Professional Documents
Culture Documents
กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นหน่วยงานรัฐที่จัดตั้งขึ้นตาม
พระราชบัญญัติ กองทุนพัฒนาสือ่ ปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ 2558 มีวตั ถุประสงค์หลัก
The Motherland ในการจัดสรรเงินทุนเพื่อใช้ในการผลิตการพัฒนาและเผยแพร่สื่อที่มีคุณภาพ ทั้งนี้
1 6
“จากแผ่นดินแม่สู่แผ่นดินไทย” เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ดีของเด็กและเยาวชนส่งเสริมความสัมพันธ์
อันดี ในครอบครอบครัวและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการผลิตสื่อ
Thai-Viet Agriculturist ปลอดภัยและสร้างสรรค์
2 26
“เกษตรไทยสไตล์คนเวียด” โครงการสื่อสร้างสรรค์เพื่อวัฒนธรรมคนไทยเชื้อสายเวียดนาม อ.เมือง
จ.นครพนม ได้จดั ท�ำและเผยแพร่สอื่ สารคดีจำ� นวน 5 ตอน ในมิตทิ างประวัตศิ าสตร์
Spirit of Us การตั้งถิ่นฐาน ประเพณีวัฒนธรรม วิถีชีวิตและการด�ำรงอยู่ของคนไทยเชื้อสาย
3 40
“จิตวิญญาณแห่งชุมชน” เวียดนามทั้ง 7 ชุมชน ผ่านช่องทางสื่อ Social Media ทั้ง Facebook และ Youtube
ในชื่อว่า ซินจ่าว-สวัสดีเวียดนามนครพนม และเพื่อเป็นการขยายผลจากสื่อสารคดี
Food and Culture ทางโครงการฯจึงได้จัดท�ำ E-book นี้ขึ้น
4 54
เอกลักษณ์ในอาหาร ทางโครงการหวังเป็นอย่างยิง่ ว่า E-book ฉบับนีจ้ ะเป็นประโยชน์ดา้ นการศึกษา
ค้นคว้าและเป็นเครื่องมือส�ำหรับการสืบค้นข้อมูลของคนไทยเชื้อสายเวียดนามใน
The Story of Language จังหวัดนครพนมให้แก่บุคคลที่มีความสนใจในประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
5 62
"ภาษารากเหง้าวัฒนธรรม"
รุ่งฤดี พิพัฒนกิจ
หัวหน้าโครงการ
1 The Motherland
“จากแผ่นดินแม่
สู่แผ่นดินไทย”
ปัจจุบันคนไทยเชื้อสายเวียดนามมีการกระจายตัวตั้งถิ่นฐานอาศัย
อยู่ใน อ.เมือง จ.นครพนมนับรวมเป็นชุมชนใหญ่ได้ 7 ชุมชน
อันได้แก่ ชุมชนบ้านนาราชควาย ชุมชนบ้านโพนบก ชุมชนหนองแสง
ชุมชนวัดป่า (ชุมชนวัดศรีเทพ) ชุมชนบ้านดอนโมง และชุมชน
บ้านนาจอก บ้านต้นผึ้ง
ปี ค.ศ.1860 ประเทศเวียดนามเกิด
ปัญหาส�ำคัญอย่างหนึ่ง อันเนื่องมาจากการ
ลงนามในสนธิสญั ญาระหว่างราชวงศ์เหงียน
กับฝรั่งเศส ที่อนุญาตให้ฝรั่งเศสสามารถ
เผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้ทวั่ ทุกพืน้ ที่ เป็นเหตุผล
ให้ชนชัน้ น�ำเก่าของเวียดนามไม่พอใจ มีการ
ลุกขึน้ มาโจมตีชาวคริสต์อย่างหนัก ชาวคริสต์
ส่วนหนึ่งจึงเดินเท้าหนีจากภาคกลางของ เส้นทางการอพยพของชาวเวียดนามมายังประเทศไทย
