Professional Documents
Culture Documents
ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life
ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life
A Wonderful Life
รักยิ่ง
วันชัย ประชาเรืองวิทย
2
สารบัญ
ภาค 1 ชีวิตที่แสนวิเศษ
1 คุณตองไดในสิ่งที่คุณตองการ 6
2 แตวาฉันไมมีปญญาไดมันมาแน 7
3 ขุมพลังทั้งสามภายในตัวเรา 8
4 บันดาลโทสะ 10
5 ระหวางเหตุผล กับอารมณ 11
6 ขุมพลังทั้งสาม กับสิ่งที่เราตองการ 12
7 ผูเชี่ยวชาญดานความหดหู และความเครียด 13
8 กลยุทธที่ไมมีวันไดผล 14
9 สสารและพลังงาน 15
10 มนุษยแมเหล็กไฟฟา กับกฎแหงการดึงดูดชักนําพา 17
11 ซวยซับซวยซอน เพราะสงจดหมายเชิญผิดใบ 19
12 บทเรียนจากกอนหิน 21
13 “ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาใหปลอยวางเสีย” 22
14 กฏแหงการมุงเนน 24
15 ระหวางความคิด กับความรูสึก 25
16 ตลาดหุน กับตลาดอารมณ 28
17 เราสรางอารมณขึ้นมาไดอยางไร 29
18 อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหว 30
19 อารมณถูกสรางขึ้นจากภาษาที่เราใช 33
20 ผมกลายเปนสายลม 35
21 คุณภาพชีวิตคือคุณภาพของการสื่อสาร 37
22 องคประกอบทั้งสามของการพูดจากัน 39
23 อารมณถูกสรางขึ้นจากภาพในใจและลักษณะของภาพ 41
24 การสรางพลังแหงจินตนาการ (การสรางภาพในใจ) 43
25 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 1 44
26 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 2 45
27 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 3 46
28 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 4 48
3
29 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 5 50
30 การตื่นขึ้นครั้งใหญของผม...T x E = R 52
31 อารมณเสีย...เปลี่ยนมันซะ 55
32 ทําจิตใจใหผองแผว 57
ภาค 2 ระบบใหญในตัวเรา
1 เมื่อเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนตาม 61
2 สองแสนครั้งกับการถูกปฏิเสธและหามปราม 64
3 กรอบความคิด...ปอมปราการที่ตองฝาทะลุออกไป 66
4 คําถามคืออะไรกันแน? 69
5 ธรรมชาติของคําถาม และอานุภาพของมัน 70
6 ความเชื่อและกฏแหงความเชื่อ 73
7 แหลงที่มาของความเชื่อ 74
8 พวกเรามีความเชื่อแบบไหนกับตัวเราเอง 79
9 ความเชื่อที่ทรงพลัง 7 ประการ 82
10 การทําลายความเชื่อ 90
11 สรางความเชื่อใหมเขาไปแทนที่ 93
12 เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อ เราไดเปลี่ยนการคาดหวังไปดวย 94
13 พลังแหงทัศนคติ 95
14 พลังแหงความรูสึก 97
15 ความพึงพอใจ กับความเจ็บปวด 99
16 ตายแทนลูก 100
17 ลดความอวนไมได 101
18 ผัดวันประกันพรุง 102
19 กินแมลงสาบ 103
20 กาตมน้ําแหงความเจ็บปวด 104
21 การลงเอยที่ยิ่งใหญไมใชความรู แตคือการกระทํา 106
22 ไรการปฏิบัติ ปฏหาที่แทจริงของคนในโลก 108
23 เขาแทรกแซงระบบใหญ 110
4
ภาค 3 วิธีดึงดูดสิ่งที่คุณตองการ
1 อํานาจที่กระตุนใหมนุษยลงมือทํา 114
2 การผสมผสานของแรงขับทั้งเจ็ด 123
3 วิธีดึงดูดสิ่งที่พวกเราตองการ 125
4 การตั้งปณิธานกับสิ่งที่ตองการ 131
5 เขียนบทใหม ใหตรงกับที่เราอยากใหมันเปน 133
6 เปลี่ยนจากคิดมาเปนรูสึก 137
7 จัดเตรียมสิ่งที่จะขอบคุณไวเสมอ 139
8 วิธีสรางความรูสึกดีแบบอื่น ๆ 140
9 พวกเราทําอยางไรแลวดีขึ้น 141
10 ขั้นที่ 4 ปลอยใหมันเกิดขึ้น 142
ภาค 4 อนาคตอยูในกํามือของเรา
1 ภูเขาแหงความมั่งคั่งทั้งหก 145
2 ชวงสมองอีกสองเรื่อง 147
3 สิ่งที่ฉันตองการ? 148
4 ตั้งเปาหมาย 150
5 สูตรความสําเร็จ 153
6 สิ่งที่หยุดเราไวคือความกลัว 154
7 เรากลัวอะไรกันบาง? 155
8 หมดสิทธิ์หยุดการพัฒนาตนเอง 158
9 สถิติไมโกหก 160
10 เปนเจาแหงการใชกลยุทธ 161
11 พวกเราตองการมันไหม? 162
5
บทที่ 1
คุณตองไดในสิ่งที่คุณตองการ
คุ ณ ผู อ า นที่ รั ก ตลอดเวลาหลายป ที่ ผ า นมา ผมมุ ง เน น ศึ ก ษาว า อะไรคื อ หั ว ใจแห ง ความสุ ข และ
ความสําเร็จ และดวยจิตใจเชนนั้น ในที่สุดผมก็ไดคนพบสิ่งที่ผมตองการ ครั้งแรกเมื่อผมไดรับคําตอบ
นั้น ผมตกตะลึงกับความเรียบงายของมัน และตกใจวามันชางอยูใกลชิดกับพวกเราขนาดไหน ผมรูสึก
ตื่นเตนจนตองรีบเขียนหนังสือเลมนี้อยางเรงดวน ผมเชื่อมั่นวาจะเปนประโยชนตอพวกเราคนไทย
อยางแทจริงและสักวันหนึ่ง บางทีคนตางชาติอาจไดอานมันก็เปนไปได ผมหวังวามันจะเกิดขึ้นในอีก
ไมกี่ปขางหนา
หนทางหนึ่งที่แนนอนที่คุณจะมีความสุขและรูสึกวาประสบความสําเร็จก็คือ คุณตองไดในสิ่งที่
คุณตองการ ขอย้ําอีกครั้งวา คุณจะรูสึกมีความสุขไดจริง ๆ ก็ตอเมื่อคุณไดสิ่งที่คุณตองการ ในขณะนี้
ผมขอใหคุณเผิดใจกวางกับคําวา “สิ่งที่คุณตองการ” วามันอาจเปนอะไรก็ไดทั้งสิ้น ไมวาจะเปนวัตถุ
สิ่งของหรือนามธรรมที่จับตองไมไดก็ตาม ตราบใดที่คุณยังไมไดพวกมันแตคุณรูสึกอยูวาตองการ ผม
แนใจวาคุณไมอาจกลาวไดวาคุณสมหวัง หรือกลาวอีกอยางวาคุณสุขใจเต็มที่ไมไดนั่นเอง ที่พูดอยาง
นี้ถือวานอยไป เพราะที่จริงนั้นคุณอาจจะถึงขั้นเซ็ง เบื่อ ทอแท หรือ ทุกขทรมานดวยซ้ําไปตราบใดที่
คุณยังไมไดในสิ่งที่คุณตองการหรือไดในสิ่งที่คุณไมตองการ
โชครายก็คือ บางครั้งคุณก็รูไมชัดเจนวาคุณตองการอะไร! สิ่งนี้ไมเพียงเกิดขึ้นกับคุณแตกําลัง
เกิดขึ้นกับคนคอนโลก จึงไมตองสงสัยเลยวาพวกเราจะสับสนกันขนาดไหนในเมื่อเราก็ไมรูชัดเจนวา
เราตองการอะไร และเพื่อที่จะแกไขสิ่งนี้ ผมขอใหคุณฝกถามตนเองดวยคําถามนี้บอย ๆ ”ฉันตองการ
อะไร ?” หรือ “จริง ๆ แลวฉันตองการอะไร?”
ผมขอแนะนําใหคุณฝกถามตนเองดวยคําถามนี้ไปตลอดหนึ่งเดือนเต็มจนเปนนิสัย ไมวา
คําตอบที่ไดจะเปนอะไรก็ใหจดไวเรื่อย ๆ อยาใหลืมเปนอันขาด เมื่อไดคําตอบเพิ่มเติมอีก ก็จดลงไปอีก
หากคุ ณ ลงมื อ ฝ ก ฝนตนเองเช น นี้ ผมรั บ ประกั น ว า คุ ณ จะเปลี่ ย นแปลงตนเองไปอย า งมหาศาล
เพราะวาคุณไดกํากุญแจดอกเอกที่คนคอนโลกทําหลนหายไวในมือของคุณ จําไวเสมอวามันเปน
หนทางเดียวที่เพิ่มโอกาสใหคุณสมหวังเพราะวาคุณจําเปนตองไดรับในสิ่งที่คุณตองการ หาไมแลวคุณ
ก็จะไมมีทางพบกับความสุขและความสําเร็จที่คุณตองการได
6
บทที่ 2
แตวาฉันไมมีปญญาไดมันมาแน
7
บทที่ 3 ขุมพลังทั้งสามภายในตัวเรา
1. พลังกาย หรือเรี่ยวแรงของเรา
สิ่งนี้ยอมตองหมายถึงพลังที่ผลิตขึ้นจากรางกายของเราอยางแนนอน และเพราะวาเราตองกิน
ขาวดื่มน้ําทุกวัน เราจึงมีพลังกายในระดับหนึ่งอยูเสมอ รางกายของเรานั้นเปรียบไดกับรถสัก
คันหนึ่ง ยิ่งมันมีพลังมาก ทนทาน และสมรรถนะที่ดีมากเทาไหร มันก็ยิ่งรับใชเราไดยืนยาว
และคงทนเทานั้น นี่ก็คือคนที่อายุยืนและแข็งแรงหรือสุขภาพดีนั่นเอง
2. พลังสมอง หรือพลังแหงความคิด
8
อาจพูดอีกอยางไดวา เมื่อคุณอยูในสภาวะจิตที่มีพลังที่สุด คุณจะใชเครื่องมือที่เรียกวา “พลัง
สมอง” ไดอยางมีประสิทธิภาพมากขึ้น แตถาคุณอยูในสภาพวะจิตที่ออนแอที่สุดแลว ไมวา
คุณจะมีสมองที่ดีเลิศปานใดฏตาม คุณจะพบวามันไรประโยชนสิ้นดี แลวผมจะคอย ๆ แสดง
ใหคุณเห็นวาพลังแหงสภาวะจิตที่เลอเลิศนั้น เปนพลังที่ยิ่งใหญที่สุดใหคุณทราบตอไป
9
บทที่ 4
บันดาลโทสะ
10
บทที่ 5
ระหวางเหตุผล กับอารมณ
11
บทที่ 6
ขุมพลังทั้งสาม กับสิ่งที่เราตองการ
12
บทที่ 7
ผูเชี่ยวชาญดานความหดหูและความเครียด
13
บทที่ 8
กลยุทธที่ไมมีวันไดผล
คนเยอะมากทั่ ว โลกกํา ลั ง หดหู เซ็ ง และดํา เนิ น ชี วิ ต ประจํ า วั น แบบคนไร สุข ทวา นั่ น คื อ กลยุ ท ธ ที่
ผิดพลาดมากที่สุดเทาที่จะมากได มันเปนกลยุทธที่แยที่สุดที่เรามักเลือกเสียดาย และที่สําคัญก็คือ มัน
เปนกลยุทธที่ใชแลวไมไดผล หากวาอาการเซ็ง เบื่อ บน คร่ําครวญ ตําหนิ และหดหู สามารถทําใหเรา
ไดมาซึ่งสิ่งที่เราตองการ คุณผูอานที่รัก ผานนี้ คนหกพันลานคนทั่วโลกคงสมความปรารถนากันไป
หมดแลว แตเราไมมีทางไดอะไรมาดวยการกระทําเชนนั้นแน เรามามารถที่จะนั่งลงพื้น กระทืบเทา
รองไหแบบเด็กสองสามขวบ แลวโลกนี้ก็จะหันมาสนใจเราพรอมกับหยิบยื่นสิ่งที่เราตองการมาให ไม
เลย มันไมเปนเชนนั้นเลย ยิ่งไปกวานั้น ในฐานะที่เราเปนผูใหญกันแลว ควรหรือที่เราจะนั่งลง กระทืบ
เทา แลวก็รองไห โดยหวังวาเราจะไดในสิ่งที่เราตองการ และสมมติวาบังเอิญเราไดในสิ่งที่เราตองการ
ดวยวิธีนั้น งั้น ชาตินี้เรามิตองนั่งลง กระทืบเทา และรองไหไปชั่วชีวิตนับพันนับหมื่นครั้งเพื่อรองขอใน
สิ่งที่เราตองการอยางนั้นหรือ! ในโลกแหงความเปนจริงเราทําเชนนั้นไมไดแน แตแลวมันตางกันสักแค
ไหนที่เรามักจะเซ็ง เบื่อ บน ตําหนิ คร่ําครวญ กลุมใจ และหดหู ในยามที่เราไมไดในสิ่งที่เราตองการ
รูปแบบของอาการเหลานี้
สภาวะจิตที่ไรพลังเหลานี้ อารมณความรูสึกที่แย ๆ เหลานี้ ผมขอถามหนอยวามันดีกวาเด็ก
เล็กที่รองไหนอนดิ้นอยูกับพื้น และกระทืบเทาเพื่อรองขอในสิ่งที่เขาตองการตรงไหน เราทําไดดีกวาเด็ก
เล็กแคไหนกัน จะวาไปแลวผมวาเราแยกวาเด็กเล็กดวยซ้ําไป เพราะวาเราอยูในสภาวะเซ็ง กันทั้งปทั้ง
ชาติ เราไรสุขไดทุกเมื่อเชื่อวัน ราวกับวาวิธีการเชนนี้จะนําเราไปสูสิ่งที่เราตองการไดสําเร็จ แตคุณก็รู
วามันไมจริงเลย มันไมไดผล มันเปนโทษมาก แตเราก็ยังคงหลับหูหลับตาใชกลยุทธที่ไมเคยไดผลกัน
ตอไป ราวกับวาความหดหูชางเปนเปาหมายที่ใหญโตเหลือเกินในการเกิดมาเปนมนุษย จนพวกเรา
พิชิตเปาหมายแหงความหดหูไดสําเร็จอยางสมบูรณแบบ...กลาวคือ...พวกเราเซ็งมันไดทุกวันและใน
ทุกโอกาสพวกเราเซ็งแบบไมมีวันหยุด เว็งจนกวาเราจะตายไปจากโลกนี้ แตนี่นะหรือชีวิต ชางนา
เสียดายอะไรเชนนั้น!
หนทางแกไขหนทางเดียวคือการเขาไปรูจักความนากลัว ที่แทจริงของความหดหูวามันไมจบ
แคตัวมันเอง แตมันจะดึงดูดชักนําพาเรื่องเลวรายสารพัดเขามาสูชีวิตของเราไดอยางไร นี่คือหนทาง
เดียวที่จะจะโบกมือลา “ความหดหู” ไดสําเร็จ แตกอนที่จะพูดถึงเรื่องนั้นตอไป เราตองไปรูจักกับเรื่อง
ของ “สสารและพลังงาน” กอน
14
บทที่ 9
สสารและพลังงาน
15
พลังงาน เพียงแตวาพวกเรายังรูนอยมากวาจิตวิญญาณของเราเปนพลังงานที่มีคุณสมบัติอะไรบาง
เมื่ อผมยัง เปน เด็ ก กว า นี้ ผมกลัว ผี ก็เ พราะวา วิญญาณหรือที่เ ด็ กอย างผมเรี ย ก “ผี ” นั้น สามารถมี
คุณสมบัติพิเศษที่ลองลอยไปหลอกหลอนคนและปรากฏตนในรางที่โปรงแสงที่แสนจะนาเกลียดนา
กลัวได เด็กและผูใหญลวนเหมือนกัน พวกเรากลัวในสิ่งที่อธิบายไมได พอ ๆ กับที่คนโบราณกลัวฟา
รองฟาผา เรากลัวเพราะไมรูจะจัดการหรือรับมือกับมันอยางไร และเมื่อใดก็ตามที่เรามีสติปญญามาก
ขึ้น จนเราพอจะเขาใจปรากฏการณนั้น ๆ หรือคุณสมบัติของพลังงานตาง ๆ ไดแลวเราก็จะไมกลัว ยิ่ง
ไปกวานั้น เราจะคิดนําคุณสมบัติของพลังงานที่เราเขาใจแลวมาใชใหเปนประโยชนไดอีกดวย สิ่งหนุง
ที่ยากตอการพิสูจนก็คือ เปนไปไดหรือไมวา คุณสมบัติประการหนึ่งของจิตวิญญาณก็คือ มันสามารถ
เก็บกักกรรม (ซึ่งอาจเปนทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว) ที่ยังไมสงผลไวไดอยางละเอียดแมนยํา และดวย
คุณสมบัติของมัน มันจะนําสิ่งที่เหมาะสมกับกรรมีที่ยังไมไดสงผลใหมาบังเกิดในชาติถัด ๆ ไป สวน
กรรม (ดีและชั่ว) ที่สงผลแลวในชาตินี้ ยอมจบลงอยางสมบูรณ ไปแลวดวยตัวมันเอง ในฐานะชาวพุทธ
คําสอนที่วา “ทําดีไดดี และทําชั่วไดชั่วนั้น” จึงเปนคําสอนที่ปลอดภัยที่สุด เพราะวาสิ่งที่ยังไมสงผลนั้น
อาจเก็บกักไวในคุณสมบัติของจิตวิญญาณเพื่อรอที่จะสงผลตอไปในกาลเวลาขางหนาอันเหมาสมก็ได
สิ่งที่ผมไดกลาวนี้เปนความลี้ลับที่นักวิทยาศาสตรยังพิสูจนไมได แตผมรูสึกวามันปลอดภัยดีถาหากวา
กรรมที่ยังไมไดสงผลนั้น...ลวนแตเปนกรรมดี
เอาละ ผมจะเขาเรื่องเสียทีในบรรรดาสิ่งหนึ่งที่ทําใหเราไมวางไดมากที่สุดก็คือ “ความคิดของ
เรา” ผูเชี่ยวชาญดานสมองบอกเราวา มนุษยคิดกันอยูเรื่อยราววันละหาหมื่นเรื่องเห็นจะได อืมมมม...
อะไรมันจะมากขนาดนั้น! แตผมเห็นดวยเพราะวามันแคแวบเดียวอยูเรื่อย แลวเราก็กระโดดไปคิดอีก
เรื่องหนึ่งแลวก็อีกเรื่องหนึ่งไปเรื่อย ๆ เราหยุดคิดไดที่ไหนกันเลา เอาละ... เพื่อใหตลก ใครที่หยุดคิดได
ยกมือขึ้น มันไมมีปุมเปดปดความคิดนี่คุณ แลวคุณจะหยุดคิดไดอยางไร คุณอาจคานวา “เฮ... แลว
พระที่จิตวางละ ทานตองหยุดคิดไดสิ” ถูกตองแลวครับวาพระที่ฝกเจริญสติจนอยูกับปจจุบันอยางเต็ม
รอยยอมอยูเหนือความคิดได แตวาผมไมนับครับ ผมนับเฉพาะคนอยางคุณกับผมและคนทั่วไปทั่วโลก
ตางหาก พวกเราจํานวนนับไมถวนลวนแตหยุดคิดกันไมไดทั้งนั้นแหละเชื่อผมเถอะ และผมก็ไมได
ขอรองใหพวกเราหยุดคิดดวย แตสิ่งที่ผมสนใจจริง ๆ ก็คือ... เจาความคิดนั่นแหละ...มันคืออะไรละ?
คําตอบก็คือ... มันเปนพลังงานชนิดหนึ่งเชนกัน! คุณคงไมตกใจเทาไหรสินะ... ผมคาดเดา แตผมสิ ผม
ทั้งตกใจและตื่นเตนเมื่อผมเริ่มเขาใจมันในฐานะที่เปนพลังานชนิดหนึ่ง เมื่อกรอบความคิดของผมที่มี
ต อ คํ า ว า “ความคิ ด คื อ อะไร?” ได รั บ ความกระจ า งมากขึ้ น ชี วิ ต ของผมก็ เ ปลี่ ย นแปลงไปจนไม
เหมือนเดิมอีกเลย เรามาดูกันสิวาความคิดเปนพลังงานในลักษณะใด
16
บทที่ 10
มนุษยแมเหล็กไฟฟา กับกฏแหงการดึงดูดชักนําพา
17
...เมื่อเราอารมณดี ราเริง ยิ้มแยมแจมใส ปติยินดี ตื่นเตนเราใจ และสุขใจอยางเหลือลน เรากําลัง
ดึงดูดชักนําพาใหคนดี ๆ สถานการณดี ๆ ความโชคดี และสิ่งดีสารพัด เขามาหาเราอยางมากมาย
มหาศาลนั่นเอง ในทางตรงกันขาม เมื่อเราเซ็ง บน ตําหนิ เบื่อหนาย ถอนหายใจมาก ๆ กลัดกลุมใจ
สลดใจ สมเพชตนเอง หดหูใจ และอะไรก็ตามที่รูสึกแยมาก ๆ เรากําลังดึงดูดชักนําพาใหคนเลว ๆ
สถานการณเลว ๆ โชคราย และสิ่งเลวรายสารพัดเขามาหาเราอยางมากมายมหาศาลเชนกัน
จะวาไปแลว คนโบราณเกงกวาที่ผมคิดไวมาก พวกเขาไดคนพบ “กฏแหงการดึงดูดชักนําพา”
มากวาสองพันปแลว อยางไรก็ตาม ในสมัยนั้น (ซึ่งสมัยนี้ก็ยังใชกันอยู) กฏนี้ไดกลาวไวสั้น ๆ อยางทรง
พลังวา “ของที่เหมือนกันดึงดูดกัน” แตในฐานะที่ผมไดศึกษาเรื่องนี้มามาก ผมไดขยายกฏนี้ใหยาวขึ้น
และตอไปนี้คือกฏแหงการดึงดูดชักนําพาฉบับใหมลาสุดของผม กฏนี้กลาววา “ของที่เหมือนกันดึงดูด
กัน เราไดดึงดูดชักนําพา ผูคน สถานการณ ความประจวบเหมาะ ตลอดจนเงื่อนไขและสภาวะการณ
ตาง ๆ ที่ตรงกับความถี่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟของเราที่สรางขึ้นจากความคิดจิตใจของเราที่สงออกไป
ในอวกาศทุกขณะอยางหลีกเลี่ยงไมได”
คุณผูอานที่รัก ดั่งที่ผมไดกลาวตั้งแตแรกแลววา พวกเราจํานวนมาไดทําตัวเปน “ผูเชี่ยวชาญ
ดานความหดหูและความเครียด” พวกเราลวนแลวแตดําเนินกลยุทธที่ผิดพลาด นอกจากจะไมไดผล
และไมไดสิ่งที่เราตองการแลว กลยุทธ เชนนั้นกลับกลายเปนสาเหตุที่แทจริงที่ชักนําแตเรื่องที่เราไม
ตองการเขามาหาเราเปนขบวนพาเหรด เราตองหยุดมันโดยการฝกฝนตนเองใหเปนผูเชี่ยวชาญดาน
ความราเริงและผองใสกันเสียที สมัยกอน ผมไดยินคนบางคนสบถวา “ถึงผมจะเซ็ง จะเครียด จะหดหู
มันก็เรื่องของผม แลวมันหนักหัวใคร!” ขอประทานโทษ ผมทราบดีวามันไมหนักหัวผม แตวาคนเลว ๆ
และสถานการณเลวรายอีกมากที่คนคนนี้กําลังไปดึงดูดเขามาหาตัวเขานั้น พวกมันไมสนใจหรอกวา
หนักหัวใคร เพราะวาพวกมันมาตามคําเชิญ แหงพลังดึงดูดชักนําพาที่สบัตรเชิญไปตามพวกมันดวย
คลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํา ๆ ชนิดเดียวกัน ใหเขามาสรางปญหาอยางไมมีทางหลีกเลี่ยงได ขอให
ผมย้ําอีกครั้งเถอะวา...มันไปหนักหัวคนเลวและสถานการณเลว ๆ ที่เขาไปเชื้อเชิญดึงดูดเขามานั่นเอง
18
บทที่ 11
ซวยซับซวยซอน เพราะสงจดหมายเชิญผิดใบ
19
กันเลยวา...นั่นมันผิดทางแลว มันไมใชสิ่งที่เราตองการสักหนอย แลวทําไมเรามักปลอยปละละเลยมัน
ละ บางทีเปนเพราะเราไมรูฤทธิ์เดชของการสงคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํามาก ๆ นั่นเอง และแนนอน
วาเราตองหยุดสงจดหมายเชิญผิดใบ และหันมาสงจดหมายเชิญถูกใบแบบเรงดวน บางที มันอาจชวย
เราไดมากขึ้น เมื่อเราไดรับบทเรียนจากกอนหินซะบาง
20
บทที่ 12
บทเรียนจากกอนหิน
21
บทที่ 13
“ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาใหปลอยวางเสีย”
หญิงสาวคนหนึ่งโทรศัพทถึงผม เธอปรับทุกขมากมายวาชีวิตของเธอชางลําบากเหลือเกินและไมมี
ความสุขแมแตนิดเดียว ผมอธิบายหลายหัวขอที่ผมไดเขียนผานมาแลวใหเธอฟง แตเธอคานวา “ก็
ตอนนี้ฉันไมมีเงิน แลวฉันจะมีความสุขไดอยางไร” ผมจึงเผยเคล็ดลับที่จะไขเขาสูชีวิตที่แสนวิเศษให
เธอทราบโดยบอกเธอวา “ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้คุณไมมีเงิน ใหตัดสินใจเสียที่จะมีความสุขในวันนี้และทุกวัน
ใหไดแลวสิ่งที่ดูเหมือนวาเปลี่ยนแปลงไมไดจะเปลี่ยนแปลงไปเอง” ผมรูดีวาสิ่งที่ผมบอกไปอาจปฏิบัติ
ได ย ากหน อ ยในตอนแรก แต ใ นเรื่ อ งแบบนี้ ผ มไม ไ ด ห มายถึ ง ความสมบู ร ณ แ บบ แต ห มายถึ ง ให
พยายามหนอย แมนิดหนึ่งก็ถือวามีความกาวหนาแลว มันหมายถึงการฝกตนเองแบบใหมที่จะไมยอม
ตกอยูในสภาพเดิมที่เราโคตรคุนเคย (ขออภัยในความไมสุภาพเล็กนอย) เราไมเบื่อกันหรือไงกับความ
แหงแลงแหงชีวิตเชนนั้น ทําไมละ การฝนยิ้มสักเดี๋ยวจะตองใชจายหรือไง! การกระโดดโลดเตนที่ราเริง
สักนิดหนอยจะทําใหเธอคนนั้นเสียเงินเพิ่มหรือไง! เอาละ สมมติวาทั้งความหดหูและความราเริงไม
สามารถทําใหการเงินของเธอดีขึ้นมาได ก็แลวอยางไหนดีกวากันละระหวางความหดหูกับความราเริง
ดั่งที่ผมไดเลาแลว ในตอนที่เธอกลาววา “ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาให
ปลอยวางเสีย” สมมติวาผมแนะนําเธอวา “คุณตองรองไหใหมาก ๆ ใหพยายามทุกขทรมานใหมาก
ที่สุดเทาที่คุณจะทําไหว เอาเลย คุณชินแลวนี่กับพฤติกรรมเหลานั้น ประชดชีวิตมันเขาไปใหเต็มที่ ให
สมกับที่โลกนี้มันหวยแตกสิ้นดี เอาเลยลุยเขาไปเลย” คุณผูอานที่รัก เรารูดีวาคําแนะนําที่บาบอคอ
แตกเชนนั้นชวยหญิงสาวคนนี้ไมได ในเมื่อวิธีเกาที่มุงเนนความหดหูแลวมันไมเวิรค มันไมไดผล มัน
ไมไดสิ่งที่เธอตองการ งั้นทําไมไมลองวิธีตรงกันขามละ มันจะทําใหเธอเสียหายอะไรหรือถาเธอหันมา
ใชกลยุทธใหมที่ราเริงสุดขีด พฤติกรรมนี้จะทําใหเธอเสียหายมากกวาเดิมไดอีกหรือไง! แนนอนวาเธอ
ไมมีอะไรจะตองสูญเสีย แลวทําไมไมลองละ
แตขาวดีก็คือ เมื่อเธอคนนั้นตั้งหนาตั้งตาราเริงกันทั้งวัน มันเวิรค!!! ใชแลววามันจะไดผล มัน
จะคอย ๆ คลี่คลายปญหาในทุกรูปแบบใหเธอได แนนอนวาผมไมไดบอกวาเธอไมตองทําอะไรเลย แต
ผมหมายความวาใหทําทุกอยางที่ตองทําตอไปแตเพิ่มอีกนิดตรงที่ใหราเริงเขาไว ปติยินดีเขาไว ยิ้ม
แยมแจมใสเขาไว แลวพลังงานคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูงที่เธอสงออกไปในอวกาศทุกวันซึ่งเปรียบ
ได กั บ การส ง บั ต รเชิ ญ ถู ก ใบของเธอ ตลอดจนกฏแห ง การดึ ง ดู ด ชั ก นํ า พาก็ จ ะเริ่ ม ไปตามผู ค น
สถานการณและความประจวบเหมาะอันดีงามที่ถูกที่ถูกเวลา เขามาหาเธออยางนาพิศวง เธอกําลัง
กวักมือเรียกสิ่งดี ๆ ที่มีพลังงานความถี่สูงแบบเดียวกับคลื่นของเธอเขามาพัวพันในวงจรชีวิตของเธอ
นั่นเอง แลวชีวิตของเธอก็คอย ๆ ดีขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป
22
ฉะนั้นถาตอนนี้คุณยังไมมีแฟน แตคุณอยากมีแฟน แลวคุณจะมีความสุขไดอยางไร? คําตอบ
ก็คื อ “ทั้ ง ๆ ที่ คุ ณยั ง ไม มี แฟน ให ตั ดสิ น ใจเสีย ที่ จ ะทํา ตัว ให มีค วามสุข แลวคุ ณ จะดึ ง ดู ดสิ่ ง ที่ คุ ณ
ตองการ”
ถาตอนนี้คุณสุขภาพไมดีนักจนคุณลําบากลําบน แลวคุณจะมีความสุขไดอยางไร? คําตอบก็
คือ “ทั้ง ๆ ที่คุณสุขภาพไมดีนักจนคุณลําบากลําบน ใหตัดสินใจเสียทีจะทําตัวใหมีความสุข แลวคุณ
จะมีสุขภาพที่ดีขึ้น
อาจกล า วสรุ ป ได ว า ไม ว า เราจะอยู ใ นสภาวะเงื่ อ นไขใด ๆ ก็ ต าม ให ตั ด สิ น ใจเสี ย ที่ จ ะมี
ความสุขโดยทําตัวใหราเริงและมีควมสุขแลวเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะเงื่อนไขที่เราไมชอบใจ
ไดโดยไมยากเย็น ถามจริง การตัดสินใจที่จะมีความสุขนะ...มันนารังเกียจนักหรือไง พวกเราถึงไดลังเล
กันนัก!!!
23
บทที่ 14
กฏแหงการมุงเนน
24
บทที่ 15
ระหวางความคิด กับความรูสึก
นานมาแลวที่ผมมักหลงใหลวาพลังแหงความคิดคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะวาไปแลวก็ไมผิดนัก แตวา...
