Professional Documents
Culture Documents
บทนำา
มลภาวะทางอากาศ หรือ มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) หมายถึง ภาวะของอากาศที่มีสารเจือปนอยู่ใน
ปริมาณที่มากพอ และเป็นระยะเวลานานพอที่จะทำาให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ อนามัยของมนุษย์ สัตว์ พืช และวัสดุ
ต่างๆ สารดังกล่าวอาจเป็นธาตุหรือสารประกอบ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเกิดจากการกระทำาของมนุษย์ หรือ
อาจอยู่ ใ นรู ป ของก๊ า ซ หยดของเหลว หรื อ อนุ ภ าคของแข็ ง ก็ ไ ด้ สารมลภาวะอากาศหลั ก ที่ สำา คั ญ คื อ ฝุ่ น
ละออง(SPM) ตะกั่ว (Pb) ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน
(NOx) และก๊าซโอโซน (O3)
ระบบภาวะมลภาวะอากาศ (Air pollution System) มีส่วนประกอบ 3 ส่วน ที่มีความสัมพันธ์กัน คือ
แหล่งกำาเนิดสารมลภาวะ (Emission Sources) อากาศหรือบรรยากาศ (Atmosphere) และผู้รับผลเสียหรือผลก
ระทบ (Receptor) แสดงเป็นแผนภูมิความสัมพันธ์ดังรูป
แผนภูมิที่ 1 ระบบภาวะมลพิษทางอากาศ
ที่มา : http://www.aqnis.pcd.go.th/basic/pollution_basic.htm
ปัญหามลภาวะทางอากาศ
ปัญหามลภาวะทางอากาศเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ซึ่งนับวันจะทวีปัญหาเพิ่มขึ้น และ
ปัจจุบันก็จัดว่าเป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมของโลกที่มีความสำาคัญยิ่งในการควบคุมและป้องกัน ทั้งนี้เป็นผลเนื่อง
มาจากจำานวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วการนำาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เป็นเครื่องอำานวยความสะดวก
แก่มนุษย์ขบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมที่เพิ่มขยายมากขึ้นทั้งประเภทและปริมาณโดยที่ประเทศต่างๆทั่วโลกได้
หันมาสนใจการพัฒนาประเทศมาสู่ระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำาให้เกิดของเสียที่ปล่อยออกมาสู่อากาศภายนอก
จากโรงงานอุตสาหกรรมเป็นจำานวนมาก รวมทั้งจำานวนยวดยานพาหนะบนท้องถนนที่นับว่าเป็นตัวการสำาคัญใน
การทำาให้เกิดมลภาวะทางอากาศ จากควันเสียและก๊าซพิษในเขตเมืองหลวงของประเทศต่างๆในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา
ที่อยู่ในรูปของก๊าซชนิดต่างๆมากขึ้น (gaseous pollution) อันเป็นผลมาจากการใช้นำ้ามัน และจากยวดยานพาหนะ
บนท้องถนน ซึ่งบางพื้นที่ก็ประสบปัญหามลภาวะทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม
มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นโดยควันนั้นเป็นผลเนื่องมาจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของถ่านหิน ที่ใช้ใน
บ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม สำาหรับออกไซด์ของซัลเฟอร์นั้นส่วนใหญ่จะเกิดจากการใช้ถ่านหิน และนำ้ามัน
ปิโตรเลี่ยมเป็นเชื้อเพลิงจึงเกิดการศึกษาค้นคว้าหาแหล่งพลังงานอื่นที่จะสามารถมาทดแทนและแก้ปัญหามลพิษ
ทางอากาศในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1900 ปริมาณการใช้นำ้ามันปิโตรเลี่ยมเป็นเชื้อเพลิงมีเพียงไม่มากนัก แต่ในช่วงหลังๆ
ได้มีการเพิ่มปริมาณใช้มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีผลให้มีปริมาณของออกไซด์ของซัลเฟอร์ที่ถูกปล่อยออก
3
ภาพที่ 1 สัดส่วนของแหล่งกำาเนิดมลภาวะทางอากาศ
ที่มา : http://www.ec.gc.ca/doc/media/m_124/brochure/images/BR_fig3_s_e.gif
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ที่มา : รายงานสถานการณ์คณ
