You are on page 1of 332

 

                                                   
อนุโมทนาพจน์

สุขภาพร่างกายก็เป็นธรรมดาทีจ่ ะต้องร่วงโรยไปตามวัย ไม่มี
ยาอายุวฒั นะขนานใดช่วยได้จริงจัง แต่สขุ ภาพทางจิตเป็นสิง่ ทีส่ ามารถ
พั ฒนาได้เสมอ หากเรามีพลังจิตทีส่ ง่ั สมด้วยการบำ�เพ็ญอย่างต่อเนือ่ ง
แม้กายจะชรา จิตทีท่ รงพลังก็จะทำ�ให้กระปรีก้ ระเปร่าขึน้ ได้ กายอาจ
จะเจ็บไข้ได้ปว่ ย จิตทีเ่ ข้มแข็งย่อมทนต่อทุกขเวทนาไม่หวัน่ ไหวนัก และ
วาระสุดท้ายที่กายจะล้มตายลง จิตที่แช่มชื่นแจ่มใสย่อมยิ้มต้อนรับ
มัจจุราชได้ทนั ที
ขออนุโมทนาในความวิรยิ ะอุตสาหะและความตัง้ ใจจริงของ
คุณวาสินี ตัง้ ประกอบ และผูม้ สี ว่ นร่วมช่วยในการรวบรวมและจัดทำ�
หนังสือชือ่ “กาลครัง้ หนึง่ เมือ่ ฉันหัดเดิน” ซึง่ แสดงให้เห็นถึงความสำ�คัญ
ของธรรมปฎิบตั ทิ ม่ี ผี ลต่อการส่งเสริมสุขภาพจิตใจของผูป้ ว่ ย เป็นผลให้
สุขภาพร่างกายและจิตใจของผูป้ ว่ ยทีป่ ว่ ยด้วยโรคมะเร็งทุเลาเบาบางลง
จนกระทัง่ มีสขุ ภาพร่างกายจิตใจทีด่ ขี น้ึ ด้วยวิธกี ารของธรรมปฏิบตั แิ ละ
อาหารตามแนวทางธรรมชาติ
ผูใ้ ห้อามิสทานได้รบั ความนับถือ ผูใ้ ห้วทิ ยาทานได้รบั ความ
เคารพ ผูใ้ ห้ธรรมทานได้รบั การบูชา เพราะยังผูป้ ฏิบตั ธิ รรมได้กศุ ลส่ง
ผลจนถึงพระนิพพาน อาตมาขออนุโมทนาด้วยอำ�นาจบุญกุศลทีไ่ ด้รว่ ม
กันสร้างมาทุก ๆ ท่าน จงเป็นพลวปัจจัยให้ทกุ ๆ ท่าน จงประสบแต่
ความสุข ความเจริญ คิดอะไรขอให้สำ�เร็จตามปรารถนาทุกประการ
เทอญ
พระธรรมสิงหบุราจารย์

(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บรุ ี เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บรุ ี
อนุโมทนาพจน์

ด้วยคณะสงฆ์ส�ำ นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั จ.ขอนแก่น


(สาขาวัดอัมพวัน จ.สิงห์บรุ )ี โดยดำ�ริของพระวิโรจน์ จกฺกวโร มีความ
ประสงค์ท่จี ะจัดโครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ โดย
จัดกิจกรรมนีเ้ ป็นเวลา ๑ เดือน ผูท้ เ่ี ข้าโครงการจะเป็นผูป้ ว่ ยโรคมะเร็ง
เป็นหลัก โดยมีคณะบุคลากรทางการแพทย์ จากคณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น และบุคคลอื่นที่มีจิตศรัทธาเข้าร่วมช่วยใน
โครงการนี้
อาตมามีความยินดีและปลาบปลืม้ ใจ ทีพ่ ระสงฆ์เรามีจติ ใจ
เป็นกุศล มีความปรารถนาทีจ่ ะนำ�ธรรมะมาผสมผสานกับการแพทย์ทาง
เลือก เพือ่ ช่วยเหลือให้การดูแลรักษาทัง้ หมดด้านกำ�ลังกาย กำ�ลังใจ ให้
แก่ผปู้ ว่ ยไข้ได้มกี �ำ ลังในการรักษาตัวให้ด�ำ รงชีพได้ตอ่ ไปอย่างเข้มแข็ง
อาตมาจึงขออนุโมทนาคณะสงฆ์พระภิกษุทกุ รูป และคณะ
แพทย์พยาบาล-บุคลากรที่เข้ามาช่วยโครงการฯ ให้ดำ�เนินไปได้ด้วย
ความเรียบร้อยลุลว่ งสำ�เร็จได้ตามวัตถุประสงค์
ขอความเจริญรุง่ เรือง ความสวัสดีมโี ชคชัย ให้ทา่ นทัง้ หลาย
เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ด้วยกันทุกๆ ท่าน เทอญ

พระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์


ผูอ้ �ำ นวยการสำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั จ.ขอนแก่น
(สาขาวัดอัมพวัน จ.สิงห์บรุ )ี
๓๐ มกราคม ๒๕๕๒
อนุโมทนาพจน์


หนังสือกาลครั้งหนึ่งเมื่อฉันหัดเดินที่ท่านอ่านอยู่น้ี เป็น
ปรากฏการณ์อนั สำ�คัญยิง่ ทีจ่ ะเป็นเครือ่ งตอกย�ำ้ ความสำ�เร็จ ในการ
บรรลุธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธ
องค์เป็นอกาลิโก ไม่จ�ำ กัดกาล เพราะปฏิบตั เิ วลาใดได้ผลเวลานัน้ ปฏิบตั ิ
ที่ใดได้ผลที่น่นั สมาธิวิปัสสนาเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้น ผู้ปฏิบัติ
ธรรมะข้อนีย้ อ่ มได้รบั ผลเป็นความสุขสดชืน่ ทางกาย ทางใจ ดูตวั อย่าง
จากผู้มีประสบการณ์ว่าป่วยเป็นโรคมะเร็ง เมื่อมาปฏิบัติธรรมะสมาธิ
วิปสั สนา ใช้ธรรมชาติดา้ นโภชนบำ�บัด โรคร้ายทีเ่ ป็นอยูก่ ห็ ายได้โดย
อัศจรรย์ หรือได้รบั การบำ�บัดจนอยูใ่ นอาการทีด่ ขี น้ึ
เราจะเห็นได้ว่าธรรมะคือ สมาธิ วิปัสสนา ควบคู่กับ
ธรรมชาติบำ�บัดเป็นเรื่องที่นำ�มาใช้ได้ผลจริง ต้องขออนุโมทนากับ
พระอาจารย์วโิ รจน์ จกฺกวโร และผูร้ ว่ มงานทุกท่านท่เ่ี สียสละ ขอให้ทา่ น
เจริญในธรรม งอกงามไพบูลย์ในพระพุทธศาสนาเป็นนิจกาลเทอญ

พระครูสมุหจ์ ริ ยุทธ์ อธิฉนฺโท

เจ้าอาวาสวัดตาลเอน จ.พระนครศรีอยุธยา


อนุโมทนาพจน์
ในนามของผูจ้ ดั ทำ�โครงการเรียนรูด้ กู ายใจ ด้วยธรรมะ
ธรรมชาติ โครงการปฏิบตั ธิ รรมเพือ่ ผูป้ ว่ ยโรคมะเร็ง รูส้ กึ ยินดีเป็นอย่างยิง่
ทีไ่ ด้รบั รูถ้ งึ ความตัง้ ใจจริง และจิตอันเป็นกุศลของคุณวาสินี ตัง้ ประกอบ
ในการทีไ่ ด้จดั ทำ�หนังสือทีเ่ กีย่ วข้องกับโครงการ โดยใช้ชอ่ื หนังสือว่า กาล
ครัง้ หนึง่ เมือ่ ฉันหัดเดิน โดยเป็นทัง้ ผูเ้ ขียน รวบรวม กระทัง่ ประสานงาน
ในการจัดพิมพ์ครัง้ นี้ หนังสือเล่มนีเ้ ป็นหนังสือทีน่ า่ สนใจมากเล่มหนึง่ เหตุ
เพราะได้รวบรวมเอาเรือ่ งราวต่าง ๆ ทีเ่ ป็นประโยชน์ทท่ี กุ คนควรรู้ โดย
เฉพาะผูท้ ก่ี �ำ ลังป่วยเป็นโรคมะเร็งมาไว้ได้อย่างลงตัวและน่าสนใจ ไม่วา่ จะ
เป็นเรือ่ งของมะเร็ง แพทย์ทางเลือก หรือการปฏิบตั ธิ รรม และบทความ
อื่น ๆ ที่มีอยู่ในหนังสือ เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะทำ�ให้ผู้อ่านเกิดทัศนคติ
ใหม่ ๆ ทีด่ ขี น้ึ ได้ ด้วยความเป็นเหตุเป็นผลกันของเรือ่ งราวทัง้ หมดทีม่ อี ยู่
ในหนังสือ ซึง่ ชือ่ ก็ฟงั ดูอบอุน่ เปรียบเสมือนหนึง่ บุคคลทีก่ �ำ ลังเริม่ ฝึกทีจ่ ะ
ทำ�สิง่ ใหม่ ๆ สิง่ ใดสิง่ หนึง่ อย่างตัง้ ใจด้วยตนเอง
เท่าทีท่ ราบการจะจัดทำ�หนังสือเรือ่ งใดเรือ่ งหนึง่ ให้ส�ำ เร็จเสร็จ
สิน้ ไปนัน้ ไม่ใช่เรือ่ งง่ายเลย ต้องใช้ความวิรยิ ะอุตสาหะ และความตัง้ ใจจริง
ในแต่ละครัง้ เพือ่ ให้งานหนังสือนัน้ ออกมาดี ขออนุโมทนา ในความตัง้ ใจ
ทำ�ความดี เผยแผ่ธรรมเป็นทาน ของคุณวาสินี ตัง้ ประกอบ กับทัง้ ผูม้ ี
ส่วนเกีย่ วข้องทีไ่ ด้รว่ มสรรค์สร้างหนังสือดีมปี ระโยชน์ทางธรรม ทางปัญญา
ให้เกิดการขยายกว้างขวางออกไป ขอบุญจริยาทีไ่ ด้รว่ มกันทำ�บำ�เพ็ญแล้ว
จงสัมฤทธิผ์ ล ให้ทกุ ท่านเจริญงอกงามด้วยประโยชน์สขุ พร้อมทัง้ ปัญญา
จากการให้ธรรมเป็นทานนานสืบไป
พระวิโรจน์ จกฺกวโร

ผูจ้ ดั โครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ


คำ�นิยม
วันหนึง่ ทีก่ �ำ ลังพักผ่อนจากอาการเจ็บป่วยของตนเอง ได้มี
พระสงฆ์มาเยีย่ มบ้านสุขภาพ พระคุณเจ้าได้ปรารถนาจะช่วยเหลือผูป้ ว่ ย
โรคมะเร็งในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจัดทีส่ ำ�นักปฏิบตั ิ
ธรรมสวนเวฬุวนั
ข้าพเจ้าฟังแล้วตกใจเล็ก ๆ ตอบท่านว่า “เป็นงานทีย่ าก
มาก ต้องหาคณะทำ�งานมาเรียนเรื่องการทำ�อาหารเฉพาะของโรค
มะเร็งนะคะ” พระคุณเจ้าบอกว่า “จะใช้ระเบียบการให้อาหารจาก
สูตรของโยม ดร.รสสุคนธ์นะ”
ข้าพเจ้ารูส้ กึ ปีตมิ าก แล้วตอบท่านว่า “ส่งคณะมาเรียน
เลยค่ะประมาณ ๑ เดือน” จากนัน้ ไม่นานพระคุณเจ้าได้พาคณะอาสา
สมัครมาเรียนจำ�นวน ๔ คน เป็นผูช้ าย ๒ คน เป็นผูห้ ญิง ๒ คน
ระหว่างเวลาเรียนทุกคนถูกดุจนร้องไห้ กว่าจะจบ ๑ เดือน ข้าพเจ้า
ไม่ทราบเหมือนกันว่าใช้ค�ำ พูดอะไรบ้างเขาถึงร้องไห้กนั
มีวนั หนึง่ เรามีคนไข้อาการหนักมาบ้านสุขภาพ คณะนักเรียน
๔ คน อยูห่ อ้ งครัวไม่กล้าช่วยเหลือ ประการนีส้ �ำ คัญมากเพราะมีความ
รูแ้ ล้วไม่กล้าใช้ ข้าพเจ้าบอกว่า “งานของท่านทัง้ ๔ ยากมาก คิด
ว่าจะทำ�ได้หรือ? ” เกิดการสนทนาเพือ่ ทีจ่ ะยังไม่รว่ มงานกับพระคุณเจ้า
เพราะกำ�ลังจิตของคณะทำ�งานยังไม่แข็งแรงพอต่อการจะอยู่กับคนไข้
มะเร็ง
พระคุณเจ้ามาเยีย่ มคณะก่อนจบ ทุกคนให้ขา้ พเจ้ากราบ
เรียนว่า คณะนักเรียนยังไม่แข็งแรงพอทีจ่ ะจัดชัน้ เรียนของผูป้ ว่ ยมะเร็ง
ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงถามความรู้สึกของพระคุณเจ้าว่า “ท่านจะจัดชั้น
เรียนแน่นอนนะคะ” พระคุณเจ้าตอบด้วยนำ�้ เสียงเย็นเรียบว่า “จัด
แน่นอน มีโยมสมัครมาแล้ว ๒๐ คน” ข้าพเจ้าเงียบ คิดแต่เพียงว่าจะ
จัดการเกีย่ วกับคณะทำ�งานอย่างไร จึงจะทำ�ให้งานนีป้ ระสบความสำ�เร็จ
ให้จงได้ ขณะนัน้ รูส้ กึ ปลืม้ อยูใ่ นใจถึงความเคีย่ วในพระธรรมของพระคุณ
เจ้าอย่างมาก ชื่นชมความกล้าหาญของท่าน ถึงแม้ท่านยังไม่เคยมี
ประสบการณ์กับผู้ป่วยมาก่อนเลย คิดแล้วก็วางแผนแบบยุทธศาสตร์
จู่โจมการต่อสู้กับเนื้อร้ายมะเร็งทุกประเภทในเรื่องอาหารสูตรเอนไซม์
เฉพาะ แบบปิดประตูเชือ้ โรคกันเลย และไม่ลมื ทีจ่ ะหันมาจัดระเบียบทาง
จิตของคณะทำ�งาน ซึง่ ขอชมเชยคณะนักเรียน ๔ ท่านว่า เยีย่ มจริง ๆ
เธอทัง้ ๔ สามารถนำ�พาความรูเ้ พียง ๑ เดือนตะลุยช่วยเหลือให้ผปู้ ว่ ย
มะเร็งผ่านความตายแบบหวุดหวิดจนเกิดชีวติ ใหม่ ศรัทธาพระคุณเจ้า
และคณะทำ�งานทัง้ ๔ ท่านจริง ๆ “ไม่ทราบว่าโรงพยาบาลต่าง ๆ มา
ทาบทามไปเป็นนักโภชนบำ�บัดหรือยังค่ะ”
จากประสบการณ์ของพระคุณเจ้า และคณะทำ�งานทีผ่ า่ น
โครงการดูแลผูป้ ว่ ยมะเร็ง ด้วยกรรมฐานและธรรมชาติบ�ำ บัด ประสบ
ความสำ�เร็จเป็นทีน่ า่ ชืน่ ใจ และเป็นกำ�ลังใจให้แก่ญาติและผูป้ ว่ ยอีกหลาย
ชีวติ ได้พบกับทางออกของปัญหาสุขภาพ และได้บนั ทึกเป็นตัวหนังสือสือ่
ออกมา เพือ่ เป็นประโยชน์แก่ผปู้ ว่ ยและผูไ้ ม่ปว่ ยทัง้ หลาย พระคุณเจ้า
ท่านได้สละเวลาอันมีคา่ ยิง่ ของท่าน เพือ่ ประโยชน์ของสาธุชนทัง้ หลาย
พวกเราควรอย่างยิ่งที่จะสละเวลาที่มีอยู่ เพื่อศึกษาและปฏิบัติตามคำ�
แนะนำ�ทีพ่ ระคุณเจ้าท่านได้ให้ไว้ นับว่าเป็นหนังสืออันมีคา่ ยิง่ สำ�หรับ
ทุกชีวิต ทุกลมหายใจที่จะปลดเปลื้องทุกข์ท้งั ทางกาย และทางจิตไป
จนถึงวาระอันไม่ตอ้ งประสบกับความทุกข์ทง้ั มวล นัน่ คือ ไม่ตอ้ งเกิด
ไม่ตอ้ งแก่ ไม่ตอ้ งเจ็บ ไม่ตอ้ งตายกันอีกต่อไป
ขออนุโมทนากับพระคุณเจ้าและคณะทำ�งานทุกท่านทีไ่ ด้
ร่วมมหากุศลในครัง้ นี้ นับเป็นการสร้างกุศลอันยิง่ ใหญ่ ขออาราธนา
คุณพระศรีรตั นตรัย พระสยามเทวาธิราช พระบารมีพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยูห่ วั ทรงปกป้องคุม้ ครองและอวยพรให้พระคุณเจ้าและคณะ
ทำ�งาน ได้มสี ขุ ภาพแข็งแรง สมบูรณ์ทง้ั กายและใจ มีพลังกายพลังใจ
ในการช่วยเหลือเพือ่ นร่วมทุกข์ดว้ ยกันต่อไป สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

ดร.รสสุคนธ์ พุม่ พันธุว์ งศ์


ชมรมบ้านสุขภาพ ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง
หนึ่งความฝัน หนึ่งความหวัง และมันเป็นจริง
ก่อนอื่นใด ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงจุดกำ �เนิดก่อนเกิดเป็น
“โครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ” และกลายมาเป็น
หนังสือเรือ่ ง “กาลครัง้ หนึง่ เมือ่ ฉันหัดเดิน” เล่มนีก้ อ่ น เริม่ แรกเดิมที
นั้น ข้าพเจ้าเคยคิดฝันไว้ว่า ถ้ามีโอกาสสักครั้งหนึ่งในชีวิตจะขอทำ�
หนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง ที่มีประโยชน์ต่อคนส่วนรวม อันเป็นผลมาจาก
การที่คุณพ่อของข้าพเจ้าเพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมาได้ไม่นาน ใน
เวลานัน้ คุณพ่อของข้าพเจ้ามีชวี ติ อยูไ่ ด้เพียง ๖-๗ เดือนหลังจากทราบ
ว่าเป็นโรคร้าย ซึง่ เป็นระยะเวลาทีส่ นั้ มาก ตลอดเวลาทีข่ า้ พเจ้าได้ดแู ล
คุณพ่อ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านทุกข์ทรมานจากโรคร้ายและไม่มีใครหรือ
หนังสือเล่มใดทีจ่ ะบอกแนะแนวทางทีเ่ หมาะสมในการปฎิบตั ติ นระหว่าง
เจ็บป่วยเลย ข้าพเจ้าจึงบอกตนเองอยู่เสมอว่า ถ้าข้าพเจ้ามีโอกาส
ข้าพเจ้าจะช่วยคนทุกคนทีเ่ ป็นโรค ให้มชี วี ติ อยูก่ บั ครอบครัวให้นานทีส่ ดุ
เท่าที่จะทำ�ได้ อย่าให้เหมือนกับครอบครัวข้าพเจ้าเลย
ประกอบกั บ ข้ า พเจ้ า ได้ มี โ อกาสสนทนากั บ พระอาจารย์
วิโรจน์ ท่านเล่าว่า ท่านมีโอกาสได้ไปให้ค�ำ แนะนำ�และพบปะพูดคุยกับ
ผูป้ ว่ ยโรคมะเร็ง ทีต่ กึ ๕ ก ๕ จ ทีโ่ รงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น
ทุกวันพุธและศุกร์ โดยมีคณะสงฆ์ทสี่ �ำ นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั ผลัด
กันไปเยี่ยมอยู่หลายรูป ทำ�ให้ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค
มะเร็งอยูบ่ า้ ง โดยพระอาจารย์วโิ รจน์เองท่านมีความคิดเห็นส่วนตัวว่า
จากการที่ท่านได้พูดคุยกับผู้ป่วยและได้ศึกษาปฏิบัติธรรมมา ท่านคิด
ว่า ถ้าให้ผปู้ ว่ ยทีเ่ ป็นโรคมะเร็งมาปฏิบตั ธิ รรมตามแนวสติปฏั ฐาน๔ และ
รับประทานอาหารแนวธรรมชาติควบคู่กันไป น่าจะได้ผล นั่นเป็น
เหตุผลประการที่สอง
เหตุผลประการสุดท้าย คือ พระอาจารย์คงศักดิเ์ คยปรารภ
กับพระอาจารย์วโิ รจน์วา่ ท่านรูส้ กึ ใจหายเวลาไปเยีย่ มผูป้ ว่ ยโรคมะเร็ง
ที่โรงพยาบาล แล้วพบว่าผู้ป่วยที่เคยพูดคุยด้วย ต่างก็ล้มหายตายจาก
ไปราวกับใบไม้รว่ ง ท่านจึงมีความคิดว่า ถ้าท่านสามารถช่วยให้ผปู้ ว่ ย
เหล่านัน้ มีชวี ติ อยูต่ อ่ ไปได้ และทรมานจากโรคร้ายน้อยลง ท่านจะทำ�!
เมื่อองค์ประกอบทั้ง ๓ อย่างมารวมตัวกันครบ จึงก่อ
กำ�เนิดเกิดเป็น “โครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ” ที่
จัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๕ มกราคม - ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ โดยมี
พระอาจารย์ วิโ รจน์ จกฺ ก วโร เป็ น หั ว หน้ า ที่ ดู แ ลโครงการนี้ มี
พระอาจารย์พิเชษฐ์ เขมธมฺโม พระอาจารย์คงศักดิ์ เตชปญฺโญ และ
พระอาจารย์จตุรงค์ เตชวโร เป็นผู้ช่วยเหลือตลอดโครงการ ใช้เวลา
ในการรวบรวมข้อมูลและเตรียมโครงการเป็นเวลา ๑ ปี โดยเฉพาะ
พระอาจารย์วิโรจน์และคณะ ได้เดินทางมาที่บ้านสุขภาพ จ.ระยอง
หลายครั้งเพื่อพูดคุยสอบถามข้อมูลรวมถึงส่งคนมาเรียนวิธีการปรุง
อาหารและดูแลผูป้ ว่ ยแนวแพทย์ทางเลือกกับ ดร.รสสุคนธ์ พ่มุ พันธุว์ งศ์
เป็นเวลา ๑ เดือน อีกทั้งพระอาจารย์วิโรจน์และพระอาจารย์คงศักดิ์
ท่านเก็บตัวปฏิบัติธรรมท่านละ ๑ เดือน เพื่อดูสภาวธรรมที่จะเกิดขึ้น
หากต้องมีการปฏิบัติธรรมต่อเนื่องเป็นเวลา ๑ เดือน
หลังจากจบโครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ
แล้ว จึงได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มที่ท่านกำ�ลังถืออยู่ในมือนี้ข้ึน โดยได้
รวบรวมรายละเอียดด้านโรคมะเร็ง แพทย์ทางเลือก การปฏิบตั ธิ รรม
วิ ปั ส สนากรรมฐานในเรื่ อ ง สติ ปั ฏ ฐาน ๔ ตามแนวทางของ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม)
รายละเอียดของโครงการ วิธกี ารปรุงอาหารแนวธรรมชาติ เพือ่ ให้ผู้
ป่วยรู้แนวทางการปฏิบัติตนและดูแลตนเองอย่างที่เราได้ทำ�กันตลอด
โครงการ ๑ เดือนทีผ่ า่ นมา
หนังสือเรือ่ ง “กาลครัง้ หนึง่ เมือ่ ฉันหัดเดิน” เล่มนีจ้ ะสำ�เร็จ
ไม่ได้หากขาดความอนุเคราะห์และช่วยเหลือจากบุคคลหลายฝ่ายที่
ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงและทีไ่ ม่อาจเอ่ยนามได้ทง้ั หมดในนี้ นัน่ คือ
ขอขอบพระคุณ คุณแม่และคุณพ่อของข้าพเจ้าที่ให้ก�ำ เนิด
ข้าพเจ้ามาจนมีวนั นี้ และขอขอบคุณโรคมะเร็งร้าย ทีท่ �ำ ให้การเสียชีวติ
ของคุณพ่อไม่เป็นการสูญเปล่า แต่ทำ�ให้ขา้ พเจ้าเกิดแรงบันดาลใจและ
ฝันทีจ่ ะทำ�หนังสือทีเ่ กิดประโยชน์ตอ่ ส่วนรวมเล่มนีจ้ นสำ�เร็จลงได้
ขอกราบขอบพระคุณ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระธรรม
สิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ทีเ่ ป็นเสมือนพ่อในทางธรรมของข้าพเจ้า
ทีท่ �ำ ให้ขา้ พเจ้าผูเ้ ติบโตมาในสภาพแวดล้อมทีเ่ ต็มไปด้วยวัตถุนยิ ม ได้พบ
แสงสว่างในทางธรรม ทีจ่ ะเป็นอริยทรัพย์ตดิ ตัวข้าพเจ้าในภพต่อ ๆ ไป
ขอกราบขอบพระคุณ ท่านพระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์
(คธาวุฒิ ยโสธโร) ผูอ้ �ำ นวยการสำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั ทีป่ รึกษา
ในโครงการ ทีอ่ นุมตั ใิ ห้จดั ทำ�โครงการนี้ และคอยช่วยเหลือให้ค�ำ แนะนำ�
ผูป้ ว่ ยตลอดโครงการจนสำ�เร็จลุลว่ งไปด้วยดี
ขอกราบขอบพระคุณ ท่านพระครูสมุหจ์ ริ ยุทธ์ อธิฉนฺโท
พระอาจารย์ท่านแรกที่ให้ความรู้ ให้คำ�แนะนำ� สั่งสอน เตือนสติ ให้
แง่คิด ข้อคิดดี ๆ ในทางธรรมแก่ข้าพเจ้ามาโดยตลอด
ขอกราบขอบพระคุณ ท่่านพระอาจารย์วิโรจน์ จกฺกวโร
พระพีช่ ายในทางธรรมของข้าพเจ้า ผูเ้ ป็นหัวหน้าโครงการและเป็นผูอ้ ยู่
เบื้องหลังในการทำ�งานทุก ๆ อย่าง ที่ทำ�ให้โครงการและหนังสือเล่ม
นีส้ ำ�เร็จไปได้ดว้ ยดี ถึงแม้จะมีอปุ สรรคเกิดขึน้ มากมายตลอดโครงการ
รวมถึงเป็นผู้เขียนและรวบรวมบทความเกี่ยวกับการเจริญกรรมฐาน
สติปัฏฐาน ๔ ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ ในโครงการ
ขอกราบขอบพระคุณ พระอาจารย์คงศักดิ์ เตชปญฺโญ
ซึ่ ง เป็ น ผู้ ที่ มี ส่ ว นสำ� คั ญ ที่ ทำ � ให้ โ ครงการเรี ย นรู้ ดู ก ายใจด้ ว ยธรรมะ
ธรรมชาติ กำ�เนิดเกิดขึ้นและช่วยดูแลให้คำ�แนะนำ�รวมถึงปรับอารมณ์
ผู้ปฏิบัติธรรมตลอดโครงการ
ขอกราบขอบพระคุ ณ พระอาจารย์ ม งกุ ฎ กนฺ ต ธมฺ โ ม
ทีอ่ อกแบบปกหนังสือเล่มนีใ้ ห้ออกมาน่ารัก น่าเอ็นดู ทำ�ให้ผคู้ นทีพ่ บเห็น
อดไม่ได้ทจ่ี ะเปิดดูขา้ งใน ตลอดจนจัดเรียงรูปเล่มให้ดนู า่ อ่าน พร้อมทัง้
ออกแบบภาพประกอบด้านในทีด่ แู ล้วสบายตา สบายใจ
ขอขอบคุณ ดร.รสสุคนธ์ พ่มุ พันธ์วุ งศ์ ทีใ่ ห้พ่ี ๆ ทัง้ ๔ คน
เรียนรูเ้ กีย่ วกับอาหารและการดูแลผูป้ ว่ ย และอนุญาตให้ลงบทความเกีย่ ว
กับแพทย์ทางเลือก สูตรอาหารต่าง ๆ ตลอดจนเดินทางจากระยอง เพือ่
มาเยีย่ มและร่วมเป็นวิทยากรบรรยายเรือ่ งของแพทย์ทางเลือกให้แก่ผเู้ ข้า
ร่วมโครงการ ขออนุโมทนาบุญในกุศลจิตที่ ดร.ได้ให้ขอ้ มูลเกีย่ วกับแพทย์
ทางเลือกเพือ่ เป็นวิทยาทานมาลงในหนังสือเล่มนี้
ขอขอบคุ ณ คณะแพทย์ แ ละพยาบาลจากโรงพยาบาล
ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ทุก ๆ ท่านทีม่ สี ว่ นร่วมในโครงการ ตลอดจน
เสียสละเวลามาตรวจสุขภาพให้ผ้เู ข้าร่วมโครงการ พร้อมทั้งทำ�การ
วิเคราะห์ วินิจฉัยข้อมูลจากผลการตรวจสุขภาพ และมาบรรยาย
รายละเอียดเกีย่ วกับโรคมะเร็งเพือ่ เพิม่ เติมความรูแ้ ก่ผเู้ ข้าร่วมโครงการ
ขอขอบคุณ คุณรดากร พิพฒ ั น์ไชยศิริ (พีอ่ อ้ ย) สำ�หรับเมนู
อาหารต่าง ๆ ทีไ่ ด้น�ำ มาประยุกต์ให้เป็นอาหารแนวธรรมชาติเพือ่ ใช้ใน
หนังสือเล่มนี้ และถ่ายทอดสิง่ ทีไ่ ด้เรียนรูท้ บ่ี า้ นสุขภาพมาตลอด ๑ เดือน
ให้ขา้ พเจ้าเป็นความรูป้ ระกอบในการจัดทำ�หนังสือ
ขอขอบคุณ คุณเพ็ญประภา อนวัชพงศ์ (พีน่ ก) ทีช่ ว่ ยถ่าย
ภาพประกอบเมนูอาหารเพิม่ เติม และช่วยพิสจู น์อกั ษรให้หนังสือเล่มนีม้ คี ำ�
ผิดพลาดทีน่ อ้ ยทีส่ ดุ รวมถึงช่วยเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ จนทำ�ให้หนังสือ
เล่มนีอ้ อกมาสวยสด งดงามมาก
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาบุญกับแรงกาย แรงใจ และความเสีย
สละของผูท้ ม่ี สี ว่ นช่วยเหลือ โดยไม่หวังผลตอบแทนทุก ๆ ท่าน ทีท่ �ำ ให้
“โครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ” และหนังสือ “กาล
ครัง้ หนึง่ เมือ่ ฉันหัดเดิน” นีส้ �ำ เร็จลงได้
ด้วยอานิสงส์แห่งบุญบารมีทพ่ี วกเราทุกท่านได้รว่ มสร้างใน
การจัดทำ�โครงการ และการจัดทำ�หนังสือเป็นธรรมทานในครัง้ นี้ ข้าพเจ้า
ขออุทศิ ผลบุญกุศลถวายแด่ บูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ พระ
สยามเทวาธิราช คุณบิดา มารดา ครูอปุ ชั ฌาอาจารย์ ผ้มู พี ระคุณ ญาติ
พีน่ อ้ ง เทวดาทีร่ กั ษาตัว เจ้ากรรมนายเวร ไม่วา่ ท่านจะอยูภ่ พภูมใิ ด ตลอด
จนสรรพสัตว์ทง้ั หลายทีเ่ ป็นเพือ่ นทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตาย ขอจงอนุโมทนา
บุญ ให้ได้รบั ส่วนกุศลผลบุญนี้ ขอกุศลเจตนาและบุญกิรยิ าทีพ่ วกเราได้
ร่วมกันบำ�เพ็ญในครัง้ นี้ จงอำ�นวยความสุขสวัสดิแ์ ละความถึงพร้อมด้วย
อุดมมงคล ตราบจนเข้าถึงพระนิพพานทัว่ กันทุกท่านเทอญ

มาลตี
ผูร้ วบรวมและจัดทำ�หนังสือ
๑๗ เมษายน ๒๕๕๒

๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ความในใจในโครงการ พระพิเชษฐ์ เขมธมฺโม

ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่ผ่านมา ก็มักจะมีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้น


มากมาย ทัง้ เรือ่ งตืน่ เต้น และท้าทายผ่านเข้ามาในชีวติ คนเราอยูเ่ สมอ
ณ สำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั ก็เช่นเดียวกัน มีโครงการอยูโ่ ครงการ
หนึง่ ได้น�ำ เอาศาสตร์ของพุทธศาสนาและแพทย์ทางเลือกมาผสมผสาน
กันได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว โดยรับเอาเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง
เข้ามาปฏิบัติธรรมพร้อมกับการดูแลรักษาแบบธรรมชาติบำ �บัดตาม
แนวทางแพทย์ทางเลือกของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ โดยงดใช้ยา
เคมีทุกชนิด
โครงการนีม้ ชี อื่ ว่า เรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ
ได้เปิดตัวตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม - ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑
ซึ่งเป็นโครงการที่มีการปฏิบัติธรรมเข้มข้นและยาวนานที่สุดที่เคย
ปรากฏมา โครงการนี้เป็นโครงการพิเศษ และเป็นงานที่ท้าทายผู้จัด
ทำ�โครงการเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเรื่องที่ยากและเสี่ยงมากในการ
ดูแลผู้ที่เข้าร่วมโครงการอันเนื่องมาจากการขับพิษของร่างกาย
หลวงพีว่ โิ รจน์ (ผูร้ เิ ริม่ และจัดทำ�โครงการ) ท่านได้เตรียม
ความพร้อมที่จะทำ�โครงการนี้ประมาณเกือบ ๑ ปี ซึ่งเป็นเวลาในการ
ศึกษารวบรวมข้อมูลต่าง ๆ และได้เดินทางไปดูวิธีการจัดการและ
ปรึกษาผู้รู้ เพื่อศึกษาแนวทางในการดูแลผู้ป่วยหลายที่ด้วยกัน เช่น
วัดคำ�ประมง จ.สกลนคร บ้านสุขภาพ จ.ระยอง เป็นต้น ทั้งยังได้ส่ง
หน่วยทำ�ครัวทั้ง ๔ คน ไปศึกษาวิธีการทำ�อาหารแนวทางแพทย์ทาง
เลือกกับ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ ที่บ้านสุขภาพ เป็นระยะเวลา
๑ เดือน และท่านเองก็ได้เข้าปฏิบตั ธิ รรมเก็บอารมณ์เป็นเวลา ๑ เดือน
เต็ม ย่อมแสดงถึงความเสียสละและเอาใจใส่กับผู้เข้าร่วมโครงการเป็น
อย่างมาก นีเ้ ป็นสิง่ แรกทีท่ ำ�ให้อาตมาเกิดความประทับใจและยินดีชว่ ย
เหลือท่านในโครงการนี้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
อาตมาต้องขอชมผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนที่ต่างคอยให้
กำ�ลังใจซึง่ กันและกัน ไม่วา่ อากาศในตอนเช้ามืดจะแสนเหน็บหนาวสัก
แค่ไหน ทัง้ ทุกขเวทนาทีป่ รากฏอันเนือ่ งมาจากการขับพิษของร่างกาย
รวมถึงสภาวะจิตต่างๆทีร่ มุ ประดังเข้ามา ทุกคนต่างก็อดทน ต่อสู้ และ
ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ มาได้อย่างดีตลอดจนจบโครงการ
หลังจากจบโครงการแล้วก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ที่เข้าร่วม
โครงการต่างก็มสี ขุ ภาพดีขนึ้ อย่างเห็นได้ชดั เซลล์มะเร็งมีขนาดเล็กลง
มีภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้น โรคบางโรคก็ทุเลาหายไป เช่น โรคความ
ดัน โรคเบาหวาน โรคหัวใจโต เป็นต้น และมีสุขภาพจิตดีมาก
อารมณ์ดี ยิม้ แย้มแจ่มใส ไม่เครียด ไม่เหมือนตอนทีม่ าสมัครเข้าร่วม
โครงการในวันแรก
หวังว่าโครงการนีจ้ ะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพทัง้ ทาง
กายและทางใจ รวมถึงเป็นแสงสว่างแห่งความหวังแก่ผทู้ ปี่ ว่ ย และเป็น
กำ�ลังใจให้สู้ต่อไป ถึงแม้ว่ากายจะป่วยแต่จิตก็จะกล้าแข็งเหนือความ
เจ็บป่วย
ขออนุโมทนาบุญกับพระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์ (ผูอ้ �ำ นวยการ
สำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน) ที่ให้การสนับสนุน และให้คำ�ปรึกษาใน
การจัดตั้งโครงการ
ขออนุ โ มทนาบุ ญ กั บ หลวงพี่ วิ โ รจน์ ผู้ ริ เ ริ่ ม และจั ด ตั้ ง
โครงการดี ๆ แบบนี้ และขอขอบคุณที่ให้ผมได้มีส่วนร่วมในการสร้าง
บารมีธรรมในโครงการนี้ด้วย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๓
๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ขออนุโมทนาบุญกับพระวิทยากร พระภิกษุสงฆ์ในสำ�นัก
ปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั ทุกรูป และเจ้าหน้าทีภ่ ายในสำ�นักปฏิบตั ธิ รรม
สวนเวฬุวัน รวมถึงคณะแพทย์ พยาบาล เภสัชกรของโรงพยาบาล
ศรี น คริ น ทร์ มหาวิ ท ยาลั ย ขอนแก่ น ญาติ ธ รรมที่ เ ป็ น เจ้ า ภาพที่
สนับสนุนในเรือ่ งของปัจจัย และผูม้ สี ว่ นร่วมคอยเอือ้ เฟือ้ ให้ความสะดวก
ในด้านต่าง ๆ ทำ�ให้โครงการประสบความสำ�เร็จลุล่วงไปด้วยดี
ขอความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล ความสมบูรณ์พูนผล
จงปรากฏมีแด่ผมู้ สี ว่ นร่วมในโครงการนีด้ ว้ ยกันทุกรูป ทุกนาม ตราบ
ถึงพระนิพพาน เทอญ


ความในใจในโครงการ พระคงศักดิ์ เตชปญฺโญ

อาตมารู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการเรียนรู้ดูกายใจ
ด้วยธรรมะ ธรรมชาติ ซึ่งจัดขึ้นสำ�หรับผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะ
เป็ น โครงการปฏิ บั ติ ธ รรมนำ � ผู้ ป่ ว ยมาเจริ ญ พระกรรมฐานตลอด
๑ เดือน การทำ�กรรมฐานนั้นสามารถช่วยในการบำ�บัดรักษาโรคได้
จริง ซึง่ เห็นได้จากประสบการณ์ของผูป้ ว่ ยหลายรายทีม่ าทำ�กรรมฐาน
ทีว่ ดั อัมพวันแล้วอาการดีขนึ้ บางรายก็หายจากโรคทีเ่ ป็น และได้มกี าร
วิจยั ศึกษาค้นคว้าเพือ่ ยืนยันในเรือ่ งนี้ โดย รศ.ดร.พินจิ รัตนกุล เป็น
บทความในหนังสือเจริญสมาธิภาวนารักษาโรค ซึ่งเขียนไว้ชัดเจน
แต่ ก็ ยั ง ไม่ มี ใ ครจั ด เป็ น รู ป แบบมี ขั้ น ตอนแบบแผน จนกระทั่ ง เกิ ด
โครงการนี้ขึ้นโดยพระอาจารย์วิโรจน์ จกฺกวโร ซึ่งนอกจากท่านจะ
เน้นเรื่องกรรมฐานตามแนวหลวงพ่อจรัญเป็นหลักแล้ว ท่านยังได้นำ�
แนวแพทย์ทางเลือกของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์ุวงศ์ มาเสริมในด้าน
อาหาร เป็นอาหารธรรมชาติบำ�บัดเหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง
โดยส่วนตัวแล้วสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งน่าจะมาจาก
อาหาร วิถีการดำ�เนินชีวิตที่ไม่ถูกต้อง เช่น การนอนดึก การรับ
ประทานอาหารไม่เป็นเวลา สภาวะทางด้านอารมณ์ ความเครียด
ตลอดจนภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ดังนั้น ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการ
ปรับวิถีการดำ�เนินชีวิตใหม่ให้ถูกต้อง และฟื้ น ฟู ส ภาพจิ ต ใจ และ
อารมณ์ด้วยการเจริญพระกรรมฐาน
อาตมาจึงเห็นว่าโครงการนี้น่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ดี
สำ�หรับผูป้ ว่ ยมะเร็ง ยิง่ ได้เข้ามาช่วยหลวงพีว่ โิ รจน์ดแู ลรับผิดชอบส่วน
กรรมฐานแล้ว ทำ�ให้มนั่ ใจในแนวทางนีม้ ากขึน้ เห็นได้จากผูเ้ ข้าร่วม
โครงการมีสหี น้าผ่องใสขึน้ ดวงตาแจ่มใส ผิดกับตอนทีม่ าลงทะเบียน
ในวันแรก ตอนแรกต้องยอมรับว่าหนักใจ เพราะโครงการนี้จะเน้น
การทำ�กรรมฐานเป็นหลัก โดยทำ�เฉลี่ยแล้ววันละ ๑๐ ชั่วโมง ซึ่ง
ถือว่าเป็นเรื่องหนักสำ�หรับผู้ป่วยมะเร็ง อีกทั้งบางคนยังไม่เคยปฏิบัติ
ธรรมมาก่อนเลย แต่ก็ได้รับคำ�แนะนำ�แนวทางการปฏิบัติจากท่าน
พระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์ (คธาวุฒิ ยโสธโร) ผู้อำ�นวยการสำ�นักฯ
ซึ่งท่านเป็นที่ปรึกษาในโครงการ ทำ�ให้การปฏิบัติเป็นไปด้วยความ
ราบรื่น สามารถทำ�กรรมฐานได้ตลอดจนครบ ๑ เดือน
ในโครงการนี้ ผูท้ รี่ บั บทหนักทีส่ ดุ เห็นจะไม่พน้ ผูน้ ำ�โครงการ
(หลวงพีว่ โิ รจน์) เพราะท่านต้องกำ�กับดูแลงานหลายด้าน แม้จะมีการ
แบ่งหน้าที่กันแล้วก็ตาม เพื่อให้งานโครงการดำ�เนินไปด้วยความ
เรียบร้อย ไม่วา่ จะเป็นด้านอาหาร การจัดหาวัตถุดบิ ในการทำ�อาหาร

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๕
๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ด้านงานแพทย์ การตรวจสุขภาพ การประสานงาน ตลอดจนงาน


บริการอื่นๆ อีกทั้งยังต้องคอยปรับอารมณ์ผู้ปฏิบัติ เนื่องจากระยะ
เวลาทีน่ านถึง ๑ เดือน บวกกับอาการของโรค ทำ�ให้เกิดการท้อแท้
ยิง่ เมือ่ ปฏิบตั ไิ ปได้ระยะหนึง่ ภูมติ า้ นทานจะเริม่ ดีขนึ้ ร่างกายจะเริม่
ฟื้นฟู เริ่มมีการขับของเสีย ขับพิษ ซึ่งจะออกมาในรูปของอาการ
เรอ การขึ้นผื่น ท้องเดิน การถ่ายมีเมือก มีไข้ ต่อมน้ำ�เหลือง
โตระยะหนึ่ง ซึ่งแต่ละคนจะขับพิษไม่เหมือนกัน หลายคนเมื่อเจอ
อาการแบบนี้ก็ยิ่งเกิดความวิตกกังวล เกิดความท้อแท้ และเริ่มไม่
แน่ใจในแนวปฏิบัติ จึงต้องมีการปรับอารมณ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หลวงพีท่ า่ นจึงต้องเหนือ่ ยเป็นพิเศษ แต่กไ็ ด้รบั ความช่วยเหลือเป็นอย่าง
ดีจากทุก ๆ ฝ่าย มีพระอาจารย์พิเชษฐ์ เขมธมฺโม และพระอาจารย์
จตุรงค์ เตชธโร เข้ามาช่วยอีกแรง
ในส่วนงานด้านการแพทย์มีคุณโยมไกรวาส เป็นผู้ติดต่อ
ประสานงาน ในเรือ่ งอุปกรณ์การแพทย์และบุคลากรต่างๆ ได้รบั ความ
ช่วยเหลือเป็นอย่างดีจาก อ.สมบูรณ์ อ.วิมลรัตน์ อ.พนารัตน์ ตลอด
จนทีมแพทย์และพยาบาลภาควิชาวิสญ ั ญีวทิ ยา โรงพยาบาลศรีนครินทร์
และ อ.เอื้อมแข ซึ่งเป็นคุณหมอทางด้านมะเร็งโดยตรง อาตมารู้สึก
ประทั บ ใจในที ม แพทย์ แ ละพยาบาลเป็ น อย่ า งยิ่ ง เพราะงานที่
โรงพยาบาลก็หนักอยู่แล้ว แต่ยังอุตส่าห์สละเวลามาช่วยในโครงการ
ด้านอาหารงานครัว ก็มโี ยมอ้อย โยมกล้วย โยมปราโมทย์ โยมเหลียง
โยมหน่อย ตลอดจนทีมงานลูกมือทุกคน ส่วนวัตถุดบิ ในการทำ�อาหาร
นั้นก็ได้รับการช่วยเหลือจาก ดร.สุพัตรา ปรศุพัฒนา โดยการจัดหา
ผักสดปลอดสารพิษมาให้ตลอดทัง้ โครงการ งานด้านบริการ (พีเ่ ลีย้ ง)
ก็มคี ณุ โยมสมศรี โยมหมวย โยมวาสินคี อยทำ�หน้าทีน่ ้ี ซึง่ ก็เป็นงาน
หนักอีกงานหนึง่ เนือ่ งจากผูร้ ว่ มโครงการต้องดืม่ น�้ำ ผักตลอด เพือ่ ช่วย
ปรับสมดุลในร่างกาย ทัง้ ยังมีน้ำ�นมข้าว ช่วยตอนร่างกายอ่อนเพลีย
และเพือ่ ไม่ให้ขาดช่วงหรือเสียสมาธิในการปฏิบตั ิ จึงต้องเป็นหน้าทีข่ อง
พีเ่ ลีย้ งทีต่ อ้ งคอยบริการ งานนีต้ อ้ งอยูก่ บั ผูป้ ว่ ยเกือบทัง้ วัน คอยดูแล
เติมน�้ำ ผัก และบริการน�้ำ นมข้าวให้ อีกทัง้ ผูเ้ ข้าร่วมโครงการบางราย
ทีม่ อี าการขับพิษรุนแรง ไม่อาจปฏิบตั ริ ว่ มกับคนอืน่ ได้ ต้องแยกห้อง
ก็เป็นหน้าทีข่ องพีเ่ ลีย้ งทีต่ อ้ งไปตามบริการส่งอาหารและน�้ำ ให้เป็นพิเศษ
ถ้าไม่มีความอดทน ความเป็นผู้ท่ีเสียสละ ตลอดจนความรัก และ
ปรารถนาดีอย่างแท้จริงแล้ว การทีจ่ ะดูแลและบริการคนป่วยตลอด
๑ เดือนคงเป็นไปได้ยาก
ในส่วนแพทย์ทางเลือกนัน้ ก็ได้รบั ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี
จาก ดร.รสสุคนธ์ พุม่ พันธ์วุ งศ์ ซึง่ ก็อตุ ส่าห์เดินทางไกลจาก จ.ระยอง
มาให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการปฏิบัติตัวสำ�หรับผู้ป่วย
มะเร็ง และคุณหมอปิน่ นภัส ทีอ่ าสามาดูแล และร่วมปฏิบตั ดิ ว้ ยช่วง
หนึง่ ตลอดจนผูม้ จี ติ ศรัทธา อาสาเข้ามาช่วยเหลืองานในส่วนต่าง ๆ
ทีไ่ ม่อาจเอ่ยชือ่ ได้หมดเพราะมากเหลือเกิน อาตมาก็ขออนุโมทนากับผู้
มีสว่ นร่วมช่วยเหลือในโครงการนีท้ กุ ท่านด้วย
ก็ขอขอบคุณขอบใจแทนผูเ้ ข้าร่วมโครงการทุกคน ในน้ำ�ใจ
ที่มีให้กัน ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท้งั
หลาย บารมีธรรมของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม รวมทัง้ บุญบารมีทง้ั หลาย
ทีไ่ ด้รว่ มสร้างกันมา จงดลบันดาลให้ทกุ ท่านรวมถึงผูเ้ ข้าร่วมโครงการ
ทุกคน จงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสารสมบัติ
คิดหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ถูกต้องดีงามไม่ผิดศีลธรรม ก็ขอให้ประสบผล
สำ�เร็จตามทีม่ งุ่ มาดปรารถนากันทุกท่าน ทุกประการ เทอญ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๗
๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ความในใจในโครงการ พระจตุรงค์ เตชธโร

ปลายเดือนมกราคมอากาศยังคงหนาวอยู่ ได้มโี ครงการ


ของทางสำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั จัดขึน้ ชือ่ โครงการเรียนรูด้ กู าย
ใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ สำ�หรับผูท้ เ่ี ป็นมะเร็ง ระหว่างวันที่ ๑๕
มกราคม - ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ มีพระวิโรจน์ จกฺกวโร
เป็นผูร้ เิ ริม่ โครงการ ซึง่ ท่านได้มคี วามพร้อมเป็นอย่างมากในการจัด
โครงการฯครั้งนี้ โดยเตรียมศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลทางวิชาการเป็นปี
และมีการไปดูงานตามสถานทีต่ า่ งๆ ซึง่ มีการดูแลรักษาผูเ้ ป็นมะเร็ง รวม
ถึงยังมีผ้เู ชี่ยวชาญคอยให้คำ�ปรึกษาหลากหลายสาขาอาชีพ ทั้งแพทย์
พยาบาล อีกทัง้ ยังมีกลั ยาณมิตร ซึง่ เป็นญาติธรรมมาคอยช่วยอำ�นวย
ความสะดวกทัง้ ช่วยทำ�ครัว ดูแลผูร้ ว่ มโครงการ ดูแลพระ และเจ้าหน้าที่
สำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวันทุกคน ที่สำ�คัญท่านยังได้เตรียมความ
พร้อมโดยเข้าปฏิบตั เิ ก็บอารมณ์ ๑ เดือนเต็ม เพือ่ เตรียมตัวดูแลผูเ้ ข้า
ร่วมโครงการทีจ่ ะต้องปฏิบตั ิ ๑ เดือนเต็มเช่นกัน
พระทีเ่ ข้าร่วมมาช่วยในโครงการมี พระพิเชษฐ์ เขมธมฺโม
(หลวงพีต่ น้ ) คอยให้ค�ำ แนะนำ�ทีด่ ี ๆ เกีย่ วกับการออกกำ�ลังกาย ยืดเส้น
ยืดสาย ยังมีพระคงศักดิ์ เตชปญฺโญ (หลวงพีเ่ ต้) ทีค่ อยให้ก�ำ ลังใจคอย
ดูแล ผูท้ เ่ี ข้าร่วมโครงการ และมีพระมงกุฎ กนฺตธมฺโม (หลวงพีก่ อล์ฟ)
ทีไ่ ด้รวบรวมบรรยากาศของโครงการมาถ่ายทอดลงแผ่น DVD เพือ่ ให้
ผูร้ ว่ มโครงการได้ระลึกถึง ส่วนพระทีอ่ ยูใ่ นสำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั
ท่านอืน่ ได้มสี ว่ นร่วมทัง้ ทางปัจจัยและสิง่ ของบ้างตามสมควร
โครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ เป็นโครงการ
ที่มีประโยชน์มาก ได้รับอานิสงส์กันทั่วสำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน
โดยได้รับอาหารที่บำ�รุงสุขภาพรักษาร่างกาย ทำ �ให้ทุกคนที่อยู่ใน
สำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั มีสขุ ภาพทีด่ ขี น้ึ อีกทัง้ ยังสามารถนำ�เอา
ความรู้ท่ีได้จากโครงการไปดูแลรักษาสุขภาพได้ท้ังตนเองและคนใน
ครอบครัวด้วย อาตมา “พระจตุรงค์ เตชธโร” ก็ได้รว่ มรับอานิสงส์กบั
เขาเช่นกัน คือ กินอิม่ นอนหลับสบาย สุขภาพดีขน้ึ มาก ๆ ขับถ่าย
สะดวก สุขภาพจิตก็ดี อารมณ์ดตี ลอดโครงการ แถมไม่มโี รคภัยไข้เจ็บ
มาเบียดเบียน ตัวเบาสบาย
ขอชืน่ ชมผูท้ เ่ี ข้าร่วมโครงการทุกคนทีม่ ขี นั ติสงู มาก เพราะ
ช่วงเวลาในการจัดโครงการนั้นอากาศหนาวเย็น อีกทั้งยังต้องปฏิบัติ
ธรรมถึง ๑ เดือนเต็ม ถือว่ามีความอดทนต่อเวทนาทัง้ ทางกายและใจ
เป็นอย่างมาก
ขออนุโมทนาบุญกับพระอาจารย์ทกุ ท่านทีช่ ว่ ยดูแลโครงการ
กัลยาณมิตรทุกท่าน ทีค่ อยอำ�นวยความสะดวกในเรือ่ งต่าง ๆ รวมถึง
เจ้าภาพทีอ่ อกปัจจัยช่วยเหลือโครงการทุกท่าน ขอความสุขสวัสดีจงมี
แด่ญาติธรรมทัง้ หลาย ขอท่านจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
ปฏิภาณธนสารสมบัติ นึกคิดสิง่ หนึง่ ประการใด ขอให้สมความมุง่ มาด
ปรารถนา ด้วยกันทุกรูป ทุกนาม เทอญ สาธุ

ศ ความในใจในโครงการ ศาสตราจารย์นายแพทย์สมบูรณ์ เทียนทอง
หัวหน้าภาควิชาวิสญ
ั ญีวทิ ยา คณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

มีเหตุผลหลายอย่างที่ท�ำ ให้ผมได้มีส่วนร่วมใน “โครงการ


เรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ” ซึ่งเป็นโครงการปฏิบัติธรรม
สำ�หรับผูป้ ว่ ยมะเร็ง ทีส่ �ำ นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั จ.ขอนแก่นในครัง้ นี้

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๙
๑๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เหตุผลข้อแรก คือ ไปร่วมในฐานะแพทย์ทม่ี สี ว่ นเกีย่ วข้อง


กับการดูแลเรือ่ งความปวดในผูป้ ว่ ยมะเร็งของโรงพยาบาลศรีนครินทร์
ความรูแ้ ละประสบการณ์ในด้านนีท้ พ่ี อมีอยูบ่ า้ ง อาจเป็นประโยชน์ตอ่ ผู้
ป่วยในโครงการนีไ้ ด้บา้ ง
เหตุผลข้อที่สอง คือไปในฐานะหัวหน้าหน่วยงานหรือ
หัวหน้าภาควิชาวิสญ ั ญีวทิ ยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ทัง้ นีเ้ นือ่ งจากคุณไกรวาส ซึง่ เป็นผูป้ ระสานงานคนหนึง่ ในโครงการนี้
เป็นพยาบาลในภาควิชาฯ (วิสญ ั ญีพยาบาล) และยังมีอาจารย์แพทย์ และ
พยาบาลอีก ๓-๔ คนทีไ่ ด้แสดงความประสงค์เข้าร่วมในโครงการก่อน
หน้านีแ้ ล้ว ผมในฐานะหัวหน้าจึงได้รบั คำ�ชักชวน ให้เข้าร่วมโครงการ
อีกคนหนึง่ เรียกว่าเป็นกิจกรรมลูกน้องพาหัวหน้าทำ�
เหตุผลข้อทีส่ าม เป็นเรือ่ งความสนใจส่วนตัว คือ ผมเอง
เพิง่ เข้ารับงานหัวหน้าภาควิชาฯ ได้ไม่ถงึ ๒ เดือน ดังนัน้ ในแต่ละวัน
จึงมีเหตุการณ์หลายอย่างเข้ามาในชีวติ มากมาย จึงต้องการหาวิธที จ่ี ะ
ช่วยทำ�ให้จติ ใจสงบ จะได้มสี ติในการทำ�งานให้ดขี น้ึ ในช่วงนีเ้ องได้
มีโอกาสไปสำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั ครัง้ แรก เพือ่ นิมนต์พระอาจารย์
วิโรจน์ไปทำ�บุญทีภ่ าควิชาฯ นับเป็นก้าวแรกทีช่ กั นำ�ให้ผมได้มาเกีย่ วข้อง
ในโครงการนีอ้ กี ทางหนึง่
ในฐานะแพทย์ทใ่ี ห้การดูแลผูป้ ว่ ยมะเร็งทีม่ อี าการปวดมาพอ
สมควร ด้วยหลักการการดูแลให้ผู้ป่วยเหล่านี้มีสุขภาวะที่ดี จะต้อง
ประกอบด้วย การดูแลทัง้ ร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ แต่
สิ่งหนึ่งที่ผมช่วยเหลือผู้ป่วยได้ไม่มากนักก็คือ การช่วยสร้างความเข้ม
แข็งทางจิตใจ เนือ่ งจากประสบการณ์ตรงด้านนีข้ องผมมีนอ้ ย แม้วา่ โดย
ส่วนตัวจะมีความเชือ่ ในเรือ่ งนีว้ า่ มีประโยชน์กต็ าม ดังนัน้ การได้มสี ว่ น
ร่วมในโครงการนี้ จึงเป็นโอกาสให้ผมได้เรียนรูแ้ ละได้ประสบการณ์ใน
เรือ่ งการดูแลด้านจิตใจไปด้วย
สำ�หรับเรือ่ งอาหารของผูป้ ว่ ยทีเ่ ป็นมะเร็งนัน้ เป็นอีกเรือ่ ง
หนึง่ ทีไ่ ม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ในเรือ่ งอาหารป้องกันโรคนัน้ เป็นเรือ่ ง
ความสนใจส่วนบุคคล เพราะเป็นสิง่ ทีต่ อ้ งใช้เวลานานจึงจะเห็นผล แม้วา่
จะมีหลักฐานทีส่ นับสนุนมากมายว่า การรับประทานอาหารไม่ถกู หลัก
อนามัย จะทำ�ให้เกิดโรคหลายอย่าง เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง
เบาหวาน และโรคไต เป็นต้น สำ�หรับการแพทย์แผนปัจจุบนั นัน้ แพทย์
มักจะไม่ค่อยมีเวลาให้ความรู้เรื่องนี้แก่ผู้ป่วยมากนัก อาจเป็นเพราะ
แพทย์เองก็ไม่คอ่ ยมีความรูเ้ รือ่ งนีเ้ ช่นเดียวกัน ดังนัน้ เมือ่ มีผปู้ ว่ ยทีเ่ ป็น
มะเร็งแล้วมารักษา จึงไม่ได้สนใจทีจ่ ะให้งดหรือหลีกเลีย่ งอาหารใด ๆ
แม้จะมีบางครัง้ ทีผ่ ปู้ ว่ ยถามว่า โรคนีต้ อ้ ง คะลำ�(งด) อาหารประเภทใด
บ้าง ก็จะได้ยนิ บ่อย ๆ ทีต่ อบว่า ไม่ตอ้ งงด อาจคิดว่ามันสายเกินแก้
แล้วก็ได้ อีกอย่างหนึง่ เมือ่ ผูป้ ว่ ยเริม่ มีอาการอ่อนเพลีย แพทย์กจ็ ะให้รบั
ประทานอาหารทุกชนิดทีจ่ ะสามารถช่วยให้ผปู้ ว่ ยมีอาการทีด่ ขี น้ึ
เมือ่ พระอาจารย์วโิ รจน์ถามถึงเรือ่ งอาหารกับโรคมะเร็ง และ
การงดอาหารบางชนิดเช่น เนือ้ สัตว์ รวมทัง้ อาหารปลอดสารพิษ และ
เอนไซม์ แม้ผมไม่คอ่ ยมีความมัน่ ใจว่าจะได้ผล เนือ่ งจากผมเองไม่มคี วาม
รูเ้ รือ่ งนี้ แต่กไ็ ม่คดั ค้านเพราะถือว่าเป็นทางเลือกอย่างหนึง่ หากไม่เป็น
อันตรายต่อร่างกายผูป้ ว่ ย ซึง่ ขณะนัน้ ยังไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง จะทน
ต่ออาหารที่พวกเขาไม่เคยชินได้หรือไม่ แต่เมื่อผมได้ลองรับประทาน
อาหารที่ทีมงานแม่ครัว ซึ่งได้ไปฝึกฝนกับดร.รสสุคนธ์มาแล้วก็พบว่า
อาหารนัน้ ถึงแม้จะไม่มเี นือ้ สัตว์ แต่กม็ รี สชาติอร่อยถูกปาก และมีคณ ุ ค่า
ของสารอาหารครบถ้วน อาจพูดว่ามีเกินปกติทเ่ี รารับประทานอยูท่ กุ วัน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๑
๑๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ด้วยซ�ำ้ ไป และเมือ่ ได้สอบถามคนอืน่ ๆ ก็สามารถทานได้โดยไม่เบือ่ ไม่


เลี่ยนจนเป็นทุกข์แต่อย่างใด สิ่งที่พิสูจน์ว่าอาหารดังกล่าวมีประโยชน์
คือ ผูป้ ว่ ยทุกคนในโครงการนีส้ ามารถรับประทานอาหารได้เป็นเดือน
และทุกคนปรับสภาพร่างกายได้เป็นอย่างดี คนที่ผอมก่อนมาเข้า
โครงการกลับมีน�ำ้ หนักเพิม่ ขึน้ ในทางตรงกันข้ามคนทีม่ นี �ำ้ หนักเกิน
ก่อนเข้าโครงการกลับมีนำ�้ หนักตัวลดลง อีกทั้งผลการเจาะเลือดก็
สนับสนุนว่าสุขภาพกายดีขน้ึ นอกจากนีย้ งั ได้พบเห็นความร่วมมือและ
ความช่วยเหลือของผูท้ เ่ี ข้าร่วมโครงการด้วยกัน ซึง่ เป็นสิง่ ทีน่ า่ ชืน่ ชมเป็น
อย่างยิง่
ในด้านการฝึกสมาธินน้ั ได้เห็นผูเ้ ข้าโครงการทุกคนมีความ
ตัง้ ใจรับฟังคำ�แนะนำ�จากพระอาจารย์เป็นอย่างดี จึงเชือ่ ได้วา่ แม้คนที่
ไม่เคยฝึกหรือมีพน้ื ฐานเรือ่ งการฝึกสมาธิมาก่อน ก็คงจะไม่ยากเกินไปที่
จะเริ่มต้น และเมื่อเวลาผ่านไปจนครบหนึ่งเดือน ผลที่ได้จึงค่อนข้าง
ชัดเจนว่า ความปวดจากมะเร็งนั้น คนที่มีพลังจิตใจที่เข้มแข็งจะ
สามารถอยูก่ บั ความปวดได้โดยไม่ตอ้ งใช้ยาแก้ปวดเลย เมือ่ ร่างกาย
ไม่มยี า ก็ไม่งว่ งนอน หรือซึมจนหลับตลอดเวลา คุณภาพชีวติ จึงดี
ขึน้ มาก
ท้ า ยที่ สุ ด แม้ ว่ า ผมจะไม่ ไ ด้ เ ข้ า ร่ ว มฝึ ก สมาธิ ท่ี สำ � นั ก
ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวันอย่างที่ต้ังใจไว้แต่แรก เนื่องจากไม่มีเวลา
แต่กไ็ ด้รบั ความกรุณาจากพระอาจารย์วโิ รจน์ ช่วยสอนพืน้ ฐานการทำ�
สมาธิให้ผมอย่างย่อ ๆ เพือ่ ให้น�ำ ไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำ�วันต่อไป
อีกทั้งยังได้รับความรู้เรื่องนำ้�เอนไซม์ และสูตรอาหารอย่างง่าย ๆ
อีกด้วย นับว่าสิง่ ทีผ่ มได้รบั นัน้ มากกว่าสิง่ ทีผ่ มได้ท�ำ ให้แก่โครงการเป็น
อย่างมาก จึงเป็นความกรุณาจากพระอาจารย์ตอ่ มนุษย์ทกุ คนนัน่ เอง
ความในใจในโครงการ รศ.พญ.วิมลรัตน์ ศรีราช
หน่วยระงับปวด ภาควิชาวิสญ
ั ญีวทิ ยา คณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

การเป็นแพทย์ท่ีมีโอกาสได้ดูแลผู้ป่วยเป็นมะเร็งอยู่เนืองๆ
พบว่า ผู้ป่วยมักมีความทุกข์ทรมานทั้งทางกายและทางใจ กล่าวคือ
อาการทางกายทีเ่ กิดจากการลุกลามของมะเร็ง มักทำ�ให้ผปู้ ว่ ยมีอาการ
ปวด อึดอัด ไม่สบาย หายใจไม่สะดวก รับประทานอาหารไม่ได้และวิธี
การรักษามะเร็งเองก็อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น คลืน่ ไส้อาเจียน
ซีดลง เป็นต้น ส่วนอาการทางใจนั้นพบว่า ผู้ป่วยมักมีความกังวล
ซึมเศร้า ท้อแท้ บางรายหมดอาลัยตายอยาก ไม่มคี วามหวังทีจ่ ะใช้ชวี ติ
ทีเ่ หลืออยูใ่ ห้มคี วามสุขตามสมควรได้ วิธกี ารรักษาทีต่ นเองได้กระทำ�อยู่
เป็นประจำ�นัน้ นอกเหนือจากการให้ยาระงับปวดแล้ว ก็จะแนะนำ�ให้ผู้
ป่วยอาศัยวิธกี ารทีช่ ว่ ยลดความปวดและความกังวลแบบทีแ่ ต่ละคนถนัด
เช่น การหากิจกรรมอื่นมาทำ�เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ อ่านหนังสือ
ธรรมะ หรือทำ�สมาธิ เป็นต้น ซึง่ ก็พบว่าผูป้ ว่ ยหลายรายทีบ่ อกว่าใช้วธิ ี
ดังกล่าวแล้ว ช่วยให้อาการปวดทุเลาลงได้บา้ ง แต่เนือ่ งจากข้อจำ�กัด
ของตนเองในการเป็นผู้มีความรู้ในทางธรรมน้อยทั้งทางทฤษฎีและ
ปฏิบตั ิ ทำ�ให้ชว่ ยเหลือหรือแนะนำ�ผูป้ ว่ ยเหล่านัน้ ไม่ได้เต็มทีน่ กั
เมือ่ ได้มโี อกาสมาปฏิบตั ธิ รรมทีส่ �ำ นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั
ตามคำ�แนะนำ�ของกัลยาณมิตร ก็ได้พบว่า หนทางนีก้ อ่ ให้เกิดความ
สงบในใจเหมือนได้กระทำ�สิง่ อันเป็นกุศลกรรม ทำ�ให้มคี วามอิม่ เอม
ใจ พบกับความสุขอีกแบบหนึง่ มีการมองโลกทีเ่ ปลีย่ นไป โดยมอง
สิง่ ต่าง ๆ ตามความเป็นจริง คือ ไม่เทีย่ ง เป็นทุกข์และบังคับให้เป็น
อย่างทีต่ อ้ งการไม่ได้ มีความเชือ่ เรือ่ งกรรมวิบากมากขึน้ นอกจากนี้

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๓
๑๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ก็สามารถจัดการกับเวทนาที่เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติได้บ้าง ทำ�ให้รู้สึก
ศรัทธาในวิถขี องการทำ�วิปสั สนากรรมฐาน ว่ามีสว่ นช่วยจัดการกับทุกข์
ทีเ่ กิดขึน้ ทัง้ ทางกายและใจได้จริงสำ�หรับผูป้ ฏิบตั ิ ดังนัน้ เมือ่ ได้ทราบว่า
พระอาจารย์วิโรจน์ จกฺกวโรและคณะ มีการจัดตั้งโครงการเรียนรู้
ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ ให้กบั ผูท้ เ่ี ป็นมะเร็งนัน้ ก็รสู้ กึ ยินดี และ
อนุโมทนาในโครงการนี้ ด้วยเห็นว่าเป็นโครงการทีด่ ี ทีใ่ ห้โอกาสบุคคล
กลุม่ นีไ้ ด้เรียนรูธ้ รรมะ ได้ปฏิบตั ธิ รรมในช่วงทีม่ คี วามทุกข์กายทุกข์ใจ
ซึง่ โดยส่วนตัวแล้วก็มคี วามเชือ่ มัน่ ว่า วิธกี ารนีจ้ ะทำ�ให้เกิดความสงบ
สุขในจิตใจของบุคคลเหล่านัน้ ได้ไม่มากก็นอ้ ย ส่วนเรือ่ งความทุกข์กาย
นัน้ คงขึน้ อยูก่ บั เหตุปจั จัย เนือ่ งจากสภาพร่างกายของผูท้ เ่ี ป็นมะเร็ง
แต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันเป็นธรรมดา และเมือ่ ได้รบั ความเมตตา
จากพระอาจารย์วโิ รจน์ อนุญาตให้เข้ามาร่วมทีมงานในฐานะแพทย์ โดย
มีหน้าทีต่ รวจสุขภาพผูเ้ ข้าร่วมโครงการและให้คำ�แนะนำ�ในการปฏิบตั ติ วั
นัน้ ก็มคี วามปีตยิ นิ ดีอย่างยิง่ ทีน่ อกจากจะได้ใช้ความรูค้ วามสามารถ
ทีม่ อี ยู่ ปฏิบตั งิ านเพือ่ ตอบแทนพระคุณแด่พระอาจารย์และสำ�นักปฏิบตั ิ
ธรรมแห่งนีแ้ ล้ว ยังจะได้มสี ว่ นร่วมในกุศลกรรมทีพ่ ระอาจารย์และคณะ
สร้างขึน้ แต่ความกังวลยังมีอยูบ่ า้ งในช่วงแรก เนือ่ งจากในฐานะทีเ่ ป็น
แพทย์แผนปัจจุบันที่ได้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการปวด ก็เกรงว่าผู้เข้า
ร่วมโครงการซึง่ จะไม่ได้รบั ยาแก้ปวดตามทีเ่ คยได้มาก่อน อาจทนความ
ปวดไม่ได้ มีผลให้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบตั แิ ละอาจทำ�ให้โรคทีเ่ ป็นอยู่
กลับทรุดลงได้
แต่เมือ่ ได้มาศึกษาถึงวิธกี ารทีพ่ ระอาจารย์น�ำ มาใช้กบั ผูท้ เ่ี ข้า
ร่วมโครงการนีโ้ ดยละเอียดแล้วพบว่า นอกจากการปฏิบตั ธิ รรมโดยการ
ทำ�สมาธิและเดินจงกรมแล้ว (ผู้ป่วยที่เดินไม่ไหว พระอาจารย์ท่านก็
เมตตาให้นง่ั หรือนอนปฏิบตั กิ ไ็ ด้) ผูเ้ ข้าร่วมโครงการยังได้รบั ประทาน
อาหารทีป่ ราศจากเนือ้ สัตว์ แต่ทว่ามีสารอาหารครบถ้วน ปรุงโดยวิธี
กำ�จัดสารพิษออกโดยใช้น้ำ�เอนไซม์ ทีเ่ มือ่ นำ�มาปรุงอาหารนอกจากจะ
ทำ�ให้มรี สชาติอร่อยแล้ว ยังมีสว่ นช่วยในการย่อยทำ�ให้ระบบขับถ่ายเป็น
ปกติ เมื่อได้ทำ�การตรวจร่างกายผู้เข้าร่วมโครงการซ้ำ�ในช่วงเสร็จสิ้น
โครงการ ก็พบว่าส่วนใหญ่มสี ขุ ภาพทีด่ ี ไม่ได้มกี ารทรุดตัวลงจากโรคที่
เป็นอยูอ่ ย่างทีต่ นเองกังวลไว้เลย และทีไ่ ด้เห็นชัดเจนมากคือความสุขใจ
ที่ฉายแววออกมาทั้งทางสีหน้าและแววตา ตลอดจนคำ�พูดของผู้เข้า
ร่วมโครงการทีล่ ว้ นกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า มีความสุขมากทีไ่ ด้เข้าร่วม
โครงการนี้ และทีน่ า่ แปลกใจคือ ผูท้ เ่ี คยมีความปวดก็บอกว่ามีอาการ
ลดลง ซึง่ เป็นทีน่ า่ อัศจรรย์ เพราะระหว่างทีเ่ ข้าร่วมโครงการ เขา
เหล่านัน้ จะไม่ได้ใช้ยาระงับปวดเลย ทำ�ให้รสู้ กึ ศรัทธาในวิธกี ารนีว้ า่
อย่างน้อยก็เป็นวิธกี ารหนึง่ ทีช่ ว่ ยให้ผปู้ ว่ ยด้วยโรคมะเร็งมีทางเลือก
ทีจ่ ะใช้ชวี ติ ได้อย่างสุขกายสุขใจ ต่างจากวิถที เ่ี ขาเหล่านัน้ เคยเป็นอยู่
ก่อนทีจ่ ะเข้าร่วมโครงการ
ประสบการณ์หนึ่งที่ได้จากการเข้ามาสัมผัสกับผู้เข้าร่วม
โครงการนีค้ อื ความรูส้ กึ ประทับใจในความมีน้ำ�ใจของเพือ่ นมนุษย์ทม่ี ี
ต่อกัน เนือ่ งจากได้มโี อกาสพูดคุยกับผูเ้ ข้าร่วมโครงการท่านหนึง่ ทีม่ ี
อาการของโรคติดเชือ้ ทางปอด ซึง่ อยูใ่ นระหว่างการรักษาตัวทีท่ า่ นเอง
ก็ได้เริม่ มานานพอสมควรแล้ว ทำ�ให้โอกาสในการแพร่เชือ้ ให้ผอู้ น่ื แม้จะ
มีกถ็ อื ว่าเป็นไปได้คอ่ นข้างน้อย แต่พอท่านทราบว่ามีผเู้ ข้าร่วมโครงการ
บางคน เพิง่ ได้รบั การรักษามะเร็งมา ไม่วา่ จะเป็นการให้เคมีบ�ำ บัดหรือ
การฉายแสง (ซึ่งนับว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีภูมิต้านทานต่ำ�กว่าคนปกติ
เสีย่ งต่อการติดเชือ้ ได้งา่ ย) ผูเ้ ข้าร่วมโครงการท่านดังกล่าวก็ได้ตดั สินใจ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๕
๑๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ถอนตัวไปเอง ด้วยเกรงว่าจะทำ�ให้เพื่อนที่เข้าร่วมโครงการด้วยกันมี
โอกาสติดเชือ้ ได้ ถึงแม้วา่ ตนเองจะมีความต้องการเข้าร่วมโครงการนี้
อย่างยิง่ ก็ตาม นับว่าเป็นการตัดสินใจบนพืน้ ฐานของความมีเมตตาต่อ
เพือ่ นมนุษย์อย่างยิง่ ปราศจากความเห็นแก่ตวั ทำ�ให้รสู้ กึ ซาบซึง้ ในน�้ำ ใจ
ของท่าน ซึง่ เป็นตัวอย่างของบุคคลทีแ่ ม้จะมีความป่วยทางกายจากโรค
มะเร็งและโรคปอด แต่จติ ใจของท่านไม่ได้ปว่ ยไปด้วยเลย ตรงกันข้าม
กลับมีความแข็งแกร่งน่าชื่นชมและยกย่องให้เป็นแบบอย่างของการมี
เมตตาต่อเพือ่ นมนุษย์ดว้ ยกันยิง่ นัก
ความมีน�้ำ ใจต่อกันนัน้ นอกจากจะพบในผูเ้ ข้าร่วมโครงการ
ทีเ่ ป็นมะเร็งแล้ว ยังพบในผูท้ อ่ี าสามาทำ�งานให้กบั โครงการนี้ ไม่วา่ จะ
เป็นผู้ประกอบอาหาร หรือผู้ช่วยอำ �นวยความสะดวกแก่ผู้เข้าร่วม
โครงการในด้านต่าง ๆ งานประกอบอาหารนัน้ นับว่าเป็นงานทีค่ อ่ น
ข้างหนักเอาการ เนือ่ งจากต้องเริม่ งานแต่เช้ามืด และลงมือทำ�แทบจะ
ตลอดทั้งวัน เนื่องจากการประกอบอาหารตามแนวทางของโครงการ
นัน้ มีหลายขัน้ ตอน ทัง้ นีก้ เ็ พือ่ ให้ได้อาหารทีม่ ปี ระโยชน์ครบถ้วน และ
ปราศจากสารพิษต่างๆทีเ่ จือปนมาให้มากทีส่ ดุ เท่าทีจ่ ะเป็นไปได้ เพือ่ ให้
เป็นการบำ�บัดด้วยการใช้ธรรมชาติอย่างแท้จริง ตามเจตนารมณ์ของ
พระอาจารย์ จากการทีเ่ ข้าไปสัมผัสโดยการสังเกตการณ์บา้ ง การช่วย
เหลือตามกำ�ลังและโอกาสบ้าง ก็พบว่าท่านเหล่านัน้ อาสาทำ�งานให้กบั
โครงการนี้ด้วยจิตเมตตา โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ระหว่าง
ทำ�งานก็พดู คุย แบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ ให้แก่กนั นับได้วา่ ตนเองช่าง
โชคดีทไ่ี ด้มโี อกาสมารูจ้ กั บุคคลเหล่านี้ ได้สมั ผัสกับประสบการณ์ดี ๆ ที่
หาได้ไม่งา่ ยนักในสังคมปัจจุบนั
จากการที่ ไ ด้ มี โ อกาสเข้ า ร่ ว มโครงการนี้ ทำ � ให้ ไ ด้ มี
กัลยาณมิตรเพิม่ ขึน้ ได้สร้างความสุขใจให้กบั ตนเอง โดยการตอบแทน
พระคุณครูบาอาจารย์ ได้มสี ว่ นช่วยเหลือบุคคลทีม่ คี วามทุกข์กาย ทุกข์
ใจ ให้เขาเหล่านั้นได้มีโอกาสศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรม ซึ่งนับเป็น
ความสุขใจที่ได้จากประสบการณ์ท่ีแตกต่างจากการดูแลผู้ป่วยในโรง
พยาบาล นอกจากนี้ยังมีผลพลอยได้คือ วิชาความรู้เกี่ยวกับการปรุง
อาหารที่มีกรรมวิธีกำ�จัดสารพิษที่อาจตกค้างอยู่ โดยไม่ทำ�ให้รสชาติ
อาหารเปลีย่ นไป แต่กลับทำ�ให้ได้รสอร่อยตามธรรมชาติอกี ด้วย นับว่า
เป็นประสบการณ์ชวี ติ ทีค่ มุ้ ค่า เป็นรางวัลชีวติ อย่างแท้จริง ส่วนอานิสงส์
ของกรรมดีทไ่ี ด้มโี อกาสสร้างจากการเข้าร่วมโครงการนี้ ขออุทศิ ให้กบั
ผูป้ ว่ ยด้วยโรคมะเร็งทัง้ หลาย ขอให้ทา่ นเหล่านัน้ ได้มโี อกาสพบหนทาง
ทีช่ ว่ ยให้มคี วามทุกข์กายทุกข์ใจน้อยลง ได้มโี อกาสศึกษาและปฏิบตั ธิ รรม
ให้ได้พบซึง่ ทางดับทุกข์ดว้ ยเทอญ

ความในใจในโครงการ ผศ.พญ.เอือ้ มแข สุขประเสริฐ


แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ทั ศ นคติ ท่ี มี ต่ อ การรั ก ษาทางเลื อ กกั บ ผู้ ป่ ว ยมะเร็ ง “ก่ อ น”สั ม ผั ส


โครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ

“ไม่เชือ่ แต่ไม่ตอ่ ต้าน” น่าจะเป็นคำ�จำ�กัดความทีด่ ที ส่ี ดุ ของ


ดิฉนั เนือ่ งจากตลอด ๒๐ ปีทไ่ี ด้ร่ำ�เรียนวิชาแพทย์มา ก็ได้รบั การปลูก
ฝังมาตลอดว่า การรักษาใด ๆ ก็ตามทีเ่ ราในฐานะแพทย์ควรแนะนำ�
ให้ผ้ปู ่วยไม่ว่าจะเป็นยาหรือวิธีการรักษา จะต้องมีการศึกษาที่เป็น

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๗
๑๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

