Professional Documents
Culture Documents
รายงาน
จัดทำโดย
เสนอ
คุณครูพิศิษฐ์ ตาปราบ
2
โรงเรียนแก้งคร้อวิทยา
คำนำ
คณะผู้จัดทำ
3
บทที่ 1
บทนำ
การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยในสังคมไทยนัน
้ มีหลายแนวคิดทฤษฎีที่
มีการกล่าวอ้างจากหลักฐานต่างๆ มีทงั ้ แนวคิดที่เป็ นไปได้และเป็ นไปไม่ได้ใน
ปั จจุบัน อันประกอบด้วย 5 กลุ่มแนวคิด ได้แก่ กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของ
คนไทยอยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน, กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยอยู่
บริเวณเทือกเขาอัลไต, กลุ่มที่เชื่อว่า คนไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่
กระจัดกระจายทั่วไปในบริเวณตอนใต้ของจีนและทางตอนเหนือของภาคพื้น
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดีย, กลุ่มที่เชื่อว่า
ถิ่นเดิมของไทยอยู่บริเวณพื้นที่ประเทศไทยในปั จจุบัน และกลุ่มที่เชื่อว่าถิ่น
เดิมของคนไทยอาจอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
หรือในอินโดจีน หรือในบริเวณคาบสมุทรมลายู แล้วค่อย ๆ แพร่กระจายไป
ทางใต้ ทางตะวันตกของอินโดจีนและทางตอนใต้ของจีน
คณะผู้จัดทำจึงอยากศึกษาและสำรวจคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับแนวคิดถิ่น
กำเนิดของชนชาติไทย เพื่อให้เกิดองค์ความรู้และความเข้าใจเรื่องความเป็ น
มาของชนชาติตนเอง
วัตถุประสงค์
1. เพื่อสำรวจความเชื่อกลุ่มประชากรตัวอย่างในช่วงอายุ 12 ปี ขึน
้ ไป ต่อ
แนวคิดถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย
ขอบเขตของการศึกษา
1.ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของคนไทย 5 แนวคิด
2.สำรวจความคิดของกลุ่มประชากรตัวอย่างแบบเจาะจงเกี่ยวกับถิ่น
กำเนิดของของคนไทย 5 แนวคิด
5
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็ นมาของชนชาติตนเอง
2.ทราบถึงความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ต่อแนวคิดถิ่นกำเนิดของคนไทย
ระยะเวลาดำเนินงาน
สถานที่ปฏิบัติโครงงาน
โรงเรียนแก้งคร้อวิทยา จังหวัดชัยภูมิ
6
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาครัง้ นี ้ คณะผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลและเอกสารที่
เกี่ยวข้อง ดังนี ้
1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อต่าง ๆ
2. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อต่าง ๆ
แนวความคิดที่ 1 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในบริเวณเทือกเขาอัลไต
ตอนกลางทวีปเอเชีย ครัน
้ ต่อมาได้อพยพเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน
ระหว่างที่อยู่ล้านนา หมอดอดด์ได้เดินทางขึน
้ ไปเผยแพร่ศาสนาและ
สำรวจในอาณาบริเวณ แคว้นฉาน สิบสองปั นนา ยูนนาน กวางสี กวางตุ้ง
