Professional Documents
Culture Documents
พระไวยตรวจพล รวม แก้ไขล่าสุด PDF
พระไวยตรวจพล รวม แก้ไขล่าสุด PDF
พระไวยตรวจพล
ความหมายและขั้นตอนของการราตรวจพล
การราตรวจพล เป็นกระบวนการราที่มีความสาคัญประเภทหนึ่งสาหรับการแสดงละครราของ
ไทย เนื่องจากการราตรวจพลจัดเป็นการแสดงราอวดฝีมือของผู้แสดงตัวเอกประกอบการใช้อาวุธ อย่างใด
อย่างหนึ่งรวมถึงการแสดงความพร้อมเพรียง ความเป็นระเบียบ และความฮึกเหิมของทหารในกองทัพ
การราตรวจพลมีปรากฏในการแสดงละครราทุกประเภท ได้แก่ ละครใน ละครนอก ละคร พันทาง ละคร
เสภา และโขน ดังได้อธิบายถึงความหมาย และขั้นตอนของการราตรวจพลเป็น เบื้องต้น ดังนี้
ความหมายของการราตรวจพล
คาว่า “ตรวจพล” เป็นการสมาสคา คาเข้าด้วยกัน ได้แก่ คาว่า “ตรวจ เป็นคากริยา หมายถึง
พิจารณาดูความเรียบร้อย เช่น ตรวจพล ตรวจราชการ (ราชบัณฑิตยสถาน, 556 : 456) และคาว่า
“พล” เป็นคานาม หมายถึง กาลัง มักใช้ประกอบคาอื่น เช่น ทหาร ได้แก่ กองพล ตรวจพล ยกพลขึ้นบก
เป็นต้น (เล่มเดียวกัน : 817) ดังนั้น คาว่าตรวจพล จึงหมายถึง การตรวจตราดูความเรียบร้อยของกองพล
หรือกองทหาร
ไพฑูรย์ เข้มแข็ง และ สมศักดิ์ ทัดติ มีความเห็นเกี่ยวกับการราตรวจพลที่สอดคล้องกัน สรุปได้ว่า
การตรวจพล หรือเรียกตามภาษาฝึกหัดว่า “ออกกราว” เป็นศิลปะที่แสดงถึงเอกลั กษณ์ ของการแสดง
นาฏศิลป์ไทย โดยเฉพาะการแสดงโขนที่มีเรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับการทาสงคราม ผู้ชมส่วนใหญ่นิยม
ชมชอบเพราะเป็นตอนที่มีความสวยงาม แสดงศิลปะของท่าเต้นท่าราชั้นสูง จึงเป็นการแสดงฝีมือหรือ
ความสามารถในการปฏิบัติท่าราของผู้แสดง ดังนั้นครูผู้ฝึกจะเข้มงวดในการสอนมากเนื่องจากการออก
กราว หรือ การตรวจพลต้องใช้ผู้แสดงเป็นจานวนมากสมบทบาทใน ตาแหน่ง ๆ ได้แก่ คนธง นายทัพ
และ เหล่าทหาร ซึ่งต้องอาศัยความพร้อมเป็นหลัก และความพร้อมเพรียงดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อครูมี
ความเข้มงวดกวดขัน ตลอดจนต้องอาศัยระยะเวลาใน การฝึกหัดด้วย (ไกรลาส จิตร์กุล, 545 : 8)
โดยสรุป การาตรวจพล จึงมีความหมายถึง ศิลปะการราของตัวละครระดับผู้นา หรือ หัวหน้าผู้
ควบคุมกาลังพลที่เป็นการราหมู่โดยใช้ท่าเต้น ท่าราชั้นสูง เพื่อตรวจดูความเรียบร้อย พร้อมเพรียงของ
ทหารในกองทัพ โดยทหารที่มียศสูงรับความเคารพจากทหารที่มียศต่ากว่า การเคลื่อนที่ผ่านแถวทหาร
การราเน้นความเข้มแข็ง สง่างาม และแสดงถึงความสามารถของผู้นาทัพ การราตรวจพลนับเป็นการรา
อวดฝีมืออย่างหนึ่งด้วยกระบวนท่าพลิกแพลงต่าง ๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวละคร ซึ่งต้อง
อาศัยการฝึกซ้อมที่เข้มงวด มีการแต่ง กายและการใช้อาวุธ ที่หลากหลายลดหลั่นกันไปตามยศศักดิ์ใน
กองทัพ (เล่มเดียวกัน : 9)
2
ขั้นตอนของการราตรวจพล
การราตรวจพลเป็นการราที่มีท่วงท่างดงาม แสดงถึงความเข้มแข็งของทหาร และท่วงทีของแม่
ทัพที่มาตรวจดูความพร้อมเพรียง ความเป็นระเบียบ และความเข้มแข็งของเหล่าทหาร เป็นการเพิ่มความ
มั่ น ใจของผู้ เ ป็ น แม่ ทั พ ในการยกทั พ ออกไปสู้ กั บ อี ก ฝ่ า ยหนึ่ ง การร าตรวจพลโดยทั่ ว ไปแบ่ ง ออกเป็ น
3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
1. กระบวนราของคนธง เป็นการราเดี่ยวของทหารที่ถือธงนากองทัพ และแสดงให้เห็นว่าต่อไปเป็น
การแสดงราการตรวจพลของกองทั พฝ่ายใดฝ่ ายหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากเครื่องแต่ง กาย
และธงที่ถือ
2. กระบวนราของทหาร เป็นการราหมู่ของเหล่าทหารจานวนเท่าใดก็ได้ตามความเหมาะสมของ
สถานที่ แต่นิยมให้เป็นจานวนคู่เพื่อแสดงถึงความพร้อมเพรียง และความชานาญการใช้อาวุธใน
การต่อสู้กับข้าศึก
3. กระบวนราของแม่ทัพ เป็นการราคนเดียว รา คน หรือ ตามที่บทละครระบุ แสดงลีลาการรา
