Professional Documents
Culture Documents
63
คู�มือครูรายวิชาเพิ่มเติม
รายวิชาเพิ่มเติม
คณิตศาสตร
ชั้น
มัธยมศึกษาปที่ ๔ เลม ๑
ตามผลการเรียนรู
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
(นางพรพรรณ
ไวทยางกูร)
ผูอํานวยการสถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
คําชี้แจง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.) ไดจัดทําตัวชี้วัดและสาระ
การเรี ย นรู แ กนกลาง กลุ ม สาระการเรี ย นรู ค ณิ ต ศาสตร ( ฉบั บ ปรั บ ปรุ ง พ.ศ. ๒๕๖๐ )
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเนนเพื่อตองการพัฒนา
ผูเรียนใหมีความรูความสามารถที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ไดเรียนรูคณิตศาสตรที่เชื่อมโยงความรู
กับกระบวนการ ใชกระบวนการสืบเสาะหาความรูและแกปญหาที่หลากหลาย มีการทํากิจกรรม
ดวยการลงมือปฏิบัติเพื่อใหผูเรียนไดใชทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตรและทักษะแหง
ศตวรรษที่ ๒๑ สสวท. จึงไดจัดทําคูมือครูประกอบการใชหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ เลม ๑ ที่เปนไปตามมาตรฐานหลักสูตร เพื่อเปนแนวทางใหโรงเรียนนําไป
จัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ เลม ๑ นี้ ประกอบดวยเนื้อหา
สาระ ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน การวัดผลประเมินผล
ระหว างเรี ยน การวิ เคราะห ความสอดคลองของแบบฝกหั ดทายบทกั บจุ ดมุงหมายประจําบท
ความรู เพิ่ มเติ มสํ า หรั บ ครู ซึ่ ง เป นความรู ที่ ค รู ค วรทราบนอกเหนื อจากเนื้ อหาในหนั งสื อ เรี ย น
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทพรอมเฉลย รวมทั้งเฉลยแบบฝกหัด ซึ่งครูผูสอนสามารถนําไปใช
เปนแนวทางในการวางแผนการจัดการเรียนรูใหบรรลุจุดประสงคที่ตั้งไว โดยสามารถนําไปจัด
กิจกรรมการเรียนรูไดตามความเหมาะสมและความพรอมของโรงเรียน ในการจัดทําคูมือครูเลมนี้
ไดรับความรวมมือเปนอยางดียิ่งจากผูทรงคุณวุฒิ คณาจารย นักวิชาการอิสระ รวมทั้งครูผูสอน
นักวิชาการ จากสถาบัน และสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
สสวท. หวังเปนอยางยิ่งวาคูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร เลมนี้ จะเปนประโยชน
แก ผู ส อน และผู ที่ เ กี่ ย วข อ งทุ ก ฝ า ย ที่ จ ะช ว ยให จั ด การศึ ก ษาด า นคณิ ต ศาสตร ไ ด อ ย า งมี
ประสิทธิภาพ หากมีขอเสนอแนะใดที่จะทําใหคูมือครูเลมนี้มีความสมบูรณยิ่งขึ้น โปรดแจง
สสวท. ทราบดวย จะขอบคุณยิ่ง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
แนะนําการใชคูมือครู
ในหนังสือเลมนี้แบงเปน 4 บท ตามหนังสือเรียนหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้น
มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 โดยแตละบทจะมีสวนประกอบ ดังนี้
ตัวชี้วัดและผลการเรียนรูระบุส่ิงที่นักเรียนพึงรูและปฏิบัติได รวมทั้งคุณลักษณะของ
ผูเรียนในแตละระดับชั้น ซึ่งสะทอนถึงมาตรฐานการเรียนรู มีความเฉพาะเจาะจงและมี
ความเปนรูปธรรม นําไปใชในการกําหนดเนื้อหา จัดทําหนวยการเรียนรู จัดการเรียน
การสอน และเป น เกณฑ สํ าคั ญ สํา หรับการวัดผลประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพ
ผู เ รี ย น ทั้ ง นี้ หลั ก สู ต รกลุ ม สาระการเรี ย นรู ค ณิ ต ศาสตร ตามหลั ก สู ต รแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ไดกําหนดตัวชี้วัด
และสาระการเรียนรูแกนกลางไวสําหรับรายวิชาพื้นฐาน และไดเสนอแนะผลการเรียนรู
และสาระการเรียนรูเพิ่มเติมไวสําหรับรายวิชาเพิ่มเติม
จุดมุงหมาย
เปาหมายที่นักเรียนควรไปถึงหลังจากเรียนจบบทนี้
ความรูกอนหนา
ความรูที่นักเรียนจําเปนตองมีกอนที่จะเรียนบทนี้
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ความเขาใจคลาดเคลื่อน
ประเด็นที่นักเรียนมักเขาใจผิดเกี่ยวกับเนื้อหา
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
กิจกรรมในคูมือครู
กิจกรรมที่นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมไดดวยตนเอง เพื่อชวยพัฒนาทักษะการเรียนรู
และนวั ต กรรม (learning and innovation skills) ที่ จํ า เป น สํ า หรั บ ศตวรรษที่ 21
อั น ได แ ก การคิ ด สร า งสรรค แ ละนวั ต กรรม (creative and innovation) การคิ ด แบบ
มีวิจารณญาณและการแกปญหา (critical thinking and problem solving) การสื่อสาร
(communication) และการรวมมือ (collaboration)
เฉลยกิจกรรมในหนังสือเรียน
เฉลยคําตอบหรือตัวอยางคําตอบของกิจกรรมในหนังสือเรียน
แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
ตั ว อย างแนวทางการจั ด กิ จ กรรมในหนั งสื อ เรี ย น ที่ มี ขั้ น ตอนการดํ าเนิ น กิ จ กรรม
ซึ่งเปดโอกาสใหนักเรียนไดใชและพัฒนาทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร
สารบัญ บทที่ 1 – 2
บทที่ เนื้อหา หนา
บทที่ 1 เซต 1
1 1.1 เนื้อหาสาระ
1.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
1.3 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
1.4 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท
3
6
19
20
1.5 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู 22
1.6 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและ 23
เซต เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
d
บทที่ 2 ตรรกศาสตร 39
2 2.1 เนื้อหาสาระ
2.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
2.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
2.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
41
44
64
68
2.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท 69
2.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู 71
ตรรกศาสตร 2.7 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและ 73
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
d
สารบัญ บทที่ 3 – 4
บทที่ เนื้อหา หนา
บทที่ 3 จํานวนจริง 83
3 3.1 เนื้อหาสาระ
3.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
3.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
85
94
108
3.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน 113
3.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท 115
3.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู 117
จํานวนจริง 3.7 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและ 138
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
d
เฉลยแบบฝกหัด 152
บทที่ 1 เซต 152
บทที่ 2 ตรรกศาสตรเบื้องตน 190
บทที่ 3 หลักการนับเบื้องตน 272
1 แหลงเรียนรูเพิ่มเติม 413
1 บรรณานุกรม 414
คณะผูจัดทํา 416
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 1
บทที่ 1
เซต
การศึกษาเรื่องเซตมีความสําคัญตอวิชาคณิตศาสตรเพราะเปนรากฐานและเครื่องมือที่สําคัญ
ในการพัฒนาองคความรูในวิชาคณิตศาสตรสมัยใหมทุกสาขา เนื้อหาเรื่องเซตที่นําเสนอในหนังสือ
เรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 มีเปาหมายเพื่อใหนักเรียนเรียนรู
เกี่ยวกับสัญลักษณและภาษาทางคณิตศาสตร ซึ่งเพียงพอที่จะใชในการสื่อสารและสื่อความหมาย
ทางคณิตศาสตรเพื่อเปนเครื่องมือในการเรียนรูเนื้อหาคณิตศาสตรในหัวขอตอไป
ในบทเรียนนี้มุงใหนักเรียนบรรลุตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรูแกนกลาง บรรลุผลการเรียนรูตาม
สาระการเรียนรูเพิ่มเติม และบรรลุจุดมุงหมายดังตอไปนี้
ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรูแกนกลาง
• เขาใจและใชความรูเกี่ยวกับเซตและ • ความรูเบื้องตนและสัญลักษณพื้นฐาน
ตรรกศาสตรเบื้องตน ในการสื่อสาร เกี่ยวกับเซต
และสื่อความหมายทางคณิตศาสตร • ยูเนียน อินเตอรเซกชัน และคอมพลีเมนต
ของเซต
ผลการเรียนรู สาระการเรียนรูเพิ่มเติม
• เขาใจและใชความรูเกี่ยวกับเซต • ความรูเบื้องตนและสัญลักษณพื้นฐาน
ในการสื่อสารและสื่อความหมายทาง เกี่ยวกับเซต
คณิตศาสตร • ยูเนียน อินเตอรเซกชัน และคอมพลีเมนต
ของเซต
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
จุดมุงหมาย
1. ใชสัญลักษณเกี่ยวกับเซต
2. หาเพาเวอรเซตของเซตจํากัด
3. หาผลการดําเนินการของเซต
4. ใชแผนภาพเวนนแสดงความสัมพันธระหวางเซต
5. ใชความรูเกี่ยวกับเซตในการแกปญหา
ความรูกอนหนา
• ความรูเกี่ยวกับจํานวนและสมการในระดับมัธยมศึกษาตอนตน
goo.gl/ZHStZ6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 3
1.1 เนื้อหาสาระ
1. ในวิชาคณิตศาสตร ใชคําวา เซต ในการกลาวถึงกลุมของสิ่งตาง ๆ และเมื่อกลาวถึงกลุมใด
แลวสามารถทราบไดแนนอนวาสิ่งใดอยูในกลุม และสิ่งใดไมอยูในกลุม เรียกสิ่งที่อยูในเซต
วา สมาชิก คําวา “เปนสมาชิกของ” หรือ “อยูใน” เขียนแทนดวยสัญลักษณ “ ∈ ” คําวา
“ไมเปนสมาชิกของ” เขียนแทนดวยสัญลักษณ “ ∉ ”
2. การเขียนแสดงเซตเบื้องตนมีสองแบบ คือ แบบแจกแจงสมาชิก และแบบบอกเงื่อนไขของสมาชิก
3. เซตที่ไมมีสมาชิก เรียกวา เซตวาง เขียนแทนดวยสัญลั กษณ “ { } ” หรือ “∅”
4. เซตที่มีจํานวนสมาชิกเปนจํานวนเต็มบวกใด ๆ หรือศูนย เรียกวา เซตจํากัด
เซตที่ไมใชเซตจํากัด เรียกวา เซตอนันต
5. ในการเขียนเซตจะตองกําหนดเซตที่บงบอกถึงขอบเขตของสิ่งที่จะพิจารณา เรียกเซตนี้วา
เอกภพสัมพัทธ ซึ่งมักเขียนแทนดวย U เอกภพสัมพัทธที่พบบอย ไดแก
แทนเซตของจํานวนนับ
แทนเซตของจํานวนเต็ม
แทนเซตของจํานวนตรรกยะ
' แทนเซตของจํานวนอตรรกยะ
แทนเซตของจํานวนจริง
6. บทนิยาม 1
เซต A เท า กั บ เซต B หมายถึ ง สมาชิกทุกตัวของเซต A เปน สมาชิกของเซต B และ
สมาชิกทุกตัวของเซต B เปนสมาชิกของเซต A
7. เซต A เทากับเซต B เขียนแทนดวย A = B
8. เซต A ไมเทากับเซต B หมายความวา มีสมาชิกอยางนอยหนึ่งตัวของเซต A ที่ไมใชสมาชิกของ
เซต B หรือมีสมาชิกอยางนอยหนึ่งตัวของเซต B ที่ไมใชสมาชิกของเซต A
9. เซต A ไมเทากับเซต B เขียนแทนดวย A ≠ B
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
10. บทนิยาม 2
เซต A เปนสับเซตของเซต B ก็ตอเมื่อ สมาชิกทุกตัวของเซต A เปนสมาชิกของเซต B
11. เซต A เปนสับเซตของเซต B เขียนแทนดวย A ⊂ B
12. เซต A ไมเปนสับเซตของเซต B ก็ตอเมื่อ มีสมาชิกอยางนอยหนึ่งตัวของเซต A ที่ไมเปน
สมาชิกของเซต B
13. เซต A ไมเปนสับเซตของเซต B เขียนแทนดวยเขียนแทนดวย A ⊄ B
14. เซตของสับเซตทั้งหมดของเซต A เรียกวา เพาเวอรเซต ของเซต A เขียนแทนดวย P ( A)
15. เรียกแผนภาพแสดงเซตวา แผนภาพเวนน การเขียนแผนภาพมักจะแทนเอกภพสัมพัทธ U
ดวยรูปสี่เหลี่ยมผืนผาหรือรูปปดใด ๆ สวนเซตอื่น ๆ ซึ่งเปนสับเซตของ U นั้น อาจเขียนแทน
ดวยวงกลม วงรี หรือรูปปดใด ๆ
16. อินเตอรเซกชันของเซต A และ B เขียนแทนดวย A ∩ B
บทนิยาม 3
A ∩ B= { x x ∈ A และ x ∈ B}
17. ยูเนียนของเซต A และ B เขียนแทนดวย A ∪ B
บทนิยาม 4
A ∪ B= { x x ∈ A หรือ x ∈ B}
18. คอมพลีเมนตของเซต A เมื่อเทียบกับ U หรือคอมพลีเมนตของเซต A เขียนแทนดวย A′
บทนิยาม 5
A′ = { x | x ∈U และ x ∉ A }
19. ผลตางระหวางเซต A และ B หมายถึง เซตที่มีสมาชิกอยูในเซต A แตไมอยูในเซต B
เขียนแทนดวย A − B
บทนิยาม 6
A − B= { x x ∈ A และ x ∉ B}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 5
20. สมบัติของการดําเนินการของเซต
ให A , B และ C เปนสับเซตของเอกภพสัมพัทธ U จะได
1) A∪ B = B ∪ A
A∩ B = B ∩ A
2) ( A ∪ B) ∪ C = A ∪ ( B ∪ C )
( A ∩ B) ∩ C = A ∩ ( B ∩ C )
3) A ∪ ( B ∩ C ) = ( A ∪ B) ∩ ( A ∪ C )
A ∩ ( B ∪ C ) = ( A ∩ B) ∪ ( A ∩ C )
4) ( A ∪ B )′ =A′ ∩ B′
( A ∩ B )′ =A′ ∪ B′
5) A − B = A ∩ B′
6) A=′ U − A
21. ถาเซต A , B และ C เปนเซตจํากัดใด ๆ ที่มีจํานวนสมาชิกเปน n ( A) , n ( B ) และ n ( C )
ตามลําดับ แลว
n ( A ∪ B )= n ( A ) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
1.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
เซต
กิจกรรม : การจัดกลุม
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อนําเขาสูบทเรียน เรื่อง ความหมายของเซต
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูแบงนักเรียนเปนกลุม กลุมละ 3 – 4 คน แบบคละความสามารถ จากนั้นครูเขียนคํา
ตอไปนี้บนกระดาน
หญิง จันทร A พุธ O
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 7
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 9
ความเขาใจคลาดเคลื่อน
• นักเรียนบางคนอาจเขาใจผิดวาเซตวางไมใชเซตจํากัด ทั้งนี้ครูควรเนนย้ําวาเซตจํากัด
คือ เซตที่มีจํานวนสมาชิกเปนจํานวนเต็มบวกใด ๆ หรือศูนย จากนั้นครูควรชี้แนะให
นักเรียนเห็นวาเซตวางเปนเซตที่ไมมีสมาชิกหรือมีสมาชิก 0 ตัว ดังนั้น เซตวางจึงเปน
เซตจํากัด
• นักเรียนอาจละเลยการพิจารณาเอกภพสัมพัทธของเซตแบบบอกเงื่อนไขที่กําหนด ทําให
เกิ ด ความผิ ดพลาดในการระบุ ว า เซตที่กําหนดใหเปน เซตจํา กัดหรือ เซตอนัน ต เชน
นักเรียนอาจเข าใจผิ ดว า { x | x ∈ , 0 ≤ x ≤ 1} เปนเซตจํากัด เนื่องจากละเลยว า
เอกภพสัมพัทธของเซตนี้คือเซตของจํานวนจริง จึงเขาใจผิดวาเซตนี้มีสมาชิกเพียงสองตัว
เทานั้น คือ 0 และ 1 ทั้งนี้ครูควรเนนย้ํากับนักเรียนวาตองพิจารณาเอกภพสัมพัทธเสมอ
• นักเรียนบางคนอาจสับสนเกี่ยวกับการใชสัญลักษณแทนเซตวาง เชน ใชสัญลักษณ { ∅ }
แทนเซตวาง ซึ่งเปนการใชสัญลักษณที่ไมถูกตอง ครูควรใหนักเรียนพิจารณาจํานวนสมาชิก
ของ { ∅ } จะไดวาเซตนี้มีสมาชิก 1 ตัว ดังนั้น เซตนี้จึงไมใชเซตวาง นอกจากนี้ครูอาจ
ยกตัวอยางเปรียบเทียบเซตวางกับกลองเปลา โดยเซตวางคือเซตที่ไมมีสมาชิกและกลอง
เปลาคือกลองที่ไมมีอะไรบรรจุอยูภายในเลย แตถานํากลองเปลาใบที่หนึ่งใสลงไปใน
กลองเปลาใบที่สองแลว จะพบวากลองใบที่สองไมใชกลองเปลาอีกตอไป เพราะมีกลอง
เปลาใบแรกบรรจุอยูภายใน
• นักเรียนบางคนอาจสับสนเกี่ยวกับความหมายและสัญลักษณที่ใชแทนการเปนสมาชิก
ของเซต (∈) และการเปนสับเซต ( ⊂ ) ทั้งนี้ ครูควรเนนย้ําความหมายของสมาชิกของ
เซต บทนิ ย ามของสั บ เซต และสั ญ ลั ก ษณ ที่ ใ ช แล ว ยกตั ว อย า งเพิ่ ม เติ ม ในลั ก ษณะ
เดียวกับแบบฝกหัด 1.1ข ขอ 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
แผนภาพเวนน
กิจกรรม : รับสมัครงาน
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจ กรรมนี้ เ ป น กิ จ กรรมเพิ่ มเติ มสํ า หรั บ นักเรีย นที่มีความเขาใจเกี่ย วกับ การเขี ย น
แผนภาพเวนนสําหรับ 2 เซตและ 3 เซตแลว
สถานการณ
บริษัทแหงหนึ่งเปดรับสมัครงานหลายตําแหนง หลังจากประกาศรับสมัครงานผานไปหนึ่งเดือน
มีผูที่สนใจสงใบสมัครทั้งหมด 15 คน แตละคนมีคุณสมบัติดังนี้
นางหนึ่ง อายุ 32 ป จบการศึกษาปริญญาตรี มีใบอนุญาตขับขี่
นายสอง อายุ 42 ป จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 ไมมีใบอนุญาตขับขี่
นายสาม อายุ 22 ป จบการศึกษาปริญญาตรี ไมมีใบอนุญาตขับขี่
นายสี่ อายุ 25 ป จบการศึกษาปริญญาโท มีใบอนุญาตขับขี่
นางหา อายุ 23 ป จบการศึกษาปริญญาตรี มีใบอนุญาตขับขี่
นายหก อายุ 34 ป จบการศึกษาปริญญาตรี ไมมีใบอนุญาตขับขี่
น.ส.เจ็ด อายุ 20 ป จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 มีใบอนุญาตขับขี่
นางแปด อายุ 40 ป จบการศึกษาปริญญาตรี ไมมีใบอนุญาตขับขี่
นางเกา อายุ 32 ป จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 มีใบอนุญาตขับขี่
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 11
จบการศึกษาอยางต่ํา
มีใบอนุญาตขับขี่ ระดับปริญญาตรี
แนวคําตอบ
เพศชาย อายุ 25 – 35 ป
สอง สิบสาม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
2. จากแผนภาพที่ไดในขอ 1 ครูใหนักเรียนหาวามีผูสมัครคนใดบางที่มีคุณสมบัติตรงกับ
ตําแหนงตอไปนี้
2.1 พนักงานขับรถ เพศชาย จบการศึกษาระดับใดก็ได มีใบอนุญาตขับขี่
แนวคําตอบ สี่ สิบ สิบสี่ สิบหา
2.2 เจาหนาที่ธุรการ เพศหญิง จบการศึกษาอยางต่ําระดับปริญญาตรี
แนวคําตอบ หนึ่ง หา แปด สิบเอ็ด
2.3 พนักงานรับ-สงสินคา เพศหญิงหรือชายก็ได อายุ 25 – 35 ป จบการศึกษาระดับ
ใดก็ได มีใบอนุญาตขับขี่
แนวคําตอบ หนึ่ง สี่ เกา สิบสี่
2.4 เจาหนาที่พัสดุ เพศหญิงหรือชายก็ได อายุ 25 – 35 ป จบการศึกษาอยางต่ําระดับ
ปริญญาตรี
แนวคําตอบ หนึ่ง สี่ หก สิบเอ็ด
2.5 พนักงานฝายขาย เพศหญิงหรือชายก็ได อายุ 25 – 35 ป จบการศึกษาอยางต่ําระดับ
ปริญญาตรี มีใบอนุญาตขับขี่
แนวคําตอบ หนึ่ง สี่
2.6 พนักงานทําความสะอาด เพศหญิง จบการศึกษาระดับใดก็ได
แนวคําตอบ หนึ่ง หา เจ็ด แปด เกา สิบเอ็ด สิบสาม
2.7 เจาหนาที่ขนยายสินคา เพศชาย อายุ 25 – 35 ป จบการศึกษาระดับใดก็ได
แนวคําตอบ สี่ หก สิบสอง สิบสี่
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับคําตอบที่ไดในขอ 1 และ 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 13
การดําเนินการระหวางเซต
กิจกรรม : หาเพื่อน
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้เปนกิจกรรมเพื่อสรางความเขาใจเกี่ยวกับความหมายของอินเตอรเซกชัน
ยูเนียน คอมพลีเมนต และผลตางระหวางเซต โดยกอนทํากิจกรรมนี้ นักเรียนตองมีความ
เขาใจเกี่ยวกับการเขียนแผนภาพเวนนแสดงเซต
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูจับคูใหนักเรียนแบบคละความสามารถ แลวครูเขียนแผนภาพนี้ลงบนกระดาน
A B
1 3
0
4 6
2 5
7
8 9
2. ครูใหนักเรียนแตละคูอภิปรายในประเด็นตอไปนี้
2.1 สมาชิกตัวใดบางที่เปนสมาชิกของทั้งเซต A และเซต B
แนวคําตอบ 3, 4 และ 5
2.2 สมาชิกตัวใดบางที่เปนสมาชิกของเซต A หรือเซต B หรือทั้งสองเซต
แนวคําตอบ 1, 2, 3, 4, 5 และ 6
2.3 สมาชิกตัวใดบางที่เปนสมาชิกของ U แตไมเปนสมาชิกของเซต A
แนวคําตอบ 0, 6, 7, 8 และ 9
2.4 สมาชิกตัวใดบางที่เปนสมาชิกของ U แตไมเปนสมาชิกของเซต B
แนวคําตอบ 0, 1, 2, 7, 8 และ 9
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
การเขียนวงเล็บมีความสําคัญกับลําดับการดําเนินการระหวางเซตในกรณีที่มีการดําเนินการ
ตางชนิดกัน เชน ( A ∪ B ) ∩ C มีลําดับการดําเนินการแตกตางกับ A ∪ ( B ∩ C ) เพื่อไมให
เกิดการสับสนเกี่ยวกับลําดับในการดําเนินการ จึงจําเปนตองใสวงเล็บเพื่อบอกลําดับการ
ดําเนินการระหวางเซตเสมอ ทั้งนี้ครูอาจยกตัวอยางใหนักเรียนเห็นความสําคัญของการ
เขียนวงเล็บ เชน= เมื่อ A {=0, 1} , B {1} และ C = {2} จะได ( A ∪ B ) ∩ C = ∅ และ
A∪(B ∩C) = {0, 1} ซึ่งจะเห็นวา ( A ∪ B ) ∩ C ≠ A ∪ ( B ∩ C )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 15
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
การแกปญหาโดยใชเซต
กิจกรรม : แรเงา
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้เปนกิจกรรมเพื่อสรางความเขาใจเกี่ยวกับจํานวนสมาชิกของเซต A ∪ B
โดยกอนทํากิจกรรมนี้ นักเรียนตองมีความเขาใจเกี่ยวกับการเขียนแผนภาพเวนนแสดงเซต
และการดําเนินการระหวางเซต
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูจับคูใหนักเรียนแบบคละความสามารถ จากนั้นครูเขียนแผนภาพนี้ลงบนกระดาน
A B
1 3
0
4 6
2 5
7
8 9
2. ครูใหนักเรียนหาจํานวนสมาชิกของเซต A
แนวคําตอบ จํานวนสมาชิกของเซต A คือ 5
3. จากคําตอบที่ไดในขอ 2 ครูแนะนําวาจํานวนสมาชิกของเซต A เขียนแทนดวย n ( A)
ซึ่งจะไดวา n ( A) = 5
4. ครูใหนักเรียนแตละคูหา n ( B ) , n ( A ∪ B ) และ n ( A ∩ B )
แนวคําตอบ n ( B=) 4, n ( A ∪ B=) 6 และ n ( A ∩ B ) = 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 17
A B
หมายเหตุ
ครูสามารถทํากิจกรรมในทํานองเดียวกันนี้ไดในการหาจํานวนสมาชิกของเซต A∪ B ∪C
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• ครูอาจเสนอแนะใหนักเรียนใชวิธีเขียนแผนภาพแสดงเซตเพื่อชวยในการแกปญหาใน
หัวขอนี้
• ครูควรเนนย้ํากับนักเรียนวาตัวเลขที่แสดงในแผนภาพแสดงเซต อาจหมายถึงสมาชิก
ของเซตหรือจํานวนสมาชิกของเซตก็ได
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 19
1.3 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
การวัดผลระหวางเรียนมีจุดมุงหมายเพื่อปรับปรุงการเรียนรูและพัฒนาการเรียนการสอน และ
ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรู ความเข าใจในเรื่องที่ครูส อนมากนอยเพีย งใด การให
นักเรียนทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหนึ่งที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของ
นักเรียน ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไดนําเสนอ
แบบฝ ก หั ด ที่ ค รอบคลุ ม เนื้ อ หาที่ สํ า คั ญ ของแต ล ะบทไว สํ า หรั บ ในบทที่ 1 เซต ครู อ าจใช
แบบฝกหัดเพื่อวัดผลประเมินผลความรูในแตละเนื้อหาไดดังนี้
เนื้อหา แบบฝกหัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
1.4 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท
หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 มีจุดมุงหมายวาเมื่อนักเรียน
ไดเรียนจบบทที่ 1 เซต แลวนักเรียนสามารถ
1. ใชสัญลักษณเกี่ยวกับเซต
2. หาเพาเวอรเซตของเซตจํากัด
3. หาผลการดําเนินการของเซต
4. ใชแผนภาพเวนนแสดงความสัมพันธระหวางเซต
5. ใชความรูเกี่ยวกับเซตในการแกปญหา
ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไดนําเสนอแบบฝกหัด
ทายบทที่ประกอบดวยโจทยเพื่อตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อวัดความรูความ
เขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ซึ่งประกอบดวยโจทยฝกทักษะที่มีความนาสนใจและโจทย
ทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย
ของบทเพื่อตรวจสอบวานักเรียนมีความสามารถตามจุดมุงหมายเมื่อเรียนจบบทเรียนหรือไม
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
1. ใชสัญลักษณเกี่ยวกับเซต 1 1) – 5)
2 1) – 4)
3 1) – 5)
4 1) – 6)
2. หาเพาเวอรเซตของเซตจํากัด 4 7) – 9)
5* 1) – 4)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 21
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
3. หาผลการดําเนินการของเซต 5* 1) – 4)
6 1) – 6)
7 1)*, 2)*
4. ใชแผนภาพเวนนแสดงความสัมพันธระหวางเซต 7 1)*, 2)*, 3)
8 1) – 3)
9 1) – 7)
10 1) – 8)
11 1) – 3)
12 1) – 5)
5. ใชความรูเกี่ยวกับเซตในการแกปญหา 13
14
15 1) – 2)
16 1) – 2)
17
18 1) – 4)
19 1) – 3)
20
โจทยทาทาย 21
22 1) – 4)
หมายเหตุ
แบบฝกหัดทายบทขอที่สอดคลองกับจุดมุงหมายของบทเรียนมากกวา 1 จุดมุงหมาย ไดแก
• ขอ 5 ขอยอย 1) – 4) สอดคลองกับจุดมุงหมายขอ 2 และ 3
• ขอ 7 ขอยอย 1) – 2) สอดคลองกับจุดมุงหมายขอ 3 และ 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
1.5 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู
• เซตอนันต จําแนกไดเปน 2 แบบ คือ
แบบที่ 1 เปนเซตอนันตนับได (countable infinite) เชน เซตของจํานวนนับ เซตของ
จํานวนเต็ม เซตของจํานวนตรรกยะ { x ∈ | x ≤ 1} , { x ∈ | x ≠ 0 }
−
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 23
1.6 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
ในสวนนี้จะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทที่ 1 เซต สําหรับรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ซึ่งครูสามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประสงค การเรียนรูที่ตองการ
วัดผลประเมินผล
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบแจกแจงสมาชิก
1) {x ∈ 2 x2 − x − 3 =}
0 2) เซตของจํานวนเฉพาะที่อยูระหวาง 0 กับ 20
2. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบบอกเงื่อนไขของสมาชิก
1 1 1
1) , , , 1, 2, 4 2) { 0.1, 0.2, 0.3, 0.4, }
8 4 2
3. จงหาจํานวนสมาชิกของเซตตอไปนี้
1) {{1, 2, 3, …}} 2) { x ∈ x < 150} 2
4. จงพิจารณาวาขอความตอไปนี้เปนจริงหรือเปนเท็จ
1) { x x เปนสับเซตของ ∅ } เปนเซตวาง
2) { x x เปนเพาเวอรเซตของ ∅ } เปนเซตที่มีสมาชิก 1 ตัว
3) {1, {1}} ≠ {{1, {1}}}
5. ให A = { a, b, c, {d } } จงพิจารณาวาขอความตอไปนี้เปนจริงหรือเท็จ
1) a∈ A 2) {d } ∉ A
3) { {d } } ⊂ A 4) { a, b } ∈ A
5) {b, {d }} ⊂ P ( A ) 6) {∅, {d }} ⊂ P ( A)
6. กําหนดให A, B เปนเซตอนันต และ A≠ B จงพิจารณาวาขอความตอไปนี้เปนจริงหรือเท็จ
ถาเปนเท็จจงยกตัวอยางคาน
1) A ∩ B เปนเซตอนันต 2) A∩ B เปนเซตจํากัด
3) A − B เปนเซตอนันต 4) A− B เปนเซตจํากัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
กําหนดให A = {a, b, c, d , e}
7.
1) จงหาจํานวนสับเซตของ A ที่มี a เปนสมาชิก
2) จงหาจํานวนสับเซตของ A ที่ไมมี a เปนสมาชิก
8. กําหนดให A = {1, {2, 3}} จงหา P ( A ) − A
9. ให A , B และ C เปนเซตใด ๆ ที่ไมใชเซตวาง จงเขียนแผนภาพแสดงเซตตอไปนี้
1) ( A − B ) ∪ ( B − A ) 2) ( ( A − B ) − ( A − C ) ) ∪ ( B − ( A ∪ C ) )
10. จงพิจารณาวา ( A − B ) ∪ ( B − A ) และ ( A ∪ B ) − ( A ∩ B ) เทากันหรือไม
11. ให A และ B= เปนเซต ซึ่ง A ∪ B {0, 1, 2,= 3, 4, 5, 6, 8} , A − B {0, 1, 3} และ
B− A= {2, 4, 6} จงพิจารณาวา A ∩ B เปนสับเซตของ {4, 6, 8} หรือไม
12. ให A, B และ C เปนเซตซึ่งเปนสับเซตของเอกภพสัมพัทธ U เมื่อ U = {1, 2, 3, , 13} ,
= A {= 3, 4, 5, 8, 9} , B {5, 6, 7, 9, 10, 11} และ C = {8, 9, 10, 11, 12, 13}
จงเขียน ( A ∪ B ) − C ′ แบบแจกแจงสมาชิก
13. ถ า A มี จํ า นวนสมาชิ กมากกว า B อยู 1 ตั ว และ n ( A ∪ B ) + n ( A ∩ B ) = 75 จงหา
จํานวนสมาชิกของ A
14. กําหนดให U = {1, 2, , 100} จงหาจํานวนสมาชิกของ U ที่เปนจํานวนคูซึ่งหารดวย 3
ไมลงตัว
15. กําหนดให U = {1, 2, , 60} จงหาจํานวนสมาชิกของ U ที่หารดวย 3 ลงตัว หรือหาร
ดวย 4 ลงตัว หรือหารดวย 5 ลงตัว
16. นักเรียน 50 คน แตละคนมีเสื้อสีขาวหรือสีเขียวอยางนอยหนึ่งตัว ถามีนักเรียน 39 คนที่มี
เสื้อสีขาว และมีนักเรียน 19 คนที่มีเสื้อสีเขียว แลวมีนักเรียนกี่คนที่มีทั้งเสื้อสีขาวและสีเขียว
17. ในหองเรียนหนึ่งมีนักเรียนที่เลี้ยงสุนัข 32 คน มีนักเรียนที่เลี้ยงแมว 25 คน และมีนักเรี ยนที่
เลี้ยงสุนัขหรือแมวเพียงชนิดเดียว 47 คน จงหาจํานวนของนักเรียนที่เลี้ยงทั้งสุนัขและแมว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 25
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. 1) จาก 2x2 − x − 3 = 0
( 2 x − 3)( x + 1) = 0
3
จะได x= หรือ x = −1
2
3
เนื่องจาก x∈ แต ∉
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
2) ตัวอยางคําตอบ
1
เนื่องจาก 0.1 =
10
2
0.2 =
10
3
0.3 =
10
4
0.4 =
10
ดังนั้น เขียน { 0.1, 0.2, 0.3, 0.4, } แบบบอกเงื่อนไขของสมาชิกไดเปน
n
{x | x = เมื่อ n ∈ }
10
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 27
4. 1) เนื่องจาก ∅ ⊂ ∅
จะได { x x เปนสับเซตของ ∅ } ={∅}
เนื่องจาก {∅} ≠ ∅
จะได { x x เปนสับเซตของ ∅ } ≠ ∅
ดังนั้น ขอความ “ { x x เปนสับเซตของ ∅ } เปนเซตวาง” เปนเท็จ
2) เนื่องจาก ∅ ⊂ ∅
จะได เพาเวอรเซตของ ∅ คือ {∅}
ดังนั้น { x x เปนเพาเวอรเซตของ ∅ } = {{∅}}
เนื่องจาก {{∅}} เปนเซตที่มีสมาชิก 1 ตัว คือ {∅}
จะได { x x เปนเพาเวอรเซตของ ∅ } เปนเซตที่มีสมาชิก 1 ตัว
ดังนั้น ขอความ “ { x x เปนเพาเวอรเซตของ ∅ } เปนเซตที่มีสมาชิก 1 ตัว” เปนจริง
3) เนื่องจาก {1, {1}} เปนเซตซึ่งมีสมาชิก 2 ตัว คือ 1 และ {1}
และ {{1, {1}}} เปนเซตซึ่งมีสมาชิก 1 ตัว คือ {1, {1}}
จะเห็นวาจํานวนสมาชิกของ {1, {1}} ไมเทากับจํานวนสมาชิกของ {{1, {1}}}
นั่นคือ {1, {1}} ≠ {{1, {1}}}
ดังนั้น ขอความ “ {1, {1}} ≠ {{1, {1}}} ” เปนจริง
5. 1) จาก A = {a, b, c, {d }}
จะเห็นวา a ∈{a, b, c, {d }}
ดังนั้น ขอความ “ a ∈ A ” เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
2) จาก A = {a, b, c, {d }}
จะเห็นวา {d } ∈{a, b, c, {d }}
ดังนั้น ขอความ “ {d } ∉ A ” เปนเท็จ
3) จาก A = {a, b, c, {d }}
จะไดวา สับเซตของ A ที่มีสมาชิก 1 ตัว ไดแก {a} , {b} , {c} และ {{d }}
ดังนั้น ขอความ “ {{d }} ⊂ A ” เปนจริง
4) จาก A = {a, b, c, {d }}
จะเห็นวา a ∈ A และ b ∈ A แต {a, b} ∉ A
ดังนั้น ขอความ “ {a, b} ∈ A ” เปนเท็จ
5) จาก A = {a, b, c, {d }}
จะไดวา สับเซตของ A ที่มีสมาชิก 2 ตัว ไดแก {a, b} , {a, c} , {a, {d }}, {b, c} ,
{b, {d }} และ {c, {d }}
นั่นคือ {b, {d }} ∈ P ( A) แต {b, {d }} ⊄ P ( A)
ดังนั้น ขอความ “ {b, {d }} ⊂ P ( A) ” เปนเท็จ
6) จาก A = {a, b, c, {d }}
จะไดวา สับเซตของ A ที่มีสมาชิก 0 ตัว คือ ∅
และ สับเซตของ A ที่มีสมาชิก 1 ตัว ไดแก {a} , {b} , {c} และ {{d }}
นั่นคือ {∅, {{d }}} ⊂ P ( A) แต {∅, {d }} ⊄ P ( A)
ดังนั้น ขอความ “ {∅, {d }} ⊂ P ( A) ” เปนเท็จ
6. 1) เปนเท็จ เชน เมื่อ A เปนเซตของจํานวนคู และ B เปนเซตของจํานวนคี่
จะได A ∩ B =∅ ซึ่ง ∅ เปนเซตจํากัด
ดังนั้น A ∩ B ไมเปนเซตอนันต
2) เปนเท็จ เชน เมื่อ A = และ B =
จะได A ∩ B = ซึ่ง เปนเซตอนันต
ดังนั้น A ∩ B ไมเปนเซตจํากัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 29
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
2) เขียนแผนภาพแสดง ( ( A − B ) − ( A − C ) ) ∪ ( B − ( A ∪ C ) )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 31
( A − B ) ∪ ( B − A) ( A ∪ B) − ( A ∩ B)
จากแผนภาพ จะไดวา ( A − B ) ∪ ( B − A) = ( A ∪ B ) − ( A ∩ B )
ดังนั้น ( A − B ) ∪ ( B − A) และ ( A ∪ B ) − ( A ∩ B ) เทากัน
11. จาก A และ B= เปนเซต ซึ่ง A ∪ B {0, 1, 2,=
3, 4, 5, 6, 8} , A − B {0, 1, 3} และ
{2, 4, 6}
B− A=
เขียนแผนภาพแสดงสมาชิกของ A และ B ไดดังนี้
0 2
5
1 4
8
3 6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 33
34 16 17
จากแผนภาพ จะได n ( A − B ) = 34
ดังนั้น จํานวนสมาชิกของ U ที่เปนจํานวนคูซึ่งหารดวย 3 ไมลงตัว เทากับ 34 ตัว
15. จาก U = {1, 2, , 60}
ให A แทนเซตของจํานวนที่เปนสมาชิกของ U ซึ่งหารดวย 3 ลงตัว
B แทนเซตของจํานวนที่เปนสมาชิกของ U ซึ่งหารดวย 4 ลงตัว
และ C แทนเซตของจํานวนที่เปนสมาชิกของ U ซึ่งหารดวย 5 ลงตัว
จะได A = { 3, 6, , 60 } นั่นคือ n ( A) = 20
B = { 4, 8, , 60 } นั่นคือ n ( B ) = 15
และ C = { 5, 10, , 60 } นั่นคือ n ( C ) = 12
ให A ∩ B แทนเซตของจํานวนที่เปนสมาชิกของ U ซึ่งหารดวย 3 และ 4 ลงตัว
A ∩ C แทนเซตของจํานวนที่เปนสมาชิกของ U ซึ่งหารดวย 3 และ 5 ลงตัว
B ∩ C แทนเซตของจํานวนที่เปนสมาชิกของ U ซึ่งหารดวย 4 และ 5 ลงตัว
และ A ∩ B ∩ C แทนเซตของจํานวนที่เปนสมาชิกของ U ซึ่งหารดวย 3 และ 4 และ 5 ลงตัว
จะได A ∩ B = { 12, 24, 36, 48, 60 } นั่นคือ n ( A ∩ B ) =
5
A∩C = { 15, 30, 45, 60 } นั่นคือ n ( A ∩ C ) =
4
B ∩C = { 20, 40, 60 } นั่นคือ n ( A ∩ C ) =
3
A∩ B ∩C = { 60 } นั่นคือ n ( A ∩ B ∩ C ) =
1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
12 4 8
1
3 2
จากแผนภาพ จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 12 + 8 + 6 + 4 + 3 + 2 + 1 = 36
ดังนั้น จํานวนสมาชิกของ U ที่หารดวย 3 ลงตัว หรือหารดวย 4 ลงตัว หรือหาร
ดวย 5 ลงตัว มีอยู 36 ตัว
วิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )
−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 20 + 15 + 12 − 5 − 4 − 3 + 1
= 36
ดังนั้น จํานวนสมาชิกของ U ที่หารดวย 3 ลงตัว หรือหารดวย 4 ลงตัว หรือหาร
ดวย 5 ลงตัว เทากับ 36 ตัว
16. ให A แทนเซตของนักเรียนที่มีเสื้อสีขาว
B แทนเซตของนักเรียนที่มีเสื้อสีเขียว
จะได A ∪ B แทนเซตของนักเรียนที่มีเสื้อสีขาวหรือสีเขียว
และ A ∩ B แทนเซตของนักเรียนที่มีทั้งเสื้อสีขาวและสีเขียว
เนื่องจาก มีนักเรียน 39 คนที่มีเสื้อสีขาว นั่นคือ n ( A) = 39
มีนักเรียน 19 คนที่มีเสื้อสีเขียว นั่นคือ n ( B ) = 19
และ มีนักเรียนทั้งหมด 50 คน แตละคนมีเสื้อสีขาวหรือสีเขียวอยางนอย 1 ตัว
นั่นคือ n ( A ∪ B ) =50
จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 35
จะได 50 = 39 + 19 − n ( A ∩ B )
นั่นคือ n( A ∩ B) = 8
ดังนั้น มีนักเรียน 8 คน ที่มีทั้งเสื้อสีขาวและสีเขียว
17. ให A แทนเซตของนักเรียนที่เลี้ยงสุนัข
B แทนเซตของนักเรียนที่เลี้ยงแมว
และ x แทนจํานวนนักเรียนที่เลี้ยงทั้งสุนัขและแมว
เนื่องจาก มีนักเรียนที่เลี้ยงสุนัข 32 คน และมีนักเรียนที่เลี้ยงแมว 25 คน
จะได n ( A) = 32 และ n ( B ) = 25
เขียนแผนภาพแสดงจํานวนสมาชิกของ A และ B ไดดังนี้
32 – x x 25 – x
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
และ ( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของคนที่ไมชอบงานอดิเรกขางตนเลย
จะได n ( A ∪ B ∪ C )′ =10 นั่นคือ n ( A ∪ B ∪ C )= 140 − 10= 130
วิธีที่ 1 ให x แทนจํานวนคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอานหนังสือ
เขียนแผนภาพแสดงจํานวนสมาชิกของ A , B และ C ไดดังนี้
U
A B
23 – x
31 + x 2+x
x
18 – x 40 – x
x
C
จากแผนภาพ จะได
( 31 + x ) + ( 23 − x ) + ( 2 + x ) + (18 − x ) + x + ( 40 − x ) + x = 130
x + 114 = 130
x = 16
ดังนั้น มีคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอานหนังสือ 16 คน
วิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B ) − n ( A ∩ C )
−n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได 130 = 72 + 65 + 58 − 23 − 18 − 40 + n ( A ∩ B ∩ C )
นั่นคือ n ( A ∩ B ∩ C ) = 16
ดังนั้น มีคนที่ชอบทั้งดูภาพยนตร ออกกําลังกาย และอานหนังสือ 16 คน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 37
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เซต
c
C
เนื่องจากมีนักทองเที่ยวที่ไมเคยไปกระบี่ 208 คน
จากแผนภาพ จะไดวา a + c + 96 =208 นั่นคือ a + c = 112
จะได b = 500 − [112 + 78 + 96 + 111 + 39] = 64
ดังนั้น จํานวนคนที่เคยไปกระบี่เพียงจังหวัดเดียวมี 64 คน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 39
บทที่ 2
ตรรกศาสตร
การศึกษาเรื่องตรรกศาสตรมีความสําคัญตอวิชาคณิตศาสตรเพราะเปนรากฐานและเครื่องมือที่
สําคัญในการสื่อสารและสื่อความหมายในวิชาคณิตศาสตรและศาสตรอนื่ ๆ เนื้อหาเรื่องตรรกศาสตรที่
นําเสนอในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 มีเปาหมาย
เพื่อใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับสัญลักษณและภาษาทางตรรกศาสตร ซึ่งเพียงพอที่จะใชในการ
สื่อสารและสื่อความหมายทางคณิตศาสตรเพื่อเปนเครื่องมือในการเรียนรูเนื้อหาคณิตศาสตรใน
หัวขอตอไป
ในบทเรียนนี้มุงใหนักเรียนบรรลุตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรูแกนกลาง บรรลุผลการเรียนรูตาม
สาระการเรียนรูเพิ่มเติม และบรรลุจุดมุงหมายดังตอไปนี้
ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง
• เขาใจและใชความรูเกี่ยวกับเซตและ • ประพจนและตัวเชื่อม (นิเสธ และ หรือ
ตรรกศาสตรเบื้องตน ในการสื่อสาร ถา...แลว... ก็ตอเมื่อ)
และสื่อความหมายทางคณิตศาสตร
ผลการเรียนรู สาระการเรียนรูเพิ่มเติม
• เขาใจและใชความรูเกี่ยวกับตรรกศาสตร • ประพจนและตัวเชื่อม
เบื้องตน ในการสื่อสาร สื่อความหมาย • ประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
และอางเหตุผล • การอางเหตุผล
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
จุดมุงหมาย
1. จําแนกขอความวาเปนประพจนหรือไมเปนประพจน
2. หาคาความจริงของประพจนที่มีตัวเชื่อม
3. ตรวจสอบความสมมูลระหวางประพจนสองประพจน
4. จําแนกประพจนวาเปนสัจนิรันดรหรือไมเปนสัจนิรันดร
5. ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการอางเหตุผล
6. หาคาความจริงของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
7. ตรวจสอบความสมมูลระหวางประโยคสองประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
8. หานิเสธของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
9. ใชความรูเกี่ยวกับตรรกศาสตรในการแกปญหา
ความรูกอนหนา
• ความรูเกี่ยวกับจํานวนและสมการในระดับมัธยมศึกษาตอนตน
• เซต
goo.gl/VGTLAf
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 41
2.1 เนื้อหาสาระ
1. ประพจน คื อ ประโยคหรื อข อความที่ เ ป น จริ งหรื อ เท็ จ อย างใดอย า งหนึ่ งเท านั้ น ซึ่ ง
ประโยคหรือขอความดังกลาวจะอยูในรูปบอกเลาหรือปฏิเสธก็ได ในตรรกศาสตรเรียก
การเปน จริง หรือ เท็จ ของแตละประพจนวา คาความจริงของประพจน
2. ให p และ q เปนประพจนใด ๆ เมื่อเชื่อมดวยตัวเชื่อม และ ( ∧ ) หรือ ( ∨ ) ถา...แลว...