หลักฐานประจักษ์ยนื ยันถึงประสิทธิภาพ ซึง่ การศึกษาจะต้องเป็นแบบ


สุ่มคือ ต้องมีผ้ปู ่วยสองกลุ่ม กลุ่มที่ได้รับยาหรือการรักษาและนำ�ไป
เปรียบเทียบกับผูป้ ว่ ยอีกกลุม่ ซึง่ ป่วยเป็นโรคเดียวกันแต่ไม่ได้รบั ยาหรือ
การรักษา และจะต้องมีผลออกมาอย่างชัดเจนว่าดีกว่า ดังศัพท์แพทย์
เรียกว่า มีนยั สำ�คัญ เมือ่ มาเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง การศึกษา
สมัยใหม่จะพุง่ เป้าไปทีก่ ารยุบลงของก้อนมะเร็ง ระยะปลอดโรค และ
ชีวติ ทีย่ นื ยาวขึน้ อย่างไรก็ตาม การรักษาแผนปัจจุบนั สำ�หรับโรคมะเร็ง
วิธีท่ีเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างกว้างขวางคือ เคมีบำ�บัด ซึ่งเป็นที่
ประจักษ์แน่ชดั ว่า นอกจากจะออกฤทธิไ์ ปทำ�ลายเซลล์มะเร็งแล้ว ยัง
ทำ�ลายตัวผูป้ ว่ ยทีเ่ ป็นเจ้าของร่างกายในรูปแบบต่างๆ ตัง้ แต่นอ้ ยไป
จนถึงมากด้วย อย่างน้อยๆก็คลืน่ ไส้ อาเจียน แผลในปาก เหนือ่ ยเพลีย
หมดแรง มีความทุกข์ทรมานไม่สบายกายใจ ถ้ารุนแรงมากอาจถึงแก่
ชีวติ ได้จากสาเหตุตา่ ง ๆ เช่นภาวะเม็ดเลือดขาวต�่ำ ติดเชือ้ รุนแรง หรือ
บางทีอาจแพ้ยาชนิดรุนแรงทีท่ �ำ ให้ถงึ แก่ชวี ติ ได้
ถึงแม้วา่ ในปัจจุบนั จะมีการค้นคว้าและมีการรักษาแบบสมัย
ใหม่มากขึน้ ทำ�ให้มยี ารักษามะเร็งทีอ่ อกฤทธิพ์ งุ่ เป้าไปยังการฆ่า ทำ�ลาย
เฉพาะเจาะจงสำ�หรับมะเร็งมากขึน้ อย่างไรก็ตาม การรักษาแบบนีก้ ็
ยังมีขอ้ จำ�กัดทัง้ ในแง่ประสิทธิภาพ คือยังไม่สามารถทำ�ให้ผปู้ ว่ ยระยะ
แพร่กระจายหายขาดได้ในโรคมะเร็งส่วนใหญ่และยังไม่ปลอดจากผล
ข้างเคียงกับอวัยวะอืน่ ในร่างกายร้อยเปอร์เซ็นต์ นอกจากนัน้ ยังมีราคา
แพงมาก จนผูป้ ว่ ยส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงยาได้ แต่ในฐานะทีเ่ ป็น
แพทย์กพ็ ยายามทำ�หน้าทีใ่ ห้ดที ส่ี ดุ เท่าทีจ่ ะทำ�ได้ในการรักษาผูป้ ว่ ย ทัง้
เลือกวิธกี ารรักษา ชนิดของยาเคมีทผ่ี ปู้ ว่ ยควรใช้ ดูแลผลข้างเคียงและ
รักษาอาการจากมะเร็งมากทีส่ ดุ เท่าทีจ่ ะทำ�ได้
ผูป้ ว่ ยส่วนใหญ่ทด่ี ฉิ นั ทำ�การรักษาอยู่ จะมีค�ำ ถามยอดฮิตที่
ดิฉนั ถูกถามเสมอ คือ การปฏิบตั ติ วั และวิธกี ารทานอาหารในระหว่าง
การรักษา มีอาหารอะไรบ้างทีค่ วรและไม่ควรทานเลยในช่วงให้ยาเคมี
บำ�บัด สิง่ ทีด่ ฉิ นั ในฐานะแพทย์แผนปัจจุบนั ต้องการในระหว่างการรักษา
ที่สำ�คัญที่สุดคือ ผู้ป่วยจะต้องได้พลังงานและสารอาหารอย่างพอ
เพียง และบางทีจะต้องได้รับเพิ่มขึ้นในช่วงให้การรักษา เนื่องจาก
ร่างกายต้องการอาหารและพลังงานมากขึน้ ดังนัน้ สิง่ ทีต่ อ้ งการคือผู้
ป่วยไม่ควรจะมีน้ำ�หนักตัวลดลง หรือผอมลงมากในระหว่างการ
รักษา และจะต้องมีโปรตีนให้กบั ร่างกายอย่างพอเพียงในการสร้าง
เสริมเนือ้ เยือ่ ทีถ่ กู ทำ�ลาย ดังนัน้ เมือ่ ผูป้ ว่ ยบอกว่าจะปฏิบตั ติ วั หรือรับ
ประทานอาหารทีม่ แี ต่พชื ผักตามแนวทางชีวจิต จึงเป็นทีส่ ะพรึงกลัวของ
ดิฉันเป็นอย่างมาก กลัวว่าผู้ป่วยจะไม่ได้พลังงานและโปรตีนอย่างพอ
เพียง กลัวว่าผูป้ ว่ ยจะมีน�้ำ หนักตัวลดลงมากและบวมจากการขาดโปรตีน
และจะส่งผลกระทบคือผู้ป่วยเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการรักษา
นอกจากนัน้ ยังรูส้ กึ ไม่เชือ่ ว่าการปฏิบตั ติ วั วิธนี ช้ี ว่ ยทำ�ให้เซลล์มะเร็งตาย
ไปจากร่างกายได้จริง
เนือ่ งจากทีก่ ล่าวข้างต้นเรา...ในฐานะแพทย์แผนปัจจุบนั จะ
เชือ่ เฉพาะวิธกี ารรักษาทีม่ กี ลุม่ ยืนยัน ซึง่ ในปัจจุบนั หลักฐานประจักษ์ของ
การรักษาตามแนวทางนี้ ก็เป็นเพียงการยกตัวอย่างผูป้ ว่ ยเป็นราย ๆ ที่
ได้ผลดีมาประกอบ แต่ไม่มีแม้แต่ช้นิ เดียวที่จะเป็นการศึกษาแบบสุ่มผู้
ป่วยเป็นกลุ่มที่ได้รับ และกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษาแบบนี้ ที่เราถือว่า
เป็นการศึกษาทีท่ ำ�ให้ได้ค�ำ ตอบทีช่ ดั เจนทีส่ ดุ แต่อย่างไรก็ตามดิฉนั ให้
ความเคารพในการตัดสินใจของผูป้ ว่ ยอยูเ่ สมอ ดังนัน้ คำ�ตอบทีใ่ ห้ในผู้
ป่วยทุกรายก็จะพูดเป็นกลางว่า หมอไม่หา้ ม แต่ขอร้องให้ทานอาหาร

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๙
๒๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ทีม่ พี ลังงานพอเพียง และมีโปรตีนเพียงพอ เช่น การเสริมนมถัว่ เหลือง


โปรตีนจากธัญพืชและพืชตระกูลถั่ว ถ้าเป็นไปได้ขอไข่ขาววันละฟอง
เป็นต้น

ทั ศ นคติ ท่ี มี ต่ อ การรั ก ษาทางเลื อ กกั บ ผู้ ป่ ว ยมะเร็ ง “หลั ง ”สั ม ผั ส


โครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ

ในฐานะแพทย์แผนปัจจุบนั ต้องบอกว่าได้โลกทัศน์ใหม่และ
ได้มมุ มองทีก่ ว้างขวางมากขึน้ ทำ�ให้ความหวาดหวัน่ พรัน่ พรึงเวลาผูป้ ว่ ย
บอกว่าจะปฏิบัติตัวตามแนวทางชีวจิตลดลง เนื่องจากได้เห็นด้วยตา
ตนเองถึงขบวนการเตรียมอาหารทีต่ อ้ งเรียกว่า ใส่ใจทุกรายละเอียด
ตัง้ แต่ความสะอาด คุณค่าของทุกส่วนประกอบ และสุดท้ายคือรสชาติท่ี
ยังได้ครบถ้วน ทำ�ให้มน่ั ใจมากขึน้ ว่า ถ้าผูป้ ว่ ยได้ทราบแนวทางอย่าง
ถูกต้องแล้ว ถึงแม้ผปู้ ว่ ยจะไม่ได้รบั ประทานเนือ้ สัตว์แม้แต่นดิ เดียวเป็น
เวลาถึง ๓๐ วัน ก็จะไม่เกิดภาวะขาดอาหารทัง้ พลังงานและโปรตีนอย่าง
ที่กลัวในตอนเริ่มแรก นอกจากนั้นแล้วยังมีข้อมูลที่เป็นรูปธรรมจาก
การตรวจร่างกายและตรวจเลือด ว่าส่วนใหญ่ผปู้ ว่ ยถึงแม้จะมีน้ำ�หนัก
ตัวลดลงแต่ก็เป็นไปในทางที่ดีคือ ไม่ลดจนมากเกินไปที่ทำ�ให้อยู่ใน
ภาวะผอมแห้งแรงน้อย แต่กลับเป็นการลดลงของน้ำ�หนักตัวทีท่ �ำ ให้
ผูป้ ว่ ยมีความ Fit และสุขภาพดี เนือ่ งจากเป็นทีท่ ราบกันดีวา่ คนผอม
ย่อมมีสุขภาพโดยรวมดีกว่าคนอ้วน นอกจากนั้นในแง่ของมะเร็งบาง
ชนิดเช่น มะเร็งเต้านม มีหลักฐานชัดเจนว่า ผูป้ ว่ ยหลังการรักษาที่
สามารถคงดัชนีมวลกายให้อยูใ่ นเกณฑ์เหมาะสมได้ จะลดการกลับ
เป็นซ�้ำ ของโรคได้ดกี ว่ากลุม่ ทีม่ ดี ชั นีมวลกายสูงกว่าปกติ นอกจากนัน้
สิง่ ทีย่ นื ยันอีกอย่างถึงภาวะสุขภาพดีคอื ระดับไขมัน Cholesterol ที่
ลดลงอย่างชัดเจนด้วย และทำ�ให้ความกังวลทีว่ า่ การไม่รบั ประทาน
เนือ้ สัตว์จะส่งผลต่อระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว
ว่าจะทำ�ให้สร้างลดลงก็หายไปด้วย เนือ่ งจากข้อมูลในผูป้ ว่ ยยืนยันชัดเจน
ว่าโดยมากแล้ว ระดับความเข้มข้นของเลือดดีขน้ึ ด้วย แทนทีจ่ ะลดลง
อย่างทีก่ งั วลในตอนแรก และเม็ดเลือดขาวก็ไม่ได้ลดระดับลงจนถึงระดับ
ทีผ่ ดิ ปกติ ในด้านจิตใจ เป็นทีเ่ ห็นเด่นชัดว่า ส่งผลต่อร่างกายด้วย
เนือ่ งจากทำ�ให้ความปวดลดลงชัดเจน ผูป้ ว่ ยสุขสบายมากขึน้
ในด้านมะเร็ง ดิฉันมีความคิดที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากดิฉันได้เห็นด้วยตาตนเองว่า ก้อนมะเร็งสามารถยุบไปได้
จริง ทัง้ ๆทีค่ นไข้ไม่ได้รบั ยาเคมีบ�ำ บัด และผูป้ ว่ ยมีสขุ ภาพทีร่ ายงาน
ทั้งทางร่างกายและจิตใจว่าดีข้ึน ปัจจุบันดิฉันมีความเชื่อมั่นว่าการ
รักษาแบบแพทย์ทางเลือกทีร่ วมทัง้ การรับประทานอาหารทีถ่ กู วิธแี ละ
การทำ�สมาธิ สามารถส่งผลต่อโรคมะเร็ง และสามารถช่วยในการ
ควบคุมมะเร็งในร่างกายได้ ถึงแม้วา่ ดิฉนั จะไม่สามารถยืนยันได้วา่ ผู้
ป่วยจะสามารถหายขาดจากมะเร็งได้ดว้ ยวิธนี ้ี แต่ดฉิ นั เชือ่ มัน่ เหลือเกิน
ว่า ถ้าผูป้ ว่ ยมะเร็งทีก่ �ำ ลังได้รบั การรักษาแบบแผนปัจจุบนั อยู่ ไม่วา่ จะ
เป็นยาเคมีบ�ำ บัดหรือรังสีรกั ษาหรือยาอืน่ ใดก็ตามที ถ้าผูป้ ว่ ยสามารถ
ปฏิบตั ทิ ง้ั ทางด้านร่างกาย คือการรับประทานอาหาร และทางจิตใจ
ทำ�ให้เป็นสมาธิ ผลทีไ่ ด้รบั จะต้องออกมาดีอย่างแน่นอน ถ้าเป็นผูป้ ว่ ย
ทีไ่ ม่มรี อยโรคแล้ว โอกาสการหายขาดก็นา่ จะสูง ถ้าเป็นผูป้ ว่ ยทีม่ มี ะเร็ง
ระยะแพร่กระจายอยูใ่ นร่างกาย ก็นา่ ทีจ่ ะควบคุมได้ดขี น้ึ ควบคุมได้นาน
ขึน้ ซึง่ จะส่งผลสุดท้ายทีส่ �ำ คัญทีเ่ ป็นยอดปรารถนาของทุกคน ไม่วา่ จะ
มีมะเร็งในร่างกายหรือไม่คอื ความเป็นสุข จิตใจไม่กงั วล และความ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๑
๒๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ไม่ทกุ ข์ทรมานจากโรคมะเร็งนัน่ เอง


สุดท้ายทีส่ �ำ คัญทีส่ ดุ ทีด่ ฉิ นั คิดว่าได้รบั จากการมีโอกาสสัมผัส
โครงการนีค้ อื การทีด่ ฉิ นั ได้มโี อกาสเห็นบุคคลทีม่ คี วามเอือ้ อาทรอย่าง
จริงใจและพร้อมทีจ่ ะสละความสุข ความสบายส่วนตัว เพือ่ ช่วยเหลือผู้
ป่วยทีก่ �ำ ลังมีความทุกข์ทง้ั ทางร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง ตัง้ แต่พระ
อาจารย์ท่อี ุทิศเวลาและทรัพยากรทุกอย่าง และทำ�ให้โครงการที่เป็น
ประโยชน์อย่างนี้เกิดขึ้นได้ กลุ่มบุคคลที่อุทิศตัวในการเตรียมความ
สะดวกและอาหารให้กบั ผูป้ ว่ ย ซึง่ มีความสำ�คัญมากทีส่ ดุ น้องหมอทีเ่ ดิน
ทางมาหลายร้อยกิโลเมตร เพือ่ ทีจ่ ะมาเป็นแพทย์ดแู ลผูป้ ว่ ยในโครงการ
พีพ่ ยาบาล และอาจารย์ของโรงพยาบาลศรีนครินทร์หลาย ๆ ท่าน ที่
ได้สละเวลาเข้าช่วยดูแลผูป้ ว่ ย สิง่ เหล่านีท้ �ำ ให้ดฉิ นั ได้ส�ำ นึกและตระหนัก
ว่าเราควรทำ�ตัวของเราอย่างไร เพือ่ ให้เป็นประโยชน์กบั ส่วนรวมมาก
ทีส่ ดุ และดิฉนั รูส้ กึ ขอบคุณทุกคนทีไ่ ด้สอนบทเรียนทีล่ �ำ้ ค่านีใ้ ห้ และรูส้ กึ
ขอบคุณจริง ๆ ทีไ่ ด้มโี อกาสสัมผัสโครงการนี้

ความในใจในโครงการ รศ.พญ. พนารัตน์ รัตนสุวรรณ ยิม้ แย้ม


หน่วยระงับปวด ภาควิชาวิสญ
ั ญีวทิ ยา คณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ครั้งแรกข้าพเจ้าได้รับการชักชวนจากพี่ไกรวาส ซึ่งเป็น
พีพ่ ยาบาลในภาควิชาวิสญั ญีวทิ ยา และเป็นภาควิชาทีข่ า้ พเจ้าสังกัดอยู่
ให้เข้ามาช่วยเป็นหนึ่งในทีมแพทย์ท่ีมีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง ใน
โครงการเรียนรูด้ กู ายใจ ด้วยธรรมะ ธรรมชาติ ซึง่ โครงการฯ นี้
เป็นการบำ�บัดรักษาผู้ป่วยโดยไม่ใช้ยาในการรักษาใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้าพเจ้ารีบตอบตกลงในทันที เนือ่ งจากโดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้ามีความ
ปรารถนาอย่างยิง่ ทีจ่ ะใช้วชิ าความรูข้ องตนเองในฐานะแพทย์ให้เป็น
ประโยชน์ตอ่ ผูป้ ว่ ยโรคมะเร็งเป็นทุนเดิมอยูแ่ ล้ว เหตุกเ็ นือ่ งจากข้าพเจ้า
มีความรู้เฉพาะทางด้านการระงับความปวดแก่ผ้ปู ่วย ท่านผู้อ่านอาจ
สงสัยว่าการระงับปวดกับผูป้ ว่ ยโรคมะเร็งมีความสัมพันธ์กนั อย่างไร ขอ
อธิบายให้เห็นภาพว่า ผูป้ ว่ ยโรคมะเร็งโดยเฉพาะผูป้ ว่ ยมะเร็งในระยะ
สุดท้าย โดยส่วนใหญ่จะได้รบั ความทุกข์ทรมานจากอาการปวดของ
ตัวโรคเอง หรือจากการแพร่กระจายของโรค ข้าพเจ้าจึงต้องเข้าไป
ทำ�หน้าทีร่ กั ษาและระงับความปวดให้กบั ผูป้ ว่ ยมะเร็งในรายทีจ่ �ำ เป็น
ด้วยการใช้ยาและการทำ�หัตถการ เพื่อลดหรือระงับความปวดให้
ทุเลาหรือหายไป ให้ผปู้ ว่ ยมีคณ ุ ภาพชีวติ ทีด่ ขี น้ึ หลาย ๆ ครัง้ พบว่า
เมื่อผู้ป่วยมะเร็งที่ข้าพเจ้าดูแลกลับมาติดตามการรักษาที่โรงพยาบาล
ผูป้ ว่ ยบางรายก็ระบายความรูส้ กึ ในใจทีท่ �ำ ให้ผปู้ ว่ ยเป็นกังวลให้ขา้ พเจ้า
ฟังอยูเ่ สมอ ๆ ทำ�ให้ขา้ พเจ้าเข้าใจและเห็นใจผูป้ ว่ ยในกลุม่ นีม้ าก แล้ว
เมือ่ ใดก็ตามทีไ่ ด้มโี อกาสรักษาความปวดให้ผปู้ ว่ ยมีอาการดีขน้ึ ข้าพเจ้า
จะรูส้ กึ ดีใจ ปลืม้ ใจทุกครัง้ ดังนัน้ การขออาสาสมัครเพือ่ เป็นหนึง่ ใน
ทีมแพทย์ ทีช่ ว่ ยเหลือผูป้ ว่ ยมะเร็งในโครงการฯ จึงเป็นการตอบตกลง
โดยไม่คดิ ทีจ่ ะลังเลใจหรือสงสัยเลย
การรักษาผู้ป่วยมะเร็งโดยหลักการของการแพทย์แผน
ปัจจุบนั จะเริม่ จากการรักษาด้วยวิธกี ารผ่าตัด ให้เคมีบ�ำ บัดและสิน้ สุด
ทีก่ ารรักษาด้วยการฉายแสง อย่างใดอย่างหนึง่ หรือทัง้ ๓ อย่างร่วม
กัน ขึน้ กับระยะและความรุนแรงของโรค ซึง่ ในความคิดของข้าพเจ้า
และในทฤษฏีรวมถึงงานวิจัยทางการแพทย์กล่าวไว้ว่า การรักษาโรค

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๓
๒๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

มะเร็งด้วยวิธกี ารแพทย์แผนปัจจุบนั ทัง้ หมดจะประสบผลสำ�เร็จไม่ได้


หากผู้ป่วยไม่ดูแลรักษาตนเองทางด้านจิตใจและด้านการปฏิบัติตัว
ร่วมด้วย ข้าพเจ้าทราบและเข้าใจในหลักการทางทฤษฏีเท่านัน้ แต่ยงั
ไม่เคยได้เห็นผูป้ ว่ ยทีร่ กั ษาและดูแลตนเองตามทฤษฏีนแ้ี บบเป็นรูปธรรม
จึงคิดว่าการได้เข้ามาช่วยเหลือในโครงการฯ ถือเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่
ข้าพเจ้าจะได้เรียนรูท้ ฤษฏีไปพร้อมกับผูเ้ ข้าร่วมโครงการด้วยเช่นกัน
ถึงแม้วา่ การรักษาผูป้ ว่ ยในโครงการฯ จะเป็นการรักษาโดย
ไม่พง่ึ ยาหรือการรักษาตามแนวทางของแพทย์แผนปัจจุบนั อย่างเช่นที่
ข้าพเจ้าเคยรักษาในโรงพยาบาล แต่สง่ิ ทีข่ า้ พเจ้ามัน่ ใจก็คอื เมือ่ ใดก็ตาม
ทีจ่ ติ ใจของผูป้ ว่ ยเข้มแข็ง ไม่วา่ จะป่วยด้วยโรคใด ๆ ก็ตาม ผูป้ ว่ ยก็
จะสามารถต่อสูแ้ ละผ่านพ้นภาวะไม่สขุ สบายไปได้ อย่างคำ�กล่าวทีว่ า่
“ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว”นัน่ เอง และโครงการฯ นี้ ก็เป็นโครงการ
ทีด่ แู ล และฟืน้ ฟูสภาพด้านร่างกายและจิตใจให้กบั ผูป้ ว่ ย โดยใช้ธรรมะ
เป็นเครือ่ งยึดเหนีย่ วจิตใจ ใช้กรรมฐานและอาหารแนวธรรมชาติบ�ำ บัด
เป็นยารักษาตัวโรค ทัง้ หมดนีน้ า่ จะช่วยส่งเสริมให้ภมู คิ มุ้ กันในร่างกาย
ของผูป้ ว่ ยดีขน้ึ
ท่านผูอ้ า่ นอาจจะยังสงสัยต่อไปอีกว่า ทำ�ไมในเมือ่ โครงการฯ
นีเ้ ป็นโครงการทีใ่ ช้ธรรมะ และธรรมชาติบ�ำ บัดในการรักษา ไม่ใช่การ
รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบนั เหตุใดจึงต้องมีทมี แพทย์ และพยาบาล
แผนปัจจุบนั เข้ามามีสว่ นร่วมในโครงการฯ นีด้ ว้ ย ขอตอบว่า ในการ
รักษาผูป้ ว่ ยตามโครงการฯ นี้ จำ�เป็นต้องมีการตรวจร่างกายผูป้ ว่ ย
ก่อนและหลังเข้าร่วมในโครงการฯ ด้วยแพทย์ รวมถึงการตรวจเลือด
ทางห้องปฏิบัติการ เพื่อที่จะใช้ผลทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์และ
ยืนยันได้วา่ การรักษาผูป้ ว่ ยด้วยวิธนี ้ี จะทำ�ให้ผปู้ ว่ ยมีสภาพร่างกาย
ทีด่ ขี น้ึ และมีจ�ำ นวนเม็ดเลือดขาวเพิม่ ขึน้ (เม็ดเลือดขาว เปรียบเสมือน
ภูมคิ มุ้ กันให้กบั ร่างกายในการต่อสูก้ บั เซลล์มะเร็ง ซึง่ เป็นเซลล์ทแ่ี บ่ง
ตัวผิดปกติ)
ก่อนวันเปิดโครงการ พระอาจารย์วิโรจน์ซ่ึงเป็นหัวหน้า
โครงการฯ ได้มกี ารประชุมทีมงานทุกฝ่าย เพือ่ เตรียมความพร้อม และ
รับทราบรายละเอียดในโครงการ ข้าพเจ้ารูส้ กึ ว่าพระอาจารย์ทา่ นได้
เตรียมการและเตรียมความพร้อมของโครงการเป็นอย่างดี ไม่เฉพาะ
ความพร้อมด้านการแพทย์เท่านัน้ ความพร้อมทางด้านอาหารทีจ่ ะจัด
ให้ผเู้ ข้าร่วมโครงการรับประทาน พระอาจารย์ทา่ นได้เตรียมทีมพ่อครัว
แม่ครัว ซึง่ นำ�โดยพีอ่ อ้ ย (ประธานชมรมชีวจิต เป็นแม่ครัวหลักผูม้ หี น้า
ทีท่ �ำ อาหาร) พีโ่ มทย์ (สามีของผูป้ ว่ ยรายหนึง่ ในโครงการฯ เป็นพ่อครัว
หลักซึง่ มีหน้าทีท่ �ำ น้ำ�ผักปัน่ ) พีก่ ล้วย (ญาติธรรม ผูม้ หี น้าทีท่ �ำ สลัดผัก)
และคุณหน่อย(ญาติธรรม ผูม้ หี น้าทีล่ า้ งทำ�ความสะอาดวัตถุดบิ ทีจ่ ะใช้
ประกอบอาหาร) ไปศึกษาการทำ�อาหารตามแนวทางธรรมชาติบ�ำ บัด
กับดร.รสสุคนธ์ พุม่ พันธุว์ งศ์ ที่ จ.ระยอง ซึง่ เป็นผูเ้ ชีย่ วชาญด้านการ
ดูแลและรักษาผูป้ ว่ ยด้วยวิธแี พทย์ทางเลือก ส่วนวัตถุดบิ ทุกตัวทีใ่ ช้ในการ
ทำ�อาหารให้กบั ผูป้ ว่ ย พระอาจารย์ทา่ นคัดสรรวัตถุดบิ ทีป่ ลูกและดูแล
แบบเกษตรอินทรียค์ อื ไม่ใช้ยาและสารเคมีใด ๆ โดยมีอาจารย์สพุ ตั รา
อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นผูด้ แู ลและรับผิด
ชอบในส่วนนี้
รายการอาหารแนวธรรมชาติบำ�บัดทีพ่ ระอาจารย์ได้เตรียม
ไว้ในโครงการฯ ตลอด ๓๒ วันนัน้ ล้วนมีประโยชน์ตอ่ ผูป้ ว่ ย ถึงแม้ผู้
ป่วยจะไม่ได้รบั ประทานโปรตีนจากสัตว์ แต่ผปู้ ว่ ยจะได้รบั โปรตีนจากพืช
เป็นการทดแทน ซึง่ ข้าพเจ้าคิดว่าเพียงพอแล้ว แต่สง่ิ ทีย่ งั ลังเลใจก็คอื

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๕
๒๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

พระอาจารย์จดั ให้ผปู้ ว่ ยรับประทานอาหารเพียง ๒ มือ้ คือมือ้ เช้า และ


มือ้ เทีย่ ง ส่วนมือ้ เย็นต้องงด เนือ่ งจากผูป้ ว่ ยต้องถือศีล ๘ ข้าพเจ้าเกรง
ว่าผูป้ ว่ ยจะรูส้ กึ หิวและหมดแรง หรือไม่มแี รงพอทีจ่ ะปฏิบตั ธิ รรม คำ�
ตอบทีไ่ ด้รบั จากพระอาจารย์กค็ อื ในระหว่างมือ้ อาหารตัง้ แต่เช้าจรดเย็น
จรดก่อนเข้านอน จะมีน้ำ�ผักปัน่ ให้ผปู้ ว่ ยรับประทานตลอด รวมถึงมือ้
เย็นนัน้ จะทดแทนอาหารด้วยน�้ำ ปานะ ซึง่ เป็นน�้ำ นมธัญพืชทีท่ �ำ จากถัว่ ดำ�
ข้าวกล้อง เม็ดบัว และลูกเดือย ซึง่ เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต และโปรตีน
ทำ�ให้มน่ั ใจได้วา่ ผูป้ ว่ ยยังคงได้รบั อาหาร ๓ มือ้ ตามปกติ ข้าพเจ้าจึง
รับรู้ และรูส้ กึ ยินดีแทนผูป้ ว่ ยทีเ่ ข้าร่วมโครงการฯ ทุกท่านว่า ล้วนได้
รับแต่สง่ิ ดี ๆ ทีพ่ ระอาจารย์รวมถึงทีมงานทุก ๆ ท่านตัง้ ใจและทุม่ เท
กับหน้าทีท่ ไ่ี ด้รบั มอบหมายอย่างเต็มที่
กล่าวถึงหน้าทีข่ องทีมแพทย์และพยาบาลในโครงการฯ พวก
เราได้ประชุมและแบ่งหน้าทีร่ บั ผิดชอบ ข้าพเจ้าได้รบั มอบหมายหน้าที่
ในการซักประวัตแิ ละตรวจร่างกายผูป้ ว่ ย ซึง่ แต่นต้ี อ่ ไป ข้าพเจ้าจะใช้
คำ�ว่า “ผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ” แทนคำ�ว่า “ผูป้ ว่ ย” ซึง่ ตามกำ�หนดการ
จะทำ� ๒ ครัง้ คือวันเปิดและปิดโครงการ ข้าพเจ้าจะขอเล่าถึงภาพความ
ทรงจำ�ในวันนัน้ ซึง่ เป็นวันแรกทีไ่ ด้มโี อกาสพบกับผูเ้ ข้าร่วมโครงการ
ทัง้ หมด ทุกคนอยูใ่ นชุดขาวซึง่ เป็นชุดปฏิบตั ธิ รรม ส่วนใหญ่เป็นผูห้ ญิง
มีผชู้ ายเพียง ๒ คน ตอนหกโมงเช้าได้เวลาเจาะเลือดเพือ่ ดูผลทางห้อง
ปฏิบตั กิ าร (เป็นผลเลือดก่อนเข้าโครงการฯ) ทีมพีพ่ ยาบาล อันได้แก่
พีไ่ กรวาส พีเ่ จน พีห่ วันและพีเ่ อ็ง มาช่วยระดมกำ�ลังในการเจาะเลือด
ให้ผเู้ ข้าร่วมโครงการทุกคน ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ หลังจากนัน้ ข้าพเจ้า
ก็เริม่ ทยอยซักประวัตแิ ละตรวจร่างกายผูเ้ ข้าร่วมโครงการไปเรือ่ ยๆ โดย
ให้เวลาในการตรวจและให้เวลาเขาเหล่านัน้ ได้มโี อกาสสนทนากับแพทย์
อย่างเต็มที่ และข้าพเจ้าขอแถมของฝากด้วยการให้ก�ำ ลังใจกับผูเ้ ข้าร่วม
โครงการฯ ทุกคน
ตามระเบียบของโครงการฯ ผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ จะต้องใช้
เวลาในการรักษาแบบธรรมะ ธรรมชาติตลอด ๑ เดือนเต็ม ถึงแม้วา่
จะมีบางคนไม่สามารถอยูร่ ว่ มโครงการได้ตลอด ๑ เดือน แต่ดว้ ยความ
เมตตาของพระอาจารย์ ท่านก็ได้อนุญาตให้เข้าร่วมในโครงการได้ และ
หนึง่ ในนัน้ ข้าพเจ้าจำ�ได้วา่ เขาเพิง่ จะทราบว่าตนเองมีกอ้ นทีต่ บั มา ๒-๓
เดือนก่อน เขาบอกกับข้าพเจ้าว่า ตนเองได้พยายามศึกษาข้อมูลการ
รักษาจาก รพ.หลายแห่ง จากแพทย์หลายท่าน จนในทีส่ ดุ ก็ตดั สินใจที่
จะไม่ผา่ ตัดตามการรักษาด้วยวิธขี องแพทย์แผนปัจจุบนั และขอมาทำ�การ
รักษาโดยการใช้วธิ แี บบแพทย์ทางเลือกแทน ด้วยความเชือ่ มัน่ ว่าจะทำ�ให้
หายจากโรคร้ายได้
และมีผรู้ ว่ มโครงการอีกหนึง่ ราย เป็นผูท้ เ่ี สียสละและมีน�้ำ ใจ
งามอย่างมาก คืออยูร่ ว่ มในโครงการฯ ได้เพียง ๒ วัน ก็จ�ำ เป็นต้อง
ออกจากโครงการฯ เนือ่ งจากขณะนัน้ เขาอยูร่ ะหว่างการรักษาวัณโรค
ร่วมด้วย และหากว่าต้องมาใช้ชวี ติ ในโครงการฯ กิน อยู่ พักอาศัยร่วม
กับผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ คนอืน่ ๆ ย่อมมีโอกาสเสีย่ งต่อการทีท่ า่ นอืน่ จะ
ได้รบั เชือ้ วัณโรคเข้าไปด้วย เนือ่ งจากโดยปกติแล้วผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ
จะเป็นกลุม่ คนทีม่ ภี มู ติ า้ นทานของร่างกายต�่ำ มีโอกาสทีจ่ ะได้รบั เชือ้ โรค
แทรกซ้อนได้งา่ ย ข้าพเจ้ารูส้ กึ ชืน่ ชมในความซือ่ สัตย์ของผูเ้ ข้าร่วมโครง
การฯ ท่านนี้ เพราะการตรวจร่างกายเพียงภายนอกและตรวจเลือด
ไม่สามารถบอกถึงผลการป่วยเป็นวัณโรคได้ ประวัตกิ ารรักษาของผูเ้ ข้า
ร่วมโครงการฯ ท่านนีก้ อ็ ยูท่ โ่ี รงพยาบาลอืน่ มองในมุมกลับหากผูเ้ ข้า
ร่วมโครงการฯ ท่านนี้ไม่บอกให้เราทราบหรือปิดบังเราไว้ในตอน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๗
๒๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ทีท่ �ำ การซักประวัตแิ ละตรวจร่างกาย ข้าพเจ้าและทีมแพทย์เองก็คงปล่อย


ให้เขาอยูร่ ว่ มกับผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ รายอืน่ ๆ ซึง่ ผลเสียหายทีจ่ ะเกิด
ขึน้ ย่อมมีตามมาแน่นอน ข้าพเจ้าได้รว่ มประชุมความเห็นในทีมแพทย์
แล้ว มีความเห็นตรงกันว่า คงต้องแยกผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ รายนีอ้ อก
มาก่อน และอธิบายให้เขาเข้าใจในเหตุผลทีว่ า่ เขาจะไม่สามารถอยู่
ร่วมกับผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ รายอืน่ ๆ ได้ ซึง่ เขาก็เข้าใจ และยอมรับ
และขอลาพระอาจารย์กลับบ้าน ข้าพเจ้าทราบข่าวจากพระอาจารย์วา่
ถึงแม้เขาจะไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมในโครงการฯ แต่ก็ยังมีโอกาสมาฝึก
ปฏิบตั ทิ ส่ี �ำ นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั บ่อยครัง้ อยูแ่ ล้ว นีก่ เ็ ป็นตัวอย่าง
ทีด่ แี ละน่าชืน่ ชม รวมถึงเป็นความประทับใจอีกตัวอย่างหนึง่ ทีข่ า้ พเจ้า
ได้เห็นในโครงการนี้
สำ�หรับผูเ้ ข้าร่วมโครงการรายอืน่ ๆ ทีข่ า้ พเจ้าได้ซกั ประวัติ
และตรวจร่างกายนัน้ ข้าพเจ้าได้รบั รูถ้ งึ ความเชือ่ มัน่ ความศรัทธาที่
มีตอ่ โครงการฯ และกำ�ลังใจของทุกๆคน ซึง่ ถือเป็นสิง่ สำ�คัญมากของ
การรักษาในรายทีม่ อี าการเรือ้ รังเช่นนีด้ งั ทีก่ ล่าวมาแล้วในตอนต้น ผู้
เข้าร่วมโครงการฯ อีกรายซึง่ เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายและมีอาการปวด
จากตัวโรคเองมาก ๆ แต่ไม่เคยใช้ยารักษาอาการปวดเลย เขาเคยมา
ปฏิบตั ธิ รรมทีส่ �ำ นักฯ จึงพอมีพน้ื ฐานด้านวิปสั สนากรรมฐาน และบอก
กับข้าพเจ้าว่าใช้เพียงการกำ�หนดรู้ โดยหากปวดบริเวณไหน ก็จะ
กำ�หนดรูท้ บ่ี ริเวณนัน้ แล้วแยกอาการปวดออกเฉพาะกาย ไม่เอาใจ
เข้าไปจดจ่อกับอาการปวดทีเ่ ป็นอยู่ ทำ�ให้อยูก่ บั อาการปวดนัน้ ได้
โดยไม่ทกุ ข์ทรมาน ซึง่ ถือว่าเป็นตัวอย่างของผูป้ ว่ ยทีม่ คี วามกล้าหาญ
และความอดทนสูงมาก ข้าพเจ้าเองก็จะนำ�ประสบการณ์และความรูท้ ไ่ี ด้
รับจากผู้เข้าร่วมโครงการฯรายนี้ ไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยราย
อืน่ ๆ ของโรงพยาบาลต่อไป เพือ่ ให้ผปู้ ว่ ยมีจติ ใจทีเ่ ข้มแข็งและไม่พง่ึ
ยาแก้ปวดเพียงอย่างเดียว เพราะคุณสมบัตขิ องยาแก้ปวดคือ จะทำ�
หน้าทีใ่ นการกดสมองส่วนทีส่ มั พันธ์กบั ความรูส้ กึ ปวด หากหมดฤทธิ์
ของยาแล้ว อาการปวดก็จะกลับคืนมาดัง่ เดิม ซึง่ เป็นการรักษาทีไ่ ม่
ยัง่ ยืน แต่หากว่าผูป้ ว่ ยกำ�หนดรูค้ วามปวดและแยกความปวดออกมา
ได้ ไม่จดจ่อไปทีค่ วามปวด ก็คงเป็นการบรรเทาทีย่ ง่ั ยืนมากกว่า และ
พึง่ ยาแบบแพทย์แผนปัจจุบนั หรือทีเ่ ราชอบเรียกกันว่า “ยาฝรัง่ " ให้
น้อยลง นีก่ เ็ ป็นอีกหนึง่ ความมหัศจรรย์ทข่ี า้ พเจ้าค้นพบในโครงการฯ
ในระหว่างโครงการฯ ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เข้าไปปฏิบัติ
กรรมฐานร่วมกับผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ แต่อาจไม่เคร่งครัดเรือ่ งชัว่ โมง
ในการปฏิบตั เิ ท่ากับผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ เนือ่ งจากข้าพเจ้าเป็นมือใหม่
หั ด ปฏิ บั ติ แต่ จ ากการปฏิ บัติธ รรมในครั้ ง นั้ น ข้ า พเจ้ า ถื อ ว่ า เป็ น
ประสบการณ์ทด่ี ที ส่ี ดุ และเป็นความดีงามทีข่ า้ พเจ้าได้กระทำ�เพือ่ ตัวเอง
ข้าพเจ้ารูส้ กึ สงบ รูส้ กึ เบาสบายทัง้ กายและใจ รูส้ กึ ดีมาก ๆ ทีไ่ ด้มี
โอกาสมาสร้างบุญกุศลอันยิง่ ใหญ่ (ทีเ่ รียกว่า “มหากุศล”) ให้กบั ตัวเอง
ในครัง้ นี้ และยังต้องต่อสูก้ บั ตนเองเมือ่ ทุกขเวทนามาถึง ข้าพเจ้าคิดว่า
เมือ่ เรามีความตัง้ ใจจริง มีสจั จะกับตนเอง เราก็จะสามารถผ่านพ้น
สภาวธรรมทีเ่ ป็นทุกขเวทนาไปได้
นอกจากการเป็นทีมแพทย์ในโครงการฯ แล้ว ข้าพเจ้ายังมี
โอกาสได้รบั ประทานอาหารแนวธรรมชาติบ�ำ บัด เช่นเดียวกับของผูเ้ ข้า
ร่วมโครงการ ในฐานะแพทย์ข้าพเจ้ารับประกันได้เลยว่าอาหารทุก
รายการมีสารอาหารครบถ้วน สะอาด ปลอดภัย และรสชาติอร่อย ไม่
แพ้อาหารทีม่ เี นือ้ สัตว์เป็นส่วนประกอบ เวลาทีพ่ พ่ี ยาบาลไปดูแล และ
เยีย่ มผูป้ ว่ ยในโครงการฯ พระอาจารย์วโิ รจน์ทา่ นก็เมตตา ให้พเ่ี ลีย้ งใน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๙
๓๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

โครงการฯ ห่ออาหารแนวธรรมชาติบ�ำ บัดมาให้ทมี แพทย์และพยาบาล


ได้รบั ประทานกันทีโ่ รงพยาบาลอยูเ่ ป็นประจำ�
แล้ ว วั น เวลาก็ ผ่า นไป (อย่ า งรวดเร็ ว ) จนมาถึ ง วั น ปิ ด
โครงการ ซึง่ จะต้องมีการเจาะเลือดและตรวจร่างกายอีกเป็นครัง้ ที่ ๒
สิง่ ทีข่ า้ พเจ้าสัมผัสได้คอื ผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ ทุกคนมีสหี น้าและแววตา
ทีส่ ดใส สดชืน่ มีความหวังและมีความสุข ผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ หลาย
คนทีข่ า้ พเจ้าได้ตรวจร่างกายในครัง้ แรก ซึง่ มีสหี น้าดูซบู ซีด ก็เปลีย่ นมา
เป็นแก้มสีชมพูระเรือ่ ริมฝีปากมีสแี ดง ผูป้ ว่ ยคนทีม่ นี ้ำ�หนักในครัง้
แรกมากกว่าปกติ ก็จะมีน้ำ�หนักลดลง คล้ายกับเป็นการปรับสมดุล
ให้เข้าใกล้เกณฑ์ปกติ ส่วนผูป้ ว่ ยทีม่ นี ้ำ�หนักปกติอยูเ่ ดิม ก็จะไม่มกี าร
เปลีย่ นแปลงด้านน้ำ�หนัก และเมือ่ เปรียบเทียบผลการเจาะเลือดก่อน
และหลังเข้าร่วมโครงการฯ ส่วนใหญ่จะอยูใ่ นเกณฑ์ทด่ี ขี น้ึ ยกเว้นใน
รายทีโ่ รคของผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ มีระดับทีร่ นุ แรงอยูเ่ ดิม การปฏิบตั ิ
และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมขณะอยู่ในโครงการฯ เพียงช่วงระยะเวลา
๑ เดือน อาจจะเห็นผลสัมฤทธิ์ท่ีไม่ชัดเจนนัก จากผลการตรวจ
ร่างกายและผลการตรวจเลือดทั้งหมดนี้ สามารถสรุปได้ว่า การ
ปฏิบัติตัวของผู้เข้าร่วมโครงการด้วยวิธีการรักษาแบบธรรมะ และ
ธรรมชาติบ�ำ บัดนัน้ มีประโยชน์และสามารถเพิม่ จำ�นวนเซลล์เม็ดเลือด
ขาว ซึง่ เป็นภูมคิ มุ้ กันให้แก่ผเู้ ข้าร่วมโครงการฯ ได้ และข้าพเจ้าเชือ่
ว่าจะเกิดประโยชน์สงู สุดอย่างแน่นอน หากผูเ้ ข้าร่วมโครงการฯ ได้
นำ�หลักและวิธีการที่ได้รับจากโครงการฯ นี้ ไปใช้ในชีวิตประจำ�วัน
ควบคูไ่ ปกับการรักษาด้วยวิธที างการแพทย์แผนปัจจุบนั ซึง่ ก็นา่ จะตรง
กับทฤษฏีทข่ี า้ พเจ้าได้กล่าวไว้ในตอนต้น

สุดท้ายนีข้ า้ พเจ้าขอกราบนมัสการขอบพระคุณพระอาจารย์
วิโรจน์ พระอาจารย์ตน้ พระอาจารย์เต้และพระอาจารย์โน๊ต ทีม่ เี มตตา
ให้ขา้ พเจ้าได้มโี อกาสเข้ามาเป็นส่วนร่วมในการสร้างบุญกุศลให้เกิดแก่ผู้
ป่วยในโครงการฯ รวมถึงการมีธรรมะจัดสรร ให้ขา้ พเจ้าได้เข้ามาร่วม
ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เป็นการสร้างบุญกุศลให้เกิดแก่ตัวข้าพเจ้าเอง
และขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุก ๆ ท่านทีไ่ ด้ให้การช่วยเหลือ แนะนำ�
ชักชวนต่อการสร้างมหากุศลในครัง้ นี้

ความในใจในโครงการ ผศ.ดร.สุพตั รา ปรศุพฒ


ั นา
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ความในใจ...ครัง้ หนึง่ ในชีวติ


เมือ่ ได้รบั แจ้งจากพระอาจารย์วโิ รจน์ ให้เขียนความรูส้ กึ การ
มีสว่ นร่วมในโครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ เพือ่ การ
รวมเล่มตีพมิ พ์แล้ว ก็รสู้ กึ ปลาบปลืม้ ในความกรุณาของท่าน ทีใ่ ห้โอกาส
ในการบอกเล่าความในใจครัง้ นี.้ ..หนึง่ ในชีวติ
ครัง้ แรกทีไ่ ด้รบั ทราบถึงการมีโครงการนี้ เมือ่ คราวเข้าร่วม
ปฏิบตั ธิ รรมทีส่ �ำ นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั ก็รทู้ นั ทีวา่ เป็นโครงการทีด่ ี
มาก ความคิดแรกจริง ๆ คือ พระอาจารย์วโิ รจน์ “กล้าหาญมาก”
เพราะในฐานะทีเ่ ป็นนักวิจยั ทางการแพทย์คนหนึง่ บอกได้เลยว่าการทำ�
โครงการเช่นนี้ “ยากมาก” ต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างมากมาย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๓๑
๓๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

รวมไปถึงการดูแลผู้เข้าร่วมโครงการตลอดระยะเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม
แต่ความสนใจ ณ ขณะนัน้ อยูท่ ่ี ความต้องการให้เพือ่ นคนหนึง่ ซึง่ กำ�ลัง
ป่วยในระยะสุดท้าย ได้มโี อกาสเข้าร่วมโครงการด้วย จึงได้เรียนถาม
เพิม่ เติมถึงรายละเอียดและยิง่ ทำ�ให้รวู้ า่ ผูป้ ว่ ยท่านใดก็ตามทีไ่ ด้มโี อกาส
เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล แต่เป็นที่น่า
เสียดายทีเ่ พือ่ นไม่ได้มโี อกาสนัน้ “กบ” เสียชีวติ เพียงชัว่ โมงเดียว หลัง
จากทีโ่ ทรศัพท์เล่าให้ฟงั และชวนมาเข้าร่วมโครงการ ความเสียใจตรง
นั้นเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ได้เข้าไปกราบเรียนท่านในภายหลังว่า ขอ
โอกาสในการเข้ามาช่วยในโครงการนี้ หากว่ากุศลใด ๆ จะเกิดขึน้ ใน
การทุม่ เทแรงกายและแรงใจเพือ่ ช่วยผูป้ ว่ ยคนอืน่ บ้างก็ขออุทศิ ให้ “กบ”
ต่อไป ท่านก็ให้ความกรุณา จึงเรียนท่านว่ายังต้องทำ�งานประจำ� และ
จะมาช่วยได้ คือเวลาหลังเลิกงานและวันเสาร์-อาทิตย์
ก่อนเริม่ โครงการจริงไม่กว่ี นั ได้กราบเรียนถามพระอาจารย์
วิโรจน์ ถึงเรือ่ งอาหารสำ�หรับผูท้ จ่ี ะเข้าร่วมและเกิดแนวคิดของการจัดหา
ผั ก ปลอดสารพิ ษ เพื่อ การประกอบอาหาร และในที่สุด ก็ ไ ด้ รับ การ
สนับสนุนจากแผนงานผักปลอดภัยจากสารพิษ จังหวัดขอนแก่น ณ เวลา
นัน้ รูส้ กึ ดีใจมาก ทีไ่ ด้ท�ำ อะไรทีเ่ ป็นการตอบแทนสำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวน
เวฬุวนั และตอบแทนคุณครูบาอาจารย์
ในช่วงเริม่ ต้นของโครงการ ก็ได้เห็นความเสียสละของผูค้ น
มากมายทีม่ าจากต่างทีต่ า่ งถิน่ กัน ทีม่ าช่วยงานด้วยความรูส้ กึ เดียวกัน
คือ การช่วยเหลือผูอ้ น่ื รูส้ กึ อิม่ เอมใจทีใ่ นขณะทีส่ งั คมไทยปัจจุบนั เต็ม
ไปด้วยสภาพวัตถุนยิ ม สภาพการแข่งขันเอารัดเอาเปรียบกัน ยังมีอกี
กลุม่ คนหนึง่ ทีย่ นื หยัดอยูไ่ ด้ดว้ ยแนวคิดของความเสียสละและทำ�เพือ่ คน
อืน่ โดยไม่หวังสิง่ ตอบแทน พี่ ๆ หลายคนต้องจากบ้านมาร่วมเดือนเพือ่
มาช่วยงานโครงการทีส่ ำ�นักฯ น้องบางคนลางานมาและต้องกลับเพือ่
ไปทำ�งานประจำ�หรือเรียนต่อ แต่ทกุ คนก็เต็มใจและเต็มทีก่ บั งาน และ
คิดว่าตัวเราเองเสียอีกที่เข้ามาถึงที่สำ�นักฯทีไร ก็เป็นเวลาเสร็จงาน
ประจำ�ทีค่ รัวแล้ว เข้ามากินมือ้ เย็นแสนอร่อยแล้วก็กลับออกไป ในช่วง
สองสัปดาห์ทา้ ยของโครงการ จึงได้เข้ามาพักทีส่ �ำ นักฯบ่อยขึน้ เพือ่ จะ
ช่วยงานในครัวตอนเช้าได้บา้ ง และกลับเข้าทีท่ �ำ งานต่อในตอนสาย นับ
ว่าเป็นช่วงเวลาทีม่ คี วามสุขทางใจอย่างเปีย่ มล้น จากความเชือ่ เดิมทีว่ า่
ถ้าคิดดี ทำ�ดี จะเจอแต่คนดี ความเชือ่ นีก้ ไ็ ด้รบั การพิสจู น์อกี ครัง้ หนึง่
บรรยากาศทีไ่ ด้เจอเต็มไปด้วยความห่วงใยทัง้ แก่ผปู้ ฎิบตั ใิ นโครงการและ
ความห่วงใยที่มีให้กันเองในคณะทำ�งาน เมื่อเทียบกับสภาพที่เจอในที่
ทำ�งาน ณ ช่วงเวลานัน้ แล้ว ทำ�ให้การเข้ามาทีส่ �ำ นักฯ เพือ่ ช่วยงานใน
แต่ละวันเป็นสิง่ ทีเ่ ฝ้ารอ
ช่วงระยะเวลาที่เข้ามาอยู่ช่วยงานในโครงการก็พบว่าเป็น
เวลาที่มีคุณค่า ที่นอกเหนือจากการได้ร่วมทำ�งานกับพี่ๆ น้องๆ ที่
สำ�นักฯ แล้ว ยังได้เรียนรูถ้ งึ แนวคิดการดูแลสุขภาพ ทีจ่ ะเป็นประโยชน์
ต่อไป อย่างน้อยทีส่ ดุ ได้ใช้กบั ตัวเอง รวมถึงได้มโี อกาสขยายค้นคว้าต่อ
ยอด และเผยแพร่ความรูใ้ นฐานะผูส้ อนในสถาบันการศึกษาด้วย นีน่ บั
เป็นโอกาสอันดีทไ่ี ม่ใช่เพียงแค่รบั ฟังหรือรับทราบ แต่ได้มโี อกาสเรียนรู้
ในกระบวนการ และได้เห็นสภาพจริงๆ ได้รบั การถ่ายทอดแนวคิดการ
รับประทานอาหารเพือ่ สุขภาพ โดยผูร้ จู้ ริงอย่างพีอ่ อ้ ยและพีโ่ มทย์ ทำ�ให้
ทุกวันนีเ้ ลือก และระมัดระวังในการกินอาหารมากขึน้ จนเป็นนิสยั ติดตัว
ทีไ่ ม่ใช่กนิ อะไรก็ได้เหมือนแต่กอ่ น
แทบไม่ต้องถามทบทวนกับตัวเองเลยว่า การเข้ามาร่วม
ทำ�งานในโครงการนีไ้ ด้อะไรบ้าง ทีไ่ ม่ใช่เพียงแค่เด็ดผัก ล้างจานหรือ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๓๓
๓๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เสิรฟ์ อาหารเก่งขึน้ สิง่ ทีไ่ ด้คอื คุณค่าทางจิตใจในการเป็นผูใ้ ห้มากกว่า


จะเป็นผูร้ บั ต่างหาก และความรูส้ กึ อิม่ เอมใจนีก้ ย็ ง่ิ ทวีมากขึน้ เมือ่ ได้
ทราบเป็นระยะ ๆ ถึงสภาพร่างกายและจิตใจทีด่ ขี น้ึ อย่างมาก ๆ ของ
ผูป้ ฏิบตั ธิ รรมทีเ่ ข้าร่วมโครงการ
ในขณะทีว่ งการวิทยาศาสตร์มคี วามก้าวหน้าเรือ่ ย ๆ เรา
กลับพบว่า เทคโนโลยีตา่ งหากทีอ่ าจเป็นตัวส่งให้โรคต่างๆ มีความ
รุนแรงมากขึน้ เมือ่ มองย้อนถึงต้นทุนเดิมทีส่ งั คมไทยมีมาช้านาน คือ
การนับถือพระพุทธศาสนา แท้จริงแล้วความเข้าใจตัวตนทีเ่ ป็นธรรมชาติ
ตามแนวคิดพุทธศาสนา กำ�ลังจะย้อนกลับมาเป็นเครือ่ งมือในการบำ�บัด
โรคทีเ่ กิดจากเทคโนโลยี สภาพจิตใจทีถ่ กู กล่อมเกลาด้วยการปฏิบตั สิ มาธิ
ได้มสี ว่ นสำ�คัญในการต่อสูก้ บั โรคได้เป็นอย่างดี ในฐานะนักวิทยาศาสตร์
ทีเ่ พิง่ เริม่ ปฏิบตั ธิ รรมได้ไม่นาน โดยส่วนตัวก็ได้ตระหนัก และเรียนรูจ้ าก
โครงการนีส้ ว่ นหนึง่ ถึงอานุภาพของสภาพจิตใจทีเ่ ข้มแข็งแต่ทว่าสงบ
และมีสว่ นสำ�คัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมคิ มุ้ กัน
ร่างกายในการต่อสู้กับโรค ซึ่งหนทางหนึ่งที่จะทำ�ให้อาวุธนี้ทรง
อานุภาพขึน้ มาได้กค็ อื การได้รบั การอบรมธรรมะขัดเกลาจิตใจตาม
หลักพุทธศาสนานัน่ เอง
ไม่มใี ครรูว้ า่ สักวันหนึง่ ใครจะป่วย ใครจะอยู่ ใครจะไป แต่
การทีค่ นเราได้มชี วี ติ อยูเ่ พือ่ การทำ�ความดี โดยไม่หวังสิง่ ตอบแทน
แล้ว เชือ่ ว่าทุกคนรูด้ วี า่ ผลจากการกระทำ�นัน้ ๆ ไม่ได้เพียงแค่สง่ ผลต่อ
ชาติหน้าหรือชาติไหนๆ ความสุขทางใจทีเ่ กิดขึน้ ก็ได้แสดงผลในชาติ
นีแ้ ละบัดนีแ้ ล้ว ขอร่วมอนุโมทนากับพระอาจารย์วโิ รจน์ในกุศลกรรม
ครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง กราบขอบพระคุณท่านที่ให้โอกาสได้พบและทำ�สิ่ง
ดี ๆ ครัง้ หนึง่ ในชีวติ ขอบคุณพี่ ๆ น้อง ๆ ทีร่ ว่ มงานกันทุกท่าน ที่
ได้แบ่งปันน�ำ้ ใจอันมีอย่างล้นเหลือ มีความห่วงใยกันอย่างยิง่ และขอ
อโหสิกรรมในความพลัง้ เผลอใด ๆ ทีเ่ กิดขึน้ ด้วย ขออุทศิ ผลบุญใด ๆ
ทีบ่ งั เกิดขึน้ แก่ “กบ” เพือ่ นรัก และแก่ผปู้ ฏิบตั ธิ รรมทีเ่ ข้าร่วมโครงการ
ทุกท่าน ให้มสี ขุ ภาพกายและใจทีแ่ ข็งแรง ทุเลาจากโรค กลับมามีชวี ติ
ทีด่ ี เพือ่ สืบสานการทำ�ความดี ต่อ ๆ ไป

ความในใจในโครงการ คุณไกรวาส แจ้งเสม


วิสญ
ั ญีพยาบาล ชำ�นาญการ ๘
ภาควิชาวิสญ
ั ญีวทิ ยา คณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลศรีนครินทร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น

เรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ กับประสบการณ์อนั สูงค่า

ถ้าท่านเคยมีโอกาสผ่านเข้าไปในตึกผูป้ ว่ ยมะเร็ง สิง่ ทีท่ า่ น


จะสัมผัสได้ดว้ ยความรูส้ กึ ของท่านเองนัน่ คือ ท่าทางวิตกกังวล เศร้า
สร้อย หมดหวัง หดหู่ หรือภาวะเจ็บปวดจากโรคทีเ่ ป็นอยูข่ องผูป้ ว่ ย
มะเร็ง แน่นอนว่าท่านต้องอาศัยพลังใจทีเ่ ข้มแข็งมากในการทีจ่ ะเข้าไป
พบปะหรือพูดคุยกับเขาเหล่านัน้
เมือ่ โครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ ทีพ่ ระ
อาจารย์ วิโ รจน์ จัด ทำ � ขึ้น และเมื่อ ดิ ฉัน เข้ า ไปปวารณาตั ว ที่จ ะช่ ว ย
โครงการนี้ ทัง้ ทีไ่ ม่มคี วามรู้ เชีย่ วชาญงานด้านผูป้ ว่ ยมะเร็งเลย ก็ให้
รู้สึกว่าทำ�ไมพระอาจารย์และทีมงานจึงได้คิดทำ�โครงการที่ย่งิ ใหญ่ ดู
หนักทัง้ กายและใจเยีย่ งนี้ ทัง้ ทีภ่ ารกิจทีพ่ ระคุณเจ้าต้องสอนกรรมฐาน
แก่ประชาชนทัว่ ไปก็หนักมากพอแล้ว สำ�หรับความรูส้ กึ ของดิฉนั ทีไ่ ด้มี

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๓๕
๓๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

โอกาสเข้าไปปฏิบตั ธิ รรมทีส่ ำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั แห่งนี้ จากทีไ่ ด้


รับรูม้ าแม้เพียงบางส่วน พระอาจารย์ท�ำ เสมือนเปิดตึกบำ�บัดผูป้ ว่ ยมะเร็ง
ขึน้ แต่ให้ผปู้ ว่ ยมากกว่าทีโ่ รงพยาบาลทัว่ ไปจะให้ได้คอื ทำ�ให้ผเู้ ข้าร่วม
โครงการ (ซึง่ ก็คอื ผูป้ ว่ ยมะเร็ง) ได้เรียนรูต้ วั เอง อยูก่ บั ตัวเอง ได้รจู้ กั
ตัวเอง และทีส่ �ำ คัญคือ ทำ�ให้ทกุ คนเข้มแข็งขึน้ เรียนรูท้ จ่ี ะดำ�เนินชีวติ
ต่อไปอย่างมีคุณค่า และพร้อมที่จะสร้างคุณงามความดีท้งั เพื่อตนเอง
และผูอ้ น่ื ต่อไป
ความรูส้ กึ ในฐานะทีไ่ ด้มโี อกาสเข้ามาช่วยโครงการจึงเหมือน
ได้มาเรียนรูค้ วามรูเ้ กีย่ วกับอาหารบำ�บัดซึง่ เป็นสิง่ ใหม่ส�ำ หรับดิฉนั เรียน
รูก้ ารปฏิบตั ธิ รรมเพือ่ สร้างพลังใจทีป่ กติท�ำ ได้ยากในผูป้ ว่ ยทีเ่ ป็นโรคร้าย
โดยมีผ้รู ่วมโครงการที่เป็นเหมือนครูให้ได้ศึกษา มีพระอาจารย์ และ
สำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ที่ทำ�ให้ดิฉันได้รับโอกาสนี้ และรู้สึก
เสียดายแทนผูป้ ว่ ยมะเร็งอืน่ ๆ ทีไ่ ม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ ภาพวัน
สุดท้ายของโครงการทีผ่ เู้ ข้าร่วมโครงการทุกคนดูสดชืน่ แข็งแรง ผิว
พรรณเปล่งปลัง่ เลือดฝาด สมบูรณ์ขน้ึ สีหน้ายิม้ แย้มแจ่มใส มีความ
สุข ไม่มที ที า่ ว่าเป็นผูป้ ว่ ยมะเร็ง โรคทีใ่ คร ๆ ก็กลัว ทุกคนดูเหมือน
ญาติธรรมทัง้ หลายทีม่ าปฏิบตั ธิ รรมตามปกติ เท่านีก้ เ็ ป็นสิง่ ทีน่ า่ ปลืม้ ใจ
สมกับความเมตตาของพระอาจารย์ทกุ ท่าน ทีไ่ ด้ทมุ่ เทให้กบั โครงการนี้
จากประสบการณ์ครัง้ นีแ้ ม้ดฉิ นั จะไม่ได้น�ำ มาใช้กบั งานโดยตรง แต่นบั
ว่าเป็นประสบการณ์ทส่ี งู ค่าทีส่ ามารถนำ�มาประยุกต์ใช้ทง้ั กับการปฏิบตั ิ
งาน และการดำ�เนินชีวติ ขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์วโิ รจน์ทไ่ี ด้
ให้โอกาสนี้ ขอบคุณผูร้ ว่ มโครงการทีเ่ ป็นครูให้ได้เรียนรูแ้ ละผูช้ ว่ ยเหลือ
โครงการทุกท่านทีเ่ สียสละเวลามาร่วมสร้างคุณประโยชน์ทเ่ี ป็นบุญกุศล
ในครัง้ นี้
ไออุ่นจากโรงครัว
๓๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ไออุ่นจากโรงครัว คุณฐิติวัชร์ ปวีร์เดชาวัชร์

จากความโชคดีของผมที่มีแฟนป่วยเป็นมะเร็ง จึงได้พลิก
ผันชีวิตให้ผมได้มีโอกาสไปเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาการแพทย์ทางเลือกของ
ดร. รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์ุวงศ์ ที่ชมรมบ้านสุขภาพ อำ�เภอบ้านฉาง
จังหวัดระยอง ใช้เวลาในการเรียนรู้ ๑ เดือน ในการนีก้ ม็ พี ระอาจารย์
วิโรจน์เป็นผูค้ ดั เลือกบุคคลต่างๆ จำ�นวน ๔ คน คือ คุณอ้อย คุณกล้วย
คุณหน่อย และก็ผม นายฐิติวัชร์
วิชาการแพทย์ทางเลือกที่พระอาจารย์วิโรจน์เลือกเอามา
สำ � หรั บ ดู แ ลผู้ เ ข้ า ร่ ว ม “โครงการเรี ย นรู้ ดู ก ายใจด้ ว ยธรรมะ
ธรรมชาติ” คือ การใช้ธรรมชาติบำ�บัด ให้อาหารที่สะอาด ถูกต้อง
น้ำ � ผั ก ปั่ น และน้ำ � เอนไซม์ ในโครงการเรี ย นรู้ ดู ก ายใจด้ ว ยธรรมะ
ธรรมชาติ ของสำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั จ.ขอนแก่น เริม่ โครงการ
วันที่ ๑๕ มกราคม - ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ระยะเวลาโครงการที่
นานที่สุดถึง ๑ เดือน โดยการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ คือ คุณ
อ้อยเป็นผูห้ ญิง รับผิดชอบงานหนักคือ การทำ�อาหาร คุณกล้วยผูห้ ญิง
เหมือนกันรับผิดชอบเรื่องสลัด คุณหน่อยเป็นผู้ชายรับผิดชอบเรื่องน้ำ�
เอนไซม์ ส่วนผมรับผิดชอบเรื่อง น้ำ�ผักปั่น น้ำ�โหระพา น้ำ�นมธัญพืช
ผมตืน่ เต้นมาก เนือ่ งจากไม่เคยต้องรับผิดชอบการดูแลผู้
ป่วยจำ�นวนมากขนาดนี้ แต่ก็มั่นใจในวิชาที่ได้เรียนรู้มา และก็เกิด
ความภูมิใจมาก และดีใจมากที่สุดในชีวิตที่ผมมีโอกาสได้ให้ความช่วย
เหลือได้ใช้ความรู้ และได้ให้ก�ำ ลังใจแก่คนทีเ่ จ็บป่วย หมดหวัง มีความ
ทุกข์ ความเครียด ได้มีความรู้สึกดีขึ้น คลายกังวล มีความหวังขึ้นมา
มันช่างเป็นความสุขที่ไม่มีโอกาสได้พบอีกแล้ว ใบหน้าของผู้เข้าร่วม
โครงการในวันแรก ๆ กับใบหน้าของแต่ละท่านในวันต่อ ๆ มาโดย
เฉพาะวันที่ใกล้จบโครงการเป็นไปในทางที่ดีขึ้นอย่างน่าชื่นใจ
ในช่วงการเข้าโครงการ ผมต้องดูแลในส่วนทีร่ บั ผิดชอบนัน้
การทำ�น้ำ�ผักปั่น ๓ เวลา การทำ�น้ำ�นมธัญพืชให้พอดี การประมาณ
การวัตถุดิบที่ใช้ เนื่องจากมีจำ�นวนผู้ดื่มมาก ทำ�ให้มีความกังวลบ้าง
แต่ผมก็ใช้วิธีสวดมนต์บทอิติปิโสฯ ตลอดเวลา ทำ�ให้มีสติในการ
ทำ�งาน ตัง้ แต่ตน่ื นอน จนกระทัง่ เวลาทีท่ �ำ การปรุงส่วนผสมต่าง ๆ
จนผมอดประหลาดใจไม่ได้วา่ ทุกอย่างช่างเหมาะเจาะ พอดี ไม่มกี าร
ผิดพลาดเกิดขึ้นเลย และก็ดีใจตอนที่ท่านพระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์
ท่านเรียกว่า “น้ำ�ผักปั่นอิติปิโส”
เพราะเป็นวิชาการแพทย์ทางเลือกที่ยังใหม่สำ�หรับคนไทย
ซึ่งวิชาการนี้มันเหมาะกับชีวิตของคนในปัจจุบันนี้มาก คือ ความพอ
เพียง จึงมีผู้คนสนใจถามไถ่จ�ำ นวนมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมโครงการ
พระคุณเจ้า ญาติธรรม และแม้แต่แพทย์รว่ มกับพยาบาลทุกท่าน ทีเ่ ข้า
มาให้การดูแลและช่วยเหลือต่าง ๆ ในโครงการนี้ ผมได้มโี อกาสอธิบาย
และแลกเปลีย่ นความรูก้ บั หลายท่าน ผมมีโอกาสแนะนำ�การทำ�น�้ำ หมัก
ชีวภาพหรือน�้ำ เอนไซม์ไว้ดมื่ การหมักน�้ำ หมักสำ�หรับพืช สัตว์ การทำ�
น้ำ�ผักปั่น น้ำ�นมธัญพืชและการดูแลสุขภาพตัวเอง เพื่อให้ทุกท่านได้มี
โอกาสนำ�กลับไปดูแลตัวเอง ครอบครัว และญาติธรรม โดยเฉพาะการ
ทำ�น้ำ�ยาล้างตาตามคำ�แนะนำ�ของ ดร.รสสุคนธ์ เพื่อล้างหู ล้างตา
และจมูกให้กบั ทุกคนภายในสำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั จึงมีค�ำ หยอก
ล้อว่า “หมอเถื่อน”
ผลกรรมอันใดที่ผมได้ทำ�ลงไปด้วยเจตนา ไม่เจตนา พลั้ง
เผลอจะด้วยกาย วาจา ใจ ต่อทุก ๆ ท่าน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๓๙
๔๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ก็ขออโหสิกรรมด้วยเทอญ และความภาคภูมิใจ ดีใจที่สุดในชีวิตที่ได้มี


โอกาสร่วมสร้างบุญ สร้างกุศลในครั้งนี้กับเพื่อนร่วมบุญทุกท่าน ผล
บุญใดที่ได้เกิดขึ้นในการนี้ ผมขอยกถวายให้แก่พระอาจารย์วิโรจน์ ที่
ดูแลโครงการนี้อย่างดีเยี่ยม พร้อมทั้งทีมงานและผู้เข้าร่วมโครงการ
ทุกท่าน ผมยินดีให้ความรูแ้ ละแลกเปลีย่ นความรูก้ บั ท่านทีส่ นใจทุกท่าน
ในวิธีการธรรมชาติบำ�บัด และยินดีที่จะเข้าร่วมโครงการในลักษณะนี้
อีกในโอกาสต่อไป

ไออุ่นจากโรงครัว คุณรดากร พิพัฒน์ไชยศิริ

ข้าพเจ้า นางรดากร พิพฒ ั น์ไชยศิริ อายุ ๕๓ ปี จบการ


ศึกษาครุศาสตร์บณ ั ฑิต เอกภาษาอังกฤษ จากวิทยาลัยครูยะลา เคยรับ
ราชการครูท่โี รงเรียนแก่นนครวิทยาลัย ปัจจุบันประกอบอาชีพธุรกิจ
ส่วนตัว
นับว่าข้าพเจ้ามีความโชคดีมากที่ได้มีโอกาสทำ�อาหารใน
“โครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ” เป็นเวลา ๑ เดือน
ซึง่ ก่อนทีจ่ ะมาทำ�อาหาร พระอาจารย์วโิ รจน์ได้สง่ ข้าพเจ้าและทีมงาน
ไปเรียนทำ�อาหารทีจ่ งั หวัดระยอง กับดร.รสสุคนธ์ พุม่ พันธุว์ งศ์ เป็น
เวลา ๑ เดือน
ช่วงเวลา ๑ เดือนทีเ่ รียนทำ�อาหารทีจ่ งั หวัดระยอง เป็นช่วง
เวลาทีม่ คี ณุ ค่าทีส่ ดุ และมีความสุขมาก ข้าพเจ้าได้เรียนรูเ้ รือ่ งอาหารที่
มีประโยชน์มาเกินคำ�บรรยาย และได้น�ำ มาใช้ในโครงการอย่างพิถพี ถิ นั
พระอาจารย์วโิ รจน์ ท่านจะดูแลวัตถุดบิ เป็นกรณีพเิ ศษ เพือ่
ความปลอดภัยแก่ผปู้ ว่ ย ข้าพเจ้าอดซาบซึง้ ใจแทนผูป้ ว่ ยไม่ได้ คิดว่าผู้
ป่วยเองคงไม่ทราบว่าพระอาจารย์วิโรจน์ท่านระมัดระวัง พิถีพิถันแค่
ไหน แต่ขา้ พเจ้าทราบดี เพราะพระอาจารย์วโิ รจน์จะดูแลกำ�กับข้าพเจ้า
ตลอดเวลา ข้าพเจ้าโชคดีมากทีม่ ที มี งานทีแ่ ข็งแรง ซึง่ แต่ละคนมีความ
เอือ้ เฟือ้ เผือ่ แผ่ ช่วยเหลือซึง่ กันและกันอย่างดี แม้จะเหน็ดเหนือ่ ยแค่
ไหนทุกคนก็อดทนอดกลัน้ ข้าพเจ้ารูส้ กึ ซาบซึง้ ในน้ำ�ใจของเพือ่ นร่วม
งานมาก
ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์วิโรจน์มา ณ
โอกาสนี้ ทีท่ �ำ ให้ขา้ พเจ้าได้มโี อกาสเรียนรูเ้ รือ่ งอาหารสำ�หรับผูป้ ว่ ย และ
ได้มโี อกาสมาทำ�อาหารให้ผปู้ ว่ ยในโครงการ
ข้าพเจ้าขอขอบคุณสามีทอ่ี นุญาตให้ขา้ พเจ้าไปเรียนทีจ่ งั หวัด
ระยอง ๑ เดือน และมาทำ�อาหารทีส่ �ำ นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั อีก
๑ เดือน โดยให้การสนับสนุนและยินดีในการทำ�งานของข้าพเจ้าตลอด
จนจบโครงการ และขอขอบคุณเพือ่ นร่วมงานทีน่ า่ รักทุกคนทีใ่ ห้ความ
ร่วมมือดีมาก ข้าพเจ้าจะจดจำ�ช่วงเวลาดี ๆ เช่นนีต้ ลอดไป

ไออุ่นจากโรงครัว คุณพิมไพร ยิ้มศิริ

ข้าพเจ้า นางพิมไพร ยิม้ ศิริ ช่วยงานสามีดแู ลกิจการเคาะ


พ่นสีรถยนต์ชอื่ บริษทั วรุตม์ บอดีพ้ มิ ไพร ยิม้ ศิริ แอนด์ เพนท์ จำ�กัด
ที่จังหวัดขอนแก่น ข้าพเจ้าเริ่มเรียนรู้การปฏิบัติธรรมที่สำ�นักปฏิบัติ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๔๑
๔๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ธรรมสวนเวฬุวันตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ พระอาจารย์สอนให้รู้จักการมีสติและ


สัมปชัญญะ รู้จักการยอม การให้อภัย ลดความโลภ โกรธ หลง และ
ตัวทิฐมิ านะ ฯลฯ แม้จะยังปฏิบตั ติ ามได้ไม่เต็มร้อย แต่ขา้ พเจ้าก็รสู้ กึ
ว่าตัวเองดีขึ้น ใจเย็นลง ข้าพเจ้าได้ตั้งปณิธานไว้ว่า หากมีสิ่งใดที่
ข้าพเจ้าทำ�เพื่อตอบแทนสำ�นักฯสวนเวฬุวันได้ ข้าพเจ้าจะไม่ลังเลเลย
เมือ่ ได้ทราบว่าพระอาจารย์วโิ รจน์จะจัด “โครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วย
ธรรมะ ธรรมชาติ” ตามแนวสติปฎั ฐาน ๔ ของพระธรรมสิงหบุราจารย์
สำ�หรับผูป้ ว่ ยมะเร็งโดยเฉพาะขึน้ ข้าพเจ้าจึงขันอาสาพระอาจารย์ แม้จะ
ต้องไปเรียนรูว้ ธิ กี ารทำ�อาหารสำ�หรับผูป้ ว่ ยกับ ดร.รสสุคนธ์ พุม่ พันธุว์ งศ์
ทีบ่ า้ นสุขภาพ ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เป็นระยะเวลา ๑ เดือน
แล้วกลับมาทำ�อาหารให้ผเู้ ข้าร่วมโครงการฯ อีก ๑ เดือน โดยข้าพเจ้า
จะต้องสละเวลาทำ�งานไปถึง ๒ เดือนก็ตาม แต่เมือ่ ข้าพเจ้าได้ไปเรียน
รูท้ บี่ า้ นสุขภาพแล้ว ข้าพเจ้ารูส้ กึ ขอบพระคุณพระอาจารย์ ทีส่ ง่ ข้าพเจ้า
และเพื่อนอีก ๓ คนไป เพราะทำ�ให้ข้าพเจ้าได้รู้จักวิธีการทำ�อาหารที่
มีประโยชน์สำ�หรับผู้ป่วย หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ป่วย เพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ดร.รสสุคนธ์ ยังสอนให้รู้จักการใช้ชีวิตแบบพอ
เพียง ตามแนวพระราชดำ�ริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั รูค้ ณ ุ ค่า
ของสิ่งต่าง ๆ แม้จะเป็นเพียงเศษอาหาร ขยะ ก็สามารถนำ�มาทำ�
ประโยชน์ได้ ลดปัญหาขยะล้นเมืองและลดภาวะโลกร้อน
ดร.รสสุคนธ์ ผู้มีแต่ความเมตตา ช่วยเหลือผู้คนที่ได้เข้ามา
ในบ้านสุขภาพ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพหรือฐานะอย่างไรก็ตาม ทุกคนที่
เข้ามาที่บ้านสุขภาพจะต้องได้รับประทานอาหาร และได้สิ่งดีๆ ติดมือ
กลับไปด้วยเสมอ

ข้าพเจ้าได้พบกับกัลยาณมิตรในขณะที่อยู่ในโครงการฯ ที่
สำ�นักฯสวนเวฬุวนั โดยทุกคนร่วมแรงกายแรงใจ ช่วยกันทำ�งาน เป้า
หมายคือ เพื่อผู้ป่วยจะได้รับแต่สิ่งที่ดี ๆ และหายจากโรคภัยที่เป็นอยู่
ข้าพเจ้าดีใจที่ทราบว่า ผู้ป่วยที่มาเข้าโครงการฯ ทุกคน เมื่อจบ
โครงการฯ แล้ว อาการป่วยดีขึ้น ซึ่งเกิดจากการสอนปฏิบัติธรรมจาก
พระอาจารย์และจากอาหารที่พวกเราช่วยกันทำ�
และสุดท้ายข้าพเจ้าต้องขอบคุณ คุณสมิตร ยิ้มศิริ สามี
ของข้าพเจ้า นายวีริศร์ นายวรุตม์ และนางสาวอาริวรรณ ยิ้มศิริ
บุตรชายและบุตรสาวของข้าพเจ้า ทีอ่ นุญาตให้ขา้ พเจ้าทิง้ งาน ทิง้ บ้าน
เพื่อทำ�ให้โครงการนี้สำ�เร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

ไออุ่นจากโรงครัว คุณเลิศเกียรติ ชาตะเมธีกุล

มีผรู้ ทู้ า่ นบอกไว้วา่ การทีค่ นเราเจ็บไข้ได้ปว่ ยกัน หนักบ้าง


เบาบ้างนั้น มีสาเหตุที่แยกออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ๑.ป่วยจาก
จิต ๒.ป่วยจากเหตุปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหาร ลักษณะการใช้
ชีวิตประจำ�วัน เชื้อโรค มลภาวะ พลังงานที่มองไม่เห็น พันธุกรรม
กรรมเก่า เป็นต้น

๑. ป่วยจากจิต
สภาวะจิตหรือสภาพจิตที่ไม่สงบ ปล่อยให้อารมณ์ต่างๆพุ่ง
พล่านในจิตอยู่เสมอ รวมไปถึงการคิดไม่ดีต่อคนอื่นและความคิดที่

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๔๓
๔๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ติดลบทั้งหลาย มีส่วนก่อให้เกิดเหตุปัจจัย ของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ขึ้น


กับร่างกายของเราได้ประมาณร้อยละ ๘๐ ของสาเหตุทั้งหมด เรื่องนี้
ไม่ได้เป็นแค่เพียงความเชื่อของชาวเอเชียเราเท่านั้น แต่ได้มีการพิสูจน์
ทางวิทยาศาสตร์กันมาแล้วว่า

เวลาที่เราโกรธ หัวใจจะเต้นแรงขึ้น
เวลาเครียด ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น
ความวิตกกังวล เป็นสาเหตุหนึง่ ของโรคกระเพาะอาหาร
จิตอิจฉาริษยา ก่อให้เกิดปัจจัยของมะเร็งขึ้นมาได้
การที่คอยจับผิดคนอื่น ทำ�ให้ไขมันเพิ่มขึ้นได้
การตื่นเต้นง่าย ทำ�ให้โคเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นได้
คนขี้ใจน้อย ชอบดูถูกตัวเอง มักจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย

นี่เป็นตัวอย่างของความเกี่ยวพันระหว่าง สภาพจิต และ


อารมณ์ ที่มีผลต่อร่างกาย แค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แล้วถ้าหากคน
บางคนมีอารมณ์ต่าง ๆ หลายอย่าง ตกค้างสะสมอยู่ในจิตใจ ก็คงจะ
มีอาการของโรคนั้นโรคนี้กันอย่างเป็นปกติเลยทีเดียว
ภาวะจิตใจและอารมณ์ มีผลต่อสภาวะความเป็นไปของ
ร่างกายได้โดยตรง ดร.สนอง วรอุไร นักวิทยาศาสตร์และอาจารย์
กรรมฐานท่ า นเคยเล่ า ไว้ ว่ า ตอนที่ ท่ า นเป็ น อาจารย์ ส อนอยู่ ที่
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านเคยเป็นโรคกระเพาะอาหาร รักษาอย่างไร
ก็ไม่หายขาด เพราะมีความกังวลเรือ่ งงานอยูเ่ ป็นประจำ� เวลาเกิดความ
กังวล จิตที่เป็นกังวลจะไปกระตุ้นระบบประสาทที่โยงมาที่กระเพาะ
อาหาร ให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ถ้ากระเพาะ
อาหารไม่มีอาหารอยู่ กรดเกลือนั้นก็จะย่อยน้ำ�เมือกที่เคลือบกระเพาะ
อาหาร และผนังกระเพาะอาหารจนเป็นแผล แต่เมือ่ ได้ปฏิบตั กิ รรมฐาน
แล้ว ก็ไม่เป็นโรคกระเพาะอาหารอีก เพราะเข้าใจในเรื่องของจิตแล้ว
เวลาเกิดความกังวลขึ้น ก็ใช้วิธีของกรรมฐานมาแก้ จนจิตเป็นอิสระ
จากความกังวล เมื่อตัดความกังวลได้แล้ว เหตุปัจจัยของโรคกระเพาะ
อาหารเหล่านี้ก็ไม่มีอีกต่อไป
อกี ตัวอย่างหนึง่ เป็นเรือ่ งทีส่ ภุ าพสตรีคงจะทราบกันดีอยูแ่ ล้ว
คือ เรื่องของรอบเดือน ซึ่งอาจจะมาช้าหรือไม่มาได้ในช่วงเวลาที่มี
ความกังวลใจหรือเครียด นั่นแสดงให้เห็นว่า ความกังวลไม่ได้มีผลกับ
ระบบย่อยอาหารเพียงเท่านัน้ และความเครียดก็ไม่ได้มผี ลกับระบบความ
ดันโลหิตเพียงเท่านั้น แต่ยังกระทบไปถึงระบบต่อมไร้ท่อ และระดับ
ฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งมีผลต่อการมีรอบเดือนในแต่ละเดือนด้วย
ตั ว อย่ า งเหล่ า นี้ ค งจะพอแสดงให้ เ ห็ น ถึ ง ความเกี่ ย วพั น
ระหว่างสภาพจิตใจและอารมณ์ ทีม่ อี ทิ ธิพลต่อการทำ�งานของร่างกาย
ได้อย่างชัดเจน

๒. ป่วยจากเหตุปัจจัยอื่น ๆ
ปัจจัยอื่น ๆ ที่มาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา สามารถมีส่วน
ทำ�ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นกับตัวของเราได้ประมาณร้อยละ ๒๐ ของ
สาเหตุทที่ �ำ ให้เกิดโรคทัง้ หมด เช่น อาหาร ลักษณะการใช้ชวี ติ ประจำ�
วัน มลภาวะ เชื้อโรค พลังงานที่มองไม่เห็น พันธุกรรม กรรมเก่า
เป็นต้น
อาหารที่ใส่ผงชูรส วัตถุกันเสีย สารเคมีปรุงแต่งสี กลิ่น
รส แม้แต่น้ำ�ตาลเทียมก็ตาม ผักผลไม้ที่มียาฆ่าแมลงหรือยากันเชื้อรา