เวียดนามอย่างในจังหวัดเหง่อานและจังหวัด
ฮาติ่งห์ ในปัจจุบัน เข้าสู่พื้นที่ของจังหวัด
นครพนม
ปี ค.ศ. 1920 เมื่อฝรั่งเศสเข้ายึด
เวียดนามเป็นอาณานิคม คนเวียดนามที่ไม่ ถนนสาย 15 สร้างเพื่อเชื่อมต่อทางหลวงสายโฮจิมินห์ อ.เฮืองเค จ.ฮาติ่งห์
พอใจนโยบายการปกครองของฝรั่งเศสก็ได้
พากั น หนี อ พยพเข้ า ไปอยู ่ ใ นพื้ น ที่ ข อง
ประเทศลาวเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางส่วนที่ จึงกระเสือกกระสนเดินเท้าเข้าสู่ภาคอีสาน ครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสจึงน�ำกองทัพมารุกราน
ได้อพยพข้ามแม่นำ�้ โขงเข้ามาอยู่ในตามแนว ของไทย เวียดนาม จนน�ำไปสู่ความสูญเสียครั้งยิ่ง
ตะเข็บภาคอีสานของประเทศไทย เช่นใน จุดยุทธศาสตร์สามแยกดงหลก จากตัวอย่างข้างต้น จึงอาจกล่าวได้วา่ ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของ
จังหวัดอุบลราชธานี หนองคาย สกลนคร กลุ่มผู้อพยพที่เรียกว่า “กลุ่มญวนเก่า” มวลมนุษยชาติที่รู้จักกันในชื่อว่า “สงคราม
อุดรธานี และนครพนม มีสาเหตุในการอพยพเข้าสูภ่ าคอีสานของไทย อินโดจีน”
ปี ค.ศ. 1945 เกิดภัยอดอยากจากการ โดยเฉพาะในจังหวัดนครพนมทั้งจากเรื่อง สงครามทีก่ นิ เวลานานถึง 8 ปี มีผคู้ น
เปลีย่ นพืน้ ทีเ่ พาะปลูกของชาวบ้านให้ไปเป็น ของภัยทางการเมือง ภัยจากการศาสนา บาดเจ็บล้มตายเป็นจ�ำนวนมาก รวมถึงมี
พื้นที่เพาะปลูกพืชยุทธปัจจัยให้แก่ทหารใน และภัยจากยุคล่าอาณานิคม ผู้อพยพหนีภัยสงครามเข้าสู่ประเทศไทย
กองทัพอาณานิคมทั้งของฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ปี ค.ศ. 1946 ฝรัง่ เศสต้องการกลับมา ตามแนวตะเข็บแม่นำ�้ โขง ต่อมาภายหลังจึง
ท�ำให้มผี คู้ นล้มตายจากภัยความอดอยากใน มีอำ� นาจในภูมภิ าคอินโดจีนอีกครัง้ หลังจาก เรียกกลุม่ ผูอ้ พยพทีเ่ ข้าสูภ่ าคอีสานของไทย
ครัง้ นัน้ มากถึง 2 ล้านคน ผูค้ นทีย่ งั มีชวี ติ รอด สูญเสียอ�ำนาจไปให้แก่ญปี่ นุ่ ในช่วงสงครามโลก นับจากเหตุการณ์นั้นว่า “กลุ่มญวนใหม่”
8 9
The Motherland
“ผมเป็นคนไทยเชือ้ สายเวียดนามรุน่ ที่ 3 บรรพบุรษุ ปูย่ า่ ตายาย ได้อพยพ ข้ามแม่นำ�้ โขงมายังฝัง่ ไทย อพยพมาทีร่ มิ ฝัง่ โขงอาศัยทีน่ นั่ สักประมาณ 1 อาทิตย์
มาจากเวียดนามทางตอนเหนือ อ�ำเภออีเ๋ อียน จังหวัดนามดิง่ ประเทศเวียดนาม เดินเท้าลงไปทางใต้กับกลุ่มคนเวียดนามที่อพยพมาด้วยกันจนถึงพื้นที่อ�ำเภอ
อพยพมาด้วยภัยอดอยาก พืน้ ทีเ่ พาะปลูกข้าวถูกเปลีย่ นให้ปลูกต้นปอซึ่งเป็น เรณูนคร พบว่ามีกลุม่ คนเวียดนามตัง้ ชุมชนเวียดนามอพยพ กลุม่ คนทีอ่ ยูต่ รงนัน้