( → ) และ ก็ตอเมื่อ ( ↔ ) จะมีขอตกลงเกี่ยวกับคาความจริงของประพจนที่ไดจากการ
เชือ่ มประพจน p และ q โดยให T และ F แทนจริงและเท็จ ตามลําดับ ดังนี้
p q p∧q p∨q p→q p↔q
T T T T T T
T F F T F F
F T F T T F
F F F F T T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
4. ถารูปแบบของประพจนสองรูปแบบใดมีคาความจริงตรงกันกรณีตอกรณี แลวจะสามารถ
นําไปใชแทนกันได เรียกสองรูปแบบของประพจนดังกลาววาเปน รูปแบบของประพจนที่
สมมูลกัน รูปแบบของประพจนที่สมมูลกันที่ควรทราบมีดังนี้
p ≡ ( p)
p∧q ≡ q∧ p
p∨q ≡ q∨ p
( p ∧ q) ≡ p∨ q
( p ∨ q) ≡ p∧ q
p→q ≡ p∨ q
p→q ≡ q → p
p↔q ≡ ( p → q) ∧ (q → p)
p ∧ (q ∨ r ) ≡ ( p ∧ q) ∨ ( p ∧ r )
p ∨ (q ∧ r ) ≡ ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r )
5. บทนิยาม 1
รูปแบบของประพจนที่มีคาความจริงเปนจริงทุกกรณี เรียกวา สัจนิรันดร
6. การอางเหตุผลคือ การอางวา เมื่อมีประพจน p , p , , p ชุดหนึ่ง แลวสามารถสรุป
1 2 n
เปนสัจนิรันดร
7. บทนิยาม 2
ประโยคเปด คือ ประโยคบอกเลาหรือประโยคปฏิเสธที่มีตัวแปร และเมื่อแทนตัวแปรดวย
สมาชิกในเอกภพสัมพัทธแลวไดประพจน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 43
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
2.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
ประพจน
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• การจํ า แนกข อ ความว า เป น ประพจน ห รื อ ไม เ ป น ประพจน อาจไม จํ า เป น ต อ งทราบ
คาความจริงที่แนนอนของประพจนนั้น เชน ขอความ “มีสิ่งมีชีวิตอยูบนดาวอังคาร”
• การเลื อ กตั ว อย า งในชั้ น เรี ย นหรื อ แบบทดสอบระหว า งเรี ย นที่ จ ะให นั ก เรี ย นบอก
คาความจริงของประพจนที่ไมใชขอความทางคณิตศาสตร ครูควรเลือกใหเหมาะสมกับ
ความรู และประสบการณ ข องนั กเรี ย น เช น ยุ งลายเป น พาหะของโรคไข เ ลื อ ดออก
โรคเลือดออกตามไรฟนเปนโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินซี และหลีกเลี่ยงตัวอยางขอความ
ที่ใชความรูสึกในการตัดสินวาขอความนั้นเปนจริงหรือเท็จ เชน นารีสวย ปกรณเปนคนดี
• ในการสอนเกี่ยวกับประพจน ครูไมควรยกตัวอยางขอความที่ใชสรรพนามบุรุษที่ 2 และ 3
เชน เขาซื้อขนม ลุงกับปาไปเที่ยวตางประเทศ ซึ่งอาจทําใหนักเรียนเกิดความสับสนวา
ขอความดังกลาวเปนประพจนหรือไม เนื่องจากนักเรียนจะตองทราบบริบทของขอความ
ดังกลาวจึงจะสามารถสรุปคาความจริงของขอความดังกลาวได เชน “เขา” “ลุง” “ปา”
หมายถึงใคร
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 45
การเชื่อมประพจน
การเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “และ”
กิจกรรม : การแตงกายของลูกปด
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อสอนเกี่ยวกับคาความจริงของประพจนที่เชื่อมดวยตัวเชื่อม “และ”
สถานการณ
ให p แทนขอความ “ลูกปดใสเสือ้ สีขาว” และ q แทนขอความ “ลูกปดใสกางเกงสีฟา”
จะไดวา p ∧ q แทนขอความ “ลูกปดใสเสื้อสีขาวและลูกปดใสกางเกงสีฟา”
หรือเขียนโดยยอเปน “ลูกปดใสเสื้อสีขาวและกางเกงสีฟา”
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูใหนักเรียนพิจารณาคาความจริงของประพจน “ลูกปดใสเสื้อสีขาว” “ลูกปดใสกางเกง
สีฟา” และ “ลูกปดใสเสื้อสีขาวและกางเกงสีฟา” ใหสอดคลองกับแตละภาพสถานการณใน
ตาราง โดยเขียน T เมื่อมีคาความจริงเปนจริง และเขียน F เมื่อมีคาความจริงเปนเท็จ
การแตงกาย ลูกปดใสเสื้อสีขาว ลูกปดใสกางเกงสีฟา ลูกปดใสเสื้อสีขาวและกางเกงสีฟา
ของลูกปด ( p) (q) ( p ∧ q)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
แนวคําตอบ
การแตงกาย ลูกปดใสเสื้อสีขาว ลูกปดใสกางเกงสีฟา ลูกปดใสเสื้อสีขาวและกางเกงสีฟา
ของลูกปด ( p) (q) ( p ∧ q)
T T T
T F F
F T F
F F F
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคาความจริงของประพจนที่เติมในตารางในขอ 1 จากนั้น
รวมกันนําคาความจริงที่ไดมาเติมลงในตารางคาความจริงตอไปนี้
p q p∧q
แนวคําตอบ
p q p∧q
T T T
T F F
F T F
F F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 47
3. ครู และนั กเรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกับ ตารางคาความจริงที่ไดในข อ 2 เพื่อใหได
ขอสรุปวาในการเชื่อมประพจนดวย “และ” มีขอตกลงวาประพจนใหมจะเปนจริงใน
กรณีที่ประพจนที่นํามาเชื่อมกันนั้นเปนจริงทั้งคู กรณีอื่น ๆ เปนเท็จทุกกรณี
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
อาจพบภาษาในชีวิตประจําวันที่แทนตัวเชื่อม “และ” ดวยคําอื่นซึ่งใหความหมายเดียวกัน เชน
คํา ตัวอยางประโยค
แต วรรณชอบวิชาคณิตศาสตรแตนุชชอบวิชาภาษาอังกฤษ
นอกจากนั้นแลว สมศักดิ์เปนหัวหนาหอง
นอกจากนั้นแลวเขายังเปนประธานนักเรียนดวย
ถึงแมวา วิชัยทํางานหนักถึงแมวาเขาปวย
ในขณะที่ น้ําผึ้งอานหนังสือในขณะที่น้ําฝนดูโทรทัศน
การเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “หรือ”
กิจกรรม : สัตวเลี้ยงของตนน้ํา
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อสอนเกี่ยวกับคาความจริงของประพจนที่เชื่อมดวยตัวเชื่อม “หรือ”
สถานการณ
ให p แทนขอความ “ตนน้ําเลี้ยงแมว” และ q แทนขอความ “ตนน้ําเลี้ยงนก”
จะไดวา p ∨ q แทนขอความ “ตนน้ําเลี้ยงแมวหรือตนน้ําเลี้ยงนก”
หรือเขียนโดยยอเปน “ตนน้ําเลี้ยงแมวหรือนก”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูใหนักเรียนพิจารณาคาความจริงของประพจน “ตนน้ําเลี้ยงแมว” “ตนน้ําเลี้ยงนก”
และ “ตนน้ําเลี้ยงแมวหรือนก” ใหสอดคลองกับแตละภาพสถานการณในตาราง โดย
เขียน T เมื่อมีคาความจริงเปนจริง และเขียน F เมื่อมีคาความจริงเปนเท็จ
สถานการณ ตนน้ําเลีย้ งแมว ( p ) ตนน้ําเลีย้ งนก ( q ) ตนน้ําเลีย้ งแมวหรือนก ( p ∨ q )
การ
แนวคําตอบ
สถานการณ ตนน้ําเลีย้ งแมว ( p ) ตนน้ําเลีย้ งนก ( q ) ตนน้ําเลีย้ งแมวหรือนก ( p ∨ q )
T T T
T F T
F T T
F F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 49
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคาความจริงของประพจนที่เติมในตารางในขอ 1 จากนั้น
รวมกันนําคาความจริงที่ไดมาเติมลงในตารางคาความจริงตอไปนี้
p q p∨q
แนวคําตอบ
p q p∨q
T T T
T F T
F T T
F F F
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
การเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “ถา...แลว...”
กิจกรรม : สัญญาระหวางพอกับจิ๋ว
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนีใ้ ชเพื่อสอนเกี่ยวกับคาความจริงของประพจนที่เชื่อมดวยตัวเชื่อม “ถา...แลว...”
สถานการณ
ให p แทนขอความ “จิ๋วกวาดบานเสร็จ” และ q แทนขอความ “พอใหขนม”
จะไดวา p → q แทนขอความ “ถาจิ๋วกวาดบานเสร็จแลวพอจะใหขนม”
การรักษาสัญญาของพอจะเทียบกับคาความจริงของ p → q
ซึ่งในกรณีที่ p → q เปนจริง หมายถึง พอรักษาสัญญา
ในกรณีที่ p→q เปนเท็จ หมายถึง พอไมรักษาสัญญา
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. จงเขียนคาความจริงของประพจน “จิ๋วกวาดบานเสร็จ” และ “พอใหขนม” โดยเขียน T
เมื่อมีคาความจริงเปนจริง และเขียน F เมื่อมีคาความจริงเปนเท็จ ใหครบทุกกรณีที่
เปนไปได จากนั้น พิจารณาวา “พอรักษาสัญญาหรือไม” ในแตละกรณี โดยเขียน T
ในกรณีที่พอรักษาสัญญา และเขียน F ในกรณีที่พอไมรักษาสัญญา
จิ๋วกวาดบาน ( p ) พอใหขนม ( q ) พอรักษาสัญญา ( p → q )
แนวคําตอบ
จิ๋วกวาดบาน ( p ) พอใหขนม ( q ) พอรักษาสัญญา ( p → q )
T T T
T F F
F T T
F F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 51
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคาความจริงของประพจนและการพิจารณาวาพอรักษาสัญญา
หรือไม ที่เติมในตารางในขอ 1 จากนั้นรวมกันนําคาความจริงและผลการพิจารณาที่ได
มาเติมลงในตารางคาความจริงตอไปนี้
p q p→q
แนวคําตอบ
p q p→q
T T T
T F F
F T T
F F T
3. ครู และนั กเรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกับ ตารางคาความจริงที่ไดในข อ 2 เพื่อใหได
ขอสรุปวาในการเชื่อมประพจนดวย “ถา...แลว...” มีขอตกลงวาประพจนใหมจะเปนเท็จ
ในกรณีที่เหตุ เป นจริ งและผลเป นเท็จเทานั้น กรณีอื่น ๆ เปนจริงทุกกรณี ครูควรชี้ แจง
เพิ่มเติมวาประพจนซึ่งตามหลังคําวา ถา เรียกวา “เหตุ” สวนประพจนซึ่งตามหลังคําวา
แลว เรียกวา “ผล”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
การเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “ก็ตอเมื่อ”
กิจกรรม : เกรดวิชาคณิตศาสตรของปุยนุน
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อสอนเกี่ยวกับคาความจริงของประพจนที่เชื่อมดวยตัวเชื่อม “ก็ตอเมื่อ”
สถานการณ
คาความจริงของประพจนที่มีตัวเชื่อม “ก็ตอเมื่อ” อาจพิจารณาจากสถานการณในชีวิตจริง
ได เชน โรงเรียนแหงหนึ่งกําหนดวา “นักเรียนไดเกรด 4 วิชาคณิตศาสตรก็ตอเมื่อนักเรียนได
คะแนนตั้งแต 80% ของคะแนนทั้งหมด” สมมติวาปุยนุนเปนนักเรียนของโรงเรียนแหงนี้
ให p แทนขอความ “ปุยนุนไดเกรด 4 วิชาคณิตศาสตร”
และ q แทนขอความ “ปุยนุนไดคะแนนตั้งแต 80% ของคะแนนทั้งหมด”
จะไดวา p ↔ q แทนขอความ “ปุยนุนไดเกรด 4 วิชาคณิตศาสตรก็ตอเมื่อปุยนุน
ไดคะแนนตั้งแต 80% ของคะแนนทั้งหมด”
การเกิดขึ้นไดของสถานการณนี้จะเทียบไดกับคาความจริงของ p ↔ q
ในกรณีที่สถานการณนี้เกิดขึ้นไดจริง จะไดวา p ↔ q เปนจริง
ในกรณีที่สถานการณนี้ไมสามารถเกิดขึ้นได จะไดวา p ↔ q เปนเท็จ
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. จงเขียนคาความจริงของประพจน “ปุยนุนไดเกรด 4 วิชาคณิตศาสตร” และ “ปุยนุนได
คะแนนตั้งแต 80% ของคะแนนทั้งหมด” โดยเขียน T เมื่อมีคาความจริงเปนจริง และ
เขียน F เมื่อมีคาความจริงเปนเท็จ ใหครบทุกกรณีที่เปนไปได จากนั้นพิจารณาวา
สถานการณ ในแต ล ะกรณี เ กิ ดขึ้ น ได ห รื อไม โดยเขีย น T ในกรณี ที่ส ถานการณนั้ น
เกิดขึ้นได และเขียน F ในกรณีที่สถานการณนั้นเกิดขึ้นไมได
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 53
แนวคําตอบ
ปุยนุนไดเกรด 4 ปุยนุนไดคะแนนตั้งแต 80% การเกิดขึ้นไดของ
วิชาคณิตศาสตร ของคะแนนทั้งหมด สถานการณนี้
( p) (q) ( p ↔ q)
T T T
T F F
F T F
F F T
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคาความจริงของประพจนและการพิจารณาวาสถานการณใน
แตละกรณีเกิดขึ้นไดหรือไม ที่เติมในตารางในขอ 1 จากนั้นรวมกันนําคาความจริงและผล
การพิจารณาที่ไดมาเติมลงในตารางคาความจริงตอไปนี้
p q p↔q
แนวคําตอบ
p q p↔q
T T T
T F F
F T F
F F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
3. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับตารางคาความจริงที่ไดจากขอ 2 เพื่อใหไดขอสรุปวา
ในการเชื่ อมประพจน ด วย “ก็ ตอเมื่ อ” มี ขอตกลงว าประพจน ใหม จะเป นจริ งในกรณี ที่
ประพจนที่นํามาเชื่อมกันนั้นเปนจริงทั้งคูหรือเปนเท็จทั้งคูเทานั้น กรณีอื่น ๆ เปนเท็จเสมอ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ตั ว เชื่ อ ม “ ก็ ต อ เมื่ อ ” พบได บ อ ยในการศึ ก ษาคณิ ต ศาสตร เช น บทนิ ย ามเกี่ ย วกั บ
รูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว ซึ่งกลาววา “รูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว คือ รูปสามเหลี่ยมที่มีดานยาว
เทากันสองดาน” หมายความวา “รูปสามเหลี่ยมใดจะเปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่วก็ตอเมื่อ
รูปสามเหลี่ยมนั้นมีดานยาวเทากันสองดาน” ซึ่งมีความหมายเดียวกับ “ถารูปสามเหลี่ยมใด
เป นรู ปสามเหลี่ ย มหน าจั่ ว แล ว รู ปสามเหลี่ ย มนั้ น จะมี ด านยาวเท ากั นสองด าน และถ า
รูปสามเหลี่ยมใดมีดานยาวเทากันสองดานแลวรูปสามเหลี่ยมนั้นจะเปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว”
นิเสธของประพจน
กิจกรรม : งานอดิเรกของหนูดี
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อสอนเกี่ยวกับคาความจริงของ “นิเสธ” ของประพจน
สถานการณ
ให p แทนขอความ “หนูดีอานหนังสือ”
จะไดวา p แทนขอความ “หนูดีไมอานหนังสือ”
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูใหนักเรียนพิจารณาคาความจริงของประพจน “หนูดีอานหนังสือ” และ “หนูดีไมอาน
หนังสือ” ใหสอดคลองกับแตละภาพสถานการณในตาราง โดยเขียน T เมื่อมีคาความจริง
เปนจริง และเขียน F เมื่อมีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 55
แนวคําตอบ
สถานการณ หนูดีอานหนังสือ ( p ) หนูดีไมอานหนังสือ ( p )
T F
F T
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคาความจริงของประพจนที่เติมในตารางในขอ 1 จากนั้น
รวมกันนําคาความจริงที่ไดมาเติมลงในตารางคาความจริงตอไปนี้
p p
แนวคําตอบ
p p
T F
F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
การหาคาความจริงของประพจน
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• การหาค า ความจริ ง ของประพจน ที่ มี ตั ว เชื่ อ มสามารถทํ า ได ห ลายวิ ธี ทั้ ง นี้ ค รู ค วรให
นักเรียนฝกฝนการหาคาความจริงของประพจนที่มีตัวเชื่อมโดยใชแผนภาพ ซึ่งสามารถ
เขียนแสดงไดหลายแบบ ควรใหนักเรียนมี อิสระในการเขี ยนแผนภาพโดยไมจํ าเป น
จะตองตรงกับที่ครูคิดไว จะเปนประโยชนในการศึกษาหัวขอตอ ๆ ไป
• การยกตัวอย า งประพจนเชิ งประกอบที่ มีตั วเชื่ อ มตั้ง แตส องตัว ขึ้น ไปเพื่ อใหนั ก เรี ย น
พิจารณาคาความจริงนั้น ครูควรเขียนวงเล็บกํากับไวเสมอเพื่อใหนักเรียนทราบลําดับ
การหาคาความจริง ยกเวนตัวเชื่อม “ ” ซึ่งในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไมไดใสวงเล็บไวเชนกัน เนื่องจากถือวาเปนตัวเชื่อมที่ตอง
หาคาความจริงกอน เชน สําหรับประพจนเชิงประกอบ p ∧ q นั้น ตองหาคาความจริง
ของ q กอน แลวจึงหาคาความจริงของ p ∧ q นั่นคือประพจนเชิงประกอบ p ∧ q
มีความหมายเชนเดียวกับ p ∧ ( q )
รูปแบบของประพจนที่สมมูลกัน
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• การพิจารณารูปแบบของประพจนที่สมมูลกันทําไดโดยพิจารณาจากตารางคาความจริง
และเมื่อนักเรียนรูจักรูปแบบของประพจนที่สมมูลกันที่ควรทราบแลว สามารถใชรูปแบบ
ของประพจนเหลานั้นชวยในการพิจารณาการสมมูลกันของรูปแบบของประพจนคูอื่น ๆ
ได ดังนั้นครูควรชี้แนะนักเรียนและฝกฝนใหนักเรียนจํารูปแบบของประพจนที่สมมูลกัน
ใหได เนื่องจากนักเรียนจะตองนําความรูนี้ไปใชเปนพื้นฐานในการเรียนคณิตศาสตร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 57
• รูปแบบของประพจนที่สมมูลกันสามารถเทียบไดกับสมบัติการสลับที่ การเปลี่ยนหมู
และการแจกแจงของการบวกหรือการคูณจํานวนจริง เชน เมื่อ p, q และ r เปนประพจน
สมบัติของจํานวนจริง ตัวอยางรูปแบบของประพจนที่สมมูลกัน
p∧q ≡ q∧ p
การสลับที่ p∨q ≡ q∨ p
p↔q ≡ q↔ p
( p ∧ q) ∧ r ≡ p ∧ (q ∧ r )
การเปลี่ยนหมู
( p ∨ q) ∨ r ≡ p ∨ (q ∨ r )
p ∧ (q ∨ r ) ≡ ( p ∧ q) ∨ ( p ∧ r )
การแจกแจง
p ∨ (q ∧ r ) ≡ ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ r )
• p →q ≡ p∨ q เป น รู ป แบบของประพจนที่สมมูล กันที่สําคัญ เนื่องจากจะใชเปน
พื้นฐานในการแสดงการสมมูลของรูปแบบของประพจนคูอนื่ ๆ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
การเขียนขอความที่สมมูลกับขอความที่กําหนดโดยใชความรูเกี่ยวกับรูปแบบของประพจน
ที่สมมูลกันในแบบฝกหัด 2.5 ขอ 1 มีไดหลายแบบ ครูควรใหนักเรียนมีอิสระในการเขียน
ประโยคหรือขอความดังกลาว ทั้งนี้คําตอบของนักเรียนอาจไมตรงกับคําตอบที่ครูคิดไว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
สัจนิรันดร
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• ในหัวขอนี้จะเนนการตรวจสอบการเปนสัจนิรันดรของรูปแบบของประพจนที่เชื่อมดวย
“ถา...แลว...” เนื่องจากจะเปนพื้นฐานในการตรวจสอบความสมเหตุสมผลในหัวขอถัดไป
• การตรวจสอบการเปนสัจนิรันดรสามารถทําไดหลายแบบ เชน วิธีการใชตารางคาความจริง
วิธีการหาขอขัดแยง
• รูปแบบของประพจนที่เชื่อมดวย “ถา...แลว...” จะเปนเท็จไดเพียงกรณีเดียว คือ เหตุ
เปนจริง แตผลเปนเท็จ ดังนั้นการตรวจสอบการเปนสัจนิรันดรของรูปแบบของประพจน
ที่เชื่อมดวย “ถา...แลว...” สามารถทําไดโดยใชวิธีการหาขอขัดแยง
• รูปแบบของประพจนที่เชื่อมดวย “ก็ตอเมื่อ” จะเปนเท็จเมื่อประพจนยอยที่นํามาเชื่อมกัน
มีคาความจริงไมตรงกัน ดังนั้นการตรวจสอบการเปนสัจนิรันดรของรูปแบบของประพจนที่
เชื่อมดวย “ก็ตอเมื่อ” โดยใชวิธีการหาขอขัดแยง ตองพิจารณา 2 กรณี เชน เมื่อกําหนดให
p และ q เป นประพจน การตรวจสอบว ารู ปแบบของประพจน ( p ∧ q ) ↔ ( q ∨ p )
เปนสัจนิรันดรหรือไม ทําไดโดยสมมติวา ( p ∧ q ) ↔ ( q ∨ p ) เปนเท็จ แลวพิจารณาดังนี้
กรณีที่ 1 เมื่อ p ∧ q เปนจริง แต q ∨ p เปนเท็จ
T F
T T F F
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ p และ q เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p ∧ q ) ↔ ( q ∨ p ) เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 59
F T
T F F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
ความเขาใจคลาดเคลื่อน
T F
T T T F
F F T T
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 61
T F
F T T F
F F F F
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
ในการตรวจสอบรูปแบบของประพจนวาเปนสัจนิรันดรหรือไม ครูควรสนับสนุนใหนักเรียน
ใชแผนภาพ เนื่องจากจะเปนพื้นฐานในการศึกษาเรื่องการอางเหตุผล แตในกรณีที่นักเรียน
ไมสามารถใชแผนภาพเพื่อตรวจสอบการเปนสัจนิรันดรได ครูอาจเปดโอกาสใหนักเรียนใช
ตารางคาความจริงได ทั้งนี้เมื่อนักเรียนฝกฝนมากพอจะสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมสําหรับ
โจทยแตละขอได
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
ประโยคเปด
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ในการยกตัวอยางประโยคเปด ครูไมควรยกตัวอยางประโยคที่มีตัวแปรบางประโยค เชน
x+x= 2 x , x + 3 x + 2 = ( x + 1)( x + 2 ) เนื่องจากประโยคเหลานี้เปนประพจนที่เป นจริ ง
2
เมื่อพิจารณาวาเปนการเขียนแบบละตัวบงปริมาณ ∀x
ตัวบงปริมาณ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
ในกรณีที่แบบฝกหัด 2.9 ขอ 1 ไมไดกําหนดเอกภพสัมพัทธมาให จะเขียนขอความในขอ 4)
“จํานวนเต็มทุกจํานวนเปนจํานวนจริง”
ใหอยูในรูปสัญลักษณไดเปน ∀x [ x ∈ ] , U =
หรือ ∀x [ x ∈ → x ∈ ] , U =
สมมูลและนิเสธของประโยคที่มีตัวบงปริมาณ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
การเขียนนิเสธของขอความที่กําหนดใหโดยใชความรูเกี่ยวกับนิเสธของประพจนที่มีตัว
บ งปริ มาณในแบบฝ กหั ด 2.11 มี ได ห ลายแบบ ครูควรใหนั ก เรี ย นมี อิส ระในการเขี ย น
ประโยคหรือขอความดังกลาว ทั้งนี้คําตอบของนักเรียนอาจไมตรงกับคําตอบที่ครูคิดไว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 63
แบบฝกหัดทายบท
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
การตรวจสอบวารูปแบบของประพจนที่กําหนดใหสมมูลหรือไม ในแบบฝกหัดทายบท ขอ 7
ทําไดโดยการใชตารางคาความจริ ง นอกจากนี้อาจจัดรูป ประพจนที่กําหนดให แลวใช
ความรูเกี่ยวกับรูปแบบของประพจนที่สมมูลกันในการพิจารณาวาประพจนที่กําหนดให
สมมูลกันหรือไม เชน เมื่อกําหนดให p, q และ r เปนประพจน การตรวจสอบวารูปแบบ
ของประพจน p → ( q ∧ r ) กับ ( p → q ) ∨ ( p → r ) สมมูลกันหรือไม ทําไดดังนี้
จาก ( p → q ) ∨ ( p → r ) ≡ ( p∨ q ) ∨ ( p ∨ r )
≡ p∨ q∨ p ∨ r
≡ ( p∨ p ) ∨ ( q ∨ r )
≡ p ∨ ( q ∨ r )
≡ p → ( q ∨ r )
นั่นคือ ( p → q ) ∨ ( p → r ) สมมูลกับ p → ( q ∨ r )
เนื่องจาก การเชื่อมประพจนดวย “หรือ” มีขอตกลงวาประพจนใหมจะเปนเท็จ
ในกรณีที่ประพจนที่นํามาเชื่อมกันเปนเท็จทั้งคู กรณีอื่น ๆ เปนจริงทุกกรณี
แต ก ารเชื่ อ มประพจน ด ว ย “และ ” มี ข อ ตกลงว า ประพจน ใ หม จ ะเป น จริ ง
ในกรณีที่ประพจนที่นํามาเชื่อมกันนั้นเปนจริงทั้งคู กรณีอื่น ๆ เปนเท็จทุกกรณี
จึงไดวา q ∨ r ไมสมมูลกับ q ∧ r
นั่นคือ p → ( q ∨ r ) ไมสมมูลกับ p → ( q ∧ r )
ดังนั้น p → ( q ∧ r ) ไมสมมูลกับ ( p → q ) ∨ ( p → r )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
2.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
กิจกรรม : ใครคือฆาตกร
ถาคุณไดรับหนาที่ใหสอบสวนผูตองสงสัย 3 คน ในคดีฆาตกรรม ซึ่งแตละคนมีคําใหการดังตอไปนี้
นาย ก : นาย ข เปนฆาตกร และนาย ค เปนผูบริสุทธิ์
นาย ข : ถานาย ก เปนฆาตกร แลวนาย ค จะเปนฆาตกรดวย
นาย ค : ผมบริสุทธิ์ แตคนที่เหลืออยางนอยหนึ่งคนเปนฆาตกร
ถามีเพียงคนเดียวที่พูดจริง โดยผูบริสุทธิ์พูดจริง และฆาตกรพูดเท็จ
คุณสามารถบอกไดหรือไมวา ใครคือฆาตกร
ขั้นตอนการปฏิบัติ
1. ถากําหนดให p แทนประพจน “นาย ก เปนผูบริสุทธิ”์
q แทนประพจน “นาย ข เปนผูบริสุทธิ”์
r แทนประพจน “นาย ค เปนผูบริสุทธิ”์
จงเขียนคําใหการของทัง้ สามคนโดยใช p , q และ r
2. สมมติให นาย ก เปนคนเดียวที่พูดจริง
2.1 หาคาความจริงของประพจน p , q และ r
2.2 หาคาความจริงของคําใหการของนาย ก นาย ข และนาย ค
2.3 คาความจริงที่ไดในขอ 2.2 สอดคลองกับที่สมมติวานาย ก เปนคนเดียวที่พูดจริงหรือไม
3. สมมติให นาย ข เปนคนเดียวที่พูดจริง
3.1 หาคาความจริงของประพจน p , q และ r
3.2 หาคาความจริงของคําใหการของนาย ก นาย ข และนาย ค
3.3 คาความจริงที่ไดในขอ 3.2 สอดคลองกับที่สมมติวานาย ข เปนคนเดียวที่พูดจริงหรือไม
4. สมมติให นาย ค เปนคนเดียวที่พูดจริง
4.1 หาคาความจริงของประพจน p , q และ r
4.2 หาคาความจริงของคําใหการของนาย ก นาย ข และนาย ค
4.3 คาความจริงที่ไดในขอ 4.2 สอดคลองกับที่สมมติวานาย ค เปนคนเดียวที่พูดจริงหรือไม
5. จากขอ 2, 3 และ 4 ขอใดที่คาความจริงที่ไดจากคําใหการของนาย ก นาย ข และนาย ค
สอดคลองกับที่สมมติไว สรุปไดวาใครคือคนที่พูดจริง และใครคือฆาตกร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 65
เฉลยกิจกรรม : ใครคือฆาตกร
1. จากสถานการณที่กําหนด จะไดวาคนเปนฆาตกรคือคนที่ไมเปนผูบริสุทธิ์
สามารถเขียนคําใหการของทั้งสามคนไดดังนี้
นาย ก : q ∧ r
นาย ข : p → r
นาย ค : r ∧ ( p∨ q )
2. 2.1 เนื่องจากมีนาย ก คนเดียวที่พูดจริง จะไดวา นาย ข และนาย ค พูดเท็จ
เนื่องจากผูบริสุทธิ์พูดจริง และฆาตกรพูดเท็จ
ดังนั้น นาย ก เปนผูบริสุทธิ์ นาย ข และนาย ค เปนฆาตกร
นั่นคือ p เปนจริง q เปนเท็จ และ r เปนเท็จ
2.2 เนื่องจาก p เปนจริง q เปนเท็จ และ r เปนเท็จ
ดังนั้น คําใหการของนาย ก : q ∧ r เปนเท็จ
คําใหการของนาย ข : p → r เปนจริง
คําใหการของนาย ค : r ∧ ( p∨ q ) เปนเท็จ
2.3 ไมสอดคลอง
3. 3.1 เนื่องจากมีนาย ข คนเดียวที่พูดจริง จะไดวา นาย ก และนาย ค พูดเท็จ
เนื่องจากผูบริสุทธิ์พูดจริง และฆาตกรพูดเท็จ
ดังนั้น นาย ข เปนผูบริสุทธิ์ นาย ก และนาย ค เปนฆาตกร
นั่นคือ p เปนเท็จ q เปนจริง และ r เปนเท็จ
3.2 เนื่องจาก p เปนเท็จ q เปนจริง และ r เปนเท็จ
ดังนั้น คําใหการของนาย ก : q ∧ r เปนเท็จ
คําใหการของนาย ข : p → r เปนจริง
คําใหการของนาย ค : r ∧ ( p∨ q ) เปนเท็จ
3.3 สอดคลอง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 67
แนวทางการจัดกิจกรรม : ใครคือฆาตกร
เวลาในการจัดกิจกรรม 50 นาที
กิจกรรมนี้เสนอไวใหนักเรียนใชความรู เรื่อง ตรรกศาสตรเบื้องตน เพื่อแกปญหาในสถานการณ
ที่กําหนดให โดยกิจกรรมนี้มีสื่อ/แหลงการเรียนรู และขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ดังนี้
สื่อ/แหลงการเรียนรู
ใบกิจกรรม “ใครคือฆาตกร”
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. ครูแบงนักเรียนเปนกลุม กลุมละ 3 – 4 คน แบบคละความสามารถ
2. ครูแจกใบกิจกรรม “ใครคือฆาตกร” จากนั้นบอกภารกิจที่จะมอบหมายใหนักเรียนแตละ
กลุมชวยกันสอบสวนผูตองสงสัยจากสถานการณที่กําหนดให
3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมชวยกันตอบคําถามที่ปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติขอ 1 – 4
ในใบกิจกรรม ในระหวางที่นักเรียนทํากิจกรรมครูควรเดินดูนักเรียนใหทั่วถึงทุกกลุม
และสอบถามความคิดเห็นหรือแนวคิดที่ใชในการแกปญหา ทั้งนี้ ครูควรเนนย้ํากับ
นักเรียนวาเงื่อนไขสําคัญของสถานการณนี้ คือ มีเพียงคนเดียวที่พูดจริง โดยผูบริสุทธิ์
พูดจริง และฆาตกรพูดเท็จ
4. ครู สุ มเลื อกกลุ มนั กเรี ยน 3 กลุ ม นํ าเสนอแนวคิ ดและเหตุ ผลที่ สนั บสนุ นคํ าตอบของ
ตนเอง และใหนักเรียนกลุมอื่น ๆ รวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของ
คําตอบ โดยเปดโอกาสใหกลุมที่มีคําตอบแตกตางกันไดนําเสนอแนวคิด
5. ครูสรุปคําตอบพรอมแนวทางที่ถูกตองในการแกปญหา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
2.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
การวัดผลระหวางเรียนมีจุดมุงหมายเพื่อปรับปรุงการเรียนรูและพัฒนาการเรียนการสอน และ
ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรู ความเข าใจในเรื่องที่ครูส อนมากนอยเพีย งใด การให
นักเรียนทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหนึ่งที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของ
นักเรียน ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไดนําเสนอ
แบบฝกหัดที่ครอบคลุมเนื้อหาที่สําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทที่ 2 ตรรกศาสตร ครูอาจใช
แบบฝกหัดเพื่อวัดผลประเมินผลความรูในแตละเนื้อหาไดดังนี้
เนื้อหา แบบฝกหัด
ประพจนและคาความจริงของประพจน 2.1ก ขอ 1 – 2
การเชื่อมประพจน 2.2ก ขอ 1 – 4
การหาคาความจริงของประพจน 2.3 ขอ 1 – 2
การสรางตารางคาความจริง 2.4 ขอ 1 – 6
รูปแบบของประพจนที่สมมูลกันและรูปแบบของประพจน 2.5 ขอ 1 – 3
ที่เปนนิเสธกัน
สัจนิรันดร 2.6ก ขอ 1 – 5
การอางเหตุผล 2.7ก ขอ 1 – 2
ประโยคเปด 2.8 ขอ 1 – 10
ตัวบงปริมาณ 2.9 ขอ 1 – 2
คาความจริงของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว 2.10 ขอ 1 – 10
สมมูลและนิเสธของประโยคที่มีตัวบงปริมาณ 2.11 ขอ 1 – 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 69
2.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท
หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 มีจุดมุงหมายวาเมื่อนักเรียน
ไดเรียนจบบทที่ 2 ตรรกศาสตร แลวนักเรียนสามารถ
1. จําแนกขอความวาเปนประพจนหรือไมเปนประพจน
2. หาคาความจริงของประพจนที่มีตัวเชื่อม
3. ตรวจสอบความสมมูลของประพจนสองประพจน
4. จําแนกประพจนวา เปนสัจนิรันดรหรือไมเปนสัจนิรันดร
5. ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการอางเหตุผล
6. หาคาความจริงของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
7. ตรวจสอบความสมมูลระหวางประโยคสองประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
8. หานิเสธของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว
9. ใชความรูเกี่ยวกับตรรกศาสตรในการแกปญหา
ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไดนําเสนอแบบฝกหัด
ทายบทที่ประกอบดวยโจทยเพื่อตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อวัดความรูความ
เขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ซึ่งประกอบดวยโจทยฝกทักษะที่มีความนาสนใจและโจทย
ทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย
ของบทเพื่อตรวจสอบวานักเรียนมีความสามารถตามจุดมุงหมายเมื่อเรียนจบบทเรียนหรือไม
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
1. จําแนกขอความวาเปนประพจนหรือไมเปนประพจน 1 1) – 10)
2. หาคาความจริงของประพจนที่มีตัวเชื่อม 2 1) – 4)
4 1) – 5)
5 1) – 12)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
2. หาคาความจริงของประพจนที่มีตัวเชื่อม (ตอ) 6 1) – 3)
9* 1) – 10)
3. ตรวจสอบความสมมูลของประพจนสองประพจน 7 1) – 4)
8 1) – 4)
9* 1) – 10)
4. จําแนกประพจนวา เปนสัจนิรันดรหรือไมเปนสัจนิรันดร 10 1) – 7)
5. ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการอางเหตุผล 11 1) – 5)
12 1) – 5)
6. หาคาความจริงของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว 13 1) – 15)
7. ตรวจสอบความสมมูลระหวางประโยคสองประโยคที่มี 14* 1) – 8)
ตัวบงปริมาณตัวเดียว 15 1) – 10)
8. หานิเสธของประโยคที่มีตัวบงปริมาณตัวเดียว 14* 1) – 8)
9. ใชความรูเกี่ยวกับตรรกศาสตรในการแกปญหา 16
17
18
โจทยฝกทักษะ 3
หมายเหตุ
แบบฝกหัดทายบทขอที่สอดคลองกับจุดมุงหมายของบทเรียนมากกวา 1 จุดมุงหมาย ไดแก
• ขอ 9 ขอยอย 1) – 10) สอดคลองกับจุดมุงหมายขอ 2 และ 3
• ขอ 14 ขอยอย 1) – 8) สอดคลองกับจุดมุงหมายขอ 7 และ 8
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 71
2.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู
• เปาหมายประการหนึ่งของวิชาคณิตศาสตร คือ การศึกษาทําความเขาใจธรรมชาติ หรือ
ปรากฏการณตาง ๆ โดยใช “ระบบเชิงคณิตศาสตร” (mathematical system) ซึ่งระบบ
เชิงคณิตศาสตรเปนแนวคิดเชิงนามธรรมที่ใชแทนธรรมชาติ หรือปรากฏการณอยางใด
อยางหนึ่ง เชน “ระบบจํานวนจริง” (real number system) เปนแนวคิดที่ใชแทนจํานวนหรือ
ขนาดของสิ่งต าง ๆ หรือ “เรขาคณิ ตแบบยุ คลิ ด” (Euclidean geometry) เป นแนวคิ ดหนึ่ ง
ที่ใชแทนวัตถุตาง ๆ ในปริภูมิ เปนตน
• ระบบเชิงคณิตศาสตรแตละระบบ มีองคประกอบดังตอไปนี้
1. เอกภพสั มพั ทธ (universe) คื อ เซตของสิ่ ง ที่ จ ะศึ กษาในระบบนั้ น เช น เซตของ
จํานวนนับ เซตของจํานวนเต็ม เซตของจํานวนจริง
2. คําอนิยาม (undefined term) ไดแก คําซึ่งเปนที่เขาใจความหมายกันโดยทั่วไป โดย
ไมตองอธิบาย เชน คําวา “เหมือนกัน” หรือคําวา “จุด” และ “เสน” ในเรขาคณิต
แบบยุคลิด
3. คํ านิ ยาม (defined term) คื อ คํ าที่ สามารถให ความหมายโดยใช คําอนิ ยามหรื อคํ า
นิยามอื่นที่มีมากอนแลวได เชน คําวา “จํานวนคู” หรือคําวา “รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก”
4. สัจพจน (axiom) คือ ขอความที่กําหนดใหเปนจริงในระบบเชิงคณิตศาสตรนั้นโดย
ไมตองพิสูจน เชน สัจพจนเชิงพีชคณิตของระบบจํานวนจริง สัจพจนเชิงอันดับของ
ระบบจํานวนจริง สัจพจนความบริบูรณของระบบจํานวนจริง
5. ทฤษฎีบท (theorem) คือ ขอความที่พิสูจนแลววาเปนจริงในระบบเชิงคณิตศาสตร
ที่กําหนด โดยการพิสูจน (proof) คือ กระบวนการอางเหตุผลตามหลักตรรกศาสตร
เพื่อนําไปสูขอสรุปที่ตองการ ซึ่งมักตองนําคําอนิยาม คํานิยาม รวมทั้งสัจพจน หรือ
ทฤษฎีบทที่มีอยูกอนแลวมาใชในการพิสูจน เชน ทฤษฎีบทพีทาโกรัส
ในบางกรณี ขอความที่พิสูจนแลววาเปนจริง อาจไมเรียกวาทฤษฎีบทเสมอไป
โดยมีคําเฉพาะที่ใชเรียกทฤษฎีบทบางประเภท เชน “บทตั้ง” (lemma) ที่ใชเรียก
ทฤษฎีบทซึ่งจะนําไปใชพิสูจน ทฤษฎีบทถัดไปที่เปนทฤษฎีบทหลัก หรือทฤษฎีบทที่
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูม ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 73
2.7 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
ในสวนนี้จะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทที่ 2 ตรรกศาสตร สําหรับรายวิชาเพิ่มเติม
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ซึ่งครูสามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประสงคการเรียนรูที่
ตองการวัดผลประเมินผล
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. จงพิจารณาประโยคหรือขอความตอไปนี้วาเปนประพจนหรือไม
ถาเปนประพจนจงหาคาความจริงของประพจนนั้น
1) งวงนอนจัง 2) 1∉ {2, 3}
3) 2 ไมใชจํานวนจริง 4) 1, 2, 3,
5) ทําไม a + b = b + a 6) x + 5 = 5 เมื่อ x = 0
2. กําหนดให p, q และ r เปนประพจน ซึ่ง p และ q มีคาความจริงเปนจริงและเท็จ
ตามลําดับ จงหาคาความจริงของประพจนตอไปนี้
1) ( p ↔ q) → r 2) ( p∧ q ) ∨ r
3. กําหนดให p และ q เปนประพจนใด ๆ ถา r เปนประพจนเชิงประกอบที่เกิดจาก
การเชื่อมประพจน p กับ q ซึ่งมีคาความจริงดังตารางตอไปนี้
p q r
T T F
T F T
F T T
F F F
จงเขียนประพจน r ในรูปประพจน p กับ q
4. กําหนดให p, q และ r เปนประพจน ซึ่ง p → q, q → r และ r → p มีคาความจริง
เปนจริง จงหาคาความจริงของประพจน p ↔ r
5. จงหานิเสธของขอความ “ถา x เปนจํานวนนับ แลว x เปนจํานวนคู หรือ x เปนจํานวนคี”่
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
6. จงสรางตารางคาความจริงของรูปแบบของประพจนตอไปนี้ พรอมทั้งบอกจํานวนประพจนยอย
และจํานวนกรณีของคาความจริงที่อาจเกิดขึ้นไดทั้งหมด
1) ( p ∧ p) → q 2) ( p ∧ q) → (r∧ r )
7. กําหนดให p และ q เปนประพจน จงตรวจสอบวา p→q สมมูลกับ ( p ↔ q ) ∨ p
หรือไม
8. กําหนดให p, q เปนประพจน และ ⊕, ⊗ เปนตัวเชื่อมประพจน ซึ่งมีคาความจริงดังตาราง
p q p⊕q ( p ⊕ q) ⊗ p
T T T T
T F F T
F T F T
F F F T
จงพิจารณาวารูปแบบของประพจนในแตละขอสมมูลหรือเปนนิเสธกับ ( p ⊕ q ) ⊗ p หรือไม
1) ( p ∧ q) → p 2) ( p ∨ q) ∧ p
3) ( p → q) ∨ p 4) ( p ∧ q) ∧ p
9. กําหนดให p, q, r และ s เปนประพจน จงตรวจสอบรูปแบบของประพจนท่ีกําหนดให
ในแตละขอตอไปนี้วาเปนสัจนิรันดรหรือไม
1) ( ( p → q ) ∧ ( q → r ) ∧ ( p → q ) ) → r
2) ( ( p → q ) ∧ ( r → s ) ∧ ( p ∨ r ) ) → ( q ∨ s )
10. จงพิจารณาวาการอางเหตุผลในแตละขอตอไปนี้สมเหตุสมผลหรือไม
1) เหตุ (1) r → s
(2) t → r
(3) p → t
(4) s → q
ผล p → q
2) เหตุ ถาแทนไทสอบไดที่หนึ่ง แลวแมจะใหรางวัล
(1)
(2) ถาแมใหรางวัล แลวแทนไทจะนําไปซื้อของขวัญ
(3) แทนไทสอบไดที่หนึ่ง หรือแมจะใหรางวัล
ผล แทนไทจะซื้อของขวัญ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูม ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 75
11. จงหาคาความจริงของประพจนที่มีตัวบงปริมาณตอไปนี้
1) ∀x x =4 → 2 =4 เมื่อ U =
2 x
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูม ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 77
2) รูปแบบของประพจน ( p ∧ q ) → ( r ∧ r ) ประกอบดวยประพจนยอยสามประพจน
คือ p, q และ r จึงมีกรณีเกี่ยวกับคาความจริงที่อาจเกิดขึ้นไดทั้งหมด 8 กรณี
จะไดตารางคาความจริงของ ( p ∧ q ) → ( r ∧ r ) ดังนี้
p q r r p∧q r∧ r ( p ∧ q) → (r∧ r )
T T T F T F F
T T F T T F F
T F T F F F T
T F F T F F T
F T T F F F T
F T F T F F T
F F T F F F T
F F F T F F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูม ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 79
2) สรางตารางคาความจริงของ ( p ∨ q ) ∧ p ไดดังนี้
p q p∨q ( p ∨ q) ∧ p
T T T T
T F T T
F T T F
F F F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
9. 1) สมมติให ( ( p → q ) ∧ ( q → r ) ∧ ( p → q ) ) → r เปนเท็จ
T T T F
F F F F F F
T T T F
F F F F F T F F
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ r เปนไดทั้งจริงและเท็จ
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( ( p → q ) ∧ ( r → s ) ∧ ( p ∨ r ) ) → ( q ∨ s ) เปนสัจนิรันดร
10. 1) รูปแบบของประพจนในการอางเหตุผลนี้ คือ
( ( r → s ) ∧ ( t → r ) ∧ ( p → t ) ∧ ( s → q ) ) → ( p → q )
ตรวจสอบวารูปแบบของประพจนที่ไดเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( ( r → s ) ∧ ( t → r ) ∧ ( p → t ) ∧ ( s → q ) ) → ( p → q ) เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
คูม ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 81
T T T T F
T T T T T T T T T F
F F F T
ขัดแยงกัน
T T T F
F F F F F T
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ q เปนไดทั้งจริงและเท็จ
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( ( p → q ) ∧ ( q → r ) ∧ ( p ∨ q ) ) → r เปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตร
11. 1) พิจารณาประโยคเปด x =4 → 2 =4 2 x
ดังนั้น ( −2 ) =4 → 2 =4 เปนเท็จ
2 −2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 83
บทที่ 3
จํานวนจริง
การศึกษาเรื่องจํานวนจริงมีความสําคัญตอวิชาคณิตศาสตร เพราะความเขาใจเกี่ยวกับจํานวน
ไม ได ห มายความเพี ย งการคิ ดคํ า นวณเท า นั้น แตห มายความรวมถึงความเขาใจในระบบเชิง
คณิตศาสตร ซึ่งประกอบไปดวย เอกภพสัมพัทธ คําอนิยาม คํานิยาม สัจพจน ทฤษฎีบท บทตั้ง
และบทแทรก เนื้อหาเรื่องจํานวนจริงที่นําเสนอในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้น
มัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 มีจุดมุงหมายเพื่อใหนักเรียนเขาใจและนําระบบเชิงคณิตศาสตรไปใชใน
การแกปญหา และเพื่อเปนรากฐานสําหรับการเรียนคณิตศาสตรในหัวขอตอไป
ในบทเรียนนี้มุงใหนักเรียนบรรลุผลการเรียนรูตามสาระการเรียนรูเพิ่มเติม และบรรลุจุดมุงหมาย
ดังตอไปนี้
ผลการเรียนรูและสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
ผลการเรียนรู สาระการเรียนรูเพิ่มเติม
• เขาใจจํานวนจริงและใชสมบัติของ • จํานวนจริงและสมบัติของจํานวนจริง
จํานวนจริงในการแกปญหา • คาสัมบูรณของจํานวนจริงและสมบัติ
• แกสมการและอสมการพหุนามตัวแปร ของคาสัมบูรณของจํานวนจริง
เดียวดีกรีไมเกินสี่ และนําไปใชในการ • จํานวนจริงในรูปกรณฑ และจํานวนจริง
แกปญหา ในรูปเลขยกกําลัง
• แกสมการและอสมการเศษสวนของ • ตัวประกอบของพหุนาม
พหุนามตัวแปรเดียว และนําไปใชในการ • สมการและอสมการพหุนาม
แกปญหา • สมการและอสมการเศษสวนของพหุนาม
• แกสมการและอสมการคาสัมบูรณของ • สมการและอสมการคาสัมบูรณของพหุนาม
พหุนามตัวแปรเดียว และนําไปใชในการ
แกปญหา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
จุดมุงหมาย
1. ใชความรูเกี่ยวกับจํานวนจริงในการแกปญหา
2. หาผลหารของพหุนามและเศษเหลือ
3. หาเศษเหลือโดยใชทฤษฎีบทเศษเหลือ
4. แยกตัวประกอบของพหุนาม
5. แกสมการและอสมการพหุนามตัวแปรเดียว
6. แกสมการและอสมการเศษสวนของพหุนามตัวแปรเดียว
7. แกสมการและอสมการคาสัมบูรณของพหุนามตัวแปรเดียว
8. ใชความรูเกี่ยวกับพหุนามในการแกปญหา
ความรูกอนหนา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 85
3.1 เนื้อหาสาระ
1. แผนผังแสดงความสัมพันธของจํานวนชนิดตาง ๆ
จํานวนเชิงซอน
จํานวนจริง จํานวนเชิงซอนที่ไมใชจํานวนจริง
จํานวนอตรรกยะ จํานวนตรรกยะ
จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะที่ไมใชจํานวนเต็ม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
4. สัจพจนเชิงพีชคณิต
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง จะไดวา
สมบัติ การบวก การคูณ
สมบัติปด a+b∈ ab ∈
สมบัติการสลับที่ a +b = b+a ab = ba
สมบัติการเปลี่ยนหมู ( a + b) + c = a + (b + c ) ( ab ) c = a ( bc )
สมบัติการมีเอกลักษณ a+0 = a = 0+a a ⋅1 = a = 1⋅ a
เรียก 0 วา เรียก 1 วา
“เอกลักษณการบวก” “เอกลักษณการคูณ”
5. ทฤษฎีบท 1 กฎการตัดออกสําหรับการบวก
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง
1) ถา a + c = b + c แลว a = b
2) ถา a + b = a + c แลว b = c
6. ทฤษฎีบท 2 กฎการตัดออกสําหรับการคูณ
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง
1) ถา ac = bc และ c ≠ 0 แลว a = b
2) ถา ab = ac และ a ≠ 0 แลว b = c
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 87
7. ทฤษฎีบท 3
ให a เปนจํานวนจริง จะได a ⋅ 0 =0
8. ทฤษฎีบท 4
ให a เปนจํานวนจริง จะได ( −1) a =−a
9. ทฤษฎีบท 5
ให a และ b เปนจํานวนจริง จะได ab 0
= ก็ตอเมื่อ a=0 หรือ b=0
10. ทฤษฎีบท 6
ให a และ b เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) a ( −b ) =− ab
2) ( −a ) b = − ab
3) ( −a )( −b ) = ab
11. บทนิยาม 1
ให a และ b เปนจํานวนจริง
a ลบดวย b เขียนแทนดวยสัญลักษณ a − b
โดยที่ a − b = a + ( −b )
12. บทนิยาม 2
ให a และ b เปนจํานวนจริง โดยที่ b ≠ 0
a
a หารดวย b เขียนแทนดวยสัญลักษณ
b
a
โดยที่
= a ⋅ b −1
b
13. ทฤษฎีบท 7
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) a ( b − c ) = ab − ac
2) ( a − b ) c =ac − bc
14. ทฤษฎีบท 8
ให a เปนจํานวนจริง ถา a≠0 แลว a −1 ≠ 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
15. ทฤษฎีบท 9
ให a, b , c และ d เปนจํานวนจริง จะไดวา
a
1) b =
a
เมื่อ b≠0 และ c≠0
c bc
a ac
2) = เมื่อ b≠0 และ c≠0
b bc
a c ad + bc
3) + = เมื่อ b≠0 และ d ≠0
b d bd
a c ac
4) = เมื่อ b≠0 และ d ≠0
b d bd
−1
b c
5) = เมื่อ b≠0 และ c≠0
c b
a
6) b =
ad
เมื่อ b ≠ 0, c ≠ 0 และ d ≠0
c bc
d
16. ทฤษฎีบท 10 ขั้นตอนวิธีการหารสําหรับพหุนาม
ถา a ( x ) และ b ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ b ( x ) ≠ 0 แลวจะมีพหุนาม q ( x ) และ r ( x )
เพียงชุดเดียวเทานั้น ซึ่ง
a ( x) b( x) q ( x) + r ( x)
=
เมื่อ r ( x ) = 0 หรือ deg ( r ( x ) ) < deg ( b ( x ) )
เรียก q ( x ) วา “ผลหาร” และเรียก r ( x ) วา “เศษเหลือจากการหารพหุนาม a ( x )
ดวยพหุนาม b ( x ) ”
17. ทฤษฎีบท 11 ทฤษฎีบทเศษเหลือ
ให p ( x ) เปนพหุนาม a x + a x + a x + + a x + a
n
n
n −1
n −1
n−2
n−2
1 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 89
ที่เปนสัมประสิทธิ์ของพหุนาม
21. สมการกํ า ลั ง สอง คื อ สมการที่ เ ขี ย นได ใ นรู ป ax + bx + c =0 เมื่ อ a , b และ c
2
เปนจํานวนจริง โดยที่ a ≠ 0
ถา b − 4ac ≥ 0 แลวจะมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการกําลังสองนี้
2
−b ± b 2 − 4ac
โดยคําตอบของสมการ คือ
2a
ถา b 2 − 4ac < 0 แลว จะไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการกําลังสองนี้
22. ให p ( x ) และ q ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ q ( x ) ≠ 0 จะเรียก p ( x ) วา
q x ( )
“เศษสวนของพหุนาม” ที่มี p ( x ) เปนตัวเศษ และ q ( x ) เปนตัวสวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
23. การคูณและการหารเศษสวนของพหุนาม
1) เมื่อ p ( x ) , q ( x ) , r ( x ) และ s ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ q ( x ) ≠ 0 และ s ( x ) ≠ 0
จะไดวา
p ( x) r ( x) p ( x) r ( x)
⋅ =
q ( x) s ( x) q ( x) s ( x)
2) เมื่อ p ( x ) , q ( x ) , r ( x ) และ s ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ q ( x ) ≠ 0, r ( x ) ≠ 0
และ s ( x ) ≠ 0 จะไดวา
p ( x) r ( x) p ( x) s ( x)
÷ = ⋅
q ( x) s ( x) q ( x) r ( x)
24. การบวกและการลบเศษสวนของพหุนาม
เมื่อ p ( x ) , q ( x ) และ r ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ q ( x ) ≠ 0 จะไดวา
p ( x) r ( x) p ( x) + r ( x)
+ =
q ( x) q ( x) q ( x)
p ( x) r ( x) p ( x) − r ( x)
− =
q ( x) q ( x) q ( x)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 91
27. ทฤษฎีบท 14
ให a , b และ c เปนจํานวนจริง
1) สมบัติการถายทอด
ถา a > b และ b > c แลว a > c
2) สมบัติการบวกดวยจํานวนที่เทากัน
ถา a > b แลว a + c > b + c
3) สมบัติการคูณดวยจํานวนที่เทากันที่ไมเปนศูนย
กรณีที่ 1 ถา a > b และ c > 0 แลว ac > bc
กรณีที่ 2 ถา a > b และ c < 0 แลว ac < bc
4) สมบัติการตัดออกสําหรับการบวก
ถา a + c > b + c แลว a > b
5) สมบัติการตัดออกสําหรับการคูณ
กรณีที่ 1 ถา ac > bc และ c > 0 แลว a > b
กรณีที่ 2 ถา ac > bc และ c < 0 แลว a < b
28. ทฤษฎีบท 15
ให a , b , c และ d เปนจํานวนจริง
ถา a > b และ c > d แลว a + c > b + d
29. บทนิยาม 4
ให a , b และ c เปนจํานวนจริง
a<b<c หมายถึง a < b และ b<c
a≤b≤c หมายถึง a ≤ b และ b≤c
a<b≤c หมายถึง a < b และ b≤c
a≤b<c หมายถึง a ≤ b และ b<c
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
30. บทนิยาม 5
ให a และ b เปนจํานวนจริง ซึ่ง a < b
ชวงเปด ( a , b ) หมายถึง { x a < x < b }
ชวงปด [ a , b] หมายถึง { x a ≤ x ≤ b }
ชวงครึ่งเปดหรือชวงครึ่งปด ( a , b] หมายถึง { x a < x ≤ b}
ชวงครึ่งเปดหรือชวงครึ่งปด [ a , b ) หมายถึง { x a ≤ x < b}
ชวงเปดอนันต ( a , ∞ ) หมายถึง { x x > a }
ชวงเปดอนันต ( −∞ , a ) หมายถึง { x x < a }
ชวงปดอนันต [ a , ∞ ) หมายถึง { x x ≥ a }
ชวงปดอนันต ( −∞ , a ] หมายถึง { x x ≤ a }
31. บทนิยาม 6
ให a เปนจํานวนจริง คาสัมบูรณของจํานวนจริง a เขียนแทนดวย สัญลักษณ a โดยที่
เมื่อ
เมื่อ
32. ทฤษฎีบท 16
ให x และ y เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) x = −x
2) xy = x y
x x
3) = เมื่อ y≠0
y y
4) x− y = y−x
= x2
2
5) x
6) x+ y ≤ x + y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 93
33. ทฤษฎีบท 17
ให a เปนจํานวนจริงบวก
เซตคําตอบของสมการ x = a คือ {−a , a}
34. ทฤษฎีบท 18
ให a เปนจํานวนจริงบวก
1) x < a ก็ตอเมื่อ − a < x < a
2) x ≤ a ก็ตอเมื่อ − a ≤ x ≤ a
3) x > a ก็ตอเมื่อ x < − a หรือ x > a
4) x ≥ a ก็ตอเมื่อ x ≤ − a หรือ x ≥ a
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
3.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
จํานวนจริง
กิจกรรม : การจําแนกประเภทของจํานวน
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อทบทวนเกี่ยวกับประเภทของจํานวนซึ่งนักเรียนไดศึกษามาแลวใน
ระดับมัธยมศึกษาตอนตน
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูแบงกลุมนักเรียนกลุมละ 3 – 4 คน แบบคละความสามารถ จากนั้นครูเขียนจํานวน
ตอไปนี้บนกระดาน
7π −7 + 8 − ( −5 ) − 6 5− 5
8
8 ⋅ 18 − 225 3
2
( −7 ) 1
3
49 + 144 2 2
2
27
2.3 −0.57871234… 85.71
363
10 22
4.5073 − 7.321321321...
