Professional Documents
Culture Documents
เรื่อง
โดย
ที่
โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพ
30 พฤษภาคม 2558
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
สารบัญ
ที่ รายการ หน้า
1 คํานํา............................................................................................................................................................ ก
2 บทที่ 1 ระบบค้ํายันสําหรับงานดินขุด……………………………………………………………………………………………. 1
1.1 งานขุดดินประเภทที่ไม่ใช้ระบบกําแพงกันดิน............................................................................... 1
1.2 ข้อพิจารณาความจําเป็นที่ใช้โครงสร้างระบบค้ํายันในโครงสร้างใต้ดิน ............………………………. 5
1.3ข้อพิจารณาการเลือกใช้โครงสร้างระบบค้ํายันในโครงสร้างใต้ดิน.................................................... 5
3 บทที่ 2 หน่วยแรงดันดินทางด้านข้าง ( Lateral Earth Pressure ) ………………………………………………… 7
2.1 การวิเคราะห์หน่วยแรงดันดินทางด้านทางด้านข้าง (Lateral Earth Pressure ) …………………….. 7
2.1.1 การวิเคราะห์หน่วยแรงดันดินทางด้านข้างแบบสถิต
( Lateral Earth Pressure at Rest )……………………………………………………………………… 7
2.1.2 การวิเคราะห์หน่วยแรงดันดินทางด้านข้างโดยหลักการของ Rankine ………………………… 8
2.1.3 การวิเคราะห์หน่วยแรงดันดินทางด้านข้างโดยใช้ไดอะแกรมของเขตของหน่วยแรงดันดิน
ปรากฏ ( Apparent Pressure Envelope or Pressure Diagram )…………………….. 14
2.2 ลักษณะชั้นดินบริเวณกรุงเทพ ฯ..................................................................................................... 19
4 บทที่ 3 เสถียรภาพสําหรับงานขุดดิน ( Stability of Excavation )………………………………………………….. 20
3.1 การหาเสถียรภาพของก้นหลุมโดย Teng ( 1980 )……………………………………………………………… 20
3.2 การหาเสถียรภาพของก้นหลุมโดย Terzaghi ,s Theory ( 1943 )……………………………………….. 22
3.3 การหาเสถียรภาพของก้นหลุมโดย Bjerrum and Eide ( 1956 )…………………………………………. 23
3.4 กรณีขุดดินเหนียวหลายๆชั้น........................................................................................................... 25
5 บทที่ 4 การออกแบบระบบค้ํายันเข็มพืด( Design of Sheet Pile Bracing System )…………………………. 28
4.1 ระบบค้ํายันเข็มพืด ( Sheet Pile Bracing System)…………………………………………………………… 28
4.2 พฤติกรรมการถ่ายแรงของระบบค้ํายันเข็มพืด……………………………………………………………………… 30
4.3 การออกแบบระบบค้ํายัน………………………………………………………………………………………………………………….. 32
4.3.1 การออกแบบ Sheet pile…………………………………………………………………………………….. 32
4.3.2 การออกแบบ Wale…………………………………………………………………………………………….. 33
4.3.3 การออกแบบ Strut………………………………………………………………………………………………. 37
4.4 การออกแบบ King Post ………………………………………………………………………………………………… 41
4.5 การออกแบบ Lean Concrete ……………………………………………………………………………………….. 44
4.6 การอัดแรงในค้ํายัน ( Preload on Strut )………………………………………………………………………. 46
6 บทที่ 5 การวิเคราะห์และออกแบบระบบค้ํายันเข็มพืดเหล็ก……………………………………………………………… 48
5.1 ลักษณะชั้นดินและคุณสมบัติของชั้นดิน ( Soil Profile and Soil Properties) …………………… 48
5.2 ระดับค้ํายัน( Level of Bracing System)………………………………………………………………………….. 49
5.3 แรงดันดินด้านข้างปรากฏที่เกิดขึ้นและแรงค้ํายันแต่ละชั้น ( Apparent Earth Pressure and
Force in Each Layer of Bracing)……………………………………………………………………………. 49
5.4 ออกแบบเข็มพืดเหล็ก ( Design of sheet pile )………………………………………………………………… 50
5.5 การคํานวณและออกแบบ Wale (Design Wale )………………………………………………………………… 52
5.6 การวิเคราะห์และออกแบบ Strut (Design Strut )…………………………………………………………… 54
5.7 การวิเคราะห์และออกแบบ King Post ( Design King Post )…………………………………………… 55
5.8 การออกแบบระบบ Preload ใน Strut ……………………………………………………………………………. 56
7 บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………………………………... 57
8 ภาคผนวก ก. คุณลักษณะของ Sheet Pile และ Wide Flange ที่มีจําหน่ายในเมืองไทย ...................... 58
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
คํานํา
การออกแบบระบบค้ํายันเข็มพืดเหล็ก ( Sheet Pile Bracing System ) เป็นการนําความรู้พื้นฐาน
ทางด้านวิศวกรรมปฐพี ( Soil Mechanics ) อันประกอบด้วย การเจาะสํารวจชั้นดิน ( Soil Investigation )
หน่วยแรงของดิน ( In-Situ stress ) กําลังรับแรงเฉือนของดิน ( Shear Strength of Soil ) นอกจากนี้ยังนํา
