Professional Documents
Culture Documents
ในการศึกษาศิลปะขอมในประเทศไทย ได้ใช้การเรียกชื่อศิลปะอย่างเดียวกับศิลปะขอมในประเทศกัมพูชา
เป็นหลัก ซึ่งในการกาหนดอายุของปราสาทขอมนั้นได้แบ่งออกเป็น ๒ สมัยใหญ่ๆ ได้แก่ สมัยก่อนเมืองพระนคร
(พุทธศตวรรษที่ ๑๑- ๑๔) และสมัยเมืองพระนคร (พุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๘) และแบ่งออกเป็นสมัยย่อยเรียกเป็น
ชื่อศิลปะ แบบต่างๆ รวม ๑๔ แบบ ดังนี้
ก. สมัยก่อนเมืองพระนคร
๑. ศิลปะแบบพนมดา ราว พ.ศ. ๑๑๐๐ – ๑๑๕๐
๒. ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก ราว พ.ศ. ๑๑๕๐ – ๑๒๐๐
๓. ศิลปะแบบไพรกเมง ราว พ.ศ. ๑๑๘๐ – ๑๒๕๐
๔. ศิลปะแบบกาพงพระ ราว พ.ศ. ๑๒๕๐ – ๑๓๕๐
ข. สมัยเมืองพระนคร
๕. ศิลปะแบบกุเลน ราว พ.ศ. ๑๓๗๐ – ๑๔๒๐
๖. ศิลปะแบบพระโค ราว พ.ศ. ๑๔๒๐ – ๑๔๔๐
๗. ศิลปะแบบบาแค็ง ราว พ.ศ. ๑๔๔๐ – ๑๔๗๐
๘. ศิลปะแบบเกาะแกร์ ราว พ.ศ. ๑๔๖๕ – ๑๔๙๐
๙. ศิลปะแบบแปรรูป ราว พ.ศ. ๑๔๙๐ – ๑๕๑๐
๑๐. ศิลปะแบบบันทายสรี ราว พ.ศ. ๑๕๑๐ – ๑๕๕๐
๑๑. ศิลปะแบบคลัง (หรือเกลียง) ราว พ.ศ. ๑๕๕๐ – ๑๕๖๐
๑๒. ศิลปะแบบบาปวน ราว พ.ศ. ๑๕๖๐ – ๑๖๓๐
๑๓. ศิลปะแบบนครวัด ราว พ.ศ. ๑๖๕๐ – ๑๗๒๐
๑๔. ศิลปะแบบบายน ราว พ.ศ. ๑๗๒๐ – ๑๗๘๐
สาหรับปราสาทขอมที่พบในประเทศไทยอาจกาหนดตามช่วงระยะเวลาต่างๆ ดังนี้ คือ
ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ ซึ่งตรงกับศิลปะขอมสมัยก่อนเมืองพระนคร และร่วมสมัยกับวัฒนธรรม
ทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย อันเป็นสมัยแรกที่เริม่ ปรากฏหลักฐานการรับศาสนาจากอินเดีย ใน
ปราสาทเขาน้อย ทับหลังศิลปะไพรกะเมงของปราสาทเขาน้อย
(ภาพจาก http://www.mapculture.org/coppermine/ (ภาพจาก http://www.nectec.or.th/oncc/province/
albums/userpics/10001/normal_DSC01496.jpg) pictures/c21/sakaeo-101-2.jpg)
ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕
ในช่วงระยะเวลานีจ้ ัดเป็นช่วงแรกของศิลปะขอมสมัยเมืองพระนคร ซึ่งเป็นศิลปะแบบพระโค บาแค็ง
เกาะแกร์ และแปรรูป ตามลาดับ หลักฐานปราสาทขอมในช่วงเวลานี้ ที่พบในประเทศไทยมีน้อยมาก และส่วน
ใหญ่อยู่ในสภาพพัง เพราะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐ การกาหนดอายุทาได้ค่อนข้างยาก สิ่งที่สามารถกาหนดอายุได้
ดีที่สุด คือทับหลัง รวมทั้งอาจมีศลิ าจารึกทีก่ ล่าวถึงการก่อสร้างไว้ด้วย ตัวอย่าง ปราสาททีจ่ ัดอยู่ในช่วงระยะเวลา
ปราสาทพนมวัน จังหวัดนครราชสีมา
(ภาพจาก http://www.skn.ac.th/skl/project/korage92/n-21.jpg)
ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗
ในช่วงระยะเวลานี้ตรงกับศิลปะขอมแบบคลังบา-ปวน และแบบนครวัด ได้พบปราสาทขอม ในประเทศ
ไทยหลายแห่ง เช่น ปราสาทพนมวัน และปราสาทหินพิมาย ที่จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทกู่สวนแตง ปราสาท
พนมรุ้ง และปราสาทเมืองต่า ที่จังหวัดบุรรี ัมย์ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทบ้านพลวง และปราสาทศีขรภูมิ ที่
จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทสระกาแพงใหญ่ ที่จงั หวัดศรีสะเกษ ปราสาทกู่กาสิงห์ ที่จงั หวัดร้อยเอ็ด ปราสาทสด็อก
ก็อกธม ที่จงั หวัดสระแก้ว
