You are on page 1of 704

„µ¦°°„°µ‡µ¦Â¨³„µ¦°°„°µ‡µ¦

˜oµœšµœÂŸnœ—·œÅ®ª
×¥ ¦°Š«µ­˜¦µ‹µ¦¥r —¦. Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž

­Šªœ¨·…­· š›·Í

¡·¤¡r¨³ž¦´ž¦»ŠÄ®¤n‡¦´ÊŠš¸É 13

˜»¨µ‡¤ 2562

Ÿ¼o‹´—šÎµ : ¦°Š«µ­˜¦µ‹µ¦¥r —¦. Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž


¡·­¼‹œr°´„¬¦ : ¦°Š«µ­˜¦µ‹µ¦¥r —¦. Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž
‹´—¦¼žÁ¨n¤ : œµ¥°›·¡´¦r «¦Á„˜» (˜´Ê¤)
Ÿ¼o°°„ž„ : œµ¥°›·¡´¦r «¦Á„˜» (˜´Ê¤)
‡ª‡»¤„µ¦¡·¤¡r×¥ : TumCivil.com Training Center

…o°¤¼¨šµŠ¦¦–µœ»„¦¤…°Š®°­¤»—®nŠµ˜·
ISBN : 978-616-305-617-7

‹´—¡·¤¡r×¥

TumCivil.com Training Center (˜´Ê¤Ž¸ª¨· www.tumcivil.com)

œÎµÁ­œ°Ã—¥
TumCivil.com Training Center / www.tumcivil.com / ˜´Ê¤Ž¸ª·¨ Ú¦. 089-4990739
การออกแบบอาคาร
Building Design

รองศาสตราจารย์ ดร. ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป


ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรี ปทุม
ประวัตผิ ้ ูเขียน

รองศาสตราจารย์ ดร. ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป

ตําแหน่ งปั จจุบัน: อาจารย์ประจํา ภาควิชาวิศวกรรมโยธา


คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรี ปทุม
การศึกษา
พ.ศ. 2525 วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วิศวกรรมโยธา) (เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
พ.ศ. 2527 Master of Engineering (Structural Engineering), Asian Institute of Technology
พ.ศ. 2542 Doctor of Engineering (Structural Engineering), Asian Institute of Technology

คณะกรรมการทางวิชาการ
อนุกรรมการสาขาผลกระทบจากแผ่นดินไหวและแรงลม สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย
รางวัลทีได้ รับ
1.รางวัลบุคลากรดีเด่นด้ านวิชาการ (วิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ) มหาวิทยาลัยศรี ปทุม ปี การศึกษา 2552
2.รางวัลบุคลากรดีเด่นสายวิชาการ (ด้ านวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ) สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
แห่งประเทศไทย ปี การศึกษา 2552
ผลงานทีนําไปใช้ ประโยชน์ เชิงนโยบายและเชิงสาธารณะ
มาตรฐานการออกแบบอาคารต้ านทานแรงแผ่นดินไหว (มยผ.-1302) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย
ผลงานวิจัยทีได้ รับรางวัลผลงานวิจัยเด่ น สกว.ประจําปี พ.ศ.2553
โครงการลดภัยพิบตั จิ ากแผ่นดินไหวในประเทศไทย โดยเป็ นนักวิจยั ในโครงการย่อยเรื อง การประเมินระดับความ
ต้ านทานแผ่นดินไหวของอาคารในประเทศไทยและการปรับปรุงอาคารให้ สามารถต้ านทานแผ่นดินไหวในระดับที
เหมาะสม ได้ รับทุนสนับสนุนจาก สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั ฝ่ ายสวัสดิภาพสาธารณะ
ผลงานวิจัยทีได้ รับทุนจากสํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ ประจําปี พ.ศ.2560
การเสริ มกําลังอาคารเรี ยนต้ นแบบเพือต้ านทานแผ่นดินไหวโดยการใช้ ตะแกรงเหล็กฉีก และการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่
ชุมชน กรณีตวั อย่างอาคารเรี ยนในพืนที อ.พาน จ.เชียงราย
ผลงานวิจัยตีพมิ พ์ ในวารสารวิชาการและการประชุมวิชาการนานาชาติ
Panyakapo, P. (2014). Cyclic Pushover Analysis Procedure to Estimate Seismic Demands for Buildings.
Engineering Structure, 66, 10-23.
Phaiboon Panyakapo.(2015). Seismic Damage of Reinforced Concrete Structures by Cyclic Pushover
Analysis. Global Engineering &Applied Science Conference, December 2-4, 2015, Tokyo, Japan.
Phaiboon Panyakapo (2016). Inelastic Foundation for Seismic Design of Buildings. The 11th International
and National Sripatum University Conference (SPUCON2016), December 21, 2016, Bangkok,
Thailand.
Panyakapo, P., Chompooyunt, S., Ruangassamee, A. and Panyakapo, M. (2017). Strengthening of RC Bare
Frame using Ferrocement with Expanded Metal. The 5thPSU-USM International Conference on Arts
and Sciences 2017, 8-9 August, Phuket, Thailand.
Leeanansaksiri, A., Panyakapo, P. and Ruangrassamee, A. (2018). Seismic Capacity of Masonry Infilled RC
Frame Strengthening with Expanded Metal Ferrocement. Engineering Structures, 159, 110-127.
I

คํานํา

การออกแบบโครงสร้ างอาคารหลังหนึงประกอบด้ วยขันตอนการวิเคราะห์โครงสร้ างและ


การออกแบบชิ นส่วนองค์อ าคารต่า งๆ ซึงทังสองขันตอนนี แยกออกเป็ นวิ ช าต่างหากคือ วิ ช า
วิเคราะห์โครงสร้ างและวิชาการออกแบบคอนกรี ตเสริ มเหล็ก หนังสือเล่มนีเขียนขึนเพือเชือมต่อ
องค์ความรู้ของทังสองวิชานีเข้ าด้ วยกัน เพือประกอบขึนเป็ นความเข้ าใจในการออกแบบตัวอาคาร
เมือพิจารณาจากลักษณะของโครงสร้ างอาคาร อาคารทัวไปทีมีความสูงไม่มากนัก นิยมออกแบบ
ให้ รับนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรเนื องจากแรงโน้ มถ่วงโลกเท่านัน ในกรณี ของ
อาคารสูง จะต้ องมีการออกแบบให้ สามารถต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ างได้ ด้วยซึงจําเป็ นต้ องมี
ความเข้ าใจในการออกแบบอาคารอย่างเพียงพอ
หนังสือเล่มนี เป็ นการปรับปรุ งจากการเขียนครังแรก โดยเป็ นการคํานวณสําหรับนําหนัก
บรรทุกเนื องจากแรงโน้ ม ถ่ว งโลกซึงใช้ สํ า หรั บการออกแบบอาคารทั วไป และแรงกระทํ าทาง
ด้ านข้ างเนืองจากแรงลม เนื อหาในช่วง 3 บทแรก จะเป็ นการปูพื นฐานความรู้ ของหลักการ
ออกแบบอาคาร นําหนักบรรทุก แรงลม และแรงแผ่นดินไหว บทที 4 เป็ นการออกแบบเสาอาคาร
บทที 5 เป็ นการออกแบบแผ่นพืนไร้ คานเพือรับนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร ซึงใช้
สําหรับอาคารขนาดใหญ่ทวไป ั บทที 6 เป็ นการออกแบบโครงข้ อแข็ง สําหรับอาคารสูง ซึงมีการ
ออกแบบให้ รับนําหนักบรรทุกปกติและแรงลม บทที 7-8 เป็ นการออกแบบโครงสร้ างกําแพงรับแรง
เฉือน และกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ บทที 9 เป็ นการออกแบบโครงสร้ างผสมระหว่างกําแพง
และโครงข้ อแข็ง ซึงนิยมใช้ ในอาคารสูง บทที 10-11 เป็ นการออกแบบฐานรากอาคารและฐานราก
เครื องจักร และเพิมบทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็จ
สําหรับการออกแบบอาคารต้ านทานแผ่นดินไหวได้ แบ่งแยกออกเป็ นส่วนทีสอง ในการ
ปรั บ ปรุ ง เนื อหาการออกแบบอาคารต้ า นทานแผ่น ดิน ไหวครั งนี ได้ บ รรจุเ นื อหาในมาตรฐาน
มยผ.1301/1302-61แทนมาตรฐานเดิม

รองศาสตราจารย์ ดร.ไพบูลย์ ปัญญาคะโป


คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรี ปทุม
ตุลาคม 2562
II

สารบัญ

หน้ า
บทที 1 หลักเกณฑ์ การออกแบบโครงสร้ างอาคาร
1.1 บทนํา 1
1.2 ขันตอนการออกแบบโครงสร้ างอาคาร 2
1.2.1 การออกแบบเบืองต้ น 2
1.2.2 การตรวจสอบความแข็งแรงและ
ความมันคงของโครงสร้ าง 5
1.2.3 การวิเคราะห์และออกแบบขันรายละเอียด 8

บทที 2 นําหนักบรรทุกและแรงลม
.1 นําหนักบรรทุก 11
2.1.1 นําหนักบรรทุกคงที 11
2.1.2 นําหนักบรรทุกจร 13
2.2 แรงลม 15
2.2.1 การคํานวณแรงลม 16
2.2.2 การคํานวณแรงลมโดยวิธีแรงสถิตย์ตามข้ อกําหนดของ
Uniform Building Code, UBC-1994 16

บทที 3 แรงแผ่ นดินไหว


3.1 ความสําคัญของแรงแผ่นดินไหว 37
3.2 การเกิดแผ่นดินไหว 38
3.3 การวัดขนาดของแผ่นดินไหว 40
3.3.1 ความเข้ มของแผ่นดินไหว 40
3.3.2 ขนาดของแผ่นดินไหว 41
3.4 ผลกระทบของคลืนแผ่นดินไหวต่อโครงสร้ างอาคาร 42
3.4.1 ลักษณะของคลืนแผ่นดินไหว 43
3.4.2 ลักษณะของสถานทีเกิดแผ่นดินไหว 46
3.4.3 ลักษณะของโครงสร้ างอาคาร 48
III

หน้ า
3.5 พฤติกรรมของโครงสร้ างรับแรงแผ่นดินไหว 52
3.5.1 แรงกระทําจากแผ่นดินไหวต่อโครงสร้ าง 52
3.5.2 กราฟการออกแบบโครงสร้ างในช่วงยืดหยุน่ 55

บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
4.1 บทนํา 61
4.2 พฤติกรรมของเสา 63
4.2.1 ความชะลูดของเสา 63
4.2.2 โครงคํายันและโครงไม่คํายัน 64
4.3 ตัวคูณความยาวประสิทธิผล 65
4.4 การจําแนกประเภทของเสา 68
4.5 เสาสันรับแรงแนวแกน 70
4.6 เสาสันรับแรงแนวแกนและโมเมนต์ดดั 71
4.7 การออกแบบเสายาว 80
4.7.1 เสาในโครงไม่มีการโยกตัว 80
4.7.2 เสาในโครงมีการโยกตัว 85

บทที 5 การออกแบบแผ่ นพืนไร้ คาน


5.1 การคํานวณออกแบบแผ่นพืน 93
5.2 การออกแบบแถบพืน 94
5.3 โครงข้ อแข็งเทียบเท่า 95
5.3.1 พืน-คาน 96
5.3.2 เสา 106
5.3.3 องค์อาคารรับแรงบิด 108
5.3.4 เสาเทียบเท่า 111
IV

หน้ า
5.3.5 การจัดนําหนักบรรทุกจร 111
5.3.6 การกระจายโมเมนต์ในระบบโครงข้ อแข็งเทียบเท่า 113
5.3.7 ค่าโมเมนต์ลบ 114
5.3.8 การกระจายค่าโมเมนต์ทีใช้ ในการออกแบบ 115
5.3.9 การออกแบบเหล็กเสริมบริเวณหัวเสา 116

บทที 6 การออกแบบโครงข้ อแข็ง


6.1 หลักการและขันตอนการออกแบบโครงข้ อแข็ง 129
6.2 พฤติกรรมของโครงสร้ างข้ อแข็ง 130
6.3 การคํานวณหน่วยแรงในองค์อาคารเนืองจากนําหนักบรรทุกคงที
และนําหนักบรรทุกจร 132
6.4 การคํานวณหน่วยแรงในองค์อาคารเนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง 141
6.4.1 การกําหนดแรงกระทําด้ านข้ างต่อโครงสร้ างแต่ละแกน 141
6.4.2 การคํานวณหาแรงภายในองค์อาคารโดยวิธี
Portal Method 147
6.5 การคํานวณออกแบบองค์อาคารต้ านทานแรงกระทํารวมของ
นําหนักบรรทุกเนืองจากแรงโน้ มถ่วงและแรงกระทําด้ านข้ าง 148

บทที 7 การออกแบบโครงสร้ างกําแพงรั บแรงเฉือน


7.1 บทนํา 159
7.2 พฤติกรรมของโครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนแบบอิสระ 159
7.3 การคํานวณออกแบบกําแพงระบบทีมีการเปลียนขนาด
เป็ นสัดส่วนกัน 161
7.3.1 โครงสร้ างสมมาตร 161
7.3.2 โครงสร้ างไม่สมมาตร 162
7.4 การออกแบบเหล็กเสริมในกําแพง 165
V

บทที 8 การออกแบบโครงสร้ างกําแพงรั บแรงเฉือนแบบควบคู่ หน้ า


8.1 พฤติกรรมของโครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ 174
8.2 การคํานวณหาแรงภายในกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่
โดยวิธีตวั กลางต่อเนือง 176
8.3 การคํานวณหาหน่วยแรงภายในกําแพงควบคูส่ ําหรับแรงลม 183
8.4 ข้ อกําหนดของการออกแบบกําแพง 185

บทที 9 การออกแบบโครงสร้ างผสม กําแพง-โครงข้ อแข็ง


9.1 บทนํา 201
9.2 พฤติกรรมของกําแพง-โครงข้ อแข็งทีมีลกั ษณะสมมาตร 203
9.3 การคํานวณหาแรงภายในโครงสร้ างกําแพง-โครงข้ อแข็ง 204
9.4 การคํานวณหาแรงภายในและค่าการโก่งตัวโดยใช้ กราฟ 210

บทที 10 การออกแบบฐานราก
10.1 บทนํา 223
10.2 หน่วยแรงใต้ ฐานราก 224
10.3 การออกแบบรับแรงดัด 230
10.4 การออกแบบรับแรงเฉือน 233
10.5 การถ่ายแรงจากเสาตอม่อสู่ฐานราก 234
10.6 ขันตอนการออกแบบฐานราก 235
10.7 การออกแบบฐานรากสําหรับอาคารสูง 236

บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร


11.1 บทนํา 259
11.2 การสันภายใต้ แรงกระทําแบบคลืนประสาน 261

บทที 12 การออกแบบแผ่ นผนังคอนกรี ตหล่ อสําเร็จ


12.1 บทนํา 273
12.2 หลักการออกแบบ 274
12.3 การคํานวณหน่วยแรงในแผ่นผนัง 276
VI

สัญลักษณ์ 297
บรรณานุกรม 305
ภาคผนวก ก 307
ภาคผนวก ข 315
บทที 1
หลักเกณฑ์ การออกแบบโครงสร้ างอาคาร
1.1 บทนํา

จากการทีอัตราประชากรในเมืองใหญ่ๆเพิมจํานวนมากขึนอย่างรวดเร็ว ในขณะทีพืนที
ว่างในเมืองมีจํากัดและราคาแพง ประกอบกับความต้ องการภาคธุรกิจทีจําเป็ นต้ องมีสํานักงานอยูใ่ น
ย่านใจกลางเมือง จนทําให้ ต้องมีการพัฒนาอาคารต่างๆ เช่น อาคารทีพักอาศัย อาคารสํานักงาน
ห้ างสรรพสินค้ า โรงแรม ตลอดจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม เป็ นอาคารสูงมากขึน ดังนันความมันคง
แข็งแรงของอาคาร ความปลอดภัยของทรัพย์สินและผู้ใช้ สอยอาคาร จึงเป็ นสิงสําคัญทีวิศวกร
ผู้ออกแบบจะต้ องคํานึงถึง โดยจะต้ องดําเนินการออกแบบให้ เป็ นไปอย่างถูกต้ องตามหลักวิชาการ
การออกแบบและก่อสร้ างอาคารสูงจะขึนอยูก่ บั ความก้ าวหน้ าทางด้ านวัสดุและเทคโนโลยีการก่อสร้ าง
ในแต่ละยุคสมัย ในปั จจุบนั นี หากแบ่งประเภทของอาคารสูงตามวัสดุทีนํามาใช้ ในการก่อสร้ าง อาจ
แบ่งโครงสร้ างอาคารออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ คือ โครงสร้ างคอนกรี ตเสริมเหล็กและโครงสร้ างเหล็ก
สําหรับในทีนีจะมุง่ เน้ นเฉพาะโครงสร้ างคอนกรี ตเสริมเหล็กเท่านัน เนืองจากโครงสร้ างเหล็กมีวิธีการ
ออกแบบทีแตกต่างไปจากโครงสร้ างคอนกรี ตเสริมเหล็กมาก
“อาคารสูง” ตามคําจํากัดความของกฎกระทรวงฉบับที 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัตคิ วบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 หมายความว่า อาคารทีบุคคลอาจเข้าอยู่หรื อเข้าใช้
สอยได้ โดยมี ความสูงตังแต่ 23 เมตรขึนไป การวัดความสูงของอาคารให้วดั จากระดับพืนดิ นที
ก่อสร้างถึงพืนดาดฟ้ า สําหรับอาคารทรงจัวหรื อปันหยาให้วดั จากระดับพืนที ก่อสร้างถึงยอดผนังของ
ชันสูงสุด จากคําจํากัดความในกฎกระทรวงฉบับนี หากจะคิดเป็ นความสูงของอาคาร โดยคํานวณ
จากความสูงของอาคารแต่ละชัน ซึงวัดจากระดับพืนชันหนึงไปยังระดับพืนอีกชันหนึงประมาณชันละ
3.30 ม. อาคารทีจัดเป็ นอาคารสูงจะมีจํานวนชันตังแต่ 7 ชันขึนไป
สําหรับอาคารสูงในทางวิศวกรรมโครงสร้ าง มิได้ มีการกําหนดให้ ชดั เจนว่าจะต้ องมีความ
สูงหรื อจํานวนชันอย่างน้ อยเท่าใด หากแต่หมายถึงอาคารซึงมีความสูงเพียงพอระดับหนึงจนกระทังมี
ผลทําให้ แรงกระทําด้ านข้ างอาคาร (lateral load) เนืองจากแรงลมหรื อแรงแผ่นดินไหว มีบทบาทที
สําคัญต่อการออกแบบโครงสร้ างอาคาร ซึงจะต้ องมีการตรวจสอบค่าระยะการโก่งตัวของโครงสร้ าง
ค่าหน่วยแรงในองค์อาคาร และความมันคงของโครงสร้ างเนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง โดยจะมีผลต่อ
2 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร

ขนาดขององค์อาคาร รายละเอียดการเสริมเหล็กในคานและเสา ตลอดจนถึงการออกแบบฐานรากอีก


ด้ วย ดังนัน จึงต้ องมีการพิจารณาอิทธิพลของแรงกระทําด้ านข้ างเหล่านีในการออกแบบอาคาร

1.2 ขันตอนการออกแบบโครงสร้ างอาคาร

ในขันตอนเริมแรกของการวางแผนผังอาคาร คณะผู้ออกแบบทังหมด ซึงประกอบด้ วย


สถาปนิก วิศวกรโครงสร้ าง และวิศวกรระบบซึงแยกออกเป็ นระบบใหญ่ๆคือ ระบบไฟฟ้ า เครื องกล
และสุขาภิบาลจะมาจัดวางการออกแบบร่วมกัน เพือให้ องค์ประกอบของการใช้ สอยอาคารมีความลง
ตัวทังหมด ซึงจะต้ องมีทงความแข็
ั งแรง ปลอดภัย และประโยชน์การใช้ สอยทีเหมาะสม เมือแบบผัง
ของอาคารเสร็จลงตัวแล้ ว การออกแบบโครงสร้ างอาคารจะประกอบด้ วย 3 ขันตอน ดังนีคือ

1.2.1 การออกแบบเบืองต้ น (Preliminary Design)

เริมจากการออกแบบขนาดเบืองต้ นขององค์อาคารทีสําคัญตังแต่หลังคาลงมา โดยจะใช้


นําหนักบรรทุกเนืองจากแรงโน้ มถ่วงโลก (gravity load) เป็ นพืนฐานของการออกแบบขนาดของคาน
ในเบืองต้ นจะคํานวณจากค่าโมเมนต์และแรงเฉือนทีได้ จากการวิเคราะห์โครงสร้ างเนืองจากนําหนัก
บรรทุกด้ วยวิธีอย่างง่าย เช่น วิธีกระจายโมเมนต์แบบสองรอบ (two-cycle moment distribution)
โดยจะต้ องมีการวางนําหนักบรรทุกจรให้ ได้ คา่ โมเมนต์ทีใช้ ในการออกแบบสูงสุด ดังแสดงในรูปที 1.1
ซึงวิธีการวางนําหนักบรรทุกจรแต่ละแบบใช้ สําหรับการออกแบบคานในแต่ละช่วง โดยมีเงือนไขดังนี
รูปแบบของนําหนักบรรทุก แบบที 1 ใช้ สําหรับการออกแบบโมเมนต์ทกุ ช่วงคาน ซึง WL d 3/4 (WD)
รูปแบบของนําหนักบรรทุก แบบที 2 ใช้ สําหรับการออกแบบโมเมนต์ M+AB ซึง WL ! 3/4 (WD)
รูปแบบของนําหนักบรรทุก แบบที 3 ใช้ สําหรับการออกแบบโมเมนต์ M+BC ซึง WL ! 3/4 (WD)
รูปแบบของนําหนักบรรทุก แบบที 4 ใช้ สําหรับการออกแบบโมเมนต์ M-B ซึง WL ! 3/4 (WD)
รูปแบบของนําหนักบรรทุก แบบที 5 ใช้ สําหรับการออกแบบโมเมนต์ M-A ซึง WL ! 3/4 (WD)

โดยที WD และ WL เป็ นนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร ตามลําดับ ทังนีโครงสร้ างในเบืองต้ น


อาจสมมติให้ เป็ นโครงข้ อแข็งเทียบเท่า ดังแสดงในรูปที 1.2 ซึงจะกล่าวโดยละเอียดในบทต่อไป
บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 3

6
WL

รูปแบบของนํ าหนักบรรทุก
WD
5
แบบที
WL
รูปแบบของนํ าหนักบรรทุก
WD
แบบที
4
WL

WD
รูปแบบของนํ าหนักบรรทุก
3 แบบที
WL WL

รูปแบบของนํ าหนักบรรทุก
WD
2
แบบที
WL

WD
รูปแบบของนํ าหนักบรรทุก
1 แบบที

A B C D

รูปที 1.1 การจัดวางนําหนักบรรทุกจรสําหรับโมเมนต์ ออกแบบสูงสุด

รูปที 1.2 โครงข้ อแข็งเทียบเท่ า


4 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร

นอกจากนี มาตรฐานสําหรับอาคารคอนกรี ตเสริมเหล็ก โดยวิศวกรรมสถานแห่งประเทศ


ไทยฯ ยังได้ เสนอแนะค่าสัมประสิทธิของโมเมนต์และแรงเฉือนสําหรับการออกแบบคานต่อเนือง โดยมี
เงือนไขว่า
ก. คานมีช่วงยาวตังแต่ 2 ช่วงขึนไป
ข. คานมีชว่ งเท่ากันโดยประมาณ โดยมีความยาวช่วงยาว ยาวกว่าช่วงสันทีอยู่ตดิ กันไม่
เกินร้ อยละ 20
ค. นําหนักบรรทุกแผ่กระจายสมําเสมอเต็มช่วงองค์อาคาร
ง. นําหนักบรรทุกจรไม่มากกว่านําหนักบรรทุกคงทีเกิน 3 เท่า
จ. องค์อาคารมีลกั ษณะเป็ นแท่งหน้ าตัดคงที
โมเมนต์บวก
คานช่วงนอก :
- ปลายคานทีไม่ตอ่ เนืองไม่ยึดรังกับทีรองรับ wln2/11
- ปลายคานทีไม่ตอ่ เนืองหล่อเป็ นเนือเดียวกันกับทีรองรับ wln2/14
คานช่วงใน : wln2/16
โมเมนต์ลบทีขอบนอกของทีรองรับตัวในแรก :
- เมือมีชว่ งต่อเนือง 2 ช่วง wln2/9
- เมือมีชว่ งต่อเนืองมากกว่า 2 ช่วง wln2/10
โมเมนต์ลบทีขอบของทีรองรับตัวในอืนๆ : wln2/11
โมเมนต์ลบทีขอบรองรับทุกแห่ง :
- คานทีมีอตั ราส่วนผลรวมของสติฟเนสของเสา
ต่อสติฟเนสของคานทีมาบรรจบกันมากกว่า 8 wln2/12
โมเมนต์ลบทีขอบในของทีรองรับตัวริมสําหรับองค์อาคารทีหล่อเป็ นเนือเดียวกันกับทีรองรับ :
- เมือทีรองรับเป็ นคานขอบ wln2/24
- เมือทีรองรับเป็ นเสา wln2/16
แรงเฉือนทีขอบของทีรองรับตัวในแรก : 1.15(wln/2)
แรงเฉือนทีขอบของทีรองรับตัวอืนๆ : wln/2
โดยที w เป็ นนําหนักแผ่กระจายต่อหนึงหน่วยความยาว
ln เป็ นระยะช่วงว่างของคาน (clear span) สําหรับการหาโมเมนต์บวกและแรงเฉือน และเป็ น
ค่าเฉลียของระยะช่วงว่างสองช่วงติดกันสําหรับการหาโมเมนต์ลบ
บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 5

1.2.2 การตรวจสอบความแข็งแรงและความมันคงของโครงสร้ าง
(Verification for Strength and Stability of Structure)

ขันตอนต่อไปคือการตรวจสอบกําลังของหน้ าตัดองค์อาคารสําหรับกรณีการรวมนําหนัก
บรรทุกและแรงกระทําทางด้ านข้ างเข้ าด้ วยกัน (combined load case) โดยการใช้ เทคนิควิธีการ
วิเคราะห์โครงสร้ างโดยประมาณ ซึงอาจจะใช้ วิธี Portal Method หรื อ Cantilever Method ตาม
ความเหมาะสม ในการออกแบบองค์อาคารคอนกรี ตเสริมเหล็ก จะต้ องออกแบบให้ กําลังทีออกแบบ
(design strength) มีคา่ มากกว่าหรื อเท่ากับกําลังทีต้ องการ (required strength) นันคือ
กําลังทีออกแบบ t กําลังทีต้ องการ (1.1ก)
หรื อ IMn t Mu (1.1ข)
IPn t Pu (1.1ค)
IVn t Vu (1.1ง)
โดยที
Mu, Pu, Vu คือ กําลังทีต้ องการสําหรับโมเมนต์ แรงอัด และแรงเฉือน ตามลําดับ
IMn, IPn, IVn คือ กําลังทีออกแบบสําหรับโมเมนต์ แรงอัด และแรงเฉื อน ตามลําดับ
Mn, Pn, Vn คือ กําลังระบุสําหรับโมเมนต์ แรงอัด และแรงเฉือน ตามลําดับ
I คือ ตัวคูณลดกําลัง ในกรณีทีการก่อสร้ างมีการควบคุมงานเป็ นอย่างดีและมี
การควบคุมคุณภาพของวัสดุ มาตรฐานสําหรับอาคารคอนกรี ตเสริม
เหล็ก โดยว.ส.ท.กําหนดให้ ใช้ คา่ ดังนี
= 0.90 สําหรับแรงดัดทีไม่มีแรงตามแนวแกน
= 0.90 สําหรับแรงดึงตามแนวแกนและแรงดึงตามแนวแกนทีมีแรงดัดร่วม
ด้ วย
= 0.85 สําหรับแรงเฉือนและแรงบิด
= 0.75 สําหรับแรงอัดตามแนวแกนและแรงอัดตามแนวแกนทีมีแรงดัดร่วม
ด้ วย และองค์อาคารใช้ เหล็กปลอกเกลียว
= 0.70 สําหรับแรงอัดตามแนวแกนและแรงอัดตามแนวแกนทีมีแรงดัดร่วม
ด้ วย และองค์อาคารใช้ เหล็กปลอกเดียว
= 0.70 สําหรับแรงแบกทานบนคอนกรี ต
6 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร

ในการคํานวณค่ากําลังทีต้ องการ จะต้ องคํานึงถึงแรงกระทําทังหมดทีมีผลต่อโครงสร้ าง โดย


ใช้ คา่ สูงสุดซึงคํานวณได้ จากการรวมแรงและนําหนักบรรทุกต่างๆ (combined load) จากกรณีตอ่ ไปนี

ACI 318-99 ACI 318M-11


U 1.4D  1.7L (1.2a) U 1.2D  1.6L (1.2b)
U 0.75(1.4D  1.7 L  1.7W ) (1.3a) U 1.2D  1.0L  1.0W (1.3b)
U 0.75(1.4D  1.7 L  1.87 E) (1.4a) U 1.2D  1.0L  1.0E (1.4b)
U 0.9D  1.3W (1.5a) U 0.9D  1.0W (1.5b)
U 0.9D  1.43E (1.6a) U 0.9D  1.0E (1.6b)

โดยที U คือ ผลรวมของกําลังทีต้ องการ


D คือ กําลังทีต้ องการเนืองจากนําหนักบรรทุกคงที
L คือ กําลังทีต้ องการเนืองจากนําหนักบรรทุกจร
W คือ กําลังทีต้ องการเนืองจากแรงลม
E คือ กําลังทีต้ องการเนืองจากแรงแผ่นดินไหว
สําหรับการรวมแรงตามกฎกระทรวงฉบับที 6 กําหนดดังนี
U 1.7 D  2.0L (1.7)
U 0.75(1.7 D  2.0L  2.0W ) (1.8)
U 0.9D  1.3W (1.9)
ถ้ า หากค่า หน่ว ยแรงของบางองค์ อ าคารเกิ น กว่ า ค่า ที กํ า หนดในข้ อ บัญ ญั ติข องการ
ออกแบบอาคาร ก็จะต้ องปรับขนาดขององค์อาคารนันให้ มีขนาดใหญ่ขนึ และตรวจสอบค่าหน่วยแรง
ในองค์อาคารอีก ในขันตอนนีอาจจะต้ องมีการปรับขนาดและตรวจสอบอยู่หลายครัง จนกว่าจะได้
ค่าทีเหมาะสม เมือตรวจสอบกําลังของหน้ าตัดองค์อาคารแล้ ว ในขันตอนนีจะต้ องมีการตรวจสอบ
ความมันคงของโครงสร้ างเนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ างต่ออาคาร โดยแรงลมหรื อแรงแผ่นดินไหว
ั าอาคารทังหลังจะไม่พลิกควําในลักษณะรูปทรงแข็งเกร็ ง (rigid body) โดยการพลิกรอบ
เพือให้ มนใจว่
ฐานของอาคาร วิ ธี ก ารตรวจสอบคื อ การคํ า นวณโมเมนต์ ต้ า นทานการ พลิ ก ควํ า (resisting
moment) จากนํ าหนักคงที ของอาคาร ซึงจะต้ องมี ค่ามากกว่าโมเมนต์ทีทํ าให้ เกิดการพลิกควํ า
(overturning moment) โดยมีค่าความปลอดภัยทีเพียงพอ หากโครงสร้ างอาคารทีจะตรวจสอบ
ความมันคงมีรูปร่างดังแสดงในรูปที 1.3
บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 7

WD
8 F8
WD
7 F7
WD
6 F6
WD
5 F5
WT W
D
4 H8
F4
H7
WD
3 H6
F3 H5
WD
2 H4
F2
WD H3
1 F1 H2
H1
G

รูปที 1.3 การคํานวณความมันคงของโครงสร้ างอาคาร

ค่าความปลอดภัยต่อโมเมนต์ทีทําให้ เกิดการพลิกควํา คํานวณจาก

M react WT ˜ L 2
Safety Factor against overturning ( SF ) (1.10)
M act n
¦ Fi H i
i
โดยที
Mreact คือ โมเมนต์ต้านทานการพลิกควําของอาคาร
Mact คือ โมเมนต์ทีกระทําให้ เกิดการพลิกควําของอาคาร
i คือ จํานวนชันของอาคาร (i = 1, 2,……n)
8 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร

Fi คือ แรงกระทําด้ านข้ างทีระดับชัน i


Hi คือ ความสูงจากฐานของอาคารไปยังระดับชัน i
WT คือ นําหนักบรรทุกคงทีทังหมดของอาคาร
L คือ ความกว้ างของอาคาร
n คือ จํานวนชันทังหมดของอาคาร
SF คือ ค่าความปลอดภัย ซึงจะต้ องมีคา่ มากกว่าหรื อเท่ากับ 1.5

1.2.3 การวิเคราะห์ และออกแบบขันรายละเอียด


(Refinement Analysis and Detailed Design)

ในขันตอนนีจะมีการตรวจสอบค่าระยะการโก่งตัวและหน่วยแรงในองค์อาคารโดยวิธีการ
วิเคราะห์โครงสร้ างอย่างละเอียด ซึงในปั จจุบนั นีมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ชว่ ยในการวิเคราะห์ ทําให้
ได้ ผลการคํานวณอย่างละเอียดในเวลาอันสัน ขันตอนนีจะรวมการวิเคราะห์ผลกระทบของนําหนัก
บรรทุกต่อค่าการโก่งตัวด้ านข้ าง (P-delta effects) ด้ วย
ในการตรวจสอบค่าระยะการโก่งตัวด้ านข้ างสูงสุดเนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ างจาก
แรงลมหรื อแรงแผ่นดินไหวนัน คุณสมบัตทิ ีสําคัญของโครงสร้ างในการควบคุมระยะการโก่งตัวด้ านข้ าง
คือค่าสติฟเนสของเสา การออกแบบให้ เสามีคา่ สติฟเนสทีเพียงพอเป็ นสิงสําคัญ โดยเฉพาะอย่างยิง
สําหรับอาคารสูง ซึงเป็ นสิงทีแตกต่างจากอาคารเตีย ทังนีเนืองจากอาคารสูงมีโอกาสเกิดการโก่งตัวที
มากเกินไปได้ ซึงจะส่งผลให้ เกิดการแตกร้ าวของโครงสร้ างอาคาร รวมทังการส่งถ่ายแรงไปยังผนัง
กันห้ องทีไม่ได้ มีการออกแบบให้ รับแรงกระทําด้ านข้ างได้ นอกจากนี โครงสร้ างอาคารจะต้ องมีความ
แข็ง (stiff) เพียงพอทีจะต้ านทานการเคลือนทีเนืองจากแรงกระทําในลักษณะไดนามิกส์ เพือป้ องกัน
การโคลงตัวของโครงสร้ างจนอาจทําให้ ผ้ พู กั อาศัยรู้สกึ ไม่สบาย หรื อทําให้ อปุ กรณ์เครื องมือทีมีความ
ละเอียดอ่อนในการใช้ งาน ซึงติดตังในอาคารเกิดความเสียหายได้
ค่าสัมประสิทธิทีใช้ กําหนดระยะโยกไหวของโครงสร้ าง นิยมใช้ คา่ Drift Index (DI) โดย
คํานวณจาก
Gn
Drift Index ( DI ) (1.11)
H
บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 9

เมือ Gn คือ ค่าระยะการโก่งตัวด้ านข้ างในระดับชันที n ซึงเป็ นชันบนยอดสูงสุดของ


อาคาร โดยที Gn = '1 + '2 + ……..+ 'n ดังแสดงในรูปที 1.4
'n คือ ค่าระยะโยกไหวระหว่างชัน (interstory drift ) ของอาคาร
H คือ ความสูงทังหมดของอาคาร

G4
'4
F4

G3 h4
'3
F3

G2 h3
'2
F2 H
h2
G1
'1
F1

h1

รูปที 1.4 การโก่ งตัวทางด้ านข้ างของโครงสร้ างอาคาร

หากตังสมมติฐานว่าพืนอาคารเป็ นพืนแข็ง (rigid floor) ไม่มีการยืดหดตัวหรื อโก่งตัว


เนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง ดังนันแรงกระทําด้ านข้ างทีแต่ละระดับชันอาคารเนืองจากแรงลมนีจะ
ต้ านทานด้ วยแรงเฉือนในเสาแต่ละชัน และระยะโยกไหวระหว่างชัน (interstory drift ) ของอาคาร
คํานวณได้ จาก
10 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร

Vi (1.12)
'i
Ki
โดยที
'i คือ ค่าระยะโยกไหวระหว่างชัน (interstory drift ) ของอาคาร
Vi คือ แรงเฉือนทีเสาสําหรับชันที i เนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง
Ki คือ ค่าสติฟเนสของเสาสําหรับชันที i มีคา่ เท่ากับ 12EIi/hi3
เมือ E คือ ค่าโมดูลสั ยืดหยุ่นของเสา
Ii คือ ค่าโมเมนต์ความเฉือย (moment of inertia) ของเสาสําหรับชันที i
hi คือ ค่าความสูงของเสาสําหรับชันที i

ในการพิจารณาค่า Drift Index ทีเหมาะสม จําเป็ นต้ องใช้ ดลุ พินิจทางวิศวกรรมอย่างดี


สําหรับโครงสร้ างอาคารทัวไป ค่า Drift Index ทียอมรับได้ จะอยูใ่ นช่วง 0.0015 ถึง 0.003 สําหรับ
มาตรฐานแรงลม กําหนดให้ คา่ Drift Index ไม่เกิน 0.002 เมืออาคารมีความสูงมากขึนๆ ค่า Drift
Index จะต้ องลดลงเพือทีจะรักษาค่าการโก่งตัวสูงสุดบนยอดอาคารให้ อยูใ่ นระดับตําอย่างพอเหมาะ
ในกรณีทีค่า Drift Index มีคา่ สูงเกินกว่าทีกําหนด ก็สามารถแก้ ได้ โดยการเพิมค่าสติฟเนสของเสา
หรื อกําแพงรับแรงเฉือน ซึงเป็ นองค์อาคารทีต้ านทานแรงกระทําด้ านข้ างโดยตรง รวมทังการออกแบบ
ให้ ข้อต่อระหว่างคานและเสาเป็ นแบบยึดแน่น (rigid joint) ซึงจะมีรายละเอียดในบทต่อไป เมือ
ขนาดองค์อาคารทุกส่วนลงตัวแล้ ว จึงดําเนินการออกแบบรายละเอียดขององค์อาคาร และการเสริม
เหล็กต่างๆ ตังแต่ หลังคา พืน คาน เสา และฐานราก เพือนําไปใช้ ในการก่อสร้ างต่อไป
šš¸É 2
œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤
2.1 œÊ宜´„¦¦š»„ (Loading)

Ĝ„µ¦ª·Á‡¦µ³®r¨³°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦œ´Êœ ¦Šš¸É„¦³šÎµ˜n°Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ÂnŠ
°°„Áž}œ 2 ž¦³Á£š˜µ¤š·«šµŠ…°ŠÂ¦Š„¦³šÎµ ‡º° „) ¦Š„¦³šÎµÄœÂœª—·ÉŠÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÃœo¤™nªŠ…°Š
è„ (gravity load) ŗo„n œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É¨³œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ Ž¹ÉŠ‡Îµœª–Å—o‹µ„…œµ—¨³
‡ªµ¤®œµÂœnœ…°Šª´­—» œÊµÎ ®œ´„…°ŠŸ¼očo°µ‡µ¦ ˜¨°—‹œ™¹ŠÁ‡¦ºÉ°ŠÄo­°¥ ­·ÉŠ°Îµœª¥‡ªµ¤­³—ª„
£µ¥Äœ°µ‡µ¦ ¨³ …) ¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ (lateral load) ÁœºÉ°Š‹µ„£´¥›¦¦¤µ˜· ŗo„n ¦Š¨¤
¨³Â¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ­Îµ®¦´Â¦Š„¦³šÎµž¦³Á£š®¨´Šœ¸Ê …¹œÊ °¥¼n„´­£µ¡£¼¤·ž¦³Áš« °µ„µ« ¨³
¨´„¬–³šµŠ›¦–¸ª·š¥µ Ž¹ÉŠ¤¸‡ªµ¤Âž¦ž¦ªœÂ¨³‡µ—„µ¦–rŗo¥µ„„ªnµÂ¦Š„¦³šÎµž¦³Á£šÂ¦„ Ĝšœ¸Ê
‹³„¨nµª™¹ŠÁŒ¡µ³œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ ¨³Â¦Š¨¤ ­nªœ„µ¦¡·‹µ¦–µÂ¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª
˜o°ŠÄo‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœÁ„¸É¥ª„´Â¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÂ¨³ª·›¸„µ¦‡Îµœª–®µÂ¦Š„¦³šÎµš¸É˜„˜nµŠ°°„Åž‹µ„
¦Š„¦³šÎµ…oµŠ˜oœ¤µ„ ‹¹Š‹³Â¥„°°„Áž}œšÁŒ¡µ³°°„Åž ¦Š„¦³šÎµš¸œÉ °„Á®œº°Åž‹µ„œ¸Ê ‡º° ¦Š
„¦³Âš„Ž¹ÉŠÄoĜ„µ¦‡Îµœª–°°„­³¡µœ Á‡¦œ¥„…°Š®œ´„ ¨·¢šr Á‡¦ºÉ°Š‹´„¦„¨®œ´„ ®¦º°„µ¦
‡Îµœª–œÊ宜´„®·¤³ ¦Š—´œœÊε Á®¨nµœ¸ÊÁž}œ„µ¦°°„¡·Á«¬‹¹ŠÅ¤nŗo¦ª¤°¥¼nĜš¸œÉ ¸Ê

2.1.1 œÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‡Šš¸É (Dead Load)

œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É®¤µ¥™¹ŠœÊ宜´„…°Š°µ‡µ¦°´œž¦³„°—oª¥Ã‡¦Š­¦oµŠš´ÊŠ®¤—
¦ª¤š´ÊŠ„¦³ÁºÊ°Šž¼Ÿ·ª¡ºÊœ  jµÁ¡—µœ Ÿœ´Š„ε¡Š ™´ŠœÊε ¦³Á‡¦ºÉ°Š‹´„¦„¨Â¨³Å¢¢jµ Áž}œ˜oœ Ĝ
„µ¦‡Îµœª–®µœÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‡Šš¸…É °Š°Š‡r°µ‡µ¦˜nµŠÇ °µ‹Äo‡nµœÊµÎ ®œ´„…°Šª´­—»Ž¹ÉŠÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É
2.1 ×¥œÎµÅž‡¼–„´ž¦·¤µ–…°Šª´­—»šÄ¸É o œ°„‹µ„œ¸Êª´­—»š¸ÉŤnŗo°¥¼nĜ˜µ¦µŠ Ž¹ÉŠ°µ‹Áž}œŸ¨·˜£´–”r
ÁŒ¡µ³°¥nµŠ „È­µ¤µ¦™‡Îµœª–œÊ宜´„¦¦š»„Å—o ×¥—¼‹µ„Á°„­µ¦Âœ³œÎµ…°ŠŸ¨·˜£´–”rœ´ÊœÇ Ž¹ÉŠ‹³¤¸
¦µ¥„µ¦Â­—Š‡nµœÊ宜´„…°Šª´­—»°¥¼n—oª¥
12 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

˜µ¦µŠš¸2É .1 ‡nµ®œnª¥œÊµÎ ®œ´„…°Šª´­—»Ã—¥ž¦³¤µ–


(œ·¡œ›r °´Š„»¦µ£·œœ´ šr, 2543 ¨³œ¦¤·˜¦ ¨·Éª›œ¤Š‡¨, 2538)
°Š‡r°µ‡µ¦ ®œnª¥œÊµÎ ®œ´„ °Š‡r°µ‡µ¦ ®œnª¥œÊµÎ ®œ´„
1. ª´­—»¤»Š®¨´Š‡µ
„¦³ÁºÊ°ŠŽ¸Â¡‡Ã¤Áœ¸¥ 45 „„./˜¦.¤. „¦³ÁºÊ°ŠÂŸnœÁ¦¸¥ 2 —oµœ¦ª¤Á‡¦nµ 30 „„./˜¦.¤.
„¦³ÁºÊ°Š¨°œ‡¼n 15 „„./˜¦.¤. Ÿœ´Š„n°°·“¨È°„„oª®œµ 3s 90 „„./˜¦.¤.
„¦³ÁºÊ°Š¨¼„¢¼„¨°œÁ¨È„ 12 „„./˜¦.¤. 6. „¦³‹„ 2,560 „„./¨.¤.
„¦³ÁºÊ°Š¨¼„¢¼„¨°œÄ®n 17 „„./˜¦.¤. 7. ¡ºÊœ
„¦³ÁºÊ°Š¦µŠ 0.98x5.0 18 „„./˜¦.¤. „¦³ÁºÊ°Šž¼¡ºÊœ¦ª¤ª´­—»¦°Š¡ºÊœ
­´Š„¦³­¸ 5 „„./˜¦.¤. 48 „„./˜¦.¤.
2. žŤo 5 „„./˜¦.¤. ¡ºÊœÅ¤o®œµ 1s ¦ª¤˜Š 30 „„./˜¦.¤.
3. ǦŠ®¨´Š‡µ 25 „„./˜¦.¤. žµÁ„oŤo­´„®œµ ½ s 10 „„./˜¦.¤.
4.  jµ žµÁ„oŤo—Š®œµ ½ s 14 „„./˜¦.¤.
Á‡¦nµÅ¤o @ 0.4 ¤. 15 „„./˜¦.¤.
¡ºÊœ®·œ…´—®œµ 1s 80 „„./˜¦.¤.
Á‡¦nµÅ¤o @ 0.6 ¤. 10 „„./˜¦.¤.
8. œÊε 1.00 ˜´œ/¨.¤.
„¦³ÁºÊ°ŠÂŸnœÁ¦¸¥®œµ 4 ¤.¤. 7 „„./˜¦.¤.
9. ‡°œ„¦¸˜
„¦³ÁºÊ°ŠÂŸnœÁ¦¸¥®œµ 6 ¤.¤. 11 „„./˜¦.¤.
‡°œ„¦¸˜ž„˜· 2.40 ˜´œ/¨.¤.
ŸnœÂ°­Á­š°­ 11 – 17 „„./˜¦.¤.
‡°œ„¦¸˜¤ª¨Áµ 1.85 ˜´œ/¨.¤.
5.  µ„ε¡Š
(„ε¨´Š°´—ž¦³¨´¥ = 400 „„./˜¦.Ž¤.)
°·“¤°®œµ 0.10 ¤. („n°‡¦¹ÉŠÂŸnœ)
10. —·œ
180 „„./˜¦.¤.
—·œ¦nªœš´ÉªÅž 1.20 ˜´œ/¨.¤.
°·“¤°®œµ 0.15 ¤. 310 „„./˜¦.¤.
—·œ¦nªœ°´—Âœnœ 1.50 ˜´œ/¨.¤.
°·“¤°®œµ 0.20 ¤. (Á˜È¤ÂŸnœ) 360 „„./˜¦.¤.
—·œÁ®œ¸¥ªÂ®oŠ 1.25 ˜´œ/¨.¤.
°·“¨È°„®œµ 0.10 ¤. 100 „„./˜¦.¤.
—·œÁ®œ¸¥ªÁže¥„ 1.75 ˜´œ/¨.¤.
°·“¨È°„®œµ 0.15 ¤. 150 „„./˜¦.¤.
11. š¦µ¥
°·“¨È°„®œµ 0.20 ¤. 200 „„./˜¦.¤.
š¦µ¥Â®oŠ 1.50 ˜´œ/¨.¤.
‡°œ„¦¸˜¨È°„®œµ 4s 100 – 150 „„./˜¦.¤. š¦µ¥Áže¥„ 1.85 ˜´œ/¨.¤.
‡°œ„¦¸˜¨È°„®œµ 6s 170 – 180 „„./˜¦.¤. š¦µ¥žœ„¦ª— (°´—Âœnœ) 1.70 ˜´œ/¨.¤.
‡°œ„¦¸˜¨È°„®œµ 8s 220 – 240 „„./˜¦.¤. 12. ®·œ¥n°¥ 1.50 ˜´œ/¨.¤.
 µÅ¤o°´—Ž·°¦r——oµœÁ—¸¥ª¦ª¤Á‡¦nµ 12 „„./˜¦.¤. 13. Á®¨È„ 7.85 ˜´œ/¨.¤.
 µÅ¤o°´—Ž·°¦r— 2 —oµœ¦ª¤Á‡¦nµ 15 „„./˜¦.¤.
„¦³ÁºÊ°ŠÂŸnœÁ¦¸¥—oµœÁ—¸¥ª¦ª¤Á‡¦nµ 20 „„./˜¦.¤.
šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 13

2.1.2 œÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‹¦ (Live Load)

œÊÎ µ ®œ´ „ ¦¦š» „ ‹¦®¤µ¥™¹ Š œÊÎ µ ®œ´ „ š¸É ­ µ¤µ¦™Á‡¨ºÉ ° œš¸É Å —o ¦ª¤™¹ Š œÊÎ µ ®œ´ „ Ÿ¼o Ä o ° µ‡µ¦
Á¢°¦rœ·Á‹°¦r ®œ´Š­º° ˜¼oÁ„ȝÁ°„­µ¦ ¨³œÊ宜´„„¹ÉŠ™µª¦°ºÉœÇ Ž¹ÉŠÅ¤nŗo¦ª¤ÅªoĜœÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É
­Îµ®¦´‡nµœÊ宜´„¦¦š»„‹¦š¸É„ε®œ—Äœ„‘„¦³š¦ªŠŒ´š¸É 6 (¡.«.2527) °°„˜µ¤‡ªµ¤Äœ
¡¦³¦µ´´˜·‡ª‡»¤°µ‡µ¦ ¡.«. 2522 œÎµ¤µÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 2.2

˜µ¦µŠš¸É 2.2 ‡nµœÊ宜´„¦¦š»„‹¦š¸É¦³»Äœ„‘„¦³š¦ªŠŒ´š¸É 6 (¡.«. 2527)


ž¦³Á£šÂ¨³­nªœ˜nµŠÇ …°Š°µ‡µ¦ œÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‹¦
„„./˜¦.¤.
(1) ®¨´Š‡µ 30
(2) „´œ­µ—®¦º°®¨´Š‡µ‡°œ„¦¸˜ 100
(3) š¸É¡´„°µ«´¥ æŠÁ¦¸¥œ°œ»µ¨ ®o°ŠœÊε ®o°Š­oª¤ 150
(4) ®o°ŠÂ™ª ˜¹„™ªš¸Éčo¡„´ °µ«´¥ °µ‡µ¦»— ®°¡´„ æŠÂ¦¤ ¨³®o°Š
‡œÅ…o¡·Á«¬…°ŠÃ¦Š¡¥µµ¨ 200
(5) ­Îµœ´„Šµœ ›œµ‡µ¦ 250
(6) („) °µ‡µ¦¡µ–·¥r ­nªœ…°Š®o°ŠÂ™ª ˜¹„™ªš¸ÉčoÁ¡ºÉ°„µ¦¡µ–·¥r
¤®µª·š¥µ¨´¥ ª·š¥µ¨´¥ æŠÁ¦¸¥œ ¨³Ã¦Š¡¥µµ¨ 300
(…) ®o°ŠÃ™Š ´œÅ— n°ŠšµŠÁ—·œ…°Š°µ‡µ¦»— ®°¡´„ æŠÂ¦¤ ­Îµœ´„
Šµœ ¨³›œµ‡µ¦ 300
(7) („) ˜¨µ— °µ‡µ¦­¦¦¡­·œ‡oµ ®°ž¦³»¤ 护®¦­¡ £´˜˜µ‡µ¦
®o°Šž¦³»¤ ®o°Š°nµœ®œ´Š­º°Äœ®o°Š­¤»—®¦º°®°­¤»— š¸É‹°—®¦º°
Á„ȝ¦™¥œ˜rœ´ÉŠ ®¦º°‹´„¦¥µœ¥œ˜r 400
(…) ®o°ŠÃ™Š ´œÅ— n°ŠšµŠÁ—·œ…°Š°µ‡µ¦¡µ–·¥r ¤®µª·š¥µ¨´¥
ª·š¥µ¨´¥ ¨³Ã¦ŠÁ¦¸¥œ 400
(8) („) ‡¨´Š­·œ‡oµ 抄¸¯µ ¡·¡·›£´–”r °´•‹´œš¦r 把µœ°»˜­µ®„¦¦¤
抡·¤¡r ®o°ŠÁ„ȝÁ°„­µ¦Â¨³¡´­—»
(…) ®o°ŠÃ™Š ´œÅ— n°ŠšµŠÁ—·œ…°Š˜¨µ— °µ‡µ¦­¦¦¡­·œ‡oµ ®o°Š
ž¦³»¤ ®°ž¦³»¤ 护®¦­¡ £´˜˜µ‡µ¦ ®o°Š­¤»— ¨³®°­¤»— 500
(9) ®o°ŠÁ„ȝ®œ´Š­º°…°Š®o°Š­¤»—®¦º°®°­¤»— 600
(10) š¸É‹°—®¦º°Á„ȝ¦™¥œ˜r¦¦š»„Áž¨nµ 800
14 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

Ĝ„µ¦‡Î µœª–œÊÎ µ®œ´ „š¸É™n µ¥¨ŠÁ­µ ‡µœ ¨³“µœ¦µ„Ä®oÄ oœÊ宜´„¦¦š»„ ‡Šš¸É …°Š
°µ‡µ¦Á˜È¤š¸É ­Îµ®¦´œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ ÁœºÉ°Š‹µ„ð„µ­š¸ÉœÊ宜´„¦¦š»„‹¦‹³ªµŠÁ˜È¤Äœš»„¡ºÊœš¸É¨³
š»„´Êœ…°Š°µ‡µ¦Áž}œÅžÅ—o¥µ„ ×¥ž„˜·„µ¦¦´œÊ宜´„¦¦š»„‹¦Á˜È¤°´˜¦µ‹³°¥¼nĜ…°Á…˜¡ºÊœš¸É
µŠ­nªœ…°Š°µ‡µ¦Ášnµœ´Êœ …o°„ε®œ—…°Š„µ¦°°„°µ‡µ¦Äœ„‘„¦³š¦ªŠŒ´š¸É 6 (¡.«. 2527)
‹¹ŠÅ—o¥°¤Ä®o¨—­nªœ…°ŠœÊ宜´„¦¦š»„‹¦¨ŠÅ—o ˜µ¤˜µ¦µŠš¸É 2.3

˜µ¦µŠš¸É 2.3 °´˜¦µ„µ¦¨—œÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‹¦œ°µ‡µ¦ ‹µ„„‘„¦³š¦ªŠŒ´š¸É 6 (¡.«. 2527)

„µ¦¦´œÊµÎ ®œ´„…°Š¡ºœÊ °´˜¦µ„µ¦¨—œÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‹¦


œ¡ºœÊ ˜n¨³´ÊœÁž}œ¦o°¥¨³
1) ®¨´Š‡µ®¦º°—µ—¢jµ -
2) ´Êœš¸É 1 ™´—‹µ„®¨´Š‡µ®¦º°—µ—¢jµ -
3) ´Êœš¸É 2 ™´—‹µ„®¨´Š‡µ®¦º°—µ—¢jµ -
4) ´Êœš¸É 3 ™´—‹µ„®¨´Š‡µ®¦º°—µ—¢jµ 10
5) ´Êœš¸É 4 ™´—‹µ„®¨´Š‡µ®¦º°—µ—¢jµ 20
6) ´Êœš¸É 5 ™´—‹µ„®¨´Š‡µ®¦º°—µ—¢jµ 30
7) ´Êœš¸É 6 ™´—‹µ„®¨´Š‡µ®¦º°—µ—¢jµ 40
8) ´Êœš¸É 7 ™´—‹µ„®¨´Š‡µ®¦º°—µ—¢jµ ¨³´œÊ ˜n°¨ŠÅž 50

­Îµ®¦´„µ¦°°„°µ‡µ¦š¸É¤¸‡ªµ¤­Îµ‡´˜n°­µ›µ¦–œ Ánœ ®o°Šž¦³»¤ ®°ž¦³»¤


®o°Š­¤»— ¡·¡·›£´–”r °´•‹´œš¦r 护®¦­¡ ‡¨´Š­·œ‡oµ 把µœ°»˜­µ®„¦¦¤ °µ‡µ¦‹°—¦™ Áž}œ˜oœ
Ĝ„µ¦ÄoŠµœ‹¦·Š °µ‡µ¦Á®¨nµœ¸Ê°µ‹¤¸„µ¦ªµŠœÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‹¦Á˜È¤š¸É „µ¦‡·—¨—œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ °µ‹
Áž}œ°´œ˜¦µ¥˜n°Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦˜¨°—‹œ™¹Š‡ªµ¤ž¨°—£´¥Äœš¦´¡¥r­·œ£µ¥Äœ°µ‡µ¦Â¨³Ÿ¼o¡´„°µ«´¥
Ĝ…–³ÄoŠµœÅ—o …o°„ε®œ—…°Š„µ¦°°„°µ‡µ¦‹¹ŠÄ®o‡·—œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ Á˜È¤°´˜¦µš»„´œÊ
œ°„‹µ„œ¸Ê ĜšµŠž’·´˜· ª·«ª„¦Ÿ¼o°°„°µ‹ÄoœµÊÎ ®œ´„¦¦š»„‹¦Á˜È¤°´˜¦µ ­Îµ®¦´°µ‡µ¦š´ªÉ Ş„Èŗo
®µ„˜o°Š„µ¦°°„°µ‡µ¦Ä®o¤¸‡ªµ¤ž¨°—£´¥¤µ„¥·ÉŠ…¹Êœ Ž¹ÉŠÅ¤n‹´—ªnµŸ·—˜n°…o°„ε®œ—ÄœÁ¦ºÉ°Šœ¸Ê
šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 15

2.2 ¦Š¨¤ (Wind Load)

¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠÁœºÉ°Š‹µ„¦Š¨¤¤¸‡ªµ¤­Îµ‡´˜n°„µ¦°°„°µ‡µ¦­¼Š Ž¹ÉŠšÎµÄ®o
„µ¦°°„°µ‡µ¦¨´ „ ¬–³œ¸Ê  ˜„˜n µ ŠÅž‹µ„„µ¦°°„°µ‡µ¦š´É ª Ş ž{‹ ‹» ´ œ œ¸Ê ª· ª´ • œµ„µ¦
šµŠ—oµœ„ε¨´Š…°Šª´­—»­¼Š…¹ÊœÁ¦ºÉ°¥Ç šÎµÄ®o„µ¦°°„Å—o…œµ—°Š‡r°µ‡µ¦š¸ÉÁ¨È„¨ŠÂ¨³¤¸œÊ宜´„š¸ÉÁµ
¨Š Áž}œŸ¨Ä®oǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦¤¸Ã°„µ­Á„·—„µ¦Ã„nŠ˜´ªšµŠ—oµœ…oµŠÁœºÉ°Š‹µ„¦Š¨¤¤µ„…¹Êœ ¦Š¨¤Äœ
¦³—´ ¦»œ ¦Š‹¹ Š‹´—Áž} œ£´¥›¦¦¤µ˜·˜n°°µ‡µ¦­¼Šœ·—®œ¹É Š ¡§˜·„¦¦¤…°ŠÂ¦Š¨¤¤¸‡ªµ¤Ž´Žo °œ
ÁœºÉ°Š‹µ„¤¸‡ªµ¤Å¤nœnœ°œ¤µ„ Ž¹ÉŠ˜nµŠ‹µ„œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É ¨³¤¸¨´„¬–³Áž}œÂœÊ宜´„¦¦š»„
‹¨œr (dynamic loading) Ž¹ÉŠ¤¸…œµ—¨³š·«šµŠ…°ŠÂ¦Š„¦³šÎµš¸ÉŤnœnœ°œš´ÊŠœ¸Ê…¹Êœ°¥¼n„´¨´„¬–³…°Š
„) £¼¤·ž¦³Áš« (topography) Ánœ š»nŠÃ¨nŠ žiµÅ¤o £¼Á…µ ­ªœŸ´„ Áž}œ˜oœ
…) …°Š°µ‡µ¦ (building type) Ánœ ¦¼ž¦nµŠ …œµ—…°Š°µ‡µ¦ ‡ªµ¤­¼Š ¡ºÊœŸ·ª
°µ‡µ¦ n°ŠÁžd—…°Š°µ‡µ¦ Áž}œ˜oœ
‡) ›¦¦¤µ˜·…°Š„µ¦Å®¨Áª¸¥œ…°Š°µ„µ« (nature of airflow) Ánœ ‡ªµ¤®œµÂœnœ
…°Š°µ„µ« š·«šµŠ…°Š¨¤ ‡ªµ¤Á¦Èª…°Š¨¤ ‡ªµ¤‡Šš¸É…°Š¨¤š¸É¡´—¤µ Áž}œ˜oœ
Á¤ºÉ°¨¤¡´—¤µž³š³Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ ¨´„¬–³…°Š°µ‡µ¦Ž¹ÉŠž¦³„°—oª¥…œµ— ¦¼ž¦nµŠ
‡ªµ¤®¥µ…°Š¡ºÊœŸ·ªÂ¨³n°ŠÁžd— ‹³¤¸Ÿ¨˜n°…œµ—…°ŠÂ¦Š—´œš¸„É ¦³‹µ¥œ˜´ª°µ‡µ¦ ǦŠ­¦oµŠ
°µ‡µ¦‹³™¼„„¦³šÎµ—oª¥Â¦Š„¦³šÎµ˜´ÊŠŒµ„¨³Â¦Š„¦³šÎµÂœª…ªµŠ ¦Š„¦³šÎµ˜´ÊŠŒµ„„¦³šÎµÄœš·«
šµŠ„µ¦¡´—…°Š¨¤ ×¥„n°Ä®oÁ„·—¦Š°´—š¸É—oµœž³š³¨¤ (windward face) ¨³‹³¤¸Â¦Š—¼—š¸É—oµœ
®¨¨¤ (leeward face) ­Îµ®¦´Â¦Š„¦³šÎµÂœª…ªµŠœ´ÊœÁ„·—Äœ¨´„¬–³‡¨oµ¥‡¨¹Š„´„µ¦¥„˜´ª…°Š
že„Á‡¦ºÉ°Š·œ„¦³šÎµÄœš·«šµŠ˜´ÊŠŒµ„„´Âœª®¨´Š‡µ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.1

¦Š„¦³šÎµÂœª…ªµŠ
—oµœ®¨¨¤
—oµœž³š³¨¤

¦Š„¦³šÎµ˜´ÊŠŒµ„

¦¼ž 2.1 ¡§˜·„¦¦¤…°ŠÂ¦Š¨¤š¸É„¦³šÎµ˜n°°µ‡µ¦


16 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

2.2.1 „µ¦‡Îµœª–¦Š¨¤

„µ¦‡Îµœª–¦Š¨¤¤¸ 2 ª·›¸‡°º
„. ª·›¸Â¦Š­™·˜ (Static Approach)
­Îµ®¦´ª·›¸„µ¦œ¸Ê ‹³­¤¤˜·Ä®oǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦Áž}œª´˜™»¦¼žš¦ŠÂ…ÈŠÁ„¦ÈŠ (rigid body)
£µ¥Ä˜o¦Š¨¤š¸É¤µ„¦³šÎµ Ž¹ÉŠÄo­Îµ®¦´°µ‡µ¦­¼Šš´ÉªÅžš¸ÉŤn°n°œÅ®ª˜n°„µ¦­´Éœ£µ¥Ä˜o¦Š¨¤ …o°„ε®œ—
…°Š Uniform Building Code, UBC-1994 Ž¹ÉŠÁž}œš¸Éœ·¥¤Äo°°„°µ‡µ¦Äœž¦³Áš«
­®¦´“°Á¤¦·„µ „ε®œ—Ä®očo­Îµ®¦´°µ‡µ¦š¸É¤¸‡ªµ¤­¼ŠÅ¤nÁ„·œ 122 ¤. ¨³¤¸°´˜¦µ­nªœ…°Š‡ªµ¤­¼Š˜n°
‡ªµ¤„ªoµŠÅ¤nÁ„·œ 5
…. ª·›¸Â¦Š¡¨«µ­˜¦r (Dynamic Method)
­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦š¸É°µŠ®¦º°­¼ŠÁž}œ¡·Á«¬ ®¦º°˜´ÊŠ°¥¼nĜÁ…˜¤¸‡ªµ¤Á­¸É¥Š˜n°
¡µ¥» ¨ ¤¤µ„ ¦Š¨¤š¸É „ ¦³šÎ µ ˜n ° °µ‡µ¦°µ‹‹³Á¡·É ¤ …¹Ê œ ÁœºÉ ° Š‹µ„¦Šž’· ­´ ¤ ¡´ œ ›r š µŠ¡¨«µ­˜¦r
(dynamic interaction) ¦³®ªnµŠ„µ¦Ã¥„Å®ª˜´ª…°Š°µ‡µ¦Â¨³„µ¦¡´—„¦¦Ã„…°ŠÂ¦Š¨¤Å—o ª·›¸„µ¦
ª· Á ‡¦µ³®r ¡ §˜· „ ¦¦¤…°ŠÃ‡¦Š­¦o µ Š°µ‡µ¦Á¡ºÉ ° čo Ä œ„µ¦°°„š¸É Ä ®o Ÿ ¨—¸ š¸É ­» — ‡º ° „µ¦š—­°
‹Îµ¨°Š…°Š°µ‡µ¦Â¨³­£µ¡Âª—¨o°¤‹Îµ¨°Š—oª¥°»Ã¤Š‡r¨¤ (wind tunnel test) ˜nª·›¸„µ¦
š—­°œ¸ÊÁž}œ…ªœ„µ¦š¸ÉŽ´Žo°œ ˜o°ŠÄoŸ¼oÎµœµ„µ¦ÄœÁ¦ºÉ°Šœ¸Ê×¥ÁŒ¡µ³Â¨³¤¸‡nµÄo‹nµ¥­¼Š ‹¹ŠÁ®¤µ³
­Îµ®¦´Ã‡¦Š„µ¦…œµ—Ä®n ­Îµ®¦´„µ¦°°„°µ‡µ¦š¸ÉŤn­µ¤µ¦™šÎµ„µ¦š—­°—oª¥ª·›¸œ¸Êŗo °µ‹Äo
ª·›¸„µ¦‡Îµœª–¦Š¨¤˜µ¤®¨´„¦Š¡¨«µ­˜¦rŗo°¸„ Ž¹ÉŠ‹³Áž}œª·›¸š¸É°¥¼n¦³®ªnµŠª·›¸Â¦Š­™·˜Â¨³ª·›¸„µ¦
š—­°—oª¥°»Ã¤Š‡r¨¤ —´ŠÁnœª·›¸„µ¦Ž¹ÉŠ¡´•œµÃ—¥ Davenport (1967) ¨³Å—o¤¸¦³»°¥¼nĜ…o°„ε®œ—
…°Š National Building Code of Canada, NBCC Ĝž{‹‹»´œ
­Îµ®¦´Äœš¸Éœ¸Ê‹³¡·‹µ¦–µ™¹Š„µ¦°°„°µ‡µ¦­¼Šš´ÉªÅž˜µ¤…o°„ε®œ—…°Š Uniform
Building Code Ášnµœ´Êœ ÁœºÉ°Š‹µ„„µ¦‡Îµœª–×¥ª·›¸Â¦Š¡¨«µ­˜¦rÁž}œ„µ¦°°„°µ‡µ¦¡·Á«¬ Ž¹ÉŠ
¤¸‹ÎµœªœÅ¤n¤µ„œ´„

2.2.2 „µ¦‡Îµœª–¦Š¨¤Ã—¥ª·›¸Â¦Š­™·˜¥r˜µ¤…o°„ε®œ—…°Š Uniform Building


Code, UBC-1994

ª·›¸„µ¦œ¸ÊÁž}œ„µ¦‡Îµœª–¦Š¨¤Ã—¥„µ¦¡·‹µ¦–µŸ¨„¦³š…°Š„µ¦¡´—„¦¦Ã„…°ŠÂ¦Š¨¤
¦¼ž¦nµŠ ‡ªµ¤­¼Š…°Š°µ‡µ¦ ‡ªµ¤Â˜„˜nµŠ¦³®ªnµŠ£¼¤·ž¦³Áš«š¸É°µ‡µ¦˜´ÊŠ°¥¼n Ž¹ÉŠ¤¸­·ÉŠ„¸—…ªµŠšµŠ¨¤
šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 17

˜nµŠÇ„´œ ¨³‡ªµ¤­Îµ‡´…°ŠÂ˜n¨³°µ‡µ¦—oª¥
¦Š—´œ¨¤š¸Éčo°°„°µ‡µ¦‡Îµœª–Å—o‹µ„
P = CeCqqsIw (2.1)
×¥š¸É P ‡º° ¦Š—´œœ°µ‡µ¦, „„./˜¦.¤.
Ce ‡º° ­´¤ž¦³­·š›·ÍŽ¹ÉŠ‡Îµœ¹Š™¹Š‡ªµ¤­¼Š £¼¤·ž¦³Áš«š¸É°µ‡µ¦˜´ÊŠ°¥¼n¦ª¤š´ÊŠ¨´„¬–³„µ¦¡´—„¦¦Ã„
…°ŠÂ¦Š¨¤ ¤¸‡nµ˜µ¤˜µ¦µŠš¸É 2.3
Cq ‡º° ­´¤ž¦³­·š›·ÂÍ ¦Š—´œ¨¤ ¤¸‡nµ˜µ¤˜µ¦µŠš¸É 2.4
qs ‡º° ¦Š—´œ¨¤¤¸‡nµÁšnµ„´ 0.004826 V2, „„./˜¦.¤. Á¤ºÉ° V Áž}œ‡ªµ¤Á¦Èª¨¤Ž¹ÉŠª´—š¸É‡ªµ¤­¼Š
¤µ˜¦“µœ 10 ¤.‹µ„¡ºÊœ—·œ ×¥ª´—Áž}œ‡nµÁŒ¨¸É¥ÄœnªŠ‡µÁª¨µ 50 že, „¤./¤.
Iw ‡º° ­´¤ž¦³­·š›·Í‡ªµ¤­Îµ‡´…°Š°µ‡µ¦¤¸‡µn ˜µ¤˜µ¦µŠš¸É 2.5

˜µ¦µŠš¸É 2.3 ‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í Ce


‡ªµ¤­¼Š‹µ„¡ºœÊ —·œ (¤.) £¼¤ž· ¦³Áš« D1) £¼¤ž· ¦³Áš« C2) £¼¤ž· ¦³Áš« B3)
0-4.5 1.39 1.06 0.62
6 1.45 1.13 0.67
7.5 1.50 1.19 0.72
9 1.54 1.23 0.76
12 1.62 1.31 0.84
18 1.73 1.43 0.95
24 1.81 1.53 1.04
30 1.88 1.61 1.13
36 1.93 1.67 1.20
48 2.02 1.79 1.31
60 2.10 1.87 1.42
90 2.23 2.05 1.63
120 2.34 2.19 1.80

1) ¨´„¬–³£¼¤·ž¦³Áš« D ŗo„n š¸É¦µ˜·—µ¥ {~Šš³Á¨®¦º°Â¤nœµÊÎ ‹´—Áž}œ£¼¤·ž¦³Áš«š¸ÉÁ­¸É¥Š˜n°Â¦Š¨¤


2) ¨´„¬–³£¼¤·ž¦³Áš« C ŗo„n š¸É¦µÂ¨³š»nŠÃ¨nŠš´ÉªÅž ‹´—Áž}œ£¼¤·ž¦³Áš«š¸ÉÁ­¸É¥Š˜n°Â¦Š¨¤Ánœ„´œ
3) ¨´„¬–³£¼¤ž· ¦³Áš« B ŗo„n ¡ºÊœš¸ÉŽ¹ÉŠ¤¸­·ÉŠ„¸—…ªµŠ—oª¥°µ‡µ¦, žiµÅ¤o­¼Š˜´ÊŠÂ˜n 6 ¤. …¹œÊ Ş
18 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

˜µ¦µŠš¸É 2.4 ‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í Cq


ª·›š¸ ¸Éčo ž¦³Á£š°µ‡µ¦ ‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í Cq
C q = - 0.7
ª·›¸š¸É 1 ǦŠ°µ‡µ¦¦¼ž‹´ÉªÂ¨³°µ‡µ¦
Normal Force Method š´ÉªÅžš¸É­¼ŠÁ„·œ 60 ¤.
Cq =
Cq =
0 .8 - 0 .5

ª·›¸š¸É 2 °µ‡µ¦š´ªÉ Şš¸¤É ¸‡ªµ¤­¼Šœo°¥ Cq = - 0.7


Projected Area Method „ªnµ 12 ¤. ¥„ÁªoœÃ‡¦Š
Cq =
H  12 ¤
°µ‡µ¦¦¼ž‹´Éª 1.3

°µ‡µ¦š´ªÉ Şš¸¤É ¸‡ªµ¤­¼Š Cq = - 0.7


¦³®ªnµŠ 12-60 ¤. ¥„Áªoœ
Cq = 12 d H d 60
ǦŠ°µ‡µ¦¦¼ž‹´Éª 1.4

ª·›¸š¸É 1 čo­Îµ®¦´„µ¦°°„Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ¦¼ž‹´ÉªÂ¨³°µ‡µ¦š´ÉªÅžš¸É­¼Š˜´ÊŠÂ˜n 60 ¤.…¹ÊœÅž


¦Š—´œ¨¤‹³­¤¤˜·ªnµ„¦³šÎµÄœš·«šµŠ˜´ÊŠŒµ„„´Ÿ·ª£µ¥œ°„°µ‡µ¦š»„—oµœ ­Îµ®¦´„µ¦‡Îµœª–‡nµ
Ce Ĝ„¦–¸…°ŠÂ¦Š—´œ¨¤š¸É„¦³šÎµœ®¨´Š‡µ¦¼ž‹´Éª Ä®o‡Îµœª–š¸É¦³—´‡ªµ¤­¼ŠÁŒ¨¸É¥…°Š®¨´Š‡µ
­Îµ®¦´ª·›¸š¸É 2 čo­Îµ®¦´„µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠš¸É¤¸‡ªµ¤­¼Šœo°¥„ªnµ 60 ¤. ¥„ÁªoœÃ‡¦Š
°µ‡µ¦¦¼ž‹´Éª ¦Š—´œ¨¤Äœš·«šµŠ—oµœ…oµŠ‹³­¤¤˜·ªµn „¦³šÎµÁ˜È¤¡ºÊœš¸ÉŒµ¥˜„„¦³š (projected
area) Ĝœª—·ÉŠ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ ¨³Â¦Š—´œ¨¤ÄœÂœª—·ŠÉ ‹³­¤¤˜·ªnµ„¦³šÎµÁ˜È¤¡ºÊœš¸Œ É µ¥˜„„¦³šÄœ
œª¦µ…°Š°µ‡µ¦
­Îµ®¦´Â¦Š—´œ¨¤š¸É„¦³šÎµ˜n°Ã‡¦Š®¨´Š‡µ¦¼ž‹´Éª ¤¸…œµ—¨³š·«šµŠ…¹Êœ„´¤»¤š¸®É ¨´Š‡µšÎµ
„´Âœª¦µ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.2

š·«šµŠ¨¤ —oµœž³š³¨¤ —oµœ®¨¨¤


( Windward ) ( Leeward )
T

¦¼žš¸É 2.2 ¦Š¨¤š¸É„¦³šÎµ˜n°®¨´Š‡µ¦¼ž‹´Éª


šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 19

—oµœž³š³¨¤

Cq = - 0.7 Á¤ºÉ° T  10q

T
Cq = - 0.9 Á¤ºÉ° T = 10q

Cq = 0.3 Á¤ºÉ° T = 37q

T
Cq = 0.4 Á¤ºÉ° T ! 37q

—oµœ®¨¨¤

Cq = - 0.7 ­Îµ®¦´‡nµ 0  T d 90q T

˜µ¦µŠš¸É 2.5 ‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í‡ªµ¤­Îµ‡´…°Š°µ‡µ¦


ž¦³Á£š ‡ªµ¤­Îµ‡´…°Š°µ‡µ¦ Iw
1 °µ‡µ¦š¸É‹ÎµÁž}œ˜n°­µ›µ¦–³œ 1.15
2 °µ‡µ¦š¸ÉÁ„ȝª´˜™»¤¸¡¬· £´¥ 1.15
3 °µ‡µ¦š¸É¤„¸ µ¦ÄoŠµœÁž}œ¡·Á«¬ 1.00
4 °µ‡µ¦ÄoŠµœš´ÉªÅž 1.00
5 °µ‡µ¦°ºÉœÇ 1.00

ž¦³Á£šš¸É 1 (Essential Facilities) ŗo„n°µ‡µ¦š¸É¤¸‡ªµ¤‹ÎµÁž}œ˜o°ŠÄoĜ„¦–¸Œ»„ÁŒ·œ ŗo„n


­™µœ¸˜µÎ ¦ª‹ ­™µœ¸—´Á¡¨·Š °µ‡µ¦š¸É‹°—¦™­Îµ®¦´¦™Œ»„ÁŒ·œ ¨³Á‡¦ºÉ°Š·œŒ»„ÁŒ·œ
®°­¼Š‡ª‡»¤¦³„µ¦·œ °µ‡µ¦š¸šÉ ε„µ¦…°Š¦´“µ¨ æŠÅ¢¢jµ Áž}œ˜oœ
20 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

ž¦³Á£šš¸É 2 ŗo„n ‡¨´ŠÁ„ȝ­µ¦Á‡¤¸š¸ÉÁž}œ¡·¬ ‡¨´ŠÂ­Š°µª»› ‡¨´ŠÁ„ȝ


(Hazardous Facilities)
ª´˜™»¦³Á·— Ž¹ÉŠ°µ‹¤¸„µ¦¦³Á·—š¸É¦»œÂ¦ŠÅ—o Áž}œ˜oœ
ž¦³Á£šš¸É 3 (Special Occupancy Structures) ŗo„n °µ‡µ¦š¸É‹‡» œ‹Îµœªœ¤µ„ Ánœ æŠÁ¦¸¥œ
¤®µª·š¥µ¨´¥ Áž}œ˜oœ
ž¦³Á£šš¸É 4 (Standard Occupancy Structures) ŗo„n °µ‡µ¦š´ªÉ Şš¸É¤Å· —o°¥¼nĜž¦³Á£šš¸É 1-3
¦ª¤š´ÊŠ®°­¼Š (Tower)
ž¦³Á£šš¸É 5 (Miscellaneous Structures) ŗo„n °µ‡µ¦°ºÉœÇ ¥„Áªoœ®°­¼Š
œ°„‹µ„„µ¦‡Îµœª–¦Š¨¤Ã—¥ª·›¸Â¦Š­™·˜˜µ¤…o°„ε®œ—…°Š UBC œ¸Ê Ĝ„¦–¸š¸ÉŤn¤¸
…o°¤¼¨…°ŠÂ¦Š¨¤š¸ÉÁºÉ°™º°Å—o °µ‹Äo®œnª¥Â¦Š¨¤˜µ¤„‘„¦³š¦ªŠŒ´š¸É 6 °°„˜µ¤‡ªµ¤Äœ
¡¦³¦µ´´˜·‡ª‡»¤°µ‡µ¦ ¡.«.2522 ŗo —´ŠÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 2.6 ¨³¦¼žš¸É 2.3

˜µ¦µŠš¸É 2.6 ¦Š¨¤˜µ¤¡¦³¦µ´´˜·‡ª‡»¤°µ‡µ¦ ¡.«.2522


ž¦³Á£šÂ¨³­nªœ˜nµŠÇ …°Š°µ‡µ¦ ®œnª¥Â¦Š¨¤ („„./˜¦.¤.)
­nªœ…°Š°µ‡µ¦š¸É­¼ŠÅ¤nÁ„·œ 10 ¤. 50
­nªœ…°Š°µ‡µ¦­¼Š¦³®ªnµŠ 10 < H d 20 ¤. 80
­nªœ…°Š°µ‡µ¦­¼Š¦³®ªnµŠ 20 < H d 40 ¤. 120
­nªœ…°Š°µ‡µ¦š¸É­¼ŠÁ„·œ 40 ¤. ( H ‡º° ‡ªµ¤­¼Š°µ‡µ¦) 160

40
‡ªµ¤­¼ŠÁ®œº°¡ºÊœ—·œ ( Á¤˜¦ )

160
30

20
120
10
80

50
0 30 60 90 120 150 180
¦Š¨¤ ( „· à ¨„¦´ ¤ / ˜µ¦µŠÁ¤˜¦ )
¦¼žš¸É 2.3 ‡nµÂ¦Š¨¤˜µ¤ ¡.¦..‡ª‡»¤°µ‡µ¦ ¡.«.2522
šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 21

˜´ª°¥nµŠš¸É 2.1 °µ‡µ¦‡°œÃ—¤·Áœ¸¥¤®¨´Š®œ¹ÉŠ­¼Š 8 ´Êœ ˜´ÊŠ°¥¼n¦·¤®µ—µ¥š³Á¨ °. ³°Îµ ¤¸…œµ—Äœ


Plan View¨³¤¸¦¼ž¦nµŠ—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.4 „ε®œ—Ä®oœµ ÊÎ ®œ´„¦¦š»„‡Šš¸É = 500 „„./¤.2 Ž¹ÉŠ¦ª¤š´ÊŠ
œ.œ.‡µœ, ¡ºÊœ, Á­µÂ¨³Ÿœ´Š„ε¡Š œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ = 300 „„./¤.2 š¸ÉÁ¤º°Š³°Îµœ¸Ê ­µ¤µ¦™ª´—
‡nµÁŒ¨¸É¥‡ªµ¤Á¦Èª…°Š¨¤Äœ‡µÁª¨µ 50 že ŗo 100 „¤./¤. ®µ„šnµœÁž}œª·«ª„¦Ÿ¼o°°„°µ‡µ¦
®¨´Šœ¸Ê
„. Á¤ºÉ°¡·‹µ¦–µÁŒ¡µ³Ã‡¦Š­¦oµŠÂœªÂ„œ 2 ‹Š‡Îµœª–®µÂ¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠš¸šÉ „» ¦³—´´Êœ…°Š
°µ‡µ¦Â¨³Â¦ŠÁŒº°œš¸Éš»„¦³—´´Êœ…°Š°µ‡µ¦ÁœºÉ°Š‹µ„¦Š¨¤œ¸Ê ¨³Á…¸¥œ‡nµÂ¦ŠÁŒº°œ…°ŠÁ­µ
˜¨°—‡ªµ¤­¼Š…°Š°µ‡µ¦ ¡¦o°¤š´ÊŠÂœ³œÎµ ‡nµÂ¦ŠÁŒº°œ­¼Š­»—š¸É čoĜ„µ¦°°„Á­µ…°Š°µ‡µ¦
…. ‹Š˜¦ª‹­°‡ªµ¤¤´œÉ ‡Š…°Š°µ‡µ¦˜n°„µ¦¨o¤‡ªÉεÁœºÉ°Š‹µ„¦Š¨¤
(stability against overturning)
‡. Á¤ºÉ°¡·‹µ¦–µÁŒ¡µ³Ã‡¦Š­¦oµŠÂœªÂ„œ 2 ‹Š‡Îµœª–®µ¦³¥³Ã¥„…°ŠÂ˜n¨³¦³—´´Êœ (Story drift)
¨³¦³¥³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É—oµœ…oµŠ (lateral displacement) …°Š°µ‡µ¦ÁœºÉ°Š‹µ„¦Š¨¤œ¸Ê ¡¦o°¤š´ÊŠ
Á…¸¥œ¦¼ž„µ¦Ã„nŠ˜´ª…°ŠÁ­µ°µ‡µ¦ ‡nµ story drift ¨³ lateral displacement …°ŠÁ­µ°µ‡µ¦—oª¥
¨³˜¦ª‹­°…œµ—Á­µªnµž¨°—£´¥‹µ„¦Š¨¤®¦º°Å¤n „ε®œ—Ä®oǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦œ¸Ê˜o°Š¤¸‡µn
Drift Index ŤnÁ„·œ 0.0025 ®µ„°µ‡µ¦œ¸ÊŤn¤¸‡ªµ¤ž¨°—£´¥Á¡¸¥Š¡° Ä®o°°„Â„oŅ°µ‡µ¦œ¸Ê

Ä®¤n
D

1 2 3 4

C 5.0 m
8
7

6
2 @ 10.0 m

5
8@4.0 m

B
4

3
2
1
A G
3 @ 8.0 m
A B C
D 10.0 m 10.0 m

Section D-D

¦¼žš¸É 2.4 Ÿ´Š°µ‡µ¦Â¨³¦¼ž˜´—…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ­Îµ®¦´˜´ª°¥nµŠš¸É 2.1


22 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

„ε®œ—Ä®o …œµ—Á­µ = 0.20 x 0.25 ¤. ‹µ„Á®œº°¦³—´´Êœš¸É 6 ™¹ŠÄ˜o¡ºÊœ®¨´Š‡µ


= 0.20 x 0.30 ¤. ‹µ„Á®œº°¦³—´´Êœš¸É 3 ™¹ŠÄ˜o¡ºÊœ´Êœš¸É 6

= 0.20 x 0.40 ¤. ‹µ„¦³—´´Êœ Ground Floor ™¹ŠÄ˜o¡ºÊœ´Êœš¸É 3

䗼¨´­¥º—®¥»nœ Ec = 2.3x105 „„./Ž¤.2


ª·›š¸ µÎ
„) ‹µ„ P = CeCqqsIw
ÁœºÉ°Š‹µ„°µ‡µ¦œ¸Ê˜´ÊŠ°¥¼n¦·¤®µ—µ¥š³Á¨ ‹´—Áž}œ£¼¤·ž¦³Áš«š¸ÉÁ­¸É¥Š˜n°Â¦Š¨¤‹¹ŠÁ¨º°„čo
£¼¤·ž¦³Áš« D Ĝ„µ¦‡Îµœª–‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í Ce
‡Îµœª–¦Š—´œ¨¤‹µ„ qs = 0.004826V2
2
= 0.004826(100)2 = 48.26 „„./¤.
ÁœºÉ°Š‹µ„°µ‡µ¦œ¸ÊčoÁž}œ‡°œÃ—¤·Áœ¸¥¤ Ž¹ÉŠ°µ‹‹»‡œÁž}œ‹Îµœªœ¤µ„Å—o ‹¹Š‹´—Áž}œ°µ‡µ¦
ž¦³Á£šš¸É 3 (Special Occupancy Structures) ×¥š¸É Iw = 1.0 ˜µ¤˜µ¦µŠš¸É 2.5
×¥š¸ÉǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦œ¸ÊÁž}œÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ¦¼ž‹´Éª ‹¹ŠÄoª·›š¸ ¸É 1 Normal Force Method Ĝ
„µ¦®µ­´¤ž¦³­·š›·Í Cq —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.5
Cq

1.0
Cq = -0.16 Cq = -0.7

0.5 26.6o
0.3
—oµœ®¨¨¤
—oµœž³š³¨¤

26.6o Cq = 0.8 Cq = - 0.5


T
10o 20o 30o 40o
-0.16

-0.5

-0.9
-1.0

¦¼žš¸É 2.5 „µ¦‡Îµœª–­´¤ž¦³­·š›·Í Cq

‡Îµœª–¦Š—´œ¨¤—oµœ…oµŠ—oµœž³š³¨¤ (Windward Pressure, PW)


PW = Ce(0.8) (48.26)(1.0) = 38.61Ce (¦Š°´—)
šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 23

¦Š—´œ¨¤—oµœ…oµŠ—oµœ®¨¨¤ (Leeward Pressure, PL)


PL = Ce(-0.5) (48.26)(1.0) = -24.13Ce (¦Š—¼—)
¦Š—´œ¨¤š¸É®¨´Š‡µ—oµœž³š³¨¤ (Windward Pressure at Roof, PWR)
PWR = Ce(-0.16) (48.26)(1.0) = -7.72Ce (¦Š—¼—)
¦Š—´œ¨¤š¸É®¨´Š‡µ—oµœ®¨¨¤ (Leeward Pressure at Roof, PLR)
PLR = Ce(-0.7) (48.26)(1.0) = -33.78Ce (¦Š—¼—)

˜µ¦µŠš¸É 2.7 „µ¦‡Îµœª–¦Š—´œ¨¤š¸¦É ³—´´œÊ ˜nµŠÇ…°Š°µ‡µ¦


¦³—´´Êœ ‡ªµ¤­¼Š(¤.) Ce PW PL PWR PLR
(„„./¤.2) („„./¤.2) („„./¤.2) („„./¤.2)
1 0-4.5 1.39 53.67 -33.54
6 1.45 55.98 -34.99
7.5 1.50 57.92 -36.20
2 8 1.51 58.30 -36.44
9 1.54 59.46 -37.16
3 12 1.62 62.55 -39.09
4 16 1.69 65.25 -40.78
18 1.73 66.80 -41.74
5 20 1.76 67.95 -42.47
6 24 1.81 69.88 -43.68
7 28 1.86 71.81 -44.88
30 1.88 72.59 -45.36
8 32 1.90 73.36 -45.85
„¹ÉŠ„¨µŠ®¨´Š‡µ 34.5 1.92 -14.82 -64.86
¥°—®¨´Š‡µ 36 1.93

‹µ„‡nµÂ¦Š—´œ¨¤š¸É¦³—´´œÊ ˜nµŠÇ…°Š°µ‡µ¦Äœ˜µ¦µŠš¸2É .7 œÎµ‡nµš¸ÅÉ —oŞÁ…¸¥œ„µ¦„¦³‹µ¥


¦Š—´œ¨¤œÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦Å—o —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.6„ ‹µ„œ´œÊ ‹¹ŠšÎµ„µ¦‡Îµœª–®µÂ¦Š„¦³šÎµ
—oµœ…oµŠš¸ÂÉ ˜n¨³¦³—´´Êœ…°Š°µ‡µ¦ ×¥‡Îµœª–nŠ¡ºÊœš¸ÉÁ­µÄœÂ˜n¨³´œÊ ¦Š—´œ¨¤—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É
2.6„
24 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

FLR= 64.86x11.18x8 = 5,801 1,185 F = 14.82x11.18x8 = 1,326


5,187 WR

2,598 594 š·«šµŠÂ¦Š¨¤

45.85 FL8 T FW8 73.36


h/2
h V8 72.59 V8
44.88 FL7 h FW7 71.81
V7 V7
43.68 FL6 FW6 69.88
V6 V6
42.47 FL5 FW5 67.95

V5 V5
40.78 FL4 FW4 65.25
V4 V4
39.09 FL3 FW3 62.55
V3 V3
36.44 FL2 FW2 58.30
V2 55.65 V2
FW1
FL1
33.54 V1 53.67 V1
Vb
FLG FWG
Vb
¦Š—´œ¨¤—oµœ®¨¨¤ ¦Š—´œ¨¤—oµœž³š³¨¤
(„„./¤. 2) („„./¤. 2)
„) ¦Š„¦³šÎµ˜n°Ã‡¦Š°µ‡µ¦ÂœªÂ„œ 2 … ) ŗ°³Â„¦¤…°ŠÂ¦ŠÁŒº°œ

¦¼žš¸É 2.6 „) ¦Š„¦³šÎµ˜n°Ã‡¦Š°µ‡µ¦ÂœªÂ„œ 2 …) ŗ°³Â„¦¤…°ŠÂ¦ŠÁŒº°œ­Îµ®¦´Á­µÄœÂœªÂ„œ 2

„µ¦ª·Á‡¦µ³®r®µÂ¦ŠÁŒº°œÄœÁ­µ­Îµ®¦´˜´ª°¥nµŠœ¸Ê čo­¤¤˜·“µœªnµ¡ºÊœ°µ‡µ¦Áž}œ¡ºÊœÂ…ÈŠ
(rigid floor) Ťn¤„
¸ µ¦¥º—®—˜´ª®¦º°Ã„nŠ˜´ªÁœºÉ°Š‹µ„¦Š„¦³šÎµ—oµœ…oµŠ —´Šœ´ÊœÂ¦Š„¦³šÎµ—oµœ…oµŠš¸É˜n
¨³¦³—´´Êœ°µ‡µ¦ÁœºÉ°Š‹µ„¦Š¨¤œ¸Ê‹³˜oµœšµœ—oª¥Â¦ŠÁŒº°œÄœÁ­µÂ˜n¨³´Êœ Ž¹ÉŠ¤¸‡nµÁšnµ„´Ÿ¨¦ª¤
­³­¤…°ŠÂ¦Š„¦³šÎµ—oµœ…oµŠ˜´ÊŠÂ˜n´Êœœ¨Š¤µ˜µ¤¨Îµ—´ —´ŠÂ­—ŠÄœÅ—°³Â„¦¤…°ŠÂ¦ŠÁŒº°œÄœ¦¼žš¸É
2.6… ­Îµ®¦´Ÿ¨¦ª¤…°ŠÂ¦ŠÁŒº°œš´ÊŠ®¤—‹³¤¸‡nµÁšnµ„´Â¦ŠÁŒº°œš¸É“µœ…°Š°µ‡µ¦ Vb Ž¹ÉŠ„¦³šÎµš¸ÉÁ­µ
˜°¤n°…°Š°µ‡µ¦œ¸Ê
šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 25

˜µ¦µŠš¸É 2.8 „µ¦‡Îµœª–¦Š„¦³šÎµ—oµœ…oµŠÂ¨³Â¦ŠÁŒº°œÄœÂ˜n¨³¦³—´´œÊ


¦³—´´Êœ ¦Š„¦³šÎµ, FW( ¦Š„¦³šÎµ, FL ¦ŠÁŒº°œ, V ¦ŠÁŒº°œš¸Éčo
„„.) („„.) („„.) °°„Á­µ
„¹ÉŠ„¨µŠ®¨´Š‡µ 594 o 2,598 m 2,004 o
8 1,168 m 726 m 3,898 o
7 2,298 m 1,436 m 7,632 o
6 2,236 m 1,398 m 11,266 o V6 čonªŠ´Êœ 6-8
5 2,174 m 1,359 m 14,799 o
2,088 m 1,305 m 18,192 o V4 čonªŠ´Êœ 3-6
4
3 2,002 m 1,251 m 21,445 o
2 1,866 m 1,166 m 24,477 o
V1 čonªŠ´Êœ G-3
1 1,729 m 1,081 m 27,287 o
G 859 m 537 m 28,683 o

ÁœºÉ°Š‹µ„¦Š„¦³šÎµš¸®É ¨´Š‡µ°¥¼nĜš·«šµŠ˜´ÊŠŒµ„„´®¨´Š‡µ Á¡ºÉ°Ä®o‡Îµœª–¦ŠÁŒº°œÅ—o


Šnµ¥‹¹ŠÂ˜„¦Šš¸É®¨´Š‡µÁž}œ 2 š·«šµŠ ‡º° œª¦µÂ¨³Âœª—·ÉŠÃ—¥¤¸Â¦Š¨´¡›r„¦³šÎµš¸É„¹ÉŠ„¨µŠ…°Š
®¨´Š‡µ ­Îµ®¦´Â¦Š„¦³šÎµš¸É¦³—´´œÊ ˜nµŠÇ ‡Îµœª–‹µ„¡ºÊœš¸É¦Š—´œš¸É„¦³šÎµÄœÂ˜n¨³´ÊœÁšnµÇ„´œ
£µ¥Äœ¡ºÊœš¸É¦ÁŠµ‡¼–—oª¥nªŠ„ªoµŠ…°ŠÂ˜n¨³nªŠÁ­µš¸É¡·‹µ¦–µ —´Šœ¸Ê
¦³—´´Êœš¸É 8 —oµœž³š³¨¤ FW8 = 0.5 x (73.36+72.59)x 2x8 = 1,168 „„.
¦³—´´Êœš¸É 7 —oµœž³š³¨¤ FW7 = (71.81)x 4x8 = 2,298 „„.
¦³—´´Êœš¸É 6 —oµœž³š³¨¤ FW6 = (69.88)x 4x8 = 2,236 „„.
¦³—´´Êœš¸É 5 —oµœž³š³¨¤ FW5 = (67.59)x 4x8 = 2,174 „„.
¦³—´´Êœš¸É 4 —oµœž³š³¨¤ FW4 = (65.25)x 4x8 = 2,088 „„.
¦³—´´Êœš¸É 3 —oµœž³š³¨¤ FW3 = (62.55)x 4x8 = 2,002 „„.
¦³—´´Êœš¸É 2 —oµœž³š³¨¤ FW2 = (58.30)x 4x8 = 1,866 „„.
¦³—´´Êœš¸É 1 —oµœž³š³¨¤ FW1 = 0.5 x (55.65+53.67)x 1.5x 8
+ (53.67)x 2.5x8 = 1,729 „„.
¦³—´´Êœš¸É G —oµœž³š³¨¤ FWG = (53.67)x 2x8 = 859 „„.
26 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

¦Š„¦³šÎµ—oµœ…oµŠš¸É‡Îµœª–Å—o˜n¨³¦³—´´Êœ ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 2.8


­Îµ®¦´Â¦Š„¦³šÎµš¸É—oµœ®¨¨¤„ȇεœª–ÄœšÎµœ°ŠÁ—¸¥ª„´œœ¸Ê
­nªœÂ¦ŠÁŒº°œš¸ÉčoĜ„µ¦‡Îµœª–°°„Á­µœ´ÊœÂnŠ°°„Áž}œ 3 nªŠ ‡º°¦³—´´Êœš¸É G-3,
3-6¨³ 6-8 ץčo‡nµÂ¦ŠÁŒº°œ­¼Š­»—š¸É˜n¨³nªŠÄœ„µ¦°°„Á­µ

…) ˜¦ª‹­°‡ªµ¤¤´œÉ ‡Š…°Š°µ‡µ¦
„µ¦˜¦ª‹­°‡ªµ¤¤´œÉ ‡Š…°Š°µ‡µ¦ „¦³šÎµÅ—o×¥„µ¦‡Îµœª–‡nµ‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°
äÁ¤œ˜ršš¸É εĮoÁ„·—„µ¦¡¨·„‡ªÉε
M react WT ˜ L 2
Safety Factor against overturning ( SF ) n
M act ¦ Fi H i
i
×¥š¸É Mact ‡Îµœª–‹µ„¦Š¨¤„¦³šÎµ—oµœž³š³¨¤ —oµœ®¨¨¤Â¨³Â¦Š¥„˜´ªš¸É„¦³šÎµ˜n°®¨´Š‡µ
×¥‡Îµœª–äÁ¤œ˜r„¦³šÎµ¦°“µœ°µ‡µ¦š¸ÉÁ­µ A ­Îµ®¦´ Mreact ‡Îµœª–‹µ„œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸ÉĜ
˜n¨³´œÊ …°Š°µ‡µ¦ ×¥‡Îµœª–äÁ¤œ˜r„¦³šÎµ¦°“µœ°µ‡µ¦š¸ÉÁ­µ A ÁnœÁ—¸¥ª„´œ Ÿ¨„µ¦‡Îµœª–
­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 2.9

˜µ¦µŠš¸É 2.9 „µ¦‡Îµœª–‡ªµ¤¤´œÉ ‡Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÂœªÂ„œ 2

¦³—´´Êœ Mact („„.-¤.) Mreact („„.-¤.)


®¨´Š‡µ (2,598-594)x34.5+(5,187x5)+(1,185x15) = 112,848
8 (726+1,168)x32 = 60,608
7 (1,436+2,298)x28 = 104,552 4,000x20x10 = 800,000
6 (1,398+2,236)x24 = 87,216 4,000x20x10 = 800,000
5 (1,359+2,174)x20 = 70,660 4,000x20x10 = 800,000
4 (1,305+2,088)x16 = 54,288 4,000x20x10 = 800,000
3 (1,251+2,002)x12 = 39,036 4,000x20x10 = 800,000
2 (1,166+1,866)x8 = 24,256 4,000x20x10 = 800,000
1 (1,081+1,729)x4 = 11,240 4,000x20x10 = 800,000
¦ 564,704 5,600,000
šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 27

M react 5 ,600 ,000


Safety Factor against overturning ( SF ) 9.92
M act 564 ,704

‡nµ‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°Ã¤Á¤œ˜rš¸ÉšÎµÄ®oÁ„·—„µ¦¡¨·„‡ªÉε ¤¸‡nµ¤µ„„ªnµ 1.5 ­—Šªnµ °µ‡µ¦œ¸Êž¨°—£´¥˜n°


„µ¦¡¨·„‡ªÉεÁœºÉ°Š‹µ„¦Š¨¤

5,801 1,185
5,187 1,326
š·«šµŠÂ¦Š¨¤
2,598 594

726 1,168
4,000 „„./¤
1,436 2,298
4,000 „„./¤
1,398 2,236
4,000 „„./¤
1,359 2,174
4,000 „„./¤ 34.5
32.0
1,305 2,088
28.0
4,000 „„./¤
24.0
1,251 2,002 20.0
4,000 „„./¤
16.0
1,166 1,866
4,000 „„./¤ 12.0
1,081 1,729 8.0
4.0
537 859

A B C

¦¼žš¸É 2.7 „µ¦‡Îµœª–‡ªµ¤¤´Éœ‡Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ÂœªÂ„œ 2


28 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

‡) ‡Îµœª–®µ¦³¥³„µ¦Ã„nŠ˜´ªšµŠ—oµœ…oµŠÄœÂ˜n¨³¦³—´´Êœ…°Š°µ‡µ¦
‡nµ¦³¥³Ã¥„Å®ª¦³®ªnµŠ´Êœ (interstory drift ) …°Š°µ‡µ¦ ‡Îµœª–Å—o‹µ„
Vi
'i
Ki
×¥š¸É Ki = 12EIi/hi3

12(2.3 u 10 5 ) ( 20 u 25 3 )
¦´—³³Êœš¸É 6 - 8, K 3 ˜ 3 3 ,369 „„. / Ž¤ .
( 400 ) 3 12
12(2.3 u 10 5 ) ( 20 u 30 3 )
¦´—³³Êœš¸É 3 - 6, K 2 ˜ 3 5 ,822 „„. / Ž¤ .
( 400 ) 3 12
12(2.3 u 10 5 ) ( 20 u 40 3 )
¦´—³³Êœš¸É G - 3, K 1 ˜ 3 13 ,800 „„. / Ž¤ .
( 400 ) 3 12

˜µ¦µŠš¸É 2.10 „µ¦‡Îµœª–‡nµ¦³¥³Ã¥„Å®ª¦³®ªnµŠ´œÊ ¨³¦³¥³„µ¦Ã„nŠ˜´ª—oµœ…oµŠ


…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÂœªÂ„œ 2
¦³—´´Êœ ¦ŠÁŒº°œ („„.) ­˜·¢Áœ­, K ¦³¥³Ã¥„Å®ª ¦³¥³„µ¦Ã„nŠ˜´ª
(„„./Ž¤.) ¦³®ªnµŠ´Êœ, '(Ž¤.) —oµœ…oµŠ ,G ( Ž¤.)
8 3,898 3,369 1.16 16.33
7 7,632 3,369 2.27 15.17
6 11,266 5,822 1.94 12.90
5 14,799 5,822 2.54 10.96
4 18,192 5,822 3.12 8.42
3 21,445 13,800 1.55 5.30
2 24,477 13,800 1.77 3.75
1 27,287 13,800 1.98 1.98

‡nµ¦³¥³Ã¥„Å®ª¦³®ªnµŠ´Êœ (interstory drift ) …°Š°µ‡µ¦ ¨³‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ªšµŠ—oµœ…oµŠ…°Š


ǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦š¸É‡Îµœª–Å—o œÎµÅž¡¨o°š‡nµ˜¨°—‡ªµ¤­¼Š…°Š°µ‡µ¦Å—o—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.8
šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 29

16.33

1.16
8
15.17
2.27 7
12.90
1.94 6
10.96
2.54 5
8.42
3.12 4 š·«šµŠÂ¦Š¨¤
5.30
1.55 3
3.75

1.77 2

1.98
1

¦¼žš¸É 2.8 ‡nµ¦³¥³Ã¥„Å®ª¦³®ªnµŠ´ÊœÂ¨³¦³¥³„µ¦Ã„nŠ˜´ª—oµœ…oµŠ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÂœªÂ„œ 2

‹µ„‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ªšµŠ—oµœ…oµŠ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ ‡Îµœª–‡nµ Drift Index (DI) ‹µ„

Gn 16.33
Drift Index ( DI ) 0.0051 ! 0.0025
H 400 u 8

‡nµ Drift Index (DI) š¸‡É 圪–Å—o¤¸‡µn ¤µ„„ªnµ‡nµš¸„É 宜—Ä®o ­—Šªnµ°µ‡µ¦œ¸ÊŤnž¨°—£´¥‹µ„


¦Š¨¤ÁœºÉ°Š‹µ„…œµ—Á­µš¸ÁÉ ¨È„Åž šÎµÄ®o‡nµ¦³¥³„µ¦Ã„nŠ˜´ªšµŠ—oµœ…oµŠÁ„·œ„ªnµ‡nµš¸É¥°¤Ä®o —´Šœ´Êœ‹¹Š
‡ª¦°°„…œµ—Á­µÄ®¤nÄ®o¤¸…œµ—Ä®n…¹Êœ —´Šœ¸Ê
¦³—´´Êœš¸É 6-8 čoÁ­µ…œµ— 0.30x0.50 ¤.
¦³—´´Êœš¸É 3-6 čoÁ­µ…œµ— 0.30x0.60 ¤.
30 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

¦³—´´Êœš¸É G-3 čoÁ­µ…œµ— 0.30x0.80 ¤.


‡Îµœª–‡nµ­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µÄ®¤n
12(2.3 u 10 5 ) ( 30 u 50 3 )
¦´—³³Êœš¸É 6 - 8, K 3 ˜ 3 40 ,430 „„. / Ž¤ .
( 400 ) 3 12
12(2.3 u 10 5 ) ( 30 u 60 3 )
¦´—³³Êœš¸É 3 - 6, K 2 ˜ 3 69 ,862 „„. / Ž¤ .
( 400 ) 3 12
12(2.3 u 10 5 ) ( 30 u 80 3 )
¦´—³³Êœš¸É G - 3, K 1 ˜ 3 165 ,600 „„. / Ž¤ .
( 400 ) 3 12
‡Îµœª–‡nµ¦³¥³Ã¥„Å®ª¦³®ªnµŠ´ÊœÂ¨³¦³¥³„µ¦Ã„nŠ˜´ª—oµœ…oµŠ ץčo…œµ—…°ŠÁ­µÄ®¤n

˜µ¦µŠš¸É 2.11 „µ¦‡Îµœª–‡nµ¦³¥³Ã¥„Å®ª¦³®ªnµŠ´œÊ ¨³¦³¥³„µ¦Ã„nŠ˜´ª—oµœ…oµŠ


…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÂœªÂ„œ 2 ­Îµ®¦´„µ¦°°„…œµ—Á­µÄ®¤n
¦³—´´Êœ ¦ŠÁŒº°œ („„.) ­˜·¢Áœ­, K ¦³¥³Ã¥„Å®ª ¦³¥³„µ¦Ã„nŠ˜´ª
(„„./Ž¤.) ¦³®ªnµŠ´Êœ, '(Ž¤.) —oµœ…oµŠ ,G ( Ž¤.)
8 3,898 40,430 0.096 1.361
7 7,632 40,430 0.189 1.265
6 11,266 69,862 0.161 1.076
5 14,799 69,862 0.212 0.915
4 18,192 69,862 0.260 0.703
3 21,445 165,600 0.130 0.443
2 24,477 165,600 0.148 0.313
1 27,287 165,600 0.165 0.165

‹µ„‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ªšµŠ—oµœ…oµŠ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ ‡Îµœª–‡nµ Drift Index (DI) ‹µ„

Gn 1.361
Drift Index ( DI ) 0.0004  0.0025
H 400 u 8

‡nµ Drift Index (DI) š¸É‡Îµœª–Å—o¤¸‡nµœo°¥„ªnµ‡nµš¸„É 宜—Ä®o ­—Šªnµ°µ‡µ¦œ¸Êž¨°—£´¥‹µ„¦Š¨¤


šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 31

˜´ª°¥nµŠš¸É 2.2 žjµ¥Ã‰¬–µÂ®nŠ®œ¹ÉŠ˜´ÊŠ°¥¼nċ„¨µŠ„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦ ¤¸…œµ—¨³¦¼ž¦nµŠ—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼š¸É


2.9 ǦŠ­¦oµŠÁ®¨È„™´„ čoÁ­µ…œµ— H125X125 ®œ´„ 23.8 „„./¤.Á®¨È„‡Êε¥´œÄo˜ª´ L …œµ—
100X100 ®œ´„ 10.7 „„./¤. ˜´ªžjµ¥šÎµ—oª¥ µÅ¤o°´—·°¦r——oµœÁ—¸¥ª¦ª¤Á‡¦nµ ®œ´„ 12 „„./¤.2
“µœ¦µ„čoÁ­µÁ…Ȥ˜°„…œµ— I 0.22X0.22X21.0 ¤. ¦´œÊ宜´„ž¨°—£´¥Å—o˜oœ¨³ 22 ˜´œ „ε®œ—Ä®o
‡ªµ¤Á¦Èª¨¤ÁŒ¨¸É¥Äœ‡µÁª¨µ 50 že ª´—Å—o 150 „¤./¤.
¦¼žŸ´ŠÁ­µÁ®¨È„™´„
L100X100
A B

L100X100
10
0 H125X125

30 ¤. L1
0 0X (TYPICAL)

‡Îʵ¥´œ L 100X100 (10.7 kg/m)


P8
P7

P6
P5
14 ¤.

Á­µ H125X125 (23.8kg/m)


P.) P4

9 @ 2.0 ¤.
TY
0(
10
0 0X
L1
L100X100 (TYP.)
P3

P2
P1

6.0 ¤.
2.0 ¤.

15.0 ¤. 3.5 ¤.
„) ¦¼ž—oµœ®œoµ …) ¦¼ž—oµœ…oµŠ
2.0 m

1.0 m

0.25x0.25m
¦³—´—·œÁ—·¤
2.0 m 0.7 m

0.3 m

Á­µÁ…Ȥ…œµ— 0.22x0.22x21.0 m.
3.0 m ‹Îµœªœ 6 ˜oœ
‡) Ÿ´Š“µœ¦µ„ Š) ¦¼ž˜´—“µœ¦µ„

¦¼žš¸É 2.9 ǦŠ­¦oµŠžjµ¥Ã‰¬–µ


32 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

®µ„šnµœÁž}œª·«ª„¦Ÿ¼o°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ…°Šžjµ¥œ¸Ê ‹Š‡Îµœª–®µ
„) Á¤ºÉ°¡·‹µ¦–µÁŒ¡µ³Ã‡¦Š­¦oµŠÂœªÂ„œ A ‹Š‡Îµœª–®µÂ¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠš¸Éš»„¦³—´´œÊ …°Š
ǦŠ‡Êε¥´œžjµ¥ (P1-P8)
…) ‹Š˜¦ª‹­°‡ªµ¤ž¨°—£´¥…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠžjµ¥¤·Ä®o¨o¤Áœº°É Š‹µ„¦Š¨¤ (Stability Against
Overturning) ®µ„Ťnž¨°—£´¥Á¡¸¥Š¡° Ä®o°°„‹ÎµœªœÁ­µÁ…ȤĮ¤n

ª·›š¸ µÎ

„) ‹µ„ P = CeCqqsIw

ÁœºÉ°Š‹µ„žjµ¥Ã‰¬–µœ¸Ê˜´ÊŠ°¥¼nċ„¨µŠÁ¤º°Š ‹´—Áž}œ£¼¤·ž¦³Áš«š¸É¤­¸ ·ÉŠ„¸—…ªµŠ—oª¥°µ‡µ¦¤µ„ ‹¹Š


Á¨º°„čo£¼¤·ž¦³Áš« B Ĝ„µ¦‡Îµœª–‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í Ce
‡Îµœª–¦Š—´œ¨¤‹µ„ qs = 0.004826V2
2
= 0.004826(150)2 = 108.6 „„./¤.
¡·‹µ¦–µªnµžjµ¥Ã‰¬–µœ¸ÊÁž}œ°µ‡µ¦š´ÉªÅž°¥¼nĜž¦³Á£šš¸É 4 (Standard Occupancy
Structures) čo‡nµ Iw = 1.0 ˜µ¤˜µ¦µŠš¸É 2.5
×¥š¸ÉǦŠ­¦oµŠžjµ¥œ¸Ê­¼Š 20 ¤. ‹¹Š‹´—°¥¼nĜ‹Îµ¡ª„°µ‡µ¦š´ÉªÅžš¸É¤¸‡ªµ¤­¼Š¦³®ªnµŠ 12-
60 ¤. —´Šœ´Êœ ‹¹ŠÄoª·›¸š¸É 2 Projected Area Method Ĝ„µ¦®µ­´¤ž¦³­·š›·Í Cq ¨³Äo‡nµ Cq = 1.4 Ĝ
—oµœž³š³¨¤ ­nªœ—oµœœ­»—…°Šžjµ¥ ¤oªnµ‹³¤¸Â¦Š—´œ¨¤¥„…¹œÊ ˜nÁœºÉ°Š‹µ„ǦŠ­¦oµŠÃž¦nŠ¡ºÊœš¸É¦´
¨¤¤¸œo°¥ ‹¹ŠÅ¤nœÎµ¤µ¡·‹µ¦–µ‡Îµœª–—oª¥
‡Îµœª–¦Š—´œ¨¤—oµœ…oµŠ—oµœž³š³¨¤ (Windward Pressure, PW)
PW = Ce(1.4) (108.6)(1.0) = 152Ce (¦Š°´—)
‡Îµœª–‡nµÂ¦Š—´œ¨¤š¸É¦³—´‡ªµ¤­¼Š˜nµŠÇ…°Šžjµ¥ —´ŠÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 2.12 œÎµ‡nµš¸ÅÉ —o
ŞÁ…¸¥œ„µ¦„¦³‹µ¥Â¦Š—´œ¨¤œÃ‡¦Š­¦oµŠžjµ¥Å—o —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.10 ‹µ„œ´œÊ ‹¹ŠšÎµ„µ¦
‡Îµœª–®µÂ¦Š„¦³šÎµ—oµœ…oµŠš¸É˜n¨³¦³—´‡ªµ¤­¼Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠžjµ¥ ×¥‡Îµœª–nŠ¡ºÊœš¸ÉÁ­µÄœÂ˜n
¨³¦³—´‡ªµ¤­¼Š—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.10
šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 33

˜µ¦µŠš¸É 2.12 „µ¦‡Îµœª–¦Š—´œ¨¤š¸É¦³—´‡ªµ¤­¼Š˜nµŠÇ…°Šžjµ¥


‡ªµ¤­¼Š(¤.) Ce PW
(„„./¤.2)
0-4.5 0.62 94.24
6 0.67 101.84
7.5 0.72 109.44
8 0.73 110.96
9 0.76 115.52
10 0.79 120.00
12 0.84 127.68
14 0.88 133.76
16 0.92 139.84
18 0.95 144.40
20 0.98 148.96
24 1.04 158.08

­Îµ®¦´Â¦Š„¦³šÎµš¸É¦³—´‡ªµ¤­¼Š˜nµŠÇ ‡Îµœª–‹µ„¡ºÊœš¸É¦Š—´œš¸„É ¦³šÎµÄœÂ˜n¨³‡ªµ¤­¼ŠÁšnµÇ„´œ


£µ¥Äœ¡ºÊœš¸É¦ÁŠµ ‡¼–—oª¥nªŠ„ªoµŠ…°Šžjµ¥š¸ÉÁ­µ¦´Â¦Š¨¤ž³š³(Ž¹ÉŠ¤¸‡nµÁšnµ„´‡¦¹ÉŠ®œ¹ÉŠ…°Š‡ªµ¤
¥µªžjµ¥š´ÊŠ®¤—) —´Šœ¸Ê
¦³—´‡ªµ¤­¼Šš¸É 20 ¤. P8 = 0.5 x (148.96+146.68)x 1.0x(30/2) = 2,217 „„.
¦³—´‡ªµ¤­¼Šš¸É 18 ¤. P7 = (144.4)x 2.0x(30/2) = 4,332 „„.
¦³—´‡ªµ¤­¼Šš¸É 16 ¤. P6 = (139.84)x 2.0x(30/2) = 4,195 „„.
¦³—´‡ªµ¤­¼Šš¸É 14 ¤. P5 = (133.76)x 2.0x(30/2) = 4,013 „„.
¦³—´‡ªµ¤­¼Šš¸É 12 ¤. P4 = (127.68)x 2.0x(30/2) = 3,830 „„.
¦³—´‡ªµ¤­¼Šš¸É 10 ¤. P3 = (120)x 2.0x(30/2) = 3,600 „„.
¦³—´‡ªµ¤­¼Šš¸É 8 ¤. P2 = (110.96)x 2.0x(30/2) = 3,329 „„.
¦³—´‡ªµ¤­¼Šš¸É 6 ¤. P1 = (101.84)x 1.0x(30/2) = 1,528 „„.
.
34 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

P8 148.96
146.68
P7 144.4

P6 139.84

W br
P5 133.76

P4 127.68

P3 120.0

P2 110.96

P1 101.84
W bo
94.24

Wc

WF
50 100 150
2
A ¦Š—´œ¨¤ („„./¤. )
3.5 ¤.
Wp

¦¼žš¸É 2.10 ¦Š—´œ¨¤Â¨³Â¦Š„¦³šÎµœÃ‡¦Š­¦oµŠžjµ¥Ã‰¬–µ

…) ˜¦ª‹­°‡ªµ¤¤´œÉ ‡Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠžjµ¥
„µ¦˜¦ª‹­°‡ªµ¤¤´œÉ ‡Š…°Šžjµ¥„¦³šÎµÅ—o×¥„µ¦‡Îµœª–‡nµ‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°
äÁ¤œ˜ršš¸É εĮoÁ„·—„µ¦¡¨·„‡ªÉε
M react
Safety Factor against overturning ( SF )
M act
×¥š¸É Mact ‡Îµœª–‹µ„¦Š¨¤„¦³šÎµ—oµœž³š³¨¤ ×¥‡Îµœª–äÁ¤œ˜r„¦³šÎµ¦°“µœžjµ¥‹»— A
­Îµ®¦´ Mreact ‡Îµœª–‹µ„œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠžjµ¥ ×¥‡Îµœª–äÁ¤œ˜r„¦³šÎµ¦°“µœ
š¸É‹»— A ÁnœÁ—¸¥ª„´œ —´Šœ¸Ê
Mact = (2,217x20) + (4,332x18) + (4,195x16) + (4,013x14) + (3,830x12)
+ (3,600x10) + (3,329x8) + (1,528x6)
= 363,385 „„.-¤.
šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 35

Mreact = (Wbr x1.75) + (Wc + WF + Wbo + Wp) x 3.5


×¥š¸É Wbr ‡º° œÊ宜´„…°ŠÁ®¨È„‡Êε¥´œ˜´ª L
Wc ‡º° œÊ宜´„…°ŠÁ­µÁ®¨È„˜´ª H
WF ‡º° œÊ宜´„…°Š“µœ¦µ„‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤Á®¨È„
Wbo ‡º° œÊ宜´„…°Š˜´ªžjµ¥
Wp ‡º° ¦Š˜oµœšµœ…°ŠÁ­µÁ…Ȥ

Wbr = [(3.5x10 + 4x9)2 + (2+3.5+4)2x10](10.7) = 3,552.4 „„.