พืชยุทธปัจจัยส�ำหรับกองทัพเพื่อน�ำไปทอเป็นกระสอบส�ำหรับใส่ถ่านหิน เรียกว่า “บ้านญวนเมืองเว” แล้วก็อพยพเข้ามาอยู่ที่อ�ำเภอเมืองนครพนม
บรรพบุรษุ ได้เล่าว่าอพยพจาก จ.นามดิง่ เข้ามาอยูท่ ป่ี ระเทศลาว ทีเ่ มืองท่าแขก ประมาณปี ค.ศ.1969
ในปี ค.ศ. 1940 อยูท่ นี่ นั่ ได้ประมาณ 3-4 ปี จากนัน้ ก็อพยพมาทีเ่ มืองไทยในวันที่ ยุคอาณานิคมแรกเริม่ เดิมทีฝรัง่ เศสก็ไม่คอ่ ยจะให้ความสนใจกับพืน้ ทีข่ อง
21 มีนาคม 1946 ในเหตุการณ์วนั ท่าแขกแตก คือการกลับมายึดลาวอีกครัง้ หนึง่ แคว้นที่เรียกว่าลาวมากนักเพราะว่าฝรั่งเศสอาจจะมองว่าพื้นที่ตรงนี้ ไม่มี
ของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1946 ท�ำให้ครอบครัวของปู่ย่าตายายต้องอพยพ ทรัพยากรมากมาย เช่นเดียวกับพื้นที่ชายฝั่งทะเล แต่จะอะไรก็ตามเมื่อมีการ
ค้นพบแร่ เช่น ดีบุก จ�ำนวนมากทีเ่ มืองท่าแขก มันท�ำให้รฐั บาลอาณานิคมเริม่
สนใจทีจ่ ะอพยพคนจากริมชายฝัง่ ทะเลในเวียดนามเข้ามาอยู่ในลาวมากยิ่งขึ้น
นอกนจากนัน้ ยังมีการก่อเกิดขึน้ ของเหมืองแร่ บองแหน๋ง และ โพนติว๋ ทีท่ า่ แขก
คนเวียดนามถูกอพยพเข้ามาท�ำหน้าที่เป็นข้าราชการของฝรั่งเศสท�ำให้พื้นที่
ชายแดนในฝัง่ ลาวเป็นพืน้ ทีส่ ะสมของคนเวียดนามมากยิง่ ขึน้ งานวิชาการหลายชิน้
ชี้ให้เห็นว่าในยุคนัน้ ในพืน้ ทีเ่ มืองลาวมีอตั ราส่วนของคนเวียดนามมากกว่าคนลาว
ด้วยซ�้ำ ดังนั้นคนที่เข้ามาก่อนเป็นปัจจัยที่ท�ำให้คนที่หนีภัยความอดอยากและ
หนีภัยแล้งเข้ามาในพื้นที่ของเมืองลาวมากยิ่งขึ้น ช่วงระยะเวลาการอพยพนั้น
ท�ำให้จัดอยู่ใน กลุ่มญวนใหม่”
อาจารย์สุริยา ค�ำหว่าน
อาจารย์สุริยา ค�ำหว่าน สาขาวิชาภาษาเวียดนาม สาขาวิชาภาษาเวียดนาม มหาวิทยาลัยนครพนม
มหาวิทยาลัยนครพนม
10 11
The Motherland
12 13
The Motherland
14 15
The Motherland
หลังสงครามอินโดจีนยุติลง รัฐบาล
ไทยและรั ฐ บาลเวี ย ดนามลงนามส่ ง คื น
ผู ้ อ พยพชาวเวี ย ดนามกลั บ คื น สู ่ แ ผ่ น ดิ น
มาตุภมู ิ วันที่ 4 มกราคม ค.ศ.1960 คือวันที่
เรือซึง่ เต็มไปด้วยชาวเวียดนามอพยพ เดินเรือ
ออกจากท่าเรือคลองเตยไปที่ท่าเรือไฮฟอง
เป็นเที่ยวแรก เมื่อเรือล�ำดังกล่าวถึงท่าเรือ
ไฮฟองท่านประธานาธิบดีโฮจิมนิ ห์กอ็ อกมา
ต้อนรับด้วยตัวเอง การส่งกลับชาวเวียดนาม
ครั้งนั้นเรียกกันว่า “เหวียดเกี่ยวโห่ยเฮือง”
แต่อย่างไรก็ตามกระบวนการส่งกลับชาว
เวี ย ดนามอพยพก็ ต ้ อ งยุ ติ ล งในวั น ที่ 28
