Professional Documents
Culture Documents
อนุกรมฟูเรียร
3.1 บทนํา
ในบทที่ 1 และบทที่ 2 ไดกลาวถึงเรื่องสมการอนุพันธซึ่งจะนําไปประยุกตใช
ในการวิเคราะหวงจรไฟฟาเปนสวนใหญ สวนในบทนี้จะเปนการศึกษาคณิตศาสตร
เรื่องของ อนุกรมฟูเรียรและการแปลงฟูเรียร ซึ่งนําเสนอโดย Jean Baptiste Joseph
Fourier (1768-1830) นักคณิตศาสตรชาวฝรั่งเศส ซึ่งไดใชอนุกรมดังกลาวในการอธิบาย
ปรากฏการณการนําและการกระจายความรอนผานวัตถุ ซึ่งตอมานักวิทยาศาสตรและ
วิ ศ วกรได นํ า มาประยุ ก ต ใ ช ใ นเรื่ อ งต า ง ๆ มากมาย ซึ่ ง ในบทนี้ จ ะนํ า มาใช ใ นการ
วิเคราะหสัญญาณไฟฟา
สัญญาณไฟฟาสวนใหญในทางปฏิบัติเกือบทั้งหมด จะสามารถแยกออกเปน
องค ป ระกอบของสั ญ ญาณรู ป ซายน ห ลายความถี่ ในกรณี สั ญ ญาณมี ค าบ การแยก
องคประกอบของสัญญาณเราจะเรียกวา อนุกรมฟูเรียร (Fourier Series) ซึ่งเราจะกลาว
รายละเอียดในบทนี้ สวนกรณีสัญญาณไมมีคาบ การแยกองคประกอบของสัญญาณเรา
จะเรียกวา การแปลงฟูเรียร (Fourier Transform) ซึ่งเราจะกลาวรายละเอียดในบทที่ 4
ดังนั้นในชวงแรกนี้เราจะกลาวถึงนิยามของฟงกชันมีคาบวามีนิยามอยางไร
3.2 ฟงกชันมีคาบ
นิยาม ฟงกชัน(function)หรือสัญญาณ(Signal)ใดๆ เรียกวา “ฟงกชันมีคาบ(Periodic
function)” ถาสอดคลองตามสมการ
f (t ) = f (t + T ) (3.1)
สําหรับทุกคาของ x ในเมื่อ T เปนคาคงที่ที่นอยที่สุด (T > 0 ) และ เรียก T
วาเปนคาบ (Period) ของฟงกชัน f ( x)
106
∫
−π
f ( x)dx = a0 ∫ dx
−π
π
a0 [ 2π ] = ∫ f ( x)dx
−π
π
1
∴ a0 = ∫π f ( x)dx (3.5)
2π −
โดยที่สูตรที่เกี่ยวของคือ
1
cos A ⋅ cos B = [cos( A + B) + cos( A − B)]
2
1
และ sin A ⋅ cos B = [sin( A + B) + sin( A − B) ]
2
พิจารณาจากสมการที่ (3.7)
π π
− sin mx
a0 ∫ cos mxdx = a0
−π m −π
− sin(π x) + sin(−π x)
= a0 = 0
m
π
นั่นแสดงวา a0 ∫ cos mxdx = 0
−π
π π π
1 1
∫ cos nx cos mxdx = ∫ cos(n + m)xdx + ∫ cos(n − m)xdx (3.8)
−π
2 −π 2 −π
π
0 ,m ≠ n
π
∴ ∫ cos nx cos mxdx = 1
−π 2 ∫ cos(2nx)dx , m = n
−π
ถา m = n อินทริกรัลเทอมดานขวาในสมการที่ (3.8) คือ
π
1
2 −∫π
cos(2nx)dx = π ,m = n
π π π
1 1
∫−π sin nx cos mxdx = 2 −∫π sin(n + m)xdx + 2 −∫π sin(n − m)xdx (3.9)
ถา m = n และ m ≠ n
=0
ดังนั้นจะได
π
π π π
1 1
∫−π sin nx sin mxdx = 2 −∫π cos(n − m)xdx + 2 −∫π cos(n + m)xdx (3.13)
0, m ≠ n
=
π , m = n
ถา m = n อินทริกรัลเทอมดานขวาในสมการที่ (3.13) คือ
π
1
2 −∫π
cos(2nx)dx = π ,m = n
π π π
1 1
∫ cos nx sin mxdx = ∫ sin( n − m)xdx + ∫ sin( n + m)xdx (3.14)
−π
2 −π 2 −π
=0 ถา m = n และ m ≠ n
ถา m = n อินทริกรัลเทอมดานขวาในสมการที่ (3.8) คือ
π
1
2 −∫π
sin(2nx)dx = π ,m = n
ดังนั้นจะได
π
π
1
∴ bn =
π ∫
−π
f ( x) sin nxdx
และหาสัมประสิทธิ์ของอนุกรมไดคือ
π
1
a0 = ∫ f ( x)dx (3.17)
2π −π
π
1
an = ∫ f ( x) cos nxdx (3.18)
π -π
π
1
bn = ∫ f ( x) sin nxdx (3.19)
π −π
1
เพื่อจัดพจนตัวหารดานหนาของสัมประสิทธิ์ a0 , an และ bn ใหมีคา เหมือนกัน
π
ดังนั้นจะได
∞
1
f ( x) = a0 + ∑ ( an cos nx + bn sin nx ) (3.20)
2 n =1
โดยที่
π
1
a0 = ∫ f ( x)dx (3.21)
π −π
π
1
an = ∫ f ( x) cos nxdx (3.22)
π -π
π
1
bn = ∫ f ( x) sin nxdx (3.23)
π −π
π π
หา a โดยใชสมการที่ (3.22);
n
π
1
an =
π ∫π f ( x) cos nxdx
-
π
1
0
∫
= ( − k ) cos nxdx + ∫ (k ) cos nxdx
π −π 0
π
1 k
0
k
∴ an = − sin(nx) + sin(nx) = 0
π n −π n 0
หา b โดยใชสมการที่ (3.23);
n
π
1
bn =
π ∫
−π
f ( x) sin nxdx
π
1
0
= ∫ ( − k ) sin nxdx + ∫ (k ) sin nxdx
π −π 0
π
1 k
0
k
= cos(nx) − cos(nx)
π n −π n
0
k
= [cos(0) − cos(−nπ ) − cos(nπ ) + cos 0]
nπ
112
k
= [1 − cos(nπ ) − cos(nπ ) + 1]
nπ
k
= [ 2 − 2 cos(nπ )]
nπ
2k
∴ bn = [1 − cos(nπ )]
nπ
ซึ่งเมื่อพิจารณาคาของ b ในสวนของพจน
n cos(nπ ) จะเห็นวา
−1 ; n = 1,3,5, 7,...
cos(nπ ) =
1 ; n = 2, 4, 6,8,...