ความรู้ในด้าน การออกแบบโครงสร้างโดยเฉพาะโครงสร้างเหล็ก ( Steel Design ) ความรู้พื้นฐานเหล่านี้ นํามา
ประยุกต์ใช้ในการออกแบบระบบค้ํายันเข็มพืดเหล็ก ( Sheet Pile Bracing System ) สําหรับงานขุดดินอ่อน
กรุงเทพ เอกสารฉบับนี้ได้รวบรวมงานวิจัยของผู้ได้ทําการวิจัย ประสบการณ์ ในงานออกแบบ ระบบค้ํายันเข็มพืด
เหล็ก พร้อมทั้งรายละเอียดการแก้ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถออกแบบด้วยตนเองได้
และสามารถก่อสร้างได้ ประหยัดและปลอดภัย
เอกสารฉบับนี้ได้นําเสนอโครงการก่อสร้างด้วยระบบค้ํายันเข็มพืดเหล็ก ความลึก 8.70 เมตร โดยอธิบาย
แนวคิด วิธีการก่อสร้าง แนวทางการวิจัยและอุปสรรค เพื่อให้เข้าใจปัญหาจริง และผู้เขียนหวังว่าเอกสารฉบับนี้ จะ
เป็นประโยชน์ตอ่ ผู้เข้าอบรม ให้สามารถเข้าใจระบบและสามารถออกแบบได้ด้วยความมั่นใจ
ก
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
บทที่ 1
ระบบค้ํายันสําหรับงานดินขุด
การก่อสร้างห้องใต้ดินยังเป็นสิ่งจําเป็นคู่กับการก่อสร้างอาคารในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทั้งนี้
เนื่องจากราคาค่าที่ดินทีส่ ูงขึน้ และต้องการหาประโยชน์ใช้สอยโดยเฉพาะพื้นที่จอดรถใต้ดินมากขึ้น การขุดห้อง
ใต้ดินในเขตกรุงเทพฯ อันเป็นพื้นที่ที่ประกอบด้วยดินเหนียวอ่อนอาจจะเกิดปัญหาอย่างมากมายขณะก่อสร้าง
นอกจากนี้การก่อสร้างอาคารสูงเกิดขึ้นมากมายในเขตกรุงเทพมหานครชัน้ ใน โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ใกล้กับ
แนวรถไฟฟ้าใต้ดินและรถไฟฟ้า BTS หากการออกแบบระบบงานขุดดินไม่ดีเพียงพองานขุดดินเพือ่ ใช้สําหรับ
งานก่อสร้างใต้ดิน มีความจําเป็นที่จะต้องป้องกันการพังทลายของดินทั้งในระหว่างที่ทําการขุดและขณะทีท่ ํา
การก่อสร้าง
1.1 วิธีการที่ใช้สําหรับป้องกันการพังทลายของดินในงานขุดดินแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.1.1 งานขุดดินประเภทที่ไม่ใช้ระบบกําแพงกันดิน ซึ่งอาศัยการปรับลดระดับของพื้นที่เอียงทางด้านข้าง
หรือการใช้เชิงลาดคันดิน ( Side Slope ) ซึ่งในขณะทํางานขุดดินมีความจําเป็นที่จะต้องมีพื้นที่ด้านข้าง (
Clearance ) มากพอ สําหรับการทํางานก่อสร้างและต้องไม่มีสิ่งกีดขวางในบริเวณสําหรับใช้ในการปรับลด
ระดับทําพื้นเอียงด้านข้างแต่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง นอกจากนี้ดินสามารถรับแรงเฉือนได้สูง ดัง
แสดงในรูปที่ 1.1
1
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
2
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
3
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
4
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
5
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
6
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
บทที่ 2
หน่วยแรงดันดินทางด้านข้าง ( Lateral Earth Pressure )
2.1 การวิเคราะห์หน่วยแรงดันดินทางด้านทางด้านข้าง (Lateral Earth Pressure )
ในการวิเคราะห์เกี่ยวกับการหาหน่วยแรงดันดินที่กระทํากับโครงสร้างที่อยู่ใต้ดิน( Retaining
Structures ) มีแนวคิดที่ใช้ในการคํานวณหน่วยแรงดันดินด้านข้าง 3 แนวคิด คือ
2.1.1 การวิเคราะห์หน่วยแรงดันดินทางด้านข้างแบบสถิต ( Lateral Earth Pressure at Rest )
เป็นการวิเคราะห์ที่ใช้กับระบบของโครงสร้างป้องกันการเคลื่อนตัวของดินที่มีค่าความแข็งแรงของ
โครงสร้างสูงมาก ( High Stiffness ) เช่น Diaphragm Wall , Secant Pile Wall โดยมีสมมุติฐานว่า
จะไม่เกิดการเคลื่อนที่ของโครงสร้าง ที่ใช้เป็นระบบกําแพงกันดิน การวิเคราะห์จะไม่พิจารณาผลของ
หน่วยแรงภายนอกที่กระทําต่อดินซึ่งจะได้
′
σ ho = K σ′ ..........( 2.1 )
o vo
7
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
K o (NC) = 0.24 + 0.311 log PI Lee & Jin (1979) .......... .. ( 2.8 )
สําหรับการหาค่า Ko ของ Over Consolidation Clay , Ko(oc) โดย Schmidt ( 1966) ได้เสนอ
ความสัมพันธ์ ระหว่าง Ko ของ NC- Clay กับ Ko ของ OC-Clay อยุ่ในรูปของสมการกับ ค่า OCR ของดิน
ดังนี้
K o (OC) = K o (NC) OCR m .......... .. ( 2.10 )
8
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
9
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
⎛ φ⎞
σ ha = σ v tan 2 ⎜ 45 − ⎟ .......... .. ( 2.13 )
⎝ 2⎠
σ ha ⎛ φ⎞
Ka = = tan 2 ⎜ 45 − ⎟ .......... .. ( 2.14 )
σv ⎝ 2⎠
σ ha
โดยอัตราส่วน เรียกว่า Coefficient of Rankine,s Active Earth Pressure , Ka
σv
ดังนั้นสมการที่ 2.12 จะเป็น
σ ha = σ v K a − 2C K a .......... ..........( 2.15 )
รูปที่ 2.2 แรงดันดินทางด้านข้างของ Rankine,s Active State สําหรับดิน แบบ Cohesionless Soil.