ุ ภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2540 สำานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม
1.2 สารตะกั่ว
ตะกั่ว (Lead, Pb) เป็นโลหะหนักชนิดหนึ่ง มีนำ้าหนักอะตอมเท่ากับ 207.19 มีสีเทาหรือขาวแกมนำ้าเงิน ถูก
ปล่อยเข้าสู่บรรยากาศในรูปของธาตุตะกั่ว (Pb) ออกไซด์ของตะกั่ว (PbO, PbO2, PbxO3) ตะกั่วซัลเฟต (PbSO4) และ
ตะกั่วซัลไฟต์ (PbS) ตะกั่วอัลคิล (Pb(CH3)4, Pb(C2H5)4) และตะกั่วเฮไลด์ สารตะกั่วเมื่อถูกปล่อยเข้าสู่บรรยากาศใน
รูปต่างๆแล้วเกาะอยู่กับฝุ่น สารประกอบของตะกั่ว (Tetraethyl Lead) มีสูตรเคมีคือ Pb(C2H5)4
แหล่งกำาเนิดของสารตะกั่ว
1. แหล่งกำาเนิดจากธรรมชาติ สารตะกั่วในธรรมชาติมาจากฝุ่นซิลิเกตของการผุสลายของดิน และการปล่อย
ออกมาจากภูเขาไฟ
2. แหล่งกำา เนิดที่เกิดจากการกระทำา ของมนุษย์ แหล่งในการปล่อยสารตะกั่วที่สำา คัญจากการกระทำา ของ
มนุษย์เกิดจากการสันดาปของนำ้า มันที่มีส่วนผสมของสารตะกั่ว การเผาไหม้ของของเสียต่างๆ ยาฆ่าแมลง และ
อุตสาหกรรมต่างๆ เป็นต้น สารตะกั่วเป็นสารที่เติมในนำ้ามันเบนซิน ทำาหน้าที่คล้ายคะตะไลต์เท่านั้น สารตะกั่วที่
ระบายออกมาจากไอเสียจะมีขนาดเล็กประมาณ 0.5 ไมครอน หรือเล็กกว่านั้น
ผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
การแพร่ กระจายของตะกั่ วโดยส่วนใหญ่ พบในอากาศที่ หายใจเข้าไป ในอาหาร, พืช , นำ้า ,ดิน และฝุ่น
เนื่องจากเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วยากแก่การขับออกมาตะกั่วจึงสะสมในร่างกาย ในเลือด กระดูก และเนื้อเยื่ออ่อน
ตะกั่วสามารถมีผลกระทบต่อ ไต ตับ ระบบประสาทและอวัยวะ อื่น ๆ การปล่อยตะกั่วมากเกินไปอาจเป็นสาเหตุ
ของโรคมะเร็งในเม็ดเลือด โรคไต ระบบสืบพันธุ์ และทำาให้ระบบประสาทผิดปกติ เช่น อาการชักกระตุก การผิด
10
ปรกติท างจิต และมี พฤติ กรรมผิด ปรกติ แม้ ต ะกั่ วจะถู ก ปล่ อ ยออกมาในระดั บ ตำ่า แต่ ก็ มี ค วามสัม พัน ธ์ กั บ การ
เปลี่ยนแปลงของระบบเอ็มไซม์ การส่งผ่านพลังงาน และขบวนการอื่น ๆ ในร่างกาย สำาหรับทารกและเด็กจะง่ายต่อ
การได้รับผลกระทบจากตะกั่วเป็นพิเศษ ซึ่งตะกั่วในระดับตำ่าจะทำาลายระบบประสาทส่วนกลาง และทำาให้เกิดการ
เจริญเติบโตช้าในทารกและเด็ก อันตรายของตะกั่ว ที่ถูกฝนชะล้างลงสู่แม่นำ้า ลำาคลอง ไหลลงทะเล สัตว์นำ้า เช่นปู
ปลา กุ้ง หอย ก็รับเอาสารตะกั่วเข้าไปสะสมในร่างกาย เมื่อคนกินสัตว์นำ้าพวกนี้เข้าไปก็ได้รับอันตรายจากพิษของ
ตะกั่วเข้าไปด้วย โดยเฉพาะสัตว์นำ้าที่มีตะกั่วสะสมอยู่มาก คือ ปลาและหอยนางรม
1.3 ละอองกรดหรือหยดกรด
ละอองกรดหรือหยดกรดทั้งที่เป็นกรดอินทรีย์ (Organic acid) หรือกรดอนินทรีย์ (Inorganic acid) แต่โดย
ทั่วๆ ไปแล้วการเกิดกรดในบรรยากาศมักเกิดจากกรดอนินทรีย์มากกว่า มักจัดเป็นพวกสารพิษทุติยภูมิ (secondary
pollutant) แหล่งกำาเนิด ได้แก่ กระบวนการอุตสาหกรรม เช่น การผลิตโลหะ โรงงานชุบโลหะ ฯลฯ หรือโรงงาน
ผลิตกระแสไฟฟ้า หรือเตาเผามูลฝอย หรือท่อไอเสียของรถยนต์
กรดอนินทรีย์ที่สำาคัญที่พบในบรรยากาศ ได้แก่ กรดไนตริก กรดกำา มะถัน กรดเกลือ (hydrochloric acid,
HCl) และกรดไฮโดรฟลูออริก (hydrofluoric acid, HF) เป็นต้น
(1) กรดไนตริก (nitric acid, HNO3) เป็นกรดแก่ชนิดหนึ่ง เป็นของเหลวไม่มีสี มีฤทธิ์กัดกร่อน มีจุดเดือดที่
อุณหภูมิ 86 องศาเซลเซียส เป็นตัวออกซิไดส์อย่างรุนแรง จะเกิดเป็นควันเมื่อทิ้งไว้ในอากาศ ทำาปฏิกิริยากับโลหะ
หรื อ สารอื่ น เกิ ด ควั น ของไนโตรเจนไดออกไซด์ แ ละเกลื อ ของไนเตรต อโลหะบางชนิ ด เช่ น กำา มะถั น และ
