Professional Documents
Culture Documents
ความเป็ นมาของการแพทย์
สมัยอยุธยา
ช่วงก่อนสมัยสุโขทัยถึงสมัยอยุธยาตอนต้น ไม่มีจารึก ตำรา หรือเอกสารโบราณ เหลือ
ตกทอดมาให้ได้ศก
ึ ษาเรียนรู้การแพทย์แผนไทย ในสมัยนัน
้ อย่างไรก็ดี มีหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่ง
ทีทำ
่ ให้เห็นภาพ ในบางแง่มุมของการแพทย์ในราชสำนักสมัยอยุธยาตอนต้น คือ ทำเนียบศักดินา
ใน "กฎหมายตราสามดวง" ทีต
่ ราขึน
้ ใน พ.ศ. ๑๙๙๘ มีการระบุศักดินาของข้าราชการพลเรือน ที่
ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ โดยแบ่งเป็ นกรมต่างๆ หลายกรม เช่น กรม
แพทยา กรมหมอยา กรมหมอกุมาร กรมหมอนวด กรมหมอยาตา กรมหมอวรรณโรค โรงพระ
โอสถ แต่ละกรมมีเจ้ากรม และตำแหน่งข้าราชการระดับอื่นๆ ที่มีศักดินาลดหลั่นกันไป
ในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีหลักฐานสำคัญอีกชิน
้ หนึ่ง แสดงให้เห็นภูมิปัญญาทางด้านการ
แพทย์ของบรรพบุรุษไทย คือ "ตำราพระโอสถพระนารายณ์" ตำรานีส
้ ืบทอดมาถึงปั จจุบันได้อย่าง
เกือบสมบูรณ์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระวินิจฉัยว่า ตำรานี ้ น่าจะรวบรวม
ขึน
้ ในราวรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ หรืออย่างช้าก็ในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
โดยสรุปหลักวิชาการแพทย์แผนไทยในยุคนัน
้ ไว้อย่างสัน
้ ๆ แต่ได้ใจความยิ่ง ภาษาที่ใช้ก็ไพเราะ
สละสลวย ใช้การอุปมาอุปไมยอันทำให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย
ตำราพระโอสถพระนารายณ์นแ
ี ้ บ่งออกได้เป็ น ๓ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ ว่าด้วย ความผิดปกติ
ของธาตุทงั ้ ๔ และยาแก้ ส่วนที่ ๒ ว่าด้วย ตำรับยาที่มีช่ อ
ื เรียก และส่วนที่ ๓ ว่าด้วยตำรับยา
น้ำมันและยาขีผ
้ งึ ้ มีตำรับยาบันทึกไว้ทงั ้ หมดไม่น้อยกว่า ๘๑ ตำรับ บางตำรับ ระบุช่ อ
ื แพทย์ผู้
ประกอบยา ตลอดจนวันเดือนปี ที่ปรุงยาถวาย ซึ่งทัง้ หมด เป็ นยาที่ปรุงถวายในช่วงปี ที่ ๓ ถึงปี ที่ ๕
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมัยรัตนโกสินทร์
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี ได้โปรดเกล้าฯ ให้มี
การรวบรวมตำราต่างๆ ครัง้ ใหญ่ จากหมอหลวง หมอเชลยศักดิ ์ และหมอทีเ่ ป็ นพระภิกษุสงฆ์ ทั่ว
พระราชอาณาจักร โดยให้ พระพงษ์อำมรินทรราชนิกูล พระราชโอรส ในสมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราช เป็ นนายกองผู้รวบรวมตำรายาที่จารึกไว้บนแผ่นหินอ่อน ประดับที่ผนังด้านนอกบน
กำแพงพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ จารึกเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทย
นี ้ แบ่งออกเป็ นหมวดต่างๆ 4 หมวด ได้แก่
1. หมวดเวชศาสตร์
เป็ นจารึกเกี่ยวกับโรคต่างๆ ว่าด้วยสมุฏฐานของการเกิดโรค พร้อมระบุตำรับยาต่างๆ ทีใ่ ช้
แก้โรคนัน
้ ๆ ซึ่งมีจารึกไว้ถึง 1,128 ขนาน
2
2. หมวดเภสัชศาสตร์
