You are on page 1of 14

ปราสาทขอมและพัฒนาการในดินแดนไทย

ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์


ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณดคี มหาวิทยาลัยศิลปากร

เพิ่มเติมรูปภาพและนาเสนอโดย นฤพนธ์ สายเสมา


ครู กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนสาโรงทาบวิทยาคม สพม. ๓๓ (จังหวัดสุรินทร์)

ในการศึกษาศิลปะขอมในประเทศไทย ได้ใช้การเรียกชื่อศิลปะอย่างเดียวกับศิลปะขอมในประเทศกัมพูชา
เป็นหลัก ซึ่งในการกาหนดอายุของปราสาทขอมนั้นได้แบ่งออกเป็น ๒ สมัยใหญ่ๆ ได้แก่ สมัยก่อนเมืองพระนคร
(พุทธศตวรรษที่ ๑๑- ๑๔) และสมัยเมืองพระนคร (พุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๘) และแบ่งออกเป็นสมัยย่อยเรียกเป็น
ชื่อศิลปะ แบบต่างๆ รวม ๑๔ แบบ ดังนี้
ก. สมัยก่อนเมืองพระนคร
๑. ศิลปะแบบพนมดา ราว พ.ศ. ๑๑๐๐ – ๑๑๕๐
๒. ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก ราว พ.ศ. ๑๑๕๐ – ๑๒๐๐
๓. ศิลปะแบบไพรกเมง ราว พ.ศ. ๑๑๘๐ – ๑๒๕๐
๔. ศิลปะแบบกาพงพระ ราว พ.ศ. ๑๒๕๐ – ๑๓๕๐
ข. สมัยเมืองพระนคร
๕. ศิลปะแบบกุเลน ราว พ.ศ. ๑๓๗๐ – ๑๔๒๐
๖. ศิลปะแบบพระโค ราว พ.ศ. ๑๔๒๐ – ๑๔๔๐
๗. ศิลปะแบบบาแค็ง ราว พ.ศ. ๑๔๔๐ – ๑๔๗๐
๘. ศิลปะแบบเกาะแกร์ ราว พ.ศ. ๑๔๖๕ – ๑๔๙๐
๙. ศิลปะแบบแปรรูป ราว พ.ศ. ๑๔๙๐ – ๑๕๑๐
๑๐. ศิลปะแบบบันทายสรี ราว พ.ศ. ๑๕๑๐ – ๑๕๕๐
๑๑. ศิลปะแบบคลัง (หรือเกลียง) ราว พ.ศ. ๑๕๕๐ – ๑๕๖๐
๑๒. ศิลปะแบบบาปวน ราว พ.ศ. ๑๕๖๐ – ๑๖๓๐
๑๓. ศิลปะแบบนครวัด ราว พ.ศ. ๑๖๕๐ – ๑๗๒๐
๑๔. ศิลปะแบบบายน ราว พ.ศ. ๑๗๒๐ – ๑๗๘๐
สาหรับปราสาทขอมที่พบในประเทศไทยอาจกาหนดตามช่วงระยะเวลาต่างๆ ดังนี้ คือ
ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ ซึ่งตรงกับศิลปะขอมสมัยก่อนเมืองพระนคร และร่วมสมัยกับวัฒนธรรม
ทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย อันเป็นสมัยแรกที่เริม่ ปรากฏหลักฐานการรับศาสนาจากอินเดีย ใน

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๒-

ระยะแรกนี้สงิ่ ปลูกสร้างที่เป็นปราสาทนั้นแทบจะไม่เหลือหลักฐานไว้ให้ศึกษาเลย เนื่องจากปราสาทในสมัยนีส้ ่วน


ใหญ่ก่อด้วยอิฐ จึงพังทลายไปตามกาลเวลา ยกเว้นเพียงชิ้นส่วนที่เป็นหิน เช่น ทับหลัง หน้าบัน และเสาประดับ
กรอบประตูเท่านั้นที่ยังคงปรากฏอยู่มี ปราสาทที่ยังหลงเหลือหลักฐานค่อนข้างสมบูรณ์อยู่เพียงหลังเดียวเท่านั้น
คือ ปราสาทภูมโิ ปน อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ที่สามารถศึกษารูปแบบได้

ปราสาทภูมิโปน ทับหลังของปราสาทภูมิโปน ศิลปะไพรกเมง


ปัจจุบับเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์

หลักฐานที่พบในช่วงนี้จะอยู่ในภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จงั หวัดจันทบุรี ปราจีนบุรี


สระแก้ว บุรีรมั ย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ความสาคัญของภาคตะวันออกนั้น นอกจากเป็นดินแดนที่ รับอารย
ธรรมจากภายนอกในระยะแรกแล้ว ยังเป็นจุดเชื่อมต่อทางวัฒนธรรม เช่น มีความสัมพันธ์กบั ทางภาคใต้ และ
แสดงการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างทวารวดีภาคกลางกับศิลปะขอมสมัยก่อนเมืองพระนคร หน้าบันหลาย
ชิ้นที่พบที่วัดทองทั่ว ซึ่งปัจจุบันชิ้นหนึ่งจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร อีก ๒ ชิ้นเก็บรักษาไว้ที่วัด
ทองทั่ว และวัดบน บริเวณเขาพลอยแหวน จังหวัดจันทบุรี หน้าบันดังกล่าวมีความสัมพันธ์กบั ศิลปะที่พบบริเวณ
จังหวัดอุบลราชธานี ทางตอนเหนือของประเทศกัมพูชา และทางตอนใต้ของประเทศลาว หลักฐานทีพ่ บอีกชิ้นหนึ่ง
คือ ทับหลัง ซึ่งพบทีป่ ราสาทเขาน้อย อาเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว กาหนดอายุอยู่ในศิลปะแบบไพรกเมง

ปราสาทเขาน้อย ทับหลังศิลปะไพรกะเมงของปราสาทเขาน้อย
(ภาพจาก http://www.mapculture.org/coppermine/ (ภาพจาก http://www.nectec.or.th/oncc/province/
albums/userpics/10001/normal_DSC01496.jpg) pictures/c21/sakaeo-101-2.jpg)

ในด้านประติมากรรม ได้พบหลักฐานชิ้นสาคัญเป็นรูปเทวสตรี ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพระอุมาเทวี พบที่


อาเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ปัจจุบันเป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด จัดเป็นประติมากรรม รุ่นเก่า

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๓-

สุดที่พบในประเทศไทย ตรงกับสมัยสมโบร์ไพรกุก (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒) โดยดูจากการนุ่งผ้ายาวและมีจีบหน้า


