Professional Documents
Culture Documents
Lanna Medical Hist - 2012sep
Lanna Medical Hist - 2012sep
ในสมัยพระนางจามเทวีธิดาเจ้าเมืองละโว้ครองเมืองหริภุณชัยมีการกล่าวถึงหมอยาในตํานานจาม
เทวีวงศ์ในตํานานมูลศาสนา โดยกล่ าวเรียงตามความสําคัญเริ่มจากพระมหาเถระ คนถื อศีล ตามด้วย
นักปราชญ์ ช่าง หมอโหร และหมอยา สมัยราชวงศ์มังราย ที่มีพญามังรายเป็นพระมหากษัตริย์ครองเมือง
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ นักพัฒนาที่สําคัญ ไม่ได้มีบันทึกเกี่ยวกับการแพทย์ชัดเจน และเมื่อมาถึงรัชสมัย
พระเมืองแก้ว (พ.ศ.2038-2068) ได้มีบันทึกถึง “ยาแก้ 5 ต้น” กล่าวถึงพระฤาษี 5 ตนที่มีผิวพรรณดี
ร่างกายแข็งแรงและอายุเกินร้อยได้บอกแนะนําสมุนไพร 5 ประเภท ได้แก่ “ประล่องม่อน หย่อนถงพา(ผา)
ตาผีบอด รอดเมืองพรหม และขมเหลือเพี้ย” ซึ่งสมุนไพร 5 ชนิดดังกล่าวหมายถึง หมูปล่อยซึ่งเป็นพืชเถา
แตงเถื่อน หนาดดํา บอระเพ็ด และต้นเนียมฤาษี และเมื่อหมอหลวงปรุงแล้ว พบว่าได้ผลดี จึงบันทึกไว้เป็นยา
ตําราหลวง และพระองค์ก็มอบหมายให้พระสงฆ์ปรุงยาร่วมกับทําพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในช่วงเข้าพรรษา
และนําแจกจ่ายแก่ประชาชนในวันออกพรรษาถือเป็นยาอายุวัฒนะ ต่อมาในปี พ.ศ.2101 อาณาจักรล้านนา
เสียเอกราชแก่พม่า แต่ตําราสมุนไพรในวัดต่างๆก็ยังไม่สูญหายไปแต่ไม่ได้ถูกรวบรวมไว้เป็นตํารับหลวง
หลังจากนั้นอาณาจักรล้านนาก็ตกเป็นประเทศราชของไทยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระ
นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าให้จารึกตํารายาไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในปี พ.ศ.2375 โปรดให้พระ
ยาบําเรอราชแพทยา นําตํารายามาจารึกบนแผ่นหินแล้วติดไว้ตามศาลารายหลังต่างๆ ดังปรากฏหลักฐานใน
โคลงดั้นเรื่องปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ความตอน
หนึ่งว่า
๏ พระยาบําเรอราชผู้ แพทยา ยิ่งฤๅ
รู้รอบรู้รักษา โรคฟืน้
บรรหารพนักงานหา โอสถ ประสิทธิเ์ อย
จําหลักลักษณะยาพื้น แผ่นไว้ทานหลัง
และในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีการพิมพ์ตํารับยา 2 เล่ม คือ ตําราเวชศาสตร์วรรณา และตําราแพทย์
ศาสตร์สงเคราะห์ และเมื่อมีการตั้งกระทรวงศึกษาธิการ ทางกระทรวงก็ได้พิมพ์ตําราแพทย์ข้ึนอีกในปี พ.ศ.
2447 เรียกว่าตําราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์แต่เนื้อหาว่าด้วยการแพทย์ตะวันตกเกือบทั้งหมด จะมียาไทย
เหลืออยู่บ้างในส่วนที่ไม่มียาตะวันตกใช้เท่านั้น ดังนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 การปกครองหัวเมืองล้านนามีความ
ใกล้ชิดและเข้มงวดมากขึ้น วัฒนธรรมหลายอย่างจากกรุงเทพฯจึงได้แพร่เข้าสู่ดินแดนล้านนาด้วยโดยเฉพาะ
ล้านนาในยุคหลัง นอกจากนี้ก็มีบริษัทค้าไม้สักต่างชาติซึ่งมีชาวพม่าเข้ามาทํางานด้วย ก็มีการนํายาสมุนไพร
พม่ า เข้ า มาด้ ว ยและยาบางขนานก็ เ ป็ น ที่ นิ ย มของคนท้ อ งถิ่ น จากการสํา รวจตามวั ดต่ า งๆที่ผ่ า นมาโดย
สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้พบตํารายาเป็นจํานวนมาก ซึ่งสถาบันวิจัยฯ ได้นํามาถ่ายเป็น
ไมโครฟิล์มเก็บรักษาไว้ พบว่าตํารายาล้านนาที่เขียนด้วยอักษรพื้นเมืองหรืออักษรธรรมยังไม่ได้รวบรวมเป็น
หมวดหมู่ ส่วนใหญ่พูดถึงสรรพคุณของยาในการรักษาโรค อาจเป็นการใช้ยาสมุนไพรชนิดเดียว ไปจนถึง
ตํารับยาที่มีตัวยา 47 ชนิด (ยารักษาโรคพิษสุนัขบ้ามีสมุนไพรมากที่สุด) แต่ไม่มีการกล่าวถึง สมุฎฐานของ
โรคเช่นในยาตําราหลวงของภาคกลาง และจะมีความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์มาเกี่ยวข้องด้วย การถ่ายทอด