2 ; n = 1,3,5, 7,...
1 − cos(nπ ) =
0 ; n = 2, 4, 6,8,...
4k 4k 4k
ทําใหได b1 = , b2 = 0, b3 = , b4 = 0, b5 = , b6 = 0,...
π 3π 5π
เมื่อแทนคา a0 , an และ bn ในสมการที่ (3.20) จะได
∞
f ( x) = ∑b n sin nx เมื่อ n เปนเลขคี่
n =1
4k 1 1
f ( x) = sin x + sin 3x + sin 5 x + ... ##
π 3 5
รูปที่ 3.3 เปนผลบวกของอนุกรมฟูเรียร 3 พจน ถาพิจารณาดูจะเห็นวายิ่งทําการบวก
จํานวนพจนมากขึ้น ผลที่ไดก็จะเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเหมือนรูปที่ 3.2 มากขึ้ตามไปดวย
π π π
π
1
หา an จากสมการที่ (3.22) a = ∫π f (t ) cos ntdt
π
n
−
π
1
0
= ∫ (0) cos ntdt + ∫ sin t cos ntdt
π −π 0
π
1 1 cos(1 − n)t cos(1 + n)t
= − +
π 2 1− n 1 + n 0
1 cos(π − nπ ) cos(π + nπ ) 1 1
=− + − +
2π 1 − n 1+ n 1 − n 1 + n
1 − cos nπ − cos nπ 2
=− + −
2π 1 − n 1+ n 1 + n 2
1 + cos nπ
= ,n ≠1
π (1 − n 2 )
π π
1 sin 2 t
a1 = ∫ sin t cos tdt = =0
π 0 2π 0
π
1
หา bn จากสมการที่ (3.23) bn = ∫ f (t ) sin ntdt
π −π
π
1
0
= ∫ (0) cos ntdt + ∫ sin t sin ntdt
π −π 0
114
π
1 1 sin(1 − n)t sin(1 + n)t
= − = 0 ,n ≠1
π 2 1− n 1 + n 0
π π
1 1 t sin 2t 1
b1 = ∫ sin tdt = − =
2
π
π 2
4 0 2
0
จะไดอนุกรมฟูเรียรคือ
1 2 1 2 cos 2t cos 4t cos 6t cos8t
f (t ) = ⋅ + 0 + sin t − + + + + ...
2 π 2 π 3 15 35 63
1 sin t 2 cos 2t cos 4t cos 6t cos8t
= + − + + + + ... ##
π 2 π 3 15 35 63
= 0 − − 2 cos nx
π n −π
1
= 2 {1 − cos(− nπ )}
πn
1
= 2 (1 − cos nπ )
πn
−1 , n = 1,3,5,...
โดยพิจารณา cos nπ =
1 , n = 2, 4, 6,...
2
, n = 1,3,5,...
an = π n 2
0 , n = 2, 4, 6,...
π
1
หา bn จาก bn = ∫ f ( x) sin nxdx
π −π
0
1
=
π ∫ ( x + π ) sin nxdx
−π
ทําการอินทิเกรตทีละสวน(integration by pass)
ให u = x +π และ dv = sin nxdx
1
จะได du = dx , v = ∫ sin nxdx = − cos nx
n
ดังนั้นจะได bn
1
0 0
1 1
= −( x + π ) cos nx + ∫ cos nxdx
π n −π −π n
1
0
1 1 1
= −(0 + π ) cos n(0) + (−π + π ) cos n(π ) + ∫ 2 sin nxdx
π n n −π n
1 1
= −π + 0 + 0
π n
1
∴ bn = −
n
116
1 π 2 1 1 1 1 1
f ( x) = ⋅ + cos x + 2 cos 3x + 2 cos 5 x + ... − sin x + sin 2 x + cos 3 x + cos 4 x + ...
2 2 π 3 5 2 3 4
หรือ π 2 ∞
1 ∞
1
##
f ( x) = + ∑ cos(2k − 1) x − ∑ sin nx
4 π k =1 (2k − 1) 2
n =1 n
2
, n = 1,3,5,...
= π n2
0 , n = 2, 4, 6,...