รูปแบบและแผนผังของปราสาทในช่วงระยะเวลานี้ มีระเบียบแบบแผนเดียวกับปราสาทในกัมพูชาสมัย
เมืองพระนคร และเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ทจี่ ัดเป็นศาสนสถานประจาเมือง มีโครงสร้างทีส่ าคัญ คือ ปราสาท
ประธานที่อยู่ตรงกลางอาจมีหลังเดียว เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง หรือเป็นหมู่ ๓ หลัง ๕ หลัง หรือ
๖ หลัง เช่น ปราสาทเมืองต่า ปราสาทสระกาแพงใหญ่ ปราสาทศีขรภูมิ
การกาหนดอายุของปราสาทในช่วงระยะเวลานี้ พิจารณาจากแผนผังของอาคารโดยรวม รวมทั้งรูปแบบ
ของปราสาท เช่น มีการเพิ่มมุม และยอดปราสาทเป็นทรงพุ่ม สิ่งสาคัญที่ใช้ในการกาหนดรูปแบบและอายุ ได้แก่
ลวดลายประดับที่ทบั หลัง หน้าบันและเสาประดับกรอบประตู ลักษณะที่จัดเป็นศิลปะแบบคลัง-บาปวน ซึ่งปรากฏ
อยู่มาก ได้แก่ ทับหลังทีป่ ระกอบด้วยลายหน้ากาล คายท่อนพวงมาลัยอยู่ตรงกึ่งกลางด้านล่าง หน้ากาลมีลิ้นเป็น
สามเหลี่ยม มีมือมายึดท่อนพวงมาลัย มีภาพเล่าเรือ่ งเล็กๆ อยู่เหนือหน้ากาล เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้
หรือลายกระหนกม้วนออกทั้ง ๒ ข้าง ใต้ท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ม้วนเข้า หากมีลายเฟื่องอุบะมาแบ่งท่อน
พวงมาลัยออก เป็น ๔ ส่วน จะจัดเป็นแบบคลัง แต่ถ้า ไม่มีจะจัดเป็นแบบบาปวน ส่วนใหญ่ของปราสาทขอมใน
ประเทศไทย ในสมัยนี้จะพบลายดังกล่าวปะปนกันในศาสนสถานแหล่งเดียวกันหรือในปราสาทหลังเดียวกัน ทาให้
อาจกาหนดได้ว่าศิลปะแบบคลังบาปวนที่พบในประเทศไทยนั้นเป็น ศิลปะต่อเนือ่ งสมัยเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ที่
ปราสาทเมืองต่า ปราสาทสระกาแพงใหญ่
ทับหลังในศิลปะแบบนครวัดส่วนใหญ่ จะนิยมสลักภาพเล่าเรื่องประกอบด้วยรูปบุคคลเล็กๆ เต็มพื้นที่
เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทศีขรภูมิ นอกจากนี้ยังใช้หลักฐานของงานประติมากรรม
ประดับศาสนสถานเป็นตัวกาหนดรูปแบบทางศิลปะ เช่น ประติมากรรมรูปบุคคลในศิลปะแบบบาปวน จะสังเกต
ได้จากทรงผม ที่ถักและเกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยูเ่ หนือศีรษะคางเป็นร่อง ชายผ้านุ่งด้านหน้าเว้าใต้พระนาภี ด้านหลัง
สูงขึ้นมาถึงกึ่งกลางหลัง ในขณะที่ศิลปะแบบนครวัดนิยมมงกุฎทรงกรวย มีเทริด (กระบังหน้า) และประดับเครือ่ ง
ทรง
มีข้อสังเกตทีส่ าคัญทางด้านรูปแบบของปราสาทขอมศิลปะแบบนครวัดที่พบในดินแดนไทยในช่วงพุทธ
ศตวรรษที่ ๑๗ ที่มีลกั ษณะเฉพาะเกิดขึ้น โดยอาจถือเป็นงานที่พัฒนาขึ้นในท้องถิ่น ได้แก่ การทายอดปราสาทที่
เป็นทรงพุม่ เช่น ที่ปราสาทหินพิมายและปราสาท พนมรุ้ง โดยเปลี่ยนการประดับชั้นหลังคาจากปราสาทจาลอง
เป็นการประดับแผ่นหินที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยม ที่เรียกว่า นาคปักแทน ซึ่งในปัจจุบันพบว่าลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้น
ในประเทศกัมพูชาก่อนแล้ว
ทับหลังชิ้นหนึ่งที่ปราสาทเมืองต่า
การกาหนดอายุของปราสาทพิจารณาจากลวดลายบนทับหลัง ซึ่งจัดอยู่ในศิลปะแบบคลัง-บาปวน
ประกอบด้วยลายที่สาคัญคือ มีหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัยอยู่กึ่งกลางด้านล่าง หน้ากาลมีลิ้นเป็นสามเหลี่ยมมีมอื
มายึดท่อนพวงมาลัย มีภาพเล่าเรื่องเล็กๆ อยู่เหนือหน้ากาล เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้หรือลายกระหนก
