Professional Documents
Culture Documents
หัวข้อเนื้อหา
1. สิ่งประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงทั้ง 4 ของชาวจีน
2. การแพทย์แผนจีนและยาจีน
3. ลักษณะครอบครัวของชาวจีน
4. เครื่องแต่งกายที่สืบทอดต่อกันมาของชาวจีน
5. อาหารของชาวจีน
6. ชา และสุราของชาวจีน
7. ที่อยู่อาศัยของชาวจีน
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สืบค้น อธิบาย และนำเสนอเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคนจีนได้อย่างถูกต้อง
2. อธิบายและสรุปแนวคิดที่ได้จากการเรียนรู้เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของจีนได้อย่าง
ถูกต้อง
3. เล่า บรรยายเกี่ยวกับการดำเนินชีวิ ตของจีนเกี่ยวกับอาหารจีน ชาจีน สุราจีน ที่
อยู่อาศัย การแพทย์แผนจีน และยาจีนได้อย่างถูกต้อง
4. วิเคราะห์และสรุปแนวคิดที่ได้จากการเรียนรู้เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคนจีน
วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน
1. ทดสอบก่อนเรียน
2. แบ่งนักศึกษาเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน โดยผู้สอนแบ่งหัวข้อให้แต่ล ะกลุ่ม และให้
สมาชิกในกลุ่มศึกษาเอกสารประกอบการสอน เรื่องการดำเนินชีวิตของคนจีน
3. ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มอภิปรายและสรุปสาระสำคัญจาก เรื่องการดำเนินชีวิตของ
คนจีน เขียนข้อสรุปลงในกระดาษ A4 และส่งตัวแทนออกมารายงาน
4. ใช้คำถามกระตุ้นให้คิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคนจีนโดยใช้ประสบการณ์เดิม
5. ผู้สอนบรรยายประกอบสไลด์ MS-Power Point
6. ให้นักศึกษาทุกคนทบทวนความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ การดำเนินชีวิตของคนจีน
แล้วเขียนผังความคิด (mind mapping)
7. ให้นักศึกษา ศึกษาการดำเนินชีวิตของคนจีน จากสื่ออื่นๆ นอกเหนือจากเอกสาร
ประกอบการสอน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ศึกษา
บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน 109
การวัดผลและประเมินผล
1. ตรวจผลงานจากการทำใบงานที่ 7
2. การประเมินผลการนำเสนอผลงานการสืบค้น
3. สังเกตพฤติกรรมการร่วมกิจกรรม
110 บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน
บทที่ 7
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และการดำเนินชีวิตของชาวจีน
คนจีนมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ตนเองได้คิดค้นอยู่หลายอย่าง จึงทำให้คนจีนมี
ความสุขกับการใช้ชีวิต และทำให้เกิดวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เช่น ครอบครัว
เสื้อผ้า อาหาร ชา สุรา ที่อยู่อาศัย การแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ล้วนแล้วแต่มีความ
เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบันของชาวจีน ซึ่งเอกลักษณ์เหล่านี้ มีประวัติความเป็นมา
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันหลายร้อยหลายพันปี ถึงแม้ว่าปัจจุบัน สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของ
บ้านเมืองจะมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของชาวจีนใน
ปัจจุบัน แต่ชาวจีนก็ยังคงอนุรักษ์วิถีการการดำเนินชีวิตแบบในอดีตต่อไป ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือน
อดีต 100% ก็ตาม แต่ก็ยังหลงเหลือถึงกลิ่นไอของความเป็นจีนที่รอให้คนทั่วโลกได้สัมผัส
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจีนเกิดขึ้นมาจากความคิด ความเชื่อ และปรัชญาจีน ไม่มี
ผู้ใดสามารถบอกได้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด แต่หากเราอาศัยพงศาวดารและนิยาย
ปรัมปราจีนแล้ว เราอาจจะกล่าวได้ว่าปรัชญาจีนมีกำเนิดและวิวัฒนาการมานับพันๆปี
เช่นเดียวกับปรัชญาอินเดีย การเกิดขึ้นของปรัชญาจีนอาจอธิบายได้ดังนี้ ในยุคโบราณ ราว 557
ปี ก่อนพุทธศักราช เชื่อกันว่ากษัตริย์นามว่า ฟูซี เป็นผู้ให้กำเนิดปรัชญาจีน แนวความคิดของ
พระองค์มีรากฐานมาจากการผสมเส้นตรง กล่าวคือ เส้นตรงเดี่ยว เรียกว่า หยาง เป็นตัวแทน
แทนเพศชาย และเป็นสัญลักษณ์แทนความแข็งแกร่ง ส่วนเส้นตรงแยกเรียกว่า หยิน เป็นตัวแทน
เพศหญิง และเป็นสัญลักษณ์แทนความอ่อนโยนแปรปรวน
หยางและหยินแม้จะมีลักษณะตรงกันข้ามกัน แต่ทั้งสองก็รวมกันเป็นสิ่งที่เรียกว่า เอก
ภาวะ ได้ หรือประสานกลมเกลียวกันโดยอาศัยความแตกต่างนั่นเอง เส้นตรงทั้งสองนี้ในกาล
ต่อมา พระเจ้าเหวิน องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจ ได้ทรงนำมาจัดรวมกันได้ 8 กลุ่ม โดยมีกลุ่ม
ละ 3 เส้น และเรียงกันเป็นรูปวงกลม เส้นตรงทั้งสามเส้นมี 8 กลุ่ม มีสัญลักษณ์แทนองค์ประกอบ
หรือธาตุหลักของจักรวาล 8 ประการ คือ สวรรค์ ดิน ฟ้า น้ำ ลม ไฟ ภูเขา และหนองบึง ในสมัย
ต่อมา เส้นตรง 3 เส้นทั้ง 8 กลุ่มนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยมีเส้นตรง 3 เส้นเพิ่มเข้ามา จึงเป็น
เส้นตรง 6 เส้น และจัดกลุ่มได้ถึง 64 กลุ่ม แต่ละกลุ่มอธิบายธรรมชาติ จักรวาลและวิถีชีวิตของ
มนุษย์ เรียกว่า ปา กว้า
เรื่องกำเนิดปรัชญาจีนนี้ พงศาวดารจีนกล่าวย้อนไปนับหมื่นๆปี ว่ามีคนเริ่มต้นสร้าง
สวรรค์ มีชื่อว่า โกสี แล้วก็มีพี่น้องอยู่ 3 กลุ่ม คือกษัตริย์ในสรวงสวรรค์ 12 องค์ กษัตริย์บนโลก
11 องค์ และกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์อีก 9 องค์ ทั้ง 3 กลุ่มนี้จะเป็นตัวแทน สวรรค์ โลก และมนุษย์
บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน 111
2. การแพทย์แผนจีนและยาจีน
การแพทย์แผนจีน (中医中药) หมายถึงการแพทย์แผนโบราณของจีนซึ่งสืบทอดมานาน
หลายพันปีและได้หลอมรวมเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมของชนชาติจีน การแพทย์แผน
โบราณของจีนใช้หลักการหยินหยาง และธาตุทั้งห้าเป็นทฤษฎีพื้นฐาน และใช้วิธีตรวจวินิจฉัยโรค
4 วิธี คือ การมอง สูดดม การถาม และการฟังหรือการจับแมะ(การจับชีพจร) เมื่อวินิจฉัยโรคแล้ว
จึงดำเนินการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม การแพทย์แผนโบราณของจีนมีทฤษฎีเฉพาะศาสตร์ ที่เป็น