พิธีส่งชาวเวียดนามกลับสู่ภูมิล�ำเนาเดิม กรกฎาคม ค.ศ. 1964 เพราะเกิดสงครามขึน้
ทีป่ ระเทศเวียดนามอีกครัง้ โดยมีจำ� นวนการ
ส่งกลับคนเวียดนามอพยพทั้งสิ้น 75 เที่ยว
นับจ�ำนวนคนได้ 46,256 คน และนครพนม พิธีส่งชาวเวียดนามกลับสู่ภูมิล�ำเนาเดิมในปี 2506
ถือเป็นจังหวัดที่มีคนอพยพกลับมากที่สุด
15,815 คน สร้างไว้เป็นอนุสรณ์แก่ชาวนครพนม สร้างเมือ่
“สิ่ ง ที่ ร ะลึ ก ที่ เ รี ย กว่ า เหวี ย ดเกี่ ย ว พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ด้านบนหอนาฬิกา
อนุสรณ์ เพื่อระลึกถึงการด�ำรงอยู่ของคน จารึกไว้ดังนี้ “ชาวเวียดนามอนุสรณ์ คราว
เวียดนามทีเ่ กิดขึน้ ในหลายพืน้ ทีข่ องจังหวัด ย้ายกลับปิตุภูมิ Viet Kieu Luu Niem Dip
นครพนมก็ คื อ หอนาฬิ ก านครพนมเป็ น Hoi Hong 2503” ด้านในหอนาฬิกาเขียนว่า
สัญลักษณ์การอพยพกลับคืนสู่แผ่นดินเกิด “ชาวเวียดนามอนุสรณ์ Viet Kieu luu niem”
ชาวเวียดนามต้องการสร้างอนุสรณ์สถาน อาจารย์สุริยา ค�ำหว่าน
หอนาฬิกาปัจจุบัน แก่การเดินทางกลับอยู่ในพื้นที่หอกระจาย สาขาวิชาภาษาเวียดนาม
ข่ า วเก่ า เป็ น นาฬิ กาเวี ย ดนามอนุ ส รณ์ มหาวิทยาลัยนครพนม
16 17
The Motherland
นอกจากชาวเวียดนามจะสร้างหอนาฬิกาเพือ่ เป็นอนุสรณ์สถานก่อน สมาคมเหวียดเกีย่ วฮาติง่ ห์ คือสมาคม จะจั ด งานรื่ น เริ ง ให้ มี ร� ำ วงและงานมงคล
กลับแล้ว ยังสร้างซุม้ ประตูวดั โพธิศ์ รีซงึ่ ตัง้ อยูร่ มิ แม่นำ�้ โขง และซุม้ ประตูวดั ที่ดูแลคนเวียดนามที่เกิดอยู่ในประเทศไทย งานแต่งงาน สมาคมจะจัดให้มรี ำ� วงเพือ่ ร�ำลึกถึง
ภูเขาทอง ทางเข้าบ้านนาจอกเพื่อเป็นอนุสรณ์เพื่อบันทึกความทรงจ�ำใน อาศัยอยูใ่ น จ.ฮาติง่ ห์ ทัง้ 8 อ�ำเภอ ปัจจุบนั นี้ ตอนที่พวกเราอาศัยอยู่ในประเทศไทย
เหตุการณ์นั้นอีกด้วย มีทงั้ หมด 50 ครอบครัว ผมเกิดในประเทศไทย ในปี 1960 ตามสั ญ ญาระหว่ า ง
คนเวียดนามผู้รักชาติที่กลับคืนสู่แผ่นดินมาตุภูมิ ในเหตุการณ์ที่ และกลับเวียดนาม กลับมาก็เจอสงครามกับ 2 ประเทศให้คนเวียดนามทีอ่ ยูใ่ นประเทศไทย
เรียกว่า “เหวียดเกีย่ วโห่ยเฮือง” ในระหว่าง ปี ค.ศ. 1960-1964 มีหลายคน อเมริกาเริ่มปี 1964 ช่วงสงครามลูกหลาน ได้กลับมาสู่มาตุภูมิ กลุ่มคนเหวียดเกี่ยวมี
หลายครอบครัวจ�ำนวนมาก ทีม่ ภี รรยาเป็นคนไทยหรือมีลกู ๆ เกิดทีเ่ มืองไทย กลับมาจากเมืองไทยก็สมัครเป็นทหารร่วมรบ การอยูด่ กี นิ ดีขนึ้ ส่วนมากเป็นคนทีม่ คี วามรู้
ปัจจุบันพวกเขายังได้พบปะรวมตัวกันเพื่อพูดคุย ท�ำกิจกรรมกลุ่มต่างๆ ต่อต้านกับอเมริกา ร่วมรบเพื่อปลดปล่อย หลายด้ า นเพื่ อ พั ฒ นาประเทศและสร้ า ง