นาง ยกเป็นริ้วตามธรรมชาติ คาดเข็มขัดที่ส่วนหัวเป็นรูปไข่ ใกล้เคียงกับศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ จนถึงสมัยหลัง
คุปตะเป็นอย่างมาก
ประติมากรรมเนื่องในศาสนาฮินดูอีกจานวนหนึ่งทีพ่ บในแถบจังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว
ได้แก่ ศิวลึงค์ และพระนารายณ์ โดยเฉพาะพระนารายณ์สวมหมวกทรงกระบอกนั้นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์
กับศิลปะที่พบทางภาคใต้ และทีเ่ มืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ด้วย
นอกจากนี้ยงั ได้พบหลักฐานที่สาคัญคือ ร่องรอยของปราสาทแบบสมโบร์ไพรกุก บริเวณแก่งสะพือ
อาเภอพิบลู มังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมประติมากรรมหินทราย ที่สาคัญคือ ทับหลัง หรือหน้าบันที่วัดสุ
ปัฏนาราม ซึ่งกาหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ อีกชิ้นหนึ่งพบที่วัดสระแก้วใกล้กับแก่งสะพือ จัดอยู่ใน
ศิลปะแบบไพรกเมง ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ จากลักษณะลวดลายแสดงว่า มีความสัมพันธ์กับงานประติมากรรม
ทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย
ปราสาทภูมิโปน จังหวัดสุรินทร์ อยู่ที่ตาบลดม อาเภอสังขะ เชื่อกันว่าเป็นหลักฐานทางสถาปัตยกรรม
ขอมสมัยก่อนเมืองพระนครที่เก่าที่สุด ในประเทศไทยที่ยงั เหลือหลักฐานอยู่ จัดเป็นศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุกต่อไพ
รกเมง ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓ โดยดูจากระบบโครงสร้างทาง สถาปัตยกรรมทีม่ ีแบบแผนของศิลปะขอม
ก่อนเมืองพระนคร เช่น การมีเสาประดับมุม ซึ่งต่างจากสมัยหลังเมืองพระนครที่มีการเพิม่ มุม รวมทั้งมีการประดับ
ปราสาทจาลองตรงส่วนของเหนือกรอบประตูแต่ละด้าน และที่มุมหลังคาในแต่ละชั้น ในขณะที่สมัยหลังเมืองพระ
นครจะเปลี่ยนจากปราสาท จาลองมาเป็นบันแถลงแล้ว นอกจากนี้การประดับทับหลังที่มสี ่วนวงโค้งรูปเกือกม้ากับ
หน้าบันก็เป็นงานใน ลักษณะที่ใกล้เคียงกับศิลปะของประเทศอินเดีย รวมทัง้ ลวดลายที่หน้าบันทีเ่ หลืออยู่กม็ ี
ความสัมพันธ์อย่างมากกับศิลปะทวารวดีในภาคกลางและในอินเดีย สมัยคุปตะ
ที่ปราสาทภูมิโปนยังพบอาคารขนาดเล็ก ตั้งอยู่ในแผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า และทับหลังชิ้นสาคัญชิ้นหนึง่ ที่
แสดงลวดลายสิงห์ทมี่ ีปากเป็นนก มีวงโค้ง ๔ วง ประดับรูปเหรียญ ๓ วง อันเป็นลักษณะของทับหลังศิลปะแบบ
สมโบร์ไพรกุกต่อไพรกเมง เป็นหลักฐานสาคัญในการกาหนดอายุศาสนสถานแห่งนี้

ปราสาทภูมิโปน จ.สุรินทร์ ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุกต่อไพรกเมง (พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓)

ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕
ในช่วงระยะเวลานีจ้ ัดเป็นช่วงแรกของศิลปะขอมสมัยเมืองพระนคร ซึ่งเป็นศิลปะแบบพระโค บาแค็ง
เกาะแกร์ และแปรรูป ตามลาดับ หลักฐานปราสาทขอมในช่วงเวลานี้ ที่พบในประเทศไทยมีน้อยมาก และส่วน
ใหญ่อยู่ในสภาพพัง เพราะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐ การกาหนดอายุทาได้ค่อนข้างยาก สิ่งที่สามารถกาหนดอายุได้
ดีที่สุด คือทับหลัง รวมทั้งอาจมีศลิ าจารึกทีก่ ล่าวถึงการก่อสร้างไว้ด้วย ตัวอย่าง ปราสาททีจ่ ัดอยู่ในช่วงระยะเวลา

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๔-

นี้ ได้แก่ ปราสาทสระเพลง ปราสาทโนนกู่ ปราสาทเมืองแขก ที่อาเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทสังข์


ศิลป์ชัย ที่อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ และปรางค์แขก ที่อาเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ส่วนแหล่งอื่นๆ พบเฉพาะ
ทับหลัง แต่องค์ปราสาทพังทลายไปหมดแล้ว เช่น ทับหลังที่พบในบริเวณ เทวสถานพระนารายณ์ อาเภอเมืองฯ
จังหวัดนครราชสีมา เป็นศิลปะแบบพระโค ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕

ปราสาทพนมวัน จังหวัดนครราชสีมา
(ภาพจาก http://www.skn.ac.th/skl/project/korage92/n-21.jpg)

หลักฐานจากปราสาทพนมวัน อาเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา น่าจะเป็นแหล่งหนึง่ ทีเ่ คยมีปราสาท


ขอมในช่วงระยะเวลานี้ เพราะได้พบทับหลังและจารึกทีก่ รอบประตู กล่าวถึงพระนามของกษัตริย์เขมร ๒
พระองค์ คือ พระเจ้าอินทรวรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๔๒๐ - ๑๔๓๒) และพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๔๓๒ - ๑๔๔๓)
โดยทับหลังชิ้นหนึ่งเป็นศิลปะแบบพระโค และอีกชิ้นหนึง่ เป็นศิลปะแบบบาแค็ง สาหรับศิลปะแบบเกาะแกร์ได้พบ
หลักฐานทับหลังหลายชิ้นจากปราสาทหลายแห่ง เช่น ที่ปราสาทเมืองแขก อาเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
และที่ปราสาทสังข์ศิลป์ชัย อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ นอกจากนี้ยงั มีหลักฐานสาคัญแห่งหนึ่ง เป็นฐานปราสาท
ขนาดเล็กทีก่ ่อด้วยอิฐ บริเวณปราสาทพนมรุง้ จากลวดลายบน เสาประดับกรอบประตูและศิลาจารึก แสดงให้เห็น
ว่าบริเวณนี้เคยมีการสร้างปราสาทมาแล้วก่อนทีจ่ ะสร้างปราสาทพนมรุ้งขึ้นในภายหลัง

ปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี (ภาพจาก http://suvanai.files.wordpress.com/


2010/02/20100221_g002_p1450657s.jpg?w=360&h=270)
ปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี อยู่ที่อาเภอเมืองฯ นับเป็นหลักฐานปราสาทขอมในภาคกลางทีส่ าคัญ และ
เหลืออยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด ศาสนสถานแห่งนีเ้ ป็นปราสาทอิฐ ๓ หลัง โดยมีปราสาทหลังกลางที่มี

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๕-

ขนาดใหญ่เป็นประธาน จากลักษณะทางสถาปัตยกรรม แสดงให้เห็นถึงวิธีการก่อสร้างที่สบื ทอดมาจากใน