ระบบ โดยมีความเชื่อพื้นฐานว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ซึ่งประกอบขึ้นจากธาตุหยิน
และหยาง ธาตุทั้งสองมีคุณ สมบั ติตรงข้ ามกันแต่ต่างอยู่บนพื้นฐานของกันและกัน ดังนั้นหาก
สภาพความสมดุลของหยินและหยางถูกทำลาย ก็ย่อมทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น นอกจากนี้ยั ง
เชื่ อ ว่ า หลั ก การดำรงชี วิ ต และการเกิ ด โรคภั ย ต่ า งๆ มี ค วามสั ม พั น ธ์ อ ย่ า งใกล้ ชิ ด กั บ การ
เปลี่ ย นแปลงของธรรมชาติ (เช่ น สภาพอากาศในแต่ ล ะฤดู ก าล สภาพของพื้ น ที่ ต่ างๆ การ
ผลัดเปลี่ยนของเวลากลางวันและกลางคืน เป็นต้น) ดังนั้นระดับการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ
ของมนุ ษ ย์ ในสภาพแวดล้ อมทางธรรมชาติที่ แตกต่ างย่อมไม่เท่ากัน ทำให้ ส ภาพร่างกายและ
สภาวะการเกิดโรคต่างกันไปด้วย
ด้ว ยเหตุ นี้ การวินิ จ ฉั ย โรคของการแพทย์แ ผนจีน จึงให้ ค วามสำคั ญ กั บ ปั จจั ยด้ านเวลา
สิ่งแวดล้อมและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลมาก โดยจะไม่วินิจฉัยอย่างตายตัวจากอาการของ
โรคเพีย งอย่ างเดีย ว หลักการแพทย์แผนจีนถือว่าอวัยวะทุกส่ วนในร่างกายรวมเป็นองค์เดียว
ดังนั้น การวินิ จฉัยและรักษาโรคจึงไม่ได้พิจารณาจากความผิดปกติของอวัยวะเฉพาะส่วนหรือ
บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน 115
อาการป่วยเพียงด้านเดียว แต่จะพิจารณาจากปัจจัยรอบด้านและให้ความสำคัญกับแนวคิดองค์
รวมของร่างกายเป็นสำคัญ จากนั้นจึงเลือกใช้วิธีการรักษาหรือวิธีการป้องกันโรคที่เหมาะสม
วิธีการรักษาของการแพทย์แผนจีนมีหลากหลายวิธี โดยแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ
ได้แก่ การรักษาภายในด้วยการรับประทานยาและการรักษาภายนอกด้วยยาทา การนาบด้วย
ความร้อน การรม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการรั กษาโดยไม่ใช้ยาแบบอื่น และโด่งดังไปทั่วโลก
เช่น การฝังเข็ม การใช้กระปุกร้อนอังผิวหนัง การขูดผิวหนัง การนวดกดจุด การนวดและชี่กง
เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาด้วยการรับประทานยาหรืออาหารบำรุงประเภทต่างๆ อีกด้วย
3. ลักษณะครอบครัวของชาวจีน
ระบบครอบครัวของจีนยึดความกตัญญูและนับถือผู้อาวุโสตามหลักคำสอนของ “ขงจื๊อ”
หลักคำสอนของขงจื๊อ ถือว่ามนุษย์ที่สมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมแนวคำสอนที่เป็นพื้นฐาน
ของภูมิปัญญาของจีนที่เชื่อว่าปัญหาต่างๆในสังคมเกิดจากคนแต่ละคน การแก้ปัญหาทางหนึ่งคือ
การฝึกฝนตนเองการอบรมตัวเอง และสามารถปกครองครอบครัวได้ เมื่อปกครองครอบครัวได้ ก็
สามารถปกครองแคว้นได้ คุณธรรมประกอบด้วยหลัก 5 ประการ ความสุภาพ มีใจโอบอ้อมอารี
จริงใจ ตั้งใจ เมตตากรุณา คุณธรรมที่สำคัญที่เป็นหัวใจของปรัชญาขงจื๊อ คือ เหริน (仁) เพราะ
คำนี้ประกอบด้วย อักขระสองตัวคือ “คน” กับ “สอง” หมายถึง มนุษยสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์
บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน 117
4. เครื่องแต่งกายอดีตจนถึงปัจจุบันของชาวจีน
ประวัติศาสตร์ของประเทศจีนมีมานานถึง 5 พันปี วัฒนธรรมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชาว
จีนก็มีมายาวนานไม่แพ้กัน ซึ่งในระยะเวลา 5 พันปีมานั้น ชาวจีนได้รับอิทธิพลเครื่องแต่งกายจาก
ชนกลุ่มน้ อย เผ่าต่าง ๆ ในประเทศจีน รวมถึงวัฒ นธรรมการแต่งกายเสื้อผ้าของชาวต่างชาติ
118 บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน
ผสมผสานกันจนเป็นลักษณะพิเศษของการแต่งกายชาวจีนในยุคนั้นๆ ซึ่งการแต่งกายของชาวจีน
นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่าจะมีการพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เนื่องจากชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ ในประเทศจีนมีอยู่ถึง 42 % ของประชากรจีนทั้งหมด ซึ่ง
เมืองที่มีช นกลุ่ มน้ อยอาศัย อยู่ เยอะที่สุ ดคือเมือง หยุนหนาน จึงจำเป็นที่จะต้องแยกประเภท
วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวจีนออกเป็ น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวัฒ นธรรมการแต่งกายแต่ละยุค
สมัยของชาวจีน และกลุ่มการแต่งกายของชนกลุ่มน้อยต่ างๆ ในประเทศจีน ซึ่งมีอยู่ถึง 56 ชนเผ่า
ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้มักจะมีการแต่งกายที่มีลักษณะเอกลักษณ์และมักจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไป
ตามยุคสมัย แต่ในหัวข้อต่ อไปนี้จะขอกล่าวถึงวัฒ นธรรมการแต่งกายแต่ละยุคสมั ยของชาวจีน
โดยสังเขป ดังนี้
สมั ย ราชวงศ์ฉิ น (221-220 ปี ก่ อ นคริส ต์ศั กราช) เสื้ อ ผ้ าเครื่องแต่ งกายสมัย ฉิน ได้ รับ
อิทธิพลจากแนวคิดหยิ น หยาง (阴阳) คือ ความสมดุ ล ของสรรพสิ่ ง กฎแห่ งความสมดุล ของ
ธรรมชาติ เนื่ องจากยุ คสมัย ราชวงศ์ฉินค่ อนข้างจะสั้ น ดั่งนั้นสี ของเสื้ อจะเป็ นการผสมผสาน
ระหว่างสีเสื้อผ้าที่ฉินซีฮ่องเต้เป็นผู้กำหนดและสีเสื้อผ้าตามประเพณีจารีตของยุคจ้านกั๋ว
เสื้อผ้าผู้ชายสมัยราชวงศ์ฉินเป็นลักษณะเสื้อคลุมยาว ฉินซีฮ่องเต้ได้กำหนดให้ใช้สีดำเป็น
หลักในการตัดเย็บสำหรับเสื้อผ้าพิธีการ โดยเชื่อว่าสีดำเป็นสีที่ คู่ควรแก่การได้รับความเคารพ
ข้าราชการยศระดับ 3 ขึ้นไปให้ใช้สีเขียวประกอบในการตัดเย็บ ประชาชนทั่วไปใช้สีขาวประกอบ
ในการตัดเย็บ เสื้อผ้าผู้หญิ ง ฉินซีฮ่องเต้ไม่ได้มีการกำหนดสีในการตัดเย็บ เนื่องจากท่านชื่นชอบ
สีสันความสวยงามของเสื้อผ้าที่นางสนมในวังสวมใส่ จึงเน้นเสื้อผ้าที่มีสีสันสวยหรู ฉูดฉาด
สมั ย ราชวงศ์ ฮั่ น (202 ปี ก่ อ นคริ ส ตศั ก ราช – ค.ศ. 8) เสื้ อ ผ้ า สมั ย ราชวงศ์ ฮั่ น จะ
ประกอบด้วย เสื้ อคลุ มยาว เสื้อ ลำลองแบบสั้ น เสื้อนวมสั้ น กระโปรง (ผู้ห ญิ ง) และ กางเกง
(ผู้ชาย) ในยุคนี้ผ้าที่มีลักษณะการถั กทอได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ดังนั้ น คนที่มีเงินในสมัย