ในนามสมาคมเหวียดเกี่ยวฮาติ่งห์อยู่เสมอ ประเทศ สมาคมจัดตั้งขึ้นมาเพื่อยกระดับ ครอบครัวตัวเอง ผมได้กลับมาเป็นเจ้าหน้าที่
ความสัมพันธ์อนั ดีงามของประเทศเวียดนาม ทหารเป็นข้าราชการของประเทศเวียดนาม
และประเทศไทย ในวันส�ำคัญของ 2 ประเทศ สมาคมเหวี ย ดเกี่ ย วฮาติ่ ง ห์ ไ ด้ ท� ำหน้ า ที่
มุมสูงเมืองฮาติ่งห์ คือวันพ่อ 5 ธันวา วันเฉลิมพระชนพรรษา ต้อนรับนักท่องเทีย่ วคนไทยทีม่ าเยีย่ มฮาติง่ ห์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ ท� ำ ดี ที่ สุ ด แล้ ว ในฐานะคนเวี ย ดนาม
เราจัดตั้งให้เป็นวันชาติไทย ทางสมาคม คนหนึ่ง
เหวียดเกี่ยว จ.ฮาติ่งห์
18 19
The Motherland
20 21
The Motherland
22 23
24 25
2
Thai -Viet
Agriculturist
“เกษตรไทย
สไตล์คนเวียด”
“เกษตรกรรม” เป็นหนึ่งในอาชีพดั้งเดิมของคนไทยเชื้อสาย
เวียดนามที่อยู่ควบคู่มากับชุมชนบ้านนาจอก บ้านต้นผึ้ง และ
บ้านดอนโมง โดยทั้ง 3 ชุมชนนี้มีพื้นที่เชื่อมต่อกัน จึงท�ำให้
กลายเป็นแหล่งผลิตผักที่ใหญ่ที่สุดในเขตอ�ำเภอเมือง ของ
จังหวัดนครพนม
26 27
Thai-Viet Agriculturist
28 29
Thai-Viet Agriculturist
32 33
Thai-Viet Agriculturist
“เมื่อสมัยก่อนบ้านนาจอกมีอยู่ 150
หลังคาเรือน บ้านทุกหลังจะปลูกชาอัสสัม
กันหมด ตอนนั้นมีแต่ชาวเวียดนามและคน
จีนที่นิยมดื่ม แต่ปริมาณคนปลูกก็น้อยลง
เรือ่ ยๆ จนเมือ่ มีการส่งเสริมการท่องเทีย่ วเชิง
ประวัตศิ าสตร์บา้ นลุงโฮจิมนิ ห์ มีนกั ท่องเทีย่ ว
เข้ามาในหมูบ่ า้ นจ�ำนวนมาก จึงคิดหาของฝาก
ทีเ่ ป็นจุดเด่นของบ้านนาจอกขึน้ ได้รบั ความ
นิยมเป็นอย่างมาก จึงชวนคนในหมูบ่ า้ นให้ปลูก กรกนก วงศ์ประชาสุข
กันเยอะขึน้ ปัจจุบนั ขายดีมากแทบจะไม่พอขาย
ชาบ้านนาจอกคือชาอัสสัมมีชอื่ เรียกในภาษา ไม่ชอบแดดจัดต้นจะเหลืองใบไม่สวย ต้นชา
เวียดนามคือ “แจ่แซ็ง” ทุกส่วนของชา ที่ปลูกรอบบ้านเห็นสวยๆ แบบนี้เรารดน�้ำ
ดื่มได้หมดไม่ว่าจะเป็น กิ่ง ใบแก่ ใบอ่อน มันทุกวัน ถ้าอากาศร้อนจัดเช้าก็รดเย็นก็รด
ดอกชา สามารถต้มท�ำเป็นชาได้ท้ังหมด บ้านหลังนี้มีที่ดิน 5 ไร่ ต้นชาปลูกหนาแน่น
นอกจากการดืม่ แบบสดแล้วยังมีการตากแห้ง ที่สุด กินเนื้อที่เกินครึ่ง ถือเป็นแปลงชาที่
บรรจุลงถุงสามารถเก็บไว้ได้นาน และยังมี ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านและบ้านนาจอกยังเป็น
ดอกชาตากแห้งทีอ่ อกดอกเพียงปีละหนึง่ ครัง้ แหล่ ง ปลู ก ชาเขี ย วอั ส สั ม ที่ ใ หญ่ ที่ สุ ด ใน
น�ำมาตากแห้งก็ได้รบั ความนิยม ก่อนหน้านี้ จังหวัดนครพนม”