ความจริงที่นาตกใจสําหรับผมก็คือ ชีวิตผมไดเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลเมื่อวันที่ผมไดตระหนักวาพลัง
แหงอารมณ (หรือพลังแหงสภาวะจิต หรือพลังแหงความรูสึก) เปนพลังที่มีอานุภาพและทรงพลังเหนือ
พลังทั้งมวล พลังนี้อธิบายพฤติกรรมของเรา สิ่งที่กําลังเกิดขึ้นกับตัวเรา และพฤติกรรมของคนในโลกนี้
ไดดีเอามาก ๆ
การเปลี่ยนกรอบความคิดในเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวไดกระทบตอการดําเนินชีวิตประจําวันของ
ผมเปนอยางมาก ซึ่งผมจะคอย ๆ อธิบายตอไป
เพื่อที่จะชี้ใหเห็นถึงความแตกตางใหจงได ผมจําเปนตองลดความสําคัญของสมองลงมาเสีย
หนอย เชน ถาผมบอกวากระเพราะอาหารก็เปนแคอวัยวะชิ้นหนึ่งที่มีหนาที่ยอยอาหารเทานั้น มันยอม
งายมากที่ผมจะพูดวา “เราทุกคนไมใชกระเพาะอาหาร” ในทํานองเดียวกัน สมองก็เปนแคอวัยวะชิ้น
หนึ่งเหมือนกัน ผมยอมพูดไดวา “เราทุกคนไมใชสมอง” ยอมแนนอนอยูแลววาเราตองเปนอะไรที่มัน
มากกวาการเปนแคสมอง แตวาสมองมีความสามารถในการคิด วิเคราะห ประเมินผล ตั้งคําถาม ตอบ
คําถาม แปลความหมาย และควบคุมการทํางานของอวัยวะอื่น ๆ อีกเปนจํานวนมาก ความสําคัญของ
สมองจึงโดดเดนเหนือสิ่งอื่นใด ถึงกระนั้นก็ตาม เพียงเพราะวาสมองของเราคิดได ผมไมสามารถพูดได
วา “เราคือความคิดของเรา” ก็เราจะกลายเปนสิ่งที่เราผลิตมันออกมาไดอยางไร ก็เรานั่นแหละที่สราง
หรือผลิตความคิดออกมาจากสมอง เรายอมเปนเรา เราที่ยิ่งใหญกวาความคิด และสมมติวาเราไมได
สรางความคิดใด ๆ ขึ้นมา เราก็ยังคงเปนเราอยูดี เราไมไดกลายเปนศูนย ณ ขณะที่สมองของเราไมได
คิดอะไรเลย ผมอยากใหเรามองวาสมองเปนแคเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่มีประโยชนของเรา ดวยวิธีนี้เทานั้น
ที่เราจะตระหนักรูไดวา เราเปนอะไรที่เหนือชั้นกวาความคิด (สมอง) ของเรามาก
คําวาสภาวะจิตหรือสภาวะอารมณ หรือความรูสึก เปนคําสามคําที่แมไมเหมือนกันเปะ แตมี
บทบาทที่สําคัญกวาพลังความคิดหรือพลังสมองมาก เมื่อผมพูดวา “ตอนนี้พวกเรารูสึกกลาหาญ”
ความกลาหาญเปนนามธรรม เปนสภาวจิตหรืออารมณความรูสึกอยางหนึ่ง เปนคุณสมบัติชนิดหนึ่ง
ผมบอกไมไดวาตรงไหนของตัวพวกเราบางที่กลาหาญ ตรงที่ขอศอกขวารึ ไมใชแน ตรงที่หัวเขารึที่กลา
หาญ ไมใชอีกนั่นแหละ เมื่อพวกเรารูสึกกลาหาญตั้งแตหัวจรดเทาตลอดจนทั้งภายในและภายนอก
ของเรานั่นแหละที่อยูในสภาวะกลาหาญ ยามที่เราอยูในสภาวะจิตที่หวาดกลัว ตรงไหนของเราละที่
กลัว ก็ตั้งแตหัวจรดเทาตลอดจนทั้งภายในและภายนอกของเรานั่นแหละที่อยูในสภาวะหวาดกลัว เมื่อ
เราขนลุกซู...มันไมเลือกที่เกิดหรอก มันก็ขนลุกไปทั้งรางนั่นแหละ ผมมักชอบพูดวา “ความคิดอยูที่
สมองที่บรรจุอยูในกะโหลกของเรา แตความรูสึกอยูในรางของเรา” เมื่อเราเหยียบตะปูเราคิดที่สมองแต
25
เราเจ็บที่ไหน ของกลวย ๆ ... ก็ที่ฝาเทานะสิ ยามที่เรากินอาหารเปนพิษแลวจะเปนไง อีกครั้งที่เราคิดที่
สมองแตเราปวดที่ทอง ผมถึงพยายามพูดอยูเสมอวา...ความรูสึกอยูในรางของเรา เราจึงตองสนใจ
ความรูสึกใหมาก ๆ
เมื่อผมถามวา “ตอนนี้พวกเราคิดอะไรอยู?” มันตอบยากเพราะวาเรามักไมคิดเรื่องไหนนาน
เมื่อผมถามวา “ตอนนี้พวกเรารูสึกอยางไร?” คราวนี้พอบอกไดเพราะวาความรูสึกมักคางอยูในตัวเรา
ไดนานพอสมควรจนเรารูวาเราอยูในอารมณไหน ณ ตอนนี้ มาดูตัวอยางใกลตัวอีกเพียบ เชน
จิตรกรคนไหนก็ไดอาจเลือกไมวาดภาพในวันนี้ถาเขารูสึกวาไมมีอารมณ สมองของเขาไมได
เสีย ความสามารถในการวาดภาพของเขาไมไดหมดไป แตมันไมมีอารมณ เขารูสึกวาแมฝนทําก็คงได
ผลงานออกมาไมดี
นักเขียนบทประพันธ คนเขียนดนตรีหรือบทเพลง คนที่ชอบเขียนบทกลอน คนเหลานี้แมน
ปราศจากซึ่งอารมณแลวไซร โอกาสก็คือ พวกเขาจะไมทํากิจกรรมเหลานั้น และเชนกัน คนเหลานี้ลวน
ไมไดสมองเสีย ไมตองไปผาตัดสมอง พวกเขาแคไมอยากทําในตอนนี้เราพบวามันไมมีอารมณ
นักกอลฟอาชีพและมือสมัครเลน ในบางคราวที่เลนไดแยเอามาก ๆ ไมมีใครพูดแบบนั้นแน
พวกเขามักอธิบายวา “วันนี้จับความรูสึกไมไดเลย” แลวความรูสึกคืออะไรละ ก็คือสภาวะจิตหรือ
อารมณนั่นเอง นักกีฬาในวงการอื่นก็เชนกัน ปจจัยสําคัญอยูที่ความรูสึกมากกวาปจจัยอื่น ที่เปน
ตัวกําหนดวาพวกเขาจะทําไดดีมากหรือดีนอยแคไหน
“ไปดูหนังกันมั้ย?” ผมโทรศัพทไปชวนเพื่อน “ไมมีอารมณเลยวะ” เพื่อนบอก เดาสิวาเขา
ตัดสินใจวาไง “มึงไปเถอะ กูไมมีอารมณวะ” ฉะนั้น ในกรณีอื่นก็เชนกัน ไมวาจะเปนการไปกินขาว ไป
ภูเขา ไปทะเล ไปขับรถเลน ไปโยนโบวลิ่ง ไปวายน้ํา ฯลฯ มันตองดูกอนวามีอารมณไหม ถาไมมีแมแต
นิดเดียว ขอใหเชื่อเถอะวา มันยากเอามาก ๆ ที่มนุษยจะยอมทําอะไรก็ตามในขณะที่ไมมีอารมณเลย
และตอใหทําตาม มันจะเปนการกระทําที่ไมคอยไดเรื่องเสมอ โปรดจําไววา อารมณคือตัวชี้หลักวา
พวกเราเต็มใจแคไหนที่จะทําหรือไมทําอะไร
เพื่อที่จะปูทางใหเราเขาใจวา สภาวะจิต หรืออารมณความรูสึกของเรานั้นสําคัญอยางยิ่งยวด
ผมอยากใหเรามองมันในลักษณะคุณสมบัติ ตอไปนี้เรามาพิจารณานามธรรมตอไปนี้ดู ความรักความ
อบอุน ความกลา ความเชื่อมั่น ความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟอเผื่อแผ ความเปนผูให ความเพียร
ความพยายาม ความมุงมั่น ความยุติธรรม ความซื่อสัตย ความอดทน ความมีวินัย ฯลฯ สิ่งเหลานี้คือ
อะไรกันแน พวกมันลวนจับตองไมได ไมมีรูปรางที่พวกมันมีลักษณะเปนคุณสมบัติ เปนสภาวะจิต เปน
สภาวะอารมณหรือความรูสึก เชน ความเชื่อมันเปนความรูสึกอยางหนึ่ง ผมไมบาพอที่จะพูดวา “ความ
เชื่อมั่นเปนความคิด” อยางแนนอน เห็นไดชัดวาสิ่งเหลานี้ลวนเปนสิ่งที่นักปราชญสอนเราวา เราตองมี
สิ่งเหลานั้นเพื่อชีวิตที่เปยมสุขและประสบความสําเร็จ สรุปงาย ๆ ก็คือ คุณสมบัติเหลานั้นหรือสภาวะ
26
จิตเหลานั้น เปนอีกชื่อหนึ่งของอารมณในเชิงบวกทุกชนิด และเราตองหันมาใสใจวาเราสามารถสราง
อารมณเชิงบวกขึ้นมาไดอยางไร
ในทางตรงกันขาม อารมณเชิงลบทั้งหลายแหลก็เชนกัน เปนคุณสมบัติที่มีพลังในการทําลาย
ลางสูงสุด พวกมันจึงเปนสิ่งที่เราไมตองการอยางแนนอน สวนขาวดีก็คือ ในขณะที่อารมณเชิงลบทรง
พลังที่สุดในการทําลายลาง แตอารมณเชิงบวกก็ทรงพลังที่สุดเชนกันในการสรางสรรคทุกสิ่งที่ใหบัง
เกิดขึ้น ไมมีพลังอะไรหมัดหนักเทากับพลังแหงอารมณ และตอนนี้เราไดรูแลวดวยวา เราตองเลือกพลัง
ฝงไหน ถูกตอง...พลังแหงอารมณเชิงบวกเทานั้น
อนึ่ง การฝกสติถือวาเปนหลักปฏิบัติที่สําคัญยิ่งที่ในพุทธศาสนาของเราและสําคัญยิ่งตอทุก
ศาสนาทั่วโลก (ของดีขนาดนี้มันตองเปนสากล) พวกเราลวนยอมรับวาการมีสตินั้นเปนสิ่งที่ดียิ่ง ก็แลว
การมีสติคืออะไรเลา? การมีสติก็คือการที่เราฝกตนใหรูสึกตัวมาก ๆ นั่นเอง การมีสติเปนเรื่องของ
ความรูสึก การมีสติคือการที่เราอยูกับที่นี่และปจจุบันไดอยางมีประสิทธิภาพและไดรับประสบการณ
อะไรก็ตามที่กําลังเกิดขึ้นอยางเต็มสวนหรือเต็มที่ การรูสึกตัวนี้ไมใช “ความคิด”อยางแนนอน แตมัน
เปนสภาวะแหงอารมณที่รูสึกตัวหรือคุณภาพของจิตที่ฝกไวดีแลวจนไวมากในการรับรูถึงขนาดนี้แลว
เรายังจะไมเชื่ออีกหรือวา “ความรูสึก” ชางสําคัญยิ่งตอชีวิตของเรา
27
บทที่ 16
ตลาดหุน กับตลาดอารมณ
28
บทที่ 17
เราสรางอารมณขึ้นมาไดอยางไร
1. การเคลื่อนไหว
2. ภาษาที่เราใช
3. ภาพในใจที่เรามุง มองอยู
คุณผูอานที่รัก ผมกําลังจะพูดถึงเรื่องที่สําคัญเหลือเกินเปนความรูที่ทําใหชีวิตของผมไมเหมือนเดิมไป
ตลอดกาล ผมหวังและเชื่อวา มันจะสรางผลลัพธที่ยิ่งใหญใหกับคุณผูอานเชนกัน เราไปสํารวจเรื่องนี้
กันเลยเถอะ
29
บทที่ 18
อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหว
30
ไดของหนังฝรั่งก็โงพอกัน บรรดากองทัพซอมบี้จะเคลื่อนไหวแบบเดินโงนเงนไปมา แถมมันยังเชื่องชา
แบบชนิดที่วา ตอใหเด็กสามขวบที่ยังอมมือวิ่งหนีพวกมันพวกมันก็ไมมีวันตามทันไดหรอก ถึงกระนั้นก็
ตาม พวกฝรั่งกลับสรางหนังชนิดนี้ออกมาตั้งหลายเรื่อง ชางสมจริงสมจังอะไรขนาดนั้น... ที่พวกมัน
เหลาซอมบี้สามารถทํารายผูคนในหนังไดสําเร็จ (ผมประชดนะ)
ใหสังเกตคนซึมเศราที่เรารูจัก พวกเขาอยูในสภาวะเบื่อหนาย เซ็ง และหดหู ผูคนที่ตกอยูใน
สภาวะไรอารมณเชิงบวกนั้นมีอะไรที่เมือนกันมากประการหนึ่งละ คําตอบคือการใชกายที่เคลื่อนไหว
นอย ๆ และเชื่องชาเสมอ เราเคยพบใครบางที่สลดหดหูแลวกระโดดโลดเตน...ไมมีทาง ที่เราพบอยู
เสมอคืออาการที่เคลื่อนไหวชาดุจรางที่ไรชีวิตจิตใจ เซื่องซึม นัยนตาตก สีหนาหมนหมอง ชอบกมหนา
กมตา นั่งกอดหัวเขา เอาหนาซบฝามื ไหลงุม คอตก ฯลฯ สิ่งเหลานี้ลวนบงชี้วาไมไดอยูในสภาวะที่จะ
เคลื่อนไหวไดวองไวและรวดเร็ว หากเราเจอใครในลักษณะที่กลาวมา โดยที่เราไมตองไปเรียนเรื่องโหง
วเฮงใหเสียเวลา เราสามารถอานคนนั้นออกไดเลยวา เขาไรอารมณ (บวก) ซึ่งมีโอกาสที่เราจะมองออก
ไดอยางถูกตองมากกวาดูผิด ดวยเหตุนี้เอง ผมมักชอบอานคนโดยดูวาพวกเขาเคลื่อนไหวอยางไร พวก
เขาใชรางกายอยางไร ยิ่งไปกวานั้น เพราะวาผมไดรูแลววา อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหว
ยามใดก็ตามที่ผมจับไดวาตนเองกําลังอารมณไมดี ผมจะรีบแกไขดวยการออกกําลังกายทันทีถามี
โอกาสอํานวย ผมเปลี่ยนอารมณไดเร็วมาก เมื่อผมเปลี่ยนไปเคลื่อนไหวรางกายใหเฉียบขาด ให
รวดเร็ว นี่คือประโยชนอันเหลือเชื่อที่มีคนรูนอยมาก ยิ่งไปกวานั้น เมื่อเราไดออกกําลังกายไปสัก 25
นาที โอกาสที่ สารเอนดอร ฟ น ในสมองจะหลั่ง นั้น มีม าก มั น เป น มอรฟ น ตามธรรมชาติที่อ อกฤทธ
ตอตานความเจ็บปวดและความหดหู ดังนั้นเราจึงอยูสภาวะสมองปลอดโปรงและจิตใจเบิกบาน ใน
ยามนั้นเราจะรูสึกดีเอามาก ๆ
คราวนี้ใหคิดถึงอะไรที่มันเร็ว ๆ เชน การเลนสกีน้ํา สเก็ตลูกลอ สเก็ตน้ําแข็ง กีฬาโตคลื่น การ
แลนเรือใบ การลองแกง ขึ้นรถไฟเหาะตีลังกา การโดดบันจี้จั้มป และการโดดรามดิ่งพสุธา กิจกรรม
เหลานี้ มีอะไรที่เหมือนหรือคลายกัน ความรวดเร็วไง เอาละ เราเคยเห็นใครที่กําลังทําสิ่งเหลานีแ้ ลวหด
หูบาง...ไมมีทาง
สมมติ ว า เรากํ า ลั ง ตี ก ลองใหญ ด ว ยจั ง หวะที่ ร วดเร็ ว ร อ นแรงสมมติ ว า เรารั ว กลองโดยใส
เรี่ยวแรงลงไปอยางเต็มที่และหนักหนวงแลวเราจะอยูในอาการอยางไร เรายอมรูสึกตื่นเตนเราใจ ราเริง
ปติ ยินดี สนุกสนาน หรรษา เกษมสําราญ ฯลฯ ความหดหูนะหรือ...มันดํารงอยูไมไดหรอกในการ
เคลื่อนไหวที่ทรงพลังเชนนี้
เอาละพวกเรามาทําการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังกัน ขอใหเรายืนขึ้นและกํามือขวาใหแนน ชูมัน
ขึ้นไปที่เหนือศรีษะจนสุดแขนแลวตะโกนวา “เยส” โปรดทําสักสองสามครั้งในทุก ๆ เชา เราไดสราง
อารมณที่มั่นใจขึ้นมาแลว อารมณแบบนี้ก็เชนกัน มันถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหวที่เฉียบขาดและ
รวดเร็ว คราวนี้เอาใหมใหเรากํามือใหหลวมสักหนอย ชูมือขึ้นไปใหชาและขี้เกียจที่สุดเทาที่เราจะทําได
31
จากนั้นก็ใหกระซิบอยางแผวเบาวา “เยส” ดวยเสียงสั่น ๆ เปนไงบาง...โอใหตายสิโรบิ้น... มันชางไร
อารมณจริง ๆ
32
บทที่ 19
อารมณถูกสรางขึ้นจากภาษาที่เราใช
“ในโลกนี้ไมมีใครรักฉันสักคน”
เปนไง...พูดกับตนเองอยางนี้ เซ็งมั้ย... เซ็งยกกําลังสองไปเลย
“นายมันหวยแตก ไปตายซะ”
พูดอยางนี้กับคนอื่นแลวเขาโกรธมั้ย เขาเจ็บใจมั้ยเขาเซ็งมั้ยของตายอยูแลว
“ทําไมแมไมเคยเขาใจฉันเลย ฉันคิดแลวมันนานอยใจจริง ๆ”
แลวอยางนี้ละ...หดหูมั้ย แยมั้ย มันแนนอนอยูแลว
33
เชนนั้น รางกายของเราจะเริ่มตอบสนองไปตามอารมณที่เราสราง และกอใหเกิดความรูสึกที่ดีมากตอ
ตนเอง เราไดสรางสภาวะจิตที่ทรงพลังขึ้นมาในพริบตา อาจกลาวอีกอยางไดวา นี่เปนวิธีที่เราปลอย
คลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูง ๆ ออกไปสูอวกาศ และดวยกฏแหงการดึงดูดชักนําพา เรากําลังกวักมือ
เรียกสิ่งที่ดีที่มีคลื่นความถี่สูง ๆ ตรงกันเขามาหาเรานั่นเอง เอาละตอไปนี้คือ “คาถาวิเศษ” ที่เราตอง
ตะโกนดัง ๆ
34
บทที่ 20
ผมกลายเปนสายลม
35
จําไววา 95 % เต็มของคําพูดของคุณสรางอารมณเสมอ และคุณคือผูเลือกถอยคําไมใชถอยคําที่เลือก
ตัวมันเอง
36
บทที่ 21
คุณภาพชีวิต คือคุณภาพของการสื่อสาร
ผมไดกลาวมาแลววาพวกเราลวนตองสื่อสารกับตนเองและผูอื่นอยูเกือบตลอดเวลา คุณภาพชีวิตของ
เรายอมตองขึ้นกับความสามารถในดานนี้ของเราอยางแนนอน คําถามคือ เราสื่อสารไปเพื่ออะไร
คําตอบอาจมีมากมาย แตโดยรวมก็คือเพื่อใหไดในสิ่งที่เราตองการไมวาสิ่งนั้นจะคืออะไร ฉะนั้นสาม
คําถามตอไปนี้คือหัวใจสูงสุดแหงการสื่อสารนั่นคือ
1. ที่ฉันพูดหรือแสดงออกกับตนเองอยางนี้ ฉันตองการอะไร?
2. ทีฉ่ ันพูดหรือแสดงออกกับเขาอยางนี้ ฉันตองการอะไร?
3. ที่เขาพูดหรือแสดงออกกับฉันอยางนี้ เขาตองการอะไร?
37
สามารถสื่อ สารให อีก ฝ า ยเข า ใจผิ ด ไดอ ยูเ รื่อ ย ๆ แนน อนวา นั่ น คื อ ละคร แต มั น สะท อนวา มนุ ษ ย
ไรประสิทธิภาพขนาดไหนในการสื่อสารถึงสิ่งที่พวกเขาตองการ
การทะเลาะเบาะแวงภายในครอบครัวนั้น สวนมากเกิดจากสาเหตุเล็ก ๆ แลวคอย ๆ ลุกลาม
ใหญโตขึ้น จนควบคุมไมได สิ่งนี้คือขอพิสูจนวาคนเราขาดทักษะขนาดไหนในการพูดจาสื่อสารกัน สิ่ง
ที่ตามมาก็คือ การทํารายซึ่งกันและกัน การฟองรองกัน การฆาตัวตาย หรือแมกระทั่งการวาจางใหฆา
กัน หนทางแกไขคือการขจัดสาเหตุของการสื่อสารที่ไรประสิทธิภาพออกไปเสียตั้งแตตอนแรก คําถาม
ที่สําคัญทั้งสามนั้นชวยไดอยางแทจริง
ความขัดแยงระหวางคนในองคกรเดียวกัน ความขัดแยงระหวางบริษัท หรือแมกระทั่งประเทศ
ที่เปนคูอริกัน เชื่อเถอะวาเกิดจากการที่พูดกันไมรูเรื่อง กรณีที่อเมริกาถลมอิรักนั้น เปนตัวอยางหนึ่ง
ของความลมเหลวในการพูดจากันอยางชัดเจน อันที่จริงนั้น ความขัดแยงทั้งปวงลวนมีสาหุตมาจาก
การพูดจากันไมรูเรื่องทั้งสิ้น พวกเขาจะเพิ่มโอกาสแหงสันติภาพและความปรองดองกันไดมากขึ้นเมื่อ
หันมาถามคําถามที่สําคัญทั้งสามขอนั้น
คุณผูอานที่รัก กอนที่คุณจะพูดอะไรออกไป กอนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป โปรดถามตนเองวา
“ฉันตองการอะไร?” เสียกอน เมื่อคุณเจอกับสถานการณบางอยางหรือใครบางคนที่ทําใหคุณสับสนวา
ควรจะทําอยางไรดีใหถามวา “ตอนนี้ฉันตองการอะไร และที่เขาพูดหรือทํากับฉันอยางนี้ เขาตองการ
อะไร?” เมื่อคุณไดถามคําถามที่สําคัญนี้แลว ผมมั่นใจวา...คุณจะรูดวยตนเองวา...คุณจะทําอะไร
ตอไปที่เหมาะสมไดเอง
38
บทที่ 22
องคประกอบทั้งสามของการพูดจากัน
บางทีเมื่อเราไดรูเรื่องตอไปนี้รวมกับหัวขอที่แลว เราจะกลายเปนผูเชี่ยวชาญดานการพูดจากันไดไม
ยาก การพูดจากันนั้นมีองคประกอบทั้งสามไดแก
1. “เนื้อหาหรือคําพูด” ที่ใชในการสื่อความ
2. น้ําเสียงที่ใช
3. ภาษาทาทาง
39
ฟ ง อาจเชื่ อ ก็ ไ ด มั น ขึ้ น กั บ องค ป ระกอบที่ เ หลื อ ของน้ํ า เสี ย งและภาษาท า ทางว า เราใช พ วกมั น ใน
ลักษณะใด เห็นไดชัดวา ถอยคําในตัวของมันเองนั้น สงผลนอยมาก
ลองคิดถึงตอนที่เราสําออยไมยอมไปโรงเรียนดูสิ จําไดไหมวาตอนที่เราพูดวา “วันนี้ผมไป
โรงเรียนไมไหวครับ” พวกเราทําเสียงออยหรือสั่น และทาทางก็ประดุจวาหมดเรี่ยวแรง สวนหนาตา
ตลอดจนแววตาก็แสดงออกใหนาสงสารที่สุด ในทายที่สุด เราก็ไดรับอนุญาตใหหยุดพักไดหนึ่งวัน ผม
ขอถามวา...อะไรกันแนที่ทําใหพอแมเราเชื่อวาเราไปไมไหว มันคือถอยคําอยางนั้นหรือ ไมใชแน แตมนั
คือน้ําเสียงและทาทางของเรานั่นเองที่กวาดคะแนนไปถึง 93 % ที่บอกวาเราไมไดโกหก ดังนั้นเราจึงได
อีก 7 % ของถอยคํานั้นรวมเขาไปอีกดวย เรื่องแบบนี้ใครบางไมเคยทํา พนันกันไหมละวาผมเคยทํา
มาแลว
40
บทที่ 23
อารมณถูกสรางขึ้นจากภาพในใจและลักษณะของภาพ
นอกจากการเคลื่อนไหวหรือการใชกาย และภาษาที่เราใชจะเปนแหลงทั้งสองในการสรางอารมณของ
เราขึ้นมาแลว แหลงในการสรางอารมณแหลงที่สามคือ ภายในใจของเรา ณ ขณะใดขณะหนึ่ง เมื่อพูด
ถึงภาพในใจหรือสิ่งที่จิตใจของเรากําลังสนใจอยูหรือมุงมั่นอยูนั้น มันมีสองสิ่งที่ตองพิจารณาไดแก
1. ภาพในใจนั้นคือภาพเกี่ยวกับอะไร
2. ลักษณะของภาพเปนอยางไร
41
จริง ๆ และคอยดูเถอะวา “ฉันจะไมมีวันนัดกับคนแบบนี้อีกแลว” แนนอนวาลักษณะของภาพในใจ
เชนนี้จะทําใหเรามีอารมณฉันจัด โมโห โกรธ เกลียดชัง เบื่อหนาย และเซ็งมาก การตีความของเรานั้น
ขึ้นอยูกับภาพในใจและลักษณะของภาพเปนอันมาก มันเปนสิ่งที่สามารถสรางอารมณทั้งหลายของรา
ทั้งที่รูสึกดีและรูสึกแยขึ้นมาได
ภาพในใจไมใชสิ่งที่จะลอเลนไดโดยเฉพาะถาเราไปเรียนรูการสรางภาพในใจที่ทําใหเรารูสึก
แย หลายคนไมร็วาที่ชีวิตยังแยก็เพราะวาวัน ๆ เอาแตจินตนาการถึงสิ่งที่เลวรายบอยครั้งมาเกิดนไปนี่
คือสิ่งเดียวกับที่ผมเคยกลาวมาแลววา...เทากับทําใหตนเองกลายเปนเหยื่อเสียเอง พวกเราอาจสงสัย
วาภาพในใจเชิงลบนั้นรายกาจจริงหรือ เอาละ ใหพวกเราหลับตาแลวนึกไปวาเรากําลังปกเข็มหมุด
หนึ่งเลมไวในปาก แลวเราจะรูสึกอยางไร...ก็แยเอามาก ๆ นะสิ ถามได ก็เชนกัน เมื่อเราจินตนาการถึง
เหตุการณที่ไมพึงประสงคทั้งหลาย พวกมันลวนไมแตกตางจากเข็มหมุดเลมนั้นเลยสักนิด ในโลกแหง
ความเปนจริงนั้น พวกเราไมนึกคิดไปวาจะมีเข็มหมุดมาปกในปากของเราหรอก แตพวกเราทําไดแย
กวานั้นอีกดวยการจินตนาการถึงสิ่งราย ๆ วาจะเกิดขึ้นกับเราสักวันหนึ่งอยูเรื่อย ดวยเหตุนั้นเราไดใช
พลังแหงการจินตนาการที่เที่ยวมุงเนนแตสิ่งที่ทําใหรูสึกแย หงุดหงิดรําคาญ วาวุนใจ เซ็ง เบื่อหนาย
กลัดกลุมใจ และอาการที่ไรสุขสารพัด
แลวเราทําอะไรไดบางละ นอกจากวาเราจะตองหยุดสรางภาพในใจที่ไมพึงประสงคแลว เรา
ตองการรูวาการทําในสิ่งตรงกันขามนั้น จะนําเราไปสูพลังจิตที่เข็มแข็งหรือสภาวะอารมณที่เชื่อมั่น
อยางยิ่ง ดังนั้น เรามาฝกกันดีกวาเราจะใชพลังแหงจินตนาการหรือการสรางภาพในใจ เพื่อสราง
ปาฏิหาริยใหเกิดขึ้นในชีวิตของเราไดอยางไร
42
บทที่ 24
การสรางพลังแหงจินตนาการ (การสรางภาพในใจ)
43
บทที่ 25
การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 1
44
บทที่ 26
การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 2
45
บทที่ 27
การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 3
46
แตสิ่งที่เราตองการเทานั้นคือการสรางภาพในใจที่ถูกตอง สวนการเผลอไปนึกคิดถึงสิ่งที่ไมตองการ
ยอมทําใหเราไรพลังและไรความสุขเทาที่ควร นี่แหละคือฤทธิ์เดชของภาพในใจเชิงลบที่ตามเลนงาน
มนุษยไมหยุดหยอน มันเปนยาพิษที่เราเผลอดื่มกินมากที่สุด ปกติแลวเหตุการณจริงทําอะไรเราไม
คอยได แตจินตนาการเชิงลบที่สะสมในดวงจิตอยางไมหยุดหยอนอาจทําใหเราบา เสียหายทั้งชีวิต
สวนตัวและหนาที่การงาน ประสาทแดก และถึงตายได!
47
บทที่ 28
การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 4
บางทีเราอาจไดเดินทางมาถึงขั้นตอนที่สําคัญที่สุดแลวในขณะนี้ นั่นคือการสรางภาพในใจของตัวเรา
เองวามีลักษณะใด หรือมีคุณสมบัติอะไรบางเมื่อเรามีภาพลักษณเกี่ยวกับตนเองในจิตใจแลว มันยาก
นักที่โลกภายนอกของเราจะวิ่งหนีพนภาพลักษณของตัวเราในใจไปได เรานั้นเปนไปตามภาพที่เรา
กําหนดไวกอนในใจวา อะไรที่เราเปนและอะไรที่เราไมไดเปนสิ่งนี้จึงกําหนดวาอะไรบางที่เปนไปได
สําหรับเราและอะไรบางเปนไปไมไดสําหรับเรา ลองพิจารณาเรื่องตอไปนี้ดู
ผมเองนั้นตั้งแตเด็กเล็กยันยี่สิบสามผมมีภาพลักษณของตนเองวาผมดิ้นหรือเตนรําไมได ผล
คือผมไดทําใหโลกภายนอกเปนเชนนั้นตลอดมานึกถึงงานที่โรงเรียนตอนมัธยมปลาย ผมแยเอามาก ๆ
เมื่อตองดิ้นและถูกเพื่อนนักเรียนทั้งชั้นหัวเราะเยาะถึงความเปนและทึ่มกับทาทางที่แข็งกระดางเปน
หินของการเคลื่อนไหว และผมรูสึกอยูตลอดเวลาวาผมไมไดเรื่องในเรื่องแบบนี้ แตราวสามปมานี้เองที่
ผมเปลี่ ย นไปเมื่ อ ผมจิ น ตนาการว า ผมเป น คนที่ มี ค วามสามารถแบบไร ขีด จํ า กั ด ผลที่ต ามมานั้ น
เหลือเชื่อ ในการสัมมนาของผมนั้นบอยมากที่ผมตองเปนผูนําคนนับรอยนับพันดิ้นตามผม แลวรูไหม
วาเปนอยางไร ทุกคนทึ่งวาผมเคลื่อนไหวคลองแคลวและสั่นสะเทือนไดมากมายเชนนั้นไดไง หนําซ้ํา
ชมวาผมดิ้นไดนารักอยาบอกใคร เชื่อเถอะเพื่อนเอย วานี่ไมไดโม แตเปนความจริงที่ผมไดเปลี่ยนโลก
ภายนอกไปตามโลกภายใน เมื่อผมสรางจินตภาพวาผมเปนคนที่ดิ้นไดอยางมีศิลปะ ทันใดนั้น โลก
ทั้งหมดก็พยักหนาใหผมราวกับวาผมเปนผูเชี่ยวชาญก็ไมปาน ยิ่งไปกวานั้น ผมสามารถเตนแอโรบิคได
อยางดีเลิศ สิ่งนี้ชวยผมไดมากในการเคลื่อนไหวที่ไมมีขอจํากัด ทุกวันนี้ ผมมักบอกภรรยาอยูเ รือ่ ยวา...
ผมอยากไปฝกเลนยิมนาสติกทั้ง ๆ ที่ผมเลยวัยมามากแลว แตผมรูสึกจริง ๆ วา มันมีหนทางเสมอที่
อาจเป น ไปได เ มื่ อ เราได ข ยายภาพลั ก ษณข องตนเองภายในใจของเราด ว ยการสรา งจิ น ตภาพถึ ง
ภาพลักษณของตัวเราในแบบที่เราตองการ ในไมชาเราจะเชื่อและเชื่อมั่นในภาพลักษณใหมไดอยาง
แนนอน อันที่จริงนั้น มันเปนวิธีที่มีประสิทธิภาพที่ทรงพลังมาก เสียดายเพียงวานอยคนนักที่ไดรู
การที่ เ ราเชื่ อ ว า มี ห ลายสิ่ ง หลายอย า งที่ เ ราทํ า ไม ไ ด นั้ น หารู ไ ม ว า นั่ น เท า กั บ เราได ส ร า ง
ภาพลักษณแหงความเปนไปไมไดบางประการไวในดวงจิต เราไมเคยรูเลยวาเราหนีภาพลักษณเหลานี้
ไมพน แลวเราก็กายเปนคนแบบนั้น บางคนที่เชื่ออยางผิด ๆ วา “ฉันไมมีปญญาร่ํารวยได” เขาไดสราง
ภาพลักษณแหงความไมสามารถนี้สถิตไวในดวงจิต ภาพในใจเกี่ยวกับตนเองเชนนี้คือภาพของความ
ไมสามารถ ขาดแคลน และ ยากจน ฉะนั้น ทางแกที่ดีกวาสําหรับพวกเราคือการเขาไปเลนกับจิตใจ
ของเราใหมดวยการสรางภาพของตนเองในใจแบบใหมที่ดีกวาเดิม การฝกซอมทําในใจบอย ๆ ถึง
ตัวตนที่เราตองการอยางแทจริงคือวิธีแกปญหาที่งายกวาวิธีอื่นเปนอันมาก
48
ภาพลักษณของตนเองในใจเชิงลบที่ตองระวังใหดีนั้นมีเยอะ แตที่แสบมากไดแก “ฉันมันไอขี้
แพ” “คนอยางฉันเกิดมาเพื่อใชกรรม” “อันวาตัวฉันนั้นไมสําคัญ” “ชางปะไร ไอเรามันเปนคนไมดีอยู
แลวนี่” และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ทํารายจิตใจของตัวเราเองอยางแรงกลา แมวาพวกเรายังคงออกไป
ทํางานและตอสูดิ้นรนกับชีวิตตามปกติก็ตาม แตถาเรามีภาพลักษณของตนเองเหลานี้อยูในใจ แลวเรา
จะไปคาดหวังแบบไหนไดนอกจากความหวยแตกเสมอ แนวโนมจึงเปนเชนที่ไดคาดวา คือ แย แย แย
และแย หนทางเดียวที่จะวิ่งหนีภาพในใจเชิงลบพวกนี้ไดคือวิธีหนามยอกใหเอาหนามบง เราตองกลับ
เขาไปในจิตใจของเราอีกครั้ง หลับตาลงเสีย แลวใชจินตนาการวาดภาพตัวเราขึ้นมาใหม ใหเราใส
ลักษณะหรือคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมตาง ๆ นานา เขาไป ใหดื่มด่ํากับภาพใหมอันไฉไลนี้ใหมาก ๆ เมื่อ
เราฝกซอมในใจจนมันอยูตัว และภาพที่เห็นในใจก็คมชัดยิ่งแลว หลังจากนั้น เราจะกลายไปเปนคนใน
ลักษณะใหมไดเอง เราไมมีทางเลือกหรอกเพราะวาเราไดเลือกไปแลวเมื่อเราฝกใชพลังแหงจินตนาการ
นั่นวาเรายอดเยี่ยมอยางไร และเราก็จะกลายเปนคนเชนนั้นจริง ๆ
คุณผูอานที่รัก คํานจํานวนมากไมไดฝกสรางภาพตนเองในใจที่ดีมาก ๆ แบบจงใจและรูต วั ผม
ใครขอรองใหพวกเราหันมาฝกใชพลังแหงจินตนาการในดานนี้ใหมากขึ้น วันละ 15 นาทีก็ยังดี จงทําสิง่
นี้เพื่อตัวเราเอง ยังจะมีอะไรอีกหรือที่สําคัญไปกวาการหลอหลอมตัวเองขึ้นมาใหม แถมเต็มเปยมดวย
คุณลักษณะที่ดีสารพัดเพราะวาในโลกแหงการนึกคิด...สิ่งใด ๆ ลวนเปนไปได ไมมีอะไรจะสูงคาแต
ราคาแสนต่ําอยางนี้อีกแลว พวกเราลงทุนแคเวลานิดหนอยกับพลังงานอีกเล็กนอยในการนึกคิดหรือ
จินตนาการ นี่คือเครื่องมือที่ทรงพลังยิ่งตัวหนึ่งที่ อัลเบิรต อสไตน สรรเสริญวา มีอานุภาพเหนือกวา
กระทั่งความรู ไอนสไตนกําลังบอกวา แมความรูจะยิ่งใหญแตวาความรูที่ยิ่งใหญมาก ๆ นั้น ไดมาจาก
ไหนละถาไมใชอาศัยพลังแหงจินตนาการเขาชวย หากวาไรซึ่งพลังแหงจินตนาการอันแสนบรรเจิดและ
พิสดารแลวไซร มันเปนไปไมไดที่ไอนสไตนจะคนพบทฤษฏีสัมพันทธภาพอันเหลือเชื่อ หากวาคนเชน
ไอนสไตนยังชอบสรางจินตภาพ ก็แลวทําไมพวกเราถึงจะไมละ!
