Professional Documents
Culture Documents
สําหรับนิสิตปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัย ศรีนครินท. รวิโรฒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินคุณภาพบทเรียนออนไลน์ PDF
สําหรับนิสิตปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัย ศรีนครินท. รวิโรฒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินคุณภาพบทเรียนออนไลน์ PDF
สารนิพนธ์
ของ
เอกสิทธิ ์ อภิสทิ ธิกุล
สารนิพนธ์
ของ
เอกสิทธิ ์ อภิสทิ ธิกุล
บทคัดย่อ
ของ
เอกสิทธิ ์ อภิสทิ ธิกุล
AN ABSTRACT
BY
EAKSIT APISITTIKOOL
The Purpose of this study were to 1) develop a web-based instruction on the radio
production program for educational communication technology undergrade students
Srinakharinwirot University 2nd to find out its efficiency at, 80/80 criteria. 2) to determine the
satisfaction of the students to learn on web-based instruction on the radio production program.
The samples were selected by purposive sampling including 40 students who enrolled in
educational radio program production in the second year of Educational Communication and
Technology department, Faculty of Education, Srinakharinwirot University. The instruments were
web-based instruction on the radio production program , achievement test , quality evaluation
form , evaluation of satisfaction. The data were analyzed by mean and percent.
The findings revealed that the quality of the web-based instruction on the radio
production program for educational communication technology undergrade students,
Srinakharinwirot University was ranked good by content and educational technology experts its
efficiency were 85.67/87.75 that corresponding with the 80/80 criteria and the student’s
satisfaction with web-based courseware were middle level.
อาจารย์ทป่ี รึกษาสารนิพนธ์ประธานคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและคณะกรรมการสอบ ได้
พิจารณาสารนิพนธ์เรื่อง การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ เรื่อง การผลิตรายการวิทยุการศึกษา สําหรับนิสติ
ปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีส่อื สารการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ของ เอกสิทธิ ์ อภิสทิ ธิกุล
ฉบับนี้แล้ว เห็นสมควรรับเป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้
อาจารย์ทป่ี รึกษาสารนิพนธ์
…..…….……..…………………….…………..
(อาจารย์ ดร. รัฐพล ประดับเวทย์)
ประธานคณะกรรมการบริหารหลักสูตร
…..…….……..…………………….……… …..
(ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ฤทธิชยั อ่อนมิง่ )
คณะกรรมการสอบ
…..…….……..………………………………… ประธาน
(อาจารย์ ดร. รัฐพล ประดับเวทย์)
…..…….……..………………………………… กรรมการสอบสารนิพนธ์
(อาจารย์ ดร. นฤมล ศิระวงษ์)
…..…….……..………………………………… กรรมการสอบสารนิพนธ์
(อาจารย์ ดร. นัทธีรตั น์ พีระพันธุ)์
อนุ มตั ิใ ห้ร บั สารนิ พ นธ์ฉ บับ นี้ เ ป็ น ส่ว นหนึ่ งของการศึกษาตามหลัก สูต รปริญญาการศึก ษา
มหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
…..…….……..…………………….………….. คณบดีคณะศึกษาศาสตร์
(รองศาสตราจารย์ ดร. องอาจ นัยพัฒน์)
วันที่ เดือน เมษายน พ.ศ. 2555
ประกาศคุณูปการ
บทที่ หน้ า
1 บทนํา................................................................................................................. 1
ภูมหิ ลัง............................................................................................................ 1
ความมุง่ หมายของการวิจยั ............................................................................... 4
ความสําคัญของการวิจยั ................................................................................... 4
ขอบเขตของการวิจยั ........................................................................................ 4
นิยามศัพท์....................................................................................................... 5
4 ผลการศึกษาค้นคว้า........................................................................................... 89
บทเรียนออนไลน์……………………………….................................................... 89
ผลการประเมินคุณภาพของบทเรียนออนไลน์..................................................... 89
ผลการหาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์...................................................... 95
ผลการประเมินความพึงพอใจของผูเ้ รียน............................................................. 97
สารบัญ(ต่อ)
บทที่ หน้ า
บรรณานุกรม............................................................................................................... 108
ภาคผนวก.................................................................................................................... 112
ภาคผนวก ก…………….….................................................................................... 113
ภาคผนวก ข……………………………………………….......................................... 119
ภาคผนวก ค…………………………………………................................................. 131
ภาคผนวก ง……………………………………….…………………........................... 139
ภาคผนวก จ……………………………................................................................... 146
ความมุ่งหมายของการวิจยั
1. เพื่อพัฒนาบทเรียนออนไลน์เรื่องการผลิตรายการวิทยุการศึกษาให้มปี ระสิทธิภาพ ตาม
เกณฑ์ 80/80
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนิสติ ที่เรียนโดยใช้บทเรียนออนไลน์ เรื่องการผลิตรายการ
วิทยุการศึกษา
ความสําคัญของการวิจยั
ผู้เรียนสามารถศึกษาทบทวนบทเรียนเรื่องการผลิต รายการวิทยุการศึกษาผ่านบทเรียน
ออนไลน์ เรื่องการผลิตรายการวิทยุการศึกษาได้ทุกที่ทุกเวลาและผูเ้ รียนเกิดทักษะใหม่ๆที่เกิดจาก
การค้นคว้าด้วยตนเอง และ การค้นคว้านอกห้องเรียน และเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาใน
การผลิตรายการวิทยุโดยทีผ่ สู้ อนสามารถประหยัดเวลาในการสอนเนื้อหาเรือ่ งการผลิตวิทยุการศึกษา
ในบางส่วนทีผ่ เู้ รียนสามารถศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองได้
ขอบเขตของการวิจยั
ประชากร
ประชากรที่ใช้ ในการศึกษาเป็ นนิ สิตปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีส่ือสารการศึ กษา คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ จํานวน 213 คน
5
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่ มตัวอย่ างที่ใช้ในการศึกษาเป็ น นิ ส ิตระดับปริญญาตรี ชัน่ ปี ท่ี2 สาขาเทคโนโลยีส่ือสาร
การศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ จํานวน 45 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจงจากนิสติ ที่
ลงทะเบียนเรียนวิชา การผลิตรายการวิทยุการศึกษา(ET 321) ในปี การศึกษา 1/2554 โดยแบ่งเป็ น
การทดลองครัง้ ที่ 1 จํานวน 3 คน ซึง่ ได้มาโดยวิธกี ารสุม่ อย่างง่าย
การทดลองครัง้ ที่ 2 จํานวน 12 คน ซึง่ ได้มาโดยวิธกี ารสุม่ อย่างง่ายจากจํานวนทีเ่ หลือ
การทดลองครัง้ ที่ 3 จํานวน 30 คน ซึง่ ได้มาโดยวิธกี ารสุม่ อย่างง่ายจากจํานวนทีเ่ หลือ
เนื้ อหาที่ใช้ในการวิ จยั
เนื้อหาทีน่ ํามาใช้ใน บทเรียนออนไลน์เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา มีดงั นี้
1. ความเป็ นมาของวิทยุการศึกษา
2. หลักการเกีย่ วกับการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
3. การเขียนบทวิทยุการศึกษา
4. ห้องบันทึกเสียงและเครือ่ งมือ
5. รูปแบบของรายการวิทยุการศึกษา
นิยามศัพท์
1. บทเรียนออนไลน์ หมายถึง บทเรียนเรื่องการผลิตรายการวิทยุการศึกษา ทีน่ ํ าเสนอ
เนื้อหาผ่านคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งบทเรียนออนไลน์ ซึง่ ประกอบด้วย ตัวอักษร,
ภาพ (ภาพนิ่ง,ภาพเคลื่อนไหว, ภาพกราฟิ ก) เสียง, แบบฝึ กหัด, แหล่งสืบค้นข้อมูล, ผูเ้ รียน
สามารถแลกเปลีย่ นแสดงความคิดเห็นได้ และเนื้อหาในบทเรียนสามารถเชื่อมโยงกลับไปกลับมาได้
เพือ่ ใช้ในการเรียนรูโ้ ดยนิสติ ได้เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง
5. ผูเ้ ชี่ยวชาญ
5.1 ผู้เชี่ ยวชาญด้านเนื้ อหา หมายถึง ผูท้ จ่ี บการศึกษาระดับปริญญาตรี ในสาขา
เทคโนโลยีการศึกษา นิเทศศาสตร์ สื่อสารมวลชน หรือสาขาอื่นทีเ่ กี่ยวข้อง ทีม่ คี วามเข้าใจด้าน
การผลิตรายการวิทยุการศึกษา และ มีประสบการณ์ ไม่น้อยกว่า 10 ปี หรือ
ผูท้ จ่ี บการศึกษาระดับปริญญาโท ในสาขาเทคโนโลยีการศึกษา นิเทศศาสตร์
สื่อสารมวลชน หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่มคี วามเข้าใจด้านการผลิตรายการวิทยุการศึกษา และ
มีประสบการณ์ ไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือ
ผูท้ จ่ี บการศึกษาระดับปริญญาเอก ในสาขาเทคโนโลยีการศึกษา นิเทศศาสตร์
สื่อสารมวลชน หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่มคี วามเข้าใจด้านการผลิตรายการวิทยุการศึกษา และ
มีประสบการณ์ ไม่น้อยกว่า 3 ปี
5.2 ผู้เชี่ ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา หมายถึง ผูท้ ่จี บการศึกษาระดับ
ปริญ ญาตรี ในสาขาเทคโนโลยีก ารศึก ษา และมีป ระสบการณ์ ใ นการทํ า งานด้า นเทคโนโลยี
การศึกษาไม่น้อยกว่า 10 ปี หรือ
ผู้ ท่ี จ บการศึ ก ษาระดับ ปริ ญ ญาโท ในสาขาเทคโนโลยี ก ารศึ ก ษา และมี
ประสบการณ์ในการทํางานด้านเทคโนโลยีการศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือ
ผู้ ท่ี จ บการศึ ก ษาระดับ ปริญ ญาเอก ในสาขาเทคโนโลยีก ารศึ ก ษา และ มี
ประสบการณ์ในการทํางานด้านเทคโนโลยีการศึกษาไม่น้อยกว่า 3 ปี
7
เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง
ในการวิจยั ครัง้ นี้ ผูว้ จิ ยั ได้ศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้อง และได้นําเสนอตามหัวข้อ
ต่อไปนี้
กําหนดปั ญหา
กําหนดผลที่ต้องการ
กําหนดแนวทางเลือก
ดําเนินการพัฒนา
ทดลองและประเมินผล
ปรับปรุงและนําไปใช้
ของผูเ้ รียนทัง้ หมดเมือ่ คิดเป็ นร้อยละได้ 90 หรือ สูงกว่า 90 ส่วน 90 ตัวหลังหมายถึง ผูเ้ รียนร้อยละ
90 ของทัง้ หมด สามารถทําข้อสอบข้อหนึ่ง ๆ ได้ถูกต้อง ถ้าผลการวิเคราะห์เป็ นไปตามเกณฑ์
ดังกล่าว ก็ทําการปรับปรุงแก้ไขเฉพาะส่วนทีบ่ กพร่อง เพื่อนํ าไปทดลองใช้ในขัน้ ตอนที่ 3 ต่อไป
หากผลการวิเคราะห์ไม่เป็ นไปตามเกณฑ์ดงั กล่าว ก็จะดําเนินการด้วยวิธเี ดิมของกลุ่มตัวอย่างใหม่
จนกว่าจะได้ผลตามเกณฑ์ทก่ี าํ หนด
2. เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบบทเรียนออนไลน์
ปจั จุบนั เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวติ ประจําวันเป็ นอย่างมาก เนื่องจากเป็ น
แหล่งรวบรวมความรูใ้ นรูปแบบของข้อความหลายมิติ (Hypertext) บนเครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บ ทีม่ กี าร
จัดเก็บข้อมูลจํานวนมหาศาล และเป็ นช่องทางสือ่ สารทีส่ ะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายใน
การติดต่อสื่อสาร อีกทัง้ ผูใ้ ช้ยงั สามารถโต้ตอบมีปฏิสมั พันธ์ได้หลายรูปแบบ ทําให้มกี ารพัฒนาเว็บ
เพื่อการศึกษาและมีการจัดการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตขึน้ ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เว็บจึงกลายเป็ นเครือ่ งมือทีส่ าํ คัญในการเรียนการสอนและการเรียนรูซ้ ง่ึ สามารถใช้เสริมการเรียนการ
สอนในชัน้ เรียนปกติหรือใช้เป็ นรูปแบบหนึ่งของการเรียนการสอนในหลักสูตรได้
ความหมายของบทเรียนบนเครือข่ายอิ นเทอร์เน็ต
คําว่า Web-Based Instruction ประกอบขึน้ จากคําศัพท์ต่าง ๆ ดังนี้ Web หมายถึง เว็บ
(ศัพท์คอมพิวเตอร์ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แก้ไขเพิม่ เติม. 2543: 157) Based หมายถึง ฐาน
(ศัพท์คอมพิวเตอร์ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แก้ไขเพิม่ เติม. 2543: 13) Instruction หมายถึง คําสัง่
หรือการสอน (ศัพท์คอมพิวเตอร์ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แก้ไขเพิม่ เติม. 2543: 18)
ราชบัณฑิตยสถานบัญญัตศิ พั ท์ Web-based Instruction ไว้ว่า “การสอนบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต” เนื่องจาก เมื่อมีการพูดหรือเขียนในภาษาอังกฤษจะใช้คาํ ว่า“on web” ซึง่ เมื่อแปลเป็ น
ภาษาไทยอย่างตรงตัว คือ “บนเว็บ” นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของการสอนบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตไว้ดงั นี้
13
ความสําคัญของการสอนบนเครือข่ายอิ นเทอร์เน็ต
เหตุผลทีม่ กี ารจัดการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตขึน้ เนื่องจากความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยีการสื่อสารและคอมพิวเตอร์ ทําให้การสื่อสารข้อมูล ความรู้ สารสนเทศต่างๆเป็ นไปอย่าง
รวดเร็ว ด้ว ยคุ ณ สมบัติข องคอมพิว เตอร์ป ระกอบกับ คุ ณ สมบัติข องเครือ ข่ า ย ส่ ง ผลให้มีค วาม
เหมาะสมที่จะใช้อนิ เทอร์เน็ตเป็ นสื่อเพื่อการศึกษา ปจั จุบนั เนื้อหาความรูแ้ ละสารสนเทศต่างๆถูก
14
รูปแบบของการสอนบนเครือข่ายอิ นเทอร์เน็ต
กิดานันท์ มลิทอง (2540) กล่าวว่า การสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถใช้ได้กบั การ
สอนทุกวิชา โดยอาจเป็ นการใช้เว็บเพื่อการสอนวิชานัน้ ทัง้ หมด หรือใช้เพื่อประกอบเนื้อหาวิชาได้