3 7
10−3 0.123456 −32
2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมพิจารณาวาจําแนกจํานวนที่กําหนดใหไดเปนกี่ประเภท และมี
จํานวนใดอยูในประเภทนั้นบาง
แนวคําตอบ
คําตอบของนักเรียนมีไดหลายแบบ เชน
• ไดเปน 2 ประเภท คือ จํานวนตรรกยะและจํานวนอตรรกยะ โดยมีจํานวนที่อยูใน
แตละประเภทดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 95
1) จํานวนตรรกยะ ไดแก
−7 + 8 − ( −5 ) − 6 5− 5 8 ⋅ 18
8
( −7 ) 27
3
− 225
2 363
10
2.3 85.71
4.5073 −
3
22
7.321321321... 10−3 0.123456
7
−32
2) จํานวนอตรรกยะ ไดแก
7π 3 49 + 144 2 2
1
−0.57871234…
2
• ไดเปน 3 ประเภท คือ จํานวนจริงลบ จํานวนจริงบวก และศูนย โดยมีจํานวนที่อยู
ในแตละประเภทดังนี้
1) จํานวนจริงลบ ไดแก
− ( −5 ) − 6 ( −7 ) −0.57871234…
3
− 225
10
− −32
3
2) จํานวนจริงบวก ไดแก
8
7π −7 + 8 8 ⋅ 18
2
1
3 49 + 144 2 2
2
27
2.3 85.71
4.5073
363
22
7.321321321... 10−3 0.123456
7
3) ศูนย ไดแก
5− 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการจัดประเภทจํานวนที่แตละกลุมได โดยครู
บันทึกประเภทของจํานวนที่นักเรียนไดบนกระดาน โดยครูอาจเพิ่มเติมประเภทของ
จํานวนที่นักเรียนยังไมไดกลาวถึงไดตามความเหมาะสม
4. ครูใหนักเรียนแตละกลุมเขียนแผนผังแสดงความสัมพั นธของจํานวนประเภทตาง ๆ
จากนั้นครูสุมกลุมนักเรียนกลุมหนึ่งมานําเสนอการจัดประเภทของจํานวน พรอมทั้งให
นักเรียนกลุมอื่น ๆ รวมกันเพิ่มเติมประเภทของจํานวนจากที่เพื่อนนําเสนอใหสมบูรณ
หมายเหตุ
• ครูอาจเปลี่ยนเปนจํานวนอื่น ๆ ซึ่งจํานวนเหลานั้นควรจําแนกประเภทไดหลายแบบ
• นอกจากการใช กิ จ กรรมนี้ เ พื่ อทบทวนเกี่ ย วกั บ ประเภทของจํ า นวนแล ว ครู อ าจใช
กิจกรรมนี้เพื่อตรวจสอบความเขาใจเกี่ยวกับประเภทของจํานวนไดดวย
• ในกรณีที่ครูพบวานักเรียนมีความเขาใจเกี่ยวกับประเภทของจํานวนเปนอยางดีแลว ครู
สามารถสอนเนื้อหาเกี่ยวกับระบบจํานวนจริงซึ่งอยูในหัวขอถัดไปไดโดยไมตองสอน
เรื่องนี้อีก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 97
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
การพิจารณาวาขอความ “มีจํานวนตรรกยะมากที่สุดที่นอยกวา 9” ซึ่งอยูในแบบฝกหัด 3.1
ขอ 2 นั้น ครูควรกระตุนและเปดโอกาสใหนักเรียนใหเหตุผลประกอบคําตอบ โดยนักเรียน
อาจใหเหตุผลวาไมสามารถหาจํานวนตรรกยะที่มากที่สุดที่นอยกวา 9 ได เนื่องจากจะมี
จํานวนตรรกยะที่อยูระหวางจํานวนจริง 2 จํานวนเสมอ เชน เมื่อสมมติวาจํานวนตรรกยะ
ที่มากที่สุดที่นอยกวา 9 คือ 8.9 ก็จะไดวามี 8.99 ซึ่งเปนจํานวนตรรกยะที่อยูระหวาง 8.9
และ 9 โดยที่ 8.99 > 8.9 และ 8.99 < 9 และเมื่อสมมติวาจํานวนตรรกยะที่มากที่สุดที่นอย
กวา 9 คือ 8.99 ก็จะไดวามี 8.999 ซึ่งเปนจํานวนตรรกยะที่อยูระหวาง 8.99 และ 9 โดยที่
8.999 > 8.99 และ 8.999 < 9
ระบบจํานวนจริง
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• เนื้อหาในหัวขอนี้โดยสวนใหญเปนเรื่องที่นักเรียนไดศึกษามาแลวในระดับมัธยมศึกษา
ตอนตน แตในระดับนี้เปนการนําเนื้อหามาจัดตามโครงสรางของระบบคณิตศาสตร
โดยจะกล า วถึ ง สั จ พจน ก ารเท า กั น ของระบบจํ า นวนจริ ง และสั จ พจน เ ชิ ง พี ช คณิ ต
แตจะไมไดกลาวถึงสัจพจนความบริบูรณ
• บทเรียนนี้ไมไดเนนการพิสูจนทฤษฎีบท แตครูอาจใหความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพิสูจน
ทฤษฎีบทสําหรับนักเรียนที่สนใจได
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
ทฤษฎีบทเศษเหลือ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
จากตัวอยางที่ 10 และคําถามทายตัวอยางที่ 10 เกี่ยวกับการพิจารณาเศษเหลือที่ไดจากการหาร
1 1
9 x3 + 4 x − 1 ดวย x− และ 2x −1 โดยวิธีหารยาว วาเทากับ p หรือไม นั้น นักเรียน
2 2
1
ควรสังเกตเห็นวาเศษเหลือที่ไดจากการหาร 9 x3 + 4 x − 1 ดวย x− และเศษเหลือที่ได
2
17 1
จากการหาร 9 x3 + 4 x − 1 ดวย 2x −1 โดยวิธีหารยาว ตางก็เทากับ ซึ่งคือ p
8 2
1
นั่นเอง เนื่องจาก เมื่อเขียนแสดง 2x −1 ใหอยูในรูป x−c จะไดเปน x− ทั้งนี้สามารถ
2
อธิบายในกรณีทั่วไปไดดังนี้
ให p ( x ) เปนพหุนาม และ a, b เปนจํานวนจริง โดยที่ a ≠ 0
จากขั้นตอนวิธีการหาร เมื่อหาร p ( x ) ดวย ax + b
จะมีผลหาร q ( x ) และเศษเหลือเปนคาคงตัว d ซึ่ง p ( x ) =
( ax + b ) q ( x ) + d
b
x + ( a ⋅ q ( x )) + d
สามารถจัดรูปสมการใหมไดเปน p ( x ) =
a
b
นั่นคือ เมื่อหาร p ( x ) ดวย จะไดผลหารเปน a ⋅ q ( x ) และเศษเหลือเปน
x+
a
คาคงตัว d
ดังนั้น เศษเหลือที่ไดจากการหาร p ( x ) ดวย ax + b เทากับ เศษเหลือที่ไดจากการหาร
b b
p ( x) ดวย x+ ซึ่งเทากับ p−
a a
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 99
ทฤษฎีบทตัวประกอบ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สมการพหุนามตัวแปรเดียว
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ในหัวขอนี้นักเรียนตองใชความรูเกี่ยวกับการแยกตัวประกอบของพหุนามในการแกสมการ
พหุนามตัวแปรเดียว ซึ่งการแยกตัวประกอบของพหุนามทําไดหลายวิธี ดังนั้น ครูควรให
นั ก เรี ย นมี อิ ส ระในการเลื อ กวิ ธี ที่ ต นเองถนั ด ในการแยกตั ว ประกอบของพหุ น ามโดย
ไมจําเปนตองตรงกับวิธีที่ครูคิดไว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
เศษสวนของพหุนาม
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 101
สมการเศษสวนของพหุนาม
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
เนื่ อ งจากการเขี ย นเศษส ว นของพหุ น ามในรู ป ผลสํ า เร็ จ พหุ น ามที่ เ ป น ตั ว ส ว นจะต อ ง
ไมเทากับศูนย ดังนั้นนักเรียนจึงตองระวังในการสรุปเซตคําตอบของสมการเศษสวนของ
x ( x + 1) 2
พหุนาม เชน ตัวอยางที่ 25 จะเห็นวาจัดรูปสมการ = ไดเปน
( x − 1)( x − 3) ( )( x − 3)
x − 1
( x − 1)( x + 2 ) = 0 ซึ่งสมการนี้จะเปนจริงเมื่อ x −1 =0 หรือ x+2=0 นั่นคือ x = 1 หรือ
( x − 1)( x − 3)
x = −2 แตเนื่องจาก ( x − 1)( x − 3) เปนตัวสวนของเศษสวนของพหุนาม ( x − 1)( x + 2 )
x −1 x − 3 ( )( )
จึงไดวา x − 1 ≠ 0 และ x − 3 ≠ 0 นั่นคือ x ≠ 1 และ x ≠ 3 ดังนั้น x = 1 จึงไมใชคําตอบ
ของสมการ ทําใหคําตอบของสมการที่กําหนดใหมีคําตอบเดียว คือ x = −2
การไมเทากันของจํานวนจริง
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 103
1
o จากขอ 6 จะพิสูจนวา “ถา a>0 แลว >0”
a
พิสูจน ให a และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ ซึ่ง a>0
จะได a 2 > 0
a 0
และ 2
> 2
a a
1
นั่นคือ > 0
a
1
ดังนั้น ถา a > 0 แลว > 0
a
• สําหรับขอ 7 และ 8 สามารถแสดงการพิสูจนประกอบคําตอบที่ไดดังนี้
ให a และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ ซึ่ง a>b และ a≠0 และ b≠0
1
พิจารณา กรณีที่ ab > 0 จะได
>0
ab
และจาก a > b จะไดวา a 1 > b 1
ab ab
นั่นคือ 1 > 1 หรือ 1 < 1
b a a b
พิจารณา กรณีที่ ab < 0 จะได 1 < 0
ab
และจาก a > b จะไดวา a < b 1
1
นั่นคือ 1 1
<
ab ab b a
1 1
จากทั้งสองกรณี จะเห็นวาขอความ “ถา a > b แล ว < เมื่อ a≠0 และ
a b
b ≠ 0” จะเปนจริง เมื่อ a และ b เปนจํานวนจริงบวกทั้งคู หรือ a และ b
เปนจํานวนจริงลบทั้งคู
1 1
และขอความ “ถา a>b แลว > เมื่อ a≠0 และ b ≠ 0 ” จะเปนจริง เมื่อ
a b
a เปนจํานวนจริงบวก แต b เปนจํานวนจริงลบ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
อสมการพหุนามตัวแปรเดียว
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• จากบทนิยาม 5 จะไดวาชวงเปนสับเซตของเซตของจํานวนจริง
• ครูควรฝกฝนนักเรียนใหใชแนวทางการแกอสมการพหุนามตัวแปรเดียวโดยพิจารณา
เสนจํานวนตามที่นําเสนอในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4
เลม 1 เนื่องจากสามารถนําไปใชในการแกอสมการกรณีที่แยกตัวประกอบของพหุนาม
แลวไดตัวประกอบซ้ํา รวมถึงการแกอสมการเศษสวนของพหุนาม
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด 3.9ข มีดังนี้
• การหาคําตอบของอสมการ x − x − x + 1 ≥ 0 ในขอ 12 อาจใชการพิจารณาจากเสนจํานวน
3 2
หรืออาจใชสมบัติของจํานวนจริง ซึ่งจากการแยกตัวประกอบจะสามารถจัดรูปอสมการนี้
ไดเปน ( x − 1)2 ( x + 1) ≥ 0 และเนื่องจาก ( x − 1)2 ≥ 0 เสมอ จึงไดวา x + 1 ≥ 0
• การหาคําตอบของอสมการ
( x − 1)( x + 3) ≤ 0 ในขอ 15 ตองระมัดระวังวาพหุนามที่
x−2
เปนตัวสวนตองไมเทากับศูนย นั่นคือ x−2≠0 จึงไดวา x≠2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 105
คาสัมบูรณ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ครูควรเนนย้ําบทนิยามของคาสัมบูรณ (บทนิยาม 6) ซึ่งจะเปนพื้นฐานสําคัญในการแกสมการ
และอสมการคาสัมบูรณของพหุนามตัวแปรเดียว
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 107
จากกรณีที่แสดงขางตน จะเห็นวา
กรณีที่ 0x > และ 0 y < และกรณีที่ 0
x < และ 0 y > จะทําให x + y < x + y
ดังนั้นจึงสรุปไดวา เมื่อ 0
xy < จะทําให x + y < x + y
และกรณีที่ 0x ≥ และ 0 y ≥ และกรณีที่ 0
x < และ 0
y < จะทําให x + y = x + y
ดังนั้นจึงสรุปไดวา เมื่อ 0
xy ≥ จะทําให x + y = x + y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
3.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
กิจกรรม : การหาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra
Willebrord Snell และ Christiaan Huygens ได พัฒ นาวิ ธี ข อง Archimedes ในการหาค า
ประมาณของ π กลาวคือ
เมื่อ un แทนความยาวรอบรูปของรูป n เหลี่ยมดานเทามุมเทาแนบในวงกลมหนึ่งหนวย
และ U แทนความยาวรอบรูปของรูป n เหลี่ยมดานเทามุมเทาแนบนอกวงกลมหนึ่งหนวย
n
1 un + U n
Archimedes หาคาประมาณของ π โดยคํานวณจาก
2 2
12 1
สวน Snell-Huygens หาคาประมาณของ π โดยคํานวณจาก un + U n
2 3 3
ขั้นตอนการปฏิบัติ
1. เปดเว็บไซต goo.gl/6xnUw4
2. พิมพ 6 ลงในชอง “จํานวนดาน =” ที่อยูใน Graphics View แลวสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นใน
Graphics View และ Spreadsheet View
3. เปลี่ยนจํานวนดานจาก 6 เปน 12, 24, 48 และ 96 ตามลําดับ แลวเปรียบเทียบคาประมาณ
ของ π ที่ไดจากวิธีของ Archimedes และ Snell-Huygens ใน Spreadsheet Viewก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 109
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
เวลาในการจัดกิจกรรม 20 นาที
กิจกรรมนี้เสนอไวใหนักเรียนเปรียบเทียบคาประมาณของ π ที่ไดจากวิธีของ Archimedes
และ Snell-Huygens ในการทํ า กิ จ กรรมนี้ นั กเรีย นแตล ะกลุ มควรมีเ ครื่ องคอมพิว เตอร
อยางนอย 1 เครื่อง โดยครูอาจเลือกจัดกิจกรรมนี้ในหองคอมพิวเตอร กิจกรรมนี้มีสื่อ/
แหลงการเรียนรู และขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ดังนี้
สื่อ/แหลงการเรียนรู
1. ใบกิจกรรม “หาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra”
2. ไฟลกิจกรรม “หาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra” จากเว็บไซต goo.gl/6xnUw4
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. ครูแบงกลุมนักเรียนแบบคละความสามารถ กลุมละ 3 – 4 คน
2. ครูแจกใบกิจกรรม “หาคาประมาณของ π ดวย GeoGebra” ใหกับนักเรียนทุกคนแลวให
นักเรียนศึกษาการประมาณคา π โดยวิธีของ Archimedes และ Snell-Huygens ก
3. ครู ให นั กเรี ยนแต ล ะกลุ มเป ด ไฟล กิ จ กรรม “หาค าประมาณของ π ด วย GeoGebra”
จากเว็บไซต goo.gl/6xnUw4
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมและตอบคํ า ถามที่ ป รากฏในแนวทางการปฏิ บั ติ ข อ 2 ใน
ใบกิจกรรม โดยใหนักเรียนพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นในหนาจอ
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรมและตอบคํ า ถามที่ ป รากฏในแนวทางการปฏิ บั ติ ข อ 3 ใน
ใบกิจกรรม จากนั้นครูนํานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นของคําตอบ ดังนี้
• พิจารณาวาเมื่อเพิ่มจํานวนดานของรูปหลายเหลี่ยมจะทําใหคาประมาณของ π
ที่ไดจากแตละวิธีเปนอยางไร
• พิ จ ารณาว า เมื่ อ จํ า นวนด า นเท า กั น ค า ประมาณที่ ไ ด จ ากแต ล ะวิ ธี เ ป น อย า งไร
เมื่อเทียบกับคาประมาณของ π ที่กําหนดใหในใบกิจกรรม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 111
π คือ จํานวนที่ไดจากการหารความยาวรอบรูปวงกลมดวยความยาวของเสนผานศูนยกลาง
ของรูปวงกลม ซึ่งเปนคาคงตัว
Archimedes ได ห าค า ประมาณของ π โดยประมาณความยาวของเสน รอบรู ป วงกลม
จากคาเฉลี่ยของความยาวรอบรูปของรูปหลายเหลี่ยมดานเทามุมเทาแนบในวงกลมและ
ความยาวรอบรูปของรูปหลายเหลี่ยมดานเทามุมเทาแนบนอกวงกลม
1 un + U n
นั่นคือ Archimedes ประมาณคา π โดยคํานวณจาก 2 2
เมื่อ un แทนความยาวรอบรูปของรูป n เหลี่ยมดานเทามุมเทาแนบในวงกลมที่มีรัศมียาว
หนึ่งหนวย
และ U n แทนความยาวรอบรูปของรูป n เหลี่ยมดานเทามุมเทาแนบนอกวงกลมที่มีรัศมี
ยาวหนึ่งหนวย
ตอมา Willebrord Snell และ Christiaan Huygens ไดพัฒนาวิธีการของ Archimedes ในการ
2 u + 1U un + U n
หาคาประมาณของ π โดยใช 3 n 3 n
แทน 2
นั่นคือ Snell-Huygens ประมาณคา π โดยคํานวณจาก (
1 2 u + 1U
2 3 n 3 n )
จากกิ จ กรรม “หาค า ประมาณของ π ด ว ย GeoGebra” นั ก เรี ย นจะเห็ น ได ว า เมื่ อ ใช
รูปหลายเหลี่ยมดานเทามุมเทาที่มีจํานวนดานเทากัน คาประมาณของ π ที่คํานวณไดจาก
วิธีของ Snell-Huygens จะใกลเคียงมากกวาวิธีของ Archimedes ดังแสดงในตารางตอไปนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
วิธีของ วิธีของ
รูปหลายเหลี่ยม
จํานวนดาน Archimedes Snell-Huygens
ดานเทามุมเทา
คาประมาณของ π ถูกตองถึง
6 หลักหนวย ทศนิยมตําแหนงที่ 1
12 ทศนิยมตําแหนงที่ 1 ทศนิยมตําแหนงที่ 2
24 ทศนิยมตําแหนงที่ 2 ทศนิยมตําแหนงที่ 3
48 ทศนิยมตําแหนงที่ 2 ทศนิยมตําแหนงที่ 5
96 ทศนิยมตําแหนงที่ 3 ทศนิยมตําแหนงที่ 6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 113
3.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
การวัดผลระหวางเรียนมีจุดมุงหมายเพื่อปรับปรุงการเรียนรูและพัฒนาการเรียนการสอน และ
ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรู ความเข าใจในเรื่องที่ครูส อนมากนอยเพีย งใด การให
นักเรียนทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหนึ่งที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของ
นักเรียน ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไดนําเสนอ
แบบฝกหัดที่ครอบคลุมเนื้อหาที่สําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทที่ 3 จํานวนจริง ครูอาจใช
แบบฝกหัดเพื่อวัดผลประเมินผลความรูในแตละเนื้อหาไดดังนี้
เนื้อหา แบบฝกหัด
จํานวนนับ จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะ และจํานวนอตรรกยะ 3.1 ขอ 1 – 2
สัจพจนเชิงพีชคณิต ทฤษฎีบท และสมบัติตาง ๆ ที่เกี่ยวของ 3.2 ขอ 1 – 3
พหุนามตัวแปรเดียว 3.3 ขอ 1 – 5
ขั้นตอนวิธีการหารสําหรับพหุนามและการหารยาว 3.3 ขอ 6 – 7
ทฤษฎีบทเศษเหลือ 3.4 ขอ 1 – 4
ทฤษฎีบทตัวประกอบและทฤษฎีบทตัวประกอบตรรกยะ 3.4 ขอ 5 – 6
สมการพหุนามตัวแปรเดียว 3.5 ขอ 1 – 3
เศษสวนของพหุนามในรูปผลสําเร็จ 3.6 ขอ 1
การคูณและการหารเศษสวนของพหุนาม 3.6 ขอ 2
การบวกและการลบเศษสวนของพหุนาม 3.6 ขอ 3
สมการเศษสวนของพหุนาม 3.7 ขอ 1 – 2
การไมเทากันของจํานวนจริง 3.8 ขอ 1 – 8
การเขียนเซตในรูปชวงและการเขียนกราฟของชวงบนเสนจํานวน 3.9 ก ขอ 1 – 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
เนื้อหา แบบฝกหัด
อสมการพหุนามตัวแปรเดียว 3.9ข ขอ 1 – 14
ขอ 30 – 32
อสมการเศษสวนของพหุนาม 3.9ข ขอ 15 – 29
คาสัมบูรณและทฤษฎีบทที่เกี่ยวกับคาสัมบูรณ 3.10 ขอ 1 – 3
สมการคาสัมบูรณของพหุนามตัวแปรเดียว 3.11ก ขอ 1 – 8
อสมการคาสัมบูรณของพหุนามตัวแปรเดียว 3.11ข ขอ 1 – 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 115
3.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท
หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 มีจุดมุงหมายวาเมื่อนักเรียน
ไดเรียนจบบทที่ 3 จํานวนจริง แลวนักเรียนสามารถ
1. ใชความรูเกี่ยวกับจํานวนจริงในการแกปญหา
2. หาผลหารของพหุนามและเศษเหลือ
3. หาเศษเหลือโดยใชทฤษฎีบทเศษเหลือ
4. แยกตัวประกอบของพหุนาม
5. แกสมการและอสมการพหุนามตัวแปรเดียว
6. แกสมการและอสมการเศษสวนพหุนามตัวแปรเดียว
7. แกสมการและอสมการคาสัมบูรณของพหุนามตัวแปรเดียว
8. ใชความรูเกี่ยวกับพหุนามในการแกปญหา
ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ไดนําเสนอแบบฝกหัด
ทายบทที่ประกอบดวยโจทยเพื่อตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อวัดความรูความ
เขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ซึ่งประกอบดวยโจทยฝกทักษะที่มีความนาสนใจและโจทย
ทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย
ของบทเพื่อตรวจสอบวานักเรียนมีความสามารถตามจุดมุงหมายเมื่อเรียนจบบทเรียนหรือไม
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
1. ใชความรูเกี่ยวกับจํานวนจริงในการแกปญหา 1 1) – 3)
2
2. หาผลหารของพหุนามและเศษเหลือ 3 1) – 9)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
3. หาเศษเหลือโดยใชทฤษฎีบทเศษเหลือ 4 1) – 6)
7 1) – 2)
8
4. แยกตัวประกอบของพหุนาม 9 1) – 10)
5. แกสมการและอสมการพหุนามตัวแปรเดียว 10 1) – 12)
13 1) – 4), 6) – 12
6. แกสมการและอสมการเศษสวนพหุนามตัวแปรเดียว 11 1) – 4)
12 1) – 10)
14 1) – 15)
7. แกสมการและอสมการคาสัมบูรณของพหุนามตัวแปรเดียว 20 1) – 8)
21 1) – 8)
8. ใชความรูเกี่ยวกับพหุนามในการแกปญหา 15
16
17
18
19
22
โจทยทาทาย 13 5)
20 9) – 10)
21 9)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 117
3.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู
ความรูเพิ่มเติมสําหรับครูที่จะกลาวถึงในคูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4
เลม 1 บทที่ 3 จํานวนจริง มี 2 หัวขอ ไดแก
1. สัจพจนในระบบจํานวนจริง
2. การพิสูจนทฤษฎีบทเกี่ยวกับจํานวนจริงที่กลาวถึงแตไมไดแสดงการพิสูจนไวใน
หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
โดยมีรายละเอียดในแตละหัวขอเปนดังนี้
สัจพจนในระบบจํานวนจริง
ระบบจํานวนจริง คือ ระบบเชิงคณิตศาสตรที่ประกอบดวยเอกภพสัมพัทธ ซึ่งสอดคลอง
กั บ สั จ พจน 3 กลุ ม ได แก สั จ พจน เ ชิ งพี ช คณิต (algebraic axioms) สัจ พจนเชิงอัน ดับ (order
axioms) และสัจพจนความบริบูรณ (completeness axiom) เรียก วา “เซตของจํานวนจริง”
และเรียกสมาชิกใน วา “จํานวนจริง”
สัจพจนเชิงพีชคณิต
ให + และ ⋅ เปนสัญลักษณแทนการบวกและการคูณ ตามลําดับ สัจพจนเชิงพีชคณิตของ
ระบบจํานวนจริง ไดแก
(A1) a + b ∈ สําหรับทุกจํานวนจริง a, b
(A2) a + ( b + c ) = ( a + b ) + c สําหรับทุกจํานวนจริง a, b, c
(A3) a + b = b + a สําหรับทุกจํานวนจริง a, b
(A4) มีจํานวนจริง 0 ซึ่ง a + 0 = 0 + a = a สําหรับทุกจํานวนจริง a
(A5) สําหรับแตละจํานวนจริง a มีจํานวนจริง b ซึ่ง a + b = b + a = 0
(M1) a ⋅ b ∈ สําหรับทุกจํานวนจริง a, b
(M2) a ⋅ ( b ⋅ c ) = ( a ⋅ b ) ⋅ c สําหรับทุกจํานวนจริง a, b, c
(M3) a ⋅ b = b ⋅ a สําหรับทุกจํานวนจริง a, b
(M4) มีจํานวนจริง 1 ซึ่ง a ⋅ 1 = 1 ⋅ a = a สําหรับทุกจํานวนจริง a
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
1. ถา a, b ∈ แลว a + b ∈
+ +
2. ถา a, b ∈ แลว a ⋅ b ∈
+ +
สัจพจนความบริบูรณ
ถา A เปนสับเซตที่ไมใชเซตวางของ ซึ่งมีขอบเขตบนใน แลว A มีขอบเขตบนนอยสุดใน
การพิสูจนทฤษฎีบทเกี่ยวกับจํานวนจริงที่กลาวถึงในหนังสือเรียน
• ทฤษฎีบท 1 กฎการตัดออกสําหรับการบวก
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง
1) ถา a + c = b + c แลว a = b
2) ถา a + b = a + c แลว b = c
พิสูจน
ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ
1) ให a + c = b + c
เนื่องจาก a = a+0 (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
= a + ( c + ( −c ) ) (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
= ( a + c ) + ( −c ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
= ( b + c ) + ( −c ) (จากที่กําหนดให)
= b + ( c + ( −c ) ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 119
= b+0 (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
= b (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
ดังนั้น a = b
2) ให a + b = a + c
เนื่องจาก b = 0+b (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
= ( ( −a ) + a ) + b (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
= ( −a ) + ( a + b ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
= ( −a ) + ( a + c ) (จากที่กําหนดให)
= ( ( −a ) + a ) + c (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
= 0+c (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
= c (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
ดังนั้น b = c
• ทฤษฎีบท 2 กฎการตัดออกสําหรับการคูณ
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง
1) ถา ac = bc และ c ≠ 0 แลว a = b
2) ถา ab = ac และ a ≠ 0 แลว b = c
พิสูจน ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ
1) ให a c = bc และ c ≠ 0
เนื่องจาก a = a ⋅1 (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
(
= a c ⋅ c −1 ) (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
= ( ac ) c −1 (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= ( bc ) c −1 (จากที่กําหนดให)
(
= b c ⋅ c −1 ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= b ⋅1 (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
= b (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
ดังนั้น a=b
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
(
= a −1 ⋅ a b ) (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
= a −1 ( ab ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= a −1 ( ac ) (จากที่กําหนดให)
(
= a −1 ⋅ a c ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= 1⋅ c (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
= c (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
ดังนั้น b = c
• ทฤษฎีบท 3
ให a เปนจํานวนจริง จะได a ⋅ 0 =0
พิสูจน
ให a เปนจํานวนจริงใด ๆ
เนื่องจาก a + a ⋅ 0 = a ⋅1 + a ⋅ 0 (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
= a (1 + 0 ) (สมบัติการแจกแจง)
= a ⋅1 (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
= a (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
จะไดวา a ⋅ 0 เปนเอกลักษณการบวก
แตเนื่องจากเอกลักษณการบวก คือ 0
ดังนั้น a ⋅ 0 =0
• ทฤษฎีบท 4
ให a เปนจํานวนจริง จะได ( −1) a = −a
พิสูจน
ให a เปนจํานวนจริงใด ๆ
เนื่องจาก a + ( −1) a = (1) a + ( −1) a (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
= (1 + ( −1) ) a (สมบัติการแจกแจง)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 121
= 0⋅a (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
=0 (ทฤษฎีบท 3)
จะไดวา ( −1) a เปนตัวผกผันการบวกของ a
แตเนื่องจากตัวผกผันการบวกของ a คือ −a
ดังนั้น ( −1) a = −a
• ทฤษฎีบท 5
ให a และ b เปนจํานวนจริง จะได ab = 0 ก็ตอเมื่อ a = 0 หรือ b = 0
พิสูจน
ให a และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ
1) จะแสดงวา ถา ab = 0 แลว a = 0 หรือ b = 0
ให ab = 0 และ a ≠ 0
เนื่องจาก b = 1⋅ b (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
= (a a)b
−1
(สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
= a ( ab )
−1
(สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
−1
= a ⋅0 (จากที่กําหนดให)
=0 (ทฤษฎีบท 3)
ดังนั้น b = 0 ----- (1)
ให ab = 0 และ b ≠ 0
เนื่องจาก a = a ⋅1 (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
= a ( bb )
−1
(สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
= ( ab ) b
−1
(สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= 0 ⋅ b −1 (จากที่กําหนดให)
=0 (ทฤษฎีบท 3)
ดังนั้น a = 0 ----- (2)
จาก (1) และ (2) จะไดวา ถา ab = 0 แลว a = 0 หรือ b = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 123
จะไดวา ( −a ) b เปนตัวผกผันการบวกของ ab
แตเนื่องจากตัวผกผันการบวกของ ab คือ −ab
ดังนั้น ( −a ) b =−ab
3) จาก ( −a )( −b ) + ( −ab ) = ( −a )( −b ) + ( −a ) b (ทฤษฎีบท 6 ขอ 2)
= ( − a )( −b + b ) (สมบัติการแจกแจง)
= ( −a ) ⋅ 0 (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
=0 (ทฤษฎีบท 3)
จะไดวา ( −a )( −b ) เปนตัวผกผันการบวกของ −ab
แตเนื่องจากตัวผกผันการบวกของ −ab คือ ab
ดังนั้น ( −a )( −b ) =ab
• ทฤษฎีบท 7
ให a, b และ c เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) a ( b − c ) = ab − ac
2) ( a − b ) c =ac − bc
พิสูจน
ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ
1) จาก a (b − c ) = a (b + ( − c )) (บทนิยาม 1)
= ab + a ( − c ) (สมบัติการแจกแจง)
= ab + ( − ac ) (ทฤษฎีบท 6 ขอ 1)
= ab − ac (บทนิยาม 1)
ดังนั้น a ( b − c ) = ab − ac
2) จาก ( a − b ) c = ( a + ( −b ) ) c (บทนิยาม 1)
= ac + ( − b ) c (สมบัติการแจกแจง)
= ac + ( − bc ) (ทฤษฎีบท 6 ขอ 2)
= ac − bc (บทนิยาม 1)
ดังนั้น ( a − b ) c = ac − bc
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
• ทฤษฎีบท 8
ให a เปนจํานวนจริง ถา a ≠ 0 แลว a ≠ 0 −1
พิสูจน โดยวิธีหาขอขัดแยง
สมมติให a ≠ 0 แต a = 0 −1
• ทฤษฎีบท 9
ให a, b, c และ d เปนจํานวนจริง จะไดวา
a
1) b =
a
เมื่อ b≠0 และ c≠0
c bc
a ac
2) = เมื่อ b≠0 และ c≠0
b bc
a c ad + bc
3) + = เมื่อ b≠0 และ d ≠0
b d bd
a c ac
4) = เมื่อ b≠0 และ d ≠0
b d bd
−1
b c
5) = เมื่อ b≠0 และ c≠0
c b
a
b ad
6) = เมื่อ b ≠ 0, c ≠ 0 และ d ≠0
c bc
d
พิสูจน
ให a, b, c และ d เปนจํานวนจริงใด ๆ
1) ให b ≠ 0 และ c ≠ 0
จาก ( bc ) ( b −1c −1 ) = ( bc ) ( c −1b −1 ) (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
(
= b cc −1 b −1 ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= b ⋅ 1 ⋅ b −1 (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 125
= b ⋅ b −1 ⋅ 1 (สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
(
= bb −1 ⋅ 1 ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= 1 ⋅1 (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
= 1 (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
โดยสมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ จะไดวา b−1c −1 เปนตัวผกผันของการคูณของ bc
แตเนื่องจากตัวผกผันของการคูณของ bc คือ ( bc )−1
จึงไดวา ( bc )−1 = b−1c −1 ----- (1)
a
จาก
c
(
b = ab −1 c −1
) (บทนิยาม 2)
(
= a b −1c −1 ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= a ( bc )
−1
(จาก (1))
a
= (บทนิยาม 2)
bc
a
ดังนั้น b = a
c bc
2) ให b ≠ 0 และ c ≠ 0
ac
=
ac c
จาก (ทฤษฎีบท 9 ขอ 1)
bc b
=
( ac ) c −1 (บทนิยาม 2)
b
=
(
a cc −1 ) (สมบัติการเปลี่ยนกลุมของการคูณ)
b
a ⋅1
= (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
b
a
= (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
b
a ac
ดังนั้น =
b bc
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
= ( ad + bc )( bd )
−1
(สมบัติการแจกแจง)
ad + bc
= (บทนิยาม 2)
bd
ad + bc
ดังนั้น a + c =
b d bd
4) ให b ≠ 0 และ d ≠ 0
a c
จาก = ab
b d
−1
cd −1( )( ) (บทนิยาม 2)
= ( ab )( d c )
−1 −1
(สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
= a (b d ) c
−1 −1
(สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
= ac ( b d )−1 −1
(สมบัติการสลับที่ของการคูณ)
= ( ac )( bd )
−1
(จาก (1) ในขอ 1)
ac
= (บทนิยาม 2)
bd
a c ac
ดังนั้น =
b d bd
5) ให b≠0 และ c≠0
−1
b
( )
−1
จาก = bc −1 (บทนิยาม 2)
c
1
= (บทนิยาม 2)
bc −1
1⋅ c
= (ทฤษฎีบท 9 ขอ 2)
( bc ) c −1
1⋅ c
= (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการคูณ)
(
b c −1c )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 127
1⋅ c
= (สมบัติการมีตัวผกผันของการคูณ)
b ⋅1
c
= (สมบัติการมีเอกลักษณของการคูณ)
b
−1
b c
ดังนั้น =
c b
6) ให b ≠ 0, c ≠ 0 และ d ≠0
a
−1
b a c
จาก = (บทนิยาม 2)
c b d
d
a d
= (ทฤษฎีบท 9 ขอ 5)
b c
ad
= (ทฤษฎีบท 9 ขอ 4)
bc
a
ad
b =
ดังนั้น
c bc
d
• ทฤษฎีบท 10 ขั้นตอนวิธีการหารสําหรับพหุนาม
ถา a ( x ) และ b ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ b ( x ) ≠ 0 แลวจะมีพหุนาม q ( x )
และ r ( x ) เพียงชุดเดียวเทานั้น ซึ่ง
a ( x) b( x) q ( x) + r ( x)
=
เมื่อ r ( x ) = 0 หรือ deg ( r ( x ) ) < deg ( b ( x ) )
พิสูจน
ให a ( x ) และ b ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ b ( x ) ≠ 0
1) จะแสดงวามีพหุนาม q ( x ) และ r ( x ) = ซึ่ง a ( x ) b ( x ) q ( x ) + r ( x ) โดยที่ r ( x ) = 0
หรือ deg ( r ( x ) ) < deg ( b ( x ) )
กรณีที่ 1 ถา a ( x ) = 0
ให q ( x ) = 0 และ r ( x ) = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
จะไดวา q ( x ) = 0 = b ( x ) ⋅ 0 + 0 = b ( x ) q ( x ) + r ( x )
้น a ( x ) b ( x ) q ( x ) + r ( x )
ดังนั=
กรณีที่ 2 ถา a ( x ) ≠ 0
กรณีที่ 2.1 ถา deg ( a ( x ) ) < deg ( b ( x ) )
ให q ( x ) = 0 และ r ( x ) = a ( x )
จะได a ( x=) b ( x ) ⋅ 0 + a ( x=) b ( x ) q ( x ) + r ( x )
กรณีที่ 2.2 ถา deg ( a ( x ) ) ≥ deg ( b ( x ) )
ให a = ( x ) a x + a( ) x( ) + + a x + a
d +s
d +s
d + s −1
d + s −1
1 0
และ b ( x )= b x + b x + + b x + b
d
d
d −1
d −1
1 0
ดังนั้น a (= x ) b ( x ) q ( x ) + r (=
x ) b ( x ) q1 ( x ) + r1 ( x )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 129
นั่นคือ b ( x ) ( q ( x ) − q1 ( x ) ) =r1 ( x ) − r ( x )
จะไดวา deg ( b ( x ) ( q ( x ) − q1 ( x ) ) )= deg ( r1 ( x ) − r ( x ) )
จาก q1 ( x ) ≠ q ( x ) นั่นคือ q ( x ) − q1 ( x ) ≠ 0
จะไดวา deg ( b ( x ) ( q ( x ) − q1 ( x ) ) ) ≥ deg ( b ( x ) )
นั่นคือ deg ( r1 ( x ) − r ( x ) ) ≥ deg ( b ( x ) )
จาก deg ( r ( x ) ) < deg ( b ( x ) ) และ deg ( r1 ( x ) ) < deg ( b ( x ) )
ดังนั้น deg ( r1 ( x ) − r ( x ) ) < deg ( b ( x ) )
เกิดขอขัดแยง ทําให q1 ( x ) = q ( x ) และ r1 ( x ) = r ( x )
จากขอ 1) และ 2) สรุปไดวา ถา a ( x ) และ b ( x ) เปนพหุนาม โดยที่ b ( x ) ≠ 0 แลว
จะมีพหุนาม q ( x ) และ r ( x ) เพียงชุดเดียวเทานั้น = ซึ่ง a ( x ) b ( x ) q ( x ) + r ( x )
เมื่อ r ( x ) = 0 หรือ deg ( r ( x ) ) < deg ( b ( x ) )
• ทฤษฎีบท 13
ให p ( x ) เปนพหุนาม an x n + an−1 x n−1 + + a1 x + a0 โดยที่ n เปนจํานวนเต็มบวก
และ a , a , , a , a เปนจํานวนเต็มซึ่ง a ≠ 0
n n −1 1 0 n
k
ถา x− เปนตัวประกอบของพหุนาม p ( x ) โดยที่ m และ k เปนจํานวนเต็ม ซึ่ง m ≠ 0
m
และ ห.ร.ม. ของ m และ k เทากับ 1 แลว m หาร a ลงตัว และ k หาร a ลงตัว n 0
พิสูจน
ให m และ k เปนจํานวนเต็ม ซึ่ง m ≠ 0 และ ห.ร.ม. ของ m และ k เทากับ 1
k
ซึ่งทําให x−เปนตัวประกอบของพหุนาม p ( x )= a x + a x + + a x + a n
n
n −1
n −1
1 0
m
โดยที่ n เปนจํานวนเต็มบวก และ a , a , , a , a เปนจํานวนเต็มซึ่ง a ≠ 0
n n −1 1 0 n
โดยทฤษฎีบทตัวประกอบ จะไดวา ( )p k =0
m
( ) ( mk ) + + a ( mk ) + a
n n −1
นั่นคือ an k + an −1
m 1 0 =0
คูณทั้งสองขางของสมการดวย m n
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
• ทฤษฎีบท 14
ให a , b และ c เปนจํานวนจริง
1) สมบัติการถายทอด
ถา a > b และ b > c แลว a > c
2) สมบัติการบวกดวยจํานวนที่เทากัน
ถา a > b แลว a + c > b + c
3) สมบัติการคูณดวยจํานวนที่เทากันที่ไมเปนศูนย
กรณีที่ 1 ถา a > b และ c > 0 แลว ac > bc
กรณีที่ 2 ถา a > b และ c < 0 แลว ac < bc
4) สมบัติการตัดออกสําหรับการบวก
ถา a + c > b + c แลว a > b
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 131
5) สมบัติการตัดออกสําหรับการคูณ
กรณีที่ 1 ถา ac > bc และ c > 0 แลว a > b
กรณีที่ 2 ถา ac > bc และ c < 0 แลว a < b
พิสูจน
ให a, b และ c เปนจํานวนจริงใด ๆ
1) ให a > b และ b > c
โดยบทนิยาม 3 จะไดวา a − b > 0 และ b − c > 0
โดยสมบัติปดของการบวก จะไดวา ( a − b ) + ( b − c ) > 0
จาก a − c = a + ( −c ) (บทนิยาม 1)
= ( a + ( −c ) ) + 0 (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
= ( a + ( −c ) ) + ( b + ( −b ) ) (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
= a + ( ( −c ) + b ) + ( −b ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
= a + ( −b ) + ( b + ( −c ) ) (สมบัติการสลับที่ของการบวก)
= ( a + ( −b ) ) + ( b + ( −c ) ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
= ( a − b) + (b − c ) (บทนิยาม 1)
เนื่องจาก ( a − b ) + ( b − c ) > 0
จะไดวา a − c > 0
ดังนั้น a > c
2) ให a > b
โดยบทนิยาม 3 จะไดวา a − b > 0
จาก ( a + c ) − (b + c ) = ( a + c ) + ( − (b + c )) (บทนิยาม 1)
= ( a + c ) + ( −1( b + c ) ) (ทฤษฎีบท 4)
= ( a + c ) + ( ( −1) b + ( −1) c ) (สมบัติการแจกแจง)
= ( a + c ) + ( ( −b ) + ( −c ) ) (ทฤษฎีบท 4)
= ( a + c ) + ( ( −c ) + ( −b ) ) (สมบัติการสลับที่ของการบวก)
= a + ( c + ( − c ) ) + ( −b ) (สมบัติการเปลี่ยนหมูของการบวก)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
= a + 0 + ( −b ) (สมบัติการมีตัวผกผันของการบวก)
= a + ( −b ) (สมบัติการมีเอกลักษณของการบวก)
= a −b (บทนิยาม 1)
เนื่องจาก a − b > 0
จะไดวา ( a + c ) − ( b + c ) > 0
นั่นคือ a + c > b + c
3) ให a > b
โดยบทนิยาม 3 จะไดวา a − b > 0
กรณีที่ 1 c > 0
จาก a − b > 0 และ c > 0
โดยสมบัติปดของการคูณ จะไดวา ( a − b ) c > 0
และเนื่องจาก ( a − b ) c =ac − bc (โดยสมบัติการแจกแจง)
จะได ac − bc > 0
นั่นคือ ac > bc
กรณีที่ 2 c < 0
เนื่องจาก c < 0 ดังนั้น −c > 0
จาก a − b > 0 และ −c > 0
โดยสมบัติปดของการคูณ จะไดวา ( a − b )( −c ) > 0
และเนื่องจาก ( a − b )( −c ) =a ( −c ) − b ( −c ) =−ac + bc (โดยสมบัติการแจกแจง)
จะได −ac + bc > 0
นั่นคือ ac < bc
4) ให a + c > b + c
เนื่องจาก a + c > b + c โดยบทนิยาม 3 จะไดวา ( a + c ) − ( b + c ) > 0
เนื่องจาก ( a + c ) − ( b + c ) =a − b
จะไดวา a − b > 0
นั่นคือ a > b
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 133
5) ให ac > bc
โดยบทนิยาม 3 จะไดวา ac − bc > 0
กรณีที่ 1 c > 0 จะแสดงวา a > b
โดยวิธีหาขอขัดแยง สมมติให a >/ b นั่นคือ a = b หรือ a < b
- เมื่อ a = b จะได ac = bc
ซึ่งขัดแยงกับที่กําหนดให ac > bc
- เมื่อ a < b จะได ac < bc
ซึ่งขัดแยงกับที่กําหนดให ac > bc