Wc = (20x2)(23.8) = 952 „„.
WF = (0.3x2x3 + 0.25x0.25x1.7x2)(2,400) = 4,830 „„.
Wbo = 14x15x12 = 2,520 „„.
(3,552.4 x1.75)  (952  4,830  2,520  22,000x6) x 3.5
SF 1.37  1.5
363,385

ÁœºÉ°Š‹µ„ǦŠ­¦oµŠžjµ¥œ¸ÅÊ ¤nž¨°—£´¥‹µ„¦Š¨¤ —´Šœ´Êœ ‹¹Š‡Îµœª–®µ‹ÎµœªœÁ­µÁ…ȤĮ¤n


‹µ„ (3,552.4 x1.75) + (952 + 4,830 + 2,520 + Wp) x 3.5 = 363,385x1.5
Wp = 145,658 „„.
‹ÎµœªœÁ­µÁ…Ȥš¸É˜o°Š„µ¦ = 145,658/22,000 = 6.62 ˜oœ
—´Šœ´Êœ °°„Áž}œÁ­µÁ…Ȥ 8 ˜oœ ×¥Á¡·É¤°¸„ 2 ˜oœ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.11

0.5 m 1.0 m 1.0 m 0.5 m

0.25 m

Á­µÁ…Ȥš¸ÉÁ¡·É¤…¹Êœ 0.75 m
2.0 m

0.75 m

0.25 m

3.0 m

¦¼žš¸É 2.11 ž¨œ“µœ¦µ„Á­µÁ…Ȥš¸É°°„Ä®¤n


36 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 œÊ宜´„¦¦š»„¨³Â¦Š¨¤

Ĝž{‹‹»´œœ¸Ê ¤¸¤µ˜¦“µœ„µ¦‡Îµœª–¦Š¨¤Â¨³„µ¦˜°­œ°Š…°Š°µ‡µ¦ (¤¥Ÿ.1311-


50) š¸É°°„×¥„¦¤Ã¥›µ›·„µ¦Â¨³Ÿ´ŠÁ¤º°Š „¦³š¦ªŠ¤®µ—Åš¥ ¡.«. 2550 Ž¹ÉŠÁ­œ°ª·›¸„µ¦‡Îµœª–
¦Š¨¤­™·˜Áš¸¥Ášnµ°¥nµŠŠnµ¥Â¨³ª·›¸„µ¦°¥nµŠ¨³Á°¸¥— ¡¦o°¤˜´ª°¥nµŠ„µ¦‡Îµœª– Ÿ¼o­œÄ‹­µ¤µ¦™—¼
¦µ¥¨³Á°¸¥—Á¡·É¤Á˜·¤Å—o‹µ„Á°„­µ¦œ¸Ê
บทที 3
แรงแผ่ นดินไหว
3.1 ความสําคัญของแรงแผ่ นดินไหว

จากข้ อมูลผลการสํ ารวจและงานวิจัยใหม่ๆที เกี ยวกับแผ่นดินไหวภายในประเทศ


แสดงว่า พืนทีบางส่วนของประเทศไทย ได้ แก่ภาคเหนือและภาคตะวันตกมีโอกาสทีจะเกิดภัยพิบตั ิ
จากแผ่นดินไหวทีมีขนาดปานกลางถึงขนาดรุนแรงได้ (เป็ นหนึงและอาเด 2537) เนืองจากบริ เวณ
ดังกล่าวมีรอยเลือนทีมี พลัง (active fault) ทีสามารถทําให้ เกิดแผ่นดินไหวขนาดกลางถึงขนาด
ใหญ่ได้ ในปั จจุบนั นี มีเมืองใหญ่ๆหลายแห่งตังอยู่ในรัศมีของแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวเหล่านี ซึง
จะแผ่อิทธิพลของการสันสะเทือนไปถึงได้ ดังเหตุการณ์ทีเกิดขึนทีอําเภอพาน จังหวัดเชียงราย เมือ
ปี พ.ศ. 2537 ได้ เกิดแผ่นดินไหวขนาดกลางขึน มีขนาด 5.1 ริ คเตอร์ และมีศูนย์กลางของ
แผ่นดินไหวอยูใ่ นบริเวณเทือกเขาทีห่างจากตัวอําเภอเพียง 20 ถึง 30 กม. ทําให้ เกิดความเสียหาย
ค่อนข้ างรุ นแรงต่ออาคารโรงพยาบาลคอนกรี ตเสริ มเหล็ กสูง 2 ชัน รวมทังได้ ก่อให้ เกิดความ
เสียหายแก่โรงเรี ยนมากกว่า 20 หลัง และวัดอีกมากกว่า 30 แห่ง (เป็ นหนึง 2542)
เพื อป้ องกัน ภัย พิ บัติที อาจจะเกิ ด ขึนได้ ในปั จ จุบัน นี กระทรวงมหาดไทยจึง ออก
กฎกระทรวงฉบับ พ.ศ. 2550 เพือควบคุมให้ อาคารในพื นทีเสียงภัยมีการออกแบบและก่อสร้ างให้
ต้ านทานแผ่นดินไหวอย่างเหมาะสม พืนทีเสียงภัยทีกําหนดในกฎกระทรวงฉบับนี แบ่งออกเป็ น 3
บริ เวณ คือ ก) บริ เวณเฝ้าระวัง ได้ แก่พืนที 7 จังหวัดภาคใต้ ข) บริ เวณที 1 ได้ แก่ พืนทีในเขต
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และค) บริเวณที 2 ได้ แก่ พืนทีใน 9 จังหวัดในภาคเหนือ และอีก 1
จังหวัดในภาคตะวันตก โดยมีผลบังคับใช้ แล้ วตังแต่วนั ที 18 พฤศจิกายน 2550 เป็ นต้ นไป ดังนัน
ในการออกแบบโครงสร้ างอาคาร จะต้ องคํานึงถึงการจัดรู ปแบบเรขาคณิตให้ มีเสถียรภาพต่อการ
สันสะเทือนของแผ่นดินไหว โดยมีรูปทรงและสัดส่วนทีดี มีการจัดรายละเอียดเหล็กเสริ มบริ เวณจุด
รอยต่อระหว่างองค์อาคาร และโครงสร้ างทังระบบให้ มีความเหนียวคือสามารถโยกไหวได้ โดยไม่
แตกร้ าวรุนแรงจนสูญเสียกําลังรับนําหนักบรรทุก เพือป้องกันการวิบตั แิ บบสินเชิง
โดยที การออกแบบอาคารต้ านทานแผ่นดินไหว มี ความแตกต่างจากการออกแบบ
อาคารรับแรงประเภทอืนๆ ดังนัน วิศวกรผู้ออกแบบจึงต้ องมีความรู้ ความเข้ าใจในการออกแบบที
ถูกต้ อง สําหรับในหนังสือเล่มนี จะกล่าวเฉพาะความรู้เรื องแรงแผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว ส่วน
วิธีการคํานวณออกแบบอาคารต้ านทานแผ่นดินไหวจะแยกออกเป็ นอีกเล่มหนึงต่างหาก
38 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

3.2 การเกิดแผ่ นดินไหว

เปลือกโลกประกอบด้ วยแผ่นพืนหินขนาดใหญ่หลายแผ่นห่อหุ้มหินหลอมเหลวภายใน
ทียังร้ อนระอุอยู่ แผ่นหิน (Plates) เหล่านีมีการเคลือนทีอย่างช้ าๆ ตลอดเวลาในอัตราความเร็วที
แตกต่างกันด้ วยแรงดันจากการไหลตัวของหินหลอมเหลวภายใต้ แผ่น การเคลือนตัวของแผ่นหิน
จะก่อให้ เกิดแรงอัดมหาศาลสะสมบริเวณรอยต่อของเปลือกโลก อันเนืองมาจากอัตราการเคลือน
ตัวทีไม่เท่ากัน เมือแรงอัดสะสมในบริเวณรอยต่อนันมากขึนเรื อยๆถึงจุดหนึงทีเนือหินรับไม่ได้ จะ
เกิดการแตกประลัยขึนตามแนวรอยเลือน โดยปลดปล่อยพลังงานออกมา (strain energy) จาก
แหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวซึงเรี ยกว่า โฟกัส (focus หรื อ hypocenter) ในทุกทิศทางโดยส่งเป็ น
คลืนแผ่นดินไหว (ดูรูปที 3.1-3.3 ประกอบ) ซึงแบ่งออกเป็ น 3 ชนิด คือ
1) P-Wave(Primary Wave)คลืนนีเดินทางมาถึงก่อนและกระทําในทิศทางเดียวกับการเคลือนที
ของคลืนในลักษณะกลับไป-มาทําให้ เกิดแรงอัดในตัวกลางทีคลืนเดินทางผ่านเป็ นระลอกๆ
2) S-Wave (Secondary Wave หรื อ Shear Wave)กระทําในทิศทางตังฉากกับการเคลือนทีของ
คลืนในลักษณะกลับไป-มา เช่นกัน ทําให้ เกิดแรงเฉือนในตัวกลางทีคลืนเดินทางผ่าน คลืน S-
Waveนีแบ่งออกเป็ น2ทิศทางคือการเคลือนทีในแนวดิงและแนวราบ คลืนชนิดนีปล่อยพลังงาน
ออกมามากกว่าจึงมีผลทําให้ โครงสร้ างอาคารเกิดความเสียหายได้ มากกว่าคลืนชนิดแรก
3) Surface Wave อาจเรี ยกว่า Rayleigh Wave หรื อ Love Wave คลืนชนิดนีมีลกั ษณะการ
เคลือนทีคล้ ายกับ S-Wave แต่เคลือนทีบนผิวของตัวกลางเท่านัน

ศูนย์กลางแผ่นดิ นไหว
ระยะศูนย์กลางแผ่นดิ นไหว

ve คลืนแผ่นดิ นไหว
a ชันดิ นอ่อน
นื S-W

คล


นื P
-W
a ve

ชันดิ นแข็ง lt)


( Fau

เลื อ
รอย
ชันหิน แหล่งกําเนิ ด แผ่นดิ นไหว
(Focus or Hypocenter)

รูปที 3.1 พฤติกรรมของแรงแผ่ นดินไหว


บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 39

รูปที 3.2 เปลือกโลกและการเกิดแผ่ นดินไหวซึงแสดงด้ วยจุดดําตามแนวรอยต่ อของเปลือกโลก

แรงอัด

แรงคลาย
(a) P-Wave

ความยาวคลืน
(b) S-Wave

(c) Rayleigh Wave

รูปที 3.3 ลักษณะของคลืนแผ่ นดินไหว


40 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

3.3 การวัดขนาดของแผ่ นดินไหว

วิธีการวัดขนาด (size) ของแผ่นดินไหว แบ่งออกเป็ น 2 วิธี คือ


3.3.1 ความเข้ มของแผ่ นดินไหว (Earthquake Intensity)
ความเข้ มของแผ่นดินไหวเป็ นวิธีการวัดขนาดของแผ่นดินไหวทีเก่าแก่ทีสุด ในสมัยโบราณ
ยังไม่มีเครื องมือวัดแผ่นดินไหวทีถูกต้ องแน่นอน จึงใช้ วิธีการสังเกตปฏิกิริยาของผู้ทีอาศัยอยูใ่ นบริเวณ
รัศมีของแผ่นดินไหวและความเสียหายของอาคารทีเกิดขึน การวัดความเข้ มของแผ่นดินไหว นิยมใช้
Modified Mercalli Intensity (MMI) ดังแสดงในตารางที 3.1

ตารางที 3.1 มาตรวัดปรับปรุงใหม่ Modified Mercalli Intensity สําหรับปี ค.ศ. 1931


I ไม่สามารถรู้สกึ ได้ นอกจากจะรู้สกึ ได้ โดยบางคนในเหตุการณ์อํานวยบางกรณี
II รู้สกึ ได้ โดยบางคน ซึงอยูก่ บั ที โดยเฉพาะชันบนของอาคาร วัตถุทแขวนอยู
ี อ่ าจแกว่งไกวได้
III รู้สกึ ได้ สาํ หรับผู้อยูใ่ นอาคาร โดยเฉพาะชันบนของอาคาร แต่หลายคนไม่ตระหนักว่าเป็ น
แผ่นดินไหว รถยนต์ทีจอดอยูอ่ าจโยกไหวเบาๆได้ มีการสันสะเทือนคล้ ายกับรถบรรทุกแล่น
ผ่าน
IV ผู้พกั อาศัยในอาคารสามารถรู้สกึ ได้ ผู้อยูภ่ ายนอกอาคารบางคนรู้สกึ ได้ ผู้ทีนอนอยู่ รู้สกึ ตัวตืน
จาน, หน้ าต่าง, ประตูมีการสัน; กําแพงมีเสียงแตก; มีความรู้สกึ คล้ ายรถบรรทุกหนักชนอาคาร
รถยนต์ทีจอดอยูโ่ ยกไหวอย่างสังเกตได้
V รู้สกึ ได้ เกือบทุกคน, หลายคนตืน; จาน, หน้ าต่าง เป็ นต้ น แตกร้ าว; วัตถุทีไม่มนคงพลิ
ั กล้ ม
ต้ นไม้ วัตถุทีสูงมีการสันไหว; นาฬิกาทีใช้ ต้ มุ อาจหยุดเดิน
VI รู้สกึ ได้ ทกุ คน, หลายคนตกใจและวิงออกมาภายนอก; เฟอร์ นิเจอร์ หนักบางชินเคลือนย้ าย;
ปูนฉาบผนังแตกกะเทาะ; ความเสียหายเบา
VII ทุกคนวิงออกสูภ่ ายนอก; อาคารทีออกแบบและก่อสร้ างไว้ อย่างดีไม่เสียหาย,
โครงสร้ างทีก่อสร้ างตามปกติทวไปเสีั ยหายเล็กน้ อยถึงปานกลาง, โครงสร้ างทีออกแบบและ
ก่อสร้ างไม่ดเี สียหาย; ปล่องไฟแตกร้ าว; ผู้ทีขับรถอยูร่ ้ ูสกึ ได้
VIII โครงสร้ างทีออกแบบไว้ อย่างดีเสียหายเล็กน้ อย, โครงสร้ างปกติทวไปเสี ั ยหาย, บางส่วน
พังทลาย, โครงสร้ างทีก่อสร้ างไม่ดีเสียหายมาก; แผ่นผนัง บิดออกนอกกรอบ; ปล่องไฟโรงงาน,
เสา, อนุสาวรี ย์, ผนัง ล้ มลง; เฟอร์ นิเจอร์ หนักพลิกล้ ม; ระดับนําในบ่อเปลียน;
ผู้คนทีขับรถอยู่ รู้สกึ ถูกรบกวน
IX โครงสร้ างทีออกแบบเป็ นพิเศษ มีความเสียหาย; โครงสร้ างทีออกแบบดี บิดออกจากแนวดิง
โครงสร้ างทีมันคงมีความเสียหายมาก บางส่วนพังทลาย; อาคารขยับออกนอกฐาน;
พืนแตกจนเห็นชัด; ท่อทีฝั งอยูใ่ ต้ ดินแตก
X โครงสร้ างไม้ ทีก่อสร้ างดีบางหลังถูกทําลาย; โครงสร้ างผนังก่อส่วนมาก ถูกทําลาย
พืนแตกอย่างรุนแรง; รางรถโก่งงอ; แผ่นดินบริ เวณฝั งแม่นาและที ํ ลาดชัน ถล่ม
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 41

ตารางที 3.1 มาตรวัดปรับปรุ งใหม่ Modified Mercalli Intensity สําหรับปี ค.ศ. 1931 (ต่ อ)
XI โครงสร้ างทียังคงเหลืออยูม่ ีน้อย; สะพานถูกทําลาย; พืนดินมีรอยแตกแยกกว้ าง
เส้ นท่อใต้ ดินใช้ การไม่ได้ หมด; สําหรับดินอ่อน มีการทลายลง และเลือนตัว
รางรถมีการโก่งงออย่างมาก
XII เสียหายทังหมด งานก่อสร้ างทังหมดถูกทําลายเสียหายอย่างรุนแรง;
พืนผิวดินเกิดโก่งตัวเป็ นคลืน เส้ นทางคมนาคมถูกทําลาย วัสดุถกู ดีดขึนบนอากาศ

3.3.2 ขนาดของแผ่ นดินไหว (Earthquake Magnitude)

ในระยะเวลา 60 ปี ทีผ่านมา ได้ มีการพัฒนาเครื องมือตรวจวัดการสันสะเทือนของพืนดิน


เนืองจากแผ่นดินไหวได้ อย่างดียิงขึน จึงได้ มีการวัดขนาดของแผ่นดินไหว ดังนี

ก) Richter Local Magnitude, ML


Charles Richter (1935) กําหนดค่า Local magnitude เท่ากับค่า Logarithm ฐาน
10 ของค่าขนาดคลืนสูงสุดทีวัดด้ วยเครื อง Wood-Anderson ซึงตังอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลาง
(epicenter) ของแผ่นดินไหวเป็ นระยะทาง 100 กม. ค่า Richter scale, ML นีพัฒนาขึนมาเพือใช้
วัดแผ่นดินไหวทีมีแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวอยู่ตืนและมีระยะศูนย์กลางแผ่นดินไหวน้ อยกว่า 600 กม.
ปั จจุบนั นี มาตรา Richter scale เป็ นทีรู้จกั กันดีและนิยมใช้ กนั อย่างแพร่หลาย แต่แม้ กระนัน Richter
scale ก็ยงั ไม่ใช่มาตราวัดขนาดของแผ่นดินไหวทีเหมาะสมในทุกกรณี

ข) Surface Wave Magnitude, Ms


Gutenberg และ Richter (1936) กําหนดค่า Surface Wave Magnitude, Ms ซึง
ขึนอยู่กบั ขนาด amplitude ของ Rayleigh Wave วัดในคาบเวลา 20 วินาที ค่า Ms นีนิยมใช้
วัดขนาดของแผ่นดินไหวซึงมีแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวอยู่ตืน (น้ อยกว่า 70 กม.) และแหล่งพลังงานที
ปลดปล่อยออกมาในขณะเกิดแผ่นดินไหวมีขนาดกลางถึงใหญ่ โดยมีระยะศูนย์กลางแผ่นดินไหวทีอยู่
ห่างไกล (มากกว่า 1,000 กม.) ค่า Surface Wave Magnitude คํานวณจาก

Ms = log A + 1.66 log ' + 2.0 (3.1)

โดยที A คือ ค่าการเคลือนทีสูงสุดของพืนดิน, ไมโครเมตร


' คือ ระยะศูนย์กลางแผ่นดินไหว, ดีกรี โดยทีค่า 360q เทียบเท่ากับเส้ นรอบรูปของ
โลก
42 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

ค) Body wave Magnitude, Mb


สําหรับแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวทีอยูล่ กึ มาตราทีวัดโดย Surface Wave Magnitude จะ
วัดค่าได้ ไม่ถกู ต้ อง แต่ Body Wave Magnitude, Mb ซึงเสนอโดย Gutenberg (1945) จะเป็ น
มาตราการวัดทีเหมาะสมกว่า โดยทีค่า Mb นีคํานวณจากค่าขนาดความสูงของคลืน P-Wave ค่า
Body Wave Magnitude คํานวณจาก

Mb = log A – log T + 0.01' + 5.9 (3.2)

โดยที A คือความสูงของคลืน P-Wave, ไมโครเมตร


T คือคาบเวลาของคลืน P-Wave, วินาที

ง) Moment Magnitude, Mw
สําหรับแผ่นดินไหวทีมีขนาดใหญ่มากๆ การวัดขนาดของแผ่นดินไหวดังกล่าวข้ างต้ นจะมี
ข้ อจํากัด เช่น ML และ Mb จะวัดค่าได้ ไม่เกิน 6 และ 7 ตามลําดับ ส่วน Ms จะวัดได้ ไม่เกิน 8 ถ้ า
แผ่นดินไหวทีมีขนาดใหญ่มากเกินกว่านี นิยมใช้ Moment Magnitude, Mw เป็ นค่าทีวัดขนาด
แผ่นดินไหวทีน่าเชือถือกว่าวิธีอืน ค่า Moment Magnitude คํานวณได้ จาก

log M 0
Mw  10.7
1.5

โดยที M0 คือโมเมนต์แผ่นดินไหว, ไดน์-ซม.

3.4 ผลกระทบของคลืนแผ่ นดินไหวต่ อโครงสร้ างอาคาร

ความเสียหายของอาคารเนืองจากแรงแผ่นดินไหวมิได้ ขนอยู
ึ ก่ บั ขนาดของแผ่นดินไหว
อย่างเดียว องค์ประกอบสําคัญทีมีผลกระทบต่อความเสียหายของอาคาร ได้ แก่
ก) ลักษณะของคลืนแผ่นดินไหว (Earthquake Characteristics) ได้ แก่ ค่าอัตราเร่ง
สูงสุดของพืนดิน ระยะเวลาของการสันรุนแรงของพืนดิน และคาบเวลาการสันสําคัญ
ของพืนดิน เป็ นต้ น
ข) ลักษณะของสถานทีเกิดแผ่นดินไหว (Site Characteristics) ได้ แก่ ระยะห่างระหว่าง
ศูนย์กลางแผ่นดินไหวไปยังสถานทีตังของโครงสร้ างอาคาร สภาพชันดินของสถาน
ทีตังของโครงสร้ างอาคาร และคาบการสันตามธรรมชาติของสถานทีตังนัน เป็ นต้ น
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 43

ค) ลักษณะของโครงสร้ างอาคาร (Structural Characteristics) ได้ แก่ คาบการสันตาม


ธรรมชาติและค่า damping ของโครงสร้ างอาคารนัน อายุและวิธีการก่อสร้ างของ
โครงสร้ างอาคาร และการเสริมเหล็กให้ โครงสร้ างมีความเหนียว เป็ นต้ น
องค์ประกอบทีสําคัญเหล่านีจะกล่าวรายละเอียดในแต่ละหัวข้ อต่อไป

3.4.1 ลักษณะของคลืนแผ่ นดินไหว (Earthquake Characteristics)

นอกจากการวัดขนาดของแผ่นดินไหวแล้ ว เครื องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวในปั จจุบนั


สามารถบันทึกคลืนของแผ่นดินไหวทีเรี ยกว่า strong ground motion ได้ ซึงหมายถึงการเคลือนที
ของพืนดินทีมีความรุนแรงเพียงพอทีจะมีผลกระทบต่อมนุษย์และสิงแวดล้ อม โดยนิยมวัดค่าเป็ นอัตรา
เร่งของพืนดินกับเวลา (acceleration time history หรื อ accelerogram) จากการบันทึกคลืน
แผ่นดินไหวนี วิศวกรแผ่นดินไหวจําแนกลักษณะทีสําคัญของคลืนของแผ่นดินไหว (strong ground
motion) โดยใช้ พารามิเตอร์ ดังนี

ก) ค่ าอัตราเร่ งสูงสุดของพืนดิน (Peak Ground Acceleration, PGA)


ค่าอัตราเร่งสูงสุดของพืนดินเป็ นลักษณะทีสําคัญอย่างหนึงของคลืนแผ่นดินไหว ทีวัดได้
จากค่าบันทึกของ accelerogram ดังแสดงในรูปที 3.4 ซึงแสดงคลืนแผ่นดินไหวทีวัดได้ บริเวณ
Imperial Valley รัฐแคลิฟอร์ เนีย ประเทศสหรัฐอเมริ กา วัดอัตราเร่งสูงสุดได้ 0.319g ( g คืออัตราเร่ง
เนืองจากแรงโน้ มถ่วงโลก มีคา่ เท่ากับ 9.81 เมตร/วินาที2)

0.40
Acceleration, g

0.00
Time, sec
-0.40 PGA = 0.319g
รูปที 3.4 คลืนแผ่ นดินไหวของ El Centro ground motion (1940) (Panyakapo P., 1999)

ในปั จจุบนั ได้ มีการสร้ างความสัมพันธ์ระหว่างค่าอัตราเร่งสูงสุดของพืนดิน (PGA) กับ


ขนาดของแผ่นดินไหว (Earthquake Magnitude) และระยะห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว ซึงเรี ยกว่า
Attenuation Model จํานวนมากกว่า 30 แบบซึงใช้ ในหลายๆพืนทีทัวโลก สําหรับแบบทีให้ ผล
สอดคล้ องกับค่า PGA ทีวัดได้ ในประเทศไทย คือ Attenuation Model ของ Esteva ซึงได้ มีการ
นํามาใช้ ในการคํานวณหาค่า PGA เพือการจัดทําเขตแผ่นดินไหว (เป็ นหนึงและอาเด, 2537) เรี ยกว่า
44 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

แผนทีแบ่งเขตแผ่นดิ นไหว ซึงแสดงเขตพืนทีทีมีความรุนแรงของคลืนแผ่นดินไหว โดยจัดเป็ นโซนต่างๆ


กันตามลักษณะเส้ น contour line ของค่าระดับ PGA โดยทีค่า PGA เป็ นค่าอัตราเร่งสูงสุดของ
พืนดิน ทีมีคา่ ความน่าจะเป็ น ทีค่า PGA จะเกินไปกว่าทีกําหนดนีเพียง 1 ใน 10 ในคาบเวลา 50 ปี
หรื อเทียบเท่ากับโอกาสทีค่า PGA จะเกินไปกว่าทีกําหนดนีเพียงครังเดียวในรอบ 500 ปี
สําหรับในประเทศไทย ได้ มีการจัดทําแผนทีแบ่งเขตแผ่นดินไหวหลายครัง ในทีนีได้ นําเอา
แผนทีฉบับทีจัดทําขึนโดย เป็ นหนึงและอาเด (2537) อันเป็ นฉบับจัดทําจากข้ อมูลทีละเอียดสมบูรณ์
กว่าฉบับก่อนๆ มาแสดงในรูปที 3.5

ข) ระยะเวลาของการสันรุนแรงของพืนดิน (Duration of Strong Ground


Motion, Td)
นิยามของระยะเวลาของการสันรุนแรงของพืนดินมีนกั วิจยั หลายคนเสนอไว้ ในทีนีจะนํา
นิยามทีเสนอโดย Trifunac และ Brady (1975) มาใช้ เนืองจากเป็ นทียอมรับในวงวิชาการอย่าง
กว้ างขวาง อีกทังง่ายในการคํานวณ ซึงแสดงได้ ดงั นี

Td = t0.95 - t0.05 (3.4)

โดยที Td = ระยะเวลาของการสันรุนแรงของพืนดิน ส่วน t0.05 และ t0.95 คือ เวลาทีค่าอินทิเกรชันของ


Arias intensity, Ia, ถึง 5% และ 95% ตามลําดับ ค่า Arias intensity, Ia มีนิยามดังนี (Arias,
1970):

S
td

³ u (t )dt
2
Ia = g (3.5)
2g 0

โดยที td และ ug เป็ นระยะเวลาทังหมดและค่าอัตราเร่งของพืนดินเนืองจากแรงแผ่นดินไหว ตามลําดับ


โดยทัวไป ค่าระยะเวลาของการสันรุนแรงของพืนดิน Td ขึนกับระยะห่างของศูนย์กลางแผ่นดินไหว นัน
คือ ค่า Td จะเพิมมากขึนเมือระยะห่างของศูนย์กลางแผ่นดินไหวไกลมากขึน จากประสบการณ์ทีผ่าน
มาของเหตุการณ์ แผ่นดินไหว พบว่าหากระยะเวลาการสันสะเทือนของพืนดินเกิดขึนอย่างยาวนาน
โดยเฉพาะบนสภาพชันดินอ่อน เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวทีประเทศเม็กซิโกเมือปี ค.ศ.1985 และ
เหตุก ารณ์ แ ผ่น ดิน ไหวที ประเทศชิ ลี เ มื อปี ค.ศ.1985 มี ส่ว นส่ง ผลให้ เ กิ ด ความเสี ย หายสะสม
(cumulative damage) ต่อโครงสร้ างอาคาร สูงกว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวทีอืน
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 45

เขต 3 : รุนแรง : 0.20  PGA / g d 0.30 : Z = 0.30


เขต 2B : ปานกลางค่อนข้ างแรง : 0.15  PGA / g d 0.20 : Z = 0.20
เขต 2A : ปานกลาง : 0.075  PGA / g d 0.15 : Z = 0.15
เขต 1 : ไม่รุนแรง : 0.025  PGA / g d 0.075 : Z = 0.075
เขต 0 : ไม่จําเป็ นต้ องออกแบบรับแรงแผ่นดินไหว : PGA / g d 0.025

รูปที 3.5 แผนทีแบ่ งเขตแผ่ นดินไหวสําหรับประเทศไทย (เป็ นหนึงและอาเด, 2537)


46 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

ค) คาบเวลาการสันสําคัญของพืนดิน (Predominant Period of Ground


Motion, Tg)

คาบเวลาการสันสําคัญของพืนดิน เป็ นคาบเวลาซึงพืนดินสันโดยมีคาบเวลาการสันทีเด่น


อยูอ่ ย่างแน่นอนคาบเวลาหนึง ลักษณะการสันของพืนดินนีอาจเรี ยกอีกอย่างหนึงได้ วา่ เป็ นการสันแบบ
มี Narrowband frequency content ในทางกลับกันหากพืนดินมีการสันแบบทีไม่มีคาบเวลาการสันที
แน่นอน อาจเรี ยกได้ วา่ เป็ นการสันแบบมี Broadband frequency content สําหรับการสันของ
พืนดินแบบ Narrowband มักจะก่อให้ เกิดความเสียหายแก่โครงสร้ างอาคารได้ มาก หากคาบเวลาการ
สันสําคัญของพืนดินนัน (Tg) ไปสอดคล้ องกันกับคาบการสันตามธรรมชาติของโครงสร้ างอาคาร ทังนี
เนืองมาจากผลกระทบของกําทอน (Resonance)

3.4.2 ลักษณะของสถานทีเกิดแผ่ นดินไหว (Site Characteristics)

ก) ระยะห่ างระหว่ างศูนย์ กลางแผ่ นดินไหวไปยังสถานทีตังของอาคาร


(Epicentral Distance)

โดยทัวไป ความรุนแรงของแผ่นดินไหวจะลดทอนลงตามระยะห่างจากศูนย์กลางของ
แผ่นดินไหว ซึงแสดงด้ วยค่าอัตราเร่งสูงสุดของพืนดิน (PGA) ทีบันทึกได้ ค่าอัตราเร่งสูงสุดของ
พืนดินอาจคํานวณได้ จาก Attenuation Model ของ Esteva L. และ Villaverde, R. (1973)

5, 600e0.8M
PGA (3.6)
( Re  40)2

โดยที PGA คือ อัตราเร่งสูงสุดของพืนดิน, ซม./วินาที2


M คือ ขนาดของแผ่นดินไหว, ริ คเตอร์
Re คือ ระยะห่างจากศูนย์กลางของแผ่นดินไหว, กม.
จากการตรวจสอบค่าอัตราเร่งสูงสุดของพืนดินทีคํานวณได้ จาก สมการที 3.6 นี ให้ ผล
ใกล้ เคียงกับค่า PGA ทีบันทึกได้ บนสภาพชันหินหรื อชันดินแข็ง ไม่เหมาะกับการคํานวณสําหรับสภาพ
ชันดินอ่อน
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 47

ข) สภาพชันดินของสถานทีตังของอาคาร (Site Condition)

ในกรณีทีโครงสร้ างอาคารตังอยูบ่ นสภาพชันดินอ่อน ผลของการสันไหวของชันดินอ่อนจะ


ขยายกําลังคลืนแผ่นดินไหวได้ เหตุการณ์สําคัญทีแสดงผลของการขยายกําลังคลืนแผ่นดินไหวบนชัน
ดินอ่อน คือ การเกิดแผ่นดินไหวทีประเทศเม็กซิโก ปี ค.ศ. 1985 เมืองเม็กซิโกซิตตัี งอยูบ่ นชันดินอ่อน
มาก เนืองจากเคยเป็ นทะเลสาบมาก่อนและตังอยูใ่ กล้ แนวรอยเลือนทีมีพลัง แผ่นดินไหวครังสําคัญเกิด
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1985 มีศนู ย์กลางแผ่นดินไหวอยู่หา่ งจากกรุงเม็กซิโกซิตีประมาณ 380 กม. วัด
ขนาดได้ 8.1 ริคเตอร์ บันทึกค่า PGA บนชันหินซึงอยูใ่ นบริเวณใกล้ เมืองได้ 0.033g แต่บนั ทึกค่า
PGA บนชันดินอ่อนได้ ถึง 0.17g ซึงชีให้ เห็นว่าชันดินอ่อนมีโอกาสขยายกําลังคลืนได้ ถึง 5 เท่า
ผลงานวิจยั ในปั จจุบนั (Warnitchai P., Sangarayakul, C. and Ashford, S.A., 2000)
ยังชีว่าสภาพชันดินในพืนทีของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีลกั ษณะเป็ นดินอ่อนคล้ ายกับกรุง
เม็กซิโกซิตี และมีโอกาสทีจะขยายกําลังคลืนได้ 3 ถึง 6 เท่า เมือพิจารณาจากตําแหน่งเมืองทีอยูห่ ่าง
จากรอยเลือนทีมีพลังในรัศมี 200-400 กม. ซึงมีโอกาสทีจะเกิดแผ่นดินไหวขนาดกลางได้ ดังนัน พืนที
ของกรุงเทพมหานครและปริ มณฑลจึงถือว่าเป็ นเขตไม่ปลอดภัยนัก

ค) คาบการสันตามธรรมชาติของสถานทีตังของอาคาร
(Natural Period of Site)

คาบการสันตามธรรมชาติของสภาพชันดินอ่อนอาจคํานวณได้ จาก
4H
Ts (3.7)
Vs
โดยที Ts คือ คาบการสันตามธรรมชาติของชันดินอ่อน, วินาที
Hs คือ ความลึกของชันดินอ่อน, เมตร
Vs คือ ความเร็ วของคลืน S – Wave (หรื อ Shear Wave), เมตร/วินาที
ในกรณีทีคาบเวลาการสันสําคัญของพืนดินเนืองจากแรงแผ่นดินไหว สอดคล้ องกับคาบการสันตาม
ธรรมชาติของชันดิน จะทําให้ พืนดินเกิดการสันอย่างรุนแรง ปรากฏการณ์นีเรี ยกว่า กํา ทอน
(Resonance) ดังนัน อาคารอาจได้ รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมากกว่าทีคาดไว้ ได้ เหตุการณ์
แผ่นดินไหวทีประเทศเม็กซิโกปี ค.ศ. 1985 แสดงให้ เห็นผลของปรากฏการณ์นีอย่างชัดเจน นันคือ
คลืนแผ่นดินไหวขนาด PGA = 0.17g มีคาบเวลาการสันสําคัญของพืนดินเท่ากับ 2 วินาที ซึง
สอดคล้ องกันกับคาบการสันตามธรรมชาติของชันดินอ่อนซึงมีคา่ ประมาณ 2 วินาทีเช่นกัน ทําให้ เกิด
ความเสียหายกับอาคารซึงมีความสูงในช่วง 7 – 20 ชัน จํานวน 400 หลังถูกทําลายและเสียหายอีก
700 หลัง
48 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

3.4.3 ลักษณะของโครงสร้ างอาคาร (Structural Characteristics)

ก) คาบการสันตามธรรมชาติและค่ า damping ของโครงสร้ างอาคาร


(Natural Period and Damping of Structures)

คาบการสันตามธรรมชาติ (Tn) คือระยะเวลาการแกว่งตัวของโครงสร้ างตามธรรมชาติ


ครบ 1 รอบ ดังแสดงในรูปที 3.6 และเป็ นส่วนกลับของความถีธรรมชาติของการสันไหว นันคือ
1 2S
Tn (3.8)
fn Zn
โดยที fn คือ ความถีธรรมชาติของโครงสร้ างอาคาร, รอบ/วินาที (Hertz)

Zn คือ ความถีเชิงมุมธรรมชาติของโครงสร้ างอาคาร, เรเดียน/วินาที

การเคลือนที
คาบการสันครบ รอบ,
Tn = 1/fn

เวลา

รูปที 3.6 คาบการสันไหวและค่ าความถี


สําหรับค่าความถีและคาบการสันไหวขึนอยูก่ บั มวลและสติฟเฟสของโครงสร้ าง ดังแสดงในรูปที 3.7

60 Story
120 m steel Bldg
R . C . Dam 250 m
26 Story R .C.
steel Bldg Stack
R . C . Nuclear
Reactor 3 Story Bldg

0.1 0.2 0.3 0.5 0.7 1 2 3 4 5 7 10 T n ( sec )


fn(Hz)
10 5 2 1 0.5 0.2 0.1 fn ( H z )
รูปที 3.7 คาบการสันไหวและค่ าความถีตามธรรมชาติของโครงสร้ าง (Chopra A. K., 1995)
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 49

ค่าคาบการสันตามธรรมชาติของโครงสร้ างอาคารมีวิธีการคํานวณได้ หลายวิธี เช่น สูตรทีเสนอโดย


Uniform Building Code การใช้ โปรแกรมไฟไนต์อิลิเมนต์สําหรับการวิเคราะห์โครงสร้ าง เป็ นต้ น
สําหรับการคํานวณเบืองต้ น อาจประมาณค่าได้ จาก

N
Tn (3.9)
Sn

โดยที Tn คือ คาบการสันไหวธรรมชาติของโครงสร้ างอาคาร


N คือ จํานวนชันทังหมดของอาคาร
Sn คือ สัมประสิทธิของแต่ละสภาพชันดิน สําหรับชันดินแข็ง มีคา่ เท่ากับ 10
สําหรับชันดินอ่อน มีคา่ เท่ากับ 6

คาบการสันตามธรรมชาติของโครงสร้ างเป็ นองค์ประกอบทีสําคัญค่าหนึง ในกรณีทีคาบ


การสันสําคัญของพืนดินสอดคล้ องกันกับคาบการสันตามธรรมชาติของโครงสร้ าง ก็จะทําให้ เกิดการ
สันทีรุนแรงมากขึน เป็ นผลให้ อาคารทีมีความสูงในช่วงคาบการสันนีเกิดความเสียหายได้ มาก
เนืองจากการเกิดกําทอน และหากคาบการสันสําคัญของพืนดินสอดคล้ องกันกับคาบการสันตาม
ธรรมชาติของชันดินอีกด้ วย ก็จะทําให้ เกิดกําทอนซ้ อนขึนไปอีก ซึงเรี ยกว่าการเกิด กําทอนซ้ อน
(Double Resonance)

สําหรับค่า damping ของโครงสร้ างเป็ นการกระจายพลังงานของโครงสร้ างจากการแกว่ง


ไหวตัว ซึงโดยส่วนใหญ่จะกระจายผ่านการเสียดสีของรอยต่อขององค์อาคารในรูปของพลังงานความ
ร้ อนและเสียง ค่า damping นิยมแสดงในรูปของ Damping Ratio, [ เมือ

C
[ (3.10)
C cr

โดยที c คือ ค่า damping ทีแท้ จริง


ccr คือ ค่า critical damping

ค่า Damping Ratio, [ สําหรับโครงสร้ างอาคารต่างๆ แสดงในตารางที 3.1


50 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

ตารางที 3.1 ค่ า Damping Ratio สําหรับโครงสร้ างอาคาร (Lindeburg M. R., 1994)


ประเภทของอาคาร Damping Ratio, [
โครงสร้ างเหล็ก
- ข้ อต่อเชือมยึด มีกําแพงดัดได้ 0.02
- ข้ อต่อเชือมยึด และมีฝาผนังภายนอก 0.05
- ข้ อต่อสลักเกลียว และมีฝาผนังภายนอก 0.10
โครงสร้ างคอนกรี ตเสริ มเหล็ก
- กําแพงภายในดัดได้ 0.05
- กําแพงภายในดัดได้ มีฝาผนังภายนอก 0.07
- กําแพงคอนกรี ตรับแรงเฉือน 0.10
โครงสร้ างกําแพงคอนกรี ตหรื อกําแพงก่อ รับแรงเฉือน 0.10
โครงสร้ างไม้ และกําแพงรับแรงเฉือน 0.15

ข) การเสริมเหล็กให้ โครงสร้ างมีความเหนียว (Ductility)

โครงสร้ างอาคารรับแรงแผ่นดินไหว จะต้ องออกแบบให้ มีกําลัง (strength) สามารถ


ต้ านทานแรงกระทําด้ านข้ างเนืองจากแรงแผ่นดินไหวได้ ในขณะเดียวกันจะต้ องออกแบบให้ มีความ
เหนียว (ductility) ต่อการโยกไหวภายใต้ แรงกระทําในลักษณะกลับไป-มาได้ การออกแบบทีดี จะมี
การกําหนดจุดทีจะเกิดข้ อหมุนพลาสติก (plastic hinge) เพือการกระจายพลังงานจากแรงแผ่นดินไหว
ให้ เกิด ณ ตําแหน่งปลายคาน ในขณะทีเสาจะถูกออกแบบให้ มีพฤติกรรมแบบยืดหยุน่ (elastic) มี
กําลังและความมันคงต่อแรงกระทําด้ านข้ างได้ หลักการออกแบบนีเรี ยกว่า หลักการของเสาแข็งแรง
และคานอ่อน (strong columns and weak beams) ซึงกําหนดใน ACI 318-99 ดังนันบริเวณของ
ข้ อหมุนพลาสติกเหล่านีจําเป็ นต้ องมีการจัดรายละเอียดของเหล็กเสริมเป็ นพิเศษเพือให้ มีความเหนียว
และสามารถดูดซับพลังงานได้ ลักษณะการวางตําแหน่งของข้ อหมุนพลาสติกโดยหลักการของเสา
แข็งแรงและคานอ่อนนี แสดงในรูปที 3.8 โดยทีจุดดําในรูปแสดงถึงตําแหน่งของข้ อหมุนพลาสติก
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 51

รูปที 3.8 การจัดตําแหน่ งของข้ อหมุนพลาสติกโดยหลักการของเสาแข็งแรงและคานอ่ อน

บริเวณข้ อหมุนพลาสติกเหล่านีจะออกแบบให้ สามารถหมุนได้ ถึงระดับการเปลียนรูป


พลาสติกโดยให้ มีความเหนียวเพียงพอเรี ยกว่า ความเหนียวต่อการดัดโค้ ง (curvature ductility) ซึง
คํานวณได้ จาก
Im
PI (3.11)
Iy
โดยที PI คือ ความเหนียวต่อการดัดโค้ ง
Im คือ ความโค้ งสูงสุด (maximum curvature)
Iy คือ ความโค้ งทีจุดคราก (yield curvature)
ความเหนียวต่อการดัดโค้ งของโครงสร้ างแต่ละชินส่วนเรี ยกว่า ความเหนียวขององค์
อาคาร (member ductility) เมือพิจารณาโครงสร้ างอาคารทังหลัง ซึงประกอบด้ วยองค์อาคารของ
คานและเสาดังแสดงในรูปที 3.8 ความเหนียวของโครงสร้ างทังระบบจะเรี ยกว่า ความเหนียวของระบบ
(system ductility) ซึงนิยมวัดในรูปของ ความเหนียวต่อการเปลียนตําแหน่ง (displacement
ductility) คํานวณได้ จาก

um
P (3.12)
uy
52 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

โดยที P คือ ความเหนียวต่อการเปลียนตําแหน่ง


umคือ การเปลียนตําแหน่งสูงสุด (maximum displacement)
uy คือ การเปลียนตําแหน่งทีจุดคราก (yield displacement)
ความสัมพันธ์ระหว่างแรงและการเปลียนตําแหน่งของโครงสร้ างเมือรับแรงกระทําในลักษณะ cyclic
loading สําหรับพฤติกรรมโครงสร้ างอย่างง่ายนิยมใช้ แบบ Elastic Perfectly Plastic (EPP) ดังแสดง
ในรูปที 3.9

กําลังต้ านทาน

fy

k
1
การเปลียนตําแหน่ง
uy um

- fy

รูปที 3.9 ความสัมพันธ์ ระหว่ างแรงและการเปลียนตําแหน่ งแบบ Elastic Perfectly Plastic (EPP)

จากรูปที 3.9 fy คือกําลังต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ างของโครงสร้ างทีจุดคราก และ


k คือค่าสติฟเนสของโครงสร้ าง

3.5 พฤติกรรมของโครงสร้ างรั บแรงแผ่ นดินไหว

3.5.1 แรงกระทําจากแผ่ นดินไหวต่ อโครงสร้ าง

โครงสร้ างโดยทัวไปสามารถทีจะแปลงให้ อยูใ่ นรูป mathematical model ได้ ดงั แสดงใน


รูปที 3.10 โดยทีนําหนักพืนหรื อหลังคามีมวล m โดยคิดให้ เสานีไม่มีมวลแต่มีคา่ สติฟเนส
(stiffness) k และมีคา่ damping c เป็ นตัวกระจายพลังงานของระบบโครงสร้ างอันอยูใ่ นรูปของ
ความร้ อนเนืองจากการยืดหดตัวของวัสดุ ความฝื ดของจุดรอยต่อต่างๆ เป็ นต้ น ระบบโครงสร้ างอย่าง
ง่ายนีเรี ยกว่า Single-Degree-of-Freedom Structures (SDOF) เนืองจากการเคลือนทีของ
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 53

โครงสร้ างสามารถเคลือนโดยอิสระได้ ในทิศทางเดียว เมือแรงแผ่นดินไหวกระทําทีฐานของโครงสร้ าง


อาคาร ทําให้ ฐานเคลือนทีไปเป็ นระยะ ug โครงสร้ างจะเคลือนทีไปเป็ นระยะ u สัมพัทธ์กบั พืนดิน

c
k/2 k/2

ug

รูปที 3.10 โครงสร้ างอาคารถูกแรงแผ่ นดินไหวกระทําทีฐาน

สมการการเคลือนทีของโครงสร้ างสามารถเขียนได้ ดังนี

2
u  2[Znu  Z n u ug (3.13)

โดยที u เป็ นอัตราเร่งของมวล m


u เป็ นความเร็วของมวล m
u เป็ นการเคลือนทีทางด้ านข้ าง

สมการการเคลือนทีของโครงสร้ างนีหมายความว่า โครงสร้ างจะถูกกระทําด้ วยแรงแผ่นดินไหวมีอตั รา


เร่ง üg ซึงเทียบเท่ากันกับโครงสร้ างซึงมีฐานยึดแน่น และมีแรงกระทําทีมวลของอาคารสามารถเขียน
เป็ นรูปได้ ดงั นี
54 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

uo uo

m fso m

=
c h c
k/2 k/2 k/2 k/2

.. Vb
ug
Mb

ก) แรงกระทําแบบจลน์ ข) แรงกระทําแบบสถิตย์

รูปที 3.11 โครงสร้ างเทียบเท่ าสําหรับแรงกระทําแบบสถิตย์

จากสมดุลของแรง จะได้ วา่ fso = kuo


= mZn2uo = mA (3.14)
โดยที คือ ผลตอบสนองของการเปลียนรูปสูงสุดของโครงสร้ าง
uo
fso คือ แรงสถิตย์เทียบเท่า (Equivalent Static Force)
แรง fso นีจะถูกต้ านทานด้ วยแรงเฉือนทีฐานอาคาร (Base Shear Force, Vb)
Vb = fso = mA (3.15)
หรื อ

Vb
A
W
(3.16)
g

เมือ Wคือ นําหนักของอาคาร


g คือ แรงโน้ มถ่วงของโลก
ค่า A/g นีเรี ยกอีกอย่างหนึงได้ ว่าสัมประสิทธิของแรงเฉือนทีฐานอาคาร (Base Shear Coefficient)
และ โมเมนต์ต้านทานทีฐานอาคาร คํานวณได้ จาก

Mb = Vbh (3.17)
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 55

3.5.2 กราฟการออกแบบโครงสร้ างในช่ วงยืดหยุ่น (Elastic Design Spectra)

เมือโครงสร้ างถูกกระทําด้ วยอัตราเร่งแผ่นดินไหว üg ใดๆ ค่าการเปลียนรูปตอบสนอง


(deformation response), u สามารถคํานวณได้ จากสมการของการเคลือนที (สมการที 3.13) โดย
วิธี step-by-step direct integration จากนันจะนําผลการคํานวณมาเขียนเป็ นกราฟของ สเปคตรัม
ของอัตราเร่งตอบสนองได้ เรี ยกว่า Acceleration Response Spectrum โดยที Response
Spectrum คือ การเขียนค่าสูงสุดของปริ มาณผลตอบสนองใดๆ เป็ นฟั งก์ชนกั ั บค่าคาบการสันไหว
ธรรมชาติ Tn ของระบบโครงสร้ าง
จากกราฟของ สเปคตรัมของอัตราเร่งตอบสนอง จะสามารถคํานวณแรงเฉือนทีฐาน
อาคาร Vb ได้ จากสมการที 3.16 โดยทีกราฟของสเปคตรัมของอัตราเร่งตอบสนอง ขึนอยูก่ บั คลืน
แผ่นดินไหวทีบันทึกได้ บนสภาพชันดินต่างๆ ข้ อกําหนดของ Uniform Building Code (UBC-1994)
จึงได้ จําแนกสภาพชันดินเหล่านี ตามลักษณะของกราฟของสเปคตรัมของอัตราเร่งตอบสนองทีมีความ
คล้ ายคลึงกัน ออกได้ เป็ น 4 ประเภท คือ
1) ชันหินและชันดินแข็งมาก
2) ชันดินแข็งปานกลาง
3) ชันดินอ่อนถึงแข็งปานกลาง
4) ชันดินเหนียวอ่อน
สําหรับอาคารทีตังอยู่บนแต่ละสภาพชันดินนี จะมีกราฟของสเปคตรัมของอัตราเร่ง
ตอบสนอง ทีแตกต่างกันไป ซึงสามารถสร้ างได้ โดยการคํานวณ สเปคตรัมของอัตราเร่งตอบสนองจาก
คลืนแผ่นดินไหว ทีบันทึกได้ ในแต่ละสภาพชันดินนันๆ เป็ นจํานวนมากพอเพียง นํามาเขียนลงในกราฟ
รูปเดียวกัน แล้ วคํานวณค่า Mean และ Mean-plus-one-standard-deviation ดังแสดงในรูป ที
3.12 สําหรับกรณีของสภาพชันหิน
เส้ นกราฟทีใช้ ในการออกแบบ จะพิจารณาจากกราฟของ Mean และ Mean-plus-
one-standard-deviation ซึงเรี ยกว่า กราฟการออกแบบโครงสร้ างในช่วงยืดหยุน ่ (Elastic Design
Spectra) ดังแสดงโดยกราฟทีใช้ ในการออกแบบโดย UBC-1994 สําหรับ สภาพชันหิน (S1) ซึงใช้
สําหรับการคํานวณหา Base shear force จากสมการที 3.16 Vb = (A/g)W โดยทีพิจารณาว่า
โครงสร้ างมีพฤติกรรมการรับแรงในช่วงยืดหยุน่
56 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

6.00

Mean
Mean + 1SD
UBC-S1
Base Shear Coefficient, A/g

4.00

2.00

0.00
0.00 1.00 2.00 3.00
รูปที 3.12 กราฟของสเปคตรัมของอัตราเร่ งตอบสนอง Period, sec
สําหรับคลืนทีบันทึกบนชันหินและชันดินแข็งมาก (38 คลืน)
(Panyakapo P., 1999)

ตัวอย่ างที 3.1 ถังเก็บนําคอนกรี ตเสริมเหล็กสร้ างเป็ นหอสูงทังหมด 9 เมตร มีขนาดและรูปร่างดัง


แสดงในรูปที 3.13 หากหอสูงนีสร้ างอยูใ่ นเขต จ. กาญจนบุรี โดยทีมีสภาพชันดินเป็ นดินแข็งมาก จง
คํานวณหาแรงเฉือนและโมเมนต์ทีฐานของหอสูงหลังนีเนืองจากแรงแผ่นดินไหวโดยพิจารณาการ
ออกแบบโครงสร้ างในช่วงยืดหยุน่ (Elastic Design)

ระดับนํ าสูงสุด 1.0 ม. 3.0 ม.

2.0 ม.
0.15 ม.
B B

รูปตัด B-B
0.80 ม.
6.0 ม.

A A รูปตัด A-A

รูปที 3.13 หอสูงถังเก็บนําคอนกรีตเสริมเหล็ก


บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 57

กําหนดให้
f cc 250 กก . / ซม .2
กราฟการคํานวณแรงเฉือนทีฐานใช้ คา่ สัมประสิทธิแรงเฉือน ( C ) ตาม UBC-1994
1.25 S
C 2
T 3
โดยที S = 1.0 สําหรับสภาพดินประเภท S1 (ดินแข็งมาก)
และ C มีคา่ ไม่เกิน 2.75
วิธีทาํ
คํานวณค่า Inertia, I ของเสา จาก
S D4 S (80)4
I 2.01u106 ซม.4
64 64
Ec 4, 270w1.5 fcc 4, 270(2.4)1.5 250 2.51u105 กก./ซม.2
คํานวณค่าสติฟเนสของเสาจาก
3Ec I 3(2.51x105 )(981)(2.01x106 )
k 6.87 u106 นิวตัน/ซม.
h3 (600)3
คํานวณมวลของถังนํา โดยแบ่งออกเป็ น 2 กรณี คือ
ก) กรณีทีมีนําในถังเต็มทีระดับนําสูงสุด
นําหนักของนําในถัง
S D2 S (2.70)2
Ww H 2.0 u1, 000 11, 451 กก.
4 4
นําหนักของถังคอนกรี ตเสริมเหล็ก
S D
2
H
Wc [2S rtH  S (ro 2  ri 2 )  t ] u 2, 400
3 4
S 3
2 2 2
2.85 1 § 3.0 · § 2.70 ·
[2S u u 0.15 u 2.0  S (¨ ¸ ¨ ¸ ) 0.15 ] u 2, 400
2 3 © 2 ¹ © 2 ¹ 4
10,066 กก.
มวลของถังนํา = Ww + Wc = 11,451+ 10,066 = 21,517 กก.
คํานวณความถีเชิงมุมธรรมชาติ Zn
Zn k m 6.87 u106 21,517 17.87 เรดียน/วินาที
คํานวณคาบการสันตามธรรมชาติ Tn
2S 2S
Tn 0.35 วินาที
Zn 17.87
58 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว

ข) กรณีทีไม่มีนําในถัง
มวลของถังนํา = Wc = 10,066 กก.
คํานวณความถีเชิงมุมธรรมชาติ Zn
Zn k m 6.87 u106 10,066 26.12 เรเดียน/วินาที
คํานวณคาบการสันตามธรรมชาติ Tn
2S 2S
Tn 0.24 วินาที
Zn 26.12
จากกราฟการออกแบบโครงสร้ างในช่วงยืดหยุน่ สําหรับชันดินแข็งมาก เขียนค่าของ Tn = 0.24, 0.35
เพือหาค่าของสัมประสิทธิของแรงเฉือน ดังแสดงในรู ปที 3.14 จะได้ คา่ A/g = 2.75 และ 2.30
ตามลําดับ

3.00
2.75
2.30
Base Shear Coefficient, A/g

2.00 UBC-S1

1.00

0.00
0.2 0.3 0.4
0.00 1.00 2.00 3.00
Period, sec
รูปที 3.14 กราฟของการออกแบบโครงสร้ างในช่ วงยืดหยุ่น
สําหรับชันดินแข็งมาก
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 59

ดังนัน ในกรณีทีนําในถังเต็มทีระดับนําสูงสุด แรงเฉือนทีฐานของหอสูง (T 0.35)


A
Vb W 2.30 u 21,517 49, 489 กก.
g
และในกรณีทีไม่มีนําในถัง แรงเฉือนทีฐานของหอสูง (T 0.24)
A
Vb W 2.75 u10, 066 27, 682 กก.
g
เลือกใช้ ค่าทีมากกว่าในการออกแบบ นันคือ Vb = 49, 489 กก.
โมเมนต์ทีฐานของหอสูง Mb = Vb˜h
= 49, 489 u 6  1
= 346, 423 กก.-ม.
บทที 4
การออกแบบเสาอาคาร
4.1 บทนํา

ในโครงสร้ างอาคารสูง เสาอาคารนอกจากจะรับนําหนักทีถ่ายจากพืนและคานในแต่ละชัน


ลงมา เป็ นแรงกดอัดกระทําในแนวแกนเสาแล้ ว ในกรณีของการออกแบบโครงอาคารรับนําหนัก
บรรทุกปกติ ยังมีโมเมนต์ดดั กระทําเนืองจากการถ่ายโมเมนต์ไม่สมดุลจากคานหรื อแผ่นพืนลงสู่
เสาอีกด้ วย นอกจากนี หากมีการออกแบบให้ รับแรงกระทําทางด้ านข้ างเนืองจากแรงลมหรื อแรง
แผ่นดินไหวอีก ก็จะมีโมเมนต์ดดั กระทําต่อเสาด้ วยเช่นกัน ดังนัน พฤติกรรมของเสาในอาคารสูง
จึงมีลกั ษณะทีเรี ยกว่า คาน-เสา (beam-column) ในกรณีทีโมเมนต์ดดั มีคา่ น้ อยเสาจะมีพฤติกรรม
การรับแรงค่อนไปทางแรงกดอัดอย่างเดียว แต่ถ้าหากโมเมนต์ดดั มีคา่ มาก เสาจะมีพฤติกรรม
คล้ ายแบบคานได้
จากโครงข้ อแข็งในรูปที 4.1ก แสดงแรงกระทําจากนําหนักบรรทุกปกติ หากพิจารณาทีข้ อ
ต่อคาน-เสาภายใน นําหนักทีถ่ายจากคานลงสูเ่ สาชันล่างจะเท่ากับนําหนักจากเสาต้ นบนบวกกับ
แรงเฉือนทังสองข้ างของข้ อต่อ ( P2  V2  V3 ) ในกรณีทีพิจารณาเฉพาะนําหนักบรรทุกปกติ การ
ออกแบบเสาจะใช้ นําหนักกระทําในแนวแกนนีไปคํานวณขนาดเสาเท่านัน เนืองจากโมเมนต์ไม่
สมดุลทีถ่ายจากคานลงสูเ่ สาจะมีคา่ ไม่มากนัก แต่เมือพิจารณาออกแบบให้ รับแรงกระทําทาง
ด้ านข้ างด้ วยดังแสดงในรูปที 4.1ข จะมีโมเมนต์จากแรงลมกระทําทีเสาโดยตรง ซึงมีคา่ มากทีสุดที
เสาชันล่าง ดังนันการออกแบบเสาภายในแบบนี จึงเป็ นแบบคาน-เสา
สําหรับข้ อต่อคาน-เสาภายนอก นําหนักทีถ่ายจากคานลงสูเ่ สาชันล่างจะเท่ากับนําหนัก
จากเสาต้ นบนบวกกับแรงเฉือนเพียงข้ างเดียวของข้ อต่อ (V1  P1) และโมเมนต์ไม่สมดุลทีถ่าย
จากคานลงสูเ่ สาภายนอกจะมีคา่ มาก เนืองจากข้ อต่อภายนอกไม่มีคานด้ านนอกมาช่วยถ่าย
โมเมนต์ และเนืองจากนําหนักบรรทุกทีกระทําในแนวแกนของเสาภายนอกมักจะน้ อยกว่าเสา
ภายใน การออกแบบเสาภายนอกนีจึงอาจมีพฤติกรรมคล้ ายแบบคานได้
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

(ก) การโก่ งตัวของโครงสร้ างอาคารรั บนํ้าหนักบรรทุกปกติ (ข) การโก่ งตัวของโครงสร้ างอาคารรั บนํ้าหนักบรรทุกปกติและแรงลม

P1 P2

P1 V1 V2 P2 V3

V1 M M2 M3
1 V2 V3
V1+ P1 P2+ V2+ V3

ข้ อต่อภายนอก ข้ อต่อภายใน
(ค) รู ปอิ สระแสดงแรงภายในโครงสร้ าง

รูปที 4.1 การโก่ งตัวและแรงภายในของโครงสร้ างอาคารประเภทโครงข้ อแข็ง


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

4.2 พฤติกรรมของเสา

4.2.1 ความชะลูดของเสา

พิจารณาจากรูปที 4.2 โมเมนต์ดดั ทีกระทําต่อเสาเนืองจากการถ่ายโมเมนต์ไม่สมดุลจาก


คานหรื อโมเมนต์ดดั จากแรงลมเรี ยกว่า โมเมนต์หลัก (primary moment) สําหรับโมเมนต์จากผล
คูณของแรงกดอัดและค่าการโก่งตัวของเสาเรี ยกว่า โมเมนต์ลําดับสอง (secondary moment)
ดังนัน ค่าโมเมนต์ทีหน้ าตัดเสาจะเท่ากับ
Mi M  P' (4.1)
เมือ M i คือ โมเมนต์ทีหน้ าตัดใดๆของเสา
M คือ โมเมนต์หลัก
P' คือ โมเมนต์ลําดับสอง

P
P
'

M M

' + =

M
M
M P' Mi M  P'
P P

รูปที 4.2 โมเมนต์ หลักและโมเมนต์ ลาํ ดับสองของคาน-เสา

โดยทัวไป หากค่าสูงสุดของโมเมนต์ลําดับสองน้ อยกว่า 5% ของโมเมนต์หลัก จะจัดเสา


แบบนีว่าเป็ น เสาสัน และหากค่าโมเมนต์ลําดับสองเท่ากับหรื อมากกว่า 5% ของโมเมนต์หลัก จะ
จําแนกเป็ นเสายาว
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

4.2.2 โครงคํายันและโครงไม่ คายั


ํ น

โครงสร้ างอาคารซึงมีการยึดไม่ให้ มีการเคลือนตัวทางด้ านข้ างเรี ยกว่า โครงคํายันหรื อโครง


ไม่เซ (braced or nonsway frame) การยึดรังอาจเป็ นกําแพงรับแรงเฉือน ดังแสดงในรูปที 4.3ก
ในกรณีทีโครงสร้ างอาคารไม่มีการยึดรังด้ วยระบบคํายันใดๆเรี ยกว่า โครงไม่คํายันหรื อโครงเซ
(unbraced or sway frame) ดังแสดงในรูปที 4.3ข

กําแพงรั บแรงเฉือน

(ก) โครงอาคารคํ้ายั นด้วยกำแพงรั บแรงเฉื อน (ข) โครงอาคารไม่มีคํ้ายั น

รูปที 4.3 โครงอาคารแบบคํายันและโครงไม่ คายั


ํ น

ข้ อกําหนด ACI 318-05 เสนอหลักเกณฑ์การพิจารณาว่าโครงอาคารจําแนกเป็ นโครงคํา


ยันหรื อโครงไม่คายัํ น ดังนี
วิธีที 1 เสาอาคารจะจัดว่าเป็ นโครงคํายัน เมือโมเมนต์ลําดับสองมีคา่ ไม่เกิน 5% ของ
โมเมนต์หลัก
วิธีที 2 โครงอาคารในชันใดชันหนึงจะจัดว่าเป็ นโครงคํายัน เมือ
ค่าดัชนีความมันคง Q ¦ Pu 'o d 0.05 (4.2)
Vu lc
เมือ ¦ Pu และ Vu คือ นําหนักบรรทุกในแนวดิงทังหมดและแรงเฉือนในชันทีพิจารณา
lc คือ ความยาวของเสาโดยวัดจากจุดศูนย์กลางของข้ อต่อ
' o คือ ค่าการโก่งตัวสัมพัทธ์ระหว่างพืนชันทีอยูต ่ ิดกันเนืองจากแรงเฉือน Vu
คํานวณจากการวิเคราะห์ระดับที 1 (first-order analysis)
โดยใช้ I 0.70I gross สําหรับเสาและ I 0.35I gross สําหรับคาน
โดยที I gross เป็ นโมเมนต์อินเนอร์ เชียของหน้ าตัดทังหมด
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

ตัวอย่ าง 4.1 กําหนดองค์อาคารของโครงสร้ างอาคารระหว่างชันที 2 และ 3 ของอาคารหลังหนึง มี


การวิเคราะห์หาแรงกระทําและการเคลือนตัวเนืองจากแรงกระทําหลักจากการวิเคราะห์ระดับที 1
ดังแสดงในรูปที 4.4 จงคํานวณหาว่า โครงอาคารในระดับชันนีเป็ นแบบโครงคํายันหรื อโครงไม่คาํ
ยันจากค่าดัชนีความมันคง

Pu1 90, 000 kg Pu 2 135, 000 kg Pu 3 80, 000 kg


'o 'o 'o
Vu1 3, 000 kg Vu 2 4,500 kg Vu 3 2, 250 kg
ชันที

lc 4.00 m

ชันที

'o 2.0 cm
A B C

รูปที 4.4 โครงอาคารระหว่ างชันที 2 และ 3

วิธีทาํ จาก Q
¦ Pu 'o
Vu lc
(90, 000  135, 000  80, 000) u 2.0
3, 000  4,500  2, 250 u 400
0.156 ! 0.05 โครงอาคารในชันนีเป็ นแบบโครงไม่คายั
ํ น

4.3 ตัวคูณความยาวประสิทธิผลสําหรั บเสาในโครงข้ อแข็ง

ความยาวประสิทธิผลของเสาขึนอยู่กบั ลักษณะการคํายันของโครงอาคารและค่าความ
แข็งเชิงดัดของคาน ในขณะทีเสามีการโก่งตัวจากแรงกระทํา คานจะหมุนตัวตามไปด้ วยเนืองจาก
การยึดระหว่างคานและเสา ในกรณีทีคานมีความแข็งมากและไม่หมุนตัวไปตามเสา ลักษณะ
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

ปลายของเสา ณ จุดต่อแบบนีจะเป็ นแบบยึดแน่น (Fixed support) ทําให้ ความยาวประสิทธิผล


ของเสาลดลงจากช่วงความยาวจริง ส่วนในกรณีทีคานมีความอ่อนไหวต่อการดัด เสาจะมีการยึด
รังน้ อย ลักษณะปลายของเสาทีจุดต่อแบบนีจะใกล้ เคียงแบบยึดหมุน (pin support) ทําให้ ความ
ยาวประสิทธิผลของเสาเข้ าใกล้ กบั ความยาวจริง ดังแสดงในรูปที 4.5ก-ข

P P

a a

0.5l kab 0.5 l kab 1.0

b b

(ก) คานแข็ งเกร็ ง (ข) คานอ่ อนไหวต่อการดัด

รูปที 4.5 อิทธิพลของความแข็งของคานต่ อความยาวประสิทธิผลของเสา

ดังนัน การคํานวณหาความประสิทธิผลของเสาจึงขึนอยู่กบั อัตราส่วนระหว่างสติฟเนสของเสาและ


คาน ดังนี
\ ¦ Ec Ic Lc (4.3)
¦ Eg I g Lg

เมือ \ คือ ค่าอัตราส่วนระหว่างสติฟเนสของเสาและคาน


I c คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของเสา
I g คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของคาน
Lc และ Lg คือ ความยาวของเสาและคานวัดจากจุดศูนย์กลางของข้ อต่อ ตามลําดับ
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

Ec และ E g คือ โมดูลส


ั ยืดหยุน่ ของเสาและคาน ตามลําดับ
ในการคํานวณหาค่าโมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของแต่ละชินส่วนองค์อาคาร ACI
318-05 เสนอให้ ใช้ หน้ าตัดแบบแตกร้ าวและคํานึงถึงหน้ าตัดเหล็กเสริมด้ วย โดยการใช้ ดังนี
สําหรับคาน I 0.35I gross
สําหรับเสา I 0.70I gross
สําหรับกําแพง I 0.35I gross
สําหรับแผ่นพืนไร้ คาน I 0.25I gross
ในกรณีฐานรองรับเป็ นแบบข้ อหมุน \ f
ในกรณีฐานรองรับเป็ นแบบยึดแน่น \ 0

(a) (b)
รูปที 4.5 แผนภาพการหาตัวคูณความยาวประสิทธิผล (a) โครงคํายัน (b) โครงไม่ คายั
ํ น
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

4.4 การจําแนกประเภทของเสา

ข้ อกําหนด ACI 318-05 เสนอให้ ใช้ คา่ อัตราส่วนความชะลูดประสิทธิผลมาจําแนก


ประเภทของเสาออกเป็ น 2 ประเภท ดังนี
ก. จําแนกเป็ นเสาสัน
klu
สําหรับโครงไม่คายั
ํ น เมือ d 22 (4.4ก)
r
klu M1
สําหรับโครงคํายัน เมือ d 34  12 (4.4ข)
r M2
เมือ kคือ ตัวคูณความยาวประสิทธิผล
lu คือ ความยาวช่วงเสาสุทธิ
r คือ รัศมีไจเรชันของหน้ าตัดเสาสําหรับการดัดในแกนที พิจารณา
สําหรับหน้ าตัดเสารูปสีเหลียมผืนผ้ า r 0.3h , h เป็ นด้ านลึกทีมีการดัด
สําหรับหน้ าตัดเสากลม r 0.25D , D เป็ นเส้ นผ่าศูนย์กลาง
M1 คือ ค่าโมเมนต์ดด ั ทีน้ อยกว่า ณ ปลายเสา
M 2 คือ ค่าโมเมนต์ดด ั ทีมากกว่า ณ ปลายเสา
ข้ อกําหนด
x ค่า M1 M 2 มีคา่ เป็ นบวก ในกรณีทีเสาการโก่งทางเดียว
และมีคา่ เป็ นลบ ในกรณีทีเสาการโก่งสองทาง แต่ทงนี
ั ค่า M1 M 2 t 0.5

x เทอม 34  12 M1 จะต้ องใช้ ไม่เกิน 40


M2
x ในกรณีที ค่าโมเมนต์ดดั ปลายเสามีคา่ เป็ นศูนย์ หรื อ e M u Pu  emin
ให้ คํานวณค่าโมเมนต์จาก M Pu 1.5  0.03h
โดยที emin 1.5  0.03h (ซม.)

กรณีเสาสันนี จะถือว่าผลของโมเมนต์ลําดับสองมีคา่ น้ อยมากจนตัดทิงได้

ข. จําแนกเป็ นเสายาว
klu
เมือค่าอัตราส่วนความชะลูดประสิทธิผล เกินกว่าค่าในสมการ 4.4ก-ข ซึงค่าโมเมนต์
r
ลําดับสองมีคา่ มาก จึงต้ องนํามาคํานวณด้ วย
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

ตัวอย่ าง 4.2 โครงสร้ างอาคารคอนกรี ตเสริมเหล็กหลังหนึงสูง 2 ชัน หน้ าตัดคานมีขนาด 30x60


ซม. เท่ากันหมด เสาชันบนมีขนาด 30x35 ซม. เสาชันล่างมีขนาด 30x40 ซม. จงจําแนกประเภท
ของเสา bc ว่าเป็ นเสาสันหรื อเสายาว หากโครงสร้ างเป็ น (ก) โครงคํายัน (ข) โครงไม่คํายัน
กําหนดให้ คา่ E ของเสาและคานเท่ากัน
c
M1=3,000 kg-m
c
60 ซม. 35 ซม.
30x35 ซม.
4.0 ม.
b
b M2=4,500 kg-m
60 ซม. 40 ซม.
30x40 ซม. 4.5 ม.

a
9.0 ม. 7.5 ม.

รูปที 4.6 โครงอาคารและรูปอิสระของเสา bc


วิธีทาํ
(ก) โครงคํายัน
klu M1
จาก d 34  12
r M2
เนืองจาก M1 M 2 3,000 4,500 0.67  0.5 ในกรณีทีเสามีการโก่งสองทางใช้ 0.5
klu
ดังนัน 34  12 0.5 40
r

คํานวณค่าอัตราส่วนสติฟเนสของเสาและคาน จาก \ ¦ Ec Ic Lc ¦ Ic Lc
¦ Eg I g Lg ¦ Ig Lg
30 40
3
I ab 0.7 112, 000 ซม.3
12
30 35
3
Ibc 0.7 75, 031.25 ซม.3
12
30 60
3
Ig 0.35 189, 000 ซม.3
12
75, 031.25 400
ทีจุด c \c 0.406
189, 000 900  189, 000 750

ทีจุด b \b
75, 031.25 400  112, 000 450 0.945
189, 000 900  189, 000 750
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

จากรูปที 4.5 แผนภาพการหาตัวคูณความยาวประสิทธิผล k 0.72


0.72 400  60
ดังนัน klu 23.31  40
r 0.3 u 35
จึงจําแนกประเภทของเสา bc ว่าเป็ นเสาสัน

(ข) โครงไม่ คายั


ํ น
จากรูปที 4.5 แผนภาพการหาตัวคูณความยาวประสิทธิผล ใช้ คา่ \ b ,\ c คงเดิม แต่ใช้ แผนภาพ
สําหรับโครงเซจะได้ k 1.2
1.2 400  60
ดังนัน klu 38.86 ! 22
r 0.3 u 35
จึงจําแนกประเภทของเสา bc ว่าเป็ นเสายาว

4.5 เสาสันรั บแรงแนวแกน

สําหรับเสาปลอกเดียว
I Pn
0.8I ª0.85 fcc Ag  Ast  f y Ast º
¬ ¼
(4.5ก)
เมือ I คือ ตัวคูณลดกําลังสําหรับเสาปลอกเดียว 0.7
สําหรับเสาปลอกเกลียว
I Pn
0.85I ª0.85 fcc Ag  Ast  f y Ast º
¬ ¼ (4.5ข)
เมือ I คือ ตัวคูณลดกําลังสําหรับเสาปลอกเดียว 0.75
f cc , f y คือ กําลังอัดประลัยของคอนกรี ตและกําลังครากของเหล็กเริ ม ตามลําดับ
Ag , Ast คือ พืนทีหน้ าตัดของเสาคอนกรี ตและเหล็กเสริ ม ตามลําดับ
ข้ อกําหนดของรายละเอียดการเสริมเหล็ก
x ปริมาณเหล็กเสริมตามยาว 0.01 d U g d 0.08
x ระยะห่างสุทธิระหว่างเหล็กเสริมตามยาวไม่น้อยกว่า 1.5dbl หรื อ 3.8 ซม.
Smax d 16dbl
x ระยะห่างของเหล็กปลอก d 48dbt
db
เมือ Ug คือ อัตราส่วนระหว่างพืนทีหน้ าตัดเหล็กเสริมและหน้ าตัดเสาคอนกรี ต
dbl , dbt คือ ขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริ มตามยาวและเหล็กปลอก ตามลําดับ
b คือ ด้ านแคบของเสา
x ในกรณีที I Pn Pu ! 2 ให้ คํานวณปริ มาณเหล็กเสริ มจาก Ast (min.)
0.01 Ag 2
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

4.6 เสาสันรั บแรงแนวแกนและโมเมนต์ ดัด

การออกแบบเสาสันรับแรงแนวแกนและโมเมนต์ดดั นิยมใช้ กราฟความสัมพันธ์ระหว่าง


กําลังรับโมเมนต์ดดั ของเสาและกําลังรับแรงกดในแนวแกน (M-P Interaction Diagram) มาช่วย
ในการคํานวณหาปริมาณเหล็กเสริมในหน้ าตัดเสา ดังแสดงในรูปที 4.7
กํา ลังรับแรงกดในแนวแกนเสา
Pn , I Pn
Hc

a กราฟ กําลงั ป ระลยั ช่วงก


Pn , M n าร ออกแ fs 0
บ บด
ac กราฟ การออก ้ วยแ
รงอัด
แบบ Hc 0.003
b

I Pn , I M n bc
I Pn,max. จุดสมดุล f s fy
c Hy 0.002
cc
ช่วงการออกแบบ
ด้วยแรงดึง

d Hc 0.003
dc
พิ กัดการควบคุมด้ วยแรงดึง
กํา ลังรับโมเมนต์ดดั ของเสา M n , I M n Hy 0.005
รูปที 4.7 กราฟ M  P Interaction Diagram

กราฟข้ างบนมีลกั ษณะทีสําคัญดังนี


ก. กราฟเส้ นบนใช้ สําหรับโมเมนต์และแรงกดอัดประลัย ส่วนกราฟล่างใช้ สําหรับการ
ออกแบบโดยการคูณด้ วยค่าการลดกําลังของเสาปลอกเดียวหรื อเสาปลอกเกลียว
ข. จุด a และ ac ใช้ สําหรับเสารับนําหนักในแนวแกนเพียงอย่างเดียว
ค. จุด b และ bc ใช้ สําหรับเสาทีหน่วยแรงดึงในเหล็กเสริมเป็ นศูนย์
ง. จุด c และ cc ใช้ สําหรับเสาทีหน่วยแรงอัดในคอนกรี ตถึงจุดแตกและหน่วยแรงดึงในเหล็ก
เสริมถึงจุดคราก จึงเรี ยกว่าจุดสมดุลของแรง
จ. จุด d และ d c ใช้ สําหรับการออกแบบเสาให้ มีความเหนียว โดยทีหน่วยแรงอัดในคอนกรี ตถึง
จุดแตกและค่าการยืดตัวของเหล็กเสริมเลยจากจุดครากไปเป็ น 2.5H y
ฉ. ช่วงจากจุด a  c และ ac  cc ใช้ สําหรับเสาทีออกแบบด้ วยแรงกดอัดเป็ นหลัก
ช. ช่วงจากจุด c  d และ cc  d c และเลยจากช่วงนีไปใช้ สําหรับการออกแบบด้ วยแรงดึงเป็ น
หลัก ตัวอย่างกราฟการออกแบบเสารูปสีเหลียมและเสากลมทีเสนอโดย ACI Design
Handbook (1978) แสดงในรูปที 4.8 - 4.19
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

รูปที 4.8 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสาสีเหลียมเสริมเหล็กทังสีด้ าน J 0.45

รูปที 4.9 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสาสีเหลียมเสริมเหล็กทังสีด้ าน J 0.60


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

รูปที 4.10 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสาสีเหลียมเสริมเหล็กทังสีด้ าน J 0.75

รูปที 4.11 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสาสีเหลียมเสริมเหล็กทังสีด้ าน J 0.90


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

รูปที 4.12 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสาสีเหลียมเสริมเหล็กเพียงสองด้ าน J 0.45

รูปที 4.13 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสาสีเหลียมเสริมเหล็กเพียงสองด้ าน J 0.60


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

รูปที 4.14 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสาสีเหลียมเสริมเหล็กเพียงสองด้ าน J 0.75

รูปที 4.15 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสาสีเหลียมเสริมเหล็กเพียงสองด้ าน J 0.90


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

รูปที 4.16 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสากลม J 0.45

รูปที 4.17 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสากลม J 0.60


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

รูปที 4.18 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสากลม J 0.75

รูปที 4.19 กราฟ M-P Interaction Diagram สําหรับเสากลม J 0.90


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

ตัวอย่ าง 4.3 อาคารหลังหนึงมีโครงสร้ างเป็ นโครงข้ อแข็งสูง 4 ชัน แต่ละชันสูง 3.3 เมตร จากการ
ตรวจสอบค่าดัชนีความมันคงของโครงสร้ างพบว่าโครงสร้ างนีเป็ นโครงอาคารแบบไม่เซ
จงออกแบบเสาอาคารในระดับชันล่าง ab
กําหนดให้ เสามีขนาด 30x40 ซม.
ค่าตัวคูณความยาวประสิทธิผล k 0.8 สําหรับการโก่งในระนาบ xz ของโครงอาคาร
k 0.75 สําหรับการโก่งในระนาบ yz ของโครงอาคาร
โมเมนต์ในระนาบ xz แสดงในรูป ข. ส่วนโมเมนต์ในระนาบ yz เป็ นศูนย์
2 2
fcc 280 กก./ซม. f y 4, 200 กก./ซม.

Pu 150 Tons

Vu Mu 15 T  m 15 T  m
b
4@3.3 m=13.2m

b
z
a
y

a Vu
M u 13.5 T  m 13.5 T  m
x

Pu 150 Tons
(ก) โครงอาคารแบบข้ อแข็ ง (ข) แรงภายในเสา ab (ค) โมเมนต์ของเสา ab
รูปที 4.20 โครงอาคารตัวอย่ างสูง 4 ชัน

วิธีทาํ ตรวจสอบว่าเป็ นเสาสันหรื อเสายาวจากค่าความชะลูดของเสา


kl 0.8 u 330
ค่าความชะลูดของเสาในระนาบ xz 22
r 0.3 40
kl M
จําแนกเป็ นเสาสันเมือ d 34  12 1
r M2
เนืองจาก M1 M 2 13.5 15 0.9 (การโก่งดัดสองทาง)
มีคา่ น้ อยกว่า 0.5 จึงใช้ คา่ M1 M 2 0.5
kl
ดังนันเสาในระนาบ xz 22  34  12 0.5 40 จัดเป็ นเสาสัน
r
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

kl 0.75 u 330
ค่าความชะลูดของเสาในระนาบ yz 27.5
r 0.3 30
kl
ดังนันเสาในระนาบ yz 27.5  34  12 0 34 จัดเป็ นเสาสัน
r
คํานวณค่าในM-P Diagram โดยกําหนดให้ I Pn Pu
I Pn Pu 150
0.125 ตัน/ซม.2
Ag Ag 30 u 40
0.125 u14.22 1.78 ksi
Mu 15
e 0.10 ม.
Pu 150
I Pn e 0.10
1.78 0.445
Ag h 0.40
ใช้ เหล็กเสริมเพียง 2 ด้ าน คํานวณ J h 40  2(5) 30 ซม. ดังนัน J 30 40 0.75
จาก M-P Diagram รูปที 4.14 U g 0.02

Ast U g Ag 0.02 30 u 40 24 ซม.2 ใช้ 6DB25


คํานวณหาแรงเฉือนกระทําต่อเสา
จาก ¦ M 0 , Vu (15  13.5) / 3.3 8.64 ตัน
§ N ·
กําลังรับแรงเฉือนของเสา Vc 0.53 ¨1  0.0071 u ¸ fccbd
¨
© Ag ¸¹
§ 150, 000 ·
0.53 ¨1  0.0071 ¸ 280 (30 u 35) 17.58 ตัน
© 30 u 40 ¹
IV 0.85 u17.58
เนืองจาก Vu 8.64 ! c 7.47 และ
2 2
Vu 8, 640
Vs  Vc  17,580 7, 415  1.06 fccbd
I 0.85

หากใช้ เหล็กปลอกขนาด 9 มม. ระยะห่างของเหล็กปลอก


Smax d 16dbl 40
d 48dt 43.2
db 30
ดังนันใช้ เหล็กปลอกขนาด 9mm @0.30m
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

4.7 การออกแบบเสายาว

เนืองจากในพฤติกรรมของเสายาว โมเมนต์จะคํานวณจากผลรวมของโมเมนต์หลักทีปลาย
เสาและโมเมนต์ลําดับสอง จากผลกระทบของ P' ทําให้ โมเมนต์รวมมีการเพิมค่าขึนมา เรี ยกว่า
การขยายกําลังโมเมนต์ ในการคํานวณการขยายกําลังโมเมนต์นี จะแยกออกเป็ น 2 กรณี คือ เสา
ในโครงไม่มีการโยกตัวและเสาในโครงมีการโยกตัว ดังนี

4.7.1 เสาในโครงไม่ มีการโยกตัว

โมเมนต์รวมคํานวณจาก
Mc G ns M 2 (4.6)
เมือ M c คือ โมเมนต์รวมจากการขยายกําลังโมเมนต์
M 2 คือ ค่าโมเมนต์ปลายเสาทีมากกว่าระหว่างปลายสองด้ าน
M 2,min. Pu (1.5  0.03h) (4.7)
โดยที h มีหน่วยเป็ น ซม.
G ns คือ ตัวคูณการขยายกําลัง
Cm
G ns t 1 (4.8)
1  Pu 0.75 Pc
S 2 EI
Pc (4.9)
klu 2
Ec I g / 2.5
EI (4.10)
1  Ed
โดยที E d คือ อัตราส่วนระหว่างนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกทังหมด
ยกเว้ น สําหรับในโครงทีโยกตัวได้ และแรงกระทําด้ านข้ างเป็ นแรงลม
หรื อแรงแผ่นดินไหวซึงกระทําในช่วงสันๆ กําหนดให้ คา่ Ed 0
M1
Cm 0.6  0.4 (4.11)
M2
t 0.4 สําหรับเสาทีไม่มีแรงกระทําในแนวราบระหว่างปลายทังสอง
1.0 สําหรับเสาทีมีแรงกระทําในแนวราบระหว่างปลายทังสอง
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

รูปร่างของโครงสร้ าง การโก่งตัว โมเมนต์ รูปร่างของโครงสร้ าง การโก่งตัว โมเมนต์


Cm Cm
ของเสา ของเสา ของเสา ของเสา

2 M2 2
2 2

0.6  0.4  M1 M 2 1.0

1 1
1 M1 1

2 M2 2 M2
2 2

0.6  0.4 M1 M 2 0.4

1 1
1 M1 1 M2
M1
2

2 2 M2
2 2

1.0 0.6
M2

1 1
1 1

รูปที 4.21 ค่ าสัมประสิทธิ Cm


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

ตัวอย่ าง 4.4 อาคารหลังหนึงมีโครงสร้ างเป็ นโครงข้ อแข็งสูง 4 ชัน ชันล่างสูง 6.0 เมตร ตังแต่ชนั
สองขึนไปสูงชันละ 4.0 เมตร จากการตรวจสอบค่าดัชนีความมันคงของโครงสร้ างพบว่าโครงสร้ าง
นีเป็ นโครงอาคารแบบไม่เซ
จงออกแบบเสาอาคารในระดับชันล่าง ab
กําหนดให้ เสามีขนาด 30x45 ซม.
ค่าตัวคูณความยาวประสิทธิผล k 0.9 สําหรับการดัดรอบแกน y
k 0.85 สําหรับการดัดรอบแกน x
โมเมนต์ดดั รอบแกน y แสดงในรูป ข. ส่วนโมเมนต์ดดั รอบแกน x เป็ นศูนย์
2 2 2
fcc 280 กก./ซม. f y 4, 200 กก./ซม. Ec 2.2 u105 กก./ซม. Ed 0.6

Pu 240 Tons
3@4.0 m=12.0m

Vu Mu 8T m
b
y

b z
30 x
6.0 m

y
45
a a Vu
x
M u 1.35 T  m

Pu 240 Tons
(ก) โครงอาคารแบบข้ อแข็ ง (ข) แรงภายในเสา ab (ค) โมเมนต์ของเสา ab
รูปที 4.22 โครงอาคารตัวอย่ างแบบโครงข้ อแข็งสูง 4 ชัน

วิธีทาํ ตรวจสอบว่าเป็ นเสาสันหรื อเสายาวจากค่าความชะลูดของเสา


ค่าความชะลูดของเสาสําหรับการดัดรอบแกน y
kl 0.9 u 600
40
r 0.3 45
kl M1
จําแนกเป็ นเสาสันเมือ d 34  12
r M2
เนืองจาก M1 M2 1.35 8 0.17 (การโก่งดัดสองทาง)
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

kl
ดังนันเสาในระนาบ xz 40 ! 34  12 0.17 36.04 จัดเป็ นเสายาว
r
ค่าความชะลูดของเสาสําหรับการดัดรอบแกน x
kl 0.85 u 600
56.67
r 0.3 30
kl
ดังนันเสาในระนาบ yz 56.67 ! 34  12 0 34 จัดเป็ นเสายาว
r

สําหรับการดัดรอบแกน y
ออกแบบเป็ นเสายาว โดยมี M1 1.35 T  m M2 8.0 T  m
ตรวจสอบค่าโมเมนต์น้อยทีสุด
M 2,min. Pu (1.5  0.03h) 240 1.5  0.03 u 45 /100 6.84 T m
M2 8.0 T  m ! 6.84 T  m ใช้ คา่ M2 8.0 T  m
คํานวณ Mc G ns M 2
Cm
G ns t 1
1  Pu 0.75Pc
M1 1.35
Cm 0.6  0.4 0.6  0.4 0.533 ! 0.4 ใช้ ได้
M2 8.0
S 2 EI S 2 Ec I g / 2.5(1  E d )
Pc
klu 2 klu 2

ªS 2 2.2 u105 227,812.5 º / 2.5 1  0.6
¬ ¼
0.9 u 600 2

424.08 ตัน
Cm 0.533
G ns 2.17 > 1.0 ใช้ ได้
1  Pu 0.75Pc 1  240 0.75 u 424.08
Mc G ns M 2 2.17 u 8.0 17.36 ตัน-เมตร

คํานวณค่าในM-P Diagram โดยกําหนดให้ I Pn Pu 240


I Pn Pu 240
0.178 ตัน/ซม.2
Ag Ag 30 u 45
0.178 u14.22 2.53 ksi
Mc 17.36 u100
e 7.23 ซม.
Pu 240
I Pn e 7.23
2.53 0.406 ksi
Ag h 45
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

ใช้ เหล็กเสริมเพียง 2 ด้ าน คํานวณ J h 45  2(9) 27 ซม. ดังนัน J 27 45 0.60


จาก M-P Diagram รูปที 4.13 U g 0.038

Ast U g Ag 0.038 30 u 45 51.3 ซม.2 ใช้ 12DB25

สําหรับการดัดรอบแกน x
เนืองจาก M u 0 จึงใช้ emin. ในการคํานวณโมเมนต์ทีใช้ ออกแบบ
M 2,min. Pu 1.5  0.03h 240 1.5  0.03 u 20 5.76 ตัน-ม.
คํานวณ M c G ns M 2
Cm
G ns t 1
1  Pu 0.75Pc
M1
Cm 0.6  0.4
M2
เนืองจาก M1 M2 0 จึงใช้ M1 M 2 1
ดังนัน Cm 0.6  0.4 1

S 2 EI S 2 Ec I g / 2.5(1  E d )
Pc
klu 2 klu 2
ªS 2 2.2 u105 101, 250 º / 2.5 1  0.6
¬ ¼
0.85 u 600 2
211.31 ตัน
Cm 1
G ns  1.944 < 1.0 ใช้ 1.0
1  Pu 0.75 Pc 1  240 0.75 u 211.31
Mc G ns M 2 1.0 u 5.76 5.76 ตัน-เมตร
คํานวณค่าในM-P Diagram โดยกําหนดให้ I Pn Pu 240
I Pn Pu 240
0.178 ตัน/ซม.2
Ag Ag 30 u 45
0.178 u14.22 2.53 ksi
Mc 5.76 u100
e 2.40 ซม.
Pu 240
I Pn e 2.40
2.53 0.20 ksi
Ag h 30
ใช้ เหล็กเสริมเพียง 2 ด้ าน คํานวณ J h 30  2(6) 18 ซม. ดังนัน J 18 30 0.60
จาก M-P Diagram รูปที 4.13 U g 0.018

Ast U g Ag 0.018 30 u 45 24 ซม.2 ใช้ 6DB25


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

4.7.2 เสาในโครงมีการโยกตัว

ในการคํานวณโมเมนต์สําหรับเสายาวทีมีการโยกตัว ค่าโมเมนต์ทีปลายเสาทังสองด้ าน
คํานวณจาก
M1 M1ns  G s M1s (4.12a)
M2 M 2ns  G s M 2s (4.12b)
เมือ M1 คือ ค่าโมเมนต์ปลายเสาทีน้ อยกว่า มีคา่ บวกเมือเสามีการโก่งทางเดียว
และมีคา่ เป็ นลบเมือเสามีการโก่งสองทาง
M2 คือ ค่าโมเมนต์ปลายเสาทีมากกว่า มีคา่ เป็ นบวกเสมอ
M1ns และ M 2ns คือ ค่าโมเมนต์ในโครงทีไม่มีการโยกตัว (nonsway moment) คํานวณจาก
นําหนักบรรทุกปกติ การวิเคราะห์โครงอาคารแบบยืดหยุน่ ระดับทีหนึง
M1s และ M 2s คือ ค่าโมเมนต์ในโครงทีมีการโยกตัว (sway moment) คํานวณจากแรง
กระทําทางด้ านข้ างทีทําให้ เกิดการโยกตัว
Gs คือ ตัวคูณการขยายกําลังจากการโยกตัว
1
Gs , G s d 1.5 (4.13a)
1 Q
เมือ Q ¦ Pu 'o Vu lc ถ้ าหากค่า G s > 1.5 จะต้ องคํานวณค่า G s จาก
1
Gs (4.13b)
1  ¦ Pu / 0.75¦ Pc
โดยที 1 d G s d 2.5
เมือ ¦ Pu คือ ผลรวมของนําหนักบรรทุกลงสูเ่ สาในชันหนึง
¦ Pc คือ ผลรวมของกําลังรับนําหนักของเสาในชันหนึงคํานวณจากสมการ 4.9
ในกรณีทีเสายาวและมีนําหนักบรรทุกสูง ทําให้ คา่ โมเมนต์สงู สุดไม่เกิดขึนทีปลายเสา ซึงจะเกิดขึน
เมือตรวจสอบจาก
lu 35
! (4.14)
r Pu fcc Ag
สําหรับกรณีนี ให้ คํานวณค่าโมเมนต์รวมจาก
Mc G ns M 2ns  G s M 2s (4.15)
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

ตัวอย่ าง 4.5 อาคารหลังหนึงมีโครงสร้ างเป็ นระบบโครงข้ อแข็ง มีความสูง 5 ชันและมีชนใต้


ั ดนิ
1 ชัน เสาอาคารมีขนาด 55x55 ซม. คานมีขนาด 45x75 ซม. เท่ากันหมด
จงออกแบบเสาต้ นนอกของอาคารในระดับชันล่าง G
กําหนดให้ fcc 280 กก./ซม.2 f y 4, 200 กก./ซม.2 Ec 2.2 u105 กก./ซม.2
จากการคํานวณได้ คา่ นําหนักบรรทุก แรงกระทําต่อโครงสร้ างและการโยกตัวจากแรงลม
แสดงในตาราง 4.1
Roof +19.50

5 +16.00

4 +12.50

3 +9.00

b 2 +5.50

a G 0.00

B -3.50

9.00 m 9.00 m 9.00 m

รูปที 4.23 โครงอาคารตัวอย่ างแบบโครงข้ อแข็งสูง 5 ชัน

ตาราง 4.1 ค่ านําหนักบรรทุก แรงกระทําต่ อโครงสร้ างและการโยกตัวสําหรับแต่ ละชัน


โดยคํานวณจากผลรวมของเสาทุกต้ นของชันนัน
ระดับชัน นําหนักบรรทุก แรงเฉือน การโยกตัวระหว่างชัน การเคลือนตัวของชัน
¦ Pu (ตัน) Vu (ตัน) ' i (ซม.) ¦ 'i (ซม.)
หลังคา 465 8.5 0.05 1.89
5 930 17 0.06 1.84
4 2,030 34 0.14 1.78
3 2,975 51 0.22 1.64
2 3,900 68 1.10 1.42
G 4,800 85 0.32 0.32
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

กําหนดให้ คา่ โมเมนต์ของเสาต้ นนอกเนืองจากนําหนักบรรทุกและแรงลมแสดงในรูปที 4.24 และ


ค่านําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรสําหรับเสาต้ นนอกแสดงในตารางที 4.2

M D (T  m) M L (T  m) M w (T  m)
Roof

5 6.2 6.8 2.1

4 6.2 6.8 6.3

3 6.2 6.8 12.6

2 6.2 6.8 21.0

G 6.2 6.8 32.7

รูปที 4.24 โมเมนต์ ของเสาต้ นนอกเนืองจากนําหนักบรรทุกและแรงลม

ตาราง 4.2 ค่ านําหนักบรรทุกและแรงลมกระทําสําหรับเสาต้ นนอก


ระดับชัน นําหนักบรรทุกคงที นําหนักบรรทุกจร นําหนักบรรทุกจากแรงลม
PD (ตัน) PL (ตัน) Pw (ตัน)

5 15 18 0.08
4 32 40 0.23
3 47 59 0.47
2 62 78 0.78
G 75 95 1.20
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

วิธีทาํ
พิจารณาการรวมนําหนักบรรทุก 3 แบบตามข้ อกําหนด ACI318-99 คือ
กรณีที 1 DL+LL U = 1.4DL+1.7LL
กรณีที 2 DL+LL+WL U = 0.75(1.4DL+1.7LL+1.7W)
= 1.05DL+1.275LL+1.275WL
กรณีที 3 DL+WL U = 0.9DL+1.3WL

กรณีที 1 DL+LL
โดยทัวไป ค่าการโก่งตัวของเสาอาคารเนืองจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร จะมีคา่
น้ อยมาก ยกเว้ นในกรณีทีอาคารมีความสูงมาก จนต้ องตรวจสอบค่าการโก่งตัว ดังนัน ในกรณีนี
จะถือว่า โครงอาคารเป็ นแบบไม่โยกตัว (nonsway frame)
ตรวจสอบความชะลูดของเสาว่าเป็ นเสาสันหรื อเสายาว
klu M1
จาก d 34  12
r M2
เนืองจาก M1 M 2 (6.2  6.8) (6.2  6.8) 1.0  0.5 ใช้ 0.5
klu
ดังนัน 34  12 0.5 40
r

คํานวณค่าอัตราส่วนสติฟเนสของเสาและคาน จาก \ ¦ Ec Ic Lc ¦ Ic Lc
¦ Eg I g Lg ¦ Ig Lg
55 55
3
Ic 0.7 533, 786 ซม.3
12
45 75
3
Ig 0.35 553, 711 ซม.3
12
ทีจุด a \a
533, 786 350  533, 786 550 4.21
553, 711 900
ทีจุด b \b
533, 786 550  533, 786 350 4.21
553, 711 900
จากรูปที 4.5 แผนภาพการหาตัวคูณความยาวประสิทธิผล k 0.92
0.92 550  75
ดังนัน klu 26.48  40
r 0.3 u 55
จึงจําแนกประเภทของเสา ab ว่าเป็ นเสาสันแบบไม่โยกตัว
Pu 1.4PD  1.7 PL 1.4 75  1.7 95 266.5 ตัน
Mu 1.4M D  1.7M L 1.4 6.2  1.7 6.8 20.24 ตัน-เมตร
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

กรณีที 2 DL+LL+WL
ตรวจสอบว่าโครงอาคารเป็ นแบบโยกตัวหรื อไม่ จาก
ค่าดัชนีความมันคง Q ¦ Pu 'o d 0.05
Vu lc
4,800 u1.1
0.113 ! 0.05 โครงอาคารโยกตัว
85 u 550
ตรวจสอบความชะลูดของเสาว่าเป็ นเสาสันหรื อเสายาว
klu
จาก d 22
r
จากรูปที 4.5 แผนภาพการหาตัวคูณความยาวประสิทธิผล เมือ \ a ,\ b 4.21 , k 2.1
2.1 550  75
ดังนัน klu 60.45 ! 22
r 0.3 u 55
จึงจําแนกประเภทของเสา ab ว่าเป็ นเสายาวแบบมีการโยกตัว
คํานวณโมเมนต์จาก M 2 M 2ns  G s M 2s
M 2ns 1.05M D  1.275M L
1.05 6.2  1.275 6.8 15.18 ตัน-เมตร
1
Gs , G s d 1.5
1 Q
4,800 u1.1
เมือ Q ¦ Pu 'o Vulc 85 u 550
0.113
1 1
Gs 1.127  1.5 ใช้ ได้
1 Q 1  0.113
M 2s 1.275M w 1.275 32.7 41.69 ตัน-เมตร
ดังนัน M2 15.18  1.127 41.69 62.16 ตัน-เมตร
Pu 1.05PD  1.275PL  1.275Pw
1.05 75  1.275 95  1.275 1.2
201.41 ตัน
ตรวจสอบ กรณีที ค่าโมเมนต์สงู สุดไม่เกิดขึนทีปลายเสา จาก
lu 35
!
r Pu fcc Ag
lu 550  75
28.8
r 0.3 55
35 35
71.77
Pu fcc Ag

201, 410 / 280 u 552
ดังนัน ค่าโมเมนต์สงู สุดเกิดขึนทีปลายเสา
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

กรณีที 3 DL+WL
ใช้ ผลการคํานวณจากกรณีที 2 จะได้ วา่ เสา ab เป็ นเสายาวแบบมีการโยกตัว
คํานวณโมเมนต์จาก M 2 M 2ns  G s M 2s
M 2ns 0.9M D
0.9 6.2 5.58 ตัน-เมตร
จากผลการคํานวณกรณีที 2 Gs 1.127
M 2s 1.3M w 1.3 32.7 42.51 ตัน-เมตร
ดังนัน M2 5.58  1.127 42.51 53.49 ตัน-เมตร
Pu 0.9PD  1.3Pw
0.9 75  1.3 1.2
69.06 ตัน
สรุปผลการคํานวณค่า Pu , M u จากทัง 3 กรณี ได้ ดงั นี
กรณีที 1 DL+LL Pu 266.5 ตัน Mu 20.24 ตัน-เมตร
กรณีที 2 DL+LL+WL Pu 201.41 ตัน Mu 62.16 ตัน-เมตร
กรณีที 3 DL+WL Pu 69.06 ตัน Mu 53.49 ตัน-เมตร
เนืองจากกรณีที 3 ค่า Pu , M u น้ อยกว่ากรณีที 2 จึงตัดกรณีที 3 ออกไป ดังนันจึงเหลือการคํานวณ
เปรี ยบเทียบระหว่างกรณีที 1 และ 2

คํานวณปริมาณเหล็กเสริมสําหรับ กรณีที 1 DL+LL


คํานวณค่าในM-P Diagram โดยกําหนดให้ I Pn Pu
I Pn Pu 266.5
0.088 ตัน/ซม.2
Ag Ag 55 u 55
0.088 u14.22 1.25 ksi
Mu 20.24
e 0.076 ม.
Pu 266.5
I Pn e 0.076
1.25 0.17
Ag h 0.55
ใช้ เหล็กเสริม 4 ด้ าน คํานวณ J h 55  2(7) 41 ซม. ดังนัน J 41 55 0.75
จาก M-P Diagram รูปที 4.10 U g  0.01

คํานวณปริมาณเหล็กเสริมสําหรับกรณีที 2 DL+LL+WL
คํานวณค่าในM-P Diagram โดยกําหนดให้ I Pn Pu
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร

I Pn Pu 201.41
0.066 ตัน/ซม.2
Ag Ag 55 u 55
0.066 u14.22 0.94 ksi
Mu 62.16
e 0.309 ม.
Pu 201.41
I Pn e 0.309
0.94 0.53 ksi
Ag h 0.55
ใช้ เหล็กเสริม 4 ด้ าน คํานวณ J h 55  2(7) 41 ซม. ดังนัน J 41 55 0.75
จาก M-P Diagram รูปที 4.10 U g 0.025

Ast U g Ag 0.025 55 u 55 75.63 ซม.2 ใช้ 16DB25


คํานวณหาแรงเฉือนกระทําต่อเสา
จาก ¦ M 0 , Vu (M1  M 2 ) / L
M1s 1.275M w 1.275 21.0 26.78 ตัน-เมตร
ดังนัน M1 15.18  1.127 26.78 45.36 ตัน-เมตร
Vu (45.36  62.16) / 5.5 19.55 ตัน
§ N ·
กําลังรับแรงเฉือนของเสา Vc 0.53 ¨1  0.0071 u ¸ fccbd
¨
© Ag ¸¹
§ 210, 410 ·
0.53 ¨1  0.0071 ¸ 280 (55 u 48) 34.48 ตัน
© 55 u 55 ¹
IV 0.85 u 34.48
เนืองจาก Vu 19.55 ! c 14.65 และ
2 2
Vu 19,550
Vs  Vc  34, 480 11, 480  1.06 fccbd
I 0.85
.
Smax d 16dbl 40
หากใช้ เหล็กปลอกขนาด 9 มม. ระยะห่างของเหล็กปลอก d 48dt 43.2
db 55
ดังนันใช้ เหล็กปลอกขนาด 9mm @0.40m
55 ซม.

เหล็กยื น 16DB25
55 ซม.