สามารถแบ่งการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ 3 รูปแบบดังนี้
1. วิชาเอกเทศ (Stand – Alone Course or Web–based Course) เป็ นวิชาทีเ่ นื้อหาและ
ทรัพยากรทัง้ หมด มีการนําเสนอบนเว็บ รวมถึงการสื่อสารกันเกือบทัง้ หมดระหว่างผูส้ อนและผูเ้ รียน
จะผ่ า นทางคอมพิ ว เตอร์ การใช้ รู ป แบบนี้ ส ามารถใช้ ไ ด้ ก ั บ วิ ช าที่ ผู้ เ รี ย นนั ง่ เรี ย นอยู่ ใ น
สถาบันการศึกษาและส่วนมากแล้วจะใช้ในการศึกษาทางไกลโดยผูเ้ รียนจะลงทะเบียนเรียนและมีการ
โต้ตอบกับผูส้ อนและเพื่อนร่วมชัน้ เรียนคนอื่นๆผ่านทางการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต ด้วยวิธกี ารนี้จะ
ทําให้ผเู้ รียนในทุกส่วนของโลกสามารถเรียนร่วมกันได้โดยไม่มขี ดี จํากัดในเรื่องของสถานทีแ่ ละเวลา
ตัวอย่าง เช่น มหาวิทยาลัยอทาบาสคา (Athabasca University) จัดให้มวี ชิ าเอกเทศหลายวิชาเป็ น
ส่วนหนึ่งของโปรแกรมการสอนทางไกลในระดับปริญญามหาบัณฑิตและมหาวิทยาลัยแห่งโอคลาโฮ
มากลาง (University of Central Oklahoma) จัดให้มชี นั ้ เรียนโดยการใช้เว็บในลักษณะการศึกษา
ทางไกลเรียกว่า “ชัน้ เรียนไซเบอร์” (Cyber Classes) โดยผูเ้ รียนไม่ตอ้ งเดินทางไปมหาวิทยาลัยแต่
ทํ า การเรีย นผ่ า นทางอิน เทอร์เ น็ ต ทัง้ หมดนั บ ตัง้ แต่ ก ารลงทะเบีย นเรีย น บัน ทึก เปิ ด เข้า ไปดู
รายละเอียดและวิธกี ารเรียน ศึกษาเนื้อหาจากเว็บไซต์ของอาจารย์ประจําวิชา ค้นคว้าเพิม่ เติมจาก
เว็บไซต์อ่นื ๆ ทํากิจกรรมส่งทางอีเมล์ หรือทางไปรษณียถ์ ้าเป็ นชิน้ งานทีไ่ ม่สามารถส่งทางอีเมล์ได้
และติดต่อสือ่ สารกับผูส้ อนและผูเ้ รียนอื่นทางอีเมล์และโทรศัพท์ เว็บเพื่อการสอนหนึ่งวิชาแบบเฉพาะ
เป็ นการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต โดยมีส่อื เนื้อหา ข้อมูลต่างๆ รวมทัง้ รูปแบบการสื่อสาร อยู่
ในระบบของอิน เทอร์เ น็ ต ทัง้ หมด การติด ต่ อ ต้อ งกระทํ า ผ่ า นเครื่อ งคอมพิว เตอร์ ถือ เป็ น ระบบ
การศึกษาทางไกลรูปแบบหนึ่ง
2. วิชาใช้เว็บเสริม (Web Supported Course) เป็ นการทีผ่ สู้ อนและผูเ้ รียนจะพบกับใน
สถาบันการศึกษา แต่ทรัพยากรหลายๆอย่าง เช่น การอ่านเนื้อหาทีเ่ กี่ยวข้องกับบทเรียนและข้อมูล
เสริมจะอ่านจากเว็บไซต์อ่นื ๆทีเ่ กีย่ วข้องโดยการทีผ่ สู้ อนกําหนดมาให้หรือผูเ้ รียนหาเพิม่ เติม ส่วนการ
ทํางานที่สงั ่ การทํากิจกรรม และการติดต่อสื่อสาร จะทํากันบนเว็บเช่นกัน ตัวอย่างเช่น วิชาการ
สื่อสารในองค์กร ในมหาวิทยาลัยแห่งเท็กซัส แพนอเมริกนั (University of Texas – Pan American)
เป็ นต้น เว็บเสริมการเรียนการสอนเป็ นการเรียนการสอนในสภาพปกติแต่มกี จิ กรรม การเรียนต่างๆ
เช่น การให้แบบฝึ กหัด การกําหนดแหล่งข้อมูลให้อา่ น การสือ่ สารผ่านคอมพิวเตอร์รปู เพิม่ ในกิจกรรม
การเรียน
3. ทรัพยากรการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Web Pedagogical Resources) เป็ นการนํา
เว็บไซต์ต่างๆ ทีม่ ขี อ้ มูลเกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชามาใช้เป็ นส่วนหนึ่งของวิชานัน้ หรือใช้เป็ นกิจกรรม
การเรียนของวิชา ทรัพยากรเหล่านี้จะหลากหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ ภาพกราฟิกภาพเคลื่อนไหว
เสียง การติดต่อระหว่างผู้เรียนกับเว็บไซต์ ฯลฯ โดยจะดูได้จากเว็บไซต์ต่างๆตัวอย่างเช่น Blue
Web’s Application Library และ Canada’s SchoolNet สําหรับผูเ้ รียนและชัน้ ประถมและมัธยม เว็บ
16
องค์ประกอบของบทเรียนบนเครือข่ายอิ นเทอร์เน็ต
องค์ประกอบของบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีหลายอย่าง อาจใช้เพียงอย่างใดอย่าง
หนึ่งหรือทัง้ หมดในการสอนก็ได้ ได้แก่
1. ข้อความหลายมิติ (Hypertext) เป็ นการเสนอเนื้อหาตัวอักษร ภาพกราฟิ กอย่างง่ายๆและ
เสียง ในลักษณะไม่เรียงลําดับกันเป็ นเส้นตรง ในสภาพแวดล้อมของเว็บนี้การใช้ขอ้ ความหลายมิตจิ ะ
ให้ผใู้ ช้คลิกส่วนทีเ่ ป็ น“จุดพร้อมโยง”(Hot Spot) ซึง่ ก็คอื “จุดเชื่อมโยงหลายมิต”ิ (Hyperlink)นัน่ เอง
โดยอาจเป็ นภาพหรือข้อความทีข่ ดี เส้นใต้ เพื่อเข้าถึงแฟ้มทีเ่ ชื่อมโยงกับจุดพร้อมโยงนัน้ แฟ้มนี้อาจ
อยู่ในเอกสารเดียวกันหรือเชื่อมโยงกับเอกสารอื่นที่อยู่ห่างไกลได้ การใช้เว็บเพ็จที่บรรจุขอ้ ความ
หลายมิติจะช่วยให้ผูเ้ รียนที่มเี ครื่องคอมพิวเตอร์ท่มี สี มรรถนะปานกลางสามารถบรรจุลงเนื้อหาได้
โดยง่ายเนื่องจากไม่ตอ้ งใช้โปรแกรมช่วยอื่นๆร่วมด้วย ข้อความหลายมิตจิ งึ เป็ นการเสนอสารสนเทศ
ซึง่ ได้รบั การคิดค้นขึน้ มาด้วยเหตุผลทีว่ ่า ในการอ่านหนังสือนัน้ ผูอ้ ่านไม่จําเป็ นต้องอ่านเนื้อหาในมิติ
เดียวเรียงลําดับกันในแต่ละบทแต่ละตอนตลอดทัง้ เล่มแต่สามารถข้ามไปอ่านตอนใดทีต่ นสนใจก่อนก็
จะได้ความเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ผูอ้ ่านไม่จําเป็ นต้องยึดติดกับวิธกี ารที่ผเู้ ขียนแสดงความคิดเห็น
ออกมา ดังนัน้ ผูอ้ ่านจึงสามารถเชื่อมต่อความคิดของตนโดยการข้ามหรือผ่านเนื้อหาและเชื่อมโยง
เนื้ อหาเองตามที่ตนต้องการได้เช่นกันและในขณะที่อ่านนัน้ ก็อาจจะมีความคิดอื่นที่เกี่ยวข้องกับ
เนื้อหานัน้ แทรกเข้ามาได้หรืออยากจะค้นคว้าข้อมูลเกีย่ วกับเนื้อหานัน้ ก็สามารถกระทําได้โดยทันที
โดยการเรียกจากข้อมูลทีบ่ รรจุอยูใ่ นเรือ่ งราวนัน้ หรือจากเรือ่ งอื่นๆในโปรแกรมเดียวกันมาดูได้
ข้อความหลายมิติเป็ นเทคโนโลยีของการอ่าน และการเขียนที่ไม่เรียงลําดับเนื้อหากันโดย
เสนอในลักษณะของข้อความทีเ่ ป็ นตัวอักษร ภาพกราฟิ ก และเสียง ทีม่ กี ารเชื่อมโยงถึงกันเรียกว่า
“จุดต่อ” (Nodes) ผูใ้ ช้หรือผูอ้ ่านสามารถเคลื่อนทีจ่ ากจุดต่อหนึ่งไปยังอีกจุดต่อหนึ่งได้โดยการ
เชื่อมโยงจุดต่อเหล่านัน้ หรืออาจกล่าวง่ายๆได้วา่ ข้อความหลายมิตเิ ป็ นความสามารถในการเชื่อมโยง
ข้อมูลในทีใ่ ดก็ได้ทบ่ี รรจุในคอมพิวเตอร์กบั ส่วนอื่นๆทีอ่ ยูใ่ นเรื่องเดียวกันหรือต่างเรื่องก็ได้ดว้ ยความ
รวดเร็วในลักษณะข้อความทีไ่ ม่เรียงลําดับเป็ นเส้นตรง
รูปแบบของข้อความหลายมิตจิ งึ เป็ นลักษณะของการเสนอเนื้อหาทีไ่ ม่เป็ นเส้นตรงมิตเิ ดียว
ผูอ้ ่านสามารถอ่านเนื้อหาข้อมูลในมิติอ่นื ๆ ได้โดยไม่จําเป็ นต้องเรียงลําดับตามเนื้อหา ทัง้ นี้เพราะ
ข้อความหลายมิตมิ กี ารตัดข้อมูลเป็ นส่วนย่อยเป็ นตอนๆ เรียกว่า “จุดต่อ” การเรียกจุดต่อขึน้ มาอ่าน
เรียกว่า “การเลือกอ่าน” (Browse) ผูอ้ ่านจะเรียกจุดต่อมาใช้ได้เมื่อจุดต่อนัน้ มีความเกีย่ วข้องกับ
ข้อมูลหรือเนื้อหาเกีย่ วกับเรื่องนัน้ ก็ได้ จุดต่อเหล่านี้ตดิ ต่อกันได้โดยการ “เชื่อมโยง” (Link) ซึง่ ผูอ้ ่าน
สามารถกระโดดข้ามจากจุดต่อหนึ่งไปยังอีกจุดต่อหนึ่งได้โดยการคลิกที่ “ปุม่ ” (Buttons) ในเนื้อหาซึง่
อาจทําไว้ในลักษณะตัวอักษรดําหนา ตัวอักษรสี ตัวขีดเส้นใต้ แถบดํา จุดดํา สัญลักษณ์ เช่นอาจเป็ น
17
ประเภทของบทเรียนบนเครือข่ายอิ นเทอร์เน็ต
บทเรียนบนเว็บจําแนกออกเป็ น 3 ประเภท ได้แก่
1. Embedded Web-based Instruction เป็ นบทเรียนทีน่ ําเสนอข้อความ และกราฟิ กเป็ น
หลัก ส่วนใหญ่พฒ ั นาขึน้ ด้วยภาษาเอชทีเอ็มแอล (HyperText Markup Language : HTML)
2. Interactive Web-based Instruction เป็ นบทเรียนทีพ่ ฒ ั นาจากบทเรียนประเภทแรกเน้น
การมีปฏิสมั พันธ์กบั ผูใ้ ช้เป็ นหลัก จะนําเสนอด้วยสือ่ ต่างๆทัง้ ข้อความกราฟิ กและภาพเคลื่อนไหวการ
พัฒนาบทเรียนในระดับนี้ต้องใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ยุคที่ 4 ได้แก่ ภาษาเชิงวัตถุ (Object Oriented
Programming) เช่น โปรแกรม Visual Basic, Visual C++ รวมทัง้ ภาษา HTML, Perlเป็ นต้น
3. Interactive Multimedia Web-based Instruction เป็ นบทเรียนบนเว็บทีย่ ดึ คุณสมบัตทิ งั ้ 5
ด้านของมัลติมเี ดีย ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงและการมีปฏิสมั พันธ์จดั ว่าเป็ น
ระดับ สูงสุด เนื่ องจากการมีป ฏิส มั พัน ธ์เ พื่อ จัดการภาพเคลื่อนไหวและเสีย งของบทเรีย นโดยใช้
โปรแกรมค้นดูเว็บ (Web Browser) นัน้ มีความยุง่ ยากกว่าบทเรียนทีน่ ําเสนอแบบใช้งานเพียงลําพัง
ผูพ้ ฒ
ั นาบทเรียนต้องใช้เทคนิคต่างๆเพื่อให้การปรับเปลี่ยนบทเรียนจากการมีปฏิสมั พันธ์เป็ นไปได้
รวดเร็วและราบรื่น เช่น การเขียนคุกกี้ (Cookies) ช่วยสื่อสารข้อมูลระหว่างเครื่องบริการเว็บ (Web
Sever) กับตัวบทเรียนทีอ่ ยู่ในเครื่องรับบริการ (Client) เป็ นต้น ตัวอย่างของภาษาที่ใช้พฒ ั นา
บทเรียนในระดับนี้ ได้แก่ภาษา Java Script, ASP และ PHP เป็ นต้น
ลักษณะของบทเรียนบนเครือข่ายอิ นเทอร์เน็ต
ลักษณะของการเรียนการสอนผ่านเว็บนัน้ ผู้เรียนจะเรียนผ่านจอคอมพิวเตอร์ท่เี ป็ นการ
เชื่อมโยงกับเครือข่าย ผูเ้ รียนสามารถเรียนจากสถานที่และเวลาใดก็ได้ ขึน้ อยู่กบั ความพร้อมของ
ผู้เ รีย นเพีย งแต่ ผู้เ รีย นต้ อ งเชื่อ มต่ อ เข้า กับ อิน เทอร์ เ น็ ต เพื่อ เข้า ไปศึก ษาและผู้เ รีย นสามารถ
ติดต่อสื่อสาร สนทนา อภิปรายกับผูเ้ รียนด้วยกัน อาจารย์ หรือผูเ้ ชีย่ วชาญต่างๆได้ โดยใช้ไปรษณีย์
อิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมสนทนา หรือกลุ่มข่าว เหมือนชัน้ เรียนปกติ การเรียนการสอนผ่านเว็บ
ผูเ้ รียนไม่ต้องเข้าชัน้ เรียน ห้องเรียนจะถูกแทนด้วย เว็บเพจห้องเรียน หนังสือ จะถูกแทนด้วย เว็บ
เพ็จเนื้อหา การพูดคุย อภิปรายจะใช้ไปรษณีย์อเิ ล็กทรอนิกส์ โปรแกรมสนทนา และกระดานข่าว
โดยเฉพาะผูเ้ รียนทีไ่ ม่กล้าแสดงออก จะกล้าแสดงความคิดเห็น ซักถามมากยิง่ ขึน้ รูปแบบการเรียน
การสอนผ่านเว็บจะมีความยืดหยุน่ ในเรือ่ งเวลาและสถานที่ ผูเ้ รียนจึงต้องมีความรับผิดชอบ
กระตือรือร้นมากขึน้ มีความตัง้ ใจใฝ่หาความรูใ้ หม่ๆโดยมีผสู้ อนเป็ นผูแ้ นะนํ า ให้คําปรึกษา
แนะนําแหล่งข้อมูลต่างๆทีเ่ กีย่ วข้องกับบทเรียน ผูเ้ รียนยังสามารถทราบผลย้อนกลับรูค้ วามก้าวหน้า
ในการเรียน ได้โดยทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์และเว็บเพ็จประวัติ ส่วนการประเมินผลจะมีการ
ประเมินผลย่อย และการประเมินผลรวม โดยการประเมินผลรวมจะจัดห้องสอบรวม ไม่ได้สอบผ่าน
เว็บ เพื่อป้ องกันการช่ว ยเหลือกันของผู้เ รีย น เพราะผู้ส อนไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้เ รีย นทํา
ข้อสอบด้วยตัวเองจริงหรือไม่
21
การสอนบนเครือข่ายอิ นเทอร์เน็ต
การสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็ นการประยุกต์ใช้วธิ กี ารสอนแบบต่างๆหลายรูปแบบโดย
การใช้เว็บเป็ นแหล่งทีใ่ ช้เก็บเนื้อหาบทเรียนตามหลักสูตร ใช้เว็บในการเสริมเนื้อหาจากการเรียนใช้
เป็ น แหล่ ง ทรัพ ยากรในการค้น คว้า ข้อ มูล เพิ่ม เติม และใช้ใ นการสื่อ สาร การสอนบนเครือ ข่า ย
อินเทอร์เน็ตใช้ได้ทงั ้ การสอนในระบบโรงเรียนและในลักษณะการศึกษาทางไกลซึง่ กําลังเป็ นทีน่ ิยมใช้
กันมากในปจั จุบนั
การสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในระบบโรงเรียน ซึ่งมีการกําหนดวัน เวลา และสถานที่
เรียน ตามวิชาอยู่แล้วจะมีวธิ กี ารเรียนโดยผูส้ อนและผูเ้ รียนจะมีการพบกันในครัง้ แรกของการเปิ ด
ภาคเรียน เพื่อผูส้ อนสามารถอธิบายวิธกี ารเรียนและการประมวลรายวิชาซึ่งมีรายละเอียดว่าจะต้อง
เรียนในหัวข้อใดบ้างในเว็บไซต์ท่ผี ู้สอนจัดทําไว้สําหรับวิชานัน้ และอาจมีการทํางานส่งในแต่ละ
สัปดาห์ เมื่อทราบวิธกี ารเรียนแล้วผุเ้ รียนจะต้องมีรหัสเพื่อบันทึกเข้าไปเรียนในเว็บไซต์เพื่อเรียน
เนื้อหาที่กําหนดไว้ รวมถึงอีเมล์เพื่อการติดต่อระหว่างกัน หากมีคําถามหรือข้อสงสัยก็สามารถส่ง
อีเมล์ไปยังผูส้ อน หรือจะไปพบผูส้ อนด้วยตนเองก็ได้ หรือติดต่อกับผูเ้ รียนคนอื่นๆด้วยอีเมล์ และการ
สนทนากันด้วยโปรแกรม Chat เกีย่ วกับเนื้อหาบทเรียนนัน้ อาจให้ผเู้ รียนเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อ่นื ๆ
เพื่ออ่านเนื้อหาเพิม่ เติม หรือผูเ้ รียนต้องค้นคว้าจากเว็บไซต์อ่นื เพื่อทํางานทีไ่ ด้รบั มอบหมายและส่ง
งานทาง อีเมล์การประเมินผลการเรียนผูส้ อนสามารถทําได้โดยบันทึกการเข้าเรียนของผูเ้ รียนแต่ละ
คน ว่าได้เข้ามาอ่านบทเรียนตามทีก่ ําหนดไว้หรือไม่ รวมถึงการส่งงานและการสอบซึง่ สามารถทําได้
โดยการใช้อเี มล์ เช่นกัน นอกจากนี้แล้ว หากเป็ นการเรียนในชัน้ เรียนปกติจะมีการใช้เว็บไซต์ต่างๆที่
เกีย่ วข้องกับเนื้อหาบทเรียนมาใช้เป็ นส่วนหนึ่งในวิชานัน้ หรือใช้เป็ นกิจกรรมการเรียน โดยทีผ่ สู้ อน
และผูเ้ รียนอาจร่วมกันค้นหาเว็บไซต์ต่างๆมาใช้ประกอบการเรียน และมีการสื่อสารกัน ด้วยอีเมล์
เพือ่ ปรึกษาการเรียนร่วมกัน ตัวอย่างเช่น ขณะนี้หลายคณะในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการสอนใน
ลัก ษณะนี้ บ้ า งแล้ว โดยอาจใช้ก ารสอนบนเครือ ข่า ยอิน เทอร์เ น็ ต อย่ า งเต็ม รูป แบบหรือ อาจใช้
ประกอบการเรียนปกติโดยใช้เว็บเสริม
การสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการศึกษาทางไกล จะเป็ นรูปแบบ “มหาวิทยาลัยเสมือน”
โดยทีผ่ เู้ รียนไม่จาํ เป็ นต้องเดินทางไปยังสถานศึกษา แต่สามารถเรียนในเวลาทีส่ ะดวกไม่ว่าจะอยูท่ ใ่ี ด
ในโลก ทําให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตัง้ แต่ขนั ้ ตอนการลงทะเบียนเรียนเพื่อขอ
รหัสบันทึกเข้าเรียน การเรียนเนื้อหาตามหลักสูตรจากเว็บไซต์ของอาจารย์ประจําวิชาและเว็บไซต์
อื่นๆทีก่ ําหนด รวมถึงการค้นคว้าเพิม่ เติมในเว็บไซต์ต่างๆโดยผูเ้ รียนเอง การทํากิจกรรมหรือส่งงาน
ทีไ่ ด้รบั มอบหมายจะส่งได้โดยทางอีเมล์และแนบแฟ้มงานติดไปด้วย หรือส่งงานทางไปรษณียห์ าก
เป็ นชิน้ งานทีไ่ ม่สามารถส่งทางอีเมล์ได้ การติดต่อระหว่างผูเ้ รียนและผูส้ อนจะใช้อเี มล์และโทรศัพท์
บนเว็บโดยไม่ต้องมีการพบหน้ากัน ผูส้ อนสามารถประเมินผลโดยดูบนั ทึกการเข้าเรียนของผูเ้ รียน
รวมถึงการสอบซึง่ ทําผ่านทางอีเมล์หรือจากเว็บไซต์ทผ่ี เู้ รียนสร้างขึน้ คุณลักษณะสําคัญของเว็บทีเ่ ป็ น
ประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนมี 8 ประการ ได้แก่