ดังนั้น ถา ac > bc และ c > 0 แลว a > b
กรณีที่ 2 c < 0 จะแสดงวา a < b
โดยวิธีหาขอขัดแยง สมมติให a </ b นั่นคือ a = b หรือ a > b
- เมื่อ a = b จะได ac = bc
ซึ่งขัดแยงกับที่กําหนดให ac > bc
- เมื่อ a > b จะได a − b > 0
เนื่องจาก ac − bc = ( a − b ) c และ ac > bc จะได ( a − b ) c > 0
เนื่องจาก a − b > 0 จะได c > 0
ซึ่งขัดแยงกับที่กําหนดให c < 0
ดังนั้น ถา ac > bc และ c < 0 แลว a < b
• ทฤษฎีบท 15
ให a, b, c และ d เปนจํานวนจริง
ถา a > b และ c > d แลว a + c > b + d
พิสูจน
ให a, b, c และ d เปนจํานวนจริงใด ๆ ซึ่ง a > b และ c > d
โดยทฤษฎีบท 14 ขอ 2 (สมบัติการบวกดวยจํานวนที่เทากัน)
จะได a + c > b + c และ b + c > b + d
โดยทฤษฎีบท 14 ขอ 1 (สมบัติการถายทอด) จะได a + c > b + d
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
• ทฤษฎีบท 16
ให x และ y เปนจํานวนจริง จะไดวา
1) x = −x
2) xy = x y
x x
3)
y
=
y
เมื่อ y≠0
4) x− y = y−x
= x2
2
5) x
6) x+ y ≤ x + y
พิสูจน
1) แสดงการพิสูจนดังตัวอยางที่ 36
2) ให x และ y เปนจํานวนจริงใด ๆ
กรณีที่ 1 x = 0 หรือ y = 0
จะได xy = 0= x y
กรณีที่ 2 x > 0 และ y > 0 จะได xy > 0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ จะได=x x= , y y และ xy = xy
จะเห็นวา xy= xy= x y
กรณีที่ 3 x > 0 และ y < 0 จะได xy < 0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ จะได x = x , y = −y และ xy = − xy
จะเห็นวา xy = − xy =x y
กรณีที่ 4 x < 0 และ y > 0 จะได xy < 0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ จะได x = − x, y y และ xy = − xy
=
จะเห็นวา xy = − xy =x y
กรณีที่ 5 x < 0 และ y < 0 จะได xy > 0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ จะได x = − x, y − y และ xy = xy
=
จะเห็นวา xy= xy= x y
จากทั้ง 5 กรณี จะไดวา xy = x y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 135
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
5) ให x เปนจํานวนจริงใด ๆ
กรณีที่ 1 x ≥ 0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ จะได x =x
ทําใหไดวา x = x ⋅ x = x 2
2
กรณีที่ 2 x < 0
จากบทนิยามของคาสัมบูรณ จะได x = −x
ทําใหไดวา x =( − x )( − x ) =x 2
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 137
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
3.7 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
ในสวนนี้จะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทที่ 3 จํานวนจริง สําหรับรายวิชาเพิ่มเติม
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ซึ่งครูสามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประสงคการเรียนรูที่
ตองการวัดผลประเมินผล
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 139
7. จงแยกตัวประกอบของพหุนามตอไปนี้
1) x3 − 4 x 2 − 3 x + 18 2) 2 x 4 + 5 x3 − 2 x 2 + 4 x + 3
3 1 4
12. จงหาเซตคําตอบของสมการ + 2 =
x − 1 x − 3x + 2 x − 1
2
x ( x + 1) ( x − 3)
2 3
13. จงหาเซตคําตอบของอสมการ ≤0
( x − 1)( x − 5)4
14. จงหาเซตคําตอบของสมการตอไปนี้
1) x+2 =
5 2) x2 − 4 =4 − x2
15. จงหาเซตคําตอบของอสมการตอไปนี้
1) x2 − 5 ≥ 4 2) 2x + 7 < 9
3 x −1 −1
3) ≤1
x −1 +1
16. กระดาษแข็งรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากแผนหนึ่ง กวาง 3 ฟุต และยาว 4 ฟุต เมื่อตัดมุมกระดาษทั้งสี่
ออกเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทีย่ าวดานละ x ฟุต จะสามารถประกอบเปนกลองทรงสี่เหลีย่ ม
มุมฉากซึ่งไมมฝี าปดได ถากลองดังกลาวมีปริมาตร 2 ลูกบาศกฟุต จงหาคาของ x
17. จงหาจํานวนจริง a ทั้งหมดทีท่ ําใหสมการ x 2 − ax − a + 3 =0 มีคําตอบเปนจํานวนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
( 9)
2
4
–
2. ตัวอยางคําตอบ
1) a= 1+ 2 และ b = 2
2) a = 2 2 และ b = 2
3) a = 2 2 และ b = 2
4) a = 2 และ b = 3
5) a = 2 2 และ b = 2
6) a = 6 และ b = 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 141
xy
3. ให x และ y เปนจํานวนจริงใด ๆ และ x∗ y =
x− y
yx xy
จะได y∗x = =−
y−x x− y
= 10
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 10
5. ให p ( x=) x 2 + 3kx
จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เมื่อหาร p ( x ) ดวย x − 1 จะไดเศษเหลือ คือ p (1)
และเมื่อหาร p ( x ) ดวย x − 2 จะไดเศษเหลือ คือ p ( 2 ) โดยที่
p (1) = (1)2 + 3k (1) = 1 + 3k
และ p ( 2 ) = ( 2 )2 + 3k ( 2 )
= 4 + 6k
เนื่องจาก เศษเหลือที่ไดจากการหาร x 2 + 3kx ดวย x −1 และ x−2 เทากัน
นั่นคือ p (1) = p ( 2 )
จะได 1 + 3k =4 + 6k
ดังนั้น k = −1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
(b − a) x − a
จะเห็นวา p ( −2 ) =
0 ดังนั้น x + 2 เปนตัวประกอบของ x − 4 x 3 2
− 3 x + 18
นํา x + 2 ไปหาร x − 4 x − 3x + 18 ไดผลหารเปน x − 6 x + 9
3 2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 143
นั่นคือ x 3 − 4 x 2 − 3 x + 18 ( x + 2) ( x2 − 6x + 9)
=
( x + 2 )( x − 3)
2
=
ดังนั้น x3 − 4 x 2 − 3x + 18 = ( x + 2 )( x − 3)2
2) ให p ( x ) = 2 x 4 + 5 x3 − 2 x 2 + 4 x + 3
เนื่องจากจํานวนเต็มที่หาร 3 ลงตัว คือ ±1, ± 3
และจํานวนเต็มที่หาร 2 ลงตัว คือ ±1, ± 2
พิจารณา p ( −3)
p ( −3) = 2 ( −3) + 5 ( −3) − 2 ( −3) + 4 ( −3) + 3 = 0
4 3 2
ดังนั้น 2 x + 5 x − 2 x + 4 x + 3 = ( x + 3) ( 2 x − x + x + 1)
4 3 2 3 2
ให q ( x )= 2 x − x + x + 1
3 2
( x + 3) x +
1
นั่นคือ 2 x 4 + 5 x3 − 2 x 2 + 4 x + 3 ( 2x − 2x + 2)
2
=
2
( x + 3) x +
1
⋅ 2 ( x − x + 1)
2
=
2
= ( x + 3)( 2 x + 1) ( x 2 − x + 1)
ดังนั้น 2 x 4 + 5 x3 − 2 x 2 + 4 x + 3 = ( x + 3)( 2 x + 1) ( x 2 − x + 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
8. ให p ( x ) = x − kx + 2
3
ดังนั้น k = −1
ถา x − 1 เปนตัวประกอบของ x − kx + 2 นั่นคือ p (1) = 0
3
จะได 1 − k (1) + 2
3
= 0
ดังนั้น k = 3
ถา x + 2 เปนตัวประกอบของ x − kx + 2 นั่นคือ p ( −2 ) =
3
0
จะได ( −2 ) − k ( −2 ) + 2 = 0
3
ดังนั้น k = 3
ถา x − 2 เปนตัวประกอบของ x − kx + 2 นั่นคือ p ( 2 ) = 0
3
จะได 2 − k ( 2) + 2 = 0
3
ดังนั้น k = 5
จะได จํานวนเต็ม k ที่เปนไปไดทั้งหมด คือ −1, 3 หรือ 5
9. 1) จาก x3 − 5 x 2 + 12 = 8x
จัดรูปสมการใหมไดเปน x3 − 5 x 2 − 8 x + 12 = 0
เนื่องจาก x − 5 x − 8 x + 12 = ( x − 1) ( x − 4 x − 12 ) = ( x − 1)( x + 2 )( x − 6 )
3 2 2
จะได ( x − 1)( x + 2 )( x − 6 ) =0
ดังนั้น x − 1 =0 หรือ x + 2 =0 หรือ x − 6 =0
จะได x = 1 หรือ x = − 2 หรือ x=6
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2, 1, 6 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 145
2) จาก x + x = 2 x + 4
4 2 3
จัดรูปสมการใหมไดเปน x − 2 x + x − 4 =0
4 3 2
เนื่องจาก x − 2 x + x − 4 = ( x − 2 )( x + 1) ( x − x + 2 )
4 3 2 2
จะได ( x − 2 )( x + 1) ( x − x + 2 ) =0
2
ถา x − 2 =0 จะได x = 2
ถา x + 1 =0 จะได x = − 1
ถา x − x + 2 =0 และเนื่องจาก ( −1) − 4 (1)( 2 ) =
2 2
−7
จะไดวาไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ {−1, 2}
3) จาก 2 x3 + 5 x 2 − 4 x − 3 =0
เนื่องจาก 2 x3 + 5 x 2 − 4 x − 3 = ( x − 1)( x + 3)( 2 x + 1)
จะได ( x − 1)( x + 3)( 2 x + 1) = 0
ดังนั้น x − 1 =0 หรือ x + 3 =0 หรือ 2 x + 1 =0
1
จะได x =1 หรือ x = −3 หรือ x= −
2
1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ −3, − , 1
2
3x − 6 x2 − 2 x 3( x − 2) x ( x − 2)
10. 1) ÷ = ÷
x 2 − 1 x3 − 2 x 2 + 2 x − 1 ( x − 1)( x + 1) ( x − 1) ( x 2 − x + 1)
3( x − 2) ( x − 1) ( x 2 + 3x + 1)
= ⋅
( x − 1)( x + 1) x ( x − 2)
=
(
3 x 2 + 3x + 1 ) เมื่อ x ≠1 และ x≠2
x ( x + 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
x 2 x x ( x − 3) − 2 ( x − 2 ) x
2) − ⋅ = ⋅
( x − 1)( x − 2 ) ( x − 1)( x − 3) x − 4 ( x − 1)( x − 2 )( x − 3) x−4
x 2 − 3x − 2 x + 4 x
= ⋅
( x − 1)( x − 2 )( x − 3) x − 4
x2 − 5x + 4 x
= ⋅
( x − 1)( x − 2 )( x − 3) x − 4
=
( x − 1)( x − 4 ) ⋅ x
( x − 1)( x − 2 )( x − 3) x − 4
x
= เมื่อ x ≠1 และ x≠4
( x − 2 )( x − 3)
x 2 + bx + c a 2x − 3
11. จาก = + 2
( )
x + 2 ( 2 x + 1) 2 x − 1 x + 2
2
เนื่องจาก a 2x − 3
+ 2 =
( )
a x 2 + 2 + ( 2 x − 3)( 2 x + 1)
2x −1 x + 2 ( 2 x − 1) ( x 2 + 2 )
( a + 4 ) x 2 − 8 x + ( 2a + 3)
=
( 2 x − 1) ( x 2 + 2 )
x 2 + bx + c ( a + 4 ) x 2 − 8 x + ( 2a + 3)
จะได 2 =
( x + 2 ) ( 2 x + 1) ( 2 x − 1) ( x 2 + 2 )
นั่นคือ a+4=1, b =−8และ =c 2a + 3
ดังนั้น a= −8 และ c = −3
−3, b =
3 1 4
12. จาก + =
x − 1 x 2 − 3x + 2 x 2 − 1
จัดรูปสมการใหมไดเปน 3 + 2 1 − 24 = 0
x − 1 x − 3x + 2 x − 1
3 1 4
จะได + − = 0
x − 1 x 2 − 3x + 2 x 2 − 1
3 1 4
+ − = 0
x − 1 ( x − 1)( x − 2 ) ( x − 1)( x + 1)
3 ( x − 2 )( x + 1) + 1( x + 1) − 4 ( x − 2 )
= 0
( x − 1)( x − 2 )( x + 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 147
3x 2 − 6 x + 3
= 0
( x − 1)( x − 2 )( x + 1)
3 ( x − 1)
2
= 0
( x − 1)( x − 2 )( x + 1)
3 ( x − 1)
= 0 เมื่อ x ≠ −1
( x − 2 )( x + 1)
จะได x − 1 =0 และ ( x − 2 )( x + 1) ≠ 0 และ x ≠ −1
นั่นคือ x = 1 โดยที่ x ≠ 2 และ x ≠ −1 และ x ≠ −1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการนี้ คือ ∅
x ( x + 1) ( x − 3)
2 3
13. จาก ≤0
( x − 1)( x − 5)4
เนื่องจาก ( x + 1)2 ≥ 0, ( x − 3)2 ≥ 0 และ ( x − 5)4 ≥ 0 เสมอ
นั่นคือ ตองหาคําตอบของอสมการ x ( x − 3) ≤ 0 เมื่อ x ≠ 5
( x − 1)
พิจารณาเสนจํานวน
–3 –2 –1 0 1 2 3 4 5 6
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ( −∞, 0] ∪ [1, 3]
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 149
( x − 4) (4 − x )
2 2 2 2
=
( x − 4) − ( 4 − x )
2 2 2 2
= 0
(( x 2
) (
− 4 − 4 − x2 )) (( x − 4) + ( 4 − x ))
2 2
= 0
0 = 0 ซึ่งเปนจริงทุกจํานวนจริง x
แตเนื่องจาก x 2 − 4 ≥ 0 เสมอ และ x 2 − 4 = 4 − x 2
จะไดวา 4 − x 2 ≥ 0 เสมอ
นั่นคือ x 2 ≤ 4
จะไดวา 2 < x < −2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ [ −2, 2]
15. 1) จากอสมการ x 2 − 5 ≥ 4
จะได x 2 − 5 ≤ − 4 หรือ x2 − 5 ≥ 4
x2 ≤ 1 หรือ x2 ≥ 9
x2 − 1 ≤ 0 หรือ x2 − 9 ≥ 0
( x − 1)( x + 1) ≤ 0 หรือ ( x − 3)( x + 3) ≥ 0
−1 ≤ x ≤ 1 หรือ x ≤ −3 หรือ x≥3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( −∞, − 3] ∪ [ −1, 1] ∪ [3, ∞ )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
2) จาก 2x + 7 < 9
จะได −9 < 2x + 7 < 9
−9 − 7 < 2x < 9−7
−16 2
< x <
2 2
−8 < x < 1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( −8, 1)
3 x −1 −1
3) จาก ≤ 1
x −1 +1
เนื่องจาก x −1 ≥ 0 เสมอ จะได x −1 +1 > 0 เสมอ
นั่นคือ 3 x −1 −1 ≤ x −1 +1
3 x −1 − x −1 ≤ 1+1
2 x −1 ≤ 2
x −1 ≤ 1
จะได −1 ≤ x −1 ≤ 1
0 ≤ x ≤ 2
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [0, 2]
16. แสดงสิ่งที่โจทยกําหนดไดดังรูปตอไปนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | จํานวนจริง
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 151
จะได x ( 3 − 2 x )( 4 − 2 x ) = 2
x ( 3 − 2 x )( 2 − x ) = 1
2 x3 − 7 x 2 + 6 x − 1 = 0
( x − 1) ( 2 x 2
− 5x + 1) = 0
นั่นคือ x − 1 =0 หรือ 2 x 2 − 5 x + 1 =0
เมื่อ x − 1 =0 จะได x = 1
− ( −5 ) ± ( −5 ) − 4 ( 2 )(1) 5 ± 17
2
เมื่อ 2x − 5x + 1 =
= 2
0 จะได x =
2 ( 2) 4
แตเนื่องจากความกวาง ความยาว และความสูงของกลองตองมากกวา 0
นั่นคือ x > 0, 3 − 2 x > 0 และ 4 − 2 x > 0
3
จะไดวา x ∈ 0,
2
5 − 17
ดังนั้น คาของ x ที่เปนไปได คือ 1 หรือ
4
17. จาก x 2 − ax − a + 3 =0
จัดรูปสมการใหมไดเปน x 2 − ax + ( 3 − a ) =
0
− ( − a ) ± ( − a ) − 4 (1)( 3 − a )
2
จะได x = a ± a + 4a − 12
2
=
2 (1) 2
จะไดวา x เปนจํานวนจริง ก็ตอเมื่อ a 2 + 4a − 12 ≥ 0
นั่นคือ x เปนจํานวนจริง ก็ตอเมื่อ ( a − 2 )( a + 6 ) ≥ 0
ดังนั้น a ∈ ( −∞, − 6] ∪ [ 2, ∞ )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
152 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
เฉลยแบบฝกหัดและวิธีทําโดยละเอียด
บทที่ 1 เซต
แบบฝกหัด 1.1ก
1. 1) { a, e, i, o, u } 2) { 2, 4, 6, 8 }
3) { 10, 11, 12, , 99 } 4) { 101, 102, 103, }
5) { − 99, − 98, − 97, , − 1} 6) { 4, 5, 6, 7, 8, 9 }
7) ∅ 8) ∅
9) { − 14, 14 } 10) {ชลบุร,ี ชัยนาท, ชัยภูมิ, ชุมพร, เชียงราย, เชียงใหม}
2. ตัวอยางคําตอบ
1) { x | x เปนจํานวนคี่บวกที่นอยกวา 10 } หรือ { x ∈ | x เปนจํานวนคี่ตั้งแต 1 ถึง 9 }
2) { x | x เปนจํานวนเต็ม }
3) { x ∈ | x มีรากที่สองเปนจํานวนเต็ม } หรือ { x | x = n และ n เปนจํานวนนับ }
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 153
6. 1) เซตอนันต 2) เซตจํากัด
3) เซตอนันต 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต 6) เซตอนันต
7. 1) จากโจทย A = { 0, 1, 3, 7 }
และเขียน B แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน B= { , − 2, − 1, 0, 1, 2, , 9 }
ดังนั้น A ≠ B เพราะมีสมาชิกของ B ที่ไมเปนสมาชิกของ A เชน −1∈ B
แต −1∉ A
2) จากโจทย เขียน A แบบแจกแจงสมาชิกไดเป= น A { , − 2, 0, 2, 4, 6, 8 }
และ B = { 2, 4, 6, 8 }
ดังนั้น A ≠ B เพราะมีสมาชิกของ A ที่ไมเปนสมาชิกของ B เชน 0 ∈ A
แต 0 ∉ B
3) จากโจทย A = { 7, 14, 21, , 343 }
และเขียน B แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน B = { 7, 14, 21, , 343 }
ดังนั้น A = B เพราะสมาชิกทุกตัวของ A เปนสมาชิกของ B และสมาชิกทุกตัว
ของ B เปนสมาชิกของ A
1 2 3 4
4) จากโจทย เขียน A แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน A = 0, , , , ,
2 3 4 5
1 2 3 4
และ B = 0, , , , ,
2 3 4 5
ดังนั้น A = B เพราะสมาชิกทุกตัวของ A เปนสมาชิกของ B และสมาชิกทุกตัว
ของ B เปนสมาชิกของ A
5) จากโจทย เขียน A แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน A = {−6, 6}
และ B = { 6 }
ดังนั้น A ≠ B เพราะมีสมาชิกของ A ที่ไมเปนสมาชิกของ B คือ −6 ∈ A
แต −6 ∉ B
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
154 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 155
แบบฝกหัด 1.1ข
1. 1) ถูก ผิด
2)
3) ผิด 4) ถูก
5) ถูก 6) ผิด
2. เขียน A และ B แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน
A = { 2, 4, 6 }
B = { 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 }
และจากโจทย C = { 2, 4 }
ดังนั้น A ⊂ B เพราะสมาชิกทุกตัวของ A เปนสมาชิกของ B
C ⊂ A เพราะสมาชิกทุกตัวของ C เปนสมาชิกของ A
C ⊂ B เพราะสมาชิกทุกตัวของ C เปนสมาชิกของ B
3. เขียน Y แบบแจกแจงสมาชิกไดเปน Y = { 1, 3, 5, 7, 9, 11}
1) เปนจริง เพราะสมาชิกทุกตัวของ X เปนสมาชิกของ Y
2) เปนจริง เพราะสมาชิกทุกตัวของ Y เปนสมาชิกของ X
3) เปนจริง เพราะ X ⊂ Y และ Y ⊂ X
4. 1) ∅ และ { 1 }
2) ∅ , { 1 } , { 2 } และ { 1, 2 }
3) ∅ , { − 1 } , { 0 } , { 1 } , {−1, 0 } , {−1, 1 } , { 0, 1 } และ {−1, 0, 1 }
4) ∅ , { x } , { y } และ { x , y }
5) ∅ , { a } , { b } , { c } , { a , b } , { a , c } , { b, c } และ { a , b , c }
6) ∅
5. 1) เนื่องจากสับเซตทั้งหมดของ {5} ไดแก ∅ และ {5}
ดังนั้น เพาเวอรเซตของ {5} คือ {∅, {5}}
2) เนื่องจากสับเซตทั้งหมดของ {0, 1} ไดแก ∅, {0} , {1} และ {0, 1}
ดังนั้น เพาเวอรเซตของ {0, 1} คือ {∅, {0} , {1} , {0, 1}}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
156 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 157
แบบฝกหัด 1.1ค
1. จากสิ่งที่กําหนดให A และ B ไมมีสมาชิกรวมกัน
เขียนแผนภาพเวนนแสดง A และ B ไดดังนี้
U
A B
2 1 3
4
5 9
6
7 8 10
2. กําหนดให U เปนเซตของจํานวนนับ
1) จากสิ่งที่กําหนดให จะได B ⊂ A
เขียนแผนภาพเวนนแสดง A และ B ไดดังนี้
U
A
2 B 4
6 10
1
8 3 5
7 9
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
158 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
4 6
B
2 8
C 10
7 9
1
3
5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 159
แบบฝกหัด 1.2
1. วิธีที่ 1 1) A มีสมาชิก คือ 0, 1, 2 และ 8
B มีสมาชิก คือ 0, 2, 4, 7 และ 9
ดังนั้น A ∪ B = { 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 }
2) A และ B มีสมาชิกรวมกัน คือ 0 และ 2
ดังนั้น A ∩ B = { 0, 2 }
3) สมาชิกที่อยูใน A แตไมอยูใ น B คือ 1 และ 8
ดังนั้น A − B = { 1, 8 }
4) สมาชิกที่อยูใน B แตไมอยูใ น A คือ 4, 7 และ 9
ดังนั้น B − A = { 4, 7, 9 }
5) สมาชิกที่อยูใน U แตไมอยูใ น A คือ 3, 4, 5, 6, 7 และ 9
ดังนั้น A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9 }
6) สมาชิกที่อยูใน U แตไมอยูใ น B คือ 1, 3, 5, 6 และ 8
ดังนั้น B′ = { 1, 3, 5, 6, 8 }
7) A มีสมาชิก คือ 0, 1, 2 และ 8
B′ มีสมาชิก คือ 1, 3, 5, 6 และ 8
ดังนั้น A ∪ B′ = { 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8 }
8) A′ มีสมาชิก คือ 3, 4, 5, 6, 7 และ 9
B มีสมาชิก คือ 0, 2, 4, 7 และ 9
จะได A′ และ B มีสมาชิกรวมกัน คือ 4, 7 และ 9
ดังนั้น A′ ∩ B = { 4, 7, 9 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
160 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1 0 4
9
8 2
7
3 5 6
จากแผนภาพ จะได
1) A∪ B={ 0, 1, 2, 4, 7, 8, 9 }
2) { 0, 2 }
A∩ B =
3) { 1, 8 }
A− B =
4) { 4, 7, 9 }
B−A=
5) A′ = { 3, 4, 5, 6, 7, 9 }
6) B′ = { 1, 3, 5, 6, 8 }
7) { 0, 1, 2, 3, 5, 6, 8 }
A ∪ B′ =
8) { 4, 7, 9 }
A′ ∩ B =
2. ให U
= 0, 2, 4, 6, 8 } , B { 1, 3, 5, 7 } และ
4, 5, 6, 7, 8 } , A {=
{ 0, 1, 2, 3, =
C = { 3, 4, 5, 6 }
วิธีที่ 1 1) A และ B ไมมีสมาชิกรวมกัน
ดังนั้น A ∩ B =∅
2) B มีสมาชิก คือ 1, 3, 5 และ 7
C มีสมาชิก คือ 3, 4, 5 และ 6
ดังนั้น B ∪ C = { 1, 3, 4, 5, 6, 7 }
3) B และ C มีสมาชิกรวมกัน คือ 3 และ 5
ดังนั้น B ∩ C = { 3, 5 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 161
0 4 3 1
2
6 5 7
8
จากแผนภาพ จะได
1) A∩ B =∅ 2) { 1, 3, 4, 5, 6, 7 }
B ∪C =
3) { 3, 5 }
B ∩C = 4) { 4, 6 }
A∩C =
5) C ′ = { 0, 1, 2, 7, 8 } 6) { 0, 2, 8 }
C′ ∩ A =
7) { 1, 7 }
C′ ∩ B = 8) ( A ∩ B) ∪ B =
{ 1, 3, 5, 7 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
162 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
3. 1) A′ 2) B′ d
U U
A B A B
3) A′ ∩ B′ 4) ( A ∪ B )′ s
U U
A B A B
5) A′ ∪ B′ 6) ( A ∩ B )′ s
U U
A B A B
7) A− B 8) A ∩ B′ d
U U
A B A B
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 163
4. 1) ( A ∪ B) ∪ C 2) A∪(B ∪C) d
U U
A B A B
C C
3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A∩(B ∩C) s
U U
A B A B
C C
C C
5. 1) A∩C ก 2) C ∪ B′
3) B−A ก
6. 1) ∅ ก 2) A
3) ∅ก 4) U
5) U ก 6) ∅
7) A′ ก 8) ∅
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
164 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 1.3
1. เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
U
A B
34 6 19
41
2. เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
U
A B
12 13 17
จากแผนภาพ จะได
1) n ( A ∪ B ) = 12 + 13 + 17 = 42
2) n( A − B) =
12 ก
3) n ( A′ ∩ B′ ) =
8ป
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 165
3. เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
U
A B
7
3 3
5
10 5
10
C
7
จากแผนภาพ จะได
1) n ( A ∪ C ) =3 + 7 + 10 + 5 + 10 + 5 =40
2) n ( A ∪ B ∪ C ) = 3 + 7 + 10 + 5 + 10 + 5 + 3 = 43 ก
3) n ( A ∪ B ∪ C )′ =
7ก
4) n ( B − ( A ∪ C )) =
3ก
5) n (( A ∩ B ) − C ) =
7 ก
4. ให A และ B ่ n ( A)
เปนเซตจํากัด โดยที= =
18, n ( B ) 25 และ n ( A ∪ B ) =
37
จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได 37 = 18 + 25 − n ( A ∩ B )
n ( A ∩ B ) = 18 + 25 − 37
n( A ∩ B) = 6
ดังนั้น n ( A ∩ B ) =
6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
166 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
5. จาก n ( A − B ) =
20 และ n ( A ∪ B ) =
80
เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
U
A B
20
จากแผนภาพ จะได n ( B ) = n ( A ∪ B ) − n ( A − B ) = 80 − 20 = 60
6. ให U แทนเซตของพนักงานบริษัทแหงหนึ่งที่ไดรับการสอบถาม
A แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มชา
B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มกาแฟ
A∪ B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มชาหรือกาแฟ
A∩ B แทนเซตของพนักงานที่ชอบดื่มทั้งชาและกาแฟ
จะได n ( A ∪ B ) = 120
n ( A ) = 60
n ( B ) = 70
จาก n( A ∪ B) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได 120 = 60 + 70 − n ( A ∩ B )
n( A ∩ B) = 60 + 70 – 120
นั่นคือ n ( A ∩ B ) = 10
ดังนั้น มีพนักงานที่ชอบดื่มทั้งชาและกาแฟ 10 คน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 167
วิธีที่ 1 เนื่องจาก A′ ∩ B′ = ( A ∪ B )′
ดังนั้น n ( A′ ∩ B′ ) = n ( A ∪ B )′
จะได n( A ∪ B) = n (U ) − n ( A ∪ B )′
= n (U ) − n ( A′ ∩ B′ )
= 1,000 – 660
= 340
จาก n( A ∪ B) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
168 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
312 – x x 180 – x
660
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 169
จะได n ( A ) = 37
n ( B ) = 48
n (C ) = 45
n ( A ∩ B ) = 15
n ( B ∩ C ) = 13
n( A ∩ C) = 7
n( A ∩ B ∩ C) = 5
วิธีที่ 1 เขียนแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
U
A B
10
20 25
5
2 8
30
C
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
170 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
230
C
2,370
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 171
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
172 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัดทายบท
1. 1) { 48 } ด 2) ∅
3) { 5, 10, 15, } ด 4) { − 2, 0, 2 }
5) { 1, 2, 3, , 10 } ด
2. ตัวอยางคําตอบ
1) { x |=x 3n − 2 เมื่อ n∈ และ 1 ≤ n≤ 5}
2) { x∈ | − 20 ≤ x ≤ − 10 }
3) { x |=x 4n + 1 เมื่อ n∈ }
4) { x | x = n3 เมื่อ n∈ }
3. 1) เซตจํากัด 2) เซตอนันต
3) เซตจํากัด 4) เซตจํากัด
5) เซตอนันต
4. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ 4) เปนจริง
5) เปนจริง 6) เปนเท็จ
7) เปนจริง 8) เปนจริง
9) เปนเท็จ
5. จาก U = {5, 6, 7, 8, 9}
A= {x x > 7}= {8, 9}
และ B = {5, 6}
จะได P ( A) = {∅, {8} , {9} , {8, 9}}
และ P ( B ) = {∅, {5} , {6} , {5, 6}}
1) จาก P ( A ) = {∅, {8} , {9} , {8, 9}} และ P ( B ) = {∅, {5} , {6} , {5, 6}}
จะได P ( A) ∩ P ( B ) = {∅}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 173
3) U จ 4) A
5) A จ 6) U
7. 1) เนื่องจาก A ∪ ( B − A ) = A ∪ ( B ∩ A′ )
= ( A ∪ B ) ∩ ( A ∪ A′ )
= ( A ∪ B) ∩U
= A∪ B
ดังนั้น A ∪ B = A ∪ ( B − A)
2) เนื่องจาก A − ( A ∩ B) = A ∩ ( A ∩ B )′
= A ∩ ( A′ ∪ B′ )
= ( A ∩ A′ ) ∪ ( A ∩ B′ )
= ∅ ∪ ( A ∩ B′ )
= A ∩ B′
ดังนั้น A ∩ B′ = A − ( A ∩ B )
3) เนื่องจาก U − ( A ∪ B) = U ∩ ( A ∪ B )′
= U ∩ ( A′ ∩ B′ )
= A′ ∩ B′
ดังนั้น A′ ∩ B′ = U − ( A ∪ B )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
174 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
8. 1) A′ ∩ B ก จ 2) ( A ∩ B′ )′
U U
A B A B
3) ( A ∪ B′ )′ ก
A B U
9. 1) A ∪ ( A − B) ก 2) ( A′ ∩ B ) ∩ C
U U
A A
B B
C C
3) ( A − B )′ ∩ C ก 4) A ∪ (C′ − B )
U U
A A
B B
C C
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 175
5) ( A ∩ B′ ) ∪ C ก 6) A′ ∩ ( C ′ ∩ B )
U U
A
A
B
B
C C
7) A ∪ ( C ′ ∩ B )′ ก
U
A
B
จากแผนภาพ จะเห็นวา A ⊂ B′
ดังนั้น ขอความ “ A ⊂ B′ ” เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
176 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จากแผนภาพ จะเห็นวา B ⊂ A′
ดังนั้น ขอความ “ B ⊂ A′ ” เปนจริง
3) เขียนแผนภาพแสดง A′, B′ และ A′ ∪ B′ ไดดังนี้
A B U A B U A B U
จากแผนภาพ จะเห็นวา A′ ∪ B′ = U
ดังนั้น ขอความ “ A′ ∪ B′ =
U ” เปนจริง
12. จาก A⊂ B
1) เขียนแผนภาพแสดง A∪ B ไดดังนี้
B U
A
จากแผนภาพ จะเห็นวา A ∪ B = B
ดังนั้น ขอความ “ A ∪ B =
B ” เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 177
2) เขียนแผนภาพแสดง A ∩ B ไดดังนี้
B U
A
จากแผนภาพ จะเห็นวา A ∩ B = A
B′ A′
จากแผนภาพ จะเห็นวา B′ ⊂ A′
ดังนั้น ขอความ “ B′ ⊂ A′ ” เปนจริง
4) เขียนแผนภาพแสดง A ∩ B′ ไดดังนี้
B U
จากแผนภาพ จะเห็นวา A ∩ B′ = ∅
ดังนั้น ขอความ “ A ∩ B′ =
∅ ” เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
178 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
5) เขียนแผนภาพแสดง A′ ∪ B
B U
จากแผนภาพ จะเห็นวา A′ ∪ B = U
ดังนั้น ขอความ “ A′ ∪ B =
U ” เปนจริง
13. ให A และ B เปนเซตที่มีจํานวนสมาชิกเทากัน คือ x ตัว
นั่นคือ n=( A) n= ( B) x
จากโจทย n ( A ∩ B ) = 101 และ n ( A ∪ B ) =233
จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได 233 = x + x − 101
2x = 233 + 101
นั่นคือ x = 167
ดังนั้น n ( A) = 167
14.ดให U แทนเซตของผูป วยที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของผูป วยที่เปนโรคตา
B แทนเซตของผูป วยที่เปนโรคฟน
A∩ B แทนเซตของผูป วยที่เปนทั้งสองโรค
A′ ∩ B′ แทนเซตของผูป วยที่ไมเปนโรคตาและไมเปนโรคฟน
จะได n (U ) = 100
n ( A ) = 40
n ( B ) = 20
n( A ∩ B) = 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 179
วิธีที่ 1 นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
U
A B
35 5 15
45
จะได = 100 − 55
= 45
ดังนั้น มีผูปวยที่ไมเปนโรคตาและไมเปนโรคฟน 45%
15. ให U แทนเซตของลูกคาที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมชนิดตั้งโตะ
B แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมชนิดแขวนเพดาน
A∩ B แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมทั้งสองชนิด
จะได n (U ) = 100
n ( A ) = 60
n ( B ) = 45
n ( A ∩ B ) = 15
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
180 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
วิธีที่ 1 นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
U
A B
45 15 30
10
จากแผนภาพ จะไดวา
1) มีลูกคาที่ไมใชพัดลมทั้งสองชนิดนี้ 10%
2) มีลูกคาทีใ่ ชพัดลมเพียงชนิดเดียวเทากับ 45% + 30% = 75%
วิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได n ( A ∪ B ) = 60 + 45 − 15
= 90
มีลูกคาที่ไมใชพัดลมทั้งสองชนิดนี้เทากับ 100% – 90% = 10%
1)
2) มีลูกคาทีใ่ ชพัดลมชนิดเดียวเทากับ 90% – 15% = 75%
16. ให U แทนเซตของรถที่เขามาซอมที่อูของแดน
A แทนเซตของรถที่ตองซอมเบรก
B แทนเซตของรถที่ตองซอมระบบทอไอเสีย
A∪ B แทนเซตของรถที่ตองซอมเบรกหรือระบบทอไอเสีย
( A ∪ B )′ แทนเซตของรถที่มีสภาพปกติ
A∩ B แทนเซตของรถที่ตองซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเสีย
จะได n (U ) = 50
n ( A ) = 23
n ( B ) = 34
n ( A ∪ B )′ = 6
นั่นคือ n ( A ∪ B ) = 50 − 6 = 44
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 181
23 – x x 34 – x
1) จากแผนภาพ จะไดวา 44 = ( 23 − x ) + x + ( 34 − x )
44 = 57 − x
จะได x = 13
ดังนั้น มีรถที่ตอ งซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเสีย 13 คัน
2) จากแผนภาพ จะไดวามีรถที่ตองซอมเบรกแตไมตองซอมระบบทอไอเสีย
เทากับ 23 – 13 = 10 คัน
วิธีที่ 2 1) จาก n ( A ∪ B ) = n ( A) + n ( B ) − n ( A ∩ B )
จะได 44 = 23 + 34 − n ( A ∩ B )
n ( A ∩ B ) = 23 + 34 − 44
นั่นคือ n ( A ∩ B ) = 13
ดังนั้น มีรถที่ตอ งซอมทั้งเบรกและระบบทอไอเสีย 13 คัน
2) มีรถที่ตองซอมเบรกแตไมตองซอมระบบทอไอเสีย เทากับ 23 – 13 = 10 คัน
17. ให U แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงทางรถไฟ
B แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงทางรถยนต
C แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงทางเรือ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
182 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
A∩ B แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงทางรถไฟและรถยนต
B ∩C แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงทางรถยนตและเรือ
A∩C แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงทางรถไฟและเรือ
A∩ B ∩C แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงทั้งทางรถไฟ รถยนต และเรือ
( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงอื่น ๆ ที่ไมใชทางรถไฟ รถยนต หรือเรือ
A∪ B ∪C แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงทางรถไฟ รถยนต หรือเรือ
จะได n ( A ) = 100
n ( B ) = 150
n ( C ) = 200
n ( A ∩ B ) = 50
n ( B ∩ C ) = 25
n( A ∩ C) = 0
n( A ∩ B ∩ C) = 0
n ( A ∪ B ∪ C )′ = 30
วิธีที่ 1 นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
U
A B
50
50 75
0
0 25
175
C
30
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 183
วิธีที่ 2 จาก n ( A ∪ B ∪ C ) = n ( A) + n ( B ) + n ( C ) − n ( A ∩ B )
−n ( A ∩ C ) − n ( B ∩ C ) + n ( A ∩ B ∩ C )
จะได n ( A ∪ B ∪ C ) = 100 + 150 + 200 – 50 – 0 – 25 + 0
= 375
จาก n ( A ∪ B ∪ C )′ = 30
จะได n (U ) = n ( A ∪ B ∪ C ) + n ( A ∪ B ∪ C )′
= 375 + 30
= 405
ดังนั้น มีผูใชบริการขนสงที่เขารวมการสํารวจทั้งหมด 405 คน
18. ให U แทนเซตของคนทํางานที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปา
B แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการไปทะเล
C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเลนสวนน้ํา
A∩ B แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปาและการไปทะเล
A ∩ C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดินปาและการเลนสวนน้ํา
B ∩ C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการไปทะเลและการเลนสวนน้ํา
A ∩ B ∩ C แทนเซตของคนทํางานที่ชอบทั้งการเดินปา การไปทะเล และการเลนสวนน้ํา
จะได n ( A ) = 35
n ( B ) = 57
n ( C ) = 20
n( A ∩ B) = 8
n ( A ∩ C ) = 15
n(B ∩ C) = 5
n( A ∩ B ∩ C) = 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
184 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
U
A B
5
15 47
3
12 2
3
C
13
จากแผนภาพ จะไดวา
1) มีคนที่ชอบการไปทะเลหรือชอบการเลนสวนน้ํา เทากับ
5% + 47% + 12% + 3% + 2% + 3% =
72%
2) มีคนที่ชอบการเดินปาหรือชอบการไปทะเล เทากับ
15% + 5% + 47% + 12% + 3% + 2% =
84%
มีคนที่ชอบทํากิจกรรมเพียงอยางเดียว เทากับ 15% + 47% + 3% =
3) 65%
4) มีคนที่ไมชอบการเดินปา หรือไปทะเล หรือเลนสวนน้ํา 13%
19. ให U แทนเซตของประชาชนที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียน
B แทนเซตของคนที่ชอบมังคุด
C แทนเซตของคนที่ชอบมะมวง
A∩ B แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียนและมังคุด
B ∩ C แทนเซตของคนที่ชอบมังคุดและมะมวง
A ∩ C แทนเซตของคนที่ชอบทุเรียนและมะมวง
A ∩ B ∩ C แทนเซตของคนที่ชอบผลไมทั้งสามชนิดนี้
จะได n ( A ) = 720
n ( B ) = 605
n ( C ) = 586
n ( A ∩ B ) = 483
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 185
n ( B ∩ C ) = 470
n ( A ∩ C ) = 494
n ( A ∩ B ∩ C ) = 400
นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
U
A B
83
143 52
400
94 70
22
C
136
จากแผนภาพ จะไดวา
1) มีคนที่ชอบมังคุดอยางเดียว 52 คน
2) มีคนที่ชอบผลไมอยางนอยหนึ่งชนิดในสามชนิดนี้ เทากับ
143 + 83 + 52 + 94 + 400 + 70 + 22 = 864 คน
3) มีคนที่ไมชอบผลไมชนิดใดเลยในสามชนิดนี้ 136 คน
20. ให U แทนเซตของนักเรียนที่เขารวมการสํารวจ
A แทนเซตของนักเรียนที่ชอบวิชาคณิตศาสตร
B แทนเซตของนักเรียนที่ชอบวิชาฟสิกส
C แทนเซตของนักเรียนที่ชอบวิชาภาษาไทย
( A ∪ B ∪ C )′ แทนเซตของนักเรียนที่ไมชอบวิชาใดเลยในสามวิชานี้
จะได n ( A ) = 56
n ( B ) = 47
n ( C ) = 82
n ( A ∪ B ∪ C )′ = 4
นั่นคือ n ( A ∪ B ∪ C ) = 100 − 4 = 96
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
186 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
56 – x – y – k x 47 – x – z – k
y k z
82 – y – z – k
C 4
จากแผนภาพ จะไดวา
96 = ( 56 − x − y − k ) + ( 47 − x − z − k ) + ( 82 − y − z − k ) + x + y + z + k
96 = 185 − x − y − z − 2k
89 = ( x + y + z ) + 2k
เนื่องจาก มีนักเรียนที่ชอบเพียง 2 วิชาเทานั้น จํานวน 71%
นั่นคือ x + y + z =71
จะได 89 = 71 + 2k
2k = 18
ดังนั้น k = 9
จะไดวา ( 56 − x − y − k ) + ( 47 − x − z − k ) + (82 − y − z − k )
= 185 − 2 x − 2 y − 2 z − 3k
= 185 − 2 ( x + y + z ) − 3k
= 185 − 2 ( 71) − 3 ( 9 )
= 185 − 142 − 27
= 16
ดังนั้น มีนักเรียนที่ชอบเพียงวิชาเดียวเทานั้น จํานวน 16 %
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 187
วิธีที่ 2 นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้
A B U
y k z
C 4
(Y ∩ Z ) − X แทนเซตของคนที่มีหมูเลือด B +
X ∩Y ∩ Z แทนเซตของคนที่มีหมูเลือด AB +
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
188 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะได n( X ) = n ( A+ ) + n ( A− ) + n ( AB + ) + n ( AB − ) = 29
n (Y ) = n ( B + ) + n ( B − ) + n ( AB + ) + n ( AB − ) = 39
n( X ∩Y ) ( ) (
= n AB + n AB
+ −
) = 9
n (( X ∩ Z ) − Y ) = n( A ) =
+
18
n ( (Y ∩ Z ) − X ) = n(B ) =+
29
n( X ∩Y ∩ Z ) = n ( AB ) = +
8
n ( Z − ( X ∪ Y )) = n (O ) =
+
40
นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
U
A B
1
2 1
8
18 29
40
C
1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 189
เขียน A ∩ B, A ∩ C , B ∩ C , A ∩ B ∩ C แบบแจกแจงสมาชิกไดดังนี้
A∩ B = {0, 12, 24, 36, 48, 60, 72, 84, 96} นั่นคือ n ( A ∩ B ) = 9
A ∩ C = {0, 30, 60, 90} นั่นคือ n ( A ∩ C ) = 4
B ∩ C = {0, 20, 40, 60, 80, 100} นั่นคือ n ( B ∩ C ) = 6
A ∩ B ∩ C = {0, 60} นั่นคือ n ( A ∩ B ∩ C ) = 2
นําขอมูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดังนี้
U
A B
7
6 13
2
2 4
3
C
14
จากแผนภาพ จะไดวา