ที่สวยงามประกอบกับ การถืออาวุธแบบต่าง ๆ เพื่อตรวจตราความพร้อมเพรียง และความ
เข้ ม แข็ ง ของเหล่ า ทหารที่ จ ะออกไปท าศึ ก จบด้ ว ยการสั่ ง การให้ ก องทั พ ออกเดิ น ทางไปสู่
จุดหมายของ แม่ทัพ
ในการออกเดินทัพ ในการแสดงละครรา มีขนบวิธีการจัดทัพตามแบบแผนนาฏศิลป์ไทยแบ่ง
ออกเป็น 4 ตอนด้วยกัน คือ
1) คนธง เดินนาทัพ
2) ทหารกองหน้า เดินตามหลังคนธง
3) แม่ทัพ ขึ้นพาหนะเคลื่อนที่ตามทหารกองหน้า
4) ทหารกองหลัง เดินปิดท้ายขบวน
ถ้าจะจัดทัพโดยใช้ผู้แสดง 8 คน สามารถจัดทัพได้ตามแผนผัง แบบ ดังนี้
3
คนธง
ทหารกองหน้า
แม่ทัพ
ทหารกองหลัง
คนธง
ทหารกองหน้า
แม่ทัพ
ทหารกองหลัง
4
พระไวยตรวจพล
การแสดงชุ ด พระไวยตรวจพลเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของการแสดงละครนอกเรื่ อ งขุ น ช้ า งขุ น แผน
ซึ่งเป็นวรรณกรรมขนาดยาวที่มีเนื้ อเรื่องสนุกสนาน นิยมนามาจัดแสดงเป็นตอนขนาดสั้นหลายตอน
เช่ น ตอนขุ น แผนขึ้ น เรื อ นขุ น ช้ า ง ตอนขุ น แผนพานางวั น ทองหนี ตอนละเลงขนมเบื้ อ ง และตอน
พระไวยแตกทัพ เป็นต้น ดังได้บรรยายถึงเรื่องขุนช้างขุนแผนในแง่มุมต่าง ๆ จนมาเป็นการแสดง ชุด พระ
ไวยตรวจพล ในตอนพระไวยแตกทัพ ดังนี้
ความเป็นมาของ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน
เรื่องขุนช้างขุนแผนเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริงในครั้งกรุงเก่ามีเนื้อความปรากฏในหนังสือ คาให้การ
ของชาวกรุงเก่านับเป็นเรื่องในพงศาวดาร ดังนี้
มีพระเจ้าแผ่นดินครองราชย์สมบัติในกรุงศรีอยุธยาพระองค์หนึ่งพระนามว่า สมเด็จพระพันวษา
ซึ่งเป็นเชื้อพระราชวงศ์ของพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดี มีพระมเหสีพระนามว่า สุริยาวงษาเทวี มีพระราช
โอรสพระนามว่าพระบรมกุมาร ครั้นต่อมาพระเจ้ากรุงศรี สัตนาคนหุตลานช้าง มุ่งหมายเป็น สัมพันธมิตร
กับกรุงศรีอยุธยา จึงส่งพระราชธิดามีพระนามว่า นางสร้อยทอง พร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการแต่ง
ราชทูตนาเชิญพระราชสาสน์มาถวายสมเด็จพระพันวษา ข่าวนี้รู้ไปถึงนครเชียงใหม่ซึ่งไม่ต้องการให้กรุงศรี
สัตนาคนหุตลานช้างมาเป็นมิตรกับกรุงศรีอยุธยา จึงคุมกองกาลังมาแย่งพระราชธิดาไปในระหว่างทาง
เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระพันวษา พระองค์ทรงพิโรธยิ่งนัก โปรดให้พระหมื่นศรีมหาดเล็กจัด
เลือกทหารที่ฝีมือกล้าศึกสงครามมาถวาย พระหมื่นศรีมหาดเล็กจึงทรงทู ลว่าทหารเอกที่มีฝีมือยากจะหา
ใครเทียบ คือ ขุนแผนทหารเอก มีฝีมือทั้งเชิงรบและเวทมนตร์ ขณะนี้ต้องโทษพระราชอาญาอยู่ สมเด็จ
พระพันวษาจึงทรงโปรดเกล้าให้ขุนแผนพ้นโทษ และแต่งตั้งให้ขุนแผนเป็นแม่ทั พไปตีเมืองเชียงใหม่ เพื่อ
ปราบปรามและชิงพระนางสร้อยทองคืนมา ขุนแผนได้ยกกองทัพไปถึงเมืองพิจิตรได้แวะเข้าหาพระพิจิตร
เจ้าเมือง ขอดาบฟ้าฟื้นและม้าสีหมอกที่ฝากไว้ แล้วยกทัพขึ้นไปถึงนครเชียงใหม่สามารถตีทัพเชียงใหม่ได้
ฝ่ายเจ้านครเชียงใหม่หนีออกจากเมืองไป ขุนแผนจึงจับ อรรคสาธุเ ทวีมเหสี เจ้านครเชียงเชียงใหม่ กั บ
พระธิดามีพระนามว่า เจ้าแว่นฟ้าทอง กับนางสนมน้อยใหญ่ และเชิญนางสร้อยทองพระราชธิดาเจ้ากรุง
ศรีสัตนาคนหุตลานช้างกลับมาถวายพระพันวษา ครั้นแล้วพระองค์จึงทรงตั้งนางสร้อยทองพระราชธิดา
เจ้ ากรุ งศรี สั ตนาคนหุ ตลานช้างกลั บเป็น มเหสี ฝ่ า ยซ้าย และแต่ง ตั้งนางแว่นฟ้ าทองราชธิดาเจ้ า นคร
เชีย งใหม่เป็ น สนมเอก พร้ อมทั้งโปรดแต่ง ข้าหลวงยกพลพามเหสี เจ้านครเชียงใหม่ไปส่ ง คืนเจ้ า นคร
เชียงใหม่ และโปรดให้เชิญพระเจ้านครเชียงใหม่กลับมาครอบครองบ้านเมืองอยู่เป็นปกติ
ฝ่ายขุนแผน พระองค์ทรงโปรดพระราชทานบาเหน็จรางวัลเป็นเงินทองสิ่ งของเครื่องอุปโภค