22
หลักการออกแบบเว็บเพ็จเพื่อการศึกษา
เว็บเพ็จ (Web page) เปรียบเสมือนหน้าหนังสือทีป่ ระกอบด้วยข้อความและภาพ เรียกได้ว่า
เป็ นหน้าสิง่ พิมพ์อเิ ล็กทรอนิกส์ แต่สงิ่ ทีแ่ ตกต่างจากหน้าสิง่ พิมพ์ทวไป
ั ่ คือ เว็บเพ็จจํานวนมากทีเ่ รา
เห็นกันอยู่ในเวิลด์ไวด์เว็บนัน้ มีสงิ่ ที่เหมือนกันทัง้ หมดเนื่องจากเป็ นหน้าสิง่ พิมพ์ท่เี ข้ารหัสเนื้อหา
เพือ่ ให้โปรแกรมค้นดู (Browser) ถอดรหัส และแสดงผลออกมาให้ผใู้ ช้ทราบ เว็บเพ็จจะรวมกันอยูบ่ น
เว็บไซต์ (Web site) ซึ่งเป็ นที่รวบรวมเว็บเพ็จเหล่านัน้ อยู่ในเครื่องบริการอินเทอร์เน็ ต
(InternetServer) ก่อนออกแบบเว็บเพ็จแต่ละหน้า ผูอ้ อกแบบควรทําโครงร่างเว็บไซต์ไว้ก่อนเพื่อให้
ทราบว่าเว็บไซต์นัน้ ควรประกอบด้วยเว็บเพ็จอะไรบ้าง จํานวนกี่หน้ า จึงควรเริม่ ด้วยการวางแผน
อย่างง่ายๆไม่ยงุ่ ยากซับซ้อน โดยในขัน้ แรกจะต้องทํารายการสารสนเทศทีร่ วมอยูใ่ นเว็บไซต์เสียก่อน
รายการนี้จะเป็ นการร่างแบบอย่างหยาบๆ เพื่อช่วยเป็ นแนวคิดกว้างๆของเนื้อหาทีจ่ ะรวมอยู่ในเว็บ
แล้วจึงทําโครงร่าง (Out line) ตามรายการนัน้ เพื่อเป็ นการรวมสารสนเทศเข้าด้วยกัน การทํา
เช่นนี้จะเป็ นการทําโครงร่างพืน้ ฐานของเว็บไซต์ เพื่อให้ภายหลังเราสามารถเปลีย่ นแปลงสิง่ ทีอ่ ยู่ใน
27
3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรูด้ ้วยตนเอง
ความหมายของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
นักการศึกษาได้ให้ความหมายของการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง ไว้ดงั นี้
สมบัติ สุวรรณพิทกั ษ์ (2524: 6) กล่าวว่า การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง เป็ นกระบวนการเรียนรูด้ ว้ ย
ตนเองเป็ นหลัก โดยได้รบั การช่วยเหลือและสนับสนุ นจากผูอ้ ่นื เช่น เพื่อน ครู และผูร้ เู้ ท่าทีจ่ าํ เป็ น
การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองในทีน่ ้ีประกอบด้วยองค์ประกอบทีส่ าํ คัญ ดังนี้
1. การวิเคราะห์และกําหนดความต้องการของตนเอง
2. การกําหนดจุดมุง่ หมายในการเรียน
3. การหาแหล่งวิทยาการทัง้ ทีเ่ ป็ นวัสดุและบุคคล
4. การเลือกวิธกี ารและกิจกรรมการเรียน
5. การกําหนดวิธกี ารประเมินผลการเรียน
สเคเจอร์ (Skager.1978: 13) ได้อธิบายว่าการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง เป็ นการพัฒนาการเรียนรู้
และประสบการณ์ตนเอง ตลอดจนความสามารถในการวางแผนการปฏิบตั แิ ละการประเมินผลของ
กิจกรรม การเรียนทัง้ ในลักษณะทีเ่ ป็ นเฉพาะบุคคล และในฐานะทีเ่ ป็ นสมาชิกของกลุ่มการเรียนที่
ร่วมมือกัน
กริฟฟิน (Griffin. 1983: 153) อธิบายว่า การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง เป็ นการจัดประสบการณ์การ
เรียนรูเ้ ฉพาะของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยมีเปาหมายไปสู่การพัฒนาทักษะการเรียนรูข้ องตนและ
ความสามารถในการวางแผนปฏิบตั กิ าร และประเมินผลการเรียนรูก้ ารจัดการเรียนรูเ้ ป็ นเฉพาะบุคคล
ทัฟ (Tough. 1979: 114) ผูท้ ท่ี ําการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังได้กําหนดหน่ วยในการวัด
ปริมาณการเรียนรูด้ ว้ ยตนเองออกเป็ นโครงการเรียน (Learning Project) โดยกําหนดค่าเรียบเทียบ
ว่าการเรียนด้วยตนเองเรื่องใดเรื่องหนึ่งทีใ่ ช้เวลารวมกันตัง้ แต่ 7 ชังโมง่ ขึน้ ไป ถือว่าเป็ นหนึ่ง
โครงการเรียน และเมื่อผูเ้ รียนได้ใช้กระบวนการเรียนรูด้ ว้ ยตนเองแล้วผูเ้ รียนควรจะได้รบั ความรู้ เกิด
เจตคติ ได้รบั ทักษะ หรือความสามารถทีก่ ่อให้เกิดกระบวนการเปลีย่ นแปลงต่าง ๆ อันเป็ นมาจาก
การเรียนรูน้ นั ้ ๆ ดังนัน้ การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองอาจจะเกิดได้จากการใช้บทเรียนสําเร็จรูป การศึกษา
ด้วยตนเอง เช่น การอ่านเอง คิดเอง ทดลองหรือปฏิบตั หิ รือค้นคว้าด้วยตนเอง เป็ นต้น
บรูคฟิ ล (Brookfied. 1984: 59-71) กล่าวว่า การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง หมายถึง การเป็ นตัวของ
ตัวเอง ควบคุมการดรียนรูข้ องตนเอง มีความเป็ นอิสระ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากแหล่งภายนอก
น้อยทีส่ ดุ
สรุปได้ว่า การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองหรือการเรียนรูร้ ายบุคคล เป็ นการพัฒนาการเรียนรูแ้ ละ
ประสบการณ์ของตนเอง สามารถในการวางแผนปฏิบตั กิ าร และประเมินผลการเรียนรูเ้ ฉพาะบุคคล
และกลุ่มผูเ้ รียนทีร่ ว่ มมือกัน
31
ความสําคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
โนลล์ (Knowles. 1975: 15-17) ได้กล่าวถึงความสําคัญของการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง ไว้ดงั นี้
1. คนทีเ่ รียนรูด้ ว้ ยความริเริม่ ของตนเองจะเรียนได้มากกว่า ดีกว่าคนทีเ่ ป็ นเพียงผูร้ บั หรือรอ
ให้ครูถ่ายทอดวิชาความรูใ้ ห้เท่านัน้ คนทีเ่ รียนด้วยตนเองจะเรียนอย่างตัง้ ใจ มีจุดมุ่งหมายและมี
แรงจูงใจสามารถใช้ประโยชน์จากการเรียนรูไ้ ด้ดกี ว่าและยาวนานกว่าบุคคลทีร่ อรับคําสอนแต่เพียง
อย่างเดียว
2. การเรียนด้วยตนเองสอดคล้องกับพัฒนาการทางจิตวิทยาและกระบวนการทางธรรมชาติ
มากกว่าคือ เมื่อตอนเป็ นเด็กธรรมชาติทต่ี ้องพึง่ พิงผูอ้ ่นื ต้องการผูป้ กครองปกป้องเลี้ยงดูและ
ตัดสินใจแทนให้ เมื่อเติบโตขึน้ ก็ค่อยๆ พัฒนาตนเองไปสูค่ วามเป็ นอิสระ ไม่ตอ้ งพึง่ พิงครู ผูป้ กครอง
และผูอ้ ่นื การพัฒนานําไปสูค่ วามเป็ นตัวของตัวเองมากขึน้
3. พัฒนาการใหม่ ๆ ทางการศึกษา มีหลักสูตรใหม่ ห้องเรียนแบบเปิ ด ศูนย์บริการทาง
วิชาการ การศึกษาอย่างอิสระ โปรแกรมการเรียนทีจ่ ดั แก่บุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยเปิ ด ฯลฯ
รูปแบบการศึกษาเหล่านี้ลว้ นผลักภาระรับผิดชอบไปทีผ่ เู้ รียนให้เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง
4. การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองเป็ นความอยู่รอดของชีวติ ในฐานะทีเ่ ป็ นบุคคลและเผ่าพันธุม์ นุ ษย์
เนื่องจากโลกปจจุบนั เป็ นโลกใหม่ทแ่ี ปลกไปจากเดิม ซึง่ มีความเปลีย่ นแปลงใหม่ ๆ เกิดขึน้ เสมอและ
ข้อเท็จจริงเช่นนี้เป็ นเหตุผลไปสู่ความจําเป็ นทางการศึกษาและการเรียนรู้ การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองจึง
เป็ นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวติ
ทัฟ (Tough. 1979: 116-117) กล่าวถึงความสําคัญเกีย่ วกับการเรียนรูด้ ว้ ยตนเองไว้ว่า
กิจกรรมการเรียนรู้ หรือโครงการทีผ่ เู้ รียนเกีย่ วข้อง (Learning Project) มาจากการวางแผนด้วย
ตนเองทัฟเน้ นว่ากิจกรรมการเรียนเป็ นแรงผลักดันที่ทําให้เกิดความสนใจเกี่ยวกับการเป็ นตัวของ
ตัวเองและแนะนําตนเองในการเรียนรู้ จะเห็นได้วา่ การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองมีความสําคัญอย่างยิง่ เพราะ
การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองเป็ นกิจกรรมการเรียนรูท้ เ่ี กิดจากความต้องการของผูเ้ รียนเอง ผูเ้ รียนสามารถมี
อิสระในการเรียนในด้านเวลา สถานที่ เพราะผูท้ ่เี รียนรูด้ ว้ ยตนเองมีจุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจ
สามารถใช้ประโยชน์จากการเรียนรูไ้ ด้ดกี ว่าและยาวนานกว่าบุคคลทีร่ อรับคําสอนแต่เพียงอย่างเดียว
ลักษณะของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
สมคิด อิสระวัฒน์ (2532: 76) กล่าวว่า ลักษณะของการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง คือ
1. สมัครใจทีจ่ ะเรียนด้วยตนเอง (Voluntarily to Learn) มิได้เกิดจากการบังคับ แต่มเี จตนาที่
จะเรียนด้วยความอยากรู้
2. ตนเองเป็ นแหล่งข้อมูลของตนเอง (Self Resourceful) นันคื ่ อ ผูเ้ รียนสามารถบอกได้ว่าสิง่ ที่
ตนเรียนคืออะไร รูว้ า่ ทักษะและข้อมูลทีต่ อ้ งการหรือจําเป็ นทีต่ อ้ งใช้มอี ะไรบ้าง สามารถกําหนดเป้าหมาย
วิธรี วบรวมข้อมูล ทีต่ อ้ งการและวิธปี ระเมินผลการเรียนรู้ ผูเ้ รียนต้องเป็ นผูจ้ ดั การเกีย่ วกับการเปลีย่ นแปลง
ต่าง ๆ ด้วยตนเอง (Manager of Change) ผูเ้ รียนต้องมีความตระหนักในความสามารถของตนเองว่า
สามารถตัดสินใจได้ มีความรับผิดชอบต่อหน้าทีแ่ ละบทบาทในการเป็ นผูเ้ รียนทีด่ ี
32
3. ผูเ้ รียนต้องรู้ “วิธกี ารจะเรียน” (Know How to Learn) นันคื ่ อ ผูเ้ รียนควรทราบขัน้ ตอนการ
เรียนรูข้ องตนเอง รูว้ า่ เขาไปสูจ่ ุดทีท่ าํ ให้เกิดการเรียนรูไ้ ด้อย่างไร
โนลล์ (Knowles. 1975: 61) ได้สรุปลักษณะของผูเ้ รียนทีเ่ รียนรูด้ ว้ ยตนเองโดยใช้สรุปของ
“สัญญาการเรียน” ทีจ่ ะทําให้เกิดผลดี 9 ประการคือ
3.1 มีความเข้าใจในความแตกต่างด้านความคิดเกีย่ วกับผูเ้ รียนและทักษะทีจ่ าํ เป็ นใน
การเรียนรูน้ นคื
ั ่ อ รูค้ วามแตกต่างระหว่างการสอนทีค่ รูเป็ นผูช้ น้ี ํากับการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง
3.2 มีแนวคิดเกีย่ วกับตนเอง ในฐานะทีเ่ ป็ นบุคคลทีเ่ ป็ นตัวของตัวเอง มีความเป็ น
อิสระและความสามารถทีน่ ําตนเองได้
3.3 มีความสามารถทีจ่ ะสัมพันธ์กบั เพื่อน ๆ ได้ดี เพื่อทีจ่ ะใช้บุคคลเหล่านี้เป็ น
เหมือนสิง่ สะท้อนให้ทราบถึงความต้องการในการเรียนรูข้ องตนเอง การวางแผนการเรียนรูข้ องตนเอง
การเรียนรูแ้ ละการช่วยเหลือบุคคลอื่น และการได้รบั ความช่วยเหลือจากบุคคลเหล่านัน้
3.4 มีความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนรูอ้ ย่างสมจริง โดย
ความช่วยเหลือจากผูอ้ ่นื
3.5 มีความสามารถในการแปลความต้องการในการเรียนออกมาเป็ นจุดมุง่ หมายของ
การเรียนรูใ้ นรูปแบบทีอ่ าจจะทําให้การประเมินผลสําเร็จนัน้ เป็ นไปได้
3.6 มีความสามารถในการโยงความสัมพันธ์กบั ผูส้ อน ใช้ประโยชน์จากผูส้ อนในการ
ทําเรือ่ งยากให้งา่ ยขึน้ และเป็ นผูใ้ ห้ความช่วยเหลือเป็ นทีป่ รึกษา
3.7 มีความสามารถในการหาบุคคลและแหล่งเอกสารวิทยาการ ที่เหมาะสมกับ
วัตถุประสงค์การเรียนรูท้ แ่ี ตกต่างกัน
3.8 มีความสามารถในการเลือกแผนการเรียนทีม่ ปี ระสิทธิภาพ โดยใช้ประโยชน์จาก
แหล่งวิทยาการและมีความคิดริเริม่ ในการวางแผนนโยบายอย่างมีทกั ษะความชํานาญ
3.9 มีความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูลและนําผลของข้อค้นพบต่าง ๆ ไปใช้
อย่างเหมาะสม
สเคเจอร์ (Skager. 1978: 24-25) ได้อธิบายคุณลักษณะของผูเ้ รียนทีม่ กี ารเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง
ควรมีลกั ษณะ 7ประการ ดังนี้
1. เป็ นผูย้ อมรับตนเอง (Self Acceptance) หมายถึง มีทศั นคติต่อตนเองในด้านการเป็ น
ผูเ้ รียน
2. มีความสามารถในด้านการวางแผนการเรียน (Planfulness) ซึง่ มีลกั ษณะทีส่ าํ คัญคือ
2.1 สามารถวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรูข้ องตนเอง
2.2 วางจุดมุ่งหมายทีเ่ หมาะสมกับตนเอง ให้สอดคล้องกับความต้องการ
ทีต่ งั ้ ไว้
2.3 มีความสามารถในการใช้ยทุ ธ์เพือ่ ให้บรรลุวตั ถุประสงค์ของการเรียน
33
หลักการเรียนรู้ด้วยตนเอง
กิบบอนส์ (Gibbons. 1980: 41-46) ได้ศกึ ษาชีวประวัตขิ องผูเ้ ชีย่ วชาญทีม่ ชี ่อื เสียงทางด้าน
การแสดง นักประดิษฐ์ นักสํารวจ นักอักษรศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และผูบ้ ริหารจํานวน 20คน ซึง่
ไม่ได้รบั การศึกษาตามชัน้ เรียนปกติสงู กว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยศึกษาลักษณะของการ
เรียนรูด้ ว้ ยตนเองของบุคคลดังกล่าว แล้วนํามาประมวลเป็ นหลักการเรียนรูด้ ว้ ยตนเองดังนี้
1. ในการศึกษาด้วยตนเอง ผูศ้ กึ ษาเป็ นผูค้ วบคุมตนเอง ในขณะที่การศึกษาอย่างเป็ น
ทางการ (Formal Education) จุดควบคุมอยูท่ ส่ี ถาบันการศึกษา ตัวแทนเป็ นสิง่ กํากับการสอน เพือ่ ให้
การศึกษาด้วยตนเองช่วยนักศึกษาให้รจู้ กั ควบคุมสิง่ ทีอ่ ยูภ่ ายในตนเอง เพือ่ การเรียนรูข้ องตน
2. การศึกษาด้วยตนเอง มักจะเป็ นความพยายามทีแ่ น่วแน่ในความรูเ้ ฉพาะด้านอย่างใดอย่าง
หนึ่ง มากกว่าการศึกษาหลาย ๆ แขนงวิชา การสอนให้รจู้ กั ศึกษาด้วยตนเองจะช่วยให้นกั ศึกษา
สามารถแยกแยะและมีความชํานาญในกิจกรรมบางอย่าง หรือหลายอย่างทีจ่ าํ เป็ นต่อชีวติ
3. การศึกษาด้วยตนเอง มักจะเป็ นการประยุกต์การศึกษา คือ การเรียนรูเ้ พื่อการนําไปใช้
งานการสอนการเรียนรู้ด้วยตนเองเกี่ยวข้องกับการศึกษาทางทฤษฎีท่สี มั พันธ์กบั การฝึ กฝนทาง
เทคนิคและการนําไปดัดแปลงใช้อย่างเหมาะสม
34
องค์ประกอบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองมีองค์ประกอบทีส่ าํ คัญ ดังนี้
โนลล์ (Knowles. 1976: 40-47) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบในการเรียนรูด้ ว้ ยตนเองไว้ดงั นี้
1. การวิเคราะห์ความต้องการของตนเอง เริม่ จากการให้ผเู้ รียนแต่ละคนบอกความต้องการ
และความสนใจพิเศษของตนเองในการเรียน ให้เพื่อนอีกคนหนึ่งทําหน้าทีเ่ ป็ นผูใ้ ห้ปรึกษาแนะนําและ
เพื่อนอีกคนหนึ่งทําหน้าทีจ่ ดบันทึก กระทําเช่นนี้หมุนเวียนกันไปจนครบทัง้ 3 คน ได้แสดงบทบาท
ครบ 3 ด้าน คือ ผูเ้ สนอความต้องการ ผูใ้ ห้คาํ ปรึกษาและผูจ้ ดบันทึกสังเกตการณ์ การเรียนรูบ้ ทบาท
ดังกล่าวให้ประโยชน์อย่างยิง่ ในการเรียนร่วมกันและช่วยเหลือซึง่ กันและกันในทุก ๆ ด้าน
2. การกําหนดจุดมุง่ หมายในการเรียน โดยเริม่ ต้นจากบทบาทของผูเ้ รียนเป็ นสําคัญ ดังนี้
2.1 ผูเ้ รียนควรศึกษาจุดมุง่ หมายของวิชา แล้วจึงเริม่ เขียนจุดมุง่ หมายในการเรียน
2.2 ผูเ้ รียนควรเขียนจุดมุง่ หมายให้ชดั เจนเข้าใจได้ไม่ครุมเครือคนอื่นอ่านแล้วเข้าใจ
2.3 ผูเ้ รียนควรเน้นถึงพฤติกรรมทีผ่ เู้ รียนคาดหวัง
2.4 ผูเ้ รียนควรกําหนดจุดมุง่ หมายทีส่ ามารถวัดได้
2.5 การกําหนดจุดมุง่ หมายของผูเ้ รียนในแต่ละระดับ มีความแตกต่างอย่างชัดเจน
3. การวางแผนการเรียน โดยให้ผเู้ รียนกําหนดวัตถุประสงค์ของวิชา ผูเ้ รียนควรวางแผนจัด
กิจกรรมตามลําดับ ดังนี้
3.1 ผูเ้ รียนจะต้องเป็ นผูก้ าํ หนดเกีย่ วกับการวางแผนการเรียนด้วยตนเอง
