You are on page 1of 162

ชีวิตที่แสนวิเศษ

A Wonderful Life

วันชัย ประชาเรืองวิทย เขียน


เริ่มพิมพวนั ที่ 22/03/2006 พิมพเสร็จวันที่ 08/10/2006
คํานํา

นับตั้งแตผมได จัดสมัมนา “A Wonderful Life” หรือ “ชีวิตที่แสนวิเศษ” ขึ้นในเดือนกุมภาพันธและ


พฤษภาคมที่ผานมา ผมไดรับการตอนรับที่ดีเยี่ยมและหลายทานไดโทรศัพทมาเลาวา ชีวติ ของพวกเขา
ไดเปลี่ยนแปลงไปมากมายอยางไร พวกเขาพูดดวยน้ําเสียงที่ตื่นเตนและราเริงวา... ไดสัมผัสถึงชีวิตที่
แสนวิเศษเขาแลว สิ่งนี้นับเปนแรงบันดาลใจยิ่งใหญจนผมตัดสินใจถายทอดประสบการณเหลานั้น
ทั้งหมดลงในหนังสือเลมนี้ นี่คือหนังสือที่เสนอเครื่องมือและเทคนิคแหงความสุขและความสําเร็จมาก
ที่สุดเทาที่จะมีหนังสือเลมไหนนําเสนอมากอน ผมมีความเชื่อมั่นถึง 100% เต็มวา มันสามารถทําให
คุณดําเนินชีวิตแบบใหมไดจริง ๆ ซึ่งหมายถึงการทีคุณสามารถไดรับทั้งความสุขและความสําเร็จไป
พรอม ๆ กัน
คนหลายคนมุงเนนที่ความสุขจนขาดแคลนความสําเร็จและอีกหลายคนมุงเนนแตความสําเร็จ
จนขาดแคลนความสุข ไมวาจะคิดอยางไรก็ตาม ทั้งสองกรณีที่กลาวมานี้ลวนยอมรับไมได เพราะวา
ชีวิตตองการดุลยภาพที่สมบูรณทั้งสองสวน ดังนั้นผมไดตั้งปณิธานอันแนวแนที่จะเสนอหนทางใหม ๆ
แหงความเปนไปไดที่จะทําใหคุณผูอานไดรับทุกสิ่งที่ตองการใหจงได และตราบใดที่คุณไมไดในสิ่งที่
คุณตองการแลวละก็... ตราบนั้นคุณจะไมรูสึกวาคุณสมความปรารถนา หนังสือเลมนี้เต็มไปดวย
ความรูสึก นาตื่นเตนและมีกลยุทธที่ชาญฉลาดที่สุดที่ไดเสนอไว มันเต็มเปยมไปดวยพลังที่สามารถ
เปลี่ยนคนเราไดอยางแทจริง
คุณผูอานที่รัก หนังสือเลมนี้เขียนขึ้นดวยภาษาที่เปนกันเองและเรียบงาย ผมรูสึกราวกับผมได
พูดคุยกับคุณเปนการสวนตัวตลอดเวลา และผมจะดีใจมากหากวาคุณจะถือวาผมเปนที่ปรึกษาคน
หนึ่ง... หากวาคุณจะอนุญาต และผมเชื่อวา “ไมมีวันสาย ที่จะมีควมสุขและประสบความสําเร็จ”

รักยิ่ง
วันชัย ประชาเรืองวิทย

2
สารบัญ
ภาค 1 ชีวิตที่แสนวิเศษ
1 คุณตองไดในสิ่งที่คุณตองการ 6
2 แตวาฉันไมมีปญญาไดมันมาแน 7
3 ขุมพลังทั้งสามภายในตัวเรา 8
4 บันดาลโทสะ 10
5 ระหวางเหตุผล กับอารมณ 11
6 ขุมพลังทั้งสาม กับสิ่งที่เราตองการ 12
7 ผูเชี่ยวชาญดานความหดหู และความเครียด 13
8 กลยุทธที่ไมมีวันไดผล 14
9 สสารและพลังงาน 15
10 มนุษยแมเหล็กไฟฟา กับกฎแหงการดึงดูดชักนําพา 17
11 ซวยซับซวยซอน เพราะสงจดหมายเชิญผิดใบ 19
12 บทเรียนจากกอนหิน 21
13 “ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาใหปลอยวางเสีย” 22
14 กฏแหงการมุงเนน 24
15 ระหวางความคิด กับความรูสึก 25
16 ตลาดหุน กับตลาดอารมณ 28
17 เราสรางอารมณขึ้นมาไดอยางไร 29
18 อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหว 30
19 อารมณถูกสรางขึ้นจากภาษาที่เราใช 33
20 ผมกลายเปนสายลม 35
21 คุณภาพชีวิตคือคุณภาพของการสื่อสาร 37
22 องคประกอบทั้งสามของการพูดจากัน 39
23 อารมณถูกสรางขึ้นจากภาพในใจและลักษณะของภาพ 41
24 การสรางพลังแหงจินตนาการ (การสรางภาพในใจ) 43
25 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 1 44
26 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 2 45
27 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 3 46
28 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 4 48

3
29 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 5 50
30 การตื่นขึ้นครั้งใหญของผม...T x E = R 52
31 อารมณเสีย...เปลี่ยนมันซะ 55
32 ทําจิตใจใหผองแผว 57

ภาค 2 ระบบใหญในตัวเรา
1 เมื่อเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนตาม 61
2 สองแสนครั้งกับการถูกปฏิเสธและหามปราม 64
3 กรอบความคิด...ปอมปราการที่ตองฝาทะลุออกไป 66
4 คําถามคืออะไรกันแน? 69
5 ธรรมชาติของคําถาม และอานุภาพของมัน 70
6 ความเชื่อและกฏแหงความเชื่อ 73
7 แหลงที่มาของความเชื่อ 74
8 พวกเรามีความเชื่อแบบไหนกับตัวเราเอง 79
9 ความเชื่อที่ทรงพลัง 7 ประการ 82
10 การทําลายความเชื่อ 90
11 สรางความเชื่อใหมเขาไปแทนที่ 93
12 เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อ เราไดเปลี่ยนการคาดหวังไปดวย 94
13 พลังแหงทัศนคติ 95
14 พลังแหงความรูสึก 97
15 ความพึงพอใจ กับความเจ็บปวด 99
16 ตายแทนลูก 100
17 ลดความอวนไมได 101
18 ผัดวันประกันพรุง 102
19 กินแมลงสาบ 103
20 กาตมน้ําแหงความเจ็บปวด 104
21 การลงเอยที่ยิ่งใหญไมใชความรู แตคือการกระทํา 106
22 ไรการปฏิบัติ ปฏหาที่แทจริงของคนในโลก 108
23 เขาแทรกแซงระบบใหญ 110

4
ภาค 3 วิธีดึงดูดสิ่งที่คุณตองการ
1 อํานาจที่กระตุนใหมนุษยลงมือทํา 114
2 การผสมผสานของแรงขับทั้งเจ็ด 123
3 วิธีดึงดูดสิ่งที่พวกเราตองการ 125
4 การตั้งปณิธานกับสิ่งที่ตองการ 131
5 เขียนบทใหม ใหตรงกับที่เราอยากใหมันเปน 133
6 เปลี่ยนจากคิดมาเปนรูสึก 137
7 จัดเตรียมสิ่งที่จะขอบคุณไวเสมอ 139
8 วิธีสรางความรูสึกดีแบบอื่น ๆ 140
9 พวกเราทําอยางไรแลวดีขึ้น 141
10 ขั้นที่ 4 ปลอยใหมันเกิดขึ้น 142

ภาค 4 อนาคตอยูในกํามือของเรา
1 ภูเขาแหงความมั่งคั่งทั้งหก 145
2 ชวงสมองอีกสองเรื่อง 147
3 สิ่งที่ฉันตองการ? 148
4 ตั้งเปาหมาย 150
5 สูตรความสําเร็จ 153
6 สิ่งที่หยุดเราไวคือความกลัว 154
7 เรากลัวอะไรกันบาง? 155
8 หมดสิทธิ์หยุดการพัฒนาตนเอง 158
9 สถิติไมโกหก 160
10 เปนเจาแหงการใชกลยุทธ 161
11 พวกเราตองการมันไหม? 162

5
บทที่ 1
คุณตองไดในสิ่งที่คุณตองการ

คุ ณ ผู อ า นที่ รั ก ตลอดเวลาหลายป ที่ ผ า นมา ผมมุ ง เน น ศึ ก ษาว า อะไรคื อ หั ว ใจแห ง ความสุ ข และ
ความสําเร็จ และดวยจิตใจเชนนั้น ในที่สุดผมก็ไดคนพบสิ่งที่ผมตองการ ครั้งแรกเมื่อผมไดรับคําตอบ
นั้น ผมตกตะลึงกับความเรียบงายของมัน และตกใจวามันชางอยูใกลชิดกับพวกเราขนาดไหน ผมรูสึก
ตื่นเตนจนตองรีบเขียนหนังสือเลมนี้อยางเรงดวน ผมเชื่อมั่นวาจะเปนประโยชนตอพวกเราคนไทย
อยางแทจริงและสักวันหนึ่ง บางทีคนตางชาติอาจไดอานมันก็เปนไปได ผมหวังวามันจะเกิดขึ้นในอีก
ไมกี่ปขางหนา
หนทางหนึ่งที่แนนอนที่คุณจะมีความสุขและรูสึกวาประสบความสําเร็จก็คือ คุณตองไดในสิ่งที่
คุณตองการ ขอย้ําอีกครั้งวา คุณจะรูสึกมีความสุขไดจริง ๆ ก็ตอเมื่อคุณไดสิ่งที่คุณตองการ ในขณะนี้
ผมขอใหคุณเผิดใจกวางกับคําวา “สิ่งที่คุณตองการ” วามันอาจเปนอะไรก็ไดทั้งสิ้น ไมวาจะเปนวัตถุ
สิ่งของหรือนามธรรมที่จับตองไมไดก็ตาม ตราบใดที่คุณยังไมไดพวกมันแตคุณรูสึกอยูวาตองการ ผม
แนใจวาคุณไมอาจกลาวไดวาคุณสมหวัง หรือกลาวอีกอยางวาคุณสุขใจเต็มที่ไมไดนั่นเอง ที่พูดอยาง
นี้ถือวานอยไป เพราะที่จริงนั้นคุณอาจจะถึงขั้นเซ็ง เบื่อ ทอแท หรือ ทุกขทรมานดวยซ้ําไปตราบใดที่
คุณยังไมไดในสิ่งที่คุณตองการหรือไดในสิ่งที่คุณไมตองการ
โชครายก็คือ บางครั้งคุณก็รูไมชัดเจนวาคุณตองการอะไร! สิ่งนี้ไมเพียงเกิดขึ้นกับคุณแตกําลัง
เกิดขึ้นกับคนคอนโลก จึงไมตองสงสัยเลยวาพวกเราจะสับสนกันขนาดไหนในเมื่อเราก็ไมรูชัดเจนวา
เราตองการอะไร และเพื่อที่จะแกไขสิ่งนี้ ผมขอใหคุณฝกถามตนเองดวยคําถามนี้บอย ๆ ”ฉันตองการ
อะไร ?” หรือ “จริง ๆ แลวฉันตองการอะไร?”
ผมขอแนะนําใหคุณฝกถามตนเองดวยคําถามนี้ไปตลอดหนึ่งเดือนเต็มจนเปนนิสัย ไมวา
คําตอบที่ไดจะเปนอะไรก็ใหจดไวเรื่อย ๆ อยาใหลืมเปนอันขาด เมื่อไดคําตอบเพิ่มเติมอีก ก็จดลงไปอีก
หากคุ ณ ลงมื อ ฝ ก ฝนตนเองเช น นี้ ผมรั บ ประกั น ว า คุ ณ จะเปลี่ ย นแปลงตนเองไปอย า งมหาศาล
เพราะวาคุณไดกํากุญแจดอกเอกที่คนคอนโลกทําหลนหายไวในมือของคุณ จําไวเสมอวามันเปน
หนทางเดียวที่เพิ่มโอกาสใหคุณสมหวังเพราะวาคุณจําเปนตองไดรับในสิ่งที่คุณตองการ หาไมแลวคุณ
ก็จะไมมีทางพบกับความสุขและความสําเร็จที่คุณตองการได

6
บทที่ 2
แตวาฉันไมมีปญญาไดมันมาแน

หลาย ๆ คนสับสนระหวาง “สิ่งที่ฉันตองการ” กับ “แตวาฉันไมมีปญญาไดมันมาแน” คุณผูอานครับ


เมื่อคุณถามตนเองวา “ฉันตองการอะไร?” นั้น คุณถามเพียงแคมันคืออะไรบางที่คุณตองการ คุณไมได
ถามวา “ฉันมีปญญาไดมันมาหรือไม?” สิ่งนี้เตือนใจคุณวา... ตอใหคุณไมมีปญญาไดมันมาก็ตาม
เถอะ แตไมไดแปลวาคุณไมอยากไดมัน ผูคนมากมายในโลกนี้ติดกับดักอยางนี้กันมาก พวกเขาคิดไป
วา... ถาเพียงเพราะวาฉันยังไมรูวิธีวาจะไดมันไดอยางไร ฉันก็ไมควรจะไปเพอเจอ บางทีพวกเขาถึงกับ
แปลผิดโดยเขาใจไปวา “ฉันไมตองการมันหรอก” แมแตขอทานที่รูสึกแนใจวาจะไมมีวันไดเงินลานก็
ตาม แตมันไมไดแปลวาเขาไมอยากไดเงินลาน นี่จึงเปนคนละเรื่องกัน ที่คนทั่วไปจับเอาสองประเด็นนี้
มัดเขาดวยกันโดยคิดวามันเปนเรื่องเดียวกัน ยิ่งไปกวานั้น สิ่งที่เราคิดวาไมมีปญญาจะไดมันมา
ในตอนนี้อาจเปนเรื่องชั่วคราว สักวันหนึ่งเราอาจมีปญญาก็ได ฉะนั้นไมพนที่เราตองกลับมาถาม
ตนเองอีกครั้งวา “ฉันตองการมันไหม?” อยูดี
คุณผูอานที่รัก ในตอนนี้ผมอยากขอรองใหคุณคิดเฉพาะสิ่งที่คุณตองการโดยไมตองสนใจวา
คุณจะมีปญญาหามันมาไดหรือไม ขอใหคุณเก็บความของใจวาคุณจะไดมันมาไดอยางไรไวกอน และ
มุงเนนถามตนเองอยูเสมอ ๆ วา “ฉันตองการอะไร?” มันเปนคําถามอันดับแรกที่จะไขเขาไปสูชีวิตที่
เปยมสุขและประสบความสําเร็จที่จริงแลว เราควรจะเรียกคําถามนี้วาเปน “กุญแจแหงชีวิต” ดวยซ้ําไป
สวนคําถามที่วา “ฉันจะไดมันมาไดอยางไร?” นั้น สิ่งนี้เปนคําถามที่สอง คุณตองจําใหขึ้นใจวา... คุณ
จะตองถามคําถามที่หนึ่งกอนเสมอ กอนที่คุณจะถามคําถามที่สองและแนนอนวาคุณจะไดคําตอบแน
เมื่อคุณอานหนังสือเลมนี้จบลง แลวคุณจะพบเองวามันเรียบงายกวาที่คุณคิดไวเยอะ

7
บทที่ 3 ขุมพลังทั้งสามภายในตัวเรา

เมื่อพูดถึงขุมพลังทั้งสามภายในตัวเรา มันจําเปนที่พวกเราจะตองรูวา พวกมันไดแก

1. พลังกาย หรือเรี่ยวแรงของเรา

สิ่งนี้ยอมตองหมายถึงพลังที่ผลิตขึ้นจากรางกายของเราอยางแนนอน และเพราะวาเราตองกิน
ขาวดื่มน้ําทุกวัน เราจึงมีพลังกายในระดับหนึ่งอยูเสมอ รางกายของเรานั้นเปรียบไดกับรถสัก
คันหนึ่ง ยิ่งมันมีพลังมาก ทนทาน และสมรรถนะที่ดีมากเทาไหร มันก็ยิ่งรับใชเราไดยืนยาว
และคงทนเทานั้น นี่ก็คือคนที่อายุยืนและแข็งแรงหรือสุขภาพดีนั่นเอง

2. พลังสมอง หรือพลังแหงความคิด

สมองของเราถูกฝกฝนมาโดยตลอดตั้งแตเรายังเปนเด็กแบเบาะ ครั้นโตขึ้นหนอย เราก็ถูก


สงไปเรียนหนังสือนานแสนนาน วันแลววันเลา ที่สมองถูกฝกใหคิด จดจํา หาเหตุผล ไตรตรอง
ประเมินผล และออกคําสั่งกับระบบประสาทตาง ๆ มากมาย ดังนั้น หากใครก็ตามที่ไมได
พิการทางสมอง ผมกลาวไดวาพวกเขาหรือเราลวนแตมีพลังสมองหรือพลังแหงการคิดกันทุก
คน มันเปนพลังที่สําคัญอยางยิ่งยวด เปนเครื่องมือที่ยิ่งใหญเหลือเกิด แตถึงกระนั้นก็ตาม
สมองก็ยังไมใชชีวิตของเรา กลาวอีกอยางก็คือ เราไมใชความคิดของเรา แตเราสรางหรือผลิต
ความคิดไดโดยใชสมองสรางมันขึ้นมา สมองจึงเปนแคอวัยวะหนุงของเราที่สําคัญมาก ๆ แต
มันไมอาจยิ่งใหญไปกวา...

3. พลังแหงสภาวะจิต หรือพลังแหงอารมณ หรือพลังแหงความรูสึก

เพราะวาเราไมใชเครื่องจักรกล เราไมไดเปนแควัตถุธรรมดา ๆ แตเราเปนสิ่งมีชีวิตที่มีจิต


วิญญาณ ดังนั้นแมวารางกายของเราไมอาจะแยกออกจากจิตวิญญาณไดโดยเด็ดขาด แตเรา
ก็รูสักวาจิตวิญญาณเปนสิ่งที่แสดงถึงตัวชีวิตมากกวารางกายดั่งที่เรามักถูกสอนวา “ใจเปน
นาย กายเปนบาว” และสิ่งที่คุณอาจไมเคยพิจารณาใหถองแทก็คือ พลังแหงสภาวะจิต (หรือ
พลังแหงอารมณ) เปนพลังที่มีอานุภาพเหนือพลังทั้งปวง ถาใหเปรียบเทียบระหวาง “พลัง
สมอง (พลังแหงความคิด) กับ “พลังแหงสภาวะจิต (หรือพลังแหงอารมณ)” ละก็ ... ผมบอกได
เลยวา พลังแหงสภาวะจิต (หรือพลังแหงอารมณ) จะมีพลังเหนือกวาพลังสมองมากมายนัก

8
อาจพูดอีกอยางไดวา เมื่อคุณอยูในสภาวะจิตที่มีพลังที่สุด คุณจะใชเครื่องมือที่เรียกวา “พลัง
สมอง” ไดอยางมีประสิทธิภาพมากขึ้น แตถาคุณอยูในสภาพวะจิตที่ออนแอที่สุดแลว ไมวา
คุณจะมีสมองที่ดีเลิศปานใดฏตาม คุณจะพบวามันไรประโยชนสิ้นดี แลวผมจะคอย ๆ แสดง
ใหคุณเห็นวาพลังแหงสภาวะจิตที่เลอเลิศนั้น เปนพลังที่ยิ่งใหญที่สุดใหคุณทราบตอไป

9
บทที่ 4
บันดาลโทสะ

ในบรรดานิทานสอนใจนั้น นิทานเรื่อง “กลองขาวนอยฆาแม” ถือวาเปนตัวอยางชั้นเยี่ยมที่เราจะตอง


เขาใจมัน ผมขอสรุปวา เด็กคนนั้นไมไดบาและไมมีความจําเปนใด ๆ ที่จะตองไปพบหมอเพื่อผาตัด
สมอง เด็กคนนั้นแค “บันดาลโทสะและพลั้งมือฆาแม” เทานั้นเอง เห็นชัดไดวาจะไปหาพลังแหงการ
ทําลายลางใดที่ยิ่งใหญกวาพลังแหงอารมณโกรธ (สภาวะจิตโกรธ) เปนไมมี ครั้นเมื่อเด็กคนนั้นหาย
โกรธแลว เขาจะทําอะไรไดนอกจากเสียใจตอการกระทําสิ่งที่เลวรายที่สุดลงไป คนโบราณจึงสอนวา
“จะทําอะไรก็ขอใหอยาใชอารมณ” ในที่นี้ละไวในฐานที่เขาใจวา... อยาใชอารมณโกรธ โลภ และหลง
ถึงกระนั้นก็ดี มันนาเสียดายที่คําสอนนี้สอนไวเพียงครึ่งเดียว โดยไดละความจริงที่ยิ่งใหญพอ
ๆ กันของอารมณในเชิงบวกไวจนหมดสิ้น คําสอนที่หายไปก็คือ “จะทําอะไรก็ใหใชอารมณเชิงบวกไว
มาก ๆ” อารมณประเภทนี้ไดแก ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี ความเบิกบาน ความปติยินดี
ความราเริง ความสนุกสนาน ความกระปรี้กระเปรา ความมีชีวิตชีวา ความสงบสุข ความหรรษา ความ
เกษมแหงจิต ความกลาหาญ ความมีวินัย ความเพียร ความมุงมั่น และความปรารถนาอยางแรงกลา
ฯลฯ
เราได เ รี ย นรู อ ะไรบ า งจากหั ว ข อ นี้ หนึ่ ง น า สลดใจกั บสิ่ ง ที่ เ ด็ ก คนนั้ น ได ทํ า ลงไป และเรา
จําเปนตองเรียนรูที่จะเปนนายเหนืออารมณเชิงลบใหได และสอง เราตองเรียนรูที่จะสรางและเลือกใช
อารมณในเชิงบวกใหเหมาะสมกับแตละเหตุการณที่เราเผชิญอยู อีกไมนานนัก เราจะไดเรียนรูวา...เรา
สรางอารมณขึ้นมาไดอยางไร?

10
บทที่ 5
ระหวางเหตุผล กับอารมณ

ผมถามชายคนหนึ่งที่ติดบุหรี่วา “คุณรูไหมวาการสูบบุหรี่ไมดีตอสุขภาพ” “คุณรูไหมวามันสิ้นเปลือง


เงินทองที่ตองไปซื้อมา” “คุณรูไหมวาควันบุหรี่รบกวนและอาจเปนอันตรายตอสุขภาพของคนที่อยูใกล
ตัวคุณ” “คุณรูไหมวาคุณมีความเสี่ยงที่อาจจะเปนมะเร็งปอด” “คุณรูไหมวาคุณอาจเปนโรคอื่น ๆ ได
งายขึ้น หรือคุณอาจอายุสั้นลงก็เปนได”
คุณผูอานที่รัก เขาตอบวา “รู” กับคําถามทุกขอที่ผมถามครั้นเมื่อผมถามคําถามสุดทายวา
“แลวคุณตัดสินใจวาจะทําอยางไรตอไป?” เขาบอกวา “สูบตอไป”
จะว า ไปแล ว ผมไม แ ปลกใจกั บ คํ า ตอบนั้ น นัก เพราะว า ... เขาสู บ แล ว อารมณ ดี กุ ญ แจที่
สามารถไขเขาไ เขาใจเรื่องนี้ไดก็คืออารมณ เหตุดผลจะไมมีวันชนะตราบใดที่ชายคนนี้สูบบุหรี่แลว
อารมณดี หรือสูบบุหรี่แลวเขารูสึกดีเชนลดความเครียดได สวนคนที่ไมสูบบุหรี่ก็เชนกัน ที่เขาไมสูบก็
เพราะวามันทําใหเขารูสึกไมดี
เพื่อความกระจาง ผมอยากใหพิจารณาเรื่องการกินผักดูบาง เมื่อคุณแมคนหนึ่งบอกเหตุผล
สาระพัดวาผักดีตอลูกของเธออยางไรแตเด็กนอยคนนั้นยังทําหนาเบและไมยอมกินผักอยูดี เพราะ
อะไรละ? มันไมใชเรื่องของเหตุผลวาเด็กฟงคุณแมไมรูเรื่อง แตมันเปนเรื่องของความรูสึกที่เด็กไม
อยากกินตางหาก ลองคิดถึงอาหารชนิดใดก็ตามที่คุณไมกินดูสิ ประเด็นมักไมไดอยูที่มันมีคุณคาทาง
โภชนาการหรือไม แตเปนเพราะวาคุณไมชอบตางหาก มันจึงเกี่ยวกับสภาวะจิต เกี่ยวกับอารมณ
ความรูสึกนั่นเอง ไมไดเกี่ยวกับเหตุผลแมแตนิดเดียว
สมมติวามีชายคนหนึ่งทั้งหลอ รวย โสด จริงใจ และนิสัยดี หากอาศัยเหตุผลเพียงอยางเดียว
แลวสาวที่ไหนจะปฏิเสธละ แตมันก็เปนความจริงอยางนั้นหรือ ผมเกรงวาจะมีสุภาพสตรีนับไมถวนที่
ปฏิเสธชายคนนี้ดวยเหตุผลงาย ๆ วา “แตฉันไมไดรักไมไดรูสึกชอบผูชายคนนี้นี่” มันเปนเรื่องของ
อารมณความรูสึก ไมใชเหตุผล ผมถึงบอกวา พลังแหงอารมณอยูเหนือพลังสมองที่ชอบใชเหตุผล
มากมายนัก ดังนั้น หนทางเดียวที่ดีที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงจึงไมใชการใหเหตุผล แตตองเขาไปเปลี่ยนที่
ความรูสึกใหไดเสียกอน แลวคนเราจะเปลี่ยนการกระทําไปตามความรูสึกที่เปลี่ยนไปเองอยางเปน
ธรรมชาติ

11
บทที่ 6
ขุมพลังทั้งสาม กับสิ่งที่เราตองการ

หลาย ๆ ครั้งที่เราไมไดสิ่งที่เราตองการ เราอาจสับสนวาทําไมละ เพื่อใหเขาใจมัน เราจําเปนตองรูวา


ขุมพลังทั้งสามของเราทัดเทียมกับสิ่งที่เราตองการหรือไม เชน
ถาคุณตองการที่จะวิ่งใหได 2 กิโลเมตรภายใน 5 นาทีสิ่งแรกที่คุณจะตองถามก็คือ ฉันมีพลัง
กายที่ทัดเทียมกับการทําสิ่งนี้หรือไม? เห็นไดชัดวาคุณจําเปนที่จะตองพัฒนาสมรรรถนะทางดาน
รางกายใหดีเลิศ เพราะตราบใดที่คุณยังแข็งแรงไมพอที่จะทําสิ่งนี้ละก็ ก็ไมตองสงสัยเลยวาคุณคงจะ
ไมสมหวังเปนแน
เอาละ บางทีคุณอาจมีขุมพลังทางรางกายที่ดีพอ แตวาคุณไดพัฒนาทักษะการวิ่งที่ถูกตอง
หรือยัง คุณไดเรียนรูจากผูเชี่ยวชาญในดานนี้หรือยัง เทคนิคของคุณฉลาดหรือไม สิ่งเหลานี้ยิ่มตองใช
พลังสมองในการเรียนรูทฤษฏีที่ถูกตองพรอมกับการฝกฝนจนบรรลุถึงขีดความสามารถที่คุณตองการ
เพื่อพิชิตสิ่งที่คุณตองการ
และทายที่สุด คุณมีกํา ลังใจที่มากพอหรือไม สภาวะจิตหรื ออารมณของคุ ณแข็งแกรงพอ
หรือไม ผมเคยพบคนใจเสาะที่หยุดกลางคัน ทั้ง ๆ ที่รางกายก็แข็งแรงและสมองก็เฉลียวฉลาด แตอาจ
ยอมแพเอางาย ๆ เพราะขุมพลังตัวที่สามไมแกรงพอ ฉะนั้น คุณจําเปนตองพัฒนาสภาวะจิตใหเข็ม
แข็งใหมาก ๆ เมื่อขุมพลังทั้งสามของคุณซึ่งไดแก กําลักาย กําลังสมอง และกําลังใจ ไดพัฒนาจน
ทัดเทียมกับสิ่งที่คุณตองการแลว มันยอมงายที่คุณจะสมหวังในสิ่งที่คุณตองการ คุณก็แคลงมือทําสิ่ง
นั้นก็แคนั้นเอง
คุณผูอานที่รัก คําถามที่วา “ฉันตองการอะไร?” เปนคําถามที่ยิ่งใหญ และหลังจากนั้นใหถาม
ตอไปวา “ฉันตองพัฒนาขุมพลังตัวไหนเพิ่มเติม แลวศักยภาพของฉันจะทัดเทียมกับสิ่งที่ฉันตองการ”
ผมแนใจวาคุณจะคิดอะไรดี ๆ ออกมาไดอีกมากมาย ยิ่งไปกวานั้น คุณจะหายสงสัยวา...ทําไมนะ...ฉัน
ถึงไมไดสิ่งที่ฉันตองการ

12
บทที่ 7
ผูเชี่ยวชาญดานความหดหูและความเครียด

เพราะวาเราไมไดสิ่งที่เราตองการพวกเราจึงเซ็ง เบื่อ หงุดหงิด คับของใจ วิตกกังวล สิ้นหวัง กลุมใจ หด


หูและไรความสุข สิ่งนี้แมดูเหมือนวามีเหตุผลในตัวมันเองที่เราจะมีอาการเหลานั้นเมื่อเราไมไดสิ่งที่เรา
ตองการ แตเนื่องจากวาเราตกอยูในอาการเหลานั้นบอยครั้งเกินไป ในที่สุดมันกลายเปนนิสัยและ
รูปแบบของการดําเนินชีวิตไปเลย เมื่อเนิ่นนานไป เราเขาใจไปวา “การที่เราไรสุขเปนเรื่องปกติ และนั่น
แหละคือชีวิต” แตผมขอปฏิเสธอยางรุนแรงวาชิวิตไมใชแบบนั้นแน นาเศราใจที่พวกเราไดกลายเปน
“ผูเชี่ยวชาญดานความหดหูและความเครียด” พวกเราสามารถเขาถึงสภาวะไรสุขไดอยางงายดายใน
ชั่วพริบตา บางทีสิ่งที่เราเชื่ออาจมีปญหาในตัวมันเอง เชนพวกเราเชื่อวา...มันยุติธรรมดีไมใชหรือที่เรา
ควรหมดความสุขเมื่อเราไมไดสิ่งที่เราตองการ ผมไมรูวาถูกปลูกฝงความเชื่อนี้เขาไปในจิตใจของเรา
ตั้งแตเมื่อไหร แตสิ่งที่เกิดขึ้นลวนชี้ไปในลักษณะที่ผมอธิบาย เราพูดวา “ก็มันไมแฟร เลยนี่ที่ฉันตอง
เจอกับเรื่องแบบนี้” แลวเราก็อยูในอารมณที่เนามาก ทุกวันนี้ ไมวาเราจะเผชิญกับเรื่องอะไรก็ตาม
ลวนนําเราไปสูสภาพวะ “ไมสบอารมณ” ไดอยางงายดาย เรากลายเปนคนที่ใชอยูเพียงกลยุทธเดียว
นั่นคื “เซ็งไดงายในแทบทุกกรณี” แตขาวรายก็คือ...นอกจากโงเขลาแลว...มันยังเปนกลยุทธที่ไมมีวัน
ไดผลอีกดวย

13
บทที่ 8
กลยุทธที่ไมมีวันไดผล

คนเยอะมากทั่ ว โลกกํา ลั ง หดหู เซ็ ง และดํา เนิ น ชี วิ ต ประจํ า วั น แบบคนไร สุข ทวา นั่ น คื อ กลยุ ท ธ ที่
ผิดพลาดมากที่สุดเทาที่จะมากได มันเปนกลยุทธที่แยที่สุดที่เรามักเลือกเสียดาย และที่สําคัญก็คือ มัน
เปนกลยุทธที่ใชแลวไมไดผล หากวาอาการเซ็ง เบื่อ บน คร่ําครวญ ตําหนิ และหดหู สามารถทําใหเรา
ไดมาซึ่งสิ่งที่เราตองการ คุณผูอานที่รัก ผานนี้ คนหกพันลานคนทั่วโลกคงสมความปรารถนากันไป
หมดแลว แตเราไมมีทางไดอะไรมาดวยการกระทําเชนนั้นแน เรามามารถที่จะนั่งลงพื้น กระทืบเทา
รองไหแบบเด็กสองสามขวบ แลวโลกนี้ก็จะหันมาสนใจเราพรอมกับหยิบยื่นสิ่งที่เราตองการมาให ไม
เลย มันไมเปนเชนนั้นเลย ยิ่งไปกวานั้น ในฐานะที่เราเปนผูใหญกันแลว ควรหรือที่เราจะนั่งลง กระทืบ
เทา แลวก็รองไห โดยหวังวาเราจะไดในสิ่งที่เราตองการ และสมมติวาบังเอิญเราไดในสิ่งที่เราตองการ
ดวยวิธีนั้น งั้น ชาตินี้เรามิตองนั่งลง กระทืบเทา และรองไหไปชั่วชีวิตนับพันนับหมื่นครั้งเพื่อรองขอใน
สิ่งที่เราตองการอยางนั้นหรือ! ในโลกแหงความเปนจริงเราทําเชนนั้นไมไดแน แตแลวมันตางกันสักแค
ไหนที่เรามักจะเซ็ง เบื่อ บน ตําหนิ คร่ําครวญ กลุมใจ และหดหู ในยามที่เราไมไดในสิ่งที่เราตองการ
รูปแบบของอาการเหลานี้
สภาวะจิตที่ไรพลังเหลานี้ อารมณความรูสึกที่แย ๆ เหลานี้ ผมขอถามหนอยวามันดีกวาเด็ก
เล็กที่รองไหนอนดิ้นอยูกับพื้น และกระทืบเทาเพื่อรองขอในสิ่งที่เขาตองการตรงไหน เราทําไดดีกวาเด็ก
เล็กแคไหนกัน จะวาไปแลวผมวาเราแยกวาเด็กเล็กดวยซ้ําไป เพราะวาเราอยูในสภาวะเซ็ง กันทั้งปทั้ง
ชาติ เราไรสุขไดทุกเมื่อเชื่อวัน ราวกับวาวิธีการเชนนี้จะนําเราไปสูสิ่งที่เราตองการไดสําเร็จ แตคุณก็รู
วามันไมจริงเลย มันไมไดผล มันเปนโทษมาก แตเราก็ยังคงหลับหูหลับตาใชกลยุทธที่ไมเคยไดผลกัน
ตอไป ราวกับวาความหดหูชางเปนเปาหมายที่ใหญโตเหลือเกินในการเกิดมาเปนมนุษย จนพวกเรา
พิชิตเปาหมายแหงความหดหูไดสําเร็จอยางสมบูรณแบบ...กลาวคือ...พวกเราเซ็งมันไดทุกวันและใน
ทุกโอกาสพวกเราเซ็งแบบไมมีวันหยุด เว็งจนกวาเราจะตายไปจากโลกนี้ แตนี่นะหรือชีวิต ชางนา
เสียดายอะไรเชนนั้น!
หนทางแกไขหนทางเดียวคือการเขาไปรูจักความนากลัว ที่แทจริงของความหดหูวามันไมจบ
แคตัวมันเอง แตมันจะดึงดูดชักนําพาเรื่องเลวรายสารพัดเขามาสูชีวิตของเราไดอยางไร นี่คือหนทาง
เดียวที่จะจะโบกมือลา “ความหดหู” ไดสําเร็จ แตกอนที่จะพูดถึงเรื่องนั้นตอไป เราตองไปรูจักกับเรื่อง
ของ “สสารและพลังงาน” กอน

14
บทที่ 9
สสารและพลังงาน

ในจักรวาลอันไพศาลนี้ คุณคิดวามันมีอะไร ก็ดวงดาวกับที่วางไง นั่นอาจเปนคําตอบหนึ่งที่ถูกตอง อีก


คําตอบหนึ่งที่ยิ่งถูกตองใหญก็คือ สสารกับพลังงาน แมแตตัวเราที่เปนมนุษยก็อาจอธิบายไดวา อันตัว
เรานั้นไมไดเปนอะไรมากไปกวา “สสารและพลังงาน” โดยปกติแลวพวกเราเขาใจวัตถุในฐานะที่มัน
เปนสสารกันดีอยูแลว เพราะวาวัตถุมีรูปราง ขนาด มองเห็นได จับตองได สัมผัสได ฯลฯ เราจึงเขาใจ
มันไดงายชัดเจน อยางไรก็ตามเมื่อพูดถึงคําวา “พลังงาน” มันเขาใจยากกวามากเพราะวามันมองไม
เห็นดวยตา ไมมีรูปราง บอกขนาดไมได ยิ่งไปกวานั้น พลังงานยังมีหลายแบบอีกดวย เพื่อใหงาย
พอที่จะเขาใจได เราจึงตองหันไปสนใจในคุณสมบัติของพลังงานจะดีกวา เชน ผมไมเขาใจหรอกวา
“พลังงานความรอน” คืออะไร แตผมรูวามันมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนแปลงวัตถุได เชน ถาผมใหพลังงาน
ความรอนที่มากพอกับกระดาษในที่สุดกระดาษก็จะไมสามารถดํารงความเปนกระดาษได เพราะวามัน
จะถูกเปาไหม เชนเดียวกับน้ําที่ไดรับพลังงานความรอนที่มากพอ ในที่สุดน้ําก็จะเปลี่ยนแปลงกลายไป
เปน “ไอ”
เห็นไดชัดวาผมรูจักพลังงานความารอนในลักษณะคุณสมบัติของมัน แตผมบอกคุณไมไดวา
พลังงานความรอนมีหนาตาอยางไร เพราะวาผมมองเห็นมันดวยตาไมได ในทํานองเดียวกัน ผมบอก
ไมไดวาพลังานเสียงมีรูปรางหนาตาอยางไร แตมันก็มีคุณสมบัติเฉพาะตัวของมัน โชคดีมากที่หูของเรา
สามารถรับเคลื่นเสียงจนทําใหเราไดยินเสียงสารพัดที่แตกตางกันได เราจึงรูวามันมีพลังงานนี้ แมวา
พลั ง งานเสี ย งไม มี คุ ณ สมบั ติ ใ นการเปากระดาษก็ ต าม แต มั น ก็ ส ามารถเปลี่ ย นแปลงวั ต ถุ ไ ด
เชนเดียวกัน เชน เสียงที่สูงมาก ๆ สามารถที่จะทําใหกระจกแตกได และเมื่อพูดถึงพลังงานไฟฟาทีไร
โอ..งใหตายเถอะโรบิ้น ผมยิ่งไมเขาใจมันเลย เพราะวาคุณสมบัติของมันดูจะมากลนแผไพศาลราวกับ
ไมมีที่สิ้นสุด หากขาดมัน เราคงไดสัมผัสโลกยามค่ําคืนดวยไฟจากตะเกียงดั่งเชนอดีตที่ผานมาเปนแน
แตเมื่อมีมัน โลกของเราก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ดังนั้นพลังงานไฟฟาจึงเปฯการคนพบที่ยิ่งใหญมาก จะ
วาไปแลวสิ่งหนึ่งที่ผมยังไมเขาใจก็คือทําไมมนุษยตองตายดวยเมื่อผานกระแสไฟฟาที่มากพอเขาไปใน
ตัวเรา แตผมไมเดือดรอนหรอกที่ไมเขาใจ ผมเพียงรูวา... คุณสมบัติของมันสามารถฆาผมได ... การ
รูเทานี้ก็นับวาเพียงพอแลวที่เราจะตองใชมันดวยความระมัดระวัง และผมยอมสรุปไดวา พลังงาน
ไฟฟาก็เชนกัน เปนพลังงานที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวของมันและสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงวัตถุได (การ
จับปลาที่ช็อตใหตายดวยไฟฟาคือตัวอยางที่โหดสักหนอยที่มนุษยเปลี่ยนแปลงปลาเปน ๆ ใหตาย
อยางฉับพลันโดยอาศัยคุณสมบัติประการหนึ่งของพลังงานไฟฟา)
ก็แลวมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องความสุขและความสําเร็จละ...ผมถึงตองไปรายยาวถึงเรื่องสสาร
และพลั ง งาน มั น เกี่ ย วตรงที่ ตั ว เรานั่ น แหละที่ เ ป น สสาร และจิต วิ ญ ญาณของเรานั่ น แหละที่ เ ป น

15
พลังงาน เพียงแตวาพวกเรายังรูนอยมากวาจิตวิญญาณของเราเปนพลังงานที่มีคุณสมบัติอะไรบาง
เมื่ อผมยัง เปน เด็ ก กว า นี้ ผมกลัว ผี ก็เ พราะวา วิญญาณหรือที่เ ด็ กอย างผมเรี ย ก “ผี ” นั้น สามารถมี
คุณสมบัติพิเศษที่ลองลอยไปหลอกหลอนคนและปรากฏตนในรางที่โปรงแสงที่แสนจะนาเกลียดนา
กลัวได เด็กและผูใหญลวนเหมือนกัน พวกเรากลัวในสิ่งที่อธิบายไมได พอ ๆ กับที่คนโบราณกลัวฟา
รองฟาผา เรากลัวเพราะไมรูจะจัดการหรือรับมือกับมันอยางไร และเมื่อใดก็ตามที่เรามีสติปญญามาก
ขึ้น จนเราพอจะเขาใจปรากฏการณนั้น ๆ หรือคุณสมบัติของพลังงานตาง ๆ ไดแลวเราก็จะไมกลัว ยิ่ง
ไปกวานั้น เราจะคิดนําคุณสมบัติของพลังงานที่เราเขาใจแลวมาใชใหเปนประโยชนไดอีกดวย สิ่งหนุง
ที่ยากตอการพิสูจนก็คือ เปนไปไดหรือไมวา คุณสมบัติประการหนึ่งของจิตวิญญาณก็คือ มันสามารถ
เก็บกักกรรม (ซึ่งอาจเปนทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว) ที่ยังไมสงผลไวไดอยางละเอียดแมนยํา และดวย
คุณสมบัติของมัน มันจะนําสิ่งที่เหมาะสมกับกรรมีที่ยังไมไดสงผลใหมาบังเกิดในชาติถัด ๆ ไป สวน
กรรม (ดีและชั่ว) ที่สงผลแลวในชาตินี้ ยอมจบลงอยางสมบูรณ ไปแลวดวยตัวมันเอง ในฐานะชาวพุทธ
คําสอนที่วา “ทําดีไดดี และทําชั่วไดชั่วนั้น” จึงเปนคําสอนที่ปลอดภัยที่สุด เพราะวาสิ่งที่ยังไมสงผลนั้น
อาจเก็บกักไวในคุณสมบัติของจิตวิญญาณเพื่อรอที่จะสงผลตอไปในกาลเวลาขางหนาอันเหมาสมก็ได
สิ่งที่ผมไดกลาวนี้เปนความลี้ลับที่นักวิทยาศาสตรยังพิสูจนไมได แตผมรูสึกวามันปลอดภัยดีถาหากวา
กรรมที่ยังไมไดสงผลนั้น...ลวนแตเปนกรรมดี
เอาละ ผมจะเขาเรื่องเสียทีในบรรรดาสิ่งหนึ่งที่ทําใหเราไมวางไดมากที่สุดก็คือ “ความคิดของ
เรา” ผูเชี่ยวชาญดานสมองบอกเราวา มนุษยคิดกันอยูเรื่อยราววันละหาหมื่นเรื่องเห็นจะได อืมมมม...
อะไรมันจะมากขนาดนั้น! แตผมเห็นดวยเพราะวามันแคแวบเดียวอยูเรื่อย แลวเราก็กระโดดไปคิดอีก
เรื่องหนึ่งแลวก็อีกเรื่องหนึ่งไปเรื่อย ๆ เราหยุดคิดไดที่ไหนกันเลา เอาละ... เพื่อใหตลก ใครที่หยุดคิดได
ยกมือขึ้น มันไมมีปุมเปดปดความคิดนี่คุณ แลวคุณจะหยุดคิดไดอยางไร คุณอาจคานวา “เฮ... แลว
พระที่จิตวางละ ทานตองหยุดคิดไดสิ” ถูกตองแลวครับวาพระที่ฝกเจริญสติจนอยูกับปจจุบันอยางเต็ม
รอยยอมอยูเหนือความคิดได แตวาผมไมนับครับ ผมนับเฉพาะคนอยางคุณกับผมและคนทั่วไปทั่วโลก
ตางหาก พวกเราจํานวนนับไมถวนลวนแตหยุดคิดกันไมไดทั้งนั้นแหละเชื่อผมเถอะ และผมก็ไมได
ขอรองใหพวกเราหยุดคิดดวย แตสิ่งที่ผมสนใจจริง ๆ ก็คือ... เจาความคิดนั่นแหละ...มันคืออะไรละ?
คําตอบก็คือ... มันเปนพลังงานชนิดหนึ่งเชนกัน! คุณคงไมตกใจเทาไหรสินะ... ผมคาดเดา แตผมสิ ผม
ทั้งตกใจและตื่นเตนเมื่อผมเริ่มเขาใจมันในฐานะที่เปนพลังานชนิดหนึ่ง เมื่อกรอบความคิดของผมที่มี
ต อ คํ า ว า “ความคิ ด คื อ อะไร?” ได รั บ ความกระจ า งมากขึ้ น ชี วิ ต ของผมก็ เ ปลี่ ย นแปลงไปจนไม
เหมือนเดิมอีกเลย เรามาดูกันสิวาความคิดเปนพลังงานในลักษณะใด

16
บทที่ 10
มนุษยแมเหล็กไฟฟา กับกฏแหงการดึงดูดชักนําพา

เมื่อราว 75 ปกอนนักวิทยาศาสตรชาวเอเชียสองทานไดทําการทดลองอันนาทึ่ง เขาทั้งสองไดตอ


สายไฟผานกําแพงเหล็กเขากับสมองมนุษย เมื่อชายคนที่ถูกทดลองเริ่มคิด สิบหกวินาทีตอมาพวกเขา
ทั้งสองจับภาพคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดแตไมชัดเจน ในตอนนั้นเขาทั้งสองดีใจมากเพราะวามันทําใหพวก
เขารูวา...อยางนอยความคิดก็ไมใชสิ่งวางเปลาแตที่จริงมันคือพลังงานรูปหนึ่ง พวกเขาทั้งสองได
ปรับปรุงการทดลองไปเล็กนอยโดยไมเฉลียวใจเลยวากําลังจะคนพบปรากฏการณที่ยิ่งใหญซึ่งได
กลายเปนตนแบบใหนักวิทยาศาสตรทดลองซ้ํานับครั้งไมถวนเพื่อยืนยันการคนพบในครั้งนั้น พวกเขา
ทั้งสองขอใหชายที่เขาทดลองคิดถึงอะไรก็ไดโดยที่เพิ่มความเซ็ง ความเบื่อ ความสลดใจ ความกลัด
กลุมใจ ความวิตกกังวล ความหดหูใจ ความรูสึกวาทนแทบไมไหว และอะไรก็ไดที่ร็สึกแยมาก ๆ เขาไป
ในความคิดที่เขากําลังคิด พวกเขาสามารถที่จะจับภาพพลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ที่ต่ํา
มากได! ขอใหผมขัดจังหวะสักหนอยเถอะครับคุณรูไหมวานี่มันแปลวาอะไร มันแปลวา...ความคิดที่
ผสมดวยอารมณเชิงลบหรือสภาวะจิตยอดแยเขาไปก็คือ พลังงานแมเห็กไฟฟาชนิดความถี่ต่ํานั่นเอง
ในทางตรงกันขามเมื่อพวกเขาทั้งสองใหชายคนเดิมคิดถึงอะไรก็ไดโดยเติมความรูสึกที่ปติ
ยินดี ตื่นเตนเราใจ ความราเริง ความสุขใจ และอะไรก็ตามที่รูสึกดีลงไปในความคิดที่กําลังคิดอยู พวก
เขาทั้ ง สองจั บ ภาพพลั ง งานแม เ หล็ก ไฟฟ า ที่มี ค วามถี่สู ง มากได และเช น กั น นี่มั น หมายความว า
ความคิดที่ผสมดวยอารมณเชิงบวกหรือสภาพวะจิตยอดเยี่ยมเขาไปก็คือ พลังงานแมเหล็กไฟฟาชนิด
ความถี่สูงนั่นเอง
และเพราะวาเรานั้นเปนคนที่คิดอยูตลอดเวลาและมีความแปรปรวนทางอารมณสูง เราไดสง
พลังงานแมเหล็กไฟฟาความถี่สูงบางต่ําบางออกไปสูอวกาศอยูตลอดเวลาโดยไมรูตัวเลย เรานี่แหละ
คือตัวผลิตพลังงานแมเหล็กไฟฟาชั้นเยี่ยมที่สงพลังงานรูปแบบนี้ออกไปอยูตลอดเวลาไมวาเราจะรูตัว
หรือไมก็ตามในแงนี้เราไดกลายเปนมนุษยแมเหล็กไฟฟาไปโดยปริยาย เพราะวาเราคือตนกําเนิดใน
การผลิตพลังงานแมเหล็กไฟฟาที่ถูกผลิตขึ้นจากความคิดที่ผสมอารมณและความรูสึกของเรา แลว
สงออกไปสูหวงอวกาศตลอดเวลา
ทวา พลังงานแมเหล็กไฟฟานั้น มีคุณสมบัติที่นาสนใจมากอีกประการหนึ่ง กลาวคือ คลื่น
แม เ หล็ ก ไฟฟ า ความถี่ เ ดี ย วกั น จะดึ ง ดู ด กั น รวมตั ว กั น และเสริ ม แรงกั น นี่ ห มายความว า คลื่ น
แมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูง ๆ จะดึงดูดคลื่นความถี่สูงอื่น ๆ เขาหากัน มันแปลความหมายไดอีกอยาง
หนึ่งวา คนที่กําลังสงคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูง ๆ ซึ่งแนนอนวามันผลิตขึ้นมาไดก็เพราะวาเขากําลัง
คิดถึงอะไรบางอยางที่ผสมดวยความรูสึกที่ดี ยอมดึงดูดคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูงของคนอื่น ๆ ที่
กําลังสงออกไปในอวกาศเชนเดียวกันขอใหผมสรุปใหงายขึ้นโดยไมตองกลาวถึงคลื่นแมเหล็กไฟฟาวา

17
...เมื่อเราอารมณดี ราเริง ยิ้มแยมแจมใส ปติยินดี ตื่นเตนเราใจ และสุขใจอยางเหลือลน เรากําลัง
ดึงดูดชักนําพาใหคนดี ๆ สถานการณดี ๆ ความโชคดี และสิ่งดีสารพัด เขามาหาเราอยางมากมาย
มหาศาลนั่นเอง ในทางตรงกันขาม เมื่อเราเซ็ง บน ตําหนิ เบื่อหนาย ถอนหายใจมาก ๆ กลัดกลุมใจ
สลดใจ สมเพชตนเอง หดหูใจ และอะไรก็ตามที่รูสึกแยมาก ๆ เรากําลังดึงดูดชักนําพาใหคนเลว ๆ
สถานการณเลว ๆ โชคราย และสิ่งเลวรายสารพัดเขามาหาเราอยางมากมายมหาศาลเชนกัน
จะวาไปแลว คนโบราณเกงกวาที่ผมคิดไวมาก พวกเขาไดคนพบ “กฏแหงการดึงดูดชักนําพา”
มากวาสองพันปแลว อยางไรก็ตาม ในสมัยนั้น (ซึ่งสมัยนี้ก็ยังใชกันอยู) กฏนี้ไดกลาวไวสั้น ๆ อยางทรง
พลังวา “ของที่เหมือนกันดึงดูดกัน” แตในฐานะที่ผมไดศึกษาเรื่องนี้มามาก ผมไดขยายกฏนี้ใหยาวขึ้น
และตอไปนี้คือกฏแหงการดึงดูดชักนําพาฉบับใหมลาสุดของผม กฏนี้กลาววา “ของที่เหมือนกันดึงดูด
กัน เราไดดึงดูดชักนําพา ผูคน สถานการณ ความประจวบเหมาะ ตลอดจนเงื่อนไขและสภาวะการณ
ตาง ๆ ที่ตรงกับความถี่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟของเราที่สรางขึ้นจากความคิดจิตใจของเราที่สงออกไป
ในอวกาศทุกขณะอยางหลีกเลี่ยงไมได”
คุณผูอานที่รัก ดั่งที่ผมไดกลาวตั้งแตแรกแลววา พวกเราจํานวนมาไดทําตัวเปน “ผูเชี่ยวชาญ
ดานความหดหูและความเครียด” พวกเราลวนแลวแตดําเนินกลยุทธที่ผิดพลาด นอกจากจะไมไดผล
และไมไดสิ่งที่เราตองการแลว กลยุทธ เชนนั้นกลับกลายเปนสาเหตุที่แทจริงที่ชักนําแตเรื่องที่เราไม
ตองการเขามาหาเราเปนขบวนพาเหรด เราตองหยุดมันโดยการฝกฝนตนเองใหเปนผูเชี่ยวชาญดาน
ความราเริงและผองใสกันเสียที สมัยกอน ผมไดยินคนบางคนสบถวา “ถึงผมจะเซ็ง จะเครียด จะหดหู
มันก็เรื่องของผม แลวมันหนักหัวใคร!” ขอประทานโทษ ผมทราบดีวามันไมหนักหัวผม แตวาคนเลว ๆ
และสถานการณเลวรายอีกมากที่คนคนนี้กําลังไปดึงดูดเขามาหาตัวเขานั้น พวกมันไมสนใจหรอกวา
หนักหัวใคร เพราะวาพวกมันมาตามคําเชิญ แหงพลังดึงดูดชักนําพาที่สบัตรเชิญไปตามพวกมันดวย
คลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํา ๆ ชนิดเดียวกัน ใหเขามาสรางปญหาอยางไมมีทางหลีกเลี่ยงได ขอให
ผมย้ําอีกครั้งเถอะวา...มันไปหนักหัวคนเลวและสถานการณเลว ๆ ที่เขาไปเชื้อเชิญดึงดูดเขามานั่นเอง

18
บทที่ 11
ซวยซับซวยซอน เพราะสงจดหมายเชิญผิดใบ

อันที่จริงผมไมสนุกเลยที่จะรื้อฟนอดีตที่วา ผมโงขนาดไหนที่มักดําเนินชีวิตดวยการตอตานโลก ตําหนิ


ติ เ ตี ย น บ น เบื่ อ หน า ย เซ็ ง ขี้ ก ลั ว วิ ต กกั ง วล สมเพชตนเอง สั บ สน ว า วุ น ใจ หดหู แ ละอาการไร
ความสุขออีกสารพัดรูปแบบ คุณคงประหลาดวาปมเปนอยางนั้นไดอยางไร แตเชื่อผมเถอะวา พวกเรา
จํานวนมากเหลือเกินลวนตกอยูในวังวนเชนนั้น แมวาความเปนไปของชีวิตหลาย ๆ แงมุมเปนเรื่องลี้
ลับและซับซอนจนยากที่จะเขาใจไดกระจางก็ตาม แตเมื่อหวนคิดถึงเหตุการณของผม ของสังคม ของ
ประเทศ หรือแมกระทั่งของโลก ผมพบวาพวกเราทั้งโลกไดชวยกันเซ็ง วาวุน สับสน วิตกกังวลและ
หวาดกลัวกันมากขนาดไหน คุณเคยไดยินภาษาแบบนี้บางไหม...โอนี่ไงสังคมแหงความราเริงกันทั้ง
บาง โอนี่ไง...ประเทศที่ไรความวิตกกังวล โอนี่ไง ดาวนพเคราะหโลกที่มนุษยรักใครกันเหลือเกิด แต
ความจริงก็คือ เรากําลังดําเนินชีวิตอยูทามกลางคลื่นความคิดของอารมณที่เต็มเปยมไปดวยความ
กลัวไมใชหรือ!
ไม ต อ งสงสั ย เลยว า ผมได ดึ ง ดู ด เรื่ อ งไม ดี เ ข า หาตนเองมากมายเพี ย งใด กั บ ความ
รูเทาไมถึงการณของผม ผมเคยสูญเสียเงินทองกวาสิบลานบาท ลมเหลวว้ําซาก หวาดกลัว ตกอยู
ภายใตสภาวะไรความสุขที่เกิดจากความทอแทสิ้นหวัง ผมมักคร่ําครวญ โกรธตนเอง บางครั้งผมตอง
น้ําตาไหลตามลําพังเงียบ ๆ และแวบหนึ่งแหงความคิดก็คือ...ผมอยากตายใหพนไปจากสิ่งที่ผมเผชิญ
อยู อีกเนิ่นนานใหหลัง ผมถึงไดคนพบความรูที่วา อาการซวยซ้ําซวยซอนเหลานี้ลวนเกิดขึ้นจากการสง
จดหมายเชิญผิดใบของผมเอง ผมไดลงมือทําใหตนเองกลายเปนเหยื่อเสียเองโดยไมรูตัว
คุณผูอานที่รักยิ่ง วันแลววันเลาที่ผมตกอยูในสภาพอันหดหูนั้น มันเปรียบไดกับวาผมไดสงจน
หมายเชิญผิดใบที่แนบติดไปกับคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํา ๆ ของผม ในจดหมายเชิญใบนั้นมี
ขอความวา “ฉันคือความโศกเศรา ขอใหโลกนี้สงความทุกขทรมานเขามาหาฉันมาก ๆ ไดเลย” เมื่อคุณ
ไดอานมาไกลถึงเพียงนี้ คุณคงพอเขาใจแลววา กฏแหงการดึงดูดชักนําพา ไดทํางานของมันอยางแข็ง
ขัน และชักนําแตเรื่องเลว ๆ ที่ผมไมตองการเขามาเปนขบวนพาเหรด ขาวดีก็คือ หลายปมานี้ ผมไดใช
กลยุทธใหมผมฝกฝนตนเองจนกลายเปนคนที่ราเริงอยูเสมอเพื่อใหสอดคลองกับสิ่งที่ผมไดรูแลววา
อะไรเปนอะไร ผมเริ่มสงจดหมายเชิญถูกใบที่กลาววา “ฉันคือความสุข ขอใหโลกนี้สงสิ่งดีงามเขามา
หาฉันมาก ๆ ไดเลย” แมบางครั้งผมอาจกลับไปกังวล แตผมก็มักมีอนุสติที่วองไวจนสามารถกลับมารา
เริงไดโดยงายและรวดเร็ว และแลวชีวิตใหมของผมก็ดําเนินไปในลักษณะที่ไดรับพร อยางนี้สิถึงจะสม
กับการไดเกิดมาเปนคน เพื่อใหคุณเกิดอนุสติเชนกัน คุณจําตอนตน ๆ ของหนังสือเลมนี้ไดไหม ผม
ขอรองใหคุณถามตนเองเสมอวา “ฉันตองการอะไร?” ผมเชื่อแนวาคุณตองการความสุข แลวมันไมบา
หรอกหรือหากเราดํารงชีวิตสวนใหญของเราโดยพากันไปอยูในสภาวะที่แสนเซ็ง ทําไมเราไมเฉลียวใจ

19
กันเลยวา...นั่นมันผิดทางแลว มันไมใชสิ่งที่เราตองการสักหนอย แลวทําไมเรามักปลอยปละละเลยมัน
ละ บางทีเปนเพราะเราไมรูฤทธิ์เดชของการสงคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํามาก ๆ นั่นเอง และแนนอน
วาเราตองหยุดสงจดหมายเชิญผิดใบ และหันมาสงจดหมายเชิญถูกใบแบบเรงดวน บางที มันอาจชวย
เราไดมากขึ้น เมื่อเราไดรับบทเรียนจากกอนหินซะบาง

20
บทที่ 12
บทเรียนจากกอนหิน

ใหเราจินตนาการวา ทั้งคุณและผมกําลังกํากอนหินกอนหนึ่งไวในมือซาย หนึ่งชั่วโมงผานไปแตเราก็ยัง


กําอยู เราคงเจ็บมือนาดูเลยในตอนนี้ แตขอใหเรากํามันตอไป จินตนาการวาขณะนี้รกําลังกินขาวอยู
เราใชมือขวาจับชอนตักอาหารเขาปาก แตมือซายของเราก็ยังคงกํากอนหินนั้นไว นี่มันลําบากไหม
แนนอนวาลําบาก นี่มันทรมานไหม แนนอนวามันทรมาน เอาละใหจินตนาการวาเราแตละคนกําลัง
อาบน้ําอยู แตเราก็ยังคงกํากอนหินไวในมือซายตอไป กระทั่งเราออกไปพบใครหรือพูดคุยกับใคร...ก็
ขอใหเรากํากอนหินนั้นไว นี่มันบาชัด ๆ ในโลกแหงความเปนจริง เราจะกํากอนหินโดยไมวางมันลงได
สักกี่ชั่วโมงกัน! เอาละ... พพอกันที สิ่งที่เราจะทําก็คือ...แควางมันลง ความจริงงาย ๆ ก็คือ...กอนหิน
จะไมมีวันวางเรา เรานั่นแหละที่ตองวางมันลง ก็แคนั้นเอง และเราจะไดรับอิสรภาพ
ก็แลวจิตใจของเราที่กําความทุกข ความเซ็ง ความเบื่อหนาย ความกลัดกลุมใจ ความนอยอก
นอยใจ ความทอแท ความโกรธ ความอาฆาต ความหดหู ความรูสึกวาแบกรับไมไหวหรืออะไรก็ตามที่
แย ๆ ละ สภาวะจิตหรืออารมณเชิงลบเชนนั้นมิยิ่งยาวนานกวาและเลวรายกวาการกํากอนหินดวยมือ
ของเราหรอกหรือ? คุณเคยโกรธใครนานกวาหนึ่งวันไหมละ แนนอนวามันเปนไปได แตเคยไหมที่คุณ
กํากอนหินโดยไมปลอย นานถึงหนึ่งวัน ไมมีทาง! พวกเราไมยอมตื่นขึ้นมาจริง ๆ เพื่อรับรูวาอารมณลบ
จะไมยอมปลอยเรา มีแตเรานั่นแหละที่ตองปลอยวางพวกมันลงเสีย ดังนั้น เราจําเปนตองปลอยกอน
หินออกจามือของเราพอ ๆ กับที่เราตองปลอยวางเรื่องไมดีออกจากจิตใจของเราถาไมอยากทุกข
ทรมาน
แมวาผมจะไดอธิบายถึงขนาดนี้แลวก็ตาม หลาย ๆ คน ที่โทรศัพทถึงผมยังยืนยันที่จะจมอยู
ในกองทุกข พวกเขามักพูดในทํานองเดียวกันวา “ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาให
ปลอยวางเสีย” เห็นทีผมตองอธิบายตอดังนี้...

21
บทที่ 13
“ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาใหปลอยวางเสีย”

หญิงสาวคนหนึ่งโทรศัพทถึงผม เธอปรับทุกขมากมายวาชีวิตของเธอชางลําบากเหลือเกินและไมมี
ความสุขแมแตนิดเดียว ผมอธิบายหลายหัวขอที่ผมไดเขียนผานมาแลวใหเธอฟง แตเธอคานวา “ก็
ตอนนี้ฉันไมมีเงิน แลวฉันจะมีความสุขไดอยางไร” ผมจึงเผยเคล็ดลับที่จะไขเขาสูชีวิตที่แสนวิเศษให
เธอทราบโดยบอกเธอวา “ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้คุณไมมีเงิน ใหตัดสินใจเสียที่จะมีความสุขในวันนี้และทุกวัน
ใหไดแลวสิ่งที่ดูเหมือนวาเปลี่ยนแปลงไมไดจะเปลี่ยนแปลงไปเอง” ผมรูดีวาสิ่งที่ผมบอกไปอาจปฏิบัติ
ได ย ากหน อ ยในตอนแรก แต ใ นเรื่ อ งแบบนี้ ผ มไม ไ ด ห มายถึ ง ความสมบู ร ณ แ บบ แต ห มายถึ ง ให
พยายามหนอย แมนิดหนึ่งก็ถือวามีความกาวหนาแลว มันหมายถึงการฝกตนเองแบบใหมที่จะไมยอม
ตกอยูในสภาพเดิมที่เราโคตรคุนเคย (ขออภัยในความไมสุภาพเล็กนอย) เราไมเบื่อกันหรือไงกับความ
แหงแลงแหงชีวิตเชนนั้น ทําไมละ การฝนยิ้มสักเดี๋ยวจะตองใชจายหรือไง! การกระโดดโลดเตนที่ราเริง
สักนิดหนอยจะทําใหเธอคนนั้นเสียเงินเพิ่มหรือไง! เอาละ สมมติวาทั้งความหดหูและความราเริงไม
สามารถทําใหการเงินของเธอดีขึ้นมาได ก็แลวอยางไหนดีกวากันละระหวางความหดหูกับความราเริง
ดั่งที่ผมไดเลาแลว ในตอนที่เธอกลาววา “ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาให
ปลอยวางเสีย” สมมติวาผมแนะนําเธอวา “คุณตองรองไหใหมาก ๆ ใหพยายามทุกขทรมานใหมาก
ที่สุดเทาที่คุณจะทําไหว เอาเลย คุณชินแลวนี่กับพฤติกรรมเหลานั้น ประชดชีวิตมันเขาไปใหเต็มที่ ให
สมกับที่โลกนี้มันหวยแตกสิ้นดี เอาเลยลุยเขาไปเลย” คุณผูอานที่รัก เรารูดีวาคําแนะนําที่บาบอคอ
แตกเชนนั้นชวยหญิงสาวคนนี้ไมได ในเมื่อวิธีเกาที่มุงเนนความหดหูแลวมันไมเวิรค มันไมไดผล มัน
ไมไดสิ่งที่เธอตองการ งั้นทําไมไมลองวิธีตรงกันขามละ มันจะทําใหเธอเสียหายอะไรหรือถาเธอหันมา
ใชกลยุทธใหมที่ราเริงสุดขีด พฤติกรรมนี้จะทําใหเธอเสียหายมากกวาเดิมไดอีกหรือไง! แนนอนวาเธอ
ไมมีอะไรจะตองสูญเสีย แลวทําไมไมลองละ
แตขาวดีก็คือ เมื่อเธอคนนั้นตั้งหนาตั้งตาราเริงกันทั้งวัน มันเวิรค!!! ใชแลววามันจะไดผล มัน
จะคอย ๆ คลี่คลายปญหาในทุกรูปแบบใหเธอได แนนอนวาผมไมไดบอกวาเธอไมตองทําอะไรเลย แต
ผมหมายความวาใหทําทุกอยางที่ตองทําตอไปแตเพิ่มอีกนิดตรงที่ใหราเริงเขาไว ปติยินดีเขาไว ยิ้ม
แยมแจมใสเขาไว แลวพลังงานคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูงที่เธอสงออกไปในอวกาศทุกวันซึ่งเปรียบ
ได กั บ การส ง บั ต รเชิ ญ ถู ก ใบของเธอ ตลอดจนกฏแห ง การดึ ง ดู ด ชั ก นํ า พาก็ จ ะเริ่ ม ไปตามผู ค น
สถานการณและความประจวบเหมาะอันดีงามที่ถูกที่ถูกเวลา เขามาหาเธออยางนาพิศวง เธอกําลัง
กวักมือเรียกสิ่งดี ๆ ที่มีพลังงานความถี่สูงแบบเดียวกับคลื่นของเธอเขามาพัวพันในวงจรชีวิตของเธอ
นั่นเอง แลวชีวิตของเธอก็คอย ๆ ดีขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป

22
ฉะนั้นถาตอนนี้คุณยังไมมีแฟน แตคุณอยากมีแฟน แลวคุณจะมีความสุขไดอยางไร? คําตอบ
ก็คื อ “ทั้ ง ๆ ที่ คุ ณยั ง ไม มี แฟน ให ตั ดสิ น ใจเสีย ที่ จ ะทํา ตัว ให มีค วามสุข แลวคุ ณ จะดึ ง ดู ดสิ่ ง ที่ คุ ณ
ตองการ”
ถาตอนนี้คุณสุขภาพไมดีนักจนคุณลําบากลําบน แลวคุณจะมีความสุขไดอยางไร? คําตอบก็
คือ “ทั้ง ๆ ที่คุณสุขภาพไมดีนักจนคุณลําบากลําบน ใหตัดสินใจเสียทีจะทําตัวใหมีความสุข แลวคุณ
จะมีสุขภาพที่ดีขึ้น
อาจกล า วสรุ ป ได ว า ไม ว า เราจะอยู ใ นสภาวะเงื่ อ นไขใด ๆ ก็ ต าม ให ตั ด สิ น ใจเสี ย ที่ จ ะมี
ความสุขโดยทําตัวใหราเริงและมีควมสุขแลวเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะเงื่อนไขที่เราไมชอบใจ
ไดโดยไมยากเย็น ถามจริง การตัดสินใจที่จะมีความสุขนะ...มันนารังเกียจนักหรือไง พวกเราถึงไดลังเล
กันนัก!!!