องค์ความรู้มีอยู่หลายวิธี เช่น การบันทึกตํารับยาอยู่ในพับสา (ปั๋บสา) ใบลาน ตลอดจนถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่น
เรื่อยมาโดยการฝึกปฏิบัติในครอบครัวและชุมชน จนกระทั่งการแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามาถึงโดยการนําของ
คณะมิชชันนารีชาวอเมริกันมาตั้งโรงพยาบาลแมคคอร์มิกทําให้มีความนิยมของการใช้สมุนไพรและการรักษา
พื้นบ้านลดลง และยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด ความเชื่อ รวมถึงพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพทั้งหมด
วิธีการรักษาด้วยหมอพื้นบ้าน หรือ หมอเมือง หรือหมอพื้ นเมือง จะประกอบด้ วยคุ ณค่า ความ
ศรัทธา ความเชื่อ และวัฒนธรรมเน้นเรื่องการกิน การอยู่ และวิถีชีวิต ซึ่งจะต้องครบวงจร เช่นรู้คาถา
พิธีกรรม โหราศาสตร์ การตัดเกิด สะเดาะเคราะห์ และใช้สมุนไพร ทําให้มีการผสมผสานเชื่อมโดยงกันทั้งใน
ส่วนของกาย ใจและจิตวิญญาณ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทรรศนะ และความเชื่อซึ่งมีอิทธิพลมาจากลัทธิ
พราหมณ์และพุทธศาสนา โดยเชื่อว่าเหตุแห่งการเจ็บป่วยเกี่ยวข้องกับกรรม ทั้งกรรมจากการกระทําใน
ปัจจุบันและกรรมจากการสั่งสมมาแต่อดีตชาติ ชาวล้านนาเชื่อว่าคนประกอบขึ้นจากรูปกับนาม คือ กาย
(ธาตุ) กับใจ(ขวัญ) อย่างสมดุลและสัมพันธ์กัน ถ้าเสียไป เช่นขวัญตก ขวัญหาย หรือธาตุเสีย ธาตุอ่อน ธาตุ
พิการจะมีผลกระทบต่อสุขภาพได้ เชื่อว่าร่างกายประกอบด้วยธาตุท้ัง 5 ได้แก่ ดิน น้ํา ลม ไฟ และอากาศ
ธาตุหรือธาตุพระเจ้า และการพิจารณาสมุฎฐานของโรค โดยดูอายุ อาชีพ ครอบครัว ความประพฤติ อาหาร
การกิน การเจ็บป่วยในอดีต ดูดวง คํานวณธาตุตามอายุ การเสี่ยงทายโดยหมอเมื่อ ใช้คาถา นั่งทางใน
ทํานายจากนิมิต ตลอดจนใช้ไม้วาคนไข้ และหาสาเหตุว่าเกิดจากขวัญ หรือเคราะห์(วิบาก/เวรกรรม) หรือผี
หรือเลือดลม(ธาตุ) หรือจากการเบียดเบียนของพยาธิ
วิธีการรักษาโรคของหมอเมือง แบ่งออกเป็น 3 วิธีใหญ่ๆ คือ
1. การรักษาโรคทาง “ไสยศาสตร์” คือ การใช้คาถาอาคม ได้แก่ การแฮก การเสกเป่า การเช็ด
การใช้น้ํามันมนต์
2. การรักษาโรคแบบ “มด” คือ การทรงเจ้าเข้าผี รักษาด้วยจิตวิญญาณ
3. การรักษาโรคแบบ “หมอยา” คือ การใช้ยาสมุนไพรต่างๆ อาจอยู่ในรูปแบบยาผง จากสมุนไพร
ตากแห้ง ยาต้มโดยใช้ส่วนของสมุนไพรตากแห้ง ทําเป็นมัดๆหรือซอย สําหรับต้มทาน ยาฝน นํา
ส่วนราก ลําต้น หรือหัวของพืชตากแห้ง นํามารวมเป็นชุดแล้วฝนกับหินให้น้ํายาหยดลงในขัน ยา
ลูกกลอน เป็นยาที่ตําเป็นผงแล้วผสมกับน้ําผึ้งหรือน้ํามะขามเปียกให้เหนียวแล้วปัน้ เป็นลูกกลอน
ยาธาตุเป็นยาบํารุงร่างกายเป็นยาที่ตําเป็นผงแล้วผสมกับน้ําผึ้งใส่กระออมไว้กินประจําวัน อาจ
เรียกว่ายาธาตุน้ําผึ้ง ยาสด เอาสดๆแล้วใช้ทันที เก็บไว้นานไม่ได้ ใช้ชะโลมหรือพอก
นอกจากนี้ยงั มีวิธีการรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวดได้แก่
1. การนวด รักษาด้วยการใช้มือบีบ ซึ่งจะมีท้ังคนบีบนวดที่ไม่ได้เป็นหมอที่เป็นการบีบนวดเพื่อคลาย
เส้นตึงในร่างกาย กับคนที่มีความรู้ในด้านหมอที่มีความรู้ในด้านยาสมุนไพรและรับรักษาโรคซึ่ง
เรียกว่าเป็นหมอชาวบ้าน จะต้องมีการศึกษาเอ็นสําคัญในร่างกายคนและจุดสําหรับการบีบนวดและ
มีตําราให้ศึกษา ซึ่งสามารถใช้รักษาโรคปวดและโรคอย่างอื่นได้เช่น แน่นหน้าอก ปัสสาวะติดขัด แขน
ไม่มีกําลัง และมีการใช้ปลิงดูดเลือดเข้าช่วยด้วย
2. การย่ําขาง เป็นการใช้รักษาโรคโป่งคือมีอาการปวดตามแข้งขา โดยหมอผู้ทําพิธีจะกล่าวคําไหว้ครู
และเอาน้ํามันงาทาตัวคนไข้ แล้วหมอจะเอาเท้าจุ่มในกาละมังที่มีน้ํามันไพลแล้วไปเหยียบไปที่ใบขาง