เหล็กปลอก 3RB9@0.40m
šš¸É 5
„µ¦°°„ÂŸnœ¡ºœÊ Ŧo‡µœ
5.1 „µ¦‡Îµœª–°°„ÂŸnœ¡ºÊœ

Ĝšœ¸Ê‹³„¨nµª™¹Š„µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÃ—¥ÁœoœÁŒ¡µ³ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ ץčo
¤µ˜¦“µœ ACI Ž¹ÉŠÁ­œ°ª·›¸„µ¦‡Îµœª–°°„ÂŸnœ¡ºÊœ 2 ª·›¸‡º°
„) ª·›¸‡Îµœª–°°„Ã—¥˜¦Š (Direct Design Method) Áž}œª·›¸„µ¦‡Îµœª–°°„
×¥„µ¦Äo‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í…°ŠÃ¤Á¤œ˜r¤µ‡Îµœª–®µÃ—¥˜¦Š ×¥š¸ÉŸnœ¡ºœÊ œ´œÊ ‹³˜o°Š¤¸
‡»–­¤´˜·˜µ¤…o°„ε®œ—…°Š¤µ˜¦“µœ ACI 318-99
…) ª·›¸Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ (Equivalent Frame Method) Áž}œª·›¸„µ¦‡Îµœª–°°„
×¥¡·‹µ¦–µ¡§˜·„¦¦¤Ã‡¦Š­¦oµŠÄœnªŠ¥º—®¥»nœ ª·›¸„µ¦œ¸Êčo„´Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦Å—o°¥nµŠ
„ªoµŠ…ªµŠ„ªnµª·›¸Â¦„ ÁœºÉ°Š‹µ„„µ¦‡Îµœª–×¥ª·›¸Â¦„¤¸…o°‹Îµ„´—š¸ªÉ µn Ÿnœ¡ºœÊ ‹³˜o°Š¤¸
‡»–­¤´˜·˜µ¤…o°„ε®œ—…°Š¤µ˜¦“µœ ACI —´Šœ´Êœª·›¸š¸É 2 Ž¹ÉŠ­µ¤µ¦™‡Îµœª–°°„ÂŸnœ
¡ºÊœÅ—o ץŤn¤¸…o°‹Îµ„´——´Š„¨nµª ‹¹ŠÁ®¤µ³­¤š¸É‹³Äo¤µ„„ªnµ Ĝšœ¸Ê‹³Å—o„¨nµª™¹Šª·›¸„µ¦œ¸Ê
×¥¨³Á°¸¥—˜n°Åž

‡ªµ¤®œµ…°ŠÂŸnœ¡ºÊœ
Ĝ„µ¦°°„ÂŸnœ¡ºœÊ ‹³˜o°Š¤¸„µ¦‡ª‡»¤¤·Ä®o¡ºÊœ¤¸‡µn „µ¦Ã„nŠ˜´ª¤µ„Á„·œÅž
¤µ˜¦“µœ ACI 318-99 ‹¹ŠÅ—o„ε®œ—‡ªµ¤®œµ˜Éε­»—…°ŠÂŸnœ¡ºœÊ Ūo Á¡ºÉ°Áž}œ„µ¦­³—ª„­Îµ®¦´
ª·«ª„¦Ÿ¼o°°„ ™oµ®µ„čo‡nµ‡ªµ¤®œµ˜µ¤š¸É„ε®œ—„È‹³‡ª‡»¤‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ªÅ—o ‡nµ‡ªµ¤
®œµ˜Éε­»—…°Š¦³ÂŸnœ¡ºœÊ Ŧo‡µœ ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 5.1

˜µ¦µŠš¸É 5.1 ‡ªµ¤®œµ˜ÉµÎ ­»—…°Š¦³ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ


‡ªµ¤®œµ˜Éε­»—, h (Ž¤.)
¦³ÂŸnœ¡ºœÊ ­°ŠšµŠ fy = 3,000 fy = 4,000 fy = 5,000

Ÿnœ¡ºÊœšo°ŠÁ¦¸¥ (flat plate) (hmin = 12.5 Ž¤.) ln/33 ln/30 ln/28


ln/36 ln/33 ln/31
Ÿnœ¡ºÊœ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ (flat slab) (hmin = 10.0 Ž¤.)
®¤µ¥Á®˜»: fy ‡º° „ε¨´Š‡¨µ„…°ŠÁ®¨È„Á­¦·¤, „„./Ž¤.2
ln ‡º° ‡ªµ¤¥µª (clear span) Ĝš·«šµŠ—oµœ¥µª…°ŠÂŸnœ¡ºÊœ, Ž¤.
94 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

­Îµ®¦´…œµ—¦µ¥¨³Á°¸¥—…°ŠÂžjœ®´ªÁ­µÄœÂŸnœ¡ºœÊ ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.1

/6 /6
( in each direction )
h 1.25 h

¦¼žš¸É 5.1 ¦µ¥¨³Á°¸¥—…°Š Drop Panel

5.2 „µ¦°°„Â™¡ºÊœ (Strip Design)


Ĝ„µ¦ª·Á‡¦µ³®rŸnœ¡ºœÊ ‹³¤¸„µ¦ÂnŠ¡ºœÊ °°„Áž}œÂ™Á­µ (column strip) ¨³
™„¨µŠ (middle strip) —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.2
l2 l2
l2 /2 l2 /2 l2 /2
l2 /4 l2 /4 l2 /4
™Á­µ­nªœœ°„
™Á­µ­nªœÄœ

™„¨µŠ

l1

ǦŠ…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ ǦŠ…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ
­nªœÄœ ­nªœœ°„
„) „µ¦ÂnŠÂ™¡ºÊœ­Îµ®¦´ l2 < l 1
l2 l2
l2 /2 l2 /2 l2 /2
l1 /4 l1 /4 l1 /4
™Á­µ­nªœÄœ

™Á­µ­nªœœ°„
™„¨µŠ

l1

ǦŠ…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ ǦŠ…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ
­nªœÄœ ­nªœœ°„
…) „µ¦ÂnŠÂ™¡ºÊœ­Îµ®¦´ l2 > l 1

¦¼žš¸É 5.2 „µ¦°°„Â™¡ºÊœ­Îµ®¦´Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ


šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 95

5.3 ǦŠ…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ (Equivalent Frame)

ª·›¸„µ¦‡Îµœª–°°„Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ­Îµ®¦´ÂŸnœ¡ºœÊ Á¡ºÉ°¦´œÊ宜´„¦¦š»„
Áž}œ„µ¦Âž¨Š¦³Ã‡¦Š 3 ¤·˜· Ž¹ŠÉ ¤¸ÂŸnœ¡ºœÊ ­°ŠšµŠ°¥¼n£µ¥Äœ Ä®oÁž}œ»—…°ŠÃ‡¦Š 2 ¤·˜· °´œ
ž¦³„°—oª¥ ¡ºÊœ-‡µœ ¨³Á­µ Ž¹ŠÉ ˜n¨³Ã‡¦Š¤¸‡ªµ¤­¼Š˜¨°—š´ÊŠ®¤—…°Š°µ‡µ¦—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É
5.3 ‡ªµ¤„ªoµŠ…°ŠÂ˜n¨³Ã‡¦Š‡¦°‡¨»¤„¹ÉŠ„¨µŠnªŠÁ­µ Ĝ„µ¦ª·Á‡¦µ³®r¦³Ã‡¦ŠÂœ¸šÊ ¸É
­¤¼¦–r‹³˜o°ŠšÎµ„µ¦ª·Á‡¦µ³®r ǦŠ£µ¥ÄœÂ¨³Ã‡¦Š£µ¥œ°„ ĜnªŠ˜µ¤¥µªÂ¨³˜µ¤…ªµŠ…°Š
°µ‡µ¦ ¨oª‹¹ŠœÎµ¤µž¦³„°„´œÁž}œ°µ‡µ¦š´ÊŠ®¤—

nªŠ
µ ‡ µ¦ 4
°Š°
¥ µª…
nªŠ

ǦŠ…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ£µ¥Äœ
nªŠ„ªoµŠ…°Š°µ‡µ¦ 3 nªŠ

¦¼žš¸É 5.3 ǦŠ…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ­Îµ®¦´°µ‡µ¦ 5 ´Êœ

°Š‡r°µ‡µ¦š¸É­µÎ ‡´…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ ž¦³„°—oª¥ ¡ºÊœ-‡µœ (slab-beam)


Á­µ (column) ¨³ °Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·— (torsional member) Ž¹ÉŠ¦°Š¦´—oª¥Á­µ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼ž
š¸É 5.4 ­Îµ®¦´°Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·— ‹³Áž}œ˜´ª™nµ¥Ã¤Á¤œ˜r¦³®ªnµŠ ¡ºœÊ -‡µœ ¨³Á­µ
96 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

2 1
Slab - Beam
Column Above
Kct
A1 A2

Torsional Member , Kta


Kcb /2 A
A2 A2

A2
/2 Parallel Beam
Kct B
A1
Torsional
Member , Kta

Kcb Slab – Beam


Column Below

¦¼žš¸É 5.4 °Š‡r°µ‡µ¦…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ

Ĝ„µ¦ª·Á‡¦µ³®rǦŠ¦³œ¸Ê ‹³˜o°Š¤¸„µ¦‡Îµœª–‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š„µ¦—´— (flexural


stiffness) …°Š·Êœ­nªœ°Š‡rž¦³„°š¸É­µÎ ‡´„n°œ —´Šœ¸Ê

5.3.1 ¡ºÊœ-‡µœ (Slab-Beams)


¦¼žÂš´ÉªÅž…°Š¦³¡ºœÊ Ž¹ÉŠ¤¸Â¨³Å¤n¤¸‡µœ¦°Š¦´Â­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.5-5.6 ˜n¨³
¦¼žÂ‹³Â­—Š®œoµ˜´—…°Š·Êœ­nªœÁ¡ºÉ°ÄoĜ„µ¦‡Îµœª–®µ‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š°Š‡r°µ‡µ¦¡ºÊœ-‡µœ
(slab-beam stiffness, Ksb) ­Îµ®¦´Å—°³Â„¦¤Ž¹ÉŠÂ­—Š‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š¡ºœ Ê -‡µœÁš¸¥Ášnµ
(equivalent slab-beam stiffness) ‹³ÄoĜ„µ¦®µ‡nµ¡µ¦µ¤·Á˜°¦rĜ„µ¦‡Îµœª–—oª¥ª·›¸ „µ¦
„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r (moment distribution) Ĝ„µ¦®µ‡Îµœª–‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š¡ºÊœ-‡µœ ¤¸„µ¦
¡·‹µ¦–µ—´Šœ¸Ê
šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 97

„) äÁ¤œ˜r‡ªµ¤ÁŒºÉ°¥…°Š¡ºÊœ-‡µœ¦³®ªnµŠŸ·ª…°ŠÁ­µ ‹³‡Îµœª–‹µ„¡ºœÊ š¸É®œoµ˜´—


š´ÊŠ®¤—…°Š‡°œ„¦¸˜
…) ‹»—¦°Š¦´ Ä®očoÁ­µ¦°Š¦´ ­Îµ®¦´‡µœ‹³Å¤n¡·‹µ¦–µÁž}œ‹»—¦°Š¦´
‡) äÁ¤œ˜r‡ªµ¤ÁŒºÉ°¥…°Š¡ºÊœ-‡µœ‹µ„Ÿ·ª…°ŠÁ­µÅž¥´Š‹»—„¹ÉŠ„¨µŠ…°ŠÁ­µœ´Êœ Ä®očo
‡nµÃ¤Á¤œ˜r‡ªµ¤ÁŒºÉ°¥…°Š¡ºœÊ -‡µœš¸ÉŸ·ª…°ŠÁ­µ ®µ¦—oª¥ (1-c2/l2)2 —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.5-5.6
­Îµ®¦´‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š„µ¦—´— (stiffness factor) ‡nµ˜´ªž¦³„°­Îµ®¦´„µ¦™nµ¥
äÁ¤œ˜r (carry-over factor) ¨³‡nµ­´¤ž¦³­·š›·…Í °ŠÃ¤Á¤œ˜ršž¸É ¨µ¥¥¹—Âœnœ (fixed-end
moment coefficient) š¸ÉčoĜ„¦–¸š¸É°Š‡r°µ‡µ¦¡ºÊœ-‡µœ¦´œÊ宜´„¦¦š»„˜nµŠÇ „´œ ­—ŠÄœ
˜µ¦µŠš¸É 5.2-5.7 ­Îµ®¦´˜µ¦µŠš¸É 5.2 ­µ¤µ¦™Äo„´ÂŸnœ¡ºœÊ Ŧo‡µœšo°ŠÁ¦¸¥Â¨³ÂŸnœ¡ºœÊ ­°Š
šµŠš¸¤É ¸‡µœ ­nªœ˜µ¦µŠš¸É 5.3-5.6 čo„´ÂŸnœ¡ºœÊ Ŧo‡µœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µÂ¨³ÂŸnœ¡ºœÊ ¦´ŠŸ¹ÊŠ
¨³˜µ¦µŠš¸É 5.7 čo„´ÂŸnœ¡ºœÊ Ŧo‡µœšo°ŠÁ¦¸¥ ¦ª¤„´ÂŸnœ¡ºœÊ Ŧo‡µœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ
l1 l1
A B D h2 C E
h1
A B D C E
h

c1 c1 c1 c1
¦³¡ºÊœÅ¦o‡µœ ¦³¡ºÊœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ
l2 l2 l2
h I1 h1 I1 h2 h1 I
2
¦¼ž˜´— A-A ¦¼ž˜´— C-C kl2
¦¼ž˜´— D-D
l2 l2
I1/(1-c2/l2)2 I2/(1-c2/l2)2
c2
¦¼ž˜´— B-B ¦¼ž˜´— E-E
c1
EcsI1/(1-c2/l2)2 EcsI2/(1-c2/l2)2
EcsI2
EcsI1 EcsI1

c1/2 ln c1/2 c1/2 ln c1/2

ŗ°³Â„¦¤Â­—Š‡nµ­˜·¢Áœ­ ŗ°³Â„¦¤Â­—Š‡nµ­˜·¢Áœ­
…°ŠÂŸnœ¡ºÊœ-‡µœÁš¸¥Ášnµ …°ŠÂŸnœ¡ºÊœ-‡µœÁš¸¥Ášnµ

¦¼žš¸É 5.5 ®œoµ˜´—­Îµ®¦´„µ¦‡Îµœª–­˜·¢Áœ­…°Š¡ºÊœ-‡µœ (Ksb)


„¦–¸ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœšo°ŠÁ¦¸¥Â¨³ÂŸnœ¡ºÊœ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ
98 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

l1
h2 A C
B
h1
A B
C

c1 c1
¦³¡ºÊœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µÂ¨³®¤ª„Á­µ
l2 l2
h1 I1 h2 h1 I
2
¦¼ž˜´— A-A kl2
¦¼ž˜´— B-B
l2
I2/(1-c2/l2)2
c2
¦¼ž˜´— C-C
c1
EcsI2/(1-c2/l2)2
EcsI2
EcsI1

c1/2 ln c1/2

ŗ°³Â„¦¤Â­—Š‡nµ­˜·¢Áœ­
…°ŠÂŸnœ¡ºÊœ-‡µœÁš¸¥Ášnµ

¦¼žš¸É 5.6 ®œoµ˜´—­Îµ®¦´„µ¦‡Îµœª–­˜·¢Áœ­…°Š¡ºÊœ (Ksb)


„¦–¸ÂŸnœ¡ºÊœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µÂ¨³®¤ª„Á­µ

‡nµÃ¤Á¤œ˜rš¸Éž¨µ¥¥¹—Âœnœ (fixed-end moment) ­µ¤µ¦™®µÅ—o‹µ„Äœ˜µ¦µŠ


—´Š„¨nµª Ž¹ÉŠÄoŗoš´ÊŠœÊ宜´„¦¦š»„Ÿn„¦³‹µ¥Á˜È¤¡ºÊœš¸É¨³œÊµÎ ®œ´„¦¦š»„Ÿn„¦³‹µ¥µŠ­nªœ
­Îµ®¦´œÊ宜´„¦¦š»„„¦³šÎµÁž}œ‹»— Ä®očo‡nµ…°ŠœÊµÎ ®œ´„¦¦š»„Ÿn„¦³‹µ¥µŠ­nªœ Ž¹ÉŠ„¦³‹µ¥
ĜnªŠ 0.2 l1
šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 99

˜µ¦µŠš¸É 5.2 ‡nµ‡Šš¸É„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r­Îµ®¦´¡ºœÊ Ŧo‡µœšo°ŠÁ¦¸¥ (ACI318-99)


l1
l1
w
CN2 CF2

al1 l2
bl1

Near end (N) Far end (F)


CN1 CF1
EsIs/(1-CN2/l2)2
n 2
EsIs FEM NF ¦ m NFiWi l1
i 1
CN1/2
K NF k NF E cs I s / l1
CF1/2

CN1/l1 CN2/l2 Stiffness Carry Over Uniform Load Fixed-end moment Coeff. (mNF) for (b-a) = 0.2
Factors Factors Fixed-end
KNF CNF Moment a = 0.0 a = 0.2 a = 0.4 a = 0.6 a = 0.8
Coeff. (mNF)
CF1 = CN1 : CF2 = CN2
0.00 - 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.00226

0.00 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.00226


0.10 4.18 0.51 0.0847 0.0154 0.0293 0.0251 0.0126 0.00214
0.10 0.20 4.36 0.52 0.0860 0.0158 0.0300 0.0255 0.0126 0.00201
0.30 4.53 0.54 0.0872 0.0161 0.0301 0.0259 0.0125 0.00188
0.40 4.70 0.55 0.0882 0.0165 0.0314 0.0262 0.0124 0.00174

0.00 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.00226


0.10 4. 35 0.52 0.0857 0.0155 0.0299 0.0254 0.0127 0.00213
0.20 0.20 4.72 0.54 0.0880 0.0161 0.0311 0.0262 0.0126 0.00197
0.30 5.11 0.56 0.0901 0.0166 0.0324 0.0269 0.0125 0.00178
0.40 5.51 0.58 0.0921 0.0171 0.336 0.0276 0.0123 0.00156

0.00 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.00226


0.10 4.49 0.53 0.0863 0.0155 0.0301 0.0257 0.0128 0.00219
0.30 0.20 5.05 0.56 0.0893 0.0160 0.0317 0.0267 0.0128 0.00207
0.30 5.69 0.59 0.0923 0.0165 0.0334 0.0278 0.0127 0.00190
0.40 6.41 0.61 0.0951 0.0171 0.0352 0.0287 0.0124 0.00167

0.00 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.00226


0.10 4.61 0.53 0.0866 0.0154 0.0302 0.0259 0.0129 0.00225
0.40 0.20 5.35 0.56 0.0901 0.0158 0.0318 0.0271 0.0131 0.00221
0.30 6.25 0.60 0.0936 0.0162 0.0337 0.0284 0.0131 0.00211
0.40 7.37 0.64 0.0971 0.0168 0.0359 0.0297 0.0128 0.00195
100 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

CF1 = 0.5CN1 : CF2 = 0.5CN2


0.00 - 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.0023

0.00 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.0023


0.10 4.16 0.51 0.0857 0.0155 0.0296 0.0254 0.0130 0.0023
0.10 0.20 4.31 0.52 0.0879 0.0158 0.0304 0.0261 0.0133 0.0023
0.30 4.45 0.54 0.0900 0.0162 0.0312 0.0267 0.0135 0.0023
0.40 4.58 0.54 0.0918 0.0165 0.0319 0.0273 0.0138 0.0023
0.00 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.0023
0.10 4.30 0.52 0.0872 0.0156 0.0301 0.0259 0.0132 0.0023
0.20 0.20 4.61 0.55 0.0912 0.0161 0.0317 0.0272 0.012638 0.0023
0.30 4.92 0.57 0.0951 0.0167 0.0332 0.0285 0.0143 0.0024
0.40 4.23 0.58 0.0989 0.0172 0.0347 0.0298 0.0148 0.0024
0.00 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.0023
0.10 4.43 0.53 0.0881 0.0156 0.0305 0.0263 0.0134 0.0023
0.30 0.20 4.89 0.56 0.0932 0.0161 0.0324 0.0281 0.0142 0.0024
0.30 5.40 0.59 0.0986 0.0167 0.0345 0.0300 0.0150 0.0024
0.40 5.93 0.62 0.1042 0.0173 0.0367 0.0320 0.0158 0.0025

0.00 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.0023


0.10 4.54 0.54 0.0884 0.0155 0.0305 0.0265 0.0135 0.0024
0.40 0.20 5.16 0.57 0.0941 0.0159 0.0326 0.0296 0.0145 0.0025
0.30 5.87 0.61 0.1005 0.0165 0.0350 0.0310 0.0155 0.0025
0.40 6.67 0.64 0.1076 0.0170 0.0377 0.0336 0.0166 0.0026
CF1 = 2CN1 : CF2 = 2CN2
0.00 - 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.0023

0.00 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.0023


0.10 0.10 4.27 0.51 0.0817 0.0153 0.0289 0.0241 0.0126 0.0018
0.20 4.56 0.52 0.07 0.0156 0.0300 0.0234 0.0103 0.0013

0.00 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.0023


0.20 0.10 4.49 0.51 0.0819 0.0154 0.0291 0.0240 0.0114 0.0019
0.20 5.11 0.53 0.0789 0.0158 0.0293 0.0228 0.0096 0.0014

®¤µ¥Á®˜» : CNF ‡º° Carry-over factor ‹µ„Á­µž¨µ¥Ä„¨o (Near end, N) Ş¥´ŠÁ­µž¨µ¥Å„¨


(Far end, F)
šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 101

˜µ¦µŠš¸É 5.3 ‡nµ‡Šš¸É„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r­Îµ®¦´¡ºœÊ Ŧo‡µœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ


(‡ªµ¤®œµ…°ŠÂžjœ®´ªÁ­µ = 0.25h) (ACI318-99)
l1
l1
w h
CN2 CF2

al1 l2/3 l2
bl1
l1/6 l1/6
Near end (N) Far end (F)
CN1 CF1
EsId/(1-CN2/l2)2
EsId n 2
EsIs FEM NF ¦ m NFiWi l1
i 1
l1/6
CN1/2
l1/6
CF1/2
K NF k NF E cs I s / l1
CN1/l1 CN2/l2 Stiffness Carry Over Uniform Load Fixed-end moment Coeff. (mNF) for (b-a) = 0.2
Factors Factors Fixed-end Moment
KNF CNF Coeff. (mNF) a = 0.0 a = 0.2 a = 0.4 a = 0.6 a = 0.8
CF1 = CN1 : CF2 = CN2
0.00 - 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.00 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.10 4.99 0.55 0.0890 0.0160 0.0316 0.0266 0.0128 0.0020
0.10 0.20 5.18 0.56 0.0901 0.0163 0.0322 0.0270 0.0127 0.0019
0.30 5.37 0.57 0.0911 0.0167 0.0328 0.0273 0.0126 0.0018
0.00 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.10 5.17 0.56 0.0900 0.0161 0.0320 0.0269 0.0128 0.0020
0.20 0.20 5.56 0.58 0.0918 0.0166 0.0332 0.0276 0.0126 0.0018
0.30 5.96 0.60 0.0936 0.0171 0.0344 0.0282 0.0124 0.0016

0.00 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022


0.10 5.32 0.57 0.0905 0.0161 0.0323 0.0272 0.0128 0.0021
0.30 0.20 5.90 0.59 0.0930 0.0166 0.0338 0.0281 0.0127 0.0019
0.30 6.55 0.62 0.0955 0.0171 0.0354 0.0290 0.0124 0.0017

CF1 = 0.5CN1 : CF2 = 0.5CN2


0.00 - 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.10 0.00 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.10 4.99 0.55 0.0890 0.0160 0.0316 0.0266 0.0128 0.0020
0.20 5.18 0.56 0.0901 0.0163 0.0322 0.0270 0.0127 0.0019

0.20 0.00 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.10 5.17 0.56 0.0900 0.0161 0.0320 0.0269 0.0128 0.0020
0.20 5.56 0.58 0.0918 0.0166 0.0332 0.0276 0.0126 0.0018

CF1 = 2CN1 : CF2 = 2CN2


0.00 -- 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.00 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.10 0.10 5.10 0.55 0.0860 0.0159 0.0311 0.0256 0.0117 0.0017
102 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

˜µ¦µŠš¸É 5.4 ‡nµ‡Šš¸É„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r­Îµ®¦´¡ºœÊ Ŧo‡µœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ


(‡ªµ¤®œµ…°ŠÂžjœ®´ªÁ­µ = 0.50h) (ACI318-99)
l1
l1
w h
CN2 CF2

al1 l2/3 l2
bl1
l1/6 l1/6
Near end (N) Far end (F)
CN1 CF1
EsId/(1-CN2/l2)2
EsId n 2
EsIs FEM NF ¦ m NFiWi l1
i 1
l1/6
CN1/2
l1/6
CF1/2
K NF k NF E cs I s / l1
CN1/l1 CN2/l2 Stiffness Carry Over Uniform Load Fixed-end moment Coeff. (mNF) for (b-a) = 0.2
Factors Factors Fixed-end Moment
KNF CNF Coeff. (mNF) a = 0.0 a = 0.2 a = 0.4 a = 0.6 a = 0.8
CF1 = CN1 : CF2 = CN2
0.00 - 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020
0.00 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020
0.10 6.04 0.60 0.0936 0.0167 0.0341 0.0282 0.0126 0.0018
0.10 0.20 6.24 0.61 0.0940 0.0170 0.0347 0.0285 0.0125 0.0017
0.30 6.43 0.61 0.0952 0.0173 0.0353 0.0287 0.0123 0.0016

0.00 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020


0.10 6.22 0.61 0.0942 0.0168 0.0346 0.0285 0.0126 0.0018
0.20 0.20 6.62 0.62 0.0957 0.0172 0.0356 0.0290 0.0123 0.0016
0.30 7.01 0.64 0.0971 0.0177 0.03666 0.0294 0.0120 0.0014

0.00 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020


0.10 6.37 0.61 0.0947 0.0168 0.0348 0.0287 0.0126 0.0018
0.30 0.20 6.95 0.63 0.09667 0.0172 0.0362 0.0294 0.0123 0.0016
0.30 7.57 0.65 0.0986 0.0177 0.0375 0.0300 0.0119 0.0014

CF1 = 0.5CN1 : CF2 = 0.5CN2


0.00 - 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020
0.00 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020
0.10 0.10 6.00 0.60 0.0945 0.0167 0.0343 0.0285 0.0130 0.0020
0.20 6.16 0.60 0.0962 0.0170 0.0350 0.0291 0.0132 0.0020

0.00 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020


0.20 0.10 615 0.60 0.0957 0.0169 0.0348 0.0290 0.0131 0.0020
0.20 6.47 0.62 0.0987 0.0173 0.0360 0.0300 0.0134 0.0020
CF1 = 2CN1 : CF2 = 2CN2
0.00 - 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020
0.10 0.00 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020
0.10 6.17 0.60 0.0907 0.0166 0.0337 0.0273 0.0116 0.0015
šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 103

˜µ¦µŠš¸É 5.5 ‡nµ‡Šš¸É„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r­Îµ®¦´¡ºœÊ Ŧo‡µœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ


(‡ªµ¤®œµ…°ŠÂžjœ®´ªÁ­µ = 0.75h) (ACI318-99)
l1
l1
w h
CN2 CF2

al1 l2/3 l2
bl1
l1/6 l1/6
Near end (N) Far end (F)
CN1 CF1
EsId/(1-CN2/l2)2
EsId n 2
EsIs FEM NF ¦ m NFiWi l1
i 1
l1/6
CN1/2
l1/6
CF1/2
K NF k NF E cs I s / l1
CN1/l1 CN2/l2 Stiffness Carry Over Uniform Load Fixed-end moment Coeff. (mNF) for (b-a) = 0.2
Factors Factors Fixed-end Moment
KNF CNF Coeff. (mNF) a = 0.0 a = 0.2 a = 0.4 a = 0.6 a = 0.8
CF1 = CN1 : CF2 = CN2
0.00 - 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.10 7.12 0.64 0.0972 0.0174 0.0365 0.0295 0.0122 0.0016
0.10 0.20 7.31 0.64 0.0978 0.0176 0.0370 0.0297 0.0120 0.0014
0.30 7.48 0.65 0.0984 0.0179 0.0375 0.0299 0.0118 0.0013
0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.10 7.12 0.64 0.0977 0.0175 0.0369 0.0297 0.0121 0.0015
0.20 0.20 7.31 0.65 0.0988 0.0178 0.0378 0.0301 0.0118 0.0013
0.30 7.48 0.67 0.0999 0.0182 0.0386 0.0304 0.0115 0.0011
0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.10 7.29 0.65 0.0981 0.0175 0.0371 0.0299 0.0121 0.0015
0.30 0.20 7.66 0.66 0.0996 0.0179 0.0383 0.0304 0.0117 0.0013
0.30 8.02 0.68 0.1009 0.0182 0.0394 0.0309 0.0113 0.0011

CF1 = 0.5CN1 : CF2 = 0.5CN2


0.00 - 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017

0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017


0.10 0.10 7.08 0.64 0.0980 0.0174 0.0366 0.0298 0.0125 0.0017
0.20 7.23 0.64 0.0993 0.0177 0.0372 0.0302 0.0126 0.0016

0.20 0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.10 7.21 0.64 0.0991 0.0175 0.0371 0.0302 0.0126 0.0017
0.20 7.51 0.65 0.1014 0.0179 0.0381 0.0310 0.0128 0.0016

CF1 = 2CN1 : CF2 = 2CN2


0.00 - 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017

0.10 0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.10 7.26 0.64 0.0946 0.0173 0.0361 0.0287 0.0112 0.0013
104 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

˜µ¦µŠš¸É 5.6 ‡nµ‡Šš¸É„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r­Îµ®¦´¡ºœÊ Ŧo‡µœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ


(‡ªµ¤®œµ…°ŠÂžjœ®´ªÁ­µ = 1.0h) (ACI318-99)
l1
l1
w h
CN2 CF2

al1 l2/3 l2
bl1
l1/6 l1/6
Near end (N) Far end (F)
CN1 CF1
EsId/(1-CN2/l2)2
EsId n 2
EsIs FEM NF ¦ m NFiWi l1
i 1
l1/6
CN1/2
l1/6
CF1/2
K NF k NF E cs I s / l1

CN1/l1 CN2/l2 Stiffness Carry Over Uniform Load Fixed end moment Coeff. (mNF) For (b-a) = 0.2
Factors Factors Fixed-end Moment
KNF CNF Coeff. (mNF) a = 0.0 a = 0.2 a = 0.4 a = 0.6 a = 0.8
CF1 = CN1 : CF2 = CN2
0.00 - 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.00 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.10 8.07 0.66 0.0998 0.0180 0.0385 0.0305 0.0116 0.0013
0.10 0.20 8.24 0.67 0.1003 0.0182 0.0389 0.0306 0.0115 0.0012
0.30 8.40 0.67 0.1007 0.0183 0.0393 0.0307 0.0113 0.0011
0.00 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.10 8.22 0.67 0.1002 0.0180 0.0388 0.0306 0.0115 0.0012
0.20 0.20 8.55 0.68 0.1010 0.0183 0.0395 0.0309 0.0112 0.0011
0.30 9.87 0.69 0.1018 0.0186 0.0402 0.0311 0.0109 0.0009
0.00 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.10 8.35 0.67 0.1005 0.0181 0.0390 0.0307 0.0115 0.0012
0.30 0.20 8.82 0.68 0.1016 0.0184 0.0399 0.0311 0.0111 0.0011
0.30 8.28 0.70 0.1026 0.0187 0.0409 0.0314 0.0107 0.0009

CF1 = 0.5CN1 : CF2 = 0.5CN2


0.00 - 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.00 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.10 0.10 8.03 0.66 0.1006 0.0180 0.0386 0.0307 0.0119 0.0014
0.20 8.16 0.67 0.1016 0.0182 0.0390 0.0310 0.0120 0.0014
0.00 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0293 0.0118 0.0014
0.20 0.10 8.15 0.67 0.1014 0.0181 0.0389 0.0302 0.0120 0.0014
0.20 8.41 0.68 0.1032 0.0184 0.0398 0.0310 0.0121 0.0013

CF1 = 2CN1 : CF2 = 2CN2


0.00 - 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.10 0.00 7.79 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.10 8.20 0.67 0.0981 0.0179 0.0382 0.0297 0.0113 0.0010
šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 105

˜µ¦µŠš¸É 5.7 ‡nµ‡Šš¸É„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r­Îµ®¦´¡ºœÊ Ŧo‡µœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ


(­¤¤˜·Ä®o…œµ—Á­µš´ÊŠ­°Šž¨µ¥Ášnµ„´œ CF1 = CN1, CF2 = CN2) (ACI318-99)

l1
l1
t w h
CN2 CF2

l2/3 l2

l1/6
Near end (N) Far end (F)
CN1 CF1
EsId/(1-CN2/l2)2
EsIs/(1-CN2/l2)2
EsId EsIs FEM NF m NF W l12

l1/6
K NF k NF E cs I s / l1
CN1/2 CF1/2

C1/l1 C2/l2 t = 1.5h t = 2h


KNF CNF mNF KFN CFN mFN KNF CNF mNF KFN CFN mFN
0.00 - 5.39 4.09 0.1023 4.26 0.60 0.0749 6.63 0.49 0.1190 4.49 0.65 0.0676

0.00 5.39 0.49 0.1023 4.26 0.60 0.0749 6.63 0.49 0.1190 4.49 0.65 0.0676
0.10 5.65 0.52 0.1012 4.65 0.60 0.0794 7.03 0.54 0.1145 5.19 0.66 0.0757
0.10 0.20 5.86 0.54 0.1012 4.91 0.61 0.0818 7.22 0.56 0.1140 5.43 0.67 0.0778
0.30 6.05 0.55 0.1025 5.10 0.62 0.0838 7.36 0.56 0.1142 5.57 0.67 0.0786

0.00 5.39 0.49 0.1023 4.26 0.60 0.0749 6.63 0.49 4.49 4.49 0.65 0.0676
0.10 5.88 0.54 0.1006 5.04 0.61 0.0826 7.41 0.58 5.96 5.96 0.66 0.0823
0.20 0.20 6.33 0.58 0.1003 5.63 0.62 0.0874 7.85 0.61 6.57 6.57 0.67 0.0872
0.30 6.75 0.60 0.1008 6.10 0.64 0.0903 8.18 0.63 6.94 6.94 0.68 0.0892

0.00 5.39 0.49 0.1023 4.26 0.60 0.075 6.63 0.49 4.49 4.49 0.65 0.0676
0.10 6.08 0.56 0.1003 5.40 0.61 0.085 7.76 0.62 6.77 6.77 0.67 0.0873
0.30 0.20 6.78 0.61 0.0996 6.38 0.63 0.092 8.49 0.66 7.91 7.91 0.68 0.0952
0.30 7.48 0.64 0.0997 7.25 0.65 0.096 9.06 0.68 8.66 8.66 0.69 0.0991
106 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

5.3.2 Á­µ
¦¼žÂš´ÉªÅž…°Š­£µ¡„µ¦¦°Š¦´š¸Éž¨µ¥Á­µ­Îµ®¦´¦³¡ºÊœ˜nµŠÇ ­—ŠÄœ¦¼žš¸É
5.7 ŗ°³Â„¦¤…°Š­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µ ‹³ÄoĜ„µ¦‡Îµœª–®µ­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µ (Kc) ×¥¤¸®¨´„„µ¦
¡·‹µ¦–µ—´Šœ¸Ê
„) äÁ¤œ˜r‡ªµ¤ÁŒºÉ°¥…°ŠÁ­µ ‹µ„Ÿ·ªœ­»—…°ŠÂŸnœ¡ºœÊ Ş¥´ŠÄ˜ošo°ŠÂŸnœ¡ºœÊ Ä®o
‡Îµœª–‡nµÃ¤Á¤œ˜r‡ªµ¤ÁŒºÉ°¥ ˜µ¤®œoµ˜´—š¸ÉÁž}œ‹¦·Š
…) äÁ¤œ˜r‡ªµ¤ÁŒºÉ°¥…°ŠÁ­µ ‹µ„¦³¥³Ÿ·ª¨nµŠ­»—¨³Ÿ·ªœ­»—…°ŠÂŸnœ¡ºœÊ Ş¥´Š
œªÁ­oœ«¼œ¥r„¨µŠ…°ŠÂŸnœ¡ºœÊ Ä®o­¤¤»˜·Áž}œ‡nµ°œ´œ˜r (infinite, D )
Ĝ„µ¦‡Îµœª–‡nµ­˜·¢Áœ­Â¨³‡nµ˜´ªž¦³„°­Îµ®¦´™nµ¥Ã¤Á¤œ˜r (carry-over
factors) …°ŠÁ­µÄ®očo‡nµÄœ˜µ¦µŠ 5.8

I=v I=v

Ac Ecc Ic Ac Ecc Ic

I=v I=v
Ac
¡ºÊœSlab system
Ŧo‡µœšo °ŠÁ¦¸¥ column stiffness
ŗ°³Â„¦¤…°Š
¡ºÊœÂ¤¸ÂžjœSlab system with
®´column
ªÁ­µÂ¨³®¤ª„Á­µ
column stiffness
ŗ°³Â„¦¤…°Š
without beam diagram
­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µ
capitals diagram
­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µ

I=v I=v

Ecc Ic bottom of slab – Ecc Ic


Ac beamšoat°joint
¦³—´ Š‡µœ Ac
top¦³—´
of slab-beam
Ÿ·ª¡ºÊœ
I=v I=v

Slab
¡ºÊœÅ¦osystem
‡µœÂwith column stiffness
ŗ°³Â„¦¤…°Š Slabʜsystem
¦³¡º -‡µœ column stiffness
ŗ°³Â„¦¤…°Š
drop panels diagram with beams diagram
¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ ­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µ ­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µ

¦¼žš¸É 5.7 ®œoµ˜´—Á­µ­Îµ®¦´„µ¦‡Îµœª–‡nµ­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µ


šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 107

˜µ¦µŠš¸É 5.8 ‡nµ­˜·¢Áœ­Â¨³˜´ªž¦³„°…°Š„µ¦™nµ¥Ã¤Á¤œ˜r­µÎ ®¦´Á­µ (ACI318-99)


EI
ta Kc k c
A ta A ta A H
For values of¨³ C
z g* and cKBABAread
K­ÎBAµ®¦´ BA
H Ic Hc Ic Hc Ic Hc (tčo
a /‡tbnµ)(tas/t(t)Áž}
a b
b / tœ
a )t /t
b a
*
g can be
B B B g* ¤¸z‡/ nµ2ž¦³¤µ– z/2
as
tb tb tb approximated

ta/tb H/Hc 1.05 1.10 1.15 1.20 1.25 1.30 1.35 1.40 1.45 1.50
0.00 KAB 4.20 4.40 4.60 4.80 5.00 5.20 5.40 5.60 5.80 6.00
CAB 0.57 0.65 6.73 0.80 0.87 0.89 1.03 1.10 1.17 1.25
0.2 KAB 4.31 4.62 4.95 5.30 5.65 6.02 6.40 6.79 7.20 7.62
CAB 0.56 0.62 0.68 0.74 0.80 0.85 0.91 0.96 1.01 1.07
0.4 KAB 4.38 4.79 5.22 5.57 6.15 6.65 7.18 7.74 8.32 8.94
CAB 0.55 0.60 0.65 0.70 0.74 0.79 0.83 0.87 0.91 0.94
0.6 KAB 4.44 4.91 5.42 5.96 6.54 7.15 7.81 8.50 9.23 10.01
CAB 0.55 0.59 0.63 0.67 0.70 0.74 0.77 0.80 0.83 0.85
0.8 KAB 4.49 5.01 5.58 6.19 6.85 7.56 8.31 9.12 9.98 10.89
CAB 0.54 0.58 0.61 0.64 0.67 0.70 0.72 0.75 0.77 0.79
1.0 KAB 4.52 5.09 5.71 6.38 7.11 7.89 8.73 9.63 10.60 11.62
CAB 0.54 0.57 0.60 0.62 0.65 0.67 0.69 0.71 0.73 0.74
1.2 KAB 4.55 5.16 5.82 6.54 7.32 8.17 9.08 10.07 11.12 1.25
CAB 0.53 0.56 0.59 0.61 0.63 0.65 0.66 0.68 0.69 0.70
1.4 KAB 4.58 5.21 5.91 6.68 7.51 8.41 9.38 10.43 11.57 12.78
CAB 0.53 0.55 0.58 0.60 0.61 0.63 0.64 0.65 0.66 0.67
1.6 KAB 4.60 5.26 5.99 6.79 7.66 8.61 9.64 10.75 11.95 13.24
CAB 0.53 0.55 0.57 0.59 0.60 0.61 0.62 0.63 0.64 0.65
1.8 KAB 4.62 5.30 6.06 6.89 7.80 8.79 9.87 11.03 12.29 13.65
CAB 0.52 0.55 0.56 0.58 0.59 0.60 0.61 0.61 0.62 0.63
2.0 KAB 4.63 5.34 6.12 6.98 7.92 8.94 10.06 11.27 12.59 14.00
CAB 0.52 0.54 0.56 0.57 0.58 0.59 0.59 0.60 0.60 0.61
2.2 KAB 4.65 5.37 6.17 7.05 8.02 9.08 10.24 11.49 12.85 14.31
CAB 0.52 0.54 0.55 0.56 0.57 0.58 0.58 0.59 0.59 0.59
2.4 KAB 4.66 5.40 6.22 7.12 8.11 9.20 10.39 11.68 13.08 14.60
CAB 0.52 0.53 0.55 0.56 0.56 0.57 0.57 0.58 0.58 0.58
2.6 KAB 4.67 5.42 6.26 7.18 8.20 9.31 10.53 11.86 13.29 14.85
CAB 0.52 0.53 0.54 0.55 0.56 0.56 0.56 0.57 0.57 0.57
2.8 KAB 4.68 5.44 6.29 7.23 8.27 9.41 10.66 12.01 13.48 15.07
CAB 0.52 0.53 0.54 0.55 0.55 0.55 0.56 0.56 0.56 0.56
3.0 KAB 4.69 5.46 6.33 7.28 8.34 9.50 10.77 12.15 13.65 15.28
CAB 0.52 0.53 0.54 0.54 0.55 0.55 0.55 0.55 0.55 0.55
3.2 KAB 4.70 5.48 6.36 7.33 8.40 9.58 10.87 12.28 13.81 15.47
CAB 0.52 0.53 0.53 0.54 0.54 0.54 0.54 0.54 0.54 0.54
3.4 KAB 4.71 5.50 6.38 7.37 8.46 9.55 10.97 12.04 13.95 15.64
CAB 0.51 0.52 0.53 0.53 0.54 0.54 0.54 0.53 0.53 0.53
3.6 KAB 4.71 5.51 6.41 7.41 8.51 9.72 11.05 12.51 14.09 15.80
CAB 0.51 0.52 0.53 0.53 0.53 0.53 0.53 0.53 0.53 0.52
3.8 KAB 4.72 5.53 6.43 7.44 8.56 9.78 11.13 12.60 14.21 15.95
CAB 0.51 0.52 0.53 0.53 0.53 0.53 0.53 0.52 0.52 0.52
4.0 KAB 4.72 5.54 6.45 7.47 8.60 9.84 11.21 1270 14.32 16.08
CAB 0.51 0.52 0.52 0.53 0.53 0.52 0.52 0.52 0.52 0.51
4.2 KAB 4.73 5.55 6.47 7.50 8.64 9.90 11.27 12.78 14.42 16.20
CAB 0.51 0.52 0.52 0.52 0.52 0.52 0.52 0.51 0.51 0.51
4.4 KAB 4.73 5.56 6.49 7.53 8.68 9.95 11.34 12.86 14.52 16.32
CAB 0.51 0.52 0.52 0.52 0.52 0.52 0.51 0.51 0.51 0.50
4.6 KAB 4.74 5.57 6.51 7.55 8.71 9.99 11.40 12.93 14.61 16.43
CAB 0.51 0.52 0.52 0.52 0.52 0.52 0.51 0.51 0.50 0.50
4.8 KAB 4.74 5.58 6.53 7.58 8.75 10.03 11.45 13.00 14.69 16.53
CAB 0.51 0.52 0.52 0.52 0.52 0.51 0.51 0.50 0.50 0.49
5.0 KAB 4.75 5.59 6.54 7.60 8.78 10.07 11.50 13.07 14.77 16.62
CAB 0.51 0.51 0.52 0.52 0.51 0.51 0.51 0.50 0.49 0.49
6.0 KAB 4.76 5.63 6.60 7.69 8.90 10.24 11.72 13.33 15.10 17.02
CAB 0.51 0.51 0.51 0.51 0.50 0.50 0.49 0.49 0.48 0.47
7.0 KAB 4.78 5.66 6.65 7.76 9.00 10.37 11.88 13.54 15.35 17.32
CAB 0.51 0.51 0.51 0.50 0.50 0.49 0.48 0.48 0.47 0.46
8.0 KAB 4.78 5.68 6.69 7.82 9.07 10.47 12.01 13.70 15.54 17.56
CAB 0.51 0.51 0.50 0.50 0.49 0.49 0.48 0.47 0.46 0.45
9.0 KAB 4.79 5.69 6.71 7.86 9.13 10.55 12.11 13.83 15.70 17.74
CAB 0.50 0.50 0.50 0.50 0.49 0.48 0.47 0.46 0.45 0.45
10.0 KAB 4.80 5.71 6.74 7.89 9.18 10.61 12.19 13.93 15.83 17.90
CAB 0.50 0.50 0.50 0.49 0.48 0.48 0.47 0.46 0.45 0.44
108 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

5.3.3 °Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·— (Torsional Members)


°Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·— ­Îµ®¦´¦·Áª–¦°¥˜n°…°Š¡ºÊœ ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.8 Ĝ„µ¦
¡·‹µ¦–µ¡ºÊœš¸®É œoµ˜´—…°Š°Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·— Ä®očo‡nµ¡ºÊœš¸®É œoµ˜´—Ä®nš¸É­»—…°Š¦¼žÂ˜nµŠÇ
—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.8
C1 C1

¦¼žÂ („) ¦¼žÂ (…)


hw < 4hf

hf
hw

C1

C1
¦¼žÂ (‡) ¦¼žÂ (Š)
C1

bw+2hw< bw+8hf

hf hf
hw hw

bw bw

bw+2hw< bw+8hf C1
¦¼žÂ (‹) ¦¼žÂ (Œ)

¦¼žš¸É 5.8 °Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·—


šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 109

‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š„µ¦·— (torsional stiffness, Kt) ­µ¤µ¦™‡Îµœª–Å—o‹µ„

Kt = ¦ [9ECSC/ [ l2 { 1 – (c2 / l2)}3 ] (5.1)

×¥š¸É‡nµ C = ¦ [ 1 – 0.63 ( x/y ) ] (x 3y/3) (5.2)


ECS ‡º° 䗼¨´­¥º—®¥»œ
n …°ŠÂŸnœ¡ºÊœ
x ‡º° —oµœ­´Êœ…°Š·Êœ­nªœ¦¼ž­¸ÉÁ®¨¸É¥¤…°Š°Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·—
y ‡º° —oµœ¥µª…°Š·Êœ­nªœ¦¼ž­¸ÉÁ®¨¸É¥¤…°Š°Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·—
c2 ‡º° —oµœ„ªoµŠ…°ŠÁ­µÄœš·«šµŠ—oµœ¨¹„
l2 ‡º° nªŠ„ªoµŠ…°ŠÂŸnœ¡ºœÊ Ĝš·«šµŠ—oµœ¨¹„

‡nµ C ŗo‹µ„„µ¦‡Îµœª– ×¥„µ¦ÂnŠ¡ºœÊ š¸®É œoµ˜´—…°Š°Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·—°°„Áž}œ


·Êœ­nªœ¥n°¥ ¨oª¦ª¤Ÿ¨…°Š„µ¦‡Îµœª–Á…oµ—oª¥„´œ „µ¦ÂnŠ¡ºœÊ š¸®É œoµ˜´—‡ª¦‹³¤¸„µ¦ÂnŠ°¥nµŠ
Á®¤µ³­¤Á¡ºÉ°Ä®oŗoŸ¨¨´¡šr‡nµ C ­¼Š­»— —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.9
™oµ®µ„¤¸‡µœ°¥¼nĜ¦³ÂŸnœ¡ºœÊ -‡µœ ‡º° ‡µœÄœš·«šµŠ…œµœ„´nªŠÂŸnœ¡ºœÊ š¸É
°°„ (parallel beam) —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.4 ‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š„µ¦·— ˜µ¤­¤„µ¦š¸É 5.1
‹ÎµÁž}œ˜o°Š¤¸„µ¦Á¡·É¤‡nµ—´Šœ¸Ê

Kta = KtIsb/Is (5.3)

×¥š¸É Kta ‡º° ‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š„µ¦·— š¸ÉÁ¡·É¤…¹ÊœÁœºÉ°Š‹µ„‡µœÄœš·«šµŠ…œµœ„´nªŠÂŸnœ


¡ºÊœš¸É°°„ (parallel beam)
Is ‡º° äÁ¤œ˜r‡ªµ¤ÁŒºÉ°¥…°ŠÂŸnœ¡ºÊœ
¤¸‡nµÁšnµ„´ l2h3 / 12
Isb ‡º° äÁ¤œ˜r‡ªµ¤ÁŒºÉ°¥…°ŠÂŸnœ¡ºÊœÂ¨³‡µœÄœš·«šµŠ…œµœ„´nªŠÂŸnœ¡ºœÊ š¸É
°°„
110 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

x1 y1
y1
x1

y2 y2
x2 x2
y1
y1
(1) (2)
x1 x1
čo‡nµ C š¸É¤µ„„ªnµ š¸É‡Îµœª–Å—o‹µ„ (1) ®¦º° (2)
Use larger value of C computed from ( 1 ) or ( 2 )
y1
x1
x2
y2

ª§ x 1 · x 13 y 1 º ª§ x2 · x 32 º
C = ¦ «¨¨ 1  0.63 ¸¸ »  «¨¨ 1  0.63 ¸¸ »
«¬© y 1 ¹ 3 »¼ «¬© y2 ¹ 3 »¼

¦¼žš¸É 5.9 ‡nµ‡Šš¸É…°Š®œoµ˜´—­Îµ®¦´°Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·—


šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 111

5.3.4 Á­µÁš¸¥Ášnµ (Equivalent Columns)

‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š„µ¦—´—…°ŠÁ­µÁš¸¥Ášnµ (equivalent column, Kec) ­µ¤µ¦™


‡Îµœª–Å—o—´Šœ¸Ê

¦ K c u¦ Kt
K ec (5.4)
¦ K c  ¦ K t
­Îµ®¦´‡nµ Kec Ž¹ÉŠ‡Îµœª–ץčo¦¼ž°Š‡rž¦³„°…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ
(equivalent frame) (¦¼žš¸É 5.4) ‹³Å—o‡nµ—´Šœ¸Ê

K ct  K cb K ta  K ta (5.5)
K ec
> K ct  K cb  K ta  K ta @
×¥š¸É
Kct ‡º° ‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š„µ¦—´—š¸—É oµœœ­»—…°ŠÁ­µ­nªœ¨nµŠ
Kcb ‡º° ‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š„µ¦—´—š¸— É oµœ¨nµŠ­»—…°ŠÁ­µ­nªœœ
Kta ‡º° ‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š„µ¦·—…°ŠÂ˜n¨³°Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·—

5.3.5 „µ¦‹´—œÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‹¦

Ĝ„µ¦‡Îµœª–®µ‡nµÃ¤Á¤œ˜rĜ¦³¡ºœÊ ×¥ª·›¸Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµœ¸Ê Ä®oªµŠ


¦¼žÂ…°ŠœÊµÎ ®œ´„¦¦š»„ (loading patterns) …°ŠœÊ宜´„¦¦š»„‹¦ Á¡ºÉ°Ä®oŗo‡nµÃ¤Á¤œ˜r­Š¼ ­»—š¸É
œÎµ¤µÄoĜ„µ¦°°„—´Šœ¸Ê
„) Ĝ„¦–¸š¸É œÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‹¦¤¸‡nµÅ¤nÁ„·œ 3 4 …°ŠœÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É Ä®očo
¦¼žÂ…°ŠœÊµÎ ®œ´„¦¦š»„ š¸É 1 Ĝ„µ¦‡Îµœª–®µÃ¤Á¤œ˜r
…) Ĝ„¦–¸š¸É œÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‹¦ ¤¸‡nµÁ„·œ 3 4 …°ŠœÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É Ä®očo
¦¼žÂ…°ŠœÊµÎ ®œ´„¦¦š»„ š¸É 2 ™¹Š 5 ˜n™oµ®µ„‡nµÃ¤Á¤œ˜rš¸É‡µÎ œª–Å—oĜ¦¼žÂÄ—œo°¥„ªnµ
‡nµš¸Éŗo‹µ„š¸É 1 Ä®očo‡nµÃ¤Á¤œ˜r­¼Š­»—š¸Éŗo‹µ„š¸É 1 œÎµ¤µ°°„
112 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

­Îµ®¦´¦¼žÂ…°ŠœÊ宜´„¦¦š»„ š¸É 1-5 ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.10

Wd+Wl Wd+Wl Wd+Wl

A B C D

¦¼žÂœÎʵ®œ´„¦¦š»„ š¸É 1 ­Îµ®¦´„µ¦°°„Äœš»„nªŠ¡ºÊœ (LL<3/4DL)

Wd+3/4Wl Wd Wd+3/4Wl

A B C D

¦¼žÂœÎʵ®œ´„¦¦š»„ š¸É 2 ­Îµ®¦´„µ¦°°„„¨µŠÂŸnœ¡ºÊœÄœnªŠ AB(LL>3/4DL)

Wd Wd+3/4Wl Wd

A B C D

¦¼žÂœÎʵ®œ´„¦¦š»„ š¸É 3 ­Îµ®¦´„µ¦°°„„¨µŠÂŸnœ¡ºÊœÄœnªŠ BC(LL>3/4DL)

Wd+3/4Wl Wd+3/4Wl Wd

A B C D

¦¼žÂœÎʵ®œ´„¦¦š»„ š¸É 4 ­Îµ®¦´„µ¦°°„¡ºÊœš¸É‹»—¦°Š¦´ B(LL>3/4DL)

Wd+3/4Wl Wd Wd

A B C D

¦¼žÂœÎʵ®œ´„¦¦š»„ š¸É 5 ­Îµ®¦´„µ¦°°„¡ºÊœš¸É‹»—¦°Š¦´ A(LL>3/4DL)

¦¼žš¸É 5.10 „µ¦ªµŠœÊ宜´„¦¦š»„‹¦­Îµ®¦´Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ


šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 113

5.3.6 „µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜rĜ¦³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ

Ĝ„µ¦ª·Á‡¦µ³®rǦŠ­¦oµŠ¦³œ¸ÊÄ®o¡·‹µ¦–µÁž}œÃ‡¦Š˜n°ÁœºÉ°Š Ž¹ŠÉ ¤¸Á­µ¥¹—¦´ÊŠ


¥¹—Âœnœ š¸Éž¨µ¥š´ŠÊ 2 —oµœ ¨³Ä®o‡Îµœª–‡nµÃ¤Á¤œ˜r×¥ª·›¸„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r
‡nµ­˜·¢Áœ­…°Š°Š‡r°µ‡µ¦š¸ÉčoĜ„µ¦‡Îµœª–®µ˜´ªž¦³„°…°Š„µ¦„¦³‹µ¥
äÁ¤œ˜r (Moment Distribution Factor, DF) ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.11

Kb1 Kct

1 Kt
Kb1 Kcb
2 Kb2
Kct Ac
Kt
Kb2
A1 3
Kcb A1 Ac
K= kEI/A
¦¼žš¸É 5.11 ˜´ªž¦³„°…°Š„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r (Moment Distribution Factor, DF)

­Îµ®¦´„µ¦‡Îµœª–®µ˜´ªž¦³„°…°Š„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r…°ŠÂŸnœ¡ºœÊ ­µ¤µ¦™®µÅ—o
—´Šœ¸Ê
DF (span 2-1) = Kb1 / (Kb1+Kb2+Kec) (5.6„)
DF (span 2-3) = Kb2 / (Kb1+Kb2+Kec) (5.6…)

­nªœ˜´ªž¦³„°…°Š„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r…°ŠÁ­µÁš¸¥Ášnµ (Equivalent column


distribution factor) Ž¹ÉŠ„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜rŤn­¤—»¨ ‹µ„Ÿnœ¡ºÊœÅž­¼nÁ­µ ‡Îµœª–‹µ„

DF = Kec / (Kb1+Kb2+Kec) (5.7)

Ĝ…´Êœ˜°œ…°Š„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜rœ´Êœ ‡nµÃ¤Á¤œ˜rŤn­¤—»¨­Îµ®¦´Á­µÁš¸¥Ášnµ‹³
„¦³‹µ¥Åž¥´ŠÁ­µš¸Éšo‹¦·ŠŽ¹ŠÉ °¥¼nÁ®œº°Â¨³Ä˜oŸnœ¡ºÊœ˜µ¤­´—­nªœ…°Š­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µš¸É˜n¨³…o°˜n°
œ´Êœ —´Šœ¸Ê
114 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

­Îµ®¦´­nªœ…°ŠÃ¤Á¤œ˜rŤn­¤—»¨ š¸É„¦³‹µ¥Åž¥´ŠÁ­µ­nªœœ
DF = Kcb / (Kcb+Kct) (5.8„)
­Îµ®¦´­nªœ…°ŠÃ¤Á¤œ˜rŤn­¤—»¨ š¸É„¦³‹µ¥Åž¥´ŠÁ­µ­nªœ¨nµŠ
DF = Kct / (Kcb+Kct) (5.8…)
‹µ„œ´Êœ ‹¹ŠšÎµ„µ¦°°„Á­µ ץčo‡nµÃ¤Á¤œ˜rš¸Éŗo‹µ„„µ¦„¦³‹µ¥˜µ¤œ¸Ê

5.3.7 ‡nµÃ¤Á¤œ˜r¨
Ĝ„µ¦°°„œ´Êœ ‡nµÃ¤Á¤œ˜r¨ ( M- ) ‹³˜o°ŠÄo‡nµš¸ÉŸ·ª®œoµ…°Š‹»—¦°Š¦´Ž¹ÉŠÁž}œ
¦¼ž­¸ÉÁ®¨¸É¥¤ ˜nÄ®očoš¸É¦³¥³Å¤nÁ„·œ 0.175 l1 ‹µ„‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š‹»—¦°Š¦´ š´ÊŠœ¸ÊÁ¡ºÉ°žj°Š„´œ¤·
Ä®o¤¸„µ¦¨—‡nµÃ¤Á¤œ˜r¤µ„Á„·œÅž­Îµ®¦´‹»—¦°Š¦´š¸É‡Â¨³¥µª ×¥‹»—¦°Š¦´š¸Éčo°µ‹Áž}œ
Á­µ ˜°¤n° ®¼oµŠ ®¦º°„ε¡Š„Èŗo ™oµ®µ„‹»—¦°Š¦´Å¤n¤¸¦¼ž¦nµŠÁž}œ­¸ÉÁ®¨¸¥É ¤Ä®očoÁž}œ¦¼ž­¸ÉÁ®¨¸¥É ¤
‹˜»¦´­Áš¸¥ÁšnµÃ—¥¤¸¡ºÊœš¸ÉÁšnµ„´‹»—¦°Š¦´œ´Êœ ­Îµ®¦´˜ÎµÂ®œnŠš¸¡É ·‹µ¦–µ°°„Á¡ºÉ°˜oµœšµœ
äÁ¤œ˜r¨Â­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.12
CL

Ÿ·ª®œoµ…°Š‹»—¦°Š¦´¦¼ž­¸ÉÁ®¨¸É¥¤Áš¸¥Ášnµ

®œoµ˜´—ª·„§˜­Îµ®¦´Ã¤Á¤œ˜r¨
a/2

0.175l1 a

C1>0.35l1

l1

(„) ‹»—¦°Š¦´£µ¥ÄœÂ¨³£µ¥œ°„ (…) ‹»—¦°Š¦´£µ¥œ°„


Á­µ®¦º°„ε¡Š Âžjœ®¼oµŠ
¦¼žš¸É 5.12 ®œoµ˜´—ª·„§˜·­Îµ®¦´„µ¦‡Îµœª–äÁ¤œ˜r¨
šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 115

5.3.8 „µ¦„¦³‹µ¥‡nµÃ¤Á¤œ˜rš¸ÉčoĜ„µ¦°°„
­Îµ®¦´ÂŸnœ¡ºœÊ Ŧo‡µœ „µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜rĜ™Á­µ (column strip) ¨³Â™
„¨µŠ (middle strip) ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 5.9 ¨³¦¼žš¸É 5.13

˜µ¦µŠš¸É 5.9 „µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜rĜ™Á­µÂ¨³Â™„¨µŠ


nªŠ…°ŠÂŸnœ¡ºÊœ ™Á­µ (Column Strip) ™„¨µŠ (Middle Strip)
nªŠœ°„ :
äÁ¤œ˜r¨š¸É…°œ°„ (%) 100 0
äÁ¤œ˜rª„š¸É nªŠ„¨µŠ (%) 60 40
äÁ¤œ˜r¨š¸É…°Äœ (%) 75 25
nªŠÄœ :
äÁ¤œ˜r¨ (%) 75 25
äÁ¤œ˜rª„ (%) 60 40

M+ M+

M- M- M-

0% 20 % 12.5 % 12.5 % 20 % 12.5 %


Middle
Strip

100 % 60 % 75 % 75 % 60 % 75 %
Column Strip
Design Strip

Middle

0% 20 % 12.5 % 12.5 % 20 % 12.5 %


Strip

¦¼žš¸É 5.13 „µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜rĜ™Á­µÂ¨³Â™„¨µŠ


116 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

5.3.9 „µ¦°°„Á®¨È„Á­¦·¤¦·Áª–®´ªÁ­µ

¦·Áª–®´ªÁ­µ…°ŠÂŸnœ¡ºœÊ Ĝ™Á­µ‹³˜o°Š¤¸„µ¦Á­¦·¤Á®¨È„¡·Á«¬Á¡º°É ™nµ¥Ã¤Á¤œ˜rŤn


­¤—»¨‹µ„Ÿnœ¡ºœÊ Ş¥´ŠÁ­µ ×¥‡Îµœª–‹µ„äÁ¤œ˜r—´Šœ¸Ê
Mub = Jf M u (5.9)
×¥š¸É

Mub ‡º° unbalanced moment ¦·Áª–®´ªÁ­µ…°ŠÂŸnœ¡ºœ


Ê
Mu ‡º° äÁ¤œ˜rš¸Éčo°°„­Îµ®¦´ÂŸnœ¡ºœÊ š¸É°°„
1
Jf
2 b1
1
3 b2
b1 = c1 + d/2 ­Îµ®¦´Á­µ˜oœ¦·¤œ°„
b1 = c1 + d ­Îµ®¦´Á­µ£µ¥Äœ
b2 = c2 + d
­Îµ®¦´Á­µ¤»¤
b1 = c1 + d/2
b2 = c2 + d/2
¨³‹³˜o°ŠÁ­¦·¤Á®¨È„¦·Áª–‡ªµ¤„ªoµŠ = c2 + 2(1.5h)

c2
c1

Mu

h J M
f u

c2+3h

¦¼žš¸É 5.14 „µ¦™nµ¥Ã¤Á¤œ˜r¦·Áª–®´ªÁ­µ


šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 117

˜´ª°¥nµŠ 5.1 °µ‡µ¦®oµŠ­¦¦¡­·œ‡oµÂ®nŠ®œ¹ŠÉ ­¼Š 5 ´Êœ ¤¸…œµ—ÄœŸ´Š°µ‡µ¦ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 5.15


°µ‡µ¦œ¸Ê°°„ Ä®o¤¸¡œºÊ š¸„É µ¦ÄoŠµœÁž}œ 2 ­nªœ ‡º° Zone A ¨³ Zone B ǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦œ¸Ê
Áž}œÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ (rigid frame) ×¥¤¸¡œºÊ Áž}œ¦³ÂŸnœ¡ºœÊ Ŧo‡µœ ®µ„šnµœÁž}œª·«ª„¦
Ÿ¼o°°„°µ‡µ¦®¨´Šœ¸Ê
„) ‹Š°°„‡ªµ¤®œµ…°ŠÂŸnœ¡ºœÊ Ŧo‡µœ
…) ‹Š‡Îµœª–®µÃ¤Á¤œ˜r¨³Â¦ŠÁŒº°œ­¼Š­»—š¸ÉÁ„·—…¹ÊœÄœÂŸnœ¡ºœÊ …°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ ĜœªÂŸnœ
¡ºÊœš¸É°°„ (design strip) ­Îµ®¦´´Êœš¸É 2 ÁœºÉ°Š‹µ„œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É¨³œÊ宜´„
¦¦š»„‹¦ (gravity load) ¡¦o°¤š´ŠÊ Á…¸¥œÅ—°³Â„¦¤…°ŠÃ¤Á¤œ˜r ¨³Â¦ŠÁŒº°œ
‡) ‡Îµœª–°°„Á®¨È„Á­¦·¤Â¨³Á…¸¥œ¦µ¥¨³Á°¸¥—…°Š„µ¦Á­¦·¤Á®¨È„ĜŸnœ¡ºÊœ
„ε®œ—Ä®o
œÊ宜´„Ÿœ´Š„´œÊ ®o°Š = 100 „„./˜¦.¤.
…œµ—Á­µ = 0.30x1.00 ¤.
2 2
fcc = 300 „„./Ž¤. fy = 4,000 „„./Ž¤.

ª·›¸šµÎ …´Êœ˜°œš¸É 1 „µ¦°°„‡ªµ¤®œµ…°ŠÂŸnœ¡ºÊœ


„) °°„‡ªµ¤®œµ¡ºÊœ ×¥‡ª‡»¤„µ¦Ã„nŠ˜´ª…°Š¡ºÊœ
‡ªµ¤®œµ¡ºœÊ h = ln/33 = (8.0-0.3)100/33 = 23.33 Ž¤.
čo‡ªµ¤®œµ¡ºÊœ 23 Ž¤. ¨³‡ªµ¤¨¹„ž¦³­·š›·Ÿ¨ d = 18 Ž¤.
…) ˜¦ª‹­°„ε¨´Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ…°Š¡ºœÊ
œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É (DL) = 0.23(2400)+100 = 652 „„./¤2
Zone A œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ (LL) = 300 „„./¤2
Wu = 1.4(652) + 1.7(300) = 1,423 „„./¤2
Zone B œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ (LL) = 400 „„./¤2
Wu = 1.4(652) + 1.7(400) = 1,593 „„./¤2

V 1 ,593 ( 3.75  0.5  0.18 ) 8.0


¦ŠÁŒº°œÂ‡µœ„ªoµŠ
bd 800 u 18
2
2.72 „„./Ž¤.  0.53 300
( 9.2 „„./Ž¤.2 ) čoŗo
118 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11

A
7.5 m
B
Zone A
7.5 m
LL = 300 kg/m 2
C
7.5 m
D
Zone B
7.5 m
LL = 400 kg/m 2
E
7.5 m
F
10 @ 8.0 m
™¡ºÊœš¸É°°„
X
(„) Ÿ´Š°µ‡µ¦
5 +20.0

4 +16.0

3 +12.0

2 + 8.0

1 + 4.0

G 0.0

7.5 7.5 7.5 7.5 7.5

A B C D E F

(…) ¦¼ž˜´—…ªµŠ X-X

¦¼žš¸É 5.15 °µ‡µ¦®oµŠ­¦¦¡­·œ‡oµ („) Ÿ´Š°µ‡µ¦ (…) ¦¼ž˜´—…ªµŠ X-X


šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 119

d = 18 Ž¤.
œªÂ¦ŠÁŒº°œš³¨»

6 0.30 ¤. 8.0 ¤.
d/2 = 9 Ž¤.
1.00 ¤.
d/2 = 9 Ž¤.

œªÂ¦ŠÁŒº°œÂ‡µœ„ªoµŠ

7.5 ¤.

¦¼žš¸É 5.16 œªÂ¦ŠÁŒº°œœÂŸnœ¡ºÊœ

Vu 1 ,593 ( 7.5 u 8.0  ( 0.48 u 1.18 )


¦ŠÁŒº°œš³¨»
b0 d 2( 48  118 )18
= 15.84 „„./Ž¤.2
˜¦ª‹­°®œnª¥Â¦ŠÁŒº°œ
4
„ ) E c ! 2 , vc 0.27 ( 2  ) f cc
Ec
1. 0 4
Ec 3.33 , v c 0.27 ( 2  ) 300
0.3 3.33
14.97 „„./Ž¤.2  15.84
Dd
… ) vc 0.27 ( s  2 ) f cc
b0
40 u 18
0.27 (  2 ) 300 19.50 „„./Ž¤.2 ! 15.84
2( 48  118 )
120 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

Á¡·É¤‡ªµ¤®œµ¡ºœÊ ¦·Áª–žjœ®´ªÁ­µ Áž}œ 1.25 h


E

žjœ®´ªÁ­µ

Y œªÂ¦ŠÁŒº°œš³¨» Y

6 0.30 ¤. 8.0 ¤.
d/2 = 12.5 Ž¤. 2.67 ¤.

1.00 ¤.
d/2 = 12.5 Ž¤.

2.50¤.

7.5 ¤.
„) Ÿ´ŠÂ­—ŠÂžjœ®´ªÁ­µ

2.50¤.
h = 23 Ž¤., d = 18 Ž¤. 1.25h = 30 Ž¤.,
d = 25 Ž¤.
žjœ®´ªÁ­µ

…) ¦¼ž˜´—…ªµŠ Y-Y

¦¼žš¸É 5.17 ¦¼žÂŸnœ¡ºÊœÂ¤¸Âžjœ®´ªÁ­µ „) Ÿ´ŠÂ­—ŠÂžjœ®´ªÁ­µ …) ¦¼ž˜´—…ªµŠ Y-Y

˜¦ª‹­°®œnª¥Â¦ŠÁŒº°œ
Vu 1 ,593 ( 7.5 u 8.0  ( 0.55 u 1.25 )
¦ŠÁŒº°œš´¨»
b0 d 2( 55  125 )25
= 10.5 „„./Ž¤.2 < 14.97

—´Šœ´œÊ čo‡ªµ¤®œµ¡ºœÊ 23 Ž¤. ‡ªµ¤¨¹„ž¦³­·š›·Ÿ¨ 18 Ž¤.


¨³‡ªµ¤®œµÂžjœ®´ªÁ­µ 30 Ž¤. ‡ªµ¤¨¹„ž¦³­·š›·Ÿ¨ 25 Ž¤.
šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 121

…´Êœ˜°œš¸É 2 ‡Îµœª–‡»–­¤´˜·…°Š°Š‡rž¦³„°Ã‡¦Š­¦oµŠ…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ
„) ¡ºÊœ (Slab)
‡Îµœª–®µ Flexural Stiffness, Ksb
CN1/l1 = 100/750 = 0.13, CN2/l2 = 30/800 = 0.0375
‹µ„˜µ¦µŠš¸É 5.3 čoª·›¸ interpolation ®µ‡nµ KNF, CNF ¨³ mNF
CN1/l1 CN2/l2 KNF CNF mNF
0 4.79 0.54 0.0879
0.1 0.0375 4.865 0.544 0.0883
0.1 4.99 0.55 0.0890
0.13 4.885 0.545 0.0884
0 4.79 0.54 0.0879
0.2 0.0375 4.933 0.548 0.0887
0.1 5.17 0.56 0.0900

‹³Å—o KNF = 4.885 , CNF = 0.545 ¨³ mNF = 0.0884


‹µ„ Ksb = KNF EcsIs/l1
Á¤ºÉ°
E cs 4 ,270 w 1.5 f cc 4 ,270 2.4 1.5 300 2.75 x 10 5 „„. / Ž¤ .2
Is = l2h3/12 = 800 (23)3/12 = 811,133 Ž¤.4
—´Šœ´œÊ Ksb = 4.885 (2.75x105)(811,133) / (750) = 14.53x108 „„.-Ž¤.
‡nµ˜´ªž¦³„°…°Š„µ¦™nµ¥Ã¤Á¤œ˜r, CNF = 0.545
2
äÁ¤œ˜rš¸Éž¨µ¥¥¹—Âœnœ, FEM = 0.0884 Wl2l1

…) Á­µ (Column)
‡Îµœª–®µ Flexural Stiffness š¸Éž¨µ¥š´ÊŠ 2 —oµœ Kc
‹µ„˜µ¦µŠš¸É 5.8 ‡nµ ta = 18.5, tb = 11.5 Ž¤.
H = 400 Ž¤., Hc = 400-18.5-11.5 = 370 Ž¤.
ta/tb = 1.60 , H/Hc = 1.08
—´Šœ´œÊ KAB = KBA = 5.00
Kc = 5.00 EcIc/H
×¥š¸É Ic = 30(100)3/12 = 2.5x106 Ž¤.4
Kc = 5.00 (2.75x105)(2.5x106)/400
= 85.94x108 „„.-Ž¤.
122 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

‡) °Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·— (Torsional member)


‡Îµœª–®µ Torsional Stiffness, Kt
Kt = [9ECC/ [ l2 { 1 – (C2 / l2)}3 ]
×¥š¸É C = ¦ [ 1 – 0.63 ( x/y ) ] (x3y/3)
= [ 1 – 0.63 (30/100) ] (303 x100 / 3)
= 729,900 Ž¤.4
Kt = 9 ( 2.75 x 105) ( 729,900)/[800{1-(30/800)}3]
= 25.33x108 „„.-Ž¤.

Š) ­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µÁš¸¥Ášnµ (Equivalent column stiffness)


Kec = ¦ kc x ¦ kt
( ¦ kc + ¦ kt )
= (2 x 85.94 x 108 )(2 x 25.33 x 108 )
[(2 x 85.94 x 108 ) + (2x25.33 x 108 )]
= 39.13 x 108 „„.-Ž¤.
×¥š¸É ¦kt ‡·—‹µ„°Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š·— 2 ·Êœ ‡º°š´ŠÊ ­°Š—oµœ…°ŠÁ­µ
¨³ ¦kc ‡·—‹µ„Á­µ­nªœœÂ¨³Á­µ­nªœ¨nµŠ š¸É‹»—˜n°¦³®ªnµŠÁ­µÂ¨³¡ºÊœ

‹) ‡nµ„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜rš¸É¦°¥˜n° (Distribution factor)


š¸É¦°¥˜n°…°Š¡ºÊœ­nªœœ°„ (exterior joint) :
K sb 14.53
DF 0.27
K sb  K ec 14.53  39.13
š¸É¦°¥˜n°…°Š¡ºÊœ­nªœÄœ (interior joint) :
14.53
DF 0.21
14.53 u 2  39.13

Kec = 39.13x10 8 Kec = 39.13x10 8

14.53 14.53 14.53

ksb = 14.53x108

¦¼žš¸É 5.18 ‡nµ­˜·¢Áœ­…°ŠÂŸnœ¡ºÊœÂ¨³Á­µÁš¸¥Ášnµ


šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 123

…´Êœ˜°œš¸É 3 ‡Îµœª–äÁ¤œ˜r…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ
˜¦ª‹­° °´˜¦µ­nªœ LL : DL
LL/DL = 400 /652 = 0.61 < 0.75
—´Šœ´œÊ ‹¹ŠÄo Loading pattern (1) ‡º°‹´—œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ªµŠÁ˜È¤nªŠ¡ºœÊ
Zone A, FEM = 0.0884 Wl2l12 = 0.0884 (1,423)(8.0)(7.5)2 = 56,607 „„.-¤.
Zone B, FEM = 0.0884 Wl2l12 = 0.0884 (1,593)(8.0)(7.5)2 = 63,370 „„.-¤.
Carry Over Factor (COF) = 0.545

Zone A, Zone B,
Wu = 1,423 „„./¤.2 Wu = 1,593 „„./¤.2

A B C D E F

¦¼žš¸É 5.19 „µ¦ªµŠœÊ宜´„¦¦š»„…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ

˜µ¦µŠš¸É 5.10 „µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r×¥ª·›¸ Two-Cycle Moment Distribution

¦°¥˜n° A B C D E F
°Š‡r°µ‡µ¦ A-B B-A B-C C-B C-D D-C D-E E-D E-F F-E
DF 0.27 0.21 0.21 0.21 0.21 0.21 0.21 0.21 0.21 0.27
COF 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545

FEM 56,607 -56,607 56,607 -56,607 56,607 -56,607 63,370 -63,370 63,370 -63,370
COM 0 -8,330 0 0 -774 0 0 -774 9,325 0

6 56,607 -64,937 56,607 -56,607 55,833 -56,607 63,370 -64,144 72,695 -63,370
DM -15,284 1,749 1,749 163 163 -1,420 -1,420 -1,796 -1,796 17,110
Maximum 41,323 -63,188 58,356 -56,444 55,996 -58,027 61,950 -65,940 70,899 -46,260
Moment
Midspan 27,788 22,644 23,032 25,661 31,027
Moment

×¥š¸É COM = DF x COF x Unbalanced Moment

wl 2 M1  M 2
Midspan Moment 
8 2
124 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ

Zone A, Wu = 1,423x8.0 = Zone B, Wu = 1,593x8.0 =


11,384 „„./¤. 12,744 „„./¤.

A B C D E F

„) ǦŠ…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ

27,788 31,027
22,644 23,032 25,661

41,323 55,996
56,444
63,188 58,356 58,027 61,950 46,260
65,940
…) ŗ°³Â„¦¤…°ŠÃ¤Á¤œ˜r 70,899

47,258 51,075
39,775 42,945 42,419

45,605 42,435 42,961 48,322 44,505

‡) ŗ°³Â„¦¤…°ŠÂ¦ŠÁŒº°œ

27,788 31,027
22,644 23,032 25,661
0.50 ¤.

22,858 41,998 25,601


44,184 42,440 43,850 46,355
41,808 49,994 54,044

Š) äÁ¤œ˜rš¸Éčo°°„

¦¼žš¸É 5.20 ŗ°³Â„¦¤…°ŠÃ¤Á¤œ˜r¨³Â¦ŠÁŒº°œ


šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 125

äÁ¤œ˜rš¸Éčo°°„
‡Îµœª–‹µ„äÁ¤œ˜rš¸ÉŸ·ª…°ŠÁ­µ Ž¹ŠÉ ¦³¥³‹µ„‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°ŠÁ­µÅž¥´ŠŸ·ª…°Š
Á­µ‹³ÄoŗoŤnÁ„·œ 0.175 l1 ( 0.175x7.5 = 1.3125 m)

äÁ¤œ˜rĜÁ­µ
‹µ„„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r×¥ª·›¸ Two-Cycle Moment Distribution Á¡ºÉ°
ª·Á‡¦µ³®r®µÃ¤Á¤œ˜rĜŸnœ¡ºÊœ…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠÁš¸¥Ášnµ ‹³­´ŠÁ„˜Å—oªnµ ¥´Š¤¸Ã¤Á¤œ˜rŤn­¤—»¨
(unbalanced moment) ĜŸnœ¡ºœ Ê Á®¨º°°¥¼n Ž¹ŠÉ äÁ¤œ˜rŤn­¤—»¨œ¸‹Ê ³„¦³‹µ¥Åž­¼nÁ­µš´ŠÊ œÂ¨³
¨nµŠ˜µ¤­´—­nªœ…°Š‡nµ­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µ —´Š¦¼žš¸É 5.21 —´Šœ¸Ê

20,661.5 2,416
Á­µ­nªœœ
DF = Kcb/(Kcb+Kct)

41,323 63,188
58,356
Á­µ­nªœ¨nµŠ
20,661.5 2,416
DF = Kct/(Kcb+Kct)

A B

¦¼žš¸É 5.21 „µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r‹µ„Ÿnœ¡ºÊœ¨Š­¼nÁ­µ

„µ¦‡Îµœª–®µž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤ÄœÂŸnœ¡ºÊœ

„µ¦‡Îµœª–®µž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤ÄœÂŸnœ¡ºÊœÂ™Á­µÂ¨³Â™„¨µŠÃ—¥ª·›¸„µÎ ¨´Š
­—ŠÁž}œ…´Êœ˜°œÁ¡ºÉ°Ä®o„¦³´Â¨³—¼Á…oµÄ‹Šnµ¥ Ĝ˜µ¦µŠš¸É 5.11 ­Îµ®¦´„µ¦°°„Á®¨È„Á­¦·¤
¦·Áª–®´ªÁ­µÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 5.12 ­nªœ¦µ¥¨³Á°¸¥—„µ¦‹´—ªµŠÁ®¨È„Á­¦·¤š¸É°°„ ­—ŠÄœ¦¼ž
š¸É 5.22
˜µ¦µŠš¸É 5.11 „µ¦°°„ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤ÄœÂŸnœ¡ºÊœ

126
Å¡¼¨¥r ž{µ‡´Ãž
„œ A „œ B „œ C „œ D „œ E „œ F

äÁ¤œ˜rš¸Éčo°°„ -22,858 27,788 -41,808 -44,184 22,644 -42,440 -41,998 23,032 –43,850 -46,355 25,661 –49,994 -54,044 31,027 –25,601
™Á­µ Column Strip
Moment (%) 100 60 75 75 60 75 75 60 75 75 60 75 75 60 100
Mu / Strip (4¤.) -5,715 4,168 -7,839 -8,285 3,397 -7,958 -7,875 3,455 -8,222 -8,692 3,849 -9,374 -10,133 4,654 -6,400
Ru = Mu/Ibd2 19.6 14.29 26.88 28.4 11.65 27.3 27.0 11.85 28.2 29.8 13.2 32.1 34.75 16.0 21.9
0.85 fcc ­° 2Ru ½°
U
f y ¯°
®1  1  ¾
0.85 fcc °¿ 0.0051 0.0033 0.007 0.0075 0.0033 0.0075 0.0075 0.0033 0.0075 0.008 0.0033 0.009 0.0095 0.0045 0.0057
As / Strip = Ubd
Ast =0.0018bh 9.18 5.94 12.6 13.5 5.94 13.5 13.5 5.94 13.5 14.4 5.94 16.2 17.1 8.1 10.3
4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14
ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤ DB16@0.20 DB16@0.20
DB12@0.175 DB16@0.10 DB12@0.13

™„¨µŠ

šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ
Middle Strip
Moment (%) 0 40 25 25 40 25 25 40 25 25 40 25 25 40 0
Mu / Strip (4¤.) 0 2,780 -3,010 -2,762 2,264 -2,654 -2,624 2,304 -2,740 -2,898 2,566 -3,125 -3,378 3,103 0
Ru = Mu/Ibd2 0 9.53 10.32 9.47 7.76 9.10 9.0 7.9 9.4 9.9 8.8 10.7 11.6 10.6 0
U 0 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033
As / Strip = Ubd - 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94
Ast =0.0018bh 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14
ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤
DB12@0.175
šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ
˜µ¦µŠš¸É 5.12 „µ¦°°„ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤ÄœÂŸnœ¡ºÊœ¦·Áª–®´ªÁ­µ

„œ A „œ B „œ C „œ D „œ E „œ F

äÁ¤œ˜rš¸Éčo°°„ -22,858 -41,808 -44,184 -42,440 -41,998 –43,850 -46,355 –49,994 -54,044 –25,601
™Á­µ
Column Strip
Moment (%) 100 75 75 75 75 75 75 75 75 100
Mu -22,858 -31,356 -33,138 -31,830 -31,499 -32,888 -34,766 -37,496 -40,533 -25,601
b1=c1+d/2 112.5 125 125 125 125 125 125 125 125 112.5
b2=c2+d 55 55 55 55 55 55 55 55 55 55
Jf 0.51 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.51

Mub = JfMu -11,658 -15,678 -16,569 -15,915 -15,750 -16,444 -17,383 -18,748 -20,267 -13,057
Ru = Mu/Ibd2
= Mu/0.9(1.2)(25)2 17.27 23.23 24.55 23.58 23.3 24.4 25.75 27.78 30.0 19.34

Å¡¼¨¥r ž{µ‡´Ãž
U 0.0045 0.006 0.0065 0.006 0.006 0.0065 0.007 0.0075 0.0075 0.005
As = Ubd 13.5 18.0 19.5 18.0 18.0 19.5 21.0 22.5 22.5 15.0
Ast =0.0018bh 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48
ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤ 5DB20
8DB20 5DB20
127
128 Å¡¼¨¥r ž{µ‡´Ãž šš¸É 5 „µ¦°°„ÂŸnœ¡ºÊœÅ¦o‡µœ
6

™„¨µŠ ™Á­µ ™„¨µŠ


Á®¨È„œÁ­¦·¤¡·Á«¬
8DB20

D
Á®¨È„œ
Á®¨È„œ
DB12@0.175 ¤.
DB12@0.175 ¤.
Á®¨È„œ
DB16@0.10 ¤.
Á®¨È„¨nµŠ Á®¨È„¨nµŠ Á®¨È„¨nµŠ
DB12@0.175 ¤. DB12@0.175 ¤. DB12@0.175 ¤.
Á®¨È„œ Á®¨È„œÁ­¦·¤¡·Á«¬
DB12@0.175 ¤. 8DB20
Á®¨È„œ
DB12@0.175 ¤.

¦¼žš¸É 5.22 „µ¦Á­¦·¤Á®¨È„ĜŸnœ¡ºÊœ


C
Á®¨È„œ
DB16@0.10 ¤.
Á®¨È„¨nµŠ
DB12@0.175 ¤. Á®¨È„¨nµŠ Á®¨È„¨nµŠ
DB12@0.175 ¤. DB12@0.175 ¤.
Á®¨È„œ Á®¨È„œÁ­¦·¤¡·Á«¬
DB12@0.175 ¤. 8DB20
Á®¨È„œ
DB12@0.175 ¤.

B
Á®¨È„œ
Á®¨È„¨nµŠ DB16@0.10 ¤.
Á®¨È„¨nµŠ
DB12@0.175 ¤. Á®¨È„¨nµŠ
DB12@0.175 ¤.
DB12@0.175 ¤.
Á®¨È„œÁ­¦·¤¡·Á«¬
5DB20
Á®¨È„œ Á®¨È„œ
DB12@0.175 ¤. DB12@0.175 ¤.
Á®¨È„œ

A
DB16@0.20 ¤.
1.2 ¤.
2.0 ¤. 4.0 ¤. 2.0 ¤.
บทที 6
การออกแบบโครงข้ อแข็ง
6.1 หลักการและขันตอนการออกแบบโครงข้ อแข็ง

โครงสร้ างโครงข้ อแข็งประกอบด้ วยองค์อาคารของคานและเสายึดเข้ าด้ วยกัน โดยจุด


ต่อของคานและเสานีสามารถรับโมเมนต์ดดั ได้ โครงสร้ างชนิดนีสามารถรับแรงกระทําทาง
ด้ านข้ าง เนืองจากแรงลมหรื อแรงแผ่นดินไหวได้ ด้วยโมเมนต์ดดั ต้ านทานของเสา คาน และรอยต่อ
ระหว่างเสาและคาน โดยเหตุทีโครงสร้ างนีมีความต่อเนืองขององค์อาคาร ดังนันค่า โมเมนต์ดดั
ทีเกิดขึนในคานอันเกิดจากนําหนักบรรทุกเนืองจากแรงโน้ มถ่วงจึงลดลงจากโครงสร้ างซึงไม่มี
ความต่อเนือง ข้ อแตกต่างระหว่างพฤติกรรมของคานต่อเนืองและโครงข้ อแข็งคือ โมเมนต์ดดั ที
เกิดขึนในคานต่อเนือง ซึงมีนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรกระทํา จะไม่ถ่ายลงสูเ่ สา แต่
ในกรณีของโครงข้ อแข็ง โมเมนต์ดดั ทีเกิดขึนในคานของโครงข้ อแข็งบริเวณจุดต่อระหว่างเสาและ
คาน จะถ่ายโมเมนต์ไม่สมดุล (unbalanced moment) ลงสูเ่ สาส่วนบนและเสาส่วนล่าง ซึงทําให้
โมเมนต์ดดั ทีเกิดขึนในคานของโครงข้ อแข็งลดลงจากค่าโมเมนต์ดดั ทีเกิดขึนในคานต่อเนือง แต่
จะต้ องมีการออกแบบให้ เสาต้ านทานโมเมนต์ดดั ทีถ่ายมาจากคานได้ นอกจากนีแรงกระทําทาง
ด้ านข้ างอันเนืองมาจากแรงลมหรื อแรงแผ่นดินไหวทีกระทําต่อโครงข้ อแข็ง จะต้ านทานด้ วยเสา
และเสาจะถ่ายโมเมนต์ดดั ไปยังคาน โดยผ่านข้ อต่อระหว่างเสาและคาน ทําให้ คา่ โมเมนต์ดดั ที
เกิดขึนในคานเพิมขึนไปจากการรับนําหนักบรรทุกเนืองจากแรงโน้ มถ่วง (gravity load) อีกด้ วย
ในกรณีทีพืนอาคารมีการออกแบบเป็ นแผ่นพืนไร้ คาน การคํานวณโครงข้ อแข็งจะ
พิจารณาแถบพืนทีจะออกแบบ (design strip) ซึงประกอบด้ วย แถบเสาและแถบกลาง คิดเป็ น
เสมือนคานกว้ าง โครงสร้ างแผ่นพืนนีนอกจากจะรับนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร
เนืองจากแรงโน้ มถ่วงแล้ ว ยังทําหน้ าทีต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ าง โดยการถ่ายโมเมนต์จาก
เสาอีกด้ วย
ขันตอนของการออกแบบโครงข้ อแข็ง มีดงั นี
1. คํานวณค่าแรงภายในคือ โมเมนต์ แรงเฉือน และแรงตามแนวแกน ในคานและ
เสาซึงเกิดจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรเนืองจากแรงโน้ มถ่วง
โดยวิธีประมาณ ซึงจะกล่าวต่อไป ในบทนี
130 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

2. ทําการออกแบบขนาดขององค์อาคาร (คาน เสา) ขันต้ น โดยใช้ แรงภายในของ


องค์อาคารจากนําหนักบรรทุกทีคํานวณเบืองต้ น พร้ อมทังเผือขนาดขององค์
อาคาร โดยคํานึงถึงหน่วยแรงจากแรงกระทําทางด้ านข้ างด้ วย
3. คํานวณแรงภายในขององค์อาคารเนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ าง โดยวิธี
ประมาณ ซึงจะกล่าวต่อไป ในบทนี
4. ตรวจสอบค่า ระยะการโยกตัวของโครงข้ อแข็งและปรับขนาดขององค์อาคาร
5. ตรวจสอบความแข็งแรงขององค์อาคาร เพือให้ สามารถรับหน่วยแรงกระทํารวม
ของนําหนักบรรทุกเนืองจากแรงโน้ มถ่วงและแรงกระทําทางด้ านข้ าง ซึงเป็ นกรณี
การรวมแรงกระทํา (combined load case) และปรับขนาดขององค์อาคาร
6. คํานวณโครงสร้ างทังหมดอย่างละเอียด โดยใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพือ
ตรวจสอบความแข็งแรง และระยะการโยกตัวของโครงข้ อแข็ง (story drift)
พร้ อมทังปรับแก้ ขนาดอีกครังหนึงด้ วย (หากจําเป็ น) ในขันตอนนี รวมถึงการ
คํานวณความมันคงของโครงสร้ าง (stability) และผลกระทบของ P-delta ด้ วย
7. ทําการออกแบบองค์อาคารและรอยต่อของโครงสร้ างทังหมดในรายละเอียด
(detailed design)

6.2 พฤติกรรมของโครงข้ อแข็ง

พฤติกรรมของโครงข้ อแข็งในการต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ าง แบ่งออกเป็ น 2


ประเภท คือ

ก) พฤติกรรมของโครงสร้ างเนืองจากแรงเฉือนภายนอก
แรงเฉือนเนืองจากแรงกระทําด้ านข้ างทีสะสมจากแต่ละชัน ตังแต่ชนบนสุ
ั ดลงมา
จะต้ านทานด้ วยแรงเฉือนในเสาแต่ละชัน ซึงทําให้ เสามีการบิดแอ่นตัว โดยมีจดุ เปลียนแนวการโก่ง
ตัว (point of contraflexure) ทีกึงกลางความสูงของเสาแต่ละชัน แรงเฉือนทีกึงกลางเสาเหล่านี
จะก่อให้ เกิดโมเมนต์ซงจะถ่
ึ ายไปยังคาน ก่อให้ เกิดการบิดและแอ่นตัวโดยมี จุดเปลียนแนวการ
โก่งตัว (point of contraflexure) ทีกึงกลางช่วงคานเช่นกัน ดังแสดงในรูปที 6.1 รูปร่างของการ
โก่งตัวของโครงข้ อแข็งแบบนี เรี ยกว่าการโก่งตัวแบบทรวดทรงแรงเฉือน (shear configuration)
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 131

Points of
contraflexure
Shear in columns

Typical column
moment diagram

Typical beam
moment diagram

รูปที 6.1 แรงและการเคลือนทีอันเกิดจากแรงเฉือนภายนอก

ข) พฤติกรรมของโครงสร้ างเนืองจากโมเมนต์ ภายนอก


โมเมนต์เนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ างจะทําให้ เกิดแรงกดและแรงดึงต่อเสา
ดังแสดงในรูปที 6.2 เมือเสาถูกแรงกดและแรงดึงจะทําให้ มีการหดตัวและยืดตัว ซึงทําให้ เกิดการ
แอ่นตัวและเคลือนตัวไปทางด้ านข้ างได้ จากการเปรี ยบเทียบระหว่างพฤติกรรมของโครงสร้ างทัง
2 แบบ เนืองจากการเคลือนตัวของโครงสร้ างทางด้ านข้ างเนืองจากโมเมนต์ภายนอก จะมีสดั ส่วน
น้ อยเมือเทียบกับการเคลือนตัวของโครงสร้ างเนืองจากแรงเฉือนภายนอก ดังนัน รูปร่างของการ
โก่งตัวของโครงข้ อแข็ง เนืองจากแรงกระทําด้ านข้ างจึงมักจะพบว่าเป็ นรูปแบบการโก่งตัวแบบ
ทรวดทรงแรงเฉือน (shear configuration)
Extension

Shortening

Compression
Tension

รูปที 6.2 แรงและการเคลือนทีอันเกิดจากโมเมนต์ ภายนอก


132 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

6.3 การคํานวณหน่ วยแรงในองค์ อาคารเนืองจากนําหนักบรรทุกคงที


และนําหนักบรรทุกจร

ในขันตอนของการคํานวณหาแรงภายในองค์อาคารเนืองจากนําหนักบรรทุกคงทีและ
นําหนักบรรทุกจรโดยวิธีประมาณ ดังกล่าวข้ างต้ น มีวิธีการคํานวณได้ 2 วิธีคือ

ก) วิธีคาํ นวณโดยใช้ ค่าสัมประสิทธิของโมเมนต์ และแรงเฉือน


การคํานวณโดยวิธีนีได้ กล่าวแล้ วในบทที 1 ในหัวข้ อการออกแบบเบืองต้ น ซึงเป็ น
วิธีทีเสนอโดยมาตรฐานสําหรับอาคารคอนกรี ตเสริมเหล็ก โดยวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย วิธี
นีมีข้อจํากัดในเรื องความยาวช่วงคาน นําหนักบรรทุกจร และขนาดหน้ าตัดขององค์อาคาร

ข) วิธีการกระจายโมเมนต์ แบบสองรอบ
(Two-cycle Moment Distribution)
การคํานวณวิธีนี เป็ นรูปแบบหนึงของการกระจายโมเมนต์ ซึงให้ คา่ ถูกต้ อง
มากกว่าวิธีการแรก และไม่มีข้อจํากัดเรื องความยาวช่วงคาน และนําหนักบรรทุกจร
ในการวิเคราะห์คานด้ วยวิธีนีมีสมมติฐานดังนี คือ
ก) โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกามีเครื องหมายเป็ นบวก และโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
มีเครื องหมายเป็ นลบ
ข) ตําแหน่งปลายเสายึดติดกับพืนซึงอยูเ่ หนือและใต้ คานให้ ถือเป็ นปลาย
ยึดแน่น (fixed support)
ค) ขนาดขององค์อาคารคานและเสา สมมติให้ มีขนาดหน้ าตัดเท่ากัน ดังนัน ค่า
ตัวประกอบของการกระจายโมเมนต์ คํานวณจาก
1 (6.1)
DF
n
โดยที DF คือ ตัวประกอบของการกระจายโมเมนต์ (distribution factor)
ทีแต่ละจุดต่อระหว่างคานและเสา
n คือ จํานวนขององค์อาคารทียึดตรงรอยต่อในระนาบของโครงข้ อ
แข็ง
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 133

ตัวอย่ างที 6.1 อาคารสรรพสินค้ าหลังหนึงสูง 7 ชัน มีโครงสร้ างเป็ นโครงข้ อแข็งดังแสดงในรูปที
6.3 กําหนดให้ นําหนักบรรทุกจรเท่ากับ 500 กก./ตร.ม. จงออกแบบคานและเสาพร้ อมปริมาณ
เหล็กเสริม สําหรับโครงอาคารในแนวแกนที 3 ชันที 1 เนืองจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนัก
บรรทุกจร

A B C D
B1 B2 B1
5

6.0 m
B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5

B3 B4 B3
4

B5 แผ่นพื นสําเร็ จ รู ป

6.0 m
B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5
E HC150X1200 mm E
B3 B4 B3
3

6.0 m
B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5

B3 B4 B3
2

6.0 m
B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5

B1 B2 B1
1
7.5 m 8.0 m 7.5 m

(ก) ผังคาน-พื้น ชั้นที่ 1 ชันดาดฟ้า


B3 B4 B3

C7 C7 C7 C7

B3 B4 B3
ชันที
C6 C6 C6 C6
B3 B4 B3
ชันที
C5 C5 C5 C5
ชันที
7@4.0 = 28.0 m

B3 B4 B3

C4 C4 C4 C4

B3 B4 B3
ชันที
C3 C3 C3 C3

B3 B4 B3
ชันที
C2 C2 C2 C2

B3 B4 B3
ชันที
C1 C1 C1 C1
ชันล่าง G
7.5 m 8.0 m 7.5 m

(ข) รู ปตัดขวาง E-E

รูปที 6.3 อาคารสรรพสินค้ าสูง 7 ชัน


134 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

กําหนดให้ : พืนอาคารเป็ นแผ่นพืนสําเร็จรูปคอนกรี ตอัดแรงแบบกลวง


ขนาด HC150X1200 มม. นําหนักพืนรวมคอนกรี ตเททับหน้ า = 302 กก./ตร.ม.
5 2
โมดูลสั ยืดหยุน่ Ec = 2.3x10 กก./ซม.

กําลังอัดประลัยของคอนกรี ต fcc = 300 กก./ซม.2


กําลังคลากของเหล็กเสริม fy = 4,000 กก./ซม.2

วิธีทาํ
ตรวจสอบค่าอัตราส่วนระหว่างนําหนักบรรทุกจร : นําหนักบรรทุกคงที
นําหนักพืน = 302x6.0 = 1,812 กก./ม.
สมมติให้ นําหนักคาน = 25%ของนําหนักพืน
= 0.25x1,812 = 453 กก./ม.
นําหนักพืนและคาน = 1,812+453 = 2,265 กก./ม.
นําหนักบรรทุกจร = 500x6.0 = 3,000 กก./ม.
LL/DL = 3,000/2,265 = 1.325
เนืองจากค่าอัตราส่วน LL/DL มากกว่า 0.75 ดังนันใช้ วิธีการวาง Loading Pattern
เช่นเดียวกับรูปแบบในบทที 1 ในการคํานวณนี จึงจัดการกระจายโมเมนต์เป็ น 4 รูปแบบ ดัง
แสดงในตารางที 6.1-6.4
สําหรับค่าโมเมนต์ทีปลายยึดแน่น (Fixed-End Moment, FEM) คํานวณดังนี
นําหนักบรรทุกคงทีคูณค่า (DL) WDU = 1.4x2,265 = 3,171 กก./ม.
นําหนักบรรทุกจรคูณค่า (LL) WLU = 1.7x3,000 = 5,100 กก./ม.
นําหนักบรรทุกรวมคูณค่า (TL) WTU = 3,171+5,100 = 8,271 กก./ม.
2
ช่วงคาน AB: DL FEM = 3,171(7.5) /12 = 14,864 กก.-ม.
TL FEM = 8,271(7.5)2/12 = 38,770 กก.-ม.
ช่วงคาน BC: DL FEM = 3,171(8.0)2/12 = 16,912 กก.-ม.
TL FEM = 8,271(8.0)2/12 = 44,112 กก.-ม.
ช่วงคาน CD: DL FEM = 3,171(7.5)2/12 = 14,864 กก.-ม.
TL FEM = 8,271(7.5)2/12 = 38,770 กก.-ม.
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 135

ตารางที 6.1 การกระจายโมเมนต์ เพือหาค่ าโมเมนต์ สูงสุดทีจุด A และ D


WL WL

WD WD

A B C D A B C D

ก) การวางนําหนักบรรทุกเพือหาโมเมนต์สงู สุดทีจุด A ข) การวางนําหนักบรรทุกเพือหาโมเมนต์สงู สุดทีจุด D

รอยต่ อ A B C D
องค์ อาคาร A-B B-A B-C C-B C-D D-C
DF 1/3 1/4 1/4 1/4 1/4 1/3
COF 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50
DL FEM 16,912 -16,912
TL FEM 38,770 -38,770 38,770 -38,770
COM 2,732 -2,732
6 41,502 -41,502
DM -13,834 13,834
Maximum Moment 27,668 -27,668

ตารางที 6.2 การกระจายโมเมนต์ เพือหาค่ าโมเมนต์ สูงสุดทีจุด B และ C


WL WL

WD WD

A B C D A B C D

ก) การวางนําหนักบรรทุกเพือหาโมเมนต์สงู สุดทีจุด B ข) การวางนําหนักบรรทุกเพือหาโมเมนต์สงู สุดทีจุด C

รอยต่ อ A B C D
องค์ อาคาร A-B B-A B-C C-B C-D D-C
DF 1/3 1/4 1/4 1/4 1/4 1/3
COF 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50
DL FEM -14,864 14,864
TL FEM 38,770 -38,770 44,112 -44,112 38,770 -38,770
COM -6,462 3,656 -3,656 6,462
6 -45,232 47,768 -47,768 45,232
DM -634 -634 634 634
Maximum Moment -45,866 47,134 -47,134 45,866
136 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

การกระจายโมเมนต์ในตารางที 6.1- 6.2 ทังหมดนี สามารถนํามาเขียนรวมกันได้ ในตารางที 6.3


ซึงจะได้ คา่ โมเมนต์ลบทีจุดข้ อต่อทุกจุด ส่วนทีเหลืออยู่คือ ค่าโมเมนต์บวกสูงสุดทีกลางช่วงคาน
ซึงคํานวณได้ จากการหาผลรวมของค่าโมเมนต์บวกทีกึงกลางคานเนืองจากนําหนักบรรทุกรวม
(M+) และโมเมนต์ทีถ่ายจากข้ อต่อทังสองข้ าง (COM)

ตารางที 6.3 รวมผลการกระจายโมเมนต์ แบบ 2 รอบ

รอยต่ อ A B C D
องค์ อาคาร A-B B-A B-C C-B C-D D-C
DF 1/3 1/4 1/4 1/4 1/4 1/3
COF 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50
DL FEM 14,864 -14,864 16,912 -16,912 14,864 -14,864
TL FEM 38,770 M+AB -38,770 44,112 M+BC -44,112 38,770 M+CD -38,770
COM 2,732 COMAB -6,462 3,656 COMBC -3,656 6,462 COMCD -2,732
6 41,502 COMBA -45,232 47,768 COMCB -47,768 45,232 COMDC -41,502
DM -13,834 -634 -634 634 634 13,834
Maximum Moment 27,668 M+max -45,866 47,134 M+max -47,134 45,866 M+max -27,668

การหาค่าโมเมนต์กึงกลางคานสูงสุด สําหรับช่วงคาน AB คํานวณได้ ดงั นี

§ M  M BA · 8, 271 7.5 § 38, 770  38, 770 ·


2

M AB M o  ¨ AB ¸ ¨ ¸ 19,385
© 2 ¹ 8 © 2 ¹
1 1
COM AB (1  0.5 DF ) u COM A (1  0.5(1/ 3)) u 2, 732 1,594
2 2
1 1
COM BA  (1  0.5DF ) u COM B  (1  0.5(1/ 4)) u ( 6, 462) 3, 635
2 2

M max 19,385  1,594  3, 635 24, 614

สําหรับค่าโมเมนต์บวกสูงสุดทีกลางคานช่วงอืน ก็สามารถคํานวณหาได้ ในทํานองเดียวกันนี


ผลรวมของโมเมนต์ ณ ตําแหน่งทีต้ องการทุกจุด แสดงในตารางที 6.4
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 137

ตารางที 6.4 รวมผลการกระจายโมเมนต์ แบบ 2 รอบและค่ าโมเมนต์ กลางคานสูงสุด

รอยต่ อ A B C D
องค์ อาคาร A-B B-A B-C C-B C-D D-C
DF 1/3 1/4 1/4 1/4 1/4 1/3
COF 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50
DL FEM 14,864 -14,864 16,912 -16,912 14,864 -14,864
TL FEM 38,770 19,385 -38,770 44,112 22,056 -44,112 38,770 19,385 -38,770
COM 2,732 1,594 -6,462 3,656 2,057 -3,656 6,462 3,635 -2,732
6 41,502 3,635 -45,232 47,768 2,057 -47,768 45,232 1,594 -41,502
DM -13,834 -634 -634 634 634 13,834
Maximum Moment 27,668 24,614 -45,866 47,134 26,170 -47,134 45,866 24,614 -27,668

สําหรับการคํานวณออกแบบเหล็กเสริมและรายละเอียดของการเสริมเหล็กแสดงในตารางที 6.5
และรูปที 6.4 – 6.6 ตามลําดับ
26,170
24,614 24,614

27,668 27,668
45,866 45,866
47,134 47,134

ก) ไดอะแกรมของโมเมนต์ สําหรับคานชันที แนวแกน

33,084 33,443
28,590

28,590
33,443 33,084

ข) ไดอะแกรมของแรงเฉื อ นสําหรับคานชันที แนวแกน

ร◌ู ปที 6.4 ไดอะแกรมของโมเมนต์ และแรงเฉือนสําหรับคานชันที 1 แนวแกน 3


ตารางที 6.5 การออกแบบปริมาณเหล็กเสริมในคาน

138
รอยต่อ A B C D
โมเมนต์ทใช้ี ออกแบบ 27,668 24,614 -45,866 47,134 26,170 -47,134 45,866 24,614 -27,668

ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป
(Mu, กก.-ม.)
แรงเฉือน (Vu, กก.) 28,590 33,443 33,084 33,084 33,443 28,590
ขนาดคาน 25x80 ซม. 25x80 ซม. 25x80 ซม.
2
Ru = Mu/Ibd (กก./ซม. ) 21.86
2
19.45 36.24 37.24 20.68 37.24 36.24 19.45 21.86
U 0.0057 0.0051 0.0098 0.010 0.0054 0.010 0.0098 0.0051 0.0057
2
As = Ubd (ซม. ) 10.69 9.56 18.38 18.75 10.13 18.75 18.38 9.56 10.69
2
As min. = (14/fy)bd (ซม. ) 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56
ปริ มาณเหล็กเสริ ม 2DB25 2DB25 4DB25 4DB25 2DB25 4DB25 4DB25 2DB25 2DB25
ตามยาว +2DB12 +2DB12 +2DB12
แรงเฉือนทีหน้าตัดวิกฤติ (กก.) 19,905 24,758 24,400 24,400 24,758 19,905
กําลังรับแรงเฉือนของคอนกรีต
14,630 14,630 14,630 14,630 14,630 14,630
(กก.)
ระยะห่างของเหล็กปลอกขนาด
75 39.3 40.7 40.7 39.3 75
DB10 มม. รับแรงเฉือน
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ ง

ปริ มาณเหล็กปลอก DB10@0.375 ม.


บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 139

A B C D
13,834 กก.-ม. 634 กก.-ม. 634 กก.-ม. 13,834 กก.-ม.

27,668 กก.-ม. 45,866 กก.-ม. 47,134 กก.-ม. 47,134 กก.-ม. 45,866 กก.-ม. 27,668 กก.-ม.
13,834 กก.-ม. 634 กก.-ม. 13,834 กก.-ม.
634 กก.-ม.

Pu = 200,130 กก. Pu = 465,689 กก. Pu = 465,689 กก. Pu = 200,130 กก.

A MA= 13,834 กก. -ม. B MB= 634 กก.-ม. C M1= 634 กก.-ม. D
M1= 13,834 กก. -ม.

E F G H
ME = 13,834 กก.-ม. MF= 634 กก.-ม. MG= 634 กก.-ม.
MH= 13,834 กก. -ม.
200,130 กก. 465,689 กก. 465,689 กก. 200,130 กก.

รูปที6.5 แรงตามแนวแกนและโมเมนต์ ภายในเสาและคาน

ตารางที 6.6 การออกแบบปริมาณเหล็กเสริมในเสา


เสาแนวแกน A B C D
นําหนักบรรทุก, Pu (กก.) 200,130 465,689 465,689 200,130

โมเมนต์ , Mu (กก.-ม.) 13,834 634 634 13,834

ขนาดเสา 50x50 ซม.


e =Mu/Pu (ซม.) 6.91 0.14 0.14 6.91
\1=6(Ic/lc)/6 (Ib/lb) 1.83 0.94 0.94 1.83
\2=6(Ic/lc)/6 (Ib/lb) 0 0 0 0
k 0.65 0.63 0.63 0.65
ความชะลูด = kl/r 13.9 13.44 13.44 13.9

ตรวจสอบกับ34-12(M1/M2) 13.9 < 22 13.44 < 22 13.44 < 22 13.9 < 22


วิธีการคํานวณ เสาสันรับนําหนักตามแกนและโมเมนต์ดดั
d/h = 0.9
e/h 0.14 0.0028 0.0028 0.14
I Pn Ag (ksi) 1.14 2.65 2.65 1.14
I Pn Ag e h (ksi) 0.16 0.0074 0.0074 0.16
Ug 0.01 0.025 0.025 0.01
2
Ast (ซม. ) 25.0 62.5 62.5 25.0
ปริ มาณเหล็กยืน 14DB25

ปริ มาณเหล็กปลอก DB10@0.40


A B C D
a a

c
36db= 2DB12 2DB25
2DB12
0.90 ม. l1/4 = 1.75 ม. l1 /3=2.33 ม. l2 /3=2.50 ม. l2 /3=2.50 ม. l3 /3=2.33 ม. l3/4 = 1.75 ม.
b 2DB25

5 ซม. b 2DB12
l2 /8=0.94 ม. 2DB25 l2 /8=0.94 ม.
B3, l1 = 7.00 ม 0.50 ม. B4, l2 = 7.50 ม. B3, l3 = 7.00 ม. 0.50 ม.
0.50 ม. 0.50 ม.
.
c

0.25 ม. 0.25 ม.
0.50 ม. 2DB25 2DB25
4DB25
DB10@0.40 DB10@0.375
0.50 ม. 6DB25 0.80 ม. DB10@0.375
0.80 ม.
4DB25
2DB12
2DB25 2DB25
140

หน้ าตัดเสา รูปตัด b-b รูปตัด c-c


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป

รูปที6.6 รายละเอียดการเสริมเหล็กของคานB3, B4 และเสา


บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 141

6.4 การคํานวณหน่ วยแรงในองค์ อาคารเนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง

6.4.1 การกําหนดแรงกระทําด้ านข้ างต่ อโครงสร้ างแต่ ละแกน

ในการกําหนดแรงกระทําด้ านข้ างต่อโครงสร้ างแต่ละแกน โดยปกติจะใช้


สมมติฐานว่า พืนอาคารมีความแข็งเกร็ง (rigid floor) ในแนวระนาบ ดังนันการเคลือนทีทางด้ าน
ข้ างของโครงสร้ างแต่ละชัน จะมีความสัมพันธ์กบั การเคลือนทีในแนวราบและการบิดตัวของพืน
อาคาร สําหรับการคํานวณหาแรงกระทําทางด้ านข้ างนี จะแบ่งออกเป็ น 2 กรณี คือ

ก) โครงสร้ างผังสมมาตรรับแรงกระทําสมมาตร
โครงสร้ างสมมาตรทีรับแรงกระทําสมมาตรดังรูปที 6.7ก จะมีการเลือนตัวทาง
ด้ านข้ าง แต่จะไม่มีการบิดตัว จากสมมติฐานของพืนอาคารซึงสมมติวา่ พืนอาคารมีความแข็ง
เกร็ง ดังนัน เมือมีแรงกระทําทางด้ านข้ างต่ออาคาร โครงสร้ างแต่ละแกนจะมีการเลือนตัวทาง
ด้ านข้ างอย่างเท่าเทียมกัน
symm

Q
(a)
(ก)
Bent number
1 2 3 4 5 6

Arbitrary Center of
origin O shear rigidity
x1
x2 e
x3 etc c3 c4
c2 c5
c1 c6
x
(b)
(ข)
รูปที 6.7 (ก) โครงข้ อแข็งผังสมมาตร (ข) โครงข้ อแข็งผังไม่ สมมาตร
142 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

แรงเฉือนภายนอกทังหมดทีแต่ละระดับชันจะกระจายไปยังโครงสร้ างแต่ละแกน
ตามสัดส่วนของค่า shear rigidity (GA) ของแต่ละแกนทีระดับชันนัน
ค่า shear rigidity (GAji) ของโครงสร้ างในแนวแกน j ทีระดับชัน i คํานวณได้ จาก

12 E
GA ji (6.2)
§ 1 1 ·
hi ¨¨  ¸¸
© G ji C ji ¹
เมือ hi คือความสูงของชันที i
Gji มีคา่ เท่ากับ 6(Ig / L) สําหรับคานในแนวแกน j ทีระดับพืน i
L เป็ นความยาวของช่วงคานในแนวแกน j ทีระดับพืน i
Cji มีคา่ เท่ากับ 6(Ic / hi) สําหรับเสาในแนวแกน j ทีระดับพืน i
E คือโมดูลส ั ของความยืดหยุ่นขององค์อาคาร
Ic,Ig คือโมเมนต์ของความเฉื อยของเสาและคาน ตามลําดับ

สําหรับค่าแรงเฉือน Qji ทีต้ านทานโดยโครงสร้ างในแนวแกน j ทีระดับชันที i คํานวณจาก

Qi GA ji
Q ji (6.3)
6 GA i
โดยที
Qi เป็ นแรงเฉือนทังหมด
(GA)ji เป็ นค่า shear rigidity ของโครงสร้ างในแนวแกน j ทีระดับชันที i
6(GA)i เป็ นผลรวมของค่า shear rigidity ของโครงสร้ างในทุกแนวแกนทีระดับ
ชันที i

ข) โครงสร้ างผังไม่ สมมาตร

โครงสร้ างผังไม่สมมาตรเมือถูกกระทําด้ วยแรงด้ านข้ าง จะมีการเลือนตัวไป


ด้ านข้ างพร้ อมกับมีการบิดตัวด้ วย โดยจะบิดรอบจุดศูนย์กลางของ shear rigidity ดังแสดงในรูป
ที 6.7ข การคํานวณหาตําแหน่งจุดศูนย์กลางของ shear rigidity ของผังโครงสร้ างของชันที i
สามารถคํานวณได้ จาก
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 143

ª 6 GA x j º (6.4)
x « 6 GA »
¬ ¼

สําหรับค่าแรงเฉือน Qji ทีต้ านทานโดยโครงสร้ างในแนวแกน j ทีระดับชันที i คํานวณโดย

Qi GA ji Qi ei ^ GA C ` (6.5)
ji
Q ji 
¦ GA i ^
¦ GA C
2
`i
โดยที
เป็ นค่าการเยืองศูนย์ของ Qi จากจุดศูนย์กลางของ shear rigidity ทีชัน i
ei
Cj เป็ นระยะจากจุดศูนย์กลางของ shear rigidity ไปยังแกน j
ทังนี ค่า C และ e ใช้ เครื องหมายเป็ นบวก ถ้ าหากค่าทังสองอยู่บนด้ านเดียวกันเมือพิจารณา
จากจุดศูนย์กลางของ shear rigidity และ ค่าของผลรวม (6) เป็ นผลรวมของชุดของโครงสร้ าง
ในแต่ละแนวแกน ทีขนานกับทิศทางของแรงกระทํา

ตัวอย่ างที 6.2 จากอาคารตัวอย่างที 6.1 หากอาคารนีจะต้ องออกแบบให้ สามารถต้ านทาน


แรงลมได้ โดยใช้ หน่วยแรงลมตามกฎกระทรวงฉบับที 6 ออกตามความในพระราชบัญญัตคิ วบคุม
อาคาร จงคํานวณหาแรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉือนทีกระทําต่อโครงอาคารในแนวแกน 3
เนืองจากแรงลมนี
กําหนดให้
ขนาดคาน B1 = 0.25x0.60 m., B2 = 0.25x0.60 m.,B3 = 0.25x0.80 m.,
B4 = 0.25x0.80 m., B5 = 0.25x0.50 m.
ขนาดเสา C1 = 0.50 x 0.50 m. C2= 0.50 x 0.50 m.
C3 = 0.40 x 0.40 m. C4 = 0.40 x 0.40 m.
C5 = 0.40 x 0.40 m. C6 = 0.30 x 0.30 m. C7 = 0.30 x 0.30 m.

วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณหาแรงเฉือนทีกระทําต่อโครงอาคารทุกแกนในแต่ละชัน
จากข้ อกําหนดของกฎกระทรวง หน่วยแรงลมกระจายตามความสูงของอาคารดังนี
จากระดับชันล่าง G ถึงความสูง 10 ม. แรงลม = 50 กก./ม.2
จากระดับความสูง 10 ม. ถึงความสูง 20 ม. แรงลม = 80 กก./ม.2
จากระดับความสูง 20 ม. ถึงความสูง 40 ม. แรงลม = 120 กก./ม.2
144 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

แสดงแรงลมและแรงกระทําด้ านข้ างต่ออาคารทังหลังดังในรูปที 6.8

+ 28.0 FW7
B3 B4 B3

C7 C7 V7 C7 C7
+ 24.0
B3 B4 B3 FW6
C6 C6 V6 C6 C6
+ 20.0
B3 B4 B3 FW5 120
C5 C5 V5 C5 C5
+ 16.0
B3 B4 B3 FW4
C4 C4 V4 C4 C4
+ 12.0
B3 B4 B3 FW3

C3 C3 V3 C3 C3
+ 8.0 80
B3 B4 B3 FW2
C2 C2 V2 C2 C2
+ 4.0
B3 B4 B3 FW1
C1 C1 V1 C1 C1
0.0 FWG
Vb 50
7.5 m 8.0 m 7.5 m แรงลม (กก./ม 2)

รูปที 6.8 แรงกระทําด้ านข้ างต่ อโครงอาคารทังหลัง

สําหรับแรงกระทําด้ านข้ างทีกระทําต่อผังอาคารในแต่ละระดับชันต่างๆ คํานวณจากพืนทีแรงลมที


กระทําในแต่ละชันเท่าๆกันภายในพืนทีแรเงาคูณด้ วยความกว้ างของอาคารทังหมด ดังนี
ระดับชันที 7 FW7 = 0.5 x 4 x 120 x 24 = 5,760 กก.
ระดับชันที 6 FW6 = (4 x 120 ) x 24 = 11,520 กก.
ระดับชันที 5 FW5 = (2x120 + 2x80)x 24 = 9,600 กก.
ระดับชันที 4 FW4 = (4x80)x24 = 7,680 กก.
ระดับชันที 3 FW3 = (4x80)x 24 = 7,680 กก.
ระดับชันที 2 FW2 = (4x50)x 24 = 4,800 กก.
ระดับชันที 1 FW1 = (4x50)x 24 = 4,800 กก.
ระดับชันที G FWG = (2x50)x 24 = 2,400 กก.
แรงกระทําด้ านข้ างทีคํานวณได้ แต่ละระดับชัน แสดงในตารางที 6.7
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง 145

ตารางที 6.7 การคํานวณแรงกระทําด้ านข้ างและแรงเฉือนในแต่ ละระดับชัน


ระดับชัน แรงกระทํา, FW (กก.) แรงเฉือน, V หรื อ Q (กก.)
7 5,760 m 5,760 o
6 11,520 m 17,280 o
5 9,600 m 26,880 o
4 7,680 m 34,560 o
3 7,680 m 42,240 o
2 4,800 m 47,040 o
1 4,800 m 51,840 o
G 2,400 m 54,240 o

ขันตอนที 2 คํานวณหาค่า Shear Rigidity ของโครงสร้ างในแต่ละแกน


พิจารณาโครงสร้ างแกน 1 และ 5 ในระดับชันที 1 (j = 1, 5 และ i = 1)

12 E
GA11 GA51
§ 1 1 ·
h1 ¨¨  ¸¸
© G11 C11 ¹
­ 25 ( 60 ) 3 1 ½ ­ 25 ( 60 ) 3 1 ½
G11 6 Ig / L 2® ˜ ¾ ® ˜ ¾ 1 ,762.5 ซม .3
¯ 12 750 ¿ ¯ 12 800 ¿
­ 50( 50 ) 3 1 ½
C11 6 Ic / h 4® ˜ ¾ 5 ,208 ซม .3
¯ 12 400 ¿
12( 2.3 u 10 5 )
GA11 GA51 9.09 u 10 6 กก .
1 1 ·
400 §¨  ¸
© 1 ,762.5 5 ,208 ¹
146 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

พิจารณาโครงสร้ างแกน 2, 3 และ 4 ในระดับชันที 1 (j = 2,3,4 และ i = 1)


12 E
GA21 GA31 GA41
§ 1 1 ·
h1 ¨  ¸
© G21 C21 ¹
­ 25(80)3 1 °
° ½ °­ 25(80)3 1 ° ½
G21 6 Ig / L 2® ˜ ¾ ® ˜ ¾ 4,178 ซม.3
° 12
¯ 750 ¿
° ¯° 12 800 ¿
°
­ 50(50)3 1 °
° ½
C21 6 Ic / h 4® ˜ ¾ 5, 208 ซม.3
¯ 12
° 400 °
¿
12(2.3 u105 )
GA21 GA31 GA41 16.0 u106 กก.
§ 1 1 ·
400 ¨  ¸
© 4,178 5, 208 ¹

ขันตอนที 3 คํานวณหาค่าแรงเฉือนทีต้ านทานโดยโครงสร้ างในแนวแกน 3


พิจารณาโครงสร้ างแกน 3 ในระดับชันที 1 (j = 3 และ i = 1)

Q1 GA 31 51 ,840 ( 16.0 u 10 6 )
Q31 12 ,533 กก .
6 GA 1 2( 9.09 u 10 6 )  3( 16.0 u 10 6 )
สําหรับค่าแรงเฉือนทีต้ านทานโดยโครงสร้ างแกน 3 ในระดับชันอืนๆ ก็สามารถคํานวณหาได้ ใน
ทํานองเดียวกันนี ดังแสดงผลสรุปค่าแรงเฉือนในตารางที 6.8

ตารางที 6.8 การคํานวณหาแรงเฉือนทีต้ านทานโดยโครงสร้ างแกน 3 ในแต่ ละระดับชัน


ระดับชัน (i) แรงกระทํา, แรงเฉือนทังหมด, แรงเฉือนในแกน 3,
FW (กก.) Qi (กก.) Qji (กก.)
7 5,760 m 5,760 o 1,229 o
6 11,520 m 17,280 o 3,688 o
5 9,600 m 26,880 o 6,154 o
4 7,680 m 34,560 o 7,913 o
3 7,680 m 42,240 o 9,671 o
2 4,800 m 47,040 o 11,373 o
1 4,800 m 51,840 o 12,533 o
G 2,400 m 54,240 o 13,113 o
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 147

6.4.2 การคํานวณหาแรงภายในองค์ อาคารโดยวิธี Portal Method

การคํานวณหาแรงภายในองค์อาคารของโครงสร้ างด้ วยวิธีนี เป็ นการคํานวณ


โดยประมาณ ซึงไม่ต้องใช้ ขนาดขององค์อาคารมาคํานวณ วิธีนีเหมาะสําหรับโครงข้ อแข็งซึงมี
การโก่งตัวโดยรูปแบบของการโก่งตัวเนืองจากแรงเฉือน (shear configuration) เป็ นหลัก โดยที
โครงสร้ างมีความสูงไม่เกิน 25 ชัน และมีคา่ อัตราส่วนของความสูงต่อความกว้ าง ไม่เกิน 4:1
หลักการคํานวณโดยวิธีนีเปรี ยบเสมือนการนําโครงข้ อแข็งเดียวหลายๆโครง มา
ต่อกัน เมือมีแรงลมมาปะทะต่อโครงสร้ างนี จะเกิดแรงดึงทีด้ านปะทะลม (windward) และ
แรงอัดทีด้ านหลบลม (leeward) ในแต่ละโครงข้ อแข็งเดียว เมือนําโครงข้ อแข็งเดียวเหล่านีมา
รวมตัวเป็ นโครงอาคารทีมีหลายช่วง (multi-bay) แรงภายในทีเกิดขึนในเสาต้ นใน (interior
column) จะหักล้ างกันไป เหลือเพียงแต่แรงทีเสาต้ นนอก (exterior column) ดังแสดงในรูปที
6.9
n
ressio

.
Tens .

Tens .
n

Comp

Comp
Tensio

Comp

(a)
.
Comp

0 0
n
Tensio

Zero axial force


in internal columns
(b)
(ข)

รูปที 6.9 (ก) แบบจําลองของโครงข้ อแข็งเดียวหลายโครง; (ข) แบบจําลองของโครงข้ อแข็งต่ อเนือง

สมมติฐานของการคํานวณโดยวิธี Portal Method มีดังนี


ก) แรงกระทําด้ านข้ างต่อโครงสร้ างจะทําให้ เกิดการโก่งดัดในองค์อาคารของเสาและ
คานเป็ นแบบการดัดสองทาง (double curvature) โดยมีจดุ ของการดัดกลับอยู่
ทีกึงกลางเสาและคาน
ข) แรงเฉือนทีกึงกลางชันแต่ละชันจะกระจายไปยังเสาด้ วยขนาดเป็ นสัดส่วนกับ
ความกว้ างของช่วงเสาแต่ละช่วง
148 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

ขันตอนการคํานวณหาแรงภายในองค์ อาคารโดยวิธี Portal Method

วิธีการนีมีขนตอนกระทํ
ั าเริมจากทางซ้ ายสุดของโครงสร้ างไปทางขวาและจากบนยอด
อาคารลงสูฐ่ านอาคารดังนี
ก) เขียนรูปโครงข้ อแข็งและแรงเฉือนทีกึงกลางชันแต่ละชัน
ข) ในแต่ละชัน กําหนดแรงเฉือนทีเสาเป็ นสัดส่วนกับความกว้ างของช่วงเสาแต่ละ
ช่วงและเขียนค่าแรงเฉือนลงในรูป
ค) เริมคํานวณจากส่วนบน-ซ้ ายสุดของโครงสร้ าง คํานวณหาโมเมนต์สงู สุดที
ตําแหน่งใต้ รอยต่อหรื อโมเมนต์ภายในเสา
ง) คํานวณหาโมเมนต์ภายใน (ขวามือของรอยต่อ) จากสมการสมดุลของโมเมนต์
ทีรอยต่อนัน สําหรับโมเมนต์ทีปลายอีกส่วนหนึงของคาน ก็จะเท่ากับโมเมนต์ใน
คานทีตําแหน่งแรก แต่มีการโก่งดัดตรงข้ ามกัน
จ) คํานวณแรงเฉือนทีคานจากค่าโมเมนต์ทีคํานวณได้ ก่อน
ฉ) พิจารณาสมดุลของแรงทีข้ อต่อถัดไป โดยการใช้ ขนตอนทีั ค) ถึง จ) เพือหา
ค่าโมเมนต์ในเสา และค่าโมเมนต์และแรงเฉือนในคาน

วิธีการคํานวณหาแรงภายในองค์อาคารโดยวิธี Portal Method นี สามารถใช้


คํานวณหาแรงภายในองค์อาคารทีระดับชันอาคารทีสนใจได้ ดังนันจึงเป็ นวิธีทีง่ายและสะดวกใน
การประมาณหน่วยแรงภายในสําหรับโครงข้ อแข็ง แต่ถ้าหากโครงสร้ างมีความสูงขึนและมีคา่
ความชะลูดมาก จนกระทังค่าโมเมนต์ดดั มีผลต่อการยืดหดตามแนวแกนของเสามากยิงขึน ก็ควร
ใช้ วิธี Cantilever Method จะเหมาะสมมากกว่า

6.5 การคํานวณออกแบบองค์ อาคารต้ านทานแรงกระทํารวมของนําหนักบรรทุก


เนืองจากแรงโน้ มถ่ วงและแรงกระทําด้ านข้ าง

จากการออกแบบขนาดหน้ าตัดและปริมาณเหล็กเสริมขององค์อาคารในขันตอนแรก
เพือให้ รับนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรได้ แล้ ว หากต้ องการออกแบบองค์อาคารให้
สามารถต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ างได้ จะต้ องคํานวณหาแรงกระทําทางด้ านข้ างเนืองจาก
แรงลมหรื อแรงแผ่นดินไหวทีกระทําต่อโครงสร้ างทังหมด จากนันจึงคํานวณหาแรงกระทําทาง
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 149

ด้ านข้ างทีกระจายกันต้ านทานโดยโครงสร้ างในแต่ละแกน ทังนีหากโครงสร้ างในแต่ละแกนมี


ขนาดของคานและเสาเท่ากันหมด โครงสร้ างในแต่ละแกนเหล่านีก็จะแบ่งการต้ านทานแรง
กระทําทางด้ านข้ างเท่าๆกัน แต่ในทางปฏิบตั ิ ขนาดของคานและเสาในแต่ละแกนอาจมีขนาดไม่
เท่ากันทุกแกน ดังนัน ในกรณีนี โครงสร้ างในแต่ละแกนจะต้ านทานแรงเฉือนตามสัดส่วนของค่า
Shear Rigidity ของโครงสร้ างแต่ละแกน ตามวิธีการคํานวณหาแรงเฉือนดังกล่าวข้ างต้ น แล้ วจึง
ตรวจสอบค่าระยะการโยกตัวของโครงสร้ าง และเปรี ยบเทียบกับค่าระยะการโยกตัวทียอมให้ ของ
อาคาร หากตรวจสอบแล้ วไม่ผา่ น ก็จะต้ องปรับขนาดของเสาใหม่ให้ ใหญ่ขนึ
ขันตอนต่อไปคือการคํานวณหาแรงภายในขององค์อาคารอันเนืองจากแรงกระทําทาง
ด้ านข้ าง ซึงอาจใช้ วิธี Portal Method ในการประมาณค่าแรงภายใน เพือตรวจสอบความแข็งแรง
ขององค์อาคารทีได้ ออกแบบไว้ ก่อนแล้ ว ให้ สามารถรับแรงกระทํารวมของนําหนักบรรทุกเนืองจาก
แรงโน้ มถ่วง (gravity load) และแรงกระทําทางด้ านข้ าง ซึงเป็ นกรณีการรวมแรงกระทํา
(combined load case) หากตรวจสอบแล้ วขนาดขององค์อาคารและปริมาณเหล็กเสริมไม่
เพียงพอ ก็จะต้ องปรับขนาดขององค์อาคารและปริมาณเหล็กเสริมใหม่

ตัวอย่ างที 6.3 จากตัวอย่างที 6.1 และ 6.2 จงตรวจสอบค่าระยะโยกตัวของโครงสร้ างอาคาร


เนืองจากแรงลม โดยกําหนดให้ คา่ Drift Index ไม่เกิน 0.002

วิธีทาํ พิจารณาโครงสร้ างแนวแกน 3


คํานวณค่าระยะโยกไหวระหว่างชัน (Interstory drift ) ของอาคาร จาก

Vi
'i
Ki
โดยที Ki = 12EIi/hi3

12(2.3u 105 ) ( 30 u 30 3 )
ระดับชันท◌ี5◌่- 7, K 3 ˜ 4 11 ,644 กก . / ซม .
( 400 ) 3 12
12(2.3u 105 ) ( 40 u 40 3 )
ระดับชันท◌ี2◌่- 5, K 2 ˜ 4 36 ,800 กก . / ซม .
( 400 ) 3 12
12(2.3u 105 ) ( 50 u 50 3 )
ระดับชันท◌ีG◌่- 2, K1 ˜ 4 89 ,844 กก . / ซม .
( 400 ) 3 12
150 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

ตารางที 6.9 การคํานวณค่ าระยะโยกไหวระหว่ างชันและระยะการโก่ งตัวด้ านข้ าง


ของโครงสร้ างแนวแกน 3
ระดับชัน แรงเฉือน (กก.) สติฟเนส, K ระยะโยกไหว ระยะการโก่งตัว
(กก./ซม.) ระหว่างชัน, '(ซม.) ด้ านข้ าง ,G ( ซม.)
7 1,229 11,644 0.11 1.35
6 3,688 11,644 0.32 1.24
5 6,154 36,800 0.17 0.92
4 7,913 36,800 0.22 0.75
3 9,671 36,800 0.26 0.53
2 11,373 89,844 0.13 0.27
1 12,533 89,844 0.14 0.14

ค่าระยะโยกไหวระหว่างชัน (Interstory drift ) ของอาคาร และค่าการโก่งตัวทางด้ านข้ างของ


โครงสร้ างอาคารทีคํานวณได้ นําไปพล้ อทค่าตลอดความสูงของอาคารได้ ดงั แสดงในรูปที 6.10
จากค่าการโก่งตัวทางด้ านข้ างของโครงสร้ างอาคาร คํานวณค่า Drift Index (DI) จาก
Gn 1.35
Drift Index ( DI ) 0.0005  0.002
H 400 u 7

ค่า Drift Index (DI) ทีคํานวณได้ มีคา่ น้ อยกว่าค่าทีกําหนดให้ แสดงว่า อาคารนีปลอดภัยจาก


การโยกไหวเนืองจากแรงลม
ระยะโยก ระยะโยก
ระหว่างชัน (ซม.) ทังหมด (ซม.)
0.11 1.35 7

0.32 1.24 6

0.17 0.92 5

ทิศ ทางแรงลม
0.22 0.75 4

0.26 0.53 3

0.13 0.27 2

0.14 0.14 1

รูปที 6.10 ค่ าระยะโยกไหวระหว่ างชันและระยะการโก่ งตัวด้ านข้ างของโครงสร้ างแนวแกน 3


บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 151

ตัวอย่ างที 6.4 จากอาคารในตัวอย่างที 6.1 และ 6.2 จงคํานวณหา


ก. แรงภายในขององค์อาคารอันเนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ าง โดยใช้ วิธี Portal Method ใน
การประมาณค่าแรงภายใน
ข. ตรวจสอบความแข็งแรงขององค์อาคารทีได้ ออกแบบไว้ ก่อนแล้ วว่า สามารถรับแรงกระทํารวม
ของนําหนักบรรทุกเนืองจากแรงโน้ มถ่วง (gravity load) และแรงกระทําทางด้ านข้ างได้
หรื อไม่
ค. หากตรวจสอบแล้ วขนาดขององค์อาคารและปริมาณเหล็กเสริมไม่เพียงพอ ให้ ออกแบบขนาด
ขององค์อาคารหรื อปริมาณเหล็กเสริมใหม่

วิธีทาํ
ก) คํานวณหาแรงภายในขององค์อาคารอันเนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ าง
พิจารณาโครงสร้ างแนวแกน 3 ในระดับชันที 1 จากค่าแรงเฉือนทีคํานวณได้ ก่อนแล้ ว นํามาเขียน
ได้ ดงั แสดงในรูปที 6.11

A B C D

Q2 =
VA2 VB2 VC2 VD2
11,373

ระดับชันที
Q1 =
VB1 VC1 VD1
12,533
VA1

7.5 ม. 8.0 ม. 7.5 ม.

รูปที 6.11 แรงเฉือนทีต้ านทานโดยเสาของโครงสร้ างแนวแกน 3 ในระดับชันที 1

กระจายแรงเฉือน Q1 และ Q2 ไปทีเสาแต่ละต้ นในระดับชันที 1


3.75
สําหรั บเสา A และ D ค่ า VA1 VD1 12 ,533 u 2 ,043 กก .
23
3.75
ค่ า VA2 VD 2 11 ,373 u 1 ,854 กก .
23
152 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

( 3.75  4.0 )
สําหรั บเสา B และ C ค่ า VB1 VC 1 12 ,533 u 4 ,223 กก .
23
( 3.75  4.0 )
ค่ า VB 2 VC 2 11 ,373 u 3 ,832 กก .
23

ในการคํานวณแรงภายในองค์อาคาร ให้ เริมจากข้ อต่อทางซ้ ายสุด (รูปที 6.12ก)

A B C D

1,854 กก. 3,832 กก. 3,832 กก. 1,854 กก.


