัก รภา าอังก เทากับ
4 × 26 = 104 ิธี
3.8 เฉลยแบบฝก ัด
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 แบงการเฉลยแบบฝก ัดเปน 2 น
คือ นที่ 1 เฉลยคํา ตอบ และ นที่ 2 เฉลยคําตอบพรอม ิธีทําอยางละเอีย ด ซึ่ง เฉลย
แบบฝก ัด 3.1
1. 25 ิธี
2. 13 รูป
3. 90 ิธี
4. 1,738,283,976 ตั
5. 1) 6 ิธี 2) 30 ิธี
3) 30 ิธี
6. 1) 900 จําน น 2) 810 จําน น
3) 90 จําน น
7. 676 คํา
แบบฝก ัด 3.2
1. 362,880 ิธี
2. 1) 1,680 จ 2) 90
3) 120 จ 4) 1
3. 24 จําน น
4. 15,120 ิธี
5. 120 ิธี
แบบฝก ัด 3.3
1. 56 ิธี
2. 15 ิธี
3. 21,162,960 ิธี
4. 1) 1,001 ิธี จ 2) 70 ิธี
3) 210 ิธี จ
5. 45 ิธี
6. 1) 676 ิธี จ 2) 12 ิธี
3) 0 ิธี นั่นคื อ ไม ามารถ ยิบ ไพ 2 โพดํา ทั้ง องใบจากไพ นึ่ง ํารับ โดย ยิบไพ
ทีละใบและไมใ คืนกอน ยิบใบที่ องได
แบบฝก ัดทายบท
1. 22 รูป
2. 6 ิธี
3. 15,600 ที่นั่ง
4. 10,156,250 ิธี
5. 1) 25,974 ร ั จ 2) 18,720 ร ั
6. 109,879,011 มายเลข
7. 60 จําน น
8. 1,024 ิธี
9. 1) 6 ิธี จ 2) 30 ิธี จ
10. 360 ิธี
11. 5,527,200 ิธี จ
12. 45 เ น
13. 300 ภาพ
14. 2,400 ิธี
15. 1) 45 ิธี จ 2) 21 ิธี จ
16. 399,000 ิธี
17. 34 ิธี
บทที่ 4
ค ามนาจะเปน
ตั ชี้ ัด
จุดมุง มาย
ค ามรูกอน นา
n(E)
เขียนแทนด ย P(E) โดยที่ P(E) =
n(S )
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูแนะนํา Galton board ใ นักเรียนรูจัก ซึ่งเปนกระดานที่มีลัก ณะดังรูป
มายเ ตุ
• ครูและนักเรียนอาจประดิ ฐ Galton board โดยใชอุปกรณอยางงาย เชน ไม ลอด โ ม
มุด และลูกปดทรงกลม ในลัก ณะดังรูป
• ตั อย า งเกี่ ย กั บ การทดลอง ุ ม ที่ นํ า เ นอใน นั ง ื อ เรี ย นเป น ตั อย า งที่ เ พี ย งพอ
ํา รับเปนพื้นฐานในการเรียนเกี่ย กับปริภูมิตั อยาง เ ตุการณ และค ามนาจะเปน
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 105
• ในการ อนเรื่ อ งการทดลอง ุ ม ในระดั บ นี้ ไม ไ ด เ น น ใ นั ก เรี ย นจํ า แนก ถานการณ
ที่ กํ า นดใ า เป น การทดลอง ุ ม รื อ ไม แตต องการใ นัก เรี ย นเข า ใจค าม มาย
ของการทดลอง ุม
ค ามนาจะเปน
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. ครูแบงกลุมนักเรียน 3 – 4 คน แบบคละค าม ามารถ จากนั้นครูใ นักเรียน ึก า ถานการณ
ปญ า The Last Banana ซึ่งใน ถานการณปญ านี้ผูเลน 2 คน จะทอดลูกเตา 2 ลูก
ผูเลนคนที่ 1 จะเปนผูชนะ ถาจําน นที่มากที่ ุดที่ไดจากการทอดลูกเตาแตละครั้งเปน
1, 2, 3 รือ 4 แตผูเลนคนที่ 2 จะเปนผูชนะ ถาจําน นที่มากที่ ุดที่ไดจากการทอดลูกเตา
แต ละครั้ งเปน 5 รื อ 6 ครู อาจใ นั กเรียน าแ ลงค ามรูเพิ่มเติม เชน คน า ีดิทั น
เกี่ย กับ ถานการณปญ า The Last Banana โดยใชคําคน า า The Last Banana
2. ครูใ นักเรียนแตละกลุมพิจารณา าผูเลนคนใดใน ถานการณปญ า The Last Banana
จะมีโอกา เปนผูชนะ พรอมใ เ ตุผลประกอบ
3. ครูและนักเรียนร มกันอภิปราย ถานการณปญ า The Last Banana โดยเชื่อมโยงกับ
ค ามรู เรื่อง ปริภูมิตั อยางและเ ตุการณ พรอมทั้ง าจําน น มาชิกของปริภูมิตั อยาง
เ ตุการณที่ผูเลนคนที่ 1 จะเปนผูชนะ และเ ตุการณที่ผูเลนคนที่ 2 จะเปนผูชนะ
4. ครูใ นักเรียน า
o อัตรา นระ างจําน น มาชิกของเ ตุการณที่ผูเลนคนที่ 1 จะเปนผูชนะตอจําน น
มาชิกของปริภูมิตั อยาง
o อัตรา นระ างจําน น มาชิกของเ ตุการณที่ผูเลนคนที่ 2 จะเปนผูชนะตอจําน น
มาชิกของปริภูมิตั อยาง
5. ครูและนักเรียนร มกันอภิปรายเกี่ย กับคําตอบที่ไดในขอ 4 โดยเชื่อมโยงกับบทนิยาม
เกี่ย กับค ามนาจะเปน
มายเ ตุ
• ในการอภิปรายคําตอบครูอาจเปดคลิป ีดิทั นเพื่อประกอบการอธิบาย รือเขียนแผนภาพ
แ ดงผลลั พธที่เปนไปได ทั้ง มดของการทดลอง ุมของการทอดลูกเตาที่เที่ยงตรง องลูก
นึ่งครั้ง ดังแ ดงใน นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4
• ครู ค รเน น ย้ํ า า ปริ ภู มิ ตั อย า งที่ ใ ช ใ นการคํ า น ณ เรื่ อง ค ามน า จะเป น ในระดั บ นี้
จะตองประกอบด ย มาชิกที่มีโอกา เกิดขึ้นไดเทากัน
• ในการ าค ามน า จะเป น ของเ ตุ ก ารณ อาจพิ จ ารณาเพี ย งจํ า น น มาชิ ก ของ
ปริภูมิตั อยางและเ ตุการณ ซึ่งไมจําเปนตองเขียนแจกแจง มาชิกทุกตั โดยเฉพาะเมื่อ
ปริภูมิตั อยางและเ ตุการณเปนเซตที่มีจําน น มาชิกมาก
• ในการแกปญ าเกี่ย กับค ามนาจะเปน อาจเชื่อมโยงค ามรูเรื่อง ลักการนับเบื้องตน
มาใชในการแกปญ า
แบบฝก ัด 4.2
5. กลองใบ นึ่งบรรจุ ลอดไ 5 ลอด ในจําน นนี้มี ลอดดี 3 ลอด และ ลอดเ ีย
2 ลอด ถา ุม ยิบ ลอดไ 2 ลอด จง าค ามนาจะเปนที่จะได ลอดดี 1 ลอด
และ ลอดเ ีย 1 ลอด
แบบฝก ัดนี้ไมไดระบุ าการ ยิบ ลอดไ เปนการ ยิบพรอมกัน (ลําดับไม ําคัญ) รือ ยิบ
ไมพรอมกัน (ลําดับ ําคัญ) แต ํา รับขอนี้ไม าจะ ยิบอยางไร ค ามนาจะเปนที่ไดจะเทากัน
ขั้นตอนการป ิบัติ
1. จาก ถานการณที่กํา นดใ ถานักเรียนเปนผูเขาแขงขัน ค รจะเลือกเปลี่ยนประตู
รือไม เพราะเ ตุใด
2. เปดเ ็บไซต goo.gl/9c2kWZ
3. ทดลองเลนเกม โดยคลิกเลือกประตู มายเลข 1, 2 รือ 3 จากนั้นโปรแกรมจะเปด
ประตู บ านที่ เ ลื อ ที่ มี แ พะอยู 1 บาน คลิ ก เลื อ ก า จะเปลี่ ย น รื อ ไม เ ปลี่ ย นประตู
ตามที่ตัด ินใจในขอ 1
กรณี มเปลี่ยนประตู
ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ
1 11 21
2 12 22
3 13 23
4 14 24
5 15 25
6 16 26
7 17 27
8 18 28
9 19 29
10 20 30
กรณีเปลี่ยนประตู
ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ
1 11 21
2 12 22
3 13 23
4 14 24
5 15 25
6 16 26
7 17 27
8 18 28
9 19 29
10 20 30
6. กรณีเปลี่ยนประตู
ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ ครั้งที่ ร แพะ
1 X 11 X 21 X
2 X 12 X 22 X
3 X 13 X 23 X
4 X 14 X 24 X
5 X 15 X 25 X
6 X 16 X 26 X
7 X 17 X 27 X
8 X 18 X 28 X
9 X 19 X 29 X
10 X 20 X 30 X
มายเ ตุ คําตอบขึ้นอยูกับการทดลองของผูเรียน
7. จากการทดลองในขอ 6 จะได า อัตรา นระ างจําน น มาชิกของเ ตุการณที่เปด
20