1) n ( B ∪ C ′ ) = 7 + 13 + 2 + 4 + 6 + 14 = 46
2) n ( A ∩ B ∩ C ′) =7
3) n ( A ∪ B ∪ C ) = 6 + 7 + 13 + 2 + 2 + 4 + 3 = 37
4) n ( A ∪ B ∪ C )′ =14
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
190 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
บทที่ 2 ตรรกศาสตรเบื้องตน
แบบฝกหัด 2.1
1. 1) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ 2) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
3) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ 4) ไมเปนประพจน
5) ไมเปนประพจน 6) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
7) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ 8) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
9) ไมเปนประพจน 10) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
11) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ 12) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
13) ไมเปนประพจน 14) ไมเปนประพจน
15) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ 16) ไมเปนประพจน
17) ไมเปนประพจน 18) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
2. ตัวอยางคําตอบ
2 > 3 เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
∅ ∈ {1, 2, 3} เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
หนึ่งปมีสิบสองเดือน เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
4 เปนจํานวนอตรรกยะ เปนประพจน ที่มีคา ความจริงเปนเท็จ
เดือนมกราคม มี 31 วัน เปนประพจน ที่มีคา ความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 191
แบบฝกหัด 2.2
1. 1) 0 เปนจํานวนนับ และ 6 เปนจํานวนเต็ม มีคาความจริงเปนเท็จ
เพราะ 0 เปนจํานวนนับ มีคาความจริงเปนเท็จ
2) 9 ไมเทากับ 10 หรือ 10 ไมนอ ยกวา 9 มีคา ความจริงเปนจริง
เพราะ 9 ไมเทากับ 10 มีคาความจริงเปนจริง
3) 2 และ −1 เปนจํานวนจริง มีคาความจริงเปนจริง
เพราะ 2 เปนจํานวนจริง มีคาความจริงเปนจริง และ −1 เปนจํานวนจริง
มีคาความจริงเปนจริง
4) ถา 1∉{ 1, 2 } แลว 1 ⊂ { 1, 2 } มีคาความจริงเปนจริง
เพราะ 1∉{ 1, 2 } มีคาความจริงเปนเท็จ
5) 3 เปนจํานวนตรรกยะ และไมใชจํานวนจริง มีคาความจริงเปนเท็จ
เพราะ 3 เปนจํานวนตรรกยะ มีคาความจริงเปนเท็จ
6) 2 เปน ห.ร.ม. ของ 4 และ 6 ก็ตอเมื่อ 2 หาร 4 + 6 ไมลงตัว มีคาความจริงเปนเท็จ
เพราะ 2 เปน ห.ร.ม. ของ 4 และ 6 มีคาความจริงเปนจริง แต 2 หาร 4 + 6
ไมลงตัว มีคาความจริงเปนเท็จ
7) ถา 3 เปนจํานวนคี่ แลว 3 เปนจํานวนคี่ มีคาความจริงเปนจริง
2
มีคาความจริงเปนจริง
8) 2 เปนจํานวนจริงหรือจํานวนอตรรกยะ มีคาความจริงเปนจริง
เพราะ 2 เปนจํานวนจริง มีคาความจริงเปนจริง
9) 13 เปนจํานวนเฉพาะ ก็ตอเมื่อ 13 มีตัวประกอบคือ 1 กับ 13 มีคาความจริงเปนจริง
เพราะ 13 เปนจํานวนเฉพาะ มีคาความจริงเปนจริง และ 13 มีตัวประกอบคือ 1 กับ 13
มีคาความจริงเปนจริง
10) ถา { 3 } ⊂ { 3, 4 } แลว 3 ∉{ 3, 4 } มีคาความจริงเปนเท็จ
เพราะ { 3 } ⊂ { 3, 4 } มีคาความจริงเปนจริง แต 3 ∉{ 3, 4 } มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
192 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
11) ( 2 + 6) + 4 =
12 หรือ =12 2 ( 5 ) + 2 มีคาความจริงเปนจริง
เพราะ ( 2 + 6 ) + 4 =
12 มีคาความจริงเปนจริง
12) ถาแมงมุมเปนแมลง แลวแมงมุมตองมี 6 ขา มีคาความจริงเปนจริง
เพราะ แมงมุมเปนแมลง มีคาความจริงเปนเท็จ
13) งูเหาและงูจงอางเปนสัตวมีพิษ มีคาความจริงเปนจริง
เพราะ งูเหาเปนสัตวมีพิษ มีคา ความจริงเปนจริง และ งูจงอางเปนสัตวมีพิษ
มีคาความจริงเปนจริง
14) โลมาหรือคนเปนสัตวเลี้ยงลูกดวยน้ํานม มีคาความจริงเปนจริง
เพราะ โลมาเปนสัตวเลี้ยงลูกดวยน้ํานม มีคาความจริงเปนจริง
2. 1) นิเสธของประพจน 4 + 9 = 10 + 3 คือ 4 + 9 ≠ 10 + 3 มีคาความจริงเปนเท็จ
2) นิเสธของประพจน − 7 >/ 6 คือ − 7 > 6 มีคาความจริงเปนจริง
3) นิเสธของประพจน เซตของจํานวนนับที่เปนคําตอบของสมการ x 2 + 1 =0
เปนเซตวาง คือ เซตของจํานวนนับที่เปนคําตอบของสมการ x 2 + 1 =0 ไมเปน
เซตวาง มีคาความจริงเปนเท็จ
4) นิเสธของประพจน { 3, 4 } ∪ { 1, 3, 5 } = { 1, 3, 4, 5 } คือ
{ 3, 4 } ∪ { 1, 3, 5 } ≠ { 1, 3, 4, 5 } มีคาความจริงเปนเท็จ
5) นิเสธของประพจน {{ 2 }} ⊄ { 2 } คือ {{ 2 }} ⊂ { 2 } มีคาความจริงเปนเท็จ
6) นิเสธของประพจน − 3 + 6 ≤ − 3 + 6 คือ − 3 + 6 > − 3 + 6
มีคาความจริงเปนเท็จ
7) นิเสธของประพจน 15 ไมใชจํานวนจริง คือ 15 เปนจํานวนจริง มีคาความจริง
เปนจริง
8) นิเสธของประพจน วาฬเปนสัตวเลี้ยงลูกดวยน้ํานม คือ วาฬไมเปนสัตวเลี้ยงลูก
ดวยน้ํานม มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 193
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
194 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 2.3
1. กําหนดให p, q, r, s และ t เปนประพจนมีคาความจริงเปน จริง เท็จ จริง เท็จ และเท็จ
ตามลําดับ
1) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง จะได p ∨ q เปนจริง
จาก p ∨ q เปนจริง และ r เปนจริง
ดังนั้น ( p ∨ q ) ∧ r มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p ∨ q ) ∧ r มีคาความจริงเปนจริง
2) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง และ r เปนจริง จะได p ∧ r เปนจริง
ดังนั้น ( p ∧ r ) ∨ ( t ∧ s ) มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p ∧ r ) ∨ ( t ∧ s ) มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 195
ดังนั้น ( p ∨ s ) ∧ ( q ∨ r ) มีคาความจริงเปนจริง
4) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p ∧ q เปนจริง
จาก p ∧ q เปนจริง และ t เปนเท็จ
ดังนั้น ( p ∧ q ) ∧ t มีคาความจริงเปนเท็จ
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p ∧ q ) ∧ t มีคาความจริงเปนเท็จ
5) วิธีที่ 1 จาก r เปนจริง จะได r ∨ s เปนจริง
จาก r ∨ s เปนจริง และ p เปนจริง จะได ( r ∨ s ) ∧ p เปนเท็จ
ดังนั้น ( r ∨ s ) ∧ p มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
196 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( r ∨ s ) ∧ p มีคาความจริงเปนจริง
6) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง จะได p∨ q เปนจริง
จาก r เปนจริง จะได r ∨ t เปนจริง
จาก p∨ q เปนจริง และ r ∨ t เปนจริง
ดังนั้น ( p∨ q ) → ( r ∨ t ) มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p∨ q ) → ( r ∨ t ) มีคาความจริงเปนจริง
7) วิธีที่ 1 จาก q เปนเท็จ จะได r ∧ q เปนเท็จ
จาก s เปนเท็จ จะได s ∧ t เปนเท็จ
จาก r ∧ q เปนเท็จ และ s ∧ t เปนเท็จ
ดังนั้น ( r ∧ q ) ↔ ( s ∧ t ) มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 197
ดังนั้น ( r ∧ q ) ↔ ( s ∧ t ) มีคาความจริงเปนเท็จ
8) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p → q เปนเท็จ
จาก r เปนจริง และ s เปนเท็จ จะได r → s เปนเท็จ
จาก p → q เปนเท็จ และ r → s เปนเท็จ
ดังนั้น ( p → q ) ↔ ( r → s ) มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( p → q ) ↔ ( r → s ) มีคาความจริงเปนจริง
9) วิธีที่ 1 จาก s เปนเท็จ จะได s ∧ p เปนเท็จ
จาก q เปนเท็จ จะได q → r เปนจริง
จาก s ∧ p เปนเท็จ และ q → r เปนจริง
ดังนั้น ( s ∧ p ) ↔ ( q → r ) มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
198 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( s ∧ p ) ↔ ( q → r ) มีคาความจริงเปนเท็จ
10) วิธีที่ 1 จาก r เปนจริง จะได q ∨ r เปนจริง
จาก q เปนเท็จ และ s เปนเท็จ จะได q ↔ s เปนเท็จ
จาก q ∨ r เปนจริง และ q ↔ s เปนเท็จ
ดังนั้น ( q ∨ r ) → ( q ↔ s ) มีคาความจริงเปนเท็จ
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
ดังนั้น ( q ∨ r ) → ( q ↔ s ) มีคาความจริงเปนเท็จ
11) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง และ q เปนเท็จ จะได p → q เปนเท็จ
จะได ( p → q ) ∧ ( t → r ) เปนเท็จ
ดังนั้น ( p → q ) ∧ ( t → r ) → s มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 199
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
200 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 201
แบบฝกหัด 2.4
1. ประพจน p ∨ ( q → p ) ประกอบดวยประพจนยอยสองประพจน คือ p และ q
จึงมีกรณีเกี่ยวกับคาความจริงที่อาจเกิดขึ้นไดทั้งหมด 4 กรณี
จะไดตารางคาความจริงของ p ∨ ( q → p ) ดังนี้
p q q→ p p ∨ (q → p)
T T T T
T F T T
F T F F
F F T T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
202 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 203
แบบฝกหัด 2.5
1. 1) ตัวอยางคําตอบ
ให p แทน “ 2 เปนจํานวนตรรกยะ”
q แทน “ 2 เปนจํานวนจริง”
จะได p ↔ q แทน “ 2 เปนจํานวนตรรกยะ ก็ตอเมื่อ 2 เปนจํานวนจริง”
แนวการตอบที่ 1
เนื่องจาก p ↔ q สมมูลกับ q ↔ p
ดังนั้น “ 2 เปนจํานวนตรรกยะ ก็ตอเมื่อ 2 เปนจํานวนจริง” สมมูลกับ
“ 2 เปนจํานวนจริง ก็ตอเมื่อ 2 เปนจํานวนตรรกยะ”
แนวการตอบที่ 2
เนื่องจาก p ↔ q สมมูลกับ ( p → q ) ∧ ( q → p )
ดังนั้น “ 2 เปนจํานวนตรรกยะ ก็ตอเมื่อ 2 เปนจํานวนจริง” สมมูลกับ
“ถา 2 เปนจํานวนตรรกยะ แลว 2 เปนจํานวนจริง และ ถา 2 เปน
จํานวนจริง แลว 2 เปนจํานวนตรรกยะ”
2) ตัวอยางคําตอบ
ให p แทน “ภพเปนนักเรียน”
q แทน “ภูมิเปนนักเรียน”
r แทน “ภัทรเปนนักเรียน”
จะได ( p ∨ q ) ∧ ( p ∨ r ) แทน “ภพหรือภูมิเปนนักเรียน และ ภพหรือภัทร
เปนนักเรียน”
แนวการตอบที่ 1
เนื่องจาก ( p ∨ q ) ∧ ( p ∨ r ) สมมูลกับ ( p ∨ r ) ∧ ( p ∨ q )
ดังนั้น “ภพหรือภูมิเปนนักเรียน และ ภพหรือภัทรเปนนักเรียน” สมมูลกับ
“ภพหรือภัทรเปนนักเรียน และ ภพหรือภูมิเปนนักเรียน”
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
204 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แนวการตอบที่ 2
เนื่องจาก ( p ∨ q ) ∧ ( p ∨ r ) สมมูลกับ p ∨ ( q ∧ r )
ดังนั้น “ภพหรือภูมิเปนนักเรียน และ ภพหรือภัทรเปนนักเรียน” สมมูลกับ
“ภพเปนนักเรียน หรือ ภูมิและภัทรเปนนักเรียน”
2. 1) p↔q ≡ ( p → q) ∧ (q → p)
≡ ( q → p ) ∧ ( q ∨ p )
ดังนั้น ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ข)
2) ( p → q) → r ≡ ( p → q) ∨ r
≡ ( p ∨ q) ∨ r
≡ ( p∧ q ) ∨ r
≡ ( p ∨ r ) ∧ ( q ∨ r )
≡ ( p → r ) ∧ (q → r )
ดังนั้น ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ก)
3) ( p → r ) ∧ (q → r ) ≡ ( p ∨ r ) ∧ ( q ∨ r )
≡ ( p∧ q ) ∨ r
≡ ( p ∨ q) ∨ r
ดังนั้น ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ข)
4) p → (q → p) ≡ p → ( q ∨ p)
≡ p∨ ( q ∨ p )
≡ p ∨ ( q∧ p )
≡ p ∨ ( p ∧ q)
ดังนั้น ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ก)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 205
5) p → q → ( r ∨ p ) ≡ p → q ∨ ( r ∨ p )
≡ p ∨ ( q ∨ r ∨ p)
≡ ( p ∨ p) ∨ ( q ∨ r )
≡ p ∨ ( q ∨ r )
≡ ( p∨ q ) ∨ r
ดังนั้น ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ข)
6) ( p ∧ q ) → ( q ∨ r ) ≡ ( p ∧ q ) ∨ ( q ∨ r )
≡ ( p ∨ q ) ∨ ( q ∨ r )
≡ p ∨ ( q ∨ q ) ∨ r
≡ ( p∨ q ∨ r )
≡ p ∨ ( q → r )
≡ p∧ ( q → r )
ดังนั้น ประพจนที่กําหนดใหสมมูลกับประพจนในขอ (ข)
3. 1) สรางตารางคาความจริงของ p ∧ q กับ p ∧ q ไดดังนี้
p q p q p∧q p∧ q
T T F F T F
T F F T F F
F T T F F F
F F T T F T
จะเห็นวามีคาความจริงของ p ∧ q บางกรณีที่ตรงกับคาความจริงของ p∧ q
ดังนั้น p ∧ q กับ p ∧ q ไมเปนนิเสธกัน
2) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ p ∨ q กับ p ∧ q ไดดังนี้
p q p q p∨q p∧ q
T T F F T F
T F F T T F
F T T F T F
F F T T F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
206 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะเห็นวามีคาความจริงของ p → q บางกรณีที่ตรงกับคาความจริงของ p → q
ดังนั้น p → q กับ p → q ไมเปนนิเสธกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 207
จะเห็นวาคาความจริงของ p ↔ q ตรงขามกับคาความจริงของ
( p ∧ q ) ∨ ( q ∧ p ) ทุกกรณี
ดังนั้น p ↔ q กับ ( p ∧ q ) ∨ ( q ∧ p ) เปนนิเสธกัน
วิธีที่ 2 เนื่องจาก ( p ↔ q ) เปนนิเสธของ p ↔ q
และ ( p ↔ q ) ≡ ( p → q ) ∧ ( q → p )
≡ ( p ∨ q ) ∧ ( q ∨ p )
≡ ( p ∨ q)∨ ( q ∨ p)
≡ ( p∧ q ) ∨ ( q∧ p )
จะได ( p ∧ q ) ∨ ( q ∧ p ) เปนนิเสธของ p ↔ q
ดังนั้น p ↔ q กับ ( p ∧ q ) ∨ ( q ∧ p ) เปนนิเสธกัน
6) ให p แทน “ 2 เปนจํานวนตรรกยะ”
และ q แทน “ 3 เปนจํานวนตรรกยะ”
จะได p ∨ q แทน “ 2 หรือ 3 เปนจํานวนตรรกยะ”
และ p∨ q แทน “ 2 หรือ 3 เปนจํานวนอตรรกยะ”
สรางตารางคาความจริงของ p ∨ q กับ p∨ q ไดดังนี้
p q p q p∨q p∨ q
T T F F T F
T F F T T T
F T T F T T
F F T T F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
208 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 209
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
210 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 2.6
1. วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p → q ) → p → p ไดดังนี้
p q p→q ( p → q) → p ( p → q ) → p → p
T T T T T
T F F T T
F T T F T
F F T F T
จะเห็นวารูปแบบของประพจน ( p → q ) → p → p เปนจริงทุกกรณี
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p → q ) → p → p เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 2 สมมติให ( p → q ) → p → p มีคาความจริงเปนเท็จ
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 211
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
212 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 213
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ r เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p → q ) ∧ ( q → r ) → ( p → r ) เปนเท็จ
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p → q ) ∧ ( q → r ) → ( p → r ) เปนสัจนิรันดร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
214 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 2.7
1. กําหนดให p, q, r และ s เปนประพจน
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดในแตละขอวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
1) สมมติให ( p ∧ q ) ∧ ( p → ( q → r ) ) → r เปนเท็จ
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 215
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
216 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ q และ q เปนจริงทั้งคู
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p → q ) ∧ ( r ∨ p ) ∧ q ∧ ( r → s ) → s เปนเท็จ
นั่นคือ รูปแบบของประพจน ( p → q ) ∧ ( r ∨ p ) ∧ q ∧ ( r → s ) → s เปนสัจนิรนั ดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
2. 1) ให p แทนประพจน “พัฒนาชอบสีฟา”
q แทนประพจน “พัฒนีชอบสีชมพู”
เขียนแทนขอความในรูปสัญลักษณไดดังนี้
เหตุ 1. p ∨ q
2. p
ผล q
ดังนั้น รูปแบบของประพจนในการอางเหตุผลนี้ คือ ( p ∨ q ) ∧ p → q
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p ∨ q ) ∧ p → q เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 217
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
218 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 219
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p → q ) ∧ q → p เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
220 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 221
แบบฝกหัด 2.8
1. ไมใชทั้งประพจนและประโยคเปด
2. เปนประพจน
3. เปนประโยคเปด
4. เปนประโยคเปด
5. ไมเปนทั้งประพจนและประโยคเปด
6. ไมเปนทั้งประพจนและประโยคเปด
7. เปนประโยคเปด
8. เปนประพจน
9. เปนประพจน
10. เปนประโยคเปด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
222 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 2.9
1. ให U =
1) ∀x [ x ∈ → x ⋅ 1 =x ] 2) ∃x x 2 =
2
3) ∃x [| x | +1 ≤ 1] 4) ∀x [ x ∈ → x ∈ ]
2. 1) สําหรับจํานวนจริง x ทุกจํานวน ถา x < 2 แลว x < 4 2
2) สําหรับจํานวนจริง y ทุกจํานวน y − 4 = ( y − 2 )( y + 2 )
2
3) มีจํานวนจริง y ซึ่ง 2 y + 1 =0
4) สําหรับจํานวนจริง x บางจํานวน ถา x เปนจํานวนตรรกยะ แลว x2 = 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 223
แบบฝกหัด 2.10
1. ∀x x 2 > 8 เปนเท็จ เมื่อ U= { − 1, 0, 2 }
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 0 ใน x 2 > 8 จะไดประพจนที่เปนเท็จ
2. ∃x [ x < 0] เปนเท็จ เมื่อ U = { 0, 4, 7 }
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 0, 4 หรือ 7 ใน x < 0 จะไดประพจนที่เปนเท็จเสมอ
3. ∃x x ≥ 0 เปนจริง เมื่อ U =
2
4. ∀x [ x + 1 = 4] เปนเท็จ เมื่อ U = { 1, 2, 3, 4 }
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 1 ใน x + 1 =4 จะไดประพจนที่เปนเท็จ
5. ∃x [5 + x ≠ 5] เปนจริง เมื่อ U =
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 1 ใน 5 + x ≠ 5 จะไดประพจนที่เปนจริง
6. ∀x [ x เปนจํานวนอตรรกยะ] เปนเท็จ เมื่อ U =
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 1 ใน x เปนจํานวนอตรรกยะ จะไดประพจนที่เปนเท็จ
7. ∀x [ถา x เปนจํานวนคี่ แลว x เปนจํานวนเฉพาะ] เปนเท็จ เมื่อ U = { 0, 1, 2, 3, 4,5 }
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 1 ใน ถา x เปนจํานวนคี่ แลว x เปนจํานวนเฉพาะ
จะไดประพจนที่เปนเท็จ
8. ∃x [ x เปนจํานวนนับหรือเปนจํานวนเฉพาะ] เปนจริง เมื่อ U = { 0, 2, 4, 6 }
เพราะวา เมื่อแทน x ดวย 2 ใน x เปนจํานวนนับหรือเปนจํานวนเฉพาะ
จะไดประพจนที่เปนจริง
9. ∀x [ x เปนจํานวนตรรกยะ] ∨ ∃x [ x เปนตัวประกอบของ 2] เปนจริง เมือ ่ U = { 0, 1, 2 }
เพราะวา ∀x [ x เปนจํานวนตรรกยะ] เปนจริง เมื่อ U = { 0, 1, 2 }
เนื่องจาก เมื่อแทน x ดวย 0, 1 หรือ 2 ใน x เปนจํานวนตรรกยะ
จะไดประพจนที่เปนจริงเสมอ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
224 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 225
แบบฝกหัด 2.11
1. 1) ให P ( x ) แทน x > 0 และ Q ( x ) แทน x > 02
เนื่องจาก P ( x ) → Q ( x ) สมมูลกับ P ( x ) ∨ Q ( x )
จะได ∀x x > 0 → x > 0 สมมูลกับ ∀x x ≤ 0 ∨ x > 0
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
226 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 227
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
228 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 229
แบบฝกหัดทายบท
1. 1) ไมเปนประพจน
2) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
3) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
4) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
5) ไมเปนประพจน
6) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนเท็จ
7) ไมเปนประพจน
8) ไมเปนประพจน
9) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
10) เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปนจริง
2. 1) นิเสธของประพจน −20 + 5 > −17 คือ −20 + 5 ≤ −17 มีคาความจริงเปนเท็จ
2) นิเสธของประพจน 37 ไมเปนจํานวนเฉพาะ คือ 37 เปนจํานวนเฉพาะ
มีคาความจริงเปนจริง
3) นิเสธของประพจน 2 ∈ คือ 2 ∉ มีคาความจริงเปนจริง
4) นิเสธของประพจน ⊂ คือ ⊄ มีคาความจริงเปนเท็จ
3. ตัวอยางคําตอบ
• π ไมเปนจํานวนตรรกยะ
• นิดาและนัดดาเปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4
• รูปสี่เหลี่ยมอาจเปนรูปสี่เหลีย่ มมุมฉากหรือรูปสี่เหลี่ยมดานขนานก็ได
• ถาน้ํามันดิบในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้น แลวรัฐบาลไทยจะตรึงราคาขายปลีกน้ํามันไว
กอนเพื่อไมใหประชาชนตองเดือดรอน
• รูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมดานเทาก็ตอเมื่อรูปสามเหลี่ยม ABC
มีดานยาวเทากันทุกดาน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
230 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( p ∧ q ) ∨ r มีคาความจริงเปนจริง
2) วิธีที่ 1 จาก q เปนจริง จะได q เปนเท็จ
จาก q เปนเท็จ และ r เปนเท็จ จะได q ∨ r เปนเท็จ
จาก q ∨ r เปนเท็จ และ p เปนจริง จะได ( q ∨ r ) ∧ p เปนเท็จ
ดังนั้น ( q ∨ r ) ∧ p มีคาความจริงเปนเท็จ
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
F F
F T
F
ดังนั้น ( q ∨ r ) ∧ p มีคาความจริงเปนเท็จ
3) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ
และจาก r เปนเท็จ จะได r ↔ p เปนจริง
ดังนั้น r ↔ p มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 231
F F
ดังนั้น r ↔ p มีคาความจริงเปนจริง
4) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ
จาก r เปนเท็จ จะได r เปนจริง
จะได p ∨ r เปนจริง
ดังนั้น p ∨ r มีคาความจริงเปนจริง
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
T F
ดังนั้น p ∨ r มีคาความจริงเปนจริง
5) วิธีที่ 1 จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p ∧ q เปนจริง
จาก q เปนจริง และ r เปนเท็จ จะได q ∧ r เปนเท็จ
จาก p ∧ q เปนจริง และ q ∧ r เปนเท็จ
จะได ( p ∧ q ) → ( q ∧ r ) เปนเท็จ
ดังนั้น ( p ∧ q ) → ( q ∧ r ) มีคาความจริงเปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
232 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( p ∧ q ) → ( q ∧ r ) มีคาความจริงเปนเท็จ
5. 1) ให p แทนประพจน “4 เปนจํานวนเฉพาะ”
และ q แทนประพจน “4 เปนจํานวนคี่”
ดังนั้น ขอความ “ถา 4 เปนจํานวนเฉพาะ แลว 4 เปนจํานวนคี่” แทนดวย p → q
จาก p เปนเท็จ จะได p → q เปนจริง
ดังนั้น ขอความ “ถา 4 เปนจํานวนเฉพาะ แลว 4 เปนจํานวนคี่” มีคาความจริงเปนจริง
2) ให p แทนประพจน “ 3 ≥ 2 ”
และ q แทนประพจน “ −2 ≥ −3 ”
ดังนั้น ขอความ “ 3 ≥ 2 และ −2 ≥ −3 ” แทนดวย p ∧ q
จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p ∧ q เปนจริง
ดังนั้น ขอความ “ 3 ≥ 2 และ −2 ≥ −3 ” มีคาความจริงเปนจริง
3) ให p แทนประพจน “ 100 กิโลกรัม เทากับ 1 ตัน”
และ q แทนประพจน “ 10 ขีด เทากับ 1 กิโลกรัม”
ดังนั้น ขอความ “ 100 กิโลกรัม เทากับ 1 ตัน หรือ 10 ขีด เทากับ 1 กิโลกรัม”
แทนดวย p ∨ q
จาก q เปนจริง จะได p ∨ q เปนจริง
ดังนั้น ขอความ “ 100 กิโลกรัม เทากับ 1 ตัน หรือ 10 ขีด เทากับ 1 กิโลกรัม”
มีคาความจริงเปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 233
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
234 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 235
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
236 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น ( p ∨ q ) ↔ ( p ∨ q ) มีคาความจริงเปนเท็จ
2) วิธีที่ 1 จาก p ∨ ( q ) ∨ ( p ∨ q ) ∧ ( p ∨ q ) ∨ ( p ∧ q ) มีคาความจริง
เปนจริง จะได p ∨ ( q ) ∨ ( p ∨ q ) มีคาความจริงเปนจริง
และ ( p ∨ q ) ∨ ( p ∧ q ) มีคาความจริงเปนจริง
จาก ( p ∧ q ) มีคาความจริงเปนเท็จ และ ( p ∨ q ) ∨ ( p ∧ q )
มีคาความจริงเปนจริง จะได ( p ∨ q ) มีคาความจริงเปนจริง
นั่นคือ ( p ∨ q ) มีคาความจริงเปนเท็จ
จะได p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ ซึ่งทําให p ∨ ( q ) ∨ ( p ∨ q )
มีคาความจริงเปนจริงตามที่กําหนดไว
ดังนั้น p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ
วิธีที่ 2 กําหนดให T แทนจริง และ F แทนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 237
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
238 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะเห็นวาคาความจริงของ p → ( q ∧ r ) กับ ( p → q ) ∨ ( p → r )
มีบางกรณีที่ตางกัน
ดังนั้น p → ( q ∧ r ) ไมสมมูลกับ ( p → q ) ∨ ( p → r )
วิธีที่ 2 ( p → q) ∨ ( p → r ) ≡ ( p ∨ q) ∨ ( p ∨ r )
≡ ( p∨ p ) ∨ ( q ∨ r )
≡ p ∨ ( q ∨ r )
≡ p → ( q ∨ r )
ซึ่ง p → ( q ∨ r ) ≡/ p → ( q ∧ r )
ดังนั้น p → ( q ∧ r ) ไมสมมูลกับ ( p → q ) ∨ ( p → r )
2) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ ( p ∨ q ) ∧ r กับ ( p ∨ r ) ∧ ( q ∨ r ) ไดดังนี้
p q r p∨q p∨r q∨r ( p ∨ q) ∧ r ( p ∨ r ) ∧ (q ∨ r )
T T T T T T T T
T T F T T T F T
T F T T T T T T
T F F T T F F F
F T T T T T T T
F T F T F T F F
F F T F T T F T
F F F F F F F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 239
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
240 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 241
แนวทางการตอบที่ 2
เนื่องจาก p ↔ q สมมูลกับ q↔ p
12
ดังนั้น “ ∉ ก็ตอเมื่อ 5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 ” สมมูลกับ
5
12
“5 ไมเปนตัวประกอบของ 12 ก็ตอเมื่อ ∉ ”
5
3) ให p แทน “ไกเปนสัตวปก”
q แทน “เปดเปนสัตวปก”
r แทน “นกเปนสัตวปก”
จะได ( p ∧ q ) ∨ ( r ∧ p ) แทน “ไกและเปดเปนสัตวปก หรือ นกและไกเปนสัตวปก”
แนวทางการตอบ
เนื่องจาก ( p ∧ q ) ∨ ( r ∧ p ) สมมูลกับ p ∧ ( q ∨ r )
ดังนั้น “ไกและเปดเปนสัตวปก หรือ นกและไกเปนสัตวปก” สมมูลกับ
“ไกเปนสัตวปก และ เปดหรือนกเปนสัตวปก”
4) ให p แทน “พอของแหนมมีเลือดหมู O ”
q แทน “แมของแหนมมีเลือดหมู O ”
r แทน “แหนมมีเลือดหมู O ”
จะได ( p ∧ q ) → r แทน “ถาพอและแมของแหนมมีเลือดหมู O แลวแหนมมีเลือดหมู O”
แนวทางการตอบ
เนื่องจาก ( p ∧ q ) → r สมมูลกับ p ∨ q ∨ r
ดังนั้น “ถาพอและแมของแหนมมีเลือดหมู O แลวแหนมมีเลือดหมู O ”
สมมูลกับ “พอหรือแมของแหนมไมมีเลือดหมู O หรือแหนมมีเลือดหมู O ”
9. 1) สรางตารางคาความจริงของ p → q กับ q → p ไดดังนี้
p q p→q q→ p
T T T T
T F F T
F T T F
F F T T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
242 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะเห็นวามีคาความจริงของ p → q บางกรณีที่ตรงกับคาความจริงของ q→ p
ดังนั้น p → q กับ q → p ไมเปนนิเสธกัน
2) สรางตารางคาความจริงของ p ↔ q กับ p ↔ q ไดดังนี้
p q p q p↔q p↔q
T T F F T T
T F F T F F
F T T F F F
F F T T T T
จะเห็นวาคาความจริงของ p → ( q → r ) ตรงขามกับคาความจริง
ของ p ∧ q ∧ r ทุกกรณี
ดังนั้น p → ( q → r ) กับ p ∧ q ∧ r เปนนิเสธกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 243
จะเห็นวาคาความจริงของ ( p → q ) → r ตรงขามกับคาความจริง
ของ ( p ∧ r ) ∨ ( q ∧ r ) ทุกกรณี
ดังนั้น p → ( q → r ) กับ ( p ∧ r ) ∨ ( q ∧ r ) เปนนิเสธกัน
วิธีที่ 2 เนื่องจาก ( p → q ) → r เปนนิเสธของ ( p → q ) → r
และ ( p → q ) → r ≡ ( p → q ) ∨ r
≡ ( p → q) ∧ r
≡ ( p ∨ q) ∧ r
≡ ( p∧ r ) ∨ ( q∧ r )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
244 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะได ( p → q ) → r เปนนิเสธของ ( p ∧ r ) ∨ ( q ∧ r )
ดังนั้น p → ( q → r ) กับ ( p ∧ r ) ∨ ( q ∧ r ) เปนนิเสธกัน
5) สรางตารางคาความจริงของ p → (q ∨ r ) กับ ( q ∨ r ) → p ไดดังนี้
p q r p q∨r p → (q ∨ r ) ( q ∨ r ) → p
T T T F T T F
T T F F T T F
T F T F T T F
T F F F F F T
F T T T T T T
F T F T T T T
F F T T T T T
F F F T F T T
จะเห็นวามีคาความจริงของ p → (q ∨ r ) บางกรณีที่ตรงกับคาความจริงของ ( q ∨ r ) → p
ดังนั้น p → (q ∨ r ) กับ ( q ∨ r ) → p ไมเปนนิเสธกัน
6) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ q ∧ ( r ∧ s ) กับ q → (r → s) ไดดังนี้
q r s s r∧ s r→s q ∧ (r∧ s) q → (r → s)
T T T F F T F T
T T F T T F T F
T F T F F T F T
T F F T F T F T
F T T F F T F T
F T F T T F F T
F F T F F T F T
F F F T F T F T
จะเห็นวาคาความจริงของ q ∧ ( r ∧ s ) ตรงขามกับคาความจริง
ของ q → (r → s) ทุกกรณี
ดังนั้น q ∧ ( r ∧ s ) กับ q → (r → s) เปนนิเสธกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 245
จะเห็นวาคาความจริงของ ( p → q ) ∨ r ตรงขามกับคาความจริงของ
p ∧ q ∧ r ทุกกรณี
ดังนั้น ( p → q ) ∨ r กับ p ∧ q ∧ r เปนนิเสธกัน
วิธีที่ 2 เนื่องจาก ( p → q ) ∨ r เปนนิเสธของ ( p → q ) ∨ r
และ ( p → q ) ∨ r ≡ ( p ∨ q ) ∨ r
≡ ( p ∨ q) ∧ r
≡ p ∧ q∧ r
จะได ( p → q ) ∨ r เปนนิเสธของ p ∧ q ∧ r
ดังนั้น ( p → q ) ∨ r กับ p ∧ q ∧ r เปนนิเสธกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
246 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะเห็นวาคาความจริงของ ( p ∨ q) → r ตรงขามกับคาความจริงของ
r ∧ ( p ∨ q ) ทุกกรณี
ดังนั้น ( p ∨ q) → r กับ r ∧ ( p ∨ q ) เปนนิเสธกัน
วิธีที่ 2 เนื่องจาก [ ( p ∨ q) → r ] เปนนิเสธของ ( p ∨ q) → r
และ [ ( p ∨ q) → r ] ≡ [ ( p ∨ q) ∨ r ]
( p ∨ q) ∧ r
≡
r ∧ ( p ∨ q)
≡
จะได ( p ∨ q) → r เปนนิเสธของ r ∧ ( p ∨ q )
ดังนั้น ( p ∨ q) → r กับ r ∧ ( p ∨ q ) เปนนิเสธกัน
9) ให p แทน “ 12 เปนตัวประกอบของ 24 ”
q แทน “ 4 เปนตัวประกอบของ 24 ”
จะได p → q แทน “ถา 12 เปนตัวประกอบของ 24 แลว 4 เปนตัวประกอบของ 24 ”
และ q ∧ p แทน “ 4 ไมเปนตัวประกอบของ 24 แต 12 เปนตัวประกอบของ 24 ”
วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ p → q กับ q ∧ p ไดดังนี้
p q q p→q q∧ p
T T F T F
T F T F T
F T F T F
F F T T F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 247
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
248 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะเห็นวามีคาความจริงของ ( p ∧ q ) ∨ r บางกรณีที่ตรงกับคาความจริง
ของ r ∧ ( p → q )
ดังนั้น ( p ∧ q ) ∨ r กับ r ∧ ( p → q ) ไมเปนนิเสธกัน
นั่นคือ “ a และ b ไมเปนสระในภาษาอังกฤษ หรือ e เปนสระในภาษาอังกฤษ”
กับ “ e เปนสระในภาษาอังกฤษ แต ถา a ไมเปนสระในภาษาอังกฤษ แลว
b เปนสระในภาษาอังกฤษ” ไมเปนนิเสธกัน
10. 1) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ p → ( q → r ) → ( p → q ) → r ไดดังนี้
p q r p→q q→r p → (q → r ) ( p → q) → r p → ( q → r ) → ( p → q ) → r
T T T T T T T T
T T F T F F F T
T F T F T T T T
T F F F T T T T
F T T T T T T T
F T F T F T F F
F F T T T T T T
F F F T T T F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 249
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
250 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
≡ ( p ∨ q ) → ( p ∧ q )
≡ ( p ∨ q ) ∨ ( p ∧ q )
≡ ( p ∨ q ) ∧ ( ( p∧ q ))
≡ ( p ∨ q) ∧ ( p ∨ q)
≡ ( p ∨ q)
ซึ่งเมื่อ p และ q เปนเท็จ จะได p ∨ q เปนเท็จ
นั่นคือ p ∨ q ไมเปนสัจนิรันดร
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p ∨ ( p ∧ q ) ) → ( p ∧ q )
ไมเปนสัจนิรันดร
3) วิธีที่ 1 สรางตารางคาความจริงของ p ∧ ( p ∨ q ) → q ไดดังนี้
p q p p∨q p ∧ ( p ∨ q) p ∧ ( p ∨ q ) → q
T T F T F T
T F F T F T
F T T T T T
F F T F F T
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 251
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
252 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p ∨ q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( q → r ) → r เปนเท็จ
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p ∨ q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( q → r ) → r
เปนสัจนิรันดร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 253
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ r เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา
( p → q ) ∧ ( p → r ) ↔ p → ( q ∧ r ) เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
254 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
กรณีที่ 2
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ q เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา
( p → q ) ∧ ( p → r ) ↔ p → ( q ∧ r ) เปนเท็จ
จากทั้งสองกรณี จะไดวารูปแบบของประพจน
( p → q ) ∧ ( p → r ) ↔ p → ( q ∧ r ) เปนสัจนิรันดร
วิธีที่ 3 จาก ( p → q ) ∧ ( p → r ) ≡ ( p ∨ q ) ∧ ( p ∨ r )
≡ p ∨ (q ∧ r )
≡ p → (q ∧ r )
นั่นคือ ( p → q ) ∧ ( p → r ) สมมูลกับ p → ( q ∧ r )
ดังนั้น รูปแบบของประพจน ( p → q ) ∧ ( p → r ) ↔ p → ( q ∧ r )
เปนสัจนิรันดร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 255
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p → r ) ∧ ( q → r ) ↔ ( p ∨ q ) → r
เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
256 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
กรณีที่ 2
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 257
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวาคาความจริงของ q เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p ↔ q ) ↔ ( p ∧ q ) ∨ ( p ∧ q )
เปนเท็จ
กรณีที่ 2
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
258 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 259
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
260 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ s เปนไดทั้งจริงและเท็จ เกิดการขัดแยง
กับที่สมมติไววา ( p → q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( p ∧ s ) → ( r → s ) เปนเท็จ
นั่นคือ รูปแบบของประพจน ( p → q ) ∧ ( p → r ) ∧ ( p ∧ s ) → ( r → s )
เปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
5) สมมติให ( p → q ) ∧ p ∧ ( q → r ) ∧ ( r ↔ p ) → ( q ∨ r ) เปนเท็จ
ขัดแยงกัน F F
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 261
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
262 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p ∨ q ) ∧ q → ( p∨ r ) เปนเท็จ
ขัดแยงกัน
จากแผนภาพ จะเห็นวา คาความจริงของ p เปนไดทั้งจริงและเท็จ
เกิดการขัดแยงกับที่สมมติไววา ( p ∨ q ) ∧ q → ( p∨ r ) เปนเท็จ
นั่นคือ รูปแบบของประพจน ( p ∨ q ) ∧ q → ( p∨ r ) เปนสัจนิรันดร
ดังนั้น การอางเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
3) ให p แทนประพจน “ชะเอมซื้อสินคาโดยใชบัตรเครดิต”
q แทนประพจน “ชะเอมซื้อสินคาโดยใชเงินสด”
เขียนแทนขอความในรูปสัญลักษณไดดังนี้
เหตุ 1. p ∨ q
2. p
ผล q
ดังนั้น รูปแบบของประพจนในการอางเหตุผลนี้ คือ ( p ∨ q ) ∧ p → q
ตรวจสอบรูปแบบของประพจนที่ไดวาเปนสัจนิรันดรหรือไม
สมมติให ( p ∨ q ) ∧ p → q เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 263
ขัดแยงกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
264 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 265
5) ∃y [ y + 2 = y − 2] เปนเท็จ เมื่อ U =
เพราะวา ไมสามารถหาจํานวนจริง y แทนใน “ y + 2 = y − 2 ” แลวไดประพจน
ที่เปนจริง