สําหรับในกรณี Cohesive Soil จะเกิด Tension Crack ขึ้นจนถึงระดับความลึก Zc ดังนั้น ที่
ระดับผิวดิน ( ที่ Z = 0 )
σv = 0 σ ha = − 2C K a .......... ..........( 2.16 )
ที่ระดับความลึก Z = H จะได้
10
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
0= γHK a − 2C K a
2C
Zc = .......( 2.18 )
γ Ka
รูปที่ 2.3 แรงดันดินทางด้านข้างของ Rankine,s Active State สําหรับดิน แบบ Cohesive Soil.
2.1.2.2 Rankine ,s Passive Earth Pressure
การวิบัติของมวลดินสําหรับสภาวะ Passive เกิดจากการเคลื่อนตัวเข้าของกําแพงกันดินในขณะที่
ทําการขุดดิน ซึ่งมีผลทําให้เกิดการเพิ่มขึ้นของหน่วยแรงในแนวนอนขณะที่ค่าหน่วยแรงในแนวดิง่ มีค่าคงที่
หรือเมื่อพิจารณาในลักษณะของการทดสอบ Triaxial จะได้ว่าเกิดจากการเพิ่มขึ้นของ Axial Stress
ในขณะที่ Confining Pressure คงที่ โดยลักษณะของระนาบการวิบัติในสภาวะ Passive สามารถแสดงดัง
รูปที่ 2.4 (a)
11
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
σ hp ⎛ φ⎞
Kp = = tan 2 ⎜ 45 + ⎟ .......... .. ( 2.21 )
σv ⎝ 2⎠
σ hp
โดยอัตราส่วน เรียกว่า Coefficient of Rankine,s Passive Earth Pressure , Kp
σv
ดังนั้นสมการที่ 2.21 จะเป็น
12
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
KPγH
,
รูปที่ 2.5 แรงดันดินทางด้านข้างของ Rankine s Passive State สําหรับดิน แบบ Cohesionless
Soil.
ที่ระดับความลึก Z = H จะได้
σ v = γH σ hp = γHK p + 2C K p .......... ..........( 2.24 )
สําหรับแรงดันดิน ( Pressure Diagram ) ตามทฤษฎี Rankine สําหรับ Cohesive
Soil หรือดินเหนียวแสดงในรูปที่ 2.6
13
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
2.1.3 การวิเคราะห์หน่วยแรงดันดินทางด้านข้างโดยใช้ไดอะแกรมขอบเขตของหน่วยแรงดันดิน
ปรากฎ ( Apparent Pressure Envelope or Pressure Diagram )
การหาค่าหน่วยแรงดันดินทางด้านข้างโดยวิธีนี้ ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับค่าหน่วยแรงที่
เกิดขึ้นในค้ํายันของงานขุดดินในอดีต ซึ่งพิจารณาได้ว่าเป็นวิธีที่สามารถใช้ได้กับเฉพาะที่ ( Empirical
Method) ในการประยุกต์ใช้เพื่อหาค่าหน่วยแรงดันดินทางด้านข้างกับงานขุดดินค้ํายันโดยจะขึ้นอยู่กับ
ลักษณะของสภาพชั้นดินในบริเวณที่พิจารณาโดยมีแนวคิดต่างๆ ดังนี้
2.1.3.1 ไดอะแกรมของหน่วยแรงดันดิน โดย Terzaghi and Peck ( 1967 )
การหาค่าหน่วยแรงดันดินโดยวิธีนี้จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบตามลักษณะของชั้นดิน ดัง
แสดงในรูปที่ 2.7 แสดงไดอะแกรมขอบเขตหน่วยแรงดันดินปรากฎในชั้นดิน( Terzaghi and Peck , 1967 )
14
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
0.1H
0.60H
0.75
0.7H
pa=0.25γH
0.3γH 0.2γH 0.375 0.125
รูปที่ 2.8 รูปแบบไดอะแกรมแรงดันดินโดย Tschebotarioff ( 1973)
2.1.3.3 ไดอะแกรมของหน่วยแรงดันดิน โดย Sower ( 1979 )
การประมาณหาหน่วยแรงดันดินทางด้านข้างที่ได้จาก Sower ( 1979 ) ซึ่งสามารถแบ่งได้ตาม
ชนิดของดินต่างๆ ดังแสดงในรูปที่ 2.9 สําหรับหาค่าหน่วยแรงที่ได้นั้นจะมีค่ามากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ
ค่าของ PD ที่มีค่าเปลี่ยนแปลงตามลักษณะชนิดของดินที่พิจารณาโดยในชั้นทรายค่า PD จะมีคา่ ขึ้นอยู่กับ
แรงดันดินที่ได้จากหน่วยแรงดันดินทางด้านข้างในสภาวะ Active ( Pa/)และในชั้นดินเหนียวค่า PD จะขึ้นอยู่
กับหน่วยแรงดันดินทางด้านข้างในสภาวะสถิต ( Lateral Earth Pressure at Rest , PO) หรือค่าของหน่วย
แรงดันดินทางด้านข้างที่อยู่ในสภาวะ Active ( Pa/)
Type of Soil PD
Loose sand , loose gravel 1.4 Pa/
Dense sand , dense gravel 1.3 Pa/
Soft clay 1.5Pa/ or Po
Stiff clay 1.4 Pa/ or Po
Unsaturated clay 1.3Pa/ or Po
15
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
H 0.7 H
0.1 H
Pa Po
1.2 Po/H
16