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๔๕
๔๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ยาเร่งทั้งหลายตกค้างอยู่ เนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่มีฮอร์โมน
เร่งการเจริญเติบโต ยาปฏิชีวนะหรือยาอื่น ๆ ตกค้างอยู่ ล้วนแต่ไม่ใช่
อาหารทีด่ ตี อ่ สุขภาพและมีสว่ นทำ�ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ทงั้ สิน้ รวมทัง้
น้ำ�อัดลมซึ่งมีความเป็นกรดสูง และมีน้ำ�ตาลผสมอยู่มาก ก็ไม่เหมาะ
จะดื่มเป็นประจำ�เช่นกัน
ลักษณะการใช้ชีวิตประจำ�วันที่บั่นทอนสุขภาพจนนำ�ไปสู่
การเจ็บไข้ได้ปว่ ย ซึง่ เป็นพฤติกรรมทีห่ ลายคนปฏิบตั อิ ยูเ่ ป็นประจำ� เช่น
การนอนดึก ไม่ขับถ่ายทุกเช้า ไม่รับประทานอาหารเช้าให้เพียงพอต่อ
ความต้องการของร่างกาย การดื่มน้ำ�เปล่าน้อยเกินไปในแต่ละวัน แม้
กระทั่งการ ยืน เดิน นั่ง นอน การยกของหนัก โดยใช้ท่าทางที่ไม่
เหมาะสม เป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยได้ทั้งสิ้น
อนึง่ การอยูใ่ นมลภาวะทีบ่ นั่ ทอนสุขภาพกายและสุขภาพ
จิต เช่น อยู่ในบริเวณที่อากาศไม่ดี มีฝุ่นหรือควันมาก มีเสียงดังเกิน
ไป มีแสงทีแ่ รงจ้าเกินไปมารบกวนสายตาอยูเ่ ป็นประจำ�หรือการสัมผัส
กับพลังงานที่มองไม่เห็นมากเกินไป เช่น คลื่นสัญญาณจากโทรศัพท์
เคลื่อนที่ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รังสีเอ็กซเรย์ รังสีจาก
จอคอมพิวเตอร์ รังสียวู ี เป็นต้น ล้วนเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยเช่น
เดียวกัน
มีเรื่องที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ ผู้หญิงซึ่งส่วนใหญ่จะ
ดูแลสุขภาพของตัวเองดีกว่าผูช้ าย แต่กลับมีสถิตกิ ารเป็นมะเร็งมากกว่า
ผู้ชาย จึงน่าสงสัยว่าสิ่งที่เพิ่มปัจจัยเสี่ยงให้กับผู้หญิง น่าจะเป็นเครื่อง
เสริมความงามทัง้ หลายทีผ่ หู้ ญิงใช้กนั หรือไม่ เพราะเป็นสิง่ ทีผ่ ชู้ ายส่วน
ใหญ่ไม่ได้ใช้ หรือถ้าใช้ก็น้อยกว่าผู้หญิงมาก แสดงว่าสารตะกั่ว สาร
ปรอท หรือสารเคมีอื่น ๆ ที่อยู่ในเครื่องสำ�อางอาจจะค่อย ๆ ซึมผ่าน
ผิวหนังเข้าสูก่ ระแสเลือด แล้วมาสะสมอยูใ่ นร่างกาย จนเป็นเหตุปจั จัย
ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นในวันหนึ่งได้
เราจะเห็นได้ว่าอาหาร เครื่องดื่ม และเหตุปัจจัยต่าง ๆ
ที่กล่าวมานี้ หลายคนบริโภค และประพฤติปฏิบัติตัวเช่นนี้อย่างเป็น
ปกติในชีวติ ประจำ�วัน จึงไม่ใช่เรือ่ งน่าแปลกอะไรทีผ่ คู้ นจะเจ็บไข้ได้ปว่ ย
กันมาก เรียกว่าเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคภูมแิ พ้ ฯลฯ
กันอย่างเป็นปกติเลยทีเดียว แล้วก็มาบ่นกันว่าอยู่ดี ๆ ก็เป็นโรคนั้น
โรคนี้ขึ้นมา แต่ความจริงแล้วเพราะอยู่กันไม่ดีมานานแล้วต่างหาก
นานจนพฤติกรรมที่ไม่ดีเหล่านี้กลายมาเป็นเรื่องปกติของชีวิตไปแล้ว
ในเมือ่ กว่าร้อยละ ๙๐ ของสาเหตุทท่ี �ำ ให้เกิดการเจ็บป่วย
นัน้ มาจากตัวของเราเอง ทัง้ จากความคิด จิตใจและพฤติกรรมการ
ดำ�เนินชีวติ ของเรา ถ้าหากเรา คิดดี พูดดี ทำ�ดี รับประทานอาหารให้
เหมาะสมและพอเหมาะกับสภาพร่างกายของเรา ไม่ให้อะไรมากเกินไป
หรือน้อยเกินไปจนไปทำ�ลายสมดุลของธาตุดนิ น�ำ้ ลม ไฟ ในร่างกาย
ของเรา ไม่อยูใ่ นสถานทีท่ เ่ี ป็นมลภาวะ ขับถ่ายก่อน ๐๗.๐๐ น.ทุก ๆ
เช้า ดืม่ น้ำ�เปล่าให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอไม่ควรนอนดึก และข้อ
สำ�คัญ ต้องหมัน่ รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นประจำ� ก็จะช่วยให้เกิดสมดุล
ของชีวติ ทีด่ ไี ด้ในระดับหนึง่ การรักษาศีล เจริญภาวนานี้ เป็นการสร้าง
ความสุขทีไ่ ม่ตอ้ งพึง่ สัมผัสทาง รูป รส กลิน่ เสียง และสัมผัสทางกาย
มาปรุงแต่งให้มคี วามสุข
การรักษาศีล เจริญภาวนา และเปลีย่ นพฤติกรรมทัง้ ความ
คิด การพูด การกระทำ�ให้เป็นไปในทางที่ดีนั้น ก็มีโอกาสจะทำ�ให้
สภาวะการทำ�งานของร่างกายเปลีย่ นในทางทีด่ ไี ด้ดว้ ย ทัง้ นีก้ ข็ นึ้ อยูก่ บั
เหตุปัจจัยทั้งของเก่าและของใหม่ (เช่น พฤติกรรมและองค์ประกอบ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๔๗
๔๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

อืน่ ๆ ของชีวติ ทัง้ ในอดีตและปัจจุบนั ) ในตัวของแต่ละบุคคลด้วย บาง


คนโรคภัยไข้เจ็บหายไปเลย บางคนอาการป่วยทุเลาลงไป มีบันทึกไว้
เป็นตัวอย่างอยูห่ ลายคนในหนังสือกฎแห่งกรรมธรรมปฏิบตั ขิ อง พระ
เดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมสิงหบุราจารย์ สำ�หรับคนที่มีเหตุปัจจัย
ทีด่ ี อาจจะไม่มากพอให้อาการป่วยหายหรือทุเลาลง แต่การตัง้ ใจปฏิบตั ิ
กรรมฐานอย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยให้เขาไม่ทุกข์เหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะการรักษาศีล เจริญภาวนาเป็นการสร้างความสุขโดยไม่ต้องพึ่ง
สัมผัสทางกาย ดังนัน้ ถึงแม้รา่ งกายจะมีอาการเจ็บป่วย แต่ใจของเขา
ไม่ได้ป่วยตามไปด้วย ถึงร่างกายจะทุกข์ แต่ใจของเขาไม่ได้ทุกข์ตาม
ไปด้วย เขาจึงใช้ชวี ติ ได้อย่างมีความสุขมากขึน้ ในร่างกายทีแ่ ม้จะยังเจ็บ
ป่วยเหมือนเดิมก็ตาม
โครงการเรียนรู้ดูกายใจฯนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมที่ตั้งใจปฏิบัติ
จะสามารถแก้ไขเหตุปัจจัยที่ไม่ถูกไม่ควร ที่เป็นเหตุก่อให้เกิดการเจ็บ
ป่วยได้ไม่นอ้ ย เพราะผูป้ ฏิบตั ธิ รรมจะได้ปฏิบตั กิ รรมฐานกันทัง้ วันอย่าง
ต่อเนื่องหลายวัน อย่างน้อยที่สุดผู้ปฏิบัติจะเข้าใจเรื่องของจิตมากขึ้น
รูจ้ กั การวางจิตของตัวเองให้เหมาะสมกับเหตุปจั จัยในชีวติ ของตน ตรง
นีก้ เ็ ป็นการจัดการกับสาเหตุของการป่วยทีม่ าจากจิตแล้ว ส่วนการเจ็บ
ป่วยที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่น ๆ นั้น ผู้ปฏิบัติก็ได้เรียนรู้แนวทางที่
เหมาะสมที่จะหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยจากเหตุปัจจัยเหล่านั้นด้วย เช่น
ขับถ่ายให้ได้ทุกเช้า รับประทานอาหารเช้าให้เพียงพอ ดื่มน้ำ�เปล่าให้
เพียงพอ ไม่นอนดึก เป็นต้น รวมไปถึงการทำ�อาหารที่ดีต่อสุขภาพ
ถ้าผู้ปฏิบัตินำ�แนวทางเหล่านี้กลับไปปฏิบัติต่อที่บ้าน ก็จะสามารถ
จัดการกับสาเหตุของการป่วยได้มากทีเดียว ไม่วา่ จะเป็นสาเหตุทมี่ าจาก
จิตหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ตาม
ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับผูป้ ฏิบตั ธิ รรมทุกท่าน ทีม่ าสร้าง
ความดีมาปฏิบัติกรรมฐานกัน และขอเป็นกำ�ลังใจให้ผู้ปฏิบัติธรรมทุก
ท่านเรียนรู้ดูกายใจของท่านต่อไป ตั้งใจปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง กำ�หนด
จิตอย่างทีห่ ลวงพ่อ และพระอาจารย์ได้สอนไว้ อย่าย่อท้อต่อความทุกข์
ทรมานทีไ่ ด้รบั หากรูส้ กึ ทุกข์มากก็ลองลุกขึน้ มาทำ�อะไรเพือ่ คนอืน่ เพือ่
สังคมดูบา้ งเท่าทีจ่ ะทำ�ได้ อาจจะเริม่ จากคนรอบตัวก่อนก็ได้ เช่น ช่วย
ให้เขาดูแลเราได้อย่างสะดวกและสบายใจมากขึน้ แล้วค่อยขยายวงออก
ไปสู่คนอื่น อย่าปล่อยตัวเองให้จมลึกลงไปในกองทุกข์ และต้องไม่เอา
ความทุกข์ที่ได้รับมาเป็นอารมณ์ของชีวิต แต่ขอให้เอาความทุกข์เหล่า
นัน้ มาเป็นครูสอนกรรมฐาน ความทุกข์ทไี่ ด้รบั นัน้ ก็จะไม่เป็นปัญหาของ
ชีวิตอีกต่อไป
ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ช่วยกันทำ�โครงการ
นี้อย่างดี ผมได้สัมผัสกับบรรยากาศในโครงการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้
ทราบว่าพระอาจารย์ทา่ นต้องหาข้อมูล เตรียมการและประสานงานกับ
แพทย์ พยาบาล และผูร้ ว่ มทำ�โครงการท่านอืน่ ๆอยูน่ าน รวมทัง้ ส่งเรา
สี่คนไปเรียนเรื่องน้ำ�เอนไซม์ และการทำ�อาหารสำ�หรับผู้ป่วย กับ
ดร.รสสุคนธ์ และได้กลับมาช่วยทำ�โครงการนี้ ได้เห็นความตัง้ ใจ และ
ความจริงใจของผูท้ มี่ าช่วยงานทุกคน ทัง้ ผูท้ รี่ บั หน้าทีด่ แู ล และบริการ
ให้ความสะดวกกับผู้ปฏิบัติธรรมที่อาคารสุริสา ก็ทำ�งานกันอย่างไม่
เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทำ�กันทั้งวันตั้งแต่ผู้ปฏิบัติยังไม่ตื่น
จนผูป้ ฏิบตั เิ ข้านอน ผูท้ มี่ าช่วยกันทำ�ครัวก็มาช่วยกันทำ�ตัง้ แต่ตสี ี่ ตัง้ ใจ
ทำ�อาหารกันอย่างดี ตั้งแต่ล้างผัก ผมก็สังเกตเห็นได้ว่าเค้าไม่ได้ใช้แค่
น�้ำ กับเอนไซม์ลา้ ง แต่เค้าใช้น�้ำ ใจล้างกันด้วย เรียกได้วา่ ล้างถูกนั อย่าง
ดีแทบจะทุกใบเลยทีเดียว นั่งล้างกันเกือบทั้งวัน อาหารก็ทำ�กันอย่าง

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๔๙
๕๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ประณีต คือ ใส่ใจทำ�กันอย่างดี และสะอาดในทุกขั้นตอน ใส่ใจกันถึง


ขนาดทีบ่ างคนทำ�น�้ำ ผักปัน่ และน�้ำ นมธัญพืชก็จะสวดบทอิตปิ โิ สไปด้วย
จนทำ�เสร็จ (ไม่ได้ด้วยกล ก็เอาด้วยมนต์คาถา)
นี่คือเคล็ดลับของอาหารที่ดีคือผู้ทำ�อาหารทำ�ด้วยความ
เมตตาปรารถนาดีต่อผู้รับประทานอาหาร ไม่ใช่ว่าต้องการให้ผู้รับ
ประทานติดใจก็ใส่ผงชูรสลงไป แต่มันกลับไม่ใช่อาหารที่ดีต่อสุขภาพ
เลย บางคนลางานไม่ได้กย็ งั เอาเวลาก่อนเข้างานหรือหลังจากเลิกงาน
แล้ว มาช่วยทำ�อะไรก็ได้เท่าที่จะมีให้ช่วยทำ�ในเวลานั้น เหลือแค่งาน
ล้างถ้วย จาน หม้อ กระทะ ก็ทำ�ด้วยความเต็มใจ บางครัง้ เห็นว่าพวก
เรามีความขัดแย้งไม่เข้าใจกันบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติของการทำ�งานร่วม
กันหลาย ๆ คน แต่ผมก็สัมผัสถึงความตั้งใจ และความจริงใจของ
ทุก ๆ คนที่มาช่วยกันทำ�โครงการในครั้งนี้ได้อย่างชัดเจน ช่างเป็น
บรรยากาศทีอ่ บอวลไปด้วยเมตตา และเปีย่ มล้นไปด้วยน�้ำ ใจจริง ๆ ผม
ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านอีกครั้งครับ


มะเร็ง


๕๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

มะเร็ง
ความหมายของโรคมะเร็ง

มะเร็งเกิดจากความผิดปกติของสารพันธุกรรมหรือที่ทาง
การแพทย์เรียกว่า DNA หรือยีนของเซลล์นนั้ จนมีผลให้รา่ งกายสร้าง
เซลล์ที่ผิดปกติเพิ่มจำ�นวนขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ไม่สามารถควบคุมจำ�นวน
ได้ เซลล์ที่ผิดปกตินี้เรียกว่า เซลล์มะเร็งนั่นเอง โดยเชื่อกันว่า ใน
ร่างกายของคนเราทุกคนมียีนตัวนี้อยู่แล้ว แต่ยังคงอยู่ในสภาวะสงบ
ยังไม่ก่อให้เกิดโรค จนกระทั่งร่างกายได้รับการกระตุ้นโดยการสะสม
ของอนุมูลอิสระ (Free Radicals) และสารก่อมะเร็ง (Carcinogen)
เช่น การได้รับสารพิษจากเชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ สารเคมีต่าง ๆ การ
ปนเปื้อนของอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปเป็นเวลายาวนาน ตลอด
จนการได้รับควันพิษจากท่อไอเสีย รับสารไฮโดรคาร์บอนจากอาหาร
จำ�พวกปิ้ง ย่าง รมควัน จะทำ�ให้ยีนปกติมีความผิดปกติในระดับ
โมเลกุล กลายเป็นยีนก่อมะเร็ง และก่อให้เกิดความผิดปกติของเซลล์
จนเกิดโรคมะเร็งขึ้นในอวัยวะต่างๆ ของคนเรา มะเร็งสามารถเกิดได้
เกือบทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่พบมาก ได้แก่

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๕๓
๕๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

มะเร็งเต้านม พบมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของผู้หญิง มัก


พบในอายุระหว่าง ๔๕-๕๕ ปี อาจถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม สัมพันธ์
กับความอ้วน อาหารไขมันสูง อุบัติการณ์เพิ่มขึ้นในเพศหญิงที่มี
ฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงในระดับสูงเป็นเวลานาน
ได้แก่ ผู้ไม่มีบุตร หรือมีบุตรช้า มีประจำ�เดือนตั้งแต่อายุยังน้อย หรือ
หมดประจำ�เดือนช้า ผู้หญิงที่อายุตั้งแต่ ๒๐ ปีขึ้นไปควรตรวจเต้านม
ตัวเองเดือนละครั้ง และหากสงสัยว่ามีก้อนในเต้านม อาจใช้การถ่าย
ภาพเอ็กซเรย์เต้านม (Mammography) ในผู้หญิงที่มีอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป
ควรตรวจ Mammogram เป็นประจำ�ปีละครั้ง

มะเร็งปากมดลูก พบมากในเพศหญิงที่มีอายุระหว่าง
๔๙-๕๙ ปี สาเหตุ สำ � คั ญ เกิ ด จากการติ ด เชื้ อ ไวรั ส HPV
(Human Papiloma Viruses) ทีเ่ กิดจากการระคายเคืองจากการคลอด
บุตรมาก หรือมีเพศสัมพันธ์มาก มักพบในสตรีที่มีประวัติการอักเสบ
เรื้อรังของปากมดลูก การตรวจหามะเร็งชนิดนี้ควรตรวจหลังหมด
ประจำ�เดือน ๑ สัปดาห์ มะเร็งปากมดลูกนี้สามารถป้องกันและรักษา
ให้หายขาดได้หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น โดยวิธีตรวจวินิจฉัยที่เป็น
มาตรฐาน คือการตรวจภายในและทำ� Pap Smear ซึ่งแนะนำ�ให้เริ่ม
ทำ�ตั้งแต่อายุ ๑๘ ปีหลังจากที่เคยมีประวัติเพศสัมพันธ์

มะเร็งปอด เกิดจากความสกปรกของอากาศ รังสี สาร


เคมีที่ปนเปื้อนในบรรยากาศ การสูบบุหรี่จัดเป็นเวลานาน แผลเรื้อรัง
ในปอด สังเกตได้จากการไอเป็นระยะเวลานาน ไอเป็นเลือด หรือมี
เสียงแหบเรื้อรัง น้ำ�หนักลด เบื่ออาหาร เจ็บหน้าอก หายใจลำ�บาก
กลืนอาหารลำ�บาก บางครั้งอาจจะมีน้ำ�หนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

มะเร็งตับ ประกอบด้วยมะเร็ง ๒ ชนิดใหญ่ ๆ คือมะเร็ง


เซลล์ตบั หรือทีเ่ รียกว่า Hepatocellular Carcinoma ซึง่ สาเหตุทสี่ �ำ คัญ
ทีส่ ดุ คือการติดเชือ้ ไวรัสตับอักเสบชนิด B และ C และการรับประทาน
อาหารที่ ป นเปื้ อ นสารอะฟลาทอกซิ น ซึ่ ง เกิ ด จากเชื้ อ รา ส่ ว น
มะเร็งอีกชนิดที่ทำ�ให้เกิดก้อนในตับได้คือ มะเร็งท่อน้ำ�ดี เรียกว่า
Cholangio Carcinoma มะเร็งชนิดนี้พบมากในคนไทยโดยเฉพาะใน
ภาคอีสาน ซึ่งสัมพันธ์กับการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ที่มีการ
ปนเปื้อนของพยาธิใบไม้ตับ ในระยะเริ่มต้นของมะเร็งชนิดนี้ ผู้ป่วยจะ
ไม่มีอาการ จนกระทั่งก้อนมะเร็งเริ่มโตจนผู้ป่วยเริ่มอึดอัด ท้องบวม
เบื่ออาหาร น้ำ�หนักลดอย่างรวดเร็วและสุดท้ายมีอาการตัวเหลือง
สามารถตรวจพบด้วยการอุลตร้าซาวด์

มะเร็งลำ�ไส้ใหญ่ มักพบกับผู้ที่รับประทานอาหารประเภท
เนื้อสัตว์ และไขมันในปริมาณสูง และเกิดจากการรับประทานอาหาร
ที่มีกากน้อย ทำ�ให้เกิดการท้องผูก และมีการคั่งค้างของอุจจาระใน
ลำ�ไส้ใหญ่ เยื่อบุลำ�ไส้ จึงมีโอกาสสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง รวมทั้งอาจ
เกิดจากการอักเสบ หรือแผลเรื้อรังในลำ�ไส้ใหญ่ นอกจากนั้นโรคทาง
กรรมพันธุ์บางอย่างทำ�ให้เพิ่มอัตราเสี่ยงกับมะเร็งลำ�ไส้ใหญ่ด้วย

มะเร็งผิวหนัง มักพบในผูส้ งู อายุวยั ๔๐-๕๐ ปีขนึ้ ไป ปัจจัย


ที่ทำ�ให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ได้แก่ แสงแดด บริเวณของผิวหนังจะเกิด
ความผิดปกติ เช่น ก้อนตุ่มเล็ก ที่เริ่มขยายวงกว้างออกไปหรือโตขึ้น

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๕๕
๕๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เรื่อย ๆ ดังนั้น หากเป็นแผลที่ผิวหนังและไม่หายภายใน ๒ สัปดาห์


ควรปรึกษาแพทย์เพือ่ รักษาให้หายขาด โดยแพทย์อาจต้องมีการตัดชิน้
เนื้อเพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัย สาเหตุอาจเกิดจากการระคายเคือง
เรื้อรังจากสารเคมี เช่น การได้รับสารหนูจากการกินเป็นเวลานาน
การระคายเคืองต่อไฝ หูด และปาน

มะเร็งช่องปาก อาจเกิดได้ในทุกตำ�แหน่ง ได้แก่ ลิ้น


กระพุ้งแก้ม ริมฝีปาก เหงือก เพดานปาก พื้นปากใต้ลิ้น ลิ้นไก่
ทอนซิล เป็นต้น มักพบในช่วงอายุ ๕๙-๖๙ ปี เกิดจากการระคาย
เคืองเรื้อรัง เช่น ในผู้ที่กินหมาก สูบบุหรี่ และดื่มเหล้า รวมทั้งผู้ที่มี
ฟันเก กดเบียดลิ้นในตำ�แหน่งเดิมเสมอ ๆ และผู้ที่ใช้ฟันปลอมหลวมที่
ทำ�ให้มีการกดกระแทกเหงือกจากการขยับเขยื้อนตลอดเวลา

มะเร็งรังไข่ เป็นมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงที่ไม่มีบุตร เป็น


หมันหรือมีบุตรน้อยกว่า ๒ คน อาจพบก้อนในช่องท้อง หรือช่อง
เชิงกราน ซึ่งทำ�ให้เกิดอาการแน่นท้องหรือปวดท้อง เมื่อก้อนโตขึ้นจะ
กดเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำ�ให้ปสั สาวะบ่อยและขัด นอกจากนีย้ งั อาจ
เกิดจากการสร้างฮอร์โมนเพศที่ผิดปกติ ทำ�ให้มีประจำ�เดือนผิดปกติ
เช่น ขาดประจำ�เดือนก่อนวัยอันควร การมีเลือดออกผิดปกติ ปวดท้อง
น้อย เป็นต้น

มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลิวคีเมีย เป็นมะเร็งที่พบบ่อย
ที่สุดในเด็ก โรคนี้มีโอกาสเป็นได้เท่า ๆ กันทั้งในเด็กหญิงและเด็กชาย
ในระยะแรกอาการมักไม่ค่อยชัดเจน อาจเป็นไข้เรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ
มีประวัติเลือดกำ�เดาออกบ่อย ๆ เลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำ�เลือดตาม
ตัวหรือฟกช้ำ�ง่าย ถ้าเป็นมากขึ้นเด็กจะซึมลง เบื่ออาหาร ซีด มีจุด
เลือดออกตามตัว ในระยะที่เป็นมาก จะมีก้อนโตขึ้นตามตำ�แหน่ง
ต่าง ๆ เช่น คอ ขาหนีบ รักแร้ เป็นต้น

ปัจจัยส่งเสริมให้เกิดมะเร็ง

๑. เกิดจากการบริโภคอาหาร
การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น อาหารที่มี
ไขมันสูง อาหารทีม่ รี สเค็มจัด และอาหารทีม่ สี ว่ นผสมของสารก่อมะเร็ง
อาทิ สารกันบูด สีผสมอาหาร สารหนู ดินประสิว อาหารปิ้ง-ย่างที่
ไหม้เกรียม อาหารที่มีส่วนผสมของฟอร์มาลีน สารเร่งเนื้อแดง สาร
เร่งการเติบโต ผงฟอกขาว พืชผักผลไม้ที่มีสารพิษ หรือยาฆ่าแมลง
ตกค้าง การบริโภคอาหารทะเลทีม่ สี ารคาร์บอนไดออกไซด์ในเนือ้ เป็น
ปริมาณมาก การรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารดองเค็ม
อาหารทอดด้วยน้ำ�มันทอดซ้ำ� การรับประทานอาหารที่มีเชื้อราที่มี
สารพิษอะฟลาทอกซิน มักพบในถั่วลิสง อาหารทะเลแห้ง เป็นต้น

๒. เกิดจากภูมิต้านทานบกพร่องหรือล้มเหลว
อาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายเอง เช่น เกิดจาก
ความพิการมาแต่กำ�เนิด กรรมพันธุ์ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เซลล์เม็ด
เลือดขาวบกพร่อง ทำ�ให้เซลล์เม็ดเลือดขาวไม่สามารถกำ�จัดเซลล์แปลก
ปลอมทิ้งได้ทันก่อนที่มันจะเติบโตกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย การขาด

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๕๗
๕๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

วิตามินบางชนิด เช่น วิตามินเอ ซี และอี เป็นต้น

๓. เกิดจากการสัมผัสสารก่อมะเร็ง
การสูดควันพิษทั้งจากท่อไอเสียรถยนต์ ควันพิษจากแก๊ส
การเชือ่ ม การอ๊อกโลหะ ควันจากการเผาไหม้ทมี่ สี ว่ นประกอบของสาร
ไฮโดรคาร์บอน ผงฝุ่นละอองในอากาศ การเสพยาเสพติด สาร
ระเหย การสูบบุหรี่ โดยในบุหรีจ่ ะมีสารทาร์และนิโคติน ซึง่ ผูท้ สี่ บู บุหรี่
มากกว่า ๒๐ มวน/วัน ติดต่อกันเป็นเวลา ๑๐ ปี จะมีอัตราเสี่ยงต่อ
การเกิดโรคมะเร็งได้ ๘-๑๐ เท่าของผู้ที่ไม่สูบ การดื่มเครื่องดื่มที่มี
แอลกอฮอล์ในปริมาณมากและบ่อยจนเกินไป เพราะการรับแอลกอฮอล์
มากกว่า ๖๐ กรัมของเอทานอลต่อวัน เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น
๙ เท่า

๔. เกิดจากมีสารอนุมลู อิสระเข้าไปในร่างกายมากเกินไป
เมื่อใดก็ตามที่อนุมูลอิสระเข้าไปในร่างกายของเรา ไม่ว่า
จะจากการรับประทานอาหาร หรือจากอากาศทีเ่ ราหายใจเข้าไป หรือ
ถูกสร้างภายในร่างกายเรา อนุมูลอิสระนี้จะเข้าไปดึงเอาอิเล็คตรอน
จากเซลล์ในร่างกายมาเข้าคู่กับตัวมันเพื่อให้เกิดความเสถียร อนุมูล
อิสระสามารถรวมตัวกับ สารพันธุกรรม DNA ทำ�ให้ DNA มีความ
ผิดปกติเกิดการกลายพันธุ์ ส่งผลให้เกิดเซลล์ใหม่ทผี่ ดิ ปกติไปจากเซลล์
เดิม เซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นเซลล์แปลกปลอมในร่างกาย หรือที่
เรียกว่าเซลล์มะเร็งนั่นเอง


๕. เกิดจากความเครียด
โดยอาจเกิดจากการอยูใ่ นสถานทีท่ มี่ เี สียงดังเกินขนาดเป็น
เวลานาน เกิดจากความคาดหวังในเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ เวลา
สถานทีใ่ นสังคมปัจจุบนั อันไม่อาจตอบสนองความต้องการทางอารมณ์
ได้ ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดในจิตใจ ทำ�ให้เกิดปฏิกิริยาเคมีใน
ร่างกาย เวลาที่เราโกรธหรือมีอารมณ์ซึมเศร้า ผิดหวัง เสียใจ ต่อม
ไร้ท่อจะผลิตฮอร์โมนที่ตอบสนองต่ออารมณ์ดังกล่าว ส่งผลให้อนุมูล
อิสระในร่างกายเพิม่ มากขึน้ หัวใจเต้นเร็ว ระบบหายใจผิดปกติ ระบบ
ย่อยอาหารทำ�งานได้นอ้ ยลง ระบบเลือดขึน้ สูงลงต�่ำ ตลอดเวลา ระบบ
สมอง และประสาทเกิดการเปลีย่ นแปลง ซึง่ ก่อให้เกิดผลร้ายต่ออวัยวะ
ของร่างกาย และทำ�ให้ภูมิต้านทานภายในตัวลดลง

ส่วนใหญ่แล้วการเกิดมะเร็งนั้น ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใด
สาเหตุหนึ่ง แต่มักเกิดจากหลาย ๆ สาเหตุประกอบกัน และมักจะเกิด
ขึ้นพร้อม ๆ กัน ทั้งอาจจะมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารสมัย
ใหม่ที่ผิด ๆ โดยมะเร็งนั้นสัมพันธ์กับองค์ประกอบ ๔ ประการใน
อาหารสมัยใหม่ ได้แก่ ไขมัน โปรตีนและแคลอรี่ที่มากเกินไป รวมถึง
อาหารที่มีกากน้อยเกินไป ประกอบกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี
มลภาวะสูง ได้รับสารก่อมะเร็งอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน รวม
ทั้งมีอาการเครียดด้วย เป็นต้น

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๕๙
๖๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

อาการเริ่มต้นของโรคมะเร็ง

ไม่วา่ ใครก็ตามทีม่ พี ฤติกรรมเสีย่ งหรืออยูใ่ นสภาพแวดล้อม


ที่ไม่ดี ล้วนมีโอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งด้วยกันทั้งสิ้น โดยมะเร็งนั้น
สามารถป้องกันและรักษาได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับตนเองว่าจะมีความสนใจ
ใส่ใจและให้ความสำ�คัญกับสุขภาพมากแค่ไหน ซึ่งเราสามารถสังเกต
อาการเบื้องต้นของโรคมะเร็ง ดังต่อไปนี้
๑. เกิดอาการผิดปกติของระบบขับถ่าย เช่น อุจจาระเป็น
สีดำ� ปัสสาวะเป็นเลือด เกิดอาการท้องร่วงและท้องผูกสลับกันไปแทบ
ทุกวัน
๒. เกิดบาดแผลเรื้อรัง เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นในร่างกาย ไม่
ว่าจะเป็นส่วนใดก็รักษาไม่ค่อยหายหรือหากหายก็ใช้เวลานาน
๓. เกิดจากอาหารทีร่ บั ประทานเข้าไปแล้วไม่ยอ่ ยอยูบ่ อ่ ย ๆ
ทำ�ให้เกิดอาการท้องอืด ท้องบวม หรือท้องผูกเป็นประจำ�
๔. เกิดมีโลหิตไหลออกทางทวารหนัก และช่องคลอดเป็น
ประจำ�คราวละมาก ๆ หรืออาจจะหยดกระปริดกระปรอย มีอาการ
ตกขาวผิดปกติและมีกลิ่นเหม็น
๕. เกิดเป็นก้อนที่แข็งขึ้นตามบริเวณกล้ามเนื้อ หรืออาจ
เกิดขึ้นที่บริเวณผิวหนัง หรือ เต้านมในผู้หญิง และอวัยวะส่วนใดส่วน
หนึ่งแล้วค่อยขยายใหญ่โตขึ้น
๖. เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อย น้ำ�หนักลดลง
โดยไม่ทราบสาเหตุ
๗. ไฝ ปานหรือหูดในร่างกาย มีการเปลี่ยนแปลงหรือผิด
ปกติไปจากลักษณะเดิม
๘. มีอาการอาเจียน จุกเสียด แน่นหน้าอกเป็นเวลา
นาน ๆ และบ่อยครั้ง กลืนอาหารลำ�บาก
๙. มีอาการไอเรื้อรัง แสบลำ�คอ เสียงแหบแห้ง เสียงไม่
ค่อยออก
๑๐. มีน้ำ�มูกออกมาผิดปกติ มีเลือดกำ�เดาไหล และหูอื้อ
อยู่ตลอดเวลา
๑๑. มีอาการเคร่งเครียดทางอารมณ์บ่อย ๆ
๑๒. ปัสสาวะมีเลือดปน กระเพาะปัสสาวะบวมโต ปัสสาวะ
ขัด มีอาการหดเกร็ง ปวดหนึบ ๆ
๑๓. ประจำ�เดือนมาผิดปกติ ขาดหายไปเป็นเวลานาน หรือ
มีเลือดประจำ�เดือนมากผิดปกติ
หากว่าท่านใดพบอาการผิดปกติทางร่างกายดังกล่าวข้าง
ต้นแล้ว ควรรีบไปตรวจสุขภาพร่างกาย ปรึกษาแพทย์โดยด่วน อย่า
มัวรีรอ เพราะว่าอาการดังกล่าวอาจจะเป็นมะเร็งในระยะเริ่มแรกของ
อวัยวะนัน้ หรืออาจจะไม่ใช่มะเร็งก็ได้ แต่หากเป็นมะเร็งจริงก็จะยังอยู่
ในระยะเริ่มแรกและมีโอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้

กระบวนการเกิดเซลล์มะเร็ง

ร่างกายเราประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ อวัยวะจะประกอบ
ด้วยเซลล์ กลุ่มของเซลล์ที่มีรูปร่างและทำ�หน้าที่เหมือนกันรวมตัว
กันเป็นอวัยวะ หลายอวัยวะมาทำ�งานร่วมกันเป็นระบบหลาย ๆ ระบบ
ทำ�งานร่วมกันเป็นร่างกายของคนเรา เซลล์ต่าง ๆ จะมีอายุ เมื่อตาย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๖๑
๖๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ก็ จ ะมี เ ซลล์ ใ หม่ เ กิ ด ขึ้ น ทดแทนเซลล์ เ ก่ า เซลล์ ที่ ส ร้ า งใหม่ ไ ม่ ห ยุ ด


เราเรียก เนือ้ งอก ซึง่ แบ่งเป็น เนือ้ งอกชนิดไม่รา้ ยแรง หรือส่วนเซลล์
ที่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น ๆ เรียก มะเร็ง

ภาพที่๑ เซลล์ปกติ ภาพที่๒ ก้อนเนื้องอกประกอบด้วย


กลุ่มเซลล์มะเร็ง
ที่มา http://naiyana-edit31.blogspot.com/2008/06/blog-post.html
ตารางแสดงความแตกต่างระหว่างเนื้องอกชนิดธรรมดากับมะเร็ง

รายละเอียด เนื้องอกชนิดธรรมดา มะเร็ง


การเจริญเติบโต ชา เร็ว
ลักษณะของการโต ดันออกไปรอบขาง แทรกซึม
การทำลายเนื้อเยื่อปกติ นอยมากหรือไมมี มาก
การทำลายหลอดเลือด ไมมี พบบอย
เปลือกหุม (Capsule) มี ไมมี
การแพรกระจาย (Metastasis) ไมมี มี
ผลที่เกิดตอรางกาย นอยมาก มากถึงตาย
หลอดเลือดมาหลอเลี้ยง นอย ปานกลางถึงมาก
เนาหรือแตกเปนแผล ไมคอยมี มีเสมอ
มีการกลับเปนอีกภายหลัง
ไมคอยมี มีเสมอ
ผาตัดเอากอนออก

ที่มา http://www.kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK9/chapter6/t9-6-l1.htm#sect1

ภายในก้อนมะเร็งแบ่งได้เป็น ๓ ส่วน คือ


๑. ส่วนเจริญ เป็นส่วนรอบนอกของก้อนเซลล์มะเร็งทีก่ �ำ ลัง
โต ได้รับอาหาร และออกซิเจนจากหลอดเลือดสะดวกกว่าส่วนอื่น
ทำ�ให้แบ่งตัวได้เร็ว
๒. ส่วนไม่เจริญอยู่ลึกถัดเข้ามา เป็นส่วนกลางของก้อน
เนื้อ เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตแต่ไม่แบ่งตัว แต่ก็พร้อมที่จะแบ่งตัวได้
๓. ส่วนแกนหรือส่วนตาย อยู่ตรงกลางของก้อนมะเร็ง

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๖๓
๖๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ประกอบด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว เพราะขาดออกซิเจน หรือถูกเบียดตาย


แต่เซลล์ชั้นนอก ๆ ของส่วนนี้อาจจะไม่ตายแต่ไม่แบ่งตัว เนื่องจาก
ออกซิเจนจากหลอดเลือดฝอยจะมีการซึมซาบได้ในระยะจำ�กัด และถ้า
เซลล์อยู่ห่างจากหลอดเลือดฝอยเกินกว่า ๐.๑๕ มม. จะถือว่าเซลล์นั้น
อยูใ่ นภาวะขาดออกซิเจน ฉะนัน้ เมือ่ ก้อนมะเร็งมีขนาดโตขึน้ ส่วนแกน
หรือส่วนตายจะมีขนาดโตขึน้ ด้วย ในขณะทีส่ ว่ นเจริญ และส่วนไม่เจริญ
มักจะมีขนาดค่อนข้างคงที่

เนื่ อ งจากเซลล์ ม ะเร็ ง เกิ ด จากความผิ ด ปกติ ที่ ยี น หรื อ
โครโมโซม ฉะนั้น เซลล์มะเร็งจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว สร้างดีเอ็นเอ
ช้ากว่าหรือใกล้เคียงกับเซลล์ปกติ แต่เซลล์มะเร็งตายยากกว่า และ
การที่เซลล์มะเร็งมักจะมีอัตราการแบ่งตัวเร็วกว่าเซลล์ปกติ จึงเป็นผล
ทำ�ให้เซลล์มะเร็งรวมกันโตเป็นก้อน การศึกษาอัตราการเจริญเติบโต
ของเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะชนิดเป็นก้อน อาจทำ�ง่าย ๆ โดยการวัดระยะ
เวลาทีเ่ ซลล์มะเร็งแบ่งตัวจนปริมาตรของก้อนมะเร็งเพิม่ ขึน้ เป็น ๒ เท่า
สำ�หรับมะเร็งส่วนมากที่เกิดในคนจะโตขึ้นเป็น ๒ เท่า โดยเฉลี่ย
ประมาณ ๑-๕ เดือน ความแตกต่างในการเจริญเติบโตของแต่ละเซลล์
แต่ละก้อนมะเร็งในผู้ป่วยรายเดียวกัน หรือต่างคนกัน หรือแม้แต่ใน
ก้อนมะเร็งก้อนเดียวกัน ยังมีการเจริญเติบโตเร็วช้าต่างกัน มีมะเร็ง
บางชนิดในคนที่ก้อนโตช้ามาก ทั้ง ๆ ที่เซลล์มีอัตราการแบ่งตัวเร็ว


ความรุนแรงของเซลล์มะเร็ง

ในด้านการรักษามีการแบ่งความรุนแรงของมะเร็งตาม
ระยะของโรค โดยเซลล์มะเร็งแบ่งออกเป็น ๔ ระยะตามการลุกลาม
ของโรค ดังนี้
ระยะที่ ๑ เซลล์มะเร็งยังจำ�กัดอยู่ในเฉพาะบริเวณที่เป็น
ยังไม่รบกวนเนื้อเยื่อข้างเคียง
ระยะที่ ๒ เซลล์มะเร็งเริ่มลุกลามถึงเนื้อเยื่อข้างเคียง แต่
ยังไม่ลามออกไปไกลเกินกว่าอวัยวะนั้น ๆ
ระยะที่ ๓ เ ซลล์มะเร็งลุกลามไปยังต่อมน�้ำ เหลืองใกล้เคียง
และกระแสโลหิต
ระยะที่ ๔ เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ของ
ร่างกาย และเข้าไปทำ�ลายเซลล์เนื้อเยื่อในร่างกายให้เสื่อมสภาพลง
อย่างรวดเร็ว

การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
เซลล์มะเร็งเกิดจากการสะสมของสารก่อมะเร็งทีไ่ ม่สามารถ
เผาผลาญเป็นพลังงานได้ โดยเซลล์มะเร็งจะเติบโตและขยายตัวไปได้
เรื่อยๆ ด้วยการได้รับอาหารและออกซิเจน ซึ่งอาหารของมะเร็งนั้น
มาจาก ไขมัน โปรตีน และน�้ำ ตาล ยิง่ ถ้าได้รบั อาหารและออกซิเจน
เข้าไปมากเท่าไหร่ กระบวนการแบ่งตัวภายในเซลล์มะเร็งจะยิ่ง
ขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ แบบทวีคูณ และจะแบ่งเซลล์ผิดปกติกลาย
เป็นเซลล์เนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็งต่อไป ซึ่งเซลล์มะเร็งสามารถแพร่
กระจายได้ ๔ วิธี ดังนี้

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๖๕
๖๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

๑. โดยทางกระแสเลือด เซลล์มะเร็งจะหลุดเข้ากระแส
เลือด แล้วไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ตับ กระดูก
สมอง เป็นต้น
๒. โดยทางกระแสน้ำ�เหลือง เซลล์มะเร็งหลุดเข้าหลอด
น้ำ�เหลืองแล้วไปเจริญเติบโตในต่อมน้ำ�เหลืองบริเวณใกล้เคียง ทำ�ให้
ต่อมน้ำ�เหลืองมีขนาดโตได้มาก จากต่อมน้ำ�เหลืองนี้เอง เซลล์มะเร็ง
อาจจะแพร่กระจาย เข้าสู่หลอดเลือดอีกทอดหนึ่งได้
๓. การฝังตัวของเซลล์มะเร็ง (Implantation) เซลล์มะเร็ง
จะหลุดจากตำ�แหน่งเดิม ไปเจริญที่ส่วนอื่น อาจเป็นการหลุดโดย
ธรรมชาติ หรือโดยมีการกระตุ้น เช่น จากการผ่าตัด เป็นต้น
๔. การไปจั บ หรื อ รวมตั ว ตามพื้ น ผิ ว ของผนั ง เยื่ อ บุ
(Transcoelomic) เซลล์มะเร็งจะหลุดจากก้อนมะเร็ง ไปงอกตามพื้น
ผิวของเยือ่ บุตา่ ง ๆ เหมือนกับต้นกาฝาก ทีแ่ พร่จากกิง่ ไม้กงิ่ หนึง่ ไปยัง
กิ่งติด ๆ กัน เช่น ตามพื้นผิวของเยื่อบุช่องท้อง ช่องปอด เป็นต้น

การตายของเซลล์มะเร็ง

เซลล์มะเร็งสามารถตายได้จากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
๑. แก่ตายตามอายุขยั ของมัน แต่โดยทัว่ ไปเซลล์มะเร็งจะ
ตายช้ากว่าเซลล์ปกติ
๒. ถูกเซลล์มะเร็งด้วยกันเบียดกันตาย เช่น เซลล์ใหม่อาจ
เบียดเซลล์เก่าให้ตายได้โดยแย่งอาหารและออกซิเจนกันเอง
๓. ถูกทำ�ลายโดยเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อ
ไปในเรื่อง “ภูมิคุ้มกัน” (หน้า ๗๑)
๔. ถู ก ทำ � ลายด้ ว ยการรั ก ษาทางแพทย์ แ ผนปั จ จุ บั น
เช่น การผ่าตัด การใช้เคมีบำ�บัด การฉายแสง

มะเร็งไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เกิดขึน้ จากความผิดปกติในระดับ


เซลล์ของร่างกายในแต่ละบุคคล ในคนที่มีสุขภาพดีโดยทั่วไปอาจจะมี
เซลล์ผิดปกติเหล่านี้ได้ถึง ๑๐๐-๑๐,๐๐๐ เซลล์เลยก็ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้
หมายความว่าคน ๆ นั้นจะป่วยเป็นมะเร็ง เพราะว่าร่างกายยังมี
ภูมิคุ้มกันที่สามารถทำ�ลายเซลล์ผิดปกติเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตามเซลล์
เหล่านี้ยังถูกสร้างออกมาอยู่เรื่อย ๆ ตามธรรมชาติ ตราบเท่าที่เรายัง
มีสขุ ภาพทีแ่ ข็งแรง ร่างกายของเราก็จะสามารถกำ�จัดเซลล์เหล่านีอ้ อก
ไปได้ แต่หากใครยังคงมีนิสัยในการบริโภคอาหารอย่างผิด ๆ และได้
รับสารก่อมะเร็ง ได้รับอนุมูลอิสระต่อเนื่องเป็นเวลานาน ชอบสูบบุหรี่
เกิดความเครียดบ่อย ๆ จนทำ�ให้ระบบภูมคิ มุ้ กันของร่างกายถูกทำ�ลาย
ร่างกายก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนเกิดเป็นโรคมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ
ของร่างกายในที่สุด

วิธีการรักษามะเร็งทางแพทย์แผนปัจจุบัน

๑. ก ารผ่าตัด เป็นวิธีการรักษาที่ได้ทั้งการมุ่งหวังให้โรค
หายขาดในกรณีที่โรคยังเป็นน้อย และเพื่อเป็นการบรรเทาอาการ
ชั่วคราวในกรณีที่โรคเป็นมากแล้ว วิธีการผ่าตัดอาจจะตัดเอาเฉพาะ
ก้อนมะเร็งออกเท่านั้น หรือเลาะเอาต่อมน้ำ�เหลือง และเนื้อเยื่อที่ดี
บริเวณใกล้เคียงออกไปด้วย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๖๗
๖๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

๒. รังสีรกั ษา เป็นวิธกี ารรักษาทีใ่ ช้ได้ทงั้ การมุง่ หวังให้โรค


หายขาด และเพื่อการ บรรเทาอาการชัว่ คราว การใช้รงั สีรกั ษาบริเวณ
ที่มีเซลล์มะเร็งอยู่ เป็นการรักษาแบบเฉพาะที่เช่นเดียวกับวิธีของการ
ผ่าตัด
๓. เคมีบำ�บัด คือ การให้สารเคมีหรือยาที่ทำ�ลายเซลล์
มะเร็งทัง้ ทีต่ น้ ตอ และทีก่ ระจายไปตามทางเดินน�้ำ เหลือง กระแสเลือด
หรืออวัยวะอื่นของร่างกาย เป็นการรักษามะเร็งแบบทั้งตัวของผู้ป่วย
มะเร็ง โดยการรับประทานยาที่มีความสามารถในการฆ่าหรือทำ�ลาย
เซลล์มะเร็ง หรือโดยการฉีดยาทางหลอดเลือดดำ� เป็นต้น ยาเคมีบ�ำ บัด
เมื่อให้เข้าสู่ร่างกาย จะไปทำ�ลายเซลล์มะเร็งเละทำ�ลายเซลล์ปกติบาง
ส่วน ทำ�ให้เกิดอาการข้างเคียงขึน้ โดยยาเคมีบำ�บัดจะเข้าไปขัดขวาง
ขบวนการเจริญเติบโตของวงจรชีวิตเซลล์ทำ�ให้เซลล์ตาย ยาแต่ละตัว
ออกฤทธิ์แตกต่างกันในการรักษา บางแผนการรักษาประกอบด้วยยา
หลายชนิดที่ให้ร่วมกัน

ที่มา www.nci.go.th/knowledge/chem.html
๔. การใช้การรักษาทั้ง ๓ วิธีที่กล่าวมาแล้วร่วมกัน ใน
ปัจจุบันนี้การรักษาโรคมะเร็ง ได้ก้าวผ่านการรักษาตามอาการ และ
การรักษาเพือ่ บรรเทา เข้ามาสูก่ ารรักษาเพือ่ มุง่ หวังให้โรคหายขาดมาก
ขึ้น แต่เดิมการรักษามักจะกระทำ�โดยแพทย์เฉพาะทางฝ่ายเดียว เมื่อ
การรักษาล้มเหลวจากวิธีใดวิธีหนึ่งแล้ว จึงเปลี่ยนมาเป็นอีกวิธีหนึ่ง
ทำ�ให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร ในปัจจุบันนี้จึงนิยมใช้วิธีการรักษา
หลาย ๆ วิธีร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผลการรักษาดีขึ้น หรือ
สะดวกขึ้น อาทิเช่น การผ่าตัดร่วมกับสารเคมีบำ�บัด การผ่าตัดร่วม
กับรังสีรักษาและสารเคมีบำ�บัด รังสีรักษาร่วมกับสารเคมีบำ�บัด เช่น
มะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ ที่อยู่ในระยะที่เป็นมากแล้ว เป็นต้น
๕. การรักษาโดยการใช้ฮอร์โมน เนือ่ งจากมะเร็งบางชนิด
มีความไวต่อการรักษาด้วยฮอร์โมน จึงให้ยาเพื่อเปลี่ยนแปลงระดับ
ฮอร์โมน ทำ�ให้เซลล์หยุดการเจริญเติบโต
๖. การรักษาโดยการเพิม่ ภูมคิ มุ้ กันให้กบั ร่างกาย เป็นวิธี
การรักษาที่เพิ่งจะสนใจ และเริ่มใช้กันในวงการแพทย์เมื่อไม่นานมานี้
และนับวันจะยิง่ มีบทบาท มีความสำ�คัญในการรักษาโรคมะเร็งมากขึน้
เรื่อย ๆ ฉะนั้น การกระตุ้นให้ร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น จะ
โดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม น่าที่จะทำ�ให้มะเร็งที่กำ�ลังเป็นอยู่ใน
บุคคลผู้นั้นมีการฝ่อตัวลง หรือหยุดการเจริญเติบโต หรือโตช้าลง

ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง แพทย์มีจุดมุ่งหมายของการ
รักษา ๒ ประการ คือ
๑. การรักษาเพื่อมุ่งหวังให้โรคหายขาด การรักษาจะอยู่
ในวงจำ�กัดทีโ่ รคมะเร็งยังอยูใ่ นระยะเพิง่ เริม่ เป็นเท่านัน้ วิธกี ารรักษามี

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๖๙
๗๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ทั้งการรักษาโดยการผ่าตัด หรือการใช้รังสีรักษา
๒. การรักษาเพื่อบรรเทาอาการชั่วคราว สำ�หรับผู้ป่วย
อยู่ในระยะที่เป็นมาก การรักษามิได้มุ่งหวังที่จะทำ�ให้โรคหายขาด แต่
เพื่อทำ�ให้ผู้ป่วยสบายขึ้นชั่วคราว หรือทุเลาจากอาการต่าง ๆ เท่านั้น
ซึง่ อาจจะยืดอายุผปู้ ว่ ยออกไปอีกเล็กน้อย หรือเพือ่ ลดอัตราการโตของ
ก้อนมะเร็งให้ช้าลงชั่วคราว


การรับการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน โดยการใช้ยา
เคมีบำ�บัด การฉายรังสี เป็นการให้ตัวยาที่มีคุณสมบัติยับยั้ง
(Inhibit) และควบคุม (Control) ในการรักษาโรค โดยมองเหตุของ
ความเจ็บป่วยของร่างกายเฉพาะจุดที่มีอาการเป็นหลัก โดยการให้
ตั ว ยาในปริ ม าณที่ เ ข้ ม ข้ น เพื่ อ ทำ � ให้ เ ซลล์ ม ะเร็ ง ถู ก ทำ � ลายอย่ า ง
รวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำ�ลายเซลล์ที่ดีของร่างกายอย่าง
รวดเร็วเช่นกัน และอาจทำ�ลายระบบของอวัยวะสำ�คัญไปด้วย เช่น ตับ
ไต หัวใจ หรือปอด รวมทั้งทำ�ให้จำ�นวนเม็ดเลือดขาวน้อยหรือต่ำ�กว่า
ปกติได้ ภาวะเม็ดเลือดขาวน้อย ทำ�ให้การต้านทานต่อโรคลดลง เกิด
การติดเชื้อได้ง่าย วิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง คือ
หยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งโดยการหยุดให้อาหารที่เซลล์
มะเร็งจำ�เป็นต้องนำ�ไปใช้ กล่าวคือ งดโปรตีนและไขมัน และเพิ่ม
สารอาหารทีเ่ ป็นพืชผักธรรมชาติทมี่ สี ารอาหารครบ เพือ่ ให้รา่ งกาย
ค่อย ๆ ฟื้นตัวโดยการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อย
ไป
๗๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
ภูมิคุ้มกัน (Immune)
ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System)
ในรอบ ๆ ตัวเราเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และ
เชื้อโรคเล็ก ๆ มากมายที่ตาของเรามองไม่เห็น เราต้องสัมผัสกับเชื้อ
โรคตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และในแต่ละวันเราก็สัมผัสกับเชื้อโรคอย่างนับ
ไม่ถว้ น ทำ�ไมเราไม่เจ็บป่วยเพราะเชือ้ โรคเหล่านัน้ หรือหากจะเจ็บป่วย
บ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก การที่เราไม่เจ็บป่วยง่าย ๆ เพราะร่างกายมี
ภูมิคุ้มกัน(หรือภูมิต้านทาน)คอยปกป้องอยู่ ภูมิคุ้มกันเป็นกลไกการ
ป้อ งกั น ตนเองอย่างหนึ่งของร่างกาย เมื่อมี สิ่งแปลกปลอมที่เ ป็น
อันตรายเข้าสู่ร่างกายและอาจเป็นโทษ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะออกมาต่อ
ต้านหรือทำ�ลายสิ่งแปลกปลอมนั้นให้หมดไปจากร่างกายโดยเร็ว และ
มีประสิทธิภาพ ร่างกายจึงอยู่ได้อย่างปกติสุข ไม่เจ็บป่วย

กลไกการทำ�งานของภูมิคุ้มกัน
ในร่างกายของคนเรานัน้ มีกระบวนการทางธรรมชาติทจี่ ะ
รักษาตัวเอง (Spontaneous Healing) โดยเซลล์เม็ดเลือดขาว
(Lymphocyte Cell) ซึง่ ทำ�หน้าทีส่ ร้างภูมติ า้ นทานรักษาความปลอดภัย
ให้แก่ร่างกาย โดยสร้างมาจากเซลล์ต้นกำ�เนิดเม็ดเลือดจากไขกระดูก
พบมากในต่อมไทมัส ม้ามและต่อมน้ำ�เหลือง เม็ดเลือดขาวมีอยู่ ๓
ชนิด คือ
๑. ทีเซลล์ ( T-Lymphocyte) ทำ�หน้าที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน
ทั้งหมด

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๗๓
๗๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

๒. บีเซลล์ ( B-Lymphocyte) ทำ�หน้าที่สร้างแอนติบอดี


สำ�หรับทำ�ลายเชื้อโรค
๓. เซลล์นักฆ่า (Natural Killer Cell) ทำ�หน้าที่ทำ�ลาย
เซลล์แปลกปลอม คือเซลล์มะเร็งและไวรัสทิ้ง
การทำ�งานของภูมิคุ้มกันเรียกรวมกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน
(Immune System) แบ่งเป็น ๒ ระบบ คือ
๑. ภูมิคุ้มกันที่อาศัยเซลล์โดยตรง คือ เมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่
ร่างกาย และเม็ดเลือดขาวไปพบเข้าก็จะจับกินทำ�ลายเสีย เปรียบกับ
การประจันหน้าศัตรู และใช้กำ�ลังเข้าห้ำ�หั่นกัน
๒. ภูมคิ มุ้ กันทีอ่ าศัยเซลล์โดยอ้อม คือ เมือ่ เชือ้ โรคเข้ามา
เซลล์จะสร้างสารต่อต้านสิ่งแปลกปลอมขึ้นมา เรียกว่าแอนติบอดี
(Antibody) แอนติบอดีจะไปจับกับสิ่งแปลกปลอม เหมือนแม่กุญแจกับ
ลูกกุญแจ ทำ�ให้สิ่งแปลกปลอมไม่สามารถแผลงฤทธิ์กับร่างกายได้
ซึง่ ทัง้ ๒ ระบบนีท้ �ำ งานสัมพันธ์เชือ่ มโยงกัน เรียกว่า รวม
กันเป็นกองกำ�ลังติดอาวุธและประจัญบาน ต่อต้านผูบ้ กุ รุกไม่ให้รกุ ราน
ร่างกาย

การสร้างภูมคิ มุ้ กันนัน้ ในขัน้ แรกเมือ่ มีเชือ้ โรคหรือสิง่ แปลก


ปลอมเข้ามา จะมีเซลล์ไปทำ�ความรูจ้ กั กับเชือ้ โรค แล้วบรรจุขอ้ มูล ส่ง
ไปให้เซลล์ที่มีหน้าที่สร้างสารต่อต้าน หากเคยรู้จักแล้ว ก็จะสร้างสาร
ต่อต้านออกมาเลย แต่ถ้ายังไม่เคยรู้จักเลยจะต้องส่งต่อไปให้เซลล์อีก
ตัวถอดรหัสก่อน เพื่อที่จะสร้างสารต่อต้านให้ถูกชนิดกับเชื้อโรคที่เข้า
มา สารภูมิคุ้มกัน(แอนติบอดี)แต่ละชนิดจะมีอายุไม่เท่ากัน บางชนิดก็
อยู่ได้ไม่นาน บางชนิดก็อยู่ได้หลายปี บางชนิดก็อยู่ได้ตลอดชีวิต
เช่น วัคซีนหัดเยอรมันที่คุ้มกันได้ตลอดชีวิต

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ถึงแม้แต่ละคนจะมีภมู คิ มุ้ กันทีไ่ ด้รบั ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
ต่างกัน แต่ก็สามารถมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้เหมือนกัน การเสริมสร้าง
ภูมิคุ้มกันมีหลักง่าย ๆ ดังนี้
อาหาร กินอาหารให้ครบทุกหมู่และเพียงพอ และอาหาร
ทีก่ นิ ควรมีคณ
ุ ภาพดี เช่น สด สะอาด ปนเปือ้ นน้อยทีส่ ดุ ไม่กนิ อาหาร
หมักดอง อาหารที่ทอด หรือย่างจนไหม้เกรียม
ออกกำ�ลังกาย การออกกำ�ลังกายจะทำ�ให้ระบบไหลเวียน
เลือดดีขึ้น มีการแตกแขนงของหลอดเลือดในเนื้อเยื่อต่างๆ มากขึ้น
ทำ�ให้เม็ดเลือดขาวหรือภูมิคุ้มกันเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ได้ง่าย เมื่อมี
เชื้อโรคเข้ามาก็เข้าไปจัดการได้เร็ว
สภาพจิตใจ จิตใจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลั่งสารเอนโด
ฟินหรือสารสุขในร่างกาย สารนี้พอหลั่งออกมาทำ�ให้ระบบการ
ทำ�งานของเซลล์ดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากจิตใจห่อเหี่ยว เศร้า
เป็นทุกข์ ร่างกายจะหลัง่ สารทุกข์ ( อะดรีนาลิน) ทำ�ให้ระบบภูมคิ มุ้ กัน
ทำ�งานได้ไม่ดี ร่างกายอาจเจ็บป่วยได้ สารเอนโดฟินจะหลั่งเมื่อจิตใจ
มีความสุข สงบ เบิกบาน ฉะนั้นการคิดแต่สิ่งดี ๆ คิดช่วยเหลือผู้อื่น
คิดในด้านบวกก็เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเช่นกัน

แต่ระบบภูมิต้านทานจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับวิธีการดูแล
ตนเองด้วยโดยเฉพาะ
๑. ล้างมือบ่อย ๆ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๗๕
๗๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

๒. พักผ่อนให้เพียงพอ
๓. หาวิธีคลายเครียด
๔. ออกกำ�ลังกายอย่างสม่ำ�เสมอ
๕. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ วิตามินและเกลือแร่
มีผลต่อระบบภูมิต้านทานอย่างมาก


ผูเ้ ชีย่ วชาญทำ�การศึกษาวิจยั เรือ่ งภูมติ า้ นทาน พบว่าการที่
ร่างกายขาดสารอาหารแม้เพียงเล็กน้อยจะทำ�ให้ภูมิต้านทานต่ำ�ลง
และทำ�ให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าได้รับวิตามิน และเกลือแร่
บางชนิดมากเกินไป โดยเฉพาะถ้ารับประทานในรูปของอาหารเสริม
อาจเป็นอันตรายได้ เช่น ธาตุสังกะสีที่ช่วยป้องกันหวัด ถ้าได้รับมาก
เกินไปก็อาจลดการดูดซึมของธาตุทองแดง และลดภูมิต้านทานได้ ถ้า
ร่างกายรับธาตุทองแดงมากเกินไปอาจทำ�ให้เกิดปัญหาอนุมูลอิสระใน
ร่างกาย ดังนั้น การรับประทานอาหารธรรมชาติที่หลากหลายจะได้
สารอาหารที่สมดุล และช่วยส่งเสริมการทำ�งานของระบบภูมิคุ้มกันได้
ดีที่สุด

สารอาหารที่มีความจำ�เป็นต่อระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามินบี ๖ เป็นตัวช่วยให้เม็ดเลือดขาวสร้างแอนติบอดี
มีมากในเนื้อหมู เนื้อไก่ ปลา เมล็ดธัญพืช ถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ และ
ผลไม้โดยเฉพาะ กล้วย มะม่วง ลูกพรุน องุ่น
วิตามินซี ช่วยป้องกันเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำ�หน้าที่ดักจับ
เชื้อแบคทีเรีย พบมากในผัก และผลไม้หลายชนิด เช่น ผลไม้ประเภท
ส้ม สตรอเบอร์รี่ มะละกอ แคนตาลูป มะม่วง บร็อคโคลี่ พริกหวาน
ผักกาด มะเขือเทศ มะนาว ฝรั่ง มะขาม
วิตามินเอ หรือเบต้าแคโรทีน เป็นตัวเพิ่มการทำ�งานของ
Natural Killer Cell ที่ดักจับเชื้อแบคทีเรีย พบมากในผักและผลไม้ที่
มีสีเขียวเข้ม ส้มจัด เหลืองจัด เช่น แครอท ฟักทอง ผักบุ้ง มะละกอ
มะม่วงสุก มะเขือเทศ
วิตามินอี ช่วยส่งเสริมการทำ�งานของระบบภูมคิ มุ้ กัน และ
เพิ่มการสร้างแอนติบอดี พบมากใน น้ำ�มันพืชประเภทน้ำ�มันดอก
ทานตะวัน น�้ำ มันรำ�ข้าว งา ถัว่ เปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่าง ๆ ข้าวกล้อง
จมูกข้าวสาลี น้ำ�มันถั่วเหลือง ผักใบเขียว
ธาตุสังกะสี ช่วยสร้างและเสริมการทำ�งานของเซลล์เม็ด
เลือดขาว เสริมสร้าง T-cells และ B-cells พบมากในเนื้อสัตว์
ต่าง ๆ อาหารทะเล ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดถั่ว จมูกข้าวสาลี เต้าหู้ และ
นม
ธาตุเหล็ก ทำ�งานร่วมกับเอนไซม์ในระบบภูมิคุ้มกัน พบ
มากในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ หอย ถั่วเปลือกแข็ง น้ำ�ลูกพรุน และ
ผักใบเขียว
ซีลเี นียม ช่วยเพิม่ ประสิทธิภาพของเซลล์ในระบบภูมคิ มุ้ กัน
พบในอาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ และธัญพืช

นอกจากนี้ ไขมันบางชนิดมีส่วนช่วยเสริมภูมิต้านทานใน
การสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนติบอดี ได้แก่ กรดไขมันจำ�เป็น ไลโน
เลอิก และกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า ๓ ที่พบมากในปลาทะเล เช่น ทูน่า
แซลมอน ถั่ววอลนัท กรดไขมันจำ�เป็นพวกนี้ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๗๗
๗๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

กระเทียม เป็นเครื่องเทศที่มีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทานโดยสารอัลลิซิน
(Allicin) และซัลไฟด์ (Sulfide) ในกระเทียมจะเพิ่มประสิทธิภาพการ
ทำ�งานของเซลล์ในระบบภูมคิ มุ้ กัน มีฤทธิฆ์ า่ เชือ้ โรค และเป็นสารต้าน
อนุมูลอิสระอีกด้วย รวมทั้งพืชผักใบเขียว โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์ เช่น
แลคโตบาซิลัส ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยจะยับยั้ง
การเกิดจุลินทรีย์ตัวร้ายในระบบย่อยอาหาร เช่น แบคทีเรีย รา หรือ
ยีสต์ รวมทั้งยังกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนติบอดี ให้กำ�จัด
เชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้ก้อนเนื้อมะเร็งยุบลง เราจึงต้อง
ทำ�ให้กอ้ นมะเร็งขาดออกซิเจน และอาหาร ซึง่ อาหารของมะเร็งคือ
โปรตีน และไขมัน ดังนัน้ เราต้องงดโปรตีนและไขมัน ในขณะเดียวกัน
ก็ต้องเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายคือ เพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์เม็ด
เลือดขาว โดยการเพิ่มวิตามิน และเกลือแร่ เช่น วิตามินเอ
(เบต้าแคโรทีน) วิตามินซี และวิตามินอี ซึ่งทั้งสามตัวนี้เกิดจากการ
รับประทานอาหารจำ�พวก ข้าวกล้อง ผักสด และผลไม้สด รวมทั้ง
ปรับสภาพจิตใจให้ดี ทำ�จิตใจให้เบิกบาน ด้วยการสวดมนต์ นั่ง
สมาธิ เพือ่ ช่วยในการเพิม่ ประสิทธิภาพการทำ�งานของเม็ดเลือดขาว
และเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย

“โรคมะเร็ง” เป็นสิง่ ทีก่ �ำ หนดไม่ได้วา่ จะเกิดขึน้ กับใครบ้าง


คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าโรคนั้นคงไม่เกิดขึ้นกับเราแน่ แต่เมื่อเป็นแล้ว
ก็มักจะตรวจพบในระยะที่รักษายากเสมอ จริง ๆ แล้วโรคมะเร็งนั้น
เป็นโรคที่ไม่ใช่โรคเพราะมันไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค และไม่มีตัวสาเหตุ
โดยตรง แต่มันเกิดมาจากภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง ทำ�ให้เซลล์
เม็ดเลือดขาวไม่สามารถทำ�ลายเซลล์แปลกปลอมอย่างเซลล์มะเร็งทิ้ง
ทำ�ให้เซลล์มะเร็งมีโอกาสเติบโตขึ้นมาเป็นก้อนแล้วหันมาทำ�อันตราย
ต่อร่างกายเราเอง ประกอบกับการรับประทานอาหารสมัยใหม่ตาม
แนวตะวันตก วิถีชีวิตที่เร่งรีบ และสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่เต็มไป
ด้วยมลภาวะและสารปนเปื้อน ส่งผลให้เกิดความเครียด ทำ�ให้สภาพ
ร่างกายอ่อนแอ ดังนั้น เราจึงต้องฟื้นสภาพภูมิต้านทานกลับคืนมา
ทำ�ให้เซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายเพิ่มขึ้นเพื่อทำ�หน้าที่กำ�จัดเซลล์
มะเร็งให้หมดไป ด้วยเหตุนกี้ ารดูแลรักษาสุขภาพจึงเป็นสิง่ จำ�เป็น และ
สำ�คัญของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เพราะเราทุกคนมีโอกาสเกิดโรค และ
เจ็บป่วยได้เท่าเทียมกัน เราสามารถจัดการกับมันได้หากเรามีความมุง่
มั่นที่จะเลิกพฤติกรรมการบริโภคที่ผิด ๆ และหันมาบริโภคอาหารที่
เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ การสร้างทัศนคติในแง่บวก เหล่านี้จะส่งผล
ต่อการยืดอายุของอวัยวะสำ�คัญต่าง ๆ ของร่างกาย และเป็นการ
ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บไม่ให้เกิดขึ้น โดยต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อนเสมอ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๗๙
ความเครียด
๘๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
ความเครียด
ความหมายของความเครียด
ความเครียด (Stress) เป็นปฏิกริ ยิ าของร่างกายและจิตใจ
ที่เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งมากระตุ้น และมีปฏิกิริยาตอบโต้เป็นปฏิกิริยาทาง
สรีรวิทยา และจิตวิทยา โดยระบบต่อมไร้ทอ่ ทีห่ ลัง่ ฮอร์โมน และระบบ
ประสาทอัตโนมัติ ทำ�ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปทั่วร่างกาย
ตัวก่อความเครียด มี ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ
๑. ความเครียดทางกาย ได้แก่ ภัยคุกคามต่าง ๆ ที่มีต่อ
ความสุขสบายทางกาย เช่น ร้อนเกินไป หนาวเย็นเกินไป การเจ็บ
ป่วยหรือการบาดเจ็บที่เกิดกับร่างกาย ตลอดจนสภาพแวดล้อมทั่วไป
เช่น มลภาวะจากเครือ่ งจักร เครือ่ งยนต์ อากาศเสียจากควันท่อไอเสีย
ฝุ่นละออง ยาฆ่าแมลง
๒. ความเครียดทางสังคม หรือ ความเครียดทางใจ
ได้แก่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเรา เช่น การสอบแข่งขันเข้า
เรียน เข้าทำ�งาน เลื่อนขั้น เลื่อนตำ�แหน่ง สภาพทางเศรษฐกิจที่ไม่
พอใจ ความรู้สึกว่าตนเองต่ำ�ต้อยกว่าคนอื่น
ความเครียดต้นเหตุให้เกิดโรค
“ความเครียด” คือ การหดตัวของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วน
หนึ่งในหลายส่วนของร่างกาย ซึ่งทุกคนจำ�เป็นต้องมีอยู่เสมอในการ
ดำ�รงชีวิต เช่น การทรงตัวเคลื่อนไหวทั่ว ๆ ไป มีการศึกษาพบว่าทุก
ครั้ ง ที่ เ ราคิ ด หรื อ มี อ ารมณ์ บ างอย่ า งเกิ ด ขึ้ น จะต้ อ งมี ก ารหดตั ว
เคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแห่งใดแห่งหนึ่งในร่างกายเกิดขึ้นควบคู่เสมอ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๘๓
๘๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ความเครียดเปรียบเสมือนเครื่องปรุงแต่งรสชาติของคนเราในการใช้
ชีวิตอยู่ เช่น ความเครียดจากการเข้าแข่งขันใด ๆ จะก่อให้เกิดความ
กดดัน ซึ่งจะกลายเป็นพลังในการขับเคลื่อนกับตัวเราเอง โดยเฉพาะ
ถ้าเราคาดหวังว่าเราจะต้องชนะ จะยิง่ เป็นการเพิม่ ความเครียดมากขึน้
ไปอีก เมื่อวิกฤตการณ์ผ่านพ้นไป ร่างกายจะกลับสู่สภาวะปกติ แต่
ความเครียดทีเ่ ป็นอันตรายก็คอื ความเครียดทีเ่ กิดขึน้ มากเกินความ
จำ�เป็น เมือ่ เกิดขึน้ แล้วยังคงอยูเ่ ป็นประจำ�ไม่ลดหรือหายไปตามปกติ
และถ้าเรายังคงปล่อยให้เกิดความเครียดสะสมในร่างกายนานเข้า
จะส่งผลทำ�ให้เกิดการสูญเสียสมดุลของระบบประสาทรวมถึงการ
หลัง่ ฮอร์โมน ภูมติ า้ นทานของร่างกายลดต�่ำ ลง อันเป็นผลทำ�ให้เกิด
เป็นโรคอันเนือ่ งมาจากการใช้ชวี ติ ประจำ�วันได้ ทำ�ให้คนในยุคปัจจุบนั
นี้ กำ � ลั ง เผชิ ญ หน้ า กั บ ความเครี ย ด ซึ่ ง ก่ อ ให้ เ กิ ด ความผิ ด ปกติ ท าง
ร่างกายและจิตใจ ดังนี้

๑. ความผิดปกติทางร่างกาย ได้แก่ หัวใจเต้นแรง และ


เร็วขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น มือ-เท้าเย็น เหงื่อออกตามมือตามเท้า
หายใจตื้นและเร็วขึ้น ใจสั่น ปวดศีรษะ ท้องเสียหรือท้องผูก นอนไม่
หลับ ง่วงนอนตลอดเวลา ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ประจำ�เดือนมา
ไม่ปกติ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ทางร่างกาย ทำ�ให้เป็นโรคภัยไข้เจ็บ
มากมาย ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคเส้นเลือดในหัวใจและ
สมองตีบ โรคกระเพาะอาหาร โรคหอบหืด โรคความดันโลหิตสูง โดย
โรคเหล่านี้เกิดจากความเสื่อมของร่างกายที่เกิดจากการดำ�เนินชีวิตที่
เร่งรีบในสังคมปัจจุบัน
๒. ความผิดปกติทางจิตใจ ได้แก่ ความวิตกกังวล คิดมาก
คิดฟุ้งซ่าน สมองทำ�งานมากขึ้น หลงลืมง่าย หงุดหงิด โกรธง่าย
ใจน้อย เบื่อหน่าย ซึมเศร้า เหงา ว้าเหว่ สิ้นหวัง หมดความรู้สึก
สนุกสนาน อันเป็นผลมาจากความเครียดทีเ่ กิดจากปัญหาในการทำ�งาน
ปัญหาครอบครัว ปัญหาเรือ่ งการเรียน ปัญหาการว่างงาน ปัญหาทาง
ด้านเศรษฐกิจ ค่าครองชีพสูง เป็นต้น

อาการของโรคที่เกิดจากความเครียดนั้นแตกต่างกันไปใน
แต่ละบุคคล เคยสงสัยไหมว่าทำ�ไมคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน
กลับรับมือกับความเครียดได้แตกต่างกัน ลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน
ก่อให้เกิดความต่างตรงนี้ได้ รวมไปถึงการมีสุขภาพกายและใจที่แข็ง
แรง ทำ�ให้สามารถฟันฝ่าความเครียดเหล่านั้นไปได้ ในทางกลับกัน
ช่วงเวลาที่เราอ่อนแอ ความเครียดเล็ก ๆ อาจเชื่อมโยงไปสู่ปัญหา
ใหญ่ ๆ ภายหลังได้เหมือนกัน

แพทย์สมัยใหม่กับงานวิจัยด้านความเครียด
จากความผิดปกติทงั้ สองประการ คือทางร่างกายและจิตใจ
โดยมากมักเกิดจากสภาวะจิตใจเป็นส่วนใหญ่ ที่มีผลกระทบทำ�ให้เกิด
ความเครียดขึ้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ การวิจัยทางแพทย์แผนปัจจุบันได้พบ
ว่า อารมณ์ทางด้านลบของเราหรือความเครียดนั้นก่อให้เกิดโรคได้
จะเห็นได้จากการนำ�เสนอของแพทย์สมัยใหม่ที่มีมาดังต่อไปนี้
จอร์ส โซโลมอน (George Solomon) เป็นศาสตราจารย์
ทางด้านจิตเวชศาสตร์ที่ UCLA และเป็นอาจารย์พเิ ศษทางจิตเวชศาสตร์
ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า อารมณ์เครียดสามารถส่งผล

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๘๕
๘๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ต่อระบบภูมคิ มุ้ กันได้ โดยเมือ่ ปริมาณฮอร์โมนและสารสือ่ ประสาทลด


ลงจะก่อให้เกิดภาวะเครียด ซึ่งสามารถชักนำ�ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บหรือ
ความผิดปกติบางอย่างได้

น.พ. บรูซ แมคอีแวน (Bruce Mcevan) จิตแพทย์แห่ง
มหาวิทยาลัยเยล ได้รวบรวมงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Archives
of Internal Medicine Vol. 153 Sep. 1993 ว่า ความเครียด
ทำ�ให้ภูมิต้านทานโรคของร่างกายต่ำ�ลง เป็นเหตุให้มะเร็งแพร่
กระจายเร็วขึ้น ติดเชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่
หัวใจเป็นเหตุให้กล้ามเนือ้ หัวใจขาดเลือดมาเลีย้ ง ทำ�ให้อาการของเบา
หวานเกิ ด ขึ้ น และอาการหอบหืดเลวลง เกิดอาการลำ �ไส้อักเสบ
นอกจากนีค้ วามเครียดทีเ่ กิดขึน้ ติดต่อกันนาน ๆ ยังทำ�ให้เซลล์สมอง
เสื่อม เป็นเหตุให้ความจำ�เสื่อมลง

เซลดอน โคเฮน (Sheldon Cohen) จิตแพทย์แห่งมหา
วิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน ได้ทำ�งานร่วมกับหน่วยวิจัยเกี่ยวกับไข้หวัด
แห่งเมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ พบว่า คนไข้ทไี่ ด้รบั เชือ้ หวัดทุกคน
ไม่ได้เป็นไข้หวัดทุกคน โดยคนที่มีความเครียดเล็กน้อยจะติดหวัดได้
๒๗ % ในขณะที่คนที่มีความเครียดมากจะติดเชื้อถึง ๔๗ %


นอกจากนั้นเซลดอนพบว่า คนไข้ที่เป็นเริมที่ริมฝีปากหรือ
ที่อวัยวะเพศ เริมมักจะขึ้นอีกในเวลาที่มีความเครียด โดยเขาวัดระดับ
แอนติบอดีในเลือด ซึ่งแสดงถึงภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสเริม เขายังพบ
ว่า นักศึกษาแพทย์ที่กำ�ลังจะสอบปลายปี หญิงที่หย่าใหม่ ๆ มักจะมี
เริมขึ้นบ่อย ๆ เพราะเป็นช่วงที่มีความเครียดสูง

ในแต่ละวันร่างกายของเราต้องใช้พลังงานส่วนหนึ่งไปใน
การจัดการกับความเครียด ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการทำ�งาน ภาวะ
เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในสังคมปัจจุบันที่แข่งขัน แก่งแย่ง
กัน ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัว เมื่อยล้า วิตกกังวล หมดแรง ระบบ
ต่าง ๆ ในร่างกายจะถูกกระตุน้ ให้ท�ำ งาน โดยหลัง่ ฮอร์โมนอะดรีนาลิน
ออกมามาก ทำ�ให้เกิดการเพิม่ การทำ�งานของกล้ามเนือ้ อัตราการเต้น
ของหัวใจและการหายใจจะเพิม่ สูงขึน้ หลอดเลือดมีการหดตัว และเหงือ่
ออกทางผิวหนัง อุณหภูมขิ องร่างกายจะต�่ำ ลง สภาวะของร่างกายเกิด
การทำ�งานทีผ่ ดิ ปกติไปจากเดิม โดยจะผลิตอนุมลู อิสระออกมามากกว่า
ปกติ ทำ�ให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง
จะเห็นได้ว่า ความเครียด ความโกรธ หรืออารมณ์ใน
ด้านลบ มีผลทำ�ให้เราเจ็บป่วย ทำ�ให้โรคหายช้า อัตราการตายเพิ่ม
ขึ้น พึงระลึกไว้ว่าควรให้ร่างกายและจิตใจได้มีการผ่อนคลายอยู่
เสมอ เพื่อเป็นการป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกันความเครียดให้กับ
ตัวเอง

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๘๗
๘๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
แพทย์ทางเลือก
๙๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
แพทย์ทางเลือก
ความหมายของแพทย์ทางเลือก
แพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) คือ การรักษา
โดยไม่ใช้ยาหรือสารเคมีใด ๆ จะใช้น้ำ�ร้อน น้ำ�เย็น การนวด ผลไม้
อาหาร สมาธิ โยคะ การพูดคุย เป็นต้น

จากสภาวะความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีและการ
สือ่ สารต่างๆได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ตลอดจนสภาพชีวติ ความเป็น
อยูใ่ นเมืองทีอ่ ยูใ่ นสภาพการแข่งขันสูง ส่งผลให้คนส่วนใหญ่เคยชินกับ
การใช้วัตถุฟุ่มเฟือยเพื่ออำ�นวยความสะดวกและมองวัตถุเป็นสิ่งสำ�คัญ
มาก จนกลายเป็นส่วนหนึง่ ในการดำ�รงชีวติ ประจำ�วันทีข่ าดไม่ได้ ทำ�ให้
คนในสังคมปัจจุบันกลายเป็นสังคมวัตถุนิยมและพึ่งพาส่วนประกอบที่
เป็นสารเคมีมากขึ้น ดังนั้น สังคมในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่
ในเมือง จึงมีโอกาสทีจ่ ะเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึน้ มากมาย โดยปัจจัยสำ�คัญ
ที่ทำ�ให้เกิดโรคมีดังนี้

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเกิดโรค
๑. อาหาร
เป็นปัจจัยทีม่ คี วามสำ�คัญมากต่อชีวติ ของเราทุกคน เพราะ
เราต้องรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียง
พอที่จะใช้ในการทำ�งานในชีวิตประจำ�วัน โดยในสังคมไทยปัจจุบัน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๙๑
๙๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

มีคนป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารเป็นจำ�นวนมาก อันเป็นผลมา
จากการบริโภคอาหารทีไ่ ม่ถกู ต้อง และรับประทานไม่เป็นเวลา ดังคำ�
กล่าวทีว่ า่ “You are what you eat” สุขภาพของเราขึน้ อยูก่ บั อาหาร
ที่เรารับประทาน อาหารจึงเป็นตัวกำ�หนดภาวะโภชนาการของเรา
ซึง่ ตามหลักของแพทย์ทางเลือกทีใ่ ช้อาหารมาบำ�บัดร่างกาย
นั้น ได้ใช้หลักการตามคำ�กล่าวที่ว่า “Let’s food be your medicine
and your medicine be your food” จงใช้อาหารเป็นยาในการรักษา
โรค และให้ยาที่กินคืออาหาร ดังนั้น อาหารตามแนวของแพทย์ทาง
เลือกจึงควรจะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ดูดซึมได้ดี ร่างกายสามารถ
นำ�ไปใช้ได้ทันที และไม่เหลือของเสียตกค้างอยู่ในร่างกาย โดยจะ
จัดอาหารให้มีองค์ประกอบครบ ๕ หมู่ ดังนี้
๑. ระบบดูดซึมดี
๒. ระบบทางเดินหายใจดี
๓. ระบบการหมุนเวียนโลหิตดี
๔. ระบบภูมิคุ้มกันดี
๕. ระบบฮอร์โมนดี