49
บทที่ 29
การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 5
เมื่อไดวาดภาพในใจวาตัวตนของเราสวยงามและยอดเยี่ยมอยางไรแลว สุดทายเราจะมาฝกการสราง
ภาพในใจเกี่ยวกับสิ่งของ การเงิน ธุรกิจการงาน การที่เราสรางจินตภาพเกี่ยวกับอะไรก็ตามเราจะเกิด
อารมณที่สอดคลองเสมอมันทําใหเรารูสึกมั่นคงหรือมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องเฉพาะที่เราไดฝกฝนสรางจินต
ภาพ เอาละ ถึงตรงนี้ ขอใหเราหลับตาลง นั่งใหสบายและผอนคลาย ตอนนี้ใหจินตนาการวาเรากําลัง
หยิบสมุดธนาคารของพวกเราขึ้นมา เปดหนาแรกออก ตอนนี้เราเห็นชื่อและนามสกุลของเรา พลิกไปที่
รายการสุดทาย เราเห็นตัวเลขเงินที่เราเปนเจาของหรือไม มันอาจมากแคไหนก็ได สมมติวามันคือสิบ
ลานบาท พวกเราเห็นเลขหนึ่งและศูนยอีกเจ็ดตัวชัดไหม ขอใหเราคอย ๆ ฝกสรางภาพในใจถึงสิ่งที่เรา
ตองการ ใส ความรู สึกดีใจลงไปและทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา ให ขอบคุ ณในใจต อจํ านวนเงิ น นั้น ที่ เราได
ครอบครองใหสมจริง ยิ่งเราเชื่อและสรงภาพไดชัดเจนเทาไหร พลังแหงจินตภาพก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น
เทานั้น ยิ่งนานวันออกไป เราจะรูสึกแนใจวาสิ่งนี้จะเปนไปไดจริง ๆ เราจะไมคิดถึงความยากจนและ
หวาดกลัวไปเองวาเราจะลําบาก แนนอนวาพวกเราไมไดนั่งงอมืองอเทา พวกเราก็ยังออกไปทํางาน
ออกไปทําธุรกิจ แตที่เพิ่มขึ้นอีกอยางในชีวิตคือ พวกเราไดฝกสรางจินตนาการที่สรางสรรค
หลายคนสงสัยวา นั่นจะเปนการหลอกตนเองหรือเปลา เพอเจอหรือฝนลม ๆ แลงไป หรือเปลา
เหตุผลที่ถามอยางนี้มักเปนเพราะพวกเขาเขาใจผิดไปวา คนที่ชอบวาดภาพในใจคงไมไดลงมือทํา
อะไรเลยนอกจากหลับตานึกเทานั้น แตมันไมใชเลย พวกเราที่ฝกสรางจินตภาพใชเวลานอยมากกับ
การนั่งหลับตาเพื่อสรางจินตนาการ พวกเราตางหากที่กระตือรือรนในการลงมื่อทํามาก ๆ ดั่งเชนที่
มนุษยเคยฝนหรือสรางภาพในใจวา สักวันเราจะไปย่ําดวงจันทร และแลวมันก็เกิดขึ้นริง ๆ เห็นไดชัดวา
มันตองผานการคิดคนหาวิธีที่จะไปที่นั่นอยางทุมเท และใชพลังแหงจินตนาการเขาชวยจนกลายเปน
ความจริงในที่สุด จะวาไปแลว มีตรงไหนของหนังสือเลมนี้บางไหมที่ระบุวาการใชเทคนิคใด ๆ ก็ตาม
ในหนังสือเลมนี้สามารถทําเพียงเทานั้น แลวก็ใหนั่ง ๆ นอน ๆ โดยไมตองทําอะไรอีกเลย แนนอนวามัน
ไมมีการบงชี้เชนนั้นแน ตรงกันขาม มันหมายถึงการใหนําเทคนิคตาง ๆ ในหนังสือเลมนี้เพิ่มเขาไปใน
ชีวิตประจําวันของเราตางหาก แลวเราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ไมวาสิ่งที่เราตองการจะคืออะไรก็ตาม เราตองฝกสรางภาพในใจประหนึ่งวาเราไดมันมา และ
ครอบครองมันไวแลว ในเมื่อผมเพิ่งใชคําวา “ไดมันมาและครอบครอง” ดังนั้นเราตองมุงเนนไปที่
ความรูสึกที่สมจริงวาไดมันมาแลวจริง ๆ เราจะรูสึกอยางไร ตื่นเตนดีใจอยางไร และมีความสุขอยางไร
การมุงเนนที่ผิดพลาดคือการไมยอมแสดงบทบาทที่แทจริงของการใชจินตนาการ เชน รูสึกแยงในใจอยู
ตลอดเวลาวา “แตฉันยังไมมีมันนี่หวา” “แตฉันยังไมไดมันมานี่หวา” ผมอดสงสัยไมไดวาหากใครชอบ
แยงเชนนี้ในใจ งั้นเขาจะมานั่งหลับตานึกภาพถึงสิ่งที่เขาตองการไปทําไม จะมานั่งหลับตาเพื่อตอกย้ํา
50
และมุงเนนในสิ่งที่ไมมีไปทําไม นั่นจะยิ่งทําใหรูสึกแย และดึงดูดความไมมีใหเขามามาก ๆ กันเขาไป
ใหญ โปรดจําไววาการหลับตาสรางจินตภาพ ไมใชเวลาที่จะนึกคิดถึงสิ่งที่เรายังไมมีหรือยังไมไดมา
แตมันเปนเวลาสําหรับการจินตนาการวาถาเรามีมันแลวในขณะนี้ แลวเราจะรูสึกดีอยางไร ใหเราสราง
ความรูสึกดี ๆ เชนนั้นใหมาก ๆ แลวเราจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นที่จะดึงดูดสิ่งที่เราไดวาดภาพไว
และทายที่สุดของเรื่องการฝกจินตนาการ ความสําเร็จของพลังแหงการสรางจินตภาพหรือ
ภาพในใจจะขึ้นกับองคประกอบ 4 ประการคือ
1. ภาพในใจนั้นชัดเจนมากหรือนอย
2. ความยาวนานในการเห็นภาพที่ตองการ
ยิ่งเห็นภาพนั้นไดนานกวา พลังก็ยิ่งมากตามไปดวย
3. ความถี่ในการสรางจินตภาพ
4. ความเขมขนทางอารมณที่รูสึกอยูในการสรางภาพในใจ
51
บทที่ 30
การตื่นขึ้นครั้งใหญของผม T x E = R
เทาที่ผานมา ผมไดอธิบายวาพวกเราสรางหรือผลิตหรือประกอบอารมณขึ้นมาจากแหลงใหญทั้งสาม
ซึ่งไดแก การเคลื่อนไหวหรือการใชรางกายของเรา ภาษาหรือคําพูดที่เราใช และภาพในใจวาปนอยาง
ไร ความรู เ หล า นี้ ทํ า ให ผ มตื่ น ขึ้ น จากการหลั บ ไหลมานาน ยิ่ ง ไปกว า นั้ น เมื่ อ ผมได เ ข า ใจแล ว ว า
ความคิดที่เจืออารมณนั้น คือพลังงานแมเหล็กไฟฟาความถี่ตาง ๆ ที่สงออกไปในอวกาศตลอดเวลา
และจะไปตามพลังงานที่อยูในคลื่นแบบเดียวกันเขามาหาตามกฏแหงการดึงดูดชักนําพา พฤติกรรม
ของผมก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ภารกิจใหญของผมคือความราเริง ปติยินดี และการทําจิตใจใหผองแผว
ดูเหมือนวากฏแหงการดึงดูดจะดึงดูดของที่เหมือนกันมาใหผมจริง ๆ เพราะวามันไดดึงดูดความรูที่ล้ํา
ลึกที่สุดอีกประการหนึ่งมาใหผม นั่นก็คือ T x E = R ซึ่งเปนสูตรที่ทําใหตื่นขึ้นเมื่อผมไดรูแจงอยาง
ฉับพลันถึงสิ่งที่จะชวยอธิบายปริศนาลี้ลับมากมายวา ทําไมมนุษยถึงเปนอยางที่พวกเขาเปน ทําไม
มนุษยเลือกทําบางสิ่งแตไมเลือกทําบางสิ่ง คําถามนี้เหมือนงายแตยากมาก มันเขาขายเสนผมบังภูเขา
แตแลวสูตรพิเศษนี้ก็เขามาในสถานการณที่สุกงอมพอดิบพอดี แลวชวยใหผมเปลี่ยนแปลงกรอบ
ความคิดครั้งใหญ เอาละ ในเมื่อผมไดโมไวมากวามันดีแบบสุดยอด เราไปศึกษากันเถะวามันคืออะไร
กันแน
52
ผลักใสมันไปอยูไกลลิบโลก และเชื่อไดเลยวา…มันจะไมเปนความจริงขึ้นมาหรอก ตราบใดที่เราใส
ความรูสึกแย ๆ กับความคิดหรือเปาหมายใด ๆ ก็ตามดวยภาษาที่ทอแทเจืออารมณเชิงลบวา “ ก็มัน
เปนไปไมไดนี่” “ก็มันหนักหนาเกินไปนี่” “ก็มันคงไมคุมหรอก” “ก็มันขี้เกียจนี่หวา” “ก็มันยากจะตาย
โหง” ”ก็มันคงไมไดผล แลวจะพยายามไปทําไม “ ฯลฯ งั้น ก็ชัวร อยูแล วที่เราจะไมลงมือทําตาม
ความคิดนั้นแน ผมถึงบอกวาสูตรนี้มันอธิบายพฤติกรรมของคนไดเยอะ
ดังนั้น ถาเราอยากแนใจวาเราจะลงมือทําอะไรหรือไม เราตองสรางตัว E หรือสรางอารมณที่
มันตื่นเตนเราใจใหกับตัว T หรือความคิดอยางใดอยางหนึ่งใหมาก ๆ แลวเราจะลงมือดวยความเต็ม
ใจอยางเปนธรรมชาติ เราจะกลายเปนคนแบบ “ฉันรักที่จะทํา” แทน “ฉันเกลียดที่จะทํา” จะวาไปแลว
เนื้อหาจํานวนมากในหนังสือเลมนี้ ลวนปูทางไปสูการสรางตัว E ที่อยูในสูตรนี้ จําไดไหมที่เราไดเรียนรู
ผานมาแลววา พลังที่ยิ่งใหญที่สุดไดแก “ พลังแหงอารมณหรือพลังแหงสภาวะจิต” เราไดรูมาแลววา
เราสรางอารมณไดจากแหลงทั้งสามคือ การเคลื่อนไหว คําพูด และการสรางภาพในใจดังนั้น เรายอม
ประยุกตใชสูตรนี้ไดงายมาก หากวาผมตองพูดถึงสูตรนี้ดวยประโยคเดียว ผมจะสรุปวา “ใหหาหนทาง
หนึ่งเสมอ…ที่จะรูสึกดีกับเปาหมายและชีวิตของเรา” นี่คือกฏทองที่จะไขเขาไปในการใชชีวิตที่มี
ความสุขและประสบความสําเร็จอยางแทจริง
เทาที่ผานมา ผมไดพูดถึงการสงจดหมายผิดใบ การที่เราเผลอกลายเปนผูเชี่ยวชาญดานความ
หดหูและความเคลียด เราเผลอไปใชกลยุทธที่ไมมีวันไดผลซึ่งไดแกการเซ็ง เบื่อ บน ตําหนิ กังวล กลัด
กลุม และการรองให ผมขอเรียกพวกมันรวมกันวา “รูสึกแย” คําวา “รูสึกแย” ก็คืออารมณเชิงลบทั้งปวง
หรือถาตองพูดอีกอยางก็คือการใสเครื่องหมายลบ (-) ใหกับตัว E เอาละ แลวมันจะเกิดอะไรขึ้นกับสูตร
ของเรา
สูตรเดิมมีอยูวา T x E = R โดยที่
T = Thought หมายถึงความคิด ไอเดีย เปาหมายหรืออะไรก็ได
E= Emotion หมายถึงอารมณความรูสึกที่มีตอ ตัว T
R= Reality หมายถึงความเปนจริงที่จะเกิดขึ้นได
53
หรือยังครับ ขอใหคิดถึงเรื่องราวตาง ๆ ในชีวิตที่ผานมาสูตรนี้ไดอธิบายพฤติกรรมของเราไดมากใชไหม
ผมหวังเหลือเกินวาพวกเราจะไดตื่นขึ้นกับความรูที่ล้ําลึกนี้ สําหรับตัวผมนั้น ผมไดไตรตรองถึงชีวิตที่
ผานมา และนึกขอบคุณวามันยังไมสายที่ผมจะเปลี่ยนแปลงไดอยางมหาศาลเมื่อผมรูวาไดควาสูตรนี้
ไวในมือแลวพวกเราทุกคนก็ตองทําใหไดเชนกัน นํามันไปปรับใชกับตนเองวันนี้เลย และสิ่งหนึ่งที่ควร
คาแกการจดจําก็คือ “ ใหหนทางใดหนทางหนึ่งเสมอ…ที่จะรูสึกดีกับเปาหมายและชีวิตของเรา”
54
บทที่ 31
อารมณเสีย …เปลี่ยนมันซะ
55
แบบคลั่งไคล หลายครั้งที่ผมตองแปลกใจเมื่อพวกเรามีความสุขกับสิ่งที่เศรา มันขัดแยงเกินไป และ
แนนอนวานี่คือหนึ่งในกลยุทธที่ไมมีวันไดผลดีกับชีวิตพวกเราแลย แตหลายคนอาจเถียงวา “ก็ฉันไมได
คิดวานั้นเปนกลยุทธนี่คุณ”มันก็จริง แตสิ่งใดก็ตามที่เราใชมันบอยในการดําเนินชีวิตจนกลายเปน
รูปแบบหรือนิสัย มันไดกลายเปนกลยุทธของการใชชีวิตชนิดที่เราไมรูตัว และรูปแบบหรือกลยุทธใน
การเขาถึงความสุขดวยเรื่องราวเชิงทุกขอันแสนรันทดใจนั้น.. คือสิ่งที่ตองระมัดระวังเปนอยางยื่ง มัน
ราวกับวาไมนาเสียหายอะไร หรืออาจเรียกมันวาคือ “ความมืดสีขาว” หลายคนไมไดดีหรือผลิกผันไปสู
ความเศราก็เพราะวาจิตใจฝกใฝความทุกขโดยไมรูตัว นี่คือการปรับจิตจนกลมกลืนกับความเศราและ
เห็นวามันคือความปกติแตผมยืนยันวาไมปกติ เมื่อเราของแวะกับมัน อานมัน ฟงมัน และดูมันเปน
ประจํา เทากับวาเราไดราดยาพิษเหลานี้ลงในความรูสึกนึกคิดของเราดวยน้ํามือของเราเอง พวกเราได
กลายเปนเยื่ออยางไมรูตัว ผมเลิกฟงเพลงเศราก็ดวยเหตุที่ตระหนักรูถึงผลที่จะตามมาของมันหากเปน
บทเพลงชนิดซาบซึ้งใจยังพอรับได แตบทเพลงเศราผมไมเอาเลย…. อยางนอยผมก็ลดโอกาสที่จะ
ปลอยพลังงานคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํา ๆ ออกไปสูอวกาศที่จะไปกวักมือตามเรื่องราย ๆ เขามา
ในชีวิตของผมไดเยอะแลว แตคนสวนใหญไมเคยรูเรื่องการสงคลื่นนี้เลยแมแตนิดเดียว พวกเขาไมรูวา
มีความสัมพันธกันระหวางพลังงานของสภาวะอารมณกับสิ่งที่จะดึงดูด ดังนั้นเมื่อเราอารมณเสียจง
เปลี่ยนมันซะ…จงเปลี่ยนมันซะ
56
บทที่ 32
ทําจิตใจใหผองแผว
57
ประการที่สอง ในคําสอนที่วา “จงทําจิตใจใหผองแผว”เห็นไหมวามันไมไดระบุวาตองมีเงื่อนไข
ใด ๆ ที่ดีหรือแย และมันไมไดระบุการเวลาเอาไว ฉะนั้น ผมจึงตีความวา “จงทําจิตใจใหผองแผว ในทุก
กาลเวลา ทุกสถานที่ และทุกสภาวะเงื่อนไข” เชน
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรายังไมร่ํารวยแตเราอยากมีเงินทองเยอะ ๆ จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่ผองแผว
ราเริง และ ปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรายังไมมีแฟนแตอยากมี หรือวาเราอยากแตงงานแตยังไมพบเนื้อคู จงฝกให
ตนเองมีจิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะ
เงื่อนไขเชนนั้น จงฝกใหตนเองยิ้มแยมแจมใสอยูเสมอ
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรามีครอบครัวแลว แตเรายังไมมีทายาทและเราอยากมี จงฝกใหตนเองมีจิตใจ
ที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เราเจ็บปวยแตเราอยากหายปวย จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติ
ยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้คุณแมของเราไมสบายแตเราอยากเอาใจชวยทานใหหายปวย จงฝกใหตนเองมี
จิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาใว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไข
เชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เราพบกับปญหาและอุปสรรคหลาย ๆ อยางที่ตองแกไข จงฝกใหตนเองมีจิตใจ
ที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เราอวนแตอยากผอมและดูดี จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติ
ยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรายังไมไดในสิ่งที่เราตองการหลายสิ่งที่เราอยากได จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่
ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีความสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
และไมวาเรากําลังเผชิญอยูกับอะไร ณ ขณะไหน และสถานที่ไดก็ตาม จงฝกใหตนเองมีจิตใจ
ที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเหลานั้น
คุณผูอานที่รัก เมื่อผมยังเล็กนัก ผมตองเรียนวิชา “หนาที่พลเมือง และศิลธรรม” ผมไดรับคํา
สอนที่ดีที่สุดและผมทองมันไดขึ้นใจเพราะวาผมตองสอบ กระนั้นผมไมไดตระหนักรูถึงความสําคัญ
ของมันวา “การทําจิตใจใหผองแผว” คือหัวใจในการดําเนินชีวิต อีกเนิ่นนานใหหลังผมก็ไมไดใสใจ
และ ใชชีวิตที่ตรงขามกับคําสอนนี้ คนจํานวนมากลวนเหมือนผม พวกเรา เซ็ง เบื่อ บน และหดหู ได
งายจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็อยางที่เราเดาได พวกเราไรสุขและไมเห็นคุณคาของชีวิต เพราะวาเราตีความ
ใหเรื่องแทบทุกเรื่องที่เราเจอกลายเปนเรื่องขุนใจ รบกวนหรือหงุดหงิดนารําคาญ เราจึงรูสึกแยเอามาก
ๆ คําวา “เกษมสําราญ” นั้นเหมือนเปนคําศัพทประหลาดที่มีแตคนรุนกอนใชแตไมใชเรา ฉะนั้น
ในขณะที่เราตื่นอยู…เราตองตื่นขึ้นจริง ๆ เสียทีวาการทําตัวแบบไหนกันแนที่ดีกวา เขาทากวา และ
58
ไดผลดีแน แคกําหนดจิตวาตอไปนี้จะมุงเนนชีวิตที่ผองแผวและเริ่มเสียเดียวนี้เลย แลวพวกเราจะตื่น
ขึ้นจริง ๆ เสียทีจากการหลับไหลที่ยาวนาน และเราจะไมรูสึกอีกตอไปวา… ทําไมนะ ชีวิตของฉันถึง
วางเปลาเสียจริง
59
ภาค 2
ระบบใหญในตัวเรา
60
บทที่ 1
เมื่อเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนตาม
61
คนในแบบที่เราครุนคิดอยูตลอดเวลา เราจึงปฏิเสธความสําคัญของความคิดเรา แตเรานั่นแหละที่
สรางความคิดและใชมัน ตลอดจนเปนนายของมันอีกดวย
เอาละ ผมรูสึกสบายใจมากที่ไดอธิบายสิ่งที่เขาใจยากผานไปแลว ตอนนี้ เรามาดูผลที่จะ
ตามมาเปนลูกโซที่เกี่ยวกับความคิดไดเลย
เมื่อเราเปลี่ยนความคิด เราจะเปลี่ยนความเชื่อ
เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อ เราจะเปลี่ยนการคาดหวัง
เมื่อเราเปลี่ยนการคาดหวัง เราจะเปลี่ยนทัศนคติ
เมื่อเราเปลี่ยนทัศนคติ เราจะเปลี่ยนความรูสึก
เมื่อเราเปลี่ยนความรูสึก เราจะเปลี่ยนการกระทํา
เมื่อเราเปลี่ยนการกระทํา เราจะเปลี่ยนผลลัพธที่ได
เมื่อเราเปลี่ยนผลลัพธที่ได ประดุจวาเราไดเปลี่ยนชีวิตของเราไป
62
อยูมาวันหนึ่ง ชีวิตของผมไดเปลี่ยนไปอีกขั้นหนึ่งเมื่อผม ๆ ไดตั้งคําถามที่สําคัญมากกับตนเองขอหนึ่ง
วา ‘’ก็แลวมนุษยเปลี่ยนความคิดไดอยางไรละ” ทันไดนั้นเอง ผมราวกับวาไดเขาไปสูความรูแจงหรือ
การหยั่งรูอะไรบางอยางที่ฉับพลันในชั่วพริบตาผมไดยินเสียงในใจตอบวา “ก็ดวยการใหขอมูลใหม ๆ
กับสมองหรือจิตใจของเราไง” ใชแลว “ขอมูลใหม ๆ การใหความหมายใหม ๆ คําถามใหม ๆ กรอบ
ความคิดใหม ๆ ทฤษฎีใหม ๆ ประสบการณใหม ๆ รานอาหารใหม ๆ ไอศกรีมรสใหม ๆ หนังสือเลม
ใหม ๆ สัมมนาใหม ๆ ไปดูหนังแนวใหม ดนตรีแนวใหม การแตงตัวแบบใหม ๆ เจอคนใหม ๆ คบ
เพื่อนใหม ครุนคิดเรื่องใหม ๆ ความรูสึกใหม ๆ ฯลฯ” โอ… คําตอบที่ไดราวไมมีที่สิ้นสุด
ฉะนั้ น พวกเราต อ งหั น มาสนใจหน อ ยว า … ในวั น แล ว วั น เล า ของเรานั้ น มี อ ะไรบ า งล ะ ที่
แตกตางออกไป หาไมแลวเราจะเปลี่ยนความคิดไดไง นิวอินพุทหรือสิ่งใหม ๆ ที่จะยัดใสเขาไปในสมอง
หรือจิตใจของเรานะ… มีบางไหม? ถาไมมี… งั้นตองรีบจัดการใหมันมีใหจงได และแนนอนวาใน
บรรดาสิ่งใหม ๆ ทั้งหลายแหลนั้น ผมหมายถึงสิ่งดี สวนสิ่งใหมที่เลวรายนั้น… ผมไดละไวในฐานที่
เขาใจวา… ไมนับพวกมันเขามารวมไว พวกเราอาจสงสัยวา “อาว… แลวฉันจะไปรูเรอะวาสิ่งใหมเนี่ย
มันดีหรือเลว ก็มันใหมมากนี่นา” จริงอยูวาบางทีเราอาจไมรู แตเราตองเรียนรูใหเร็วที่สุดวาอะไรดีและ
อะไรไมดี จากนั้นก็คัดสิ่งไมดีทิ้งไปและเก็บแตเฉพาะสิ่งดีไว
อนึ่ง ถอยคํานับแสนนับลานคําในภาคที่ 1 (และที่พวกเราจะอานตอไปอีกมาก) ที่พวกเราได
ผานมา สิ่งเหลานั้นลวนเปนขอมูลใหมที่ผมพยายามปอนเขาไปในสมองและชีวิตจิตใจของพวกเรา
ไมใชหรอกหรือ? ทั้งหมดที่ผมพยายามลงไปนั้น ก็เพราะผมเชื่อจริง ๆ วา เมื่อเราเปลี่ยนความคิดได
เมื่อไหร ชีวิตของพวกเราก็จะเปลี่ยนไปอยางแนนอนเมื่อนั้น
63
บทที่ 2
สองแสนครั้งกับการถูกปฏิเสธและหามปราม
64
อะไรสักอยางที่ถือไดวาผมสิ้นคิดและบาไปแลว…. นั่นก็คือการที่ผมคิดวา การเลนหุนฉลาดกวาการทํา
ธุรกิจอื่น ๆ แตอยาเพิ่งเขาใจผิด ผมไมไดบอกวาคนเลนหุนโง เปลาเลย… คนเลนหุนที่ฉลาดนั้นมีมาก
เมื่อคนเราจะเลนหุนก็ไมแปลกหรอก คน ทั่วโลกก็เลนหุนไมใชหรือ? แตการคิดเลยเถิดถึงขนาดที่วา
“มันเหนือกวาการทําธุรกิจอื่น ๆ”ยอมเปนอคติ ในที่สุดผมตัดสินใจเลิกทํางานในธุรกิจครอบครัวและไป
ตลาดหุนทุกวันอยางเต็มตัว และผมก็หมดตัวเมื่อตลาดหุนดิ่งลงตลอดเวลาและหุนบางตัวมีมูลคา
เหลือหนึ่งสตางคเทานั้น ตอนนั้นผมไดแตหดหูและหางไกลกับความรูที่ผมเขียนไวในหนังสือเลมนีม้ าก
หนึ่งในความจริงที่ปฏิเสธไดยากคือ… ยามที่คนลมนั้น คนจํานวนนอยกวาที่ลุกขึ้นมายืนได ในยามที่
ย่ําแยนั้น ไมตองบอกก็รูวาเรื่องเลวรายอีกนับสิบจะกรูกันเขามาไมขาดสาย (ก็มันแนอยูแลวที่ผมได
กวักมือเรียกพวกมันเขามาดวยคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํามากที่ผลิตจากอารมณเชิงลบที่ผมสงออก
ไปทุกวัน ในตอนนั้นผมยังไมรูวาผมเปนมนุษยที่สามารถปลอยพลังงานตัวนี้ ผมสงจดหมายเชิญผิดใบ
ตลอดเวลา) ในชวงนั้น ผมไดรับความเจ็บปวดในทุกรูปแบบก็วาได วันหนึ่งภรรยาไดเตือนสติวา “เฮียมี
ความรูเรื่องหมากลอมมาก เฮียสูอุตสาหศึกษามานับสิบป ทําไมไมเขียนหนังสือสอนใหคนเลนเปนละ”
ในเมื่อผมไมมีอะไรจะสูญเสียอีกแลว ผมจึงลงมือเขียนมัน และแลวในที่สุดตําราหมากลอมที่สมบูรณ
ที่สุดเลมแรกแหงประเทศนี้ก็ไดอุบัติขึ้น “โกะ อัจฉริยะเกมแหงพิภพ” มันขายดีเปนเทน้ําเททา สิ่งนี้ให
กําลังใจแกผมมาก ผมไดเปดสํานักพิมพขึ้น และเริ่มหันมาศึกษาหนังสือแนวพัฒนาตนเองอยางจริงจัง
ตั้งแตป 2543 เปนตนมา แตดวยเดชะบุญที่ผมเคยอานมากอนและมากดวยเมื่อตอนเปนวัยรุน ทวา
คราวนี้ไมเหมือนตอนเปนวัยรุน ผมไดบทเรียนมามาก ดังนั้น ผมจึงซาบซึ้งกับคําสอนในหนังสือไดมาก
เปนพิเศษ และนึกไมถึงวา ผมจะไดคนพบตัวเองอีกครั้งวาผมมีพรสวรรคในดานนี้ และภารกิจใหญของ
ผมก็คือ…. การรับใชคนในประเทศนี้เพื่อปอนอาหารทางสมองที่ดีเลิศ และเปนกําลังใจใหกับผูคนอีก
มากใหตอไป
คุณผูอานที่รัก แมวาหลายคนไมไดมีชีวิตเหมือนผม แตพวกเราตางคลายกันในแงที่เราถูก
ปลูกฝงและเลี้ยงดูมาแบบใหระวังตัว เราถูกหามปรามในแทบทุกเรื่องราว สิ่งนี้เปนกันทั้งโลก และพวก
เราก็ตางมีชีวิตที่เต็มไปดวยขอจํากัดของตัวเอง อาจตางกันในรายละเอียดแตเหมือนกันในลักษณะที่
เราถูกปลูกฝงใหระวังและอยาทําในหลาย ๆ สิ่ง เราจึงมีความจําเปนที่จะตองเติบโตขึ้นจริง ๆ ไมใช
เพียงอายุแตเปนความเขาใจถึงอิทธิพลขิงสิ่งแวดลอมและคําสอนที่หลอหลอมเราขึ้นมา ผมหวังวาพวก
เราจะเขาใจมัน เห็นใจพวกผูใหญทีปฏิบัติตอเราที่รูเทาไมถึงการณ และกาวพนไปจากกรอบความคิด
เล็ก ๆ ของเราใหจงได และแนนอนวาผมทําทุกสิ่งทุกอยางที่ตองทําเพื่อทําใหพวกเราเอาชนะการ
ปฏิ เ สธสองแสนครั้ ง ที่ พ วกเราได ป ระสบมาและนํ า พาพวกเราไปสู ก รอบความคิด ที่ใ หญม ากเพื่ อ
อิสรภาพทางความคิดที่รวมไวซึ่งทุกสิ่งทุกอยางที่อาจเปนไปได
65
บทที่ 3
กรอบความคิด… ปอมปราการที่ตองฝาทะลุออกไป
เมื่ อเราพู ดถึ งเรื่ อ งความคิ ด ผมคิดวา เราต องหัน มาสนใจอี ก สิ่ง หนึ่ง ใหมากนั่น คือ “กรอบ
ความคิด” มันเปนอะไรที่เหมือนขอบเขตที่ปลายสุดของความคิด หรือการอนุญาตที่มากที่สุดที่ตัวเรา
ยอมรับไดดังนั้นในกรอบความคิดของเรื่องใด ๆ ก็ตาม ภายในนั้นยอมมีความคิดไดหลายอยางแตมัน
ถูกจํากัดความเปนไปไดดวยกรอบของมัน นี่เปนเรื่องที่ลึกซึ้งมากเรื่องหนึ่ง เปนความลี้ลับมากประการ
หนึ่งที่ผมพยายามเขาไปสัมผัสมัน มันนาตกใจยิ่งที่ความคิดที่มองเห็นไมไดดวยประสาทสัมผัสทาง
ภายนอกทั้งหากลับสามารถมีขอจํากัดได ในยามที่คุณคิด ผมมองไมเห็นหรอก ผมไมรูหรอกวาคุณคิด
อะไรถาคุณไมบอก แมกระนั้น คุณก็รูวามีอาณาเขตบางแหงที่คุณไมกลาลวงล้ําเขาไป มันเปนกรอบที่
มองไมเห็นที่บอกเราวา “เราคิดไกลได” แคสุดเขตแดนนี้ มากกวานี้เปนไปไมได และไมไดรับอนุญาต
ใหไปไดไกลกวานี้ทางความคิดอีกแลว มันอาจดีในบางแงแตมันก็แยในทางสรางสรรคดวยเชนกัน
ยกตัวอยางเชน เมื่อผมเปนเด็ก ผมถูกปลูกฝงวา “การดาพอแมจะทําใหผมตกนรกและถูกเจาะปาก
ดวยเข็ม” ดังนั้น แมในความคิด ผมเดินทางขามกรอบความคิดนี้ไมได มิเชนนั้นแลว ผมจะรูสึกวา…
ได รั บ ความเจ็ บ ปวดที่ ลึ ก มาก เพราะฉะนั้ น พวกเราย อ มได รั บ กรอบทางความคิ ด จากภู มิ ห ลั ง
สิ่งแวดลอม จารีตประเพณี การศึกษา ประสบการณที่ไดผานพบ และอาจเปนอะไรก็ไดนับไมถวนที่
สรางกรอบทางความคิดขึ้นมา ขอดีนั้นมีแน แตขอเสียคือบางทีเรามีกรอบความคิดเกี่ยวกับปรัชญา
การใชชีวิต วิธีการหาความสุข และความสําเร็จ ที่ทําใหเราสมความปราถนาไดยากมาก ฉะนั้น ใน
ฐานะที่ตอนนี้เราเปนผูใหญแลว เรารูมากวาอะไรเปนอะไรแลว เราตองขยายกรอบความคิดในหลาย ๆ
เรื่องใหกวางไกลจนราวกับวาไมมีกรอบ หรือถาเปรียบวากรอบความคิดคือกําแพง หรือปอมปราการที่
กักขังหนวงเหนี่ยวเราไว เราจําเปนตองฝาทะลุออกไปหากเราตองการชีวิตที่ไรขีดจํากัด ลองดูการฝา
กําแพงของผมจากตัวอยางตอไปนี้
นานมาแลวที่กรอบความคิดของผมเกี่ยวกับเด็กคือ “เด็กก็คือเด็ก” นั่นทําใหผมมีพฤติกรรมตอ
ลูกในลักษณะที่ไมเทาเทียมเมื่อผมไดขยายกรอบความคิดใหมเปน “เด็กก็คือผูหญิงหรือผูชายแคตัว
เล็กกวาเรานอดหนอย เด็กคืออนาคตที่แทจริงของมนุษยชาติ และอีกหนอยก็จะตัวโตเทาเรา” ดวย
กรอบความคิดนี้ ผมไดเปลี่ยนพฤติกรรมตอเด็กไปมากทีเดียว สิ่งนี้ลูกผมเปนพยานไดดีถึงการปฏิบัติ
ตอพวกเขาอยางใหความสําคัญและใหเกียรติอยางมาก
นองสาวคนเล็กตอวาผมเสมอวา “อยามาวาฉันเพียงเพราะเธอเปนพี่” ผมนึกออกทันทีวาที่ผม
ทําเชนนั้นเพราะวากรอบความคิดของผมมันบอกวาผมโตกวา ผมเปนพี่ ผมมากอน และเมื่อกอนผมวา
กลาวเธอได แตเมื่อกอนไมเหมือนเดี๋ยววนี้ เพราะวาเธอโตเกินกวาที่ผมจะอางเชนนั้นไดอีกตั้งนานแลว
นี่มันตางอะไรกับที่พอแมวัยแปดสิบเห็นลูกอายุหกสิบวายังเปนเด็ก ดังนั้น เพื่อแกปญหานี้กับนองสาว
66
ไปตลอดกาล ผมไดขยายกรอบทางความคิดสําหรับเรื่องนี้เปน “ใชแลววาในฐานะหนึ่งเธอเปนนองสาว
ของฉันและในขณะเดียวกันเธอก็เปนผูใหญ เธอเปนปจเจกบุคคลที่มีชีวิตอิสระของตนเอง เธอมีสามี มี
ครอบครัว เธอมีลูกของตนเอง และเธอยังจะเปนอะไรอีกตั้งหลายอยางที่ฉันอาจไมเปน” ตั้งแตผมได
ขยายกรอบความคิดนี้ออกไปอยางกวางไกลแลว ผมไมเคยทะเลาะกับเธออีกเลย
ในเรื่องเกี่ยวกับเวลาของครอบครัวนั้น ผมไดเปลี่ยนกรอบความคิดครั้งใหญเมื่อผมเปลี่ยน
ประโยคที่วา “นี่มันคืดเวลาของผม” มาเปน “นี่มันเวลาของเรา” คุณอาจสงสัยวามันจะดีสักแคไหน ผม
บอกไดเลยวาเยี่ยมแบบสุด ๆ ทุกวันนี้ผมมีความสุขมากกับคําเชิญชวนแทบทุกชนิดของลูกและภรรยา
ที่พวกเขาออกปากชวนผม ผมจะวางงานลงโดยไมลังเล…ก็นี่มันเวลาของเรานี่
หากคุณยอนกลับมาอานหนังสือเลมนี้อีกครั้ง มันแนนอนวาคุณตองเจอคําสรรพนามตอไปนี้
ผม,คุณ, และ พวกเรา แตเดาซิวาผมใชคําไหนเยอะที่สุด… ผมใชคําวา “พวกเรา” บอยที่สุด ทําไมถึง
เปนอยางนั้นละ สาเหตุก็คือเมื่อผมไดขยายกรอบความคิดจากคําวา “คุณและผม” ไปเปน “พวกเรา”
แล ว มั น ก็ ไ ม มี อ ะไรที่ คุ ณกั บ ผมจะขั ด แย ง กั น อีก ต อ ไป ผมจึ ง ไม อ ยู ใ นฐานะที่ ส อนอะไรให กับ คุ ณ
เพราะวาคําวา “พวกเรา” ไดลดชองวางความเปนคนแปลกหนาตอกัน และผมก็รูสึกจริง ๆ วา “เราเปน
พวกเดียวกัน” สวนในหนังสือเลมกอน ๆ ของผม ผมไดใชคําวา “ผม” และ “คุณ” เยอะมาก ทําละ… ก็
เพราะวาตอนนั้นผมยังไมไดเปลี่ยนกรอบความคิดใหกวางไกลออกไปสูคําวา “พวกเรา”นะสิครับ
ออ…. เมือพูดถึงคําวา “พวกเรา”มีเรื่องลอเลียนที่ขําดีอยูเรื่องหนึ่ง มีเรื่องเลากันวา…มีประเทศหนึ่งใน
เอเชีย (ขอไมบอกชื่อ) ที่ชาตินิยมจัดมาก นั่นหมายความวาพวกเขารักชาติของตนเองเอามาก ๆ เวลา
จะพูดถึงเรื่องไหนก็ตาม พวกเขาจะพูดวา ”บริษัทของเรา” “คนของเรา” “เด็กของเรา” “อุตสาหกรรม
ของเรา” “เทคโนโลยีของเรา” ฟง ๆ ดูก็เขาทาดีและรูสึกวาพวกเขาชางเปนปกแผนดีจริง แตที่ผมอดขํา
ไมไดคือคําสุดทายที่ผมกําลังจะพูดถึงครับ พวกเขาพูดวา “ภรรยาของพวกเรา” อืมมมมม… อะไรมัน
จะขนาดนั้น
มีขาวดีเล็กนอย เทาที่พวกเราไดอานมาไกลถึงเพียงนี้ พวกเราไดขอมูลใหม ๆ ไปมากแลว
ดังนั้น โดยที่ไมอาจหลีกเลี่ยงไดพวกเราไดขยายกรอบของความคิดหรือทลายกรอบของความคิดอันคับ
แคบตายตัวบางประการลงไปแลว สิ่งนี้ยอมทําใหเราเห็นความเปนไปไดใหม เพิ่มขึ้นไมมากก็นอย
คุ ณ ผู อ า นที่ รั ก ผมได อ ธิ บ ายเรื่ อ งกรอบความคิ ด มาพอสมควรเพื่ อ ที่ พ วกเราจะนํ า ไป
ประยุกตใชใหแหมาะสม ขอใหพวกเราสํารวจตรวจตราดูวาความคิดหรือกรอบความคิดดานไหนบาง
ไหมที่เ ราคับแคบเกิ นไปงั้ นเราจิน ตนาการวา กรอบอัน นั้ น มันขยายตั วออกไป จงยืดหยุ น และเพิ่ม
ความหมายใหมหรือความเปนไปใหม ๆ เขาไปใหมาก ๆ นี่แหละคือการพังกําแพงหรือฝาทะลุกรอบ
ความคิดเกาของพวกเราและเรามีความสุขและความสําเร็จมากขึ้นอยางแนนอน และตอนนี้เรากําลัง
จะไดเรียนรูความคิดในรูปของคําถามซึ่งเปนสิ่งที่ใกลชิดติดพันกับเราเปนอยางยิ่ง เรายิงคําถามกับตัว
67
เราเองและเรื่องราวในโลกนับลานขอ “คําถาม” คืออะไรกันแน มันเปนความคิดประเภทหนึ่งใชไหม?