เป็ นจารึกว่าด้วย สรรพคุณของเครื่องยาสมุนไพรแต่ละชนิด ทัง้ ที่เป็ นของไทยและของเทศ
ส่วนทีใ่ ช้ประโยชน์ และวิธีการใช้ประโยชน์ มีจารึกไว้ 113 ชนิด
3. หมวดหัตถศาสตร์ (การนวด)
เป็ นจารึกแผนภาพของโครงสร้างร่างกายมนุษย์ แสดงทีต
่ งั ้ ของเส้นที่ใช้นวด 14 ภาพ และ
จารึกเกี่ยวกับการนวดแก้ขัดยอก แก้ปวดเมื่อย และแก้โรคต่างๆ อีก รวม 60 ภาพ
4. หมวดอนามัย (ฤๅษีดัดตน)
เป็ นวิธีการบริหารร่างกายหรือดัดตนสำหรับแก้ปวดเมื่อย จารึกเป็ นรูปฤๅษีดัดตนในท่าต่างๆ มี 80
ท่า
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึน
้ ครองราชย์ใน พ.ศ. 2411 มี
พระราชประสงค์ ที่จะพัฒนาการแพทย์แบบดัง้ เดิมของบรรพบุรุษให้ก้าวหน้าทันสมัย และมี
มาตรฐานที่เชื่อถือได้
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ชำระตำราแพทย์แผนไทยให้ตรงกับของดัง้ เดิม ซึ่งก่อนหน้านี ้ กระจัดกระจาย
และคัดลอกกันมาจนผิดเพีย
้ นไปจากต้นฉบับเดิมมาก และจดเป็ นหลักฐานไว้ในหอพระสมุดหลวง
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การแพทย์แผนไทยเจริญก้าวหน้ามาก
ได้โปรดเกล้าฯ ให้จด
ั ตัง้ โรงศิริราชพยาบาล (ปั จจุบัน เรียกกันทั่วไปว่า โรงพยาบาลศิริราช) ใน
พ.ศ. 2430 เพื่อเป็ นสถานพยาบาลและบำบัดโรค ทัง้ แบบแผนเดิม และแบบแผนตะวันตก จัดตัง้
โรงเรียนแพทยากรขึน
้ และจัดพิมพ์ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมพ
ิ ลอดุลยเดช การแพทย์แผนโบราณได้รับการ
ฟื้ นฟูและพัฒนาในทุกๆ ด้าน และเรียกชื่อใหม่ว่า "การแพทย์แผนไทย" แทน "การแพทย์แผน
โบราณ" จนคุน
้ เคยกันในปั จจุบัน ใน พ.ศ. 2542 มีการตราพระราชบัญญัติคุ้มครองภูมิปัญญาการ
แพทย์แผนไทย พุทธศักราช 2542 พร้อมทัง้ ได้จด
ั ตัง้ หน่วยงาน เรียกว่า "สถาบันการแพทย์แผน
ไทย"
พัฒนาการด้านการแพทย์ในประเทศไทย
ยุคสุโขทัย
มีการค้นพบหินบดยาสมัยทวาราวดี ซึ่งเป็ นยุคก่อนสมัยสุโขทัย และได้พบศิลา
จารึกของพ่อชุนรามคำแหงมหาราชที่จารึกไว้ว่าทรงสร้างสวนสมุนไพรขนาดใหญ่บน
เขาหลวงหรือเขาสรรพยา ซึ่งปั จจุบันอยู่ในเขตอำเภอคีรีมาศ เพื่อให้ประชาชนไป
เก็บสมุนไพรมาใช้รักษาเวลาเจ็บป่ วย
ยุคอยุธยา
3
การแพทย์แผนไทยในยุคนีไ้ ด้รับอิทธิพลจากการแพทย์ของอินเดียที่เรียกว่า
อายุรเวท ซึ่งเป็ นการแพทย์แผนโบราณของอินเดียเป็ นสำคัญ มีคัมภีร์แพทย์ที่
กล่าวกันว่าหมอชีวกโกมารภัจจ์ ที่เป็ นแพทย์ ประจำตัวของพระ พุทธเจ้าเป็ นผู้
แต่ง ซึ่งมีเป้ าหมายที่สภาวะสมดุลของธาตุ 4 อันเป็ นองค์ประกอบของชีวิตผู้ที่จะ
เป็ นแพทย์ได้ต้องมีวัตรปฏิบัติที่งดงามในทุกด้าน มีความกตัญญูร้ค
ู ุณครูบาอาจารย์
และนับถือว่าครูดงั ้ เดิมคือพระฤาษี
สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พบบันทึกว่า มีระบบการจัดหายาที่ชัดเจน สำหรับประชาชนจะมีแหล่งจำหน่ายยา
และสมุนไพรหลายแห่งทัง้ ในและนอกกำแพงเมือง มีตำรับยาซึ่งถือได้ว่าเป็ น
ประวัติศาสตร์การแพทย์แผนไทย ชื่อว่า “ตำราพระโอสถพระนารายณ์” เป็ นการ
รวบรวมตำรับยาที่หมอในราชสำนักปรุงถวายพระมหากษัตริย์ในยุคนัน