๒. อารมณ์
สาเหตุส�ำ คัญสาเหตุหนึ่งที่ท�ำ ให้เกิดโรคนั้น เกิดจากกิเลส
ในใจของเรา เช่น ความโลภ ทำ�ให้รบั ประทานอาหารทีม่ ไี ขมันสูง ไม่มี
ประโยชน์ เพราะติดใจในรสชาติความอร่อยของอาหาร ส่วนความโกรธ
หรือความเกลียดก็สง่ ผลร้ายต่อร่างกาย เช่นเดียวกับความเครียด กล่าว
คือ จะส่งผลทำ�ให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนอะดรีนาลิน ทำ�ให้ภาวะความ
เป็นกรดในเลือดสูงขึน้ เกิดผลกระทบต่อระบบประสาท ตลอดจนกล้าม
เนือ้ หัวใจ ซึง่ สภาพจิตใจและอารมณ์มผี ลกระทบโดยตรงกับการเกิดโรค
ต่าง ๆ ทั้งทางกายและทางใจ ดังนั้น เราต้องปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้
ปกติ ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง

๓. อากาศ
เราควรอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ปลอดมลพิษ อยู่ในที่ที่มี
ปริมาณโอโซนในชั้นอากาศที่ทำ�ให้ปลอดเชื้อโรค โดยสาเหตุหนึ่งที่
ทำ�ให้เกิดโรคนั้นเกิดมาจากการหายใจที่ไม่ถูกต้อง กล่าวคือ คนส่วน
มากมักจะหายใจสั้นและเร็ว ทำ�ให้ปอดไม่สามารถทำ�งานได้อย่างเต็ม
ที่ เมื่อปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดความ
เสื่อมไปถึงความผิดปกติต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกาย

๔. การหายใจ
การทำ�งานของร่างกายมนุษย์ทกุ คนจำ�เป็นต้องมีการหายใจ
เพราะมันสัมพันธ์กับทุกส่วนของร่างกาย โดยการหายใจเป็นการขับ
เคลื่อนส่วนเกินของความร้อนในร่างกายออกไป และเพิ่มปริมาณ
ออกซิเจนในเลือด ซึ่งถ้าเราหายใจอย่างถูกต้อง กล่าวคือ การสูดลม
หายใจเข้าลึกและยาว จะช่วยให้ปอดสามารถทำ�งานได้อย่างเต็มที่
และร่างกายนำ�ออกซิเจนไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในเวลาที่
หายใจออก ร่างกายจะขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน และ
ของเสียอื่น ๆ ออกมา เมื่อเราหายใจได้อย่างถูกต้องแล้ว ระบบการ
ขับถ่าย การย่อยอาหาร และการดูดซึมก็จะทำ�งานได้ดีขึ้น ตลอดจน
ระบบกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย จะได้รับการชะล้างไขมันส่วนเกิน
เพือ่ เปลีย่ นรูปเป็นพลังงาน ส่งผลให้ผวิ พรรณสามารถระบายความร้อน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๙๓
๙๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ได้ดี เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ร่างกาย

๕. การออกกำ�ลังกาย
เวลาที่เหมาะสมตามหลักของแพทย์ทางเลือกในการออก
กำ�ลังกาย ควรเป็นช่วงเช้าเวลาประมาณ ๐๕.๐๐-๐๗.๐๐ น. เพื่อ
เป็นการกระตุน้ ให้ล�ำ ไส้ใหญ่ และไตขับของเสียออกให้หมด พร้อมทีจ่ ะ
ขับถ่ายก่อน ๗ โมง และรับอาหารใหม่หลังจากขับถ่ายแล้ว

๖. อุจจาระ
การขั บ ถ่ า ยเป็ น สั ญ ญาณหนึ่ ง ที่ บ่ ง บอกถึ ง สุ ข ภาพของ
ร่างกายคนเราว่า อยู่ในสภาวะปกติหรือไม่ การขับถ่ายควรทำ�ให้เป็น
ปกติทุกวันก่อน ๗ โมงเช้า ถ้าเราปล่อยให้เกิดอาการท้องผูกต่อเนื่อง
เป็นเวลานาน จะเป็นสาเหตุทำ�ให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น ภูมิแพ้ เนื้อ
งอก มะเร็ง อัมพาต หอบหืด นอนไม่หลับ เป็นต้น

๗. การนอน
ตามแนวของแพทย์ทางเลือกนั้น มองว่า เวลาพักผ่อนที่
เหมาะสม คือ ช่วงเวลา ๓ ทุ่มถึง ตี ๓ โดยจะตื่นหลังตี ๓ ก็ได้แต่
ไม่ควรเข้านอนเกิน ๓ ทุ่ม เพราะพลังงานของร่างกายเราจะสร้างใน
ช่วงเวลา ๓ ทุ่มถึง ๕ ทุ่ม การนอนดึกจะทำ�ให้อวัยวะต่าง ๆ ใน
ร่างกายทำ�งานหนักเกินไป ส่งผลให้เกิดความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ
ในทุกระบบของร่างกาย เนื่องจากทุกอวัยวะต้องได้รับสารอาหารจาก
การไหลเวียนตลอดเวลา การมีของเสียตกค้างระดับเซลล์ ทำ�ให้มี
อาการทางผิวหนัง แพ้ง่าย เป็นฝ้า กระ
อาการพื้นฐานสำ�หรับผู้เข้าสู่สายธรรมชาติบำ�บัด

สำ�หรับผู้ที่เข้าสู่สายธรรมชาติบำ�บัดแล้ว อาการต่าง ๆ ที่
เกิดขึ้นนั้นถ้าคนที่มีจิตใจไม่ยึดมั่นพอ และไม่เข้าใจถึงกลไกต่าง ๆ ที่
เกิดขึน้ อย่างเข้าใจและยอมรับ มักจะเกิดอาการตกใจ อาการต่าง ๆ ที่
เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง นั่นเพราะขณะที่เกิด
อาการเหล่านี้ ถ้าในแนวทางธรรมชาติบ�ำ บัดถือว่าเป็นเรือ่ งทีด่ ี เพราะ
ระหว่างที่เกิดอาการต่าง ๆ ขึ้นนั้น แสดงว่าร่างกายเริ่มมีการฟื้นฟู
และ ซ่อมแซมในตัวเองอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ถ้าหากท่านเข้าสู่สาย
ธรรมชาติบำ�บัด หากเกิดอาการเหล่านี้ขึ้น (โดยเฉพาะผู้ที่ทานน้ำ�ผัก
ปั่น และควบคุมอาหารตามที่แนะนำ�) พึงให้ท่านเรียนรู้ว่า

อาการท้องเดิน : มีการทำ�ความสะอาดลำ�ไส้
อาการอาเจียน : มีการทำ�ความสะอาดกระเพาะอาหาร
อาการไข้สูง มีเหงื่อและปัสสาวะ : ทำ�ความสะอาดเลือด
หายใจเหม็น และมีเมือกต่าง ๆ : ทำ�ความสะอาดปอด
ปวดเมื่อยทั้งตัว : ร า่ งกายเริม่ ขับของเสียทิง้ เซลล์ของคุณ
ที่ไม่มีชีวิตกำ�ลังจะมีชีวิต

ขอให้ทา่ นทีเ่ กิดอาการดังกล่าวจงใจเย็นและมัน่ คง และอย่า


ตกใจที่จะควบคุมในสิ่งที่ทำ� ต่อไปอาการที่เกิดขึ้นจะค่อย ๆ หายไป
เอง

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๙๕
๙๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

การขับพิษในร่างกายระดับเซลล์
เมื่อร่างกายมีอาการขับพิษตามแนวธรรมชาติบำ�บัดนั้น ผู้
ป่วยทุกโรคจะมีอาการเหมือนกัน กล่าวคือ ถ่ายบ่อย ปัสสาวะบ่อย วิง
เวียน รับประทานอาหารได้น้อย ไม่นอนเวลากลางคืน มีอาการทาง
ผิวหนัง คัน บวม มีผื่นแดง หายใจแรง อ่อนเพลีย ง่วงนอนตอน
กลางวัน ตื่นบ่อย ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อเกิดอาการต่าง ๆ ดังกล่าว การปฏิบัติตนเบื้อง
ต้นสามารถทำ�ได้ ดังนี้
- ดื่มน้ำ�โหระพา ใบเตย สะระแหน่ (ต้มในน้ำ�เดือด
๑ ลิตร ใช้โหระพา ใบเตย สะระแหน่ ๑๐๐ กรัม)
- ดื่มน้ำ�นมธัญพืช
- ดื่มน้ำ�เอนไซม์ผลไม้เข้มข้น
- ซุปผัก (ผักกาดหอม+ไข่ขาว+มะเขือเทศ +หอมหัวใหญ่)
- น้ำ�ผักปั่น ทุก ๆ ๑ ชั่วโมง
- ดื่มน้ำ�อุณหภูมิห้อง ๑๐๐ ซีซี. ทุก ๑ ชั่วโมง
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
อาการปวด

คือ สัญญาณการขอความช่วยเหลือของร่างกายผ่านการ
ทำ�งานของระบบประสาท บอกความรู้สึกให้เรารู้ตัวว่า ร่างกายเรามี
ของเสียจำ�นวนมากคั่งค้างอยู่ตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่ง
เกินกำ�ลังความสามารถของร่างกายที่จะกำ�จัดของเสียส่วนเกินนั้นทิ้ง
เองได้ ทำ�ให้เกิดการเสียสมดุลของระบบการทำ�งานของร่างกาย ซึ่ง
ของเสียเหล่านั้นเกิดจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อน และเป็นโทษต่อ
ร่างกาย เช่น อาหารที่ดูดซึมยาก ย่อยยาก อาหารที่มีส่วนผสมของ
สารปรุงแต่ง แต่งสี กลิ่น รส รวมถึงยา สารเคมี สารพิษในอากาศ
การสูบบุหรี่ การเสพยาเสพติด เป็นต้น รวมทัง้ เกิดจากผลของอารมณ์
ในเชิงลบ ความโกรธ ความเกลียด ความเครียด เมื่อสะสมเป็นเวลา
นาน จะก่อให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย และเป็น
สาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ ได้มากมาย

การใช้ยาแก้ปวด
การใช้ยาแก้ปวดจะได้ผลดีในระยะสัน้ เพราะยาจะไปกดการ
ทำ�งานของระบบประสาทส่วนทีส่ ง่ สัญญาณปวดมาให้เรารับรู้ ซึง่ ยาจะ
ช่วยกดประสาทได้เพียงชั่วคราว เมื่อยาหมดฤทธิ์ เราก็จะกลับมาปวด
ใหม่อีกครั้ง เพราะของเสียต่าง ๆ ยังคงตกค้างอยู่ภายในร่างกาย ซึ่ง
การใช้ยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน ทำ�ให้เกิดการสะสม
สารพิษอยูใ่ นร่างกายและส่งผลให้ระบบประสาท ตับ ไต เสือ่ มลงอย่าง
รวดเร็ว

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๙๗
๙๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

วิธีระงับอาการปวด
การทำ � สมาธิ เป็ น วิ ธี ห นึ่ ง ที่ ช่ ว ยระงั บ อาการปวดที่ มี
ประสิทธิภาพสูงสุด เนือ่ งจากขณะทีเ่ ราทำ�สมาธิจนจิตนิง่ ต่อมใต้สมอง
จะหลัง่ ฮอร์โมนเอนโดรฟิน หรือทีเ่ รารูก้ นั ว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข
ออกมา ทำ�ให้ร่างกายเบาสบาย ปลอดโปร่ง สดชื่น รู้สึกดีขึ้น ซึ่งช่วย
ในการบรรเทาอาการปวดได้ดโี ดยทีเ่ ราไม่ตอ้ งไปเสียเงินซือ้ เลย เพราะ
ร่างกายของเราสามารถผลิตได้เอง
การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อปรับสภาพร่างกาย
ให้มคี วามสมดุล เป็นกลาง ช่วยให้รา่ งกายสามารถกำ�จัดของเสียต่าง ๆ
ในร่างกายได้ และเสริมสร้างภูมคิ มุ้ กัน หรือภูมติ า้ นทานให้แก่รา่ งกาย
เพือ่ ฟืน้ ฟูอวัยวะต่าง ๆ ไปในเวลาเดียวกัน
ในทางตรงกันข้าม ขณะที่เกิดอาการปวดแล้วเรายังคง
เครียด หงุดหงิด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลิน หรือที่เรารู้กัน
ว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความทุกข์ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการปวดเพิ่มมาก
ขึ้น และยิ่งถ้าเราไปใช้ยาแก้ปวดอีก ก็เท่ากับเป็นการทำ�ร้ายร่างกาย
ตัวเองเพิ่มขึ้นในระยะยาว เพราะจะยิ่งเป็นการส่งเสริมให้อวัยวะใน
ร่างกายเสือ่ มขึน้ โดยเร็ว เนือ่ งจากต้นเหตุทที่ �ำ ให้เกิดอาการปวดนัน้ ยัง
คงอยู่

นาฬิกาชีวิต
จากการศึกษาและวิจยั พบว่า อวัยวะภายในร่างกาย มี ๑๒
ระบบ แต่ละระบบจะทำ�งานหนักเป็นเวลา ๒ ชั่วโมงในแต่ละวัน ซึ่ง
เป็นการแสดงการหมุนเวียนของพลังงานในร่างกายในแต่ละช่วงเวลา
โดยเราควรทีจ่ ะเรียนรู้ และศึกษาการทำ�งานของอวัยวะในร่างกายของ
เรา เพือ่ ทีจ่ ะได้จดั สรรเวลา และดำ�เนินชีวติ ให้สอดคล้องกับการทำ�งาน
ของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ดังนี้

ช่วงเวลาตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า (๐๕.๐๐ - ๐๗.๐๐ น.) เป็น


ช่ ว งเวลาของลำ � ไส้ ใ หญ่ เป็ น ช่ ว งเวลาที่ พ ลั ง งานจะเคลื่ อ นเข้ า สู่
ลำ � ไส้ ใ หญ่ เพื่ อ กระตุ้ น ให้ ร่ า งกายเตรี ย มขั บ ของเสี ย ออกจาก
ร่างกาย(อุจจาระ) ดังนั้น เราควรฝึกที่จะขับถ่ายให้เป็นเวลาก่อน
๗ โมงเช้า แต่คนเรามักจะไม่ตื่นนอนในช่วงเวลานี้ ทำ�ให้ร่างกายดูด
ซึมของเสีย กากอาหารที่ตกค้าง ซึ่งกำ�ลังจะเป็นอุจจาระกลับเข้าสู่
กระเพาะอาหารใหม่ นีเ่ ป็นสาเหตุท�ำ ให้เกิดริว้ รอยบนใบหน้า เกิดไขมัน
เสีย ๆ

ช่วงเวลาเจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า (๐๗.๐๐ - ๐๙.๐๐ น.)


เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร เป็นช่วงเวลาที่พลังงานจะเคลื่อน
มาที่กระเพาะอาหาร ดังนั้น เราทุกคนต้องทานอาหารเช้า เพราะ
กระเพาะอาหารจะย่อยได้สูงสุดในช่วงเวลานี้เท่านั้น ช่วงเวลานี้
กระเพาะอาหารจะหลั่งน้ำ�ย่อยซึ่งมีความเป็นกรดสูงออกมามาก เพื่อ
ช่วยในการย่อยอาหาร ถ้าเราไม่ได้ทานอาหารในช่วงเวลานี้ จะส่งผล
ให้เกิดโรคกระเพาะและโรคหัวใจ เนือ่ งจากม้ามไม่สามารถเก็บพลังงาน
สำ�รองไว้ได้ ทำ�ให้หัวใจต้องทำ�งานหนัก และร่างกายก็จะไม่ได้รับสาร
อาหารเพือ่ กลับไปสร้างพลังงานรวมสำ�หรับทุกอวัยวะในร่างกาย ตรง
กันข้าม ถ้าทานอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็ง
แรง

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๙๙
๑๐๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ช่วงเวลาเก้าโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมง (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)


เป็นช่วงเวลาของม้าม เป็นช่วงเวลาที่ม้ามจะเริ่มเก็บพลังงานสำ�รอง
เก็บสารอาหารทีจ่ �ำ เป็นต่อร่างกาย ถ้าเราไม่ทานอาหารเช้า ร่างกาย
ก็จะดึงพลังงานสำ�รองมาใช้ พลังงานรวมจะหายไป ร่างกายจะ
อ่อนแอ เพลีย ไม่มีแรง ม้ามมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างเม็ดเลือด
ขาว กรองแบคทีเรียทุกชนิด ควบคุมไขมัน ผลิตน้ำ�ดี คนที่ปวดศีรษะ
บ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม

ช่วงเวลาสิบเอ็ดโมงถึงบ่ายโมง (๑๑.๐๐ - ๑๓.๐๐ น.)


เป็นช่วงเวลาของหัวใจ เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนไปที่หัวใจ ถ้า
ร่างกายไม่ได้สารอาหาร หัวใจจะทำ�งานลำ�บาก จะเห็นได้วา่ คนทีห่ วั ใจ
วายมักจะเกิดก่อนเที่ยง หรือหลังจากกินอาหารเที่ยง ดังนั้น อาหาร
มื้อเช้าจึงเป็นสิ่งจำ�เป็นที่ขาดไม่ได้ ผู้ที่ไม่รับประทานอาหารเช้าเป็น
ประจำ� จะทำ�ให้หวั ใจวายง่าย เนือ่ งจากหัวใจทำ�หน้าทีส่ บู ฉีดเลือดไป
เลี้ยงร่างกาย ในภาวะปกติหัวใจจะสูบฉีดโลหิตในระดับความดันปกติ
กล่าวคือ เซลล์เม็ดเลือดแดงยังไม่ถูกทำ�ลาย แต่ถ้าเรานอนดึก เซลล์
เม็ดเลือดแดงจะแตกมากกว่านี้ ทำ�ให้หวั ใจต้องสูบฉีดเลือดไปเลีย้ งส่วน
ต่าง ๆ ของร่างกายถี่ขึ้น แรงขึ้น เร็วขึ้น ซึ่งเป็นภาวะของความดัน
โลหิตสูง โดยหัวใจจะทำ�งานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยง
ความเครียด และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจ

ช่วงเวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง (๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.)


เป็นช่วงเวลาของลำ�ไส้เล็ก พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ลำ�ไส้เล็ก ถ้า
ร่างกายไม่ได้รับอาหารเช้า ร่างกายก็จะไม่มีอาหารที่มารอย่อยใน
ลำ�ไส้เล็ก ทำ�ให้ล�ำ ไส้เล็กย่อยตัวเอง และถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนีน้ าน ๆ
เข้า ลำ�ไส้เล็กก็จะอ่อนแอลง เพราะลำ�ไส้เล็กจะทำ�งานโดยเปลี่ยนรูป
สารอาหารคาร์โบไฮเดรท ไขมัน และเกลือแร่ที่ได้ในตอนเช้ามาเป็น
พลังงานทั้งหมด
ลำ�ไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำ� ทุกชนิด เช่น
วิตามินบี วิตามินซี โปรตีน เพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง
ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในช่วงเวลานี้เราจึงควรงดรับประทานอาหาร
ทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำ�ไส้เล็กได้ทำ�งานเต็มที่

ช่วงเวลาบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น (๑๕.๐๐ - ๑๗.๐๐ น.)


เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนมาที่
กระเพาะปัสสาวะ ทำ�ให้กระเพาะปัสสาวะทำ�งานหนักในช่วงเวลานี้ เพือ่
ขับกรดและของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้น เราไม่ควรอั้นปัสสาวะ
เพราะปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดแทน นอกจากนี้กระเพาะ
ปัสสาวะยังเกี่ยวข้องกับระบบความจำ� ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด
อีกด้วย

ช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม (๑๗.๐๐ - ๑๙.๐๐ น.)


เป็นช่วงเวลาของไต เราควรจะหยุดการทำ�งานหนักทุกชนิด รวม
ถึงไม่ควรออกกำ�ลังกายแบบเต้น วิ่ง หรือเคลื่อนไหวมาก ๆ เพื่อ
ไม่เป็นการเพิม่ กรดให้แก่รา่ งกาย เพราะไตจะทำ�งานหนักในช่วงเวลา
นี้ โดยการออกกำ�ลังกายในตอนเย็นจะทำ�ให้ไตวายง่าย เวียนหัว ปวด
ศีรษะง่าย ยกเว้นการออกกำ�ลังกายแบบโยคะ หรือ ไทเก๊ก ซึ่งจะไม่

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๐๑
๑๐๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ทำ�ให้เกิดกรดแลคติกในร่างกาย และเราควรที่จะรับประทานอาหาร
เย็นให้เสร็จก่อน ๑๘.๐๐ น. โดยควรทานอาหารที่ย่อยง่าย และควร
ทานให้เสร็จก่อนเข้านอน ๓ ชัว่ โมง ผูใ้ ดทีม่ อี าการง่วงนอนในช่วงเวลา
นี้ แสดงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับไตเสื่อม
คนทีท่ �ำ งานหนักมาทัง้ วันแล้วไม่พกั ถ้าทำ�อยูเ่ ป็นประจำ�จะ
ทำ�ให้ไตอ่อนแอลง เกิดการปวดหลัง ปวดข้อต่าง ๆ เพราะไตทำ�หน้าที่
ควบคุมกระดูก ไขข้อ ฮอร์โมน ควบคุมพลังชีวิต อวัยวะสืบพันธุ์
เส้นผม เลือด หูและตา นอกจากนี้ ในยุคปัจจุบัน ผู้คนมีชีวิตอยู่กับ
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์รอบตัว จึงได้รับคลื่นและรังสีมาก จนทำ�ให้เซลล์
เม็ดเลือดแตกอยู่เป็นประจำ� เช่น การใช้คอมพิวเตอร์อยู่เสมอ มักจะ
เกิดอาการมึนหัว ตาพร่า ปวดหลัง ปวดเอว แสดงว่ามีเซลล์เม็ดเลือด
ตายแออัดอยู่ในร่างกาย จนทำ�ให้ร่างกายขับเซลล์เม็ดเลือดตายออก
ไม่ทัน เกิดอาการปวดต่าง ๆ ขึ้น ถ้ามีอาการปวดตามกระดูกส่วน
ต่าง ๆ ของร่างกาย แสดงว่าร่างกายได้สูญเสียเซลล์เม็ดเลือด จึงต้อง
ดึงออกมาใช้จากส่วนต่าง ๆ ของไขกระดูก ถ้าเราไม่เข้าใจก็อาจจะหา
ยาแก้ปวดมากิน ซึง่ ทีจ่ ริงแล้ว ร่างกายต้องการสารอาหารจำ�นวนมาก
เพื่ อ ไปทดแทนเซลล์ เ ม็ ด เลื อ ดที่ สู ญ เสี ย ไป โดยเฉพาะแคลเซี ย ม
แมกนีเซียมที่ได้จากการรับประทานผัก ผลไม้ต่าง ๆ
สำ�หรับผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับไตเสื่อม ในตอนเช้าให้อาบน้ำ�
เย็น ส่วนในตอนเย็นให้อาบน้ำ�อุ่น กรณีที่อาบน้ำ�ไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า
โดยใส่สมุนไพร เช่น ขิง ข่า กระชาย ลงไปผสมในน้ำ�ด้วย

ช่วงเวลาหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม (๑๙.๐๐ - ๒๑.๐๐ น.) เป็น


ช่วงเวลาของกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นเวลาที่กล้ามเนื้อหัวใจจะชะล้างตัว
เอง เราจึงควรพักผ่อนในช่วงเวลานีเ้ พือ่ ให้หวั ใจทำ�งานน้อยลง ถ้าเรา
ไม่พกั ในช่วงเวลานีจ้ ะทำ�ให้เลือดข้น ส่งผลให้กล้ามเนือ้ หัวใจทำ�งาน
หนัก ทำ�ให้หวั ใจโต และคนทีห่ วั ใจโตจะมีความเสีย่ งต่อการเป็นอัมพาต
มากกว่าคนปกติ ๕-๖ เท่า
ทุกวันนี้ วิถชี วี ติ ของคนส่วนใหญ่ได้เปลีย่ นแปลงไป โดยไม่
ค่อยมีใครพักผ่อนในช่วงเวลานี้ แต่กลับทำ�งานล่วงเวลา เทีย่ วกลางคืน
ทานอาหารมือ้ เย็น ดืม่ แอลกอฮอล์ ส่งผลให้กล้ามเนือ้ หัวใจทำ�งานหนัก
มากขึ้นไปอีกเท่าตัว จึงมีผลกระทบต่อหัวใจ ดังนั้น ในช่วงเวลานี้เรา
ควรพักผ่อน สวดมนต์ นั่งสมาธิเพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายลง
พร้อมสำ�หรับการเตรียมตัวที่จะเข้านอน

ช่วงเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม (๒๑.๐๐ - ๒๓.๐๐ น.) เป็น


ช่วงเวลาของพลังงานรวม ดังนั้น เราจึงควรนอนหลับให้ได้ตอน
๓ ทุ่ม เพื่อที่เราจะได้มีพลังงานไปช่วยเหลือการสะสมพลังงานใน
ร่างกายได้อย่างเพียงพอที่จะฟื้นฟูอวัยวะต่าง ๆ ให้สะอาดแข็งแรง
สำ�หรับวันต่อไป
พลังงานรวม หมายถึง จำ�นวนเม็ดเลือด ถ้าเราไม่พัก
ผ่อนในเวลานี้ เซลล์เม็ดเลือดแดงจะแตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยปกติ
เซลล์เม็ดเลือดแดงจะแตกวันละ ๒.๐-๒.๕ ล้านเซลล์ แต่ถ้าเรายิ่งนอน
ดึก เซลล์เม็ดเลือดแดงก็จะแตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น คนที่นอนดึก
เลือดจะลอย บริจาคเลือดไม่ได้ ในทางกลับกัน ถ้าเรานอนตอน ๓ ทุม่
ร่างกายจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดขึ้นมาทดแทนส่วนที่แตกไปในแต่ละ
วันให้สมดุล โดยพลังงานทีส่ ร้างขึน้ ในช่วงเวลานี้ ร่างกายจะนำ�ไปล้าง
ถุงน้ำ�ดี ทำ�ให้ถุงน้ำ�ดีแข็งแรง

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๐๓
๑๐๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ช่วงเวลาห้าทุม่ ถึงตีหนึง่ (๒๓.๐๐ - ๐๑.๐๐ น.) เป็นช่วง


เวลาของถุงน้ำ�ดี เป็นเวลาที่พลังงานหรือเลือดเคลื่อนมาที่ถุงน้ำ�ดี
เพื่อให้ถุงน้ำ�ดีทำ�หน้าที่ย่อยไขมันที่จะเปลี่ยนรูปเป็นฮอร์โมน จากนั้น
จึงเปลี่ยนรูปเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก ไขข้อ เส้นเอ็น ไขสมอง ตา น้ำ�
หล่อเลี้ยงในร่างกายทั้งหมด ถ้าเราไม่พักผ่อนในช่วงเวลานี้ ไขมัน
พวกนีก้ จ็ ะตกตะกอนอยูต่ ามตัวเรา เช่น เป็นถุงไขมันใต้ตา มีพงุ ปวด
ไหล่ ปวดท้องง่ายบริเวณลำ�ไส้ใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้เป็นโรคอ้วน นิ่ว
และมีถุงซีสท์ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำ�ให้ร่างกายขาดวิตามิน
เอ ดี อี เค ซึ่งวิตามินทั้ง ๔ ตัวนี้จะละลายได้ในไขมัน ทำ�ให้ตาฝ้า
ฟาง กระดูกผุ ผิวหนังหยาบกร้าน

ช่วงเวลาตีหนึง่ ถึงตีสาม (๐๑.๐๐ - ๐๓.๐๐ น.) เป็นช่วง


เวลาของตับ เป็นเวลาที่พลังงานจะไปจัดการกับตับ หน้าที่ของตับ
คือ สะสมอาหารสำ�รองให้กับร่างกาย ตับจะเก็บเลือด ๕๐ กรัมเพือ่
ใช้ในการขับสารเคมีออกจากร่างกาย ตลอดจนผลิตน้ำ�ดีและส่งไปเก็บไว้ท่ี
ถุงน�้ำ ดีเพือ่ ย่อยไขมัน ถ้าในช่วงเวลานีเ้ รายังไม่หลับนอน ร่างกายจะสูญเสีย
พลังงานส่วนทีส่ ะสมไว้ ส่งผลให้ตบั อ่อนแอ การสะสมพลังงานสำ�รองลด
ลง การผลิตน�้ำ ดีลดลง ก่อให้เกิดโรคเกีย่ วกับความดันโลหิต โรคเกาท์ โรค
ภูมคิ มุ้ กันบกพร่อง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น

บทบัญญัติ ๑๐ ประการ
๑. ตื่นนอน ๐๔.๔๔ น. เข้าห้องน้ำ�
๒. ดื่มน้ำ�ทันทีที่ตื่นนอน ๕๐๐ cc. (ครึ่งลิตร) เป็นอย่างน้อย
๓. ดื่มน้ำ�โหระพา ๒๕๐ cc. เช้า กลางวัน เย็น ก่อนอาหารทุกมื้อ
๔. ดื่มน้ำ�ข้าวผง ๒๕๐ cc. และอาหารไร้สารพิษ
๕. ออกกำ�ลังกาย ๐๕.๓๐ – ๐๖.๐๐ น.
๖. รั บ ประทานอาหารเช้า ๐๗.๓๐ น. กลางวัน ๑๑.๓๐ น.
เย็น ๑๗.๓๐ น.
๗. ดืม่ น�ำ้ ทุก ๆ ชัว่ โมง ๕๐๐ cc. (ครึง่ ลิตร) เวลา ๐๔.๐๐ – ๒๐.๐๐ น.
๘. เข้านอน ๒๑.๐๐ น.
๙. ขับถ่ายอุจจาระเวลา ๐๔.๐๐ น. ก่อน ๐๖.๓๐ น.
๑๐. อยู่ในที่อากาศสะอาด มีออกซิเจน ๒๐% ไนโตรเจน ๗๙% และ
อื่น ๆ ๑%

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๐๕
๑๐๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
ความเป็นเหตุเป็นผล
ของธรรมปฏิบัติที่มีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ
๑๐๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
ความเป็นเหตุเป็นผลของธรรมปฏิบัติ
ที่มีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ
พระวิโรจน์ จกฺกวโร

จากประสบการณ์ทไี่ ด้จากการไปเยีย่ มผูป้ ว่ ยโรคมะเร็ง การ


ได้พูดคุยกับแพทย์และพยาบาล ทั้งที่เป็นแพทย์สมัยใหม่อีกทั้งแพทย์
ทางเลือก ทำ�ให้อาตมาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำ�ให้คนเกิดโรค
ต่าง ๆ ขึ้นโดยส่วนใหญ่ว่าเป็นเพราะเหตุใด คำ�ตอบที่อาตมาได้รับก็
คือ “ความเครียด” การที่คนเราเป็นโรคและล้มป่วยลง แถมยังฟื้นฟู
สภาพร่ า งกายและจิ ต ใจได้ ย ากนั้ น ชนวนตั ว ต้ น ที่ เ ป็ น เหตุ ก็ คื อ
ความเครียดนั่นเอง สภาพของจิตใจมีความสัมพันธ์กับระบบประสาท
อัตโนมัติ ที่ทำ�ให้เกิดผลต่าง ๆ ต่อร่างกายตามมา การมีจิตใจไม่ปกติ
เช่น มีความเครียดหรือความโกรธ จะไปกระตุน้ ระบบประสาทอัตโนมัติ
ทำ�ให้ร่างกายหลั่งสารเคมีทางปลายประสาท ที่เชื่อมต่อจากเซลล์ของ
ภูมิคุ้มกันในไขกระดูก มีผลให้ภูมิคุ้มกันของเราลดลง ทำ�ให้เราติดเชื้อ
หรือเป็นมะเร็งได้ง่าย การมีสภาพจิตใจที่ปกติ ไร้ซึ่งอารมณ์ที่เป็นพิษ
เป็นภัย เช่น ความรัก ความเมตตา จะทำ�ให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น
ความสนใจของชาวต่างประเทศถึงประโยชน์ในการปฏิบัติ
ธรรม ไม่วา่ จะเป็นเรือ่ งของการสวดมนต์หรือเจริญกรรมฐานทัง้ สมาธิ
และวิปัสสนานั้น ก็ถูกนำ�มาใช้เพื่อสุขภาพมากกว่าอย่างอื่น ดร.เดวิท
แมดคลีแลนด์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาด ได้ทดลองด้วยการแบ่งอาสา
สมัครออกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับแม่ชีเทเรซา

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๐๙
๑๑๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ในศาสนาคริสต์ ที่กำ�ลังดูแลคนยากจนในเมืองกัลกัตตาของประเทศ
อินเดีย ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง
ให้ ดู ภ าพยนตร์ เ กี่ ย วกั บ ความโหดร้ า ยของทหารนาซี เ ยอรมั น ใน
สงครามโลกครั้งที่สอง ที่สังหารชาวยิวไม่น้อยกว่า ๕ ล้านคน ผล
ปรากฏว่าอาสาสมัครกลุม่ ทีห่ นึง่ มีความเมตตาสงสารเห็นอกเห็นใจคน
ยากจนมากขึน้ และกลุม่ ทีส่ องมีความโกรธ และเกลียดคนโหดร้าย เมือ่
เจาะเลือดดูปรากฏว่า อาสาสมัครกลุ่มแรกมีเซลล์ภูมิต้านทานชนิดที่
เรียกว่า ทีเซลล์ (ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิต้านทานที่มีหน้าที่ทำ�ลายสิ่งแปลก
ปลอมในร่างกาย) เพิม่ ขึน้ ในช่วงสัน้ ๆ และเมือ่ ให้อาสาสมัครแผ่เมตตา
ต่อไปอีก ๑ ชั่วโมงพบว่า ทีเซลล์เพิ่มอยู่นาน แสดงให้เห็นว่าอารมณ์
ที่ดีมีผลต่อสุขภาพโดยตรง ทำ�ให้ภูมิต้านทานแข็งแกร่งขึ้น จิตใจที่
แจ่มใสเบิกบานมีความสุข มีผลต่อการเพิ่มของทีเซลล์ นักวิจัยจาก
มหาวิ ท ยาลั ย ฮาร์ ว าดพบว่ า เมื่ อ ให้ อ าสาสมั ค รดู ภ าพยนตร์ ต ลก
สนุกสนาน แล้วเจาะเลือดดูพบว่า เซลล์ภมู ติ า้ นทานทีเซลล์เพิม่ ขึน้ และ
จากการศึกษาผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจำ�นวน ๓๖ คน พบว่า ๗ ปีผ่าน
ไป มีผู้ป่วยเสียชีวิตไปเพียง ๒๔ ราย เมื่อตรวจสภาพจิตใจของพวกที่
เหลืออยู่ปรากฏว่า เป็นคนที่มีจิตใจแจ่มใส มีความสุข

ดร.จอห์น แบร์ฟดู แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทคาร์โลไรนา ได้
ศึกษาผู้ป่วยที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคหัวใจรุนแรง โดยทดสอบสภาพ
ของจิตใจ เพื่อดูว่าผู้ป่วยเป็นคนมีโทสะมากน้อยเพียงใด และเมื่อ
พิจารณาดูความตีบแคบของเส้นเลือดหัวใจเปรียบเทียบกันแล้วปรากฏ
ว่า ผู้ป่วยที่มีอารมณ์โกรธมากจะมีเส้นเลือดตีบมากกว่าคนที่ใจเย็น
ดร.เรดฟอร์ด วิลเลี่ยม อาจารย์แพทย์แห่งมหาวิทยาลัยดุกซ์ ในรัฐ
นอร์ทคาร์โลไรนาของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตดิ ตามนักศึกษาแพทย์
ทีม่ อี ารมณ์โกรธเรือ้ รังพบว่า กลุม่ ทีม่ อี ารมณ์โกรธน้อย และไม่ยาวนาน
เสียชีวิตไป ๓ ราย ในจำ�นวน ๑๓๖ คน ส่วนกลุ่มที่มีอารมณ์โกรธ
เรื้อรังตายไป ๑๖ ราย ปัจจัยที่ทำ�ให้คนเหล่านี้ตายก่อนอายุ ๕๐ ปี
คือการเป็นคนเจ้าโทสะ การศึกษาทีม่ หาวิทยาลัยฮาร์วาดพบว่า ความ
โกรธเป็นสาเหตุสำ�คัญที่ทำ�ให้ผู้ป่วยโรคหัวใจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก
ก่อนมาโรงพยาบาล ๒ ชั่วโมง มหาวิทยาลัยเยลและสแตนฟอร์ด ซึ่ง
เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า เมื่อ
ติดตามผู้ป่วยที่มีอาการทางหัวใจครั้งแรกไป ๑๐ ปี ปรากฏว่า ผู้ป่วย
ที่เป็นคนโกรธง่ายจะมีอัตราการตายสูงกว่ากลุ่มของผู้ที่ไม่โกรธง่าย ๓
เท่า และผูป้ ว่ ยทีไ่ ด้รบั การช่วยเหลือให้จติ ใจมีอารมณ์ดงี ามแทนอารมณ์
ในทางลบ จะมีอตั ราการตายลดลง ๒ เท่าของผูป้ ว่ ยทีไ่ ม่ได้รบั การช่วย
เหลือให้ปรับเปลี่ยนอารมณ์

อีมิล กูส์ เภสัชกรชาวฝรั่งเศสพบว่า ในการวิจัยคนที่มีโรค
ทางกาย เช่น วัณโรค ผู้ป่วยที่กำ�ลังเสียเลือด ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูก
จะมีอาการของโรคเลวลง ถ้าหากผูน้ นั้ มีความวิตกกังวลแต่เรือ่ งโรคภัย
ไข้เจ็บของตน ความวิตกกังวลจะนำ�มาซึ่งความเครียดที่เป็นอันตราย
ต่อสุขภาพ ความเครียดทำ�ให้ภูมิต้านทานลดต่ำ�ลง เป็นเหตุให้เซลล์
มะเร็ ง กระจายได้ เ ร็ ว ขึ้ น และทำ � ให้ ร่ า งกายติ ด เชื้ อ ไวรั ส ได้ เ ร็ ว ขึ้ น
นอกจากนั้นยังทำ�ให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ เป็นเหตุให้กล้าม
เนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง ทำ�ให้โรคเบาหวานกำ�เริบ และอาการของ
โรคหอบหืดเลวลง เกิดอาการลำ�ไส้อกั เสบ ความเครียดทีเ่ กิดติดต่อกัน
นาน ๆ มีส่วนทำ�ให้เซลล์สมองเสื่อมลงไปด้วย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๑๑
๑๑๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

การปฏิบตั ธิ รรมคือการสร้างธรรมะให้เกิดขึน้ ภายในจิตใจ



การปฏิบัติธรรมคือการสร้างธรรมะให้เกิดขึ้นภายในจิตใจ
ด้วยวิธกี าร ๒ อย่างคือ การเจริญสมาธิเพือ่ ให้จติ สงบ และการเจริญ
วิปสั สนาเพือ่ ให้เกิดการปล่อยวาง เนือ่ งด้วยเพราะเกิดปัญญารูเ้ ข้าใจตาม
ความเป็นจริง จากข้อความที่ผ่านมาซึ่งได้กล่าวถึงผลกระทบของ
ความเครียดทีม่ ตี อ่ สภาพร่างกายและจิตใจ ในการเฝ้าสังเกตตามดูของ
อาตมาถึงเหตุทก่ี อ่ ให้เกิดความเครียดนัน้ ทำ�ให้อาตมาพอทีจ่ ะเข้าใจได้
ว่า ความเครียดนัน้ น่าจะมาจากเหตุ ๒ ประการ นัน่ ก็คอื

๑. ความเครียดทีเ่ กิดขึน้ โดยได้รบั ผลกระทบมาจากภายใน


คือ ความคิดในแง่ลบของตัวเรานัน่ เอง ทีม่ วั แต่เฝ้าคิดปรุงแต่งไปต่าง ๆ
นานา จนกระทั่งคิดยำ�้ จับจดอยู่กับเรื่องที่ไม่สบายใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
และไม่สามารถปล่อยวางมันลงได้ ก่อให้เกิดเป็นสภาวะจิตวิตกกังวลที่
นำ�มาซึง่ ความเครียดส่ง ผลทำ�ให้ภมู ติ า้ นทานอ่อนแอลง

๒. ความเครียดที่เกิดขึ้นโดยได้รับผลกระทบมาจาก
ภายนอก เช่น สภาพแวดล้อมในเรือ่ งของความแออัดในชุมชน อากาศ
ร้อนอบอ้าว เสียงดังรบกวน หรือมลพิษต่าง ๆ ทีม่ อี ยูใ่ นอากาศเหล่านี้
เป็นต้น
และด้วยเหตุทง้ั ๒ ประการทีย่ กขึน้ มาก็ลว้ นแล้วแต่ท�ำ ให้คน
เราเกิดความเครียดได้

สมาธิ คือ การมีจิตใจที่สงบโดยปราศจากความคิด
ต่าง ๆ เข้ามาแทรกแซง เป็นการระงับความคิดปรุงแต่งทีเ่ ป็นเหตุ
ให้เกิดความไม่สบายใจจนกลายเป็นความวิตกกังวล จึงช่วยลดปัญหา
ภาวะความเครียดทีจ่ ะเกิดขึน้ ได้

เมือ่ ไหร่ทจ่ี ติ รวมเป็นหนึง่ และตัง้ มัน่ อยู่ ผูป้ ฏิบตั กิ จ็ ะสัมผัสได้
ถึงความสุขทีเ่ กิดจากความสงบในการทำ�สมาธิ ซึง่ สภาวธรรมบางอย่าง
ทีเ่ กิดขึน้ จากการทำ�สมาธินน้ั ยกตัวอย่างเช่น ปีติ คือความอิม่ ใจ ความ
รูส้ กึ เบาสบายเป็นสุข สภาวธรรมเหล่านีล้ ว้ นแล้วแต่ท�ำ ให้จติ ใจรูส้ กึ ผ่อน
คลายไม่เครียด หรือถ้ามีความเครียดอยูแ่ ล้วก็จะค่อย ๆ ลดน้อยลงไป
เรือ่ ย ๆ จนดับและหายไปได้เอง ด้วยความรูส้ กึ อิม่ ใจ เบาสบายใจเป็นสุข
นี้ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยทีท่ �ำ ให้ทเี ซลล์ หรือเซลล์ภมู ติ า้ นทานเกิดและเพิม่
จำ�นวนขึน้ ส่งผลให้สง่ิ แปลกปลอมภายในร่างกายถูกทำ�ลายลง
แต่การปฏิบตั ธิ รรมหรือทีเ่ รียกกันว่าการทำ�กรรมฐานนัน้ ใน
แง่ของสมาธิกจ็ ดั เป็นหนึง่ ในสองของวิธกี ารเจริญกรรมฐาน กล่าวอีกชือ่
ก็คอื “สมถกรรมฐาน” นัน่ เอง ซึง่ เป็นอุบายวิธกี ารกระทำ�ใจของบุคคล
ให้สงบ ส่วนอีกวิธหี นึง่ นัน้ เรียกว่า “วิปสั สนากรรมฐาน” เป็นอุบาย
เรืองปัญญา เหตุเพราะได้อญ ั เชิญสติทถ่ี กู ทอดทิง้ ขึน้ มานัง่ บัลลังก์ของชีวติ
เมือ่ สติขน้ึ มานัง่ สูบ่ ลั ลังก์แล้ว จิตก็จะคลานเข้ามาหมอบถวายบังคมอยู่
เบื้องหน้าสติ สติจะควบคุมจิตมิให้แส่ออกไปคบหาอารมณ์ต่าง ๆ
ภายนอก ในทีส่ ดุ จิตก็จะค่อยคุน้ เคยกับการสงบอยูก่ บั อารมณ์เดียว เมือ่
จิตสงบตัง้ มัน่ ดีแล้ว การรูต้ ามความเป็นจริงก็เป็นผลติดตามมา เช่น รูว้ า่
สิง่ ต่าง ๆ ทีเ่ ข้ามากระทบกายและใจจนเกิดเป็นอารมณ์ความรูส้ กึ สุข
ทุกข์ หรือเฉย ๆ นัน้ ล้วนแล้วแต่ไม่เทีย่ ง เกิดขึน้ มา ตัง้ อยู่ แล้วก็ดบั ไป

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๑๓
๑๑๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ในทีส่ ดุ ซึง่ สิง่ ใดไม่เทีย่ งสิง่ นัน้ ก็ลว้ นแล้วแต่เป็นทุกข์ และเราก็ไม่สามารถ


บังคับควบคุมอารมณ์ทเ่ี กิดขึน้ มาเหล่านัน้ ให้เป็นไปตามทีเ่ ราต้องการได้
เมือ่ เกิดปัญญารูเ้ ท่าทันตามความเป็นจริงเช่นนีไ้ ปเรือ่ ย ๆ ก็จะเกิดการ
ปล่อยวางอารมณ์ตา่ ง ๆ ได้งา่ ย ทำ�ให้เกิดความเบาสบายทางจิตใจ ไม่
วิตกกังวลจนเครียด ช่วยให้เกิดสุขภาพจิตใจทีด่ ี เมือ่ จิตใจดีมสี ขุ ภูมิ
ต้านทานของร่างกายก็แข็งแรง ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายก็ท�ำ งานได้
อย่างปกติ และมีประสิทธิภาพตามไปด้วย
เมือ่ บุคคลใดสามารถปฏิบตั ธิ รรมคือ การเจริญกรรมฐาน ทัง้
สมถกรรมฐาน และวิปสั สนากรรมฐาน จนเกิดความรูค้ วามเข้าใจใน
ธรรมชาติทางด้านอารมณ์ทเ่ี กิดขึน้ มา และไม่วา่ จะเป็นความสุข ความ
ทุกข์ หรือเฉย ๆ ก็ลว้ นแล้วแต่มลี กั ษณะแห่งความไม่เทีย่ ง เกิดขึน้ ตัง้ อยู่
ดับไป พร้อมกับรับรูค้ วามรูส้ กึ แห่งทุกข์ทเ่ี กิดจากความไม่เทีย่ งในอารมณ์
นัน้ และไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาการใด ๆ ให้เป็นไปตามที่
เราต้องการได้ ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ โดยปราศจากการคิดนึกปรุงแต่ง
เอาเอง ก็เท่ากับบุคคลผูน้ น้ั ได้เกิดมีธรรมะขึน้ ในจิตใจของเขาแล้ว และ
ด้วยธรรมะทีเ่ กิดขึน้ ในจิตใจนีเ้ อง จะช่วยสร้างความเข้าใจในเรือ่ งของ
ธรรมชาติทง้ั จากภายในและภายนอกตัวของเราทัง้ หลายว่า ไม่มผี ใู้ ดหรือ
ใครผูห้ นึง่ เป็นผูก้ ระทำ� แต่เพราะมีเหตุปจั จัยมากระทบ อารมณ์ความรูส้ กึ
ต่าง ๆ จึงเกิด เมือ่ หมดเหตุปจั จัยทีท่ �ำ ให้เกิดอารมณ์ความรูส้ กึ นัน้ ขึน้ มัน
ก็ดบั ของมันไปเอง ไม่มผี ใู้ ดหรือใครเป็นผูก้ ระทำ� เป็นของมันเองโดย
ธรรมชาติอย่างนี้ อุปาทานความยึดมัน่ ในอารมณ์ตา่ ง ๆ ก็จะถูกปล่อย
วางได้งา่ ย ความวิตกกังวลจนเครียดทีส่ ง่ ผลให้สขุ ภาพร่างกายไม่แข็งแรง
จนกระทั่งป่วยเป็นโรคนั้น ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หรือหากเกิดขึ้นมาก็จะ
สามารถสลายอารมณ์ทไ่ี ม่ดเี หล่านัน้ ออกไปจากจิตใจได้อย่างรวดเร็ว
กรรมฐาน
๑๑๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
กรรมฐาน
กรรมฐาน หมายความว่า ที่ตั้งแห่งการงานทำ�ความ
เพียรฝึกอบรมจิต นัน่ ก็คอื การปฏิบตั ธิ รรมทีบ่ คุ คลควรทำ�ในด้านจิตใจ
เปรียบเหมือนโรงงานฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความสะอาด สว่าง และ
สงบ จำ�แนกเป็น ๒ คือ สมถกรรมฐาน ๑ วิปัสสนากรรมฐาน ๑

สมถกรรมฐาน
กรรมฐานเป็ น อุ บ ายสงบใจเนื่ อ งด้ ว ยการบริ ก รรมคื อ
กำ�หนดใจ โดยเพ่งวัตถุหรือนึกถึงอารมณ์ทกี่ �ำ หนดนัน้ ด้วยการว่าซ�้ำ ๆ
อยู่ในใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น นึกว่า พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
เป็นต้น ไปเรื่อย ๆ อย่างเดิมจนกระทั่งใจสงบลง ไม่เน้นหนักในด้าน
การใช้ปัญญา เป็นกรรมฐานเครื่องยังใจให้สงบจากนิวรณธรรมมี ๕
อย่างคือ ๑. กามฉันท์ พอใจในกามคุณ ๒. พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น
๓. ถีนมิทธะ ความหดหู่ ซึมเซา ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุง้ ซ่าน และ
รำ�คาญ ๕. วิจกิ จิ ฉา ความลังเลสงสัย สิง่ เหล่านีเ้ รียกว่า “สนิมใจ” กั้น
จิตบุคคลไว้ไม่ให้บรรลุความดี ถ้าจิตของบุคคลนั้นสามารถระลึกรู้อยู่
กับอารมณ์ที่ตนกำ�หนดไว้ได้จนสงบลง ในยามนั้นนิวรณธรรมทั้ง
๕ ประการข้อใดข้อหนึง่ ได้สงบไปจากจิตแล้ว การปฏิบตั โิ ดยวิธนี จี้ งึ ชือ่
ว่าเป็น “สมถกรรมฐาน” มีจำ�นวนถึง ๔๐ ประการ จัดเป็นหมวดได้
๗ หมวด คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูป
กรรมฐาน ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ อุบายวิธี
สงบจิตที่มีมากเช่นนี้ ก็เพื่อให้เหมาะแก่จริตอัธยาของแต่ละบุคคล

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๑๗
๑๑๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

วิปัสสนากรรมฐาน
กรรมฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา เป็นการศึกษาเรียนรูส้ งิ่ ที่
กำ�ลังปรากฏที่มีอยู่จริง ๆ โดยที่เราไม่ต้องสร้างขึ้นมา เพียงแต่เจริญ
สติ ระลึกรู้ สังเกต “สติ” เป็นตัวระลึก ตัวสังเกต หรือพิจารณา เป็น
ตัวปัญญาเกิดไปด้วยกันที่เราเรียกว่า “สติสัมปชัญญะ” สติจะควบคุม
จิตมิให้แส่ออกไปคบอารมณ์ต่าง ๆ ภายนอก ในที่สุดจิตก็จะค่อยคุ้น
เคยกับการสงบอยู่กับอารมณ์เดียว เมื่อจิตสงบตั้งมั่นดีแล้ว ปัญญาคือ
การรู้ตามความเป็นจริง เห็นว่ามันมีอะไร อย่างไร มีลักษณะอย่างไร
มีสัจจะอย่างไร เช่น มองดูที่กิ่งไม้ : เมื่อกำ�หนดลงไปที่กิ่งไม้ มันก็
เป็นสมาธิ แล้วดูเห็นว่ากิ่งไม้นี้ไหวอยู่เรื่อย ไหวอยู่เรื่อย ในความ
เปลี่ยนแปลงนี้ก็เป็นปัญญา มองไปที่กิ่งไม้มันก็จะมีทั้งสมาธิ และมีทั้ง
ปัญญา มีพร้อมกันไปในตัว
“สัมปชัญญะ” เป็นตัวพิจารณา คำ�ว่า “พิจารณา” ในที่นี้
จะใช้ต้องเข้าใจว่ามันไม่ได้หมายถึง เราต้องเอาข้อมูลในอดีต อนาคต
มาคิด มันคนละความหมาย ฉะนั้น คำ�ว่าพิจารณาในที่นี้ จะใช้อีกคำ�
หนึง่ ก็คอื คำ�ว่า “สังเกต” หรือพิจารณาสัน้ ๆ พิจารณาเฉพาะสิง่ ทีก่ ำ�ลัง
ปรากฏเป็นปัจจุบัน ไม่เอาอดีต อนาคต มาคิด มานึก ดังนั้น จึงใช้
คำ�ว่าสังเกต สติเป็นตัวระลึกรู้ สัมปชัญญะเป็นตัวพิจารณา สังเกต
เฉพาะรูปนามที่กำ�ลังปรากฏ เมื่อผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ดูรู้อันใหม่ รูป
ใหม่ นามใหม่ ทีก่ �ำ ลังปรากฏ ให้รเู้ ห็นของจริงตามความเป็นจริง ของ
จริงก็คือ รูปนามตามความเป็นจริง ซึ่งก็คือ รูปนามมีสภาพอนิจจัง
คือ ไม่เที่ยง ทุกขัง คือ เป็นทุกข์ ทนได้ยากหรือคงอยู่ในสภาพเดิมไม่
ได้ อนัตตา คือ บังคับบัญชาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้การเจริญวิปัสสนาก็ต้อง
กำ�หนดรู้อยู่ในรูปนามตามจริงว่ามีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่ใน
สภาพเดิมไม่ได้และบังคับบัญชาไม่ได้ เรียกว่า การพิจารณาพระ
ไตรลักษณ์ เป็นต้น

วิปัสสนากรรมฐาน มีวิปัสสนาภูมิ ๖ เป็นอารมณ์ คือ


๑. ขันธ์ ๕ คือกองทั้ง ๕
๒. อายตนะ ๑๒ คือส ะพานเครื่องเชื่อมต่อให้เกิดความรู้
มี ๑๒
๓. ธาตุ ๑๘ คือ สิ่งที่ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน มี ๑๘
๔. อินทรีย์ ๒๒ คือค วามเป็นใหญ่ มี ๒๒
๕. อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ มี ๔
๖. ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ คือ ความประชุมพร้อมด้วยเหตุผล มี ๑๒

วิปสั สนาภูมทิ งั้ ๖ ทีเ่ ป็นอารมณ์ของวิปสั สนากรรมฐานย่อ
ให้สั้น ได้แก่ รูปกับนามเท่านั้น ถ้าใครเอาขันธ์ ๕ หรืออายตนะ ๑๒
เป็นต้น มาเป็นอารมณ์กรรมฐาน ผูน้ นั้ ชือ่ ว่าได้เจริญวิปสั สนากรรมฐาน

ระดับของปัญญา
คำ�ว่า “ปัญญา” ตามความหมายทัว่ ไปทีค่ นเข้าใจกันโดย
ส่วนใหญ่ก็คือ ความฉลาดหรือความรอบรู้ท่เี กิดจากการเรียนและคิด
เช่น เด็กนักเรียนทีเ่ รียนหนังสือเก่งจนสอบได้ท่ี ๑ ของห้อง การทีบ่ คุ คล
ใดบุคคลหนึง่ สามารถคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึน้ มาได้ ยกตัวอย่างเช่น
คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ก็มกั จะได้รบั คำ�ชมอยูเ่ สมอว่าเป็นคนเก่ง ฉลาด
มีปญั ญา แท้จริงแล้วนัน้ ปัญญามีอยูห่ ลายชัน้ หลายอย่าง ในทีน่ จ้ี ะขอ
ยกเอาปัญญา ๓ อย่าง มาพอสังเขปเพือ่ ให้เกิดความเข้าใจดังนี้

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๑๙
๑๒๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

๑. สุตมยปัญญา ได้แก่ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง เกิดจาก


การเรียน เกิดจากการดูหนังสือ เกิดจากการท่องการจำ�ได้
๒. จินตามยปัญญา ได้แก่ ปัญญาทีเ่ กิดจากการนึกคิด เช่น
คิดทำ�รถยนต์ รถไฟ ระเบิด จานดาวเทียม คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาทีเ่ กิดจากการเจริญสติปฏั ฐาน
๔ มี ๔ อย่าง เรียกสั้น ๆ ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม คือ มีสติกำ�กับ
ดูกาย มีสติกำ�กับดูเวทนา มีสติกำ�กับดูจิต หรือสภาพและอาการของ
จิต มีสติกำ�กับดูธรรม ให้รู้เท่าทันตามความเป็นจริง จนมีจิตใจเป็น
อิสระไม่ถูกครอบงำ�ด้วยกิเลสและความทุกข์

ประโยชน์ของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

การปฏิบตั วิ ปิ สั สนากรรมฐานนัน้ มีประโยชน์มากมายเหลือ
ทีจ่ ะนับประมาณได้ จึงขอยกเอามาแสดงพอสังเขป เพือ่ ให้เห็นถึงความ
สำ � คั ญ และควรรี บ เร่ ง ทำ � การศึ ก ษาเรี ย นรู้ วิ ธี ก ารปฏิ บั ติ วิ ปั ส สนา
กรรมฐาน เพื่อให้เกิดปัญญารู้เท่าทันตามความเป็นจริง เมื่อนั้นก็จะ
ทราบได้ว่าความทุกข์มาจากไหน เราจะแก้ปัญหาที่เกิดจากความทุกข์
นั้นให้ดับไปได้อย่างไรและควรเริ่มต้นที่ใด อีกทั้งความรู้เท่าทันตาม
ความเป็นจริงก็เป็นผลให้เกิดปัญญา รู้ที่จะสกัดกั้นเหตุที่จะทำ�ให้เกิด
ทุกข์นั้นลงได้ อาตมาจึงขอนำ�เอาบทความหนึ่งของหนังสือ คู่มือการ
อบรมพัฒนาจิต จากการรวบรวม/เรียบเรียงโดย พ.ท.วิง รอดเฉย
ดังนี้คือ
๑. สัตตานัง วิสุทธิยา ทำ�กาย วาจา ใจ ของสรรพสัตว์ให้
บริสุทธิ์หมดจด
๒. โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ ดับความเศร้าโศก
ปริเทวนาการต่าง ๆ
๓. ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ ดับความทุกข์กาย
ดับความทุกข์ใจ
๔. ญาณัสสะ อะธิคะมายะ เพื่อบรรลุมรรคผล
๕. นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เพื่อทำ�นิพพานให้แจ้ง

และยังมีประโยชน์อยู่อีกมาก เช่น
๑. ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท
๒. ชื่อว่าเป็นผู้ได้ป้องกันภัยในอบายภูมิทั้งสี่
๓. ชื่อว่าได้บำ�เพ็ญไตรสิกขา
๔. ชื่อว่าได้เดินทางสายกลาง คือ มรรค ๘
๕. ชื่อว่าได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยการบูชาอย่างสูงสุด
๖. ชื่อว่าได้บำ�เพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เป็นอุปนิสัยปัจจัยไปใน
ภายหน้า
๗. ชื่อว่าได้ปฏิบัติถูกต้องตามพระไตรปิฎกโดยแท้จริง
๘. ชื่อว่าเป็นผู้มีชีวิตไม่เปล่าประโยชน์ทั้งสาม
๙. ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างถูกต้อง
๑๐. ชื่อว่าได้ปฏิบัติเพื่อให้เกิดวิปัสสนาญาณ ๑๖
๑๑. ชื่อว่าได้สั่งสมอริยทรัพย์ไว้ในภายใน
๑๒. ช ื่ อ ว่ า เป็ น ผู้ ม าดี ไปดี อยู่ ดี กิ น ดี ไม่ เ สี ย ที ที่ เ กิ ด มาพบ
พระพุทธศาสนา

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๒๑
๑๒๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

๑๓. ช อื่ ว่าได้รกั ษาอมตมรดกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นอย่างดี


๑๔. ชอื่ ว่าได้ชว่ ยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุง่ เรืองยิง่ ๆ ขึน้
ไปอีก
๑๕. ชื่อว่าได้เป็นตัวอย่างอันดีงามแก่อนุชนรุ่นหลัง
๑๖. ชื่อว่าตนเองได้มีธนาคารบุญติดตัวไปทุกฝีก้าว


ความหมายของคำ�ว่า “อารมณ์” ในทางกรรมฐาน

คำ�ว่า “อารมณ์” ที่ใช้ในทางกรรมฐาน ทั้งสมถกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐานนั้น มิใช่หมายความอย่างที่มักกล่าวถึงกันอยู่
โดยทั่วไป เช่นว่า เป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นคนอารมณ์ดี เป็นคนมี
อารมณ์ร้าย อย่าพูดด้วยอารมณ์ หรือทำ�ตามอารมณ์ ซึ่งหมายถึงพูด
และทำ�ตามใจโดยไม่มีหลักการเหตุผลที่ถูกที่ควร แต่อารมณ์ในทาง
กรรมฐาน หมายถึง เครื่องยึดหน่วงจิตใจ ถ้าใช้ในทางสมถกรรมฐาน
มีบัญญัติ (สิ่งที่เราสมมติขึ้น) เป็นอารมณ์ และมีวิธีบริกรรมอารมณ์ท่ี
เป็นกสิณ เช่น ปฐวีกสิณ (วงกลมทำ�ด้วยดินบริสทุ ธิส์ อี รุณ) อาโปกสิณ
(วงกลมทำ�ด้วยน�้ำ ใสบริสทุ ธิป์ ราศจากสีและตะกอน) เตโชกสิณ (วงกลม
ทำ�ด้วยไฟ) วาโยกสิณ (เพ่งลมที่พัดสัมผัสอวัยวะ หรือพัดยอดไม้ยอด
หญ้าให้หวั่นไหว) เป็นต้น หรืออารมณ์ที่เป็นอสุภะและอื่นๆ รวม ๔๐
วิธี ส่วนในทางวิปัสสนากรรมฐานนั้น ก็ได้แก่ รูปนาม ขันธ์ ๕ หรือ
อายตนะ ๑๒ ซึง่ อยูใ่ นวิปสั สนาภูมิ ๖ เป็นอารมณ์ หรือเป็นกรรมฐาน
หรือเป็นที่ตั้งของวิปัสสนา
ทำ�ความรู้จักกับสมาธิ สัมปชัญญะ และสติ
๓ สิ่งสำ�คัญที่ขาดไม่ได้ในชีวิต

สมาธิ
หลาย ๆ คนรู้จักคำ�ว่า สมาธิ แต่ไม่เข้าใจว่าสมาธิคืออะไร
มีลักษณะอย่างไร และแม้กระทั่งว่าสมาธิได้เกิดขึ้นกับตัวเราแล้ว เราก็
ไม่สามารถมีความระลึกรู้ได้เลยว่าสมาธิเกิดขึ้นกับเราแล้ว นั่นเป็น
เพราะว่าเราไม่เคยฝึกสมาธิอย่างเป็นหลักการ จึงไม่เกิดการเรียนรู้
เข้าใจถึงสภาพของจิตใจที่สงบแน่วแน่ไม่ฟุ้งซ่าน หลายๆ คนมักพูดถึง
คำ�ว่าสมาธิ เช่น วันนี้ไม่มีสมาธิในการทำ�งานเลย ไม่มีสมาธิในการ
อ่านหนังสือเลย คนที่มีสมาธิดีสามารถที่จะเรียนหรือทำ�งานได้ดีกว่า
คนทั่วไป เป็นต้น แต่เมื่อถูกถามกลับว่า แล้วสมาธิที่พูดกันบ่อย ๆ ว่า
สำ�คัญนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร สำ�หรับผู้
ไม่เคยฝึกสมาธิภาวนา หรือเคยผ่านการฝึกสมาธิภาวนามาบ้าง แต่ไม่
ได้ฝกึ ฝนอย่างต่อเนือ่ ง ก็จะไม่เกิดการรับรูถ้ งึ สภาวะทีจ่ ติ เป็นสมาธิ จึง
ไม่อาจเข้าใจ และอธิบายออกมาเป็นคำ�พูดได้ เพียงแต่ใช้หรือพูดกันถึง
เรื่องของสมาธิ โดยที่ผู้พูดเองก็ไม่เข้าใจถึงคำ�ว่าสมาธิเช่นกัน
สมาธิ หมายถึง ลักษณะของจิตที่มีความสงบ ตั้งมั่น แน่ว
แน่ ต่อสิ่งที่กำ�หนด ไม่ฟุ้งซ่านหรือส่ายไป สมควรแก่การทำ�งาน ใน
ที่นี้จะขอยกเอาสมาธิตามธรรมชาติ และสมาธิภาวนาขึ้นมา เพื่อ
ทำ�ความเข้าใจ และรู้จักกับสมาธิมากขึ้น ดังนี้

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๒๓
๑๒๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

สมาธิตามธรรมชาติ
เป็นสมาธิที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยที่ยังไม่ได้รับ
การฝึกอบรมอย่างเป็นหลักการ หรือที่เรียกกันว่าเป็นกรรมฐาน ตาม
ธรรมชาตินั้นเมื่อคนเราลงมือคิดนึก สมาธิก็เกิดขึ้น เกิดพอสมควรที่
จะให้คิดนึกได้ ถ้ามันไม่มีสมาธิเสียเลย คือ ไม่เกิดความสงบตั้งมั่นรู้
อยู่กับเรื่องที่คิดนึกนั้นเพียงเรื่องเดียว มันก็คิดนึกอะไรไม่ได้ สมาธิมัน
จะเกิดขึ้นมาเองพอสมสัดส่วนให้คิดได้ แล้วก็ซ่อนอยู่ในนั้น ทำ�ให้เรา
ไม่สามารถมองเห็นมันได้ เมือ่ มองไม่เห็นสภาพของจิตทีเ่ ป็นสมาธิจาก
การคิดนึก จึงไม่เกิดการรับรูถ้ งึ อารมณ์ความรูส้ กึ ในขณะทีจ่ ติ เป็นสมาธิ
ความเข้าใจในอารมณ์ที่เป็นสมาธิอยู่ในขณะนั้นก็ไม่เกิด จึงเป็นเหตุให้
ไม่สามารถรู้และเข้าใจสภาพของจิตที่เป็นสมาธิได้
งานทุกอย่างทุกประการที่ทำ�กันอยู่ในโลก ล้วนแล้วแต่
ต้องการจิตที่ปกติเป็นสมาธิทั้งนั้น แม้อยู่อย่างคนธรรมดานี้ ก็ต้องมี
สิ่งที่เรียกว่าสมาธิตามธรรมชาติเข้ามาช่วย อันจะทำ�ให้การงานเหล่า
นั้นเป็นไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะงานประณีต งานฝีมือ งานศิลปะที่ต้อง
ใช้การวาดด้วยแล้ว ต้องมีสมาธิมากจึงจะทำ�ได้ดี ความชำ�นาญอย่าง
เดียวยังคงไม่เพียงพอ จะเย็บปักถักร้อยหรืออะไรก็ตาม แม้แต่แม่ครัว
จะหั่นผักหั่นเนื้อ ถ้าทำ�ด้วยจิตที่เป็นสมาธิก็จะหั่นได้ดี เช่น หนาเท่า
กันทุกแว่น เรียบร้อยสม�่ำ เสมอ ถ้าแม่ครัวจิตฟุง้ ซ่านจะหัน่ เปะปะ หนา
บ้าง บางบ้าง ดูแล้วยุ่งยากตลอดเวลา จะลุกขึ้น จะนั่งลง จะเดินไป
จะไปทำ�อะไร มันมีจติ ทีเ่ ป็นสมาธิตามธรรมชาติชว่ ยอยูต่ ลอดเวลา เรา
จะกระทำ�สิง่ ต่าง ๆ ได้โดยไม่ผดิ พลาด เช่น ปอกผลไม้โดยทีม่ ดี ไม่บาด
มือ หรือตอกตะปูโดยที่ฆ้อนไม่ตอกถูกมือ ซึ่งเกิดจากจิตมีความเป็น
ปกติตามธรรมชาติชว่ ยอยูต่ ลอดเวลานัน่ เอง ไม่วา่ เราจะทำ�การงานสิง่
ใด ขอให้ทำ�ด้วยจิตเป็นสมาธิเถิด มันจะได้ผลดี มิฉะนั้น จะทำ�ไม่ได้ดี
จะเกิดความผิดพลาด ชีวิตนี้ก็จะยุ่งเหยิง ถ้ามีความถูกต้องพอดี มัน
จะเรียบร้อยไปหมดทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน
ดังนั้น ความเป็นสมาธิตามธรรมชาตินี้จะขาดไม่ได้
ต้องมีตามที่ธรรมชาติต้องการ มันจำ�เป็นสำ�หรับทุกคนที่มีชีวิตอยู่บน
โลก ไม่วา่ เขาจะประกอบการงานอะไร หน้าทีอ่ ะไร สมาธิเป็นสิง่ ทีต่ อ้ ง
มีพอสมควรแก่กรณี ไม่ว่าเราจะเป็นคนชนิดไหน จะทำ�อะไร เราจะ
ต้องมีสงิ่ ทีเ่ รียกว่าสมาธิตามสมควรแก่กรณี มิฉะนัน้ เราจะไม่สามารถ
ทำ�อะไรได้ดว้ ยความถูกต้องหรือปกติทเี่ รียกว่า มีสติสมประดี จิตใจไม่
เลื่อนลอย จิตใจไม่อ่อนแอ ไม่ฟุ้งซ่าน


สมาธิภาวนา
สมาธิภาวนา คือ การทำ�ความเจริญด้วยจิตที่เป็น
สมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิที่เกิดมีขึ้นมาด้วยการฝึกฝน โดยการกระทำ�ที่
เรียกว่า สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อกระทำ�จิตให้
เจริญขึ้น สมาธิที่มีอยู่ตามธรรมชาติเท่าที่ธรรมชาติให้มานั้นมันยังไม่
สมบู ร ณ์ เราจึ ง ต้ อ งมาฝึ ก ให้ ส มบู ร ณ์ เปรี ย บเหมื อ นดั่ ง เมล็ ด พื ช
ธรรมชาติให้มาแต่เมล็ดพืช จากนั้นเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องเพาะให้มัน
เกิดเป็นต้น เป็นลำ� เป็นดอก เป็นผลขึน้ มา ความเป็นสมาธิของจิตนัน้
ธรรมชาติให้มาแต่เมล็ด คือเท่าที่จะเอามาเพาะได้ มันไม่ได้เพาะมาให้
เสร็จ แต่มันให้มาสำ�หรับให้มาเพาะ เช่นเดียวกับเมล็ดถั่ว เมล็ดองุ่น
เมล็ดข้าว ได้มาแต่เมล็ด แต่ก็สามารถที่จะเพาะออกมาเป็นต้นได้
ธรรมชาติไม่ได้ให้มามากกว่านั้น แต่ละคนมีเมล็ดพืชสำ�หรับความอยู่

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๒๕
๑๒๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

รอด ธรรมชาติให้มาครบถ้วนทุกคน แล้วแต่วา่ ใครจะทำ�การเพาะปลูก


เพื่อให้ออกดอก ออกผล เป็นต้นต่อไป สำ�หรับคนที่รู้เรื่องเหล่านี้แล้ว
ได้ทำ�การเพาะปลูก ได้พัฒนา คนนั้นก็จะได้รับประโยชน์ทางจิตใจสูง
กว่าคนธรรมดา คนเราควรที่จะต้องทำ�จิตให้เจริญ เพราะสมาธิที่ได้
จากธรรมชาตินั้นเปรียบเหมือนได้มาแค่เมล็ดพืช ไม่เพียงพอต่อความ
อยู่รอดของชีวิต เราต้องเพาะหว่านโดยวิธีจิตตภาวนา ด้วยอุบายวิธี
ทางกรรมฐาน ซึ่งมีอยู่ ๒ วิธีด้วยกัน คือ สมถกรรมฐาน เป็นอุบาย
สงบใจ และวิปัสสนากรรมฐาน เป็นอุบายเรืองปัญญา
สมาธิที่ถูกฝึกขึ้นมาด้วยการภาวนาย่อมดีกว่าสมาธิที่ได้รับ
จากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว มันมีผลมากกว่าที่มันมีตามธรรมชาติ
ฉะนั้น จึงควรฝึกในสิ่งที่มีตามธรรมชาตินั้นให้มันดีกว่า เพื่อว่าเราจะ
สามารถทำ�อะไรได้ดกี ว่าคนทัว่ ไปทีเ่ ขาไม่มกี ารฝึกจิตใจเสียเลย สมาธิ
เป็นสิ่งที่ทุกๆ ชีวิตจะต้องมี ไม่มีไม่ได้ แล้วก็ต้องเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

ระดับของสมาธิ
ระดับของสมาธิแบ่งแยกออกเป็น ๓ ระดับ คือ

๑. ขณิกสมาธิ
สมาธิชั่วขณะ (Momentary Concentration) สมาธิขั้น
ต้น ในชีวิตประจำ�วันของคนทั่วไปก็จะถูกนำ�ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่
การทำ�งานให้ได้ผลดี เช่น การอ่านหนังสือ การวางแผนงาน เป็นต้น
ในส่วนของการปฏิบัติธรรมก็ใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเจริญวิปัสสนาได้
๒. อุปจารสมาธิ
สมาธิเฉียด ๆ หรือสมาธิจวนจะแน่วแน่ (Access Con-
centration) ยังไม่ดิ่งถึงที่สุด เป็นสมาธิขั้นระงับนิวรณ์ได้ นิวรณ์ คือ
เครื่องกีดกั้นขัดขวางความดีงามของจิต และการทำ�งานของจิต ไม่ให้
จิตเป็นสมาธิ นิวรณ์มี ๕ อย่าง ได้แก่ ๑. กามฉันท์ ความพอใจ ความ
อยากได้ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ
๒. พยาบาท ความผูกโกรธจองล้างจองผลาญ ๓. ถีนมิทธะ ความ
หดหู่ท้อแท้ ความโงกง่วง ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน รำ�คาญ
หงุดหงิดใจ ๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ได้แก่ ไม่แน่ใจสงสัยเกี่ยว
กับพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมว่าจะมี
ผลตามที่คาดไว้หรือไม่เพียงใด เป็นต้น

๓. อัปปนาสมาธิ
จิตเป็นสมาธิ ตั้งมั่น แน่วแน่ แนบสนิท (Attainment
Concentration) เป็นสมาธิระดับสูงสุดมีในฌานทั้งหลาย


ประโยชน์ของสมาธิ
ประโยชน์ ข องสมาธิ น้ัน มี ม ากและเป็ น สิ่ง สำ � คั ญ ทั้ง
ทางการปฏิบตั ธิ รรมและการดำ�เนินชีวติ ในกิจกรรมต่าง ๆ ของคนทัว่ ไป
โดยเฉพาะการทำ�งานจะประสบผลสำ�เร็จได้ด้วยดีต้องมีสมาธิ เพื่อให้
จิตใจสงบตัง้ มัน่ รูอ้ ยูก่ บั งานทีท่ �ำ อย่างเดียว ไม่หนีออกไปจับอารมณ์ขา้ ง
นอก หรือรับอารมณ์หลาย ๆ อย่างเข้ามาไม่ยอมหยุด ไม่ยอมนิง่ อยูใ่ น
อารมณ์อันเดียว จนเกิดเป็นความฟุ้งซ่าน จิตไปจับอารมณ์หลาย ๆ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๒๗
๑๒๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

อย่างจนไม่เกิดเป็นสมาธิ ดังนัน้ ในทีน่ อ้ี าตมาจึงขอยกเอาแต่ประโยชน์


ของสมาธิทม่ี ผี ลต่อสุขภาพจิต บุคลิกภาพ และชีวติ ประจำ�วัน มาพอให้
ผู้อ่านได้เห็นถึงความสำ�คัญของสมาธิในด้านของสุขภาพทั้งกายและใจ
ดังนี้
๑. ทำ�ให้เป็นผู้มีจิตใจและบุคลิกลักษณะเข้มแข็ง ผู้ที่ฝึก
สมาธิอยู่เป็นประจำ�ก็เท่ากับว่าต้องพยายามควบคุมจิตใจของตนไม่ให้
ไหลไปตามสิง่ ทีม่ ากระทบอารมณ์ เพือ่ ให้เกิดความสงบ เปรียบเหมือน
การเดินทวนน้ำ�ที่ต้องฝืนใจตัวเอง จึงทำ�ให้สามารถควบคุมจิตใจของ
ตนเองได้ จิตใจจึงเกิดความหนักแน่น มั่นคง สงบ เยือกเย็น ส่งผล
ถึงบุคลิกลักษณะภายนอกของคนผู้นั้น ให้มีลักษณะเป็นคนสุภาพ นิ่ม
นวล สดชื่น ผ่องใส กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เบิกบาน สง่า
งาม
๒. ทำ�ให้เกิดมีความเมตตากรุณา คือ ความรัก ความ
ปรารถนาดี และความสงสาร ความอยากช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์
เกิดขึ้นกับจิตใจ ส่งผลให้มีความคิดในทางที่ดี และมีอารมณ์ที่ดีงาม
ภูมติ า้ นทานทีช่ ว่ ยปกป้องคุม้ ครองร่างกายจากสิง่ แปลกปลอมภายในก็
ดีขึ้นด้วย
๓. มองดูรู้จักตนเองและผู้อื่นตามความเป็นจริง ในการ
ปฏิบัติธรรม โดยที่มักจะเข้าใจหรือเรียกกันแต่ว่าสมาธินั้น จะทำ�ให้ผู้
ปฏิบัติได้มีเวลาที่จะอยู่กับตัวเองอย่างสงบ เพื่อเปิดโอกาสให้ได้ดูกาย
และใจของตนเองด้วยสติสัมปชัญญะ รู้ถึงสภาพความเป็นจริงของทั้ง
กายและใจ จนเกิดความเข้าใจในตนเอง และนำ�มาซึ่งความเข้าใจใน
ธรรมชาติพร้อมทั้งความเข้าใจในบุคคลอื่นด้วย เข้าข่ายที่ว่า ดูใจ
เห็นใจ เข้าใจ วางใจ สบายใจ นั่นเอง
๔. เป็นการเตรียมจิตใจให้อยู่ในสภาพพร้อมและง่ายแก่
การปลูกฝังคุณธรรมต่าง ๆ และเสริมสร้างนิสัยที่ดี เหตุเพราะมีสติ
เฝ้าคอยระลึกและคุมใจไม่ให้เผลอ หรือไปสนใจสิ่งรอบข้างจนเกิดเป็น
สมาธิจิตตั้งมั่นสนใจแต่สิ่งที่กำ�ลังเรียนรู้อยู่ หรืองานที่กำ�ลังทำ�อยู่เป็น
ปัจจุบัน พร้อมทั้งมีความรู้ตัว รู้ชัด เข้าใจชัด ถึงสิ่งที่เรากำ�ลังทำ�อยู่
เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน ก็รู้สึกตัวว่ากำ�ลังยืน กำ�ลังเดิน กำ�ลังนั่ง
กำ�ลังนอน หรือเมื่อกำ�ลังอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เป็นต้น ก็รู้สึกตัว
ว่าเรากำ�ลังอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ สิ่งนี้เรียกว่า สัมปชัญญะ
สติสัมปชัญญะเป็นธรรมมีอุปการะมาก คือ นำ�มาซึ่งความเกื้อกูลใน
การงานทั้งปวง
๕. รูจ้ กั ทำ�ใจให้สงบไม่หวัน่ ไหวต่ออารมณ์ทเ่ี ข้ามากระทบ
และสะกดยั้งผ่อนเบาความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจได้ เรียกว่ามีความมั่นคง
ทางอารมณ์
๖. มีภูมิคุ้มกันโรคทางจิต เพราะมีสมาธิช่วยให้เกิดความ
สงบ ระงับไม่ให้คิดปรุงแต่งสิ่งต่างๆ ย้ำ�ๆ ซ้ำ�แล้วซ้ำ�อีก ถึงสิ่งที่ไม่
สบายใจจนกลายเป็นความวิตกกังวลทางจิต มาก ๆ เข้าก็จะกลายเป็น
ความเครียดสะสม ที่อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางจิตได้
๗. รูจ้ กั ดำ�เนินชีวติ อย่างมีสติ ตามดู รูท้ นั พฤติกรรมทาง
กาย วาจา ใจ ด้วยการใช้จิตที่มีสมาธิ ซึ่งเป็นฐานในการปฏิบัติตาม
หลักสติปัฏฐาน ๔ ก็จะค่อยเกิดความรู้เท่าทันตามสภาวะจิตของตนที่
เป็นไปต่าง ๆ มองเพื่อการเรียนรู้ให้เกิดความเข้าใจในขณะที่มันกำ�ลัง
เกิดขึน้ กับเราอยูเ่ ป็นปัจจุบนั ก็จะนำ�มาซึง่ ปัญญา รูจ้ กั ใช้ประโยชน์โดย
การพยายามเรียนรู้ จากสิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจจนเกิดเป็นความรู้สึก
เช่น สุข ทุกข์ โกรธ หลง เคลิบเคลิ้ม หรือความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๒๙
๑๓๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เป็นต้น ใช้ประโยชน์จากมันเพื่อเรียนรู้อย่างเดียว อย่ายอมเปิดช่องให้