3,708 กก.-ม. 7,664 กก.-ม. 7,664 กก.-ม. 3,708 กก.-ม.
2.0 ม. 2,078 กก. 2,079 กก. 2,078 กก.
-7,794 กก.-ม. -8,316 กก.-ม. -8,316 กก.-ม. -7,794 กก.-ม. -7,794 กก.-ม.
-7,794 กก.-ม.
2.0 ม. 8,446 กก.-ม. 8,446 กก.-ม.
4,086 กก.-ม. 2,078 กก. 2,079 กก. 2,078 กก. 4,086 กก.-ม.
2,043 กก. 4,223 กก. 4,223 กก. 2,043 กก.
3.75 ม. 3.75 ม. 4.0 ม. 4.0 ม. 3.75 ม. 3.75 ม.

(ก) (ข) (ค) (ง)


รูปที 6.12 สมดุลของแรงภายในคานและเสา

พิจารณาข้ อต่อ A รูปที 6.12ก


โมเมนต์ทีเสา A ใต้ ระดับพืน = VA1 x (h/2)
= 2,043 x (4.0/2) = 4,086 กก.-ม.
โมเมนต์ทีเสา A เหนือระดับพืน = VA2 x (h/2)
= 1,854 x (4.0/2) = 3,708 กก.-ม.
โมเมนต์ทีคาน = -(4,086+3,708) = - 7,794 กก.-ม.
แรงเฉือนทีคาน = 7,794 / 3.75 = 2,078 กก.
พิจารณาข้ อต่อ B รูปที 6.12ข
โมเมนต์ทีเสา B ใต้ ระดับพืน = VB1 x (h/2)
= 4,223 x (4.0/2) = 8,446 กก.-ม.
โมเมนต์ทีเสา B เหนือระดับพืน = VB2 x (h/2)
= 3,832 x (4.0/2) = 7,664 กก.-ม.
โมเมนต์ทีคานทางซ้ าย = -(2,078 x3.75) = - 7,794 กก.-ม.
โมเมนต์ทีคานทางขวา = (8,446+7,664) - 7,794
= - 8,316 กก.-ม.
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 153

สําหรับการคํานวณหาแรงภายในขององค์อาคารทีข้ อต่อ C และ D ก็สามารถคํานวณ


ได้ ในทํานองเดียวกันนี จากผลการคํานวณนี นํามาเขียนไดอะแกรมของโมเมนต์เนืองจากแรง
กระทําทางด้ านข้ างได้ ดังแสดงในรูปที 6.13ก และนําค่าโมเมนต์เนืองจากนําหนักบรรทุกคงทีและ
นําหนักบรรทุกจรจากผลการคํานวณในตัวอย่างที 6.1 มาเแสดงในรูปที 6.13ข จากนันจึงรวมผล
ของโมเมนต์ทงสองกรณี
ั เข้ าด้ วยกัน จะได้ ผลรวมของโมเมนต์ดงั แสดงในรูปที 6.13ค

A B C D
7,794 กก.-ม. 8,316 กก.-ม. 7,794 กก.-ม.

ระดับชันที 4,086 กก.-ม. 8,446 กก.-ม. 8,446 กก.-ม. 4,086 กก.-ม.

-7,794 กก.-ม. -7,794 กก.-ม.


-8,316 กก.-ม.

ระดับชันล่าง
4,086 กก.-ม. 8,446 กก.-ม. 8,446 กก.-ม. 4,086 กก.-ม.

ก) โมเมนต์ เนื องจากแรงกระทําด้ านข้ าง

24,614 กก.-ม. 26,170 กก.-ม. 24,614 กก.-ม.

-27,668 กก.-ม. -27,668 กก.-ม.

-45,866 กก.-ม. -45,866 กก.-ม.


-47,134 กก.-ม. -47,134 กก.-ม.

ข) โมเมนต์ ในคานเนื องจากนํ าหนักบรรทุกคงที และนํ าหนักบรรทุกจร


24,614 กก.-ม.
24,614 กก.-ม. 26,170 กก.-ม.

-19,874 กก.-ม.
-35,462 กก.-ม. -38,072 กก.-ม. -38,818 กก.-ม.
-55,450 กก.-ม. -53,660 กก.-ม.

ค) โมเมนต์ ในคานเนื องจากการรวมแรงกระทํา ก) และ ข)

รูปที 6.13 ไดอะแกรมของโมเมนต์ สาํ หรับโครงสร้ างแนวแกน 3


154 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

ข) และ ค) ตรวจสอบความแข็งแรงของคานและออกแบบปริมาณเหล็กเสริมใหม่

จากผลการรวมโมเมนต์ระหว่างค่าทีได้ จากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร
รวมกันกับโมเมนต์จากแรงลม เป็ นกรณีของการรวมแรงกระทํา (combined load case) นํามา
เขียนลงในตารางที 6.10 เพือเปรี ยบเทียบกันกับโมเมนต์ทีใช้ ออกแบบเดิม สําหรับกรณีของ
โมเมนต์จากแรงกระทํารวม จัดไว้ เป็ น 2 ชุด เนืองจากแรงลมอาจกระทําในทิศทางตรงกันข้ ามกัน
ได้ ซึงจะให้ คา่ โมเมนต์รวมซึงมีคา่ สลับช่วงกันจากซ้ ายไปขวา
เมือเปรี ยบเทียบกันแล้ ว จะเห็นได้ วา่ ค่าโมเมนต์รวมใหม่จะสูงกว่าค่า โมเมนต์เดิมที
จุดข้ อต่อระหว่างเสาและคานทุกตําแหน่ง ส่วนโมเมนต์ทีกึงกลางคานไม่เปลียนไปจากเดิม ดังนัน
คานจะไม่ปลอดภัยเพียงพอ จึงต้ องมีการออกแบบปริมาณเหล็กเสริมตามยาวในคานใหม่ โดยใช้
ขนาดคานคงเดิม และใช้ คา่ โมเมนต์รวมใหม่ในการออกแบบ ส่วนค่าแรงเฉือนในคานก็มี คา่
เพิมขึนด้ วย จึงต้ องออกแบบปริมาณเหล็กปลอกใหม่เช่นกัน ผลสรุปของการออกแบบใหม่แสดง
รวมอยูใ่ นตารางที 6.10
สําหรับในกรณีของเสา เมือมีแรงกระทําทางด้ านข้ างจะทําให้ เสาเกิดการเซได้ ทําให้
ค่าความชะลูด (slenderness = kl/r) มีคา่ มากขึน การออกแบบจึงเปลียนจากวิธีการคํานวณเดิม
เป็ นแบบเสายาวในโครงข้ อแข็งทีมีการเซ โดยจะมีคา่ โมเมนต์กระทําทีเสาเพิมมากขึนเนืองจากต้ อง
ต้ านทานแรงลมด้ วย ดังนัน ค่าโมเมนต์รวม จึงคํานวณจากโมเมนต์ดดั ทีขยายค่าเพิม
Mc = Mns + GsMs แล้ วจึงนําค่าโมเมนต์รวมนี ไปคํานวณหาปริ มาณเหล็กเสริ มทีต้ องการใหม่ได้
ผลสรุปของการออกแบบปริ มาณเหล็กเสริมในเสาใหม่แสดงอยูใ่ นตารางที 6.11
ตารางที 6.10 การออกแบบปริมาณเหล็กเสริมในคานในกรณีรวมแรงกระทํา (Combined Loads case)

บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ ง
รอยต่อ A B C D
โมเมนต์เดิม (Gravity Load) 27,668 24,614 -45,866 47,134 26,170 -47,134 45,866 24,614 -27,668

โมเมนต์รวม 35,462 24,614 -38,072 55,450 26,170 -38,818 53,660 24,614 -19,874
19,874 24,614 -53,660 38,818 26,170 -55,450 38,072 24,614 -35,462
(Combined Loads case)
โมเมนต์ทใช้ี ออกแบบ 35,462 โมเมนต์เดิม -53,660 55,450 โมเมนต์เดิม -55,450 53,660 โมเมนต์เดิม -35,462
(Mu, กก.-ม.)
แรงเฉือนรวม (Vu, กก.) 30,668 35,521 35,162 35,162 35,521 30,668
ขนาดคาน 25x80 ซม. 25x80 ซม. 25x80 ซม.
2
Ru = Mu/Ibd2 (กก./ซม. ) 32.17 19.45 48.67 50.29 20.68 50.29 48.67 19.45 32.17
U 0.009 0.0051 0.0014 0.014 0.0054 0.014 0.014 0.0051 0.009
2
As = Ubd (ซม. ) 15.75 9.56 24.5 24.5 10.13 24.5 24.5 9.56 15.75
As min. = (14/fy)bd (ซม.2) 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56
ปริ มาณเหล็กเสริ ม ขนาดใหม่ ขนาดเดิม ขนาดใหม่ ขนาดใหม่ ขนาดเดิม ขนาดใหม่ ขนาดใหม่ ขนาดเดิม ขนาดใหม่
ตามยาว 4DB25 2DB25 6DB25 6DB25 2DB25 6DB25 6DB25 2DB25 4DB25

ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป
+2DB12
แรงเฉือนทีหน้าตัดวิกฤติ (กก.) 21,983 26,836 26,478 26,478 26,836 21,983
กําลังรับแรงเฉือนของคอนกรีต 14,630 14,630 14,630 14,630 14,630 14,630
(กก.)
ระยะห่างของเหล็กปลอกขนาด 51 30.6 31.5 31.5 30.6 51
DB10 มม. รับแรงเฉือน ระยะห่างใหม่
ปริ มาณเหล็กปลอก DB10@0.30 ม.
155
156 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง

ตารางที 6.11 การออกแบบปริมาณเหล็กเสริมในเสาในกรณีรวมแรงกระทํา (Combined Loads case)

เสาแนวแกน A B C D
นําหนักบรรทุก, Pu (กก.) 200,130 465,689 465,689 200,130

โมเมนต์เดิม, Mns (กก.-ม.) -13,834 - 634 634 13,834

โมเมนต์จากแรงลม, -4,086 -8,446 -8,446 - 4,086

Ms (กก.-ม.) 4,086 8,446 8,446 4,086


ขนาดเสา 50x50 ซม.
\1=6(Ic/lc)/6 (Ib/lb) 1.83 0.94 0.94 1.83
\2=6(Ic/lc)/6 (Ib/lb) 0 0 0 0
Kns , ks 0.65, 1.3 0.63, 1.15 0.63, 1.15 0.65, 1.3
ความชะลูด = ksl/r 27.73 > 22 24.53 > 22 24.53 > 22 27.73 > 22
วิธีการคํานวณ เสายาวในโครงเฟรมทีมีการเซ
4.79x1010 4.79x1010 4.79x1010 4.79x1010
EIs = (EI/2.5)/(1.0)
(กก.-ซม.2))
Pcs = S2 EIs/(ksl)2 (กก.) 1,508x103 1,748x103 1,748x103 1,508x103

Gs = 1/{1-(Pu/IPcs)} 1.23 1.61 1.61 1.23


โมเมนต์รวม, (กก.-ม.)
Mc = Mns + GsMs -18,860 -14,232 14,232 18,860
emin = 1.5 + 0.03h (ซม.) 3.0 3.0 3.0 3.0
e =Mu/Pu (ซม.) 9.4 3.0 3.0 9.4
J = 0.8
e/h 0.19 0.06 0.06 0.19
I Pn Ag (ksi) 1.14 2.65 2.65 1.14
I Pn Ag e h (ksi) 0.22 0.16 0.16 0.22
Ug 0.01 0.025 0.025 0.01
Ast (ซม.2) 25 62.5 62.5 25
ปริ มาณเหล็กยืน 14DB25
ปริ มาณเหล็กปลอก DB10@0.40
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ ง
A B C D

E F G
36db= 2DB25 4DB25
2DB25
0.90 ม. l1/4 = 1.75 ม. l1 /3=2.33 ม. l2 /3=2.50 ม. l2 /3=2.50 ม. l3 /3=2.33 ม. l3/4 = 1.75 ม.
2DB25

5 ซม. 2DB12
l2 /8=0.94 ม. 2DB25 l2 /8=0.94 ม.
B3, l1 = 7.00 ม 0.50 ม. B4, l2 = 7.50 ม. B3, l3 = 7.00 ม. 0.50 ม.
0.50 ม. 0.50 ม.
.
E F G

0.25 ม. 0.25 ม. 0.25 ม.


0.50 ม.
4DB25 2DB25 2DB25

ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป
DB10@0.40 6DB25
0.50 ม. 6DB25 DB10@0.30 DB10@0.30
DB10@0.30
0.80 ม. 0.80 ม. 0.80 ม.
4DB25

2DB12
2DB25 2DB25 2DB25
หน้ าตัดเสา คาน B คาน B คาน B
หน้ าตัด E-E หน้ าตัด F-F หน้ าตัด G-G
157

รูปที6.14 รายละเอียดการเสริมเหล็กของคานB3, B4 และเสาใหม่


šš¸É 7
„µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ
7.1 šœÎµ

ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œÄœšœ¸Ê ‹³¡·‹µ¦–µªnµ °µ‡µ¦¤¸„µ¦°°„Ä®o„ε¡Š


Áž}œÃ‡¦Š­¦oµŠ®¨´„Äœ„µ¦¦´Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ Ž¹ÉŠ‹³¤¸„µ¦™nµ¥Â¦ŠÁŒº°œÅž¥´Š„ε¡Šš´ŠÊ ®¤—
×¥š¸É„µÎ ¡Šœ¸°Ê µ‹Áž}œ­nªœ…°Šn°Š¨·¢šr®¦º°ž¨n°Šn°Š´œÅ—®¦º°­nªœ…°ŠŸœ´Š„´œÊ ®o°Š Ž¹ŠÉ ­¼Š
˜n°ÁœºÉ°Š‹µ„“µœ¦µ„°µ‡µ¦°´œ™º°ªnµÁž}œ“µœ¥¹—Âœnœ Ş­¼n¥°—°µ‡µ¦ ×¥š¸ÉǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š¤´„¤¸
‡nµ ­˜·¢Áœ­­¼Š —´Šœ´œÊ ‹¹ŠÁ®¤µ³š¸É‹³Äo­µÎ ®¦´‡Êε¥´œ°µ‡µ¦˜n°Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ ×¥°µ‹Äo
­Îµ®¦´°µ‡µ¦­¼ŠÅ—o™¹Š 35 ´Êœ Ĝ…–³Á—¸¥ª„´œ„ε¡ŠÁ®¨nµœ¸Ê ¥´ŠšÎµ®œoµš¸ÉÁ­¤º°œÁ­µ Á¡ºÉ°¦´
œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É¨³œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÃœo¤™nªŠÃ¨„°¸„—oª¥
ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œÂnŠ°°„Áž}œ 2  ˜µ¤¡§˜·„¦¦¤…°Š„µ¦¦´Â¦Š
„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ ‡º° „) ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œÂ°·­¦³ (independent shear wall)
ŗo„n „ε¡Šš´ÉªÅž Ž¹ŠÉ ¤¸¦¼ž¦nµŠ˜nµŠÇ ˜µ¤¨´„¬–³„µ¦‹´—ªµŠŸ´Š°µ‡µ¦ Ánœ ¦¼ž¦nµŠÂ L, T, I, U
Áž}œ˜oœ ¡§˜·„¦¦¤„µ¦¦´Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ…°Š„ε¡ŠÁ®¨nµœ¸Ê ‹³Â¥„Áž}œ°·­¦³‹µ„„´œ ×¥
‹³˜oµœšµœš´ŠÊ ¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜r—´—š¸ÁÉ „·—‹µ„¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ ¨³ …) ǦŠ­¦oµŠ
„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œÂ‡ª‡¼n (coupled shear wall) ŗo„n ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Šš¸™É ¼„ÁºÉ°¤¥¹——oª¥
¡ºÊœ®¦º°‡µœ Ž¹ÉŠ¤¸‡ªµ¤®œµ®¦º°‡ªµ¤¨¹„Á¡¸¥Š¡°šÎµÄ®oÁ„·—¦Š˜oµœšµœ˜n°Ã¤Á¤œ˜r—´—¤µ„ —´Šœ´œÊ
„ε¡Šš¸ªÉ µŠ°¥¼nĜœªÁ—¸¥ª„´œÂ¨³¥¹—ÁºÉ°¤Á…oµ—oª¥„´œœ¸Ê ‹³¤¸¡§˜·„¦¦¤¦nª¤Äœ„µ¦nª¥„´œ
˜oµœšµœÂ¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ šÎµÄ®oÁ¡·É¤ž¦³­·š›·£µ¡…°Š„µ¦¦´Â¦Š„¦³šÎµ¤µ„¥·ŠÉ …¹Êœ„ªnµ
„ε¡Š°·­¦³ ÁœºÉ°Š‹µ„„µ¦‡Îµœª–°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡ŠÂ®¨´Š‡n°œ…oµŠŽ´Žo°œ Ĝš¸œÉ ¸Ê‹³
„¨nµªÁŒ¡µ³Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œÂÂ¦„Ášnµœ´Êœ

7.2 ¡§˜·„¦¦¤…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œÂ°·­¦³

Á¤ºÉ°¤¸Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ°µ‡µ¦‹³„n°Ä®oÁ„·—š´ŠÊ ®œnª¥Â¦Š—´—¨³®œnª¥Â¦ŠÁŒº°œ
Ĝ„ε¡Š Ž¹ÉŠ®œnª¥Â¦Š—´—œ¸Ê‹³Áž}œ®œnª¥Â¦Š®¨´„š¸šÉ εĮo„ε¡Š¤¸„µ¦Ã„nŠ˜´ªÂ™¼„—´— (flexure
mode) šÎµÄ®oÁ„·—®œnª¥Â¦Š—¹ŠÄœ—oµœ™¼„¦Š„¦³šÎµÂ¨³Á„·—®œnª¥Â¦Š°´—Äœ—oµœ®¨´ŠÂ¦Š„¦³šÎµ
160 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ

×¥š¸ÉǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š‹³šÎµ®œoµš¸ÉÁ­¤º°œÁ­µ Ĝ„µ¦¦´œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É¨³œÊµÎ ®œ´„¦¦š»„‹¦


—oª¥ ®µ„ªµŠ˜ÎµÂ®œnŠ…°Š„ε¡ŠÄ®o­¤¤µ˜¦ÄœŸ´Š°µ‡µ¦ œÊ宜´„¦¦š»„Á®¨nµœ¸Ê‹³nª¥¨—®œnª¥
¦Š—¹ŠÄœ„ε¡ŠÅ—o Ž¹ŠÉ ‹³šÎµÄ®o°°„Á®¨È„Á­¦·¤Äœ„ε¡ŠÅ—o°¥nµŠž¦³®¥´—
×¥š´ÉªÅžÃ‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œÄœ°µ‡µ¦­¼Š¤´„čo…œµ—‡ªµ¤¥µªÂ¨³‡ªµ¤
®œµ¨—®¨´œÉ „´œÅž Ž¹ŠÉ Ÿ¨‹µ„„µ¦Äo…œµ—„ε¡Šš¸Éž¦Áž¨¸É¥œÅ—oœ¸Ê šÎµÄ®oÁ„·—„µ¦„¦³‹µ¥Ã¤Á¤œ˜r
¨³Â¦ŠÁŒº°œš¸ÉŽ´Žo°œÄœ¦³®ªnµŠ¦°¥˜n°„µ¦Áž¨¸É¥œ…œµ—…°Š„ε¡Š —´Šœ´œÊ ‹¹Š‹ÎµÂœ„„ε¡Š
°·­¦³œ¸Ê°°„Áž}œ 2 ž¦³Á£š ˜µ¤¨´„¬–³„µ¦Áž¨¸É¥œ…œµ—…°Š„ε¡Š —´Šœ¸Ê

„) „ε¡Šš¸É¤¸„µ¦Áž¨¸É¥œ…œµ—Áž}œ­´—­nªœ„´œ
(Proportionate Shear Wall)

ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š¦³œ¸ÊÁž}œ„ε¡ŠŽ¹ÉŠ¤¸°˜´ ¦µ­nªœ…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´— (flexural


rigidity) ‡Šš¸É˜¨°—‡ªµ¤­¼Š…°Š°µ‡µ¦ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 7.1„
Wall 2
Connecting
links
Wall 1 I2A
I2A
I1A I1A
Region A
I2B I2B

Region B I1B I1B


I2C I2C

Region C I1C I1C

I 1A I 1B I 1C I 1A I I
I 2A
, 1B , 1C
I 2 B I 2C
not equal
I 2A I 2B I 2C

(„) „ε¡Šš¸É¤¸„µ¦Áž¨¸É¥œ…œµ—Áž}œ­´—­nªœ„´œ (…) „ε¡Šš¸É¤¸„µ¦Áž¨¸É¥œ…œµ—ŤnÁž}œ­´—­nªœ„´œ

¦¼žš¸É 7.1 ǦŠ­¦oµŠ„ε¡ŠÂš¸É¤¸„µ¦Áž¨¸É¥œ…œµ—Áž}œ­´—­nªœÂ¨³ÂÅ¤nÁž}œ­´—­nªœ„´œ

ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Šœ¸Ê‹³¤¸‡µn ¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜r„¦³‹µ¥Áž}œ­´—­nªœ„´‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´—…°Š
„ε¡Š ¨³Å¤n¤¸„µ¦„¦³‹µ¥Â¦ŠÁŒº°œ®¦º°Ã¤Á¤œ˜rš¸É¦³—´„µ¦Áž¨¸É¥œ…œµ—…°Š„ε¡Š
šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 161

…) „ε¡Šš¸É¤¸„µ¦Áž¨¸É¥œ…œµ—ŤnÁž}œ­´—­nªœ„´œ
(Nonproportionate Shear Wall)

ǦŠ­¦oµŠ¦³œ¸Ê¤¸‡nµ°´˜¦µ­nªœ…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´— (flexural rigidity) Ťn‡Šš¸É


˜¨°—‡ªµ¤­¼Š…°Š°µ‡µ¦—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 7.1… – ¦³—´´ÊœŽ¹ÉŠ¤¸„µ¦Áž¨¸É¥œ‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠ ‹³¤¸„µ¦
„¦³‹µ¥Â¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rĜ„ε¡ŠÁ„·—…¹ÊœÅ—o¨³¤´„¤¸Â¦ŠÁŒº°œÁ„·—…¹Êœ­¼Šš¸É¦·Áª–´Êœœ¸Ê
ÁœºÉ°Š‹µ„„µ¦‡Îµœª–®µÂ¦Š£µ¥Äœ°Š‡r°µ‡µ¦…°Š„ε¡ŠÂœ¸Ê‡n°œ…oµŠŽ´Žo°œ ­Îµ®¦´Äœš¸œÉ ¸Ê ‹³
„¨nµªÄœ¦µ¥¨³Á°¸¥—…°Š„µ¦‡Îµœª–°°„ÁŒ¡µ³„ε¡ŠÂÂ¦„‡º° Proportionate Shear
Wall Ášnµœ´œ
Ê

7.3 „µ¦‡Îµœª–°°„„ε¡Š¦³š¸É¤¸„µ¦Áž¨¸É¥œ…œµ—Áž}œ­´—­nªœ„´œ

7.3.1 ǦŠ­¦oµŠ­¤¤µ˜¦ (Symmetric Structure)

ǦŠ­¦oµŠŽ¹ŠÉ ¤¸¨´„¬–³­¤¤µ˜¦ÄœŸ´Š°µ‡µ¦˜n°Âœª…°ŠÂ¦Š„¦³šÎµ —´ŠÂ­—ŠÄœ


¦¼žš¸É 7.2 ‹³Å¤n¤¸„µ¦·—˜´ªš¸É¦³—´´œÊ i Ä—Ç Â¦ŠÁŒº°œ£µ¥œ°„š´ÊŠ®¤— Qi ¨³Ã¤Á¤œ˜r
£µ¥œ°„š´ŠÊ ®¤— Mi ‹³„¦³‹µ¥Åž¥´Š„ε¡Š˜nµŠÇ ˜µ¤°´˜¦µ­nªœ…°Š‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´—
(flexural rigidity) …°Š„ε¡Š —´Šœ¸Ê
¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rĜ„ε¡Š j š¸É¦³—´´Êœ i

EI ji
Q ji Qi (7.1)
¦ EI i
EI ji
M ji Mi (7.2)
¦ EI i

×¥š¸É Qi ¨³ Mi ‡º°Â¦ŠÁŒº°œ£µ¥œ°„¨³Ã¤Á¤œ˜r£µ¥œ°„š´ÊŠ®¤—š¸„É ¦³šÎµš¸É¦³—´´Êœ i


˜µ¤¨Îµ—´
Qji ¨³ Mji ‡º°Â¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rĜ„ε¡Š j š¸É¦³—´´Êœ i ˜µ¤¨Îµ—´
(EI)ji ‡º°‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´— (flexural rigidity) …°Š„ε¡Š j š¸É¦³—´´œÊ i
6(EI)i ‡º°Ÿ¨¦ª¤…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´—…°Š„ε¡Šš´ÊŠ®¤— š¸É¦³—´´Êœ i
162 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ

Qi

¦¼žš¸É 7.2 ǦŠ­¦oµŠ„ε¡ŠÂ­¤¤µ˜¦

7.3.2 ǦŠ­¦oµŠÅ¤n­¤¤µ˜¦ (Asymmetric Structure)

ǦŠ­¦oµŠŽ¹ŠÉ Ťn­¤¤µ˜¦˜n°Â„œ…°ŠÂ¦Š„¦³šÎµ‹³¤¸„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ªÂ¨³®¤»œ˜´ª—oª¥
—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸7É .3 „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉĜœª¦µ…°Š¡ºÊœ°µ‡µ¦‹³Ášnµ„´Ÿ¨¦ª¤…°Š„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ª
(translation) ¨³„µ¦®¤»œ˜´ª (rotation) ¦°‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š„µ¦®¤»œ·—˜´ª Ž¹ŠÉ Ĝš¸œ É ¸Ê‡º°
‹»—«¼œ¥r™ªn Š…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´— (centroid of flexural rigidity) …°Š„ε¡Š

C ǦŠ­¦oµŠ·—˜´ª¦°‹»— C

„µ¦®¤»œ˜´ª

„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ª ‹»—«¼œ¥r™nªŠ…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠ…°Š„ε¡Š
C

Qi

¦¼žš¸É 7.3 „µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÅ¤n­¤¤µ˜¦

¡·‹µ¦–µ‹µ„¦¼žÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦Ž¹ÉŠÅ¤n­¤¤µ˜¦ (¦¼žš¸É 7.4) ‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š„µ¦


®¤»œ·—˜´ª ­µ¤µ¦™‡Îµœª–Å—o‹µ„

¦ EIx j i
x (7.3)
¦ EI i
×¥š¸É Cx ‡º° ‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š„µ¦®¤»œ·—˜´ª
šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 163

6(EI)i ‡º° Ÿ¨¦ª¤…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´— flexural rigidity


6(EIxj)i ‡º° Ÿ¨¦ª¤…°ŠÃ¤Á¤œ˜r…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´—¦°‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š„µ¦®¤»œ·—˜´ª
­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Šš¸ÉÁž}œ­´—­nªœ„´œ ‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š„µ¦®¤»œ·—˜´ªÂ¨³‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š
¦ŠÁŒº°œ (shear center) ‹³š´„´œ

y
‹»—«¼œ¥r„¨µŠ
…°Š„µ¦®¤»œ·—˜´ª

1 2 3

x1 e
x2
x3 c3
c2
c1
x
x

¦¼žš¸É 7.4 ǦŠ­¦oµŠÅ¤n­¤¤µ˜¦Ž¹ÉŠÂœª„ε¡Š…œµœ„´ÂœªÂ¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ

¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rš¸É„¦³‹µ¥­¼n„µÎ ¡Š j š¸É¦³—´´Êœ i ‡Îµœª–‹µ„


Qi EI ji Qi e EI ˜ c ji
Q ji  (7.4)
¦ EI i
¦ EI ˜ c 2 i
M i EI ji M i e EI ˜ c ji
M ji  (7.5)
¦ EI i ¦ EI ˜ c 2 i

×¥š¸É cji ‡º° ¦³¥³‹µ„‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š„µ¦®¤»œ·—˜´ªÅž¥´Š„ε¡Š j


e ‡º° ¦³¥³‹µ„‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š„µ¦®¤»œ·—˜´ªÅž¥´ŠÂœªÂ¦ŠÁŒº°œ£µ¥œ°„

‡nµÁš°¤Â¦„šµŠ…ªµ¤º°…°Š­¤„µ¦ 7.4 ¨³ 7.5 Áž}œÂ¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rš¸É


Á„¸É¥ª…o°Š„´„µ¦Á¨ºÉ°œ—´—…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ (bending translation) ­nªœÁš°¤š¸É­°Š ‹³Á„¸É¥ª…o°Š
„´„µ¦—´—…°Š„ε¡ŠÁ¤ºÉ°Ã‡¦Š­¦oµŠ™¼„·—Åž ­Îµ®¦´ ‡nµ cji ‹³¡·‹µ¦–µÁ‡¦ºÉ°Š®¤µ¥Áž}œ
ª„ Á¤ºÉ°°¥¼nœ—oµœÁ—¸¥ª„´œ„´‡nµ e ‹µ„‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š„µ¦®¤»œ·—˜´ª
164 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ

™oµ®µ„ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ¤¸„µÎ ¡ŠŽ¹ÉŠªµŠÄœš·«šµŠ˜´ÊŠŒµ„„´Âœª…°ŠÂ¦Š
„¦³šÎµ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 7.5 ‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š„µ¦®¤»œ·—˜´ª ­µ¤µ¦™‡Îµœª–Å—o‹µ„

¦ EIy j i
y (7.6)
¦ EI i

Ž¹ÉŠ‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´— (flexural rigidity), EI Ĝš¸Éœ®¸Ê ¤µ¥™¹Š„ε¡ŠŽ¹ŠÉ ªµŠÄœš·«šµŠ˜´ŠÊ Œµ„„´


œª…°ŠÂ¦Š„¦³šÎµ
y

„ε¡ŠÄœÂœª˜´ÊŠŒµ„ ‹»—«¼œ¥r„¨µŠ
…°Š„µ¦®¤»œ·—˜´ª

d5
d4
„ε¡ŠÄœÂœª…œµœ
d3
d2 y5
d1
y4
y
y3
e y1 y2
x
Qi

¦¼žš¸É7.5 ǦŠ­¦oµŠÅ¤n­¤¤µ˜¦Ž¹ÉŠ¦ª¤š´ÊŠ„ε¡ŠÄœÂœª˜´ÊŠŒµ„

¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rš¸ÉÁ„·—…¹œÊ Ĝ„ε¡ŠÄœÂœª˜´ÊŠŒµ„š¸É¦³—´´Êœ i ‹µ„„µ¦·—˜´ª


…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ ‡Îµœª–Å—o‹µ„
EI ˜ d ri
Q ri Qi ˜ e (7.7)
^¦ EI ˜ c  ¦ EI ˜ d 2 `i
2

EI ˜ d ri
M ri Mi ˜ e (7.8)
^
¦ EI ˜ c 2  ¦ EI ˜ d 2 `i
×¥š¸É Qri ¨³ Mri ‡º°Â¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rĜ„ε¡ŠÄœÂœª˜´ÊŠŒµ„ r š¸É¦³—´´œÊ i ˜µ¤¨Îµ—´
2
6 (EI˜ c )i ‡º°Ÿ¨¦ª¤…°ŠÃ¤Á¤œ˜rš¸É­°Š…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´—…°Š„ε¡ŠÄœÂœª…œµœ
š¸É¦³—´´œÊ i
6(EI˜ d2)i ‡º°Ÿ¨¦ª¤…°ŠÃ¤Á¤œ˜rš¸É­°Š…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´—…°Š„ε¡ŠÄœÂœª˜´ÊŠŒµ„
š¸É¦³—´´œÊ i
šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 165

7.4 „µ¦°°„Á®¨È„Á­¦·¤Äœ„ε¡Š

„µ¦°°„„ε¡Š‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤Á®¨È„¦´Â¦ŠÁŒº°œ˜µ¤…o°„ε®œ—…°Š ACI 318-99


¤¸…´Êœ˜°œ—´Šœ¸Ê

„) ˜¦ª‹­°‡ªµ¤®œµ…°Š„ε¡Š ‹µ„

I Vn
I 2.7 f cc hd t Vu (7.9)

×¥š¸É Vn ‡º° „ε¨´ŠÂ¦ŠÁŒº°œ¦³»…°Š‡°œ„¦¸˜, „„.


Vu ‡º° ¦ŠÁŒº°œÁ¡·É¤­nªœ (factor shear) ÁœºÉ°Š‹µ„¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ, „„.
I ‡º° ˜´ª‡¼–¨—„ε¨´Š ¤¸‡nµÁšnµ„´ 0.85
h ‡º° ‡ªµ¤®œµ…°Š„ε¡Š, Ž¤.
d ‡º° ‡ªµ¤¨¹„…°Š„ε¡Š, Ž¤.
Ä®očoÁšnµ„´ 0.8lw Á¤ºÉ° lw‡º° ‡ªµ¤¥µª…°Š„ε¡Š, Ž¤.

…) ‡Îµœª–„ε¨´Š˜oµœšµœÂ¦ŠÁŒº°œ…°Š‡°œ„¦¸˜ ץčo‡nµš¸œÉ o°¥„ªnµ…°Š„¦–¸˜n°Åžœ¸Ê


N d
Vc 0.88 f cc hd  u (7.10„)
4l w
­ § N ·½
° l w ¨¨ 0.33 f cc  0.2 u ¸¸ °
° © lw h ¹ ° (7.10…)
®¦º° Vc ®0.16 f cc  Mu lw ¾hd
°  °
°¯ Vu 2 °¿
×¥š¸É Nu ‡º° œÊ宜´„¦¦š»„˜µ¤Â„œÁ¡·¤ É ­nªœ („„.) ¤¸‡nµÁž}œª„­Îµ®¦´Â¦Š°´—
¨³¤¸‡nµÁž}œ¨­Îµ®¦´Â¦Š—¹Š Ĝ„¦–¸š¸É‡nµ (Mu/Vu – lw/2) ¤¸‡nµÁž}œ¨
­¤„µ¦š¸É 7.10… ‹³ÄoŤnŗo Ä®očo­¤„µ¦š¸7É .10„ šœ

‡) ‡Îµœª–ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤¦´Â¦ŠÁŒº°œ

Á®¨È„Á­¦·¤ÄœÂœªœ°œ
Ĝ„¦–¸š¸É Vu/I > Vc /2
166 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ

Vs = Vu/I - Vc (7.11)

×¥š¸É Vc ‡º° „ε¨´Š˜oµœšµœÂ¦ŠÁŒº°œ…°Š‡°œ„¦¸˜, „„. Ž¹ÉŠ‡Îµœª–Å—o‹µ„…o° …)


Vs ‡º° „ε¨´Š˜oµœšµœÂ¦ŠÁŒº°œ…°ŠÁ®¨È„Á­¦·¤, „„. ‡Îµœª–‹µ„

Vs = Avfyd/S2 (7.12)

×¥š¸É Av ‡º° ÁœºÊ°š¸É®œoµ˜´—Á®¨È„Á­¦·¤¦´Â¦ŠÁŒº°œ, ˜¦.Ž¤.


fy ‡º° „ε¨´Š‡¨µ„…°ŠÁ®¨È„Á­¦·¤¦´Â¦ŠÁŒº°œ, „„./˜¦.Ž¤.
S2 ‡º° ¦³¥³Á¦¸¥Š…°ŠÁ®¨È„Á­¦·¤˜µ¤Âœªœ°œ Ž¹ÉŠÅ¤nÁ„·œ lw/5 ®¦º° 3h ®¦º° 45 Ž¤.

Ĝ„¦–¸š¸É Vu/I < Vc /2

Uh = 0.0025 (7.13)

×¥š¸É Uh ‡º° °´˜¦µ­nªœÁœºÊ°š¸ÉÁ®¨È„Á­¦·¤¦´Â¦ŠÁŒº°œ˜µ¤Âœªœ°œ˜n°®œoµ˜´—‡°œ„¦¸˜ÄœÂœª˜´ŠÊ

Á®¨È„Á­¦·¤ÄœÂœª˜´ÊŠ

Un = 0.0025 + 0.5(2.5 - hw/lw)( Uh - 0.0025) (7.14)

×¥š¸É Un ‡º° °´˜¦µ­nªœÁœºÊ°š¸ÉÁ®¨È„Á­¦·¤¦´Â¦ŠÁŒº°œ˜µ¤Âœª˜´ŠÊ ˜n°®œoµ˜´—‡°œ„¦¸˜ÄœÂœªœ°œ


š´ÊŠœ¸Ê˜o°ŠÅ¤nœo°¥„ªnµ 0.0025
¦³¥³Á¦¸¥Š…°ŠÁ®¨È„Á­¦·¤˜µ¤Âœª˜´ÊŠ ˜o°ŠÅ¤nÁ„·œ lw/3 ®¦º° 3h ®¦º° 45 Ž¤.

Š) ‡Îµœª–ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤¦´Â¦Š—´—Ĝœª˜´ÊŠ ץčoª›· ¸„µ¦‡Îµœª–ÁnœÁ—¸¥ª„´œ


„´„µ¦°°„°Š‡r°µ‡µ¦¦´Â¦Š—´—
šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 167

˜´ª°¥nµŠš¸É 7.1 °µ‡µ¦­Îµœ´„Šµœ®¨´Š®œ¹ŠÉ ¤¸‡ªµ¤­¼Š 10 ´Êœ ˜n¨³´œÊ ¤¸‡ªµ¤­¼Š 4.0 ¤. ǦŠ­¦oµŠ


°µ‡µ¦Áž}œ„ε¡Š‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤Á®¨È„¦´Â¦ŠÁŒº°œœ·— Proportionate Shear Wall ¨³¤¸
¨´„¬–³­¤¤µ˜¦ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 7.6 ¤¸‡nµœÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É = 550 kg/m2 Ž¹ÉŠ¦ª¤š´ŠÊ œÊµÎ ®œ´„
¡ºÊœ ‡µœ Ÿœ´Š„´œÊ ®o°Š ¨³„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ ®µ„°µ‡µ¦®¨´Šœ¸Ê‹³˜o°Š°°„Ä®o­µ¤µ¦™
˜oµœšµœÂ¦Š¨¤˜µ¤„‘„¦³š¦ªŠŒ´š¸6É ˜µ¤¡.¦..‡ª‡»¤°µ‡µ¦Å—o ‹Š°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ
„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ…°Š°µ‡µ¦Á¡ºÉ°Ä®o­µ¤µ¦™˜oµœšµœÂ¦Š¨¤Å—o×¥°°„ÁŒ¡µ³„ε¡ŠÂ„œ 1
1 2 3 4 5

12.0 ¤ 12.0 ¤ 12.0 ¤ 12.0 ¤


4.0 ¤
8.0 ¤
4.0 ¤

48.0 ¤
10

6
10@3.50 ¤.

¦¼žš¸É7.6 °µ‡µ¦Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œÂ­¤¤µ˜¦
168 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ

„ε®œ—Ä®o
…œµ—„ε¡Š äÁ¤œ˜r…°Š‡ªµ¤ÁŒºÉ°¥
„ε¡Š 1,5 : 8.0x0.2 ¤. 8.533 ¤.4
„ε¡Š 2,4 : 4.0x0.2 ¤. 1.067 ¤.4
„ε¡Š 3 : 5.0x5.0x0.2 ¤. 14.771 ¤.4
‡°œ„¦¸˜ : fcc = 250 „„./Ž¤.2
Á®¨È„Á­¦·¤ : fy = 4,000 „„./Ž¤.2

ª·›¸šµÎ
‡Îµœª–®µÂ¦Š¨¤„¦³šÎµœ—oµœ¥µª…°Š°µ‡µ¦ ¨³Â¦ŠÁŒº°œš¸É˜oµœšµœÃ—¥„ε¡Š
š´ÊŠ®¤— ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 7.7

+ 40.0 F10
Q10
+ 36.0
F9
Q9
+ 32.0
F8
Q8
+ 28.0
F7
Q7
+ 24.0
F6
Q6
+ 20.0
F5
Q5 120 „„./¤.2
+ 16.0
F4
Q4
+ 12.0
F3
Q3
+ 8.0
F2 80 „„./¤.2
Q2
+ 4.0
F1
Q1
FG
50 „„./¤.2

¦¼žš¸É7.7 ¦Š¨¤Â¨³Â¦ŠÁŒº°œ„¦³šÎµœÃ‡¦Š°µ‡µ¦š´ÊŠ®¤—
šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 169

˜µ¦µŠš¸É 7.1 ¦ŠÁŒº°œš¸É˜oµœšµœÃ—¥„ε¡Š 1-3

¦Š¨¤, ¦ŠÁŒº°œš´ŠÊ ®¤—, ¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š, Qji (˜´œ)


¦³—´´Êœ Fi (˜´œ) Qi (˜´œ) „ε¡Š 1 „ε¡Š 2 „ε¡Š 3
10 11.52 11.52 2.88 0.35 5.07
9 23.04 34.56 8.64 1.04 15.21
8 23.04 57.60 14.40 1.73 25.34
7 23.04 80.64 20.16 2.42 35.48
6 23.04 103.68 25.92 3.11 45.62
5 19.20 122.88 20.79 3.69 54.07
4 15.36 138.24 30.72 4.15 60.83
3 15.36 153.60 38.40 4.61 67.58
2 9.60 163.20 40.80 4.90 71.81
1 9.60 172.80 43.20 5.18 76.03

Qi EI ji E 8.533
„ε¡Š 1 : Q ji Qi 0.25 Qi
¦ EI i E 8.533 X 2  1.067 X 2  14.771
Qi EI ji E 1.067
„ε¡Š 2 : Q ji Qi 0.03Qi
¦ EI i E 8.533 X 2  1.067 X 2  14.771
Qi EI ji E 14.771
„ε¡Š 3 : Q ji Qi 0.44Qi
¦ EI i E 8.533 X 2  1.067 X 2  14.771
M i EI ji E 8.533
„ε¡Š 1 : M ji Mi 0.25 M i
¦ EI i E 8.533 X 2  1.067 X 2  14.771
M i EI ji E 1.067
„ε¡Š 2 : M ji Mi 0.03 M i
¦ EI i E 8.533 X 2  1.067 X 2  14.771
M i EI ji E 14.771
„ε¡Š 3 : M ji Mi 0.44 M i
¦ EI i E 8.533 X 2  1.067 X 2  14.771
170 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ

˜µ¦µŠš¸É 7.2 äÁ¤œ˜rš¸É˜oµœšµœÃ—¥„ε¡Š 1-3

¦³—´¡ºÊœ ¦Š¨¤, äÁ¤œ˜r‹µ„¦Š¨¤, äÁ¤œ˜rĜ„ε¡Š, Mji (˜´œ-¤.)


Fi (˜´œ) Mi (˜´œ-¤.) „ε¡Š 1 „ε¡Š 2 „ε¡Š 3
10 11.52 - - - -
9 23.04 46.08 11.52 1.38 20.28
8 23.04 184.32 46.08 5.53 81.10
7 23.04 414.72 103.68 12.44 182.48
6 23.04 737.28 184.32 22.12 324.40
5 19.20 1,152.00 288.00 34.56 506.88
4 15.36 1,643.52 410.88 49.31 723.15
3 15.36 2,196.48 549.12 65.89 966.45
2 9.60 2,810.88 702.72 84.33 1,236.79
1 9.60 3,463.68 865.92 103.91 1,524.00
G 4.80 4,154.88 1,038.72 124.65 1,820.15

¡·‹µ¦–µ°°„„ε¡Š 1 ‹µ„¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rĜ¦³—´´Êœš¸É G-1 —´ŠÂ­—ŠÄœ


¦¼žš¸É 7.8

Nu
Mu Mu
1 Vu
Vu h = 0.2 ¤.

hw = 4.0 ¤.

lw = 8.0 ¤.

¦¼žš¸É7.8 ¦Š„¦³šÎµœ„ε¡ŠÄœ¦³—´´Êœš¸É G-1

Vu = 1.3Q11 = 1.3 (43.20) = 56.16 ˜´œ


Mu = 1.3M1G = 1.3 (1,038.72) = 1,350.34 ˜´œ-¤.
Nu = 1.4DL+1.7LL
= (6.0X16.0x10){1.4X550+1.7X300} = 1,228.80 ˜´œ
šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 171

°°„„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ

…´Êœ˜°œš¸É 1 ˜¦ª‹­°‡ªµ¤®œµ…°Š„ε¡Š

I Vn
I 2.7 f cc hd t Vu
d 0.8 l w 0.8 800 640 Ž¤ .
I Vn 0.85 2.7 250 ( 20 ˜ 640 ) 464.5 ˜³œ ! 56.16 ˜³œ

—´Šœ´œÊ ‡ªµ¤®œµ…°Š„ε¡ŠÁšnµ„´ 20 Ž¤. ‹¹ŠÄoŗo

…´Êœ˜°œš¸É 2 ‡Îµœª–„ε¨´Š˜oµœšµœÂ¦ŠÁŒº°œ…°Š‡°œ„¦¸˜

­ 1 ,228.80 u 10 3 u 640 ½ 1
Vc ®0.88 250 ( 20 ˜ 640 )  ¾ 3 423.86 ˜³œ
¯ 4 u 800 ¿ 10
­ § 1 ,228.80 u 10 3 · ½
° 800 ¨
¨ 0. 33 250  0 . 2 ¸°
¸
° © 800 u 20 ¹ °20 u 640 u 1
®¦º° Vc ®0.16 250  1 ,350.34 u 100 800 ¾
°  ° 10 3
° 56.16 2 °
¯ ¿
137.51 ˜³œ
.
čo‡nµ„ε¨´Š˜oµœšµœÂ¦ŠÁŒº°œ…°Š‡°œ„¦¸˜š¸Éœo°¥„ªnµ ‡º° Vc = 137.51 ˜´œ

…´Êœ˜°œš¸É 3 ‡Îµœª–ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤¦´Â¦ŠÁŒº°œ
IVc 0.85 137.51
58.44 ˜³œ ! Vu ( 56.16 )
2 2

Á®¨È„Á­¦·¤Âœªœ°œ Uh = 0.0025
Ah = 0.0025 (20x100) = 5.0 Ž¤.2/¤.
čo DB10 @ 0.30 m (2 ´Êœ)
172 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 7 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ

¦³¥³Á¦¸¥Š­¼Š­»—ŤnÁ„·œ lw/5 , 3h ®¦º° 45 Ž¤.

Á®¨È„Á­¦·¤ÄœÂœª˜´ÊŠ
400
Un 0.0025  0.5§¨ 2.5  ·¸( U h  0.0025 )
© 800 ¹

ÁœºÉ°Š‹µ„ Uh = 0.0025 —´Šœ´œÊ čo Un = 0.0025 ®¦º° DB10 @ 0.30 ¤. (2 ´Êœ)

…´Êœ˜°œš¸É 4 ‡Îµœª–ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤¦´Â¦Š—´—Ĝœª˜´ÊŠ

Mu 1,350.34 1, 000
Ru 2 2
18.3
I bd 0.9 0.20 640
0.85 f cc °­ 2 Ru ½°
U ®1  1  ¾
f y ¯° 0.85 f cc ¿°
0.85 250 °­ 2 u 18.3 ½°
®1  1  ¾ 0.0048
4, 000 °¯ 0.85 u 250 ¿°
Umin = 14/4,000 = 0.0035< 0.0048
As = 0.0048 (20)(640) = 61.44 Ž¤.2 čo 14 DB25

DB10@0.30 m

DB10@0.30 m
14DB25 14DB25

¦¼žš¸É7.9 ¦µ¥¨³Á°¸¥—…°Š„µ¦Á­¦·¤Á®¨È„Äœ„ε¡Š
บทที 8
การออกแบบโครงสร้ างกําแพง
รั บแรงเฉือนแบบควบคู่

โครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนในบทที 7 เป็ นการพิจารณาโครงสร้ างกําแพง ซึงรับ


แรงกระทําทางข้ างโดยอิสระ ในทางปฏิบตั ิ กําแพงเหล่านีมักจะเชือมยึดด้ วยองค์อาคารต้ านทาน
แรงดัด (Moment-Resisting Members) เช่น กําแพงในอาคารทีพักอาศัยมักจะมีชอ่ งเปิ ดเผือไว้
สําหรับหน้ าต่างหรื อประตูหรื อช่องทางเดิน ดังแสดงในรูปที 8.1 กําแพงชนิดนีนอกจากจะใช้ เป็ น
ผนังกันห้ องแล้ ว ยังใช้ สําหรับรับนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรปกติ (Gravity Load)
และแรงกระทําทางด้ านข้ าง (Lateral Load) ได้ ด้วย
ในกรณีทีแผ่นพืนของอาคารมีการเชือมยึดกับตัวกําแพงอย่างมันคง แผ่นพืนนีจะมี
พฤติกรรมเป็ นคาน ซึงจะมีการถ่ายเทแรงเฉือนระหว่างกําแพงซึงอยูใ่ นระนาบเดียวกันได้
โครงสร้ างกําแพงซึงประกอบด้ วยกําแพงเชือมยืดด้ วยองค์อาคารรับแรงดัดนีเรี ยกว่า กําแพงรับแรง
เฉือนแบบควบคู่ (Coupled Shear Walls) ในโครงสร้ างระบบนีชินส่วนรับโมเมนต์ดดั จะทําให้ คา่
สติฟเนสของกําแพงเพิมมากขึน จึงเป็ นการเพิมประสิทธิภาพของโครงสร้ างกําแพงระบบนีได้

รูปที8.1 ผังอาคารของทีพักอาศัยซึงมีผนังกันห้ อง
řşŜ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

8.1 พฤติกรรมของโครงสร้ างกําแพงรั บแรงเฉือนแบบควบคู่

ถ้ าหากโครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนคูห่ นึงมีการเชือมยึดด้ วยองค์อาคารซึงมีปลายยึดรัง


เป็ นยึดหมุน(pin-end) ซึงสามารถถ่ายแรงตามแนวแกนได้ เท่านัน โมเมนต์ทีกระทําต่อโครงสร้ างนี
จะต้ านทานโดยกําแพงแต่ละแผ่น ซึงขนาดของโมเมนต์ต้านทานนีจะเป็ นสัดส่วนกับค่าความแข็ง
เชิงดัด Flexural Rigidity (EI) ของกําแพง ค่าหน่วยแรงดัดจะกระจายเป็ นสัดส่วนโดยตรงตลอด
กําแพง โดยทีค่าหน่วยแรงดึงและหน่วยแรงอัดสูงสุดจะอยูท่ ีปลายตรงข้ ามกัน ดังแสดงในรูปที
8.2d

WALL 1 WALL 2
c.g.of composite section
A D
c.g. B C c.g.
(a)
B C
A D
C1 C2

(b) actual stress


distribution
=
(c) composite
cantiliver
stresses
+
independent
(d) cantiliver
stresses

รูปที8.2 การคํานวณแบบ Superposition สําหรับการกระจายหน่ วยแรงเนืองจาก


Composite และ Individual Actions

ในกรณีที กําแพงมีการเชือมยึดด้ วยคานแข็งเกร็ง (rigid beam) โมเมนต์ทีกระทําต่อ


โครงสร้ างนีจะต้ านทานโดยกําแพงทังสองซึงมีพฤติกรรมการต้ านทานเสมือนเป็ นโครงสร้ างผสม
อันหนึง (Single composite unit) มีการดัดรอบแกนจุดศูนย์ถ่วงของกําแพงทังสองนี ค่าหน่วย
แรงดัดจะกระจายเป็ นสัดส่วนโดยตรงตลอดชินส่วนของโครงสร้ างผสมระหว่างกําแพงคูค่ วบและ
คานเชือม โดยทีค่าหน่วยแรงดึงและหน่วยแรงอัดสูงสุดจะเกิดขึนทีขอบนอกสุด ดังแสดงในรูปที
8.2
พฤติกรรมทีแท้ จริงของกําแพงทังคูน่ ี ซึงเชือมยึดด้ วยคานแบบอ่อนดัด (Flexible beam)
จะอยูร่ ะหว่างกรณีกําแพงอิสระสองแผ่น (case d) และกําแพงผสมแบบสมบูรณ์ (Fully
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řşŝ

composite unit, case c) ซึงจะเรี ยกว่าเป็ นระบบกําแพงควบคู่ (Coupled Wall) ถ้ าหากคาน


ทีเชือมระหว่างกําแพงผสมสมบูรณ์มากยิงขึน
เมือกําแพงมีการโก่งตัวไปภายใต้ แรงกระทําด้ านข้ าง ปลายของคานเชือมจะถูกดันให้
หมุนและเคลือนทีไปในแนวดิง จนกระทังคานถูกดันเป็ นแบบการโก่งดัดสองทางเพือต้ านทานการ
ดัดแบบอิสระของกําแพงแต่ละชิน ดังแสดงในรูปที 8.3

M2
M1
l
N N
พฤติก รรมของคานเชือม
M1 M2
N N

รูปที 8.3 พฤติกรรมของ Coupled Shear Wall เมือรับแรงกระทําด้ านข้ าง

พฤติกรรมการดัดของคานเชือมนีจะก่อให้ เกิดแรงเฉือนในคาน ทําให้ เกิดโมเมนต์ดดั


ในทิศทางตรงกันข้ ามกับโมเมนต์ภายนอกทีมากระทําทีกําแพงแต่ละชินแรงเฉือนเหล่านีเหนียวนํา
ให้ เกิดแรงในแนวแกนของกําแพงทังสองส่วน โดยมีลกั ษณะเป็ นแรงดึงในกําแพงด้ านปะทะลม
และแรงอัดในกําแพงด้ านหลบลม ดังนัน ค่าโมเมนต์เนืองจากแรงกระทําภายนอกทีระดับชินของ
อาคารใดๆ สามารถคํานวณได้ จาก

M M1  M 2  Nl (8.1)

โดยที l เป็ นระยะห่างระหว่างแกนจุดศูนย์ถ่วงของกําแพงทังสอง


เทอม Nl เป็ นโมเมนต์ดดั ต้ านทานการดัดแบบอิสระของกําแพง ในกรณีทีคานเชือมมี
การยึดรังทีปลายกับกําแพงเป็ นแบบยึดหมุน เทอม Nl จะเป็ นศูนย์ และเทอมนีจะมีคา่ สูงสุดเมือ
คานเชือมมีลกั ษณะแข็งเกร็งมาก ดังนันพฤติกรรมการรับแรงของคานเชือมนีจึงช่วยลดโมเมนต์ที
เกิดขึนในกําแพงนีได้ ซึงทําให้ คา่ หน่วยแรงดึงสูงสุดในคอนกรี ตลดลง โครงสร้ างกําแพงระบบนี
จึงมีประสิทธิภาพในการต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ างได้ ดีกว่าโครงสร้ างกําแพงอิสระ
řşŞ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

8.2 การคํานวณหาแรงภายในกําแพงรั บแรงเฉือนแบบควบคู่


โดยวิธีใช้ ตัวกลางต่ อเนือง (Continuous Medium Method)

พิจารณาแผ่นกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคูซ่ งมี
ึ ฐานยึดแน่น ดังแสดงในรูปที 8.4a
ถูกกระทําด้ วยแรงลม W ต่อหน่วยความสูงของอาคาร

สมมุตฐิ านทีใช้ มีดังนี

1. คุณสมบัตขิ องกําแพงและคานเชือมไม่มีการเปลียนแปลง ตลอดความสูงของอาคารและความ


สูงแต่ละชันมีคา่ คงที
2. ระนาบของกําแพง หลังจากถูกแรงดัดกระทํายังคงรักษาระนาบไว้ โดยไม่เสียรูป
3. คานเชือมระหว่างกําแพง ใช้ เป็ น “ตัวกลางเชือมต่อเนืองเทียบเท่า” (Equivalent Continuous
Connecting Medium) โดยมีคา่ ความแข็งเชิงดัด (Flexural Rigidity, EIb / h ) ต่อหน่วย
ความสูง เมือ h เป็ นความสูงของชันแต่ละชัน ดังแสดงในรูปที 8.4b
4. กําแพงทังสองส่วนมีการโก่งตัวในทางด้ านข้ างเท่าๆ กัน เนืองจากพืนอาคารมีความแข็งใน
แนวรวบมากรวมทังคานเชือมก็มีคา่ สติฟเนสในแนวแกนทีสูง ดังนัน ค่าความชันของกราฟการ
โก่งตัวของกําแพงทังสองส่วน จึงเท่ากันตลอดความสูงของอาคาร เป็ นเหตุให้ คานเชือมบิดไป
โดยมีจดุ ดัดกลับอยูท่ ีกึงกลางช่วงคาน
จากสมมุตฐิ านนี ทําให้ คา่ ความโค้ งดัดของกําแพงทังสองส่วนเท่ากันตลอดความสูงของอาคาร
และค่าโมเมนต์ดดั ในแต่ละชินส่วนกําแพง จะเป็ นสัดส่วนกับค่าความแข็งเชิงดัดของแต่ละชิน
5. แรงทีเกิดขึนในคานเชือม คือ
แรงในแนวแกน จะแทนด้ วยแรงกระจายเทียบเท่า n ต่อหน่วยความสูง
แรงเฉือน จะแทนด้ วยแรงเฉือนกระจายเทียบเท่า q ต่อหน่วยความสูง
โมเมนต์ดดั จะแทนด้ วยโมเมนต์กระจายเทียบเท่า m ต่อหน่วยความสูง
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řşş

b A

Equivalent
connecting
medium
Ib
h
H
w Z
I1 I2
A1 A2
C Y
(a) (b)

รูปที8.4 การทดแทน Coupled shear wall ด้ วย Continuum model

พิจารณารูปตัดของคานเชือมระหว่างกําแพงควบคูด่ งั แสดงในรูปที 8.5

d1 b 2 b 2 d2

W M1 q n q M2

N N

Wall 1 Wall 2

รูปที8.5 แรงภายในของ Coupled Shear Wall

ในแนวดิง ณ จุดดัดกลับของคานเชือม จะมีแรงเฉือน Shear Flow ขนาด q z ต่อหน่วยความสูง


แรงแนวแกน ขนาด n z ต่อหน่วยความสูง
řşŠ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

แรงแนวแกน N ในแต่ละกําแพงทีระดับ z คํานวณได้ จาก

WH 2 ­ ª cos hkD z  kD H sin hkD H  z º ½


2
°1 § z · 1 ° (8.2ก)
N ® ¨ 1  ¸  «1  »¾
k 2l ° 2 © H ¹ kD H ¬
2 cos hkD H ¼¿°
¯
สมการ 8.2ก แสดงให้ เห็นว่าแรงแนวแกน N จะขึนอยูก่ บั ตัวแปร 2 ตัวคือ ระดับค่าอัตราส่วน
ความสูง z H และสัมประสิทธิสติฟเนส kD H ซึงเป็ นเทอมในวงเล็บปี กกา และจะสามารถ
คํานวณได้ โดยใช้ วิธีการทีเสนอโดย Smith&Coull (1991) ดังนี
H2 § z ·
N W˜ ˜ F1 ¨ , kD H ¸
2
(8.2ข)
k l © H ¹
โดยที N คือ แรงในแนวแกนกําแพง (กก.)
W คือ แรงลมกระทําต่ออาคาร (กก./ม.)
H คือ ความสูงทังหมดของอาคาร (ม.)
l คือ ระยะระหว่างแกนศูนย์ถ่วงของกําแพงทังสองส่วน (ม.)
k คือ สัมประสิทธิของสติฟเนสของกําแพงทังสองส่วน
A I
k 1  (8.3)
A1 A2l 2
เมือ I I1  I 2 และ A A1  A2
4
I คือ ผลรวมของโมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงทังสองส่วน (ม. )
2
A คือ ผลรวมของพืนทีหน้ าตัดของกําแพงทังสองส่วน (ม. )
4
I1, I 2 คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงส่วนที 1 และ 2 ตามลําดับ (ม. )
2
A1, A2 คือ พืนทีหน้ าตัดของกําแพงส่วนที 1 และ 2 ตามลําดับ (ม. )
D คือ สัมประสิทธิของอัตราส่วนระหว่างโมเมนต์อินเนอร์ เชียของคานเชือมและกําแพง
12 I el 2
D (8.4)
b3hI
เมือ I e คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียเทียบเท่าของคานเชือมเมือรวมผลกระทบของ
Shear deformation ในคานเชือม (ม.4)
Ib
Ie (8.5)
1 r
12 EIb
r O (8.6)
b2GA
Ibคือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของคานเชือม (ม.4)
GA คือ ความแข็งเชิงเฉือน (Shear Rigidity) ของคานเชือม
O คือ ตัวคูณสําหรับรูปร่ างหน้ าตัดคานเชือม
O = 1.2 สําหรับรูปหน้ าตัดสีเหลียมผืนผ้ า
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řşš

b คือ ระยะช่วงพาดของคานเชือม (ม.)


h คือ ระยะความสูงระหว่างชันอาคาร (ม.)
ค่าสัมประสิทธิ F1 สามารถหาได้ จากกราฟในรูปที 8.6

รูปที8.6 การแปรเปลียนของ Axial Force Factor F1

โมเมนต์ ในกําแพง

โมเมนต์เนืองจากแรงลมกระทําต่ออาคาร คํานวณทีระดับความสูง z หาได้ จาก


W H  z
2
M (8.7)
2
ค่าโมเมนต์ในแต่ละกําแพงจะขึนอยูก่ บั ความแข็งเชิงดัดของกําแพง
สําหรับกําแพงชินที 1 โมเมนต์ทีระดับความสูง z คํานวณจาก
I1 ª 1 º
2
§ z ·
M1 « WH 2 ¨1  ¸  Nl » (8.8ก)
I ¬« 2 © H¹ ¼»
หรื อสามารถเขียนในเทอมของ F1 ได้ ดงั นี
I1 1 ª§ z ·
2
2 º
M1 ˜ WH 2 «¨1  ¸  2 F1 » (8.8ข)
I 2 «¬© H ¹ k »¼
řŠŘ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

สําหรับกําแพงชินที 2 โมเมนต์ทีระดับความสูง z คํานวณจาก


I2 1 ª
2 § z ·
2
2 º
M2 ˜ WH «¨1  ¸  2 F1 » (8.9)
I 2 «¬© H ¹ k »¼

แรงเฉือนในคานเชือม

ค่าแรงเฉือนทีกระจายต่อหน่วยความสูงของอาคาร (Shear Flow) กระทําในคานเชือม


คํานวณได้ จาก
WH ° ­§ z · 1 ª sin hkD z  kD H cos hkD H  z º °
½
q ®¨ 1 ¸ « (8.10ก)
»¾
k 2l °
¯© H ¹ kD H ¬ cos hkD H ¼°
¿
WH § z ·
หรื อ q 2
˜ F2 ¨ , kD H ¸ (8.10ข)
k l ©H ¹

ค่าสัมประสิทธิ F2 สามารถหาได้ จากกราฟในรูปที 8.7

รูปที8.7 การแปรเปลียนของ Shear Flow Factor F2

จากรูปที8.7จะสังเกตเห็นได้ วา่ ขณะทีค่า kD H เพิมขึนซึงเกิดจากการทีค่าสติฟเนส


ในคานเชือมเพิมมากขึน ตําแหน่งทีเกิดค่าการกระจายแรงเฉือน Shear Flow สูงสุดในคานเชือม
จะเลือนลงสูด่ ้ านล่างของอาคาร
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řŠř

สําหรับค่าการกระจายแรงเฉือน Shear Flow สูงสุดในคานเชือม คํานวณจาก


WH
qmax ˜ F2 (max) (8.11)
k 2l
และค่าแรงเฉือนสูงสุดในคานเชือม คํานวณจาก
WH
Qmax ˜ F2 (max) h (8.12)
k 2l
โมเมนต์ดดั สูงสุดในคานเชือมทีรอยต่อยึดกับกําแพง
b
M Q˜ (8.13)
2

การโก่ งตัวของกําแพง
ค่าการโก่งตัวทางด้ านข้ างของกําแพงทีระดับความสูง z คํานวณได้ จาก
ª ­§ ·
WH 4 « 1 ­ z · 4z ½ ª z § z ·2 º
4
°§ ° 1 ° 1
y ®¨1  ¸   1¾  2 ®¨ ¸ «2  ¨ ¸ »
EI « 24 ° © ¹ ¨ 2¸
¬ ¯
H H °
¿ k °©
¯ 2 k D H ¹ ¬« H © H ¹ ¼»
1 ª§ z · 4z º
4
1
 «¨1  ¸   1» 
24 «¬© H ¹ H »¼ kD H cos hkD H
4

u ª¬1  kD H sin hkD H  cos hkD z  kD H sin hkD H  z º¼ `@ (8.14)

ค่าการโก่งตัวทีระดับชันสูงสุดของอาคาร เมือ z / H 1 คือ


WH 4
yH F3 k , D H (8.15)
8EI
ค่าสัมประสิทธิ F3 สามารถหาได้ จากกราฟในรูปที 8.8

รูปที 8.8 การแปรเปลียนของ Top Deflection Factor F3


řŠŚ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

แรงเฉือนในกําแพง (Wall Shears)

พิจารณาสมดุลของแรงในชินส่วนเล็กๆ ในกําแพง ดังแสดงในรูปที 8.9

รูปที8.9 แรงบนชินส่ วนเล็กๆของ wall – continuum model

แรงเฉือนในกําแพงแต่ละส่วนจะแปรตามสัดส่วนของโมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพง
I1 § z · § I1 b ·
S1 WH ¨1  ¸  ¨ l   d1 ¸ q (8.16)
I © H¹ ©I 2 ¹
I2 § z · § I2 b ·
S2 WH ¨1  ¸  ¨ l   d 2 ¸ q (8.17)
I © H¹ © I 2 ¹
โดยทีค่า สามารถคํานวณได้ จากกราฟในรูปที 8.7
q
เนืองจากค่า q ทีฐานอาคารซึงยึดแน่นมีคา่ เป็ นศูนย์ ดังนัน
แรงเฉือนทีฐานอาคาร (base shear) สําหรับกําแพงชินที 1 และ 2 คํานวณจาก
I1 § z ·
S1 WH ¨1  ¸ (8.18)
I © H¹
I2 § z ·
S2 WH ¨1  ¸ (8.19)
I © H¹
ในกรณีทีกําแพงทังสองส่วนมีขนาดเท่ากัน แรงเฉือนทีฐานอาคารสําหรับแต่ละกําแพงเท่ากับ
1 § z ·
S1 S2 WH ¨1  ¸ (8.20)
2 © H ¹
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řŠś

8.3 การคํานวณหาหน่ วยแรงภายในกําแพงคู่ควบสําหรั บแรงลม

พิจารณารูปที 8.10a ซึงแสดงหน้ าตัดของกําแพงคูค่ วบมีแรงลมกระทําให้ เกิดโมเมนต์


ดัด M ค่าการกระจายหน่วยแรงทีหน้ าตัดกําแพงทีแท้ จริง (รูป8.10d) คํานวณได้ จากผลรวมของ
หน่วยแรงสําหรับพฤติกรรมกําแพงอิสระและกําแพงผสมแบบสมบูรณ์ (รูป8.10b-8.10c)

Wall 1 Wall 2
c.g. of composite section

A B C D
(a)
คานเชือม
c11 c12 c21 c22
N N
M1 l M2
M

(b)
หน่วยแรงสํา หรับกํา แพงอิ สระ
+

(c) หน่วยแรงสํา หรับกํา แพงผสมแบบสมบูรณ์


=

(d) หน่วยแรงสํา หรับกํา แพงคู่ควบ

รูปที8.10 การกระจายหน่ วยแรงของโครงสร้ างกําแพงคู่ควบ

พฤติกรรมกําแพงอิสระ(Independent action) (รูปที 8.10b)


โมเมนต์ทงหมดที
ั ต้ านทานโดยกําแพงอิสระ
1 2 k
M W H  z 1 (8.21)
2 100
1 2 I k
โมเมนต์ดดั ในกําแพงชินที1: M1 W H  z 1 1 (8.22)
2 I 100
1 2 I k
โมเมนต์ดดั ในกําแพงชินที2: M 2 W H  z 2 1 (8.23)
2 I 100
เมือ K1 เป็ นเปอร์ เซนต์ของโมเมนต์ทงหมดเนื
ั องจากแรงลมซึงต้ านทานโดยพฤติกรรมของกําแพง
แบบอิสระ
řŠŜ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

พฤติกรรมกําแพงผสมแบบสมบูรณ์ (Composite Cantilever Action) (รูปที 8.10c)


โมเมนต์ดดั ทังหมดเนืองจากแรงลม
K2 1
˜ W H  z
2
Mc (8.24)
100 2
โดยที K 2 เป็ นเปอร์ เซ็นต์ของโมเมนต์ซงต้
ึ านทานโดยพฤติกรรมของกําแพงแบบ Composite Unit
ค่าสัมประสิทธิ K1 และ K 2 สามารถหาได้ จากกราฟในรูปที 8.11
โดยที K1  K2 100

รูปที 8.11 การแปรเปลียนของ wall moment factors K1, K2

ค่าหน่วยแรงดัดในกําแพงจะกระจายเป็ นสัดส่วนโดยตรงตลอดชินส่วนของโครงสร้ างผสมนี โดยที


ค่าหน่วยแรงดึงและหน่วยแรงอัดจะเกิดขึนทีขอบนอกสุด ดังแสดงในรูปที 8.10 ซึงจะต้ องมีการ
ตรวจสอบหน่วยแรงสูงสุดทีขอบทังสองนี ว่าเกินหน่วยแรงปลอดภัยหรื อไม่ หน่วยแรงในกําแพงที
แท้ จริงจะเป็ นการรวมหน่วยแรงสําหรับกรณีกําแพงอิสระสองแผ่นและกรณีกําแพงผสมแบบ
สมบูรณ์เป็ นพฤติกรรมของกําแพงแบบคูค่ วบ (Coupled Wall) ดังนัน พฤติกรรมทีแท้ จริงของ
กําแพงทังคูน่ ี ซึงเชือมยึดด้ วยคานเชือมทีมีลกั ษณะยืดหยุน่ จะอยูร่ ะหว่างกรณีกําแพงอิสระสอง
แผ่น (8.10b) และกําแพงผสมแบบสมบูรณ์ (Fully composite unit, 8.10c)
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řŠŝ

 N M1c11 M c c1
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด A fA   (8.25ก)
A1 I1 Ig
N M 2c21 M c c2
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด D fD   (8.25ข)
A2 I2 Ig
เมือ N คือ แรงกระทําในแนวแกนกําแพง
โดยที N M  M1  M 2 l
A1, A2 คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
I1 , I 2 คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
Ig คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงคูค่ วบ
A1 A2 2
โดยที Ig I1  I 2  l
A
คือ ระยะจากศูนย์ถ่วงของหน้ าตัดผสม (composite unit) ไปยังขอบนอกสุดของ
c1, c2
กําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
กําหนดให้ หน่วยแรงดึงมีเครื องหมายเป็ นลบและหน่วยแรงอัดมีเครื องหมายเป็ นบวก

8.4 ข้ อกําหนดของการออกแบบกําแพง

ขันตอนการออกแบบโครงสร้ างกําแพงคูค่ วบตามข้ อกําหนด ACI318-99 มีดงั นี


ขันตอนที 1 การออกแบบต้ านทานแรงเฉือน
ขันตอนที 2 การตรวจสอบและออกแบบกล่องหุ้มขอบกําแพง
ขันตอนที 3 การตรวจสอบกําลังรับแรงแนวแกนร่วมกับแรงดัด
ขันตอนที 4 การออกแบบคานเชือม (Coupling Beam)

ขันตอนที 1 การออกแบบต้ านทานแรงเฉือน

กําลังรับแรงเฉือนของกําแพง
กําลังรับแรงเฉือนของกําแพงจะต้ องต้ านทานแรงเฉือนประลัยได้ นันคือ
IVn t Vu (8.26)
ในกรณีที hw lw t 2.0


IVn I Acv 0.53 fcc  Un f y d 2.1 fcc Acv (8.27ก)
řŠŞ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

ในกรณีที hw lw  2.0


IVn I Acv Dc fcc  Un f y d 2.1 fcc Acv (8.27ข)
โดยที I = 0.85
Dc = 0.80 เมือ hw lw d 1.5
Dc = 0.53 เมือ hw lw t 2.0
เมือ 1.5  hw lw  2.0 ค่า D c แปรเปลียนเป็ นเส้ นตรงจาก 0.80 ถึง 0.53
hw คือ ความสูงของกําแพงในช่วงทีพิจารณา
lw คือ ความยาวของกําแพงในทิศทางทีแรงเฉือนกระทํา
Acv คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพง

เหล็กเสริมในกําแพง

หากแรงเฉือนประลัยมีคา่ มากกว่ากําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต จะต้ องเสริมเหล็ก


รับแรงเฉือน ซึงจะต้ องจัดเสริ มทังแนวตังและแนวนอน ดังนี
ในกรณีที Vu ! 0.53 fcc Acv
จะต้ องเสริมเหล็กตะแกรงรับแรงเฉือนในกําแพง 2 ชัน
ในกรณีที Vu ! IVc 2 I 0.26 fcc Acv
Asv
Uv(min.) Uh(min.) t 0.0025
Acv
โดยที Uv(min.) , Uh(min.) คือ อัตราส่วนระหว่างเหล็กเสริ มและหน้ าตัดกําแพงอย่างน้ อยทีสุด
ในแนวตังและแนวนอน ตามลําดับ
Asv คือ ปริ มาณเหล็กเสริ มในหน้ าตัดกําแพงซึงมีระยะห่างไม่เกิน 45 ซม.
Acv คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพง
Vu คือ แรงเฉือนเพิมค่าทีใช้ ในการออกแบบ
หากแรงเฉือนประลัยมีคา่ น้ อยกว่ากําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต จะต้ องเสริ มเหล็ก
อย่างน้ อยทีสุดทังแนวตังและแนวนอน ดังนี
ในกรณีที Vu d IVc 2 I 0.26 fcc Acv
เหล็กเสริมในแนวตัง
สําหรับเหล็กเสริมขนาด d DB16mm Uv(min.) t 0.0012 โดยที f y t 4, 000 กก./ซม.2
สําหรับเหล็กเสริมขนาด ! DB16mm Uv(min.) t 0.0015
เหล็กเสริมในแนวนอน
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řŠş

สําหรับเหล็กเสริมขนาด d DB16mm Uh(min.) t 0.0020 โดยที f y t 4, 000 กก./ซม.2


สําหรับเหล็กเสริมขนาด ! DB16mm Uh(min.) t 0.0025

ขันตอนที 2 การตรวจสอบและออกแบบเสาขอบกําแพง (Boundary element)

ในกรณีทีหน่วยแรงสูงสุดทีขอบกําแพงเกินกว่า 0.2 fcc จะต้ องออกแบบเสาทีขอบตลอด


ความสูงของกําแพงและรอบขอบช่องเปิ ด เสาขอบกําแพงนีจะต้ องออกแบบให้ สามารถรับนําหนัก
บรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรในแนวดิง รวมทังแรงในแนวแกนทีต้ านทานโมเมนต์พลิกควําจาก
แรงกระทําทางด้ านข้ างได้ ด้วย นันคือ
ในกรณีกําแพงอิสระ
Nu M u c
fc  ! 0.2 fcc (8.28)
A I
ในกรณีกําแพงคูค่ วบ คํานวณหน่วยแรงอัดสูงสุดทีขอบกําแพง โดยพิจารณาจากรูปที 8.10 และ
ปรับจากสมการ 8.25ข
Nu M u 2c21 M c c2
fc   ! 0.2 fcc (8.29)
A2 I2 Ig
โดยที Nu , M u คือ แรงประลัยและโมเมนต์ดดั ประลัยกระทําในแนวแกนกําแพง
ในการออกแบบเสาขอบ จะพิจารณาเป็ นเสาหน้ าตัดสีเหลียม โดยสมมุตวิ ่า เสานีรับนําหนัก
ทังหมดเนืองจากการรวมแรงจากนําหนักบรรทุกในแนวดิงและแรงในแนวแกนจากโมเมนต์พลิก
ควํา ดังแสดงในรูปที 8.12
Mu

Wu

Wu M u
C 
2 d

d
T C

รูปที 8.12 แรงกระทําต่ อกําแพงคู่ควบทีใช้ ในการออกแบบเสาขอบกําแพง


řŠŠ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

โดยมีข้อกําหนดของการออกแบบดังนี
ขนาดของเสาขอบกําแพง
x ขนาดความกว้ างของเสาขอบ อย่างน้ อย lw 16 และความยาวอย่างน้ อย 45 ซม. (วัดตาม
ความยาวของแกนกําแพง) ทีแต่ละข้ างของกําแพง
x ในกรณีของกําแพงทีมีหน้ าตัดรูป I, L, C, หรื อ T ขนาดหน้ าตัดของเสาจะต้ องพิจารณารวม
ความกว้ างปี กประสิทธิผลของหน้ าตัดนันด้ วย และจะต้ องขยายเข้ าไปในแกนกําแพงอย่าง
น้ อย 30 ซม.
กําลังของเสาขอบกําแพง
พิจารณาเป็ นเสาสันรูปสีเหลียมผืนผ้ า คํานวณดังนี
Pu d I Pn (8.30ก)
Pn 0.8 ª0.85 fcc Ag  Ast  Ast f y º (8.30ข)
¬ ¼
Wu M u
โดยที Pu คือ นําหนักบรรทุกประลัยทีกระทําต่อเสา 
2 d
Pn คือ กําลังรับนําหนักบรรทุกของเสา
I คือ ตัวคูณลดกําลัง = 0.7
Ag , Ast คือ พืนทีหน้ าตัดของเสาและเหล็กเสริ ม ตามลําดับ
ปริมาณเหล็กเสริมแนวแกน Umin. 0.01  Ust  Umax. 0.06
เหล็กปลอก
x ปริมาณเหล็กปลอกและเหล็กรัดขวาง ใช้ ข้อกําหนดเดียวกันกับเหล็กปลอกในเสาตาม
รายละเอียดในเรื องโครงข้ อแข็ง

ขันตอนที 3 การตรวจสอบกําลังรับแรงแนวแกนร่ วมกับแรงดัดของกําแพง


ขันตอนนีเป็ นการตรวจสอบกําลังของหน้ าตัดกําแพงทีฐานอาคารว่าสามารถรับการรวม
แรงกระทําตามแนวแกนและโมเมนต์ดดั ได้ โดยปลอดภัยหรื อไม่ โดยการใช้ M  P Interaction
Diagram หากไม่ปลอดภัยจะต้ องมีการขยายหน้ าตัดกําแพงหรื อการเสริมเหล็กเพิม

ขันตอนที 4 การออกแบบคานเชือม (Coupling Beam) ในกําแพงคู่ควบ


ขนาดของคานเชือมจะต้ องออกแบบให้ มีกําลังและค่าสติฟเนสทีพอดี เนืองจากคานทีมี
ความแข็งแรงเกินไปจะทําให้ พฤติกรรมของกําแพงเป็ นกําแพงผสมแบบสมบูรณ์ ซึงทําให้ หน่วยแรง
ดึงในตัวกําแพงมีคา่ สูงได้ และจะทําให้ กําลังรับแรงเฉือนและโมเมนต์ดดั ของกําแพงถูกลดค่าลงไป
ในทางกลับกัน หากคานมีความอ่อนแอเกินไป จะทําให้ พฤติกรรมของกําแพงเป็ นกําแพงอิสระ ซึง
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řŠš

จะทําให้ โมเมนต์ดดั กระทํารวมทังค่าการโก่งตัวในแต่ละกําแพงมีคา่ สูงมาก ดังนันขนาดของคาน


เชือมทีเหมาะสม จะทําให้ เกิดพฤติกรรมเป็ นกําแพงคูค่ วบ โมเมนต์ในกําแพงจะกระจายไปยังคาน
เชือม ซึงจะลดหน่วยแรงดึงในตัวกําแพงและโมเมนต์ดดั กระทํารวมทังค่าการโก่งตัวลงด้ วย ข้ อ
กําหนดการออกแบบของนิวซีแลนด์ (NZS 4203:1992) เสนอแนะค่าอัตราส่วนกําลังของคาน
เชือมต่อกําแพง ดังนี
1 Nl 2
d d (8.26)
3 M1  M 2  Nl 3
ซึงจะให้ คา่ ขนาดของคานเชือมทีทําให้ กําแพงคูค่ วบมีประสิทธิภาพทีดีในการถ่ายแรงกระทําต่อ
กําแพง
สําหรับการออกแบบเหล็กเสริมในคานเชือม ข้ อกําหนด UBC1997 และ IBC2000
เสนอแนะการออกแบบเหล็กเสริม ดังนี
ในกรณีที ln d t 4 ใช้ การออกแบบเหล็กเสริมในคานตามปกติ
โดยที ln คือ ความยาวสุทธิของคานเชือม
d คือ ความลึกประสิทธิผลของคานเชือม
ในกรณีที ln d  4 และ Vu ! 1.06 fccbwd จะต้ องออกแบบให้ มีเหล็กเสริมในแนวทะแยงตัดกันที
กลางคาน 2 ชุด โดยกําลังรับแรงเฉือนของเหล็กเสริมพิเศษนีคํานวณได้ จาก
Vn 2 Avd f y sin D d 2.65 fccbwd (8.27)

1.5l d
h

0.2h l
1 Sh d 10 cm Section1-1

รูปที 8.13 รายละเอียดการเสริมเหล็กในคานเชือม

การออกแบบเหล็กเสริมแนวทะแยงแบบนีก็เพือป้องกันการวิบตั จิ ากแรงเฉือนเมือมีแรง
กระทําแบบวัฏจักร จากผลการทดสอบโดย Paulay และ Binney (1974) สําหรับคานเชือมทีมีคา่
řšŘ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

อัตราส่วนความยาวต่อความลึกระหว่าง 1.0 1.5 พบว่าการจัดเหล็กเสริมแบบนีทําให้ คานสามารถ


รับแรงเฉือนได้ ดีภายใต้ แรงกระทําแบบวัฏจักร โดยมีพฤติกรรมการรับแรงและการโก่งตัว
(hysteretic behavior) ทีมันคงและมีคา่ ความเหนียวมากกว่าการเสริมเหล็กแบบปกติทวไป

นอกจากนีผลการทดสอบของ Barney และคณะ (1980) ยังพบว่าสําหรับคานเชือมทีมีคา่
อัตราส่วนความยาวต่อความลึกระหว่าง 2.5  5.0 การจัดเหล็กเสริ มแบบนีก็ให้ ผลการรับกําลังทีดี
แม้ วา่ ค่าอัตราส่วนนีจะค่อนข้ างสูง
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řšř

ตัวอย่ าง 8.1 อาคารหลังหนึงสูง 20 ชัน โครงสร้ างเป็ นระบบกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ มี


รูปตัดดังแสดงในรูปข้ างล่างนี กําแพงคูค่ วบแต่ละส่วนมีระยะห่างระหว่างจุดศูนย์ถ่วงเท่ากับ 8.0
ม. โดยมีคานขนาด 0.30x0.40 ม. เชือมระหว่างกําแพงแต่ละคู่ อาคารนีมีคา่ นําหนักบรรทุกคงที
500 กก./ตร.ม. ซึงรวมทังนําหนักพืน คาน เสาและผนังกําแพง นําหนักบรรทุกจร 200 กก./ตร.ม.
กําหนดให้ ใช้ แรงลมตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร จงคํานวณหา
ก) หน่วยแรงในกําแพงทีฐานอาคาร
ข) แรงเฉือนและโมเมนต์ดดั สูงสุดในคานเชือม
ค) การโก่งตัวทางด้ านข้ างสูงสุดทีระดับชันบนสุดของอาคาร
ง) ออกแบบเหล็กเสริมในกําแพงและคานเชือม Ec 2.3 u105 ksc, fcc 250 ksc

6@6.0 m = 36.0m
1 2 3 4 5 6 7
D

7.0 m
ซม.
คานขนาด x ซม.

C
กํา แพงหนา

2.0 m
เสาภายในขนาด x ซม.
B

5.0 m
A

คานขนาด x ซม. เสาภายนอกขนาด x ซม.

ก) ผังอาคาร
řšŚ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

160 กก./ตร.ม.
+40 .0 ม.

20 @ 3.6 m = 72.0 m
+20 .0 ม. 120 กก./ตร.ม.

+10 .0 ม. 80 กก./ตร.ม.

50 กก./ตร.ม.
c.g. c.g.
0.30 m

5.0 m 2.0 m 7.0 m

l = 8.0 m

ข) รูปตัดขวางและแรงลม

รูปที8.14 โครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ตวั อย่ าง

วิธีการคํานวณ
คํานวณแรงลมให้ เป็ นแรงกระจายสมําเสมอตลอดความสูงของอาคารเพือให้ สามารถใช้
กราฟการวิเคราะห์ได้
1
WL
72
^(50 u10)  80 u10  120 u 20  160 u 32 ` 122.5 กก./ตร.ม.
122.5 u 6 735 กก./ม.
คํานวณคุณสมบัตขิ องกําแพง :
ความหนาของกําแพงไม่น้อยกว่า lu 15 360  40 15 21.33 ซม. ใช้ 30 ซม.
1
I1 0.3 5 3 3.125 m4
12
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řšś

1
I2 0.3 7 3 8.575 m4
12
?I I1  I 2 11.700 m4
A1 5 u 0.3 1.5 m2
A2 7 u 0.3 2.1 m2
?A A1  A2 3.6 m2
l 8 m
คํานวณคุณสมบัตขิ องคานเชือม :
1
Ib 0.3 0.4 3 1.6 u103 m4
12
E E E
G
2 1 Q 2 1  0.15 2.3
12 EIb 12 u E u1.6 u103
r O 1.2 0.1104
b2GA 2 2 E 2.3 u 0.4 u 0.3
Ib 1.6 u103
Ic 1.441u103 m4
1 r 1.1104

คํานวณสัมประสิทธิ k , D , kD H
AI 3.6 u11.7
k2 1  2
1  1.2089
A1 A2l 1.5 u 2.1u 82
?k 1.0995
1 0.4
be b  u (beam depth) 2 2.2 m
2 2
12 u1.441u103 u 8
2
12 I cl 2
D2
be3hI 2.2 3 u 3.6 u11.7
D 0.0497 m1
? kD H 1.0995 u 0.0497 u 72 3.934

คํานวณโมเมนต์ทงหมดเนื
ั องจากแรงลมกระทําทีฐานอาคาร
1
u 735 u 72 /1, 000
2
Total base moment , M T 1,905.12 T  m
2
จากรูปที 8.11 ทีฐานอาคาร (Z/H = 0)
K1 = 40%, K 2 = 60%
โมเมนต์ในกําแพงเนืองจากพฤติกรรมกําแพงอิสระ
M = 0.40 x (1,905.12) = 762.05 ตัน-เมตร
řšŜ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

3.125
Wall 1 : M1 u 762.05 203.54 T  m
11.70
8.575
Wall 2 : M 2 u 762.05 558.51 T  m
11.70
โมเมนต์ในกําแพงเนืองจากพฤติกรรมกําแพงผสมแบบสมบูรณ์
K2
Mc MT = 0.60x1905.12 = 1,143.07 ตัน-เมตร
100
โมเมนต์ในคานเชือม Nl M  M1  M 2
1,905.12  203.54  558.51 1,143.07 ตัน-เมตร
Nl 1,143.07
ตรวจสอบอัตราส่วนการรับกําลังของคานเชือม 0.60
M1  M 2  Nl 1,905.12
1 2
เนืองจาก d 0.60 d แสดงว่าขนาดของคานเชือมให้ ประสิทธิภาพการรับแรงทีดี
3 3
สําหรับพฤติกรรมแบบกําแพงคูค่ วบ

โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงคูค่ วบ
A1 A2 2 1.5 u 2.1
Ig I1  I 2  l 3.125  8.575  u82 67.70 m4
A 3.6
ตําแหน่งของจุดศูนย์ถ่วงของหน้ าตัดกําแพงคูค่ วบแสดงในรูปข้ างล่าง

c.g. of composite section

A B C D
0.30 m
0.167 m
M1 = 203.54 T-m M2 = 558.51 T-m
2.167 m
N1 = 265.86 T N2 = 910.14 T
7.167 m 6.883 m

M = 1,905.12 T-m

รูปที8.15 หน้ าตัดของกําแพงคู่ควบ

คํานวณหาแรงแนวแกน N สําหรับกําแพงชันล่างสุด จากผลรวมของน.น.บรรทุกคงที น.น.บรรทุก


จร และแรงลม ดังนี
กําแพงชินที 1 (axis A-B) N1 500  200 6 u 6 u 20 /1,000 1,905.12 8 265.86 ตัน
กําแพงชินที2 (axis C-D) N2 500  200 6 u 8 u 20 /1,000  1,905.12 8 910.14 ตัน
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řšŝ

ก) หน่ วยแรงในกําแพงทีฐานอาคาร

N M1c11 M c c1
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด A fA  
A1 I1 Ig
265.86 u103 203.54 u103 u100 u 250 1,143.07 u103 u100 u 716.7
fA  
1.5 100 3.125 100 67.0 100
2 4 4

 10.79 กก./ซม.2 (แรงดึง)


N M 2c21 M c c2
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด D fD  
A2 I2 Ig
910.14 u103 558.51u103 u100 u 350 1,143.07 u103 u100 u 688.3
fD  
2.1 100 8.575 100 67.0 100
2 4 4

77.88 กก./ซม.2 (แรงอัด)

ข) แรงเฉือนและโมเมนต์ ดัดสูงสุดในคานเชือม

แรงเฉือนสูงสุดในคานเชือมคํานวณจาก
WH
Qmax ˜ F2 (max) h
k 2l
จากรูป 8.7 สําหรับค่า kD H 3.934 จะได้ F2max. = 0.41 ทีระดับ Z/H = 0.38
735 u 72
Qmax ˜ 0.41 3.60
1.0995 2 8.0
8,076.55 กก.
โมเมนต์สงู สุดในคานเชือม
b
M max Qmax ˜ 8, 076.55 u1 8, 076.55 กก.-ม.
2

ในกรณีทีต้ องการคํานวณค่าให้ ถกู ต้ องยิงขึน ให้ วางตําแหน่งของคานเชือมสําหรับทุก


ชันลงบนกราฟการแปรเปลียนของ Shear Flow Factor, F2 (รูปที 8.7) แล้ วหาค่า F2max. ทีตรง
กับค่า kD H 3.934 จะได้ วา่ ทีระดับชันที 8 ซึงมีคา่ Z/H = 0.4 ได้ F2max. = 0.40
735 u 72
Qmax ˜ 0.40 3.60
1.0995 2 8.0
7,880 กก.
b
M max Qmax ˜ 7,880 u1 7,880 กก.-ม.
2
řšŞ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

ค) การโก่ งตัวทางด้ านข้ างสูงสุดทีระดับชันบนสุดของอาคาร


คํานวณการโก่งตัวทางด้ านข้ างสูงสุดจาก
WH 4
ymax ˜ F3
8EI
จากรูปที 8.8 สําหรับ kD H 3.934 และ k = 1.0995 จะได้ คา่ F3 = 0.30
กําหนดให้ คา่ Ec 2.3 u105 ksc

? ymax
735 100 u 72 4 0.30 2.75 ซม.

8 2.3 u105 11.7
สังเกตว่า หากไม่มีคานเชือมระหว่างกําแพง
735 100 u 72 4 1.0 9.17 ซม.

ymax
8 2.3 u105 11.7

ง) ออกแบบเหล็กเสริมในกําแพงและคานเชือม

ขันตอนที 1 เหล็กเสริมในกําแพง
ตรวจสอบว่าจะต้ องเสริมเหล็กตะแกรงรับแรงเฉือน 2 ชันหรื อไม่ จาก
Vu ! 0.53 fcc Acv
คํานวณ Vu จากการรวมนําหนักบรรทุกสูงสุดในกรณี
Vu 0.75(1.4VD  1.7VL  1.7VW )
Vu 0.9VD  1.3VW
เนืองจากค่าแรงเฉือนในกําแพงจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรมีคา่ น้ อย จึงใช้ แรง
เฉือนจากแรงลมเพียงอย่างเดียว และใช้ การรวมนําหนักบรรทุกกรณีที 2 นันคือ
Vu 1.3VW 1.3 u 735 u 72 68,796 กก.
กําแพงแต่ละชินรับแรงเฉือนตามค่าสัดส่วน EI ดังนี
I1 3.125
Vu1 Vu 68, 796 18,375 กก.
I 11.7
I2 8.575
Vu 2 Vu 68, 796 50, 421 กก.
I 11.7
พิจารณากําแพงชินที 2 ซึงมีขนาด 30x700 ซม.
0.53 fcc Acv 0.53 250(700) 30 175,981 กก. > 50, 421 กก.
ดังนัน อาจออกแบบเป็ นเหล็กเสริมชันเดียวได้
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řšş

เนืองจาก Vu 2  IVc 2 I 0.26 fcc Acv 0.6 u 0.26 250(700) 30 51, 798 กก.
เหล็กเสริมในแนวตัง
ใช้ ขนาด DB12 ดังนัน ใช้ Uv(min.) 0.0012
Asv 0.0012 u 30 u100 3.6 ซม.2
เนืองจากกําแพงหนา 30 ซม. จึงใช้ เหล็ก 2 ชัน เพือป้องกันการแตกร้ าวทีผิวกําแพงเนืองจากการ
ยืดหดตัวของคอนกรี ตใช้ ขนาด DB12@0.30m จํานวน 2 ชัน และ S 0.30m  0.45m ใช้ ได้
เหล็กเสริมในแนวนอน
ใช้ ขนาด DB12 ดังนัน ใช้ Uv(min.) 0.002
2
Asv 0.002 u 30 u100 6.0 ซม. ใช้ ขนาด DB12@0.18m จํานวน 2 ชัน

ตรวจสอบกําลังรับแรงเฉือนของกําแพง จาก
พิจารณากําแพงชินที 2 ซึงมีขนาด 30x700 ซม. ความสูงประสิทธิผล 320 ซม.
hw 320
0.46  2.0
lw 700

IVn I Acv Dc fcc  Un f y

0.85 30 u 700 0.8 250  0.002 u 4,000
368,587 กก. < 2.1 250(30 u 700) 697, 282 กก.
> Vu 50, 421 กก.
แสดงว่า กําลังต้ านทานแรงเฉือนของกําแพงสามารถต้ านทานแรงเฉือนประลัยได้

ขันตอนที 2 ตรวจสอบและออกแบบเสาขอบกําแพง (Boundary element)


จากการคํานวณหน่วยแรงอัดในกําแพง fc 77.88 ! 0.2 fcc 0.2u 250 50 กก./ซม.2
ดังนัน จะต้ องออกแบบเสาขอบกําแพง
ขนาดความกว้ างของเสาขอบ lw 16 700 16 43.75 ซม. ใช้ เสาขนาด 50x80 ซม. ดังนี

650 ซม.
80 ซม. 30 ซม.
50 ซม.

T C
รูปที8.16 หน้ าตัดของเสาขอบกําแพง
řšŠ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่

Wu M u
คํานวณแรงกระทําต่อเสาขอบกําแพง จาก C 
2 d
พิจารณากําแพงชินที 2 ซึงมีขนาด 30x700 ซม.
Wu ª¬1.4 500  1.7 200 º¼ 6.0 u 8.0 u 20 998, 400 กก.
M u 1.3MW 1.3 u 558,510 726,063 กก.-ม.
998, 400 726, 063
C  610,902 กก.
2 6.5
คํานวณกําลังรับนําหนักของเสาขอบกําแพง
Pn
¬
0.8 ª0.85 fcc Ag  Ast  Ast f y º
¼
ใช้ ปริ มาณเหล็กเสริม U ดังนัน Ast 0.02 u 50 u 80 80 ซม.2
0.02
Pn 0.8 ª¬0.85 u 250 50 u 80  80  80 u 4,000º¼ 922, 400 กก.
I Pn 0.7 u 922, 400 645,680 > Pu 610,902 ใช้ ได้
ดังนัน ใช้ เหล็กเสริมขนาด 18DB25
ออกแบบเหล็กปลอก โดยสมมุตวิ า่ ใช้ ขนาด DB10
Vu 2 / 2 50, 421/ 2 25, 211 กก.
§ N ·
กําลังรับแรงเฉือนของเสา Vc 0.53 ¨1  0.0071 u ¸ fccbd
¨
© Ag ¸¹
§ 998, 400 ·
0.53 ¨1  0.0071 ¸ 250 (50 u 75) 87.12 ตัน
© 50 u 80 ¹
IVc 0.85 u 87.12
เนืองจาก Vu 25.21  37.03 ตัน
2 2
ใช้ เหล็กปลอกขนาด 10 มม. ระยะห่างของเหล็กปลอก
Smax d 16dbl 40
d 48dt 48
db 50
ดังนันใช้ เหล็กปลอกขนาด DB10@0.40m
18DB25

4DB10

3DB10

รูปที8.17 การเสริมเหล็กของเสาขอบกําแพง
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řšš

ขันตอนที 3 ออกแบบคานเชือม (Coupling Beam)

ตรวจสอบความต้ องการเหล็กเสริมแนวทแยง
ln 200
5.714
d 35
1.06 fccbd 1.06 250 30 u 35 17,598 กก.
Vu 1.3Vb max. 1.3 u 8,076.55 10,500 กก.
เนืองจาก ln d ! 4 และ Vu  1.06 fccbd ดังนัน ใช้ การออกแบบเหล็กเสริมในคานตามปกติ
M u 1.3M b max. 1.3 u 8,076.55 10,500 กก.-ม.
M R I Rubd 2 0.9 u 66.07 u 0.30 u 352 21,852 กก.-ม.
คํานวณปริมาณเหล็กเสริมตามยาว
Mu 10,500 u100
As 10.33 ตร.ซม. ใช้ 4DB20mm
I f y ju d 0.9 u 4, 000 u 0.807 u 35
ตรวจสอบแรงเฉือน
Vc 0.53 fccbd 0.53 250 30 u 35 8,799 กก.
Vu 10,500
Vs  Vc  8, 799 3,554 กก.
I 0.85
ใช้ เหล็กปลอกขนาด DB10, As 2 u 0.785 1.57 ตร.ซม.
Av f y d 1.57 u 4, 000 u 35
S 61.85 ซม.
Vs 3,554

ดังนัน ใช้ เหล็กปลอก DB10@0.175 ม.


šš¸É 9
„µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ
9.1 šœÎµ

ǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦Ž¹ÉŠ°°„Ä®o­µ¤µ¦™˜oµœšµœÂ¦Š„¦³šÎµ—oµœ…oµŠ—oª¥„ε¡Š¦´
¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ ‹´—Áž}œÃ‡¦Š­¦oµŠž¦³Á£š„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ (wall-frame structure)
×¥­nªœÄ®n „ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ‹³Áž}œ­nªœÃ‡¦Š­¦oµŠ…°Šn°Š¨·¢šr Ĝ…–³š¸É°°„Ä®oǦŠ…o°
…Ȋ¦´œÊ宜´„…°Š¦³¡ºœÊ ¦nª¤„´œ„´Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 9.1 …o°—¸…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ
„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ ‡º° ¦³¥³„µ¦Ã¥„˜´ª…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÁœºÉ°Š‹µ„¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ¤¸‡nµ¨—¨Š
‹µ„Äœ„¦–¸š°¸É °„Ã—¥Äo„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ®¦º°Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠÁ¡¸¥Š°¥nµŠÁ—¸¥ª ¨³Ã¤Á¤œ˜r
—´—Äœ„ε¡Š¤¸‡nµ¨—¨Š‹µ„„¦–¸Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š°¥nµŠÁ—¸¥ª š´ÊŠœ¸ÊÁœºÉ°Š‹µ„ǦŠ­¦oµŠš´ŠÊ ­°Š­nªœ
¤¸¡§˜·„¦¦¤¦nª¤„´œ¦´Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ
nElevator
°Š¨·¢šr and service core

Frames
ǦŠ…o°Â…ÈŠ
Shear
„ε¡Š¦´walls
Â¦ŠÁŒº°œ

¦¼žš¸É 9.1 ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ


202 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ȊnŠ°°„Áž}œ 2 ž¦³Á£š˜µ¤¨´„¬–³Ÿ´Š°µ‡µ¦ —´Šœ¸Ê ‡º°


„) ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠš¸É¤¸¨´„¬–³­¤¤µ˜¦ (symmetric wall-frame) —´Š
­—ŠÄœ¦¼žš¸É 9.2„ ¨³¦¼žš¸É 9.2… Ÿ´Š°µ‡µ¦Ã‡¦Š­¦oµŠÂœ¸Ê‹³¤¸¨´„¬–³­¤¤µ˜¦Â¨³¦´Â¦Š
„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ­¤¤µ˜¦„´Ÿ´Š°µ‡µ¦ šÎµÄ®oŤn¤¸„µ¦·—˜´ªÁœºÉ°Š‹µ„¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ Ž¹ŠÉ
­µ¤µ¦™‡Îµœª–°°„Å—oÁ®¤º°œ„´Ã‡¦Š­¦oµŠÄœ¦³œµÁ—¸¥ª
…) ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠš¸É¤¸¨´„¬–³Å¤n­¤¤µ˜¦ (asymmetric wall-frame)
—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 9.2‡ ǦŠ­¦oµŠÂ®¨´Šœ¸Ê‹³¤¸„µ¦·—˜´ªÁœºÉ°Š‹µ„¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠŽ¹ÉŠ
„¦³šÎµÁ¥ºÊ°Š«¼œ¥r‹µ„‹»—«¼œ¥r„¨µŠ…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠ…°Š°µ‡µ¦—oª¥ Ž¹ÉŠ„µ¦‡Îµœª–‹³Ž´Žo°œ„ªnµ
ǦŠ­¦oµŠÂÂ¦„ —´Šœ´œÊ Ĝš¸œÉ ¸Ê‹³„¨nµª¦µ¥¨³Á°¸¥—„µ¦‡Îµœª–ÁŒ¡µ³Ã‡¦Š­¦oµŠÂÂ¦„Ášnµœ´Êœ

(a)
(„)

(b)
(…)

(c)
(‡)
¦¼žš¸É 9.2 ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠž¦³Á£š˜nµŠÇ
(„) „ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Ÿ´Š­¤¤µ˜¦: „ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ °¥¼nĜǦŠš¸É…œµœ„´œ
(…) „ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Ÿ´Š­¤¤µ˜¦: „ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ °¥¼nĜǦŠÁ—¸¥ª„´œ
(‡) „ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Ÿ´ŠÅ¤n­¤¤µ˜¦
šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 203

9.2 ¡§˜·„¦¦¤…°Š„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠš¸É¤¸¨´„¬–³­¤¤µ˜¦

¡§˜·„¦¦¤…°Š„µ¦¦´Â¦Š„¦³šÎµ¦nª¤„´œ¦³®ªnµŠ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ­Îµ®¦´
ǦŠ­¦oµŠœ¸Ê‹³Â­—Š—oª¥¦¼ž¦nµŠ„µ¦Ã„nŠ˜´ª…°Š„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ Ĝ¦¼žš¸É 9.3„
¨³¦¼žš¸É 9.3… ×¥¤¸­¤¤˜·“µœ—´Šœ¸Ê
„. „ε¡Š‹³Âšœ—oª¥°Š‡r°µ‡µ¦¥ºÉœ¦´„µ¦—´— (flexural cantilever)
…. ǦŠ…o°Â…ÈŠ‹³Âšœ—oª¥°Š‡r°µ‡µ¦¥ºÉœ¦´„µ¦ÁŒº°œ (shear cantilever) Ž¹ÉŠ‹³Ã„nŠ
˜´ª—oª¥Â¦ŠÁŒº°œ°¥nµŠÁ—¸¥ª ¨³Á­µ°µ‡µ¦‹³¡·‹µ¦–µÄ®o¤¸‡ªµ¤Â…ÈŠÁ„¦ÈŠÂ¨³Å¤n
¤¸„µ¦¥º—®—˜´ªÄœÂœªÂ„œ
‡. „ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ¤¸„µ¦ÁºÉ°¤¥¹——oª¥˜´ª„¨µŠÁºÉ°¤¥¹—Â…ÈŠÁ„¦ÈŠ Ž¹ÉŠ™nµ¥Â¦Š
„¦³šÎµ—oµœ…oµŠ°¥nµŠÁ—¸¥ª
‹µ„­¤¤˜·“µœ…oµŠœœ¸Ê „ε¡Š‹³¤¸„µ¦Ã„nŠ˜´ªÄœ¦¼žÂ…°Š„µ¦Ã„nŠ—´— (flexural shape) ×¥¤¸
‡ªµ¤´œ­¼Š­»—š¸É¥°—…°Š°µ‡µ¦ Ĝ…–³š¸ÉǦŠ…o°Â…ÈŠ‹³¤¸„µ¦Ã„nŠ˜´ªÄœ¦¼žÂ…°Š„µ¦Ã„nŠÁŒº°œ
(shear shape) ×¥¤¸‡ªµ¤´œ­¼Š­»—š¸É“µœ…°Š°µ‡µ¦ Á¤ºÉ°„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š°µ‡µ¦¤µÁºÉ°¤Á…oµ
—oª¥„´œÃ—¥‡µœ®¦º°¡ºœÊ Ž¹ŠÉ ¤¸ž¨µ¥Â…o°®¤»œ ¦¼ž¦nµŠ…°Š„µ¦Ã„nŠ˜´ª…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠŸ­¤œ¸Ê‹³¤¸
¦¼ž¨´„¬–³Áž}œÂ„µ¦—´—š¸É­nªœ¨nµŠ…°Š°µ‡µ¦ ¨³¤¸¦¼ž¨´„¬–³Áž}œÂ„µ¦ÁŒº°œš¸É­ªn œœ
°µ‡µ¦ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 9.3‡ š´ŠÊ œ¸ÊÁœºÉ°Š‹µ„¦Š˜µ¤ÂœªÂ„œÄœ‡µœÁºÉ°¤ ‹³šÎµÄ®o„µÎ ¡Š¤¸
¡§˜·„¦¦¤nª¥¥´œÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠš¸É­nªœ¨nµŠÄ„¨o“µœ°µ‡µ¦ ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ‹³nª¥‡Êε¥´œ„ε¡Šš¸É
¥°—°µ‡µ¦

¦¼žÂ
„µ¦Ã„nŠÁŒº°œ

‹»—„µ¦—´—„¨´
¦¼žÂ
„µ¦Ã„nŠ—´—

(„) ¦¼žÂ„µ¦Ã„nŠ—´— (…) ¦¼žÂ„µ¦Ã„nŠÁŒº°œ (‡) ¦¼žÂ„µ¦Ã„nŠÂŸ­¤

¦¼žš¸É 9.3 ¡§˜·„¦¦¤„µ¦Ã„nŠ˜´ª…°Š„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ


204 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

Ÿ¨…°Š¡§˜·„¦¦¤„µ¦¦´Â¦Š„¦³šÎµ¦nª¤¦³®ªnµŠ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š°µ‡µ¦ (wall-frame
interaction) ‹³Â­—ŠÅ—o—oª¥„¦µ¢…°Š„µ¦Ã„nŠ˜´ª äÁ¤œ˜r¨³Â¦ŠÁŒº°œ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼ž 9.4„ …
¨³ ‡ ˜µ¤¨Îµ—´

1.0 1.0 1.0


Ȋ
Š…o°Â…

ª
Á—¸¥

ǦŠ…
¥nµŠ
Š-Ǧ

¨´
¡Š°

´—„

o°Â…ÈŠ
—
„εÂ

¦
„ε¡

Z/H „µ Z/H Z/H


¸É¥œ

¦ŠÁ
Á—» ž¨

Œº°œ
‹

„ε ǦŠ…o

£µ¥
¡Š
„εÂ

œ°„
äÁ
¡Š

¤
œ˜
r—´—

°Â…ÈŠ
£µ
¥œ
°„
(„) „µ¦Ã„nŠ˜´ª (…) äÁ¤œ˜r—´— (‡) ¦ŠÁŒº°œ

¦¼žš¸É9.4 ¡§˜·„¦¦¤„µ¦¦´Â¦Š„¦³šÎµ¦nª¤¦³®ªnµŠ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š°µ‡µ¦

9.3 „µ¦‡Îµœª–¦Š£µ¥ÄœÃ‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

‹µ„ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 9.5„ Ĝ„µ¦ª·Á‡¦µ³®rǦŠ­¦oµŠ


¦³œ¸Ê ‹³‹Îµ¨°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÁž}œÂ‹Îµ¨°Šš¸É¤¸‡ªµ¤˜n°ÁœºÉ°Š­¤ÉεÁ­¤° (¦¼žš¸É 9.5…) ×¥¤¸
­¤¤˜·“µœ—´Šœ¸Ê
„. ‡»–­¤´˜·…°Š„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ȊŤn¤¸„µ¦Áž¨¸É¥œÂž¨Š˜¨°—‡ªµ¤­¼Š…°Š
°µ‡µ¦
…. „ε¡Š¡·‹µ¦–µÁž}œ°Š‡r°µ‡µ¦¥ºÉœ¦´„µ¦—´— ¤¸‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´— šœ—oª¥ EI
×¥š¸É E ¨³ I ‡º° 䗼¨´­¥º—®¥»nœÂ¨³Ã¤Á¤œ˜r°·œÁœ°¦rÁ¸¥…°Š„ε¡Š ˜µ¤¨Îµ—´
‡. ǦŠ…o°Â…ÈŠ¡·‹µ¦–µÁž}œ°Š‡r°µ‡µ¦¥ºÉœ¦´„µ¦ÁŒº°œ ¤¸‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·ŠÁŒº°œ šœ
—oª¥ GA Ž¹ÉŠ‹³¤¸¦µ¥¨³Á°¸¥—ª·›¸„µ¦‡Îµœª–°¸„Äœšœ¸Ê
Š. ‡µœ®¦º°¡ºÊœŽ¹ŠÉ ÁºÉ°¤¦³®ªnµŠ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ¡·‹µ¦–µÁž}œ˜´ª„¨µŠÁºÉ°¤
¥¹—Â…ÈŠÁ„¦ÈŠ (rigid links) Ťn¤¸„µ¦¥º—®¦º°®—˜´ª˜µ¤ÂœªÂ„œÂ¨³Áº°É ¤˜¨°—
‡ªµ¤­¼Š…°Š°µ‡µ¦
šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 205

Concentrated
Rigid links Axially rigid interaction
interaction force QH
continuum force QH
wall Frame Flexural Shear Flexural
cantilever cantilever cantilever Shear
EI GA cantilever

Loading
w(z)

Distributed interaction
w (z) w (z)

intensity q(z)
z

y
(„)( a ) (…)( b ) (‡)( c )

¦¼žš¸É 9.5 ‹Îµ¨°Š­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ


(„) „ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ (…) ‹Îµ¨°Š­Îµ®¦´ „ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ
(‡) ŗ°³Â„¦¤¦¼ž°·­¦³­Îµ®¦´„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ

¡·‹µ¦–µ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š°µ‡µ¦ Â¥„„´œ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 9.5‡


¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š Ž¹ÉŠÁž}œ°Š‡r°µ‡µ¦¥ºœÉ ¦´„µ¦—´—
d3y H
(9.1)
 EI 3 ³ >W z  q z @dz  Q H
dz z

¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ Ž¹ŠÉ Áž}œ°Š‡r°µ‡µ¦¥ºÉœ¦´„µ¦ÁŒº°œ


dy H
GA ³ q z dz  Q H (9.2)
dz z

×¥š¸É W ‡º° ¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ‹µ„£µ¥œ°„ÂŸn„¦³‹µ¥­¤ÉεÁ­¤°, „„./¤.


q ‡º° ¦Šž’·„·¦·¥µ£µ¥ÄœÂÂŸn„¦³‹µ¥­¤ÉεÁ­¤°, „„./¤.
QH ‡º° ¦Šž’·„·¦·¥µ£µ¥ÄœÂ„¦³šÎµÁž}œ‹»—, „„.
É …°Š´Êœ‡ªµ¤­¼Š…°Š„ε¡Š, „„.-Ž¤.2
EI ‡º° ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´—ÁŒ¨¸¥
GA ‡º° ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·ŠÁŒº°œÁŒ¨¸É¥…°Š´Êœ‡ªµ¤­¼Š…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ, „„.
H ‡º° ‡ªµ¤­¼Šš´ŠÊ ®¤—…°Š°µ‡µ¦, ¤.
206 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

‡Îµœª–®µ°œ»¡´œ›r…°Š­¤„µ¦ 9.1 ¨³ 9.2 ¨oª¦ª¤ 2 ­¤„µ¦Á…oµ—oª¥„´œ ‹³Å—o

d4y 2
2d y W z
(9.3)
D 
dz 4 dz 2 EI
×¥š¸É
GA (9.4)
D2
EI

­¤„µ¦š¸É 9.3 ­—Š¨´„¬–³…°Š„µ¦Ã„nŠ…°Š„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Ž¹ÉŠ¤¸‡Îµ˜°š´ÉªÅž —´Šœ¸Ê

W z2
y z C 1  C 2 z  C 3 cos hD z  C 4 sin hD z  (9.5)
2 EID 2

‡nµ‡Šš¸É C1 ™¹Š C4 ­µ¤µ¦™‡Îµœª–Å—o‹µ„ÁŠºÉ°œÅ……°Á…˜ —´Šœ¸Ê


ÁŠºÉ°œÅ……°Á…˜
„. – “µœ°µ‡µ¦ ¤¸‡ªµ¤¥¹—Âœnœ „µ¦Ã„nŠ˜´ªÂ¨³‡nµ‡ªµ¤´œÁž}œ«¼œ¥r
dy 0 (9.6)
y 0 0
dz
…. – ˜ÎµÂ®œnŠœ­»—…°Š„ε¡Š äÁ¤œ˜r—´—Áž}œ«¼œ¥r

d2y
Mb H EI 2 0 (9.7)
dz
‡. – ˜ÎµÂ®œnŠœ­»—…°Š°µ‡µ¦, ¦ŠÁŒº°œ¨´¡›rÁž}œ«¼œ¥r
d3y dy H
E I 3 H  GA 0 (9.8)
dz dz

‹µ„ÁŠºÉ°œÅ……°Á…˜š´ÊŠ 3 ­¤„µ¦ œÎµÅžÂšœ‡nµ¨ŠÄœ­¤„µ¦ 9.5 Á¡ºÉ°‡nµ‡Šš¸É C1 ™¹Š C4 ‹³Å—o


‡Îµ˜°…°Š‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ª—´Šœ¸Ê

W H 4 ­° 1 ª D H sin hD H  1
y z ® «
EI °̄ D H 4 «¬ cos hD H
cos hD z  1
ª z 1 § z · 2 º º ½°
2
 D H sin hD z  D H «  ¨ ¸ » » ¾ (9.9)
¬H 2 © H ¹ ¼ ¼ °¿
šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 207

×¥š¸É

DH H
G A (9.10)
EI

‡nµ—´œ¸¦³¥³Ã¥„¦³®ªnµŠ´œÊ (story drift index)

dy z W H 3 ­° 1 ª D H sin hD H  1
dz
® «
E I °̄ D H 3 ¬« cos hD H
sin hD z
z ½
 D H cos hD z  D H §¨ 1  ·¸º» ¾ (9.11)
© H ¹¼ ¿

¦Š£µ¥Äœ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ

„) äÁ¤œ˜r—´—Äœ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ

×¥š¸É„µÎ ¡Š¤¸¡§˜·„¦¦¤Áž}œ°Š‡r°µ‡µ¦¥ºœÉ ¦´„µ¦—´— —´Šœ´Êœ


‡nµÃ¤Á¤œ˜r—´—Äœ„ε¡Š (Mb) ‡Îµœª–‹µ„
d 2 y z (9.12)
M b z EI
dz 2
œ´Éœ‡º°
­° 1 ª D H sin hD H  1 º ½°
Mb z W H2 ® « cos h D z  D H sin h D z  1 »¾
°̄ D H «¬
2 cos hD H »¼ °¿
(9.13)
­nªœÃ¤Á¤œ˜r—´—ĜǦŠ…o°Â…ÈŠ (Ms) ‡Îµœª–‹µ„

W H  z 2
M s z  M b z (9.14)
2

×¥š¸É äÁ¤œ˜r—´—ĜǦŠ…o°Â…ÈŠ = äÁ¤œ˜r—´—‹µ„£µ¥œ°„ - äÁ¤œ˜r—´—Äœ„ε¡Š


208 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

…) ¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠÁœºÉ°Š‹µ„¦Š£µ¥œ°„

¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š

d 3 y z (9.15)
Qb z E I
dz 3
œ´Éœ‡º°
­° 1 ª D H sin hD H  1 º ½°
Qb z  WH ® « sin hD z D H cos hD z » ¾ (9.16)
°̄ D H «¬ cos hD H »¼ °¿

¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ

Qs (z) = W(H-z) - Qb(z) (9.17)

‡) ¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠÁœºÉ°Š‹µ„¦Šž’·„·¦·¥µ£µ¥Äœ QH š¸É¥°—°µ‡µ¦

¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š
d3y (9.18)
Qb H  EI 3 H
dz

¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ
dy (9.19)
Qs H GA H
dz

ÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÁŒº°œ‹µ„¦Š„¦³šÎµ£µ¥œ°„š´ÊŠ®¤—š¸É¥°—°µ‡µ¦Áž}œ«¼œ¥r —´Šœ´ÊœÂ¦Š
ÁŒº°œÄœ„ε¡Š‹¹Š¤¸‡µn Ášnµ„´Â¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ ˜n¤¸š·«šµŠ˜¦Š„´œ…oµ¤ ¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š
¨³Â¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ Ž¹ÉŠÁšnµ„´œœ¸Ê Á¦¸¥„ªnµÂ¦Šž’·„·¦·¥µ£µ¥Äœ QH
šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 209

„µ¦‡Îµœª–‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·ŠÁŒº°œ (Shear Rigidity, GA)

‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·ŠÁŒº°œ (shear rigidity) …°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ Áž}œ‡nµÁŒ¨¸¥É ĜnªŠ‡ªµ¤­¼Š


…°Š´Êœ°µ‡µ¦ ×¥š¸É‡µn ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·ŠÁŒº°œœ¸Ê œ·¥µ¤ªnµ Áž}œÂ¦ŠÁŒº°œš¸šÉ εĮoǦŠ­¦oµŠÁ‡¨ºÉ°œš¸ÉŞ
—oµœ…oµŠ 1 ®œnª¥ ˜n°®œnª¥‡ªµ¤­¼Š…°Š°µ‡µ¦ Ž¹ŠÉ ‹³°›·µ¥—oª¥­nªœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ—´ŠÂ­—ŠÄœ
¦¼žš¸É 9.6

Shear Q

Ic1 Ic2 Ic3 Ic4 h


Ig1 Ig2 Ig3
L1 L2 L3

Q
¦¼žš¸É 9.6 ǦŠ…o°Â…ÈŠ™¼„„¦³šÎµ—oª¥Â¦ŠÁŒº°œ

‹µ„¦¼žš¸É 9.6 ¨³œ·¥µ¤…°Š‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·ŠÁŒº°œ


Qh 12 E (9.20)
GA
G 1 1
h §¨  ·¸
©G C ¹
×¥š¸É
GA ‡º° ‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·ŠÁŒº°œ…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ, „„.
Q ‡º° ¦ŠÁŒº°œ„¦³šÎµÄœ¦³®ªnµŠ´Êœ…°Š°µ‡µ¦, „„.
h ‡º° ‡ªµ¤­¼ŠÄœ¦³®ªnµŠ´Êœ…°Š°µ‡µ¦, Ž¤.
G ‡º° ¦³¥³„µ¦Ã¥„˜´ªÄœ¦³®ªnµŠ´œÊ …°Š°µ‡µ¦, Ž¤.
E ‡º° 䗼¨­´ ¥º—®¥»œn …°Š°Š‡r°µ‡µ¦, „„./Ž¤.2
3
G = 6 Ig / L ­Îµ®¦´‡µœÄœ¦³—´´Êœ…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ, Ž¤.
C = 6 Ic / h ­Îµ®¦´Á­µÄœ´œ Ê ®œ¹ÉŠ…°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ, Ž¤.3
210 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

9.4 „µ¦‡Îµœª–®µÂ¦Š£µ¥ÄœÂ¨³‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ªÃ—¥Äo„¦µ¢

‹µ„­¤„µ¦…°ŠÂ¦Š£µ¥Äœš¸ÂÉ ­—ŠÅªo Á¡ºÉ°Ä®o„µ¦‡Îµœª–ÄœšµŠž’·´˜„· ¦³šÎµÅ—oŠµn ¥…¹Êœ


Áš°¤š¸ÉŽ´Žo°œÄœªŠÁ¨Èže„„µ ­µ¤µ¦™­¦oµŠÁž}œ„¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r…°ŠÁš°¤š¸É˜o°Š„µ¦®µœ¸ÊĜ¦¼ž
…°Š DH ¨³ Z/H ŗo (Smith & Coull, 1991) —´Šœ¸Ê
‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ª
WH 4
y( z ) K1 (D H , z H ) (9.21)
8 EI
‡nµ—´œ¸„µ¦Ã¥„˜´ª¦³®ªnµŠ´œÊ

dy ( z ) WH 3
K 2 (D H , z H ) (9.22)
dz 6 EI
‡nµÃ¤Á¤œ˜r—´—Äœ„ε¡Š
WH 2
Mb ( z ) K 3 (D H , z H ) (9.23)
2
‡nµÂ¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š

Qb ( z ) W H K 4 (D H , z H ) (9.24)

­Îµ®¦´‡nµ K1 ™¹Š K4 ­µ¤µ¦™‡Îµœª–Å—o‹µ„„¦µ¢ Ĝ¦¼žš¸É 9.7-9.10 Ž¹ÉŠÂ¥„Áž}œ—´Šœ¸Ê


„¦µ¢…°Š K1 ¨³ K2
‡nµš¸É­—ŠÄœ„¦µ¢…°Š K1 ¨³ K2 Á¤ºÉ° DH = 0 œ´œÊ ­—Š™¹Š‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ª ¨³
‡nµ—´œ¸„µ¦Ã¥„˜´ª¦³®ªnµŠ´œÊ …°Š„ε¡Š Á¤ºÉ°¤¸¡§˜·„¦¦¤Â„ε¡Š°·­¦³°¥nµŠÁ—¸¥ª
­Îµ®¦´„¦–¸š¸É DH ¤µ„„ªnµ«¼œ¥r ­—Š‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ªÂ¨³‡nµ—´œ¸„µ¦Ã¥„˜´ª¦³®ªnµŠ
´Êœ ­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠŸ­¤„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ
„¦µ¢…°Š K3 ¨³ K4
‡nµš¸É­—ŠÄœ„¦µ¢…°Š K3 ¨³ K4 Á¤ºÉ° DH = 0 œ´Êœ ‡nµ K3 ­—Š™¹Š‡nµÃ¤Á¤œ˜r
—´—‹µ„¦Š„¦³šÎµ£µ¥œ°„ ¨³ K4 ­—Š™¹Š‡nµÂ¦ŠÁŒº°œ‹µ„¦Š„¦³šÎµ£µ¥œ°„
­Îµ®¦´„¦–¸š¸É DH ¤µ„„ªnµ«¼œ¥r ‡nµ K3 ­—Š™¹Š‡nµÃ¤Á¤œ˜r—´—Äœ„ε¡Š ¨³ K4
­—Š™¹Š‡nµÂ¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š
šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 211

—´Šœ´œÊ ®µ„˜o°Š„µ¦š¦µ‡nµ…°ŠÃ¤Á¤œ˜r—´—¨³Â¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ „ȇεœª–Å—o


‹µ„
Ms = M - Mb (9.25)

Qs = Q - Qb (9.26)

×¥š¸É M ¨³ Q ‡º° äÁ¤œ˜r—´—¨³Â¦ŠÁŒº°œ‹µ„¦Š„¦³šÎµ£µ¥œ°„ Á¤ºÉ° DH = 0


Ms ¨³ Qs ‡º° äÁ¤œ˜r—´—¨³Â¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ (shear cantilever) ˜µ¤¨Îµ—´
Mb ¨³ Qb ‡º° äÁ¤œ˜r—´—¨³Â¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š (bending cantilever) ˜µ¤¨Îµ—´
Á¤ºÉ° DH > 0

1.0





0.9 





    


0.8 D+
0.7

0.6
Z/H 0.5

0.4

0.3

WH 4
0.2

0.1
y z K1
0 0.10 0.20 0.30 0.40 0.50 0.60 0.70
8 EI
0.80 0.90 1.00
K1

¦¼žš¸É 9.7 ‡nµ K1 Factor ­Îµ®¦´Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠÂŸn„¦³‹µ¥°¥nµŠ­¤ÉεÁ­¤° (Smith&Coull, 1991)


1.0

0.9

0.8

0.7

0.6


Z/H 0.5   
   









 

0.4 D+

0.3

WH 3
0.2
dy z
0.1
K2
0 0.10 0.20 0.30 0.40 0.50
dz
0.60 0.70
6 EI
0.80 0.90 1.00
K2

¦¼žš¸É 9.8 ‡nµ K2 Factor ­Îµ®¦´Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠÂŸn„¦³‹µ¥°¥nµŠ­¤ÉεÁ­¤° (Smith&Coull, 1991)


212 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

WH 2
1.0

0.9
Mb z K3
0.8 2
0.7

0.6
Z/H 0.5

0.4 D+
 
0.3   

 
0.2 
 
0.1   

-0.10 0 0.10 0.20 0.30 0.40 0.50 0.60 0.70 0.80 0.90 1.00
K3

¦¼žš¸É 9.9 ‡nµ K3 Factor ­Îµ®¦´Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠÂŸn„¦³‹µ¥­¤ÉεÁ­¤° (Smith&Coull, 1991)

1.0

0.9 Qb z W H K4
0.8

0.7 D+
 
0.6


Z/H 0.5 


0.4  
0.3    
 

0.2 
0.1

-0.20 -0.10 0 0.10 0.20 0.30 0.40 0.50 0.60 0.70 0.80 0.90 1.00
K4

¦¼žš¸É 9.10 ‡nµ K4 Factor ­Îµ®¦´Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠÂŸn„¦³‹µ¥­¤ÉεÁ­¤° (Smith&Coull, 1991)


šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 213

˜´ª°¥nµŠš¸É 9.1 °µ‡µ¦®¨´Š®œ¹ÉŠ­¼Š 30 ´œÊ ˜n¨³´Êœ¤¸‡ªµ¤­¼Š 3.5 ¤. ¤¸‡ªµ¤­¼Šš´ŠÊ ­·Êœ 105 ¤.