ฟอสฟอรัส ทำาปฏิกิริยากับกรดไนตริกให้กรดออกซี เป็นกรดซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมเคมี กรดไนตริกส่วนใหญ่เป็น
สารมลพิษทุติยภูมิซึ่งเกิดจากการทำาปฏิกิริยาของไนโตรเจนกับนำ้าหรือไอนำ้า
(2) กรดกำา มะถัน (sulfurous acid, H2SO3 or sulfuric acid, H2SO4) เป็นได้ทั้งกรดแก่และกรดอ่อน กรดแก่
คือ กรดซัลฟิวริก ส่วนกรดอ่อนคือ กรดซัลฟิวรัส มีคุณสมบัติในการเป็นตัวรีดิวส์ มีฤทธิ์ในการกัดกร่อน มักเป็น
สารมลพิษทุติยภูมิที่เกิดจากออกไซด์ของซัลเฟอร์ทำาปฏิกิริยากับนำ้า ดังสมการเคมีต่อไปนี้
11
ช่วงคลื่นแสงอินฟาเรด (IR)
แหล่งที่มาหรือแหล่งเกิดของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ จำาแนกได้ 2 แหล่ง คือ
1. แหล่งธรรมชาติ ได้แก่ ปฏิกิริยาออกซิเดชันของมีเธน หรือโฟโตเคมีคัลออกซิเดชันของสารอินทรีย์บน
ผิวทะเล
2. จากการกระทำาของมนุษย์ ได้แก่ การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเชื้อเพลิง เช่น นำ้ามันปิโตรเลียม ถ่านหิน
หรือถ่านไม้ ซึ่งมีส่วนผสมของคาร์บอน (C) เป็นต้น คาร์บอนมอนอกไซด์ จะเกิดเมื่อคาร์บอนในเชื้อเพลิงเกิดการ
เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ที่แพร่กระจายถูกปล่อยสู่บรรยากาศ ร้อยละ 60 มาจากยานพาหนะ
สำาหรับในเขตเมืองคาร์บอนมอนนอกไซด์ถูกปล่อยจากยานพาหนะเป็นหลัก ซึ่งเป็นผลให้ในพื้นที่ที่มีการจราจร
ติดขัดมีปริมาณของคาร์บอนมอนนอกไซด์สูง นอกจากนี้กระบวนการอุตสาหกรรมและการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง
จากแหล่งกำาเนิดประเภทเตาเผาหรือหม้อต้มนำ้าก็เป็นแหล่งที่ปล่อยคาร์บอนมอนนอกไซด์ ได้เช่นกัน
ผลต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม
ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ มีผลต่อมนุษย์ ไม่ปรากฏว่ามีผลต่อผิวของวัตถุ ไม่มีผลต่อพืช แม้จะมีความเข้ม
ข้ น สู ง ๆ ก็ ต าม ก๊ า ซคาร์ บ อนมอนอกไซด์ มี อั น ตรายต่ อ มนุ ษ ย์ โ ดยตรงเพราะเมื่ อ ร่ า งกายหายใจเอาก๊ า ซ
คาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไปจะทำา ให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถรับออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงร่างกายได้ตามปกติ
เนื่องจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์มีความสามารถในการรวมตัวกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงได้มากกว่าก๊าซ
ออกซิเจนถึง 200-250 เท่า ลดปริมาณการนำาส่งออกซิเจนสู่อวัยวะและเนื้อเยื่อของร่างกาย จะมีผลเสียอย่างมากต่อผู้
ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ สำาหรับคนทั่วไปก็ได้รับผลกระทบด้วยจะทำาให้เวียนศีรษะ ตาพร่ามัว หายใจอึดอัด
คลื่นไส้อาเจียน เป็นลม หมดสติ ถ้าร่างกายรับเข้าไปในปริมาณมากอาจเสียชีวิตได้ แม้ว่าคาร์บอนมอนนอกไซด์จะ
ไม่ได้ปล่อยออกมาในระดับสูง การเพิ่มขึ้นของระดับคาร์บอนมอนนอกไซด์จะเกี่ยวข้องกับการเสื่อมของการมอง
เห็น ระดับความสามารถในการทำางานลดลง ทำาให้เฉื่อยชาความสามารถในการเรียนรู้ตำ่าลง และความสามารถใน
การทำางานที่ซับซ้อนลดลง
เมื่อหายใจเอาก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไป ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จะไปแย่งออกซิเจนโดยไปรวมกับ
เฮโมโกลบิน (Haemoglobin) ซึ่งเรียกย่อว่า Hb เป็นสารหนึ่งที่มีอยู่ในเม็ดเลือดแดง กลายเป็นคาร์บอกซีเฮโมโกล
บิน (Carboxy haemoglobin; COHb) ปกติร่างกายของคนเราต้องการออกซิเจนจะไปรวมตัวกับเฮโมโกลบินกลาย