พวกเราจะไดรูแจมแจงในหัวขอตอไป
68
บทที่ 4
คําถามคืออะไรกันแน
ที่เขาทําอยางนี้มันหมายความวาอยางไร ?
เขาจะรักฉันอยางที่ฉันรักเขาไหมนะ?
ฉันอาจสามารถทําอะไรไดบางแลวเขาจะรักฉัน?
ฉันทําอะไรไดอีกแลวฉันจะเปนที่รัก?
ฉันตองทําตัวอยางไรถึงจะดีที่สุด?
69
บทที่ 5
ธรรมชาติของคําถามและอนุภาพของมัน
แมวาพวกเรามีประสบการณในเรื่องการถามมานับไมถวนแลวก็ตาม แตเชื่อเถอะวาเราก็สัก
แตถามกันไปเรื่อยโดยไมไดรูถึงธรรมชาติของมันสักเทาไหร ดวยเหตุนี้เอง มันจึงคลายกับการโยน
ลูกเตาที่ไดแตมไมแนนอน ซึ่งหมายความวาบางครั้งเราถามคําถามไดฉลาด เราก็พลอยไดรับผลดีตาม
ไป และครั้งใดเราถามคําถามโง ๆ เราก็ไดรับผลเสียตามไปเชนกัน แตขาวรายมากก็คือ ผูคนสวนใหญ
ไดใชคําถามที่ผิดมากมายเหลือเกินกับชีวิตของพวกเขา ชีวิตจึงกลายเปนทุกขแทนที่จะสุข หนทาง
เดียวที่เราจะสรางชีวิตที่แสนวิเศษขึ้นมาไดเราตองรูวา อะไรคือธรรมชาติของมัน และผมสัญญาวา เรา
จะใชมันใหมไดอยางทรงพลังที่สุดทีเดียว ตอไปนี้คือธรรมชาติของคําถาม
สมองของเรานั้น ทํางานในลักษณะที่ตรงไปตรงมา เมื่อเราถามมันเรื่องไหน มันก็จะพยายาม
ตอบในเรื่องที่ถาม เชนถาถามวา “ใคร” มันก็จะพยายามนึกชื่อให ถาถามวา “เมื่อไหร” มันก็จะนึกถึง
เรื่องเวลา เปนตน ฉะนั้น ถาบังเอิญเรื่องไหนไมไดถาม สมองจะถือวาเราไมไดสนใจเรื่องนั้น และ
แนนอนวามันจะไมนึกถึงเรื่องนั้นใหเรา ฉะนั้น หากเราจะมีสักลานเรื่องที่พวกเราพลาดไป มันเปน
เพราะวาเราไมเคยไดถามถึงนั่นเองเปนองคประกอบแรก มันไมไดเกี่ยวกับความสามารถในการที่จะ
ไดมานักหรอก แตมันเกี่ยวอยางยิ่งวาเราไดถามถึงไหม สมมติวาเราไมเคยถามวา “ฉันจะซื้อรถเพิ่มอีก
หนึ่งคันดีไหม” ก็ไมมีเหตุอันใดที่สมองจะคิดถึงรถอีกคัน ถาเราไมไดถามวา “เมื่อไหรฉันถึงจะไปเรียน
ภาษาจีน” เชื่อเถอะวาเรายอมจะไมมีวันรูไดหรอกวาเมื่อไหร ดังนั้น คําถามที่เราถามและไมไดถาม คือ
การอธิบายวาเราสนใจอะไรและเราอาจไดมันมา กับเราไมสนใจอะไรและเราจะไมมีวันไดมันมางาย ๆ
หรอก ฉะนั้นเพื่อนเอย ถาอยากจะร่ํารวย อยากมีความสุข อยากมีสุขภาพดี และอยากมีสิ่งดี ๆ อีกมาก
แลวละก็ จงถามเรื่องราวเหลานี้กับตนเองบอย ๆ แลวสมองจะไมมีทางเลือก มันจะพยายามตอบใน
สิ่งที่เราถามอยางสุดความสามารถของมันทีเดียว โปรดจําไววา การถามถึงอะไรก็ตาม เราไดสราง
ตนเหตุที่เราอาจจะไดมันมา เพราะวาสมองถูกบังคับใหทํางานหรือคิดไปตามคําถามที่เราถามนั่นเอง
ถามอยางไร ตอบอยางนั้น
เมื่อเราถามคําถามอยางสรางสรรคเชน “ฉันอาจสามารถทําอะไรไดบางในวันนี้ แลวคุณแมจะ
รักฉัน” สมองจะคิดแตเรื่องการกระทํา แตเมื่อเราถามในลักษณะที่นากลัวสมองจะผลิตคําตอบที่นา
กลัวตามไปดวย เชน “ฉันจะกําจัดเขาไดอยางไร” โปรดรูดวยวา มันชวยไมไดที่สมองจะคิดวิธกี ารกําจัด
ให ผมถึงบอกวามันอันตรายเมื่อเราดันไปตั้งคําถามที่นากลัว อีกตัวอยางเชน “ฉันจะฆาตัวตายได
อยางไร” นี่คือลักษณะคําถามที่นาสะพรึงกลัว แตสมองฝนไมได มันจะตอบแตคําถามอยางนี้ มันจึง
เสี่ยงเมื่อใครริไปถามมันเขา ผมไมไดบอกวาการฆาตัวตายดีหรือเลว แตผมอธิบายวามันเปนธรรมชาติ
ในการทํางานของสมองกับคําถามที่มันไดรับ เมื่อเด็กนักเรียนถามตนเองวา “ฉันจะหนีเรียนไดอยางไร”
70
มันแนอยูแลววาสมองจะคิดคําตอบในการหนีให แลวถามอยางนี้ละ “ฉันจะโกหกใหแนบเนียนได
อยางไร” ไมตองหวงสมองจะชวยคิดหาวิธีให ฉะนั้น โปรดระลึกไววา สิ่งเลวในทุกรูปแบบที่คนเราอาจ
ทําลงไปได ลวนขึ้นกับวาพวกเขาไดเคยตั้งคําถามที่เลวรายมาก ๆ เหลานั้นหรือเปลา และในทาง
ตรงกันขาม สิ่งดี ๆ ทั้งหลายที่คนเราอาจทําลงไปไดก็เชนกัน ยอมขึ้นกับวาพวกเขาไดเคยถามคําถาม
ถึงพวกมันหรือไม ดวยความรูนี้ พวกเราตองรูจักเลือกใหเปนแลวทุกสิ่งทีดี ๆ จะอยูในกํามือของเรา
คําตอบใหม ๆ ยอมมาจากคําถามใหม ๆ
ผูคนมากมายบนวาเปลี่ยนแปลงตนเองไมได บางทีอาจเปนเพราะมัวถามแตคําถามเกา ๆ ที่
ซ้ําซากจําเจ มันเลยไมไดความคิดใหม ๆ เขามา ดวยการตั้งคําถามใหม ๆ ยอมบังคับใหสมองคิด
เรื่องใหม และที่โลกเจริญขึ้นก็ดวยเหตุนี้ บางคนถึงกับพูดเสียคมกริบวา “ไมใชคําตอบหรอก แตเปน
คําถามตางหาก ที่ทําใหรูแจง” วาว…. อะไรจะลุมลึกถึงเพียงนั้น! ขอใหเรามองสิ่งประดิษฐใหม ๆ ทุก
อยางที่อยูรอบตัวเราสิ ลวนเกิดขึ้นไดจากคําถามใหม ๆ หากใครก็ตามอยากผลิตความคิดที่สรางสรรค
สิ่งที่ควรและตองทําคือการปอนคําถามใหม ๆ ใหกับสมอง หากพวกเราอยากมีชีวิตที่มันตื่นเตนเราใจ
มากขึ้น งั้นเอาคําถามนี้ไปเลย… “ฉันจะใชชีวิตที่มันสนุก ตื่นเตนเราใจ และราเริงแบบสุดเหวี่ยงได
อยางไร ฉันจะทําอะไรที่มันใหม ๆ ไดบาง ฉันยังจะทําอะไรอีก อะไรละที่นาลอง ที่นาชิม ที่นาไปเห็นไป
ดู ที่นาไปเที่ยวชม ที่นาไปสัมผัส ที่นาฟง ที่นาไปรูสึกแปลกใหม และที่นาไปมีประสบการณ?”
ชีวิตที่ดีกวามาจากคําถามที่ดีกวา
มีเรื่องประหลาดมากที่คําวา “ทําไม” ใชกันมากสําหรับนักวิทยาศาสตรและไมไดมีปญหาอะไร
เลย กลับกลายเปนคําเกือบตองหามก็วาไดเมื่อนํามาใชกับชีวิตของเรา สาเหตุหนึ่งก็คือ มันทําใหเรา
เสียเวลามากไปกับการหาเหตุผลและมักมุงเนนกับอดีต เชนเมื่อเราถามวา”ทําไมฉันไมเอาไหนเลย
ทําไมฉันไมไดเรื่องเลย?” แทนที่คําถามนี้จะชวยเราในการหาเหตุผลเพื่อแกไข แตคนสวนมากใชถาม
เพื่อจะหดหูและเซ็ง!!!!! (ผมใชเครื่องหมายตกใจถึงหาตัวเพื่อบอกวามันแยจริง ๆ ) คนจํานวนมากเมื่อ
ถามตนเองวา “ทําไม” มักกลับเขาสูอดีตและเซ็งเมื่อคิดถึงมัน มันจึงเปนการกรอเทปแลวฉายซ้ํา
จากนั้นก็รูสึกเจ็บปวดมาก ตกลงเลยไมไดแกไขอะไรเลยนอกจากแยเขาไปอีก ที่อาการหนักมากจะเริ่ม
สมเพชตนเอง ชิงชังตนเอง และอาจตามมาดวยอาการซึมเศรา สวนที่เลวรายที่สุดคือการฆาตัวตาย มี
ผูคนนอยมากที่ถามตนเองวา “ทําไมฉันหวยแตก โงและลมเหลวขนาดนี้วะ?” แลวสามารถมุงเนนไปที่
การหาหนทางแกไขได เพราะวาลักษณะของคําถามมันชวนใหคิดหาสาเหตุซึ่งไมพนตองไปรื้อฟนอดีต
วาไดทําอะไรลงไปบางที่มันแย ๆ มันจึงกลายเปนกับดักที่คนคอนโลกตกหลุมพรางของมันและติดแหง
กอยูกับมันโดยใชเวลากวา 90% จมอยูกับตัวปญหา หนทางที่จะชวยไดคือการใชพลังของคําถามที่
ดีกวาโดยเปลี่ยนคําวา “ทําไม” ไปเปน “อะไร” ยกตัวอยางเชน “ฉันอาจสามารถทําอะไรไดบางในวันนี้
เพื่อพรุงนี้ที่ดีกวา?” คําถามนี้นอกจากไมสรางความรูสึกเจ็บปวดแลว มันยังมุงเนนไปที่อนาคต คนที่
71
เกงและเอาตัวรอดไดเสมอนั้นตองยิงคําถามดวยคําวา “ทําอะไร และทําอยางไร” พวกเขาจะไมใชคํา
วา “ทําไม” มันเปนคําที่เหมือนดีแตเลวในแทบทุกกรณี (มีขอยกเวนอยูบางที่จะอธิบายตอไป)
สมมติวาเราถูกกลั่นแกลงจากเพื่อนคนหนึ่ง ถาเราถามวา “ทําไมเขาทําอยางนี้กับฉันไดลงคอ
เขาไมรูหรือวาฉันจะเสียใจขนาดไหน?” คําถามเหลานี้ทําใหเราเจ็บปวด เซ็ง โกรธ นอยใจ กลุมใจ และ
ติดอยูในอารมณเชิงลบหลาย ๆ อยาง มันทําใหความคิดซ้ําคิดซากถึงสิ่งที่เขาไดทําลงไป มันทําให
สับสัยวาทําไมและเพราะอะไร และที่จริงคําตอบที่ไดก็ไมมีทางรูหรอกวาถูกหรือเปลา ก็เลนคิดอยูคน
เดียวฝายเดียว และมุงเนนกับอดีตที่ผานไปแลว มันเสียเวลา เสียสมอง แถมไมรูจริง ฉะนั้น คําถาม
“ทําไม” จึงไมไดชวยเรา ฉะนั้น ไมวามันจะเพราะอะไรก็ตาม มันก็ไดเกิดขึ้นมาแลว จึงไมตองไปสนใจ
มันมาก แตใหถามใหมวา “ฉันตัดสินใจวาจะทําอะไรและอยางไรตอไป?” คราวนี้มุงเนนไปที่เดี๋ยวนี้
และอนาคต คราวนี้ไมยอมใหเวลากับความหดหูและความเสียใจ คําถามอยางนี้สิที่ใหพลัง
สมมติวาเราทําธุรกิจอยางหนึ่งขาดทุน เซ็งไหม…. เซ็งสิ แตจะเปนไงถาเราถามวา “ทําไมเรื่อง
แบบนี้ตองเกิดขึ้นกับฉันดวยนะ?” ถามจริง…. ถามแบบนี้ชวยอะไรเราหรอ!!! นั่นยิ่งทําใหเสียเวลากับ
อดีตมากขึ้น เจ็บปวดซ้ําซาก โมโหตนเอง และหงุดหงิดอยางมาก จงเปลี่ยนไปถามวา “ฉันตัดสินใจวา
จะทําอะไรตอไป ฉันยังอาจสามารถทําอะไรไดบางใหสถานการณมันดีขึ้น ฉันยังเหลืออะไรอีก มีอะไรดี
ๆ ที่อาจแฝงตัวมากับปญหานี้บางไหม ฉันไดเรียนรูอะไรบาง ฉันจะสูตอไปอยางไรดี อะไรคือการแกไข
ที่ทําไดเดี๋ยวนี้แมเล็กนอยก็ตาม” ขอใหสังเกตวามีแตคําวา “อะไร” เต็มไปหมด และนั่นแหละคือพลัง
ของคําถามที่ดีกวา มันจะเหมือนกับแสงเลเซอรที่ตัดปญหาใหขาดสะบั้นลงไปได ไมตองสงสัยเลยวา
คุณภาพชีวิตที่ดีกวามาจากการตั้งคําถามที่ดีกวา “ทําไม” ทิ้งลงถังขยะไปซะ ใน 30 วันจากนี้ไป ขอให
ฝกตั้ง คําถามที่ มีคํา วา “อะไร” ใหมาก ๆ ยกตัวอยางเชน “ฉัน ตองการอะไร?” “ฉัน ไดตั ดสิน ใจวา
อะไร?”, “อะไรคือขั้นตอนตอไป อะไรคือกาวถัดไป?”, ฉันยังมีอะไรอีก?”, “ฉันจะทําอะไรตอไป?”,
“ทักษะอะไรที่หากฉันทําไดดี หรือหากฉันฝกฝนมัน จะมีผลดีตอฉันมาก ๆ ?”, “ฉันตองมุงเนนอะไรถึง
จะไดในสิ่งที่ฉันตองการ เทาที่ผานมา ฉันไดมุงเนนสิ่งที่ฉันตองการมากพอหรือไม?”, แลวพวกเราจะ
ประหลาดใจกับความเฉลียวฉลาดของเราอยางนึกไมถึง
คุณผูอานที่รัก คําถามคือวิธีคิดอยางหนึ่งของเรา หากเราจะเปลี่ยนความคิด หรือขยายกรอบ
ของความคิดใหกวางไกล วิธีหนึ่งที่เราทําไดคือเปลี่ยนคําถามของเราเสีย การทําเชนนั้นก็เทากับเราได
เปลี่ยนวิธีคิด เมื่อเราเปลี่ยนความคิดไดเมื่อไหร เราจะเปลี่ยนความเชื่อของเราตามไปดวย ณ บัดนี้ มัน
ถึงเวลาแลวที่เราจะไดรูเสียทีวาความเชื่อคืออะไรกันแน มันเปนความคิดอยางหนึ่งหรือเปลา? มันมา
จากไหน? มันเกิดขึ้นไดอยางไร? และเราจะใชมันอยางไรถึงจะฉลาดที่สุด?
72
บทที่ 6
ความเชื่อและกฏแหงความเชื่อ
ความเชื่อก็คือ ความรูสึกแนใจวาความคิดหรือบางสิ่งบางอยางที่คุณเชื่อเปนความจริง
ความเชือ่ ก็คือ ความรูสึกแนใจวาความคิดหรือสิ่งตาง ๆ มีความหมายวาอะไรในตัวมันเอง
ความเชื่อก็คือ ความรูสึกแนใจวาความคิดหรือบางสิ่งบางอยางมีความหมายเฉพาะและตอง
เปนไปตามที่คุณเชื่อ
73
บทที่ 7
แหลงที่มาของความเชื่อ
1. สิ่งแวดลอม
74
แบมื อ ขอเงิ น พ อ อยู ) เราจึ ง ได รั บ ไปเต็ ม ๆ กั บ ความเชื่ อ ที่ อ าจเป น ไปได ใ นทุ ก รู ป แบบที่
สิ่งแวดลอมประเคนมาใหเราอยางเต็มที่นั่นเอง ลองมาดู อี ก ตั ว อย า งที่ ลํ า บากกว า ผม
คิดถึงเด็กที่เกิดในแหลงเสื่อมโทรมเชนสลัมดูบาง ในสิ่งแวดลอมเชนนั้น เด็ก ๆ จะมีตนแบบ
อยางไหน มันเต็มไปดวยความขาดแคลนและสิ่งไมดีหลาย ๆ อยาง สิ่งนี้ไดหลอหลอมความ
เชื่อที่จํากัดยิ่งกวาสิ่งแวดลอมอื่น ๆ แมผมจะไมไดหมายความวา คนที่เกิดในสลัมเอาดีไมได
ก็ตาม (คนที่เคยอยูในสลัมแลวตอมาเจริญกาวหนานั้นมีแน) แตเราปฏิเสธไมไดวามันยากขึ้น
ไปอีก และความเชื่อในขอจํากัดนั้นมีมาก สิ่งเหลานี้ไดกลายเปนกําแพงหนาที่เจาะทะลุไดยาก
แตถึงกระนั้นก็ตาม สิ่งแวดลอมไมใชแหลงเดียวที่มนุษยผลิตความเชื่อขึ้นมาจากมัน หาไม
แลว มนุษยคงไมสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรไดอีกแลว
2. แหลงความรู
ในขณะที่สิ่งแวดลอมเปนแหลงที่มาของความเชื่อแหลงแรก แตพวกเราก็ไดรับการศึกษาไปใน
ขณะเดียวกัน และยิ่งเราโตขึ้นเทาไหรเราก็ยิ่งรูวามีมหาสมุทรแหงความรูที่รอใหเราเขาไป
สํารวจมากขึ้นเทานั้น บรรดาหนังสือทั้งหลายแหล เทปความรู หองสมุดตาง ๆ การเดินทาง
ทองเที่ยว การไดพบปะกับผูเชี่ยวชาญในหลาย ๆ วงการคนที่เราทํางานดวย งานสัมมนาดี ๆ
รายการทีวีที่ใหความบันเทิง และความรู หรือแมกระทั่งภาพยนตบางเรื่อง หรืออาจเปนอะไรก็
ได สิ่งเหลานี้ลวนเติมขอมูลใหม ๆ ใหกับเราได สิ่งเหลานี้ลวนทําใหเราเปลี่ยนความคิดหรือ
ขยายกรอบของความคิดและเปลี่ยนความเชื่อของเราไปไดเสมอ ผมเองนั้นเปลี่ยนความคิด
และความเชื่อไปอยางมหาศาลก็เพราะแหลงความรูนี่แหละ
3. เหตุการสําคัญที่เกิดขึ้น
75
เปนได แหลงขอมูลใหมที่ผมอานนั้นไดเลาเรื่องของคนที่นาสมเพชเวทนายิ่งกวาผมเสียอีก แต
แลวกลับพลิกสถานการณขึ้นมาได แมวานั่นจะเหมือนการปลอบใจ แตในยามนั้น ผมก็ได
ข อ คิ ด ไม น อ ยว า “สู สิ ยั ง อาจมี โ อกาสบ า ง ยอมแพ คื อ การหมดโอกาสอย า งสิ้ น เชิ ง ”
หลังจากที่ผมประสบความสําเร็จจากหนังสือชื่อ “โกะ อัจฉริยะเกมแหงพิภพ”แลว ผม
ไดพัฒนาความเชื่อใหมวา “การทําธุรกิจเปนหนทางอันประเสริฐในการแผวทางสูความมั่งคั่ง
ร่ํารวย และฉันมีโอกาสแลวที่จะร่ํารวยยิ่งกวาอดีตเสียอีก” เห็นไดชัดวาผมเปลี่ยนความเชื่อ
หรือความรูสึกแนใจของผมไปมากทีเดียว คราวนี้ ไ ปพิ จ ารณาเรื่ อ งใหญ จ ริ ง ๆ กั น บ า ง
เหตุการณ 11 กันยายน ที่ผูกอการรายยึดเครื่องบินพุงชนอาคารเวิรลเทรด เซ็นเตอร จนพัง
พินาศนั้น ไดเปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไปสิ้นเชิง ที่จริงนั้น ผลของมัน
กระทบตอความเชื่อและสิ่งอื่นอีกมากออกไปราวไมมีที่สิ้นสุด ถามจริง… ถาสมมติวามันไมได
เกิดขึ้น… พวกเราจินตนาการไดหรือวาสองตึกนั้นจะถลมลงมาดวยวิธีการอยางนั้นได หากเรา
จินตนาการไมได เด็กและผูใหญของที่นั้นก็ยอมจินตนาการไมไดเชนกัน ก็แลวมันเกิดขึ้นจริง ๆ
แลวนี่ พวกเราคิดวาพวกเขาจะเปลี่ยนความเชื่อไปขนาดไหน นับแตนี้ไป… อะไรที่จินตนาการ
ไมไดหรือไมเคยจินตนาการ…. ก็จะกลายเปนสิ่งที่ตองนําไปคิดและจินตนาการไว โปรดจําไว
วา กอนที่อะไรมันจะเกิดขึ้นไดโดยจงใจนั้น มนุษยตองจินตนาการใหไดเสียกอน หาไมแลวสิ่ง
นั้นก็จะเกิดขึ้นไมได ปญหาก็คือฝายไหนละที่จิตนาการไดเกงกวากัน แตถาจะพูดเพียงใน
ประเด็นของเราเทานั้น ผมขอสรุปวา เหตุการณสําคัญที่เกิดขึ้นกระทบหรือเปนแหลงที่สราง
ความเชื่อใหม ๆ ของพวกเราไดอยางแนนอน สมมติวาเราเดือดรอนและประสบกับภาวะ
วิกฤต หรือความทาทายที่โหดรายมาก และแลวก็มีใครบางคนยื่นมือเขามาชวยเราเหตุการณ
ที่เกิดขึ้นนี้จะมีผลตอความเชื่อของเรา เชนถาเราเคยเชื่อวา “มนุษยไรความปรานี” เราก็อาจ
เปลี่ยนเสียใหมวา “แคมนุษยบางคนเทานั้นที่ไรความปราณี แตที่มีน้ําใจเมตตาก็ยังมีอยูอีก
มาก” หรือถาเราเชื่ออยูแลววาผูคนมีน้ําใจ เราก็ยิ่งเชื่อมั่นเขาไปใหญวาความเชื่อของเรามัน
ถูก ตองอย างแนน อน คราวนี้สมมติใ หมว าเราพบแตคนใจดํ า ซ้ําซากไมว าเราจะตกอยู ใน
สภาวะไหนก็ตาม เหตุการณเหลานั้นยอมกลายเปนหลักฐานของเราใหเราเชื่อวา “ ผูคนใน
โลกนี้เปนคนเลวทั้งนั้นแหละ”
4. การมีประสบการณดวยตัวเอง
อะไรก็ตามที่เราไดลงมือทําดวยตนเองและสําเร็จลงไปหนึ่งครั้งแลว สิ่งนั้นจะกลายเปนการ
อางอิงที่ดีไดเสมอ การไดทดลองสักครั้งจึงกลายเปนแหลงที่มาของความเชื่อใหม ๆ ได สมมติ
วาใครก็ตามไดไปเลนบันจี้จั้มปหนึ่งครั้งแลว เขายอมพูดไดวา “ฉันทํามันได และฉันไดทํามัน
76
ลงไปแลวดวย” อะไรก็ตามที่เราเคยทําลงไปแลว โอกาสที่เราจะไดทําอีกครั้งยอมเปนไปได
มากทีเดียว ในที่สุดเราก็จะไมเคลือบแคลงใจอีกตอไป และเชื่อวาเราทําสิ่งนั้นได มันมีอะไร
อีกเยอะมากที่พวกเรานาจะลองดูเชน ไปกินขาวรานใหม ๆ ตัดผมทรงใหม ใสเสื้อผาสีใหม
และสไตลที่แปลกออกไป ไปดูหนังฟงเพลงแนวใหม ลองเลนกีฬาแบบใหม ออกไปวิ่ง ฝกทา
ดิ้นใหม ๆ (อันนี้ผมชอบมาก) เตนแอโรบิค (อันนี้ผมคลั่ง) หัดเลนเรือใบ (มันมาก…ขอบอก)
และอะไรก็ไดอีกมาก ยิ่งเรามีประสบการณ แปลกใหมมากเทาไหร การอางอิง กรอบความคิด
และความเชื่อของเราก็ยิ่งขยายตัวออกไปเทานั้น เราเขาไปใกลความไรขอจํากัดมากขึ้น เรา
เขาไปอยูในโลกแหงความเปนไปไดมากขึ้น นาเสียดายที่คนจํานวนมากเชื่อวาพวกเขาทําบาง
สิ่งบางอยางไมไดทั้ง ๆ ที่ยังไมไดลองดู เห็นไดชัดวามันไมนาจะกอตัวกลายเปนความเชื่อที่ฝง
แนนได แตมันก็กอตัวจนฝงลึกไดเพราะวาพวกเขาไปสรางความเชื่อเชนนั้นในระดับที่ลึกมาก
ดวยการสรางภาพในใจวาพวกเขาทําไมไดซึ่งเปนหัวขอที่เราจะกลาวตอไป
5. การฝกซอมทําในใจ
77
ร่ํารวย และเต็มเปยมไปดวยความสามารถละก็… เริ่มตนเสียวันนี้เถิด แลวเราจะเชื่อวาเรา
คูควรแลวกับสิ่งดีงามเหลานั้น มันทําใหเราเชื่อวามันเปนไปไดในความรูสึกนึกคิดของเรา
78
บทที่ 8
พวกเรามีความเชื่อแบบไหนกับตัวเราเอง
เพราะวาพวกเราไดพบเจอกับแหลงที่สรางความเชื่อใหเราหลาย ๆ แหลงมาแลวตั้งแตเด็กจน
โต พวกเราจึงไดเก็บกักความเชื่อจํานวนหนึ่งไวในสมองหรือความรูสึกนึกคิดของเราไมวาเราจะลวงรู
ถึงความเชื่อเหลานั้นของเราหรือไมก็ตาม แตเมื่อมาคิด ๆ ดูแลว… ในโลกนี้จะมีสักเทาไหรที่มีสติและ
ความรูขนาดสํารวจตรวจตราความเชื่อหลักหรือความเชื่อแกนของตนเองไดละ…อืมมมม … หายาก
พวกเราอาจเคยตั้งคําถามกันวา “เธอเชื่อวามีผีมั้ย?” ทวานั้นไมไดกระทบตอชีวิตของพวกเราเทาไหร
ผมจําไดวาในอดีตกวา 40 ป ผมไมเคยถามตนเองวา “แลวฉันมีความคิดหลักแบบไหนเกี่ยวกับตัวฉัน
ละ?” ก็แลวมีใครบางละที่เคย ตั้งคําถามดี ๆ ถึงขนาดนั้นกับชีวิตตนเอง… นอยคนนักที่ไดทํา
เชนนั้น… หายากดั่งงมเข็มในมหาสมุทรนั้นเชียวมันจึงไมตองสงสัยเลยวาทําไมผูคนกวา 90% ของ
ประชากรโลกถึงใชชีวิตกันไมเปนในแงของการขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลโปรดจําไววา….