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
2c 2c
σv-2c σv
2c 2c
σv-4c σv-2c
Model 2 Model 3
17
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
18
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
Surcharge = q
0.25h
0.75h
γh-2c+q
19
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
บทที่ 3
เสถียรภาพสําหรับงานขุดดิน ( Stability of Excavation )
ในการขุดดินโดยอาศัยระบบค้ํายันนั้นนอกจากการพิจารณาแรงดันดินทางด้านข้างที่กระทําต่อระบบค้ํา
ยันแล้ว ยังคงต้องพิจารณาถึงผลของเสถียรภาพของดินก้นหลุม ( Heave Effect ) โดยเฉพาะในงานขุดดิน
เหนียวอ่อนซึ่งในการพิจารณา จะสมมุติ ให้ดินทีอ่ ยูด่ ้านข้างของหลุมมีพฤติกรรมเป็น Surcharge ที่กระทํากับ
ดินก้นหลุม โดยถ้าแรงกระทํามากกว่าแรงต้านของดินแล้ว ดินข้างหลุมก็จะสามารถไหลเข้ามาในหลุมได้มีผลทํา
ให้เกิดการพังทลายของงานขุดดิน ดังแสดงในรูปที่ 3.1 สําหรับหลักการที่พิจารณาเสถียรภาพของดินก้นหลุม มี
ดังนี้
20
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
⎛ q ⎞
S = S u1 ⎜⎜ H - u1 ⎟⎟ .......... .......... ..(3.2)
⎝ γ ⎠
21
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
QU 5.7 Su B1
F .S . = = .......... ....(3.4)
(γHB1 − SU H + q ) (γHB1 − Su H + q )
เมื่อ Qu = S u N c B1 = 5.7 S u B1
22
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
B
0.7B D
H H
Su1 Su1
Su2 45? 45? Su2 45?
0.7B D
Su 2 N c Su 2 N c
F .S . = ........(3.5) F .S . = ........(3.6)
⎛ Su 1 ⎞ ⎛ Su1 ⎞
H ⎜γ − ⎟ H ⎜γ − ⎟
⎝ 0.7 B ⎠ ⎝ D ⎠
รูปที่ 3.3 การหาค่า Factor of Safety against Basal Heave โดยวิธี Terzaghi
การพิจารณาเสถียรภาพของงานขุดที่มีขนาดของงานขุดเป็นลักษณะรูปสี่เหลี่ยมจัตุรสั สี่เหลี่ยมผืนผ้า
และวงกลม หรือสําหรับงานขุดทีม่ ีความลึกของการขุดมากกว่าความกว้างในการขุด ( H > B ) หรือ Narrow
Excavation จะสามารถใช้การวิเคราะห์หาเสถียรภาพของก้นหลุมโดย Bjerrum and Eide ( 1956) ซึ่งในการ
วิเคราะห์จะพิจารณาให้การขุดเสมือนเป็นฐานรากที่วางอยู่ในระดับความลึกเท่ากับความลึกของการขุด ( H )
23
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
c
F .S . = N c .......... .....( 3.7)
γH + q
เมื่อ
Nc = Bearing Capacity Factor
c = Undrained Shear Strength of clay ( t / m2 )
γ = Unit Weight of Soil above the Bottom of Excavation ( t / m3 )
H = Depth of Excavation ( m )
q = Uniform Surcharge Load around Excavation ( t / m2)
L = Length of Excavation
24
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
3.4 กรณีขุดดินเหนียวมีหลายๆชั้น
เมื่อสภาพของการขุดดินผ่านชั้นดินเหนียวหลายชั้น ซึ่งแต่ละชั้นมีค่า หน่วยน้ําหนัก (γt , unit weight
) และค่าแรงยึดเหนี่ยวระหว่างเม็ดดิน ( c , undrained cohesion ) หรือค่าหน่วยแรงเฉือนแบบไม่ระบายน้ํา (
Su , Undrained Shear Strength ) ที่แตกต่างกัน ดังแสดงในรูปที่ 2.12
H1 γ1 Su1 Clay
H2 γ2 Su2 Clay
H
H3 γ3 Su3 Clay
Hn γn Su4 Clay
25
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
0.00 m
γt = 1.62 t / m3
Soft Clay
Su = 1.72 t / m2
-9.00 m
-12.50 m
Medium Clay γt = 1.65 t / m 3 Su = 3.8 t / m2
-15.00 m
γt = 1.80 t / m 3 Su = 13 t / m 2
Very Stiff Clay -18.00 m
2S + S u2πB1 + 2Su2B1
F.S = .......... ...(3.3)
(γH + q)B1
จากรูปจะได้ว่า
27
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
บทที่ 4
การออกแบบระบบค้ํายันเข็มพืด
( Design of Sheet Pile Bracing System )
4.1 ระบบค้ํายันเข็มพืด ( Sheet Pile Bracing System) ระบบค้ํายัน Sheet Pile ที่ใช้สําหรับงานดินขุด
จะประกอบด้วย
Sheet Pile
Wale
Strut
King Post
Platform
ลักษณะของงานขุดโดยใช้ระบบค้ํายันเข็มพืด แสดงในรูป ที่ 4.1 .