23
บทที่ 14
กฏแหงการมุงเนน

เทาที่ผานมา ผมไดอธิบายวาความคิดที่เจืออารมณของเรานั้น เปนพลังงานรูปหนึ่งในรูปของคลื่น


แมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่แปรปรวนไปตามอารมณหรือสภาวะจิตของเรา นอกจากนี้ผมยังไดกลาวถึง
กฏแหงการดึงดูดชักนําพา และแนะนําใหพวกเราราเริงเขาไวเพราะนั่นคือการสงจดหมายเชิญถูกใบ
และยังเปนการกวักมือเรียกสิ่งที่ดแสนดีตาง ๆ นานาเขามาพัวพันในชีวิตของเราเปนชุดชุด มากมาย
กายกองจนเปนขบวนพาเหรด อยางไรก็ตาม ผมทราบดีวาเรื่องที่ผมบอกไปนี้เปนเรื่องที่ใหมมาก
สําหรับคนจํานวนมาก หลายคนจึงทําใจไมไดวาจะเชื่อดีหรือไม สวนผมนั้นแนนอนวาเชื่อมั่นใจสิ่งทีผ่ ม
กลาวไวทุกประการ ผมคิดวาถาเราไดพิจารณาเรื่องนี้ในอีกหนทางหนึ่ง บางทีเราอาจจะไดคําตอบที่
ชัดเจนและสอดคลองตองกันไดโดยงาย สิ่งที่ผม จะกลาวถึงก็คือ กฏแหงการมุงเนน
กฏแหงการมุงเนนกลาววา “อะไรก็ตามที่ความคิดจิตใจของมนุษยมุงเนนหรือมุงมอง ก็มี
แนวโนมวาเขาหรือเธอคนนั้นจะไดสิ่งนั้นมาครองมาก ๆ”
เพื่อที่จะใหงายในการพิสูจนกฏนี้ ผมจึงขอใหพวกเราหงายฝามือขวาขึ้นมาตรงหนา จากนั้นก็
ใหล็อกสายตาไวที่ฝามือนี้ตลอดไปหนึ่งชั่วโมง เดาสิวาเราเห็นอะไร... ก็ลายมือของเรานะสิ! แลวทําไม
เราถึงจะไดเห็นสิ่งอื่นบางละ งายจะตาย...ก็เลิกมองฝามือแลวหันหนาไปมองอยางอื่นเสียทีสิ สิ่งนี้จะ
แตกตางอะไรกับจิตใจของเรา เมื่อจิตใจของเรามุงเนนหรือมุงมองแตความเซ็ง ความหดหู และความ
กลัดกลุมใจอยูเกือบตลอดเวลา เดาสิวาเราจะไดครอบครองอะไรไวมาก ๆ ก็ความทุกขทรมานไงละ
แลวเราจะทําไงดี ก็หันไปคิดไปจินตนาการเรื่องดี ๆ บางสิพวกเรา คราวนี้พวกเราจะไดครอบครองอะไร
ไวมาก ๆ ก็ความสุขไง
คุณผูอานที่รัก อันวากฏแหงการมุงเนนนั้น ไมวาผมจะพิจารณามันอยางไร ผมรูสึกวามันชาง
เหมือนกับกฏแหงการดึงดูดชักนําพาเหลือเกิน ผมคิดวาเจาสองกฏนี้ตองเปนพี่นองฝาแฝดกันอยาง
แนนอน ผมเชื่อวาคุณคงไดไอเดียพอสมควรแลว ฉะนั้นมันถึงเวลาแลวที่เราจะตองหันมาใชกลยุทธ
ใหมดวยการสรางอารมณที่มันราเริงมาก ๆ ยิ้มแยมแจมใสมาก ๆ ณ บัดนี้ มันถึงเวลาแลวที่เราจะตอง
รูกันอยางจริงจังกันเสียทีวา พลังแหงความรูสึก หรือพลังแหงอารมณ หรือพลังแหงสภาวะจิต เปนพลัง
ที่ยิ่งใหญกวาพลังแหงความคิดมากมายนัก

24
บทที่ 15
ระหวางความคิด กับความรูสึก

นานมาแลวที่ผมมักหลงใหลวาพลังแหงความคิดคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะวาไปแลวก็ไมผิดนัก แตวา...
ความจริงที่นาตกใจสําหรับผมก็คือ ชีวิตผมไดเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลเมื่อวันที่ผมไดตระหนักวาพลัง
แหงอารมณ (หรือพลังแหงสภาวะจิต หรือพลังแหงความรูสึก) เปนพลังที่มีอานุภาพและทรงพลังเหนือ
พลังทั้งมวล พลังนี้อธิบายพฤติกรรมของเรา สิ่งที่กําลังเกิดขึ้นกับตัวเรา และพฤติกรรมของคนในโลกนี้
ไดดีเอามาก ๆ
การเปลี่ยนกรอบความคิดในเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวไดกระทบตอการดําเนินชีวิตประจําวันของ
ผมเปนอยางมาก ซึ่งผมจะคอย ๆ อธิบายตอไป
เพื่อที่จะชี้ใหเห็นถึงความแตกตางใหจงได ผมจําเปนตองลดความสําคัญของสมองลงมาเสีย
หนอย เชน ถาผมบอกวากระเพราะอาหารก็เปนแคอวัยวะชิ้นหนึ่งที่มีหนาที่ยอยอาหารเทานั้น มันยอม
งายมากที่ผมจะพูดวา “เราทุกคนไมใชกระเพาะอาหาร” ในทํานองเดียวกัน สมองก็เปนแคอวัยวะชิ้น
หนึ่งเหมือนกัน ผมยอมพูดไดวา “เราทุกคนไมใชสมอง” ยอมแนนอนอยูแลววาเราตองเปนอะไรที่มัน
มากกวาการเปนแคสมอง แตวาสมองมีความสามารถในการคิด วิเคราะห ประเมินผล ตั้งคําถาม ตอบ
คําถาม แปลความหมาย และควบคุมการทํางานของอวัยวะอื่น ๆ อีกเปนจํานวนมาก ความสําคัญของ
สมองจึงโดดเดนเหนือสิ่งอื่นใด ถึงกระนั้นก็ตาม เพียงเพราะวาสมองของเราคิดได ผมไมสามารถพูดได
วา “เราคือความคิดของเรา” ก็เราจะกลายเปนสิ่งที่เราผลิตมันออกมาไดอยางไร ก็เรานั่นแหละที่สราง
หรือผลิตความคิดออกมาจากสมอง เรายอมเปนเรา เราที่ยิ่งใหญกวาความคิด และสมมติวาเราไมได
สรางความคิดใด ๆ ขึ้นมา เราก็ยังคงเปนเราอยูดี เราไมไดกลายเปนศูนย ณ ขณะที่สมองของเราไมได
คิดอะไรเลย ผมอยากใหเรามองวาสมองเปนแคเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่มีประโยชนของเรา ดวยวิธีนี้เทานั้น
ที่เราจะตระหนักรูไดวา เราเปนอะไรที่เหนือชั้นกวาความคิด (สมอง) ของเรามาก
คําวาสภาวะจิตหรือสภาวะอารมณ หรือความรูสึก เปนคําสามคําที่แมไมเหมือนกันเปะ แตมี
บทบาทที่สําคัญกวาพลังความคิดหรือพลังสมองมาก เมื่อผมพูดวา “ตอนนี้พวกเรารูสึกกลาหาญ”
ความกลาหาญเปนนามธรรม เปนสภาวจิตหรืออารมณความรูสึกอยางหนึ่ง เปนคุณสมบัติชนิดหนึ่ง
ผมบอกไมไดวาตรงไหนของตัวพวกเราบางที่กลาหาญ ตรงที่ขอศอกขวารึ ไมใชแน ตรงที่หัวเขารึที่กลา
หาญ ไมใชอีกนั่นแหละ เมื่อพวกเรารูสึกกลาหาญตั้งแตหัวจรดเทาตลอดจนทั้งภายในและภายนอก
ของเรานั่นแหละที่อยูในสภาวะกลาหาญ ยามที่เราอยูในสภาวะจิตที่หวาดกลัว ตรงไหนของเราละที่
กลัว ก็ตั้งแตหัวจรดเทาตลอดจนทั้งภายในและภายนอกของเรานั่นแหละที่อยูในสภาวะหวาดกลัว เมื่อ
เราขนลุกซู...มันไมเลือกที่เกิดหรอก มันก็ขนลุกไปทั้งรางนั่นแหละ ผมมักชอบพูดวา “ความคิดอยูที่
สมองที่บรรจุอยูในกะโหลกของเรา แตความรูสึกอยูในรางของเรา” เมื่อเราเหยียบตะปูเราคิดที่สมองแต

25
เราเจ็บที่ไหน ของกลวย ๆ ... ก็ที่ฝาเทานะสิ ยามที่เรากินอาหารเปนพิษแลวจะเปนไง อีกครั้งที่เราคิดที่
สมองแตเราปวดที่ทอง ผมถึงพยายามพูดอยูเสมอวา...ความรูสึกอยูในรางของเรา เราจึงตองสนใจ
ความรูสึกใหมาก ๆ
เมื่อผมถามวา “ตอนนี้พวกเราคิดอะไรอยู?” มันตอบยากเพราะวาเรามักไมคิดเรื่องไหนนาน
เมื่อผมถามวา “ตอนนี้พวกเรารูสึกอยางไร?” คราวนี้พอบอกไดเพราะวาความรูสึกมักคางอยูในตัวเรา
ไดนานพอสมควรจนเรารูวาเราอยูในอารมณไหน ณ ตอนนี้ มาดูตัวอยางใกลตัวอีกเพียบ เชน
จิตรกรคนไหนก็ไดอาจเลือกไมวาดภาพในวันนี้ถาเขารูสึกวาไมมีอารมณ สมองของเขาไมได
เสีย ความสามารถในการวาดภาพของเขาไมไดหมดไป แตมันไมมีอารมณ เขารูสึกวาแมฝนทําก็คงได
ผลงานออกมาไมดี
นักเขียนบทประพันธ คนเขียนดนตรีหรือบทเพลง คนที่ชอบเขียนบทกลอน คนเหลานี้แมน
ปราศจากซึ่งอารมณแลวไซร โอกาสก็คือ พวกเขาจะไมทํากิจกรรมเหลานั้น และเชนกัน คนเหลานี้ลวน
ไมไดสมองเสีย ไมตองไปผาตัดสมอง พวกเขาแคไมอยากทําในตอนนี้เราพบวามันไมมีอารมณ
นักกอลฟอาชีพและมือสมัครเลน ในบางคราวที่เลนไดแยเอามาก ๆ ไมมีใครพูดแบบนั้นแน
พวกเขามักอธิบายวา “วันนี้จับความรูสึกไมไดเลย” แลวความรูสึกคืออะไรละ ก็คือสภาวะจิตหรือ
อารมณนั่นเอง นักกีฬาในวงการอื่นก็เชนกัน ปจจัยสําคัญอยูที่ความรูสึกมากกวาปจจัยอื่น ที่เปน
ตัวกําหนดวาพวกเขาจะทําไดดีมากหรือดีนอยแคไหน
“ไปดูหนังกันมั้ย?” ผมโทรศัพทไปชวนเพื่อน “ไมมีอารมณเลยวะ” เพื่อนบอก เดาสิวาเขา
ตัดสินใจวาไง “มึงไปเถอะ กูไมมีอารมณวะ” ฉะนั้น ในกรณีอื่นก็เชนกัน ไมวาจะเปนการไปกินขาว ไป
ภูเขา ไปทะเล ไปขับรถเลน ไปโยนโบวลิ่ง ไปวายน้ํา ฯลฯ มันตองดูกอนวามีอารมณไหม ถาไมมีแมแต
นิดเดียว ขอใหเชื่อเถอะวา มันยากเอามาก ๆ ที่มนุษยจะยอมทําอะไรก็ตามในขณะที่ไมมีอารมณเลย
และตอใหทําตาม มันจะเปนการกระทําที่ไมคอยไดเรื่องเสมอ โปรดจําไววา อารมณคือตัวชี้หลักวา
พวกเราเต็มใจแคไหนที่จะทําหรือไมทําอะไร
เพื่อที่จะปูทางใหเราเขาใจวา สภาวะจิต หรืออารมณความรูสึกของเรานั้นสําคัญอยางยิ่งยวด
ผมอยากใหเรามองมันในลักษณะคุณสมบัติ ตอไปนี้เรามาพิจารณานามธรรมตอไปนี้ดู ความรักความ
อบอุน ความกลา ความเชื่อมั่น ความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟอเผื่อแผ ความเปนผูให ความเพียร
ความพยายาม ความมุงมั่น ความยุติธรรม ความซื่อสัตย ความอดทน ความมีวินัย ฯลฯ สิ่งเหลานี้คือ
อะไรกันแน พวกมันลวนจับตองไมได ไมมีรูปรางที่พวกมันมีลักษณะเปนคุณสมบัติ เปนสภาวะจิต เปน
สภาวะอารมณหรือความรูสึก เชน ความเชื่อมันเปนความรูสึกอยางหนึ่ง ผมไมบาพอที่จะพูดวา “ความ
เชื่อมั่นเปนความคิด” อยางแนนอน เห็นไดชัดวาสิ่งเหลานี้ลวนเปนสิ่งที่นักปราชญสอนเราวา เราตองมี
สิ่งเหลานั้นเพื่อชีวิตที่เปยมสุขและประสบความสําเร็จ สรุปงาย ๆ ก็คือ คุณสมบัติเหลานั้นหรือสภาวะ

26
จิตเหลานั้น เปนอีกชื่อหนึ่งของอารมณในเชิงบวกทุกชนิด และเราตองหันมาใสใจวาเราสามารถสราง
อารมณเชิงบวกขึ้นมาไดอยางไร
ในทางตรงกันขาม อารมณเชิงลบทั้งหลายแหลก็เชนกัน เปนคุณสมบัติที่มีพลังในการทําลาย
ลางสูงสุด พวกมันจึงเปนสิ่งที่เราไมตองการอยางแนนอน สวนขาวดีก็คือ ในขณะที่อารมณเชิงลบทรง
พลังที่สุดในการทําลายลาง แตอารมณเชิงบวกก็ทรงพลังที่สุดเชนกันในการสรางสรรคทุกสิ่งที่ใหบัง
เกิดขึ้น ไมมีพลังอะไรหมัดหนักเทากับพลังแหงอารมณ และตอนนี้เราไดรูแลวดวยวา เราตองเลือกพลัง
ฝงไหน ถูกตอง...พลังแหงอารมณเชิงบวกเทานั้น
อนึ่ง การฝกสติถือวาเปนหลักปฏิบัติที่สําคัญยิ่งที่ในพุทธศาสนาของเราและสําคัญยิ่งตอทุก
ศาสนาทั่วโลก (ของดีขนาดนี้มันตองเปนสากล) พวกเราลวนยอมรับวาการมีสตินั้นเปนสิ่งที่ดียิ่ง ก็แลว
การมีสติคืออะไรเลา? การมีสติก็คือการที่เราฝกตนใหรูสึกตัวมาก ๆ นั่นเอง การมีสติเปนเรื่องของ
ความรูสึก การมีสติคือการที่เราอยูกับที่นี่และปจจุบันไดอยางมีประสิทธิภาพและไดรับประสบการณ
อะไรก็ตามที่กําลังเกิดขึ้นอยางเต็มสวนหรือเต็มที่ การรูสึกตัวนี้ไมใช “ความคิด”อยางแนนอน แตมัน
เปนสภาวะแหงอารมณที่รูสึกตัวหรือคุณภาพของจิตที่ฝกไวดีแลวจนไวมากในการรับรูถึงขนาดนี้แลว
เรายังจะไมเชื่ออีกหรือวา “ความรูสึก” ชางสําคัญยิ่งตอชีวิตของเรา

27
บทที่ 16
ตลาดหุน กับตลาดอารมณ

ในวงการคาหุนนั้น ผมขอใหสังเกตวามันเกี่ยวของกับอารมณของมหาชน มีกี่ครั้งที่เราทําตามเหตุผล...


เชื่อเถอะวานอยมาก เราไดยินแตคําศัพททางอารมณกันบอยมาก “โอ ตอนนี้ตลาดเกิดการแพนิค(ตื่น
ตกใจ) ผูคนกําลังเทขายแลวหนีออกจากตลาด” “ตอนนี้มูด (อารมณ) ตลาดไมดี ขอให wait and see
(รอและเฝาดูไปกอน)” เห็นไดชัดวาแทบไมมีใครออกมาตะโกนเลยวา “เฮ ทุกคน มีเหตุผลกันหนอย
พวกเราตองใชพลังสมองกันใหมาก ๆ เพราะวาเรามีสมองที่ฉลาดเหนือสิ่งใด เฮ วิเคราะหซิ อยาใช
อารมณสิ” แตคุณผูอานครับ ความกลัวของมนุษยเปนพลังแหงอารมณที่หมัดหนักมาก มันทําใหสมอง
เปนอัมพาต ฉะนั้น ถาหวังจะใชสมองละก็ เราตองหันมาคุมอารมณใหอยูเสียกอน คนจํานวนมากที่
หมดตัวเพราะหุน...หมดตัวเพราะคุมอารมณไมได พวกเขาทุกคนลวนแตสมอง ไมไดเสีย ผมเคย
เสียหายกับวงการหุนมาแลว ทุกวันนี้ ผมไมเลนหุนแตผมไมรังเกียจหรือเกลียดหุน ผมรูสึกขอบคุณมัน
ดวยซ้ําที่สอนผมหลายอยาง ในสมัยนั้นผมเสียหายเพราะวาผมเปนนายเหนืออารมณไมได ผมจึง
ตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง ผมตัดสินใจผิดทั้ง ๆ ที่ผมเปนบุคคลหนึ่งที่มีพลังสมองดีเยี่ยม ผมบอก
แลว มันไมเกี่ยวเทาไหรกับสมอง แตมันเกี่ยวกับสภาวะจิต สภาวะอารมณ และสภาวะความรูสึก ถา
เราอยากชนะตลาดหุน...ผมขอแนะนําใหฝกฝนสภาวะอารมณใหหนักแนนเยือกเย็น แลวเราจะยืนโดด
เดนเหนือตลาดแหงอารมณของคนทั้งปวงโอกาสที่เราจะตัดสินใจทําสิ่งที่ถูกตองจะเพิ่มสูงขึ้นมาก
พูดแลวจะตกใจ กองทุนใหญ ๆ ในตางประเทศนั้น แมพวกเขาจะวิเคราะหกันมากก็ตาม ใช
เหตุผลกันมากก็ตาม แตคนที่เกงที่สุดนั้นจะติดสภานการณจากลางสังหรณแหงความรูสึกที่แรงกลา
มาก ๆ (ซึ่งไมสามารถคนหาไดจากพลังสมอง) ที่ผุดออกมาจากสภาวะจิตที่ฝกฝนสัญชาติญาณหยั่งรู
มาอยางดี มันเปนคุณสมบัติที่เหนือกวาการคิดทางเหตุผลมาก สวนขอมูลวิเคราะหที่เปนหลักฐานบน
กระดาษนั้นเปนปจจัยรอง ตราบใดที่มนุษยมีจิตใจ ตราบนั้น มนุษยตองมีอารมณมนุษยจึงตองใช
อารมณใหเกง ๆ หนอย สุดยอดแหงการใชอารมณก็คือ “คนตาย” ถาดาวนพเคราะหโลกไมมีผูคนราว
หกพันกวาลานคนอาศัยอยูละก็ โลกใบนี้จะเปนโลกที่ไรอารมณแตเพราะวาโลกนี้มันเต็มเปยมไปดวย
อารมณ จะสูกับตลาดหุนมันก็ตองสูดวยการเขาใจอารมณตลาด เขาใจอารมณตนเอง แลวเราจะ
ตัดสินใจไดถูกตองเพิ่มขึ้นอีกเปนอันมาก

28
บทที่ 17
เราสรางอารมณขึ้นมาไดอยางไร

พวกเราลวนมีอารมณอยูตลอดเวลาตราบใดที่เรายังตื่นอยู คําถามคือ เราสรางหรือผลิตอารมณขึ้นมา


ไดอยางไร คําตอบคือ เราประกอบหรือสรางหรือผลิตอารมณขึ้นมาจากแหลงที่สรางอารมณทั้งสาม
แหลงภายในตัวเราไดแก

1. การเคลื่อนไหว
2. ภาษาที่เราใช
3. ภาพในใจที่เรามุง มองอยู

คุณผูอานที่รัก ผมกําลังจะพูดถึงเรื่องที่สําคัญเหลือเกินเปนความรูที่ทําใหชีวิตของผมไมเหมือนเดิมไป
ตลอดกาล ผมหวังและเชื่อวา มันจะสรางผลลัพธที่ยิ่งใหญใหกับคุณผูอานเชนกัน เราไปสํารวจเรื่องนี้
กันเลยเถอะ

29
บทที่ 18
อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหว

อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหวของเรา ยิ่งเคลื่อนไหวมาและรวดเร็วมาก เราก็ยิ่งสรางอารมณที่


เรียกวา “รูสึกดี” ไดมาก ถาเราเคลื่อนไหวนอยและชาเอามาก ๆ เราก็จะมีอารมณนอยตามไปดวย ใน
กรณีนี้เรามักจะอยูในสภาวะที่เรียกวา “รูสึกแย” นั่นเอง ยกตัวอยางเชน
ตอนนี้ผมขอใหพวกเราปรบมืออยางชา ๆ เรารูสึกอยางไร อืมมมม... ก็สุดแสนจะธรรมดา เอา
ละ ไหนลองปรบมือเขาหากันแรงขึ้นแลวกระชากออกจากกันอยางเร็วที่สุดซิ ทําสักสี่หาครั้งดูคราวนี้
พวกเรารูสึกอยางไร รูสึกดี ใชไหม? คราวนี้ลองแบบใหม ใหเอาหลังมือซายปะทะเขากับฝามือขวา
อยางรวดเร็วแลวกระชากออกจากกันอยางรวดเร็วที่สุดโดยใหมือทั้งสองแยกออกจากกันใหกวางถึง
หัวไหล ลองทําดูสักสี่หาครั้ง เปนอยางไรบาง พวกเรารูสึกวาไดอารมณและรูสึกดีไหม? สําหรับผมแลว
...การทําแบบนี้มันทําใหผมรูสึกวาเยี่ยมมาก
ใหลองจิตนตนาการวาพวกเรากําลังอยูในสนามเพื่อเชียรฟุตบอลนัดโปรดของเรา เอาละ มอง
ไปเชียรลีดเดอรหนอย สมมติวาเธอกําลังสั่นขอมือดวยลีลาที่ชาเอามาก ๆ นั่นจะเปนยังไง...โอ.อะไรจะ
ไรอารมณถึงเพียงนั้น ผมบอกไดเลยวาควรเอาเธอคนนี้ไปเก็บซะ ในโลกแหงการเชียรที่แทจริงนั้นเปน
อยางไรกันแน บรรดาเชียรลีดเดอรทั้งหลายลวนเคลื่อนไหวคลองแคลววองไว สั่นมือไวถึงไวมาก แลว
เกิดผลอยางไรละ โอ... ชางไดอารมณเสียจริง
สมมติวาตอนนี้พวกเรากําลังเพลงชนิดเราใจและดิ้นกันอยูการดิ้นคือการเคลื่อนไหวที่คอนขาง
เร็วในตัวมันเอง ฉะนั้นไมตองสงสัยเลยวามันไดอารมณ ปจจุบันนี้ผมไมพูดวา “อารมณจา ลอยมาหา
ผมหนอย” ชางไรสาระสิ้นดี แทนที่จะเปนเชนนั้น ผมจะเปดเพลงสนุก ๆ และดิ้นไปสักพัก ทันใดนั้นเอง
ผมไดผลิตอารมณเชิงบวกขึ้นมาแลว ยิ่งไปกวานั้น ผมนิยมเตนแอโรบิคทีตอเนื่องยาวนานถึงวันละ 45
นาที โอสวรรค! มันไดอารมณอยางแทจริง นอกจากนี้ถาใครก็ตามชอบออกไปวิ่ง...เอาเลย..งนั่นแหละ
วิธีผลิตอารมณอันยอดเยี่ยมอยางนึ่ง
เห็นไดชัดวา การออกกําลังกายทุกชนิดสรางอารมณ (ดี) เพราะวาการออกกําลังกายตอง
เคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นเราตองออกกําลังกายกันบอย ๆ หนอย ถาเราอยากสรางอารมณ ผมมีเรื่อง
ตลกจะเลาใหคุณฟง คุณเคยเห็นผีจีนเคลื่อนไหวไหม มันยกมือสองขางออกไปขางหนา และกระโดด
ดวยขาสองขางพรอมกันไปขางหนา คุณเห็นภาพที่ผมอธิบายไหม ผมบอกไดเลยวา พวกผีจีนชาง
เคลื่อนไหวไดไรอารมณเหลือเกิน พวกมันเคลื่อนไหวดวยทาทางที่เชื่องชามาก ฉะนั้นในคราวหนาถา
พวกเราเจอกับพวกมัน (ผมพูดยังกับวามีผีไดจริง ๆ งั้นแหละ) ผมขอแนะใหพวกเราแคผละออกจาก
เสนทางการเคลื่อนที่ของพวกมันสักเล็กนอย เจาผีหนาโงพวกนั้นไมมีทางตามเราพบหรอก ตราบใดที่
พวกมันยังเคลื่อนไหวดวยอาการที่โง ๆ เชนนั้น! และที่ตลกไมแพกันก็คือพวกซอมบี้หรือกซากศพเดิน

30
ไดของหนังฝรั่งก็โงพอกัน บรรดากองทัพซอมบี้จะเคลื่อนไหวแบบเดินโงนเงนไปมา แถมมันยังเชื่องชา
แบบชนิดที่วา ตอใหเด็กสามขวบที่ยังอมมือวิ่งหนีพวกมันพวกมันก็ไมมีวันตามทันไดหรอก ถึงกระนั้นก็
ตาม พวกฝรั่งกลับสรางหนังชนิดนี้ออกมาตั้งหลายเรื่อง ชางสมจริงสมจังอะไรขนาดนั้น... ที่พวกมัน
เหลาซอมบี้สามารถทํารายผูคนในหนังไดสําเร็จ (ผมประชดนะ)
ใหสังเกตคนซึมเศราที่เรารูจัก พวกเขาอยูในสภาวะเบื่อหนาย เซ็ง และหดหู ผูคนที่ตกอยูใน
สภาวะไรอารมณเชิงบวกนั้นมีอะไรที่เมือนกันมากประการหนึ่งละ คําตอบคือการใชกายที่เคลื่อนไหว
นอย ๆ และเชื่องชาเสมอ เราเคยพบใครบางที่สลดหดหูแลวกระโดดโลดเตน...ไมมีทาง ที่เราพบอยู
เสมอคืออาการที่เคลื่อนไหวชาดุจรางที่ไรชีวิตจิตใจ เซื่องซึม นัยนตาตก สีหนาหมนหมอง ชอบกมหนา
กมตา นั่งกอดหัวเขา เอาหนาซบฝามื ไหลงุม คอตก ฯลฯ สิ่งเหลานี้ลวนบงชี้วาไมไดอยูในสภาวะที่จะ
เคลื่อนไหวไดวองไวและรวดเร็ว หากเราเจอใครในลักษณะที่กลาวมา โดยที่เราไมตองไปเรียนเรื่องโหง
วเฮงใหเสียเวลา เราสามารถอานคนนั้นออกไดเลยวา เขาไรอารมณ (บวก) ซึ่งมีโอกาสที่เราจะมองออก
ไดอยางถูกตองมากกวาดูผิด ดวยเหตุนี้เอง ผมมักชอบอานคนโดยดูวาพวกเขาเคลื่อนไหวอยางไร พวก
เขาใชรางกายอยางไร ยิ่งไปกวานั้น เพราะวาผมไดรูแลววา อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหว
ยามใดก็ตามที่ผมจับไดวาตนเองกําลังอารมณไมดี ผมจะรีบแกไขดวยการออกกําลังกายทันทีถามี
โอกาสอํานวย ผมเปลี่ยนอารมณไดเร็วมาก เมื่อผมเปลี่ยนไปเคลื่อนไหวรางกายใหเฉียบขาด ให
รวดเร็ว นี่คือประโยชนอันเหลือเชื่อที่มีคนรูนอยมาก ยิ่งไปกวานั้น เมื่อเราไดออกกําลังกายไปสัก 25
นาที โอกาสที่ สารเอนดอร ฟ น ในสมองจะหลั่ง นั้น มีม าก มั น เป น มอรฟ น ตามธรรมชาติที่อ อกฤทธ
ตอตานความเจ็บปวดและความหดหู ดังนั้นเราจึงอยูสภาวะสมองปลอดโปรงและจิตใจเบิกบาน ใน
ยามนั้นเราจะรูสึกดีเอามาก ๆ
คราวนี้ใหคิดถึงอะไรที่มันเร็ว ๆ เชน การเลนสกีน้ํา สเก็ตลูกลอ สเก็ตน้ําแข็ง กีฬาโตคลื่น การ
แลนเรือใบ การลองแกง ขึ้นรถไฟเหาะตีลังกา การโดดบันจี้จั้มป และการโดดรามดิ่งพสุธา กิจกรรม
เหลานี้ มีอะไรที่เหมือนหรือคลายกัน ความรวดเร็วไง เอาละ เราเคยเห็นใครที่กําลังทําสิ่งเหลานีแ้ ลวหด
หูบาง...ไมมีทาง
สมมติ ว า เรากํ า ลั ง ตี ก ลองใหญ ด ว ยจั ง หวะที่ ร วดเร็ ว ร อ นแรงสมมติ ว า เรารั ว กลองโดยใส
เรี่ยวแรงลงไปอยางเต็มที่และหนักหนวงแลวเราจะอยูในอาการอยางไร เรายอมรูสึกตื่นเตนเราใจ ราเริง
ปติ ยินดี สนุกสนาน หรรษา เกษมสําราญ ฯลฯ ความหดหูนะหรือ...มันดํารงอยูไมไดหรอกในการ
เคลื่อนไหวที่ทรงพลังเชนนี้
เอาละพวกเรามาทําการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังกัน ขอใหเรายืนขึ้นและกํามือขวาใหแนน ชูมัน
ขึ้นไปที่เหนือศรีษะจนสุดแขนแลวตะโกนวา “เยส” โปรดทําสักสองสามครั้งในทุก ๆ เชา เราไดสราง
อารมณที่มั่นใจขึ้นมาแลว อารมณแบบนี้ก็เชนกัน มันถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหวที่เฉียบขาดและ
รวดเร็ว คราวนี้เอาใหมใหเรากํามือใหหลวมสักหนอย ชูมือขึ้นไปใหชาและขี้เกียจที่สุดเทาที่เราจะทําได

31
จากนั้นก็ใหกระซิบอยางแผวเบาวา “เยส” ดวยเสียงสั่น ๆ เปนไงบาง...โอใหตายสิโรบิ้น... มันชางไร
อารมณจริง ๆ

32
บทที่ 19
อารมณถูกสรางขึ้นจากภาษาที่เราใช

นอกจากวาเราตองเคลื่อนไหวแลว เรายังทําอะไรอีกที่บอยมาก เราตองคุยกับตนเองหรือไมก็คุยกับคน


อื่น ตอนนี้ผมขอใหพวกเราหยุดคุยกับตัวเองจะไดไหม...ไมมีทาง พวกเราไมคุยกับคนอื่นเลยจะไดไหม
...ไมมีทาง ผมสรุปไดวา เราตองคุยทั้งกับตนเองและผูอื่นอยูเสมอ ๆ ตราบใดที่เรายังอยูบนโลกใบนี้
แตเรื่องมันไมจบแคนั้น 95 % ของถอยคําที่เราใชเพื่อสื่อความกับตนเองและผูอื่นนั้น...มันสรางอารมณ
คําพูดที่เราใชเปนแหลงที่สองในการสรางอารมณ ยกตัวอยางเชน
“ฉันมันไมไดเรื่อง”
เปนไง... พูดกับตนเองอยางนี้เซ็งมั้ย...แหงอยูแลว แลวเซ็งคืออะไรละมันก็คืออารมณ

“ในโลกนี้ไมมีใครรักฉันสักคน”
เปนไง...พูดกับตนเองอยางนี้ เซ็งมั้ย... เซ็งยกกําลังสองไปเลย

“นายมันหวยแตก ไปตายซะ”
พูดอยางนี้กับคนอื่นแลวเขาโกรธมั้ย เขาเจ็บใจมั้ยเขาเซ็งมั้ยของตายอยูแลว

“ฉันหมดหนทางแลว ฉันจบแลว ชีวิตฉันพังแลว”


แลวพูดอยางนี้กับตนเองละเซ็งมั้ย คุณพนันไดเลย

“ทําไมแมไมเคยเขาใจฉันเลย ฉันคิดแลวมันนานอยใจจริง ๆ”
แลวอยางนี้ละ...หดหูมั้ย แยมั้ย มันแนนอนอยูแลว

คุณผูอานที่รัก คําพูดนั้นสรางอารมณไดงายเอามาก ๆ สุภาษิตไทย บอกวา “ปากเปนเอก เลข


เปนโท” ยอมหมายถึงใหพูดจาดีใหไพเราะพูดใหเหมาะพูดใหควร และพูดใหชาญฉลาด สมัยกอนผม
นึกวาการพูดจาดี ๆ กับตนเองเปนเรื่องธรรมดา แตผมเขาใจผิดไป ที่จริงแลว การพูดจาดี ๆ กับตนเอง
นั้น คือการสรางปาฏิหาริยใหกับตนเองทุกวัน หากวาจะรอใหคนอื่นมาพูดดีกับเรา เพื่อที่วาเราจะได
ชอบใจและอารมณดีใครจะรับประกันวามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหรและบอยขนาดไหน แตกับตัวเองซิ เราทํา
ไดเองทุกเมื่อเชื่อวันอยูแลวโดยไมตองพึ่งใคร เราตองพูดจาภาษาดอกไมกับตนเองใหมาก ๆ เพราะวา
มันสรางอารมณเชิงบวกไดอยางมาหศาล ผมมีเทคนิคที่สําคัญมากในการพูดเพื่อสรางอารมณ เทคนิค
นี้คือ การพูดถอยคําที่คัดสรรแลวดัง ๆ ดุจวาเปนคาถาวิเศษ ตอไปนี้เปนตัวอยางการพูดที่ผมชอบใช
ผมขอใหพวกเราสวมวิญญาณโดยพูดแบบตะโกนดัง ๆ และใสความรูสึกเขาไปใหเต็มที่ เมื่อเราทํา

33
เชนนั้น รางกายของเราจะเริ่มตอบสนองไปตามอารมณที่เราสราง และกอใหเกิดความรูสึกที่ดีมากตอ
ตนเอง เราไดสรางสภาวะจิตที่ทรงพลังขึ้นมาในพริบตา อาจกลาวอีกอยางไดวา นี่เปนวิธีที่เราปลอย
คลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูง ๆ ออกไปสูอวกาศ และดวยกฏแหงการดึงดูดชักนําพา เรากําลังกวักมือ
เรียกสิ่งที่ดีที่มีคลื่นความถี่สูง ๆ ตรงกันเขามาหาเรานั่นเอง เอาละตอไปนี้คือ “คาถาวิเศษ” ที่เราตอง
ตะโกนดัง ๆ

ƒ ทุก ๆ วัน และในทุกหนทาง ฉันรูสึกดีขึ้น ดีขึ้น และดีขึ้น


ƒ ทุก ๆ วัน และในทุกหนทาง ฉันรูสึกเข็มแข็งมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น
ƒ ทุก ๆ วัน และในทุกหนทางฉันรูสึกมีความสุขมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้น
ƒ ฉันเปนมนุษยแมเหล็กคลื่นความถี่สูง ฉันดึงดูดแตสิ่งที่ดี ๆ เขามาหาตลดเวลา
ƒ สิ่งที่หยุดยังฉันไวคือความกลัว สิ่งที่ปลดปลอยฉันคือความกลา
ƒ การตัดสินใจคือบิดาแหงการกระทํา และดวยการลงมือทําคือการเริ่มตนที่แทจริง
ƒ ฉันเกิดมาเพื่อมีชัย เพื่อความสุข และความสําเร็จ
ƒ ฉันแข็งแรงยิ่งกวาวัวกระทิง ฉันแข็งแรงยิ่งกวามาแขง
ƒ ความฉลาด คือการหลีกเลี่ยงความคิดใด ๆ ที่ทําใหออนแอ
ƒ ฉันยอดเยี่ยม ฉันยิ่งใหญ ฉันทําได ฉันมีพลัง
ƒ ฉันจะฝกตนเองใหมีความสามารถตามที่ฉันตองการ

คุณผูอานที่รัก คุณตองเริ่มตนเสียทีดวยการฝกตะโกนดัง ๆ นี่คือวิธีสรางอารมณอันยอดเยี่ยมและ


งายดาย ขอใหสวมบทบาทดั่งดาราตุกตาทองที่ตองแสดงบทคนที่จะตะโกนดัง ๆ ดวยการใสความรูสึก
ลงไปใหเต็มที่ และใชน้ําเสียงที่เฉียบขาดฉาดฉาน
ผมนั้นไดตะโกนดัง ๆ ในรถมานับครั้งไมถวน มันวิเศษมาก เพียงทําวันละสัก 5 นาทีก็เพียงพอ
มันชางรวดเร็วเหลือเกินกับการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันราวกับพลิกฝามือ ยังมีอะไรที่ลงทุนนอยขนาดนี้
แตใหผลลัพธที่ยิ่งใหญเชนนี้ไดอีกหรือ...ไมมีทาง

34
บทที่ 20
ผมกลายเปนสายลม

การพูดดี ๆ กับตนเองสําคัญจริง ๆ หรือ? คุณพนันไดเลยวาใชและคุณจะยิ่งแนใจเมื่อคุณอานหัวขอนี้


จบ สมมติวาผมกับคุณรูจักกันและทุกครั้งที่ผมเจอคุณผมก็จะดาคุณ แลวคุณจะร็สึกอยางไร แนนอน
วาคุณยอมเกลียดชังผม เราอาจะถึงขั้นทะเลาะกัน ดากัน ชกตอยกัน และเหม็นหนากันมาก ทุกอยาง
ลวนเปนไปได แตตนตอของปญหามันอยูที่ตรงผมพูดจาไมดีกับคุณเสมอ ผมวาคุณดาสารพัดแลวใคร
ละจะทนได คุณตองเกลียดโกรผมแน นี่มันแสนจะปกติธรรมดา คราวนี้ผมขอสมมติเพิ่มเติมอีกหนอย
ผมขอสมมติวาผมกลายเปนสายลมที่ลอยเขาไปในตัวคุณ ตั้งแตนี้ไปผมอยูภายในจิตใจของคุณ และ
ผมก็เริ่มพูดดวยเสียงในใจที่เหมือนของคุณโดยดาและดูถูกคุณสารพัดแตคุณไมรูวาผมเปนสายลมที่
สิ่งอยูภายในจิตใจของคุณ คุณนึกวาเสียงที่ไดยินในใจมันคือเสียงของคุณ คุณนึกวาคุณกําลังคุยกับ
ตนเองโดยดาตนเองอยู คําถามคือ...คราวนี้คุณโกรธตัวเองไหมที่ดาวาตนเอง? พวกเราลวนไมโกรธ
ตนเองไมใชหรือเมื่อเราดาตนเองหรือพูดจาไมดีกับตนเอง เราไมรูเลยวานี่แหละคือตนตอที่ทําใหเราเซ็ง
หรือหดหูเมื่อเราชอบดาวาตนเอง แตเรารูวาเราทําอะไรกับเสียงในใจนั่นไมได เราจึงไมไปชกมันใน
ฐานะที่ปากเสียเหลือเกินเพราะวามันเปนไปไมได หากวาเราลากคอเสียงนั่นเอกมาได เราก็คงเอาเรื่อง
โดยชกปากมันไปแลวจริงไหมละ แตคุณผูอานที่รัก เราไมจําเปนตองไปพยายามทําสิ่งที่เปนไปไมได
หรอกครับ เรามีวิธีที่งายกวานั้นแน
คราวนี้สมมติใหมวา ทุกครั้งที่ผมพบคุณ ผมจะสรรเสริญคุณเสมอวาคุณยอดเยี่ยมและเกง
เหลือเกิน คุณคือฮีโรของผม คุณคือคนที่ผมแสนปลื้ม แลวมันจะเปนไง คุณตองชอบผมนะสิ คุณจะ
เกลียดผมลงคอเชียวหรือในเมื่อผมพูดกับคุณดวยภาษาดอกไมอยางจริงใจทั้งตอหนาและลับหลัง คุณ
ตองรักผมนะสิ และอีกครั้ง ผมขอสมมติวาผมกลายเปนสายลมที่ลอยเขาไปในตัวคุณ ตั้งแตบัดนี้ไป
ผมอยูภายในจิตใจของคุณ และผมก็เริ่มพูดดวยเสียงในใจที่เหมือนกับของคุณโดยชืนชมและสรรเสริญ
คุณสารพัด แตคุณไมรูวาผมเปนสายลมที่สิ่งอยูภายในจิตใจของคุณ คุณนึกวาเสียงทีไดยินในใจมันคือ
เสียงของคุณ คุณนึกวาคุณกําลังคุยกับตนเองโดยชื่นชมตนเองอยู คําถามคือ...คราวนี้คุณจะรูสึกดีกับ
ตัวเองไหมที่ไดยินคําพูดอันแสนไพเราะนั้นอยูเสมอ ๆ อืมมมม...มันของแนอยูแลวนี่
คําถามสุดทาย มันจําเปนไหมที่คุณตองรอใหใครสักคนกลายเปนสายลมที่เขาไปสิงอยูใน
ภายในจิตใจของคุณและบังเอิญวาหมอนั่นชอบคุณเอามาก ๆ จนพูดภาษาดอกไมดวยน้ําเสียงที่
เหมือนกับของคุณเปยบเลย ก็แลวมีใครในโลกนี้ที่กลายเปนสายลมไดละ ฉะนั้น ทําไมคุณไมทําใหมัน
งายดวยการจัดสินใจวา ตอไปนี้คุณจะฝกฝนการพูดจากับตนเองบอย ๆ จนกวาเสียงในใจจะกลายเปน
การสื่อสารกับตนเองที่ดี ๆ อยางอัตโนมัติ และวิธีหนึ่งที่ไดผลงายดายคือการฝกตะโกนดัง ๆ ตามที่ได
กลาวมาแลว เมื่อคุณทําไดแลว คุณจะรูสึกวาคุณไมทํารายตนเองอีกตอไปแลว ไมมีเหยื่ออีกแลว โปรด

35
จําไววา 95 % เต็มของคําพูดของคุณสรางอารมณเสมอ และคุณคือผูเลือกถอยคําไมใชถอยคําที่เลือก
ตัวมันเอง

36
บทที่ 21
คุณภาพชีวิต คือคุณภาพของการสื่อสาร

ผมไดกลาวมาแลววาพวกเราลวนตองสื่อสารกับตนเองและผูอื่นอยูเกือบตลอดเวลา คุณภาพชีวิตของ
เรายอมตองขึ้นกับความสามารถในดานนี้ของเราอยางแนนอน คําถามคือ เราสื่อสารไปเพื่ออะไร
คําตอบอาจมีมากมาย แตโดยรวมก็คือเพื่อใหไดในสิ่งที่เราตองการไมวาสิ่งนั้นจะคืออะไร ฉะนั้นสาม
คําถามตอไปนี้คือหัวใจสูงสุดแหงการสื่อสารนั่นคือ

1. ที่ฉันพูดหรือแสดงออกกับตนเองอยางนี้ ฉันตองการอะไร?
2. ทีฉ่ ันพูดหรือแสดงออกกับเขาอยางนี้ ฉันตองการอะไร?
3. ที่เขาพูดหรือแสดงออกกับฉันอยางนี้ เขาตองการอะไร?

คุณผูอานที่รัก กี่ปแลวที่พวกเราไมเคยฉุดคิดหรือเกิดอนุสติขึ้นมาไดวา พวกเราตองการอะไร


กันแนจากการพูดจากัน ผมมักพบวาคนเราจํานวนมากพูดกันไมรูเรื่อง โดยตางฝายก็อางวาอีกฝายนั่น
แหละที่พูดไมรูเรื่องมันจะมีโอกาสเขาใจหรือรูเรื่องมากขึ้นเมื่อคนเราหันมาตั้งคําถามทั้งสามนี้บอยมาก
ที่สุดเทาที่จะทําได ลองดูตัวอยางตอไปนี้
เมื่อแมของเรางอนใสเรา ถามตนเองซิวา “ที่คุณแมงอนใสฉันอยางนี้ คุณแมตองการอะไร?”
ถาเราคิดออก เราจะมีวิธีตอบสนองไดตรงกับความตองการของทานได และปญหาการงอนก็จะยุติลง
เหลือไวแตความสุขและความเขาใจอันดีตอกัน โปรดจําไววา การงอนมักหมายถึง “นี่เธอชวยอธิบาย
บางเรื่องที่ฉันไมชอบหรือไมเขาใจใหชัดเจนหนอยสิ เพื่อวาฉันจะไดรูสึกดีขึ้น” ดังนั้นเราตองคิดหนอย
วา “เราทําอะไรไดบางแลวคุณแมจะรูสึกดีขึ้น” แลวการงอนจะหายเปนปลิดทิ้ง
หลายครั้ ง ที่ เ ราพบคนพูด จาโออ วดตนเองหรื อ พวกขี้โ มนั่น แหละเป นไปไดว า เราอาจรูสึ ก
หมั่นไส แตเมื่อเราเริ่มถามตนเองวา “ที่เขาพูดหรือแสดงออกอยางนี้ เขาตองการอะไร?” เราอาจรูได
ทันทีวาเขาตองการการยอมรับ หรืออยากใหตนเองมีความสําคัญดังนั้นถานั่นไมเหลือบากวาแรง เรา
ยอมหาตอบสนองไดอยางพอเหมาะมากขึ้น เมื่อเราเขาใจเขาได เราจะหมั่นไสนอยลง
ในกรณีที่เราตองเจรจาตอรองทางธุรกิจ เรายิ่งตองถามคําถามทั้งสามขอนั้นใหมาก ๆ บางครั้ง
การถามถึงความตองการตรง ๆ อยางสุภาพก็มักใชไดผลดี อาจทําใหประหยัดเวลาและเลิกพูดจาออม
คอมไดเปนอันมาก มันคือเคล็ดลับแหงความสําเร็จทีเดียว
ยิ่ง คนรัก กัน ยิ่ง ตองเกง ในการตั้งคําถามทั้ง สามขอใหได ผมกับภรรยาดู ละครไทยด วยกัน
บอย ๆ โดยมากแลวพระเอกกับนางเอกจะงอนกันไปงอนกันมา มันตลกมากที่ตัวละครที่รักกันแท ๆ

37
สามารถสื่อ สารให อีก ฝ า ยเข า ใจผิ ด ไดอ ยูเ รื่อ ย ๆ แนน อนวา นั่ น คื อ ละคร แต มั น สะท อนวา มนุ ษ ย
ไรประสิทธิภาพขนาดไหนในการสื่อสารถึงสิ่งที่พวกเขาตองการ
การทะเลาะเบาะแวงภายในครอบครัวนั้น สวนมากเกิดจากสาเหตุเล็ก ๆ แลวคอย ๆ ลุกลาม
ใหญโตขึ้น จนควบคุมไมได สิ่งนี้คือขอพิสูจนวาคนเราขาดทักษะขนาดไหนในการพูดจาสื่อสารกัน สิ่ง
ที่ตามมาก็คือ การทํารายซึ่งกันและกัน การฟองรองกัน การฆาตัวตาย หรือแมกระทั่งการวาจางใหฆา
กัน หนทางแกไขคือการขจัดสาเหตุของการสื่อสารที่ไรประสิทธิภาพออกไปเสียตั้งแตตอนแรก คําถาม
ที่สําคัญทั้งสามนั้นชวยไดอยางแทจริง
ความขัดแยงระหวางคนในองคกรเดียวกัน ความขัดแยงระหวางบริษัท หรือแมกระทั่งประเทศ
ที่เปนคูอริกัน เชื่อเถอะวาเกิดจากการที่พูดกันไมรูเรื่อง กรณีที่อเมริกาถลมอิรักนั้น เปนตัวอยางหนึ่ง
ของความลมเหลวในการพูดจากันอยางชัดเจน อันที่จริงนั้น ความขัดแยงทั้งปวงลวนมีสาหุตมาจาก
การพูดจากันไมรูเรื่องทั้งสิ้น พวกเขาจะเพิ่มโอกาสแหงสันติภาพและความปรองดองกันไดมากขึ้นเมื่อ
หันมาถามคําถามที่สําคัญทั้งสามขอนั้น
คุณผูอานที่รัก กอนที่คุณจะพูดอะไรออกไป กอนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป โปรดถามตนเองวา
“ฉันตองการอะไร?” เสียกอน เมื่อคุณเจอกับสถานการณบางอยางหรือใครบางคนที่ทําใหคุณสับสนวา
ควรจะทําอยางไรดีใหถามวา “ตอนนี้ฉันตองการอะไร และที่เขาพูดหรือทํากับฉันอยางนี้ เขาตองการ
อะไร?” เมื่อคุณไดถามคําถามที่สําคัญนี้แลว ผมมั่นใจวา...คุณจะรูดวยตนเองวา...คุณจะทําอะไร
ตอไปที่เหมาะสมไดเอง

38
บทที่ 22
องคประกอบทั้งสามของการพูดจากัน

บางทีเมื่อเราไดรูเรื่องตอไปนี้รวมกับหัวขอที่แลว เราจะกลายเปนผูเชี่ยวชาญดานการพูดจากันไดไม
ยาก การพูดจากันนั้นมีองคประกอบทั้งสามไดแก

1. “เนื้อหาหรือคําพูด” ที่ใชในการสื่อความ
2. น้ําเสียงที่ใช
3. ภาษาทาทาง

เดาสิวา “คําพูดที่เราใช” ในการพูดจากันสรางความรูสึกหรือผลกระทบตอผูฟงสักเทาไหร แค 7% เทา


นั้นเอง แลวน้ําสียงที่ใชพูดละจะมีผลกระทบตอผูฟงสักเทาไหร มันมีผลถึง 38 % สวนภาษาทาทางใน
การพูดนั้นจะไดคะแนนมากที่สุด เพราะวามันสงผลกระทบกับผูฟงถึง 55 % องคประกอบทั้งสามนี้
บอกอะไรกับเราบาง
ตอใหเราพูดกับเพื่อวา “เธอเปนคนที่ใชไมไดเลย” ก็ตามถอยคํานี้จะสงผลกระทบตอความรูสกึ
ของเพื่อนเราเพียง 7 % หรือนิดเดียวเทานั้นเองถาเราใชน้ําเสียงที่ไมจริงจัง ฟงดูตลก เชนเสียงแหลม
เหนือนเสียงหนูในการตูน และทาทางของเราก็แสดงออกอยางเต็มที่วาเราลอเลน เห็นไดชัดวาอีก 93
% ของน้ําเสียงและภาษาทาทางจะกระทบตอผูฟงมากกวาวา...การสื่อความครั้งนี้ไมไดมีความหมาย
ตามถอยคําที่ใช ผลคือเพื่อจะไมโกรธและจะหัวเราะเสียมากกวา
ในทางตรงกันขาม เมื่อเราพูดกับเพื่อนวา “เธอเปนคนที่ใชไมไดเลย” ถึงแมถอยคํานี้จะสงผล
กระทบตอความรูสึกของเพื่อนเราเพียง 7 % หรือนิดเดียวเทานั้นเองก็ตามแตถาเราใชน้ําเสียงที่
เด็ดขาดจริงจัง เสียงดังฟงชัด และทาทางของเราตลอดจนสีหนาก็แสดงออกอยางเต็มที่วาเราพูดจริง
คราวนี้อีก 93 % ของน้ําเสียงและภาษาทาทางจะกระทบตอผูฟงวา...การสื่อความครั้งนี้มีความหมาย
ตรงตามถอยคําที่ใชเปะเลย ผลคือเรากําลังบอกขเดวยคะแนน 100 % เต็มวา “เธอเปนคนที่ใชไมได
เลย” และแนนอนวาจะมีผลกระทบตอเพื่อนคนนี้ถึง 100 % เต็มเชนกัน เธอยอมตองโกรธแนที่รูสึกวา
...นี่ฉันกําลังถูกดาอยูชัด ๆ เลย
บางครั้งแมเราพูดกับใครบางคนวา “นี่ฉันไมไดโกหกแมแตคําเดียวนะจะบอกให” คนฟงจะเชื่อ
ตามคําพูดนี้เพียง 7 % เทานั้นเอง ที่เหลือก็ตองมาดูวาน้ําเสียงที่ใชเปนอยางไร สมควรจะเชื่อเพิ่มอีก
38% หรือไม และทาทางในตอนที่พูดละเปนอยางไร สมควรจะเชื่อ เพิ่มอีก 55% หรือไม นี่คือเหตุผลวา
บางครั้งเราพูดจริงทุกถอยคําแตบางคนกลับไมเชื่อเรา และในบางครั้ง ทั้ง ๆ ที่เรากําลังโกหก แตคนที่

39
ฟ ง อาจเชื่ อ ก็ ไ ด มั น ขึ้ น กั บ องค ป ระกอบที่ เ หลื อ ของน้ํ า เสี ย งและภาษาท า ทางว า เราใช พ วกมั น ใน
ลักษณะใด เห็นไดชัดวา ถอยคําในตัวของมันเองนั้น สงผลนอยมาก
ลองคิดถึงตอนที่เราสําออยไมยอมไปโรงเรียนดูสิ จําไดไหมวาตอนที่เราพูดวา “วันนี้ผมไป
โรงเรียนไมไหวครับ” พวกเราทําเสียงออยหรือสั่น และทาทางก็ประดุจวาหมดเรี่ยวแรง สวนหนาตา
ตลอดจนแววตาก็แสดงออกใหนาสงสารที่สุด ในทายที่สุด เราก็ไดรับอนุญาตใหหยุดพักไดหนึ่งวัน ผม
ขอถามวา...อะไรกันแนที่ทําใหพอแมเราเชื่อวาเราไปไมไหว มันคือถอยคําอยางนั้นหรือ ไมใชแน แตมนั
คือน้ําเสียงและทาทางของเรานั่นเองที่กวาดคะแนนไปถึง 93 % ที่บอกวาเราไมไดโกหก ดังนั้นเราจึงได
อีก 7 % ของถอยคํานั้นรวมเขาไปอีกดวย เรื่องแบบนี้ใครบางไมเคยทํา พนันกันไหมละวาผมเคยทํา
มาแลว

40
บทที่ 23
อารมณถูกสรางขึ้นจากภาพในใจและลักษณะของภาพ

นอกจากการเคลื่อนไหวหรือการใชกาย และภาษาที่เราใชจะเปนแหลงทั้งสองในการสรางอารมณของ
เราขึ้นมาแลว แหลงในการสรางอารมณแหลงที่สามคือ ภายในใจของเรา ณ ขณะใดขณะหนึ่ง เมื่อพูด
ถึงภาพในใจหรือสิ่งที่จิตใจของเรากําลังสนใจอยูหรือมุงมั่นอยูนั้น มันมีสองสิ่งที่ตองพิจารณาไดแก

1. ภาพในใจนั้นคือภาพเกี่ยวกับอะไร
2. ลักษณะของภาพเปนอยางไร

เมื่อผมพูดถึงภาพในใจ มันอาจะเปนอะไรก็ได เชน คน (อาจหมายถึงคนอื่นหรือตนเองก็ได) สัตว


สิ่งของ สถานการณ สถานที่ ความทรงจํากับเรื่องราวในอดีต หรือแมแตการจิตนาการถึงอนาคตก็ได
ทุกวันนี้คนสวนใหญไมไดกังวลกับเรื่องอดีตมากนัก ถึงแมวาเปนไปไดเชนการกังวลกับอดีตที่เคยทํา
เรื่องไมดีไวเปนตน อยางไรก็ตามผมพบวาคนเรามักกังวลกับเรื่องที่ยังไมเกิดขึ้นมากกวา ในเมื่อมันยัง
ไมเกิดขึ้น ภาพจริงจึงยังไมปรากฏ มองดูดวยตาจริงไมได แตถามันดันไปปรากฏตัวเปนภาพเชิงลบอยู
ในใจของเรา เราก็แยได นี่แหละคือสิ่งที่รบกวนเราอยู ลองพิจารณาเรื่องตอไปนี้ดูเพื่อวาเราจะไดเขาใจ
ชัดถึงภาพในใจวามันสรางอารมณไดอยางไร
สมมติวาตอนนี้ผมอยูที่บาน และลูกของผมอยูที่โรงเรียนเปนไมไดที่ผมจะเห็นลูกดวยตาของ
ผมไดในขณะนี้แตผมอาจนึกคิดถึงพวกเขาได ฉะนั้นสิ่งที่ผมนึกคิดหรือภาพในใจของผมในตอนนี้ก็คือ
ลูก คําถามคือ ลักษณะของภาพนี้เปนอยางไร ถาผมนึกไปวา ตอนนี้ลูกกําลังสนุก ยิ้ม หัวเราะ และมี
ความสุข ผมไดสรางอารมณความรูสึกที่สบายใจขึ้นมาแลว สภาวะจิตของผมรูสึกวาดีมาก ในทาง
ตรงกั น ขา ม ถ า ผมนึ ก ไปวา ลู ก อาจไมป ลอดภัย อาจหกล ม หั ว เข า แตก ถ า เดิน ข า มทางม า ลายจะ
ปลอดภัยหรือไม เห็นไดชัดวาลักษณะของภาพในใจแบบนี้ไดสรางอารมณแหงความวิตกกังวลขึ้นมา
แลว ผมอาจรูสึกวาไมสบายใจ อยากติดตอกับลูกไว ๆ ถาเปนไปไดหรืออยากใหพวกเขากลับถึงบาน
เสียทีเพื่อที่ผมจะไดหมดหวง และถาหากวาผมมุงเนนแตภาพอยางนี้มาก ๆ และนาน ๆ แนนอนวาผม
คงไรพลัง ลมปวย และประสาทรับประทานได
เมื่อพวกเรานัดกับใครที่มาไมทันคิด เราจะมีอารมณอยางไร? นั่นก็ตองขึ้นกับวาเรากําลังมี
ภาพในใจเกี่ยวกับบุคคลที่มาไมทันนี้อยางไร ถาเรานึกวาเขาคงจะวาวุนใจมากที่มาไมทันและตอนนี้
คงจะพยายามอยางที่สุดที่จะรีบมาที่ที่เราอยู เราอาจสงแรงใจไปชวยลุนวาขอใหเขาอยาไดกลุมใจไป
เลย ไมเปนไรหรอกเพราะวาเราเขาใจและยังคงรออยูโดยไมไดโกรธเลยแมแตนอย ในทางตรงกันขาม
ถาเรานึกไปวา เจาหมอนี่ไมเคยที่จะใหความสําคัญกับเวลาของฉันเลย ชางเห็นแกตัวและนารังเกียจ

41
จริง ๆ และคอยดูเถอะวา “ฉันจะไมมีวันนัดกับคนแบบนี้อีกแลว” แนนอนวาลักษณะของภาพในใจ
เชนนี้จะทําใหเรามีอารมณฉันจัด โมโห โกรธ เกลียดชัง เบื่อหนาย และเซ็งมาก การตีความของเรานั้น
ขึ้นอยูกับภาพในใจและลักษณะของภาพเปนอันมาก มันเปนสิ่งที่สามารถสรางอารมณทั้งหลายของรา
ทั้งที่รูสึกดีและรูสึกแยขึ้นมาได
ภาพในใจไมใชสิ่งที่จะลอเลนไดโดยเฉพาะถาเราไปเรียนรูการสรางภาพในใจที่ทําใหเรารูสึก
แย หลายคนไมร็วาที่ชีวิตยังแยก็เพราะวาวัน ๆ เอาแตจินตนาการถึงสิ่งที่เลวรายบอยครั้งมาเกิดนไปนี่
คือสิ่งเดียวกับที่ผมเคยกลาวมาแลววา...เทากับทําใหตนเองกลายเปนเหยื่อเสียเอง พวกเราอาจสงสัย
วาภาพในใจเชิงลบนั้นรายกาจจริงหรือ เอาละ ใหพวกเราหลับตาแลวนึกไปวาเรากําลังปกเข็มหมุด
หนึ่งเลมไวในปาก แลวเราจะรูสึกอยางไร...ก็แยเอามาก ๆ นะสิ ถามได ก็เชนกัน เมื่อเราจินตนาการถึง
เหตุการณที่ไมพึงประสงคทั้งหลาย พวกมันลวนไมแตกตางจากเข็มหมุดเลมนั้นเลยสักนิด ในโลกแหง
ความเปนจริงนั้น พวกเราไมนึกคิดไปวาจะมีเข็มหมุดมาปกในปากของเราหรอก แตพวกเราทําไดแย
กวานั้นอีกดวยการจินตนาการถึงสิ่งราย ๆ วาจะเกิดขึ้นกับเราสักวันหนึ่งอยูเรื่อย ดวยเหตุนั้นเราไดใช
พลังแหงการจินตนาการที่เที่ยวมุงเนนแตสิ่งที่ทําใหรูสึกแย หงุดหงิดรําคาญ วาวุนใจ เซ็ง เบื่อหนาย
กลัดกลุมใจ และอาการที่ไรสุขสารพัด
แลวเราทําอะไรไดบางละ นอกจากวาเราจะตองหยุดสรางภาพในใจที่ไมพึงประสงคแลว เรา
ตองการรูวาการทําในสิ่งตรงกันขามนั้น จะนําเราไปสูพลังจิตที่เข็มแข็งหรือสภาวะอารมณที่เชื่อมั่น
อยางยิ่ง ดังนั้น เรามาฝกกันดีกวาเราจะใชพลังแหงจินตนาการหรือการสรางภาพในใจ เพื่อสราง
ปาฏิหาริยใหเกิดขึ้นในชีวิตของเราไดอยางไร

42
บทที่ 24
การสรางพลังแหงจินตนาการ (การสรางภาพในใจ)

มีพลังอยางหนึ่งที่จะวาไปแลวมีไดแตกับมนุษยเทานั้น เปนพลังที่เราใชอยูทุกเมื่อเชื่อวัน โทษของมัน