ม้วนออกทั้ง ๒ ข้าง ใต้ท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ม้วน โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุม่ ที่มลี ายเฟื่องอุบะมาแบ่ง
ท่อนพวงมาลัยออกเป็น ๔ ส่วน จัดเป็นศิลปะแบบคลัง อีกกลุ่มหนึ่งไม่มีลายเฟื่องอุบะ จัดเป็นศิลปะแบบบาปวน
แต่ส่วนใหญ่จะพบลายดังกล่าวร่วมกัน ดังนั้นจึงควรจัดเป็นสมัยต่อเนื่องกัน
สาหรับรูปเล่าเรื่องทีป่ รากฏบนทับหลังเป็นเรื่องในศาสนาฮินดู โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระอิศวร เช่น
พิธีสยุมพรพระอิศวร พระอุมามเหศวร (พระอิศวรและพระอุมาทรงโค) และเรื่องรองลงมา ได้แก่ พระกฤษณะและ
เทพเจ้าประจาทิศ นอกจากนี้ได้ค้นพบศิวลึงค์ และประติมากรรมเทวสตรี (พระอุมา) จึงทา ให้สันนิษฐานได้ว่าศา
สนสถานแห่งนี้สร้างขึ้นในลัทธิไศวนิกาย
๒. ปราสาทสระก่าแพงใหญ่ จังหวัดศรีสะเกษ
อยู่ที่อาเภออุทุมพรพิสัย จัดเป็นปราสาทขอมสาคัญแห่งหนึง่ ที่พบในประเทศไทย มีอายุในช่วงปลาย
พุทธศตวรรษที่ ๑๖ มีหลักฐานการก่อสร้างจากศิลาจารึกทีก่ รอบประตู ใน พ.ศ. ๑๕๘๕ กล่าวถึงการสร้างและ
อุทิศเทวาลัยแห่งนีเ้ พื่อถวายพระอิศวร
ปราสาทสระกาแพงใหญ่ ถ่ายจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
(ภาพจาก http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/8/87/Place_Sripruetesuan1.jpg/800px-
Place_Sripruetesuan1.jpg)
ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ข. ภาพเล่าเรื่องบนทับหลังและหน้าบัน
ศิลปกรรมที่ปราสาทหินพิมายที่น่าสนใจอย่างหนึง่ คือ ประติมากรรมภาพเล่าเรื่องบน
ทับหลังและหน้าบัน เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ว่าปราสาทหินพิมายจะเป็นพุทธสถานนิกายมหายาน แต่ภาพเล่าเรื่องที่
ประกอบ อยู่โดยรอบกลับเป็นเรื่องเล่าของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ยกเว้นภาพเล่าเรื่องที่ประดับรอบห้องครรภคฤ
หะทีเ่ ป็นส่วนสาคัญของศาสนสถาน จึงเป็นเรื่องของพุทธประวัติในนิกายมหายาน
ภาพเล่าเรื่องที่ปรากฏมากที่สุด ได้แก่ รามายณะ (รามเกียรติ์) ตอนสาคัญ เช่น พระรามพระลักษมณ์
ต้องศรนาคบาศ การรบระหว่างยักษ์กับลิง พระรามจองถนน และท้าวมาลีวราชว่าความ นอกนั้นจะเป็นเรื่องของ
เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ เช่น พระศิวนาฏราช พระอุมามเหศวร พระกฤษณะ และรูปเทพเจ้าประจาทิศ ส่วน
รูปสาคัญที่อยูโ่ ดยรอบห้องครรภคฤหะ ได้แก่ พุทธประวัตติ อนโปรดพญามาร หรือทรมานพญามหาชมพู และ
พระพุทธรูปนาคปรก นอกจากนี้ยงั มีรูปพระโพธิสัตว์ชิ้นสาคัญ ๒ รูป เป็นเรื่องของพระวัชรสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่
ได้รับยกย่องว่ามีฐานะเสมือนพระพุทธเจ้า และเรื่องไตรโลกยวิชัย ผู้กาจัดความโลภ โกรธ หลง เป็นหลักฐานชิ้น
สาคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปราสาทหินพิมายนีส้ ร้างขึ้นเพือ่ พระพุทธศาสนานิกายมหายาน
๔. ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์
บางทีเรียกว่า “ปราสาทหินเขาพนมรุง้ ” ตั้งอยู่ทตี่ าบลตาเป็ก อาเภอเฉลิมพระเกียรติ
ตัวปราสาทตัง้ อยู่บนภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วดังนั้นจึงมีปากปล่องภูเขาไฟที่เป็นสระน้า ธรรมชาติสาหรับปราสาท
ด้วย