้ มีการ
อธิบายสมุฏฐานแห่งโรคตามหลักทฤษฎีธาตุทงั ้ สี่
ยุครัตนโกสินทร์
สมัยรัชกาลที่ 1
ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธารามหรือวัดโพธิเ์ ป็ นพระอารามหลวง ทรงให้รวบรวมและ
จารึกตำรายาและฤาษีดัดตน ตำรานวดแผนไทยไว้ตามศาลาราย มีการจัดตัง้ กรม
หมอโรงพระโอสถ ผู้รับราชการเรียกว่า “หมอหลวง” ซึ่งเป็ นผู้ที่มีบทบาทสำคัญใน
การดูแลพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์
สมัยรัชกาลที่ 2
ทรงให้รวบรวมคัมภีร์แพทย์ที่กระจัดกระจายมารวบรวมไว้ ณ โรงพระ
โอสถ และให้กรมหมอหลวงคัดเลือกจดเป็ นตำราหลวง สำหรับโรงพระ
โอสถเพื่อประโยชน์ของประชาชน ในปี พ.ศ. 2359 มีพระราชโองการ
โปรดเกล้าให้ตรากฎหมาย ชื่อ“กฎหมายพนักงานพระโอสถถวาย”
สมัยรัชกาลที่ 3
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาบำเรอราชแพทย์ ที่เป็ นแพทย์ประจำราชสำนัก เป็ น
แม่กองจัดประชุมหมอหลวงแต่งตำราและบันทึกตำรายาแผนโบราณต่างๆ พร้อมทัง้
ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดราชโอรสาราม และจารึกตำราไว้ในแผ่นศิลา ตามเสา
4
สมุนไพรไทย
ฟ้ าทะลายโจร
สรรพคุณทางยา
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต่อต้าน
สิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย รวมไปถึงช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวให้จับ
กินเชื้อโรคได้ดียิ่งขึน
้ อีกด้วย
มีฤทธิช์ ่วยยับยัง้ การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเป็ นยาขมที่ช่วยทำให้เจริญอาหาร
ช่วยแก้ไข้ทั่ว ๆ ไป อาการหวัด คัดจมูก รวมถึงอาการปวดหัวตัวร้อน เช่น ไข้หวัด
ไข้หวัดใหญ่ เป็ นต้น
วิธีการปลูก
7
นำเมล็ดจากฝั กแก่ที่มีสีน้ำตาลแดงโรยในดินแล้วกลบด้วยดินร่วนอีกชัน
้ บาง ๆ หาก
ใช้ต้นกล้า ควรเลือกต้นกล้าฟ้ าทะลายโจรที่มีอายุเกิน 30 วันมาปลูกลงดิน
วางกระถางในที่มีแสงแดดรำไร รดน้ำให้เพียงและสม่ำเสมอ หากปลูกที่มีแดดจัด
ควรรดน้ำเพิ่ม
ทัง้ นีจ
้ ะเริ่มเก็บใบได้เมื่อต้นมีอายุประมาณ 3-6 เดือน เป็ นช่วงที่มีสารสำคัญเยอะ
ที่สุด สามารถนำไปตากแห้งและเก็บได้นาน 1 ปี วิธีเก็บคือ ตัดยอดอ่อน 1 ฝ่ ามือ
แล้วเหลือตอไว้ รอประมาณ 1-3 เดือน ก็จะเริ่มออกดอกอีกครัง้ และเมื่อดอกเริ่ม
บานก็สามารถเก็บใบมาใช้ประโยชน์ได้อีกรอบ ฟ้ าทะลายโจร 1 ต้นสามารถเก็บมา
ทำยาได้ 2-4 ครัง้
สะระแหน่
สรรพคุณทางยา
เต็มไปด้วยสรรพคุณต่างๆ มากมาย ทัง้ ช่วยบำรุงสายตา บรรเทาอาการเครียด แก้
หวัด ฯลฯ
วิธีการปลูก
1.เตรียมดินร่วนปนทรายสำหรับการเพาะ โดยนำดินร่วน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ย
หมัก 1 ส่วน และปูนขาวเล็กน้อย มาคลุกให้เข้ากัน
2.เลือกกิ่งสะระแหน่ที่มีสภาพสมบูรณ์ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป จากนัน
้ นำไปปั กลง
ในภาชนะที่เราเตรียมไว้
การแพทย์ที่ใช้ดินในการรักษา
ดินขุยปู
ดินขุยปู มีรสเย็นฝาดเล็กน้อย สรรพคุณของดิขุยปู แก้พิษกาฬ ถอนพิษกาฬ ละลายผสมยามหา
นิล พาดหัวกาฬ แก้โรคมาลาเรีย