คนปลูกน้อยลง ชาวบ้านเลิกท�ำสวนเยอะ
เพราะอายุทมี่ ากขึน้ ประกอบกับบางบ้านโดน กรกนก วงศ์ประชาสุข
ปลวกท�ำลายกัดกินต้นชาและปัญหาโลกร้อน อายุ 51 ปี คนปลูกชาบ้านนาจอก บ้านลุงโฮจิมินห์
ก็เป็นส่วนส�ำคัญที่ท�ำให้ต้นชาตาย ต้นชา
36 37
ตอนที่ 5 Thai-Viet Agriculturist
มุมสูงบ้านลุงโฮจิมิน
38 39
3
Spirit of Us
จิตวิญญาณ
แห่งชุมชน
ศาลเจ้าเป็นสถานทีศ่ กั ดิส์ ทิ ธิส์ ำ� หรับการประกอบพิธกี รรมทาง
ความเชื่อของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม โดยมี “เถ่ย” เป็นคน
ท�ำหน้าทีส่ อื่ สารระหว่างเทพเจ้าหรือบรรพบุรษุ ผูล้ ว่ งลับหรือลูก
หลานที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ระบบ “หล่าง” ก็คือระบบการดูแล
ทุกข์สุขที่ยึดโยงกับศาลเจ้าประจ�ำชุมชน ประเพณีที่สืบทอด
ต่ อ กั น มานี้ ก็ คื อ จิ ต วิ ญ ญาณแห่ ง ชุ ม ชนคนไทยเชื้ อ สาย
เวียดนาม
Spirit of Us
42 43
Spirit of Us
44 45
Spirit of Us
46 47
Spirit of Us
“ศาลเจ้าพ่อด่ายเวือง” ศูนย์รวมจิตวิญญาณของชุมชนบ้านาจอก
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2441 “ด่ายเวือง” หมายถึงพระมหากษัตรย์ผู้ยิ่งใหญ่ของ
เวียดนาม เทพเจ้าที่สถิตภายในศาลคือเทพเจ้า “เจิ่ง ฮึง ด่าว” ท่านเป็น
นายพลนักรบที่สามารถรบชนะจีน (มองโกล) หลายครั้ง คนจึงเคารพบูชา
ประดุจดังเทพเจ้า ในหลายชุมชนหลายจังหวัดที่มีคนไทยเชื้อสายเวียดนาม
อยูก่ น็ ยิ มบูชา “เทพเจ้า เจิง่ ฮึง ด่าว” ในประเทศเวียดนามก็นยิ มนับถือเช่นกัน
โดยเฉพาะผู้คนที่อาศัยในเขตจังหวัดนามดิ่ง ภายในศาลเจ้ายังมีรูปท่าน
โฮจิมนิ ห์วางบนหิง้ คูก่ นั ดุจเทพเจ้าอีกองค์หนึง่ หากเปรียบเทียบคงกล่าวได้วา่
“เทพเจ้า เจิง่ ฮึง ด่าว สร้างชาติเวียดนาม ท่านโฮจิมนิ ห์กชู้ าติให้คนเวียดนาม”
ก็ย่อมได้”
“เต็ด” หรือตรุษญวน คือวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินทางจันทรคติของ
ชาวเวียดนาม เป็นเทศกาลแห่งมงคลชีวติ ทีค่ นไทยเชือ้ สายเวียดนามทุกชุมชน
ให้ความส�ำคัญ จะมีการมารวมตัวกันเพือ่ ท�ำพิธสี กั การะต่อเทพเจ้า “เจิง่ ฮึง ด่าว”
ณ ศาลเจ้าประจ�ำชุมชน
48 49
Spirit of Us
50 51
Spirit of Us
ชาวบ้านน�ำไก่มาไหว้
52 53
4
Food and Culture
เอกลักษณ์
ในอาหาร
อาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานของการด�ำรงชีวิต อาหารในแต่ละ
พื้นที่ แต่ละท้องถิ่น ก็จะมีความโดดเด่นเฉพาะด้าน เฉพาะตัว
ที่ แตกต่ า งกั น ออกไป และอาหารคาว-หวานของคนไทย