ที่เป็นเหล็กหล่อได้จากใบไถที่ใช้ไถนาที่วางอยู่บนเตา เมื่อถูกความร้อนน้ําที่เท้าหมอจะร้อนซ่าเป็นไอ
แล้วหมอใช้เท้าดังกล่าวเหยียบลงไปบริเวณที่ทําการรักษา
3. การตอกเส้น โดยหมอจะกล่าวคําไหว้ครูแล้วใช้น้ํามันเยือง(น้ํามันเลียงผา)หรือน้ํามันนวดทาบริเวณ
ที่ปวด แล้วใช้คันไม้จรดไปที่บริเวณนั้นและใช้ค้อนตอกไปที่คันไม้น้นั พร้อมกับย้ายไปมา
4. การจู้(ประคบ) แบบเร่งด่วนจะใช้ผ้าม้วนแล้วเป่าเอาลมร้อนสู่ผ้าแล้วประคบบริเวณรอยช้ํา หรืออาจ
ประคบโดยสมุนไพรโดยทําเป็นลูกประคบซึ่งนําสมุนไพรห่อด้วยผ้าทําเป็นลูกกลมๆรวบชายผ้าไว้
ด้านบนแล้วผูกด้วยเชือก ถ้าเป็นสมุนไพรที่ตําตากแห้งเวลาใช้ให้นําไปนึ่งแล้วจึงนําไปประคบ ถ้าเป็น
สมุนไพรสดจะใช้อิฐหรือเศษกระเบื้องมุงหลังคาเผาไฟให้ร้อนแล้วนําลูกประคบไปนาบแล้วจึงนําไป
ประคบบริเวณที่ทําการรักษา
แพทย์ประจําตําบล
การจัดให้มีแพทย์ประจําตําบล เป็นความคิดของเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฏศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) เมื่อ
ครั้งเป็นพระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก โดยขอตั้งหมอพื้นเมืองเป็นแพทย์
ประจําตําบล เพื่อให้ช่วยจดบันทึกคนเกิดคนตาย ได้ทดลองทําอยู่ 2-3 ปี (พ.ศ. 2484-2450) ต่อมา สมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ในฐานะเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรงดําริให้กํานัน
ผู้ใหญ่บ้านเลือกหมอแผนโบราณในท้องที่ ตั้งให้เป็นหมอประจําตําบลเพื่อแบ่งเบาภาระแพทย์ประจําเมืองใน
การปลู ก ฝี แ ละจํ า หน่ า ยยาตํ า ราหลวง ปรากฏว่ า การปฏิ บั ติ ไ ด้ ผ ลเป็ น ที่ น่ า พอใจ ใน พ.ศ. 2457
กระทรวงมหาดไทยจึงแก้ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 ให้มีตําแหน่งแพทย์ประจําตําบล
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา (ประกอบ ตู้จินดา, สารานุกรมไทยสําหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 9)
โรงพยาบาลนครเชียงใหม่
ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง (พ.ศ. 2484-2488) เทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งหลวงศรีประกาศ
เป็นนายกเทศมนตรี ในเวลานั้น มีนโยบายจะขยับขยาย โรงพยาบาลเทศบาลนครเชียงใหม่ ที่ต้ังอยู่ถนนวิ
ชยานนท์ บริเวณใกล้กับสี่แยกอุปคุต ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเพียงแห่งเดียวในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เหมาะสม
กับความเจริญก้าวหน้าของเทศบาลนครเชียงใหม่ และจํานวนผู้ป่วยที่มารับบริการตรวจรักษาซึ่งมีเพิ่มมาก
ขึ้น เนื่องจากมีจํานวนเตียงผู้ป่วยเพียง 11 เตียง และต้องใช้สถานที่ร่วมกับสํานักงานเทศบาลฯ จึงจัดตั้ง
คณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ประกอบด้วย เทศมนตรี นายแพทย์เทศบาล และสมาชิกเทศบาล เพื่อพิจารณาหา
สถานที่ที่เหมาะสมสําหรับสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ โดยในปี พ.ศ. 2482 เทศบาลตกลงซื้อ ที่ดินของพันโท
พระอาสาสงคราม(ต๋อย หัสดิเสวี) (สมโชติ, 2553; ระเบียบ, 2504) ในตําบลสุเทพ บริเวณทิศตะวันตกด้าน
นอกประตูสวนดอก เนื้อที่ 30 ไร่ 80 ตารางวา ในราคา 5,200 บาท โดยเหตุผลว่า เป็นที่ที่มีอากาศดี
สามารถมองเห็นพระธาตุดอยสุเทพ เด่นชัด และไม่อยู่ห่างไกลมากนัก ผู้ป่วย ประชาชน สามารถเดินทางมา
โรงพยาบาลได้สะดวก เมื่อจัดซื้อที่ดินแล้ว จึงติดต่อขอแบบแปลนจากกรมสาธารณสุข และเริ่มก่อสร้าง ในปี
พ.ศ. 2482 โดยสร้างตึกอํานวยการขึ้นเป็นหลังแรก เป็นตึก 2 ชั้น ใช้งบประมาณของเทศบาลฯ เป็นเงิน