ǦŠ­¦oµŠÁž}œ¦³„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ °´œž¦³„°—oª¥Ã‡¦Š°µ‡µ¦ ¨³„ε¡Š­nªœÂ„œ„¨µŠ
—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 9.11 ­¤¤˜·Ä®o¦Š¨¤Áž}œÂÂŸn„¦³‹µ¥­¤ÉµÎ Á­¤°Ášnµ„´ 150 „„./¤.2 „¦³šÎµ
ĜœªÂ„œ y-axis …°Š°µ‡µ¦ Ž¹ÉŠ‹³˜o°Š˜oµœšµœ—oª¥Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ‹Îµœªœ 6 »— ¨³Â„œ„¨µŠ
°¸„ 1 ˜´ª ‹Š‡Îµœª–®µ
„) ‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ª­¼Š­»—…°Š°µ‡µ¦
…) ‡nµ—´œ¸„µ¦Ã¥„˜´ª…°Š°µ‡µ¦ ¨³˜¦ª‹­°Áš¸¥„´‡nµš¸É¥°¤Ä®o Ž¹ŠÉ ‹³˜o°ŠÅ¤nÁ„·œ 0.002
‡) ‡nµÃ¤Á¤œ˜r¨³Â¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š­nªœÂ„œ„¨µŠ ¨³Ã‡¦Š°µ‡µ¦

2 1 1 x 1 1 2

8.0 ¤.
D

8.0 ¤.
24.0 ¤.
C

8.0 ¤.
A

8@8.0 ¤. = 64.0 ¤.

¦¼žš¸É 9.11 Ÿ´Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-Á¢¦¤˜´ª°¥nµŠ­¼Š 30 ´Êœ

„ε®œ—Ä®o
Á­µ£µ¥Äœ Á­µ£µ¥œ°„ ‡µœ
Ixx Ixx
ǦŠ…o°Â…ÈŠ š¸É 1 (…œµ— 1.00x1.00 ¤.) (…œµ— 0.90x0.90 ¤.) (…œµ— 0.25x0.80 ¤.)
Ixx = 0.083 ¤.4 Ixx = 0.055 ¤.4 Ixx = 0.011 ¤.4
ǦŠ…o°Â…ÈŠ š¸É 2 (…œµ— 0.90x0.90 ¤.) (…œµ— 0.80x0.80 ¤.) (…œµ— 0.25x0.60 ¤.)
Ixx = 0.055 ¤.4 Ixx = 0.034 ¤.4 Ixx = 0.0045 ¤.4

„ε¡Š­nªœÂ„œ„¨µŠ …œµ— 16.00x8.00x0.50 ¤. : Ixx = 253.92 ¤.4


䗼¨´­¥º—®¥»œn Ec = 2.3 u 105 „„./Ž¤.2
‡°œ„¦¸˜ : fcc = 250 „„./Ž¤.2
Á®¨È„Á­¦·¤ : fy = 4,000 „„./Ž¤.2
214 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

œÊ宜´„¡ºœÊ = 300 „„./¤.2 ¨³œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ = 500 „„./¤.2

…´Êœ˜°œš¸É 1 ‡Îµœª–‡nµ DH
„. ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´— …°Š„ε¡Š­nªœÂ„œ„¨µŠ
(EI)t = 2.3x105x104x253.92 = 5.84x1011 „„.-¤.2
…. ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·ŠÁŒº°œ …°ŠÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ
12 E
GA
§1 1 ·
h ¨  ¸
©G C ¹
­Îµ®¦´Ã‡¦Š…o°Â…Ȋš¸É 1:
12 u 2.3 u 10 9
GA 1 3.091 u 107 „„.
­ ½
° 1 1 °
3.5 ® 3 u 0.011 
2 0.083  0.055 ¾
° °
¯ 8.0 3. 5 ¿
­Îµ®¦´Ã‡¦Š…o°Â…Ȋš¸É 2:

12 u 2.3 u 10 9
GA 2 1.288 u 107 „„.
­ ½
° 1 1 °
3.5 ® 3 u 0.0045 
2 0.055  0.034 ¾
° °
¯ 8. 0 3.5 ¿
7 7
6 (GA)t = (4x3.091x10 + 2x1.288x10 ) = 14.94x107 „„.
‡. ‡Îµœª– D H ‹µ„
GA t 14.94 u 107
DH H 105 1.68
EI t 5.84 u 10 11

…´Êœ˜°œš¸É 2 ‡Îµœª–‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ª­¼Š­»—…°Š°µ‡µ¦
WH 4
y z K 1 D H , z H
8 EI t
W = 150x64 = 9,600 „„./¤.
‹µ„¦¼žš¸É 9.7 š¸Éœ¥°—­»—…°Š°µ‡µ¦, Z/H =1.0, DH = 1.68, K1 = 0.50
šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 215

‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ª­¼Š­»—…°Š¥°—°µ‡µ¦:
9 ,600 u 105 4 u 0.50
y H 0.125 ¤ .

8 5.84 u 10 11
­Îµ®¦´‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ªš¸É¦³—´°ºÉœÇ ­µ¤µ¦™®µÅ—oĜšÎµœ°ŠÁ—¸¥ª„´œœ¸Ê

…´Êœ˜°œš¸É 3 ‡nµ—´œ¸¦³¥³Ã¥„­¼Š­»— (Story Drift Index, DI)


dy WH 3
max K 2 max
dz 6 EI t
‹µ„¦¼žš¸É 9.8 DH = 1.68 ‹³Å—o K2(max) = 0.47 š¸É Z/H = 0.60
—´Šœ´œÊ
dy 9 ,600 u 105 3 u 0.47
max
dz 6 u 5.84 u 10 11
0.0015  DI allow 0.002
‡nµ—´œ¸¦³¥³Ã¥„­¼Š­»—¤¸‡µn œo°¥„ªnµ‡nµš¸¥É °¤Ä®o —´Šœ´œÊ °µ‡µ¦œ¸Ê‹Š¹ ž¨°—£´¥‹µ„„µ¦Ã¥„˜´ª

…´Êœ˜°œš¸É 4 äÁ¤œ˜r—´—Äœ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ
„. äÁ¤œ˜r—´—Äœ„ε¡Š
WH 2
Mb z K 3 (D H , z H )
2
‡Îµœª–®µÃ¤Á¤œ˜r­¼Š­»—Äœ „ε¡Š­nªœÂ„œ„¨µŠš¸É¦³—´“µœ…°Š°µ‡µ¦
‹µ„¦¼žš¸É 9.9 Z/H = 0, K3 = 0.65
9 ,600 u 105 2 u 0.65
Mb 34.40 u 10 6 „„.  ¤ .
2

­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠŽ¹ÉŠ¤¸„µÎ ¡Š®¨µ¥˜´ª ‡nµÃ¤Á¤œ˜rĜ˜n¨³„ε¡Š ­µ¤µ¦™®µÅ—o


×¥„µ¦„¦³‹µ¥‡nµÃ¤Á¤œ˜rĜ„ε¡Šš´ÊŠ®¤—˜µ¤­´—­nªœ…°Š‡nµ‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´—…°ŠÂ˜n¨³„ε¡Š

…. äÁ¤œ˜r—´—ĜǦŠ…o°Â…ÈŠ
W H  z 2
M s z  M b z
2
216 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

š¸É“µœ…°Š°µ‡µ¦
9 ,600 105  0 2
Ms  34.40 u 10 6 18.52 u 10 6 „„.  ¤ .
2
äÁ¤œ˜rĜǦŠ…o°Â…Ȋš¸É 1
GA 1 3.091 u 107 6
M1 Ms 7 u 18.52 u 10 3.83 u 10 6 „„.  ¤ .
6 GA 14.94 u 10
äÁ¤œ˜rĜǦŠ…o°Â…Ȋš¸É 2

GA 2 1.288 u 107 6
M2 Ms 7 u 18.52 u 10 1.59 u 10 6 „„.  ¤ .
6 GA 14.94 u 10

…´Êœ˜°œš¸É 5 ¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ

„. ¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š
z
Qb z W H K 4 §¨D H , ·¸
© H¹

‹µ„¦¼žš¸É 9.10 š¸É¦³—´œ¥°—­»—…°Š°µ‡µ¦ z/H = 1.0, ‡nµ K4 = -0.18


¨³š¸É¦³—´“µœ¨nµŠ…°Š°µ‡µ¦ z/H = 0, ‡nµ K4 = 1.0
—´Šœ´œÊ ¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š
š¸É¦³—´œ¥°—­»—…°Š°µ‡µ¦ Qb = 9,600 x 105 x (-0.18) = -181,440 „„.
š¸É¦³—´“µœ¨nµŠ…°Š°µ‡µ¦ Qb = 9,600 x 105 x (1.0) = 1.008x106 „„.

­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠš¸¤É ¸„ε¡Š®¨µ¥˜´ª „È„¦³‹µ¥Â¦ŠÁŒº°œ˜µ¤­´—­nªœ…°Š‡ªµ¤Â…ÈŠÁ·Š—´—…°Š


˜n¨³„ε¡Š

…. ¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š…o°Â…ÈŠ
Qs (z) = W(H-z) - Qb (z)

š¸É¦³—´œ¥°—­»—…°Š°µ‡µ¦ Qs = 9,600(105 - 105) – (-181,440) = 181,440 „„.


š¸É¦³—´“µœ¨nµŠ…°Š°µ‡µ¦ Qs = 9,600(105 - 0) – 1.008x106 = 0 „„.
šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 217

¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š…o°Â…Ȋš¸É 1

3.091 u 107
QS 1 u 181 ,440 37 ,558 „„.
14.94 u 107

¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š…o°Â…Ȋš¸É 2
1.288 u 107
QS 2 u 181 ,440 15 ,604 „„.
14.94 u 107

Ÿ¨„µ¦‡Îµœª–‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ª…°Š°µ‡µ¦ ‡nµÃ¤Á¤œ˜r—´—¨³Â¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠ
­—ŠÄœ¦¼žš¸É 9.12„ - 9.12‡

1.0 1.0 1.0

0.9 0.9 0.9

0.8 0.8 0.8

0.7 0.7 0.7

¦ŠÁ
0.6 0.6 0.6

Œº°œ
Z/H 0.5 Z/H 0.5 Z/H 0.5

š´ÊŠ®
„εÂ
ǦŠ…o°Â…ÈŠ

¤—
„εÂ

¡Š
0.4 0.4 0.4
äÁ¤

ǦŠ…o°Â…ÈŠ
¡Š

œ˜rš

0.3 0.3 0.3


´ÊŠ®¤

0.2 0.2 0.2


—

0.1 0.1 0.1

0
0 0.05 0.10 0.15 0.20 -10 0 10 20 30 40 50 60 -0.4 -0.2 0 0.2 0.4 0.6 0.8 1.0

„) ‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ª, ¤. …) ‡nµÃ¤Á¤œ˜r—´—, „„.- ¤.x10 6 ‡) ‡nµÂ¦ŠÁŒº°œ, „„.x10 6

¦¼žš¸É 9.12 („) „µ¦Ã„nŠ˜´ª…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ (…) äÁ¤œ˜rĜǦŠ­¦oµŠ


(‡) ¦ŠÁŒº°œÄœÃ‡¦Š­¦oµŠ

­Îµ®¦´„µ¦‡Îµœª–°°„Á­¦·¤Á®¨È„Äœ„ε¡Š­nªœÂ„œ„¨µŠ čoª·›¸„µ¦‡Îµœª–ÁnœÁ—¸¥ª„´œ„´
„µ¦°°„Äœšš¸É 7 ­nªœ„µ¦°°„Á­¦·¤Á®¨È„ĜǦŠ…o°Â…ÈŠ „Èčoª·›¸„µ¦‡Îµœª–ÁnœÁ—¸¥ª„´œ
„´„µ¦°°„Äœšš¸É 6 ×¥„µ¦Äo‡nµÂ¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rš¸Éŗo‡Îµœª–Â¥„Ūo¨oª „¦³šÎµ˜n°
„ε¡ŠÂ¨³Ã‡¦Š…o°Â…ÈŠÁž}œ­nªœÇŞ Ĝš¸Éœ¸Ê ‹³Â­—ŠÁŒ¡µ³„µ¦‡Îµœª–Á®¨È„Á­¦·¤Äœ„ε¡ŠÄ®o—¼
Áž}œ˜´ª°¥nµŠ
218 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

‹µ„ª·›¸„µ¦‡Îµœª–…oµŠ˜oœ ‹³­µ¤µ¦™‡Îµœª–®µ‡nµÂ¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rĜ„ε¡ŠÅ—o —´ŠÂ­—ŠÄœ


˜µ¦µŠš¸É 9.1 —´Šœ¸Ê
˜µ¦µŠš¸É 9.1 ¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rš¸É˜µo œšµœÃ—¥„ε¡Š­nªœÂ„œ„¨µŠ
¦³—´´Êœ Z/H ¦ŠÁŒº°œÄœ„ε¡Š (˜´œ) äÁ¤œ˜rĜ„ε¡Š (˜´œ-¤.)
30 1.00 -181.4 0
29 0.97 -161.3 -635
28 0.93 -121.0 -1,200
27 0.90 -100.8 -1,622
26 0.87 -70.6 -1,975
25 0.83 -30.2 -2,222
24 0.80 0 -2,328
23 0.77 20.2 -1,980
22 0.73 50.4 -1,514
21 0.70 70.6 -1,058
20 0.67 100.8 -740
19 0.63 151.2 -318
18 0.60 181.4 0
17 0.57 221.8 1,058
16 0.53 262.1 2,646
15 0.50 302.4 3,704
14 0.47 342.7 4,763
13 0.43 393.1 6,350
12 0.40 433.4 7,409
11 0.37 473.8 8,467
10 0.33 514.1 10,584
9 0.30 554.4 11,642
8 0.27 594.7 13,759
7 0.23 635.0 15,876
6 0.20 675.4 17,993
5 0.17 735.8 20,639
4 0.13 816.5 23,814
3 0.10 877.0 25,931
2 0.07 917.3 28,577
1 0.03 967.7 31,752
G 0.00 1,008.0 34,400
šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 219

¡·‹µ¦–µ°°„„ε¡Š ‹µ„¦ŠÁŒº°œÂ¨³Ã¤Á¤œ˜rĜ¦³—´´Êœš¸É G-1 —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 9.13

Nu = 23,100 ˜´œ

CL
Vu = 1,258 ˜´œ
Mu = 41,277.6 ˜´œ-¤.
h = 0.50 ¤. 1

hw = 3.5 ¤.

lw = 8.0 ¤.

¦¼žš¸É 9.13 ¦Š„¦³šÎµœ„ε¡ŠÄœ¦³—´´Êœš¸É G-1

Vu = 1.3Qb1 = 1.3 (967.7) = 1,258 ˜´œ


Mu = 1.3Mb1 = 1.3 (31,752) = 41,277.6 ˜´œ-¤.
‡Îµœª–œÊ宜´„š¸É¦´—oª¥„ε¡Š = œÊ宜´„¡ºœÊ + œÊ宜´„„ε¡Š + œÊ宜´„¦¦š»„‹¦
œÊ宜´„¡ºœÊ = 16x24x300/1,000 = 115.2 ˜´œ/¤.2
œÊ宜´„„ε¡Š = 0.5x48x3.5x2,400/1,000 = 201.6 ˜´œ/´Êœ
œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ = 384x500/1,000 = 192.0 ˜´œ/¤.2
Nu = 1.4DL+1.7LL
= 1.4(115.2+201.6)+1.7(192.0)
= 770 ˜´œ/´Êœ
6 Nu = 770x30 = 23,100 ˜´œ

°°„„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ

…´Êœ˜°œš¸É 1 ˜¦ª‹­°‡ªµ¤®œµ…°Š„ε¡Š
220 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

I Vn
I 2.7 f cc hd t Vu
d 0.8 l w 0.8 800 640 Ž¤ .
I Vn 0.85 2.7 250 ( 50 ˜ 640 )2 2 ,322.4 ˜³œ ! 1 ,258 ˜³œ

—´Šœ´œÊ ‡ªµ¤®œµ…°Š„ε¡ŠÁšnµ„´ 50 Ž¤. ‹¹ŠÄoŗo

…´Êœ˜°œš¸É 2 ‡Îµœª–„ε¨´Š˜oµœšµœÂ¦ŠÁŒº°œ…°Š‡°œ„¦¸˜

­ 23 ,100 u 10 3 u 640 ½ 1
Vc ®0.88 250 ( 50 ˜ 640 )2  ¾ 3 5 ,510 ˜³œ
¯ 4 u 800 ¿ 10
­ § 23 ,100 u 10 3 · ½
° 800 ¨
¨ 0. 33 250  0 . 2 ¸¸ °
° © ( 800 u 50 ) 2 ¹ °( 50 u 640 u 2 ) u 1
®¦º° Vc ®0.16 250  41 ,277.6 u 100 800 ¾
°  ° 10 3
°¯ 1 ,258 2 °¿
1 ,281 ˜³œ
.čo‡nµ„ε¨´Š˜oµœšµœÂ¦ŠÁŒº°œ…°Š‡°œ„¦¸˜š¸Éœo°¥„ªnµ ‡º° Vc = 1,281 ˜´œ

…´Êœ˜°œš¸É 3 ‡Îµœª–ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤¦´Â¦ŠÁŒº°œ

IVc 0.85 1 ,281


544.4 ˜³œ  Vu ( 1 ,258 )
2 2
Vs = Vu/I - Vc 1,258/0.85 - 1,281 = 199 ˜´œ
=
„ε¡ŠÂ˜n¨³…oµŠ˜o°Š°°„Á®¨È„Á­¦·¤¦´Â¦ŠÁŒº°œ = 199/2 = 99.5 ˜´œ
čoÁ®¨È„ž¨°„ DB12
S2 = Avfyd/Vs = 1.13x2x4,000x640/99.5x1,000 = 58 Ž¤.
¦³¥³Á¦¸¥Š­¼Š­»—ŤnÁ„·œ lw/5 , 3h ®¦º° 45 Ž¤.
ž¦·¤µ–Á®¨È„ž¨°„ Uh = 1.13x2x(1/0.45) / (50x100) = 0.001
˜nž¦·¤µ–Á®¨È„ž¨°„˜o°ŠÅ¤nœo°¥„ªnµ Uh(min) = 0.0025
—´Šœ´œÊ čo ž¦·¤µ–Á®¨È„ž¨°„ Uh(min) = 0.0025
Av = 0.0025x50x100 = 12.5 Ž¤.2 čo DB12 @ 0.18 ¤. (2 ´Êœ)
šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž 221

Á®¨È„Á­¦·¤ÄœÂœª˜´ÊŠ
400
Un 0.0025  0.5 §¨ 2.5  ·¸( U h  0.0025 )
© 800 ¹
ÁœºÉ°Š‹µ„ Uh = 0.0025 —´Šœ´œÊ čo Un = 0.0025 ®¦º° DB12 @ 0.18 ¤. (2 ´Êœ)

…´Êœ˜°œš¸É 4 ‡Îµœª–ž¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤ÁœºÉ°Š‹µ„œÊ宜´„¦¦š»„¨³Ã¤Á¤œ˜r—´—
¡·‹µ¦–µÄ®o…°„ε¡Š¦´Â¦Š„—¨³‡Îµœª–¦Š„¦³šÎµ˜n°…°„ε¡ŠÂ˜n¨³—oµœ ‹µ„
Wu M u
C 
2 d
¡·‹µ¦–µÄ®o…°„ε¡Š…œµ— 50x800 ¤. ‹Îµœªœ 2x3 = 6 ·Êœ ¦´Â¦Š„— Wu
23,100 41, 277.6 / 2
C  6, 430 ˜´œ
2u3 8
‡Îµœª–„ε¨´Š¦´œÊ宜´„…°Š…°„ε¡Š …œµ— 50x800 ¤.
Pn
¬
0.8 ª 0.85 f cc Ag  Ast  Ast f y º
¼
čož¦·¤µ–Á®¨È„Á­¦·¤ U 0.02 —´Šœ´œÊ Ast 0.02 u 50 u 800 800 Ž¤.2
Pn 0.8 ª¬0.85 u 250 50 u 800  800  800 u 4, 000 º¼ 9, 224 ˜´œ
I Pn 0.7 u 9, 224 6, 457 > Pu 6, 430 čoŗo
—´Šœ´œÊ čoÁ®¨È„Á­¦·¤…œµ— 130 DB 28
­Îµ®¦´„µ¦°°„Á®¨È„Á­¦·¤…°Š„ε¡ŠÄœš·«šµŠÂœª¥µª…°Š°µ‡µ¦ „È­µ¤µ¦™
‡Îµœª–Å—oĜšÎµœ°ŠÁ—¸¥ª„´œœ¸Ê ¦µ¥¨³Á°¸¥—„µ¦Á­¦·¤Á®¨È„Äœ„ε¡Š­nªœÂ„œ„¨µŠ ­—ŠÄœ¦¼žš¸É
9.14 Á®¨È„Á­¦·¤Äœ¦¼žœ¸Ê­—Š­nªœŽoµ¥…°ŠÂ„œ­¤¤µ˜¦Ä®o—¼ ­Îµ®¦´­nªœ…ªµ„ÈÁ­¦·¤ž¦·¤µ–Á®¨È„
Ášnµ„´­nªœŽoµ¥
222 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 9 „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ„ε¡Š-ǦŠ…o°Â…ÈŠ

CL
130DB28 DB12@ 0.18 ¤.
24DB25

DB12@ 0.18 ¤.
DB12@ 0.18 ¤.

DB12@ 0.18 ¤.
8.0 ¤.

DB12@ 0.18 ¤.
24DB25

130DB28 DB12@ 0.18 ¤.


16.0 ¤.

¦¼žš¸É 9.14 ¦µ¥¨³Á°¸¥—…°Š„µ¦Á­¦·¤Á®¨È„Äœ„ε¡Š


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

บทที 10
การออกแบบฐานรากอาคาร
10.1 บทนํา

ฐานรากเป็ นส่วนทีสําคัญของอาคารในการแบกรับนําหนักบรรทุกสะสมของโครงสร้ าง
ตังแต่หลังคาลงมา รวมกับนําหนักแต่ละชันจากบนสุดลงมาจนถึงชันล่าง โดยถ่ายนําหนักผ่านเสา
อาคารแต่ละชันลงมายังตอม่อ และจากตอม่อลงสูฐ่ านราก และฐานรากจะทําหน้ าทีถ่ายนําหนัก
จากตอม่อลงสูด่ ิน การออกแบบฐานรากนันจะต้ องจํากัดค่าการทรุดตัวทังหมดและค่าการทรุดตัว
ไม่เท่ากันไม่ให้ มีคา่ มากเกินไป โดยเฉพาะ ถ้ าหากการทรุดตัวไม่เท่ากันเกิดขึนมาก จะทําให้
โครงสร้ างเกิดความเสียหายบริเวณรอยต่อของคานและเสาได้ เนืองจากค่าโมเมนต์ดดั ทีเกิดเพิมขึน
มากจนเกินกว่ากําลังทีจะต้ านทานได้ การถ่ายนําหนักของฐานรากสูด่ ินมี 2 แบบ คือ ก) การถ่าย
นําหนักสูช่ นดิ
ั นตืน โดยการใช้ ฐานรากแผ่ กระจายนําหนักลงชันดิน เรี ยกว่าฐานรากแผ่ (spread
footing) หรื อฐานรากตืน (shallow foundation) และ ข) การถ่ายนําหนักลงสูช่ นดิั นทีลึกลงไป
โดยการใช้ ฐานรากวางบนเสาเข็ม เรี ยกว่าฐานรากเสาเข็ม (pile footing) หรื อฐานรากลึก (deep
foundation)
ฐานรากแบ่งออกได้ เป็ น 5 ประเภท คือ
ก) ฐานรากกําแพง (wall footing) ฐานรากประเภทนีเป็ นแผ่นแถบยาวต่อเนืองไป
ตามความยาวของกําแพงโดยมีความกว้ างของฐานมากกว่าความหนาของกําแพง การออกแบบ
แผ่นฐานรากนีพิจารณาเป็ นแผ่นพืนยืน โดยมีแรงกระทําจากแรงดันดินทีรองรับอยู่ และหน้ าตัด
วิกฤติสําหรับแรงดัดอยูท่ ีผิวของกําแพง เหล็กเสริมหลักวางในทิศทางตังฉากกับแนวกําแพง
ข) ฐานรากเดียว (independent isolated column footing) ฐานรากประเภทนี
ประกอบด้ วยแผ่นฐานรูปสีเหลียมผืนผ้ าหรื อสีเหลียมจัตรุ ัส ซึงมีความหนาคงทีหรื อมีความลาด
เอียงไปยังปลายขอบฐาน มีการออกแบบเหล็กเสริมในสองทิศทาง ซึงจะสามารถออกแบบได้ อย่าง
ประหยัดสําหรับนําหนักบรรทุกไม่มากนัก หรื อฐานรากวางบนชันดินแข็งหรื อชันหิน
ค) ฐานรากร่วม (combined footing) ฐานรากประเภทนีรองรับเสาตังแต่สองเสาขึน
ไป ซึงจําเป็ นสําหรับเสาทีวางอยูบ่ นแนวเขตของทีดิน และแผ่นฐานไม่สามารถยืนออกนอกเขต
ทีดินได้ ในกรณีนี ฐานรากจะมีนําหนักเยืองศูนย์ซงจะทํ
ึ าให้ แรงดันดินเกิดแรงดึงได้ ดังนันเพือเป็ น
การกระจายให้ แรงดันดินค่อนข้ างสมําเสมอ ฐานรากของเสาส่วนนอกนีสามารถทีจะรวมกับเสา
ภายในได้ เป็ นฐานรากร่วม
224 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

ง) ฐานรากยืน (cantilever or strap footing) ฐานรากประเภทนีคล้ ายคลึงกันกับ


ฐานรากร่วม แตกต่างกันทีฐานรากสําหรับเสาภายในและเสาภายนอกถูกก่อสร้ างอย่างอิสระ และ
จะเชือมด้ วยคาน (strap beam) เพือทีจะถ่ายโมเมนต์ดดั เนืองมาจากการรับนําหนักเยืองศูนย์ของ
เสาภายนอกไปสูเ่ สาภายใน
จ) ฐานรากแผ่น (raft, mat or floating foundation) ฐานรากประเภทนีเหมาะ
สําหรับในกรณีทีกําลังรับนําหนักบรรทุกของดินตํามากโดยมีระยะความลึกของดินเหล่านีมาก ทํา
ให้ การออกแบบฐานรากเสาเข็มจะไม่ประหยัด ในกรณีนีจึงจําเป็ นต้ องมีการขุดดินฐานรากให้ มี
ความลึกเพียงพอ จนกระทังค่าแรงดันดินสุทธิมีคา่ เกือบเทียบเท่ากับนําหนักของโครงสร้ าง ดังนัน
จึงต้ องมีการสร้ างฐานรากใต้ ดินมีขนาดเท่ากับพืนทีของอาคารทังหมด ซึงทําให้ พิจารณาได้ วา่
โครงสร้ างอาคารลอยอยูบ่ นแพ (raft) การออกแบบฐานรากนีจึงอาจพิจารณาเป็ นระบบแผ่นพืน
กลับ (inverted floor) โดยมีแรงดันดินเป็ นนําหนักบรรทุกทีกระทําต่อแผ่นพืน

10.2 หน่ วยแรงใต้ ฐานราก

การกระจายของแรงดันดินต่อฐานรากขึนอยูก่ บั พฤติกรรมของนําหนักบรรทุกจากเสา
ถ่ายลงสูแ่ ผ่นพืนฐานรากและความแข็ง (degree of rigidity) ของฐาน ชันดินใต้ ฐานรากจะ
สมมุติให้ เป็ นวัสดุยืดหยุน่ แบบเนือเดียวกัน (homogeneous elastic) และฐานรากจะสมมุติให้ มี
ความแข็ง (rigid) สําหรับรูปแบบฐานรากทัวไป ดังนัน แรงดันดินสามารถพิจารณาให้ กระจาย
อย่างสมําเสมอหากนําหนักบรรทุกจากเสากระทําทีตําแหน่งกึงกลางของฐานราก แต่ถ้าหาก
นําหนักบรรทุกกระทําเยืองจากศูนย์กลางฐานราก แรงดันดินจะกระจายเป็ นรูปสีเหลียมคางหมู
เนืองจากการรวมผลของแรงกดและแรงดัด

10.2.1 แรงดันดินสําหรับฐานรากแผ่ วางบนดิน

ในกรณีทีนําหนักบรรทุกจากเสากระทําตรงตําแหน่งจุดศูนย์ถ่วงของฐานราก แรงดัน
ดินใต้ ฐานรากจะสมมุติให้ กระจายอย่างสมําเสมอ คํานวณได้ ดงั นี

q = P/Af (10.1)
โดยที q คือ หน่วยแรงดันดิน
P คือ นําหนักบรรทุกทังหมดทีกระทําลงฐานราก
Af คือ พืนทีของฐานราก
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 225

ในกรณีทีนําหนักบรรทุกจากเสากระทําเยืองจากจุดศูนย์ถ่วงของฐานราก หรื อมี


โมเมนต์ดดั M กระทําร่วมกับนําหนักบรรทุก P โดยมีระยะเยืองศูนย์ e = M/P ดังแสดงในรูปที
10.1
CL CL CL
P P
L/2 L/2
e1 e2 e3 r

Pmin = P - Mc Pmax = P + Mc
Af I Af I
ก) P > Mc ข) P = Mc ค) P < Mc
Af I Af I Af I
รูปด้ านข้ าง

ขอบเขตของเคอร์ น ตําแหน่งแรงกระทํา P L/6 L/6


ตําแหน่งแรงกระทํา P
B/6
B
B/6
L L L
ก) e1 < L/6 ข) e2 = L/6 ค) e3 > L/6
รูปผังฐานราก

รู ปที10.1 ฐานรากรั บนําหนักเยืองศูนย์


226 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

แรงดันดินคํานวณได้ ดงั นี
ก. กรณีการเยืองศูนย์ e < L/6 (รูป 10.1ก)

P Pe c
q max  1 (10.2ก)
Af I
P Pe c (10.2ข)
q min  1
Af I

ข. กรณีการเยืองศูนย์ e = L/6 (รูป 10.1ข)


P P (10.3ก)
หน่วยแรงกด
Af BL
Mc Pe 2 c (10.3ข)
หน่วยแรงดัด
I I

ค. กรณีการเยืองศูนย์ e > L/6 (รูปที 10.1ค)


P 2P (10.4ก)
q max 3r u B L
3 B§¨  e3 ·¸
2 ©2 ¹
ง. กรณีการเยืองศูนย์สองแกน (รูปที 10.2)

P Pe c Pe c (10.4ข)
q max r 11 r 22
Af I1 I2
1

P
c2
e2
2
e1

c1

รู ป10.2 ฐานรากรั บนําหนักเยืองศูนย์ สองแกน


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 227

สําหรับหน่วยแรงดันดินทียอมให้ คํานวณได้ จาก


ก) ในกรณีทีมีข้อมูลการทดสอบคุณสมบัติของดินจากภาคสนาม คํานวณแรงดันดินตามหลักวิชา
ปฐพีกลศาสตร์ และวิศวกรรมฐานราก โดยใช้ คา่ ความปลอดภัย 2.5-3.0 ของหน่วยแรงสูงสุดที
คํานวณได้
ข) ในกรณีทีไม่มีข้อมูลการทดสอบคุณสมบัติของดิน อาจใช้ ข้อบัญญัติทีกําหนดให้ ในแต่ละท้ องที
สําหรับข้ อบัญญัติกรุงเทพมหานคร กําหนดให้ ใช้ นําหนักบรรทุกทียอมให้ บนชันดินเดิมไม่เกิน
2 ตันต่อตารางเมตร นอกจากนี กฎกระทรวงฉบับที 6 (พ.ศ. 2527) ออกตามความใน
พระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 ยังได้ กําหนดคุณสมบัติความสามารถรับนําหนัก
ของชันดินต่างๆ เพิมเติมจากข้ อบัญญัติกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2522 ไว้ ดงั นี คือ

นําหนักบรรทุกบนดินทีฐานรากของอาคารนัน ต้ องคํานวณให้ เหมาะสม เพือความมันคง


ปลอดภัย ถ้ าไม่มีเอกสารทีรับรองโดยสถาบันทีเชือถือได้ แสดงผลการทดลองหรื อการคํานวณ
จะต้ องใช้ คา่ นําหนักบรรทุกทียอมให้ ไม่เกินกําลังแบกทานของดินประเภทต่างๆ ดังนี
1. ดินอ่อนหรือดินถมไว้ แน่นตัวเต็มที 2 ตัน/ตร.ม.
2. ดินปานกลางหรื อทรายร่วน 5 ตัน/ตร.ม.
3. ดินแน่นหรื อทรายแน่น 10 ตัน/ตร.ม.
4. กรวดหรื อดินดาน 25 ตัน/ตร.ม.
5. หินดินดาน 25 ตัน/ตร.ม.
6. หินปูนหรื อหินทราย 30 ตัน/ตร.ม.
7. หินอัคนีทียังไม่แปรสภาพ 100 ตัน/ตร.ม.

10.2.2 ฐานรากวางบนเสาเข็ม

ในกรณีทีนําหนักบรรทุกจากเสากระทําตรงตําแหน่งจุดศูนย์ถ่วงของฐานรากแบบวาง
บนเสาเข็ม ดังแสดงในรูปที 10.3ก จะสมมุติให้ เสาเข็มรับนําหนักเฉลียเท่ากันทุกต้ น
R = P/N (10.5)
โดยที R คือ นําหนักทีเสาเข็มแต่ละต้ นจะต้ องรับ
P คือ นําหนักบรรทุกทังหมดทีกระทําลงฐานราก
N คือ จํานวนของเสาเข็ม
228 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

ในกรณีทีนําหนักบรรทุกจากเสากระทําเยืองจากจุดศูนย์ถ่วงของฐานราก หรื อมี


โมเมนต์ดดั M กระทําร่วมกับนําหนักบรรทุก P ดังแสดงในรูปที 10.3ข เสาเข็มแต่ละต้ นจะรับ
นําหนักไม่เท่ากัน
ซึงคํานวณได้ ดงั นี
P Mdi (10.6ก)
Ri r
N ¦ d 2n
นันคือเสาเข็มในแต่ละแถวต้ องรับนําหนัก

P Mc (10.6ข)
R r
N Ip
P M P

คอนกรีตหยาบหนา ซม.
ทรายหยาบหนา ซม.

R R R R R1 R2 R3 R4
D
D

3D

3D

D
d 2 d2

D 3D 3D 3D D d1 d1

(ก) (ข)
รู ปที10.3 ฐานรากเสาเข็ม ก) รั บนําหนักตรงศูนย์ ข) รั บโมเมนต์ ดัด

โดยที Ri คือ นําหนักบรรทุกกระทําบนเสาเข็ม i


n
Ip คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียรอบแกนศูนย์ถ่วงของกลุม่ เสาเข็ม ¦ 1u d n2
1

เมือให้ พนที
ื หน้ าตัดของเสาเข็มแต่ละต้ นมีคา่ เท่ากับ 1 หน่วย
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 229

di คือ ระยะห่างของเสาเข็ม i (i = 1-n) จากแกนศูนย์ถ่วงของกลุม่ เสาเข็ม


c คือ ระยะห่างของเสาเข็มต้ นทีต้ องการหาค่า วัดจากแกนศูนย์ถ่วงของกลุม่ เสาเข็ม

กําลังรับนําหนักบรรทุกปลอดภัยของเสาเข็ม คํานวณจาก
ก) ในกรณีทีมีข้อมูลการทดสอบคุณสมบัติของดินจากภาคสนาม คํานวณตามหลักวิชาปฐพี
กลศาสตร์ และวิศวกรรมฐานราก โดยใช้ คา่ ความปลอดภัย 2.5-3.0 ของหน่วยแรงสูงสุดที
คํานวณได้
ข) ในกรณีทีไม่มีข้อมูลการทดสอบคุณสมบัติของดิน อาจใช้ ข้อบัญญัติทีกําหนดให้ ในแต่ละท้ องที
สําหรับข้ อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ให้ ใช้ คา่ หน่วยแรงฝื ดของดินดังนี
สําหรับดินทีอยูใ่ นระดับความลึกไม่เกิน 7 เมตร ใต้ ระดับนําทะเลปานกลาง ให้ ใช้ หน่วย
แรงฝื ดของดินได้ ไม่เกิน 600 ก.ก./ตร.ม.ของพืนผิวประสิทธิผลของเสาเข็ม
สําหรับดินทีมีความลึกเกินกว่า 7 เมตร ใต้ ระดับนําทะเลปานกลาง ค่าหน่วยแรงฝื ดของ
ดินเฉพาะส่วนทีลึกเกินกว่า 7 เมตรลงไป ให้ คํานวณดังนี
หน่วยแรงฝื ดเป็ นกิโลกรัมต่อตารางเมตร = 800+200L
L = ความยาวของเสาเข็มส่วนทีเกินกว่า 7 เมตร
ในการคํานวณหากําลังรับนําหนักของเสาเข็มโดยอาศัยความฝื ดของดิน ให้ คํานวณดังนี
P = fpL
เมือ P = กําลังรับนําหนักปลอดภัยของเสาเข็ม (ก.ก. หรื อ ตัน)
f = หน่วยแรงฝื ดทียอมให้ เฉลีย (ก.ก./ตร.ม. หรื อ ตัน/ตร.ม.)
L = ความยาวของเสาเข็ม (ม.)
p = เส้ นรอบรูปประสิทธิผล (effective perimeter) ของเสาเข็ม
(ม.)
สําหรับเสาเข็มไม้ ให้ ใช้ คา่ p เป็ นเส้ นรอบวงของเสาทีกึงกลางความยาว แต่ถ้าเป็ นเสาเข็ม
คอนกรี ตให้ เอาเชือกพันรอบหน้ าตัด แล้ ววัดความยาวเชือกนัน จะเป็ นค่า p ดังแสดงในรูปที 10.4
เส้ นรอบรูป

รู ปที 10.4 เส้ นรอบรู ปของเสาเข็มคอนกรี ต


230 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

นอกจากนี กฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที6 (พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติ


ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ยังได้ กําหนดกําลังแบกทานและการทดสอบความสามารถรับนําหนัก
ของเสาเข็มไว้ ดงั นี
1. ในการคํานวณฐานรากบนเสาเข็มทีมีเอกสารจากสถาบันทีเชือถือได้ แสดงผลการทดสอบ
คุณสมบัติของดินหรือมีการทดสอบกําลังแบกทานของเสาเข็ม ในบริเวณก่อสร้ างหรื อ
ใกล้ เคียง ให้ ใช้ กําลังแบกทานของเสาเข็มไม่เกินอัตราต่อไปนี
1.1 กําลังแบกทานของเสาเข็มทีคํานวณจากการทดสอบคุณสมบัติของดิน ให้ ใช้ กําลัง
แบกทานได้ ไม่เกินร้ อยละ 40 ของนําหนักบรรทุกสูงสุด
1.2 กําลังแบกทานของเสาเข็มทีได้ จากการทดสอบ ให้ ใช้ กําลังแบกทานได้ ไม่เกินร้ อยละ
50 ของนําหนักบรรทุกสูงสุด
2. ในการทดสอบกําลังแบกทานของเสาเข็ม อัตราการทรุดตัวและการทรุดตัวของเสาเข็มเมือ
รับนําหนักบรรทุกสูงสุด จะต้ องอยู่ในเกณฑ์ดงั ต่อไปนี
2.1 การทรุดตัวทังหมดของเสาเข็มหลังจากรับนําหนักบรรทุกสูงสุด แล้ วปล่อยทิงไว้ เป็ น
เวลา 24 ชม. ต้ องไม่เกิน 25 มม.
2.2 อัตราการทรุดตัวเฉลียของเสาเข็มหลังจากรับนําหนักบรรทุกสูงสุด แล้ วปล่อยทิงไว้
เป็ นเวลา 24 ชม. ต้ องไม่เกิน 0.25 มม./ชม.
2.3 การทรุดตัวสุทธิของเสาเข็มหลังจากปล่อยให้ รับนําหนักบรรทุกสูงสุด เป็ นเวลา 24
ชม. แล้ วคลายนําหนักบรรทุกจนหมด ปล่อยทิงโดยไม่รบกวนอีก 24 ชม. ต้ องไม่เกิน
6 มม

10.3 การออกแบบรับแรงดัด

การคํานวณค่าโมเมนต์สงู สุดทีเกิดขึนในฐานราก ให้ พิจารณาจากหน้ าตัดวิกฤติ


ดังต่อไปนี
ก. หน้ าตัดวิกฤติอยูท่ ีขอบของเสา ตอม่อ หรื อกําแพง สําหรับฐานรากทีรองรับเสา
ตอม่อ หรื อกําแพงคอนกรี ต
ข. หน้ าตัดวิกฤติอยูท่ ีกึงกลางระหว่างขอบและศูนย์กลางของกําแพง สําหรับฐานรากที
รองรับกําแพงก่ออิฐ
ค. หน้ าตัดวิกฤติอยูท่ ีกึงกลางระหว่างขอบของเสา หรื อตอม่อ กับขอบของแผ่นเหล็กรอง
ใต้ เสา สําหรับฐานรากทีรองรับเสาโดยใช้ แผ่นเหล็ก
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 231

เสา กําแพง ค.ส.ล. h กําแพงก่ออิฐ

หน้ าตัดวิกฤติ หน้ าตัดวิกฤติ

โมเมนต์ดดั

โมเมนต์ดดั
h/4
d

จุดเริมร้ าว จุดเริมร้ าว

CL แรงต้ านทานของเสาเข็ม
แรงต้ านทานของเสาเข็ม

หน้ าตัดวิกฤติ หน้ าตัดวิกฤติ


B B

L L

(ก) เสา กําแพง ค.ส.ล. (ข) กําแพงก่ออิฐ

เสาเหล็ก
เสาเหล็ก
แผ่นเหล็กรอง หน้ าตัดวิกฤติ แผ่นเหล็กรอง
a
ตอม่อ a หน้ าตัดวิกฤติ
โมเมนต์ดดั

โมเมนต์ดดั
d a/2 d a/2

จุดเริมร้ าว จุดเริมร้ าว

แรงต้ านทานของเสาเข็ม แรงต้ านทานของเสาเข็ม

หน้ าตัดวิกฤติ หน้ าตัดวิกฤติ


B B

L L

(ค) เสาเหล็ กแบบมีตอม่อค.ส.ล. (ง) เสาเหล็ กแบบไม่มีตอม่อค.ส.ล.


รู ปที 10.5 หน้ าตัดวิกฤติสาํ หรั บโมเมนต์ ดัด
232 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

10.3.1 การกระจายเหล็กเสริมในฐานราก

ก) ฐานรากทีรับแรงทางเดียว และฐานรากทีรับแรงกระทํา 2 ทาง ต้ องกระจายเหล็กเสริ ม


ให้ สมําเสมอตลอดความกว้ างของหน้ าตัดนันๆ
ข) ฐานรากสีเหลียมผืนผ้ ารับแรง 2 ทาง โมเมนต์ดดั ในทิศทางสันคิดเทียบเท่ากับโมเมนต์
ดัดในทิศทางยาว แต่การกระจายเหล็กเสริ มในแต่ละทิศทางแตกต่างกัน ดังนี คือ
1. เหล็กเสริ มในทิศทางยาวจะต้ องกระจายอย่างสมําเสมอตลอดหน้ าตัดของฐานราก
2. สําหรับเหล็กเสริ มในทิศทางสัน ปริ มาณเหล็กเสริ มในแถบกลางซึงมีความกว้ างเท่ากับ
ความกว้ างของฐานรากในทิศทางสัน ให้ ใช้ เท่ากับ

Asbw
2
Ast (10.7)
E 1
เมือ Asbw คือ ปริมาณเหล็กเสริมในแถบกลาง
Ast คือ ปริมาณเหล็กเสริมทังหมดในทิศทางสัน
E คือ อัตราส่วนระหว่างด้ านยาวต่อด้ านสัน
เหล็กเสริมส่วนทีเหลือให้ กระจายสมําเสมอนอกแถบกลางทังสองข้ างของฐานราก รายละเอียด
ของเหล็กเสริมเหล่านีแสดงในรูปที 10.6

Ast
แถบริ มนอก แถบกลาง แถบริ มนอก
Asbw

B
L
รู ปที 10.6 การกระจายเหล็กเสริมในฐานรากรู ปสีเหลียมผืนผ้ า

ค) ความหนาของฐานรากเหนือเหล็กเสริ มต้ องมีอย่างน้ อย 15 ซม. สําหรับฐานรากแผ่บน


ดิน และต้ องหนาอย่างน้ อย 30 ซม. สําหรับฐานรากบนเสาเข็ม
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 233

10.4 การออกแบบรับแรงเฉือน

แรงเฉือนประลัยทีกระทําจะต้ องไม่เกินค่ากําลังต้ านทานแรงเฉือน นันคือ


Vu d IVn (10.8)
โดยที Vu คือ แรงเฉือนประลัยทีกระทํา
I คือ ตัวคูณลดกําลัง มีคา่ เท่ากับ 0.85
Vn คือ กําลังต้ านทานแรงเฉือน
ค่ากําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต แบ่งออกเป็ น 2 กรณี ดังนี

10.4.1 แรงเฉือนทางเดียว (Beam Action or Beam Shear)

หน้ าตัดวิกฤติสําหรับแรงเฉือนในฐานรากพิจารณาทีระยะห่างจากขอบของเสา เป็ น


ระยะห่าง d โดยที หน่วยแรงทียอมให้ สาํ หรับแรงเฉือนนี คํานวณจาก
Vc 0.53 f ccbw d (10.9)
โดยที bw คือ ความกว้ างของฐานราก
d คือ ความลึกประสิทธิผล

10.4.2 แรงเฉือนสองทาง (Two-way Action or Punching Shear)

หน้ าตัดวิกฤติสําหรับแรงเฉือนนีในฐานรากพิจารณาทีระยะห่างจากขอบของเสา เป็ น


ระยะห่าง d/2 โดยที หน่วยแรงทียอมให้ สําหรับแรงเฉือนนี คํานวณจากค่าน้ อยทีสุดของค่า
§ 4 ·
Vc 0.27¨¨ 2  ¸¸ f ccbo d (10.10ก)
© Ec ¹
§D d ·
Vc 0.27¨¨ s  2 ¸¸ f ccbo d (10.10ข)
© bo ¹
Vc 1.06 f ccbo d (10.10ค)
ต่อไปนี

โดยที Ec คือ อัตราส่วนระหว่างด้ านยาวต่อด้ านสันของเสา หรื อของแรงทีกระทํา


แบบจุด หรื อของพืนทีของแรงปฏิกิริยา
bo คือ เส้ นรอบรูปของหน้ าตัดวิกฤติ
234 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

Ds มีคา่ เท่ากับ40,30 และ 20 สําหรับเสาภายใน เสาริม และเสามุม ตามลําดับ

ในกรณีทีมีการเสริมเหล็กรับแรงเฉือน ค่ากําลังต้ านทานแรงเฉือนจะต้ องไม่เกินจาก


Vn Vc  Vs d 1.59 f ccbo d (10.11ก)
โดยที

Vc 0.53 f ccbo d (10.11ข)

10.5 การถ่ ายแรงจากเสาตอม่ อสู่ฐานราก

การถ่ายแรงและโมเมนต์จากเสาตอม่อหรื อผนังกําแพงลงสูฐ่ านราก โดยอาศัยแรงกดทาน


ของคอนกรี ต ถ่ายผ่านเหล็กยืนในเสาและเหล็กเดือย กําลังรับแรงกดทานของคอนกรีต คํานวณได้
จาก
fb I 0.85 f cc (10.12ก)
หรื อ
fb 0.60 f cc (10.12ข)

โดยที I มีคา่ เท่ากับ 0.7


ถ้ าหากทุกๆด้ านของพืนทีทีรองรับแรงกดอัดมีขนาดกว้ างกว่าทุกๆด้ านของพืนทีทีรับแรง
กดอัดจริง กําลังรับแรงกดทานของคอนกรีต คํานวณได้ จาก
fb 0.85If cc A2 / A1 d 1.70If cc (10.12ค)
โดยที A1 เป็ นพืนทีทีรับแรงกดอัดจริง
A2 เป็ นพืนทีของฐานรู ปปิ รามิดยอดตัด ดังแสดงในรู ปที 10.7
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 235

พืนที
A1

45o 45o

P
ความชัน 2
1
ระนาบการวัด
พืนที A2

รู ปที10.7 การถ่ ายแรงจากเสาตอม่ อสู่ฐานราก

แรงกดอัดทีเกินกว่ากําลังรับแรงอัดของคอนกรี ต อาจถ่ายแรงทีเกินนีลงสูฐ่ านรากโดยใช้


เหล็กเดือยยืนลงในฐานราก โดยมีความยาวทีวัดจากขอบบนของฐานรากไม่น้อยกว่าความยาว
ของระยะยึดฝัง ld ของเหล็กเสริมนัน ซึงมีคา่
ld 0.075 f y d b / f cc t 0.0043 f y d b แต่ไม่น้อยกว่า 20 ซม.
เหล็กเดือยหรือเหล็กยืนจากฐานรากทียืนเข้ าไปในเสา ต้ องมีจํานวนไม่น้อยกว่า 4 เส้ น
และมีเนือทีหน้ าตัดของเหล็กไม่น้อยกว่า 0.005 เท่าของเนือทีหน้ าตัดเสา ขนาดของเหล็กเดือยต้ อง
ไม่โตกว่าขนาดของเหล็กยืนในเสาเกินกว่า 3 มม. ระยะทาบระหว่างเหล็กเดือยกับเหล็กยืนในเสา
ต้ องมีคา่ ไม่น้อยกว่าความยาวของระยะฝังยึด ซึงมีคา่
ld 0.007 f y d b t 30 ซม.
เมือ f y d 4000 กก./ซม 2 และ f cc t 210 กก./ซม 2
236 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

10.6 ขันตอนการออกแบบฐานราก

1. คํานวณหากําลังรับแรงกดอัดทียอมให้ ของดินหรื อกําลังรับนําหนักทียอมให้ ของ


เสาเข็ม
2. คํานวณหาแรงและโมเมนต์ดดั เนืองจากนําหนักบรรทุกใช้ งานทีกระทําลงตอม่อ
3. คํานวณหาขนาดพืนทีฐานรากทีต้ องการ
4. คํานวณหาแรงและโมเมนต์ดดั ทีเพิมค่าแล้ วด้ วยตัวคูณเพิมนําหนัก
5. คํานวณหาความลึกประสิทธิผลของฐานรากโดยพิจารณาจากกําลังรับแรงเฉือนของ
คอนกรี ตทังแบบ beam shear และ punching shear
6. คํานวณหาโมเมนต์ดดั Mu ทีหน้ าตัดวิกฤติของแต่ละทิศทาง และคํานวณปริมาณเหล็ก
เสริมในฐานรากในทิศทางนันๆ
7. เลือกขนาดของเหล็กเสริ มและระยะห่างระหว่างเหล็กเสริ มในแต่ละทิศทาง
8. ตรวจสอบแรงกดแบกทานทีฐานเสาและทีฐานราก และระยะทีต้ องฝังเหล็กเสริม

10.7 การออกแบบฐานรากสําหรั บอาคารสูง

ฐานรากของอาคารสูงจะรับนําหนักจากเสามากกว่าอาคารทัวไป ซึงทําให้ ฐานรากที


รองรับแต่ละเสามีขนาดใหญ่ ดังนันหากนําฐานรากเหล่านีมาออกแบบรวมกันเป็ นฐานรากร่วม
(combined footing) หรื อฐานรากแผ่น (mat foundation) ก็จะออกแบบได้ ประหยัดกว่าฐาน
รากทัวไป นอกจากนี ฐานรากแผ่นยังลดปั ญหาการทรุดตัวไม่เท่ากันให้ น้อยลงได้
ในการคํานวณออกแบบฐานรากของอาคารสูง แรงกระทําทีต้ องพิจารณาเพิมขึน
นอกเหนือไปจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร คือ แรงเฉือนและโมเมนต์ดดั ทีถ่ายจาก
เสาลงสูฐ่ านรากเนืองจากแรงลมหรื อแรงแผ่นดินไหว ดังนันจะต้ องออกแบบให้ เสาตอม่อ รอยต่อ
ระหว่างหัวเสาเข็มและฐานราก รวมทังขนาดเสาเข็ม สามารถต้ านทานแรงเฉือนทีเกิดขึนได้
สําหรับโมเมนต์ดดั จะทําให้ เสาเข็มรับนําหนักบรรทุกเพิมขึนในด้ านแรงกด ดังนันจึงต้ องมีการ
ตรวจสอบความสามารถในการรับนําหนักบรรทุกของเสาเข็มด้ วย นอกจากนี ในกรณีทีอาจมีแรง
ดึงเกิดขึนในเสาเข็มเนืองจากโมเมนต์ดดั ด้ านแรงดึง จะต้ องออกแบบเหล็กเสริมยึดบริเวณหัว
เสาเข็มและฐานรากให้ เพียงพอ และตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริมในเสาเข็มให้ สามารถต้ านทาน
แรงดึงได้ ด้วย
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 237

ตัวอย่ าง10.1 จงออกแบบฐานรากร่วมเพือรับนําหนักจากกําแพงช่องลิฟท์ 2 ช่อง ซึงอยูห่ า่ งกัน


4.5 เมตร กําแพงริ มทีอยูช่ ิดเขตรับนําหนักบรรทุก PD = 180 ตัน PL = 90 ตัน และกําแพงด้ านใน
รับนําหนักบรรทุก PD = 300 ตัน PL = 165 ตัน ดังแสดงในรูปที 10.8

PD = 180 ตัน PD = 300 ตัน


PL = 90 ตัน R PL = 165 ตัน
4.5 ม.
2.85 ม.

1.10 ม.
คอนกรี ตหยาบ . ม.
ทรายหยาบ . ม.

(ก) รู ปตัดขวาง
CL CL
4.5 ม.

0.35
1.05
1.25 ม.

1.25 ม.

2.80 ม.
1.05
1.50 ม. 1.50 ม. 1.50 ม.

0.35 7@1.05 ม. = 7.35 ม. 0.35 0.35


8.05 ม.
(ข) รู ปผังฐานราก

รู ปที10.8 ฐานรากร่ วมสําหรับตัวอย่ างที 10.1

กําหนดให้ ฐานรากร่วมวางอยูบ่ นเสาเข็มเจาะคอนกรี ตขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลาง0.35 ม.ยาว 21 ม.


ซึงรับนําหนักปลอดภัยได้ ต้นละ 35 ตัน สมมติวา่ ก่อสร้ างฐานรากทีระดับดินเดิม และจะ
ถมดินภายหลังสูง 1.50 ม. จากระดับดินเดิม
( fcc = 250 กก./ตร.ซม. f y = 4,000 กก./ตร.ซม.)
238 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

วิธีทาํ
ขันตอนที 1.หาขนาดของฐานราก
คํานวณหาตําแหน่งแรงลัพธ์ของนําบรรทุกทังสองก่อนแล้ วจึงหาขนาดของฐานรากโดยให้ ศนู ย์ถ่วง
ของฐานรากอยูต่ รงตําแหน่งของแรงลัพธ์
หาโมเมนต์รอบศูนย์กลางเสาด้ านซ้ ายมือ
( 300  165 ) x 4.5
x 2.85 ม .
( 180  90 )  ( 300  165 )
นันคือตําแหน่งของแรงลัพธ์อยูห่ า่ งจากขอบนอกของกําแพงด้ านซ้ ายมือ = 2.85 + 0.75 = 3.60 ม.
ถ้ าฐานรากเป็ นรูปสีเหลียมผืนผ้ า ความยาวของฐานราก = 3.60x2 = 7.20 ม.
นําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร = 180+90+300+165 = 735 ตัน
สมมตินําหนักของฐานรากและดินเหนือฐานราก = 75 ตัน (ประมาณ 10% ของนําหนักบรรทุก)
จํานวนเสาเข็มทีต้ องการ = (735+75)/35 = 23 ต้ น
ดังนันใช้ เสาเข็มขนาด I 0.35 ม. ยาว 21 ม. จํานวน 24 ต้ น โดยแบ่งออกเป็ น 3 แถวๆละ 8 ต้ น
และใช้ ฐานรากขนาด 2.80x8.05 ม.

ขันตอนที 2. หานําหนักประลัยสุทธิทีเสาเข็มต้ องรับ


นําหนักบรรทุกใช้ งานทีเพิมค่าแล้ ว = 1.4(180+300) + 1.7(90+165) = 1,105.5 ตัน
เนืองจากตําแหน่งของเสาเข็มแต่ละแนวอยูใ่ กล้ กนั และมีระยะห่างคงทีสมําเสมอ เพือให้
การคํานวณออกแบบฐานรากร่วมง่ายขึน จึงสมมุติแรงต้ านของเสาเข็มให้ เป็ นเสมือนนําหนักแผ่
แรงดันประลัยสุทธิของเสาเข็มตามแนวยาวของฐานราก Wu = 1,105.5/8.05 = 137.33 ตัน/ม.

ขันตอนที 3. เขียนรูปการกระจายแรงเฉือนและการกระจายโมเมนต์ของฐานราก ดังแสดงในรูปที


10.9

กําแพงชิดเขต : Pu = 1.4(180)+1.7(90) = 405 ตัน


กําแพงด้ านใน: Pu = 1.4(300)+1.7(165) = 700.5 ตัน
กําแพงชิดเขต : VR = 137.33(1.5) – 405 = -199 ตัน
กําแพงด้ านใน: VL = 137.33(3.75) – 405 = 110 ตัน
VR = -137.33(1.3) = -178.5 ตัน
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 239

Pu = 700.5 ตัน
Pu = 405 ตัน

Wu = 137.33 ตัน/ม.
(ก) แรงกระทําบนฐานราก
110 ตัน

2.95 ม.

-199 ตัน 178.5 ตัน


(ข) ไดอะแกรมของแรงเฉือน

116 ตัน-ม.

-293.4 ตัน-ม.
(ค) ไดอะแกรมของโมเมนต์
รู ปที10.9 ไดอะแกรมของโมเมนต์ และแรงเฉือนสําหรั บฐานรากร่ วม

ตําแหน่งทีแรงเฉือนเป็ นศูนย์อยูท่ ีระยะ 405/137.33 = 2.95 ม. จากขอบฐานราก


โมเมนต์ลบมากทีสุดอยูภ่ ายในช่วงกําแพง
- Mu = - 405(2.95-0.75) + 137.33(2.95)2/2 = -293.4 ตัน-ม.
โมเมนต์บวกทีกําแพงด้ านในขวา
+Mu = 137.33(1.3)2/2 = 116 ตัน-ม.
240 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

ขันตอนที 4. คํานวณหาความลึกของฐานราก
ก. พิจารณาจากโมเมนต์ดดั
จาก Mu = IRubd2 ดังนัน คํานวณความลึกประสิทธิผล
293,400 u 100
d 92.73 ซม .
0.9 u 13.54 u 280
เลือกใช้ ความหนาฐานราก = 110 ซม. ระยะ d = 110 - 7.5 – (2.5/2) = 101.25 ซม.
ข. พิจารณาจาก Beam shear ทีระยะห่าง d จากขอบกําแพงริม
Vu = 137.33(1.5+1.01) – 405 = -60.3 ตัน
IVc 0.53I f ccbd 0.53 u 0.85 u 250 280 u 101 / 1000 201.4 ตัน
IVc ! Vu ใช้ ได้
ค. พิจารณาจาก Punching shear ทีระยะห่าง d/2 จากขอบกําแพง
กําแพงชิดเขต :
137.33
Vu 405  2.00 u 2.26 183.3 ตัน
2.8
ตรวจสอบกับสมการ 10.10ค
IVc 1.06I f ccbo d 1.06 u 0.85 u 250 626 u 101 / 1000 900.7 ตัน
IVc ! Vu ( 183.3 ) ใช้ ได้
กําแพงด้ านใน:
137.33
Vu 700.5  4.01 u 2.26 256 ตัน
2.8
ตรวจสอบกับสมการ 10.10ค

IVc 1.06I f ccbo d 1.06 u 0.85 u 250 401  226 ) u 2 u 101 / 1000
1 ,804 ตัน
IVc ! Vu ( 256 ) ใช้ ได้
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 241

ขันตอนที 5. ตรวจสอบนําหนักของฐานรากและดินถม
นําหนักของฐานราก = 1.10x2.80x8.05x2.4 = 59.5 ตัน
นําหนักของดินถม = 0.40x2.80x8.05x1.8 = 16.2 ตัน
รวมนําหนักของฐานรากและดินถม = 75.7 ตัน
เปรี ยบเทียบกับนําหนักทีสมมติไว้ 75 ตัน ใช้ ได้
ดังนัน ใช้ ฐานรากขนาด 2.80x8.05 ม. หนา 110 ซม. มีความลึกประสิทธิผล = 101 ซม.
และใช้ เสาเข็มจํานวน 24 ต้ น

ขันตอนที 6. พิจารณาออกแบบเหล็กเสริ ม

Mu 293,400 u100
Ru 11.4
Ibd 2 0.9 280 101
2

0.85 f cc §
¨1  1 
2 Ru ·
¸ 0.85 250 § 2 u11.4 ·
U ¨1  1  ¸
fy © ¨ 0.85 f cc ¸¹ 4000 © ¨ 0.85 250 ¸¹
0.0029 ! U min (0.002)
ก) เหล็กเสริ มรับโมเมนต์ลบ (เหล็กบน) ระหว่างช่วงกําแพง
ดังนัน ใช้ As = 0.0029(280x101) = 82 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริ ม 17 DB 25 มม.
ตรวจสอบระยะฝังยึดเหล็กเสริมเอก
สมมุติให้ คอนกรี ตหุ้มด้ านข้ าง = 7.5 ซม.
ระยะฝังพืนฐาน ldb ของเหล็ก DB 25 ทีต้ องการ 75 ซม.
ระยะฝังทีต้ องการจริ งสําหรับเหล็กบน = 1.3(75) = 97.5 ซม. < 295-7.5 = 287.5 ซม. ใช้ ได้
ข) เหล็กเสริ มรับโมเมนต์บวก (เหล็กล่าง) ทีบริเวณกําแพงด้ านใน
Mu 116,000 u100
Ru 4.51
Ibd 2 0.9 280 101
2

0.85 f cc §
¨1  1 
2 Ru ·
¸ 0.85 250 § 2 u 4.51 ·
U ¨1  1  ¸
fy © ¨ 0.85 f cc ¸¹ 4000 © ¨ 0.85 250 ¸¹
0.0011  U min (0.002)

ดังนัน ใช้ As = 0.002(280x101) = 56.56 ซม.2


เลือกใช้ เหล็กเสริ ม 12 DB 25 มม.
242 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

ตรวจสอบระยะฝังยึดเหล็กเสริมเอก
สมมุติให้ คอนกรี ตหุ้มด้ านข้ าง = 7.5 ซม.
ระยะฝังพืนฐาน ldb ของเหล็ก DB 25 ทีต้ องการ 75 ซม.
ระยะฝังทีต้ องการจริ งสําหรับเหล็กบน = 75 ซม. < 130-7.5 = 122.5 ซม. ใช้ ได้

ขันตอนที 7. ออกแบบคานขวาง (transverse beam) ซึงใช้ รองรับคานตามยาวและถ่ายแรงต้ าน


จากเสาเข็มให้ กบั กําแพง
ก) คานขวางใต้ กําแพงด้ านใน มีความกว้ าง = 300+2(d/2) = 300+101 = 401 ซม.
แรงดันประลัยสุทธิของเสาเข็มตามแนวขวางใต้ กําแพง = 700.5/2.8 = 250 ตัน/ม.
โมเมนต์ดดั ทีขอบเสาต้ นใน
1
Mu u 250 u 1.4  0.625 2 75 ตัน  เมตร
2
คํานวณปริมาณเหล็กเสริม
เหล็กเสริมในคานขวางจะวางเหนือเหล็กตามยาว ดังนันค่า d = 101-2 = 99 ซม.
Mu 75,000 u100
Ru 2.12
Ibd 2 0.9 401 99
2

0.85 f cc §
¨1  1 
2 Ru ·
¸ 0.85 250 § 2 u 2.12 ·
U ¨1  1  ¸
fy © ¨ 0.85 f cc ¸¹ 4000 © ¨ 0.85 250 ¸¹
0.0005  U min (0.002)
ดังนัน ใช้ As = 0.002(100x99) = 19.8 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริ ม DB 25 @ 0.25 ม. ในช่วงความกว้ างของคานขวางประมาณ 4.0 ม.
ตรวจสอบระยะฝังยึดเหล็กเสริม
สมมุติให้ คอนกรี ตหุ้มด้ านข้ าง = 7.5 ซม.
ระยะฝังพืนฐาน ldb ของเหล็ก DB 20 ทีต้ องการ 48 ซม. < 140-62.5-7.5 = 70 ซม. ใช้ ได้
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 243

ข) คานขวางใต้ กําแพงชิดเขต มีความกว้ าง = 150+(d/2) = 150+50 = 200 ซม.


แรงดันประลัยสุทธิของเสาเข็มตามแนวขวางใต้ เสา = 405/2.8 = 145 ตัน/ม.
โมเมนต์ดดั ทีขอบเสา
1
Mu u 145 u 1.4  0.625 2 43.5 ตัน  เมตร
2
คํานวณปริมาณเหล็กเสริม
เหล็กเสริมในคานขวางจะวางเหนือเหล็กตามยาว ดังนันค่า d = 101-2 = 99 ซม.
Mu 43,500 u 100
Ru 2.47
Ibd 2 0.9 200 99
2

0.85 f cc §
¨1  1 
2 Ru ·
¸ 0.85 250 § 2 u 2.47 ·
U ¨1  1  ¸
f y ¨© 0.85 f cc ¸¹ 4000 ¨© 0.85 250 ¸¹
0.0006  U min (0.002)
ดังนัน ใช้ As = 0.002(100x99) = 19.8 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริ ม DB 25 @ 0.25 ม. ในช่วงความกว้ างของคานขวาง 200 ซม.
ตรวจสอบระยะฝังยึดเหล็กเสริม
สมมุติให้ คอนกรี ตหุ้มด้ านข้ าง = 7.5 ซม.
ระยะฝังพืนฐาน ldb ของเหล็ก DB 20 ทีต้ องการ 48 ซม. < 140-62.5-7.5 = 70 ซม. ใช้ ได้
คํานวณปริ มาณเหล็กเสริมในแนวขวาง สําหรับนอกเขตกําแพง
As = 0.002(100x110) = 22 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริ ม DB 20 @ 0.25 ม. (2 ชัน)
สําหรับรายละเอียดของเหล็กเสริ มในฐานรากแสดงในรูปที 10.10

17DB25
DB20@0. 25 DB20@0. 25

1. 10
คอนกรี ตหยาบ 0.10 m
ทรายหยาบ 0.10 m

DB25@0. 25 12DB25 DB25@0. 25


2. 0 8. 05 4. 0

รู ปที10.10 รายละเอียดของเหล็กเสริมในฐานราก
244 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

ตัวอย่ าง 10.2 อาคารคอนโดมิเนียมหลังหนึงสูง 8 ชัน มีชนใต้


ั ดิน 1 ชัน มีขนาดผังอาคารดังแสดง
ในรูปที 10.11 จงออกแบบฐานรากของอาคารหลังนีเป็ น Mat Foundation กําหนดให้ พืน
อาคารเป็ นแผ่นพืนไร้ คานหนา 30 ซม. นําหนักวัสดุปพู นื 180 กก./ตร.ม. นําหนักบรรทุกจร 300
กก./ตร.ม. สําหรับชันใต้ ดิน เป็ นทีจอดรถมีนําหนักบรรทุกจร 400 กก./ตร.ม. เสาขนาด 80x80 ซม.
กําแพงหนา 20 ซม. ฐานรากวางอยู่บนเสาเข็มเจาะคอนกรี ตขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลาง 0.80 ม. ซึง
รับนําหนักปลอดภัยได้ ต้นละ 200 ตัน
( fcc = 250 กก./ตร.ซม. f y = 4,000 กก./ตร.ซม.)

1 2 3 4 5 6 7 8 9

5@8.0 = 40.0 m
D

A
8@8.0=64.0 m

(ก) ผังอาคาร
8
7
8@3.00 = 24.00 m

6
5
4
3
2
G
B 3.00 m
(ข) รูปตัดตามยาว
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 245

8
7

8@3.00 = 24.00 m
6
5
4
3
2
G
B 3.00 m

(ค) รูปตัดตามขวาง
รู ปที 10.11 อาคารคอนโดมิเนียมสูง 8 ชัน
วิธีทาํ

ขันตอนที 1
คํานวณนําหนักบรรทุก
นําหนักพืนอาคาร G-Roof wD = 0.3x2,400 = 720 กก./ตร.ม.
นําหนักวัสดุปพู นื G-Roof wSD = 180 กก./ตร.ม.
นําหนักบรรทุกจร wL = 300 กก./ตร.ม.
สมมุติให้ พนใต้
ื ดินซึงเป็ น Mat foundation มีความหนา 1.20 เมตร
wD = 1.2x2,400 = 2,880 กก./ตร.ม.
รวมนําหนักบรรทุกทังหมด = [(720+180+300)x9x(40x64) + (2,880+400)x(40x64)] x10-3
= 36,044.80 ตัน
กําหนดให้ เสาเข็มจัดวางตามตําแหน่งดังแสดงในรูป 10.12 เสาเข็มเจาะขนาด 0.80 เมตร วาง
ระยะห่าง 4.00 เมตร จํานวน 11x17 = 187 ต้ น
เสาเข็มรับนําหนักบรรทุก = 36,044.80/187 = 192.75 ตัน

พิจารณารูป 10.12 ตัดเฉพาะความกว้ าง 8.0 เมตร


นําหนักบรรทุกประลัยลงสูเ่ สาชันล่างสุด = [1.4(720+180) + 1.7(300)]x9x(8x8) x10-3
P = 1,019.52 ตัน
นําหนักบรรทุกประลัยบนพืน Mat ต่อความกว้ าง 8.0 ม.
wu = [1.4(2,880)+1.7(300)]x8 x10-3
= 36.34 ตัน/ม.
246 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

แรงดันนําใต้ ดินประลัย กระทําใต้ พนื Mat ต่อความกว้ าง 8.0 ม.


wwu = 1.4 J wh = 1.4x1.0x3.5x8 = 39.2 ตัน/ม.
รวมนําหนักบรรทุกประลัยลงสู่ Mat Foundation
= (7P+0.5Px2) + wu x64
= (1,019.52x7 + 0.5x1,019.52x2) + 36.34x64
= 10,481.92 ตัน
ดังนัน เสาเข็มรับนําหนักบรรทุกประลัย = (10,481.92 – 39.2x64 ) / (17x2)
Ru = 234.5 ตัน

1 2 3 4 5 6 7 8 9

5@8.0 = 40.0 m
D

8.0 m
B

A
8@8.0=64.0 m

ก) การจัดผังเสาเข็มเจาะ
P/2 P P P P P P P P/2

0.00
-1.00 D ระดับนําใต้ ดิน
h
-4.50
แรงดันนําใต้ ดิน

ข) รู ปตัดตามยาวแกน B ความกว้ าง . เมตร

รู ปที 10.12 ผังเสาเข็มฐานรากแผ่ น (Mat Foundation)


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 247

ขันตอนที 2 คํานวณแรงเฉือนและโมเมนต์ของฐานราก
แรงดันขึนสุทธิกระทําใต้ พนื Mat ต่อความกว้ าง 8.0 ม.
wwu  wu = 39.2 - 36.34 = 2.86 ตัน/ม.
แรงดันดินด้ านข้ างกระทําต่อผนังกันดิน ต่อความกว้ าง 8.0 ม.
1 1
0.5 u1.75 4.5 u 8.0
2
p kaJ ( D  h) 2
2 2
= 70.88 ตัน

P/2 P P P P P P P P/2

4.50 p p
wwu  wu
Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru
17Ru @4.0 m
รู ปที 10.13 การวางนําหนักบรรทุกของฐานรากแผ่ น

การวิเคราะห์ พิจารณาเป็ น Invert slab ให้ แรงดันขึนสุทธิและแรงต้ านของเสาเข็ม เป็ นนําหนัก


บรรทุกกระทําต่อฐานราก และให้ นาหนั
ํ ก P เป็ นแรงปฏิกิริยารับนําหนักบรรทุก
2.86 8
2
wl 2
FEM นําหนัก w แผ่กระจาย = 15.25 ตัน-ม.
12 12
Ru l 234.5 8
FEM นําหนัก Ru กลางช่วง = 234.5 ตัน-ม.
8 8
รวม FEM = 15.25+234.5 = 249.75 ตัน-ม.
§ 4.5 ·
โมเมนต์จากกําแพงกันดิน = p¨  0.6 ¸ = 70.88(0.9)
© 3 ¹
= 63.79 ตัน-ม.
248 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

ตารางที 10.1 การกระจายโมเมนต์ โดยวิธี Two-Cycle Moment Distribution

รอยต่ อ 1 2 3 4 5
องค์ อาคาร กําแพง 1-2 2-1 2-3 3-2 3-4 4-3 4-5 5-4
DF 1/2 1/3 1/3 1/3 1/3 1/3 1/3 1/3
COF 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5
FEM -63.79 249.75 -249.75 249.75 -249.75 249.75 -249.75 249.75 -249.75
COM 0 -46.49 0 0 0 0 0 0
6 -63.79 249.75 -296.24 249.75 -249.75 249.75 -249.75 249.75 -249.75
DM -92.98 15.50 15.50 0 0 0 0 0
Maximum -63.79 156.77 -280.74 265.25 -249.75 249.75 -249.75 249.75 -249.75
Moment
Midspan - 273.13 -234.38 -242.13 -242.13
Moment

โดยที COM = DF x COF x Unbalanced Moment


§ Ru l wl 2 · M1  M 2
Midspan Moment ¨¨  ¸
© 4 8 ¸¹ 2

1 2 3 4 5

280.74
265.25 249.75 249.75 249.75
156.77

63.79
-234.38 -242.13 -242.13
-273.13
ก) ไดอะแกรมของโมเมนต์ (ตัน-เมตร)

509.76 509.76 509.76 498.32 509.76


498.32 498.32 498.32

263.82 263.82 263.82 263.82


275.26 275.26 275.26 275.26
ข) ไดอะแกรมของแรงเฉือน (ตัน)

รู ปที 10.14 ไดอะแกรมของโมเมนต์ และแรงเฉือน


ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 249

ขันตอนที 3. ตรวจสอบความหนาของฐานราก

ก. พิจารณาจากโมเมนต์ดดั
ความหนาฐานราก = 120 ซม. ระยะ d = 120 - 7.5 – (2.5/2) = 111.25 ซม.
M
คํานวณความลึกประสิทธิผลทีต้ องการจาก d
I Rb
280, 740 u100
d 53.66 ซม. น้ อยกว่า 111.25 ซม. ใช้ ได้
0.9 u13.54 u 800

ข. พิจารณาจาก Beam shear ทีระยะห่าง d จากขอบเสา


509.76  2.86(0.4  1.11)
vu 5.69 กก./ตร.ซม.
800 u 111
I vc 0.53I fcc 0.53 u 0.85 u 250 7.12 กก./ตร.ซม.> 5.69 กก./ตร.ซม.
I vc ! vu ใช้ ได้

ค. พิจารณาจาก Punching shear ทีระยะห่าง d/2 จากขอบเสา


(1, 019.52  234.5) u1, 000
vu 9.26 กก./ตร.ซม.
(80  111)4 u111
I vc 1.06I fcc 1.06 u 0.85 u 250 14.25 กก./ตร.ซม.
I vc ! vu ใช้ ได้
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

250
ขันตอนที 4. พิจารณาออกแบบเหล็กเสริม

ไพบูลย์ ปัญญาคะโป
ตารางที 10.2 การออกแบบปริมาณเหล็กเสริมในฐานรากแผ่ น
แกน 1 แกน 2 แกน 3 แกน 4
โมเมนต์ (กก.-ม.) 156,770 -273,130 280,740 265,250 -234,380 249,750 249,750 -242,130 249750 249,750 -242,130 249750
แถบเสา
Moment (%) 100 60 75 75 60 75 75 60 75 75 60 75
Mu / Strip (4ม.) 39,193 -40,970 52,639 49,735 -35,157 46,828 46,828 -36,320 46,828 46,828 -36,320 46,828
Ru = Mu/Ibd2 3.53 3.69 4.75 4.49 3.17 4.22 4.22 3.28 4.22 4.22 3.28 4.22
As / Strip = Ubd 9.88 10.32 13.32 14.43 8.88 12.21 12.21 9.21 12.21 12.21 9.21 12.21
Ast 0.002bh 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51
ปริ มาณเหล็กเสริ ม DB25@0.20 DB25@0.20 DB25@0.20 DB25@0.20
แถบกลาง
Moment (%) 0 40 25 25 40 25 25 40 25 25 40 25
Mu / Strip (4ม.) 0 -27,313 17,546 16,578 - 23,438 15,609 15,609 -24,213 15,609 15,609 -24,213 15,609
Ru = Mu/Ibd2 0 2.46 1.58 1.50 2.11 1.41 1.41 2.18 1.41 1.41 2.18 1.41
As / Strip = Ubd 0 6.88 4.44 4.44 5.55 3.89 3.89 5.55 3.89 3.89 5.55 3.89
Ast 0.002bh 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51
ปริ มาณเหล็กเสริ ม DB25@0.20 DB25@0.20 DB25@0.20 DB25@0.20
บทที 10 การออกแบบฐาน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

1 2 3 4 5 6 7 8 9

DB25 @ 0.20#

1.20m

DB25 @ 0.20#
0.22ln 0.22ln 0.22ln
ln

รูปที 10.15 การเสริมเหล็กฐานรากแผ่น (Mat Foundation) สําหรับรูปตัดตามยาว


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

ตัวอย่ าง 10.3 ฐานรากอาคารหลังหนึงมีการจัดวางผังดังแสดงในรูป 10.16 และมีการตังหมายเลข


ของฐานรากตามตํ า แหน่ ง พิ กัด ฐานรากเหล่ า นี ใช้ เ สาเข็ ม เจาะขนาดเส้ น ผ่ า นศูน ย์ ก ลาง 35
เซ็นติเมตร รับนําหนักบรรทุกปลอดภัยต้ นละ 35 ตัน ในขณะก่อสร้ างปรากฏว่าเสาเข็มมีการเยือง
ศูนย์ไปจากแบบ 2 ต้ น ได้ แก่ ฐานราก A1 และ C1 โดยมีคา่ การเยืองศูนย์ดงั แสดงในรูปขยายฐาน
ราก หากกําหนดให้ ค่าการเยืองศูนย์ของเสาเข็มไม่เกิน 5 เซ็นติเมตร จงออกแบบแก้ ไขฐานรากใหม่
( fcc = 250 กก./ตร.ซม. f y = 4,000 กก./ตร.ซม.)

A B C

5.0 m 4.5 m

A1 B1 PD = 15 T C1
1 PL = 15 T

ขยายฐานราก A
ขยายฐานราก C
0.10 PD = 12 T 0.15
PD = 12 T
4.0 m 0.70 PL = 10 T 0.70
PL = 10 T

0.70 0.70

A2 B2 C2
2

4.0 m

A3 B3 C3
3

รู ปที 10.16 ผังฐานรากตัวอย่ าง 10.3


บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร ไพบูลย์ ปัญญาคะโป 253

0.70 0.70

0.30 0.30

0.70 0.30 A1 0.70 0.30 C1

CL CL
PD = 12 T PD = 12 T 0.15
0.10
PL = 10 T PL = 10 T

0.60 0.60

-1.20 -1.20

CL CL
รู ปที 10.17 ขยายฐานราก A1 และ C1

วิธีทาํ
แก้ ไขการออกแบบฐานรากใหม่ โดยใช้ คานเชือม (Strap beam) ขนาด 20x60 ซม.ตลอดระหว่างฐาน
ราก Line 1

PD = 12 T PD = 15 T PD = 12 T
PL = 10 T PL = 15 T PL = 10 T
4.9 4.35

A1 Strap beam B1 Strap beam C1

5.0 4.5

รู ปที 10.18 คานเชือม (Strap beam) ระหว่ างฐานราก A1, B1 และ C1


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

คํานวณหาโมเมนต์ในคานเชือมโดยวิธีการกระจายโมเมนต์สองรอบ
Pu 1.4PD  1.7 PL (1.4 u12,000)  (1.7 u10,000) 33,800 กก.
นําหนักคานเชือม w = 0.2x0.6x2,400 = 288 กก.-เมตร
wu 1.4 u 288 403.2 กก.
33,800 0.1 4.9 403.2 5
2 2
Pu ab 2 wu L2
FEM AB =  =  = 4,086 กก.-เมตร
L2 12 5 2 12

33,800 0.1 4.9 403.2 5


2 2
Pu a 2b wu L2
FEM BA =   =   = - 906 กก.-เมตร
L2 12 5 2 12

33,800 4.35 0.15 403.2 4.5


2 2
Pu ab 2 wu L2
FEM BC =  =  = 844 กก.-เมตร
L2 12 4.5 2 12

33,800 4.35 0.15 403.2 4.5


2 2
Pu a 2b wu L2
FEM CB =   =   = - 5,418 กก.-เมตร
L2 12 4.5 2 12

ตารางที 10.2 การกระจายโมเมนต์ โดยวิธี Two-Cycle Moment Distribution

รอยต่ อ A B C
องค์ อาคาร A-B B-A B-C C-B
DF 1/2 1/3 1/3 1/2
COF 0.5 0.5 0.5 0.5
FEM 4,086 - 906 844 - 5,418
COM 10.3 -1,021.5 1,354.5 10.3
6 4,096.3 -1,927.5 2,198.5 - 5,407.7
DM -2,048.15 - 90.3 -90.3 2,703.85
Maximum 2,048.15 - 2,017.8 2,108.2 - 2,703.85
Moment
Midspan -772.98 -1,385.43
Moment
บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร ไพบูลย์ ปัญญาคะโป 255

ออกแบบเหล็กเสริมคานเชือม
โมเมนต์ดดั สูงสุด M u 2,703.85 ตัน-เมตร
คํานวณปริมาณเหล็กเสริม
Mu 2, 703.85 u100
Ru 4.97
0.9 20 55
2 2
I bd
0.85 fcc § 2 Ru · 0.85 250 § 2 u 4.97 ·
U ¨¨1  1  ¸ ¨1  1  ¸
fy © 0.85 fcc ¹¸ 4000 ©¨ 0.85 250 ¹¸
14
0.00126  Umin ( 0.0035)
4, 000
ดังนัน ใช้ As = 0.0035(20x55) = 3.85 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริม 2 DB 20

ตัวอย่ าง 10.4 ฐานรากอาคารหลังหนึงมีขนาดดังแสดงในรู ป 10.17 รับนําหนักบรรทุกคงที 60 ตัน


นําหนักบรรทุกจร 40 ตัน มีโมเมนต์ดดั และแรงเฉือนเนืองจากแรงแผ่นดินไหว 50 ตัน-เมตร และ 30
ตัน ตามลําดับ ฐานรากนีใช้ เสาเข็มเจาะขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลาง 50 เซ็นติเมตร รับนําหนักบรรทุก
ปลอดภัยต้ นละ 60 ตัน จงออกแบบปริมาณเหล็กเสริมในฐานราก
สมมติวา่ ก่อสร้ างฐานรากทีระดับดินเดิม และจะถมดินภายหลังสูง 1.50 ม. จากระดับดินเดิม
( fcc = 250 กก./ตร.ซม. f y = 4,000 กก./ตร.ซม.)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

0.50 2.00 0.50


y

0.50

0.50

2.00 0.50 x

0.50

PD= 80 T
PL= 60 T

M = 50 T-m
z

V = 30 T x
0.60

รู ปที 10.17 ผังฐานรากตัวอย่ าง 10.4

วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณนําหนักบรรทุกลงสูเ่ สาเข็ม
นําหนักบรรทุกคงที 80 ตัน
นําหนักบรรทุกจร 60 ตัน
นําหนักฐานราก (0.6x3.0x3.0)2.4 = 12.96 ตัน
บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร ไพบูลย์ ปัญญาคะโป 257

นําหนักดินถม (0.9x3.0x3.0)1.8 = 14.58 ตัน


รวมนําหนักบรรทุก 167.54 ตัน
นําหนักบรรทุกสูงสุดทีเสาเข็มรับ
P Md 167.54 50 u1
R r  = 54.4 ตัน (ปลอดภัย)
N ¦d 2 4 4 u12
นําหนักบรรทุกประลัยมากสุดทีเสาเข็มรับ
­ (1.4 u (80  12.96  14.58)  1.7 u 60) 1.7(1.1u 50) u 1 ½
Ru 0.75 ®  ¾= 64.89 ตัน
¯ 4 4 u12 ¿
นําหนักบรรทุกประลัยน้ อยสุดทีเสาเข็มรับ
­ (1.4 u (80  12.96  14.58)  1.7 u 60) 1.7(1.1u 50) u 1 ½
Ru 0.75 ®  ¾= 29.82 ตัน
¯ 4 4 u12 ¿

ขันตอนที 2. ตรวจสอบความหนาของฐานราก
ก. พิจารณาจากโมเมนต์ดดั ประลัย
Mu 64.89 u 0.75 u 2 97.34 ตัน-เมตร
ความหนาฐานราก = 60 ซม. ระยะ d = 60 - 7.5 – (2.5/2) = 51.25 ซม.
M
คํานวณความลึกประสิทธิผลทีต้ องการจาก d
I Rb
97,340 u100
d 51.60 ซม. มากกว่า 51.25 ซม.
0.9 u13.54 u 300
ปรับความหนาของฐานรากเป็ น 70 ซม. ระยะ d = 70 - 7.5 – (2.5/2) = 61.25 ซม.

ข. พิจารณาจาก Beam shear ทีระยะห่าง d จากขอบเสา


64,890 u 2
vu 7.06 กก./ตร.ซม.
300 u 61.25
I vc 0.53I fcc 0.53 u 0.85 u 250 7.12 กก./ตร.ซม.> 7.06 กก./ตร.ซม.
I vc ! vuใช้ ได้
ค. พิจารณาจาก Punching shear ทีระยะห่าง d/2 จากขอบเสา
(64.89 u 2  29.82 u 2) u1,000
vu 6.95 กก./ตร.ซม.
(50  61.25)4 u 61.25
I vc 1.06I fcc 1.06 u 0.85 u 250 14.25 กก./ตร.ซม.
I vc ! vu ใช้ ได้
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร

ขันตอนที 3 ออกแบบเหล็กเสริมฐานราก
โมเมนต์ดดั สูงสุดรอบแกน y ทีขอบเสา คํานวณไว้ จาก ขันตอนที 2
M u 97.34 ตัน-เมตร
คํานวณปริมาณเหล็กเสริม
Mu 97,340 u100
Ru 9.61
0.9 300 61.25
2 2
I bd
0.85 fcc § 2 Ru · 0.85 250 § 2 u 9.61 ·
U ¨¨1  1  ¸ ¨1  1  ¸
fy © 0.85 fcc ¹¸ 4000 ©¨ 0.85 250 ¹¸
0.00246 ! U min ( 0.002)
ดังนัน ใช้ As = 0.00246(100x61.25) = 15.07 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริม DB 20 @ 0.20 ม.

โมเมนต์ดดั สูงสุดรอบแกน x ทีขอบเสา คํานวณจาก


Mu (64.89 u 0.75  29.82 u 0.75) 71.03 ตัน-เมตร
คํานวณปริมาณเหล็กเสริม
Mu 71, 030 u100
Ru 7.01
0.9 300 61.25
2 2
I bd
0.85 fcc § 2 Ru · 0.85 250 § 2 u 7.01 ·
U ¨¨1  1  ¸ ¨1  1  ¸
fy © 0.85 fcc ¹¸ 4000 ©¨ 0.85 250 ¹¸
0.00178  U min ( 0.002)
ดังนัน ใช้ As = 0.002(100x61.25) = 12.25 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริม DB 20@ 0.25 ม.

สํ า หรั บ การออกแบบเหล็ ก ปลอกในเสา ให้ ใ ช้ วิ ธี เ ช่ น เดี ย วกัน กับ การออกแบบเสาเพื อต้ า นทาน
แผ่นดินไหว รวมทังรายละเอียดของเหล็กเสริมในเสา
ส่วนรายละเอียดเหล็กเสริมในเสาเข็ม ให้ ดใู นมาตรฐานการออกแบบฯ มยผ.1302 ตามประเภทการ
ออกแบบต้ านทานแผ่นดินไหว
บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 259

บทที 11
การออกแบบฐานรากเครื องจักร
11.1 บทนํา

การออกแบบฐานรากเครื องจัก ร จะต้ อ งพิ จ ารณานํ าหนัก บรรทุก ที เป็ นแรงสถิ ต จากตัว
เครื องจักรและแรงกระทําพลศาสตร์ จากการทํางานของเครื องจักร ซึงนําหนักบรรทุกรวมทังหมดนีจะถ่าย
ไปยังฐานราก ดังนัน การออกแบบฐานรากเครื องจัก ร จึงมีการพิจารณาพฤติกรรมทางพลศาสตร์ ของฐาน
รากและดินทีรองรับด้ วย หากพิจารณาตัวเครื องจักร อาจแยกได้ ดังนี
- เครื องจักรทีทําให้ เกิดแรงกระแทก ได้ แก่ แท่นกด แท่นพิมพ์ เป็ นต้ น
- เครื องจักรทีทําให้ เกิดแรงกระทําแบบไป-กลับซําๆ ได้ แก่ เครื องยนต์ลกู สูบ คอมเพรสเซอร์ เป็ นต้ น
- เครื องจักรทีมีความเร็วสูง ได้ แก่ เครื องปั นกังหัน (Turbo-generator) เป็ นต้ น
- เครื องจักรเบ็ดเตล็ดอืนๆ ได้ แก่ เครื องโม่ เครื องบด ปั ม เครื องปั นไฟ เป็ นต้ น

หากพิจารณาแบ่งแยกประเภทเครื องจักร ตามรอบความถีของเครื องจักร จะแบ่งได้ ดังนี

ก) รอบความถีตําถึงปานกลาง 0-500 รอบต่อนาที (rpm) ได้ แก่ เครื องยนต์ลกู สูบ คอมเพรสเซอร์ ขนาด
ใหญ่ ฐานรากเครื องจักรแบบนี นิยมใช้ ฐานรากแบบกล่องทึบ (Block-type foundation) ซึงมีฐานรากเป็ น
ฐานแผ่ขนาดใหญ่เพือกระจายนําหนักบนดินได้ ง่าย
ข) รอบความถีปานกลางถึงสูง 300-1,000 รอบต่อนาที (rpm) ได้ แก่ เครื องยนต์ลกู สูบขนาดกลาง การ
ออกแบบฐานรากประเภทนี อาจใช้ ฐานรากแบบกล่องทึบ (Block-type foundation) วางบนสปริงหรื อวัสดุ
ยืดหยุ่น เช่น ยาง ไม้ คอร์ ก เพือลดระดับการสันของฐานรากให้ คา่ ความถีธรรมชาติของฐานราก มีคา่ ตํา
กว่ารอบความถีทํางานของเครื องจักร
ค) รอบความถีสูงกว่า 1,000 รอบต่อนาที (rpm) ได้ แก่ เครื องปั นกังหัน (Turbo-generator) การออกแบบ
ฐานรากประเภทนี นิยมใช้ Frame-type foundation ซึงมีแท่นวางเครื องจักร ยกสูงจากตัวฐานราก
260 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร

a) Block-type foundation b) Frame-type foundation

รูปที 11.1 รูปแบบของฐานรากเครืองจักร

หลักการออกแบบฐานรากเครื องจักร จะพิจารณา ดังนี


1. นําหนักบรรทุกรวมเนืองจากแรงสถิตจากตัวเครื องจักรและแรงกระทําพลศาสตร์ จากการทํางานของ
เครื องจักร
2. การสันของฐานราก จะต้ องรักษาค่าความถีธรรมชาติของฐานราก ไม่ให้ เกิดการสันพ้ องกับความถีของ
เครื องจักรในขณะมีการเดินเครื องทํางาน
3. ค่าการเคลือนทีของฐานรากจะต้ องมีคา่ ไม่เกินกว่าค่าทียอมให้ ตามข้ อกําหนดของผู้ผลิตเครื องจักร
4. ฐานรากเครื องจักรควรแยกออกจากตัวอาคาร โดย Expansion joint และค่าระดับความลึกของฐานราก
เครื องจักรควรอยูต่ ํากว่าระดับฐานรากของอาคารข้ างเคียง

ตารางที 11.1 ค่ าการเคลือนทีของฐานรากทียอมให้


ประเภทของเครืองจักร ค่ าการเคลือนที ทียอมให้ (ซม.)
1.เครื องจักรความถีตํา 0.02-0.025
2.ฐานรากรับนําหนักตุ้มกระแทก 0.1-0.12
3. เครื องจักรความถีสูง
ก) 3000 รอบ/นาที
- การสันในแนวดิง 0.002-0.003
- การสันในแนวราบ 0.004-0.005
ข)1500 รอบ/นาที
- การสันในแนวดิง 0.004-0.006
- การสันในแนวราบ 0.007-0.009
บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 261

11.2 การสันภายใต้ แรงกระทําแบบคลืนประสาน

11.2.1 แรงกระทําแบบคลืนประสานสําหรับระบบไร้ การหน่ วง


(Harmonic Excitation for Undamped System)

ในหัวข้ อนีจะกล่าวถึงโครงสร้ างทีมีระดับความอิสระเพียงหนึงซึงมีแรงกระทําแบบคลืนประสาน


ลักษณะแรงกระทําแบบนีได้ แก่แรงกระทําซึงมีขนาดเป็ นฟั งก์ชนของไซน์
ั หรื อโคไซน์สมั พันธ์ กับเวลา ดัง
แสดงในรูปที 11.2 เมือมีแรง F (t ) กระทําต่อโครงสร้ างอย่างง่าย มีคา่ เท่ากับ Fo sin Zt เมือ Fo คือ ขนาด
สูงสุดของแรงกระทํา และ Z คือ ความถีของแรงกระทํา

u u
k Fo sin Z t ku muu Fo sin Z t
m

(a) (b)
รูปที 11.2 แบบจําลองโครงสร้ างแบบไร้ การหน่ วงมีแรงกระทําแบบคลืนประสาน

เมือพิจารณาสมดุลของแรงกระทําจากรูปโครงสร้ างอิสระ จะได้


muu  ku Fo sin Zt (11.1)
สมการ 11.1 เรี ยกว่า สมการการเคลือนทีของระบบแบบไร้ การหน่วงมีแรงกระทําแบบคลืนประสาน
คําตอบของสมการ อยูใ่ นรูปแบบดังนี
u (t ) uc (t )  u p (t ) (11.2)
โดยที uc (t ) คือ คําตอบประกอบ (complementary solution)
และ uc (t ) A cos Zt  B sin Zt (11.3)
u p (t ) คือ คําตอบเฉพาะ (particular solution)
และ u p (t ) U sin Zt (11.4)
เมือแทนค่า สมการ 11.4 ลงในสมการ 11.1 จะได้
262 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร

mZ 2U  kU Fo
Fo Fo k
หรื อ U 2
(11.5)
k  mZ 1 r2
เมือ r คือ ค่าอัตราส่วนระหว่างความถีของแรงกระทําและความถีธรรมชาติ ,
Z
r (11.6)
Z
หากกําหนดให้ สภาวะเริมต้ น t 0, uo 0, vo 0

และรวมสมการ 11.2, 11.3, 11.4 และ 11.5 เข้ าด้ วยกัน จะได้
Fo k
u (t ) sin Zt  r sin Zt (11.7)
1 r2

เทอมทีสองคือ Fo k
r sin Z t เรี ยกว่า ผลตอบสนองแบบชัวคราว (transient response) เนืองจากเป็ น
1 r2
การสันแบบอิสระ หากระบบมีคา่ การหน่วง การสันจะค่อยๆลดขนาดลงและหายไปในทีสุด

เทอมแรกคือ Fo k
sin Z t เรี ยกว่า ผลตอบสนองแบบสภาวะสมําเสมอ (steady-state response)
1 r2
เนืองจากมีแรงภายนอกมากระทํา หากแรงกระทํายังมีอยู่ ระบบก็จะสันต่อไปอีกเรื อยๆ

11.2.2 แรงกระทําแบบคลืนประสานสําหรับระบบมีการหน่ วง
(Harmonic Excitation for Damped System)
พิจารณาจากระบบโครงสร้ างอย่างง่ายทีมีการหน่วง ซึงมีแรงกระทําแบบคลืนประสาน และขนาดแรงมี
ค่าคงที Fo ดังแสดงในรูปที 11.3

u u
k
Fo sin Z t
ku muu Fo sin Z t
m
c cuu

(a) (b)
รูปที 11.3 แบบจําลองโครงสร้ างมีแรงกระทําแบบคลืนประสาน
เมือพิจารณาสมดุลของแรงกระทําจากรูปโครงสร้ างอิสระ จะได้
บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 263

muu  cu  ku Fo sin Zt (11.8)


สมการ 11.8 เรี ยกว่า สมการการเคลือนทีของระบบทีมีการหน่วงมีแรงกระทําแบบคลืนประสานคําตอบ
ของสมการ อยูใ่ นรูปแบบดังนี
ust sin Z t  T
u (t ) e[Zt A cos Z Dt  B sin Z Dt  (11.9)
1  r
2 2
 2r[
2

ผลตอบสนองแบบชัวคราว ผลตอบสนองแบบสภาวะสมําเสมอ
เมือ A, B คือ ค่าคงทีของการอินทิเกรท ขึนอยูก่ บ
ั สภาวะเริมต้ น
ust คือ การโก่งตัวแบบยืดหยุน่ ของสปริง
ust Fo k
2[ r
T tan 1
1 r2
เทอมแรกซึงเป็ นผลตอบสนองแบบชัวคราว จะค่อยๆลดลงและหายไป เนืองจากมีคา่ การหน่วงต่อการ
สัน ทําให้ เหลือแต่เทอมทีสอง ซึงเป็ นการสันแบบมีแรงกระทํา ในทีสุด
ค่าอัตราส่วนระหว่างการเคลือนทีสูงสุดของสภาวะสมําเสมอและการโก่งตัวแบบยืดหยุ่น เรี ยกว่า ค่า
การขยายกําลังพลศาสตร์ (Dynamic amplification factor, D) คํานวณจาก
1
D (11.10)
1  r 2 2
 2r[
2

ค่าการขยายกําลังจะเกิดขึนสูงสุดเมือ อัตราส่วนความถีมีคา่ เข้ าใกล้ 1 r 1 ซึงเรี ยกสภาวะนีว่าการ


สันพ้ องหรื อกําทอน (resonance) หากพิจารณาว่าค่า [ มีคา่ น้ อยมาก ค่าการขยายกําลังพลศาสตร์ จะ
คํานวณได้ จาก
1 f n2
D (11.11)
1 r2 f n2  f m2

เมือ f n คือ ค่าความถีธรรมชาติของฐานราก

fm คือ ค่าความถีของเครื องจักรในขณะเดินเครื อง


264 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร

Dynamic Magnification Factor, D

Frequency ratio, r

รูปที 11.4 ผลตอบสนองของโครงสร้ างมีแรงกระทําแบบคลืนประสานคงที


Dynamic Magnification Factor, D'

Frequency ratio, r

รูปที 11.5 ผลตอบสนองของโครงสร้ างมีแรงกระทําแบบการหมุนไม่ สมดุล


บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 265

11.2.3 การคํานวณค่ าสปริงสติฟเนสของฐานรองรับแบบยืดหยุ่น


ค่ าสปริงสติฟเนสสําหรับฐานรองรับเป็ นดิน
การเคลือนทีในแนวดิง K z Cz At
การเคลือนทีในแนวราบ KW CW At
การโยกตัวทางด้ านข้ าง KT CT I y
การบิดตัว (หมุนรอบแกน z) K\ C\ I z
เมือค่า Cz คือ ค่าสัมประสิทธิแรงกดแสดงในตารางที 11.2 ซึงได้ จากการทดสอบคุณสมบัตขิ องดิน
CT 2C z
CW 0.5C z
C\ 0.75C z

At คือ พืนทีผิวสัมผัสระหว่างฐานรากและดินรองรับ ในกรณีทีค่า At น้ อยกว่า 10 ตารางเมตร ให้ คณ



ค่า Cz ในตารางด้ วยค่า 10 At

ตารางที 11.2 ค่ าสัมประสิทธิ C z ทีใช้ ในการออกแบบ (IS: 2974-1969)


สภาพดิน ค่ ากําลังแบกทานทียอมให้ ค่ าสัมประสิทธิ C z

kg / cm2 T / m 2 kg / cm3
ดินปกติ 1 10 2
2 20 4
ดินแข็งปานกลาง 3 30 5
4 40 6
ดินแข็งมาก 5 50 7
ชันหิน >5 >50 >7

ค่ าสปริงสติฟเนสสําหรับฐานรองรับเป็ นแผ่ นวัสดุยืดหยุ่น


EA
การเคลือนทีในแนวดิง Kz
t
GA
การเคลือนทีในแนวราบ KW
t
EI y
การโยกตัวทางด้ านข้ าง KT
t
GI z
การบิดตัว (หมุนรอบแกน z) K\
t
266 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร

เมือ E, G คือ โมดูลสั ยืดหยุ่นและโมดูลสั ของแรงเฉือนตามลําดับ


A, t คือ พืนทีผิวสัมผัสระหว่างฐานรากและแผ่นวัสดุ และความหนาของแผ่นวัสดุ ตามลําดับ

ค่ าสปริงสติฟเนสสําหรับเสาเข็ม (Friction Pile)


ค่าสปริงสติฟเนสในแนวดิงสําหรับเสาเข็มเดียวแบบแรงเสียดทาน
K s C p As

เมือ C p คือ สัมประสิทธิของแรงต้ านทานแบบยืดหยุ่น มีคา่ แสดงในตารางที 11.3


As คือ พืนทีผิวสัมผัสรับแรงเสียดทานของเสาเข็ม

ตารางที 11.3 ค่ าสัมประสิทธิ C p สําหรับดินแต่ ละประเภท


ประเภทของดิน ค่ าสัมประสิทธิ C p (T / m3 )
ดินเหนียวอ่อน 500
ดินปนทราย 2500
ดินเหนียวปนทรายแน่น 3000

ตารางที 11.4 ค่ าตัวคูณปรับแก้ สาํ หรับเสาเข็มกลุ่ม


ค่าอัตราส่วนระหว่างระยะห่างและเส้ นผ่านศูนย์กลาง ค่ าตัวคูณปรับแก้
ของเสาเข็ม (S / D)
3 0.35
4.5 0.58
6 0.63
> 10 1.00
บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 267

ค่าสปริงสติฟเนสในแนวราบสําหรับเสาเข็มเดียว
12 EI
Kx
h3
1
เมือพิจารณาว่าเสาเข็มมีระยะทีอาจโก่งตัวได้ ในช่วงความลึก ถึง 1 ของความยาวเสาเข็ม H
4 2

รูปที 11.6 ฐานรากเสาเข็มสําหรับ Block-type

ตัวอย่ างที 11.1 จงออกแบบฐานรากเครื องจักรแบบ Block-type ซึงใช้ งานเป็ นเครื องมือทดสอบ
ประกอบด้ วย testing machine และ Pulsator ทีมีแรงกระทําในแนวดิงแบบไป-กลับ ซําหลายรอบ โดย
กําหนดข้ อมูลเครื องจักร ดังนี
นําหนักของเครื องจักรทังหมด 10 ตัน
ข้ อมูลแรงกระทําในเครื องจักร
x นําหนักของเครื อง Pulsator ซึงเคลือนทีได้ W p 45 กก.
x ระยะช่วง Stroke length ของเครื อง Pulsator S p r 3.50 ซม.
x นําหนักของเครื องทดสอบ(testing machine) ซึงเคลือนทีได้ (Wt ) 700 กก.
x ระยะช่วง Stroke length ของเครื องทดสอบ (St ) r 0.50 ซม.
x ความถีในขณะเดินเครื อง 300-750 รอบ/นาที (rpm)
ค่าการเคลือนทีสูงสุดทียอมให้ 0.50 มม.
การออกแบบฐานรากแบ่งออกเป็ น 2 กรณี คือ
กรณีที 1 ดินปกติ ค่ากําลังแบกทานของดินทียอมให้ 20 ตัน/ตารางเมตร ออกแบบเป็ นฐานรากแผ่
กรณีที 2 ดินอ่อน ค่ากําลังแบกทานของดินทียอมให้ 2 ตัน/ตารางเมตร ออกแบบเป็ นฐานรากเสาเข็ม
268 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร

A A

2m 3m

2m
3m
a) Plan view

Pz

1.25 m

0.75 m

b) Section A-A

รูปที 11.7 แบบผังและรูปตัดของฐานรากเครืองจักรแบบ Block-type


บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 269

กรณีที 1 ดินแข็ง ออกแบบเป็ นฐานรากแผ่

Step 1 ตรวจสอบความถีธรรมชาติของฐานราก
นําหนักฐานราก = ^ 3u 3u 0.75  2 u 2 u1.25 ` 2, 400 = 28, 200 กก.
นําหนักของเครื องจักรทังหมด 10 ตัน = 10,000 กก.
รวมนําหนักทังหมด 38, 200 กก.
38, 200
คิดเป็ นมวล = 38.94 กก.-วินาที2/ซม.
981
10 10
ค่าสัมประสิทธิ Cz = Cz 4 4.216 กก./ซม.3
At 3u 3
ค่าสปริงสติฟเนสในแนวดิง สําหรับฐานรองรับเป็ นดิน
Kz Cz At 4.216 u 300 u 300 37.944 u104 กก./ซม.
1 k 1 37.944
ค่าความถีธรรมชาติ = fn u102 u 60 942.64 รอบ/นาที (rpm)
2S m 2S 38.94
เมือเปรี ยบเทียบกับความถีสูงสุดในขณะเดินเครื อง 750 รอบ/นาที (rpm) ค่าความถีธรรมชาติของฐาน
รากสูงกว่า 25% ดังนัน จะไม่ เกิดการสันพ้ อง (Resonance) จึงปลอดภัย

Step 2 ตรวจสอบหน่ วยแรงกดของดินใต้ ฐานราก


คํานวณแรงกระทําจากเครื องจักร Unbalanced Force P
ก) เครื องทดสอบ (testing machine)
2
Wt 700 § 2S u 750 ·
Pt StZm2 0.5 ¨ ¸ 2, 200 กก.
g 981 © 60 ¹
ข) เครื อง Pulsator
2
Wp 45 § 2S u 750 ·
Pp S pZm2 3.5 ¨ ¸ 990 กก.
g 981 © 60 ¹
รวมแรงกระทํา Unbalanced Force P 2, 200  990 3,190 กก.
คํานวณแรงกระทําพลศาสตร์ เนืองจากความล้ า (Fatigue)
F [ DP
เมือ [ คือ ตัวคูณเนืองจากความล้ า (Fatigue) มีคา่ เท่ากับ 3
คํานวณค่าการขยายกําลังพลศาสตร์ D
270 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร

กรณีที 1 f n 942.64 รอบ/นาที f m 300 รอบ/นาที


f n2 942.642
D1 1.113
f n2  f m2 942.642  3002
กรณีที 2 f n 942.64 รอบ/นาที f m 750 รอบ/นาที
f n2 942.642
D2 2.725
f n2  f m2 942.642  7502
ใช้ คา่ D2 เป็ นตัวกําหนดการออกแบบ
F [ DP 3 u 2.725 u 3190 26,078.25 กก.
รวมนําหนักจากแรงสถิตและแรงพลศาสตร์ = 38, 200  26,078.25 = 64, 278.25 กก.
64, 278.25
หน่วยแรงกดบนดิน = 7.142  20 ตัน/ตารางเมตร
3 u 3 u1,000
หากออกแบบเป็ นฐานแผ่ ฐานรากจึงรับกําลังแบกทานได้ โดยปลอดภัย

Step 3 ตรวจสอบค่ าการเคลือนทีสูงสุด


udynamic ustatic u D
P 3,190
หรื อ ' D u 2.725 0.023 ซม.
Kz 37.944 u104
< 0.50 มม.
0.23
ค่ าการเคลือนทีสูงสุดน้ อยกว่ าค่ าทียอมให้ จึงปลอดภัย

กรณีที 2 ดินอ่ อน ออกแบบเป็ นฐานรากเสาเข็ม

Step 4 ออกแบบเสาเข็มเบืองต้ น
จากการรวมนําหนักจากแรงสถิตและแรงพลศาสตร์ จาก Step 2 = 64, 278.25 กก.
ใช้ เสาเข็มหน้ าตัด I ขนาด 0.18x0.18 ยาว 21 เมตร รับนําหนักบรรทุกปลอดภัยต้ นละ 20 ตัน
64, 278.25
ใช้ เสาเข็มจํานวน 4 ต้ น รับนําหนักต้ นละ 16.07 ตัน
4 u1,000
บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 271

3m
2m
Pz

A A
3m 2m 1.25 m

0.75 m

a) Plan view
เสาเข็มขนาด I 0.18x0.18x21.0 m

b) Section A-A

รูปที 11.8 แบบผังและรูปตัดของฐานรากเสาเข็มรองรับเครืองจักรแบบ Block-type

Step 5 ตรวจสอบความถีธรรมชาติของฐานรากเสาเข็ม
ค่าสปริงสติฟเนสในแนวดิงสําหรับเสาเข็มเดียวแบบแรงเสียดทาน
K s C p As

ค่า C p สําหรับดินเหนียวอ่อน 500 T / m3 As = 0.83 u 21.0 m

Ks 500 u 0.83 u 21.0 8,715 ตัน/เมตร


รวมค่าสปริงสติฟเนสของเสาเข็มกลุม่ 4 u 8,715 34,860 ตัน/เมตร
34.86 u104 กก./ซม.
1 k 1 34.86
ค่าความถีธรรมชาติ = fn u102 u 60 903.52 รอบ/นาที (rpm)
2S m 2S 38.94
เมือเปรี ยบเทียบกับความถีสูงสุดในขณะเดินเครื อง 750 รอบ/นาที (rpm) ค่าความถีธรรมชาติของฐาน
รากสูงกว่า 20% ดังนัน จะไม่ เกิดการสันพ้ อง (Resonance) จึงปลอดภัย

Step 6 ตรวจสอบนําหนักบรรทุกของฐานรากเสาเข็ม

คํานวณค่าการขยายกําลังพลศาสตร์ D
กรณีที 1 fn 903.52 รอบ/นาที fm 300 รอบ/นาที
f n2 903.522
D1 1.124
f n2  f m2 903.522  3002
272 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร

กรณีที 2 f n 903.52 รอบ/นาที f m 750 รอบ/นาที


f n2 903.522
D2 3.216
f n2  f m2 903.522  7502
ใช้ คา่ D2 เป็ นตัวกําหนดการออกแบบ
F [ DP 3 u 3.126 u 3190 29,915.82 กก.
รวมนําหนักจากแรงสถิตและแรงพลศาสตร์ = 38, 200  29,915.82 = 68,115.82 กก.
68,115.82
นําหนักบรรทุกบนเสาเข็ม = 17.03  20 ตัน
4 u1,000
หากออกแบบเป็ นฐานรากเสาเข็ม ฐานรากเสาเข็มจึงรับกําลังแบกทานได้ โดยปลอดภัย

Step 7 ตรวจสอบค่ าการเคลือนทีสูงสุดของฐานราก


udynamic ustatic u D
P 3,190
หรื อ ' D u 3.126 0.0286 ซม.
Kz 34.86 u104
0.286 < 0.50 มม.