เชือ้ สายเวียดนาม ในจังหวัดนครพนม ก็มอี ตั ลักษณ์เฉพาะถิน่
ซึ่งหลายเมนูก็หารับประทานไม่ได้ง่ายนัก แม้แต่ในประเทศ
เวียดนามเอง
Food and Culture
ข้าวโซย
นับเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว ที่ โกเจือ่ ง
หรือ เฟือ่ งรัตน์ จิตรจ�ำนงค์ดี คนไทยเชือ้ สาย
เวียดนามวัย 67 ปี จะลุกขึ้นมาปรุงอาหาร
ที่ชื่อว่า “โซย” ซึ่งเป็นชื่อเรียกในภาษา
เวียดนาม ทีแ่ ปลตรงตัวว่าข้าวเหนียว แต่เพือ่
ให้ง่ายต่อการจดจ�ำ โกเจื่อง จึงตั้งชื่อแบบ
ไทยๆ ว่า “ข้าวโซย”
“โกขายข้าวโซย 5 อย่าง สมัยก่อน
ขายห่อละ 3 บาท ขายส่งห่อละ 2 บาท เวลา
ผ่านมาก็ปรับราคาขึ้นขายห่อละ 5 บาท เฟื่องรัตน์ จิตรจ�ำนงค์ดี 1. โซยโง (ข้าวเหนียวข้าวโพด) 2. โซยหว่อ (ข้าวคลุกถั่ว) 3. โชยหว่าง (ข้าวเหลืองหวาน)
เป็นเมนูต้นต�ำรับ มีเมล็ดข้าวโพด เมนูภาคเหนือของเวียดนาม เมนูภาคใต้หรือเรียกว่าข้าวไซง่อน
ขายส่งห่อละ 4 บาท ขาย ถ้าช่วงเทศกาล ผสมลูกเดือย โรยหน้าด้วยถั่วซีก ข้าวเหนียวนึ่ง คลุกกับถั่วซีก โรยหน้าด้วยงาน�้ำตาลมะพร้าวขูด
ขายดีท�ำเป็นกระสอบ กระสอบหนึ่งหนัก “ข้าวโซยเป็นอาหารเช้าที่คนนิยมกิน และงาคั่ว โรยหน้าด้วยกากหมูและหอมเจียว รสหวาน
50 โล ข้าวโซยท�ำตั้งแต่สมัยพ่อแม่แล้ว เพราะราคาถูกกินง่ายเป็นหมือนฟาสต์ฟู้ด รสชาติออกเค็ม
ถ้ารวมระยะเวลาก็ขายมา 70 ปีกว่าๆ เริม่ แรก ลูกค้าอิ่มได้ในราคา 5-10 บาท ก็อิ่มได้
เดิ น หาบขายตามตลาดจนมาเป็ น ที่ นิ ย ม เมือ่ ก่อนมีคนขายหลายเจ้า ขายไม่นานก็เลิก
และมีร้านขายเป็นหลักแหล่ง ข้าวโซยเป็น เพราะได้ก�ำไรไม่เยอะอาศัยว่าขายได้มาก
ข้าวธัญพืชจะมีส่วนผสมของถั่วและงามีทั้ง และมีลกู ค้าเยอะ ป้าตืน่ ตัง้ แต่ ตี 2 มาท�ำเสร็จ
แบบหวานเค็ม โซยหว่าง เมือ่ ก่อนวิธกี ารท�ำ ราวๆ ตี 5 ก็ออกมาขายตลาด ขายจนหมด
ยากมาต้องใช้ขมิ้นตากแห้งและเอาไปต�ำ ถึงกลับ มันเป็นอาชีพที่เหนื่อย ต้องรักจริง
กว่าจะได้ตัวข้าวแบบที่ยังไม่ปรุงก็กินเวลา ถึงท�ำมาได้ถึงป่านนี้”
จนหมดวันแล้วแต่ปจั จุบนั มีผงขมิน้ ส�ำเร็จรูป 4. ข้าวก�่ำ 5. ข้าวใบเตย
คือข้าวเหนียวด�ำมูนกะทิ คือข้าวเหนียวมูนใส่น�้ำใบเตย
ท�ำให้ไม่ยงุ่ ยากเสียเวลา ข้าวก�ำ่ กับข้าวใบเตย โรยมะพร้าว รสชาติหวานมัน โรยมะพร้าว รสชาติหวานมัน
เป็นเมนูประยุกต์ให้เข้ากับคนพื้นถิ่น
56 57
Food and Culture
“โหย่ ย ” หรื อ เมนู ไ ส้ อั่ ว เลื อ ดหมู กับเลือดหมูสดทีป่ รุงรสและน�ำ้ เปล่า ผสมให้
เลียน ผ่ามถิ คนไทยเชื้อสายเวียดนามจาก เข้ า กั น ทิ้ ง ไว้ ซั ก พั ก เลื อ ดจะแข็ ง ตั ว ขึ้ น