38,225 บาท ในปีต่อมาสร้างตึกผู้ป่วย เป็นอาคาร 2 ชั้น มีจํานวนเตียง 50 เตียง โดยใช้งบประมาณจาก
เทศบาลฯ 22,050 บาท และได้รับจากกรมสาธารณสุข 2,000 บาท
เทศบาลนครเชียงใหม่ ได้อนุมัติงบประมาณ สร้างโรงครัว 3,800 บาท โรงซักฟอกและโรงพักศพ
1,650 บาท และกรมสาธารณสุขให้เงินสนับสนุนสร้างถังน้ําใช้ในโรงพยาบาล 837.96 บาท
นายแพทย์ยง ชุติมา (พ.ศ.2443-2507) ได้อุทิศที่ดินที่อยู่ติดกับโรงพยาบาล จํานวน 4 ไร่เศษ
ให้กับโรงพยาบาลฯ ทําให้มีเนื้อที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้บริการ เทศบาลฯ ได้ติดต่อกับกรมสาธารณสุข เพื่อขอ
แพทย์เพิ่ม ซึ่งทางกรมฯ มีความเห็นว่า เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสูง เมือ่
เทียบกับรายได้ของเทศบาลแล้ว อาจจะไม่เพียงพอ ประกอบกับไม่มีแพทย์สมัครมาทํางาน เนื่องจากเป็น
โรงพยาบาลในสังกัดเทศบาลฯ เมื่อแพทย์เกษียณอายุแล้ว จะไม่ได้รับบําเหน็จบํานาญดังข้าราชการทั่วไป
ดังนั้น กรมฯ และเทศบาลฯ จึงมีความเห็นร่วมกันให้โอนโรงพยาบาลแห่งนี้ไปอยู่ในสังกัดกรมสาธารณสุข ใน
ปี พ.ศ.2484 พร้อมกับนําเครื่องมืออุปกรณ์แพทย์ของโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิม ไปใช้ในโรงพยาบาลที่เปิดใหม่
แห่งนี้ด้วย
สําหรับการตั้งชื่อโรงพยาบาลนั้น ในตอนแรกเทศบาลฯ เห็นว่า เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการริเริ่มก่อสร้าง
โรงพยาบาลนี้และใช้เงินงบประมาณเทศบาลฯ ในการก่อสร้างไปเป็นจํานวนมาก จึงขอตั้งชื่อโรงพยาบาลนี้
ว่า “โรงพยาบาลเทศบาลนครเชียงใหม่” โดยขอให้ติดป้ายชื่อนี้ไว้ที่ตึกอํานวยการ แต่ทางกรมฯ เกรงว่า
อาจมีความสับสนเข้าใจผิดได้ จึงตกลงร่วมกันปรับชื่อโรงพยาบาล เป็น “โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ ”
และเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2484 ซึ่งตรงกับ “วันชาติ” ของไทยในเวลานั้น และเป็น
การเปิดให้บริการรักษาพยาบาลก่อนสงครามโลกครั้งที่สองในไทย เริ่มขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (วี
กูล, 2504; กําเนิดคณะแพทยศาสตร์, 2548)
พ.ศ. 2485 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง กรมสาธารณสุข ได้โอนโรงพยาบาลนครเชียงใหม่ ไป
สังกัดกรมการแพทย์ และมีการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น
พ.ศ. 2493 สร้ า งตึ ก สงฆ์ (หลั ง แรก) เป็ น อาคาร 2 ชั้ น ด้ ว ยเงิ น บริ จ าคจากคณะสงฆ์ จั ง หวั ด
เชียงใหม่ ที่ได้บอกบุญเรี่ยไรไปตามวัดต่างๆ และจากพ่อค้าประชาชนในเชียงใหม่ สิ้นค่าก่อสร้าง 65,000
บาท และเมื่อรวมอุปกรณ์ต่างๆ ในอาคารแล้ว สิ้นค่าใช้จ่ายเป็นเงินทั้งสิ้น 304,305.56 บาท และในช่วง
เวลานี้ โรงพยาบาลฯ ได้ รั บ โอนเงิ น ช่ ว ยเหลื อ จากประธานาธิ บ ดี แ ฮร์ รี่ เอส. ทรู แ มน แห่ ง ประเทศ
สหรัฐอเมริกา ผ่านกรมการแพทย์ เพื่อใช้ก่อสร้างตึกเอ็กซเรย์ ห้องปฏิบัติการ และตึกผ่าตัด
พ.ศ. 2495 ขุนสมานเวชชกิจ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลฯ ในเวลานั้น ร่วมกับกรมอนามัย และ
องค์การอนามัยโลก ได้ตกลงที่จะสร้างตึกสูติกรรมขึ้น เป็นตึก 2 ชั้น ยาว 45 เมตร กว้าง 8 เมตร มีจํานวน
เตียง 52 เตียง เพื่อให้ผ้ทู ี่มาคลอดบุตรและผู้ที่อยู่ในระยะพักฟื้น ได้แยกอยู่เป็นสัดส่วน จึงได้เชิญนายอุดม
บุญประสบ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในเวลานั้น เป็นประธานคณะกรรมการจัดหาเงินเพื่อสร้างตึก ซึ่ง
มีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง 461,330.80 บาท ส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ได้รับบริจาค 109,560.25 บาท เงินก.ศ.ส