ประตูแล มีรถยนตกับจําน นการทดลองเลนเกม 30 ครั้ง คิดเปน 30
0.67
8. การเลื อกเปลี่ ย น รื อไม เ ปลี่ ย นประตู มีผ ลตอการได ร าง ั ล โดยจะมี โ อกา ไดร าง ั ล
มากก าถาเลือกเปลี่ยนประตู ซึ่งพิจารณาจากอัตรา นในขอ 5 และ 7
มายเ ตุ
1) คําตอบขึ้นอยูกับผลลัพธที่ไดจากการทดลองของนักเรียนในขอ 5 และ 7 ในกรณีที่มี
นักเรียนไดคําตอบในขอ 8 แตกตางจากเฉลย ครูค รใ นักเรียนเปรียบเทียบคําตอบกับ
เพื่อน และค ร งเ ริมใ นักเรียนอภิปรายร มกันเพื่อใ ไดขอ รุป า จากผลลัพธที่ได
จากการทดลองของนักเรียน นใ ญ จะเ ็น าการเลือกเปลี่ยนประตูทําใ มีโอกา ได
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
บทที่ 4 | ค ามนาจะเปน
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 113
เ ลาในการจัดกิจกรรม 50 นาที
กิจกรรมนี้เ นอไ ใ นักเรียนใชค ามรู เรื่อง ค ามนาจะเปน เพื่อแกปญ าใน ถานการณที่
กํา นด ในการทํากิจกรรมนี้นักเรียนแตละคูค รมีเครื่องคอมพิ เตอรอยางนอย 1 เครื่อง
โดยครูอาจเลือกจั ดกิจกรรมนี้ใน องคอมพิ เตอรก็ได กิจกรรมนี้มี ื่อ แ ลงการเรียนรู
และขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ดังนี้
ื่อ/แ ลงการเรียนรู
1. ใบกิจกรรม “Monty Hall Problem”
2. ไ ลกิจกรรม Monty Hall Problem จากเ ็บไซต goo.gl/9c2kWZ
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. ครูนําเขา ูกิจกรรมโดยเปด ื่อ ีดิทั น รือเลาเรื่องรา ั้น ๆ เกี่ย กับ Monty Hall Problem
2. ครูแจกใบกิจกรรม “Monty Hall Problem” ใ กับนักเรียนทุกคนและใ นักเรียนทํากิจกรรม
นี้เปนคู
3. ครูและนักเรียนร มกันอภิปรายปญ าจาก ถานการณที่กํา นดใ
4. ครูใ นักเรียนตอบคําถามที่ปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรมขอ 1 ในใบกิจกรรม
พรอมใ เ ตุผลประกอบ โดยไมตองคํานึงถึงค ามถูกตองของคําตอบ
เนื้อ า แบบฝก ัด
จุดมุง มาย
ขอ
ขอ ใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปน
ยอย าปริ ูมิตั อยางและเ ตุการณ
ในการแกปญ า
1. 1)
2)
3)
4)
5)
2. 1)
2)
3. 1)
2)
3)
4)
5)
4. 1)
2)
3)
4)
5)
จุดมุง มาย
ขอ
ขอ ใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปน
ยอย าปริ ูมิตั อยางและเ ตุการณ
ในการแกปญ า
5. 1)
2)
3)
6. 1)
2)
3)
4)
5)
6)
7.
8.
9. 1)
2)
3)
10. 1)
2)
11.
จุดมุง มาย
ขอ
ขอ ใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปน
ยอย าปริ ูมิตั อยางและเ ตุการณ
ในการแกปญ า
12.
13.
14. 1)
2)
15.
16.
17.
18. 1)
2)
3)
19.
20.
21.
22.
23. 1) ก
2)
3)
จุดมุง มาย
ขอ
ขอ ใชค ามรูเกี่ย กับค ามนาจะเปน
ยอย าปริ ูมิตั อยางและเ ตุการณ
ในการแกปญ า
4)
24.
25.
ตั อยางแบบทด อบประจําบท
1. คน องคนเลือกเลขโดดจาก 1 ถึง 5 โดยที่ไมซ้ํากัน จง าเ ตุการณที่คนที่ องไดเลขโดด
ที่มีคามากก าเลขโดดของคนแรก
2. ในการโยนเ รียญ 4 เ รียญ 1 ครั้ง จง าค ามนาจะเปนที่จะไดจําน นเ รียญที่ขึ้น ั
เทากับจําน นเ รียญที่ขึ้นกอย
3. จง าค ามนาจะเปนที่คน องคนมี ันเกิด (อาทิตย – เ าร) ันเดีย กัน แต มูเลือด
( A, B, AB, O ) ตางกัน
( 2, 1) , ( 2, 2 ) , ( 2, 3) , ( 2, 4 ) , ( 2, 5) ,
( 3, 1) , ( 3, 2 ) , ( 3, 3) , ( 3, 4 ) , ( 3, 5) ,
( 4, 1) , ( 4, 2 ) , ( 4, 3) , ( 4, 4 ) , ( 4, 5) ,
( 5, 1) , ( 5, 2 ) , ( 5, 3) , ( 5, 4 ) , ( 5, 5)}
จะได P ( E ) = 6 = 3
16 8
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดจําน นเ รียญที่ขึ้น ั เทากับจําน นเ รียญที่ขึ้นกอย คือ
8
นั่นคือ n ( E ) = 5 + 6 = 11
จะได P ( E ) = 11
90000
จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
= 25 + 20 − 12
= 33
ดังนั้น มีนักเรียนที่ชอบออกกําลังกาย รือดู ารคดี 33 คน
ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากใน องเรียนนี้มีนักเรียน 40 คน
จะได n ( S ) = 40
ใ E แทนเ ตุการณที่ไดนักเรียนที่ชอบออกกําลังกาย รือดู ารคดี
จะได n ( E ) = 33
จะได P ( E ) = 33
40
33
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดนักเรียนชอบออกกําลังกาย รือดู ารคดี คือ
40
7. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากกลองใบนี้บรรจุลูกบอลทั้ง มด 10 ลูก
จะได n ( S ) = C = 10 × 9 × 8
10,3
จะได n ( E ) = C
1 9,1 × C9,1 × 1 × 1 = 81
จะได P ( E1 ) = 81
10000
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ณัชชาจะทายร ั ของณิชาถูกเพียง อง ลัก ุดทาย
81
คือ
10000
2) ใ E2 แทนเ ตุการณทณ
ี่ ัชชาจะทายร ั ของณิชาถูกเพียง อง ลักเทานั้น
4!
เลือก ลัก อง ลักที่ณัชชาจะทายไดถูก มีได C4, 2 = =6 แบบ
2!2!
จะได n ( E ) = 6 × C
2 9,1 × C9,1 × 1 × 1 = 486
4.7 เฉลยแบบฝก ัด
คูม ือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 แบงการเฉลยแบบฝก ัดเปน 2 น
คือ นที่ 1 เฉลยคําตอบ และ นที่ 2 เฉลยคําตอบพรอม ิธีทําอยางละเอียด ซึ่งเฉลยแบบฝก ัด
ที่อยูใ น นนี้เปนการเฉลยคําตอบของแบบฝก ัด โดยไมไดนําเ นอ ิธีทํา อยางไรก็ตามครู ามารถ
ึก า ิธีทําโดยละเอียดของแบบฝก ัดทุกขอไดใน นทายของคูมือครูเลมนี้
แบบฝก ัด 4.1
1. 1) S1 = {ร ม, ร องุน, ร มะนา , ร กาแ }
2) S 2 = {0, 1, 2, 3, …, 10}
3) S3 = {ชช, ชพ, พช, พพ}
4) S 4 = {3, 4, 5, …, 18}
5) S5 = {0, 1, 2, 3, 4, 5}
2. 1) S = { HH , HT , TH , TT } 2) E1 = { HH }
3) E2 = { HT , TH } ก
3. 1) E1 = {T 1, T 3, T 5} ก 2) E2 = {H 2, H 4, H 6}
3) E3 = {H 3, H 6, T 3, T 6} ก 4) E4 = ∅
5) E5 = S ก
แบบฝก ัด 4.2
3 2
1. 1) 2)
5 5
1 1
2. 1) 2)
2 3
1
3) 0 4)
3
1
3. 1) 1 2)
2
1 4
3) 4)
5 5
3 19
4. 1) 2)
4 20
1
3)
10
3
5.
5
1
6.
3
3
7.
4
2 2
8. 1) 2)
3 3
1
3)
2
แบบฝก ัดทายบท
3) E2 = {HHH } ก
5) E4 = {TTT } ก
1 1
6. 1) 2)
10 5
3 2
3) 4)
5 5
1
5) 6) 1
2
1
7.
365
1
8.
2
1 1
9. 1) 2)
8 8
1
3)
4
11 5
10. 1) 2)
12 6
5
11.
6
4
12.
5
13. นม น้ําเกก ย และน้ํา ม
1 2
14. 1) 2)
15 9
1
15.