บริโภคมากมาย และรับราชการเป็นทหารเอกที่มีชื่อเสียงปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยา
เรื่องขุนช้างขุนแผนที่ปรากฏในคาให้การของชาวกรุงเก่าดัง กล่าวนี้ มีหลักฐานที่เทียบเคียงให้รู้
ศักราชได้ว่า เรื่องขุนช้างขุนแผนนี้เกิดขึ้นเมื่อใด โดยเทียบเคียงจากเรื่องที่กล่าวว่า สมเด็จพระพันวษาเป็น
5
ในการราตรวจพลเป็นการราที่ประกอบด้วยท่าราที่ไม่มีความหมายเกี่ยวกับการตีบท หรือแสดงอารมณ์
อย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับคาพูด เป็นแต่ร่ายราให้เข้ากับจังหวะเพลง ผู้แสดงต้องยึดถือจังหวะทานอง
เพลงหน้าทับ และไม้กลองของเพลงเป็นส าคัญ ที่สาคัญต้องปฏิบัติท่าราให้มีทีท่าเข้า กับ ทานองเพลง
และจั งหวะ ซึ่งต้องมีความสั้ น ยาวพอดี กับ เพลง ดั งนั้น ในการปฏิบัติ ท่าราเพลงหน้าพาทย์กราวนอก
ผู้แสดงต้องถือเพลงเป็นสาคัญ ส่วนท่าราย่อมต่างกันออกไปตามลักษณะของตัวละคร
สรุปได้ว่าการราพระไวยตรวจพล เป็นการราเข้ากับทานองเพลงกราวนอก โดยในการฝึกหัดจะใช้
คาร้องแทนทานองเพลง 1 ห้องเพลงตามภาพต่อไปนี้
+ + + +
- ตุม มะ ตุม มะ ตุม ตุม
(เครื่องหมาย + หมายถึง จังหวะฉิ่ง/ตัวอักษร ตุม มะ หมายถึงเสียงกลอง)
จากภาพเป็นการเลียนเสียงกลองตามจังหวะที่ใช้บรรเลงในการรา การเลียนเสียงเช่นนี้ นามาใช้
ในการต่อท่าราให้กับผู้เรียนในเพลงกราวนอก เมื่อจบกระบวนท่าราตามทานองเพลงกราวนอก แล้วเป็น
การราตามบทร้องซึ่งขับร้องตามทานองเพลงกราวนอกเช่นเดียวกัน ส่วนในช่วงท้ายของเพลงเป็นการสั่ง
เคลื่อนพล ยกทัพออกเดินทางใช้เพลงเชิด ซึ่งเป็นเพลงหน้าพาทย์ประกอบการแสดงสาหรับตัวละครไป
มาในระยะทางไกลหรือรีบด่วน
เพลงทีใ่ ช้ในการราพระไวยตรวจพล
เพลงที่ใช้ในการราพระไวยตรวจพล จะใช้เพลงกราวนอกและมีเนื้ อร้อง แล้วถือเป็นเพลงหน้า
พาทย์ที่ใช้ประกอบการยกทัพตรวจพลของตัวละครที่เป็นมนุษย์ และเป็นเพลงที่มีท่วงทานอง ไพเราะ
นุ่มนวล เหมาะสมกับบุคลิกลักษณะของละครไทย ผู้แสดงสามารถอวดผีมือการร่ายราได้เต็มที่ จังหวะของ
เพลงกราวนอกใน 1 ห้อง มี 4 จังหวะไม้กลอง สังเกตได้จากเสียงกลองที่ตีตามจังหวะอย่างสม่าเสมอตาม
ภาพแสดงเสียงฉิ่งและกลอง 2 ห้องเพลงดังนี้
จังหวะฉิ่ง
- - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง
กลองทัด
---- ---ต --ต- -ต-ต ---- ---ต --ต- -ต-ต
12
วงปี่พาทย์เครื่องห้า
ภาพที่ 1 วงปี่พาทย์เครื่องห้า
(ที่มา : http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_thaiband/peepat/)
วงปี่พาทย์เครื่องห้า เป็นวงปี่พาทย์ที่เป็นวงหลัก มีจานวนเครื่องดนตรีน้อยชิ้นที่สุด ดังนี้
1. ปี่ใน 1 เลา
2. ระนาดเอก 1 ราง
3. ฆ้องวงใหญ่ 1 วง
4. กลองทัด ลูก
5. ตะโพน 1 ลูก
6. ฉิ่ง 1 คู่ (ในบางกรณีอาจใช้ฉาบ กรับ โหม่งด้วย)
15
กลองทัด
กลองทัด ตัวกลอง หรือ “หุ่น” ทามาจากไม้แก่นที่มีเนื้อแน่นแข็ง นามาคว้านข้างในให้เป็นโพรง
ตรงกลางป่องออกมาเล็กน้อยขึ้นหนังกลองทั้งสองด้านด้วยหนังวัวหรือหนังความ แล้วตรึงด้วยหมุดที่
เรียกว่า “แส้” ซึ่งทามาจากไม้งาช้าง กระดูกสัตว์ หรือโลหะ ทั้งนี้ตรงกลางของตัวกลองด้านหนึ่งจะมีห่วง
สาหรับแขวน หรือเรียกว่า “หูระวิง”
กลองทัดจะใช้ตีเพียงหน้าเดียวเท่านั้น เพราะหน้ากลองอีกด้านหนึ่งจะนา “ข้าวตะโพน” หรือข้าว
สุกที่บดผสมกับขี้เถ้าติดไว้ตรงกลางหน้ากลองสาหรับถ่วงเสียง เมื่อจะตีต้องวางหน้ากลองด้านที่ติดข้าว
ตะโพนคว่าตะแคงขอบไว้บนหมอนหนุน แล้วใช้ขาหยั่งสอดค้ากับหูระวิงตั้งให้หน้ากลองอีกด้านหนึ่ง
(ด้านตี) มาทางผู้ตี ซึ่งไม้ตีจะมีทั้งหมด อัน ทาจากซอไม้รวก ลักษณะเป็นไม้ท่อนยาว
โดยปกติกลองทัดจะมีด้วยกัน ลูก คือ “ตัวผู้” เป็นลูกที่มีเสียงสูงอยู่ทางด้านขวามือของผู้ตี
เมื่อตีเป็นมีเสียงดัง “ตูม” และ “ตัวเมีย” เป็นลูกที่มีเสียงต่าอยู่ทางด้านซ้ายมือของผู้ตี เมื่อตีจะมีเสียงดัง