28
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
ประกอบด้วย
29
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
2 ระบบเจาะรูขันน๊อต( Bolt and Nut ) ซึ่งการต่อของ Strut และ Wale จะใช้ Bolt and Nut และมีแผ่น
เหล็กประกบอยู่ดัง แสดงในรูปที่ 4.3
30
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
31
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
4.3 การออกแบบระบบค้ํายัน
หากจะเปรียบเทียบระบบค้ํายันกับโครงสร้างอาคารจะสามารถสรุปได้ดงั นี้
แรงกระทํา มาจากแรงดันดินด้านข้าง(ใช้ทฤษฎี Modify Rankine Model 3 )
เข็มพืดเหล็ก(Sheet เกิดจากแรงกระทําของแรงดันดินสามารถนํามาออกแบบความยาวและขนาดของ Sheet
Pile ) Pile
Wale เป็นคานรัดขวางกับ Sheet Pile เพื่อถ่ายแรงจากเข้มพืดเหล็ก( Sheet Pile ) เพื่อให้
ถ่ายแรงจาก Uniform load มาเป็น Line load และถ่ายสู่ระบบค้ํายัน ( Strut )
ค้ํายัน (Strut) รับแรงจาก Wale ที่เป็น Line load โดยถ่ายแรงจาก Strut ด้านหนึ่งไปสู่ Strut อีกด้าน
หนึ่ง โดย Strut จะมี Kingpost เป็นจุด Pin Point เพื่อเป็นโครงครอบ Strut ให้เลื่อน
ไปมา ( Sliding ) กับ Kingpost โดยไม่อนุญาตให้เชือ่ ม Strut ยึดกับ Kingpost
เด็ดขาด เนือ่ งจากแรงดันดินอาจจะไม่สมดุลย์และจะดึงรัง้ หรือดันให้ Kingpost พังทลาย
มา ทําให้ระบบพังทันที Strut หรือ ค้ํายันจะวางอยู่บน Kingpost เท่านั้น โดยใช้หชู ้าง
หรือ Support ที่เชือ่ มกับ Kingpost รับน้ําหนักของ Strut เท่านั้น
32
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
Strut
Bending Moment
2
Mmax = Ph. Hmax
H 10
Sheet Pile
Wale
Strut
L/3 L/3 L/3
L
Horizontal Force
Axial Force
fa
ถ้า 〉 0.15 แล้ว
Fa
fa Cm f b
+ 〈 1 .0 .......... .( 4.2 )
Fa ⎛ f ⎞
Fb ⎜⎜ 1 − a ⎟⎟
⎝ Fe ⎠
fa f
+ b 〈 1.0 .......... ...( 4.3 )
0.6 Fa Fb
fa
ถ้า ≤ 0.15 แล้ว
Fa
35
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
fa f
+ b 〈 1.0 .......... ....( 4.4 )
Fa Fb
Fa = หน่วยแรงอัดที่ยอมให้
12π 2 E
Fa = 2
.......... ....(4.5)
⎛ KL ⎞
23⎜ ⎟
⎝ r ⎠
36
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
37
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
RA A LA RA A PA
L1 2
L1
RB B RB B PB
LB
L2 2
L2
RC C RC C PC
LC L3 2
L3
RD D RD D PD
LD
L4 L4 2
ตัวอย่างในรูป 4.8 ประกอบด้วยค้ํายัน หรือ Strut จํานวน 4 ชั้น คือ RA , RB , RC และ RD โดยจะ
พบว่าค้ํายัน RA จะรับแรงดันดินกระทําในส่วนระยะ LA , ค้ํายัน RB จะรับแรงดันดินกระทําในส่วนระยะ LB , ค้ํา
ยัน RC จะรับแรงดันดินกระทําในส่วนระยะ LC , ในขณะทีค่ ้ํายัน RD จะรับแรงดันดินในส่วนระยะ LD ซึ่งสุดท้าย
จะเห็นว่าแรงดันดินส่วนล่างใต้ระยะ LD หรือแรงดันเท่ากับ L4/2 ไม่ได้ถ่ายแรงให้คา้ํ ยันอะไรเลย ดังนั้นการ
ออกแบบ Strut จะต้องออกแบบ Lean Concrete หรือคอนกรีตหยาบ ที่เทกับพื้นดินขุด ให้รบั แรงในส่วน
ระยะ L4/2 นี้
Strut ต้องออกแบบให้มีจดุ ยึดเพื่อป้องกันการเกิดการโก่งของโครงสร้างซึ่งจุดทีจ่ ะยึดโครงสร้าง คือจุด
ที่ตดิ ตั้ง King Post โดย King Post จะออกแบบให้เป็นระบบเลือ่ น( Sliding Strut ) โดย Strut จะวางอยู่บน
38
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
King Post ดังแสดงในรูปที่ 4.5 โดยกําหนดในรูปของ L/r ( L = ระยะห่างระหว่าง King Post ในขณะที่ r =
รัศมีใจเรชั่น หรือ Radius of jyration ของค้ํายัน ) เพื่อหาตําแหน่งที่จะติดตั้ง King Post ทั้งในแนวตั้งฉากและ
ในแนวเดียวกับแนวของ Strut ระยะห่างของ King Post หรือจุดยึดต้องห่างเพียงพอให้เครือ่ งจักรสามารถ
ทํางานขุดได้ เช่น ประมาณ 6 เมตร การออกแบบมีรายละเอียดดังนี้
4.3.3.1 การเลือกขนาดของหน้าตัด Strut
จะพิจารณาหาขนาดของหน้าตัดที่เล็กที่สดุ ที่มีค่าหน่วยแรงที่ยอมให้มากกว่าหน่วยแรงที่เกิดขึ้นจริง
ตามมาตรฐาน AISC ที่กําหนดไว้ เหมือนเช่นในการออกแบบ Wale