ประสบการณ์และความเป็นไปเหล่านัน้ ก่อพิษเป็นอันตรายแก่ชวี ติ จิตใจ
ของตนได้เลย ประโยชน์ในข้อนี้ย่อมเป็นไปในชีวิตประจำ�วันด้วย
๘. ทำ�จิตใจให้เกิดความผ่อนคลาย หายเครียด เกิดความ
สงบ หายกระวนกระวาย หยุดจากความกลัดกลุ้มวิตกกังวล
๙. เป็นเครือ่ งพักผ่อนกาย ทำ�ให้ใจสบายมีความสุข เช่น
บางท่านในบางครั้งที่ต้องเครียดกับงาน หรือจำ�เป็นต้องรอคอยและ
ไม่มีอะไรที่จะทำ� ก็ให้หายใจเข้าออกยาว ๆ สบาย ๆ พร้อมกำ�หนด
ท้องพองยุบ ดูสบาย ๆ ไม่เพ่งท้องทีพ่ องยุบจนเกินไป ก็จะเกิดเป็นการ
พักผ่อนกายใจ เป็นอยู่อย่างสุขสบาย
๑๐. เป็นเครือ่ งเสริมประสิทธิภาพในการทำ�งาน การ
เรียน และการทำ�กิจกรรมทุกอย่าง เพราะจิตทีเ่ ป็นสมาธิ ตัง้ มัน่ แน่ว
แน่ อยู่กับสิ่งที่กำ�ลังกระทำ� ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก ไม่เหม่อลอย ย่อม
ช่วยให้การเรียน การคิด และการทำ�งานได้ผลดี เกิดความรอบคอบ
ไม่ผดิ พลาด เช่น การอ่านหนังสือ ตาทีจ่ บั จ้องตัวอักษรในหนังสือ โดย
จิตไม่เผลอส่งออกนอกไปคิดเรื่องอื่นในขณะอ่านหนังสือ รู้อยู่กับการ
อ่านหนังสือเพียงอย่างเดียวนี้เป็นสมาธิ และเมื่อไหร่ที่จิตเผลอส่งออก
ไปคิดเรื่องอื่นหรือสนใจสิ่งอื่นไม่อยู่กับการอ่านหนังสือ แล้วเกิดการ
ระลึกขึ้นได้ รู้ตัวว่าจิตกำ�ลังส่งออกนอกไป ก็ดึงจิตกลับมารู้อยู่กับการ
อ่านหนังสือใหม่นี่คือ “สติ” พร้อมกับเกิดความรู้ตัวอยู่ตลอดในการ
อ่านหนังสือ เฝ้าทำ�การพิจารณาจนเกิดความรู้ชัด เข้าใจชัด จาก
หนังสือที่กำ�ลังอ่านอยู่นั้นเรียกว่า “สัมปชัญญะ”
๑๑. ป้องกันอุบตั เิ หตุได้ดี เพราะมีสมาธิกเ็ ท่ากับมีสติก�ำ กับ
อยู่ด้วย เมื่อมีสติย่อมเป็นเครื่องหมายแห่งความไม่ประมาท เกิดการ
คิดไตร่ตรองใคร่ครวญในสิ่งที่จะทำ�ก่อนทุกครั้ง ทำ�ให้ความผิดพลาด
ไม่เกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้นก็สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นไปได้ทันท่วงที
๑๒. ช่วยเสริมสุขภาพกาย เพราะเหตุที่ร่างกายและจิตใจ
อาศัยกัน มีอิทธิพลต่อกัน เช่น เมื่อร่างกายเจ็บป่วยไม่สบาย จิตใจก็
พลอยเศร้าหมองขุ่นมัวไปด้วย เกิดเป็นความกลัวจนวิตกกังวล ขาด
กำ�ลังใจจนทำ�ให้โรคทางกายนั้นโดนซ้ำ�เติมให้ทรุดหนักลงไปอีก และ
แม้ในเวลาทีร่ า่ งกายเป็นปกติ พอประสบเรือ่ งราวให้เศร้าเสียใจรุนแรง
ก็ล้มป่วยเจ็บไข้ไปได้ ส่วนผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งสมบูรณ์ เมื่อเจ็บป่วยกาย
ก็ไม่สบายอยู่แต่กายเท่านั้น จิตใจไม่ป่วยตามไปด้วย
๑๓. บรรเทาหรือผ่อนเบาโรคทางกายได้ เพราะจิตใจมี
ความสบายเข้มแข็ง สามารถให้ก�ำ ลังใจตัวเองได้ ไม่คดิ จับจดวิตกกังวล
กับโรคทางกาย ส่งผลให้ไม่เครียด ทำ�ให้เซลล์ภูมิต้านทานแข็งแรง
สามารถขจัดสิ่งแปลกปลอมภายในกายออกไปได้
๑๔. สามารถใช้ก�ำ ลังของสมาธิระงับทุกขเวทนาทางกายได้
๑๕. จิตใจมีความผ่องใสเบิกบาน ส่งผลให้สขุ ภาพร่างกาย
ดี ผิวพรรณผ่องใส ซึ่งเป็นภูมิต้านทานโรคไปในตัว
๑๖. ช่วยระงับความแปรปรวนทางจิตใจทีม่ ผี ลให้เกิดโรค
เช่น ความมักโกรธบ้าง ความกลุ้มกังวลบ้าง อาจทำ�ให้เกิดโรคปวด
ศีรษะบางอย่าง หรือโรคแผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น เมือ่ รูจ้ กั ทำ�ใจ
ให้สงบ ทำ�ใจให้ดี หยุดความคิดนึกปรุงแต่งต่าง ๆ ก็ไม่เกิดเป็นอารมณ์
ไม่ดีที่มีผลให้เกิดความเครียด ส่งผลให้เกิดโรคขึ้นมาได้ ประโยชน์ข้อ
นี้จะสมบูร ณ์ต่ อเมื่อมีปัญญาที่รู้เท่าทันสภาวธรรม จากการเจริญ
วิปัสสนากรรมฐานประกอบอยู่ด้วย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๓๑
๑๓๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

สัมปชัญญะ
คำ�ว่า “สัมปชัญญะ” แยกออกเป็น ๓ ศัพท์ คือ สํ+ป+ชัญญะ
สํ แปลว่า พร้อม แปลว่า ดี
ป แปลว่า ทั่ว แปลว่า ยิ่ง
ชัญญะ แปลว่า รู้ แปลว่า เข้าใจ
ได้แก่ ปัญญา

สัมปชัญญะ หมายความว่า การกำ�หนดรู้ทุก ๆ ขณะ
ความรู้ตัว ความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้ชัด ความรู้ทั่วชัด เป็นความ
รูต้ วั ตามความเป็นจริงทัง้ ภายในและภายนอกทีถ่ กู ต้อง หรือปัญญา
ซึ่ ง ตั้ ง อยู่ บ นรากฐานของสั ม มาสติ นั่ น เอง สติ เ ป็ น ตั ว ระลึ ก รู้
สัมปชัญญะเป็นตัว “พิจารณา” กำ�หนดรูท้ ุก ๆ ขณะ เฝ้าสังเกตเฉพาะ
รูปนามที่กำ�ลังปรากฏ เมื่อผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ดูรู้อันใหม่ที่กำ�ลังเกิด
ขึน้ ฉะนัน้ คำ�ว่า “พิจารณา” ในทีน่ จี้ ะใช้อกี คำ�หนึง่ ก็คอื คำ�ว่า “สังเกต”
หรือพิจารณาสัน้ ๆ พิจารณาเฉพาะสิง่ ทีก่ �ำ ลังปรากฏเป็นปัจจุบนั เพือ่
ให้เกิดความรูต้ ามความเป็นจริง ทีผ่ า่ นไปแล้วก็แล้วกันไป อย่าเอาอดีต
อนาคต มาคิด มานึก ดังนั้น จึงใช้คำ�ว่า “สังเกต”

สัมปชัญญะ จำ�แนกออกเป็น ๔ ประเภทใหญ่ๆ คือ


๑. สาตถกสัมปชัญญะ ความรู้ชัดในวัตถุประสงค์
จะทำ�อะไรต้องมีสติก�ำ หนดรูป้ ระโยชน์และมิใช่ประโยชน์ให้
ดีก่อน เช่น เมื่อจิตคิดจะไป อย่าไปตามอำ�นาจจิต คิดหาสิ่งที่เป็น
ประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ก่อน ถ้าเราไปที่นั่นจะมีประโยชน์หรือ
ไม่ คำ�ว่า “ประโยชน์” ในที่นี้ได้แก่ ความเจริญโดยธรรม คือทำ�ให้
กรรมฐานดีขึ้นเจริญขึ้น เช่น ผู้เจริญกรรมฐาน เมื่อจะไป ณ ที่ใดที่
หนึ่งมิใช่สักแต่ว่ารู้สึกหรือนึกขึ้นมาว่าจะไปก็ไป แต่ตระหนักว่าเมื่อไป
แล้วจะได้ปตี สิ ขุ หรือความสงบใจ ช่วยให้เกิดความเจริญโดยธรรมจึงไป

๒. สัปปายสัมปชัญญะ ความรู้ชัดในความเหมาะสม
คือ รูต้ วั ตระหนักชัดว่าสิง่ ของนัน้ การกระทำ�นัน้ ทีท่ จี่ ะไป
นั้น เหมาะกันกับตน เกื้อกูลแก่สุขภาพ แก่กิจ เอื้อต่อการลดลงของ
อกุศลธรรม และกุศลธรรมเจริญงอกงาม จึงใช้ จึงทำ� จึงไป หรือ
เลือกให้เหมาะ เช่น ผู้เจริญกรรมฐานจะไปฟังธรรมอันมีประโยชน์ใน
ที่ชุมชนใหญ่่ ที่มีหญิงชายแต่งตัวกันอย่างสวยงามไปกันมากมาย เพื่อ
พากันฟังธรรม อาจทำ�ให้เสียสังวร เรียกว่า สังวรแตก กิเลสเกิด
กรรมฐานเสื่อม เช่น ประสบกับอารมณ์ที่น่าปรารถนาทำ�ให้เกิด
“โลภะ” หรือประสบกับอารมณ์ทไี่ ม่นา่ ปรารถนาก็เกิดเป็น “โทสะ” จึง
ไม่ไป ถ้าภิกษุใช้จีวรที่เหมาะสมกับดินฟ้าอากาศ และเหมาะกับภาวะ
ของตนที่เป็นสมณะก็เรียกว่า มีความเหมาะสม

๓. โคจรสัมปชัญญะ ความรูช้ ดั ในแดนงาน (ซึง่ ประกอบ


กับกรรมฐาน)
คือ รู้ตัวตระหนักชัดอยู่ตลอดเวลาถึงสิ่งที่เป็นกิจ หน้าที่
เป็นตัวงานที่ตนกระทำ� ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำ�อะไรอื่นจะต้องคุมกาย
และจิตไว้ให้อยู่ในกิจ ในประเด็น หรือแดนงานของตนไม่ให้เขว เตลิด
เลื่อนลอย หรือหลงลืมไปเสีย ตัวอย่างเช่นมีภิกษุรูปหนึ่งพยายามเดิน
จงกรมกลับไปกลับมาอยู่ใกล้ ๆ ทุ่งนา พวกชาวนากำ�ลังพากันทำ�นา

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๓๓
๑๓๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

อยู่ และเห็นท่านเดินก็เกิดความสงสัยว่า ท่านลืมของหรือหลงทางหนอ


ทำ�ไมจึงเดินกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ส่วนท่านเองมิได้สนใจอะไรเลย
มุ่งหน้าแต่ทำ�กรรมฐานอย่างเดียว ท่านตั้งอกตั้งใจทำ�จริง ๆ ในไม่ช้า
ก็ได้บรรลุอรหัตตมรรค อรหัตตผล

๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ ความรู้ชัดตามความเป็นจริง
คื อ เมื่ อ ไปไหน ทำ � อะไร ก็ รู้ ตั ว ตระหนั ก ชั ด ในการ
เคลื่อนไหว หรือในการกระทำ�นั้น ในสิ่งที่กระทำ�นั้น มีสติอยู่ทุก ๆ
ขณะ กายเอนไปข้างหน้าก็มีสติกำ�หนดรู้ กายเอนไปข้างหลังก็มีสติ
กำ�หนดรู้ เวลาแลดูตรงก็มสี ติกำ�หนดรู้ เวลาเหยียดแขนเหยียดขาออก
ไปก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาพาดสังฆาฏิก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาอุ้มบาตรก็มี
สติกำ�หนดรู้ เวลาห่มจีวรก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาบริโภคอาหารก็มีสติ
กำ�หนดรู้ เวลาดื่มก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาเคี้ยวก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาลิ้ม
เลียก็มสี ติก�ำ หนดรู้ เวลาถ่ายอุจจาระก็มสี ติก�ำ หนดรู้ เวลาถ่ายปัสสาวะ
ก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาเดินไปก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลายืนก็มีสติกำ�หนดรู้
เวลานั่งก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลานอนก็มีสติกำ�หนดรู้ เวลาตื่นก็ให้มีสติ
กำ�หนดรู้ เวลาพูดก็ให้มีสติกำ�หนดรู้ เวลานั่งอยู่เฉย ๆ ก็มีสติกำ�หนด
รู้ เมือ่ กำ�หนดได้ละเอียดลออถีถ่ ว้ นอย่างนี้ เรียกว่า อสัมโมหสัมปชัญญะ
ไม่หลง ไม่สับสน เงอะงะ ฟั่นเฟือน เข้าใจล่วงตลอดไปถึงตัวสภาวะ
ในการกระทำ �ที่เป็นไปอยู่นั้น ว่าเป็นเพียงการประชุมกันขององค์
ประกอบและปัจจัยต่าง ๆ ประสานหนุนเนืองกันขึ้นมาให้ปรากฏเป็น
อย่างนั้น รู้ทันสมมติ ไม่หลงสภาวะ เช่น ยึดเห็นเป็นตัวตน ไม่ถูก
หลอกให้ลุ่มหลง หรือด้วยลักษณะอาการภายนอกที่ยั่วยุ หรือเย้ายวน
เป็นต้น
สติ
สติ แปลว่า ความระลึกได้ ก่อนทำ� ก่อนพูด ก่อนคิด จำ�
การทีท่ �ำ และคำ�ทีพ่ ดู แล้วแม้นานได้ สติยงั คุมใจเอาไว้ให้อยูก่ บั งานทีท่ �ำ
และสิ่งที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่เผลอออกไปคบหาอารมณ์ต่าง ๆ ภายนอก
อีกทัง้ ใจก็จะค่อยคุน้ อยูก่ บั อารมณ์อนั เดียวทีส่ ติคอยบังคับให้สงบอยู่ คน
ที่ลืมของบ่อย ๆ ก็เพราะขาดสติ เช่น ลืมกระเป๋าสตางค์ ลืมหนังสือ
ลืมการนัดหมายในเรื่องต่าง ๆ ไว้ เป็นต้น เป็นเพราะขาดสติเรียกกัน
ว่า “เผลอ” แม้ผู้ที่เจริญกรรมฐานทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนา
กรรมฐาน ถ้าขาดสติแล้วอารมณ์ของกรรมฐานก็จะไม่เกิดเลย ขณิก
สมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปณาสมาธิ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อสมาธิไม่
เกิด ปัญญาก็ไม่เกิดเช่นเดียวกัน เพราะปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย
สมาธิเป็นบาทแนบชิด ถ้าใครขาดสติกจ็ ะทำ�อะไรผิดพลาด ลืมโน่น ลืม
นี่บ่อย ๆ สติจึงมีหน้าที่สำ�คัญที่สุด คือ ทำ�ให้ไม่หลงลืม
ยกตัวอย่าง ในเวลาอ่านหนังสือ ขณะใดสติไม่มี ขณะนั้น
ใจก็จะลอยออกไปคิดอย่างอื่นเสีย ขาดความสนใจในหนังสือที่กำ�ลัง
อ่านอยู่ จะอ่านหนังสือสักกี่เที่ยว ถ้าขาดสติควบคุมให้อยู่กับการอ่าน
หนังสือก็จ�ำ ไม่ได้ ทัง้ นีก้ เ็ พราะใจไม่มสี ติรกั ษาไว้ ถ้าขณะใดมีสติ ขณะนัน้
ดูหนังสือเพียงเทีย่ วเดียวก็จ�ำ ได้ดี

ประโยชน์ของสติ
ประโยชน์ของสตินน้ั มีมาก เพือ่ ให้ผอู้ า่ นได้เล็งเห็นถึงความ
สำ�คัญของสติ อาตมาก็ขอนำ�เอาคำ�บรรยาย ของพระธรรมธีรราชมหา
มุนี (โชดก ญาณสิทธฺ เิ ถร) ทีท่ า่ นได้เคยบรรยายเอาไว้ ถึงประโยชน์ของ
สติ ดังนี้

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๓๕
๑๓๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

๑. สติ โลกสฺมิ ชาคโร สติปลุกคนให้ตน่ื อยูใ่ นโลก ไม่ให้


คนหลับ ไม่ให้คนประมาท
๒. สติมโต สทา ภทฺทํ คนมีสติมีความเจริญทุกเมื่อ
หมายความว่า ถ้ามีสติแล้วจะทำ�อะไรก็ไม่พลาด เช่น จะดูหนังสือ เรียน
หนังสือ ก็จ�ำ ได้งา่ ย จะทำ�งาน รักษาศีล ฟังธรรม เจริญกรรมฐานก็ได้
ผลดี เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ขาดตกบกพร่อง
๓. สติมา สุขเมธติ คนมีสติยอ่ มได้รบั ความสุข หมายความ
ว่า ความสุขต่าง ๆ ของโลก เช่น สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ สุขเกิดแต่
จ่ายทรัพย์บริโภค สุขเกิดแต่ความไม่มหี นี้ สุขเกิดจากการประกอบการ
งานทีป่ ราศจากโทษ ก็ตอ้ งอาศัยสติเป็นสำ�คัญ แม้สขุ ในทางธรรม เช่น
ฌานสุข วิปสั สนาสุข มัคคสุข ผลสุข นิพพานสุข ก็เกิดขึน้ เพราะอาศัย
สติทง้ั นัน้ ถ้าปราศจากสติแล้วสุขต่าง ๆ เหล่านีจ้ ะไม่เกิดขึน้ ได้เลย
๔. สติมโต สุเว เสยฺโย คนมีสติเป็นผู้ประเสริฐทุกวัน
หมายความว่า ชีวติ ประจำ�วันของแต่ละบุคคลต้องได้สติเป็นประจำ�ทัง้ สิน้
การงานนัน้ ๆ จึงจะเดินไปได้โดยเรียบร้อย และผลิตผลสมความตัง้ ใจ
ไว้
๕. รกฺขมาโน สโต รกฺเข ผูร้ กั ษาต้องมีสติรกั ษา หมายความ
ว่า ผู้จะรักษาทรัพย์สมบัติภายนอกทั้งที่มีวิญญาณครอง และไม่มี
วิญญาณครอง เช่น เสือ้ ผ้า เงินทอง บ้านช่อง เรือนชาน เรือกสวน
ไร่นา ช้าง ม้า วัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ เป็นต้น ก็ตอ้ งมีสติทง้ั นัน้
ถ้าปราศจากสติ ต้องได้รบั ความเดือดร้อนนานาประการ เช่น ไฟไหม้
ของหาย ถูกลักขโมยไป ก่อความเดือดร้อนให้แก่เพือ่ นบ้าน เป็นต้น แม้
สมบัตภิ ายใน คือ พระธรรมนับตัง้ แต่ ทาน ศีล ภาวนา เป็นต้นไป ก็
ต้องอาศัยสติทง้ั นัน้ จึงจะสามารถรักษาได้ดี บำ�เพ็ญได้ดี
๖. อุฏฐานวโต สติมโต แม้ผตู้ อ้ งการยศทัง้ ๖ คือ
๑. โภคยศ ยศคือโภคสมบัติ
๒. อิสสริยยศ ยศคือความเป็นใหญ่
๓. กิตติยศ ยศคือเกียรติ
๔. สัมมานยศ ยศคือความนับถือ
๕. วรรณยศ ยศคือการยกย่องสรรเสริญ
๖. ปริวารยศ ยศคือความเป็นผู้มีบริวารมากและซื่อสัตย์
จงรักภักดี กตัญญูกตเวที ก็ตอ้ งอาศัยคุณธรรม ๗ ประการ ในคุณธรรม
๗ ประการนัน้ ก็มสี ติอยูด่ ว้ ย คือ
๑. อุฏฐานะ มีความขยันต่อกิจการงานทุก ๆ อย่าง
๒. สติ มีสติรอบคอบ
๓. สุจกิ มั มะ มีการงานสะอาดเรียบร้อย
๔. นิสมั มการี ใคร่ครวญให้ดเี สียก่อนจึงทำ�ลงไป
๕. สัญญตะ มีความสำ�รวมระมัดระวังให้มากและให้ดี
ทีส่ ดุ
๖. อัปปมัตตะ ไม่ประมาท
๗. ธัมมชีว ี เป็นอยู่โดยอาศัยหลักธรรมเป็นเรือนใจ
คือ จะประกอบอาชีพอะไร ๆ ก็ตามไม่ยอมให้ผดิ ศีลธรรม ไม่ยอมให้ผดิ
กฎหมายบ้านเมือง ไม่ยอมทำ�ลายประเทศชาติ ศาสนา เป็นอันขาด
๗. สติธรรม มีอปุ การะมากทัง้ คดีโลก คดีธรรม
๘. สติเป็นกำ�ลังอันสำ�คัญยิง่ ในการปฏิบตั ธิ รรม ทัง้ ขัน้ ต่ำ�
ขัน้ กลาง ขัน้ สูง
๙. สติเป็นทางสายกลาง สามารถนำ�ผูป้ ฏิบตั ใิ ห้รบี รัดเข้า
สูม่ รรค ผล นิพพาน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๓๗
๑๓๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

สติปัฏฐาน ๔

คำ�ว่า ปัฏฐาน แปลว่า ตัง้ ไว้เฉพาะก็ได้ แปลว่า ตัง้ ไว้อย่าง
ทั่วถึงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าข้อความแวดล้อมนั้นเป็นอย่างไร
สำ�หรับคำ�ว่า สติปัฏฐาน แปลให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ฐาน
ที่ตั้งของสติ หรือการมีสติกำ�กับดูสิ่งต่าง ๆ และความเป็นไปทั้งหลาย
โดยรูเ้ ท่าทันตามสภาวะของมันทีเ่ ป็นจริง ไม่ถกู ครอบงำ�ด้วยความยินดี
ยินร้าย ที่ทำ�ให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำ�นาจกิเลส มี ๔ อย่างคือ
๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การมีสติกำ�กับดูรู้เท่าทัน
กายและเรื่องทางกาย
๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก ารมีสติกำ�กับดูรู้เท่าทัน
เวทนา
๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การมีสติก�ำ กับดูรเู้ ท่าทันจิต
หรือสภาพและอาการของจิต
๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การมี ส ติ กำ � กั บ ดู รู้ เ ท่ า ทั น
ธรรม

โดยทั้งหมดรวมเรียกสั้น ๆ ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม


ต้องมีสติตงั้ มัน่ อยูก่ บั การพิจารณาทัง้ ๔ อย่างนี้ ไม่วา่ จะอยูใ่ นอิรยิ าบถ
ใหญ่ คือ จะยืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อย เช่น คู้แขน
เหยียดขา หยิบจับ เกาคัน ทุกอิริยาบถต้องมีสติกำ�หนดพิจารณา
วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้น

การยืน
ให้ยกมือไขว้หลัง มือขวาจับข้อมือซ้าย วางไว้ตรง
กระเบนเหน็บ ยืนตรง หน้าตรง หลับตา ให้สติอยู่ที่กลางกระหม่อม
สำ�รวมจิต เอาสติตามวาดมโนภาพร่างกาย กำ�หนดคำ�ว่า ยืน จาก
ศีรษะลงมาหยุดที่สะดือ กำ�หนดคำ�ว่า หนอ จากสะดือลงไปปลายเท้า
นับเป็น ๑ ครั้ง ครั้งที่สองกำ�หนดคำ�ว่า ยืน จากปลายเท้าขึ้นมาหยุด
ที่สะดือ คำ�ว่า หนอ จากสะดือขึ้นไปกลางกระหม่อม กำ�หนดกลับไป
กลับมาจนครบ ๕ ครั้ง ขณะนั้นสำ�รวมจิตอยู่ที่ร่างกาย อย่าให้ออก
นอกกายพร้อมกับกำ�หนดคำ�ว่า ก้มหน้าหนอ จากนั้นจึงลืมตามองดู
ปลายเท้า กำ�หนดคำ�ว่า ลืมตาหนอ ให้สติจับอยู่่ที่เท้าเพื่อเตรียมเดิน
จงกรมต่อไป

๑. เตรียมยืน ๒. ด้านหน้า ๓. ด้านหลัง

ท่ายืน หมายเลข ๑ - ๓

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๓๙
๑๔๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

๔. ด้านหน้า ๕. ด้านหลัง

ท่ายืน หมายเลข ๔ - ๕

การเดิน
กำ�หนดว่า ขวาย่างหนอ ในใจ โดยคำ�ว่าขวา ให้ยกส้น
เท้าขวาขึ้นประมาณ ๒ นิ้ว เท้ากับใจต้องนึกพร้อมกัน คำ�ว่าย่าง ให้
ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เท้ายังไม่เหยียบพื้น คำ�ว่าหนอ ให้
วางเท้าลงพื้น จากนั้นสำ�รวมสติไว้ที่เท้าซ้ายตั้งสติปักลงไป กำ�หนดว่า
ซ้ายย่างหนอ สลับกันเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป ระยะก้าวในการเดินห่างกัน
ประมาณ ๑ คืบ เพื่อการทรงตัวขณะก้าวได้ดีขึ้น เมื่อเดินสุดสถานที่
แล้ว ให้นำ�เท้ามาเคียงกัน หลับตา พร้อมกำ�หนดคำ�ว่า หลับตาหนอ
จากนั้นเงยหน้าตรง กำ�หนดคำ�ว่า เงยหน้าหนอและกำ�หนดยืนหนอ
ช้าๆ อีก ๕ ครั้ง เมื่อครบแล้วให้ก้มหน้าพร้อมกำ�หนด ก้มหน้าหนอ
ตามด้วย ลืมตาหนอ เพื่อมองดูปลายเท้า
ท่าเดินระยะ ๑ (ขวาย่างหนอ) หมายเลข ๖ - ๑๑

๖ ๗ ๘
ขวา(ยกส้นเท้าขวา) ย่าง(ก้าวเท้าไปข้างหน้า) หนอ(วางเท้าลงพืน้ )

๙ ๑๐ ๑๑
ขวา(ยกส้นเท้าขวา) ย่าง(ก้าวเท้าไปข้างหน้า) หนอ(วางเท้าลงพืน้ )

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๔๑
๑๔๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ท่าเดินระยะ ๒ (ยกหนอ - เหยียบหนอ) หมายเลข ๑๒ - ๑๕

๑๒ ๑๓
ยกหนอ(ยกเท้าขึน้ ตรง ๆ ) เหยียบหนอ(เหยียบเท้าลงพืน้ )

๑๔ ๑๕
ยกหนอ(ยกเท้าขึน้ ตรง ๆ ) เหยียบหนอ(เหยียบเท้าลงพืน้ )
ท่าเดินระยะ ๓ (ยกหนอ - ย่างหนอ - เหยียบหนอ) หมายเลข ๑๖ - ๒๑

๑๖ ๑๗ ๑๘
ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
(ยกเท้าขึ้นตรง ๆ) (ก้าวเท้าไปข้างหน้าไม่แตะพื้น) (วางเท้าลงกับพื้น)

๑๙ ๒๐ ๒๑
ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
(ยกเท้าขึ้นตรง ๆ) (ก้าวเท้าไปข้างหน้าไม่แตะพื้น) (วางเท้าลงกับพื้น)

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๔๓
๑๔๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

การกลับ
กำ�หนดว่า กลับ…หนอ ๔ ครัง้ กลับหนอครัง้ ที่ ๑ ให้
ยกปลายเท้าขวา แล้วใช้สน้ เท้าขวาหมุนตัวไปทางขวา ๙๐ องศา ครัง้
ที่ ๒ เคลือ่ นเท้าซ้ายมาชิดกับเท้าขวา ครัง้ ที่ ๓ ทำ�เหมือนครัง้ ที่ ๑ ครัง้
ที่ ๔ ทำ�เหมือนครัง้ ที่ ๒ เมือ่ ครบ ๔ ครัง้ แล้ว จะอยูท่ า่ กลับหลัง ต่อ
ไปกำ�หนด หลับตาหนอ เงยหน้าหนอและกำ�หนดยืนหนอช้า ๆ อีก ๕
ครัง้ ตามด้วย ก้มหน้าหนอ และกำ�หนดเดินต่อไปจนหมดเวลาทีต่ อ้ งการ

๒๒ ๒๓ ๒๔
กลับหนอ แล้วใช้ส้นเท้าขวาหมุน กลับหนอ
(เปิดปลายเท้าขวา) ไปทางขวา (นำ�เท้าซ้ายมาชิดกับเท้าขวา)

๒๕ ๒๖
กลับหนอ กลับหนอ
(เช่นเดียวกับรูป (เช่นเดียวกับรูป ๒๔)
๒๒,๒๓)

ท่ากลับ ๙๐ องศาหมายเลข ๒๒ - ๒๖
๒๗ ๒๘ ๒๙
กลับหนอ แล้วใช้ส้นเท้าขวาหมุน กลับหนอ
(เปิดปลายเท้าขวา) ไปทางขวา (นำ�เท้าซ้ายมาชิดกับเท้าขวา)

๓๐ ๓๑
กลับหนอ กลับหนอ
(เช่นเดียวกับรูป (เช่นเดียวกับรูป ๒๙)
๒๗,๒๘)

ท่ากลับ ๙๐ องศาหมายเลข ๒๗ - ๓๑

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๔๕
๑๔๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

การนั่ง
ให้ทำ�ต่อไปจากการเดินจงกรม อย่าให้ขาดตอน เมื่อ
เดินจงกรมถึงที่จะนั่ง ให้กำ�หนด “ยืนหนอ”อีก ๕ ครั้ง แล้วกำ�หนด
ปล่อยมือลงข้างตัวว่า “ปล่อยมือหนอ” เริม่ จากปล่อยมือขวาก่อน และ
ตามด้วยมือซ้าย ช้า ๆ จนกว่าจะลงสุด จากนัน้ ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
กำ�หนดคำ�ว่า ขวาย่างหนอเพื่อเตรียมนั่ง เวลานั่ง ค่อย ๆ ย่อตัวลง
พร้อมกำ�หนดตามอารมณ์ทที่ �ำ ไปจริง ๆ เช่น ย่อตัวหนอ ท้าวพืน้ หนอ
คุกเข่าหนอ นั่งหนอ เป็นต้น
ท่าเตรียมนั่ง หมายเลข ๓๒ - ๓๔

๓๒ ๓๓ ๓๔
ปล่อยมือลง ก้าวเท้าขวามาข้างหน้า ย่อตัวลง

วิธีนั่ง
ให้นั่งขัดสมาธิ คือ ขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรงหลับตา
เอาสติจบั อยูท่ ที่ อ้ ง พอง ยุบ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำ�หนดว่า “พอง
หนอ” หายใจออกท้องยุบ กำ�หนดว่า “ยุบหนอ” ใจนึกกับท้องที่พอง
ยุบต้องให้ทันกัน ให้สติจับอยู่ที่การพอง ยุบ ของท้องเท่านั้น อย่าดู
ลมที่จมูก อย่าตะเบ็งท้อง ให้รู้สึกตามความจริงว่า ท้องพองไปข้าง
หน้า ท้องยุบมาข้างหลัง กำ�หนดเช่นนี้ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่กำ�หนด
ท่านั่ง หมายเลข ๓๕ - ๔๒

๓๕ ๓๖
ท่านั่งชั้นเดียว ท่านั่งสองชั้น

๓๗ ๓๘ ๓๙
ท่าเตรียมนั่งเพชร ยกเท้าซ้ายพาดเหนือเข่าขวา ท่านั่งเพชร

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๔๗
๑๔๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

๔๐ ๔๑ ๔๒
ท่าเตรียมนั่งเพชร ยกเท้าซ้ายพาดเหนือเข่าขวา ท่านั่งเพชร
การนอน
เวลานอน ค่อย ๆ เอนตัวนอน พร้อมกับกำ�หนดตาม
ไปว่า “นอนหนอ” จนกว่าจะนอนเรียบร้อย ขณะนั้น ให้เอาสติจับอยู่
ที่อาการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อนอนเรียบร้อยแล้ว ให้ตั้งสติจับที่
ท้อง หายใจเข้าออกยาวๆ สบาย ๆ อย่าให้ไปเพ่งที่ท้องมาก ให้ตั้งสติ
ไว้ หายใจเรื่อยไปว่า “พองหนอ ยุบหนอ” จนกว่าจะหลับ เมื่อตื่น
ก่อนลืมตาให้กำ�หนดว่า “ตื่นหนอ” กำ�หนดที่ท้องว่า “พองหนอ ยุบ
หนอ” ครู่หนึ่ง แล้วกำ�หนดลืมตา และลุกขึ้นนั่งต่อไป

ท่านอน หมายเลข ๔๓ - ๔๔

๔๓. ท่านอน
๔๔. ท่านอน

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คือการรูส้ ภาพของกายในขณะนัน้ ว่ากำ�ลังทำ�อะไรอยู่ ไม่
ว่ากายจะยืน กายจะเดิน กายจะนัง่ กายจะนอน จะพักผ่อนอันใดมีสติ
ควบคุม จิตต้องกำ�หนด กำ�หนดกายยืน กำ�หนดกายนั่ง กำ�หนดกาย
นอน กำ�หนดกายที่จะเอนลงไป ต้องกำ�หนดทุกอิริยาบถ จะก้าวเยื้อง
ซ้ายและขวาไปที่ไหน กำ�หนดสติไว้ให้เป็นปัจจุบัน
กำ�หนด แปลว่า ความรูข้ องชีวติ อันมีสติควบคุม เช่น ก่อน
จะเดินให้สำ�รวมจิตที่เท้าขวา ตั้งสติปักลงไป แล้วกำ�หนดในใจคำ�ว่า
“ขวา” ให้ยกส้นเท้าขวาขึน้ สติระลึกรูพ้ ร้อมกับส้นเท้าขวาทีย่ กขึน้ จาก
นั้นกำ�หนดคำ�ว่า “ย่าง” โดยก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า สติระลึกรู้พร้อม
กับเท้าขวาทีเ่ คลือ่ นไปข้างหน้า “หนอ” วางเท้าลงถึงพืน้ ปลายเท้าและ
ส้นเท้าลงพร้อมกัน สติระลึกรู้พร้อมกับเท้าที่ลงสัมผัสพื้น หรือจะหยิบ
สิ่งของอะไร ก็ให้สำ�รวมจิตอยู่ที่มือข้างที่จะหยิบ ตั้งสติปักลงไปที่มือ
ข้างจะหยิบนั้น แล้วกำ�หนดในใจว่า “หยิบหนอ หยิบหนอ” สติระลึก
รู้พร้อมกับมือข้างที่กำ�ลังจะหยิบของสิ่งนั้น เป็นต้น

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๔๙
๑๕๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คือสิ่งที่บังคับไม่ได้ ต้องใช้สติคอยควบคุม ได้แก่ สุข
เวทนา มีทั้งสุขกาย สุขใจ ทุกขเวทนา คือ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ และ
อุเบกขาเวทนา คือ เฉย ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ จิตใจเลื่อนลอยไม่มีที่เกาะ
ขณะกำ�หนดรูอ้ ยูใ่ นการเดินหรือนัง่ ก็ตาม กำ�หนด “พองหนอ ยุบหนอ”
อยู่ก็ตาม เมื่อมีอาการของเวทนาดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้น ให้ทิ้งการ
กำ�หนด เดิน นั่ง และพอง ยุบ ก่อน มากำ�หนดรู้อยู่ที่อาการของ
เวทนาที่เกิดขึ้น กำ�หนดตรงเวทนานั้นจนกว่ามันจะหายไป เช่น ปวด
เมื่อย เจ็บ คัน แน่นเสียดตรงไหน ก็กำ�หนดตรงนั้น ปวดเมื่อยต้นคอ
ก็เอาจิตปักลงไปที่ต้นคอที่ปวด แล้วกำ�หนดว่า “ปวดหนอ ปวดหนอ”
คัน ก็เอาจิตปักลงไปตรงที่คัน ตั้งสติกำ�หนด “คันหนอ คันหนอ”
เป็นต้น ถ้าจิตเกิด อาการดีใจ เสียใจ โกรธ ขณะเดิน นัง่ หรือกำ�หนด
พอง ยุบ ให้เอาจิตปักลงที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ จากจมูกถึงสะดือ
ตั้งสติกำ�หนดตามสภาวะของอารมณ์ที่เป็นไปในขณะนั้นตามจริงว่า
“ดีใจหนอ” “เสียใจหนอ” หรือ “โกรธหนอ” อุเบกขา ไม่สุข ไม่ทุกข์
ใจลอยหาที่เกาะไม่ได้ ให้กำ�หนดที่ลิ้นปี่ ตั้งสติระลึกก่อน กำ�หนด
“รู้หนอ รู้หนอ” เป็นต้น
เมือ่ กำ�หนดเวทนาทีเ่ กิดจนหาย และกลับสูส่ ภาวะปกติแล้ว
ขณะนั้น หากอยู่ในอาการใด เดิน นั่ง หรือ พองหนอ ยุบหนอ อยู่
ก็ตาม ให้กลับมา กำ�หนดรู้อยู่ในอาการนั้นต่อไป
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คือจิตเป็นธรรมชาติ ต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรูอ้ ารมณ์ไว้
ได้เป็นเวลานาน เหมือนเทปบันทึกเสียง ไม่มตี วั ตนให้คลำ� เราต้องตัง้
สติพจิ ารณาเนือง ๆ ซึง่ จิตก็คอื วิญญาณขันธ์ กำ�หนดพิจารณาจิตก็เพือ่
ให้รเู้ ท่าทันว่าจิตทีก่ �ำ หนดเกิดอยูน่ นั้ เป็นจิตชนิดใด เป็นจิตโลภ จิตโกรธ
จิตหลง จิตฟุ้งซ่าน จิตที่เป็นสมาธิ หรือไม่เป็นสมาธิ
การพิจารณาเห็นจิตในจิต คือ พิจารณาจิตของตน ให้เห็น
สภาวะตามที่ปรากฏในขณะนั้น ๆ และรู้ชัดตามความเป็นจริง๑
๑. จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ
๒. จิตปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากราคะ
๓. จิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโทสะ
๔. จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากโทสะ
๕. จิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโมหะ
๖. จิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากโมหะ
๗. จิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่า จิตหดหู่
๘. จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน
๙. จิตเป็นมหัคคตะ๒ ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นมหัคคตะ
๑๐. จิตไม่เป็นมหัคคตะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นมหัคคตะ
๑๑. จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ชัดว่า จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า
๑๒. จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
๑๓. จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นสมาธิ
๑๔. จิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นสมาธิ
๑๕. จิตหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ชัดว่า จิตหลุดพ้นแล้ว
๑๖. จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่หลุดพ้น
๑. มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก์ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๑๑๔ หน้า ๑๑๑
๒. มหัคคตะ พจนานุกรม บาลี-ไทย หน้า ๓๙๐ แปลว่า ไปสูง
๑๕๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เพื่อให้ประจักษ์ชัดว่า ที่มีความรู้สึกโลภ โกรธ หลง หรือ


ศรัทธา ฟุ้งซ่าน เกียจคร้าน เป็นอาการของจิต เป็นธรรมชาติที่เป็น
นามธรรม ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มาปรุงแต่งเพื่อรับอารมณ์
เมื่อหมดเหตุปัจจัย อาการนั้น ๆ ก็ดับไปเองไม่มีอะไรเหลืออยู่
จิตเกิดทางตา ตาเห็นรูปเกิดจิตที่ตา หูได้ยินเสียงเกิดจิตที่
หู จมูกได้กลิ่นเกิดจิตที่จมูก ลิ้นสัมผัสรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เกิด
จิตที่ลิ้น กายสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่นั่งลงไปเกิดสัมผัสทางกาย
ต้องกำ�หนด มันอยู่ที่กายและจิตเป็นธรรมชาติอย่างนี้ คลำ�ไม่ได้ ไม่มี
ตัวตนแต่ประการใด มันเป็นนามที่เราต้องตั้งสติให้เป็นนามธรรม

ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คือการกำ�หนดรูธ้ รรมทัง้ หลายทัง้ ปวง ได้แก่ นิวรณ์ ขันธ์
๕ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจ ๔ รู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตที่เป็นกุศล
อกุศล หรืออัพยากฤต (กลาง ๆ) การกำ�หนดธรรม เมือ่ เกิดความรูส้ กึ
ต่างๆ อันเป็นนิวรณธรรม เช่น การยินดี หรือความพอใจในอารมณ์
ภายนอก (กามฉันทะ) หรือความโกรธ (พยาบาท) ความฟุง้ ซ่านรำ�คาญ
ใจ (อุทธัจจกุกกุจจะ) หรือการง่วงเหงาหาวนอน (ถีนมิทธะ) หรือมี
ความคิดลังเลสงสัยในการปฏิบัติ (วิจิกิจฉา) เป็นไปต่าง ๆ เช่นนี้ ก็
ให้ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่ หายใจลึก ๆ ยาว ๆ กำ�หนดรู้อาการของจิตทันทีที่
รู้ เช่น มีกามฉันทะเกิดขึ้น ก็ให้กำ�หนดว่า “ชอบหนอ” เมื่อมีความ
โกรธหรือพยาบาทเกิดขึ้น ก็ให้กำ�หนดว่า “โกรธหนอ” เมื่อง่วงเหงา
หาวนอนก็ปักจิตไว้ที่กลางหน้าผาก ตั้งสติกำ�หนด “ง่วงหนอ” เมื่อ
คิดถึงสิ่งนอกกาย คิดถึงบ้าน คิดถึงคนรู้จักก็ กำ�หนดว่า “คิดหนอ”
เมื่อมีความสงสัยเกิดขึ้น ก็กำ�หนด “สงสัยหนอ” เมื่อกำ�หนดอาการที่
เป็นนิวรณธรรมที่เกิดขึ้นจนหายแล้วให้กลับมากำ�หนดที่การเดินหรือ
พองยุบต่อไปตามเดิม ประคองสติให้ติดต่อกันดี จิตเกิดทางอายตนะ
ธาตุอินทรีย์ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
๑. เวลาตาเห็นรูป ให้ก�ำ หนดว่า เห็นหนอ ๆ ตัง้ สติเอาไว้ทต่ี า
๒. เวลาหูได้ยนิ เสียง ให้ก�ำ หนดว่า เสียงหนอ ๆ ตัง้ สติเอาไว้ทห่ี ู
๓. เวลาจมูกได้กลิน่ ให้ก�ำ หนดว่า กลิน่ หนอ ๆ ตัง้ สติเอาไว้ท่ี
จมูก
๔. เวลาลิน้ ได้รบั รส ให้ก�ำ หนดว่า รสหนอ ๆ ตัง้ สติไว้ทล่ี น้ิ
๕. เวลากายถูกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ให้ก�ำ หนดว่า ถูกหนอ ๆ ตัง้
สติไว้ทก่ี ายถูกสัมผัส
๖. เวลาจิตใจคิดถึง ความโลภ โกรธ หลง ขึน้ มา เพราะกำ�หนด
ทวารทั้งห้าข้างต้นไม่ทัน เลยเป็นอดีตไปแล้ว ให้กำ�หนดว่า “รู้หนอ”
ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่ เหตุที่ต้องกำ�หนดจิตและตั้งสติเช่นนี้ เพราะจิตของเรา
อยูใ่ ต้บงั คับความโลภ ความโกรธ ความหลง เช่น หูได้ยนิ เสียง กำ�หนด
ไม่ทัน เลยเป็นอดีตไปแล้ว ทำ�ให้เกิดชอบใจเป็นโลภะ ไม่ชอบใจเป็น
โทสะ ถ้าไม่ก�ำ หนดหรือพิจารณาตามความจริงแล้ว เป็นโมหะ ตาเห็น
รูป จมูกได้กลิน่ ลิน้ ได้รบั รส ก็เช่นเดียวกัน ข้อสำ�คัญทีส่ ดุ ของผูป้ ฏิบตั ิ
คือ การกำ�หนดให้เป็นปัจจุบัน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๕๓
๑๕๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
เรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ
๑๕๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เรียนรู้ดูกายใจ ด้วยธรรมะ ธรรมชาติ



เรียนรู้ดูกายใจ ด้วยธรรมะ ธรรมชาติ ในที่นี้ เป็นชื่อของ
โครงการปฏิบัติธรรมเพื่อผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง โดยมุ่งหวังให้ผู้ป่วย
มะเร็งได้เกิดความรูค้ วามเข้าใจตนเองทัง้ ทางด้านของร่างกายและจิตใจ
หรือที่เรียกกันว่า รู้จักตัวเอง เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถดูแลกาย
และใจ พร้อมทัง้ ให้กำ�ลังใจตัวเองเป็น พึง่ ตนเองได้ สมดังพระพุทธ
ภาษิตที่ว่า
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ
แปลว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
ก็บุคคลมีตนฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้โดยยาก
เรียนรู้ ตามความหมายของโครงการ เป็นการเข้ารับการฝึก
อบรมเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจถึงสภาพของร่างกายและจิตใจของ
ผู้เข้ารับการอบรมฝึกตนเอง
ดู ในทีน่ ี้ คือ การเฝ้า สังเกต ติดตาม ดูกาย และใจของตนเอง
ด้วยสติสัมปชัญญะ
กาย ใจ ก็คือ สภาพร่างกายและสภาพจิตใจ ของผู้เข้าร่วม
โครงการเอง
ธรรมะ ก็คอื ธรรมปฏิบตั ิ วิธกี ารทีจ่ ะช่วยให้ผเู้ ข้าร่วมโครงการ
ได้เข้าถึงสภาพของจิตใจ เกิดความสงบและเข้าใจจิตตัวเอง
ธรรมชาติ ในที่นี้ มุ่งเน้นในส่วนที่สัมพันธ์กันกับกายและใจ
คือ ส่งเสริมสุขภาพกาย สุขภาพใจ เช่น เรื่องของอาหาร สภาพ
แวดล้อม การกินอยู่หลับนอน เป็นต้น ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้
ร่างกายแข็งแรง จิตใจสงบ ไม่สง่ ผลกระทบทีไ่ ม่ดตี อ่ ร่างกายและจิตใจ
จึงรวมเป็นชื่อโครงการว่า “เรียนรู้ดูกายใจ ด้วยธรรมะ
ธรรมชาติ”

ความเป็นมา
เรื่องของโรคมะเร็ง (Cancer) นั้น ใครหลายๆคนมักมอง
ว่า เป็นโรคที่เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว ผู้นั้นจะต้องตาย ไม่สามารถ
รักษาให้หายได้ ครัง้ หนึง่ ก่อนทีอ่ าตมาจะจัดทำ�โครงการ ก็เคยมีความ
คิดเช่นนั้นเหมือนกันว่า มะเร็งเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้
ใครเป็นแล้วต้องตาย แต่หลังจากที่อาตมาได้มีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วย
ด้วยโรคมะเร็งเองแล้วนั้น โดยการไปเยี่ยมและให้ธรรมบรรยายที่จะ
ส่งผลให้ผู้ป่วยมะเร็งเกิดกำ�ลังใจขึ้นมานั้น ทำ�ให้อาตมาได้ทราบถึง
สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งจากคำ�บอกเล่าของเจ้าหน้าทีพ่ ยาบาลท่าน
หนึ่งในโรงพยาบาลศรีนครินทร์ว่า โรคมะเร็งนั้นแท้จริงแล้ว ยังไม่มี
ใครสามารถทราบเหตุในการเกิดของโรคได้แน่ชัด สาเหตุโดยส่วน
ใหญ่ทยี่ อมรับกันก็คอื อันดับแรกในร่างกายของคนเรานัน้ จะมีหน่วย
ทางพันธุกรรมในโครโมโซม (Gene) ที่เรียกว่า “ออนโคยีน”
(Oncogene) เป็นยีนหรือเชื้อมะเร็งที่มีอยู่ในตัวของคนทุกคนอยู่แล้ว
แต่ยังไม่สามารถที่จะก่อให้เกิดเป็นโรคมะเร็งได้ การจะก่อเกิดเป็นโรค
มะเร็งได้นั้น ต้องมีสารก่อมะเร็งเข้ามาในร่างกายร่วมอยู่ด้วย เช่น
สารนิโคตินในบุหรี่ สารเคมีในอาชีพการงาน รังสี สารตะกั่ว สาร
เคมีตา่ ง ๆ ทีอ่ ยูใ่ นอาหาร ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ในอากาศ เป็นต้น

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๕๗
๑๕๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เมื่อมีองค์ประกอบที่จะทำ�ให้เกิดโรคมะเร็งถึง ๒ องค์ประกอบแล้ว
ก็จะยังไม่เป็นโรคมะเร็ง จนกว่าองค์ประกอบสุดท้ายจะเกิดขึ้น นั่นคือ
การที่เซลล์ภูมิต้านทานต่าง ๆ ในร่างกายอ่อนแอลง เช่น ทีเซลล์
(T-cell) ซึ่งมีหน้าที่ทำ�ลายสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย เมื่อไหร่ที่
องค์ประกอบทั้ง ๓ อย่าง คือ ออนโคยีน สารก่อมะเร็ง และเซลล์
ภูมิต้านทานอ่อนแอลง ครบพร้อมทั้ง ๓ อย่าง เกิดขึ้นในบุคคลใด
แล้ว บุคคลผูน้ นั้ ก็สามารถเป็นมะเร็งได้ทนั ที มะเร็งใช้เวลาก่อตัวโดย
ประมาณคือ ๑๐ ปี ก็จะทำ�ให้เป็นโรคมะเร็งขึ้นมาได้ทันที ซึ่งอาจ
จะเกิดในตำ�แหน่งไหนหรืออวัยวะส่วนใดในร่างกายก็ได้ เช่น มะเร็ง
ที่ลิ้น มะเร็งที่เต้านม มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง
มะเร็งโพรงจมูก มะเร็งลำ�ไส้ใหญ่ เป็นต้น แต่ถ้าเราสามารถรักษา
เซลล์ ภู มิ ต้ า นทานในตั ว เราให้ มี ค วามแข็ ง แรงไม่ อ่ อ นแอได้ อ ย่ า ง
สม่ำ�เสมอ โรคมะเร็งก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราได้ หลายท่าน
อาจจะสงสัยและคิดถึงพฤติกรรมของคนทีส่ บู บุหรี่ แต่ไฉนจึงยังไม่เป็น
มะเร็ง เหตุนั้นก็เพราะว่า เซลล์ภูมิต้านทานของเขายังแข็งแรงอยู่ ต่อ
เมือ่ ไหร่ทเี่ ซลล์ภมู ติ า้ นทานของเขาอ่อนแอลง โรคมะเร็งก็สามารถทีจ่ ะ
เกิดกับบุคคลผู้นั้นได้ทันที ความเครียดเป็นสาเหตุหลักที่สำ�คัญใน
ระดับต้น ๆ ที่ทำ�ให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เป็นเหตุให้มะเร็ง
แพร่กระจายได้เร็วขึน้ ติดเชือ้ ไวรัสได้เร็วขึน้ เนือ่ งจากร่างกายและจิตใจ
ของคนเรา มีความสัมพันธ์กนั ในเวลาทีใ่ จของเรามีความเครียด ความ
โกรธ หรืออารมณ์ในทางลบ ก็จะมีผลต่อร่างกายของเรา จิตใจของ
เราจึงมีอิทธิพลมากต่อการเกิดโรคทางกาย
จากการที่อาตมาได้ไปเยี่ยมและให้ธรรมบรรยายเพื่อเป็น
กำ�ลังใจแก่ผปู้ ว่ ยโรคมะเร็งทีโ่ รงพยาบาลศรีนครินทร์ พร้อมทัง้ ได้รบั
ทราบเหตุปัจจัยทั้ง ๓ อย่างดังที่ได้สาธยายไปแล้วนั้น อาตมาจึงนำ�
ข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลเพื่อหาความน่าจะเป็น หากจะนำ�ผู้ที่กำ�ลัง
ป่วยด้วยโรคมะเร็งมาส่งเสริมสุขภาพกายและใจ เพื่อบรรเทาอาการ
ของโรค ด้วยการใช้แนวทางของการปฏิบัติธรรม คือ สมาธิและ
วิปสั สนามาช่วยในการส่งเสริมสุขภาพจิตใจของผูป้ ว่ ย เพือ่ ให้เกิดความ
สงบ ปล่อยวาง ลดภาวะความวิตกกังวลในหลาย ๆ เรือ่ ง โดยเฉพาะ
ความวิ ต กกั ง วลในเรื่ อ งของโรคที่ กำ � ลั ง เป็ น อยู่ ที่ จ ะส่ ง ผลให้ เ กิ ด
ความเครียด ช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย และแนวทางของแพทย์
ทางเลือก (Alternative Medicine) โดยการเน้นในเรื่องของอาหาร
อากาศ การใช้ชีวิตในเรื่องของการกินอยู่หลับนอน การนำ�สิ่งที่มีอยู่
ตามธรรมชาติ มาช่วยส่งเสริมสุขภาพกายเพื่อที่จะให้ร่างกายแข็งแรง
ส่งผลให้เซลล์ภูมิต้านทานมีประสิทธิภาพ สามารถต่อต้าน ไล่ขับสิ่ง
แปลกปลอมออกไปจากร่างกายได้
หลังจากที่อาตมาได้วิเคราะห์ข้อมูลจากทั้ง ๓ ส่วน คือ
ข้อมูลทางโรคมะเร็ง ข้อมูลทางการปฏิบัติธรรม และข้อมูลทางแพทย์
ทางเลือกแล้ว จึงเห็นความน่าจะเป็นที่หากจะนำ�วิธีการทั้ง ๒ อย่าง
คือ วิธีการทางการปฏิบัติธรรมและวิธีการทางแพทย์ทางเลือกมา
ประยุกต์ให้เข้ากัน เพือ่ ส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพกายของผูป้ ว่ ยด้วย
โรคมะเร็ง ก็น่าที่จะทำ�ให้โรคที่กำ�ลังเป็นอยู่นั้นทุเลาเบาบางลงไปได้
ดังนั้น โครงการเรียนรู้ดูกายใจ ด้วยธรรมะ ธรรมชาติ จึงเกิดขึ้น
มาเพือ่ ช่วยส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจ ทัง้ ปลูกฝังถึงวิธกี ารเป็น
อยูท่ ถี่ กู ต้องทีไ่ ม่สง่ ผลกระทบ หรือส่งเสริมให้โรคมะเร็งทวีความรุนแรง
ขึ้นในผู้ที่กำ�ลังป่วยอยู่ และไม่กลับมาเป็นอีกในผู้ป่วยที่หายจากโรค
มะเร็งแล้ว โดยความเชื่อส่วนตัวของอาตมาจากประสบการณ์เท่าที่มี

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๕๙
๑๖๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เกี่ยวกับเรื่องของโรคมะเร็ง การทำ�สมาธิวิปัสสนาและแนวทางของ
แพทย์ทางเลือกนัน้ อาตมาเชือ่ ว่ามะเร็งเป็นโรคทีส่ ามารถรักษาให้หาย
ได้ ไม่ว่าผู้ป่วยจะอยู่ในระยะที่ ๔ ของการเป็นโรคมะเร็งแล้วก็ตาม
แต่ตอ้ งรูจ้ กั รักษาให้ถกู วิธี พร้อมทัง้ เปลีย่ นวิถกี ารดำ�เนินชีวติ แบบเก่า ๆ
ที่เป็นผลให้เกิดโรคมะเร็งได้ เช่น อาหารการกิน การหลับนอน การ
ทำ�งาน เป็นต้น แล้วผู้นั้นก็จะมีความสุข ไร้ซึ่งโรคมะเร็งและไม่ต้อง
กังวลกับการกลับมาของมะเร็งอีก หลังจากมะเร็งรักษาหายแล้ว

ครัวสุขภาพกับแพทย์ทางเลือก
ก่อนทีจ่ ะเริม่ โครงการเรียนรูด้ กู ายใจ ด้วยธรรมะ ธรรมชาติ
นั้น ได้มีการเก็บข้อมูลและเตรียมงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำ�
โครงการอยู่ประมาณเกือบ ๑ ปีเต็ม หนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องของครัว
สุขภาพที่มีความสำ�คัญมากเป็นอันดับต้น ๆ ของการจัดทำ�โครงการ
เลยทีเดียว ดังนั้น จึงได้มีการจัดส่งคนเพื่อไปเรียนรู้วิธีการทำ�อาหาร
ในแนวทางของแพทย์ทางเลือกกับผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ของแพทย์ทาง
เลื อ กนั้ น ก็ คื อ ดร.รสสุ ค นธ์ พุ่ ม พั น ธุ์ ว งศ์ สำ � เร็ จ ปริ ญ ญาเอก
Doctor of Science ด้านแพทย์ทางเลือกจากคาลูโลวิลล่า ฮอสปิตอล
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดที่ประเทศศรีลังกา ในกาลครั้งนี้ อาตมาได้
ส่งคนไปเรียนการทำ�อาหารที่ถูกสุขลักษณะ เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรค
ต่ า ง ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ ง และเป็ น อาหารสุ ข ภาพ กั บ
ดร.รสสุคนธ์ ที่บ้านสุขภาพ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง จำ�นวน ๔ ท่าน
คือ คุณฐิติวัชร์ ปวีร์เดชาวัชร์ คุณรดากร พิพัฒน์ไชยศิริ คุณพิมไพร
ยิ้มศิริ และ คุณเลิศเกียรติ ชาตะเมธีกุล เป็นระยะเวลา ๑ เดือน
เต็ม ตลอดระยะเวลา ๑ เดือน ในการเรียนรู้วิธีการทำ�อาหารใน
แนวทางสุขภาพและเทคนิคต่าง ๆ ทีใ่ ช้ในการประกอบอาหารของบ้าน
สุขภาพ โดยการสอนของ ดร.รสสุคนธ์ นั้นก็ทำ�ให้ทั้ง ๔ ท่านได้เรียน
รู้ประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย ที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เพื่อให้
สุขภาพดีโดยเฉพาะในเรือ่ งของการประกอบอาหาร ตัง้ แต่การวางผ้า
ขี้ริ้ว ความสะอาดในห้องครัว สมาธิที่ต้องมีในขณะประกอบอาหาร
ประเภทของอาหารที่มีผลกระทบและไม่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยที่ผู้ป่วย
สามารถทานได้ และการกำ�จัดสารพิษต่าง ๆ ในอาหารด้วยวิธกี ารทาง
ธรรมชาติ เป็นต้น
อาหาร เป็นสิง่ สำ�คัญเพราะส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง
ถ้าร่างกายได้รับสารอาหารที่ดี ปราศจากสารพิษตกค้าง และเป็น
อาหารทีช่ ว่ ยเสริมสร้างภูมติ า้ นทานแล้ว ร่างกายก็จะสามารถขจัดสิง่
แปลกปลอมหรือเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มีอยู่ในร่างกายให้ออกไปได้ ทั้งยัง
ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำ�ให้เกิดความสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นมา ดัง
นัน้ อาหารจึงเป็นสิง่ สำ�คัญทีไ่ ม่สามารถมองข้ามได้ หากเรายังต้องการ
มีสุขภาพที่ดี และปราศจากโรค

๓๒ วันกับการเฝ้าเรียนรู้ดูกายใจ
ระยะเวลาในการดำ�เนินโครงการทัง้ หมด ๓๒ วัน เริม่ ตัง้ แต่
วันที่ ๑๕ มกราคม ถึง ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ โดยมีผู้เข้าร่วม
โครงการทั้งหมด ๑๘ คน แต่ผู้เข้าร่วมโครงการที่อยู่ได้ตลอดคือ
ตั้งแต่วันแรกของโครงการจนวันสุดท้ายสิ้นสุดโครงการนั้นมี ๑๒ คน
โรคมะเร็งที่ผู้เข้าร่วมโครงการเป็นอยู่นั้นมี มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ
มะเร็งสมอง มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งปอด มะเร็งในรังไข่ โดยส่วน
ใหญ่จะเป็นมะเร็งเต้านมกันมาก ในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๖๑
๑๖๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เป็นวันแรกของผูเ้ ข้าโครงการทีจ่ ะต้องมารายงานตัวลงทะเบียนเพือ่ เข้า


รับการอบรม ส่วนในวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๑ นั้นได้ทำ�การตรวจ
ร่างกาย เก็บตัวอย่างเลือด โดยทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาล
ศรี น คริ น ทร์ พร้ อ มกั บ ให้ ผู้ เ ข้ า โครงการได้ ก รอกข้ อ ความใน
แบบสอบถาม เกีย่ วกับดัชนีชวี้ ดั สุขภาพจิตคนไทยฉบับสมบูรณ์และแบบ
วัดคุณภาพชีวติ ผูป้ ว่ ยมะเร็งทีท่ างโครงการจัดเตรียมไว้ ซึง่ การตรวจ
ร่างกาย เก็บตัวอย่างเลือดและการกรอกแบบสอบถามดัชนีชวี้ ดั สุขภาพ
จิตคนไทยและแบบวัดคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งนั้น ได้ทำ�อีกครั้งหนึ่ง
ก่อนสิ้นสุดโครงการอบรมเช่นกัน
ตลอดระยะเวลา ๓๒ วัน ในระหว่างโครงการ มีทีมแพทย์
จากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ที่ได้เสียสละเวลามาเยี่ยม และตรวจ
อาการของผู้เข้าโครงการว่ามีความเป็นไปอย่างไร พร้อมทั้งให้กำ�ลัง
ใจกับผู้เข้าโครงการเป็นอย่างดี อีกทั้งมีคุณหมอปิ่นนภัส ที่เสียสละ
เวลาและเดินทางมาจากกรุงเทพฯ เพื่อมาช่วยงานในโครงการ โดย
การเข้าร่วมปฏิบตั ธิ รรมทัง้ ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายเพือ่ ให้ความรู้ และ
กำ�ลังใจ พร้อมทั้งตรวจร่างกายให้กับผู้เข้าร่วมโครงการด้วย
โครงการดังกล่าวเป็นการนำ�วิธกี ารปฏิบตั ธิ รรมและวิธกี าร
แพทย์ทางเลือกทั้ง ๒ อย่างมาประยุกต์ เพื่อใช้ในการส่งเสริมสุขภาพ
จิต และสุขภาพกายของผู้เข้าโครงการ ในด้านการปฏิบัติธรรมจะมุ่ง
เน้นไปที่การทำ�สมาธิและวิปัสสนา เพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย ส่ง
เสริมสุขภาพจิตใจ ให้เกิดกำ�ลังใจที่ดี ลดภาวะความเครียด ในส่วน
ของแพทย์ทางเลือก จะเน้นในเรือ่ งของอาหารทีถ่ กู สุขลักษณะ และช่วย
ส่งเสริมภูมิต้านทานให้แข็งแรง ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้เป็นโรคมะเร็ง
เป็นตัวช่วยสนับสนุนทางกาย
การทำ�สมาธิวปิ สั สนา พร้อมทัง้ เรือ่ งของอาหาร มีความ
สำ�คัญด้วยกันทัง้ สองอย่าง ในการทีจ่ ะช่วยให้สขุ ภาพของผูเ้ ข้าโครงการ
ดีขน้ึ แต่ในความทีท่ างด้านของจิตใจมีความสำ�คัญมากกว่า เหมือนดัง
ประโยคทีว่ า่ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ยกตัวอย่างในกรณีของผูป้ ว่ ย
ด้วยโรคมะเร็ง หากมีความเครียดเกิดขึน้ มา ก็จะส่งผลกระทบต่อโรค
มะเร็ง คือ ทำ�ให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายออกไปได้มากขึน้ มีเซลล์มะเร็ง
เพิม่ ขึน้ อย่างรวดเร็ว อีกทัง้ อาหารทีด่ ม่ื และรับประทานเข้าไป ต่อให้มี
ประโยชน์สกั เพียงใด ก็อาจจะกลายเป็นโทษต่อร่างกาย ไม่สามารถนำ�
ไปใช้ประโยชน์ได้ ความเครียดยังส่งผลทำ�ให้อวัยวะต่าง ๆ ภายใน
ร่างกายทำ�งานผิดปกติอีกด้วย แต่หากเราสามารถวางใจได้ ไม่วิตก
กังวลกับโรคมะเร็ง ไม่มีความคิดในแง่ลบ ความเครียดที่มีผลกระทบ
ต่อโรคก็จะไม่เกิดขึ้น และยิ่งถ้าสามารถทำ�ใจให้สงบ เกิดปีติ ความ
อิ่มใจ มีอารมณ์ความรู้สึกเป็นสุข เกิดเมตตา ภูมิต้านทานก็จะดีขึ้น
ด้วยเหตุนี้ในโครงการ อาตมาจึงให้ความสำ�คัญกับการปฏิบัติธรรม
โดยมุง่ เน้นไปทีจ่ ติ ใจ มากกว่าทีจ่ ะให้ความสำ�คัญกับอาหาร ซึง่ มุง่ เน้น
ไปในทางกาย

เพือ่ ให้เกิดความรูค้ วามเข้าใจทีม่ ากขึน้ เกีย่ วกับโรคมะเร็งที่
ผูเ้ ข้าโครงการกำ�ลังเป็นอยู่ รวมถึงเรือ่ งของแพทย์ทางเลือกทีเ่ ป็นของใหม่
สำ�หรับใครหลาย ๆ คน และเทคนิคต่าง ๆ ทีจ่ ะนำ�มาช่วยในการบรรเทา
อาการเจ็บปวดทีเ่ กิดจากโรคมะเร็ง ทางโครงการจึงได้จดั ให้มวี ทิ ยากรมา
บรรยาย ซึง่ วิทยากรทีม่ าร่วมบรรยายเพือ่ ให้ความรูก้ บั ผูเ้ ข้าโครงการมี
อยูด่ ว้ ยกัน ๓ ท่านคือ ผศ.พญ. เอือ้ มแข สุขประเสริฐ พญ.ปิน่ นภัส
ในส่วนของแพทย์ทางเลือก ได้แก่ ดร.รสสุคนธ์ พุม่ พันธุว์ งศ์ มาช่วย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๖๓
๑๖๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

บรรยายเพือ่ ทำ�ความเข้าใจในเรือ่ งของแพทย์ทางเลือก พร้อมทัง้ ให้ค�ำ


แนะนำ�ถึงวิธีการต่าง ๆ ที่จะนำ�ไปปรับประยุกต์ใช้เพื่อบรรเทาอาการ
ปวดที่เกิดจากโรคมะเร็งให้ผู้ที่เข้าร่วมในโครงการได้นำ�ไปใช้
ด้วยการคำ�นึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของผู้เข้าร่วม
โครงการเป็นสำ�คัญ จึงได้มีการประสานงาน เพื่อขอความร่วมมือ
จากทีมแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลศรีนคริทร์ ในการเข้าตรวจ
เยี่ยมผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงการร่วมสังเกตการณ์การดำ�เนินงาน
ในฝ่ายต่างๆ ของโครงการอยูเ่ ป็นระยะ ตลอด ๓๒ วัน ส่วนฝ่ายครัว
นั้นก็ต้องสะอาด ปราศจากเชื้อโรค โดยการควบคุมดูแลของบุคลากร
ฝ่ายครัวทั้ง ๔ ท่าน ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี ตลอดระยะเวลา ๑
เดือนที่บ้านสุขภาพกับ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ (แพทย์ทางเลือก)
ซึ่งนอกจากจะให้ความอนุเคราะห์ในการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำ�ครัว
สุขภาพแล้ว ดร.รสสุคนธ์ ยังสละเวลามาเยี่ยมในโครงการ และเข้า
ตรวจเยี่ยมครัวสุขภาพของโครงการ ณ สำ �นักปฏิบัติธรรมสวน
เวฬุวนั ด้วยตัวของ ดร. เองด้วย ในกรณีของผูท้ เี่ ข้ามาช่วยงานฝ่ายครัว
คือ เป็นผู้ช่วยพ่อครัวแม่ครัวของโครงการ นอกเหนือจากบุคลากร
ฝ่ายครัวทั้ง ๔ ท่านที่ได้กล่าวอ้างมาแล้ว ก็จะต้องได้รับคำ�แนะนำ�ถึง
ข้อควรรู้ในสิ่งที่จะต้องประพฤติและปฏิบัติ สำ�หรับการเป็นผู้ช่วยครัว
สุขภาพจากตัวแทนทั้ง ๔ ท่านด้วย
การประกอบอาหารของครัวสุขภาพในโครงการนั้น จะ
ปราศจากเนือ้ สัตว์และอาหารต้องห้าม รวมถึงทุกสิง่ ทุกอย่างทีเ่ ล็งเห็น
แล้วว่า อาจจะส่งผลกระทบให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งในทางที่จะทำ�ให้
อาการป่วยแย่ลงได้หากรับประทานเข้าไป โดยยึดหลักการตามแนวทาง
ของแพทย์ทางเลือกเป็นส่วนสำ�คัญ อีกทั้งวัตถุดิบที่จะนำ�มาประกอบ
อาหารก็จะต้องปราศจากสารเคมี หรือสารพิษตกค้าง โดยการเสาะหา
แหล่งจำ�หน่ายวัตถุดบิ ทีไ่ ด้มาตรฐาน เช่น ผักปลอดสารพิษ จากเครือข่าย
ของสำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และก่อน
ที่จะสิ้นสุดโครงการเพื่อให้ผู้เข้าโครงการสามารถดูแลตัวเองได้อย่าง
ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องของอาหาร การรับประทานภายหลังจากจบ
โครงการออกไปแล้ว ก็ได้จดั ให้มกี ารเข้าชมงานในฝ่ายครัวสุขภาพเพือ่
เรียนรู้วิธีการประกอบอาหารสุขภาพจากบุคลากรฝ่ายครัวทั้ง ๔ ท่าน
อาทิเช่น วิธีการล้างทำ�ความสะอาดวัตถุดิบที่จะนำ�มาประกอบเป็น
อาหาร ได้แก่ ผักและผลไม้ เป็นต้น ด้วยการใช้น้ำ�เอนไซม์สำ�หรับ
ล้ า งเพื่ อ ชะล้ า งสารพิ ษ ตกค้ า งก่ อ นที่ จ ะนำ � มาปรุ ง เป็ น อาหารจาก
“คุณเลิศเกียรติ” วิธกี ารทำ�สลัดผักวาซาบิเพือ่ สุขภาพจาก “คุณพิมไพร”
วิธีการทำ�น้ำ�ผักปั่น น้ำ�นมธัญพืช จาก “คุณฐิติวัชร์” และวิธีการ
ประกอบอาหารจำ�พวกผักต่าง ๆ ให้แปลกใหม่ รสชาติดี ส่งเสริม
สุขภาพจาก “คุณรดากร” (ประธานชมรมชีวจิต จ. ขอนแก่น) จาก
การเฝ้าสังเกตการณ์ของพระวิทยากรผู้รับผิดชอบโครงการ ทำ�ให้เห็น
ถึงความเอาใจใส่และความตั้งใจในการที่จะเรียนรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ของผู้
เข้าร่วมโครงการ ที่มีต่อการแนะนำ�ให้ความรู้ของตัวแทนฝ่ายครัว
สุขภาพทั้ง ๔ ท่านเป็นอย่างดี หลังจากที่ได้รับการเรียนรู้ถึงวิธีการ
ต่าง ๆ ในส่วนของครัวสุขภาพจนเสร็จสิน้ ผูเ้ ข้าร่วมโครงการต่างพูด
เป็นเสียงเดียวกันว่า ยังอยากเรียนรู้ในครัวสุขภาพของโครงการต่อ
พร้อมทั้งอยากลองทำ�อาหารสุขภาพให้มากขึ้นอีก ด้วยใบหน้าและ
ท่าทางทีย่ มิ้ แย้มแจ่มใสอย่างมีความสุข จนหลาย ๆ ท่านทีม่ าช่วยงาน
ในโครงการ กระทั่งผู้ที่มาพบเห็น ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
ดูราวกับว่าผูเ้ ข้าร่วมโครงการนัน้ ไม่ใช่ผปู้ ว่ ยทีก่ ำ�ลังเป็นโรคมะเร็งเลย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๖๕
๑๖๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ในส่วนของการอบรมที่จะต้องให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ
ปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนา ตลอดถึงการดูแลผู้เข้าร่วมในโครงการทุก
ช่วงเวลาที่มีการปฏิบัติธรรม จะมีพระวิทยากรคอยดูแลเพื่อให้ผู้เข้า
ร่วมโครงการสามารถปฏิบตั ธิ รรมได้อย่างถูกต้อง และหากมีขอ้ สงสัย
ใด ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ก็สามารถสอบถามจากพระวิทยากร
ทีท่ า่ นรับผิดชอบดูแลอยูไ่ ด้ทนั ทีตลอดการอบรมทีอ่ ยูใ่ นโครงการ และ
เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการเกิดความรู้สึกที่ดี ผ่อนคลาย ลดภาวะความ
วิตกกังวลในเรื่องต่าง ๆ ที่จะทำ�ให้เกิดความเครียด ส่งผลกระทบต่อ
โรคมะเร็งได้ ก็จะมีการพูดคุยเพือ่ ปรับอารมณ์ให้กบั ผูเ้ ข้าร่วมโครงการ
ทุกคนพร้อมกันทั้งหมดในช่วงเย็น เวลา ๑๙.๓๐ น. ของทุกวัน โดย
ประมาณ คือ ครึง่ ชัว่ โมง นอกจากนีย้ งั มีการเรียกคุยเป็นรายบุคคล
เพื่อทำ�การปรับอารมณ์ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการและเพื่อให้ทราบถึง
อารมณ์ความรู้สึก ณ ปัจจุบันนั้นว่ามีสภาพเป็นอย่างไร เป็นความ
รู้สึกในแง่บวกหรือลบ จิตใจมีความผ่อนคลาย แจ่มใส เบิกบานหรือ
ไม่ หากอารมณ์อยู่ในแง่ลบ ก็จะทำ�การพูดคุยด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อ
ให้เกิดความผ่อนคลายสบายใจ ตัดภาวะความเครียด โดยเฉพาะ
ความเครียดสะสมทีเ่ ป็นผลให้โรคมะเร็งกระจายได้ไว หากอยูใ่ นแง่บวก
ก็จะดูว่าเป็นอารมณ์ในแง่บวกที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากน้อย
อย่างไรถึงสภาพของจิตใจ เพื่อดูความก้าวหน้าทางจิตใจถึงกำ�ลังใจ
ที่เข้มแข็ง มีผลให้ภูมิต้านทานดีขึ้น และสามารถปฏิบัติธรรมเพื่อให้
จิตใจสงบ เกิดความผ่อนคลาย เกิดปีติ เป็นสุข มีความรู้สึกเป็น
เมตตา ส่งผลให้เซลล์ภูมิต้านทานในตัวดีขึ้น และเมื่อพบว่าผู้ใดมี
อารมณ์ในแง่ลบหรืออารมณ์ที่ไม่ดีค้างอยู่มาก ซึ่งจะส่งผลกระทบให้
เกิดภาวะความเครียดขึน้ มาได้ ก็จะเอาใจใส่คอยติดตามมากเป็นพิเศษ
เพื่อที่จะพยายามปรับอารมณ์ของผู้นั้นให้เป็นปกติ จนสามารถผ่อน
คลายสบายใจทำ�ให้เกิดการปฏิบัติธรรมที่ดีต่อไปได้
นอกเหนือจากวิธีการปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งสมาธิแล้ว
ยังมีการปรับประยุกต์การทำ�กรรมฐาน ด้วยการกำ�หนดสติตามการ
เคลือ่ นไหวของกาย เพือ่ เป็นการผ่อนคลายให้แก่ผปู้ ฏิบตั ธิ รรมในยาม
เช้ามืด เรียกกันว่า เป็นช่วงของ “การขยับกายสบายจิต” ให้ผู้ปฏิบัติ
ในโครงการได้ยืดเส้นยืดสาย ผ่อนคลายสบายตัว และยังได้เจริญ
สติตามกายพร้อมทัง้ ยังได้เรียนรูว้ ธิ กี ารหายใจทีถ่ กู ต้อง ฝึกการหายใจ
ที่ยาวและลึกได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
อาคารทีพ่ กั สำ�หรับผูเ้ ข้าร่วมในโครงการนัน้ ใช้อาคารทีพ่ กั
ผู้ปฏิบัติธรรมหลังใหม่ ( ศาลาพระธรรมสิงหบุราจารย์ ) ของสำ�นัก
ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ที่มีอากาศถ่ายเทดี ห้องพักกว้างขวาง มี
ห้องน้ำ�ในตัว มีพี่เลี้ยงคอยดูแลอำ�นวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับผู้
เข้าโครงการเป็นอย่างดี ตั้งแต่คอยเตรียมอาหาร เสริฟอาหาร
เสริฟน�้ำ เป็นต้น ส่วนสถานทีป่ ฏิบตั นิ นั้ ใช้ชนั้ แรกของศาลาพระธรรม
สิงหบุราจารย์ ทีม่ เี นือ้ ทีใ่ นการปฏิบตั ทิ กี่ ว้างมากสำ�หรับการอบรมของ
คนจำ�นวน ๒๒ คนในโครงการ นอกจากนีเ้ พือ่ ให้ผเู้ ข้าร่วมโครงการ
ได้สัมผัสกับธรรมชาติ จึงมีการนำ�ผู้ปฏิบัติออกไปปฏิบัติธรรมนอก
สถานที่ในยามเช้า คือ ในแหล่งธรรมชาติ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์
(ออกซิเจน) จากต้นไม้ ได้รับไออุ่นจากแดด การเดินจงกรมด้วยเท้า
เปล่ากับดิน ได้สัมผัสกับดิน เปรียบเสมือนการนวดฝ่าเท้าอย่างเป็น
ธรรมชาติจากดินไปในตัว เป็นการปรับเปลี่ยนบรรยากาศ ไม่ให้เกิด
ความจำ�เจน่าเบื่อแก่ผู้ปฏิบัติในโครงการ
และนี่คือเรื่องราวพอสังเขปตลอด ๓๒ วันกับการเฝ้าเรียน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๖๗
๑๖๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

รู้ดูกายใจที่อาตมาผู้จัดทำ�โครงการได้หยิบยกขึ้นมาเล่าให้ผู้อ่านได้
จินตนาการภาพถึงสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ในโครงการ เพือ่ ให้เกิดความรู้ ความ
เข้าใจ บอกกล่าวความเป็นไปในโครงการตลอด ๓๒ วัน ในเรื่อง
ความเหนื่อยนั้นคงไม่ต้องพูดถึง แต่สิ่งที่ประทับใจเหนือคำ�บรรยาย
ใด ๆ นั้นก็คือ สุขภาพกาย และสุขภาพใจที่ดีขึ้นตลอดโครงการของ
ผูเ้ ข้าร่วมโครงการ ความวิรยิ ะอุตสาหะของทุกผูท้ กุ นามทีเ่ สียสละเวลา
อันมีคา่ เพือ่ มาร่วมบุญในการเป็นเจ้าหน้าทีพ่ เี่ ลีย้ งช่วยในโครงการโดย
ไร้ซงึ่ สิง่ ตอบแทน เป็นการมาด้วยใจ พร้อมทัง้ ไม่เคยบอกเลยว่าเหนือ่ ย
แม้ว่าอาตมาจะถามสักเพียงใดว่าเหนื่อยไหม แต่ทุกปากทุกเสียงที่
พร้อมใจกันตอบออกมานั้นก็คือคำ�ว่า “ไม่เหนื่อยเลย รู้สึกสนุก
มากกว่า” ขอบใจ ขอบใจ จริง จริง ขอเจริญพร

ธรรมปฏิบัติในโครงการ
ผู้เข้าร่วมในโครงการจะต้องรักษาศีล ๘ พร้อมทั้งเรียนรู้
วิธีการปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นวิธีการสอนที่พระ
เดชพระคุณพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ) ท่านได้วางเอา
ไว้โดยพระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์ ท่านผูอ้ �ำ นวยการสำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวน
เวฬุวันเป็นผู้ให้ศีล ๘ และให้กรรมฐานแก่ผู้เข้าร่่วมในโครงการที่เป็น
ผู้ป่วยมะเร็งเองทั้งหมด ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับการเรียนรู้หลักการ
ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ จากพระวิทยากรผู้รับผิดชอบในโครงการ โดย
การปรับประยุกต์วธิ กี ารปฏิบตั ใิ ห้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผูป้ ว่ ย
ตามความสามารถที่แต่ละคนจะทำ�ได้มากน้อยแตกต่างกันไป
การสวดมนต์
ในโครงการจะมีการสวดมนต์อยู่ ๒ ช่วงเวลา คือ ช่วง
เช้ามืดเวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา และช่วงเย็น ๑๗.๐๐ นาฬิกา วัตถุประสงค์
ในการสวดมนต์ก็เพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย เกิดปีติ เป็นสุข มี
อารมณ์เมตตาอยู่ภายในใจ โดยสวดมนต์ในความหมายที่ทำ�ให้เกิด
การปล่อยวาง ทำ�ให้ได้คดิ พิจารณาตามบทสวด เน้นบทสวดทำ�นอง
สรภัญญะ คือ บทสวดนมัสการพระอรหันต์ ๘ ทิศ บทสวดบารมี
๓๐ ทัศน์ และมีการแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล เพื่อเป็นการอบรมจิต
ให้เกิดเมตตาขึ้นด้วย

การหลับนอนและการขับถ่าย
หลั ง จากการปรั บ อารมณ์ ใ ห้ กั บ ผู้ เ ข้ า โครงการโดยรวม
ทัง้ หมด จบลงในเวลา ๒๐.๓๐ นาฬิกา ก็จะปล่อยให้ผเู้ ข้าโครงการได้
เตรียมตัวเข้านอนก่อนเวลา ๒๑.๐๐ นาฬิกา โดยต้องฝึกให้คนุ้ เคยและ
สามารถหลับนอนให้สนิทได้ในเวลา ๒๑.๐๐ นาฬิกา ซึง่ ตรงตามเวลา
ของแพทย์ทางเลือกบ้านสุขภาพทีเ่ ชือ่ ว่าในเวลา ๓ ทุม่ นีเ้ หมาะสมทีส่ ดุ
ทีจ่ ะต้องหลับให้สนิท เพราะพลังงานของร่างกายเราจะสร้างในช่วงเวลา
นี้ เพือ่ สุขภาพทีด่ ขี องร่างกายโดยเฉพาะผูท้ ก่ี �ำ ลังป่วยอยูแ่ ละตืน่ นอน
ตอน ๐๓.๐๐ นาฬิกา เพือ่ เตรียมตัวเข้าสูก่ ารสวดมนต์ปฏิบตั ธิ รรมใน
ช่วง ๐๔.๐๐ นาฬิกาต่อไป อีกทั้งในช่วงเวลา ๐๓.๐๐ นาฬิกา
เป็นช่วงการทำ�งานของปอดแล้ว ถ้าได้ตื่นมาช่วงนี้เพื่อมาสูดอากาศ
บริ สุ ท ธิ์ ก็ จ ะเป็ น ผลดี ต่ อ สุ ข ภาพ เมื่ อ ถึ ง เวลา ๐๖.๐๐ นาฬิ ก า
เป็นเวลาสิ้นสุดการอบรมในภาคเช้า ก็จะปล่อยให้ผู้เข้าโครงการไป