“ต้อม” ทั้งนี้ กลองทัดถือเป็ น เครื่ องดนตรีที่ร่วมบรรเลงอยู่ในวงปี่พาทย์มาแต่โบราณจวบจนกระทั่ง
ปัจจุบัน
19
วงปี่พาทย์เครื่องคู่
ภาพที่ 8 วงปี่พาทย์เครื่องคู่
(ที่มา : http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_thaiband/peepat/)
วงปี่ พาทย์ เครื่ องคู่ เป็ น วงปี่พาทย์ที่ประกอบด้ว ยเครื่องทาทานองเป็นคู่เนื่องด้ว ยในรัช สมั ย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีผู้คิดเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นอีก อย่าง คือ ระนาดทุ้มกับฆ้องวง
เล็ก และนาเอาปี่นอกซึ่งใช้ในการบรรเลงปี่พาทย์สาหรับการแสดงหนังใหญ่สมัยโบราณมารวมเข้ากับวงปี่
พาทย์เครื่องห้าที่มีอยู่เดิม
วงปี่พาทย์เครื่องคู่มีเครื่องดนตรีดังนี้
1. ปี่ 1 คู่ คือ ปี่ในและปี่นอก
2. ระนาด 1 คู่ คือ ระนาดเอกและระนาดทุ้ม
3. ฆ้องวง 1 คู่ คือ ฆ้องวงใหญ่และฆ้องวงเล็ก
4. กลองทัด 1 คู่
5. ตะโพน 1 ลูก
6. ฉิ่ง 1 คู่
7. ฉาบเล็ก 1 คู่
8. ฉาบใหญ่ 1 คู่
9. โหม่ง 1 ใบ
10. กลองสองหน้า 1 ลูก (บางทีใช้กลองแขก 1 คู่ แทน) และในบางกรณีอาจใช้กรับด้วย
22
วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
ภาพที่ 21 วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
(ที่มา : http://cdans.bpi.ac.th/page/wbi_thaiband/peepat/)
วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ เป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ที่เพิ่มระนาดเอกเหล็กกับระนาด บางวงก็เพิ่มกลอง
ทั ด รวมเป็ น 3 ใบบ้ า ง 4 ใบบ้ า ง ส่ ว นฉาบใหญ่ นามาใช้ ในวงปี่ พ าทย์ ใ นรั ช สมั ย พระบาทสมเด็จ พระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่มีเครื่องดนตรีดังนี้
1. ระนาดเอก 1 ราง
2. ระนาดทุ้ม 1 ราง
3. ระนาดเอกเหล็ก 1 ราง
4. ระนาดทุ้มเหล็ก 1 ราง
5. ฆ้องวงใหญ่ 1 วง
6. ฆ้องวงเล็ก 1 วง
7. ปี่ใน 1 เลา
8. ปี่นอก 1 เลา
9. ตะโพน 1 ลูก
10. กลองทัด 2 ลูก
11. ฉิ่ง 1 คู่
12. กรับ 1 คู่
13. ฉาบเล็ก 1 คู่
14. ฉาบใหญ่ 1 คู่
15. โหม่ง 1 ใบ
31
กลองทัด
กลองทัด ตัวกลอง หรือ “หุ่น” ทามาจากไม้แก่นที่มีเนื้อแน่นแข็ง นามาคว้านข้างในให้เป็นโพรง
ตรงกลางป่องออกมาเล็กน้อยขึ้นหนังกลองทั้งสองด้านด้วยหนังวัวหรือหนังความ แล้วตรึงด้วยหมุดที่
เรียกว่า “แส้” ซึ่งทามาจากไม้งาช้าง กระดูกสัตว์ หรือโลหะ ทั้งนี้ตรงกลางของตัวกลองด้านหนึ่งจะมีห่วง
สาหรับแขวน หรือเรียกว่า “หูระวิง”
กลองทัดจะใช้ตีเพียงหน้าเดียวเท่านั้น เพราะหน้ากลองอีกด้านหนึ่งจะนา “ข้าวตะโพน” หรือข้าว
สุกที่บดผสมกับขี้เถ้าติดไว้ตรงกลางหน้ากลองสาหรับถ่วงเสียง เมื่อจะตีต้องวางหน้ากลองด้านที่ติดข้าว
ตะโพนคว่าตะแคงขอบไว้บนหมอนหนุน แล้วใช้ขาหยั่งสอดค้ากับหูระวิงตั้งให้หน้ากลองอีกด้านหนึ่ง
(ด้านตี) มาทางผู้ตี ซึ่งไม้ตีจะมีทั้งหมด อัน ทาจากซอไม้รวก ลักษณะเป็นไม้ท่อนยาว
โดยปกติกลองทัดจะมีด้วยกัน ลูก คือ “ตัวผู้” เป็นลูกที่มีเสียงสูงอยู่ทางด้านขวามือของผู้ตี
เมื่อตีเป็นมีเสียงดัง “ตูม” และ “ตัวเมีย” เป็นลูกที่มีเสียงต่าอยู่ทางด้านซ้ายมือของผู้ตี เมื่อตีจ ะมีเสียงดัง
“ต้อม” ทั้งนี้ กลองทัดถือเป็ น เครื่ องดนตรีที่ร่วมบรรเลงอยู่ในวงปี่พาทย์มาแต่โบราณจวบจนกระทั่ง
ปัจจุบัน
37
โหม่ง
เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีชนิดหนึ่ง ใช้ตีประกอบจังหวะ โหม่ง คือ ฆ้องคู่ เสียงต่างกันที่เสียง
แหลมเรียกว่า “เสียงโหม้ง” ที่เสียงทุ้มเรียกว่า “เสียงหมุ่ง” หรือบางครั้งอาจจะเรียกว่าลูกเอกและลูกทุ้ม
ซึ่งมีเสียงแตกต่างกันเป็นคู่ห้าแต่ปัจจุบันเป็นคู่แปด
41
ภาพที่ 37 เครื่องแต่งกายพระไวย
(ที่มา : นางสาววราภรณ์ หงส์ษา)
ภาพที่ 41 ผ้าคาดสะเอวสีทอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