นั้น มหันตเมื่อเราใชมันอยางผิดวิธี แตมันใหคุณอนันตเมื่อเราใชมันอยางชาญฉลาด พลังนี้อาจเรียก
ไดหลายชื่อ เชน พลังแหงจินตนาการ หรือพลังแหงจินตภาพ หรือพลังแหงการสรางภาพในใจ ไม
สําคัญวาเราจะเรียกมันวาอะไร ที่สําคัญคือเราตองหันมาฝกฝนพลังนี้ใหเปน แลวเราจะกลายเปนคนที่
ไรขีดจํากัด พลังนี้เปนพลังทันใจกลาวคือ เมื่อเราสรางจินตภาพวาตอนนี้เราอยูที่สยามสแควร ณ ขณะ
นั้นเองก็ประหนึ่งวาเราอยูนั่น เราไมตองใชเวลาในการเดินทาง หรือกลาววาไรกาลเวลาก็ได ยิ่งไปกวา
นั้น ถา เราจิ น ตนาการวา ตอนนี้ เ รายื น อยูที่ด วงจัน ทร เราก็ อยู นั่น ในดวงจิ ตแลว เห็น ไหมว า มั น ไร
ขอบเขตในเรื่องของสถานที่และกาลเวลา แคจินตนาการแลวเราก็ไปอยูที่นั่นแลวในบัดดล อันที่จริงนั้น
มันไรขอบเขตจํากัดอยางสิ้นเชิง เราอาจจินตนาการวาเราเปนหยดน้ําก็ได เปนสายลมก็ได หรือเปน
อะไรก็ได โอ...อะไรหนอจะไรกอบไรขอบเขต ไรกาลเวลามากถึงเพียงนี้ มีแตการจินตนาการเทานั้นที่
คือความเปนไปไดอยางแทจริง เอาละ เรามาฝกสรางจินตภาพ อยางงาย ๆ กันเถอะ

43
บทที่ 25
การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 1

ในขั้นตอนที่หนึ่งนี้ จะมาฝกสรางภาพในใจของสัตวเลี้ยงและสัตวปากัน อาจเปนอะไรก็ได เชนสุนัข


กระตาย ชาง มา วัว ควาย นก ปลา แมลง ฯลฯ ขอใหเรานั่งในอิริยาบถที่ผอนคลาย หลับตาลงเสีย
หายใจลึกและแผวเบา เริ่มนับถอยหลังจากเกาถึงนึ่งอยางชามาก ๆ ใหรูสึกถึงความผอนคลาย สบาย
และเบา ใหบอกกับตนเองวา “กลามเนื้อทุกสวนผอนคลายและสบาย” จากนั้นใหนึกถึงสัตวที่นารักสัก
ตัว สมมติวามันคือกระตาย แมในยามหลับตาเชนนี้ก็ตาม พวกเราไดเห็นเคาโครงรางของกระตาย
หรือไม มันมีสีขาวใชไหม มันขยับตัวไดใชไหม หรือวามันกําลังวิ่งอยู และมันมีหูยาวอีกดวยใชไหม เห็น
ไดชัดวาการหลับตามันจําเปนตองมืดแตประการเดียว แตเมื่อเรานึกคิด เราสามารถสรางภาพกระตาย
ไวภายในใจได คราวนี้ลองสรางจินตภาพถึงชางสักเชือกหนึ่ง มันตัวใหญ แข็งแรง หูใหญ มาสีขาว และ
วงยาว ๆ คุณอาจจินตนาการถึงเสียงของมันในใจดวยก็ได เมื่อลองทําดู ขอใหตั้งใจและสนุก แลวเรา
จะพบวามันไมยากเลย

44
บทที่ 26
การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 2

ขั้นตอไปคือการสรางภาพในใจเกี่ยวกับทิวทัศนหรือสถานที่ที่เราเคยไป เชนภูเขา น้ําตก ทะเล และ


สถานที่หรือเมืองที่เราประทับใจเปนตน ขั้นตอนนั้นเหมือนเดิมคือตองหลับตาและผอนคลาย จากนั้น
ใหนึกถึงขั้นตอไปคือการสรางภาพในใจเกี่ยวกับทิวทัศนหรือสถานที่ที่เราเคยไป เชนภูเขา น้ําตก ทะเล
และสถานที่หรือเมืองที่เราประทับใจเปนตน ขั้นตอนนั้นเหมือนเดิมคือตองหลับตาและผอนคลาย
จากนั้นใหนึกถึงภาพเปาหมายที่ตองการ และรูสึกดั่งวาเราอยูในเหตุการณนั้น เชนตอนนี้เราอาจเห็น
ตนเองเดินอยูที่ชายทะเลหัวหิน ขอใหเราเห็นคลื่นทะเลตลอดจนไดยินเสียงคลื้นลมใหสมจริงที่สุด ให
ดื่มด่ําสักครูและลืมตาขึ้น จงซอมสรางภาพในใจบอย ๆ จนภาพนั้นคมชัดยิ่งขึ้นในบางขณะเราจะ
พบว า ภาพที่ เ ห็ น นั้ น มี สี ด ว ยซ้ํ า ไป การที่ เ ราทํ า เช น นี้ ไ ด จ ะยิ่ ง เพิ่ ม ความเชื่ อ มั่ น ว า เรามี พ ลั ง แห ง
จินตนาการไดจริง ๆ ตอไปลองนึกถึงหอไฟเฟลที่ปารีสดูบางแมไมเคยไปก็ลองเอารูปภาพของมันมา
ดูกอนก็ได ในการจินตนาการนั้น ไมไดจํากัดวาตองเคยมีประสบการณมาแลว ถึงแมไมมีก็ยังสราง
ภาพนั้นไดอยูดี การสรางจินตภาพนั้นไรขอจํากัดอยางสิ้นเชิง คุณอาจสงสัยวาในสองขั้นตอนแรกของ
การนึกภาพสัตวและทิวทัศนในใจนั้นทําไปทําไม คําตอบคือ มันงายที่จะฝกสองขั้นตอนนี้กอนที่เราจะ
กาวขามไปฝกการสรางภาพในใจที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก

45
บทที่ 27
การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 3

เมื่อเรากาวมาถึงขั้นตอนที่ 3 เรากําลังจะฝกการสรางภาพของผูคนในใจ เมื่อเราหลับตาเราสรางภาพ


คนที่เราตองการนึกไดชัดไหม มีรายละเอียดแคไหน และเรากําหนดลักษณะของภาพไดดั่งใจของเรา
หรือไม ผมรูวามันยากทีเดียว แตก็ใหฝกทําตอไป ตอนที่ผมฝกสรางภาพในใจใหม ๆ นั้น หลายครั้งที่
ผมไมเห็นอะไรเลยนอกจากความมืดแมวาจะไดพยายามนึกอยูตั้งนานแลวก็ตามแตผมยังไมยอมแพ
ผมฝกตอไป เพราะผมรูดีวา แมเห็นแตความมืดก็ยังตองถือวาเปนความกวาหนา เมื่อเปรียบเทียบกับ
การไมยอมลงมือทําอะไรเลย เมื่อเรามุงมั่นจริงจัง อีกไมนานภาพในใจก็จะผุดขึ้นทามกลางความมืด
เอง ขั้นตอนนี้มีประโยชนมาก เพราะวาเราประยุกตใชมหาศาล เชน
สมมติวาเราตองการขอบคุณใครสักคนหนึ่ง การซอมทําในใจวาไดขอบคุณเขาในใจสักสอง
สามนาทีจะสรางอารมณที่ทรงพลังและปติยินดีไดอยางเหลือเชื่อ เปนไปไดวาเราจะรูสึกดีมากที่ไดฝก
ทําเชนนี้ ที่นาทึ่งก็คือเมื่อเราไดพบคนที่เราสรรเสริญหรือขอบคุณเขาในใจจริง ๆ เราจะพบวาเขามี
ทาทางเปนมิตรกับเราอยางนาอัศจรรย อาจอธิบายไดวา เราไดสงพลังงานแหงคลื่นแมเหล็กไฟฟา
ความถี่สูงออกไป เมื่อเราไดสรางจินตภาพที่ดีงามหรือใหพรตอคนอื่น ในเมื่อเรากลายเปนความสุขเสีย
เอง ความเปลงปลั่งสดใสนี้ยอมปกปดไมมิด และคนที่พบเรายอมมองออกวาเรามีความสุข สิ่งนั้น
เหนี่ยวนําใหเขาสายและมีความสุขไปดวยเมื่อเขาใกลเรา ทุกอยางจึงดูดีไปหมด
ในทํานองเดียวกัน การซอมสรางภาพในใจเกี่ยวกับเหตุการณที่ตองเขาไปเกี่ยวของกับผูคน
ยอมสรางความเชื่อมั่นใหเราไดอยางแทจริง ในเหตุการณจริง เราอาจทําอะไรบางอยางไดแคหนเดียว
เชน การกลาวคําขอโทษใครสักคน หรือการขอใหซื้อสินคา หรือการชวนใครไปดูหนัง หรือการขอให
ชวยอะไรสักอยาง ในโลกแงจินตนาการนั้น เราจะซอมสักรอยเที่ยวก็ยังได ในเมื่อเราไดซอมทําในใจ
หลายครั้งเหลือเกิน เราจะทําสิ่งนั้นไดดี เมื่อเราทํามันกับโลกภายนอกจริง ๆ ในการจัดสัมมนาของผม
นั้น ผมมักจินตนาการเห็นตนเองยืนอยูหนาเวทีและกลาวกับคนนับพัน ผมฝกซอมทํามันในใจวาผมพูด
ชาลงดวยความเชื่อมั่น เมื่อถึงวีนจริง ผมก็ทําไดตามนั้น เหมือนกับที่ไดสรางภาพในใจลงหนาไวไมมี
ผิด มันทําใหผมรูสึกมั่นใจ พลังอยางนี้พวกเราฝกกันไดทุกคน
เมื่อตอนที่แมผมปวย ผมจินตนาการเห็นคุณแมไมไอ และนอนหลับไดสบาย ผมเห็นภาพของ
ทานยิ้มได และราเริง วิธีนี้สรางอารมณใหผมมั่นคงและไมฟุงซาน นี่คือการใหพรแมในใจแทนการแชง
ในใจที่คนจํานวนมากเผอลทําโดยนึกคิดไปวา “คุณแมของฉันก็แกแลว ตอนนี้คงทรมานมาก และเปน
หวงจังเลยวาคืนนี้จะนอนหลับไดหรือไม?” นี่คือลักษณะของคนทั่วไปที่ไมประสีประสากับพลังของ
จิน ตนาการ พวกเราเผลอแชงแมโดยไมตั้งใจ เผลอทําไปโดยรูเ ทา ไมไมประสี ประสากั บพลั งของ
จินตนาการ พวกเราเผลอแชงแมโดยไมตั้งใจ เผลอทําไปโดยรูเทาไมถึงการณ โปรดจําไววา การมุงเนน

46
แตสิ่งที่เราตองการเทานั้นคือการสรางภาพในใจที่ถูกตอง สวนการเผลอไปนึกคิดถึงสิ่งที่ไมตองการ
ยอมทําใหเราไรพลังและไรความสุขเทาที่ควร นี่แหละคือฤทธิ์เดชของภาพในใจเชิงลบที่ตามเลนงาน
มนุษยไมหยุดหยอน มันเปนยาพิษที่เราเผลอดื่มกินมากที่สุด ปกติแลวเหตุการณจริงทําอะไรเราไม
คอยได แตจินตนาการเชิงลบที่สะสมในดวงจิตอยางไมหยุดหยอนอาจทําใหเราบา เสียหายทั้งชีวิต
สวนตัวและหนาที่การงาน ประสาทแดก และถึงตายได!

47
บทที่ 28
การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 4

บางทีเราอาจไดเดินทางมาถึงขั้นตอนที่สําคัญที่สุดแลวในขณะนี้ นั่นคือการสรางภาพในใจของตัวเรา
เองวามีลักษณะใด หรือมีคุณสมบัติอะไรบางเมื่อเรามีภาพลักษณเกี่ยวกับตนเองในจิตใจแลว มันยาก
นักที่โลกภายนอกของเราจะวิ่งหนีพนภาพลักษณของตัวเราในใจไปได เรานั้นเปนไปตามภาพที่เรา
กําหนดไวกอนในใจวา อะไรที่เราเปนและอะไรที่เราไมไดเปนสิ่งนี้จึงกําหนดวาอะไรบางที่เปนไปได
สําหรับเราและอะไรบางเปนไปไมไดสําหรับเรา ลองพิจารณาเรื่องตอไปนี้ดู
ผมเองนั้นตั้งแตเด็กเล็กยันยี่สิบสามผมมีภาพลักษณของตนเองวาผมดิ้นหรือเตนรําไมได ผล
คือผมไดทําใหโลกภายนอกเปนเชนนั้นตลอดมานึกถึงงานที่โรงเรียนตอนมัธยมปลาย ผมแยเอามาก ๆ
เมื่อตองดิ้นและถูกเพื่อนนักเรียนทั้งชั้นหัวเราะเยาะถึงความเปนและทึ่มกับทาทางที่แข็งกระดางเปน
หินของการเคลื่อนไหว และผมรูสึกอยูตลอดเวลาวาผมไมไดเรื่องในเรื่องแบบนี้ แตราวสามปมานี้เองที่
ผมเปลี่ ย นไปเมื่ อ ผมจิ น ตนาการว า ผมเป น คนที่ มี ค วามสามารถแบบไร ขีด จํ า กั ด ผลที่ต ามมานั้ น
เหลือเชื่อ ในการสัมมนาของผมนั้นบอยมากที่ผมตองเปนผูนําคนนับรอยนับพันดิ้นตามผม แลวรูไหม
วาเปนอยางไร ทุกคนทึ่งวาผมเคลื่อนไหวคลองแคลวและสั่นสะเทือนไดมากมายเชนนั้นไดไง หนําซ้ํา
ชมวาผมดิ้นไดนารักอยาบอกใคร เชื่อเถอะเพื่อนเอย วานี่ไมไดโม แตเปนความจริงที่ผมไดเปลี่ยนโลก
ภายนอกไปตามโลกภายใน เมื่อผมสรางจินตภาพวาผมเปนคนที่ดิ้นไดอยางมีศิลปะ ทันใดนั้น โลก
ทั้งหมดก็พยักหนาใหผมราวกับวาผมเปนผูเชี่ยวชาญก็ไมปาน ยิ่งไปกวานั้น ผมสามารถเตนแอโรบิคได
อยางดีเลิศ สิ่งนี้ชวยผมไดมากในการเคลื่อนไหวที่ไมมีขอจํากัด ทุกวันนี้ ผมมักบอกภรรยาอยูเ รือ่ ยวา...
ผมอยากไปฝกเลนยิมนาสติกทั้ง ๆ ที่ผมเลยวัยมามากแลว แตผมรูสึกจริง ๆ วา มันมีหนทางเสมอที่
อาจเป น ไปได เ มื่ อ เราได ข ยายภาพลั ก ษณข องตนเองภายในใจของเราด ว ยการสรา งจิ น ตภาพถึ ง
ภาพลักษณของตัวเราในแบบที่เราตองการ ในไมชาเราจะเชื่อและเชื่อมั่นในภาพลักษณใหมไดอยาง
แนนอน อันที่จริงนั้น มันเปนวิธีที่มีประสิทธิภาพที่ทรงพลังมาก เสียดายเพียงวานอยคนนักที่ไดรู
การที่ เ ราเชื่ อ ว า มี ห ลายสิ่ ง หลายอย า งที่ เ ราทํ า ไม ไ ด นั้ น หารู ไ ม ว า นั่ น เท า กั บ เราได ส ร า ง
ภาพลักษณแหงความเปนไปไมไดบางประการไวในดวงจิต เราไมเคยรูเลยวาเราหนีภาพลักษณเหลานี้
ไมพน แลวเราก็กายเปนคนแบบนั้น บางคนที่เชื่ออยางผิด ๆ วา “ฉันไมมีปญญาร่ํารวยได” เขาไดสราง
ภาพลักษณแหงความไมสามารถนี้สถิตไวในดวงจิต ภาพในใจเกี่ยวกับตนเองเชนนี้คือภาพของความ
ไมสามารถ ขาดแคลน และ ยากจน ฉะนั้น ทางแกที่ดีกวาสําหรับพวกเราคือการเขาไปเลนกับจิตใจ
ของเราใหมดวยการสรางภาพของตนเองในใจแบบใหมที่ดีกวาเดิม การฝกซอมทําในใจบอย ๆ ถึง
ตัวตนที่เราตองการอยางแทจริงคือวิธีแกปญหาที่งายกวาวิธีอื่นเปนอันมาก

48
ภาพลักษณของตนเองในใจเชิงลบที่ตองระวังใหดีนั้นมีเยอะ แตที่แสบมากไดแก “ฉันมันไอขี้
แพ” “คนอยางฉันเกิดมาเพื่อใชกรรม” “อันวาตัวฉันนั้นไมสําคัญ” “ชางปะไร ไอเรามันเปนคนไมดีอยู
แลวนี่” และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ทํารายจิตใจของตัวเราเองอยางแรงกลา แมวาพวกเรายังคงออกไป
ทํางานและตอสูดิ้นรนกับชีวิตตามปกติก็ตาม แตถาเรามีภาพลักษณของตนเองเหลานี้อยูในใจ แลวเรา
จะไปคาดหวังแบบไหนไดนอกจากความหวยแตกเสมอ แนวโนมจึงเปนเชนที่ไดคาดวา คือ แย แย แย
และแย หนทางเดียวที่จะวิ่งหนีภาพในใจเชิงลบพวกนี้ไดคือวิธีหนามยอกใหเอาหนามบง เราตองกลับ
เขาไปในจิตใจของเราอีกครั้ง หลับตาลงเสีย แลวใชจินตนาการวาดภาพตัวเราขึ้นมาใหม ใหเราใส
ลักษณะหรือคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมตาง ๆ นานา เขาไป ใหดื่มด่ํากับภาพใหมอันไฉไลนี้ใหมาก ๆ เมื่อ
เราฝกซอมในใจจนมันอยูตัว และภาพที่เห็นในใจก็คมชัดยิ่งแลว หลังจากนั้น เราจะกลายไปเปนคนใน
ลักษณะใหมไดเอง เราไมมีทางเลือกหรอกเพราะวาเราไดเลือกไปแลวเมื่อเราฝกใชพลังแหงจินตนาการ
นั่นวาเรายอดเยี่ยมอยางไร และเราก็จะกลายเปนคนเชนนั้นจริง ๆ
คุณผูอานที่รัก คํานจํานวนมากไมไดฝกสรางภาพตนเองในใจที่ดีมาก ๆ แบบจงใจและรูต วั ผม
ใครขอรองใหพวกเราหันมาฝกใชพลังแหงจินตนาการในดานนี้ใหมากขึ้น วันละ 15 นาทีก็ยังดี จงทําสิง่
นี้เพื่อตัวเราเอง ยังจะมีอะไรอีกหรือที่สําคัญไปกวาการหลอหลอมตัวเองขึ้นมาใหม แถมเต็มเปยมดวย
คุณลักษณะที่ดีสารพัดเพราะวาในโลกแหงการนึกคิด...สิ่งใด ๆ ลวนเปนไปได ไมมีอะไรจะสูงคาแต
ราคาแสนต่ําอยางนี้อีกแลว พวกเราลงทุนแคเวลานิดหนอยกับพลังงานอีกเล็กนอยในการนึกคิดหรือ
จินตนาการ นี่คือเครื่องมือที่ทรงพลังยิ่งตัวหนึ่งที่ อัลเบิรต อสไตน สรรเสริญวา มีอานุภาพเหนือกวา
กระทั่งความรู ไอนสไตนกําลังบอกวา แมความรูจะยิ่งใหญแตวาความรูที่ยิ่งใหญมาก ๆ นั้น ไดมาจาก
ไหนละถาไมใชอาศัยพลังแหงจินตนาการเขาชวย หากวาไรซึ่งพลังแหงจินตนาการอันแสนบรรเจิดและ
พิสดารแลวไซร มันเปนไปไมไดที่ไอนสไตนจะคนพบทฤษฏีสัมพันทธภาพอันเหลือเชื่อ หากวาคนเชน
ไอนสไตนยังชอบสรางจินตภาพ ก็แลวทําไมพวกเราถึงจะไมละ!

49
บทที่ 29
การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 5

เมื่อไดวาดภาพในใจวาตัวตนของเราสวยงามและยอดเยี่ยมอยางไรแลว สุดทายเราจะมาฝกการสราง
ภาพในใจเกี่ยวกับสิ่งของ การเงิน ธุรกิจการงาน การที่เราสรางจินตภาพเกี่ยวกับอะไรก็ตามเราจะเกิด
อารมณที่สอดคลองเสมอมันทําใหเรารูสึกมั่นคงหรือมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องเฉพาะที่เราไดฝกฝนสรางจินต
ภาพ เอาละ ถึงตรงนี้ ขอใหเราหลับตาลง นั่งใหสบายและผอนคลาย ตอนนี้ใหจินตนาการวาเรากําลัง
หยิบสมุดธนาคารของพวกเราขึ้นมา เปดหนาแรกออก ตอนนี้เราเห็นชื่อและนามสกุลของเรา พลิกไปที่
รายการสุดทาย เราเห็นตัวเลขเงินที่เราเปนเจาของหรือไม มันอาจมากแคไหนก็ได สมมติวามันคือสิบ
ลานบาท พวกเราเห็นเลขหนึ่งและศูนยอีกเจ็ดตัวชัดไหม ขอใหเราคอย ๆ ฝกสรางภาพในใจถึงสิ่งที่เรา
ตองการ ใส ความรู สึกดีใจลงไปและทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา ให ขอบคุ ณในใจต อจํ านวนเงิ น นั้น ที่ เราได
ครอบครองใหสมจริง ยิ่งเราเชื่อและสรงภาพไดชัดเจนเทาไหร พลังแหงจินตภาพก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น
เทานั้น ยิ่งนานวันออกไป เราจะรูสึกแนใจวาสิ่งนี้จะเปนไปไดจริง ๆ เราจะไมคิดถึงความยากจนและ
หวาดกลัวไปเองวาเราจะลําบาก แนนอนวาพวกเราไมไดนั่งงอมืองอเทา พวกเราก็ยังออกไปทํางาน
ออกไปทําธุรกิจ แตที่เพิ่มขึ้นอีกอยางในชีวิตคือ พวกเราไดฝกสรางจินตนาการที่สรางสรรค
หลายคนสงสัยวา นั่นจะเปนการหลอกตนเองหรือเปลา เพอเจอหรือฝนลม ๆ แลงไป หรือเปลา
เหตุผลที่ถามอยางนี้มักเปนเพราะพวกเขาเขาใจผิดไปวา คนที่ชอบวาดภาพในใจคงไมไดลงมือทํา
อะไรเลยนอกจากหลับตานึกเทานั้น แตมันไมใชเลย พวกเราที่ฝกสรางจินตภาพใชเวลานอยมากกับ
การนั่งหลับตาเพื่อสรางจินตนาการ พวกเราตางหากที่กระตือรือรนในการลงมื่อทํามาก ๆ ดั่งเชนที่
มนุษยเคยฝนหรือสรางภาพในใจวา สักวันเราจะไปย่ําดวงจันทร และแลวมันก็เกิดขึ้นริง ๆ เห็นไดชัดวา
มันตองผานการคิดคนหาวิธีที่จะไปที่นั่นอยางทุมเท และใชพลังแหงจินตนาการเขาชวยจนกลายเปน
ความจริงในที่สุด จะวาไปแลว มีตรงไหนของหนังสือเลมนี้บางไหมที่ระบุวาการใชเทคนิคใด ๆ ก็ตาม
ในหนังสือเลมนี้สามารถทําเพียงเทานั้น แลวก็ใหนั่ง ๆ นอน ๆ โดยไมตองทําอะไรอีกเลย แนนอนวามัน
ไมมีการบงชี้เชนนั้นแน ตรงกันขาม มันหมายถึงการใหนําเทคนิคตาง ๆ ในหนังสือเลมนี้เพิ่มเขาไปใน
ชีวิตประจําวันของเราตางหาก แลวเราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ไมวาสิ่งที่เราตองการจะคืออะไรก็ตาม เราตองฝกสรางภาพในใจประหนึ่งวาเราไดมันมา และ
ครอบครองมันไวแลว ในเมื่อผมเพิ่งใชคําวา “ไดมันมาและครอบครอง” ดังนั้นเราตองมุงเนนไปที่
ความรูสึกที่สมจริงวาไดมันมาแลวจริง ๆ เราจะรูสึกอยางไร ตื่นเตนดีใจอยางไร และมีความสุขอยางไร
การมุงเนนที่ผิดพลาดคือการไมยอมแสดงบทบาทที่แทจริงของการใชจินตนาการ เชน รูสึกแยงในใจอยู
ตลอดเวลาวา “แตฉันยังไมมีมันนี่หวา” “แตฉันยังไมไดมันมานี่หวา” ผมอดสงสัยไมไดวาหากใครชอบ
แยงเชนนี้ในใจ งั้นเขาจะมานั่งหลับตานึกภาพถึงสิ่งที่เขาตองการไปทําไม จะมานั่งหลับตาเพื่อตอกย้ํา

50
และมุงเนนในสิ่งที่ไมมีไปทําไม นั่นจะยิ่งทําใหรูสึกแย และดึงดูดความไมมีใหเขามามาก ๆ กันเขาไป
ใหญ โปรดจําไววาการหลับตาสรางจินตภาพ ไมใชเวลาที่จะนึกคิดถึงสิ่งที่เรายังไมมีหรือยังไมไดมา
แตมันเปนเวลาสําหรับการจินตนาการวาถาเรามีมันแลวในขณะนี้ แลวเราจะรูสึกดีอยางไร ใหเราสราง
ความรูสึกดี ๆ เชนนั้นใหมาก ๆ แลวเราจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นที่จะดึงดูดสิ่งที่เราไดวาดภาพไว
และทายที่สุดของเรื่องการฝกจินตนาการ ความสําเร็จของพลังแหงการสรางจินตภาพหรือ
ภาพในใจจะขึ้นกับองคประกอบ 4 ประการคือ

1. ภาพในใจนั้นชัดเจนมากหรือนอย

ยิ่งชัดเจนมากก็ยิ่งมีพลังมาก แตไมตองหวง เมื่อชั่วโมงบินในการฝกของเรามากขึ้น ภาพจะ


ชัดเจนมากขึ้นอยางเปนธรรมชาติและงายดวย

2. ความยาวนานในการเห็นภาพที่ตองการ

ยิ่งเห็นภาพนั้นไดนานกวา พลังก็ยิ่งมากตามไปดวย

3. ความถี่ในการสรางจินตภาพ

การทําวันละ 2 ครั้งยอมดีกวา 1 ครั้ง ผมคิดวาวันละ 2 ครั้งกําลังดี

4. ความเขมขนทางอารมณที่รูสึกอยูในการสรางภาพในใจ

อารมณยิ่งเขมขนรุนแรงเมากเทาไหร พลังก็ยิ่งมากขึ้นเทานั้น ในกรณีที่ไมมีอารมณเลย ให


ตายสิโรบิ้น...พวกเราตองพยายามกลั่นอารมณออกมาใหได สวมวิญญาณเขาไปหนอย ชวยตี
บทใหแตกหนอย หาไมแลวก็กรุณาหยุดทําเสียเถิด!

51
บทที่ 30
การตื่นขึ้นครั้งใหญของผม T x E = R

เทาที่ผานมา ผมไดอธิบายวาพวกเราสรางหรือผลิตหรือประกอบอารมณขึ้นมาจากแหลงใหญทั้งสาม
ซึ่งไดแก การเคลื่อนไหวหรือการใชรางกายของเรา ภาษาหรือคําพูดที่เราใช และภาพในใจวาปนอยาง
ไร ความรู เ หล า นี้ ทํ า ให ผ มตื่ น ขึ้ น จากการหลั บ ไหลมานาน ยิ่ ง ไปกว า นั้ น เมื่ อ ผมได เ ข า ใจแล ว ว า
ความคิดที่เจืออารมณนั้น คือพลังงานแมเหล็กไฟฟาความถี่ตาง ๆ ที่สงออกไปในอวกาศตลอดเวลา
และจะไปตามพลังงานที่อยูในคลื่นแบบเดียวกันเขามาหาตามกฏแหงการดึงดูดชักนําพา พฤติกรรม
ของผมก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ภารกิจใหญของผมคือความราเริง ปติยินดี และการทําจิตใจใหผองแผว
ดูเหมือนวากฏแหงการดึงดูดจะดึงดูดของที่เหมือนกันมาใหผมจริง ๆ เพราะวามันไดดึงดูดความรูที่ล้ํา
ลึกที่สุดอีกประการหนึ่งมาใหผม นั่นก็คือ T x E = R ซึ่งเปนสูตรที่ทําใหตื่นขึ้นเมื่อผมไดรูแจงอยาง
ฉับพลันถึงสิ่งที่จะชวยอธิบายปริศนาลี้ลับมากมายวา ทําไมมนุษยถึงเปนอยางที่พวกเขาเปน ทําไม
มนุษยเลือกทําบางสิ่งแตไมเลือกทําบางสิ่ง คําถามนี้เหมือนงายแตยากมาก มันเขาขายเสนผมบังภูเขา
แตแลวสูตรพิเศษนี้ก็เขามาในสถานการณที่สุกงอมพอดิบพอดี แลวชวยใหผมเปลี่ยนแปลงกรอบ
ความคิดครั้งใหญ เอาละ ในเมื่อผมไดโมไวมากวามันดีแบบสุดยอด เราไปศึกษากันเถะวามันคืออะไร
กันแน

T = Thought หมายถึงความคิด ไอเดีย เปาหมายหรืออะไรก็ได


E= Emotion หมายถึงอารมณความรูสึกที่มีตอ ตัว T
R= Reality หมายถึงความเปนจริงที่จะเกิดขึ้นได

สูตรนี้อธิบายวา ลําพังความคิดใด ๆ หรือเปาหมายใด ๆ นั้นยังมีพลังไมพอที่จะขับเคลื่อนให


ความคิดใด ๆ กลายเปนรูปธรรมทางโลกภายนอกได จําเปนที่เราจะตองใสอารมณอันเขมขนหรือแรง
กลาที่เห็นชอบ อนุมัติ สนับสนุน และเห็นดวยกับความคิดนั้น ๆ แลวเราถึงจะกระตือรือรนที่จะลงมือ
ทําหลาย ๆ สิ่งเพื่อใหความเปนจริงบังเกิดขึ้น หลายครั้งที่เราสงสัยวา ความคิดหลาย ๆ อยางก็มีแลว
เปาหมายหลาย ๆ ประการก็ตั้งแลว แตจนแลวจนรอดเราก็ยังไมกระดิกกระเดี้ยที่จะทําอะไรเสียทีเพื่อ
ความคิดหรือเปาหมายของเรา ทําไม และทําไมละ? อะไรคือสวนผสมที่หายไป อะไรคือจิ๊กซอวที่
หายไป อะไรคือกุญแจที่เราทําหลนหายไป ผมคิดวาพวกเราคงเดาไดแลวใชไหม อารมณไงที่หายไป
พวกเรามักจะ “ไมมีอารมณเลย” กับเรื่องราวหลายเรื่อง แตเราก็งงแลวสับสนวา “ ทําไมนะฉันถึงไมทํา
สิ่งที่ควรทํา นี่ฉันเปนอะไรไปนี่!” เราไมไดเฉลียวใจเลยวาเราไดใชอารมณในลักษณะที่ไมสงเสริมการ
กระทําของเรานั่นเอง ตราบใดที่เรายังคงถอนหายใจใหกับความคิดหรือเปาหมายใดก็ตาม เราก็จะ

52
ผลักใสมันไปอยูไกลลิบโลก และเชื่อไดเลยวา…มันจะไมเปนความจริงขึ้นมาหรอก ตราบใดที่เราใส
ความรูสึกแย ๆ กับความคิดหรือเปาหมายใด ๆ ก็ตามดวยภาษาที่ทอแทเจืออารมณเชิงลบวา “ ก็มัน
เปนไปไมไดนี่” “ก็มันหนักหนาเกินไปนี่” “ก็มันคงไมคุมหรอก” “ก็มันขี้เกียจนี่หวา” “ก็มันยากจะตาย
โหง” ”ก็มันคงไมไดผล แลวจะพยายามไปทําไม “ ฯลฯ งั้น ก็ชัวร อยูแล วที่เราจะไมลงมือทําตาม
ความคิดนั้นแน ผมถึงบอกวาสูตรนี้มันอธิบายพฤติกรรมของคนไดเยอะ
ดังนั้น ถาเราอยากแนใจวาเราจะลงมือทําอะไรหรือไม เราตองสรางตัว E หรือสรางอารมณที่
มันตื่นเตนเราใจใหกับตัว T หรือความคิดอยางใดอยางหนึ่งใหมาก ๆ แลวเราจะลงมือดวยความเต็ม
ใจอยางเปนธรรมชาติ เราจะกลายเปนคนแบบ “ฉันรักที่จะทํา” แทน “ฉันเกลียดที่จะทํา” จะวาไปแลว
เนื้อหาจํานวนมากในหนังสือเลมนี้ ลวนปูทางไปสูการสรางตัว E ที่อยูในสูตรนี้ จําไดไหมที่เราไดเรียนรู
ผานมาแลววา พลังที่ยิ่งใหญที่สุดไดแก “ พลังแหงอารมณหรือพลังแหงสภาวะจิต” เราไดรูมาแลววา
เราสรางอารมณไดจากแหลงทั้งสามคือ การเคลื่อนไหว คําพูด และการสรางภาพในใจดังนั้น เรายอม
ประยุกตใชสูตรนี้ไดงายมาก หากวาผมตองพูดถึงสูตรนี้ดวยประโยคเดียว ผมจะสรุปวา “ใหหาหนทาง
หนึ่งเสมอ…ที่จะรูสึกดีกับเปาหมายและชีวิตของเรา” นี่คือกฏทองที่จะไขเขาไปในการใชชีวิตที่มี
ความสุขและประสบความสําเร็จอยางแทจริง
เทาที่ผานมา ผมไดพูดถึงการสงจดหมายผิดใบ การที่เราเผลอกลายเปนผูเชี่ยวชาญดานความ
หดหูและความเคลียด เราเผลอไปใชกลยุทธที่ไมมีวันไดผลซึ่งไดแกการเซ็ง เบื่อ บน ตําหนิ กังวล กลัด
กลุม และการรองให ผมขอเรียกพวกมันรวมกันวา “รูสึกแย” คําวา “รูสึกแย” ก็คืออารมณเชิงลบทั้งปวง
หรือถาตองพูดอีกอยางก็คือการใสเครื่องหมายลบ (-) ใหกับตัว E เอาละ แลวมันจะเกิดอะไรขึ้นกับสูตร
ของเรา

สูตรเดิมมีอยูวา T x E = R โดยที่
T = Thought หมายถึงความคิด ไอเดีย เปาหมายหรืออะไรก็ได
E= Emotion หมายถึงอารมณความรูสึกที่มีตอ ตัว T
R= Reality หมายถึงความเปนจริงที่จะเกิดขึ้นได

แตเมื่อใสเครื่องหมายลบใหกับตัว E สูตรใหมกลายเปน T x (-E) = -R

ผมหมายความวาเมื่อเราใสอารมณเชิงลบที่เนาบูดใหกับตัว T การคูณกันของตัว T กับตัว –E


จะไดผลลัพธออกมากลายเปน –R หรือกลาวใหมไดวาเมื่อเรามีสภาวะจิตหรืออารมณเชิงลบตอสิ่งใด
เราจะไมทําเรื่องนั้น ซึ่งเทากับวามันจะไมมีอะไรเกิดขึ้นมาหรอกเมื่อไรการกระทํา และนั่นเทากับวาเรา
ไดผลักใสใหสิ่งนั้นไปอยูไกลลิบโลกนั้นเอง เพื่อน ๆ ที่รัก พวกเราเห็นความสําคัญของตัว E ในสูตรนี้

53
หรือยังครับ ขอใหคิดถึงเรื่องราวตาง ๆ ในชีวิตที่ผานมาสูตรนี้ไดอธิบายพฤติกรรมของเราไดมากใชไหม
ผมหวังเหลือเกินวาพวกเราจะไดตื่นขึ้นกับความรูที่ล้ําลึกนี้ สําหรับตัวผมนั้น ผมไดไตรตรองถึงชีวิตที่
ผานมา และนึกขอบคุณวามันยังไมสายที่ผมจะเปลี่ยนแปลงไดอยางมหาศาลเมื่อผมรูวาไดควาสูตรนี้
ไวในมือแลวพวกเราทุกคนก็ตองทําใหไดเชนกัน นํามันไปปรับใชกับตนเองวันนี้เลย และสิ่งหนึ่งที่ควร
คาแกการจดจําก็คือ “ ใหหนทางใดหนทางหนึ่งเสมอ…ที่จะรูสึกดีกับเปาหมายและชีวิตของเรา”

54
บทที่ 31
อารมณเสีย …เปลี่ยนมันซะ

เมื่อเราอารมณเสีย มันไมดีตอตัวเราเอง มันไมดีตอสุขภาพของเรา มันไมดีตอสภาวะจิตของ


เรา มันไมดีตอครอบครัวของเรา มันไมดีตอธุรกิจหรือบริษัทของเรา มันไมดีตอเมืองที่อยู มันไมดีตอ
ประเทศนี้หรือประเทศไหน มันไมดีตอโลกใบนี้ มันไมดีตอจักรวาลแหงนี้ และมันไมดีตอใครหรืออะไร
ทั้งนั้น ลองคิดดูสิถาผมจะเชื้อเชิญพวกเราไปเที่ยวครอบครัวแหงความหดหู สังคมแหงความหดหู
ประเทศแหงความหดหู หรือดินแดนใด ๆ แหงความหดหู จะมีใครบางที่อยากไป เห็นไดชัดวาไมใคร
เอาดวยแน ถึงขนาดนี้แลว เราตองอึ้งเมื่อโลกนี้เต็มไปดวยผูคนที่หดหู โอพระเจา โอเซียน โอเทวดา..
ความสุขมันนารังเกียจนักหรือไร มนุษยถึงไดฝกใฝกับความหดหูกันอยางบาคลั่งถึงเพียงนี้!
เมื่อเราอารมณเสีย จงตะโกนดัง ๆ เลย “เปลี่ยนมันซะ” เพราะวาไมชาก็เร็วมันก็ตองเปลี่ยน
ไมมีใครหรอกที่รองใหไปเรื่อย ๆ จนกวาจะตาย ในทํานองเดียวกัน พวกเราไมสามารถเซ็ง เบื่อ บน หด
หู แลวอยูในอารมณเชนนั้นไปเรื่อย ๆ ตลอดไปไดหรอก ผมถึงบอกวายังไงเราก็ตองเปลี่ยน แตการ
เปลี่ยนชาเกินไปนั้นแหละที่เปนปญหาและมีอันตราย เราตองรีบหลุดออกมาใหได ยิ่งเร็วยิ่งดี และจะ
วาไปแลว…เราจะรอไปนาน ๆ โดยรูสึกแยไปทําไมละ ทําไมไมเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลยละ ขอใหเราใชความรู
ที่ไดกลาวมาแลว เชน ออกไปวิ่ง เปดเพลงดิ้น กระโดดโลดเตน ยืนฝนยิ้มที่หนากระจกนานหนึ่งนาที
ตะโกนคาถาวิเศษดัง ๆ เชน “เปลี่ยนมันซะ”
หรือไมก็นั่งลงเสีย แลวฝกสรางภาพในใจโดยเปลี่ยนเรื่องที่กําลังสนใจอยู หลักการมีอยูวาถา
ไมอยากคิดถึงอะไร ก็จงอยาพูดถึงมันซะ ในทํานองเดียวกัน ถาเราอยากมุงเนนหรือสนใจอะไรก็ตาม ก็
ใหพูดถึงสิ่งนั้นใหมาก ๆ และบอย ๆ นี่แหละคือเหตุผลวาทําไมตําราที่วาดวยความสําเร็จแทบทุกเลม
จึง สอนให คิ ด พู ด และจินตนาการถึ ง แตค วามสําเร็จ อยาได ว อกแวกไปพูดและนึก คิ ดเรื่อ งความ
ลมเหลวเปนอันขาด ทวาโชครายที่คนจํานวนมากเหลือเกินมันวอกแวกมากเกินไป พวกเขาเอาแตพูด
และใชศัพทแหงความลมเหลว ผลคือพวกเขาเห็นแตภาพความลมเหลวและไดพวกมันเขามาแบบไม
เคยขาด ดังนั้นเราตองหัดพูดในใจเฉพาะแตเรื่องที่เขาทาถาเราอยากมุงเนนเรื่องที่มันเขาที ถาเรามัว
แตพูดหรือนึกคิดในใจถึงเรื่องที่ไมเขาทา เราก็หนี้ไมพนที่จะตองสรางและเห็นภาพเชนนั้นตอไปอยาง
ไมหยุดหยอน เพราะวาเราไดมุงเนนมันนั้นเอง
เพื่อน ๆ ที่รัก ทุกครั้งที่อารมณเสีย จงฝกใหไวที่จะพลิกกลับมาสูอารมณที่ราเริงใหเร็วที่สุดให
ไดไมวาเราจะใชวิธีไหนก็ตาม โปรดจําไววา อยางอื่นเปลี่ยนชาไมเปนไร แตอารมณเนาบูดนั้นหาก
เปลี่ยนชาเกินไป เราอาจถึงตายได
อนึ่ง บางทีเราอาจไมรูวา บทเพลงเศรา หนังสือเศรา หรือภาพยนตเศรา ลวนแลวแตทําใหเรา
หดหู ฉะนั้น แมเราอาจเขาไปของแวะกับสิ่งเหลานี้ได แตจงอยาถลําลึกจนกลายเปนรสนิยมชมชอบ

55
แบบคลั่งไคล หลายครั้งที่ผมตองแปลกใจเมื่อพวกเรามีความสุขกับสิ่งที่เศรา มันขัดแยงเกินไป และ
แนนอนวานี่คือหนึ่งในกลยุทธที่ไมมีวันไดผลดีกับชีวิตพวกเราแลย แตหลายคนอาจเถียงวา “ก็ฉันไมได
คิดวานั้นเปนกลยุทธนี่คุณ”มันก็จริง แตสิ่งใดก็ตามที่เราใชมันบอยในการดําเนินชีวิตจนกลายเปน
รูปแบบหรือนิสัย มันไดกลายเปนกลยุทธของการใชชีวิตชนิดที่เราไมรูตัว และรูปแบบหรือกลยุทธใน
การเขาถึงความสุขดวยเรื่องราวเชิงทุกขอันแสนรันทดใจนั้น.. คือสิ่งที่ตองระมัดระวังเปนอยางยื่ง มัน
ราวกับวาไมนาเสียหายอะไร หรืออาจเรียกมันวาคือ “ความมืดสีขาว” หลายคนไมไดดีหรือผลิกผันไปสู
ความเศราก็เพราะวาจิตใจฝกใฝความทุกขโดยไมรูตัว นี่คือการปรับจิตจนกลมกลืนกับความเศราและ
เห็นวามันคือความปกติแตผมยืนยันวาไมปกติ เมื่อเราของแวะกับมัน อานมัน ฟงมัน และดูมันเปน
ประจํา เทากับวาเราไดราดยาพิษเหลานี้ลงในความรูสึกนึกคิดของเราดวยน้ํามือของเราเอง พวกเราได
กลายเปนเยื่ออยางไมรูตัว ผมเลิกฟงเพลงเศราก็ดวยเหตุที่ตระหนักรูถึงผลที่จะตามมาของมันหากเปน
บทเพลงชนิดซาบซึ้งใจยังพอรับได แตบทเพลงเศราผมไมเอาเลย…. อยางนอยผมก็ลดโอกาสที่จะ
ปลอยพลังงานคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํา ๆ ออกไปสูอวกาศที่จะไปกวักมือตามเรื่องราย ๆ เขามา
ในชีวิตของผมไดเยอะแลว แตคนสวนใหญไมเคยรูเรื่องการสงคลื่นนี้เลยแมแตนิดเดียว พวกเขาไมรูวา
มีความสัมพันธกันระหวางพลังงานของสภาวะอารมณกับสิ่งที่จะดึงดูด ดังนั้นเมื่อเราอารมณเสียจง
เปลี่ยนมันซะ…จงเปลี่ยนมันซะ

56
บทที่ 32
ทําจิตใจใหผองแผว

คําสอนที่ยิ่งใหญที่สุดของพระพุทธองคเรื่องหนึ่งก็คือ “ละชั่ว ทําดีทําจิตใจใหผองแผว” คํา


สอนนี้มีความลึกซึ้งและสําคัญอยางยิ่ง ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเราชาวพุทธทําตามไดนอยมาก การละชัว่
นั้น เห็นไดชัดวา… ถาไมละแลวชั่วชานัก ยอมถูกจับไปลงโทษดวยกฏหมายของบานเมืองไมชาก็เร็ว
การทําความดีนั้นดีในตัวมันเองจนไมตองอธิบายดวยซ้ําไป แตพวกโงเงาเตาตุนบางคนกลับเห็นวา
“ทําดีไดดี มีที่ไหน ทําชั่วไดดีมีถมไป” จริงอยูวาอาจเปนคําพูดเสียดสี แตมันไรสาระและถาจะไมพูด
เสียเลยยอมประเสริฐกวา พวกเราตองไมเพี้ยนขนาดนั้น ไมงั้นอาจเปนภัยมหันตไดเพราะวาทุกสิ่งมัก
เริ่มตนจากจุดเล็ก ๆ กอนเสมอ คนบางคนทีแรกก็พูดเลน ครั้นนานไปจิตใจเริ่มเห็นดวย หนัก ๆ เขาเลย
ทําชั่วมันซะเลยเพราะเห็นวาสูทําดีมาตั้งนานทําไมไมไดรับการตอบสนอง ลักษณะนี้คือการมองสั้น
เกินไปและแถมมองไมรอบดาน คนทําชั่วจํานวนมากกําลังแยและคนทําดีจํานวนมากกําลังเจริญ…
ทําไมไมไปมองบาง ! จําไดไหมวา จิตวิญญาณเปนพลังงานที่ผมเชื่อวามีคุณสมบัติในการเก็บกักกรรม
หรือการกระทําที่ยังไมไดสงผล ฉะนั้น กรรมทั้งดีและไมดีทั้งหลายจะสงผลแนไมชาตินี้ก็ชาติตอ ๆ ไป
ผมพูดถึงความเปนไปไดของมัน ไมไดพูดวาเราตองกลัวหรืองมงาย และผมไมชอบเลยถาใครจะพูด
แบบขาดความเขาใจวา “ฉันเกิดมาเพื่อกมหนากมตาชดใชกรรม” อยางนี้มันเขาใจแคบเกินไปจนอาจ
ลืมไปวาการกระทําใหม ๆ ในตอนนี้สิที่ยิ่งสําคัญกวาและตองสนใจใหมาก ๆ แตการพูดอยางนั้นมัน
“กํากวม”จนอาจดําเนินชีวิตไปอยางไรความสุขได อยางไรก็ตาม เทาที่ผมวิจารณมาตั้งยาวก็ยังไมใช
ประเด็นที่ผมอยากบอกหรอก ประเด็นจริง ๆ อยูที่ขอความสุดทายของคําสอนพระพุทธองค… การทํา
จิตใจใหผองแผว
ผูคนในโลกนี้ บางคนรวยมาก มีเงินมาก มีธุรกิจมาก มีครอบครัวมีทายาท มีเพื่อน มีลูกนอง มี
ขาวของเครื่องใชมากมาย ทํางานเพื่อสังคม ทําบุญสรางวัด ฯลฯ แตถึงขนาดนี้แลว พวกเขาอาจกลาว
ไดวา “แตไมรูเปนไร ลึกลงไปภายในตัวฉัน ฉันไมมีความสุขเลย ฉันรูสึกถึงความวางเปลา” อะไรละที่
ทํ า ให ค นเรารู สึ ก เช น นั้ น งั้ น ผมต อ งถามใหม “ความรู สึ ก อะไรล ะ ที่ ห ายไปจากชี วิ ต ” คํ า ตอบ “ก็
ความรูสึกที่มีความสุขไงที่หายไป” ทางแกนั้นงายมาก ทางแกคือ “จงฝกที่จะทําจิตใจใหผองแผว” และ
การที่จะฝกไดนั้น พวกเราตองมาทําความเขาใจกันกอนดังนี้
ประการแรก ความรูสึกวาผองแผวนั้นไมไดจู ๆ ก็ลอยมาหาเรา (แมวานั่นก็อาจเปนไปไดใน
ยามที่มันเกิดขึ้นเอง) แตจะงายกวาถาจะฝกสรางความรูสึกดีกับสิ่งตาง ๆ เพราะนั่นแหละคือหนทาง
ทําใหเกิดความปติ ราเริง และมีความสุข ทั้งหมดนี้อาจเรียกใหมไดวา “จิตใจที่ผองแผว” และพวกเรา
ตางไดเรียนรูกันมาแลววาเราสรางความรูสึกหรืออารมณหรือสภาวะจิตขึ้นมาไดอยางไร

57
ประการที่สอง ในคําสอนที่วา “จงทําจิตใจใหผองแผว”เห็นไหมวามันไมไดระบุวาตองมีเงื่อนไข
ใด ๆ ที่ดีหรือแย และมันไมไดระบุการเวลาเอาไว ฉะนั้น ผมจึงตีความวา “จงทําจิตใจใหผองแผว ในทุก
กาลเวลา ทุกสถานที่ และทุกสภาวะเงื่อนไข” เชน
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรายังไมร่ํารวยแตเราอยากมีเงินทองเยอะ ๆ จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่ผองแผว
ราเริง และ ปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรายังไมมีแฟนแตอยากมี หรือวาเราอยากแตงงานแตยังไมพบเนื้อคู จงฝกให
ตนเองมีจิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะ
เงื่อนไขเชนนั้น จงฝกใหตนเองยิ้มแยมแจมใสอยูเสมอ
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรามีครอบครัวแลว แตเรายังไมมีทายาทและเราอยากมี จงฝกใหตนเองมีจิตใจ
ที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เราเจ็บปวยแตเราอยากหายปวย จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติ
ยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้คุณแมของเราไมสบายแตเราอยากเอาใจชวยทานใหหายปวย จงฝกใหตนเองมี
จิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาใว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไข
เชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เราพบกับปญหาและอุปสรรคหลาย ๆ อยางที่ตองแกไข จงฝกใหตนเองมีจิตใจ
ที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เราอวนแตอยากผอมและดูดี จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติ
ยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรายังไมไดในสิ่งที่เราตองการหลายสิ่งที่เราอยากได จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่
ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีความสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น
และไมวาเรากําลังเผชิญอยูกับอะไร ณ ขณะไหน และสถานที่ไดก็ตาม จงฝกใหตนเองมีจิตใจ
ที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเหลานั้น
คุณผูอานที่รัก เมื่อผมยังเล็กนัก ผมตองเรียนวิชา “หนาที่พลเมือง และศิลธรรม” ผมไดรับคํา
สอนที่ดีที่สุดและผมทองมันไดขึ้นใจเพราะวาผมตองสอบ กระนั้นผมไมไดตระหนักรูถึงความสําคัญ
ของมันวา “การทําจิตใจใหผองแผว” คือหัวใจในการดําเนินชีวิต อีกเนิ่นนานใหหลังผมก็ไมไดใสใจ
และ ใชชีวิตที่ตรงขามกับคําสอนนี้ คนจํานวนมากลวนเหมือนผม พวกเรา เซ็ง เบื่อ บน และหดหู ได
งายจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็อยางที่เราเดาได พวกเราไรสุขและไมเห็นคุณคาของชีวิต เพราะวาเราตีความ
ใหเรื่องแทบทุกเรื่องที่เราเจอกลายเปนเรื่องขุนใจ รบกวนหรือหงุดหงิดนารําคาญ เราจึงรูสึกแยเอามาก
ๆ คําวา “เกษมสําราญ” นั้นเหมือนเปนคําศัพทประหลาดที่มีแตคนรุนกอนใชแตไมใชเรา ฉะนั้น
ในขณะที่เราตื่นอยู…เราตองตื่นขึ้นจริง ๆ เสียทีวาการทําตัวแบบไหนกันแนที่ดีกวา เขาทากวา และ

58
ไดผลดีแน แคกําหนดจิตวาตอไปนี้จะมุงเนนชีวิตที่ผองแผวและเริ่มเสียเดียวนี้เลย แลวพวกเราจะตื่น
ขึ้นจริง ๆ เสียทีจากการหลับไหลที่ยาวนาน และเราจะไมรูสึกอีกตอไปวา… ทําไมนะ ชีวิตของฉันถึง
วางเปลาเสียจริง

59
ภาค 2
ระบบใหญในตัวเรา

60
บทที่ 1
เมื่อเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนตาม

ในภาคแรก ผมไดมุงเนนถึงความสําคัญของสภาวะจิต อารมณ และความรูสึกเปนอยางมาก


โดยไมไสใจตอความคิดมากนัก และผมไดชี้วาพลังแหงอารมณความรูสึกหรือสภาวะจิตเปนพลังแหง
ความคิด แตถึงกระนั้นก็ตาม พลังแหงความคิดก็ยังคงเปนพลังที่ยิ่งใหญที่สุดอีกประการหนึง่ ทีม่ นุษยมี
อยางมหาศาล และบัดนี้มันถึงเวลาแลวที่พวกเราจะไดเจาะลึกในเรื่องนี้ใหมากขึ้น เมื่อเราปราดเปรื่อง
ในเรื่องนี้แลว บางที เราอาจไดกาวเดินไปขางหนาอีกกาวใหญที่จะเขาใจวา ความคิดกับอารมณ
ความรูสึกนั้นมีผลกระทบสะทอนกลับไปมาซึ่งกันและกันอยางใกลชิด
นานแสนนานมาแลวที่ผมไดติดตามศึกษาเรื่องความคิดและกรอบความคิด แรก ๆ นั้นผมได
ศึกษาเรื่องกฏแหงเหตุและผล กฏนี้กลาววา “ทุกสิ่งหรือผลลัพธตาง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ยอมมีตนเหตุหรือ
สาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือหลาย ๆ สาเหตุรวมกันที่ทําใหมันเกิดขึ้น” และพวกเรามักใชกฏนี้โดยกลาว
วา “ปลูกอะไรไว ยอมไดสิ่งนั้น” เราเขาใจดีเมื่อเรากลาววา “เมื่อเราปลูกมะมวง เรายอมตองไดมะมวง”
กฏนี้จึงถือวาเปนกฏสากลที่ไมแตกดับไปตามกาลเวลา มันคงทนตอการทดสอบและพิสูจน อยางไรก็
ตาม กฏนี้ยิ่งล้ําลึกเมื่อเรานํามันมาใชกับความคิดของเรา ดวยการประยุกตใชกฏนี้ เรากลาวไดวา
“ความคิดของเรานั่นแหละคือตนเหตุแรก และนั่นอาจกอใหเกิดการกระทําที่สงผลตามมาที่สอดคลอง
กับวิธีคิด” แตเนื่องจากวาเราคิดอยูตลอดเวลาหรือเกือบตลอดเวลา เราไดทําตัวไปตามควมคิดของเรา
กลาวอีกอยางวา “ประดุจวาเราไดกลายเปนคนในแบบที่เราครุนคิดอยูตลอดเวลา” “ประดุจวาเราได
เปลี่ยนแปลงไปจะมากหรือนอยก็ตามไปในลักษณะที่เราคิดอยูตลอดเวลา” ดังนั้น มันจึงเปนเรื่องที่เรา
ตองใครครวญใหดีวา…
พวกเราไดดําเนินชีวิตไปตามความคิดหรือวิธีคิดของเราหรือไม จะวาไปแลว นี่เปนเรื่องที่ลึกซึ้ง
และยากเรื่องหนึ่งในการสรุป ผมเองนั้นแมหลงไหลกับความรูนี้ก็ตาม แตผมตองระมัดระวังในการใช
ถอยคําเปนอันมาก ยกตั วอยางเชน ในอดีตนั้นผมจะอธิบายวา “เราไดกลายเปนคนในแบบที่เรา
ครุนคิดอยูตลอดเวลา” แตปจจุบันผมเปลี่ยนเปน “ประดุจวาเรากลายเปนคนในแบบที่เราครุนคิดอยู
ตลอดเวลา” เหตุผลที่ผมเพิ่มคําวา “ประดุจ” ลงไปก็เพราะวาผมตองการชี้วา “เราไมใชความคิดของ
เรา” แตเรา “เปนผูสรางหรือผลิตความคิดขึ้นมา” ฉะนั้นเราจึงเปนอะไรที่มากกวาความคิดของเรา แต
โชครายที่เรามักทําตัวไปตามความคิดจนประดุจวาเรากลายเปนตัวความคิดเสียเอง ฉะนัน้ ถาเราไปพบ
หนังสือเลมไหนเขียนวา “คุณคือความคิดถึงคุณ” หรือ “คุณเปนความคิดของคุณ” ก็ขอใหเชื่อเถอะ
วา… นั่นคือการสอนที่ผิด ผมขอสรุปวา “เราไมใชความคิดของเรา” แตเปนไปไดวา เรามักจะดําเนิน
ชีวิตไปตามที่เราคิดจนประดุจวาเราไดกลายเปนคนในแบบที่เราครุนคิดอยูตลอดเวลา (ผมหวังวาคุณ
ผูอานคงไมสับสนนะครับ) และเพราะวาเรามักจะดําเนินชีวิตไปตามที่เราคิดจนประดุจวาเรากลายเปน

61
คนในแบบที่เราครุนคิดอยูตลอดเวลา เราจึงปฏิเสธความสําคัญของความคิดเรา แตเรานั่นแหละที่
สรางความคิดและใชมัน ตลอดจนเปนนายของมันอีกดวย
เอาละ ผมรูสึกสบายใจมากที่ไดอธิบายสิ่งที่เขาใจยากผานไปแลว ตอนนี้ เรามาดูผลที่จะ
ตามมาเปนลูกโซที่เกี่ยวกับความคิดไดเลย

ƒ เมื่อเราเปลี่ยนความคิด เราจะเปลี่ยนความเชื่อ
ƒ เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อ เราจะเปลี่ยนการคาดหวัง
ƒ เมื่อเราเปลี่ยนการคาดหวัง เราจะเปลี่ยนทัศนคติ
ƒ เมื่อเราเปลี่ยนทัศนคติ เราจะเปลี่ยนความรูสึก
ƒ เมื่อเราเปลี่ยนความรูสึก เราจะเปลี่ยนการกระทํา
ƒ เมื่อเราเปลี่ยนการกระทํา เราจะเปลี่ยนผลลัพธที่ได
ƒ เมื่อเราเปลี่ยนผลลัพธที่ได ประดุจวาเราไดเปลี่ยนชีวิตของเราไป

คุณผูอานที่รัก หากพูดสั้น ๆ เราอาจพูดวา “เมื่อเปลี่ยนความคิดประดุจวาเราไดเปลี่ยนชีวิตของเรา


ไป” พวกเราสังเกตไหมวามีคําศัพท ที่สําคัญอีกหลายคําที่อยูระหวางกลางของกระบวนการไดแก
“ความเชื่อ” “การคาดหวัง” “ทัศนคติ” “ความรูสึก” “การกระทํา” และ”ผลลัพธ ที่ได” สิ่งเหลานี้พวกเรา
ไดยินไดฟงกันมาก็มาก เชน ตําราบางเลม (และเยอะดวย) ตางก็บอกวา ‘ความเชื่อสําคัญมาก’ และ
ตําราที่เนนความเชื่อก็จะรายยาวเกี่ยวกับความเชื่อไปทั้งเลมวามันจะกระทบและเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา
ได บางตําราก็อางวา “ทัศนคติตางหากที่สําคัญเหนือสิ่งอื่นใด” และมุงเนนแตเรื่องทัศนคติวาเปนใหญ
เหนือสิ่งอื่น ตําราอีกจํานวนมากเนนที่ความรูสึก (มันนาสนใจมากเพราะวาพวกเราสังเกตไหมวา
ความรูสึกอยูติดกับการกระทําในกระบวนการที่ผมกลาวถึง) ตําราที่เนนเรื่องความรูสึกเห็นวา… เรา
สรางสิ่งตาง ๆ ขึ้นมาจากความรูสึก เราลงลงมือทําหรือไมทําก็เพราะความรูสึก และเราดึงดูดสิ่งตาง ๆ
ไปตามความรูสึก เห็นไดชัดวาผมคอนขางจะฝกใฝความคิดเห็นของฝายนิยมความรูสึกวามีพลังเหนือ
พลัง ทั้ง มวล (แถมผมยั งนิ ยมชมชอบกฏแหง การดึงดูดชัก นําพา และการปล อยพลังงานของคลื่น
แมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูงต่ําไปตามอารมณความรูสึกอีกดวย ดังนั้น ผมยอมตองชอบและเชื่อมั่นใน
พลังแหงความรูสึกเอามาก ๆ ขนาดวาคลั่งไคลไดเลยอยางแนนอน) แตถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็ยงั เห็นวา
ลําพังเพียงความรูสึกอยางเดียว (แมวาจะโดดเดนและทรงพลังที่สุด) ยอมไมเพียงพอในการอธิบาย
พฤติกรรมทั้งหมดของมนุษยได ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะฝกใฝทั้งสองทฤษฎีคือ ทฤษฎีที่เนนเรื่อง
ความคิดเปนใหญ และทฤษฎีที่เนนเรื่องความรูสึกเปนใหญไปพรอม ๆ กัน สวนพวกที่เนนอยางอื่นนั้น
ผมเห็นวาเปนองคประกอบเสริม… ไมใชองคประกอบหลัก

62
อยูมาวันหนึ่ง ชีวิตของผมไดเปลี่ยนไปอีกขั้นหนึ่งเมื่อผม ๆ ไดตั้งคําถามที่สําคัญมากกับตนเองขอหนึ่ง
วา ‘’ก็แลวมนุษยเปลี่ยนความคิดไดอยางไรละ” ทันไดนั้นเอง ผมราวกับวาไดเขาไปสูความรูแจงหรือ
การหยั่งรูอะไรบางอยางที่ฉับพลันในชั่วพริบตาผมไดยินเสียงในใจตอบวา “ก็ดวยการใหขอมูลใหม ๆ
กับสมองหรือจิตใจของเราไง” ใชแลว “ขอมูลใหม ๆ การใหความหมายใหม ๆ คําถามใหม ๆ กรอบ
ความคิดใหม ๆ ทฤษฎีใหม ๆ ประสบการณใหม ๆ รานอาหารใหม ๆ ไอศกรีมรสใหม ๆ หนังสือเลม
ใหม ๆ สัมมนาใหม ๆ ไปดูหนังแนวใหม ดนตรีแนวใหม การแตงตัวแบบใหม ๆ เจอคนใหม ๆ คบ
เพื่อนใหม ครุนคิดเรื่องใหม ๆ ความรูสึกใหม ๆ ฯลฯ” โอ… คําตอบที่ไดราวไมมีที่สิ้นสุด
ฉะนั้ น พวกเราต อ งหั น มาสนใจหน อ ยว า … ในวั น แล ว วั น เล า ของเรานั้ น มี อ ะไรบ า งล ะ ที่
แตกตางออกไป หาไมแลวเราจะเปลี่ยนความคิดไดไง นิวอินพุทหรือสิ่งใหม ๆ ที่จะยัดใสเขาไปในสมอง
หรือจิตใจของเรานะ… มีบางไหม? ถาไมมี… งั้นตองรีบจัดการใหมันมีใหจงได และแนนอนวาใน
บรรดาสิ่งใหม ๆ ทั้งหลายแหลนั้น ผมหมายถึงสิ่งดี สวนสิ่งใหมที่เลวรายนั้น… ผมไดละไวในฐานที่
เขาใจวา… ไมนับพวกมันเขามารวมไว พวกเราอาจสงสัยวา “อาว… แลวฉันจะไปรูเรอะวาสิ่งใหมเนี่ย
มันดีหรือเลว ก็มันใหมมากนี่นา” จริงอยูวาบางทีเราอาจไมรู แตเราตองเรียนรูใหเร็วที่สุดวาอะไรดีและ
อะไรไมดี จากนั้นก็คัดสิ่งไมดีทิ้งไปและเก็บแตเฉพาะสิ่งดีไว
อนึ่ง ถอยคํานับแสนนับลานคําในภาคที่ 1 (และที่พวกเราจะอานตอไปอีกมาก) ที่พวกเราได
ผานมา สิ่งเหลานั้นลวนเปนขอมูลใหมที่ผมพยายามปอนเขาไปในสมองและชีวิตจิตใจของพวกเรา
ไมใชหรอกหรือ? ทั้งหมดที่ผมพยายามลงไปนั้น ก็เพราะผมเชื่อจริง ๆ วา เมื่อเราเปลี่ยนความคิดได
เมื่อไหร ชีวิตของพวกเราก็จะเปลี่ยนไปอยางแนนอนเมื่อนั้น