3.2 การวางแผนการเรียนของผูเ้ รียน ควรเริม่ ต้นจากการกําหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนด้วย
ตนเอง
3.3 ผูเ้ รียนเป็ นผูจ้ ดั เนื้อหาให้เหมาะสมกับสภาพความต้องการและความสนใจของ
ผูเ้ รียน
3.4 ผูเ้ รียนเป็ นผูร้ ะบุวธิ กี ารเรียน เพือ่ ให้เหมาะสมกับตนเองมากทีส่ ดุ
4. การแสวงหาแหล่งวิทยาการ เป็ นกระบวนการศึกษาค้นคว้าทีม่ คี วามสําคัญต่อการศึกษา
ในปจั จุบนั อย่างมาก ดังนี้
4.1 ประสบการณ์การเรียนแต่ละด้าน ทีจ่ ดั ให้ผเู้ รียนแสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย
ความหมายและความสําเร็จของประสบการณ์นนั ้
4.2 แหล่งวิทยาการ เช่น ห้องสมุด วัด สถานีอนามัย ถูกนํามาใช้อย่างเหมาะสม
4.3 เลือกแหล่งวิทยาการให้เหมาะสมกับผูเ้ รียนแต่ละคน
4.4 มีการจัดสรรอย่างดี เหมาะสมทีก่ จิ กรรมบางส่วนจะต้องเป็ นผูจ้ ดั เองตามลําพัง
และบางส่วนเป็ นกิจกรรมทีจ่ ดั ร่วมกันระหว่างครูกบั ผูเ้ รียน
5. การประเมินผลเป็ นขัน้ ตอนสําคัญในการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง ช่วยให้ผูเ้ รียนทราบถึง
ความก้าวหน้าในการเรียนของตนเป็ นอย่างดี การประเมินผลจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
โดยทัวไปจะเกี
่ ย่ วกับความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ทัศนคติและค่านิยม ซึง่ ขัน้ ตอนในการประเมินผลมี
ดังนี้
36
บทบาทของผูเ้ รียนที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
การเรียนการสอนการเรียนรูด้ ว้ ยตนเองจะเน้นบทบาทของผูเ้ รียน ซึง่ นักการศึกษาได้สรุป
บทบาทของผูเ้ รียนในการเรียนรูด้ ว้ ยตนเองดังนี้
โนลล์ (Knowles. 1976: 47) ได้สรุปบทบาทของผูเ้ รียนรูด้ ว้ ยตนเอง ดังนี้
1. การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองควรเริม่ จากการทีผ่ เู้ รียนมีความต้องการทีจ่ ะเรียนในสิง่ หนึ่งสิง่ ใด
เพือ่ การพัฒนาทักษะ ความรู้ สําหรับการพัฒนาชีวติ และการงานอาชีพของตน
2. การเตรียมตัวของผูเ้ รียน คือ ผูเ้ รียนจะต้องศึกษาหลักการ จุดมุง่ หมาย และโครงสร้าง
หลักสูตรรายวิชา และจุดประสงค์ของรายวิชาทีเ่ รียน
3. ผูเ้ รียนควรจัดเนื้อหาวิชาด้วยตนเองตามจํานวนคาบทีก่ ําหนดไว้ในโครงสร้างและกําหนด
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมลงไปให้ชดั เจนว่าบรรลุผลในด้านใดเพื่อแสดงให้เห็นว่าผูเ้ รียนได้เกิดการ
เรียนรูใ้ นเรือ่ งนัน้ ๆ แล้ว และมีความคิดหรือเจตคติในการนําไปใช้ในชีวติ สังคมและสิง่ แวดล้อมด้วย
4. ผูเ้ รียนเป็ นผูว้ างแผนการสอนและดําเนินกิจกรรมการเรียนการสอนนัน้ ด้วยตนเอง โดย
อาจข้อแนะนําจากครูหรือเพือ่ น ในลักษณะของการร่วมมือกันทํางานได้เช่นกัน
5. การประเมินผล การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองควรเป็ นการประเมินผลร่วมกันระหว่างครูผสู้ อนกัน
ผูเ้ รียน โดยครูและผูเ้ รียนร่วมกันตัง้ เกณฑ์การประเมินผลร่วมกัน
เวนบอร์ก (สิรริ ตั น์ สัมพันธ์ยุทธ. 2540: 23; อ้างอิงจาก Wenburg.1972: 116) ได้สรุป
ความสําคัญและบทบาทของผูเ้ รียนด้วยการนําตนเองไว้ดงั นี้
1. ผูเ้ รียนรูไ้ ด้จากสถานการณ์และสิง่ แวดล้อมทีเ่ ป็ นอิสระ หมายถึง ผูเ้ รียนเป็ นตัวของตัวเอง
ไม่ถูกควบคุมจากบุคคลอื่น ซึง่ มีผลทําให้ผเู้ รียนเรียนได้เร็วขึน้
2. ผูเ้ รียนเรียนได้จากการลงมือปฏิบตั ซิ ง่ึ จะทําให้ผเู้ รียนค้นพบความจริงด้วยตนเอง
3. ผูเ้ รียนเรียนได้จากการร่วมมือกัน การร่วมมือไม่ได้หมายถึง การเข้ากลุ่มอย่างเดียว
เท่านัน้ แต่ยงั หมายถึงการทีแ่ ต่ละฝายช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกันในสถานการณ์การเรียนโดยสัง่
การป้อนกลับให้สมาชิกอื่น ๆ ทราบ สิง่ ทีช่ ว่ ยให้ผเู้ รียนร่วมมือกัน คือ กระบวนการกลุ่ม
4. ผูเ้ รียนเรียนจากภายในตัวออกมา หมายถึง การทีผ่ เู้ รียนโดยสร้างความรูส้ กึ บางอย่าง
เกีย่ วกับสิง่ ทีจ่ ะเรียน ไม่ใช่เรียนโดยถูกกําหนดบางสิง่ บางอย่างเข้าไปในผูเ้ รียน
37
4. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทฤษี แหละหลักการทางจิตวิทยาการเรียนรู้
ทฤษฎีและหลักการทางจิ ตวิ ทยาการเรียนรู้
8. การเรียนรูผ้ า่ นประสาทสัมผัสหลายด้าน
กฎของการเรียน : ประสบการณ์การเรียนรู้ท่ดี นี ัน้ คือ ประสบการณ์ท่ที ําให้ผูเ้ รียนต้องใช้
ประสาทสัมผัสหลายด้านร่วมกัน หรืออย่างน้อยก็ตอ้ งให้ผเู้ รียนได้ใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง
อย่างเหมาะสม
กฎของการสอน : การสอนจะได้ผลดีเมื่อครูทําการสอนโดยก่อให้เกิดสิง่ พิมพ์ใจโดยผ่าน
ประสาทสัมผัสหลายๆ ด้านเกี่ยวกับประสบการณ์ เดียวกัน และการใช้ประสาทสัมผัสแต่ละอย่าง
หลายๆ วิธกี จ็ ะช่วยให้การสอนได้ผลดียงิ่ ขึน้
9. การเรียนแบบรวม-แยก-รวม (Whole-part-whole Learning)
กฎของการเรียน : การเรียนสิง่ ใด ถ้าได้มองเห็นส่วนใหญ่ทงั ้ หมด จะเรียนได้ดกี ว่าเห็นหรือ
เรียนส่ว นย่อย ของสิง่ นัน้ ทีละส่วนเพราะการได้มองเห็นส่วนใหญ่ ทงั ้ หมดช่วยให้ผู้เรียนมองเห็น
ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยเหล่านัน้
กฎของการสอน : การสอนจะได้ผลดียงิ่ ขึน้ ถ้าแสดงสิง่ ที่สอนนัน้ เป็ นส่วนรวมให้ผูเ้ รียนเห็น
และเข้า ใจความสัม พัน ธ์ร ะหว่า งส่ว นย่อ ยแตะละส่ว นในส่ว นรวมนั น้ เพราะว่ า สิ่ง ต่ า งๆที่มีส่ว น
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กนั ครูส อนแยกจากกัน ย่อยจะไม่สามารถทําให้ผู้เ รีย นเห็น ความเกี่ย วเนื่ อง
สัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยเหล่านัน้
การออกแบบมัล ติมีเ ดีย ที่มีคุ ณ ภาพ ผู้ส ร้า งสรรค์จํา เป็ น ต้อ งคํา นึ ง ถึง หลัก เกณฑ์ใ นการ
ออกแบบ ซึ่งเป็ นไปตามทฤษฎีและจิต วิท ยาเกี่ยวกับ กาเรียนรู้ข องมนษุ ย์ผนวกกับ หลักการและ
ทฤษฎีทางโสตทัศนะ
ความเคลื่อ นไหวของโสตทัศ นะมิไ ด้ ข้ึน อยู่ ก ับ ทฤษฎี ก ารเรีย นรู้ท ฤษฎี ใ ดทฤษฎี ห นึ่ ง
โดยเฉพาะแต่นักโสตทัศนะส่วนใหญ่ มักจะสะท้อนแนวปฏิบตั อิ อกมาตามความเชื่อของกลุ่มทฤษฎี
การเรียนรูก้ ลุ่มความรูแ้ ละ ทฤษฎีการติดต่อสื่อสาร นักโสตทัศนะจะเน้นไปในเรื่องการใช้โสตทัศนะ
วัสดุ เป็ นสือ่ กลางทีจ่ ะทําให้เกิดการเรียนรูข้ น้ึ ในตัวผูเ้ รียน นักการศึกษาได้วจิ ยั พบว่ามนุ ษย์เราเรียนรู้
ผ่านทางสายตา 75% ทางหู 13% ทางนาสิกสัมผัส 3% ทางกายสัมผัส 6% และทางชิวหาสัมผัส 3%
ทฤษฎีการเรียนรู้
1. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
เป็ นทฤษฎีทเ่ี ชื่อว่าจิตวิทยาเป็ นเสมือนการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของพฤติกรรมของมนุ ษย์
และการเรียนรูข้ องมนุ ษย์เป็ นสิง่ ทีส่ ามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมภายนอก นอกจากนี้ยงั มีแนวคิด
เกีย่ วกับความสัมพันธ์ระหว่างสิง่ เร้าและการตอบสนอง ซึง่ เชื่อว่าการตอบสนองกับสิง่ เร้าของมนุ ษย์
จะเกิดขึน้ ควบคุมกันในช่วงเวลาทีเ่ หมาะสม นอกจากนี้ยงั เชื่อว่า การเรียนรูข้ องมนุ ษย์เป็ นพฤติกรรม
แบบแสดงอาการกระทําซึง่ มีการเสริมแรงเป็ นตัวการ โดยทฤษฎีพฤติกรรมนิยมนี้จะไม่กล่าวถึงความ
นึกคิดภายในของมนุ ษย์ เช่น ความทรงจํา ภาพ ความรูส้ กึ ซึง่ ถือว่าเป็ นคําต้องห้าม ทฤษฎีน้ีสง่ ผล
ต่อการเรียนการสอนในอดีต ในลักษณะทีเ่ รียนเป็ นชุดของพฤติกรรมซึง่ จะต้องเกิดขึน้ ตามลําดับที่
แน่ นอน การทีผ่ เู้ รียนจะบรรลุวตั ถุประสงค์ได้นัน้ จะต้องมีการเรียนการสอนตามลําดับขัน้ เป็ นไปตาม
วัตถุประสงค์ทต่ี งั ้ ไว้ ผลทีไ่ ด้จากการเรียนรูข้ นั ้ แรกจะเป็ นพืน้ ฐานของการเรียนในขัน้ ต่อไปมัลติมเี ดียที่
ออกแบบตามแนวคิดของทฤษฎีน้ีจะมีโครงสร้างของเนื้อหาเป็ นเชิงเส้นตรง โดยผูเ้ รียนจะได้รบั การ
เสนอเนื้อหาในลําดับขัน้ ตอนคงที่ ซึง่ เป็ นลําดับทีผ่ สู้ ร้างได้พจิ ารณาตามลําดับการสอนทีด่ แี ละผูเ้ รียน
สามารถเรียนรูไ้ ด้อย่างมีประสิทธิภาพมากทีส่ ุด นอกจากนัน้ การตัง้ คําถามอย่างสมํ่าเสมอโดยมีการ
ตอบสนองกับชุดมัลติมเี ดียจะเป็ นการเสริมแรงเพื่อให้เกิดพฤติกรรมทีต่ อ้ งการ มัลติมเี ดียทีอ่ อกแบบ
ในทางแนวคิดนี้จะบังคับให้มกี ารประเมินผลการใช้มลั ติมเี ดียในแต่ละลําดับขัน้ อีกด้วย
2. ทฤษฎีปญั ญานิยม
ทฤษฎีเกิดจากแนวคิดของชอมสกี้ (Chomsky) ทีไ่ ม่เห็นด้วยกับสกินเนอร์ (Skinner)บิดาของ
ทฤษฎีพฤติกรรม ในการมองพฤติกรรมมนุษย์ไว้วา่ เหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ชอมสกีเ้ ชื่อว่า
พฤติกรรมมนุ ษย์นนั ้ เป็ นเรือ่ งของภายในจิตใจ มนุษย์ไม่ใช่ผา้ ขาวทีเ่ มื่อใส่สอี ะไรลงไปก็จะกลายเป็ นสี
นัน้ มนุ ษย์มคี วามนึกคิด มีอารมณ์ จิตใจและความรูส้ กึ ภายในทีแ่ ตกต่างกันออกไปดังนัน้ การ
ออกแบบการเรียนการสอนก็ควรทีจ่ ะคํานึงถึงความแตกต่างภายในของมนุ ษย์ดว้ ยการนํ าความคิด
ของทฤษฎีปญั ญานิยมมาออกแบบมัลติมเี ดียมีอสิ ระในการเลือกลําดับของการนํ าเสนอที่เหมาะสม
ลักษณะการนําเสนอของมัลติมเี ดียจะขึน้ อยูก่ บั ความสนใจของผูใ้ ช้เป็ นลําดับแรก
3. ทฤษฎีโครงสร้างความรู้
ภายใต้ทฤษฎีปญั ญานิยมได้เกิดทฤษฎีโครงสร้างความรูข้ น้ึ ซึง่ เป็ นแนวคิด ทีเ่ ชื่อว่าโครงสร้าง
ภายในของความรูท้ ม่ี นุ ษย์มอี ยูน่ นั ้ จะมีลกั ษณะเป็ นโหนด หรือ เป็ นกลุ่มทีม่ กี ารเชื่อมโยงกันอยูใ่ นการ
ทีม่ นุ ษย์เรียนรูอ้ ะไรใหม่ๆ นัน้ มนุ ษย์จะนํ าความรูใ้ หม่ๆ ทีเ่ พิง่ ได้รบั นัน้ ไปเชื่อมโยงกับกลุ่มความรูท้ ม่ี ี
อยูเ่ ดิม
รูเมลฮาร์และออโทนี่ (Rumalhart and Ortony) ได้ให้นิยามความหมายของคําว่าโครงสร้าง
ความรู้ไ ว้ว่าเป็ นโครงสร้า งข้อมูล ภายในสมองของมนุ ษ ย์ซ่ึงรวบรวมความรู้เ กี่ย วกับ วัต ถุ ลําดับ
เหตุการณ์ รายการกิจกรรมต่าง ๆ เอาไว้ หน้าทีข่ องโครงสร้างความรูน้ ้ี คือ การนําไปสูก่ ารรับรูข้ อ้ มูล
43
4. ทฤษฎีความยืดหยุน่ ทางปญั ญา
นอกจากทฤษฎีโครงสร้างความรูแ้ ล้ว เมื่อต้น ค.ศ.1990 ยังได้เกิดทฤษฎีใหม่มชี ่อื ว่าความ
ยืดหยุ่นทางปญั ญา ซึ่งเป็ นแนวคิดที่เชื่อว่า ความรู้แต่ ล ะองค์ค วามรู้นัน้ มีโครงสร้างที่แน่ ช ดั และ
สลับซับซ้อนมากน้อยแตกต่างกันไป โดยองค์ความรูบ้ างประเภทสาขาวิชา เช่น คณิตศาสตร์หรือ
วิทยาศาสตร์กายภาพนัน้ ถือว่าเป็ นองค์ความรูป้ ระเภททีม่ โี ครงสร้างตายตัว ไม่สลับซับซ้อน เพราะ
ตรรกะและความเป็ นเหตุเป็ นผลทีแ่ น่ นอนของธรรมชาติขององค์ความรู้ ในขณะเดียวกันองค์ความรู้
บางประเภท เช่น จิตวิทยาถือว่าเป็ นองค์ความรูป้ ระเภทที่ไม่มโี ครงสร้างตายตัวและสลับซับซ้อน
เพราะความเป็ นเหตุเป็ นผลของธรรมชาติขององค์ความรูต้ ามประเภทสาขาวิชาไม่สามารถหมายรวม
ไป ทัง้ องค์ความรูใ้ นวิชาหนึ่ง ๆ ได้ทงั ้ หมด บางส่วนขององค์ความรูบ้ างประเภททีม่ โี ครงสร้างตายตัว
ก็สามารถทีจ่ ะเป็ นองค์ความรูป้ ระเภททีไ่ ม่มโี ครงสร้างตายตัวได้เช่นกัน แนวคิดในเรื่องความยืดหยุน่
ทางป ญ ั ญานี้ ส่ง ผลให้เ กิด ความคิด ในการออกแบบมัล ติมีเ ดีย ทางการศึก ษา เพื่อ ตอบสนองต่ อ
โครงสร้างขององค์ความรูท้ แ่ี ตกต่างกัน ซึง่ ได้แก่แนวคิดในเรื่องการออกแบบมัลติมเี ดียแบบสื่อหลาย
มิตนิ นเอง
ั่
5. ทฤษฎีสมั พันธ์เชื่อมโยง
44
ทฤษฎีส มั พัน ธ์เ ชื่อ โยงระหว่ า งสิ่ง เร้า และการตอบสนองเป็ น ทฤษฎีเ รื่อ ที่ร องรับ สื่อ ทาง
การศึกษาทีส่ าํ คัญเป็ นการเรียนรูท้ เ่ี กิดจากการเชื่อมโยงสิง่ เร้ากับการตอบสนองโดยมีตวั เสริมแรงเป็ น
ตัวเชื่อมระหว่างปจั จัยในการเรียนรูท้ งั ้ สอง การเริม่ ต้นการเรียนรูจ้ ะเกิดในลักษณะของการลองผิด
ลองถู กกล่ า วคือเมื่อมีสงิ่ เร้าอย่า งใดอย่างหนึ่ งปรากฏก็จะมีการตอบสนองหลาย ๆ ครัง้ ถ้าการ
ตอบสนองใดเกิดความพึงพอใจ การเรียนรูใ้ นการตอบสนองสิง่ เร้าก็จะเกิดขึน้ ในรูปแบบนี้เรื่อยไป
(ปรีชา คร้ามพักตร์. 2535: 31)
5. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
ความนํา
ยุคแห่งสังคมไร้พรมแดน วิทยุการศึกษา นับเป็ นสื่อมวลชนที่ได้รบั การยอมรับกันทัวไปว่
่ า
สามารถเข้าถึงประชาชนได้มากทีส่ ุดทัง้ ด้านเวลา ความรวดเร็วและปริมาณของผูร้ บั สาร สถานีวทิ ยุ
การศึกษาในปจั จุบนั มีการแข่งขันกันสูงและต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีท่ที นั สมัย ดังนัน้ การ
ผลิตรายการวิทยุและโทรทัศน์ การศึกษา จึงเป็ นงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ ประกอบกับ
การศึกษาข้อมูลทัง้ ศาสตร์และศิลปะผสมผสานกัน รวมทัง้ การนําเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วย สนับสนุ น
เพือ่ การผลิตรายการให้มรี ปู แบบสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มผูฟ้ งั เป้าหมายผูผ้ ลิตรายการ จึง
มีความรู้ในกระบวนการผลิตรายการวิทยุการศึกษารูปแบบต่างๆ มีความรู้ในกระบวนการผลิต
46
รหัสและชื่อรายวิ ชา
รหัส ET321 การผลิตรายวิทยุโทรทัศน์การศึกษา
สภาพรายวิ ชา
วิชาเลือก ในหลักสูตรปริญญาตรี สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
คําอธิ บายรายวิ ชา
ศึกษาความหมาย ขอบข่าย ข้อดีและข้อจํากัดการนําวิทยุและโทรทัศน์มาใช้ทางการศึกษา
วิเคราะห์ วิจารณ์รายการวิทยุและโทรทัศน์การศึกษา ศึกษา การเลือก การผลิต การใช้ และการ
ประเมินรายการวิทยุและโทรทัศน์การศึกษาอย่างมีระบบ
เนื้ อหา
1. ความเป็ นมาของวิทยุการศึกษา
2. หลักการเกีย่ วกับการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
3. การเขียนบทวิทยุการศึกษา
4. ห้องบันทึกเสียงและเครือ่ งมือ
5. รูปแบบรายการวิทยุการศึกษา
การดําเนินงานของวิทยุศกึ ษาในระยะนี้ได้ขยายขอบข่ายงานผลิตรายการโดยเชิญวิทยากร
ภายนอกทีม่ คี วามรูแ้ ละประสบการณ์ในเรือ่ งต่างๆ โดยเฉพาะรายการเกีย่ วกับการศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม มาร่วมรายการ เช่น น.พ.ประเวศ วะสี,ดร.วิจติ ร ศรีสอ้าน,น.พ.อุทยั รัตนิน,ดร.ศักดิ ์ศรี
แย้ม นั ด ดา,ดร.เจตนา นาควัช ระ,ดร.เกษม สุว รรณกุ ล ,ดร.สมศัก ดิ ์ ชูโ ต,ดร.เขีย น ธีร ะวิท ย์,ดร.