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๖๙
๑๗๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ขับถ่าย เพือ่ ฝึกให้เกิดความเคยชินในการขับถ่ายช่วงเช้าให้ได้ทกุ วันก่อน


๐๗.๐๐ นาฬิกา ช่วงเวลาในการทำ�งานของระบบต่างๆ ในร่างกายนี้
เป็นทฤษฎีของชาวจีนที่มีมานาน ตามคำ�บอกกล่าวจากหนังสือแพทย์
ทางเลือกของ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์ุวงศ์

การปรับอารมณ์
อารมณ์ ในทีน่ ี้ หมายถึง ความรูส้ กึ ทางใจทีเ่ ปลีย่ นไปตาม
สิ่งที่เข้ามากระทบใจหรือเร้าให้เกิดอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้น เช่น อารมณ์ดี
อารมณ์โกรธ อารมณ์วิตกกังวล เป็นต้น

ในส่วนของโครงการ เนื่องจากผู้ที่เข้าร่วมโครงการนั้น
ล้วนแต่เป็นผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาให้หายได้
ยาก ด้วยเหตุนที้ กุ คนทีเ่ ข้าร่วมโครงการย่อมมีความรูส้ กึ วิตกกังวลต่อ
โรคที่ตัวเองกำ�ลังประสบอยู่ไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ยังมีเรื่องงาน
เรื่องครอบครัว เรื่องค่ารักษาพยาบาลที่ต้องตามมาในอนาคต การ
ยอมรับไม่ได้ถงึ ความเปลีย่ นแปลงของตัวเองในทางร่างกายทีแ่ ย่ลง ที่
ยกตัวอย่างมาเหล่านีล้ ว้ นแต่เป็นสาเหตุทจี่ ะทำ�ให้ผปู้ ว่ ยเกิดความคิดมาก
ฟุง้ ซ่าน ไม่สงบ จนเข้าสูส่ ภาวะจิตวิตกกังวล ส่งผลให้เกิดความเครียด
ตามมา เป็นผลกระทบต่อร่างกาย ทำ�ให้เซลล์ภูมิต้านทานอ่อนแอลง
เซลล์มะเร็งแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและเป็นอุปสรรคอย่างยิง่ ในการ
ปฏิบัติธรรม
ดังนั้น จึงต้องมีการปรับอารมณ์ให้กับผู้เข้าโครงการเป็น
อย่างมากในระยะเริม่ แรก เพือ่ คอยปรับสภาพอารมณ์ความรูส้ กึ ให้ปกติ
ปล่อยวางได้ เกิดความเบาสบาย คลายกังวล ลดภาวะความเครียด
สามารถทีจ่ ะปฏิบตั ธิ รรมได้ ซึง่ เป็นเหตุให้จติ ใจสงบ เกิดปีติ ความ
อิ่มเอมใจ เกิดเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ดี คือ เมตตา เพื่อช่วยให้เซลล์
ภูมติ า้ นทานแข็งแรงขึน้ ไม่ให้เซลล์มะเร็งกระจายตัวอย่างรวดเร็ว ซึง่
เป็นผลมาจากความเครียด
ในการปรับอารมณ์นนั้ ต้องคอยเฝ้าตามดูผปู้ ฏิบตั อิ ย่างใกล้
ชิดและคอยพูดคุยถึงความเป็นไปต่าง ๆ ในระหว่างโครงการ เพือ่ ทีจ่ ะ
ดูความรู้สึกของผู้เข้าโครงการในขณะนั้นว่ามีสภาพเป็นอย่างไร ควร
ที่จะต้องปรับอารณ์ให้หรือไม่ หรือมีการพัฒนาทางด้านของอารมณ์
ความรู้สึกไปในแนวทางที่ดีอย่างไร ขนาดไหน

หลักเกณฑ์ในการปรับอารมณ์
ผูป้ รับอารมณ์ตอ้ งให้ผทู้ เี่ ราจะทำ�การปรับอารมณ์เกิดความ
ไว้วางใจ ความรูส้ กึ อบอุน่ ความเป็นกันเอง รับรูไ้ ด้ถงึ ความรัก รวม
ทั้งความปรารถนาดีที่มีให้ และเปรียบเสมือนเป็นที่พึ่งได้ เพื่อที่ผู้เข้า
รับการปรับอารมณ์เกิดความกล้าทีจ่ ะระบายความรูส้ กึ ทีไ่ ม่สบายใจของ
ตนให้ฟงั เมือ่ ผูป้ รับอารมณ์รบั ฟังแล้ว ความรูส้ กึ ไม่สบายใจบางอย่าง
ของบุคคลที่มาให้เราปรับอารมณ์ให้ อาจจะแค่ต้องการระบายความ
รู้สึกเท่านั้น ก็จะเกิดความสบายใจขึ้นได้ ไม่ได้ต้องการคำ�แนะนำ�หรือ
วิธีการแก้ปัญหาใด ๆ จากเราเลย ในกรณีนี้ก็ควรแค่รับฟังหรือพูด
ในสิง่ ทีเ่ ป็นการสนับสนุน ให้ผเู้ ข้ามาปรับอารมณ์รสู้ กึ ดีมากยิง่ ขึน้ ได้
ในสิ่งที่ถูกต้องตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้น ๆ ด้วย
แต่ในกรณีที่ผู้ที่เราทำ�การปรับอารมณ์ให้ต้องการคำ�แนะนำ�จากเรา
เราต้องสามารถทีจ่ ะให้ค�ำ แนะนำ�ได้ทนั ที เพือ่ ทีจ่ ะให้ผทู้ ไี่ ด้รบั การปรับ
อารมณ์จากเราสบายใจขึ้นได้

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๗๑
๑๗๒กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เมือ่ สามารถขจัดอารมณ์ ความรูส้ กึ ทีไ่ ม่ดขี องบุคคลเหล่า


นัน้ ออกไปได้ ในระยะเริม่ ต้นเขาเหล่านัน้ ย่อมไม่สามารถทีจ่ ะให้กำ�ลัง
ใจตัวเองได้ ต้องอย่าลืมที่จะให้กำ�ลังใจแก่เขาเหล่านั้นก่อน เพื่อให้
จิตใจเกิดความเข้มแข็ง ในการที่จะยืนหยัดสู้กับปัญหาที่กำ�ลังประสบ
พบเจอ ด้วยความรู้สึกที่ดี พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่อไป

กำ�ลังใจ
กำ�ลังใจเป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนต้องการโดยเฉพาะผู้ที่
กำ�ลังตกอยู่ในภาวะที่สิ้นหวัง เช่น เป็นโรคร้ายแรงที่รักษาได้ยากหรือ
ทำ�การรักษาไม่ได้ การเป็นบุคคลล้มละลายเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ
เป็นต้น กำ�ลังใจจึงเป็นสิง่ สำ�คัญมากในหลาย ๆ เรือ่ ง จากการทีอ่ าตมา
ได้จดั ทำ�โครงการปฏิบตั ธิ รรมสำ�หรับผูท้ ปี่ ว่ ยด้วยโรคมะเร็ง และได้พบ
เจอผู้ป่วยอยู่เป็นประจำ� ทำ�ให้อาตมารู้สึกถึงกำ�ลังใจ ๒ แบบด้วยกัน
แบบแรกเป็นกำ�ลังใจทีไ่ ด้รบั จากบุคคลอืน่ เป็นกำ�ลังใจทีค่ นอืน่ สร้างให้
แบบที่สองเป็นกำ�ลังใจที่ได้รับจากตัวเอง เป็นการที่เราสร้างขึ้นมาเอง
โดยไม่ต้องรอจากใคร

แบบที่ ๑ กำ�ลังใจที่ได้รับจากบุคคลอื่น
กำ�ลังใจชนิดนีเ้ รียกได้วา่ ต้องรอ เมือ่ เฝ้ารอก็อาจจะเจอ
หรือไม่เจอ ต้องรอเก้อ แต่ถ้าได้พบเจอกำ�ลังใจที่บุคคลอื่นมอบให้แล้ว
ก็จะเป็นความสุขใจทีไ่ ด้รบั จากคำ�ปลอบขวัญต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะ
บุคคลที่อ่อนแอมาก ๆ ก็จะยิ่งต้องการกำ�ลังใจจากใครหลาย ๆ คนที่
มากและมากขึ้นไปอีก หาคำ�ว่าพอได้ยาก ยิ่งต้องการกำ�ลังใจจาก
บุคคลอื่นมากเท่าใด ยิ่งไม่สามารถให้กำ�ลังใจกับตัวเองเป็นได้มาก
เท่านั้น และกำ�ลังใจที่ได้รับจากคนอื่นโดยส่วนมากแล้วก็มักจะไม่อยู่
กับเรานาน เมื่อบุคคลที่มาเยี่ยมเราหันหลังกลับ มันก็เลือนลับกลับ
หายตามไปด้วย โดยเฉพาะกับกลุม่ คนทีค่ ดิ ไม่เป็น คำ�ให้ก�ำ ลังใจโดย
ส่วนใหญ่แล้วก็มกั หวานหู แต่แท้ทจี่ ริงแล้วคำ�หวานหูเหล่านัน้ กลับทำ�ให้
เกิดความรู้สึกดีขึ้นมามากกว่าที่จะเป็นกำ�ลังใจให้คนสู้ต่อไป เปรียบ
ดั่งลูกอมรสหวานที่ทำ�ให้รู้สึกติดในรสชาติ แต่หาสารประโยชน์ไม่ได้
ทั้งยังทำ�ให้เกิดฟันผุ เป็นโทษต่อร่างกายอีก

แบบที่ ๒ กำ�ลังใจที่ได้รับจากตัวเอง
กำ�ลังใจชนิดนีเ้ รียกได้วา่ ไม่ตอ้ งรอและได้พบเจอแน่นอน
เป็นกำ�ลังใจที่สร้างขึ้นมาเองจากการเป็นคนที่รู้จักคิด แสดงถึงความ
เข้มแข็งในจิตใจ กำ�ลังใจชนิดนี้หากใครสามารถให้กับตัวเองได้จะติด
ทนนานไปกับใจของเรา แม้ว่าจะเจออุปสรรคมากมาย ก็สามารถที่จะ
ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านั้นออกไปได้อย่างทันท่วงที เพราะเป็น
กำ�ลังใจทีไ่ ด้รบั จากตัวเอง ไม่ตอ้ งรอจากใคร เปรียบเหมือนดัง่ คนทีล่ ม้
แล้วลุกขึ้นได้ไว
อาตมาเคยพูดกับผู้เข้าร่วมในโครงการ ถึงเรื่องที่เกี่ยวกับ
การให้กำ�ลังใจไว้ว่า เปรียบกับบุคคลหนึ่งซึ่งนอนล้มป่วยอยู่ มีคน
มาเยี่ยมเขามากมาย พร้อมกับพูดจาหวาน ๆ ไพเราะหู ที่เป็นกำ�ลัง
ใจให้ โดยปราศจากข้อคิดทีท่ �ำ ให้เขาคิดเป็น จนทำ�ให้เขาเกิดความรูส้ กึ
ดีและมีกำ�ลังใจเกิดขึ้นมาในขณะนั้น แต่หลังจากบุคคลเหล่านั้นที่มา
เยี่ยมเราเขาหันหลังกลับไป กำ�ลังใจที่เราเพิ่งได้รับจากเขา ก็พากัน
หันหลังกลับตามเขาเหล่านั้นไปด้วยเช่นกัน นั่นก็เพราะความหดหู่ใจ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๗๓
๑๗๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ที่ต้องอยู่คนเดียว เปรียบดั่งลูกกวาดสีสวย มีรสหวาน ทำ�ให้ติดในรูป


ลักษณ์และรสชาติ แต่หาสารประโยชน์มิได้ ทั้งยังส่งผลให้ฟันผุอีก
ถ้ารับประทานเข้าไปมาก ๆ เป็นผลกระทบต่อร่างกายในทางที่ไม่ดี
เหมือนผู้พูดจาหวานไพเราะหู แต่หาความจริงใจได้ยาก
อีกคนผูห้ นึง่ ก็นอนล้มป่วยอยูเ่ ช่นกัน จะหันหน้าไปไหนก็ไม่
เห็นใครมาเยีย่ ม บังเอิญมีบคุ คลท่านหนึง่ เดินเข้ามาเยีย่ มเขาเพียงลำ�พัง
ผู้เดียว คำ�พูดก็ไม่ไพเราะหู แต่ฟังแล้วเกิดแง่คิดข้อคิด สามารถให้
กำ�ลังใจตัวเองเป็น เมื่อชายผู้นั้นหันหลังกลับไป กำ�ลังใจที่เกิดขึ้น
กับผู้ป่วยก็ยังคงอยู่ หาได้เดินหันหลังกลับตามชายผู้นั้นไปไม่ เพราะ
เหตุทคี่ นกำ�ลังป่วยอยูค่ ดิ เป็น จนสามารถสร้างกำ�ลังใจให้เกิดขึน้ กับตัว
เองได้ จากคำ�พูดไม่กปี่ ระโยคทีไ่ ม่ไพเราะหูของชายผูม้ าเยีย่ มผูน้ นั้ เพียง
คนเดียวนั่นเอง เปรียบดั่งบอระเพ็ดที่ขม คนไม่ชอบมัน แต่มันเป็น
ยาทีเ่ มือ่ ทานเข้าไปแล้ว ก็อาจจะช่วยรักษาให้โรคทีก่ �ำ ลังเป็นอยูน่ นั้ หาย
หรือทุเลาเบาบางลงไปได้ เสมือนคนที่พูดไม่ไพเราะแต่จริงใจ
นี่จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อาตมาได้หยิบยกขึ้นมาแสดง เพื่อ
ให้ผเู้ ข้าโครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ ทุกท่านสามารถ
ที่จะให้กำ�ลังใจตัวเองเป็น โดยไม่ต้องรอกำ�ลังใจจากใครที่ไหนอีก
เพราะกำ�ลังใจที่บอบช้ำ�นั้นรีรอไม่ได้
ตารางการส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจ
เพือ่ ให้เกิดความเหมาะสมจึงได้จดั ทำ�ตารางการส่งเสริมสุข
ภาพกายและสุขภาพใจออกเป็น ๒ แบบ แบบแรกเป็นการจัดทำ�ขึน้ เพือ่
ใช้ในโครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ ส่วนแบบที่ ๒ นัน้
ได้จัดทำ�ขึ้นมา เพื่อให้เป็นแนวทางแก่ผู้ที่สนใจในเรื่องของการดูแล
สุขภาพทั้งทางด้านของร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะผู้ที่กำ�ลังป่วยอยู่
ไม่เฉพาะแต่โรคมะเร็งเท่านั้น โรคอื่น ๆ ที่กำ�ลังป่วยอยู่ก็สามารถที่จะ
นำ�ไปประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสม เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาพกายและ
ใจของผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้ เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างช่วงเวลาการ
หมุนเวียนของพลังงานในร่างกาย จากตำ�ราการดูแลสุขภาพเก่าแก่ของ
ชาวจีนที่มีมานาน ซึ่งได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือแพทย์ทางเลือกของ
ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์ุวงศ์ และจากหลักการปฏิบัติธรรมที่พระเดช
พระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (พระธรรมสิงหบุราจารย์) ท่านได้วาง
เอาไว้ อาตมาจึงได้เล็งเห็นคุณประโยชน์และความน่าจะเป็นของ
หลักการทั้ง ๒ อย่างที่ได้กล่าวอ้างมาแล้วว่า เมื่อนำ�มาผสมผสานกัน
เข้า ก็จะเป็นวิธกี ารในการปฏิบตั ทิ นี่ า่ จะสามารถส่งเสริมและสนับสนุน
ให้สขุ ภาพร่างกายและจิตใจของผูท้ กี่ ำ�ลังป่วยอยู่ มีสขุ ภาพร่างกายและ
จิตใจที่ดีขึ้นได้ ส่งผลให้โรคที่กำ�ลังป่วยอยู่ทุเลาเบาบางลงไป และใน
กรณีของผู้ที่ไม่ได้ป่วย อีกทั้งมีสุขภาพที่แข็งแรงดีอยู่แล้ว ก็จะยิ่งทำ�ให้
สุขภาพของทั้งกายและใจที่แข็งแรงดีอยู่แล้วนั้นมีสภาพที่ดีเพิ่มมากขึ้น
ไปอีก

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๗๕
ตารางส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจ แบบที่ ๑ นี้
เป็ น การจั ด ทำ � ขึ้ น เพื่ อ ใช้ ใ นโครงการเรี ย นรู้ ดู ก ายใจด้ ว ยธรรมะ
ธรรมชาติ โดยในวันแรกของโครงการคือ วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑
นั้น ในช่วงเวลาตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. จนถึง ๑๕.๓๐ น. เป็นการลง
ทะเบียนเพื่อรายงานตัวเข้ารับการอบรมในโครงการ และในช่วงเวลา
ตั้งแต่ ๑๘.๓๐-๒๐.๐๐ น. เป็นพิธีการให้ศีล ๘ ให้กรรมฐานแก่ผู้เข้า
โครงการพร้อมทั้งรับฟังโอวาท จากท่านพระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์
ผูอ้ �ำ นวยการสำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั หลังจากนัน้ ในเวลา ๒๐.๓๐ น.
ก็ เ ป็ น ช่ ว งที่ ผู้ เ ข้ า ร่ ว มโครงการจะต้ อ งเตรี ย มตั ว เข้ า นอนให้ ไ ด้ ก่ อ น
๒๑.๐๐ น. เพื่อสุขภาพที่ดี เพราะร่างกายจะเริ่มสร้างพลังงานในช่วง
นี้ ผู้เข้าโครงการจะต้องตื่นนอนตอน ๐๓.๐๐ น. เพื่อเตรียมตัวสวด
มนต์ท�ำ วัตรเช้าตอน ๐๔.๐๐ น. ก่อนทำ�วัตรเช้าก็ตอ้ งดืม่ น�้ำ ข้าวเนเจอร์
ก่ อ น ในนำ้ � ข้ า วเนเจอร์ จ ะมี ส ารอาหารจากข้ า วกล้ อ ง ข้ า วโพด
ข้าวสาลี ถั่วเหลือง เป็นต้น เพื่อบำ�รุงร่างกาย ในวันที่ ๑๖ มกราคม
๒๕๕๑ ได้มีการเก็บตัวอย่างเลือด ตรวจร่างกายของผู้เข้าโครงการ
โดยแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ พร้อมทั้งให้ผู้เข้า
โครงการตอบแบบสอบถามวัดสุขภาพจิตคนไทยและแบบวัดคุณภาพ
ชีวิตผู้ป่วยมะเร็งด้วย เวลา ๐๕.๐๐ น. หลังจากทำ�วัตรเช้าเสร็จ ผู้เข้า
โครงการจะได้รับความรู้ในเรื่องมารยาทชาวพุทธจากวิทยากรประจำ�
สำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ยกตัวอย่าง เช่น การไหว้ การกราบ
การสนทนากับพระภิกษุ กิริยามารยาทในการเคลื่อนไหวกาย การยืน
การเดิน เป็นต้น เมื่อถึงเวลา ๐๖.๐๐ น. ก็ถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัว
ขับถ่ายให้ได้ก่อน ๐๗.๐๐ น. เพราะเป็นช่วงเวลาของลำ�ไส้ใหญ่ที่จะ
ขับถ่ายอุจจาระ เพื่อไม่ให้ร่างกายพาของเสียกลับไปหล่อเลี้ยงร่างกาย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๗๗
๑๗๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

อีก และจะเริม่ รับประทานอาหารเช้าในเวลา ๐๗.๐๐ น. ซึง่ เป็นช่วง


เวลาทีก่ ระเพาะอาหารจะย่อยได้สงู สุด (หลังจาก ๐๙.๐๐ น. ไปแล้ว
การย่อยของกระเพาะอาหารจะทำ�ได้นอ้ ยลง) เวลา ๐๘.๓๐ น. เป็นการ
แนะนำ�วิธกี ารปฏิบตั ธิ รรม การทำ�สมาธิและวิปสั สนากรรมฐาน จาก
พระวิทยากร พอถึงเวลา ๑๑.๐๐ น. เป็นช่วงของการพักรับประทาน
อาหารกลางวัน เวลา ๑๒.๓๐ น. เข้าสูช่ ว่ งของการปกิณกะธรรมคือ
การพูดถึงเกร็ดธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากนัน้ ก็เป็นการปฏิบตั ธิ รรม
โดยการดูแลอย่างเอาใจใส่จากพระวิทยากร เวลา ๑๕.๓๐ น. เป็นเวลา
ให้ผเู้ ข้าโครงการได้พกั เพือ่ ปฏิบตั สิ รีรกิจ และเตรียมตัวสวดมนต์ท�ำ วัตร
เย็นในเวลา ๑๗.๐๐ น. พอถึงเวลา ๑๘.๐๐ น. ก็รับประทาน
นำ้�นมธัญพืช ซึ่งมีสารอาหารที่จำ�เป็นต่อร่างกาย หลังจากนั้นเวลา
๑๘.๓๐ น. เข้าสูก่ ารปฏิบตั ธิ รรม จนกระทัง่ เวลา ๒๐.๐๐ น. ก็รบั ฟัง
การปรับอารมณ์จากพระวิทยากร เพือ่ ผ่อนคลายความวิตกกังวลต่าง ๆ
ทีอ่ าจเกิดขึน้ ได้กบั ผูเ้ ข้าโครงการ และให้แง่คดิ ข้อคิดแก่ผเู้ ข้าโครงการ
เพื่ อ เป็ น ขวั ญ และกำ � ลั ง ใจที่ จ ะดู แ ลสุ ข ภาพตั ว เองตามแนวทางของ
โครงการต่อไป พอถึงเวลา ๒๐.๓๐ น. จบการปรับอารมณ์ปล่อยให้
ผู้เข้าโครงการเตรียมตัวเข้านอนก่อนเวลา ๒๑.๐๐ น. ตั้งแต่วันที่
๑๗ – ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑ ขัน้ ตอนการอบรมในโครงการจะเหมือน
กัน คือ มีการปกิณกะธรรม หลังจากปกิณกะธรรมเสร็จแล้วก็จะเข้าสู่
การปฏิบตั ธิ รรม ในระหว่างนีจ้ ะมีวทิ ยากรเข้ามาร่วมให้ความรูแ้ ก่ผเู้ ข้า
โครงการเกีย่ วกับเรือ่ งของมะเร็งและแพทย์ทางเลือก พร้อมทัง้ มีการ
ออกไปปฏิบัติธรรมนอกสถานที่ในเวลาเช้าที่มีอากาศสดชื่นใต้ต้นไม้
ส่งผลดีตอ่ สุขภาพ ด้วยระยะเวลา ๑๗ วัน คือตัง้ แต่ วันที่ ๑๕ – ๓๑
มกราคม ๒๕๕๑ ช่วยให้ผเู้ ข้าโครงการสามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดีตอ่
การปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งมีอารมณ์ความรู้สึกที่ดีผ่อนคลาย สบาย ดู
ไร้ความวิตกกังวล หลังจากวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑ จึงได้มีการ
เพิ่มช่วงเวลาของการปฏิบัติธรรมให้มากขึ้นและต่อเนื่องกันไปเพื่อให้
เกิดความสงบ เป็นปีติ เกิดสุขทางใจ เป็นบ่อเกิดของอารมณ์ที่ดี
ตามมา เช่น อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นเมตตา ซึ่งมีผลในการที่จะช่วย
ให้เซลล์ภูมิต้านทานดีขึ้น

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๗๙
ตั้งแต่วันที่ ๑ – ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ เป็นช่วงที่เน้น
การปฏิบัติธรรมมากขึ้น และมีการปฏิบัติธรรมที่ต่อเนื่องกันของช่วง
เวลา โดยไม่มกี ารบรรยายหรือปกิณกะธรรมใด ๆ ซึง่ การปฏิบตั ธิ รรม
ทีต่ อ่ เนือ่ งกันนัน้ เริม่ ตัง้ แต่ ๑๒.๓๐ น. ไปจนถึง ๒๐.๓๐ น. ในระหว่าง
นี้จะให้พักเพียง ๑ ชั่วโมง ซึ่งผู้เข้าโครงการต้องเลือกเองว่าจะพักช่วง
เวลาใด ส่วนการพักรับน�้ำ นมธัญพืชก็ยงั คงมีเหมือนเดิม ในช่วงของ
การปฏิบัติธรรมที่เพิ่มขึ้นนี้ ผู้เข้าโครงการสามารถพักผ่อนได้ หาก
รูส้ กึ ว่าร่างกายต้องการพักผ่อน ก็เลือกทีจ่ ะเปลีย่ นอิรยิ าบถให้อยูใ่ นท่า
ทีส่ บายได้ เพือ่ ทำ�การผ่อนคลายให้รสู้ กึ ดีหรือสบายขึน้ แล้วจึงค่อยเริม่
ทำ�การปฏิบตั ธิ รรมใหม่ตอ่ ไป ตารางการอบรมในวันที่ ๑-๑๑ กุมภาพันธ์
จึงเหมือนกัน คือ เป็นช่วงเวลาของการปฏิบัติธรรมทั้งหมด ไม่มี
กิจกรรมอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้เลย เมื่อเข้าสู่วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์
๒๕๕๑ ใกล้จะสิ้นสุดโครงการ ก็ปรับลดช่วงเวลาของการปฏิบัติธรรม
ลง เพื่อเข้าสู่การเรียนรู้วิธีการประกอบอาหารสุขภาพ เช่น การทำ�
น้ำ�ผักปั่น การทำ�น้ำ�นมธัญพืช เป็นต้น เมื่อถึงเวลา ๑๘.๓๐ น.
เป็นการให้ค�ำ แนะนำ�เพือ่ ให้เกิดความรูค้ วามเข้าใจเกีย่ วกับเรือ่ งของน�้ำ
เอนไซม์แก่ผู้เข้าโครงการ โดยวิทยากรที่ได้รับการอบรมมาจากบ้าน
สุขภาพ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ก่อนปิดโครงการหนึ่งวันได้
ทำ�การเก็บตัวอย่างเลือด ตรวจร่างกาย โดยแพทย์และพยาบาลจาก
โรงพยาบาลศรีนครินทร์ พร้อมทั้งตอบแบบสอบถามสุขภาพจิตคน
ไทยอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ถึงผลที่ได้รับว่าเป็นไป
ในทางใด วิธกี ารนีส้ ามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจให้
กับผู้เข้าร่วมโครงการได้หรือไม่ อย่างไร การเปิดใจในช่วงเวลา
๑๘.๓๐ ไปจนถึง ๒๐.๓๐ น. นั้น เป็นการแสดงความรู้สึกของผู้เข้า

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๘๑
๑๘๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

โครงการทั้งหมดทุกคน ที่มีต่อโครงการตลอดระยะเวลา ๓๒ วัน ที่


อยู่ในโครงการ
วันสุดท้ายของโครงการคือ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
ก็ได้ทำ�การลาศีลให้กับผู้เข้าโครงการ โดยพระวิทยากรผู้รับผิดชอบ
โครงการ พร้อมทั้งมอบใบวุฒิบัตรเพื่อรับรองการอบรมปฏิบัติธรรม
ตลอดระยะเวลา ๓๒ วัน และสิ่งของต่าง ๆ เพื่อเป็นที่ระลึกให้แก่
ผู้เข้าโครงการทุกคน เช่น หนังสือความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ เป็นต้น
จนกระทั่งเสร็จสิ้นพิธีการในวันสุดท้ายของโครงการ

ตารางการส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจ แบบที่ ๒


ตารางการส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจ แบบที่ ๒ นี้
จัดทำ�ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่สนใจต่อการดูแลรักษาสุขภาพ ทั้งทางด้าน
ร่างกายและจิตใจของตนเอง รวมถึงผู้ที่กำ�ลังเจ็บป่วยอยู่ ไม่เพียงแต่
เฉพาะโรคมะเร็งเท่านั้น โรคอื่น ๆ ก็สามารถที่จะนำ�ไปปรับประยุกต์
ใช้ให้เหมาะสมกับโรคทีต่ นเองกำ�ลังเป็นอยูไ่ ด้ เพือ่ เป็นตัวช่วยสนับสนุน
ให้สุขภาพกายและใจดีขึ้น ดังนั้น อาตมาจึงได้จัดทำ�ตารางส่งเสริมสุข
ภาพกายและสุขภาพใจ เพือ่ วางไว้ให้เป็นแนวทางแก่ผทู้ สี่ นใจทีจ่ ะนำ�ไป
ประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพให้กับตนเอง
ตารางการส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจนีเ้ ป็นการผสม
ผสานกันระหว่างธรรมปฏิบัติที่เป็นวิธีการปฏิบัติธรรมของพระเดช
พระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (พระธรรมสิงหบุราจารย์) แห่งวัด
อัมพวัน จ.สิงห์บรุ ี และช่วงเวลาการหมุนเวียนของพลังงานในร่างกาย
ตามตำ�ราการดูแลสุขภาพเก่าแก่ของจีนที่ได้กล่าวไว้ในหนังสือแพทย์
ทางเลือกของดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์ุวงศ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่เพิ่ม
ขึน้ ต่อผูท้ สี่ นใจจะนำ�ตารางแบบที่ ๒ นี้ ไปปรับใช้กบั ตนเองในการดูแล
สุขภาพ จึงขอขยายความหลักการประพฤติปฏิบัติตนที่ได้วางไว้ ดังนี้

ช่วงเวลา ๐๓.๐๐ – ๐๔.๐๐ น.


ช่วงนี้ เป็นช่วงเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ปอดและใน
ช่วงนี้ก็เหมาะที่จะตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวสวดมนต์และปฏิบัติธรรม
มีบางคนถามว่า ทำ�ไมต้องตืน่ เร็วหรือตืน่ แต่เช้าขนาดนีจ้ ะได้ประโยชน์
อะไร ถ้าจะตอบก็ตอบได้อย่างไม่ต้องคิดมากหรือลึกซึ้งอันใด นั่นก็คือ
เราจะมีเวลาที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็หมายถึงกำ�ไรชีวิตที่ได้รับ ทำ�ให้เรา
สามารถทำ�อะไรได้อีกหลาย ๆ อย่างเพิ่มมากขึ้น เพราะเวลาเป็นสิ่งมี

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๘๓
๑๘๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ค่าทีท่ กุ คนมีเท่ากัน แต่อยูท่ วี่ า่ ใครจะใช้เวลาเหล่านัน้ ไปให้เกิดประโยชน์


มากน้อยกว่ากัน นี่จึงเป็นเหตุผลสำ�คัญที่ต้องคิด

ช่วงเวลา ๐๔.๐๐ – ๐๖.๐๐ น.


เป็นช่วงเวลาของการปฏิบตั ธิ รรม ซึง่ มีเวลาในการปฏิบตั คิ อื
๒ ชัว่ โมง ด้วยการเดินจงกรมและนัง่ สมาธิสลับกันไปเรือ่ ย ๆ โดยแบ่ง
เวลาให้เท่า ๆ กัน ไปจนครบเวลา โดยให้เดินจงกรมก่อนนัง่ ทุกครัง้

ช่วงเวลา ๐๖.๐๐ – ๐๗.๐๐ น.


เป็นช่วงเวลาของลำ�ไส้ใหญ่ คือช่วงทีเ่ ราจะต้องถ่ายอุจจาระ
เพือ่ เอาของเสียออกให้หมด ป้องกันไม่ให้รา่ งกายนำ�พาของเสียไปหล่อ
เลี้ยงร่างกายซ้ำ�เดิม เปรียบเสมือนการกินอุจจาระตัวเอง และต้องขับ
ถ่ายให้ได้ก่อน ๐๗.๐๐ น. ที่ผ่านมาจากการเฝ้าสังเกต เมื่อดื่มน้ำ�และ
มีการเคลื่อนไหวกาย เช่น การเดิน มีส่วนช่วยให้การขับเคลื่อนของ
เสียง่ายขึ้น เพราะทำ�ให้ลำ�ไส้เกิดการขยับตัว ดังนั้น การเดินจงกรม
ในช่วงเช้าจึงช่วยทำ�ให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

ช่วงเวลา ๐๗.๐๐ – ๐๙.๐๐ น.


เนื่ อ งจากกระเพาะอาหารจะย่ อ ยได้ สู ง สุ ด ในช่ ว งเวลานี้
เท่านัน้ และหลัง่ น�้ำ ย่อยออกมามาก กระเพาะอาหารจึงต้องการอาหาร
อีกทั้งอาหารมื้อเช้ายังเป็นมื้อที่สำ�คัญที่สุดอีกด้วย จึงต้องรับประทาน
อาหารในช่วงเวลานี้ หากเราต้องทำ�อาหารทานเอง ช่วงเวลานีก้ ม็ เี วลา
ถึง ๒ ชั่วโมง น่าที่จะสามารถทำ�อาหารเสร็จได้ทันและรับประทาน
อาหารได้ก่อน ๐๙.๐๐ น.
ช่วงเวลา ๐๙.๐๐ – ๑๑.๐๐ น.
เข้าสูช่ ว่ งเวลาของการทำ�กรรมฐาน เจริญภาวนา ด้วยการ
เดินจงกรมและนั่งสมาธิ กำ�หนดสติให้ต่อเนื่องกันไปจนครบเวลา

ช่วงเวลา ๑๑.๐๐ – ๑๔.๐๐ น.


ในช่วงนีม้ เี วลาถึง ๓ ชัว่ โมง หากจะต้องเตรียมการประกอบ
อาหาร ก็มีเวลาพอสมควรที่หลังจากรับประทานเสร็จแล้วก็จะได้พัก
ผ่อนหรือหากต้องการทำ�กิจกรรมอื่น ๆ ก็จะสามารถกระทำ�ได้โดยมี
เวลาเหลือพอ

ช่วงเวลา ๑๔.๐๐ – ๑๗.๐๐ น.


เป็นช่วงของการปฏิบัติธรรม หลังจากรับประทานอาหาร
เที่ยงมาแล้ว การเดินจงกรมในช่วงนี้ยังช่วยให้อาหารที่ดื่มและรับ
ประทานเข้าไปย่อยง่ายขึ้นด้วย

ช่วงเวลา ๑๗.๐๐ – ๑๙.๐๐ น.


เข้าสู่ช่วงเวลาของการรับประทานอาหารเย็น ทุกช่วงเวลา
ของอาหารจะมีการเผือ่ เวลาในการทำ�อาหารเพือ่ รับประทานให้อยูแ่ ล้ว
สำ�หรับผู้ที่ต้องประกอบอาหารทานเอง จึงไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะทำ�
อาหารทานไม่ทัน จนทำ�ให้ต้องเลยเวลาตามที่กำ�หนดของแต่ละช่วง
เวลาไป

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๘๕
๑๘๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ช่วงเวลา ๑๙.๐๐ – ๒๐.๓๐ น.


ช่วงนีม้ เี วลาน้อยกว่าช่วงอืน่ คือมีเวลาหนึง่ ชัว่ โมงครึง่ ก่อน
เข้านอนก็ปฏิบัติธรรมอีกสักหน่อย เพื่อให้เกิดความสงบทางจิตใจ จะ
ได้ไม่คิดฟุ้งซ่านก่อนนอน เป็นเหตุให้หลับเป็นสุขและตื่นก็เป็นสุขด้วย
หรือถ้าหลับไปแล้วฝัน ก็จะเป็นฝันที่ดี ไม่ฝันร้าย

ช่วงเวลา ๒๐.๓๐ – ๒๑.๐๐ น.


ช่วงนี้ก็จะต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะเข้านอนได้แล้วและจะต้อง
หลับให้ได้ก่อน ๒๑.๐๐ น. เพราะเหตุที่ว่า พลังงานของร่างกายจะ
สร้างขึ้นในช่วง ๒๑.๐๐ – ๒๓.๐๐ น. เท่านั้น ถ้าหากไม่หลับนอนใน
ช่วงเวลาดังกล่าว พลังงานทีช่ ว่ ยให้รา่ งกายสะสมพลังงานได้อย่างเต็ม
ทีน่ นั้ จะมีไม่พอ ทำ�ให้รา่ งกายเกิดการสะสมพลังงานได้นอ้ ย ไม่สามารถ
ฟื้นฟูอวัยวะต่าง ๆ ให้สะอาดและแข็งแรงสำ�หรับวันต่อไปได้ สำ�หรับ
ผูท้ ไี่ ม่มคี วามจำ�เป็นจริง ๆ ทีจ่ ะต้องนอนดึก ก็ควรหลับนอนให้ได้กอ่ น
เวลา ๓ ทุ่ม เพื่อสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนนานอย่างเป็นสุข
จากหลักการประพฤติปฏิบัติตนตามตารางที่ได้ก�ำ หนดเอา
ไว้แล้ว เมื่อปฏิบัติตามก็จะเห็นได้ว่า สามารถที่จะมีเวลาในการปฏิบัติ
ธรรมทั้งสมาธิและวิปัสสนากรรมฐานถึง ๘ ชั่วโมงครึ่งต่อวัน ซึ่งไม่
ถือว่าน้อยหรือมากจนเกินไป หากผู้ที่สนใจในหลักการประพฤติปฏิบัติ
ตามตารางส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจ แบบที่ ๒ ที่ทางผู้จัด
ทำ�ได้ก�ำ หนดไว้นี้ มีเวลาว่างมากพอทีจ่ ะสามารถบริหารเวลาทีม่ อี ยูข่ อง
ตนเองให้ประพฤติปฏิบัติตามตารางได้ ก็ควรทำ�กรรมฐานให้ได้อย่าง
น้อย ๘ ชั่วโมงต่อวัน จะถือว่าดีต่อสุขภาพใจเป็นอย่างมาก ส่วนทาง
ด้านของร่างกายนัน้ ถ้าผูป้ ฏิบตั สิ ามารถใช้ชวี ติ ในเรือ่ งของการกิน อยู่
หลับนอน ได้ตามช่วงเวลาที่กำ�หนดไว้ในตาราง ก็จะส่งผลให้สุขภาพ
ร่างกายของผูป้ ฏิบตั นิ นั้ ดีและแข็งแรงขึน้ แต่ถา้ ผูอ้ า่ นพิจารณาแล้วเห็น
ว่าตัวเราเองนัน้ ก็ปรารถนาทีจ่ ะทำ�ให้ได้ตามตารางทีว่ างเอาไว้นเี้ ช่นกัน
เพือ่ สุขภาพของกายและใจทีด่ ี แต่สภาพแวดล้อมไม่เอือ้ อำ�นวยให้ปฏิบตั ิ
ตามได้ หรือไม่สามารถทำ�ตามวิธีการในตารางได้ทั้งหมด ก็ไม่ต้อง
กังวลในเรือ่ งเหล่านี้ เพราะทางผูจ้ ดั ทำ�ได้จดั ทำ� ตารางส่งเสริมสุขภาพ
กายและสุขภาพใจแบบที่ ๒ นีข้ นึ้ มาเพือ่ ให้เป็นแนวทางสำ�หรับผูท้ สี่ นใจ
ในเรือ่ งของการดูแลสุขภาพอยูแ่ ล้ว ฉะนัน้ ผูท้ สี่ นใจจึงสามารถทีจ่ ะนำ�
ตารางส่งเสริมสุขภาพในแบบที่ ๒ ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตนเอง
และสภาพแวดล้อมได้ตามทีใ่ จปรารถนาและเห็นว่าเหมาะควร ก่อนจาก
กันในบทนีข้ อฝากไว้ให้คดิ สักนิดว่า “ยากแท้เพราะไม่เคย ถ้าเคยแล้วก็
ไม่ยาก” ความยากเกิดขึน้ เพราะไม่เคยทำ� ถ้าทำ�จนเป็นความเคยชินก็ไม่
ยาก



เรื่องเล่าของคนป่วยที่ไม่ป่วย
บทนี้จะเป็นบทสุดท้ายของเรื่องเรียนรู้ดูกายใจด้วย
ธรรมะ ธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นการกล่าวถึงผู้เข้าโครงการ อาตมาขึ้นชื่อ
เรื่องเอาไว้ว่า คนป่วยที่ไม่ป่วย ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงจะงง เหตุที่ขึ้น
หัวเรื่องไว้เช่นนี้ก็เพราะว่า ในโครงการนั้น อาตมาได้บอกกับผู้ที่ป่วย
เป็นโรคมะเร็งในโครงการทุกคนว่า อย่ามองว่าตัวเองเป็นคนป่วย แต่
ขอให้มองว่าตัวเองก็เป็นคนปกติคนหนึง่ ทีม่ อี าการเจ็บปวดมากกว่าคน
ทั่วไปเท่านั้นเอง และให้เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่ผู้ป่วย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๘๗
๑๘๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ตลอดเวลาที่ อ ยู่ ใ นโครงการอาตมาจึ ง เรี ย กเขาเหล่ า นั้ น ว่ า เป็ น


“ผู้ปฏิบัติธรรม” เพราะแท้จริงแล้วนั้นเท่าที่อาตมาสังเกตดูคนที่ป่วย
เป็นโรคมะเร็งทำ�ให้เกิดความเข้าใจว่า โรคมะเร็งนั้นเด่นที่ความเจ็บ
ปวดที่เกิดจากโรค ทำ�ให้ผู้เป็นมะเร็งนั้นรู้สึกทุกข์ทรมาน แต่เมื่อไหร่ที่
อาการเจ็บปวดจากโรคมะเร็งดับไป เขาเหล่านั้นก็มีสภาพเหมือนคนที่
ไม่ป่วย ยิ่งในกรณีของโรคมะเร็งระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ แล้วนั้น ดู
ยังไงก็เหมือนคนปกติ หากเขาไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกมาให้เห็น
และในคนปกติที่ไม่ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือโรคใด ๆ เลย อาการเจ็บ
ปวดก็มีเกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น การอยู่ในอิริยาบถใด
อิรยิ าบถหนึง่ นาน ๆ โดยไม่เปลีย่ นอิรยิ าบถเลย ก็จะทำ�ให้เกิดอาการ
ปวด อาการชา ตามแขน ขา หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งขึ้นได้เป็น
ปกติอยูแ่ ล้ว เพียงแต่คนทีเ่ ป็นมะเร็ง เมือ่ มีอาการปวดเกิดขึน้ เนือ่ งจาก
โรคมะเร็งนั้น จะมากกว่าอาการปวดของคนปกติทั่วไปนั่นเอง
และการทีม่ องว่าตัวเองเป็นผูป้ ว่ ยหรือเป็นมะเร็งนัน้ ก็ไม่ได้
ช่วยให้สภาพจิตใจของเขาเหล่านั้นดีขึ้นได้เลย กลับทำ�ให้สภาพจิตใจ
ของเขาเหล่านั้นเกิดเป็นความวิตกกังวลจนเครียด ถึงโรคที่ตนกำ�ลัง
เป็นอยู่ ซึ่งภาวะความเครียดเป็นตัวทำ�ให้เซลล์มะเร็งกระจายไปยัง
อวัยวะต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุผลนี้อาตมาจึงเรียกผู้เข้า
โครงการ ว่า “ผู้ปฏิบัติธรรม” ไม่ใช่ผู้ป่วย และไม่ให้มองว่าตัวเองมี
อะไรแตกต่างหรือผิดปกติไปจากคนทัว่ ไป เพียงแค่มเี วทนาปวดมากกว่า
เท่านั้นเอง เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถมองตนเองได้อย่างที่กล่าวมาแล้ว ก็
ช่วยทำ�ให้สภาพจิตใจของผู้เข้าร่วมโครงการนั้นดีขึ้น มีกำ�ลังใจที่จะ
ประพฤติปฏิบัติ เพื่อต่อสู้กับโรคที่ตัวเองกำ�ลังเป็นอยู่ ไม่ใช่มองว่า
ตนเองเป็นผู้ป่วย จนเกิดการบั่นทอนจิตใจของตัวเอง และปล่อยปละ
ละเลยต่อการดูแลสุขภาพพร้อมทั้งสิ้นหวัง หมดกำ�ลังใจที่จะอยู่ต่อไป
เพื่อสู้กับโรคที่ตัวเองกำ�ลังเป็นอยู่ และนี่จึงเป็นที่มาของหัวเรื่องว่า
“คนป่วยที่ไม่ป่วย” หรือกล่าวให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า “ป่วยจริงแต่ไม่
มองว่าป่วย” เพื่อสร้างขวัญและกำ�ลังใจนั่นเอง
ในวันแรก ๆ ของโครงการ ผูเ้ ข้าโครงการแต่ละคนนัน้ ไม่
สดชื่นแจ่มใส มีสภาพของคนเป็นโรคอย่างที่ไม่ต้องพิจารณาโดย
ละเอียด สภาพของร่างกายก็เป็นตัวฟ้องเองอยูใ่ นตัวแล้วว่า ฉันเป็นคน
ป่วยนะ แต่หลังจากที่ได้รับการส่งเสริมสุขภาพกายและใจ ด้วยสมาธิ
ภาวนาและอาหาร ทีม่ คี ณ ุ ค่าส่งเสริมสุขภาพกาย ไม่สง่ เสริมเซลล์มะเร็ง
ไปได้สักระยะหนึ่ง บวกกับการได้อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศดี ก็ท�ำ ให้
สุขภาพร่างกายของผู้เข้าโครงการดูดีขึ้นมามากจนใครหลาย ๆ คนที่
พบเห็น รวมทั้งแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ที่มา
ตรวจเยี่ยมผู้ป่วยพร้อมทั้งร่วมสังเกตการณ์ในโครงการ ต่างก็พูดเป็น
เสียงเดียวกันว่า ดูไปแล้วไม่เห็นจะเหมือนคนป่วยเลย เพราะผู้เข้า
โครงการทุกคนต่างมีบุคลิกลักษณะที่ดีขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาผิว
พรรณผ่องใส ดูดีขึ้น บางคนปากแดงมากเป็นธรรมชาติเหมือน
ทาลิปสติก จนคุณหมอพนารัตน์ ทีม่ าตรวจเยีย่ มในโครงการได้สงั เกต
เห็น และพูดว่าน่าจะเป็นอาการทีเ่ ลือดดีขนึ้ เมือ่ โครงการดำ�เนินมาถึง
ช่วงท้ายของโครงการ ผูป้ ฏิบตั ธิ รรมทีเ่ ป็นโรคความดันสูงร่วมด้วย คือ
คุณญาณิกา ผานาค อายุ ๕๔ ปี ได้รับการตรวจวัดความดันจากคุณ
หมอปิ่นนภัส ที่มาช่วยงานในโครงการ ทำ�ให้ทราบว่าโรคความดันสูง
ทีค่ ณ
ุ ญาณิกา ผานาค เป็นอยูน่ นั้ ความดันปกติดแี ล้ว ก่อนวันสุดท้าย
ของโครงการ ผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด ๒๒ คน เมื่อสังเกตดูจาก
บุคลิกลักษณะภายนอกแล้ว ทุกคนดูไม่เหมือนผู้ที่กำ�ลังป่วยอยู่เลย ทุก

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๘๙
๑๙๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

คนดูดีมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส สุขภาพร่างกายและกำ�ลังใจดีขึ้นมาก


จนทำ�ให้ผู้ที่พบเห็น เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงที่มาช่วยงาน รวมถึงแพทย์และ
พยาบาลที่มาตรวจเยี่ยม กล่าวชมถึงกำ�ลังใจของผู้เข้าโครงการที่ป่วย
เป็นโรคมะเร็งว่า กำ�ลังใจเกินร้อยจริง ๆ
เรื่องของยาในโครงการ เนื่องจากเป็นโครงการที่เน้นใน
เรื่องของวิธีการทางธรรมชาติ และเพื่อต้องการรู้ถึงคุณสมบัติของวิธี
การทางธรรมชาติ คือการปฏิบัติธรรม และอาหารตามแนวทางของ
แพทย์ทางเลือก ว่าจะสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจของผู้
ป่วยโรคมะเร็งให้ดขี นึ้ ได้หรือไม่ นีจ่ งึ เป็นเหตุผลให้ไม่ใช้ยาหรือสารเคมี
ใด ๆ ในระหว่างการดำ�เนินโครงการกับผู้เข้าร่วมโครงการเลย
หลังจากเสร็จสิ้นโครงการแล้ว จากผลของการเก็บข้อมูล
ด้วยการเก็บตัวอย่างเลือด ตรวจร่างกาย และการตอบแบบสอบถาม
คือแบบวัดสุขภาพจิตของคนไทย แบบวัดคุณภาพชีวติ ผูป้ ว่ ยมะเร็ง เมือ่
แรกเริ่มโครงการคือในวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๑ และก่อนสิ้นสุด
โครงการหนึ่งวันคือวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ โดยทีมแพทย์และ
พยาบาลโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จากการสรุปผลของแพทย์เกีย่ วกับผู้
เข้าร่วมโครงการที่อยู่จนครบ ๓๒ วัน พบว่าผู้ป่วยทุกรายได้รับ
ประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการ โดยประโยชน์ทเี่ ห็นชัดเจนทีส่ ดุ ได้
ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทางด้านจิตใจ แพทย์มีความเห็นว่า ผู้ป่วย
มีความสุขสงบมากขึ้น ความกังวลและความหวาดกลัวลดลง ด้าน
ร่างกายทีเ่ ห็นชัดเจนคือ ผูป้ ว่ ยมีสขุ ภาพแข็งแรง หรือทีเ่ รียกว่า Fitness
ดีขึ้น และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทสรุปที่แพทย์ผู้เข้าตรวจเยี่ยมและ
ร่วมสังเกตการณ์ในระหว่างดำ�เนินโครงการได้ทำ�การสรุปไว้ให้
อาตมาในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ รู้สึกยินดีเป็นอย่าง
ยิ่งที่โครงการสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ คือสามารถส่งเสริมสุขภาพ
กายและสุขภาพใจให้กับผู้เข้าร่วมโครงการได้เป็นอย่างดี และทำ�ให้ผู้
ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งรู้จักที่จะปรับเปลี่ยนวิถีการดำ�เนินชีวิตแบบใหม่
การดูแลตัวเองทีถ่ กู ต้องในเรือ่ งของการกิน การอยู่ การหลับนอน หลัง
จากที่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งหรือในกรณีที่เป็นโรคมะเร็งแล้ว
รักษาหายแล้ว อาจจะด้วยวิธีการทางแพทย์สมัยใหม่หรือวิธีการใดก็
แล้วแต่ เพื่อที่มะเร็งที่รักษาหายแล้วจะไม่กลับมาเป็นอีก พร้อมทั้งให้
เกิดการเกื้อหนุนกันของแนวทางการรักษาโรคแบบสมัยใหม่โดยมีวิธี
การทางธรรมชาติเป็นตัวช่วยเสริม

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๙๑
เอนไซม์
ENZYME
๑๙๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
เอนไซม์

ความหมายของเอนไซม์
เอนไซม์เป็นสารกลุม่ โปรตีน ทีร่ า่ งกายเราได้รบั จากการ
รับประทานอาหารและสร้างขึน้ เอง ซึง่ ใช้ในการสร้างพลังงานทีจ่ ำ�เป็น
ต่อทุกปฏิกริ ยิ าเคมีใด ๆ ทีเ่ กิดขึน้ ในร่างกายของเรา แม้กระทัง่ วิตามิน
แร่ธาตุ หรือฮอร์โมน ก็ไม่สามารถทำ�งานได้หากไม่มเี อนไซม์ เอนไซม์
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำ�ให้อวัยวะต่าง ๆ สามารถทำ�งานได้อย่างเป็น
ระบบ

กระบวนการก่อเกิดน�้ำ หมักชีวภาพ (น�้ำ เอนไซม์)


การผลิตน้ำ�หมักชีวภาพ เป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสาน
ระหว่างภูมิปัญญาพื้นบ้าน และความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์
โดยน้ำ � หมั ก ชี ว ภาพเกิ ด จากกระบวนการหมั ก ที่ ทำ � ให้ เ กิ ด การ
เปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและเคมีของอาหาร โดยการนำ�พืชผัก
ผลไม้ สมุนไพร มาหมักกับน้ำ�ตาลธรรมชาติ น้ำ� ในภาชนะที่สะอาด
ในช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยอาศัยการทำ�งานของแบคทีเรียที่ผลิตกรด
แลคติกเป็นส่วนใหญ่ เป็นผลทำ�ให้เกิดการเปลี่ยนแป้งและน้ำ�ตาลจาก
ผลไม้เป็นกรดน้ำ�ส้ม ทำ�ให้เกิดของเหลวสีน้ำ�ตาล มีรสเปรี้ยว มีกลิ่น
ฉุนของน้ำ�ส้มสายชู หรือมีรสฝาดขม

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๙๕
๑๙๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ในน้ำ�หมักชีวภาพมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
มากมายหลายชนิด เช่น จุลินทรีย์ กรดอะมิโน กลูโคส วิตามินและ
แร่ธาตุจากผัก ผลไม้ ฮอร์โมน เอนไซม์ โดยจุลินทรีย์ที่เกิดจากการ
หมักที่มีประโยชน์ เช่น แบคทีเรียแล็กโตบาซิลัส (Lactobacillus) ที่
ทำ�ให้น�้ำ หมักทีไ่ ด้มกี ลิน่ หอม มีรสชาตินา่ รับประทาน และมีสารอาหาร
ทีช่ ว่ ยส่งเสริมการทำ�งานของลำ�ไส้ ระบบทางเดินอาหาร และระบบขับ
ถ่าย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้เพิ่มขึ้น

การทำ�งานของเอนไซม์
เมื่อเรารับประทานอาหารสด (พืชผัก ผลไม้สด) เอนไซม์
ในอาหารจะถูกกระตุน้ ให้ท�ำ งานได้ โดยความร้อน และความชืน้ ภายใน
ช่องปาก เมือ่ ได้รบั การกระตุน้ เอนไซม์เหล่านีจ้ ะทำ�การย่อยสลายสาร
อาหารให้มีขนาดเล็กลงพอที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์และกระแสเลือด
ต่อจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเอนไซม์ที่ทำ�หน้าที่เกี่ยวกับเมตาบอลิซึม
นำ�สารอาหารเหล่านั้นไปสร้างกล้ามเนื้อ เส้นประสาท กระดูก ต่อม
ต่าง ๆ เม็ดเลือด ปอด และอวัยวะอื่น ๆ ดังนั้น ถ้าไม่มีเอนไซม์
ร่างกายก็ไม่สามารถทำ�งานได้
โดยเอนไซม์ตา่ ง ๆ เหล่านี้ ร่างกายจะสร้างขึน้ เอง แต่เมือ่
เรามีอายุมากขึ้น อยู่ในสภาพแวดล้อมอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ การรับ
ประทานอาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน ร่างกายต้องเผชิญกับการติดเชื้อ
ไวรัส ประกอบกับมีความเครียด ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการสร้าง
เอนไซม์เหล่านี้ลดลง ในขณะเดียวกันเอนไซม์ที่ได้รับจากอาหาร ส่วน
ใหญ่จะถูกทำ�ลายลงไปเสียมากเนื่องมาจากการปรุงอาหารด้วยความ
ร้อน เช่น การต้ม การนึ่ง การปรุงหรืออุ่นด้วยไมโครเวฟ การคั้นน้ำ�
ผลไม้ด้วยเครื่อง ความร้อนที่เกิดขึ้นก็ยับยั้งการทำ�งานของเอนไซม์ได้
เป็นต้น ดังนั้น เราจึงควรที่จะต้องรับเอนไซม์เสริมจากภายนอกเพิ่ม
เพือ่ ช่วยให้รา่ งกายได้รบั เอนไซม์เพียงพอในการย่อยอาหาร สร้างเสริม
เนื้อเยื่อและช่วยในการทำ�งานของระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย

การจำ�แนกเอนไซม์
เอนไซม์สามารถแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ
๑. เอนไซม์ที่ทำ�หน้าที่ย่อยสลายสารอาหาร (Digestive
Enzyme) เป็นเอนไซม์ที่ผลิตโดยร่างกาย จะถูกหลั่งออกมาจากต่อม
น้ำ�ลาย กระเพาะอาหาร ตับอ่อนและลำ�ไส้เล็ก โดยช่วยย่อยอาหารที่
เราทานเข้าไปให้มขี นาดเล็กลง เพือ่ ให้สารอาหารถูกดูดซึมเข้าสูร่ า่ งกาย
ทำ�ให้ร่างกายได้รับสารอาหาร (Nutrient) ที่มีคุณค่า

เอนไซม์หลักที่ทำ�หน้าที่ช่วยย่อยอาหาร
แบ่งออกเป็น ๔ ชนิดหลัก คือ
๑.๑ เอนไซม์อะไมเลส ทำ�หน้าที่ ย่อยอาหารประเภทแป้งและคาร์โบ
ไฮเดรท เช่น ข้าว ขนมปัง หากการย่อยไม่ดีจะทำ�ให้เกิดแก๊สและ
อาการไม่สบายท้องเหมือนมีการหมักแป้งอยู่ในท้อง
๑.๒ เอนไซม์โปรตีเอส ทำ�หน้าที่ ย่อยอาหารโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์
ต่าง ๆ ถั่ว หากการย่อยไม่ดี โปรตีนก็จะเน่า ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็น
พิษต่อร่างกาย
๑.๓ เอนไซม์ไลเปส ทำ�หน้าที่ ย่อยสลายไขมันและช่วยรักษาสมดุล
กรดไขมันในร่างกาย หากการย่อยไม่ดี ไขมันทีไ่ ม่ถกู ย่อยจะทำ�ให้เหม็น

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๙๗
๑๙๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

หืน และปริมาณโคเลสเตอรอลเสียสมดุล
๑.๔ เอนไซม์เซลลูเลส ทำ�หน้าที่ ย่อยสลายเซลลูโลส (ไฟเบอร์ที่พบ
ในผักต่าง ๆ ) โดยปกติแล้ว ร่างกายไม่สามารถผลิตเอนไซม์เซลลูเลส
ได้เอง


๒. เอนไซม์ที่ทำ�หน้าที่เกี่ยวกับการเผาผลาญอาหาร
(Metabolic Enzyme) เป็นเอนไซม์ที่ผลิตในเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ
ในร่างกาย ทำ�หน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ เพื่อการเผาผลาญ
สารอาหารและสร้างพลังงาน สร้างภูมิต้านทาน สร้างความเจริญ
เติบโตตลอดจนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่าง ๆ

๓. เอนไซม์ที่มีอยู่ในอาหาร (Food Enzyme) มีอยู่ใน
ผัก ผลไม้สด แต่เมื่อนำ�อาหารไปปรุงสุกแล้ว จะทำ�ให้สูญเสียสภาพ
ธรรมชาติของเอนไซม์

ประโยชน์ของเอนไซม์

๑. ช่วยปรับความเป็นกรด - ด่างในร่างกาย
๒. ทำ�ให้ระบบการย่อย การดูดซึมสารอาหารดีขึ้น
๓. ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขนึ้ ของเสียจากกระบวนการย่อย
ถูกกำ�จัดออกจากร่างกาย
๔. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ�งานของเซลล์
๕. สลายสารพิษและสร้างภูมคิ มุ้ กันให้กบั ร่างกาย ช่วยบรรเทา
อาการของโรคภูมแิ พ้ โดยช่วยการทำ�งานของเซลล์เม็ดเลือดขาวจำ�พวก
T-cells
๖. ช่วยต่อต้านอนุมลู อิสระ ยับยัง้ การเกิดปฏิกริ ยิ าออกซิเดชัน่
๗. ช่วยปรับสมดุลสุขภาพให้กลับคืนสู่สภาพปกติ
๘. ช่ ว ยรั ก ษาระบบการเผาผลาญพลั ง งานในร่ า งกายให้ มี
ประสิทธิภาพสูงสุด เช่น สลายไขมัน แจกจ่ายพลังงานไปยังเซลล์ที่
ต้องการ
๙. ช่วยลดระดับ Cholesterol ในเลือด
๑๐. ช่ ว ยขั ด ขวางการทำ � งานของเซลล์ ม ะเร็ ง โดยเอนไซม์
สามารถช่วยกำ�จัดความสามารถของเซลล์มะเร็ง ในการเข้าไปจับตัว
อวัยวะหรือเนื้อเยื่อปกติ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๑๙๙
อาหารเพือ่ สุขภาพ
อาหารเป็นยา
ร่างกายของคนเราต้องการพลังงานในการดำ�รงชีวิต
ประจำ�วัน ซึ่งเราควรที่จะรับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ บริโภค
อาหารที่หลากหลาย ถูกสุขลักษณะ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
และมีสมดุล ช่วยให้รา่ งกายได้รบั สารอาหารทีท่ ำ�ให้ระบบภูมคิ มุ้ กันแข็ง
แรง จนมีคำ�กล่าวที่ว่า “อาหารเป็นยา” โดยเราสามารถใช้อาหารเพื่อ
ช่วยบำ�บัดโรคต่าง ๆ ได้ ซึง่ จากการวิจยั พบว่า มียอดอาหารธรรมชาติ
ที่ช่วยรักษาสุขภาพและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

๑. กระเทียม
- ช่วยลดระดับ Cholesterol
- ช่วยป้องกันการแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด
- มีสารอาหารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็ง
ลำ�ไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม
ขนาดรับประทาน : รับประทานวันละ ๑ กลีบต่อวัน
สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๐๑
๒๐๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

๒. ถั่วแดง
- มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูง
- ช่วยลดระดับ Cholesterol
- ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก และมะเร็ง
ลำ�ไส้ใหญ่
- ช่วยบำ�รุงโลหิต ป้องกันความผิดปกติของทารกใน
ครรภ์
- ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
ขนาดรับประทาน : ๑ ถ้วยต่อวัน

๓. นมพร่องมันเนย
- เป็นแหล่งของแคลเซียม ป้องกันภาวะกระดูกพรุน
- ช่วยลดความดันโลหิต
ขนาดรับประทาน : คนวัยหนุม่ สาวต้องการแคลเซียม
วันละ ๑,๐๐๐ mg. คนวัยสูงอายุตอ้ งการแคลเซียมวันละ ๑,๕๐๐ mg.

๔. ส้ม
- มีปริมาณวิตามินซีสูง ป้องกันโรคหวัด
- ช่วยลดระดับ Cholesterol
- ช่วยในการสร้างกระดูก ป้องกันโรคนิ่วในไต
- มีเส้นใยอาหารสูง ป้องกันโรคมะเร็งลำ�ไส้ใหญ่
ขนาดรับประทาน : ๑-๒ ผลต่อวัน
๕. ปลาแซลมอน
- มีปริมาณน้ำ�มันปลา (Omega - ๓) สูง ช่วยป้องกัน
โรคหัวใจ
- ช่วยควบคุมอาการไขข้ออักเสบ
- ช่วยลดอาการปวดก่อนมีประจำ�เดือน
ขนาดรับประทาน : ๓ ออนซ์ต่อสัปดาห์

๖. เต้าหู้
- ช่วยลดระดับ Cholesterol
- ป้องกันกระดูกพรุน ช่วยทำ�ให้ไตทำ�งานได้ดี
- ป้องกันมะเร็งเต้านม
ขนาดรับประทาน : ๑/๒ ถ้วยต่อวัน

๗. ซอสมะเขือเทศ
- ช่วยป้องกันมะเร็งลำ �ไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร
มะเร็งกระเพาะอาหาร
- มีสาร Lycopene ช่วยกำ�จัดอนุมูลอิสระในร่างกาย
ขนาดรับประทาน : ตามใจชอบเป็นประจำ�ทุกวัน

๘. น้ำ�
ร่างกายของคนเรามีน้ำ�เป็นส่วนประกอบถึง ๗๕% ของ
น้ำ�หนักตัว เราจึงต้องดื่มน้ำ�ให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ ๘ แก้ว การ
ดื่มน้ำ�อย่างเพียงพอจะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำ�งาน
ปกติ ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย รักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๐๓
๒๐๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ป้องกันการเกิดนิ่ว ช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำ�งานได้ดี ช่วยให้ผิว


พรรณเปล่งปลั่งสดใส เป็นต้น

ความเป็นกรดและด่างของอาหาร
ในร่างกายเราจะมีการสร้างภูมคิ มุ้ กันจากความสมดุลใน
ร่างกายจากฮอร์โมน
ฮอร์โมนอะดรีนาลิน (ฮอร์โมนแห่งความทุกข์) คือ
ฮอร์โมนทีร่ า่ งกายผลิตออกมาเวลาเกิดอารมณ์ตงึ เครียด โกรธ เกลียด
หรือสภาวะอารมณ์ที่ทำ�ให้ร่างกายเราเป็น “กรด”
ฮอร์โมนเมลาโทนิน คือ ฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายจัด
ระบบการพัก การฟื้นฟู การขับของเสียทิ้งหรือสภาวะอารมณ์ที่ทำ�ให้
ร่างกายเราเป็น “ด่าง”
เมื่ อ ใดที่ ร่ า งกายมี ร ะดั บ ฮอร์ โ มนอะดรี น าลิ น และ
ฮอร์โมนเมลาโทนินในปริมาณสัดส่วนที่เท่ากันจะทำ�ให้ร่างกายหลั่ง
ฮอร์โมนเอนโดรฟิน (ฮอร์โมนแห่งความสุข) ออกมา ทำ�ให้ร่างกาย
เบาสบาย ปลอดโปร่ง สดชื่น รู้สึกดีขึ้น
กรดมาก หมายความว่า มีกลุ่มกรดอะมิโนตกค้างอยู่
ซึ่งเกิดจากการบริโภคอาหารจากเนื้อสัตว์มาก และไม่ทานผัก ผลไม้
ด่างมาก หมายความว่า มีแอมโมเนียตกค้างอยู่ ซึง่ เกิด
จากการบริ โ ภคอาหารประเภทผัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักใบเขียว
เป็นต้น
ดังนั้น เราจึงควรปรับสภาพร่างกายให้สมดุล เป็น
กลาง หรือ สภาวะที่มีกรดอ่อน โดยอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกลางและมี
กรดอ่อนแฝงอยู่ คือ ผักใบสีเขียวที่มีรสมิ้นท์ เช่น ใบโหระพา ใบ
สะระแหน่

อาหารธรรมชาติที่มีความเป็นกรด
ส้มทุกประเภท กระถิน ชะเอม ลูกเนียง คะน้า แตงกวา
ทุเรียน มะม่วง ลำ�ไย ใบมะยม ใบชะมวง ใบลูกหว้า ใบยอ ผักพื้น
บ้านที่มีรสเปรี้ยว พริก มะแว้ง

อาหารธรรมชาติที่มีความเป็นด่าง
ใบกะเพรา โหระพา ตะไคร้ ใบแมงลัก ผักกวางตุ้ง ผัก
กาดเขียวปลี ผักพื้นบ้านที่มีรสฝาด ผักกูด ยอดฟักแม้ว ยอดฟักทอง
ตำ�ลึง มะเขือเปราะ มะเขือยาว สะระแหน่ ใบหม่อน

อาหารธรรมชาติที่มีความเป็นกลาง ถ่วงสมดุลอารมณ์
น�ำ้ ผักปัน่ น�ำ้ โหระพาต้ม น�ำ้ นมธัญพืช น�ำ้ ส้มคัน้ น�ำ้
เสาวรส น�ำ้ มะนาว น�ำ้ ผลไม้สดทุกชนิด ยกเว้นน�ำ้ ผลไม้สดทีม่ สี ารกันบูด
ตกแต่งสี กลิน่ รสจากสารเคมี น�ำ้ สะอาดวันละ ๓,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ cc.
สลัดผัก ผัดผัก มะระผัด ซุปหอมใหญ่ใส ซุปผัก ซุปเห็ด มะเขือยาว
ยำ�ฟองเต้าหู้ สลัดใบแมงลัก เห็ดหยอง มะเขือยาว

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๐๕
๒๐๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

อาหารฟื้นฟูและอาหารต้องห้าม
สำ�หรับผู้ป่วยทุกประเภท
เอกสารอ้างอิง : ชมรมบ้านสุขภาพ และสถาบันภูมิปัญญาสากล

จากการเก็บข้อมูลของผูเ้ ข้ารับการบำ�บัด ณ ชมรมบ้าน
สุขภาพนั้น ทำ�ให้เราพบว่า โรคที่คุกคามคนไทยเป็นจำ�นวนมาก ก็คือ
โรคทีเ่ กีย่ วข้องกับ “ไต ตับ ลำ�ไส้ และมะเร็ง” คำ�ถามต่าง ๆ มากมาย
ทีม่ กั จะถามเสมอว่า ในเมือ่ ขบวนการบำ�บัดในแนวทางธรรมชาติบ�ำ บัด
นั้น งดใช้ยา และนำ�อาหารมาใช้ทดแทน อาหารชนิดใดที่จะทานได้
และอาหารชนิดใดทีเ่ ป็นของต้องห้าม ดังนัน้ ทางชมรมบ้านสุขภาพจึง
ได้รวบรวมอาหารต้องห้าม และอาหารฟืน้ ฟูสขุ ภาพสำ�หรับผูป้ ว่ ยทีเ่ ป็น
โรคไต ตับ ลำ�ไส้ และมะเร็ง ดังนี้

อาหารต้องห้ามสำ�หรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไต ตับ ลำ�ไส้ มะเร็ง


ของดอง ชะเอม ชะพลู ใบยอ ชุงฉ่าย ผักโขม สะเดา
ไชเท้า ขี้เหล็ก ใบขี้เหล็ก ใบขี้เหล็กหวาน ใบมะม่วงหิมพานต์ สะตอ
ลูก เนี ย ง กระถิน ชะอม หน่อไม้ คะน้า แตงกวา กะหล่ำ�ปลี
กะหล่ำ�ดอก หัวปลี ใบกุยช่าย บล็อคโคลี่ มะละกอดิบ ฟักทอง งาดำ�
(ร้อนทำ�ให้ทอ้ งอืด) ข้าวโพด (มีไขมันมาก มีไขมันทีย่ อ่ ยไม่หมด ทำ�ให้
เลือดข้น) ถั่วลิสง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ แครอท อัลมอนด์ ถั่วเน่า
เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว เกลือ กะปิ สาหร่ายทะเล กะทิ เผือก (มีแก๊สมาก) ลูก
กะ อาหารทะเลทุกชนิด น้ำ�ตาลกรวด มะม่วง ฝรั่ง (ทำ�ให้ปวด)
มะพร้าวอ่อน ทุเรียน ละมุด ลำ�ไย ขนุน แตงโม นมข้น สัปปะรด
ครีมเทียม แป้งสาคู แป้งเปียก ข้าวเหนียว น้ำ�ตาลทราย ขนมจีน
อาหารขัดผิว ก๋วยเตี๋ยว แกงป่า แกงส้ม แกงอ่อม หัวและใบของมัน
สำ�ปะหลัง (มีไซยานิคแอซิด) ผักกระโดน กุ้งแห้ง ส้มตำ� ทอฟฟี่
ไอศกรีม เนย ชีส ขนมเค้ก คุกกี้ เนื้อหมู เนื้อวัว เป็ด ไก่ กุ้ง หอย
ปู ปลาหมึก เครื่องในสัตว์ทุกชนิด อาหารกระป๋อง น้ำ�อัดลม ชา
กาแฟ เครื่องดื่มชูกำ�ลัง ซุปไก่สกัด รังนกบรรจุขวด

อาหารฟื้นฟู ไต ตับ ลำ�ไส้ มะเร็ง
ลูกเกด (โรคมะเร็งควรงด) ขนมปังโฮลวีท (ไม่ใช้ผงฟู)
ผักบุง้ มะระ (กินสดใช้น�้ำ ส้มสายชูหรือเอนไซม์ลา้ ง) บวบ ( สามอย่าง
นึ่งโรยด้วยพริกไทย) ลูกเดือยข้าวเจ้า (ดูดซึมเร็ว) ผักหวาน ผักกาด
ขาว ผักกาดเขียว ตำ�ลึง กวางตุ้ง ฟักเขียว หน่อไม้ฝรั่ง ใบมะขาม
อ่อน ดอกมะขามอ่อน กระเทียม หอมใหญ่ เต้าหู้ขาว ต้นกระเทียม
ยอดฟักทอง ดอกไม้จีน โปรตีนเกษตร วุ้นเส้น ฟองเต้าหู้ ดอกแค
ยอดแค เห็ดทุกชนิด เห็ดหูหนูขาว-ดำ� อ่อมแซบ ยอดมะยม ใบ
ทองหลาง มะตูมสุก มะขวิด มันเทศ เก๋ากี้ เก็กฮวย ยอดผักบุ้ง
กระเจี๊ยบเขียว (ใช้ย่าง แก้โรคพยาธิ) ลูกพลับสด (ให้พลังงาน)
พุทราจีน เม็ดบัว ถั่วดำ� เมล็ดทานตะวัน ใบกระทกรก (ทำ�ซุปผักได้
ดีสำ�หรับคนเป็นหวัด) ถั่วพร้า (สร้างภูมิคุ้มกัน) มะเขือพวง ระกำ�
อี่หร่ำ� อีชึก (ลวก) ผักพาย (กินสด) เกาลัด (สารดูดซึมน้ำ�ตาลมีไขมัน
น้อย) รากบัว มันแกว กล้วยต้ม มังคุด แอปเปิ้ล (ให้พลังงานสูงมาก)
เม็ดฝักบัวสด ( ๑ เม็ด = ข้าว ๑ กำ�มือ) ผักโสม ใบหมุ่ย องุ่น
(ขับปัสสาวะป้องกันนิว่ ในไต) น�้ำ องุน่ สดปัน่ (จะทำ�ความสะอาดตับ-ไต
กินประมาณ ๒ อาทิตย์) ใบบัวบกอินเดีย มะแว้งต้น ผักคาวตอง
(มีแคลเซียมมาก) ใบมันปู

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๐๗
๒๐๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

มาทำ�ความรู้จักกับน้ำ�ผักปั่นกันเถอะ
ในน�้ำ ผักเป็นกรดอ่อน ๆ ทีม่ ี คลอโรฟิลล์ ( Chlorophyll
สารสีเขียวในพืช) มีวิตามินเอ วิตามินซี ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม
แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งเมื่อทานเข้าไปจะเกิดการแลกเปลี่ยน
การใช้สารอาหารได้สูงสุด ณ จุดที่ร่างกายสามารถนำ�ของเสียทิ้งได้
ทั้ ง หมด และทำ � ให้ ร่ า งกายสร้ า งพลั ง งานในแต่ ล ะเซลล์ ไ ด้ อ ย่ า งมี
ประสิทธิภาพ การดื่มน้ำ�ผักปั่นเป็นการเติมสารอาหารประเภทวิตามิน
เกลือแร่ทจี่ �ำ เป็นให้แก่รา่ งกาย ส่งผลให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทน
เซลล์เก่าที่ตายในแต่ละวันได้เต็มที่ ดังนั้น ร่างกายจะได้พลังงานมา
สนับสนุนให้อวัยวะต่าง ๆ ทำ�งานได้มากกว่าเดิม
น้ำ�ผักปั่นสูตรบ้านสุขภาพเป็นน้ำ�ผลไม้ ผักสด ซึ่งช่วย
ล้างของเสียตลอดจนสารพิษต่าง ๆ ทีส่ ะสมอยูใ่ นร่างกายอย่างรวดเร็ว
ทำ�ให้ลดอาการปวดต่าง ๆ ที่เกิดจากอาการท้องเสีย หรือมีของเสีย
ตกค้างอยูใ่ นระบบเลือดมากจนทำ�ให้ปวดตามกล้ามเนือ้ อาการปวดดัง
กล่าวจะลดลง นอกจากนัน้ ยังช่วยลดอาการปวดศีรษะ ลดไข้ ลดความ
อ่อนเพลีย ลดอาการนอนหลับยาก ลดอาการนอนกรน ซึ่งอาการที่ดี
ขึ้นนั้นคือ ขบวนการที่ร่างกายชะล้างของเสียออกได้ดีขึ้น พร้อมทั้ง
ฟื้ น ฟู เ ซลล์ ใ หม่ ท ดแทนเซลล์ เ ก่ า ที่ ต าย ซึ่ ง การดื่ ม น้ำ � ผั ก ก่ อ นรั บ
ประทานอาหารจะเป็นการเตรียมร่างกายให้ยอ่ ยสารอาหารทีเ่ รากินลง
ไปได้ดกี ว่าเดิม กล่าวคือ เกิดสภาวะดีกบั ร่างกายทัง้ ระบบ ซึง่ น�ำ้ ผักปั่น
จะทำ�หน้าที่สำ�คัญ ๒ อย่างในเวลาเดียวกัน ดังนี้
๑. ให้สารอาหารที่จำ�เป็นต่อร่างกาย เพื่อนำ�ไปฟื้นฟูตับ
และตับอ่อน
๒. กระตุน้ ให้รา่ งกายพร้อมในการย่อยไขมันทีเ่ หลือค้างอยู่
เปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน ทำ�ให้ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะย่อยสาร
อาหารที่รับประทานเข้าไปในมื้อต่อไป

ส่วนประกอบและประโยชน์ของน้ำ�ผัก
น้ำ�ผักปั่นมีสารอาหาร แร่ธาตุและวิตามินที่ช่วยฟื้นฟู
การทำ�งานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย โดยช่วยการทำ�งาน ๕ ระบบ
ในร่างกาย คือ ระบบดูดซึม ระบบทางเดินหายใจ ระบบหมุนเวียน
โลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบต่อมไร้ท่อ โดยมีส่วนประกอบ ดังนี้

ผักกาดหอม
ช่วยฟืน้ ฟูเซลล์โดยเฉพาะระบบประสาทและเซลล์ในปอด
ช่วยบำ�รุงกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ช่วยบำ�บัดโรคโลหิตจาง
คื่นฉ่าย
ช่วยฟืน้ ฟูระบบประสาทและฟืน้ ฟูการสร้างเซลล์เม็ดเลือด
ช่วยชะล้างของเสียในระบบเลือด ช่วยให้รา่ งกายมีความสามารถในการ
ใช้แคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอาการเจ็บปวดของระบบ
ข้อเสื่อมต่าง ๆ
มะเขือเทศ
ช่วยทำ�ให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ผิวพรรณดี เพิ่มภูมิ
ต้านทานของร่างกาย มีสารช่วยย่อยอาหาร ทำ�ให้เยื่อบุกระเพาะและ
ลำ�ไส้ทำ�งานเป็นปกติ
หอมหัวใหญ่
ช่วยทำ�ให้หัวใจแข็งแรง
มะนาว
ช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๐๙
๒๑๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เสาวรส
ช่วยฟืน้ ฟูระบบภูมคิ มุ้ กัน ในเมล็ดมีสารอาหารช่วยบำ�รุงสมอง
น้ำ�ผึ้ง
ให้พลังงานสำ�รองกับม้ามและฮอร์โมน
พืชผักที่สามารถทดแทนหรือเพิ่มเติม
กล้วยน้ำ�ว้าสุก
เป็นผลไม้ทใี่ ห้วติ ามินซีสงู เมือ่ ต้องการเพิม่ ความหวาน
สามารถใช้กล้วยน้ำ�ว้าสุกแทนน้ำ�ผึ้งได้
แอปเปิ้ลแดง
ให้วิตามินเอ ซี แคลเซียมและฟอสฟอรัส
ผักกาดขาว
หากผักกาดหอมหมด ผักกาดขาวเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ที่ให้แคลเซียมและไฟเบอร์ ช่วยทำ�ให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
ใบสะระแหน่
ช่วยขับลมในลำ�ไส้และบำ�รุงปลายประสาท
ใบโหระพา
ช่วยขับลมในลำ�ไส้ บำ�รุงปลายประสาท ลดความเป็น
กรดในกระแสโลหิต ลดอาการไข้ แก้ปวดหัว
ผลไม้ที่ให้รสเปรี้ยว
ตะลิงปลิง มะดัน มะนาว ส้ม ส้มโอ เสาวรส
อาหารสะอาดปลอดภัยด้วยน้ำ�เอนไซม์
น้ำ�เอนไซม์สำ�หรับคน คือสารที่เกิดจากขบวนการแตกตัว
ของสารอาหารด้วยขบวนการ Ionic Discharge ซึง่ เป็นการได้รบั สาร
อาหารในรูปของอิออนบวกและลบ ทำ�ให้เกิดการสลายอนุมูลอิสระใน
ร่างกายให้เกิดเป็นอนุมูลธาตุ ช่วยให้ระบบเซลล์และระบบเคมีใน
ร่างกาย เกิดสภาวะสมดุล และเกิดการซ่อมแซมส่วนทีส่ กึ หรอและเสือ่ ม
ไปได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินและเกลือแร่
คือ วิตามินบีรวม บี๑ บี๒ บี๑๒
นอกจากนี้ เมื่อร่างกายได้รับเอนไซม์ ซึ่งมีองค์ประกอบ
รวม คือ กรดอะมิโน วิตามิน แร่ธาตุ ทีจ่ ำ�เป็นต่อการเจริญเติบโตของ
ร่างกายจะทำ�ให้ร่างกายสามารถทำ�งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น ระยะเวลาของการเก็บหรือหมักผลไม้ + น้ำ�ผึ้ง
+ น้ำ� ตามสัดส่วน ๑:๑:๑๐ จะทำ�ให้เกิดการแตกตัวของสารอาหาร
อย่างรวดเร็ว จนเกิดประจุไฟฟ้าระดับ ๑,๐๐๐ ไมโครซีเมน และ
๒,๐๐๐ ไมโครซีเมน ซึ่งโดยปกติของสารอาหารทั่วไปจะมีประจุไฟฟ้า
ไม่มากกว่า ๘๐-๑๐๐ ไมโครซีเมน การขับเคลื่อนของเสียในร่างกาย
จำ�เป็นต้องได้รับสารอาหารที่มีการเหนี่ยวนำ�ของประจุไฟฟ้าสูง จึงจะ
เกิดการสร้างสภาวะสมดุลของเคมีในร่างกายได้

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๑๑
๒๑๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