28
3
16.
11
73
17.
145
7 8
18. 1) 2)
15 15
14
3)
15
1
19.
5
3
20.
20
2
21.
11
12
22.
25
1 4
23. 1) 2)
5 5
9 13
3) 4)
25 25
1
24.
380
25 13
25. 1) 2)
102 102
1
3)
221
26. แ นค รจะใ ลากคืนกอนจะ ยิบ ลากใบที่ อง เพราะค ามนาจะเปนเมื่อ ยิบ ลาก
แบบใ คนื มากก าค ามนาจะเปนเมื่อ ยิบ ลากแบบไมใ คืน
9
27.
10
14 1
28. 1) 2)
285 1140
23 7
3) 4)
57 95
18
5)
95
แบบฝก ัด 1.1ก
1. 1) { a, e, i, o, u } 2) { 2, 4, 6, 8 }
3) { 10, 11, 12, , 99 } 4) { 101, 102, 103, }
5) { − 99, − 98, − 97, , − 1} 6) { 4, 5, 6, 7, 8, 9 }
7) ∅ 8) ∅
9) { − 14, 14 }
10) {ชลบุร,ี ชัยนาท, ชัยภูมิ, ชุมพร, เชียงราย, เชียงใ ม}
2. 1) ตั อยางคําตอบ {x | x เปนจําน นคี่บ กที่นอยก า 10 }
รือ {x∈ | x เปนจําน นคี่ตั้งแต 1 ถึง 9 }
2) ตั อยางคําตอบ {x | x เปนจําน นเต็ม }
3) ตั อยางคําตอบ {x∈ | x มีรากที่ องเปนจําน นเต็ม }
รือ { x | x = n2 และ n เปนจําน นนับ }
4) ตั อยางคําตอบ {x∈ | x ารด ย ิบลงตั }
3) เปนเท็จ
5. 1) เปนเซต าง
2) ไมเปนเซต าง (มี 5 และ 7 เปน มาชิกของเซต)
3) ไมเปนเซต าง (มี 1 เปน มาชิกของเซต)
4) เปนเซต าง
5) ไมเปนเซต าง (มี −2 และ −1 เปน มาชิกของเซต)
6. 1) เซตอนันต 2) เซตจํากัด
3) เซตอนันต 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต 6) เซตอนันต
7. 1) จากโจทย A = { 0, 1, 3, 7 }
และเขียน B แบบแจกแจง มาชิกไดเปน B = { , − 2, − 1, 0, 1, 2, , 9 }
แต −1∉ A
และ B = { 2, 4, 6, 8 }
แต 0∉ B
1 2 3 4
4) จากโจทย เขียน A แบบแจกแจง มาชิกไดเปน A = 0, , , , ,
2 3 4 5
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 133
1 2 3 4
และ B = 0, , , , ,
2 3 4 5
ดังนั้น A=B เพราะ มาชิกทุกตั ของ A เปน มาชิกของ B และ มาชิกทุกตั
ของ B เปน มาชิกของ A
และ B = { 6}
แต −6 ∉ B
C = {ม ก, ร, ค}
D = {ร, ก, ม}
แบบฝก ัด 1.1ข
1. 1) ถูก 2) ผิด
3) ผิด 4) ถูก
5) ถูก 6) ผิด
2. เขียน A และ B แบบแจกแจง มาชิกไดเปน
A = { 2, 4, 6 }
B = { 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 }
และจากโจทย C = { 2, 4 }
4. 1) ∅ และ { 1}
2) ∅ , { 1} , { 2 } และ { 1, 2 }
3) ∅ , { − 1 } , { 0 } , { 1 } , {−1, 0 } , {−1, 1 } , { 0, 1 } และ {−1, 0, 1}
4) ∅ , { x }, { y } และ { x , y }
5) ∅ , { a } , { b } , { c } , { a , b } , { a , c } , { b, c } และ { a , b , c }
6) ∅
แบบฝก ัด 1.1ค
3) จาก ิ่งที่กํา นดใ จะได B ⊂ A และ C ⊂ A โดยที่ B และ C มี มาชิกร มกัน คือ 5
เขียนแผนภาพเ นนแ ดง A, B และ C ไดดังนี้
แบบฝก ัด 1.2
จากแผนภาพ จะได
1) A ∪ B = { 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 } 2) A ∩ B = { 0, 2 }
3) A − B = { 1, 8 } 4) B − A = { 4, 7, 9 }
5) A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9 } 6) B′ = { 1, 3, 5, 6, 8 }
7) A ∪ B′ = { 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8 } 8) A′ ∩ B = { 4, 7, 9 }
2. ใ U = { 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 } , A = { 0, 2, 4, 6, 8 } , B = { 1, 3, 5, 7 } และ
C = { 3, 4, 5, 6 }
8) A∩ B เปนเซต าง
B มี มาชิก คือ 1, 3, 5 และ 7
ดังนั้น ( A ∩ B ) ∪ B = { 1, 3, 5, 7 }
ิธีที่ 2 A และ B ไมมี มาชิกร มกัน
A และ C มี มาชิกร มกัน คือ 4 และ 6
B และ C มี มาชิกร มกัน คือ 3 และ 5
เขียนแผนภาพเ นนแ ดง A, B และ C ไดดังนี้
จากแผนภาพ จะได
1) A∩ B = ∅ 2) B ∪ C = { 1, 3, 4, 5, 6, 7 }
3) B ∩ C = { 3, 5 } 4) A ∩ C = { 4, 6 }
5) C ′ = { 0, 1, 2, 7, 8 } 6) C ′ ∩ A = { 0, 2, 8 }
7) C ′ ∩ B = { 1, 7 } 8) ( A ∩ B ) ∪ B = { 1, 3, 5, 7 }
3. 1) A′ 2) B′ d
3) A′ ∩ B′ 4) ( A ∪ B )′ s
5) A′ ∪ B′ 6) ( A ∩ B )′ s
7) A− B 8) A ∩ B′ d
4. 1) ( A ∪ B) ∪ C 2) A∪(B ∪C) d
3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A∩(B ∩C) s
5. 1) A∩C ก 2) C ∪ B′
3) B−A ก
6. 1) ∅ ก 2) A
3) ∅ ก 4) U
5) U ก 6) ∅
7) A′ ก 8) ∅
แบบฝก ัด 1.3
จําน น มาชิก 34 19 59 60 75 41
จากแผนภาพ จะได
1) n ( A ∪ B ) = 12 + 13 + 17 = 42 2) n ( A − B ) = 12 ก
3) n ( A′ ∩ B′ ) = 8 ป
3. เขียนแผนภาพเพื่อแ ดงจําน น มาชิกของเซตไดดังนี้
จากแผนภาพ จะได
1) n ( A ∪ C ) = 3 + 7 + 10 + 5 + 10 + 5 = 40
2) n ( A ∪ B ∪ C ) = 3 + 7 + 10 + 5 + 10 + 5 + 3 = 43 ก
3) n ( A ∪ B ∪ C )′ = 7 ก
4) n ( B − ( A ∪ C )) = 3 ก
5) n (( A ∩ B ) − C ) = 7 ก
จะได 37 = 18 + 25 − n ( A ∩ B )
n ( A ∩ B ) = 18 + 25 − 37
= 6
ดังนั้น n ( A ∩ B ) = 6
5. จาก n ( A − B ) = 20 และ n ( A ∪ B ) = 80
เขียนแผนภาพเพื่อแ ดงจําน น มาชิกของเซตไดดังนี้
จากแผนภาพ จะได n( B) = n( A ∪ B) − n( A − B)
= 80 − 20
= 60
ดังนั้น n ( B ) = 60
6. ใ U แทนเซตของพนักงานบริ ัทแ ง นึ่งที่ไดรับการ อบถาม
A แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มชา
B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มกาแ
A∪ B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มชา รือกาแ
A∩ B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มทั้งชาและกาแ
จะได n( A ∪ B) = 120
n ( A ) = 60
n ( B ) = 70
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 145
จาก n( A ∪ B) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได 120 = 60 + 70 − n ( A ∩ B )
n( A ∩ B) = 60 + 70 – 120
นั่นคือ n( A ∩ B) = 10
ดังนั้น มีพนักงานที่ชอบดื่มทั้งชาและกาแ 10 คน
n ( A ) = 312
n ( B ) = 180
n ( A′ ∩ B′ ) = 660
ิธีที่ 1 เนื่องจาก A′ ∩ B′ = ( A ∪ B )′
ดังนั้น n ( A′ ∩ B′ ) = n ( A ∪ B )′
จะได n( A ∪ B) = n (U ) − n ( A ∪ B )′
= n (U ) − n ( A′ ∩ B′ )
= 1,000 − 660
= 340
จาก n( A ∪ B) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
นั่นคือ n( A ∩ B) = 152
n ( B ) = 48
n (C ) = 45
n ( A ∩ B ) = 15
n ( B ∩ C ) = 13
n( A ∩ C) = 7
n( A ∩ B ∩ C) = 5
จาก n( A ∪ B ∪ C) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B )
−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
= 37 + 48 + 45 − 15 − 7 − 13 + 5
= 100
n ( A ) = 200
n ( B ) = 250
n (C ) = 300
n ( A ∩ B ) = 50
n ( B ∩ C ) = 40
n ( A ∩ C ) = 30
n( A ∩ B ∩ C) = 0
−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
= 200 + 250 + 300 − 50 − 30 − 40 + 0
= 630