ภาพที่ 42 ผ้ายก
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
45
ภาพที่ 43 สนับเพลาสีดา
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
ภาพที่ 45 เข็มขัด
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
ภาพที่ 46 หัวเข็มขัด
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
47
ภาพที่ 47 กาไลข้อเท้า
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
ภาพที่ 48 เครื่องแต่งกายคนธง
(ที่มา : นางสาววราภรณ์ หงส์ษา)
48
ภาพที่ 51 เสื้อคอกลมแขนสั้น
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
ภาพที่ 52 กางเกงขาสามส่วน
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
50
ภาพที่ 53 ผ้าคาดสะเอว
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
ภาพที่ 54 ผ้ายก
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
51
ภาพที่ 55 ข้อมือ
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
ภาพที่ 56 ข้อเท้า
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
52
ภาพที่ 57 เข็มขัด
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
ภาพที่ 58 หัวเข็มขัด
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
53
ภาพที่ 59 เครื่องแต่งกายทหาร
(ที่มา : นางสาววราภรณ์ หงส์ษา)
ภาพที่ 60 หมวกหูกระต่าย
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
54
ภาพที่ 61 เสื้อคอตั้งแขนยาว
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
ภาพที่ 63 ผ้าคาดสะเอว
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
ภาพที่ 64 ธง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
56
3) ดาบ
ภาพที่ 66 ดาบ
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คือ อาวธุชนิดหนึ่งใช้ฟันหรือแทง ทาด้วยเหล็กลั กษณะแบนยาวและแคบ สัน แอ่นปลายงอน
เล็กน้อย มีคมข้างเดียว โคนใบดาบมีกั่นสอดติดกับด้าม แต่ ในการแสดงมีการประดิษฐ์ดาบที่ใช้ในเฉพาะ
ฉากที่มีการปฏิบั ติท่าราเพื่ออวดฝีมือผู้ แสดงให้สวยงามเพิ่มมากขึ้น (ไม่ ใช้ในฉากรบที่มีการปะทะกัน)
เช่น การติดกระจกในส่วนตัวดาบเพื่อให้กระทบกับแสงให้เกิดความวาววับขณะใช้แสดง มีลักษณะดังนี้
58
4) ม้าแผง
ภาพที่ 67 ม้าแผง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
เป็นอุปกรณ์ประเภทพาหนะที่ใช้เฉพาะในละครรา ม้าแผงเป็นสั ญลักษณ์ แสดงให้ผู้ชมเข้าใจว่า
ตัวละครที่ติดม้าแผงไว้นั้ น กาลังขับขี่อยู่บนหลังม้าจริง ๆ และทาให้ผู้ แสดงใช้บทได้อย่ างคล่ องแคล่ ว
มากกว่าการใช้ผู้แสดงแต่งกายเลียนแบบม้าเสียอีก ดังนั้น เมื่อถึงบทที่ตัวละครต้องใช้บทบนหลังม้าอย่าง
คล่องแคล่ว ดังเช่น ตอนรบบนหลังม้า เป็นต้น นิยมใช้ม้าแผงเป็น อุปกรณ์ประกอบการแสดง แต่อย่างไรก็
ดีถ้าต้องใช้ผู้ แสดงทาบทบนหลั งม้า เช่น บทชมธรรมชาติ บทชมม้า เป็นต้น ก็ยั งคงให้ผู้แสดงแต่ งกาย
เลียนแบบม้าแทนการใช้ม้าแผงเพื่อความสวยงามและสามารถปฏิบัติท่า ราให้สอดคล้องกันระหว่างผู้ขี่ม้า
และ ม้าได้หลากหลายอีกด้วย การใช้ม้าแผง ประกอบการแสดงละครเมื่อถึงบทที่กล่ าวถึงการใช้ม้าเป็น
พาหนะ สามารถใช้ได้ใน 3 กรณีด้วยกันคือ
4.1. ใช้เป็นพาหนะสาหรับเดินทางโดยทั่วไป ได้แก่ การที่ตัวละครในเรื่องมีบทจะต้องเดนิทางไปยังที่
ต่าง ๆ ตามที่ระบุในเนื้อเรื่อง
4.2. ใช้เป็นพาหนะในการทาศึ ก ได้แก่ เมื่อตัวละครในเรื่องมีบทต้องออกเดิ นทางไปทาศึกกับศัตรู
ทัง้ นี้หมายรวมถึงการใช้ม้าตั้งแต่ตอนตรวจพลจนถึงการสู้กับศัตรูหรือผู้รกุ รานบนหลังม้าด้วย
4.3. ใช้เป็นพาหนะสาหรับการล่าสั ตว์ ได้แก่ เมื่อตัวละครในเรื่องมีบทไปประพาสป่าล่าสัตว์ หรือไล่
ติดตามจับสัตว์ตามเนื้อเรื่อง
59
ภาพที่ 68 การตั้งวงบน
(ที่มา : นางสาวสุดารัตน์ บุญชูสงค์)