2π
1
หา bn จาก bn = ∫ f ( x) sin nxdx
π 0
2π
1
=
π ∫ ( x + π ) sin nxdx
π
1
bn = −
n
แทนคา a0 , an และ b ในสมการที่ (3.20)
n
π 2 ∞
1 ∞
1
##
f ( x) =
4
+
π
∑ (2k − 1)
k =1
2
cos(2k − 1) x − ∑ sin nx
n =1 n
117
3.4 อนุกรมฟูเรียรตรีโกณมิติที่มีคาบใด ๆ
จากหัวขอที่ผานมาเราศึกษาอนุกรมฟูเรียรที่มีคาบเทากับ 2π โดยนิยามฟงกชัน
อยูในรูปตัวแปร x ซึ่งมีหนวยเปนเรเดียน ในหัวขอนี้เราจะศึกษาอนุกรมฟูเรียรที่มีคาบ
เทากับ T ใด ๆ หรือคาบไมเจาะจง (arbitrary period) โดยนิยามฟงกชันอยูในรูปตัวแปร
t การเปลี่ยนสเกลของตัวแปร x ไปเปนตัวแปร t ทําไดโดยเทียบ จาก
x = ωt
2π
และ ω = 2π f =
T
x T
จากทั้ง 2 สมการขางตนดังนั้น จะได t= = ⋅ω และ
ω 2π
Tx
t= (3.24)
2π
2π
x= ⋅t (3.25)
T
ทั้งนี้ตองเปนไปตามเงื่อนไขที่วา x = ±π ซึ่งแปรไปตามคา t = ± T 2
ดังนั้นถา เราจะเปลี่ยนจากตัวแปร x ไปเปนตัวแปร t จากสมการที่ (3.20) จะได
∞
Tx 1
f (t ) = f = a + ∑ ( an cos nx + bn sin nx ) (3.26)
2π
0
2 n =1
และ
π
1 Tx
a0 = ∫π f 2π dx (3.27)
π −
π
1 Tx
(3.28)
π ∫π 2π
an = f cos nxdx
-
π
1 Tx
(3.29)
π ∫π 2π
bn = f sin nxdx
-
2π
จากสมการที่ (3.25) x= ⋅t
T
2π T T
หาอนุพันธจะได dx = dt โดย − ≤t ≤
T 2 2
ดังนั้นจากสมการที่ (3.26) ถึง (3.29) จะได
∞
1
f (t ) = a0 + ∑ ( an cos nωt + bn sin nωt )
2 n =1
T 2
1 2π
a0 =
π ∫
−T 2
f (t ) ⋅
T
dt
118
T 2
1
T −T∫ 2
= f (t )dt
2π t
T /2
1
an =
π ∫ f ( t ) cos n T dt
−T / 2
T /2
2
f ( t ) cos nωtdt
T −T∫/ 2
=
2π t
T /2
1
bn =
π ∫ f ( t ) sin n T dt
−T / 2
T /2
2
f ( t ) sin nωtdt
T −T∫/ 2
=
สรุปอนุกรมฟูเรียรที่มีคาบเทากับ T ใด ๆ
∞
1
f (t ) = a0 + ∑ ( an cos nωt + bn sin nωt ) (3.30)
2 n =1
T 2
2
(3.31)
T −T∫ 2
a0 = f (t )dt
T /2
2
f ( t ) cos nωtdt (3.32)
T −T∫/ 2
an =
T /2
2
f ( t ) sin nωtdt (3.33)
T −T∫/ 2
bn =
ωVm π ω
= ∫ sin ωtdt
π 0
π ω
ωVm cos ωt
= − ω
π 0
Vm π
= − cos ω + cos 0
π ω
2Vm
∴ a0 =
π
T /2
2
หา จาก f ( t ) cos nωtdt
T −T∫/ 2
an an =
π ω
ω
=
π ∫ Vm sin ωt cos ωtdt
0
π ω
ωVm
= ∫ sin ωt cos ωtdt
π 0
1
โดยใชสูตร sin α cos β = [sin(α + β ) + sin(α − β )]
2
π ω
ωV
= m ∫ [sin(1 + n)ωt + sin(1 − n)ωt ] dt
2π 0
π ω
ωV cos(1 + n)ωt cos(1 − n)ωt
= m − (1 + n)ω − (1 − n)ω
2π 0
V cos(1 + n)π + 1 cos(1 − n)π + 1
= m − −
2π (1 + n) (1 − n)
0 , n = 1,3,5,...
∴ an = 2Vm
(n − 1)(n + 1)π , n = 2, 4, 6,...
T /2
2
หา จาก f ( t ) sin nωtdt
T −T∫/ 2
bn bn =
π ω
ω
=
π ∫0 Vm sin ω t sin nω tdt
1
โดยใชสูตร sin α sin β = [ cos(α − β ) − cos(α + β )]
2
π ω
ωV
= m ∫ [ cos(1 − n)ωt − cos(1 + n)ωt ] dt
2π 0
120
π ω
ωV sin(1 − n)ωt sin(1 + n)ωt
= m −
2π (1 − n)ω (1 + n)ω 0
Vm sin(1 − n)π sin(1 + n)π
= −
2π (1 − n) (1 + n)
∴ bn = 0 ; n ≠ 1
เพราะวา n ≠1 ดังนั้นตองหา b1 อีกครั้งโดยการแทน n = 1 ลงในสูตรของ bn
จาก
T /2
2
f ( t ) sin(1)ωtdt
T −T∫/ 2
b1 =
T /2
2
f ( t ) sin ωtdt
T −T∫/ 2
=
ωVm π ω 2
= ∫ sin ωtdt
π 0
1
โดยใชสูตร sin 2 α = [1 + cos 2α ]
2
π /ω
ωVm sin 2ωt
จะได = t−
2π 2ω 0
ωV π
= m
2π ω
Vm
∴ b1 =
2
Vm
, n =1
∴ bn = 2
0 , n = 2,3, 4,...
จากสูตรอนุกรมฟูเรียรที่มีคาบเทากับ T ใด ๆ
∞
1
f (t ) = a0 + ∑ ( an cos nωt + bn sin nωt )
2 n =1
ดังนั้น
1 2Vm ∞
2Vm V
vo (t ) = ⋅ + ∑ cos nωt + m sin nωt
2 π n =1 ( n − 1)( n + 1)π 2
Vm Vm ∞
2Vm
= + sin ωt + ∑ cos nωt
π 2 n =1 ( n − 1)( n + 1)π
Vm Vm 2V 1 1
= + sin ωt + m cos 2ωt + cos 4ωt + ... ##
π 2 π 1× 3 3× 5
121
2π 2π π
โดยที่ ω= = =
T 6 3
nπ x
3
2
ดังนั้น an = ∫ f ( x ) cos dx
6 −3 3
1 nπ x nπ x
0 3
= ∫ 12 cos dx + ∫ 4 x cos dx
3 −3 3 0
3
122
4 3 nπ x
0
nπ x
3
3 −3 ∫0
= 3 ⋅ sin + x cos dx
3 nπ 3
3
0
nπ x
โดยให u=x และ dv = cos dx
3
3
3 nπ x
จะได du = dx v= sin
nπ 3 0
4 3 3x nπ x nπ x
0 3
nπ x
3
3
แทนในสมการ = 3 ⋅ sin + sin −∫ sin dx
3 nπ 3 −3 nπ 3 0 0 nπ 3
4 3 nπ x
3
3 nπ ∫0
= − sin dx
3
4 3 nπ x
3
3
= − − cos
3 nπ nπ 3 0
12 nπ (3) nπ (0)
= 2
cos − cos
(nπ ) 3 3
12
= ( cos nπ − 1)
(nπ ) 2
0 ; n = 2, 4, 6,...