นววรรณ พันธุเมธา,คุณพิชยั วาสนาส่ง เป็ นต้น การจัดรายการให้ความสําคัญกับบท (script) ซึง่ ต้อง
48
สิง่ หนึ่งที่ทําให้ สถานีวทิ ยุศกึ ษาเป็ นที่รูจ้ กั ในยุคนี้คอื การประกาศผลสอบของผูท้ ่เี รียนจบ
มัธยมศึกษาปี ท่ี ๖ ซึง่ เป็ นชัน้ มัธยมสูงสุดในสมัยนัน้ และมีการสอบโดยใช้ขอ้ สอบเดียวกันทัวประเทศ
่
วิทยุศกึ ษาเป็ นสถานีวทิ ยุแห่งเดียวที่ประกาศผลสอบของผูส้ อบได้อนั ดับ ๑๕๐ และผูส้ อบได้ทุกคน
จนกระทังมี่ การยกเลิกการสอบแบบวัดผลทัวประเทศ ่ และให้โรงเรียนต่างๆ จัดสอบเอง
ในด้า นการจัด รายการ ของวิท ยุ ศึก ษา มีก ารพัฒ นารายการละครโดยนํ า นวนิ ย ายของ
นักเขียนที่ มีช่อื เสียงมาปรับเป็ นละครวิทยุโดยขออนุ ญาตผูเ้ ขียนก่อนนําออกอากาศ
กระทรวงศึก ษาธิก ารได้พ ฒ ั นาการใช้วิท ยุ เ พื่อ การศึก ษาทัง้ วิท ยุ โ รงเรีย นและวิท ยุ เ พื่อ
การศึกษาประชาชนมาเป็ น ลําดับ ปญั หาอุปสรรคทีส่ าํ คัญซึง่ ทําให้การพัฒนาเป็ นไปค่อนข้างช้า คือ
งบลงทุนทีส่ ูงมาก แต่ในที่สุดกระทรวงศึกษาธิการก็สามารถร่วมมือกับกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้าง
เครือ ข่ า ยวิท ยุ เ พื่อ การศึก ษาแห่ ง ชาติ ขึ้น สํ า เร็จ เริ่ม ออกอากาศเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ โดยใช้
งบประมาณส่วนหนึ่งจากเงินยืม IDA แห่งธนาคารโลก (International Development Association)
เมื่อ วิท ยุ ศึก ษา ย้า ยที่ทํ า การมาที่ถ นนศรีอ ยุ ธ ยา เป็ น ยุ ค ที่วิท ยุ กํ า ลัง เป็ น ขวัญ ใจของ
ประชาชน รายการวิทยุศกึ ษาทีจ่ ดั ออกอากาศให้ความสําคัญกับการมีสว่ นร่วมของผูฟ้ งั และรายการ
ความรู้ซ่ึงนํ าเสนอเป็ นการสนทนาพูดคุยกับวิทยากรมากขึ้น ไม่เน้ นรายการวิทยุท่ตี ้องมีบทวิทยุ
เหมือนอย่างเดิมมากนัก แต่จะเน้นประเด็นคําถาม และการประสานงานล่วงหน้าก่อนการออกอากาศ
สดหรือบันทึกเทป บางครัง้ เป็ นการบันทึกเสียงทางโทรศัพท์ เพื่อความคล่องตัวในการจัดทํารายการ
และรวดเร็วในการนํ าเสนอ การจัดทํารายการเป็ นแบบ phone-in มากขึน้ เพื่อให้ผฟู้ งั มีส่วนร่วมใน
รายการเพื่อปรึกษาปญั หา หรือแสดงความคิดเห็น เนื้อหารายการปรับให้ทนั ต่อความเปลี่ยนแปลง
ของสังคม อาทิ เรื่องสิง่ แวดล้อม โรคเอดส์ แนะแนวการศึกษา วิเคราะห์ข่าวต่ างประเทศ มีการ
นํ า เสนอเพลงที่ผู้ ฟ งั ต้ อ งการฟ งั ในบางรายการ และจัด ทํ า รายการสอนภาษาญี่ ปุ่ น เพิ่ม ขึ้น
นอกเหนื อ จากสอนภาษาอัง กฤษ ฝรัง่ เศส และเยอรมัน การจัด รายการเน้ น การให้ค วามรู้ก ับ
กลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม เช่น รายการตามตะวัน สําหรับผูด้ อ้ ยโอกาส ผูท้ ศ่ี กึ ษา หาความรูด้ ว้ ยตนเอง
แม่บา้ น รายการโลกสดใส สําหรับกลุ่มเด็ก รายการนัดพบ สําหรับกลุ่มวัยรุ่น รายการเพื่อนยามคํ่า
สําหรับผูส้ งู อายุ
การจัดรายการเน้นการตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวติ
และเน้นการทํางานร่วมกับเครือข่ายมากขึน้ มีการนําเสนอข่าวการศึกษาทุกต้นชัวโมงและการจั
่ ดทํา
ข่าวประกอบเสียง เนื้อหารายการปรับให้ทนั สมัย นําเสนอเรื่องประชาธิปไตย เทคโนโลยีสารสนเทศ
วิทยาศาสตร์ สิง่ แวดล้อม การศึกษา อาชีพการทํามาหากิน ครอบครัว สิทธิผบู้ ริโภค ศิลปวัฒนธรรม
เพลงลูกทุ่ง และเพิม่ รายการสอนภาษาจีน รายการสนทนาและอภิปรายด้านสังคม เศรษฐกิจ และ
52
การดํ า เนิ น งานของสถานี แ สวงหาความร่ ว มมือ กับ หน่ ว ยงาน สถาบัน องค์ก รเอกชน
ผู้เ ชี่ย วชาญด้านต่ างๆ มากขึ้น แต่ ย งั คงหลัก การของความเป็ น สถานี วิท ยุเ พื่อการศึก ษา โดย
คํานึงถึงประโยชน์ทผ่ี ฟู้ งั จะได้รบั การนําไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวติ และส่งเสริมการเรียนรูต้ ลอด
ชีวติ ของผูฟ้ งั แม้จะมีกระแสการแข่งขันกับรายการบันเทิงของสถานีวทิ ยุเพื่อการค้า ซึง่ เป็ นทีน่ ิยม
อย่างมากในช่วงนัน้ วิทยุศกึ ษายังคงยึดมันในหลั
่ กการและเป็ นสถานีวทิ ยุทไ่ี ม่มโี ฆษณา
ความหมายของวิ ทยุการศึกษา
ความหมายของวิ ทยุกระจายเสียง
ก่ อ นที่จ ะใช้คํ า ว่ า วิท ยุ ก ระจายเสีย งเราใช้คํ า อื่น มาหลายคํ า เช่ น จอมพลเรือ กรมพระ
นครสวรรค์วรพินิต ทรงใช้ทบั ศัพท์ว่า “ราดิโอโทรเลข” (Radio Telegraph) พระบาทสมเด็จพระ
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู๋หวั ใช้คาํ ว่า “วิทยุ” แทนคําว่า “ราดิโอ” ต่อมาราชบัณฑิตยสถานได้กําหนดคําทีใ่ ช้
เป็ นทางการว่า “วิทยุกระจายเสียง” ตรงกับคําภาษาอังกฤษว่า “Radio Broadcasting” ทีจ่ ริงคําว่า
“Radio” ต้องเขียนเป็ นภาษาไทยว่า “เรดิโอ”
ความหมายของการศึกษา
การผลิต วิท ยุ ก ารศึก ษาเป็ น ทัง้ ศาสตร์แ ละศิล ป์ อาจไม่ มีก ฎเกณฑ์ต ายตัว ที่ช้ีล งไปว่ า
จะต้องผลิตรายการอย่างไรถึงจะถูกใจคนฟงั แต่อย่างไรก็ตาม การผลิตรายการวิทยุการศึกษามี
องค์ ป ระกอบพื้น ฐานที่ สํ า คัญ ซึ่ ง จะทํ า ให้ ผู้ ผ ลิ ต รายการมีแ นวทางในการผลิ ต รายการที่ มี
ประสิทธิภาพต่อไป ได้แก่องค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. ผูฟ้ งั (audience) หมายถึง กลุ่มผูฟ้ งั ทีเ่ ป็ นเป้าหมายของการผลิตรายการ(target
audience) ผู้ผลิตรายการต้องทราบว่ากลุ่มผู้ฟงั รายการเป็ นใคร การศึกษาข้อมูลทางด้าน
ประชากรศาสตร์และพฤติกรรมการรับฟงั วิทยุการศึกษาของกลุ่มผูฟ้ งั กลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มวัยเด็ก
กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มวัยทํางาน เป็ นต้น ข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้ทงั ้ ผูบ้ ริหารสถานีวทิ ยุการศึกษา และ
ผูจ้ ดั รายการ ผูผ้ ลิตรายการสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจวางแผนกลยุทธ์ในการผลิตรายการให้
สอดคล้องกับกลุ่มผูฟ้ งั เป้าหมายในชุมชนนัน้ โดยศึกษาจากอัตราส่วนความนิยมรายการ (rating) ใน
การศึกษาอัตราส่วนความนิยมรายการจะทําให้ทราบว่าสถานีวทิ ยุการศึกษาของตนติดอันดับความ
55
2. ขัน้ เตรียมการผลิต
3. ขัน้ ดําเนินการผลิต
การดําเนินการผลิตอาจทําได้โดยการบันทึกเสียงรายการไว้ก่อน แล้วนํ าไปออกอากาศ
หรือแบบรายการสด โดยมีขอ้ ดี ข้อเสียแตกต่างกัน ซึ่งการบันทึกเสียงสามารถปรับปรุงแก้ไขได้
สะดวกกว่า แต่หากเป็ นรายการสดมักจะได้เปรียบในด้านความสดใหม่ทนั เหตุ การณ์ และมีสสี นั
สมจริงกว่า
อย่างไรก็ตาม รูปแบบรายการส่วนหนึ่งในปจั จุบนั ยังคงต้องอาศัยการบันทึกเสียงไว้ก่อน
เพือ่ ความสมบูรณ์และมีคุณภาพของรายการ เช่นรายการสารคดี รายการสัมภาษณ์ รายการสปอต
โฆษณาประชาสัมพันธ์ รายการละครวิทยุ
การผลิตรายการวิทยุการศึกษาด้วยการบันทึกเทปในปจั จุบนั มีเทคโนโลยี โปรแกรมตัด
ต่อและปรับแต่งเสียงด้วยคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยได้มาก ทําให้คุณภาพของงานเสียงทีบ่ นั ทึกอยู่ใน
ระดับมาตรฐานเมื่อนํ าไปใช้ออกอากาศจริง กระบวนการตัดต่อเรียบเรียงเสียงออกมาเป็ นชิน้ งานที่
สมบูรณ์ทาํ ได้ดว้ ยกระบวนการต่อไปนี้
3.1 การตัดต่ อเสีย งพูด ไม่ว่าจะเป็ น เสีย งผู้ประกาศ เสีย งสัมภาษณ์ เสีย งสนทนา
สามารถตัดต่อเสียงบางช่วงทีไ่ ม่พงึ ประสงค์ออก เช่น เสียงลมหายใจ เสียงไอกระแอม เสียงคําพูด
เกินทีไ่ ม่ตอ้ งการ เพือ้ ให้เกิดการเว้นวรรคเสียง การลําดับบทพูด เป็ นไปตามเวลาทีก่ าํ หนด
3.2 การปรับแต่งเสียง ด้วยการผสมสัญญานเสียงผ่านเครื่อง มิกเซอร์ และโปรแกรม
ปรับแต่งเสียงด้วยคอมพิวเตอร์ ปรับให้เสียงนุ่ มนวล ใส เสียงทุม้ เสียงแหลม ปรับระดับเสียงดัง
เสียงค่อย ความเร็วของเสียง จังหวะช้า – เร็ว แล้วแต่ความเหมาะสมของชิน้ งาน
3.3 ใส่เสียงดนตรี และเสียงประกอบ ด้วยการเลือกดนตรีคนั ่ ดนตรีคลอ ดนตรีประจํา
รายการ รวมถึงเสียงประกอบเพือ่ เพิม่ ความสมจริงให้สอดคล้องกับสถาณการณ์ต่างๆ
3.4 การเรียบเรียง (Mix Down) คือ การเรียบเรียงเสียงทุกประเภทเข้าด้วยกันอย่างมี
ศิลปะเป็ นชิน้ งานทีส่ มบูรณ์
4. ขัน้ การประเมินผล
4.1.2 การทํา Focus Groups เป็ นวิธที ใ่ี ช้ในการวิจยั เชิงการตลาด โดยผูจ้ ดั
รายการอาจทําการประเมินจากการรวบรวมผูฟ้ งั รายการวิทยุทเ่ี ป็ นกลุ่มเป้าหมายจํานวน 10-12 คน
มาพูดคุยโต้ตอบแลกเปลี่ยนความคิดเห้นเกี่ยวกับรายการนัน้ ๆ โดยในกลุ่มจะจัดให้มผี ูน้ ํ ากลุ่ม 1
คน ทําหน้ าที่เ ป็ นผู้นําในรายการพูดคุ ย ตามหัว ข้อที่กําหนดไว้ เช่น ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ เนื้ อหา
รูปแบบรายการ ตัวผูด้ ําเนินรายการ ฯลฯ เพื่อให้ผูผ้ ลิตรายการสามารถนํ าข้อมูลมาใช้ประโยชน์ใน
การพิจารณาปรับปรุง และเปลีย่ นแปลงรายการให้มคี ุณภาพเป็ นทีถ่ ูกใจกลุ่มผูฟ้ งั เป้าหมาย มากขึน้
รูปแบบละประเภท เวลา
ขันวางแผนการผลิ
้ ตรายการ
อุปกรณ์ งบประมาณ
ขันเขี
้ ยนบท
ขันเตรี
้ ยมการผลิต ขันฝึ
้ กซ้ อม
ขันประสานงาน
้
บันทึกเทป ขันดํ
้ าเนินการผลิต รายการสด
ประเมินผล ประเมินผลการ
ขันการประเมิ
้ นผล
รายการ ผลิตรายการ
ภาพแสดงการกระบวนการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
62
สรุป
การเขียนบทวิ ทยุการศึกษา
ความหมายและความสําคัญของบทวิ ทยุการศึกษา
สรุ ป บทวิท ยุ นั น้ มีค วามสํ า คัญ มากในด้ า นการผลิต รายการ โดยสามารถถ่ า ยทอด
จินตนาการออกมาให้เห็นเป็ นตัวอักษร และใช้เป็ นเครื่องมือสําหรับผูร้ ่วมรายการทุกคนให้มคี วาม
เข้าใจในกระบวนการผลิตตรงกัน ประกอบกับบทวิทยุนนั ้ สามารถใช้เป็ นข้อมูลอ้างอิงได้
ประเภทของบทวิ ทยุ
1.1 ชื่อรายการ
1.2 รูปแบบรายการ
1.3 ลําดับรายการ
1.4 ประเด็นหรือแนวทางในการพูด หรือ แนวคําถาม
1.5 เพลงทีใ่ ช้ในรายการ
2. บทวิทยุการศึกษาแบบกึง่ สมบูรณ์ (Semi Script) เป็ นบททีม่ รี ายละเอียด ของเนื้อหา
ตามลําดับขัน้ ตอน มีคาํ พูดทีส่ าํ คัญๆ และเสียงทีต่ อ้ งการใช้ โดยมีบางส่วนทีเ่ ปิ ดกว้างไว้ไม่กําหนด
รายละเอียดลงไป โดยมักใช้ในรายการสัมภาษณ์ รายการอภิปราย
3. บทวิทยุการศึกษาแบบสมบูรณ์ (Fully Script) เป็ นบททีม่ คี าํ พูดทุกคําพูดเรียงลําดับตาม
ขัน้ ตอน รูป แบบรายการที่ใ ช้บ ทประเภทนี้ ได้แ ก่ ละครวิท ยุ สปอตโฆษณารายการสารคดี
รายการข่าว และบทความ
ส่วนประกอบของบทวิ ทยุการศึกษา
3. หลักการเขียนบทวิ ทยุการศึกษา
การเขียนบทควรคํานึงถึงหลักการดังต่อไปนี้
3.1 ผู้เขียนบทควรเข้าใจองค์ประกอบของการดําเนินรายการวิทยุการศึกษา ได้แก่
วัต ถุ ป ระสงค์ร ายการ กลุ่ ม ผู้ฟ งั เป้ า หมาย เนื้ อ หารายการ วิธีก ารนํ า เสนอรายการ เวลาที่
ออกอากาศ ความยาวรายการ ความหลายหลาย ความเป็ นเอกภาพ
67
ภาษาที่ใช้ในการเขียนบทวิ ทยุการศึกษา
1. เขียนด้วยภาษาแบบการสนทนาหรือพูดคุยกัน
2. ใช้คาํ ทีผ่ ฟู้ งั คุน้ เคย เมือ่ ฟงั แล้วเข้าใจ ชัดเจน
3. ใช้ประโยคสัน้ ๆ ง่ายๆ ไม่ยดื ยาว ไม่วกวน ชัดเจน เข้าใจได้ทนั ที
4. เลี่ยงประโยคยาวๆ ที่เต็มไปด้วยคําคุณศัพท์ หรือคําเชื่อมต่างๆ เช่นคําว่า ที่ ซึ่ง
หรือ กับ ต่อ เพราะจะทําให้ประโยคนัน้ เยิน่ เย้อ จนไม่รวู้ า่ ความสําคัญของประโยคอยูท่ ไ่ี หน
68
5. ใช้ประโยคบอกเล่าให้มากกว่าประโยค ปฏิเสธ
6. เลีย่ งการใช้คาํ ทีม่ เี สียงทําให้ลน้ิ พันกันเวลาเปล่งเสียง เช่น คําทีม่ เี สียงคล้ายกัน คําซํ้า
ในประโยคเดียวกัน คําทีม่ อี กั ษรซํ้ากันหรือการเล่นคําอื่นๆ
7. ใช้ภาษาที่บรรยาย ให้เกิดภาพหรือจินตนาการ เช่น การบอกสีสนั การบอกตําแหน่ ง
การใช้ภาษาเปรียบเทียบเป็ นต้น
8. ประโยคแต่ละประโยค ควรมีแนวความคิดเดียว ควรเป็ นประโยคสัน้ ๆ มีความหมาย
จบในประโยคนัน้ และให้ขน้ึ ย่อหน้าใหม่เมื่อขึน้ ประเด็นหรือเนื้อหาใหม่ การย่อหน้าคือ การแสดง
ให้ทราบว่าความคิดสําคัญหรือตอนใหม่กําลังจะเริม่ ขึ้น ย่อหน้ าหนึ่ งๆ ต้องพูดถึงเรื่องๆ เดียว
เท่านัน้
9. อย่ายัดเยียดความคิดมากเกินไป
10. ควรยกตัวอย่างประกอบความคิดเห็นอย่างชัดเจน
11. ยํา้ ความคิดสําคัญได้บ่อยๆ โดยใช้การพูดทีไ่ ม่ซ้าํ กัน
12. คําเล็กๆ น้อยๆ เป็ นกันเอง สามารถแทรกลงในการเขียนได้บา้ ง เพื่อให้การอ่านออก
เสียงได้ จะช่วยให้บทรืน่ หูชวนฟงั มากขึน้
13. จัดวรรคตอนให้ดี
14. ถ้าต้อการกล่าวถึงตัวเลข ให้ใช้ตวั เลขโดยประมาณ เช่น 955 บาท ใช้คําว่า ประมาณ
1,000 บาท และถ้าตัวเลขมีความสําคัญและ มีจาํ นวนมากให้ วงเล็บคําอ่านไว้ ด้วย
15. อย่าใช้คาํ ย่อ เพือ่ มิให้เกิดปญั หาในการอ่าน การฟงั ทีจ่ ะทําให้เกิดความผิดพลาดกันได้
16. อย่าใช้คาํ ทีฟ่ ุม่ เฟือย ไม่จาํ เป็ น ทีไ่ ม่ได้สอ่ื ความหมายอะไรให้ชดั เจนขึน้
17. คําทีอ่ า่ นยาก ชื่อเฉพาะ ต้องวงเล็บคําอ่านไว้ให้ชดั เจน
18. การยกข้อความหรือคําพูดของคนอื่นมา ควรเขียนให้ขดั เจนด้วยว่า คําพูดที่ยกมานัน้
เป็ นคําพูดของใคร
19. บทสําหรับพูดเพื่อแสดงอารมณ์ ความรูส้ กึ ต่างๆ ได้แก่ ร้องไห้ รําคาญ โกรธ ควร
วงเล็บไว้ ให่ผพู้ ดู เปล่งเสียงได้ถูกต้องตามอารมณ์เหล่านัน้
20. การใช้เครือ่ งหมายในบท มี ข้อแนะนําดังนี้
20.1 จุดไข่ปลา (………..) ใช้เมือ่ ต้องการให้พดู ทอดเสียงแล้วหยุด
20.2 การขีดเส้นใต้เฉพาะคําหรือข้อความ ใช้เพื่อแสดงว่าต้องการเน้ นหรือยํ้าคํา
ข้อความนัน้ ๆ
20.3 เครือ่ งหมายขีดขัน้ (/) ใช้เพือ่ ต้องการให้เห็นถึงการแยกความออกจากกัน
69
สรุป
ขัน้ ตอนการเขียนบทวิทยุการศึกษา เริม่ ตัง้ แต่ขนั ้ แนะนํ ารายการ ด้วยวิธแี นะนํ ารายการ
สัน้ ๆ ง่ายๆ มาเป็ นจุดดึงดูดความสนใจ ขัน้ ต่อมาคือ ขัน้ การจัดรูปแบบและตกแต่งรายการเป็ น
การนํ าเอาแก่นของเรื่องมาขยายแล้วจัดให้เป็ นรูปแบบรายการทีน่ ่ าสนใจ หลังจากนัน้ ขัน้ สร้างจุด
ประทับใจ โดยการเสนอประเด็นสําคัญต่างๆ ของรายการ ขัน้ สุดท้ายคือ ขัน้ สรุป เป็ นขัน้ ที่นํา
70
ห้องบันทึกเสียงและเครือ่ งมือ
1. ห้องควบคุมเสียง
2. ห้องบันทึกเสียง
ห้องควบคุมเสียง
เอ็นจิเนียร์และโปรดิวเซอร์จะนังทํ
่ างานในห้องนี้เป็ นหลัก ในห้องควบคุมเสียงแบบมืออาชีพที่
ออกแบบอย่างดีสว่ นมากมักจะรักษาอุณหภูมเิ ครื่องให้คงทีต่ ลอดเวลาการทํางานและกันเสียงรบกวน
ของเครื่องในขณะทํางานเพื่อให้บรรยากาศในห้องควบคุมเสียงมีความเงียบมากทีส่ ุดเพื่อให้ได้ การ
ฟงั ทีม่ คี วามคมชัดสูงสุด ณ ตําแหน่งทีฟ่ งั
ห้องบันทึกเสียง
อุ ป กรณ์ ใ นการผลิต รายการวิท ยุ ก ารศึก ษา นับ ว่า เป็ น สิ่ง สํา คัญ ในการสร้า งเสีย งต่ า งๆ
ก่อนทีจ่ ะออกอากาศให้ผฟู้ งั ได้รบั ฟงั ซึง่ ผูผ้ ลิตรายการจะต้องรูห้ ลัก เทคนิคในการใช้ รูจ้ กั ควบคุม
อุปกรณ์เหล่านี้อย่างดี ซึง่ อุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการผลิตเสียง มีดงั นี้
1. ไมโครโฟน
2. เครื่องเล่นซีดี
3. แผ่นซีดี
4. เครื่องขยายเสียง
5. ลําโพง
5.1 ลําโพงเสียงทุม้ ตํ่า หรือ ซับวูฟเฟอร์ (Sub Woofer) เป็ นลําโพงทีต่ อบสนอง