4.3.3.2 การพิจารณาผลการเปลีย่ นแปลงอุณหภูมิสูงขึน้
เช่นเดียวกับทีก่ ล่าวมาแล้ว ในเรื่องการออกแบบ Wale ค่า Axial Stress จะต้องเพิ่มไป เท่ากับ 116
ksc เนื่องจากอุณหภูมสิ ูงขึ้น
4.3.3.3 การคิด Over Stress ใน Strut
ถ้ายอมให้ Over Stress 30 % การคิด Over Stress นั้น หลักการและเหตุผลคิดเช่นเดียวกับกรณีใน
Wale แต่เพือ่ ความปลอดภัยของโครงสร้างจึงจะกําหนดให้คิด Over Stress เฉพาะในแรงอัดเท่านั้น ไม่รวมถึง
Bending Stress และ พิจารณาเฉพาะในแกน Y เท่านั้น
4.3.3.4 การจัดวางระบบค้ํายัน ( Strut )
การจัดวางระบบระบบค้ํายัน ( Strut ) มีด้วยกันหลายระบบ แต่ละระบบก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป
แต่ที่นิยมใช้กันมีดังนี้
40
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
41
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
L Strut
King Post
L
Platform
42
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
( )
QS = p ∑ Ksσ v/ tanδ (ΔL) (ก รณีหาแรงเเสียดทานผิวในชั้นดินทราย)
QU
Qall = .............( 4.9 )
SF
เมื่อ
Qu = กําลังรับน้ําหนักบรรทุกประลัย ( Ultimate Pile Capacity ) ( ตัน)
α = Adhesion Factor
Nq = Bearing Coefficient
43
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
เมตร)
ค่า α หรือ adhesion factor สําหรับงานออกแบบ King Post ในชั้นดินกรุงเทพ วันชัย ( 2544 ) ได้
เสนอ ความสัมพันธ์ของ α กับ กําลังรับแรงเฉือน , Su ดังแสดงในรูปที่ 4.13.
ความยาวของ King Post จะต้องคํานวณโดยต้องออกแบบให้กําลังรับน้ําหนักบรรทุกปลอดภัย (
Allowable Pile Capacity ) ให้สามารถรับน้ําหนักบรรทุกจาก Platform ได้ โดยในกรณีงานขุดดินซึ่งเป็นงาน
ชั่วคราวใช้ค่า Safety Factor ประมาณ 1.25 จากค่า Ultimate Pile Capacity ที่คํานวณได้ข้างต้น
ในทางปฏิบัติจริง การออกแบบระบบค้ํายันทั้ง Strut Wale และ King Post จะมีการเปลี่ยนแปลงไป
บ้าง เพื่อให้สามารถทําการก่อสร้างได้ เช่น ต้องจัดวางตําแหน่ง Strut ให้หลบตําแหน่งเสาของโครงสร้าง
ตําแหน่งของ King Post จะต้องออกแบบให้ไม่ตรงกับตําแหน่งของเสาเข็ม ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงใดๆ
ย่อมขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผูอ้ อกแบบเป็นสําคัญ
44
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
1.0
0.9
Adhesion Factor ,α
0.8
0.7
0.6
0.5
0.4
0 5 10 15 20 25
Undrained Shear Strength, Su ( t / sq.m )
45
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
โดยที่
fc(Lean = Allowable Compressive Strength of Lean Concrete ( ksc) หรือ
Concrete) กําลังรับแรงอัดปลอดภัยของคอนกรีตหยาบ
46
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
47
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
48
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
บทที่ 5
การวิเคราะห์และออกแบบระบบค้ํายันเข็มพืดเหล็ก
ตัวอย่างการวิเคราะห์และออกแบบ ให้ออกแบบค้ํายันเข็มพืดเหล็ก( Sheet Pile Braced Cut
System) พร้อมระบบค้ํายันอัดแรงในค้ํายันสําหรับงานขุดดินลึก 8.70 เมตร เพื่อการก่อสร้างฐานรากและห้อง
ใต้ดินในชั้นดินกรุงเทพ ( Bangkok Subsoil) โดยกําหนดให้วางระบบค้ํายัน( Bracing System ) จํานวน 3 ชั้น
โดยมีระดับกึ่งกลางระหว่าง Strut ตามแนวขวาง ( Transverse Strut ) และ Strut ตามแนวยาว (
Longitudinal Strut ) ที่ระดับความลึก -1.20 เมตร , -3.90 เมตร และ -6.45 เมตร ตามลําดับ โดยมี
ระยะห่างของค้ํายันในทางราบเท่ากับ 6.00 เมตร ลักษณะและคุณสมบัติชั้นดินแสดงดังรูป กําหนดให้มีแรง
กระทําทีผ่ ิวดินใกล้กับโครงการขุดดิน ( Surcharge ) เท่ากับ 1 ตันต่อตารางเมตร
5.1 ลักษณะชั้นดินและคุณสมบัติของชั้นดิน ( Soil Profile and Soil Properties)
0.00 m
γt = 1.6 t / m 3
Soft Clay Su = 1.7 t / m2
fs = αSu = 1.63 t / m2
α = 0.96
-12.50 m
Medium Clay γt = 1.65 t / m 3 Su 2= 4.0 t / m2