เป็น ออกซีโมโกลบิน (Oxyhaemoglobin) เขียนย่อ ๆ ว่า HbO2 ในเลือดที่มี HbO2 นี้จะถูกส่งไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่ว
ร่างกายในแหล่งที่ มี HbO2 ในเนื้อเยื่อจะได้รับออกซิเจน แต่ถ้าหายใจเอาก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ข้ าไป ก๊า ซ
คาร์บอนมอนอกไซด์จะเข้าไปรวมตัวกับเฮโมโกลบินได้เร็วกว่าออกซิเจน การที่จะเกิด COHb ในเลือดมากหรือ
น้อยนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่หายใจเข้าไป นั้นคือ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและระยะเวลา
ที่หายใจเข้าไปนั้นเอง
การควบคุ ม การปล่ อ ยก๊ า ซคาร์ บ อนมอนอกไซด์ จากการจราจรได้ มี ก ารกำา หนดการปล่ อ ยก๊ า ซ
คาร์ บอนมอนอกไซด์จ ากท่ อ ไอเสีย การติ ด ตั้ งอุ ป กรณ์ catalytic converter นอกจากนี้สามารถควบคุ ม โดยการ
ปรับปรุงกระบวนการเผาไหม้ให้ความความสมบูรณ์ มีออกซิเจนที่เพียงพอในการสันดาป
13
2.4 ก๊าซโอโซน
โอโซน คื อ ก๊ า ซธรรมชาติ รู ป แบบหนึ่ ง ของออกซิ เ จนที่ ไ ม่ เ สถี ย รแต่ มี พ ลั ง งานในการทำา ปฏิ กิ ริ ย า
ออกซิเดชันสูงโดยเมื่อทำาปฏิกิริยาแล้ว จะไม่เหลือสารพิษตกค้างใดๆ นอกจากออกซิเจน จึงมีการนำาโอโซนไปใช้
งานอย่างแพร่หลาย ทั้งในครัวเรือน สำานักงาน จนถึงโรงงานอุตสาหกรรม
ก๊าซโอโซน (O3) บริสุทธิ์จะมีสีนำ้า เงินแก่มีกลิ่นคล้ายคลอรีน ละลายนำ้า ได้มากกว่าออกซิเจน มีจุดเดือดที่
-111.5 องศาเซลเซียส และมีจุดหลอมเหลวที่ – 251 องศาเซลเซียส โอโซนที่ระดับพื้น เป็นสารมลพิษทุติยภูมิ
(secondary pollutant) เกิ ด จากปฏิ กิ ริ ย าออกซิ แ ดนท์ เ คมี แ สง (Photochemical Oxidation) ระหว่ า งสารประกอบ
ไฮโดรคาร์บอน และก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน โดยมีแสงแดดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เกิดได้ง่ายในถนน เพราะแหล่ง
กำาเนิดคือรถดีเซล มักใช้เวลาในการเกิด 3 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน ก๊าซโอโซนทำาให้ระคายตา และระคายเคืองต่อ
ระบบทางเดินหายใจ ลดความสามารถในการทำางานของปอดลง เหนื่อยเร็ว โอโซนมีผลกระทบต่อวัสดุ เช่น ยาง
พลาสติก เป็นต้น ทำาให้วัสดุเหล่านั้นเสื่อมคุณภาพได้เร็ว
17
แผนภูมิที่ 3 ปฏิกิริยาการแตกตัวของไฮโดรคาร์บอนในอากาศและการเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่กับ HO
ที่มา : http://www.aqnis.pcd.go.th/basic/pollution_o3.htm
คุณสมบัติของโอโซน
1. ฆ่าเชื้อโรค โอโซนทำาลายผนังเซลล์ของเชื้อโรค จึงสามารถฆ่าเชื้อโรค, เชื้อรา, ไวรัส และแบคทีเรียได้
โอโซนมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อได้ดีกว่า และเร็วกว่าคลอรีน 3,125 เท่า อีกทั้งยังไม่เหลือสารเคมีตกค้าง
2. ดับกลิ่น โอโซนสามารถสลายโครงสร้างของไอระเหยจากสารอินทรีย์ และ อนินทรีย์ส่วนใหญ่ให้เป็น
โมเลกุลที่ไม่มีกลิ่น และไม่มีพิษ
3. สลายสารพิษและสี โอโซนสามารถสลายโครงสร้างของสารเคมี, ยาฆ่าแมลง, สี และสารพิษต่างๆ ได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
4. สลายตะกรัน โอโซนทำาลายผนังเซลล์ของแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นกำาเนิดของไบโอฟิล์ม และแหล่งสะสม
ตะกรัน
การนำาไปใช้ประโยชน์
- ใช้ในครัวเรือน เช่น ใช้ล้างผัก ผลไม้ และล้างอาหารสด ขจัดสารพิษ ยาฆ่าแมลง และเชื้อโรค
- ใช้ประกอบกับเครื่องกรองนำ้าทำานำ้าดื่ม
- ใช้ขจัดกลิ่นอับตามห้องต่างๆ
- ใช้ในรถยนต์ เพื่อปรับสภาพอากาศในห้องโดยสารรถยนต์
- ใช้ในการแพทย์ เช่น ใช้ฆ่าเชื้อในห้องผ่าตัดหรือห้องผู้ป่วย