ความถี่เสียงในช่วงตํ่ามาก คือ ประมาณ 50 เฮิรตซ์ลงมา ให้เสียงทุม้ มากและลึกหนักแน่ น เป็ น
พิเศษ
7. เครื่องผสมสัญญาน
ป จั จุ บ ัน มีก ารผลิต เครื่อ งผสมสัญ ญาณเสีย งระบบดิจิท ัล ขึ้น มา เพื่อ รองรับ การขยาย
ช่องสัญญาณให้เพิม่ มากขึน้ และเชื่อมต่อการทํางานเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ และระบบออนไลน์
ผ่านดาวเทียม ซึง่ ทําให้วทิ ยุการศึกษาสะดวกรวดเร็วมีคุณภาพมากขึน้
75
8. เครื่องคอมพิ วเตอร์
สรุป
รูปแบบรายการวิ ทยุการศึกษา
การผลิตรายการวิทยุการศึกษา จะต้องรายการคํานึงถึงลักษณะของสถานีวทิ ยุ กลุ่มผู้ฟงั
เป้าหมาย วัตถุประสงค์ของรายการ ความยาวและระยะเวลาในการออกอากาศ จากนัน้ จึงกําหนด
เนื้อหารายการ และรูปแบบของรายการให้เหมาะสม
ล่ ว งหน้ า ว่ า ไม่ ส ามารถมาร่ ว มได้ ผู้ดํ า เนิ น รายการจะต้อ งเตรีย มประเด็น สํา รอง หรือ เชิญ ผู้ถู ก
สัมภาษณ์อ่นื มาแทนในรายการได้ทนั ท่วงที
แต่ควรจะเป็ นเรื่องทีส่ ง่ เสริมความรูใ้ ห้กบั ผูฟ้ งั มากขึน้ เจาะลึกในสิง่ ทีผ่ ฟู้ งั ยังไม่ทราบ หรือเป็ นเรื่องที่
ไม่เคยมีใครรูจ้ กั มาก่อน เช่น “ธิเบต” ดินแดนหลังคาโลก ในแต่ละช่วงควรจะนําเสนอเนื้อหาทีก่ ระชับ
สร้างความเข้าใจและความต่อเนื่องได้อย่างดี การเชื่อมโยงช่วงเวลาอาจจะอาศัยเสียงเพลง เพลง
บรรเลง เสียงประกอบ เสียงบรรยาย หรืออาศัยสปอตรณรงค์ (PSA) คันระหว่ ่ างช่วงเวลาได้
สรุป
วิธีการดําเนินการวิจยั
ในการดําเนิ นการศึกษาทดลองครัง้ นี้ ผู้วิจยั ได้สร้างและหาประสิทธิภาพของการพัฒนา
บทเรียนออนไลน์เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา ดังต่อไปนี้
1. ประชากรกลุ่มเป้าหมาย
2. เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั
3. การสร้างและหาคุณภาพเครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั
4. การดําเนินการทดลอง
5. การวิเคราะห์ขอ้ มูล
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร
ประชากรทีใ่ ช้ในการศึกษาเป็ นนิสติ ปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีสอ่ื สารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ จํานวน 213 คน
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่ มตัวอย่ างที่ใช้ในการศึกษาเป็ น นิ ส ิตระดับปริญญาตรี ชัน่ ปี ท่ี2 สาขาเทคโนโลยีส่ือสาร
การศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ จํานวน 45 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจงจากนิสติ ที่
ลงทะเบียนเรียนวิชา การผลิตรายการวิทยุการศึกษา(ET 321) ในปี การศึกษา 1/2554 โดยแบ่งเป็ น
การทดลองครัง้ ที่ 1 จํานวน 3 คน เป็ นการทดลองเพื่อหาข้อบกพร่องของบทเรียนออนไลน์
เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา ซึง่ ได้มาโดยวิธกี ารสุม่ อย่างง่าย
การทดลองครัง้ ที่ 2 จํานวน 12 คน เป็ นการทดลองเพื่อหาแนวโน้มของบทเรียนออนไลน์
เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา ซึง่ ได้มาโดยวิธกี ารสุม่ อย่างง่ายจากจํานวนทีเ่ หลือ
การทดลองครัง้ ที่ 3 จํ า นวน 30 คน เป็ น การทดลองเพื่อ หาประสิท ธิภ าพของบทเรีย น
ออนไลน์เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา ซึง่ ได้มาโดยวิธกี ารสุม่ อย่างง่ายจากจํานวนทีเ่ หลือ
เครือ่ งมือที่ใช้ในการวิจยั
เครื่ องมือที่ใช้ในการศึกษาทดลองครั้งนี้ประกอบด้วย
1. บทเรียนออนไลน์เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
82
การสร้างและหาคุณภาพเครือ่ งมือที่ใช้ในการวิจยั
1. การสร้างบทเรียนออนไลน์ วิชาการผลิ ตรายการวิ ทยุการศึกษา
1.1 ศึกษารายละเอียดและเลือกเนื้อหา
1.2 วิเคราะห์เนื้อหาและแยกออกเป็ นหน่วยย่อยดังนี้
วิชาการผลิตรายการวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา จํานวน 5 หน่ วยการเรียนรู้
ประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้
1.2.1 ความเป็ นมาของวิทยุการศึกษา
1.2.2 หลักการเกีย่ วกับการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
1.2.3 การเขียนบทวิทยุการศึกษา
1.2.4 ห้องบันทึกเสียงและเครือ่ งมือ
1.2.5 รูปแบบของรายการวิทยุการศึกษา
1.3 กําหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ดังนี้
1.3.1 เพือ่ ให้ผเู้ รียนได้เรียนรูแ้ ละเข้าใจความเป็นมาของวิทยุการศึกษา
1.3.2 เพือ่ ให้ผเู้ รียนได้เรียนรูแ้ ละเข้าใจหลักการเกีย่ วกับการผลิตรายการวิทยุ
การศึกษา
1.3.3 เพือ่ ให้ผเู้ รียนได้เรียนรูแ้ ละเข้าใจเกีย่ วกับการเขียนบทวิทยุการศึกษา
1.3.4 เพือ่ ให้ผเู้ รียนได้เรียนรูแ้ ละเข้าใจเกีย่ วกับห้องบันทึกเสียงและเครือ่ งมือใน
การผลิตรายการวิทยุการศึกษา
1.3.5 เพือ่ ให้ผเู้ รียนได้เรียนรูแ้ ละเข้าใจเกีย่ วกับรูปแบบของรายการวิทยุ
การศึกษา
1.4 นํ าเนื้อหาให้ผเู้ ชีย่ วชาญด้านเนื้อหาจํานวน 3 ท่าน ประเมินคุณภาพของบทเรียน
พร้อมนําข้อเสนอแนะมาแก้ไขปรับปรุงต่อไป
1.5 นําเนื้อหาทีได้ผา่ นการปรับปรุงแล้วนํามาสร้างบทเรียน
83
2. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน
2.1 ศึกษารายละเอียดของโครงสร้างเนื้อหา คําอธิบายรายวิชา และเนื้อหาในเรื่องการ
ผลิตรายการวิทยุการศึกษา
2.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และวิธกี ารสร้างแบบทดสอบ การเขียนข้อสอบ และการ
วิเคราะห์ขอ้ สอบของบทเรียนออนไลน์
2.3 วิเคราะห์เนื้อหาและเขียนวัตถุประสงค์การเรียนรูข้ องเนื้อหาในแต่ละเรื่องของ
บทเรียนออนไลน์
2.4 ให้ผเู้ ชีย่ วชาญด้านเนื้อหาตรวจสอบวัตถุประสงค์การเรียนรูท้ ส่ี ร้างขึน้ ว่าถูกต้อง
เหมาะสมและสอดคล้องครอบคลุมเนื้อหาหรือไม่
2.5 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ ์ทางการเรียนให้ครอบคลุมเนื้อหาและวัตถุประสงค์
การเรียนรูแ้ บบปรนัย 4 ตัวเลือกจํานวน 100 ข้อ แล้วให้ผเู้ ชีย่ วชาญด้านเนื้อหาตรวจสอบเพื่อ
ปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมด้วยแบบประเมินความสอดคล้อง (IOC) ผลแสดงในภาคผนวก
2.6 นําแบบทดสอบทีส่ ร้างขึน้ ไปทดลองใช้กบั นิสติ ทีเ่ คยเรียนวิชาการผลิตรายการวิทยุ
การศึกษาจํานวน 35 คน และตรวจให้คะแนนข้อถูกต้อง 1 คะแนน ข้อทีผ่ ดิ ได้ 0 คะแนน เพื่อ
วิเคราะห์หาค่าความยากง่ายและค่าอํานาจจําแนกของแบบทดสอบ
2.7 คัดเลือกข้อสอบไว้ 40 ข้อ แบ่งเป็ นเรือ่ งละ 8 ข้อ ทีม่ คี วามยากง่ายระหว่าง 0.20 –
0.80 และมีค่าอํานาจจําแนกตัง้ แต่ 0.20 ขึน้ ไป โดยใช้วธิ วี เิ คราะห์อย่างง่าย เพื่อนํ าไปใช้ใน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ ์ทางการเรียน ผลได้ขอ้ สอบทีม่ คี ่าความยากง่ายอยูร่ ะหว่าง 0.21-0.79
และค่าอํานาจจําแนกอยูร่ ะหว่าง 0.20-0.60 (รายละเอียดแสดงในภาคผนวก)
84
2.8 นําแบบทดสอบไปคํานวนหาค่าความเชื่อมันของแบบทดสอบวั
่ ดผลสัมฤทธิ ์ทางการ
เรียนแต่ละเรื่อง และรวมทัง้ ฉบับ โดยใช้สตู ร KR-20 ของ คูเดอร์ ริชาร์ดสัน ผลได้ความเชื่อมัน่
ของข้อสอบเท่ากับ 0.73 (รายละเอียดแสดงในภาคผนวก)
2.9 นํ าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ ์ทางการเรียนที่ตรวจสอบคุณภาพแล้วไปใช้ใน
บทเรียนออนไลน์ทส่ี ร้างขึน้ ต่อไป
4. การสร้างแบบวัดความพึงพอใจ
5 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับมากทีส่ ดุ
4 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับมาก
3 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง
2 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับน้อย
1 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับน้อยมาก
ในการแปลผลหาค่าเฉลีย่ ของความพึงพอใจ มีดงั นี้
การดําเนินการทดลอง
ผูว้ จิ ยั ได้นําบทเรียนออนไลน์ทป่ี รับปรุงแก้ไขแล้วมาดําเนินการทดลองกับกลุ่มประชากรซึ่ง
เป็ นนิสติ ระดับปริญญาตรีช นั ้ ปี ท่ี 2 สาขาวิช าเทคโนโลยีส่ือ สารการศึก ษา คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิท ยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อ หาประสิท ธิภาพของบทเรีย นออนไลน์ โดยดํา เนิ น การตาม
ขัน้ ตอนต่อไปนี้
การประเมินความพึงพอใจของผูเ้ รียน
ผูว้ จิ ยั ได้นําแบบประเมินความพึงพอใจ ทีผ่ ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้วมาดําเนินการศึกษากับ
กลุ่มประชากรซึ่งเป็ นนิ ส ิต ระดับปริญญาตรีช ัน้ ปี ที่ 2 สาขาวิชาเทคโนโลยีส่อื สารการศึกษา คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผูเ้ รียน โดยดําเนินตามขัน้ ตอน
ต่อไปนี้
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. สถิตทิ ใ่ี ช้ในการหาคุณภาพของเครือ่ งมือ
1.1 การหาค่าความยากง่าย ค่าอํานาจจําแนก และค่าความเชื่อมัน่ ของแบบทดสอบ
โดยใช้สตู ร KR-20 (Kuder Richardson) (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. 2538: 197-198)
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวิจยั ครัง้ นี้ เป็ นการพัฒนาบทเรียนออนไลน์ เรือ่ ง การผลิตรายการวิทยุการศึกษา
สําหรับนิสติ ปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีสอ่ื สารการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยได้ผลดังนี้
บทเรียนออนไลน์
บทเรียนออนไลน์ เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา สําหรับนิสติ ปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยี
สือ่ สารการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประกิบด้วยเนื้อหาจํานวน 5 เรือ่ งได้แก่
1. ความเป็ นมาของวิทยุการศึกษา
2. หลักการเกีย่ วกับการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
3. การเขียนบทวิทยุการศึกษา
4. ห้องบันทึกเสียงและเครือ่ งมือ
5. รูปแบบของรายการวิทยุการศึกษา
โดยในบทเรียนประกอบด้วย เนื้อหาของบทเรียน นํ าเสนอเป็ นตัวหนังสือ ภาพนิ่ง ภาพกราฟิ ก
การสื่อสารภายในบทเรียน การเชื่อมโยงทัง้ ภายในและภายนอกบทเรียน เพื่อดึงดูดความสนใจของ
ผูเ้ รียน และกระตุ้นให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรูต้ ามที่ผวู้ จิ ยั กําหนดไว้ แบบฝึ กหัดระหว่างเรียน จํานวน 25
ข้อ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ ์ทางการเรียน จํานวน 40 ข้อ
ผลการประเมินคุณภาพของบทเรียนออนไลน์
1.1 การประเมิ นคุณภาพบทเรียนออนไลน์ ด้านเนื้ อหา
ค่าเบี่ยงเบน ระดับ
รายการประเมิ น ค่าเฉลี่ย
มาตรฐาน คุณภาพ
1. จุดประสงค์
1.1 การกําหนดวัตถุประสงค์มคี วามเหมาะสม 4.67 .58 ดีมาก
1.2 การกําหนดวัตถุประสงค์มคี วามขัดเจน 4.33 .58 ดี
1.3 จํานวนของวัตถุประสงค์มคี วามเหมาะสม 4.67 .58 ดีมาก
ค่าเฉลี่ย 4.56 .58 ดีมาก
2. เนื้ อหาบทเรียน
2.1 การนําเสนอเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์ 4.67 .58 ดีมาก
2.2 ความสอดคล้องของเนื้อหากับจุดประสงค์ 5.00 .00 ดีมาก
2.3 ความถูกต้องของเนื้อหา 4.00 .00 ดี
2.4 ความเหมาะสมของการจัดลําดับเนื้อหา 4.00 .00 ดี
2.5 ความยากง่ายเหมาะสมกับระดับผูเ้ รียน 4.00 .00 ดี
2.6 ความเหมาะสมของปริมาณเนื้อหาในแต่ละ 5.00 .00 ดีมาก
บทเรียน
2.7 ความเหมาะสมของขัน้ ตอนการนําเสนอเนื้อหา 4.00 .00 ดี
2.8 ความถูกต้องของการใช้ภาษา 4.00 .00 ดี
2.9 ความน่าสนใจในการดําเนินเรือ่ ง 3.67 .58 พอใช้
2.10 ความสอดคล้องของภาพประกอบในเนื้อหา 4.33 .58 ดี
ค่าเฉลี่ย 4.27 .17 ดี
3. แบบทดสอบ
3.1 ความสอดคล้องของคําถามกับเนื้อหา 4.67 .58 ดีมาก
3.2 ความชัดเจนของคําถาม 4.00 .00 ดี
3.3 ความเหมาะสมของจํานวนคําถาม 4.67 .58 ดีมาก
ค่าเฉลี่ย 4.44 .35 ดี
รวมเฉลี่ย 4.35 .29 ดี
91
ค่าเบี่ยงเบน
รายการประเมิ น ค่าเฉลี่ย ระดับคุณภาพ
มาตรฐาน
1. ด้านภาพ
1.2 ความชัดเจนของภาพ 4.33 .58 ดี
1.2 ขนาดของภาพกราฟิกมีความเหมาะสม 4.33 .58 ดี
1.3 ความเหมาะสมระหว่างภาพกับเนื้อหา 4.33 .58 ดี
1.4 ความเหมาะสมของภาพกับระดับของผูเ้ รียน 4.33 .58 ดี
1.5 ความหมายของภาพสอดคล้องกับเนื้อหา 4.33 .58 ดี
ค่าเฉลี่ย 4.33 .58 ดี
2 ด้านตัวอักษรและการใช้สี
2.1 ความเหมาะสมของรูปแบบและขนาดของ 4.33 .58 ดี
ตัวอักษรทีใ่ ช้ประกอบบทเรียนกับพืน้ หลัง
2.2 ความเหมาะสมของการเลือกใช้สตี วั อักษร 4.33 .58 ดี
2.3 ความน่าสนใจในการออกแบบหน้าจอ 4.33 .58 ดี
2.4 สีทช่ี ว่ ยให้ภาพตัวอักษรและพืน้ หลังมีความ 4.33 .58 ดี
สวยงามน่าสนใจ
ค่าเฉลี่ย 4.33 .58 ดี
3 ด้านการเชื่อมโยงข้อมูล
3.1 การเชื่อมโยงในหน้าเดียวกันและหน้าอื่นๆ 4.33 .58 ดี
ของบทเรียน
3.2 จุดเชื่อมโยงมีความสอดคล้องกับเนื้อหา 4.67 .58 ดีมาก
3.3 การเชื่อมโยงของแต่ละหัวข้อภายในบทเรียน 4.67 .58 ดีมาก
ค่าเฉลี่ย 4.56 .58 ดีมาก
93
ค่าเบี่ยงเบน
รายการประเมิ น ค่าเฉลี่ย ระดับคุณภาพ
มาตรฐาน
4 ด้านการออกแบบบทเรียนและปฏิ สมั พันธ์
4.1 ความเหมาะสมของการออกแบบหน้าจอของ 4.33 .58 ดี
บทเรียนโดยรวม
4.2 การควบคุมบทเรียน 4.67 .58 ดีมาก
4.3 ความน่าสนใจในการปฏิสมั พันธ์ระหว่าง 3.67 .58 พอใช้
บทเรียนกับผูเ้ รียน
4.4 ความน่าสนใจของบทเรียน 4.00 0 ดี
4.5 ความเหมาะสมของเทคนิคการนําเสนอง่าย 4.33 .58 ดี
และ สะดวกในการใช้บทเรียน
ค่าเฉลี่ย 4.20 .46 ดี
รวมเฉลี่ย 4.33 .54 ดี
ผลการหาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์
ผูว้ จิ ยั ได้นําบทเรียนออนไลน์ทป่ี รับปรุงแก้ไขแล้วมาดําเนินการทดลองกับกลุ่มประชากรซึง่ เป็ น
นิ ส ิต ระดับ ปริญ ญาตรีช ั น้ ปี ที ่ 2 สาขาวิช าเทคโนโลยีส ื่อ สารการศึก ษา คณะศึก ษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ โดยดําเนินการตามขัน้ ตอน
ต่อไปนี้
ผลการประเมินความพึงพอใจของผูเ้ รียน
การประเมิน ความพึง พอใจของผู้เ รีย นที่มีต่ อ บทเรีย นออนไลน์ เรื่อ ง การผลิต รายการวิท ยุ
การศึกษา สําหรับนิสติ ปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีส่อื สารการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ได้ผลการวิเคราะห์ดงั ตาราง 6
98
ค่าเบี่ยงเบน ระดับ
รายการประเมิ น ค่าเฉลี่ย
มาตรฐาน ความพึงพอใจ
1. ภาพประกอบ
1.1 ความเหมาะสมของขนาดภาพ 3.71 .81 มาก
1.2 ความชัดเจนของภาพ 3.86 .65 มาก
1.3 ความสอดคล้องกับภาพและเนื้อหา 3.71 .90 มาก
ค่าเฉลี่ย 3.76 .79 มาก
2. ตัวอักษร
2.1 ความเหมาะสมของตัวอักษรกับหน้าจอ 3.43 1.07 ปานกลาง
2.2 ความเด่นชัดของหัวข้อและส่วนทีเ่ น้นสําคัญ 3.64 1.06 มาก
2.3 ขนาดความชัดเจนของตัวอักษร 3.71 1.05 มาก
2.4 การใช้สตี วั อักษร 3.86 .65 มาก
2.5 รูปแบบของตัวอักษรมีความเหมาะสมอ่านง่าย 3.50 1.20 ปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 3.63 1.01 มาก