(เงินจากการจําหน่ายอากรแสตมป์เพื่อการศึกษาและสาธารณสุข) ที่กรมการแพทย์จัดหา 300,000 บาท
เงิ น ที่ ไ ด้ รั บ บริ จ าคจากอํา เภอต่ า งๆ ในจัง หวั ด เชี ย งใหม่ 22,719 บาท และเงิ น จากแผนกอนามัย หน่ ว ย
สงเคราะห์แม่และเด็ก 10,455.25 บาท โดยองค์การอนามัยโลก ได้มอบเตียงผู้ป่วย พร้อมที่นอนและตู้ข้าง
เตียง จํานวน 52 ชุด และเตียงทําคลอด 1 เตียง สําหรับใช้ในตึกสูติกรรม
ภาพประกอบ โรงพยาบาลนครเชียงใหม่สมัยแรก
พ.ศ. 2503 มีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลนคร
เชียงใหม่ ในมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2503
และให้โอนกิจการของโรงพยาบาลนครเชียงใหม่ จากกรมการแพทย์มาอยู่ในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ฯ
ในขณะนั้นมีจํานวนเตียง 120 เตียง ต่อมามีการก่อสร้างตึกอายุกรรมของภาควิชาอายุรศาสตร์ และตึกเด็ก
ของภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2506 ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ทําการของภาควิชาเวชศาสตร์
ครอบครัว
พ.ศ. 2507 ก่อสร้างอาคารสงฆ์อาพาธหลังใหม่ เป็นอาคาร 2 ชั้น โดยเงินของคณะสงฆ์ภาคเหนือ
และเงินบริจาคของประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ ลําพูน จํานวน 670,000 บาท
พ.ศ. 2508 โอนโรงพยาบาลนครเชียงใหม่มาอยู่ในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
และก่อสร้างตึกกานดา วิบูลสันติ มีจํานวนเตียง 40 เตียง ใช้งบประมาณก่อสร้าง 1,600,000 บาท และตึก
นิมมานเหมินท์-ชุติมา โดยเงินบริจาคของตระกูลนิมมานเหมินท์-ชุติมา จํานวน 2 ล้านบาทเศษ รับผู้ป่วยเพิม่
ได้อีก 20 เตียง
พ.ศ. 2510 ก่อสร้างอาคารผู้ป่วย 7 ชั้น ปัจจุบันคือ อาคารบุญสม มาร์ติน
พ.ศ. 2525 รั ฐ บาลในสมั ย พลเอกเกรี ย งศั ก ดิ์ ชมะนั น ท์ เป็ น นายกรั ฐ มนตรี มี ม ติ ใ ห้ ส ร้ า ง
โรงพยาบาลขนาดใหญ่เป็ น ศู น ย์ ก ารแพทย์ ป ระจํ าภาค รวม 4 แห่ ง เพื่อน้อมเกล้าน้ อมกระหม่ อมถวาย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดตั้งเป็นโรงพยาบาลมหาราช เนื่องในโอกาสการเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์
ครบ 200 ปี ในปี พ.ศ. 2525 สําหรับภาคเหนือได้มีมติให้สร้างที่จังหวัดเชียงใหม่ และเห็นว่า โรงพยาบาล
นครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความพร้อมด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาวิชา มี
การก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ใช้เพื่อการรักษาพยาบาล คือ อาคารสุจิณฺโณ ดังนั้น ทบวงมหาวิทยาลัย จึง
กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ขอเปลี่ยนชื่อ “โรงพยาบาลนครเชียงใหม่” เป็น
“โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่” และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนชื่อโรงพยาบาล
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2526 (สมโชติ, 2553)
จึงนับเป็นสถานพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่และในภาคเหนือ ซึ่งปัจจุบัน เป็น
โรงพยาบาลจํานวนเตียง 1,384 เตียง
โรงพยาบาลแมคคอร์มิค (McCormick Hospital)
เริ่มต้นจากการที่คณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน เดินทางเข้ามาเผยแพร่คําสอนทางคริสต์
ศาสนาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ขณะเดียวกันก็ได้ให้ความเอาใจใส่ดูแล และรักษาพยาบาลชาวบ้านผู้ที่เจ็บไข้
ได้ป่วย มีการจัดตั้ง โอสถศาลา (Dispensary) โดยให้มีแพทย์ทํางานประจําตรวจรักษาโรคด้วยยาสามัญ
ประจําบ้าน ซึ่งคณะมิชชันนารีนําติดตัวมา (ประวัติโรงพยาบาลแมคคอร์มิค, 2553)