∴ an = −24
n 2π 2 ; n = 1,3,5,...
T /2
2
หา จาก f ( t ) sin nωtdt
T −T∫/ 2
bn bn =
2π 2π π
โดยที่ ω= = =
T 6 3
nπ x
3
2
ดังนั้น bn = ∫ f ( x ) sin dx
6 −3 3
1 nπ x nπ x
0 3
= ∫ 12sin dx + ∫ 4 x sin dx
3 −3 3 0
3
4 nπ x
0
nπ x
3
3
= −3 ⋅ cos + ∫ x sin dx
3 nπ 3 −3 0 3
3
0
nπ x
โดยให u=x และ dv = sin dx
3
123
3
3 nπ x
จะได du = dx v= − cos
nπ 3 0
4 3x nπ x nπ x
0 3
nπ x
3
3 3
แทนในสมการ = −3 ⋅ cos +− cos +∫ cos dx
3 nπ 3 −3 nπ 3 0 0 nπ 3
4 −9 nπ (0) nπ (−3) −3(3) nπ (3) −3(0) nπ (0) nπ x
3
3
3 ∫0 nπ
= cos − cos +
cos − cos + cos dx
3 nπ 3 3 nπ 3 nπ 3
4 −9 nπ x
3
−9 3 −3
= ( − 1 cos( − nπ ) )+ cos nπ + ⋅ sin
3 nπ nπ nπ nπ 3 0
=
4 9
− +
9
cos(−nπ ) −
9
cos nπ ; ∵ cos(−nπ ) = cos nπ
3 nπ nπ nπ
4 9
= −
3 nπ
−12
∴ bn = ; n = 1, 2,3, 4,...
nπ
∞
1
จากสมการที่ (3.30) ; f (t ) = a0 + ∑ ( an cos nωt + bn sin nωt ) แทนคา a0 , an และ bn
2 n =1
จะได
1 ∞
24 nπ x 12 nπ x
f ( x) = (18) + ∑ 2 2 cos ; n = 1,3,5,... − sin ; n = 1, 2,3,...
2 n =1 n π 3 π 3
24 πx 1 1 5π x
∴ f ( x) = 9 + 2 cos + cos π x + cos + ...
π 3 9 25 3
##
12 π x 1 2π x 1
− sin + sin + sin π x + ...
π 3 2 3 3
ฟงกชันคี่
เชน x,sin x
พิสูจน
ฟงกชันคู ให f ( x) = cos x ทําไดโดยการแทน x ดวย − x
124
ดังนั้นจึงกลาวไดวา f (− x) = f ( x)
ดังนั้นจึงกลาวไดวา f (− x) = − f ( x)
(ข) x sin x
(ค) sin x cos x
125
วิธีทํา
(ก) ให f ( x) = x cos x 2
โดยจะทําการพิสูจนคุณสมบัติบางขอ ดังนี้
พิสูจน คุณสมบัติขอ 4. ถาให f ( x) = cos x
a
ดังนั้นจึงสรุปไดวาคุณสมบัติขอ 4. เปนจริง
126
ดังนั้นจึงสรุปไดวาคุณสมบัติขอ 5. เปนจริง
ตัวอยางที่ 3.7 จงหาอนุกรมฟูเรียรของฟงกชัน f ( x) = x ; − π < x < π ดังแสดงในรูปที่
3.9
π
1
หา an ; an = ∫π x cos nxdx
π −
1 1
f ( x) = 2 sin x + sin 2 x + sin 3 x + ... ##
2 3
จากตัวอยางที่ 3.7 เมื่อเราใชคุณสมบัติของฟงกชันคูและฟงกชันคี่ชวยใหการคํานวณทํา
ใหประหยัดเวลาไปไดมาก
3.5.1 อนุกรมฟูเรียรของฟงกชันคูคาบเทากับ T ใดๆ
ถาให f (t ) เปนฟงกชันคู จากคุณสมบัติของฟงกชันคูดังกลาวขางตน จะทําให
สมการที่ (3.31) เขียนไดเปน
T 2 T 2
2 4
a0 = ∫ f (t )dt ⇒ ∫ f (t )dt (3.34)
T −T 2 T 0
T /2
2
จากสมการที่ (3.32) f ( t ) cos nωtdt
T −T∫/ 2
an =
128
3.5.3 อนุกรมฟูเรียรของฟงกชันคูคาบเทากับ 2π
จากสมการที่ (3.20) ถึง (3.23) ถาให f ( x) เปนฟงกชันคู จากคุณสมบัติของ
ฟงกชันคูดังกลาวขางตน จะทําใหสมการที่ (3.21) เขียนไดเปน
π
2
a0 = ∫ f ( x)dx (3.42)
π 0
π
2
และ an = ∫ f ( x) cos nxdx (3.43)
π 0
สวน b =0
n (3.44)
จะทําใหเขียนสมการอนุกรมฟูเรียรได
∞
1
f ( x) = a0 + ∑ ( an cos nx ) (3.45)
2 n =1
3.5.4 อนุกรมฟูเรียรของฟงกชันคี่คาบเทากับ 2π
จากสมการที่ (3.20) ถึง (3.23) ถาให f ( x) เปนฟงกชันคี่ จากคุณสมบัติของ
ฟงกชันคี่ดังกลาวขางตน จะทําใหสมการที่ (3.21) เขียนไดเปน
0 a =0 (3.46)
และ n a =0 (3.47)
π
2
สวน bn = ∫ f ( x) sin nxdx (3.48)
π 0
จะทําใหเขียนสมการอนุกรมฟูเรียรได
∞
f ( x) = ∑ (b n sin nx ) (3.49)
n =1
2 π 2
= sin nx 0
nπ
2
= [sin n(π 2) − sin(0)]
nπ
0, n = 2, 4, 6,...
2
∴ an = , n = 1,5,9,...
nπ
−2
nπ , n = 3, 7,11,...
1 2 2 2 2
f ( x) = (1) + cos x − cos 3 x + cos 5 x − cos 7 x + ...