สมัยก่อนเมืองพระนคร กล่าวคือ เป็นปราสาทที่กอ่ อิฐแบบไม่สอปูน และยังไม่มีการเพิ่มมุมชัดเจน ในขณะที่ใน
สมัยหลังจะทาเป็นแบบเพิ่มมุมแล้ว การเข้ากรอบประตูศิลายังเลียนแบบเครื่องไม้ คือ มีลกั ษณะเป็นเสาติด ผนัง
ปรากฏอยู่ แต่ที่ศาสนสถานแห่งนี้ไม่ได้พบหลักฐานอื่นๆ เช่น ทับหลัง หรือลวดลายที่จะสามารถกาหนดอายุได้
อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ทีป่ รางค์แขกยังแสดงถึงความเป็นศิลปะพื้นเมืองที่ต่างไปจากศิลปะของขอมคือ การ
ประดับลายปูนปั้นทีฐ่ านสูงขึ้นอย่างมาก และเครื่องบนหลังคาก็เพิ่มมุมมากยิง่ ขึ้น อันเป็นต้นเค้าของปราสาทและ
ปรางค์ทมี่ ียอดเป็นทรงพุม่ ในระยะต่อมา สันนิษฐานว่า ปราสาทนีอ้ ยู่ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕ และ
จัดเป็นปราสาทขอมที่เก่าทีส่ ุดในภาคกลางของประเทศไทย

ส่วนยอดปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา มีลักษณะเป็นทรงพุ่ม

ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗
ในช่วงระยะเวลานี้ตรงกับศิลปะขอมแบบคลังบา-ปวน และแบบนครวัด ได้พบปราสาทขอม ในประเทศ
ไทยหลายแห่ง เช่น ปราสาทพนมวัน และปราสาทหินพิมาย ที่จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทกู่สวนแตง ปราสาท
พนมรุ้ง และปราสาทเมืองต่า ที่จังหวัดบุรรี ัมย์ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทบ้านพลวง และปราสาทศีขรภูมิ ที่
จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทสระกาแพงใหญ่ ที่จงั หวัดศรีสะเกษ ปราสาทกู่กาสิงห์ ที่จงั หวัดร้อยเอ็ด ปราสาทสด็อก
ก็อกธม ที่จงั หวัดสระแก้ว

ปราสาทบ้านพลวง จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๖-

ทับหลังปราสาทประธานปราสาทศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ พร้อมรูปผมเอง

รูปแบบและแผนผังของปราสาทในช่วงระยะเวลานี้ มีระเบียบแบบแผนเดียวกับปราสาทในกัมพูชาสมัย
เมืองพระนคร และเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ทจี่ ัดเป็นศาสนสถานประจาเมือง มีโครงสร้างทีส่ าคัญ คือ ปราสาท
ประธานที่อยู่ตรงกลางอาจมีหลังเดียว เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง หรือเป็นหมู่ ๓ หลัง ๕ หลัง หรือ
๖ หลัง เช่น ปราสาทเมืองต่า ปราสาทสระกาแพงใหญ่ ปราสาทศีขรภูมิ
การกาหนดอายุของปราสาทในช่วงระยะเวลานี้ พิจารณาจากแผนผังของอาคารโดยรวม รวมทั้งรูปแบบ
ของปราสาท เช่น มีการเพิ่มมุม และยอดปราสาทเป็นทรงพุ่ม สิ่งสาคัญที่ใช้ในการกาหนดรูปแบบและอายุ ได้แก่
ลวดลายประดับที่ทบั หลัง หน้าบันและเสาประดับกรอบประตู ลักษณะที่จัดเป็นศิลปะแบบคลัง-บาปวน ซึ่งปรากฏ
อยู่มาก ได้แก่ ทับหลังทีป่ ระกอบด้วยลายหน้ากาล คายท่อนพวงมาลัยอยู่ตรงกึ่งกลางด้านล่าง หน้ากาลมีลิ้นเป็น
สามเหลี่ยม มีมือมายึดท่อนพวงมาลัย มีภาพเล่าเรือ่ งเล็กๆ อยู่เหนือหน้ากาล เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้
หรือลายกระหนกม้วนออกทั้ง ๒ ข้าง ใต้ท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ม้วนเข้า หากมีลายเฟื่องอุบะมาแบ่งท่อน
พวงมาลัยออก เป็น ๔ ส่วน จะจัดเป็นแบบคลัง แต่ถ้า ไม่มีจะจัดเป็นแบบบาปวน ส่วนใหญ่ของปราสาทขอมใน
ประเทศไทย ในสมัยนี้จะพบลายดังกล่าวปะปนกันในศาสนสถานแหล่งเดียวกันหรือในปราสาทหลังเดียวกัน ทาให้
อาจกาหนดได้ว่าศิลปะแบบคลังบาปวนที่พบในประเทศไทยนั้นเป็น ศิลปะต่อเนือ่ งสมัยเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ที่
ปราสาทเมืองต่า ปราสาทสระกาแพงใหญ่
ทับหลังในศิลปะแบบนครวัดส่วนใหญ่ จะนิยมสลักภาพเล่าเรื่องประกอบด้วยรูปบุคคลเล็กๆ เต็มพื้นที่
เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทศีขรภูมิ นอกจากนี้ยังใช้หลักฐานของงานประติมากรรม
ประดับศาสนสถานเป็นตัวกาหนดรูปแบบทางศิลปะ เช่น ประติมากรรมรูปบุคคลในศิลปะแบบบาปวน จะสังเกต
ได้จากทรงผม ที่ถักและเกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยูเ่ หนือศีรษะคางเป็นร่อง ชายผ้านุ่งด้านหน้าเว้าใต้พระนาภี ด้านหลัง
สูงขึ้นมาถึงกึ่งกลางหลัง ในขณะที่ศิลปะแบบนครวัดนิยมมงกุฎทรงกรวย มีเทริด (กระบังหน้า) และประดับเครือ่ ง
ทรง
มีข้อสังเกตทีส่ าคัญทางด้านรูปแบบของปราสาทขอมศิลปะแบบนครวัดที่พบในดินแดนไทยในช่วงพุทธ
ศตวรรษที่ ๑๗ ที่มีลกั ษณะเฉพาะเกิดขึ้น โดยอาจถือเป็นงานที่พัฒนาขึ้นในท้องถิ่น ได้แก่ การทายอดปราสาทที่
เป็นทรงพุม่ เช่น ที่ปราสาทหินพิมายและปราสาท พนมรุ้ง โดยเปลี่ยนการประดับชั้นหลังคาจากปราสาทจาลอง
เป็นการประดับแผ่นหินที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยม ที่เรียกว่า นาคปักแทน ซึ่งในปัจจุบันพบว่าลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้น
ในประเทศกัมพูชาก่อนแล้ว

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๗-

ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ (ภาพจาก http://upload.wikimedia.org/


wikipedia/commons/d/d4/Prasat_Ta_Muen_Thom-3-HDC.jpg)
หลักฐานที่น่าสนใจในช่วงระยะเวลานี้คือ ได้พบว่ามีการสร้างปราสาทที่มีความสาคัญ และมีขนาดใหญ่
หลายแห่ง รวมทั้งได้พบหลักฐานเกี่ยวกับการก่อสร้าง เช่น ศิลาจารึกที่กล่าวถึงพระนามผูส้ ร้าง ทาให้ได้ข้อ
สันนิษฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ได้ในระดับหนึ่งว่า บริเวณภาคอีสานตอนล่างนีเ้ ป็นดินแดนสาคัญของอาณาจักร
ขอม โดยในบางสมัยอาจมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงที่มบี ุคคลสาคัญมาปกครอง หลักฐานจากจารึกได้กล่าวถึงพระ
เจ้าชัยวรมันที่ ๕ ซึ่งทรงสร้างปราสาทในแคว้นรอบนอกเมืองพระนคร หรือ “ดินแดนนอกกัมพุช” เช่น ปราสาท
เขาพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม พระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ ซึ่งทรงสร้างปราสาทหินพิมาย และนเรนทราทิตย์ซงึ่ สร้าง
ปราสาทพนมรุ้ง
ปราสาทสาคัญในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ ที่ควรกล่าวถึง มีดังต่อไปนี้
๑. ปราสาทเมืองต่่า จังหวัดบุรีรัมย์
อยู่ที่ตาบลจระเข้มาก อาเภอประโคนชัย ปราสาทแห่งนี้ไม่พบประวัติการก่อสร้าง และศิลาจารึก แต่
จากรูปแบบศิลปกรรมจัดอยู่ในสมัยของศิลปะแบบคลัง-บาปวน ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ต้นพุทธศตวรรษ
ที่ ๑๗