ดินถนำส้วม
ดินถนำส้วม หรือ ดินถนำถาน คือ สมุนไพรแร่ธาตุ ที่เกิดจากดินที่เกิดจากการทำส้วมลงดิน และ
่ มีฤทธิ เ์ ย็น
ปล่อยทิง้ ไว้เป็ นเวลานาน จนดินแข็งตัว และ ร่วน จะมีลักษณะเป็ น สีเหลือง ไม่มีกลิน
รสเค็ม สรรพคุณของดินถนำส้วม คือ แก้ตาแฉะ รักษาตาอักเสบ
ดินรังหมาร่า
8
สรรพคุณของดินสอพอง
ดินสอพอง จัดว่าเป็ น สมุนไพรประเภทแร่ธาตุ เป็ นยาสมุนไพร ตามตำรับยาแผนโบราณ การนำ
ดินสอพอง มาใช้เป็ นยา ซึ่งประโยชน์ของดินสอพอง มีดังนี ้
- ดินสอพอง สรรพคุณเป็ นยาเย็น ใช้ลดความร้อนในร่างกาย แก้อักเสบ รักษาผดผื่นคัน และ
ช่วยห้ามเหงื่อ ทำให้ร่างกายเย็นสบาย
- ดินสอพองใช้ป้องกันผิวจากแสงแดด ดินสอพองใช้ทาหน้าป้ องกันแสงแดดได้
- ดินสอพองใช้รักษาผิวหน้า สรรพคุณช่วยขจัดสิวเสีย
้ นได้ ลดอาการปวดบวม แก้อก
ั เสบ ช่วย
ปรับสภาพผิวให้ดีขน
ึ ้ ดินสอพองเหมาะสำหรับคนผิวมัน
- ดินสอพองใช้ขัดผิว เมื่อนำมาผสมกับขมิน
้ และมะขามเปี ยก นำมาขัดหน้า ขัดผิว ช่วยให้ผิว
พรรณสวยสดใส
- ดินสอพองมาผสมกับใบทองพันชั่ง จะมีสรรพคุณรักษาโรคผิวหนัง รักษากลากเกลื้อน
- ดินสองพองนำมาผสมกับขมิน
้ ชัน ไพล เหงือกปลาหมอ จะช่วยบำรุงผิวให้เรียบเนียน
- ดินสอพองใช้ลดอาการแก้ที่ผิวหนัง โดยนำดินสอพองผสมกับใบเสลดพังพอน ใช้ทาผิว
- ดินสอพองช่วยดับพิษร้อน ช่วยขับสารพิษจากเผ็ดพิษ
9
ที่มาของดินสอพอง
ดินสอพอง ถือเป็ นสมุนไพรที่อยูค
่ ู่เมืองไทยมาช้านาน ซึ่งจัดอยู่ในสมุนไพรจำพวกแร่ธาตุ หรือ
เรียกว่าเครื่องยาธาตุวต
ั ถุ แต่ถ้าสืบค้นไปก็จะพบว่าดินสอพองเป็ นยาสมุนไพรตัง้ แต่สมัยสมเด็จ
พระนารายณ์ มหาราช
การใช้ดินสอพองในอดีต
"แป้ งร่ำ" หรือ "ดินสอพอง" ซึ่งเป็ นภูมิปัญญาของคนโบราณที่สามารถทำเครื่องหอมขึน
้ มาใช้ใน
ชีวิตประจำวัน โดยจะใช้น้ำอบไทยที่มีกลิ่นหอมเย็นอ่อน ๆ ทาตามผิวกายเพื่อคลายร้อน แป้ งที่
ผสมในน้ำอบจะช่วยทำให้ร้ส
ู ก
ึ เนื้อตัวลื่นสบายไม่มเี หงื่อ ชาวบ้านก็จะใช้แป้ งร่ำมาทาช่วยปกป้ อง
ผิวจากแสงแดด บำรุงผิวหน้าไม่ให้หน้าหมองคล้ำและยังช่วยป้ องกันการระคายเคืองจากสิวและ
ผดผื่นได้ด้วย
สูตรพอกหน้าให้ผิวนวลผ่องคือการนำแป้ งร่ำหรือดินสอพองมาผสมกับน้ำเปล่าให้มีลก
ั ษณะข้น
เหนียว ไม่ใสจนเกินไป แล้วทาให้ทั่วใบหน้าลำคอหรือจะพอกที่ลำตัว แขน ขาด้วยก็ได้ ทิง้ ไว้จน
แห้งหรือประมาณ 20 นาที สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครัง้ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมัน หน้า
หมองคล้ำจากการโดนแดด เพราะจะทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึน
้
ฝั งดินรักษาโรค
การฝั งทรายยังได้รับการบรรจุในประกาศคณะกรรมการหมอพื้นบ้าน เรื่อง ลักษณะ ประเภท หรือ
กรรมวิธีของภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2562
โดยมีข้อมูลว่าการฝั งทรายช่วยบรรเทาและรักษา ช่วยเหลือผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต
ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ ฯลฯ
ต้นกำเนิด
10