คาว่า “พนมรุง้ ” มาจากศิลาจารึกทีก่ ล่าวถึงชื่อศาสนสถานแห่งนี้ว่า “วนรุง” ซึ่งหมายถึง ภูเขาอัน
กว้างใหญ่ หรือรุ่งเรือง มีแสง
ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์
ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งตรงกับศิลปะขอมแบบบายน กษัตริย์ขอมที่มีพระราชอานาจมากคือ พระ
เจ้าชัย วรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๖๒) ซึ่งทรงเป็นผู้กอบกู้เอกราชอาณาจักรขอมจากชนชาติจาม และได้
สถาปนาเมืองนครธมขึ้นเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ ได้เปลี่ยนศาสนาจากเดิมทีเ่ ป็นศาสนาฮินดูมาเป็น
พระพุทธศาสนานิกายมหายาน และได้สร้างศาสนสถานเป็นจานวนมาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระราชอานาจของ
พระองค์ ทั้งทางการเมืองและการพระศาสนา
จากหลักฐานทางศิลปกรรมแสดงให้เห็นว่าศิลปะแบบบายนซึ่งเป็นศิลปะรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นนั้น ได้
แพร่กระจายอยูท่ ั่วไปในดินแดนไทยทั้งอีสานเหนือและอีสานใต้ รวมทั้งในภาคกลางซึ่งลงไปใต้สุด ได้แก่ ปราสาท
วัดกาแพงแลงจังหวัดเพชรบุรี ส่วนตะวันตกสุด ได้แก่ ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี และเหนือสุดที่
ปราสาทวัดเจ้าจันทร์ อาเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
จากหลักฐานทางด้านศิลปะขอมแบบบายนที่พบในดินแดนภาคกลางของประเทศไทยดังกล่าว สอดคล้อง
กับชื่อเมืองทีป่ รากฏในจารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่ปราสาทพระขรรค์ ซึ่งกล่าวถึงการสร้างอโรคยศาลา
(โรงพยาบาล) และธรรมศาลา (ที่พักคนเดินทาง) จานวน ๑๐๐ กว่าแห่ง ตามเส้นทางเดินจากเมืองนครธมไปยังศา
สนสถานต่างๆ พระองค์ได้พระราชทานพระชัยพุทธมหานาถไปประดิษฐานตามเมืองต่างๆ ๒๓ แห่ง และปรากฏ
ชื่อเมือง ๖ แห่งที่สันนิษฐานว่าอยู่ในบริเวณภาคกลางของประเทศไทยคือ ลโวทยะปุระ (ลพบุรี) ศรีชัยวัชรปุรี
(เพชรบุร)ี ชยราชปุรี (ราชบุรี) ศัมพูกะปัฏฏนะ (ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเมืองโบราณโกสินารายณ์ จังหวัดราชบุร)ี
สุวรรณปุระ (สุพรรณบุรี) และศรีชัยสิงหปุรี (เมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุร)ี ด้วยเหตุนี้เอง จึงทาให้สันนิษฐานได้ว่า
นอกเหนือจากอิทธิพลทางศิลปกรรมแล้ว อาจมีอิทธิพลทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แผ่มายังบริเวณ
ภาคกลางของประเทศไทยอีกด้วย
ได้พบหลักฐานปราสาทสาคัญที่จัดเป็นศิลปะแบบบายนอยู่เป็นจานวนมาก ทั้งทีเ่ ป็นศาสนสถานขนาด
ใหญ่ และเป็นโบราณสถานขนาดเล็กในรูปของอโรคยศาลา และธรรมศาลา ตามเส้นทางเดินจากเมืองพระนคร
มายังเมืองพิมายและพนมรุง้ บางแห่งก็เป็นปราสาททีส่ ร้างเพิ่มเติมในบริเวณที่เคยเป็นปราสาทอยู่กอ่ นแล้ว เช่น
ปรางค์พรหมทัต และปราสาทหินแดงในบริเวณปราสาทหินพิมาย ปราสาทสาคัญๆ ที่จัดเป็นศิลปะแบบบายน
ข้อมูลดีๆ จาก
http://guru.sanook.com/encyclopedia/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%
B2%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B
8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0
%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%
E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 30