ทับหลังชิ้นหนึ่งที่ปราสาทเมืองต่า

ปราสาทเมืองต่าเป็นปราสาทที่ตงั้ อยู่บนพื้นที่ราบ มีแผนผังแบบล้อมรอบจุดศูนย์กลาง ประกอบด้วย


กาแพง สระน้า และระเบียงคดล้อมรอบตัวปราสาท ภายในมีปราสาท ๕ หลังอยูบ่ นฐานเดียวกันเรียงเป็น ๒ แถว
แถวหน้ามี ๓ หลัง แถวที่ ๒ มี ๒ หลังในลักษณะสับหว่างกัน องค์กลางด้านหน้าเป็นปราสาทประธาน เพราะมี
ขนาดใหญ่สุดแต่เหลือเฉพาะส่วนฐานตัวปราสาทก่อด้วยอิฐขัดผิวจนเรียบทีห่ น้าบันและทับหลังสลักด้วยศิลา ส่วน
กาแพงและระเบียงคดก่อด้วยหินทราย

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๘-

การกาหนดอายุของปราสาทพิจารณาจากลวดลายบนทับหลัง ซึ่งจัดอยู่ในศิลปะแบบคลัง-บาปวน
ประกอบด้วยลายที่สาคัญคือ มีหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัยอยู่กึ่งกลางด้านล่าง หน้ากาลมีลิ้นเป็นสามเหลี่ยมมีมอื
มายึดท่อนพวงมาลัย มีภาพเล่าเรื่องเล็กๆ อยู่เหนือหน้ากาล เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้หรือลายกระหนก
ม้วนออกทั้ง ๒ ข้าง ใต้ท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ม้วน โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุม่ ที่มลี ายเฟื่องอุบะมาแบ่ง
ท่อนพวงมาลัยออกเป็น ๔ ส่วน จัดเป็นศิลปะแบบคลัง อีกกลุ่มหนึ่งไม่มีลายเฟื่องอุบะ จัดเป็นศิลปะแบบบาปวน
แต่ส่วนใหญ่จะพบลายดังกล่าวร่วมกัน ดังนั้นจึงควรจัดเป็นสมัยต่อเนื่องกัน
สาหรับรูปเล่าเรื่องทีป่ รากฏบนทับหลังเป็นเรื่องในศาสนาฮินดู โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระอิศวร เช่น
พิธีสยุมพรพระอิศวร พระอุมามเหศวร (พระอิศวรและพระอุมาทรงโค) และเรื่องรองลงมา ได้แก่ พระกฤษณะและ
เทพเจ้าประจาทิศ นอกจากนี้ได้ค้นพบศิวลึงค์ และประติมากรรมเทวสตรี (พระอุมา) จึงทา ให้สันนิษฐานได้ว่าศา
สนสถานแห่งนี้สร้างขึ้นในลัทธิไศวนิกาย
๒. ปราสาทสระก่าแพงใหญ่ จังหวัดศรีสะเกษ
อยู่ที่อาเภออุทุมพรพิสัย จัดเป็นปราสาทขอมสาคัญแห่งหนึง่ ที่พบในประเทศไทย มีอายุในช่วงปลาย
พุทธศตวรรษที่ ๑๖ มีหลักฐานการก่อสร้างจากศิลาจารึกทีก่ รอบประตู ใน พ.ศ. ๑๕๘๕ กล่าวถึงการสร้างและ
อุทิศเทวาลัยแห่งนีเ้ พื่อถวายพระอิศวร

ปราสาทสระกาแพงใหญ่ ถ่ายจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
(ภาพจาก http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/8/87/Place_Sripruetesuan1.jpg/800px-
Place_Sripruetesuan1.jpg)

ปราสาทสระกาแพงใหญ่เป็นปราสาท ๓ หลังอยู่บนฐานเดียวกัน ด้านหน้ามีวิหาร หรือบรรณาลัย ๒


หลังคู่ ส่วนด้านหลังมีปราสาทอีกหนึง่ หลัง หมู่ปราสาทล้อมรอบด้วย ระเบียงคด ถัดออกไปเป็นสระน้ารูปคล้าย
ตัวแอล (L) และมีกาแพงล้อมรอบอีกชั้นหนึง่ จากลักษณะของแผนผังจะมีความใกล้เคียงกับ ปราสาทเมืองต่า
อย่างมาก แตกต่างกันเฉพาะจานวนปราสาทและการเรียงแถวเท่านั้น
ลักษณะแผนผังและลักษณะศิลปกรรมโดยเฉพาะลวดลายบนหน้าบัน และทับหลังจัดอยู่ใน ศิลปะ
ขอมแบบคลัง-บาปวน มีอายุสมั พันธ์กับจารึกในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ และเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู
ลัทธิไศวนิกาย ตามศิลาจารึกที่กล่าวถึงการอุทิศถวาย และงานศิลปกรรมที่ปรากฏเกี่ยวเนื่องกัน
๓. ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
อยู่ที่อาเภอพิมาย จัดเป็นศาสนสถานขอมที่ใหญ่ทสี่ ุดในประเทศไทยชื่อ “พิมาย” มาจาก “วิมาย”
ตามที่ปรากฏในจารึกที่กรอบประตูปราสาทว่า “กมรเตงชคตวิมาย” และ “พิมาย” เป็นชื่อของเมืองโบราณที่
ปรากฏในศิลาจารึกมาแล้วตั้งแต่พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ ที่กล่าวถึงเมือง “ภีมปุระ” และจารึกรุ่นหลังทีป่ ราสาทพระ

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๙-

ขรรค์ (พุทธศตวรรษที่ ๑๘) กล่าวถึงเมือง “วิมายะปุระ” ดังนั้นปราสาทหินพิมาย และเมืองพิมายจึงเป็น


ศูนย์กลางทางศาสนา และเป็นเมืองทีส่ าคัญในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ศลิ ปะขอมแพร่หลายในดินแดนไทย

ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา

หลักฐานในการก่อสร้างปราสาทหินพิมายนี้ เชื่อว่าเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่รัชกาล พระเจ้าชัยวรมันที่ ๖