และตังเกี๋ย ได้พบคนไทกระจายอยู่หลายแห่งจึงมีความสนใจอย่างมาก ใน
ที่สุดได้เขียนหนังสือเรื่อง The Tai Race - The Elder Brother of the Chinese
(2452) ด้วยความเชื่อที่ว่าชนชาติไทมีความเก่าแก่กว่าชนชาติจีนและฮิบรู แต่
เดิมคนไทถูกเรียกว่า “ต้ามุง” หรือ“อ้ายลาว” เป็ นเจ้าของถิ่นเดิมในจีน
8
ก่อนที่จะถูกจีนโจมตีจนต้องถอยร่นลงมาทางใต้จนเข้าสู่คาบสมุทรอินโดจีน
ดังนัน
้ ชนชาติไทจึงถือว่าเป็ น “พี่อ้าย” ของชนชาติจีน และด้วยการที่ชนชาติ
ไทเป็ นเชื้อสายมองโกล ถิ่นเดิมของชนชาติไทน่าจะอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต
ในมองโกเลีย
หนังสือเล่มนีม
้ ีอิทธิพลมาก เพราะได้ตอบคำถามถึงที่มาอันเก่าแก่ของ
ชนชาติไท ดังนัน
้ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนานาคนันท์) ได้นำเอาข้อมูลนี ้
มาเขียนในหนังสือชื่อ “หลักไทย” พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2471 อธิบายว่า ที่มาของ
ชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไตในเอเชียกลาง หนังสือเล่มนีไ้ ด้รับการ
ต้อนรับจากผู้อ่านชาวไทยอย่างมาก สำหรับหนังสือของหมอดอดด์เอง ต่อ
มาหลวงนิเพทย์นิติสรรค์ (ฮวดหลี หุตะโกวิท) แปลเป็ นภาษาไทยใช้ช่ อ
ื ว่า
“ชนชาติไทย” พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2474 และหลวงวิจิตรวาทการก็นำมาเขียนเล่า
ใหม่ในหนังสือเรื่อง งานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย(2504)
แนวคิดที่ว่า ชนชาติไทยมีกำเนิดจากเทือกเขาอัลไตได้รับการอธิบายให้
ชัดเจนขึน
้ โดย ประภาศิริ (หลวงโกษากรณ์วิจารณ์) ในหนังสือ วิเคราะห์เรื่อง
เมืองไทยเดิม (2478) โดยประภาศิริอธิบายความหมายของคำ “อัลไต” ว่า อัล
หมายถึง อะเลอ เป็ นภาษาไทยโบราณแปลว่าแผ่นดิน ไต ก็คือ ไท เทือกเขา
อัลไตจึงแปลว่า เป็ นแผ่นดินของคนไท
คำอธิบายเรื่องที่มาของไทยว่ามาจากเทือกเขาอัลไตมีความน่าเชื่อถือ
เพราะตอบคำถามเรื่องความเก่าแก่ของชนชาติไทยได้ดีที่สุดและยังไปเชื่อม
โยงกับคำอธิบายว่า อาณาจักรน่านเจ้าในจีนตอนใต้เป็ นอาณาจักรไทยก่อน
สุโขทัย ดังนัน
้ ความรู้ทงั ้ ชุดนีจ
้ ึงถูกบรรจุเข้าไปในตำราของกระทรวง
9
ศึกษาธิการและกรมวิชาการได้นำหนังสือชนชาติไทย ฉบับของหลวงนิเพทย์
นิติสรรค์มาใช้เป็ นแบบเรียนเมื่อ พ.ศ. 2520
หลักฐานที่ยืนยันว่า มีการอพยพคนขนาดใหญ่จากเหนือลงใต้ของ
ประเทศจีนก็ไม่เคยมีเลยและน่านเจ้าก็เป็ นอาณาจักรของชนชาติหลอหลอ
และมีภาษาเป็ นกลุ่มธิเบต-พม่าไม่ใช่ชนชาติไทย คำว่า “อัลไต” ก็แปลว่า
“ทอง” ในภาษาถูจ่ อ
ื ซึ่งเป็ นชนชาติเติร์กไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับชนชาติไท
ประชาชนจีนแล้วเคลื่อนย้ายลงสู่มณฑลยูนนาน
แนวความคิดของลาคูเปอรีได้รับการสืบทอดต่อมาในงานประวัติศาสตร์