63
บทที่ 2
สองแสนครั้งกับการถูกปฏิเสธและหามปราม

หากเราคิดวาการเปลี่ยนความคิดเปนเรื่องหมู ๆ บางทีนั่นก็อาจใชสําหรับใครบางคน แตวา


พวกเราถูกปลูกฝงหรือเลี้ยงดูกันมาอยางไรละ? หากวาพวกเราโชคดีเหนือใคร ๆ พวกเราจะถูกบอกวา
“ทําไมไดนะ” หรือ “อยานะ” หรือ “อันตรายนะ” อยางนอยหาหมื่นครั้งเมื่อพวกเราอยูในระหวางการ
เจริญเติบโตสูการเปนผูใหญ แตถาเราโชครายเหมือนคนสวนใหญละก็… เราจะไดรับการพร่ําบอกวา
“ทําไมไดนะ อยานะ อันตรายนะ ไมมีใครเขาทํากันอยางนั้นนะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ” อยางนอยสองแสนครัง้
แลวหลังจากสองแสนครั้งแลวละ จะเปนอยางไรตอ… ไมตองหวง… เราจะไดเจอครู เพื่อน แฟน คูชีวิต
ญาติ สังคม วัฒธรรม จารีตประเพณี และอะไรตอมิอะไรอีกมากที่จะวากลาวตักเตือนพวกเราวา “อยา
นะ ทําไมไดนะ มันเสี่ยงนะ มันอันตรายนะ อยาแมแตที่จะคิดนะ ฯลฯ ” โอ…ใหตายสิโรบิ้น… คน
หวังดีชั่งมีมากอะไรเชนนั้น !
เอาละ แลวพวดเรารูหรือเปลาละวา เจาบรรดาสิ่งที่เราเจอเชนพวกคําวา “การปลูกฝง” “การ
เพาะบมนิสัย”, “สิ่งที่ควรและไมควร”, “คําเตือน”, “ขอแนะนํา”, “ความคิดเห็น” สิ่งเหลานี้มันคืออะไร
ละ? ใชแลว… พวกมันก็คือขอมูลใหม ๆ (เชิงลบที่มากเกินจําเปน ที่ตอกย้ําซ้ําซากจนกลายเปน
ขอจํากัด และมีอิทธิพลมากเกินไป) ที่ยัดใสเขาไปในสมองและจิตใจของเราไง สิ่งเหลานี้ไดกอรูป
ความคิดขึ้นวา อืมมมมม…. มันมีอะไรอีกมากวะที่เราทําไมไดหรอก จากนั้นมันเริ่มลามไปแทบทุก
ดานของชีวิต พวกเรากลายเปนคนชนิด “เพลยเซฟ หรือไมเสี่ยงไวกอน”พวกเราตั้งการดสูงและระวังตัว
แจจนมากเกินพอดี คําพูดที่วา “ฉันทําไมไดหรอก” นั้น… หลายครั้งไมไดกลั่นออกมาจากความจริงที่
เกี่ยวกับความสามารถของตัวเรา แตมันออกมาจากความเคยชินกับกรอบความคิดที่เราถูกปลูกฝงให
“ชวยเหลือตัวเองไมคอยจะได”อยางไมรูตัว พวกเราถูกเลี้ยงดูมาอยาง “ระวัง ระวัง และระวัง”เราจึงโต
ขึ้นแบบ “ระวัง ระวัง และระวัง”และที่โชครายที่สุดคือ พวกเรากําลังดําเนินชีวิตแบบ “ระวัง ระวัง และ
ระวัง”พวกเราไมคอยใชศักยภาพหรือความสามารถที่เก็บกักไวในตัวเราสักเทาไหรเพราะวาพวกเราถูก
“หาม”มากเกินไป จะวาไปแลวผมนี่แหละคือตัวอยางขั้นสุดยอดของการถูกหามจากพอแม สองแสน
ครั้งไมพอแนสําหรับผมเพราะวาพอแมของผมรักผมมากเกินไป พอแมทั่วโลกเปนอยางนี้ พวกเขา
พยายามทําในสิ่งที่พวกเขาคิดวาฉลาดที่สุดแลว (ไมไดประชด) แตอะไรก็ตามที่มันมากเกินไปยอมเกิด
โทษของมันเสมอ แลวเดาสิวาเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมดําเนินชีวิตแทบทั้งชีวิตดวยการเก็บกักศักยภาพ
อันมหาศาลเอาไวและใชชีวิตในกรอบของความคิดที่จํากัด ผมชวยเหลือตัวเองไดนอยมาก ดูเหมือนวา
ชะตาชีวิตอาจมีแผนของมันไวแลว และแผนของมันก็คือคนโงเขลาเบาปญญาและออนแอก็จะถูก
ลงโทษในไมชาก็เร็ว ไมดวยน้ํามือของคนอื่นก็ดวยน้ํามือของตนเอง เมื่อผมเขาเลนหุนดวยความโลภ
และคิดวามันเปนเรื่องที่งาย ผมตาบอดถึงขนาดคิดวาการทํางานทั่วไปเปนเรื่องโงเขลา หากวาจะมี

64
อะไรสักอยางที่ถือไดวาผมสิ้นคิดและบาไปแลว…. นั่นก็คือการที่ผมคิดวา การเลนหุนฉลาดกวาการทํา
ธุรกิจอื่น ๆ แตอยาเพิ่งเขาใจผิด ผมไมไดบอกวาคนเลนหุนโง เปลาเลย… คนเลนหุนที่ฉลาดนั้นมีมาก
เมื่อคนเราจะเลนหุนก็ไมแปลกหรอก คน ทั่วโลกก็เลนหุนไมใชหรือ? แตการคิดเลยเถิดถึงขนาดที่วา
“มันเหนือกวาการทําธุรกิจอื่น ๆ”ยอมเปนอคติ ในที่สุดผมตัดสินใจเลิกทํางานในธุรกิจครอบครัวและไป
ตลาดหุนทุกวันอยางเต็มตัว และผมก็หมดตัวเมื่อตลาดหุนดิ่งลงตลอดเวลาและหุนบางตัวมีมูลคา
เหลือหนึ่งสตางคเทานั้น ตอนนั้นผมไดแตหดหูและหางไกลกับความรูที่ผมเขียนไวในหนังสือเลมนีม้ าก
หนึ่งในความจริงที่ปฏิเสธไดยากคือ… ยามที่คนลมนั้น คนจํานวนนอยกวาที่ลุกขึ้นมายืนได ในยามที่
ย่ําแยนั้น ไมตองบอกก็รูวาเรื่องเลวรายอีกนับสิบจะกรูกันเขามาไมขาดสาย (ก็มันแนอยูแลวที่ผมได
กวักมือเรียกพวกมันเขามาดวยคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํามากที่ผลิตจากอารมณเชิงลบที่ผมสงออก
ไปทุกวัน ในตอนนั้นผมยังไมรูวาผมเปนมนุษยที่สามารถปลอยพลังงานตัวนี้ ผมสงจดหมายเชิญผิดใบ
ตลอดเวลา) ในชวงนั้น ผมไดรับความเจ็บปวดในทุกรูปแบบก็วาได วันหนึ่งภรรยาไดเตือนสติวา “เฮียมี
ความรูเรื่องหมากลอมมาก เฮียสูอุตสาหศึกษามานับสิบป ทําไมไมเขียนหนังสือสอนใหคนเลนเปนละ”
ในเมื่อผมไมมีอะไรจะสูญเสียอีกแลว ผมจึงลงมือเขียนมัน และแลวในที่สุดตําราหมากลอมที่สมบูรณ
ที่สุดเลมแรกแหงประเทศนี้ก็ไดอุบัติขึ้น “โกะ อัจฉริยะเกมแหงพิภพ” มันขายดีเปนเทน้ําเททา สิ่งนี้ให
กําลังใจแกผมมาก ผมไดเปดสํานักพิมพขึ้น และเริ่มหันมาศึกษาหนังสือแนวพัฒนาตนเองอยางจริงจัง
ตั้งแตป 2543 เปนตนมา แตดวยเดชะบุญที่ผมเคยอานมากอนและมากดวยเมื่อตอนเปนวัยรุน ทวา
คราวนี้ไมเหมือนตอนเปนวัยรุน ผมไดบทเรียนมามาก ดังนั้น ผมจึงซาบซึ้งกับคําสอนในหนังสือไดมาก
เปนพิเศษ และนึกไมถึงวา ผมจะไดคนพบตัวเองอีกครั้งวาผมมีพรสวรรคในดานนี้ และภารกิจใหญของ
ผมก็คือ…. การรับใชคนในประเทศนี้เพื่อปอนอาหารทางสมองที่ดีเลิศ และเปนกําลังใจใหกับผูคนอีก
มากใหตอไป
คุณผูอานที่รัก แมวาหลายคนไมไดมีชีวิตเหมือนผม แตพวกเราตางคลายกันในแงที่เราถูก
ปลูกฝงและเลี้ยงดูมาแบบใหระวังตัว เราถูกหามปรามในแทบทุกเรื่องราว สิ่งนี้เปนกันทั้งโลก และพวก
เราก็ตางมีชีวิตที่เต็มไปดวยขอจํากัดของตัวเอง อาจตางกันในรายละเอียดแตเหมือนกันในลักษณะที่
เราถูกปลูกฝงใหระวังและอยาทําในหลาย ๆ สิ่ง เราจึงมีความจําเปนที่จะตองเติบโตขึ้นจริง ๆ ไมใช
เพียงอายุแตเปนความเขาใจถึงอิทธิพลขิงสิ่งแวดลอมและคําสอนที่หลอหลอมเราขึ้นมา ผมหวังวาพวก
เราจะเขาใจมัน เห็นใจพวกผูใหญทีปฏิบัติตอเราที่รูเทาไมถึงการณ และกาวพนไปจากกรอบความคิด
เล็ก ๆ ของเราใหจงได และแนนอนวาผมทําทุกสิ่งทุกอยางที่ตองทําเพื่อทําใหพวกเราเอาชนะการ
ปฏิ เ สธสองแสนครั้ ง ที่ พ วกเราได ป ระสบมาและนํ า พาพวกเราไปสู ก รอบความคิด ที่ใ หญม ากเพื่ อ
อิสรภาพทางความคิดที่รวมไวซึ่งทุกสิ่งทุกอยางที่อาจเปนไปได

65
บทที่ 3
กรอบความคิด… ปอมปราการที่ตองฝาทะลุออกไป

เมื่ อเราพู ดถึ งเรื่ อ งความคิ ด ผมคิดวา เราต องหัน มาสนใจอี ก สิ่ง หนึ่ง ใหมากนั่น คือ “กรอบ
ความคิด” มันเปนอะไรที่เหมือนขอบเขตที่ปลายสุดของความคิด หรือการอนุญาตที่มากที่สุดที่ตัวเรา
ยอมรับไดดังนั้นในกรอบความคิดของเรื่องใด ๆ ก็ตาม ภายในนั้นยอมมีความคิดไดหลายอยางแตมัน
ถูกจํากัดความเปนไปไดดวยกรอบของมัน นี่เปนเรื่องที่ลึกซึ้งมากเรื่องหนึ่ง เปนความลี้ลับมากประการ
หนึ่งที่ผมพยายามเขาไปสัมผัสมัน มันนาตกใจยิ่งที่ความคิดที่มองเห็นไมไดดวยประสาทสัมผัสทาง
ภายนอกทั้งหากลับสามารถมีขอจํากัดได ในยามที่คุณคิด ผมมองไมเห็นหรอก ผมไมรูหรอกวาคุณคิด
อะไรถาคุณไมบอก แมกระนั้น คุณก็รูวามีอาณาเขตบางแหงที่คุณไมกลาลวงล้ําเขาไป มันเปนกรอบที่
มองไมเห็นที่บอกเราวา “เราคิดไกลได” แคสุดเขตแดนนี้ มากกวานี้เปนไปไมได และไมไดรับอนุญาต
ใหไปไดไกลกวานี้ทางความคิดอีกแลว มันอาจดีในบางแงแตมันก็แยในทางสรางสรรคดวยเชนกัน
ยกตัวอยางเชน เมื่อผมเปนเด็ก ผมถูกปลูกฝงวา “การดาพอแมจะทําใหผมตกนรกและถูกเจาะปาก
ดวยเข็ม” ดังนั้น แมในความคิด ผมเดินทางขามกรอบความคิดนี้ไมได มิเชนนั้นแลว ผมจะรูสึกวา…
ได รั บ ความเจ็ บ ปวดที่ ลึ ก มาก เพราะฉะนั้ น พวกเราย อ มได รั บ กรอบทางความคิ ด จากภู มิ ห ลั ง
สิ่งแวดลอม จารีตประเพณี การศึกษา ประสบการณที่ไดผานพบ และอาจเปนอะไรก็ไดนับไมถวนที่
สรางกรอบทางความคิดขึ้นมา ขอดีนั้นมีแน แตขอเสียคือบางทีเรามีกรอบความคิดเกี่ยวกับปรัชญา
การใชชีวิต วิธีการหาความสุข และความสําเร็จ ที่ทําใหเราสมความปราถนาไดยากมาก ฉะนั้น ใน
ฐานะที่ตอนนี้เราเปนผูใหญแลว เรารูมากวาอะไรเปนอะไรแลว เราตองขยายกรอบความคิดในหลาย ๆ
เรื่องใหกวางไกลจนราวกับวาไมมีกรอบ หรือถาเปรียบวากรอบความคิดคือกําแพง หรือปอมปราการที่
กักขังหนวงเหนี่ยวเราไว เราจําเปนตองฝาทะลุออกไปหากเราตองการชีวิตที่ไรขีดจํากัด ลองดูการฝา
กําแพงของผมจากตัวอยางตอไปนี้
นานมาแลวที่กรอบความคิดของผมเกี่ยวกับเด็กคือ “เด็กก็คือเด็ก” นั่นทําใหผมมีพฤติกรรมตอ
ลูกในลักษณะที่ไมเทาเทียมเมื่อผมไดขยายกรอบความคิดใหมเปน “เด็กก็คือผูหญิงหรือผูชายแคตัว
เล็กกวาเรานอดหนอย เด็กคืออนาคตที่แทจริงของมนุษยชาติ และอีกหนอยก็จะตัวโตเทาเรา” ดวย
กรอบความคิดนี้ ผมไดเปลี่ยนพฤติกรรมตอเด็กไปมากทีเดียว สิ่งนี้ลูกผมเปนพยานไดดีถึงการปฏิบัติ
ตอพวกเขาอยางใหความสําคัญและใหเกียรติอยางมาก
นองสาวคนเล็กตอวาผมเสมอวา “อยามาวาฉันเพียงเพราะเธอเปนพี่” ผมนึกออกทันทีวาที่ผม
ทําเชนนั้นเพราะวากรอบความคิดของผมมันบอกวาผมโตกวา ผมเปนพี่ ผมมากอน และเมื่อกอนผมวา
กลาวเธอได แตเมื่อกอนไมเหมือนเดี๋ยววนี้ เพราะวาเธอโตเกินกวาที่ผมจะอางเชนนั้นไดอีกตั้งนานแลว
นี่มันตางอะไรกับที่พอแมวัยแปดสิบเห็นลูกอายุหกสิบวายังเปนเด็ก ดังนั้น เพื่อแกปญหานี้กับนองสาว

66
ไปตลอดกาล ผมไดขยายกรอบทางความคิดสําหรับเรื่องนี้เปน “ใชแลววาในฐานะหนึ่งเธอเปนนองสาว
ของฉันและในขณะเดียวกันเธอก็เปนผูใหญ เธอเปนปจเจกบุคคลที่มีชีวิตอิสระของตนเอง เธอมีสามี มี
ครอบครัว เธอมีลูกของตนเอง และเธอยังจะเปนอะไรอีกตั้งหลายอยางที่ฉันอาจไมเปน” ตั้งแตผมได
ขยายกรอบความคิดนี้ออกไปอยางกวางไกลแลว ผมไมเคยทะเลาะกับเธออีกเลย
ในเรื่องเกี่ยวกับเวลาของครอบครัวนั้น ผมไดเปลี่ยนกรอบความคิดครั้งใหญเมื่อผมเปลี่ยน
ประโยคที่วา “นี่มันคืดเวลาของผม” มาเปน “นี่มันเวลาของเรา” คุณอาจสงสัยวามันจะดีสักแคไหน ผม
บอกไดเลยวาเยี่ยมแบบสุด ๆ ทุกวันนี้ผมมีความสุขมากกับคําเชิญชวนแทบทุกชนิดของลูกและภรรยา
ที่พวกเขาออกปากชวนผม ผมจะวางงานลงโดยไมลังเล…ก็นี่มันเวลาของเรานี่
หากคุณยอนกลับมาอานหนังสือเลมนี้อีกครั้ง มันแนนอนวาคุณตองเจอคําสรรพนามตอไปนี้
ผม,คุณ, และ พวกเรา แตเดาซิวาผมใชคําไหนเยอะที่สุด… ผมใชคําวา “พวกเรา” บอยที่สุด ทําไมถึง
เปนอยางนั้นละ สาเหตุก็คือเมื่อผมไดขยายกรอบความคิดจากคําวา “คุณและผม” ไปเปน “พวกเรา”
แล ว มั น ก็ ไ ม มี อ ะไรที่ คุ ณกั บ ผมจะขั ด แย ง กั น อีก ต อ ไป ผมจึ ง ไม อ ยู ใ นฐานะที่ ส อนอะไรให กับ คุ ณ
เพราะวาคําวา “พวกเรา” ไดลดชองวางความเปนคนแปลกหนาตอกัน และผมก็รูสึกจริง ๆ วา “เราเปน
พวกเดียวกัน” สวนในหนังสือเลมกอน ๆ ของผม ผมไดใชคําวา “ผม” และ “คุณ” เยอะมาก ทําละ… ก็
เพราะวาตอนนั้นผมยังไมไดเปลี่ยนกรอบความคิดใหกวางไกลออกไปสูคําวา “พวกเรา”นะสิครับ
ออ…. เมือพูดถึงคําวา “พวกเรา”มีเรื่องลอเลียนที่ขําดีอยูเรื่องหนึ่ง มีเรื่องเลากันวา…มีประเทศหนึ่งใน
เอเชีย (ขอไมบอกชื่อ) ที่ชาตินิยมจัดมาก นั่นหมายความวาพวกเขารักชาติของตนเองเอามาก ๆ เวลา
จะพูดถึงเรื่องไหนก็ตาม พวกเขาจะพูดวา ”บริษัทของเรา” “คนของเรา” “เด็กของเรา” “อุตสาหกรรม
ของเรา” “เทคโนโลยีของเรา” ฟง ๆ ดูก็เขาทาดีและรูสึกวาพวกเขาชางเปนปกแผนดีจริง แตที่ผมอดขํา
ไมไดคือคําสุดทายที่ผมกําลังจะพูดถึงครับ พวกเขาพูดวา “ภรรยาของพวกเรา” อืมมมมม… อะไรมัน
จะขนาดนั้น
มีขาวดีเล็กนอย เทาที่พวกเราไดอานมาไกลถึงเพียงนี้ พวกเราไดขอมูลใหม ๆ ไปมากแลว
ดังนั้น โดยที่ไมอาจหลีกเลี่ยงไดพวกเราไดขยายกรอบของความคิดหรือทลายกรอบของความคิดอันคับ
แคบตายตัวบางประการลงไปแลว สิ่งนี้ยอมทําใหเราเห็นความเปนไปไดใหม เพิ่มขึ้นไมมากก็นอย
คุ ณ ผู อ า นที่ รั ก ผมได อ ธิ บ ายเรื่ อ งกรอบความคิ ด มาพอสมควรเพื่ อ ที่ พ วกเราจะนํ า ไป
ประยุกตใชใหแหมาะสม ขอใหพวกเราสํารวจตรวจตราดูวาความคิดหรือกรอบความคิดดานไหนบาง
ไหมที่เ ราคับแคบเกิ นไปงั้ นเราจิน ตนาการวา กรอบอัน นั้ น มันขยายตั วออกไป จงยืดหยุ น และเพิ่ม
ความหมายใหมหรือความเปนไปใหม ๆ เขาไปใหมาก ๆ นี่แหละคือการพังกําแพงหรือฝาทะลุกรอบ
ความคิดเกาของพวกเราและเรามีความสุขและความสําเร็จมากขึ้นอยางแนนอน และตอนนี้เรากําลัง
จะไดเรียนรูความคิดในรูปของคําถามซึ่งเปนสิ่งที่ใกลชิดติดพันกับเราเปนอยางยิ่ง เรายิงคําถามกับตัว

67
เราเองและเรื่องราวในโลกนับลานขอ “คําถาม” คืออะไรกันแน มันเปนความคิดประเภทหนึ่งใชไหม?
พวกเราจะไดรูแจมแจงในหัวขอตอไป

68
บทที่ 4
คําถามคืออะไรกันแน

เวลาที่เราคิด พวกเราจะรูตัวหรือเปลาวาเราชอบคิดในลักษณะไหนมากที่สุด พวกเราคงไม


แปลกใจใชไหมถาผมจะบอกวาเราคิดเปนประโยคคําถามมากที่สุด เชน

ƒ ที่เขาทําอยางนี้มันหมายความวาอยางไร ?
ƒ เขาจะรักฉันอยางที่ฉันรักเขาไหมนะ?
ƒ ฉันอาจสามารถทําอะไรไดบางแลวเขาจะรักฉัน?
ƒ ฉันทําอะไรไดอีกแลวฉันจะเปนที่รัก?
ƒ ฉันตองทําตัวอยางไรถึงจะดีที่สุด?

คุณผูอานที่รัก จําไดไหมเมื่อตอนที่เราเปนเด็ก พวกเราคือสุดยอดแหงมนุษยเจาคําถาม เรายิง


คําถามอุตลุดจนพอแมเราเหนื่อยที่จะตอบ เราชอบใชความคิดดวยคําถามเพราะวาเราตองการที่จะ
เข า ใจทุ ก สิ่ ง ที่เ ราสงสั ย และเราจะถามตอ ไปตราบใดที่ เ รายั ง มี ล มหายใจอยู ไ ม ต อ งสงสั ย เลยว า
สติปญญาและแทลทุกสิ่งที่เปนมนุษยไดสรางขึ้น มาจากพลังของความคิดในรูปของคําถามทั้งสิ้น ไมมี
เครื่องมือใดอีกแลวที่เหนือกวามัน แมแตเจาชายสิทธัตถะก็ไดใชพลังแหงคําถามจนนําพระองคออก
บวชเพื่อคนหาทางพนทุกขมาแลว หากวาเราเปลี่ยนความคิดแลวไซร เห็นทีเราตองรูจักเลือกใชคําถาม
ใหเปนเสียกอนเพราะวาคําถามนั้นมีมากเปนตัน ๆ และมีทั้งดีและเลว สาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทําให
คนจํานวนมากกําลังแยเพราะเฝาถามคําถามที่ผิด ๆ สวนคําถามที่ถูกที่ควรไมยักถาม ผมอยากย้ําวา
พวกเราไดเขามาถึงสิ่งที่โคตรของโคตรของโคตรสําคัญ (หากไมพูดขนาดนี้เกรงวาเดี๋ยวพวกเราอาจไม
เชื่อวามันสําคัญจริง ๆ) ดังนั้น ขอพวกเราจงมุงเนนเรื่องนี้ใหมาก ๆ

69
บทที่ 5
ธรรมชาติของคําถามและอนุภาพของมัน

แมวาพวกเรามีประสบการณในเรื่องการถามมานับไมถวนแลวก็ตาม แตเชื่อเถอะวาเราก็สัก
แตถามกันไปเรื่อยโดยไมไดรูถึงธรรมชาติของมันสักเทาไหร ดวยเหตุนี้เอง มันจึงคลายกับการโยน
ลูกเตาที่ไดแตมไมแนนอน ซึ่งหมายความวาบางครั้งเราถามคําถามไดฉลาด เราก็พลอยไดรับผลดีตาม
ไป และครั้งใดเราถามคําถามโง ๆ เราก็ไดรับผลเสียตามไปเชนกัน แตขาวรายมากก็คือ ผูคนสวนใหญ
ไดใชคําถามที่ผิดมากมายเหลือเกินกับชีวิตของพวกเขา ชีวิตจึงกลายเปนทุกขแทนที่จะสุข หนทาง
เดียวที่เราจะสรางชีวิตที่แสนวิเศษขึ้นมาไดเราตองรูวา อะไรคือธรรมชาติของมัน และผมสัญญาวา เรา
จะใชมันใหมไดอยางทรงพลังที่สุดทีเดียว ตอไปนี้คือธรรมชาติของคําถาม
สมองของเรานั้น ทํางานในลักษณะที่ตรงไปตรงมา เมื่อเราถามมันเรื่องไหน มันก็จะพยายาม
ตอบในเรื่องที่ถาม เชนถาถามวา “ใคร” มันก็จะพยายามนึกชื่อให ถาถามวา “เมื่อไหร” มันก็จะนึกถึง
เรื่องเวลา เปนตน ฉะนั้น ถาบังเอิญเรื่องไหนไมไดถาม สมองจะถือวาเราไมไดสนใจเรื่องนั้น และ
แนนอนวามันจะไมนึกถึงเรื่องนั้นใหเรา ฉะนั้น หากเราจะมีสักลานเรื่องที่พวกเราพลาดไป มันเปน
เพราะวาเราไมเคยไดถามถึงนั่นเองเปนองคประกอบแรก มันไมไดเกี่ยวกับความสามารถในการที่จะ
ไดมานักหรอก แตมันเกี่ยวอยางยิ่งวาเราไดถามถึงไหม สมมติวาเราไมเคยถามวา “ฉันจะซื้อรถเพิ่มอีก
หนึ่งคันดีไหม” ก็ไมมีเหตุอันใดที่สมองจะคิดถึงรถอีกคัน ถาเราไมไดถามวา “เมื่อไหรฉันถึงจะไปเรียน
ภาษาจีน” เชื่อเถอะวาเรายอมจะไมมีวันรูไดหรอกวาเมื่อไหร ดังนั้น คําถามที่เราถามและไมไดถาม คือ
การอธิบายวาเราสนใจอะไรและเราอาจไดมันมา กับเราไมสนใจอะไรและเราจะไมมีวันไดมันมางาย ๆ
หรอก ฉะนั้นเพื่อนเอย ถาอยากจะร่ํารวย อยากมีความสุข อยากมีสุขภาพดี และอยากมีสิ่งดี ๆ อีกมาก
แลวละก็ จงถามเรื่องราวเหลานี้กับตนเองบอย ๆ แลวสมองจะไมมีทางเลือก มันจะพยายามตอบใน
สิ่งที่เราถามอยางสุดความสามารถของมันทีเดียว โปรดจําไววา การถามถึงอะไรก็ตาม เราไดสราง
ตนเหตุที่เราอาจจะไดมันมา เพราะวาสมองถูกบังคับใหทํางานหรือคิดไปตามคําถามที่เราถามนั่นเอง
ถามอยางไร ตอบอยางนั้น
เมื่อเราถามคําถามอยางสรางสรรคเชน “ฉันอาจสามารถทําอะไรไดบางในวันนี้ แลวคุณแมจะ
รักฉัน” สมองจะคิดแตเรื่องการกระทํา แตเมื่อเราถามในลักษณะที่นากลัวสมองจะผลิตคําตอบที่นา
กลัวตามไปดวย เชน “ฉันจะกําจัดเขาไดอยางไร” โปรดรูดวยวา มันชวยไมไดที่สมองจะคิดวิธกี ารกําจัด
ให ผมถึงบอกวามันอันตรายเมื่อเราดันไปตั้งคําถามที่นากลัว อีกตัวอยางเชน “ฉันจะฆาตัวตายได
อยางไร” นี่คือลักษณะคําถามที่นาสะพรึงกลัว แตสมองฝนไมได มันจะตอบแตคําถามอยางนี้ มันจึง
เสี่ยงเมื่อใครริไปถามมันเขา ผมไมไดบอกวาการฆาตัวตายดีหรือเลว แตผมอธิบายวามันเปนธรรมชาติ
ในการทํางานของสมองกับคําถามที่มันไดรับ เมื่อเด็กนักเรียนถามตนเองวา “ฉันจะหนีเรียนไดอยางไร”

70
มันแนอยูแลววาสมองจะคิดคําตอบในการหนีให แลวถามอยางนี้ละ “ฉันจะโกหกใหแนบเนียนได
อยางไร” ไมตองหวงสมองจะชวยคิดหาวิธีให ฉะนั้น โปรดระลึกไววา สิ่งเลวในทุกรูปแบบที่คนเราอาจ
ทําลงไปได ลวนขึ้นกับวาพวกเขาไดเคยตั้งคําถามที่เลวรายมาก ๆ เหลานั้นหรือเปลา และในทาง
ตรงกันขาม สิ่งดี ๆ ทั้งหลายที่คนเราอาจทําลงไปไดก็เชนกัน ยอมขึ้นกับวาพวกเขาไดเคยถามคําถาม
ถึงพวกมันหรือไม ดวยความรูนี้ พวกเราตองรูจักเลือกใหเปนแลวทุกสิ่งทีดี ๆ จะอยูในกํามือของเรา
คําตอบใหม ๆ ยอมมาจากคําถามใหม ๆ
ผูคนมากมายบนวาเปลี่ยนแปลงตนเองไมได บางทีอาจเปนเพราะมัวถามแตคําถามเกา ๆ ที่
ซ้ําซากจําเจ มันเลยไมไดความคิดใหม ๆ เขามา ดวยการตั้งคําถามใหม ๆ ยอมบังคับใหสมองคิด
เรื่องใหม และที่โลกเจริญขึ้นก็ดวยเหตุนี้ บางคนถึงกับพูดเสียคมกริบวา “ไมใชคําตอบหรอก แตเปน
คําถามตางหาก ที่ทําใหรูแจง” วาว…. อะไรจะลุมลึกถึงเพียงนั้น! ขอใหเรามองสิ่งประดิษฐใหม ๆ ทุก
อยางที่อยูรอบตัวเราสิ ลวนเกิดขึ้นไดจากคําถามใหม ๆ หากใครก็ตามอยากผลิตความคิดที่สรางสรรค
สิ่งที่ควรและตองทําคือการปอนคําถามใหม ๆ ใหกับสมอง หากพวกเราอยากมีชีวิตที่มันตื่นเตนเราใจ
มากขึ้น งั้นเอาคําถามนี้ไปเลย… “ฉันจะใชชีวิตที่มันสนุก ตื่นเตนเราใจ และราเริงแบบสุดเหวี่ยงได
อยางไร ฉันจะทําอะไรที่มันใหม ๆ ไดบาง ฉันยังจะทําอะไรอีก อะไรละที่นาลอง ที่นาชิม ที่นาไปเห็นไป
ดู ที่นาไปเที่ยวชม ที่นาไปสัมผัส ที่นาฟง ที่นาไปรูสึกแปลกใหม และที่นาไปมีประสบการณ?”

ชีวิตที่ดีกวามาจากคําถามที่ดีกวา
มีเรื่องประหลาดมากที่คําวา “ทําไม” ใชกันมากสําหรับนักวิทยาศาสตรและไมไดมีปญหาอะไร
เลย กลับกลายเปนคําเกือบตองหามก็วาไดเมื่อนํามาใชกับชีวิตของเรา สาเหตุหนึ่งก็คือ มันทําใหเรา
เสียเวลามากไปกับการหาเหตุผลและมักมุงเนนกับอดีต เชนเมื่อเราถามวา”ทําไมฉันไมเอาไหนเลย
ทําไมฉันไมไดเรื่องเลย?” แทนที่คําถามนี้จะชวยเราในการหาเหตุผลเพื่อแกไข แตคนสวนมากใชถาม
เพื่อจะหดหูและเซ็ง!!!!! (ผมใชเครื่องหมายตกใจถึงหาตัวเพื่อบอกวามันแยจริง ๆ ) คนจํานวนมากเมื่อ
ถามตนเองวา “ทําไม” มักกลับเขาสูอดีตและเซ็งเมื่อคิดถึงมัน มันจึงเปนการกรอเทปแลวฉายซ้ํา
จากนั้นก็รูสึกเจ็บปวดมาก ตกลงเลยไมไดแกไขอะไรเลยนอกจากแยเขาไปอีก ที่อาการหนักมากจะเริ่ม
สมเพชตนเอง ชิงชังตนเอง และอาจตามมาดวยอาการซึมเศรา สวนที่เลวรายที่สุดคือการฆาตัวตาย มี
ผูคนนอยมากที่ถามตนเองวา “ทําไมฉันหวยแตก โงและลมเหลวขนาดนี้วะ?” แลวสามารถมุงเนนไปที่
การหาหนทางแกไขได เพราะวาลักษณะของคําถามมันชวนใหคิดหาสาเหตุซึ่งไมพนตองไปรื้อฟนอดีต
วาไดทําอะไรลงไปบางที่มันแย ๆ มันจึงกลายเปนกับดักที่คนคอนโลกตกหลุมพรางของมันและติดแหง
กอยูกับมันโดยใชเวลากวา 90% จมอยูกับตัวปญหา หนทางที่จะชวยไดคือการใชพลังของคําถามที่
ดีกวาโดยเปลี่ยนคําวา “ทําไม” ไปเปน “อะไร” ยกตัวอยางเชน “ฉันอาจสามารถทําอะไรไดบางในวันนี้
เพื่อพรุงนี้ที่ดีกวา?” คําถามนี้นอกจากไมสรางความรูสึกเจ็บปวดแลว มันยังมุงเนนไปที่อนาคต คนที่

71
เกงและเอาตัวรอดไดเสมอนั้นตองยิงคําถามดวยคําวา “ทําอะไร และทําอยางไร” พวกเขาจะไมใชคํา
วา “ทําไม” มันเปนคําที่เหมือนดีแตเลวในแทบทุกกรณี (มีขอยกเวนอยูบางที่จะอธิบายตอไป)
สมมติวาเราถูกกลั่นแกลงจากเพื่อนคนหนึ่ง ถาเราถามวา “ทําไมเขาทําอยางนี้กับฉันไดลงคอ
เขาไมรูหรือวาฉันจะเสียใจขนาดไหน?” คําถามเหลานี้ทําใหเราเจ็บปวด เซ็ง โกรธ นอยใจ กลุมใจ และ
ติดอยูในอารมณเชิงลบหลาย ๆ อยาง มันทําใหความคิดซ้ําคิดซากถึงสิ่งที่เขาไดทําลงไป มันทําให
สับสัยวาทําไมและเพราะอะไร และที่จริงคําตอบที่ไดก็ไมมีทางรูหรอกวาถูกหรือเปลา ก็เลนคิดอยูคน
เดียวฝายเดียว และมุงเนนกับอดีตที่ผานไปแลว มันเสียเวลา เสียสมอง แถมไมรูจริง ฉะนั้น คําถาม
“ทําไม” จึงไมไดชวยเรา ฉะนั้น ไมวามันจะเพราะอะไรก็ตาม มันก็ไดเกิดขึ้นมาแลว จึงไมตองไปสนใจ
มันมาก แตใหถามใหมวา “ฉันตัดสินใจวาจะทําอะไรและอยางไรตอไป?” คราวนี้มุงเนนไปที่เดี๋ยวนี้
และอนาคต คราวนี้ไมยอมใหเวลากับความหดหูและความเสียใจ คําถามอยางนี้สิที่ใหพลัง
สมมติวาเราทําธุรกิจอยางหนึ่งขาดทุน เซ็งไหม…. เซ็งสิ แตจะเปนไงถาเราถามวา “ทําไมเรื่อง
แบบนี้ตองเกิดขึ้นกับฉันดวยนะ?” ถามจริง…. ถามแบบนี้ชวยอะไรเราหรอ!!! นั่นยิ่งทําใหเสียเวลากับ
อดีตมากขึ้น เจ็บปวดซ้ําซาก โมโหตนเอง และหงุดหงิดอยางมาก จงเปลี่ยนไปถามวา “ฉันตัดสินใจวา
จะทําอะไรตอไป ฉันยังอาจสามารถทําอะไรไดบางใหสถานการณมันดีขึ้น ฉันยังเหลืออะไรอีก มีอะไรดี
ๆ ที่อาจแฝงตัวมากับปญหานี้บางไหม ฉันไดเรียนรูอะไรบาง ฉันจะสูตอไปอยางไรดี อะไรคือการแกไข
ที่ทําไดเดี๋ยวนี้แมเล็กนอยก็ตาม” ขอใหสังเกตวามีแตคําวา “อะไร” เต็มไปหมด และนั่นแหละคือพลัง
ของคําถามที่ดีกวา มันจะเหมือนกับแสงเลเซอรที่ตัดปญหาใหขาดสะบั้นลงไปได ไมตองสงสัยเลยวา
คุณภาพชีวิตที่ดีกวามาจากการตั้งคําถามที่ดีกวา “ทําไม” ทิ้งลงถังขยะไปซะ ใน 30 วันจากนี้ไป ขอให
ฝกตั้ง คําถามที่ มีคํา วา “อะไร” ใหมาก ๆ ยกตัวอยางเชน “ฉัน ตองการอะไร?” “ฉัน ไดตั ดสิน ใจวา
อะไร?”, “อะไรคือขั้นตอนตอไป อะไรคือกาวถัดไป?”, ฉันยังมีอะไรอีก?”, “ฉันจะทําอะไรตอไป?”,
“ทักษะอะไรที่หากฉันทําไดดี หรือหากฉันฝกฝนมัน จะมีผลดีตอฉันมาก ๆ ?”, “ฉันตองมุงเนนอะไรถึง
จะไดในสิ่งที่ฉันตองการ เทาที่ผานมา ฉันไดมุงเนนสิ่งที่ฉันตองการมากพอหรือไม?”, แลวพวกเราจะ
ประหลาดใจกับความเฉลียวฉลาดของเราอยางนึกไมถึง
คุณผูอานที่รัก คําถามคือวิธีคิดอยางหนึ่งของเรา หากเราจะเปลี่ยนความคิด หรือขยายกรอบ
ของความคิดใหกวางไกล วิธีหนึ่งที่เราทําไดคือเปลี่ยนคําถามของเราเสีย การทําเชนนั้นก็เทากับเราได
เปลี่ยนวิธีคิด เมื่อเราเปลี่ยนความคิดไดเมื่อไหร เราจะเปลี่ยนความเชื่อของเราตามไปดวย ณ บัดนี้ มัน
ถึงเวลาแลวที่เราจะไดรูเสียทีวาความเชื่อคืออะไรกันแน มันเปนความคิดอยางหนึ่งหรือเปลา? มันมา
จากไหน? มันเกิดขึ้นไดอยางไร? และเราจะใชมันอยางไรถึงจะฉลาดที่สุด?

72
บทที่ 6
ความเชื่อและกฏแหงความเชื่อ

ไมวาอะไรก็ตามที่เราคิดแบบนั้นบอย ๆ หรือวาเราถูกทําใหคิดเชนนั้นบอย ๆ ในที่สุด เราก็เริ่ม


เชื่อ และเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ วาความคิดนั้นเปนความจริงโดยไมเคลือบแคลงใจหรือสงสัยอีกตอไป ผม
เคยบอกไววา “พวกเราเปนหรือประดุจวาเปนอยางที่เราคิด” แตสิ่งที่เราคิดบอย ๆ จะกลายเปนความ
เชื่อ ฉะนั้นในอีกนัยหนึ่ง เรายอมกลาวไดวา “เราเปนอยางที่เราเชื่อหรือดั่งกับวาเราไดกลายไปเปนคน
ในแบบที่เราเชื่อ” ดวยสิ่งที่ผมเกริ่นนํามานี้ เราคงพอไดไอเดียวา…

ƒ ความเชื่อก็คือ ความรูสึกแนใจวาความคิดหรือบางสิ่งบางอยางที่คุณเชื่อเปนความจริง
ƒ ความเชือ่ ก็คือ ความรูสึกแนใจวาความคิดหรือสิ่งตาง ๆ มีความหมายวาอะไรในตัวมันเอง
ƒ ความเชื่อก็คือ ความรูสึกแนใจวาความคิดหรือบางสิ่งบางอยางมีความหมายเฉพาะและตอง
เปนไปตามที่คุณเชื่อ

จากนิยามนี้ ความเชื่อจึงคือความคิดที่เจือสภาวะจิตหรืออารมณที่รูสึกแนใจมาก ๆ วาอะไร


ตองเปนอยางไรในความคิดของเรา ดังนั้น ไมตองสงสัยเลยวาความเชื่อยอมมีอิทธิพลตอพวกเราและ
มนุษยทุกคนอยางมากมายมหาศาล และการที่เราเชื่ออะไรลงไปแลวก็ตาม เรามักเชื่อเชนนั้นไปนาน
มาก หรืออาจเชื่อไปชั่วชีวิตก็เพราะวา เรามักไมไดตรวจสอบกันหรอกวาความเชื่อคืออะไร สวนใหญ
แล ว เราไม รู ด ว ยซ้ํ า ไปว า มั น คื อ อะไรเรารู เ พี ย งว า “ก็ ฉั น เชื่ อ ก็ แ ล ว กั น ” ดั ง นั้ น พวกเราจึ ง เข า ข า ย
ประเภท…. เชื่อแลวเชื่อเลย จึงยิ่งไมตองสงสัยเขาไปใหญวาความเชื่อจะเปนปจจัยสําคัญขนาดไหนใน
การกําหนดวาเราจะมีชีวิตที่ดีหรือแยในชั่วชีวิตของเรา
กฏของความเชื่อกลาววา “สิ่งใดก็ตามถาเราเชื่ออยางจริงจังสิ่งนั้นจะกลายเปนความจริงใน
ชีวิตของเรา” แตคนเราจู ๆ จะเชื่ออะไรก็ตามขึ้นมาไดอยางไร ทุกสิ่งตองมีสาเหตุหรือตนเหตุสิ อาจ
กลาวไดวา ความเชื่อเกิดจากการที่เราคิดหรือถูกทําใหคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่บอยเพียงพอจนเรา
คลอยตามและเห็นดวย ระดับความเห็นนี้คอย ๆ สะสมตัวจนในที่สุดจนกลายเปนความเชื่อที่ฝงใจจน
ยากที่จะถายถอน เมื่อเราไดลวงรูถึงกระบวนการของมัน เรายอมเขาใจไดไมยากวา…. ทําไมการ
เปลี่ยนความคิดถึงสามารถเปลี่ยนความเชื่อได ก็เพราะวากอนที่มันจะกลายเปนความเชื่อนั้น ใน
เบื้องแรกมันเปนแคความคิดมากอนนั้นเอง เราไดรูมาแลววาเราเปลี่ยนความคิดไดโดยการปอนหรือ
ปลูกฝงขอมูลใหมเขาไปในสมองหรือความรูสึกนึกคิดของเรา สิ่งเหลานี้ไมแตกตางกันเลยกับความเชื่อ
ดังนั้นเราไปตรวจตรากันเถอะวา มีอะไรบางเปนแหลงที่มาของความเชื่อจนกอรูปความเชื่อของเรา
ขึ้นมา

73
บทที่ 7
แหลงที่มาของความเชื่อ

แหลงใดก็ตามที่สามารถปอนหรือปลูกขอมูลใด ๆ เขาไปในสมองของมนุษยได สิ่งนั้นยอมถือ


วาเปนแหลงที่มาของความเชื่อได แหลงที่มาของความเชื่อจึงมีมาก แตเราจะพิจารณาแหลงใหญเพียง
5 แหลง ก็นาจะครอบคลุมไดเกือบทั่วถึงแลว พวกมันไดแก

1. สิ่งแวดลอม

เราเกิดที่ไหนละ อยูกับใคร พูดภาษาอะไร ศาสนาใด ระบบปกครองเปนอยางไร เรียนหนังสือ


หรือเปลา มีพอแมแบบไหน มีครูแบบไหน มีเพื่อนมากไหม มีเพื่อนแบบไหน เราเห็นตัวอยางที่
ดีมากหรือดีนอย ๆ บอย ๆ เรามักเจอคนแบบไหนในสังคมของเรา สิ่งเหลานี้คืออิทธิพลแรก
สุดที่เราพบเจออยางหลีกเลี่ยงไมได เพียงแคแหลงแรกแหลงเดียวนี้ เราไดสรางความเชื่อหรือ
ถูกทําใหเชื่อไปมากมายแลว และตามปกติแลว เรามักตอตานไมไดอีกแลว สมมติวาตอนที่ผม
ยังเด็ก แลวพอของผมบอกวา “เกิดเปนคนตองสู…จําไวนะ” แลวทานก็ปอนขอมูลนี้ใสสมอง
ผมอยูเรื่อยดวยการเลาเรื่องสารพัดและตบทายวา “เกิดเปนคนตองสู… จําไวนะ” พวกเราเห็น
ไหมวาผมก็จะเริ่มเชื่อในปรัชญานี้ ในทางตรงขาม เด็กบางคนถูกปลูกฝงความคิดที่วา “อยา
ไปมักใหญใฝสูงใหมันเกินตัวนะลูก” แตปญหาคือใครจะไปรูไดแนนอนวา…. แคไหนละที่มัน
เกินตัว เมื่อเด็กคนนั้นรับขอมูลนี้บอยครั้งจนชินและอยูตัว เขายอมมีกรอบความคิดและความ
เชื่อแนวนี้ติดตัวไป และมันจะทํางานหรือหนาที่ของมันอยางเต็มที่ที่จะขัดขวางไมใหเด็กคน
ดังกลาวนี้ประสบความสําเร็จเทาที่ควร เพราะวาการไดดีอาจเปนเรื่องที่เกินไดเสมอ หรือ
สมมติวาเราเห็นพอที่ไมแตะบุหรี่เลย มันยอมตางกันกับเด็กอีกคนที่พอของเขาพนควันทกวัน
ในตอนที่ผมยังเด็ก ผมอยูในตางจังหงัวที่ไมเจริญเพราะวาไมมีอะไรที่ดึงดูดใหคนในทองถิ่น
อื่นมาทองเที่ยวเลย ผมไมไดตําหนิที่ ๆ ผมเกิดหรอก ผมเพียงจะบอกวา มันยอมตางกันกับ
พวกเด็กที่เห็นความศิวิไลซมากกวาผม แลวรูไหมวาเปนไง
ผมมักถูกหัวเราะเยาะจากญาติเมื่อนับตึกวามันสูงสักเทาไหรในยามที่ผมไดเขามา
เที่ยว กรุงเทพฯ สวนญาติที่กรุงเทพฯ ตั้งแตเกิดยอมไมสนใจหรอกวาตึกมันสูงสักเทาไหร
เพราะวาเขาเห็นจนชินแลว แตผมไมใช เพราะวาที่จังหวัดผมนั้น ตึกสามชั้นก็สูงกวาคาเฉลี่ย
แลวในสมัยนั้น ที่ผมพยายามจะบอกก็คือ ในชวงเวลา 20 ปแรกของชีวิตนั้น สิ่งแวดลอม มี
อิท ธิ พ ลรุ นแรงตอการปลูก ฝงความเชื่อ โดยเฉพาะพวกผู ใหญที่ ใกลชิดจะมีอิท ธิ พ ลสูง สุด
เพราะวาเรายังชวยเหลือตัวเองไมไดมากนักในชวงเวลาดังกลาว (ตอนที่ผมอายุ 20 ป ผมก็ยัง

74
แบมื อ ขอเงิ น พ อ อยู ) เราจึ ง ได รั บ ไปเต็ ม ๆ กั บ ความเชื่ อ ที่ อ าจเป น ไปได ใ นทุ ก รู ป แบบที่
สิ่งแวดลอมประเคนมาใหเราอยางเต็มที่นั่นเอง ลองมาดู อี ก ตั ว อย า งที่ ลํ า บากกว า ผม
คิดถึงเด็กที่เกิดในแหลงเสื่อมโทรมเชนสลัมดูบาง ในสิ่งแวดลอมเชนนั้น เด็ก ๆ จะมีตนแบบ
อยางไหน มันเต็มไปดวยความขาดแคลนและสิ่งไมดีหลาย ๆ อยาง สิ่งนี้ไดหลอหลอมความ
เชื่อที่จํากัดยิ่งกวาสิ่งแวดลอมอื่น ๆ แมผมจะไมไดหมายความวา คนที่เกิดในสลัมเอาดีไมได
ก็ตาม (คนที่เคยอยูในสลัมแลวตอมาเจริญกาวหนานั้นมีแน) แตเราปฏิเสธไมไดวามันยากขึ้น
ไปอีก และความเชื่อในขอจํากัดนั้นมีมาก สิ่งเหลานี้ไดกลายเปนกําแพงหนาที่เจาะทะลุไดยาก
แตถึงกระนั้นก็ตาม สิ่งแวดลอมไมใชแหลงเดียวที่มนุษยผลิตความเชื่อขึ้นมาจากมัน หาไม
แลว มนุษยคงไมสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรไดอีกแลว

2. แหลงความรู

ในขณะที่สิ่งแวดลอมเปนแหลงที่มาของความเชื่อแหลงแรก แตพวกเราก็ไดรับการศึกษาไปใน
ขณะเดียวกัน และยิ่งเราโตขึ้นเทาไหรเราก็ยิ่งรูวามีมหาสมุทรแหงความรูที่รอใหเราเขาไป
สํารวจมากขึ้นเทานั้น บรรดาหนังสือทั้งหลายแหล เทปความรู หองสมุดตาง ๆ การเดินทาง
ทองเที่ยว การไดพบปะกับผูเชี่ยวชาญในหลาย ๆ วงการคนที่เราทํางานดวย งานสัมมนาดี ๆ
รายการทีวีที่ใหความบันเทิง และความรู หรือแมกระทั่งภาพยนตบางเรื่อง หรืออาจเปนอะไรก็
ได สิ่งเหลานี้ลวนเติมขอมูลใหม ๆ ใหกับเราได สิ่งเหลานี้ลวนทําใหเราเปลี่ยนความคิดหรือ
ขยายกรอบของความคิดและเปลี่ยนความเชื่อของเราไปไดเสมอ ผมเองนั้นเปลี่ยนความคิด
และความเชื่อไปอยางมหาศาลก็เพราะแหลงความรูนี่แหละ

3. เหตุการสําคัญที่เกิดขึ้น

ในชั่วชีวิตของพวกเรา มีหรือที่จะไมเคยเกิดเหตุการณ ที่สําคัญขึ้นเลย! ผมพนันไดเลยวามัน


ตองเคย และมันทําใหพวกเราเปลี่ยนความเชื่อแบบปจจุบันทันดวนได อันวาเหตุการสําคัญ
นั้นบางอยางก็เกิดเฉพาะกับตัวเรา บางอยางจะกระทบกับคนทั่วโลกก็ยังได เหตุการณที่
เกิดขึ้นอาจเปนไดทั้งแงดีหรือไมดีก็ได ลองพิจารณาเรื่องตอไปนี้ดูเพื่อเปนตัวอยาง กอนหนาที่
ผมจะเดินเขาตลาดหุน ผมมีความเชื่อวาผมมีฐานะเปนปกแผนและมั่นคงมาก แตเพียงหนึ่งป
ใหหลังที่ผมขาดทุนหมดตัว ผมเกิดความเชื่อใหมวาผมอาจอดตายได คิดดูเถอะแคปเดียวเทา
นั้นเองนะ หลังจากที่ผมไดอานหนังสือที่เปนแหลงความรูและใหกําลังใจไปหลายเลม ผมเริ่ม
เชื่อขึ้นมานิดหนอยวาบางทีอาจมีสิ่งดีแฝงตัวมาในความโชครายและความโงของตัวผมเองก็

75
เปนได แหลงขอมูลใหมที่ผมอานนั้นไดเลาเรื่องของคนที่นาสมเพชเวทนายิ่งกวาผมเสียอีก แต
แลวกลับพลิกสถานการณขึ้นมาได แมวานั่นจะเหมือนการปลอบใจ แตในยามนั้น ผมก็ได
ข อ คิ ด ไม น อ ยว า “สู สิ ยั ง อาจมี โ อกาสบ า ง ยอมแพ คื อ การหมดโอกาสอย า งสิ้ น เชิ ง ”
หลังจากที่ผมประสบความสําเร็จจากหนังสือชื่อ “โกะ อัจฉริยะเกมแหงพิภพ”แลว ผม
ไดพัฒนาความเชื่อใหมวา “การทําธุรกิจเปนหนทางอันประเสริฐในการแผวทางสูความมั่งคั่ง
ร่ํารวย และฉันมีโอกาสแลวที่จะร่ํารวยยิ่งกวาอดีตเสียอีก” เห็นไดชัดวาผมเปลี่ยนความเชื่อ
หรือความรูสึกแนใจของผมไปมากทีเดียว คราวนี้ ไ ปพิ จ ารณาเรื่ อ งใหญ จ ริ ง ๆ กั น บ า ง
เหตุการณ 11 กันยายน ที่ผูกอการรายยึดเครื่องบินพุงชนอาคารเวิรลเทรด เซ็นเตอร จนพัง
พินาศนั้น ไดเปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไปสิ้นเชิง ที่จริงนั้น ผลของมัน
กระทบตอความเชื่อและสิ่งอื่นอีกมากออกไปราวไมมีที่สิ้นสุด ถามจริง… ถาสมมติวามันไมได
เกิดขึ้น… พวกเราจินตนาการไดหรือวาสองตึกนั้นจะถลมลงมาดวยวิธีการอยางนั้นได หากเรา
จินตนาการไมได เด็กและผูใหญของที่นั้นก็ยอมจินตนาการไมไดเชนกัน ก็แลวมันเกิดขึ้นจริง ๆ
แลวนี่ พวกเราคิดวาพวกเขาจะเปลี่ยนความเชื่อไปขนาดไหน นับแตนี้ไป… อะไรที่จินตนาการ
ไมไดหรือไมเคยจินตนาการ…. ก็จะกลายเปนสิ่งที่ตองนําไปคิดและจินตนาการไว โปรดจําไว
วา กอนที่อะไรมันจะเกิดขึ้นไดโดยจงใจนั้น มนุษยตองจินตนาการใหไดเสียกอน หาไมแลวสิ่ง
นั้นก็จะเกิดขึ้นไมได ปญหาก็คือฝายไหนละที่จิตนาการไดเกงกวากัน แตถาจะพูดเพียงใน
ประเด็นของเราเทานั้น ผมขอสรุปวา เหตุการณสําคัญที่เกิดขึ้นกระทบหรือเปนแหลงที่สราง
ความเชื่อใหม ๆ ของพวกเราไดอยางแนนอน สมมติวาเราเดือดรอนและประสบกับภาวะ
วิกฤต หรือความทาทายที่โหดรายมาก และแลวก็มีใครบางคนยื่นมือเขามาชวยเราเหตุการณ
ที่เกิดขึ้นนี้จะมีผลตอความเชื่อของเรา เชนถาเราเคยเชื่อวา “มนุษยไรความปรานี” เราก็อาจ
เปลี่ยนเสียใหมวา “แคมนุษยบางคนเทานั้นที่ไรความปราณี แตที่มีน้ําใจเมตตาก็ยังมีอยูอีก
มาก” หรือถาเราเชื่ออยูแลววาผูคนมีน้ําใจ เราก็ยิ่งเชื่อมั่นเขาไปใหญวาความเชื่อของเรามัน
ถูก ตองอย างแนน อน คราวนี้สมมติใ หมว าเราพบแตคนใจดํ า ซ้ําซากไมว าเราจะตกอยู ใน
สภาวะไหนก็ตาม เหตุการณเหลานั้นยอมกลายเปนหลักฐานของเราใหเราเชื่อวา “ ผูคนใน
โลกนี้เปนคนเลวทั้งนั้นแหละ”

4. การมีประสบการณดวยตัวเอง

อะไรก็ตามที่เราไดลงมือทําดวยตนเองและสําเร็จลงไปหนึ่งครั้งแลว สิ่งนั้นจะกลายเปนการ
อางอิงที่ดีไดเสมอ การไดทดลองสักครั้งจึงกลายเปนแหลงที่มาของความเชื่อใหม ๆ ได สมมติ
วาใครก็ตามไดไปเลนบันจี้จั้มปหนึ่งครั้งแลว เขายอมพูดไดวา “ฉันทํามันได และฉันไดทํามัน

76
ลงไปแลวดวย” อะไรก็ตามที่เราเคยทําลงไปแลว โอกาสที่เราจะไดทําอีกครั้งยอมเปนไปได
มากทีเดียว ในที่สุดเราก็จะไมเคลือบแคลงใจอีกตอไป และเชื่อวาเราทําสิ่งนั้นได มันมีอะไร
อีกเยอะมากที่พวกเรานาจะลองดูเชน ไปกินขาวรานใหม ๆ ตัดผมทรงใหม ใสเสื้อผาสีใหม
และสไตลที่แปลกออกไป ไปดูหนังฟงเพลงแนวใหม ลองเลนกีฬาแบบใหม ออกไปวิ่ง ฝกทา
ดิ้นใหม ๆ (อันนี้ผมชอบมาก) เตนแอโรบิค (อันนี้ผมคลั่ง) หัดเลนเรือใบ (มันมาก…ขอบอก)
และอะไรก็ไดอีกมาก ยิ่งเรามีประสบการณ แปลกใหมมากเทาไหร การอางอิง กรอบความคิด
และความเชื่อของเราก็ยิ่งขยายตัวออกไปเทานั้น เราเขาไปใกลความไรขอจํากัดมากขึ้น เรา
เขาไปอยูในโลกแหงความเปนไปไดมากขึ้น นาเสียดายที่คนจํานวนมากเชื่อวาพวกเขาทําบาง
สิ่งบางอยางไมไดทั้ง ๆ ที่ยังไมไดลองดู เห็นไดชัดวามันไมนาจะกอตัวกลายเปนความเชื่อที่ฝง
แนนได แตมันก็กอตัวจนฝงลึกไดเพราะวาพวกเขาไปสรางความเชื่อเชนนั้นในระดับที่ลึกมาก
ดวยการสรางภาพในใจวาพวกเขาทําไมไดซึ่งเปนหัวขอที่เราจะกลาวตอไป

5. การฝกซอมทําในใจ

สิ่งที่นาแปลกใจก็คือ ทั้ง ๆ ที่เรายังไมมีประสบการณ หรือยังไมเคยทําบางสิ่งบางอยางมากอน


ก็ตาม แตเราสามารถสรางความรูสึกแนใจใหมากขึ้นหรือความเชื่อที่วา “เราสามารถทํามันได”
และวิธีการสรางความเชื่อใหม ๆ ขึ้นมา หรือแมกับการสรางความเชื่อเกาใหรุนแรงมากขึ้นก็
ตาม ทําไดงายดวยการฝกซอมทํามันในใจ ดั่งที่พวกเราไดศึกษาผานมาแลว การหลับตาและ
วาดภาพในใจวาเราไดเขาไปมีประสบการณบางอยางหรือไดลงมือทําอะไรก็ตามจะเสริมสราง
ความเชื่อมั่นและระดับความแนใจของเราใหมากขึ้นเรื่อย ๆ มันกอใหเกิดความรูสึกดีอยาง
ประหลาด ผมมักหลับตาและจินตนาการวากําลังพูดอยูตอหนาคนนับพัน นี่แหละที่เรียกวา
“ฝกซอมทําในใจ” ยิ่งฝกมากพลังแหงความเชื่อก็ยิ่งรุนแรงมาก ครั้งหนึ่งผมตองพูดตอหนา
ผูคนถึงสองพันหารอยคน ในครั้งนั้น ผมประหมาเล็กนอย และรูสึกวาผมยังทําไดไมดีนัก แลว
ผมเข็ดไหมในการพูดตอที่สาธารณะ ตรงกันขาม ผมบอกกับตนเองวา “ครั้งหนาฉันตองยอด
เยี่ยมกวานี้” และผมก็ฝกฝนดวยการซอมทําในใจใหมากขึ้น มันสะดวกเพราะวาการซอมทํา
ในใจจะทําสักกี่รอยกี่พันครั้งก็ได แตในชีวิตจริง เราจะไดขึ้นพูดตอหนาคนราวสองพันหารอย
คนกี่ครั้งกัน ! เห็นไดชัดวาถาทําไดไมดียอมหนาเสียดาย ดังนั้น การฝกซอมทําในใจ (หรือการ
สรางจินตภาพ หรือการสรางภาพในใจ) จึงเปนเครื่องมือที่ทรงพลังยิ่งราคาถูกมาก (คือตองใช
เวลานิดหนอยครั้งละราว 15 นาที) แตคุณคานั้นสุดแทหยั่งถึง ยิ่งไปกวานั้น มีหลักฐาน มีการ
ทําวิจัยและตัวอยางของคนมากมายที่ไดใชวิธีการนี้นําพาพวกเขาไปสูความเปนจริงแหงโลก
ภายนอก หากพวกเราไมเคยแมหลับตาวาดภาพในใจวาพวกเรา เกง มีความสุข แข็งแรง

77
ร่ํารวย และเต็มเปยมไปดวยความสามารถละก็… เริ่มตนเสียวันนี้เถิด แลวเราจะเชื่อวาเรา
คูควรแลวกับสิ่งดีงามเหลานั้น มันทําใหเราเชื่อวามันเปนไปไดในความรูสึกนึกคิดของเรา

78
บทที่ 8
พวกเรามีความเชื่อแบบไหนกับตัวเราเอง

เพราะวาพวกเราไดพบเจอกับแหลงที่สรางความเชื่อใหเราหลาย ๆ แหลงมาแลวตั้งแตเด็กจน
โต พวกเราจึงไดเก็บกักความเชื่อจํานวนหนึ่งไวในสมองหรือความรูสึกนึกคิดของเราไมวาเราจะลวงรู
ถึงความเชื่อเหลานั้นของเราหรือไมก็ตาม แตเมื่อมาคิด ๆ ดูแลว… ในโลกนี้จะมีสักเทาไหรที่มีสติและ
ความรูขนาดสํารวจตรวจตราความเชื่อหลักหรือความเชื่อแกนของตนเองไดละ…อืมมมม … หายาก
พวกเราอาจเคยตั้งคําถามกันวา “เธอเชื่อวามีผีมั้ย?” ทวานั้นไมไดกระทบตอชีวิตของพวกเราเทาไหร
ผมจําไดวาในอดีตกวา 40 ป ผมไมเคยถามตนเองวา “แลวฉันมีความคิดหลักแบบไหนเกี่ยวกับตัวฉัน
ละ?” ก็แลวมีใครบางละที่เคย ตั้งคําถามดี ๆ ถึงขนาดนั้นกับชีวิตตนเอง… นอยคนนักที่ไดทํา
เชนนั้น… หายากดั่งงมเข็มในมหาสมุทรนั้นเชียวมันจึงไมตองสงสัยเลยวาทําไมผูคนกวา 90% ของ
ประชากรโลกถึงใชชีวิตกันไมเปนในแงของการขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลโปรดจําไววา….
คําถามใดที่เราไมเคยถามสมอง… มันจะไมมีวันเสนอหนามาตอบใหเรารูดวยตัวมันเองเปนอันขาด
พวกเราเลยไมคอยรูวาเรามีความเชื่อแบบไหนกับตนเองและเปนประโยชนหรือไม แตขาวดีอยูตรงที่
พวกเราเพิ่งไดศึกษาผานไปวาความเชื่อคืออะไร ดังนั้น มันยอมเพิ่มโอกาสที่เราจะตรวจสอบมันดวย
การถามวา “จริง ๆ แลวฉันมีความเชื่อแบบไหนกับตัวฉันเอง และความเชื่อเหลานั้นชวยฉัน เขาขางฉัน
หรือเปนประโยชนตอฉันหรือไม?” นี่คือคําถามที่ยิ่งใหญเหลือเกิน คําถามนี้สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได
อยางแนนอน สมมติถาเราไมรูดวยซ้ําไปวา เรามีความเชื่อแบบไหนกับตัวเราเอง แลวเราจะเฉลียวใจ
ไดอยางไรวาความเชื่อนั้นมีประโยชนหรือไม หรือวาเปนโทษหรือไม ยกตัวอยางเชน มีคนเยอะมากที่มี
ความเชื่ออยางไมรูตัววา “ฉันทําไมได” คนพวกนี้มักพูดวา “ฉันทําไมได” เอาละ… ขอถามหนอยวา
การที่ใครก็ตามไปมีความคิดหรือไปเชื่อเชนนั้นจะฉลาดตรงไหน จะมีประโยชนอะไรสักนิดไหม จะทํา
ใหเขาเปนสุขไหม และเขาไดอะไรบางไหมจากการพูดเชนนั้น!!! และแลวพวกเขาก็ใชชีวิตโดยมีความ
เชื่อตัวนี้ทํางานอยู มันทําใหพวกเขาประสบความสําเร็จเพียงเล็กนอย พวกเขาไมรูวาจะแกปญหาได
อยางไร งุนงง สับสน และคิดสงสัยอยูเรื่อยวา “มันมีอะไรก็ไมรูที่ผิดอยู” ก็แหงอยูแลว… ก็ความเชื่อที่
หวยแตกนั่นไง ฉะนั้น หนทางเดียวที่จะเยียวยาไดคือการตระหนักรูใหไดเสียกอนวาเขามีความเชื่อที่หว
ยแตกนั่นอยูหรือเปลาและทางเดียวที่เปนไปไดคือการถามตนเองวา “ก็แลวฉันมีความเชือ่ แบบไหนบาง
ละที่เกี่ยวกับตัวฉันเอง”
เอาละ นี่คือการบานที่พวกเราตองทํา ไมตองรีบที่จะทําใหเสร็จภายในวันเดียว มันเปนคําถาม
ที่ตองถามไปชั่วชีวิต และคนพบกับคําตอบใหม ๆ ไปเรื่อย ๆ

79
ฉันมีความเชื่อกับตัวเองดังนี้

1._______________________________________________________________
2. _______________________________________________________________
3. _______________________________________________________________
4. _______________________________________________________________
5. _______________________________________________________________
6. _______________________________________________________________

คุณผูอานที่รัก หลังจากที่เราพอจะรูแลววาเรามีความเชื่ออยางไรกับตัวเรา ขอใหตั้งคําถามกับ


ความเชื่อทุกขอของเราวามันเขาขายคุณสมบัติทั้งเจ็ดขอดังตอไปนี้หรือไม

1. มันทําใหฉันมีพลังไหม
2. มันเขาขางฉันไหม
3. มันชวยฉันไหม
4. มันเปนประโยชนกับฉันไหม
5. มันทําใหฉันรูสึกดีไหม
6. มันทําใหฉันมีความสุขไหม
7. จริง ๆ แลวมันดีตอฉันไหม

หากความเชื่ออันไหนของเรามันตรงขามกับคุณสมบัติทั้งเจ็ดขอ ก็ขอใหเราหลับตาเขาไปสราง
จินตภาพโดยถามคําถามตอไปนี้อีกสองขอ และสรางภาพในใจตามไปดวย

1. ความเชื่อที่ไมไ ดเ รื่ องขอนี้ ในอดีตไดทําใหฉันเสียหายไปแล ว มากนอยขนาด


ไหน?
2. หากฉันยังเชื่อมั่นตอไป ในอนาคตมันจะสรางความเสียหายใหกับฉันอีกไดมาก
ขนาดไหน?