จะได n ( A ∪ B ∪ C )′ = n (U ) − n ( A ∪ B ∪ C )
= 3,000 – 630
นั่นคือ n ( A ∪ B ∪ C )′ = 2,370
แบบฝก ัดทายบท
1. 1) { 48 } ด 2) ∅
3) { 5, 10, 15, } ด 4) { − 2, 0, 2 }
5) { 1, 2, 3, , 10 } ด
2. 1) ตั อยางคําตอบ { x | x = 3n − 2 เมื่อ n∈ และ 1 ≤ n≤ 5}
2) ตั อยางคําตอบ { x∈ | − 20 ≤ x ≤ − 10 }
3) ตั อยางคําตอบ { x | x = 4n + 1 เมื่อ n∈ }
4) ตั อยางคําตอบ { x | x = n เมื่อ n∈ }
3
3. 1) เซตจํากัด 2) เซตอนันต
3) เซตจํากัด 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต
4. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ 4) เปนจริง
5) เปนจริง 6) เปนเท็จ
5. 1) A จ 2) ∅
3) U จ 4) A
5) A จ 6) U
6. 1) เนื่องจาก A ∪ ( B − A ) = A ∪ ( B ∩ A′ )
= ( A ∪ B ) ∩ ( A ∪ A′ )
= ( A ∪ B) ∩U
= A∪ B
ดังนั้น A ∪ B = A ∪ ( B − A)
2) เนื่องจาก A − ( A ∩ B ) = A ∩ ( A ∩ B )′
= A ∩ ( A′ ∪ B′ )
= ( A ∩ A′ ) ∪ ( A ∩ B′ )
= ∅ ∪ ( A ∩ B′ )
= A ∩ B′
ดังนั้น A ∩ B′ = A − ( A ∩ B )
3) เนื่องจาก U − ( A ∪ B ) = U ∩ ( A ∪ B )′
= U ∩ ( A′ ∩ B′ )
= A′ ∩ B′
ดังนั้น A′ ∩ B′ = U − ( A ∪ B )
7. 1) A′ ∩ B ก จ 2) ( A ∩ B′ )′
3) ( A ∪ B′ )′ ก
8. 1) A ∪ ( A − B) ก 2) ( A′ ∩ B ) ∩ C
3) ( A − B )′ ∩ C ก 4) A ∪ (C′ − B )
5) ( A ∩ B′ ) ∪ C ก 6) A′ ∩ ( C ′ ∩ B )
7) A ∪ ( C ′ ∩ B )′ ก
9. 1) { 0, 2, 4, 7, 9, 12, 14 } จ 2) { 1, 4, 6, 9, 12, 15 }
3) { 1, 4, 5, 7, 11, 12 } จ 4) { 4, 9, 12 }
5) { 1, 4, 12 } จ 6) { 4, 7, 12 }
7) { 0, 2, 7, 14 } จ 8) { 1, 5, 6, 11, 15 }
10. เนื่องจาก A∩ B = ∅
จากแผนภาพ จะเ ็น า A ⊂ B′
จากแผนภาพ จะเ ็น า B ⊂ A′
จากแผนภาพ จะเ ็น า A′ ∪ B′ = U
A∪ B
2) จากแผนภาพ จะเ ็น า A∩ B = A
A∩ B
3)
B′ A′
จากแผนภาพ จะเ ็น า B′ ⊂ A′
A ∩ B′
5) จากแผนภาพ จะเ ็น า A′ ∪ B = U
A′ ∪ B
ดังนั้น n ( A) = 167
13.ดใ U แทนเซตของผูป ยที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของผูป ยที่เปนโรคตา
B แทนเซตของผูป ยที่เปนโรค น
A∩ B แทนเซตของผูป ยที่เปนทั้ง องโรค
A′ ∩ B′ แทนเซตของผูป ยที่ไมเปนโรคตาและไมเปนโรค น
จะได n (U ) = 100
n ( A ) = 40
n ( B ) = 20
n( A ∩ B) = 5
ิธีที่ 1 นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
ิธีที่ 2 เนื่องจาก A′ ∩ B′ = ( A ∪ B )′
จะได n ( A ∪ B ) = 40 + 20 − 5
= 55
จาก n ( A ∪ B )′ = n (U ) − n ( A ∪ B )
จะได = 100 − 55
= 45
ดังนั้น มีผูป ยที่ไมเปนโรคตาและไมเปนโรค น 45%
14. ใ U แทนเซตของลูกคาที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมชนิดตั้งโตะ
B แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมชนิดแข นเพดาน
A∩ B แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมทั้ง องชนิด
จะได n (U ) = 100
n ( A ) = 60
n ( B ) = 45
n ( A ∩ B ) = 15
ิธีที่ 1 นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
จากแผนภาพ จะได า
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 157
จะได n ( A ∪ B ) = 60 + 45 − 15
= 90
1) มีลูกคาที่ไมใชพัดลมทั้ง องชนิดนี้เทากับ 100% – 90% = 10%
2) มีลูกคาที่ใชพัดลมชนิดเดีย เทากับ 90% – 15% = 75%
15. ใ U แทนเซตของรถที่เขามาซอมที่อูของแดน
A แทนเซตของรถที่ตองซอมเบรก
B แทนเซตของรถที่ตองซอมระบบทอไอเ ีย
A∪ B แทนเซตของรถที่ตองซอมเบรก รือระบบทอไอเ ีย
( A ∪ B )′ แทนเซตของรถที่มี ภาพปกติ
A∩ B แทนเซตของรถที่ตองซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเ ีย
จะได n (U ) = 50
n ( A ) = 23
n ( B ) = 34
n ( A ∪ B )′ = 6
นั่นคือ n ( A ∪ B ) = 50 − 6 = 44
ิธีที่ 1 ใ x แทนจําน นรถที่ตองซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเ ีย
นั่นคือ n ( A ∩ B ) = x
นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
1) จากแผนภาพ จะได า
44 = ( 23 − x ) + x + ( 34 − x )
44 = 57 − x
จะได x = 13
ิธีที่ 2 1) จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได 44 = 23 + 34 − n ( A ∩ B )
n ( A ∩ B ) = 23 + 34 − 44
นั่นคือ n ( A ∩ B ) = 13
B ∩C แทนเซตของผูใชบริการขน งทางรถยนตและเรือ
A∩C แทนเซตของผูใชบริการขน งทางรถไ และเรือ
A∩ B ∩C แทนเซตของผูใชบริการขน งทั้งทางรถไ รถยนต และเรือ
( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของผูใชบริการขน งอื่น ๆ ที่ไมใชทางรถไ รถยนต รือเรือ
A∪ B ∪C แทนเซตของผูใชบริการขน งทางรถไ รถยนต รือเรือ
จะได n ( A ) = 100
n ( B ) = 150
n ( C ) = 200
n ( A ∩ B ) = 50
n ( B ∩ C ) = 25
n( A ∩ C) = 0
n( A ∩ B ∩ C) = 0
n ( A ∪ B ∪ C )′ = 30
−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 100 + 150 + 200 − 50 − 0 − 25 + 0
= 375
จาก n ( A ∪ B ∪ C )′ = 30
จะได n (U ) = n ( A ∪ B ∪ C ) + n ( A ∪ B ∪ C )′
= 375 + 30
= 405
ดังนั้น มีผูใชบริการขน งที่เขาร มการ ําร จทั้ง มด 405 คน
17. ใ U แทนเซตของคนทํางานที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปา
B แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการไปทะเล
C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเลน นน้ํา
A∩ B แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปาและการไปทะเล
A∩C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปาและการเลน นน้ํา
B ∩C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการไปทะเลและการเลน นน้ํา
A∩ B ∩C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบทั้งการเดินปา การไปทะเล
และการเลน นน้ํา
จะได n ( A ) = 35
n ( B ) = 57
n ( C ) = 20
n( A ∩ B) = 8
n ( A ∩ C ) = 15
n(B ∩ C) = 5
n( A ∩ B ∩ C) = 3
นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
จากแผนภาพ จะได า
1) มีคนที่ชอบการไปทะเล รือชอบการเลน นน้ํา เทากับ
5% + 47% + 12% + 3% + 2% + 3% = 72%
2) มีคนที่ชอบการเดินปา รือชอบการไปทะเล เทากับ
15% + 5% + 47% + 12% + 3% + 2% = 84%
3) มีคนที่ชอบทํากิจกรรมเพียงอยางเดีย เทากับ 15% + 47% + 3% = 65%
4) มีคนที่ไมชอบการเดินปา รือไปทะเล รือเลน นน้ํา 13%
18. ใ U แทนเซตของประชาชนที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียน
B แทนเซตของคนที่ชอบมังคุด
C แทนเซตของคนที่ชอบมะม ง
A∩ B แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียนและมังคุด
B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบมังคุดและมะม ง
A∩C แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียนและมะม ง
A∩ B ∩C แทนเซตของคนที่ชอบผลไมทั้ง ามชนิดนี้
จะได n ( A ) = 720
n ( B ) = 605
n ( C ) = 586
n ( A ∩ B ) = 483
n ( B ∩ C ) = 470
n ( A ∩ C ) = 494
n ( A ∩ B ∩ C ) = 400
นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
จากแผนภาพ จะได า
1) มีคนที่ชอบมังคุดอยางเดีย 52 คน
2) มีคนที่ชอบผลไมอยางนอย นึ่งชนิดใน ามชนิดนี้ เทากับ
143 + 83 + 52 + 94 + 400 + 70 + 22 = 864 คน
3) มีคนที่ไมชอบผลไมชนิดใดเลยใน ามชนิดนี้ 136 คน
19. ใ U แทนเซตของนักเรียนที่เขาร มการ ําร จ
A แทนเซตของนักเรียนที่ชอบ ิชาคณิต า ตร
B แทนเซตของนักเรียนที่ชอบ ิชา ิก
C แทนเซตของนักเรียนที่ชอบ ิชาภา าไทย
( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของนักเรียนที่ไมชอบ ิชาใดเลยใน าม ิชานี้
จะได n ( A ) = 56
n ( B ) = 47
n ( C ) = 82
n ( A ∪ B ∪ C )′ = 4
นั่นคือ n ( A ∪ B ∪ C ) = 100 − 4 = 96
จากแผนภาพ จะได า
96 = ( 56 − x − y − k ) + ( 47 − x − z − k )
+ ( 82 − y − z − k ) + x + y + z + k
96 = 185 − x − y − z − 2k
89 = ( x + y + z ) + 2k
เนื่องจาก มีนักเรียนที่ชอบเพียง 2 ิชาเทานั้น จําน น 71%
นั่นคือ x + y + z = 71
จะได 89 = 71 + 2k
2k = 18
ดังนั้น k =9
จะได า
( 56 − x − y − k ) + ( 47 − x − z − k ) + (82 − y − z − k )
= 185 − 2 x − 2 y − 2 z − 3k
= 185 − 2 ( x + y + z ) − 3k
= 185 − 2 ( 71) − 3 ( 9 )
= 185 − 142 − 27
= 16
ดังนั้น มีนักเรียนที่ชอบเพียง ิชาเดีย เทานั้น จําน น 16 %
ิธีที่ 2 นําขอมูลทั้ง มดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
จาก n( A ∪ B ∪ C) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B )
−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได 96 = 56 + 47 + 82 − ( x + k ) − ( y + k ) − ( z + k ) + k
x + y + z + 2k = 89
71 + 2k = 89
2k = 18
k = 9
A∩ B แทนเซตของคนที่มี มูเลือด AB
A− B แทนเซตของคนที่มี มูเลือด A
B−A แทนเซตของคนที่มี มูเลือด B
( A ∩ Rh ) − B แทนเซตของคนที่มี มูเลือด A+
( B ∩ Rh ) − A แทนเซตของคนที่มี มูเลือด B+
A ∩ B ∩ Rh แทนเซตของคนที่มี มูเลือด AB +
จะได n ( A ) = n ( A+ ) + n ( A− ) + n ( AB ) = 29
n ( B ) = n ( B + ) + n ( B − ) + n ( AB ) = 39
n ( A ∩ B ) = n ( AB ) = 9
n ( ( A ∩ Rh ) − B ) = n A ( )
+
= 18
n ( ( B ∩ Rh ) − A ) = n(B )
+
= 29
n ( A ∩ B ∩ Rh ) = n ( AB )+
= 8
n ( Rh − ( A ∪ B ) ) = n (O )
+
= 40
แบบฝก ัด 2.1
แบบฝก ัด 2.2
จะได ( p q ) ( p q ) เปนจริง
ดังนั้น ( p q ) ( p q ) มีคาค ามจริงเปนจริง
3. 1) ใ p แทน งูเ าเปน ัต มีพิ
q แทน งูจงอางเปน ัต มีพิ
ประพจนที่กํา นดใ อยูในรูป p q
q แทน 1 ⊂ { 1, 2 }
แบบฝก ัดทายบท
2) ใ p แทน บุคคลตองรับผิดในทางอาญา
q แทน บุคคลไดกระทําโดยเจตนา
ดังนั้น ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป p q
3) ใ p แทน าครมีเงิน
q แทน าครมีเพื่อนรายลอม
r แทน าครมีค าม ุข
ดังนั้น ขอค ามที่กํา นดใ อยูในรูป p q r
6) ใ p แทน ตนปลอมธนบัตร
q แทน ตนแปลงธนบัตร
r แทน ตนไดรับโท จําคุก 20 ป
4. ตั อยางคําตอบ
ไมเปนจําน นตรรกยะ
นิดาและนัดดาเปนนักเรียนชั้นมัธยม ึก าปที่ 4
รูป ี่เ ลี่ยมอาจเปนรูป ี่เ ลี่ยมมุมฉาก รือรูป ี่เ ลี่ยมดานขนานก็ได
รู ป ามเ ลี่ ย ม ABC เป น รู ป ามเ ลี่ ย มด า นเท า ก็ ต อ เมื่ อ รู ป ามเ ลี่ ย ม ABC
มีดานยา เทากันทุกดาน
5. 1) จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง
จาก p q เปนจริง และ เปนเท็จ จะได ( p
r q) r เปนจริง
ดังนั้น ( p q ) r มีคาค ามจริงเปนจริง
2) จาก q เปนจริง จะได q เปนเท็จ
จาก q เปนเท็จ และ r เปนเท็จ จะได q r เปนเท็จ
จาก q r เปนเท็จ และ เปนจริง จะได ( q
p r) p เปนเท็จ
ดังนั้น ( q r ) p มีคาค ามจริงเปนเท็จ
3) จาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ
และจาก r เปนเท็จ จะได r p เปนจริง
ดังนั้น r p มีคาค ามจริงเปนจริง
4) จาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ
จาก r เปนเท็จ จะได r เปนจริง จะได p r เปนจริง
ดังนั้น p r มีคาค ามจริงเปนจริง
5) จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p q เปนจริง
จาก q เปนจริง และ r เปนเท็จ จะได q r เปนเท็จ
จาก p q เปนจริง และ q r เปนเท็จ จะได ( p q) (q r) เปนเท็จ
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
174 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4
q แทนประพจน −2 −3
q แทนประพจน A−∅ =U
รุงนภา
ธนา
เม า
กมล
ทิ า
เม าจะไมไดรับเงินราง ัล
กมลจะไดรับเงินราง ัล 70,000 × 2 = 140,000 บาท
และทิ าจะไดรับเงินราง ัล 200,000 × 4 = 800,000 บาท
10. แ ดงคุณ มบัติของผูกูกับเงื่อนไขของการกูเงินดังตารางตอไปนี้
เงื่อน ข ผูกูตองมี าผูกูมีคู มร ผูกูตองมีเงินเ ลือ
เงินเดือน แล ผูกูและคู มร ลัง ักคาใชจายใน
มนอยก า ตองมีเงินเดือนร มกัน แตละเดือน
ชื่อผูกู 30,000 บาท มนอยก า 70,000 บาท มากก า 5,000 บาท
ั ญา
ญ
ก ิน
มานแก ไมมีคู มร
บทที่ 3 ลักการนับเบื้องตน
แบบฝก ัด 3.1
แบบฝก ัด 3.2
1. เนื่องจากมี นัง ือคณิต า ตร 2 เลม นัง ือภา าไทย 3 เลม นัง ือภา าอังก 4 เลม
นั่นคือ มี นัง ือทั้ง มด 9 เลม ที่แตกตางกันทั้ง มด
ดังนั้น ถานํา นัง ือทั้ง 9 เลม มา างเรียงบนชั้น าง นัง ือชั้น นึ่ง ทําได
9! = 9 × 8 × 7 × 6 × 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 362,880 ิธี
8!
2. 1) P8, 4 =
(8 − 4)!
8!
=
4!
8 × 7 × 6 × 5 × 4!
=
4!
= 1,680
10!
2) P10, 2 =
(10 − 2)!
10!
=
8!
10 × 9 × 8!
=
8!
= 90
5!
3) P5, 5 =
(5 − 5)!
5!
=
0!
5 × 4 × 3 × 2 ×1
=
1
= 120
7!
4) P7, 0 =
(7 − 0)!
7!
=
7!
= 1
3. ิธีที่ 1 จากการเรียง ับเปลี่ยน จะได
4!
P4, 3 =
(4 − 3)!
4!
=
1!
= 24
ดังนั้น จะมี ิธี รางจําน นที่แตกตางกันทั้ง มด 24 จําน น
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
184 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4
แบบฝก ัด 3.3
4. 1) เนื่องจากในตะกรามีเงาะ 8 ผล ม 4 ผล และมังคุด 2 ผล
ดังนั้น ตะกราใบนี้มีผลไมร มทั้ง ิ้น 14 ผล
การ ยิบผลไม 4 ผล จะตองเลือกผลไม 4 ผล จากตะกราที่มีผลไม 14 ผล
ดังนั้น จะมีจําน น ิธีในการเลือก ยิบผลไมโดยที่ไมมีเงื่อนไขเพิ่มเติม
14! 14! 14 × 13 × 12 × 11 × 10!