คําถามใดที่เราไมเคยถามสมอง… มันจะไมมีวันเสนอหนามาตอบใหเรารูดวยตัวมันเองเปนอันขาด
พวกเราเลยไมคอยรูวาเรามีความเชื่อแบบไหนกับตนเองและเปนประโยชนหรือไม แตขาวดีอยูตรงที่
พวกเราเพิ่งไดศึกษาผานไปวาความเชื่อคืออะไร ดังนั้น มันยอมเพิ่มโอกาสที่เราจะตรวจสอบมันดวย
การถามวา “จริง ๆ แลวฉันมีความเชื่อแบบไหนกับตัวฉันเอง และความเชื่อเหลานั้นชวยฉัน เขาขางฉัน
หรือเปนประโยชนตอฉันหรือไม?” นี่คือคําถามที่ยิ่งใหญเหลือเกิน คําถามนี้สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได
อยางแนนอน สมมติถาเราไมรูดวยซ้ําไปวา เรามีความเชื่อแบบไหนกับตัวเราเอง แลวเราจะเฉลียวใจ
ไดอยางไรวาความเชื่อนั้นมีประโยชนหรือไม หรือวาเปนโทษหรือไม ยกตัวอยางเชน มีคนเยอะมากที่มี
ความเชื่ออยางไมรูตัววา “ฉันทําไมได” คนพวกนี้มักพูดวา “ฉันทําไมได” เอาละ… ขอถามหนอยวา
การที่ใครก็ตามไปมีความคิดหรือไปเชื่อเชนนั้นจะฉลาดตรงไหน จะมีประโยชนอะไรสักนิดไหม จะทํา
ใหเขาเปนสุขไหม และเขาไดอะไรบางไหมจากการพูดเชนนั้น!!! และแลวพวกเขาก็ใชชีวิตโดยมีความ
เชื่อตัวนี้ทํางานอยู มันทําใหพวกเขาประสบความสําเร็จเพียงเล็กนอย พวกเขาไมรูวาจะแกปญหาได
อยางไร งุนงง สับสน และคิดสงสัยอยูเรื่อยวา “มันมีอะไรก็ไมรูที่ผิดอยู” ก็แหงอยูแลว… ก็ความเชื่อที่
หวยแตกนั่นไง ฉะนั้น หนทางเดียวที่จะเยียวยาไดคือการตระหนักรูใหไดเสียกอนวาเขามีความเชื่อที่หว
ยแตกนั่นอยูหรือเปลาและทางเดียวที่เปนไปไดคือการถามตนเองวา “ก็แลวฉันมีความเชือ่ แบบไหนบาง
ละที่เกี่ยวกับตัวฉันเอง”
เอาละ นี่คือการบานที่พวกเราตองทํา ไมตองรีบที่จะทําใหเสร็จภายในวันเดียว มันเปนคําถาม
ที่ตองถามไปชั่วชีวิต และคนพบกับคําตอบใหม ๆ ไปเรื่อย ๆ
79
ฉันมีความเชื่อกับตัวเองดังนี้
1._______________________________________________________________
2. _______________________________________________________________
3. _______________________________________________________________
4. _______________________________________________________________
5. _______________________________________________________________
6. _______________________________________________________________
1. มันทําใหฉันมีพลังไหม
2. มันเขาขางฉันไหม
3. มันชวยฉันไหม
4. มันเปนประโยชนกับฉันไหม
5. มันทําใหฉันรูสึกดีไหม
6. มันทําใหฉันมีความสุขไหม
7. จริง ๆ แลวมันดีตอฉันไหม
หากความเชื่ออันไหนของเรามันตรงขามกับคุณสมบัติทั้งเจ็ดขอ ก็ขอใหเราหลับตาเขาไปสราง
จินตภาพโดยถามคําถามตอไปนี้อีกสองขอ และสรางภาพในใจตามไปดวย
คุณผูอานที่รัก เมื่อเราหลับตาเพื่อสรางภาพในใจกับคําถามสองขอหลังสมองและจิตใจของ
เราจะถูกฝกใหจดจําวา...อะไรบางคือความเจ็บปวด และสิ่งหนึ่งที่สมองชอบทําที่สุดก็คือ...หนีออกไป
จากความเจ็บปวด ฉะนั้น เราจะเริ่มเชื่อมโยงความรูสึกวา “ฉันไมชอบ” เขากับ “ความเชื่อที่หวยแตก”
พวกนั้น และอะไรที่เรารูสึกไมชอบ...เราจะไมทํามัน ดวยเหตุนี้เอง ผมถึงใหพวกเราฝกใหสมองมัน
80
จดจําหรือลวงรูวา...ความเชื่อแบบไหนที่สรางความเจ็บปวด แลวสมองจะสั่งการใหเราหลีกเลี่ยงอะไรก็
ตามที่มันอาจนําไปสูความเจ็บปวดที่มันรูจักอยางอัตโนมัติ
หากยังไมสะใจ งั้นผมอธิบายใหมันครอบคลุมไปเลยเผื่อวาพวกเราบางคนอาจชอบวิธีที่มัน
ตรงกันขาม หลังจากที่ไดสํารวจตรวจตราความเชื่อที่เกี่ยวกับตนเองแลววามีอะไรบาง ใหพิจารณาดูวา
พวกมันเขาขายคุณสมบัติเชิงลบดังตอไปนี้บางไหม
1. มันทําใหฉันออนแอและไรพลังไหม
2. มันทําฉันไมกลาทําอะไรไหม
3. มันทําใหฉันไมมั่นใจไหม
4. มันทําใหฉันเสียโอกาสอยูเรื่อยไหม
5. มันทําใหคนอื่นไมนิยมชมชอบตัวฉันไหม
6. มันไมเขาขางฉันและไมกอใหเกิดประโยชนอะไรใชไหม
7. มันทําใหฉันรูสึกแย เซ็งหดหู และไรสุขอยูเรื่อยใชไหม
81
บทที่ 9
ความเชื่อที่ทรงพลัง 7 ประการ
1. ไมใชสิ่งที่เกิดขึ้นที่กําหนดชีวิตของเรา แตสิ่งที่เราจะทําตอไปตางหากที่กําหนด
82
ตลอดกาลเพราะเขาเปนอัมพาตตั้งแตเอวลงไป ทั้ง ๆ ที่ตองนั่งในรถเข็นและไดชื่อวาเปนคน
พิก าร เดาสิ วา เขาตอวาพระเจาของเขาหรือไม เปลาเลยแตเขากลั บ ถามตนเองอี กครั้ ง ที่
สะทอนถึงความเชื่อแกนของเขาวา “ฉันยังเหลืออะไรอีกที่ยอดเยี่ยม ฉันยังอาจสามารถทํา
อะไรไดอีก” คําตอบที่ไดนั้นนาทึ่ง เขาบอกตนเองวา “ฉันยังมีสมองที่ชาญฉลาดที่สามารถรับ
ใชประชาชนได” เขาไดผลักดันทางการเมืองใหเกิดความสะดวกกับคนพิการนับลาน พวกเรา
เห็นไหมวา…ความเชื่อของเขาชวยเขาไดมากขนาดไหน ทําใหเขาไดรับการยกยองขนาดไหน
ทําใหชิวิตเขามีความหมายและทรงคุณคาขนาดไหน และไดกลายเปนฉบับของคนที่เขมแข็ง
อยางแทจริงใหชาวโลกไดกลาวขานถึง สวนคนมือเทาดี ๆ ที่สมองอัดแนนไปดวยความเชื่อที่
ทําใหตนเองออนแอนั้น การเอาตัวเองคนเดียวใหรอดก็นับวายากแลว อะไรละที่แตกตางกัน…
ไมพนความเชื่อ จะวาไปแลว ความฉลาดก็คือ การที่คนเราตองหลีกเลี่ยงความคิดหรือความ
เชื่อใด ๆ ที่ทําใหเราออนแอนั่นเอง
83
ละก็….วิธีนี้สิใช… จงดําเนินชิวิตดวยความเชื่อวาเพื่อใหสิ่งตาง ๆ เปลี่ยนแปลงเพื่อเรา เรา
ตองเปลี่ยนแปลง
3. ไมมีความลมเหลว มีแตความสําเร็จในการสรางผลลัพธเสมอ
84
4. ความสําเร็จเกิดจากวินัยเล็ก ๆ ที่มุงเนนการปฏิบัติ
85
ตระหนักรูถึงความสําคัญของวินัยเล็ก ๆ ผมคิดวาผมตองอธิบายใหละเอียดเพื่อแนใจวา พวก
เราจะไมไดรับความเสียหายจากการขาดมัน การขาดวินัยนั้นคือตนตอที่ทํารายคนทั่วโลก
ไดมากที่สุด การไรวินัย คือมือหนึ่งในการทําลายและทํารายมนุษย ยกตัวอยางเชน เมื่อกิน
มากไปนิดหนึ่งในวันนี้ เรื่องแคนี้กระจอกมาก แลวพวกเราคิดวาความอวนของคนมาจากไหน
ล ะ ก็ แ ค กิ น มากไปนิ ด เดี ย วนั้ น แหล ะ แต ว า เช น นั้ น ทุ ก วั น เราต า งรู ว า เราเพิ่ ม น้ํ า หนั ก 50
กิโลกรัมภายในหนึ่งวันไมไดหรอก ใครก็ตามที่พยายามทําเชนนั้นจะตองตายภายในหนึ่งวัน
ทุกคน แตถาเราเพิ่มมันภายใน 1 ป เรากลับไมตาย อะไร (ที่ไมดี) ลวนเปนไปไดเสมอเมื่อเรา
ไรวินัยเล็ก ๆ กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งทุกวัน เราไมแปลงฟนสักหนึ่งครั้งในคืนนี้ไมเปนไรหรอก แต
ถาเราไรวินัยในการแปลงตอไปอีกหนึ่งเดือนละก็…. ยังแนใจอีกหรือวาไมเปนไร! ไมเอานา….
เรารูนี่วานั่นหายนะแลวสําหรับปากและฟนของเรา แลวหายนะอื่น ๆ ละ โอ….ชา งมากมาย
กายกองที่เกิดขึ้นเพราะไรวินัยเล็ก ๆ การผัดวันประกันพรุง นิสัยขี้เกียจสันหลังยาวการปลอย
ปะละเลยเชนเรื่องสุขภาพ หนาที่การงาน การใชจายเกินตัว และความสัมพันธครอบครัว ฯลฯ
ความเสียหายมากมายเกิดขึ้นเพราะวาไรวินัยตอการปฏิบัติใหพอเหมาะพอควร ความไรวินัย
นั้นรายกาจกวาความประมาทเสียอีก ความประมาทคือการพลั้งเผลอชั่วครั้งชั่วคราว อาจไม
ตั้งใจ แตการไรวินัยคือการประมาทแลวประมาทอีกที่ตอเนื่องยาวนาน กลาวโดยประชดแลว
การไรวินัยคือการมีวินัยในการไมยอมทําอะไรใหมันเหมาะสมและทําแตเรื่องที่มันไมเหมาะสม
อยูเรื่อยนั่นเอง ที่จริงก็นาเห็นใจเหมือนกันที่คนเราสวนใหญไรวินัย เพราะคําวา “วินัย” โดยตัว
มันเองอาจทําใหพวกเรารูสึกไมดี เชนคิดไปวาเปนการบังคับหรือความอึดอัดนารําคาญ แต
คุณผูอานที่รัก ผมไมอยากใหเราเครียดเกินไปกับมัน โปรดคิดถึงมันในลักษณะที่เบา ๆ และ
คิดใหลึกซึ้งวามันมีประโยชนอยางยิ่ง และถาหากวาพวกเรามีกําลังมีปญหาในดานไหนหรือ
เรื่องอะไรก็ตาม วิธีแกก็คือ เมื่อหนามยอกก็ตองเอาหนามบง ผมหมายความวาใหพวกเรา
คอย ๆ สรางวินัยเล็ก ๆ ใหกลับคืนมากับเรื่องราวตาง ๆ แลวปญหาทุกประการจะคอย ๆ
คลี่คลายไดอยางแนนอน ถาตอนนี้เราอวนเพราะขาดวินัยในการกินแตกวาจะอวนขึ้นมาไดนั้น
ก็ใชเวลานาน เพราะฉะนั้น เราก็เพียงยอนกระบวนการของมัน ไมตองไปอดอาหารจนทรมาน
แทบตายหรอกแตใหกลับมามีวินัยเรื่องการกินทีละเล็กละนอย แตทําวินัยนีท้ กุ วัน แลวในระยะ
ยาวเราจะกลับมารูปรางดีไดเอง นาเสียดายที่คนสมัยนี้นิสัยเสียกันมาก มักคิดอยากไดอะไรที่
มันรวดเร็วเกินธรรมชาติ นอกจากไมแฟรแลวมันไมไดฉลาดอะไรเลย ขอใหกลับมาอยูกับ
หลักการกันดีกวา….ดวยการมีวินัยกับชีวิตของเรา หากปราศจากมันแลว ผมคงเขียนหนังสือ
เลมนี้ตั้งแตหนาแรกมาถึงตรงนี้ไมไดแน และโปรดระลึกไวเสมอวา ชีวิตจะยิ่งใหญ… เราตองมี
ความเชื่อที่ยิ่งใหญดวยและหนึ่งในความเชื่อที่แมแตจักรวาลก็ยังปฏิบัติตามก็คือ ความสําเร็จ
เกิดจากวินัยเล็ก ๆ ที่มุงเนนการปฏิบัติ
86
5. ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน เกิดขึ้นมาอยางมีเหตุผล และพวกมันรับใชฉัน
หนึ่งในความเชื่อที่ชาญฉลาดและเปนประโยชนที่สุดประการหนึ่งคือการเชื่อวา “ทุกสิ่งที่เกิด
ขึ้นกับฉัน เกิดขึ้นมาอยางมีเหตุผลและพวกมันรับใชฉัน” คนโงมันเถียงวา “ความเชื่ออยางนั้น
เปนความจริงไดหรือ เปนความจริงหรือเปลา” แตนั้นคือคําถามที่ผิดเพราะวาเราไมไดมุงเนน
หรือสนใจวามันเปนความจริงหรือเปลา เมื่อเราคุยกันเรื่องความเชื่อ โปรดจําไวเสมอ… ย้ํา…
โปรดจําไวเสมอวา เราเนนแตวาความเชื่ออยางนั้นเปนประโยชนตอเราไหม เขาขางเราไหมให
พลังกับไหมมากกวาที่จะสนใจวามันเปนความจริงหรือ ในประเด็นนี้ ผมอยากพูดพาดพิงถึง
การพูดจาดี ๆ กับตนเองเชน “ฉันเกง ฉันดี ฉันยอดเยี่ยม” ประโยคเชียรตนเองอยางนี้ดีหรือ
เปลา? ผมอยากชี้วาเราไมไดสนใจสักเทาไหรหรอกวามันจริงไหมกับคําพูดประโยคนี้ แตเรา
สนใจมันในลักษณะที่มันอาจใหประโยชนกับเราหรือเปลามากกวา ดังนั้นมันจึงดีที่จะพูด
เชนนั้น ในทางตรงกันขาม เมื่อเราพูดวา “ฉันไมเอาไหนเลย” นี่ก็เชนกันที่เราไมไดสนใจหรอก
วามันเปนความจริงหรือเปลา แตเราสนใจวามันจะเปนโทษตอเราหรือเปลามากกวา ดวยเหตุ
นั้น…. มันจึงเสี่ยงที่เราจะพูดจาไมดีกับตัวเราเองเพราะวามันอาจทําใหเราเจ็บปวด เซ็ง หดหู
และไรสุขโดยไมตองคํานึงถึงวาสิ่งที่เราพูดจะเปนความจริงหรือไมก็ตาม ผมหวังวาพวกเราคง
ไดรับความกระจางในแงมุมนี้แลว คราวนี้ยอนกลับมาที่ความเชื่อขอที่ 5 ของเรา ขอดี
ของความเชื่อนี้คือมันจะชวยเราไดในทุกสภาวะเงื่อนไข ทุกสถานที่และทุกกาลเวลา ผมขอ
ยกตัวอยางในยามที่เราอกหัก แลวเขาจะคิดอยางไรกับตนเอง หลายคนพูดวา “ฉันจบแลว
ชีวิตฉันพังแลว ไมมีใครในโลกนี้ที่ฉันรักเลย ทําไมเรื่องแบบนี้ตองเกิดขึ้นกับฉันดวยละ” ขอ
ประทานโทษ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับคนทั่วโลกตางหากละ แลวคนทั่วโลกเปนไง…. สวน
ใหญก็รูสึกแยดวยกันทังนั้น แตถาเราไดประดับความเชื่อขอที่ 5 ไวในสมองของเรา เราจะไม
รูสึกแยสักเทาไหรหรอกนะ ลองอานดูใหมสิ… “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน เกิดขึ้นมาอยางมีเหตุผล
และพวกมันรับใชฉัน” นอกจากวามีเหตุผลแลวมันยังรับใชเราอีกดวย เราอาจพูดวา “ออ กา
รอกหักของฉันนะมีเหตุผล ไมใชเรื่องสวนตัวที่เกิดขึ้นเฉพาะกับฉันสักหนอย มันเกิดขึ้นไดกับ
คนทั้งโลก สิ่งนี้ที่จริงมันรับใชฉันเพราะวามันมาใหความรูแกฉัน สอนฉัน และบางที คนที่ดี
ที่สุดสําหรับฉันอาจยังเดินทางมาไมถึงก็ได สวนคนนี้ก็แคคนที่ไมใชก็เทานั้นเอง” เห็นไหมวา
เราสามารถใชประโยชนจากความเชื่อขอนี้ได จะพูดไปแลว ผมเริ่มเชื่อมาตั้งนานแลววา… สิ่ง
ที่ไมดีที่เกิดขึ้นกับผม เกิดอยางมีเหตุผล และพวกมันรับใชผมในแงที่ทําใหผมพลิกชีวิตที่ไร
แกนสารมาสูชีวิตที่เรียนรูอยางไมหยุดยั้ง สวนที่ตลกหนอยก็คือ ในยามใดที่ผมขับรถหลงทาง
หรือลงทางดวนผิดชองทาง เดาสิวาผมเซ็งและเครียดไหม ไมแมแตนิดเดียว ทั้ง ๆ ที่ผมกําลัง
87
หลงทาง ผมมักพูดวา “การหลงทางที่เกิดขึ้นกับผมนี้ เกิดขึ้นอยางมีเหตุผลและมันรับใชผม
เพื่ออะไรสักอยางหนึ่งอยางแนนอน” จากนั้นก็ยิ้มและสนุกไปกับการผจญภัยนั้นหลายครั้งผม
ถึงกับไดคนพบเสนทางใหมที่ดียิ่งกวาเดิมดวยซ้ําไป ก็บอกแลวไงวา “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวก
เรา เกิดขึ้นอยางมีเหตุผลและพวกมันรับใชพวกเรา”
6. ไมจําเปนตองรูทุกแงทุกมุมของเรื่องใดกอนที่จะสามารถใชมันได
หากวาเราตัดสินใจไมทําบางอยางเพียงเพราะวาเรารูสึกวายังเขาใจมันไมครบถวนแลวละก็
เราคงไมตองทําอะไรกันพอดี เปรียบเหมือนไฟฟาและกระแสไฟฟา คนทั่วโลกใชมันทั้ง ๆ ที่ไม
รูหรอกวามันคืออะไร ในทํานองเดียวกัน ถาเราปฏิบัติตอชีวิตและสิ่งตาง ๆ เชนเดียวกับที่เรา
ปฏิบัติตอไฟฟาแลวละก็ ชีวิตของเรายอมหลากหลาย มีสีสัน และตื่นเตนเราใจเปนอันมาก เรา
มักแกตัววา “ยังไมคอยรูเรื่องนี้สักเทาไหร” แลวเราก็ไมทํามันซะเลย นี่คือกับดักที่ทําใหเรา
กาวหนาไดเชื่องชาดุจเตาคลาน อยาไปรอจนเราเกงที่สุดในโลกแลวคอยแสดงมันออกมา ชาง
ไรสาระอะไรขนาดนั้น เมื่อผมตองพูดกับฝรั่ง ก็แคพูดออกไปเลย นั่นแหละเยี่ยมแลว ขืนไปคิด
วา “ไมเอาดีกวา รอเกงกวานี้กอนแลวคอยทํา” นั่นยิ่งหมดโอกาสเขาไปใหญ บางทีตัวอยางที่
เลิศที่สุดในเรื่องนี้คือการไปเรียนหัดขับรถ ก็แหงอยูแลววายังขับรถไมเปนถึงตองไปเรียน แลว
เปนไงละ…ครูฝกใหเราลองขับทั้ง ๆ ที่เราแทบทําอะไรไมเปนเลย แตนั้นแหละคือการเรียนรู
“ทํ า ไปเลย” คื อ วิ ธี เ รี ย นรู ที่ ใ ช ไ ด ดี กั บ เรื่ อ งจํ า นวนมาก ตั ว อย า งต อ ไปคื อ เรื่ อ งการฝ ก ใช
คอมพิวเตอร เพื่อนของผมคนหนึ่งนอกจากจะไมซื้อตําราแลว พี่แกยังเกงแบบปศาจเลยก็วา
ได นี่มันเปนไปไดยังไงกัน! เขาอธิบายวา “งายจะตาย ก็ลองคลิกดูไปเรื่อย ๆ วามันจะเกิด
อะไรขึ้น แลวก็รูเอง” แตคนสวนใหญเปนไงรูไหม ปุมและแถบเครื่องมือจํานวนมาก…. ไมเคย
แตะตองมันเลยแมเพียงแคการคลิกเทานั้นก็ยังไมยอมทํา เจาเพื่อนคนนี้ของผมคือหนึ่งในคน
ที่เชื่อจริง ๆ วา ไมจําเปนตองรูทุกแงทุกมุมของเรื่องใดกอนที่จะสามารถใชมันได ครั้งหนึ่งเขา
ถึงกับถอดเปยโนแทบทั้งหลังกองไวกับพื้นเพื่อทําความสะอาดภายในใหกับมัน ผมถามวาทํา
ไดไง เขาตอบวา “ก็แคแกะมันออก ใชแปรงปดสักหนอย หยอดน้ํามัน แลวก็ประกอบกลับเขา
ไป มันก็แคนั้นเอง” คนอยางเขาคือคนที่ไรขีดจํากัด เขาไมรอความสมบูรณแบบ แตเขาทํามัน
ไมวาจะรูมากหรือนอยก็ตาม ยิ่งเราเชื่อแบบนี้ไดมากเทาไหร เราจะยิ่งพบวาเราเกงและเปยม
ไปดวยความสามารถมากขึ้นเทานั้น ฉะนั้น ครั้งตอไปที่เราจะทําอะไรก็ตาม อยาไปรอจนกวา
เราจะรูแจง ไมมีหรอกเรื่องแบบนั้น ขอใหเราทําไปเลยแมไดแคที่เรารูก็ตาม แตนั้นแหละนา
ภูมิใจแลว คนเกงที่เราบอกวาโคตรเกงนั้น ลวนเริ่มมาจากกาวแรกทั้งนั้น… ซึ่งก็คือไมรูอะไร
เลยหรือถารูก็นอยมาก แตแลวคนอยางนี้แหละที่กลายเปนผูเชี่ยวชาญในดานตาง ๆ มากมาย
88
เมื่อกอนนั้นผมไมเคยเขียนหนังสือแตตอนนี้ผมกลายเปนนักเขียนหนังสือและนักพูดปลุกใจที่
ทรงพลังมาก ในตอนแรก ๆ นั้น ผมตองไปฝกการเขียนไหม…. เปลาเลย แตผมก็ทํามันทันที
ผมเขียนในสิ่งที่ผมคิดและรูสึก ผมเขียนอยางที่พวกเราอานอยู ผมไมไดรอใหตัวผมกลายเปน
ผูเชี่ยวชาญในดานภาษาศาสตรเสียกอนหรอก ดังนั้น ถาพวกเรามีความใฝฝนอะไรก็ตาม
โปรดยืนขึ้น ยืนขึ้นเพื่อชีวิตของเราเอง และลงมือทํามันใหเปนรูปธรรมเดี๋ยวนี้โดยไมตองรอให
เรารูแจงเสียกอน เอาเทาที่รูก็เหลือกินแลว แลวทุกอยางจะดําเนินตอไปในครรลองของมันเอง
7. คนคือแหลงทรัพยากรที่ยิ่งใหญและสําคัญที่สุด
89
บทที่ 10
การทําลายความเชื่อ
เราไดรูกันมาแลววาความเชื่อคือความคิดหรืออะไรก็ไดที่เรารูสึกแนใจโดยไมเครือบแครงสงสัยวา
สิ่งที่เราเชื่อนั้นเปนความจริง ความเชื่อจึงไมจําเปนสัจธรรม สมัยกอน คนเราเชื่อวาโลกแบนโลกแบน
จึงไมใชสัจธรรมเพราะอันที่จริงนั้นโลกมันกลม แตผูคนในสมัยนั้นตางก็รูสึกแนใจวาโลกแบนเปนความ
จริง พวกเราจึงตองตระหนักไวเสมอวา ความเชื่อจะเปนสัจธรรมหรือไมเปนสัจธรรมก็ไดเพราะวามัน
เปนคนละเรื่องกัน ประเด็นอยูตรงที่ความรูสึกแนใจ ที่คนในโลกนี้มักทะเลาะกันก็เพราะรูสึกแนใจในสิ่ง
ที่ตางกัน ตอนที่ผมเปนเด็ก ผมถียงกับเพื่อนวา “พระพุทธเจาเกงกวาพระเยซู” สวนเพื่อนผมที่นับถือ
พระเจายืนยันวา “พระเยซุเกงกวาพระพุทธเจา” เห็นไดชัดวาถูกทั้งคูเพราะวาใครลงเชือ่ อะไรแลวก็ตาม
เขาก็จะสึกแนใจวามันเปนความจริงตามที่เชื่ออยางแนนอน ฉะนั้น พวกเราพึงหลีกเลี่ยงการถกเถียง
เรื่องความเชื่อซะจะดีกวา เมื่อเราไดรูแลววาความเชื่อคืออะไร เราไดรูแลววาแหลงที่มาของความเชื่อมี
อะไรบาง และเราไดเรียนรูความเชื่อที่ฉลาด ๆ ไปอีกถึง 7 ประการ อันดับตอไปเราจะถามคําถามที่
สําคัญมากขอหนึ่ง… เราสามารถทําลายความเชื่อหรือเลิกเชื่อไดหรือไมและอยางไร
คําตอบคือเราสามารถทําลายความเชื่อได ในเมื่อความรูสึกแนใจทําใหเราเชื่อและสรางความเชื่อ
ตาง ๆ นานาขึ้นมาได เรายอมสามารถทําลายพวกมันไดดวยการทําใหตัวเราเองรูสึกไมแนใจกับความ
เชื่อตาง ๆ นานาเหลานั้นนั่นเอง จริงอยูวาเราตองเก็บความเชื่อที่มันดีอยูแลวเอาไว แตสําหรับความ
เชื่อชนิดที่ใชไมไดที่ทําใหเราออนแอ ไรพลัง และไมเปนประโยชนนั้น เราจะเชื่อตอไปทําไมกัน!!! และที่
ไมยอมเลิกเชื่อนั้นเปนเพราะวา…คนจํานวนมากทั่วโลกไมรูวาจะเลิกเชื่อไดอยางไร ดังนั้น การรูวาจะ
ทําลายความเชื่อไดอยางไรยอมเปนความรูความเขาใจที่สําคัญ ตอไปนี้คือสามขั้นตอนในการทําลาย
ความเชื่อ
1. ตั้งคําถามกับมัน
จงตั้ ง คํ า ถามกั บ ความเชื่ อ ยอดแย ใ ด ๆ ก็ ต ามด ว ยการถามว า “จริ ง หรื อ ที่ ฉั น ” นี่ คื อ การ
สั่นคลอนมันวิเศษมาก หากคุณรูสึกแนใจวาคุณดิ้นไมได จงถามวา “จริงหรือเปลาที่ฉันดิ้น
ไมได” ถาคุณรูสึกแนใจวาคุณเกงภาษาอังกฤษไมได จงถามตัวเองบอย ๆ วา “จริงหรือที่ฉัน
เกงภาษาอังกฤษไมได และไมวาคุณจะรูสึกแนใจวาทําอะไรไมไดก็ตาม จงซักเขาไป ถามจี้เขา
ไปวา “จริงหรือที่ฉันทํามันไมได” ยิ่งไปกวานั้น เราสามารถใชคําถามนี้สั่นคลอนหรือตรวจสอบ
ความเชื่อไดทุกประเภทโดยไมมีขอยกเวน มันจะทําใหเราไดคนพบความจริงอีกมากทีเดียว
เอาละ ตอไปนี้เปนตัวอยางเพิ่มเติม
90
จริงหรือที่ฉันไมสามารถหาเงินไดมากกวานี้
จริงหรือที่ฉันมีความสุขยิ่งกวานี้อีกไมได
จริงหรือที่ฉันไมเปนที่รักของใคร ๆ
จริงหรือที่ตัวฉันเพียงคนเดียวจะไปทําอะไรได
จริงหรือที่ฉันไมมีความสามารถอะไรสักอยางเดียว
จริงหรือที่ฉันไมวางแมแตจะออกกําลังกายแควันละครึ่งชั่วโมง
จริงหรือที่การทําตัวใหมีความสุขและประสบความสําเร็จเปนเรื่องยาก
2. หาหลักฐานเพื่อสั่นคลอนมัน
91
วันวาผมแข็งแรงยิ่งกวาวัวกระทิงโดยการเตนแอบิค ผมถือวา… การทําเรื่องพิศดารนั้นหาใช
ปาฏิหาริ์อันใดไม แตการมีชีวิตอยูดวยรางกายที่ฟตอยูเสมอนั่นแหละคือปาฏิหาริย คนสวน
ใหญทั่วโลกไมรูหรอกวาอะไรกันแนคือปาฏิหาริยที่มีประโยชนตอชีวิตของพวกเขาอยางแทจริง
ดังนั้น จงอยาเชื่ออีกตอไปวาเราสุขภาพไมดี จงลงมือทําอะไรที่ดี ๆ ตอสุขภาพเสียบาง แลว
ความเชื่อเกาจะตายไปเอง
คุณผูอานที่รัก หากคุณเชื่อวา “คนในโลกนี้มันไมดี” แนนอนวาคุณยอมหาหลักฐาน
จนพบไดเสมอวามีใครบางคนชางเลวจริง ๆ ในทางตรงกันขาม หากคุณเชื่อวา “คนในโลกนี้
ชางดีเสียจริง” ก็เชนกันที่คุณยอมหาตัวอยางของคนเชนนั้นพบจนได ฉะนั้น ความเชื่อใด ๆ
ของคุณก็ตาม หากมันไมดีตอคุณ มันไมเขาขางคุณ มันเปนสิ่งที่หยุดยั้งคุณอยูเสมอ และมัน
ไดส รา งความเสี ย หายให กั บคุณ านั บ ครั้ง ไมถ ว นแลว คุ ณยอ มเปลี่ ย นมั น ไดเ พราะว า คุ ณ
สามารถหาหลักฐานในดานที่สนับสนุนหรือคัดคานมันไดเสมอ จงอยาจมปลักอยูกับความเชื่อ
ที่ไรพลังอีกตอไป จงหาหลักฐานที่จะสั่นคลอนมันแลวมันจะตายไปเอง
92
บทที่ 11
สรางความเชื่อใหมเขาไปแทนที่
เพื่อใหการทําลายความเชื่อเกาไดผลสมบูรณแบบ เราจําเปนตองติดตั้งความเชื่อใหมที่ทรงพลังเขาไป
แทนที่ โดยปกติแลว พวกมันก็คือ สิ่งที่ตรงขามกับความเชื่อที่ไมเอาไหนนั่นเอง วิธีทํานั้นก็ไมยาก
กลาวคือ ใหเราเขียนความเชื่อที่ตองการลงในสมุด จากนั้น ใหพูด คิด จินตนาการ และประพฤติตัวราว
กับวาเราไดเชื่อเชนนั้นไปแลวจริง ๆ ขอย้ําวาการทําตัวราวกับวาเรารูสึกเชื่อในความเชื่อแบบใหมที่
ดีกวานั้นเปนเรื่องที่สําคัญมาก และมันเปนเคล็ดลับที่ใชไดกับทุกเรื่อง ผมจะเลาใหฟงสักเรื่องหนึ่งวา
ผมสรางความเชื่อใหมอยางไร ไมนานมานี้ผมไดไปสมัครเรียนภาษาจีนกลาง ในสามชั่วโมงแรกที่ตอง
ฝกออกเสียงพยัญชนะ สระ และการผสมกันของพยัญชนะกับสระ พวกเราทั้งหองพบวา… มันมีเสียง
หลายเสียงที่ไมมีในภาษาไทย นั่นทําใหหลาย ๆ คนเริ่มหวั่นไหววามันอาจยากกวาที่นึกไว ทันใดนัน้ ผม
ก็รูทันทีวาผมจําเปนตองเชื่อวาผมสามารถออกเสียงพวกนั้นได และผมพูดสามารถออกเสียงพวกนัน้ ได
และผมพูดออกไปราวกับวาผมเขาใจเสียงพวกนั้นดีแลว แทนที่จะจดจอไปที่ผมอาจออกเสียงผิด ผม
กลับออกเสียงราวกับวาผมคือผูเชี่ยวชาญ เหลาซือ (อาจารย) ถึงขนาดยกนิ้วใหบอกวาเยี่ยม นี่แหละ
คือสิ่งที่ผมทํา ผมเชื่อไปลวงหนาวาผมทําได และแสดงออกไปดั่งวาความเชื่อนั้นแกกลาและเปนความ
เชื่อของผมไปแลว ฉะนั้นเมื่อพวกเราจะเชื่ออะไรที่มันดักวา จงเชื่อไปเลยและทําตัวราวกับวาเปน
เชนนั้น แลวของจริงจะบังเกิดขึ้นในเร็ววัน แลวเราจะเชื่อในความเชื่อใหม และปฏิบัติตนที่สอดคลองไป
ตามความเชื่อใหมนั้น
93
บทที่ 12
เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อเราไดเปลี่ยนการคาดหวังไปดวย