นิพนธ์ไทยเรื่องถิ่นกำเนิดของคนไทยเริ่มจากงานของพระยาประชากิจกร
จักร์ (แช่ม บุนนาค) ใน พ.ศ. 2442, พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์
ประพันธ์ ใน พ.ศ.2455, สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ใน พ.ศ. 2456,
พระยาอนุมานราชธน ใน พ.ศ. 2483, ประภาศิริ หรือหลวงโกษากรวิจารณ์
(บุญศรี ประภาศิริ) ใน พ.ศ. 2478-2492, พระยาบริหารเทพธานี ใน พ.ศ.2496
และหลวงวิจิตรวาทการ ใน พ.ศ. 2476 และพ.ศ. 2492 โดยสรุปไว้ตรงกันว่าถิ่น
เดิมของไทย คือ บริเวณมณฑลเสฉวนปั จจุบัน หลังจากนัน
้ จึงอพยพเข้าสู่ยูน
นานทางตอนใต้ของจีนและแยกย้ายกันเข้าสู่ดินแดนประเทศไทยปั จจุบัน
ถิ่นทางภาคเหนือของไทยมาวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าไทยเป็ นพวกมองโกลสาขา
หนึ่งอยู่อาศัยในดินแดนที่เป็ นประเทศจีนปั จจุบัน ในขณะที่จีนเร่ร่อนอยู่แถว
ทะเลสาบคัสเปี ยน
ปั จจุบันแนวคิดนีไ้ ด้ถูกโต้แย้งจากการสำรวจลักษณะทางกายภาพของ
มนุษย์การสำรวจลักษณะทางวัฒนธรรม เช่น ขนบธรรมเนียม ลัทธิความเชื่อ
ภาษาและตรวจสอบเทียบกับหลักฐานจีนอื่น ๆ พบว่าแนวคิดนีไ้ ม่น่าที่จะ
เป็ นไปได้โดยเฉพาะความเชื่อว่าชนชาติไทย คือ พวกมุง หรือต้ามุงนัน
้ ยังไม่
สามารถหาหลักฐานทางวัฒนธรรมมารองรับความเชื่อนีไ้ ด้
แนวความคิดที่ 3 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในบริเวณตอนใต้ของ
นอกจากนีม
้ ีงานค้นคว้าประเภทอาศัยการตีความหลักฐานจีนอีก เช่น
งานของ E.H. Parker ปาร์คเกอร์ กงสุลอังกฤษประจำเกาะไหหลำ เขียน
บทความเรื่องน่านเจ้าพิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2437 โดยอาศัยตำนานจีน
บทความนีพ
้ ูดถึงอาณาจักรน่านเจ้าเป็ นอาณาจักรของคนไทยเฉพาะราชวงศ์
สินุโลและคนไทยเหล่านีถ
้ ูกคนจีนกดดันถึงอพยพลงมาทางใต้ งานเขียนของ
ปาร์คเกอร์ได้รับการสนับสนุนจากทัง้ นักวิชาการตะวันตกและจีน
(ศาสตราจารย์ติง ศาสตราจารย์ โชนิน ศาสตราจารย์ชุนแชง) และญี่ปุ่น (โยชิ
โร ชิราโทริ)
จะเห็นได้ว่าในบรรดานักวิชาการที่เชื่อว่าอดีตของเผ่าไทยอยู่
กระจัดกระจายในบริเวณตอนใต้ของจีนและบริเวณทางเหนือของไทย ลาว
14
แนวความคิดที่ 4 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในบริเวณคาบสมุทรมลายู
แล้วอพยพขึน
้ ไปสู่บริเวณภาคพื้นแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตลอดไปจนถึงตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
กลุ่มที่มีความเชื่อนีศ
้ ึกษาประวัติความเป็ นมาของชนชาติไทยด้วยวิธีทาง
วิทยาศาสตร์บนรากฐานของวิชาพันธุศาสตร์ คือ การศึกษาความถี่ของยีน
หมู่เลือดและการศึกษาเรื่องฮีโมโกลบินอี เช่น นายแพทย์สมศักดิ ์ พันธุ์
สมบุญ ได้ทำการศึกษาความถี่ของหมู่เลือดระบบ ABO, MN และ Rh พบว่า คน
ไทยมีหมู่เลือด B และ M สูงซึง่ เป็ นลักษณะ B, M ทั่วไปของประเทศทางเอเชีย