C14, 4 = = = = 1,001 ิธี
(14 − 4)! 4! 10! 4! 10! (4 × 3 × 2 × 1)
3) เนื่องจากในตะกรามีเงาะ 8 ผล ม 4 ผล และมังคุด 2 ผล
ดังนั้น ตะกราใบนี้มีผลไมอื่น ๆ ที่ไมใช มร มทั้ง ิ้น 10 ผล
การ ยิบผลไม 4 ผล โดยที่ไมมี ม จะตองเลือกผลไม 4 ผล จากตะกราที่มีผลไมอื่น ๆ
ที่ไมใช ม 10 ผล
ดังนั้น จะมีจําน น ิธีในการเลือก ยิบผลไมที่ไมมี มเลย
10! 10! 10 × 9 × 8 × 7 × 6!
C10, 4 = = = = 210 ิธี
(10 − 4)! 4! 6! 4! 6! (4 × 3 × 2 × 1)
5! 3! 3!
ทั้ง มด C5, 1 × C3, 1 × C3, 1 = × × = 5 × 3 × 3 = 45 ิธี
4!1! 2!1! 2!1!
แบบฝก ัดทายบท
ขั้นตอนที่ 2 ตั ที่ 2 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 25 ิธี จากตั อัก รทั้ง มด
ที่ไมซ้ํากับตั ที่ 1
ขั้นตอนที่ 3 ตั ที่ 3 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 25 ิธี จากตั อัก รทั้ง มดที่
ไมซ้ํากับตั ที่ 2
ขั้นตอนที่ 4 ตั ที่ 4 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 25 ิธี จากตั อัก รทัง้ มดที่
ไมซ้ํากับตั ที่ 3
ขั้นตอนที่ 5 ตั ที่ 5 เลือกตั อัก รภา าอังก ได 25 ิธี จากตั อัก รทั้ง มดที่
ไมซ้ํากับตั ที่ 4
จาก ลักการคูณ จึงได า มี ิธี รางคําที่ไมคํานึงค าม มาย ซึ่งประกอบด ยตั อัก ร
ภา าอังก 5 ตั โดยที่ตั อัก ร 2 ตั ที่ติดกันตองแตกตางกันทั้ง มด
26 × 25 × 25 × 25 × 25 = 10,156, 250 ิธี
5. 1) ร ั ประจําตั พนักงานในบริ ัทแ งนี้ ที่มีเลขโดดซ้ํากันได ประกอบด ย 2 น ดังนี้
นที่ 1 ตั อัก รภา าอังก 1 ตั มีได 26 แบบ
นที่ 2 เลขโดด 3 ตั ที่ไมเปน ูนยพรอมกัน มีได 999 แบบ
จาก 001 ถึง 999
จาก ลักการคูณ จึงได า ร ั ประจําตั พนักงานในบริ ัทแ งนี้ ที่มีเลขโดดซ้ํากันได
มีทั้ง มด 26 × 999 = 25,974 ร ั
ที่ไมซ้ํากับเลขโดดใน ลักรอย
ขั้นตอนที่ 3 ลัก น ย เลือกเลขโดดได 4 ิธี จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, 4, 5
ที่ไมซ้ํากับเลขโดดใน ลักรอย
และ ลัก ิบ
จาก ลักการคูณ จึงได า จําน น าม ลักที่มากก า 300 จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, 4 และ 5
บทที่ 4 ค ามนาจะเปน
แบบฝก ัด 4.1
1. ใ S1 , S 2 , S3 , S 4 และ S5 เปนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมในขอ 1), 2), 3), 4)
และ 5) ตามลําดับ
1) เนื่องจากในการ ยิบลูกอม 1 เม็ด จากถุงที่กํา นดใ จะ ยิบไดลูกอมร ม
ร องุน ร มะนา รือร กาแ
ดังนั้น S1 = {ร ม, ร องุน, ร มะนา , ร กาแ }
2. ใ H แทนเ รียญขึ้น ั
T แทนเ รียญขึ้นกอย
จะได ผลลัพธที่ไดจากการโยนเ รียญ นึ่งเ รียญ องครั้งที่เปนไปได คือ HH, HT, TH, TT
1) ใ S เปนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุม
จะได S = { HH , HT , TH , TT }
H1
H2
H3
H
H4
H5
H6
T1
T2
T3
T
T4
T5
T6
เมื่อ i ∈ {1, 2, 3, 4, 5, 6}
นั่นคือ E5 = S
แบบฝก ัด 4.2
1. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 30
1) ใ E1 แทนเ ตุการณที่จับ ลากไดเปนชื่อของนักเรียนชาย
นั่นคือ n ( E2 ) = 12
จะได P ( E ) = 12 = 2
2
30 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนของเ ตุการณที่จับ ลากชื่อของนักเรียน นึ่งคนไดเปน
2
ชื่อของนักเรียน ญิง เทากับ
5
2. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 6
1) ใ E1 แทนเ ตุการณที่จะไดเบี้ยที่มี มายเลขเปนจําน นเฉพาะ
จะได P ( E ) = 100 = 1
1
100
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นเต็มบ ก เทากับ 1
จะมี ิธี ยิบเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ลงตั ได 20 ิธี
นั่นคือ n( E3 ) = 20
20 1
จะได P ( E3 ) = =
100 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ลงตั
1
เทากับ
5
4) ิธีที่ 1 ใ E4 แทนเ ตุการณที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่
ารด ย 5 ไมลงตั
จากขอ 3) มีเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ลงตั 20 เ รียญ
ดังนั้น มีเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ไมลงตั 80 เ รียญ
จะมี ิธี ยิบเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่ ารด ย 5 ไมลงตั ได 80 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 80
4
80 4
จะได P ( E4 ) = =
100 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่
4
ารด ย 5 ไมลงตั เทากับ
5
ิธีที่ 2 ใ E4 แทนเ ตุการณที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่
ารด ย 5 ไมลงตั
เนื่องจาก ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญทีม่ ี มายเลขเปนจําน นที่
1
ารด ย 5 ลงตั เทากับ
5
จะได P ( E ) = 1 − 1 = 4
4
5 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดเ รียญที่มี มายเลขเปนจําน นที่
4
ารด ย 5 ไมลงตั เทากับ
5
4. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n( S ) = 20
จะได P ( E ) = 15 = 3
1
20 4
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะ ยิบไดลูกปงปอง ีแดง เทากับ
4
2) ใ E2 แทนเ ตุการณที่ ยิบไมไดลูกปงปอง ีดํา
เนื่องจากมีลูกปงปอง ีอื่นที่ไมใช ีดําอยู 19 ลูก
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
206 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะได ลอดดี 1 ลอด และ ลอดเ ีย 1 ลอด เทากับ
5
6. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C = 64, 2
แบบฝก ัดทายบท
1. ใ H แทนเ รียญขึ้น ั
T แทนเ รียญขึ้นกอย
1) ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากผลลัพธที่เปนไปไดจากการโยนเ รียญ นึ่งเ รียญ ามครั้ง คือ HHH,
HHT, HTH, HTT, THH, THT, TTH และ TTT
2. ใ R แทนลูกบอล ีแดง
W แทนลูกบอล ีขา
G แทนลูกบอล ีเขีย
1) ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
เนื่องจากผลลัพธที่เปนไปไดจากการ ยิบลูกบอลทีละลูกแล ใ คืนกอน ยิบ
ลูกบอลลูกที่ อง จากกลองที่บรรจุลูกบอล ีแดง 1 ลูก ีขา 1 ลูก และ ีเขีย 1 ลูก
จะได P ( E1 ) = 212 = 53
1000 250
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคเ นือ
53
เทากับ
250
2) ใ E2 แทนเ ตุการณที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคกลาง
จากตาราง มีใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคกลาง 389 ใบ นั่นคือ n( E2 ) = 389
จะได P ( E2 ) = 389
1000
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคกลาง
389
เทากับ
1000
3) ใ E3 แทนเ ตุการณที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคตะ ันออก
จากตาราง มีใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคตะ ันออก 124 ใบ นั่นคือ n( E3 ) = 124
จะได P ( E3 ) = 124 = 31
1000 250
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคตะ ันออก
31
เทากับ
250
4) ใ E4 แทนเ ตุการณที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาค
ตะ ันออกเฉียงเ นือ
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
214 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4
จะได P ( E4 ) = 105 = 21
1000 200
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาค
21
ตะ ันออกเฉียงเ นือเทากับ
200
5) ใ E5 แทนเ ตุการณที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาค ใต
จากตาราง มีใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคใต 170 ใบ นั่นคือ n( E5 ) = 170
จะได P ( E5 ) = 170 = 17
1000 100
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ใบ ั่งซื้อ ินคาที่ ุมมาจะเปนใบ ั่งซื้อ ินคาจากภาคใต
17
เทากับ
100
4. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 100
1) ใ E1 แทนเ ตุการณที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 7
จะได P ( E1 ) = 35 = 7
100 20
7
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 7 เทากับ
20
2) ใ E2 แทนเ ตุการณที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเล็กก าเบอร 8
จากตาราง มีนักเรียนที่ มรองเทาขนาดเล็กก าเบอร 8 อยู 3 + 12 + 35 = 50 คน
นั่นคือ n ( E2 ) = 50
จะได P ( E2 ) = 50 = 1
100 2