94
บทที่ 13
พลังแหงทัศนคติ
95
ตัวอยางของทัศนคติที่มีประโยชนอยางแทจริง
ตนนั้นแหละคือที่พึ่งแหงตน
ตัวอยางของทัศนคติที่ไรประโยชนอยางแทจริง
ฉันเกิดมาเพื่อชดใชกรรม
ฉันไมเกงอะไรสักอยางเดียว
ไมมีใครรักฉันสักคน
เธอคือเครื่องบิน ฉันคือหมา
ผูชายเลวกวาหมา
ฉันทําไมไดหรอก
โลกนี้มันไมยุติธรรม
ชีวิตของฉันไมมีคาอะไร
จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันก็ชางมัน
ฉันเปลี่ยนแปลงตนเองไมได
96
บทที่ 14
พลังแหงความรูสึก
97
ความดีอะไรหรอก แตมันเปนเรื่องของความรูสึกที่ไมเหมือนกันผมจึงมีพฤติกรรมที่แตกตางกันตามไป
ดวย
คราวนี้ขอพูดถึงเรื่องที่ใกลตัวพวกเรามากขึ้น การกระทําทุกอยางในชีวิตประจําวันของเรา เชน
เรื่องการงาน เรื่องสวนตัว ครอบครัว งานอดิเรก ดนตรี กีฬา ฯลฯ ทุกอยางเปนไปตามความรูสึกนิสัย
ทุกอยางของเราเปนไปตามความรูสึก การผัดวันประกันพรุงเปนเรื่องของความรูสึก การบางานเปน
เรื่องของความรูสึก การเชื่อหรือไมเชื่ออะไรเปนเรื่องของความรูสึก การเกิดลางสังหรณยิ่งเปนเรื่องของ
ความรูสึก การแตงตัว การดูแลตนเอง การดูแลตนเอง การดูแลขาวของเครื่องใชความรกหรือสะอาด
ของโตะทํางาน และเรื่องจิปาถะอีกรอยแปดพันเกาลวนแลวแตเปนเรื่องของความรูสึก ถาผมจะเขียน
หนังสือใหหนาที่สุดในโลก เลมนั้นควรวาดวยความรูสึก ตราบใดที่เรายังไมตายไมพนตองอยูกับ
ความรูสึก หากไรความรูสึกมันก็จบ มันก็อวสาน และสุดยอดแหงการไรความรูสึกก็คือตาย หากวาผม
จะคลั่ ง อะไรสัก อยา งผมขอคลั่ ง เรื่อ งความรู สึก หากวา ผมปราดเปรื่ องเรื่ องใดก็ ไ ด เรื่ อ งแรกที่ ผ ม
ตองการก็คือเรื่องความรูสึกกกกก!!!! ชีวิตเรามันจะดีหรือเลวก็ตองดูที่ความรูสึก เราจะทําอะไรหรือไม
ทําอะไรก็เพราะความรูสึกเราจะสุขหรือทุกขก็เพราะความรูสึก ที่ผมรายยาวมาขนาดนี้ก็กําลังเขียน
อยางเมามันไปตามความรูสึก มันเปนความรูสึกกกกก
นามธรรมทั้งหลายที่เปนคู เชน ดีกับชั่ว สุขกับทุกข ดีใจกับเสียใจ ปติกับหดหู กลากับกลัว รา
เริงกับซึมเศรา ใจดีกับใจดําเบาใจกับหนักใจ สบายใจกับกังวลใจ พอใจกับไมพอใจ มากกับนอย
พอแลวกับยังไมพอ สนุกกับเบื่อ รวยกับจน ดีกับแย รักกับเกลียด ชอบกับชัง ยอมรับไดกับยอมรับ
ไมได ทําไดกับทําไมได และอื่น ๆ อีกมาก สิ่งเหลานี้คือความรูสึกเปรียบเทียบนั่นเอง พวกเราคือ
สภาวะจิ ต ที่ แ สดงอาการออกผ า นทางร า งกายของพวกเราตลอดเวลาไม ใ ช ห รื อ ! และเพราะว า
ความรูสึกของเราแปรปรวนเปลี่ยนแปลงได การกระทําของเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตาม
ระดับความรูสึกอยางสอดคลอง หากวาพวกเราจะไมไดอะไรเลยจากการอานหนังสือเลมนี้ ผมขอรอง
ใหพวกเราไดไปสักเรื่องหนึ่งที่ผมเชื่อมั่นวาสําคัญที่สุด นั่นคือ จงตระหนักรูใหไดวาความรูสึกเปน
ตัวกําหนดการกระทําของพวกเรา และมันเปนพลังที่ยากที่สุดที่พวกเราจะไปตอตานหากพวกเรา
สามารถ “ทําหรือสรางหรือผลิต” ความรูสึกใหมีความสุขไดทุกวันจวบจนชั่วชีวิตละก็ นั่นแหละคือ
แนวทางที่แทจริงของมวลมนุษย โปรดสังเกตวาผมใชคําวา “ทําหรือสรางหรือผลิต” เพื่อเตือนใจวา
พวกเราไมไชผล แตพวกเราเปนเหตุ เพราะวาพวกเราไมรอใหใครหรืออะไรมากรุณามอบความสุขให
เรา เรานั่นแหละคือตัวความสุขเสียเอง ก็เพราะวาเราไดสรางมันขึ้นมาเอง แลวทําไมจะไมไดละ…ใน
เมื่อความสุข… คือความรูสึกอยางหนึ่ง
98
บทที่ 15
ความพึงพอใจ กับความเจ็บปวด
99
บทที่ 16
ตายแทนลูก
พฤติกรรมการเสียสละทุกชนิดของมวลมนุษยนั้นสามารถเขาใจไดผมจะยกตัวอยางงาย ๆ วาเหตุใด
แมบางคน (อาจเปนพอก็ได) ถึงอาจตายแทนลูกได แนนอนวาการตายของหญิงที่เปนแมเปนความ
เจ็บปวดที่ยิ่งใหญของเธอ แตตราบใดที่เธอรูสึกวาการตายของลูกยิ่งเปนความเจ็บปวดที่ยิ่งกวาของ
เธอเองแลวละก็… เธอจะยอมตายแทนลูกถาเธอสามารถแลกได ไมมีคําอธิบายอะไรจะชัดเจนกวานี้
อีกแลว
100
บทที่ 17
ลดความอวนไมได
101
บทที่ 18
ผัดวันประกันพรุง
เชื่อกันวาการผัดวันประกันพรุงเปนสาเหตุหนึ่งที่ทําใหคนเราไดรับความเสียหายและความเจ็บปวด นั่น
ก็อาจใช แตที่ตลกก็คือคนเราผัดวันประกันพรุงก็เพราะวาความพึงพอใจ ความพึงพอใจงั้นรึ!!! นี่ผม
เสียสติไปแลวหรือเปลา… ไมอยางแนนอน คิดถึงตอนเปนเด็กนักเรียนดูสิ สมมติถาผมผัดการทํา
การบานที่ตองสงคุณครูออกไปกอน… มันแปลวาผมรูสึกเจ็บปวดมากกวาถาผมจะทําการบานเดี๋ยวนี้
ผมอยากเลนในตอนนี้เพราะวามันทําใหผมไดรับความพึงพอใจมากกวา สมองของผมจึงสั่งใหผมทําไป
ตามนั้นเพราะวามันจะเขาหาความพึงพอใจและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด เมื่อผมเอาแตเลนทุกวันไป
เรื่อย ๆ ผมสนุกและพึงพอใจเรื่อย ๆ แตถาวันพรุงนี้ผมตองสงการบานแลว เวลาเกือบหมดแลว คราวนี้
ผมจะผัดการเลนออกไปกอน เพราะวาการเลนเมื่อเปรียบเทียบใหมกับการทําการบานจะพบวา…
ตอนนี้กอนเลนจะไมรูสึกวาใหความพึงพอใจสักเทาไหรและมันกําลังจะกลายเปนความรูสึกเจ็บปวด
เสียมากกวา (ความรูสึกตอการเลนไดเปลี่ยนไป)
สวนการไมทําการบานที่หลายวันกอนไมรูสึกวาเจ็บปวดอะไร บัดนี้จะเปลี่ยนความรูสึกแลว
ฉะนั้นการทําการบานในตอนนี้จะสรางความพึงพอใจ (ความรูสึกตอการทําการบานไดเปลี่ยนไป) และ
ผมก็ปนใหญใหมันเสร็จเพื่อจะสงไดในวันพรุงนี้.. เฮอโลงอก หลายครั้งในชีวิตผูใหญ พวกเราก็เปน
อยางที่ผมอธิบายไมใชหรือ? พวกเราตองเขาใจเรื่องความรูสึกเปรียบเทียบระหวางความพึงพอใจกับ
ความเจ็บปวดเพื่อที่เราจะไดเขาใจการกระทําของเรามุงสิ่งที่เราทําในตอนนี้ลวนถูกเลือกจากสมองโดย
มั น เชื่ อ ว า จะให ค วามพึ ง พอใจสู ง สุ ด เมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั บ การทํ า อย า งอื่ น และการเปลี่ ย นแปลง
พฤติกรรมทุกอยางของเราเปนเพราะวาความรูสึกตอมันไดเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา นี่คือความรูที่
ลึกซึ้งมาก ฉะนั้นพวกเราตองเรียนรูที่จะใชพลังฝาแฝดระหวางความพึงพอใจกับความเจ็บปวดใหชาญ
ฉลาดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกวา
102
บทที่ 19
กินแมลงสาบ
ครั้งหนึ่งผมถูกตั้งคําถามที่ทาทายจากหนังสือเลมหนึ่งวา “ถาใหเงินคุณหาลานบาทเพื่อแลกกับการ
ตองกินแมลงสาบหนึ่งถวย คุณจะทําหรือไม ทําไมจึงทํา… ทําไมจึงไมทํา?” นี่เปนคําถามที่ทําใหคน
ตอบหลงทางไดโดยงายแตไมใชผม เมื่อผมอานคําถามนี้ ผมแนใจวาผมรูคําตอบในวินาทีนั้น คําตอบ
นั้นงายมากคือ… ตราบใดที่การกินแมลงสาบสรางความเจ็บปวดไดมากกวาความพึงพอใจของการได
เงินหาลานบาทสําหรับใครก็ตามแลวละก็ เขาก็จะไมมีวันกินแมลงสาบเพื่อเงินกอนนั้น แตตราบใดที่
การไดเงินหาลานบาทสามารถสรางความรูสึกความพึงพอใจไดมากกวาความรูสึกเจ็บปวดจากการกิน
แมลงสาบ เขาก็จะกินแมลงสาบ (เขาจะกินมันแมวาไมชอบและรูวานี่)
เรื่องราวการกระทําที่แปลก ๆ ในโลกนี้ลวนอธิบายไดหมดในลักษณะนี้ ผมไดเห็นการเลนเกม
ที่โหดและยากมากตอความรูสึกเชน การที่ตองคาบหนูตายดวยปาก การจุมหนาลงไปคลุกกับหนอนที่
เต็มไปดวยเมือก การตองฝนกินสิ่งที่แสนจะทุเรศ และการกระทําที่เสี่ยงตอชีวิตสารพัด ไมวารางวัลที่
ไดจะคือเงินกอนโตหรือความรูสึก วา “ขาแนและขาทําได” ก็ตาม ที่คนเหลานั้ นทํา ก็เพราะว าเมื่อ
เปรียบเทียบเสร็จแลว การทําจะใหความรูสึกที่นาพอใจกวา หรือกลาวอีกอยางวา… การไมทําจะสราง
ความเจ็บปวดที่มากกวา ดังนั้นพวกเขาจึงทําอยางที่พวกเราไดเห็นกัน ไมมีมนุษยทําไมไดตราบใดที่
มนุษยรูสึกวาผลรวมสุดทายของความรูสึกทั้งมวลจะนําไปสูความพึงพอใจ
คุณผูอานที่รักกกกยิ่ง ความพึงพอใจกับความเจ็บปวดนั้นคือตนตอที่แทของการกระทําหรือไม
กระทําทั้งมวลของมนุษยพวกเราตองเขาใจเรื่องนี้ใหมาก ๆ แลวพวกเราจะเขาใจตนเองและเพื่อนรวม
โลก
103
บทที่ 20
กาตมน้ําแหงความเจ็บปวด
104
เปนคนละคนกันเลยทีเดียว พวกเรามีใครเคยเปนอยางที่ผมบรรยายมาไหมละ? หรือวาตอนนี้ก็ยัง
เปนอยูละมีไหม?ไมเปนไรหรอก…ขอเพียงเขาใจมัน ใหอภัยตัวเองเสีย และเริ่มตนใหมที่จะใชพลังแหง
อารมณและเครื่องมือหลาย ๆ อยางในหนังสือเลมนี้ไปจัดการกับมันซะ โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ
เปรียบเทียบกันระหวางความพึงพอใจกับความเจ็บปวดที่พวกเราเพิ่งไดอานมา…. เปนเรื่องที่สําคัญ
มาก ขอใหพวกเราฝกการเชื่อมโยงพฤติกรรมตาง ๆ ของพวกเรากับสมองเสียใหม แทรกแซงความรูสึก
พึงพอใจกับพฤติกรรมนิสัยดวยการสอนสมองใหรูสึกรังเกียจพฤติกรรมนิสัยเสียดวยวิธีการฝกซอม
สรางจินตนาภาพแบบใหมตามที่ไดกลาวมาแลว แลวพวกเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยของพวกเรา
ไดอยางถาวร และเพื่อใหเปนวิชาการอีกนิด ผมขอสรุปเปนขอ ๆ ดังนี้
1. การไมลงมือทําในสิ่งที่ตองทําจะคอย ๆ ทวีความเจ็บปวด
2. ในที่สุดมันจะสะสมความเจ็บปวดจนถึงจุดแตกหักทางอารมณที่รูสึกวาทนไมไหว
อีกตอไป
3. ความเจ็บปวดที่ระดับทนไมไหวนี้กลายเปนรุนแรงกระตุนใหลงมือปฏิบัติ
4. การลงมือปฏิบัตินําไปสูผลลัพธที่ได… ทําใหความเจ็บปวดทางอารมณบรรเทาลง
ไป
5. ผลลัพธที่ได… ทําใหความเจ็บปวดทางอารมณบรรเทาลงไป
6. หวนคืนสูการไมลงมือปฏิบัติและเริ่มตนวงจรซ้ําซากแหงการสะสมความเจ็บปวด
อีกครั้ง
105
บทที่ 21
การลงเอยที่ยิ่งใหญไมใชความรูแตคือการกระทํา
106
อยางไรก็ตาม นี่ไมไดหมายความวา การที่เราคิดบวก ยิงคําถามที่ดีกวา มีความเชื่อที่ชาญ
ฉลาด คาดหวังในสิ่งดี มีทัศนคติเชิงสรางสรรค และรูสึกดีนั้น ไมมีประโยชน ตรงกันขาม มันทั้งหมด
เปนสิ่งจําเปนที่ขาดไมได เพราะวาดวยปจจัยเหลานี้นี่แหละที่จะชวยรับประกันวาพวกเราจะมุงเนน
การปฏิบัติไดจริง ๆ สวนใครที่ปราศจากปจจัยเหลานี้ยอมพบกับความสุขและความสําเร็จไดยากเต็มที
แตประเด็นของผมอยูตรงที่… การกระทําคือเปาหมายสุดทายที่พวกเราตองเขาถึงมัน
107
บทที่ 22
ไรการปฏิบัติ ปญหาที่แทจริงของคนในโลก
1. สมมติผมพูดวา “ฉันมีปญหาเรื่องเงินไดไมพอใช”
2. สมมติผมพูดวา “ฉันมีปญหาเรื่องสุขภาพไมดีที่รบกวนฉันบอย ๆ”
จะดีกวาไหมหากผมพูดวา “บางทีนั่นอาจไมใชปญหาที่แทจริงเปนไปไดไหมวาฉันมีปญหาใน
เรื่องพฤติกรรมของการออกกําลังกายที่ยังไมพอเพื่อทําใหตัวฉันแข็งแรงมากขึ้น เทาที่ผานมา
ฉันไดมุงเนนการกระทําที่เพียงพอจริง ๆ แลวหรือ หากฉันเนนการกระทําใหมากขึ้น ปญหา
ของฉันจะจบลงดวยดีไหม?”
3. สมมติผมพูดวา “ฉันมีปญหาเรื่องครอบครัวมากจนฉันไมมีความสุขเลย”
108
คุณผูอานที่รัก ไมวาปญหาของพวกเราจะคืออะไร บางทีมันอาจไมใชปญหาที่แทจริง ตนตอ
ของปญหาจํานวนมากเกิดจากปญหาของการไรซึ่งการปฏิบัติ หรือหากปฏิบัติก็อาจนอยเกินไปจนไม
เพียงพอ คนในโลกตกอยูในมายาหรือภาพลวงตาวาพวกเขาออกไปจากปญหาไมได และแทนที่จะลง
มือทําอะไรเสียบาง พวกเขาจํานวนมากกลับใชเวลากับการโอดครวญ ตําหนิหรือตอวาทุกสิ่งยกเวน
ตนเอง พวกเขาชอบอยูนิ่ง ๆ เศราสรอย หดหูใจ เซ็ง เบื่อหนาย เหงา รองใหแลวก็รองให และลมตาย
ไปอยางคนสิ้นหวังเพียงลําพังคนเดียวเงียบ ๆ ขอพวกเราอยาไดเพิ่มประชากรเชนนั้นดวยการรวม
ตัวเองเขาไปอีกเลย จงลุกขึ้นยืน และยืนขึ้นเพื่อตัวเอง พวกเราจงสะบัดแขงสะบัดขาและรีบเรงที่จะ
มุงเนนการลงมือทํามาก ๆ กับเรื่องราวทุกดานของชีวิตใหครบครัน จงมองไปที่รางกายและมือของเรา
วามันถูกออกแบบมาใหมีความสามารถในการกระทําเหนือสรรพสัตวทั้งปวง และไมวาพวกเรากําลัง
เผชิญกับสถานการณใด ๆ ก็ตาม จงทองใหขึ้นใจไวเสมอวา “บางทีฉันอาจไมมีปญหาอะไรเลยก็ได
หากฉันเนนที่การปฏิบัติในทุกเรื่องราวของชีวิตฉันใหมากพอ” และจําอีกหนึ่งประโยคทองที่วา “การลง
มือปฏิบัติรักษาไดทุกโรค แกไขไดทุกเรื่อง”
109
บทที่ 23
เขาแทรกแซงระบบใหญ
110
ผมแทรกแซงเขาทัศนคติของผม ผมสั่งสมองใหใชเฉพาะมุมมองหรือความคิดเห็นที่มันเปน
ประโยชนอยางแทจริง นอกนั้นก็จงอยาไดไปริเปนอันขาด ผมบอกสมองวาการกระทําอะไรก็ตามที่มัน
ขวางโลก ขวางตัวเอง ก็จงยุติเสียเพราะวาผมไมอนุญาต
จะวาไปแลว เรื่องที่ผมเขาแทรกแซงระบบใหญไดรุนแรงมากที่สุด ก็คือเรื่องความรูสึกของผม
ผมเปลี่ยนไปอยางมหาศาลก็เพราะเรื่องนี้ ผมฝกที่จะรูจักกกับความรูสึกเชิงบวกอีกหลาย ๆ แบบ
สมองและจิตใจของผมมันโง มันไมจําเจหรือเบื่อหรือไงกับอารมณความรูสึกเจ็ดแปดอยางที่ผมมี
ประสบการณมากวาสี่สิบปแลว ผมจึงตองแทรกแซงมัน ไมงั้นมันก็จะรูสึกไดเทาเดิมหรือแบบเดิม ผม
เปดเพลงและดิ้นสุดเหวี่ยงแตเชามืด… สมองจะไดรูวามันเปนความรูสึกยังไงกับภาวะสุดเหวี่ยง ผม
เลิกนิสัยกินอาหารจําเจเพื่อแทรกแซงใหสมองไดชิมความรูสึกใหม ๆ เสียบาง ผมไปดูหนังสัปดาหละ
หนึ่งเรื่องเพื่อทําใหสมองมันรับรูวามันจะรูสึกอยางไรเมื่อเทียบกับการดูหนังที่บาน ผมออกไปเรียน
ภาษาจีนก็เพื่อจะรูสึกวามันรูสึกดีแคไหนกับการไดพูดกับคนอื่นดวยภาษาที่สาม ผมตีปงปองกับลูกทุก
วันเพื่อเรียนรูอีกครั้งวาความสนุกสนานแบบเด็กที่ผมลืมไปคืออะไร (เด็กชางสนุกสนานงายจริง ๆ ) ผม
ตะโกนเสียงดังในรถบอย ๆ ก็เพื่อปลุกใจใหมันรูสึกกระตือรือรนและฮึกเหิม ผมไปที่รานหนังสือบอย ๆ
ก็เพื่อไดเห็นหนังสือเลมใหมมากมายที่ออกอยูเรื่อยและผมรูวานิสัยรักการอานของผมจะทําใหผมไมมี
วันเหงา ผมเลนหมากลอมวันละหนึ่งกระดานทางอินเตอรเนตเพื่อลับคมสมองใหมันฉับไวอยูเสมอผม
เดินบนลูวิ่งสายพานวันละสามถึงหากิโลเมตรก็เพื่อสอนใหจิตใจมันชื่นบานและรับรูวาผมแข็งแรง
ขนาดไหน ผมเต น แอโรบิ ค เพื่ อ สอนให ส มองมั น รู ว า … การเคลื่ อ นไหวอย า งไร ขี ด จํ า กั ด นั้ น จะให
ความรูสึกดีอยางไร เชื่อมั่นอยางไร และกระทบตอความรูสึกโดยรวมอยางไรและอื่น ๆ อีกมากมาย
เหลื อ เกิ น ที่ ผ มจงใจทํ า สิ่ ง หลากหลายเพื่ อ แทรกแซงระบบใหญ ข องผมให มั น มี ป ระสบการณ กั บ
ความรูสึกดีหลายแบบ เชน ตื่นเตน เราใจ ซาบซา ชื่นบาน กระฉับกระเฉง ปติยินดี ราเริง พึงพอใจ และ
ยิ้มแยมแจมใส
คุ ณ ผู อ า นที่ รั ก คํ า ว า “การเปลี่ ย นแปลง” นั้ น มี ผู ค นใช กั น ดาษดื่ น ทั่ ว ไป ส ว นคํ า ว า “เข า
แทรกแซง” มักถูกมองในแงลบ อยางไรก็ตามหากจะมีความคิดใดที่ทรงพลังและเฉลียวฉลาดที่สุดสัก
ความคิดหนึ่งแลวละก็… นั่นก็คือการเขาไปแทรกแซงระบบใหญภายในตัวเราดวยตัวเราเอง ถามวา
ทําไมตองแทรกแซงนะหรือ? การรอคอยใหระบบใหญเปลี่ยนแปลงเองนั้น… ไมรูวาเมื่อไหร แตการเขา
แทรกแซงคือการเขาไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้ แลวแทรกแซงไปทําไมละ? ก็เพื่อใหความคิด กรอบความคิด
คําถามที่ใช ความเชื่อ การคาดหวัง ทัศนคติ อารมณความรูสึก การกระทํา และผลลัพธตาง ๆ ดีขึ้น
อยางกาวกระโดด ผมเชื่อมั่น 100% วา การเขาแทรกแซงในเชิงสรางสรรคตอระบบใหญภายในตัวเรา
โดยเจตนา คือแนวความคิดที่สูงสงที่สุด ประการหนึ่งแหงสติปญญามนุษยทีเดียว เมื่อพวกเราได
เดินทางกาวไกลมาถึงที่นี่ในหนานี้ พวกเราสามารถเขาใจตนเองและมีเครื่องมือหลายตัวไวใชในการ
ดําเนินชีวิต บัดนี้มันถึงเวลาแลวที่พวกเราจะกาวเขาสูภาคที่ 3 ซึ่งเปนภาคที่วาดวยเทคนิคการดึงดูด
111
ทุกสิ่งที่เราตองการใหเขามาหาเรา เมื่อพวกเราไดศึกษาจนทะลุปรุโปรงแลว เราจะรูสึกวามันงายกวาที่
คิดไวเยอะ ไปลุยกันเถอะพวกเรา
112
ภาคที่ 3
วิธีดึงดูดสิ่งที่คุณตองการ
113
บทที่ 1
อํานาจที่กระตุนใหมนุษยลงมือทํา
อะไรเลาที่อยูเบื้องหลังเราที่คอยผลักดันใหเราทําโนนทํานี่อยูเรื่อย อะไรเลาที่คนทุกชาติทุกภาษาลวน
เหมือน ๆ กันนอกจากการมีรางกายและจิตวิญญาณ แรงขับหรือแรงผลักดันใหพวกเราลงมือกระทําก็
คือ “ความขาดแคลนหรือความจําเปนทั้งเจ็ด” ที่พวกเราจําเปนตองไดมามิเชนนั้นแลวพวกเราจะอยู
รอดไมไดหรือไมมีความสุขเลย พวกเราไปดูกันหนอยวา “ความขาดแคลนหรือความจําเปนทั้งเจ็ด” มี
อะไรบางที่เปนแรงขับใหเราอยูนิ่งไมได
1. ความแนนอนเพื่อการอยูรอด
114
ก็เพิ่มโอกาสที่จะไดความแนนอนเขามาตุนไวมาก ๆ คนจํานวนมากคลั่งเงินก็เนื่องจากวามัน
เปนแรงกระตุนตัวแรกนั่นเองและเมื่อคนเรามีปจจัยสี่จนลนเหลือแลว แรงกระตุนในดานนี้ก็จะ
ลดลงหรืออาจหมดลงไปเลยก็ได
โปรดจําไววามนุษยสนใจแตสิ่งที่เขาตองการ (คําวา “ตองการ” นั้น มันแปลวา “ฉันยัง
ขาดแคลนมันอยู”) และมีแต “สิ่งที่ตองการ” เทานั้นที่กระตุนหรือเปนแรงขับใหมนุษยลงมือทํา
เพื่อลบความขาดแคลนนั้นออกไป หาไมแลวสิ่งนี้ก็จะกระตุนเขาไดอยูตลอดไปตราบใดที่เขา
ยังตองการมันอยู พวกเราลองคิดดูสิ หาดพวกเราพูดวา “ฉันไมตองการไอนี่” แลวเปนไปได
ไหมวาพวกเราจะยอมลงมือทําเพื่อใหไดมันมา… ไมมีทาง ตรงกันขามที่พวกเราทํางานกัน
สารพัดนั้น ก็เพราะพวกเรารูวา พวกเราจําเปนตองหาเงินเพื่อสรางความแนนอนไวระดับหนึ่ง
เสมอ ไมงั้นพวกเราก็จะรูสึกวาวิตกกังวลและไรสุข อนึ่ง ความจําเปนในเรื่องความปลอดภัย
นั้น มันก็คือความแนนอนอีกอยางหนึ่งที่เปนแรงขับหรือแรงกระตุนใหพวกเราลงมือทําในสิ่งที่
สอดคลองจําเปน แตผมจะละไวในฐานะที่พวกเราพอเขาใจกันดีอยูแลว
2. ความหลากหลาย
115
ที่นักดนตรียังแตงเพลงใหม ที่ผมยังเขียนหนังสือเลมใหมที่โรงหนังรีบเปลี่ยนโปรแกรม
หนังใหม ที่คนเราเปลี่ยนโทรศัพทมือถือรุนใหมอยูเรื่อย ที่พวกเราตัดผมทรงใหม ยอมสีผมใหม
ๆ ที่ผมและพวกเราไปช็อปปงกันบอย ๆ ที่พวกเราบางคนไปโดดแมแตบันจี้จัมป เลนสกี ดําน้ํา
เที่ยวทะเล ปนภูเขา ไตหนาผา เลนเครื่องบิน บังคับวิทยุ ไปขี่มา ไปซอมยิงปน ไปฝกเตนรํา ไป
เรียนภาษา ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือความหลากหลายที่พวกเราตองการ หากวาตอนนี้พวกเราทั้งเนื้อ
ทั้งตัวเหลืออยู 20 บาทจะเปนไง… ความหลากหลายจะไมมีวันกลายเปนตัวกระตุนหรือแรง
ขับใหพวกเรามือปฏิบัติอะไรก็ตามเพื่อใหไดพวกมันมาเปนอันขาด
3. อยากไดรับความสําคัญ
นอกจากที่เราตองสนองความจําเปนสองประการแรกแลวเรายังอยากใหตัวเรามีความหมาย มี
ความสําคัญ ที่เราทํางานก็เพื่อความมั่นคง แตเมื่อเรามีฐานะทางการเงินที่มั่นคงมากขึ้นแลว
เงินเดือนสูงหรือสภาวะรายไดดีเพียงลําพังยอมกระตุนเราไดนอยลง เรายังอยากมีเกียรติยศ มี
ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจไดรับการยอมรับนับถือ และความรูสึกอื่น ๆ อีกมากเกี่ยวกับวา …
เรานั้ น ก็มี ความสํา คั ญและมีตั วตนอยู แรงกระตุน ตัว นี้แหละที่บงการเราใหทําหลายสิ่ ง ที่
ตามปกติเราจะไมทํา แตบางทีเรายอมเสียสละและทุมเทเพราะอะไรละ? หากวานั่นอาจนํามา
ซึ่ง “การไดเปนคนสําคัญ” เราก็อาจยอมทําเพราะวาความขาดแคลนในดานนี้อาจกําลังเปน
แรงขับดันหลักถาหากวาเราปรารถนามัน และเผอิญวาในตอนนั้นความขาดแคลนในดานอื่น
ไมไดรบกวนเรามากจนเกินไป นี่จึงเปนเหตุผลที่วาทําไมบริษัทใหญถึงตองจัดงานประกาศ
เกียรติคุณอยูเรื่อย มีการมอบโล มอบถวย ทําปายประกาศใหทุกคนรู และมอบรางวัลที่พิเศษ
บางอยางให บริษัทเหลานี้รูดีวาคนบางคนเอาแตเงินไปกระตุนไมคอยได แตเอา “ความรูสึกวา
ฉันสํา คัญ” ไปกระตุนได คนบางคนทํางานถวายหัวเมื่อรูสึ กวา “ฉันไดรับการยกยองและ
ยอมรับ” เปรียบเหมือนกับมาที่มันจะกินน้ําเพราะวามันกระหาย คนเราหากกระหายอะไรก็
ตาม คนเราก็จะลงมือทําทุกอยางเพื่อดับความกระหายนั้น มันจึงเปนสิ่งที่จะมองขามไมได
ในเรื่องอื่นก็เชนกัน การที่เราจะไปขอรองใหใครชวยเหลือ หรือรวมมือกับเรานั้น การ
บังคับยอมทําไดยาก แตการปฏิบัติตอพวกเขาอยางคนสําคัญยอมเปนกลยุทธที่ชาญฉลาด มี
หลักคําสอนที่ดีมากประการหนึ่งสอนไววา “จงปฏิบัติตอคนอื่นอยางที่เราอยากใหเขาปฏิบัติ
ตอเรา” ฉะนั้นถาอยากไดรับความรูสึกวา “ฉันเปนคนสําคัญ” กลับมา จงมอบความรูสึกวา
“คุณเปนคนสําคัญ” ตอคนอื่นเสมอ หากวาใครก็ตามที่ปฏิบัติตอเราอยางไมแคร ไมสน และ
ไมแยแส แลวเราละ เราก็มักจะไมแคร ไมสน ไมแยแส และไมอยากเขาใกลคนแบบนั้นไมใช
หรือ? อยางไรก็ตาม ผมอยากใหพวกเรามุงเนนและเขาใจ “การไดเปนบุคคลสําคัญ” ยอมเปน
116
ความตองการของผูคนเสมอ ไมวามันจะซอนอยูตื้น ๆ หรือลึกสุดที่กนบึ้งแหงหัวใจของพวก
เขาก็ตาม
อนึ่ง มีสิ่งหนึ่งที่แมไมเกี่ยวของโดยตรง แตผมอยากใหขอมูลเพื่อใหพวกเรารูวา…
มนุษยมีความสําคัญขนาดไหน ประเด็นแรกคือ การตั้งครรภของสตรีทานใดก็ตาม สิทธิ์ที่วา
ดวยการทําลายเด็กในครรภทิ้งไดหรือไมนั้น เปนปญหาโลกแตกที่ถกเถียงกันมานานและมีขอ
กฏหมายที่ซับซอนมาก นักปรัชญาเถียงกันมานานยังหาขอสรุปไมไดเลย เพราะวามันมีคํา
ถามมากจริงหายขอ เชน ตัวออนในครรภมารดาถือวาชีวิตเปนมนุษยตั้งแตเมื่อไหร?คําถามนี้
ก็อวกแลววาจะตอบอยางไร คําถามที่สอง ถาในกรณีที่เลือกรักษาชีวิตคุณแมไดแตลูกใน
ครรภตาย และกลับกัน ถารักษาลูกในครรภไวไดแตคุณแมก็ตองตาย ใครตอบไดวาชีวิตไหน
กันแนที่มีสิทธิ์อยูไดตอไป? ในเชิงความรูสึกเราอาจตอบวาแมสิที่ตองมีสิทธิ์อยูตอไปแตถาเจา
เด็กทารกมันพูดไดละก็ มันอาจไมเห็นดวย ที่ยุงไปกวานั้นคือ ถาตัวคุณแมเองยอมตายละ…
คุณหมอมีสิทธิ์ทําตามคําขอนี้หรือ? คุณหมอจะพนความผิดฐานฆาคนตายโดยเจตนาไดหรือ?
มมติคุณแมคนนี้ทนไมไดจริง ๆ หากลูกของเธอตองตาย แลวเธอดึงดันกับคุณหมอตอไปวา
ถาไมรักษาลูกฉันไว ฉันจะฆาตัวตาย คราวนี้อาจจะมีการตายเพิ่มเปนสอง… ปวดหัวไหม
แบบนี้?