ค่ าการเคลือนทีสูงสุดน้ อยกว่ าค่ าทียอมให้ จึงปลอดภัย


บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 273

บทที 12
การออกแบบแผ่ นผนังคอนกรีตหล่ อสําเร็จ
12.1 บทนํา
การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จในอาคารสําหรับบทนี พิจารณาเป็ นแผ่นผนังรับนําหนัก
(Load bearing wall) ซึงทําหน้ าทีรับนําหนักบรรทุกในแนวดิงเนืองจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนัก
บรรทุกจร และทําหน้ าทีเป็ นผนังรับแรงเฉือน (Shear wall) สามารถต้ านทานแรงด้ านข้ างเนืองจากแรงลม
และแรงแผ่นดินไหวได้ การกระจายนําหนักบรรทุกสําหรับแผ่นผนังคอนกรี ตในอาคารแสดงในรูปที 12.1

รรทกุ
นกั บ
นําห
จาย
กระ
การ

แรง
ลม

ลม
แรง

รูปที 12.1แบบจําลองแผ่ นผนังคอนกรีตรับนําหนักบรรทุกในอาคาร


274 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

12.2 หลักการออกแบบ
การกําหนดความหนาของแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็จ
โดยทัวไป ความหนาของแผ่นผนังอยู่ระหว่าง 12-30 ซม. ในขันตอนการออกแบบ จะต้ องสมมุติ
ความหนาของแผ่นผนังก่อน จากนันจึงคํานวณตรวจสอบหน่วยแรงในหน้ าตัดคอนกรี ต ให้ อยู่ในเกณฑ์คา่ ที
ยอมให้ สําหรับการควบคุมการแตกร้ าวของผนัง สําหรับกรณีนําหนักบรรทุกรวม (Combined load cases)
การจัดวางทิศทางของแผ่นผนังในอาคาร ควรจะวางแผ่นผนังให้ อยู่ในแนวตังฉากกัน เพือให้ สามารถ
ต้ านทานแรงลมได้ ทงสองทิ
ั ศทาง ดังแสดงในรูปที 12.2ก การวางแผ่นพืนคอนกรี ตสําเร็ จควรวางในทิศทาง
ทีกระจายนําหนักจากพืนไปสู่แผ่นผนังทีเป็ นผนังทึบ แผ่นผนังอาคารจะออกแบบให้ รับนําหนักบรรทุกที
ถ่ายจากหลังคาและพืนลงมาในแนวดิง นอกจากนียังต้ องออกแบบให้ ต้านทานแรงลมทางด้ านข้ างได้ ด้ วย
สําหรับการดัดออกนอกแผ่นระนาบดังแสดงในรูปที 12.2ข และแรงกระทําในระนาบในรูปที 12.2 ค

ทิศทางการกระจาย แรงลม
นําหนักบรรทุกของแผ่นพืน นําหนักบรรทุก

แรงลม

แรงลม ข) รูปตัดอาคาร
ก) ผังอาคาร

นําหนักบรรทุก
โมเมนต์

แรงลม

แรงเฉือน

ค) ผนังในทิศทาง N-S
รับนําหนักบรรทุกและแรงลม
รูปที 12.2 การจัดวางทิศทางแผ่ นผนังในอาคาร
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 275

แผ่นผนังในอาคารโดยทัวไปจะพิจารณาเป็ นแผ่นผนังซึงมีการคํายัน (Braced wall) ต่อแรงกระทํา


ทางด้ านข้ าง ด้ วยแผ่นพืนและแผ่นผนังทีอยูใ่ นแนวตังฉากกัน ดังแสดงในรูปที 12.3 ในกรณีทีไม่มีแผ่นผนัง
ในแนวตังฉากจะพิจารณาเป็ นแผ่นผนังไม่คายั ํ น (Unbraced wall)

แรงลม
ลม
แรง

ก) อาคารแบบแผ่นผนังมีการคํายัน
(Braced wall)
N

แรงลม
แรงลม
แผ่นผนังคํายัน (Braced wall)

ข) ผังอาคาร ค) แผ่นผนังคํายัน (Braced wall)


รูปที 12.3 แผ่ นผนังคํายัน

ในกรณี การออกแบบแผ่นผนังสําหรับปล่องลิฟท์ จะพิจารณาเป็ นแผ่นผนังแบบยืน (Cantilever


wall) แสดงการออกแบบในรูป 12.4
276 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

รูปที 12.4 แผ่ นผนังแบบยืน

12.3 การคํานวณหน่ วยแรงในแผ่ นผนัง

การคํานวณตรวจสอบหน่วยแรงในหน้ าตัดแผ่นผนังคอนกรี ตในที นี ใช้ วิธี การวิเคราะห์ โมเมนต์


ลําดับสอง Second –Order (P- ' ) Analysis โดยใช้ สมมุตฐิ านหน้ าตัดคอนกรี ตไม่แตกร้ าว

ขันตอนที 1 ตรวจสอบกําลังรับนําหนักบรรทุกของแผ่นผนังโดยสูตร Euler’s formula


S 2 EI eff
Pc (12.1)
l2
0.7 Ec I g
เมือ EIeff
1  Ed
DL
E d คือ อัตราส่วนระหว่างนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกทังหมด E d
TL
Ec คือ โมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรี ต
I g คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของแผ่นผนัง
l คือ ความสูงของแผ่นผนัง

ขันตอนที 2 คํานวณค่าการโก่งตัวของแผ่นผนังเนืองจากผลต่างของอุณหภูมิของผิวแผ่นผนัง
(Thermal Bow)
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 277

รูปที 12.5 การโก่ งตัวของแผ่ นผนังเนืองจากผลต่ างของอุณหภูมิ

'T C T1  T2 l 2 / 8h (12.2)
เมือ C คือ สัมประสิทธิการยืดหดตัวของคอนกรี ตเนืองจากอุณหภูมิ
T1, T2 คือ อุณหภูมิของแผ่นผนังภายนอกและภายใน ตามลําดับ
h คือ ความหนาของแผ่นผนัง
l
และ 'T ใช้ ไม่น้อยกว่า
360

ขันตอนที 3 คํานวณค่าการโก่งตัวของแผ่นผนังเนืองจากผลของนําหนักเยืองศูนย์ Pu ˜ ec
Pu ecl 2
' (12.3)
16 EI
เมือ ec คือ ค่าการเยืองศูนย์ของนําหนักบรรทุก
และ 6' 'T  '

ขันตอนที 4 คํานวณค่าการโก่งตัวทีกึงกลางของแผ่นผนังโดยอนุกรมเรขาคณิต (Geometric series)


6'
e (12.4)
1  'i ec
Pu ecl 2
เมือ 'i
8EI
Pu ˜ ec
คํานวณโมเมนต์ทีกึงกลางแผ่นผนัง Mu  Pu ˜ e
2

ขันตอนที 5 ตรวจสอบการแตกร้ าวของแผ่นผนัง โดยหน่วยแรงทีผิวคอนกรี ต


P Mc
ft  (12.5)
A I
หน่วยแรงดึงทีผิวคอนกรี ต จะต้ องไม่เกิน 1.96 fcc
278 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

หน่วยแรงอัดทีผิวคอนกรี ต จะต้ องไม่เกิน 0.45 fcc

ขันตอนที 6 สร้ างกราฟ P-M interaction diagram และตรวจสอบค่า Pu , M u


ในขันตอนการสร้ างกราฟ P-M interaction diagram จําเป็ นต้ องใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น
โปรแกรม Lecwall เป็ นต้ น จะช่วยในการสร้ างกราฟ P-M interaction diagram และตรวจสอบค่า
Pu , M u ได้ ง่ายขึน ในการตราจสอบ ค่า Pu , M u จะต้ องอยูภ
่ ายในกราฟ การออกแบบจึงจะใช้ ได้

ขันตอนที 1-6 เป็ นการตรวจสอบในช่วงสภาวะประลัย สําหรับในช่วงการหล่อแผ่นผนัง จะต้ องมีการ


ตรวจสอบหน่วยแรงในช่วงการถอดแบบ (Stripping) การขนส่ง (Transportation) และการติดตัง
(Erection) อีกด้ วย

ตัวอย่ างที 12.1 อาคารบ้ านพักอาศัยหลังหนึง มีการออกแบบโดยใช้ แผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็จแบบรับ


นําหนัก (Load bearing wall) จงออกแบบแผ่นผนัง ดังนี
ก) สําหรับแผ่นผนังแบบทึบ ขนาดความยาว 2.0 ม. สูง 3.60 ม.
ข) สําหรับแผ่นผนังแบบมีชอ่ งเปิ ด โดยมีช่องหน้ าต่าง ขนาดกว้ าง 2.2 ม. สูง 2.15 ม.
กําหนดให้ อาคารนีมีการออกแบบแรงลมตามกฎกระทรวงฉบับที 6 และออกแบบต้ านทานแผ่นดินไหว
ตามมาตรฐาน มยผ.1302 สําหรับพืนทีในเขต กรุงเทมหานคร
แรงลม: 50 kg / m2
ค่าการโก่งตัวเนืองจากอุณหภูมิ (Thermal Bow): 'T 30 F 17 C
นําหนักบรรทุก หลังคา: wD = 100 kg / m2 LL = 30 kg / m2

นําหนักบรรทุก พืนทัวไป : wD =300+50 =350 kg / m2 LL = 200 kg / m2

คุณสมบัตขิ องหน้ าตัดแผ่นผนัง


ความยาว: แบบทึบ 2.0 ม. แบบมีช่องเปิ ด 5.5 ม.
ความหนา: 16 ซม.
ความสูง: 3.6 ม.
ค่าการเยืองศูนย์ของนําหนักบรรทุก ec 5 cm
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 279

200 16
3
โมเมนต์อินเนอร์ เชียสําหรับแผ่นผนังแบบทึบ: I 68, 267 cm4
12
นําหนักผนัง (สูง4.65 m)สําหรับแผ่นผนังแบบทึบ : W 0.16 u 4.65 u 2.0 u 2,400 3,571 kg
เหล็กตะแกรง Weld wire mesh
ปริมาณเหล็กเสริมตําสุด
Uv 0.002, Uh 0.002
ระยะห่างเหล็กเสริม d 3h, 45 cm

รูปที 12.6 ผังอาคารแสดงการวางแผ่ นผนัง


280 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

2.15 m

3.60 m

2.00 m 1.65 m 2.20 m 1.65 m

ก) ผนังแบบทึบ ข) ผนังแบบมีชอ่ งเปิ ด

รูปที 12.7 แผ่ นผนังแบบทึบและแบบมีช่องเปิ ด


วิธีทาํ
ก) สําหรับกรณีแผ่ นผนังแบบทึบ
กรณีที 1 การรวมนําหนักบรรทุก U = 1.2DL+1.6LL
P3

P2
P1
ec 5 cm
12.5cm

h 347.5 cm
t 16 cm

รูปที 12.8 นําหนักบนแผ่ นผนัง


บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 281

นําหนักพืน P1 ^1.2 350  1.6 200 ` 42 u 2.0 2,960 kg

นําหนักผนัง P2 1.2 3,571 4,285 kg

นําหนักหลังคา P3 ^1.2 100 1.6 30 `3.5 u 2.0 1,176 kg

¦ Pu 8, 421 kg
ขันตอนที 1 ตรวจสอบกําลังรับนําหนักบรรทุกของแผ่นผนังโดยสูตร Euler’s formula
S 2 EI eff
Pc
l2
0.7 Ec I g
เมือ EI eff
1  Ed
DL 1.2 350 u 2  100 u 3.5 2.0  4, 285
Ed 0.81
TL 8, 421

EI eff

0.7 2.46 u105 68, 267
6.49 u109 kg  cm2
1  0.81
S (6.49 u109 )
2
Pc 530, 438 kg ! 8, 421 kg O.K.
347.5 2

ขันตอนที 2 ค่าการโก่งตัวเริ มต้ นเนืองจากอุณหภูมิ


'T C T  T l 2 / 8h 6 u106 30 347.5 2 8 161
l 347.5
0.17 cm  ใช้ คา่ 'T 0.965 cm
360 360

ขันตอนที 3 คํานวณค่าการโก่งตัวของแผ่นผนังเนืองจากผลของนําหนักเยืองศูนย์ Pu ˜ ec

'
Pu ecl 2 2960 u 5 347.5 2 0.017 cm
16 EI
16 6.49 u109
6' 0.965  0.017 0.982 cm
282 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

ขันตอนที 4 คํานวณค่าการโก่งตัวทีกึงกลางของแผ่นผนังโดยอนุกรมเรขาคณิต

'
Pu ecl 2 2960 ˜ ec 347.5 2 0.007 ec
8EI
8 6.49 u109
6' 0.982
e 0.99 cm
1  'i ec 1  0.007
M u ทีกึงกลางผนัง = 7400  2960 u 0.99 10,330 kg  cm

โมเมนต์ บนแผ่ นผนัง


สถานะนําหนักบรรทุกเริมต้ น
Pe 2,960 u 5 14,800
1
x x14,800
347.5 cm

N.A. 7, 400 2,960 u 0.965 2,856 10, 256


x x x
l

Moment due to Moment due to initial Combined Moment


eccentricity (kg-cm) bow (kg-cm) (kg-cm)

รูปที 12.9 โมเมนต์ บนแผ่ นผนัง

สถานะนําหนักบรรทุกสุดท้ าย
Pe 2960 u 5 14,800
1
x x14,800
407.5 cm

N.A. 7400 2960 u 0.99 2,930 10,330


x x x
l

Moment due to Moment due to Combined Moment


eccentricity (kg-cm) P-delta (kg-cm) (kg-cm)

รูปที 12.10 โมเมนต์ บนแผ่ นผนัง


บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 283

ขันตอนที 5 ตรวจสอบการแตกร้ าวโดยหน่วยแรงทีผิวคอนกรี ต


10,330 16 / 2
หน่วยแรง f P  Mc 8421 
t 1.42 ksc (แรงอัด)
A I 16 u 200 68267
หน่วยแรงสุทธิ 1.42 ksc  0.45 fcc O.K.

ขันตอนที 6 สร้ างกราฟ P-M interaction diagram และตรวจสอบค่า Pu , M u


นําหนักบรรทุกประลัย Pu 8,421 kg 8.421 T

โมเมนต์ดดั ประลัย M u 10,330 kg  cm 0.103 T  m


จุด ( Pu , M u ) อยูภ่ ายในกราฟ P-M interaction diagram สร้ างด้ วยโปรแกรม Lecwall O.K.
ขนาดหน้ าตัดผนัง 16x200 cm
ใช้ Weld wire mesh I 9mm @0.20m# , As 318 mm2 / m
As 3.18
U h Uv 0.002 = Umin O.K.
bt 100 u16
I Pn T

800

600

400

200 Case
1 2
uu
10 20 30
I M n T  m
P-M Interaction diagram from
Lecwall

รูปที 12.11 กราฟ P-M interaction diagram จากโปรแกรม Lecwall


284 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

กรณีที 2 การรวมนําหนักบรรทุก U = 1.2DL+1.0LL+1.6WL


P3

P2
P1
e 5 cm
12.5cm

Wind load h 347.5 cm


160 kg/m

รูปที 12.12 นําหนักและแรงลมบนแผ่ นผนัง

นําหนักบรรทุกประลัย
P1u 1.2DL  1.0LL

P1 ^1.2 350 u 2 1.0 200 u 2 ` 2 2,480 kg

6Pu 2480  4285  1050 7815 kg


ค่าการโก่งตัวของแผ่นผนังเนืองจากผลของนําหนักเยืองศูนย์ P1u ˜ ec

'
P1u ecl 2 2480 u 5 347.5 2 0.014 cm
16 EI
16 6.49 u109
ค่าการโก่งตัวของแผ่นผนังเนืองจากแรงลม
5 wu l 4
'
384 EI eff
แรงลม wu 1.6 50 u 2 160 kg / m

EI eff
0.7 Ec I g
0.7 2.46 u105 68, 267
11.76 u109 kg  cm2
1  Ed 1.0
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 285

5 160 347.5
4
1
' ˜ 9
u 0.026 cm
384 11.76 u10 100

ค่ าการโก่ งตัวรวม 6' 0.965  0.014  0.026 1.005 cm

คํานวณค่าการโก่งตัวทีกึงกลางของแผ่นผนังเนืองจากโมเมนต์ลําดับสอง P'

'
P1u el 2 2480 ˜ e 347.5 2 0.0032 e
8EI
8 11.76 u109
คํานวณค่าการโก่งตัวทีกึงกลางของแผ่นผนังโดยอนุกรมเรขาคณิต
eo 1.005
e 1.008 cm
1  'i e 1  0.0032
P1u ˜ ec w l2
M u กึงกลางของแผ่นผนัง =  P1u ˜ e  u
2 8
160 3.475
2
2480 u 5
 2480 1.008  100 32,851 kg  cm
2 8

สถานะนําหนักบรรทุกสุดท้ าย

2480 u 5 12, 400


x12, 400
Pe
1
x
347.5 cm

160 3.475
2

N.A. 6200 2480 u1.008 2,500 100 32,851


x x x 8 x
24,151
l

Moment due to Moment due to Moment due to Combined Moment


eccentricity (kg-cm) P-delta (kg-cm) Wind load (kg-cm) (kg-cm)

รูปที 12.13 โมเมนต์ บนแผ่ นผนัง


286 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

ตรวจสอบการแตกร้ าวโดยหน่วยแรงทีผิวคอนกรี ต
P Mc 7,815 32,851 16 / 2
หน่วยแรง ft   1.41 ksc (แรงดึง)
A I 16 u 200 68267
หน่วยแรงสุทธิ 1.41ksc

โมดูลสั แตกร้ าว fr 1.96 fcc 1.96 240 30.36 ! 1.41 O.K.

สร้ างกราฟ P-M interaction diagram และตรวจสอบค่า Pu , M u


นําหนักบรรทุกประลัย Pu 7,815 kg 7.815 T

โมเมนต์ดดั ประลัย M u 32,851 kg  cm 0.328 T  m


จุด ( Pu , M u ) อยูภ่ ายในกราฟ P-M interaction diagram สร้ างด้ วยโปรแกรม Lecwall O.K.
I Pn T

800

600

400

200 Case
1 2
uu
10 20 30
I M n T  m
P-M Interaction diagram from
Lecwall

รูปที 12.14 กราฟ P-M interaction diagram จากโปรแกรม Lecwall


บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 287

ข) สําหรับกรณีแผ่ นผนังแบบมีช่องเปิ ด
กรณีนีแสดงการคํานวณสําหรับแรงแผ่นดินไหวโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่า ตามมาตรฐานมยผ.1302
1) พืนทีโซน 5 กทม. SDS 0.126 g, SD1 0.158 g

2) ความสําคัญของอาคารประเภทปกติ II (I=1.0)
ประเภทการออกแบบอาคารต้ านทานแผ่นดินไหว ค.
3) ระบบโครงสร้ างต้ านแรงด้ านข้ าง กําแพงรับแรงเฉือนหล่อสําเร็จความเหนียวปานกลาง
(Intermediate Precast Shear Wall) R 4, :o 2.5, Cd 4

4) คาบการสันธรรมชาติของโครงสร้ าง
T 0.02H 0.02 u 8.85 0.177 วินาที
5) นําหนักอาคาร W ( ชัน 1 w1 1, 211 kg / m2 , ชันหลังคา w2 403 kg / m2 )

W ^ 1211u175  403u175 `103 282.5 T

6) สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐานอาคาร Cs
S DS ˜ I0.126 u1.0
Cs 0.0315g
R 4
S ˜ I 0.158 u1.0
Cs 0.0315 g  D1 0.223g และ Cs ! 0.01g
T ˜R 0.177 u 4
7) คํานวณหาแรงเฉือนทีฐานอาคาร
V CsW 0.0315 u 282.5 8.9 T
8) กระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชันอาคาร จาก
wx hx
Fx CvxV n
V
¦ wi hi
i 1

ตารางที 12.1 แรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉือนในแต่ละชัน


ระดับชัน Wx hx Wx hx Fx Vx
(ตัน) (ม.) (ตัน-ม.) (ตัน) (ตัน)
Roof 70.5 8.85 623.93 3.67 3.67
1 212 4.20 890.40 5.23 8.90
6 = 1514.33
288 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

เมือทําการวิเคราะห์โครงสร้ างด้ วยโปรแกรม ETABS เพือหาค่าการเคลือนทีและแรงภายใน


โครงสร้ าง ผลการวิเคราะห์แสดงในรูปที 12.15-12.18

รูปที 12.15 การเคลือนทีของโครงสร้ างผนังคอนกรีตจากแรงแผ่ นดินไหวสําหรับรูปตัดแนวแกน A


(Combined load= 1.DL+1.0LL+1.0EQX)
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 289

รูปที 12.16 โมเมนต์ ของโครงสร้ างผนังคอนกรีตจากแรงแผ่ นดินไหวสําหรับรูปตัดแนวแกน A


(Combined load= 1.DL+1.0LL+1.0EQX)

รูปที 12.17 แรงเฉือนของโครงสร้ างผนังคอนกรีตจากแรงแผ่ นดินไหวสําหรับรูปตัดแนวแกน A


(Combined load= 1.DL+1.0LL+1.0EQX)
290 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

รูปที 12.18 แรงแนวแกนของโครงสร้ างผนังคอนกรีตจากแรงแผ่ นดินไหวสําหรับรูปตัดแนวแกน A


(Combined load= 1.DL+1.0LL+1.0EQX)

ตารางที 12.2 ค่าการเคลือนทีในแต่ละชันสําหรับแรงกระทําในทิศทางตะวันออก-ตะวันตก (แกน x)


ระดับชัน แรงเฉือน การเคลือนทีสัมพัทธ์ระหว่าง การเคลือนทีสัมพัทธ์ระหว่าง
Vx ชัน (elastic) ชัน
(ตัน) G xe  G xe1 (ซม.) Cd G xe
'x (ซม.)
I
Roof 3.67 0.0060 0.024
1 8.90 0.00084 0.0034

ความสําคัญของอาคารประเภท II
ค่าระยะการเคลือนทีสัมพัทธ์ทียอมให้ ไม่เกิน 'a = 0.02h
= 0.02(465) = 9.3 ซม.
ค่าระยะการเคลือนทีสัมพัทธ์ในแต่ละชันไม่เกินค่าทีกําหนดไว้ (' x  'a )
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 291

คํานวณกําลังของผนังกําแพงรับแรงเฉือน สําหรับแนวแกน A ระหว่าง Axis 3 และ Axis 4


จากผลของโปรแกรม ETABS นํามาแสดงดังรูป 12.19

Pu 21,352 kg Pu 8, 400 kg

3.60 m M u 14,320 kg  m M u 16,757 kg  m

Vu 1,820 kg Vu 1,820 kg

1.65 m 2.20 m 1.65 m

รูปที 12.19 กําแพงรับแรง Combined load สําหรับแนวแกน A ระหว่ าง Axis 3 และ Axis 4

สําหรับ แผ่นผนังขนาด 16x165 cm


Vu 1,820 kg , Pu 21,352 kg , M u 14,320 kg  m
Vu 1,820 kg , Pu 8, 400 kg , M u 16,757 kg  m

สร้ างกราฟ P-M Interaction curve โดยโปรแกรม CSI Column สําหรับแผ่นผนังขนาด 16x165 cm
และใช้ ปริมาณเหล็กเสริมเช่นเดียวกับแผ่นผนังแบบแรก คือ Weld wire mesh I 9mm @0.20m# ,
As 318 mm2 / m
As 3.18
U h Uv 0.002 = Umin
bt 100 u16
ผลการวิเคราะห์หน้ าตัด และ กราฟ P-M Interaction curve นํามาแสดงดังรูป 12.20-12.21
ค่า ( Pu , M u ) อยูใ่ นตําแหน่งภายในกราฟ P-M Interaction curve. O.K.
292 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

รูปที 12.20 หน้ าตัดแผ่ นผนัง (Wall Section 16x165 cm, RB9@20 cm)

รูปที 12.21 กราฟ P-M Interaction curve สําหรับ X – axis


บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 293

ตรวจสอบแรงเฉือนในกําแพง
ตรวจสอบว่าจะต้ องเสริมเหล็กตะแกรงรับแรงเฉือน 2 ชันหรื อไม่ จาก
Vu ! 0.53 fcc Acv
0.53 fcc Acv 0.53 240(16 u165) 21,676 กก. > 1,820 กก. Vu
ดังนัน อาจออกแบบเป็ นเหล็กเสริมชันเดียวได้
ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริม
เนืองจาก Vu  IVc 2 I 0.26 fcc Acv 0.6 u 0.26 240(16 u165) 6,380 กก.
ดังนัน ใช้ Uv(min.) Uh(min.) 0.002
ตรวจสอบกําลังรับแรงเฉือนของกําแพง จาก
hw 420
2.55 ! 2.0
lw 165

IVn I Acv 0.53 fcc  Un f y

0.6 16 u165 0.53 240  0.002 u 2, 400
20,609 กก. < 2.1 240(16 u165) 85,887 กก.
> Vu 1,820 กก.
แสดงว่า กําลังต้ านทานแรงเฉือนของกําแพงสามารถต้ านทานแรงเฉือนประลัยได้

I12mm โดยรอบ

แผ่นเหล็ก

I 9mm @ 0.20m#

I12mm โดยรอบ

รูปที 12.22 การเสริมเหล็กในแผ่ นผนัง


294 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ

รูปที 12.23 รอยต่ อระหว่ างแผ่ นพืนและผนังคอนกรีตแบบ Load bearing wall (PCI Handbook, 1999)

รูปที 12.24 รอยต่ อระหว่ างแผ่ นพืนและผนังคอนกรีตแบบ Shear wall (PCI Handbook, 1999)
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 295

รูปที 12.25 รอยต่ อระหว่ างแผ่ นผนังและฐานรากคอนกรีต (PCI Handbook, 1999)

รูปที 12.26 รอยต่ อระหว่ างแผ่ นผนังคอนกรีตในระนาบเดียวกัน (PCA, 1987)

รูปที 12.27 รอยต่ อระหว่ างแผ่ นผนังคอนกรีตทีมุมแผ่ น (PCA, 1987)


สัญลักษณ์ 297

สัญลักษณ์
A ค่าการเคลือนทีสูงสุดของพืนดิน
Ach พืนทีหน้ าตัดแกนเสาโดยวัดจากขอบนอกสุดของแกนเสาทีล้ อมรอบด้ วยเหล็กปลอก
Af พืนทีของฐานราก
Ag พืนทีหน้ าตัดเสาทังหมด
Ah เนือทีหน้ าตัดเหล็กเสริมในแนวนอน
Aj พืนทีหน้ าตัดประสิทธิผลทีข้ อต่อ
As เนือทีหน้ าตัดเหล็กเสริมรับแรงดึง
Asbw ปริมาณเหล็กเสริมในแถบกลาง
Ash พืนทีหน้ าตัดของเหล็กปลอกทังหมดภายในระยะห่าง s
Ast เนือทีหน้ าตัดเหล็กเสริมกันร้ าวเนืองจากการเปลียนปลงของอุณหภูมิ
Ast เนือทีหน้ าตัดเหล็กยืนในเสา
Ast ปริมาณเหล็กเสริมทังหมดในทิศทางสัน
Av เนือทีหน้ าตัดเหล็กเสริมรับแรงเฉือน
A1 พืนทีทีรับแรงกดอัดจริง
A2 พืนทีของฐานรูปปิ รามิดยอดตัด
b, bw ความกว้ างของคาน
bo เส้ นรอบรูปรับแรงเฉือนทะลุ
c ระยะจากขอบผิวทีเกิดแรงอัดสูงสุดไปยังแกนสะเทินของรูปตัดคานหรื อเสา
c ระยะห่างของเสาเข็มต้ นทีต้ องการหาค่า วัดจากแกนศูนย์ถ่วงของกลุม่ เสาเข็ม
c ค่า damping ทีแท้ จริง
ccr ค่า critical damping
cji ระยะจากจุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัวไปยังกําแพง j
c1 ความกว้ างของเสา
c2 ความลึกของเสา
C สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐาน
C ค่าคงทีของหน้ าตัดสําหรับองค์อาคารรับแรงบิด
Ce สัมประสิทธิซึงคํานึงถึงความสูง ภูมิประเทศ และลักษณะการพัดกรรโชกของแรงลม
CF1 ความกว้ างของเสาปลายไกล
CF2 ความลึกของเสาปลายไกล
298 สัญลักษณ์

Cji มีคา่ เท่ากับ 6(Ic / hi) สําหรับเสาในแนวแกน j ทีระดับพืน i


Cm ค่าสัมประสิทธิขึนกับการรับโมเมนต์ดดั ทีปลายเสาและแรงกระทําทางขวาง
CNF ตัวประกอบสําหรับการถ่ายโมเมนต์จากเสาปลายใกล้ ไปยังเสาปลายไกล
CN1 ความกว้ างของเสาปลายใกล้
CN2 ความลึกของเสาปลายใกล้
COF ตัวประกอบของการถ่ายโมเมนต์
COM โมเมนต์ทีถ่ายจากโมเมนต์ไม่สมดุลลงสูพ่ ืนหรื อคาน
Cq สัมประสิทธิแรงดันลม
d ความลึกประสิทธิผลของคาน
ระยะจากผิวนอกสุดด้ านรับแรงอัดไปยังจุดศูนย์ถ่วงของเหล็กเสริมรับแรงดึง
dc ระยะจากผิวนอกสุดด้ านรับแรงอัดไปยังจุดศูนย์ถ่วงของเหล็กเสริมรับแรงอัด
dbl ขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริมตามยาว
dbh ขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก
di ระยะห่างของเสาเข็ม i (i = 1-n) จากแกนศูนย์ถ่วงของกลุม่ เสาเข็ม
DF ตัวประกอบของการกระจายโมเมนต์
DM โมเมนต์ทีกระจายลงสูพ่ ืนหรื อคาน
e ระยะการเยืองศูนย์
Ec ค่าโมดูลสั ยืดหยุน่ ของคอนกรี ต
Ecs โมดูลสั ยืดหยุ่นของแผ่นพืน
(EI)ji ความแข็งเชิงดัด (Flexural Rigidity) ของกําแพง j ทีระดับชัน i
f หน่วยแรงฝื ดทียอมให้ เฉลีย
fb กําลังรับแรงกดทานของคอนกรี ต
fc c กําลังอัดประลัยของคอนกรี ตรูปทรงกระบอก
fn ความถีธรรมชาติของโครงสร้ างอาคาร
fc s หน่วยแรงอัดของเหล็กเสริมรับแรงอัด
fso แรงสถิตย์เทียบเท่า
fy กําลังต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ างของโครงสร้ างทีจุดคราก
fyh กําลังคลากของเหล็กปลอกเกลียว
Fi แรงกระทําด้ านข้ างทีระดับชัน i
Ft ส่วนหนึงของแรงเฉือนทีฐานอาคารกระทําทียอดอาคารเพิมไปจากแรง Fn
Fx แรงกระทําทางด้ านข้ างกระทําอยูช่ นอาคาร
ั x
สัญลักษณ์ 299

FEM โมเมนต์ทีปลายยึดแน่น
g อัตราเร่งเนืองจากแรงโน้ มถ่วงโลก
Gji มีคา่ เท่ากับ 6(Ig / L) สําหรับคานในแนวแกน j ทีระดับพืน i
(GA)ji ค่า Shear Rigidity ของโครงสร้ างในแนวแกน j ทีระดับชันที i
hc ความกว้ างของหน้ าตัดแกนเสาด้ านยาวสุด โดยวัดจากระยะห่างของศูนย์กลางของ
เหล็กปลอก
h, hf ความหนาของพืน
hi ค่าความสูงของเสาสําหรับชันที i
hw ความลึกของคานส่วนใต้ พืน วัดจากท้ องพืนถึงท้ องคาน
hx ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอกในทุกหน้ าตัดของเสา
H ความสูงทังหมดของอาคาร
Hc ความสูงสุทธิของเสา (clear height)
Hi ความสูงจากฐานของอาคารไปยังระดับชัน i
Hs ความลึกของชันดินอ่อน
i จํานวนชันของอาคาร
I สัมประสิทธิความสําคัญของอาคาร
Ia การวัดความรุนแรงของแผ่นดินไหวแบบ Arias intensity
Ic โมเมนต์ความเฉือยของเสา
Ig โมเมนต์ความเฉือยของคาน
Ii ค่าโมเมนต์ความเฉือยของเสาสําหรับชันที i
Ip โมเมนต์อินเนอร์ เชียรอบแกนศูนย์ถ่วงของกลุม่ เสาเข็ม
Is ค่าโมเมนต์ความเฉือยของแผ่นพืน
Isb โมเมนต์ความเฉือยของแผ่นพืนและคานในทิศทางขนานกับช่วงแผ่นพืนทีออกแบบ
Iw สัมประสิทธิความสําคัญของอาคาร
k ค่าสติฟเนสของโครงสร้ าง
kb ตัวประกอบความยาวประสิทธิผลของเสาในโครงอาคารทีไม่ยอมให้ เซ
(braced frame)
ks ตัวประกอบความยาวประสิทธิผลของเสาในโครงอาคารทียอมให้ เซ
(unbraced frame)
kNF ค่าตัวประกอบสติฟเนสของพืน
Kb สติฟเนสของคาน
Kct ค่าสติฟเนสของการดัดทีด้ านบนสุดของเสาส่วนล่าง
300 สัญลักษณ์

Kcb ค่าสติฟเนสของการดัดทีด้ านล่างสุดของเสาส่วนบน


Kec สติฟเนสของการดัดของเสาเทียบเท่า
Ki ค่าสติฟเนสของเสาสําหรับชันที i
Ksb, KNF สติฟเนสขององค์อาคารพืน-คาน
Kt สติฟเนสของการบิด
Kta สติฟเนสของการบิดทีเพิมขึนเนืองจากคานในทิศทางขนานกับช่วงแผ่นพืนทีออกแบบ
lc ระยะห่างของเสาวัดจากเส้ นผ่านศูนย์กลางของพืน-พืน
ld ความยาวของระยะยึดฝั งของเหล็กเสริม
ln ระยะช่วงว่างของคาน
lw ความยาวของกําแพง
L ความกว้ างของอาคาร
L ความยาวของเสาเข็ม
m นําหนักพืนหรื อหลังคา
m อัตราส่วน fy/0.85fcc
mNF สัมประสิทธ์ของโมเมนต์ทีปลายยึดแน่น
M ขนาดของแผ่นดินไหว, ริ คเตอร์
M +a , M -a กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีหน้ าตัดใดๆมีคา่ เป็ นบวกและลบ ตามลําดับ
M +n , M -n กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีจุดต่อเสา-คาน มีคา่ เป็ นบวกและลบ ตามลําดับ
Mact โมเมนต์ทีกระทําให้ เกิดการพลิกควําของอาคาร
Mb โมเมนต์ต้านทานทีฐานอาคาร
Mb มาตราวัดขนาดของแผ่นดินไหวแบบ Body Wave Magnitude
ME โมเมนต์เนืองจากแรงแผ่นดินไหว
Mi โมเมนต์ภายนอกทังหมดทีกระทําทีระดับชัน i
Mji โมเมนต์ในกําแพง j ทีระดับชัน i
ML มาตราวัดขนาดของแผ่นดินไหวแบบริคเตอร์
Mn กําลังโมเมนต์ทีออกแบบ
M0 โมเมนต์แผ่นดินไหว
Mpr กําลังโมเมนต์ต้านทานทีเป็ นไปได้ ทีปลายคาน
Mpr1, Mpr2 กําลังโมเมนต์ต้านทานทีเป็ นไปได้ ทีปลายเสาส่วนบนและเสาส่วนล่าง ตามลําดับ
Mri โมเมนต์ในกําแพงในแนวตังฉาก r ทีระดับชัน i
Ms มาตราวัดขนาดของแผ่นดินไหวแบบ Surface Wave Magnitude
สัญลักษณ์ 301

Mreact โมเมนต์ต้านทานการพลิกควําของอาคาร
Mu กําลังโมเมนต์ทีต้ องการ
Mub โมเมนต์ไม่สมดุลบริเวณหัวเสาของแผ่นพืน
Mu โมเมนต์ทีใช้ ออกแบบสําหรับแผ่นพืนทีออกแบบ
Mw มาตราวัดขนาดของแผ่นดินไหวแบบ Moment Magnitude
MW โมเมนต์เนืองจากแรงลม
Mx โมเมนต์ดดั กระทําในระดับชันอาคาร x
n จํานวนขององค์อาคารทียึดตรงรอยต่อในระนาบของโครงข้ อแข็ง
n, N จํานวนชันทังหมดของอาคาร
N จํานวนของเสาเข็ม
Nu นําหนักบรรทุกตามแกนเพิมส่วน
p เส้ นรอบรูปประสิทธิผลของเสาเข็ม
P แรงดันบนอาคาร
P นําหนักบรรทุกทังหมดทีกระทําลงฐานราก
Pcb แรงอัดวิกฤติซงคํ
ึ านวณจากทฤษฎีของ Euler ในโครงอาคารทีไม่ยอมให้ เซ
Pcs แรงอัดวิกฤติซงคํึ านวณจากทฤษฎีของ Euler ในโครงอาคารทียอมให้ เซ
Pn กําลังแรงอัดทีออกแบบ
Pu กําลังแรงอัดทีต้ องการ
PW แรงดันลมด้ านข้ างด้ านปะทะลม
PWR แรงดันลมทีหลังคาด้ านปะทะลม
PL แรงดันลมด้ านข้ างด้ านหลบลม
PLR แรงดันลมทีหลังคาด้ านหลบลม
PGA ค่าอัตราเร่งสูงสุดของพืนดิน
q หน่วยแรงดันดิน
q แรงปฏิกิริยาภายในแบบแผ่กระจายสมําเสมอ
qs แรงดันลม
Qb แรงเฉือนในกําแพง
QH แรงปฏิกิริยาภายในแบบกระทําเป็ นจุด
Qi แรงเฉือนทังหมด
Qji แรงเฉือนในกําแพง j ทีระดับชัน i
Qri แรงเฉือนในกําแพงในแนวตังฉาก r ทีระดับชัน i
302 สัญลักษณ์

Qs แรงเฉือนในโครงข้ อแข็ง
R นําหนักทีเสาเข็มแต่ละต้ นจะต้ องรับ
Re ระยะห่างจากศูนย์กลางของแผ่นดินไหว
Ri นําหนักบรรทุกกระทําบนเสาเข็ม i
Ru สัมประสิทธิของโมเมนต์ดดั ประลัย
Rw ค่าตัวประกอบการดูดซับพลังงาน
sj ระยะห่างของเหล็กปลอกในเสา ช่วงรอยต่อเสา-คาน
st ระยะห่างของเหล็กปลอกบริเวณช่วงกลางเสานอกเขตระยะความยาว lo
sx ระยะห่างของเหล็กปลอกภายในระยะความยาว lo
S ค่าสัมประสิทธิชันดิน
S ระยะห่างของเหล็กปลอก
Sn สัมประสิทธิของแต่ละสภาพชันดิน
S1 บริเวณข้ อหมุนพลาสติก
S2 บริเวณนอกเขตข้ อหมุนพลาสติก
S2 ระยะเรี ยงของเหล็กเสริมตามแนวนอน
SF ค่าความปลอดภัย
t0.05,t0.95 เวลาทีค่าอินทิเกรชันของ Arias intensity, Ia, ถึง 5% และ 95% ตามลําดับ
td ระยะเวลาการสันทังหมดของพืนดิน
T, Tn คาบการสันตามธรรมชาติของโครงสร้ าง
Td ระยะเวลาของการสันรุนแรงของพืนดิน
Tg คาบเวลาการสันสําคัญของพืนดิน
Ts คาบการสันตามธรรมชาติของชันดินอ่อน
u การเคลือนทีทางด้ านข้ างของมวล
u ความเร็วของมวล
u อัตราเร่งของมวล
ug การเคลือนทีของพืนดินเนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ug ค่าอัตราเร่งของพืนดินเนืองจากแรงแผ่นดินไหว
um การเปลียนตําแหน่งสูงสุด
uo ผลตอบสนองของการเปลียนรูปสูงสุดของโครงสร้ าง
uy การเปลียนตําแหน่งทีจุดคราก
vc หน่วยแรงเฉือนต้ านทานของคอนกรี ต
สัญลักษณ์ 303

V ความเร็วลมซึงวัดทีความสูงมาตรฐาน
V แรงเฉือนในคาน
Vb แรงเฉือนทีฐานอาคาร
Vc กําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต
Ve แรงเฉือนแนวราบกระทําทีตําแหน่งบนสุดและใต้ สดุ ของเสา
Vi แรงเฉือนทีเสาสําหรับชันที i เนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง
VL แรงเฉือนทีปลายคานทางซ้ าย, กก.
VR แรงเฉือนทีปลายคานทางขวา, กก.
Vn กําลังแรงเฉือนทีออกแบบ
Vs กําลังต้ านทานแรงเฉือนของเหล็กเสริม
Vs ความเร็วของคลืน S – Wave
Vu กําลังแรงเฉือนทีต้ องการ
Vx แรงเฉือนกระทําในระดับชันอาคาร x
Vxx แรงเฉือนกระทําทีข้ อต่อเสา-คาน
w นําหนักแผ่กระจายต่อหนึงหน่วยความยาว
w หน่วยนําหนักของคอนกรี ต
W นําหนักของอาคาร
W แรงกระทําทางด้ านข้ างจากภายนอกแบบแผ่กระจายสมําเสมอ
WD นําหนักบรรทุกคงที
WL นําหนักบรรทุกจร
WT นําหนักบรรทุกคงทีทังหมดของอาคาร
Wx,Wi นําหนักอาคารทีระดับพืน x และ i ตามลําดับ
x ด้ านสันของชินส่วนรูปสีเหลียมขององค์อาคารรับแรงบิด
x จุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัว
y ด้ านยาวของชินส่วนรูปสีเหลียมขององค์อาคารรับแรงบิด
Z สัมประสิทธิความเสียงภัยจากแผ่นดินไหว
Ds ค่าคงทีทีใช้ ในการคํานวณหาค่า Vc ในแผ่นพืน
E อัตราส่วนระหว่างด้ านยาวต่อด้ านสัน
E1 ตัวคูณประกอบสําหรับความลึกของบล๊ อกหน่วยแรงอัดเทียบเท่า
Ec อัตราส่วนของด้ านยาวต่อด้ านสันของพืนทีทีรับนําหนักบรรทุกกระทําเป็ นจุดหรื อรับ
แรงปฏิกิริยา
304 สัญลักษณ์

Gb ตัวคูณประกอบขยายค่าโมเมนต์ดดั สําหรับเสาทีไม่มีการเซ
Gn ค่าระยะการโก่งตัวด้ านข้ างในระดับชันที n ซึงเป็ นชันบนยอดสูงสุดของอาคาร
Gs ตัวคูณประกอบขยายค่าโมเมนต์ดดั สําหรับเสาทีมีการเซ
'n ค่าระยะโยกไหวระหว่างชันของอาคาร
'i ค่าระยะโยกไหวระหว่างชันของอาคาร
' ระยะศูนย์กลางแผ่นดินไหวเทียบกับเส้ นรอบรูปของโลก
'x ระยะโยกของระดับชัน x
I ตัวคูณลดกําลัง
Im ความโค้ งสูงสุด
Iy ความโค้ งทีจุดคราก
Jf สัมประสิทธิการถ่ายโมเมนต์ไม่สมดุลจากแผ่นพืนไปยังเสา
P ความเหนียวต่อการเปลียนตําแหน่ง
PI ความเหนียวต่อการดัดโค้ ง
T ค่ามุมทีหลังคาเอียงทํามุมกับแนวราบ
T ค่าสัมประสิทธิความมันคง
U อัตราส่วนของเหล็กเสริมรับแรงดึง
Uh อัตราส่วนเนือทีเหล็กเสริมรับแรงเฉือนตามแนวนอนต่อหน้ าตัดคอนกรี ตในแนวตัง
Us อัตราส่วนของปริมาตรของเหล็กปลอกเกลียวต่อปริมาตรของแกนเสาคอนกรี ตโดย
วัดจากขอบนอกสุดของแกนเสาทีล้ อมรอบด้ วยเหล็กปลอก
Ut อัตราส่วนของเนือทีเหล็กยืนในเสาต่อเนือทีทังหมดของหน้ าตัดเสาคอนกรี ต
Un อัตราส่วนเนือทีเหล็กเสริมรับแรงเฉือนตามแนวตังต่อหน้ าตัดคอนกรี ตในแนวนอน
Zn ความถีเชิงมุมธรรมชาติของโครงสร้ างอาคาร
[ ค่าอัตราส่วนของ Damping
\ ค่าอัตราส่วนระหว่างผลรวมของสติฟเนสแฟคเตอร์ ของเสาต่อผลรวมของสติฟเนส
แฟคเตอร์ ของคาน
บรรณานุกรม 305

บรรณานุกรม

1. มาตรฐาน ว.ส.ท. 1008-38 (2543) มาตรฐานสําหรับอาคารคอนกรี ตเสริ มเหล็ก โดยวิ ธี


กําลัง สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
2. มาตรฐานการคํานวณแรงลมและการตอบสนองของอาคาร มยผ.1311-50 กรมโยธาธิการ
และผังเมือง กระทรวงมหาดไทย 2550
3. นรมิตร ลิวธนมงคล (2538) รวมข้อมูลก่อสร้าง รุ่งแสงการพิมพ์
4. นิพนธ์ อังกุราภินนั ท์ (2543) คู่มือออกแบบคอนกรี ตเสริ มเหล็ก บ. โอเอสพรินติงเฮาส์ จํากัด
5. เป็ นหนึง วานิชชัย และอาเด ลิซานโตโน (2537) “การวิเคราะห์ความเสียงภัยจาก
แผ่นดินไหวสําหรับประเทศไทย”, การประชุมวิชาการทางวิศวกรรม วิศวกรรมสถานแห่ง
ประเทศไทย
6. เป็ นหนึง วานิชชัย (2542) “ภัยพิบตั แิ ผ่นดินไหวทีมีโอกาสเกิดขึนได้ ในประเทศไทยและวิธี
ป้องกันบรรเทาความเสียหาย”, วิ ศวกรรมสารฉบับวิ จยั และพัฒนา วิศวกรรมสถานแห่ง
ประเทศไทย ปี ที 10 ฉบับที 1
7. ACI Committee 318 (2000), Building Code Requirements for Structural
Concrete (ACI318-99) and Commentary (ACI318R-99), American Concrete
Institute, Farmington Hills, MI.
8. Arias, A. (1970). “A measure of earthquake intensity,” in Seismic Design for
Nuclear Power Plants, ed. R. J. Hansen, MIT Press, Cambridge, Mass., 438-
469.
9. Building and Construction Authority (2001). Structural Precast Concrete
Handbook, 2nd Edition, Singapore.
10. Chopra, A. K. (1995). Dynamics of Structures, Prentice Hall, Englewood Cliffs,
New Jersey.
11. Davenport, A.G. (1967) “Gust loading factors,” Journal of Structural Division,
ASCE 93, June, 12-34.
12. Esteva, L. and Villaverde, R. (1972) “Seismic Risk, Design Spectra and
Structural Reliability,” Proceedings of the 5th World Conference on Earthquake
Engineering, Rome, Vol. 2, 2586-2596.
13. Gutenberg B.(1945) “Magnitude determination for deep-focus earthquakes,”
Bulletin of the Seismological of America, Vol.35,117-130.
14. Gutenberg B. and Richter C. F. (1936) “On Seismic Waves (third paper),”
Gerlands Bietraegezur Geophysik, Vol. 47, 73-131.
15. ICBO International Conference of Building Officials (1994). Uniform Building
Code, Whittier, Calif.
16. Kramer, S. L.(1996) Geotechnical Earthquake Engineering, Prentice Hall, New
Jersey, USA.
17. Schueller, W.(1996) The Design of Building Structures, Prentice Hall, New
Jersey, USA.
306 บรรณานุกรม

18. Lindeburg M. R. (1994) Seismic Design of Building Structures, Professional


Publications, Inc., Belmont, CA, USA.
19. Panyakapo P. (1999) Development of Seismic Inelastic Design Spectra based on
Constant-Damage Concept, D. Eng. dissertation no. ST-99-2, Asian Institute of
Technology, Bangkok, Thailand.
20. Paulay, T. and Priestley, M. J. N. (1992). Seismic Design of Reinforced
Concrete and Masonry Buildings, John Wiley & Sons, Inc.
21. PCA (1987) Connections for Tilt-up Wall Construction, Portland Cement
Association, USA.
22. PCI Industry Handbook Committee (1999) PCI Design Handbook, 5th Edition,
Precast/Prestressed Concrete Institute, USA.
23. Lukkunaprasit P., Sittipunt C and Wanitkorkul A. (2001) “Enhancement of
structural performance for moderate seismic risk regions,” Proceedings of the
seventh National Convention on Civil Engineering, Chulalongkorn University,
Thailand.
24. National Research Council of Canada (1990) National Building Code of
Canada, Ottawa, Cadana.
25. Nawy E.G.(2000) Reinforced concrete : a fundamental approach, Prentice Hall,
New Jersey, USA.
26. Richter C. F. (1935) “An instrumental earthquake scale,” Bulletin of the
Seismological of America, Vol.25, 1-32.
27. Smith, B. S. and Coull A. (1991), Tall Building Structures, Analysis and
Design, John Wiley&Sons, Inc, New York.
28. Trifunac, M. D. and Brady, A. G. (1975). “A study on the duration of strong
earthquake ground motion.” Bulletin of the Seismological Society of America,
65(3), 581-626.
29. Warnitchai, P., Sangarayakul, C. and Ashford, S. A. (2000) “Seismic hazard in
Bangkok due to long-distance earthquakes.” Proceedings of the 12th World
Conference on Earthquake Engineering, Auckland, New Zealand.
ภาคผนวก 307

กฎกระทรวงฉบับที 6 (พ.ศ. 2527)


ออกตามความในพระราชบัญญัตคิ วบคุมอาคาร
พ.ศ. 2522
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 5(3) และมาตรา 8(2) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร
พ.ศ. 2522 รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงมหาดไทยโดยคําแนะนําของคณะกรรมการควบคุมอาคารออกกฎกระทรวง
ดังต่อไปนี
ข้ อ 1 ในกฎกระทรวงนี
“แรงประลัย” หมายความว่า แรงขนาดทีจะทําให้ วตั ถุนนแตกแยกออกห่
ั างจากกันเป็ นส่วน หรื อทลายเข้ าหากัน
“แรงดึง” หมายความว่า แรงทีจะทําให้ วตั ถุแยกออกห่างจากกัน
“แรงอัด” หมายความว่า แรงทีจะทําให้ วตั ถุทลายเข้ าหากัน
“แรงดัด” หมายความว่า แรงทีจะทําให้ วตั ถุโค้ งหรื อโก่งตัว
“แรงลม” หมายความว่า แรงของลมทีกระทําต่อโครงสร้ าง
“แรงเฉือน” หมายความว่า แรงทีจะทําให้ วตั ถุขาดออกจากกันดุจกรรไกรตัด
“แรงดึงประลัย” หมายความว่า แรงดึงขนาดทีจะทําให้ วตั ถุนนแยกออกห่
ั างจากกันเป็ นส่วน
“แรงอัดประลัย” หมายความว่า แรงอัดขนาดทีจะทําให้ วตั ถุนนทลายเข้ ั าหากัน
“แรงอัดประลัยของคอนกรี ต” หมายความว่า แรงอัดตามแกนยาวขนาดทีจะทําให้ แท่งคอนกรี ตทรงกระบอกทีมี
เส้ นผ่านศูนย์กลาง 15 เซนติเมตร สูง 30 เซนติเมตร อายุสสิี บแปดวันทลายเข้ าหากัน
“หน่วยแรง” หมายความว่า แรงหารด้ วยพืนทีหน้ าตัดทีรับแรงนัน
“หน่วยแรงพิ สจู น์” หมายความว่า หน่วยแรงดึงทีได้ จากการลากเส้ นตรงทีจุด 0.2 ใน 100 ส่วนของความเครี ยด
ให้ ขนาดกับส่วนทีเป็ นเส้ นตรงของเส้ นแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยแรงดึงและความเครี ยดไปตัดกับเส้ นนัน
“หน่วยแรงฝื ด” หมายความว่า หน่วยแรงทีเกิดขึนระหว่างผิวเข็มกับดิน
“หน่วยแรงทีขี ดปฏิ ภาค” หมายความว่า หน่วยแรงทีจุดสูงสุดของส่วนทีเป็ นเส้ นตรงของเส้ นแสดงความสัมพันธ์
ระหว่างหน่วยแรงและความเครี ยด
“ความเครี ยด” หมายความว่า อัตราส่วนของส่วนยึดหรื อส่วนหดของวัสดุทีรับแจ้ งต่อความยาวเดิมของวัสดุนนั
“กํ าลังคราก” หมายความว่า หน่วยแรงดึงทีวัสดุเริ มยึดโดยไม่ต้องเพิมแรงดึงขึนอีก
“ส่วนปลอดภัย” หมายความว่า ตัวเลขทีใช้ หารหน่วยแรงประลัยลงให้ ถงึ ขนาดทีจะใช้ ได้ ปลอดภัยสําหรับวัสดุทีมี
กําลังครากหรื อหน่วยพิสจู น์ ให้ ใช้ คา่ กําลังครากหรื อหน่วยพิสจู น์นนแทนหน่
ั วยแรงประลัย
“นําหนักบรรทุกจร” หมายความว่า นําหนักทีกําหนดว่าจะเพิมขึนบนอาคาร นอกจากนําหนักของตัวอาคาร
นันเอง
“นําหนักบรรทุกประลัย” หมายความว่า นําหนักบรรทุกสูงสุดทีกําหนดให้ ใช้ ในการคํานวณตามทฤษฎีกําลัง
ประลัย
“ส่วนต่างๆ ของอาคาร” หมายความว่า ส่วนของอาคารทีจะต้ องแสดงรายการคํานวณการรับนําหนักและกําลัง
ต้ านทาน เช่น แผ่นพืน คาน เสา และรากฐาน เป็ นต้ น
“คอนกรี ต” หมายความว่า วัสดุทประกอบขึ
ี นด้ วยส่วนผสมของปูนซีเมนต์ มวลผสมละเอียด เช่น ทราย มวลผสม
ทรายหยาบ เช่น หิน หรื อกรวด และนํา
308 ภาคผนวก

“คอนกรี ตเสริ มเหล็ก” หมายความว่า คอนกรี ตทีมีเหล็กเสริ มฝั งภายในให้ ทําหน้ าทีรับแรงได้ มากขึน
“คอนกรี ตอัดแรง” หมายความว่า คอนกรี ตทีมีเหล็กเสริ มอัดแรงฝั งภายในทีทําให้ เกิดหน่วยแรงทีมีปริ มาณพอ
จะลบล้ างหน่วยแรงอัดเกิดจากนําหนักบรรทุก
“เหล็กเสริ ม” หมายความว่า เหล็กทีใช้ ฝังในเนือคอนกรี ตเพือเสริ มกําลังขึน
“เหล็กเสริ มอัดแรง” หมายความว่า เหล็กเสริ มกําลังสูงทีใช้ ฝังในเนือคอนกรี ต อัดแรง อาจเป็ นลวดเส้ นเดียว ลวด
พันเกลียว หรื อลวดเหล็กกลุม่ ก็ได้
“เหล็กข้ ออ้ อย” หมายความว่า เหล็กเสริ มทีมีบงและหรื
ั อมีครี บทีผิว
“เหล็กขวัน” หมายความว่า เหล็กเสริ มทีบิดเป็ นเกลียว
“เหล็กหล่อ” หมายความว่า เหล็กทีมีธาตุถ่านผสมอยูต่ งแต่ ั ร้อยละ 2 ขึนไปโดยนําหนัก
“เหล็กโครงสร้างรู ปพรรณ” หมายความว่า เหล็กทีผลิตออกมามีหน้ าตัดเป็ นรูปลักษณะต่างๆ ใช้ ในงานโครงสร้ าง
“ไม้เนืออ่อน” หมายความว่า ไม้ ทีไม่คงทนต่อดินฟ้ าอากาศ และตัวสัตว์ เช่น มอด ปลวก เป็ นต้ น และหรื อมี
คุณสมบัติตามทีกําหนดไว้ ในข้ อ 14 เช่นไม้ ยาง หรื อไม้ ตะแบก เป็ นต้ น
“ไม้เนือปานกลาง” หมายความว่า ไม้ ทีคงทนต่อดินฟ้ าอากาศและสัตว์ เช่น มอด ปลวก เป็ นต้ น ได้ ดีตามสภาพ
อันสมควร และหรื อมีคณ ุ สมบัติตามทีระบุไว้ ในข้ อ 14 เช่น ไม้ สน เป็ นต้ น
“ไม้เนือแข็ง” หมายความว่า ไม้ ทีคงทนต่อดินฟ้าอากาศและสัตว์ เช่น มอด ปลวก เป็ นต้ น ได้ ดี ตามสภาพอัน
สมควร และหรื อมีคณ ุ สมบัติตามทีระบุไว้ ในข้ อ 14 เช่น ไม้ เต็ง หรือไม้ ตะเคียงทอง เป็ นตัน
“กรวด” หมายความว่า ก้ อนหินทีเกิดตามธรรมชาติขนาดโตเกิน 3 มิลลิเมตร
“ทราย” หมายความว่า ก้ อนหินเมล็ดเล็กละเอียดทีมีขนาดโตไม่เกิน 3 มิลลิเมตร
“ดิ นดาน” หมายความว่า ดินตะกอนของกรวด ดินเหนียว มีนาปู ํ นเป็ นเชือประสาน มีลกั ษณะแข็งยากแก่การขุด
“หิ นดิ นดาน” หมายความว่า หินทีมีเนือละเอียดมาก ประกอบด้ วยดินเหนียว หรื อทรายอัดตัวแน่นเป็ นชันบางๆ
จะมีเชือประสานหรื อไม่ก็ได้
“หิ นปูน” หมายความว่า หินเนือแน่นละเอียดทึบ มีสตี า่ งๆ กัน ประกอบด้ วยแร่แคลไซท์
“หิ นทราย” หมายความว่า หินเนือหยาบ ประกอบด้ วยเม็ดทรายยึดตัวแน่นด้ วยเชือประสาน
“หิ นอัคคี” หมายความว่า หินเนือหยาบเกิดจากการเย็นตัวของหินละลายใต้ พนโลก ื ประกอบด้ วย แร่เฟลด์สปราร์
แร่ควอตซ์ เป็ นส่วนใหญ่ มีลกั ษณะแข็งแกร่ง
“เสาเข็ม” หมายความว่า เสาทีตอกหรื อหล่ออยูใ่ นดินเพือรับนําหนักบรรทุกของอาคาร
“พืนผิ วประสิ ทธิ ผลของเสาเข็ม” หมายความว่า ผลคูณของความยาวของเสาเข็มกับความยาวของเส้ นล้ อมรูปสัน
ทีสุดของหน้ าตัดปกติของเสาเข็มนัน
“ฐานราก” หมายความว่า ส่วนของอาคารทีใช้ ถา่ ยนําหนักอาคารลงสูด่ ิน
“กํ าลังแบกทานของดิ น” หมายความว่า ความสามารถของดินทีจะรับนําหนักได้ โดยมีการทรุดตัวขนาดทีไม่ทํา
ให้ เกิดความเสียหายแก่อาคาร
“กํ าลังแบกทานของเสาเข็ม” หมายความว่า ความสามารถทีเสาเข้ มจะรับนําหนักได้ โดยบ้ านทรุดตัวไม่เกินอัตรา
ทีกําหนดไว้ ในกฎกระทรวงนี
ภาคผนวก 309

“สถาบันทีเชื อถือได้” หมายความว่า ส่วนราชการหรื อนิติบคุ คล ซึงมีวศิ วกรประเภทวุฒวิ ิศวกรสาขาวิศวกรรม


โยธาตามกฎหมายว่าด้ วยวิชาชีพวิศวกรรมเป็ นผู้แนะนําปรึกษา และลงลายมือชือรับรองผลการตรวจสอบงาน
วิศวกรรมควบคุม
ข้ อ 2 อาคารและส่วนต่างๆ ของอาคารจะต้ องมีความมันคงแข้ งแรงพอทีจะรับนําหนักตัวอาคารเอง
และนําหนักบรรทุกทีอาจเกิดขึนจริ งได้ โดยไม่ให้ สว่ นใดๆ ของอาคารต้ องรับหน่วยแรงมากกว่าทีกําหนดไว้ ใน
กฎกระทรวงนีเว้ นแต่มีเอกสารแสดงผลการทดสอบความมันคงแข็งแรงของวัสดุทีรับรองโดยสถาบันทีเชือถือได้
แต่ทงนี
ั ไม่รวมถึงหน่วยแรงทีกําหนดไว้ ในข้ อที 6
ข้ อ 3 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารทีประกอบด้ วยอิฐหรื อคอนกรี ต บล็อกประสานด้ วยวัสดุก่อ
ให้ ใช้ หน่วยแรงอัดไม่เกิน 0.8 เมกาปาสกาล (8 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
ข้ อ 4 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารทีประกอบด้ วยคอนกรีตไม่เสริ มเหล็ก ให้ ใช้ หน่วยแรงอัดได้
ไม่เกินร้ อยละ 33.3 ของหน่วยแรงอัดประลัยของคอนกรี ต แต่ต้องไม่เกิน 6 เมกาปาสกาล (60 กิโลกรัมแรงต่อ
ตารางเซนติเมตร)
ข้ อ 5 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารทีประกอบด้ วยคอนกรีตเสริ มเหล็ก ตามทฤษฎีอีลาสติกหรื อ
หน่วยแรงปลอดภัย ให้ ใช้ คา่ หน่วยแรงอัดของคอนกรี ตไม่เกินร้ อยละ 37.5 ของหน่วยแรงอัดประลัยของคอนกรี ต
แต่ต้องไม่เกิน 6.5 เมกาปาสกาล (65 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร)
ข้ อ 6 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารทีประกอบด้ วยคอนกรีตเสริ มเหล็ก ตามทฤษฎีอีลาสติกหรื อ
หน่วยแรงปลอดภัย เหล็กเสริ มคอนกรี ตทีใช้ ต้องมีกําลังครากตังแต่ 240 เมกาปาสกาล (2,400 กิโลกรัมแรงต่อ
ตารางเมตร) และให้ ใช้ คา่ หน่วยแรงของเหล็กเสริ มคอนกรี ตได้ ไม่เกินอัตราดังต่อไปนี
(1) แรงดึง
(ก) เหล็กเส้ นกลมผิวเรี ยบทีมีกําลังครากตังแต่ 240 เมกาปาสกาล (2,400 กิโลกรัมแรงต่อตาราง
เซนติเมตร) ขึนไป ให้ ใช้ ไม่เกิน 120 เมกาปาสกาล (1,200 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
(ข) เหล็กข้ ออ้ อยทีมีกําลังครากตังแต่ 240 เมกาปาสกาล (2,400 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร) ขึน
ไป แต่ไม่ถึง 350 เมกาปาสกาล (3,500 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร) ให้ ใช้ ร้อยละ 50 ของกําลังครากแต่ต้อง
ไม่เกิน 150 เมกาปาสกาล (1,500 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
(ค) เหล็กข้ ออ้ อยทีมีกําลังครากตังแต่ 350 เมกาปาสกาล (3,500 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร) ขึน
ไป แต่ไม่ถึง 400 เมกาปาสกาล (4,000 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร) ให้ ใช้ ไม่เกิน 160 เมกาปาสกาล
(1,600 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
(ง) เหล็กข้ ออ้ อยทีมีกําลังครากตังแต่ 400 เมกาปาสกาล (4,000 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร) ขึน
ไป ให้ ใช้ ไม่เกิน 170 เมกาปาสกาล (1,700 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
(จ) เหล็กขวัน ให้ ใช้ ร้อยละ 50 ของหน่วยแรงพิสจู น์ แต่ต้องไม่เกิน 240 เมกาปาสกาล (2,400 กิโลกรัม
แรงต่อตารางเซนติเมตร) ทังนี จะต้ องมีผลการทดสอบการตัดเย็น โดยมีสถาบันทีเชือถือได้ รับรอง
(2) แรงอัดในเสาคอนกรี ต
(ก) เหล็กเส้ นกลมผิวเรี ยบตามเกณฑ์ทีกําหนดใน (1) (ก)
(ข) เหล็กข้ ออ้ อย ให้ ใช้ ร้อยละ 40 ของกําลังคราก แต่ต้องไม่เกิน 210 เมกาปาสกาล (2,100 กิโลกรัม
แรงต่อตารางเซนติเมตร)
310 ภาคผนวก

(ค) เหล็กขวัน ให้ ใช้ ร้อยละ 40 ของกําลังคราก แต่ต้องไม่เกิน 210 เมกาปาสกาล (2,100 กิโลกรัมแรง
ต่อตารางเซนติเมตร) ทังนี จะต้ องมีผลการทดสอบการดัดเย็น โดยจะต้ องมีสถาบันทีเชือถือได้ รับรอง
(ง) เสาแบบเหล็กโครงสร้ างรูปพรรณ ให้ ใช้ ไม่เกิน 125 เมกาปาสกาล (1,250 กิโลกรัมแรงต่อตาราง
เซนติเมตร)
(จ) เหล็กหล่อ ให้ ใช้ ไม่เกิน 70 เมกาปาสกาล (700 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
(3) ในการคํานวณคานและพืนคอนกรี ตเสริ มเหล็กทีใช้ เหล็กเสริ มรับแรงอัด ให้ ใช้ หน่วยแรงของเหล็ก
เสริ มรับแรงอัดทีคํานวณได้ ตามทฤษฎีอีลาสติกหรื อหน่วยแรงปลอดภัยได้ ไม้ เกินสองเท่า แต่หน่วยแรงทีคํานวณ
ได้ ต้องไม่เกินหน่วยแรงดึงตาม (1)
ข้ อ 7 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารคอนกรี ตเสริ มเหล็กตามทฤษฎีกําลังประลัยให้ ใช้ นาหนั ํ ก
บรรทุกประลัยดังต่อไปนี
(1) สําหรับส่วนของอาคารทีไม่คดิ แรงลม ให้ ใช้ นาหนั
ํ กบรรทุกประลัย ดังนี
นป. = 1.7 นค. + 2.0 นจ.
(2) สําหรับส่วนของอาคารทีคิดแรงลม ให้ ใช้ นาหนั ํ กบรรทุกประลัยดังนี
นป. = 0.75 (1.7 นค. + 2.0 นจ. + 2.0 รล.)
หรื อ นป. = 0.9 นค. + 1.3 รล.
โดยใช้ คา่ นําหนักบรรทุกประลัยทีมากกว่า แต่ทงนี ั ต้ องไม่ตากว่
ํ าค่านําหนักบรรทุกประลัยใน (1) ด้ วย
นป. = นําหนักบรรทุกประลัย
นค. = นําหนักบรรทุกคงทีอาคาร
นจ. = นําหนักบรรทุกจร รวมด้ วยแรงกระแทก
รล. = แรงลม
ข้ อ 8 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารคอนกรี ตเสริ มเหล็กตามทฤษฎีกําลังประลัย ให้ ใช้ คา่ หน่วย
แรงอัดประลัยของคอนกรี ตไม่เกิน 15 เมกาปาสกาล (150 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
ข้ อ 9 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารคอนกรี ตเสริ มเหล็กตามทฤษฎีกําลังประลัย ให้ ใช้ กําลัง
ครากของเหล็กเสริ มดังต่อไปนี
(1) เหล็กเส้ นกลมผิวเรี ยบให้ ใช้ ไม่เกิน 240 เมกาปาสกาล (2,400 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
(2) เหล็กเสริ มอืน ให้ ใช้ เท่ากําลังครากของเหล็กเสริ มชนิดนัน แต่ต้องไม่เกิน 400 เมกาปาสกาล (4,000
กิโลกรัมแรมต่อตารางเซนติเมตร)
ข้ อ 10 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารคอนกรี ตอัดแรงตามทฤษฎีกําลังประลัย ให้ ใช้ นาหนั ํ ก
บรรทุกประลัยเช่นเดียวกับข้ อ 7
ข้ อ 11 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารคอนกรีตอัดแรง ให้ ใช้ คา่ หน่วยแรงอัดของคอนกรี ต
ดังต่อไปนี
(1) หน่วยแรงอัดในคอนกรีตชัวคราวทันทีทีถ่ายแรงมาจากเหล็กเสริ มอัดแรงก่อนการเสือมสูญการ
แรงอัดแรงของคอนกรี ต ต้ องไม่เกินร้ อยละ 60 ของหน่วย แรงอัดประลัยของคอนกรีต
(2) หน่วยแรงอัดทีใช้ ในการคํานวณออกแบบหลังการเสือมสูญการอัดแรงของคอนกรี ต ต้ องไม่เกินร้ อย
ละ 40 ของหน่วยแรงอัดประลัยของคอนกรี ต
ภาคผนวก 311

ข้ อ 12 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารทีประกอบด้ วยคอนกรี ตอัดแรงให้ ใช้ คา่ หน่วยทนแรงดึง


ของเหล็กเสริ มอัดแรง ดังต่อไปนี
(1) หน่วยแรงขณะดึงต้ องไม่เกินร้ อยละ 80 ของหน่วยแรงดึงประลัยของเหล็กเสริ มอัดแรง หรื อร้ อยละ
90 ของหน่วยแรงพิสจู น์ แล้ วแต่คา่ ใดจะน้ อยกว่า
(2) หน่วยแรงในทันทีทีถ่ายแรงไปให้ คอนกรี ตต้ องไม่เกินร้ อยละ 70 ของหน่วยแรงดึงประลัยของเหล็ก
เสริ มอัดแรง
(3) หน่วยแรงใช้ งานต้ องไม่เกินร้ อยละ 60 ของหน่วยแรงดึงประลัยหรื อร้ อยละ 80 ของหน่วยแรงพิสจู น์
ของเหล็กเสริ มอัดแรง แล้ วแต่คา่ ใดจะน้ อยกว่า
ข้ อ 13 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารทีประกอบด้ วยเหล็กโครงสร้ างรูปพรรณ ให้ ใช้ คา่ หน่วยแรง
ของเหล็กดังต่อไปนี
(1) ในกรณีทีไม่มีผลการทดสอบกําลังสําหรับเหล็กหนาไม่เกิน 40 มิลลิเมตร ให้ ใช้ กําลังครากไม่เกิน
240 เมกาปาสกาล (2,400 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร) สําหรับเหล็กหนาทีเกิน 40 มิลลิเมตร ให้ ใช้ กําลัง
ครากไม่เกิน 220 เมกาปาสกาล (2,220 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
(2) หน่วยแรงดึง แรงอัด และแรงดัด ให้ ใช้ ไม่เกินร้ อยละ 60 ของกําลังครากตาม (1)
(3) หน่วยแรงเฉือน ให้ ใช้ ไม่เกินร้ อยละ 40 ของกําลังครากตาม (1)
ข้ อ 14 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารทีประกอบด้ วยไม้ ชนิดต่างๆ ให้ ใช้ คา่ หน่วยแรงไม่เกินอัตรา
ดังต่อไปนี
ชนิดไม้ หน่วยแรงดันและแรงดึง หน่วยแรงอัดขนานเสียน หน่วยแรงอัดขวางเสียน หน่วยแรงเฉือนขนาน
เมกาปาสกาล เมกาปาสกาล เมกาปาสกาล เสียน เมกาปาสกาล
2 2
(กก./ซม. ) (กก./ซม. ) (กก./ซม.2) (กก./ซม.2)
(1) ไม้ เนือแข็ง 8 (80) 6 (60) 1.6 (16) 0.8 (8)
(2) ไม้ เนือปานกลาง 10 (100) 7.5 (75) 2.2 (22) 1.0 (10)
(3) ไม้ เนือแข็ง 12 (120) 9 (90) 3 (30) 1.2 (12)

ในกรณีทีมีผลการทดสอบของไม้ ให้ ใช้ สว่ นปลอดภัยโดยใช้ กําลังไม่เกิน 1 ใน 8 ของหน่วยแรงดัด


ประลัยหรื อไม่เกิน 1 ใน 6 ของหน่วยแรงทีขีดปฏิภาค แล้ วแต่คา่ ใดจะน้ อยกว่า
312 ภาคผนวก

ข้ อ 15 หน่วยนําหนักบรรทุกสําหรับประเภทและส่วนต่างๆ ของอาคาร นอกเหนือจากนําหนักของตัว


อาคารหรื อเครื องจักรหรื ออุปกรณ์อย่างอืน ให้ คาํ นวณโดยประมาณเฉลียไม่ตากว่
ํ าอัตราดังต่อไปนี

ประเภทและส่วนต่างๆ ของอาคาร หน่วยนําหนัก


บรรทุกจรเป็ น
กิโลกรัม
ต่อตารางเมตร
(1) หลังคา 30
(2) กันสาดหรื อหลังคาคอนกรี ต 100
(3) ทีพักอาศัย โรงเรี ยนอนุบาล ห้ องนํา ห้ องส้ วม 150
(4) ห้ องแถว ตึกแถวทีใช้ พกั อาศัย อาคารชุด หอพัก โรงแรมและห้ องพักคนไข้ พิเศษ
ของโรงพยาบาล 200
(5) สํานักงาน ธนาคาร 250
(6) (ก) อาคารพาณิชย์ ส่วนของห้ องแถว ตึกแถวทีใช้ เพือการพาณิชย์
มหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรี ยน โรงพยาบาล 300
(ข) ห้ องโถง บันได ช่องทางเดินของอาคารชุด หอพัก โรงแรม
สํานักงานและธนาคาร 300
(7) (ก) ตลาด อาคารสรรพสินค้ า หอประชุม โรงมหรสพ ภัตตาคาร ห้ อง
ประชุม ห้ องอ่านหนังสือ ในห้ องสมุดหรื อหอสมุด ทีจอดหรื อเก็บรถยนต์นงั
หรื อรถจักรยานยนต์ 400
(ข) ห้ องโถง บันได ช่องทางเดินของอาคาร พาณิชย์ มหาวิทยาลัยและ
โรงเรี ยน 400
(8) (ก) คลังสินค้ า โรงกีฬา พิพิธภัณฑ์ อัฒจันทร์ รง.อุตสาหกรรม โรงพิมพ์
ห้ องเก็บเอกสารและพัสดุ 500
(ข) ห้ องโถง บันได ช่องทางเดินของตลาด อาคารสรรพสินค้ า ห้ อง
ประชุม หอประชุม โรงมหรสพ ภัตตาคาร ห้ องสมุดและหอสมุด 500
(9) ห้ องเก็บหนังสือของห้ องสมุดหรื อหอสมุด 600
(10) ทีจอดหรื อเก็บรถยนต์บรรทุกเปล่า 800

ข้ อ 16 ในการคํานวณออกแบบ หากปรากฏว่า พืนทีส่วนใดต้ องรับนําหนักเครื องจักร อุปกรณ์ หรื อ


หน่วยนําหนักบรรทุกจรอืนๆ ทีมีคา่ มากกว่าหน่วยนําหนักบรรทุกซึงกําหนดไว้ ใน ข้ อ 15 ให้ ใช้ หน่วยนําหนัก
บรรทุกจรค่าทีมากกว่าเฉพาะส่วนทีต้ องรับหน่วยนําหนักเพิมขึน
ภาคผนวก 313

ข้ อ 17 ในการคํานวณออกแบบโครงสร้ างอาคาร ให้ คาํ นึงถึงแรงด้ วย หากจําเป็ นต้ องคํา นวณและไม่มี


เอกสารทีรับรองโดยสถาบันทีเชือถือได้ ให้ ใช้ หน่วยแรงลมดังต่อไปนี
ความสูงของอาคารหรื อส่วนของอาคาร หน่วยแรงลมอย่างน้ อย
กิโลปาสกาล (กิโลกรัมแรงต่อตารางเมตร)
(1) ส่วนของอาคารทีสูงไม่เกิน 10 เมตร 0.5 (5)
(2) ส่วนของอาคารทีสูงเกิน 10 เมตร แต่ไม่เกิน 20 เมตร 0.8 (8)
(3) ส่วนของอาคารทีสูงเกิน 20 เมตร แต่ไม่เกิน 40 เมตร 1.2 (120)
(4) ส่วนของอาคารทีสูงเกิน 40 เมตร 1.6 (160)
ในกรณีนยอมให้
ี ใช้ คา่ หน่วยแรงทีเกิดขึนในส่วนต่างๆ ของอาคาร ตลอดจนความต้ านทานของดินใต้
ฐานรากเกินค่าทีกําหนดไว้ ในกฎกระทรวงนีได้ ร้อยละ 33.3 แต่ทงนี ั ต้ องไม่ทําให้ สว่ นต่างๆ ของอาคารนัน มีความ
มันคงน้ อยไปกว่าเมือคํานวณตามปกติโดยไม่คิดแรงลม
ข้ อ 18 นําหนักบรรทุกบนดินทีฐานรากของอาคารนัน ต้ องคํานวณให้ เหมาะสม เพือความมันคง
ปลอดภัยถ้ าไม่มเี อกสารทีรับรองโดยสถาบันทีเชือถือได้ แสดงผลการทดลองหรื อการคํานวณ จะต้ องไม่เกินกําลัง
แบกทานของดินประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี
(1) ดินอ่อนหรื อดินถมไว้ แน่นตัวเต็มที 2 เมตริ กกันต่อตารางเมตร
(2) ดินปานกลางหรื อทรายร่วน 5 เมตริ กตันต่อตารางเมตร
(3) ดินแน่นหรื อทรายแน่น 10 เมตริ กตันต่อตารางเมตร
(4) กรวดหรื อดินดาน 20 เมตริ กตันต่อตารางเมตร
(5) หินดินดาน 25 เมตริ กตันต่อตารางเมตร
(6) หินปูนหรื อหินทราย 30 เมตริกตันต่อตารางเมตร
(7) หินอัคนีทียังไม่แปรสภาพ 100 เมตริกตันต่อตารางเมตร
ข้ อ 19 ในการคํานวณนําหนักทีถ่ายลงเสา คาน หรื อโครงทีรับเสาและฐานราก ให้ ใช้ นาหนั ํ กของ
อาคารเต็มอัตรา ส่วนหน่วยนําหนักบรรทุกจร ให้ ใช้ ตามทีกําหนดไว้ ในข้ อ 15 โดยให้ ลดส่วนลงได้ ตามชันของ
อาคารดังต่อไปนี
การรับนําหนักของพืน อัตราการลดหน่วยนําหนักบรรทุกจรบนพืนแต่ละชัน
เป็ นร้ อยละ
(1) หลังคาหรื อดาดฟ้ า 0
(2) ชันทีหนึงถัดจากหลังคาหรื อดาดฟ้ า 0
(3) ชันทีสองถัดจากหลังคาหรื อดาดฟ้ า 0
(4) ชันทีสามถัดจากหลังคาหรื อดาดฟ้ า 10
(5) ชันทีสีถัดจากหลังคาหรื อดาดฟ้ า 20
(6) ชันทีห้ าถัดจากหลังคาหรื อดาดฟ้ า 30
(7) ชันทีหกถัดจากหลังคาหรื อดาดฟ้ า 40
(8) ชันทีเจ็ดถัดจากหลังคาหรื อดาดฟ้ าและชันต่อลงไป 50
314 ภาคผนวก

สําหรับโรงมหรสพ ห้ องประชุม หอประชุม ห้ องสมุด หอสมุด พิพิธภัณฑ์ อัฒจันทร์ คลังสินค้ า โรงงาน


อุตสาหกรรม อาคารจอดรถหรื อเก็บรถยนต์หรื อรถจักรยานยนต์ ให้ คิดหน่วยนําหนักบรรทุกจรเต็มอัตราทุกชัน
ข้ อ 20 ในการคํานวณฐานรากบนเสาเข็มทีตอกในชันดินอ่อน ถ้ าไม่มีเอกสารจากสถาบันทีเชือถือได้
แสดงผลการทดสอบคุณสมบัติของดิน และกําลังแบกทานสูงสุดของเสาเข็ม ให้ ใช้ คา่ หน่วยแรงฝื ดของดินดังนี
(1) สําหรับดินทีอยูใ่ นระดับลึกไม่เกิน 7 เมตร ใต้ ระดับนําทะเลปานกลาง ให้ ใช้ คา่ หน่วยแรงฝื ดของดิน
ได้ ไม่เกิน 6 กิโลปาสกาล (600 กิโลกรัมแรงต่อตารางเมตร) ของพืนผิวประสิทธิผลของเสาเข็ม
(2) สําหรับดินทีมีความลึกเกิน 7 เมตร ใต้ ระดับนําทะเลปานกลาง ให้ คํานวณค่าหน่วยแรงฝื ดของดิน
เฉพาะส่วนทีลึกเกิน 7 เมตรลงไป ตามสูตรดังต่อไปนี
หน่วยแรงฝื ดเป็ นกิโลกรัมแรงต่อตารางเมตร = 600 + 220 ย.
ย. = ความยาวของเสาเข็มเป็ นเมตร เฉพาะส่วนทีลึกเกิน 7 เมตร ใต้ ระดับนําทะเลปานกลาง
ข้ อ 21 ในการคํานวณฐานรากบนเสาเข็มทีมีเอกสารจากสถาบันทีเชือถือได้ แสดงผลการทดสอบ
คุณสมบัติของดินหรื อมีการทดสอบหากําลังแบกทานของเสาเข็ม ในบริ เวณก่อสร้ างหรื อใกล้ เคียง ให้ ใช้ กําลัง
แบกทานของเสาเข็มไม่เกินอัตราต่อไปนี
(1) กําลังแบกทานของเสาเข็มทีคํานวณจากการทดสอบคุณสมบัตขิ องดิน ให้ ใช้ กําลังแบกทานได้ ไม่
เกินร้ อยละ 40 ของนําหนักบรรทุกสูงสุด
(2) กําลังแบกทานของเสาเข็มทีได้ จากการทดสอบ ให้ ใช้ กําลังแบกทานได้ ไม่เกินร้ อยละ 50 ของ
นําหนักบรรทุกสูงสุด
ข้ อ 22 ในการทดสอบกําลังแบกทานของเสาเข็ม อัตราการทรุดตัวและการทรุดตัวของเสาเข็มเมือรับ
นําหนักบรรทุกสูงสุดจะต้ องอยูใ่ นเกณฑ์ดงั ต่อไปนี
(1) การทรุดตัวทังหมดของเสาเข็มจากรับนําหนักบรรทุกสูงสุด แล้ วปล่อยนําทิงไว้ เป็ นเวลายีสิบสี
ชัวโมงต้ องไม่เกิน 25 มิลลิเมตร
(2) อัตราการทรุดตัวเฉลียของเสาเข็มหลังจากรับนําหนักบรรทุกสูงสุดแล้ วปล่อยทิงไว้ เป็ นเวลายีสิบสี
ชัวโมงต้ องไม่เกิน 0.25 มิลลิเมตรต่อชัวโมง
(3) การทรุตวั สุทธิของเสาเข็มหลังจากปล่อยให้ นบั นําหนักบรรทุกสูงสุดเป็ นเวลายีสิบสีชัวโมง แล้ ว
คลายนําหนักบรรทุกจนหมด ปล่อยทิงไว้ โดยไม่รบกวนอีกยีสิบสีชัวโมง ต้ องไม่เกิน 6 มิลลิเมตร

ให้ ไว้ ณ วันที 17 กันยายน 2527


พลเอก สิทธิ จิรโรจน์
รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงมหาดไทย

หมายเหตุ เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนีคื อ โดยที มาตรา 8(2) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติ


ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กํ าหนดให้รัฐมนตรี โดยคํ าแนะนํ าของคณะกรรมการควบคุมอาคารมี อํานาจออก
กฎกระทรวงกํ าหนดการรับนําหนักความต้านทาน ความคงทน ตลอดจนลักษณะและคุณสมบัติของวัสดุทีใช้ใน
การก่อสร้างดัดแปลง หรื อซ่ อมแซมอาคาร และการรับนําหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคารหรื อ
พืนดิ นทีรองรับอาคาร จึ งจํ าเป็ นต้องออกกฎกระทรวงนี
ประกาศในราชกิ จจานุเบกษา ฉบับพิ เศษ เล่ม 101 ตอนที 143 วันที 11 ตุลาคม 2527
®œoµ ÒØ
Á¨n¤ ÒÓÕ ˜°œš¸É Ù× „ ¦µ„·‹‹µœ»Á„¬µ ÔÑ ¡§«‹·„µ¥œ ÓÖÖÑ

„‘„¦³š¦ªŠ
„ε®œ—„µ¦¦´œÊ宜´„ ‡ªµ¤˜oµœšµœ ‡ªµ¤‡Ššœ…°Š°µ‡µ¦
¨³¡ºÊœ—·œš¸É¦°Š¦´°µ‡µ¦Äœ„µ¦˜oµœšµœÂ¦Š­´Éœ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª
¡.«. ÓÖÖÑ

°µ«´¥°Îµœµ‹˜µ¤‡ªµ¤Äœ¤µ˜¦µ Ö (Ô) ®nŠ¡¦³¦µ´´˜·‡ª‡»¤°µ‡µ¦ ¡.«. ÓÖÓÓ


¨³¤µ˜¦µ Ù (Ô) ®n Š ¡¦³¦µ´  ´ ˜· ‡ ª‡» ¤ °µ‡µ¦ ¡.«. ÓÖÓÓ Ž¹É Š „o Å …Á¡·É ¤ Á˜· ¤ ×¥
¡¦³¦µ´´˜·‡ª‡»¤°µ‡µ¦ (Œ´š¸É Ô) ¡.«. ÓÖÕÔ °´œÁž}œ„‘®¤µ¥š¸É¤¸š´´˜·µŠž¦³„µ¦
Á„¸É¥ª„´„µ¦‹Îµ„´—­·š›·Â¨³Á­¦¸£µ¡…°Š»‡‡¨ Ž¹ÉŠ¤µ˜¦µ ÓÚ ž¦³„°„´¤µ˜¦µ ÔÓ ¤µ˜¦µ ÔÔ
¤µ˜¦µ ÕÒ ¤µ˜¦µ ÕÓ Â¨³¤µ˜¦µ ÕÔ …°Š¦´“›¦¦¤œ¼Â®nŠ¦µ°µ–µ‹´„¦Åš¥ ´´˜·Ä®o„¦³šÎµÅ—o
×¥°µ«´¥ °Îµ œµ‹˜µ¤š´ ´ ˜·Â ®nŠ „‘®¤µ¥ ¦´“ ¤œ˜¦¸ªn µ„µ¦„¦³š¦ªŠ¤®µ—Åš¥Ã—¥‡Îµ œ³œÎ µ
…°Š‡–³„¦¦¤„µ¦‡ª‡»¤°µ‡µ¦°°„„‘„¦³š¦ªŠÅªo —´Š˜n°Åžœ¸Ê
…o° Ò Ä®o ¥ „Á¨· „ „‘„¦³š¦ªŠ Œ´  š¸É ÕÚ (¡.«. ÓÖÕÑ) °°„˜µ¤‡ªµ¤Äœ
¡¦³¦µ´´˜·‡ª‡»¤°µ‡µ¦ ¡.«. ÓÖÓÓ
…o° Ó Äœ„‘„¦³š¦ªŠœ¸Ê
“¦·Áª–Á jµ¦³ª´Š” ®¤µ¥‡ªµ¤ªnµ ¡ºÊœš¸É®¦º°¦·Áª–š¸É°µ‹Å—o¦´Ÿ¨„¦³š‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª
ŗo„n ‹´Š®ª´—„¦³¸É ‹´Š®ª´—»¤¡¦ ‹´Š®ª´—¡´ŠŠµ ‹´Š®ª´—£¼Á„Ș ‹´Š®ª´—¦³œ°Š ‹´Š®ª´—­Š…¨µ ¨³
‹´Š®ª´—­»¦µ¬‘¦r›µœ¸
“¦·Áª–š¸É Ò” ®¤µ¥‡ªµ¤ªnµ ¡ºÊœš¸É®¦º°¦·Áª–š¸ÉÁž}œ —·œ °n°œ¤µ„š¸É°µ‹Å—o¦´Ÿ¨„¦³š
‹µ„Ÿnœ —·œ Å®ª¦³¥³Å„¨ ŗo  „n „¦» ŠÁš¡¤®µœ‡¦ ‹´Š ®ª´ —œœš»¦¸ ‹´Š ®ª´ —žš»¤ ›µœ¸ ‹´ Š®ª´ —
­¤»š¦ž¦µ„µ¦ ¨³‹´Š®ª´—­¤»š¦­µ‡¦
®œoµ ÒÙ
Á¨n¤ ÒÓÕ ˜°œš¸É Ù× „ ¦µ„·‹‹µœ»Á„¬µ ÔÑ ¡§«‹·„µ¥œ ÓÖÖÑ

“¦·Áª–š¸É Ó” ®¤µ¥‡ªµ¤ªnµ ¡ºÊœš¸É®¦º°¦·Áª–š¸É°¥¼nĄ¨o¦°¥Á¨ºÉ°œš¸É°µ‹Å—o¦´Ÿ¨„¦³š


‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª ŗo„n ‹´Š®ª´—„µ‹œ»¦¸ ‹´Š®ª´—Á¸¥Š¦µ¥ ‹´Š®ª´—Á¸¥ŠÄ®¤n ‹´Š®ª´—˜µ„ ‹´Š®ª´—œnµœ
‹´Š®ª´—¡³Á¥µ ‹´Š®ª´—¡¦n ‹´Š®ª´—¤n±n°Š­°œ ‹´Š®ª´—¨ÎµžµŠ ¨³‹´Š®ª´—¨Îµ¡¼œ
…o° Ô „‘„¦³š¦ªŠœ¸ÊÄ®očo´Š‡´Äœ¦·Áª–¨³°µ‡µ¦—´Š˜n°Åžœ¸Ê
(Ò) ¦·Áª–Á jµ¦³ª´ŠÂ¨³¦·Áª–š¸É Ò
(„) °µ‡µ¦š¸É‹ÎµÁž}œ˜n°‡ªµ¤Áž}œ°¥¼n…°Š­µ›µ¦–œ Ánœ ­™µœ¡¥µµ¨š¸É¦´Ÿ¼ožiª¥Åªo
‡oµŠ‡ºœ ­™µœ¸—´Á¡¨·Š °µ‡µ¦«¼œ¥r¦¦Ášµ­µ›µ¦–£´¥ °µ‡µ¦«¼œ¥r­ºÉ°­µ¦ šnµ°µ„µ«¥µœ æŠÅ¢¢jµ
抟¨·˜Â¨³Á„ȝœÊ垦³žµ
(…) °µ‡µ¦Á„ȝª´˜™»°´œ˜¦µ¥ Ánœ ª´˜™»¦³Á·— ª´˜™»ÅªÅ¢ ª´˜™»¤¸¡·¬ ª´˜™»„´¤¤´œ˜¦´Š­¸
®¦º°ª´˜™»š¸É¦³Á·—Å—o
(‡) °µ‡µ¦­µ›µ¦–³š¸É¤¸Ÿ¼oÄ o°µ‡µ¦Å—o˜´ÊŠÂ˜n­µ¤¦o°¥‡œ…¹Êœ Ş ŗo „n 护®¦­¡
®°ž¦³» ¤ ®°«· ¨ žm ¡· ¡· › £´ – ”­™µœ ®°­¤» — «µ­œ­™µœ ­œµ¤„¸ ¯ µ °´ • ‹´ œ š¦r ˜¨µ—
®oµŠ­¦¦¡­·œ‡oµ «¼œ¥r„µ¦‡oµ ­™µœ¸¦™ ¨³Ã¦ŠÂ¦¤
(Š) ­™µœ«¹„¬µš¸É¦´œ´„Á¦¸¥œ®¦º°œ´„«¹„¬µÅ—o˜´ÊŠÂ˜n­°Š¦o°¥®oµ­·‡œ…¹ÊœÅž
(‹) ­™µœ¦´Á¨¸Ê¥ŠÁ—È„°n°œš¸É¦´Á—È„°n°œÅ—o˜´ÊŠÂ˜n®oµ­·‡œ…¹ÊœÅž
(Œ) °µ‡µ¦š¸É¤¸Ÿ¼očo°µ‡µ¦Å—o˜´ÊŠÂ˜n®oµ¡´œ‡œ…¹ÊœÅž
() °µ‡µ¦š¸É¤¸‡ªµ¤­¼Š˜´ÊŠÂ˜n­·®oµÁ¤˜¦…¹ÊœÅž
(Ž) ­³¡µœ®¦º°šµŠ¥„¦³—´š¸É¤¸nªŠ¦³®ªnµŠ«¼œ¥r„¨µŠ˜°¤n°¥µª˜´ÊŠÂ˜n­·Á¤˜¦…¹ÊœÅž
() Á…ºÉ ° œÁ„È  „´„ œÊÎ µ Á…ºÉ° œš—œÊÎ µ ®¦º °  µ¥š—œÊÎ µ š¸É ˜´ ª Á…ºÉ ° œ®¦º ° ˜´ª  µ¥¤¸ ‡ ªµ¤­¼ Š
˜´ÊŠÂ˜n­·Á¤˜¦…¹ÊœÅž
(Ó) ¦·Áª–š¸É Ó
(„) °µ‡µ¦š¸É‹ÎµÁž}œ˜n°‡ªµ¤Áž}œ°¥¼n…°Š­µ›µ¦–œ Ánœ ­™µœ¡¥µµ¨š¸É¦´Ÿ¼ožiª¥Åªo
‡oµŠ‡ºœ ­™µœ¸—´Á¡¨·Š °µ‡µ¦«¼œ¥r¦¦Ášµ­µ›µ¦–£´¥ °µ‡µ¦«¼œ¥r­ºÉ°­µ¦ šnµ°µ„µ«¥µœ æŠÅ¢¢jµ
抟¨·˜Â¨³Á„ȝœÊ垦³žµ
(…) °µ‡µ¦Á„ȝª´˜™»°´œ˜¦µ¥ Ánœ ª´˜™»¦³Á·— ª´˜™»ÅªÅ¢ ª´˜™»¤¸¡·¬ ª´˜™»„´¤¤´œ˜¦´Š­¸
®¦º°ª´˜™»š¸É¦³Á·—Å—o
(‡) °µ‡µ¦­µ›µ¦–³ ŗo  „n 护®¦­¡ ®°ž¦³»¤ ®°«· ¨žm ¡·¡· ›£´ –”­™µœ
®°­¤»— «µ­œ­™µœ ­œµ¤„¸¯µ °´•‹´œš¦r ˜¨µ— ®oµŠ­¦¦¡­·œ‡oµ «¼œ¥r„µ¦‡oµ ­™µœ¸¦™ æŠÂ¦¤
­™µœ¦·„µ¦ ¨³°µ‡µ¦‹°—¦™
®œoµ ÒÚ
Á¨n¤ ÒÓÕ ˜°œš¸É Ù× „ ¦µ„·‹‹µœ»Á„¬µ ÔÑ ¡§«‹·„µ¥œ ÓÖÖÑ

(Š) ­™µœ«¹„¬µ
(‹) ­™µœ¦´Á¨¸Ê¥ŠÁ—È„°n°œ
(Œ) °µ‡µ¦š¸É¤¸Ÿ¼očo°µ‡µ¦Å—o˜´ÊŠÂ˜n®oµ¡´œ‡œ…¹ÊœÅž
() °µ‡µ¦š¸É¤¸‡ªµ¤­¼Š˜´ÊŠÂ˜n­·®oµÁ¤˜¦…¹ÊœÅž
(Ž) ­³¡µœ®¦º°šµŠ¥„¦³—´š¸É¤¸nªŠ¦³®ªnµŠ«¼œ¥r„¨µŠ˜°¤n°¥µª˜´ÊŠÂ˜n­·Á¤˜¦…¹ÊœÅž
() Á…ºÉ ° œÁ„È  „´„ œÊÎ µ Á…ºÉ° œš—œÊÎ µ ®¦º °  µ¥š—œÊÎ µ š¸É ˜´ ª Á…ºÉ ° œ®¦º ° ˜´ª  µ¥¤¸ ‡ ªµ¤­¼ Š
˜´ÊŠÂ˜n­·Á¤˜¦…¹ÊœÅž
…o° Õ „µ¦°°„Ã‡¦Š­¦o µ Š°µ‡µ¦Äœ…o ° Ô Ä®o Ÿ¼o ‡Î µ œª–°°„‡Î µ œ¹ Š ™¹ Š
„µ¦‹´—¦¼žÂÁ¦…µ‡–·˜Ä®o¤¸Á­™¸¥¦£µ¡Äœ„µ¦˜oµœšµœ„µ¦­´Éœ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª „µ¦„ε®œ—
¦µ¥¨³Á°¸¥—ž¨¸„¥n°¥·Êœ­nªœÃ‡¦Š­¦oµŠ ¦ª¤š´ÊŠ¦·Áª–¦°¥˜n°¦³®ªnµŠž¨µ¥·Êœ­nªœÃ‡¦Š­¦oµŠ˜nµŠ Ç
¨³„µ¦‹´—Ä®oǦŠ­¦oµŠš´ÊŠ¦³°¥nµŠœo°¥Ä®o¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ªÁš¸¥Ášnµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª‹Îµ„´— (Limited Ductility)
˜µ¤¤µ˜¦“µœž¦³„°„µ¦°°„°µ‡µ¦Á¡ºÉ°˜oµœšµœ„µ¦­´Éœ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª…°Š„¦¤Ã¥›µ›·„µ¦
¨³Ÿ´ ŠÁ¤º °Š ®¦º° ¤µ˜¦“µœªnµ—o ª¥„µ¦°°„°µ‡µ¦˜o µœšµœ„µ¦­´Éœ ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ —· œ Å®ª
š¸É­£µª·«ª„¦¦´¦°Š
„µ¦‡Î µ œª–°°„Ã‡¦Š­¦o µ Š°µ‡µ¦Â˜n ¨ ³·Ê œ ­n ª œ Ä®o Ä o ‡n µ ®œn ª ¥Â¦Š…°ŠŸ¨‹µ„
Ÿnœ—·œÅ®ª ®¦º°Ÿ¨‹µ„¦Š¨¤˜µ¤š¸É„ε®œ—Äœ„‘„¦³š¦ªŠ Œ´š¸É × (¡.«. ÓÖÓØ) °°„˜µ¤
‡ªµ¤Äœ¡¦³¦µ´´˜·‡ª‡»¤°µ‡µ¦ ¡.«. ÓÖÓÓ š¸É¤¸˜n°·Êœ ­nªœÃ‡¦Š­¦oµŠœ´Êœ ‡nµÄ—‡nµ®œ¹ÉŠ
š¸É¤µ„„ªnµ
…o° Ö „µ¦‡Îµœª–°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦š¸É¤¸¦¼žš¦ŠÅ¤n­¤ÉεÁ­¤° ®¦º°Ã‡¦Š­¦oµŠ
°µ‡µ¦°ºÉœ Ç š¸ÉŤnčn°µ‡µ¦˜µ¤š¸É„ε®œ—Äœ…o° × Â¨³Å¤n°¥¼nÄ œ¦·Áª–Á jµ¦³ª´Š Ÿ¼o‡Îµœª–°°„
˜o°ŠÁž}œŸ¼oŗo¦´Ä°œ»µ˜Áž}œŸ¼ož¦³„°ª·µ¸¡ª·«ª„¦¦¤‡ª‡»¤˜´ÊŠÂ˜n¦³—´­µ¤´ª·«ª„¦…¹ÊœÅž ¨³
˜o°Š‡Îµœª–Ä®o°µ‡µ¦­µ¤µ¦™¦´Â¦Š­´Éœ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ץčoª·›¸„µ¦‡Îµœª–Á·Š¡¨«µ­˜¦r®¦º°
ª·›¸°ºÉœš¸É˜´ÊŠ°¥¼nœ¡ºÊœ“µœšµŠš§¬‘¸Á·Š¡¨«µ­˜¦r
„µ¦‡Îµœª–˜µ¤ª¦¦‡®œ¹É Š˜o° ŠÁž}œ ޘµ¤¤µ˜¦“µœªnµ—o ª¥„µ¦°°„°µ‡µ¦˜oµœšµœ
„µ¦­´Éœ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªš¸É­£µª·«ª„¦¦´¦°Š ®¦º°š¸É‹´—šÎµÃ—¥­nªœ¦µ„µ¦®¦º°œ·˜·»‡‡¨Ž¹ÉŠÅ—o¦´
ĝ°œ» µ˜ž¦³„°ª· µ¸¡ª· « ª„¦¦¤‡ª‡»¤ Ž¹ÉŠ ¤¸ª·« ª„¦¦³—´ ª»•· ª·« ª„¦ ­µ…µª· « ª„¦¦¤Ã¥›µ
˜µ¤„‘®¤µ¥ªnµ—oª¥ª·«ª„¦ Áž}œŸ¼oÄ®o‡ÎµÂœ³œÎµž¦¹„¬µÂ¨³¨Š¨µ¥¤º°ºÉ°¦´¦°Šª·›¸„µ¦‡Îµœª–œ´Êœ
®œoµ ÓÑ
Á¨n¤ ÒÓÕ ˜°œš¸É Ù× „ ¦µ„·‹‹µœ»Á„¬µ ÔÑ ¡§«‹·„µ¥œ ÓÖÖÑ

…o° × „µ¦‡Î µ œª–°°„Ã‡¦Š­¦o µ Š°µ‡µ¦š¸É ¤¸ ¨´ „ ¬–³Áž} œ ˜¹ „ o µ œ Á¦º ° œ æŠ


®¦º°­·ÉŠ„n°­¦oµŠ°¥nµŠ°ºÉœš¸É¤¸¨´„¬–³‡¨oµ¥‡¨¹Š„´œ ¨³Å¤n°¥¼nĜ¦·Áª–Á jµ¦³ª´Š Ä®oŸ¼o‡Îµœª–°°„
‡Îµœª–Ä®o°µ‡µ¦­µ¤µ¦™¦´Â¦Š­´Éœ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œ Å®ªÅ—o ×¥‡Îµœª–¦ŠÁŒº°œ˜µ¤ª·›¸„µ¦
—´Š˜n°Åžœ¸Ê
(Ò) Ä®o‡Îµœª–¦ŠÁŒº°œš´ÊŠ®¤—Ĝœª¦µš¸É¦³—´¡ºÊœ—·œ —´Šœ¸Ê
V = ZIKCSW
V ‡º° ¦ŠÁŒº°œš´ÊŠ®¤—Ĝœª¦µš¸É¦³—´¡ºÊœ—·œ
Z ‡º° ­´¤ž¦³­·š›·Í…°Š‡ªµ¤Á…o¤…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜µ¤š¸É„ε®œ—Äœ…o° Ø
I ‡º° ˜´ª‡¼–Á„¸É¥ª„´„µ¦Äo°µ‡µ¦˜µ¤š¸É„ε®œ—Äœ…o° Ù
K ‡º° ­´¤ž¦³­·š›·Í…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦š¸É¦´Â¦ŠÄœÂœª¦µ˜µ¤š¸É„ε®œ—Äœ…o° Ú
C ‡º° ­´¤ž¦³­·š›·Í ®µ‡nµÅ—o‹µ„­¼˜¦Äœ…o° ÒÒ
S ‡º° ­´¤ž¦³­·š›·Í …°Š„µ¦ž¦³­µœ‡ªµ¤™¸É›¦¦¤µ˜· ¦³®ªn µŠ°µ‡µ¦Â¨³´Êœ —·œ š¸É˜´Ê Š
°µ‡µ¦˜µ¤š¸É„ε®œ—Äœ…o° ÒÓ
W ‡º° œÊ宜´„…°Š˜´ª°µ‡µ¦š´ÊŠ®¤—¦ª¤š´ÊŠœÊ宜´„…°Šª´­—»°»ž„¦–rŽ¹ÉŠ¥¹—˜¦¹Š„´š¸É×¥
Ťn¦ª¤œÊ宜´„¦¦š»„‹¦­Îµ®¦´°µ‡µ¦š´ÉªÅž ®¦º°œÊ宜´„…°Š˜´ª°µ‡µ¦š´ÊŠ®¤—
¦ª¤„´¦o°¥¨³ ÓÖ …°ŠœÊ宜´„¦¦š»„‹¦­Îµ®¦´Ã„—´Š®¦º°‡¨´Š­·œ‡oµ
(Ó) Ä®o„¦³‹µ¥Â¦ŠÁŒº°œš´ÊŠ®¤—Ĝœª¦µš¸É¦³—´¡ºÊœ—·œ°°„Áž}œÂ¦ŠÄœÂœª¦µš¸É„¦³šÎµ
˜n°¡ºÊœ´Êœ˜nµŠ Ç —´Š˜n°Åžœ¸Ê
(„) ¦ŠÄœÂœª¦µš¸É„¦³šÎµ˜n°¡ºÊœ´Êœœ­»—…°Š°µ‡µ¦ Ä®o‡Îµœª– —´Šœ¸Ê
Ft = 0.07 TV
‡nµ…°Š Ft š¸Éŗo‹µ„­¼˜¦œ¸ÊŤnÄ®očoÁ„·œ Ñ.ÓÖ V ¨³™oµ®µ„ T ¤¸‡nµÁšnµ„´®¦º°˜É優nµ Ñ.Ø
ª·œµš¸ Ä®očo‡nµ…°Š Ft Ášnµ„´ Ñ
(…) ¦ŠÄœÂœª¦µš¸É„¦³šÎµ˜n°¡ºÊœ´Êœ˜nµŠ Ç …°Š°µ‡µ¦ ¦ª¤š´ÊŠ´Êœœ­»—…°Š°µ‡µ¦—oª¥
Ä®o‡Îµœª– —´Šœ¸Ê
®œoµ ÓÒ
Á¨n¤ ÒÓÕ ˜°œš¸É Ù× „ ¦µ„·‹‹µœ»Á„¬µ ÔÑ ¡§«‹·„µ¥œ ÓÖÖÑ
9  )W Z [ K[
)[ Q

¦Z K
L O
L L

Ft ‡º° ¦ŠÄœÂœª¦µš¸É„¦³šÎµ˜n°¡ºÊœ´Êœœ­»—…°Š°µ‡µ¦
Fx ‡º° ¦ŠÄœÂœª¦µš¸„É ¦³šÎµ˜n°¡ºÊœ´Êœš¸É x …°Š°µ‡µ¦
T ‡º° ‡µ„µ¦Â„ªnŠ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°Š°µ‡µ¦ ¤¸®œnª¥Áž}œª·œµš¸
®µ‡nµÅ—o˜µ¤­¼˜¦Äœ…o° ÒÑ
V ‡º° ¦ŠÁŒº°œš´ÊŠ®¤—Ĝœª¦µš¸É¦³—´¡ºÊœ—·œ
wx,wi ‡º° œÊ宜´„…°Š¡ºÊœ°µ‡µ¦´Êœš¸É x ¨³´Êœš¸É i ˜µ¤¨Îµ—´
hx,hi ‡º° ‡ªµ¤­¼Š‹µ„¦³—´¡ºÊœ—·œ™¹Š¡ºÊœ´Êœš¸É x ¨³´Êœš¸É i ˜µ¤¨Îµ—´
i = 1 ­Îµ®¦´¡ºÊœ´ÊœÂ¦„š¸É°¥¼n­¼Š™´—‹µ„¡ºÊœ´Êœ¨nµŠ…°Š°µ‡µ¦
x = 1 ­Îµ®¦´¡ºÊœ´ÊœÂ¦„š¸É°¥¼n­¼Š™´—‹µ„¡ºÊœ´Êœ¨nµŠ…°Š°µ‡µ¦
Q

¦ Z K ‡º° Ÿ¨¦ª¤…°ŠŸ¨‡¼–¦³®ªnµŠœÊ宜´„„´‡ªµ¤­¼Š‹µ„¡ºÊœ´Êœš¸É Ò ™¹Š´Êœš¸É n


L O
L L

n ‡º° ‹Îµœªœ´Êœš´ÊŠ®¤—…°Š°µ‡µ¦š¸É°¥¼nÁ®œº°¦³—´¡ºÊœ´Êœ¨nµŠ…°Š°µ‡µ¦
Ĝ„µ¦‡Î µ œª–°°„Ã‡¦Š­¦oµ Š°µ‡µ¦š¸É¤¸ ¦¼ ž š¦Š˜µ¤š¸É ¦ ³»Ä œª¦¦‡®œ¹ÉŠ Ÿ¼o‡Î µ œª–
°°„°µ‹Äoª·›¸°ºÉœÅ—o ˜nª·›¸„µ¦‡Îµœª–°°„˜o°ŠÁž}œÅž˜µ¤¤µ˜¦“µœªnµ—oª¥„µ¦°°„
°µ‡µ¦˜oµœšµœ„µ¦­´Éœ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªš¸É­£µª·«ª„¦¦´¦°Š ®¦º°š¸É‹´—šÎµÃ—¥­nªœ¦µ„µ¦®¦º°
œ·˜·»‡‡¨Ž¹ÉŠÅ—o¦´Ä°œ»µ˜ž¦³„°ª·µ¸¡ª·«ª„¦¦¤‡ª‡»¤ Ž¹ÉŠ¤¸ª·«ª„¦¦³—´ª»•·ª·«ª„¦ ­µ…µ
ª·«ª„¦¦¤Ã¥›µ ˜µ¤„‘®¤µ¥ªnµ—oª¥ª·«ª„¦ Áž}œŸ¼oÄ®o‡ÎµÂœ³œÎµž¦¹„¬µÂ¨³¨Š¨µ¥¤º°ºÉ°¦´¦°Šª·›¸„µ¦
‡Îµœª–œ´Êœ
…o° Ø ‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í…°Š‡ªµ¤Á…o¤…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª (Z) …°Š¦·Áª–š¸É Ò Ä®očoÁšnµ„´
Ñ.ÒÚ ®¦º°¤µ„„ªnµ ¨³¦·Áª–š¸É Ó Ä®očoÁšnµ„´ Ñ.ÔÙ ®¦º°¤µ„„ªnµ
…o° Ù ˜´ª‡¼–Á„¸É¥ª„´„µ¦Äo°µ‡µ¦ (I) Ä®očo —´Š˜n°Åžœ¸Ê
œ·—…°Š°µ‡µ¦ ‡nµ…°Š I
(Ò) °µ‡µ¦š¸É‹ÎµÁž}œ˜n°‡ªµ¤Áž}œ°¥¼n…°Š­µ›µ¦–œ ˜µ¤…o° Ô Ò.ÖÑ
(Ó) °µ‡µ¦š¸ÉÁž}œš¸É »¤œ»¤‡œ‡¦´ÊŠ®œ¹ÉŠ Ç Å—o¤µ„„ªnµ­µ¤¦o°¥‡œ Ò.ÓÖ
(Ô) °µ‡µ¦°ºÉœ Ç Ò.ÑÑ
®œoµ ÓÓ
Á¨n¤ ÒÓÕ ˜°œš¸É Ù× „ ¦µ„·‹‹µœ»Á„¬µ ÔÑ ¡§«‹·„µ¥œ ÓÖÖÑ

…o° Ú ‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦š¸É¦´Â¦ŠÄœÂœª¦µ (K) Ä®očo —´Š˜n°Åžœ¸Ê


¦³Â¨³œ·—ǦŠ­¦oµŠ¦´Â¦ŠÄœÂœª¦µ ‡nµ…°Š K
(Ò) ǦŠ­¦oµŠŽ¹ÉŠÅ—o¦´„µ¦°°„Ä®o„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ (Shear Wall) ®¦º° Ò.ÔÔ
ǦŠÂ„ŠÂœŠ (Braced Frame) ˜oµœÂ¦Šš´ÊŠ®¤—Ĝœª¦µ
(Ó) ǦŠ­¦oµŠŽ¹ÉŠÅ—o¦´„µ¦°°„Ä®oǦŠ˜oµœÂ¦Š—´—š¸É¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ª Ñ.×Ø
(Ductile Moment-Resisting Frame) ˜oµœÂ¦Šš´ÊŠ®¤—Ĝœª¦µ
(Ô) ǦŠ­¦oµŠŽ¹ÉŠÅ—o¦´„µ¦°°„Ä®oǦŠ˜oµœÂ¦Š—´—š¸É¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ª¦nª¤„´ Ñ.ÙÑ
„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ®¦º°Ã‡¦ŠÂ„ŠÂœŠ˜oµœÂ¦ŠÄœÂœª¦µ ×¥¤¸…o°„ε®œ—
Ĝ„µ¦‡Îµœª–°°„ —´Šœ¸Ê
(„) ǦŠ˜oµœÂ¦Š—´—š¸É¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ª˜o°Š­µ¤µ¦™˜oµœÂ¦ŠÄœÂœª¦µÅ—o
Ťnœo°¥„ªnµ¦o°¥¨³ ÓÖ …°ŠÂ¦ŠÄœÂœª¦µš´ÊŠ®¤—
(…) „ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ®¦º°Ã‡¦ŠÂ„ŠÂœŠÁ¤ºÉ°Â¥„Áž}œ°·­¦³‹µ„
ǦŠ˜oµœÂ¦Š—´—š¸É¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ª˜o°Š­µ¤µ¦™˜oµœÂ¦ŠÄœÂœª¦µÅ—oš´ÊŠ®¤—
(‡) ǦŠ˜oµœÂ¦Š—´—š¸É¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ª¦nª¤„´„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ®¦º°
ǦŠÂ„ŠÂœŠ˜o°Š­µ¤µ¦™˜oµœÂ¦ŠÄœÂœª¦µÅ—oš´ÊŠ®¤— ×¥­´—­nªœ
…°ŠÂ¦Šš¸É„¦³šÎµ˜n°Ã‡¦Š­¦oµŠÂ˜n¨³¦³ Ä®oÁž}œÅž˜µ¤­´—­nªœ‡ªµ¤‡Š˜´ª
(Rigidity) ×¥‡Îµœ¹Š™¹Š„µ¦™nµ¥Áš…°ŠÂ¦Š¦³®ªnµŠÃ‡¦Š­¦oµŠš´ÊŠ­°Š
(Õ) ®°™´ŠœÊε ¦°Š¦´—oª¥Á­µÅ¤nœo°¥„ªnµ Õ ˜oœ ¨³¤¸Â„ŠÂœŠ¥¹—¨³Å¤nŗo˜´ÊŠ°¥¼n Ó.Ö
œ°µ‡µ¦
®¤µ¥Á®˜» Ÿ¨‡¼–¦³®ªnµŠ‡nµ K „´‡nµ C Ä®očo‡nµ˜Éε­»—Ášnµ„´ Ñ.ÒÓ Â¨³
‡nµ­¼Š­»—Ášnµ„´ Ñ.ÓÖ
(Ö) ǦŠ˜oµœÂ¦Š—´—š¸É¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ª‹Îµ„´—¨³Ã‡¦Š°µ‡µ¦¦³°ºÉœ Ç œ°„‹µ„ Ò.Ñ
ǦŠ°µ‡µ¦˜µ¤ (Ò) (Ó) (Ô) ®¦º° (Õ)
…o° ÒÑ ‡µ„µ¦Â„ªnŠ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°Š°µ‡µ¦ (T) ™oµÅ¤n­µ¤µ¦™‡Îµœª–®µ‡µ„µ¦Â„ªnŠ
˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°Š°µ‡µ¦Å—o™¼„˜o°ŠÃ—¥ª·›¸°ºÉœ Ä®o‡Îµœª–˜µ¤­¼˜¦ —´Š˜n°Åžœ¸Ê
(Ò) ­Îµ®¦´°µ‡µ¦š´ÉªÅžš»„œ·—Ä®o‡Îµœª–˜µ¤­¼˜¦
T = KQ
'
®œoµ ÓÔ
Á¨n¤ ÒÓÕ ˜°œš¸É Ù× „ ¦µ„·‹‹µœ»Á„¬µ ÔÑ ¡§«‹·„µ¥œ ÓÖÖÑ

(Ó) ­Îµ®¦´°µ‡µ¦š¸É¤¸Ã‡¦Š˜oµœÂ¦Š—´—š¸É¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ª Ä®o‡Îµœª–˜µ¤­¼˜¦


T = 0.10 N
hn ‡º° ‡ªµ¤­¼Š…°Š¡ºÊœ°µ‡µ¦´Êœ­¼Š­»—ª´—‹µ„¦³—´¡ºÊœ—·œ
¤¸®œnª¥Áž}œÁ¤˜¦
D ‡º° ‡ªµ¤„ªoµŠ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ…°Š°µ‡µ¦Äœš·«šµŠ…œµœ„´Â¦Š
Ÿnœ—·œÅ®ª ¤¸®œnª¥Áž}œÁ¤˜¦
N ‡º° ‹Îµœªœ´Êœ…°Š°µ‡µ¦š´ÊŠ®¤—š¸É°¥¼nÁ®œº°¦³—´¡ºÊœ—·œ
…o° ÒÒ Äœ„µ¦‡Îµœª–¦ŠÂŸnœ—·œ Å®ªš¸É„¦³šÎµ˜n°°µ‡µ¦®¦º°­nªœ˜nµŠ Ç …°Š°µ‡µ¦
‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í (C) Ä®o‡Îµœª–˜µ¤­¼˜¦ —´Š˜n°Åžœ¸Ê

C=
 7
™oµ‡Îµœª–‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Íŗo¤µ„„ªnµ Ñ.ÒÓ Ä®očoÁšnµ„´ Ñ.ÒÓ
…o° ÒÓ ‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í…°Š„µ¦ž¦³­µœ‡ªµ¤™¸É›¦¦¤µ˜·¦³®ªnµŠ°µ‡µ¦Â¨³´Êœ —·œ š¸É˜´ÊŠ
°µ‡µ¦ (S) ¤¸—´Š˜n°Åžœ¸Ê
¨´„¬–³…°Š´Êœ—·œ ‡nµ…°Š S
(Ò) ®·œ Ò.Ñ
(Ó) —·œÂ…ÈŠ Ò.Ó
(Ô) —·œ°n°œ Ò.Ö
(Õ) —·œ°n°œ¤µ„ Ó.Ö
“®·œ” ®¤µ¥™¹Š ®·œš»„¨´„¬–³Å¤nªnµ‹³Áž}œ®·œ‡¨oµ¥®·œÁ¨ (Shale) ®¦º°š¸ÉÁž}œŸ¨¹„˜µ¤
›¦¦¤µ˜· ®¦º°—·œ¨´„¬–³Â…ÈŠŽ¹ÉŠ¤¸‡ªµ¤¨¹„…°Š´Êœ—·œÅ¤nÁ„·œ ×Ñ Á¤˜¦ š¸Éš´°¥¼nÁ®œº°´Êœ®·œ ¨³
˜o°ŠÁž}œ—·œš¸É¤¸Á­™¸¥¦£µ¡—¸ Ánœ š¦µ¥ „¦ª— ®¦º°—·œÁ®œ¸¥ªÂ…ÈŠ
“—·œÂ…ÈŠ” ®¤µ¥™¹Š —·œ¨´„¬–³Â…ÈŠŽ¹ÉŠ¤¸‡ªµ¤¨¹„…°Š´Êœ—·œ¤µ„„ªnµ ×Ñ Á¤˜¦ š¸Éš´°¥¼nÁ®œº°
´Êœ®·œ ¨³˜o°ŠÁž}œ—·œš¸É¤¸Á­™¸¥¦£µ¡—¸ Ánœ š¦µ¥ „¦ª— ®¦º°—·œÁ®œ¸¥ªÂ…ÈŠ
“—·œ °n°œ” ®¤µ¥™¹Š —·œ Á®œ¸¥ª°n°œ™¹Š—·œ Á®œ¸¥ªÂ…ÈŠžµœ„¨µŠš¸É®œµ¤µ„„ªnµ Ú Á¤˜¦
°µ‹‹³¤¸´Êœš¦µ¥‡´Éœ°¥¼n®¦º°Å¤n„Èŗo
®œoµ ÓÕ
Á¨n¤ ÒÓÕ ˜°œš¸É Ù× „ ¦µ„·‹‹µœ»Á„¬µ ÔÑ ¡§«‹·„µ¥œ ÓÖÖÑ

“—·œ°n°œ¤µ„” ®¤µ¥™¹Š —·œÁ®œ¸¥ª°n°œš¸É¤¸„ε¨´Š˜oµœšµœÂ¦ŠÁŒº°œ…°Š—·œÄœ­£µª³Å¤n¦³µ¥œÊε


(Undrained Shear Strength) Ťn¤µ„„ªnµ ÓÕ „·Ã¨žµ­„µ¨ (Ó,ÕÑÑ „·Ã¨„¦´¤Â¦Š˜n°˜µ¦µŠÁ¤˜¦) ¨³¤¸
‡ªµ¤®œµ´Êœ—·œ¤µ„„ªnµ Ú Á¤˜¦ Ánœ ­£µ¡—·œÄœšo°Šš¸É„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦ ‹´Š®ª´—œœš»¦¸ ‹´Š®ª´—
žš»¤›µœ¸ ‹´Š®ª´—­¤»š¦ž¦µ„µ¦ ¨³‹´Š®ª´—­¤»š¦­µ‡¦
™oµŸ¨‡¼–¦³®ªnµŠ‡nµ C „´‡nµ S ¤µ„„ªnµ Ñ.ÒÕ Ä®očoÁšnµ„´ Ñ.ÒÕ ÁªoœÂ˜n„¦–¸—·œ°n°œ¤µ„
™oµŸ¨‡¼–—´Š„¨nµª¤µ„„ªnµ Ñ.Ó× Ä®očoÁšnµ„´ Ñ.Ó×
…o° ÒÔ Äœ„µ¦‡Îµœª–„µ¦Á‡¨ºÉ° œ˜´ª­´¤¡´š›r—oµœ…oµŠ¦³®ªnµŠ´Êœ š¸É°¥¼n˜·—„´œ…°Š°µ‡µ¦
(Story Drift) š¸ÉÁ„·—‹µ„¦ŠÄœÂœª¦µ˜µ¤š¸É¦³»Äœ…o° × (Ò) ¨³ (Ó) „µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª—´Š„¨nµª
˜o°ŠÅ¤nÁ„·œ¦o°¥¨³ Ñ.Ö …°Š‡ªµ¤­¼Š¦³®ªnµŠ´Êœ
…o° ÒÕ °µ‡µ¦š¸Éŗo¦´Ä°œ»µ˜®¦º°Å—o¦´Ä¦´Â‹oŠ„µ¦„n°­¦oµŠ®¦º°°µ‡µ¦š¸É¤¸°¥¼n„n°œ
ª´œš¸É„‘„¦³š¦ªŠœ¸Êčo´Š‡´ Ä®oŗo¦´¥„ÁªoœÅ¤n˜o°Šž’·´˜·˜µ¤„‘„¦³š¦ªŠœ¸Ê