2 π 3π 5π 7π
1 2 1 1 1
= (1) + (cos x − cos 3x + cos 5 x − cos 7 x + ... ##
2 π 3 5 7
4ωV p − cos ωt π 2ω
=
π ω 0
4V π
= p − cos + cos(0)
π 2
4V
∴ a0 = p
π
T /2
4
หา a ;
n an = ∫ f ( t ) cos nωtdt
T 0
π / 2ω
4ω
=
π ∫
0
V p sin ωt cos nωtdt
1
จากสูตรตรีโกณ sin α cos β = [sin(α + β ) + sin(α − β )]
2
4V pω π / 2ω
=
π ∫ sin ωt cos nωtdt
0
2V pω π / 2ω
=
π ∫ [sin(1 + n)ωt + sin(1 − n)ωt ] dt
0
π / 2ω
2V − cos(1 + n)ωt − cos(1 − n)ωt
= p +
π (1 + n) (1 − n) 0
132
π π
2V p − cos(1 + n) 2 − [ − cos 0] − cos(1 − n) 2 − [ − cos 0]
= +
π (1 + n) (1 − n)
π π
2V p − cos(1 + n) 2 + 1 − cos(1 − n) 2 + 1
= +
π (1 + n) (1 − n)
0 , n = 1,3,5,...
∴ an = 4V p
(n − 1)(n + 1)π , n = 2, 4, 6,...
หาอนุกรมฟูเรียรโดยใชหลักการของฟงกชันคูหรือคี่เราอาจจะหาคาเพียง a , a หรือ 0 n
จึงทําการเปลี่ยนแปลงใหฟงกชันเปนฟงกชันคี่ดังรูป 3.12(b)
จากคุณสมบัติของฟงกชันคูและคี่เราจะได a = a = 0 และจากรูปที่ 3.12(b)
0 n
ซึ่งขนาดของฟงกชันลดลงเหลือ 1
2
1
ดังนั้นจะไดวา f (t ) = + g (t )
2
และฟงกชัน g (t ) เปนฟงกชันที่มีคาบ T ใด ๆ เราจึงจะใชอนุกรมฟูเรียรในรูป
∞
g (t ) = ∑ bn sin nωt
n =1
4 T2
เราจึงเพียงแคหาคา b ซึ่ง
n bn = ∫ g (t ) sin nωtdt
T 0
จากรูปเราจะหาฟงกชัน g (t ) ในชวง 0 < t < T ที่ผานจุด 0, 1 และ T , − 1 โดยใช
2 2
y − y1 y2 − y1
สูตรสมการเสนตรง =
x − x1 x2 − x1
1 1 1
g (t ) − − −
จะได 2= 2 2
t T
1 t
g (t ) = −
2 T
4 T 2 1 t
ดังนั้น bn = ∫ − sin nωtdt
T 0 2 T
จะใชการอินทิเกรตทีละสวน โดยให
1 t 1
u = − → du = − dt
2 T T
T 2
1
และ dv = sin nωtdt → v = − cos nωt
nω 0
4 1 t 1 T 2 1 1
T 2
จะได bn = − ⋅
− cos nω t
∫ nω
− − cos nω t ⋅ − dt
T 2 T nω 0 0 T
4 1 t 1
T 2
1 1 T 2
= − ⋅
− cos nω t − ⋅ sin nω t
T 2 T nω 0
n 2ω 2 T 0
134
4 1 t
T 2
cos nωt sin nωt
T 2
= − − ⋅ −
nω 0 T (nω )
2
T 2 T
0
T 2
2π sin nωt
โดยที่ ω= และ =0
T T (nω ) 2 0
=
4 1 t
( T 2
− 2 − T ⋅ cos nωt 0
nωT
)
2 1 T 2 1 0
=− − ⋅ cos nπ − − ⋅ cos 0
nπ 2 T 2 T
2 1
= ⋅ cos 0
nπ 2
1
∴ bn =
nπ
∞
1
อนุกรมฟูเรียรของฟงกชันในรูปที่ 3.12(b) คือ g (t ) = ∑ sin nωt
n =1 nπ
และอนุกรมฟูเรียรของฟงกชันในรูปที่ 3.12(b)
1 1 ∞ 1
f (t ) =+ g (t ) = + ∑ sin nωt
2 2 n =1 nπ
1 1 1 1
= + sin ωt + sin 2ωt + sin 3ωt + ... ##
2 π 2 3
ฟูเรียรเปนฟงกชันคี่คาสัมประสิทธิ์ a , a = 0 ดังนั้นจึงไดแนวคิดมาใชในกรณีที่
0 n
แทนคา ω = 2π =
2π π
=
T 2l l
1 ∞
nπ t
f (t ) = a0 + ∑ an cos (3.50)
2 n =1 l
136
T 2
4
โดยที่ a0 = ∫ f (t )dt
T 0
แทนคา T = 2l จะได
l
2
a0 = ∫ f (t )dt (3.51)
l 0
T /2
4
และจาก an = ∫ f ( t ) cos nωtdt
T 0
แทนคา ω = π จะได
l
∞
nπ t
f (t ) = ∑ b n sin (3.54)
n =1 l
โดยที่ a0 = 0 และ an = 0 (3.55)
T /2
4
และ bn = ∫ f ( t ) sin nωtdt
T 0
π
แทนคา T = 2l และ ω = จะได
l
nπ t
l
2
bn = ∫ f ( t ) sin dt (3.56)
l 0 l
ถาตองการขยายครึ่งชวงของฟงกชันเปนฟงกชันคี่ดังแสดงในรูปที่ 3.13(b)
เราจะได a = 0 และ a = 0
0 n
nπ t
l
2
สวน bn = ∫ f ( t ) sin dt
l 0 l
nπ t
1
2
= ∫ t 2 sin dt
10 1
จะใชการอินทิเกรตทีละสวน โดยให
1
1
u = t 2 → du = 2tdt และ dv = sin nπ tdt → v = − cos nπ t
nπ 0
1
1 1
1
จะได bn = 2 −t 2 ⋅ cos nπ t − ∫ − cos nπ t ⋅ ( 2tdt )
nπ 0 0
nπ
2 1 1
2
1
( )
nπ ∫0
= 2 −t ⋅ cos nπ t + t cos nπ t dt
nπ 0
t2 2
1
∫ t ( cos nπ t )dt
1
= 2 − ⋅ cos nπ t 0 +
nπ nπ 0
พจนขวามือเราจะทําการอินทิเกรตทีละสวนอีกครั้ง โดยให
1
1
u = t → du = tdt และ dv = cos nπ tdt → v = sin nπ t
nπ 0
จะได
t2 2 1
1
1
sin nπ t 0 − ∫
1 1
= 2 − ⋅ cos nπ t 0 + t ⋅ sin nπ tdt
nπ nπ nπ 0
nπ
t2 2
1
1
∫
1
= 2 − ⋅ cos nπ t 0 + − sin nπ tdt
nπ nπ 0 nπ
t2 1 2 1
1
= 2 − ⋅ cos nπ t 0 + cos nπ t
nπ (nπ ) 2 nπ 0
1
4 2t 2
= − cos nπ t
(nπ ) nπ
3
0
4 2(1) 2 4 2(0) 2
= − cos nπ (1) − − cos nπ (0)
(nπ ) nπ (nπ ) nπ
3 3
4 2 4
= − cos nπ − 3
(nπ ) nπ (nπ )
3
138
4 2 4
= cos nπ −
cos nπ −
(nπ ) 3
nπ (nπ )3
2 8
−4(1 − cos nπ ) 2 cos nπ − 3 3 ; n = 1,3,5, 7,...