3. การเรียนบนบทเรียนออนไลน์
3.1 ความเหมาะสมของการนําเข้าสูโ่ ปรแกรม 3.21 1.34 ปานกลาง
3.2 ความสะดวกในการเรียน 2.57 1.32 ปานกลาง
3.3 เนื้อหาชัดเจนเข้าใจง่าย 3.36 1.19 ปานกลาง
3.4 การดําเนินเรือ่ งมีความกระชับจากง่ายไปสูย่ าก 3.57 1.00 มาก
3.5 การเชื่อมโยงในหัวข้อต่างๆ และ แหล่งข้อมูล 3.57 1.14 มาก
ค่าเฉลี่ย 3.26 1.20 ปานกลาง
4. ประโยชน์ ของการเรียนผ่านบทเรียนออนไลน์
4.1 เข้าใจเนื้อหาชัดเจนมากขึน้ 3.21 1.10 ปานกลาง
4.2 ช่วยให้เนื้อหาในการเรียนน่าสนใจมากขึน้ 3.21 1.17 ปานกลาง
4.3 นําความรูท้ ไ่ี ด้รบั ไปผลิตรายการวิทยุได้ 3.29 1.05 ปานกลาง
4.4 ประโยชน์ทไ่ี ด้รบั จากการเรียนผ่านบทเรียน 3.36 0.99 ปานกลาง
ออนไลน์ในภาพรวม
ค่าเฉลี่ย 3.27 1.08 ปานกลาง
ค่าเฉลี่ยรวม 3.48 1.02 ปานกลาง
99
ด้านการเรียนบนบทเรียนออนไลน์ พบว่าผู้เรียนมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับปาน
กลาง (xˉ = 3.26, SD = 1.20) กล่าวคือ มีความพึงพอใจกับความเหมาะสมของการนําเข้าสูโ่ ปรแกรม
ในระดับปานกลาง (xˉ = 3.21, SD = 1.34) มีความพึงพอใจกับความสดวกในการเรียนในระดับปานกลาง
(xˉ = 2.57, SD = 1.32) มีความพึงพอใจกับเนื้อหาชัดเจนเข้าใจง่ายในระดับปานกลาง
(xˉ = 3.36, SD = 1.19) มีความพึงพอใจกับการดําเนินเนื้อหามีความกระชับเรียงจากเรื่องง่ายไปสูเ่ รื่อง
ยากในระดับมาก (xˉ = 3.57, SD = 1.00) และมีความพึงพอใจในการเชื่อมโยงในหัวข้อต่างๆ และ
แหล่งข้อมูล ในระดับมาก (xˉ = 3.57, SD = 1.14)
ความมุ่งหมายของการวิจยั
1. เพื่อพัฒนาบทเรียนออนไลน์เรื่องการผลิตรายการวิทยุการศึกษาให้มปี ระสิทธิภาพ ตาม
เกณฑ์ 80/80
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนิสติ ที่เรียนโดยใช้บทเรียนออนไลน์ เรื่องการผลิตรายการวิทยุ
การศึกษา
ความสําคัญของการวิจยั
ผูเ้ รียนสามารถศึกษาทบทวนบทเรียนเรือ่ งการผลิตวิทยุการศึกษาผ่านบทเรียนออนไลน์เรื่องการ
ผลิตวิทยุการศึกษาได้ทุกทีท่ ุกเวลาและผูเ้ รียนเกิดทักษะใหม่ๆทีเ่ กิดจากการค้นคว้าด้วยตนเอง และ การ
ค้นคว้านอกห้องเรียน และเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาในการผลิตรายการวิทยุโดยที่ผู้สอน
สามารถประหยัดเวลาในการสอนเนื้อหาเรื่องการผลิตวิทยุการศึกษาในบางส่วนทีผ่ เู้ รียนสามารถศึกษา
ค้นคว้าด้วยตนเองได้
102
ขอบเขตของการวิจยั
ประชากร
ประชากรที่ใ ช้ใ นการศึก ษาเป็ น นิ สิต ปริญ ญาตรี สาขาเทคโนโลยีส่ือสารการศึกษา คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ จํานวน 213 คน
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างทีใ่ ช้ในการศึกษาเป็ น นิสติ ระดับปริญญาตรี ชันปี
่ ท2่ี สาขาเทคโนโลยีส่อื สารการศึกษา
มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ จํานวน 45 คน ได้มาโดยวิธกี ารเลือกแบบเจาะจงจากนิสติ ทีล่ งทะเบียนเรียนวิชา
การผลิตรายการวิทยุการศึกษา(ET 321) ในปี การศึกษา 1/2554 โดยแบ่งเป็ น
การทดลองครัง้ ที่ 1 จํานวน 3 คน เป็ นการทดลองเพื่อหาข้อบกพร่องของบทเรียนออนไลน์เรื่อง
การผลิตรายการวิทยุการศึกษา ซึง่ ได้มาโดยวิธกี ารสุม่ อย่างง่าย
การทดลองครัง้ ที่ 2 จํานวน 12 คน เป็ นการทดลองเพื่อหาแนวโน้มของบทเรียนออนไลน์เรื่อง
การผลิตรายการวิทยุการศึกษา ซึง่ ได้มาโดยวิธกี ารสุม่ อย่างง่ายจากจํานวนทีเ่ หลือ
การทดลองครัง้ ที่ 3 จํานวน 30 คน เป็ นการทดลองเพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์
เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา ซึง่ ได้มาโดยวิธกี ารสุม่ อย่างง่ายจากจํานวนทีเ่ หลือ
เนื้ อหาที่ใช้ในการวิ จยั
เนื้อหาทีน่ ํามาใช้ใน บทเรียนออนไลน์เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา มีดงั นี้
1. ความเป็ นมาของวิทยุการศึกษา
2. หลักการเกีย่ วกับการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
3. การเขียนบทวิทยุการศึกษา
4. ห้องบันทึกเสียงและเครือ่ งมือ
5. รูปแบบของรายการวิทยุการศึกษา
เครือ่ งมือที่ใช้ในการวิจยั
เครื่ องมือที่ใช้ในการศึกษาทดลองครั้งนี้ประกอบด้วย
1. บทเรียนออนไลน์เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
2. แบบประเมินคุณภาพ บทเรียนออนไลน์เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา แบ่งเป็ น
2.1 แบบประเมินคุณภาพ บทเรียนออนไลน์เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา ฉบับ
สําหรับผูเ้ ชีย่ วชาญ ด้านเนื้อหา
2.2 แบบประเมินคุณภาพ บทเรียนออนไลน์เรือ่ งการผลิตรายการวิทยุการศึกษา ฉบับ
สําหรับผูเ้ ชีย่ วชาญ ด้านเทคโนโลยีการศึกษา
103
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ ์ทางการเรียน
4. แบบประเมินความพึงพอใจ
การทดลองหาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์
ผูว้ จิ ยั ได้นําบทเรียนออนไลน์ทป่ี รับปรุงแก้ไขแล้วมาดําเนินการทดลองกับกลุ่มประชากรซึง่ เป็ น
นิ ส ิต ระดับ ปริญ ญาตรีช ั น้ ปี ที ่ 2 สาขาวิช าเทคโนโลยีส ื่อ สารการศึก ษา คณะศึก ษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ โดยดําเนินการตามขัน้ ตอน
ต่อไปนี้
การทดลองครัง้ ที่ 1 เป็ นการทดลองกับผูเ้ รียนเป็ นรายบุคคลเพื่อตรวจสอบในด้านการใช้
ภาษา การนํ าเสนอ การมีปฎิส มั พันธ์เพื่อหาข้อบกพร่องของบทเรียนออนไลน์ โดยนํ าไปใช้กบั กลุ่ม
ทดลองกลุ่มที่ 1 จํานวน 3 คน โดยดําเนินการดังนี้
1. จัดเตรียมห้องคอมพิวเตอร์ทเ่ี ชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สําหรับการเรียนบทเรียนบน
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่อง การบริหารจัดการเรียนรูบ้ นเครือข่าย โดยจัดเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 ชุด ต่อ
ผูเ้ รียน 1 คน
2. การดําเนินการทดลอง มีขนั ้ ตอนดังนี้
2.1 ผูเ้ รียนศึกษาคําแนะนําในการใช้บทเรียนและวิธกี ารเข้าศึกษาบทเรียน
2.2 ผูเ้ รียนศึกษาบทเรียนและประกอบกิจกรรมต่างๆ ทีไ่ ด้กําหนดไว้ในบทเรียน โดยให้อสิ ระ
ในการศึกษาเนื้อหาบทเรียนตามความต้องการ และระยะเวลาของแต่ละบุคคล
2.3 ผูว้ จิ ยั สังเกตพฤติกรรมของผูเ้ รียนเป็ นระยะ และสัมภาษณ์ความคิดเห็นเกีย่ วกับบทเรียน
ดังกล่าวจากผูเ้ รียน
ผูว้ จิ ยั ได้สงั เกตและสัมภาษณ์ผเู้ รียนเกีย่ วกับข้อบกพร่องด้านต่างๆ ของบทเรียน พบว่า ผูเ้ รียน
ให้ความสนใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เป็ นอย่างดี แต่ยงั พบข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไข
ดังนี้
1. ควรเพิม่ ขนาดของภาพประกอบให้ใหญ่ขน้ึ เพือ่ ความชัดเจนในการมองเห็น
2. ควรเพิม่ แหล่งข้อมูลให้หลากหลายกว่าทีม่ อี ยู่ เพือ่ ให้ครอบคลุมเนื้อหามากขึน้
3. ควรใช้ Unicode ทีเ่ ป็ นสากล เพือ่ ความสะดวกในการเข้าถึงเนื้อหา
ซึง่ ผูว้ จิ ยั ได้รวบรวมข้อบกพร่องและความเห็นของนิสติ ทีม่ ตี ่อบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
แล้วนําไปปรับปรุงแก้ไข เพือ่ นําไปทดลองในครัง้ ที่ 2 ต่อไป
การทดลองครัง้ ที่ 2 เป็ นการหาแนวโน้มของประสิทธิภาพของบทเรียนและเป็ นการตรวจหา
ข้อบกพร่องในด้านต่างๆ เพื่อนํ าไปปรับปรุงแก้ไข โดยนํ าบทเรีย นทีผ่ ่านการปรับ ปรุงแก้ไ ขจากการ
104
การประเมินความพึงพอใจของผูเ้ รียน
ผูว้ จิ ยั ได้นําแบบประเมินความพึงพอใจ ทีผ่ า่ นการปรับปรุงแก้ไขแล้วมาดําเนินการศึกษากับกลุ่ม
ประชากรซึ่ง เป็ น นิ ส ิต ระดับ ปริญ ญาตรีช ัน้ ปี ที่ 2 สาขาวิช าเทคโนโลยีสื่อ สารการศึก ษา คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิท ยาลัย ศรีนครินทรวิโ รฒ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เ รีย น โดยดํา เนิ น ตาม
ขัน้ ตอนต่อไปนี้
1. นําแบบวัดความพึงพอใจทีผ่ ่านการปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กบั นิสติ ระดับปริญญาตรี สาขา
เทคโนโลยีส่อื สารการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ ชัน้ ปี ท่ี 2 ทีล่ งทะเบียนเรียน วิชา การผลิต
รายการวิทยุการศึกษา จํานวน 30 คน ซึง่ เป็ นกลุ่มทดลองหาประสิทธิภาพครัง้ ที่ 3 โดยดําเนินการ
ทดลองหลังจากผูเ้ รียนได้เรียนจบจากบทเรียนออนไลน์และทําแบบวัดผลสัมฤทธิ ์ทางการเรียนเสร็จแล้ว
2. นํ า แบบประเมิน ที่ผู้เ รีย นประเมิน หลัง จากเรีย นจบจากบทเรีย นออนไลน์ แ ละทํา แบบวัด
ผลสัมฤทธิ ์ทางการเรียนเสร็จแล้วมาประเมินความพึงพอใจของผูเ้ รียน โดยพบว่าผูเ้ รียนมีความพึงพอใจ
โดยรวมอยูใ่ นระดับปานกลาง
สรุปผลการวิจยั
จากการพัฒนาบทเรียนออนไลน์ เรือ่ ง การผลิตรายการวิทยุการศึกษา สําหรับนิสติ ระดับปริญญา
ตรี สาขาเทคโนโลยีสอ่ื สารการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สามารถสรุปผลการวิจยั ได้ดงั นี้
1. ได้บทเรียนออนไลน์ทส่ี ามารถเรียนผ่านเครื่องข่ายอินเทอร์เน็ต โดยในบทเรียนประกอบด้วย
เนื้อหาของบทเรียน นํ าเสนอเป็ นภาพนิ่ง ภาพกราฟิ ก ตัวหนังสือ การสื่อสารภายในบทเรียน การ
105
อภิปรายผลการวิจยั
จากการพัฒนาบทเรียนออนไลน์เรื่องการผลิตรายการวิทยุการศึกษา สําหรับนิสติ ระดับปริญญา
ตรี สาขาเทคโนโลยีส่ือ สารการศึก ษา มหาวิท ยาลัย ศรีน คริน ทรวิโ รฒ ที่ส ร้า งขึ้น มีคุ ณ ภาพด้า น
เทคโนโลยีการศึกษาอยู่ในระดับดี และมีประสิทธิภาพโดยรวมเป็ น 85.67/87.75 ซึง่ เป็ นไปตามเกณฑ์
ทีก่ าํ หนดไว้ สามารถอภิปรายผลได้ดงั นี้
1. การหาคุณภาพของบทเรียนออนไลน์ เรื่อง การผลิตรายการวิท ยุการศึกษา สําหรับนิสิต
ระดับปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีสอ่ื สารการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผูว้ จิ ยั ได้ดาํ เนินการ
ขึน้ ในความควบคุมของ อาจารย์ท่ปี รึกษา คณะผูเ้ ชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และ คณะผูเ้ ชี่ยวชาญด้านสื่อ
จนทําให้บทเรียน มีคุณภาพอยู่ในระดับดี 85.67/87.75 ซึง่ เป็ นไปตามเกณฑ์ทก่ี ําหนด โดยในบทเรียน
ประกอบด้วย เนื้อหาของบทเรียน นํ าเสนอเป็ นภาพนิ่ง ภาพกราฟิ ก ตัวหนังสือ การสื่อสารภายใน
บทเรียน การเชื่อมโยงนอกบทเรียน เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เรียนและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้ ผูเ้ รียนสามารถศึกษาทบทวนบทเรียนเรือ่ งการผลิตวิทยุการศึกษาผ่านบทเรียนออนไลน์เรื่องการ
ผลิตวิทยุการศึกษาได้ทุกทีท่ ุกเวลาและผูเ้ รียนเกิดทักษะใหม่ๆทีเ่ กิดจากการค้นคว้าด้วยตนเอง และ การ
ค้นคว้านอกห้องเรียน และเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาในการผลิตรายการวิทยุโดยที่ผู้สอน
106
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะทัวไป ่
1. การพัฒ นาบทเรีย นออนไลน์ ผู้วิจ ัย ต้อ งมีค วามรู้ใ นด้า นการเตรีย มข้อ มูล การออกแบบ
บทเรีย น การวิเ คราะห์และการจัดลําดับ เนื้ อหา ตลอดจนควรศึกษาโปรแกรมที่จําเป็ น ต้องใช้อาทิ
โปรแกรมระบบบริหารจัดการการเรีย นรู้ ซึ่งจะทําให้ส ามารถพัฒนาบทเรีย นได้อย่างรวดเร็ว และมี
ประสิทธิภาพมากยิง่ ขึน้
2. ควรสนับสนุ นและส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาทุกระดับมีการใช้บทเรียนออนไลน์มากขึน้ ซึง่
เป็ น การส่ง เสริม การเรีย นรู้แ บบผู้เ รีย นเป็ น ศูน ย์กลาง และเพื่อ ตอบสนองกับ กลยุท ธ์ใ นการพัฒ นา
เทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การศึกษา
3. ควรมีการจัดอบรมการาสร้างบทเรียนออนไลน์ เพือ่ ให้ผสู้ อนสามารถสร้างบทเรียนในรายวิชา
ต่างๆ ใช้ได้เอง
ข้อเสนอแนะสําหรับการวิ จยั ครัง้ ต่อไป
1. ควรมีก ารศึกษาวิจยั ด้านการมีคุ ณธรรม จริย ธรรม ในการเรียนรู้ข องผู้เ รียนที่เ รียนด้ว ย
บทเรียนออนไลน์
2. ควรมีการศึกษาทักษะการใช้อนิ เทอร์เน็ต ของผูเ้ รียนทีเ่ รียนด้วยบทเรียนออนไลน์
3. ควรมีการพัฒนาบทเรียนให้มรี ปู แบบการเรียนรูท้ ห่ี ลากหลายมากขึน้ เช่น เกม สถานการณ์
จําลอง เป็ นต้น
4. ควรมีการศึกษาวิจยั ด้านความพร้อมของผูเ้ รียน ในการเรียนรูข้ องผูเ้ รียนทีเ่ รียนด้วยบทเรียน
ออนไลน์
บรรณานุกรม
109
บรรณานุกรม
กิดานันท์ มลิทอง. (2540). เทคโนโลยีการศึกษาร่วมสมัย. กรุงเทพฯ: เอดิสนั เพรส โพรดักส์.
กิดานันท์ มลิทอง. (2540). เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์.
กําธร บุญเจริญ. (2550). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียนจากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ผา่ นเว็บ 2
รูปแบบทีต่ ่างกัน เรือ่ งการเขียน สําหรับนิสติ ระดับปริญญญาตรี. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม
(เทคโนโลยีการศึกษา). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร.
จตุรงค์ ขันทเขตต์. (2549). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มลั ติมเี ดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเรือ่ ง
เทคนิคการผลิตรายการโทรทัศน์การศึกษา ระดับปริญญาตรีสาขาวิชาเทคโนโลยีสอื ่ สาร
การศึกษา. สารนิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต (เทคโนโลยีการศึกษา) กรุงเทพฯ : บัณฑิต
วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร.
ชูศรี วงศ์รตั นะ. (2550). เทคนิคการใช้สถิตเิ พือ่ การวิจยั . พิมพ์ครัง้ ที่ 10. นนทบุร:ี ไทเนรมิตกิจ
อินเตอร์ โปรเกรสซิฟ.
ณัฐภณ สุเมธอธิคม. (2551). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ผา่ นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
วิชา กราฟิกเพือ่ การสือ่ สาร เรือ่ ง องค์ประกอบการออกแบบงานกราฟิก ระดับปริญญาตรี.
สารนิพนธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร.
ณัฏฐพรณ์ หลาวทอง. (2551) เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การวัดผลและการประเมินผลทาง
การศึกษา.ครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2541). คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน. กรุงเทพฯ: วงกมล โพรดักชัน.
นงนุช เพ็ชรรืน่ . (2543). บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรือ่ ง ความปลอดภัย
ของโปรแกรม. วิทยานิพนธ์ คอ.ม. กรุงเทพฯ: สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร
ลาดกระบัง. ถ่ายเอกสาร.
บุญเกือ้ ควรหาเวช. (2539). คูม่ อื การผลิตรายการวิทยุ. กรุงเทพฯ: ศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ.
ปรีชา คร้ามพักตร์. (2553). จิตวิทยาการเรียนรู.้ กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
เปรือ่ ง กุมทุ . (2541). เทคโนโลยีการเรียนการสอนในยุคสารสนเทศ. ศึกษาศาสตร์ มอ.
วิทยาเขตปตั ตานี.