อาคเนย์ ส่วนหมู่เลือดระบบ Rh ของคนไทยและอินโดนีเซียมีลักษณะ
คล้ายคลึงกันอย่างใกล้ชิด ส่วน Cde (rh) ไม่มีในคนไทยและอินโดนีเซีย แต่มี
ในคนจีนทางตอนใต้ของประเทศ 3% ท่านจึงให้ความเห็นว่า คนไทย คน
อินโดนีเซีย (รวมทัง้ คนมาเลย์บางเผ่า) คนพื้นเมืองของแหลมอินโดจีน (ลาว
เขมร) คนจีนทางตอนใต้ของประเทศอาจเป็ นคนพื้นเมืองเดิม ซึง่ ได้ก่อตัง้ มา
เป็ นเวลาหลายพันปี มาแล้วและได้ตงั ้ หลักแหล่งอยู่ ตามบริเวณภาคตะวัน
ออกเฉียงหนือของประเทศไทย หรืออินโดจีน หรือในคาบสมุทรมาเลย์ แล้ว
จึงแพร่กระจายไปทางจีนตอนใต้ ลาว เขมร มาเลย์ อินโดนีเซียและพม่า
สรุปปั จจุบันความก้าวหน้าทางวงการศึกษามีมากขึน
้ และมีการแตกแขนง
วิชาออกไปมากมาย เพื่อหาคำตอบเรื่องของมนุษย์และสังคมที่มนุษย์อยู่
ทำให้ความรู้และความเชื่อเดิมของมนุษย์ถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง ด้วยเหตุ
นีค
้ วามเชื่อในเรื่องถิ่นกำเนิดของคนไทยซึ่งอยู่ที่มณฑลเสฉวนและทางภูเขา
อัลไตจึงถูกวิพากษ์ถงึ ความสมเหตุสมผลเมื่อมีการประสานกันค้นคว้าจากสห
วิชาการจึงได้คำตอบในแนวใหม่ว่า คนเผ่าไทเป็ นเผ่าที่อยู่กระจัดกระจายใน
แนวกว้างในบริเวณตอนใต้ของยูนนาน ทางตอนเหนือของภูมิภาคเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้และรัฐอัสสัมของอินเดีย
พื้นฐานความเชื่อใหม่นอ
ี ้ าศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และหลักฐาน
ทางโบราณคดี ทำให้ทราบได้ว่า คนเผ่านีร้ ้จ
ู ักกันในชื่อต่าง ๆ ในแต่ละท้อง
ถิ่น เช่น ไทใหญ่ ไทอาหม ผู้ไท ไทดำ ไทขาว ไทลื้อ ไทลาว ไทยวน เป็ นต้น
การค้นคว้าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดียังสอดคล้องกับการค้นคว้าทาง
ด้านนิรุกติศาสตร์และภาษาศาสตร์ที่พบว่า คนในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนใหญ่เรียกชนชาติไทยว่า ชาม ชาน เซม เซียม ซียาม เสียมบ้าง และใน
ภาษาจีนเรียกว่า ส่าน ส้าน (สำหรับคนไทโดยทั่วไป) เซียม (สำหรับไทสยาม)
และความหมายของคำที่เรียกคนไทก็มีความหมายสอดคล้องกับลักษณะชีวิต
ทางด้านสังคมและการทำมาหากินของคนไทยเช่นคำว่า “ส่าน” ซึ่งเป็ นคำ
ภาษาจีนเรียกคนไทแปลว่า “ลุ่มแม่น้ำ”
16
ความหมายนีม
้ ีลักษณะสอดคล้องกับชีวิตความเป็ นอยู่ของชนชาติไทที่ก่อ
ตัง้ ชุมชนขึน
้ ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำและทำอาชีพกสิกรรม รู้จักทำทำนา
หยาบ ๆ พร้อมทัง้ คันคูระบายน้ำคือ เหมือง ฝาย รู้จักใช้แรงงานสัตว์และใช้
เครื่องมือในการทำนา เช่น จอบ คราด ไถ
แนวความคิดนีม
้ ีนักวิชาการหลายท่านพยายามนำหลักฐานทางด้าน
โบราณคดีและเอกสารมาพิสูจน์ให้เห็นจริงว่าคนไทยน่าจะอยู่บริเวณนีม
้ า
ก่อน โดยไม่ได้อพยพมาจากดินแดนอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไป ซึง่ แนวความคิด