∴ bn = − = nπ n π
(nπ )3 nπ ; n = 2, 4, 6,8,...
จากสมการที่ (3.54)
∞
nπ t
f (t ) = ∑ b
n =1
n sin
l
2 8 −2 2 8 −2
f e (t ) = − 3 3 sin(1)π t − sin(2)π t + − 3 3 sin(3)π t − sin(4)π t + ...
(1)π (1) π (2)π (3)π (3) π (4)π
2 8 1 2
= − 3 sin π t − sin(2)π t + −
8
3
sin 3π t −
1
sin 4π t + ... ##
π π π 3π 27π 2π
และ (l , 0) จะได
f (t ) − k 0−k
=
t − (l 2) l − (l 2)
f (t ) = 2k (l − t ) l
ดังนั้นจากรูปที่ 3.14 สามารถเขียนฟงกชันไดวา
139
2kt
l ;0 < t < l 2
f (t ) =
2k (l − t ) ;l 2 < t < l
l
เปนฟงกชันที่มีคาบเทากับ l
ถาตองการขยายครึ่งชวงของฟงกชันเปนฟงกชันคูดังแสดงในรูปที่ 3.15(a)
เราจะหาคา a และ a สวน b = 0
0 n n
2 2kt 2k (l − t )
l l 2 l
2
a0 = ∫ f (t )dt = ∫ dt + ∫ dt
l 0 l 0 l l 2
l
2 2k 2k (l − t )
l 2 l
a0 =
l l ∫ tdt + ∫ l dt
0 l 2
2 2k
l 2 l
2k
=
l l ∫0 tdt +
l l∫2
(l − t ) dt
140
2 2k t2
l 2 l
t2 2k
= + lt −
l l 2 l 2 l 2
0
2 2k l 2 2k 2 l 2 l 2 l 2
= + l − − −
l l 8 l 2 2 8
∴ a0 = k
หาคา a0 จากสมการที่ (3.52)
nπ t
l
2
an = ∫ f ( t ) cos dt
l 0 l
2 2kt nπ t
l 2
nπ t
l
2k (l − t )
= ∫ cos dt + ∫ cos dt
l 0 l l l 2
l l
2 2k nπ t
l 2
nπ t
l
2k
=
l l ∫ t cos
0
l
dt + ∫
l l2
(l − t ) cos
l
dt
4k nπ t
l 2
nπ t
l
= 2 ∫ t cos dt + ∫ (l − t ) cos dt (3.57)
l 0 l l 2
l
l 2
จากพจนในสมการขางบนทําการอินทิเกรตทีละสวน ∫ t cos nπ t dt
l 0
l 2
nπ t l nπ t
โดยให u = t → du = dt และ dv = cos dt → v = sin
l nπ l 0
l 2 l 2 l 2
nπ t l nπ t l nπ t
∴ ∫ t cos dt = t ⋅ sin − ∫ nπ sin dt
0
l nπ l 0 0
l
l 2 l 2
l nπ t l2 nπ t
=t⋅ sin + cos
nπ l 0 (nπ ) 2
l 0
l 2
nπ l 2
nπ
= sin + 2
cos − 1 (3.58)
2nπ 2 (nπ ) 2
l l 2
nπ t l nπ l 2 nπ
l 2
∫ (l − t ) cos dt = − sin − 2
cos nπ − cos (3.59)
l 2
l 2nπ 2 (nπ ) 2
l 2 nπ l 2 nπ
sin + 2
cos − 1
4k 2nπ 2 (nπ ) 2
an = 2
l
+ − l sin nπ − l 2 cos nπ − cos nπ
2
2
2nπ 2 (nπ ) 2
4 k l 2 nπ l 2 nπ
2
= 2
cos − 1 − 2
cos nπ − cos
l (nπ ) 2 (nπ ) 2
4k nπ
∴ an = 2
2 cos − cos nπ − 1
(nπ ) 2
เชน 16k
a2 = − 2 2 ,
16k
a6 = − 2 2 a10 = − 2 2 ,16k
2π 6π 10 π
จะเห็นวา a = 0 เมื่อ n ≠ 2, 6,10,14,...
n
1 ∞
nπ t
f (t ) = a0 + ∑ an cos
2 n =1 l
1 16k 1 2π t 1 6π t
f e (t ) = k − 2 2 cos + 2 cos + ... ##
2 π 2 l 6 l
ถาตองการขยายครึ่งชวงของฟงกชันเปนฟงกชันคี่ดังแสดงในรูปที่ 3.15(b)
เราจะหาคา b สวน a , a = 0
n 0 n
8k
n 2π 2 ; n = 1,5,9,13,...