- ใช้กับระบบนำ้าดื่มเพื่อการพาณิชย์ และระบบนำ้าดื่มชุมชนทั่วไป
- ใช้บำาบัดนำ้าเสียเพื่อการขจัดสารเคมี สารแขวนลอย ฟอกสี โลหะหนัก และเชื้อโรคในขั้นตอนสุดท้าย
- ใช้ในขบวนการเพาะเลี้ยงสัตว์นำ้า เช่น บ่อปลา บ่อเพาะฟักลูกกุ้ง และบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำา
- ใช้บำาบัดนำ้าในสระว่ายนำ้า เพื่อขจัดสารปนเปื้อนและเชื้อโรค
- ใช้ในระบบนำ้าของหอระบายความร้อน เพื่อควบคุมตะไคร่นำ้า การเกิดตะกรัน และลดการกัดกร่อน
- ใช้ขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆ ในอุตสาหกรรมและชุมชน เช่น โรงงานอาหารสัตว์ และกลิ่นจากนำ้าเสีย
- ใช้ในขบวนการล้างอาหารสดก่อนการแช่แข็งเพื่อขจัดสิ่งปนเปื้อนและเชื้อโรค
- ใช้ดับกลิ่น และฆ่าเชื้อโรคในสถานบริการต่างๆ เช่น โรงแรม โรงพยาบาล อาบอบนวด
- ใช้ในขบวนการซักผ้า ซึ่งทำาให้ลดค่าใช้จ่ายการใช้ผงซักฟอก และยังช่วยฆ่าเชื้อได้ดีด้วย
- ใช้ขจัดกลิ่นหมึกพิมพ์ และกลิ่นทินเนอร์ตามโรงพิมพ์ และห้องพ่นสีรถยนต์
- ใช้ขจัดก๊าซไอเสียรถยนต์ตามที่จอดรถใต้อาคารสูง
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โอโซนจะทำาให้พืชเกิดความเสียหาย โดยจะเกิดความเสียหายบริเวณเนื้อเยื่อที่มีลักษณะเป็นริ้ว ที่ผิวของ
ใบไม้จะเกิดอาการด่างเล็กๆ, จุดด่างซีด, ลักษณะของเม็ดสีจะเกิดการผิดปกติ การเจริญเติบโตจะหยุดชะงัก และมี
ใบร่วง
21
การแก้ไขปัญหาโอโซน
1. หาทางเอา CFCs ออกจากบรรยากาศ (ดูในหัวข้อต่อไป)
2. หยุดปล่อยคลอรีนที่ทำาลายโอโซนก่อนที่จะเกิดความเสียหายมากกว่านี้
3. ทดแทนโอโซนที่สูญเสียไปในบรรยากาศ หรือ บางทีควรจะนำา โอโซนมลพิษในเมืองที่มากเกินไปฉีด
ขึ้นไปชดเชยส่วนที่ขาดหาย หรือสร้างขึ้นใหม่
อย่างไรก็ตามเนื่องจากโอโซนทำาปฏิกิริยากับโมเลกุลอื่นได้ง่าย จึงไม่เสถียรพอที่จะถูกสร้างและส่งขึ้นไป
ในบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ได้ เมื่อพิจารณาปริมาตรของบรรยากาศและขนาดของโอโซนที่หายไป ที่มีขนาด
มหาศาล จะเป็นการลงทุนที่สูง และใช้พลังงานมากจึงเป็นสิ่งปฏิบัติยากและเป็นการทำาลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วยการ
ฟื้นฟูชั้นโอโซน ด้วยการมีพิธีสารมอนทรีออล และการแก้ไขต่างๆ ซึ่งเป็นข้อตกลงเรื่องการหยุดผลิต และบริโภค
สารทำาลายโอโซนต่างๆ โดยการหยุดผลิตอย่างสิ้นเชิงและการใช้กรณีวิกฤตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยกำาหนดให้
ปี ค .ศ. 1996 เป็ น หมายกำา หนดการเลิ ก ผลิ ต และใช้ สำา หรั บ ประเทศพั ฒ นาแล้ ว และปี ค.ศ. 2000 เป็ น หมาย
กำา หนดการเลิกผลิตและใช้สำา หรับประเทศกำา ลังพัฒนา ผลลัพธ์คือปริมาณคลอรีนในบรรยากาศชั้นล่างๆ ที่จะ
สามารถขึ้นไปถึงสตราโตสเฟียร์ได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว และความเข้มข้นในชั้นสตราโตสเฟียร์จะถึงจุดสูงสุดในปลาย
ศตวรรษที่ 20 และจะเริ่มลดลงอย่างช้าๆ โดยขบวนการธรรมชาติ และชั้นโอโซนจะกลับคืนมาเหมือนเดิมในอีก
ประมาณ 50 ปีข้างหน้า
ตารางที่ 2 การจำาแนกชนิดของมลพิษทางอากาศ
ตารางที่ 3 ผลของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และควันหรือฝุ่นละอองต่อมนุษย์
ความเข้มข้นของ
ควันหรือฝุ่นละออง
ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็น
(ไมโครกรัมต่อ ผลที่เกิดขึำน เอกสารอ้างอิง
ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ลูกบาศก์เมตร )
(ส่วนในล้านส่วน)
1500 (0.52) เท่ากับหรือ MC Carroll and
เพิ่มอัตราตาย
(ค่าเฉลี่ย 24 ชัว่ โมง) มากว่า 6 Bradley (1996)
เท่ากับหรือมากกว่า 715