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 215
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเล็กก าเบอร 8 เทากับ
2
3) ใ E3 แทนเ ตุการณที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 8 รือ 9
จากตาราง มีนักเรียนที่ มรองเทาขนาดเบอร 8 รือ 9 อยู 27 + 16 = 43 คน
นั่นคือ n ( E3 ) = 43
จะได P ( E3 ) = 43
100
43
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 8 รือ 9 เทากับ
100
4) ใ E4 แทนเ ตุการณที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 5 รือ 10
จากตาราง มีนักเรียนที่ มรองเทาขนาดเบอร 5 รือ 10 อยู 3 + 7 = 10 คน
นั่นคือ n ( E4 ) = 10
จะได P ( E4 ) = 10 = 1
100 10
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาเบอร 5 รือ 10 เทากับ
10
5) ใ E5 แทนเ ตุการณที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาใ ญก าเบอร 10
จากตาราง ไมมีนักเรียนที่ มรองเทาใ ญก าเบอร 10
นั่นคือ n ( E5 ) = 0
จะได P ( E5 ) = 0
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคน นึ่งจะ มรองเทาใ ญก าเบอร 10 เทากับ 0
5. ใ S เปนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุม
จากตาราง มีจําน นพนักงานขายทั้ง มด 30 + 50 + 80 + 70 + 20 = 250 คน
จะได n ( S ) = 250
จะได P ( E1 ) = 50 = 1
250 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนทีพ่ นักงานขายคน นึ่งจะขาย ินคาไดตั้งแต 10,000 ถึง
1
19,999 บาท เทากับ
5
2) ใ E2 แทนเ ตุการณที่พนักงานคน นึ่งจะขาย ินคาไดนอยก า 20,000 บาท
จากตาราง จําน นพนักงานขายที่ขาย ินคาไดนอยก า 20,000 บาท
เทากับ 30 + 50 = 80 คน
นั่นคือ n( E2 ) = 80
จะได P ( E2 ) = 80 = 8
250 25
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่พนักงานขายคน นึ่งจะขาย ินคาไดนอยก า 20,000 บาท
8
เทากับ
25
3) ใ E3 แทนเ ตุการณที่พนักงานคน นึ่งจะขาย ินคาไดต่ําก า 10,000 บาท
รืออยางนอย 40,000 บาท
จากตาราง จําน นพนักงานขายที่ขาย ินคาไดต่ําก า 10,000 บาท เทากับ 30 คน
และจําน นพนักงานที่ขาย ินคาไดอยางนอย 40,000 บาท เทากับ 20 คน
จะได า จําน นพนักงานที่ขาย ินคาไดต่ําก า 10,000 บาท รืออยางนอย
40,000 บาท เทากับ 30 + 20 = 50 คน
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 217
นั่นคือ n( E3 ) = 50
จะได P ( E3 ) = 50 = 1
250 5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่พนักงานขายคน นึ่งจะขาย ินคาไดต่ําก า 10,000 บาท
1
รืออยางนอย 40,000 บาท เทากับ
5
6. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n( S ) = 10
30 5
จะได P ( E2 ) = =
36 6
5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่แตมบน นาลูกเตาทั้ง องไมซ้ํากัน เทากับ
6
11. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n( S ) = 6 × 6 = 36
ใ E แทนเ ตุการณที่ผูประชุมเขาและออกประตูที่ตางกัน
ขั้นที่ 1 เลือกประตูเขา ได 6 ิธี
ขั้นที่ 2 เลือกประตูออกที่ไมซ้ํากับประตูเขา ได 5 ิธี
โดย ลักการคูณ จําน น ิธีที่ผูประชุมเขาและออกประตูที่ตางกัน ได 6 × 5 = 30 ิธี
นั่นคือ n ( E ) = 30
30 5
จะได P(E) = =
36 6
5
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ผูเขาประชุมคน นึ่งจะเขาและออกประตูที่ตางกัน เทากับ
6
12. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n( S ) = 5
ใ E แทนเ ตุการณที่นักเรียนคนนี้จะตอบผิด
เนื่องจากจําน น ิธีที่นักเรียนคนนี้จะตอบถูก มีได 1 ิธี
ดังนั้น จําน น ิธที ี่นักเรียนคนนี้จะตอบผิด มีได 5 – 1 = 4 ธิ ี นั่นคือ n ( E ) = 4
4
จะได P(E) =
5
4
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่นักเรียนคนนี้จะตอบผิด เทากับ
5
219 73
จะได P(E) = =
435 145
73
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะเลือกไดนักเรียนทั้ง องคนเปนเพ เดีย กัน เทากับ
145
18. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C = 45 10, 2
1) ใ E1 แทนเ ตุการณทพ
ี่ นักงานที่ถูกเลือกเปนกรรมการเปนชาย นึ่งคนและ ญิง นึ่งคน
ขั้นที่ 1 มี ิธีที่จะเลือกพนักงานชายเปนกรรมการ 1 คน ได C7, 1 = 7 ิธี
ขั้นที่ 2 มี ิธีที่จะเลือกพนักงาน ญิงเปนกรรมการ 1 คน ได C3, 1 = 3 ิธี
โดย ลักการคูณ มี ิธีที่จะเลือกกรรมการเปนชาย นึ่งคนและ ญิง นึ่งคนได
7 × 3 = 21 ิธี
นั่นคือ n ( E1 ) = 21
21 7
จะได P ( E1 ) = =
45 15
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่พนักงานที่ถูกเลือกเปนกรรมการเปนชาย นึ่งคนและ ญิง นึ่งคน
7
เทากับ
15
2) ใ E2 แทนเ ตุการณทพี่ นักงานที่ถูกเลือกเปนกรรมการเปน ญิงอยางนอย นึ่งคน
กรณีที่ 1 กรรมการเปนผู ญิง นึ่งคน มี ิธีเลือกได C3, 1 × C7, 1 = 3 × 7 = 21 ิธี
กรณีที่ 2 กรรมการเปนผู ญิงทั้ง องคน มี ิธีเลือกได C3, 2 = 3 ิธี
โดย ลักการบ ก มี ิธีที่จะเลือกกรรมการเปน ญิงอยางนอย นึ่งคนได
21 + 3 = 24 ิธี
นั่นคือ n ( E2 ) = 24
24 8
จะได P ( E2 ) = =
45 15
42 14
จะได P ( E3 ) = =
45 15
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่พนักงานที่ถูกเลือกเปนกรรมการเปนชายอยางนอย นึ่งคน
14
เทากับ
15
19. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C = 10 5, 3
2 1
จะได P(E) = =
10 5
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะ ยิบบัตรไดผลร มของแตมบนบัตรมากก า 10 เทากับ
5
20. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = 40
ใ E แทนเ ตุการณที่ไดนักกี าที่มีฝาแฝด
เนื่องจากมีนักกี าที่มีฝาแฝด 3 คู ซึ่ง มายถึงมีนักกี า 6 คนที่มีฝาแฝด
นั่นคือ n ( E ) = 6
6 3
จะได P(E) = =
40 20
3
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะ ุมไดนักกี าที่มีฝาแฝด เทากับ
20
21. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = C12, 4 = 12 × 11× 10 × 9
4 × 3× 2
ใ E แทนเ ตุการณที่ไดเงาะ 2 ผล และ มกับชมพูอยางละ 1 ผล
4×3
ขั้นที่ 1 มี ิธีที่จะ ยิบไดเงาะ 2 ผล จะได C4, 2 = ิธี
2
ขั้นที่ 2 มี ิธีที่จะ ยิบได ม 1 ผล จะได C3, 1 = 3 ิธี
ขั้นที่ 3 มี ิธีที่จะ ยิบไดชมพู 1 ผล จะได C5, 1 = 5 ิธี
โดย ลักการคูณ มี ิธีที่จะ ยิบผลไมจากตะกรา 4 ผล พรอมกัน โดยไดเงาะ 2 ผล
4×3
และ มกับชมพูอยางละ 1 ผล × 3× 5 ิธี
2
นั่นคือ n ( E ) = 4 × 3 × 3 × 5
2
4×3 4 × 3× 2
จะได P(E) = × 3× 5×
2 12 × 11 × 10 × 9
มี ิธีไดบัตร องใบที่มี มายเลขเดีย กัน 5 ิธี คือ (2, 2), (5, 5), (6, 6), (7, 7)
และ (8, 8)
นั่นคือ n ( E1 ) = 5
5 1
จะได P ( E1 ) = =
25 5
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขเดีย กัน เทากับ
5
2) ใ E2 แทนเ ตุการณที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขไมซ้ํากัน
เนื่องจาก มี ิธี ยิบไดบัตร องใบที่มี มายเลขซ้ํากัน 5 ิธี
ดังนั้น มี ิธี ยิบบัตรไดบัตร องใบที่มี มายเลขไมซ้ํากัน 25 − 5 = 20 ธิ ี
นั่นคือ n ( E2 ) = 20
20 4
จะได P ( E2 ) = =
25 5
4
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขไมซ้ํากัน เทากับ
5
3) ใ E3 แทนเ ตุการณที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขเปนจําน นคู
เนื่องจาก บัตรที่มี มายเลขเปนจําน นคูมี 3 ใบ คือ 2, 6 และ 8
นั่นคือ n ( E ) = C3 3, 1 × C3, 1 = 9
9
จะได P ( E3 ) =
25
9
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ไดบัตรทั้ง องใบมี มายเลขเปนจําน นคู เทากับ
25
4) ใ E4 แทนเ ตุการณที่ไดบัตรที่มีผลบ กของ มายเลขบน นาบัตรทั้ง องเปนจําน นคู
ในการ ยิบใ ไดบัตรที่มีผลบ กของ มายเลขบน นาบัตรทั้ง องเปนจําน นคู
เปนได 2 กรณี
กรณีที่ 1 มายเลขบน นาบัตรทั้ง องเปนจําน นคู
จําน นคู จําน นคู
ใบที่ 1 ใบที่ 2
มี ิธี ยิบไดบัตร องใบมี มายเลขเปนจําน นคู C3, 1 × C3, 1 = 9 ิธี
กรณีที่ 2 มายเลขบน นาบัตรทั้ง องเปนจําน นคี่
จําน นคี่ จําน นคี่
ใบที่ 1 ใบที่ 2
มี ิธี ยิบไดบัตร องใบมี มายเลขเปนจําน นคี่ C2, 1 × C2, 1 = 4 ิธี
โดย ลักการบ ก จะมี ิธี ยิบไดบัตรที่มีผลบ กของ มายเลขบนบัตรทั้ง องเปน
จําน นคู 9 + 4 = 13 ิธี