การตั้งวงบน คือ การใช้ส่วนโค้งของลาแขนที่อยู่ข้างศีรษะ โดยตัวพระและตัวนางจะแตกต่างกัน
ตรงที่ตัวพระ วงบนจะอยู่ระดับแง่ศีรษะ (ตรงขมับ) และวงกว้าง ส่วนตัวนาง วงจะอยู่ระดับหางคิ้ว มีส่วน
โค้งของลาแขนแคบกว่าตัวพระ
ภาพที่ 69 การตั้งวงกลาง
(ที่มา : นางสาวสุดารัตน์ บุญชูสงค์)
การตั้งวงกลาง คือ การใช้ส่วนโค้งของลาแขนปลายนิ้วอยู่ระดับไหล่ระหว่างวงบนและวงล่าง
61
ภาพที่ 70 การตั้งวงล่าง
(ที่มา : นางสาวสุดารัตน์ บุญชูสงค์)
การตั้งวงล่าง คือ การใช้ส่วนโค้งของลาแขนที่ทอดโค้งลงเบื้องล่าง ปลายมืออยู่ระดับหน้าท้อง
ภาพที่ 71 การจีบหงาย
(ที่มา : นางสาวสุดารัตน์ บุญชูสงค์)
การจีบหงาย คือ การหงายข้อมือขึ้น แล้วหักข้อมือเข้าหาลาตัวโดยทาท่าจีบ ให้ปลายนิ้วที่จีบชี้
ขึ้นข้างบน
62
ภาพที่ 72 การจีบคว่า
(ที่มา : นางสาวสุดารัตน์ บุญชูสงค์)
การจีบคว่า คือ การคว่าลาแขนหักข้อมือลงแล้วทาท่าจีบให้ปลายนิ้วที่จีบชี้ลงล่าง
ภาพที่ 73 การจีบส่งหลัง
(ที่มา : นางสาวสุดารัตน์ บุญชูสงค์)
การจีบส่งหลัง คือ ลักษณะการจีบคว่า แขนตึงอยู่ข้างหน้า แล้วส่งแขนทั้งแขนตึงไปข้างหลัง โดย
คงการจีบคว่า และหักข้อมือไว้ก็จะได้จีบคว่า ซึ่งมีลักษณะของแขนถูกบิดเข้าทางลาตัวจนท้องแขนพลิกไป
ด้านหลัง
63
ภาพที่ 74 ยกหน้า
(ที่มา : นางสาวสุดารัตน์ บุญชูสงค์)
ยกหน้า คือ การใช้เท้าข้างใดข้างหนึ่งยกขึ้นมาเหนือพื้นให้ได้ระดับหักข้อเท้าและปลายนิ้วเท้าขึ้น
ส่วนเท้าข้างที่ไม่ได้ยกขึ้นมาจะยืนเป็นหลักย่อเข่าเล็กน้อยสาหรับขาข้างที่ยก
ภาพที่ 75 ก้าวข้าง
(ที่มา : นางสาวสุดารัตน์ บุญชูสงค์)
ก้าวข้าง คือ การก้าวหน้า แต่จะเฉียงออกด้านข้างมากลักษณะของเท้าตัวพระและตัวนาง เมื่อ
ก้าวแล้วการใช้เข่าจะแตกต่างกัน โดยตัวพระจะกันเข่าออก ส่วนตัวนางจะหลบเข่าด้านเท้าที่อยู่หลัง
64
ภาพที่ 76 ก้าวหน้า
(ที่มา : นางสาวสุดารัตน์ บุญชูสงค์)
ก้าวหน้า คือ การยกเท้าข้างหนึ่งวางลงกับพื้นโดยใช้ส้นเท้าวางก่อนแล้วจึงวางเต็มเท้าก้าวไป
ข้างหน้า ส่วนเท้าหลังจะไขว้เทท้าและเปิดส้นเท้าทั้งตัวพระ ตัวนาง สาหรับตัวพระจะย่อตัวกันเข่าทั้งสอง
ข้าง ส่วนตัวนางให้เข่าชิดและวางเท้าตรงไปข้างหน้าก้าวข้าง
นาฏยศัพท์เฉพาะ
ความหมายของคาว่า “การราตีบท”
คาว่า “การราตีบท” มีผู้ให้ความหมายต่างๆ กันดังนี้
การราตีบท คือ ราใช้ท่าตามแบบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความในบทประพันธ์ (อรุณวตี สุวรรณ
กนิษฐ์, 2508 : 50)
การราตีบท คือ การแสดงท่าทางเป็นคาพูดอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า “ACT” นั่นเอง แต่แทนที่จะเรียก
ACT ด้วยท่าทางธรรมดาเรา ACT ด้วยเชิงรา (หลวงวิจิตรวาทการ : 35)
การร าตีบ ท คือ การแสดงท่าทางแทนคาพูดให้ มีความหมายต่อไปรวมทั้งแสดงอารมณ์ ด้ ว ย
(ประทิน พวงสาลี : 53)
การราตีบท คือ ท่าราที่รวมถึงการใช้มือ สีหน้าแววตาและท่าทางประกอบบทร้อง บทพากย์
บทเจรจา เลียนแบบธรรมชาติ (อรวรรณ ชมวัฒนา : 3)
การราตีบท คือ การราตามบทร้อง บทเจรจา และบทพากย์ เป็นการแสดงท่าทางแทนคาพูด รา
ไปตามถ้อยคา ผู้ร้อง ผู้เจรจาและผู้พากย์ ผู้แสดงก็แสดงภาษาท่าไปตามถ้อยคานั้น ๆ (ฉวีวรรณ กินาวงศ์
: 27)
65
ภาพที่ 77 การถือดาบแบบที่ 1
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
การถือดาบแบบที่ 1
กาด้ามดาบด้วยนิ้วมือทั้ง 5 นิ้ว ใช้เมื่อควงอาวุธ
66
ภาพที่ 78 การถือดาบแบบที่ 2
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
การถือดาบแบบที่ 2
กาด้ามดาบด้วยนิ้วมือทั้ง 5 นิ้ว หักข้อมือเข้าหาลาแขนส่วนล่างในท่า “เงื้อ”
ภาพที่ 79 การถือดาบแบบที่ 4
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
การถือดาบแบบที่ 4
ใช้นิ้วหัวแม่มือ ประคองด้ามดาบขณะที่ใช้นิ้ วชี้และนิ้วกลางคีบด้ามดาบไว้ นิ้วที่เหลือเหยียดตึง