ในปี พ.ศ. 2431 รั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว รั ช กาลที่ 5 แห่ ง กรุ ง
รัตนโกสินทร์ ได้พัฒนาเป็น โรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่น แต่ยังเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก มีจํานวนเตียงรับ
รักษาคนไข้รวม 8 เตียง ตั้งทําการอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ําปิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้เป็น
ต้นกําเนิดโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งที่สองของประเทศไทยและเป็นโรงพยาบาลแห่ง
แรกในภูมิภาค
ภาพประกอบ โรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่น
การก่อตั้งโรงพยาบาล
ปี พ.ศ. 2410 ศาสนาจารย์ ดานิแอล แมคกิลวารี เดินทางเข้ามายังจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเผยแพร่คํา
สอนทางคริสต์ศาสนา ในการนี้ท่านได้นําการ แพทย์ การสาธารณสุขแผนปัจจุบัน มาสู่จังหวัดเชียงใหม่ด้วย
นั บ จากนั้ น มาคณะมิ ช ชั่ น ได้ ส่ ง แพทย์ มิ ช ชั่ น นารี หลายคนเดิ น ทางเข้ า มา อาทิ เ ช่ น นายแพทย์ วู ร แมน
นายแพทย์ชิก นายแพทย์แครี่
ปี พ.ศ. 2431 ปรับปรุงโอสถศาลาเป็นโรงพยาบาล ให้ชื่อว่า โรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่น เปิดรักษา
ผู้ป่วยและทําการผ่าตัด ซึ่งต่อมาคือ โรงพยาบาลแมคคอร์มิคปัจจุบัน
ปี พ.ศ. 2432 นายแพทย์ เจมส์ ดับบริวแมคเคน แพทย์มิชชั่นนารี เดินทางมาประจําที่โรงพยาบาล
และต่อมาแยกตัวออกไปสร้าง โรงพยาบาลโรคเรื้อนแมคเคน
ปี พ.ศ. 2451 นายแพทย์ อี ซี คอร์ท เดินทางมาประจําโรงพยาบาล ท่านได้ปฏิบัติงานอย่างดีเยี่ยม
เป็นเวลากว่า 40 ปี ในประเทศไทย และเป็นบุคคลที่สําคัญที่สุดผู้หนึ่งที่สร้างโรงพยาบาลแมคคอร์มิค จนเป็น
โรงพยาบาลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน
ปี พ.ศ. 2463 มีการเริ่มสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ ในด้านตะวันออกแม่น้ําปิง เนื่องจากพื้นที่ให้บริการ
ของโรงพยาบาลเริ่มคับแคบ แออัดขยายตัวไม่ได้ ประกอบกับความต้องการของประชาชนในด้านการแพทย์
ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นายแพทย์คอร์ท จึงคิดสร้างโรงพยาบาลในที่แห่งใหม่ข้ึน โดยความเห็นชอบจากคณะ
มิ ช ชั่ น นารี และได้ รั บ เงิ น บริ จ าคจากนางไซรั ส แมคคอร์ มิ ค และนางไวรี่ จํ า นวน 30,000 เหรี ย ญ
สหรัฐอเมริกา และได้รับสมทบจากเจ้านายฝ่ายเหนือและคหบดีชาวเชียงใหม่ นายแพทย์คอร์ท จึงซื้อที่นาที่
บ้านหนองเส้ง พื้นที่ 78 ไร่ จัดสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่และเพื่อเป็นเกียรติแก่นางไซรัส แมคคอร์มิค จึง
เรียกชื่อโรงพยาบาลนี้ใหม่ ว่า โรงพยาบาลแมคคอร์มิค
ภาพประกอบ ตึกมหิดล
พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนกทีม่ ีต่อโรงพยาบาลแมคคอร์มิค
- วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2467 เวลา 16.30 น. เสด็จพระราชดําเนินพร้อมสมเด็จพระราชชนนีฯ
มาเป็นประธานพิธีเปิดโรงพยาบาลแมคคอร์มิค
- วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2472 ถึง วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 เสด็จมาทรงงานแพทย์ที่
โรงพยาบาลแมคคอร์มิค โดยประทับที่บ้านของนายแพทย์อี ซี คอร์ท
พระราชกรณียกิจที่ทรงในระหว่างที่ทรงงานแพทย์
- ทรงงานตรวจผู้ป่วยทีม่ ารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก โดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ
- ทรงเสด็จเยีย่ มและตรวจรักษาผู้ป่วย ทีน่ อนพักรักษาในหอพักผู้ป่วย เสด็จพร้อม นายแพทย์อี ซี คอร์ท