6) ∀x [ x ∈ → x ∈] เปนจริง เมื่อ U =
เนื่องจาก ∀x [ x ∈ → x ∈] สมมูลกับ ∃x [ x ∈ ∧ x ∉ ]
1
และเมื่อแทน x ดวย ใน “ ∃x [ x ∈ ∧ x ∉ ] ” จะไดประพจนที่เปนจริง
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
266 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ที่เปนจริง
10) สําหรับจํานวนจริง x ทุกตัว x + 1 > 4 เปนเท็จ 2
เนื่องจาก ∃x [ x ≠ 0] สมมูลกับ ∀x [ x = 0]
และเมื่อแทน x ดวย 1 ใน “ x = 0 ” จะไดประพจนที่เปนเท็จ
∀x [ ถา x เปนจํานวนเฉพาะแลว x เปนจํานวนคี่ ] ∨ ∃x[ x ≠ 1] เปนจริง
2
12)
เมื่อแทน x ดวย 2 ใน “ x ≠ 1 ” จะไดประพจนที่เปนจริง
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 267
4) นิเสธของ ∃x [ x − 7 < 5 ] → ∀x [ x ≥ 2 ]
เขียนแทนดวย ( ∃x [ x − 7 < 5 ] → ∀x [ x ≥ 2 ])
ซึ่งสมมูลกับ ( ∃x [ x − 7 < 5 ] ∨ ∀x [ x ≥ 2 ]) และสมมูลกับ ∀x [ x − 7 ≥ 5 ] ∧ ∃x [ x < 2 ]
ดังนั้น นิเสธของ ∃x [ x − 7 < 5 ] → ∀x [ x ≥ 2 ] คือ ∀x [ x − 7 ≥ 5 ] ∧ ∃x [ x < 2 ]
5) นิเสธของ ∀x [ x ∈ ∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6 )
เขียนแทนดวย ( ∀x [ x ∈ ∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6 ) )
ซึ่งสมมูลกับ ∀x [ x ∈ ∧ x − 2 > 8 ] ∧ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6 )
และสมมูลกับ ∃x [ x ∉ ∨ x − 2 ≤ 8 ] ∧ ∀x [ x ≠ 5 ∧ x ≠ 6 ]
ดังนั้น นิเสธของ ∀x [ x ∈ ∧ x − 2 > 8 ] ∨ ∃x x = 5∨ ( x ≠ 6 ) คือ
∃x [ x ∉ ∨ x − 2 ≤ 8 ] ∧ ∀x [ x ≠ 5 ∧ x ≠ 6 ]
6) นิเสธของ ∃x [ x − 5 < 6 → x > −2 ] → ∀x [ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ]
เขียนแทนดวย ( ∃x [ x − 5 < 6 → x > −2 ] → ∀x [ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ])
ซึ่งสมมูลกับ ( ∃x [ x − 5 < 6 → x > −2 ] ∨ ∀x [ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ])
และสมมูลกับ ∃x [ x − 5 < 6 → x > −2 ] ∧ ∀x [ x ≠ 2 ∧ x ≥ 6 ]
และสมมูลกับ ∃x [ x − 5 < 6 → x > −2 ] ∧ ∃x [ x = 2 ∨ x < 6 ]
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
268 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ซึ่งสมมูลกับ ( ∀x x ≤ 0 )
2
4) ∀x x =∧
9 x ≠ 3 สมมูลกับ ∃x x ≠ 9 ∨ x = 3
ซึ่งสมมูลกับ ∃x x =→9 x= 3
เนื่องจาก x =→ 9 x= 3 ไมสมมูลกับ x = 3 → x = 9
ดังนั้น ∀x x =∧9 x ≠ 3 ไมสมมูลกับ ∃x x = 3 → x = 9
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 269
6) (
∀x [ x > 0 ] → ∀x x 2 − 1 ≥ 0 ) สมมูลกับ ( ∀x [ x > 0 ] ∨ ∀x x 2
− 1 ≥ 0 )
ซึ่งสมมูลกับ ∀x [ x > 0 ] ∧ ∃x x − 1 < 0
2
ซึ่งสมมูลกับ ∀x [ x > −5 ] ∨ ∀x x − 7 =0
2
และสมมูลกับ ∃x [ x ≤ −5 ] ∨ ∀x x − 7 =0
2
เนื่องจาก ∃x [ x ≤ −5 ] ไมสมมูลกับ ∃x [ x ≤ −5 ]
ดังนั้น ∃x x − 7 ≠ 0 ∨ ∀x [ x > −5 ] ไมสมมูลกับ ∃x [ x ≤ −5 ] ∨ ∀x x − 7 =0
2 2
8) ( ∀x [ x ∈ ] ∧ ∀x [ x ≠ 7 ]) สมมูลกับ ∀x [ x ∈ ] ∨ ∀x [ x ≠ 7 ]
ซึ่งสมมูลกับ ∀x [ x ≠ 7 ] ∨ ∀x [ x ∈ ]
และสมมูลกับ ∃x [ x = 7 ] ∨ ∀x [ x ∈ ]
และสมมูลกับ ∃x [ x = 7 ] → ∀x [ x ∈ ]
ดังนั้น ( ∀x [ x ∈ ] ∧ ∀x [ x ≠ 7 ]) สมมูลกับ ∃x [ x = 7 ] → ∀x [ x ∈ ]
9) “จํานวนคี่ทุกจํานวนมากกวาศูนย” เขียนใหอยูในรูปสัญลักษณไดเปน
∀x[ x > 0], U เปนเซตของจํานวนคี่
“ไมจริงที่วาจํานวนคี่บางจํานวนนอยกวาหรือเทากับศูนย” เขียนใหอยูในรูป
สัญลักษณไดเปน ∃x[ x ≤ 0], U เปนเซตของจํานวนคี่
เนื่องจาก ∀x [ x > 0] สมมูลกับ ∃x[ x ≤ 0]
ดังนั้น จํานวนคี่ทุกจํานวนมากกวาศูนย สมมูลกับ ไมจริงที่วาจํานวนคี่บางจํานวน
นอยกวาหรือเทากับศูนย
10) “มีจํานวนตรรกยะ x ที่ x = 0 หรือ x ≠ 0 ” เขียนใหอยูในรูปสัญลักษณได
2
เปน ∃x ∈ [ x = 0 ∨ x ≠ 0]
2
ในรูปสัญลักษณไดเปน ∀x ∈ [ x ≠ 0 ∨ x =0]
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
270 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
และ x =0 ∧ x ≠ 0 ไมสมมูลกับ x =0 ∨ x ≠ 0
2 2
16. แสดงคุณสมบัติของพนักงานกับเงื่อนไขของการเลื่อนตําแหนงดังตารางตอไปนี้
ทํางานบริษัทนี้อยางนอย 3 ป
เงื่อนไข อายุไมต่ํากวา จบปริญญาโท
หรือทํางานดานคอมพิวเตอร
30 ป ขึ้นไป
ชื่อพนักงาน อยางนอย 5 ป
ฟาใส
รุงนภา
ธนา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 271
เนื่องจากพนักงานแตละคนจะสามารถรับเงินรางวัลที่ดีที่สุดไดเพียงรางวัลเดียว
ดังนั้น สุริยาจะไดรับเงินรางวัล 30,000 × 1.5 = 45,000 บาท
เมฆาจะไมไดรับเงินรางวัล
กมลจะไดรับเงินรางวัล 70,000 × 2 = 140,000 บาท
และทิวาจะไดรับเงินรางวัล 200,000 × 4 = 800,000 บาท
18. แสดงคุณสมบัติของผูกูกับเงื่อนไขของการกูเงินดังตารางตอไปนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
272 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
บทที่ 3 จํานวนจริง
แบบฝกหัด 3.1
1. พิจารณาการเปนจํานวนนับ จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะ หรือจํานวนอตรรกยะ ของจํานวน
ที่กําหนดให ไดดังนี้
จํานวนที่
จํานวนนับ จํานวนเต็ม จํานวนตรรกยะ จํานวนอตรรกยะ
กําหนดให
0 - -
2
- - -
3
−22
- - -
7
3.1416 - - -
4 +1 -
1 − ( −8 ) -
6 −1 - - -
7π
- - -
22
0.09 - - -
12
− - -
3
( 2) -
2
–3.999 - - -
( −1)
2
-
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 273
2. 1) เปนจริง 2) เปนจริง
3) เปนเท็จ 4) เปนเท็จ
5) เปนจริง 6) เปนจริง
7) เปนเท็จ 8) เปนจริง
9) เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
274 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.2
1. 1) สมบัติการสลับที่การคูณ
2) สมบัติการมีเอกลักษณการบวก
3) สมบัติการมีเอกลักษณการคูณ
4) สมบัติปดการคูณ
5) สมบัติการเปลี่ยนหมูการบวก
6) สมบัติการแจกแจง
7) สมบัติการมีตัวผกผันการคูณ
8) สมบัติการเปลี่ยนหมูการคูณ
9) สมบัติการมีตัวผกผันการบวก
10) สมบัติการสลับที่การบวก
2. ตัวผกผันการบวกและตัวผกผันการคูณของจํานวนที่กําหนดใหเปนดังนี้
จํานวนที่กําหนดให ตัวผกผันการบวก ตัวผกผันการคูณ
1
−4 4 −
4
1
5 − 5
5
2 2 7
−
7 7 2
5 5 11
− −
11 11 5
1− 7 (
− 1− 7 ) หรือ 1
−1 + 7 1− 7
1
3
2 −3 2 3
2
−8
−8
− หรือ
2+ 3 2+ 3
−
2+ 3 8 8
2+ 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 275
3. พิจารณาสมบัติของเซตที่กําหนดใหไดดังนี้
สมบัติปด
สมบัติปด สมบัติปด สมบัติปด
ของการหาร
เซตทีก่ ําหนดให ของการ ของการ ของการ
(ตัวหารไม
บวก ลบ คูณ
เปนศูนย)
1) เซตของจํานวนนับ - -
2) เซตของจํานวนเต็ม -
3) เซตของจํานวนคี่ลบ - - - -
4) เซตของจํานวนคู -
5) เซตของจํานวนเต็มที่หารดวย 3 ลงตัว -
6) เซตของจํานวนตรรกยะ
7) { ..., − 5, 0, 5, 10 } - - - -
8) { − 1, − 2, − 3, ... } - - -
9) { − 1, 0, 1} - -
1 1 1 1
10) , , , , , 1, 2, 4, 8, 16, - -
16 8 4 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
276 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.3
1. จากพหุนาม p ( x ) = 3x + 2 x − ax + 3
4 2
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = 3x + 0 x + 2 x − ax + 3
4 3 2
1) p ( x) + q ( x) = (x 2
− 1) + ( x 2 − 2 x + 3)
= 2 x2 − 2 x + 2
2) q ( x) − p ( x) = ( x 2 − 2 x + 3) − ( x 2 − 1)
= −2 x + 4
3) p ( x) q ( x) = (x 2
− 1)( x 2 − 2 x + 3)
= x 2 ( x 2 − 2 x + 3) − 1( x 2 − 2 x + 3)
= (x 4
− 2 x 3 + 3 x 2 ) − ( x 2 − 2 x + 3)
= x 4 − 2 x3 + 2 x 2 + 2 x − 3
3. ให p ( x ) = 3x + 5 x − 1 และ q ( x ) =x − 5 x + 7
2 4 2
จะได p ( x ) q ( x ) = ( 3x + 5 x − 1)( x − 5 x + 7 ) 2 4 2
= 3 x 2 ( x 4 − 5 x 2 + 7 ) + 5 x ( x 4 − 5 x 2 + 7 ) − 1( x 4 − 5 x 2 + 7 )
= ( 3x 6
− 15 x 4 + 21x 2 ) + ( 5 x 5 − 25 x 3 + 35 x ) − ( x 4 − 5 x 2 + 7 )
= 3 x 6 + 5 x 5 − 16 x 4 − 25 x 3 + 26 x 2 + 35 x − 7
4. ให x 2
− 12 x − 28 = ( x − a )( x − b )
นั่นคือ x 2 − 12 x − 28 = x ( x − b) − a ( x − b)
= (x 2
− bx ) − ( ax − ab )
= x − ( a + b ) x + ab
2
จะได a+b =
12 และ ab = − 28
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 277
จะได p ( x ) q ( x ) + r ( x ) = ( x + 3x )( x − 1) + ( x − 1)
2 2
= x 2 ( x 2 − 1) + 3 x ( x 2 − 1) + ( x − 1)
= (x 4
− x 2 ) + ( 3 x 3 − 3 x ) + ( x − 1)
= x 4 + 3x3 − x 2 − 2 x − 1
7. 1) วิธีที่ 1 พิจารณา 4 x 4 − 3x3 + 2 x 2 − 5 = ( 4 x − 3x + 2 x ) − 5
4 3 2
= x ( 4 x − 3x + 2 ) − 5
2 2
วิธีที่ 2 จาก a ( x ) = 4 x − 3x + 2 x − 54 3 2
เขียนใหมไดเปน a ( x ) = 4 x − 3x + 2 x + 0 x − 5 4 3 2
ใชการหารยาวดังนี้
4 x 2 − 3x + 2
x 2 4 x 4 − 3x3 + 2 x 2 + 0 x − 5
4 x4
− 3x3 + 2 x 2 + 0 x − 5
−3 x 3
2 x2 + 0 x − 5
2 x2
−5
จะได 4 x − 3x + 2 x =
4
− 5 x ( 4 x − 3x + 2 ) − 5
3 2 2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
278 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ใชการหารยาวดังนี้
x
x + 2 x3 + 0 x 2 + 0 x − 2
2
x3 + 2x
−2 x − 2
จะได x − 2= ( x + 2 ) ( x ) + ( −2 x − 2 )
3 2
5 x3 − x2 − x− 2
5 x + 10 x
3 2
− 11x 2 − x− 2
−11x 2 − 22 x
21x − 2
21x + 42
−44
จะได x − x − x − x − x − 2 = ( x + 2 ) ( x − 3x + 5 x − 11x + 21) − 44
5 4 3 2 4 3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 279
ใชการหารยาวดังนี้
x3 − x
x 2 + 1 x5 + 0 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 1
x5 + x3
− x3 + 0 x 2 + 0 x + 1
− x3 − x
x +1
จะได x + 1= ( x + 1)( x − x ) + ( x + 1)
5 2 3
5) จาก a ( x ) = x + x + 1
6 3
เขียนใหมไดเปน a ( x ) =x + 0 x + 0 x + x + 0 x
6 5 4 3 2
+ 0x + 1 และ b ( x=) x3 − 1
ใชการหารยาวดังนี้
x3 + 2
x3 − 1 x6 + 0 x5 + 0 x 4 + x3 + 0 x 2 + 0 x + 1
x6 − x3
2 x3 + 0 x 2 + 0 x + 1
2 x3 −2
3
จะได x + x + 1= ( x − 1)( x + 2 ) + 3
6 3 3 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
280 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.4
1. 1) ให p ( x ) = x − 3x + 5
4
= 16 − 6 + 5
= 15
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 15
2) ให p ( x ) = 2 x + 7 x − 5 x − 4
3 2
= 2 ( −27 ) + 7 ( 9 ) − 5 ( −3) − 4
= −54 + 63 + 15 − 4
= 20
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 20
3) ให p ( x ) = 6 x + 13x − 4
3 2
= 6 ( −8 ) + 13 ( 4 ) − 4
= −48 + 52 − 4
= 0
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 0 (แสดงวา x + 2 หาร 6 x3 + 13x 2 − 4
ลงตัว)
4) ให p ( x ) = x − 3x + 4 x − x + 6
4 3 2
= 1− 3 + 4 −1+ 6
= 7
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 7
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 281
5) ให p ( x) = 2 x 4 − 5 x3 − x 2 + 3x + 1
1 1
จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เมื่อหาร p ( x ) ดวย x+ จะไดเศษเหลือ คือ p−
2 2
4 3 2
1 1 1 1 1
โดยที่ p− = 2 − − 5 − − − + 3 − + 1
2 2 2 2 2
1 1 1 1
= 2 − 5 − − + 3 − + 1
16 8 4 2
1 5 1 3
= + − − +1
8 8 4 2
= 0
1
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 0 (แสดงวา x + หาร 2 x 4 − 5 x3 − x 2 + 3x + 1 ลงตัว)
2
2. ให p ( x ) = x 3
− 2 x2 − 5x + 6
จะได p (1) (1) − 2 (1) − 5 (1) + 6
3 2
=
= 1− 2 − 5 + 6
= 0
ดังนั้น x − 1 เปนตัวประกอบของ x − 2 x − 5 x + 6 3 2
3. ให p ( x ) = x + x + x + 1
3 2
= −1 + 1 − 1 + 1
= 0
ดังนั้น x + 1 เปนตัวประกอบของ x + x + x + 1 3 2
4. 1) ให p ( x ) = x − 2 x + 8 x − m
3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
282 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2) ให p ( x ) = 3 x 4 − 2 x 3 + mx − 1
2 2
จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เมื่อหาร p ( x ) ดวย x+ จะไดเศษเหลือ คือ p−
3 3
4 3
2 2 2 2
โดยที่ p− = 3 − − 2 − + m − − 1
3 3 3 3
16 8 2
= 3 − 2 − + m − − 1
81 27 3
16 16 2
= + − m −1
27 27 3
5 2
= − m
27 3
เนื่องจาก x + หาร 3x 4 − 2 x3 + mx − 1 เหลือเศษ −1 นั่นคือ p − 2 =
2
−1
3 3
จะได 5 − 2 m = − 1 นั่นคือ m =
16
27 3 9
ดังนั้น x + 2 หาร 3x 4 − 2 x3 + mx − 1 เหลือเศษ −1 เมื่อ m = 16
3 9
3) ให p ( x ) = x − 5 x − 2
2
= m 2 + 5m − 2
เนื่องจาก x+m หาร x2 − 5x − 2 เหลือเศษ −8 นั่นคือ p ( −m ) =
−8
จะได m 2 + 5m − 2 = −8
m 2 + 5m + 6 = 0
( m + 2 )( m + 3) = 0
จะได m = − 2 หรือ m = − 3
ดังนั้น x + m หาร x − 5 x − 2 เหลือเศษ −8 เมื่อ m = − 2 หรือ
2
m = −3
5. 1) วิธีที่ 1 ให p ( x ) = x − x − 4 x + 4
3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 283
จะเห็นวา p (1) = 0
ดังนั้น x − 1 เปนตัวประกอบของ x − x − 4 x + 4 3 2
ดังนั้น x − x − 4x + 4 =
3
( x − 1) ( x − 4 )
2 2
= ( x − 1)( x − 2 )( x + 2 )
วิธีที่ 2 x − x − 4x + 4
3 2
= ( x3 − x 2 ) − ( 4 x − 4 )
= x 2 ( x − 1) − 4 ( x − 1)
= (x 2
− 4 ) ( x − 1)
= ( x − 2 )( x + 2 )( x − 1)
2) ให p ( x ) = x + x − 8 x − 12
3 2
จะเห็นวา p ( −2 ) =
0 ดังนั้น x + 2 เปนตัวประกอบของ x + x 3 2
− 8 x − 12
นํา x + 2 ไปหาร x + x − 8 x − 12 ไดผลหารเปน x − x − 6
3 2 2
ดังนั้น x + x − 8 x − 12 =
3 2
( x + 2) ( x − x − 6) 2
= ( x + 2 )( x + 2 )( x − 3)
( x + 2 ) ( x − 3) d
2
=
3) ให p ( x ) = x − 2 x − x
4 3 2
− 4x − 6
เนื่องจากจํานวนเต็มที่หาร −6 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 3, ± 6
พิจารณา p ( −1)
p ( −1) =( −1) − 2 ( −1) − ( −1) − 4 ( −1) − 6 =0
4 3 2
นํา x + 1 ไปหาร x − 2 x − x
4 3 2
− 4 x − 6 ไดผลหารเปน x − 3 x + 2 x − 6 3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
284 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น x 4 − 2 x3 − x 2 − 4 x − 6 = ( x + 1) ( x3 − 3x 2 + 2 x − 6 )
= ( x + 1) ( x3 − 3x 2 ) + ( 2 x − 6 )
= ( x + 1) x 2 ( x − 3) + 2 ( x − 3)
= ( x + 1)( x − 3) ( x 2 + 2 )
4) ให p ( x=) x − 1 3
ดังนั้น x − 1 = ( x − 1) ( x + x + 1) s
3 2
ดังนั้น x −1 = ( x − 1) ( x + x + x + 1)
4 3 2
= ( x − 1) ( x + x ) + ( x + 1) 3 2
= ( x − 1) x 2 ( x + 1) + ( x + 1)
= ( x − 1)( x + 1) ( x 2 + 1)
วิธีที่ 2 x4 − 1 = ( x ) −1
2 2
= ( x − 1)( x
2 2
+ 1)
= ( x − 1)( x + 1) ( x 2 + 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 285
6) วิธีที่ 1 ให p ( x ) =x − 5 x + 4 4 2
ดังนั้น x − 5x + 4 = ( x − 1) ( x + x − 4 x − 4 )
4 2 3 2
= ( x − 1) ( x + x ) − ( 4 x + 4 ) 3 2
= ( x − 1) x 2 ( x + 1) − 4 ( x + 1)
= ( x − 1)( x + 1) ( x 2 − 4 )
= ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )( x + 2 )
วิธีที่ 2 x − 5x + 4 =
4 2
(x 2
− 1)( x 2 − 4 )
= ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )( x + 2 ) s
7) ให p ( x ) = x − 2 x + x
4 3 2
− 4x + 4
เนื่องจากจํานวนเต็มที่หาร 4 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 4
พิจารณา p (1)
p (1)= (1) − 2 (1) + (1) − 4 (1) + 4= 0
4 3 2
ดังนั้น x − 2 x + x − 4 x + 4 = ( x − 1) ( x − x − 4 )
4 3 2 3 2
ให q ( x ) = x − x − 4
3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
286 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น x − x − 4 = ( x − 2) ( x + x + 2)
3 2 2
จะได x − 2 x + x − 4 x + 4 = ( x − 1)( x − 2 ) ( x + x + 2 )
4 3 2 2
8) ให p ( x ) =x − 2 x − 13x + 14 x + 24
4 3 2
ดังนั้น x − 2 x − 13x + 14 x + 24 = ( x + 1) ( x − 3x − 10 x + 24 )
4 3 2 3 2
ให q ( x ) =x − 3x − 10 x + 24
3 2
ดังนั้น x − 3 x − 10 x + 24 = ( x − 2 ) ( x − x − 12 )
3 2 2
= ( x + 1)( x − 2 )( x + 3)( x − 4 )
6. 1) ให p ( x ) = 6 x − 11x + 6 x − 1
3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 287
ดังนั้น 6 x 3 − 11x 2 + 6 x − 1 = ( x − 1) ( 6 x 2 − 5 x + 1)
= ( x − 1)( 3x − 1)( 2 x − 1) ก
2) ให p ( x ) = 6 x + x − 11x − 6
3 2
ดังนั้น 6 x + x − 11x − 6 = ( x + 1) ( 6 x − 5 x − 6 )
3 2 2
= ( x + 1)( 3x + 2 )( 2 x − 3)
3) ให p ( x ) = 8 x + 8 x + 6 x + 4 x + 1
4 3 2
2
1
x + ( 8 x + 4 x ) + ( 4 x + 2 )
3 2
=
2
1
x + 4 x ( 2 x + 1) + 2 ( 2 x + 1)
2
=
2
1
x + ( 2 x + 1) ( 4 x + 2 )
2
=
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
288 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1
= 2 x + ( 2 x + 1) ( 2 x 2 + 1)
2
= ( 2 x + 1)( 2 x + 1) ( 2 x 2 + 1)
( 2 x + 1) ( 2 x 2 + 1)
2
=
ก 4) ให p ( x ) = 3x − 8 x + x + 8 x − 4
4 3 2
ดังนั้น 3x − 8 x + x + 8 x − 4 = ( x − 1) ( 3x − 5 x − 4 x + 4 )
4 3 2 3 2
ให q ( x ) = 3x − 5 x − 4 x + 4
3 2
ดังนั้น 3x − 5 x − 4 x + 4 =
3 2
( x + 1) ( 3x 2 − 8 x + 4 )
จะได 3x − 8 x + x + 8 x − 4 =
4 3 2
( x − 1)( x + 1) ( 3x 2 − 8 x + 4 )
= ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )( 3x − 2 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 289
แบบฝกหัด 3.5
1. 1) เนื่องจาก x − 2 x − 5 x + 6 = ( x − 1) ( x − x − 6 ) = ( x − 1)( x + 2 )( x − 3)
3 2 2
จะได ( x − 1)( x + 2 )( x − 3) =0
ดังนั้น x − 1 =0 หรือ x + 2 =0 หรือ x − 3 =0
จะได x = 1 หรือ x = − 2 หรือ x = 3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2, 1, 3 }
2) เนื่องจาก x + x − 8 x − 12 =( x + 2 )( x + 2 )( x − 3)
3 2
จะได ( x + 2 )( x + 2 )( x − 3) =
0
ดังนั้น x + 2 =0 หรือ x − 3 =0
จะได x = − 2 หรือ x = 3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2, 3 } ก
3) เนื่องจาก 1 − 3x + 2 x =( x − 1)( x − 1)( 2 x + 1)
2 3
เนื่องจาก 3x − 2 x − 7 x − 2 = ( x + 1)( x − 2 )( 3x + 1)
3 2
จะได ( x + 1)( x − 2 )( 3x + 1) =
0
ดังนั้น x + 1 =0 หรือ x − 2 =0 หรือ 3x + 1 =0
1
จะได x = −1 หรือ x=2 หรือ x= −
3
1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 1, − , 2
3
5) เนื่องจาก 6 − 13x + 4 x =( x + 2 )( 2 x − 1)( 2 x − 3)
3
จะได ( x + 2 )( 2 x − 1)( 2 x − 3) =
0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
290 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น x − 2 =0 หรือ x − x − 1 =0 2
1± 5
จะได x=2 หรือ x=
2
1 + 5 1 − 5
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ 2, ,
2 2
7) จัดรูปสมการใหมไดเปน 2 x − 3x − 5 x + 6 =0 3 2
เนื่องจาก 2 x − 3x − 5 x + 6 = ( x − 1)( x − 2 )( 2 x + 3)
3 2
จะได ( x − 1)( x − 2 )( 2 x + 3) =
0
ดังนั้น x − 1 =0 หรือ x − 2 =0 หรือ 2 x + 3 =0
3
จะได x =1 หรือ x=2 หรือ x= −
2
3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − , 1, 2
2
8) เนื่องจาก x − x − x − 2 = ( x − 2 ) ( x + x + 1)
3 2 2
จะได ( x − 2 ) ( x + x + 1) =0
2
ดังนั้น x − 2 =0 หรือ x + x + 1 =0 2
ถา x − 2 =0 จะได x = 2
ถา x + x + 1 =0 และเนื่องจาก (1) − 4 (1)(1) =− 3 < 0
2 2
จะไดวาไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 2 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 291
9) เนื่องจาก 4 x + 13x + 4 x − 12 = ( x + 2 )( x + 2 )( 4 x − 3)
3 2
จะได ( x + 2 )( x + 2 )( 4 x − 3) =
0
ดังนั้น x + 2 =0 หรือ 4 x − 3 =0
3
จะได x = −2 หรือ x=
4
3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 2,
4
10) จัดรูปสมการใหมไดเปน 2 x − 13 x + 28 x 2 − 23x + 6 =
4 3
0
เนื่องจาก 2 x − 13x + 28 x − 23x + 6 = ( x − 1)( x − 2 )( x − 3)( 2 x − 1)
4 3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
292 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะไดวาไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้
ดังนั้น x = 11
สรุปไดวา จํานวนที่นอยที่สุด คือ 11 − 2 =9
3. ความสัมพันธระหวางเวลากับความสูงของลูกบอลจากพื้นดินแทนดวยสมการ
s ( t ) =12 + 28t − 5t 2
จัดรูปสมการใหมไดเปน s ( t ) =− 5t + 28t + 12 2
ลูกบอลจะกระทบพื้นเมื่อ s ( t ) = 0
นั่นคือ −5t + 28t + 12 = 0
2
5t 2 − 28t − 12 = 0
( 5t + 2 )( t − 6 ) = 0
ดังนั้น 5t + 2 =0 หรือ t −6 =0
2
จะได t= − หรือ t=6
5
ดังนั้น ลูกบอลจะลอยอยูในอากาศนาน 6 วินาที กอนตกกระทบพื้นดินครั้งแรก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 293
แบบฝกหัด 3.6
x3 − 1 ( x − 1) ( x 2 + x + 1)
1. 1) =
x −1 x −1
= x + x +1
2
เมื่อ x ≠ 1ด
2)
4 x2 − 9
=
( 2 x − 3)( 2 x + 3)
2 x2 + x − 3 ( 2 x + 3)( x − 1)
2x − 3
= เมื่อ x ≠ − 3
x −1 2
3)
x3 − x 2 − x + 1
=
( x − x ) − ( x − 1)
3 2
x − 4 x3 + 4 x 2 − 1
4
(x 4
− 1) − ( 4 x 3 − 4 x 2 )
x 2 ( x − 1) − ( x − 1)
=
(x 2
− 1)( x 2 + 1) − 4 x 2 ( x − 1)
x 2 ( x − 1) − ( x − 1)
=
( x − 1)( x + 1) ( x 2 + 1) − 4 x 2 ( x − 1)
( x − 1) ( x 2 − 1)
=
( x − 1) ( x + 1) ( x 2 + 1) − 4 x 2
( x − 1)( x + 1)
= เมื่อ x ≠1
(x 3
+ x 2 + x + 1) − 4 x 2
( x − 1)( x + 1)
=
x3 − 3x 2 + x + 1
( x − 1)( x + 1)
=
( x − 1) ( x 2 − 2 x − 1)
x +1
= เมื่อ x ≠1 ด
x − 2x −1
2
x 2 − 3x x2 − 4 x ( x − 3) ( x − 2 )( x + 2 )
2. 1) ⋅ = ⋅
x2 − x − 2 x2 − x − 6 ( x − 2 )( x + 1) ( x − 3)( x + 2 )
x
= เมื่อ x ≠ − 2, x ≠ 2 และ x≠3
x +1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
294 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x3 − 1 x3 + 1 ( x − 1) ( x 2 + x + 1) ( x + 1) ( x 2 − x + 1)
2) ⋅ = ⋅
x2 − x + 1 x2 + x + 1 x2 − x + 1 x2 + x + 1
2
1 3
= ( x − 1)( x + 1) เนื่องจาก x2 ± x + 1 = x ± + > 0
2 4
= x2 − 1
x 2 + 3 x − 10 x + 5 x 2 + 3 x − 10 x + 2
3) ÷ = ⋅
x+2 x+2 x+2 x+5
( x + 5)( x − 2 ) ⋅ x + 2
=
x+2 x+5
= x−2 เมื่อ x ≠ − 2 และ x ≠ −5
2 x − 8 x − 162
2x − 8 x + x 3 2
4) ÷ 3 = ⋅ 2
x2 x + x2 x2 x − 16
2 ( x − 4) x 2 ( x + 1)
= ⋅
x2 ( x − 4 )( x + 4 )
2 ( x + 1)
= เมื่อ x ≠ 0 และ x ≠ 4
x+4
2x + 2
= เมื่อ x ≠ 0 และ x ≠ 4
x+4
3. 1)
1
+
1
+
1
=
( x + 1)( x + 2 ) + x ( x + 2 ) + x ( x + 1)
x x +1 x + 2 x ( x + 1)( x + 2 ) x ( x + 1)( x + 2 ) x ( x + 1)( x + 2 )
=
(x 2
+ 3x + 2 ) + ( x 2 + 2 x ) + ( x 2 + x )
x ( x + 1)( x + 2 )
3x 2 + 6 x + 2
=
x ( x + 1)( x + 2 )
x x −1 x x −1
2) + 2 = +
x + x − 6 x + 5x + 6
2
( x − 2 )( x + 3) ( x + 2 )( x + 3)
x ( x + 2) ( x − 1)( x − 2 )
= +
( x − 2 )( x + 2 )( x + 3) ( x − 2 )( x + 2 )( x + 3)
=
(x 2
+ 2 x ) + ( x 2 − 3x + 2 )
( x − 2 )( x + 2 )( x + 3)
2 x2 − x + 2
=
( x − 2 )( x + 2 )( x + 3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 295
2 2 1 2 ( x + 1)( x + 2 ) 2 ( 3 x )( x + 2 )
( 3x )( x + 1)
3) − + = − +
3x x + 1 x + 2 3 x ( x + 1)( x + 2 ) 3 x ( x + 1)( x + 2 ) 3 x ( x + 1)( x + 2 )
=
( 2x 2
+ 6 x + 4 ) − ( 6 x 2 + 12 x ) + ( 3 x 2 + 3 x )
3 x ( x + 1)( x + 2 )
− x − 3x + 4
2
=
3 x ( x + 1)( x + 2 )
x2 − 5 4 x2 − 5 4
4) − 2 = −
x − 5x + 6 x − 4
2
( x − 2 )( x − 3) ( x − 2 )( x + 2 )
=
(x 2
− 5) ( x + 2 )
−
4 ( x − 3)
( x − 2 )( x + 2 )( x − 3) ( x − 2 )( x + 2 )( x − 3)
=
( x3 + 2 x 2 − 5 x − 10 ) − ( 4 x − 12 )
( x − 2 )( x + 2 )( x − 3)
x3 + 2 x 2 − 9 x + 2
=
( x − 2 )( x + 2 )( x − 3)
( x − 2 ) ( x 2 + 4 x − 1)
=
( x − 2 )( x + 2 )( x − 3)
x2 + 4 x − 1
= เมื่อ x≠2
( x + 2 )( x − 3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
296 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.7
1. 1) จัดรูปสมการใหมไดเปน ด
x ( x − 1) 2
− = 0
( x + 1)( x + 2 ) ( x + 1)( x + 2 )
x2 − x − 2
= 0
( x + 1)( x + 2 )
( x − 2 )( x + 1) = 0
( x + 1)( x + 2 )
x−2
= 0 เมื่อ x ≠ −1
x+2
จะได x − 2 =0 และ x+2 ≠ 0
นั่นคือ x = 2 โดยที่ x ≠ − 2 และ x ≠ − 1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 2 }
x x +1
2) จาก + = 0
x −1 x
x2
+
( x + 1)( x − 1) = 0
x ( x − 1) x ( x − 1)
x 2 + ( x 2 − 1)
= 0
x ( x − 1)
2x2 − 1
= 0
x ( x − 1)
จะได 2 x 2 − 1 =0 และ x ( x − 1) ≠ 0
1 1
จะได x= − หรือ x= โดยที่ x≠0 และ x ≠1
2 2
1 1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − ,
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 297
3) จัดรูปสมการใหมไดเปน
1 x+6
− = 0
x x2 + 3
x2 + 3
−
( x + 6 )( x )
= 0
x ( x 2 + 3) x ( x 2 + 3)
(x 2
+ 3) − ( x 2 + 6 x )
= 0
x ( x 2 + 3)
−6 x + 3
= 0
x ( x 2 + 3)
จะได −6 x + 3 =0 และ x ( x 2
+ 3) ≠ 0
เนื่องจาก x + 3 > 0 เสมอ
2
1
จะได x= โดยที่ x≠0
2
1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ด
2
1 4
4) จาก − = 1
x x −1
x −1 4x
− = 1
x ( x − 1) x ( x − 1)
( x − 1) − 4 x = 1
x ( x − 1)
−3 x − 1
= 1
x ( x − 1)
−3 x − 1
−1 = 0
x ( x − 1)
−3 x − 1 x ( x − 1)
− = 0
x ( x − 1) x ( x − 1)
( −3x − 1) − x ( x − 1) = 0
x ( x − 1)
( −3x − 1) − ( x 2 − x )
= 0
x ( x − 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
298 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
− x2 − 2 x − 1
= 0
x ( x − 1)
x2 + 2 x + 1
= 0
x ( x − 1)
( x + 1)
2
= 0
x ( x − 1)
จะได ( x + 1)2 =
0 และ x ( x − 1) ≠ 0
นั่นคือ x = − 1 โดยที่ x ≠ 0 และ x ≠ 1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1}
1 1 1 1
5) จาก + 2 = + ด
x +1 x + x x x2
1 1 1 1
+ = +
x + 1 x ( x + 1) x x2
x 1 x 1
+ = + 2
x ( x + 1) x ( x + 1) x 2
x
x +1 x +1
=
x ( x + 1) x2
x +1 x +1
− 2 = 0
x ( x + 1) x
x ( x + 1) ( x + 1)( x + 1)
− = 0
x ( x + 1)
2
x 2 ( x + 1)
x ( x + 1) − ( x + 1)( x + 1)
= 0
x 2 ( x + 1)
(x 2
+ x ) − ( x 2 + 2 x + 1)
= 0
x 2 ( x + 1)
−x −1
= 0
x ( x + 1)
2
x +1
= 0
x ( x + 1)
2
1
= 0 เมื่อ x ≠ −1
x2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 299
( x − 1)( 5) + ( x 2 + 1) ( 5) − 6 ( x − 1) ( x 2 + 1)
= 0
5 ( x − 1) ( x 2 + 1)
( 5 x − 5) + ( 5 x 2 + 5) − ( 6 x3 − 6 x 2 + 6 x − 6 )
= 0
5 ( x − 1) ( x 2 + 1)
−6 x 3 + 11x 2 − x + 6
= 0
5 ( x − 1) ( x 2 + 1)
6 x 3 − 11x 2 + x − 6
= 0
5 ( x − 1) ( x 2 + 1)
( x − 2 ) ( 6 x 2 + x + 3)
= 0
( x − 1) ( x 2 + 1)
จะได ( x − 2 ) ( 6 x + x + 3) =0 และ ( x − 1) ( x + 1) ≠ 0
2 2
จะได x = 2 โดยที่ x ≠ 1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 2 }
1 x 1
7) จาก − 2 =
x − 2 x +1 6
x +1
2
x ( x − 2) 1
− =
( x − 2 ) ( x + 1) ( x − 2 ) ( x 2 + 1)
2
6
(x 2
+ 1) − ( x 2 − 2 x )
=
1
( x − 2) ( x 2
+ 1) 6
2x + 1 1
=
( x − 2 ) ( x 2 + 1) 6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
300 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2x + 1 1
− = 0
( x − 2 ) ( x + 1) 6
2
6 ( 2 x + 1) ( x − 2 ) ( x 2 + 1)
− = 0
6 ( x − 2 ) ( x 2 + 1) 6 ( x − 2 ) ( x 2 + 1)
(12 x + 6 ) − ( x3 − 2 x 2 + x − 2 )
= 0
6 ( x − 2 ) ( x 2 + 1)
− x 3 + 2 x 2 + 11x + 8
= 0
6 ( x − 2 ) ( x 2 + 1)
x 3 − 2 x 2 − 11x − 8
= 0
( x − 2 ) ( x 2 + 1)
( x + 1) ( x 2 − 3x − 8)
= 0
( x − 2 ) ( x 2 + 1)
0 และ ( x − 2 ) ( x
จะได ( x + 1) ( x − 3x − 8) =2 2
+ 1) ≠ 0
เนื่องจาก x + 1 > 0 เสมอ
2
3 − 41
3 + 41
จะได x = −1 , x = หรือ
โดยที่ x ≠ 2
x=
2 2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 1, 3 − 41 , 3 + 41
2 2
1 1 2
8) จาก − 2 =
x − x +1 x + x +1
2
3x
( x + x + 1) − ( x − x + 1) = 2
2 2
( x 2 − x + 1)( x 2 + x + 1) 3x
2x 2
=
( x − x + 1)( x 2 + x + 1)
2
3x
2x 2
− = 0
( x − x + 1)( x + x + 1) 3x
2 2
x 1
− = 0
(x 2
− x + 1)( x + x + 1)
2
3x
( x )( 3x ) − ( x 2 − x + 1)( x 2 + x + 1)
= 0
( x 2 − x + 1)( x 2 + x + 1) ( 3x )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 301
3 x 2 − ( x 4 + x 2 + 1)
= 0
(x 2
− x + 1)( x 2 + x + 1) ( 3 x )
− x4 + 2 x2 − 1
= 0
( x 2 − x + 1)( x 2 + x + 1) ( 3x )
x4 − 2 x2 + 1
= 0
( x 2 − x + 1)( x 2 + x + 1) ( 3x )
( x − 1) 2 2
= 0
( x − x + 1)( x + x + 1) ( 3x )
2 2
( x − 1) ( x + 1)
2 2
= 0
(x 2
− x + 1)( x 2 + x + 1) ( 3 x )
0 และ ( x − x + 1)( x + x + 1) ( 3 x ) ≠ 0
จะได ( x − 1) ( x + 1) =
2 2 2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
302 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1500 1500 1
− − = 0
x − 100 x 6
1500 ( 6 x ) − (1500 )( 6 )( x − 100 ) − x ( x − 100 )
= 0
6 x ( x − 100 )
9000 x − 9000 x + 900000 − x 2 + 100 x
= 0
6 x ( x − 100 )
x 2 − 100 x − 900000
= 0
6 x ( x − 100 )
( x + 900 )( x − 1000 ) = 0
6 x ( x − 100 )
จะได ( x + 900 )( x − 1000 ) = 0 และ 6 x ( x − 100 ) ≠ 0
นั่นคือ x = − 900 หรือ x = 1,000 โดยที่ x ≠ 0 และ x ≠ 100
เนื่องจาก x > 0
จะได เซตคําตอบของสมการ คือ { 1000 }
ดังนั้น อัตราเร็วของการบินปกติ คือ 1,000 กิโลเมตรตอชั่วโมง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 303
แบบฝกหัด 3.8
1. ไมจริง (เชน a = − 1 และ b = − 2 จะได a2 = 1 และ b2 = 4
ซึ่งจะเห็นวา a > b แต a < b ) ด
2 2
1 1
2. ไมจริง (เชน a =1 และ b = −1 จะได =1 และ = −1
a b
1 1
ซึ่งจะเห็นวา a>b และ > )
a b
3. จริง
4. จริง
5. จริง
6. จริง
7. กรณีที่ a และ b เปนจํานวนจริงบวกทั้งคู หรือ กรณีที่ a และ b เปน
จํานวนจริงลบทั้งคู
8. กรณีที่ a เปนจํานวนจริงบวก แต b เปนจํานวนจริงลบ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
304 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.9ก
1. 1) { x | − 3 ≤ x < 1} –4 –3 –2 –1 0 1 2
2) { x | x > − 2} –3 –2 –1 0 1 2 3
3) { x | 4 ≤ x ≤ 7}
2 3 4 5 6 7 8
4) { x | − 3 < x < 0} –4 –3 –2 –1 0 1 2
5) { x | x < − 3}
–5 –4 –3 –2 –1 0 1
6) { x | x ≥ 1} –2 –1 0 1 2 3 4
7) { x | −1 < x ≤ 4 } –2 –1 0 1 2 3 4
8) { x | x ≤ 1}
–4 –3 –2 –1 0 1 2
9) { x | − 10 < x < − 8 }
–12 –11 –10 –9 –8 –7 –6
10 ) { x | 2.5 ≤ x ≤ 4 } –2 –1 0 1 2 2.5 3 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 305
–1 0 1 2 3 4
1) A ∪ B =( − 1, 4 ] ด 2) [ 0, 2 )
A∩ B =
3) A − B =( − 1, 0 ) ด 4) [ 2, 4 ]
B−A=
5) A′ = ( − ∞ , − 1 ] ∪ [ 2, ∞ ) ด 6) B′ = ( − ∞ , 0 ) ∪ ( 4, ∞ )
3. เขียนแสดง A, B และ C บนเสนจํานวนไดดังนี้
–1 0 1 2 3 4 5
จากเสนจํานวนจะไดวา
1) { x | − 1 < x ≤ 4 } หรือ ( − 1, 4 ]
2) { x | 2 ≤ x ≤ 4 } หรือ [ 2, 4 ]
3) { x | − 1 < x ≤ 5 } หรือ ( − 1, 5 ]
4) { x | 2 ≤ x < 3 } หรือ [ 2, 3 )
5) { x | − 1 < x < 2 } หรือ ( − 1, 2 )
6) { x | 3 ≤ x ≤ 4 } หรือ [ 3, 4 ]
7) { x | 1 < x ≤ 4 } หรือ ( 1, 4 ]
8) { x | 1 < x ≤ 4 } หรือ ( 1, 4 ]
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
306 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.9ข
1. จาก 3x + 1 < 2x −1
จะได 3x − 2 x < −1 − 1
x < −2
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , − 2 ) ด
2. จาก 4y + 7 > 2 ( y + 1)
จะได 4y + 7 > 2y + 2
4y − 2y > 2−7
2y > −5
5
y > −
2
5
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ,∞
2
3. จาก 2 ( 3 y − 1) > 3 ( y − 1)
จะได 6y − 2 > 3y − 3
6 y − 3y > −3 + 2
3y > −1
1
y > −
3
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ,∞
3
4. จาก 4 − (3 − x ) < 3x − ( 3 − 2 x )
จะได 4−3+ x < 3x − 3 + 2 x
x − 3x − 2 x < −3 − 4 + 3
−4x < −4
x > 1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( 1, ∞ )
5. จาก x2 − x − 6 ≤ 0
จะได ( x − 3)( x + 2 ) ≤ 0
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 307
–2 –1 0 1 2 3 4
–3 –2 –1 0 1 2 3
( x − 5)( x − 1) ≤ 0
พิจารณาเสนจํานวน
x–5 < 0 x–5 > 0
0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
308 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
8. จาก 2x < 3 − x2
จะได x2 + 2 x − 3 < 0
( x − 1)( x + 3) < 0
พิจารณาเสนจํานวน
x+3 < 0 x+3 > 0
–4 –3 –2 –1 0 1
( x − 3)( x + 5) < 0
พิจารณาเสนจํานวน
x–3 < 0 x–3 > 0
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5
( 3x − 1)( x − 2 ) ≥ 0
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 309
3x – 1 < 0 3x – 1 > 0
–1 0 1 2 3 4
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ∞, ∪ [ 2, ∞ )
3
11. จาก x − 3x 2
3
≤ 10x
จะได x 3 − 3 x 2 − 10 x ≤ 0
x ( x 2 − 3 x − 10 ) ≤ 0
x ( x + 2 )( x − 5 ) ≤ 0
พิจารณาเสนจํานวน
x< 0 x> 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5 6
x 2 ( x − 1) − ( x − 1) ≥ 0
( x − 1) ( x − 1) 2
≥ 0
( x − 1)( x − 1)( x + 1) ≥ 0
( x − 1) ( x + 1) ≥
2
0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
310 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–1 < 0 x–1 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
เนื่องจาก ( x − 1) ≥ 0 เสมอ 2
จะได x +1 ≥ 0
x ≥ −1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ − 1, ∞ )
13. จาก x3 − x > 2x2 − 2
จะได x3 − 2 x 2 − x + 2 > 0
(x 3
− 2 x2 ) − ( x − 2) > 0
x2 ( x − 2) − ( x − 2) > 0
( x − 2 ) ( x − 1)
2
> 0
( x − 2 )( x − 1)( x + 1) > 0
พิจารณาเสนจํานวน
x–2 < 0 x–2 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 311
–1 0 1 2 3 4 5
–4 –3 –2 –1 0 1 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
312 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2x − 3
16. จาก > 0
( x + 2 )( x − 5)
พิจารณาเสนจํานวน
x–5 < 0 x–5 > 0
2x – 3 < 0 2x – 3 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 2, ∪ ( 5, ∞ )
2
x 2 + 12
17. จาก > 7
x
x + 12
2
จะได −7 > 0
x
x 2 − 7 x + 12
> 0
x
( x − 3)( x − 4 )
> 0
x
พิจารณาเสนจํานวน
x–3< 0 x–3> 0
x–4< 0 x–4> 0
x < 0 x > 0
–1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 313
x2 + 6
18. จาก ≤ 5
x
x +6
2
จะได −5 ≤ 0
x
x2 − 5x + 6
≤ 0
x
( x − 2 )( x − 3)
≤ 0
x
พิจารณาเสนจํานวน
x –3 < 0 x –3 > 0
x –2 < 0 x –2 > 0
x < 0 x > 0
–2 –1 0 1 2 3 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
314 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
–1 0 1 2 3 4 5 6 7
–2 –1 0 1 2 3 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 315
x 2 − 3 x − 10
≥ 0
x−4
( x − 5)( x + 2 )
≥ 0
x−4
พิจารณาเสนจํานวน