fs = αSu = 3.52 t / m α = 0.88 -15.00 m
Very Stiff Clay γt = 1.90 t / m 3 Su = 15 t / m 2
fs = αSu = 6.60 t / m 2 α = 0.44
48
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
0.00 m
-1.20 m
- 3.90 m
- 6.45 m
- 8.70 m
Sheet Pile
49
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
2 nd - 3.90 m
0.75H=0.75X8.7=6.525 m 3 rd - 6.45 m
4 th - 8.70 m
11.5 t/sq.m
รูปที่.5.1 แสดงแรงดันดินด้านข้างปรากฏที่เกิดขึ้น
จากรูปสามารถคํานวณแรงในค้ํายัน ได้ดังนี้
0.5*(1+11.5)*2.175 + [{(3.9-1.2)/2+1.2}-2.175]*11.5=
F1 = t/m
17.90
F2 = 11.5*{(3.90-1.20)/2+(6.45-3.90)/2}= 30.20 t/m
F3 = 11.5*{(6.45-3.90)/2+(8.70-6.45)/2} = 27.60 t/m
F4 = 11.5*(8.70-6.45)/2 =12.90 ( For lean concrete) t/m
จาก
⎛ q ⎞ ⎛ 2S ⎞
เมื่อ S = S u1 ⎜⎜ H - u1 ⎟⎟ = S u 1 ⎜⎜ H − u 1 ⎟⎟
⎝ γ ⎠ ⎝ γ ⎠
จากตารางเลือกความยาวของ Sheet Pile = 16 เมตร จะได้ค่า S.F. = 1.69 > 1.5 O.K. จากตาราง
ดังกล่าว พบว่า เมือ่ นําค่า S.F. มาเขียนกราฟ แสดงความสัมพันธ์กับความลึก จะได้ ดังกราฟ รูปที่ 5.2 จาก
ตารางพบว่าค่า Safety factor ( S.F. ) มีอยู่ 2 ช่วงด้วยกัน คือ ช่วงแรกที่ความยาวเข็มพืด ( Sheet Pile)
ระหว่าง 10 – 13 เมตร นั้น ค่า Safety factor ( S.F. ) ลดลง เมือ่ ความยาวของ Sheet Pile ยาวขึ้น ซึ่งแสดง
ว่า การตรวจ heave ด้วยวิธีนี้ จะไม่เหมาะสมเนื่องจากที่ปลาย Sheet Pile อยูใ่ นชั้นดินอ่อน ( Soft Clay )
ซึ่งเป็นลักษณะของ Free End ซึ่งอันตรายมาก เพราะระบบไม่มั่นคง ( Not Rigid and Unstable ) จึงควรใช้
51
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
ความยาวที่ยาวขึ้น คือ ช่วงความยาว Sheet Pile จาก 13 เมตร ขึ้นไป จะเห็นว่าค่า Safety factor จะมาก
ขึ้นเมื่อความยาวของ Sheet Pile ยาวขึ้นและเป็นระบบที่แข็งแรงหรือ ระบบ Fixed End จากรูปที่ 5.2 จะ
พบว่า เมื่อความยาวของ Sheet Pile ยาวขึ้นจาก 13 – 15 เมตร ค่า Safety factor เพิ่มขึ้น น้อยมากนั่น
แสดงว่า ปลาย Sheet Pile ยังอยู่ในช่วงที่ไม่ Rigid เพียงพอ แต่อยู่ในช่วงแข็งกลางๆ หรือ Semi- Rigid
System เนื่องจากปลายจมในชั้น Medium Stiff Clay แต่เมื่อ Sheet Pile ยาวมากกว่า 15 เมตร ขึ้นไป ค่า
Safety Factor จะสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแสดงว่าระบบของ Sheet Pile เป็น Rigid หรือ Fixed End แล้ว
ดังนั้นวิธีการนี้จะเหมาะสมเมือ่ เป็นระบบ Rigid หรือ Fixed End เท่านั้น ซึ่งโดยปกติจะกําหนดค่า Safety
Factor ให้มากกว่า 1.5 หรือจะพบว่าความยาวของ Sheet Pile ควรจะยาวมากกว่า 15.50 เมตรหรือฝังจมอยู่
ในชั้นดินเหนียวแข็ง ( Stiff Clay )ไม่น้อยกว่า 50 ซม. สรุปใช้ความยาว Sheet Pile ยาว 16 เมตร
4
3
2
S.F.
1
0
7 9 11 13 15 17 19 21 23
53
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
Change
= 0.000011*2*106*5=116 ksc
เลือกหน้าตัด W 350*350*137 kg/m ( A= 173.9 cm2 , Sx =2300 cm3 , rx = 15.2 cm )
Kl/r = 1*200/15.2 = 13.2 จะได้ Fa = 1469 ksc ( ตารางช่วยออกแบบหนังสือการออกแบบ
โครงสร้างเหล็ก(วินิต 2542) , Fb = 0.6 Fy = 1250 ksc
fa = P/A =60.4 *1000/173.9 = 347 ksc
fb = Mo/Sx = 12.1*100,000/2300 = 526 ksc
fa/Fa+fb/Fb = (347+116)/1469 +529/1250 = 0.74 < 1.0 O.K.
ดังนั้นเลือกใช้หน้าตัด ขนาด W 350*350*137 kg /m
5.6 การวิเคราะห์และออกแบบ Strut (Design Strut )
5.6.1 การออกแบบ Strut ชั้นแรก ( Design First Strut )
ใช้แรง F1 ในการออกแบบโดยกําหนดให้ระยะห่างของ Strut เท่ากับ 6.00 เมตร แรงตามแนวแกนของ Strut :
P = 17.6 * 6.0 = 107.4 tons พิจารณาเลือกหน้าตัดขนาด W 300 * 300 * 94 kg /m ( A= 119.8 cm2 ,
rx = 13.1 cm , ry= 7.51 cm )
Kl/rx = 600/13.1 = 45.8 จะได้ Fa = 1312
ksc
Kl/ry= 600/7.51 = 79.9 จะได้ Fa = 1077
ksc
พิจารณาหน่วยแรงในแกน X
P/A + fΔt = 107.4 *1,000/119.8 + 116 = 1017.5 ksc < 1312 ksc O.K.