นั้นจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าแพรต่วน ซึ่งมีความสวยงามมาก โดยทั่วไปผู้ชาย จะสวมเสื้อสั้น
กางเกงขายาว และหากฐานะยากจน จะสวมเสื้อแขนสั้นที่ตัดเย็บด้วยผ้าหยาบ ในส่วนของ
ผู้หญิงในสมัยราชวงศ์ฮั่น เสื้อผ้ามีตั้งแต่เป็นลักษณะเสื้อและกระโปรงต่อกัน (กี่เพ้า) และแยกเสื้อ
กระโปรงเป็น 2 ชิ้น กระโปรงจะมีลวดลายหลากหลายมาก กระโปรงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัย
นั้น คือ “กระโปรงลายเทพสถิตย์” ระดับชั้น ของข้าราชการในสมัยราชวงศ์ฮั่น จะมีหมวกและ
สายประดับยศเป็นสัญลักษณ์ในการแบ่งชั้นของขุนนาง ซึ่งสมัยนั้น ตำแหน่งอัครเสนาบดีเป็นขุน
นางตำแหน่งสูงสุด
สมัยราชวงศ์เว่ยจิ้น หนานเป่ย ( ค.ศ.220- ค.ศ.589) หรือที่เรารู้จักกัน “สมัยสามก๊ก” ก็
อยู่ ในยุ คนี้ สมัย ราชวงศ์เว่ย จิ้น หนานเป่ยจัดได้ว่าเป็นสมัย ที่ศาสนาพุทธและลั ทธิเต๋าเฟื่องฟู
เครื่องแต่งกายชายหญิง ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ จนถึงประชาชนทั่วไป เสื้ อผ้ าจะมี
ลักษณะหลวมยาว และมีเข็มขัดคาด หากเป็นเสื้อผ้าผู้ชายจะมีการเปิดแผงหน้าอกเล็กน้อย ไหล่
บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน 119
5. อาหารของชาวจีน
ประเทศจีนมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง และแต่ละภูมิภาคก็ยังมีสภาพทาง
ธรรมชาติ วิถี ชี วิ ต ของผู้ ค น และการพั ฒ นาทางเศรษฐกิ จวั ฒ นธรรมแตกต่ างกั น จึ งทำให้ มี
วัฒนธรรมอาหารการกิน ที่แตกต่างกันไปตามสภาพแต่ละท้องถิ่น ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17
อาหารพื้นถิ่นเช่นอาหารซานตง ( 鲁菜) อาหารกวางตุ้ง (粤菜) อาหารเสฉวน (川菜) อาหาร
หวายหยาง (淮扬菜) ได้กลายเป็นอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงอย่างกว้าง ขวางในจีน จนได้รับการ
ขนานนามว่าเป็น “อาหาร 4 สายหลักของจีน” (四大菜系)
อาหารซานตง หรืออาหารหลู่ช่ายภาคเหนือของจีน เป็นอาหารพื้นถิ่นขึ้นชื่อในยุคต้นๆ
ด้วยรสชาติที่เน้นเค็มอร่อย กรอบนุ่ม การปรุงที่พิถีพิถันเป็นที่ลือชื่อทั้งในและต่างประเทศ อาหาร
ซานตงประกอบด้วยกลุ่มอาหารเมืองจี้หนาน (เมืองเอกของมณฑลซานตง) และอาหารแหลม
เจี ย วตงที่ มี ร สนิ ย มแตกต่ า งกั น อาหารจี้ ห นานพิ ถี พิ ถั น ในด้ า นความหอม สด นุ่ ม อร่ อ ย รส
บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน 121
ศิล ปวัฒ นธรรมที่ ล ะเอี ย ดลุ่ มลึ กเท่ านั้ น แต่ยังมีตำนานเล่ าขานที่งดงามน่ าประทั บ ใจอีกด้ ว ย
นับเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนอันสำคัญของวัฒนธรรมอาหารจีน
6. ชา และสุราของชาวจีน
6.1 ชาของชาวจีน
คำว่า ชา ภาษาจีนกลางจะออกเสียงว่า ฉา (茶) ซึ่งไม่แตกต่างจากภาษาไทยมาก
นัก จีนเป็นชนชาติแรกที่รู้จักการดื่มชา ผลิตชาและทำไร่ชามานานกว่า 2,000 ปีแล้ว มีตำนาน
มากมายเล่าถึงการกำเนิดของชาและประเพณีการดื่มชา ซึ่งมี เรื่องหนึ่งเล่ากันว่า นานมาแล้วใน
เมืองจีน เกิดการระบาดของอหิ วาตกโรค ผู้ คนล้ มตายกันมาก มีห มอจีนคนหนึ่ งสังเกตเห็ นว่า