ใช้เมื่อถือดาบในลักษณะมือแบหงาย
67
ภาพที่ 80 การถือดาบแบบที่ 6
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
การถือดาบแบบที่ 6
กาด้ามดาบด้วยนิ้วมือทั้ง 4 นิ้ว เว้นนิ้วหัวแม่มือ ปลายดาบตั้งตรง ใช้ในการตีบท
ภาพที่ 81 การถือดาบแบบที่ 7
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
การถือดาบแบบที่ 7
กาด้ามดาบด้วยนิ้วมือทั้ง 4 นิ้ว เว้นนิ้วหัวแม่มือ กลับให้ปลายดาบตกลง และอยู่ในท่าคว่ามือ
ใช้เฉพาะในท่าเดิน และการตีบทบางท่า
68
ภาพที่ 82 การถือดาบแบบที่ 8
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
การถือดาบแบบที่ 8
ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ คีบด้ามดาบไว้ นิ้วที่เหลือเรียงติดกัน ใช้กับการถือดาบวงล่าง และพาด
ดาบไว้ที่แขนส่วนบน ใช้ในท่าขี่ม้า
ภาพที่ 83 การถือดาบแบบที่ 9
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
การถือดาบแบบที่ 9
มือถือดาบไว้ที่ข้างสะเอวด้านซ้าย ใช้ในท่าตีม้า
69
ภาพที่ 84 การถือดาบแบบที่ 10
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
การถือดาบแบบที่ 10
มือถือดาบไว้ที่ข้างสะเอวด้านขวา ใช้ในท่าตีม้า
70
ภาพที่ 85 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะก้มลง มือขวาถือธง มือซ้ายจับที่ปลายผ้าของธงกรีดนิ้วที่เหลือให้ตึง เท้าทั้งสองยืนประสม
เท้า ยืดและยุบ
71
ภาพที่ 86 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะก้มลง มือขวาถือธง มือซ้ายจับที่ปลายผ้าของธงกรีดนิ้วที่เหลือให้ตึง เท้าทั้งสองวิ่งซอยเท้า
ออกมาด้านหน้าเวที
72
ภาพที่ 87 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะเอียงขวา มือขวาและมือซ้ายถือธง โดยทีม่ ือซ้ายหงายมืออยู่ด้านบนมือขวา มือขวาตั้งวงอยู่
ด้านล่างมือซ้าย (ปลายด้ามของธง) เท้าซ้ายก้าวข้าง หันไปทางด้านขวาของเวที
73
ภาพที่ 88 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะเอียงขวา มือขวาและมือซ้ายถือธงโดย มือซ้ายหงายมืออยู่ด้านบนมือขวา มือขวาตั้งวงอยู่
ด้านล่างมือซ้าย (ปลายด้ามของธง) เท้าซ้ายสืบเท้า เท้าขวายกเท้าขึ้นแล้ววางเท้าลงเหยียดขาตึงโดยใช้
จมูกเท้าแตะพื้น อยู่ทางด้านขวาของเวที
74
ภาพที่ 89 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีร ษะตรง มือขวาและมือซ้ายถือธงโดย มือซ้ายหงายมืออยู่ด้านบนมือขวา มือขวาตั้งวงอยู่
ด้านล่างมือซ้าย(ปลายด้ามของธง) เท้าทั้งสองซอยเท้าแล้วหมุนไปทางด้านซ้ายของเวที
75
ภาพที่ 90 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะเอียงซ้าย มือขวาและมือซ้ายถือธงโดย มือขวาหงายมืออยู่ด้านบนมือซ้าย มือซ้ายตั้งวงอยู่
ด้านล่างมือขวา (ปลายด้ามของธง) เท้าขวาก้าวข้าง หันไปทางด้านซ้ายของเวที
76
ภาพที่ 91 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะเอียงซ้าย มือขวาและมือซ้ายถือธงโดย มือขวาหงายมืออยู่ด้านบนมือซ้าย มือซ้ายตั้งวงอยู่
ด้านล่างมือขวา (ปลายด้ามของธง) เท้าขวาสืบเท้า เท้าซ้ายยกเท้าขึ้นแล้ววางเท้าลงเหยียดขาตึงโดยใช้
จมูกเท้าแตะพื้น อยู่ทางด้านซ้ายของเวที
77
ภาพที่ 92 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีร ษะตรง มือขวาและมือซ้ายถือธงโดย มือซ้ายหงายมืออยู่ด้านบนมือขวา มือขวาตั้ งวงอยู่
ด้านล่างมือซ้าย(ปลายด้ามของธง) เท้าทั้งสองซอยเท้าแล้วใช้จังหวะเข่า ยืดและยุบ หมุนไปทางด้านขวา
ของเวที
78
ภาพที่ 93 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะเอียงขวา มือขวาและมือซ้ายถือธงโดย มือซ้ายหงายมืออยู่ ด้านบนมือขวา มือขวาตั้งวงอยู่
ด้านล่างมือซ้าย (ปลายด้ามของธง) เท้าขวากระทืบเท้า 2 ครั้ง เท้าซ้ายยกเท้าขึ้น อยู่ด้านขวาของเวที
79