x–5 < 0 x–5 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
316 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x–2<0 x–2>0
x+2<0 x+2>0
x+4<0 x+4>0
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2
5− x
จะได −1 < 0
x 2 − 3x + 2
( 5 − x ) − ( x 2 − 3x + 2 )
< 0
x 2 − 3x + 2
− x2 + 2 x + 3
< 0
x 2 − 3x + 2
x2 − 2 x − 3
> 0
x 2 − 3x + 2
( x + 1)( x − 3) > 0
( x − 1)( x − 2 )
พิจารณาเสนจํานวน
x–3<0 x–3>0
x–2<0 x–2>0
x–1<0 x–1>0
x+1<0 x+1>0
–3 –2 –1 0 1 2 3 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 317
x+6
24. จาก < 6
x ( x + 1)
x+6
จะได −6 < 0
x ( x + 1)
( x + 6 ) − 6 x ( x + 1) < 0
x ( x + 1)
( x + 6) − ( 6 x2 + 6 x )
< 0
x ( x + 1)
−6 x 2 − 5 x + 6
< 0
x ( x + 1)
6 x2 + 5x − 6
> 0
x ( x + 1)
( 3x − 2 )( 2 x + 3)
> 0
x ( x + 1)
พิจารณาเสนจํานวน
3x – 2 < 0 3x – 2 > 0
x< 0 x > 0
2x + 3 < 0 2x + 3 > 0
4 3 –2 –1 0 1 2 3
3 2
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ∞ , − ∪ ( − 1, 0 ) ∪ , ∞
2 3
1 1
25. จาก ≥
x +1 x+4
1 1
จะได − ≥ 0
x +1 x + 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
318 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x + 4 ) − ( x + 1) ≥ 0
( x + 1)( x + 4 )
3
≥ 0
( x + 1)( x + 4 )
พิจารณาเสนจํานวน
x+1 < 0 x+1 > 0
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2
2x – 3 < 0 2x – 3 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 2, ∪ [ 5, ∞ )
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 319
x 1
27. จาก ≥
x+2 x
x 1
จะได − ≥ 0
x+2 x
x − ( x + 2)
2
≥ 0
x ( x + 2)
x2 − x − 2
≥ 0
x ( x + 2)
( x + 1)( x − 2 ) ≥ 0
x ( x + 2)
พิจารณาเสนจํานวน
x–2 < 0 x–2 > 0
x < 0 x > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3 4
≥ 0
( 2 x − 3)( x − 3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
320 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x2 − 4 x
≥ 0
( 2 x − 3)( x − 3)
x ( x − 4)
≥ 0
( 2 x − 3)( x − 3)
พิจารณาเสนจํานวน
x–4 < 0 x–4 > 0
2x – 3 < 0 2x – 3 > 0
x < 0 x > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
29. จาก (x 2
+ 3 x − 10 )( x + x − 6 )
2
≥ 0
x 2 + 2 x − 15
( x − 2 )( x + 5)( x − 2 )( x + 3)
จะได ≥ 0
( x − 3)( x + 5)
( x − 2 )( x − 2 )( x + 3) ≥ 0 เมื่อ x ≠ −5
( x − 3)
( x − 2 ) ( x + 3)
2
≥ 0 เมื่อ x ≠ −5
( x − 3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 321
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–3 < 0 x–3 > 0
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
322 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จาก ( x − 1) ( x + 2 )
3 4
30. > 0
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–1 < 0 x–1 > 0
–4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5
–4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 323
จาก ( 2 x + 1) ( x + 1)
3 5
32. < 0
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
2x + 1 < 0 2x + 1 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 1, −
2
วิธีที่ 2 จาก ( 2 x + 1) ( x + 1)
3 5
< 0
เนื่องจาก ( 2 x + 1) ≥ 0 และ ( x + 1)
2 4
≥0 เสมอ
จะได ( 2 x + 1)( x + 1) < 0
พิจารณาเสนจํานวน
2x + 1 < 0 2x + 1 > 0
–3 –2 –1 0 1 2 3
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 1, −
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
324 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.10
1. 1) − 12 + 8 = −4 = 4
2) − 25 + − 25 = −25 + 25 = 0
3) − 5 (10 ) = − 50 = 50
− 6 − ( 6) −36
2 2
4) = =
28 14 14
5) − = − =
6 3 3
6) − 2.5 − 3 = 2.5 − 3 = − 0.5 = 0.5
2. 1) เปนเท็จ เชน เมื่อ a = 1 และ b = 1
จะได a + ( −b ) = 1 − 1 = 0 = 0
แต a + − b = 1 + −1 = 1 + 1 = 2
จะเห็นวา a + ( −b ) ≠ a + − b
ดังนั้น ขอความ “ a + ( −b )= a + − b ” เปนเท็จ
2) เปนเท็จ เชน เมื่อ a = 1
จะได − a =− 1 = (1) =
2 2 2
1
แต −(a ) = − (1) = −1
2 2
จะเห็นวา − a ≠ − ( a ) 2 2
3) เปนจริง
4) เปนจริง
5) เปนเท็จ เชน เมื่อ a = 1 และ b = 1
จะได − a − b = −1−1 = − 2 = 2
แต − a − b = −1 − 1 = 1−1 = 0
จะเห็นวา − a − b > − a − b
ดังนั้น ขอความ “ − a − b ≤ − a − b ” เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 325
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
326 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัด 3.11ก
1. วิธีที่ 1 จาก 2x + 1 = 3
1
กรณีที่ 1 2x + 1 ≥ 0 นั่นคือ x≥−
2
จะได 2x + 1 = 3
2x = 2
1
x = 1 ซึ่ง 1≥ −
2
นั่นคือ 1 เปนคําตอบของสมการ
1
กรณีที่ 2 2x + 1 < 0 นั่นคือ x<−
2
จะได − ( 2 x + 1) = 3
2x + 1 = −3
2x = −4
1
x = −2 ซึ่ง −2 < −
2
นั่นคือ −2 เปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2, 1}
วิธีที่ 2 จาก 2x + 1 = 3
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
2x + 1
2
= 32
( 2 x + 1) − 32
2
= 0
( 2 x + 1 − 3)( 2 x + 1 + 3) = 0
( 2 x − 2 )( 2 x + 4 ) = 0
จะได x = 1 หรือ x = − 2
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ 2 x + 1 = 3 ดวย 1 จะได
2 (1) + 1 = 3
2 +1 = 3
3 = 3 เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 327
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
328 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 329
วิธีที่ 2 จาก 3x − 2 = x −1
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
3x − 2 ( x − 1)
2 2
=
( 3x − 2 ) − ( x − 1)
2 2
= 0
( 3 x − 2 ) − ( x − 1) ( 3 x − 2 ) + ( x − 1) = 0
( 2 x − 1)( 4 x − 3) = 0
1 3
จะได x= หรือ x=
2 4
1
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ 3x − 2 = x −1 ดวย จะได
2
1 1
3 − 2 = −1
2 2
1 1
− = −
2 2
1 1
= − เปนเท็จ
2 2
3
แทน x ในสมการ 3x − 2 = x −1 ดวย จะได
4
3 3
3 − 2 = −1
4 4
1 1
= −
4 4
1 1
= − เปนเท็จ
4 4
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
4. วิธีที่ 1 จาก x = x+2
กรณีที่ 1 x ≥ 0
จะได x = x+2
0 = 2 เปนเท็จ
นั่นคือ ไมมีคําตอบของสมการ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
330 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
กรณีที่ 2 x<0
จะได −x = x+2
x = − ( x + 2)
x = −x − 2
2x = −2
x = −1 ซึ่ง −1 < 0
นั่นคือ −1 เปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1}
วิธีที่ 2 จาก x = x+2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( x + 2)
2 2
x =
( x ) − ( x + 2)
2 2
= 0
x − ( x + 2 ) x + ( x + 2 ) = 0
−2 ( 2 x + 2 ) = 0
จะได x = −1
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x = x+2 ดวย −1 จะได
−1 = −1 + 2
1 = 1 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1}
5. วิธีที่ 1 จาก x = 3 − 2x
กรณีที่ 1 x ≥ 0
จะได x = 3 − 2x
3x = 3
x = 1 ซึ่ง 1≥ 0
นั่นคือ 1 เปนคําตอบของสมการ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 331
กรณีที่ 2 x<0
จะได −x = 3 − 2x
x = − ( 3 − 2x )
x = −3 + 2x
x = 3 ซึ่ง 3 > 0
นั่นคือ 3 ไมเปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 1}
วิธีที่ 2 จาก x = 3 − 2x
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( 3 − 2x )
2 2
x =
( x ) − (3 − 2x )
2 2
= 0
x − ( 3 − 2 x ) x + ( 3 − 2 x ) = 0
( 3x − 3)( − x + 3) = 0
จะได x = 1 หรือ x=3
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x = 3 − 2x ดวย 1 จะได
1 = 3 − 2 (1)
1 = 3–2
1 = 1 เปนจริง
แทน x ในสมการ x = 3 − 2x ดวย 3 จะได
3 = 3 − 2 ( 3)
3 = 3–6
3 = −3 เปนเท็จ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 1}
6. จาก x2 − x − 4 = 2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
2
x2 − x − 4 = 22
(x − x − 4)
2 2
= 22
(x − x − 4 ) − 22
2 2
= 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
332 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x 2 − x − 4 ) − 2 ( x 2 − x − 4 ) + 2 = 0
(x 2
− x − 6 )( x 2 − x − 2 ) = 0
( x − 3)( x + 2 )( x − 2 )( x + 1) = 0
จะได x = − 1 หรือ x = − 2 หรือ x = 2 หรือ x =3
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x − x − 4 = 2 ดวย −1 จะได 2
( −1) − ( −1) − 4 =
2
2
1+1− 4 = 2
−2 = 2
2 = 2 เปนจริง
แทน x ในสมการ x2 − x − 4 = 2 ดวย −2 จะได
( −2 ) − ( −2 ) − 4 =
2
2
4+2−4 = 2
2 = 2
2 = 2 เปนจริง
แทน x ในสมการ x2 − x − 4 = 2 ดวย 2 จะได
22 − 2 − 4 = 2
4−2−4 = 2
−2 = 2
2 = 2 เปนจริง
แทน x ในสมการ x2 − x − 4 = 2 ดวย 3 จะได
32 − 3 − 4 = 2
9−3− 4 = 2
2 = 2
2 = 2 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2, − 1, 2, 3 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 333
7. จาก x −1 = 2x + 1
ยกกําลังสองทั้งสองขาง x −1
2
= 2x + 1
2
( x − 1) − ( 2 x + 1)
2 2
= 0
( x − 1) − ( 2 x + 1) ( x − 1) + ( 2 x + 1) = 0
( − x − 2 )( 3x ) = 0
จะได x=0 หรือ x = −2
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x −1 = 2x + 1 ดวย 0 จะได
0 −1 = 2 ( 0) + 1
−1 = 1
1 = 1 เปนจริง
แทน x ในสมการ x −1 = 2x + 1 ดวย −2 จะได
− 2 −1 = 2 ( −2 ) + 1
−3 = −3
3 = 3 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2, 0 }
8. จาก 2 x+3 = x−2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง (2 x + 3 )
2
x−2
2
=
4 ( x + 3) − ( x − 2 )
2 2
= 0
2 ( x + 3) − ( x − 2 ) 2 ( x + 3) + ( x − 2 ) = 0
( x + 8)( 3x + 4 ) = 0
4
จะได x = −8 หรือ x= −
3
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ 2 x+3 = x−2 ดวย −8 จะได
2 −8+3 = −8− 2
2 −5 = − 10
2 ( 5) = 10
10 = 10 เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
334 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
4
แทน x ในสมการ 2 x+3 = x−2 ดวย − จะได
3
4 4
2 − +3 = − −2
3 3
5 10
2 = −
3 3
5 10
2 =
3 3
10 10
= เปนจริง
3 3
4
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 8, −
3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 335
แบบฝกหัด 3.11ข
1. 1) จาก x−2 < 1
จะได −1 < x−2 < 1
−1 + 2 < x < 1+ 2
1 < x < 3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( 1, 3 ) ด
2) จาก x+3 > 5
จะได x + 3 < −5 หรือ x+3 > 5
x < −5 − 3 หรือ x > 5−3
x < −8 หรือ x > 2
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( −∞, − 8) ∪ ( 2, ∞ )
3) จาก 3x + 5 ≥ 4
จะได 3x + 5 ≤ −4 หรือ 3x + 5 ≥ 4
3x ≤ −4 − 5 หรือ 3x ≥ 4−5
3x ≤ −9 หรือ 3x ≥ −1
−9 −1
x ≤ หรือ x ≥
3 3
1
x ≤ −3 หรือ x ≥ −
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( −∞, − 3] ∪ − 1 , ∞
3
4) จาก 2x −1 ≤ 11
จะได −11 ≤ 2 x − 1 ≤ 11
−11 − 1 ≤ 2x ≤ 11 + 1
−10 ≤ 2x ≤ 12
−10 12
≤ x ≤
2 2
−5 ≤ x ≤ 6
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ −5, 6]
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
336 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2 ( x − 2) < −x
2x − 4 < −x
3x < 4
4
x <
3
4
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ x<
3
4
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ −∞, ∪ ( 4, ∞ ) ด
3
6) วิธีที่ 1 จากอสมการ 3x + 4 ≤ x+2
เนื่องจาก 3x + 4 ≥ 0 ดังนั้น x + 2 ≥ 0 หรือ x ≥ −2
จะได − ( x + 2 ) ≤ 3x + 4 ≤ x + 2
ดังนั้น − x − 2 ≤ 3 x + 4 และ 3 x + 4 ≤ x+2
−4x ≤ 6 และ 2x ≤ −2
3
x ≥ − และ x ≤ −1
2
3
จะได − ≤ x ≤ −1
2
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 2 , − 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 337
วิธีที่ 2 จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
4
กรณีที่ 1 3x + 4 ≥ 0 นั่นคือ x≥−
3
จะได 3x + 4 ≤ x+2
2x ≤ −2
x ≤ −1
4
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ − ≤ x ≤ −1
3
4
กรณีที่ 2 3x + 4 < 0 นั่นคือ x<−
3
จะได − ( 3x + 4 ) ≤ x+2
−4x ≤ 6
3
x ≥ −
2
3 4
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ − ≤x<−
2 3
3 4 4 3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 2 , − 3 ∪ − 3 , − 1 หรือ − 2 , − 1
7) วิธีที่ 1 จากอสมการ 2x + 1 < 3x + 2
2
เนื่องจาก 2x + 1 ≥ 0 ดังนั้น 3x + 2 > 0 หรือ x>−
3
จะได − ( 3x + 2 ) < 2x + 1 < 3x + 2
ดังนั้น −3 x − 2 < 2x + 1 และ 2x + 1 < 3x + 2
−5x < 3 และ −x < 1
3
x > − และ x > −1
5
3
จะได x>−
5
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − , ∞
5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
338 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
วิธีที่ 2 จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
1
กรณีที่ 1 2x + 1 ≥ 0 นั่นคือ x≥−
2
จะได 2x + 1 < 3x + 2
−x < 1
x > −1
1
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ x≥− และ x > −1
2
1 1
นั่นคือ x≥− หรือ
− 2 , ∞
2
กรณีที่ 2 2x + 1 < 0 นั่นคือ x < − 1
2
จะได − ( 2 x + 1) < 3x + 2
−2 x − 1 < 3x + 2
−5x < 3
3
x > −
5
1
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ และ x > − 3
x<−
2 5
นั่นคือ − 3 < x < − 1 หรือ − 3 , − 1
5 2 5 2
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − 1 , ∞ ∪ − 3 , − 1 หรือ − 3 , ∞
2 5 2 5
8) วิธีที่ 1 จากอสมการ x + 1 > x − 3
เนื่องจาก x +1 ≥ 0 ดังนั้น x − 3 ≥ 0 หรือ x − 3 < 0
กรณีที่ 1 x − 3 ≥ 0 นั่นคือ x ≥ 3
จะได x + 1 > x − 3 หรือ − ( x + 1) > x − 3
นั่นคือ 1 > −3 หรือ x < 1
จะได คา x ทีส่ อดคลองกับอสมการ คือ x ∈ หรือ x < 1
แตเนื่องจาก x ≥ 3
ดังนั้น คา x ที่สอดคลองกับอสมการ คือ x ≥ 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 339
x2 ≥ ( x − 1)2
x2 ≥ x2 − 2 x + 1
2x ≥ 1
1
x ≥
2
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ 2, ∞
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
340 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
4 ( x + 2) ( x + 3)2
2
<
(
4 x2 + 4 x + 4 ) < x2 + 6 x + 9
4 x 2 + 16 x + 16 < x2 + 6 x + 9
3 x 2 + 10 x + 7 < 0
( 3x + 7 )( x + 1) < 0
7
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − , − 1
3
11) เนื่องจาก x−2 ≥ 0 และ x+6 ≥ 0 สําหรับทุกคา x∈
จะได 9 x−2
2
≤ x+6
2
9 ( x − 2) ≤ ( x + 6 )2
2
(
9 x2 − 4 x + 4 ) ≤ x 2 + 12 x + 36
9 x 2 − 36 x + 36 ≤ x 2 + 12 x + 36
8 x 2 − 48 x ≤ 0
8x ( x − 6) ≤ 0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ 0, 6 ]
12) เนื่องจาก 2 x − 1 ≥ 0 และ x + 1 ≥ 0 สําหรับทุกคา x∈
จะได 4 2x −1
2
> 9 x +1
2
4 ( 2 x − 1) 9 ( x + 1)
2 2
>
(
4 4 x2 − 4 x + 1 ) > (
9 x2 + 2 x + 1 )
16 x − 16 x + 4
2
> 9 x + 18 x + 9
2
7 x 2 − 34 x − 5 > 0
( 7 x + 1)( x − 5) > 0
1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ −∞ , − ∪ ( 5, ∞ )
7
13) จากโจทย ทราบวา x ≠ −4
x
จาก > 2
x+4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 341
(2 )
2 2
x > x+4
2 ( x + 4 )
2
x2 >
x 2 − 2 ( x + 4 )
2
> 0
x − 2 ( x + 4 ) x + 2 ( x + 4 ) > 0
( − x − 8)( 3x + 8) > 0
( x + 8)( 3x + 8) < 0
≤ 9
x2
( x − 4) เมื่อ
2
2
≤ 9x 2 x≠0
( x − 4) ( 3x )
2
≤
2 2
( x − 4 ) − ( 3x )
2
≤
2 2
0
( x − 4 ) − 3 x ( x − 4 ) + 3 x
2 2
≤ 0
( x − 4 )( x + 1)( x + 4 )( x − 1) ≤ 0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ − 4, − 1 ] ∪ [ 1, 4 ]
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
342 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x +1 x −1
2 2
<
( x + 1) ( x − 1)
2 2
<
( x + 1) − ( x − 1)
2 2
< 0
( x + 1) − ( x − 1) ( x + 1) + ( x − 1) < 0
2 ( 2x ) < 0
x < 0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , 0 )
16) จากโจทย ทราบวา x ≠ 2
x
จาก > 2
x−2
x > 2 x−2 เมื่อ x≠2
4 x−2
2 2
x >
4 ( x − 2)
2
x2 >
2 ( x − 2 )
2
x2 >
x 2 − 2 ( x − 2 )
2
> 0
x − 2 ( x − 2 ) x + 2 ( x − 2 ) > 0
( − x + 4 )( 3x − 4 ) > 0
( x − 4 )( 3x − 4 ) < 0
4
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ , 2 ∪ ( 2, 4 )
3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 343
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
344 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
แบบฝกหัดทายบท
1
1. 1) เปนเท็จ เชน เมื่อ a = −2 จะได a −1 = −
2
จะเห็นวา a < 1 แต a >/ 1 −1
จะได x − x + 3x − 4 = ( x − 1) ( x + 3) − 1
3 2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 345
2) จาก p ( x )= 4 x + 2 x 3 2
−x+6
และ q ( x=
) 2x + 1
ใชการหารยาวดังนี้
1
2 x2 −
2
2 x + 1 4 x3 + 2 x 2 − x + 6
4 x3 + 2 x 2
−x+6
1
−x −
2
13
2
( 2 x + 1) 2 x 2 −
1 13
จะได 4 x3 + 2 x 2 − x + 6= +
2 2
1
ดังนั้น ผลหาร คือ 2 x 2 − และเศษเหลือ คือ 13
2 2
3) จาก p ( x ) = x + 2 x3 + 5 x + 6
5
เขียนใหมไดเปน p ( x ) =x 5
+ 0 x 4 + 2 x3 + 0 x 2 + 5 x + 6
และ q ( x=
) x −2 2
ใชการหารยาวดังนี้
x3 + 4 x
x 2 − 2 x5 + 0 x 4 + 2 x3 + 0 x 2 + 5 x + 6
x5 − 2 x3
4 x3 + 0 x 2 + 5 x + 6
4 x3 − 8x
13 x + 6
จะได x + 2 x + 5 x + 6= ( x − 2 )( x + 4 x ) + (13x + 6 )
5 3 2 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
346 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
4) จาก p ( x ) = x − 3x − 4
4
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = x + 0 x 4 3
+ 0 x 2 − 3x − 4
และ q (=x) 2x + 3 2
ใชการหารยาวดังนี้
1 2 3
x −
2 4
2 x + 3 x + 0 x3 + 0 x 2 − 3x − 4
2 4
3 2
x4 + x
2
3
− x 2 − 3x − 4
2
3 9
− x2 −
2 4
7
−3 x −
4
1 3 7
จะได x 4 − 3 x −=
4 ( 2x
+ 3) x 2 − + −3 x −
2
2 4 4
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = 2 x 7
+ 0 x6 + 0 x5 − 2 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 3
และ q ( x )= x − 1
ใชการหารยาวดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 347
2 x6 + 2 x5 + 2 x 4
x − 1 2 x7 + 0 x6 + 0 x5 − 2 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 3
2 x7 − 2 x6
2 x6 + 0 x5 − 2 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 3
2 x6 − 2 x5
2 x5 − 2 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 3
2 x5 − 2 x 4
3
จะได 2 x − 2 x + 3= ( x − 1) ( 2 x + 2 x + 2 x ) + 3
7 4 6 5 4
6) จาก p ( x ) =x − 3 x + 2 9 4
เขียนใหมไดเปน p ( x ) =x + 0 x + 0 x + 0 x + 0 x − 3x
9 8 7 6 5 4
+ 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 2
และ q ( x=
) x + 2x 4
ใชการหารยาวดังนี้
x5 − 2 x 2 − 3
x 4 + 2 x x 9 + 0 x8 + 0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 − 3 x 4 + 0 x 3 + 0 x 2 + 0 x + 2
x9 + 2 x6
− 2 x6 + 0 x5 − 3x 4 + 0 x3 + 0 x 2 + 0 x + 2
−2 x 6 − 4 x3
− 3x 4 + 4 x3 + 0 x 2 + 0 x + 2
− 3x 4 − 6x
4 x3 + 6x + 2
จะได x − 3x + 2= ( x + 2 x )( x − 2 x − 3) + ( 4 x + 6 x + 2 )
9 4 4 5 2 3
7) จาก p ( x ) = x − 2 x + 1 10
เขียนใหมไดเปน p ( x ) = x + 0 x + 0 x + +0 x + 0 x + 0 x + 0 x
10 9 8 7 6 5 4
+ 0 x3 + 0 x 2 − 2 x + 1
และ q ( x=
) x −1 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
348 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ใชการหารยาวดังนี้
x8 + x 6 + x 4 + x 2 + 1
x 2 − 1 x10 + 0 x 9 + 0 x8 + 0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 + 0 x 3 + 0 x 2 − 2 x + 1
x10 − x8
x8 + 0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 + 0 x 3 + 0 x 2 − 2 x + 1
x8 − x6
x6 + 0 x5 + 0 x 4 + 0 x3 + 0 x 2 − 2 x + 1
x6 − x4
x 4 + 0 x3 + 0 x 2 − 2 x + 1
x4 − x2
x2 − 2 x + 1
x2 −1
−2 x + 2
จะได x − 2 x + 1= ( x − 1)( x + x + x + x + 1) + ( −2 x + 2 )
10 2 8 6 4 2
8) จาก p ( x ) =− 3 3x − x 10 2
เขียนใหมไดเปน p ( x ) =
− 3x + 0 x + 0 x + 0 x + 0 x + 0 x + 0 x
10 9 8 7 6 5 4
+ 0 x3 − x 2 + 0 x + 3
และ q ( x=
) x +1 3
ใชการหารยาวดังนี้
−3 x 7 + 3 x 4 − 3 x
x 3 + 1 −3 x10 + 0 x 9 + 0 x8 + 0 x 7 + 0 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 + 0 x 3 − x 2 + 0 x + 3
−3 x10 − 3x 7
3x 7 + 0 x 6 + 0 x5 + 0 x 4 + 0 x3 − x 2 + 0 x + 3
3x 7 + 3x 4
− 3x 4 + 0 x3 − x 2 + 0 x + 3
−3 x 4 − 3x
− x + 3x + 3
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 349
9) จาก p ( x ) = x − 6 x + 2 x − 8x
10 7 6 3
เขียนใหมไดเปน
p ( x ) = x10 + 0 x 9 + 0 x8 − 6 x 7 + 2 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 − 8 x 3 + 0 x 2 + 0 x + 0
และ q ( x) = x 6
+ x3 − 1
ใชการหารยาวดังนี้
x4 − 7 x + 2
x 6 + x 3 − 1 x10 + 0 x 9 + 0 x8 − 6 x 7 + 2 x 6 + 0 x 5 + 0 x 4 − 8 x 3 + 0 x 2 + 0 x + 0
x10 + x7 − x4
− 7 x7 + 2 x6 + 0 x5 + x 4 − 8 x3 + 0 x 2 + 0 x + 0
−7 x 7 − 7 x4 + 7x
2 x6 + 0 x5 + 8 x 4 − 8 x3 + 0 x 2 − 7 x + 0
2 x6 + 2 x3 −2
8 x − 10 x
4 3
− 7x + 2
จะได x − 6 x + 2 x − 8 x = ( x + x − 1)( x − 7 x + 2 ) + (8 x − 10 x − 7 x + 2 )
10 7 6 3 6 3 4 4 3
4. 1) ให p ( x ) = x − 3x + 15 และ q ( x )= x + 3
3
= −27 + 9 + 15
= −3
ดังนั้น เศษเหลือ คือ −3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
350 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2) ให p ( x ) = x − 3x + 7 และ q ( x )= x − 1
15 12
= 2100 − 2100 + 4 + 2 + 5
= 11
ดังนั้น เศษเหลือ คือ 11
5) ให p ( x ) = x + ax − 2 และ q ( x )= x + a เมื่อ a เปนจํานวนจริง
6 5
= a6 − a6 − 2
= −2
ดังนั้น เศษเหลือ คือ −2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 351
1
6) ให p ( x )= 4 x3 + x − 2 และ q ( x )= x−
2
1
จากทฤษฎีบทเศษเหลือ เมื่อหาร p ( x ) ดวย q ( x ) จะไดเศษเหลือ คือ p
2
3
1 1 1
โดยที่ p = 4 + − 2
2 2 2
1 1
= + −2
2 2
= −1
ดังนั้น เศษเหลือ คือ −1
5. ใหผลหารและเศษเหลือจากการหารพหุนาม p ( x ) ดวย x2 − 1 คือ q ( x )
และ 2 x + 13 ตามลําดับ
นั่นคือ p ( x ) = ( x − 1) q ( x ) + ( 2 x + 13)
2
และ 7 x − 8 ตามลําดับ
นั่นคือ p ( x) = ( x − 5 x + 6 ) q ( x ) + ( 7 x − 8)
2
จะได p ( 2) ( 2 ) − 5 ( 2 ) + 6 q ( x ) + 7 ( 2 ) − 8
2
=
= ( 4 − 10 + 6 ) q ( 2 ) + (14 − 8)
= 6
p ( 3)
( )
และ = 3 2 − 5 ( 3) + 6 q ( x ) + 7 ( 3) − 8
= ( 9 − 15 + 6 ) q ( 3) + ( 21 − 8)
= 13
ดังนั้น p ( 2 ) − p ( 3) = 6 − 13 = − 7
7. 1) ให p ( x= ) x − 3 และ q ( x )= x − m
3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
352 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
นั่นคือ m3 − 3 = 5
m3 = 8
ดังนั้น 2 m =
2) ให p ( a ) = a − 3a b + b + m และ q ( a )=
3 2 3
a −b
เนื่องจาก q ( a ) หาร p ( a ) ลงตัว
จะได p ( b ) = 0
นั่นคือ b − 3b b + b + m = 0
3 2 3
b3 − 3b3 + b3 + m = 0
−b3 + m = 0
ดังนั้น m = b3
8. ให p ( x ) = x − 3 yx + y + a และ q ( x )=
3 2 3
x− y
เนื่องจาก q ( x ) เปนตัวประกอบของ p ( x )
จะได p ( y ) = 0
นั่นคือ y − 3y ( y ) + y + a = 0
3 2 3
− y3 + a = 0
ดังนั้น a = y3
9. 1) ให p ( x ) =x + 6 x + 11x + 6 ก
3 2
จะเห็นวา p ( −1) = 0
ดังนั้น x + 1 เปนตัวประกอบของ x + 6 x + 11x + 6 3 2
= ( x + 1)( x + 2 )( x + 3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 353
2) ให p ( x ) = x − 2 x + 4 x − 8
3 2
จะเห็นวา p ( 2 ) = 0
ดังนั้น x − 2 เปนตัวประกอบของ x − 2 x + 4 x − 8 3 2
ดังนั้น x − 2 x + 4 x − 8 = ( x − 2 ) ( x + 4 )
3 2 2
3) ให p ( x ) = x + 5 x + 2 x − 12 ก
3 2
จะเห็นวา p ( −3) = 0
ดังนั้น x + 3 เปนตัวประกอบของ x + 5 x + 2 x − 12 3 2
ดังนั้น x + 5 x + 2 x − 12
3 2
= ( x + 3) ( x + 2 x − 4 ) 2
= ( x + 3) x − ( −1 + ) (
5 x − −1 − 5
)
= ( x + 3) ( x + 1 − )(
5 x +1+ 5 )
4) ให p ( x ) = x − x − 4 x
4 3 2
− 2 x − 12
เนื่องจากจํานวนเต็มที่หาร −12 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 3, ± 4, ± 6, ± 12
พิจารณา p ( −2 )
p ( −2 ) =( −2 ) − ( −2 ) − 4 ( −2 ) − 2 ( −2 ) − 12 =0
4 3 2
จะเห็นวา p ( −2 ) =0
ดังนั้น x + 2 เปนตัวประกอบของ x − x − 4 x − 2 x − 12 4 3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
354 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น x 4 − x 3 − 4 x 2 − 2 x − 12 = ( x + 2 ) ( x3 − 3x 2 + 2 x − 6 )
= ( x + 2 ) ( x3 − 3x 2 ) + ( 2 x − 6 )
= ( x + 2 ) x 2 ( x − 3) + 2 ( x − 3)
= ( x + 2 )( x − 3) ( x 2 + 2 )
5) ให p ( x ) =x − 8 x + 24 x − 32 x + 16 ก
4 3 2
จะเห็นวา p ( 2 ) = 0
ดังนั้น x − 2 เปนตัวประกอบของ x − 8 x + 24 x − 32 x + 16 4 3 2
ดังนั้น x − 8 x + 24 x − 32 x + 16 = ( x − 2 ) ( x − 6 x + 12 x − 8)
4 3 2 3 2
ให q ( x ) =x − 6 x + 12 x − 8
3 2
จะเห็นวา q ( 2 ) = 0
ดังนั้น x − 2 เปนตัวประกอบของ x − 6 x + 12 x − 8 3 2
จะได x − 6 x + 12 x − 8
3
= 2
( x − 2) ( x − 4x + 4) 2
= ( x − 2) ( x2 − 4x + 4)
( x − 2 )( x − 2 )
2
=
( x − 2)
3
=
ดังนั้น x 4 − 8 x 3 + 24 x 2 − 32 x + 16 ( x − 2 )( x − 2 )
3
=
( x − 2)
4
=
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 355
6) ให p ( x ) = 4 x + 5 x + 5 x + 1
3 2
จะเห็นวา p − 1 = 0
4
ดังนั้น x + 14 เปนตัวประกอบของ 4 x3 + 5 x 2 + 5 x + 1
นํา x + 14 ไปหาร 4 x3 + 5 x 2 + 5 x + 1 ไดผลหารเปน 4 x 2 + 4 x + 4
1
ดังนั้น 4 x3 + 5 x 2 + 5 x + 1 x + ( 4x + 4x + 4)
2
=
4
1
= 4 x + ( x 2 + x + 1)
4
= ( 4 x + 1) ( x 2 + x + 1)
7) วิธีที่ 1 ให p ( x ) = 2 x − x + 6 x − 3
3 2
จะเห็นวา p 1 = 0
2
ดังนั้น x − 12 เปนตัวประกอบของ 2 x3 − x 2 + 6 x − 3
นํา x − 12 ไปหาร 2 x3 − x 2 + 6 x − 3 ไดผลหารเปน 2 x 2 + 6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
356 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1
ดังนั้น 2 x3 − x 2 + 6 x − 3 = x − ( 2x + 6)
2
2
1
x − ( 2 ) ( x + 3)
2
=
2
= ( 2 x − 1) ( x 2 + 3)
วิธีที่ 2 2 x3 − x 2 + 6 x − 3 = ( 2x 3
− x 2 ) + ( 6 x − 3)
= x 2 ( 2 x − 1) + 3 ( 2 x − 1)
= ( 2 x − 1) ( x 2 + 3) ก
8) ให p ( x ) = 4 x − 4 x − 3x + 2 x + 1
4 3 2
ดังนั้น 4 x − 4 x − 3x + 2 x + 1
4 3
= 2
( x − 1) ( 4 x − 3x − 1) 3
ให q ( x ) = 4 x − 3x − 1
3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 357
จะได 4 x3 − 3x − 1 = ( x − 1) ( 4 x 2 + 4 x + 1)
( x − 1)( 2 x + 1)
2
=
ดังนั้น 4 x − 4 x − 3x + 2 x + 1 = ( x − 1) ( 2 x + 1)
4 3 2 2 2
9) ให p ( x ) = 2 x + 9 x − 12 x − 29 x + 30
4 3 2
จะเห็นวา p (1) = 0
ดังนั้น x − 1 เปนตัวประกอบของ 2 x + 9 x − 12 x − 29 x + 30 4 3 2
ดังนั้น 2 x + 9 x − 12 x − 29 x + 30 = ( x − 1) ( 2 x + 11x − x − 30 )
4 3 2 3 2
ให q ( x )= 2 x + 11x − x − 30
3 2
จะเห็นวา q ( −2 ) =0
ดังนั้น x + 2 เปนตัวประกอบของ 2 x + 11x − x − 30 3 2
จะได 2 x + 11x − x − 30 = 3
( x + 2 ) ( 2 x + 7 x − 15)
2 2
= ( x + 2 )( 2 x − 3)( x + 5)
ดังนั้น 2 x + 9 x − 12 x − 29 x + 30 =
4 3 2
( x − 1)( x + 2 )( 2 x − 3)( x + 5)
10) ให p ( x ) = 2 x − 3x − 9 x + 9 x − 2 จ
4 3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
358 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
พิจารณา p ( −2 )
p ( −2 ) =2 ( −2 ) − 3 ( −2 ) − 9 ( −2 ) + 9 ( −2 ) − 2 =0
4 3 2
จะเห็นวา p ( −2 ) = 0
ดังนั้น x + 2 เปนตัวประกอบของ 2 x − 3x − 9 x + 9 x − 2 4 3 2
ดังนั้น 2 x − 3x − 9 x + 9 x − 2 =
4 3 2
( x + 2 ) ( 2 x − 7 x + 5 x − 1) 3 2
ให q ( x ) = 2 x − 7 x + 5 x − 1
3 2
จะเห็นวา q 1 = 0
2
ดังนั้น x − 1 เปนตัวประกอบของ 2 x3 − 7 x 2 + 5 x − 1
2
นํา x − 1 ไปหาร 2 x3 − 7 x 2 + 5 x − 1 ไดผลหารเปน 2 x 2 − 6 x + 2
2
1
จะได 2 x3 − 7 x 2 + 5 x − 1 = x − ( 2x − 6x + 2)
2
2
1
= 2 x − ( x 2 − 3 x + 1)
2
3 − 5 3 + 5
= ( 2 x − 1) x − x −
2 2
3 − 5 3 + 5
จะได 2 x 4 − 3x3 − 9 x 2 + 9 x − 2 = ( x + 2 )( 2 x − 1) x − x −
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 359
10. 1) จาก x − 2x − 4 = 0
2
จะได x = 1± 5
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 1 − 5 , 1 + 5 } จ
2) เนื่องจาก x − 13 x + 12 = ( x − 1) ( x + x − 12 )
3 2
= ( x − 1)( x − 3)( x + 4 )
จะได ( x − 1)( x − 3)( x + 4 ) =
0
ดังนั้น x − 1 =0 หรือ x − 3 =0 หรือ x + 4 =0
จะได x = 1 หรือ x = 3 หรือ x = − 4
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 4, 1, 3 }
3) เนื่องจาก x + 5 x − 2 x − 24 = ( x − 2 ) ( x + 7 x + 12 )
3 2 2
= ( x − 2 )( x + 3)( x + 4 )
จะได ( x − 2 )( x + 3)( x + 4 ) =
0
ดังนั้น x − 2 =0 หรือ x + 3 =0 หรือ x + 4 =0
จะได x = 2 หรือ x = − 3 หรือ x = − 4
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 4, − 3, 2 } จ
4) จัดรูปสมการใหมไดเปน x + 2 x − 4 x − 8 =0
3 2
เนื่องจาก x + 2 x − 4 x − 8 = ( x − 2 ) ( x + 4 x + 4 )
3 2 2
( x − 2 )( x + 2 )
2
=
จะได ( x − 2 )( x + 2 ) =
0
2
ดังนั้น x − 2 =0 หรือ x + 2 =0
จะได x = 2 หรือ x = − 2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2, 2 }
5) เนื่องจาก x − x − 8 x + 12 = ( x − 2 ) ( x
3 2 2
+ x − 6)
= ( x − 2 )( x − 2 )( x + 3)
( x − 2 ) ( x + 3)
2
=
จะได ( x − 2 ) ( x + 3) =
2
0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
360 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
ดังนั้น x − 2 =0 หรือ x + 3 =0
จะได x = 2 หรือ x = − 3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 3, 2 } จ
6) เนื่องจาก x − 2 x + 1 = ( x − 1) ( x + x − 1)
3 2
จะได ( x − 1) ( x + x − 1) =0
2
ดังนั้น x − 1 =0 หรือ x + x − 1 =0 2
−1 + 5 −1 − 5
จะได x =1 หรือ x= หรือ x=
2 2
−1 + 5 −1 − 5
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ 1, ,
2 2
7) จัดรูปสมการใหมไดเปน x − x − x − 2 =0
3 2
เนื่องจาก x − x − x − 2 = ( x − 2 ) ( x + x + 1)
3 2 2
จะได ( x − 2 ) ( x + x + 1) =0
2
ดังนั้น x − 2 =0 หรือ x + x + 1 =0 2
ถา x − 2 =0 จะได x = 2
ถา x + x + 1 =0 และเนื่องจาก (1) − 4 (1)(1) =
2
−3 < 0
2
จะไดวาไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 2 } จ
8) เนื่องจาก 4 x − 4 x − 7 x − 2 = ( x − 2 ) ( 4 x + 4 x + 1)
3 2 2
( x − 2 )( 2 x + 1)
2
=
จะได ( x − 2 )( 2 x + 1) =
0
2
ดังนั้น x − 2 =0 หรือ 2 x + 1 =0
1
จะได x=2 หรือ x=−
2
1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − , 2
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 361
9) จัดรูปสมการใหมไดเปน 6 x − 11x + 6 x − 1 =0
3 2
เนื่องจาก 6 x − 11x + 6 x − 1 = ( x − 1) ( 6 x
3 2 2
− 5 x + 1)
= ( x − 1)( 3x − 1)( 2 x − 1)
จะได ( x − 1)( 3x − 1)( 2 x − 1) =
0
ดังนั้น x − 1 =0 หรือ 3x − 1 =0 หรือ 2x −1 =0
1 1
จะได x =1 หรือ x= หรือ x=
3 2
1 1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ , ,1
3 2
10) เนื่องจาก 2 x 4 − 7 x3 + 9 x 2 − 7 x + 2 = ( x − 2 ) ( 2 x3 − 3x 2 + 3x − 1)
1
= 2 ( x − 2 ) x − ( x 2 − x + 1)
2
จะได ( x − 2 ) x − 1 ( x 2
− x + 1) =0
2
1
ดังนั้น x−2 =0 หรือ x− =
0 หรือ x2 + x + 1 =0
2
ถา x−2 =0 จะได x=2
1 1
ถา x− = 0 จะได x =
2 2
ถา x + x +1 =0 และเนื่องจาก (1) − 4 (1)(1) =
−3 < 0
2 2
จะไดวาไมมีจํานวนจริงที่เปนคําตอบของสมการนี้
1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ , 2
2
11) จัดรูปสมการใหมไดเปน 4 x 4 + 8 x 3 + x 2 − 3x − 1 =0
2
1
เนื่องจาก 1 4 x + ( x 2 + x − 1)
4 x 4 + 8 x3 + x 2 − 3x −=
2
2
1
จะได 4 x + ( x 2 + x − 1) =0
2
1
ดังนั้น x+ = 0 หรือ x 2 + x − 1 =0
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
362 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
−1 + 5
จะได x= −
1
หรือ x= หรือ x = −1 − 5
2 2 2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 1 , −1 + 5 , −1 − 5
2 2 2
12) จัดรูปสมการใหมไดเปน 2 x 4 − 7 x3 + 4 x + 1 =0
1
เนื่องจาก 2 x 4 − 7 x3 + 4 x + 1= 2 ( x − 1) x + ( x 2 − 3 x − 1)
2
1
จะได 2 ( x − 1) x + ( x 2 − 3 x − 1) = 0
2
1
ดังนั้น x −1 = 0 หรือ x + = 0 หรือ x 2 − 3 x − 1 = 0
2
จะได x = 1 หรือ x = −
1
หรือ x = 3 ± 13
2 2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ − 1 , 1, 3 + 13 , 3 − 13
2 2 2
5x − 7 A B
11. 1) จาก = +
( x − 3)( x + 1) x − 3 x +1
5x − 7 A ( x + 1) + B ( x − 3)
=
( 3)( x + 1)
x − ( x − 3)( x + 1)
5x − 7
=
( A + B ) x + ( A − 3B )
( x − 3)( x + 1) ( x − 3)( x + 1)
5x − 7 = ( A + B ) x + ( A − 3B )
จะได A+ B =
5 และ A − 3B =
−7
ดังนั้น A=2 และ B=3
3x3 + 2 x − 4 A Bx + C
2) จาก = 3+ +
x3 + 3x x x2 + 3
3x + 2 x − 4
3
A Bx + C
−3 = +
x3 + 3x x x2 + 3
( 3x3 + 2 x − 4 ) − 3 ( x3 + 3x ) =
A ( x 2 + 3) + ( Bx + C )( x )
x3 + 3x x ( x 2 + 3)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 363
−7 x − 4 ( A + B ) x 2 + Cx + 3 A
=
x3 + 3x x3 + 3x
−7 x − 4 = ( A + B ) x 2 + Cx + 3 A
จะได A+ B =
0 และ C = −7 และ 3A = − 4
4
ดังนั้น A= − และ B = 4 และ C = −7
3 3
2 x2 − x + 5 A B C
3) จาก = + −
x3 + 4 x 2 − 5 x x x −1 x + 5
2 x2 − x + 5 A ( x − 1)( x + 5 ) + Bx ( x + 5 ) − Cx ( x − 1)
=
x3 + 4 x 2 − 5 x x ( x − 1)( x + 5 )
2 x2 − x + 5
=
( Ax 2
+ 4 Ax − 5 A ) + ( Bx 2 + 5 Bx ) − ( Cx 2 − Cx )
x3 + 4 x 2 − 5 x x3 + 4 x 2 − 5 x
2 x2 − x + 5 ( A + B − C ) x 2 + ( 4 A + 5B + C ) x − 5 A
=
x3 + 4 x 2 − 5 x x3 + 4 x 2 − 5 x
2 x2 − x + 5 = ( A + B − C ) x 2 + ( 4 A + 5B + C ) x − 5 A
จะได A+ B −C =2 และ 4 A + 5B + C =−1 และ −5 A =
5
ดังนั้น A = −1 และ B =1 และ C = −2
Ax + B 6 7
4) จาก = +
x2 − 5x + C x−3 x−2
Ax + B 6 ( x − 2 ) + 7 ( x − 3)
=
x − 5x + C
2
( x − 3)( x − 2 )
Ax + B ( 6 x − 12 ) + ( 7 x − 21)
=
x − 5x + C
2
x2 − 5x + 6
Ax + B 13 x − 33
=
x − 5x + C
2
x2 − 5x + 6