Ä®oŪo – ª´œš¸É ÒÙ ¡§«‹·„µ¥œ ¡.«. ÓÖÖÑ


¡¨Á°„ ­»¦¥»š›r ‹»¨µœœšr
¦´“¤œ˜¦¸ªnµ„µ¦„¦³š¦ªŠ¤®µ—Åš¥
®œoµ ÓÖ
Á¨n¤ ÒÓÕ ˜°œš¸É Ù× „ ¦µ„·‹‹µœ»Á„¬µ ÔÑ ¡§«‹·„µ¥œ ÓÖÖÑ

®¤µ¥Á®˜» :- Á®˜» Ÿ¨Äœ„µ¦ž¦³„µ«Äo„‘„¦³š¦ªŠŒ´œ¸Ê ‡º ° ÁœºÉ °Š‹µ„Ÿ¨„µ¦«¹„ ¬µ¡ªn µ¡ºÊœ š¸É¦· Áª–


„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦Â¨³ž¦·¤–”¨Áž}œ´Êœ—· œ°n°œ ‹¹Š­nŠŸ¨Ä®oÁ„·—„µ¦…¥µ¥Â¦Š­´Éœ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª
šÎµÄ®o°µ‡µ¦Äœ¦·Áª–—´Š„¨nµª¤¸‡ªµ¤Á­¸É¥Š£´¥‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ªÄœ¦³¥³Å„¨ ž¦³„°„´¡ºÊœš¸É£µ‡Ä˜oµŠ­nªœ
…°Šž¦³Áš«Åš¥˜´ÊŠ°¥¼nĜ¦·Áª–¦°¥Á¨ºÉ°œ¦³œ°ŠÂ¨³¦°¥Á¨ºÉ°œ‡¨°Š¤³¦»n¥ Ž¹ÉŠ¤¸„µ¦­´Éœ­³Ášº°œ°¥¼nn°¥‡¦´ÊŠ
šÎ µÄ®o °µ‡µ¦Äœ¦· Áª–—´ Š„¨n µª¤¸ ‡ ªµ¤Á­¸É ¥Š£´ ¥‹µ„Ÿn œ —· œÅ®ª ž¦³„°„´ ®¨´ „ Á„–”r „ µ¦¦´ œÊÎ µ®œ´ „
‡ªµ¤˜o µœšµœ ‡ªµ¤‡Ššœ…°Š°µ‡µ¦ ¨³¡ºÊ œ —· œš¸É ¦°Š¦´ °µ‡µ¦Äœ„µ¦˜o µœšµœÂ¦Š­´É œ­³Ášº °œ…°Š
Ÿnœ—·œÅ®ª ˜µ¤„‘„¦³š¦ªŠ Œ´š¸É ÕÚ (¡.«. ÓÖÕÑ) °°„˜µ¤‡ªµ¤Äœ¡¦³¦µ´´˜·‡ª‡»¤°µ‡µ¦
¡.«. ÓÖÓÓ š¸ÉÄ o´Š‡´°¥¼n Ä œž{ ‹‹» ´œ Ťn ‡¦°‡¨»¤¦· Áª–Á­¸É ¥Š£´ ¥—´ Š„¨n µª ¨³Å¤n ­µ¤µ¦™˜oµœšµœ
¦Š­´Éœ­³Ášº°œ‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ªÅ—o˜µ¤¤µ˜¦“µœ­µ„¨ —´Šœ´Êœ Á¡ºÉ°Ä®oÁ„·—‡ªµ¤ž¨°—£´¥ ‹¹Š­¤‡ª¦…¥µ¥
¡ºÊ œ š¸É „ µ¦‡ª‡» ¤°µ‡µ¦Äœ¦· Áª–—´ Š„¨n µª ¦ª¤š´Ê Šž¦´ ž¦» Š®¨´ „ Á„–”r „ µ¦¦´  œÊÎ µ®œ´ „ ‡ªµ¤˜o µ œšµœ
‡ªµ¤‡Ššœ…°Š°µ‡µ¦ ¨³¡ºÊœ—·œš¸É¦°Š¦´°µ‡µ¦Äœ„µ¦˜oµœšµœÂ¦Š­´Éœ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÁ­¸¥Ä®¤n
‹¹Š‹ÎµÁž}œ˜o°Š°°„„‘„¦³š¦ªŠœ¸Ê
การออกแบบอาคารต้ านทาน
แผ่ นดินไหว
Seismic Design of
Buildings

รองศาสตราจารย์ ดร. ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป


ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรี ปทุม
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว i

สารบัญ
หน้ า
บทที 1 ความรู้ พืนฐานของแผ่ นดินไหว
1.1 วิศวกรรมแผ่นดินไหว 1
1.2 การเกิดแผ่นดินไหว 2
1.3 คลืนแผ่นดินไหว 5
1.4 คลืนนําขนาดยักษ์ 7
1.5 การวัดขนาดของแผ่นดินไหว 9
1.6 แหล่งกําเนิดแผ่นดินไหว 13
1.7 สถิตแิ ผ่นดินไหวทีมีผลต่อประเทศไทย 15

บทที 2 ผลกระทบของแผ่ นดินไหวต่ ออาคาร


2.1 ปัจจัยทีมีผลต่อระดับความเสียหายของอาคาร 21
2.1.1 ลักษณะของคลืนแผ่นดินไหว 21
2.1.2 ลักษณะของสถานทีเกิดแผ่นดินไหว 25
2.1.3 ลักษณะของโครงสร้ างอาคาร 30
2.2 ความเสียหายของอาคารจากแผ่นดินไหว 35
2.3 ความเสียหายของอาคารจากคลืนนําสึนามิ 37

บทที 3 การสันของโครงสร้ างภายใต้ แรงแผ่ นดินไหว


3.1 บทนํา 41
3.2 การเคลือนทีของระบบโครงสร้ างแบบง่าย 41
3.3 การสันแบบอิสระ 44
3.4 สมการการเคลือนทีจากแรงกระทําภายนอก 48
3.5 สมการการเคลือนทีจากแรงแผ่นดินไหว 48
3.6 กราฟการตอบสนองของโครงสร้ างในช่วงอิลาสติก 50
3.7 การรวมกราฟ D – V – A Spectrum 53
3.8 กราฟการออกแบบโครงสร้ างในช่วงอิลาสติก 57
3.9 กราฟการออกแบบโครงสร้ างในช่วงอินอิลาสติก 59
3.9.1 พฤติกรรมการรับแรงแบบวัฏจักร 60
ii ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว

3.9.2 กราฟสเปคตรัมสําหรับค่าความเหนียวคงที 62
3.9.3 กราฟสเปคตรัมสําหรับค่าความเสียหายคงที 64

บทที 4 ข้ อพิจารณารู ปแบบของอาคาร


4.1 บทนํา 69
4.2 ลักษณะรูปร่างของอาคาร 69
4.2.1 อาคารรูปทรงสมําเสมอ 69
4.2.2 อาคารรูปทรงไม่สมําเสมอ 71
4.3 ผลกระทบต่ออาคารรูปทรงไม่สมําเสมอ 76
4.3.1 อาคารทีมีสว่ นเว้ าหรื อมีสว่ นตัดทีมุม 76
4.3.2 อาคารทีมีการแปรเปลียนค่ากําลังและสติฟเนสทีขอบอาคาร 77
4.3.3 อาคารทีมีชนอ่
ั อนและชันอ่อนแอ 80
4.3.4 อาคารทีมีสติฟเนสของเสาแปรเปลียนและเสาอ่อน-คานแข็งแรง 82
4.4 ระบบของโครงสร้ าง 83
4.5 ข้ อเสนอแนะในการเลือกรูปร่างโครงสร้ างอาคาร 87

บทที 5 การออกแบบอาคารโดยวิธีแรงสถิตย์ เทียบเท่ า


5.1 ข้ อกําหนดของวิธีการออกแบบ 93
5.2 หลักการออกแบบในข้ อกําหนด Uniform Building Code 94
5.3 ข้ อกําหนดของ UBC1985 95
5.3.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร 95
5.3.2 สัมประสิทธิของความเข้ มของแผ่นดินไหว 95
5.3.3 ตัวคูณเกียวกับการใช้ อาคาร 96
5.3.4 สัมประสิทธิของโครงสร้ างอาคารทีรับแรงในแนวราบ 96
5.3.5 สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐานอาคาร 98
5.3.6 คาบการสันธรรมชาติของอาคาร 99
5.3.7สัมประสิทธิของการประสานความถีธรรมชาติระหว่างอาคาร
และชันดินทีตังอาคาร 100
5.3.8 นําหนักของตัวอาคาร 101
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว iii

5.3.9 การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ าง


ในแต่ละชันอาคาร 101
5.3.10 แรงเฉือนในชันอาคารและโมเมนต์พลิกควํา 103
5.3.11 แรงบิดและผลกระทบของโมเมนต์ลําดับสอง 103
5.3.12 ระยะจํากัดของการโยกตัว 104
ตัวอย่าง 105
5.4 ข้ อกําหนดของ UBC-1994 110
5.4.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร 110
5.4.2 สัมประสิทธิของความเข้ มของแผ่นดินไหว 110
5.4.3 ตัวคูณเกียวกับการใช้ อาคาร 111
5.4.4 สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐาน 112
5.4.5 คาบการสันธรรมชาติของอาคาร 112
5.4.6 สัมประสิทธิของการประสานความถีธรรมชาติระหว่างอาคาร
และชันดินทีตังอาคาร 113
5.4.7 ค่าตัวประกอบการดูดซับพลังงาน 114
5.4.8 นําหนักของตัวอาคาร 118
5.4.9 การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างใน
แต่ละชันอาคาร 118
5.4.10 แรงบิดและผลกระทบของโมเมนต์ลําดับสอง 118
5.4.11 ระยะจํากัดของการโยกตัว 119
ตัวอย่าง 120
5.5 ข้ อกําหนดของ UBC-1997 126
5.5.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร 126
5.5.2 สัมประสิทธิของความเข้ มของแผ่นดินไหว 126
5.5.3 ตัวคูณเกียวกับการใช้ อาคาร 126
5.5.4 คาบการสันธรรมชาติของอาคาร 126
5.5.5 สัมประสิทธิของระบบโครงสร้ าง 126
5.5.6 นําหนักของตัวอาคาร 130
5.5.7 สัมประสิทธิแรงแผ่นดินไหว 130
iv ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว

5.5.8 ประเภทของชันดินทีตังอาคาร 131


5.5.9 ประเภทของแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหว 132
5.5.10 ตัวประกอบสําหรับแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวในระยะใกล้ 132
5.5.11 การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ าง
ในแต่ละชันอาคาร 133
5.5.12 แรงบิดและผลกระทบของโมเมนต์ลําดับสอง 133
5.5.13 ตัวคูณความน่าเชือถือหรื อองค์อาคารส่วนเกินของโครงสร้ าง 134
5.5.14 ระยะจํากัดของการโยกตัว 135
ตัวอย่างการคํานวณ 136
5.6 ข้ อกําหนดมาตรฐานการออกแบบอาคารต้ านทานการสันสะเทือนของ
แผ่นดินไหว มยผ.1301/1302-61 143
5.6.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร 143
5.6.2 ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบ 143
5.6.3 ตัวประกอบความสําคัญและประเภทของอาคาร 162
5.6.4 ประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่นดินไหว 163
5.6.5 การจําแนกระบบโครงสร้ าง 164
5.6.6 การคํานวณค่าคาบการสันพืนฐาน 168
5.6.7 การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําทางด้ านข้ างในแนวดิง 169
5.6.8 แรงบิดโดยบังเอิญ 169
5.6.9 การคํานวณค่าการเคลือนทีสัมพัทธ์ระหว่างชัน 170
5.6.10 ผลของ P-Delta 171
5.6.11 ขันตอนการออกแบบ 173
ตัวอย่างการคํานวณ 174

บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิธีพลศาสตร์
6.1 ข้ อกําหนดของวิธีการออกแบบ 183
6.1.1 ความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัม 184
6.1.2 การปรับค่าแรงเฉือนทีฐาน 187
6.2 การคํานวณผลตอบสนองของอาคาร 188
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว v

6.2.1 สมการการเคลือนทีของแต่ละรูปแบบและตัวประกอบของ
การมีสว่ นร่วม 189
6.2.2 แรงเฉือนของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 190
6.2.3 นําหนักประสิทธิผลของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 191
6.2.4 แรงกระทําทางด้ านข้ างของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 191
6.2.5 การโยกตัวของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 192
6.2.6 การโยกตัวระหว่างชันของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 192
6.2.7 โมเมนต์พลิกควําของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 193
6.2.8 โมเมนต์บิดของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 193
6.3 การคํานวณผลตอบสนองทีใช้ ในการออกแบบ 194
6.4 ขันตอนการออกแบบโดยวิธีพลศาสตร์ สําหรับ มยผ.1301/1302-61 197
ตัวอย่างการคํานวณ 199

บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้ อแข็ง


7.1 บทนํา 209
7.2 ขันตอนการออกแบบ 210
7.3 การตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร 212
7.3.1 การตรวจสอบค่าระยะการโยกตัวในแต่ละชัน 213
7.3.2 การตรวจสอบค่าความปลอดภัยต่อ
การพลิกควําเนืองจากโมเมนต์ 214
7.3.3 การตรวจสอบผลกระทบของโมเมนต์ลําดับทีสอง 215
7.4 การรวมแรงกระทํา 217
7.5 การจําแนกประเภทของโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ 218
7.6 การออกแบบองค์อาคารต้ านแรงดัดทีมีความเหนียวปานกลาง 228
7.6.1 การออกแบบเหล็กเสริ มตามยาวในคาน 228
7.6.2 การออกแบบเหล็กปลอกต้ านทานแรงเฉือนในคาน 229
7.6.3 การออกแบบเหล็กเสริ มตามยาวในเสา 231
7.6.4 การออกแบบเหล็กปลอกต้ านทานแรงเฉือนในเสา 231
7.6.5 ข้ อกําหนดของปริมาณเหล็กปลอกในเสา 232
vi ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว

7.6.6 การออกแบบข้ อต่อระหว่างคานและเสา 234


7.7 การจัดรายละเอียดเหล็กเสริมในคานและเสา 236
ตัวอย่างการออกแบบ 240
7.8 การออกแบบโครงต้ านแรงดัดทีมีความเหนียวพิเศษ 249

บทที 8 การออกแบบโครงสร้ างกําแพงรั บแรงเฉือน


8.1 บทนํา 263
8.2 โครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนแบบอิสระ 264
8.3 การคํานวณออกแบบกําแพงระบบทีมีการเปลียนขนาดเป็ นสัดส่วนกัน 266
8.3.1 โครงสร้ างสมมาตร 266
8.3.2 โครงสร้ างไม่สมมาตร 267
8.4 โครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ 270
8.4.1 การวิเคราะห์กําแพงคูค่ วบโดยวิธีตวั กลางเชือมต่อเนือง 271
8.4.2 การวิเคราะห์กําแพงคูค่ วบสําหรับแรงแผ่นดินไหว
แบบแรงสถิตเทียบเท่า 274
8.5 ข้ อกําหนดของการออกแบบกําแพง 280
ตัวอย่างการออกแบบ 291

บทที 9 การเสริมกําลังต้ านทานแผ่ นดินไหวของอาคาร


9.1 บทนํา 301
9.2 โครงอาคารคํายันป้องกันการโก่งเดาะ 301
9.3 ขันตอนการออกแบบ 304
ตัวอย่าง 307

บทที 10 การออกแบบฐานราก
10.1 บทนํา 329
10.2 การรับแรงกระทําของฐานราก 330
10.3 ขันตอนการออกแบบฐานราก 332
10.3.1 นําหนักบรรทุกทีใช้ ในการออกแบบขนาดฐานรากเบืองต้ น 332
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว vii

สารบัญ (ต่ อ)

10.3.2 การรวมนําหนักบรรทุกลงฐานรากเนืองจากผลของแรงแผ่นดินไหว 333


10.3.3 การตรวจสอบความปลอดภัยของฐานราก 334
10.3.4 การออกแบบความหนาของฐานรากและเหล็กเสริ ม 335
10.4 ฐานรากเดียว 336
10.5 ฐานรากร่วม 338
10.6 ฐานรากเสาเข็ม 340
10.7 การออกแบบรายละเอียดเสาเข็ม 341
10.7.1 อาคารประเภท ค ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 341
10.7.2 อาคารประเภท ง ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 342
ตัวอย่าง 345
บรรณานุกรม 353
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 1

šš¸É 1
‡ªµ¤¦¼¡
o ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª
1.1 ª·«ª„¦¦¤ÂŸnœ—·œÅ®ª (Earthquake Engineering)

ž{‹‹»´œœ¸Êž¦³µ„¦Ã¨„‹Îµœªœ®¨µ¥¦o°¥¨oµœ‡œ°µ«´¥°¥¼nĜ¦·Áª–š¸É¤¸‡ªµ¤Á­¸É¥Š£´¥˜n°
¸ ª· ˜ ¨³š¦´ ¡ ¥r ­· œ °µ‡µ¦ o µ œÁ¦º ° œ ˜¨°—‹œ­µ›µ¦–¼ ž ㇘n µ ŠÇ ÁœºÉ ° Š‹µ„£´ ¥ ¡· ´ ˜· ‹ µ„
Á®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ª ®µ„‡·—Áž}œ‹ÎµœªœÁŠ·œ‹³¤¸¤¼¨‡nµ¤®µ«µ¨ ‡ªµ¤Á­¸É¥ŠÁ®¨nµœ¸Ê¤·Å—o¤¸Á¡¸¥Š
ÁŒ¡µ³ž¦³Áš«Ä—ž¦³Áš«®œ¹ÉŠ ˜nÁž}œž¦µ„’„µ¦–r›¦¦¤µ˜·š¸É­¦oµŠ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥ÄœªŠ„ªoµŠ˜n°
ž¦³Áš«…oµŠÁ‡¸¥Šš¸É°¥¼nĜ¦·Áª–¡ºÊœš¸É‡ªµ¤Á­¸É¥Š£´¥œ¸Ê ‡ªµ¤‹¦·ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÁ‡¥Á„·—…¹Êœ°¥nµ Š
˜n°ÁœºÉ°Š¤µœ´¨oµœže¨oª ¨³‹³¥´Š‡ŠÁ„·—…¹Êœ°¸„˜n°ÅžÄœ°œµ‡˜ Ĝ°—¸˜š¸ÉŸnµœ¤µ Ÿnœ—·œÅ®ªÁ‡¥
Á„·—Äœš¸É®nµŠÅ„¨‡ªµ¤Á‹¦·‹¹ŠÅ¤n‡n°¥¤¸‡œ­œÄ‹¤µ„œ´„ ˜nĜž{‹‹»´œ ÁœºÉ°Š‹µ„‡ªµ¤Á‹¦·…°Š
Á¤º°ŠÂŸn…¥µ¥°°„Åž­¼nĜÁ…˜š¸É®nµŠÅ„¨¤µ„…¹Êœ šÎµÄ®oÁ®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ª­µ¤µ¦™­¦oµŠ‡ªµ¤˜ºÉœ
˜¦³®œ„„n¡¨Á¤º°ŠÂ¨³­nŠŸ¨„¦³š˜n°°µ‡µ¦oµœÁ¦º°œÅ—o¤µ„
šÁ¦¸¥œ‹µ„‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦˜nµŠÇĜÁ®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ªš¸É­Îµ‡´Â˜n¨³‡¦´ÊŠ
°µš·Ánœ Ÿnœ—·œÅ®ªš¸ÉÁ¤º°ŠÃ„Á ž¦³Áš«¸Éž»iœ že ¡.«. 2538 ž¦³Áš«Å˜o®ª´œže ¡.«. 2541 ¨³
¨nµ­»—£´¥¡·´˜·‹µ„‡¨ºÉœ¥´„¬r­¹œµ¤· š¸É¤¸«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª¦·Áª–Á®œº°Á„µ³­»¤µ˜¦µ ž¦³Áš«
°·œÃ—œ¸ÁŽ¸¥ Á¤ºÉ°ª´œš¸É 26 ›´œªµ‡¤ ¡.«. 2547 šÎµÄ®o¤¸„µ¦‡oœ‡ªoµÂ¨³¡´•œµ‡ªµ¤¦¼oĜ„µ¦
°°„°µ‡µ¦¤µ„…¹Êœ …o°„ε®œ—…°Š„µ¦°°„°µ‡µ¦˜oµœšµœÂŸnœ—·œÅ®ª (Seismic
Design Codes) ¤¸„µ¦¡´•œµ°¥nµŠ¦ª—Á¦ÈªÁ¡ºÉ°Ä®o­µ¤µ¦™¦´¤º°„´Â¦Š­´Éœ­³Ášº°œÂ¨³£´¥¡·´˜·Äœ
¦¼žÂ˜nµŠÇ‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª‡¦´ÊŠÄ®¤nÇŗo …o°„ε®œ—…°Š„µ¦°°„°µ‡µ¦²Á®¨nµœ¸Ê¤¸¡ºÊœ“µœ
¤µ‹µ„ª·µª·«ª„¦¦¤ÂŸnœ—·œÅ®ª °´œÁž}œ«µ­˜¦rš¸ÉÁ„¸É¥ª…o°Š„´ª·›¸„µ¦žj°Š„´œÁ¡ºÉ°š¸É‹³¨—£´¥¡·´˜·
‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª Ž¹ÉŠ¤¸Ÿ¨„¦³š˜n°ž¦³µœ °µ‡µ¦oµœÁ¦º°œ „µ¦‡¤œµ‡¤ ¦³­µ›µ¦–¼žÃ£‡
­·ÉŠÂª—¨o°¤ ˜¨°—‹œÁ«¦¬“„·‹…°Šž¦³Áš«‡·—Áž}œ¤¼¨‡nµ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥¤®µ«µ¨ ­µ…µª·µœ¸Ê™º°ªnµ
¥´ŠÄ®¤n­Îµ®¦´ž¦³Áš«Åš¥ Á¤ºÉ°Áš¸¥„´ž¦³Áš«š¸É¡´•œµÂ¨oªÁnœ ­®¦´“°Á¤¦·„µ ¸Éž»iœ Áž}œ˜oœ
ž¦³Áš«Á®¨nµœ¸Ê¤¸„µ¦¡´•œµ‡ªµ¤¦¼oĜnªŠ 40-50 že¤µÂ¨oª ®µ„¡·‹µ¦–µÁœºÊ°®µª·µœ¸Ê‹³¡ªnµ
‡¦°‡¨»¤®¨µ„®¨µ¥­µ…µ Ž¹ÉŠ‹³˜o°Š¤¸„µ¦¡·‹µ¦–µÄœÂŠn ›¦–¸ª·š¥µ „µ¦Å®ª˜´ª…°ŠÂŸnœ—·œ
ª·«ª„¦¦¤ž“¡¸ ª·«ª„¦¦¤Ã‡¦Š­¦oµŠ ˜¨°—‹œšµŠ—oµœÁ«¦¬“«µ­˜¦r¨³­´Š‡¤«µ­˜¦r ­Îµ®¦´Äœ
2 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

šœ¸Ê‹³„¨nµª™¹Š‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª š¸Éª·«ª„¦‡ª¦šÎµ‡ªµ¤Á…oµÄ‹ ŗo„n ­µÁ®˜»…°Š„µ¦


Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ª ¨´„¬–³…°Š‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª „µ¦ª´—…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ®¨nŠ„εÁœ·—¨³­™·˜·
„µ¦Á„· —Ÿn œ—· œÅ®ªš¸É ¤¸Ÿ¨„¦³š˜n°ž¦³Áš«Åš¥ ¨³„µ¦˜¦ª‹ª´—Ÿnœ —·œÅ®ª Á¡ºÉ °Ä®oÁ…o µÄ‹
›¦¦¤µ˜· „µ¦Á„·—Ÿnœ —·œ Å®ª ¨³šÎµÄ®o˜¦³®œ´ „ ™¹Š‡ªµ¤­Î µ‡´ …°ŠÂ¦ŠÂŸn œ—· œÅ®ª°´ œ‹³¤¸
Ÿ¨„¦³š˜n°°µ‡µ¦˜n°Åž

1.2 „µ¦Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ª (Earthquake Occurrence)

Áž¨º°„è„ž¦³„°—oª¥ÂŸnœ®·œ…œµ—Ä®n¦³—´šª¸ž‹Îµœªœ 6 ŸnœÄ®n ŗo„nŸnœ


°¢¦·„´œ °Á¤¦·„´œ °œ˜µ¦r„˜·„ °°­Á˜¦Á¨¸¥-°·œÁ—¸¥œ ¥¼Á¦ÁŽ¸¥œ ¨³ÂžŽ·¢d„ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 1.1
Ÿnœ®·œÂ˜n¨³ÂŸnœ¤¸‡ªµ¤®œµž¦³¤µ– 80-100 „¤. ¨³¤¸„µ¦Á‡¨º°É œ˜´ª˜¨°—Áª¨µ ­µÁ®˜»„µ¦
Á‡¨ºÉ°œ˜´ª…°ŠÂŸnœ®·œ°´œÁœº°É Š¤µ‹µ„„¨Å„„µ¦Á‡¨ºÉ°œÅ®ª…°Š®·œ®¨°¤Á®¨ª…oµŠÄ˜oŸnœ®·œ šÎµÄ®o
Á„·—¦ŠÁŒº°œ…oµŠÄ˜oŸnœ®·œÂ¨³Áž}œÂ¦ŠŒ»—¨µ„Ä®o˜n¨³ÂŸnœÁ‡¨ºÉ°œ˜´ªÅž—oª¥°´˜¦µ‡ªµ¤Á¦Èªš¸É
˜„˜nµŠ„´œ „µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª…°ŠÂŸnœ®·œ‹³„n°Ä®oÁ„·—¦Š°´—¤®µ«µ¨­³­¤¦·Áª–¦°¥˜n°…°ŠÂ˜n¨³
Ÿnœ °´œÁœºÉ°Š¤µ‹µ„°´˜¦µ„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª°¥nµŠoµÇš¸ÉŤnÁšnµ„´œž¦³¤µ– 2-18 Ž¤./že

¦¼žš¸É 1.1 Áž¨º°„脭ε‡´š´ÊŠ 6 Ÿnœ ­—Šš·«šµŠ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÁž¨º°„è„×¥¨¼„«¦


(‹µ„ Fowler,1990)
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 3

Á¤ºÉ°Â¦Š°´—­³­¤Äœ¦·Áª–¦°¥˜n°œ´Êœ¤µ„…¹ÊœÁ¦ºÉ°¥Ç™¹Š‹»—®œ¹ŠÉ š¸ÉÁœºÊ°®·œšœ®œnª¥Â¦Š°´—
ž¦³¨´¥Å¤nŗo ‹³Á„·—„µ¦Â˜„ž¦³¨´¥…¹Êœ˜µ¤Âœª¦°¥Á¨º°É œ (fault) ×¥ž¨—ž¨n°¥¡¨´ŠŠµœ°°„¤µ
(strain energy) ‹µ„®¨nŠ„εÁœ·—Ÿnœ—·œÅ®ª ®¨´Š‹µ„œ´ÊœÂŸnœ®·œ„È‹³‡ºœ˜´ª„¨´­¼n­£µ¡Á—·¤
„¨Å„„µ¦Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ªÂœ¸ÊÁž}œÅž˜µ¤š§¬‘¸„µ¦‡ºœ˜´ª…°Šª´˜™»Â¥º—®¥»œn (Elastic
rebound theory) °´œÁž}œš¸É¥°¤¦´„´œÄœž{‹‹»œ´ œ´œÉ ‡º°®œnª¥Â¦Š°´—š¸ÉÁ„·—…¹Êœ¦·Áª–¦°¥˜n°…°Š
ÁœºÊ°®·œ‡Îµœª–Å—o‹µ„
V = EH (1.1)
2
×¥š¸É V ‡º° ®œnª¥Â¦Š°´—š¸ÉÁ„·—…¹Êœ¦·Áª–¦°¥˜n°…°ŠÁœºÊ°®·œ, „„./Ž¤.
n …°ŠÁœºÊ°®·œ, „„./Ž¤.2
E ‡º° ‡nµÃ¤—¼¨´­¥º—®¥»œ
H ‡º° ®œnª¥„µ¦®—˜´ª…°ŠÁœºÊ°®·œ
¡¨´ŠŠµœš¸É­³­¤ÄœÁœºÊ°®·œÁœºÉ°Š‹µ„®œnª¥Â¦Š°´—œ¸Ê ‡Îµœª–Å—o‹µ„
VH
U = (1.2)
2
×¥š¸É U ‡º° ¡¨´ŠŠµœ (strain energy) š¸É­³­¤˜n°ž¦·¤µ˜¦…°ŠÁœºÊ°®·œ, „„.-Ž¤./Ž¤.3
¡¨´ŠŠµœš¸Éž¨—ž¨n°¥°°„¤µ­nªœÄ®n‹³™¼„—¼—Ž´—oª¥„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ªÂ¨³Áž¨¸É¥œ­£µ¡
…°ŠÁœºÊ°®·œ„¨µ¥Áž}œ¡¨´ŠŠµœ‡ªµ¤¦o°œ¦·Áª–˜ÎµÂ®œnŠ¦°¥Á¨ºÉ°œœ´œÊ ¡¨´ŠŠµœµŠ­nªœš¸ÉÁ®¨º°°¥¼n
‹³„¦³‹µ¥°°„Áž}œ‡¨ºœÉ Ÿnœ—·œÅ®ª ‡ªµ¤¦»œÂ¦Š…°Š‡¨ºÉœœ¸Ê¤´„‹³Áž}œ­´—­nªœÃ—¥˜¦Š„´…œµ—
…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÂ¨³…¹Êœ°¥¼n„´ ¨´„¬–³„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª…°Š¦°¥Á¨ºÉ°œ
¨´„¬–³„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª…°Š¦°¥Á¨ºÉ°œ°µ‹ÂnŠ°°„Å—oÁž}œ 5  —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 1.2
—´Šœ¸Ê
„) „µ¦Á¨ºÉ°œ—oµœ…oµŠ (Lateral Fault ®¦º° Strike-Slip Fault) Áž}œ¨´„¬–³š¸ÉÁž¨º°„Ÿnœ®·œ¤¸„µ¦
Á¨ºÉ°œ˜´ªÅžšµŠ—oµœ…oµŠ°¥nµŠÁ—¸¥ª ×¥°µ‹Á¨ºÉ°œÅžšµŠ—oµœŽoµ¥®¦º°…ªµ…¹Êœ°¥¼„n ´„µ¦¤°Š
‹µ„Ÿnœ®·œ—oµœÄ——oµœ®œ¹ÉŠ
…) „µ¦Á¨ºÉ°œÂž„˜· (Normal Fault ®¦º° Dip-Slip Fault) Áž}œ¨´„¬–³š¸ÉÁž¨º°„Ÿnœ®·œ¤¸„µ¦
Á¨ºÉ°œ˜´ªÅžÄœÂœª¨µ—´œ…°Š¦°¥Â˜„ ×¥š¸ÉŸnœœÁ¨ºÉ°œ˜´ª¨Š˜ÉµÎ „ªnµÁ¤ºÉ°‡·—­´¤¡´š›r„´ÂŸnœ
¨nµŠ ¨´„¬–³œ¸ÊÁž}œ„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ª˜µ¤Â¦ŠÃœo¤™nªŠÃ¨„×¥›¦¦¤µ˜·
‡) „µ¦Á¨ºÉ°œÂ„¨´š·« (Reverse Fault ®¦º° Thrust Fault) Áž}œ¨´„¬–³š¸ÉÁž¨º°„Ÿnœ®·œ¤¸„µ¦
Á¨ºÉ°œ˜´ªÅžÄœÂœª¨µ—´œ…°Š¦°¥Â˜„Ánœ„´œ„´Âž„˜· ˜nÁœºÉ°Š‹µ„Ÿnœ¨nµŠ¤¸„µ¦¤»—˜´ª
¨ŠšÎµÄ®oÁ„·—¦ŠŸ¨´„ŸnœœÄ®o—œ´ Á¨ºÉ°œ˜´ª…¹Êœ­¼Š„ªnµÂŸnœ¨nµŠ
4 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

Š) „µ¦Á¨ºÉ°œÂÁ¥ºÊ°Šž„˜· (Lateral Normal Fault ®¦º° Oblique Normal Fault) Áž}œ„µ¦¦ª¤


¨´„¬–³„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ªš´ŠÊ ž„˜·Â¨³„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ª—oµœ…oµŠÁ…oµ—oª¥„´œ šÎµÄ®oŸnœ®·œ­nªœœ
Á„·—„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ªÁ¥ºÊ°Š¨ŠÅž‹µ„ÂœªÁ—·¤
‹) „µ¦Á¨ºÉ°œÂÁ¥ºÊ°Š„¨´š·« (Lateral Reverse Fault ®¦º° Oblique Reverse Fault) Áž}œ„µ¦
¦ª¤¨´„¬–³„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ªÂ—oµœ…oµŠÂ¨³Â„¨´š·«Á…oµ—oª¥„´œ šÎµÄ®oÁ„·—„µ¦Ÿ¨´„—´œ
Áž¨º°„­nªœœÄ®oÁ¥ºÊ°Š…¹ÊœÅž‹µ„ÂœªÁ—·¤
ĜÁ®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ª˜µ¤ž„˜·šª´É Ş Ž¹ŠÉ ¤¸…œµ—Ťn¦»œÂ¦Š¤´„Áž}œ„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ªÂš¸É 1 ®¦º°Â
š¸É 2 ­Îµ®¦´ÂŸnœ—·œÅ®ª…œµ—Ä®n¤„´ Á„·—‹µ„„µ¦¤»—˜´ª…°ŠÂŸnœ®·œ­nªœ¨nµŠ (subduction)
Ÿ¨´„—´œÂŸnœ®·œ­nªœœ…¹œÊ ŞĜ¨´„¬–³„µ¦Á¨ºÉ°œÂ„¨´š·« (Reverse Fault ®¦º° Thrust
Fault) —´ŠÁnœ Ÿnœ—·œÅ®ªš¸žÉ ¦³Áš«·¨¸ že ¡.«. 2538 …œµ— 7.8 ¦·„Á˜°¦r ¨³ÂŸnœ—·œÅ®ª‡¦´ÊŠ
¨nµ­»—š¸ÉÁ„·—Á®˜»„µ¦–r‡¨ºÉœ¥´„¬r­¹œµ¤· Á¤ºÉ°ª´œš¸É 26 ›´œªµ‡¤ ¡.«. 2547 …œµ— 9.0 ¦·„Á˜°¦r
œª¦°¥Á¨ºÉ°œ
Ÿnœœ (hanging wall)

Ÿnœ¨nµŠ (footwall)

„) „n°œÂŸnœ—·œÅ®ª …) „µ¦Á¨ºÉ°œ—oµœ…oµŠ
(Lateral Fault ®¦º° Strike-Slip Fault)

‡) „µ¦Á¨ºÉ°œÂž„˜· Š) „µ¦Á¨ºÉ°œÂ„¨´š·«
(Normal Fault ®¦º° Dip-Slip Fault) (Reverse Fault ®¦º° Thrust Fault)

‹) „µ¦Á¨ºÉ°œÂÁ¥ºÊ°Šž„˜· Œ) „µ¦Á¨ºÉ°œÂÁ¥ºÊ°Š„¨´š·«
(Lateral Normal Fault ®¦º° Oblique Normal Fault) (Lateral Reverse Fault ®¦º° Oblique Reverse Fault)
¦¼žš¸É 1.2 ¨´„¬–³„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ª…°ŠÂŸnœ®·œ
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 5

1.3 ‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª (Earthquake Waves)

¦·Áª–š¸ÉÁ„·—¡¨´ŠŠµœÂŸn„¦³‹µ¥°°„¤µ£µ¥ÄœÁž¨º°„è„Ęo¡ºÊœ—·œÁ¦¸¥„ªnµ«¼œ¥r„¨µŠ
Ÿnœ—·œÅ®ªš¸Éšo‹¦·Š (focus ®¦º° hypocenter) ¨³Á¦¸¥„¦·Áª–š¸ÉÁ„·—Ÿnœ—·œÅ®ª˜¦ŠŸ·ª¡ºÊœ
…oµŠœ Ž¹ÉŠ­µ¤µ¦™„ε®œ—¡·„´—Å—oªnµ «¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªœŸ·ª¡ºÊœ (epicenter) ¨³Á¦¸¥„
¦³¥³šµŠ‹µ„«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªœŸ·ª¡ºÊœÅž¥´Š­™µœ¸˜¦ª‹ª´—ªnµ ¦³¥³«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª
—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 1.2 „µ¦­´Éœ­³Ášº°œ…°Š¡ºÊœ—·œ­µ¤µ¦™˜¦ª‹ª´—Å—o—oª¥Á‡¦ºÉ°Š¤º°ª´—‡¨ºÉœ
Ÿnœ—·œÅ®ª Ž¹ÉŠ¤¸„µ¦ÂnŠ‡¨ºÉœ°°„Áž}œ 3 œ·— ‡º°
„) P-Wave (Primary Wave) ‡¨ºÉœœ¸ÊÁ—·œšµŠ¤µ™¹Š„n°œ—oª¥‡ªµ¤Á¦Èªž¦³¤µ– 5,800 Á¤˜¦˜n°
ª·œµš¸ ¨³„¦³šÎµÄœš·«šµŠÁ—¸¥ª„´Á­oœšµŠ„µ¦Á—·œšµŠ…°Š‡¨ºÉœÄœ¨´„¬–³„¨´Åž-¤µ šÎµ
Ä®oÁ„·—¦Š°´—Äœ˜´ª„¨µŠš¸É‡¨ºÉœÁ—·œšµŠŸnµœÁž}œ¦³¨°„Ç
…) S-Wave (Secondary Wave ®¦º° Shear Wave) ‡¨ºÉœœ¸ÊÁ—·œšµŠ¤µoµ„ªnµœ·—¦„—oª¥
‡ªµ¤Á¦Èªž¦³¤µ– 3,000 Á¤˜¦˜n°ª·œµš¸ „¦³šÎµÄœš·«šµŠ˜´ÊŠŒµ„„´Á­oœšµŠ„µ¦Á—·œšµŠ…°Š
‡¨ºÉœÄœ¨´„¬–³ 2 š·«šµŠ ‡º° „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉĜœª—·ÉŠÂ¨³Âœª¦µ šÎµÄ®oÁ„·—¦ŠÁŒº°œÄœ
˜´ ª „¨µŠš¸É ‡ ¨ºÉ œ Á—· œ šµŠŸn µ œ ‡¨ºÉ œ œ· — œ¸Ê ž ¨n ° ¥¡¨´ Š Šµœ°°„¤µ¤µ„š¸É ­» — ‹¹ Š ¤¸ Ÿ ¨šÎ µ Ä®o
ǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦Á„·—‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥Å—o¤µ„„ªnµ‡¨ºÉœœ·—°ºÉœ

«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªŸ·ª¡ºÊœ
¦³¥³«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª

ve ‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª
S -Wa ´Êœ—·œ°n°œ
‡¨ ºÉœ
‡¨
ºÉœ P
-W
ave

´Êœ—·œÂ…ÈŠ lt)
( Fau
œ
Á¨ºÉ°
¦°¥
´Êœ®·œ «¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªÂšo‹¦·Š
(Focus or Hypocenter)

¦¼žš¸É 1.3 ¡§˜·„¦¦¤…°ŠÂ¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª


‡) Surface Wave °µ‹Á¦¸¥„ªnµ Rayleigh Wave ®¦º° Love Wave ‡¨ºÉœœ¸ÊÁ—·œšµŠ¤µoµš¸É­»—
6 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

—oª¥‡ªµ¤Á¦Èªž¦³¤µ– 2,700 Á¤˜¦˜n°ª·œµš¸ ‡¨ºÉœœ·—œ¸Ê¤¸¨´„¬–³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É‡¨oµ¥„´ S-


Wave ˜nÁ‡¨ºÉ°œš¸ÉœŸ·ª…°Š˜´ª„¨µŠÁšnµœ´œ
Ê

¦Š°´—

¦Š‡¨µ¥
(a) P-Wave

‡ªµ¤¥µª‡¨ºÉœ
(b) S-Wave

(c) Rayleigh Wave

¦¼žš¸É 1.4 ¨´„¬–³…°Š‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª

ÁœºÉ°Š‹µ„‡¨ºœÉ P-Wave ¨³ S-Wave Á—·œšµŠ¤µ™¹Š­™µœ¸˜¦ª‹ª´—Ťn¡¦o°¤„´œ —´Šœ´œÊ ‹¹Š°µ‹


‡Îµœª–®µ¦³¥³®nµŠ…°Š«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªÅ—o ‹µ„‡ªµ¤Â˜„˜nµŠ…°ŠÁª¨µš¸É‡¨ºœÉ š´ŠÊ ­°Šœ·—œ¸Ê
Á—·œšµŠ¤µ™¹Š­™µœ¸˜¦ª‹ª´— —´Šœ¸Ê
ts  t p
s (1.3)
§ 1 1 ·
¨¨  ¸¸
© Vs V p ¹
×¥š¸É s ‡º° ¦³¥³®nµŠ…°Š«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª, Á¤˜¦
É S-Wave Á—·œšµŠ¤µ™¹Š­™µœ¸˜¦ª‹ª´—, ª·œµš¸
ts ‡º° Áª¨µš¸É‡¨ºœ
É P-Wave Á—·œšµŠ¤µ™¹Š­™µœ¸˜¦ª‹ª´—, ª·œµš¸
t p ‡º° Áª¨µš¸É‡¨ºœ
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 7

G˜g
Vs 100 (1.4„)
U
(O  2G ) ˜ g
Vp 100 (1.4…)
U
G ( E  2G )
O (1.4‡)
3G  E
Vs , V p ‡º° ‡ªµ¤Á¦Èª…°Š‡¨ºÉœ S-Wave ¨³ P-Wave ˜µ¤¨Îµ—´, Á¤˜¦/ª·œµš¸
O ‡º° ‡nµ‡Šš¸É Lame, „„./Ž¤.2
G ‡º° ‡nµÃ¤—¼¨´­…°Š„µ¦ÁŒº°œ…°Š´œÊ ®·œ, „„./Ž¤.2
E ‡º° ‡nµÃ¤—¼¨´­¥º—®¥»nœ…°Š´Êœ®·œ, „„./Ž¤.2
U ‡º° ‡nµ‡ªµ¤®œµÂœnœ…°Š´Êœ®·œ, „„./¤.3
g ‡º° ‡nµ‡ªµ¤Á¦nŠÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÃœo¤™nªŠÃ¨„, Á¤˜¦/ª·œµš¸

1.4 ‡¨ºÉœœÊε…œµ—¥´„¬r (Tsunami)

Ĝ„¦–¸š¸ÉŸnœ®·œš¸É°¥¼nĘošo°Š¤®µ­¤»š¦Á„·—„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ªšÎµÄ®oÁ„·—Ÿnœ—·œÅ®ª…¹œÊ Ĝ¦³—´
˜ºÊœ ×¥š¸É‹»—«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªÂšo‹¦·Š°¥¼n¨¹„ŤnÁ„·œ 60 „·Ã¨Á¤˜¦.‹µ„Ÿ·ª¡ºœÊ è„ Ž¹ÉŠÂŸnœ®·œÄ˜o
šo°ŠœÊεÁ„·——´œ˜´ª…¹ÊœÄœ¨´„¬–³„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ªÂ„¨´š·« (Reverse Fault ®¦º° Thrust Fault) ®¦º°
Ĝ„¦–¸š¸ÉŸnœ®·œÄ˜ošo°ŠœÊε¤¸„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ª¨ŠÂž„˜· (Normal Fault ®¦º° Dip-Slip Fault) ‹³šÎµ
Ä®o¤ª¨œÊ央µ«µ¨Á„·—„µ¦¥„˜´ª®¦º°¥»˜´ª¨Š°¥nµŠ¦ª—Á¦ÈªÂ¨³‹³„¦³‹µ¥˜´ª°°„ÅžÁ¡ºÉ°¦´„¬µ
­¤—»¨…°Š¡¨´ŠŠµœœÊε ¨´„¬–³œ¸‹Ê ³„n°Ä®oÁ„·—…ªœ‡¨ºÉœœÊµÎ š¸ÉŸª· š³Á¨Á¦¸¥„ªnµ‡¨ºœÉ œÊµÎ š³Á¨‹µ„
Ÿnœ—·œÅ®ª (seismic sea wave) Ž¹ÉŠµª¸Éž»iœÁ¦¸¥„ªnµ ­¹œµ¤· °´œÁž}œºÉ°š¸œÉ ·¥¤Á¦¸¥„„´œÄœž{‹‹»œ´
œ¸Ê
‡¨ºÉœœÊµÎ ­¹œµ¤·œ¸Ê¤¸¨´„¬–³¡·Á«¬Â˜„˜nµŠ‹µ„‡¨ºÉœœÊεš´ÉªÅž‡º° Ĝšo°Šš³Á¨¨¹„ ‡ªµ¤­¼Š
…°Š‡¨ºÉœ¤¸‡nµœo°¥¤µ„Á¡¸¥Šž¦³¤µ– 30 ÁŽœ˜·Á¤˜¦ ˜n‡ªµ¤Á¦Èª‡¨ºœÉ ¤¸‡nµ­¼Š¤µ„ž¦³¤µ– 700
„·Ã¨Á¤˜¦˜n°´ÉªÃ¤Š ¨³‡ªµ¤¥µª‡¨ºÉœ¤¸‡ªµ¤¥µª¤µ„ ‡µÁª¨µ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É‹µ„‡¨ºÉœ¨¼„®œ¹ŠÉ Ş
¥´Š°¸„¨¼„®œ¹ÉŠ°¥¼nĜnªŠ 5 œµš¸ ™¹Š 1 ´ÉªÃ¤Š šÎµÄ®o­Š´ Á„˜„µ¦Á„·—‡¨ºÉœÄœšo°Šš³Á¨¨¹„Å—o¥µ„¤µ„
‡ªµ¤Á¦Èª…°Š‡¨ºÉœœÊµÎ ­¹œµ¤·­´¤¡´œ›r„´‡ªµ¤¨¹„…°ŠœÊ嚳Á¨ Ž¹ŠÉ °µ‹‡Îµœª–×¥ž¦³¤µ–‹µ„
®¨´„„µ¦…°Š Langrange’s Law ŗo—´Šœ¸Ê
Vtsu = Ds ˜ g (1.5)
8 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

×¥š¸É Vtsu ‡º° ‡ªµ¤Á¦Èª…°Š‡¨ºœÉ œÊµÎ ­¹œµ¤·, Á¤˜¦/ª·œµš¸


Ds ‡º° ‡ªµ¤¨¹„…°ŠœÊ嚳Á¨, Á¤˜¦
g ‡º° ‡nµ‡ªµ¤Á¦nŠÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÃœo¤™nªŠÃ¨„, Á¤˜¦/ª·œµš¸
­Îµ®¦´¤®µ­¤»š¦ÂžŽ·¢d„ ‡ªµ¤¨¹„×¥ÁŒ¨¸É¥…°ŠœÊµÎ ž¦³¤µ– 4,000 Á¤˜¦ —´Šœ´œÊ ‡ªµ¤Á¦Èª…°Š
‡¨ºÉœ¤¸‡nµÁšnµ„´ 4,000 u 9.8 ŗo‡nµž¦³¤µ– 200 Á¤˜¦˜n°ª·œµš¸ ®¦º° 720 „·Ã¨Á¤˜¦˜n°´ÉªÃ¤Š
Ž¹ÉŠ®¤µ¥‡ªµ¤ªnµ ‹µ„®¨nŠ„εÁœ·—‡¨ºÉœÄœš³Á¨š¸É°¥¼®n µn Š‹µ„ {Š~ ‡¨ºÉœœÊµÎ ­µ¤µ¦™Á—·œšµŠÅ—oÁ¦Èª
¤µ„ ˜nÁ¤ºÉ°‡¨ºÉœÁ—·œšµŠÁ…oµÄ„¨oµ¥ {~Š‹³¨—¦³—´‡ªµ¤Á¦Èª¨Š˜µ¤¨Îµ—´ ÁœºÉ°Š‹µ„¦³—´œÊ嚳Á¨
‡n°¥Ç˜ºÊœ¨Š
ÁœºÉ°Š‹µ„¡¨´ŠŠµœ…°Š‡¨ºÉœœÊεš¸É…´Á‡¨ºÉ°œÁ—·œšµŠÁž}œ­´—­nªœÃ—¥˜¦Š„´Ÿ¨‡¼–¦³®ªnµŠ
‡ªµ¤Á¦Èª…°Š‡¨ºÉœÂ¨³‡ªµ¤­¼Š…°Š‡¨ºÉœ Á¤ºÉ°‡¨ºÉœœÊµÎ Á‡¨ºÉ°œÁ…oµÄ„¨oµ¥ {~ŠŽ¹ÉŠ¤¸¦³—´œÊε˜ºÊœ¨Š šÎµ
Ä®o‡ªµ¤Á¦Èª…°Š‡¨ºÉœ¨—¨Š ˜nĜšµŠ˜¦Š„´œ…oµ¤ ‡ªµ¤­¼Š…°Š‡¨ºÉœ‹³Á¡·É¤­¼Š…¹Êœ¤µ„Á¡ºÉ°¦´„¬µ
­¤—»¨…°Š¡¨´ŠŠµœ‡¨ºœÉ Ĝ„¦–¸š¸É¦³—´¡ºœÊ µ¥ {~Š‡n°¥Ç¨µ—´œ…¹Êœ˜µ¤¨Îµ—´—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 1.5
‡¨ºÉœœÊµÎ ‹³Âž¦­£µ¡„¨µ¥Áž}œ„ε¡Š‡¨ºœÉ œÊµÎ …œµ—¥´„¬rŗo ®µ„‡Îµœª–‹µ„‡ªµ¤Á¦Èª‡¨ºÉœœÊεĜ
š³Á¨Â®¨nŠ„εÁœ·—‡¨ºÉœÁ—·œšµŠ—oª¥‡ªµ¤Á¦Èª‡Šš¸É V0 = 200 Á¤˜¦/ª·œµš¸Â¨³¤¸‡ªµ¤­¼Š‡¨ºÉœ A0 =
0.30 Á¤˜¦ Á¤ºÉ°Á‡¨ºÉ°œ˜´ªÁ…oµÄ„¨oµ¥ {Š~ ‡ªµ¤Á¦Èª‡¨ºÉœ‹³¨—¨ŠÁ®¨º° V1 ¤¸‡nµž¦³¤µ– 5 Á¤˜¦/
ª·œµš¸ —´Šœ´Êœ‡ªµ¤­¼Š‡¨ºÉœœÊµÎ š¸Éµ¥ {Š~ ‡Îµœª–Å—o‹µ„
V0 A0 = V1 A1 (1.6)
×¥š¸É A1 ‡º° ‡ªµ¤­¼Š…°Š‡¨ºÉœœÊε­¹œµ¤·, Á¤˜¦
‡Îµœª–‹µ„­¤„µ¦š¸É 1.6 ‹³Å—o‡ªµ¤­¼Š‡¨ºÉœœÊµÎ ‹³Á¡·É¤…¹œÊ ™¹Š­¸É­· Ášnµ˜´ª‡º° A1 =12 Á¤˜¦
œ´Éœ‡º° ‡¨ºÉœœÊ凪µ¤­¼Šž„˜·‹³„¨µ¥Áž}œ‡¨ºÉœ„ε¡ŠœÊε…œµ—¥´„¬rš¸É¤¸¡¨´ŠŠµœ¤®µ«µ¨­µ¤µ¦™
šÎµ¨µ¥¸ª·˜Â¨³­·ÉŠ„¸—…ªµŠ¨ŠÅ—o

V1= 5 m/sec
‡ªµ¤¥µª‡¨ºÉœ V0=200 m/sec
A1=12 m
A0=0.30 m
¦³—´œÎʵš³Á¨žµœ„¨µŠ

¦¼žš¸É 1.5 ¨´„¬–³…°Š‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª


Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 9

˜n­Îµ®¦´„¦–¸š¸Éµ¥ {Š~ ¤¸„µ¦Á¡·É¤¦³—´‡ªµ¤´œ°¥nµŠ¤µ„ ‹³Å¤nÁ„·—‡¨ºÉœ¥´„¬rĜ¨´„¬–³


œ¸Ê Ž¹ŠÉ ‹³Á®ÈœÁ¡¸¥Š¦³—´œÊµÎ š¸ÁÉ °n°…¹ÊœÂ¨³¨Š°¥nµŠŸ·—ž„˜·Ášnµœ´Êœ

1.5 „µ¦ª´—…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª (Earthquake Sizes)

ª·›¸„µ¦ª´—…œµ— (size) …°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª nŠ°°„Áž}œ 2 ª·›¸ ‡º°

1.5.1 ‡ªµ¤Á…o¤…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª (Earthquake Intensity)

‡ªµ¤Á…o¤…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÁž}œª·›„¸ µ¦ª´—…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªš¸ÉÁ„nµÂ„nš¸É­»— Ĝ­¤´¥


ݦµ– ¥´ŠÅ¤n¤¸Á‡¦ºÉ°Š¤º°ª´—Ÿnœ—·œÅ®ªš¸É™„¼ ˜o°ŠÂœnœ°œ ‹¹ŠÄoª·›¸„µ¦­´ŠÁ„˜ž’·„·¦·¥µ…°ŠŸ¼šo ¸É
°µ«´¥°¥¼nĜ¦·Áª–¦´«¤¸…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÂ¨³‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦š¸ÁÉ „·—…¹Êœ „µ¦ª´—‡ªµ¤Á…o¤
…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª œ·¥¤Äo Modified Mercalli Intensity (MMI) —´ŠÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 1.1

˜µ¦µŠš¸É 1.1 ¤µ˜¦ª´—ž¦´ž¦»ŠÄ®¤n Modified Mercalli Intensity


(Fintel and Derecho, 1974)
‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ­¼Š­»—…°Š
¡ºÊœ—·œ (PGA)
I Ťn­µ¤µ¦™¦¼o­¹„Å—o œ°„‹µ„‹³¦¼o­¹„Å—o×¥µŠ‡œÄœÁ®˜»„µ¦–r°Îµœª¥
µŠ„¦–¸ < 0.002g
II ¦¼o­¹„Å—o×¥µŠ‡œ Ž¹ÉŠ°¥¼n„´š¸É ×¥ÁŒ¡µ³´Êœœ…°Š°µ‡µ¦ ª´˜™»š¸É
…ªœ°¥¼n°µ‹Â„ªnŠÅ„ªÅ—o 0.003g
III ¦¼o­¹„Å—o­Îµ®¦´Ÿ¼o°¥¼nĜ°µ‡µ¦ ×¥ÁŒ¡µ³´Êœœ…°Š°µ‡µ¦ ˜n®¨µ¥
‡œÅ¤n˜¦³®œ´„ªnµÁž}œÂŸnœ—·œÅ®ª ¦™¥œ˜rš¸É‹°—°¥¼n°µ‹Ã¥„Å®ªÁµÇ 0.006g
ŗo ¤¸„µ¦­´Éœ­³Ášº°œ‡¨oµ¥„´¦™¦¦š»„¨nœŸnµœ
IV Ÿ¼o¡´„°µ«´¥Äœ°µ‡µ¦­µ¤µ¦™¦¼o­¹„Å—o Ÿ¼o°¥¼n£µ¥œ°„°µ‡µ¦µŠ‡œ¦¼o­¹„
ŗo Ÿ¼oš¸Éœ°œ°¥¼n ¦¼o­¹„˜´ª˜ºÉœ ‹µœ, ®œoµ˜nµŠ, ž¦³˜¼¤¸„µ¦­´Éœ; „ε¡Š¤¸
Á­¸¥ŠÂ˜„; ¤¸‡ªµ¤¦¼o­¹„‡¨oµ¥¦™¦¦š»„®œ´„œ°µ‡µ¦ ¦™¥œ˜rš¸É‹°— 0.01g
°¥¼nÃ¥„Å®ª°¥nµŠ­´ŠÁ„˜Å—o
V ¦¼o­¹„Å—oÁ„º°š»„‡œ, ®¨µ¥‡œ˜ºÉœ; ‹µœ, ®œoµ˜nµŠ Áž}œ˜oœ ˜„¦oµª;
ª´˜™»š¸ÉŤn¤´Éœ‡Š¡¨·„¨o¤ ˜oœÅ¤o ª´˜™»š¸É­¼Š¤¸„µ¦­´ÉœÅ®ª; œµ¯·„µš¸Éčo˜»o¤ 0.03g
°µ‹®¥»—Á—·œ
10 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

˜µ¦µŠš¸É 1.1 ¤µ˜¦ª´—ž¦´ž¦»ŠÄ®¤n Modified Mercalli Intensity (˜n°)


VI ¦¼o­¹„Å—oš»„‡œ, ®¨µ¥‡œ˜„ċ¨³ª·ÉŠ°°„¤µ£µ¥œ°„; Á¢°¦rœ·Á‹°¦r
®œ´„µŠ·ÊœÁ‡¨ºÉ°œ¥oµ¥; ž¼œŒµŸœ´ŠÂ˜„„³Ášµ³; ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥ 0.06g
Áµ
VII š»„‡œª·ÉŠ°°„­¼n£µ¥œ°„; °µ‡µ¦š¸É°°„Â¨³„n°­¦oµŠÅªo°¥nµŠ—¸Å¤n
Á­¸¥®µ¥, ǦŠ­¦oµŠš¸É„n°­¦oµŠ˜µ¤ž„˜·š´ÉªÅžÁ­¸¥®µ¥Á¨È„œo°¥™¹Šžµœ
„¨µŠ, ǦŠ­¦oµŠš¸É°°„Â¨³„n°­¦oµŠÅ¤n—¸Á­¸¥®µ¥; ž¨n°ŠÅ¢ 0.1g
˜„¦oµª; Ÿ¼oš¸É…´¦™°¥¼n¦¼o­¹„Å—o
VIII ǦŠ­¦oµŠš¸É°°„Åªo°¥nµŠ—¸Á­¸¥®µ¥Á¨È„œo°¥, ǦŠ­¦oµŠž„˜·š´ÉªÅž
Á­¸¥®µ¥, µŠ­nªœ¡´Šš¨µ¥, ǦŠ­¦oµŠš¸É„n°­¦oµŠÅ¤n—¸Á­¸¥®µ¥¤µ„;
ŸnœŸœ´Š ·—°°„œ°„„¦°; ž¨n°ŠÅ¢Ã¦ŠŠµœ, Á­µ, °œ»­µª¦¸¥r, Ÿœ´Š 0.3g
¨o¤¨Š; Á¢°¦rœ·Á‹°¦r®œ´„¡¨·„¨o¤; ¦³—´œÊεĜn°Áž¨¸É¥œ; Ÿ¼o‡œš¸É…´¦™
°¥¼n ¦¼o­¹„™¼„¦„ªœ
IX ǦŠ­¦oµŠš¸É°°„Áž}œ¡·Á«¬ ¤¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥; ǦŠ­¦oµŠš¸É°°„
—¸ ·—°°„‹µ„Âœª—·ÉŠ ǦŠ­¦oµŠš¸É¤´Éœ‡Š¤¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥¤µ„
µŠ­nªœ¡´Šš¨µ¥; °µ‡µ¦…¥´°°„œ°„“µœ; 0.6g
¡ºÊœÂ˜„‹œÁ®Èœ´—; šn°š¸É {Š°¥¼nĘo—·œÂ˜„
X ǦŠ­¦oµŠÅ¤oš¸É„n°­¦oµŠ—¸µŠ®¨´Š™¼„šÎµ¨µ¥; ǦŠ­¦oµŠŸœ´Š„n° 1g
­nªœ¤µ„ ™¼„šÎµ¨µ¥ ¡ºÊœÂ˜„°¥nµŠ¦»œÂ¦Š; ¦µŠ¦™Ã„nŠŠ°; Ÿnœ—·œ
¦·Áª– {~ŠÂ¤nœÊ娳š¸É¨µ—´œ™¨n¤
XI ǦŠ­¦oµŠš¸É¥´Š‡ŠÁ®¨º°°¥¼n¤¸œo°¥; ­³¡µœ™¼„šÎµ¨µ¥; ¡ºÊœ—·œ¤¸¦°¥ 2g
˜„Â¥„„ªoµŠ Á­oœšn°Ä˜o—·œÄo„µ¦Å¤nŗo®¤—; ­Îµ®¦´—·œ°n°œ ¤¸„µ¦
š¨µ¥¨Š ¨³Á¨ºÉ°œ˜´ª¦µŠ¦™¤¸„µ¦Ã„nŠŠ°°¥nµŠ¤µ„
XII Á­¸¥®µ¥š´ÊŠ®¤— Šµœ„n°­¦oµŠš´ÊŠ®¤—™¼„šÎµ¨µ¥Á­¸¥®µ¥°¥nµŠ¦»œÂ¦Š; 6g
¡ºÊœŸ·ª—·œÁ„·—ÄnŠ˜´ªÁž}œ‡¨ºÉœ Á­oœšµŠ‡¤œµ‡¤™¼„šÎµ¨µ¥ ª´­—»™¼„
—¸—…¹Êœœ°µ„µ«

1.5.2 …œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª (Earthquake Magnitude)

Ĝ¦³¥³Áª¨µ 60 žeš¸ÉŸnµœ¤µ ŗo¤¸„µ¦¡´•œµÁ‡¦ºÉ°Š¤º°˜¦ª‹ª´—„µ¦­´Éœ­³Ášº°œ…°Š


¡ºÊœ—·œÁœºÉ°Š‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ªÅ—o°¥nµŠ—¸¥Š·É …¹Êœ ‹¹ŠÅ—o¤¸„µ¦ª´—…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª —´Šœ¸Ê
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 11

„) Richter Local Magnitude, ML


Charles Richter (1935) „ε®œ—‡nµ Local magnitude Ášnµ„´‡nµ Logarithm “µœ
10 …°Š‡nµ…œµ—‡¨ºÉœ­¼Š­»—š¸Éª´——oª¥Á‡¦ºÉ°Š¤µ˜¦“µœ Wood-Anderson Ž¹ÉŠ˜´ÊŠ°¥¼n®nµŠ‹µ„‹»—
«¼œ¥r„¨µŠ (epicenter) …°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÁž}œ¦³¥³šµŠ 100 „¤. —´Šœ¸Ê
§ A·
ML Log10 ¨ ¸ (1.7)
© Ao ¹
×¥š¸É A ‡º° ‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ­¼Š­»—…°Š¡ºœÊ —·œ
É Š¤µ˜¦“µœ (×¥š´ÉªÅž Ášnµ„´ 0.001¤¤.)
Ao ‡º° ‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠš¸ªÉ ´——oª¥Á‡¦º°
‡nµ Richter scale, ML œ¸Ê¡´•œµ…¹Êœ¤µÁ¡ºÉ°Äoª´—Ÿnœ—·œÅ®ªš¸¤É ¸Â®¨nŠ„εÁœ·—Ÿnœ—·œÅ®ª°¥¼n˜œºÊ
¨³¤¸¦³¥³«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªœo°¥„ªnµ 600 „¤. ž{‹‹»´œœ¸Ê ¤µ˜¦µ Richter scale Áž}œš¸É¦¼o‹´„„´œ—¸
¨³œ·¥¤Äo„œ´ °¥nµŠÂ¡¦n®¨µ¥ ®µ„Áš¸¥¦³—´…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜µ¤¤µ˜¦µ¦·‡Á˜°¦r„´‡ªµ¤
¦»œÂ¦ŠÂ¨³¡ºœÊ š¸É‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦ °µ‹Â­—ŠÅ—o˜µ¤˜µ¦µŠš¸É 1.2

˜µ¦µŠš¸É 1.2 …œµ—¨³‡ªµ¤¦»œÂ¦Š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜µ¤¤µ˜¦µ¦·‡Á˜°¦r (Paulay & Priestley, 1992)


…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ‡ªµ¤¦»œÂ¦Š ¡ºÊœš¸É‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥
ML  2 Áµ¤µ„ (micro-earthquakes) ŤnÁ­¸¥®µ¥
2 d ML  5 Áµ - žµœ„¨µŠ (small) Á­¸¥®µ¥Á¨È„œo°¥
5 d ML  6 žµœ„¨µŠ (Moderate) 100 ˜¦.„¤.
6 d ML  7 ‡n°œ…oµŠ¦»œÂ¦Š (Moderately Strong) 2,000 ˜¦.„¤.
7 d ML  8 ¦»œÂ¦Š (Strong) 10,000 ˜¦.„¤.
ML t 8 ¦»œÂ¦Š¤µ„ (Great) ¤µ„„ªnµ 100,000 ˜¦.„¤.

œ°„‹µ„œ¸¤Ê µ˜¦µ¦·‡Á˜°¦r¥´ŠœÎµÅž‡Îµœª–®µ¡¨´ŠŠµœš¸žÉ ¨—ž¨n°¥‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ªÅ—o —´Šœ¸Ê


Log10 E = 11.4  1.5M L (1.8)
×¥š¸É E ‡º° ¡¨´ŠŠµœ‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª, ergs
‹µ„„µ¦š¸É‡nµ¡¨´ŠŠµœÁž}œ­Á„¨…°Š¨°„„µ¦·š¹¤ œ´œÉ ‡º° …œµ—Ÿnœ—·œÅ®ªš¸ÉÁ¡·¤É …¹ÊœÂ˜n¨³ 1 ¦·‡Á˜°¦r
Áš¸¥Ášnµ„´œ„´¡¨´ŠŠµœš¸ÁÉ ¡·¤É …¹Êœ™¹Š 101.5 Ášnµ ˜´ª°¥nµŠÁnœ Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ— 8M L ‹³ž¨n°¥
¡¨´ŠŠµœ°°„¤µ¤µ„™¹Š 103 = 1,000 Ášnµ…°Š¡¨´ŠŠµœ‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ— 6M L °¥nµŠÅ¦„Șµ¤
Richter scale „È¥Š´ Ťnčn¤µ˜¦µª´—…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªš¸ÁÉ ®¤µ³­¤Äœš»„„¦–¸
12 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

…) Surface Wave Magnitude, Ms


Gutenberg ¨³ Richter (1936) „ε®œ—‡nµ Surface Wave Magnitude, Ms Ž¹ÉŠ
…¹Êœ°¥¼n„´…œµ— amplitude …°Š Rayleigh Wave ª´—Äœ‡µÁª¨µ 20 ª·œµš¸ ‡nµ Ms œ¸Êœ·¥¤
čoª´—…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªŽ¹ŠÉ ¤¸Â®¨nŠ„εÁœ·—Ÿnœ—·œÅ®ª°¥¼n˜ºÊœ (œo°¥„ªnµ 70 „¤.) ¨³Â®¨nŠ
¡¨´ŠŠµœš¸Éž¨—ž¨n°¥°°„¤µÄœ…–³Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ª¤¸…œµ—„¨µŠ™¹ŠÄ®n ×¥¤¸¦³¥³«¼œ¥r„¨µŠ
Ÿnœ—·œÅ®ªš¸°É ¥¼n®nµŠÅ„¨ (¤µ„„ªnµ 1,000 „¤.) ‡nµ Surface Wave Magnitude ‡Îµœª–‹µ„
Ms = log A + 1.66 log ' + 2.0 (1.2)
×¥š¸É A ‡º° ‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¼Š­»—…°Š¡ºœÊ —·œ, ŤÇ¦Á¤˜¦
' ‡º° ¦³¥³«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª, —¸„¦¸ ×¥š¸É‡µn 360q Áš¸¥Ášnµ„´Á­oœ¦°¦¼ž…°ŠÃ¨„

‡) Body wave Magnitude, Mb


­Îµ®¦´Â®¨nŠ„εÁœ·—Ÿnœ—·œÅ®ªš¸É°¥¼n¨„¹ ¤µ˜¦µš¸ªÉ ´—×¥ Surface Wave Magnitude
‹³ª´—‡nµÅ—oŤn™¼„˜o°Š ˜n Body Wave Magnitude, Mb Ž¹ÉŠÁ­œ°Ã—¥ Gutenberg (1945) ‹³Áž}œ
¤µ˜¦µ„µ¦ª´—š¸ÉÁ®¤µ³­¤„ªnµ ×¥š¸É‡nµ Mb œ¸Ê‡Îµœª–‹µ„‡nµ…œµ—‡ªµ¤­¼Š…°Š‡¨ºÉœ P-Wave ‡nµ
Body Wave Magnitude ‡Îµœª–‹µ„
Mb = log A – log T + 0.01' + 5.9 (1.3)
×¥š¸É A ‡º°‡ªµ¤­¼Š…°Š‡¨ºÉœ P-Wave, ŤÇ¦Á¤˜¦
T ‡º°‡µÁª¨µ…°Š‡¨ºÉœ P-Wave, ª·œµš¸

Š) Moment Magnitude, Mw
­Îµ®¦´ÂŸnœ—·œÅ®ªš¸É¤¸…œµ—Ä®n¤µ„Ç „µ¦ª´—…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª—´Š„¨nµª…oµŠ˜oœ
‹³¤¸‡ªµ¤‡¨µ—Á‡¨ºÉ°œÄœ„µ¦‡Îµœª–Å—o Ánœ ML ¨³ Mb ‹³¤¸‡ªµ¤‡¨µ—Á‡¨ºÉ°œÁ¤ºÉ°ª´—‡nµÅ—o
Á„·œ 6 ¨³ 7 ˜µ¤¨Îµ—´ ­nªœ Ms ‹³¤¸‡ªµ¤‡¨µ—Á‡¨ºÉ°œÁ¤ºÉ°ª´—Å—oÁ„·œ 8 ™oµÂŸnœ—·œÅ®ªš¸¤É ¸
…œµ—Ä®n¤µ„Á„·œ„ªnµœ¸Ê œ·¥¤Äo Moment Magnitude, Mw Áž}œ‡nµ„µ¦ª´—Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—
Ä®nšœ¸É nµÁºÉ°™º°„ªnµª·›¸°œºÉ ‡nµ Moment Magnitude ‡Îµœª–Å—o‹µ„
log M 0
Mw  10.7 (1.4)
1.5
×¥š¸É M0 ‡º°Ã¤Á¤œ˜rŸnœ—·œÅ®ª, ŗœr-Ž¤.
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 13

1.6 ®¨nŠ„εÁœ·—Ÿnœ—·œÅ®ªš¸É¤¸Ÿ¨„¦³š˜n°ž¦³Áš«Åš¥

ž¦³Áš«Åš¥Áž} œ ­n ª œ®œ¹É Š …°ŠÂŸn œ ®· œ ¥¼ Á ¦ÁŽ¸ ¥ œŽ¹É Š °¥¼n ˜· — „´ œ „´  Ÿn œ ®· œ °· œ ×-


°°­Á˜¦Á¨¸ ¥ œ —´ Š ­—ŠÄœ¦¼ ž š¸É 1.6 Ÿn œ ®· œ °· œ ×-°°­Á˜¦Á¨¸ ¥ œÁ‡¨ºÉ ° œ˜´ ª Ĝš· «
˜³ª´œ°°„ÁŒ¸¥ŠÁ®œº°—oª¥°´˜¦µž¦³¤µ– 65 ¤¤.˜n°že¨³¤¸„µ¦„—°´—„´ÂŸnœ®·œ¥¼Á¦ÁŽ¸¥œŽ¹ÉŠ
Á‡¨ºÉ°œ˜´ª¨Š¤µšµŠš·«Ä˜o šÎµÄ®oÁ„·—Áž}œÂœª¦°¥Á¨ºÉ°œ°´œ—µ¤´œ—oª¥¨´„¬–³„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ªÂ„¨´
š·« (Andaman Thrust) ¨³¤¸Âœª¦°¥Á¨ºÉ°œ¥n°¥Çš¸É­Îµ‡´Á„·—…¹ÊœÅ—o„n ¦°¥Á¨ºÉ°œ­»¤µ˜¦µŽ¹ÉŠÁž}œ
„µ¦Á¨ºÉ°œ˜´ªÂ—oµœ…oµŠ (Strike-Slip Fault) °´œÁž}œÂ®¨nŠ„εÁœ·—Ÿnœ—·œÅ®ªš¸ÉÁ„·—…¹Êœn°¥Äœ
ž{‹‹»´œ

¦¼žš¸É 1.6 „µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª…°ŠÂŸnœ®·œ¦·Áª–£¼¤·µ‡Á°Á¸¥˜³ª´œ°°„ÁŒ¸¥ŠÄ˜o


14 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

Ĝ¦·Áª–Ä„¨oÁ‡¸¥Šž¦³Áš«Åš¥Á¦µÁ…oµ¤µ°¸„ „Ȥ¸Á…˜¦°¥Á¨ºÉ°œš¸É­Îµ‡´Å—o„n ¦°¥Á¨ºÉ°œ


­³Â„Š (Sagang Fault) ¨³¦°¥Á¨ºÉ°œ¡µœ®¨ªŠ ¦³®ªnµŠ£µ‡˜³ª´œ˜„…°Šž¦³Áš«Åš¥Â¨³
˜³ª´œ°°„…°Šž¦³Áš«¡¤nµ Á…˜¦°¥Á¨ºÉ°œš´ŠÊ ­°Šœ¸Ê¤¸ÂœªÂ¥„˜n°ÁœºÉ°Š¤µšµŠ˜³ª´œ˜„…°Šž¦³Áš«
Ś¥ Ũn‹µ„šµŠ˜°œœ¨Š¤µ˜°œ¨nµŠ °´œÅ—o„n Á…˜¦°¥Á¨ºÉ°œÂ¤nžŠd Á…˜¦°¥Á¨ºÉ°œ«¦¸­ª´­—·Í ¨³
Á…˜¦°¥Á¨ºÉ°œÁ‹—¸¥r­µ¤°Š‡r ˜µ¤¨Îµ—´ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 1.7 œª¦°¥Á¨ºÉ°œÁ®¨nµœ¸Ê¥Š´ ¤¸Ã°„µ­
Á‡¨ºÉ°œ˜´ª°¥¼n ‹¹ŠÁ¦¸¥„ªnµ ¦°¥Á¨ºÉ°œ¤¸¡¨´Š (Active Fault) ×¥ÁŒ¡µ³¦°¥Á¨ºÉ°œ¦·Áª–Á…˜‹´Š®ª´—
„µ‹œ»¦¸

¦¼žš¸É 1.7 œª¦°¥Á¨ºÉ°œ¤¸¡¨´Š (Active Faults) Ĝž¦³Áš«Åš¥


Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 15

Áž}œÂ®¨nŠ„εÁœ·—Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—„¨µŠ(…œµ— 5.2-5.9 ¦·‡Á˜°¦r) š¸ÉÁ‡¥Á„·—¤µÂ¨oª®¨µ¥‡¦´ŠÊ


ÁœºÉ°Š‹µ„Âœª¦°¥Á¨ºÉ°œ°¥¼nĄ¨o˜´ªÁ¤º°Š„µ‹œ»¦¸¤µ„¨³°¥¼n®µn Š‹µ„„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦Äœ¦³¥³
Á¡¸¥Š 200 ™¹Š 300 „·Ã¨Á¤˜¦ —´Šœ´œÊ Ÿ¨„¦³š‹µ„¦°¥Á¨º°É œ¦·Áª–œ¸‹Ê Š¹ ¤¸‡ªµ¤Áž}œÅžÅ—o­¼Š

1.7 ­™·˜·ÂŸnœ—·œÅ®ªš¸É¤¸Ÿ¨˜n°ž¦³Áš«Åš¥

Ĝ°—¸˜š¸ÉŸnµœ¤µž¦³Áš«Åš¥Á¦µÁ‡¥Á„·—Á®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ª¤µÂ¨oª®¨µ¥‡¦´ŠÊ Ĝ
ž¦³ª´˜·«µ­˜¦rÁ‡¥¤¸„µ¦´œš¹„Ūoªnµ Ĝže ¡.«. 1003 ¤¸ÂŸnœ—·œÅ®ª…œµ—Ä®nÁ„·—…¹Êœ¦»œÂ¦Š¤µ„
‹œšÎµÄ®o¦·Áª–Ã¥œ„œ‡¦¥»‹¤¨ŠÁ„·—Áž}œ®œ°ŠœÊεĮn ¨³Á¤ºÉ°že ¡.«. 2088 „ÈÁ„·—Ÿnœ—·œÅ®ª
‡¦´ÊŠÄ®nšœ¸É ‡¦Á¸¥ŠÄ®¤n ‹œ¥°—Á‹—¸¥r®¨ªŠ­¼Š 86 Á¤˜¦ ®´„¡´Š¨Š¤µÁ®¨º° 60 Á¤˜¦ œ´˜´ÊŠÂ˜nœœ´Ê
¤µ‹œ™¹Šž{‹‹»´œž¦³¤µ–­¸É¦o°¥„ªnµže¤µÂ¨oª „Ȥ¸ÂŸnœ—·œÅ®ªÁ„·—…¹ÊœÁž}œ¦³¥³Ç ĜnªŠÁª¨µ 90
„ªnµžeš¸ÉŸnµœ¤µ ŗo¤¸„µ¦˜¦ª‹ª´—Ÿnœ—·œÅ®ª—oª¥Á‡¦ºÉ°Šª´—Ÿnœ—·œÅ®ª (seismograph) ­Îµ®¦´
ž¦³Áš«Åš¥Â¨³ž¦³Áš«…oµŠÁ‡¸¥ŠÄœ£¼¤·£µ‡Á°Á¸¥˜³ª´œ°°„ÁŒ¸¥ŠÄ˜o°¥nµŠ˜n°ÁœºÉ°Š …o°¤¼¨‹µ„
Á‡¦ºÉ°Šª´—ž¦³„°—oª¥…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ˜ÎµÂ®œnŠ…°Š‹»—«¼œ¥r„¨µŠÂ¨³Áª¨µš¸ÉÁ„·—…°Š
Ÿnœ—·œÅ®ªÂ˜n¨³‡¦´ÊŠ ץĜ¦³¥³Â¦„ nªŠ¡.«. 2453-2505 ¤¸„µ¦˜´ÊŠ­™µœ¸˜¦ª‹ª´—‹Îµœªœ¥´Š¤¸
Ťn¤µ„œ´„„¦³‹µ¥°¥¼nĜž¦³Áš«Á¡ºÉ°œoµœÄ„¨oÁ‡¸¥Š ˜n¥´ŠÅ¤n¤¸­™µœ¸Äœž¦³Áš«Åš¥ ‹¹Š¤¸„µ¦
˜¦ª‹‹´Å—oÁŒ¡µ³ÂŸnœ—·œÅ®ªš¸É¤¸…œµ—‡n°œ…oµŠÄ®n (ž¦³¤µ– 6 ¦·‡Á˜°¦r…¹ÊœÅž) Ĝ…–³š¸É
Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—Á¨È„‹œ™¹Š…œµ—„¨µŠ (ž¦³¤µ– 3-5 ¦·‡Á˜°¦r) Ž¹ÉŠÁ„·—…¹ÊœÁž}œ‹Îµœªœ¤µ„¤´„®¨»—
¦°—Şŗo ˜n°¤µÄœže¡.«.2506 ‹¹ŠÅ—o¤¸„µ¦˜·—˜´ÊŠ­™µœ¸˜¦ª‹ª´—×¥„¦¤°»˜»œ·¥¤ª·š¥µ…°ŠÅš¥Áž}œ
‡¦´ÊŠÂ¦„š¸É‹´Š®ª´—Á¸¥ŠÄ®¤n ¨³Å—o¤¸„µ¦Á¡·É¤‹Îµœªœ­™µœ¸„¦³‹µ¥Åž˜µ¤£¼¤·£µ‡˜nµŠÇ ¡¦o°¤š´ŠÊ
¡´•œµ…¸—‡ªµ¤­µ¤µ¦™…°ŠÁ‡¦ºÉ°Š˜¦ª‹ª´—…¹Êœ¤µ„ ×¥œÎµÁ‡¦ºÉ°Šª´—¦»nœÄ®¤nšÉ¤¸ ¸‡ªµ¤­µ¤µ¦™Äœ
„µ¦˜¦ª‹‹´­¼Š Á…oµ¤µÂšœÁ‡¦ºÉ°Š¦»nœÁ„nµ Ĝž{‹‹»œ´ ¤¸­™µœ¸˜¦ª‹ª´—Áž}œ‹Îµœªœ 19 ­™µœ¸š´Éª
ž¦³Áš« ‹µ„…o°¤¼¨—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 1.8 šÎµÄ®o˜¦ª‹¡ÂŸnœ—·œÅ®ª…œµ—Á¨È„¨³…œµ—„¨µŠÄœ
£µ‡Á®œº°Â¨³£µ‡˜³ª´œ˜„ÁŒ¸¥ŠÁ®œº°…°ŠÅš¥‹Îµœªœ¤µ„
®µ„œ´ÄœnªŠ¦³¥³Áª¨µ˜´ÊŠÂ˜n¤¸„µ¦˜·—˜´ÊŠ­™µœ¸˜¦ª‹ª´—Äœž¦³Áš«Åš¥Áž}œÁª¨µ 40 „ªnµ
žeš¸ÉŸnµœ¤µ ¤¸„µ¦´œš¹„­™·˜·ÂŸnœ—·œÅ®ªš¸É¦¼o­¹„Å—o˜µ¤Á¤º°ŠÄ®nÇ —´ŠÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 1.3 ×¥
ÁŒ¨¸É¥ …œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªš¸ÉÁ„·—…¹ÊœÂ¨³¦¼­o ¹„Å—oĜž¦³Áš«Åš¥¤¸…œµ—ž¦³¤µ– 4.5 ™¹Š 5.3 ¦·‡
Á˜°¦r ‹´—Å—oªnµÁž}œÂŸnœ—·œÅ®ª…œµ—žµœ„¨µŠ (Moderate earthquake)
16 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

¦¼žš¸É 1.8 Ÿœš¸É­—Š˜ÎµÂ®œnŠÂ¨³…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªš¸˜É ¦ª‹ª´—Å—oĜž¦³Áš«Åš¥


¨³ž¦³Áš«…oµŠÁ‡¸¥Š ˜´ÊŠÂ˜nže¡.«.2453™¹Šž{‹‹»´œ
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 17

˜µ¦µŠš¸É 1.3 ­™·˜·ÂŸnœ—·œÅ®ªš¸ÉÁ„·—…¹ÊœÂ¨³¦¼o­„¹ ŗoĜž¦³Áš«Åš¥

ª´œš¸É …œµ— «¼œ¥r„¨µŠ ¦·Áª–š¸É¦¼o­¹„Å—o


Ÿnœ—·œÅ®ª
22 „.¥. 2508 5.3 Mb ž¦³Áš«¡¤nµ ¦¼o­¹„Å—oš¸É °. µŠ ‹.Á¸¥ŠÄ®¤n ¤n±n°Š­°œ Á¸¥Š¦µ¥ ¨ÎµžµŠ
¨³¨Îµ¡¼œ
14 „.¡. 2510 5.6 Mb °´œ—µ¤´œ ¦¼o­¹„Å—o™¹Š„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦
12 Á¤.¥. 2510 6.1 Mb ­»¤µ˜¦µ˜°œœ ¦¼o­¹„Å—oš¸É ‹.­˜¼¨ £¼Á„Ș ­Š…¨µ
28 Á¤.¥. 2514 5.6 Mb ž¦³Áš«¡¤nµ-‹¸œ ¦¼o­¹„Å—oš¸É ‹.Á¸¥ŠÄ®¤n
17 „.¡. 2518 5.6 Mb °.šnµ­°Š¥µŠ ‹. ˜µ„ Á­¸¥®µ¥Á¨È„œo°¥Äœ£µ‡Á®œº° £µ‡„¨µŠÂ¨³ „š¤.
29 „.¥. 2518 5.1 Mb ž¦³Áš«¡¤nµ ¦¼o­¹„­´ÉœÅ®ªš¸É‹.¨ÎµžµŠœµœ 2 ª·œµš¸ ­µ¥Å¢¢jµÂ„ªnŠ ¦¼o­¹„
­´ÉœÅ®ªš¸É°µ‡µ¦„¦»ŠÁš¡ž¦³„´œ£´¥´Êœ 7
26 ¡.‡. 2521 4.8 Mb °.¡¦oµª ‹.Á¸¥ŠÄ®¤n Á­¸¥®µ¥Á¨È„œo°¥š¸É °.¡¦oµª ¦¼o­¹„­´ÉœÅ®ªœµœ 15 ª·œµš¸ š¸É ‹.
Á¸¥Š¦µ¥ Á¸¥ŠÄ®¤n ¨³¨ÎµžµŠ
20 ¤·.¥. 2525 4.3 ML Á¸¥ŠÄ®¤n ¦¼o­¹„­´ÉœÅ®ªš¸É ‹.Á¸¥ŠÄ®¤n Á¸¥Š¦µ¥ ¨Îµ¡¼œ ¨ÎµžµŠ ¨³¤¸
Á­¸¥Š—´Š‡¨oµ¥¢jµ¦o°Š
4 Á¤.¥. 2526 6.6 Mb ­»¤µ˜¦µ˜°œœ ¦¼o­¹„­´ÉœÅ®ªš¸É´Êœ 22 …°Š°µ‡µ¦Ã‡´¥
22 Á¤.¥. 2526 5.9 Mb °.«¦¸­ª´­—·Í ¦¼o­¹„Ÿnœ—·œÅ®ª˜¨°—£µ‡„¨µŠÂ¨³£µ‡Á®œº°®¨µ¥‡œ
‹.„µ‹œ»¦¸ ˜ºÉœ˜¦³®œ„ Á­¸¥®µ¥Á¨È„œo°¥Â„n°µ‡µ¦Äœ „š¤.
1 ˜.‡. 2532 5.3 Mb ¡¤nµ-Ś¥ ¦¼o­¹„­´ÉœÅ®ªœ°µ‡µ¦­¼ŠÄœ„š¤.¤¸Ÿ¼oÁ­¸¥¸ª·˜Äœ¡¤nµ 3 ‡œ
11 „.¥. 2537 5.1 ML ¡¦¤Â—œÅš¥-¡¤nµ ¦¼o­¹„Å—oš¸É °.¡µœ ‹.Á¸¥Š¦µ¥ ¤¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥„´
抡¥µµ¨ æŠÁ¦¸¥œ ¨³ª´—
12 „.‡. 2538 7.2 Mb ¡¤nµ ¦¼o­¹„Å—oš¸É¦·Áª–£µ‡Á®œº°˜°œœÂ¨³°µ‡µ¦­¼ŠÄœ„š¤.
¤¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥Á¨È„œo°¥˜n°°µ‡µ¦
20 ¤.‡. 2543 5.9 ML ¨µª ¦¼o­¹„Å—oš¸É ‹.œnµœ ¡¦n ¡³Á¥µ Á¸¥Š¦µ¥ ¤¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥
Á¨È„œo°¥š¸É œnµœÂ¨³ ¡¦n
22 ¤.‡. 2546 7.0 ML ­»¤µ˜¦µ ¦¼o­¹„Å—oš¸É Á¸¥ŠÄ®¤n ¤n±n°Š­°œ ¨Îµ¡¼œ Á¸¥Š¦µ¥ ¨³
°µ‡µ¦­¼ŠÄœ„š¤.µŠÂ®nŠÁ­¸¥®µ¥Á¨È„œo°¥
18 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

˜µ¦µŠš¸É 1.3 ­™·˜·ÂŸnœ—·œÅ®ªš¸ÉÁ„·—…¹ÊœÂ¨³¦¼o­„¹ ŗoĜž¦³Áš«Åš¥ (˜n°)

ª´œš¸É …œµ— «¼œ¥r„¨µŠ ¦·Áª–š¸É¦¼o­¹„Å—o


Ÿnœ—·œÅ®ª
22 „.¥. 2546 6.7 ML ¡¤nµ ¦¼o­¹„Å—oœ°µ‡µ¦­¼Šœ´­·Â®nŠÄœ®¨µ¥¡ºÊœš¸É…°Š„š¤.¦ª¤
š´ÊŠ®¨µ¥‹´Š®ª´—Äœ£µ‡Ä˜o
26 ›.‡. 2547 9.0 MW Á„µ³­»¤µ˜¦µ ¦¼o­¹„­´ÉœÅ®ªÅ—oÁ„º°š»„‹´Š®ª´—Äœ£µ‡Ä˜o ¦ª¤™¹Š°µ‡µ¦­¼Š
°·œÃ—œ¸ÁŽ¸¥ ®¨µ¥Â®nŠÄœ„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦ Ÿnœ—·œÅ®ª‡¦´ÊŠœ¸ÊšÎµÄ®oÁ„·—
‡¨ºÉœ­¹œµ¤·¦·Áª– {~Šš³Á¨°´œ—µ¤´œ ˜´ÊŠÂ˜n‹´Š®ª´—¦³œ°Š
¡´ŠŠµ £¼Á„Ș „¦³¸É ­˜¼¨ ¨³˜¦´Š ¤¸Ÿ¼oÁ­¸¥¸ª·˜„ªnµ 5,000
‡œÂ¨³­¼®µ¥„ªnµ 3,000 ‡œ
28 ¤¸.‡. 2548 8.7 ML Á„µ³­»¤µ˜¦µ Ÿnœ—·œÅ®ªÄ„¨oÁ„µ³ NIAS Ž¹ÉŠ°¥¼nšµŠ˜³ª´œ˜„…°ŠÁ„µ³­»
°·œÃ—œ¸ÁŽ¸¥ ¤µ˜¦µ ¤¸Ÿ¼oÁ­¸¥¸ª·˜ž¦³¤µ– 2,000 ‡œ ¦¼o­¹„­´Éœ­³Ášº°œ™¹Š
‹´Š®ª´—£¼Á„Ș ­Š…¨µ ¨³Ÿ¼o°µ«´¥°¥¼nœ°µ‡µ¦­¼ŠÄœ
„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦

‹µ„…o°¤¼¨ÂŸnœ—·œÅ®ªÁ®¨nµœ¸Ê°µ‹‹ÎµÂœ„‡ªµ¤Á­¸¥É Š£´¥‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ªÅ—oÁž}œ 2 …œµ—


—´Šœ¸Ê
„) £´¥‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—„¨µŠÄœ¦³¥³Ä„¨o
ÁœºÉ°Š‹µ„ð„µ­š¸É‹³Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—„¨µŠ¤¸‡n°œ…oµŠ¤µ„ ®µ„‹»—«¼œ¥r„¨µŠ
Ÿnœ—·œÅ®ª°¥¼nĜ¦´«¤¸Ä„¨oÁ¤º°Šž¦³¤µ– 10-15 „·Ã¨Á¤˜¦ ‹³¤¸¦³—´„µ¦­´Éœ­³Ášº°œš¸É¦œ» ¦Š¤µ„
‹œ°µ‹šÎµ¨µ¥°µ‡µ¦oµœÁ¦º°œÂ¨³­·ÉŠž¨¼„­¦oµŠš´ÉªÅžÅ—o ¨³®µ„ÅžÁ„·—Ä„¨oÁ¤º°ŠÄ®nš¸É¤¸
ž¦³µ„¦°µ«´¥°¥¼n®œµÂœnœÂ¨³°µ‡µ¦¤·Å—o¤¸„µ¦°°„Ä®o­µ¤µ¦™˜oµœšµœÂŸnœ—·œÅ®ªÅ—o „È
°µ‹„n°Ä®oÁ„·—£´¥¡·´˜·š¸É¦»œÂ¦ŠÅ—o —´Š˜´ª°¥nµŠÁ®˜»„µ¦–r­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 1.4 ­Îµ®¦´Äœž¦³Áš«
Ś¥Á¦µÂŸnœ—·œÅ®ª…œµ—„¨µŠÁ®¨nµœ¸Ê Á‡¥šÎµ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥˜n°°µ‡µ¦¤µÂ¨oª ‹µ„Á®˜»„µ¦–r
Ÿnœ—·œÅ®ªš¸°É εÁ£°¡µœ ‹´Š®ª´—Á¸¥Š¦µ¥ Á¤ºÉ°ª´œš¸É 11 „´œ¥µ¥œ ¡.«. 2537 Áž}œÂŸnœ—·œÅ®ª
…œµ—„¨µŠš¸¤É ¸Ÿ¨„¦³š˜n°°µ‡µ¦Ä®oÁ®Èœ´—Á‹œ ÁœºÉ°Š‹µ„‹»—«¼œ¥r„¨µŠ°¥¼n®µn Š‹µ„˜´ª°ÎµÁ£°
Á¡¸¥Š 20 ™¹Š 30 „·Ã¨Á¤˜¦ šÎµÄ®oÁ„·—‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥˜n°Ã¦Š¡¥µµ¨°ÎµÁ£°¡µœ ¨³Ã¦ŠÁ¦¸¥œÄœ
¦·Áª–Ä„¨oÁ‡¸¥Š¤µ„„ªnµ 20 ®¨´Š ¦ª¤š´ÊŠª´—°¸„¤µ„„ªnµ 30 ®nŠ
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 19

˜µ¦µŠš¸É 1.4 Á®˜»„µ¦–r£¥´ ¡·´˜·‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—„¨µŠ


žeš¸ÉÁ„·— …œµ— ­™µœš¸ÉÁ„·—Ÿnœ—·œÅ®ª ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥
¡.«.2503 5.7 M L ˜¦Š„´˜ÎµÂ®œnŠÁ¤º°Š Agadir, ¤¸Ÿ¼oÁ­¸¥¸ª·˜ 12,000 ‡œ µ—Á‹È 12,000 ‡œ
Morocco °µ‡µ¦‹Îµœªœ¤µ„ÄœÁ¤º°Š¡´Šš¨µ¥
¡.«.2525 5.8 M L Northern Yemen ¤¸Ÿ¼oÁ­¸¥¸ª·˜ 2,800 ‡œ ®¤¼noµœž¦³¤µ– 300
®nŠÅ—o¦´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥°¥nµŠ¦»œÂ¦Š
¡.«.2529 5.4 M L El Salvador ¤¸Ÿ¼oÁ­¸¥¸ª·˜ 1,000 ‡œ µ—Á‹È 10,000 ‡œ
ž¦³Áš« San Salvador Ŧoš¸É°¥¼n°µ«´¥ 200,000 ‡œ
¡.«.2532 5.5 M L Á¤º°Š Dushanbe ¦´“Tadzhik ¤¸Ÿ¼oÁ­¸¥¸ª·˜ž¦³¤µ– 1,000 ‡œ
­®£µ¡ÃŽÁª¸¥˜¦´­ÁŽ¸¥
¡.«.2534 5.5 M L Ą¨oÁ¤º°Š Timisoara ¤¸Ÿ¼oÁ­¸¥¸ª·˜ 1 ‡œ µ—Á‹È 28 ‡œ Ŧoš¸É°¥¼n°µ«´¥
ž¦³Áš« Romania 3,700 ‡œ oµœÁ¤º°Š¡´ŠÁ­¸¥®µ¥ 2,800 ®¨´Š
¡.«.2535 5.2 M L ®nµŠ‹µ„„¦»ŠÅ‡Ã¦ ž¦³Áš« ¤¸Ÿ¼oÁ­¸¥¸ª·˜ 593 ‡œ µ—Á‹È¤µ„„ªnµ 600 ‡œ
°¸¥·ž˜rÁ¡¸¥Š 20 „¤. °µ‡µ¦Á­¸¥®µ¥¦»œÂ¦Š™¹Š 14,000 ®¨´Š
¡.«.2539 5.8 M L Á¤º°Š Yongheng ¤–”¨ ¤¸Ÿ¼oÁ­¸¥¸ª·˜ 13 ‡œ µ—Á‹È 52 ‡œ
Gansu ­µ›µ¦–¦´“ž¦³µœ oµœÁ¤º°Š¡´ŠÁ­¸¥®µ¥ 4,500 ®¨´Š
‹¸œ

…) £´¥‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—Ä®nĜ¦³¥³Å„¨

œ°„Á®œº°‹µ„¦·Áª–£µ‡Á®œº°Â¨³£µ‡˜³ª´œ˜„ÁŒ¸¥ŠÁ®œº°Â¨oª ¦·Áª–š¸É¦µ£µ‡„¨µŠ
˜°œ¨nµŠ °´œÁž}œš¸É˜Š´Ê …°Š„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦Â¨³ž¦·¤–”¨ ¥´Š¤¸‡ªµ¤Á­¸É¥Š£´¥‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª°¥¼n
˜n¤·ÄnÁ„·—‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ªÄœ¦³¥³Ä„¨o ˜nÁž}œÂŸnœ—·œÅ®ªš¸ÉÁ„·—Äœ¦³¥³Å„¨ Ánœ Ÿnœ—·œÅ®ªÄœ
ž¦³Áš«¡¤nµ Ĝš³Á¨°´œ—µ¤´œ ®¦º°Á…˜‹´Š®ª´—„µ‹œ»¦¸ Áž}œ˜oœ ®µ„Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—Ä®n
˜´ÊŠÂ˜n 6.5 ¦·‡Á˜°¦r…¹ÊœÅž ‹³­nŠŸ¨„¦³š˜n°°µ‡µ¦oµœÁ¦º°œÄœ¦·Áª–„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦Å—o
ÁœºÉ°Š‹µ„­£µ¡—·œ°n°œÄœ¦·Áª–œ¸Ê„n°Ä®oÁ„·—„µ¦…¥µ¥‡ªµ¤¦»œÂ¦Š…°Š„µ¦­´œÉ ­³Ášº°œ…°Š¡ºœÊ —·œ
ŗo™¹Šž¦³¤µ– 3-4 Ášnµ˜´ª…°Š¦³—´š¸ªÉ —´ œ´Êœ—·œÂ…ÈŠ œ°„‹µ„œ¸ÊÁœºÉ°Š‹µ„‡µ„µ¦­´Éœ…°Š—·œ
°n°œ¦·Áª–œ¸¤Ê ¸‡nµž¦³¤µ– 1 ª·œµš¸ ¨´„¬–³œ¸Ê‹³¤¸Ÿ¨˜n°°µ‡µ¦­¼Šš¸É¤¸‡µ„µ¦­´œÉ ˜µ¤›¦¦¤µ˜·
¡o°Š„´‹´Š®ª³„µ¦­´Éœ­³Ášº°œ…°Š¡ºœÊ —·œ ‹³šÎµÄ®o°µ‡µ¦Á„·—„µ¦­´ÉœÃ¥„˜´ª¦»œÂ¦ŠÁž}œ¡·Á«¬Å—o
˜´ª°¥nµŠŸ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÄœ¦³¥³Å„¨š¸É¤¸˜n°°µ‡µ¦­¼ŠÄœ„¦»ŠÁš¡² ­´ŠÁ„˜Å—o‹µ„
Á®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ªÁ¤ºÉ°ª´œš¸É 22 ¤.‡. 2546 ¤¸‹»—«¼œ¥r„¨µŠ°¥¼šn ¸ÉÁ„µ³­»¤µ˜¦µ®nµŠ‹µ„„¦»ŠÁš¡²
20 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 1 ‡ªµ¤¦¼o¡ºÊœ“µœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

¤µ„„ªnµ 1,000 „¤. ¤¸…œµ— 8 ¦·‡Á˜°¦r ­nŠŸ¨Ä®o°µ‡µ¦­¼Š®¨µ¥Â®nŠÄœ„¦»ŠÁš¡²Ã¥„Å®ª˜´ª¦»œÂ¦Š


‹œ­¦oµŠ‡ªµ¤˜„Ä‹Ä®o„´¡œ´„Šµœš¸É°¥¼n œ°µ‡µ¦Áž}œ‹Îµœªœ¤µ„ ¨³Á¤ºÉ°ª´œš¸É 22 „.¥. 2546 ¤¸
‹»—«¼œ¥r„¨µŠ°¥¼nĜž¦³Áš«¡¤nµ®nµŠ‹µ„„¦»ŠÁš¡²ž¦³¤µ– 850 „¤. ¤¸…œµ— 6.6 ¦·‡Á˜°¦r ­nŠŸ¨
„¦³š˜n°°µ‡µ¦­¼ŠÄœ„¦»ŠÁš¡²°¥nµŠ¦»œÂ¦Š„ªnµ‡¦´ÊŠÂ¦„‹œšÎµÄ®o°µ‡µ¦­¼ŠÄœÁ…˜„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦
®¨µ¥®¨´ŠÁ„·—„µ¦­´ÉœÅ®ª‹œ¦¼o­¹„Å—o ×¥ÁŒ¡µ³°¥nµŠ¥·ÉŠ ˜¹„°°¨Ž¸Ž´Éœ­r Ž¹ÉŠ¤¸‡ªµ¤­¼Š 39 ´Êœ˜´ÊŠ°¥¼n
¦·Áª–™œœª·š¥» Á„·—„µ¦Â˜„¦oµªš¸ÉŸœ´Š°µ‡µ¦‹œÁ®ÈœÅ—o´—Á‹œ
‹µ„Á®˜»„µ¦–r—´Š„¨nµª ®µ„Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—Ä®nž¦³¤µ– 7 ¦·‡Á˜°¦r Ĝš³Á¨°´œ—µ
¤´œ Ž¹ŠÉ ®nµŠ‹µ„„¦»ŠÁš¡²Á¡¸¥Š 400 „¤. ®¦º°®µ„Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—Ä®n Ĝ¦·Áª–‹´Š®ª´—
„µ‹œ»¦¸ Ž¹ŠÉ ®nµŠ‹µ„„¦»ŠÁš¡²Á¡¸¥Š 200 „¤. ‹¹Š°µ‹­nŠŸ¨„¦³š˜n°°µ‡µ¦­¼ŠÁž}œ‹Îµœªœ¤µ„
šÎµÄ®oÁ­¸¥®µ¥Å—o
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦ 21

šš¸É 2
Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦
2.1 ž{‹‹´¥š¸¤É ¸Ÿ¨˜n°¦³—´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦

‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦Áœº°É Š‹µ„¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª¤·Å—o…¹Êœ°¥¼n„´…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª
°¥nµŠÁ—¸¥ª °Š‡rž¦³„°­Îµ‡´š¸É¤¸Ÿ¨„¦³š˜n°‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦ ŗo„n
„) ¨´„¬–³…°Š‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª (Earthquake Characteristics) ŗo„n ‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ
­¼Š­»—…°Š¡ºœÊ —·œ ¦³¥³Áª¨µ…°Š„µ¦­´Éœ¦»œÂ¦Š…°Š¡ºœÊ —·œ ¨³‡µÁª¨µ„µ¦­´Éœ
­Îµ‡´…°Š¡ºœÊ —·œ Áž}œ˜oœ
…) ¨´„¬–³…°Š­™µœš¸ÉÁ„·—Ÿnœ—·œÅ®ª (Site Characteristics) ŗo„n ¦³¥³®nµŠ
¦³®ªnµŠ«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªÅž¥´Š­™µœš¸˜É ´ÊŠ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ ­£µ¡´œÊ —·œ
…°Š­™µœš¸É˜Š´Ê …°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ ¨³‡µ„µ¦­´œÉ ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°Š­™µœ
š¸É˜´ÊŠœ´Êœ Áž}œ˜oœ
‡) ¨´„¬–³…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ (Structural Characteristics)ŗo„n ‡µ„µ¦­´œÉ
˜µ¤›¦¦¤µ˜·Â¨³‡nµdamping…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦œ´œÊ °µ¥»Â¨³ª·›¸„µ¦„n°­¦oµŠ
…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ ¨³„µ¦Á­¦·¤Á®¨È„Ä®oǦŠ­¦oµŠ¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ª Áž}œ˜oœ
°Š‡rž¦³„°š¸É­Îµ‡´Á®¨nµœ¸Ê‹³„¨nµª¦µ¥¨³Á°¸¥—Ĝ˜n¨³®´ª…o°˜n°Åž

2.1.1 ¨´„¬–³…°Š‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª (Earthquake Characteristics)

œ°„‹µ„„µ¦ª´—…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÂ¨oª Á‡¦ºÉ°Š¤º°˜¦ª‹ª´—Ÿnœ—·œÅ®ªÄœž{‹‹»œ´
­µ¤µ¦™´œš¹„‡¨ºÉœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªš¸ÁÉ ¦¸¥„ªnµ strong ground motion ŗo Ž¹ÉŠ®¤µ¥™¹Š„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É
…°Š¡ºÊœ—·œš¸¤É ‡¸ ªµ¤¦»œÂ¦ŠÁ¡¸¥Š¡°š¸É‹³¤¸Ÿ¨„¦³š˜n°¤œ»¬¥r¨³­·ÉŠÂª—¨o°¤ ×¥œ·¥¤ª´—‡nµÁž}œ
°´˜¦µÁ¦nŠ…°Š¡ºœÊ —·œ„´Áª¨µ (acceleration time history ®¦º° accelerogram) ‹µ„„µ¦´œš¹„
‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ªœ¸Ê ª·«ª„¦ÂŸnœ—·œÅ®ª‹ÎµÂœ„¨´„¬–³š¸É­Îµ‡´…°Š‡¨ºÉœ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª (strong
ground motion) ץčo¡µ¦µ¤·Á˜°¦r —´Šœ¸Ê
22 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦

„) ‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ­¼Š­»—…°Š¡ºÊœ—·œ (Peak Ground Acceleration, PGA)


‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ­¼Š­»—…°Š¡ºÊœ—·œÁž}œ¨´„¬–³š¸­É ε‡´°¥nµŠ®œ¹ÉŠ…°Š‡¨ºœÉ Ÿnœ—·œÅ®ª š¸Éª—´
ŗo‹µ„‡nµ´œš¹„…°Š accelerogram —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.1 Ž¹ÉŠÂ­—Š‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ªš¸ªÉ ´—Å—o¦·Áª–
Imperial Valley ¦´“‡¨·¢°¦rÁœ¸¥ ž¦³Áš«­®¦´“°Á¤¦·„µ ª´—°´˜¦µÁ¦nŠ­¼Š­»—Å—o 0.319g ( g ‡º°
°´˜¦µÁ¦nŠÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÃœo¤™nªŠÃ¨„ ¤¸‡µn Ášnµ„´ 9.81 Á¤˜¦/ª·œµš¸2)

0.40
Acceleration, g

0.00
Time, sec
-0.40 PGA = 0.319g

¦¼žš¸É 2.1 ‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª…°Š El Centro ground motion (1940) (Panyakapo P., 1999)

Ĝž{‹‹»œ´ ŗo¤¸„µ¦­¦oµŠ‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠ‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ­¼Š­»—…°Š¡ºÊœ—·œ (PGA)


„´…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª (Earthquake Magnitude) ¨³¦³¥³®nµŠ‹µ„«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª Ž¹ÉŠ
Á¦¸¥„ªnµ Attenuation Model ‹Îµœªœ¤µ„„ªnµ 30 Ž¹ÉŠÄoĜ®¨µ¥Ç¡ºÊœš¸Éšª´É è„ ­Îµ®¦´Âš¸É
Ä®oŸ¨­°—‡¨o°Š„´‡nµ PGA š¸Éª´—Å—oĜž¦³Áš«Åš¥ ‡º° Attenuation Model …°Š Esteva Ž¹ÉŠÅ—o¤¸
„µ¦œÎµ¤µÄo Ĝ„µ¦‡Îµœª–®µ‡nµ PGA Á¡ºÉ°„µ¦‹´—šÎµÁ…˜ÂŸnœ—·œÅ®ª (Áž}œ®œ¹ŠÉ ¨³°µÁ—, 2537)
Á¦¸¥„ªnµ Ÿœš¸ÉnŠÁ…˜ÂŸnœ—·œÅ®ª Ž¹ÉŠÂ­—ŠÁ…˜¡ºÊœš¸šÉ ¸É¤¸‡ªµ¤¦»œÂ¦Š…°Š‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª ×¥
‹´—Áž}œÃŽœ˜nµŠÇ „´œ˜µ¤¨´„¬–³Á­oœÂnŠ´Êœ…°Š‡nµ¦³—´ PGA ×¥š¸É‡nµ PGA Áž}œ‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ
­¼Š­»—…°Š¡ºœÊ —·œ š¸É¤¸‡µn ‡ªµ¤œnµ‹³Áž}œ š¸É‡nµ PGA ‹³Á„·œÅž„ªnµš¸„É 宜—œ¸ÁÊ ¡¸¥Š 1 Ĝ 10 Ĝ
‡µÁª¨µ 50 že ®¦º°Áš¸¥Ášnµ„´Ã°„µ­š¸É‡nµ PGA ‹³Á„·œÅž„ªnµš¸É„ε®œ—œ¸ÊÁ¡¸¥Š‡¦´ÊŠÁ—¸¥ªÄœ
¦° 500 že
­Îµ®¦´Äœž¦³Áš«Åš¥ ŗo¤¸„µ¦‹´—šÎµÂŸœš¸ÉnŠÁ…˜ÂŸnœ—·œÅ®ª®¨µ¥‡¦´ÊŠ Ĝš¸Éœ¸Êŗo
œÎµÁ°µÂŸœš¸ÉŒ´š¸É‹´—šÎµ…¹ÊœÃ—¥ Áž}œ®œ¹ŠÉ ¨³°µÁ— (2537) °´œÁž}œŒ´‹´—šÎµ‹µ„…o°¤¼¨š¸É¨³Á°¸¥—
­¤¼¦–r„ªnµŒ´„n°œÇ ¤µÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.2
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦ 23

Á…˜ 3 : ¦»œÂ¦Š : 0.20  PGA / g d 0.30 : Z = 0.30


Á…˜ 2B : žµœ„¨µŠ‡n°œ…oµŠÂ¦Š : 0.15  PGA / g d 0.20 : Z = 0.20
Á…˜ 2A : žµœ„¨µŠ : 0.075  PGA / g d 0.15 : Z = 0.15
Á…˜ 1 : Ťn¦»œÂ¦Š : 0.025  PGA / g d 0.075 : Z = 0.075
Á…˜ 0 : Ťn‹ÎµÁž}œ˜o°Š°°„¦´Â¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª : PGA / g d 0.025

¦¼žš¸É 2.2 Ÿœš¸ÉnŠÁ…˜ÂŸnœ—·œÅ®ª­Îµ®¦´ž¦³Áš«Åš¥ (Áž}œ®œ¹ŠÉ ¨³°µÁ—, 2537)


24 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦

…) ¦³¥³Áª¨µ…°Š„µ¦­´Éœ¦»œÂ¦Š…°Š¡ºÊœ—·œ
(Duration of Strong Ground Motion, Td)
œ·¥µ¤…°Š¦³¥³Áª¨µ…°Š„µ¦­´Éœ¦»œÂ¦Š…°Š¡ºœÊ —·œ¤¸œ´„ª·‹´¥®¨µ¥‡œÁ­œ°Åªo Ĝš¸œÉ ¸Ê‹³
œÎµœ·¥µ¤š¸ÁÉ ­œ°Ã—¥ Trifunac ¨³ Brady (1975) ¤µÄoÁœºÉ°Š‹µ„Áž}œš¸¥É °¤¦´ÄœªŠª·µ„µ¦°¥nµŠ
„ªoµŠ…ªµŠ °¸„š´ÊŠŠnµ¥Äœ„µ¦‡Îµœª– Ž¹ÉŠÂ­—ŠÅ—o—´Šœ¸Ê
Td = t0.95 - t0.05 (2.1)
×¥š¸É Td = ¦³¥³Áª¨µ…°Š„µ¦­´Éœ¦»œÂ¦Š…°Š¡ºÊœ—·œ ­nªœ t0.05 ¨³ t0.95 ‡º° Áª¨µš¸É‡nµ°·œš·Á„¦´Éœ
…°Š Arias intensity, I a ™¹Š 5% ¨³ 95% ˜µ¤¨Îµ—´ ‡nµ Arias intensity, I a (Arias, 1970) ¤¸
œ·¥µ¤—´Šœ¸:Ê
td
S
Ia = 2
³ u (t )dt
g (2.2)
2g 0

×¥š¸É td ¨³ ug Áž}œ¦³¥³Áª¨µš´ŠÊ ®¤—¨³‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ…°Š¡ºœÊ —·œÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª


˜µ¤¨Îµ—´
×¥š´ÉªÅž ‡nµ¦³¥³Áª¨µ…°Š„µ¦­´Éœ¦»œÂ¦Š…°Š¡ºÊœ—·œ Td …¹Êœ„´¦³¥³®nµŠ…°Š«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª
œ´Éœ‡º° ‡nµ Td ‹³¨—¨ŠÁ¤ºÉ°¦³¥³®nµŠ…°Š«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªÅ„¨¤µ„…¹œÊ ‹µ„ž¦³­„µ¦–rš¸É
Ÿnµœ¤µ…°ŠÁ®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ª ¡ªnµ®µ„¦³¥³Áª¨µ„µ¦­´œÉ ­³Ášº°œ…°Š¡ºœÊ —·œÁ„·—…¹Êœ°¥nµŠ
¥µªœµœÃ—¥ÁŒ¡µ³œ­£µ¡´Êœ—·œ°n°œ Ánœ Á®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ªš¸Éž¦³Áš«Á¤È„Ž·Ã„Á¤º°É že
‡.«.1985 ¨³Á®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ªš¸Éž¦³Áš«·¨Á¸ ¤ºÉ°že‡.«.1985 ¤¸­nªœ­nŠŸ¨Ä®oÁ„·—‡ªµ¤
Á­¸¥®µ¥­³­¤ (cumulative damage) ˜n°Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ ­¼Š„ªnµÁ®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ªš¸É°œºÉ

‡) ‡µÁª¨µ„µ¦­´Éœ­Îµ‡´…°Š¡ºÊœ—·œ
(Predominant Period of Ground Motion, Tg)

‡µÁª¨µ„µ¦­´Éœ­Îµ‡´…°Š¡ºÊœ—·œ Áž}œ‡µÁª¨µŽ¹ÉŠ¡ºÊœ—·œ­´ÉœÃ—¥¤¸‡µÁª¨µ„µ¦­´œÉ
š¸ÉÁ—nœ°¥¼n°¥nµŠÂœnœ°œ‡µÁª¨µ®œ¹ÉŠ ¨´„¬–³„µ¦­´œÉ …°Š¡ºœÊ —·œœ¸Ê°µ‹Á¦¸¥„°¸„°¥nµŠ®œ¹ÉŠÅ—oªµn Áž}œ
„µ¦­´ÉœÂ¤¸ Narrowband frequency content ĜšµŠ„¨´„´œ®µ„¡ºœÊ —·œ¤¸„µ¦­´ÉœÂš¸ÉŤn¤¸
‡µÁª¨µ„µ¦­´Éœš¸Éœnœ°œ °µ‹Á¦¸¥„Å—oªµn Áž}œ„µ¦­´ÉœÂ¤¸ Broadband frequency content
­Îµ®¦´„µ¦­´Éœ…°Š¡ºÊœ—·œÂ Narrowband ¤´„‹³„n°Ä®oÁ„·—‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥Â„nǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦Å—o
¤µ„ ®µ„‡µÁª¨µ„µ¦­´Éœ­Îµ‡´…°Š¡ºœÊ —·œœ´œÊ (Tg) Ş­°—‡¨o°Š„´œ„´‡µ„µ¦­´Éœ˜µ¤›¦¦¤µ˜·
…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ š´ÊŠœ¸ÊÁœº°É Š¤µ‹µ„Ÿ¨„¦³š…°Š„εš°œ (Resonance)
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦ 25

2.1.2 ¨´„¬–³…°Š­™µœš¸ÁÉ „·—Ÿnœ—·œÅ®ª (Site Characteristics)

„) ¦³¥³®nµŠ¦³®ªnµŠ«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªÅž¥´Š­™µœš¸É˜´ÊŠ…°Š°µ‡µ¦
(Epicentral Distance)

×¥š´ÉªÅž‡ªµ¤¦»œÂ¦Š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªŽ¹ÉŠÂ­—Š—oª¥‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ­¼Š­»—…°Š¡ºœÊ —·œ (PGA) š¸É


´œš¹„Å—o‹³¨—š°œ¨Š˜µ¤¦³¥³®nµŠ‹µ„«¼œ¥r„¨µŠ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ŗo¤¸„µ¦«¹„¬µ„¦µ¢
‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠ‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ­¼Š­»—…°Š¡ºœÊ —·œÂ¨³¦³¥³®nµŠ‹µ„®¨nŠ¡¨´ŠŠµœš¸Éž¨n°¥°°„¤µ
‹µ„¦°¥Á¨ºÉ°œÁ¦¸¥„ªnµ motion attenuation —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.3 ‹µ„„µ¦¦ª¦ª¤…o°¤¼¨Ã—¥
Donovan (1973) ¨³ ž¦´ž¦»ŠÃ—¥ Moraz ¨³ Sadek (2001) ¤oªnµ…o°¤¼¨‹³‡n°œ…oµŠ„¦³‹µ¥
˜´ªÂ˜n„È­—ŠÂœªÃœo¤„µ¦¨—š°œ‡ªµ¤¦»œÂ¦Š˜µ¤¦³¥³®nµŠ°¥nµŠ´—Á‹œ Á­oœ„¦µ¢Ã‡oŠÁ¦¸¥Á…¸¥œ
¤µ‹µ„‹Îµ¨°ŠšµŠ‡–·˜«µ­˜¦r Ž¹ÉŠÅ—o‹µ„„µ¦šÎµ regression analysis …°Š…o°¤¼¨š´ÊŠ®¤—Á¡º°É
čošÎµœµ¥‡nµ PGA ‹µ„…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÂ¨³¦³¥³®nµŠ‹µ„¦°¥Á¨ºÉ°œ ‹Îµ¨°ŠÁ®¨nµœ¸¤Ê ¸
®¨µ¥¦¼žÂ—´ŠÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 2.1
‹µ„˜µ¦µŠš¸É 2.1 ‹Îµ¨°Š Attenuation model ­nªœÄ®n‹³Â­—Š‡ªµ¤­´¤¡´œ›r
¦³®ªnµŠ‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ­¼Š­»—…°Š¡ºœÊ —·œÂ¨³¦³¥³®nµŠ‹µ„®¨nŠ¡¨´ŠŠµœÃ—¥…¹Êœ°¥¼n„´…œµ—…°Š
Ÿnœ—·œÅ®ª —´ŠÂ­—Š˜´ª°¥nµŠÄœ¦¼žš¸É 2.3 Ž¹ÉŠÁž}œ Attenuation model ŗo‹µ„…o°¤¼¨‡¨ºœÉ
Ÿnœ—·œÅ®ªš¸É ´œš¹„œ ´œÊ ®·œ¦ª¦ª¤Ã—¥ Å¡¼¨¥r (2545) ¨³‡Îµœª–‹µ„‹Îµ¨°Š…°Š
Esteva (1970)
26 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦ 27

1.00

M = 6.5-7.0
Peak ground acceleration, g

M = 7.0-7.5
0.10 M = 7.5-8.0

M = 8.0-8.5

Esteva (1970), M = 6.5


Esteva (1970), M = 7.0
0.01 Esteva (1970), M = 7.5
Esteva (1970), M = 8.0
Esteva (1970), M = 8.5

0.00
100.00 200.00 300.00 400.00 500.00
Closest horizontal distance from zone of energy release, km.