ภาพที่ 94 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะตั้งตรง มือขวาและมือซ้ายถือธง โดยมือขวาจับด้ามของธงบนมือซ้าย มือซ้ายจับปลายด้าม
ของธงอยู่ล่างมือขวา มือทั้งสองสะบัดธงไปมาทั้งซ้ายและขวา เท้าทั้งสองเดินย้าเท้าตามจังหวะ หมุนมา
ด้านหน้าของเวที
80
ภาพที่ 95 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะตั้งตรง มือขวาและมือซ้ายถือธง โดยมือขวาจับด้ามของธงบนมือซ้าย มือซ้ายจับปลายด้าม
ของธงอยู่ล่างมือขวา มือทั้งสองสะบัดธงไปมาทั้งซ้ายและขวา เท้าทั้งสองเดินย้าเท้าตามจังหวะ หมุนไป
ด้านหลังของเวที
81
ภาพที่ 96 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะอียงซ้าย มือขวาและมือซ้ายถือธง โดยมือขวาจับด้ามของธงบนมือซ้าย มือซ้ายจับปลาย
ด้ามของธงอยู่ล่างมือขวา มือทั้งสองสะบัดธงไปมาทั้งซ้ายและขวาตามจังหวะ เท้าซ้ายก้าวข้าง อยู่ด้านหลัง
ของเวที
82
ภาพที่ 97 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะเอียงซ้าย มือขวาและมือซ้ายถือธงโดย มือซ้ายหงายมืออยู่ด้านบนมือขวา มือขวาตั้งวงอยู่
ด้านล่างมือซ้าย (ปลายด้ามของธง) เท้าขวาก้าวข้าง อยู่ด้านหลังของเวที
83
ภาพที่ 98 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะอียงขวา มือขวาและมือซ้ายถือธงโดย มือขวาหงายมืออยู่ด้านบนมือซ้าย มือซ้ายตั้งวงอยู่
ด้านล่างมือขวา (ปลายด้ามของธง) เท้าซ้ายก้าวข้าง อยู่ด้านหลังของเวที
84
ภาพที่ 99 ทานอง
(ที่มา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช)
คนธง
ศีรษะตั้งตรง มือขวาและมือซ้ายถือธง โดยมือขวาจับด้ามของธงบนมือซ้าย มือซ้ายจับปลายด้าม
ของธงอยู่ล่างมือขวา เท้าทั้งสองยืนประสมเท้า มาอยู่ด้านหน้าเวทีโดยอยู่ที่มุมด้านซ้ายของเวที
85
บรรณานุกรม
ขวัญใจ คงถาวร. การราตรวจพลของตัวละครพระในละครในเรื่องอิเหนา. กรุงเทพฯ : วิทยานิพนธ์
สาขาวิชานาฏยศิลป์ไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548.
คมคาย แสงศักดิ์ และสมเกียรติ ฤกษ์สิทธิชัย. พระไวยรบพลายชุมพล. กรุงเทพฯ : ภาควิชานาฏศิลป์
คณะศิลปนาฏดุริยางค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์, 2555.
ฉวีวรรณ กินาวงศ์. การละครสาหรับครูประถม. กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2524.
เต็มสิริ บุณยสิงห์ และเจือ สตะเวทิน. วิชาชุดครูประกาศนียบัตรครูมัธยมของคุรุสภา วิชานาฏศิลป์
(การละครเพื่อการศึกษา). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 5 .
ประทิน พวงสาลี. หลักนาฏศิลป์. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริพัสตุ์จากัด, 506.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน,
2556.
วิภาวี เหลี่ยมสุวรรณ และคณะ. ราพระไวยตรวจพล. กรุงเทพฯ : ภาควิชานาฏศิลป์ คณะศิลปนาฏ
ดุริยางค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์, 2556.
สุภาวดี โพธิเวชกุล. จารีตการใช้อุปกรณ์การแสดงละครเรื่องอิเหนา. กรุงเทพฯ : วิทยานิพนธ์สาขาวิชา
นาฏยศิลป์ไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539.
หลวงวิจิตรวาทการ. “นาฏศิลป.”. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์, 2531.
อรวรรณ ชมวัฒนา. รายงานการวิจัยเรื่อง ราไทยในศตวรรษที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ
: โครงการตาราวิทยาศาสตร์อุตสาหกรรม, 530.
อรุณวตี สุวรรณกนิษฐ์. “การละครไทย.” ใน อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นางเฉลิม สาราญ. พระนคร
: บริษัทศิริพัสตุ์ จากัด, 508
อาภรณ์ มนตรีศาสตร์ และจาตุรงค์ มนตรีศาสตร์. วิชาชุดครูประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาของคุรุสภา
วิชานาฏศิลป์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 5 .