8k nπ
โดยเราจะได bn = 2 2 sin = 0 ; n = 2, 4, 6,8,...
n π 2
−8k
2 2 ; n = 3, 7,11,15,...
n π
แทน b ในสมการ (3.54) จะได
n
∞
nπ t
f (t ) = ∑ b
n =1
n sin
l
8k 1 πt 1 3π t 1 5π t
f o (t ) = 2 2 sin − 2 sin + 2 sin − ... ##
π 1 l 3 l 5 l
อนุกรมฟูเรียรของฟงกชัน f (t ) ที่มีคาบ T ใด ๆ
142
∞
1
f (t ) = a0 + ∑ ( an cos nωt + bn sin nωt ) (3.60)
2 n =1
∴ f (t ) =
a0
+ ∑ n
(
∞ a − jb
n ) jnωt
e + n
( a + jbn ) e− jnωt (3.61)
2 n =1 2 2
a0 an − jbn an + jbn
กําหนดให c0 = ,c n = และ c− n =
2 2 2
สมการ (3.61) เขียนใหมไดเปน
∞
f (t ) = c0 + ∑ cn e jnωt + c− n e − jnωt
n =1
∞ −∞
= c0 + ∑ cn e jnωt + ∑ cn e jnωt
n =1 n =−1
∞
f (t ) = ∑ce n
jnωt
(3.62)
n =−∞
อนุกรมฟูเรียรหาไดจาก a และ b n n
T 2
a0 1 2
หา c ;
2 2 T −T∫ 2
0 c0 = = ⋅ f (t )dt
T 2
1
T −T∫ 2
∴ c0 = f (t )dt
an − jbn
หา c ;
n cn =
2
143
1 2
T /2 T /2
2
= ∫ f ( t ) cos nω tdt − j ∫ f ( t ) cos nωtdt
2 T −T / 2 T −T / 2
1
T /2
= ∫ f ( t ) [ cos nωt − j sin nωt ] dt
T −T / 2
1
T /2
∫ f (t ) e
− jnωt
∴ cn = dt
T −T / 2
1
T /2
หา c ;
−n ∴ c− n = ∫ f ( t ) e dt
jnωt
T −T / 2
จากการหาคา c , c และ c จะเห็นวาเราสามารถเขียนแทนทั้ง 3 ดวย
0 n −n
T /2
1
f ( t ) e − jnωt dt ; n = 0, ±1, ±2,... (3.63)
T −T∫/ 2
cn =
มีคาบเปน T เราจึงสามารถเขียนไดเปน
T
1
cn = ∫ f (t ) e
− jnωt
dt (3.64)
T 0
กําหนดให , c =c = c e θ
cn = cn e jθn −n
*
n n
−j n
ผลที่ตามมาทําใหเราสามารถแทนอนุกรมฟูเรียรในรูป
∞
f (t ) = c0 + ∑ An cos(nωt + θ n ) (3.65)
n =1
an = 2 cn cos θ n = 2 Re [ cn ]
T
2
T ∫0
= f (t ) cos nω dt
bn = −2 cn sin θ n = −2 Im [ cn ]
T
2
= ∫ f (t ) sin nω dt
T 0
cn = (an − jbn ) / 2
An = an2 + bn2 = 2 cn
bn
θ n = − tan −1 − สําหรับทุกคา n ยกเวนที่ n = 0
an
θn หมายถึง มุมเฟสของ c n
spectra) ของสั ญ ญาณ การพล็ อ ตโดยค า n เป น ทั้ ง ค า บวกและค า ลบ การพล็ อ ตค า
ลักษณะนี้เราเรียกวา สเปคตรัมสองดาน
3.8 ตัวอยางการประยุกตใชงานในทางวิศวกรรมไฟฟา
หัวขอนี้จะเปนตัวอยางการนําอนุกรมฟูเรียรมาประยุกตใชงาน โดยจะนํามาทํา
การวิเคราะหสัญญาณเพื่อหาองคประกอบของความถี่ โดยทําการแตกสัญญาณออกเปน
สเปกตรัมวาประกอบสัญญาณซายนที่มีขนาดและความถี่อะไรบาง
ตัวอยางที่ 3.13 วงจรเรียงกระแสครึ่งคลื่นที่มีแหลงจายแรงดัน x(t ) = E sin ω0t และมี
สัญญาณเอาทพุทดังแสดงในรูปที่ 3.16
π ω0
ω E cos(1 + n)ω0t cos(1 − n)ω0t
= 0 − −
2π (1 + n)ω0 (1 − n)ω0 0
E − cos(1 + n)π + 1 − cos(1 − n)π + 1
= +
2π (1 + n) (1 − n)
0 ; n = 1,3,5,...
an = 2E
(n − 1)(n + 1)π ; n = 2, 4, 6,...
และในทํานองเดียวกันจะได
E
b1 =
2
เมื่อ n = 2,3, 4,...
bn = 0
ตอนนี้เราหาสัมประสิทธิ์ของอนุกรมฟูเรียรแบบเชิงซอนไดโดย
an − jbn
cn = = cn e jθn
2
ดังนั้นจะได
E
c0 = a0 = e j0
π
π
E j − 2
c1 = (− jb) 2 = e
4
146
a j −π
cn = n e ( ) ; n = 2, 4, 6,...
2
b
θ n = − tan −1 − n , tan x = 0 เมื่อ x = 0, π , −π
an
หรือจะหาคาสเปคตรัมขนาดจากสมการที่ (3.64)
T
1
∫ f (t ) e
− jnωt
cn = dt
T 0
π
ω0
Eω0 1
∫ 2 j e
jω0t
= − e − jω0t e− jnω0t dt
2π 0
E π
−j n
e 2 ; n = 2, 4, 6,....
π ( n − 1)( n + 1)
E
cn = ± ; n = ±1
4 j
0 ; n ≠ ±1 and n = 3,5, 7,...
ซึ่งทั้ง 2 วิธีสามารถนํามาเขียนสเปคตรัมขนาดและสเปคตรัมเฟสไดดังรูปที่ 3.17
รูปที่ 3.17
(a) สเปคตรัมขนาด (b) สเปคตรัมเฟส
จากรูปที่ 3.17 ที่ n = 0 เปนองคประกอบที่เปนกระแสตรง (DC) และ ที่ n = 1
เปนฮารโมนิกที่ 1 ของเอาทพุทของวงจรเรียงกระแสครึ่งคลื่น ในทางอุดมคติเอาทพุทที่
147
k nπτ
= sin
nπ T
nπτ
sin
kτ T
=
T nπτ
T
kτ nτ
= sin c (3.67)
T T
สมการที่ (3.67) เปนฟงกชั่นที่มีความสําคัญในการวิเคราะหฟูเรียรและใน
การศึกษาระบบเชิงเสนที่ไมแปรไปตามเวลา (linear time-invariant;LTI) ในวิชาทางดาน
ไฟฟาสื่อสารเปนอยางมาก เราจะเรียกฟงกชันนี้วา “ฟงกชันซิงค(sinc function)” โดยมี
นิยามวา
sin(π x)
sin c( x) = (3.68)
(π x)
sin(π x)
จากนิยาม จะเห็นวาฟงกชันนี้อยูในรูป ซึ่งเปนพจนเดียว (ไมใช sin(π x) หาร
(π x)
ดวย π x ) และเราจะเขียนไดวา
1 ; for x = 0
sin c( x) = sin(π x)
(π x) ; otherwise
และเราสามารถแตกฟงกชันซิงคออกเปนอนุกรมโดยใชอนุกรมของ Maclaurin ไดคือ
1 ( π x ) (π x ) (π x )
3 5 7
sin c( x) = π x − + − + ...