คุณผูอานที่รัก เมื่อเราหลับตาเพื่อสรางภาพในใจกับคําถามสองขอหลังสมองและจิตใจของ
เราจะถูกฝกใหจดจําวา...อะไรบางคือความเจ็บปวด และสิ่งหนึ่งที่สมองชอบทําที่สุดก็คือ...หนีออกไป
จากความเจ็บปวด ฉะนั้น เราจะเริ่มเชื่อมโยงความรูสึกวา “ฉันไมชอบ” เขากับ “ความเชื่อที่หวยแตก”
พวกนั้น และอะไรที่เรารูสึกไมชอบ...เราจะไมทํามัน ดวยเหตุนี้เอง ผมถึงใหพวกเราฝกใหสมองมัน

80
จดจําหรือลวงรูวา...ความเชื่อแบบไหนที่สรางความเจ็บปวด แลวสมองจะสั่งการใหเราหลีกเลี่ยงอะไรก็
ตามที่มันอาจนําไปสูความเจ็บปวดที่มันรูจักอยางอัตโนมัติ
หากยังไมสะใจ งั้นผมอธิบายใหมันครอบคลุมไปเลยเผื่อวาพวกเราบางคนอาจชอบวิธีที่มัน
ตรงกันขาม หลังจากที่ไดสํารวจตรวจตราความเชื่อที่เกี่ยวกับตนเองแลววามีอะไรบาง ใหพิจารณาดูวา
พวกมันเขาขายคุณสมบัติเชิงลบดังตอไปนี้บางไหม

1. มันทําใหฉันออนแอและไรพลังไหม
2. มันทําฉันไมกลาทําอะไรไหม
3. มันทําใหฉันไมมั่นใจไหม
4. มันทําใหฉันเสียโอกาสอยูเรื่อยไหม
5. มันทําใหคนอื่นไมนิยมชมชอบตัวฉันไหม
6. มันไมเขาขางฉันและไมกอใหเกิดประโยชนอะไรใชไหม
7. มันทําใหฉันรูสึกแย เซ็งหดหู และไรสุขอยูเรื่อยใชไหม

อา ... ถามันเขาขายคุณลักษณะเชิงลบถึงเพียงนี้ละก็ เชื่อผมเถอะสหายเอย วานั่นคือเบรกมือ


ชีวิตที่ฉุดเราไวจากความสุขและความสําเร็จ ชีวิตจะแสนวิเศษ ไมไดตราบใดที่เราไมหยุดเชื่อในสิ่งทีก่ ด
ทับเราไว จงหลับตาลงและเขาไปสรางจินตนาการวา ไอความเชื่อที่หวยแตกพวกนี้ ในอดีตไดทําใหฉัน
เสียหายไปแลวมากนอยขนาดไหน? และหากฉันยังเชื่อมันตอไป ในอนาคตมันจะสรางความเสียหาย
ใหกับฉันอีกไดมากขนาดไหน? แลวเราจะหนีพนจากอํานาจของมันได
การทําลายความเชื่อที่ไรพลังนั้นตองจัดการ แตนั่นยังไมพอการติดตั้งความเชื่อแบบใหมที่ให
พลังเขาไปแทนที่ความเชื่อเกาก็สําคัญไมยิ่งหยอนไปกวากัน บางที หนทางหนึ่งก็คือ การศึกษาดูวา...
ความเชื่อแบบไหนละที่มันดีสุดยอด เราไปศึกษากันเถอะ

81
บทที่ 9
ความเชื่อที่ทรงพลัง 7 ประการ

มีใครบางที่ขบคิดวา ความเชื่อแกนแบบไหนละที่ใหพลัง และเปนประโยชนอยางแทจริงในการดําเนิน


ชีวิต ยากที่จะหาบุคคลอยางนั้นพบ ถึงกระนั้นก็ตาม นับวายังมีโชคอยูบางที่ผูเชี่ยวชาญดานความเชื่อ
ไดคนควาไวบาง ดังนั้น แทนที่พวกเราจะมานั่งขบคิดใหเมื่อยตุม เราอาจก็อปปหรือนําความเชื่อที่
เขาทาจํานวนหนึ่งมาประยุกตใชไดทันทีโดยไมตองรอใหเสียเวลาอีกตอไป ความเชื่อที่นาสนใจไดแก

1. ไมใชสิ่งที่เกิดขึ้นที่กําหนดชีวิตของเรา แตสิ่งที่เราจะทําตอไปตางหากที่กําหนด

อันวาจิตใจของคนเรานั้น มันไมไดเขมแข็งเทากันหรอก คนที่จิตใจเข็มแข็งอยูแลว นั้น ผมไม


ใครเปนหวงเทาไหร แตพวกเราคนไหนที่ออนแอสิ ผมตองเปนหวงแน เมื่อหลายสิ่งหลายอยาง
ที่ทาทายไดเกิดขึ้นกับเรา และดูเหมือนวาชีวิตถูกรุมเราดวยปญหาสารพัด พวกเราหลายคนก็
เริ่มโทษมันทันที เชน “ถาไมเกิดเหตุการณฟองสบูแตกคราวนั้นชีวิตของฉันคงไมตกต่ําถึงเพียง
นี้” จากนั้นก็ปลอยใหสิ่งที่เกิดขึ้นไปแลวกลายเปนปจจัยใหญที่กําหนดชะตาชีวิตของเราไปเลย
ผมไมไดเถียงวาการที่ฟองสบูแตกไมไดมีสวนอยางมากที่ทําใหผูคนลําบากแตผมอยากใหสติ
วา….. การยอมรับอยางนั้นมันยิ่งใหญอะไรหรือ มันชวยอะไรเราหรือ มันเปนประโยชนอะไร
หรือ เปลาทั้งเพ ในทางตรงกันขาม ทั้ง ๆ ที่ขอเท็จจริงก็ยังคงปรากฏอยูวาเหตุการณเลวราย
นั้นไดบังเกิดขึ้นแลว แตการเชื่อวา “ไมใชสิ่งที่เกิดขึ้นที่กําหนดชีวิตของเรา แตสิ่งที่เราจะทํา
ตอไปตางหากที่กําหนด” ยอมใหกําลังใจกับเราอยางมหาศาล และชี้นําจิตใจวาตองมุงเนน
อะไรกันแนถึงจะดีกวากันมันเปนความเชื่อที่เกื้อหนุนเรา เปนประโยชนกับเรา เขาขางเรา
มุงเนนปจจุบันแทนที่จะเปนอดีต และไมมีอะไรเลยที่อาจถือไดวาเปนขอเสียเปรียบ ผมกลา
พูดวาถาใครก็ตามที่ประดับความเชื่อแบบนี้ไวในจิตใจของเขาอยางสมบูรณและตลอดไป
ชีวิตของเขานี้ดูศักดิ์สิทธิ์ และคนเชนนี้มีอะไรอีกหรือที่จะตองไปกังวล คนอยางนี้มีหรือจะฆา
ตัวตายหรือทําอะไรที่โง ๆ มันเปนความเชื่อที่มีอนุภาพเหลือคณานับพวกเราอาจถามวา “มี
คนอยางนี้ดวยหรือ?” พนันไดเลยวามีแน ยกตัวอยางเชน คุณดับเบิ้ลยู มิชเชล คือคนเชนนั้น
หมอนี่เคยขี่มอเตอรไซดคว่ําและถูกไฟคอกจนสูญเสียผิวหนังไปมาก หนาตาเสียโฉมยับเยิน
จนดูไมได เขากลับถามวา “ฉันยังเหลืออะไรอีกที่ยอดเยี่ยมฉันยังอาจสามารถทําอะไรไดอีก”
เขาไมไดมุงเนนกับเหตุการณเคราะหรายที่ไดเกิดขึ้นแลว เขาตัดสินใจเลนการเมืองและโลกก็
ยอมเปดทางใหกับคนหัวใจเพชรเชนเขา แตแลวราวกับวานั้นยังทดสอบไมเพียงพอหรือไร เขา
ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก แตก็ดวงแข็งเหลือเชื่อและคราวนี้เขาตองสูญเสียการเดินทางไป

82
ตลอดกาลเพราะเขาเปนอัมพาตตั้งแตเอวลงไป ทั้ง ๆ ที่ตองนั่งในรถเข็นและไดชื่อวาเปนคน
พิก าร เดาสิ วา เขาตอวาพระเจาของเขาหรือไม เปลาเลยแตเขากลั บ ถามตนเองอี กครั้ ง ที่
สะทอนถึงความเชื่อแกนของเขาวา “ฉันยังเหลืออะไรอีกที่ยอดเยี่ยม ฉันยังอาจสามารถทํา
อะไรไดอีก” คําตอบที่ไดนั้นนาทึ่ง เขาบอกตนเองวา “ฉันยังมีสมองที่ชาญฉลาดที่สามารถรับ
ใชประชาชนได” เขาไดผลักดันทางการเมืองใหเกิดความสะดวกกับคนพิการนับลาน พวกเรา
เห็นไหมวา…ความเชื่อของเขาชวยเขาไดมากขนาดไหน ทําใหเขาไดรับการยกยองขนาดไหน
ทําใหชิวิตเขามีความหมายและทรงคุณคาขนาดไหน และไดกลายเปนฉบับของคนที่เขมแข็ง
อยางแทจริงใหชาวโลกไดกลาวขานถึง สวนคนมือเทาดี ๆ ที่สมองอัดแนนไปดวยความเชื่อที่
ทําใหตนเองออนแอนั้น การเอาตัวเองคนเดียวใหรอดก็นับวายากแลว อะไรละที่แตกตางกัน…
ไมพนความเชื่อ จะวาไปแลว ความฉลาดก็คือ การที่คนเราตองหลีกเลี่ยงความคิดหรือความ
เชื่อใด ๆ ที่ทําใหเราออนแอนั่นเอง

2. เพื่อใหสิ่งตาง ๆ เปลี่ยนแปลงเพื่อเรา เราตองเปลี่ยนแปลง

มีเรื่องที่ตลกมากอยางหนึ่ง เรามักเกี่ยงกันวา “เธอทํากอนสิแลวฉันถึงจะทํา” ตอนที่ผมยังเด็ก


เวลาทะเลาะกับเพื่อน พวกเราตั้งทาวาจะชกกันใหได แลวรูไหมวาพวกเราพูดวาไง “แนจริงมึง
ตอยกอนสิวะ” ดูเหมือนวาเรื่องไมยอมจบเพียงแคนั้น เมื่อพวกเราเติบโตขึ้นเราไดเพาะนิสัยที่
พิลึกมาก เชนถาทะเลาะหรือมีการงอนใสกันหรือนอยใจตอกัน พูดอีกอยางก็คือเราอยากให
อีกฝายหนึ่งเปลี่ยนแปลงกอน แลวเราถึงจะยอมเปลี่ยนแปลงตาม ฟงดูเหมือนไมแปลกแตเรา
ไดพัฒนานิสัยนี้ตอไปจนวกกลับมาเลนงานตัวเราเอง เชน เรามักจะบนกันวาพอแม เพื่อน
แฟน คูครอง เพื่อนรวมงาน เจานาย บริษัท สังคม รัฐบาล หรือแมแตโลกใบนี้ไมเขาใจเรา “พอ
นาจะเปลี่ยนแปลงซะบาง แมนาจะเปลี่ยนแปลงซะบาง” เราบนอยางไมพอใจ และไมเพียง
เทานั้น ทุกอยางนั้นแหละที่รายยาวไปจนถึงโลกใบนี้ที่มันควรจะเปลี่ยนแปลงซะบาง แตสิ่ง
เดียวที่ผิดมหันตก็คือ..เราไมไดรวมตัวเราเขาไปดวย เราเอาตัวเราเองไปทิ้งไวเสียที่ไหน ยิ่งไป
กวานั้น อยางไหนจะเร็วกวากันละระหวางเราตัดสินใจเปลี่ยนแปลงที่ตัวเรา กับการรอคอยให
สิ่ง อื่ น ๆ ทั้ งหมดเปลี่ย นแปลง นี่มั นบา ชัด ๆ เราจะอาศัย อํานาจอะไรหรือที่จะไปมีสิท ธิ์
เรียกรองใหคนอื่นและโลกใบนี้มันเปลี่ยนแปลง เรามีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเรา
แตไมใชคนอื่น และนั่นแหละที่มันยิ่งใหญแลว นั่นแหละคือหนทางอันประเสริฐ ขาวดีที่ยิ่งนา
แปลกใจก็คือ พอตัวเราเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเราในทุก ๆ ดานเทานั้นแหละมันราวกับวาโลกทั้ง
ใบไดเปลี่ยนแปลงตามไปดวยในหลาย ๆ ประการนี่คือสุดยอดเคล็ดลับอยางแทจริง ฉะนั้นจง
ยุติการกระทืบเทาเสียทีเพราะวาโลกใบนี้ไมสนหรอกที่เราไปกระทืบมัน แตถาเราอยากใหสน

83
ละก็….วิธีนี้สิใช… จงดําเนินชิวิตดวยความเชื่อวาเพื่อใหสิ่งตาง ๆ เปลี่ยนแปลงเพื่อเรา เรา
ตองเปลี่ยนแปลง

3. ไมมีความลมเหลว มีแตความสําเร็จในการสรางผลลัพธเสมอ

เมื่อเราทําอะไรก็ตาม เราตองไดผลบางอยางที่ตามมาเสมอ ถาเราพูดวา”อืมมมมมม..ดีจริง


แฮะไมวาฉันจะทําอะไรก็ตาม มันตองไดผลลัพธอะไรบางอยางตามมาเสมอ อืมมมมม…นี่
เป น กฏของการกระทํา นั้ น เอง และมัน ยั งแปลไดอี ก วา ถ า ฉั น ไมทํา อะไรเลย มั น ก็จะไม มี
ผลลัพธอะไรเลยสามารถบังเกิดขึ้นได” การพูดและตระหนักรูเชนนี้จึงมุงเนนไปที่การกระทําวา
มันสําคัญ และเตือนใจเราวา “เราประสบความสําเร็จเสมอในการผลิตผลลัพธบางอยางที่อาจ
ดีหรืออาจไมดี” มีลักษณะใหกําลังใจมากกวาทอใจเพราะอยางนอยมันก็ยังบอกวาเราประสบ
ความสําเร็ จในการสรางผลลัพ ธอยา งใดอยางหนึ่ง ขึ้นมาจนไดฉะนั้ นถา สิ่ง ที่ ไดมั น ไมดี ก็
เปลี่ยนการกระทําไปเรื่อย ๆ สิ เราก็จะประสบความสําเร็จในการผลิตผลลัพธใหม ๆ ไปเรื่อย ๆ
จนกวามันจะเปนสิ่งดีที่ตองการนั่นเอง นี่คือความเชื่อที่ดีที่สุดในแงที่มันมุงเนนใหทําตอไป
อยางไรก็ตาม ผูคนจํานวนมากเรียกผลลัพธที่ไมดีหรือที่ไมตองการวา “ความลมเหลว” และ
พวกเขากลัววา จะไดผลลัพธที่ไมดีจนหยุดหรือขยาดที่จะลงมือปฏิบัติ ในเมื่อไมไดทําอะไร
หรือเลย พวกเขาจึงไมไดผลลัพธอะไรเชนกัน นี่แหละคือรากเหงาของความลมเหลวที่แทจริง
สวนคนที่ขยันลงมือปฏิบัติไปเรื่อย ๆ นั้น หากจะเรียกผลลัพธที่ไมดีของพวกเขาวา “ความ
ลมเหลว” แตมันก็แคชั่วคราวเพราะวาพวกเขาไมไดลมเลิก พวกเขายังคงเพียรพยายามตอไป
มันจึงมีโอกาสเสมอที่จะผลิตผลลัพธที่ตองการอยางแทจริงจนไดในวันใดวันหนึ่ง เพื่อใหเห็น
ภาพ ขอใหพวกเราจินตนาการถึงเด็กนอยที่หัดตั้งไขดูหนอยเปนไร เด็กนอยคนนั้นประสบ
ความสําเร็จในการยืนบาง และประสบความสําเร็จในการลมเหลวลงไปบาง เด็กไมรูหรอกวา
การลมลงแปลวาอะไร เด็กรูแตวามันสนุกและกําลังเรียนรูอะไรบางอยาง แลวเกิดอะไรขึ้นละ
เด็ก ๆ ทุกคนประสบความสําเร็จอยางถาวรในการยืน เดิน และวิ่งไดทุกคน ดังนั้น ตั้งแตนี้เปน
ตนไปพวกเราอยาพูดวา “ฉันลมเหลว” อีกเลย มันดีตรงไหนหรือที่พูดอยางนั้นมันใหพลัง
ไหม?.... ฝนไปเถอะ หนทางเดียวที่เรากลายเปนคนที่มุงเนนทุมเทอยางตอเนื่องไดนนั้ เรา
ตองโยนความเชื่อขยะทิ้งไปซะ และสรางความเชื่อที่ใหพลังเขาไปแทนที่ และหนึ่งในความเชื่อ
ที่แสนวิเศษก็คือ ไมมีความลมเหลวมีแตความสําเร็จในการสรางผลลัพธเสมอ

84
4. ความสําเร็จเกิดจากวินัยเล็ก ๆ ที่มุงเนนการปฏิบัติ

ความใฝฝนของเรา เราอยากมีนั่นมีนี่ เราอยากเปนนั่นเปนนี่และเราอยากไดทําอะไรบางอยาง


อะไรเลาคื อสะพานที่จะเชื่อความปราถนาของเราไปสูความจริง คํ าตอบคือวินัยเล็ก ๆ ที่
มุงเนนการปฏิบัติ เนนการลงมือทํา ผูคนจํานวนมากไมนอยที่มีความใฝฝนแตตองกังขาอยู
เสมอวา “แลวทําไมฉันไมไดมันมาเสียทีละ?” ความใฝฝนนั้นดีแตไมพอหรอก แมแตการอาน
หนังสือนี้ตั้งรอยเที่ยวแลวก็ยังไมพอ เราตองมีความเชื่อที่ทรงพลังอีกขอหนึ่งเสริมเขาไป นัน่ คือ
“ความสําเร็จเกิดจากวินัยเล็ก ๆ ที่มุงเนนปฏิบัติ” หลายครั้งที่พวกเราเขาใจไปวาความสําเร็จ
เปนเรื่องใหญโต แตไมใชเลย เปรียบเหมือนการกินขาวใหหมดหนึ่งจาน ไมมีใครหรอกที่กิน
ขาวทีละจาน แตเขากินกันทีละคํา ใชแลว…. ทีละคํา แลวก็อีกคําและอีกคํา มันเปนวินัยเล็ก ๆ
ที่ทําตอไป แลวความสําเร็จยอมบังเกิดขึ้นอยางหลีกเลี่ยงไมได นึกถึงตอนที่เราเรียนอนุบาลดู
สิ เราทอง ก. เอย ก. ไก ข. ไขอยูในเลา ไปจนถึง ฮ.นกฮูกตาโต หนังสือเลมนั้นบางมาก แตเรา
ทองมันเปนปทีเดียวนะ!!! ดวยวินัยเล็ก ๆ ที่คุณครูฝกเรา ในที่สุด สิ่งนั้นไดกลายเปนรากฐานที่
ทําใหเราอานออกเขียนได พวกเราลวนแลวแตผานการมุงเนนปฏิบัติมาแลว พวกเราตางมีวนิ ยั
ดวยกันทุกคน นาเสียดายที่เราอาจไมเขาใจถึงกระบวนการที่ไดเรียนรูผานมา ในที่สุดเราก็ลืม
ไปหมดแลววาเราสรางความสําเร็จขึ้นมาไดอยางไร เมื่อเราโตเปนผูใหญ ไมนาเชื่อวาเราถึงกับ
สงสัยวาทําไมความสําเร็จมันถึงยากเย็นนัก ตราบใดที่เราไมมุงเนนการปฏิบัติจนมีวินัยกับ
เรื่องใดก็ตาม ก็อยาหวังเลยวามันจะลอยมาหาเราเอง ฉะนั้นทักษะใด ๆ ก็ตาม ความชํานาญ
พิเศษใด ๆ ก็ตาม พวกมันทั้งหมดลวนเปนของเราไดถาเรามุงเนนการปฏิบัติอยางมีวินัย ไม
ตองทํามากแตทําบอยนั่นแหละคือหนทาง สมมติถาเรายอมศึกษาภาษาจีนวันละหนึ่งชั่วโมง
หนึ่งชั่วโมงตอวันนั้นไมมากก็จริง แตพลังมันอยูตรงคําวา “ทุกวัน” และนั่นแหละที่ผมเรียกมัน
วา “วินัยเล็ก ๆ” ดวยวินัยเล็ก ๆ …. ผมกลาเชื่อวาไมมีอะไรที่เราจะทําไมได คนจํานวนมากทํา
หนึ่งวันหยุด ทําสองวันเลิก ทําสามวันก็พูดวาไมเอาแลวโวย แลวยังมีหนามาพูดวา “ฉันคงไม
เกงเรื่องแบบนี้ไดหรอก” ปดโธ…..ใครที่ไหนในโลกจะเกงไดภายในสามวัน” ผมจะบอกให
อยางหนึ่งนะ…. การเลนเปยโนใหไดดีจริง ๆ นั้น ตองฝกฝนดวยวินัยเล็ก ๆ ราวสิบปเปนอยาง
นอยปนี้ลูกชายคนโตของผมอายุ 14 ปพอดี ฝกเลนเปยโนมาตั้งแตอายุ 6 ขวบ นี่ก็แปดปแลว
สินะสําหรับวินัยเล็ก ๆ ที่เขาไดทํามาอยางตอเนื่องยาวนาน มันแควันละนิดเดียวแตทุกวัน
(ตองขอบคุณแมของเขาภรรยาของผมที่ดูแลเรื่องวันละนิดเดียวไดอยางดีเยี่ยม) ดังนั้นถาเรา
ไดรูเบื้องหลังนี้ เราตองแปลกใจหรือที่เขาไดทักษะการเลนเปยโนมาในระดับหนึ่งแลว ใน
ความสําเร็จอื่น ๆ ก็เชนกัน ถามีการแลกเปลี่ยนที่จําเปนซึ่งก็คือการลงมือปฏิบัติอยางคงเสน
คงวาแลวละก็ ดวยวินัยเล็ก ๆ เชนนั้น ทุกสิ่งทุกอยางยอมเปนไปไดเสมอ เพื่อใหพวกเราได

85
ตระหนักรูถึงความสําคัญของวินัยเล็ก ๆ ผมคิดวาผมตองอธิบายใหละเอียดเพื่อแนใจวา พวก
เราจะไมไดรับความเสียหายจากการขาดมัน การขาดวินัยนั้นคือตนตอที่ทํารายคนทั่วโลก
ไดมากที่สุด การไรวินัย คือมือหนึ่งในการทําลายและทํารายมนุษย ยกตัวอยางเชน เมื่อกิน
มากไปนิดหนึ่งในวันนี้ เรื่องแคนี้กระจอกมาก แลวพวกเราคิดวาความอวนของคนมาจากไหน
ล ะ ก็ แ ค กิ น มากไปนิ ด เดี ย วนั้ น แหล ะ แต ว า เช น นั้ น ทุ ก วั น เราต า งรู ว า เราเพิ่ ม น้ํ า หนั ก 50
กิโลกรัมภายในหนึ่งวันไมไดหรอก ใครก็ตามที่พยายามทําเชนนั้นจะตองตายภายในหนึ่งวัน
ทุกคน แตถาเราเพิ่มมันภายใน 1 ป เรากลับไมตาย อะไร (ที่ไมดี) ลวนเปนไปไดเสมอเมื่อเรา
ไรวินัยเล็ก ๆ กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งทุกวัน เราไมแปลงฟนสักหนึ่งครั้งในคืนนี้ไมเปนไรหรอก แต
ถาเราไรวินัยในการแปลงตอไปอีกหนึ่งเดือนละก็…. ยังแนใจอีกหรือวาไมเปนไร! ไมเอานา….
เรารูนี่วานั่นหายนะแลวสําหรับปากและฟนของเรา แลวหายนะอื่น ๆ ละ โอ….ชา งมากมาย
กายกองที่เกิดขึ้นเพราะไรวินัยเล็ก ๆ การผัดวันประกันพรุง นิสัยขี้เกียจสันหลังยาวการปลอย
ปะละเลยเชนเรื่องสุขภาพ หนาที่การงาน การใชจายเกินตัว และความสัมพันธครอบครัว ฯลฯ
ความเสียหายมากมายเกิดขึ้นเพราะวาไรวินัยตอการปฏิบัติใหพอเหมาะพอควร ความไรวินัย
นั้นรายกาจกวาความประมาทเสียอีก ความประมาทคือการพลั้งเผลอชั่วครั้งชั่วคราว อาจไม
ตั้งใจ แตการไรวินัยคือการประมาทแลวประมาทอีกที่ตอเนื่องยาวนาน กลาวโดยประชดแลว
การไรวินัยคือการมีวินัยในการไมยอมทําอะไรใหมันเหมาะสมและทําแตเรื่องที่มันไมเหมาะสม
อยูเรื่อยนั่นเอง ที่จริงก็นาเห็นใจเหมือนกันที่คนเราสวนใหญไรวินัย เพราะคําวา “วินัย” โดยตัว
มันเองอาจทําใหพวกเรารูสึกไมดี เชนคิดไปวาเปนการบังคับหรือความอึดอัดนารําคาญ แต
คุณผูอานที่รัก ผมไมอยากใหเราเครียดเกินไปกับมัน โปรดคิดถึงมันในลักษณะที่เบา ๆ และ
คิดใหลึกซึ้งวามันมีประโยชนอยางยิ่ง และถาหากวาพวกเรามีกําลังมีปญหาในดานไหนหรือ
เรื่องอะไรก็ตาม วิธีแกก็คือ เมื่อหนามยอกก็ตองเอาหนามบง ผมหมายความวาใหพวกเรา
คอย ๆ สรางวินัยเล็ก ๆ ใหกลับคืนมากับเรื่องราวตาง ๆ แลวปญหาทุกประการจะคอย ๆ
คลี่คลายไดอยางแนนอน ถาตอนนี้เราอวนเพราะขาดวินัยในการกินแตกวาจะอวนขึ้นมาไดนั้น
ก็ใชเวลานาน เพราะฉะนั้น เราก็เพียงยอนกระบวนการของมัน ไมตองไปอดอาหารจนทรมาน
แทบตายหรอกแตใหกลับมามีวินัยเรื่องการกินทีละเล็กละนอย แตทําวินัยนีท้ กุ วัน แลวในระยะ
ยาวเราจะกลับมารูปรางดีไดเอง นาเสียดายที่คนสมัยนี้นิสัยเสียกันมาก มักคิดอยากไดอะไรที่
มันรวดเร็วเกินธรรมชาติ นอกจากไมแฟรแลวมันไมไดฉลาดอะไรเลย ขอใหกลับมาอยูกับ
หลักการกันดีกวา….ดวยการมีวินัยกับชีวิตของเรา หากปราศจากมันแลว ผมคงเขียนหนังสือ
เลมนี้ตั้งแตหนาแรกมาถึงตรงนี้ไมไดแน และโปรดระลึกไวเสมอวา ชีวิตจะยิ่งใหญ… เราตองมี
ความเชื่อที่ยิ่งใหญดวยและหนึ่งในความเชื่อที่แมแตจักรวาลก็ยังปฏิบัติตามก็คือ ความสําเร็จ
เกิดจากวินัยเล็ก ๆ ที่มุงเนนการปฏิบัติ

86
5. ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน เกิดขึ้นมาอยางมีเหตุผล และพวกมันรับใชฉัน

หนึ่งในความเชื่อที่ชาญฉลาดและเปนประโยชนที่สุดประการหนึ่งคือการเชื่อวา “ทุกสิ่งที่เกิด
ขึ้นกับฉัน เกิดขึ้นมาอยางมีเหตุผลและพวกมันรับใชฉัน” คนโงมันเถียงวา “ความเชื่ออยางนั้น
เปนความจริงไดหรือ เปนความจริงหรือเปลา” แตนั้นคือคําถามที่ผิดเพราะวาเราไมไดมุงเนน
หรือสนใจวามันเปนความจริงหรือเปลา เมื่อเราคุยกันเรื่องความเชื่อ โปรดจําไวเสมอ… ย้ํา…
โปรดจําไวเสมอวา เราเนนแตวาความเชื่ออยางนั้นเปนประโยชนตอเราไหม เขาขางเราไหมให
พลังกับไหมมากกวาที่จะสนใจวามันเปนความจริงหรือ ในประเด็นนี้ ผมอยากพูดพาดพิงถึง
การพูดจาดี ๆ กับตนเองเชน “ฉันเกง ฉันดี ฉันยอดเยี่ยม” ประโยคเชียรตนเองอยางนี้ดีหรือ
เปลา? ผมอยากชี้วาเราไมไดสนใจสักเทาไหรหรอกวามันจริงไหมกับคําพูดประโยคนี้ แตเรา
สนใจมันในลักษณะที่มันอาจใหประโยชนกับเราหรือเปลามากกวา ดังนั้นมันจึงดีที่จะพูด
เชนนั้น ในทางตรงกันขาม เมื่อเราพูดวา “ฉันไมเอาไหนเลย” นี่ก็เชนกันที่เราไมไดสนใจหรอก
วามันเปนความจริงหรือเปลา แตเราสนใจวามันจะเปนโทษตอเราหรือเปลามากกวา ดวยเหตุ
นั้น…. มันจึงเสี่ยงที่เราจะพูดจาไมดีกับตัวเราเองเพราะวามันอาจทําใหเราเจ็บปวด เซ็ง หดหู
และไรสุขโดยไมตองคํานึงถึงวาสิ่งที่เราพูดจะเปนความจริงหรือไมก็ตาม ผมหวังวาพวกเราคง
ไดรับความกระจางในแงมุมนี้แลว คราวนี้ยอนกลับมาที่ความเชื่อขอที่ 5 ของเรา ขอดี
ของความเชื่อนี้คือมันจะชวยเราไดในทุกสภาวะเงื่อนไข ทุกสถานที่และทุกกาลเวลา ผมขอ
ยกตัวอยางในยามที่เราอกหัก แลวเขาจะคิดอยางไรกับตนเอง หลายคนพูดวา “ฉันจบแลว
ชีวิตฉันพังแลว ไมมีใครในโลกนี้ที่ฉันรักเลย ทําไมเรื่องแบบนี้ตองเกิดขึ้นกับฉันดวยละ” ขอ
ประทานโทษ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับคนทั่วโลกตางหากละ แลวคนทั่วโลกเปนไง…. สวน
ใหญก็รูสึกแยดวยกันทังนั้น แตถาเราไดประดับความเชื่อขอที่ 5 ไวในสมองของเรา เราจะไม
รูสึกแยสักเทาไหรหรอกนะ ลองอานดูใหมสิ… “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน เกิดขึ้นมาอยางมีเหตุผล
และพวกมันรับใชฉัน” นอกจากวามีเหตุผลแลวมันยังรับใชเราอีกดวย เราอาจพูดวา “ออ กา
รอกหักของฉันนะมีเหตุผล ไมใชเรื่องสวนตัวที่เกิดขึ้นเฉพาะกับฉันสักหนอย มันเกิดขึ้นไดกับ
คนทั้งโลก สิ่งนี้ที่จริงมันรับใชฉันเพราะวามันมาใหความรูแกฉัน สอนฉัน และบางที คนที่ดี
ที่สุดสําหรับฉันอาจยังเดินทางมาไมถึงก็ได สวนคนนี้ก็แคคนที่ไมใชก็เทานั้นเอง” เห็นไหมวา
เราสามารถใชประโยชนจากความเชื่อขอนี้ได จะพูดไปแลว ผมเริ่มเชื่อมาตั้งนานแลววา… สิ่ง
ที่ไมดีที่เกิดขึ้นกับผม เกิดอยางมีเหตุผล และพวกมันรับใชผมในแงที่ทําใหผมพลิกชีวิตที่ไร
แกนสารมาสูชีวิตที่เรียนรูอยางไมหยุดยั้ง สวนที่ตลกหนอยก็คือ ในยามใดที่ผมขับรถหลงทาง
หรือลงทางดวนผิดชองทาง เดาสิวาผมเซ็งและเครียดไหม ไมแมแตนิดเดียว ทั้ง ๆ ที่ผมกําลัง

87
หลงทาง ผมมักพูดวา “การหลงทางที่เกิดขึ้นกับผมนี้ เกิดขึ้นอยางมีเหตุผลและมันรับใชผม
เพื่ออะไรสักอยางหนึ่งอยางแนนอน” จากนั้นก็ยิ้มและสนุกไปกับการผจญภัยนั้นหลายครั้งผม
ถึงกับไดคนพบเสนทางใหมที่ดียิ่งกวาเดิมดวยซ้ําไป ก็บอกแลวไงวา “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวก
เรา เกิดขึ้นอยางมีเหตุผลและพวกมันรับใชพวกเรา”

6. ไมจําเปนตองรูทุกแงทุกมุมของเรื่องใดกอนที่จะสามารถใชมันได

หากวาเราตัดสินใจไมทําบางอยางเพียงเพราะวาเรารูสึกวายังเขาใจมันไมครบถวนแลวละก็
เราคงไมตองทําอะไรกันพอดี เปรียบเหมือนไฟฟาและกระแสไฟฟา คนทั่วโลกใชมันทั้ง ๆ ที่ไม
รูหรอกวามันคืออะไร ในทํานองเดียวกัน ถาเราปฏิบัติตอชีวิตและสิ่งตาง ๆ เชนเดียวกับที่เรา
ปฏิบัติตอไฟฟาแลวละก็ ชีวิตของเรายอมหลากหลาย มีสีสัน และตื่นเตนเราใจเปนอันมาก เรา
มักแกตัววา “ยังไมคอยรูเรื่องนี้สักเทาไหร” แลวเราก็ไมทํามันซะเลย นี่คือกับดักที่ทําใหเรา
กาวหนาไดเชื่องชาดุจเตาคลาน อยาไปรอจนเราเกงที่สุดในโลกแลวคอยแสดงมันออกมา ชาง
ไรสาระอะไรขนาดนั้น เมื่อผมตองพูดกับฝรั่ง ก็แคพูดออกไปเลย นั่นแหละเยี่ยมแลว ขืนไปคิด
วา “ไมเอาดีกวา รอเกงกวานี้กอนแลวคอยทํา” นั่นยิ่งหมดโอกาสเขาไปใหญ บางทีตัวอยางที่
เลิศที่สุดในเรื่องนี้คือการไปเรียนหัดขับรถ ก็แหงอยูแลววายังขับรถไมเปนถึงตองไปเรียน แลว
เปนไงละ…ครูฝกใหเราลองขับทั้ง ๆ ที่เราแทบทําอะไรไมเปนเลย แตนั้นแหละคือการเรียนรู
“ทํ า ไปเลย” คื อ วิ ธี เ รี ย นรู ที่ ใ ช ไ ด ดี กั บ เรื่ อ งจํ า นวนมาก ตั ว อย า งต อ ไปคื อ เรื่ อ งการฝ ก ใช
คอมพิวเตอร เพื่อนของผมคนหนึ่งนอกจากจะไมซื้อตําราแลว พี่แกยังเกงแบบปศาจเลยก็วา
ได นี่มันเปนไปไดยังไงกัน! เขาอธิบายวา “งายจะตาย ก็ลองคลิกดูไปเรื่อย ๆ วามันจะเกิด
อะไรขึ้น แลวก็รูเอง” แตคนสวนใหญเปนไงรูไหม ปุมและแถบเครื่องมือจํานวนมาก…. ไมเคย
แตะตองมันเลยแมเพียงแคการคลิกเทานั้นก็ยังไมยอมทํา เจาเพื่อนคนนี้ของผมคือหนึ่งในคน
ที่เชื่อจริง ๆ วา ไมจําเปนตองรูทุกแงทุกมุมของเรื่องใดกอนที่จะสามารถใชมันได ครั้งหนึ่งเขา
ถึงกับถอดเปยโนแทบทั้งหลังกองไวกับพื้นเพื่อทําความสะอาดภายในใหกับมัน ผมถามวาทํา
ไดไง เขาตอบวา “ก็แคแกะมันออก ใชแปรงปดสักหนอย หยอดน้ํามัน แลวก็ประกอบกลับเขา
ไป มันก็แคนั้นเอง” คนอยางเขาคือคนที่ไรขีดจํากัด เขาไมรอความสมบูรณแบบ แตเขาทํามัน
ไมวาจะรูมากหรือนอยก็ตาม ยิ่งเราเชื่อแบบนี้ไดมากเทาไหร เราจะยิ่งพบวาเราเกงและเปยม
ไปดวยความสามารถมากขึ้นเทานั้น ฉะนั้น ครั้งตอไปที่เราจะทําอะไรก็ตาม อยาไปรอจนกวา
เราจะรูแจง ไมมีหรอกเรื่องแบบนั้น ขอใหเราทําไปเลยแมไดแคที่เรารูก็ตาม แตนั้นแหละนา
ภูมิใจแลว คนเกงที่เราบอกวาโคตรเกงนั้น ลวนเริ่มมาจากกาวแรกทั้งนั้น… ซึ่งก็คือไมรูอะไร
เลยหรือถารูก็นอยมาก แตแลวคนอยางนี้แหละที่กลายเปนผูเชี่ยวชาญในดานตาง ๆ มากมาย

88
เมื่อกอนนั้นผมไมเคยเขียนหนังสือแตตอนนี้ผมกลายเปนนักเขียนหนังสือและนักพูดปลุกใจที่
ทรงพลังมาก ในตอนแรก ๆ นั้น ผมตองไปฝกการเขียนไหม…. เปลาเลย แตผมก็ทํามันทันที
ผมเขียนในสิ่งที่ผมคิดและรูสึก ผมเขียนอยางที่พวกเราอานอยู ผมไมไดรอใหตัวผมกลายเปน
ผูเชี่ยวชาญในดานภาษาศาสตรเสียกอนหรอก ดังนั้น ถาพวกเรามีความใฝฝนอะไรก็ตาม
โปรดยืนขึ้น ยืนขึ้นเพื่อชีวิตของเราเอง และลงมือทํามันใหเปนรูปธรรมเดี๋ยวนี้โดยไมตองรอให
เรารูแจงเสียกอน เอาเทาที่รูก็เหลือกินแลว แลวทุกอยางจะดําเนินตอไปในครรลองของมันเอง

7. คนคือแหลงทรัพยากรที่ยิ่งใหญและสําคัญที่สุด

บางทีนี่อาจเปนความเชื่อที่เราไมเคยรูมากอนเลย แตวามันชางยิ่งใหญเหลือเกิน มันทําให


ผมมีอนุสติวา อยาไดลืมมุงเนนไปที่ผูคนเปนอันขาด และเพื่อใหพวกเราเห็นความสําคัญของ
ผูคนเสียแตเนิ่น ๆ ขอใหผมเตือนสติพวกเราสักหนอย ในยามที่เราเกิดมานั้น มีใครบางคนได
พยายามเลี้ยงดูเรา และในยามที่เราจากไป มีใครบางคนไดฝงศพใหเรา และโลกนี้วางเปลาถา
ไรผูคน (โปรดอยาบอกวายังมีสิ่งอื่นที่เหลืออยูอีกมาก เพราะเราจะเอาอะไรไปรับรูละเมื่อไร
ผูคนอยางสิ้นเชิง) ฉะนั้น ถาเราพกความเชื่อนี้ไวในใจ เราจะไมลืมมองในแงมุมที่พิเศษนี้ ผม
พูดวา “คนคือทรัพยากรที่ยิ่งใหญและสําคัญ” พวกเราหลายคนอาจสงสัยวา แลวน้ํามันละ
เงินละ ความรูละ เทคโนลียีละ ออใช… ที่พวกมันเปนทรัพยากรที่สําคัญมาก แตก็ตราบเทาที่
ยังมีคนอาศัยอยูในโลกนี้เทานั้นนะ ถาไมมีคน น้ํามันและทุกสิ่งจะคืออะไรละนอกจากสิ่งที่ไร
ความหมายโดยสิ้น เชิ ง ไอ ของพวกนั้น นะ มัน เปน สิ่งธรรมชาติ แตคนสิ… ถ า มันหวยแตก
มาก…ครอบครัว สังคม เมือง ประเทศ หรือแมโลกทั้งใบจะพลอยหวยแตกไปดวย ฉะนั้นพวก
เราตองหันมาสนใจคนในประเทศของเราใหมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ในดานอื่นก็ทําไปแตดานของผูคน
โดยเฉพาะเด็ ก ที่ เ ป น อนาคตของชาติยิ่ ง ต อ งสนใจมากที่สุ ดและบางทีก ารเริ่ม ตน ที่ดีก็คือ
พัฒนาที่ตัวเราเองกอน จากนั้นก็ขยายออกไปสูโลกกวาง แมในหลักการคาก็เชนกัน การ
มุงเนนที่ตัวสินคาและบริการที่มุงรับใชมหาชนยอมนําความมั่งคั่งไรขีดจํากัดมาให ถาคุณจะ
รองเพลง จงคิดวาคุณไดรับใชคนตั้งประเทศหนึ่ง เมื่อผมผลิตหนังสือ ผมคิดวา “ฉันขอมอบ
อาหารสมองเพื่อรับใชคนในประเทศของฉัน” นี่คือสิ่งเดียวกับที่เราพูดวา “มองที่ภาพใหญ”
ฝรั่งนั้นมีปรัชญาที่นาชมเชยประการหนึ่ง กลาวคือ “ใหปลาหนึ่งตัวกับผูคนคุณเลี้ยงดูเขาได
หนึ่งวัน สอนเขาถึงวิธีตกปลา คุณเลี้ยงดูเขาไปชั่วชีวิต” สวนคุณซิก ซิกลาร ไดเปดเผยปรัชญา
ที่ลึกซึ้งมากวา “ทานสามารถไดทุกสิ่งที่ทานปราถนา หากทานไดชวยผูคนในจํานวนที่มากพอ
ใหพวกเขาไดในสิ่งที่ตองการ” สิ่งเหลานี้ลวนชี้ชัดถึงความเชื่อที่วา “คนคือแหลงทรัพยากรที่
ยิ่งใหญและสําคัญสุด” ถึงตรงนี้พวกเราคิดสนใจคนอื่นบางหรือยังครับ

89
บทที่ 10
การทําลายความเชื่อ

เราไดรูกันมาแลววาความเชื่อคือความคิดหรืออะไรก็ไดที่เรารูสึกแนใจโดยไมเครือบแครงสงสัยวา
สิ่งที่เราเชื่อนั้นเปนความจริง ความเชื่อจึงไมจําเปนสัจธรรม สมัยกอน คนเราเชื่อวาโลกแบนโลกแบน
จึงไมใชสัจธรรมเพราะอันที่จริงนั้นโลกมันกลม แตผูคนในสมัยนั้นตางก็รูสึกแนใจวาโลกแบนเปนความ
จริง พวกเราจึงตองตระหนักไวเสมอวา ความเชื่อจะเปนสัจธรรมหรือไมเปนสัจธรรมก็ไดเพราะวามัน
เปนคนละเรื่องกัน ประเด็นอยูตรงที่ความรูสึกแนใจ ที่คนในโลกนี้มักทะเลาะกันก็เพราะรูสึกแนใจในสิ่ง
ที่ตางกัน ตอนที่ผมเปนเด็ก ผมถียงกับเพื่อนวา “พระพุทธเจาเกงกวาพระเยซู” สวนเพื่อนผมที่นับถือ
พระเจายืนยันวา “พระเยซุเกงกวาพระพุทธเจา” เห็นไดชัดวาถูกทั้งคูเพราะวาใครลงเชือ่ อะไรแลวก็ตาม
เขาก็จะสึกแนใจวามันเปนความจริงตามที่เชื่ออยางแนนอน ฉะนั้น พวกเราพึงหลีกเลี่ยงการถกเถียง
เรื่องความเชื่อซะจะดีกวา เมื่อเราไดรูแลววาความเชื่อคืออะไร เราไดรูแลววาแหลงที่มาของความเชื่อมี
อะไรบาง และเราไดเรียนรูความเชื่อที่ฉลาด ๆ ไปอีกถึง 7 ประการ อันดับตอไปเราจะถามคําถามที่
สําคัญมากขอหนึ่ง… เราสามารถทําลายความเชื่อหรือเลิกเชื่อไดหรือไมและอยางไร
คําตอบคือเราสามารถทําลายความเชื่อได ในเมื่อความรูสึกแนใจทําใหเราเชื่อและสรางความเชื่อ
ตาง ๆ นานาขึ้นมาได เรายอมสามารถทําลายพวกมันไดดวยการทําใหตัวเราเองรูสึกไมแนใจกับความ
เชื่อตาง ๆ นานาเหลานั้นนั่นเอง จริงอยูวาเราตองเก็บความเชื่อที่มันดีอยูแลวเอาไว แตสําหรับความ
เชื่อชนิดที่ใชไมไดที่ทําใหเราออนแอ ไรพลัง และไมเปนประโยชนนั้น เราจะเชื่อตอไปทําไมกัน!!! และที่
ไมยอมเลิกเชื่อนั้นเปนเพราะวา…คนจํานวนมากทั่วโลกไมรูวาจะเลิกเชื่อไดอยางไร ดังนั้น การรูวาจะ
ทําลายความเชื่อไดอยางไรยอมเปนความรูความเขาใจที่สําคัญ ตอไปนี้คือสามขั้นตอนในการทําลาย
ความเชื่อ

1. ตั้งคําถามกับมัน

จงตั้ ง คํ า ถามกั บ ความเชื่ อ ยอดแย ใ ด ๆ ก็ ต ามด ว ยการถามว า “จริ ง หรื อ ที่ ฉั น ” นี่ คื อ การ
สั่นคลอนมันวิเศษมาก หากคุณรูสึกแนใจวาคุณดิ้นไมได จงถามวา “จริงหรือเปลาที่ฉันดิ้น
ไมได” ถาคุณรูสึกแนใจวาคุณเกงภาษาอังกฤษไมได จงถามตัวเองบอย ๆ วา “จริงหรือที่ฉัน
เกงภาษาอังกฤษไมได และไมวาคุณจะรูสึกแนใจวาทําอะไรไมไดก็ตาม จงซักเขาไป ถามจี้เขา
ไปวา “จริงหรือที่ฉันทํามันไมได” ยิ่งไปกวานั้น เราสามารถใชคําถามนี้สั่นคลอนหรือตรวจสอบ
ความเชื่อไดทุกประเภทโดยไมมีขอยกเวน มันจะทําใหเราไดคนพบความจริงอีกมากทีเดียว
เอาละ ตอไปนี้เปนตัวอยางเพิ่มเติม

90
ƒ จริงหรือที่ฉันไมสามารถหาเงินไดมากกวานี้
ƒ จริงหรือที่ฉันมีความสุขยิ่งกวานี้อีกไมได
ƒ จริงหรือที่ฉันไมเปนที่รักของใคร ๆ
ƒ จริงหรือที่ตัวฉันเพียงคนเดียวจะไปทําอะไรได
ƒ จริงหรือที่ฉันไมมีความสามารถอะไรสักอยางเดียว
ƒ จริงหรือที่ฉันไมวางแมแตจะออกกําลังกายแควันละครึ่งชั่วโมง
ƒ จริงหรือที่การทําตัวใหมีความสุขและประสบความสําเร็จเปนเรื่องยาก

2. หาหลักฐานเพื่อสั่นคลอนมัน

เมื่อผมพูดถึงคําวา “หลักฐาน” มันอาจเปนอะไรก็ได เชน คน สัตว สิ่งของ หรือเหตุการณ


ตาง ๆ เมื่อเราจะทําลายความเชื่อทางหนึ่งที่ตรงเปะคือการหาหลักฐานมาสนับสนุนวาความ
เชื่อเดิมไมเปนความจริง นี่คือการสั่นคลอนความรูสึกแนใจที่ดีเอามาก ๆ สมมติวาผมเชื่อวา
ผมสามารถสูบบุหรี่ไดโดยไมมีวันเปนโรครายแรงอะไรสิ่งหนึ่งที่ผมควรทําคือทางไปเยี่ยมคน
ปวยดวยโรคปอดที่มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ แลวถามเขาวา “เมื่อกอนคุณเคยเชื่อบางไหม
วาคุณจะไมมีวันเปนโรคอะไรที่รายแรงจากการสูบบุหรี่?! นั่นจะทําใหผมไดหลักฐานที่ชัดเจน
ที่หักลางความเชื่อเกาของผมได บางครั้งการหาหลักฐานอาจทําไดโดยตั้งคําถามวา “มีใคร
บางไหมที่อยูในสภาวะเงื่อนไขแบบเดียวกับฉัน แตกําลังประสบความสําเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ”
เมื่อตอนที่ผมเรียนมัธยมปลาย ผมเคยดิ้นกับเพื่อนทั้งชั้นในงานฉลองประจําหองของ
เรา ผมถูกหัวเราะเยาะจากเพื่อนชายหญิงหลายคนในทาทางที่นาขบขัน นั่นเปนแคหลักฐาน
ครั้งเดียวเทานั้นเองแตก็ทําใหผมสรุปอยางเบาปญญาวา “ฉันจะไมดิ้นอีกแลว ฉันดิ้นไมได
เรื่องหรอก” เห็นไดชัดวามันแคขาดทักษะและชั่วโมงบินเทานั้น แตมันกลับทําใหผมเชื่อฝงหัว
และหลีกเลี่ยงการดิ้นตลอดมา กวา 25 ปจนกระทั่งผมไดเรียนรูวาคนเราสามารถทําลาย
ความเชื่อไดดวยการหาหรือสรางหลักฐานใหม ๆ ไวอางอิง ดังนั้น ผมจึงคิดวา “เอาละ ฉันจะ
ลองดูวาฉันสามารถเปลี่ยนความเชื่อไดไหม?” จากนั้นผมก็เริ่มเปดเพลงมันส ๆ ที่บานและดิ้น
ไปตามใจชอบ ไมนานนัก ผมจึงประจักษวา “เฮ… มันก็ไมเลวนี่” และใครจะเชื่อละวา ผมขึ้น
นําคนนับพันเตนรํา หรือดิ้นในงานสัมนาของผมเอง คนจํานวนมากเอาทาทางของผมเปน
ตนแบบและพยายามทําตามดวยซ้ําไป ยิ่งไปกวานั้น หลายคนบอกวา “อาจารยวันชัยดิ้นได
นารักจัง” อืมมมม… ผมเปลี่ยนไปไดถึงขนาดนี้เชียวหรือ!!!
พวกเราหลายคนอาจหลงเชื่ อ จากหลั ก ฐานหรือ ข ออ า งอิ ง ในอดี ตว า “ฉั น ไมค อ ย
แข็งแรงเลย” ทางแกคือการสรางหลักฐานใหมขึ้นมาหักลางมัน ทุกวันนี้ ผมสรางหลักฐานทุก

91
วันวาผมแข็งแรงยิ่งกวาวัวกระทิงโดยการเตนแอบิค ผมถือวา… การทําเรื่องพิศดารนั้นหาใช
ปาฏิหาริ์อันใดไม แตการมีชีวิตอยูดวยรางกายที่ฟตอยูเสมอนั่นแหละคือปาฏิหาริย คนสวน
ใหญทั่วโลกไมรูหรอกวาอะไรกันแนคือปาฏิหาริยที่มีประโยชนตอชีวิตของพวกเขาอยางแทจริง
ดังนั้น จงอยาเชื่ออีกตอไปวาเราสุขภาพไมดี จงลงมือทําอะไรที่ดี ๆ ตอสุขภาพเสียบาง แลว
ความเชื่อเกาจะตายไปเอง
คุณผูอานที่รัก หากคุณเชื่อวา “คนในโลกนี้มันไมดี” แนนอนวาคุณยอมหาหลักฐาน
จนพบไดเสมอวามีใครบางคนชางเลวจริง ๆ ในทางตรงกันขาม หากคุณเชื่อวา “คนในโลกนี้
ชางดีเสียจริง” ก็เชนกันที่คุณยอมหาตัวอยางของคนเชนนั้นพบจนได ฉะนั้น ความเชื่อใด ๆ
ของคุณก็ตาม หากมันไมดีตอคุณ มันไมเขาขางคุณ มันเปนสิ่งที่หยุดยั้งคุณอยูเสมอ และมัน
ไดส รา งความเสี ย หายให กั บคุณ านั บ ครั้ง ไมถ ว นแลว คุ ณยอ มเปลี่ ย นมั น ไดเ พราะว า คุ ณ
สามารถหาหลักฐานในดานที่สนับสนุนหรือคัดคานมันไดเสมอ จงอยาจมปลักอยูกับความเชื่อ
ที่ไรพลังอีกตอไป จงหาหลักฐานที่จะสั่นคลอนมันแลวมันจะตายไปเอง

92
บทที่ 11
สรางความเชื่อใหมเขาไปแทนที่

เพื่อใหการทําลายความเชื่อเกาไดผลสมบูรณแบบ เราจําเปนตองติดตั้งความเชื่อใหมที่ทรงพลังเขาไป
แทนที่ โดยปกติแลว พวกมันก็คือ สิ่งที่ตรงขามกับความเชื่อที่ไมเอาไหนนั่นเอง วิธีทํานั้นก็ไมยาก
กลาวคือ ใหเราเขียนความเชื่อที่ตองการลงในสมุด จากนั้น ใหพูด คิด จินตนาการ และประพฤติตัวราว
กับวาเราไดเชื่อเชนนั้นไปแลวจริง ๆ ขอย้ําวาการทําตัวราวกับวาเรารูสึกเชื่อในความเชื่อแบบใหมที่
ดีกวานั้นเปนเรื่องที่สําคัญมาก และมันเปนเคล็ดลับที่ใชไดกับทุกเรื่อง ผมจะเลาใหฟงสักเรื่องหนึ่งวา
ผมสรางความเชื่อใหมอยางไร ไมนานมานี้ผมไดไปสมัครเรียนภาษาจีนกลาง ในสามชั่วโมงแรกที่ตอง
ฝกออกเสียงพยัญชนะ สระ และการผสมกันของพยัญชนะกับสระ พวกเราทั้งหองพบวา… มันมีเสียง
หลายเสียงที่ไมมีในภาษาไทย นั่นทําใหหลาย ๆ คนเริ่มหวั่นไหววามันอาจยากกวาที่นึกไว ทันใดนัน้ ผม
ก็รูทันทีวาผมจําเปนตองเชื่อวาผมสามารถออกเสียงพวกนั้นได และผมพูดสามารถออกเสียงพวกนัน้ ได
และผมพูดออกไปราวกับวาผมเขาใจเสียงพวกนั้นดีแลว แทนที่จะจดจอไปที่ผมอาจออกเสียงผิด ผม
กลับออกเสียงราวกับวาผมคือผูเชี่ยวชาญ เหลาซือ (อาจารย) ถึงขนาดยกนิ้วใหบอกวาเยี่ยม นี่แหละ
คือสิ่งที่ผมทํา ผมเชื่อไปลวงหนาวาผมทําได และแสดงออกไปดั่งวาความเชื่อนั้นแกกลาและเปนความ
เชื่อของผมไปแลว ฉะนั้นเมื่อพวกเราจะเชื่ออะไรที่มันดักวา จงเชื่อไปเลยและทําตัวราวกับวาเปน
เชนนั้น แลวของจริงจะบังเกิดขึ้นในเร็ววัน แลวเราจะเชื่อในความเชื่อใหม และปฏิบัติตนที่สอดคลองไป
ตามความเชื่อใหมนั้น

93
บทที่ 12
เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อเราไดเปลี่ยนการคาดหวังไปดวย

เมื่อไหรก็ตามที่เราไดเปลี่ยนความเชื่อใด ๆ ไปแลว เรายอมเปลี่ยนการคาดหวังของผลที่จะตามมาไป


ดวย เมื่อเราเชื่อวา “ฉันทําไมไดหรอก” เราคาดหวังอยางไรละ เรายอมคาดวามันเสียแรงเสียเวลาเปลา
ๆ กับการพยายามที่ไรผลและไมคุมคา ในทางตรงกันขาม ถาเราเชื่อวา “ฉันทําไดแน” เรายอมคาดหวัง
แตความสําเร็จเทานั้น การคาดหวังจึงสอดคลองไปตามความเชื่อของเราเสมอ เมื่อเราเชื่อวาชวงนี้ดวง
เราตก (เปนความเชื่อที่ติดลบอยางยิ่ง) เราจะคาดหวังถึงขาวดีไหม… ไมมีทาง เรามีแตจะคะเนถึงสิ่ง
ราย ๆ วาเดี๋ยวมันจะมาอีกแหง ๆ เลย ที่จริงแลว การคาดหวังเปนความคิดอยางหนึ่งเชนกันแตมักเปน
ภาพของการคาดคะเนในใจอยางหนึ่งอยางใดของเรา และภาพในใจนี้แปรเปลี่ยนไปตามความเชื่อหรือ
มีความเชื่ออยางใดอยางหนึ่งรองรับอยูเสมอ
นอกจากการคาดหวังจะสอดคลองกับความเชื่อของเราแลวมันยังมีกฏแหงการคาดหวังอีก
ดวย กฏนี้กลาววา “ไมวาอะไรที่เราคาดหวังไวดวยความเชื่อมั่น มันจะกลายเปนคําทํานายอนาคตของ
เรา” ดังนั้นสิ่งที่เราควรปฏิบัติคือ
จงคาดไวแตสิ่งดีที่สุดเสมอเทาที่เราสามารถจะทําได พวกเรานั้นไดทําตัวเปนหมอดูโดยไมรูตัว
เราอดไมไดที่จะตองคาดหวังไปตาง ๆ นา ๆ แตเราคาดหวังในเชิงบวกหรือเปลาละ? จงอยาลอเลนกับ
กฏขอนี้ เพราะวามันมีแนวโนมวาเราจะดึงดูดสิ่งที่เราคาดหวัง ฉะนั้น ขอใหพวกเราฝกคาดหวังวาจะมี
เรื่องดีเกิดขึ้นกับเราในวันนี้
จงเปลี่ ย นการคาดหวัง ที่เ กี่ย วกับ ตนเอง ครอบครัว คูชี วิต พอ แม ญาติพี่ น อง บุ ตรหลาน
ผูรวมงาน ตัวธุรกิจ และสิ่งตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับเราไปทางดี แลวเราจะพบวาทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป
ตามการคาดหวังของเราไดอยางนาอัศจรรย
คุณผูอานที่รักยิ่ง เมื่อเราเปลี่ยนไปคาดหวังในทางที่ดีขึ้น มันจะกระทบไปถึงมุมมอง หรือ ทัศนคติที่เรา
มีตอทุกสิ่งไปตามการคาดหวังของเรา พูดงาย ๆ ก็คือ เราจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติของเราได

94
บทที่ 13
พลังแหงทัศนคติ

ทัศนคติคือ “ความคิดเห็น ความคิดความอาน มุมมอง และความเขาใจที่เรามีตอทุกสิ่ง” การที่เราจะ


รูสึกดีหรือไมดีกับสิ่งใดก็ตาม มันขึ้นกับวาเรามีทัศนคติตอสิ่งนั้นอยางไร และแมกับตัวเราเองก็เชนกัน
ทัศนคติที่มีตอตัวเราเองจะกําหนดความรูสึกวาเราชอบหรือเกลียดตนเอง เนื่องจากวาทัศนคตินั้น
กอใหเกิดความรูสึก และความรูสึกเปนตัวกําหนดการกระทําหรือไมกระทํา ดังนั้น ทัศนคติจึงเปนเรื่อง
สําคัญที่ตองพยายามเขาใจมันใหมาก ๆ
ขึ้นชื่อวาทัศนคติหรือความคิดเห็นของคนเราแลว มันยอมมองตางมุมที่แตกตางกันไปได
สารพัด แต มั น ยากที่ จ ะสรุ ป ว า ทัศ นคติแ บบไหนบ า งที่ผิ ด มั น ไม มี ห รอกที่ ผิด แตมั น มี ลัก ษณะว า
เหมาะสมมากนอยแคไหนมากกวา เชน ถาชายคนหนึ่งมีทัศนคติ (ความเห็น) วา “บานของฉันมันหว
ยแตก โรงเรียนของฉันมันไมไดเรื่อง สังคมของฉันมันแย ประเทศนี้มันไมดีพอ และโลกใบนี้มันไม
ยุติธรรม” ความคิดเห็นแบบนั้นของเขาผิดหรือเปลา? ใครละจะตอบไดวาผิด ผมแนใจ 100% เต็มวาไม
มีกฏหมายใด ๆ ในโลกนี้สามารถจับตัวชายคนี้ไปลงโทษไดแน แตผมรูวาเขาจะรูสึกไมดีกับทุกสิ่งที่เขา
ไดกลาวไวในประโยคนั้น และเขาจะปฏิบัติตอสิ่งเหลานั้นแบบแย ๆ อีกดวย ผมอาจวิจารณวายังมี
ทัศนคติอื่น ๆ อีกมากที่นาจะเหมาะสมกวานั้น แตมันก็เปนสิทธิ์ของเขาที่จะเปลี่ยนหรือไมเปลี่ยนก็ได
ดังนั้น ผมจะเนนเรื่องความเขาใจ จากนั้น พวกเราตองนําไปปรับและตัดสินใจเลือกดวยตนเอง ผมทํา
ไดแคแนะนําเทานั้น
ผมเห็น วาทัศนคตินั้น ควรแบงออกเปนแคสองจํ าพวกก็ พอ คื อทัศนคติที่มีประโยชนอยา ง
แทจริง กับทัศนคติที่ไรประโยชนอยางแทจริง และในฐานะที่เราเปนคน มันยอมหนีไมพนที่เราจะมี
ความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเราเองมากมาย และเนื่องจากเราอยูบนโลก เราก็ยอมตองมีมุมมองหรือความ
คิดเห็น ต อ คนอื่ น และทุก สิ่ง ทุ ก อยา งที่เ ราเกี่ ย วข องอยูเ สมอ และคํ า ถามเดีย วที่ผ มจะถามก็คือ …
มุมมองนั้นใหประโยชนกับพวกเราไหม ทําใหเรามีพลังไหม ทําใหเรารูสึกดีไหมทําใหเราอารมณดีไหม
ทําใหเรามีความสุขไหม ทําใหเราสุขภาพแข็งแรงไหม ทําใหเราสงบสุขไหม ทําใหเราเปนที่รักไหม ทํา
ใหเรามั่งคั่งร่ํารวยไหม ทําใหเรายอมรับตนเองไหม ทําใหเราเคารพนับถือตนเองไหม ทําใหเรายิ้มแยม
แจมใสไหม ทําใหเราสนุกสนานกับชีวิตไหม ทําใหเราตื่นเตนเราใจบางไหม ทําใหเราเกษมสําราญไหม
ทําใหเรามีหรือขยายประสบการณมากขึ้นบางไหม ทําใหเราเกงขึ้นดีขึ้นไหม ทําใหเราเฉลียวฉลาดมาก
ขึ้นไหม และทําใหชีวิตเราดีงามไหม หากวาคําตอบคือ “ใช” ละก็….นั่นละคือทัศนคติที่ผมเห็นวามี
ประโยชนอยางแทจริง นั่นละคือทัศนคติที่เหมาะสมในสายตาของผม ตอไปผมจะใหตัวอยางของ
ทัศนคติจํานวนหนึ่ง โปรดระลึกไววา ผมไมไดสนใจวามันจริงหรือเปลา แตผมสนใจวามันใหประโยชน
หรือเปลา

95
ตัวอยางของทัศนคติที่มีประโยชนอยางแทจริง

ในเมื่อคนอื่นยังทําได ฉันก็นาจะทําได(ถาหากวาฉันตองการมัน)ฉันจะเรียนรูเรื่องนี้ไดจากใคร ที่ไหน


และเมื่อไหร (ถาหากวาฉันตองการมัน)เมื่อฉันตั้งใจอะไรแลว ฉันเปนคนที่ไมมีอะไรมาหยุดยั้งได ฉัน
เปนคนที่ยืดหยุนในวิธีการ แตเหนียวแนนมากกับเปาหมายหรือสิ่งที่ฉันตองการ ฉันพรอมเสมอสําหรับ
ทุกสิ่ง ฉันดีพอเสมอในทุกสถานที่และกาลเวลา ฉันเกง ฉันฉลาด ฉันมีพลัง และฉันเต็มเปยมไปดวย
ความสามารถ รูอยางเดียวมาพอหรอก แตมันตองลงมือทําในสิ่งที่รู คิดบวกอยางเดียวไมพอหรอก มัน
ตองมุงเนนที่การกระทําใหมาก และคงเสนคงวา เพื่อใหโลกนี้เปลี่ยนแปลงเพื่อฉัน ฉันจะเปลีย่ นแปลงที่
ตัวฉันกอนเปนอันดับแรก

ตนนั้นแหละคือที่พึ่งแหงตน

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน เกิดขึ้นอยางมีเหตุผล และพวกมันรับใชฉัน รางกายของฉันมีคา ความคิดของฉัน


มีคา และจิตวิญญาณของฉันมีคา การที่ฉันมีกาย มีความคิด มีจิตสํานึกและกําลังดําเนินชีวิตอยู….
นั่นแหละคือปาฏิหาริย

ตัวอยางของทัศนคติที่ไรประโยชนอยางแทจริง

ƒ ฉันเกิดมาเพื่อชดใชกรรม
ƒ ฉันไมเกงอะไรสักอยางเดียว
ƒ ไมมีใครรักฉันสักคน
ƒ เธอคือเครื่องบิน ฉันคือหมา
ƒ ผูชายเลวกวาหมา
ƒ ฉันทําไมไดหรอก
ƒ โลกนี้มันไมยุติธรรม
ƒ ชีวิตของฉันไมมีคาอะไร
ƒ จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันก็ชางมัน
ƒ ฉันเปลี่ยนแปลงตนเองไมได

คุณผูอานที่รัก ความคิดเห็นของเราไดกอใหเกิดความรูสึก และความรูสึกจะไปกําหนดการ


กระทําของเราอีกตอหนึ่ง ฉะนั้น เราตองคิดและเลือกใหดีกวา… เราไดเก็บทัศนคติอะไรไวในจิตใจของ
เรา หากพวกเราตองการชีวิตที่เปยมสุข ทัศนคติที่มีประโยชนอยางแทจริงสามารถชวยพวกเราได