(พ.ศ. ๑๖๒๓ - ๑๖๕๐) และสร้างเพิม่ เติมสมัยต่อมาในรัชกาลพระเจ้าธรนินทรวรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๖๕๐ - ๑๖๕๕)
และรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๖๕๖ - หลัง พ.ศ. ๑๖๙๓) จากหลักฐานได้พบจารึกที่กรอบประตูโคปุ
ระด้านทิศใต้ระบุ พ.ศ. ๑๖๕๑ จึงอาจถือเป็นศักราชของการสถาปนาปราสาทหินพิมาย*
ก. แผนผังและองค์ประกอบของปราสาทหินพิมาย
- ประตูเมือง และกาแพงเมืองปราสาทหินพิมายเป็นศาสนสถานศูนย์กลางของเมืองพิมาย
ดังนั้นจึงมีกาแพงเมืองคูน้าและคันดินล้อมรอบ ที่กาแพงเมืองแต่ละด้านประกอบด้วยประตูทางเข้า
- กาแพงและซุ้มประตูทางเข้าปราสาท (โคปุระ) มี ๒ ชั้น ถัดจากประตูเมืองเข้าไป เป็นกาแพง
ของปราสาทที่ล้อมรอบ ศาสนสถานชั้นนอก ระหว่างทางเดินเข้าไปจะมีอาคารทีเ่ รียกว่า ธรรมศาลา (ที่พักคน
เดินทาง) และสะพานนาคราชปรากฏอยู่แล้ว จึงเข้าสูป่ ระตูทางเข้าทีเ่ รียกว่า โคปุระ ซึ่งมีทั้ง ๔ ด้าน บริเวณนี้
มีบรรณาลัยตัง้ อยู่ระหว่างทาง ๒ หลัง ถัดจากชั้นนอกจึงเข้าสู่กาแพงชั้นในที่มโี คปุระทั้ง ๔ ด้านเช่นเดียวกัน เมื่อ
ผ่านกาแพงชั้นในจึงเข้าสู่บริเวณปราสาท
- ปราสาทประกอบด้วยปราสาทประธานและอาคารด้านหน้า ๓ หลัง ได้แก่ ปรางค์พรหมทัต
หอพราหมณ์ และปราสาทหินแดง ซึ่งสร้างขึ้นภายหลังในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
รูปแบบของปราสาทประธานประกอบด้วยอาคารทรงปราสาทที่ตั้งอยูบ่ นฐานบัวเตี้ยๆ ๒ ฐาน รองรับ
ส่วนกลางที่เป็นเรือนธาตุ ส่วนยอดเป็นหลังคาทรงปราสาทแบบเรือนชั้นซ้อนกัน ๕ ชั้น ที่มุมประธานของแต่ละชั้น
ประดับนาคปัก ส่วนที่ด้านประดับด้วยบันแถลง ส่วนยอดสุดเป็นทรงกลมคล้ายหม้อน้าเทพมนตร์ เรียกว่า กลศ
รูปแบบพิเศษของชั้นหลังคาปราสาทหินพิมาย คือ เปลี่ยนการประดับปราสาทจาลองในแต่ละชั้นมาเป็นนาคปัก
ทาให้ชั้นหลังคาเกิดเป็นทรงพุ่ม อันเป็นวิวัฒนาการสาคัญทางด้านรูปแบบปราสาทขอมในสมัยนครวัด
ตัวปราสาทประธานมีห้องทีเ่ ข้าไปภายในได้เรียกว่าห้องครรภคฤหะ อันเป็นทีป่ ระดิษฐานรูปเคารพ
ทางศาสนา ด้านหน้ามีอาคารห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ายื่นออกมา เรียกว่า “มณฑป” มีทางเดินเชื่อมต่อกันเรียกว่า “มุข
กระสัน” หรือ “อันตราละ”

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๑๐-

ข. ภาพเล่าเรื่องบนทับหลังและหน้าบัน
ศิลปกรรมที่ปราสาทหินพิมายที่น่าสนใจอย่างหนึง่ คือ ประติมากรรมภาพเล่าเรื่องบน
ทับหลังและหน้าบัน เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ว่าปราสาทหินพิมายจะเป็นพุทธสถานนิกายมหายาน แต่ภาพเล่าเรื่องที่
ประกอบ อยู่โดยรอบกลับเป็นเรื่องเล่าของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ยกเว้นภาพเล่าเรื่องที่ประดับรอบห้องครรภคฤ
หะทีเ่ ป็นส่วนสาคัญของศาสนสถาน จึงเป็นเรื่องของพุทธประวัติในนิกายมหายาน
ภาพเล่าเรื่องที่ปรากฏมากที่สุด ได้แก่ รามายณะ (รามเกียรติ์) ตอนสาคัญ เช่น พระรามพระลักษมณ์
ต้องศรนาคบาศ การรบระหว่างยักษ์กับลิง พระรามจองถนน และท้าวมาลีวราชว่าความ นอกนั้นจะเป็นเรื่องของ
เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ เช่น พระศิวนาฏราช พระอุมามเหศวร พระกฤษณะ และรูปเทพเจ้าประจาทิศ ส่วน
รูปสาคัญที่อยูโ่ ดยรอบห้องครรภคฤหะ ได้แก่ พุทธประวัตติ อนโปรดพญามาร หรือทรมานพญามหาชมพู และ
พระพุทธรูปนาคปรก นอกจากนี้ยงั มีรูปพระโพธิสัตว์ชิ้นสาคัญ ๒ รูป เป็นเรื่องของพระวัชรสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่
ได้รับยกย่องว่ามีฐานะเสมือนพระพุทธเจ้า และเรื่องไตรโลกยวิชัย ผู้กาจัดความโลภ โกรธ หลง เป็นหลักฐานชิ้น
สาคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปราสาทหินพิมายนีส้ ร้างขึ้นเพือ่ พระพุทธศาสนานิกายมหายาน
๔. ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์
บางทีเรียกว่า “ปราสาทหินเขาพนมรุง้ ” ตั้งอยู่ทตี่ าบลตาเป็ก อาเภอเฉลิมพระเกียรติ
ตัวปราสาทตัง้ อยู่บนภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วดังนั้นจึงมีปากปล่องภูเขาไฟที่เป็นสระน้า ธรรมชาติสาหรับปราสาท
ด้วย
คาว่า “พนมรุง้ ” มาจากศิลาจารึกทีก่ ล่าวถึงชื่อศาสนสถานแห่งนี้ว่า “วนรุง” ซึ่งหมายถึง ภูเขาอัน
กว้างใหญ่ หรือรุ่งเรือง มีแสง

ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์

ปราสาทพนมรุ้งเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ประจาเมือง บริเวณรอบๆ ปราสาทแต่เดิมน่าจะเป็นที่ตั้ง


ของชุมชนขนาดใหญ่ เพราะมีลาน้าไหลผ่านหลายสาย และด้านล่างยังมีปราสาทเมืองต่าทีม่ ี
บารายขนาดใหญ่ สาหรับหล่อเลี้ยงชุมชน จัดเป็นศาสนสถานที่อยู่ในเส้นทางจากเมืองพระนครของเขมรมายัง
เมืองพิมาย (เส้นทางสายราชมรรคาเหนือ)

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๑๑-

ประวัติการก่อสร้างปราสาทพนมรุง้ ได้จากหลักฐานศิลาจารึกพบทีป่ ราสาทจานวนหลายหลัก โดยมี