ชุมชนหล่างป่า คือคนทีท่ ำ� “โหย่ย” ขายมา และสุ ด ท้ า ยก็ ล ้ า งไส้ ห มู ส ดด้ ว ยเกลื อ ให้
อย่างต่อเนือ่ งถึง 48 ปี สะอาดและปลิ้นไส้ให้กลับด้าน เสร็จแล้ว
“ป้าท�ำไส้อวั่ เวียดนามขายในตลาดสด กรอกเลื อ ดหมู ล งไปให้ เ ต็ ม มั ด หั ว ท้ า ย
ภาษาเวียดนามเรียกว่า “โหย่ย” พ่อเป็นคน และน�ำไปต้มไฟอ่อนๆ พลิกไปมาและใช้
สอนให้ท�ำ “โหย่ย” ช่วยพ่อท�ำมาตั้งแต่ยัง ไม้จิ้มไปที่ไส้ไม่งั้นมันจะแตก ดูจนไส้แน่น
เล็กๆ พ่อท�ำอาชีพนี้จนเลี้ยงลูกได้ 6 คน น�ำ้ ต้มใสก็แปลว่าสุกแล้ว ไส้กรอกเลือดถึงจะ
ก็เลยคิดว่าเราก็น่าจะท�ำได้และก็รับช่วงต่อ มีเลือดเป็นส่วนผสมหลัก แต่รสชาติดีและ
มาจากพ่อ สมัยก่อน 2 บาท 5 บาทก็ขาย เลียน ผ่ามถิ ไม่คาวอย่างที่ใครๆ คิด เพราะผักที่ใส่ลงไป
เดี๋ยวนี้ของแพงขึ้นราคาก็ปรับไปตามเวลา ทั้ง 3 ชนิดนั้นให้กลิ่นหอม นิยมกินเป็น ปั จ จุ บั น โหย่ ย ไม่ ไ ด้ กิ น กั น เฉพาะคนไทย
ส่วนตัวป้าเองก็คงท�ำได้เท่าที่ไหว ลูกๆ ไม่ให้ ร้ า นป้ า เป็ น ร้ า นเก่ า แก่ ที่ สุ ด ในตลาดสด กับข้าว กินเล่นหรือเป็นกับแกล้ม นอกจากนัน้ เชื้อสายเวียดนามเท่านั้น คนที่ซื้อส่วนมาก
ท�ำแล้วและเค้าก็ไม่รับช่วงต่อ คงหมดที่ป้า นครพนม ขายตั้งแต่สมัยทองค�ำบาทละ ยังเป็นอาหารขึน้ โต๊ะไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรษุ คือคนไทยพื้นถิ่น และกินเยอะกว่าด้วยซ�้ำ”
400 บาท” ถือเป็นของที่ต้องมี ในส�ำรับไหว้ห้ามขาด
แม้ว่าสีสันของอาหารจะดูมืดๆ ด�ำๆ
แต่หากใครได้ลองชิมก็จะพบว่ารสชาตินั้น
ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ในตัวอาหารอย่าง
สิ้นเชิง นอกจากจะเอาไว้กินเป็นกับข้าว
ทั่วไปแล้ว “โหย่ย” ยังถือเป็นเมนูขึ้นโต๊ะที่
นิยมใช้ส�ำหรับการไหว้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ
อีกด้วย
“ขั้นตอนท�ำโหย่ยก็เริ่มจากเตรียมผัก
3 ชนิด ผักชีฝรั่ง ผักแพรว ต้นหอม น�ำมา
โหย่ย
ซอยผสมรวมกันกับพริกสด น�ำเศษหมูบด เลือดหมูผสมเครื่องยัดไส้ ไส้โหย่ยหลังต้มเสร็จ
58 59
Food and Culture
60 61
5 The Story
of Language
"ภาษารากเหง้า
วัฒนธรรม"
การเรียนการสอนภาษาเวียดนามในจังหวัดนครพนมทุกวันนี้
เป็นไปอย่างเสรีมีผู้ให้ความสนใจตั้งแต่ในระดับชั้นเด็กเล็ก
ไปจนถึงระดับอุดมศึกษา ต่างจากเมื่อครั้งอดีต ที่การเรียน
การสอนกลับเป็นเรื่องต้องห้าม ต้องท�ำกันอย่างลึกลับและ
เต็มไปด้วยความยากล�ำบาก
62 63
The Story of Language
64 65
The Story of Language
66 67
The Story of Language
68 69
The Story of Language
70 71