96
บทที่ 14
พลังแหงความรูสึก

คุณผูอานที่รัก ในที่สุด พวกเราไดเดินทางมาถึงเรื่องที่อภิมหาสําคัญอยางแทจริง ถาหากวาจะอธิบาย


ถึงพฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวงของผูคนในโลกนี้ใหสามารถเขาใจไดแลว หนทางเดียวคือการเขาใจถึง
ความรูสึกของผูคนใหไดกอน พวกเรานั้นมักทําอะไรไปตามความรูสึกตลอดเวลา มันเปนเรื่องธรรมชาติ
ของเรานั่นเอง ลองพิจารณาสิ่งตอไปนี้ดู
ถาใครก็ตามไมกินผัก มันไมเกี่ยวกับวาการกินผักดีมากนอยแคไหน แตมันเกี่ยวกับความรูสึก
ถาใครก็ตามที่ไมกินเฉพาะเนื้อวัวนี่ก็เชนกัน มันเกี่ยวกับความรูสึกที่ทําใหไมกิน สวนคนที่กินเนื้อวัว
มากเปนพิเศษอยางผมก็เกิดจากความรูสึกอีกนั่นแหละ ผมไมสนหรอกวาคนอื่นหรือผูเชี่ยวชาญเรื่อง
โปรตี น จะว า อย า งไร ผมจะกิ น มั น ต อ ไป ส ว นผั ก แครอทสี ส ม ที่ ค นจํ า นวนหนึ่ ง บอกว า เยี่ ย มนั้ น
ความรูสึกของผมบอกวากินไมได ดังนั้นผมไมกินมันในทุกกรณี เรื่องทํานองนี้เกิดกับคนทั่วโลก พวก
เราอาจสรุปวา “คงชอบไมเหมือนกัน” แตคําวา “ชอบและเกลียด” นั่นแหละคือ “ความรูสึก” ฉะนั้นถา
หากจะทําใหยอมกินแครอทดวยความเต็มใจ มันยอมมีอยูหนทางเดียว จงทําไงก็ไดใหผมเปลี่ยน
ความรูสึกไปชอบแครอท แลวผมจะกินมันเอง ถึงตรงนี้ พวกเรายอมพอเขาใจแลวกับการจะกินหรือไม
กินอะไรของคนทั้งโลกไดแลว มันไมใชเรื่องลึกลับและยากที่จะเขาใจ สมมติวาผูหญิงคนหนึ่งตั้งครรภ
และเธอตองการกินดิน ผมไมของใจเพราะผมรูวาเธอรูสึกอยากกินและเธอจะรูสึกดีถาไดกินมัน ดังนั้น
แมแตการกินดินก็ไมเห็นแปลกตรงไหน แตพวกเราไมกินแนเพราะวาพวกเรารูสึกวามันกินไมได ฉะนั้น
ถาเราเห็นใครกินดอกไม ใบไม ดิน กระเบื้อง จิ้งจก ตั๊กแตน หนอน อาหารดิบ ๆ หรืออะไรที่มันแปลก
ประหลาดอยางยิ่ง หรือแมแตแมลงสาบ โปรดเขาใจดวยวา มันเปนเรื่องของความรูสึกลวน ๆ ที่กําลัง
ทําหนาที่ของมันอยางเต็มพิกัด อนึ่ง คนที่กินจุก็เพราะความรูสึก คนที่กินวันละเมื้อเดียวก็เพราะ
ความรูสึก อะไร ๆ ลวนแลวแตเปนความรูสึกทั้งนั้นเมื่อพูดถึงพฤติกรรมของมนุษย
ทําไมทหารที่ไปรบแลวตองสังหารศัตรูถึงรูสึกวาไมบาปหรือบาปนอยทั้ง ๆ ที่มันเปนการฆา
มนุษย เพราะวาพวกเขารูสึกวานั่นเปนหนาที่และมีความถูกตองชอบธรรม หากรอดตายกลับมาบาน
เกิดเมืองนอนได ก็จะไดรับการเชิดชูเกียรติเปนอันมาก ไมมีใครรูสึกวาแยสักคน มันเปนความรูสึกเทา
นั้ น เอง แต ถ า ทหารที่ ส ง ไปรบดั น ไปสั ง หารพลเรื อ นที่ ต า งแดนละก็ คราวนี้ เ รื่ อ งใหญ ชาวโลกจะ
ประณามวาเลวทรามมาก ทําไมละ ก็ระดับความรูสึกไงที่แตกตางกันคนละโยชนเลย หันกลับมาดูที่ตัว
ผมบาง ถาตบยุงตาย ผมทําไดเพราะวาผมไมรูสึกอะไรเลย (ไมตองบอกก็รูวาผมเกลียดมัน) แตไมใช
กับมด แมลงปอ หรือผีเสื้อ ผมทําไมไดเพราะผมรูสึกแย ดังนั้นเมื่อเจอยุงในบานผมตบมัน แตถาเปน
แมลงปอ ผมตองใชเวลานานกวาจะจับตัวมันไดเพื่อนําไปปลอยที่สวนนอกบาน มันไมใชเรื่องคุณงาม

97
ความดีอะไรหรอก แตมันเปนเรื่องของความรูสึกที่ไมเหมือนกันผมจึงมีพฤติกรรมที่แตกตางกันตามไป
ดวย
คราวนี้ขอพูดถึงเรื่องที่ใกลตัวพวกเรามากขึ้น การกระทําทุกอยางในชีวิตประจําวันของเรา เชน
เรื่องการงาน เรื่องสวนตัว ครอบครัว งานอดิเรก ดนตรี กีฬา ฯลฯ ทุกอยางเปนไปตามความรูสึกนิสัย
ทุกอยางของเราเปนไปตามความรูสึก การผัดวันประกันพรุงเปนเรื่องของความรูสึก การบางานเปน
เรื่องของความรูสึก การเชื่อหรือไมเชื่ออะไรเปนเรื่องของความรูสึก การเกิดลางสังหรณยิ่งเปนเรื่องของ
ความรูสึก การแตงตัว การดูแลตนเอง การดูแลตนเอง การดูแลขาวของเครื่องใชความรกหรือสะอาด
ของโตะทํางาน และเรื่องจิปาถะอีกรอยแปดพันเกาลวนแลวแตเปนเรื่องของความรูสึก ถาผมจะเขียน
หนังสือใหหนาที่สุดในโลก เลมนั้นควรวาดวยความรูสึก ตราบใดที่เรายังไมตายไมพนตองอยูกับ
ความรูสึก หากไรความรูสึกมันก็จบ มันก็อวสาน และสุดยอดแหงการไรความรูสึกก็คือตาย หากวาผม
จะคลั่ ง อะไรสัก อยา งผมขอคลั่ ง เรื่อ งความรู สึก หากวา ผมปราดเปรื่ องเรื่ องใดก็ ไ ด เรื่ อ งแรกที่ ผ ม
ตองการก็คือเรื่องความรูสึกกกกก!!!! ชีวิตเรามันจะดีหรือเลวก็ตองดูที่ความรูสึก เราจะทําอะไรหรือไม
ทําอะไรก็เพราะความรูสึกเราจะสุขหรือทุกขก็เพราะความรูสึก ที่ผมรายยาวมาขนาดนี้ก็กําลังเขียน
อยางเมามันไปตามความรูสึก มันเปนความรูสึกกกกก
นามธรรมทั้งหลายที่เปนคู เชน ดีกับชั่ว สุขกับทุกข ดีใจกับเสียใจ ปติกับหดหู กลากับกลัว รา
เริงกับซึมเศรา ใจดีกับใจดําเบาใจกับหนักใจ สบายใจกับกังวลใจ พอใจกับไมพอใจ มากกับนอย
พอแลวกับยังไมพอ สนุกกับเบื่อ รวยกับจน ดีกับแย รักกับเกลียด ชอบกับชัง ยอมรับไดกับยอมรับ
ไมได ทําไดกับทําไมได และอื่น ๆ อีกมาก สิ่งเหลานี้คือความรูสึกเปรียบเทียบนั่นเอง พวกเราคือ
สภาวะจิ ต ที่ แ สดงอาการออกผ า นทางร า งกายของพวกเราตลอดเวลาไม ใ ช ห รื อ ! และเพราะว า
ความรูสึกของเราแปรปรวนเปลี่ยนแปลงได การกระทําของเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตาม
ระดับความรูสึกอยางสอดคลอง หากวาพวกเราจะไมไดอะไรเลยจากการอานหนังสือเลมนี้ ผมขอรอง
ใหพวกเราไดไปสักเรื่องหนึ่งที่ผมเชื่อมั่นวาสําคัญที่สุด นั่นคือ จงตระหนักรูใหไดวาความรูสึกเปน
ตัวกําหนดการกระทําของพวกเรา และมันเปนพลังที่ยากที่สุดที่พวกเราจะไปตอตานหากพวกเรา
สามารถ “ทําหรือสรางหรือผลิต” ความรูสึกใหมีความสุขไดทุกวันจวบจนชั่วชีวิตละก็ นั่นแหละคือ
แนวทางที่แทจริงของมวลมนุษย โปรดสังเกตวาผมใชคําวา “ทําหรือสรางหรือผลิต” เพื่อเตือนใจวา
พวกเราไมไชผล แตพวกเราเปนเหตุ เพราะวาพวกเราไมรอใหใครหรืออะไรมากรุณามอบความสุขให
เรา เรานั่นแหละคือตัวความสุขเสียเอง ก็เพราะวาเราไดสรางมันขึ้นมาเอง แลวทําไมจะไมไดละ…ใน
เมื่อความสุข… คือความรูสึกอยางหนึ่ง

98
บทที่ 15
ความพึงพอใจ กับความเจ็บปวด

ตอนนี้พวกเรายังอยูในหัวขอเรื่อง “ความรูสึก” เชนเดิม แตผมจะพาพวกเราไปรูจักกับฝาแฝดคูหนึ่ง ฝา


แฝดผู พี่ มี ชื่ อ ว า “ความพึ ง พอใจ” ส ว นฝาแฝดผู น อ งมี ชื่ อ ว า “ความเจ็ บ ปวด” พวกมั น ทั้ ง สองคื อ
คําอธิบายที่ดีที่สุดวาสมองหรือจิตใจของเราทํางานอยางไร กลาวคือ สมองของเราที่เกิดจากการสั่งสม
ประสบการณและการเก็บขอมูลสารพัดที่ปลูกฝงเขาไปตั้งแตเด็กจนโตนั้น มันจะตีความโดยเทียบกับ
ฐานขอมูลและประสบการณขนาดใหญของมันเสมอวา อะไรนาจะนําไปสูความพึงพอใจ และอะไร
นาจะนําไปสูความเจ็บปวด และสมองจะเลือกทําสิ่งที่นําไปสูความพึงพอใจและหลีกเลี่ยงการทําสิ่งที่
นําไปสูความเจ็บปวดอยางสุดความสามารถ ยิ่งไปกวานั้น ถาการกระทําทุกสิ่งลวนนําสูความพึงพอใจ
ทั้งนั้น สมองจะเลือกใหเราทําในสิ่งที่มันเชื่อวาจะไดรับความพึงพอใจสูงสุด และเชนกัน ถาการกระทํา
ทุกสิ่งลวนนําไปสูความเจ็บปวดทั้งสิ้น สมองจะเลือกใหเราทําในสิ่งที่มันเชื่อวาจะไดรับความเจ็บปวด
นอยที่สุด
คุณผูอานที่รักกกก! ตั้งแตผมไดรูวาสมองทํางานไปตามความรูสึกแนใจของมันที่มันตีความวา
อะไรคือความพึงพอใจ อะไรคือความเจ็บปวด และอะไรที่เปรียบเทียบกันแลวยังถือวาดีกวา ผมได
เขาใจตนเองและผูคนในโลกกวางวาอะไรกันแนที่ทําใหมนุษยทําอยางที่เขาทําและไมยอมทําในบางสิ่ง
ที่ผมอาจคิดวานาทํา ทั้งหมดนี้เปนเรื่องของความรูสึกเปรียบเทียบวาอะไรกันแนที่นาพึงพอใจมากกวา
หรือเจ็บปวดนอยกวาในตอนนั้นของความรูสึก
จากนี้ไป ผมจะพาพวกเราทองไปในโลกจริง ในปญหาจริงในสิ่งที่กําลังเกิดขึ้นจริง และดูสิวา
พลังแฝดของสองพี่นองที่ชื่อ “ความพึงพอใจ และความเจ็บปวด” จะอธิบายทุกสิ่งไดอยางไร และที่มัน
ตองอธิบายไดแนอยูแลวก็เพราะวา… พวกมันสองพี่นองนี่แหละที่เปนสาเหตุหลัก ไปดูตัวอยางกัน
เถอะ

99
บทที่ 16
ตายแทนลูก

พฤติกรรมการเสียสละทุกชนิดของมวลมนุษยนั้นสามารถเขาใจไดผมจะยกตัวอยางงาย ๆ วาเหตุใด
แมบางคน (อาจเปนพอก็ได) ถึงอาจตายแทนลูกได แนนอนวาการตายของหญิงที่เปนแมเปนความ
เจ็บปวดที่ยิ่งใหญของเธอ แตตราบใดที่เธอรูสึกวาการตายของลูกยิ่งเปนความเจ็บปวดที่ยิ่งกวาของ
เธอเองแลวละก็… เธอจะยอมตายแทนลูกถาเธอสามารถแลกได ไมมีคําอธิบายอะไรจะชัดเจนกวานี้
อีกแลว

100
บทที่ 17
ลดความอวนไมได

การลดความอวนคือปญหาใหญของคนเยอะมาก มีตํารา สูตร และเคล็ดลับมากมายที่สอนถึงวิธีลด


ความอวน แลวไดผลไหม? บางที… และบางคนเทานั้น… ที่ไดผล มาฟงคําอธิบายกันดีกวา สมมติวา
ใครสักคนตองการลดความอวนโดยวิธีอดอาหาร เชน ไมกินมื้อเชา งั้นไปดูกันสิวาสมองของเขาจะคิด
อย า งไร มั น คิ ดว า “เฮ การกิน อาหารคื อความพึ ง พอใจ ส ว นการอดกิ น อาหารคื อ ความเจ็บ ปวด”
นอกจากนั้นมันยังคิดวา “แตการอวนมันก็เจ็บปวดเหมือนกันวะ สวนการมีรูปรางดียอมสรางความพึง
พอใจไดเหมือนกัน” จากนั้นมันก็จะเปรียบเทียบสองความคิดนั้นวา “แลวการกระทําแบบไหนละที่ทํา
ใหฉันพึงพอใจมากกวา หรือการกระแบบไหนละที่ทําใหฉันเจ็บปวดนอยกวา? ตราบใดที่ความเจ็บปวด
ของการอดอาหารใหความรูสึกที่รุนแรงกวาความเจ็บปวดของการอวน ตราบนั้นคนคนนั้นก็จะลด
ความอวนอยางถาวรไมได หรือตราบใดที่ความพึงพอใจของการกินใหความรูสึกที่รุนแรงกวาความพึง
พอใจของการมีรูปรางดี ตราบนั้นคนคนนั้นก็ลดความอวนอยางถาวรไมได และถาความรูสึกของเขา
โยกไปโยกมาระหว า งความคิ ด สองฝ ก สองฝ า ย การกระทํ า ของคนคนนั้ น ก็ จ ะแปรปรวนไปตาม
ความรูสึก บางทีอดอาหารไดสองมื้อ แตแลวก็ฟาดมื้อเย็นของวันนั้นไปทีเดียวสี่จานรวด จากนั้นก็เซ็ง
และพูดวา “ทนไมไหววะ ใจแข็งไมพอวะ” แตนั้นยังไมใชความเขาใจที่ถองแท ฉะนั้น
คุ ณผู อา นที่ รัก ถ า จะลดความอว นเราตอ งสรา งความรูสึ ก ว า การมีสุ ขภาพดี และรู ปร า งที่
เหมาะสมคือความพึงพอใจที่แทจริง เราตองสอนสมองใหมันเชื่ออยางแรงกลาวาสิ่งนี้คือความพึง
พอใจที่เหนือกวาความพึงพอใจของการกินที่มากเกินไปและทางหนึ่งที่จะสอนสมองไดก็คือ การซอม
ทําในใจดวยการสรางจินตภาพถึงตัวตนของเราที่มีพลังงานมาก สุขภาพดี และรูปรางสมสวน ฝกซอม
เห็นตนเองกินแคมื้อละจานเดียว และเห็นตนเองออกกําลังกายอยูเสมอ ๆ ฝกวาดภาพในใจวาตอนนี้
เราเห็นตัวเราผอมลง เราคลองแคลววองไว และกระฉับกระเฉง ฝกซอมในใจวาเรามีความสุขโดยรวม
มากขึ้น และเราไมไดเจ็บปวดอะไรเพราะวาเราก็ยังกินตามปกติแตมีวินัยมากขึ้น คุณผูอานที่รัก นี่
แหละคือการเชื่อมโยงบางสิ่งใหสมองรูจักและคลอยตาม ในที่สุดสมองจะยอมรับและตีความวาการมี
สุขภาพดีและรูปรางดีคือความพึงพอใจที่แทจริงที่มากกวาความพึงพอใจของการกินแบบตะกละ โปรด
สังเกตวาผมไมแนะนําใหงดอาหารเพราะสมองรูวานั่นเปนความเจ็บปวดซึ่งมันจะตอตานและพยายาม
หนีออกไปจากความเจ็บปวด ผมจึงแนะนําใหกินตอไปแตเพิ่มการเชื่อมโยงการมีสุขภาพดีรูปรางดีให
สมองจดจําจนขึ้นใจ และวิธีสรางภาพในใจหรือฝกซอมทําในใจคือหนทางที่มีประสิทธิภาพในการสราง
ความรูสึกถึงการรับรูนี้ แลวสมองจะคอย ๆ สานประโยชนใหเราไดทั้งการกินและการมีสุขภาพดีไป
พรอม ๆ กันเลยทีเดียว

101
บทที่ 18
ผัดวันประกันพรุง

เชื่อกันวาการผัดวันประกันพรุงเปนสาเหตุหนึ่งที่ทําใหคนเราไดรับความเสียหายและความเจ็บปวด นั่น
ก็อาจใช แตที่ตลกก็คือคนเราผัดวันประกันพรุงก็เพราะวาความพึงพอใจ ความพึงพอใจงั้นรึ!!! นี่ผม
เสียสติไปแลวหรือเปลา… ไมอยางแนนอน คิดถึงตอนเปนเด็กนักเรียนดูสิ สมมติถาผมผัดการทํา
การบานที่ตองสงคุณครูออกไปกอน… มันแปลวาผมรูสึกเจ็บปวดมากกวาถาผมจะทําการบานเดี๋ยวนี้
ผมอยากเลนในตอนนี้เพราะวามันทําใหผมไดรับความพึงพอใจมากกวา สมองของผมจึงสั่งใหผมทําไป
ตามนั้นเพราะวามันจะเขาหาความพึงพอใจและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด เมื่อผมเอาแตเลนทุกวันไป
เรื่อย ๆ ผมสนุกและพึงพอใจเรื่อย ๆ แตถาวันพรุงนี้ผมตองสงการบานแลว เวลาเกือบหมดแลว คราวนี้
ผมจะผัดการเลนออกไปกอน เพราะวาการเลนเมื่อเปรียบเทียบใหมกับการทําการบานจะพบวา…
ตอนนี้กอนเลนจะไมรูสึกวาใหความพึงพอใจสักเทาไหรและมันกําลังจะกลายเปนความรูสึกเจ็บปวด
เสียมากกวา (ความรูสึกตอการเลนไดเปลี่ยนไป)
สวนการไมทําการบานที่หลายวันกอนไมรูสึกวาเจ็บปวดอะไร บัดนี้จะเปลี่ยนความรูสึกแลว
ฉะนั้นการทําการบานในตอนนี้จะสรางความพึงพอใจ (ความรูสึกตอการทําการบานไดเปลี่ยนไป) และ
ผมก็ปนใหญใหมันเสร็จเพื่อจะสงไดในวันพรุงนี้.. เฮอโลงอก หลายครั้งในชีวิตผูใหญ พวกเราก็เปน
อยางที่ผมอธิบายไมใชหรือ? พวกเราตองเขาใจเรื่องความรูสึกเปรียบเทียบระหวางความพึงพอใจกับ
ความเจ็บปวดเพื่อที่เราจะไดเขาใจการกระทําของเรามุงสิ่งที่เราทําในตอนนี้ลวนถูกเลือกจากสมองโดย
มั น เชื่ อ ว า จะให ค วามพึ ง พอใจสู ง สุ ด เมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั บ การทํ า อย า งอื่ น และการเปลี่ ย นแปลง
พฤติกรรมทุกอยางของเราเปนเพราะวาความรูสึกตอมันไดเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา นี่คือความรูที่
ลึกซึ้งมาก ฉะนั้นพวกเราตองเรียนรูที่จะใชพลังฝาแฝดระหวางความพึงพอใจกับความเจ็บปวดใหชาญ
ฉลาดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกวา

102
บทที่ 19
กินแมลงสาบ

ครั้งหนึ่งผมถูกตั้งคําถามที่ทาทายจากหนังสือเลมหนึ่งวา “ถาใหเงินคุณหาลานบาทเพื่อแลกกับการ
ตองกินแมลงสาบหนึ่งถวย คุณจะทําหรือไม ทําไมจึงทํา… ทําไมจึงไมทํา?” นี่เปนคําถามที่ทําใหคน
ตอบหลงทางไดโดยงายแตไมใชผม เมื่อผมอานคําถามนี้ ผมแนใจวาผมรูคําตอบในวินาทีนั้น คําตอบ
นั้นงายมากคือ… ตราบใดที่การกินแมลงสาบสรางความเจ็บปวดไดมากกวาความพึงพอใจของการได
เงินหาลานบาทสําหรับใครก็ตามแลวละก็ เขาก็จะไมมีวันกินแมลงสาบเพื่อเงินกอนนั้น แตตราบใดที่
การไดเงินหาลานบาทสามารถสรางความรูสึกความพึงพอใจไดมากกวาความรูสึกเจ็บปวดจากการกิน
แมลงสาบ เขาก็จะกินแมลงสาบ (เขาจะกินมันแมวาไมชอบและรูวานี่)
เรื่องราวการกระทําที่แปลก ๆ ในโลกนี้ลวนอธิบายไดหมดในลักษณะนี้ ผมไดเห็นการเลนเกม
ที่โหดและยากมากตอความรูสึกเชน การที่ตองคาบหนูตายดวยปาก การจุมหนาลงไปคลุกกับหนอนที่
เต็มไปดวยเมือก การตองฝนกินสิ่งที่แสนจะทุเรศ และการกระทําที่เสี่ยงตอชีวิตสารพัด ไมวารางวัลที่
ไดจะคือเงินกอนโตหรือความรูสึก วา “ขาแนและขาทําได” ก็ตาม ที่คนเหลานั้ นทํา ก็เพราะว าเมื่อ
เปรียบเทียบเสร็จแลว การทําจะใหความรูสึกที่นาพอใจกวา หรือกลาวอีกอยางวา… การไมทําจะสราง
ความเจ็บปวดที่มากกวา ดังนั้นพวกเขาจึงทําอยางที่พวกเราไดเห็นกัน ไมมีมนุษยทําไมไดตราบใดที่
มนุษยรูสึกวาผลรวมสุดทายของความรูสึกทั้งมวลจะนําไปสูความพึงพอใจ
คุณผูอานที่รักกกกยิ่ง ความพึงพอใจกับความเจ็บปวดนั้นคือตนตอที่แทของการกระทําหรือไม
กระทําทั้งมวลของมนุษยพวกเราตองเขาใจเรื่องนี้ใหมาก ๆ แลวพวกเราจะเขาใจตนเองและเพื่อนรวม
โลก

103
บทที่ 20
กาตมน้ําแหงความเจ็บปวด

เหตุการณที่เรียกวา “ยอมลงมือทําตอเมื่อเจ็บปวดจนทนไมไหว” ของผูคนในโลกนี้ อธิบายไดดีเมื่อ


เปรียบเทียบกับกาตมน้ํา ในตอนแรกที่ใสน้ําลงในกา น้ําทุกหยดรูสึกสบายดี แตหลังจากติดไฟแลว
อุณหภูมิจะคอย ๆ สูงขึ้นทีละนิดไปเรื่อย ๆ หยดน้ํารูสึกวาปวดแสบปวดรอนทีละนิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
เชนกัน แตน้ําก็ยังคงเฉยตอไป น้ําไมยอมทําอะไรทั้งนั้น แตในที่สุดเมื่อมันถึงจุดเดือด น้ําไมอาจทนได
อี ก ต อ ไป มั น จะหยุ ด ขี้ เ กี ย จสั น หลั ง ยาวและเริ่ ม ต น เคลื่ อ นไหว มั น จะมี อ าการเดื อ ดปุ ด ๆ แล ว
เปลี่ยนแปลงตัวเองกลายเปนไอแลวดันฝากาที่ตมมันอยางเต็มที่ กาตมน้ําที่ดีจึงตองมีวาลวที่สามารถ
เป ด ออกได ใ ห ไ อน้ํ า ออกไปถ า หากว า กาต ม น้ํ า ใบนั้ น ไม อ ยากจะพั ง เพราะว า ตอนนี้ ไ อน้ํ า กํ า ลั ง
แผลงฤทธิ์กันยกใหญ พวกมันกําลังแข็งขันในการปฏิบัติการทีตองการออกไปจากที่ที่มันทนอยูไมไหว
อีกตอไปแลว แตมันไปไดไมไกลนักหรอก เพราะวาเมื่อมันลอยขึ้นไป อีกไมนานหรอก พวกมันจะ
รวมตัวกันและเมื่อกระทบกับความเย็นก็จะกลั่นตัวเปนหยดน้ําแลวตกกลับลงมาสูโลกอีกครั้ง
นี่จะตางอะไรกับผูคนในโลกนี้ ในตอนแรกที่เขาไมลงมือทําในสิ่งที่เขารูวามันตองทํานั้น เขา
รูสึกวามันมีความเจ็บปวดนอยมากพวกเขาจึงเฉยเสียและผัดวันประกันพรุงตอไป ความเจ็บปวดคอย
ๆ ทวีมากขึ้นแตเขาก็ยังรูสึกวาทนได ยิ่งเนิ่นนานเทาไหร เขาก็ยิ่งรูสึกวารอนรนขึ้นเรื่อย ๆ และเวลาก็
งวดเขามาทุกที เขาเริ่มไดรับความเสียหายจากการไมทําในสิ่งที่ตองการทํามากขึ้นเรื่อย ๆ ความ
เจ็บปวดที่สะสมตัวตอไปอยางไมหยุดยั้ง จนถึงจุดหนึ่งที่เปนจุดแตกหักทางอารมณที่เขาจะเดือดดาล
อยางสุดขีดแลวตะโกนวา “ฉันทนไมไหวแลวโวย”และเริ่มกัดฟนสูโดยจะทําอยางเต็มที่เพื่อคลี่คลาย
สถานการณ ดูเหมือนวาผลลัพธเกิดขึ้นบาง หากโชคดีวาเขาผานมันไปไดดวยดี เขาก็จะรูสึกวา “โอ…
โลงอกไปที” ความเจ็บปวดที่ทนไมไหวนั้นจะบรรเทาลงไปมากหรือหมดไปแลว เขาก็กลับเขาสูขั้นตอน
แรกของวงจร… คือหยุดปฏิบัติและกลับไปมีนิสัยไมรีบรอนทําในสิ่งที่ตองทําเหมือนเดิมเปะ และตอง
รอจนกระทั่งไดสะสมความเจ็บปวดจนทนไมไหวอีกครั้ง แลวเขาก็จะลุกขึ้นแลวลนลานทําอีกครั้ง นี่มัน
จะตางจาก “อาการของกาตมน้ําแหงความเจ็บปวด” ตรงไหนละ!!
คุณผูอานครับ สมัยกอนผมเปนคนอยางนั้น ผมเหมือนน้ําในกาตมน้ํา แตมันตางกันตรงที่น้ํา
ในกามันไมสามารถเรียนรูได มันจึงตองเปนไปตามนั้น แตนี่ผมเปนคน..คนที่สามารถเรียนรูได แตผม
ตองจายราคาใหกับบทเรียนเดิมที่ซ้ําซากอยางไมรูจักเข็ด ผมเพิ่งเปลี่ยนแปลงไดเมื่อป 2540 มานี่เอง
คิ ด ดู เ ถอะว า … ผมจะต อ งเสี ย หายทางด า นความรู สึ ก มากมายขนาดไหน ผมรู สึ ก เซ็ ง เบื่ อ แย
หวาดกลัว วิตกกังวล และไรความสุขโดยรวม สวนผลลัพธที่ไดในชีวิตเชนผลการเรียนในชวงกอนการ
ทํางาน และผลการทํางานในชวงกอนวัย 40 นั้น ไมตองสงสัยเลยวามันยอมไมไดเรื่องอยางแนนอนที่
สุดแตในวันนี้เมื่อผมไดเขาใจพฤติกรรมของตนเองอยางกระจางแลว ผมไดเปลี่ยนแปลงไปมากราวกับ

104
เปนคนละคนกันเลยทีเดียว พวกเรามีใครเคยเปนอยางที่ผมบรรยายมาไหมละ? หรือวาตอนนี้ก็ยัง
เปนอยูละมีไหม?ไมเปนไรหรอก…ขอเพียงเขาใจมัน ใหอภัยตัวเองเสีย และเริ่มตนใหมที่จะใชพลังแหง
อารมณและเครื่องมือหลาย ๆ อยางในหนังสือเลมนี้ไปจัดการกับมันซะ โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ
เปรียบเทียบกันระหวางความพึงพอใจกับความเจ็บปวดที่พวกเราเพิ่งไดอานมา…. เปนเรื่องที่สําคัญ
มาก ขอใหพวกเราฝกการเชื่อมโยงพฤติกรรมตาง ๆ ของพวกเรากับสมองเสียใหม แทรกแซงความรูสึก
พึงพอใจกับพฤติกรรมนิสัยดวยการสอนสมองใหรูสึกรังเกียจพฤติกรรมนิสัยเสียดวยวิธีการฝกซอม
สรางจินตนาภาพแบบใหมตามที่ไดกลาวมาแลว แลวพวกเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยของพวกเรา
ไดอยางถาวร และเพื่อใหเปนวิชาการอีกนิด ผมขอสรุปเปนขอ ๆ ดังนี้

1. การไมลงมือทําในสิ่งที่ตองทําจะคอย ๆ ทวีความเจ็บปวด
2. ในที่สุดมันจะสะสมความเจ็บปวดจนถึงจุดแตกหักทางอารมณที่รูสึกวาทนไมไหว
อีกตอไป
3. ความเจ็บปวดที่ระดับทนไมไหวนี้กลายเปนรุนแรงกระตุนใหลงมือปฏิบัติ
4. การลงมือปฏิบัตินําไปสูผลลัพธที่ได… ทําใหความเจ็บปวดทางอารมณบรรเทาลง
ไป
5. ผลลัพธที่ได… ทําใหความเจ็บปวดทางอารมณบรรเทาลงไป
6. หวนคืนสูการไมลงมือปฏิบัติและเริ่มตนวงจรซ้ําซากแหงการสะสมความเจ็บปวด
อีกครั้ง

105
บทที่ 21
การลงเอยที่ยิ่งใหญไมใชความรูแตคือการกระทํา

ความรอบรูนั้นดีแตยังไมพอ สํานวนที่วา “รูไวใชวา ใสบาแบกหาม” นั้น ผมวิจารณอยางตรงไปตรงมา


วาทําใหเขวได เพราะวามันชี้ไปในแงที่วา “รูไวก็คงจะไมเสียหายอะไร” ในแงนี้ก็ถูกหลาย ๆ เรื่องแต
สําหรับเรื่องการปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองนั้น พวกเราตองอยาเปนคนแบบนั้นมากเกินไป กลาวคือรู
คือรูเยอะแตไมยอมลงมือทําอะไรสักเทาไหร พวกเราคิดวานาเศราไหมที่ผูคนเรียนจบสูง ๆ ทุกระดับ
ย้ํา… ทุกระดับ บางคนในนั้นไดกลายเปนคนที่ทําอะไรไมคอยไดเลยสํานวนที่วา “ความรูทวมหัว เอา
ตัวไมรอด” จึงไดเกิดขึ้นตามสิ่งที่เกิดขึ้น มันเปนสํานวนที่ตําหนิและดูถูกอยางชัดเจน แลวจะแกไขได
อยางไร คําตอบคือ “การลงมือปฏิบัติแกไขไดทุกโรค” พวกเราอาจงงวาทําไมมันแกไขไดทุกโรคละ!
ออ… ก็เชนโรคไมมีงานทํา โรคทรัพยจาง โรคขี้เกียจสันหลังยาว โรคชวยเหลือตนเองไมได โรคฉันเบื่อ
และเหงาจังเลย โรคฉันเซ็งและหดหูใจ โรคฉันมันไมเอาไหนเลย และโรคสุขภาพฉันมันไมไดเรื่อง ฯลฯ
ผมขอยืนยันวาการลงมือทําอะไรซะบางสามารถรักษาไดทุกโรคและทุกเรื่องอยางแนนอน
ตอใหคนที่ไมรูอะไรเลยกับระบบใหญภายในตัวเอง หากคนคนนั้นมุงเนนไปที่การกระทํา…
ผมยกยองวาเขายอดเยี่ยม สวนคนที่ไมยอมทําอะไรเลย ตอใหตอนนี้วิเศษสักแคไหนก็ตาม… อีกไม
นานก็ตองตายแลวเพราะวาสุขภาพไมดีและสุขภาพจิตเสื่อมโทรม แตพวกเราแตกตางออกไป พวกเรา
ไดอานหนังสือเลมนี้มายาวไกลและรูแลววาระบบใหญภายในตัวเราทํางานอยางไร พวกเรารูวาระบบ
ใหญมีผลตอกันเปนชั้น ๆ อยางไร และเพราะวาพวกเราสามารถจัดการกับความรูสึกของเราได พวก
เรายอมสามารถกลายเปนคนที่มุงเนนการลงมือทําไดอยางแนนอน และดวยการกระทํา มันจะสราง
ผลลัพธตาง ๆ นานาใหกับเรา เราจะกลายเปนคนที่มั่งคั่งในทุกดานไดก็ดวยผลลัพธที่เกิดขึ้นจากการ
กระทํา ไมมีอะไรในโลกนี้สําคัญกวาการกระทําของเรา หากเราสามารถตัดสินใจไมยอมหายใจได (การ
ไมกระทําก็คือการกระทําอยางหนึ่ง) เราจะตายภายในสามถึงหานาทีจากการไมยอมทํา โชคดีมากที่
ระบบอัตโนมัติ ภายในตัวเราไมยอมเชนนั้นมันรูวาตัวมันเองจะตายถาหากขาดอากาศ และมันจะ
หายใจใหเองหาไมแลวคนขี้เกียจสุด ๆ คงตองลมตายกันเปนเบือ แตโลกภายนอกแหงความเปนจริง
นั้นแตกตางออกไป ไมมีใครชวยทํานั่นทํานี่ใหเราหรอก เราตองทําเอง แมแตพระภิกษุสงฆยังตอง
ออกไปบิณฑบาตเอง นิสัยรักการกระทําจึงคือบทสรุปสุดทายที่แทจริง ทุกสิ่งที่ผมกลาวมาในหนังสือ
เลมนี้ถือเปนโมฆะหากปราศจากซึ่งการกระทําทั้งปวงการคิดบวกนั้นดีแตไมพอ การยิงคําถามทีด่ อี ยูร า่ํ
ไปก็ยังไมพอ ลําพังความเชื่อที่ยิ่งใหญก็ยังไมพอ การคาดหวังแตสิ่งดีก็ยังไมพอ ทัศนคติเชิงบวกก็ยัง
ไมพอ และแมแตอารมณความรูสึกที่ดีก็ยังไมพอ ทั้งหมดนั้นตองถูกเกื้อหนุนดวยการกระทํา หากไมมี
การกระทํา… จะไมมีผลลัพธอะไรเลย โลกของเราจะดุจสวรรคเมื่อผูคนเนนการกระทําเปนหลัก

106
อยางไรก็ตาม นี่ไมไดหมายความวา การที่เราคิดบวก ยิงคําถามที่ดีกวา มีความเชื่อที่ชาญ
ฉลาด คาดหวังในสิ่งดี มีทัศนคติเชิงสรางสรรค และรูสึกดีนั้น ไมมีประโยชน ตรงกันขาม มันทั้งหมด
เปนสิ่งจําเปนที่ขาดไมได เพราะวาดวยปจจัยเหลานี้นี่แหละที่จะชวยรับประกันวาพวกเราจะมุงเนน
การปฏิบัติไดจริง ๆ สวนใครที่ปราศจากปจจัยเหลานี้ยอมพบกับความสุขและความสําเร็จไดยากเต็มที
แตประเด็นของผมอยูตรงที่… การกระทําคือเปาหมายสุดทายที่พวกเราตองเขาถึงมัน

107
บทที่ 22
ไรการปฏิบัติ ปญหาที่แทจริงของคนในโลก

โลกใบนี้อัดแนนไปดวยผูคนกวาหกพันลานคน และนั่นยอมทําใหมีปญหามากเปนเงาตามตัว พวกเรา


พูดกันวา “ประเทศของเรามีปญหาเรื่องความยากจน ปญหาเรื่องการศึกษา โจรผูรายชุกชุม ไรความ
ปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสิน ยาเสพติด การพนัน อบายมุข และเรื่องอื่น ๆ อีกนับไมถวน” ผมไม
ปฏิเสธวาทุกสิ่งที่กลาวมาและอื่น ๆ อีกมากลวนเปนปญหาทั้งนั้น แตการมองปญหาในลักษณะที่เปน
“คํานาม” อยางเดียวเชนนี้ยอมแกไขปญหาไดยาก ทางหนึ่งที่จะชวยลดปญหาไดมากคือการสอนให
ประชาชนตระหนักรูถึงการมองปญหาในลักษณะของ “คํากิริยา” เสียบาง ลองดูตัวอยางตอไปนี้

1. สมมติผมพูดวา “ฉันมีปญหาเรื่องเงินไดไมพอใช”

ผมอาจเปลี่ยนเปน “บางทีนั่นอาจไมใชปญหาที่แทจริง เปนไปไดไหมวาฉันมีปญหาในเรื่อง


การลงมือทํางานที่ยังไมพอเพื่อทําใหตัวฉันมีรายไดมากขึ้น เทาที่ผานมาฉันไดมุงเนนการ
กระทําที่เพียงพอจริง ๆ แลวหรือ หากฉันเนนการกระทําใหมากขึ้น ปญหาของฉันจะจบลง
ดวยดีไหม?

2. สมมติผมพูดวา “ฉันมีปญหาเรื่องสุขภาพไมดีที่รบกวนฉันบอย ๆ”

จะดีกวาไหมหากผมพูดวา “บางทีนั่นอาจไมใชปญหาที่แทจริงเปนไปไดไหมวาฉันมีปญหาใน
เรื่องพฤติกรรมของการออกกําลังกายที่ยังไมพอเพื่อทําใหตัวฉันแข็งแรงมากขึ้น เทาที่ผานมา
ฉันไดมุงเนนการกระทําที่เพียงพอจริง ๆ แลวหรือ หากฉันเนนการกระทําใหมากขึ้น ปญหา
ของฉันจะจบลงดวยดีไหม?”

3. สมมติผมพูดวา “ฉันมีปญหาเรื่องครอบครัวมากจนฉันไมมีความสุขเลย”

จะดีกวาไหมหากผมพูดวา “บางทีนั่นอาจไมใชปญหาที่แทจริง เปนไปไดไหมวาฉันมีปญหาใน


เรื่องพฤติกรรมของการใหเวลาดูแลเอาใจใสและพูดคุยกับคนในครอบครัวของฉันที่ยังไม
เพียงพอเพื่อทําใหครอบครัวของฉันอบอุนและรูสึกดี เทาที่ผานมาฉันไดมุงเนนการกระทําให
มากขึ้น ปญหาของฉันจะจบลงดวยดีได

108
คุณผูอานที่รัก ไมวาปญหาของพวกเราจะคืออะไร บางทีมันอาจไมใชปญหาที่แทจริง ตนตอ
ของปญหาจํานวนมากเกิดจากปญหาของการไรซึ่งการปฏิบัติ หรือหากปฏิบัติก็อาจนอยเกินไปจนไม
เพียงพอ คนในโลกตกอยูในมายาหรือภาพลวงตาวาพวกเขาออกไปจากปญหาไมได และแทนที่จะลง
มือทําอะไรเสียบาง พวกเขาจํานวนมากกลับใชเวลากับการโอดครวญ ตําหนิหรือตอวาทุกสิ่งยกเวน
ตนเอง พวกเขาชอบอยูนิ่ง ๆ เศราสรอย หดหูใจ เซ็ง เบื่อหนาย เหงา รองใหแลวก็รองให และลมตาย
ไปอยางคนสิ้นหวังเพียงลําพังคนเดียวเงียบ ๆ ขอพวกเราอยาไดเพิ่มประชากรเชนนั้นดวยการรวม
ตัวเองเขาไปอีกเลย จงลุกขึ้นยืน และยืนขึ้นเพื่อตัวเอง พวกเราจงสะบัดแขงสะบัดขาและรีบเรงที่จะ
มุงเนนการลงมือทํามาก ๆ กับเรื่องราวทุกดานของชีวิตใหครบครัน จงมองไปที่รางกายและมือของเรา
วามันถูกออกแบบมาใหมีความสามารถในการกระทําเหนือสรรพสัตวทั้งปวง และไมวาพวกเรากําลัง
เผชิญกับสถานการณใด ๆ ก็ตาม จงทองใหขึ้นใจไวเสมอวา “บางทีฉันอาจไมมีปญหาอะไรเลยก็ได
หากฉันเนนที่การปฏิบัติในทุกเรื่องราวของชีวิตฉันใหมากพอ” และจําอีกหนึ่งประโยคทองที่วา “การลง
มือปฏิบัติรักษาไดทุกโรค แกไขไดทุกเรื่อง”

109
บทที่ 23
เขาแทรกแซงระบบใหญ

เทาที่ผานมา ผมไดอธิบายระบบใหญภายในตัวเราที่เกี่ยวกับความคิดการใชคําถาม ความเชื่อ การ


คาดหวัง ทัศนคติ ความพึงพอใจ และความเจ็บปวด และการกระทําที่สอดคลองไปตามความรูสึก ซึ่ง
จะนําไปสูผลลัพธตาง ๆ ที่พวกเราไดรับ ผมบอกวาถาเราเปลี่ยนแปลงสิ่งเหลานั้น ในที่สุดชีวิตของ
พวกเราก็จะเปลี่ยนไป และเพราะวาเรารูแลววา ระบบใหญภายในตัวเราทํางานอย างไร เรายอม
สามารถเปลี่ยนแปลงปจจัยเหลานั้นโดยเจตนาได มีคําอยูคําหนึ่งที่ทรงพลังที่สุดสําหรับผม นั่นคือคํา
วา “เขาแทรกแซง” การที่ผมเปลี่ยนไปอยางมหาศาลและรวดเร็วนั้นเพราะวาผมเขาแทรกแซงระบบ
ใหญของตัวผมเอง เชน แทนที่จะปลอยความคิดของผมเปนอยางอดีต ผมกับเขาแทรกแซงความคิด
ดวยการปอนขอมูลใหมใหกับมันโดยความจงใจของผม หรือการบอกกับสมองวาผมจะเอายังไงบางกับ
ชีวิตแมวาสมองจะคิดเกง แตผมไดเขาแทรกแซงสมองโดยเจตนา ผมใหทิศทางกับมันมากกวาเดิม
เยอะ ผมกํากับการคิดของมัน ผมแทรกแซงมันดวยการสั่งสมองใหนึกภาพในใจตามที่ผมสั่ง นั่นเทากับ
วาผมสั่งสอนมันแทนที่จะปลอยใหมันเปนไปตามธรรมชาติ
ผมเขาแทรกแซงคําถามที่ผมใชใหมันทรงพลัง ผมแทรกแซงระบบใหญโดยยิงคําถามใหม ๆ
กับมัน ผมใชพลังแหงคําถามที่ชี้นําและใหทิศทางในการคิดกับสมอง ผมแทรกแซงมันโดยไมปลอยให
มันถามคําถามโง ๆ อีกตอไป ผมฝกมันโดยสอนมันวาคําถามอะไรบางที่ตองใชบอย ๆ และอะไรบางที่
ตองหยุดถาม ผมสนุกกับการแทรกแซง หากผมไปแทรกแซงคนอื่น ผมอาจถูกตราหนาวา “เสือก” แต
การแทรกแซงระบบใหญของตนเองนั้น เปนเรื่องที่ดีที่สุดที่มนุษยควรทํากับตนเอง และผมจะแทรกแซง
สมองและจิตใจของผมไปตลอดกาล
ผมเขาแทรกแซงความเชื่อโดยการคัดสรร แบบไหนที่มี พลังก็ เก็บไว แบบไหนไรพลังผมก็
สั่นคลอนมันและปลดมันทิ้งซะ นอกจากนี้ผมยังแทรกแซงใหสมองสรางความเชื่อใหม ๆ ที่ตอบสนอง
ตอความตองการของผมมากขึ้น
ผมแทรกแซงการคาดหวังของผม ผมสั่งใหสมองมีทางเลือกเดียวคือ คาดแตสิ่งดีไวกอน ผม
เปนหมอดูที่ทํานายเฉพาะชะตาชีวิตของผมคนเดียวเทานั้น ผมไมเสียเงินใหหมอดูคนอื่นเพราะวาผม
รูจักระบบใหญภายในตัวผมดียิ่งกวามนุษยคนไหนในโลก ผมไมเสี่ยงเซียมซี เพราะวาผมอานแต
ถอยคําดี ๆ ที่ผมพกติดตัวไว ผมฝกสมองใหคาดหวังอยางเลอเลิศวาชีวิตจะสวยสดงดงามและสิ่งดี
กําลังอยูในเสนทางของมันที่ตรงเขามาหาผม และผมก็กําลังอยูบนเสนทางที่ตรงเขาไปหามัน ผม
แทรกแซงบอยครั้งดวยเทคนิคการสรางจินตภาพ

110
ผมแทรกแซงเขาทัศนคติของผม ผมสั่งสมองใหใชเฉพาะมุมมองหรือความคิดเห็นที่มันเปน
ประโยชนอยางแทจริง นอกนั้นก็จงอยาไดไปริเปนอันขาด ผมบอกสมองวาการกระทําอะไรก็ตามที่มัน
ขวางโลก ขวางตัวเอง ก็จงยุติเสียเพราะวาผมไมอนุญาต
จะวาไปแลว เรื่องที่ผมเขาแทรกแซงระบบใหญไดรุนแรงมากที่สุด ก็คือเรื่องความรูสึกของผม
ผมเปลี่ยนไปอยางมหาศาลก็เพราะเรื่องนี้ ผมฝกที่จะรูจักกกับความรูสึกเชิงบวกอีกหลาย ๆ แบบ
สมองและจิตใจของผมมันโง มันไมจําเจหรือเบื่อหรือไงกับอารมณความรูสึกเจ็ดแปดอยางที่ผมมี
ประสบการณมากวาสี่สิบปแลว ผมจึงตองแทรกแซงมัน ไมงั้นมันก็จะรูสึกไดเทาเดิมหรือแบบเดิม ผม
เปดเพลงและดิ้นสุดเหวี่ยงแตเชามืด… สมองจะไดรูวามันเปนความรูสึกยังไงกับภาวะสุดเหวี่ยง ผม
เลิกนิสัยกินอาหารจําเจเพื่อแทรกแซงใหสมองไดชิมความรูสึกใหม ๆ เสียบาง ผมไปดูหนังสัปดาหละ
หนึ่งเรื่องเพื่อทําใหสมองมันรับรูวามันจะรูสึกอยางไรเมื่อเทียบกับการดูหนังที่บาน ผมออกไปเรียน
ภาษาจีนก็เพื่อจะรูสึกวามันรูสึกดีแคไหนกับการไดพูดกับคนอื่นดวยภาษาที่สาม ผมตีปงปองกับลูกทุก
วันเพื่อเรียนรูอีกครั้งวาความสนุกสนานแบบเด็กที่ผมลืมไปคืออะไร (เด็กชางสนุกสนานงายจริง ๆ ) ผม
ตะโกนเสียงดังในรถบอย ๆ ก็เพื่อปลุกใจใหมันรูสึกกระตือรือรนและฮึกเหิม ผมไปที่รานหนังสือบอย ๆ
ก็เพื่อไดเห็นหนังสือเลมใหมมากมายที่ออกอยูเรื่อยและผมรูวานิสัยรักการอานของผมจะทําใหผมไมมี
วันเหงา ผมเลนหมากลอมวันละหนึ่งกระดานทางอินเตอรเนตเพื่อลับคมสมองใหมันฉับไวอยูเสมอผม
เดินบนลูวิ่งสายพานวันละสามถึงหากิโลเมตรก็เพื่อสอนใหจิตใจมันชื่นบานและรับรูวาผมแข็งแรง
ขนาดไหน ผมเต น แอโรบิ ค เพื่ อ สอนให ส มองมั น รู ว า … การเคลื่ อ นไหวอย า งไร ขี ด จํ า กั ด นั้ น จะให
ความรูสึกดีอยางไร เชื่อมั่นอยางไร และกระทบตอความรูสึกโดยรวมอยางไรและอื่น ๆ อีกมากมาย
เหลื อ เกิ น ที่ ผ มจงใจทํ า สิ่ ง หลากหลายเพื่ อ แทรกแซงระบบใหญ ข องผมให มั น มี ป ระสบการณ กั บ
ความรูสึกดีหลายแบบ เชน ตื่นเตน เราใจ ซาบซา ชื่นบาน กระฉับกระเฉง ปติยินดี ราเริง พึงพอใจ และ
ยิ้มแยมแจมใส
คุ ณ ผู อ า นที่ รั ก คํ า ว า “การเปลี่ ย นแปลง” นั้ น มี ผู ค นใช กั น ดาษดื่ น ทั่ ว ไป ส ว นคํ า ว า “เข า
แทรกแซง” มักถูกมองในแงลบ อยางไรก็ตามหากจะมีความคิดใดที่ทรงพลังและเฉลียวฉลาดที่สุดสัก
ความคิดหนึ่งแลวละก็… นั่นก็คือการเขาไปแทรกแซงระบบใหญภายในตัวเราดวยตัวเราเอง ถามวา
ทําไมตองแทรกแซงนะหรือ? การรอคอยใหระบบใหญเปลี่ยนแปลงเองนั้น… ไมรูวาเมื่อไหร แตการเขา
แทรกแซงคือการเขาไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้ แลวแทรกแซงไปทําไมละ? ก็เพื่อใหความคิด กรอบความคิด
คําถามที่ใช ความเชื่อ การคาดหวัง ทัศนคติ อารมณความรูสึก การกระทํา และผลลัพธตาง ๆ ดีขึ้น
อยางกาวกระโดด ผมเชื่อมั่น 100% วา การเขาแทรกแซงในเชิงสรางสรรคตอระบบใหญภายในตัวเรา
โดยเจตนา คือแนวความคิดที่สูงสงที่สุด ประการหนึ่งแหงสติปญญามนุษยทีเดียว เมื่อพวกเราได
เดินทางกาวไกลมาถึงที่นี่ในหนานี้ พวกเราสามารถเขาใจตนเองและมีเครื่องมือหลายตัวไวใชในการ
ดําเนินชีวิต บัดนี้มันถึงเวลาแลวที่พวกเราจะกาวเขาสูภาคที่ 3 ซึ่งเปนภาคที่วาดวยเทคนิคการดึงดูด

111
ทุกสิ่งที่เราตองการใหเขามาหาเรา เมื่อพวกเราไดศึกษาจนทะลุปรุโปรงแลว เราจะรูสึกวามันงายกวาที่
คิดไวเยอะ ไปลุยกันเถอะพวกเรา

112
ภาคที่ 3
วิธีดึงดูดสิ่งที่คุณตองการ

113
บทที่ 1
อํานาจที่กระตุนใหมนุษยลงมือทํา

อะไรเลาที่อยูเบื้องหลังเราที่คอยผลักดันใหเราทําโนนทํานี่อยูเรื่อย อะไรเลาที่คนทุกชาติทุกภาษาลวน
เหมือน ๆ กันนอกจากการมีรางกายและจิตวิญญาณ แรงขับหรือแรงผลักดันใหพวกเราลงมือกระทําก็
คือ “ความขาดแคลนหรือความจําเปนทั้งเจ็ด” ที่พวกเราจําเปนตองไดมามิเชนนั้นแลวพวกเราจะอยู
รอดไมไดหรือไมมีความสุขเลย พวกเราไปดูกันหนอยวา “ความขาดแคลนหรือความจําเปนทั้งเจ็ด” มี
อะไรบางที่เปนแรงขับใหเราอยูนิ่งไมได

1. ความแนนอนเพื่อการอยูรอด

สําหรับอากาศ และน้ําดูไมนาเปนหวงเพราะวามันมีมากอยูแลวในธรรมชาติ แตอาหารสิใช


เลย สมมติวาผมและพวกเราไมมีความแนนอนแมแตอาหารมื้อถัดไป พวกเราก็จะไมคิดอะไร
เลยนอกจากจะหาหรือเอาหรือไดอาหารมื้อถัดไปนี้ไดอยางไร? ความขาดแคลนนี้ (หรือความ
จําเปนนี้) จะเปนตัวขับใหเราลงมือทําทุกอยางเทาที่เราจะทําไดเพื่อสิ่งนี้กอน ฉะนั้น อาหาร
เสื้อผา ที่อยูอาศัยและยารักษาโรค (ปจจัยสี่) คือพลังขับเคลื่อนชีวิตที่กระตุนใหคนเราลงมือ
เพื่อสรางความแนนอนในสิ่งเหลานี้กอน ตราบใดที่ปจจัยสี่ยังไมแนนอน ตราบนั้นมันก็จะเปน
ตัวกระตุนตลอดกาล ลองจินตนาการวาพวกเราไมมีอะไรจะกินอยางสิ้นเชิงแมแตขาวสักจาน
ดูสิ ทุกลมหายใจเขาออกและทุกขณะจิตของพวกเราจะคิดและหมกมุนถึงอะไร? และตอให
พวกเราพอมีอันจะกินอยูบาง แตยังอัตคัดขัดสนอยูมาก สมมติวาพวกเราเปนคนแบบที่หาเชา
กินค่ําจริง ๆ แลวพวกเราจะวิตกถึงอะไรละ… ก็ความแนนอนเพื่อการอยูรอดไง และเจาสิ่งนี้
จะเปนตัวกระตุนใหเราดิ้นรนเพื่อความอยูรอดไปเรื่อย ๆ อะไรละที่ผลักดันใหพวกเราลงมือ
ทํางานทุกประเภทได ก็อาหารเครื่องนุงหม ที่คุมหัวนอน และยารักษาโรคไง
คนจํานวนเยอะมากยังอยูในสภาพนี้คือดําเนินชีวิตดวยแรงกระตุนตัวนี้มากที่สุดแม
การกระทํ า อาจหลากหลายและแตกต า ง แต แ รงกระตุ น คื อ ตั ว เดี ย วกั น ต อ ให เ ป น ผู ค นที่
ตางชาติ ตางภาษา ตางวัฒนธรรมและจารีตประเพณีก็ตาม แตความขาดแคลนเรื่องปจจัยสี่
หรือการขาดแคลนเรื่องความแนนอนเพื่อการอยูรอดนี้ เปนความจําเปนที่เราตานทานไมได
และมันจะเปนแรงกระตุนที่เหมือนกันทั่วโลก ทําไมคนทั่วโลกถึงคลั่งเงินกันนักละ? คําวา
“เงิน” นี้…โอ มันชางสรางอารมณไดมากละ? ก็เพราะวาคนทั้งโลกรูวามันเปนสื่อกลางในการ
นําไปแลกสิ่งที่พวกเขาขาดแคลนหรือไมมีไดฉะนั้น คนเราจึงถูกสงไปเรียนหนังสือโดยพอแม
ของพวกเขาหวังวามันจะเพิ่มโอกาสในเรื่องความแนนอนของการอยูรอด และในขณะเดียวกัน

114
ก็เพิ่มโอกาสที่จะไดความแนนอนเขามาตุนไวมาก ๆ คนจํานวนมากคลั่งเงินก็เนื่องจากวามัน
เปนแรงกระตุนตัวแรกนั่นเองและเมื่อคนเรามีปจจัยสี่จนลนเหลือแลว แรงกระตุนในดานนี้ก็จะ
ลดลงหรืออาจหมดลงไปเลยก็ได
โปรดจําไววามนุษยสนใจแตสิ่งที่เขาตองการ (คําวา “ตองการ” นั้น มันแปลวา “ฉันยัง
ขาดแคลนมันอยู”) และมีแต “สิ่งที่ตองการ” เทานั้นที่กระตุนหรือเปนแรงขับใหมนุษยลงมือทํา
เพื่อลบความขาดแคลนนั้นออกไป หาไมแลวสิ่งนี้ก็จะกระตุนเขาไดอยูตลอดไปตราบใดที่เขา
ยังตองการมันอยู พวกเราลองคิดดูสิ หาดพวกเราพูดวา “ฉันไมตองการไอนี่” แลวเปนไปได
ไหมวาพวกเราจะยอมลงมือทําเพื่อใหไดมันมา… ไมมีทาง ตรงกันขามที่พวกเราทํางานกัน
สารพัดนั้น ก็เพราะพวกเรารูวา พวกเราจําเปนตองหาเงินเพื่อสรางความแนนอนไวระดับหนึ่ง
เสมอ ไมงั้นพวกเราก็จะรูสึกวาวิตกกังวลและไรสุข อนึ่ง ความจําเปนในเรื่องความปลอดภัย
นั้น มันก็คือความแนนอนอีกอยางหนึ่งที่เปนแรงขับหรือแรงกระตุนใหพวกเราลงมือทําในสิ่งที่
สอดคลองจําเปน แตผมจะละไวในฐานะที่พวกเราพอเขาใจกันดีอยูแลว

2. ความหลากหลาย

เมื่อพวกเรามีความแนนอนจนมากไป พวกเราจะเปนไง… ความเบื่อหนายไงสมมติวาตัวผม


นั้นไดกินไอศกรีมรสวนิลา ทุกวัน เนนทุกวัน ผมยอมเบื่อบางเปนธรรมดา หากนองสาวผมขับ
รถมาที่บานผมแลวซื้อไอศกรีมวนิลามาฝากผมอีก ผมจะรูสึกไง…เฮออออ เซ็งวะ จะเปนไงถา
เผอิญเปลี่ยนเปนรสชาเขียว อืมมมม เยี่ยมไปเลย ในทํานองเดียวกัน ถาพวกเรามีเสื้อสีน้ําเงิน
กวา 100 ตัวแลว และใสสีนี้ทุกวัน พวกเราจะจําเจไหม? แลวสีอื่น ๆ อีกมากมายละหายไป
ไหนหมด ฉะนั้นเมื่อถึงจุดอิ่มตัว สีน้ําเงินดึงดูดใจพวกเราไมไดอีกตอไปแลว ฉะนั้นความ
หลากหลายตางหากที่จะสามารถกระตุนใหพวกเราลงมือทําเมื่อเราผานสภาวะความแนนอน
ไปแลว พวกเราอยากไดอะไรที่มัน “เซอรไพรส” (ความประหลาดใจหรือสิ่งที่คาดไมถึง) หนอย
ทั้งนี้เพราะวา ภาวะความหลากหลายนั่นเองที่พวกเราขาดแคลน มันจึงกลายเปนความจําเปน
ที่กระตุนใหเราลงมือทําไดลองพิจารณาสิ่งเหลานี้ดู
ผมขับรถไปพักผอนที่หัวหินเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากการหมกตัวอยูที่กรุงเทพฯนาน
เกินไป ผมตองการความหลากหลายซะบาง มันจึงกระตุนผมใหลงมือเดินทางไปได นี่ถาผมไม
มีแมแตอาหาร ขนมปงสักกอนที่จะยัดใสทอง ผมจะมาสนใจเรื่องการขับรถไปหัวหินเพื่อ
เปลี่ยนบรรยากาศไดหรือ! เห็นไดชัดวาผมไดผานพนสภาวะของการขาดแคลนความแนนอน
ไปแลว แตในบางขณะผมรูสึกวาผมขาดแคลนความหลากหลาย ดังนั้นผมจึงทําไปตามแรงขับ
ตัวนี้ในบางโอกาส

115
ที่นักดนตรียังแตงเพลงใหม ที่ผมยังเขียนหนังสือเลมใหมที่โรงหนังรีบเปลี่ยนโปรแกรม
หนังใหม ที่คนเราเปลี่ยนโทรศัพทมือถือรุนใหมอยูเรื่อย ที่พวกเราตัดผมทรงใหม ยอมสีผมใหม
ๆ ที่ผมและพวกเราไปช็อปปงกันบอย ๆ ที่พวกเราบางคนไปโดดแมแตบันจี้จัมป เลนสกี ดําน้ํา
เที่ยวทะเล ปนภูเขา ไตหนาผา เลนเครื่องบิน บังคับวิทยุ ไปขี่มา ไปซอมยิงปน ไปฝกเตนรํา ไป
เรียนภาษา ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือความหลากหลายที่พวกเราตองการ หากวาตอนนี้พวกเราทั้งเนื้อ
ทั้งตัวเหลืออยู 20 บาทจะเปนไง… ความหลากหลายจะไมมีวันกลายเปนตัวกระตุนหรือแรง
ขับใหพวกเรามือปฏิบัติอะไรก็ตามเพื่อใหไดพวกมันมาเปนอันขาด

3. อยากไดรับความสําคัญ

นอกจากที่เราตองสนองความจําเปนสองประการแรกแลวเรายังอยากใหตัวเรามีความหมาย มี
ความสําคัญ ที่เราทํางานก็เพื่อความมั่นคง แตเมื่อเรามีฐานะทางการเงินที่มั่นคงมากขึ้นแลว
เงินเดือนสูงหรือสภาวะรายไดดีเพียงลําพังยอมกระตุนเราไดนอยลง เรายังอยากมีเกียรติยศ มี
ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจไดรับการยอมรับนับถือ และความรูสึกอื่น ๆ อีกมากเกี่ยวกับวา …
เรานั้ น ก็มี ความสํา คั ญและมีตั วตนอยู แรงกระตุน ตัว นี้แหละที่บงการเราใหทําหลายสิ่ ง ที่
ตามปกติเราจะไมทํา แตบางทีเรายอมเสียสละและทุมเทเพราะอะไรละ? หากวานั่นอาจนํามา
ซึ่ง “การไดเปนคนสําคัญ” เราก็อาจยอมทําเพราะวาความขาดแคลนในดานนี้อาจกําลังเปน
แรงขับดันหลักถาหากวาเราปรารถนามัน และเผอิญวาในตอนนั้นความขาดแคลนในดานอื่น
ไมไดรบกวนเรามากจนเกินไป นี่จึงเปนเหตุผลที่วาทําไมบริษัทใหญถึงตองจัดงานประกาศ
เกียรติคุณอยูเรื่อย มีการมอบโล มอบถวย ทําปายประกาศใหทุกคนรู และมอบรางวัลที่พิเศษ
บางอยางให บริษัทเหลานี้รูดีวาคนบางคนเอาแตเงินไปกระตุนไมคอยได แตเอา “ความรูสึกวา
ฉันสํา คัญ” ไปกระตุนได คนบางคนทํางานถวายหัวเมื่อรูสึ กวา “ฉันไดรับการยกยองและ
ยอมรับ” เปรียบเหมือนกับมาที่มันจะกินน้ําเพราะวามันกระหาย คนเราหากกระหายอะไรก็
ตาม คนเราก็จะลงมือทําทุกอยางเพื่อดับความกระหายนั้น มันจึงเปนสิ่งที่จะมองขามไมได
ในเรื่องอื่นก็เชนกัน การที่เราจะไปขอรองใหใครชวยเหลือ หรือรวมมือกับเรานั้น การ
บังคับยอมทําไดยาก แตการปฏิบัติตอพวกเขาอยางคนสําคัญยอมเปนกลยุทธที่ชาญฉลาด มี
หลักคําสอนที่ดีมากประการหนึ่งสอนไววา “จงปฏิบัติตอคนอื่นอยางที่เราอยากใหเขาปฏิบัติ
ตอเรา” ฉะนั้นถาอยากไดรับความรูสึกวา “ฉันเปนคนสําคัญ” กลับมา จงมอบความรูสึกวา
“คุณเปนคนสําคัญ” ตอคนอื่นเสมอ หากวาใครก็ตามที่ปฏิบัติตอเราอยางไมแคร ไมสน และ
ไมแยแส แลวเราละ เราก็มักจะไมแคร ไมสน ไมแยแส และไมอยากเขาใกลคนแบบนั้นไมใช
หรือ? อยางไรก็ตาม ผมอยากใหพวกเรามุงเนนและเขาใจ “การไดเปนบุคคลสําคัญ” ยอมเปน