หลักหนึ่งกล่าวถึงพระนามของ “นเรนทราทิตย์” ซึ่งเป็นวีรบุรุษของชาวเขมรทีส่ ืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าสุริยวร
มันที่ ๒ ภายหลังพ่ายแพ้ศัตรู ได้เสด็จมาทรงพรตเป็นฤาษีบนยอดเขาพนมรุ้ง จึงสันนิษฐาน ว่า ปราสาทพนมรุง้
น่าจะสร้างขึ้นโดยนเรนทราทิตย์ ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗
เมื่อประมวลจากศิลาจารึกที่ได้พบทีป่ ราสาทแห่งนี้ถึง ๑๐ กว่าหลัก ทั้งหมดอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่
๑๖ - ๑๗ ซึ่งสัมพันธ์กับรูปแบบศิลปกรรม เช่น ลักษณะของตัวปราสาท และลวดลายประดับทีเ่ ป็นศิลปะแบบ
บาปวนต่อนครวัด
ปราสาทพนมรุ้งจัดเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย โดยดูได้จากหลักฐานทางศิลปกรรม
สาคัญทีเ่ ป็นรูปเล่าเรื่องทางศาสนา โดยเฉพาะที่ทับหลังด้านหน้าของห้องครรภคฤหะนั้น เป็นรูปของฤาษี ๕ ตน
รวมทั้งรูปของพระอิศวรในพรตของฤาษี ซึ่งสัมพันธ์กับจารึกที่กล่าวถึงนเรนทราทิตย์ที่มาบาเพ็ญพรตเป็นฤาษี ณ
ที่แห่งนี้ รวมทั้งในจารึกหลายหลักยังได้กล่าวถึงพิธีกรรมต่างๆ ในลัทธิไศวนิกายอีกด้วย
ก. แผนผังและรูปแบบปราสาท
ปราสาทพนมรุ้งมีแผนผังแบบตรงเข้าสู่จุดศูนย์กลาง เนื่องจากเป็นศาสนสถาน ที่ ตั้งอยู่บนภูเขา
มีทางเดินขึ้นจากด้านล่างขึ้นสูเ่ บื้องบน มีตัวปราสาทประธานหลังเดียว ล้อมรอบด้วยระเบียงคดที่มโี คปุระทั้ง ๔
ด้าน
- ปราสาทประธาน มีระเบียบแผนผังเดียวกับปราสาทหินพิมาย ตัวปราสาทอยู่ในผังสีเ่ หลี่ยม
จัตุรสั เพิม่ มุม มีมุขยื่นออกมา ๓ ด้าน ด้านหน้าเป็นมณฑปเชื่อมต่อด้วยฉนวนหรืออันตราละ ซึ่งเป็นลักษณะผังของ
ปราสาทในสมัยบาปวนต่อนครวัด ส่วนฐานของตัวปราสาทตั้งอยู่บนฐานบัวเตี้ยๆ สลักลวดลายกลีบบัวและลาย
ดอกสี่เหลี่ยม เรือนธาตุอยู่ในผังสี่เหลี่ยมจัตรุ สั เพิม่ มุม มีห้องเข้าไปภายในได้ เรียกว่า ห้องครรภคฤหะ สันนิษฐาน
ว่าแต่เดิมคงตั้งรูปเคารพคือ ศิวลึงค์ ส่วนยอดเป็นทรงปราสาทเรือนซ้อนชั้น ๕ ชั้น แต่ละชั้นประดับด้วยบันแถลง
และนาคปัก ลักษณะของนาคปักที่อยู่ในรูป สามเหลีย่ มนี้เองที่ทาให้ยอดปราสาทเป็น ทรงพุม่ เช่นเดียวกับปราสาท
หินพิมาย
ข. ลวดลายบนทับหลังและหน้าบัน
ที่ทับหลัง และหน้าบันมีลวดลายเป็นภาพเล่าเรือ่ งอันเป็นลักษณะนิยมในศิลปะแบบนครวัด
รวมทั้งเสาประดับกรอบประตูสลักลายสิงห์คายก้านต่อดอก ก็เป็นลักษณะของศิลปะแบบนครวัดด้วยเช่นกัน
เรื่องราวทีป่ รากฏอยูบ่ นทับหลังและหน้าบันที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ได้แก่ ทับหลังรูปนารายณ์
บรรทมสินธุ์ ซึ่งครั้งหนึง่ ได้ถูกลักลอบนาไปยังสหรัฐอเมริกา รัฐบาลไทยได้ติดตามทวงคืนกลับมาได้ และนากลับมา
ติดตั้งในที่เดิม เรื่องอื่นๆ ที่มีความสาคัญ ได้แก่ รูปเล่าเรื่องในลัทธิไศวนิกาย เช่น
พระศิวนาฏราช พระอุมามเหศวร พระศิวะมหาเทพ รูปเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับลัทธิไวษณพนิกาย ได้แก่ พระนารายณ์
บรรทมสินธุ์ และอวตารปางต่างๆ เช่น วิษณุตรีวิกรม (เป็นพราหมณ์เตี้ย) พระกฤษณะและมหาภารตะ เรื่องเล่าที่
ปรากฏอยู่มากทีส่ ุดคือ รามายณะ ตอนพระรามเดินดง วิราธลักนางสีดา นาคบาศ ท้าวมาลีวราชว่าความ และ
พระรามเสด็จกลับกรุงอโยธยา นอกจากนี้ยงั มีรูปเล่าเรื่องเทพชั้นรอง เทพประจาทิศ และที่สาคัญซึ่งปรากฏบนชั้น
แรกของหลังคาปราสาท ได้แก่ รูปเล่าเรือ่ งทีเ่ ป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นประวัติของ
นเรนทราทิตย์ นอกจากนี้ยังมีรปู ที่น่าสนใจปรากฏตามส่วนประกอบของตัวปราสาท ซึ่งเป็นภาพพิธีกรรมใน
ศาสนาพราหมณ์ และฉากแสดงชีวิตความเป็นอยู่
รูปทีป่ รากฏบนทับหลังทีส่ าคัญทีส่ ุด คือ ทับหลังหน้าห้องครรภคฤหะ เป็นรูปฤาษี ๕ ตน ซึ่ง
หมายถึง พระอิศวรทรงพรตฤาษีในไศวนิกายที่มีลทั ธิหนึ่งเรียกว่านิกาย “ปศุปตะ” ซึ่งเป็นหลักฐานว่าศาสนสถาน
แห่งนี้สร้างขึ้นในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๑๒-

กล่าวโดยสรุป จากรูปแบบศิลปกรรมปราสาทพนมรุง้ จัดอยู่ในศิลปะแบบนครวัดตอนต้น (ราวต้น


พุทธศตวรรษที่ ๑๗) ช่วงที่ยังมีการรักษารูปแบบของศิลปะแบบบาปวนอยู่ แต่คงสร้างขึ้นหลังปราสาทหินพิมาย
เล็กน้อย เพราะปราสาทหินพิมายยังมีลวดลายของศิลปะแบบบาปวนปรากฏอยู่ มากกว่า

ปราสาทเมืองต่า จ.บุรีรัมย์ ศิลปะขอมแบบคลัง -บาปวน (พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗)

ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งตรงกับศิลปะขอมแบบบายน กษัตริย์ขอมที่มีพระราชอานาจมากคือ พระ
เจ้าชัย วรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๖๒) ซึ่งทรงเป็นผู้กอบกู้เอกราชอาณาจักรขอมจากชนชาติจาม และได้
สถาปนาเมืองนครธมขึ้นเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ ได้เปลี่ยนศาสนาจากเดิมทีเ่ ป็นศาสนาฮินดูมาเป็น
พระพุทธศาสนานิกายมหายาน และได้สร้างศาสนสถานเป็นจานวนมาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระราชอานาจของ
พระองค์ ทั้งทางการเมืองและการพระศาสนา
จากหลักฐานทางศิลปกรรมแสดงให้เห็นว่าศิลปะแบบบายนซึ่งเป็นศิลปะรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นนั้น ได้
แพร่กระจายอยูท่ ั่วไปในดินแดนไทยทั้งอีสานเหนือและอีสานใต้ รวมทั้งในภาคกลางซึ่งลงไปใต้สุด ได้แก่ ปราสาท
วัดกาแพงแลงจังหวัดเพชรบุรี ส่วนตะวันตกสุด ได้แก่ ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี และเหนือสุดที่
ปราสาทวัดเจ้าจันทร์ อาเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
จากหลักฐานทางด้านศิลปะขอมแบบบายนที่พบในดินแดนภาคกลางของประเทศไทยดังกล่าว สอดคล้อง
กับชื่อเมืองทีป่ รากฏในจารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่ปราสาทพระขรรค์ ซึ่งกล่าวถึงการสร้างอโรคยศาลา
(โรงพยาบาล) และธรรมศาลา (ที่พักคนเดินทาง) จานวน ๑๐๐ กว่าแห่ง ตามเส้นทางเดินจากเมืองนครธมไปยังศา
สนสถานต่างๆ พระองค์ได้พระราชทานพระชัยพุทธมหานาถไปประดิษฐานตามเมืองต่างๆ ๒๓ แห่ง และปรากฏ
ชื่อเมือง ๖ แห่งที่สันนิษฐานว่าอยู่ในบริเวณภาคกลางของประเทศไทยคือ ลโวทยะปุระ (ลพบุรี) ศรีชัยวัชรปุรี
(เพชรบุร)ี ชยราชปุรี (ราชบุรี) ศัมพูกะปัฏฏนะ (ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเมืองโบราณโกสินารายณ์ จังหวัดราชบุร)ี
สุวรรณปุระ (สุพรรณบุรี) และศรีชัยสิงหปุรี (เมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุร)ี ด้วยเหตุนี้เอง จึงทาให้สันนิษฐานได้ว่า
นอกเหนือจากอิทธิพลทางศิลปกรรมแล้ว อาจมีอิทธิพลทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แผ่มายังบริเวณ
ภาคกลางของประเทศไทยอีกด้วย
ได้พบหลักฐานปราสาทสาคัญที่จัดเป็นศิลปะแบบบายนอยู่เป็นจานวนมาก ทั้งทีเ่ ป็นศาสนสถานขนาด
ใหญ่ และเป็นโบราณสถานขนาดเล็กในรูปของอโรคยศาลา และธรรมศาลา ตามเส้นทางเดินจากเมืองพระนคร
มายังเมืองพิมายและพนมรุง้ บางแห่งก็เป็นปราสาททีส่ ร้างเพิ่มเติมในบริเวณที่เคยเป็นปราสาทอยู่กอ่ นแล้ว เช่น
ปรางค์พรหมทัต และปราสาทหินแดงในบริเวณปราสาทหินพิมาย ปราสาทสาคัญๆ ที่จัดเป็นศิลปะแบบบายน

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๑๓-

ได้แก่ ปราสาทโคกปราสาท อาเภอนางรอง จังหวัดบุรรี ัมย์ ปราสาทตาเมือนโต๊จ อาเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์


ปราสาทเขาโล้น อาเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โบราณสถานเมืองศรีมโหสถ อาเภอศรีมโหสถ จังหวัด
ปราจีนบุรี ส่วนในภาคกลาง ได้แก่ พระปรางค์สามยอด อาเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี วัดพระศรีมหาธาตุ อาเภอ
เมืองฯ จังหวัดราชบุรี (เหลือหลักฐานเฉพาะกาแพงวัด) ปราสาทวัดกาแพงแลง อาเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบุรี
ปราสาทเมืองสิงห์ อาเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ศาลตาผาแดง ปราสาทวัดพระพายหลวง ในอุทยาน
ประวัติศาสตร์สุโขทัย และปราสาทวัดเจ้าจันทร์ อาเภอศรีสชั นาลัย จังหวัดสุโขทัย
ลักษณะรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของศิลปะแบบบายนมีขอ้ สังเกตทีส่ าคัญคือ ส่วนใหญ่เป็นปราสาทที่ก่อ
ด้วยศิลาแลงฉาบปูน และปั้นปูนประดับภายนอก ในสมัยนีม้ ีวิธีการก่อสร้างไม่ดีนกั ทาให้ตัว ปราสาทพังทลายได้
ง่าย ทั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาเรื่องวัสดุ และการเร่งรีบสร้างในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ โดยมีพระ
ประสงค์ทจี่ ะเผยแผ่พระพุทธศาสนาและแสดงอานาจทางการเมือง
จากหลักฐานทางศิลปกรรมที่พบตามแหล่งโบราณสถานศิลปะแบบบายนจัดเป็นพุทธสถานนิกายมหายาน
โดยเฉพาะรูปแบบของปราสาท ๓ หลัง ที่สร้างอยูบ่ นฐานเดียวกันซึ่งพบอยู่หลายแห่ง เช่น พระปรางค์สามยอด
จังหวัดลพบุรี ปราสาทวัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย สอดคล้องกับคติรัตนตรัย มหายานที่นิยมการบูชารูป
เคารพ ๓ องค์ คือ พระพุทธรูปนาคปรกอยู่ตรงกลาง ด้านขวาของพระพุทธรูปคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และ
ด้านซ้ายคือ นางปรัชญาปารมิตา งานประติมากรรมที่พบโดยทั่วไปในสมัยนี้ ได้แก่ พระพุทธรูปนาคปรก พระ
โพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี นางปรัชญาปารมิตา และรูปเคารพในพระพุทธศาสนา
นิกายมหายานอื่นๆ รวมทั้งเครื่องประดับสถาปัตยกรรม และเครื่องใช้สอยอื่นๆ อีกเป็นจานวนมาก
ปราสาทขอมในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ที่ปรากฏในภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่
๑. พระปรางค์สามยอด เมืองลพบุรี พระปรางค์สามยอดควรจะเรียกเป็น ปราสาทมากกว่าพระปรางค์
แต่ที่เรียกเป็นพระปรางค์เนื่องจากศาสนสถานแห่งนี้ได้รบั การดัดแปลงให้เป็นวัดในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช จึงเรียกชื่อตามสถาปัตยกรรมไทยที่นิยมกัน การเรียกชื่อปรางค์แขกในจังหวัดลพบุรีก็เนือ่ งด้วยเหตุผลนี้
เช่นกัน
พระปรางค์สามยอด เป็นศาสนสถานที่ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน และประดับด้วยลายปูนปั้น
ประกอบด้วยตัวปราสาท ๓ หลังตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน โดยมีลักษณะพิเศษกว่าปราสาท ๓ หลังอื่นๆ คือ มีฉนวน
เชื่อมต่อกันเรียกว่า มุขกระสัน อันเป็นลักษณะทีป่ รากฏในศิลปะแบบบายน ตัวปราสาทประกอบด้วยฐานบัว ซ้อน
กัน ๒ ฐาน รองรับส่วนของเรือนธาตุที่มีมุขยื่นออกมาทัง้ ๔ ด้าน โดยมีมุขกระสันเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ส่วนยอดเป็น
หลังคาทรงปราสาทแบบเรือนชั้น มีชั้นบัวเชิงบาตร ๒ ชั้น ชั้นหลังคาแต่ละชั้นประดับด้วยบันแถลงตามแบบ
ปราสาทขอมโดยทั่วไป ส่วนยอดเป็นกลศที่มีรปู แบบคล้ายหม้อน้าเทพมนตร์
จากรูปแบบของปราสาทและลวดลายประดับสามารถจัดเป็นศิลปะขอมแบบบายน โดยมีลกั ษณะ
บางอย่าง เช่น การทาชั้นบัวเชิงบาตร ๒ ชั้น ยอดปราสาทสอบเข้าและสูงขึ้น รวมทัง้ ลวดลายปูนปั้นบางลายแสดง
ให้เห็นฝีมอื ช่างท้องถิ่นปนอยู่ด้วย ลักษณะเฉพาะของงานศิลปกรรมบางอย่างทีเ่ กิดขึ้นที่นี่ ทาให้นักวิชาการ
กาหนดเรียกชื่อศิลปะแบบนี้ว่า “ศิลปะลพบุร”ี
พระปรางค์สามยอดจัดเป็นศาสนสถานที่สาคัญแห่งหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะขอมแบบ
บายนที่ปรากฏในภาคกลางของประเทศไทยในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และเมืองลพบุรีน่าจะมีความสาคัญใน
ฐานะศูนย์กลางอานาจทางการเมืองของเขมรในภาคกลางในช่วงระยะเวลานี้ รูปแบบของพระปรางค์สามยอดนี้ได้
เป็นต้นแบบ ให้แก่เจดีย์ทรงปรางค์ของไทยในระยะเวลาต่อมา เช่น พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัด
ลพบุรี พระปรางค์ในสมัยอยุธยาตอนต้น