750 อาจเพิ่มอัตราตายต่อวัน Lawther (1963)
(0.25) (ค่าเฉลี่ย 24 ชั่มโมง)
500 (0.19) Brass และ คณะ
ตำ่า อาจเพิ่มอัตราตาย
(ค่าเฉลี่ย 24 ชัว่ โมง) (1966)
เพิ่มอัตราป่วย
เข้ารับการรักษาใน
300 - 500(0.11-0.19) Brass และ คณะ
ตำ่า โรงพยาบาล
(ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง) (1966)
ด้วยโรคทางเดินหายใจ เพิ่ม
อัตรากรขาดงาน
26
ความเข้มข้นของ
ควันหรือฝุ่นละออง
ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็น
(ไมโครกรัมต่อ ผลที่เกิดขึำน เอกสารอ้างอิง
ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ลูกบาศก์เมตร )
(ส่วนในล้านส่วน)
715 (0.25) อัตราการป่วยของผู้มีอายุเกิน Carnow และ คณะ
มี
(เฉลี่ย 24 ชั่วโมง) 54 ปี เพิ่มขึ้นโดยฉับพลัน (1968)
600 (0.21) ผูป้ ่วยด้วยโรคปอดเรื้อรัง
300 Lawther (1958)
(ค่าเฉลี่ย 24 ชัว่ โมง) อาจมีอาการรุนแรง
185 มีอาการดรคทางเดินหายใจ
105-265 (0.037-0.092) Petrilli และ คณะ
บ่อยครั้งขึ้น และอาจเกิดโรค
(ค่าเฉลี่ย 1 ปี) (1966)
ปอด
100 เป็นโรคทางเดินหายใจ Lunn และคณะ (1967)
120 (0.046)
บ่อยครั้งขึ้น
(ค่าเฉลี่ย 1 ปี)
และอาการร้ายแรงขึ้น
160 เพิ่มอัตราตายด้วยโรค
115 (0.040) Back and Wicken
หลอดลมอักเสบ
(ค่าเฉลี่ย 1 ปี) (1964)
และมะเร็งปอด
ผลต่อการมองเห็น ใกล้เคียงกับค่าของ การมองเห็นไกลลดลง Bushtueva
286 (0.10) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ประมาณ 5 ไมล์ (1957&1960)
และความชื้น
ร้อยละ 5
ที่มา : USHEW, Division of Air Pollution, Washington, 1962
ผลกระทบของสารมลพิษทางอากาศ
1. ภาวะการเพิ่มขึำนของอุณหภูมิโลก (Global Warming)
เมื่อประมาณ 10,000 ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์เรือนกระจกเป็นเหตุให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น 1 - 2 องศา
เซลเซียส นับแต่ พ.ศ. 2403 เป็นต้นมาพบว่าสูงขึ้นอีกประมาณ 0.5 องศาเซลเซียส คณะกรรมการระหว่างชาติว่าด้วย
ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศสรุปว่า ถ้าหากแก้ปัญหานี้ไม่ได้ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้น 0.2 - 0.5 องศา
เซลเซียส ทุก 10 ปี ทำาให้เกิดความแห้งแล้งรุนแรง ภาวะฝนทิ้งช่วงยาวนานกว่าปกติและเกิดปัญหาอื่นตามมา
27
2. ระดับนำำาทะเลสูงขึำนและเกิดนำำาท่วมรุนแรงกว่าเดิม
นักวิทยาศาสตร์คำานวณว่า ถ้าอุณหภูมิของโลกเพิ่ม 1.5 - 4.5 องศาเซลเซียส นำ้าแข็งขั้วโลกจะละลายเป็นผล
ให้นำ้าทะเลสูงขึ้น 20 - 140 เซนติเมตร โดยคาดว่านำ้าทะเลจะสูงขึ้นอย่างมากใน พ.ศ. 2573 ศตวรรษที่แล้วระดับสูง
กว่าเดิม 10 - 15 เซนติเมตร ปัจจุบันสูงขึ้นปีละ 1.2 มิลลิเมตร IPCC ประมาณว่าใน พ.ศ. 2573 นำ้าทะเลจะสูงขึ้น 20
เซนติเมตร พ.ศ. 2633 สูงเพิ่มอีก 60 เซนติเมตร และ พ.ศ. 2683 จะสูงกว่าเดิมถึง 1 เมตร ถ้านำ้าทะเลสูงขึ้นเพียง 50
เซนติเมตร เมืองสำา คัญและท่าเรือจะจมนำ้า ใต้ผิวนำ้า คนจำา นวนมากต้องอพยพและเกิดปัญหาสังคมมากมาย เช่น
กรุงเทพมหานคร มะนิลาโตเกียว กัลกัตตา นิวยอร์ก บัว โนส/ ไอเรส ภาคใต้ของประเทศบั งคลาเทศ มั ลดี ฟส์
เนเธอร์แลนด์ พื้นที่ทางใต้และตะวันออกของสหราชอาณาจักร และชายฝั่งด้านตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา
3. ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง
เมื่อนำ้าทะเลขยายตัว พื้นที่ป่าไม้จะลดลง สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวไม่ได้จะตายและสูญพันธุ์ไป ป่าจะขยายตัวไป