π x 3! 5! 7!
(π x ) (π x ) (π x )
2 4 6
= 1− + − + ... (3.69)
3! 5! 7!
จากสมการที่ (3.69) จะเห็นไดวา sin c(0) = 1 และ sin c( x) = 0 เมื่อ x = n โดยที่ n
เปนเลขจํานวนเต็ม ดังนั้น sin c( x) จึงเปนฟงกชันคู ขณะที่ sin( x) ฟงกชันคี่
149
แสดงดังรูปที่ 3.21
ระหวางฮารโมนิกสลง อยางไรก็ตามรูปรางของพัลสไมไดเปลี่ยนแปลงไปตามคาคาบ
ของสัญญาณ
เราสรุปไดวา ขณะที่คาบเพิ่มขึ้น
1. ไมมีผลตอรูปรางของสเปคตรัม (รูปของสัญญาณจะเหมือนเดิม)
2. ขนาดจะเล็กลงและสเปกตรัมจะถี่มากขึ้น
ดังแสดงในรูปที่ 3.22 แสดงสเปคตรัมขนาดของ x(t) เมื่อ τ = 1 และ T = 5,10
n =−∞
จากการศึกษาเรื่องอนุกรมฟูเรียรทําใหเราทราบวาฟงกชันที่มีคาบนั้นเกิดจากการ
รวมของฟ ง ก ชั น หรื อ สั ญ ญาณซายน ห ลาย ๆ ความถี่ เ ข า ด ว ยกั น ซึ่ ง เราเรี ย กการนํ า
สัญญาณซายนมาบวกกันวา อนุกรมฟูเรียรตรีโกณมิติซึ่งสามารถแยกไดตามคาบของ
ฟงกชันวามีคาบ 2π หรือคาบใด ๆ ความถี่แตละความถี่เราเรียกวา องคประกอบความถี่
หรือสเปกตรัม โดยทั่วไปแลวการคํานวณสัมประสิทธิ์ของอนุกรมฟูเรียรตรีโกณมิติจะ
ยุงยากและใชเวลา แตเราสามารถลดเวลาคํานวณลงได โดยใชคุณสมบัติของฟงกชันคู
และฟงกชันคี่ และทราบการขยายครึ่งคาบของสัญญาณใหเปนสัญญาณมีคาบได และ
อีกอยางก็คือนอกจากจะสามารถเขียนอนุกรมฟูเรียรอยูในรูปแบบของอนุกรมฟูเรียร
ตรี โ กณมิ ติ แ ล ว ยั ง สามารถเขี ย นให อ ยู ใ นรู แ บบอนุ ก รมฟู เ รี ย ร เ ชิ ง ซ อ นได ด ว ย ซึ่ ง มี
ประโยชน ม ากในการนํ า ไปวิ เ คราะห ส เปคตรั ม ของสั ญ ญาณ และรวมถึ ง เป น
แนวความคิดพื้นฐานในการนําไปสูการหาสูตรการแปลงฟูเรียรที่จะกลาวในบทตอไป
ด ว ย ส ว นในการนํ า ไปประยุ ก ต ท างวิ ศ วกรรมไฟฟ า นั้ น สามารถนํ า ไปวิ เ คราะห
สเปคตรัมของสัญญาณ และวิเคราะหวงจรได
แบบฝกหัด
1. จงหาคาบของฟงกชันตอไปนี้
cos x,sin x, cos 2 x,sin 2 x, cos π x,sin π x, cos 2π x,sin 2π x
2. จงเขียนรูปคลื่นของฟงกชันตอไปนี้
2.1) sin( x)
2.2) sin( x) + 1 sin(3x)
3
1 1
2.3) sin( x) + sin(3x) + sin(5 x)
3 5
2.4) − cos( x)
1
2.5) − cos( x) + sin(2 x)
4
1 1
2.6) − cos( x) + sin(2 x) − sin(3 x)
4 9
155
3. จงหาคาของ
π
3.1) ∫ π x cos nxdx
−
2
4. จงหาคาอนุกรมฟูเรียรของฟงกชันตอไปนี้
4.1) f ( x) = 1;0 ≤ x ≤ π
4.2) f ( x) = x ; −π < x < π
π
2 + t ; −π < t < 0
4.3) f (t ) =
π − t ;0 < t < π
2
π π
1; − 2 < t < 2
4.4) f (t ) =
−1; π < t < 3π
2 2
5. จงหาคาสัมประสิทธิ์อนุกรมฟูเรียรของฟงกชันที่มีคาคาบใดๆ
1 ;0 < t < 1
5.1) f (t ) =
0 ;1 < t < 2
0 ; − 2 < t < −1
−1 ; − 1 < t < 0
5.2) f (t ) =
1 ; 0 < t <1
0 ; 1 < t < 2
6. จงหาอนุกรมฟูเรียรของฟงกชันคาบ ซึ่งไดจากการปอนแรงดัน
v(t ) = 2 cos(100π t ) เขาวงจรเรียงกระแสครึ่งคลื่น
8. จงหานิพจนการขยายครึ่งคาบแบบไซนและแบบโคไซนของฟงกชันตาง ๆ
ดังตอไปนี้
1 ; 0 < t < 1
8.1) f (t ) =
0 ;1 < t < 3
8.2) f (t ) = t ; 0 < t < p
2
นิพจนการขายครึ่งคาบแบบไซนของ t 3
เอกสารอางอิง