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา


-๑๔-

๒. ปราสาทวัดก่าแพงแลง จังหวัดเพชรบุรี ศาสนสถานแห่งนี้ประกอบด้วยปราสาทประธาน ๓ หลัง


ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ด้านหน้ามีอาคารทรงปราสาทที่มีทางเดินทะลุถึงกันได้ ซึ่งน่าจะหมายถึงโคปุระ และมี
ปราสาทอีก ๒ หลังตั้งอยู่ด้านหลังปราสาทประธานทั้งหมดล้อมรอบด้วยกาแพงของศาสนสถาน อาคารทั้งหมดก่อ
ด้วยศิลาแลงฉาบปูนและปั้นปูนประดับ แต่ลวดลายส่วนใหญ่ได้ชารุดสูญหายไปตามกาลเวลา จากรูปแบบของ
ปราสาทที่กอ่ ด้วยศิลาแลง มีปราสาทประธาน ๓ หลัง จึงน่าจะมีคติการสร้างแบบรัตนตรัยมหายาน ในศิลปะขอม
แบบบายนช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ รวมทัง้ มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งที่นิยมในช่วงระยะเวลานี้คือ การเจาะช่อง
หน้าต่างทีส่ ลักลูกกรงลูกมะหวดเพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึง่ ปิดทึบ หมายถึง ส่วนของผ้าม่านที่ปิดช่องหน้าต่างเป็น
การเลียนแบบของจริง
๓. วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี ศาสนสถานแห่งนีเ้ ป็นอีกแห่งหนึง่ ที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะ
ขอมแบบบายนใน ภาคกลางของประเทศไทย แต่หลักฐานที่เหลืออยูม่ ีเพียงกาแพงวัดเท่านั้นที่ ปรากฏอิทธิพล
ศิลปะขอมแบบบายน คือ ก่อด้วยศิลาแลง และบนสันของกาแพงประดับด้วยแนวพระพุทธรูปปางสมาธิในซุ้มเรือน
แก้ว ซึ่งพระพุทธรูปดังกล่าวจะมีวัตถุเล็กๆ อยู่ในพระหัตถ์ มักตีความว่าเป็นหม้อยา จึงเรียกว่า พระไภษัชยคุรุ
ลักษณะการประดับพระพุทธรูปเป็นแนวบนกาแพงเช่นนีเ้ ป็นรูปแบบของปราสาทศิลปะแบบบายนทั้ งในประเทศ
กัมพูชา เช่น ที่ปราสาทตาพรมและปราสาทพระขรรค์ และในประเทศไทยในสมัยเดียวกัน ส่วนของปราสาท
ประธานหลังเดิม ถ้ามีอาจพังทลายไปหรือบูรณะขึ้นใหม่ในภายหลัง เพราะที่ปรากฏในปัจจุบันเป็นเจดียท์ รง
ปรางค์ในสมัยอยุธยาตอนต้นแล้ว
๔. ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ศาสนสถานแห่งนี้จัดเป็นปราสาทขอมที่แสดงให้เห็นถึง
อิทธิพลของศิลปะแบบบายนในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่แผ่มาถึงตะวันตกสุดของประเทศไทย และสันนิษฐาน
ว่าเป็นเมืองหนึ่งทีป่ รากฏในจารึกปราสาทพระขรรค์คือ “ศรีชัยสิงหปุร”ี
ปราสาทเมืองสิงห์ก่อด้วยศิลาแลงเคยพังทลายอย่างมาก ก่อนที่จะได้รบั การบูรณะ ขึ้นใหม่ในปัจจุบัน
ประกอบด้วยปราสาทประธานหลังเดียวล้อมรอบด้วยระเบียงคด และมีโคปุระทั้ง ๔ ด้าน หลักฐานสาคัญทีก่ าหนด
ว่าปราสาทแห่งนีม้ ีอิทธิพลของศิลปะ ขอมแบบบายนคือ การพบรูปเคารพที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนานิกาย
มหายานจานวนมาก โดยเฉพาะพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี และนางปรัชญาปารมิตา ที่มลี ักษณะรูปแบบ
เช่นเดียวกับทีพ่ บในประเทศกัมพูชาและแหล่งอื่นๆ ในประเทศไทยในสมัยเดียวกัน
๕. ปราสาทวัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย วัดพระพายหลวงมีปราสาท ๓ หลังอยูบ่ นฐานเดียวกัน
ปัจจุบันเหลือเพียงหลังเดียวด้านทิศเหนือ รูปแบบปราสาทและคติการสร้างมีความสัมพันธ์กับพระปรางค์สามยอด
ที่เมืองลพบุรี ซึ่งเกี่ยวข้องกับคติของรัตนตรัยมหายานดังกล่าวแล้ว แสดงให้เห็นถึงร่องรอยศิลปะขอมแบบบายน
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ก่อนที่จะเข้าสูส่ มัยสุโขทัย นอกจากนี้ยังได้พบปราสาทหลังอื่นอีก ได้แก่ ศาลตาผาแดง
ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และปราสาทวัดเจ้าจันทร์ อาเภอศรีสัชนาลัย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะ
ขอมแบบบายนที่ขึ้นไปเหนือสุด ณ ที่แห่งนั้น

ข้อมูลดีๆ จาก
http://guru.sanook.com/encyclopedia/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%
B2%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B
8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0
%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%
E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 30

เอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ (ส๓๐๒๐๑) นฤพนธ์ สายเสมา

You might also like