สาเหตุของโรคระบาดมาจากน้ำสกปรกที่ชาวบ้านใช้ดื่มกิน จึงพยายามหาวิธีที่จะให้ชาวบ้านหัน
มาดื่มน้ำต้มสุกแทนน้ำดิบ โดยทดลองนำใบไม้หลายชนิดมาต้มน้ำร้อน เพื่อให้มีกลิ่นหอมและรสดี
ชวนดื่ม เมื่อชาวบ้านดื่มน้ำชากันมากขึ้น โรคห่าก็ค่อยๆ หมดไปในที่สุด ตั้งแต่นั้นมาชาวจีนก็นิยม
ดื่มน้ำชามาจนปัจจุบัน
อีกหนึ่งตำนานที่กล่าวถึงการกำเนิดของชา คือ ชาถูกค้นพบโดยจักรพรรดิเซิน
โดยย้อนไปถึงปี 2737 ก่อนคริสต์กาล ก็กว่า 4700 ปีมาแล้ว ในรัชสมัยของจักรพรรดิเซิ น วัน
หนึ่งจักรพรรดิเซินเสด็จล่าสัตว์ ขณะทรงพักผ่อนใต้ร่มไม้ และทรงต้มน้ำดื่มหน้ากองไฟ มีกระแส
ลมพัดพาเอาใบไม้หล่นลงในหม้อน้ำที่กำลังต้ม เมื่อจักรพรรดิทรงชิมน้ำที่ต้ม พบว่ามีรสชาติดีและ
มีกลิ่นหอมจากใบไม้ชนิดนั้น ใบไม้ชนิดนั้นก็คือใบชานั้นเอง และจากนั้นมา ชาจึงได้หยั่งรากลึกใน
ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของจีน เป็นที่รู้จักและนิยมดื่มกันไปทั่วโลกตราบจนถึงปัจจุบัน
หนั งสื อ โบราณเกี่ ย วกั บ ใบชาที่ มี ชื่ อ เสี ย งโด่ งดั งที่ สุ ด มี ชื่ อ ว่ า “ฉาจิ ง ” (茶经)
แปลว่า ตำราของชา นับเป็นหนั งสือเล่มแรกของโลกที่บันทึกถึงประวัติศาสตร์การกำเนิดชา การ
ผลิตชา ประเภทของชา ประเพณีการดื่มชาเป็นต้ น ผู้เขียนมีนามว่า “ลู่หยู่” (陸羽) ผู้ที่มีความรู้
และประสบการณ์เกี่ยวกับการผลิตชาและประเพณีการดื่มชามากมาย เป็นคนสมัยราชวงศ์ถัง ลู่
หยู่ตั้งแต่เด็กก็เรียนรู้จากพระจีนผู้สูงอายุหลายปี จนมีฝีมือชงชายอดเยี่ยมและตั้งแต่อายุ 24 ปี ก็
เริ่มไปสำรวจพื้นที่ต่างๆ ในเขตปลูกชา เพื่ อรวบรวมข้อมูลเอกสารและลงมือเขียน กว่าจะเขียน
ตำราฉาจิงออกมาได้ ลู่หยู่ก็อายุ 51 ปีแล้ว โดยใช้เวลานานถึง 27 ปี คนรุ่นหลังจึงยกย่องเขาเป็น
“ปราชญ์เมธีทางชา”
ใบชาของจีนสามารถแบ่งจำแนกตามวิธีการทำ ได้แก่ ชาเขียว (绿茶) ชาแดง (
红茶) ชาอู่หลง (乌龙茶) ชาดอกไม้ (花茶) ชาถัวชา (沱茶) ชาจวนฉา (砖茶) เป็นต้น และชา
แต่ละประเภทก็ยังแบ่งออกได้อีกหลายชนิด ซึ่งชาต่างๆ เหล่านี้มาจากความหลากหลายของแหล่ง
ปลูก อาทิเช่น ชาเขียวที่ขึ้ นชื่อ คือ ชาหลงจิ่ง (龙井茶) ของหางโจว ชาปี้หลัวชุน ( 碧螺春茶)
ของเจียงซู เป็นต้น จากความหลากหลายของชาจำนวนมาก นัก วิจัยบางท่านได้นับจำนวนได้
มากกว่า 700 ชนิด ส่วนอื่นที่นำมารวมด้วยมีมากกว่า 1000 ชนิด บางส่วนมีการเปลี่ยนแปลงของ
บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน 123
6.2 สุราของชาวจีน
ประเทศจีนถือเป็นต้นกำเนิดของสุรา และเป็นแหล่งที่มาทางวัฒนธรรมของสุรา
ด้วย ประเทศจีนเป็นประเทศแรกๆ ที่มีการหมักสุรา จากตำนานกล่าวกันว่า “ตู้คัง (杜康)” แห่ง
ราชวงศ์เซี่ยเป็นผู้คิดค้นสุราขึ้น ครั้งหนึ่งโจโฉได้แต่งบทกวีไว้ว่า “จะคลายเศร้าโศกาอย่างไร หาก
ชีวิตไร้ซึ่งตู้คัง”
สุรามีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นในจีน คือเหล้าขาว (白酒) และเหล้าเหลือง (黄酒)
เป็นเหล้าที่หมักจากธัญพืช อย่างสาโทนี่ก็เป็นเหล้าที่หมักมาจากข้าว รสชาติทั้งเปรี้ยวทั้งหวาน