110
ภาคผนวก ก
ตัวอย่างบทเรียนออนไลน์
114
ภาพที่ 1 หน้าแรกเว็บไซต์ของภาควิชาเทคโลยีทางการศึกษา
ภาพที่ 4 หน้าแรกของบทเรียน
116
ภาพที่ 6 ตัวอย่างแบบฝึกหัดในระบบ
117
ภาคผนวก ข
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน
119
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ ิ ทางการเรียน
เรื่องเทคนิคการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
2. วัตถุประสงค์หลักของวิทยุโรงเรียนคืออะไร
ก. เพือ่ ช่วยส่งเสริมคุณภาพของการเรียนการสอนในโรงเรียนชนบท ทีย่ งั ขาดแคลนครู
ข. เพือ่ ช่วยส่งเสริมคุณภาพของการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย
ค. เพือ่ เผยแพร่ขา่ วสารการศึกษาแก่ประชาชน
ง. ถูกทุกข้อ
เฉลย ก. เพื่อช่วยส่งเสริ มคุณภาพของการเรียนการสอนในโรงเรียนชนบท ที่ยงั ขาดแคลนครู
บทที่2 หลักการเกี่ยวกับการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
9. ข้อใดไม่ใช้องค์ประกอบของการผลิตรายการวิทยุการศึกษา
ก. ผูฟ้ งั
ข. เนื้อหา
ค. วิธกี ารนําเสนอ
ง. ผูส้ นับสนุ น
เฉลย ง. ผูส้ นับสนุน
12. รายการประเภทใดนิยมบันทึกเสียงไว้ก่อนการออกอากาศ
ก. รายการถามตอบปญั หา
ข. รายการข่าว
ค. รายการเปิ ดเพลงตามคําขอ
ง. รายการสารคดี
เฉลย ง. รายการสารคดี
14. วัตถุประสงค์ของการประเมินผลรายการวิทยุการศึกษาคืออะไร
ก. ทําให้รขู้ อ้ บกพร่องเพือ่ หาทางแก้ไขในการทํางาน
ข. ทําให้รถู้ งึ แนวทางในการทํางาน
ค. ทําให้รถู้ งึ เวลาในการผลิต
ง. ไม่มขี อ้ ใดถูก
เฉลย ก. ทําให้ร้ขู ้อบกพร่องเพื่อหาทางแก้ไขในการทํางาน
123
15. ข้อใดคือการประเมินทัศนคติของผูฟ้ งั
ก. การทํา Focus Groups
ข. การทําแบบสํารวจเรตติง้
ค. การสังเกตุ
ง. ถูกทุกข้อ
เฉลย ง. ถูกทุกข้อ
บทที่3 การเขียนบทรายการวิทยุการศึกษา
17. บทโครงร่างอย่างคร่าวๆ (Rundown sheet) เหมาะสําหรับรายการประเภทใด
ก. รายการละครวิทยุ
ข. รายการสารคดี
ค. สปอตโฆษณา
ง. รายการสัมภาษณ์
เฉลย ง. รายการสัมภาษณ์
24. คําสังใดในการเขี
่ ยนบทวิทยุการศึกษา หมายถึง “การลดระดับ(เสียงที1่ ) พร้อมกับค่อยๆเพิม่ ระดับ (เสียงที2่ )”
ก. Fade In
ข. Fade Out
ค. Cross Over
ง. Cross Fade
เฉลย ง. Cross Fade
28. ไมโครโฟนมีหลักการทํางานอย่างไร
ก. รับเสียง
ข. เปลีย่ นพลังงานไฟฟ้าเป็ นคลื่นแม่เหล็ก
ค. เปลีย่ นคลื่นเสียงให้เป็ นพลังงานไฟฟ้า
ง. ขยายเสียง
เฉลย ค. เปลี่ยนคลื่นเสียงให้เป็ นพลังงานไฟฟ้ า
32. โปรแกรมใดใช้ในงานตัดต่อเสียง
ก. Adobe Audition
ข. Adobe Premier
ค. Edius
ง. Finalcut
เฉลย ก. Adobe Audition
บทที่ 5 รูปแบบรายการวิทยุการศึกษา
33. รายการประเภทพูดคุยกับผูฟ้ งั Talk Program มีลกั ษณะรายการอย่างไร
ก. รายการทีเ่ น้นการแสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะ
ข. รายการทีม่ ผี ดู้ าํ เนินรายการพูดคุยกันเอง
ค. รายการทีเ่ ปิ ดโอกาศให้ผฟู้ งั เข้ามาจัดรายการได้
ง. รายการทีอ่ อกไปหาผูฟ้ งั นอกสถานที่
เฉลย ก. รายการที่เน้ นการแสดงความคิ ดเห็นในประเด็นสาธารณะ
36. รายการสารคดีควรใช้โทนเสียงใดในการจัดรายการ
ก. ห้วนๆ กระชับกระเฉง
ข. เสียงดัง รุนแรง
ค. สุขมุ น่าเชื่อถือ
ง. สดใส น่ารัก
เฉลย ค. สุขมุ น่ าเชื่อถือ
40. เหตุการณ์ใดเหมาะกับรายการบรรยายเหตุการณ์
ก. การเปิดตัวสินค้า
ข. การดีเบตผูล้ งสมัครนายกรัฐมนตรี
ค. การสัมมนาวิชาการ
ง. การรายงานราคาทอง
เฉลย ข. การดีเบตผูล้ งสมัครนายกรัฐมนตรี
130
ภาคผนวก ค
1. ผลการประเมิ นความสอดคล้อง (IOC)
3. ค่าความเชื่อมันของแบบทดสอบ
่ (KR20)
131
ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้อง
ของแบบวัดผลสัมฤทธ์ ิ ทางการเรียนจากผูเ้ ชี่ยวชาญ
ความคิ ดเห็นของผูเ้ ชี่ยวชาญ
ข้อ IOC ความหมาย
ผูเ้ ชี่ยวชาญคนที่ 1 ผูเ้ ชี่ยวชาญคนที่ 2 ผูเ้ ชี่ยวชาญคนที่ 3
1 1 1 1 1.00 ใช้ได้
2 0 1 0 0.33 ใช้ไม่ได้
3 1 1 1 1.00 ใช้ได้
4 0 0 0 0.00 ใช้ไม่ได้
5 1 1 1 1.00 ใช้ได้
6 1 1 1 1.00 ใช้ได้
7 1 1 1 1.00 ใช้ได้
8 1 -1 1 0.33 ใช้ไม่ได้
9 1 1 1 1.00 ใช้ได้
10 1 1 1 1.00 ใช้ได้
11 1 -1 0 0.00 ใช้ไม่ได้
12 1 1 1 1.00 ใช้ได้
13 1 1 1 1.00 ใช้ได้
14 1 1 1 1.00 ใช้ได้
15 1 1 1 1.00 ใช้ได้
16 1 1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้
17 1 1 1 1.00 ใช้ได้
18 0 -1 1 0.00 ใช้ไม่ได้
19 1 1 1 1.00 ใช้ได้
20 0 -1 1 0.00 ใช้ไม่ได้
21 1 1 1 1.00 ใช้ได้
22 1 1 1 1.00 ใช้ได้
23 1 1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้
24 1 1 1 1.00 ใช้ได้
25 1 -1 1 0.33 ใช้ไม่ได้
26 1 -1 1 0.33 ใช้ไม่ได้
132
27 1 1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้
28 1 1 0 0.67 ใช้ได้
29 1 1 1 1.00 ใช้ได้
30 1 1 1 1.00 ใช้ได้
31 1 1 1 1.00 ใช้ได้
32 1 1 1 1.00 ใช้ได้
33 1 1 1 1.00 ใช้ได้
34 1 1 1 1.00 ใช้ได้
35 1 0 1 0.67 ใช้ได้
36 1 1 1 1.00 ใช้ได้
37 1 1 0 0.67 ใช้ได้
38 1 1 0 0.67 ใช้ได้
39 1 1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้
40 1 1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้
41 1 1 1 1.00 ใช้ได้
42 1 1 1 1.00 ใช้ได้
43 1 1 1 1.00 ใช้ได้
44 1 1 1 1.00 ใช้ได้
45 1 0 1 0.67 ใช้ได้
46 1 1 1 1.00 ใช้ได้
47 1 1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้
48 1 1 1 1.00 ใช้ได้
49 1 1 1 1.00 ใช้ได้
50 1 1 1 1.00 ใช้ได้
51 1 1 1 1.00 ใช้ได้
52 1 1 1 1.00 ใช้ได้
53 1 1 1 1.00 ใช้ได้
54 1 1 1 1.00 ใช้ได้
55 1 1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้
56 1 1 1 1.00 ใช้ได้
133
57 1 1 1 1.00 ใช้ได้
58 1 1 1 1.00 ใช้ได้
59 1 1 1 1.00 ใช้ได้
60 1 1 1 1.00 ใช้ได้
61 1 1 1 1.00 ใช้ได้
62 1 1 0 0.67 ใช้ได้
63 1 1 0 0.67 ใช้ได้
64 1 1 1 1.00 ใช้ได้
65 1 1 1 1.00 ใช้ได้
66 1 1 1 1.00 ใช้ได้
67 1 1 1 1.00 ใช้ได้
68 1 1 0 0.67 ใช้ได้
69 1 1 1 1.00 ใช้ได้
70 1 1 1 1.00 ใช้ได้
71 1 1 1 1.00 ใช้ได้
72 1 1 1 1.00 ใช้ได้
73 1 1 1 1.00 ใช้ได้
74 1 1 1 1.00 ใช้ได้
75 1 1 1 1.00 ใช้ได้
76 1 1 0 0.67 ใช้ได้
77 1 1 1 1.00 ใช้ได้
78 1 1 1 1.00 ใช้ได้
79 1 1 -1 0.33 ใช้ไม่ได้
80 1 1 0 0.67 ใช้ได้
81 1 1 1 1.00 ใช้ได้
82 1 1 1 1.00 ใช้ได้
83 1 1 1 1.00 ใช้ได้
84 1 1 1 1.00 ใช้ได้
85 1 0 1 0.67 ใช้ได้
86 1 1 1 1.00 ใช้ได้
134
87 1 1 1 1.00 ใช้ได้
88 1 0 1 0.67 ใช้ได้
89 1 1 0 0.67 ใช้ได้
90 1 1 1 1.00 ใช้ได้
91 1 1 1 1.00 ใช้ได้
92 1 1 1 1.00 ใช้ได้
93 1 1 1 1.00 ใช้ได้
94 1 1 1 1.00 ใช้ได้
95 1 0 1 0.67 ใช้ได้
96 1 1 1 1.00 ใช้ได้
97 1 1 1 1.00 ใช้ได้
98 1 0 1 0.67 ใช้ได้
99 1 1 1 1.00 ใช้ได้
100 1 1 0 0.67 ใช้ได้
135
ตารางแสดงค่าความยากง่าย(p) ค่าอํานาจจําแนก(r)
ดผลสัมฤทธ์ ิ ทางการเรียน
และค่าความเชื่อมันของแบบวั
่
ข้อ ความยากง่าย ค่าอํานาจจําแนก ความหมาย
1 0.32 0.21 ใช้ได้
2 0.21 0.42 ใช้ได้
3 0.26 0.32 ใช้ได้
4 0.24 0.16 ใช้ไม่ได้
5 0.68 0.21 ใช้ได้
6 0.63 0.21 ใช้ได้
7 0.39 0.16 ใช้ไม่ได้
8 0.55 0.37 ใช้ได้
9 0.05 0.00 ใช้ไม่ได้
10 0.32 0.42 ใช้ได้
11 0.21 0.32 ใช้ได้
12 0.53 0.21 ใช้ได้
13 0.42 0.21 ใช้ได้
14 0.68 0.40 ใช้ได้
15 0.61 0.34 ใช้ได้
16 0.50 0.27 ใช้ได้
17 0.74 0.29 ใช้ได้
18 0.63 0.53 ใช้ได้
19 0.74 0.47 ใช้ได้
20 0.76 0.29 ใช้ได้
21 0.24 0.26 ใช้ได้
22 0.71 0.29 ใช้ได้
23 0.24 0.08 ใช้ไม่ได้
24 0.45 0.21 ใช้ได้
25 0.76 0.35 ใช้ได้
26 0.34 0.26 ใช้ได้
27 0.45 0.21 ใช้ได้
136
ค่าความเชื่อมันของแบบทดสอบทั
่ ง้ ฉบับ เท่ากับ 0.73
138
ภาคผนวก ง
1. แบบประเมิ นคุณภาพบทเรียนออนไลน์
2. แบบประเมิ นความพึงพอใจเกี่ยวกับบทเรียนออนไลน์
139
ระดับความคิ ดเห็น
รายการประเมิ น ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง ใช้ไม่ได้
(5) (4) (3) (2) (1)
1. ด้านภาพ
1.1 ความชัดเจนของภาพ
1.2 ขนาดของภาพกราฟิกมีความเหมาะสม
1.3 ความเหมาะสมระหว่างภาพกับเนื้อหา
1.4 ความเหมาะสมของภาพกับระดับของผูเ้ รียน
1.5 ความหมายของภาพสอดคล้องกับเนื้อหาใน
บทเรียน
2 ด้านตัวอักษรและการใช้สี
2.1 ความเหมาสมของรูปแบบและขนาดของตัวอักษร
ทีใ่ ช้ประกอบบทเรียนกับพืน้ หลัง
2.2 ความเหมาะสมของการเลือกใช้สตี วั อักษร
2.3 ความน่าสนใจในการออกแบบหน้าจอ
2.4 สีทช่ี ว่ ยให้ภาพตัวอักษรและพืน้ หลังมีความ
สวยงามน่าสนใจ
140
ระดับความคิ ดเห็น
รายการประเมิ น ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง ใช้ไม่ได้
(5) (4) (3) (2) (1)
3 ด้านการเชื่อมโยงข้อมูล
3.1 การเชื่อมโยงในหน้าเดียวกันและหน้าอื่นๆ ของ
บทเรียน
3.2 จุดเชื่อมโยงมีความสอดคล้องกับเนื้อหาทีเ่ ชื่อมไป
3.3 การเชื่อมโยงของแต่ละหัวข้อภายในบทเรียน
4 ด้านการออกแบบบทเรียนและปฏิ สมั พันธ์
4.1 ความเหมาะสมของการออกแบบหน้าจอของ
บทเรียนโดยรวม
4.2 การควบคุมบทเรียน
4.3 ความน่าสนใจในการปฏิสมั พันธ์ระหว่างบทเรียน
กับผูเ้ รียน
4.4 ความน่าสนใจของบทเรียน
4.5 ความเหมาะสมของเทคนิคการนําเสนอง่ายและ
สะดวกในการใช้บทเรียน
ข้อเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………......
……………………………………………………………………………………………………………......
……………………………………………………………………………………………………………......
……………………………………………………………………………………………………………......
……………………………………………………………………………………………………………......
ลงชื่อ ………………………………………..
(…...………………………………….)
ผูป้ ระเมิ น
141
ระดับความคิ ดเห็น
รายการประเมิ น ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง ใช้ไม่ได้
(5) (4) (3) (2) (1)
2. จุดประสงค์
1.1 การกําหนดวัตถุประสงค์มคี วามเหมาะสม
1.2 การกําหนดวัตถุประสงค์มคี วามชัดเจน
1.3 จํานวนของวัตถุประสงค์มคี วามเหมาสม
3. เนื้ อหาบทเรียน
2.1 การนําเสนอเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์
2.2 ความสอดคล้องของเนื้อหากับจุดประสงค์
2.3 ความถูกต้องของเนื้อหา
2.4 ความเหมาะสมของการจัดลําดับเนื้อหา
2.5 ความยากง่ายเหมาะสมกับระดับผูเ้ รียน
2.6 ความเหมาะสมของปริมาณเนื้อหาในแต่ละ
บทเรียน
2.7 ความเหมาะสมของขัน้ ตอนการนําเสนอเนื้อหา
2.8 ความถูกต้องของการใช้ภาษา
2.9 ความน่าสนใจในการดําเนินเรือ่ ง
142
ระดับความคิ ดเห็น
รายการประเมิ น
ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง ใช้ไม่ได้
(5) (4) (3) (2) (1)
2.10 ความสอดคล้องของภาพประกอบในเนื้อหา
4. แบบทดสอบ
3.1 ความสอดคล้องของคําถามกับเนื้อหา
3.2 ความชัดเจนของคําถาม
3.3 ความเหมาะสมของจํานวนคําถาม
ข้อเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………......
……………………………………………………………………………………………………………......
……………………………………………………………………………………………………………......
……………………………………………………………………………………………………………......
……………………………………………………………………………………………………………......
……………………………………………………………………………………………………………......
……………………………………………………………………………………………………………......
ลงชื่อ ………………………………………..
(…...………………………………….)
ผูป้ ระเมิ น
143
แบบประเมิ นความพึงพอใจเกี่ยวกับบทเรียนออนไลน์
เรื่อง
การผลิ ตรายการวิ ทยุการศึกษา
สําหรับนิ สิตปริ ญญาตรี สาขาเทคโนโลยีสื่อสารการศึกษา
มหาวิ ทยาลัยศรีนคริ นทรวิ โรฒ
ระดับความคิ ดเห็น
รายการประเมิ น มากที่สดุ มาก ปานกลาง น้ อย น้ อยทีสดุ
(5) (4) (3) (2) (1)
5. ภาพประกอบ
4.1 ความเหมาะสมของขนาดภาพ
1.2 ความชัดเจนของภาพ
1.3 ความสอดคล้องกับภาพและเนื้อหา
6. ตัวอักษร
2.1 ความเหมาะสมของตัวอักษรกับหน้าจอ
2.2 ความเด่นชัดของหัวข้อและส่วนทีเ่ น้นสําคัญ
2.3 ขนาดความชัดเจนของตัวอักษร
2.4 การใช้สตี วั อักษร
144
ระดับความคิ ดเห็น
รายการประเมิ น มากที่สดุ มาก ปานกลาง น้ อย น้ อยมาก
(5) (4) (3) (2) (1)
2.5 รูปแบบของตัวอักษรมีความเหมาะสม อ่านง่าย
7. การเรียนในบทเรียนออนไลน์
3.1 ความเหมาะสมของการนําเข้าสูโ่ ปรแกรม
3.2 ความสะดวกในการเรียน
3.3 เนื้อหาชัดเจนเข้าใจง่าย
3.4 การดําเนินเนื้อหามีความกระชับ เรียงจากเรือ่ ง
ง่ายไปสูเ่ รือ่ งยาก
3.5 การเชื่อมโยงในหัวข้อต่างๆ และ แหล่งข้อมูล
8. ประโยชน์ ของการเรียนผ่านบทเรียนออนไลน์
4.1 เข้าใจเนื้อหาชัดเจนมากขึน้
4.2 ช่วยให้เนื้อหาในการเรียนน่าสนใจมากขึน้
4.3 นําความรูท้ ไ่ี ด้รบั ไปผลิตรายการวิทยุได้
4.4 ประโยชน์ทไ่ี ด้รบั จากการเรียนผ่านบทเรียน
ออนไลน์ในภาพรวม
ขอขอบคุณสําหรับความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม
145
ภาคผนวก จ
1. รายชื่อผูเ้ ชี่ยวชาญตรวจคุณภาพเนื้ อหา และเครื่องมือ
2. หนังสือขอความอนุเคราะห์
146
ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา
1. อาจารย์ ดร.นฤมล ศิระวงษ์ อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีทางการศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ
2. อาจารย์ ดร.ขวัญหญิง ศรีประเสริฐภาพ อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีทางการศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ
3. อาจารย์ ดร.กนกพร ฉันทนาภักดิ ์ อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีทางการศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ
147
ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา
1. อาจารย์ ดร.สุวมิ ล กฤชคฤหาสน์ อาจารย์ภาควิชาการวัดผลและวิจยั การศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ
2. อาจารย์ นันทวิทย์ เผ่ามหานาคะ อาจารย์ภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ
3. ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. พรปภัสสร ปริญชาญกล อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีและสือ่ สารการศึกษา
คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
148
149
150
151
152
153
ประวัติย่อผูท้ าํ สารนิพนธ์
ประวัติย่อผูท้ าํ สารนิพนธ์
ประวัตกิ ารศึกษา
พ.ศ. 2543 มัธยมศึกษาปีท่ี 3
จากโรงเรียนมัธยมสาธิต
สถาบันราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
พ.ศ. 2546 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
จากโรงเรียนพณิชยการราชดําเนินธนบุร ี
พ.ศ. 2548 ประกาศนียบัตรวิชาชีพชัน้ สูง สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ
จากโรงเรียนพณิชยการราชดําเนินธนบุร ี
พ.ศ. 2550 คอ.บ สาขาวิชาครุศาสตร์เทคโนโลยี
จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
พ.ศ. 2554 กศ.ม สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา
จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