และเสด็จส่วนพระองค์ ไม่ว่าเวลากลางวัน/กลางคืน ซึ่งได้ตรัสสั่งพยาบาลว่า วันนี้หมอคอร์ท ไม่อยู่ถ้า
ผู้ป่วยต้องการให้เรียก
- ทรงเข้าร่วมงานการผ่าตัดผู้ป่วยกับ นายแพทย์อี ซี คอร์ทและทีมงาน
- ทรงสนพระทัยในการตรวจผู้ป่วยเด็ก ทรงอุ้มและทรงเล่นกับเด็ก
- ทรงงานด้านห้อง LAB ทรงตรวจ Stool Urine และ Blood
- ทรงล้างหูน้ําหนวก น้องชาย ของอาจารย์ศรีวิไล สิงห์เนตร ด้วยพระหัตถ์
- ทรงประทานคําแนะนําในการช่วยเหลือผู้ป่วยแก่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
- พระราชกรณียกิจที่เป็นกล่าวกันทั้งเมือง คือเรื่องเด็กชายคนหนึ่งถูกกระสุนปืนลั่นเข้าที่แขน เสียเลือด
มาก ต้องให้เลือดเป็นครั้งแรกในโรงพยาบาล ทรงประกาศหาผู้บริจาคเลือด พระองค์ทรงทํากรุ๊ฟแมท
กับพระโลหิตของพระองค์
ด้านการทํานุบํารุงโรงพยาบาลแมคคอร์มิค
- ทรงปรารภจะให้มีการขยายโรงพยาบาลให้กว้างขว้างขึ้น
- ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จ้าง นายแพทย์ เฮนรี่ โอไบรน์อัน แพทย์ชาวอเมริกัน มาเป็นแพทย์
ประจําโรงพยาบาลแมคคอร์มิค เป็นเวลา 4 ปี
- ทรงพระราชทานเงิน US $3,000 ให้กบั โรงพยาบาลเพื่อซื้อเครื่องเอ็กซเรย์ ใช้ในโรงพยาบาล นับว่าเป็น
เครื่องเอ็กซเรย์เครื่องแรกทีม่ ีใช้ในภูมิภาค
หลวงอนุสารสุนทร (เดิมชื่อ สุ่นฮี้ ชัวย่งเสง)
เกิดเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2410 แต่งงานกับนางคําเที่ยง มีบุตรธิดา 2 คน ต่อมาได้แต่งงานกับ นาง
อโนชา อนุสารสุนทร มีบุตรธิดา 5 คน หลวงอนุสารสุนทร ได้สร้างตึกสูติสถาน ให้โรงพยาบาลแมคคอร์มิค
โรงพยาบาลนครพิงค์
เดิมชื่อ “โรงพยาบาลเชียงใหม่” และได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงพยาบาลนครพิงค์ ตั้งแต่วันที่ 28
กันยายน พ.ศ. 2533 เพื่อลดความสับสนของผู้มารับบริการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระหว่างชื่อ โรงพยาบาล
มหาราชนครเชียงใหม่ เป็นโรงพยาบาลทั่วไปประจําจังหวัดเชียงใหม่ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งอยู่เลขที่
159 หมู่ที่ 10 ตําบลดอนแก้ว อําเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หลักกิโลเมตรที่ 9 ถนนโชตนา (เชียงใหม่ –
ฝางเดิม) อยู่ห่างจากเขตชุมชนของเทศบาลนครเชียงใหม่ ประมาณ 5 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากที่ว่าการ
อําเภอแม่ริม ประมาณ 7 กิโลเมตร (ประวัติโรงพยาบาลนครพิงค์, 2553)
นอกจากนี้เชียงใหม่ ยังมีโรงพยาบาลประจําอําเภออีก เช่น โรงพยาบาลฝาง โรงพยาบาลแม่แตง
โรงพยาบาลพร้าว ฯลฯ (กรมวิชาการ, 2543)
สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่
แต่เดิมเรียกว่า อนามัยจังหวัดเชียงใหม่ มีผู้ดํารงตําแหน่งแพทย์ประจําเมืองเชียงใหม่คนแรก คือ
พระบําราบนราพาธ โดยสํานักงานอนามัยจังหวัดแต่เดิม ตั้งอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่หลังเดิม บริเวณ
หลั ง อนุ ส าวรี ย์ ส ามกษั ต ริ ย์ ปั จ จุ บั น และในสมั ย ของนายแพทย์ อ มร นนทสุ ต ดํ า รงตํ า แหน่ ง นายแพทย์
สาธารณสุขจังหวัด ได้ย้ายสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด มาตั้งอยู่ที่ถนนสุเทพ
บรรณานุกรม
1. ประยุทธ สายต่อเนื่อง. แรกมีหมอฝรั่งในล้านนา: การเข้ามาของมิชชันนารีอเมริกันในเชียงใหม่
[อินเตอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร; 2552. [เข้าถึงเมื่อ 4 ม.ค. 2555]. เข้าถึงได้จาก:
URL:http://www.sac.or.th/main/activities_detail.php? lecture_id=32&category_id=4
2. ประสิ ท ธิ์ พงศ์ อุ ด ม. ประวั ติ ค วามเป็ น มาของสภาคริ ส ตจั ก รในประเทศไทย [อิ น เตอร์ เ น็ ต ].