ตัวอักษรเจี่ยกู่เหวิน (甲骨文) คำว่า “สุรา” หรือ “เหล้า” (酒) ในสมัยราชวงศ์ซางก็มีอักษรคำนี้
แล้ว จะเห็นได้ว่าเหล้ามีประวัติอันยาวนาน สมัยก่อนมี เพียงแต่พระราชาและชนชั้นสูงเท่านั้นที่มี
สิทธิ์ดื่มสุรา สุราถือเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพชนิดหนึ่ง (ในกรณีดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น)
ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตสูบฉีดได้ดี เสี่ยงกับโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยลง แต่ถ้าดื่มมาก
ไปก็มีอันตรายสูง อาจส่งผลร้ายต่อตับ ม้าม และสมองได้
มีเรื่องเล่ากล่าวถึงในสมัยราชวงศ์ซาง ผู้คนนิยมดื่มเหล้ามาก โดยเฉพาะชนชั้น
ปกครองในยุคหลังๆ พวกเขาดื่มเหล้ากันตลอด ไม่สนใจบ้านเมือง แม้แต่ซางโจ้วอ๋อง กษัตริย์องค์
บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน 125
7. ที่อยู่อาศัยของชาวจีน
ด้วยความที่อาณาเขตของประเทศจีนมีความกว้างใหญ่ ไพศาล มีประชากรจำนวนมาก
ภูมิอากาศและชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น รูปแบบบ้านเรือนที่อยู่อาศัย
ของผู้คนแต่ละที่จึงแตกต่างกัน ซึ่งก่อให้เกิดความหลากหลายของรูปแบบที่อยู่อาศัยของชาวจีน
บ้านพักอาศัยของคนจีนในอดีตเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์มาก กระจัด
กระจายอยู่ในขอบเขตที่กว้างขว้างในประเทศจีน และปัจจุบันยังมีให้เห็นเป็นจำนวนมากในจีน
เนื่องจากท้องที่ต่างๆ ของจีน มีภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติแตกต่างกันและประเพณีนิยมก็ไม่
เหมือนกัน บ้านพักของคนจีนในท้องที่ต่าง ๆ จึงมีหลายแบบ อาทิเช่น
ภาพที่ 7.7 ภาพบ้านพักอาศัยที่มีมาแต่ดั้งเดิมของชาวฮั่นคือ ซื่อเหอย่วน (四合院) หรือว่า
บ้ านชั้น เดีย วที่ส ร้างขึ้น ล้ อมรอบลานบ้านทั้ง 4 ด้าน มีซื่อเหอย่วนในกรุ งปั กกิ่งเป็นแบบฉบั บ
ส่วนมากแบ่งเป็นสองส่วนคือ ลานด้านหน้ากับลานด้านหลัง ห้องทางด้านเหนือในลานด้านหน้า มี
ฐานะสูงที่สุด เป็นสถานที่จัดพิธีต่าง ๆ ในครอบครัวหรือรับแขก มีระเบียงเชื่อมห้องต่าง ๆ ใน
126 บทที ่ 7 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการดาเนินชีวติ ของชาวจีน
บทสรุป
คำถามทบทวน
1. จากการที่ท่านได้ศึกษาการดำเนินชีวิตของคนจีน ขอให้ท่านอธิบายลักษณะการดำเนิน
ชีวิตของคนจีนตามความเข้าใจของท่าน
2. จากการที่ท่านได้ศึกษาลักษณะครอบครัวของชาวจีน ขอให้ท่านอธิบายลักษณะลักษณะ
ครอบครัวของชาวจีนตามความเข้าใจของท่าน
3. จากการที่ท่านได้ศึกษาอาหารจีน ชาจีน และสุราจีน ขอให้ท่านอธิบายลักษณะอาหาร
จีน ชาจีน และสุราจีนตามความเข้าใจของท่าน
4. จากการที่ท่านได้ศึกษาที่อยู่อาศัยของชาวจีน และเครื่องแต่งกายของชาวจีน ขอให้ท่าน
อธิบายลักษณะที่อยู่อาศัยของชาวจีน และเครื่องแต่งกายของชาวจีนตามความเข้าใจของท่าน
5. จากการที่ ท่ า นได้ ศึ ก ษาการแพทย์ แ ผนจี น และยาจี น ขอให้ ท่ า นอธิ บ ายลั ก ษณะ
การแพทย์แผนจีนและยาจีนตามความเข้าใจของท่าน