116
ความตองการของผูคนเสมอ ไมวามันจะซอนอยูตื้น ๆ หรือลึกสุดที่กนบึ้งแหงหัวใจของพวก
เขาก็ตาม
อนึ่ง มีสิ่งหนึ่งที่แมไมเกี่ยวของโดยตรง แตผมอยากใหขอมูลเพื่อใหพวกเรารูวา…
มนุษยมีความสําคัญขนาดไหน ประเด็นแรกคือ การตั้งครรภของสตรีทานใดก็ตาม สิทธิ์ที่วา
ดวยการทําลายเด็กในครรภทิ้งไดหรือไมนั้น เปนปญหาโลกแตกที่ถกเถียงกันมานานและมีขอ
กฏหมายที่ซับซอนมาก นักปรัชญาเถียงกันมานานยังหาขอสรุปไมไดเลย เพราะวามันมีคํา
ถามมากจริงหายขอ เชน ตัวออนในครรภมารดาถือวาชีวิตเปนมนุษยตั้งแตเมื่อไหร?คําถามนี้
ก็อวกแลววาจะตอบอยางไร คําถามที่สอง ถาในกรณีที่เลือกรักษาชีวิตคุณแมไดแตลูกใน
ครรภตาย และกลับกัน ถารักษาลูกในครรภไวไดแตคุณแมก็ตองตาย ใครตอบไดวาชีวิตไหน
กันแนที่มีสิทธิ์อยูไดตอไป? ในเชิงความรูสึกเราอาจตอบวาแมสิที่ตองมีสิทธิ์อยูตอไปแตถาเจา
เด็กทารกมันพูดไดละก็ มันอาจไมเห็นดวย ที่ยุงไปกวานั้นคือ ถาตัวคุณแมเองยอมตายละ…
คุณหมอมีสิทธิ์ทําตามคําขอนี้หรือ? คุณหมอจะพนความผิดฐานฆาคนตายโดยเจตนาไดหรือ?
มมติคุณแมคนนี้ทนไมไดจริง ๆ หากลูกของเธอตองตาย แลวเธอดึงดันกับคุณหมอตอไปวา
ถาไมรักษาลูกฉันไว ฉันจะฆาตัวตาย คราวนี้อาจจะมีการตายเพิ่มเปนสอง… ปวดหัวไหม
แบบนี้?
บางทีเมื่อพวกเราไดเขาใจถึง “สิทธิ์ของเสียงขางนอย” พวกเราอาจยิ่งเขาใจวาความ
เปนมนุษยนั้นสําคัญยิ่ง แมวาประเทศสวนใหญปกครองดวยระบบประชาธิปไตยที่ใชเสียงขาง
มากเปนใหญก็ตามแตนั้นไมไดแปลวาไมมีขอบเขตโดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อตองเกี่ยวของกับ
ความเปนความตายของผูคน สมมติวาผมอยูในชุมชนแหงหนึ่งที่มีประชากร 10 คน และ
สมมติวาโดยที่ไมมีเหตุอันใด จู ๆ คนทั้งเกานั้นไดประชุมกันวา “พวกเราลงมติเปนเอกฉันทถึง
เกาเสียงวานายวันชัยตองตายไปซะ” สิ่งที่ผมจะพูดคือ “มีอยูหนึ่งเสียงที่ไมเห็นดวย… คือตัว
ผมเองไง” เพียงเทานี้ผมก็จะปลอดภัย นี่แหละคือตัวอยางหนึ่งของ “สิทธิ์ของเสียงขางนอย”
ดังนั้น ถาหากวาจะมีผูคนจํานวนหนึ่งในโลกนี้ที่บาขนาดลารายชื่อเพื่อลงมติวา “ชีวิตของพวก
เราแมเพียงแคใครสักคนหนึ่งก็ตามไมสําคัญ” ขอใหพวกเราจงปฏิบัติโตตอบกลับไกดวยความ
โคตรสงบและโคตรเรียบงายวา “แตมีอยูเสียงหนึ่งที่ไมเห็นดวย… และเสียงนั้นคือเสียงของฉัน
เองโวย… ไอพวกบา” คุณผูอานที่รัก มันเปนเรื่องปกติที่พวกเราตองการความสําคัญในระดับ
ใดระดับหนึ่งเสมอ ตอนนี้เราไปดูความจําเปนหรือความตองการที่เหลือกันเถอะ

117
4. อยากมีความสัมพันธ อยากมีการเชื่อมโยง

ถึงจุดหนึ่ง เรายอมอยากมีคนรัก อยากเปนที่รัก อยากมีเพื่อนรักอยากมีครอบครัวที่อบอุน


อยากจะอยูกับใครบางคนไปชั่วชีวิต อยากตั้งหลักปกฐาน อยากเปนฝงเปนฝา อยากแตงงาน
แลว ฯลฯ มันเปนธรรมชาติที่ชายหญิง นั้นดึงดู ดกัน เมื่ อความจําเปนในด านอื่ นไดรับการ
ตอบสนองแลว บางครั้งแรงขับดันที่ยิ่งใหญตอการกระทําทั้งปวงของพวกเราคือการแสวงหา
ความรัก วรรณกรรมมากมายเขียนเรื่องเกี่ยวกับความรัก จะมีตํานานเกาแกเลาขานถึงความ
รักแทมากมาย เชนถาเปนของจีนก็เชน เรื่อง “มานประเพณี” ที่ตอนจบฝายชายคือ หลียงซาน
ปอและฝายหญิงคือจูอิงไถ ตองมาตายตามกันไปในเมื่อไมสมหวังในความรักและกลายเปน
ผีเสื้อสองตัวบินเคียงคูกันไป ผมขอแนะนําใหพวกเราหาซื้อเพลงนี้มาลองฟงดูเพราะวามัน
ไพเราะมาก (ชื่อเพลง The Butterfly Lovers Concerto) สวนตอนที่ผมยังเด็ก จําไดวาเคยไป
ดูหนังฝรั่งเรื่อง “ove Story” ที่แสดงโดย ไรอัน โอนีล และอาลี แม็กกรอว หนังเรื่องนี้มีสโลแกน
ที่ผม ไมมีวันลืมวา “หากจะรัก จงอยาลืมคําวาเสียใจ” สวนของไทยยิ่งมีเยอะเขาไปใหญ แต
ผมขอไมเอยถึงก็แลวกัน ยิ่งไปกวานั้น หนังสือในลักษณะรักกันยาวนานขามชาติกันไปเลยก็
ขายดิบขายดีเปนเทน้ําเททา ไมวาจะเขียนโดยคนไทย หรือฝรั่ง หรือจีน ถาเปนของจีนก็เชน
“เดชนางพญางูขาว” เรื่องนี้ผมบังเอิญไดดูตอนเด็ก แตเหม็นขี้หนาพระอาจารยฟาไห (ตาม
ทองเรื่อง) ที่ยุงเรื่องหนุมสาวเคาจะรักกันไมเขาเรื่อง มีอยางที่ไหนแทนที่มุงเนนหนทางแหง
การรูแจง ดันไปยุงเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ พระอาจารยฟาไหไดกอกรรมหนักโดยจับปศาจงูขาวไปขัง
ไวในเจดียขนาดจิ๋วที่อยูในกํามือของเขา และจะใหพระเอกของเรื่องบวชทาเดียว เดาสิวาเกิด
อะไรขึ้น พระเอกของเราทนไมไหวก็เลยเอาหัวพุงชนหินผาตาย และวิญญาณไดพบกับศรี
ภรรยางูขาวของเขาในสวรรค หนังสือแนวรักขามชาติขามภพเปนหนังสือขายดีเพราะวาอะไร
ละ คําตอบนั้นงายมาก อันวาหญิงชายไมของเกี่ยวกับความรักเลยจะมีหรือ? (ยิ่งไปกวานัน้ คน
ไมนอยเชื่อในเรื่องบุพเพสันนิวาสหรือคูแทอะไรแบบนั้น เชนคําพังเพยที่วา “คูกันแลวยอมไม
แคลวกัน” แตพอเลิกรากันไปก็พูดวา “ก็มันหมดวาสนากันแคนี้ ก็มันทําบุญรวมกันมาเทานี้”
สรุปวาคําอธิบายจนไดทุกยุคทุกสมัย คําสอนที่วา “จะจีบสาวใหหมั่นเกี้ยว” ยอมบอกเปนนัย
วาอยากไดความสัมพันธมันตองขยันหนอย แตจะขยันไดก็ตอเมื่อมันตองมีแรงขับหรือกระตุน
ของความขาดแคลนที่อยูเบื้องหลังใหลงมือทําเสมอ
ทุกวันนี้ หลายคนไมมีความสุขเพราะไมสมหวังในความจําเปนเรื่องนี้ หลายคนที่ผม
รูจักที่ดูเพรียบพรอมไปหมดกําลังทนทุกข พวกเขาบอกผมวา “ชีวิตของฉันวางเปลา ฉันไมมี
ใครเลยสักคน ฉันไมมีคนรูใจ ฉันอยากแตงงานแลวแตฉันหาคนที่เหมาะสมไมได ฉันพยายาม
แลวนะ แตมันไมเคยลงตัว และตอนนี้ฉันเหงาและหดหูใจมากกับเรื่องนี้ บางครั้งฉันรูสึกอยาก

118
ฆาตัวตายนะ” นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคนไมนอยเลย มันเปนเรื่องปกติมากที่คนเราอยากมี
ครอบครัว และตราบใดที่ความปรารถนานี้ไมไดรับการตอบสนองจะไมมีอะไรในโลกนี้ทําให
พวกเขาสนใจไดมากกวาการไดรับความสัมพันธอยางแนนอน อะไรละที่พวกเราขาดในตอนนี้
เงินรึ ? ความหลากหลายรึ? ความสําคัญรึ? หรือวาความตองการสรางสัมพันธ… มันคืออะไร
กันแนที่ผลักดันเราไดมากที่สุดใหลงมือทําในตอนนี้
อยางไรก็ตาม อยาไดเขาใจผิดเชียววา… คนเปนโสดแยทุกคนเปลาเลย… มันไมได
แยขนาดนั้น เพื่อนผมอีกหลายคนไดใชชีวิตโสดที่เชื่อมโยงกับความสัมพันธในรูปแบบอื่น ที่
เห็นไดชัดคือ เขามีเพื่อนฝูงมากกวาผม พวกเขาสังสรรคกันบอย ไปรองเพลงดวยกัน ไปออก
กําลังกายดวยกัน ไปเตนรําดวยกัน ไปตางประเทศบอยกวาผมบางคนกําลังเรียนเพิ่มเติมอีก
และไดพบเพื่อนใหมมากขึ้น พวกเขาไปสโมสร ไปดื่ม ไปเฮฮาปารตี้ บางคนก็จมอยูกับโลก
ศิลปะพวกเขาสรางความสัมพันธกับสิ่งไมมีชีวิตมากกวาสิ่งมีชีวิต แตมันก็สําคัญมากสําหรับ
เขา เพราะเขาทํามันเพื่อตัวเขาและโลกนี้ และยังมีกิจกรรมอีกมากที่จาระไนไดไมมีวันหมด สิ่ง
เหลานี้ถือไดวาเปนการสรางการเชื่อมโยงหรือความสัมพันธที่อาจเปนไปไดทั้งสิ้น พวกเขาจะ
พยายามเติมในสิ่งที่พวกเขาคิดวาขาดและจะรูสึกวาชีวิตไมไดวางเปลาจนทนไมได บางครั้ง
พวกเขาอาจมีความสุ ขมากกว า คนที่มี ค วามสุ ข มากกว า คนที่มี ค รอบครั ว ก็ ไ ด มั น เป น สิ่ ง
เปรียบเทียบที่ตัดสินตามใจชอบไมไดหรอก ใครจะกลาพูดวา “คนแตงงานมีความสุขมากกวา
คนเป น โสด” ได ล ะ ? แต ผ มสรุ ป ได ว า พวกเราจะมี ค วามต อ งการในการสร า งรู ป แบบของ
ความสัมพันธเสมอ ไมวากับคน วัตถุ หรือนามธรรม ๆ ก็ตาม และเราจะรูสึกโอเคไดก็ตอเมื่อ
เราไมไดรูสึกวา… เราขาดแคลนอยางสิ้นเชิง ไมเชนนั้นแลว เราจะทุกขทรมาน โปรดจําไววา …
ความตองการหรือความขาดแคลนจะหายเปนปลิดทิ้งหรือหมดความสําคัญลงไปเลย… เมื่อ
เราไดมันมาแลว
คุณผูอานที่รัก มีเรื่องนาอายนิดหนอยเรื่องหนึ่งที่ผมจะเลาใหฟง ผมนั้นคลั่งไคลอยาก
ไดเพลงฝรั่งชื่อ “father of days father of nights” ครั้นผมไดมันมา ความขาดแคลนของผมก็
หมดไปความอบอุนใจวามันอยูกับผมแลวไดทําใหผมไมใสใจกับมันอีกตอไป มันราวกับวาผม
ไมไดตองการมันสักเทาไหรเลยทั้ง ๆ ที่เมื่อกอนอยากไดสุด ๆ แตดูสิพอไดมาแลว ความรูสึกก็
ลดลงไปมากอยางไมนาเชื่อ อยูมาวันหนึ่งผมจะเอามันมาเปดฟงแตวาหามันไมพบ ความขาด
แคลนไดเกิดขึ้นในทันที แลวผมก็รูสึกวาชางตองการมันมากเหลือเกิน ทุกวันนี้ผมก็ยังรูสึกวา
ตองการมันอยู เพราะวาความขาดแคลนที่เกิดขึ้นยังไมไดสะสาง มันจึงไมหมดไปจากใจผม
สิ่งที่ผมเลานี้เพื่อเตือนใจวา “สรรพสิ่งในโลกนี้จะมีความหมายและความสําคัญที่พุงสูงสุดตอ
ความรูสึกของเราก็ในวันที่เราไดสูญเสียมันไปแลว” นี่แหละคือการทํางานของมัน เมื่อใดที่เรา

119
ขาดแคลนอะไรและเรายังอยากไดมันอยูสิ่งนั้นจะกลายเปนแรงขับแหงการกระทําของเรา
ผูคนในโลกนี้เปนอยางนี้เสมอไมวาจะรูตัวหรือไมก็ตาม

5. ตองการความกาวหนา และการเจริญเติบโต

นอกจากเราตองตอบสนองตอความจําเปนหรือความขาดแคลนหลาย ๆ อยางที่กลาวมาแลว
พวกเราพอหรือยัง… ยัง !!! พวกเราอยากใหธุรกิจของเราเจริญกา วหนาไหม อยากใหมัน
เจริญเติบโตไหมอยากจะมีเงินทองที่เก็บสะสมมากขึ้นไหม อยากใหครอบครัวโตขึ้นมีทายาท
สืบตระกูลและสืบทอดธุรกิจตอไปไหม? พนันไดเลยวาอยากนอกจากนี้เรายังอยากมีขาวของ
เครื่องใชใหมากขึ้น? ผมวาคงหายากเต็มทีตราบใดที่มนุษยยังมีปญญาซื้อเพิ่ม บางทีเราซื้อ
บานเพิ่ม ซื้อคอนโดมิเนียม ซื้อที่ดินเปลาเก็บไวเลน ๆ แคหาสิบปเอง (ผมประชดนะ) เราซื้อ
คอมพิวเตอรตัวที่สิบแลวกระมังเพราะวาดันอยากไดรุนลาสุดอยูเรื่อย ผมมีรองเทาแคสองคู
เอง… ตอใหอมพระมาพูดก็เถอะจะมีใครเชื่อผมเหรอ!!! ผมซื้อ และพวกเราก็ซื้อ ก็ของมัน
เยอะมากนี่ครับ เอะแลวพวกเขาผลิตไปมากมายเกินกวาคนซื้อไปทําไมกันนี่… พวกเขาก็
อยากเติบโตเชนกัน เวลานี้มีรานขายโทรศัพทมือถือเยอะไหม… แนนอน ถาพวกเขาไมเชื่อวา
มันจะขยายตัว พวกเขาจะเปดไปทําไมกันละ สวนคนที่ทํารานอาหารบางเจามีกวา 200 สาขา
เขาไปแลว สวนแบรนดตางประเทศอยาไดริไปนับเชียว…เหนื่อยตายเปลา มีใครบางไหมที่
เปดหนึ่งสาขาแลวหยุด ไมมีทาง พวกเขาขยายธุรกิจเปนวาเลนและบุกแหลกเมื่อมีโอกาส สิ่ง
เหลานี้ลวนชี้ชัดวา มนุษยมีความตองการที่จะเจริญเติบโตอยางไมมีที่สิ้นสุด
คราวนี้หันมาสนใจพวกเราเองกันหนอย พวกเราก็อยากจะเกงขึ้น มีความสามารถ
มากขึ้น มีทักษะมากขึ้น มีหนาที่การงานที่ดีขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น พูดภาษาไดหลายภาษามาก
ขึ้น อานหนังสือมากขึ้น เขาใจชีวิตมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีขึ้น พวกเราตองการ
การเจริญเติบโตทางดานประสบการณ ความคิดอาน และความมั่นคงตาง ๆ เห็นไดชัดวาเมื่อ
พวกเราดิ้นรนจนพนสภาพอดตายมาได แตเราไมมีทางหยุดแคนั้นหรอก พวกเรายังตองการ
ความเจริญกาวหนาทั้งในชีวิตสวนตัวและหนาที่การงานอีกมากนี่คือวิถีของชาวโลก พวกเรา
ไมใชคนแบบ “ตําขาวสารกรอกหมอ” หรอก พวกเราฉลาดกวานั้นแยะ (แมวาจะมีคนเชนนั้น
อยูบางก็ตาม แตนั้นไมใชแบบอยางที่เราจะเลียนแบบอยูแลวนี่) ดังนั้น แรงขับอีกแรงหนึ่งที่อยู
เบื้องหลังในการกระทําของเราจึงคือความตองการเรื่องการเจริญเติบโตอยางปฏิเสธไมได

120
6. อยากชวยเหลือแบงปน

เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราเพรียบพรอมไปหมด เราจะรูสึกอยากตอบแทนอะไรบางอยางตอโลกนีท้ เี่ รา


ไดเกิดมา เชน การทําบุญ การสรางกุศล การบริจาคเงินในโครงการตาง ๆ การสรางวัด สราง
โรงเรียน ตั้งมูลนิธิ การสนใจที่จะอนุรักษปา คุมครองสัตวปา การรักษาสิ่งแวดลอม เขียน
หนังสือเพื่อใหความรู ไปใหวิชาการเพื่อถายทอดประสบการณตามคําเชิญ หรือแมแตการเลน
การเมืองเพื่อรับใชประชาชน เราอยากจะให เราอยากไดชวยเหลือคนอื่นหรือสังคมในทางใด
ทางหนึ่ ง และแน น อนว า ถ า เราไม ไ ด ทํ า มั น ละก็ … เราจะรู สึ ก ว า เราขาดแคลน!!!! (ผมใส
เครื่องหมายตกใจถึงหาอันเพื่อย้ําวามันเปนอาการขาดแคลนประการหนึ่งหากเราตองการแลว
ไมได) ฉะนั้น แรงกระตุนนี้ก็จะทําสิ่งที่เรียกวาการกุศลหรือสาธารณประโยชนเปนการใหญ
นั่นแหละความจําเปนหรือความรูสึกขาดแคลนภายในตัวเราถึงจะบรรเทาลงได ฉะนั้น คนบาง
คนที่อยูในสภาวะนี้จะตาโตถาเราชวนเขาทําบุญ แตจะไมตื่นเตนอะไรถาเราไปชวนเขาทํา
การคา (ก็เขามีจนเพียบแลว เขาไมไดขาดแคลนเรื่องการคาสักหนอย) ผมเชื่อวาพวกเราคงพอ
เขาใจแลววาทําไมคนเราทําในสิ่งที่เขาทํา ก็เพราะวามันมีแรงกระตุนจากความขาดแคลนหรือ
ความจําเปนหรือความตองการนั่นเอง

7. ความตองการทางจิตวิญญาณ

ความขาดแคลนหรือความจําเปนประการสุดทายที่มนุษยมีความตองการไปตลอดกาลคือ
ความตองการทางจิตวิญญาณ มันอาจเปนแคความตองการที่จะมีความสงบสุขทางใจ หรือ
อาจเปนนามธรรมตาง ๆ อื่นใดก็ไดเรื่อยไปจนถึงการรูแจง คนที่บวชไมสึกที่จริงจังกับการบวช
คือตัวอยางที่ชัดเจนของความตองการทางดานนี้ หากวาเราไดมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ
อย า งครบถ ว นแล ว พวกเราชาวมนุ ษ ย ก็ จ ะไม ข าดแคลน ไม มี ก ารแสวงหาทางด า นจิ ต
วิญญาณอีกตอไปแตดวยความขาดแคลน มันไดเปนแรงขับใหมนุษยหาทางเขาใจตนเองใน
ลักษณะเฉพาะตัว การกําเนิดขึ้นของศาสดา และศาสนาตาง ๆ ในประวัติศาสตรยอมเปน
หลักฐานวามนุษยมีแรงกระตุนในดานนี้อยูตลอดมา
อยางไรก็ตาม พวกเราโปรดอยาเขาใจผิดวาฆราวาสที่ครองเรือนอยางเราไมมีความ
ตองการทางจิตวิญญาณ ลองจินตนาการวาพวกเราไมมีความสงบสุขจากภายในอยูเลย พวก
เราจะอยูไหวหรือกับชีวิตเชนนั้น มันแปลวาเรามีสภาวะทางจิตวิญญาณที่ดีพอสมควรอยูแลว
เราไดรับการสั่งสอนทางศาสนา การไปวัด การทําบุญ และการปฏิบัติธรรมมาบางไมมากก็
นอยอยูแลว ดังนั้นการที่เราครองเรือนก็เพราะวาเราถูกกระตุนเรื่องความขาดแคลนดานอื่น ๆ

121
มากกวาดานนี้ เราทําตัวเราไปตามแรงขับตัวที่มีอิทธิพลที่รุนแรงกวาเสมอ ดั่งที่ผมไดอธิบาย
มาแลว มนุษยเริ่มคิดถึงการขโมยเมื่อเขากําลังจะอดตาย สวนแรงขับทางจิตวิญญาณที่วา..
จงอยาขโมยเพราะวาผิดกฏหมายและละเมิดศีลนั้น… มีแรงขับนอยมากเมื่อเทียบกับแรงขับ
แหงการอยูรอด มีคนนอยมากที่ยอมอดตายจริง ๆ เพื่อรักษาศีลที่หามการลักทรัพยหนึ่งขอ
เอาไวไมได คุณผูอานที่รัก ผมไมไดบอกวาการละเมิดศิลเปนเรื่องดี แตผมพยายามอธิบายสิ่ง
ที่เกิดขึ้นในโลกและผมเห็นวา… ใครก็ตามที่สามารถพิสูจนไดวา เขากําลังจะอดตายในมื้อ
ถัดไป (อาจไมไดกินอาหารมาหลายวันแลว) ผมคิดไมออกวาการหยิบผลไมของใครสักผลเพื่อ
กินเขาไปจะละเมิดศิลขอไหนได ตรงกันขาม หากพวกเรารูเชนนั้น พวกเราคงยื่นมือออกไป
ชวยเหลือเสียมากกวาที่จะปลอยใหคนคนหนึ่งตายลงไปจริง ๆ โดยที่เขาไดชื่อวาไรความผิด
บาปจากการถือศีล
ในบางครั้งที่เรารูสึกอับจน เราไปที่หิ้งพระ นั่งลงแลวก็สวดมนต นั่นก็คือแรงขับหนึ่งที่
ผลักดันใหเราแสวงหาทางออกทางจิตวิญญาณ สวนใครที่สวดมนตเสมอจนเปนนิสัยติดตัว
ผมขอสนับสนุนวามันชางยอดเยี่ยมเหลือเกิน บางครั้งเรานั่งทําสมาธิเพื่อเจริญวิปสสนา โอ…
มันชางเปนการกระทําที่สูงสงยิ่ง สิ่งเหลานี้ลวนคือสิ่งที่ฆราวาสอยางพวกเราสามารถทําได
เพื่อสนองตอความตองการทางจิตวิญญาณของเรา ประชาชนของทุกชาติทุกศาสนาลวนมี
รูปแบบของตนเองในการตอบสนองทางดานนี้ทั้งนั้นแหละ และผมหวังวาพวกเราคงพอเขาใจ
ตัวเองถึงการกระทําในทุกรูปแบบแหงความจําเปนหรือการขาดแคลนทั้งปวงไดแลว วาพวก
มันทั้งหมดคือแรงขับหรือตนเหตุแหงการกระทําของเราเพื่อบรรเทาหรือหยุดภาวะขาดแคลน
และนั่นแหละที่ทําใหชีวิตของพวกเราเปนปกติสุขอยูได

122
บทที่ 2
การผสมผสานของแรงขับทั้งเจ็ด

ผมเพิ่งไดอธิบายถึงแรงขับหรือแรงกระตุนทั้งเจ็ดประการที่ผลักดันใหพวกเราลงมือทําสิ่งตาง ๆ เพื่อ
ตอบสนองตอความจําเปนหรือความขาดแคลนของเราเพื่อทําใหเรามีความสุข ตามปกติแลว ความ
ต อ งการป จ จั ย สี่ หรื อ ความจํ า เป น ที่ จ ะต อ งอยู ร อดจะเป น แรงขั บ ตั ว แรกเสมอเพราะว า มั น อยู ใ น
สัญชาตญาณทีเดียว สวนแรงขับตัวอื่น ๆ อีกหกประการนั้นไมจําเปนตองเรียงลําดับกอนหลังไปตามที่
ผมไดอธิบายไว พวกเราคือสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซอนที่สุด มีสมองที่ใหญและเฉลียวฉลาดที่สุด และ
ความจําเปนหรือความขาดแคลนที่เกิดขึ้นกับเราไมไดเกิดขึ้นทีละอยางแลวเรียงคิวเขามาหาเรา แตมัน
มักจะเกิดขึ้นหลาย ๆ อยางในคราวเดียวกัน ดังนั้นพวกเราจึงมีแรงขับหลายอยางที่ผสมผสานกันไปใน
ระดับความมากนอยตามความจําเปนที่เราขาดแคลน และเราไดลงมือทําหลายสิ่งหลายอยางเพื่อ
บรรเทาความขาดแคลนในทุก ๆ ดานของเราอยูเสมอ เมื่อใหรก็ตามที่เราไดบรรเทาหรือเติมเต็มความ
จําเปนที่เราขาดแคลน เราจะรูสึกดี มีความสุข รูสึกวาประสบความสําเร็จ และสมความปราถนา
คุณผูอานที่รัก การที่เราเขาใจแรงขับตาง ๆ นั้น ทําใหเราเขาใจตนเองและผูอื่น เราสามารถมี
คุณภาพชีวิตไดดียิ่งขึ้นก็เพราะวาเราเขาใจตนเองและผูอื่น ดังนั้นเพื่อที่จะรูวาเรามีแรงขับตอความ
จําเปนในดานตาง ๆ ในระดับใด การทําการบานขางลางตอไปนี้จะชวยพวกเราไดเปนอยางยิ่ง เราจะ
ไดรูเสียทีวา… อะไรคือแรงขับตัวที่รุนแรงที่สุดในตอนนี้ อะไรที่รองลงไป และการที่เราจะรูไดนั้น เรา
จะตองรูวาตองการอะไรมากที่สุดหรือที่มากรองลงมาเสียกอน
จงตอบคําถามขางลางโดยเลข 0 คือคะแนนที่เราใหกับสิ่งที่ตอนนี้เราไมอยากไดเลย เลข 10
คือคะแนนที่เราใหกับสิ่งที่ตอนนี้เราอยากไดมากที่สุด (เลข 2 ถึง 9 คือคะแนนที่คอย ๆ เพิ่มขึ้นระหวาง
0 กับ 10 ) เอาละ พวกเราไปทํากันเลย

ปจจัยสี่หรือความแนนอน (เพื่อการอยูรอด)……………………………… คะแนน


ความหลากหลาย (ความแปลกใหม)……………………………………….. คะแนน
ความรูสึกวาตนเองมีความสําคัญ (มีศักดิ์ศรี ไดรับการยอมรับ)………… คะแนน
การเชื่อมโยง/ การสรางความสัมพันธ (เชนความรัก)………………..…… คะแนน
ความเจริญกาวหนา(การเติบโตทั้งชีวิตสวนตัวและหนาที่การงาน)…..… คะแนน
อยากชวยเหลือแบงปน (การทํากุศล การบริจาค การไดใหกลับคืน)….. คะแนน
ความตองการทางจิตวิญญาณ (ความสงบสุขภายใน การรูแจง)………… คะแนน

123
เมื่อพวกเราไดทําการบานอยางนี้แลว พวกเราจะเขาใจถึงแรงขับตาง ๆ ที่บังคับใหเราลงมือ
ทําสิ่งตาง ๆ อะไรก็ตามที่เราตองการมันมากที่สุด จะแปลวาเราขาดแคลนมันมากที่สุด และเราไดถูก
แรงขับหรือแรงกระตุนตัวนี้บงการชีวิตของเรามากที่สุดตามไปดวย คําวา “ขาดแคลน” นี้ มันเปนไป
ตามความรูสึกของคนที่ไมเหมือนกัน สมมติผมมีเงินตั้งหนึ่งรอยลานบาทแลว แตผมไมสนใจอยางอื่น
อีกเลยนอกจากตั้งหนาตั้งตาหาเงินอยางเดียว นั่นแปลไดวา ผมยังขาดแคลนอยูดี สวนคนที่มีเงินหนึ่ง
ลานบาทและตอนเชาไปทํางานสวนตอนค่ําออกไปทํางานอาสาสมัครชวยเหลือสังคมทุกคืน คนแบบนี้
คือพอแลวเรื่องเงิน (เงินกระตุนเขาไมคอยได) แตตัวกระตุนที่แทจริงของเขาคือ การอยากไดชวยเหลือ
แบงปนคนอื่น ผมอยากใหพวกเราเขาใจในมุมลึกเพื่อที่จะสามารถอธิบายพฤติกรรมของตัวเราเองและ
คนอื่น ๆ ได
อนึ่ง การที่พวกเราไดตอบคําถามขางบนแลว มันไมไดหมายความวาจะเปนเชนนั้นตลอดไป
ความตองการ ความจําเปนและขาดแคลนของพวกเรานั้นคอย ๆ เปลี่ยนแปลงไป หรือในบางครั้ง
เปลี่ยนอยางฉับพลัน ฉะนั้น แรงขับใหเราลงมือทําเรื่องราวตาง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา เราจึง
ควรทําการประเมินใหมเปนระยะวาอะไรกันแนที่เปนตัวกระตุนหลักของเราในตอนนี้ ยิ่งเรารูชัดเทาไหร
เราจะยิ่งมีความสุขสมหวังไดเร็วเทานั้น หากวาตอนนี้ตัวกระตุนหลักคือ “เงิน” ก็จงสนใจและเอาใจใส
ใหดี หากวาอยากไดชื่อเสียง จงมุงเนนสรางความดีใหปรากฏเร็วไว แตถาขาดเรื่องความรัก… ให
มุงเนนสนใจคนอื่นใหมากขึ้น หากขาดความกาวหนา จงมุงเนนการตั้งเปาหมายใหมากขึ้น และสมมติ
วาตอนนี้ขาดความสงบในใจ ใหสวดมนตไหวพระและเจริญวิปสสนาเสีย ขอใหพวกเราทําใหมันตรง
กับความจําเปนหรือความขาดแคลนของพวกเราเสีย แลวพวกเราจะมีความสุขเหนือใคร ๆ นั่นแหละ
คือ A Wonderful Life

124
บทที่ 3
วิธีดึงดูดสิ่งที่พวกเราตองการ

สิ่งที่ผมจะอธิบายตอไปนี้ เปนสิ่งใหมที่ผมไดเรียนรูมาไมนานนัก แตมันใหความรูสึกที่ดีและตื่นเตนเรา


ใจไดมากเหลือเกิน การที่คนเราจะไดในสิ่งที่เขาตองการมานั้น เขาจะตองลงมือทําบางสิ่งบางอยาง
เพื่อพยายามใหไดมันมา ดังนั้น ผมยังคงมุงเนนเรื่องการปฏิบัติและวินัยเล็ก ๆ เสมอ อยางไรก็ตาม
การเพิ่มโอกาสที่จะไดมันมาขึ้นอยูกับความรูสึกและวิธีดําเนินชีวิตประจําวันของเราเปนอยางมาก ผม
ยังแปลกใจเลยวาทําไมเมื่อกอนผมไมไดคิดถึงเรื่องนี้ แตในขณะนี้ ผมถือวาเทคนิคที่จะกลาวตอไปนี้
คือเทคนิคขั้นสูงมาก และตอไปนี้คือสี่ขั้นตอนในการดึงดูดสิ่งที่พวกเราตองการ

1. จงระบุออกมาใหชัดวาอะไรคือสิ่งที่พวกเราไมตองการ
2. จากนั้น จงเปลี่ยนสิ่งที่ไมตองการในขอหนึ่งใหกลายเปนสิ่งที่ตองการ
3. ใหดําเนินชีวิตประจํ าวันดวยการทําใหตนเองรูสึกดี (มาก ๆ ) กับสิ่งตาง ๆ ที่
ตองการในขอสอง
4. จากนั้น ใหลงมือทําในสิ่งที่ตองทํา และดําเนินชีวิตตอไป อยางราเริงที่สุดเทาที่
ชีวิตจะทําได และในระหวางนั้น ใหเชื่อวาสิ่งที่พวกเราตองการกําลังอยูบนเสนทางของ
มันที่ตรงดิ่งมาหาเรา และเราเองก็เชนกันที่กําลังอยูบนเสนทางที่ตรงดิ่งไปหามัน เราและ
มันกําลังดึงดูดซึ่งกันและกัน จงใหเวลาเพื่อปลอยใหมันบังเกิดขึ้นโดยไรความกังวลจงรา
เริงและยิ้มแยมแจมใสใหมาก ๆ เสมอ

คุณผูอานที่รักยิ่ง ผมขอรองใหพวกเราทองสี่ขั้นตอนนี้ใหขึ้นใจ ใหมันกลายเปนสวนหนึ่งที่


สําคัญในความรูสึกนึกคิดของเรา แลวพวกเราจะกลายเปนคนที่โชคดีที่สุดในโลก ตอนนี้พวกเราไป
ศึกษาในรายละเอียดกันเถอะ

1. ระบุสิ่งที่ไมตองการ

วิธีดีที่สุดในการรูใจตนเองวาเราตองการอะไร คือการรูใหชัดวา… อะไรบางคือสิ่งที่เราไม


ตองการอยางแทจริง ผูคนจํานวนมากพลาดเรื่องที่สําคัญและจําเปนยิ่งตอชีวิตไปก็เพราะวา
ไมตระหนักรูใหถองแทถึงเรื่องนี้ ยกตัวอยางงาย ๆ เชน การเจ็บไขไดปวยเปนสิ่งที่พวกเราไม
ตองการใชหรือไม? แลวตรงกันขามกับมันละคืออะไร? สุขภาพที่ดีไง!!! ฉะนั้นเมื่อพิจารณาลึก
ๆ ลงไปภายในตัวเรา สุขภาพดีคือสิ่งที่เราตองการ แตเพราะเราไมไดถามวา “การเจ็บไขได
ปวยเปนสิ่งที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” พวกเราก็เลยลืมไปวา…. การมีสุขภาพดีคือสิ่งหนึ่งที่

125
เราตองการ บางทีคําถามตอไปนี้จะยิ่งทําใหพวกเราเขาใจไดมากขึ้น… การมีอายุสั้นคือสิ่งที่
ฉันไมตองการใชหรือไม? แลวอะไรละที่ตรงกันขามกับมัน อายุยืนไง!!! ฉะนั้น การมีอายุยืน
ยาวคือสิ่งหนึ่ง ที่เราตองการอยางแทจริงในระดับจิตวิญญาณ แตแลวพวกเราปลอยปละ
ละเลยตัวเองโดยไมเอาใจใสเรื่องสุขภาพไปไดอยางไร? พวกเราเผลอไปก็เพราะไมไดถามวา
“การมีอายุสั้นคือสิ่งที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” อีกตัวอยางหนึ่งที่ดีมากคือการถามวา “ความ
ยากจนคือสิ่งที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” งั้นสิ่งที่ตรงกันขามละคืออะไร? งายจะตายก็ความ
มั่งคั่งร่ํารวยไง!!! ยังมีอะไรที่นาถามอีก “ความทุกขคือสิ่งที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” งั้นมันก็
ตองคือความสุขสิที่พวกเราตองการจริงไหมละ? คุณผูอานที่รัก ขั้นตอนที่ 1 คือสิ่งที่ผูคนทั่ว
โลกลืมทํา แตตั้งแตนี้ไปพวกเราจะไมลืม โปรดตอบคําถามตอไปนี้ดวยความตั้งใจจริงจัง และ
ทําบอย ๆ ใหเปนระยะ ๆ

สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริง
ƒ …………………………………………………………
ƒ …………………………………………………………
ƒ …………………………………………………………
ƒ …………………………………………………………
ƒ …………………………………………………………
ƒ …………………………………………………………
ƒ …………………………………………………………
ƒ …………………………………………………………
ƒ …………………………………………………………

โปรดหาสมุดสวนตัวมาสักเลมหนึ่ง ตั้งชื่อมันวา “สิ่งที่ฉันไมตองการ” แลวเขียนพวก


มันออกมา ระบุออกมาใหชัดเจน แลวสมองของพวกเรามันจะฉลาดขึ้นวาอะไรกันแนที่มันตอง
ถอนตัวออกหาง เมื่อพวกเราไดทําขั้นที่ 1 แลว เราตองเปลี่ยนทุกรายการในขั้นที่ 1 ใหเปนสิ่งที่
ตรงกันขามซึ่งมันก็คือขั้นตอนที่ 2 นั่นเอง

2. ระบุสิ่งที่ตองการอยางแทจริง

หลังจากที่ไดทําขั้นตอนแรกไปแลว มันก็งายเหมือนปอกกลวยเขาปาก เพราะเราก็แคเปลี่ยน


ใหเปนตรงกันขามเสีย แลวมันก็จะกลายเปนสิ่งที่พวกเราตองการ เชน ถาความยากจนเปนสิ่ง

126
ที่ไมตองการที่บันทึกไวในขั้นตอนที่ 1 พวกเราก็แคเปลี่ยนใหมันกลายเปนคําวา “ความสุข”
และนําคําวา “ความสุข” มาจดบันทึกไวในรายการของสิ่งที่เราตองการอยางแทจริงในขั้นตอน
ที่ 2 งาย ๆ แคนี้เอง เอาละ ชวยบอกตัวเองกันหนอยวาอะไรกันแนคือสิ่งที่พวกเราตองการ
อยางแทจริง

สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ….
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..

สิ่งหนึ่งที่พวกเราตองระวังคือ สิ่งที่เราตองการตองเปน “คําบอกเลา” หามใชคําปฏิเสธ


หรือการปฏิเสธซอนกันสองครั้ง เชน “สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ ความร่ํารวย” ประโยคนี้
ถูกตอง แตอยาพูดวา “สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ ไมยากจน” ประโยคนี้ผิดเพราะวามัน
มีคําวา “ไม” อยูในนั้นตัวอยางตอไปเชน “สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ อายุยืน” ประโยคนี้
ถู ก ต อ ง แต อ ย า พู ด ว า “สิ่ ง ที่ ฉั น ต อ งการอย า งแท จ ริ ง คื อ ไม อ ยากตายเร็ ว ” ประโยคนี้ ผิ ด
เพราะวามีคําวา “ไม” อยูในนั้น ตัวอยางสุดทาย “สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ การมีคนรัก
ที่รูใจ” ประโยคนี้ถูกตอง แตอยาพูดวา “สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ การไมไมมีคนรักที่รู
ใจ” ประโยคนี้ผิดเพราะดันไปพูดซะฟงยากดวยการใชคําวา “ไม” ถึงสองตัวติดกัน (ปฏิเสธ
ซอนปฏิเสธ) ผมทราบดีวาคนที่ชอบพูดแบบปฏิเสธซอนปฏิเสธนั้นคงมีไมมาก แตผมอยาก
ขามรายละเอียดนี้ไปเพราะวาคนทั่วไปไมรูถึงอันตรายของมันที่ผมจะเลาใหฟงเดี๋ยวนี้เลย
เมื่อไหรที่พวกเราพูดวา “สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือความร่ํารวย” กฏแหงการ
ดึงดูดจะดึงดูดคําที่เรา “ตองการ” เขามาหาเรามาก ๆ ซึ่งในที่นี้คือความร่ํารวย แต…แต…
แต…แต…
แตเมื่อไหรที่พวกเราพูดวา “สิ่งที่ฉันไมตองการอยางแทจริงคือความยากจน” กฏแหงการดึงดูด
คําที่เรา “ไมตองการ” เขามาหาเรามาก ๆ ซึ่งในที่นี้ก็คือความยากจน นี่คือคําอธิบายวาทําไม

127
คนจํานวนมากถึงมักไดแตสิ่งที่พวกเขาไมตองการอยูเรื่อย เพราะวาพวกเขาพูดผิดวิธีนั่นเอง
พวกเราจะแปลกใจไหมถาผมจะบอกวาการพูดวา “สิ่งที่ฉันไมตองการคือความยากจน” คือ
การพูดที่ยิ่งทําใหยากจนเขาไปใหญ เมื่อเราไมอยากยากจน แลวมันเรื่องอะไรถึงไปพูดถึงคํา
วา “ยากจน” ใหโสตประสาทมันไดยิน ทําไมไมทําใหเรียบงายโดยพูดวา “สิ่งที่ฉันตองการคือ
ความมั่งคั่งร่ํารวย” เสียละ คราวนี้โสตประสาทของเราจะไดยินคําวาอะไร… ก็ความมั่งคั่ง
ร่ํารวยไง!!! เอาละ ตอนนี้พวกเราทุกคนตางเขาใจดีแลว พวกเราไปตอบคําถามใหตรงประเด็น
ดวยประโยคบอกเลากันอีกครั้ง ผมรูวาพวกเราไดทํามาหนึ่งครั้งแลว แตทําอีกสักหนึ่งครัง้ เถอะ
เพื่อความชัวร

จากขั้นตอนที่ 1 มันทําใหฉันรูวา

สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ….
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..
ƒ …………………………………………………………………………..

3. จงทําใหตนเองรูสึกดีกับสิ่งที่ตองการ

เคล็ดลับสุดยอดในการดึงดูดสิ่งที่เราตองการก็คือ การที่เราสามารถรูสึกดีกับสิ่งที่เราตองการ
ตราบใดที่เ รารู สึก แย กั บสิ่ ง ที่เ ราตอ งการ ตราบใดที่ เ รารู สึก แยกั บสิ่ ง ที่ เ ราตอ งการ มั น จะ
กลายเป น เรื่ อ งยากแสนยากไปในทัน ที คิ ด ดูสิว า ทํ า ไมคนที่ย ากจนถึ ง รวยไดย ากนั ก ยาก
หนา…. ทุกครั้งที่พวกเขาคิดถึงคําวา “ร่ํารวย” พวกเขารูสึกวาตื่นเตนหรือหดหูละ แหงอยูแลว
วาหดหู ความหดหูเปนความรูสึกที่ดีไหมที่มอบใหกับคําวา “ร่ํารวย” ถามโง ๆ … เด็กอมมือยัง
รู เ ลยว า ไม แต นั้ น แหล ะ คื อ ป ญ หาของคนทั้ ง โลกกล า วคื อ ทั้ ง ๆ ที่ รู ว า การรู สึ ก แย กั บ สิ่ ง ที่
ตองการไมชวยอะไรเลยนอกจากทําใหสถานการณเลวรายลงไปอีก แตมันก็ทําใจไมไดที่จะให

128
รูสึกดีกับสิ่งที่ตัวเองยังไมมี ผมอยากใหพวกเราอานตรงนี้ดวยความระมัดระวัง ผมกําลังบอก
วา แมมีเหตุผลในตัวมันเองที่คนเราจะรูสึกทอใจ หดหูใจ หรือรูสึกแยเมื่อนึกถึงสิ่งที่อยากได
และรูวามันชางยากเหลือเกิน แตการรูสึกแยอยางนั้น…ไดกลายเปนอุปสรรคที่ขัดขวางการ
ไดรับในสิ่งที่ตองการ คนทั่วไปมักโทษทุกสิ่งทุกอยางวาทําใหพวกเขาลําบากยากไร แตยกเวน
ไวสิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะไมโทษ… นั่นก็คือการที่พวกเขารูสึกแยกันทั้งปทั้งชาติ ทําไมคนยากจน
จะราเริงไมไดละ? ทําไมตองเอามารวมกันอยูเรื่อยละระหวางความยากจนกับความราเริง? ผม
ขอบอกไวตรงนี้ ว า หากคนยากจนหัน มารา เริงและทํา จิตใจใหผองแผว กั นไดทั้ง ปทั้ง ชาติ
เมื่อไหรละก็ ความยากจนของพวกเขาจะถูกขับไลออกไปจนสิ้นซาก พวกเราหลายคนอาจคิด
วามีหลายปจจัยที่ทําใหตนเองยังลําบากอยู แตถาจะโทษอะไรสักอยางหนึ่งที่เปนตัวการเหนือ
สิ่งอื่นใด มันก็คือความรูสึกของพวกเราเองผมขอแนะนําใหโทษความรูสึกของตนเองวาเปน
สาเหตุใหญที่ชางตอเนื่องยาวนานอยางไมนาเชื่อที่เปนปจจัยใหญสุดในการชักนําแตเรื่องไมดี
เขามาหา ผมอยากใหขอคิดวามันเหมือนกับกฏแหงการหวานและการเก็บเกี่ยวนั่นแหละ
กลาวคือมันตองหวานเมล็ดกอนแลวเก็บเกี่ยวผลผลิตในภายหลัง มีแตคนเสียสติเทานั้นที่ขอ
เก็บผลผลิตกอนแลวจะหวานชดใชใหภายหลัง ก็เชนกันสําหรับการดําเนินชีวิตที่ดีที่สุด
กลาวคือ.. จงหวานเมล็ดแหงจิตใจที่ผองแผวออกไปกอน แลวจะไดเก็บเกี่ยวความสุข
ในทันที แถมยังจะไดรับสิ่งปราถนาในภายหลัง แตมีอยางที่ไหนที่คนจํานวนมากหวานเมล็ด
แหงความหดหูออกไปกอน แลวแอบหวังวาจะไดรับความสุขกับสิ่งที่ปราถนาในภายหลัง
ฉะนั้นสิ่งที่ไดก็คือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในทันที และผลักไสสิ่งที่ตองการออกไปไกลลิบโลก…
บาชมัด ฉะนั้นโปรดรูไว วา วิธี การดําเนิน ชีวิตดวยอารมณเชิงลบในทุ กรูปแบบนั้น ไดถูก
กระทําโดยคนสวนใหญบนโลกซึ่งใหหลักฐานที่พิสูจนใหเห็นแลววา… มันไมไดผล ไมทําให
ความสุขและความสําเร็จเปนเรื่องที่งายขึ้น ไมเพิ่มโอกาส เสียเวลาไปโดยเปลาประโยชน และ
เปนโทษสถานเดียวเทานั้น แตดวยความโชคราย พวกเขาจํานวนมากไมไดยุติพฤติกรรม
เหลานั้นเลย ตรงกันขาม พวกเขาคิดเพียงแงเดียววา ก็มันสมเหตุสมผลแลวนี่ที่คนอยางฉัน
หรือคนอื่นที่เจออยางฉัน มันก็ตองคิดลบทั้งนั้นแหละ มันคลายการประชดชีวิตที่ไมควรทําเลย
และโชครายอีกประการหนึ่งก็คือ บางทีพวกเขาก็ไมรูวาการทําตัวแย ๆ อยางนั้นคือกลยุทธที่
ไมไดผล ในกรณีนี้นับวานาเห็นใจมาก ผมหวังวาพวกเขาจะไดอานหนังสือเลมนี้บางทีพวกเขา
อาจเปลี่ยนใจก็ได
ฉะนั้น พวกเราตองหันมาดําเนินชีวิตประจําวันดวยการทําใหตนเองรูสึกดี (มาก ๆ )
กับสิ่งตาง ๆ ที่พวกเราตองการที่ไดเขียนไวแลว โปรดจําไววา ตอไปนี้ประเด็นที่เราตองสนใจ
อยูเสมอมีอยูสองเรื่องคือ มันตองเปนสิ่งที่เราตองการเทานั้น และความรูสึกที่เรามอบใหกับ

129
มันตองดีเทานั้น กฏมีอยูวา “วิธีดึงดูดสิ่งที่เราตองการนั้น ใหหาวิธีที่เราจะเขาไปมีความรูสึกดี
กับสิ่งที่เราตองการเสมอ แลวเราจะไดมัน”
และทั้งหมดที่พวกเราจะไดอานตอไปอีกมากมายนั้น คือวิธีตาง ๆ ที่จะทําใหพวกเรา
รูสึกดีกับสิ่งที่เราตองการ ไปกันเลยเถอะ

130
บทที่ 4
การตั้งปณิธานกับสิ่งที่ตองการ

สิ่งหนึ่งที่พวกเราตองระวังจริง ๆ คือ ไมวาเราจะใชถอยคําวาอะไรก็ตาม แตพวกเรารูสึกจริง ๆ กับสิ่งที่


เราตองการอยางไรกันแน แมวาพวกเราไดใชคําที่ถูกตองเชนวา “ฉันอยาก…” หรือ “ฉันตองการ…”
หรือ “ฉันปราถนา…” แลวก็ตาม แตถาลึกลงไปภายในตนเองกลับรูสึกแย เชน “ใชวาฉันอยาก แตวา
มันเปนไปไมไดนี่” หรือ “ใชสิที่ฉันตองการ แตฉันไมมีปญญานี่” ในกรณีเชนนี้จะทําใหสิ่งที่เราตองการ
โบยบินหนีไปเพราะฤทธิ์เดชของคําคําหนึ่งที่เกินมา นั่นคือคําวา “แต” ที่ไปปรากฏอยูในประโยคที่เรา
พูด คําวา “แต” ทําใหเรารูสึกแยกับสิ่งที่เราตองการไดทุกครั้ง และประโยคที่เราใชแลวถูกตองจะตองมี
ลักษณะดังนี้ “ฉันตองการ… และ…” เทานั้น เชน “ฉันตองการความมั่งคั่งร่ํารวยและฉันกําลังทุมเท
ความพยายามทุกอยางเพื่อมัน” มีแตคําวา “และ” เทานั้นที่ใชแลวโอเคพวกเราจึงตองฝกใช “และ” ให
บอย ๆ จนติดนิสัย คําวา “และ” เปนคําที่ดีในทุกเรื่องก็วาได
และเพื่อที่จะยิ่งเพิ่มพลังแหงความรูสึกดี พวกเราตองหาทางที่จะลดเสียงตอตานภายในใจของ
พวกเราใหจงได มีวิธีหนึ่งที่ดีมากคือการเปลี่ยนถอยคําอีกนิดหนอยโดยตอไปนี้ผมขอใหพวกเราใชคํา
วา “ฉันขอตั้งปณิธานวา…” แทนคําวา “ฉันตองการ…” ในทุกประโยคที่พวกเราจะพูด โดยขณะที่พูด
ใหสวมวิญญาณที่เต็มเปยมไปดวยความรูสึกของพวกเราลงไป ขอใหพูดอยางจริงจัง หรือจะตะโกนได
จะยิ่งดีใหญ เชน

ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะทํางานของฉันดวยความรูสึกที่ดีและดีขึ้น
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเอาใจใสคนที่ฉันรักดวยความรูสึกที่ดี ขึ้นและดีขึ้น
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะดูแลสุขภาพของตัวฉันเองดวยความรูสึกที่ดีขึ้น และดีขึ้น
ƒ ฉันตั้งปณิธานวา ฉันจะสรางฐานะใหมั่งคั่งร่ํารวยดวยความรูสึกที่ดีขึ้น และดีขึ้น

ขอใหพวกเราพูดกับตนเองบอย ๆ แลวเราจะกลายเปนคนในแบบที่เราพูด เราจะดึงดูดในสิ่งที่เราให


ความรูสึกกับมัน และไดรับในสิ่งที่เราไดตั้งปณิธานไว พวกเราไปดูตัวอยางเพิ่มเติมกันเถอะ

ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันมีความสุขกับทุกสิ่งที่ฉันทํา
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะทําทุกสิ่งดวยความรักและสนุก
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเปนคนที่ราเริง และยิ้มแยมแจมใส
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะมีรูปรางดีและแข็งแรง
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะอยูกับความสุขแทนความกลัว
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะรูสึกชื่นชมยินดีกับชีวิต

131
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเบิกบานใจและผองใสทุกวัน
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะยิ้มและเริงรําไปกับชีวิต
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเกษมสําราญกับชีวิตนี้
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะซื้อรถใหมในปนี้
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเปนสุดยอดนักขายดาวจรัสแสง
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเปนเศรษฐีผูมีความสุข
ƒ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะอายุยืนถึงรอยป

การตั้งปณิธานคือวิธีสรางความรูสึกดีวิธีหนึ่ง ลําดับตอไปผมจะพาพวกเราไปรูจักกับวิธีที่สอง
ในการสรางความรูสึกดีเพื่อดึงดูดสิ่งที่เราตองการ

132
บทที่ 5
เขียนบทใหมใหตรงกับที่เราอยากใหมันเปน

เทคนิคการสรางความรูสึกดีที่มีพลังมหาศาล คือ “การเขียนบทใหม” กับ “ทุกเรื่อง” ใหตรงกับ “สิ่งที่เรา


อยากใหมันเปน หรืออยากใหมันเกิด” โปรดสังเกตคําวา “ทุกเรื่อง” มันแปลวาเชนนั้นจริง ๆ ไมวามัน
จะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม พวกเราก็สามารถใชเทคนิคนี้ได สวนการเขียนใหตรงกับ “สิ่งที่เราอยากใหมัน
เปน หรืออยากใหมันเกิด” นั้นก็มีความหมายตามคําพูดเปะเลย กลาวคือ เราไมสนวาตอนนี้ความเปน
จริงคืออะไร เราสนแตวาเราอยากใหสิ่งตาง ๆ กลายเปนอะไรเปลี่ยนไปอยางไร และเราอยากเห็นอะไร
เกิดขึ้นในอนาคต เอาละไปดูตัวอยางที่ผมเขียนบทใหมใหกับภรรยาของผมกันดีกวา

ตัวอยางการเขียนบทใหมใหกับภรรยาของผม

ภรรยาของผมนั้น เธอเปนคนที่….
ƒ เธอราเริงและมีความสุขมาก
ƒ เธอดูแลตัวเองไดเปนเลิศ
ƒ เธอเกงมากขึ้น และมากขึ้น
ƒ เธอเฉลียวฉลาด
ƒ เธอสุขภาพดีและแข็งแรงมาก
ƒ เธอใจดี และสรางสรรค
ƒ เธอไดพบแตเรื่องดี ๆ
ƒ เธอรักลูกและสามีเปนที่สุด
ƒ เธอเปนภรรยาที่ยอดเยี่ยม

คุณผูอานที่รัก เทคนิคที่ผมเขียนบทใหมใหกับภรรยาของผมนั้น มีรายละเอียดที่ผมจะอธิบายอีก 3


ประเด็นคือ

1. ผมไมไดสนใจวาภรรยาของผมนั้น… จริง ๆ แลวตอนนี้เปนคนแบบไหน

แตสิ่งที่ผมเขียนคือสิ่งที่ผมปรารถนาจะใหมันเกิดขึ้นในอนาคต คือสิ่งที่ผมเอยากใหเปนไป
ตามที่ผมเขียน ฉะนั้น เทคนิคใหเขียนเฉพาะสิ่งที่อยากใหเปนโดยยังไมตองสนใจวาจะเปน
ความจริงไปตามนั้นไดอยางไร ขอสําคัญ อยาไดเขียนสิ่งที่ไมอยากใหเกิดขึ้นเปนอันขาด

133
2. เนื่องจากวามันคือสิ่งที่ผมอยากจะใหมันเกิดขึ้น มันจึงเปนเรื่องของผม… ไมใช
เรื่องของภรรยา

โปรดอยาสับสนและงงกับตรงนี้นะครับ สิ่งที่ผมตองการ (ไมวาเรื่องอะไรก็ตาม) แมวาจะ


เกี่ยวกับคนอื่นก็ตาม แตตราบใดที่มันเปนความตองการของผม… ยอมตองถือวาเปนเรื่องของ
ผมวันยังค่ํา ฉะนั้น คนที่จะไดอานมันจึงไมใชภรรยาของผม แตคือตัวผมเองที่เปนคนเขียน ผม
ขอย้ําวาผมหามใหภรรยาของผมอานเปนอันขาด ผมเปนคนเขียน ผมจึงตองเปนคนอาน และ
จะวาไปแลว ผมมีสิทธิ์อะไรจะไปใหคนอื่นเขาเปลี่ยนแปลง!!! ผมมีสิทธิ์แคปรารถนาเทานั้น

3. ผมจะอ า นมั นตอนเช า และกอนนอน โดยใสความรูสึก ดีล งไปมาก ๆ กับทุก


ประโยคที่ผมอาน

เพราะวามันคือสิ่งที่ผมตองการนี่แหละคือเทคนิคที่มุงเนน มุงนึก มุงคิด มุงอานแตสิ่งที่ผม


ตองการผมเชื่อวาจะเกิดแรงดึงดูดใหภรรยาของผมคอย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเปนคนในแบบที่ผม
ไดเขียนบทไวทุกประการโดยไมมีการบังคับกันเปนอันขาด
ตอนนี้ พ วกเราคงพอมี ไ อเดี ย บ า งแล ว ว า จะเขี ย นบทใหม ใ ห กั บ ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย า งได
อยางไร จงหาสมุดสวนตัวสักเลมหนึ่งที่ตัวเราเองเทานั้นจะเขียนใหตรงกับสิ่งที่เราตองการให
มันเกิดขึ้นในอนาคตหากคิดไมออก ผมขอแนะนําใหเขียนในลักษณะที่เลอเลิศที่สุดเทาที่เรา
จะสามารถ

คุณแมของฉันเปนคนที่……...........................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
คุณพอของฉันเปนคนที่…………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
สามีของฉันเปนคนที่……………………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
ภรรยาของฉันเปนคนที่…………………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………

134
……………………………………………………………………………………………………………
ลูกของฉัน(ระบุชื่อ) เปนคนที่……………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
เจานายของฉันเปนคนที่………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
ธุรกิจของฉันเปนธุรกิจที่…………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
ตัวฉันเองเปนคนที่………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
โครงการใหมของฉันเปนโครงการที่……………………………………………………………………....
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
สุนัขตัวโปรดของฉันเปนสุนัขที่…………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
รถเกงของฉันเปนรถที่…………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
เพื่อนของฉัน (ระบุชื่อ) เปนคนที่………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
ลูกคาของฉันเปนลูกคาที่…………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………

คุณผูอานที่รัก ไมวาจะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม หากมีสตินึกได ขอใหพวกเราเขียนบทใหม


ใหกับพวกมันทั้งหมดเสมอ ผมไดบอกไวแลววาเมื่อเราเขียนเอง เราตองอานเอง อยาใหคนเกี่ยวของที่

135
อยูในขอความที่เราเขียนถึงไดอานเปนอันขาด และเพื่อยืนยันสิ่งนี้ ผมจะยกตัวอยางสองเรื่องที่นาขัน
ใหฟง สมมติวาผมเขียนบทใหมใหกับรถของผมวา “โอ… เจารถของขา เจาชางเปนรถที่มีสมรรถนะที่
ยอดเยี่ยมเหลือเกินเกาะถนนเปนเลิศ เจารับใชขาอยางซื่อสัตยและทนทานอยางหาที่เปรียบไมได”
ถามจริง… รถของผมมันอานหนังสือที่ผมเขียนออกหรอ!!! ฉะนั้น มันไมมีวันไดอานหรอก แตผมก็เชื่อ
วามันจะเปนไปตามนั้น และนี่คืออีกตัวอยางหนึ่ง “โอ เจาหมานอยของ เจาคือสุนัขที่ฉลาดล้ําลึก เจา
ไดชวยดูแลบาน และระแวดระวังตอคนแปลกหนาไดอยางยอดเยี่ยม และแมแตการเหา เจาจะเหา
เทาที่จําเปนและเหมาะสมเทานั้น มีแตสุนัขที่แสนรูอยางเจาเทานั้นที่ทําไดถึงขนาดนั้น” ถามจริง…
หมาของผมจะอานขอความที่ผมเขียนไดหรือ? ฉะนั้น ผมจึงตองอานเองโดยใสความรูสึกวาหมาของ
ผมจะเปลี่ยนแปลงไปตามที่ผมเขียน พวกเราอาจแยงวา “แลวมันจะเปนไปไดไง?” สหายที่รักทุกสิ่ง
เปนไปไดไมใชแคความคิด… แตดวยความรูสึก ฉะนั้นเวลาอานจึงตองใสความรูสึกเขาไปมาก ๆ และที่
ผมกลาวมาทั้งหมดนี้… ไมใชเรื่องลอเลน เจาหมาตัวนั้นเปลี่ยนไปตามที่เขียนบทไว ผมดึงดูดใหมัน
เกิดไมใชแคความคิด แตดวยความรูสึก ย้ําดวยความรูสึก

136
บทที่ 6
เปลี่ยนจากคิดมาเปนรูสึก

หากพวกเราอยากดึงดูดสิ่งที่ตองการใหเขามาหาเร็วไว แคคิดถึงสิ่งที่ตองการนั้นยังไมเร็วพอ แตตอง


คิดดวยความรูสึก ฉะนั้น แทนที่เราจะพูดวา “คิด” ซึ่งมักทําใหพวกเราลืมวาตองใสความรูสึกที่เขมขน
หรือแรงกลาเขาไปดวย เราจึงตองหาวิธีที่ไมลืมดวยการเปลี่ยนไปใช คําวา “รูสึก” แทนคําวา “คิด” การ
ที่เราจะไดอะไรเขามาในชีวิตของเรานั้น ยิ่งเรารูสึกถึงมันไดมากเทาไหร ยาวนานมากเทาไหร เรา
จะตองไดมันมาอยางไมตองสงสัย ยกตัวอยางในยามที่เราสังหรณใจวาจะมีบางสิ่งบางอยางเกิดขึ้น
รับรองไดเลยวาจะเปนไปตามนั้น เพราะวาลางสังหรณคือความรูสึกที่ชัดและแรงกลาที่สุดในบรรดา
ความรูสึกทั้งหลายที่พวกเราจะสามารถรูสึกได นาเสียดายที่เราไมเขาใจถึงพลังแหงความรูสึก พวกเรา
จึงดึงดูด แมแตสิ่งที่ไมตองการเขามาหาโดยไปรูสึกในเชิงลบมากเกินไป ในภาษาของเรานั้นผมอยาก
แนะนําใหลองหัดพูดใหมหมดเลยดวยการแทนที่ทุกตําแหนงของคําวา “คิด” ดวยคําวา “รูสึก” แลว
พวกเราจะแปลกใจวาเราสามารถตอบคําถามหรือเขาใจสภาพความเปนจริงไดมากขึ้นอยางไมนาเชื่อ
ยกตัวอยางเชน

“ตอนนี้ฉันคิดอะไรอยู?” เปลี่ยนเปน “ตอนนี้ฉันรูสึกอะไรอยู”


“ฉันคิดยังไงกับตัวฉัน?” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกยังไงกับตัวฉัน”
“ฉันคิดอยางไรกับการเรียนของฉัน?” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับการเรียนของฉัน?”
“ฉันคิดอยางไรกับงานของฉัน” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับงานของฉัน”
“ฉันคิดอยางไรกับเพื่อนรวมงานของฉัน” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับเพื่อนรวมงานของ
ฉัน”
“ฉันคิดอยางไรกับสุขภาพของฉัน” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับสุขภาพของฉัน”
“ฉันคิดอยางไรกับลูกของฉัน” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับลูกของฉัน?”
“ฉันคิดอยางไรกับปญหาของฉัน” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับปญหาของฉัน?”
“ฉันคิดอยางไรกับ…?” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับ…?