น้ำ�เอนไซม์สำ�หรับใช้ล้างผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์
คุณสมบัติ
ใช้ล้างผักและผลไม้จากสารพิษตกค้าง ทำ�ให้สดกรอบ
ไร้สารพิษสามารถเก็บได้นาน
ใช้ล้างเนื้อหมู วัว เป็ด ไก่ หอย ปู ปลา ทำ�ให้สด เนื้อ
หวานนุ่ม

วิธีล้างผักเพื่อกำ�จัดสารพิษตกค้าง
สำ�หรับผักและผลไม้ ใช้น�ำ้ เอนไซม์ ๑ ช้อนโต๊ะ/น�ำ้ ๑ ลิตร
แช่ผกั ๑/๒ กิโลกรัม นาน ๑๕ นาที
สำ�หรับเนือ้ สัตว์ ใช้น�ำ้ เอนไซม์ ๒ - ๔ ช้อนโต๊ะ/น�ำ้ ๑ ลิตร
แช่เนือ้ สัตว์ ๑/๒ กิโลกรัม นาน ๑/๒ ชัว่ โมง
กรณีพืชผักและผลไม้มาก ควรใช้อ่างใบใหญ่และแช่ผัก
ลงในอ่างที่ผสมน้ำ�เอนไซม์แล้ว น้ำ�เอนไซม์พอแตกตัวจะมีโอโซน เมื่อ
นำ�มาแช่ผักหรือเนื้อสัตว์แล้ว โอโซนนั้นจะดูดซึมเข้าสู่เซลล์ เปลี่ยนรูป
สารเคมีในผักและเนื้อสัตว์ ทำ�ให้ผักและเนื้อสัตว์นั้นสดขึ้น
๒๓๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
๒๓๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
บทสรุปของคณะแพทย์
ที่มีความเห็นต่อผู้เข้าร่วมโครงการ

ทำ�ความรูจ้ กั กับแพทย์และพยาบาลทีม่ าด้วยใจ


การจัดทำ�โครงการเรียนรู้ ดูกายใจ ด้วยธรรมะ ธรรมชาติ
ในครัง้ นี้ ได้รบั ความร่วมมือจากคณะแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาล
ศรีนครินทร์ โดยการประสานงานของคุณไกรวาส แจ้งเสม พยาบาล
ภาควิชาวิสญ ั ญีวทิ ยา คณะแพทยศาสตร์ ซึง่ คุณหมอและพยาบาลทีม่ า
ช่วยในโครงการก็ลว้ นแต่มาด้วยใจ ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นแพทย์
และพยาบาลทีด่ โี ดยไม่มคี า่ ตอบแทนใด ๆ เลย อาตมารูส้ กึ ซาบซึง้
ในความเสียสละ เริม่ ตัง้ แต่ ศ.นพ.สมบูรณ์ เทียนทอง หัวหน้าภาค
วิชาวิสญ ั ญีวทิ ยา ทีเ่ ห็นความสำ�คัญของโครงการจึงอนุญาตให้แพทย์ใน
ภาควิชา คือ รศ.พญ.วิมลรัตน์ ศรีราช รศ.พญ.พนารัตน์ รัตนสุวรรณ
ยิ้ม แย้ ม ในส่ ว นของพยาบาลก็ มี คุ ณ วิ นิ ต า จิ ร าระรื่ น ศั ก ดิ์
คุณกาญจนา อุปปัญ คุณไกรวาส แจ้งเสม และด้วยความสนใจเป็นการ
ส่วนตัวถึงเรื่องที่เกี่ยวกับความปวดว่าการปฏิบัติธรรมจะมีส่วนช่วยได้
มากน้อยอย่างไร ศ.นพ.สมบูรณ์ จึงได้มาเยีย่ มโครงการพร้อมทัง้ ร่วม
สังเกตการณ์และได้มกี ารทดลองปฏิบตั ธิ รรมในโครงการด้วย บุคคลต่อ
มา รศ.พญ.วิมลรัตน์ ศรีราช คุณหมอท่านนีเ้ ป็นคุณหมอทีม่ คี วามสนใจ
ในการปฏิบตั ธิ รรมอยูก่ อ่ นแล้ว คุณหมอได้ท�ำ การตรวจเยีย่ มผูป้ ว่ ย ร่วม
สังเกตการณ์ในโครงการ ทัง้ ให้ค�ำ แนะนำ�ในสิง่ ทีเ่ กีย่ วข้องกับผูป้ ว่ ย ร่วม
วิเคราะห์สถานการณ์ของผู้ป่วยบางราย ทำ�ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ
เป็นอย่างดี

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๓๗
๒๓๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ในส่วนของแพทย์ที่ต้องอดทนเหนื่อยตรวจร่างกายให้กับผู้
เข้าร่วมโครงการอยูต่ ลอดทัง้ วันคือ ในวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๑ และ
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ เป็นการตรวจร่างกายและเก็บตัวอย่างเลือด
ของผูป้ ว่ ยด้วยโรคมะเร็งทีเ่ ข้าโครงการในวันเริม่ ต้นโครงการ และก่อน
สิ้ น สุ ด โครงการหนึ่ ง วั น นอกจากนั้ น ยั ง เข้ า ร่ ว มปฏิ บั ติ ธ รรมใน
โครงการด้วยนั่นก็คือ รศ.พญ.พนารัตน์ รัตนสุวรรณ ยิ้มแย้ม
แพทย์ ท่ี ต้ อ งบอกว่ า หาเวลาว่ า งได้ ย ากมาก นั่ น คื อ
ผศ.พญ.เอือ้ มแข สุขประเสริฐ แพทย์ผเู้ ชีย่ วชาญด้านอายุรศาสตร์มะเร็ง
วิทยา โรงพยาบาลศรีนครินทร์ แต่กย็ งั เสียสละเวลาอันมีคา่ เหล่านัน้ มา
เป็นวิทยากร ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของโรคมะเร็งให้แก่ผู้เข้าร่วม
โครงการและเมื่อไหร่ท่ีมีเวลาว่าง คุณหมอก็จะแวะมาตรวจเยี่ยม
พร้อมทัง้ ให้ก�ำ ลังใจกับผูเ้ ข้าร่วมโครงการอยูเ่ สมอ ส่วนคุณหมออีกท่าน
หนึง่ ด้วยความตัง้ ใจอันเป็นกุศล จึงเดินทางมาจากกรุงเทพฯ และได้รว่ ม
เป็นวิทยากรให้ความรู้กับผู้เข้าร่วมโครงการ ทำ�การตรวจร่างกาย
วัดความดัน รวมถึงอยูป่ ฏิบตั ธิ รรมในโครงการกับผูเ้ ข้าร่วมโครงการเพือ่
เป็นขวัญและกำ�ลังใจในระยะเวลาหนึ่ง คือ พญ.ปิ่นนภัส ยังไม่หมด
เท่านี้ ต่อมาก็คอื พยาบาลทีเ่ สียสละเวลามาช่วยเก็บตัวอย่างเลือด พร้อม
กั บ เป็ น ผู้ ช่ ว ยแพทย์ ใ นการตรวจผู้ ป่ ว ยซึ่ ง ได้ แ ก่ ท้ั ง ๓ ท่ า นนี้ คื อ
คุณกาญจนา อุปปัญ คุณวินติ า จิราระรืน่ ศักดิ์ และพยาบาลทีเ่ ปรียบ
เสมือนหนึ่งบุคคลหลักในโครงการเพราะช่วยประสานงานด้านแพทย์
รวมทัง้ เอกสารทีเ่ กีย่ วข้องในโครงการบางส่วน คือ คุณไกรวาส แจ้งเสม
และพยาบาลผูอ้ ยูเ่ บือ้ งหลังคอยดำ�เนินงานด้านเอกสาร อีกท่านหนึง่ คือ
คุณพรนภา บุญตาแสง

ทั้งโครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ และ
หนังสือกาลครั้งหนึ่งเมื่อฉันหัดเดินเล่มนี้ จะเกิดขึ้นในรูปแบบของ
โครงการที่ดูอุ่นใจและหนังสือที่มีเหตุผลช่วยให้คิดสะกิดใจไม่ได้ หาก
ขาดซึ่งคณะแพทย์และพยาบาลดังที่ได้เอ่ยนามมาแล้วทุกท่าน
อาตมาในฐานะผู้จัดทำ�โครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ
ธรรมชาติ ขอขอบคุณขอบใจคณะแพทย์และพยาบาลทุกท่านที่ได้ร่วม
สรรค์สร้างโครงการ ตลอดจนหนังสือกาลครั้งหนึ่งเมื่อฉันหัดเดิน
เล่มนี้ จนประสบความสำ�เร็จตามที่อาตมาหวังไว้ทุกประการ ด้วย
บุญกุศลที่ท่านทั้งหลายได้สร้างไว้ ขออำ�นวยอวยพรให้ท่านทั้งหลาย
อันได้แก่แพทย์และพยาบาลผู้เสียสละทุกท่าน ประสบพบความสำ�เร็จ
ตามที่ท่านปรารถนาไว้แล้วด้วยดีทุกประการเทอญ

ขอเจริญพร

ข้อมูลของผู้เข้าร่วมโครงการโดยความเห็นของแพทย์
จากการร่วมเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดโครงการ

หลังจากสิน้ สุดโครงการ คณะแพทย์ทมี่ สี ว่ นช่วยในโครงการ
อันได้แก่ ศ.นพ.สมบูรณ์ เทียนทอง รศ.พญ.วิมลรัตน์ ศรีราช
ผศ.พญ.เอือ้ มแข สุขประเสริฐ และรศ.พญ.พนารัตน์ รัตนสุวรรณ ยิม้ แย้ม
ได้ทำ�การวิเคราะห์ข้อมูลจากการเก็บตัวอย่างเลือด ตรวจร่างกาย
พร้อมทัง้ ผลจากการตอบแบบสอบถาม เกีย่ วกับดัชนีชวี้ ดั สุขภาพจิตคน
ไทยฉบับสมบูรณ์และแบบวัดคุณภาพชีวติ ผูป้ ว่ ยโรคมะเร็ง ซึง่ ข้อมูลเหล่า
นี้ได้ทำ�การเก็บไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นโครงการและก่อนสิ้นสุดโครงการ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๓๙
๒๔๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

หนึ่งวัน จากระยะเวลาในการดำ�เนินโครงการทั้งหมด ๓๒ วัน โดย


แพทย์ ผู้ ทำ � การตรวจร่ า งกายให้ กั บ ผู้ เ ข้ า ร่ ว มโครงการ ก็ คื อ
รศ.พญ.พนารัตน์ รัตนสุวรรณ ยิม้ แย้ม ส่วนพยาบาลผูช้ ว่ ยเก็บตัวอย่าง
เลือดของผู้เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ คุณกาญจนา อุปปัญ คุณวินิตา
จิราระรื่นศักดิ์ และคุณไกรวาส แจ้งเสม ดังมีรายละเอียดผลของ
ข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการโดยความเห็นร่วมกันของแพทย์ในโครงการ
ดังนี้
๑. ข้อมูลของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ
มที งั้ หมด ๑๒ คน ประกอบด้วยผูห้ ญิง ๑๑ คน ผูช้ าย
๑ คน
๑.๑ ข้อมูลโดยทั่วไปของผู้เข้าร่วมโครงการ
๑.๑.๑ อายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมโครงการ อยู่ที่ ๕๐ ปี
โดยมีอายุสูงสุดคือ ๖๒ ปี และต่ำ�สุดที่ ๓๘ ปี
๑.๑.๒ การวินิจฉัยโรค พบว่าเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
มากที่สุดคือ ๖ ราย ผู้ป่วยมะเร็งปอด ๒ ราย นอกจากนั้นมีมะเร็ง
ตับ มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งลำ�ไส้ใหญ่และมะเร็งรังไข่อย่างละ ๑ ราย
โดยในผู้ป่วยที่เข้าโครงการจนจบทั้งหมด ๑๒ รายนี้มีข้อมูลชิ้นเนื้อ
ยืนยันว่าเป็นมะเร็งอย่างแน่ชัด ๑๐ ราย ส่วนอีก ๒ ราย ผู้ป่วยสงสัย
ว่าจะเป็นมะเร็งเนื่องจากคลำ�ก้อนได้แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ชิ้นเนื้อ
๑.๑.๓ ระยะของโรค ผู้ป่วยจำ�นวน ๔ รายอยู่ในระยะ
แพร่กระจาย คือมีรอยโรคที่กระจายไปยังอวัยวะห่างไกลออกไปแล้ว
ส่วนอีก ๖ รายเป็นผูป้ ว่ ยทีเ่ คยได้รบั การวินจิ ฉัยว่าเป็นมะเร็ง แต่ได้รบั
การรักษาระยะแรกไปแล้ว เช่นการผ่าตัด การให้เคมีบำ�บัดหรือรังสี
รักษา และกำ�ลังอยู่ในระหว่างการติดตามผลว่าโรคมะเร็งจะกลับมา
หรือไม่ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นมะเร็งเต้านมและรังไข่ โดยบางราย
อยู่ในระหว่างการรับประทานยาต้านฮอร์โมน ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการ
ป้องกันการกลับเป็นซ้ำ�ของโรคมะเร็งอยู่
๑.๒ ข้อมูลด้านสุขภาพร่างกาย
๑.๒.๑ น้ำ�หนักตัวและดัชนีมวลกาย
สามารถแบ่งผูป้ ว่ ยออกเป็น ๒ กลุม่ ตามค่าดัชนีมวลกาย
หรือที่เรียกว่า BMI (Body Mass Index)
สูตรในการคำ�นวณ BMI คือ น้ำ�หนักตัว (กิโลกรัม)/
ส่วนสูง (เมตร)๒
น�้ำ หนักตัวทีเ่ หมาะสมคำ�นวณจากดัชนีมวลกาย (BMI) ดังนี้
BMI = ๑๘.๕-๒๒. ๐ น้ำ�หนักปกติ
BMI < ๑๘.๕ ผอมเกินไป
BMI > ๒๓.๐ น้ำ�หนักเกินหรืออ้วนเกิน
๑. ผู้ป่วยที่มีดัชนีมวลกายปกติหรือน้อยกว่าปกติ คือ
ผู้ป่วยที่เป็นที่ทราบกันดีว่าน้ำ�หนักอยู่ในเกณฑ์ปกติถึงผอมเล็กน้อย
- มีผู้เข้าร่วมโครงการที่จัดเข้าในกลุ่มนี้ทั้งหมด ๗ ราย
- หลังจากเข้าร่วมโครงการจนจบ ผูป้ ว่ ยกลุม่ นีม้ นี �้ำ หนัก
ตัวเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
- ผู้ป่วย ๓ รายมีน้ำ�หนักตัวคงที่ ไม่เพิ่มไม่ลด
- ผู้ป่วย ๒ รายน�้ำ หนักตัวลดลงเล็กน้อย เฉลีย่ ประมาณ
๑.๗๕ กิโลกรัมต่อคน
- ผู้ป่วย ๒ รายน้ำ�หนักตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยประมาณ
๑.๒๕ กิโลกรัม
- แต่ไม่มผี ใู้ ดทีน่ �้ำ หนักตัวเปลีย่ นแปลงจนเกินหรือต�่ำ กว่า

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๔๑
๒๔๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ค่าปกติ
๒. กลุ่มผู้ป่วยที่ตั้งแต่แรกมีดัชนีมวลกายที่สูงกว่าปกติ
หรืออ้วนกว่าปกติ
- มีผู้เข้าร่วมโครงการที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ทั้งหมด ๕ ราย
- หลังจากจบโครงการ ผูป้ ว่ ยทุกรายมีน�้ำ หนักตัวลดลง
โดยค่าเฉลี่ยของน้ำ�หนักที่ลดลงคือ ๓.๒ กิโลกรัมต่อคน
- ในจำ�นวนนี้มีผู้ป่วย ๒ รายที่ตอนแรกมา มีดัชนีมวล
กายอยู่ในค่าสูงกว่าปกติ และกลับมาเป็นปกติหลังจบโครงการ
๑.๒.๒ การตรวจร่างกายที่บ่งชี้ขนาดของมะเร็ง
มีผปู้ ว่ ยสองรายทีม่ กี อ้ นมะเร็งทีค่ ลำ�ได้จากภายนอก คือ
ต่อมน้ำ�เหลืองเหนือไหปลาร้า และมีผปู้ ว่ ย ๑ รายทีข่ นาดของก้อนยุบ
ลงอย่างชัดเจน อีก ๑ รายขนาดเท่าเดิม ส่วนคนอื่นรอยโรคอยู่ใน
บริเวณที่ไม่สามารถวัดขนาดได้จากภายนอก
๑.๒.๓ ความดันโลหิต (Blood Pressure)
มีผู้ป่วย ๑ รายที่เริ่มต้นด้วยความดันที่สูงกว่าปกติ คือ
มากกว่า ๑๔๐ / ๙๐ มิลลิเมตรปรอท ซงึ่ ผูป้ ว่ ยเป็นความดันสูงมาแต่
แรก หลังเข้าร่วมโครงการความดันกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดย ไม่ได้
รับประทานยาความดัน ซึ่งความดันตัวแรกคือ Systolic Blood
Pressure ลดลงถึง ๓๕ มิลลิเมตรปรอท
๑.๒.๔ ระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง (Hematocrit)
ผู้ป่วย ๘ รายเริ่มต้นด้วยค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือด
แดงปกติ คือมีค่ามากกว่า ๓๐ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หลังจากจบ
โครงการ ผู้ป่วย ๕ ราย มีค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง เปลีย่ นไป
ในแนวทางที่เข้มข้นขึ้นโดยมีค่าเฉลี่ยของการเพิ่มขึ้นที่ ๒ มิลลิกรัมต่อ
เดซิลิตร ผู้ป่วย ๓ ราย มีความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงลดลง โดย
ลดลงเฉลี่ย ๑ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่อย่างไรก็ ต ามยั ง คงอยู่ ใ นค่ า
ปกติไม่ถึงระดับซีด (Anemia)

ผู้ป่วย ๓ รายมีภาวะโลหิตจางแต่ต้น หลังจบโครงการมีผู้
ป่วย ๑ ราย ทีม่ คี วามเข้มข้นของเลือดเพิม่ ขึน้ โดยเพิม่ ขึน้ ๐.๕ มิลลิกรัม
ต่อเดซิลติ ร ผู้ป่วยอีกหนึ่งรายลดลง ๑.๘ มิลลิกรัมต่อ เดซิลิตร และผู้
ป่วยรายสุดท้ายลดลงมากที่สุดคือ ๓ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่ผู้ป่วย
รายสุดท้ายนี้ เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวกระจายเข้าไขกระดูก ดังนัน้
การที่ผู้ป่วยซีดลงมาก อาจจะเกี่ยวเนื่องกับโรคมะเร็งที่เป็นอยู่
๑.๒.๕ จำ�นวนเม็ดเลือดขาว (White Blood Cell
Count)
ผูป้ ว่ ยส่วนใหญ่มจี �ำ นวนเม็ดเลือดขาวลดลงเล็กน้อยหลัง
จบโครงการ แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณทีล่ ดลงไม่ได้รนุ แรงจนถึงระดับ
ที่จะเกิดปัญหาเรื่องเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
๑.๒.๖ จำ�นวนเกล็ดเลือด (Platelet Count)
จำ�นวนเกล็ดเลือดไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย
สำ�คัญในผู้ป่วยทุกรายยังอยู่ในเกณฑ์ปกติทุกราย
๑.๒.๗ การตรวจวัดระดับไขมันไม่ดชี นิด Cholesterol
ในร่างกาย
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ชัดเจน เนื่องจากมีผู้ป่วย
จำ�นวน ๑๐ รายมีระดับ Cholesterol ที่ลดลงอย่างชัดเจน โดยมีค่า
เฉลี่ยของการลดลงอยู่ที่ ๔๑ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ระดับสูงสุดของ
Cholesterol ที่ลดลงคือ ๑๑๕ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร มีผู้ป่วยเพียงสอง

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๔๓
๒๔๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

รายที่มีระดับ Cholesterol ที่เพิ่มขึ้นหลังจบโครงการ โดยมีค่าเฉลี่ย


ของการเพิม่ ขึน้ คือ ๓๐ มิลลิกรัมต่อเดซิลติ ร อาจเพราะผูป้ ว่ ยหนึง่ ราย
มีโรคประจำ�ตัวเป็นโรคไขมันในเลือดสูงอยู่ก่อน และผู้ป่วยอีกหนึ่งราย
เป็นโรคมะเร็งตับ ซึ่งบาง ทีการอุดตันท่อน้ำ�ดีเล็ก ๆ ในตับอาจก่อให้
เกิดภาวะ Cholestasis ที่อาจเป็นเหตุผลของการขึ้น ของไขมันในเลือด
ชนิด Cholesterol ได้

๑.๓ ข้อมูลด้านประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้รับจากโครงการ ที่


เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ของแพทย์และพยาบาล
ผู้ ป่ ว ยทั้ ง ๑๒ ราย ได้ ป ระโยชน์ จ ากการเข้ า ร่ ว ม
โครงการ โดยผู้ป่วยที่มีความปวดจาก มะเร็งก่อนเข้าโครงการ มีการ
ลดลงของระดับความปวดอย่างชัดเจน ๗ ราย โดยที่ไม่ต้องได้รับยา
แก้ปวด ๑ ราย ความปวดที่รุนแรงมากลดลงจนผู้ป่วยพอทนได้ แต่ผู้
ป่วยรายนี้ได้ยาแผนปัจจุบันต า้ นการอักเสบร่วมด้วย นอกจากนัน้ ผูป้ ว่ ย
ทั้ง ๑๒ รายได้ประโยชน์ในด้านจิตใจอย่างชัดเจน ผู้ป่วยมีความกังวล
ใจลดลง นอนหลับได้ดีขึ้น รู้สึกจิตใจโล่ง โปร่งสบายมากขึ้น

๒. ข้อมูลของผูเ้ ข้าร่วมโครงการทีไ่ ม่สามารถอยู่


จนครบตามกำ�หนด
มีผปู้ ว่ ย ๖ รายทีจ่ ดั อยูใ่ นกลุม่ นี้ ๕ รายเป็นผูห้ ญิง ๑ ราย
เป็นผู้ชาย ในแง่การวินิจฉัย มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ๒ ราย มะเร็งปอด
๑ ราย มะเร็งปากมดลูก ๑ ราย มะเร็งตับ ๑ รายและมะเร็งสมอง
๑ ราย ผู้ป่วย ๔ ราย เป็นมะเร็งจัดอยู่ในระยะแพร่กระจาย ส่วน ๑
รายเป็นผูป้ ว่ ยทีไ่ ด้รบั การรักษาแล้วและยังไม่มรี อยโรคปรากฏในขณะนี้
เท่าที่มีข้อมูลพบว่า แม้ผู้ป่วยจะไม่ได้เข้าร่วมโครงการจน
ครบ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีน้ำ�หนักตัวลดลงหลังเข้าโครงการ ค่าเฉลี่ย
ของการลดลงคือ ๒.๙ กิโลกรัมต่อคน มีผู้ป่วย ๑ รายมีน้ำ�หนักขึ้น
๐.๕ กิโลกรัม มีผปู้ ว่ ยสองรายทีไ่ ด้รบั การเจาะเลือดตรวจก่อนและหลัง
เข้าโครงการ พบว่าทัง้ สองรายมีระดับไขมัน Cholesterol ลดลงอย่าง
ชัดเจน โดยมีผู้ป่วยหนึ่งรายลดลงถึง ๑๒๒ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ข้อมูลด้านผลต่อจิตใจและร่างกายหลังเข้าร่วมโครงการ พบ
ว่าผู้ป่วยทุกราย รายงานว่าได้ประโยชน์ในด้านจิตใจ รู้สึกดีขึ้น ลด
ความกังวล ความหวาดกลัวลดลง และมีผู้ป่วย ๓ รายที่รายงานว่า
อาการปวดลดลงอย่างชัดเจนโดยไม่จำ�เป็นต้องใช้ยาใด

สรุปผลของผู้เข้าร่วมโครงการทุกราย
จากตัวแทนแพทย์โดย ผศ.พญ.เอือ้ มแข สุขประเสริฐ

ผูป้ ว่ ยทุกรายได้รบั ประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการ โดย
ประโยชน์ที่เห็นชัดเจนที่สุดได้ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ในด้านจิตใจ
ผูป้ ว่ ยรูส้ กึ มีความสุข สงบมากขึน้ ความกังวลและหวาดกลัวลดลง ด้าน
ร่างกายทีเ่ ห็นชัดเจนคือสัญญาณทีแ่ สดงให้เห็นว่าผูป้ ว่ ยมีสขุ ภาพทีแ่ ข็ง
แรงหรือทีเ่ รียกว่า Fitness ดีขนึ้ โดยถ้าผูป้ ว่ ยมีมวลกายสูงหรือมีภาวะ
อ้วนก่อนเข้าโครงการ ผูป้ ว่ ยจะมีน�้ำ หนักตัวทีล่ ดลงอย่างชัดเจน ไขมัน
ชนิด Cholesterol ลดลงอย่างชัดเจน และไม่มีผลข้างเคียงเรื่องโลหิต

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๔๕
๒๔๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

จางหรือเรื่องเม็ดเลือดขาวลดอย่างมีนัยสำ�คัญ ผลประโยชน์ที่ได้ในแง่
ผูป้ ว่ ยมะเร็งทีน่ า่ สนใจคือ มีผปู้ ว่ ยบางรายทีก่ อ้ นมะเร็งยุบลงจากการ
ตรวจร่างกาย และอาการปวดจากมะเร็งลดลงในผู้ป่วยส่วนมาก
และลดลงอย่างชัดเจนโดยที่ไม่จำ�เป็นต้องใช้ยาแก้ปวด
๒๔๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

วิปัสสนากรรมฐาน กับการมาเยือนอีกครั้ง ของมะเร็งร้าย


สมประสงค์ สีลาดเลา

ข้ า พเจ้ า รั บ ราชการครู โ รงเรี ย นร้ อ ยเอ็ ด วิ ท ยาลั ย


(พ.ศ.๒๕๑๙ - ๒๕๔๗) และเป็นเจ้าของโรงเรียนกวดวิชา ปัจจุบันเป็น
ข้าราชการบำ�นาญมาตัง้ แต่พ.ศ.๒๕๔๗และเป็นเจ้าของโรงเรียนอนุบาล
เอกชน
ทีต่ อ้ งกล่าวถึงสถานภาพทางอาชีพเพราะคิดว่าจะเป็นสาเหตุ
หลักของการเกิดโรคมะเร็งของข้าพเจ้า เนือ่ งจากงานสอน งานเอกสาร
การสอนในส่วนรับผิดชอบของงานประจำ�ในหน้าที่ และงานสอนพิเศษ
กวดวิชา ข้าพเจ้าทำ�งานไม่มีวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่มีปิดเทอม เริ่มงาน
สอนจากเวลา ๐๖.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ของทุกวัน ตัง้ แต่พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นต้น
มา
จนปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้าพเจ้ารูส้ กึ เหนือ่ ยมากกว่าปกติ หายใจ
หอบ อ่อนเพลีย จะเพิ่มกาแฟเป็นวันละ ๒-๓ แก้ว หรือเพิ่มเครื่อง
ชูกำ�ลังใด ๆ ก็ไม่ฟื้นเร็วเหมือนที่ผ่านมา จึงไปตรวจร่างกายที่โรง
พยาบาลเอกชนในจั ง หวั ด ร้ อ ยเอ็ ด พบก้ อ นเนื้ อ ที่ บ ริ เ วณทรวงอก
(เต้านม) ด้านซ้าย ๓ ก้อน หมอผ่าตัดก้อนที่ใหญ่ที่สุดส่งไปตรวจที่
สถาบั น มะเร็ ง เมื่ อ รู้ ผ ลก็ ไ ปรั บ การรั ก ษาตั ว ที่ ส ถาบั น มะเร็ ง ที่
กรุงเทพมหานคร โดยการให้ทานยาอยู่ ๖ เดือน หลังจากนั้นก็นัด
ตรวจละเอียด ๓ วัน เพื่อผ่าตัดและให้เคมีบำ�บัด แต่ข้าพเจ้าเข้าตรวจ
ได้ถงึ วันที่ ๒ ก็ตดั สินใจเดินจากสถาบันมะเร็งมา และไม่กลับไปอีกเลย
ข้าพเจ้าเลือกไปรักษาสมุนไพรของหมอเจนขจรศิลป์ ที่
จังหวัดนครนายก รักษาอยูไ่ ด้ ๑๘ เดือนโดยประมาณ ก้อนเนือ้ ทีเ่ หลือ
อยู่ยุบหายไป ร่างกายแข็งแรงขึ้น (ในระหว่างการรักษา ๑๘ เดือน
ต้องควบคุมอาหาร ทานได้เฉพาะผักที่หมอกำ�หนด ห้ามเนื้อทุกชนิด)
มี กำ � ลั ง ใจคิ ด ขยายงานต่ อ คื อ ดำ � เนิ น การจั ด ตั้ ง โรงเรี ย นอนุ บ าล
ประมาณปลายปี ๒๕๔๖ เริ่มซื้อที่ดิน ดำ�เนินการก่อสร้างอาคารเรียน
ติดต่อธนาคาร ตลอดจนเปิดสอนกวดวิชาควบคูก่ นั ไป
เมื่อความโลภเกาะติด ความเครียดครอบงำ� เวลาและงาน
เร่งรีบรัดตัว ปลายปี ๒๕๔๗ ถึงต้นปี ๒๕๔๘ ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยมาก
หายใจขัด เจอก้อนเนื้อที่ทรวงอกกลับมาอีก แต่ความประมาทที่เคย
รักษาหายด้วยสมุนไพร และห่วงงาน ห่วงเงินเป็นที่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็
ปลอบตัวเองว่าเดี๋ยวนะรออีกหน่อย โรงเรียนอนุบาลก็ยังไม่เสร็จ
เรียบร้อยดี ธนาคารก็ยังไม่จบ จึงสั่งยาสมุนไพรเจ้าเก่า โดยติดต่อ
หมอเจนทางไปรษณีย์ สั่งยามารักษาไปพลาง ๆ ควบคู่กับการทำ�งาน
หนัก
เมื่อรู้สึกไม่ไหวจึงลาออกจากงานประจำ� แต่ก็ยังศึกษาต่อ
ปริญญาโท วิชาเอกบริหารการศึกษา ภาวะความเครียดและเร่งงาน
ประกอบกับความวิตกกังวลสูง ยังไม่ข้ามปี (ปลายปี ๒๕๔๘ อาการ
ทรุดลงมาก) สภาพข้าพเจ้าแย่มาก ทั้งร่างกายและจิตใจสับสน คิดไม่
ตก หาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ ห่วงงานทั้ง ๆ ที่ร่างกายก็เจ็บป่วย
ทุกข์หนัก เลยต้องหันหน้าเข้าวัด (ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นวัด) ซึ่งเป็นวัด
ที่ ใ กล้ โ รงเรี ย น โชคดี ที่ เ จ้ า อาวาสวั ด นี้ ช อบสอนสมาธิ ( สายสมถ-
กรรมฐาน)
เวลาเช้าทีก่ วาดลานวัดท่านเปิดเทปธรรมะของหลวงพ่อจรัญ
ให้ฟังเป็นประจำ�หลาย ๆ เรื่อง ญาติธรรมที่เคยปฏิบัติวิปัสสนา
กรรมฐานที่ สำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั จังหวัดขอนแก่นซึง่ เป็นสาขา

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๔๙
๒๕๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ของหลวงพ่อจรัญ มอบหนังสือของหลวงพ่อหลายเล่มให้ข้าพเจ้าได้
ศึกษาเกี่ยวกับธรรมรักษาโรค กรรมฐานรักษามะเร็ง ข้าพเจ้าเกิด
ศรัทธาอยากไปศึกษาและปฏิบตั ธิ รรมต่อทีส่ �ำ นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั
โดยคำ�ชักชวนของคุณแม่ไพรวัลย์ รัถฐากูร ญาติธรรม (ข้าพเจ้าขอ
อนุญาตกล่าวนามท่าน เพราะถือว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณชี้ทางธรรมให้
ข้าพเจ้ามีวันนี้)
ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบตั ธิ รรมในโครงการครัง้ แรกวันที่ ๑๒-๑๗
ตุลาคม ๒๕๔๙ ในช่วงปฏิบตั วิ ปิ สั สนากรรมฐานแบบงู ๆ ปลา ๆ ของ
ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตอธิษฐานตามประสาคนอยากหายป่วย และ
อยากได้กราบหลวงพ่อสักครั้ง จากแรงอธิษฐานจิตในกรรมฐานครั้ง
นั้น ทำ�ให้ข้าพเจ้าเกิดปีติอย่างมากมีกำ�ลังใจสูง เมื่อลากรรมฐานแล้ว
วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๙ ข้าพเจ้าโทรศัพท์ให้แฟนที่ทำ�งานอยู่อยุธยา
กลับมาด่วน เพื่อเดินทางไปกราบหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
(ตามนิมิต)

จุดเกิดความหวังใหม่ในจิต
ครัง้ นัน้ ข้าพเจ้าได้กราบหลวงพ่อจรัญใกล้ ๆ สมใจหวัง ใน
ช่วงเย็นข้าพเจ้าได้รับศีล ๘ และรับกรรมฐานจากหลวงพ่อ ในการ
เทศน์อบรมนำ�กรรมฐานในครั้งนั้นช่วงวันพระ มีคนเข้ารับกรรมฐาน
มากมาย ข้าพเจ้าไม่กล้าประมาณ ในใจความตอนหนึ่งหลวงพ่อ
กล่าวว่า “มีหญิงคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย ทำ�กรรม
ฐานแล้วหายได้” ข้าพเจ้าได้ยนิ น�้ำ ตาไหลพรัง่ พรูไม่รสู้ กึ ตัว คิดได้อย่าง
เดียวว่าหลวงพ่อเมตตาข้าพเจ้าแล้ว กำ�ลังใจพุง่ สุดขีด เกิดความหวัง
เต็มเปี่ยมว่า “ฉันหายแน่”
ครัง้ นัน้ ข้าพเจ้าปฏิบตั อิ ยูท่ วี่ ดั อัมพวันพร้อมกับสามีเป็นเวลา
๓ วัน เมื่อกราบลาหลวงพ่อได้ยามะขามรักษาโรค ๑๐๘ มาด้วย
แล้วเดินทางกลับร้อยเอ็ดอย่างคนมีความหวัง

ช่วงที่พบพระผู้บิณฑบาตชีวิตข้าพเจ้า
๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ – ๑ มกราคม ๒๕๕๐ ทีส่ �ำ นักปฏิบตั ิ
ธรรมสวนเวฬุวันมีโครงการปฏิบัติธรรมเพื่อพัฒนาจิต ส่งท้ายปีเก่า
ต้อนรับปีใหม่ ครั้งนี้ข้าพเจ้าลำ�บากใจอย่างยิ่ง เนื่องจากวันที่
๒๕ ธันวาคม ข้าพเจ้าจะเดินทางมาปฏิบตั ธิ รรมร่วมโครงการกับทาง
สำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั เป็นวันเดียวกับทีส่ ามีตอ้ งเข้ารับการผ่าตัด
ทีโ่ รงพยาบาลร้อยเอ็ด “จะสร้างความดีตอ้ งมีมาร” มีคณ ุ แม่ไพรวัลย์
อีกนั่นแหละชี้แนะว่า คราวนี้สามีเป็นหน้าที่ของหมอ เราช่วยได้ก็คือ
“ไปปฏิบัติธรรมส่งบุญมาให้”
ข้าพเจ้าตัดสินใจไปเข้าโครงการพร้อมกับคุณแม่ไพรวัลย์ใน
ช่วง ๒ – ๓ วันแรก ข้าพเจ้าปวดมาก (มะเร็ง) ถึงกับนอนร้องไห้
ในห้องกรรมฐาน คิดว่าคงตายแน่ พระคุณเจ้าผู้บิณฑบาตชีวิตคือ
พระลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ “พระอาจารย์วโิ รจน์ จกฺกวโร”
ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบดูแลโครงการฯ กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “โยมเป็น
มะเร็ ง มาทำ � ไมไม่ บ อกอาตมาก่ อ น” เหมื อ นเป็ น วาจาศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์
ข้าพเจ้ารู้สึกปีติมีกำ�ลังใจ นึกในใจว่า “พระที่นี่ก็สนใจโยมที่เป็นมะเร็ง
ด้วยหรือ”
พระคุณเจ้าท่านก็แนะนำ�วิธีนอนกำ�หนด มือวางหน้าท้อง
ดูทอ้ งยุบท้องพอง ข้าพเจ้ารูส้ กึ ดี คลายปวดคลายกังวล และนอนหลับ
ได้ง่ายขึ้นมาก

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๕๑
๒๕๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
๑ มกราคม ๒๕๕๐ วันลากรรมฐาน
ท่านเมตตาเขียนตารางปฏิบัติกรรมฐานให้ข้าพเจ้านำ�มา
ปฏิบัติต่อที่บ้าน พร้อมกับหนังสือแพทย์ทางเลือกเล่มหนึ่ง ของ
ดร.รสสุคนธ์ พุม่ พันธ์วุ งศ์ พระคุณเจ้าท่านบอกให้ขา้ พเจ้าลองมาศึกษา
ดู กลับบ้านกำ�ลังใจดีขนึ้ มาก สามีหายดีแล้ว เหลือแต่ตวั เอง ตอน
นั้นร่างกายทรุดมาก มะเร็งกระจายสู่ต่อมน้ำ�เหลือง เข้าระยะที่ ๔
ปวดและเหนื่อยมาก ทานข้าวไม่ได้ ท้องอืด นอนภาวนาสวดมนต์
ในห้องพระตลอด จุดธูปอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ แล้วนึกถึงบทคำ�
สอนต่าง ๆ ของหลวงพ่อ ทำ�ให้ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ว่า ไหน ๆ ก็จะตาย
แล้ว “สวดมนต์ให้สะใจก่อนเถอะ”
วันนั้นเป็นวันโกน ข้าพเจ้าสวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ
สังฆคุณ ๑๐๘ จบ (ตั้งแต่ ๑ ทุ่มถึง ๖ โมงเช้า) คืนต่อมาเป็น
วันพระ ข้าพเจ้าสวดบทพาหุงมหากาฯ ๑๐๘ จบ (ตั้งแต่ช่วงเย็นถึง
๖ โมงเช้า) แปลกมากที่ข้าพเจ้าสวดมนต์ตลอดสองคืน แล้วกลางวัน
ไม่เพลียมากเหมือนเดิม มีใจอยากดูหนังสือแพทย์ทางเลือกที่พระ
อาจารย์ วิ โ รจน์ ท่ า นให้ ม า ซึ่ ง ตั้ ง แต่ ก ลั บ มาไม่ เ คยหยิ บ มาดู เ ลย
ได้เจอสูตรอาหารมากมายสำ�หรับผู้ป่วยมะเร็ง ข้าพเจ้าสนใจสูตรน้ำ�
ผักปั่นเพราะอาหารข้าพเจ้าทานไม่ค่อยได้แล้ว เลยลองทำ�ดู ครั้ง
แรก ๆ ปั่นตามสูตร รสชาติไม่ได้เรื่อง แต่ก็ต้องทานเนื่องจากเป็น
ทางเลือกสุดท้ายของเราเช่นกัน หลังจากนัน้ ๑ สัปดาห์ผา่ นไป รูส้ กึ
มีเรี่ยวแรงมากขึ้น ทำ�กรรมฐานได้บ้าง
หนึ่งเดือนผ่านไป ข้าพเจ้าเดินได้คล่อง ปฏิบัติธรรมตาม
ตารางพระอาจารย์ได้ดีขึ้น ร่างกายและจิตใจเข้มแข็งขึ้น เหมือนได้
ชีวติ กลับมาใหม่ ด้วยเมตตาบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๕๓
๒๕๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ส่งชีวิตข้าพเจ้ามาให้พระอาจารย์วิโรจน์บิณฑบาตชีวิตข้าพเจ้าไว้ (เป็น
ความเชือ่ ส่วนตัวของข้าพเจ้า) ซึง่ ข้าพเจ้าจะไม่มวี นั ลืมพระคุณของท่าน
เลย
จากวันนัน้ ถึงวันนี้ (๘ ม.ค. ๕๐ – ๒๕ ก.พ. ๕๑) ข้าพเจ้า
ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยน้ำ�ผักปั่นและวิปัสสนา
กรรมฐานเป็นส่วนใหญ่ จนเมื่อ ๑๕ มกราคม – ๑๕ กุมภาพันธ์
๒๕๕๑ ได้เข้าร่วม “โครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ”
ตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ของพระธรรมสิงหบุราจารย์” ซึ่งพระ
อาจารย์วิโรจน์ร่วมกับพระคุณเจ้าอีกหลายรูปร่วมกันรับผิดชอบโครง
การฯ เป็นโครงการที่ดีมาก ๆ ทำ�ให้ข้าพเจ้าได้พบกับตัวเองจริง ๆ
เรียนรู้ดูแลตนเองที่จะอยู่กับโรคมะเร็งร้าย ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า
“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ” ที่เริ่มจากทรวงอกซ้ายเข้าสู่ต่อมน้ำ�เหลือง
กระจายเข้ากระดูก กะโหลกศรีษะ ปวดในกระดูก ตั้งแต่ศรีษะจรด
ปลายเท้า ทุกรูขุมขน ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร โดยไม่พึ่งยาแก้
ปวดแม้แต่เม็ดเดียว โครงการนี้พิเศษกว่าโครงการอื่น ๆ มาก ได้
รับการเรียนรู้โดยประสบการณ์ตรงและจริง ๆ จากสิ่งเหล่านี้คือ
๑. อาหารที่ปลอดสารพิษ
๒. อากาศ (ออกซิเจนจากลมหายใจสยบมะเร็งได้)
๓. วิปัสสนากรรมฐานรักษามะเร็งได้จริง (เป็นความเชื่อ
ส่วนตัว) ที่ประสบกับตัวข้าพเจ้าเองและอยากนำ�มาเล่าในที่นี้

“วิปัสสนากรรมฐานช่วยข้าพเจ้าได้อย่างไร”
ในการเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่กระจายจากทรวงอก
(เต้านม) เข้ากระดูก ตัง้ แต่กะโหลกศรีษะซ้าย แขนซ้าย อกซ้าย ขา
ขวา ซึ่งยืนรับน้ำ�หนักไว้ไม่ค่อยได้ อาการปวดเริ่มจาก ๘๐-๙๐ ถึง
ระยะขับพิษทวีขึ้นเป็น ๑๒๐-๑๕๐ แต่ยังใช้วิปัสสนากรรมฐานตามดู
ตามรู้อยู่กับปัจจุบัน ช่วยข้าพเจ้าได้ ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร
“เปรียบเทียบความปวดก็เหมือนกับคนถูกสุนขั ไล่ตามเห่า คนยิง่ วิง่ หนี
หรือแสดงอาการต่อสู้ สุนัขก็ยิ่งได้ใจ ยิ่งไล่เห่าและส่งเสียงดังมากขึ้น
ถ้าหากคนยืนดูอยู่นิ่ง ๆ สุนัขก็จะยืนเห่าสักพักหนึ่ง เมื่อไม่มีอะไร
เปลีย่ นแปลงเพิม่ เติม เห่าเท่าไรคนก็ยนื เฉยอยู่ สุนขั ก็จะเงียบไปเอง”
นั่นคือ “ความปวด” ก็รู้ว่ากายปวด ใจยังเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยินดี
ยินร้ายก็แล้วกันไป ใจก็เลยรู้สึกสบาย ว่าจะปวดหรือไม่ปวด โรค
จะหายหรือไม่หายก็เป็นไปเช่นนั้นเอง ขอใจเราทำ�ดีที่สุดในขณะนั้นก็
พอแล้ว และแน่นอนที่คิดอย่างนี้ได้ ทำ�อย่างนี้ได้ ใจก็ต้องมีกำ�ลัง
ใจ (บารมี) จากหนังสือพุทโธโลยี “สร้างกุศลให้จิต ทำ �ดีต้องมี
อุปสรรค” กล่าวถึงบารมี แปลว่าอะไร “กำ�ลังใจ” ใจสู้ ใจทน ใจเด็ด
เดีย่ ว ใจเมตตาเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้มาจากพระคุณเจ้าทีด่ แู ลโครงการฯ
ทีท่ า่ นเป็น พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ คอยดูแลและให้กำ�ลังใจตลอดเวลา

สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดกับข้าพเจ้า
วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ระหว่างชัว่ โมงปฏิบตั กิ รรมฐาน
ในอิริยาบถนั่ง ข้าพเจ้าเดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ซึ่งเป็นวัน
ที่ข้าพเจ้าปวดมาก ๆ เพราะอยู่ในระยะขับพิษหนักมาหลายวัน ถ่าย
อุจจาระเป็นมูกเลือดอยู่หลายวัน มีอาการแปรปรวนแต่ละวันไม่ซ้ำ�
แบบกัน แต่วันนี้มาแปลก ข้าพเจ้ามีไข้ร้อน ๆ หนาว ๆ เหนื่อย
มาก เวทนาสุด ๆ ไม่ทราบว่าจะทำ�อย่างไรดี กำ�หนดอย่างไรก็ไม่
ไหว ข้าพเจ้าจึงตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๕๕
๒๕๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ในขณะนัง่ กรรมฐานอยูร่ ะยะหนึง่ นานเท่าไหร่ขา้ พเจ้าไม่


ทราบแน่ชดั มีแสงวาบสว่างกลางหน้าผาก ระหว่างคิว้ เหมือนไฟฉาย
ส่อง ในแสงสว่างนั้นข้าพเจ้าเห็นรูปพระสงฆ์ไม่ชัดเจนนัก ข้าพเจ้า
มีสติอยู่จึงกำ�หนด “เห็นหนอ” เป็นภาพหลวงพ่อชัดเจนขึ้น ข้าพเจ้า
กำ�หนดเห็นหนอ เห็นหนอ นานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ต้องสะดุ้งเมื่อ
มีเสียงดัง “โก๊ะ” ทีไ่ หล่ซา้ ย เหมือนมีคนดึงให้แขนและไหล่หลุดออก
จากอก ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นมือที่ว่าทับกันอยู่บนตักคือขวาทับซ้าย มือ
ซ้ายเลือ่ นออกมาเกือบพ้นตัก ข้าพเจ้านัง่ นึกถึงเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ อย่าง
งง ๆ สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ได้ดี โล่งอก หายใจไม่ติดขัด
เหมือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารู้สึกปีติเป็นอย่างมาก
จากวันนัน้ ถึงวันนีท้ ขี่ า้ พเจ้ากลับมาอยูบ่ า้ นทำ�กรรมฐานต่อ
ปฏิบัติตนโดยใช้แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ
ที่เรียนรู้จากโครงการฯ มาตลอด อาการป่วยของข้าพเจ้าดีขึ้นมาก
สุขภาพจิตไม่ต้องพูดถึง “ใจเกินร้อย” สุขภาพกาย อาการแน่นใน
ทรวงอกเหมือนมีลูกโป่งอัดแน่นอยู่ข้างในหายไป หายใจลึก-ยาวได้
สะดวก อาการปวดลดลงเหลือ ๕๐-๖๐ ซึ่งเป็นธรรมดาของข้าพเจ้า
ในเวลา ๑ เดือนที่ข้าพเจ้าเข้าโครงการฯ
เวลาปีเศษทีข่ า้ พเจ้ารอดชีวติ มา ข้าพเจ้ามัน่ ใจว่าโรคมะเร็ง
จะหายได้ หรือถ้ายังไม่หายก็อยู่ได้อย่างไม่มีปัญหา และใช้ชีวิตอยู่
เหมือนคนปกติทั่ว ๆ ไปได้อีกนาน เพราะทุกวันนี้ก็มีหลายคนกล่าว
กับข้าพเจ้าเสมอว่า “ไม่บอกไม่รนู้ ะนีว่ า่ คุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย” นี่
ก็หมายความว่าเราไม่ปว่ ยแล้ว ข้าพเจ้าจึงคิดว่า “ไม่มจี อมยุทธใดจะ
ได้ชัยชนะมาโดยปราศจากบาดแผล” ชีวิตที่เหลือข้าพเจ้าขออุทิศไว้
เพื่อสร้างความดีในพระพุทธศาสนา จะนานเท่าใดแล้วแต่เวลาและ
โอกาส เพราะ “ใจเป็นสุขแล้ว”
จากทีใ่ ช้ความพยายามรักษาโรคร้าย ระยะเวลาผ่านไปอีก
ประมาณ ๑ เดือน ข้าพเจ้ารูส้ กึ แข็งแรงดี อาการเจ็บป่วยน้อยลงมาก
จึงเข้ารับการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดทุกระบบ ทำ�แมมโมแกรม
เอกซเรย์ปอด ตับ หัวใจ เลือด กระดูก ทีโ่ รงพยาบาลร้อยเอ็ดธนบุรี
จังหวัดร้อยเอ็ด เมือ่ วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๑ ผลการตรวจเช็คร่างกาย
ปกติทุกอย่าง ไม่พบเซลล์มะเร็งในร่างกาย

นางสมประสงค์ สีลาดเลา
บ้านเลขที่ ๓๓ ถ.มีโชคชัย ต.ในเมือง
อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ๔๕๐๐๐


เรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ
สายัณห์ นกเทียน

ดิฉันชื่อ นางสายัณห์ นกเทียน เป็นชืี่อที่ทุกคนทั่วไปรู้จัก


ถ้าตามบัตรประชาชน ดิฉันชื่อ นางนนทิญา นกเทียน เป็นคนจังหวัด
เพชรบุรี แต่มาทำ�การค้าทีจ่ งั หวัดขอนแก่นเป็นเวลา ๒๑ ปี มีครอบครัว
แล้ว มีลูกชาย ๓ คน การงานทำ�การค้า ชื่อร้าน “สายัณห์” บิดา
มารดาของดิฉนั มีลกู สาว ๖ คน แต่ดฉิ นั เป็นคนที่ ๒ เป็นเด็กบ้านนอก
ชีวิตครอบครัวความเป็นอยู่เป็นแบบบ้านนอก พอมีพอกิน มีความสุข
สบายไม่อาจลืม แต่ท�ำ ไมดิฉนั จึงลืมความพอมีพอกินไปอย่างน่าเสียดาย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๕๗
๒๕๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

จริง ๆ เพราะดิฉันขาดสตินั่นเอง
จบประถมบ้านนอกโรงเรียนวัด แล้วเรียนต่อชั้นมัธยมที่
ตำ�บลและอำ�เภอ ในทีส่ ดุ ก็จบปริญญาตรีทตี่ วั จังหวัดด้านนาฏศิลป์ และ
ภาษาไทย ชอบความอ่อนหวานและชีวิตแบบไทย ๆ ดิ้นรนด้วยตนเอง
จนจบปริญญาตรี เพราะเป็นคนมุง่ มัน่ กับตัวเองเสมอมา ถ้าเอาดีไม่ได้
ก็เสียชาติเกิด จะจดจ่ออยูก่ บั คำ�ว่า ต้องมุง่ มัน่ ทุกอย่าง ไม่วา่ การงาน
การมีครอบครัว แต่ครอบครัวมันเป็นเรือ่ งใหญ่ ทำ�ให้ดฉิ นั ฟ้งุ ซ่านหรือ
เป็นการเพิ่มความเครียดสะสมโดยที่ตัวเองไม่สามารถถอดออก หรือ
ทางธรรมะว่า วางเสีย จนพอกเข้าไป พอกเข้าไป แต่ดฉิ นั ก็แสดงออก
โดยการเข้าวัดปฏิบัติธรรม เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำ �ให้ดิฉันพบกับ
ความสุข ความสบายกาย สบายใจที่แท้จริง
ดิฉันชอบเสียงธรรมะ ชอบการสวดมนต์เพราะเป็นบทสวด
ที่ทำ�ให้ดิฉันเป็นสุข สดชื่นอย่างลึกล้ำ� การทำ�บุญทานก็เป็นการสร้าง
กุศลผลบุญ แต่ถ้าเพิ่มการปฏิบัติธรรมเข้าไป ยิ่งทำ�ให้เข้าใจมากขึ้น
ดิฉันไป ๆ มา ๆ ที่สำ�นักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ที่เปรียบเสมือนบ้านของ
ดิฉนั ยิง่ ในปี พ.ศ.๒๕๔๕-๒๕๔๗ เป็นปีทองของการทำ�บุญทำ�ทาน การ
สร้างกุศล สร้างบารมีของดิฉัน เหมือนว่าดิฉันเตรียมพร้อมไว้รองรับ
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง อย่างไรอย่างนั้น ต่อมาดิฉันได้หยุด
ปฏิ บั ติ ธ รรมไป ๓ ปี แต่ ไ ม่ ห ยุ ด การทำ� บุ ญ ทำ � ทาน คิ ด จะหยุ ด
ปฏิบตั ธิ รรมไปจริง ๆ เพราะยิง่ คิดก็ยงิ่ ท้อ มีแต่ปญ ั หามาให้แก้ ปัญหา
แต่ละอย่างหนัก ๆ ทัง้ นัน้ แล้วเหตุการณ์ทไี่ ม่คาดฝันก็เกิดขึน้ ดิฉนั ไป
ตรวจร่างกายประจำ�ปีเมือ่ วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๐ หมอบอกว่า ดิฉนั
เป็นมะเร็งทีท่ รวงอกด้านซ้าย มะเร็งทำ�ร้ายจิตใจดิฉนั อย่างแรง ดิฉนั
จิตตกจนกลั้นลมหายใจในคืนหนึ่ง เพื่อที่จะได้หมดลมหายใจ แต่ก็ไม่
สำ�เร็จ เพราะไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่เป็นการหนีปัญหาอย่างขาด
สติสัมปชัญญะ
ดิฉันจิตตก สับสนกับการที่เป็นโรคมะเร็ง อ้างว้าง จะทำ�
อย่ า งไรดี เห็ น ไหมคะ ถึ ง แม้ จ ะเข้ า วั ด เตรี ย มตั ว มาขนาดไหน
มีครูบาอาจารย์คอยเกื้อหนุนก็ยังสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก ดิฉัน
ทำ�การรักษาด้วยเคมีบำ�บัดไป ๓ ครั้ง ตับก็ไม่รับยา ตับแข็ง ดิฉัน
สับสนอยู่ ๗ เดือน พอประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๐
ครูบาอาจารย์ คือท่านพระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์ เรียกให้ดิฉันมาเข้า
กรรมฐานเพราะจะช่วยให้หายจากโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ ถึงตอนนี้ดิฉันก็
เริ่มหูตาสว่างขึ้นมาว่า ทำ�ไมเราถึงจิตบอด ตาบอด หูบอด ไปได้
อย่างไร ดังคำ�กล่าวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญทีว่ า่ “สวดมนต์
เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน” ลืมไปเลยเพราะจิตตกนั่นเอง พร้อม
กับความฟุ้งซ่านเข้าปิดบัง จุดประกายนี้เองที่ทำ�ให้ดิฉันได้เริ่มเข้าวัด
ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมะให้เข้าใจถ่องแท้ยิ่งขึ้น ได้เข้าร่วมโครงการ
เฉลิมพระเกียรติ และในทีส่ ดุ ก็ถงึ เวลาของการรอคอย โครงการเรียน
รู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ (โครงการเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง)
ระหว่างวันที่ ๑๕ มกราคม - ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ของพระอาจารย์
วิโรจน์ ท่านเป็นพระที่เมตตาสูงสุด ท่านมีแต่ให้
การปฏิบัติธรรมของดิฉันมีพื้นฐานมาบ้างแล้ว ก็พอรู้บ้าง
แต่บางสิ่งบางอย่างที่รู้ ก็รู้ไม่จริง ที่จริงก็ไม่รู้ ต้องปรับตัวใหม่ ต้อง
เริม่ ใหม่หมดทุกอย่าง เริม่ ตัง้ แต่การปรับร่างกาย การปรับใจ การปรับ
เวลา การอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ด้านความเป็นอยู่หลาย ๆ อย่าง
ธรรมะจัดสรรให้ดฉิ นั ได้มาพบสิง่ ทีด่ ที สี่ ดุ แต่ได้ยาก เพราะโครงการ
นี้ต้องเข้าร่วมถึง ๓๒ วัน ดิฉันคิดว่าดิฉันจะทำ�ได้หรือไม่ ดิฉันคิดไป

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๕๙
๒๖๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ต่าง ๆ นานา แต่พอมีเวลาบวกกับความอดทนของตัวเองที่มาพร้อม


กับศรัทธา ความมุ่งมั่นยึดถือในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างไม่
ย่ อ ท้ อ อยู่ แ ล้ ว แต่ ถ้ า จะมี บ้ า งก็ อ ยู่ ใ นช่ ว งที่ ฟุ้ ง ซ่ า น ขาดสติ การ
ปฏิบตั ธิ รรมเพือ่ การรักษาโรคมะเร็งทีด่ ฉิ นั เป็นอยู่ มันจะชนะจิตใจดิฉนั
ได้อย่างไร พระอาจารย์วโิ รจน์ทา่ นเป็นพระอาจารย์หมอ เป็นพระสงฆ์
ที่รักษา ท่านใช้อาหารเป็นยา ใช้อาหาร ๓๐% ใช้กรรมฐาน ๗๐%
ท่านให้รักษากายและใจ ใจเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าเราชนะแล้ว เราก็จะ
ชนะต่อโรคทุกอย่างที่เราเป็นอยู่ ท่านสั่ง ท่านสอนให้มีความอดทน
ให้ฝนื เจริญสติ หมัน่ ภาวนา ให้ก�ำ หนดขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ พอง
หนอ ยุบหนอ อาหารดี อากาศดี อารมณ์ดี พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่
เครียด ทุกอย่างก็ดีหมด กายและใจดี จิตดีทุกอย่างพ่ายแพ้ มะเร็ง
พ่าย กรรมฐานต่อเนื่อง แต่ต้องทำ�ทุกชั่วขณะจิต ต้องทำ�อยู่ตลอด
เวลา
การรักษาของท่านเป็นไปตามที่ดิฉันคาดหวัง คือต้อง
ทำ�กรรมฐานให้มากที่สุด ดิฉันทนทุกข์กับเวทนาปวดที่สุด แต่ฉันก็ฝืน
เวทนาในการปฏิบัติมากจริง ๆ เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องปฏิบัติให้คุ้ม จน
มี วั น หนึ่ ง เหตุ ก ารณ์ ที่ ดิ ฉั น เคยอ่ า นในหนั ง สื อ กฎแห่ ง กรรม-
ธรรมปฏิบตั ิ ของหลวงพ่อจรัญก็เกิดขึน้ กับดิฉนั ปฏิบตั กิ รรมฐาน เดิน
๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ เวลาประมาณ
๑๐.๓๐น. ตอนทีด่ ฉิ นั กำ�ลังนัง่ สมาธิอยู่ ก็ปวดร้าวทีช่ ายโครงด้านซ้าย
ไปจนถึงส่วนที่ดิฉันเป็นมะเร็ง ลมก็ออกหูด้านซ้าย ออกจมูก น้ำ�ตา
แตก ดิฉันกำ�หนด รู้หนอ รู้หนอ ปวดหนอ ปวดหนอ หายหนอ หาย
หนอ แล้วอุทานออกมาในใจว่า เราหายแล้ว พอเวลาพักทานข้าว ท่าน
พระอาจารย์วิโรจน์เดินไปที่โต๊ะอาหารแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง
โยมสายัณห์” ดิฉันตอบทันทีว่า “วันนี้ดิฉันดีมากจริง ๆ เจ้าค่ะ” ตอบ
ท่านพร้อมกับความรู้สึกที่ปีติที่สุด เพราะปฏิบัติธรรมมาแล้ว ๑๕ วัน
ยังไม่รู้สึกอะไร แต่วันนี้รู้สึกปีติอย่างมหาศาล ก็ตอบไปตามความรู้สึก
ที่เราได้รับ ตั้งแต่วันนั้นมา ดิฉันเชื่อมั่น มุ่งมั่น รื่นเริงในการปฏิบัติ
ธรรมอย่างไม่ย่อท้อ
อาหารในการรักษาของท่านพระอาจารย์วิโรจน์ ท่านใช้
อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ใช้ไข่บ้างก็เป็นบางเวลา เน้นน้ำ�ผักปั่นเป็นหลัก
สลัด น้ำ�โหระพา ข้าวกล้อง เห็ด ๓ อย่าง แต่ทุกอย่างต้องผ่านการ
ล้างด้วยน้ำ�เอนไซม์อย่างดี อาหาร ๓๐% เท่านั้น ท่านเน้นการเจริญ
สติ ๗๐% แล้วก็ได้ผลตามคติกรรมฐานที่ว่า กินน้อย นอนน้อย พูด
น้อย ทำ�ความเพียรมาก ผลที่ได้รับก็ดีกับผู้เข้าร่วมโครงการทุกคน
จะเบาสบาย สบายทั้งกายและใจ
ขอกราบนมัสการขอขอบพระคุณท่านพระอาจารย์วิโรจน์
โดยการทดแทนบุญคุณ ท่านเป็นพระอาจารย์หมอ ที่สามารถนำ�วิธี
การแพทย์ทางเลือกมารักษาร่วมกับการเจริญกรรมฐานจนผู้ป่วยโรค
มะเร็งชนะใจตนเอง และนำ�ไปปฏิบัติต่อที่บ้านจนประสบความสำ�เร็จ
ดิฉนั เป็นผูป้ ว่ ยโรคมะเร็ง จะนำ�คุณงามความดีทที่ า่ นมอบให้ไปบอกต่อ
ไปปฏิบัติต่อและช่วยบำ�รุงพระพุทธศาสนาจนกว่าชีวิตจะสิ้นสุดลง

นางสายัณห์ นกเทียน
๙๐/๓๙ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๖๑
๒๖๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ญาณิกา ผานาค

ดิฉันชื่อ นางญาณิกา ผานาค อายุ ๕๔ ปี สถานภาพ


หม้าย อาชีพแม่บ้าน ก่อนเข้าโครงการ ดำ�เนินชีวิตอย่างเรียบง่าย
อยู่กับลูกชาย ๒ คน ตามอัตภาพของตัวเอง ค้าขาย ชอบปลูกผัก
กินเอง เลี้ยงหมู พอเดือนมีนาคม ๒๕๔๙ ไปตรวจร่างกาย ทราบว่า
เป็นมะเร็งที่เต้านมซ้าย ได้รับการผ่าตัดเมื่อเดือน พฤษภาคม ๒๕๔๙
ณ โรงพยาบาลราชพฤกษ์ ขอนแก่น ได้รับเคมีบำ�บัด ๔ ครั้ง หลัง
จากนัน้ คุณหมอให้กนิ ยาต่ออีก ๕ ปี เวลากินยาจะมีอาการร้อนวูบวาบ
ไปทั่วตัว อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย โกรธง่าย โมโหร้าย ชอบนอน ชอบอยู่
คนเดียว ส่วนมากชอบคิดในทางลบก่อนเสมอ ไม่มีเหตุผลเลย
วันที่ ๑๕ มกราคม - ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ได้เข้า
โครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ โครงการเพื่อผู้ป่วย
มะเร็ง วันแรกทำ�อะไรไม่ค่อยถูก คิดมากเพราะไม่เคยปฏิบัติธรรมมา
ก่อน นี่เป็นครั้งแรก วางตัวไม่ถูกเลย แต่ว่าบุญยังมีอยู่ ได้มาพบกับ
ท่านพระอาจารย์วโิ รจน์ พระอาจารย์เต้ พระอาจารย์ตน้ ท่านมีเมตตา
มาก และตัวของเราเองก็มคี วามศรัทธาในทางพุทธศาสนามาก ในการ
ทำ�วิปัสสนากรรมฐาน ใหม่ ๆ ก็ลำ�บาก ต้องอดทน พระอาจารย์ท่าน
สอนให้อดทนให้มาก ๆ เพราะเราต้องต่อสู้เพื่อพรุ่งนี้ให้ได้ พอถึงวัน
สุดท้ายก็ทำ�ได้เหมือนที่พระอาจารย์สอน จบโครงการนี้แล้ว เมื่อกลับ
ไปอยูบ่ า้ นจะนำ�ไปปฏิบตั ติ อ่ และปฏิบตั ติ วั เองให้เหมือนอยูใ่ นโครงการ
ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้ ส่วนเรื่องอาหารก็จะปฏิบัติให้เหมือนอยู่ใน
โครงการ
สิง่ ทีไ่ ด้กลับบ้านไปด้วย คือ ความอดทน ความสงบ รูต้ วั
เอง ร่างกาย จิตใจเข้มแข็งขึ้น เปลี่ยนความคิด คือ ในโลกนี้มีเรา
เท่านัน้ ตายคนเดียว ไปคนเดียว อดีต อนาคตไม่เกีย่ ว อยูก่ บั ปัจจุบนั
เท่านัน้ ตอนนีเ้ ป็นโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานด้วย
แต่เดี๋ยวนี้ได้หายจากโรคความดันสูง คุณหมอปิ่นท่านช่วยวัดความดัน
ให้ตอนเช้านี้ ปรากฏว่า ความดันปกติดี เพราะเหตุที่ว่า อยู่ที่นี่ได้รับ
การปฏิบัติธรรม กราบพระ สวดมนต์ สำ�รวมจิต แผ่เมตตา อุทิศส่วน
กุศลและอโหสิกรรม กรวดน้ำ�ให้เจ้ากรรมนายเวร
ขณะนี้สบายใจขึ้นมาก ไม่กังวลอะไรอีกแล้ว นอกจาก
ปฏิบตั ธิ รรมและดูกายใจของตัวเองเท่านัน้ การทีด่ ฉิ นั ได้เข้าวัดครัง้ นี้
คุ้มค่ามาก ๆ เลย ได้ประโยชน์มาก หาไม่ได้แล้ว ไม่มีขายในตลาด
โลกเลย นอกจากมีที่เดียวในโลก คือ ที่สำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน
มีดีหลายอย่าง ผู้ป่วยมะเร็งทุกคนได้รับการเอาใจใส่ดีมากเป็นพิเศษ
จากพระอาจารย์วโิ รจน์ จกฺกวโร ผูป้ ว่ ยทุกคนก็ได้รบั การรักษา มีคณ ุ
หมอมาคอยดูแลอยู่ประจำ� อาทิ คุณหมอปิ่น และอีกหลายท่านแตก
ต่างสาขาออกไป เห็นแล้วภาคภูมิใจในครั้งนี้มาก หาที่ไหนไม่ได้เลย
พร้อมไปทุกอย่าง การกลับบ้านครัง้ นีต้ อ้ งปฏิบตั ติ วั ใหม่ ให้อยูใ่ นสังคม
ของปัจจุบันให้ได้
ด้านการจัดระเบียบชีวิตประจำ�วันและความเป็นอยู่ เมื่อ
ก่อนเคยรับประทานอาหารแบบทั่วไป ก็เปลี่ยนมาเป็นรับประทานแต่
ผักอย่างเดียว ไม่รับประทานเนื้อ หมู ปู ปลา อาหารทะเลทุกชนิด
ปฏิบัติตนใหม่ เคยคิดมาก ต่อไปก็จะไม่คิดมาก ไม่อยู่คนเดียว จะ
ปฏิบัติธรรมให้มาก ทำ�ให้ตัวเองดีขึ้น จะไม่รับสารก่อมะเร็งเข้าไปอีก
ไม่เครียด ทำ�ใจให้สงบ เมื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน จะนำ�เอาความรู้ที่ได้รับ
จากการเข้าโครงการนี้ พร้อมทัง้ จำ�คำ�สัง่ สอนของท่านพระอาจารย์ทกุ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๖๓
๒๖๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ท่านที่สอน จะนำ�ไปปฏิบัติให้เต็มที่เท่าที่จะทำ�ได้ กราบนมัสการพระ


อาจารย์มาด้วยความเคารพ และกราบขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ ที่มีส่วน
ช่วยเหลือและผูท้ เี่ กีย่ วข้องในทุก ๆ ด้านในโครงการนี้ ทีใ่ ห้ความเมตตา
ช่วยเหลือดูแลมาโดยตลอด

ขอบคุณสำ�หรับการทักทาย “มะเร็ง”
เพ็ญประภา อนวัชพงศ์

ข้าพเจ้าชื่อ นางเพ็ญประภา อนวัชพงศ์ อายุ ๓๘ ปี


ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน มีบุตร ๒ คน เป็นบุตรชาย
๑ คนและบุตรสาว ๑ คน อายุ ๑๐ ปี และ ๖ ปีตามลำ�ดับ ข้าพเจ้า
ทำ�งานเป็นพนักงานควบคุมคุณภาพในห้องปฏิบัติการ หรือที่เรียกกัน
ว่าห้องแล็บ (Laboratory) จบการศึกษาระดับปริญญาโททางด้าน
วิทยาศาสตร์ สาขาเคมี ทำ�งานอยู่ได้ประมาณ ๙ ปี ก็ขอย้ายมาทำ�
ในส่วนของงานด้านเอกสารและระบบคุณภาพ เนือ่ งจากการทำ�งาน
ในห้องแล็บนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเวลาในการทำ�งานใหม่ จากเดิม
๐๘.๐๐ - ๑๗.๐๐น. เป็นการทำ�งานแบบ ๒ กะ คือ ๐๘.๐๐ - ๒๐.๐๐น.
และ ๒๐.๐๐ - ๐๘.๐๐น. ซึ่งการทำ�งานในลักษณะเช่นนี้ ส่งผลให้
ข้าพเจ้ามีเวลาพักผ่อนน้อย โดยในแต่ละวันมีเพียง ๓-๔ ชั่วโมง
ร่างกายจึงเริ่มทรุดโทรม แต่ด้วยความที่คิดว่าตนเองเป็นคนเก่ง คน
แข็งแรง เพราะไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลยแม้สักครั้งเดียว จึงยังคงโหม
งานหนักเช่นนีต้ อ่ ไปเรือ่ ย ๆ แถมยังรูส้ กึ ภูมใิ จว่าตนเองเป็นคนที่ “อึด”
ในที่สุดร่างกายเริ่มรับไม่ไหว มีอาการอ่อนเพลีย อารมณ์ที่เคยเย็น ก็
กลับร้อนดังไฟ หงุดหงิดโมโหง่าย โดยเฉพาะหากลูก ๆ ไม่เชื่อฟังคำ�
สั่งสอน ก็จะถูกว่ากล่าวตักเตือนอยู่เสมอ ๆ
ชีวิตการทำ�งานที่ทุ่มเทในบทบาทของพนักงานที่มีความ
จงรักภักดีต่อองค์กร และเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ รวมถึงอยาก
นำ�ความรู้ที่ได้จากการศึกษาเล่าเรียน มาพัฒนาปรับปรุงองค์กรให้
ก้าวหน้า จึงลืมคิดถึงตัวเอง ห่วงตัวเอง รักตัวเอง และลืมดูแลตัวเอง
บทบาทของความเป็นแม่ที่ต้องการดูแลและปลูกฝังรากฐานทางการ
ศึกษาให้กับลูก ทำ�ให้ข้าพเจ้าต้องเคร่งเครียด และจริงจังกับการตั้งใจ
สอนหนังสือลูกทุกครั้งหลังเลิกงาน เวลาที่มีให้กับตนเองจริง ๆ นั้น
ถ้าไม่นับเวลานอนพักผ่อนแล้ว เรียกได้ว่ามีแค่ ๒ ชั่วโมงต่อวัน
การทุ่มเททำ�แต่ละบทบาทตั้งแต่ ภรรยา แม่ และลูกจ้าง ทำ�ให้เกิด
เป็ น ความเครี ย ดโดยไม่ รู้ ตั ว มั น กลายเป็ น ภั ย มื ด ที่ แ อบแฝงเอาไว้
ประกอบกั บ การเรี ย น และการทำ � งานที่ ต้ อ งอยู่ กั บ สารก่ อ มะเร็ ง
(Carcinogen) เป็นเวลานานหลายสิบปี กลายเป็นสาเหตุสำ�คัญที่
ข้าพเจ้าต้องพบกับคำ�ว่า “มะเร็ง”
ต้นเดือนมกราคม ๒๕๔๙ ข้าพเจ้ามีอาการเจ็บคัดตึงบริเวณ
เต้านม คล้ายจะมีรอบเดือน แต่หลังจากรอบเดือนผ่านไป ๑-๒ วันก็
ปวดน้อยลงจนหาย จึงไม่ได้สงสัยอะไร ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
อาการเจ็บและคัดตึงเต้านมก็มาอีก แต่คราวนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง
จากรอบเดือนหยุด อาการคัดตึงกลับไม่หายไปอย่างเคย นึกสังหรณ์
ใจจึงลองคลำ�บริเวณเต้านม และตรวจพบสิง่ ทีค่ าดว่าน่าจะเป็นก้อนของ
ความผิดปกติ ข้าพเจ้าจึงรีบมาพบคุณหมอ ผลการตรวจทำ�ให้ข้าพเจ้า
มีอาการ “ล้มทั้งยืน” เพราะรู้ว่าความตายกำ�ลังเปิดประตูรออยู่ข้าง

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๖๕
๒๖๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

หน้าแล้ว คุณหมอแจ้งว่า ข้าพเจ้าเป็น “มะเร็งเต้านม” ต้องเข้ารับการ


รักษาด้วยวิธีผ่าตัด เคมีบำ�บัด และฉายแสง เรียกว่าเป็นการรักษา
แบบครบวงจรของการรักษามะเร็งเลยทีเดียว ในใจคิดว่ามาถึงตรงนี้
แล้ว หากไม่สู้ ไม่รกั ษา โอกาสทีม่ นั จะลุกลามยากเกินเยียวยาต้องตาม
มาแน่นอน หลังฟังผลจากคุณหมอ ข้าพเจ้าก็นอนไม่หลับ มันเหมือน
ฝันร้าย ร้องไห้เสียใจ คำ�ว่า “ทำ�ไม” ผุดขึน้ มาในสมองมากมาย ทำ�ไม
เราเป็นมะเร็ง ทำ�ไมเราต้องเป็นด้วยทั้ง ๆ ที่อายุเราก็ยังไม่มากเลย
ทำ�ไมเจ้ากรรมนายเวรต้องลงโทษเราด้วย เราไปทำ�เวรทำ�กรรมกับใคร
ไว้ทำ�ไมกรรมต้องมาตอบสนองเราสาสมอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่เคย
คิดร้าย หรือทำ�ร้ายใครเลย สารพัดคำ�ถามที่ต้องการคำ�ตอบ แต่สิ่ง
แรกที่ตอบได้ก็คือ สาเหตุของการเป็นมะเร็ง คงเนื่องมาจาก
๑. กรรมพันธุ์ เพราะมีคุณป้าป่วยเป็นมะเร็งเต้านมเช่น
เดียวกัน และเสียชีวิตแล้วในปีที่ ๗

๒. การอยูก่ บั สารก่อมะเร็งเป็นเวลานาน โดยจากสภาพ
การเรียนและการทำ�งาน ทำ�ให้หลีกเลีย่ งไม่ได้ แม้จะมีการป้องกันแล้ว
แต่อาจจะไม่ได้ผล ๑๐๐% จึงยังคงมีการสัมผัส และสูดดมโดยไม่รู้ตัว
เรียกว่าเป็นการตายแบบ“ผ่อนส่ง”

๓. ความเครียด เนื่องจากเป็นคนที่จริงจังกับชีวิตทั้งใน
เรื่องงานและครอบครัว รวมถึงขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ทำ�ให้เกิด
ความเครียดทางอ้อมโดยไม่รู้ตัว
เมื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุแล้ว ก็ต้องทำ�ใจยอมรับสภาพที่เกิด
ขึน้ ความอ่อนแอและสิน้ หวัง กลับกลายเป็นพลังทีจ่ ะผลักดันให้ขา้ พเจ้า
ต้องสู้ และสู้ให้ถึงที่สุด บอกกับตัวเองว่า เราจะยังตายไม่ได้ เพราะ
ชีวิตของเรายังมีหลายสิ่งที่ยังทำ�ไม่เสร็จ และหลายสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ�
ลูกเรา ๒ คน จะเป็นเช่นไร หากขาดเราไป และเราจะได้มีโอกาส
ชื่ น ชมความสำ� เร็ จ ของเขาในวั น ที่ เ ขาเติ บ โตและจบการศึ ก ษาหรื อ
ข้าพเจ้าเปรียบลูกเป็นเสมือน “ต้นกล้า” ต้นเล็ก ๆ ที่ข้าพเจ้าเฝ้า
ทะนุถนอม เอาใจใส่ รดน้ำ�พรวนดิน คอยดูแลไม่ให้แมลงมารบกวน
แต่ละวันที่ผ่านไป ข้าพเจ้าจะเฝ้ามองดูการเจริญเติบโตของต้นกล้าทั้ง
๒ ต้นนี้อย่างชื่นชม ซึ่งหากข้าพเจ้าต้องมาตายลงไป คงไม่มีโอกาส
ได้เห็นต้นกล้ากลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ให้ดอกซึ่งมีกลิ่นหอมและสีสัน
สวยงาม ให้ผลซึ่งมีรสชาติหอมหวานแสนอร่อยไม่แพ้ต้นพ่อพันธุ์และ
แม่พันธุ์ คิดได้อย่างนั้นก็จะต้องอยู่และ “สู้เพื่อลูก” จำ�ได้ว่าความรู้สึก
เศร้าเสียใจและเป็นทุกข์มาครอบงำ�อยู่ ๓ วัน จึงจางหายไป กลายเป็น
พายุและพลังทีย่ งิ่ ใหญ่ ซึง่ พร้อมจะทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
๑๖ มีนาคม ๒๕๔๙ เป็นวันที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธี
ผ่าตัด เพื่อน ๆ และคนที่รู้จักต่างมาเยี่ยมมากมาย สร้างความอบอุ่น
และกำ�ลังใจที่มีอยู่แล้วให้ทวีคูณขึ้นไปเรื่อย ๆ บุญกุศลและคุณความ
ดีทเี่ คยทำ�ไว้กบั ทุก ๆ คน กลับมาตอบสนองให้เห็นก็ในเวลานีเ้ อง เสร็จ
สิ้นการรักษาด้วยการผ่าตัด ก็มาถึงการรักษาด้วยเคมีบำ�บัด ๖ คอร์ส
(Courses) หรือเรียกกันทัว่ ไปว่า ๖ เข็ม ตลอดระยะเวลาของการรักษา
ด้วยเคมีบำ�บัด ข้าพเจ้ามีอาการแพ้อย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับผู้ป่วย
รายอื่น ๆ กิตติศัพท์การแพ้ยาเคมีบำ�บัดทำ�ให้ข้าพเจ้ากลายเป็นบุคคล
ตัวอย่างทีค่ ณุ หมอมักพูดให้คนไข้รายอืน่ ฟังเสมอ ๆ ความทรงจำ�ทีเ่ คมี
บำ�บัดฝากไว้บนร่างกายของข้าพเจ้า ทำ�ให้ข้าพเจ้ากลายเป็นแขกรับ
เชิญ หรือวิทยากรรับเชิญของโรงพยาบาลที่ทำ �การรักษา ในการ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๖๗
๒๖๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ถ่ายทอดประสบการณ์และการต่อสู้กับเคมีบำ�บัด จนสามารถผ่าน
สภาวะความไม่สุขสบายของผลข้างเคียงได้ ข้าพเจ้าจึงขออธิษฐานจิต
และปวารณาตัวเองว่าจะขอเอาประสบการณ์และอุทาหรณ์ของการ
เจ็บป่วย เป็นครูสอนประสบการณ์จริงของชีวิต และให้กำ�ลังใจแก่
ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายอื่น ๆ ให้เขากลับมามีพลังและกำ�ลังใจที่จะ
ต่อสู้กับโรคร้ายเช่นเดียวกับตนเอง
โค้งสุดท้ายของการรักษา คือการฉายแสง ซึง่ การฉายแสง
ไม่ใช่วิธีการรักษาที่น่ากลัวอย่างที่คิด ข้าพเจ้าสามารถผ่านการรักษา
ไปได้ดว้ ยดี สิน้ สุดการรักษาเมือ่ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ข้าพเจ้า
กลายเป็นคนทีม่ หี น้าตาไม่สวยงามเหมือนเดิม ผิวหนังทีห่ ยาบกระด้าง
และเสื่อมโทรม ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยกระ และริ้วรอย ผมซึ่งร่วงไป
หมดทัง้ ศีรษะ รูปร่างซึง่ ผอมเหมือนผีตายซาก เรีย่ วแรงทีเ่ คยมีมากมาย
กลายเป็นคนหอบและเหนื่อยง่าย เม็ดเลือดขาวที่มีค่าในระดับต่ำ�กว่า
ปกติ คือมีเพียง ๒,๓๐๐-๒,๗๐๐ (ปกติควรอยู่ที่ ๕,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐)
จะทำ�อย่างไรดีให้เม็ดเลือดขาวสามารถเพิม่ จำ�นวนขึน้ มาได้ เพราะหาก
เม็ดเลือดขาวเพิม่ มากเท่ากับคนปกติ โอกาสในการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ
และเชื้อมะเร็งลุกลามย่อมเป็นไปได้ยากอย่างแน่นอน เวลาผ่านไป
เกือบปี เม็ดเลือดขาวมีค่าเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย คือ ๓,๕๐๐-๓,๗๐๐
ซึ่งก็ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ�กว่าเกณฑ์ ข้าพเจ้าพยายามออกกำ�ลังกาย
ลดความเครียดให้น้อยลง วางเฉยให้มากขึ้น มองโลกในแง่ดี ปรับ
เปลี่ยนวิถีการดำ�รงชีวิตแบบใหม่ ใส่ใจตัวเองมากขึ้น ห่วงลูกน้อย
ลง ทานอาหารตามแนวธรรมชาติบำ�บัด โดยงดเนื้อสัตว์จำ�พวก หมู
ไก่ อาหารทะเล ยังมีการทานปลาบ้างแต่ไม่มากนัก จะทาน ๓-๔ ครัง้
ใน ๑ สัปดาห์ (เนือ่ งจากโปรตีน เป็นวัตถุดบิ ทีถ่ กู ป้อนให้กบั เซลล์มะเร็ง)
เซลล์มะเร็งเป็นเซลล์ทมี่ คี วามผิดปกติจากการแบ่งตัว โดยมีการแบ่ง
ตัวเร็วมากกว่าเซลล์ปกติหลายเท่า แต่หากร่างกายของเรามีเซลล์
เม็ดเลือดขาวที่มีคุณภาพและมีปริมาณมาก เซลล์เม็ดเลือดขาวก็จะ
คอยจัดการกับเซลล์ที่ผิดปกติ ตามกลไกของร่างกาย
ข้าพเจ้าได้ศกึ ษาจากหนังสือหลายเล่มพบว่า การทำ�สมาธิ
สามารถกระตุน้ ให้รา่ งกายสร้างเม็ดเลือดขาวได้ ประกอบกับการได้
รู้จักกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย เขาใช้วิธีการรักษาด้วยการ
นัง่ สมาธิเพียงอย่างเดียว โดยทำ�อยูน่ านเกือบ ๑๐ ปี และสิง่ มหัศจรรย์
นั่นคือ เขาหายจากการเป็นโรคมะเร็ง นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่จุดประกาย
ความคิดในตัวของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าต้องใช้วิธีนี้ในการรักษาเช่น
เดียวกัน
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ในขณะที่
ร่างกายรู้สึกดี ไม่ทรมาน ข้าพเจ้าก็จะหาเวลาว่างอ่านหนังสือธรรมะ
นึกขอบคุณมะเร็งเหมือนกันว่า ทำ�ให้เรามีเวลาได้ “พักผ่อนและรู้รส
พระธรรม” อยากเข้าใกล้พุทธศาสนาให้มากขึ้น หนังสือธรรมะของ
หลวงพ่อจรัญแห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี เป็นหนังสือธรรมะที่มีมาก
ที่สุดในบรรดาหนังสือธรรมะทั้งหมด ซึ่งก็ได้มาจากผู้ใจบุญที่แวะมา
เยีย่ มเยียนไม่ขาดสายนัน่ เอง ข้าพเจ้าได้อา่ นได้ศกึ ษาก็รวู้ า่ มีหลายคน
ที่ ป่ ว ยเป็ น โรคมะเร็ ง และโรคภั ย ไข้ เ จ็ บ อื่ น ๆ สามารถหายได้
ด้วย“กรรมฐาน”ในใจของข้าพเจ้าตอนนั้นอยากรู้จัก“กรรมฐาน” เพื่อ
ที่จะได้นำ�มาใช้ในการรักษาตนเองเช่นเดียวกัน
นั บ เป็ น โชควาสนาของข้ า พเจ้ า เมื่ อ ทราบข่ า วว่ า “สำ � นั ก
ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ขอนแก่น” ซึ่งเป็นวัดในสาขาหลวงพ่อจรัญ
จัดโครงการ “เรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ” ด้วยวิธีสมาธิ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๖๙
๒๗๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

บำ�บัด และการรักษาแบบธรรมชาติบ�ำ บัด ตามแนวทางของแพทย์ทาง


เลือก ข้าพเจ้าไม่รอช้าที่จะขอเข้าร่วมในโครงการนี้ ซึ่งมีระยะเวลา
ทัง้ หมด ๓๒ วัน (ระหว่างวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ - ๑๕ กุมภาพันธ์
๒๕๕๑) โดยเงื่อนไขของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการคือ จะเป็นผู้ป่วยมะเร็ง
ระยะใดก็ได้ แต่ต้องสามารถช่วยเหลือตนเองได้ และไม่ใช้ยาใด ๆ ใน
ขณะอยู่ในโครงการรวมถึงทานอาหารที่จัดเตรียมให้เท่านั้น ข้าพเจ้า
ไม่รู้สึกหนักใจกับเงื่อนไขที่กำ�หนด แต่สิ่งที่หนักใจคือทำ�อย่างไรจึงจะ
สามารถเข้าร่วมโครงการได้ตลอด ๓๒ วัน เพราะข้าพเจ้าทำ�งานใน
บริษทั เอกชน แน่นอนว่าการลาไปในลักษณะเช่นนี้ ผูบ้ งั คับบัญชาย่อม
ไม่อนุญาตอย่างแน่นอน แต่ด้วยความหวังและความตั้งใจอย่างมุ่งมั่น
ก่อนนำ�รายละเอียดของโครงการไปเสนอต่อผู้บังคับบัญชา ข้าพเจ้าได้
จุดธูปและระลึกถึงหลวงพ่อจรัญให้ทา่ นช่วยดลบันดาลให้ผบู้ งั คับบัญชา
เห็นด้วย และอนุมัติให้ข้าพเจ้าได้มาร่วมในโครงการนี้
และแล้วปาฏิหาริยก์ ม็ จี ริง ผูบ้ งั คับบัญชาอนุมตั ใิ ห้ขา้ พเจ้า
มาร่วมในโครงการได้ตลอด ๓๒ วัน โดยถือว่าเป็นการส่งข้าพเจ้าไป
“อบรม” ในใจของข้าพเจ้ารู้สึกปีติขึ้นมาทันที พระเดชพระคุณของ
หลวงพ่อในครั้งนี้ ลูกซาบซึ้งและจะขอจดจำ�ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
วันแรกที่มาลงทะเบียน พระอาจารย์วิโรจน์ซึ่งเป็นผู้รับผิด
ชอบโครงการ ได้ทักทายข้าพเจ้าด้วยคำ�พูดที่ทำ�ให้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่
สบายใจนัก นั่นก็คือ “หน้าตาโยมดูไม่ดีเลยนะ ดูซีด ๆ เหมือนคน
ป่วย (ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าผ่านการรักษามานานเป็นปีแล้ว) แต่ไม่เป็นไร
หากโยมได้ทานอาหาร ได้ทานน้ำ�ผัก โยมก็จะดีขึ้นเอง”
ข้ า พเจ้ า เก็ บ เอาคำ � พู ด ของพระอาจารย์ ม าคิ ด ทบทวน
เนื่องจากภายหลังการรักษาด้วยวิธีแพทย์แผนปัจจุบันนั้น ข้าพเจ้าได้
จัดระเบียบชีวิต และดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ เน้นผักปลอดสารพิษ
คอยควบคุมปริมาณโปรตีน ไขมัน และเกลือ ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับ
แนวทางอาหารธรรมชาติบำ�บัดที่พระอาจารย์จะจัดให้ แต่แล้วทำ�ไม
พระอาจารย์จึงพูดว่า หากข้าพเจ้าได้ทานอาหาร ทานน้ำ�ผัก จะดูดี
ขึ้น นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากรู้จริง ๆ
วันที่สองหลังจากลงทะเบียนเสร็จ มีการตรวจร่างกายและ
ตรวจเลื อ ดผู้ เ ข้ า ร่ ว มโครงการ โดยการตรวจเลื อ ดเป็ น การตรวจ
หาความเข้มข้นของเลือด เซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด วันต่อ
มาพระอาจารย์วิโรจน์สอนการปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า “อานาปานสติ”
คือการนัง่ สมาธิโดยกำ�หนดลมหายใจเข้า-ออก ซึง่ หากเป็นผูป้ ว่ ยทีม่ พี นื้
ฐ า น ด้ า น ก ร ร ม ฐ า น ม า บ้ า ง ก็ จ ะ ส อ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม แ บ บ
“กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน” คือการดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ชั่วโมงการปฏิบัติธรรมในแต่ละวัน จะแบ่งเป็น ๔ ช่วง คือ

๑. ช่วงเช้ามืด เวลา ๐๔.๐๐ - ๐๖.๐๐น. มีพระอาจารย์


ต้นเป็นผู้สอน ซึ่งท่านจะนำ�ทำ�วัตรเช้าและฝึกโยคะ

๒. ช่วงเช้า เวลา ๐๘.๐๐ - ๑๑.๐๐น. ฝึกปฏิบัติธรรมที่


“ลานดิน” เพื่อให้เท้าได้สัมผัสกับพื้นดิน เป็นการนวดฝ่าเท้ารักษาโรค
ไปในตัว และผลพลอยได้คอื รับอากาศบริสทุ ธิใ์ ต้ตน้ ไม้ นับได้วา่ เป็นการ
นำ � “ธรรมะและธรรมชาติ ” มาจั บ คู่ กั น ได้ อ ย่ า งลงตั ว โดยมี
พระอาจารย์เต้เป็นผู้สอน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๗๑
๒๗๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.
๓. ช่วงบ่าย เวลา ๑๒.๓๐ - ๑๖.๓๐น. ฝึกปฏิบัติธรรมที่
ห้องกรรมฐาน พระอาจารย์เต้เป็นผู้สอนเช่นเคย

๔. ช่วงเย็น เวลา ๑๗.๐๐ - ๒๐.๐๐น. ฝึกปฏิบัติธรรมที่


ห้องกรรมฐาน พระอาจารย์วิโรจน์เป็นผู้สอน
ในแต่ละวันหลังเสร็จสิน้ การปฏิบตั ธิ รรม ผูเ้ ข้าร่วมโครงการ
ก็จะรับฟังการบรรยายให้ความรู้และให้แนวคิดในการดำ�รงชีวิต จาก
พระอาจารย์วโิ รจน์ ซึง่ เวลาทีท่ กุ คนต้องเข้านอนคือ ๒๑.๐๐ - ๐๓.๐๐น.
เพราะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดต่อการพักผ่อนของร่างกาย
อาหารที่โครงการจัดให้นั้น เป็นอาหารธรรมชาติบำ�บัด
ตามแนวทางของแพทย์ทางเลือก พระอาจารย์วิโรจน์ท่านคัดสรร
วัต ถุ ดิ บ ที่ ม าจากแหล่งซึ่ง ปลอดสารพิษ รวมถึงมีกรรมวิธีในการ
เตรียม การประกอบอาหารที่พิถีพิถันเป็นพิเศษ แหล่งโปรตีนที่ผู้เข้า
ร่วมโครงการได้รับมาจาก เต้าหู้ เห็ด ถั่ว ลูกเดือย ไข่ (ไข่ที่ใช้มา
จากฟาร์มที่เลี้ยงไก่ด้วยเอนไซม์) ข้าพเจ้าจึงรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ
ที่สุด
ตลอดทั้งวันจะมีการจัด “น้ำ�ผักปั่นและน้ำ�เอนไซม์” ซึ่ง
ข้าพเจ้าจะทานน�้ำ ผักปัน่ ได้ถงึ วันละ ๔ ลิตร เมือ่ เวลาผ่านไป ๒ สัปดาห์
มีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการปฏิบัติธรรมใหม่ ดังนี้
๑. ช่วงเช้ามืด ยังคงมีการทำ�วัตรเช้าแต่งดการเรียนโยคะ
ให้ฝึกปฏิบัติธรรมในช่วง ๐๕.๐๐ - ๐๖.๐๐น. แทน
๒. ช่วงเช้า กิจกรรมเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
๓. ช่วงบ่าย-ช่วงเย็น เปลี่ยนแปลงเวลา จาก ๑๒.๓๐-
๑๖.๓๐น. เป็น ๑๒.๓๐ - ๑๘.๐๐น.