บางทีเมื่อพวกเราไดเขาใจถึง “สิทธิ์ของเสียงขางนอย” พวกเราอาจยิ่งเขาใจวาความ
เปนมนุษยนั้นสําคัญยิ่ง แมวาประเทศสวนใหญปกครองดวยระบบประชาธิปไตยที่ใชเสียงขาง
มากเปนใหญก็ตามแตนั้นไมไดแปลวาไมมีขอบเขตโดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อตองเกี่ยวของกับ
ความเปนความตายของผูคน สมมติวาผมอยูในชุมชนแหงหนึ่งที่มีประชากร 10 คน และ
สมมติวาโดยที่ไมมีเหตุอันใด จู ๆ คนทั้งเกานั้นไดประชุมกันวา “พวกเราลงมติเปนเอกฉันทถึง
เกาเสียงวานายวันชัยตองตายไปซะ” สิ่งที่ผมจะพูดคือ “มีอยูหนึ่งเสียงที่ไมเห็นดวย… คือตัว
ผมเองไง” เพียงเทานี้ผมก็จะปลอดภัย นี่แหละคือตัวอยางหนึ่งของ “สิทธิ์ของเสียงขางนอย”
ดังนั้น ถาหากวาจะมีผูคนจํานวนหนึ่งในโลกนี้ที่บาขนาดลารายชื่อเพื่อลงมติวา “ชีวิตของพวก
เราแมเพียงแคใครสักคนหนึ่งก็ตามไมสําคัญ” ขอใหพวกเราจงปฏิบัติโตตอบกลับไกดวยความ
โคตรสงบและโคตรเรียบงายวา “แตมีอยูเสียงหนึ่งที่ไมเห็นดวย… และเสียงนั้นคือเสียงของฉัน
เองโวย… ไอพวกบา” คุณผูอานที่รัก มันเปนเรื่องปกติที่พวกเราตองการความสําคัญในระดับ
ใดระดับหนึ่งเสมอ ตอนนี้เราไปดูความจําเปนหรือความตองการที่เหลือกันเถอะ
117
4. อยากมีความสัมพันธ อยากมีการเชื่อมโยง
118
ฆาตัวตายนะ” นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคนไมนอยเลย มันเปนเรื่องปกติมากที่คนเราอยากมี
ครอบครัว และตราบใดที่ความปรารถนานี้ไมไดรับการตอบสนองจะไมมีอะไรในโลกนี้ทําให
พวกเขาสนใจไดมากกวาการไดรับความสัมพันธอยางแนนอน อะไรละที่พวกเราขาดในตอนนี้
เงินรึ ? ความหลากหลายรึ? ความสําคัญรึ? หรือวาความตองการสรางสัมพันธ… มันคืออะไร
กันแนที่ผลักดันเราไดมากที่สุดใหลงมือทําในตอนนี้
อยางไรก็ตาม อยาไดเขาใจผิดเชียววา… คนเปนโสดแยทุกคนเปลาเลย… มันไมได
แยขนาดนั้น เพื่อนผมอีกหลายคนไดใชชีวิตโสดที่เชื่อมโยงกับความสัมพันธในรูปแบบอื่น ที่
เห็นไดชัดคือ เขามีเพื่อนฝูงมากกวาผม พวกเขาสังสรรคกันบอย ไปรองเพลงดวยกัน ไปออก
กําลังกายดวยกัน ไปเตนรําดวยกัน ไปตางประเทศบอยกวาผมบางคนกําลังเรียนเพิ่มเติมอีก
และไดพบเพื่อนใหมมากขึ้น พวกเขาไปสโมสร ไปดื่ม ไปเฮฮาปารตี้ บางคนก็จมอยูกับโลก
ศิลปะพวกเขาสรางความสัมพันธกับสิ่งไมมีชีวิตมากกวาสิ่งมีชีวิต แตมันก็สําคัญมากสําหรับ
เขา เพราะเขาทํามันเพื่อตัวเขาและโลกนี้ และยังมีกิจกรรมอีกมากที่จาระไนไดไมมีวันหมด สิ่ง
เหลานี้ถือไดวาเปนการสรางการเชื่อมโยงหรือความสัมพันธที่อาจเปนไปไดทั้งสิ้น พวกเขาจะ
พยายามเติมในสิ่งที่พวกเขาคิดวาขาดและจะรูสึกวาชีวิตไมไดวางเปลาจนทนไมได บางครั้ง
พวกเขาอาจมีความสุ ขมากกว า คนที่มี ค วามสุ ข มากกว า คนที่มี ค รอบครั ว ก็ ไ ด มั น เป น สิ่ ง
เปรียบเทียบที่ตัดสินตามใจชอบไมไดหรอก ใครจะกลาพูดวา “คนแตงงานมีความสุขมากกวา
คนเป น โสด” ได ล ะ ? แต ผ มสรุ ป ได ว า พวกเราจะมี ค วามต อ งการในการสร า งรู ป แบบของ
ความสัมพันธเสมอ ไมวากับคน วัตถุ หรือนามธรรม ๆ ก็ตาม และเราจะรูสึกโอเคไดก็ตอเมื่อ
เราไมไดรูสึกวา… เราขาดแคลนอยางสิ้นเชิง ไมเชนนั้นแลว เราจะทุกขทรมาน โปรดจําไววา …
ความตองการหรือความขาดแคลนจะหายเปนปลิดทิ้งหรือหมดความสําคัญลงไปเลย… เมื่อ
เราไดมันมาแลว
คุณผูอานที่รัก มีเรื่องนาอายนิดหนอยเรื่องหนึ่งที่ผมจะเลาใหฟง ผมนั้นคลั่งไคลอยาก
ไดเพลงฝรั่งชื่อ “father of days father of nights” ครั้นผมไดมันมา ความขาดแคลนของผมก็
หมดไปความอบอุนใจวามันอยูกับผมแลวไดทําใหผมไมใสใจกับมันอีกตอไป มันราวกับวาผม
ไมไดตองการมันสักเทาไหรเลยทั้ง ๆ ที่เมื่อกอนอยากไดสุด ๆ แตดูสิพอไดมาแลว ความรูสึกก็
ลดลงไปมากอยางไมนาเชื่อ อยูมาวันหนึ่งผมจะเอามันมาเปดฟงแตวาหามันไมพบ ความขาด
แคลนไดเกิดขึ้นในทันที แลวผมก็รูสึกวาชางตองการมันมากเหลือเกิน ทุกวันนี้ผมก็ยังรูสึกวา
ตองการมันอยู เพราะวาความขาดแคลนที่เกิดขึ้นยังไมไดสะสาง มันจึงไมหมดไปจากใจผม
สิ่งที่ผมเลานี้เพื่อเตือนใจวา “สรรพสิ่งในโลกนี้จะมีความหมายและความสําคัญที่พุงสูงสุดตอ
ความรูสึกของเราก็ในวันที่เราไดสูญเสียมันไปแลว” นี่แหละคือการทํางานของมัน เมื่อใดที่เรา
119
ขาดแคลนอะไรและเรายังอยากไดมันอยูสิ่งนั้นจะกลายเปนแรงขับแหงการกระทําของเรา
ผูคนในโลกนี้เปนอยางนี้เสมอไมวาจะรูตัวหรือไมก็ตาม
5. ตองการความกาวหนา และการเจริญเติบโต
นอกจากเราตองตอบสนองตอความจําเปนหรือความขาดแคลนหลาย ๆ อยางที่กลาวมาแลว
พวกเราพอหรือยัง… ยัง !!! พวกเราอยากใหธุรกิจของเราเจริญกา วหนาไหม อยากใหมัน
เจริญเติบโตไหมอยากจะมีเงินทองที่เก็บสะสมมากขึ้นไหม อยากใหครอบครัวโตขึ้นมีทายาท
สืบตระกูลและสืบทอดธุรกิจตอไปไหม? พนันไดเลยวาอยากนอกจากนี้เรายังอยากมีขาวของ
เครื่องใชใหมากขึ้น? ผมวาคงหายากเต็มทีตราบใดที่มนุษยยังมีปญญาซื้อเพิ่ม บางทีเราซื้อ
บานเพิ่ม ซื้อคอนโดมิเนียม ซื้อที่ดินเปลาเก็บไวเลน ๆ แคหาสิบปเอง (ผมประชดนะ) เราซื้อ
คอมพิวเตอรตัวที่สิบแลวกระมังเพราะวาดันอยากไดรุนลาสุดอยูเรื่อย ผมมีรองเทาแคสองคู
เอง… ตอใหอมพระมาพูดก็เถอะจะมีใครเชื่อผมเหรอ!!! ผมซื้อ และพวกเราก็ซื้อ ก็ของมัน
เยอะมากนี่ครับ เอะแลวพวกเขาผลิตไปมากมายเกินกวาคนซื้อไปทําไมกันนี่… พวกเขาก็
อยากเติบโตเชนกัน เวลานี้มีรานขายโทรศัพทมือถือเยอะไหม… แนนอน ถาพวกเขาไมเชื่อวา
มันจะขยายตัว พวกเขาจะเปดไปทําไมกันละ สวนคนที่ทํารานอาหารบางเจามีกวา 200 สาขา
เขาไปแลว สวนแบรนดตางประเทศอยาไดริไปนับเชียว…เหนื่อยตายเปลา มีใครบางไหมที่
เปดหนึ่งสาขาแลวหยุด ไมมีทาง พวกเขาขยายธุรกิจเปนวาเลนและบุกแหลกเมื่อมีโอกาส สิ่ง
เหลานี้ลวนชี้ชัดวา มนุษยมีความตองการที่จะเจริญเติบโตอยางไมมีที่สิ้นสุด
คราวนี้หันมาสนใจพวกเราเองกันหนอย พวกเราก็อยากจะเกงขึ้น มีความสามารถ
มากขึ้น มีทักษะมากขึ้น มีหนาที่การงานที่ดีขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น พูดภาษาไดหลายภาษามาก
ขึ้น อานหนังสือมากขึ้น เขาใจชีวิตมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีขึ้น พวกเราตองการ
การเจริญเติบโตทางดานประสบการณ ความคิดอาน และความมั่นคงตาง ๆ เห็นไดชัดวาเมื่อ
พวกเราดิ้นรนจนพนสภาพอดตายมาได แตเราไมมีทางหยุดแคนั้นหรอก พวกเรายังตองการ
ความเจริญกาวหนาทั้งในชีวิตสวนตัวและหนาที่การงานอีกมากนี่คือวิถีของชาวโลก พวกเรา
ไมใชคนแบบ “ตําขาวสารกรอกหมอ” หรอก พวกเราฉลาดกวานั้นแยะ (แมวาจะมีคนเชนนั้น
อยูบางก็ตาม แตนั้นไมใชแบบอยางที่เราจะเลียนแบบอยูแลวนี่) ดังนั้น แรงขับอีกแรงหนึ่งที่อยู
เบื้องหลังในการกระทําของเราจึงคือความตองการเรื่องการเจริญเติบโตอยางปฏิเสธไมได
120
6. อยากชวยเหลือแบงปน
7. ความตองการทางจิตวิญญาณ
ความขาดแคลนหรือความจําเปนประการสุดทายที่มนุษยมีความตองการไปตลอดกาลคือ
ความตองการทางจิตวิญญาณ มันอาจเปนแคความตองการที่จะมีความสงบสุขทางใจ หรือ
อาจเปนนามธรรมตาง ๆ อื่นใดก็ไดเรื่อยไปจนถึงการรูแจง คนที่บวชไมสึกที่จริงจังกับการบวช
คือตัวอยางที่ชัดเจนของความตองการทางดานนี้ หากวาเราไดมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ
อย า งครบถ ว นแล ว พวกเราชาวมนุ ษ ย ก็ จ ะไม ข าดแคลน ไม มี ก ารแสวงหาทางด า นจิ ต
วิญญาณอีกตอไปแตดวยความขาดแคลน มันไดเปนแรงขับใหมนุษยหาทางเขาใจตนเองใน
ลักษณะเฉพาะตัว การกําเนิดขึ้นของศาสดา และศาสนาตาง ๆ ในประวัติศาสตรยอมเปน
หลักฐานวามนุษยมีแรงกระตุนในดานนี้อยูตลอดมา
อยางไรก็ตาม พวกเราโปรดอยาเขาใจผิดวาฆราวาสที่ครองเรือนอยางเราไมมีความ
ตองการทางจิตวิญญาณ ลองจินตนาการวาพวกเราไมมีความสงบสุขจากภายในอยูเลย พวก
เราจะอยูไหวหรือกับชีวิตเชนนั้น มันแปลวาเรามีสภาวะทางจิตวิญญาณที่ดีพอสมควรอยูแลว
เราไดรับการสั่งสอนทางศาสนา การไปวัด การทําบุญ และการปฏิบัติธรรมมาบางไมมากก็
นอยอยูแลว ดังนั้นการที่เราครองเรือนก็เพราะวาเราถูกกระตุนเรื่องความขาดแคลนดานอื่น ๆ
121
มากกวาดานนี้ เราทําตัวเราไปตามแรงขับตัวที่มีอิทธิพลที่รุนแรงกวาเสมอ ดั่งที่ผมไดอธิบาย
มาแลว มนุษยเริ่มคิดถึงการขโมยเมื่อเขากําลังจะอดตาย สวนแรงขับทางจิตวิญญาณที่วา..
จงอยาขโมยเพราะวาผิดกฏหมายและละเมิดศีลนั้น… มีแรงขับนอยมากเมื่อเทียบกับแรงขับ
แหงการอยูรอด มีคนนอยมากที่ยอมอดตายจริง ๆ เพื่อรักษาศีลที่หามการลักทรัพยหนึ่งขอ
เอาไวไมได คุณผูอานที่รัก ผมไมไดบอกวาการละเมิดศิลเปนเรื่องดี แตผมพยายามอธิบายสิ่ง
ที่เกิดขึ้นในโลกและผมเห็นวา… ใครก็ตามที่สามารถพิสูจนไดวา เขากําลังจะอดตายในมื้อ
ถัดไป (อาจไมไดกินอาหารมาหลายวันแลว) ผมคิดไมออกวาการหยิบผลไมของใครสักผลเพื่อ
กินเขาไปจะละเมิดศิลขอไหนได ตรงกันขาม หากพวกเรารูเชนนั้น พวกเราคงยื่นมือออกไป
ชวยเหลือเสียมากกวาที่จะปลอยใหคนคนหนึ่งตายลงไปจริง ๆ โดยที่เขาไดชื่อวาไรความผิด
บาปจากการถือศีล
ในบางครั้งที่เรารูสึกอับจน เราไปที่หิ้งพระ นั่งลงแลวก็สวดมนต นั่นก็คือแรงขับหนึ่งที่
ผลักดันใหเราแสวงหาทางออกทางจิตวิญญาณ สวนใครที่สวดมนตเสมอจนเปนนิสัยติดตัว
ผมขอสนับสนุนวามันชางยอดเยี่ยมเหลือเกิน บางครั้งเรานั่งทําสมาธิเพื่อเจริญวิปสสนา โอ…
มันชางเปนการกระทําที่สูงสงยิ่ง สิ่งเหลานี้ลวนคือสิ่งที่ฆราวาสอยางพวกเราสามารถทําได
เพื่อสนองตอความตองการทางจิตวิญญาณของเรา ประชาชนของทุกชาติทุกศาสนาลวนมี
รูปแบบของตนเองในการตอบสนองทางดานนี้ทั้งนั้นแหละ และผมหวังวาพวกเราคงพอเขาใจ
ตัวเองถึงการกระทําในทุกรูปแบบแหงความจําเปนหรือการขาดแคลนทั้งปวงไดแลว วาพวก
มันทั้งหมดคือแรงขับหรือตนเหตุแหงการกระทําของเราเพื่อบรรเทาหรือหยุดภาวะขาดแคลน
และนั่นแหละที่ทําใหชีวิตของพวกเราเปนปกติสุขอยูได
122
บทที่ 2
การผสมผสานของแรงขับทั้งเจ็ด
ผมเพิ่งไดอธิบายถึงแรงขับหรือแรงกระตุนทั้งเจ็ดประการที่ผลักดันใหพวกเราลงมือทําสิ่งตาง ๆ เพื่อ
ตอบสนองตอความจําเปนหรือความขาดแคลนของเราเพื่อทําใหเรามีความสุข ตามปกติแลว ความ
ต อ งการป จ จั ย สี่ หรื อ ความจํ า เป น ที่ จ ะต อ งอยู ร อดจะเป น แรงขั บ ตั ว แรกเสมอเพราะว า มั น อยู ใ น
สัญชาตญาณทีเดียว สวนแรงขับตัวอื่น ๆ อีกหกประการนั้นไมจําเปนตองเรียงลําดับกอนหลังไปตามที่
ผมไดอธิบายไว พวกเราคือสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซอนที่สุด มีสมองที่ใหญและเฉลียวฉลาดที่สุด และ
ความจําเปนหรือความขาดแคลนที่เกิดขึ้นกับเราไมไดเกิดขึ้นทีละอยางแลวเรียงคิวเขามาหาเรา แตมัน
มักจะเกิดขึ้นหลาย ๆ อยางในคราวเดียวกัน ดังนั้นพวกเราจึงมีแรงขับหลายอยางที่ผสมผสานกันไปใน
ระดับความมากนอยตามความจําเปนที่เราขาดแคลน และเราไดลงมือทําหลายสิ่งหลายอยางเพื่อ
บรรเทาความขาดแคลนในทุก ๆ ดานของเราอยูเสมอ เมื่อใหรก็ตามที่เราไดบรรเทาหรือเติมเต็มความ
จําเปนที่เราขาดแคลน เราจะรูสึกดี มีความสุข รูสึกวาประสบความสําเร็จ และสมความปราถนา
คุณผูอานที่รัก การที่เราเขาใจแรงขับตาง ๆ นั้น ทําใหเราเขาใจตนเองและผูอื่น เราสามารถมี
คุณภาพชีวิตไดดียิ่งขึ้นก็เพราะวาเราเขาใจตนเองและผูอื่น ดังนั้นเพื่อที่จะรูวาเรามีแรงขับตอความ
จําเปนในดานตาง ๆ ในระดับใด การทําการบานขางลางตอไปนี้จะชวยพวกเราไดเปนอยางยิ่ง เราจะ
ไดรูเสียทีวา… อะไรคือแรงขับตัวที่รุนแรงที่สุดในตอนนี้ อะไรที่รองลงไป และการที่เราจะรูไดนั้น เรา
จะตองรูวาตองการอะไรมากที่สุดหรือที่มากรองลงมาเสียกอน
จงตอบคําถามขางลางโดยเลข 0 คือคะแนนที่เราใหกับสิ่งที่ตอนนี้เราไมอยากไดเลย เลข 10
คือคะแนนที่เราใหกับสิ่งที่ตอนนี้เราอยากไดมากที่สุด (เลข 2 ถึง 9 คือคะแนนที่คอย ๆ เพิ่มขึ้นระหวาง
0 กับ 10 ) เอาละ พวกเราไปทํากันเลย
123
เมื่อพวกเราไดทําการบานอยางนี้แลว พวกเราจะเขาใจถึงแรงขับตาง ๆ ที่บังคับใหเราลงมือ
ทําสิ่งตาง ๆ อะไรก็ตามที่เราตองการมันมากที่สุด จะแปลวาเราขาดแคลนมันมากที่สุด และเราไดถูก
แรงขับหรือแรงกระตุนตัวนี้บงการชีวิตของเรามากที่สุดตามไปดวย คําวา “ขาดแคลน” นี้ มันเปนไป
ตามความรูสึกของคนที่ไมเหมือนกัน สมมติผมมีเงินตั้งหนึ่งรอยลานบาทแลว แตผมไมสนใจอยางอื่น
อีกเลยนอกจากตั้งหนาตั้งตาหาเงินอยางเดียว นั่นแปลไดวา ผมยังขาดแคลนอยูดี สวนคนที่มีเงินหนึ่ง
ลานบาทและตอนเชาไปทํางานสวนตอนค่ําออกไปทํางานอาสาสมัครชวยเหลือสังคมทุกคืน คนแบบนี้
คือพอแลวเรื่องเงิน (เงินกระตุนเขาไมคอยได) แตตัวกระตุนที่แทจริงของเขาคือ การอยากไดชวยเหลือ
แบงปนคนอื่น ผมอยากใหพวกเราเขาใจในมุมลึกเพื่อที่จะสามารถอธิบายพฤติกรรมของตัวเราเองและ
คนอื่น ๆ ได
อนึ่ง การที่พวกเราไดตอบคําถามขางบนแลว มันไมไดหมายความวาจะเปนเชนนั้นตลอดไป
ความตองการ ความจําเปนและขาดแคลนของพวกเรานั้นคอย ๆ เปลี่ยนแปลงไป หรือในบางครั้ง
เปลี่ยนอยางฉับพลัน ฉะนั้น แรงขับใหเราลงมือทําเรื่องราวตาง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา เราจึง
ควรทําการประเมินใหมเปนระยะวาอะไรกันแนที่เปนตัวกระตุนหลักของเราในตอนนี้ ยิ่งเรารูชัดเทาไหร
เราจะยิ่งมีความสุขสมหวังไดเร็วเทานั้น หากวาตอนนี้ตัวกระตุนหลักคือ “เงิน” ก็จงสนใจและเอาใจใส
ใหดี หากวาอยากไดชื่อเสียง จงมุงเนนสรางความดีใหปรากฏเร็วไว แตถาขาดเรื่องความรัก… ให
มุงเนนสนใจคนอื่นใหมากขึ้น หากขาดความกาวหนา จงมุงเนนการตั้งเปาหมายใหมากขึ้น และสมมติ
วาตอนนี้ขาดความสงบในใจ ใหสวดมนตไหวพระและเจริญวิปสสนาเสีย ขอใหพวกเราทําใหมันตรง
กับความจําเปนหรือความขาดแคลนของพวกเราเสีย แลวพวกเราจะมีความสุขเหนือใคร ๆ นั่นแหละ
คือ A Wonderful Life
124
บทที่ 3
วิธีดึงดูดสิ่งที่พวกเราตองการ
1. จงระบุออกมาใหชัดวาอะไรคือสิ่งที่พวกเราไมตองการ
2. จากนั้น จงเปลี่ยนสิ่งที่ไมตองการในขอหนึ่งใหกลายเปนสิ่งที่ตองการ
3. ใหดําเนินชีวิตประจํ าวันดวยการทําใหตนเองรูสึกดี (มาก ๆ ) กับสิ่งตาง ๆ ที่
ตองการในขอสอง
4. จากนั้น ใหลงมือทําในสิ่งที่ตองทํา และดําเนินชีวิตตอไป อยางราเริงที่สุดเทาที่
ชีวิตจะทําได และในระหวางนั้น ใหเชื่อวาสิ่งที่พวกเราตองการกําลังอยูบนเสนทางของ
มันที่ตรงดิ่งมาหาเรา และเราเองก็เชนกันที่กําลังอยูบนเสนทางที่ตรงดิ่งไปหามัน เราและ
มันกําลังดึงดูดซึ่งกันและกัน จงใหเวลาเพื่อปลอยใหมันบังเกิดขึ้นโดยไรความกังวลจงรา
เริงและยิ้มแยมแจมใสใหมาก ๆ เสมอ
1. ระบุสิ่งที่ไมตองการ
125
เราตองการ บางทีคําถามตอไปนี้จะยิ่งทําใหพวกเราเขาใจไดมากขึ้น… การมีอายุสั้นคือสิ่งที่
ฉันไมตองการใชหรือไม? แลวอะไรละที่ตรงกันขามกับมัน อายุยืนไง!!! ฉะนั้น การมีอายุยืน
ยาวคือสิ่งหนึ่ง ที่เราตองการอยางแทจริงในระดับจิตวิญญาณ แตแลวพวกเราปลอยปละ
ละเลยตัวเองโดยไมเอาใจใสเรื่องสุขภาพไปไดอยางไร? พวกเราเผลอไปก็เพราะไมไดถามวา
“การมีอายุสั้นคือสิ่งที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” อีกตัวอยางหนึ่งที่ดีมากคือการถามวา “ความ
ยากจนคือสิ่งที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” งั้นสิ่งที่ตรงกันขามละคืออะไร? งายจะตายก็ความ
มั่งคั่งร่ํารวยไง!!! ยังมีอะไรที่นาถามอีก “ความทุกขคือสิ่งที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” งั้นมันก็
ตองคือความสุขสิที่พวกเราตองการจริงไหมละ? คุณผูอานที่รัก ขั้นตอนที่ 1 คือสิ่งที่ผูคนทั่ว
โลกลืมทํา แตตั้งแตนี้ไปพวกเราจะไมลืม โปรดตอบคําถามตอไปนี้ดวยความตั้งใจจริงจัง และ
ทําบอย ๆ ใหเปนระยะ ๆ
สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริง
…………………………………………………………
…………………………………………………………
…………………………………………………………
…………………………………………………………
…………………………………………………………
…………………………………………………………
…………………………………………………………
…………………………………………………………
…………………………………………………………
2. ระบุสิ่งที่ตองการอยางแทจริง
126
ที่ไมตองการที่บันทึกไวในขั้นตอนที่ 1 พวกเราก็แคเปลี่ยนใหมันกลายเปนคําวา “ความสุข”
และนําคําวา “ความสุข” มาจดบันทึกไวในรายการของสิ่งที่เราตองการอยางแทจริงในขั้นตอน
ที่ 2 งาย ๆ แคนี้เอง เอาละ ชวยบอกตัวเองกันหนอยวาอะไรกันแนคือสิ่งที่พวกเราตองการ
อยางแทจริง
สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ….
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
127
คนจํานวนมากถึงมักไดแตสิ่งที่พวกเขาไมตองการอยูเรื่อย เพราะวาพวกเขาพูดผิดวิธีนั่นเอง
พวกเราจะแปลกใจไหมถาผมจะบอกวาการพูดวา “สิ่งที่ฉันไมตองการคือความยากจน” คือ
การพูดที่ยิ่งทําใหยากจนเขาไปใหญ เมื่อเราไมอยากยากจน แลวมันเรื่องอะไรถึงไปพูดถึงคํา
วา “ยากจน” ใหโสตประสาทมันไดยิน ทําไมไมทําใหเรียบงายโดยพูดวา “สิ่งที่ฉันตองการคือ
ความมั่งคั่งร่ํารวย” เสียละ คราวนี้โสตประสาทของเราจะไดยินคําวาอะไร… ก็ความมั่งคั่ง
ร่ํารวยไง!!! เอาละ ตอนนี้พวกเราทุกคนตางเขาใจดีแลว พวกเราไปตอบคําถามใหตรงประเด็น
ดวยประโยคบอกเลากันอีกครั้ง ผมรูวาพวกเราไดทํามาหนึ่งครั้งแลว แตทําอีกสักหนึ่งครัง้ เถอะ
เพื่อความชัวร
จากขั้นตอนที่ 1 มันทําใหฉันรูวา
สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ….
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………..
3. จงทําใหตนเองรูสึกดีกับสิ่งที่ตองการ
เคล็ดลับสุดยอดในการดึงดูดสิ่งที่เราตองการก็คือ การที่เราสามารถรูสึกดีกับสิ่งที่เราตองการ
ตราบใดที่เ รารู สึก แย กั บสิ่ ง ที่เ ราตอ งการ ตราบใดที่ เ รารู สึก แยกั บสิ่ ง ที่ เ ราตอ งการ มั น จะ
กลายเป น เรื่ อ งยากแสนยากไปในทัน ที คิ ด ดูสิว า ทํ า ไมคนที่ย ากจนถึ ง รวยไดย ากนั ก ยาก
หนา…. ทุกครั้งที่พวกเขาคิดถึงคําวา “ร่ํารวย” พวกเขารูสึกวาตื่นเตนหรือหดหูละ แหงอยูแลว
วาหดหู ความหดหูเปนความรูสึกที่ดีไหมที่มอบใหกับคําวา “ร่ํารวย” ถามโง ๆ … เด็กอมมือยัง
รู เ ลยว า ไม แต นั้ น แหล ะ คื อ ป ญ หาของคนทั้ ง โลกกล า วคื อ ทั้ ง ๆ ที่ รู ว า การรู สึ ก แย กั บ สิ่ ง ที่
ตองการไมชวยอะไรเลยนอกจากทําใหสถานการณเลวรายลงไปอีก แตมันก็ทําใจไมไดที่จะให
128
รูสึกดีกับสิ่งที่ตัวเองยังไมมี ผมอยากใหพวกเราอานตรงนี้ดวยความระมัดระวัง ผมกําลังบอก
วา แมมีเหตุผลในตัวมันเองที่คนเราจะรูสึกทอใจ หดหูใจ หรือรูสึกแยเมื่อนึกถึงสิ่งที่อยากได
และรูวามันชางยากเหลือเกิน แตการรูสึกแยอยางนั้น…ไดกลายเปนอุปสรรคที่ขัดขวางการ
ไดรับในสิ่งที่ตองการ คนทั่วไปมักโทษทุกสิ่งทุกอยางวาทําใหพวกเขาลําบากยากไร แตยกเวน
ไวสิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะไมโทษ… นั่นก็คือการที่พวกเขารูสึกแยกันทั้งปทั้งชาติ ทําไมคนยากจน
จะราเริงไมไดละ? ทําไมตองเอามารวมกันอยูเรื่อยละระหวางความยากจนกับความราเริง? ผม
ขอบอกไวตรงนี้ ว า หากคนยากจนหัน มารา เริงและทํา จิตใจใหผองแผว กั นไดทั้ง ปทั้ง ชาติ
เมื่อไหรละก็ ความยากจนของพวกเขาจะถูกขับไลออกไปจนสิ้นซาก พวกเราหลายคนอาจคิด
วามีหลายปจจัยที่ทําใหตนเองยังลําบากอยู แตถาจะโทษอะไรสักอยางหนึ่งที่เปนตัวการเหนือ
สิ่งอื่นใด มันก็คือความรูสึกของพวกเราเองผมขอแนะนําใหโทษความรูสึกของตนเองวาเปน
สาเหตุใหญที่ชางตอเนื่องยาวนานอยางไมนาเชื่อที่เปนปจจัยใหญสุดในการชักนําแตเรื่องไมดี
เขามาหา ผมอยากใหขอคิดวามันเหมือนกับกฏแหงการหวานและการเก็บเกี่ยวนั่นแหละ
กลาวคือมันตองหวานเมล็ดกอนแลวเก็บเกี่ยวผลผลิตในภายหลัง มีแตคนเสียสติเทานั้นที่ขอ
เก็บผลผลิตกอนแลวจะหวานชดใชใหภายหลัง ก็เชนกันสําหรับการดําเนินชีวิตที่ดีที่สุด
กลาวคือ.. จงหวานเมล็ดแหงจิตใจที่ผองแผวออกไปกอน แลวจะไดเก็บเกี่ยวความสุข
ในทันที แถมยังจะไดรับสิ่งปราถนาในภายหลัง แตมีอยางที่ไหนที่คนจํานวนมากหวานเมล็ด
แหงความหดหูออกไปกอน แลวแอบหวังวาจะไดรับความสุขกับสิ่งที่ปราถนาในภายหลัง
ฉะนั้นสิ่งที่ไดก็คือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในทันที และผลักไสสิ่งที่ตองการออกไปไกลลิบโลก…
บาชมัด ฉะนั้นโปรดรูไว วา วิธี การดําเนิน ชีวิตดวยอารมณเชิงลบในทุ กรูปแบบนั้น ไดถูก
กระทําโดยคนสวนใหญบนโลกซึ่งใหหลักฐานที่พิสูจนใหเห็นแลววา… มันไมไดผล ไมทําให
ความสุขและความสําเร็จเปนเรื่องที่งายขึ้น ไมเพิ่มโอกาส เสียเวลาไปโดยเปลาประโยชน และ
เปนโทษสถานเดียวเทานั้น แตดวยความโชคราย พวกเขาจํานวนมากไมไดยุติพฤติกรรม
เหลานั้นเลย ตรงกันขาม พวกเขาคิดเพียงแงเดียววา ก็มันสมเหตุสมผลแลวนี่ที่คนอยางฉัน
หรือคนอื่นที่เจออยางฉัน มันก็ตองคิดลบทั้งนั้นแหละ มันคลายการประชดชีวิตที่ไมควรทําเลย
และโชครายอีกประการหนึ่งก็คือ บางทีพวกเขาก็ไมรูวาการทําตัวแย ๆ อยางนั้นคือกลยุทธที่
ไมไดผล ในกรณีนี้นับวานาเห็นใจมาก ผมหวังวาพวกเขาจะไดอานหนังสือเลมนี้บางทีพวกเขา
อาจเปลี่ยนใจก็ได
ฉะนั้น พวกเราตองหันมาดําเนินชีวิตประจําวันดวยการทําใหตนเองรูสึกดี (มาก ๆ )
กับสิ่งตาง ๆ ที่พวกเราตองการที่ไดเขียนไวแลว โปรดจําไววา ตอไปนี้ประเด็นที่เราตองสนใจ
อยูเสมอมีอยูสองเรื่องคือ มันตองเปนสิ่งที่เราตองการเทานั้น และความรูสึกที่เรามอบใหกับ
129
มันตองดีเทานั้น กฏมีอยูวา “วิธีดึงดูดสิ่งที่เราตองการนั้น ใหหาวิธีที่เราจะเขาไปมีความรูสึกดี
กับสิ่งที่เราตองการเสมอ แลวเราจะไดมัน”
และทั้งหมดที่พวกเราจะไดอานตอไปอีกมากมายนั้น คือวิธีตาง ๆ ที่จะทําใหพวกเรา
รูสึกดีกับสิ่งที่เราตองการ ไปกันเลยเถอะ
130
บทที่ 4
การตั้งปณิธานกับสิ่งที่ตองการ
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะทํางานของฉันดวยความรูสึกที่ดีและดีขึ้น
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเอาใจใสคนที่ฉันรักดวยความรูสึกที่ดี ขึ้นและดีขึ้น
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะดูแลสุขภาพของตัวฉันเองดวยความรูสึกที่ดีขึ้น และดีขึ้น
ฉันตั้งปณิธานวา ฉันจะสรางฐานะใหมั่งคั่งร่ํารวยดวยความรูสึกที่ดีขึ้น และดีขึ้น
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันมีความสุขกับทุกสิ่งที่ฉันทํา
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะทําทุกสิ่งดวยความรักและสนุก
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเปนคนที่ราเริง และยิ้มแยมแจมใส
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะมีรูปรางดีและแข็งแรง
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะอยูกับความสุขแทนความกลัว
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะรูสึกชื่นชมยินดีกับชีวิต
131
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเบิกบานใจและผองใสทุกวัน
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะยิ้มและเริงรําไปกับชีวิต
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเกษมสําราญกับชีวิตนี้
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะซื้อรถใหมในปนี้
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเปนสุดยอดนักขายดาวจรัสแสง
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเปนเศรษฐีผูมีความสุข
ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะอายุยืนถึงรอยป
การตั้งปณิธานคือวิธีสรางความรูสึกดีวิธีหนึ่ง ลําดับตอไปผมจะพาพวกเราไปรูจักกับวิธีที่สอง
ในการสรางความรูสึกดีเพื่อดึงดูดสิ่งที่เราตองการ
132
บทที่ 5
เขียนบทใหมใหตรงกับที่เราอยากใหมันเปน
ตัวอยางการเขียนบทใหมใหกับภรรยาของผม
ภรรยาของผมนั้น เธอเปนคนที่….
เธอราเริงและมีความสุขมาก
เธอดูแลตัวเองไดเปนเลิศ
เธอเกงมากขึ้น และมากขึ้น
เธอเฉลียวฉลาด
เธอสุขภาพดีและแข็งแรงมาก
เธอใจดี และสรางสรรค
เธอไดพบแตเรื่องดี ๆ
เธอรักลูกและสามีเปนที่สุด
เธอเปนภรรยาที่ยอดเยี่ยม
แตสิ่งที่ผมเขียนคือสิ่งที่ผมปรารถนาจะใหมันเกิดขึ้นในอนาคต คือสิ่งที่ผมเอยากใหเปนไป
ตามที่ผมเขียน ฉะนั้น เทคนิคใหเขียนเฉพาะสิ่งที่อยากใหเปนโดยยังไมตองสนใจวาจะเปน
ความจริงไปตามนั้นไดอยางไร ขอสําคัญ อยาไดเขียนสิ่งที่ไมอยากใหเกิดขึ้นเปนอันขาด
133
2. เนื่องจากวามันคือสิ่งที่ผมอยากจะใหมันเกิดขึ้น มันจึงเปนเรื่องของผม… ไมใช
เรื่องของภรรยา
คุณแมของฉันเปนคนที่……...........................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
คุณพอของฉันเปนคนที่…………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
สามีของฉันเปนคนที่……………………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
ภรรยาของฉันเปนคนที่…………………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………
134
……………………………………………………………………………………………………………
ลูกของฉัน(ระบุชื่อ) เปนคนที่……………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
เจานายของฉันเปนคนที่………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
ธุรกิจของฉันเปนธุรกิจที่…………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
ตัวฉันเองเปนคนที่………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
โครงการใหมของฉันเปนโครงการที่……………………………………………………………………....