ดวยการตอบคําถามไปตามความรูสึกจะงายกวาการพยายามคิด และการบานขางลางตอไปนี้
ผมออกแบบมาใหพวกเราโดยเฉพาะเพื่อฝกสรางความรูสึกแทนการคิด ผมรับประกันวาพวกเราจะ
เปลี่ยนแปลงการมองทุกสิ่งในโลกนี้ไปอยางมหาศาลเชนกัน สวนสิ่งที่พวกเราตองการนั้นไมตองหวง
ความรูสึกของเราจะดึงดูดพวกมันใหเขามาหาเราไดเร็วกวาที่เราคาดไว ขอใหพวกเราทําการบาน
ตอไปนี้โดยใชความรูสึกใหมาก ๆ

137
ƒ เทาที่ผานมา โดยรวมแลว คุณรูสึกอยางไรกับตัวคุณเอง?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
ƒ เทาที่ผานมาคุณรูสึกอยางไรกับรูปรางหนาตาของคุณ?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
ƒ เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับหนาที่การงานของคุณและคุณรูสึกอยางไรกับบริษัท และ
เพื่อนรวมงานของคุณ?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
ƒ เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับฐานะทางการเงินของคุณ?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
ƒ เทาที่ผานมา ถาคุณมีครอบครัวของตนเองแลว คุณรูสึกอยางไรกับสมาชิกทุกคนในบานของ
คุณ?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
ƒ เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับสุขภาพของคุณ?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)
ƒ เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับผูคน สังคม สิ่งแวดลอม ประเทศชาติ และโลกใบนี้?
……………………………………………………………………………….………………………
…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)

เมื่อพวกเราไดตอบคําถามเหลานี้ไปตามความรูสึกแลว สิ่งที่ตองรูคือพวกเราไดดึงดูดทุกสิ่ง
เขามาพัวพันในชีวิตของพวกเราไปตามความรูสึกตาง ๆ เหลานั้น หากวารูสึกดีอยูแลว โอ.. นั่นชางเปน
โชคโดยไมรูตัว แตถาพวกเรารูสึกไมดี ผมขอรองใหคอย ๆ ปรับใหรูสึกดี แลวเราจะเปลี่ยนวิธีดึงดูดสิ่ง
ตาง ๆ ไปในทันที กลาวอยางสั้น…. วิธีที่เรารูสึกนั่นแหละ คือวิธีที่เราดึงดูด

138
บทที่ 7
จัดเตรียมสิ่งที่จะขอบคุณไวเสมอ

ขณะนี้เรายังอยูในขั้นตอนที่สามที่ใหสรางความรูสึกดีกับทุกสิ่งที่เราตองการ แตถาเราอารมณเสีย เรา


จะรูสึกดีกับสิ่งตาง ๆ ไดอยางไร? เมื่อเราอารมณเสีย เราอยาไปโกรธวา “ก็รูอยูแลววาอารมณเสียจะ
ดึงดูดเรื่องไมดี แลวยังอารมณเสียอีก นาโมโหตัวเองจริง ๆ” แตตราบใดที่พวกเรายังไมไดรูแจงแลวไซร
มันยอมตองมีอารมณเสียกันบางเปนธรรมดา ฉะนั้น การที่เรารูสึกแยยังไมใชประเด็นที่สําคัญที่สุด แต
ประเด็นที่สําคัญกวาคือเราจะพลิกกลับมาอารมณดีใหเร็วที่สุดเทาที่จะเปนไปไดไดอยางไร? วิธีหนึ่งที่
ดีม ากคื อ การหาทางยา ยความสนใจออกจากสภาวะอารมณเ สียแล ว ไปสนใจสิ่ ง อื่ น ชั่ ว คราวและ
เพื่อที่จะไดรูสึกดีไดไว เราจะสนใจสิ่งอื่นในลักษณะของการขอบคุณขอใหพวกเรานึกถึงอะไรก็ได เชน
ดวงตาของเรา แวนตาของเรา ขาของเรา มือของเรา เสนผมของเรา เสื้อผาที่สวมใสอยู ปายบอกทาง
บนถนนที่เราขับรถผาน ตนไมหรือดอกไมขางทาง น้ําประปา กระแสไฟฟา ถนนหนทาง หรือใครสักคน
ที่เราอยากขอบคุณ เมื่อเราหันไปสนใจสิ่งอื่น เราจะสนใจอารมณที่เสียอยูนอยลง และยิ่งเราไปสนใจ
สิ่งอื่นในลักษณะที่ระลึกคุณหรือขอบคุณมัน นั่นจะยิ่งทําใหเรารูสึกดีขึ้น ทั้งนี้เพราะวาเรามีสองสภาวะ
ซอนทับกันในเสี้ยววินาทีเดียวกันไมได ฉะนั้น แทนที่จะมุงเนน เรื่องเดิมที่ทําใหเราอารมณเสีย เราตอง
ตั้งสติใหไวโดยรีบหาอะไรสักอยางเพื่อขอบคุณมันในใจทันที หากทําดังนี้ ภายในเวลาอันสั้นเราจะ
พบวาเรารูสึกดีขึ้นมาก นี่หมายความวาเราพลิกสถานการณกลับมาสูสภาวะที่ใหพลังดึงดูดสิ่งดีแทน
สภาวะที่ใหพลังงานในการดึงดูดสิ่งเลว การที่เรารูสึกดีขึ้นทีละนิดนั้นคือความสําเร็จอยางแทจริงและมี
คายิ่ง ขอใหผมเตือนใจพวกเราอีกครั้งวา ภารกิจใหญในชีวิตของพวกเรา คือการดําเนินชีวิตดวยความ
ราเริง ปติยินดี และเปยมสุขพวกเราเพียงดํารงสภาวะนี้ไว และยามใดที่หลุดออกไปจากเสนทางนี้ สิ่งที่
พวกเราตองทําคือการกลับเขาสูเสนทางนี้ใหเร็วที่สุดเทาที่จะทําได จงอยาปลอยใหตนเองออกนอก
เสนทางนานเกินไป หาไมแลวพวกเราจะเดือดรอนกับการกวักมือเรียกสิ่งเลว ๆ เขามาหาตนเองอยาง
ไมหยุดหยอน
สิ่งที่เราจะเตรียมไวขอบคุณในยามที่เราอารมณเสียนั้น อาจ เปนอะไรก็ไดทั้งนั้น โปรดรูวา
แมแตของเล็กนอยที่ดูราวกับวาไมสําคัญเลย เชน กระดาษเปลาสักหนึ่งแผน แตเมื่อเราขอบคุณมันเรา
จะพบถึงความออนโยนภายในจิตใจของเรา และเราจะรูสึกดีขึ้นอยางนาอัศจรรยใจ วิธีนี้ผมไดปฏิบัติ
มาแลว ไดรับรูถึงพลังของมันอยางชัดเจน ผมขอรับประกันวามันเปนเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงมาก
อนึ่ง การขอบคุณ…พวกเราไมจําเปนตองรอใหอารมณเสียแลวคอยทําหรอกนะ ผมขอแนะนําใหทําใน
ทุกเชาและกอนนอน ทําสักครั้งละหาถึงสิบนาที แลวพวกเราจะพบวา วันนั้นไดกลายเปนวันที่พิเศษไป
ทั้งวัน ดังนั้น นอกจากการขอบคุณจะสามารถแกไขสถานการณอารมณเสียไดแลว เราสามารถใชมัน
ไดทุกเวลาและสถานที่อีกดวย มันเปนสิ่งที่ใหประโยชนอยางเดียวเทานั้น หาขอเสียไมไดเลย

139
บททื่8
วิธีสรางความรูสึกดีแบบอื่น ๆ

นอกจากที่ไดกลาวมาแลว ผมขอแนะนํากิจกรรมตอไปนี้ที่ลวนแลวแต ยอดเยี่ยมไรเทียมทานทั้งสิ้น


ขอใหพวกเราฝกทําไปตามความชอบก็แลวกัน สวนตัวผมเองนั้น ไดทําทุกอยางที่ผมจะกลาวตอไปนี้

ƒ ไปยืนที่หนากระจก ยิ้มใหกวาง ๆ เปนเวลา 1 นาที ใหทําวันละ 3 ครั้ง (ควรเปดเพลงเพื่อสราง


บรรยากาศ) กลามเนื้อ 80 มัดบนใบหนาจะถูกฝกใหแสดงออกวามีความสุขอยางอัตโนมัติ
(จงเลิกทําตัวเปนเสือยิ้มยากหรือคนหนาเฉยชาเสียที)
ƒ ฮัมเพลง รองเพลง ปรบมือ ดีดนิ้ว ผิวปาก เตนรํา หรือดิ้น โดยเฉพาะการดิ้นกับเพลงมันส ๆ
ผมบอกไดเลยวา เพียงยี่สิบนาที… ทุกอยางจะเรียบรอย
ƒ วิ่งกระโดด… ขอใหลองกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดสลับขาไปมาอยางที่พวกเราเคยทําตอนเด็กดู เราจะ
รูสึกวาสนุกมากทีเดียว
ƒ ทําการเคลื่อนไหวที่ทรงพลัง กลาวคือใหเจตนาเคลื่อนไหวใหเร็ว ๆ สั่นมือไว ๆ ปรบมือแบบ
ปะทะแลวกระชากออกจากกันใหเร็วที่สุด หรือวิ่งอยางเร็วจี๋ (แตตองไมเร็วจนหัวใจวายนะ
ครับ)
ƒ หัวเราะใหดังมาก ๆ โปรดจําไววา บางครั้งการทําตัวราวกับคนบาและไรสาระ คือการมีสาระ
ƒ ทํ า อะไรก็ ไ ด ที่ มั น น า ขั น อะไรก็ ไ ด ที่ มั น ตลก อะไรก็ ไ ด ที่ มั น นอกกรอบ (ที่ ช าวบ า นเขาไม
เดือดรอนนะ)
ƒ และหากวาไมมีอะไรไดผลเลยแมแตอยางเดียว (ซึ่งไมนาจะเปนไปได) งั้นขอใหแคยิ้มไป
เรื่อย ๆ แคยิ้มแลวทุกอยางจะโอเคแคยิ้มแลวทุกอยางจะเรียบรอย แมรูวาฝนยิ้มก็ไมเปนไร ให
ยิ้มตอไปอีกเดี๋ยวจะดีเอง อีกเดี๋ยวการฝนจะหมดไป อีกเดี๋ยวจะไดความรูสึกดีกลับคืนมา และ
วิธีนี้ใชไดในทุกสถานการณ ทุกเงื่อนไข ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกเวลา

140
บทที่ 9
พวกเราทําอยางไรแลวดีขึ้น

นอกจากที่ไดกลาวมาแลว พวกเราทุกคนตางมีกลยุทธ เทคนิค และวิธีการสวนตัวในการสรางอารมณ


ดีและปราบอารมณรายดวยกันทั้งนั้นแหละ ดังนั้นวิธีการเหลานั้นยอมตองรวมเขาไปดวย เอาละ บอก
ผมหนอยสิวา เมื่อพวกเราอารมณเสีย พวกเราทําอยางไรกันบางถึงไดอารมณดีขึ้น

ƒ (เชน ฉันออกไปช็อปปง)…………………………… ……………………………


ƒ ……………………………………………………………………………………
ƒ ……………………………………………………………………………………
ƒ ……………………………………………………………………………………
ƒ ……………………………………………………………………………………
ƒ ……………………………………………………………………………………
ƒ ……………………………………………………………………………………
ƒ ……………………………………………………………………………………
ƒ ……………………………………………………………………………………

พวกเราที่รัก อะไรที่มันเคยไดผลมาแลว ก็ขอใหทําตอไปอะไรที่ยังไมเคยลองทําที่แนะนําไวใน


หนังสือเลมนี้ ก็ลองฝกฝนดู เปาหมายของเราคือการสรางความรูสึกดีกับทุกสิ่งที่เราตองการและการ
แก ไขยามอารมณ เ สีย ใหก ลับมาอารมณดี ไดเ ร็วไว บัดนี้พวกเรากํา ลัง กาวไปสูขั้น ตอนที่สี่ซึ่ งตอน
สุดทายของวิธีดึงดูดสิ่งที่เราตองการแลว ไปตอกันเลยครับ

141
บทที่ 10
ขั้นที่ 4 ปลอยใหมันเกิดขึ้น

พวกเราไดศึกษาเรื่องวิธีดึงดูดสิ่งที่เราตองการผานไปแลวถึงสามขั้นตอนและเพื่อกันลืม ผมจะทบทวน
ใหอีกครั้งดังนี้
1. จงระบุออกมาใหชัดวาอะไรคือสิ่งที่พวกเราไมตองการ
2. จากนั้น จงเปลี่ยนสิ่งที่ไมตองการในขอหนึ่งใหกลายเปนสิ่งที่ตองการ
3. ใหดําเนินชีวิตประจําวันดวยการทําใหตนเองรูสึกดี (มาก ๆ ) กับสิ่งตาง ๆ ที่เรา
ตองการในขอสอง บัดนี้เรากําลังเขามาสูขั้นตอนที่สี่ซึ่งเปนขั้นตอนสุดทายแลว
4. หลักการของขั้นที่4 มีอยูวา ใหเราทําตัวพรอมกับดําเนินชีวิตตอไปอยางราเริง
ที่สุดเทาที่จะทําได และในระหวางนั้น ใหเชื่อวาสิ่งที่พวกเราตองการกําลังอยูบนเสนทาง
ของมันที่ตรงดิ่งมาหาเรา และเราเองก็เชนกันที่กําลังอยูบนเสนทางที่ตรงดิ่งไปหามัน เรา
และมันกําลังดึงดูดซึ่งกันและกัน จงใหเวลาเพื่อปลอยใหมันบังเกิดขึ้นโดยไรความกังวลจง
ราเริงใหมาก ๆ เสมอ

เมื่อเราไดทําถูกมาถึงสามขอแลว เปรียบไดกับเราไดหวานเมล็ดพันธุไปแลว ดังนั้นมันจะมีเวลา


ทิ้งชวงจํานวนหนึ่งกอนที่เราจะไดเก็บเกี่ยว ไมมีใครหรอกที่สามารถหวานในวันนี้แลวเก็บเกี่ยวในวัน
พรุงนี้ทันที ก็เชนกัน พวกเราตองไมใจรอนจนเกินไป สิ่งที่ควรทําที่สุดในชวงเวลาเชนนี้คือความรูสึก
เชื่อมั่น ความรูสึกมั่นใจ และการปลอยวางกฏแหงการดึงดูดจะทํางานในสวนที่เหลือใหเราเปรียบ
เหมือนกับวาเราไดทําหนาที่ของเราคือหวานเมล็ดพันธุลงในดินแลว รดน้ําพรวนดินแลว ฉะนั้น หนาที่
การเจริญเติบโตยอมเปนของเมล็ดพันธุดวยตัวมันเอง และเวลาที่มันตองใชเพื่อการเจริญเติบโตนี่แห
ละคือเวลาทิ้งชวงที่เราตองมอบใหกับมัน ฉะนั้น เราจะกังวลไปทําไมวาเมล็ดพันธุที่เราเพาะปลูกจะไม
เจริญเติบโตใหเราเก็บเกี่ยว มันชางเหลวไหลสิ้นดี ดังนั้น นอกจากความราเริง ความปติยินดี ความ
เชื่อมั่นและการปลอยวางวามันจะตองเปนไปตามกฏอยางแนนอนแลวพวกเราอยาไปวิตกกังวลเปนอัน
ขาด เพราะวาการวิตกกังวลแปลวาเรารูสึกไมดีตอสิ่งที่เราตองการ นั่นคือการทําตรงขามเสียแลว แลว
เราจะไดสิ่งที่เราตองการไดอยางไรในเมื่อเรารูสึกไมดี และตอไปนี้เปนอาการของคนจํานวนหนึ่งที่เรา
หามเลียนแบบหากเราไมอยากผลักไสสิ่งที่เราตองการใหไกลออกไปอีก

142
“ไอสิ่งที่ฉันตองการเนี่ย เมื่อไหรมันจะไดสักทีวะ?”
“นี่มันก็หลายวันแลว แตไอที่รอคอยไมมีทาทีเลย ควาน้ําเหลวละมั้งเรา?”
“ฉันก็ทําถูกทั้งสามขั้นตอนแลวนี่หวา แตไหงไมไดสิ่งที่ตองการวะ?”
“เซ็งวะ เมื่อไหรมันจะมาสักทีวะ?”
“ฉันกะแลววามันคงไมเปนไปอยางที่ฉันคิดหรอก”

ยามใดที่เราพูดหรือนึกคิดดวยประโยคอยางนั้น มันทําใหเรารูสึกแยอยางชัดเจน มันจึงขัดแยง


กับเจตนารมณที่เราพยายามจะสรางความรูสึกดีใหกับสิ่งที่เราตองการ สิ่งที่เราตองทําจริง ๆ คือสราง
ความรูสึกวาสบายใจ ราเริง ยิ้มแยมแจมใส ปติยินดี และมีชีวิตชีวาใหมาก ๆ สิ่งที่เราตองทําก็คือ
ออกไปทํางานดวยความกระตือรือรนกระฉับกระเฉง ใหคงความราเริงไวมาก ๆ หากยามใดเกิดนึกถึง
สิ่งที่ตองการขึ้นมาครั้งใด ก็ใหนึกคิดไปในลักษณะเชิงบวกทั้งสิ้น นี่แหละคือการรูสึกเชื่ออยางแทจริง
และการเชื่ออยางแทจริงนั่นแหละคือเนื้อหาของหัวขอนี้ที่วา .... ปลอยใหมันบังเกิดขึ้น
ในเมื่อพวกเราไดเขาใจเทคนิคการดึงดูดสิ่งที่ตองการอยางถองแทแลว มันยอมถึงเวลาแลวที่
พวกเราจะสรางอนาคตใหอยูในกํามือของเรา และตอไปนี้คือเนื้อหาของภาคสุดทายที่จะทําใหพวกเรา
มองเห็ น โอกาสในโลกยุ ค ใหม ว า มั น สดใสซาบซ า กว า ยุ ค ใด นี่ คื อ ยุ ค ที่ ค นเราสามารถประสบ
ความสําเร็จไดงายกวายุคกอน ๆ เราไปศึกษากันเถอะวา ในภาคที่ 4 จะมีขอมูลสําคัญอะไรบางแก
พวกเราบาง

143
ภาค 4
อนาคตอยูในกํามือของเรา

144
บทที่ 1
ภูเขาแหงความมั่งคั่งทั้งหก

ในโลกยุคใหมนี้ ความมั่งคั่งร่ํารวย และความสําเร็จคือโอกาสที่เปดกวาง แตสิ่งที่ขาดไมไดคือการมี


เปาหมายหรือรูวาพวกเราจะมั่งคั่งร่ํารวยกับอะไรบาง? ฉะนั้น พวกเราตองมองไปที่ภาพใหญกอนวา
ตอนนี้คนในโลกกําลังร่ํารวยกับอะไรอยู จากนั้น พวกเราถึงจะคิดไดชัดเจนวาจะร่ํารวยกับเขาบางได
อยางไร ตอไปนี้คือภูเขาแหงความมั่งคั่งทั้งหกที่คนในโลกกําลังสรางกันอยู

โลกแหงสินคา และบริการ ไดแกสินคาและบริการทุกชนิด


โลกแหงอสังหาริมทรัพย ไดแก บาน ตึก และที่ดิน เปนตน
โลกแหงการลงทุน เชน หุน พันธบัตร ตราสารหนี้ เปนตน
โลกแหงธุรกิจเครือขาย ซึ่งปจจุบันขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
โลกแหงนักขายมืออาชีพ และสุดยอดนักบริหาร
โลกแหงการทํา E-commerce ในอินเตอรเน็ต

ตอนนี้พวกเราคงพอไดไอเดียคราว ๆ แลว ตอไปผมขอใหพวกเราใชความรูสึกกันสักหนอย


เรารูสึกชอบแบบไหนละ ภูเขาทั้งหกนี้ลวนสามารถสรางความมั่งคั่งที่ไรขีดจํากัดไดทั้งสิ้น เราจึงตอง
เลือก หรืออาจเลือกโดยผสมผสานกันมากกวาหนึ่งอยางก็ได ขอใหพวกเราหลับตาลง แลวสรางจินต
ภาพดูวา พวกเรากําลังจะเปนเศรษฐีเงินลานกับภูเขาแหงความมั่งคั่งลูกไหน? สมมติวาเวลาไดผานไป
สามปจากที่พวกเราไดอานหนังสือเลมนี้แลว พวกเราจะยื่นนามบัตรที่บงบอกวาเราอยูในธุรกิจดาน
ไหน มันคืออะไรกันแนพวกเราบอกไดไหมครับขอใหตอบคําถามขอนี้ใหไดเพราะวามันสําคัญที่เราตอง
เห็นภาพใหญของตัวเราเองกอน แลวเราถึงจะสามารถดําเนินชีวิตไปตามนั้นได จงตัดสินใจใหเด็ด
เดี่ยวเสียวาจะเปนเศรษฐีในดานไหน แลวอนาคตจะอยูในกํามือของเรา
เอาละ พวกเรามาฝกพูดในจินตนาการกันหนอย อยาลืมใสความรูสึกเชื่อเขาไปดวยนะครับ

ƒ ผมมั่งคั่งร่ํารวยจากการทําธุรกิจครับ
ƒ ดิฉันมีอิสรภาพทางการเงินจากการสรางธรุกิจเครือขายคะ
ƒ ดิฉันหาเงินลานไดจากอสังหาริมทรัพยคะ
ƒ ดิฉันหาเงินลานไดจากการลงทุนในตลาดหุนคะ
ƒ ดิฉันหาเงินลานไดจากการเปนสุดยอดนักขายคะ
ƒ ผมหาเงินลานจากการเปนสุดยอดนักบริหารครับ
ƒ ผมรวยในพริบตาจากโอกาสที่เปดกวางบนอินเตอรเน็ตครับ

145
ยิ่งเรารูชัดเทาไหรวาตอนนี้เราเปนใคร และตอไปเราจะเปนใคร ยิ่งเรารูชัดเทาไหรวาตอนนี้เรากําลังทํา
อะไร และตอไปเรายังจะทําอะไรอีก ยิ่งเรารูทิศทางวาตอนนี้เราอยูที่ไหน และเรากําลังจะไปที่ไหน
ความสําเร็จยอมเปนเรื่องที่งายขึ้นและเร็วขึ้นเทานั้น คนแบบพวกเรานี้ผมเรียกวา…. คนที่มีเปาหมาย
ครับ

146
บทที่ 2
ชวยสมองอีกสองเรื่อง

คนที่มีอนาคตคือคนที่มีเปาหมาย ยิ่งมีเปาหมายมากก็ยิ่งมีอนาคตมาก สวนคนที่มีเปาหมายนอย


หรือไมมีเปาหมายเลย คือคนที่มีอนาคตนอยมากหรือไมมีอนาคตเลย ศาสตรแหงความสําเร็จจํานวน
หนึ่ ง ที่ผ มศึ ก ษาย้ํ า ตรงกั น ว า เป า หมายคื อ ปจ จัย ตั ว ใหญ ม ากที่ ข าดไมไ ด แ ละผมก็ เ ห็ น ด ว ยว า …
นอกจากพลังแหงอารมณความรูสึกที่ผมไดเนนย้ํามาตลอดทั้งเลมเพื่อความสุขแลว เปาหมายคือพลัง
ที่นําไปสูความสําเร็จ ฉะนั้น เมื่อไหรที่เรามีความรูสึกดี และมอบความรูสึกดีใหกับเปาหมายซะ เราจะ
กลายเปนแบบอยางของคนที่มีความสุขและความสําเร็จที่หาไดยากยิ่งที่ควาไวไดทั้งสองประการ และ
ผมยอมรั บไมไดหากเราจะไดไวเพียงประการเดี ย ว และเพราะวา ตอนนี้ พวกเราเกงเรื่ องพลังแหง
อารมณหรือสภาวะจิตไปแลว ผมจึงไมหวงวา พวกเราจะไมมีความสุขอีกตอไป ผมเชื่อวาพวกเราจะ
สามารถจัดการใหตัวเราเองกลับมารูสึกดีมีความสุขไดอยางรวดเร็ว สิ่งที่เหลืออยูคือ การสอนใหสมอง
หรือความคิดของเราใชงานไดอยางมีประสิทธิภาพโดยการสอนมันวา… มีอะไรบางที่เราตองการ ที่มัน
จะตองรูและจดจําใหไดและใหความสําคัญกับสิ่งที่เราตองการอยูเสมอ ดังนั้นเราจึงตองชวยมันอีกสอง
เรื่อง คือ
1. เราตองบอกมันกอนวาเราตองการอะไรบาง… และ
2. เราตองชวยมันจดจําโดยเขียนออกมาใหละเอียด ซึ่งอันนี้แหละคือเปาหมาย

ดังนั้น ถาเราอยากใหสมองมันชวยเรา เราตองชวยมันกอนเอาละ เราไปจัดการกับเรื่องแรกใหสมองกัน


เลย

147
บทที่ 3
สิ่งที่ฉันตองการ?

หากวาจะมีคําถามใดคําถามหนึ่งที่อาจเปนสาเหตุใหคนเรามีโอกาสสุขสมหวังไดแลวละก็ มันยอมตอง
เปนคําถามนี้อยางแนนอน “ฉันตองการอะไร?” และใครก็ตามที่ไมสามารถตอบคําถามขอนี้ไดถูกตอง
แมนยํา ก็อยาหวังเลยวาจะไดพบกับคําวาความสมหวังที่แทจริง คนที่ไมรูวา “ฉันตองการอะไร?”
เปรียบเหมือนกับกอนหิน เมื่อผมถามกอนหินวา “คุณกอนหิน คุณตองการอะไรครับ?” กอนหินจะตอบ
วา “ประทานโทษ นี่คุณจะบาหรือไง ผมไมรูหรอกครับวาผมตองการอะไรผมไมรูดวยซ้ําวาผมมีตัวตน
และอันที่จริงนั้น ผมพูดไมไดอีกดวย” แตคนเราไมใชกอนหิน เราคือมนุษยที่เฉลียวฉลาดที่สุด เรามี
สมองที่มีศักยภาพมากที่สุด แตเราตองบอกมันใหชัดเจนวาเราตองการอะไรเสียกอน แลวมันจะชวย
เราไดอยางมีประสิทธิภาพ และหนทางเดียวที่เราจะชวยใหมันรูก็คือบอกกลาวเลาสิบกับมันซะ คุณ
ผูอานที่รักไดโปรดตอบคําถามนี้อีกครั้ง

สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ
ƒ ………………………………………………………………
ƒ ………………………………………………………………
ƒ ………………………………………………………………
ƒ ………………………………………………………………
ƒ ………………………………………………………………
ƒ ………………………………………………………………
ƒ ………………………………………………………………
ƒ ………………………………………………………………
ƒ ………………………………………………………………

สิ่งที่พวกเราตองการอยางแทจริงนั้นมีมากมาย เนื้อที่วางในหนังสือเลมนี้มีนอยในการใหพวกเรา
ไดซอมเขียนถึงความตองการเพียง 9 ขอขางบนนี้ไมพอหรอก พวกเราตัองหาสมุดสวนตัวมาเขียนเพิ่ม
คอย ๆ ทําไปเรื่อย? ๆ วันไหนนึกถึงอะไรไดเพิ่มเติมอีกก็ใหเขียนเพิ่มเขาไปจนกวาจะสมบูรณ สวน
อะไรที่เราเกิดเปลี่ยนใจวาไมอยากได ก็ใหขีดฆาออกจากรายการที่ไดเขียนไว
ยิ่งไปกวานั้น พวกเราอยาเผลอไปใชถอยคําที่อาจทําใหสับสนได เชนอยาใชคําวา “ควร” ในยาม
ที่เรากําลังยุงอยูกับเรื่อง “สิ่งที่ฉันตองการ” เชน

148
“ฉันควรซื้อรถคันนี้ไหม?” ใหเปลี่ยนเปน “ฉันตองการซื้อรถคันนี้ไหม?” สิ่งที่ผมพยายามย้ําเตือนพวก
เราก็คือ…. ตอนนี้เรากําลังพิจารณาวาเราตองการอะไรจริง ๆ เราไมไดสนใจวามัน “ควร” ไหมเปรียบ
เหมือ นถ า เราสนใจหญิ ง สาวคนหนึ่ง ที่เราอยากรูที่สุดคือ “ฉั น ต องการแตง งานกั บหญิง สาวคนนี้
หรือไม?” ถาตองการจะไดพิจารณาเรื่องวิธีการตอไป ถาไมตองการก็จบซะ แตไมใชถามอยางนี้ “ฉัน
ควรแตงงานกับหญิงสาวคนนี้หรือไม?” นี่แหละที่เปนตนตอที่ทําใหสับสนในแงที่วา… มันเปนคําถามที่
อาจทําใหเราไมรูวาจริง ๆ แลวเราตองการอะไร โลกใบนี้สับสนวุนวายเพราะวาคนจํานวนมากไมรูใจ
ตัวเองวาตองการอะไรกันแน คําวา “ควร” คือตัวบอนทําลายที่เกงที่สุดในโลกนี้เลยทีเดียว
“ฉันควรกลับบานตอนนี้ไหม?” คําถามแบบนี้เหมือนดีและมีเหตุผลใชไหม? แตผมใหคะแนน
เทากับศูนย มันทําใหสมองทํางานหนักโดยไมจําเปน จงเปลี่ยนไปถามวา “ฉันตองการกลับบานตอนนี้
ไหม?” งาย ๆ แคนี้เอง จงใหทิศทางการคิดที่ชัดเจนกับสมองซะ แลวมันจะงายขึ้นเยอะ
“ฉันควรไปดูหนังเรื่องนี้ไหม?” คําถามแบบนี้ก็เชนกันที่ไมไดเรื่อง พวกเราจงถามใหมวา “ฉันตอง
ดูหนังเรื่องนี้ไหม?” แบบนี้คอยรูเรื่องหนอย แบบนี้ซิที่ชวยสมองใหทํางานอยางมีประสิทธิภาพ “ฉันควร
มีสุขภาพที่ ดี ใช ไหม?” บา ชัด ๆ ที่ถามตนเองแบบนี้ เปน คํ าถามที่เหมือนดีแตแยเ พราะไปถามซะ
ซับซอนเชียว จงถามใหมันตรงประเด็นวา “ฉันตองการมีสุขภาพที่ดีไหม?” ถาตองการ ก็ทําไปตามนั้น
ถาไมตองการก็ทําไปตามนั้น แตอยางนอยตองรูใหชัดวาเราตองการอะไรกันแนใหได
คุณผูอานที่รัก ไมวาเรากําลังอยูที่ไหน? เมื่อไหร? กับใคร? หรืออยูในสถานการณใด ๆ จงถาม
ตนเองวา “ตอนนี้ฉันตองการอะไร?” จงฝกใหเคยชินจนอยูตัวที่จะถามตนเองวา “ฉันตองการอะไร” ไป
จนตลอดชีวิต แลวชีวิตของพวกเราจะแสนวิเศษ สวนคําถามที่วา “ฉันตองทําอะไรตอไป” หรือ “ฉันควร
ทําอยางไร” นั้น พวกมันเปนคําถามที่สามารถถามไดตอเมื่อเรารูแลววา…เราตองการอะไร

149
บทที่4
ตั้งเปาหมาย

เมื่อเรารูชัดเจนแลววา เราตองการอะไร ขั้นตอไปที่เราตองชวยสมอง คือ ชวยใหมันจดจําอยางฝงใจ


ดวยการเขียนสิ่งที่ตองการและวิธีที่จะไดมาดวยเทคนิคที่เรียกวา “การตั้งเปาหมาย” พวกเราหลายคน
มักคิดวา “แตฉันตองจําไดอยูแลวนี่วาฉันตองการอะไร” นี่คือสิ่งที่คนสวนใหญในโลกเปนกันทั้งนั้น ผม
กลาพูดวา “คนสวนใหญ” เชียวรึ! ยิ่งกวากลาอีกเพราะตัวเลขที่ผมรูทําใหผมช็อก

ƒ มีคนรอยละ 3 เทานั้นที่เขียนเปาหมายลงบนกระดาษ
ƒ สวนใหญที่เหลืออีกรอยละ 97 ไมเคยทําเลยชั่วชีวิต

ยิ่งไปกวานั้น ตัวเลขเกี่ยวกับผลประโยชนที่คนสองกลุมนี้ไดรับก็นาตกใจไมแพกัน กลาวคือคนที่มี


เปาหมายประสบความสําเร็จเปน 2 ถึง 10 เทาของคนที่ไมมีเปาหมายหรือไมไดเขียนเปาหมายไวใน
กระดาษ ดว ยเหตุ ผลนี้ ผมมั ก บอกกั บผูฟ งในการบรรยายของผมทุ กครั้ง วา “ใหรีบย า ยตนเองให
กลายเปนคนรอยละ 3 ที่เขียนสิ่งที่ตองการลงบนกระดาษ และที่จริงพวกเรานาจะตื่นเตนที่เราได
กลายเปนคนรอยละ 3 นั่น และคําถามเดียวที่ผมสามารถถามพวกเราไดก็คือ “พวกเราตองการ
กลายเปนคนรอยละ 3 ไหมละ?” ถาตองการมันก็งาย ถาไมตองการ เชื่อผมเถอะ… วางหนังสือเลมนี้
ลงหรือไมก็บริจาคมันใหกับคนอื่นเสียเถอะ

ตอไปนี้คือคําถามสําคัญ

คุณตองการและตัดสินใจที่จะกลายเปนคนรอยละ 3 ทีมีอนาคตมากหรือไม? หากคําตอบคือใช งั้นเรา


ไปดูตอวาการตั้งเปาหมายที่ดีมีองคประกอบอะไรบาง?
1. ระบุสิ่งที่ตองการใหชัดเจนวามันคืออะไรบนหัวกระดาษ
2. ใสระยะเวลาที่คาดวาจะใชเพื่อใหไดมันมา หรือบอกกําหนดเสนตายเอาไววาเราจะ
ทําใหเสร็จภายในวันที่เทาไหร เดือนอะไร และปไหน?
3. เขียนเหตุผลใหมากที่สุดวาทําไมเราถึงตองการสิ่งนี้ ยิ่งเรามีเหตุผลหรือความจําเปน
มากเทาไหร นั่นแปลวาเรามีแรงขับหรือแรงจูงใจมากมายตอการที่จะยอมทุมเทเพื่อใหได
มันมา คําวา “ทําไม” นั้นเปนคําที่ตองใชดวยความระมัดระวัง แตถาเรารูชัดเจนแลววาเรา
ตองการอะไร คําถามที่ถามตอไปวา “ทําไมฉันถึงตองการมันนักละฉันทําไปเพื่อใครหรือ
เพื่ออะไรละ” คําถามทํานองนี้กลับทําใหเรายิ่งรูชัดวา… เราตองการสิ่งที่เราตั้งเปาหมาย

150
ไวจริงหรือเปลา ตามปกติแลวมันจะใหพลังกับเรามากขึ้น เพราะมันกระตุนใหเราลงมือทํา
เพื่อบรรเทาหรือใหไดมาสิ่งที่เรายังขาดแคลนอยูนั่นเอง ผมเคยพบคนมามากที่บอกวาทํา
เพื่อลูก เพื่อพอแม เพื่อนอง ๆ เพื่อจะไดไปทองเที่ยวรอบโลก หรือเพื่ออะไรก็ตาม สิ่ง
เหลานั้นแหละคือเหตุผลที่อาจเปนไปไดในขอที่ 3 นี้ ฉะนั้น จงระดมสมองและเขียนพวก
มันออกมามาก ๆ
4. ระดมความคิดถึงการกระทําตาง ๆ ที่อาจเปนไปไดทั้งหมด ในขั้นตอนนี้ยังไมตอง
คิดถึงลําดับความสําคัญเพราะจะทําใหยาก ขอใหเขียนมันออกมาเทาที่จะนึกคิดได เขียน
ใหมาก ๆ ขั้นตอนนี้อาจกินเวลาหลายวันก็ได และเมื่อไหรที่คิดเพิ่มอีก ก็เขียนเพิ่มเขามา
ในหัวขอนี้อีก
5. เอาขอมูลจากขอ 4 มาจัดลําดับความสําคัญ เขียววาอะไรตองทํากอน อะไรตองทํา
หลัง นี่คือการวางแผน ลองนึกถึงตอนที่เราเคยจัดตารางสอนไปโรงเรียนดูสิ สิ่งที่เราทําใน
ขั้นตอนที่ 4 ก็คลายกับแผนของการปฏิบัติที่จัดตารางสอนแลวนั่นเอง
6. ใหลงมือทําไปตามแผนที่ไดกําหนดไวในขอที่ 5 ทันที คนจํานวนหนึ่งวางแผนเสร็จ
แล ว เมื่ อ ทํ า มาจนถึ ง ข อ ที่ 5 แต แ ล ว กลั บ หยุ ด อยู แ ค นั้ น มั น น า เสี ย ดายจริ ง ๆ มี ก าร
ลอเลียนกันมากกับเรื่องแบบนี้ เชน “คุณวางแผนไวหรือยัง?” แลวคําตอบที่ไดกลับมาคือ
“วางไวแลวครับ คือผมเอาแผนวางไวแลวครับ” ก็เลยไมไดทําสักที ขงจื้อสอนไวดีมากวา
“หนทางหมื่นลี้ เริ่มตนที่กาวแรก” ฉะนั้นพวกเราตองรีบรอนที่จะทําใหมันแนนอนลงไป
ดวยการ “ทํามันไปเลยทันทีเมื่อวางแผนเสร็จ” หาไมแลวเราอาจลังเลได อันวาคนโลเลนั้น
คืออาการของคนที่พายเรือในอาง หรือทําอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ คือมักไปไดไมถึงไหนสักที
ฉะนั้น กอนที่จะเกิดการเปลี่ยนใจขึ้น จงมุงเนนไปที่การปฏิบัติจนเกิดแรงสงที่หนุนใหเรา
ทําตอไปไดโดยงาย และดํารงการกระทําและแรงสงนั้นไว นี่แหละคือวินัยเล็ก ๆ ที่ผมเคย
กลาวถึงมาแลว
7. ทําตอไปอยางคงเสนคงวา โดยสังเกตหรือใหรูสึกไววาเรากําลังไดผลลัพธอะไรอยู ถา
มันใชสิ่งที่เราตองการ ก็ขอใหเรามุงเนนการปฏิบัติตอไป แตถาไมใช ขอใหเราปรับแผน
โดยเปลี่ยนวิธีการใหม ๆ จากนั้นสังเกตอีกวาเรากําลังไดผลลัพธแบบไหนอยู ตรงกับที่เรา
ตองการหรือไม หากไมใชก็เปลี่ยนอีก ถาหากวาไมใชอีกก็เปลี่ยนอีก ทําไป ยืดหยุนไป
ปรับวิธีการไปจนกวาเราจะบรรลุเปาหมายที่เราตองการ

อนึ่ง เปาหมายบางอยางไมมีกําหนดวันทําเสร็จ ในกรณีนี้ใหระบุวา “ตองทําตลอดไป” เชนเรื่อง


การดู แ ลสุ ข ภาพให ดี ที่ สุ ด อยู เ สมอย อ มเป น เป า หมายที่ ไ ม มี วั น ทํ า เสร็ จ เช น เดี ย วกั บ สุ ข ภาพที่ ดี
เจตนารมณที่จะมีสภาวะจิตที่แข็งแกรง อารมณดี มีความสุข ความสงบ สุขภายใน และนามธรรมอืน่ ๆ

151
อีกมากลวนแลวแตเปนเปาหมายที่เมื่อตั้งขึ้นมาแลว ลวนเขาขายเปนเปาหมายยาวนานตราบจนชีวิต
จะหาไมทั้งสิ้น ในเมื่อผมไดกลาวถึงเปาหมายแลว ผมยังมีสูตรแหงความสําเร็จที่จะมอบใหอีกดวย มัน
เปนสูตรที่งายและตรงกับสามัญสํานึกของเราเปนอยางยิ่ง อานครั้งเดียวก็นาจะจําขึ้นใจไดแลว

152
บทที่5
สูตรความสําเร็จ

กลาวกันวา ความสําเร็จทิ้งรองรอยใหคนเราไดศึกษาสาเหตุแหงความสําเร็จอยูเสมอ ผมขอแนะนําสัก


สูตรหนึ่งที่ผมชอบเปนพิเศษ สูตรนี้คือ K-F-C

K = Know what want


รูวาคุณตองการอะไร
F = Find out what you are getting
รูวาตัวคุณเองกําลังไดอะไรอยู
C = Change what you do until you get what you want
เปลี่ยนสิ่งที่คุณทําจนกวาคุณจะไดรับสิ่งที่คุณตองการ

สูตรนี้เมื่อพิจารณาโดยเนื้อหาของมันแลว… มีใครบางไมรู?
มันชางเปนสามัญสํานึกที่งายแท ๆ เชียว แตใหผมสารภาพบาปหนอยดีไหม ผมเพิ่งรูและใชมันอยาง
จริง ๆ จัง ๆ มาไมเกิน 4 ปเทานั้นเอง คิดดูสิครับวาจะมีคนอื่นที่เปนแบบผมเยอะไหม ผมคิดวาเยอะ
ถามวาทําไมผมไปเชื่อแบบนั้นละ ก็ถาความสําเร็จมันทวมทนไปกับคนจํานวนมากในประเทศแลวละก็
ทําไมเรายังจะตองไปแกไขปญหาเรื่องปากทองกันนักเลา นั่นยอมหมายความวา มันกลับเปนเรื่องที่
เพื่อนรวมชาติและเพื่อนรวมโลกของเรารูจักหรือเขาใจสูตรแหงความสําเร็จนอยมาก และใหตาย
เฮอะ… ตั้งแตอนุบาลยันปริญญาตรี เคยมีใครสักคนบอกผมเรื่องสูตรแหงความสําเร็จบางไหมพับผา
เถอะ!!!
พวกเรามักรูกันอยางกระทอนกระแทน ไมคอยเปนระบบ และสวนใหญไมรูเลย ผมคิดวาฝรั่งก็ไม
รู ครั้งหนึ่งผมเคยคุยกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเมื่อปที่แลว ผมบังเอิญไดถามเขาถึงคนดัง ๆ หลาย
คนที่เปนผูนําในดานการพัฒนาตนเองที่อยูในสหรัฐอเมริกา แตเขาไมรูจักใครแมแตคนเดียว…. ใหตาย
สิโรบิ้น ผมตองรีบเปลี่ยนเรื่องคุยแทบไมทัน และผมไดตระหนักรูวา คนในโลกที่สนใจศึกษาเรื่องการ
พัฒนาตนเองอยางไมหยุดยั้งนั้นไมมีมากเลยเมื่อเทียบกับประชากรโลกที่มีถึงราวกวาหกพันลานคน
ฉะนั้น เมื่อพวกเรารูสูตรนี้ K-F-C แลว ผมวาพวกเราเปนตอนะ

153
บทที่ 6
สิ่งที่หยุดยั้งเราไวคือ ความกลัว

การที่คนเราไมคอยรูวาพวกเขาตองการอะไรจริง ๆ นับวาเปนปญหาที่หนักหนวงในตัวมันเองมากอยู
แลว แตปญหาไมไดจบลงแคนั้น เพราะตอใหคนเรารูวาพวกเขาตองการอะไรแลวก็ตาม แตจะขาดการ
กระทําหาไดไม ครั้นมองไปตามความเปนจริงที่วา… ผูคนขาดการกระทําหรือเปลา? มันก็ไมเชิงนัก แต
ผมรูสึกวา คนจํานวนมากดําเนินชีวิตไปในลักษณะที่มีความกลัวครอบงําพวกเขามากเกินไป มันจึง
เกิดอาการของโรคที่เรียกวา “ไมกลาทํา หรือทําอยางกลัว ๆ” ดังนั้นความกลัวเลยกลายมาเปนปญหา
ใหญของคนทั่วไป แทบทุกครั้งนสัมมนาของผม ผมจะเตือนใจคนฟงดวยประโยคแรกที่ดังกึกกองวา
“สิ่งที่หยุดยั้งคุณไว คือความกลัว สิ่งที่ปลดปลอยคุณ คือความกลา” ฉะนั้น ความสําเร็จจะเกิดขึ้นงาย
เมื่อพวกเราปฏิบัติภารกิจทั้งมวล ดวยความกลาหาญที่มากขึ้น คนจํานวนมากเก็บกักความกลัวไวใน
ความคิด การที่ไมสามารถตัดสินใจได หรือการคิดวนไปเวียนมาวา จะลงมือทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือไม…
เสียเวลากวาการใชเวลาทําจริงหลายเทา และสุขภาพจิตก็เสียหายตามไปดวย ฉะนั้น พวกเราตองทํา
ความเขาใจกับความกลัวใหมากขึ้น แลวเราจะเอาชนะความกลัวไดมากขึ้นตามไปดวย เราไปจัดการ
กับความกลัวกันเถอะ

154
บทที่ 7
เรากลัวอะไรกันบาง?

เพื่อใหเขาใจถึงความกลัว พวกเราตองรูกอนวาเราอาจกลัวอะไรไดบาง สิ่งที่เรากลัวหรืออาจกลัวไดแก

1. กลัวถูกปฏิเสธ

ทํ า ไมคนเราถึ ง กลั ว การปฏิ เ สธกั น นั ก ล ะ ? เพราะว า ตั้ ง แต เ ล็ ก จนโต คนทั่ ว ไปได
เชื่อมโยงความหายของการปฏิเสธไวในแงลบลวน ๆ สมองของพวกเขาถูกสอนวา “การถูก
ปฏิเสธคือความเจ็บปวด” นอกจากนั้นมันยังอาจหมายถึง การไมไดรับการยอมรับ ความนา
อับอาย ความรูสึกวาทําอะไรก็ไมสําเร็จ (ลมเหลว) หรือแมกระทั่ง “ฉันไมเปนที่รัก” โอโฮ.. มัน
ชางเปนการตีความที่หนักหนาสาหัสมาก และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะพบกับความเจ็บปวดที่
พวกเขาอาจใหความหมายเชิงลบไปตาง ๆ นา ๆ พวกเขาจึงเลือกจะไมทําอะไรก็ตามที่มี
แนวโนมวาอาจจะไดรับการปฏิเสธ ในที่สุด รูปแบบนี้ไดรุกลามไปจนใหญโตขึ้นเรื่อย ๆ จนชิน
กับการกลัวเอาไวกอน การไมทําทําใหพวกเขาปลอดภัยจากการอาจถูกปฏิเสธ แตการไมทําก็
ทําใหพวกเขาไมคอยไดผลลัพธอะไรในชีวิตเชนกัน ชางนาสงสารอะไรเชนนั้นที่พยายามหนี
ออกจากความเจ็บปวดที่อาจไดรับจากคนอื่น แตตองมาเจ็บปวดกับตนเองเมื่อคิดไดวา “ฉัน
ไมมีผลลัพธอะไร!” ฉะนั้นพวกเราตองปลดปลอยความกลัวออกไปจากความคิด ตอไปนี้คือวิธี
เอาชนะความกลัวตัวนี้ ผมขอใหพวกเราพยายามใหความหมายใหมเชน
การถูกปฏิเสธ คือ ความจําเปนของคนอื่น เปนเรื่องปกติแมแตตัวเราเองก็ตองทํา
เชนนั้นกับคนอื่นบาง
การถูกปฏิเสธ คือการลงทุนที่ตองจายออกไปเพื่อความสําเร็จ นอกจากการถูกปฏิเสธ
แปลวาความเจ็บปวดแลว มันยังอาจแปลวาอะไรไดอีกที่ดีกวานั้น (การพูดเชนนี้เปนการใหสติ
เพื่อฉุกคิด)
นอกจากวาพวกเราไดฝกใหความหมายใหมแลว จงใชหลักการที่วา “ทั้ง ๆ ที่ยังกลัว จงลอง
หรือพยายามทําในสิ่งที่กลัว แลวความกลัวจะคอย ๆ ลดลงและสูญสิ้นไปเอง”

2. กลัวความลมเหลว

ทําไมคนเราถึงกลัวความลมเหลวกันนัก? เพราะวาเขากลัววาจะเหน็ดเหนื่อย เสียแรง


เปลา เกรงวาจะขาดทุน กลัววาจะไดมาไมคุมกับที่จายไป กลัววาคนจะดูถูกหรือเยาะเยยถาก

155
ถาง และคิดวามันนาอับอาย แตขึ้นชื่อวามันเปนความกลัวแลว มันมีโทษมากกวาคุณ คนเรา
อาจกลัวลมเหลวไดแตตองไมรุนแรงถึงขนาดไมกลาทําอะไรเลยตราบใดที่สมองยังเชื่อมโยงวา
ความล ม เหลวคื อ ความเจ็ บ ปวด ตราบนั้ น พวกเขาก็ จ ะพยายามหนี ไ ปให ไ กลจากความ
เจ็บปวดหรือความเสี่ยงที่อาจพบกับความเจ็บปวดอยูเสมอ (แตมักหนีไมพนโดยไปเจอกับ
ความเจ็บปวดในอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกวา “โรคชวยเหลือตนเองไมได” นั่นเอง) ทางแกจึง
เหมือนกับที่ไดกลาวมาแลว คือตองพยายามฝกการใหความหมายใหมกับคําวา “ลมเหลว”
ความลมเหลว คือสิ่งชั่วคราวที่เกิดขึ้นเพื่อนําไปสูความสําเร็จ (คิดถึงเด็กหัดตั้งไข ตอง
ลมกอนแตดวยการพยายามตอไป ในที่สุดความลมเหลวชั่วคราวไดยุติลงตลอดไป)
ไมมีความลมเหลวหรอก มีแตความสําเร็จในการผลิตผลลัพธที่เกิดจากการกระทํา
เสมอ
นอกจากความลมเหลวแปลวาความเจ็บปวดแลว มันยังอาจแปลวาอะไรไดอีกทีด่ กี วา
นั้น (การพูดเชนนี้เปนการใหสติเพื่อฉุกคิด) และที่ลืมไมไดคือ “ทั้ง ๆ ที่ยังกลัว ฉันจะลองหรือ
พยายามทําในสิ่งที่กลัว แลวความกลัวของฉันจะคอย ๆ ลดลงและสูญสิ้นไปเอง”

3. กลัวถูกหาวาโง / กลัวความอับอาย

บางครั้งเราอาจกลัวการกระทําบางอยางเชน การยกมือถามครูในชั้นเรียนเมื่อเรายังไมเขาใจดี
แตนั้นมันอาจแปลวาฉันโง และดวยเหตุนั้นเราจึงละการกระทํานั้นซะทั้ง ๆ ที่ถาเราทําลงไป
คนที่จะชมวาเรากลาจะมีมากกวาคนที่ดูถูกเรา บางที่เราอาจไมยอมทําเพราะวาเราไมได
เตรียมตัวมาใหดี เชนตองออกไปพูดหนาเวที เรากลัววาจะทําไดไมดีพอ เราอาจไดรับความอับ
อาย เราจึงกลัวขึ้นมาทันที แตเรื่องนี้แกไขไดดวยการเตรียมตัวใหดีขึ้น แลวเราจะรูสึกมั่นใจวา
จะทําไดดี สวนเรื่องกลัววาใครจะหาวาเราโงนั้น มันเปนเรื่องเล็กแท ๆ แตขืนเรายังกลัวตอไป
มันจะทําใหเรากอนิสัยที่ชวยเหลือตนเองไมได การกลัววาคนอื่นจะวาเราโงนั้น แทบจะรอยทั้ง
รอยที่เราคิดไปเอง คิดอยูฝายเดียว สวนคนอื่นนั้น พวกเขามักสนใจตนเองมากกวาที่จะสนใจ
เรา ผมอยากทาทายใหพวกเราลองไปยืนที่หนาหางเซ็นทรัลสาขาไหนก็ได แลวแกลงถามคน
เดินผานไปผานมาวา “ขอโทษครับแถวนี้มีหางเซ็นทรัลไหมครับ?” ทุกคนจะชี้ไปที่ขางหลัง
พวกเราแลวบอกวา “นี่ไง” รอยละรอยจะชวยตอบคําถามนี้ใหกับพวกเรา ไมมีแมแตคนเดียวที่
พูดวา “ทําไมโงอยางนี้วะ ก็ขางหลังคุณไง” แลวเราจะพบวาคนจํานวนมากอยากชวยเหลือเรา
ขอควรระวังมีอยูอยางเดียว คือตองถามดวยความสุภาพ และก็อยางที่ผมไดบอกไว “ทั้ง ๆ ที่
ยังกลัว จงลองหรือพยายามทําในสิ่งที่กลัว แลวความกลัวจะคอย ๆ ลดลงและสูญสิ้นไปเอง”

156
4. กลัวการเปลี่ยนแปลง

ทําไมคนเราถึงกลัวการเปลี่ยนแปลงทั้ง ๆ ที่คนทุกคนกําลังเปลี่ยนแปลงอยูแลวทุก
ขณะจิต เหตุผลเดียวคือพวกเขากลัววาจะไดรับสิ่งที่แยกวาเดิม เห็นไดชัดวามันมีปญหาเรื่อง
การคาดหวังนั่นเองสมมติวาถาพวกเขากําลังจะไดรับสิ่งที่ดีกวาเดิม พวกเขาตองปติยินดีแทน
ความกลัว ดังนั้น ผมขอใหพวกเรากลับไปอานเรื่องกฏแหงการคาดหวังอีกครั้ง แลวพวกเราจะ
ไมกลวการเปลี่ยนแปลง เทคนิคมากมายที่ไดกลาวไปแลวในหนังสือเลมนี้สามารถจักการกับ
ปญหาทุกรูปแบบได ผมอยากใหพวกเราตระหนักวาเรากําลังเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลาทั้ง
อยางชา ๆ หรืออยางฉับพลัน โดยรวมแลวมันเปนเรื่องธรรมชาติ จําไดไหมวาผมเคยแนะนํา
ถึงขนาดใหพวกเราแทรกแซงระบบใหญภายในตัวเราเอง ฉะนั้น พวกเราตองเอาชนะความ
กลัวตอการเปลี่ยนแปลงใหได มันไดสรางความเสียหายใหกับคนมานับไมถวน เชน คนบางคน
ไมยอมเปลี่ยนอาชีพที่หมดอนาคตแลวเพราะกลัวการเปลี่ยนแปลง ขอใหพวกเราจงกลาที่จะ
เปลี่ยนแปลงกอนที่จะสายเกินไปจนไมทันการณ ผมมีเรื่องตลกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงจะ
เลาใหฟง ลูกชายถามพอวา “ผมไมอยากใหพอแกเลยฮะ” พอบอกวา “ไมไดหรอก” ลูกชายจึง
ถามต อ ไปว า “ทํ า ไมละฮะพ อ ” ขื น พ อ ไม แ ก ล งไปเรื่ อ ย ๆ พ อ ก็ ต ายไปแล ว นะสิ ลู ก เอ ย ลู ก
ตองการอยางนั้นหรือ?” พอทั้งตอบและถามกลับไปบาง
คุณผูอานที่รัก จงสังหารอสูรกายตอนที่ตัวมันยังเล็ก จงจัดการกับความรูสึกกลัวตอน
ที่มันยังไมเติบใหญ หาไมแลวมันจะมีพลังมากจนยากที่จะเอาชนะได และทั้ง ๆ ที่ยังกลัว จง
เขาไปเผชิญหนากับมัน จงลองเขาไปมีประสบการณกับสิ่งที่กลัว จงลองทําในสิ่งที่กลัว จงลอง
ไปอยูในที่มืดถาเรากลัวความมืด จงลองไปหัดวายน้ํา ถาเรากลัวน้ํา จงลองไปฝกทําสิ่งใหม ๆ
ถาเรากลัวการเปลี่ยนแปลง แลวความกลัวในทุกรูปแบบจะคอย ๆ สูญสิ้นไปเอง

157
บทที่ 8
หมดสิทธิ์หยุดการพัฒนาตนเอง

สมัยกอนเมื่อไมเกินรุนพอแมของเรามานี้เอง เมื่อคนเราไดจบการศึกษาแลว คนสวนใหญจะถือวา “ฉัน


เรียนมายี่สิบปแลว พอกันที ไดเวลาทํางานแลว” แตมั่นไมเปนปญหาสักเทาไหรในยุคนั้น แตใชไมได
สํ า หรั บ ยุ ค ป จ จุ บั น จากนี้ ไ ปทุ ก ๆ สามป โลกจะเปลี่ ย นแปลงอย า งก า วกระโดด ลองนึ ก ถึ ง
โทรศัพทมือถือเมื่อกอนเมื่อเทียบกับวันนี้ดูสิ ก็แคสามปเทานั้น…แตมันคนละเรื่องกันไปแลว และภูเขา
แหงความรูใหมกําลังเพิ่มขึ้นเปนสองเทาของตัวมันในทุก ๆ สามป นี่คือโลกยุคใหมที่พวกเราจะตอง
ตื่นตัวในทุก ๆ ดานโดยรวม คติพจน ประจําใจที่ดีที่สุดในวันนี้คือ “การเรียนรูที่จะพัฒนาแบบตอเนื่อง
อยางไมหยุดยั้ง” หากเรายังชะลาใจตอไป อีกหนอยเราจะใชอะไรไมเปนเลย! ผมขอแนะนําใหพวกเรา
สรางนิสัยรักการอานใหมาก ๆ เพราะวาโลกยุคใหมนี้ คือยุคที่ความรูเปนพระเจา สวนเงินที่เคยเปน
พระเจากําลังออนแรงลงไปแลว ทําไมละ ก็เพราะตอนนี้เราไมไดเผชิญหนากับการไมมีเงินสภาพคลอง
นั้นมีอยูแลว แตคําถามเดียวก็คือ จะเอาเงินไปทําอะไรละ? ผมยอมรับวาคนที่ไมมีเงินยอมคิดวาเงิน
สําคัญมาก แตคนที่มีเงินแลวไมมีความรูละจะทําไง? หลาย ๆ คนเก็บเงินไวเฉย ๆ จริงไหมละครั้นลอง
หันไปมองคนที่มีความรูกันบาง ผมสามารถเห็นคนอายุนอย ๆ ที่เกงกลาเรื่องการออกแบบเว็บไซทที่
กําลังรวยเอา ๆ ดวยพลังแหงความรู เขาไมตองมีเงิน แตเขามีความรูนั่นแหละที่จะทําใหเขามีเงิน เรื่อง
อยางนี้เปนไปไมไดเลยในสมัยกอน แตสมัยนี้มันกลับตาลปตรกันหมดแลว คนมีความรูถูกซื้อตัวกัน
เปนวาเลน รวยงายกวาที่ตัวเขาเองไดฝนไวดวยซ้ํา ผมขอยืนยันวา… เงินคือประกาศิตในสมัยกอน แต
ความรูคือประกาศิตในยุคแหงปจจุบัน และคนตัวเล็ก ๆ ทุกคนมีสิทธิ์สรางเรื่องที่ยิ่งใหญได
ฉะนั้ น หากพวกเราหมั่ น ศึ ก ษาอะไรก็ ต ามเพิ่ ม เติ ม วั น ละหนึ่ ง ชั่ ว โมง ภายในสามป เ ราจะ
เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น หากวาเราอานหนังสือในวงการของเราสัปดาหละ 1 เลม ปหนึ่งเราจะอานได 52
เลมนั่นเปรียบไดกับเราไดมอบปริญญาใหกับตัวเราเองปละหนึ่งใบ และหากวาเรามีวินัยอยางตอเนื่อง
เมื่อผานไป 10 ป เราจะอานได 520 เลม นั่นแหละความรูระดับอัจฉริยะ! ผมไดตั้งปณิธานไววาจะเปน
ผูเชี่ยวชาญภาษาจีนกลางภายในสามปผมสรางวินัยวาจะทํางานในตอนกลางวัน สวนตอนกลางคืน
จะใชวลาที่วางจากการเลนและสอนลูกมาศึกษาทบทวนภาษาจีน สามปแปปเดียวก็ผานไปแลว แต
ความรูที่ไดเพิ่มพูนขึ้นทุกวันจะอยูกับผมไปจนตาย ผมคะเนวา มีคนจีนราวหนึ่งพันสามรอยลานคน
จากประชากรโลกทั้งหมดราวหกพันลานคน พูดงาย ๆ คือ ราวทุกสี่คนเปนคนจีนหนึ่งคน ฉะนั้นไมวา
ผมจะเดินทางไปไหนในโลก ผมยอมหาคนที่ผมจะสนทนาดวยไดแน และมันไมจําเปนวาตองเปน
ภาษาจีน หากเราชอบภาษาไหนหรือทักษะใด ขอใหขวนขวายที่จะเรงศึกษาโดยไว อะไรลวนอาจ
เปนไปไดในโลกนี้ยุคนี้ทั้งนั้น จําไวเสมอวา นี่มันคือยุคของความรูเปนใหญ เดี๋ยวนี้มันเปนยุคที่เขาขาย
แมกระทั่งไอเดียกันแลว จะประดุจมีแสงรัศมีที่เรืองรองรอบตัว มีแตคนที่อยากจะเชิญเราไปรวมทํา

158
การคา ขอคําปรึกษาหารือ หรือเชิญเราไปทํางานใหเขา ชางเปนเกียรติและมีศักดิ์ศรีอะไรเชนนั้น! สวน
ใครที่ยังไมเชื่อวาโลกไดเปลี่ยนไปแลว แถมทําตัวไรการพัฒนาอยางตอเนื่อง ชีวิตไรความรูของเขาคง
ไดเฉาอยูกับเงินที่เก็บไวตามลําพังอยางเงียบ ๆ และเดียวดาย

159
บทที่ 9
สถิติไมโกหก

ƒ ปจจุบันมีเศรษฐีในสหรัฐราว 5 ลานคน
ƒ มีเศรษฐีเกิดใหมมากกวาปละ 100,000 คน
ƒ เฉลี่ยแลวทุก ๆ 5 นาทีที่ผานไปจะเกิดเศรษฐีใหม 1 คน
ƒ คาดวาคาเฉลี่ยกําลังเรงขึ้นไปที่ 1 นาทีตอ 1 คน
ƒ พวกเขาเกือบทั้งหมด เริ่มตนจากมือเปลา
ƒ พวกเขาเกือบทั้งหมด เคยลมเหลว ถังแตก ลมละลาย ราว 3.3 ครั้งกอนเปนเศรษฐี

คุณผูอานที่รัก สมัยนี้ ผูคนเปนเศรษฐีไดงายกวาสมัยกอนเพราะวาอุปสรรคหลายประการไดถูกกําจัด


ทิ้งไปแลวเชน
ƒ สมัยกอนมีสงครามบอย รบกันแตละครั้งก็ยาวนาน แลวจะเอากะจิตกะใจที่ไหนไปทํามา
คาขายได
ƒ โรคระบาดในสมัยกอนทําใหคนตายเปนเบือแบบนับไมถวนแตเดี๋ยวนี้ไมมีการตายทีละมาก ๆ
อยางนั้นอีกแลว สมัยนี้ตายแค 5 คนก็เปนขาวดังไปทั่วโลกแลว
ƒ คนในยุคนี้มีเทคโนโลยีที่เปนเลิศ ทําใหคาขายกันไดสะดวก รวดเร็วกวา คิดดูสิ ทุกอยางดีกวา
สะดวกสบายกวา มีบริการมากกวา รวดเร็วกวา สมัยนี้คือยุคจิ๊กโกใจรอน ดังนั้น เจาของธุรกิจ
ก็ตองรีบควาโอกาสไว คือใหบริการสงสินคาแบบ “โคตรดวน” (ขอชมดวยจิตคารวะ) เมื่อยี่สิบ
ปกอนผมเคยสั่งหนังสือตางประเทศ หกเดือนยังไมไดเลย มันตางกันมากเมื่อเทียบกับสมัยนี้
แลวคิดดูสิอยางไหนจะขายไดมากกวากัน ระหวางหกเดือนไปแลวยังไมไดสินคากับจะสงให
ภายในสามวัน สวนสินคาภายในประเทศไมตองพูดถึงบางอยางนั้นล้ําหนาไปไกลมากถึง
ขนาดที่วา ถาอาหารที่นํามาสงไมรอนไมเก็บเงิน โอ.. ชางล้ําเลิศจริง ๆ

ยิ่ ง ไปกว า นั้ น ด ว ยเทคโนโลยี มั น จึ ง เป น ยุ ค ที่ ตั ว สิ น ค า มี คุ ณ ภาพสู ง และราคาถู ก นี่ คื อ ข อ


ไดเปรียบอยางชัดเจน มันจึงขายดีเปนเทน้ําเททา และผูคนที่รูจักทํามาคาขายจึงตางพากันรวยเอา ๆ
เปนวาเลน นี่คือยุคที่ร่ํารวยไดงายที่สุดแลวขอบอก

160
บทที่ 10
เปนเจาแหงการใชกลยุทธ

การดําเนินชีวิตนั้นตองมีกลยุทธ และสุดยอดแหงกลยุทธก็คือการที่ พวกเราคนหาตนแบบของคนที่ได


สิ่งที่พวกเราตองการไปแลวใหพบตอไปนี้คือสี่ขั้นตอนในการดําเนินกลยุทธขั้นสุดยอด

1. อยาเริ่มตนเรียนรูจากศูนยโดยไมจําเปน
2. คนหาวาใครคือคนที่ มี เปน หรือได ในสิ่งที่เราตองการไปแลว
3. จงศึกษา ไตถาม วาเขาทําไดอยางไร
4. จากนั้นจงทําตามเพื่อผลิตผลลัพธซ้ําในสิ่งที่เราตองการ

ยกตัวอยางเชน ถาพวกเราอยากลดความอวน จงหาตนแบบของคนที่รูปรางสมสวนและสุขภาพ


ดีใหพบ ถามเขาวาเขาเชื่อในอะไร เขากินอะไร เขาออกกําลังกายและดูแลตนเองอยางไร เมื่อไดเคร็ด
ลับจากเขาแลว ใหลองทําตามไปเพื่อสรางผลลัพธอยางเดียวกับเขา จําไววา จงอยาไปหาหมอหรือใคร
ก็ตามที่อวนฉุเพื่อขอความชวยเหลือเรื่องการลดน้ําหนักเปนอันขาด นั่นไมใชตนแบบที่จะใหคําปรึกษา
ที่เหมาะสมกับเราได ลําพังเขาเองยังเอาตัวไมรอดเลย!
ในทํานองเดียวกัน จงหาตนแบบในทุกเรื่องที่พวกเราตองการใหพบ ถามเขาวาเขาทําอยางนัน้ ได
อยางไร จงขอเคล็ดลับจากเขา จากนั้นนําไปปฏิบัติดูวามันใหผลลัพธตรงกับที่เราตองการหรือไม ถาไม
จงหาตนแบบใหม วิธีนี้เราจะประหยัดเวลาไดเปนอันมาก

161
บทที่ 11
พวกเราตองการมันไหม?

ในที่สุด ภารกิจของผมกับหนังสือเลมนี้ไดเดินทางใกลถึงจุดหมายปลายทางแลว ผมอยากฝากคําถาม


ที่สําคัญใหพวกเราตอบ ไมมีใครบังคับใครได พวกเราแตละคนตองตัดสินใจดวยตัวเอง สิ่งตอไปนี้พวก
เราแตละคนตองการมันไหม?

1. การดําเนินชีวิตอยางปฏิหาริยดวยการมีสุขภาพรางกายที่แข็งแรงยิ่ง
2. การดําเนินชีวิตอยางปฏิหาริยดวยการมีสมองที่เฉลียวฉลาดเปนเลิศ
3. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนเจาแหงการเงินและหนาที่การงาน
4. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนเจาแหงความสัมพันธที่เลอเลิศ
5. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนเจาแหงดุลยภาพของกาลเวลา
6. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนนายแหงอารมณความรูสึก
7. และสุดทาย การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการมีจิตวิญญาณที่สงบสุข และเปยมสุข

คุณผูอานที่เคารพ ผมมีคําพูดนับลานคําที่ไดพูดออกไปแลว และผมหวังวาผมจะมีคําพูดอีกหนึ่งลาน


คําที่จะไดพบกับพวกเราอีกครั้งในอนาคตอันใกล ผมขออวยพรใหพวกเรามีแตความสุขและความรา
เริงอยูเสมอ และถอยคําสุดทายจากสวนลึกแหงจิตใจของผมที่ขอมอบใหก็คือ

“การตัดสินใจคือบิดาแหงการกระทํา
และการลงมือทํา คือการเริ่มตนที่แทจริง”

จนกวาจะพบกันอีกครั้ง
รักยิ่ง วันชัย ประชาเรืองวิทย

162

You might also like