นีใ้ นปั จจุบันยังไม่ถือว่าเป็ นข้อยุติ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
อินโดนีเซียมีส่วนคล้ายกันมากและต้องถือว่าอยู่ในกลุ่มภาษาเดียวกัน การ
ผูกประโยคเหมือนกันทุกประการและแตกต่างกับคำภาษาจีนเป็ นจำนวน
มากในภาษาไทย ภาษากะไดและภาษาอินโดนีเซียสืบได้ว่ามาจากคำ ๆ
เดียวกันที่คล้ายกับคำจีนนัน
้ ส่วนใหญ่เป็ นคำที่ใช้ในการติดต่อค้าขายและมี
จำนวนน้อยเกินไปที่จะถือได้ว่าภาษาไทยกับภาษาจีนเป็ นภาษาที่ในกลุ่ม
เดียวกัน จึงอาจเป็ นไปได้ว่าคำเหล่านั่นไม่ใช่คำไทยแท้ แต่เป็ นคำที่ยืมมา
จากภาษาจีน การที่คำไทยและคำกะได้ส่วนใหญ่มีพยางค์เดียวแต่มีเสียงสูง
เสียงต่ำนัน
้ ดร. พอล เบเนดิกต์ ให้เหตุผลว่าเป็ นเพราะอิทธิพลของภาษาจีน
อันเนื่องมาจากการที่ชนชาติไทยและชนชาติกะไดได้ติดต่อกับชนชาติจีนมา
เป็ นเวลานาน
สมัยสุโขทัย ในกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุธยาและในพระราชพิธีสิบสองเดือน
สมัยรัตนโกสินทร์อย่างชัดแจ้ง เป็ นหลักฐานที่บ่งชีใ้ ห้เห็นการใช้กลอง
มโหระทึกโดยราชสำนักสยามอย่างเป็ นทางการ อีกทัง้ รูปแบบวัฒนธรรมใน
งานราชพิธีต่าง ๆ ที่สำคัญ ล้วนบ่งบอกถึงรูปการจิตสำนึกในระบบความเชื่อ
ที่อาจจะจัดตามลำดับในเชิงโครงสร้างของความเชื่อ คือ “อุดมการณ์” ทัง้
ในด้านศาสนา นอกจากนีม
้ ีการพบในหลายพื้นที่ทงั ้ ที่มณฑลยูนนาน
สาธารณรัฐประชาชนจีน เอเชียอาคเนย์ทางตะวันออก
บทที่ 3
วิธีการดำเนินการ
3.2 ขัน
้ ตอนการดำเนินงาน
3.2.1 คิดหัวข้อโครงงานเพื่อนำเสนอครูที่ปรึกษาโครงงาน
21
3.2.3 จัดทำแบบสำรวจในกลุ่มประชากรตัวอย่างเกี่ยวกับความเชื่อที่มีต่อ
แนวคิดถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ผ่าน Google forms
3.2.4 ประเมินและสรุปผลข้อมูลความเชื่อของกลุ่มประชากรตัวอย่างเป็ น
ข้อมูลในรูปแบบแผนภูมิวงกลม
3.2.5 จัดทำเอกสารรายงานโครงงาน
3.2.6 นำเสนองาน
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
การสืบค้นครัง้ นีม
้ ีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความเชื่อของกลุ่มประชากร
ตัวอย่างในช่วงอายุ 12 ปี ขึน
้ ไป ต่อแนวคิดถิ่นกำเนิดของชนชาติ
22
ตอนที่1 การวิเคราะห์ข้อมูลช่วงอายุของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอนที่2 การวิเคราะห์แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดถิ่นกำเนิด
ของชนชาติไทย
ตอนที่3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดถิ่นกำเนิดของ
ชนชาติไทยจากแบบสอบถาม
ตอนที่1 การวิเคราะห์ข้อมูลช่วงอายุของผู้ตอบแบบสอบถาม
การวิเคราะห์ข้อมูลช่วงอายุของผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 31 คน
23
13%
16%
7%
65%
12 - 13 ปี 14 - 15 ปี 16 - 17 ปี 18 ปี ขน
ึ้ ไป
ตอนที่2 การวิเคราะห์แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดถิ่น