พิจารณาหน่วยแรงในแกน Y ( กําหนดให้ใช้ Over Stress เท่ากับ 30 % , เฉพาะ แกน Y เท่านัน้ )
P/1.3 A + fΔt = 107.4 *1,000/(1.3*119.8) + 116 = 809 ksc < 1077 ksc O.K.
54
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
P/A + fΔt = 181.2 *1,000/173.9 + 116 = 1158 ksc < 1346 ksc O.K.
พิจารณาหน่วยแรงในแกน Y ( กําหนดให้ใช้ Over Stress เท่ากับ 30 % , เฉพาะ แกน Y เท่านัน้ )
P/1.3 A + fΔt = 181.2 *1,000/(1.3*173.9) + 116 = 918 ksc < 1146 ksc O.K.
ดังนั้นเลือกใช้ หน้าตัดขนาด W 300 * 300 *137 kg /m ( A= 173.9 cm2 , rx = 15.2 cm , ry=
8.84 cm )
5.7 การวิเคราะห์และออกแบบ King Post ( Design King Post )
กําหนดให้แรงกระจายเนือ่ งจากน้ําหนักบรรทุกบน Platform ( Platform Surcharge) = 2 t / m2
ดังนั้นจะได้ว่าแรงที่ถ่ายลงบน King Post 1 ต้น = 2*6.00*6.00/2 = 36 tons สมมุติเลือกใช้ หน้าตัด W
300 * 300*94 Kg /m ปลายของ King Post ( Tip of King Post ) ที่ระดับความลึก – 18.00 เมตร
5.7.1 หากําลังรับน้ําหนักของ King Post
55
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
56
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
King Post Section W 300*300*94 kg/m , Tip at -18.00 m from ground surface
Preload 40 %
Lean Concrete fc/ = 100 ksc , Thickness = 15 cm
57
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
บรรณานุกรม
ณัฐวุฒิ ธีรามาศ ( 2552 ) : การออกแบบ ก่อสร้าง และการแก้ไขปํญหางานขุดด้วย Steel Sheet Pile บริษัทฤทธา
จํากัด
ปิยะ รัตนสุวรรณ( 2553) : เอกสารประกอบการสอน วิชา EGCE 333 วิศวกรรมฐานราก( Foundation Engineering )
พิมพ์ครั้งที่ 2 ISBN: 978-616-7019-46-8 ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล
ปิยะ รัตนสุวรรณ( 2553) : เอกสารประกอบการสอน วิชา EGCE 331 ปฐพีกลศาสตร์ ( Soil Mechanics ) พิมพ์ครั้งที่
1 ISBN: 978-616-7019-28-4 ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
Sower B.G.,(1979) : Introductory Soil Mechanics and Foundation , Macillan Co., Ltd.
Terzaghi , K ., Peck , R.B., Mesri ,G., ( 1996 ): Soil Mechanics in Engineering Practice 3rd edition ., Wiley –
Interscience.
Teparaksa , W (1995) : Lecture Note on “ Soil Engineering Design “ Course , Asian Institute of
Technology ,( as an associate faculty staff) , Thailand, 250 pp.
57
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
ภาคผนวก ก.
คุณลักษณะของ Sheet Pile และ Wide Flange ที่มจี ําหน่ายในเมืองไทย
58
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
ตารางที่ 1 หน้าตัดเข็มพืดเหล็กที่ใช้ในประเทศไทย
FSP III 400 125 13 76.42 60.0 150 2,220 16,800 223 1,340
15.7 4.92 0.512 11.85 40.3 30.7 53.3 123 13.6 24.9
FSP IV 400 170 15.5 96.99 76.1 190 4,670 38,600 362 2.270
15.7 6.69 0.61 15.03 51.1 38.9 112 283 22.1 42.2
59
การออกแบบระบบกําแพงกันดิน Sheet Pile งานดินขุด ผศ. ปิยะ รัตนสุวรรณ 30/5/58
ค่าคุณสมบัตติ ่างๆของเหล็กรูปพรรณที่นิยมใช้ในงานขุดค้ํายันในประเทศไทย
Section Weight Corner Sectional Moment of Radius of Modulus of
Gyration
index Depth Flange Thickness Radius Area Inertia Section
of
Section Width Web Flange (r) Ix Iy rx ry Sx Sy
159.0 356 352 14 22 20 202.00 47,600 16,000 15.30 8.90 2,670 909
156.0 350 357 19 19 20 198.40 42,800 14,400 14.70 8.53 2,450 809
137.0 350 350 12 19 20 173.90 40,300 13,600 15.20 8.84 2,300 776
350x350
131.0 344 354 16 16 20 166.60 35,300 11,800 14.60 8.43 2,050 669
115.0 344 348 10 16 20 146.00 33,300 11,200 15.10 8.78 1,940 646
106.0 338 351 13 13 20 135.30 28,200 9,380 14.40 8.33 1,670 534
106.0 304 304 11 17 18 134.80 23,400 7,730 13.20 7.57 1,540 514
106.0 300 305 15 15 18 134.80 21,500 7,100 12.60 7.26 1,440 466
300x300 94.0 300 300 10 15 18 119.80 20,400 6,750 13.10 7.51 1,360 450
87.0 298 299 9 14 18 110.80 18,800 6,240 13.00 7.51 1,270 417
84.5 294 302 12 12 18 107.70 16,900 5,520 12.50 7.16 1,150 365
60