ทางขั้วโลก 10 กิโลเมตรต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส ดินจะพังทลายและเสื่อมโทรมมากขึ้น ภัยธรรมชาติ
จะมีแนวโน้มรุนแรงและเกิดบ่อยขึ้น ทะเลทรายจะขยายกว้างกว่าเดิม ฤดูหนาวจะอุ่นขึ้นทำา ให้ศัตรูพืชถูกทำา ลาย
น้อยลง ชายฝั่งที่เคยเป็นนำ้ากร่อยจะเป็นนำ้าเค็มซึ่งมีผลต่อห่วงโซ่อาหาร พืชนำ้าจืดจะตาย สัตว์จะอพยพและตะกอน
จากชายฝั่ ง จะถู ก พั ด พาไปทั บ ถมนอกชายฝั่ ง ทำา ให้ ทำา ให้ ไ หล่ ท วี ป สู ง ขึ้ น นอกจากนี้ การที่ ป ริ ม าณก๊ า ซ
คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นจะทำาให้ผิวนำ้าทะเลมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น และจะมีผลกระทบต่อการเจริญของแนว
หินปะการังของโลกด้วย
4. ผลกระทบต่อเกษตรกรรม
ทำาให้ขยายเกษตรไปทางขั้วโลก ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียสจะสามารถปลูกธัญพืชสูงขึ้นไปทางขั้ว
โลกเหนือได้ 150 - 200 กิโลเมตร และปลูกในพื้นที่สูงขึ้นอีก 100 - 200 เมตร พืชที่ปลูกตามขอบทะเลทรายจะเสีย
หายเพราะทะเลทรายขยายตัว การนำาพืชไปปลูกถิ่นอื่นต้องปรับสภาพดินและนำ้า วัชพืชและพืชจะโตเร็วและมีขนาด
ใหญ่กว่าเดิมเนื่องจากได้รัคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น แต่ดินจะเสื่อมเร็วเพราะแร่ธาตุจะถูกนำาไปใช้มาก พืชจะขาด
ไนโตรเจนความต้านทานโรคและแมลงลดลง ผลผลิตพืชมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยพืชใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการ
สังเคราะห์แสงได้ดีกว่าจะให้ผลผลิตมากกว่า เช่น พืชที่ใช้คาร์บอน 3 อะตอม (พวกถั่ว มันสำาปะหลัง กล้วย มันฝรั่ง
หัวผักกาดหวาน และข้าวสาลี) จะมีผลผลิตสูงกว่าพืชที่ใช้คาร์บอน 4 อะตอม (พวกข้าวโพด ข้าวฟ่าง อ้อย และลูก
เดือย) ผลผลิตในหลายแหล่งเช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น จะมากเกินความต้องการทำาให้ราคาตกตำ่า ซึ่งจะ
กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโลกเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงการผลิตและการใช้ดิน ต้องปรับปรุงพันธุ์พืชให้มี
ความต้านทานโรค แมลง และอากาศที่แห้งแล้งขึน้
28
ภาพที่ 6 ผลกระทบจากโอโซนต่อใบแตงโมและนำ้าเต้า
ที่มา : http://agdev.anr.udel.edu/weeklycropupdate/wp-content/uploads/2008/07/ozonewatermelon.jpg
http://agdev.anr.udel.edu/weeklycropupdate/wp-content/uploads/2008/07/ozonesquash.jpg
5. ผลกระทบต่อสุขภาพของชุมชน ได้แก่
1) มีผลเสียต่ออารมณ์ ร่างกาย และการปฏิบัติกิจกรรมโดยอากาศร้อนทำาให้คนรู้สึกหงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
เหนื่อยง่าย และประสิทธิภาพการทำางานตำ่า
2) มีอันตรายต่อผิวหนัง อุณหภูมิที่สูงมากจะทำาให้เหงื่อออกมาก โดยเฉพาะตามง่ามเท้า รักแร้ และ ข้อพับ
ทำาให้ผิวหนังเปื่อย เกิดผดผื่นคันหรือถูกเชื้อราหรือแบคทีเรียทำาให้อักเสบได้ง่าย
3) ทำาให้โรคเขตร้อนระบาดได้มากขึ้น เช่น โรคไข้ส่า ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสโดยยุงเป็นพาหะ มีอาการโรคไข้
เลือดออก ต่อมนำ้าเหลืองอักเสบบวม ปวดกล้ามเนื้อและข้อ อาจเสียชีวิตได้ ไม่มีวัคซีนและยาที่ใช้รักษาเฉพาะ เมื่อ
29
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ที่สำาคัญได้แก่
1) ใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้มากขึ้น เพราะอากาศร้อนจะทำาให้มีการใช้เครื่องปรับอากาศและแร่ เชื้อเพลิง
เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในชุมชนเมืองซึ่งจะมีอุณหภูมิสูงกว่าชนบท