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๗๓
๒๗๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

รวมทั้งเพิ่มระยะเวลาการปฏิบัติธรรม จากเดิน-นั่ง อย่าง


ละ ๓๐ นาที เป็น เดิน-นั่ง อย่างละ ๔๕ นาที
เมือ่ เข้าสูส่ ปั ดาห์สดุ ท้ายของโครงการ ได้มกี ารเปลีย่ นแปลง
เวลาในการปฏิบัติธรรม ดังนี้
๑. ช่วงเช้ามืด งดทำ�วัตรเช้า แต่ให้ปฏิบัติธรรมตั้งแต่
๐๔.๐๐ - ๐๗.๐๐น.
๒. ช่วงเช้า กิจกรรมเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
๓. ช่วงบ่าย-ช่วงเย็น เปลีย่ นแปลงเวลา จาก ๑๒.๓๐ -
๑๘.๐๐น. เป็น ๑๒.๐๐ - ๒๐.๓๐น.
รวมทั้งเพิ่มระยะเวลาการปฏิบัติธรรม จากเดิน-นั่ง อย่าง
ละ ๔๕ นาที เป็น เดิน-นั่ง อย่างละ ๖๐ นาที และให้กำ�หนดเวทนา
ทีเ่ กิดขึน้ ไปด้วย ซึง่ เป็นการทำ� “วิปสั สนากรรมฐานเต็มรูปแบบ”จริง ๆ
ก่อนปิดโครงการ มีการตรวจร่างกายและตรวจเลือดเช่น
เดิม ตัวข้าพเจ้าซึ่งมีปัญหาของเซลล์เม็ดเลือดขาวต่ำ�มาตลอด กลับมี
ค่าที่เพิ่มขึ้น จาก ๔,๑๐๐ เป็น ๔,๗๐๐ (ภายในระยะเวลาเพียง ๑
เดือน) รวมถึงมีความเข้มข้นของเลือดเพิม่ ขึน้ จาก ๓๗.๑ เป็น ๔๑.๗
แสดงว่าวาจาของพระอาจารย์วิโรจน์ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ หน้าตาของ
ข้าพเจ้าไม่ซีดเซียวและดูมีเลือดฝาดมากขึ้น โดยเฉพาะริมฝีปากที่ดูจะ
แดงเป็นพิเศษ (จนต้องบอกใคร ๆ ว่า“ทาลิปธรรมะ”)
วันปิดโครงการ พระอาจารย์วิโรจน์ได้แจกอุปกรณ์ซึ่ง
เปรียบได้เสมือน “ยาวิเศษ” ทีจ่ ะต่อลมหายใจของเราให้มชี วี ติ ยืนยาว
ยาเหล่านั้นได้แก่ หนังสือธรรมะ หนังสือธรรมชาติบำ�บัด หนังสือ
เอนไซม์ น้ำ�เอนไซม์เข้มข้นและน้ำ�ผึ้งเพื่อให้พวกเราเอาไปกระจายต่อ
ลูกประคำ�สำ�หรับการสวดอิติปิโส ๑๐๘ จบ บาตรบุญ พระสมเด็จ
พระนเรศวร ฯลฯ และที่ขาดไม่ได้คือ วุฒิบัตร แสดงการจบหลักสูตร
ของโครงการ แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่สำ�คัญที่สุด นั่นคือความรู้และความ
เข้าใจเกีย่ วกับ “กรรมฐานและการดูแลตนเองตามแนวทางธรรมชาติ
บำ�บัด”
พระอาจารย์ เ ต้ ซึ่ ง เป็ น พระอาจารย์ ที่ ค อยดู แ ลการ
ปฏิบัติธรรม “กรรมฐาน” ฝากให้พวกเราทุกคน หมั่นฝึกปฏิบัติธรรม
ให้เหมือนอยู่ที่วัด “เพราะยิ่งคุณโยมทำ�มากเท่าไหร่ ผลดีก็จะตกอยู่
กับตัวของคุณโยมมากเท่านั้น อาตมาเป็นกำ�ลังใจให้นะ และฝาก
ดูแลเรื่องอาหารการกินของตนเองด้วย” ประโยคนี้ทุกคนสัญญาว่า
จะจดจำ�และนำ�ไปปฏิบัติให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสจะอำ�นวย
พระอาจารย์ต้นฝาก“ซีดีโยคะ”ให้ทุกคนนำ�ไปปฏิบัติท่บี ้าน
เพือ่ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนือ้ สรุปว่าทุกคนในโครงการกลับบ้านไป
พร้อมกับ “เสบียงบุญและเสบียงความรู”้ เต็มสมองและสองมือ พร้อม
ทัง้ ร่างกายที่ “แข็งแรง กระปรีก้ ระเปร่า จิตใจทีเ่ ข้มแข็งและสดชืน่ ”
มองจากภายนอกแล้วไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า นี่คือ “ผู้ป่วยโรค
มะเร็ง” พร้อมทัง้ การได้ท�ำ บุญสร้างกุศลทีย่ ง่ิ ใหญ่ทส่ี ดุ ในชีวติ นัน่ คือ
“การเจริญวิปสั สนากรรมฐาน”

พระอาจารย์โน๊ตฝาก “บาตรบุญ” ซึ่งเป็นกระปุกออมสิน
ทีแ่ สนน่ารัก (รูปร่างหน้าตาคล้ายบาตรจำ�ลอง) ให้พวกเรานำ�ไปหยอด
สตางค์ทกุ ครัง้ เมือ่ มีการสวดมนต์ และหากเมือ่ ไหร่กต็ ามทีอ่ ยากทำ�บุญ
ก็ให้พวกเรานำ�สตางค์จากกระปุกออมสินบาตรบุญนี้มาทำ�บุญ เป็น
เสมือนการสะสมบุญไว้กับธนาคารพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
กราบนมัสการขอขอบพระคุณพระคุณเจ้าทุกรูปทีม่ สี ว่ นช่วย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๗๕
๒๗๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เหลือให้โครงการนี้เกิดขึ้นมาได้ เป็น “การต่อลมหายใจ ต่อเส้นทาง


เดินของชีวิตให้ยาวนานขึ้น” โดยมีธรรมะเป็นเครื่องชี้นำ�แนวทาง
ให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกคนที่เข้าร่วมในโครงการ ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะ
วาจาและตั้งจิตอธิษฐานว่า “จะขอทดแทนพระคุณของพระสงฆ์อันมี
ค่ามหาศาลนี้ ด้วยการปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี จะทำ�นุ
บำ�รุงและจรรโลงพระพุทธศาสนา ให้อยูค่ สู่ งั คมไทยตลอดไป ตราบ
เท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่”

ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
ชุมพร บุษเนตร

ข้าพเจ้า นางชุมพร บุษเนตร อายุ ๕๒ ปี อาชีพรับราชการ


ครู ได้ประจักษ์ชัดเจนแล้วกับข้อความข้างต้น ซึ่งเป็นคำ�พูดของท่าน
พระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์ ผู้อำ�นวยการสำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน
จังหวัดขอนแก่น ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้าพเจ้าเคยปรารภกับเพื่อน
ร่วมงานว่า “อยากสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน อยากฝึกปฏิบตั ธิ รรม
บ้าง แต่ไม่มเี วลา” เช้าต้องทำ�........ต้อง..........เย็นต้อง...........ต้อง...........และ
สารพัดจะต้องทำ� ตารางชีวิตแต่ละวัน ไม่มีช่วงเวลาใดจะเบียดเบียน
เวลาสวดมนต์ ไ หว้ พ ระเข้ า มาได้ เ ลย ท้ า ยสุ ด เพื่ อ นบอกว่ า
“นอนสวดมนต์กไ็ ด้แล้วหลับสบาย” ข้าพเจ้าตอบทันทีวา่ “ไม่ได้เพราะ
เวลานั้นต้องดูทีวี รายการดี ๆ ทั้งนั้น” นี่คือข้ออ้างที่สำ�คัญ และอ้าง
ได้เป็นปี ๆ อย่างนั้นเรื่อยมา อยู่อย่างมีความสุขกับชีวิต แต่ความคิด
ทีอ่ ยากปฏิบตั ธิ รรมยังติดค้างในใจอยูต่ ลอดเวลา เพียงแต่ “ไม่มเี วลา”
เท่านั้นเอง
วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าปวดท้องอย่างรุนแรง
หมอตรวจพบมีกอ้ นเนือ้ งอกทีต่ บั ๑.๖ ซม. และต่อมน�้ำ เหลืองโต หลัง
จากทราบผล จากคนที่ทำ�งานทุกอย่างได้ปกติ กลายเป็นคนป่วยหนัก
ทันที ไร้เรี่ยวแรง นอนสิ้นหวัง สิ้นกำ�ลังใจ ไม่อยากทำ�งาน ไม่อยาก
เจอหน้าผูค้ น จมอยูก่ บั ความคิด ทำ�ไมชีวติ เราเหมือนฝัน เรายังมีก�ำ ลัง
ยังมีสติปัญญาพอที่จะทำ �ประโยชน์ให้สังคม ให้ประเทศชาติได้อีก
มากมาย ตลอดเวลาแห่งการดำ�เนินชีวิต เรียบ ราบรื่น มีความสุขมา
โดยตลอด พอชีวิตสะดุด ก็สะดุดมากจนไม่มีกำ�ลังจะลุกขึ้นมาต่อสู้ได้
ข้าพเจ้าตัดสินใจเตรียมตัวตาย ปรึกษากับสามี ตกลงทุกอย่างเรียบร้อย
โทรศัพท์หาน้องสาว ติดต่อเข้ารับการรักษาทีโ่ รงพยาบาลศรีนครินทร์
จังหวัดขอนแก่น ระหว่างรอ น้องสาวให้หนังสือกฎแห่งกรรมและ
หนังสือสวดมนต์เล่มเล็ก ๆ ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม มาให้อ่าน
และบอกลองสวดมนต์ดู เผื่อจะสบายใจขึ้นบ้าง ถ้าอยากปฏิบัติธรรมก็
ไปที่สำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น เป็นสาขาของหลวงพ่อ
จรัญ ฐิตธมฺโม
ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นมาสวดมนต์ตามหนังสือ สวดบทอิติปิโส
เท่าอายุบวกหนึ่ง ทุกเช้าก่อนเริ่มวันใหม่ ทุกเย็นก่อนนอนเป็นประจำ�
ทุกวัน เป็นทีน่ า่ แปลกใจว่า ข้าพเจ้าสบายใจขึน้ มาก มีกำ�ลังใจ สามารถ
ไปทำ�งานได้ตามปกติ พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานได้ ว่างก็อ่านหนังสือ
กฎแห่งกรรม จิตใจเริ่มดีขึ้น ตารางชีวิตเริ่มเปลี่ยนโดยข้าพเจ้าไม่รู้สึก
ตัว จากที่เคยพูดว่า “ไม่มีเวลาสวดมนต์ ไหว้พระ” กลายเป็น เริ่ม

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๗๗
๒๗๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ต้นชีวิตประจำ�วันด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ และสิ้นสุดการดำ�เนิน
ชีวิตประจำ�วันโดยการสวดมนต์ไหว้พระ ได้อย่างมีความสุขเรื่อยมา
กลางเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าชวนพีส่ าวคนโตมา
เข้าปฏิบัติธรรมที่สำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น โดยการ
แนะนำ�ของน้องสาว (มาฝึกปฏิบตั ธิ รรมเพือ่ รอรับการรักษาตามวิธกี าร
ของแพทย์แผนปัจจุบนั ) ประทับใจมาก บริเวณกว้างขวาง ร่มรืน่ สงบ
เงียบ ร่มเย็น เป็นบรรยากาศที่เหมาะสมยิ่งกับคำ�ว่า “สำ�นักปฏิบัติ
ธรรม”
ข้าพเจ้ามีโอกาสกราบพระอาจารย์วิโรจน์ จกฺกวโร และได้
ทราบว่าท่านมี “โครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ”
(โครงการเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง) กราบเรียนให้ท่านทราบถึงอาการเจ็บป่วย
ท่านถามประโยคแรกว่า “โยมกลัวตายไหม” ข้าพเจ้าคงออกอาการ
กลัวตายจนท่านรู้คำ�ตอบ ท่านพูดอีกว่า “กลัวทำ�ไม ใคร ๆ ก็ต้อง
พบ จะช้า จะเร็วเท่านั้นเอง มาลองเข้าโครงการดู ๑๕ มกราคม
ถึง ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ โยมตัดสินใจเอง” ข้าพเจ้าคิดในใจว่า
อีกนานเหลือเกิน เราจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงวันเข้าโครงการหรือเปล่าหนอ
ข้าพเจ้ากลับเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์
จ.ขอนแก่น อีกครั้งหนึ่ง แล้วตัดสินใจไม่รับการรักษาโดยการผ่าตัด
แต่ เ ข้ า มาลงทะเบี ย นปฏิ บั ติ ธ รรมในโครงการเฉลิ ม พระเกี ย รติ
๕ ธันวาคมอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ ๕-๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ ข้าพเจ้า
เริ่มรู้สึกศรัทธา เริ่มซึมซับ เริ่มมองเห็นความแตกต่างของชีวิต อยู่
ปฏิบัติธรรมจนครบกำ�หนดโครงการ กลับบ้านก็นำ�แนวทางที่ได้ไป
ปฏิบัติต่อ ก็สามารถปฏิบัติได้ ไปทำ�งานตามปกติได้เหมือนเดิม ถาม
ตัวเองว่า “ทำ�ได้อย่างไร” คำ�ตอบชัดเจน “ใจสั่ง กายปฏิบัติ” นั่นคือ
ความจริงแห่ง “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว”
วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ ครอบครัวพร้อมญาติมาส่ง
ข้าพเจ้าเข้า “โครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ” ความ
รู้สึกของข้าพเจ้าวันนั้นทั้งดีใจ ที่มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ ทั้งหวั่นใจ
กลัว กังวล สารพัดอารมณ์และความรูส้ กึ เราจะสูไ้ หวไหม? อาการจะ
เป็นอย่างไร? เราจะทำ�อย่างไร? จะอยู่อย่างไร? จะกลับบ้านในสภาพ
ไหน? ทุกคำ�ถามล้วนเป็นคำ�ถามชีวิตสำ�หรับข้าพเจ้าทั้งสิ้น ใครจะให้
คำ�ตอบได้นอกจากเรา
เริ่มต้นโครงการด้วยการเจาะเลือด ตรวจสุขภาพ ชั่งน้ำ�
หนัก มีคณ ุ หมอ คุณพยาบาล ผลัดเปลีย่ นกันเข้ามาดูแลให้ความอบอุน่
ใจตลอดช่วงระยะเวลาปฏิบตั ธิ รรมในโครงการ ซึง่ แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง
มีพระอาจารย์ทมี่ คี วามรู้ มีเมตตาสูง อยูค่ อยแนะนำ� แก้ปญ ั หา ตอบ
คำ � ถามตลอด คื อ พระอาจารย์ วิ โ รจน์ พระอาจารย์ ต้ น และ
พระอาจารย์เต้
ด้านอาหาร เป็นอาหารแบบธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่ง
มาก ไม่มีเนื้อสัตว์ มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่สำ�คัญมีสารอาหารครบ
ถ้วน โดยเฉพาะน้ำ�นมธัญพืช น้ำ�ผักปั่น
ตลอดระยะเวลาการเข้าร่วมโครงการ อาการป่วยของ
ข้าพเจ้า มีอาการเจ็บปวดบ้างเป็นบางวัน มีผนื่ ขึน้ บ้าง ขับถ่ายมากผิด
ปกติบา้ ง ซึง่ พระอาจารย์บอกว่า เป็นการขับพิษออกจากร่างกาย แล้ว
อาการก็คอ่ ยบรรเทาไป ข้าพเจ้าตัง้ ใจว่าจบจากโครงการแล้ว คงทำ�ตัว
ให้เหมือนในโครงการมากทีส่ ดุ โดยเฉพาะด้านอาหาร อารมณ์ อากาศ
และทีส่ �ำ คัญ คือ การปฏิบตั กิ รรมฐาน แต่คงทำ�ได้ตามสภาพการดำ�รง
ชีวิตและเวลาที่จะอำ�นวย

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๗๙
๒๘๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ขอกราบขอบพระคุณท่านทีม่ อี ปุ การคุณทุกท่าน ทีเ่ สียสละ


แรงกายแรงใจ เป็นกำ�ลังใจให้เราตลอด ท่านเหนื่อยกว่าเราหลาย
เท่านัก กราบขอบพระคุณอีกครัง้ ค่ะ บรรยากาศนี้ ความรูส้ กึ นี้ ความ
สำ�นึกในบุญคุณครั้งนี้ คงติดแน่นในใจของข้าพเจ้าไปอีกนานเท่านาน
ดังบทกลอนข้างล่างนี้

สายตามองด ้ ว ยห ่ วงใยใช ่จับผิด ผองญาติมิตรปฏิบัติธรรมตามมุ ่งหวัง


สงบจิ ต วางใจได ้ หรือยัง ปัญหาใครมีบ ้างหยั่งถามไป
เหนื ่ อ ยหรื อ เปล่ าหิวหรือไม่ใครเพลียจัด ช่วยปัดเป่าปัญหาพาแก ้ไข
ปฏิ บ ั ต ิ ธ รรมแล ้วดื่มนมข้าวแทนข ้าวไป นอนหลับได ้สามทุ ่มคุมกายใจ
ดื ่ มน้ ำ � ไปให้ ข ั บถ ่ ายได ้ ปกติ เจ็บจุกนิดดื่มน้ำ �ผักพักเหนื่อยได ้
หายปฏิ บ ั ต ิ ต ่ อ ผ ่อนคลายให ้สบาย อย ่ากังวลโรคหายได ้ใจอดทน
ความเมตตาท ่ านมีให ้ เต็มดวงจิต เช้าสายค่ำ � ตามติดดูแลใกล ้
แก ้ป ั ญ หาธรรมะทั้งโรคภัย หาที่ไหนไม ่มีให ้ ซื้อขายกิน
โยมขอกราบขอบพระคุณพระคุณเจ ้า ที่ขจัดปัดเป่าความสับสน
จะนำ� ไปปฏิ บ ั ติขัดเกลาตน ให้เป็นคนรู ้กายตัวหัวใจเรา
สมพงษ์ แสงสว่าง

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเข้ามาใน โครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วย
ธรรมะ ธรรมชาติ ได้รับการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันมาแล้ว ซึ่ง
เป็นความหวังทีค่ ดิ ว่าจะหายจากโรคนีไ้ ด้ แต่อาการก็ไม่ได้ดขี นึ้ มากนัก
ต่อมามีผู้แนะนำ�ให้ลองปฏิบัติธรรมดูบ้าง จึงตัดสินใจมา
และหวังว่าการปฏิบตั ธิ รรมจะช่วยได้ไม่มากก็นอ้ ย เพราะเป็นทางเลือก
หนึ่งที่น่าจะปฏิบัติดู ทั้งที่รู้อยู่ว่า อาการเจ็บปวดของเราไม่ธรรมดา
คือปวดมาก เดินต้องใช้ไม้ค้ำ�ตลอด ยังวิตกอยู่ว่า จะไหวหรือไม่กับ
เวลา ๑ เดือนทีจ่ ะต้องอยูป่ ฏิบตั ิ เพราะแนวทางวิปสั สนากรรมฐานนัน้
ตัวข้าพเจ้าไม่มีความเข้าใจเลย พอเข้ามาที่สำ �นักปฏิบัติธรรมสวน
เวฬุวันวันแรก ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ความมั่นใจและกำ�ลังใจ
เพิ่มขึ้นทันที
ระหว่างปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าได้รับการอบรมในหลาย ๆ
เรือ่ ง ค่อยมีความเข้าใจในสิง่ ทีไ่ ม่เคยรูเ้ คยเห็น ทำ�ให้ได้คดิ ในทางบวก
มากขึน้ ข้อคิดต่าง ๆ เริม่ ทยอยเข้ามาในสมองอย่างต่อเนือ่ ง บางครัง้
มีความวิตกกังวล เนือ่ งจากการปฏิบตั ทิ เี่ ข้มงวด พอมีสตินกึ ถึงคำ�สอน
ของครูบาอาจารย์แล้วก็ทำ�ให้สงบลงได้

ผลของการเยียวยาสิ่งที่ได้รับหลังเข้าร่วมโครงการ
ด้านจิตใจ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าจิตใจคลายความกังวลลงได้
รูว้ า่ การทำ�บุญไม่ใช่แต่การให้ทานสิง่ ของเท่านัน้ หากแต่บญ
ุ ทีจ่ ะทำ�ให้
ตัวเราพ้นจากกรรมต่าง ๆ คือ การทำ�วิปสั สนากรรมฐานต่างหาก และ
การทำ�บุญก็มิได้จำ�กัดการทำ�อยู่ที่วัดเท่านั้น ทำ�ได้ทั่วไปที่บ้านหรือ

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๘๑
๒๘๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ทีท่ อี่ �ำ นวยก็สามารถทำ�ได้ทงั้ นัน้ ทีส่ �ำ คัญจิตใจต้องเข้มแข็ง มีสติมนั่ คง


รูจ้ กั อดทน อดกลัน้ ต่อความเจ็บปวดได้มากขึน้ รูจ้ กั ว่าการเจ็บปวดมัน
เป็นธรรมดาของสังขาร
ด้านร่างกาย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการเจ็บปวดของโรคมะเร็งยัง
คงเท่าเดิมในความรูส้ กึ แต่จริง ๆ แล้ว การทีร่ า่ งกายได้รบั การปฏิบตั ิ
อย่างถูกต้องในเรือ่ งของอาหาร และน�้ำ ผักปัน่ ตลอดจนน�้ำ ดืม่ เอนไซม์
คือ ตัวทีท่ �ำ หน้าทีข่ บั พิษของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกาย เพราะสังเกต
ว่า เพียง ๑ เดือนที่ผ่านมา ระบบขับถ่ายของข้าพเจ้าดีขึ้นมาก ซึ่งมา
ดีเอามากประมาณ ๒ อาทิตย์สุดท้ายนี้เอง การรักษาโรคคงไม่ดีขึ้น
ทันที สำ�หรับตัวเราที่มีอาการหนักเช่นนี้ การรับไปปฏิบัติต่อที่บ้านน่า
จะช่วยให้หายจากโรคได้ ทั้งนี้ต้องใช้เวลามากขึ้น อีกอย่างหนึ่งที่
ข้าพเจ้าได้จากการปฏิบัติธรรม คือ อาการของความดันลดลง จาก
๑๓๙ เหลือ ๑๑๐-๑๒๐ เท่านั้น การที่ฝึกหายใจยาว ๆ คือตัวช่วยให้
ความดันดีขึ้น

ฉวีวรรณ ไพบูลย์วัฒนผล

ตัง้ แต่วันแรกทีข่ า้ พเจ้าได้เข้ามาร่วมในโครงการนี้ ข้าพเจ้า


มีความรู้สึกว่ามีความอบอุ่นทั้งกายและใจ และรู้สึกว่าได้พบเพื่อนร่วม
งานที่ดีมาก ทุกคนเป็นคนดีที่สุด ให้ความอบอุ่นเป็นกันเองและได้ให้
คำ�แนะนำ�ที่ดีที่สุด และลูกก็ได้รับความเมตตาจากพระคุณเจ้าด้วยค่ะ
ประวัติการป่วย
เริ่มป่วยเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๑ ข้าพเจ้ามีอาการ
ปวดมากที่เต้านมด้านซ้ายแล้วลามมาด้านขวา แต่ข้าพเจ้าไม่อยากจะ
รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบนั เพราะคิดว่าคงไม่หาย พอดีขา้ พเจ้าได้อา่ น
หนังสือประวัติหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ข้าพเจ้าก็เลยคิดว่าจะมาปฏิบัติ
ธรรมตามที่หลวงพ่อแนะนำ�ให้ปฏิบัติด้านกรรมฐาน ข้าพเจ้ามีความ
สนใจในด้านนีอ้ ยูแ่ ล้ว ก็เลยตัดสินใจมาทีส่ �ำ นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั

ผลสรุปจากการตรวจ
จากการคลำ�ดูก้อนที่เต้านมครั้งที่ ๑ พบว่าจะมีก้อนแข็ง
มาก ครั้งที่ ๒ จะค่อย ๆ นิ่มลง แต่ก็ยังมีก้อนอยู่ประมาณ ๓
เซนติเมตร จากการตรวจครัง้ ที่ ๓ พบว่าก้อนจะค่อย ๆ ลดลงจนเหลือ
ประมาณ ๑ เซนติเมตร จนคุณหมอบอกว่า ไม่มีอะไรเลย เป็นปกติดี
๒๘๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ทับทิม สิงห์ทอง

เมือ่ พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้าพเจ้ามีอาการปวดท้องมาก จึงไปตรวจ


ที่โรงพยาบาล คุณหมอตรวจพบเนื้องอกในลำ�ไส้ใหญ่ ปรากฏว่าเป็น
เนื้อร้ายจึงตัดลำ�ไส้ใหญ่ทิ้งไปหนึ่งฟุต แล้วให้ยาเคมีบำ�บัดอยู่ได้ ๕ ปี
ก็ตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อขึ้นที่ตับ จึงให้ยาเคมีบำ �บัดเป็นครั้งที่สอง
ข้าพเจ้ามีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย รับประทานอาหารได้น้อยลง
มีอาการทรงกับทรุด รู้สึกว่าอยู่ได้ไม่นาน รู้ข่าวจากคุณหมวย (ญาติ
ธรรม) ว่ามีโครงการมะเร็งทีข่ อนแก่น มารูท้ หี ลังว่าเป็น สำ�นักปฏิบตั ิ
ธรรมสวนเวฬุวัน
ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า เป็นผู้โชคดีมากและมีบุญมากที่ได้
มาร่วมโครงการนี้ เหมือนกับชีวติ นีไ้ ด้ตายแล้วเกิดใหม่ ได้ปฏิบตั ธิ รรม
และได้ทั้งอาหารรักษาโรคด้วยความเมตตาอย่างสูงของพระคุณเจ้า
รวมทั้งคุณหมอและพยาบาลทุกคน ลูกหลานรอบข้างให้ความสะดวก
สบายทุกอย่าง พร้อมทัง้ อาหารทีอ่ ยูอ่ าศัย เสือ้ ผ้าเพียบพร้อม ข้าพเจ้า
จึงมีความสุข และปลืม้ ปีตเิ ป็นอย่างยิง่ ด้วยชีวติ ใหม่ คงจะมีชวี ติ อยู่ ได้
ปฏิบัติธรรมและบำ�รุงพระพุทธศาสนาด้วยสติ และกำ�ลังที่มีอยู่ เพราะ
ร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมมาก ด้านจิตใจก็ดีมาก และก็จะใช้ชีวิตแบบนี้
ตลอดไป สุ ด ท้ า ยขอกราบนมั ส การพระคุ ณ เจ้ า ด้ ว ยความเคารพ
อย่างสูง
อ้ม ผาเงิน

ดิฉนั ชือ่ ยายอ้ม ผาเงิน อายุ ๖๒ ปี สถานภาพ หม้าย


อาชีพแม่บา้ น เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และโรคหัวใจโต ก่อนเข้า
โครงการได้รบั การรักษาอยูโ่ ดยทานยารักษาโรคหัวใจโตอยูเ่ ป็นประจำ�
รวมทัง้ ได้ท�ำ เคมีบ�ำ บัดเรียบร้อย ในวันที่ ๑๕ มกราคม-๑๕ กุมภาพันธ์
๒๕๕๑ ได้เข้าโครงการเรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ โครงการ
เพือ่ ผูป้ ว่ ยมะเร็ง วันแรกทีเ่ ข้าโครงการก็ปฏิบตั ไิ ด้บา้ ง ไม่ได้บา้ ง แต่พอ
ผ่านไป ๓-๔ วัน มีอาการปวดขามากจนอยากกลับบ้าน แต่พอปฏิบตั ไิ ป
สักระยะหนึง่ ต่อมาก็หายเลยไม่อยากกลับแล้ว ใช้ความอดทนต่ออาการ
ปวดจนประสบความสำ�เร็จ ทุกวันนีด้ ขี น้ึ มาก ไม่มอี าการอะไรเลย ดีขน้ึ
ตามลำ�ดับ รูส้ กึ แจ่มใส สดชืน่ ปฏิบตั ธิ รรมได้มากขึน้ หน้าใส ยิม้ เก่ง
มาก ในการเริม่ ต้นทีจ่ ะเข้าปฏิบตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน ใหม่ ๆ รูส้ กึ ลำ�บาก
มาก ใช้ความอดทนสูง พระอาจารย์ทา่ นสอนให้อดทนมาก ๆ พอถึงวัน
สิน้ โครงการก็ท�ำ ได้เหมือนทีพ่ ระอาจารย์สอนทุกอย่าง เดีย๋ วนีด้ ฉิ นั รูส้ กึ
ว่าสบายมาก เมือ่ จบโครงการแล้วก็จะไปปฏิบตั ธิ รรมทีบ่ า้ นต่อ ให้เกิด
ประโยชน์มากทีส่ ดุ ส่วนเรือ่ งอาหาร ดิฉนั ตัง้ ใจว่าจะปฏิบตั ใิ ห้เหมือนอยู่
ในโครงการเลย เลิกอาหารทีเ่ ป็นสารพิษ ไม่รบั ประทานเอาสารพิษจาก
อาหารเข้าไปอีก จะปฏิบัติธรรม กราบพระ สวดมนต์ สำ�รวมจิต
แผ่เมตตา อุทศิ ส่วนกุศล และอโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวร การทีด่ ฉิ นั
ได้เข้ามาในโครงการนี้ รูส้ กึ คุม้ ค่ามาก ได้ประโยชน์มาก กราบนมัสการ
พระอาจารย์มาด้วยความเคารพ และกราบขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ ทีม่ ี
ส่วนช่วยเหลือ และเกีย่ วข้องในทุก ๆ ด้านในโครงการนี้ ทีใ่ ห้ความเมตตา
ช่วยเหลือดูแลมาโดยตลอด กราบนมัสการมาด้วยความเคารพยิง่

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๘๕
๒๘๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

อมร โสมชาติ

ข้าพเจ้า นางสาวอมร โสมชาติ อายุ ๔๕ ปี อาชีพรับ


ราชการ ปัจจุบันอาศัยและทำ�งานอยู่ที่จังหวัดระยอง อยู่กับมารดา
ท่านอายุ ๗๒ ปี เป็นข้าราชการบำ�นาญ ข้าพเจ้าเป็นลูกคนโต มีนอ้ ง
สาวอีก ๒ คน สมรสแล้วทั้งคู่ ก่อนที่จะทราบว่า ป่วยเป็นมะเร็ง
ข้าพเจ้าดำ�เนินชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่มีอะไรโลดโผน เรียนจบแล้วก็มี
งานทำ� มีอาชีพ มีรายได้ตามสมควร สถานะครอบครัวเป็นครอบครัว
ระดับกลาง ไม่ร่ำ�รวย พอมีพอใช้อย่างประหยัด ลักษณะงานที่ทำ�เป็น
งานวิชาการและบริการประชาชน ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครือ่ งมือหลักใน
การทำ�งาน ฉะนั้น จึงต้องนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งวันตั้งแต่
เช้าถึงเย็นปริมาณงานในแต่ละวันค่อนข้างมาก มีความเครียดเกิดขึ้น
เสมอ ๆ ทั้งจากตัวงานและผู้มาติดต่อ รวมทั้งเพื่อนร่วมงานด้วย
ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ค่อยดูแลตัวเอง ทานอาหารตามใจมาก ตามความ
อยาก ไม่ระมัดระวังในการกิน และตอนนั้นเข้าใจว่าตัวเองเป็นคน
สุขภาพแข็งแรง และไม่ค่อยป่วยกระเสาะ กระแสะ จึงละเลยสุขภาพ
เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๔๘ ข้าพเจ้าได้ไปตรวจร่างกาย
เพราะคลำ�พบก้อนที่เต้านมข้างซ้าย จึงไปพบแพทย์และได้ทราบว่าตัว
เองป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ ๓ ต้น ๆ แล้ว และยังพบอีกว่าลามไปทีต่ อ่ ม
น�้ำ เหลืองแล้ว ๑ ต่อม จึงเข้ารักษาโดยตัดเต้านมออก เมือ่ เดือนตุลาคม
๒๕๔๘ และรักษาต่อด้วยการให้เคมีบำ�บัด ๖ ครั้ง ฉายรังสี ๒๕ ครั้ง
ครั้งแรกที่ทราบว่าเป็นมะเร็ง คิดว่า ทำ�ไมเราถึงโชคร้าย เป็นโรคร้าย
แรง แต่พอไปรักษา จึงทราบว่ามีคนป่วยเป็นโรคนี้เยอะมาก และก็ยัง
โชคดีอยู่บ้างที่ยังไม่มีอาการเจ็บปวดจากมะเร็ง จึงมีก�ำ ลังใจรักษาตัว
และทำ�ใจได้ระดับหนึง่ แต่ทเี่ สียใจมาก คือ ทำ�ให้แม่รอ้ งไห้ น�้ำ ตาไหล
จากการที่เราไม่ดูแลตัวเอง และทำ�ให้แม่ลำ�บากที่เห็นเราต้องนอนโรง
พยาบาล นอนลุกไม่ขนึ้ ขณะทีใ่ ห้เคมีบำ�บัดแม้แพทย์ทรี่ กั ษาก็บอกเพียง
ว่า ถ้าโรคไม่กลับมาอีกภายในระยะเวลา ๕ ปี ก็จะมีโอกาสมีชีวิต
ยืนยาวต่อไปได้ แต่อกี นานเท่าใดไม่ทราบได้ ทำ�ให้ได้คดิ ว่า จากนีช้ วี ติ
เราคิดอะไรระยะยาวไม่ได้อีกแล้ว
หลังจากทำ�การรักษาจนจบคอร์ส ข้าพเจ้าก็กลับไปทำ�งาน
เหมือนเดิมกับตอนก่อนป่วย ส่วนเรือ่ งการรับประทานอาหาร ก็ลดการ
ทานเนื้อสัตว์ลงประมาณ ๕๐% ไม่ได้เคร่งครัดกับการทำ�การเปลี่ยน
อาหารมากนัก เพียงแต่งดของหมักดอง เพราะแพทย์ที่รักษาก็ไม่ได้
ห้ามอะไร แต่ข้าพเจ้านอนดึก (ประมาณเที่ยงคืน-ตีหนึ่ง) และดู
โทรทัศน์ครั้งละนาน ๆ นอกจากนี้ยังมีจุดเดือดต่ำ� อารมณ์ฉุนเฉียว
ง่าย ก็เข้าใจสงสัยตัวเองจะใกล้เข้าสู่วัยทอง จึงมีอารมณ์เช่นนั้น
เมื่อปลายปี ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าได้รับข่าวการจัด โครงการ
เรียนรูด้ กู ายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ จากครอบครัวของน้องสาว ซึง่
มาปฏิ บั ติ ธ รรมเป็ น ประจำ � ที่ สำ � นั ก ปฏิ บั ติ ธ รรมสวนเวฬุ วั น แห่ ง นี้
ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจมาเข้าร่วมโครงการ ด้วยความหวังเพียงว่า จะได้
ปฏิบตั ธิ รรม ได้ธรรมะจากพระคุณเจ้า ได้แนวคิดทีจ่ ะกลับไปใช้ในการ
ดำ�เนินชีวิตร่วมกับโรคภัยที่เป็นอยู่ต่อไป ไม่มีความคาดหวัง ถึงขนาด
ว่า จะหายป่วยด้วยโรคมะเร็ง ต้องการรู้วิธีจัดการและช่วยใจตัวเอง
เมื่อถึงเวลาที่อาจจะต้องเจ็บปวด มีเวทนาทางร่างกายในอนาคตข้าง
หน้า

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๘๗
๒๘๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เมื่อเริ่มปฏิบัติตามโปรแกรมของโครงการ จึงเห็นว่า พระ


อาจารย์จัดโครงการนี้ขึ้นมา โดยมีการคิดและวางแผนเป็นระบบ เป็น
ขั้นตอน มีหลักฐานอ้างอิงทางวิชาการ ทำ�การศึกษามาแล้วเป็นอย่าง
ดี เริ่มจาก
เรื่องแรก ที่เห็นก่อนและประทับใจ คือ สถานที่พัก ที่จัด
ให้อย่างสะดวก สบาย สะอาด ไม่แออัด
เรื่องที่สอง พี่เลี้ยง ผู้ดูแล อำ�นวยความสะดวกทุกขั้นตอน
ความเป็นอยู่อย่างเอาใจใส่
เรื่องที่สาม คือ โปรแกรมอาหาร ฝ่ายครัวที่พิถีพิถัน
ระมัดระวังในทุกขั้นตอนของการปรุง กว่าจะมาเป็นอาหารวางบนโต๊ะ
ให้ทานกัน
เรือ่ งทีส่ ี่ คือ ทีมพระอาจารย์อนั ประกอบด้วยพระอาจารย์
วิโรจน์ จกฺกวโร ผูเ้ ป็นเจ้าของโครงการ รวมถึง พระอาจารย์ตน้ พระ
อาจารย์เต้ และพระอาจารย์โน๊ต พระอาจารย์ทงั้ ๔ รูปให้ความเมตตา
กับพวกเราเป็นอย่างมาก สรรหาสิ่งที่ดีมาให้ จัดอาหารดี ที่พักดี
จัดวิทยากรผู้มีความรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม มาให้ความรู้ อดทน
ใจเย็นในการขัดเกลาพวกเรา สอนให้รจู้ กั บุญทีย่ งิ่ ใหญ่ คือ การปฏิบตั ิ
ธรรม สอบอารมณ์ เมื่อมีสภาวะจากการปฏิบัติ รับฟังเรื่อง อึดอัด
ใจ ทุกข์ใจทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องสุขภาพ พระอาจารย์
จัดทีมแพทย์ พยาบาลจากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มาดูแลตลอด
โครงการ ทำ�ให้มีความอุ่นใจตลอดเวลาที่อยู่ในความดูแลของท่าน
ข้าพเจ้าได้ทราบว่าก่อนเริ่มโครงการ พระอาจารย์ได้เข้า
กรรมฐาน ๑ เดือน เพื่อดูว่าจะจัดโปรแกรมการปฏิบัติธรรมให้ผู้เข้า
ร่ ว มโครงการอย่ า งไร นี่ ก็ เ ป็ น อี ก สิ่ ง หนึ่ ง ที่ แ สดงถึ ง ความละเอี ย ด
รอบคอบและเอาใจใส่ของพระอาจารย์
ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะสามารถปฏิบัตธิ รรม โดย
การเดินจงกรมและนัง่ สมาธิอย่างต่อเนือ่ งวันละเป็นสิบชัว่ โมง ถึงแม้วา่
จิตจะยังวุ่นวาย สภาวะไม่ชัดเจน เพราะไม่เคยได้รับการฝึกฝน จึง
เหนื่อยมาก แต่ก็สุขใจและภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยชาตินี้
ข้าพเจ้าก็คิดว่าตัวเองหลุดพ้นจากคำ�ว่า “เสียชาติเกิด” แล้วอย่าง
แน่นอน ส่วนชีวิตที่เหลือจากนี้ไป ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวก็ไม่สำ�คัญแล้ว
เพราะข้าพเจ้าถือเป็นกำ�ไร เป็นกำ�ไรที่คุ้มค่ากับการมีชีวิตอยู่ เพราะ
เป็นเวลาแห่งการฝึกฝน ขัดเกลาตัวเอง เป็นเวลาของการได้เป็นคนดี
ยิ่งขึ้น เป็นลูกที่ดีของแม่ ถ้ามีเวลามากก็กำ�ไรมาก ถ้ามีเวลาน้อยก็
กำ�ไรน้อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกำ�ไรอยู่ดี
อีกไม่นาน เราก็จะต้องกลับสูโ่ ลกภายนอกทีเ่ ป็นชีวติ จริง ๆ
ของพวกเรา มีครอบครัว ภาระการงาน การประกอบอาชีพ ซึง่ แน่นอน
ว่า จะมีสิ่งมากระทบเรามากมาย ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า มีการบ้านที่
ยากแสนยากรออยู่ ในช่วงชีวิตต่อจากนี้ไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำ�
สอนของพระอาจารย์ทุกท่านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้ ไม่ว่าจะเป็น
เรื่องอาหารหรือการปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อไม่ให้พระอาจารย์เหนื่อย
เปล่า และรู้ดีว่า คนที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปฏิบัติเช่นนี้ คือ
ตัวเราเอง
อีกอย่างหนึง่ ทีข่ า้ พเจ้า แปลกใจเมือ่ ได้เห็นคือ เพือ่ นคนอืน่ ๆ
ทีเ่ ข้าร่วมโครงการ บางท่านป่วยมาก ยังไม่ได้ทำ�การรักษาทางแพทย์
แผนปัจจุบันเลย บางท่านมีอาการปวดจากมะเร็งแบบสุด ๆ ตอนต้น
โครงการทุกท่านดูไม่สบาย หน้าตาผิวพรรณหมองคล้ำ�บ้าง ซีดบ้าง
อ่อนเพลียบ้าง จุกแน่นหายใจไม่ออกบ้าง เมื่อเวลาผ่านไป หลายคน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๘๙
๒๙๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

หรือจะเรียกได้ว่าทุกคนอาการดีขึ้นมาก หน้าตาสดใสขึ้น หากเป็นคน


อื่นบอกเล่าให้ฟัง ไม่ได้ประสบกับตัวเอง ก็คงจะเชื่อได้ยากว่า การ
ปฏิบัติธรรมจะช่วยให้อาการป่วยดีขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ นี่คืออำ�นาจ
ของพระพุทธคุณอย่างแท้จริง
เมื่อจบโครงการออกไปแล้ว ข้าพเจ้าตั้งใจจะนำ�ความรู้
แนวคิด และธรรมะที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ ไปขยายต่อให้กับคนใน
ครอบครัว เพื่อน ๆ บุคคลอื่น ๆ ที่เรารักได้ทราบและปฏิบัติ เพราะ
อยากให้เขาเหล่านั้นได้พบกับสิ่งดี ๆ เหมือนที่ข้าพเจ้าได้พบจากการ
เข้าร่วมโครงการนี้
ข้าพเจ้าจะจดจำ�คำ�สอนของพระอาจารย์ เพื่อเป็นกำ�ลังใจ
ในการเอาชนะกิเลสของตนเอง พระอาจารย์พูดเสมอว่า “ให้อดทน
การจะทำ�ความดีตอ้ งฝืนใจทำ�สิง่ ทีไ่ ม่อยากทำ� ทุกอย่างทีท่ �ำ เป็นครัง้
แรกจะยากเสมอ เมื่อทำ�อีกครั้งต่อ ๆ ไปก็จะง่ายขึ้นเรื่อย ๆ ของดี
ต้องได้มายาก ถ้าไม่ยากก็ไม่ใช่ของดี ต้องอยูง่ า่ ย จิตใจเข้มแข็งและ
มีสจั จะ ให้ถามตัวเองเสมอว่า เราเด็ดขาดพอไหม?” อีก ๒-๓ เดือน
ข้าพเจ้าจะต้องไปพบแพทย์เพือ่ ตรวจดูกอ้ นทีเ่ ต้านมอีกครัง้ หนึง่ ข้าพเจ้า
หวังว่าจะได้แจ้งข่าวดีจากผลตรวจกลับมาให้พระอาจารย์ทราบด้วย แต่
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับอยู่ดี
ขอกราบขอบพระคุณพระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์ ผูอ้ ำ�นวยการ
สำ�นักปฏิบตั ธิ รรมสวนเวฬุวนั ทีอ่ นุญาตให้เกิดโครงการนีข้ นึ้ มาสำ�หรับ
ผูป้ ว่ ยอย่างพวกเรา และยิง่ กว่าขอบพระคุณต่อท่านพระอาจารย์วโิ รจน์
จกฺกวโร และทีมงานทุกฝ่ายที่มีส่วนในโครงการนี้ทุกท่าน ขอกราบ
นมัสการด้วยหัวใจ
สิ่งที่ได้จากโครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติ
๑. ความรู้เกี่ยวกับอาหารของผู้ป่วยโรคมะเร็ง รวมถึงวิธี
ปฏิบตั ติ วั เพือ่ ไม่ให้โรคกำ�เริบหรือลุกลามด้วยวิธกี ารของแพทย์ทางเลือก
๒. ความรู้เรื่องการปฏิบัติกรรมฐานที่ถูกต้อง
๓. มีความอดทนเพิ่มขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ
๔. ได้ข้อคิด แนวทางการจัดการจิตใจของตนเอง รวมทั้ง
มีกำ�ลังใจในการดำ�รงชีวิตอยู่ด้วยหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า
๕. ได้ ค วามรู้ เ รื่ อ งการออกกำ � ลั ง กายแบบโยคะที่ เ หมาะ
สำ�หรับผู้ป่วยและผู้ไม่ป่วย

จิวัสสา ปิยทับทิม

ดิฉันชื่อ นางสาว จิวัสสา ปิยทับทิม อายุ ๔๘ ปีป่วยเป็น


มะเร็งในรังไข่ระยะที่ ๑ ได้ผ่าตัดออกไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการ
รักษาทางเคมีบำ�บัด เพราะไม่คิดว่าจะต้องหายขาดอย่างแน่นอน
เมื่อดิฉันรู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็งก็มีความตกใจอย่างมาก ซึ่ง
เป็นโรคที่น่ากลัวมากสำ�หรับตัวเอง ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นโรค
นี้มาก่อน เคยคิดว่าตัวเองแข็งแรง คงจะไม่เป็นแน่นอน และไม่เคย
ตรวจสุขภาพของตัวเอง แต่ก็ได้ยินเพื่อน ๆ ชอบไปตรวจกันมามาก
ตัวเองก็ไม่เคยสนใจ นี่แหละที่เรียกว่า เป็นความประมาทอย่างร้าย
แรงที่ ทำ � กั บ ตั ว เอง เพราะตั ว เองเป็ น คนที่ ช อบทำ � บุ ญ และเข้ า วั ด

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๙๑
๒๙๒ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

ปฏิบัติธรรมมาตลอดร่วม ๑๕ ปี คิดว่าบุญกุศลที่ตัวเองทำ�ไว้นั้น จะ
ไม่ท�ำ ให้ตวั เองจะต้องประสบปัญหาเช่นนีเ้ ลย นัน่ เป็นความคิดทีผ่ ดิ และ
ประมาทอย่างมาก
ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ายังมีความโชคดี ที่บุญกุศลที่ทำ�ไว้ใน
อดีตนัน้ ก็ยงั ได้ชว่ ยนำ�พาให้เราได้มาพบกับหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม วัด
อัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เพราะได้ทราบว่า ท่านสามารถนำ�ผู้ปฏิบัติ
ธรรมรักษาโรคมะเร็งให้หายได้ แต่ต้องมีความอดทนอย่างสูงมาก ๆ
ก็เลยพาตัวเองมาหาหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน ได้มากราบท่านแต่ท่าน
อาพาธงดใช้เสียงมาหลายปีแล้ว ท่านได้แผ่เมตตาให้กับข้าพเจ้าอย่าง
มาก โดยมองหน้าข้าพเจ้านานมากเหมือนกับท่านรู้ว่า เรามีทุกข์มาก
ข้าพเจ้ามีน้ำ�ตาซึมแต่ก็ปลื้มปีติมาก คิดว่าจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดเพื่อ
รักษาตัวเอง แต่เห็นว่าคนมากเหลือเกิน เราจะทำ�ได้หรือเปล่า ไม่รจู้ กั
ใครเลยด้วย ก็นั่งคิดอยู่สองจิตสองใจว่าจะเอาอย่างไรดี
ข้าพเจ้าเห็นน้องคนหนึ่งที่มาปฏิบัติธรรมนั่งอยู่ ถามน้อง
ว่า “ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่หรือ” น้องบอกว่า “ใช่” ก็เลยเล่าเรื่องราวให้
น้องฟัง น้องใจดีสมชื่อ น้องเขาชือ่ “ดี” เค้าแนะนำ�ให้ไปทีว่ ดั ตาลเอน
อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ที่นั่นจะมีโครงการปฏิบัติธรรม
เฉลิมพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ฯ
เป็นเวลา ๗ วัน คนไม่มาก มีพระมาสอบอารมณ์ด้วยก็เลยสนใจ
พระอาจารย์ทดี่ แู ลก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญ นัน่ คือ พระครูสมุห์
จิรยุทธ์ อธิฉนฺโท จึงรีบไปในวันนั้นเลย ได้เข้าร่วมในโครงการ พระ
อาจารย์ทา่ นมีเมตตามาก ข้าพเจ้าร่วมปฏิบตั มิ าตลอดถึงเดือนธันวาคม
๒๕๕๐ พระอาจารย์ท่านแนะนำ�ให้เข้าร่วม โครงการเรียนรู้ดูกายใจ
ด้วยธรรมะ ธรรมชาติ ใช้สมาธิบำ�บัดรักษาโรคมะเร็งที่สำ�นักปฏิบัติ
ธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น โดยพระอาจารย์วิโรจน์ จกกฺวโร เป็น
เวลา ๑ เดือนเต็ม ระหว่างวันที่ ๑๕ มกราคม - ๑๕ กุมภาพันธ์
๒๕๕๑
เมือ่ ได้มาเข้าร่วมโครงการ รูส้ กึ มีความประทับใจเป็นอย่าง
มาก เพราะได้รบั ความรูม้ ากมายเกีย่ วกับโรคมะเร็ง พระอาจารย์วโิ รจน์
ท่านได้เชิญวิทยากรจากหลายแขนงมาบรรยายให้เราได้ทราบ มี
คุณหมอเอื้อมแข ซึ่งรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโรคมะเร็ง มาอธิบายให้เราได้
ทราบว่า โรคมะเร็งเกิดขึ้นได้อย่างไร มีวิธีการรักษาอย่างไรได้บ้าง
ทำ�ให้เราได้รับรู้ข่าวสารของเรื่องมะเร็งได้เพิ่มขึ้น และอีกคนที่สำ�คัญ
เกี่ยวกับเรื่องอาหาร ก็คือ ดร.รสสุคนธ์ ท่านก็ได้ให้ความรู้ในเรื่อง
ของอาหารธรรมชาติอย่างแท้จริง ซึ่งแต่ละคนก็ไม่สามารถเชิญมาได้
ง่าย ๆ เลย แต่ก็มาให้กับโครงการนี้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง นับว่า
เป็นบุญกุศลอย่างยิ่งสำ�หรับผู้เข้าร่วมโครงการ ทำ�ให้ข้าพเจ้ามีความ
ปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่งกับโครงการนี้เป็นที่สุด
ที่สำ�คัญที่สุดก็คือ พระอาจารย์วิโรจน์ จกฺกวโร ที่ได้สอน
การปฏิบัติธรรมให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ ที่ว่าสำ�คัญที่สุดก็เพราะถ้า
ขาดสิง่ นีเ้ พียงสิง่ เดียวก็ไม่สามารถทีจ่ ะรักษาโรคมะเร็งได้อย่างแน่นอน
นับเป็นขัน้ ตอนทีข่ าดเสียไม่ได้ เพราะถึงแม้วา่ จะได้รบั สารอาหารอย่าง
ดีแล้ว อากาศดีแล้ว แต่ถ้ายังมีความเครียดอยู่ ก็ไม่สามารถจะมีชีวิต
อยู่รอดได้ พระอาจารย์ท่านจึงได้ย้ำ�นักย้ำ�หนาว่า “จบโครงการแล้ว
ต้องนำ�ไปปฏิบัติตลอด ห้ามขาด”

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ถึงแม้ดิฉันจะปฏิบัติแล้ว
ยังไม่ได้สมาธิมากเท่าไหร่กต็ าม แต่กถ็ อื ว่าได้รบั ผลของการปฏิบตั เิ พิม่

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๙๓
๒๙๔ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

มากขึน้ เริม่ เข้าใจในการปฏิบตั ิ ซึง่ ถ้าเราทำ�จริง ผลก็ออกมาจริงอย่าง


ทีเ่ ราคาดไม่ถงึ พระอาจารย์ทา่ นเก่งและมีเมตตาสูงมาก ในการคิดค้น
วิธีการประพฤติปฏิบัติตนในรูปแบบเช่นนี้ ช่วงแรกท่านไม่ให้เราเกิด
อาการเครียด ให้ปฏิบัติแบบค่อยเป็นค่อยไป แล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลาขึ้น
เป็นขั้นเป็นตอน และผู้ปฏิบัติก็ตั้งใจ ผลออกมาเป็นที่พอใจอย่างยิ่ง
รวมถึ ง ตั ว ข้ า พเจ้ า เองด้ ว ยที่ ไ ด้ เ รี ย นรู้ ว่ า ถ้ า เรามี ค วามเพี ย รอย่ า ง
สม�่ำ เสมอและเอาจริงเอาจังแล้ว ผลก็ออกมาดีอย่างทีเ่ ราคาดไม่ถงึ เลย
เพราะการปฏิบตั ธิ รรมนัน้ ต้องทำ�อย่างไม่หวังผล ทำ�ไปเรือ่ ย ๆ อดทน
ทำ�ตลอด ทำ�บ่อย ๆ ไม่วา่ จะเกิดอาการอะไรออกมาก็ตอ้ งปฏิบตั ติ อ่ ไป
ตลอด
อาการป่วยของข้าพเจ้าไม่ได้มีอาการมากเท่ากับผู้ปฏิบัติ
ท่านอื่น เพราะข้าพเจ้าเป็นแค่ระยะที่ ๑ เท่านั้น แต่หลังจากได้เข้า
โครงการแล้วรู้สึกร่างกายแข็งแรงขึ้น จิตใจก็ดีขึ้นมาก เพราะได้รับ
อาหารดี ต่ อ สุ ข ภาพ ความมี เ มตตา ความเป็ น ห่ ว งเป็ น ใยจาก
พระอาจารย์ทุกรูป และพี่เลี้ยงที่คอยให้บริการด้วยสายตาที่ยิ้มแย้ม
มีความจริงใจ ข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขยิ่งตลอดระยะเวลา ๑ เดือน
ทำ�ให้มกี �ำ ลังใจทีจ่ ะออกไปต่อสูก้ บั ชีวติ ในสังคมภายนอกได้อย่างมีความ
หวังว่า โรคที่เป็นอยู่อาจจะหายได้ แต่ถ้าไม่หาย ก็สามารถที่จะอยู่กับ
มั น ได้ โ ดยที่ โ รคนั้ น ไม่ ส ามารถมาทำ � อั น ตรายกั บ เราได้ นั บ ว่ า
ผลพลอยได้คือ เราได้เรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรกับโรคร้ายที่เป็นอยู่
จากโครงการดี ๆ ที่สำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวันแห่งนี้

ข้าพเจ้าอยากให้มีโครงการดี ๆ เช่นนี้อีกตลอดไป เพราะ
สมัยนี้คนเป็นโรคร้ายชนิดนี้อย่างมากมายและมันทรมานอย่างมากใน
การรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบนั แต่ถา้ เรามารักษาแบบธรรมชาติ และ
การปฏิบัติธรรมยังมีโอกาสหายได้มากกว่า เป็นโครงการที่ดีเยี่ยม
ขอให้มีการจัดโครงการนี้อีกในอนาคตข้างหน้านี้นะคะ
สุดท้ายนีต้ อ้ งกราบขอบพระคุณอย่างสูงกับพระอาจารย์ทกุ
รูป อาทิ พระอาจารย์วิโรจน์ พระอาจารย์ต้น พระอาจารย์เต้
พระอาจารย์โน๊ต ตลอดจนพระคุณเจ้าทุกรูปทีม่ สี ว่ นในการจัดโครงการ
นี้ ขอบคุณผู้มีส่วนช่วยเหลือในโครงการอันมีแม่ครัว ผู้ช่วยงานครัว
และเจ้าหน้าที่บริการทุกท่าน รวมทั้งคุณหมอ พยาบาลและผู้ที่มีส่วน
เกี่ยวข้องทุก ๆ คน การเขียนครั้งนี้ออกมาจากความรู้สึกที่จริงจากใจ
ของข้าพเจ้าเลยค่ะ กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ทัชพร ยาโพนทัน

ข้าพเจ้า นางทัชพร ยาโพนทัน ปัจจุบันอายุ ๔๒ ปี เกิด


มาเป็นลูกสาวคนโตในบรรดาพี่น้อง ๔ คน ซึ่งเป็นลูกสาวทั้งหมด จบ
การศึกษาระดับ ปวส. ตั้งแต่เรียนจบมาก็ทำ�งานมาตลอด ถึงจะเป็น
ลูกชาวนา แต่พ่อแม่ก็ส่งเสียลูก ๆ เรียนจบกันหมดทุกคน บางคนก็
เรียนจบปริญญาโท มีขา้ พเจ้าคนเดียวทีไ่ ม่เรียนต่อ เพราะสนุกกับการ
ทำ�งานและการใช้ชีวิตโสดจนอายุ ๒๙ ปี จึงแต่งงาน มีบุตรสาวคน
แรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖ และมีบุตรสาวคนที่สองเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ นี่
แหละกำ�ลังเริ่มต้นเข้าสู่เรื่องของมะเร็ง

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๙๕
๒๙๖ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เมื่อคลอดบุตรสาวคนที่สอง อายุ ๓๙ ปีย่าง ๔๐ ปี ก็


เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง และตรวจเช็คร่างกายเป็นประจำ�ทุกปี เป็นคน
ที่มีสุขภาพดี แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ การรับประทานอาหารก็รับ
ประทานแบบธรรมดา ๆ ชอบรับประทานผักมากเป็นพิเศษ เนื้อสัตว์
ประเภทเนื้อวัวก็นาน ๆ รับประทานครั้ง อาหารทะเลก็อาจปีละครั้ง
อาหารพวกที่ฝรั่งเอาเข้ามาเปิดขายในประเทศก็ไม่ชอบ ไม่ชอบรับ
ประทานจุก ๆ จิก ๆ แต่ทำ�ไม? ต้องเป็น “มะเร็ง” ประเภทเครื่องดื่ม
ที่มีแอลกอฮอล์ก็นาน ๆ จะดื่มสังสรรค์กับเพื่อน ๆ อันนี้พูดสมัยเมื่อ
ยังโสด แต่พอแต่งงาน ทุกอย่างเลิกหมด กระทัง่ เพือ่ น ๆ ก็พลอยหาย
หน้าหายตาเพราะต่างคนต่างมีครอบครัว พูดถึงเมือ่ คลอดบุตรสาวคน
ทีส่ องก็เลีย้ งลูกด้วยนมตัวเองเพราะเชือ่ ว่าดี มีประโยชน์ แถมลดอัตรา
เสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านมได้ด้วย แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเลิกใช้
ทฤษฏีนไี้ ด้แล้วเพราะคนทีเ่ ป็นมะเร็งเต้านม ส่วนมากก็เลีย้ งลูกด้วยนม
แม่ทั้งนั้น
อาการเริ่มแรกของข้าพเจ้าไม่เหมือนใครเลย ให้นมลูกอยู่
ดี ๆ เต้านมก็แข็งขึน้ มา (เต้านมซ้าย) แต่ไม่เจ็บ โบราณท่านว่า น�้ำ นม
มันหลงรู ให้เอาเส้นผมแหย่ที่น้ำ�นมออกมา แต่ข้าพเจ้าก็ทำ�ไม่เป็น
หรอก ปล่อยไว้จนเกิดอาการเจ็บ ๆ หาย ๆ จนต้องไปหาหมอที่โรง
พยาบาล (ตอนนี้ลูกสาวอายุ ๑ ขวบแล้ว) ตรวจครั้งแรกหมอบอกว่า
ไม่เป็นอะไร เป็นแค่เต้านมอักเสบ ให้ยาแก้อักเสบมารับประทาน
อาการก็ยิ่งไปกันใหญ่ เจ็บ ๆ หาย ๆ จนข้าพเจ้าทิ้งยาแก้อักเสบและ
ยาแก้ปวดหมอไปเลย ทนปวดหลายวันจนคุณป้าต้องพาไปหาหมอ
กลางบ้าน (หมอโบราณ) เพื่อเป่าให้หายปวด ปรากฏว่าหายปวดเป็น
ปลิดทิ้ง คิดว่าจะรักษากับหมอโบราณ แต่อาการของมะเร็งมันมาก
เหลือเกิน ต้องไปหาหมอแผนปัจจุบนั ด้วย ก็รกั ษาโดยการให้เคมีบ�ำ บัด
ผลการให้ยาเคมีกค็ อื ผมร่วง เล็บดำ� นอกนัน้ ก็ไม่มอี ะไรเพราะไม่มอี าการ
แพ้อะไร แต่ให้ยาเคมีบ�ำ บัด ๗ ครัง้ ปรากฏว่าน้ำ�หนักตัวขึน้ เป็น ๗๑
กิโลกรัม จากเดิม ๖๐ กิโลกรัม เพราะรับประทานเก่งมาก แอบมา
ทราบทีหลังว่า หมอให้ยาอยากอาหารผสมกับยาเคมีดว้ ย จากนัน้ หมอ
ก็ให้ไปฉายแสงอีก ๓๐ ครัง้ (๓๐ แสง) ทำ�ตามทีห่ มอแนะนำ�ทุกอย่าง
พร้อมทัง้ หนักใจว่า มันจะมีผลอะไรตามมาอีกนะ
ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๐ มีญาติซึ่งเป็น
อาจารย์ได้มาปฏิบัติธรรมที่สำ�นักปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน เอาใบสมัคร
โครงการเรียนรู้ดูกายใจด้วยธรรมะ ธรรมชาติสำ�หรับคนที่เป็นโรค
มะเร็งมาให้ ข้าพเจ้าเกิดความสนใจขึ้นมาทันที ยังไงก็ต้องเข้ามาร่วม
โครงการให้ได้ ถึงกับมายื่นใบสมัครเกือบจะก่อนใคร ๆ พอดีฉายแสง
ได้ ๒๙ แสงแล้ว ก็ขอคุณหมอว่าขอหยุดแค่ ๒๙ แสงเพราะจะไป
ปฏิบัติธรรมแล้ว ผลจากการฉายแสง ทำ�ให้บริเวณใต้รักแร้ซึ่งเป็น
ผิวหนังที่อ่อนบางเป็นแผลเหมือนน้ำ�ร้อนลวก ต้องทนหลายวัน ดีที่ได้
น้ำ�เอนไซม์มาประคบบริเวณแผล ประมาณ ๓-๔ วันก็แห้งสนิท จน
สะเก็ดออกหมด
การมาเข้าร่วมโครงการในครัง้ นี้ ข้าพเจ้ามีความประทับใจ
มากมาย พระคุณเจ้าที่กรุณามาเป็นพระวิทยากรก็มีเมตตามากที่สุด
ท่านที่กรุณามาเป็นพี่เลี้ยงก็ใจดีมีเมตตาทุกท่าน ทำ�ให้สุขภาพกาย
สุ ข ภาพใจดี ขึ้ น เป็ น ลำ � ดั บ ข้ า พเจ้ า จะนำ � แนวทางการปฏิ บั ติ ธ รรม
วิปัสสนากรรมฐานไปใช้ที่บ้าน ดำ�รง ชีวิตให้เหมือนกับตอนที่เข้าร่วม
โครงการ สำ�หรับเพื่อนที่เข้าร่วมโครงการก็ประทับใจทุกท่าน แต่ละ
ท่านก็มีโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ กันไป ทุกคนต่างก็เห็นใจซึ่งกันและกัน

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๙๗
๒๙๘ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

เพราะพวกเราเหมือนกับมีชะตากรรมเดียวกัน ข้าพเจ้าสงสารท่านทีเ่ จ็บ


ป่วยมากกว่าเพราะข้าพเจ้าก็มีสุขภาพแข็งแรง ช่วยเหลือตัวเองได้ดี ก็
ต้องช่วยเหลือคนที่ช่วยตัวเองไม่ค่อยได้
สำ�หรับพระอาจารย์ทเี่ ป็นวิทยากรทุกท่านมีเมตตามาก ให้
คำ�แนะนำ�กับผู้เข้าร่วมโครงการเป็นอย่างดี ทำ�ให้พวกเราทุกคนสดใส
ถึงแม้จะมีบางคนทีย่ งั มีเรือ่ งกังวล แต่เรือ่ งนีท้ กุ ๆ คนก็ตอ้ งทำ�ใจเพราะ
ว่า พวกเราปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีสมาธิ มีสติปัญญา และพร้อมเสมอที่
จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่าง ๆ ข้าพเจ้าเองก็หวังว่า วิธีปฏิบัติในขณะ
ที่เข้าร่วมโครงการ การรับประทานอาหารต่าง ๆ ถ้าเอาไปปฏิบัติที่
บ้าน ข้าพเจ้าจะต้องหายจากการเจ็บป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บนี้ นับเป็น
บุญของข้าพเจ้าทีม่ โี อกาสเข้าร่วมโครงการนี้ เพราะบารมีของหลวงพ่อ
จรัญ ฐิตธมฺโม และพระวิโรจน์ จกฺกวโร ซึง่ เป็นผูด้ ำ�เนินการโครงการ
นี้ ทำ�ให้ผทู้ หี่ มดหนทางเริม่ มีแสงสว่างทีจ่ ะรักษาสุขภาพและชีวติ ให้อยู่
นานเท่าที่จะทำ�ได้
สำ�หรับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่า
สบายใจ คลายกังวลมาก ถึงแม้ในการปฏิบัติ ข้าพเจ้าจะทำ�ได้ไม่ดีคือ
นั่งไม่ได้นาน เกิดเวทนาเจ็บปวด เพราะขาของข้าพเจ้าข้างขวาได้รับ
การผ่าตัด นัง่ ไม่ถนัด แต่วา่ ข้าพเจ้าก็อดทนทำ� ถึงแม้จะเหนือ่ ยแต่พอได้
พักผ่อน ตื่นเช้ามาก็สดชื่นแจ่มใสเหมือนเดิม ทำ�ให้ข้าพเจ้าคิดถึงการ
มองดู ก ายใจของตนเอง พิ จ ารณาความเจ็ บ ปวดที่ เ กิ ด ขึ้ น ขณะนั่ ง
วิปัสสนากรรมฐาน ข้าพเจ้าจะพยายามฝึกฝนปฏิบัติธรรมเป็นประจำ�
ทุกวันเพื่ออานิสงส์ เพื่อสร้างบุญให้เกิดกับตัวเองและคนรอบข้าง ซึ่ง
เริ่มจากภายในครอบครัวของตัวเองก่อน
ความเป็นอยู่ในขณะเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ ซึ่งครั้งแรก
คิดว่าเป็นการใช้ยาสมุนไพรบำ�บัดพร้อมกับการปฏิบัติธรรม แต่กลาย
เป็น ว่ า มี น้ำ�ผั ก ปั่น และอาหารจากพืชผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
โดยอาหารที่รับประทานสามารถจะไปสร้างเซลล์ในร่างกายให้ฟื้นตัว
เร็วและขับเซลล์ร้ายออกมา ซึ่งคณะผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละท่านล้วน
หน้าตาสดใสขึน้ มา ตัวข้าพเจ้าเองก็เห็นได้ชดั ถึงการเปลีย่ นแปลง เช่น
ผมที่เกิดใหม่ ดำ�เป็นมัน เล็บที่ดำ�จากเคมีบำ�บัดก็เริ่มออกเป็นสีชมพู
แผลจากการฉายรังสีกแ็ ห้งเร็ว ซึง่ การขับพิษของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
บางวันข้าพเจ้าขับถ่ายวันละ ๕-๖ รอบ ตกค่ำ�มาจับไข้ แต่พอตื่นเช้า
มาก็หน้าตาสดใส ไม่มีอาการไข้ตกค้าง แต่พอช่วงบ่ายนั่งปฏิบัติธรรม
ก็จะหลับท่าเดียวเหมือนกัน
สำ�หรับด้านผู้จัดอาหารให้รับประทานนั้น ทุกคนล้วนใจดี
ยิม้ แย้มแจ่มใส มีเมตตาทุกคน คณะพีเ่ ลีย้ งก็ใจดีมเี มตตา ถ้าจะเปรียบ
เทียบกับการไปพักโรงแรมระดับ ๕ ดาวได้เลยทีเดียว ข้าพเจ้ารูส้ กึ ดีใจ
และเป็นบุญจริง ๆ ที่ได้มาร่วมโครงการนี้ ข้าพเจ้าจะตั้งใจปฏิบัติตน
ในชีวิตประจำ�วัน ให้โรคภัยหายวันหายคืนให้ได้ และจะเขียนมาเล่าให้
ฟังว่า ผลเป็นอย่างไรในโอกาสต่อไป

กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk. ๒๙๙
๓๐๐ กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อฉันหัดเดิน
Once upon a time, when I learn to walk.

สุฐิตา เลิศวนิชสุธา

ข้าพเจ้า นางสุฐิตา เลิศวนิชสุธา อายุ ๕๑ ปี เกิดที่


จังหวัดสุพรรณบุรี พอมีครอบครัวก็ไปค้าขายที่กรุงเทพฯ ได้ไปตรวจ
สุขภาพก็รู้ว่า เป็นมะเร็งที่ปอด ระยะ ๔ ข้าพเจ้าไม่ได้สูบบุหรี่ ไม่ได้
กินเหล้า แต่สาเหตุทเี่ ป็นมะเร็งคิดว่ามาจากความเครียด ชีวติ ก่อนป่วย
ข้าพเจ้าเป็นคนเครียดง่าย วิตกกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ค่อย
แสดงออก ก่อนที่จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ข้าพเจ้า
เหนือ่ ยง่าย ก็เลยไปรักษาตัวทีโ่ รงพยาบาลจุฬา ณ ตอนนัน้ หมอบอก
ให้ทำ�อะไรข้าพเจ้าก็ทำ� ข้าพเจ้าให้เคมีบำ�บัดก็เกิดผลข้างเคียง ผมร่วง
อ่อนเพลีย คลื่นไส้ พอดีน้องสาวอยู่ที่จังหวัดมหาสารคามมีเพื่อนเป็น
อาจารย์อยูท่ ขี่ อนแก่นได้โทรไปบอกว่า มีโครงการบำ�บัดด้วยธรรมชาติ
ข้าพเจ้าตัดสินใจเพียงคืนเดียว พอตอนเช้าก็นงั่ รถมา ตอน
มายังไม่รู้ว่า ๓๐ วัน เราจะต้องทำ�อะไรบ้างเพราะเป็นโครงการแรก
ยังทำ�สมาธิไม่ค่อยได้ รู้สึกอึดอัด หายใจติดขัด มาทำ�ได้ช่วงหลัง ๆ
แต่ก็ทำ�ได้ไม่นาน ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า พระอาจารย์ให้ทำ�สมาธิ
ทั้งวัน มันหนักเกินไปสำ�หรับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายังทำ�ไม่ได้ ก็ทำ�
บ้างไม่ทำ�บ้าง ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพิ่งจะมารู้ก่อนปิดโครงการ
๒ - ๓ วันว่า การทำ�สมาธิทำ�ให้จิตใจสงบ คลายเครียดได้ ก่อนหน้า
นี้ไม่เคยรู้เลยว่า การทำ�สมาธิเป็นอย่างไร ประโยชน์ของการเข้า
โครงการนี้ ทำ�ให้ข้าพเจ้ารู้ว่า มะเร็งไม่ใช่โรค แต่เป็นเซลล์ที่ผิดปกติ
ได้รบั ความรูเ้ กีย่ วกับอาหาร การใช้ชวี ติ ประจำ�วัน และการปฏิบตั ธิ รรม
รู้สึกประทับใจกับโครงการดี ๆ แบบนี้ค่ะ

You might also like