เชียงใหม่: หน่วยงานจดหมายเหตุประวัติศาสตร์และวิจัย สภาคริสตจักรในประเทศไทย; 2551.
[เข้าถึงเมื่อ 6 ม.ค. 2555]. เข้าถึงได้จาก: URL:http://ahr.cct.or.th
3. กระทรวงกลาโหม. หอมรดกไทย: ความสัมพันธ์ไทย-อเมริกัน [อินเตอร์เน็ต ]. กรุงเทพฯ:
กระทรวงฯ; 2542. [เข้าถึงเมื่อ 6 ม.ค. 2555].เข้าถึงได้จาก:
URL: http://www1.mod.go.th/heritage/nation/military/usrelation/usrelation1.htm
4. กรมวิชาการ. กระทรวงศึกษาธิการ. เชียงใหม่ นพบุรีศรีนครพิงค์. กรุงเทพฯ: กรม, 2543.
5. สมโชติ อ๋องสกุล. แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ สองข้างทางถนนสุเทพ. เชียงใหม่: มูลนิธิ
โรงพยาบาลสวนดอก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2553.
6. ระเบียบ ฤกษ์เกษม. ประวัติของโรงพยาบาลนครเชียงใหม่. เชียงใหม่. เชียงใหม่เวชสาร. 2504
กันยายน;1(1): 9-17.
7. วีกูล วีรานุวัตต์. การจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลนครเชียงใหม่. เชียงใหม่เวชสาร. 2504
กันยายน;1(1):1-8.
8. กําเนิ ดคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ . ใน 20 ปี สมาคมศิษย์เก่าแพทย์เชียงใหม่.
เชียงใหม่: สมาคม; 2548.
9. ประกอบ ตู้จิ น ดา, สารานุ ก รมไทยสําหรับ เยาวชนฯ เล่ ม ที่ 9 เข้ า ถึ ง ได้ จ าก: URL:
http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?q=%E1%BE%B7%C2%EC%BB%C3%D0
%A8%D3%E0%C1%D7%CD%A7+%CB%C3%D7%CD%B9%D2%C2%E1%BE%B7%C2%EC%C
A%D2%B8%D2%C3%B3%CA%D8%A2%A8%D1%A7%CB%C7%D1%B4&select=1#
10. เรือนไทย วิชาการดอทคอม. บรรดาศักดิ์ของแพทย์มีอะไรบ้างครับ [อินเตอร์เน็ต]. 2554 [เข้าถึง
เมื่อ 13 ธ.ค. 2554]. เข้าถึงได้จาก
URL: http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4839.20;wap2
11. หลวงอนุสารสุนทร (สุ่นฮี้ ชัวย่งเสง) [อินเตอร์เน็ต]. คนเมืองดอทคอม. 2546. [เข้าถึงเมื่อ 6 ม.ค.
2555]. เข้าถึงได้จาก: URL: http://www.khonmuang.com/pages/luanganusarn.htm
12. ประวัติโรงพยาบาลแมคคอร์มิค [อินเตอร์เน็ต]. เชียงใหม่: โรงพยาบาลแมคคอร์มิค; ม.ป.ป. [เข้าถึง
เมื่อ 6 ม.ค. 2553]. เข้าถึงได้จากURL: http://www.mccormick.in.th/about_history.htm
13. โรงพยาบาลแมคคอร์มิค. ประวัติโรงพยาบาลแมคคอร์มิค {CD-ROM}. เชียงใหม่: โรงพยาบาล;
2555.
14. หลวงอนุสารสุนทร (สุ่นฮี้ ชัวย่งเสง) [อินเตอร์เน็ต]. คนเมืองดอทคอม. 2546. [เข้าถึงเมื่อ 6 ม.ค.
2555]. เข้าถึงได้จาก: URL: http://www.khonmuang.com/pages/luanganusarn.htm
15. ประวัติโรงพยาบาลนครพิงค์ [อินเตอร์เน็ต]. เชียงใหม่: โรงพยาบาลนครพิงค์; 2553 [เข้าถึงเมื่อ 6
ม.ค. 2553]. เข้าถึงได้จาก URL: http://www.nkp-hospital.go.th/history.php
16. ประวัติสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ [อินเตอร์เน็ต]. เชียงใหม่: ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่; ม.ป.ป. [เข้าถึงเมื่อ 14 ม.ค. 2553]. เข้าถึงได้จาก URL:
http://www.chiangmaihealth.com/ict/chianmai_health.php