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 231
นั่นคือ n ( E4 ) = 13
13
จะได P ( E4 ) =
25
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่ ยิบไดบัตรที่มีผลบ กของ มายเลขบน นาบัตรทั้ง อง
13
เปนจําน นคู เทากับ
25
24. ใ S แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุมนี้
จะได n ( S ) = P = 20 × 19 × 18 × 17
20, 4
นั่นคือ n ( E ) = C
1 26, 2 = 13 × 25
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
232 คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4
13 × 25 25
จะได P ( E1 ) = =
26 × 51 102
25
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดไพ ีแดงทั้ง องใบ เทากับ
102
2) ใ E2 แทนเ ตุการณที่ไดไพโพดําและโพแดง
นั่นคือ n ( E ) = C 2 13, 1 × C13, 1 = 13 × 13
13 × 13 13
จะได P ( E2 ) = =
26 × 51 102
13
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดไพโพดําและโพแดง เทากับ
102
3) ใ E3 แทนเ ตุการณที่ไดไพ J ทั้ง องใบ
นั่นคือ n ( E ) = C 3 4, 2 =6
6 1
จะได P ( E3 ) = =
26 × 51 221
1
ดังนั้น ค ามนาจะเปนที่จะไดไพ J ทั้ง องใบ เทากับ
221
26. ใ S1 แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุม ยิบ ลาก 2 ใบ โดยใ ลากคืนกอนจะ
ยิบ ลากใบที่ อง
จะได n ( S ) = C × C = 100
1 10, 1 10, 1
นั่นคือ n ( E1 ) = 9
9
จะได P ( E1 ) = = 0.09
100
ใ S2 แทนปริภูมิตั อยางของการทดลอง ุม ยิบ ลาก 2 ใบ โดยไมใ ลากคืนกอนจะ
ยิบ ลากใบที่ อง
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร ชัน้ มัธยม ึก าปที่ 4 233
จะได n ( S ) = C × C = 90
2 10, 1 9, 1
นั่นคือ n ( E2 ) = 8
8
จะได P ( E2 ) = 0.089
90
เนื่องจาก P ( E1 ) P ( E2 )
แ ลงเรียนรูเพิ่มเติม
forvo.com เปนเ ็บไซตที่ร บร มการออกเ ียงคําในภา าตาง ๆ กอตั้งขึ้นเมื่อ ค. . 2008
โดยมีจุดมุง มายเพื่อพัฒนาการ ื่อ ารทางการพูด ผานการแลกเปลี่ยนการออกเ ียงคําในภา า
ตาง ๆ ทั้งจากบุคคลที่เปนเจาของภา าและบุคคลที่ไมใชเจาของภา า forvo.com ไดรับคัดเลือก
จากนิตย าร Times ใ เปน 50 เ ็บไซตที่ดีที่ ุดใน ค. . 2013 (50 best websites of 2013) ปจจุบัน
เ ็บไซตนี้เ ปนฐานขอมูลที่ร บร มการออกเ ียงที่ใ ญที่ ุด มีคลิปเ ียงที่แ ดงการออกเ ีย ง
คํา ัพทประมาณ ี่ลานคําในภา าตาง ๆ มากก า 330 ภา า
บรรณานุกรม
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2524). คูมือครู ิชาคณิต า ตร ค 012 ตาม
ลัก ูตรมัธยม ึก าตอนปลาย พุทธ ักราช 2524 ของกระทร ง ึก าธิการ. กรุงเทพ :
โรงพิมพคุรุ ภาลาดพรา .
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2558). คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร
เลม 1 ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 – 6 กลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร ตาม ลัก ูตรแกนกลาง
การ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ ก ค. ลาดพรา .
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2556). คูมือครูราย ิชาพื้นฐานคณิต า ตร
เลม 2 ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 – 6 กลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร ตาม ลัก ูตรแกนกลาง
การ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ ก ค. ลาดพรา .
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2554). คูมือครูราย ิชาเพิ่มเติมคณิต า ตร
เลม 4 ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 – 6 กลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร ตาม ลัก ูตรแกนกลาง
การ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ ก ค. ลาดพรา .
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2557). คูมือครูราย ิชาเพิ่มเติมคณิต า ตร
เลม 1 ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 – 6 กลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร ตาม ลัก ูตรแกนกลาง
การ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ ก ค. ลาดพรา .
ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี. (2561). นัง ือเรียนราย ิชาพื้นฐาน
คณิต า ตร ชั้นมัธยม ึก าปที่ 4 ตามผลการเรียนรูกลุม าระการเรียนรูคณิต า ตร
(ฉบับปรับปรุง พ. . 2560) ตาม ลัก ูตรแกนกลางการ ึก าขั้นพื้นฐาน พุทธ ักราช
2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ ก ค. ลาดพรา .
คณะผูจัดทํา
คณะที่ปรึก า
ดร.พรพรรณ ไ ทยางกูร ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ร .ดร. ัญญา มิตรเอม ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร. ุพัตรา ผาติ ิ ันติ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คณะผูจัดทําคูมือครู
นาง า ปฐมาภรณ อ ชัย ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า อัมริ า จันทนะ ิริ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นายท ธรรม เมขลา ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นายพัฒนชัย ร ิ รรณ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า ภิญญดา กลับแก ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร. ิ รรณ เมลืองนนท ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร. ุธาร นิลรอด ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาย มภพ รี ิทธิไพบูลย ม า ิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
นายธีร รรค ขันธ ิทย นัก ิชาการอิ ระ
นายอัฐ ิช นริ ยาพร นัก ิชาการอิ ระ
คณะผูพิจารณาคูมือครู
นายประ าท อาน ง ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ร .ดร. มพร ูตินันทโอภา ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ร .ดร. ิริพร ทิพยคง ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า จินตนา อารยะรัง ฏ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า จําเริญ เจีย าน ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาย ุเทพ กิตติพิทัก ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร.อลงกรณ ตั้ง ง นธรรม ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า ปฐมาภรณ อ ชัย ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า อัมริ า จันทนะ ิริ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นายพัฒนชัย ร ิ รรณ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า ภิญญดา กลับแก ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร. ิ รรณ เมลืองนนท ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
ดร. ุธาร นิลรอด ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
คณะบรรณาธิการ
ร .ดร. ิริพร ทิพยคง ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า จินตนา อารยะรัง ฏ ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาง า จําเริญ เจีย าน ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
นาย ุเทพ กิตติพิทัก ถาบัน งเ ริมการ อน ิทยา า ตรและเทคโนโลยี
กิตติกรรมประกา
นาง า ข ัญใจ ภา พันธุ โรงเรียนราช ินิตบางเขน กรุงเทพ
นายเชิด ักดิ ภักดี ิโรจน โรงเรียน ภ.ป.ร. ราช ิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ จ.นครปฐม
นายณรงค ทธิ ฉายา โรงเรียน าธิตแ งม า ิทยาลัยเก ตร า ตร กรุงเทพ
นายถนอมเกียรติ งาน กุล โรงเรียน ตรีภูเก็ต จ.ภูเก็ต
นาง า ปรารถนา ิริยธรรมเจริญ โรงเรียนพระปฐม ิทยาลัย จ.นครปฐม
นาย ิฑิตพงค พะ ง า โรงเรียน ภาราชินี จ.ตรัง
นาย รัณย แ งนิลา ิ ัฒน โรงเรียนจุ าภรณราช ิทยาลัย เพชรบุรี จ.เพชรบุรี
นาง า ราญลัก ณ บุตรรัตน โรงเรียนบางละมุง จ.เพชรบุรี
าที่รอยตรี ามารถ นาธรัตน โรงเรียนเฉลิมข ัญ ตรี จ.พิ ณุโลก
นาง ุธิดา นานชา โรงเรียนยานตาขา รัฐชนูปถัมภ จ.ตรัง
นาย ุรชัย บุญเรือง โรงเรียนเบ็ญจะมะม าราช จ.อุบลราชธานี
นาง รี กุล ุข าง ขาราชการบํานาญ
นาง ุภรา ท รรณกุล ขาราชการบํานาญ
นาย ุกิจ มงาม ขาราชการบํานาญ
นาง ุปราณี พ งพี ขาราชการบํานาญ