2) ราคาพืชผลการเกษตรตกตำ่าทั่วโลก เพราะประเทศที่มีกำาลังซื้อพืชผลได้เกินความต้องการทำาให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงด้านรูปแบบการค้าและสินค้าเกษตรกรรม
3) เกษตรกรจะเสียต้นทุนการผลิตมากขึ้น เพราะดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์เร็ว ศัตรูพืชเพิ่มขึ้น ความ
ต้านทานของพืชลดลงขณะเดียวกันก็ต้องลดรายจ่ายลง เช่น ลดการจ้างงาน เป็นต้น
4) ประเทศที่ยากจนจะขาดแคลนอาหารมากขึ้น เนื่องจากการปลูกพืชในบางแห่งได้ผลน้อยทะเลทรายเพิ่ม
ขนาด และพืชหลักของท้องถิ่น ซึ่งได้แก่ ข้าวโพด ข้าวฟ่าง อ้อย และลูกเดือยมีอัตราเพิ่มของผลผลิตน้อยลง
5) แหล่งท่องเที่ยวชายหาดจะถูกนำ้าทะเลท่วม ดินจะพังทลายทำาให้เสียงบประมาณเพื่อการปรับปรุงจำานวน
มาก
6) การพัฒนาประเทศทำาได้ลา่ ช้า เนื่องจากต้องใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึน้
31
การป้องกันและแก้ไขภาวะมลพิษทางอากาศ
1. ลดสารภาวะมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำาเนิด โดยการเปลี่ยนแปลงคุณภาพเชื้อเพลิง ใช้เครื่องยนต์ที่มี
มลพิษน้อย ปรับปรุงกระบวนการผลิต และลดมลพิษจากยานพาหนะ
2. เข้มงวดกับมาตรการลดผลกระทบด้านภาวะมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรม โดยตรวจสอบการ
ปล่อยมลสารต่างๆ จากภาคอุตสาหกรรมให้อยู่ในระดับมาตรฐาน และให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับภาวะมลพิษ
ทางอากาศจากโรงงาน
3. สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีการเกษตร โดยนำาวัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตรมาใช้เป็นพลังงานเพื่อลดการ
เผาวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรในที่โล่ง
4. ปรับปรุงระบบการกำาจัดขยะมูลฝอยชุมชนให้มีการบริหารจัดการแบบครบวงจร ถูกหลักวิชาการ เพื่อลด
การเผาขยะในที่โล่ง
5. ป้องกันการเกิดไฟป่า ตรวจติดตามปฏิบัติการดับไฟป่า และฟื้นฟูสภาพหลังเกิดไฟป่า
6. ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มาจากธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลด ภาวะมลพิษทาง
อากาศจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงประเภทถ่านหิน
7. ลดการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีสารประกอบของสารที่ทำาให้เกิดภาวะเรือนกระจก เช่น สารคลอโรฟลูออ
โรคาร์บอน (CFC ) เป็นต้น
8. สนับสนุนให้มีการใช้ระบบการขนส่งที่มีมลพิษน้อย และส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน
9. รณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจอันตรายที่เกิดจากภาวะมลพิษทางอากาศ และมีส่วนรวม
ในการป้องกันแก้ไขมิให้เกิดภาวะมลพิษทางอากาศ
10. ปรับปรุงกฎหมาย เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติตามและการใช้บังคับกฎหมายด้านการจัดการภาวะ
มลพิษทางอากาศ
32
ข้อสอบปรนัยเกี่ยวกับ “มลภาวะทางอากาศ”
ง.แมงดาทะเล
7.ข้อใดสัมพันธ์กับฝนกรดมากที่สุด
ก.HbO2
ข.HNO3
ค.SO42-
ง.PbSO4
8.ข้อใด ไม่ใช่ ประโยชน์ของโอโซน
ก.สลายสารพิษและสี
ข.ดับกลิ่น
ค.สลายนิ่ว
ง.ฆ่าเชื้อโรค
9.“การแขวนลอยของอนุภาคของของแข็ง อนุภาคของของเหลว หรือทั้งอนุภาคของของแข็ง และอนุภาคของ
ของเหลวซึ่งมีนำ้าหนักเบามากในตัวกลางที่เป็นอากาศ” คือคำานิยามของข้อใด
ก.อนุมูลไฮดรอกซิล
ข.แอโรซอล
ค.ละอองนำ้ามัน
ง.หมอกควันเคมีแสง
10.สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน เขียนย่อว่าอย่างไร
ก.CPFs
ข.CFOs
ค.CEOs
ง.CFCs
เฉลย
1. ง 2. ข 3. ง 4. ก 5. ง 6. ข 7. ข 8. ค 9. ข 10. ง
34
บรรณานุกรม