กำเนิดของชนชาติไทย
แนวคิดของผู้ตอบแบบสอบถามทัง้ 31 คน มีการตอบกลับดังนี ้
24
19%
39%
3%
19%
19%
แนวความคิดที่ 1 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในบริเวณเทือกเขาอัลไต
ตอนกลางทวีปเอเชีย ครัน
้ ต่อมาได้อพยพเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชน
จีน
แนวความคิดที่ 2 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในมณฑลเสฉวน สาธารณรัฐ
ประชาชนจีนแล้วเคลื่อนย้ายลงสู่มณฑลยูนนาน
แนวความคิดที่ 3 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในบริเวณตอนใต้ของ
สาธารณรัฐประชาชนจีน ตอนเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตลอดไปจนถึงบริเวณรัฐอัสสัมประเทศอินเดีย
แนวความคิดที่ 4 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในบริเวณคาบสมุทรมลายู
แล้วอพยพขึน
้ ไปสู่บริเวณภาคพื้นแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ ตลอดไปจนถึงตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
แนวความคิดที่ 5 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในบริเวณอันเป็ นที่ตงั ้ ของ
ประเทศไทยปั จจุบัน
25
บทที่ 5
สรุปผลและข้อเสนอแนะ
5.1 สรุปผลโครงงาน
5.1.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ทำแบบสำรวจความเชื่อของ
กลุ่มประชากตัวอย่างในช่วงอายุ 12 ปี ขึน
้ ไปต่อแนวคิดถิ่นกำเนิดของชนชาติ
ไทย
จากผลการสำรวจในครัง้ นีพ
้ บว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 31 คน
ส่วนใหญ่มีอายุ 16-17 ปี คิดเป็ นร้อยละ 64.5 โดยแนวคิดที่มีความเชื่อมาก
ที่สุด คือ แนวคิดที่ 5 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในบริเวณอันเป็ นที่ตงั ้ ของ
ประเทศไทย คิดเป็ นร้อยละ 38.7 แนวคิดที่มีความเชื่อรองลงมา คือ แนวคิด
ที่ 1 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในบริเวณเทือกอัลไต, แนวคิดที่ 3 ชนชาติไทยมี
ถิ่นกำเนิดในบริเวณตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตอนเหนือของ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดไปจนถึงบริเวณรัฐอัสสัมประเทศอินเดีย ,
แนวคิดที่ 4 ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดในบริเวณคาบสมุทรมลายู แล้วอพยพขึน
้
ไปสู่บริเวณภาคพื้นแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดไปจนถึง
ตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งทัง้ สามแนวคิดนีค
้ ิดเป็ นร้อยละ 19.4
26
5.1.2.2 ปั ญหาเรื่องความร่วมมือในการทำแบบสำรวจ
5.1.3 ข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม
https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-1/thai/05.htm
l?fbclid=IwAR2oe7NHF2pmb6bnxw-
dhKCySd8WeNp1Cw9CT5AKN4vn5hZp-oodbDGtcC4