( Ax + B ) ( x 2 − 5 x + 6 ) = (13x − 33) ( x 2 − 5 x + C )
Ax 3 − 5 Ax 2 + 6 Ax + Bx 2 − 5 Bx + 6 B = 13 x 3 − 65 x 2 + 13Cx − 33 x 2 + 165 x − 33C
Ax 3 − ( 5 A − B ) x 2 + ( 6 A − 5 B − 13C ) x + ( 6 B + 33C ) = 13 x 3 − 98 x 2 + 165 x
จะได A = 13 และ 5A − B =
98 และ 6 A − 5B − 13C =
165 และ 6 B + 33C =
0
ดังนั้น A = 13 และ B = − 33 และ C = 6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
364 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
x ( x − 3)( x + 2 )
12. 1) จาก = 0
x ( x − 3)( x − 2 )
( x + 2)
= 0 เมื่อ x≠0 และ x≠3
( x − 2)
จะได x + 2 =0 และ x − 2 ≠ 0
นั่นคือ x = − 2 โดยที่ x ≠ 0 , x ≠ 2 และ x≠3
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 2 }
x ( x + 3) 4
2) จาก =
( x + 2 )( x − 1) ( x + 2 )( x − 1)
x ( x + 3) 4
− = 0
( x + 2 )( x − 1) ( x + 2 )( x − 1)
x 2 + 3x − 4
= 0
( x + 2 )( x − 1)
( x + 4 )( x − 1) = 0
( x + 2 )( x − 1)
x+4
= 0 เมื่อ x ≠1
x+2
จะได x + 4 =0 และ x+2 ≠ 0
นั่นคือ x = − 4 โดยที่ x ≠ − 2 และ x ≠ 1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 4 }
x3 + 3x 2 + x − 1
3) จาก = 0
x2 − 1
( x + 1) ( x 2 + 2 x − 1)
= 0
( x − 1)( x + 1)
x2 + 2 x − 1
= 0 เมื่อ x ≠ −1
x −1
จะได x 2 + 2 x − 1 =0 และ x − 1 ≠ 0
นั่นคือ x =− 1 + 2 หรือ x =− 1 − 2 โดยที่ x ≠ 1 และ x ≠ −1
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1 + 2 , − 1 − 2 }
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 365
1 1
4) จาก + = 1
x −1 x +1
1 1
+ −1 = 0
x −1 x +1
( x + 1) + ( x − 1) − ( x − 1)( x + 1)
= 0
( x − 1)( x + 1)
( x + 1) + ( x − 1) − ( x 2 − 1)
= 0
( x − 1)( x + 1)
− x2 + 2 x + 1
= 0
( x − 1)( x + 1)
x2 − 2 x − 1
= 0
( x − 1)( x + 1)
จะได x − 2 x − 1 =0 และ ( x − 1)( x + 1) ≠ 0
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
366 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1 1 1
+ + = 0
( x + 2 )( x − 4 ) ( x − 1)( x − 4 ) ( x − 1)( x + 2 )
( x − 1) + ( x + 2 ) + ( x − 4 ) = 0
( x − 1)( x + 2 )( x − 4 )
3x − 3
= 0
( x − 1)( x + 2 )( x − 4 )
3 ( x − 1)
= 0
( x − 1)( x + 2 )( x − 4 )
3
= 0 เมื่อ x ≠1
( x + 2 )( x − 4 )
3
จะเห็นวา ไมมีจํานวนจริง x ที่ทําให =0
( x + 2 )( x − 4 )
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
x 1 2x
7) จาก + + 2 = 0
x + 4 x + 2 x + 6x + 8
x 1 2x
+ + = 0
x + 4 x + 2 ( x + 4 )( x + 2 )
x ( x + 2) + ( x + 4) + 2x
= 0
( x + 4 )( x + 2 )
( x + 2x ) + ( x + 4) + 2x
2
= 0
( x + 4 )( x + 2 )
x2 + 5x + 4
= 0
( x + 4 )( x + 2 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 367
( x + 4 )( x + 1) = 0
( x + 4 )( x + 2 )
x +1
= 0 เมื่อ x ≠ −4
x+2
จะได x + 1 =0 และ x+2 ≠ 0
นั่นคือ x = − 1 โดยที่ x ≠ − 4 และ x ≠ −2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1}
2x2 + 5x − 7 1
8) จาก =
2x2 + x − 3 2x + 3
( 2 x + 7 )( x − 1) 1
=
( 2 x + 3)( x − 1) 2x + 3
2x + 7 1
= เมื่อ x ≠1
2x + 3 2x + 3
2x + 7 1
− = 0
2x + 3 2x + 3
2x + 6
= 0
2x + 3
2 ( x + 3)
= 0
2x + 3
x+3
= 0
2x + 3
จะได x+3 =0 และ 2x + 3 ≠ 0
3
นั่นคือ x = −3 โดยที่ x≠− และ x ≠1
2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 3 }
2x + 1 2 5
9) จาก − =
x2 − 1 x − 2 x2 + x
2x + 1 2 5
− =
( x − 1)( x + 1) x − 2 x ( x + 1)
2x + 1 5 2
− =
( x − 1)( x + 1) x ( x + 1) x−2
( 2 x + 1)( x ) − 5 ( x − 1) =
2
x ( x − 1)( x + 1) x−2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
368 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( 2x 2
+ x ) − ( 5 x − 5)
=
2
x ( x − 1)( x + 1) x−2
2 x2 − 4 x + 5 2
=
x ( x − 1)( x + 1) x−2
2 x2 − 4 x + 5 2
− = 0
x ( x − 1)( x + 1) x − 2
( 2x 2
− 4 x + 5 ) ( x − 2 ) − 2 x ( x − 1)( x + 1)
= 0
x ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
( 2x 3
− 8 x 2 + 13 x − 10 ) − ( 2 x 3 − 2 x )
= 0
x ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
−8 x 2 + 15 x − 10
= 0
x ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
8 x 2 − 15 x + 10
= 0
x ( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
จะได 8 x − 15 x + 10 =
2
0 และ x ( x − 1)( x + 1)( x − 2 ) ≠ 0
เนื่องจาก ( −15) − 4 (8)(10 ) < 0
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 369
−2 x 2 + 2 x + 1
= 0
( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
2 x2 − 2 x − 1
= 0
( x − 1)( x + 1)( x − 2 )
จะได 2 x 2 − 2 x − 1 =0 และ ( x − 1)( x + 1)( x − 2 ) ≠ 0
1+ 3 1− 3
นั่นคือ x= หรือ x= โดยที่ x ≠ − 1 , x ≠ 1 และ x≠2
2 2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ 1 − 3 , 1 + 3
2 2
13. 1) จาก 2 ( x + 1) < x+2
จะได 2x + 2 < x+2
x < 0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞, 0 )
2) จาก 4x + 7 > 2 ( x + 1)
จะได 4x + 7 > 2x + 2
2x > −5
5
x > −
2
5
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ,∞
2
3) จาก 4 − (3 − x ) < 3x − ( 3 − 2 x )
จะได 4−3+ x < 3x − 3 + 2 x
4x > 4
x > 1
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( 1, ∞ )
4) จาก 2x − x − 62
≥ 0
จะได ( x − 2 )( 2 x + 3) ≥ 0
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
370 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2x + 3 < 0 2x + 3 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4
3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ − ∞ , − ∪ [ 2, ∞ )
2
5) จาก x2 ≥ 2x − 3
จะได x2 − 2 x + 3 ≥ 0
(x 2
− 2 x + 1) − 1 + 3 ≥ 0
( x − 1) + 2 ≥
2
0
( x − 1) ≥ −2
2
เนื่องจาก ( x − 1) ≥ 0 เสมอ
2
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 371
จะได x − 3x + 4
3 2
> 0
( x − 2 ) ( x + 1)
2
> 0
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
–2 –1 0 1 2 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
372 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
–1 0 1 2 3 4 5
–1 0 1 2 3 4 5
จะได ( x − 2 )( x − 4 ) ≤ 0
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 373
–1 0 1 2 3 4 5
–1 0 1 2 3 4 5
จะได ( x − 2 )( x − 4 ) > 0
พิจารณาเสนจํานวน
x–2 < 0 x–2 > 0
–1 0 1 2 3 4 5
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , 2 ] ∪ { 3 } ∪ [ 4, ∞ )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
374 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จาก ( x + 1)( 4 − x )( x − 6 ) ≥
2
12) 0
จะได ( x + 1)( x − 4 )( x − 6 ) ≤
2
0
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–4< 0 x–4> 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5 6
จะได ( x + 1)( x − 4 ) ≤ 0
พิจารณาเสนจํานวน
x+1 < 0 x+1 > 0
x–4< 0 x–4> 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5 6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 375
x < 0 x > 0
–2 –1 0 1 2 3 4
–1 0 1 2 3 4 5 6 7
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
376 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
−2
≥ 0
x −1
1
≤ 0
x −1
พิจารณาเสนจํานวน
x–1 < 0 x–1 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4
–3 –2 –1 0 1 2 3
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − 2, ∞ )
1 1
5) จาก ≥
x +1 x+4
1 1
จะได − ≥ 0
x +1 x + 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 377
( x + 4 ) − ( x + 1) ≥ 0
( x + 1)( x + 4 )
3
≥ 0
( x + 1)( x + 4 )
พิจารณาเสนจํานวน
x+4 < 0 x+4 > 0
–4 –3 –2 –1 0 1
2x – 3 < 0 2x – 3 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
378 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
4
7) จาก x+ ≤ 4
x
4
x+ −4 ≤ 0
x
x2 − 4 x + 4
≤ 0
x
( x − 2)
2
≤ 0
x
พิจารณาเสนจํานวน
x–2 < 0 x–2 > 0
x < 0 x > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
< 0
x +1
−2 x − 4
< 0
x +1
x+2
> 0
x +1
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 379
–3 –2 –1 0 1 2
≤ 0
( x + 1)( x − 3)
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–3 < 0 x–3 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
380 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
–2 –1 0 1 2 3 4 5
≥ 0
( x − 2 )( x − 5)
วิธีที่ 1 พิจารณาเสนจํานวน
x–5 < 0 x–5 > 0
–2 –1 0 1 2 3 4 5
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , 2 ) ∪ { 3 } ∪ ( 5, ∞ )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 381
–2 –1 0 1 2 3 4 5
2 x − ( x 2 + 1)
≤ 0
2 ( x 2 + 1)
x2 − 2 x + 1
≥ 0
2 ( x 2 + 1)
( x − 1)
2
≥ 0
2 ( x 2 + 1)
เนื่องจาก ( x − 1) ≥ 0 และ x + 1 > 0 เสมอ
2 2
x
จะได −3 ≥ 0
x2 + 2
x − 3( x2 + 2)
≥ 0
x2 + 2
−3 x 2 + x − 6
≥ 0
x2 + 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
382 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1
x2 − x + 2
3 ≤ 0
x2 + 2
2 1 1 1
x − x+ − +2
3 36 36
≤ 0
x2 + 2
2
1 71
x − +
6 36
≤ 0
x2 + 2
2
1 71
เนื่องจาก x− + >0 และ x2 + 2 > 0
6 36
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ∅
11 − 5 x
13) จาก ≤ 1
x2 − x − 2
11 − 5 x
จะได −1 ≤ 0
x2 − x − 2
(11 − 5 x ) − ( x 2 − x − 2 )
≤ 0
x2 − x − 2
− x 2 − 4 x + 13
≤ 0
x2 − x − 2
x + 4 x − 13
2
≥ 0
( x − 2 )( x + 1)
( )
x − −2 − 17 x − −2 + 17
( ) ≥ 0
( x − 2 )( x + 1)
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 383
–7 –6 –5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3
–2 –1 0 1 2 3 4 5
≤ 0 เมื่อ x ≠ − 5
( x − 3)
พิจารณาเสนจํานวน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
384 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
–5 –4 –3 –2 –1 0 1 2 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 385
บริษัทผลิตและจําหนายสินคาโดยไมขาดทุน นั่นคือ p ( x ) ≥ 0
จะได 30 x − 35940 x − 72000
2
≥ 0
x 2 − 1198 x − 2400 ≥ 0
( x + 2 )( x − 1200 ) ≥ 0
นั่นคือ x ≤ − 2 หรือ x ≥ 1200
เนื่องจาก x ≥ 0
ดังนั้น บริษัทตองผลิตและจําหนายสินคาอยางนอยที่สุด 1,200 ชิ้น จึงจะไมขาดทุน
17. ใหฐานของรูปสามเหลี่ยมยาว x เซนติเมตร
เนื่องจาก ฐานของรูปสามเหลี่ยมนี้สั้นกวาสวนสูง 5 เซนติเมตร
นั่นคือ รูปสามเหลี่ยมนี้สูง x + 5 เซนติเมตร
จะไดวา รูปสามเหลี่ยมนี้มีพื้นที่ ( ) ตารางเซนติเมตร
x x+5
2
เนื่องจากพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมนี้มีคาอยูระหวาง 42 และ 52 ตารางเซนติเมตร
x ( x + 5)
จะไดวา 42 < < 52
2
x ( x + 5) x ( x + 5)
นั่นคือ > 42 และ < 52
2 2
จะได x ( x + 5) > 84 และ x ( x + 5)
< 104
x 2 + 5 x − 84 > 0 และ x + 5 x − 104 < 0
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
386 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x − 7 ) x + + ≤ 0
2 4
2
7 131
เนื่องจาก x+ + >0 เสมอ
2 4
จะไดวา x − 7 ≤ 0 นั่นคือ x ≤ 7
จะไดวา จํานวนคี่ที่มากที่สุด 3 จํานวนที่เรียงติดกัน ที่มีผลคูณไมมากกวา 315 คือ 5, 7 และ 9
ดังนั้น ผลคูณที่มากที่สุดที่เปนไปไดของทั้งสามจํานวนเทากับ 5 × 7 × 9 =315
19. วิธีที่ 1 ใหชางตัดเสื้อซื้อผามาราคาเมตรละ x บาท
เนื่องจากชางตัดเสื้อซื้อผามาทั้งสิ้น 600 บาท
600
จะไดวาชางตัดเสื้อซื้อผามา เมตร
x
600
ตัดเก็บไว 5 เมตร นั่นคือจะเหลือผา −5 เมตร
x
ขายผาที่เหลือไปในราคาสูงกวาตนทุนเมตรละ 10 บาท
นั่นคือ ขายผาที่เหลือไปราคาเมตรละ x + 10 บาท
เนื่องจากขายผาที่เหลือไปไดกําไร 80 บาท
จะไดวาขายผาที่เหลือไปไดเงินทั้งหมด 680 บาท
600
นั่นคือ − 5 ( x + 10 ) = 680
x
600 680
−5 =
x x + 10
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 387
600 − 5x 680
=
x x + 10
600 − 5 x 680
− = 0
x x + 10
( 600 − 5 x )( x + 10 ) − 680 x
= 0
x ( x + 10 )
( 550 x − 5 x 2
+ 6000 ) − 680 x
= 0
x ( x + 10 )
−5 x 2 − 130 x + 6000
= 0
x ( x + 10 )
x 2 + 26 x − 1200
= 0
x ( x + 10 )
( x − 24 )( x + 50 )
= 0
x ( x + 10 )
จะได ( x − 24 )( x + 50 ) = 0 และ x ( x + 10 ) ≠ 0
นั่นคือ x = 24 หรือ x = − 50 โดยที่ x ≠ 0 และ x ≠ − 10
เนื่องจาก x > 0
จะได เซตคําตอบของสมการ คือ { 24 }
ดังนั้น ชางตัดเสื้อซื้อผามาราคาเมตรละ 24 บาท
วิธีที่ 2 ใหชางตัดเสื้อซื้อผามาทั้งหมด x เมตร เปนเงิน 600 บาท
600
ดังนั้น ชางตัดเสื้อซื้อผามาราคาเมตรละ บาท
x
ตัดผาเก็บไว 5 เมตร เหลือผา x − 5 เมตร
ขายผาที่เหลือไปในราคาสูงกวาทุนเมตรละ 10 บาท
600
นั่นคือขายผาไปราคาเมตรละ + 10 บาท
x
ดังนั้น ขายผาที่เหลือไปไดเงินทั้งหมด ( x − 5) 600 + 10 บาท
x
เนื่องจากขายผาที่เหลือไปไดกําไร 80 บาท
จะไดวาขายผาที่เหลือไปไดเงินทั้งหมด 680 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
388 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x − 5)
600
นั่นคือ + 10 = 680
x
600 680
+ 10 =
x x−5
600 + 10x 680
=
x x−5
60 + x 68
=
x x−5
60 + x 68
− = 0
x x−5
( 60 + x )( x − 5) − 68 x
= 0
x ( x − 5)
(x 2
+ 55 x − 300 ) − 68 x
= 0
x ( x − 5)
x 2 − 13 x − 300
= 0
x ( x − 5)
( x + 12 )( x − 25)
= 0
x ( x − 5)
จะได ( x + 12 )( x − 25) = 0 และ x ( x − 5 ) ≠ 0
นั่นคือ x = − 12 หรือ x = 25 โดยที่ x≠0 และ x≠5
เนื่องจาก x > 0
จะได เซตคําตอบของสมการ คือ { 25 }
นั่นคือ ชางตัดเสื้อซื้อผามา 25 เมตร
600
ดังนั้น ชางตัดเสื้อซื้อผามาราคาเมตรละ = 24 บาท
25
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 389
( x − 2 ) − 2 x ( x − 2 ) + 2 x = 0
( − x − 2 )( 3x − 2 ) = 0
( x + 2 )( 3x − 2 ) = 0
2
จะได x = −2 หรือ x=
3
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x − 2 = 2x ดวย −2 จะได
−2−2 = 2 ( −2 )
−4 = −4
4 = −4 เปนเท็จ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
390 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
2
แทน x ในสมการ x − 2 = 2x ดวย จะได
3
2 2
−2 = 2
3 3
4 4
− =
3 3
4 4
= เปนจริง
3 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 391
( 2 x − 1) − ( x + 4 ) ( 2 x − 1) + ( x + 4 ) = 0
( x − 5)( 3x + 3) = 0
( x − 5)( x + 1) = 0
จะได x = 5 หรือ x = −1
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ 2x −1 = x + 4 ดวย 5 จะได
2 ( 5) − 1 = 5+4
10 − 1 = 9
9 = 9
9 = 9 เปนจริง
แทน x ในสมการ 2x −1 = x + 4 ดวย −1 จะได
2 ( −1) − 1 = −1 + 4
− 2 −1 = 3
−3 = 3
3 = 3 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1, 5 }
3) จาก 3x − 1 = x−5
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
3x − 1 x−5
2 2
=
( 3x − 1) ( x − 5)
2 2
=
( 3x − 1) − ( x − 5)
2 2
= 0
( 3 x − 1) − ( x − 5 ) ( 3 x − 1) + ( x − 5 ) = 0
( 2 x + 4 )( 4 x − 6 ) = 0
( x + 2 )( 2 x − 3) = 0
3
จะได x = −2 หรือ x=
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
392 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x − 3x + 1) ( x − 2)
2 2 2
=
( x − 3x + 1) − ( x − 2 )
2 2 2
= 0
( x − 3 x + 1) − ( x − 2 ) ( x − 3 x + 1) + ( x − 2 )
2 2
= 0
( x − 4 x + 3)( x − 2 x − 1)
2 2
= 0
( x − 1)( x − 3) x − (1 + )
2 x − 1− 2
( ) = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 393
( 3) − 3 ( 3) + 1
2
= 3− 2
1 = 1
1 = 1 เปนจริง
แทน x ในสมการ x 2 − 3x + 1 = x − 2 ดวย 1 + 2 จะได
(1 + 2 ) ( ) (1 + 2 ) − 2
2
− 3 1+ 2 +1 =
(1 + 2 ) (
2 + 2 − 3+3 2 ) +1 = −1 + 2
1− 2 = 2 −1
(
− 1− 2 ) = 2 −1
2 −1 = 2 −1 เปนจริง
แทน x ในสมการ x 2 − 3x + 1 = x − 2 ดวย 1 − 2 จะได
(1 − 2 ) ( ) (1 − 2 ) − 2
2
− 3 1− 2 +1 =
(1 − 2 ) (
2 + 2 − 3−3 2 ) +1 = −1 − 2
1+ 2 = ( )
− 1+ 2
1+ 2 = − (1 + 2 ) เปนเท็จ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { 3, 1 + 2}
5) จาก x + 2x −1 2
= x+5
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( x + 5)
2
x2 + 2 x − 1
2
=
( x + 2 x − 1) ( x + 5)
2 2 2
=
( x + 2 x − 1) − ( x + 5)
2 2 2
= 0
( x + 2 x − 1) − ( x + 5 ) ( x + 2 x − 1) + ( x + 5 )
2 2
= 0
( x + x − 6 )( x + 3x + 4 )
2 2
= 0
( x − 2 )( x + 3) ( x + 3x + 4 ) 2
= 0
เนื่องจาก ( 3) − 4 (1)( 4 ) < 0
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
394 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
จะไดวา ไมมีจํานวนจริงที่ทําให x 2
+ 3x + 4 =0
ดังนั้น x=2 หรือ x = −3
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x2 + 2 x − 1 = x + 5 ดวย 2 จะได
( 2) + 2 ( 2) − 1
2
= 2+5
7 = 7
7 = 7 เปนจริง
แทน x ในสมการ x2 + 2 x − 1 = x + 5 ดวย −3 จะได
( −3) + 2 ( −3) − 1 ( −3) + 5
2
=
2 = 2
2 = 2 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 3, 2 }
6) จาก x − 3x − 4 2
= 2x + 2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
2
x 2 − 3x − 4 2x + 2
2
=
( x − 3x − 4 ) ( 2x + 2)
2 2 2
=
( x − 3x − 4 ) − ( 2 x + 2 )
2 2 2
= 0
( x − 3 x − 4 ) − ( 2 x + 2 ) ( x − 3 x − 4 ) + ( 2 x + 2 )
2 2
= 0
( x − 5 x − 6 )( x − x − 2 )
2 2
= 0
( x + 1)( x − 6 )( x + 1)( x − 2 ) = 0
จะได x = − 1 หรือ x = 6 หรือ x=2
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x 2 − 3x − 4 = 2x + 2 ดวย −1 จะได
( −1) − 3 ( −1) − 4 2 ( −1) + 2
2
=
0 = 0
0 = 0 เปนจริง
แทน x ในสมการ x 2 − 3x − 4 = 2 x + 2 ดวย 6 จะได
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 395
( 6) − 3( 6) − 4 2 ( 6) + 2
2
=
14 = 14
14 = 14 เปนจริง
แทน x ในสมการ x 2 − 3x − 4 = 2 x + 2 ดวย 2 จะได
( 2) − 3( 2) − 4 2 ( 2) + 2
2
=
−6 = 6
6 = 6 เปนจริง
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ { − 1, 2, 6 }
7) วิธีที่ 1 จาก x + x−3 = 2
x−3 = 2− x
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
(2 − x )
2
x−3
2
=
( x − 3) (2 − x )
2 2
=
x2 − 6 x + 9 4−4 x + x
2
=
x2 − 6 x + 9 = 4 − 4 x + x2
4 x = 6x − 5
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( 6 x − 5) (4 x )
2 2
=
( 6 x − 5) ( 4x )
2 2
=
( 6 x − 5 ) − 4 x ( 6 x − 5 ) + 4 x = 0
( 2 x − 5)(10 x − 5) = 0
( 2 x − 5)( 2 x − 1) = 0
5 1
จะได x= หรือ x=
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
396 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
5
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x + x−3 = 2 ดวย จะได
2
5 5
+ −3 = 2
2 2
5 1
+ = 2
2 2
3 = 2 เปนเท็จ
1
แทน x ในสมการ x + x−3 = 2 ดวย จะได
2
1 1
+ −3 = 2
2 2
1 5
+ = 2
2 2
3 = 2 เปนเท็จ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
วิธีที่ 2 จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
กรณีที่ 1 x < 0
จะได − x − ( x − 3) = 2
−2x = −1
1
x = ซึ่ง x>0
2
1
นั่นคือ ไมเปนคําตอบของสมการ
2
กรณีที่ 2 0≤ x<3
จะได x − ( x − 3) = 2
3 = 2 เปนเท็จ
นั่นคือ ไมมีคําตอบของสมการ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 397
กรณีที่ 3 x≥3
จะได x + ( x − 3) = 2
2x = 5
5
x = ซึ่ง x<3
2
5
นั่นคือ ไมเปนคําตอบของสมการ
2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ ∅
8) วิธีที่ 1 จาก 4 x = x − 2 +1
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
(4 x ) ( x − 2 +1 )
2 2
=
( x − 2) + 2 x − 2 +1
2
16x 2 =
16x 2
= x − 4x + 4 + 2 x − 2 + 1
2
15 x 2 + 4 x − 5 = 2 x−2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
(15 x + 4 x − 5) (2 )
2 2
2
= x−2
(15 x + 4 x − 5) 2 ( x − 2 )
2 2 2
=
(15 x + 4 x − 5 ) − 2 ( x − 2 ) (15 x + 4 x − 5 ) + 2 ( x − 2 )
2 2
= 0
(15 x + 2 x − 1)(15 x
2 2
+ 6x − 9) = 0
(15 x + 2 x − 1)( 5 x
2 2
+ 2 x − 3) = 0
( 5 x − 1)( 3x + 1)( 5 x − 3)( x + 1) = 0
1 1 3
จะได x= หรือ x= − หรือ x= หรือ x = −1
5 3 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
398 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
1
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ 4 x = x − 2 +1 ดวย จะได
5
1 1
4 = − 2 +1
5 5
1 9
4 = − +1
5 5
4 9
= +1
5 5
4 14
= เปนเท็จ
5 5
1
แทน x ในสมการ 4 x = x − 2 +1 ดวย − จะได
3
1 1
4 − = − − 2 +1
3 3
1 7
4 = − +1
3 3
4 7
= +1
3 3
4 10
= เปนเท็จ
3 3
3
แทน x ในสมการ 4 x = x − 2 +1 ดวย จะได
5
3 3
4 = − 2 +1
5 5
3 7
4 = − +1
5 5
12 7
= +1
5 5
12 12
= เปนจริง
5 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 399
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
400 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
9) วิธีที่ 1 จาก x −1 + x − 2 = 3
x −1 − 3 = − x−2
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
( x −1 − 3 ) (− )
2 2
= x−2
( x −1 − 3 ) ( x − 2)
2 2
=
( x − 1) − 6 x −1 + 9 ( x − 2)
2 2
=
(x 2
− 2 x + 1) − 6 x − 1 + 9 = x2 − 4 x + 4
x+3
x −1 =
3
ยกกําลังสองทั้งสองขาง
x +3
2
x −1
2
=
3
x +3
2
( x − 1)
2
=
3
x +3
2
( x − 1) −
2
= 0
3
x + 3 x + 3
( x − 1) − 3 ( x − 1) + 3 = 0
2 x − 6 4 x
= 0
3 3
4 x ( x − 3) = 0
จะได x = 0 หรือ x=3
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x −1 + x − 2 = 3 ดวย 0 จะได
0 −1 + 0 − 2 = 3
−1 + − 2 = 3
3 = 3 เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 401
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
402 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x − 2 x + 3) 2 ( x2 − 2 x )
2 2
2
=
( x − 2 x + 3) − 2 ( x − 2 x )
2 2
2 2
= 0
( x − 2 x + 3 ) − 2 ( x − 2 x ) ( x − 2 x + 3 ) + 2 ( x − 2 x )
2 2 2 2
= 0
( − x + 2 x + 3)( 3x − 6 x + 3)
2 2
= 0
( x − 2 x − 3)( x − 2 x + 1)
2 2
= 0
( x + 1)( x − 3)( x − 1)
2
= 0
จะได x = − 1 หรือ x = 1 หรือ x = 3
ตรวจคําตอบ แทน x ในสมการ x − x − 2 = x − 1 ดวย −1 จะได
−1 − −1− 2 = −1 − 1
−1 − − 3 = −2
1− 3 = −2
−2 = −2 เปนจริง
แทน x ในสมการ x − x − 2 = x −1 ดวย 1 จะได
1 − 1− 2 = 1−1
1 − −1 = 0
1−1 = 0
0 = 0 เปนจริง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 403
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
404 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 405
จะได
2 2
x −4 ≤2
x − 2x 2
( x − 4) ≤ ( x − 2x )
2 2 2 2
( x − 4) − ( x − 2x ) ≤ 0
2 2 2 2
( x − 4 ) − ( x − 2 x ) ( x − 4 ) + ( x − 2 x )
2 2 2 2
≤ 0
( 2x − 4) ( 2x2 − 2x − 4) ≤ 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
406 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x − 2) ( x2 − x − 2) ≤ 0
( x − 2 )( x − 2 )( x + 1) ≤ 0
( x − 2 ) ( x + 1) ≤
2
0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , − 1 ] ∪ { 2 }
5) เนื่องจาก 2 x2 − 5x − 1 ≥ 0 และ x2 − x + 4 ≥ 0 สําหรับทุกคา x∈
จะได
2 2
2 x2 − 5x − 1 ≤ x2 − x + 4
( 2 x − 5 x − 1) (x − x + 4)
2 2
2
≤ 2
( 2 x − 5 x − 1) − ( x − x + 4 )
2 2
2 2
≤ 0
( 2 x 2 − 5 x − 1) − ( x − x + 4 ) ( 2 x − 5 x − 1) + ( x − x + 4 )
2 2 2
≤ 0
( x − 4 x − 5)( 3x − 6 x + 3)
2 2
≤ 0
( x − 4 x − 5)( x − 2 x + 1)
2 2
≤ 0
( x + 1)( x − 5)( x − 1) ≤
2
0
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ − 1, 5 ]
6) จากโจทย ทราบวา x≠5 และ x≠4
x −1 x−5
จาก 2 ≤
x−5 x−4
2
x −1 x−5
2
2 ≤
x−5 x−4
2
x − 1 x−5
2
2 x − 5 ≤
x−4
2
x − 1 x − 5
2
2 x − 5 − x − 4 ≤ 0
x − 1 x − 5 x − 1 x − 5
2 x − 5 − x − 4 2 x − 5 + x − 4 ≤ 0
2 ( x − 1)( x − 4 ) − ( x − 5 )2 2 ( x − 1)( x − 4 ) + ( x − 5 )2
≤ 0
( x − 5)( x − 4 ) ( x − 5)( x − 4 )
( 2 x 2 − 10 x + 8 ) − ( x 2 − 10 x + 25 ) ( 2 x 2 − 10 x + 8 ) + ( x 2 − 10 x + 25 )
≤ 0
( x − 5)( x − 4 ) ( x − 5)( x − 4 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 407
x 2 − 17 3 x 2 − 20 x + 33
≤ 0
( x − 5 )( x − 4 ) ( x − 5 )( x − 4 )
(x − 17 )( x + 17 ) ( x − 3)( 3x − 11) ≤ 0
( x − 5) ( x − 4 )
2 2
(
− 17 , 3 ∪ 11 , 4 ∪ 4, 17
3
7) จากโจทย ทราบวา x ≠ −2 และ x≠2
1 2
จาก ≥
x −2 x +1
กรณีที่ 1 x<0
1 2
จะได ≥
−x − 2 −x +1
1 2
≤
x+2 x −1
1 2
− ≤ 0
x + 2 x −1
( x − 1) − 2 ( x + 2 ) ≤ 0
( x + 2 )( x − 1)
−x − 5
≤ 0
( x + 2 )( x − 1)
x+5
≥ 0
( 2 )( x − 1)
x +
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ [ − 5, − 2 )
กรณีที่ 2 x≥0
1 2
จะได ≥
x−2 x +1
1 2
− ≥ 0
x − 2 x +1
( x + 1) − 2 ( x − 2 ) ≥ 0
( x − 2 )( x + 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
408 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
−x + 5
≥ 0
( x − 2 )( x + 1)
x−5
≤ 0
( x − 2 )( x + 1)
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ ( 2, 5 ]
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ [ − 5, − 2 ) ∪ ( 2, 5 ]
8) จากโจทย ทราบวา x ≠ − 2 และ x ≠ 3
x +6 x
จาก +1 <
x+2 x−3
กรณีที่ 1 x<0
−x + 6 −x
จะได x+2
+1 <
x−3
x−6 x
−1 >
x+2 x−3
x−6 x
− −1 > 0
x+ 2 x−3
( x − 6 )( x − 3) − x ( x + 2 ) − ( x + 2 )( x − 3)
> 0
( x + 2 )( x − 3)
(x 2
− 9 x + 18 ) − ( x 2 + 2 x ) − ( x 2 − x − 6 )
> 0
( x + 2 )( x − 3)
− x 2 − 10 x + 24
> 0
( x + 2 )( x − 3)
x 2 + 10 x − 24
< 0
( x + 2 )( x − 3)
( x + 12 )( x − 2 )
< 0
( x + 2 )( x − 3)
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ ( − 12, − 2 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 409
กรณีที่ 2 x≥0
x+6 x
จะได x+2
+1 <
x−3
x+6 x
− +1 < 0
x+ 2 x−3
( x + 6 )( x − 3) − x ( x + 2 ) + ( x + 2 )( x − 3)
< 0
( x + 2 )( x − 3)
(x 2
+ 3 x − 18 ) − ( x 2 + 2 x ) + ( x 2 − x − 6 )
< 0
( x + 2 )( x − 3)
x 2 − 24
< 0
( x + 2 )( x − 3)
( x − 2 6 )( x + 2 6 ) < 0
( x + 2 )( x − 3)
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ ( 3, 2 6 )
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − 12, − 2 ) ∪ ( 3, 2 6 )
9) จากโจทย ทราบวา x ≠ 0 และ x ≠ − 2
x−3 x+5
จาก ≥
x x+2
x−3
กรณีที่ 1 x<0 จะได x−3 < 0 ดังนั้น >0
x
จะไดอสมการเปน
x−3 x+5
≥
x x+2
x−3 x+5
− ≥ 0
x x+2
( x − 3)( x + 2 ) − x ( x + 5) ≥ 0
x ( x + 2)
(x 2
− x − 6) − ( x2 + 5x )
≥ 0
x ( x + 2)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
410 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
−6 x − 6
≥ 0
x ( x + 2)
x +1
≤ 0
x ( x + 2)
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ ( − ∞ , − 2 ) ∪ [ − 1, 0 )
x−3
กรณีที่ 2 0<x<3 จะได x−3 < 0 ดังนั้น <0
x
จะไดอสมการเปน
x −3 x+5
− ≥
x x+2
x+5 x−3
+ ≤ 0
x+2 x
x ( x + 5 ) + ( x − 3)( x + 2 )
≤ 0
x ( x + 2)
(x 2
+ 5x ) + ( x2 − x − 6)
≤ 0
x ( x + 2)
2 x2 + 4 x − 6
≤ 0
x ( x + 2)
x2 + 2 x − 3
≤ 0
x ( x + 2)
( x − 1)( x + 3) ≤ 0
x ( x + 2)
ดังนั้น คา x ที่สอดคลอง คือ ( 0, 1 ]
x−3
กรณีที่ 3 x≥3 จะได x−3 ≥ 0 ดังนั้น >0
x
จะไดอสมการเปน
x−3 x+5
นั่นคือ ≥
x x+2
x−3 x+5
− ≥ 0
x x+2
( x − 3)( x + 2 ) − x ( x + 5) ≥ 0
x ( x + 2)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 411
(x 2
− x − 6) − ( x2 + 5x )
≥ 0
x ( x + 2)
−6 x − 6
≥ 0
x ( x + 2)
x +1
≤ 0
x ( x + 2)
ดังนั้น ไมมี x ที่สอดคลองกับอสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของอสมการ คือ ( − ∞ , − 2 ) ∪ [ − 1, 0 ) ∪ ( 0, 1 ]
22. ใหรานคาตั้งอยูที่หลักกิโลเมตรที่ x
เนื่องจากที่ทํางานของสมชายตั้งอยูที่หลักกิโลเมตรที่ 5
จะไดวาสมชายเดินทางจากที่ทํางานเพื่อไปซื้อของที่รานคาเปนระยะทาง x − 5 กิโลเมตร
และเนื่องจากบานของสมชายตั้งอยูที่หลักกิโลเมตรที่ 7
จะไดวา สมชายเดินทางจากรานคากลับบานของตนเองเปนระยะทาง x − 7 กิโลเมตร
เนื่องจาก สมชายเดินทางไปซื้อของที่รานคาแลวเดินกลับบานตนเองเปนระยะทาง
ทั้งสิ้น 4 กิโลเมตร
จะไดวา x−5 + x−7 = 4
วิธีที่ 1 x−5 = 4− x−7
(4 − x − 7 )
2
x−5
2
=
( x − 5) (4 − x − 7 )
2 2
=
( x − 5) 16 − 8 x − 7 + ( x − 7 )
2 2
=
( x − 5) − ( x − 7 ) 16 − 8 x − 7
2 2
=
( x − 5 ) − ( x − 7 ) ( x − 5 ) + ( x − 7 ) = 16 − 8 x − 7
2 ( 2 x − 12 ) = 16 − 8 x − 7
x−6 = 4−2 x−7
x − 10 = −2 x − 7
( x − 10 ) ( −2 )
2
x−7
2
=
( x − 10 ) 2 ( x − 7 )
2 2
=
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
412 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
( x − 10 ) − 2 ( x − 7 )
2 2
= 0
( x − 10 ) − 2 ( x − 7 ) ( x − 10 ) + 2 ( x − 7 ) = 0
( − x + 4 )( 3x − 24 ) = 0
( x − 4 )( x − 8) = 0
นั่นคือ เซตคําตอบของสมการ คือ {4, 8}
ดังนั้น รานคาตั้งอยูที่หลักกิโลเมตรที่ 4 หรือหลักกิโลเมตรที่ 8
วิธีที่ 2 จากบทนิยามของคาสัมบูรณ
กรณีที่ 1 x < 5
จะได − ( x − 5) − ( x − 7 ) = 4
−2 x + 12 = 4
−2x = −8
x = 4 ซึ่ง 4<5
นั่นคือ 4 เปนคําตอบของสมการ
กรณีที่ 2 5 ≤ x < 7
จะได ( x − 5) − ( x − 7 ) = 4
2 = 4 เปนเท็จ
นั่นคือ ไมมี x ที่สอดคลองกับอสมการ
กรณีที่ 3 x ≥ 7
จะได ( x − 5) + ( x − 7 ) = 4
2 x − 12 = 4
2x = 16
x = 8 ซึ่ง 8≥7
นั่นคือ 8 เปนคําตอบของสมการ
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการ คือ {4, 8}
ดังนั้น รานคาตั้งอยูที่หลักกิโลเมตรที่ 4 หรือหลักกิโลเมตรที่ 8
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 413
แหลงเรียนรูเพิ่มเติม
forvo.com เปนเว็บไซตที่รวบรวมการออกเสียงคําในภาษาตาง ๆ กอตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2008 โดยมี
จุดมุงหมายเพื่อพัฒนาการสื่อสารทางการพูด ผานการแลกเปลี่ยนการออกเสียงคําในภาษาตาง ๆ
ทั้งจากบุคคลที่เปนเจาของภาษาและบุคคลที่ไมใชเจาของภาษา forvo.com ไดรับคัดเลือกจาก
นิ ตยสาร Times ให เป น 50 เว็ บไซต ที่ดีที่สุ ดใน ค.ศ. 2013 (50 best websites of 2013) ป จ จุ บั น
เว็บไซตนี้เปนฐานขอมูลที่รวบรวมการออกเสียงที่ใหญที่สุด มีคลิปเสียงที่แสดงการออกเสีย ง
คําศัพทประมาณสี่ลานคําในภาษาตาง ๆ มากกวา 330 ภาษา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
414 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
บรรณานุกรม
กรรณิกา กวักเพฑูรย. (2542). หลักคณิตศาสตร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู
คณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย.
วิชาญ ลิ่วกีรติยุตกุล. (2562). คณิตวิเคราะห. กรุงเทพฯ: วิสคอมเซ็นเตอร.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2524). คูมือครูวิชาคณิตศาสตร ค 012 ตาม
หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 ของกระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2558). คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร
เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2553). คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร
เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ตามผลการเรียนรู กลุมสาระการเรียนรู
คณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2557). หนังสือเรียนรูเพิ่มเติมเพื่อเสริม
ศักยภาพคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 ตรรกศาสตรและการพิสูจน. กรุงเทพฯ:
พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 415
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
416 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
คณะผูจัดทํา
คณะที่ปรึกษา
ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รศ. ดร.สัญญา มิตรเอม สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร.สุพัตรา ผาติวิสันติ์ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คณะผูจัดทําคูมือครู
นางสาวปฐมาภรณ อวชัย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวอัมริสา จันทนะศิริ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายพัฒนชัย รวิวรรณ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวภิญญดา กลับแกว สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร.ศศิวรรณ เมลืองนนท สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร.สุธารส นิลรอด สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร.ธีรสรรค ขันธวิทย นักวิชาการอิสระ
ดร.นิธิ รุงธนาภิรมย นักวิชาการอิสระ
นายอัฐวิช นริศยาพร นักวิชาการอิสระ
คณะผูพิจารณาคูมือครู
นายประสาท สอานวงศ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รศ. ดร.สมพร สูตินันทโอภาส สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวจินตนา อารยะรังสฤษฏ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวจําเริญ เจียวหวาน สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายสุเทพ กิตติพิทักษ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร.อลงกรณ ตั้งสงวนธรรม สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
วาที่รอยเอก ดร.ภณัฐ กวยเจริญพานิชก สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 417
บรรณาธิการ
รศ. ดร.สิริพร ทิพยคง สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คณะทํางานฝายเสริมวิชาการ
นางสาวขวัญใจ ภาสพันธุ โรงเรียนราชวินิตบางเขน กรุงเทพฯ
นายเชิดศักดิ์ ภักดีวิโรจน โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ
จังหวัดนครปฐม
นายณรงคฤทธิ์ ฉายา โรงเรียนสาธิตแหงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
ศูนยวิจัยและพัฒนาการศึกษา กรุงเทพฯ
นายถนอมเกียรติ งานสกุล โรงเรียนสตรีภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
นางสาวปรารถนา วิริยธรรมเจริญ โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม
นายวิฑิตพงค พะวงษา โรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรัง
นางสาวศราญลักษณ บุตรรัตน โรงเรียนบางละมุง จังหวัดชลบุรี
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
418 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 419
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คู�มือครูรายวิชาเพิ่มเติม