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
สุนัขตัวโปรดของฉันเปนสุนัขที่…………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
รถเกงของฉันเปนรถที่…………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
เพื่อนของฉัน (ระบุชื่อ) เปนคนที่………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
ลูกคาของฉันเปนลูกคาที่…………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
135
อยูในขอความที่เราเขียนถึงไดอานเปนอันขาด และเพื่อยืนยันสิ่งนี้ ผมจะยกตัวอยางสองเรื่องที่นาขัน
ใหฟง สมมติวาผมเขียนบทใหมใหกับรถของผมวา “โอ… เจารถของขา เจาชางเปนรถที่มีสมรรถนะที่
ยอดเยี่ยมเหลือเกินเกาะถนนเปนเลิศ เจารับใชขาอยางซื่อสัตยและทนทานอยางหาที่เปรียบไมได”
ถามจริง… รถของผมมันอานหนังสือที่ผมเขียนออกหรอ!!! ฉะนั้น มันไมมีวันไดอานหรอก แตผมก็เชื่อ
วามันจะเปนไปตามนั้น และนี่คืออีกตัวอยางหนึ่ง “โอ เจาหมานอยของ เจาคือสุนัขที่ฉลาดล้ําลึก เจา
ไดชวยดูแลบาน และระแวดระวังตอคนแปลกหนาไดอยางยอดเยี่ยม และแมแตการเหา เจาจะเหา
เทาที่จําเปนและเหมาะสมเทานั้น มีแตสุนัขที่แสนรูอยางเจาเทานั้นที่ทําไดถึงขนาดนั้น” ถามจริง…
หมาของผมจะอานขอความที่ผมเขียนไดหรือ? ฉะนั้น ผมจึงตองอานเองโดยใสความรูสึกวาหมาของ
ผมจะเปลี่ยนแปลงไปตามที่ผมเขียน พวกเราอาจแยงวา “แลวมันจะเปนไปไดไง?” สหายที่รักทุกสิ่ง
เปนไปไดไมใชแคความคิด… แตดวยความรูสึก ฉะนั้นเวลาอานจึงตองใสความรูสึกเขาไปมาก ๆ และที่
ผมกลาวมาทั้งหมดนี้… ไมใชเรื่องลอเลน เจาหมาตัวนั้นเปลี่ยนไปตามที่เขียนบทไว ผมดึงดูดใหมัน
เกิดไมใชแคความคิด แตดวยความรูสึก ย้ําดวยความรูสึก
136
บทที่ 6
เปลี่ยนจากคิดมาเปนรูสึก
ดวยการตอบคําถามไปตามความรูสึกจะงายกวาการพยายามคิด และการบานขางลางตอไปนี้
ผมออกแบบมาใหพวกเราโดยเฉพาะเพื่อฝกสรางความรูสึกแทนการคิด ผมรับประกันวาพวกเราจะ
เปลี่ยนแปลงการมองทุกสิ่งในโลกนี้ไปอยางมหาศาลเชนกัน สวนสิ่งที่พวกเราตองการนั้นไมตองหวง
ความรูสึกของเราจะดึงดูดพวกมันใหเขามาหาเราไดเร็วกวาที่เราคาดไว ขอใหพวกเราทําการบาน
ตอไปนี้โดยใชความรูสึกใหมาก ๆ
137
เทาที่ผานมา โดยรวมแลว คุณรูสึกอยางไรกับตัวคุณเอง?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
เทาที่ผานมาคุณรูสึกอยางไรกับรูปรางหนาตาของคุณ?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับหนาที่การงานของคุณและคุณรูสึกอยางไรกับบริษัท และ
เพื่อนรวมงานของคุณ?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับฐานะทางการเงินของคุณ?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
เทาที่ผานมา ถาคุณมีครอบครัวของตนเองแลว คุณรูสึกอยางไรกับสมาชิกทุกคนในบานของ
คุณ?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับสุขภาพของคุณ?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับผูคน สังคม สิ่งแวดลอม ประเทศชาติ และโลกใบนี้?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
เมื่อพวกเราไดตอบคําถามเหลานี้ไปตามความรูสึกแลว สิ่งที่ตองรูคือพวกเราไดดึงดูดทุกสิ่ง
เขามาพัวพันในชีวิตของพวกเราไปตามความรูสึกตาง ๆ เหลานั้น หากวารูสึกดีอยูแลว โอ.. นั่นชางเปน
โชคโดยไมรูตัว แตถาพวกเรารูสึกไมดี ผมขอรองใหคอย ๆ ปรับใหรูสึกดี แลวเราจะเปลี่ยนวิธีดึงดูดสิ่ง
ตาง ๆ ไปในทันที กลาวอยางสั้น…. วิธีที่เรารูสึกนั่นแหละ คือวิธีที่เราดึงดูด
138
บทที่ 7
จัดเตรียมสิ่งที่จะขอบคุณไวเสมอ
139
บททื่8
วิธีสรางความรูสึกดีแบบอื่น ๆ
140
บทที่ 9
พวกเราทําอยางไรแลวดีขึ้น
141
บทที่ 10
ขั้นที่ 4 ปลอยใหมันเกิดขึ้น
พวกเราไดศึกษาเรื่องวิธีดึงดูดสิ่งที่เราตองการผานไปแลวถึงสามขั้นตอนและเพื่อกันลืม ผมจะทบทวน
ใหอีกครั้งดังนี้
1. จงระบุออกมาใหชัดวาอะไรคือสิ่งที่พวกเราไมตองการ
2. จากนั้น จงเปลี่ยนสิ่งที่ไมตองการในขอหนึ่งใหกลายเปนสิ่งที่ตองการ
3. ใหดําเนินชีวิตประจําวันดวยการทําใหตนเองรูสึกดี (มาก ๆ ) กับสิ่งตาง ๆ ที่เรา
ตองการในขอสอง บัดนี้เรากําลังเขามาสูขั้นตอนที่สี่ซึ่งเปนขั้นตอนสุดทายแลว
4. หลักการของขั้นที่4 มีอยูวา ใหเราทําตัวพรอมกับดําเนินชีวิตตอไปอยางราเริง
ที่สุดเทาที่จะทําได และในระหวางนั้น ใหเชื่อวาสิ่งที่พวกเราตองการกําลังอยูบนเสนทาง
ของมันที่ตรงดิ่งมาหาเรา และเราเองก็เชนกันที่กําลังอยูบนเสนทางที่ตรงดิ่งไปหามัน เรา
และมันกําลังดึงดูดซึ่งกันและกัน จงใหเวลาเพื่อปลอยใหมันบังเกิดขึ้นโดยไรความกังวลจง
ราเริงใหมาก ๆ เสมอ
142
“ไอสิ่งที่ฉันตองการเนี่ย เมื่อไหรมันจะไดสักทีวะ?”
“นี่มันก็หลายวันแลว แตไอที่รอคอยไมมีทาทีเลย ควาน้ําเหลวละมั้งเรา?”
“ฉันก็ทําถูกทั้งสามขั้นตอนแลวนี่หวา แตไหงไมไดสิ่งที่ตองการวะ?”
“เซ็งวะ เมื่อไหรมันจะมาสักทีวะ?”
“ฉันกะแลววามันคงไมเปนไปอยางที่ฉันคิดหรอก”
143
ภาค 4
อนาคตอยูในกํามือของเรา
144
บทที่ 1
ภูเขาแหงความมั่งคั่งทั้งหก
ผมมั่งคั่งร่ํารวยจากการทําธุรกิจครับ
ดิฉันมีอิสรภาพทางการเงินจากการสรางธรุกิจเครือขายคะ
ดิฉันหาเงินลานไดจากอสังหาริมทรัพยคะ
ดิฉันหาเงินลานไดจากการลงทุนในตลาดหุนคะ
ดิฉันหาเงินลานไดจากการเปนสุดยอดนักขายคะ
ผมหาเงินลานจากการเปนสุดยอดนักบริหารครับ
ผมรวยในพริบตาจากโอกาสที่เปดกวางบนอินเตอรเน็ตครับ
145
ยิ่งเรารูชัดเทาไหรวาตอนนี้เราเปนใคร และตอไปเราจะเปนใคร ยิ่งเรารูชัดเทาไหรวาตอนนี้เรากําลังทํา
อะไร และตอไปเรายังจะทําอะไรอีก ยิ่งเรารูทิศทางวาตอนนี้เราอยูที่ไหน และเรากําลังจะไปที่ไหน
ความสําเร็จยอมเปนเรื่องที่งายขึ้นและเร็วขึ้นเทานั้น คนแบบพวกเรานี้ผมเรียกวา…. คนที่มีเปาหมาย
ครับ
146
บทที่ 2
ชวยสมองอีกสองเรื่อง
147
บทที่ 3
สิ่งที่ฉันตองการ?
หากวาจะมีคําถามใดคําถามหนึ่งที่อาจเปนสาเหตุใหคนเรามีโอกาสสุขสมหวังไดแลวละก็ มันยอมตอง
เปนคําถามนี้อยางแนนอน “ฉันตองการอะไร?” และใครก็ตามที่ไมสามารถตอบคําถามขอนี้ไดถูกตอง
แมนยํา ก็อยาหวังเลยวาจะไดพบกับคําวาความสมหวังที่แทจริง คนที่ไมรูวา “ฉันตองการอะไร?”
เปรียบเหมือนกับกอนหิน เมื่อผมถามกอนหินวา “คุณกอนหิน คุณตองการอะไรครับ?” กอนหินจะตอบ
วา “ประทานโทษ นี่คุณจะบาหรือไง ผมไมรูหรอกครับวาผมตองการอะไรผมไมรูดวยซ้ําวาผมมีตัวตน
และอันที่จริงนั้น ผมพูดไมไดอีกดวย” แตคนเราไมใชกอนหิน เราคือมนุษยที่เฉลียวฉลาดที่สุด เรามี
สมองที่มีศักยภาพมากที่สุด แตเราตองบอกมันใหชัดเจนวาเราตองการอะไรเสียกอน แลวมันจะชวย
เราไดอยางมีประสิทธิภาพ และหนทางเดียวที่เราจะชวยใหมันรูก็คือบอกกลาวเลาสิบกับมันซะ คุณ
ผูอานที่รักไดโปรดตอบคําถามนี้อีกครั้ง
สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ
………………………………………………………………
………………………………………………………………
………………………………………………………………
………………………………………………………………
………………………………………………………………
………………………………………………………………
………………………………………………………………
………………………………………………………………
………………………………………………………………
สิ่งที่พวกเราตองการอยางแทจริงนั้นมีมากมาย เนื้อที่วางในหนังสือเลมนี้มีนอยในการใหพวกเรา
ไดซอมเขียนถึงความตองการเพียง 9 ขอขางบนนี้ไมพอหรอก พวกเราตัองหาสมุดสวนตัวมาเขียนเพิ่ม
คอย ๆ ทําไปเรื่อย? ๆ วันไหนนึกถึงอะไรไดเพิ่มเติมอีกก็ใหเขียนเพิ่มเขาไปจนกวาจะสมบูรณ สวน
อะไรที่เราเกิดเปลี่ยนใจวาไมอยากได ก็ใหขีดฆาออกจากรายการที่ไดเขียนไว
ยิ่งไปกวานั้น พวกเราอยาเผลอไปใชถอยคําที่อาจทําใหสับสนได เชนอยาใชคําวา “ควร” ในยาม
ที่เรากําลังยุงอยูกับเรื่อง “สิ่งที่ฉันตองการ” เชน
148
“ฉันควรซื้อรถคันนี้ไหม?” ใหเปลี่ยนเปน “ฉันตองการซื้อรถคันนี้ไหม?” สิ่งที่ผมพยายามย้ําเตือนพวก
เราก็คือ…. ตอนนี้เรากําลังพิจารณาวาเราตองการอะไรจริง ๆ เราไมไดสนใจวามัน “ควร” ไหมเปรียบ
เหมือ นถ า เราสนใจหญิ ง สาวคนหนึ่ง ที่เราอยากรูที่สุดคือ “ฉั น ต องการแตง งานกั บหญิง สาวคนนี้
หรือไม?” ถาตองการจะไดพิจารณาเรื่องวิธีการตอไป ถาไมตองการก็จบซะ แตไมใชถามอยางนี้ “ฉัน
ควรแตงงานกับหญิงสาวคนนี้หรือไม?” นี่แหละที่เปนตนตอที่ทําใหสับสนในแงที่วา… มันเปนคําถามที่
อาจทําใหเราไมรูวาจริง ๆ แลวเราตองการอะไร โลกใบนี้สับสนวุนวายเพราะวาคนจํานวนมากไมรูใจ
ตัวเองวาตองการอะไรกันแน คําวา “ควร” คือตัวบอนทําลายที่เกงที่สุดในโลกนี้เลยทีเดียว
“ฉันควรกลับบานตอนนี้ไหม?” คําถามแบบนี้เหมือนดีและมีเหตุผลใชไหม? แตผมใหคะแนน
เทากับศูนย มันทําใหสมองทํางานหนักโดยไมจําเปน จงเปลี่ยนไปถามวา “ฉันตองการกลับบานตอนนี้
ไหม?” งาย ๆ แคนี้เอง จงใหทิศทางการคิดที่ชัดเจนกับสมองซะ แลวมันจะงายขึ้นเยอะ
“ฉันควรไปดูหนังเรื่องนี้ไหม?” คําถามแบบนี้ก็เชนกันที่ไมไดเรื่อง พวกเราจงถามใหมวา “ฉันตอง
ดูหนังเรื่องนี้ไหม?” แบบนี้คอยรูเรื่องหนอย แบบนี้ซิที่ชวยสมองใหทํางานอยางมีประสิทธิภาพ “ฉันควร
มีสุขภาพที่ ดี ใช ไหม?” บา ชัด ๆ ที่ถามตนเองแบบนี้ เปน คํ าถามที่เหมือนดีแตแยเ พราะไปถามซะ
ซับซอนเชียว จงถามใหมันตรงประเด็นวา “ฉันตองการมีสุขภาพที่ดีไหม?” ถาตองการ ก็ทําไปตามนั้น
ถาไมตองการก็ทําไปตามนั้น แตอยางนอยตองรูใหชัดวาเราตองการอะไรกันแนใหได
คุณผูอานที่รัก ไมวาเรากําลังอยูที่ไหน? เมื่อไหร? กับใคร? หรืออยูในสถานการณใด ๆ จงถาม
ตนเองวา “ตอนนี้ฉันตองการอะไร?” จงฝกใหเคยชินจนอยูตัวที่จะถามตนเองวา “ฉันตองการอะไร” ไป
จนตลอดชีวิต แลวชีวิตของพวกเราจะแสนวิเศษ สวนคําถามที่วา “ฉันตองทําอะไรตอไป” หรือ “ฉันควร
ทําอยางไร” นั้น พวกมันเปนคําถามที่สามารถถามไดตอเมื่อเรารูแลววา…เราตองการอะไร
149
บทที่4
ตั้งเปาหมาย
มีคนรอยละ 3 เทานั้นที่เขียนเปาหมายลงบนกระดาษ
สวนใหญที่เหลืออีกรอยละ 97 ไมเคยทําเลยชั่วชีวิต
ตอไปนี้คือคําถามสําคัญ
150
ไวจริงหรือเปลา ตามปกติแลวมันจะใหพลังกับเรามากขึ้น เพราะมันกระตุนใหเราลงมือทํา
เพื่อบรรเทาหรือใหไดมาสิ่งที่เรายังขาดแคลนอยูนั่นเอง ผมเคยพบคนมามากที่บอกวาทํา
เพื่อลูก เพื่อพอแม เพื่อนอง ๆ เพื่อจะไดไปทองเที่ยวรอบโลก หรือเพื่ออะไรก็ตาม สิ่ง
เหลานั้นแหละคือเหตุผลที่อาจเปนไปไดในขอที่ 3 นี้ ฉะนั้น จงระดมสมองและเขียนพวก
มันออกมามาก ๆ
4. ระดมความคิดถึงการกระทําตาง ๆ ที่อาจเปนไปไดทั้งหมด ในขั้นตอนนี้ยังไมตอง
คิดถึงลําดับความสําคัญเพราะจะทําใหยาก ขอใหเขียนมันออกมาเทาที่จะนึกคิดได เขียน
ใหมาก ๆ ขั้นตอนนี้อาจกินเวลาหลายวันก็ได และเมื่อไหรที่คิดเพิ่มอีก ก็เขียนเพิ่มเขามา
ในหัวขอนี้อีก
5. เอาขอมูลจากขอ 4 มาจัดลําดับความสําคัญ เขียววาอะไรตองทํากอน อะไรตองทํา
หลัง นี่คือการวางแผน ลองนึกถึงตอนที่เราเคยจัดตารางสอนไปโรงเรียนดูสิ สิ่งที่เราทําใน
ขั้นตอนที่ 4 ก็คลายกับแผนของการปฏิบัติที่จัดตารางสอนแลวนั่นเอง
6. ใหลงมือทําไปตามแผนที่ไดกําหนดไวในขอที่ 5 ทันที คนจํานวนหนึ่งวางแผนเสร็จ
แล ว เมื่ อ ทํ า มาจนถึ ง ข อ ที่ 5 แต แ ล ว กลั บ หยุ ด อยู แ ค นั้ น มั น น า เสี ย ดายจริ ง ๆ มี ก าร
ลอเลียนกันมากกับเรื่องแบบนี้ เชน “คุณวางแผนไวหรือยัง?” แลวคําตอบที่ไดกลับมาคือ
“วางไวแลวครับ คือผมเอาแผนวางไวแลวครับ” ก็เลยไมไดทําสักที ขงจื้อสอนไวดีมากวา
“หนทางหมื่นลี้ เริ่มตนที่กาวแรก” ฉะนั้นพวกเราตองรีบรอนที่จะทําใหมันแนนอนลงไป
ดวยการ “ทํามันไปเลยทันทีเมื่อวางแผนเสร็จ” หาไมแลวเราอาจลังเลได อันวาคนโลเลนั้น
คืออาการของคนที่พายเรือในอาง หรือทําอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ คือมักไปไดไมถึงไหนสักที
ฉะนั้น กอนที่จะเกิดการเปลี่ยนใจขึ้น จงมุงเนนไปที่การปฏิบัติจนเกิดแรงสงที่หนุนใหเรา
ทําตอไปไดโดยงาย และดํารงการกระทําและแรงสงนั้นไว นี่แหละคือวินัยเล็ก ๆ ที่ผมเคย
กลาวถึงมาแลว
7. ทําตอไปอยางคงเสนคงวา โดยสังเกตหรือใหรูสึกไววาเรากําลังไดผลลัพธอะไรอยู ถา
มันใชสิ่งที่เราตองการ ก็ขอใหเรามุงเนนการปฏิบัติตอไป แตถาไมใช ขอใหเราปรับแผน
โดยเปลี่ยนวิธีการใหม ๆ จากนั้นสังเกตอีกวาเรากําลังไดผลลัพธแบบไหนอยู ตรงกับที่เรา
ตองการหรือไม หากไมใชก็เปลี่ยนอีก ถาหากวาไมใชอีกก็เปลี่ยนอีก ทําไป ยืดหยุนไป
ปรับวิธีการไปจนกวาเราจะบรรลุเปาหมายที่เราตองการ
151
อีกมากลวนแลวแตเปนเปาหมายที่เมื่อตั้งขึ้นมาแลว ลวนเขาขายเปนเปาหมายยาวนานตราบจนชีวิต
จะหาไมทั้งสิ้น ในเมื่อผมไดกลาวถึงเปาหมายแลว ผมยังมีสูตรแหงความสําเร็จที่จะมอบใหอีกดวย มัน
เปนสูตรที่งายและตรงกับสามัญสํานึกของเราเปนอยางยิ่ง อานครั้งเดียวก็นาจะจําขึ้นใจไดแลว
152
บทที่5
สูตรความสําเร็จ
สูตรนี้เมื่อพิจารณาโดยเนื้อหาของมันแลว… มีใครบางไมรู?
มันชางเปนสามัญสํานึกที่งายแท ๆ เชียว แตใหผมสารภาพบาปหนอยดีไหม ผมเพิ่งรูและใชมันอยาง
จริง ๆ จัง ๆ มาไมเกิน 4 ปเทานั้นเอง คิดดูสิครับวาจะมีคนอื่นที่เปนแบบผมเยอะไหม ผมคิดวาเยอะ
ถามวาทําไมผมไปเชื่อแบบนั้นละ ก็ถาความสําเร็จมันทวมทนไปกับคนจํานวนมากในประเทศแลวละก็
ทําไมเรายังจะตองไปแกไขปญหาเรื่องปากทองกันนักเลา นั่นยอมหมายความวา มันกลับเปนเรื่องที่
เพื่อนรวมชาติและเพื่อนรวมโลกของเรารูจักหรือเขาใจสูตรแหงความสําเร็จนอยมาก และใหตาย
เฮอะ… ตั้งแตอนุบาลยันปริญญาตรี เคยมีใครสักคนบอกผมเรื่องสูตรแหงความสําเร็จบางไหมพับผา
เถอะ!!!
พวกเรามักรูกันอยางกระทอนกระแทน ไมคอยเปนระบบ และสวนใหญไมรูเลย ผมคิดวาฝรั่งก็ไม
รู ครั้งหนึ่งผมเคยคุยกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเมื่อปที่แลว ผมบังเอิญไดถามเขาถึงคนดัง ๆ หลาย
คนที่เปนผูนําในดานการพัฒนาตนเองที่อยูในสหรัฐอเมริกา แตเขาไมรูจักใครแมแตคนเดียว…. ใหตาย
สิโรบิ้น ผมตองรีบเปลี่ยนเรื่องคุยแทบไมทัน และผมไดตระหนักรูวา คนในโลกที่สนใจศึกษาเรื่องการ
พัฒนาตนเองอยางไมหยุดยั้งนั้นไมมีมากเลยเมื่อเทียบกับประชากรโลกที่มีถึงราวกวาหกพันลานคน
ฉะนั้น เมื่อพวกเรารูสูตรนี้ K-F-C แลว ผมวาพวกเราเปนตอนะ
153
บทที่ 6
สิ่งที่หยุดยั้งเราไวคือ ความกลัว
การที่คนเราไมคอยรูวาพวกเขาตองการอะไรจริง ๆ นับวาเปนปญหาที่หนักหนวงในตัวมันเองมากอยู
แลว แตปญหาไมไดจบลงแคนั้น เพราะตอใหคนเรารูวาพวกเขาตองการอะไรแลวก็ตาม แตจะขาดการ
กระทําหาไดไม ครั้นมองไปตามความเปนจริงที่วา… ผูคนขาดการกระทําหรือเปลา? มันก็ไมเชิงนัก แต
ผมรูสึกวา คนจํานวนมากดําเนินชีวิตไปในลักษณะที่มีความกลัวครอบงําพวกเขามากเกินไป มันจึง
เกิดอาการของโรคที่เรียกวา “ไมกลาทํา หรือทําอยางกลัว ๆ” ดังนั้นความกลัวเลยกลายมาเปนปญหา
ใหญของคนทั่วไป แทบทุกครั้งนสัมมนาของผม ผมจะเตือนใจคนฟงดวยประโยคแรกที่ดังกึกกองวา
“สิ่งที่หยุดยั้งคุณไว คือความกลัว สิ่งที่ปลดปลอยคุณ คือความกลา” ฉะนั้น ความสําเร็จจะเกิดขึ้นงาย
เมื่อพวกเราปฏิบัติภารกิจทั้งมวล ดวยความกลาหาญที่มากขึ้น คนจํานวนมากเก็บกักความกลัวไวใน
ความคิด การที่ไมสามารถตัดสินใจได หรือการคิดวนไปเวียนมาวา จะลงมือทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือไม…
เสียเวลากวาการใชเวลาทําจริงหลายเทา และสุขภาพจิตก็เสียหายตามไปดวย ฉะนั้น พวกเราตองทํา
ความเขาใจกับความกลัวใหมากขึ้น แลวเราจะเอาชนะความกลัวไดมากขึ้นตามไปดวย เราไปจัดการ
กับความกลัวกันเถอะ
154
บทที่ 7
เรากลัวอะไรกันบาง?
1. กลัวถูกปฏิเสธ
ทํ า ไมคนเราถึ ง กลั ว การปฏิ เ สธกั น นั ก ล ะ ? เพราะว า ตั้ ง แต เ ล็ ก จนโต คนทั่ ว ไปได
เชื่อมโยงความหายของการปฏิเสธไวในแงลบลวน ๆ สมองของพวกเขาถูกสอนวา “การถูก
ปฏิเสธคือความเจ็บปวด” นอกจากนั้นมันยังอาจหมายถึง การไมไดรับการยอมรับ ความนา
อับอาย ความรูสึกวาทําอะไรก็ไมสําเร็จ (ลมเหลว) หรือแมกระทั่ง “ฉันไมเปนที่รัก” โอโฮ.. มัน
ชางเปนการตีความที่หนักหนาสาหัสมาก และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะพบกับความเจ็บปวดที่
พวกเขาอาจใหความหมายเชิงลบไปตาง ๆ นา ๆ พวกเขาจึงเลือกจะไมทําอะไรก็ตามที่มี
แนวโนมวาอาจจะไดรับการปฏิเสธ ในที่สุด รูปแบบนี้ไดรุกลามไปจนใหญโตขึ้นเรื่อย ๆ จนชิน
กับการกลัวเอาไวกอน การไมทําทําใหพวกเขาปลอดภัยจากการอาจถูกปฏิเสธ แตการไมทําก็
ทําใหพวกเขาไมคอยไดผลลัพธอะไรในชีวิตเชนกัน ชางนาสงสารอะไรเชนนั้นที่พยายามหนี
ออกจากความเจ็บปวดที่อาจไดรับจากคนอื่น แตตองมาเจ็บปวดกับตนเองเมื่อคิดไดวา “ฉัน
ไมมีผลลัพธอะไร!” ฉะนั้นพวกเราตองปลดปลอยความกลัวออกไปจากความคิด ตอไปนี้คือวิธี
เอาชนะความกลัวตัวนี้ ผมขอใหพวกเราพยายามใหความหมายใหมเชน
การถูกปฏิเสธ คือ ความจําเปนของคนอื่น เปนเรื่องปกติแมแตตัวเราเองก็ตองทํา
เชนนั้นกับคนอื่นบาง
การถูกปฏิเสธ คือการลงทุนที่ตองจายออกไปเพื่อความสําเร็จ นอกจากการถูกปฏิเสธ
แปลวาความเจ็บปวดแลว มันยังอาจแปลวาอะไรไดอีกที่ดีกวานั้น (การพูดเชนนี้เปนการใหสติ
เพื่อฉุกคิด)
นอกจากวาพวกเราไดฝกใหความหมายใหมแลว จงใชหลักการที่วา “ทั้ง ๆ ที่ยังกลัว จงลอง
หรือพยายามทําในสิ่งที่กลัว แลวความกลัวจะคอย ๆ ลดลงและสูญสิ้นไปเอง”
2. กลัวความลมเหลว
155
ถาง และคิดวามันนาอับอาย แตขึ้นชื่อวามันเปนความกลัวแลว มันมีโทษมากกวาคุณ คนเรา
อาจกลัวลมเหลวไดแตตองไมรุนแรงถึงขนาดไมกลาทําอะไรเลยตราบใดที่สมองยังเชื่อมโยงวา
ความล ม เหลวคื อ ความเจ็ บ ปวด ตราบนั้ น พวกเขาก็ จ ะพยายามหนี ไ ปให ไ กลจากความ
เจ็บปวดหรือความเสี่ยงที่อาจพบกับความเจ็บปวดอยูเสมอ (แตมักหนีไมพนโดยไปเจอกับ
ความเจ็บปวดในอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกวา “โรคชวยเหลือตนเองไมได” นั่นเอง) ทางแกจึง
เหมือนกับที่ไดกลาวมาแลว คือตองพยายามฝกการใหความหมายใหมกับคําวา “ลมเหลว”
ความลมเหลว คือสิ่งชั่วคราวที่เกิดขึ้นเพื่อนําไปสูความสําเร็จ (คิดถึงเด็กหัดตั้งไข ตอง
ลมกอนแตดวยการพยายามตอไป ในที่สุดความลมเหลวชั่วคราวไดยุติลงตลอดไป)
ไมมีความลมเหลวหรอก มีแตความสําเร็จในการผลิตผลลัพธที่เกิดจากการกระทํา
เสมอ
นอกจากความลมเหลวแปลวาความเจ็บปวดแลว มันยังอาจแปลวาอะไรไดอีกทีด่ กี วา
นั้น (การพูดเชนนี้เปนการใหสติเพื่อฉุกคิด) และที่ลืมไมไดคือ “ทั้ง ๆ ที่ยังกลัว ฉันจะลองหรือ
พยายามทําในสิ่งที่กลัว แลวความกลัวของฉันจะคอย ๆ ลดลงและสูญสิ้นไปเอง”
3. กลัวถูกหาวาโง / กลัวความอับอาย
บางครั้งเราอาจกลัวการกระทําบางอยางเชน การยกมือถามครูในชั้นเรียนเมื่อเรายังไมเขาใจดี
แตนั้นมันอาจแปลวาฉันโง และดวยเหตุนั้นเราจึงละการกระทํานั้นซะทั้ง ๆ ที่ถาเราทําลงไป
คนที่จะชมวาเรากลาจะมีมากกวาคนที่ดูถูกเรา บางที่เราอาจไมยอมทําเพราะวาเราไมได
เตรียมตัวมาใหดี เชนตองออกไปพูดหนาเวที เรากลัววาจะทําไดไมดีพอ เราอาจไดรับความอับ
อาย เราจึงกลัวขึ้นมาทันที แตเรื่องนี้แกไขไดดวยการเตรียมตัวใหดีขึ้น แลวเราจะรูสึกมั่นใจวา
จะทําไดดี สวนเรื่องกลัววาใครจะหาวาเราโงนั้น มันเปนเรื่องเล็กแท ๆ แตขืนเรายังกลัวตอไป
มันจะทําใหเรากอนิสัยที่ชวยเหลือตนเองไมได การกลัววาคนอื่นจะวาเราโงนั้น แทบจะรอยทั้ง
รอยที่เราคิดไปเอง คิดอยูฝายเดียว สวนคนอื่นนั้น พวกเขามักสนใจตนเองมากกวาที่จะสนใจ
เรา ผมอยากทาทายใหพวกเราลองไปยืนที่หนาหางเซ็นทรัลสาขาไหนก็ได แลวแกลงถามคน
เดินผานไปผานมาวา “ขอโทษครับแถวนี้มีหางเซ็นทรัลไหมครับ?” ทุกคนจะชี้ไปที่ขางหลัง
พวกเราแลวบอกวา “นี่ไง” รอยละรอยจะชวยตอบคําถามนี้ใหกับพวกเรา ไมมีแมแตคนเดียวที่
พูดวา “ทําไมโงอยางนี้วะ ก็ขางหลังคุณไง” แลวเราจะพบวาคนจํานวนมากอยากชวยเหลือเรา
ขอควรระวังมีอยูอยางเดียว คือตองถามดวยความสุภาพ และก็อยางที่ผมไดบอกไว “ทั้ง ๆ ที่
ยังกลัว จงลองหรือพยายามทําในสิ่งที่กลัว แลวความกลัวจะคอย ๆ ลดลงและสูญสิ้นไปเอง”
156
4. กลัวการเปลี่ยนแปลง
ทําไมคนเราถึงกลัวการเปลี่ยนแปลงทั้ง ๆ ที่คนทุกคนกําลังเปลี่ยนแปลงอยูแลวทุก
ขณะจิต เหตุผลเดียวคือพวกเขากลัววาจะไดรับสิ่งที่แยกวาเดิม เห็นไดชัดวามันมีปญหาเรื่อง
การคาดหวังนั่นเองสมมติวาถาพวกเขากําลังจะไดรับสิ่งที่ดีกวาเดิม พวกเขาตองปติยินดีแทน
ความกลัว ดังนั้น ผมขอใหพวกเรากลับไปอานเรื่องกฏแหงการคาดหวังอีกครั้ง แลวพวกเราจะ
ไมกลวการเปลี่ยนแปลง เทคนิคมากมายที่ไดกลาวไปแลวในหนังสือเลมนี้สามารถจักการกับ
ปญหาทุกรูปแบบได ผมอยากใหพวกเราตระหนักวาเรากําลังเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลาทั้ง
อยางชา ๆ หรืออยางฉับพลัน โดยรวมแลวมันเปนเรื่องธรรมชาติ จําไดไหมวาผมเคยแนะนํา
ถึงขนาดใหพวกเราแทรกแซงระบบใหญภายในตัวเราเอง ฉะนั้น พวกเราตองเอาชนะความ
กลัวตอการเปลี่ยนแปลงใหได มันไดสรางความเสียหายใหกับคนมานับไมถวน เชน คนบางคน
ไมยอมเปลี่ยนอาชีพที่หมดอนาคตแลวเพราะกลัวการเปลี่ยนแปลง ขอใหพวกเราจงกลาที่จะ
เปลี่ยนแปลงกอนที่จะสายเกินไปจนไมทันการณ ผมมีเรื่องตลกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงจะ
เลาใหฟง ลูกชายถามพอวา “ผมไมอยากใหพอแกเลยฮะ” พอบอกวา “ไมไดหรอก” ลูกชายจึง
ถามต อ ไปว า “ทํ า ไมละฮะพ อ ” ขื น พ อ ไม แ ก ล งไปเรื่ อ ย ๆ พ อ ก็ ต ายไปแล ว นะสิ ลู ก เอ ย ลู ก
ตองการอยางนั้นหรือ?” พอทั้งตอบและถามกลับไปบาง
คุณผูอานที่รัก จงสังหารอสูรกายตอนที่ตัวมันยังเล็ก จงจัดการกับความรูสึกกลัวตอน
ที่มันยังไมเติบใหญ หาไมแลวมันจะมีพลังมากจนยากที่จะเอาชนะได และทั้ง ๆ ที่ยังกลัว จง
เขาไปเผชิญหนากับมัน จงลองเขาไปมีประสบการณกับสิ่งที่กลัว จงลองทําในสิ่งที่กลัว จงลอง
ไปอยูในที่มืดถาเรากลัวความมืด จงลองไปหัดวายน้ํา ถาเรากลัวน้ํา จงลองไปฝกทําสิ่งใหม ๆ
ถาเรากลัวการเปลี่ยนแปลง แลวความกลัวในทุกรูปแบบจะคอย ๆ สูญสิ้นไปเอง
157
บทที่ 8
หมดสิทธิ์หยุดการพัฒนาตนเอง
158
การคา ขอคําปรึกษาหารือ หรือเชิญเราไปทํางานใหเขา ชางเปนเกียรติและมีศักดิ์ศรีอะไรเชนนั้น! สวน
ใครที่ยังไมเชื่อวาโลกไดเปลี่ยนไปแลว แถมทําตัวไรการพัฒนาอยางตอเนื่อง ชีวิตไรความรูของเขาคง
ไดเฉาอยูกับเงินที่เก็บไวตามลําพังอยางเงียบ ๆ และเดียวดาย
159
บทที่ 9
สถิติไมโกหก
ปจจุบันมีเศรษฐีในสหรัฐราว 5 ลานคน
มีเศรษฐีเกิดใหมมากกวาปละ 100,000 คน
เฉลี่ยแลวทุก ๆ 5 นาทีที่ผานไปจะเกิดเศรษฐีใหม 1 คน
คาดวาคาเฉลี่ยกําลังเรงขึ้นไปที่ 1 นาทีตอ 1 คน
พวกเขาเกือบทั้งหมด เริ่มตนจากมือเปลา
พวกเขาเกือบทั้งหมด เคยลมเหลว ถังแตก ลมละลาย ราว 3.3 ครั้งกอนเปนเศรษฐี
160
บทที่ 10
เปนเจาแหงการใชกลยุทธ
1. อยาเริ่มตนเรียนรูจากศูนยโดยไมจําเปน
2. คนหาวาใครคือคนที่ มี เปน หรือได ในสิ่งที่เราตองการไปแลว
3. จงศึกษา ไตถาม วาเขาทําไดอยางไร
4. จากนั้นจงทําตามเพื่อผลิตผลลัพธซ้ําในสิ่งที่เราตองการ
161
บทที่ 11
พวกเราตองการมันไหม?
1. การดําเนินชีวิตอยางปฏิหาริยดวยการมีสุขภาพรางกายที่แข็งแรงยิ่ง
2. การดําเนินชีวิตอยางปฏิหาริยดวยการมีสมองที่เฉลียวฉลาดเปนเลิศ
3. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนเจาแหงการเงินและหนาที่การงาน
4. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนเจาแหงความสัมพันธที่เลอเลิศ
5. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนเจาแหงดุลยภาพของกาลเวลา
6. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนนายแหงอารมณความรูสึก
7. และสุดทาย การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการมีจิตวิญญาณที่สงบสุข และเปยมสุข
“การตัดสินใจคือบิดาแหงการกระทํา
และการลงมือทํา คือการเริ่มตนที่แทจริง”
จนกวาจะพบกันอีกครั้ง
รักยิ่ง วันชัย ประชาเรืองวิทย
162