¦¼žš¸É 2.3 „¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠ‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠ­¼Š­»—…°Š¡ºÊœ—·œÂ¨³¦³¥³®nµŠ‹µ„®¨nŠ¡¨´ŠŠµœ


­Îµ®¦´´Êœ®·œ (Å¡¼¨¥r, 2545)

‹Îµ¨°ŠÄœ¦³¥³®¨´Š˜n°¤µÅ—o¤¸„µ¦¦ª¤Ÿ¨„¦³š…°Š„µ¦Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ª‹µ„¦°¥Á¨ºÉ°œœ·—
˜nµŠÇ¨³¨´„¬–³…°Š´Êœ—·œ —´ŠÁnœ ‹Îµ¨°Š…°Š Campbell ¨³ Bozorgnia (1994)
œ°„‹µ„œ¸Ê‹Îµ¨°Š…°Š Boore ¨³‡–³ (1997) ŗo¡´•œµÂ‹Îµ¨°Šš¸¦É ª¤Ÿ¨„¦³šÅ—o
„ªoµŠ…ªµŠ¥·ŠÉ …¹Êœ ×¥¡·‹µ¦–µ™¹Š ¦³¥³®nµŠ‹µ„«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª …œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª M w
‡nµ‡ªµ¤Á¦Èª…°Š‡¨ºÉœÄœ´Êœ—·œ (shear wave velocity) ¨³¦³…°Š¦°¥Á¨ºÉ°œ
œ°„‹µ„œ¸Ê‡nµ¦³¥³®nµŠ‹µ„«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª¥´Š¤¸Ÿ¨˜n°‡nµnªŠÁª¨µ„µ¦­´Éœ¦»œÂ¦Š…°Š¡ºÊœ—·œ
(Duration of Strong Ground Motion, Td ) Ÿ¨„µ¦ª·‹¥´ ¡ªnµ‡nµnªŠÁª¨µ„µ¦­´Éœ¦»œÂ¦Š…°Š¡ºœÊ —·œ‹³
¨—¨ŠÁ¤ºÉ°¦³¥³®nµŠ‹µ„«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª¤µ„…¹œÊ Ÿ¨Šµœª·‹¥´ …°Š Chang ¨³ Krinitzsky
(1977) ¥´Š¡ªnµ‡nµnªŠÁª¨µ„µ¦­´Éœ¦»œÂ¦Š…°Š¡ºÊœ—·œ Td š¸É ´œš¹„œ´œÊ —·œ¤¸‡nµ¤µ„„ªnµ‡nµ Td œ
´Êœ®·œž¦³¤µ–­°ŠÁšnµ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.4-2.5
28 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦

¦¼žš¸É 2.4 „¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠnªŠÁª¨µ„µ¦­´Éœ¦»œÂ¦Š…°Š¡ºÊœ—·œ„´


¦³¥³®nµŠ‹µ„«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªÂ¨³…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª­Îµ®¦´´Êœ—·œ

¦¼žš¸É 2.5 „¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠnªŠÁª¨µ„µ¦­´Éœ¦»œÂ¦Š…°Š¡ºÊœ—·œ„´


¦³¥³®nµŠ‹µ„«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ªÂ¨³…œµ—…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª­Îµ®¦´´Êœ®·œ
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦ 29

…) ­£µ¡´Êœ—·œ…°Š­™µœš¸É˜´ÊŠ…°Š°µ‡µ¦ (Site Condition)

Ĝ„¦–¸š¸ÉǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦˜´ŠÊ °¥¼nœ­£µ¡´Êœ—·œ°n°œ Ÿ¨…°Š„µ¦­´ÉœÅ®ª…°Š´Êœ—·œ


°n°œ‹³…¥µ¥„ε¨´Š‡¨ºœÉ Ÿnœ—·œÅ®ªÅ—o Á®˜»„µ¦–r­Îµ‡´š¸É­—ŠŸ¨…°Š„µ¦…¥µ¥„ε¨´Š‡¨ºÉœ
Ÿnœ—·œÅ®ªœ´Êœ—·œ°n°œ ‡º° „µ¦Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ªš¸Éž¦³Áš«Á¤È„Ž·Ã„ že ‡.«. 1985 Á¤º°ŠÁ¤È„Ž·Ã„
Ž·˜¸Ê˜´ÊŠ°¥¼nœ´œÊ —·œ°n°œ¤µ„ ÁœºÉ°Š‹µ„Á‡¥Áž}œš³Á¨­µ¤µ„n°œÂ¨³˜´ÊŠ°¥¼nĄ¨oœª¦°¥Á¨ºÉ°œš¸É¤¸
¡¨´Š Ÿnœ—·œÅ®ª‡¦´ÊŠ­Îµ‡´Á„·—ÄœÁ—º°œ„´œ¥µ¥œ ‡.«. 1985 ¤¸«¼œ¥r„¨µŠÂŸnœ—·œÅ®ª°¥¼n®µn Š‹µ„
„¦»ŠÁ¤È„Ž·Ã„Ž·˜¸Êž¦³¤µ– 380 „¤. ª´—…œµ—Å—o 8.1 ¦·‡Á˜°¦r ´œš¹„‡nµ PGA œ´Êœ®·œŽ¹ÉŠ°¥¼Än œ
¦·Áª–Ä„¨oÁ¤º°ŠÅ—o 0.033g ˜n´œš¹„‡nµ PGA œ´Êœ—·œ°n°œÅ—o™¹Š 0.17g Ž¹ÉŠ¸ÊÄ®oÁ®Èœªnµ´œÊ —·œ
°n°œ¤¸Ã°„µ­…¥µ¥„ε¨´Š‡¨ºÉœÅ—o™¹Š 5 Ášnµ
Ÿ¨Šµœª·‹¥´ Ĝž{‹‹»´œ (Warnitchai P., Sangarayakul, C. and Ashford, S.A.,
2000) ¥´Š¸ªÊ nµ­£µ¡´Êœ—·œÄœ¡ºœÊ š¸É…°Š„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦Â¨³ž¦·¤–”¨¤¸¨´„¬–³Áž}œ—·œ°n°œ‡¨oµ¥
„´„¦»ŠÁ¤È„Ž·Ã„Ž·˜¸Ê ¨³¤¸Ã°„µ­š¸‹É ³…¥µ¥„ε¨´Š‡¨ºÉœÅ—o 3 ™¹Š 6 Ášnµ Á¤ºÉ°¡·‹µ¦–µ‹µ„˜ÎµÂ®œnŠ
Á¤º°Šš¸É°¥¼n®µn Š‹µ„¦°¥Á¨ºÉ°œš¸É¤¸¡¨´ŠÄœ¦´«¤¸ 200-400 „¤. Ž¹ÉŠ¤¸Ã°„µ­š¸É‹³Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—
„¨µŠÅ—o —´Šœ´œÊ ¡ºÊœš¸É…°Š„¦»ŠÁš¡¤®µœ‡¦Â¨³ž¦·¤–”¨‹¹Š™º°ªnµÁž}œÁ…˜Å¤nž¨°—£´¥œ´„

¦¼žš¸É 2.6 „¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠ‡nµ„µ¦…¥µ¥„ε¨´Š‡¨ºÉœÂ¨³‡nµ°´˜¦µÁ¦nŠš¸Éª´—œ´Êœ®·œ


(Warnitchai P., Sangarayakul, C. and Ashford, S.A., 2000)
30 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦

‡) ‡µ„µ¦­´œÉ ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°Š­™µœš¸É˜´ÊŠ…°Š°µ‡µ¦
(Natural Period of Site)

‡µ„µ¦­´œÉ ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°Š­£µ¡´œÊ —·œ°n°œ°µ‹‡Îµœª–Å—o‹µ„


4H
Ts (2.4)
Vs
×¥š¸É Ts ‡º° ‡µ„µ¦­´Éœ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°Š´Êœ—·œ°n°œ, ª·œµš¸
Hs ‡º° ‡ªµ¤¨¹„…°Š´Êœ—·œ°n°œ, Á¤˜¦
Vs ‡º° ‡ªµ¤Á¦Èª…°Š‡¨ºÉœ S – Wave (®¦º° Shear Wave), Á¤˜¦/ª·œµš¸
Ĝ„¦–¸š¸É‡µÁª¨µ„µ¦­´Éœ­Îµ‡´…°Š¡ºœÊ —·œÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ­°—‡¨o°Š„´‡µ„µ¦­´œÉ
˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°Š´Êœ—·œ ‹³šÎµÄ®o¡œºÊ —·œÁ„·—„µ¦­´Éœ°¥nµŠ¦»œÂ¦Š ž¦µ„’„µ¦–rœ¸ÊÁ¦¸¥„ªnµ „εš°œ
(Resonance) —´Šœ´œÊ °µ‡µ¦°µ‹Å—o¦´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥°¥nµŠÄ®n®¨ªŠ¤µ„„ªnµš¸É‡µ—Ūoŗo
Á®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ªš¸Éž¦³Áš«Á¤È„Ž·Ã„že ‡.«. 1985 ­—ŠÄ®oÁ®ÈœŸ¨…°Šž¦µ„’„µ¦–rœ¸Ê°¥nµŠ
´—Á‹œ œ´œÉ ‡º° ‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª…œµ— PGA = 0.17g ¤¸‡µÁª¨µ„µ¦­´Éœ­Îµ‡´…°Š¡ºÊœ—·œÁšnµ„´ 2
ª·œµš¸ Ž¹ÉŠ­°—‡¨o°Š„´œ„´‡µ„µ¦­´œÉ ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°Š´Êœ—·œ°n°œŽ¹ÉŠ¤¸‡nµž¦³¤µ– 2 ª·œµš¸
Ánœ„´œ šÎµÄ®oÁ„·—‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥„´°µ‡µ¦Ž¹ÉŠ¤¸‡ªµ¤­¼ŠÄœnªŠ 7 – 20 ´Êœ ‹Îµœªœ 400 ®¨´Š™¼„
šÎµ¨µ¥Â¨³Á­¸¥®µ¥°¸„ 700 ®¨´Š

2.1.3 ¨´„¬–³…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ (Structural Characteristics)

„) ‡µ„µ¦­´Éœ˜µ¤›¦¦¤µ˜·Â¨³‡nµ damping …°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦


(Natural Period and Damping of Structures)

‡µ„µ¦­´œÉ ˜µ¤›¦¦¤µ˜· ‡º°¦³¥³Áª¨µ„µ¦Â„ªnŠ˜´ª…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ˜µ¤›¦¦¤µ˜·‡¦


1 ¦° —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.7 ¨³Áž}œ­nªœ„¨´…°Š‡ªµ¤™¸É›¦¦¤µ˜·…°Š„µ¦­´œÉ Å®ª œ´Éœ‡º°
1 2S
Tn (2.5)
fn Zn
×¥š¸É fn‡º° ‡ªµ¤™¸É›¦¦¤µ˜·…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦, ¦°/ª·œµš¸ (Hertz)
Zn ‡º° ‡ªµ¤™¸ÉÁ·Š¤»¤›¦¦¤µ˜·…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦, Á¦Á—¸¥œ/ª·œµš¸
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦ 31

„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É
‡µ„µ¦­´Éœ‡¦ 1 ¦°,
Tn = 1/fn

Áª¨µ

¦¼žš¸É 2.7 ‡µ„µ¦­´ÉœÅ®ªÂ¨³‡nµ‡ªµ¤™¸É


­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤™¸É¨³‡µ„µ¦­´ÉœÅ®ª…¹Êœ°¥¼n„´¤ª¨Â¨³­˜·¢Áœ­…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É
2.8

60 Story
120 m steel Bldg
R . C . Dam 250 m
26 Story R .C.
steel Bldg Stack
R . C . Nuclear
Reactor 3 Story Bldg

0.1 0.2 0.3 0.5 0.7 1 2 3 4 5 7 10 T n ( sec )


10 5 2 1 0.5 0.2 0.1 fn ( H z )
¦¼žš¸É 2.8 ‡µ„µ¦­´ÉœÅ®ªÂ¨³‡nµ‡ªµ¤™¸É˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ
(Chopra A. K., 1995)

‡nµ‡µ„µ¦­´œÉ ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦¤¸ª·›¸„µ¦‡Îµœª–Å—o®¨µ¥ª·›¸ Ánœ ­¼˜¦š¸ÉÁ­œ°Ã—¥


Uniform Building Code „µ¦Äoަ„¦¤Å¢Åœ˜r°·¨·Á¤œ˜r­Îµ®¦´„µ¦ª·Á‡¦µ³®rǦŠ­¦oµŠ Áž}œ˜oœ
­Îµ®¦´„µ¦‡Îµœª–ÁºÊ°Š˜oœ °µ‹ž¦³¤µ–‡nµÅ—o‹µ„
N
Tn (2.6)
Sn
×¥š¸É Tn ‡º° ‡µ„µ¦­´œÉ Å®ª›¦¦¤µ˜·…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦
N ‡º° ‹Îµœªœ´Êœš´ÊŠ®¤—…°Š°µ‡µ¦
32 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦

Sn ‡º° ­´¤ž¦³­·š›·Í…°ŠÂ˜n¨³­£µ¡´Êœ—·œ ­Îµ®¦´´œÊ —·œÂ…ÈŠ ¤¸‡nµÁšnµ„´ 10


­Îµ®¦´´œÊ —·œ°n°œ ¤¸‡µn Ášnµ„´ 6
‡µ„µ¦­´œÉ ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÁž}œ°Š‡rž¦³„°š¸É­Îµ‡´‡nµ®œ¹ŠÉ Ĝ„¦–¸š¸É
‡µ„µ¦­´œÉ ­Îµ‡´…°Š¡ºœÊ —·œ­°—‡¨o°Š„´œ„´‡µ„µ¦­´Éœ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ „È‹³šÎµÄ®o
Á„·—„µ¦­´Éœš¸É¦œ» ¦Š¤µ„…¹Êœ Áž}œŸ¨Ä®o°µ‡µ¦š¸É¤¸‡ªµ¤­¼ŠÄœnªŠ‡µ„µ¦­´Éœœ¸ÊÁ„·—‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥Å—o
¤µ„ ÁœºÉ°Š‹µ„„µ¦Á„·—„εš°œ ¨³®µ„‡µ„µ¦­´œÉ ­Îµ‡´…°Š¡ºœÊ —·œ­°—‡¨o°Š„´œ„´‡µ„µ¦­´Éœ
˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°Š´Êœ—·œ°¸„—oª¥ „È‹³šÎµÄ®oÁ„·—„εš°œŽo°œ…¹œÊ Ş°¸„ Ž¹ÉŠÁ¦¸¥„ªnµ„µ¦Á„·—„εš°œ
Žo°œ (Double Resonance)
­Îµ®¦´‡nµ damping …°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÁž}œ„µ¦„¦³‹µ¥¡¨´ŠŠµœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ‹µ„„µ¦
„ªnŠÅ®ª˜´ª Ž¹ÉŠÃ—¥­nªœÄ®n‹³„¦³‹µ¥Ÿnµœ„µ¦Á­¸¥—­¸…°Š¦°¥˜n°…°Š°Š‡r°µ‡µ¦Äœ¦¼ž…°Š
¡¨´ŠŠµœ‡ªµ¤¦o°œÂ¨³Á­¸¥Š ‡nµ damping œ·¥¤Â­—ŠÄœ¦¼ž…°Š Damping Ratio, [ Á¤ºÉ°
C
[ (2.7)
Ccr
×¥š¸É C ‡º° ‡nµ damping š¸Éšo‹¦·Š
Ccr ‡º° ‡nµ critical damping
‡nµ Damping Ratio, [ ­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦˜nµŠÇ ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 2.2

˜µ¦µŠš¸É 2.2 ‡nµ Damping Ratio ­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ (Lindeburg M. R., 1994)


ž¦³Á£š…°Š°µ‡µ¦ Damping Ratio, [
ǦŠ­¦oµŠÁ®¨È„
- …o°˜n°ÁºÉ°¤¥¹— ¤¸„ε¡Š—´—Å—o 0.02
- …o°˜n°ÁºÉ°¤¥¹— ¨³¤¸ µŸœ´Š£µ¥œ°„ 0.05
- …o°˜n°­¨´„Á„¨¸¥ª ¨³¤¸ µŸœ´Š£µ¥œ°„ 0.10
ǦŠ­¦oµŠ‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤Á®¨È„
- „ε¡Š£µ¥Äœ—´—Å—o 0.05
- „ε¡Š£µ¥Äœ—´—Å—o ¤¸ µŸœ´Š£µ¥œ°„ 0.07
- „ε¡Š‡°œ„¦¸˜¦´Â¦ŠÁŒº°œ 0.10
ǦŠ­¦oµŠ„ε¡Š‡°œ„¦¸˜®¦º°„ε¡Š„n° ¦´Â¦ŠÁŒº°œ 0.10
ǦŠ­¦oµŠÅ¤o¨³„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ 0.15
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦ 33

…) „µ¦Á­¦·¤Á®¨È„Ä®oǦŠ­¦oµŠ¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ª (Ductility)

ǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦¦´Â¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ‹³˜o°Š°°„Ä®o¤¸„µÎ ¨´Š (strength) ­µ¤µ¦™


˜oµœšµœÂ¦Š„¦³šÎµ—oµœ…oµŠÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÅ—o Ĝ…–³Á—¸¥ª„´œ‹³˜o°Š°°„Ä®o¤¸
‡ªµ¤Á®œ¸¥ª (ductility) ˜n°„µ¦Ã¥„Å®ª£µ¥Ä˜o¦Š„¦³šÎµÄœ¨´„¬–³„¨´Åž-¤µÅ—o „µ¦°°„
š¸É—¸ ‹³¤¸„µ¦„ε®œ—‹»—š¸‹É ³Á„·—…o°®¤»œ¡¨µ­˜·„ (plastic hinge) Á¡ºÉ°„µ¦„¦³‹µ¥¡¨´ŠŠµœ‹µ„
¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª Ä®oÁ„·— – ˜ÎµÂ®œnŠž¨µ¥‡µœ Ĝ…–³š¸ÉÁ­µ‹³™¼„°°„Ä®o¤¸¡§˜·„¦¦¤Â
¥º—®¥»œn (elastic) ¤¸„µÎ ¨´ŠÂ¨³‡ªµ¤¤´œÉ ‡Š˜n°Â¦Š„¦³šÎµ—oµœ…oµŠÅ—o ®¨´„„µ¦°°„œ¸ÊÁ¦¸¥„ªnµ
®¨´„„µ¦…°ŠÁ­µÂ…Ȋ¦ŠÂ¨³‡µœ°n°œ (strong columns and weak beams) Ž¹ÉŠ„ε®œ—Äœ ACI
318-99 —´Šœ´Êœ¦·Áª–…°Š…o°®¤»œ¡¨µ­˜·„Á®¨nµœ¸Ê‹µÎ Áž}œ˜o°Š¤¸„µ¦‹´—¦µ¥¨³Á°¸¥—…°ŠÁ®¨È„Á­¦·¤
Áž}œ¡·Á«¬Á¡ºÉ°Ä®o¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ªÂ¨³­µ¤µ¦™—¼—Ž´¡¨´ŠŠµœÅ—o ¨´„¬–³„µ¦ªµŠ˜ÎµÂ®œnŠ…°Š…o°
®¤»œ¡¨µ­˜·„×¥®¨´„„µ¦…°ŠÁ­µÂ…Ȋ¦ŠÂ¨³‡µœ°n°œœ¸Ê ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.5 ×¥š¸É‹»——εĜ
¦¼žÂ­—Š™¹Š˜ÎµÂ®œnŠ…°Š…o°®¤»œ¡¨µ­˜·„

¦¼žš¸É 2.9 „µ¦‹´—˜ÎµÂ®œnŠ…°Š…o°®¤»œ¡¨µ­˜·„×¥®¨´„„µ¦…°ŠÁ­µÂ…Ȋ¦ŠÂ¨³‡µœ°n°œ

¦·Áª–…o°®¤»œ¡¨µ­˜·„Á®¨nµœ¸Ê‹³°°„Ä®o­µ¤µ¦™®¤»œÅ—o™Š¹ ¦³—´„µ¦Áž¨¸É¥œ¦¼ž
¡¨µ­˜·„ץĮo¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ªÁ¡¸¥Š¡°Á¦¸¥„ªnµ ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª˜n°„µ¦—´—ÇoŠ (curvature ductility)
Ž¹ÉŠ‡Îµœª–Å—o‹µ„
34 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦

Im
PI (2.8)
Iy
×¥š¸É PI ‡º° ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª˜n°„µ¦—´—ÇoŠ
Im ‡º° ‡ªµ¤Ã‡oŠ­¼Š­»— (maximum curvature)
I y ‡º° ‡ªµ¤Ã‡oŠš¸É‹»—‡¦µ„ (yield curvature)
‡ªµ¤Á®œ¸¥ª˜n°„µ¦—´—ÇoŠ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÂ˜n¨³·Êœ­nªœÁ¦¸¥„ªnµ ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª…°Š°Š‡r
°µ‡µ¦ (member ductility) Á¤ºÉ°¡·‹µ¦–µÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦š´ÊŠ®¨´Š Ž¹ŠÉ ž¦³„°—oª¥°Š‡r°µ‡µ¦
…°Š‡µœÂ¨³Á­µ—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.9 ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠš´ŠÊ ¦³‹³Á¦¸¥„ªnµ ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª
…°Š¦³ (system ductility) Ž¹ÉŠœ·¥¤ª´—Äœ¦¼ž…°Š ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª˜n°„µ¦Áž¨¸É¥œ˜ÎµÂ®œnŠ
(displacement ductility) ‡Îµœª–Å—o‹µ„
um
P (2.9)
uy
×¥š¸É P ‡º° ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª˜n°„µ¦Áž¨¸É¥œ˜ÎµÂ®œnŠ
um ‡º° „µ¦Áž¨¸¥ É œ˜ÎµÂ®œnŠ­¼Š­»— (maximum displacement)
É œ˜ÎµÂ®œnŠš¸É‹—» ‡¦µ„ (yield displacement)
u y ‡º° „µ¦Áž¨¸¥
‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠÂ¦ŠÂ¨³„µ¦Áž¨¸É¥œ˜ÎµÂ®œnŠ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÁ¤ºÉ°¦´Â¦Š„¦³šÎµÄœ¨´„¬–³
cyclic loading ­Îµ®¦´¡§˜·„¦¦¤Ã‡¦Š­¦oµŠ°¥nµŠŠnµ¥œ·¥¤Äo Elastic Perfectly Plastic
(EPP) —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.10
„ε¨´Š˜oµœšµœ

fy

k
1
„µ¦Áž¨¸É¥œ˜ÎµÂ®œnŠ
uy um

- fy

¦¼žš¸É 2.10 ‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠÂ¦ŠÂ¨³„µ¦Áž¨¸É¥œ˜ÎµÂ®œnŠÂ


Elastic Perfectly Plastic (EPP)
‹µ„¦¼žš¸É 2.10 f y ‡º°„ε¨´Š˜oµœšµœÂ¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠš¸‹É »—‡¦µ„ ¨³ k
‡º°‡nµ­˜·¢Áœ­…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦ 35

2.2 ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª
‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦‹µ„¦Š­´Éœ­³Ášº°œ…°Š¡ºœÊ —·œ°µ‹Â¥„Áž}œ„¦–¸„µ¦ª·´˜·Å—o—´Šœ¸Ê
„) „µ¦ª·´˜·Â Soft Story
ÁœºÉ°Š‹µ„°µ‡µ¦š´ÉªÅžš¸ÉŤn¤„¸ µ¦°°„ÁŸºÉ°Ä®o˜oµœšµœÂ¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÅ—o ª·«ª„¦‹³
°°„Ä®o­µ¤µ¦™Â¦´œÊ宜´„¦¦š»„Ĝœª—·ŠÉ ŗo°¥nµŠÁ—¸¥ªœ´œÉ ‡º°Á­µ°µ‡µ¦‹³™¼„°°„
Ä®o¦´Â¦Š„—°´—Áž}œ®¨´„ ®µ„¤¸Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ‹µ„¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª „¦³šÎµÄœ¨´„¬–³
„¨´Åž¤µÅ—o‹³šÎµÄ®o°µ‡µ¦Ã¥„Å®ªÅž¤µ Ž¹ÉŠ¤¸Ÿ¨šÎµÄ®oÁ„·—‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥š¸ÉÁ­µ°µ‡µ¦Å—o
ÁœºÉ°Š‹µ„Ťnŗo¤¸„µ¦°°„Ä®oÁ­µ¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ªÄœ„µ¦˜oµœšµœÂ¦Š„¦³šÎµÃ¥„Åž¤µ ˜´ª°¥nµŠ
…°Š‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦Âœ¸Ê­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.11 °µ‡µ¦Äœ¦¼žœ¸Ê¤¸Ã‡¦Š­¦oµŠÁž}œ‡°œ„¦¸˜
Á­¦·¤Á®¨È„ ®µ„—¼‹µ„£µ¥œ°„‹³Á®Èœªnµ¤¸Á­µš¸ÉÄ®n …Ȋ¦ŠÁ¡¸¥Š¡°š¸É‹³¦´œÊµÎ ®œ´„˜´ª°µ‡µ¦Â¨³
œÊ宜´„¦¦š»„‹¦ÄœÂœª—·ÉŠÅ—o ˜nǦŠ­¦oµŠ£µ¥Äœ…°ŠÁ­µŽ¹ÉŠ‹³¤¸Á®¨È„Á­¦·¤°¥¼n Ťnŗo¤¸„µ¦
°°„Ä®o¦´Â¦Š—´—¨³Â¦ŠÁŒº°œÁœºÉ°Š‹µ„¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ Ž¹ÉŠšÎµÄ®oÁ­µÃ¥„Åž¤µÅ—o šÎµ
Ä®oÁ­µ¤¸‡ªµ¤Áž¦µ³˜n°„µ¦¦´Â¦ŠÂœ¸Ê ‹³­´ŠÁ„˜Å—oªµn ¤¸¦°¥Â˜„š¸É¦·Áª–¦°¥˜n°¦³®ªnµŠÁ­µÂ¨³
‡µœ ¨³Á­µ°µ‡µ¦Á­¸¥­¤—»¨‹œÁ°¸¥ŠÅž

¦¼žš¸É 2.11 „µ¦ª·´˜·Â Soft Story ¦¼žš¸É 2.12 „µ¦ª·´˜·ÁœºÉ°Š‹µ„„µ¦Ã¥„˜´ªÂ¨³


Ÿ¨„¦³š…°ŠÃ¤Á¤œ˜r¨Îµ—´­°Š
36 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦

…) „µ¦ª·´˜·Áœº°É Š‹µ„„µ¦Ã¥„˜´ªÂ¨³Ÿ¨„¦³š…°ŠÃ¤Á¤œ˜r¨Îµ—´­°Š
¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª‹³šÎµÄ®oÁ­µ°µ‡µ¦Ã¥„˜´ªÅž ǦŠ­¦oµŠš¸É¤„¸ µ¦
°°„Ä®o˜oµœšµœÂŸnœ—·œÅ®ªÅ—o ‹³°°„Ä®oÁ­µ¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ªÂ¨³­µ¤µ¦™Ã¥„˜´ªÅž¤µÅ—o
ĜnªŠ°·œ°·¨µ­˜·„¨³„ε®œ—Ä®o¦³¥³„µ¦Ã¥„˜´ª°¥¼nĜÁ„–”rš¥¸É °¤¦´Å—o ®µ„¤¸‡µn ¤µ„Á„·œÅž‹³
šÎµÄ®oǦŠ­¦oµŠÅ¤n¤¸Á­™¸¥¦£µ¡—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.12 „µ¦ª·´˜·Âœ¸Ê¤´„‹³Á„·—‡ª‡¼n„´œ„´
Ÿ¨„¦³š…°ŠÃ¤Á¤œ˜r¨µÎ —´­°Š (secondary moment ®¦º° P' effect) ®¤µ¥™¹ŠÃ¤Á¤œ˜r—´—š¸É
Á¡·É¤…¹ÊœÁœºÉ°Š‹µ„Ÿ¨‡¼–¦³®ªnµŠœÊµÎ ®œ´„¦¦š»„Ĝœª—·ÉŠÂ¨³¦³¥³„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª—oµœ…oµŠ…°ŠÁ­µ
Ž¹ÉŠ‹³¤¸Ÿ¨„¦³š˜n°‡ªµ¤¤´œÉ ‡Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÅ—o ®µ„¤¸‡nµ¤µ„Á„·œÅž

‡) „µ¦ª·´˜·Â Overturning
°µ‡µ¦¤¸¦¼žš¦Š­´—­nªœš¸ÉŤn—¸‡º°¤¸°´˜¦µ­nªœ¦³®ªnµŠ‡ªµ¤­¼Š˜n°‡ªµ¤„ªoµŠ…°Š“µœ¤µ„
°µ‹šÎµÄ®oŤn¤Á¸ ­™¸¥¦£µ¡Á¡¸¥Š¡°˜n°Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÅ—o ÁœºÉ°Š
äÁ¤œ˜r‹µ„¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠ˜n°°µ‡µ¦¤¸‡nµÁ„·œ„ªnµÃ¤Á¤œ˜r˜µo œšµœÁœºÉ°Š‹µ„œÊ宜´„…°Š
°µ‡µ¦ ž¦µ„’„µ¦–r…°Š„µ¦ª·˜´ ·…°Š°µ‡µ¦Äœ¨´„¬–³œ¸ÊÁ‡¥Á„·—…¹ÊœÂ¨oª—´Š„¦–¸Á®˜»„µ¦–r
Ÿnœ—·œÅ®ªš¸ÉÁ¤º°ŠÃ„Á —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.13 ‹³­´ŠÁ„˜Å—oªnµ°µ‡µ¦œ¸Ê¤¸—oµœ„ªoµŠš¸É‡ šÎµÄ®o
°´˜¦µ­nªœ…°Š‡ªµ¤­¼Š˜n°‡ªµ¤„ªoµŠ¤¸‡nµ­¼Š ‹¹Š¤¸‡ªµ¤Á­¸¥É Š˜n°„µ¦ª·´˜Â· œ¸Ê

¦¼žš¸É 2.13 „µ¦ª·´˜·Â Overturning


Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦ 37

2.3 ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦‹µ„‡¨ºœÉ œÊε­¹œµ¤·

¦Š„¦³šÎµ‹µ„‡¨ºÉœœÊµÎ ­¹œµ¤·˜n°Ã‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦ …¹Êœ°¥¼n„´ ‡ªµ¤Á¦Èª…°Š‡¨ºÉœŽ¹ŠÉ °µ‹


‡Îµœª–Å—o‹µ„
1
P = CD UVs2 (2.10)
2
×¥š¸É P ‡º° ¦Š—´œ…°Š‡¨ºœÉ œÊε, „„./¤.2
CD ‡º° ‡nµ drag coefficient
3
U ‡º° ‡ªµ¤®œµÂœnœ…°ŠœÊε, „„./¤.
Vs ‡º° ‡ªµ¤Á¦Èª…°Š‡¨ºÉœš¸É¤µž³š³Ã‡¦Š­¦oµŠ, Á¤˜¦/ª·œµš¸
‡ªµ¤Á¦Èª…°Š‡¨ºÉœ­´¤¡´œ›r„´ ‡ªµ¤­¼Š…°Š‡¨ºÉœŽ¹ÉŠ°µ‹‹³‡Îµœª–Å—o‹µ„
Vs = 2 gd s (2.11)
×¥š¸É g ‡º° °´˜¦µÁ¦nŠÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÃœo¤™nªŠÃ¨„, Á¤˜¦/ª·œµš¸2
d s ‡º° ‡ªµ¤­¼Š…°Š‡¨ºÉœš¸É¤µž³š³Ã‡¦Š­¦oµŠ,Á¤˜¦
‹µ„¦Š—´œ…°Š‡¨ºÉœœÊεš¸É¤µž³š³¤¸‡µn ­¼Š¤µ„ —´Š‹³­´ŠÁ„˜Å—o‹µ„‡ªµ¤­¼Š…°Š‡¨ºÉœ¦³—´®¨´Š‡µ
°µ‡µ¦­¼Š 2 ´œÊ šÎµÄ®oŸœ´Š°µ‡µ¦Á„·—‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 2.13

¦¼žš¸É 2.13 Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦‹µ„‡¨ºÉœœÊε­¹œµ¤·


38 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦

2.4 „µ¦‹´—¦³žj°Š„´œÂ¨³¦¦Ášµ£´¥‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª
¤µ˜¦„µ¦žj°Š„´œ£´¥‹µ„­¹œµ¤·
1. …–³š¸É°¥¼n¦·Áª–µ¥ {Š~ Á¤ºÉ°¦¼o­¹„ªnµ¤¸ÂŸnœ—·œÅ®ª®¦º°¡ªnµ¦³—´œÊ嚳Á¨¨—¨Š¤µ„Ÿ·—ž„˜·
Ä®o¦¸°¡¥¡Åž¥´Š¦·Áª–š¸­É ¼Šš´œš¸
2. Á¤ºÉ°Å—o¦´¢{Šž¦³„µ«‹µ„šµŠ„µ¦Á„¸É¥ª„´„µ¦Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ªÄœš³Á¨Ä®oÁ˜¦¸¥¤¦´­™µœ„µ¦–r
š¸É°µ‹‹³Á„·—­¹œµ¤·˜µ¤¤µÅ—o
3. ™oµ°¥¼nĜÁ¦º°Ž¹ŠÉ ‹°—°¥¼nĜšnµÁ¦º° Ä®o¦¸œÎµÁ¦º°°°„Åž„¨µŠš³Á¨ Á¤ºÉ°š¦µ…nµªªnµ‹³Á„·—­¹œµ¤·
¡´—Á…oµ®µ
4. ‡¨ºÉœ­¹œµ¤· °µ‹Á„·—…¹ÊœÅ—o®¨µ¥¦³¨°„‹µ„„µ¦Á„·—Ÿnœ—·œÅ®ª‡¦´ÊŠÁ—¸¥ª ÁœºÉ°Š‹µ„¤¸„µ¦Â„ªnŠ
ޤµ…°ŠœÊµÎ š³Á¨ —´Šœ´Êœ‡ª¦¦°ž¦³„µ«‹µ„„µ¦„n°œ‹¹Š­µ¤µ¦™¨ŠÅžµ¥®µ—Å—o
5. ˜·—˜µ¤„µ¦Á­œ°…nµª…°ŠšµŠ¦µ„µ¦°¥nµŠÄ„¨o·—¨³˜n°ÁœºÉ°Š
6. ®µ„š¸Éµo œÁ¦º°œ°¥¼nĄ¨oµ¥®µ— ‡ª¦‹´—šÎµÁ…ºÉ°œ „ε¡Š ž¨¼„˜oœÅ¤o ªµŠª´­—» ¨—¦Šž³š³…°Š
œÊ嚳Á¨ Ĝ¦·Áª–¥nµœš¸É¤¸‡ªµ¤Á­¸É¥Š£´¥ÄœÁ¦ºÉ°Š­¹œµ¤·
7. ‡ª¦®¨¸„Á¨¸É¥Š„µ¦„n°­¦oµŠ°µ‡µ¦oµœÁ¦º°Ä„¨oµ¥ {Š~ Ĝ¥nµœš¸É¤¸‡ªµ¤Á­¸É¥Š£´¥­¼Š
8. ªµŠÂŸœÄœ„µ¦ f„Žo°¤¦´£´¥‹µ„­¹œµ¤·Áž}œž¦³‹Îµš»„že Ánœ„ε®œ—Á­oœšµŠ®œ¸£´¥­¹œµ¤·
­™µœš¸ÉĜ„µ¦°¡¥¡ ¨³Â®¨nŠ­³­¤œÊµÎ ­³°µ— Áž}œ˜oœ
9. ‹´—ªµŠŸ´ŠÁ¤º°ŠÄ®oÁ®¤µ³­¤ ¦·Áª–®¨nŠš¸É°µ«´¥‡ª¦¤¸¦³¥³®nµŠ‹µ„µ¥ {Š~
10. ž¦³µ­´¤¡´œ›r¨³Ä®o‡ªµ¤¦¼ož¦³µœÄœÁ¦ºÉ°Š„µ¦žj°Š„´œÂ¨³¦¦Ášµ£´¥‹µ„­¹œµ¤·Â¨³ÂŸnœ
—·œÅ®ª
11. ªµŠÂŸœ¨nªŠ®œoµ ®µ„Á„·—­™µœ„µ¦–r…¹Êœ‹¦·Š ĜÁ¦ºÉ°Š„µ¦ž¦³­µœŠµœ¦³®ªnµŠ®œnª¥Šµœš¸É
Á„¸É¥ª…o°Š„ε®œ—…´Êœ˜°œÄœ—oµœ„µ¦nª¥Á®¨º°¦¦Ášµ£´¥ —oµœ­µ›µ¦–³­»… „µ¦¦ºÊ°™°œÂ¨³
¢gœ¢¼­Š·É „n°­¦oµŠ Áž}œ˜oœ
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 2 Ÿ¨„¦³š…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª˜n°°µ‡µ¦ 39

¦³Á˜º°œ£´¥‹µ„‡¨ºÉœ¥´„¬r­¹œµ¤·

¦¼žš¸É 2.14 ¦³Á˜º°œ£´¥ DART


Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 41

šš¸É 3
„µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª
3.1 šœÎµ
ª·«ª„¦­nªœÄ®n‹³‡»oœÁ‡¥„´„µ¦ª·Á‡¦µ³®rǦŠ­¦oµŠÁ¡º°É ¦´œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É¨³
œÊ宜´„¦¦š»„‹¦Ž¹ÉŠÁž}œÂ¦Š„¦³šÎµÂ­™·˜¥r£µ¥Ä˜o¦ŠÃœo¤™nªŠÃ¨„ „µ¦‡Îµœª–®µÂ¦Š£µ¥Äœ
°Š‡r°µ‡µ¦Å—o„näÁ¤œ˜r ¦ŠÁŒº°œ ¨³Â¦ŠÂœªÂ„œ Áž}œ˜oœ ¨³„µ¦Ã„nŠ˜´ª…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ‹³Å—o
‡Îµ˜°š¸ÉÁž}œ‡nµ‡Šš¸ÉÁ¡¸¥Š‡nµÁ—¸¥ª˜n°œÊ宜´„¦¦š»„š¸É„¦³šÎµ‡nµ®œ¹ÉŠ ­Îµ®¦´Â¦Š„¦³šÎµ‹µ„
Ÿnœ—·œÅ®ªÁž}œÂÂž¦Áž¨¸É¥œ˜µ¤Áª¨µÅ—o Ž¹ÉŠÁž}œ¨´„¬–³¡¨«µ­˜¦r ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š°µ‡µ¦
¤µ‹µ„Ÿ¨˜°­œ°Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÁœºÉ°Š‹µ„„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°Š¡ºœÊ —·œš¸“É µœ°µ‡µ¦ „µ¦ª·Á‡¦µ³®r
ǦŠ­¦oµŠ‹³˜o°ŠÄo®¨´„ª·µ¡¨«µ­˜¦rÁ¡ºÉ°‡Îµœª–®µÂ¦Š£µ¥Äœ°Š‡r°µ‡µ¦Â¨³„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª
…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ ‡Îµ˜°š¸Éŗo‹³¤¸Áž}œ‹Îµœªœ¤µ„˜µ¤‡nµ…°ŠÂ¦Šš¸ÉÁž¨¸¥É œÅž˜µ¤Áª¨µ ˜nĜ—oµœ
ª·«ª„¦¦¤ ‡nµŸ¨˜°­œ°Š­¼Š­»—š¸É‡Îµœª–Å—o‹µ„nªŠÁª¨µš¸É„ε®œ— ‹³Áž}œ‡nµš¸œÉ ε¤µÄoĜ„µ¦
°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ
Ĝšœ¸Ê‹³„¨nµª™¹Š®¨´„„µ¦…°Š¡¨«µ­˜¦rÁ¡ºÉ°œÎµÅžÄoĜ„µ¦‡Îµœª–®µ
Ÿ¨˜°­œ°Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ×¥‹³Á¦·É¤‹µ„„µ¦¡·‹µ¦–µ„µ¦­´œÉ …°Š
ǦŠ­¦oµŠ°¥nµŠŠnµ¥„n°œ

3.2 „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°Š¦³Ã‡¦Š­¦oµŠÂŠnµ¥

ǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦´ÊœÁ—¸¥ªœ·¥¤ÄoÁž}œ¦³Ã‡¦Š­¦oµŠÂŠnµ¥Äœ„µ¦ª·Á‡¦µ³®r„µ¦
Á‡¨ºÉ°œš¸É…°Š°µ‡µ¦£µ¥Ä˜o¦Š„¦³šÎµ¡¨«µ­˜¦r ǦŠ­¦oµŠœ¸Êž¦³„°—oª¥Ã‡¦Š­¦oµŠ®¨´Š‡µŽ¹ŠÉ
¡·‹µ¦–µÁž}œ¤ª¨š¸É…ȊÁ„¦ÈŠ (rigid) m ¦°Š¦´—oª¥Á­µŽ¹ÉŠ­µ¤µ¦™Ã¥„˜´ªÅ—o—oª¥‡nµ­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µ
k ‹µ„¦¼žš¸É 2.1 ­¤¤»˜·ªnµ¤¸Â¦Š„¦³šÎµ˜n°°µ‡µ¦ P(t ) Ž¹ÉŠÁž}œ¢{Š„rœ´É „´Áª¨µ šÎµÄ®o¤ª¨…°Š
ǦŠ­¦oµŠ¤¸„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉŞ u (t ) ¦³Ã‡¦Š­¦oµŠÂœ¸ÊÁ¦¸¥„ªnµ¦³š¸¤É ¸„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸°É ·­¦³¦³—´
Á—¸¥ª single-degree-of-freedom (SDOF) system ÁœºÉ°Š‹µ„¤¸„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉĜš·«šµŠÁ—¸¥ª
Ášnµœ´Êœ ¤ª¨…°Š¦³ SDOF œ¸Ê­¤¤»˜·ªµn ¤¸„µ¦¦ª¤˜´ªš¸É˜ÎµÂ®œnŠÁ—¸¥ªÁ¦¸¥„ªnµ lumped mass Á¤ºÉ°
¤ª¨…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÁ‡¨ºÉ°œš¸—É oª¥°´˜¦µÁ¦nŠ u(t ) ÁœºÉ°Š‹µ„¦Š„¦³šÎµ˜µ¤„‘…o°š¸É 2 …°Šœ·ª˜´œ
42 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

P (t ) = mu (3.1)
u
Pt Pt
m

= c
k/2 k/2

„) ǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦´ÊœÁ—¸¥ª …) ǦŠ­¦oµŠ°¥nµŠŠnµ¥Áš¸¥Ášnµ

¦¼žš¸É 3.1 „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°¥nµŠŠnµ¥ (simple harmonic oscillator)

Á¤ºÉ°¤ª¨ m Á‡¨ºÉ°œ˜´ªÅž‹œ­»— „È‹³Á‡¨ºÉ°œ˜´ª„¨´—oª¥Â¦ŠÁŒºÉ°¥ (inertia force) ˜µ¤®¨´„…°Š


—¸°Á¨È¤Á·¦r— (D’Alembert’s principle) ¤¸‡nµÁšnµ„´­¤„µ¦ 3.1 ˜nš·«šµŠ˜¦Š„´œ…oµ¤
ÁœºÉ°Š‹µ„Á­µ¤¸‡nµ­˜·¢Áœ­ k š¸É˜oµœšµœ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉšµŠ—oµœ…oµŠ Á¤ºÉ°Á­µÁ‡¨ºÉ°œš¸ÉŞ
Áž}œ¦³¥³ u ‹¹Š¤¸Â¦Š˜oµœšµœ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É—Š´ ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 3.2 ¨³¤¸‡nµÁšnµ„´
fs = ku (3.2)

¦¼žš¸É 3.2 ‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠÂ¦ŠÂ¨³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ


Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 43

×¥š¸É k ‡º° ‡nµ­˜·¢Áœ­…°ŠÁ­µ, kg / m


®¤µ¥™¹Š ¦Šš¸É„¦³šÎµÄ®oǦŠ­¦oµŠÁ‡¨ºÉ°œš¸ÉŞ 1 ®œnª¥ ‡nµ­˜·¢Áœ­­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠœ·—
˜nµŠÇ°µ‹‡Îµœª–Å—o‹µ„˜µ¦µŠš¸É 3.1
˜µ¦µŠš¸É 3.1 ‡nµ„µ¦Ã„nŠ˜´ªÂ¨³­˜·¢Áœ­…°Š³Ã‡¦Š­¦oµŠ˜nµŠÇ
44 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

3.3 „µ¦­´ÉœÂ°·­¦³ (Free Vibration)


®µ„ǦŠ­¦oµŠ¤¸Â¦Š„¦³šÎµÄ®oÁ‡¨ºÉ°œš¸ÉŞÁž}œ¦³¥³ u (0) ¨³ž¨n°¥Â¦Š„¦³šÎµ°°„š´œš¸
ǦŠ­¦oµŠ‹³Á‡¨ºÉ°œ˜´ª­´ÉœÅž¤µ°¥nµŠ°·­¦³—oª¥Â¦ŠÁŒºÉ°¥…°Š¤ª¨œ´œÊ ¨³™oµ®µ„ǦŠ­¦oµŠœ´ÊœÅ¤n¤¸
‡nµ‡ªµ¤®œnªŠ ­¤„µ¦„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°Š¦³‹³Áž}œ—´Šœ¸Ê
mu  ku = 0 (3.3)
ÁœºÉ°Š‹µ„ k mZ 2 —´Šœ´œÊ ­¤„µ¦ 3.3 °µ‹Á…¸¥œÄ®¤nŗo —´Šœ¸Ê
u  Z 2u = 0 (3.4)
‡Îµ˜°…°Š­¤„µ¦ 3.4 ­µ¤µ¦™Á…¸¥œ°¥¼Än œ¦¼žÂ—´Šœ¸Ê
u (0)
u = sin Zt  u (0) cos Zt (3.5)
Z
×¥š¸É u (0) ‡º°‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉÁ¦·¤
É ˜oœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ
u (0) ‡º°‡nµ‡ªµ¤Á¦ÈªÁ¦·É¤˜oœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ
„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É°·­¦³œ¸Ê­—ŠÄœ¦¼žš¸É 3.3

„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É
‡µ„µ¦­´Éœ‡¦ 1 ¦°,
2S
Tn
u (0) Z

2
ª u (0) º 2
A «¬ Z »¼  >u (0) @
u (0)
Áª¨µ

¦¼žš¸É 3.3 „µ¦­´ÉœÂ°·­¦³…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠš¸ÅÉ ¤n¤¸‡nµ‡ªµ¤®œnªŠ


Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 45

˜´ª°¥nµŠ 3.1 °µ‡µ¦Ã¦ŠŠµœÂ®nŠ®œ¹ÉŠÁž}œÃ‡¦Š­¦oµŠÁ®¨È„¤¸…œµ—Ÿ´Š°µ‡µ¦Â¨³¦¼ž—oµœ…oµŠ—´ŠÂ­—Š


Ĝ¦¼ž…oµŠ¨nµŠœ¸Ê ‹Š‡Îµœª–®µ‡µ„µ¦­´Éœ›¦¦¤µ˜·…°Š°µ‡µ¦®¨´Šœ¸ÊĜš·«šµŠÁ®œº°-Ęo ¨³
˜³ª´œ°°„-˜³ª´œ˜„ „ε®œ—Ä®o œÊ宜´„¦¦š»„‡Šš¸É‡Îµœª–‹µ„
¦³—´®¨´Š‡µ
„¦³ÁºÊ°Š®¨´Š‡µ 15 „„./˜¦.¤.
 jµÁ¡—µœÂ¨³¦³š¸É…ªœœ jµ 9 „„./˜¦.¤.
ǦŠ™´„ 4 „„./˜¦.¤.
ž¨³‡Êε¥´œ 3 „„./˜¦.¤.
Á®¨È„¥¹—¦³—´ bottom chord 3 „„./˜¦.¤.
Á­µ 1 „„./˜¦.¤.
¦ª¤œÊ宜´„ 35 „„./˜¦.¤.
Ÿœ´Š„ε¡Š
ǦŠ°µ‡µ¦Â¨³®œoµ˜nµŠ 6 „„./˜¦.¤.
Ÿœ´Š Metal sheet 9 „„./˜¦.¤.
¦ª¤œÊ宜´„ 15 „„./˜¦.¤.
Á­µ°µ‡µ¦¤¸…œµ— W20x36 I x 3, 446 cm4 I y 782.5 cm4 Es 2.03 u106 ksc
Á®¨È„¥¹—š³Â¥Š¦³®ªnµŠÁ­µÄoÁ®¨È„Á­oœ„¨¤…œµ—Á­oœŸnµ«¼œ¥r„¨µŠ 25 ¤¤.
­¤¤»˜·Ä®o ¦³Ã‡¦Š­¦oµŠÁž}œ¦³š¸ÉŤn¤‡¸ ªµ¤®œnªŠ

ª·›¸šµÎ
‡Îµœª–¤ª¨…°Š°µ‡µ¦
m 35 30 u 22.5  15 3.6 ^ 30  22.5 u 2` 29, 295 „„.
ǦŠ˜oµœÂ¦Š—´—Äœš·«šµŠÁ®œº°-Ęo
24
12 EI 24
12 2.03 u106 3, 446
43,181 „„./Ž¤.
k ¦ h 3 ¦ 3603
i 1 i 1
k 43,181u 981
Z 38.03 Á¦Á—¸¥œ/ª·œµš¸
m 29, 295
2S 2S
T 0.165 ª·œµš¸ ˜°
Z 38.03
46 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

3@7.5 m = 22.5 m

‡) ¦¼ž—oµœ…oµŠ
5@6.0 m = 30.0 m

„) Ÿ´Š®¨´Š‡µ¦³—´ bottom chord

1.425 m

3.6 m
N

…) ¦¼ž—oµœ…oµŠ

ǦŠ‡Êε¥´œÄœš·«šµŠ˜³ª´œ°°„-˜³ª´œ˜„
6
AE
k ¦ cos 2 T
i 1 L
Sd2
A 4.91 ˜¦.Ž¤.
4
L 6.02  3.62 7.0 ¤.
T tan 1 3.6 6.0 31o
cos 31o 0.857

6
4.91 2.03 u 106 0.857 2 62, 747 „„./Ž¤.
k ¦ 700
i 1
k 62, 747 u 981
Z 45.84 Á¦Á—¸¥œ/ª·œµš¸
m 29, 295
2S 2S
T 0.137 ª·œµš¸ ˜°
Z 45.84
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 47

×¥›¦¦¤µ˜·„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ‹³‡n°¥Ç¨—¨Š˜µ¤Áª¨µÁœºÉ°Š‹µ„¦Š˜oµœšµœ‹µ„‡nµ
‡ªµ¤®œnªŠ (damping) …°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ Ž¹ŠÉ Á¦¸¥„ªnµ viscous damping force ¤¸‡nµÁšnµ„´
fd = cu (3.6)
×¥š¸É c ‡º° ‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í‡ªµ¤®œnªŠ (viscous damping coefficient), kg ˜ sec/ m
¨³‡Îµœª–Å—o‹µ„ c 2[Zn m

¦¼žš¸É 3.4 ‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠÂ¦Š˜oµœšµœ‹µ„‡nµ‡ªµ¤®œnªŠ ¨³‡ªµ¤Á¦Èª…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ

­¤„µ¦„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°Š¦³š¸É¤¸‡ªµ¤®œnªŠ Áž}œ—´Šœ¸Ê
mu  cu  ku = 0 (3.7)
‡Îµ˜°…°Š­¤„µ¦ 3.7 ­µ¤µ¦™Á…¸¥œ°¥¼Än œ¦¼žÂ—´Šœ¸Ê
= e[Zt ¨ >u (0)  u (0)[Z @ sin Zd t  u (0) cos Zd t ¸
§ ·
u (3.8)
© Zd ¹
×¥š¸É [ ‡º° ‡nµ damping ratio
Zd Z 1 [ 2 ‡º° ‡nµ‡ªµ¤™¸ÁÉ ·Š¤»¤…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠš¸É¤¸‡ªµ¤®œnªŠ
„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É°·­¦³œ¸Ê­—ŠÄœ¦¼žš¸É 3.5
‡µ„µ¦­´Éœ‡¦ 1 ¦°,
2S
TD
Z
u (0)

u (0)
Áª¨µ

¦¼žš¸É 3.5 „µ¦­´ÉœÂ°·­¦³…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠš¸¤É ¸‡nµ‡ªµ¤®œnªŠ


48 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

3.4 ­¤„µ¦„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É‹µ„¦Š„¦³šÎµ£µ¥œ°„
(Equation of Motion: External Force)
‹µ„­¤—»¨…°ŠÂ¦ŠÄœ¦¼žš¸É 3.6 ¦Š¨´¡›rš¸É„¦³šÎµ˜n°Ã‡¦Š­¦oµŠ‡º°Â¦Š„¦³šÎµ£µ¥œ°„®´„
¨—oª¥Â¦Š˜oµœšµœ„µ¦Á‡¨º°É œš¸É…°ŠÁ­µÂ¨³Â¦Š˜oµœšµœ‹µ„‡nµ‡ªµ¤®œnªŠ šÎµÄ®oǦŠ­¦oµŠ
Á‡¨ºÉ°œš¸ÉŞ…oµŠ®œoµ ‹³Áš¸¥ÁšnµÂ¦ŠÁŒºÉ°¥š¸ÉšµÎ Ä®oǦŠ­¦oµŠÁ‡¨ºÉ°œš¸É„¨´¤µ—´Šœ¸Ê
P (t )  f S  f D = fI (3.9)
u u
fI
P(t)
m m

fS/2 fD fS/2
c = c
k/2 k/2 k/2 k/2

„) ǦŠ­¦oµŠ¤¸Â¦Š„¦³šÎµ£µ¥œ°„ …) ¦Š˜oµœšµœ£µ¥ÄœÃ‡¦Š­¦oµŠ

¦¼žš¸É 3.6 ­¤—»¨…°ŠÂ¦Š„¦³šÎµ£µ¥œ°„¨³Â¦Š˜oµœšµœ£µ¥Äœ


®¦º° mu  cu  ku = P (t ) (3.10)

­¤„µ¦ (3.10) Á¦¸¥„ªnµ­¤„µ¦„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ Ž¹ŠÉ Áž}œ˜´ª„ε®œ—„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É u (t )


­Îµ®¦´¡§˜·„¦¦¤Ã‡¦Š­¦oµŠÂ¥º—®¥»œn ¨³¤¸Â¦Š„¦³šÎµ£µ¥œ°„¡¨«µ­˜¦r P(t )

3.5 ­¤„µ¦„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É‹µ„¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª
(Equation of Motion : Earthquake Excitation)

Ĝ„¦–¸š¸ÉǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦¤¸Â¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª„¦³šÎµš¸É“µœ°µ‡µ¦ ‹³šÎµÄ®o“µœÁ‡¨ºÉ°œš¸ÉŞ
Ášnµ„´ u g ¨³šÎµÄ®o¤ª¨ m Á‡¨ºÉ°œ˜´ªÅžÁž}œ¦³¥³ u ǦŠ­¦oµŠœ¸‹Ê ³Å¤n¤¸Â¦Š„¦³šÎµÂ¡¨«µ­˜¦r
š¸É¦³—´¥°—…°Š°µ‡µ¦ ˜n‹³¤¸Â¦Š„¦³šÎµš¸É“µœ—oª¥°´˜¦µÁ¦nŠ ug šœ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 3.7
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 49

ut
ut
u fI u
m m

fS/2 fD
= fS/2
c c
k/2 k/2 k/2 k/2

ug ug
„) ǦŠ­¦oµŠ¤¸„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸Éš¸É“µœ …) ¦Š£µ¥Äœ˜oµœšµœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ

¦¼žš¸É 3.7 ­¤—»¨…°ŠÂ¦Š„¦³šÎµ‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª


—´Šœ´œÊ ­¤„µ¦„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ ‹³Áž¨¸É¥œÁž}œ
mut  cu  ku = 0 (3.11)
šœ‡nµ ut u  ug ¨ŠÄœ­¤„µ¦ 3.11 ‹³Å—o
mu  cu  ku =  mug (3.12)
­¤„µ¦ 3.12 ®¤µ¥‡ªµ¤ªnµÂ¦Š„¦³šÎµš¸“É µœ‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª‹³Áš¸¥Ášnµ„´Â¦Š„¦³šÎµš¸É¥°—
°µ‡µ¦¤¸‡nµÁšnµ„´ mug = Peff ˜n¤¸š·«šµŠ˜¦Š„´œ…oµ¤„´°´˜¦µÁ¦nŠš¸É“µœ ¨³Á¦¸¥„‡nµ Peff Áž}œ
¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ªž¦³­·š›·Ÿ¨ (effective earthquake force) —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 3.8
ut
u Peff = mug
m m

c = c
k/2 k/2 k/2 k/2

ug “µœ°¥¼nœ·ÉŠ
ug
„) ǦŠ­¦oµŠ¤¸„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸Éš¸É“µœ …) ¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ªž¦³­·š›·Ÿ¨„¦³šÎµÂ“µœœ·ÉŠ

¦¼žš¸É 3.8 ¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ªž¦³­·š›·Ÿ¨


50 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

3.6 „¦µ¢„µ¦˜°­œ°Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÄœnªŠ°·¨µ­˜·„
(Elastic Response Spectra)

­¤„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É 3.12 ­µ¤µ¦™Á…¸¥œÄ®¤nŗo—´Šœ¸Ê


u  2[Znu  Zn2u = ug (3.13)

Á¤ºÉ°Ã‡¦Š­¦oµŠ™¼„„¦³šÎµ—oª¥°´˜¦µÁ¦nŠÂŸnœ—·œÅ®ª ug Ä—Ç ‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É˜°­œ°Š


(Deformation Response), u ­µ¤µ¦™‡Îµœª–Å—o‹µ„­¤„µ¦ 3.13 ×¥ª·›¸ Step-by–Step Direct
Integration ‹µ„œ´Êœ Á¤ºÉ°œÎµ‡nµ­¼Š­»—…°Š„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É˜°­œ°Š¤µÁ…¸¥œœÂ„œ…°Š‡µ„µ¦­´œÉ
›¦¦¤µ˜· Tn ‹³Å—o„¦µ¢…°Š Deformation Response Spectrum —´Šœ¸Ê

¦¼žš¸É 3.9 (a) °´˜¦µÁ¦nŠ…°Š¡ºœÊ —·œ: (b) deformation responses of three SDF systems with [ = 2%
and Tn = 0.5, 1, and 2 sec; (c) deformation responses spectrum for [ = 2%

×¥š¸É responses spectrum ‡º° „µ¦Á…¸¥œ‡nµ­¼Š­»—…°Šž¦·¤µ–Ÿ¨˜°­œ°ŠÄ— Ç Áž}œ


¢{Š„r´Éœ„´‡nµ‡µ„µ¦­´œÉ Å®ª›¦¦¤µ˜· Tn …°Š¦³Ã‡¦Š­¦oµŠ ‹³Å—o‡nµ responses spectrum
…°Šž¦·¤µ–œ´œÊ Ç
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 51

Response spectra ­Îµ®¦´ El Centro (1940) ground motion ([ = 0.02)

¦¼žš¸É 3.10 Response spectra ([ = 0.02) for EI Centro ground motion: (a) deformation response
spectrum; (b) pseudo-velocity response spectrum; (c) pseudo-acceleration response
spectrum.
52 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

Á¤ºÉ°š¦µ‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­Š¼ ­»—…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ D uo ‹³­µ¤µ¦™‡Îµœª–¦Š„¦³šÎµ˜n°


ǦŠ­¦oµŠÄœ¨´„¬–³Â¦Š­™·˜¥rÁš¸¥ÁšnµÅ—o ץ¦Š„¦³šÎµœ¸Ê‹³Ášnµ„´Â¦Š˜oµœšµœ£µ¥Äœ…°ŠÁ­µ
Ž¹ÉŠ‡nµ f D ¨³ f I ‹³Å¤nœÎµ¤µ‡Îµœª–ÁœºÉ°Š‹µ„¡·‹µ¦–µÁž}œ„µ¦¦´Â¦ŠÂ­™·˜¥r ­—ŠÅ—o—´Šœ¸Ê
ut uo
uo
fso
m m

c = c
k/2 k/2 k/2 k/2

ug Vb
Mb
ug
„) ¦Š„¦³šÎµÂ¡¨«µ­˜¦r …) ¦Š„¦³šÎµÂ­™·˜¥r

¦¼žš¸É 3.11 ¦Š­™·˜¥rÁš¸¥Ášnµ„´Â¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÂ¡¨«µ­˜¦r

‹³Å—oªnµ =
f so kuo
= mZn2uo = mA (3.13)
×¥š¸É A = Zn2uo Á¦¸¥„ªnµ peak pseudo-acceleration
uo = peak deformation response
f so Á¦¸¥„ªnµÂ¦Š­™·˜¥rÁš¸¥Ášnµ (Equivalent Static Force)
¦Š f so œ¸Ê‹³™¼„˜oµœšµœ—oª¥Â¦ŠÁŒº°œš¸É“µœ°µ‡µ¦ Ž¹ŠÉ Á¦¸¥„ªnµ Base Shear Force, Vb
Vb = f so = mA (3.14)
A
®¦º° Vb = W (3.15)
g
Á¤ºÉ° W = œÊ宜´„…°Š°µ‡µ¦
g = ¦ŠÃœo¤™nªŠ…°ŠÃ¨„
A
‡nµ œ¸Ê Á¦¸¥„°¸„°¥nµŠ®œ¹ÉŠÅ—oªµn ‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Í¦ŠÁŒº°œš¸“É µœ°µ‡µ¦ (Base Shear Coefficient)
g
¨³ äÁ¤œ˜r˜oµœšµœš¸É“µœ°µ‡µ¦
Mb = Vb ˜ h (3.16)
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 53

¦¼žš¸É 3.12 Normalized pseudo-acceleration or base shear coefficient response spectrum


for El Centro ground motion; [ = 0, 2, 5, 10, and 20%

3.7 „µ¦¦ª¤„¦µ¢ D – V – A Spectrum


Deformation, Pseudo-Velocity ¨³ Pseudo-Acceleration response spectrum š´ÊŠ 3
œ·—œ¸Ê ¤¸‡ªµ¤­´¤¡´œ›r„œ´ ×¥„µ¦œÎµ spectrum š´ÊŠ 3 œ·—œ¸Ê¤µÁ…¸¥œÄœ„¦µ¢¦¼žÁ—¸¥ª„´œ ‹³
­µ¤µ¦™°nµœ‡nµš´ŠÊ ­µ¤œ¸ÊŗoĜ„œš¸šÉ 夻¤˜nµŠ„´œ —´Šœ¸Ê

¦¼žš¸É 3.13 Combined D-V-A response spectrum for El Centro ground motion; [ = 2%
54 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

×¥š¸ÉĜ¦¼ž…oµŠœœ¸Ê­µ¤µ¦™Â­—Š Response Spectrum ŗo 3 œ·— ‡º°


„) Deformation Response Spectrum ­—Š‡nµ Peak deformation
…) Pseudo-Velocity Response Spectrum ¤¸‡ªµ¤­´¤¡´œ›r„´ strain energy š¸É­³­¤Äœ¦³
ǦŠ­¦oµŠ :
1 2 1 2 1 1
Eso = kuo = kD = mZn2 D 2 = mV 2
2 2 2 2
‡) Pseudo-Acceleration Response Spectrum ¤¸‡ªµ¤­´¤¡´œ›r„´ Base Shear Force, Vb
A
Vb = mA = W
g

­Îµ®¦´‡nµ Combined D-V-A Response Spectrum Ž¹ÉŠ‡Îµœª–‹µ„‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª…°Š


El Centro ground motion (1940) ­—ŠÄœ¦¼ž 3.14

Natural vibration period Tn, sec

¦¼žš¸É 3.14 Combined D-V-A response spectrum for El Centro ground motion: [ = 0, 2, 5, 10, 20%
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 55

˜´ª°¥nµŠ 3.1 Á­µÁ®¨È„„¨¤ÂšnŠ®œ¹ŠÉ ¤¸‡ªµ¤­¼Š 3.6 ¤. …œµ— 4” ×¥¤¸Á­oœŸnµ«¼œ¥r„¨µŠ£µ¥œ°„


11.5 Ž¤. ®œµ 0.6 Ž¤.0¦´œÊ宜´„…°ŠÂšoŠ‡rœÊ坜¥°—Á­µ 2,400 „„. Á­µ„¨¤œ¸¤Ê ‡¸ nµ°·œÁœ°¦rÁ¸¥
= 300 Ž¤.4 ¨³‡nµ Elastic modulus, E = 20.0 u108 œ·ª˜´œ/˜¦.Ž¤.
™oµ®µ„ǦŠ­¦oµŠœ¸Ê˜o°Š°°„Ä®o­µ¤µ¦™˜oµœšµœÂ¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª…°Š‡¨ºÉœ El Centro
ground motion (1940) ‹Š‡Îµœª–®µ Peak deformation ¨³ Base shear force ¨³
Bending stress …°ŠÁ­µÁ®¨È„œ¸Ê ([= 2%)
ª·›¸šµÎ
3EI
Lateral stiffness k =
L3
3 ˜ 20 u 108 ˜ 300
2,400 „„. = = 38,580 N/cm.
3.6 u100 3

3.6 Zn =
k
=
38,580
m 2, 400

= 4 rad/sec

2S
Natural period Tn = = 1.57 sec
4
‹µ„¦¼ž 3.15 Á¤ºÉ° Tn = 1.57 sec
‹³Å—o‡nµ D = 5 s ¨³ A = 0.20 g
—´Šœ´œÊ Peak deformation = 5s = 12.7 Ž¤.
A
Base shear force Vb = W = 0.20 (2,400)
g
= 480 „„.
Moment š¸É“µœ Mb = Vb ˜ h = 480 u 3.6
= 1,728 „„. – ¤.

Bending Stress V max = Mc


=

1, 728 u100 11.5
2
I 300
= 3,312 „„./˜¦.Ž¤.
56 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

¦¼žš¸É 3.15 Combined D-V-A response spectrum for El Centro ground motion: [ = 2%

˜´ª°¥nµŠ 3.2 ÁœºÉ°Š‹µ„‡nµ Bending Stress š¸É‡Îµœª–Å—oĜ˜´ª°¥nµŠš¸É 3.1 ¤¸‡nµÁ„·œ„ªnµ‡nµ


Allowable Stress ¤µ„ (1,440 „„./˜¦.Ž¤.) ª·«ª„¦Ÿ¼o°°„‹¹ŠÅ—o…¥µ¥…œµ—…°ŠÁ­µÁ®¨È„Áž}œ
…œµ— 8s ×¥¤¸…œµ—Á­oœŸnµ«¼œ¥r„¨µŠ£µ¥œ°„ 21.9 Ž¤. ®œµ 0.82 Ž¤. ¨³‡nµ°·œÁœ°¦rÁ¸¥
3,018 Ž¤.4 ‹Š‡Îµœª–®µ Bending Stress …°ŠÁ­µÁ®¨È„œ¸Ê
ª·›¸šµÎ
3EI 3(20 u108 )(3,018)
Lateral stiffness k = =
L3 3.6 u100 3
= 388,117 N/cm.
Zn = k
m
= 388,117 = 12.72 rad/sec
2, 400
2S 2S
Tn = = = 0.49 sec
Zn 12.72
‹µ„¦¼ž 3.15 Á¤ºÉ° Tn = 0.49 sec
‹³Å—o‡nµ D = 2.7 s ¨³ A = 1.1 g
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 57

—´Šœ´œÊ Peak deformation = 2.7s = 6.86 Ž¤.


A
Base shear force Vb = W = 1.1 (2,400)
g

= 2,640 „„.
Moment š¸É“µœ Mb = Vb ˜ h = 2,640 u 3.6
= 9,504 „„. – ¤.

Bending Stress V max = Mc


=

9,504 u 100 21.9
2
I 3, 018

= 3,448 „„./Ž¤.2
Ÿ¨…°Š„µ¦Á¡·¤É …œµ—Á­µÁ®¨È„ šÎµÄ®o‡nµ Natural period ¨—¨Š ‹¹ŠšÎµÄ®o‡nµ Response
­¼Š…¹Êœ ¨³‡nµ Base shear force ­¼Š…¹Êœ Ž¹ŠÉ ˜„˜nµŠ‹µ„„µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ¦´ Static Load

3.8 „¦µ¢„µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠÄœnªŠ°·¨µ­˜·„ (Elastic Design Spectra)

ÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ªš¸„É ¦³šÎµ˜n°°µ‡µ¦ ‹³™¼„˜oµœšµœ—oª¥Â¦ŠÁŒº°œš¸É“µœ°µ‡µ¦ Vb


Ž¹ÉŠ­µ¤µ¦™‡Îµœª–Å—o‹µ„ Pseudo-acceleration response spectra ( S pa ) ×¥š¸É‡nµ S pa
…¹Êœ°¥¼n„´¨´„¬–³…°ŠÁ‡¨ºÉ°œÂŸnœ—·œÅ®ªš¸É´œš¹„Å—oœ Geological site condition ˜nµŠ Ç ª·«ª„¦
Ÿnœ—·œÅ®ªÅ—o‹ÎµÂœ„ Ž¹ÉŠ¡ªnµ¨´„¬–³…°Š‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª¤¸‡ªµ¤‡¨oµ¥‡¨¹Š„´œ°°„Å—oÁž}œ 4
ž¦³Á£š ‡º°
1) ´Êœ®·œÂ¨³´œÊ —·œÂ…ÈŠ¤µ„
2) ´Êœ—·œÂ…ÈŠžµœ„¨µŠ
3) ´Êœ—·œ°n°œ™¹ŠÂ…ÈŠžµœ„¨µŠ
4) ´Êœ—·œÁ®œ¸¥ª°n°œ
­Îµ®¦´°µ‡µ¦š¸É˜´ÊŠ°¥¼nœÂ˜n¨³ Site condition œ¸Ê‹³¤¸ S pa š¸ÂÉ ˜„˜nµŠ„´œÅž ‡nµ S pa š¸Éčo
Ĝ„µ¦°°„­Îµ®¦´Â˜n¨³ Site Á¦¸¥„ªnµElastic Design Spectra Ž¹ÉŠ­µ¤µ¦™­¦oµŠÅ—o‹µ„„µ¦
œÎµ‡nµ S pa š¸É‡Îµœª–‹µ„ Strong motion record š¸É´œš¹„Å—oĜ˜n¨³ site œ´Êœ Ç ‹Îµœªœ¤µ„¡°
œÎµ¤µÁ…¸¥œ¨ŠÄœ„¦µ¢¦¼žÁ—¸¥ª„´œ ¨oª®µÁ­oœ Smooth curve Ž¹ÉŠ‡Îµœª–Å—o‹µ„‡nµ Mean ¨³
Mean + Standard deviation —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼ž 3.16 Ž¹ÉŠÅ—o‹µ„„µ¦‡Îµœª–‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª‹Îµœªœ
38 ‡¨ºÉœ ­Îµ®¦´­£µ¡´œÊ ®·œÃ—¥Å¡¼¨¥r(2545)
58 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

¦¼žš¸É 3.16 Pseudo-acceleration response spectra for ground motions recorded on rock sites
(38 records) Å¡¼¨¥r (2545)
Á­oœ„¦µ¢Á¦¸¥š¸ÉčoÁž}œ˜´ªÂšœ…°Š„¦µ¢ S pa œ¸ÊÁ¦¸¥„ªnµ Elastic Design Spectra čo
A
­Îµ®¦´‡Îµœª–®µ Base shear force ‹µ„­¼˜¦ Vb W ×¥š¸É¡·‹µ¦–µªnµ ǦŠ­¦oµŠ¤¸
g
¡§˜·„¦¦¤„µ¦¦´œÊ宜´„ÄœnªŠ°·¨µ­˜·„ ĜšµŠž’·´˜· „¦µ¢š¸ÉčoĜ„µ¦°°„‹³˜o°Š‡Îµœ¹Š™¹Š
¦¼ž¦nµŠ…°Š S pa š¸É‡Îµœª–‹µ„‡¨ºœÉ Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—„¨µŠš¸ÉÁ„·—…¹ÊœÄœ¦³¥³Ä„¨o Ž¹ŠÉ ‹³¤¸Ÿ¨˜n°
ǦŠ­¦oµŠÄœnªŠ‡µ„µ¦­´œÉ ›¦¦¤µ˜·š¸É­œ´Ê ¨³ÂŸnœ—·œÅ®ª…œµ—Ä®nš¸ÉÁ„·—…¹ÊœÄœ¦³¥³Å„¨Ž¹ÉŠ‹³
¤¸Ÿ¨˜n°Ã‡¦Š­¦oµŠÄœnªŠ‡µ„µ¦­´Éœ›¦¦¤µ˜·š¸É¥µª„ªnµ—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼ž 3.17

Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—„¨µŠÄœ¦³¥³Ä„¨o
Pseudo-acceleration, Spa,g

„¦µ¢„µ¦°°„

Ÿnœ—·œÅ®ª…œµ—Ä®nĜ¦³¥³Å„¨

natural period, Tn

¦¼žš¸É 3.17 „¦µ¢„µ¦°°„ÄœnªŠ°·¨µ­˜·„ Elastic Design Spectra


Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 59

3.9 „¦µ¢„µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠÄœnªŠ°·œ°·¨µ­˜·„ (Inelastic Design Spectra)

®¨´„„µ¦°°„Ã‡¦Š­¦oµŠ˜oµœšµœÂŸnœ—·œÅ®ª‡º° ĜÁ®˜»„µ¦–rŸnœ—·œÅ®ª…œµ—Ä®n
Ž¹ÉŠ¡ºœÊ —·œ¤¸„µ¦­´Éœš¸É¦»œÂ¦Š ‹³¥°¤Ä®oǦŠ­¦oµŠ¤¸„µ¦Ã„nŠ˜´ªÁ„·œ¡·„´—¥º—®¥»œn Ş­¼nnªŠÅ¤n¥º—®¥»œn
(inelastic)ŗo ×¥¥°¤Ä®oǦŠ­¦oµŠ¤¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥Å—ooµŠ ˜nÄ®o°¥¼nĜ¦³—´š¸É¥°¤¦´Å—o×¥
ǦŠ­¦oµŠ°µ‡µ¦Å¤n¡´Šš¨µ¥ ®¨´„„µ¦œ¸Ê‹³„¦³šÎµÅ—o×¥„µ¦„ε®œ—‡nµÂ¦ŠÁŒº°œš¸“É µœ°µ‡µ¦œo°¥
„ªnµ‡nµ„µ¦°°„š¸É¡§˜·„¦¦¤°·¨µ­˜·„ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 3.18 Ž¹ÉŠ‹³šÎµÄ®oǦŠ­¦oµŠ¤¸„µ¦Ã„nŠ˜´ª
Á„·œ¡·„´—¥º—®¥»nœÅžÄœnªŠ°·œ°·¨µ­˜·„Å—o ¨³‹³˜o°Š°°„Ä®oǦŠ­¦oµŠ¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ªÄœ„µ¦
¦´Â¦Š„¦³šÎµÂª´’‹´„¦ ×¥¤¸„µ¦®¤»œÃ¥„˜´ªÅž¤µÅ—oš¸É…o°®¤»œ¡¨µ­˜·„¦·Áª–ž¨µ¥‡µœ˜¦Š
˜ÎµÂ®œnŠ¦°¥˜n°¦³®ªnµŠ‡µœÂ¨³Á­µ
‹µ„¦¼žš¸É 3.18 ¦ŠÁŒº°œš¸É“µœ‹³™¼„¨—‹µ„„¦µ¢ Elastic design spectrum —oª¥‡nµ„µ¦
¨—„ε¨´Š R ­Îµ®¦´…o°„ε®œ— International Building Code (IBC 2000) ¨³ Uniform Building
Code (UBC1997) ®¦º°‡nµ Rw ­Îµ®¦´ Uniform Building Code (UBC1994)

El Centro (1940)

¦¼žš¸É 3.18 „¦µ¢„µ¦°°„­Îµ®¦´…o°„ε®œ—„µ¦°°„°µ‡µ¦


60 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

3.9.1 ¡§˜·„¦¦¤„µ¦¦´Â¦ŠÂª´’‹´„¦ (Hysteretic Behavior)

‹µ„„µ¦š—­°„µ¦¦´Â¦Š„¦³šÎµšµŠ—oµœ…oµŠÂª´’‹´„¦ …°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÁ®¨È„ ­µ¤µ¦™


œÎµ¤µÁ…¸¥œÂ­—Š‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠÂ¦ŠÂ¨³„µ¦Á‡¨º°É œ˜´ª—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 3.19

¦¼žš¸É 3.19 „¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠÂ¦ŠÂ¨³„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÁ®¨È„


(Krawinkler ¨³‡–³1971)

Ĝ„µ¦ª·Á‡¦µ³®r®µŸ¨˜°­œ°Š…°Š¡§˜·„¦¦¤Ã‡¦Š­¦oµŠÂœ¸Ê œ·¥¤‹Îµ¨°Š¡§˜·„¦¦¤Áž}œÂ
Áž}œ elastic perfectly plastic model ®¦º° elastoplastic model —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 3.20 œ´Éœ‡º°
¦ŠÂ¨³„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª‹³¤¸‡ªµ¤­´¤¡´œ›r°·¨µ­˜·„—oª¥‡nµ­˜·¢Áœ­ k ‹œ„¦³š´ŠÉ ™¹Š‹»—‡¦µ„ u y
Ž¹ÉŠ˜¦Š„´‡nµ„ε¨´Š‡¦µ„ f y ®¨´Š‹µ„œ´Êœ„ε¨´Š‡¦µ„‹³‡Šš¸É‹œ„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª™¹Š‹»—­¼Š­»— um Ž¹ÉŠ‹³
Áž¨¸É¥œ„µ¦¦´Â¦Š„¨´š·«¡¦o°¤„´„µ¦Á‡¨ºÉ°œ„¨´˜´ª…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ
œ°„‹µ„œ¸¡Ê §˜·„¦¦¤„µ¦¦´Â¦ŠÂª´’‹´„¦¥´Š¤¸¦¼ž¦nµŠš¸ÂÉ ˜„˜nµŠ„´œÅž š´ÊŠœ¸Ê…¹Êœ°¥¼„n ´ œ·—
…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ ­Îµ®¦´‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤Á®¨È„œ·¥¤Äo‹Îµ¨°Š…°Š Clough (1967) Ž¹ÉŠ¤¸‡»–­¤´˜·
…°Š stiffness degrading ®¦º°Â‹Îµ¨°Š…°Š Modified Takeda (1970) Ž¹ÉŠÅ—oÁ¡·É¤Ÿ¨„¦³š
…°Š stiffness degrading ¨³ strength deterioration ®¦º°Â‹Îµ¨°Š…°Š Park’s general
three parameters (1987) Ž¹ÉŠ¦ª¤¨´„¬–³…°Š stiffness degradation, strength deterioration
¨³ Pinching behavior Á…oµ—oª¥„´œ ­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠÁ®¨È„œ·¥¤Äo‹Îµ¨°Š Bilinear model
Ž¹ÉŠÅ—o‹µ„Ÿ¨„µ¦š—¨°Š…°Š Krawinkler et al. (1971) ¨³ Castiglioni ¨³ Di Palma (1988)
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 61

fs fs
¡§˜·„¦¦¤‹¦·Š

fy fy
‹Îµ¨°Š¡§˜·„¦¦¤Â
elastoplastic k
1
u u
uy um uy um

- fy
„) ¡§˜·„¦¦¤‹¦·ŠÂ¨³¡§˜·„¦¦¤‹Îµ¨°Š …) ¡§˜·„¦¦¤‹Îµ¨°ŠÂ elastoplastic

¦¼žš¸É 3.20 „¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠÂ¦ŠÂ¨³„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ªÂ elastoplastic


Force Force
k 0.03k k
Fy A

O Deformation Deformation
-Fy

„) Bilinear (BI) Model …) Clough (CL) Model

Force k
2k Force k
0.12k 0.12k
Fy 2k

0.4Fy

Deformation 0.5Fy
y Deformation
-0.4Fy

-Fy

-2Fy

‡) Modified Takeda (MT) Model Š) Park’s general three parameters (PA) Model
¦¼žš¸É 3.21 „¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠÂ¦ŠÂ¨³„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ªÂ˜nµŠÇ
62 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

3.9.2 „¦µ¢­Áž‡˜¦´¤­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª‡Šš¸É
(Constant-Ductility Response Spectrum, CDRS)

­¤„µ¦„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­µÎ ®¦´¦³°·œ°·¨µ­˜·„ ­µ¤µ¦™Á…¸¥œÅ—o—´Šœ¸Ê


u  2[Znu  Zn2u y f s (u , u ) = ug (3.17)
×¥š¸É f s (u, u ) ‡º° ‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠÂ¦ŠÂ¨³„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ªÂª´’‹´„¦
f s (u, u )
=
fy
‡Îµ˜°…°Š­¤„µ¦š¸É 3.17 ‹³œÎµ¤µÁ…¸¥œÁž}œ„¦µ¢…°Š„ε¨´Š‡¦µ„­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ªš¸É„ε®œ—
Á¦¸¥„ªnµ Constant-Ductility Response Spectrum (CDRS) —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 3.22 Ž¹ÉŠÁž}œ‡nµ„ε¨´Š
‡¦µ„­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ªÁšnµ„´ 1, 1.5, 2, 4, 8 ×¥‡Îµœª–‹µ„‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª El Centro
1940¨³Äo¡§˜·„¦¦¤ elastoplastic model
­Îµ®¦´Á­oœ„¦µ¢‡ªµ¤Á®œ¸¥ªÁšnµ„´ 1 ®¤µ¥™¹Š¡§˜·„¦¦¤Â°·¨µ­˜·„ ÁœºÉ°Š‹µ„„¦µ¢
„ε¨´Š‡¦µ„­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª‡Šš¸É¤¸‡ªµ¤­´¤¡´œ›r„´ „¦µ¢„ε¨´Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÂ°·¨µ­˜·„
Ž¹ÉŠÂ­—ŠÅ—o×¥‡nµ ductility factor, RP —´Šœ¸Ê
f y ( P 1)
RP (3.18)
f y (P )
×¥š¸É f y ( P 1) ‡º° „ε¨´Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠš¸¡
É §˜·„¦¦¤°·¨µ­˜·„
f y (P ) ‡º° „ε¨´Š‡¦µ„­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª‡Šš¸É P ėÇ

¦¼žš¸É 3.22 „¦µ¢­Áž‡˜¦´¤­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª‡Šš¸É


Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 63

—´Šœ´œÊ ‹¹Š°µ‹­¦oµŠ„¦µ¢„ε¨´Š‡¦µ„­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª‡Šš¸Éŗo‹µ„„¦µ¢„ε¨´ŠÂ°·¨µ­˜·„
¨³‡nµ ductility factor, RP Ž¹ÉŠÅ—o¤¸œ´„ª·‹´¥®¨µ¥šnµœšÎµ„µ¦«¹„¬µ®µ‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠ‡nµ
ductility factor ¨³ ‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª P ץ­—ŠÁž}œÂ‹Îµ¨°ŠšµŠ‡–·˜«µ­˜¦rŗo®¨µ¥Â
Ĝ‹ÎµœªœÁ®¨nµœ¸Ê ‹Îµ¨°Š…°Š Miranda (1994) ŗo¦´‡ªµ¤œ·¥¤°¥nµŠÂ¡¦n®¨µ¥ (ATC-19)
×¥‹ÎµÂœ„˜µ¤¨´„¬–³­£µ¡´œÊ —·œÁž}œ 3 „¨»n¤ ×¥‡nµ ductility factor Áž}œ¢{Š„r´Éœ„´ ‡nµ‡ªµ¤
Á®œ¸¥ª P ¨³‡µ„µ¦­´œÉ ›¦¦¤µ˜· —´Šœ¸Ê
P 1
RP (T , P ) 1 (3.19)
)
1 1
­Îµ®¦´´œÊ ®·œ ) (T , P ) 1   exp ª 1.5(ln T  0.6) 2 º
¬ ¼
(3.20a)
T (10  P ) 2T
1 2
­Îµ®¦´´œÊ —·œ˜³„°œ ) (T , P ) 1   exp ª 2(ln T  0.2) 2 º
¬ ¼
(3.20b)
T (12  P ) 5T
Tg 3Tg ª T º
­Îµ®¦´´œÊ —·œ°n°œ ) (T , P ) 1   exp « 3(ln  0.25) 2 » (3.20c)
3T 4T ¬« Tg ¼»

¦¼žš¸É 3.23 „¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠ‡nµ ductility factor P ¨³‡µ„µ¦­´Éœ›¦¦¤µ˜·


­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª 2,4,6 Miranda (1994)
64 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

3.9.3 „¦µ¢­Áž‡˜¦´¤­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É
(Constant-Damage Response Spectrum)

™¹ŠÂ¤oªnµ„¦µ¢„µ¦°°„­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª‡Šš¸É ‹³Áž}œš¸É¥°¤¦´„´œ°¥nµŠ
„ªoµŠ…ªµŠÄœ¦³®ªnµŠŸ¼o¡´•œµ Seismic Design Codes ¨³ª·«ª„¦Ÿ¼o°°„ ˜nĜ
„µ¦«¹„¬µ¦³¥³®¨´Š¤¸„µ¦Â­—Š‡ªµ¤Á®Èœªnµ '‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª‡Šš¸É’ °µ‹‹³¤·ÄnÁ„–”rš¸ÉÁºÉ°™º°Å—o
­Îµ®¦´„µ¦¡·‹µ¦–µ®µ‡nµ‡ªµ¤˜o°Š„µ¦„ε¨´Š š´ÊŠœ¸ÊÁœºÉ°Š‹µ„‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ªœ´ÊœÅ¤n­´¤¡´œ›r„´
‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥­³­¤°´œÁž}œŸ¨¤µ‹µ„Ÿ¨˜°­œ°Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÄœnªŠ°·œ°·¨µ­˜·„ (inelastic
cycles) Ĝ¨´„¬–³Â¦Š„¦³šÎµ„¨´Åž¤µÂª´’‹´„¦ —´Šœ´ÊœÃ‡¦Š­¦oµŠš¸É°°„œ¡ºÊœ“µœ…°Š
‡ªµ¤Á®œ¸¥ª‡Šš¸É°µ‹‹³Å¤n¤¸‡nµ‡ªµ¤ž¨°—£´¥Á¡¸¥Š¡°˜n°„µ¦¡´Šš¨µ¥
×¥ÁŒ¡µ³°¥nµŠ¥·ÉŠŸ¨„µ¦ª·‹´¥…°Š Warnitchai ¨³ Panyakapo (1999), Panyakapo
(2004) ‡oœ¡ªnµ œªšµŠ„µ¦°°„Á—·¤Å¤n­µ¤µ¦™Äoŗo„´„¦–¸…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠš¸É˜´ÊŠ°¥¼nœ´Êœ
—·œ°n°œ Á¡¦µ³ªnµ‡nµ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥°´œÁ„·—‹µ„‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥š¸É­³­¤‹µ„ǦŠ­¦oµŠ™¼„¦Š„¦³šÎµ
„¨´Åž¤µ¤¸‡nµ­¼Š¤µ„ ¨³Å—oÁ­œ°ª·›¸„µ¦°°„ÂœªšµŠÄ®¤n×¥˜´ÊŠ°¥¼nœ¡ºÊœ“µœ…°Š ‡ªµ¤
˜o°Š„µ¦„ε¨´Š­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É

3.9.3.1 ‡ªµ¤‡·—¡ºÊœ“µœ…°Š®¨´„„µ¦‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É

®¨´„„µ¦œ¸Êŗo¤µ‹µ„Ÿ¨„µ¦ª·‹´¥Ã—¥ Warnitchai & Panyakapo (1999) Ž¹ÉŠ«¹„¬µ‡ªµ¤


˜o°Š„µ¦„ε¨´Š­Îµ®¦´­£µ¡—·œ°n°œ ¨³Ÿ¨„µ¦ª·‹´¥˜n°¤µÃ—¥ Panyakapo (2004) Ž¹ÉŠ«¹„¬µ‡ªµ¤
˜o°Š„µ¦„ε¨´Š­Îµ®¦´¡§˜·„¦¦¤„µ¦¦´Â¦Š…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ°µ‡µ¦‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤Á®¨È„ ×¥„µ¦
­¤¤»˜·ªnµÃ‡¦Š­¦oµŠÁž}œ¦³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É°·­¦³¦³—´Á—¸¥ª (SDOF) ¨³¤¸„µ¦°°„Ä®o‡nµ
„ε¨´Š‡¦µ„Ášnµ„´‡ªµ¤˜o°Š„µ¦„ε¨´Š­Îµ®¦´‡nµ°´˜¦µ­nªœ‡ªµ¤°n°œÁ®œ¸¥ªÁžjµ®¤µ¥š¸É„ε®œ—‡nµ
®œ¹ÉŠš¸Éŗo‹µ„„µ¦‡Îµœª–‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ªÃ—¥ª·›¸ Nonlinear response analysis …°ŠÂ˜n¨³­£µ¡
´Êœ—·œ ¨³‡Îµœª–®µ‡nµ¦³—´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÁ¤ºÉ°™¼„¦Š„¦³šÎµ‹µ„‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª
š¸ÉčoĜ„µ¦°°„…°ŠÂ˜n¨³­£µ¡´Êœ—·œœ´Êœ ¨³Äo‹Îµ¨°Š‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°Š Park-Ang
(1985) Ĝ„µ¦‡Îµœª–‡nµ¦³—´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥ Ÿ¨„µ¦«¹„¬µ¡ªnµ ‡nµ¦³—´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥Ž¹ÉŠÁž}œ
¢{Š„r´Éœ„´‡µ„µ¦­´Éœ›¦¦¤µ˜·…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ ¤¸‡nµÅ¤n‡Šš¸É¨³¤¸‡nµ­¼ŠÁ„·œ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥
ĜµŠnªŠ…°Š‡µ„µ¦­´Éœ›¦¦¤µ˜· šÎµÄ®o°µ‹­¦»žÅ—oªnµ®¨´„„µ¦°°„Á—·¤‡º°‡nµ‡ªµ¤°n°œ
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 65

Á®œ¸¥ª‡Šš¸É (Constant-ductility)ŤnÁž}œš¸ÉœnµÁºÉ°™º°Å—o š´ÊŠœ¸ÊÁœºÉ°Š‹µ„‡nµ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥­³­¤¤¸‡nµ


­¼Š¤µ„ Ž¹ÉŠÅ¤n°µ‹ª´—Å—o—oª¥‡nµ°´˜¦µ­nªœ‡ªµ¤°n°œÁ®œ¸¥ª
—´Šœ´Êœ „µ¦°°„Ã—¥®¨´„„µ¦‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É ‹¹Š¤¸ª´˜™»ž¦³­Š‡rÁ¡ºÉ°š¸É‹³‹Îµ„´—¦³—´
‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥°¥¼nš¸É‡nµÁžjµ®¤µ¥‡nµ®œ¹ÉŠŽ¹ÉŠÁž}œ¦³—´š¸É¥°¤¦´Å—oÄ®o¤¸‡nµ‡Šš¸É­¤ÉεÁ­¤°˜¨°—‡µ
„µ¦­´É œ ›¦¦¤µ˜· ×¥„µ¦Äo ‡n µ ‡ªµ¤˜o ° Š„µ¦„Î µ ¨´ Š ­Î µ ®¦´  ‡ªµ¤Á­¸ ¥ ®µ¥‡Šš¸É (Constant-
damage strength demand)

3.9.3.2 ‡nµ„µ¦¨—„ε¨´Š­Îµ®¦´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É

‡nµ„µ¦¨—„ε¨´Š­Îµ®¦´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É (Constant-damage strength reduction


factor, RD) Áž}œ°´˜¦µ­nªœ…°Š‡ªµ¤˜o°Š„µ¦„ε¨´ŠÄœnªŠ¥º—®¥»nœ˜n°‡ªµ¤˜o°Š„µ¦„ε¨´ŠÄœnªŠÅ¤n
¥º—®¥»nœ­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠ¦³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É°·­¦³¦³—´Á—¸¥ª Ž¹ÉŠ‹³‹Îµ„´—‡nµ¦³—´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥
…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠš¸É‡nµÁžjµ®¤µ¥‡nµ®œ¹ÉŠ —´ŠÂ­—ŠÄœ­¤„µ¦š¸É 3.21
K ( P 1)
RD (3.21)
K ( DI , Pi )
×¥š¸É
RD ‡º° ‡nµ„µ¦¨—„ε¨´Š­Îµ®¦´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É
§ fy ·
K ( P 1) ‡º° ‡nµ„ε¨´Š‡¦µ„˜n°œÊ宜´„…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ ¨ ¸ ­Îµ®¦´¦³¥º—®¥»nœ
© w¹
K ( DI , Pi ) ‡º° ‡nµ„ε¨´Š‡¦µ„­Îµ®¦´‡nµ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥Ážjµ®¤µ¥ DI ¨³‡nµ‡ªµ¤Á®œ¸¥ª
…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÄ—Ç P
Normalized Yield Strength, K
3.0

2.0 Strength for elastic system

K (P  Strength for the target DI


1.0
K (DI,P
0.0
0.0 1.0 2.0 3.0
Period T, sec
¦¼žš¸É 3.24 ­Áž‡˜¦µ‡ªµ¤˜o°Š„µ¦„ε¨´Š­Îµ®¦´¦³°·¨µ­˜·„¨³‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É
66 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

‡nµ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥œ¸Ê­—Š°¥¼nĜ¦¼ž…°Š—´œ¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥Ž¹ÉŠÁ­œ°Ã—¥ Park-Ang (1985) —´Šœ¸:Ê


Gm E
DI E h (3.22)
Gu FyG u
×¥š¸É
G m Áž}œ‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¼Š­»—…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ‹µ„Ÿnœ—·œÅ®ª;
G u Áž}œ‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¼Š­»—Ž¹ÉŠÁ„·—…¹ÊœÄœ„¦–¸¤¸Â¦Š„¦³šÎµÄœš·«šµŠÁ—¸¥ª;
Fy Áž}œ‡nµ„ε¨´Š – ‹»—‡¦µ„…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ;
Eh Áž}œ‡nµ„µ¦—¼—Ž´¡¨´ŠŠµœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ;
E Áž}œ‡nµ‡Šš¸ÉŽ¹ÉŠnŠ°„™¹Š‡ªµ¤­Îµ‡´…°Š‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥ÁœºÉ°Š‹µ„Ÿ¨˜°­œ°Š„¨´Åž¤µ
‡nµ—´œ¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥ DI œ¸Ê¡´•œµ‹µ„Ÿ¨„µ¦š—­°…°Š·Êœ­nªœ…°Š°Š‡r°µ‡µ¦‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤
Á®¨È„¨³Ã‡¦Š­¦oµŠÁ®¨È„ Ž¹ÉŠ­µ¤µ¦™œÎµÅž‡Îµœª–®µ‡nµ—´œ¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°ŠÂ˜n¨³¦³—´´Êœ
…°Š°µ‡µ¦Â¨³‡nµ—´œ¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ¦ª¤Å—o ˜µ¤¨Îµ—´ ­Îµ®¦´Á„–”r„µ¦ª´—¦³—´
‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 3.2 —´Šœ¸Ê

˜µ¦µŠ 3.2 Á„–”r„µ¦ª´—¦³—´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‹µ„‡nµ—´œ¸‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥¦ª¤…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ


(Park et al. 1987)

‡nµ—´œ¸ ¦³—´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥ ­™µœ³ „µ¦ÄoŠµœ ­£µ¡š¸Éž¦µ„’


‡ªµ¤­¸¥®µ¥¦ª¤ ‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥ …°Š°µ‡µ¦
0 Ťn¤¸ ŤnÁ­¸¥®µ¥ čoŠµœÅ—o Ťn¤¸„µ¦Â˜„¦oµª
0.00-0.19 Á¨È„œo°¥ Á­¸¥®µ¥œo°¥ čoŠµœÅ—o ˜„¦oµªÁ¨È„œo°¥
0.20-0.30 ­nªœœo°¥ Žn°¤ÂŽ¤Å—o čoŠµœÅ—o ˜„¦oµªžµœ„¨µŠ
0.31-0.49 žµœ„¨µŠ‡n°œ…oµŠœo°¥ Žn°¤ÂŽ¤Å—o čoŠµœÅ¤nŗo´Éª‡¦µª Ÿ·ª‡°œ„¦¸˜ž¦·Â˜„
0.50-0.60 žµœ„¨µŠ Žn°¤ÂŽ¤Å—o čoŠµœÅ¤nŗo´Éª‡¦µª Ÿ·ª‡°œ„¦¸˜ž¦·Â˜„
0.61-1.00 ¦»œÂ¦Š Žn°¤ÂŽ¤Å¤nŗo čoŠµœÅ¤nŗo „œÁ­µÂ˜„ Á®¨È„ÄnŠ
>1.00 ¦»œÂ¦Š¤µ„ ¡´Šš¨µ¥ čoŠµœÅ¤nŗo Á­µ¡´Šš¨µ¥

‹µ„Ÿ¨Šµœª·‹´¥…°ŠÅ¡¼¨¥r (2547) ¨³ Panyakapo P. (2004) ‡nµ„µ¦¨—„ε¨´Š­Îµ®¦´‡ªµ¤


Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É ­—ŠÅ—o—´Šœ¸Ê
Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª 67

­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠÁ®¨È„ Å¡¼¨¥r (2547)


­£µ¡´Êœ®·œ
RD
(8.36 DI  0.63)(0.25P )
1 (3.23a)
Z1
1 1 1.19 ·
=1 1  0.86

0.23 ·
ª §
EXP «  ¨ 7.51 

¸ ln T  0.30 » (3.23b)
2.34 DI T § ¬ © DI ¹ ¼
¨ 4.56  ¸ T
© DI ¹

­£µ¡´Êœ—·œ˜³„°œ
RD
^(7.05  0.71DI ) DI  0.26` (0.25P )  1 (3.24a)
Z2
1 1 0.78 ·
=2 1  0.87

1.79 ·
ª §
EXP «  ¨ 7.00 

¸ ln T  0.10 » (3.24b)
3.63 DI T § ¬ © DI ¹ ¼
¨ 1.39  ¸ T
© DI ¹

­£µ¡´Êœ—·œ°n°œ
(9.5DI 1.48 )(0.25P )1.1 (3.25a)
RD 1
Z3
1 1 2
=3 1   EXP ª 4.0 ln T / Tg  0.20 º

0.44 DI
1.92
T / Tg 2.08  1.63DI T / Tg «¬ ¼»

(3.25b)

­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦oµŠ‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤Á®¨È„ Å¡¼¨¥r (2547)


­£µ¡´Êœ®·œ
(6.00 DI  0.85)(0.25P )
RD 1 (3.26)
Z1
­£µ¡´œÊ —·œ˜³„°œ
((5.88  0.93DI ) DI  0.5)(0.25P )
RD 1 (3.27)
Z2
­£µ¡´Êœ—·œ°n°œ
(8.0 DI 1.84 )(0.25P )1.3
RD 1 (3.28)
Z3
68 Å¡¼¨¥r ž{µ‡³Ãž šš¸É 3 „µ¦­´Éœ…°ŠÃ‡¦Š­¦oµŠ£µ¥Ä˜o¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª

ǦŠ­¦oµŠÁ®¨È„ ǦŠ­¦oµŠ‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤Á®¨È„
Strength Reduction Factor, R D Strength Reduction Factor, R D
10.0 10.0
9.0 9.0
8.0 ´Êœ®·œ DI = 1.0 8.0 ´Êœ®·œ
7.0 7.0
6.0 6.0 DI = 1.0
5.0 5.0
4.0 4.0
3.0 3.0
2.0 DI = 0.2 2.0
1.0 1.0 DI = 0.2
0.0 0.0
0.0 1.0 2.0 3.0 0.0 1.0 2.0 3.0
Period T, sec Period T, sec
¦¼žš¸É 3.25 „¦µ¢‡nµ„µ¦¨—„ε¨´Š­Îµ®¦´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É­Îµ®¦´´Êœ®·œ ( P 4) Å¡¼¨¥r (2547)
ǦŠ­¦oµŠÁ®¨È„ ǦŠ­¦oµŠ‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤Á®¨È„
Strength Reduction Factor, R D Strength Reduction Factor, R D
10.0 10.0
9.0 ´Êœ—·œ˜³„°œ 9.0 ´Êœ—·œ˜³„°œ
8.0 8.0
7.0 DI = 1.0 7.0
6.0 6.0 DI = 1.0
5.0 5.0
4.0 4.0
3.0 3.0
2.0 DI = 0.2 2.0
1.0 1.0 DI = 0.2
0.0 0.0
0.0 1.0 2.0 3.0 0.0 1.0 2.0 3.0
Period T, sec Period T, sec
¦¼žš¸É 3.26 „¦µ¢‡nµ„µ¦¨—„ε¨´Š­Îµ®¦´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É­Îµ®¦´´Êœ—·œ˜³„°œ ( P 4) Å¡¼¨¥r (2547)

ǦŠ­¦oµŠÁ®¨È„ ǦŠ­¦oµŠ‡°œ„¦¸˜Á­¦·¤Á®¨È„
Strength Reduction Factor, R D Strength Reduction Factor, R D
10.0 10.0
´Êœ—·œ°n°œ ´Êœ—·œ°n°œ
8.0 8.0
DI = 1.0
6.0 6.0 DI = 1.0
4.0 4.0
2.0 2.0
DI = 0.2 DI = 0.2
0.0 0.0
0.0 1.0 2.0 3.0 0.0 1.0 2.0 3.0
Period ratio T/Tg Period ratio T/Tg
¦¼žš¸É 3.27 „¦µ¢‡nµ„µ¦¨—„ε¨´Š­Îµ®¦´‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥‡Šš¸É­Îµ®¦´´Êœ—·œ°n°œ ( P 4) Å¡¼¨¥r (2547)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

บทที 4
ข้ อพิจารณารู ปแบบของอาคาร
ต้ านทานแผ่ นดินไหว
4.1 บทนํา

การกําหนดรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของอาคาร เป็ นส่วนสําคัญอันดับแรกในการ


ออกแบบ ทังนีเนืองจากรูปแบบของอาคารมีสว่ นช่วยให้ การต้ านทานแผ่นดินไหวให้ มีประสิทธิภาพ
ดียิงขึน หลังจากการวางรูปแบบอาคารลงตัวแล้ ว การเลือกระบบของโครงสร้ างจะเป็ นสิงสําคัญที
ตามมา ซึงวิศวกรจะต้ องทํางานร่วมกันกับสถาปนิกอย่างใกล้ ชิดเพือออกแบบให้ รูปแบบของ
อาคารและระบบโครงสร้ างมีความสอดคล้ องกลมกลืนกัน นันคือ มิให้ รูปแบบส่วนใดของ
สถาปั ตยกรรมเป็ นจุดทีอาจเกิดการวิบตั เิ นืองจากแรงแผ่นดินไหว และมิให้ องค์อาคารโครงสร้ าง
ชินใดกีดขวางการใช้ งานของอาคารหรื อยืนลําไม่สวยงามได้ ดังนันรูปแบบของอาคารควรจะมีการ
พิจารณาถึงองค์ประกอบดังนี
ก) ลักษณะรูปร่างของอาคาร (Building configuration) ได้ แก่ ขนาด สัดส่วนและรูปทรง
ของอาคาร รวมถึงขนาด รูปร่าง และตําแหน่งขององค์อาคารหลักของโครงสร้ างด้ วย
ข) ระบบของโครงสร้ าง (Structural system) ทีใช้ ในการรับนําหนักบรรทุกในแนวดิงและ
ต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ าง

4.2 ลักษณะรู ปร่ างของอาคาร (Building configuration)

4.2.1 อาคารรู ปทรงสมําเสมอ (Regular Building)


ลักษณะอาคารทีมีประสิทธิภาพในการต้ านทานแผ่นดินไหวทีดี มีดงั นี
x อัตราส่วนระหว่างความสูงต่อความกว้ างฐานอาคารมีคา่ ตํา เพือเพิมความปลอดภัยต่อ
การพลิกควําเนืองจากโมเมนต์ (Overturning moment)
x ขนาดเสาและความสูงของระดับชันในแต่ละชันควรมีคา่ เท่ากัน เพือให้ เสาในแต่ละชันมี
ค่าสติฟเนสทีใกล้ เคียงกัน เป็ นการป้องกันการวิบตั แิ บบชันอ่อน (Soft story failure) ทีชัน
ใดชันหนึง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

x จัดวางแบบให้ องค์อาคารมีความแข็งแรงในการต้ านทานแรงทางด้ านข้ างเท่ากันทัง


สองทิศทางทีตังฉากกัน (x-y axis)
x จัดวางแบบให้ องค์อาคารมีกําลังต้ านทานต่อการบิดตัวให้ มากทีสุด โดยการจัดให้ มี
กําแพงทีมุมหรื อขอบของอาคาร
x หลีกเลียงการวางช่วงคานทียาว เพือลดหน่วยแรงในองค์อาคารของคานและเสา
x หลีกเลียงการออกแบบคานยืน เพือลดหน่วยแรงทีบริเวณรอยต่อคาน-เสาซึงอาจสูงเกินไป

รูปที 4.1 รูปแบบอาคารทีดีในการต้ านทานแผ่ นดินไหว

อาคารทีมีรูปแบบตามข้ อกําหนดข้ างต้ น ดังตัวอย่างแสดงในรูปที 4.1 เรี ยกว่าอาคาร


รูปทรงสมําเสมอ(Regular building) ซึงสามารถใช้ ออกแบบโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่าได้ เนืองจาก
ในกรณีของอาคารรูปทรงสมําเสมอ ใช้ สมมุตฐิ านว่า ก) การกระจายแรงกระทําทางด้ านข้ างแปร
เปลียนเป็ นเส้ นตรงจากฐานไปสูย่ อดอาคาร และ ข) ค่าความเหนียวของโครงสร้ างกระจายเท่ากัน
สมําเสมอตลอดทุกองค์อาคาร การคํานวณแรงในช่วงอินอิลาสติกจึงใช้ คา่ การลดกําลัง Rw (UBC-
1994)หรื อค่า R (UBC-1997)ได้ หลักการนีใช้ ได้ กบั อาคารรูปทรงสมําเสมอเท่านัน หากเป็ น
อาคารรูปทรงไม่สมําเสมอจะใช้ วิธีแรงสถิตเทียบเท่าไม่ได้ เนืองจากสมมุตฐิ านข้ างต้ นจะไม่เป็ นจริง
อย่างไรก็ตาม ข้ อกําหนดของUBC-1997ยอมให้ ใช้ วิธีแรงสถิตย์เทียบเท่ากับอาคารรูปทรงไม่
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

สมําเสมอได้ ในบางกรณี และยังจํากัดการออกแบบอาคารรูปทรงสมําเสมอไว้ ในบางกรณี โดย


กําหนดให้ ใช้ วิธีแรงสถิตย์เทียบเท่าได้ กบั โครงสร้ างอาคารทีมีคณ
ุ สมบัตดิ งั ต่อไปนี
ก) โครงสร้ างทังหมด ทีอยูใ่ นเขต Seismic Zone 1 และโครงสร้ างรูปทรงสมําเสมอทัวไปที
อยูใ่ นเขต Zone 2 ส่วนอาคารทีอยูใ่ นเขต Zone 3 และ 4 จะต้ องจํากัดความสูง ซึง
แตกต่างกันไปตามประเภทของโครงสร้ าง
ข) โครงสร้ างรูปทรงสมําเสมอทีมีผงั อาคารสมมาตร และมีความสูงน้ อยกว่า 73 ม.
ค) โครงสร้ างอาคารรูปทรงไม่สมําเสมอเช่น ผังอาคารมีรูปร่างไม่สมมาตร โครงสร้ างอาคาร
ทีมีมวล หรื อ สติฟเนสทีแปรเปลียนในระหว่างชัน เป็ นต้ น ซึงมีความสูงน้ อยกว่า 5 ชัน
หรื อ 20 ม.
ง) โครงสร้ างซึงมีสว่ นบนมีลกั ษณะยืดหยุน่ เช่น หอสูง เป็ นต้ น ซึงตังอยูบ่ นฐานทีแข็งแรง
มันคง สําหรับโครงสร้ างอาคารทีมีคณ ุ สมบัตนิ อกเหนือจากข้ อกําหนดนีให้ ใช้ การ
คํานวณออกแบบโดยวิธีพลศาสตร์ (dynamic method)

4.2.2 อาคารรู ปทรงไม่ สมําเสมอ (Irregular Building)

อาคารรูปทรงไม่สมําเสมอแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท ดังนี


ก) อาคารทีมีรูปทรงโครงสร้ างไม่สมําเสมอในแนวดิง (Vertical Structural Irregularities)
UBC-1997 กําหนดรูปแบบความไม่สมําเสมอเป็ น 5 แบบ ดังนี
แบบที 1 สติฟเนสไม่สมําเสมอหรื อพฤติกรรมชันอ่อน (Stiffness Irregularity – Soft story)
โครงสร้ างทีมีพฤติกรรมชันอ่อนขึนในชันใดชันหนึง เกิดจากเสาชันล่างมีความสูงมากกว่า
ชันบนถัดขึนไป ทําให้ คา่ สติฟเนสของเสาชันนันน้ อยกว่า70%ของเสาในชันทีอยูเ่ หนือกว่า
ถัดขึนไปหรื อน้ อยกว่า80%ของค่าสติฟเนสเฉลียของเสาจํานวน 3ชันทีอยูเ่ หนือกว่าถัดขึนไป
แบบที 2 มวลไม่สมําเสมอ (Mass Irregularity)
โครงสร้ างทีมีขนาดความหนาหรื อมวลของพืนอาคารไม่สมําเสมอคือ มีมวลมากกว่า 150%
ของมวลของชันทีอยูเ่ หนือกว่าถัดขึนไปหรื อชันทีอยูต่ ํากว่าลงมา
แบบที 3 รูปทรงเรขาคณิตในแนวดิงไม่สมําเสมอ (Vertical geometric Irregularity)
โครงสร้ างทีมีขนาดในแนวราบของระบบโครงสร้ างต้ านทานแรงทางด้ านข้ างในชันใด
ชันหนึงมีคา่ มากกว่า130% ขององค์อาคารระบบเดียวกันนันในชันข้ างเคียง ยกเว้ นส่วนที
เป็ น Penthouses ซึงสูงเพียงชันเดียว
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

แบบที 4 ความไม่ตอ่ เนืองขององค์อาคารรับแรงด้ านข้ าง (In-plane discontinuity in vertical


lateral-force-resisting element)
โครงสร้ างทีมีรูปลักษณะขององค์อาคารรับแรงด้ านข้ างไม่ตอ่ เนืองคือ ระยะเยืองใน
แนวดิงในระนาบขององค์อาคารรับแรงด้ านข้ างมีคา่ มากกว่าความยาวขององค์อาคารนัน
แบบที 5 ความไม่ตอ่ เนืองของกําลังต้ านทาน (Discontinuity in capacity–Weak story)
โครงสร้ างทีมีชนอ่
ั อนแอบางชันคือ เสาอาคารหรื อโครงสร้ างทีออกแบบให้ รับแรงกระทํา
ด้ านข้ างมีกําลังรับแรงเฉือนน้ อยกว่า 80% ของกําลังรับแรงเฉือนของเสาทีอยูเ่ หนือขึนไป

ข) อาคารทีมีรูปทรงโครงสร้ างไม่สมําเสมอในผังอาคาร (Plan Structural Irregularities)


แบบที1 ความไม่สมําเสมอเนืองจากการบิดตัว (Torsional Irregularity)
ความไม่สมําเสมอแบบนีเกิดขึนเฉพาะกรณีของแผ่นพืนแบบแข็งเกร็ง (rigid diaphragm)
เนืองจากค่าการโยกตัวของชัน (Story drift) สูงสุดทีปลายด้ านใดด้ านหนึงของโครงสร้ างมี
ค่ามากกว่า 1.2 เท่าของค่าเฉลียของการการโยกตัวของโครงสร้ าง
แบบที 2 อาคารทีมีสว่ นเว้ าหรื อมีสว่ นตัดทีมุม (Reentrant corners)
เมือบางส่วนของโครงสร้ างมีสว่ นเว้ าหรื อมีสว่ นตัดทีมุมของอาคารมากกว่า15%ของขนาด
ความยาวของผัง อาคารส่วนนัน
แบบที 3 แผ่นพืนทีไม่สมําเสมอ(Diaphragm discontinuity)
โครงสร้ างแผ่นพืนทีมีคา่ สติฟเนสในแผ่นพืนเดียวกันไม่สมําเสมอต่อเนืองกันหรื อมีชอ่ ง
เปิ ดซึงมีพืนทีมากกว่า50%ของแผ่นพืนทังหมดหรื อเมือสติฟเนสของแผ่นพืนเปลียนแปลง
ไปเกินกว่า 50% ของแผ่นพืนในชันข้ างเคียงกัน
แบบที 4 ผังอาคารยืนลํา (Out-of-plane offsets)
โครงสร้ างทีมีผงั อาคารบางส่วนยืนลําออกนอกขอบเขตอาคาร ทําให้ แรงกระทําด้ านข้ าง
จากแรงแผ่นดินไหวแปรเปลียนอย่างไม่ตอ่ เนือง
แบบที 5 ระบบโครงสร้ างไม่ขนานกัน (Nonparallel systems)
โครงสร้ างทีมีองค์อาคารรับแรงทางด้ านข้ างบางส่วนไม่ขนานกับทิศทางขององค์อาคารรับ
แรงทางด้ านข้ างหลัก
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

รูปที 4.2 อาคารรูปทรงไม่ สมําเสมอในแนวดิง (มยผ. 1301/1302-61)


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

รูปที 4.3 อาคารรูปทรงไม่ สมําเสมอในผังอาคาร (มยผ. 1301/1302-61)

นอกจากนี NEHRP-1997 ยังกําหนดการใช้ วิธี แรงสถิตย์เทียบเท่า(ELF)สําหรับอาคารรูปทรงไม่


สมําเสมอเป็ นพิเศษดังนี
ก) วิธีแรงสถิตเทียบเท่าสามารถใช้ กบั โครงสร้ างอาคารรูปทรงไม่สมําเสมอได้ ทกุ แบบซึงอยูใ่ นกลุม่
การออกแบบ A (Seismic Design Category A)
ข) โครงสร้ างอาคารรูปทรงไม่สมําเสมอเหล่านีคือ แบบที 2 อาคารทีมีสว่ นเว้ าทีมุม (Reentrant
corners) แบบที 3 แผ่นพืนทีไม่สมําเสมอ(Diaphragm discontinuity) และแบบที 4 ผังอาคาร
ยืนลํา (Out-of-plane offsets) ซึงอยูใ่ นกลุม่ การออกแบบ D,E,F (Seismic Design
Categories D,E,F) จะต้ องเพิมแรงออกแบบอีก 25% สําหรับการเชือมยึดแผ่นพืนกับองค์
อาคารในแนวดิง
ค) อาคารรูปทรงไม่สมําเสมอแบบที 5 ระบบโครงสร้ างไม่ขนานกัน (Nonparallel systems) ซึงอยู่
ในกลุ่มการออกแบบ C,D,E,F (Seismic Design Categories C,D,E,F) จะต้ องวิเคราะห์แรง
กระทํารวมเท่ากับ 100%ของแรงในแนวแกน x บวกกับ 30% ของแรงในแนวแกน y
สําหรับกลุม่ การออกแบบ (Seismic Design Category) แบ่งเป็ น 6 กลุ่มคือ A-F กําหนดในUBC-
1997 ซึงมีรายละเอียดอยูใ่ นบทเรื องการออกแบบโดยวิธีแรงสถิตย์เทียบเท่า
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

รูปที 4.3 อาคารรูปทรงไม่ สมําเสมอในผังอาคาร (มยผ. 1301/1302-61)


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

4.3 ผลกระทบต่ ออาคารรู ปทรงไม่ สมําเสมอ


(Effects of Configuration Irregularities)

4.3.1 อาคารทีมีส่วนเว้ าหรือมีส่วนตัดทีมุม (Reentrant corners)

อาคารทีมีสว่ นเว้ าหรื อมีสว่ นตัดทีมุมจะมีรูปร่างแบบ L, T, H หรื อเป็ นการรวมกันของแบบ


เหล่านี ซึงจะมีพฤติกรรมการรับแรงกระทําทางด้ านข้ างดังแสดงในรูปที 4.4 จะมีปัญหาเกิดขึน 2
ประการคือ
1) เนืองจากชินส่วนทังสองนีมีความแข็งเชิงดัด (flexural rigidity) ไม่เท่ากัน ทําให้ เกิดการโก่งตัว
ไม่เท่าเทียมกัน กล่าวคือ หากมีแรงกระทําในทิศทางแนวเหนือ -ใต้ ชินส่วนทีอยู่ในแนวเหนือ-
ใต้ ซึงมีค่าความแข็งเชิงดัดมากกว่า จะเกิดการโก่งตัวน้ อยกว่าชินส่วนทีอยู่ในแนวตะวันออก-
ตะวันตกซึงมีคา่ ความแข็งเชิงดัดน้ อย จึงส่งผลให้ เกิดการวิบตั ิทีบริ เวณรอยต่อระหว่างชินส่วน
ทังสองนี
2) เนืองจากศูนย์กลางของมวลและศูนย์กลางของความแข็งเชิงดัดไม่ตรงกัน ทําให้ เกิดแรงบิด
กระทําต่อปี กอาคาร ทําให้ เกิดการวิบตั ิทีบริ เวณรอยต่อได้ เช่นกัน ซึงความรุนแรงของการวิบตั ิ
ขึนอยูก่ บั คุณสมบัตขิ อง:
x ขนาดมวลของอาคาร
x ระบบโครงสร้ าง
x ความยาวของปี กอาคารและค่าอัตราส่วนระหว่างความยาวต่อความหนาของปี กอาคาร
x ความสูงของปี กอาคารและค่าอัตราส่วนระหว่างความสูงต่อความลึกของปี กอาคาร

รูปที 4.4 พฤติกรรมการรับแรงกระทําทางด้ านข้ างของอาคารรูปทรง L


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

วิธีการแก้ ปัญหาอาจกระทําได้ 2 วิธีคือ วิธีแรกเป็ นการแยกปี กอาคารให้ เป็ นอิสระออกจากกัน


หากใช้ วิธีการนีจะต้ องคํานวณค่าการโก่งตัวของอาคารอย่างดี ซึงต้ องคํานึงถึงกรณีทียอดบนของ
อาคารอาจโยกเอนเข้ าหากันได้ จึงต้ องเผือระยะห่างของอาคารให้ เพียงพอ ส่วนวิธีทีสองเป็ นการ
เสริมกําลังบริเวณรอยต่อของปี กอาคาร ซึงกระทําได้ หลายแบบดังแสดงในรูปที 4.5 ส่วนการเสริม
กําลังแบบรูปที 4.6 เป็ นการลดทอนหน่วยแรงในลักษณะเป็ นบ่ารองรับมุมตัด ซึงคล้ ายกับการลด
หน่วยแรงในคานซึงมีชอ่ งเปิ ดภายในเป็ นมุมตัดฉาก โดยการปรับขอบของช่องเปิ ดให้ กลมมนขึน

รูปที 4.5 การแก้ ปัญหาของอาคารรูปทรง L

รูปที 4.6 การแก้ ปัญหาของอาคารรูปทรง L โดยการเพิมบ่ ารองรับมุมตัดคล้ ายกับช่ องเปิ ดในคาน

4.3.2 อาคารทีมีการแปรเปลียนค่ ากําลังและสติฟเนสทีขอบอาคาร


(Variation in Perimeter Strength and Stiffness)
ในกรณีทีโครงสร้ างอาคารมีการจัดวางกําแพงในการรับแรงกระทําทางด้ านข้ างอยู่ทีขอบ
ใดขอบหนึงของอาคาร จะทําให้ ตําแหน่งศูนย์กลางมวลของอาคารไม่ตรงกับตําแหน่งศูนย์กลาง
ของแรงต้ านทานได้ ดังแสดงในรู ปที 4.7 เนืองจากแรงกระทําจากแผ่นดินไหวจะกระทําตรง
ตําแหน่งศูนย์กลางมวลของอาคาร จึง ส่งผลให้ เกิดแรงบิดกระทําต่ออาคารรอบจุดศูนย์กลางของ
แรงต้ านทาน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

รูปที 4.7 การเกิดแรงบิดเนืองจากศูนย์ กลางมวลของอาคารไม่ ตรงกับศูนย์ กลางของแรงต้ านทาน

ในกรณีทีโครงสร้ างมีการจัดวางผนังรับแรงเฉือนอยู่ตรงขอบอาคาร และขนาดความยาวของ


อาคารต่างกันดังแสดงในรูปที 4.8 ขนาดของแรงบิดจะมีคา่ เพิมมากขึนตามความยาวของอาคาร
เนืองจากระยะห่างระหว่างศูนย์กลางของมวลและศูนย์กลางของแรงต้ านทานเพิมมากขึน
นอกจากนีค่าการโก่งตัวเนืองจากแรงบิดทีปลายของอาคารจะเป็ นสัดส่วนกับค่ากําลังสองของ
ความยาวของอาคาร

รูปที 4.8 ค่ าการโก่ งตัวเนืองจากแรงบิดเป็ นสัดส่ วนกับค่ ากําลังสองของความยาวของอาคาร


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

ตัวอย่างทีเห็นเรื องความเสียหายจากการบิดตัวได้ ชดั เจนเป็ นอาคารห้ างสรรพสินค้ าแห่ง


หนึงในรัฐอลาสกา สหรัฐอเมริ กา ซึงเป็ นโครงสร้ างคอนกรี ตเสริ มเหล็ก มีความสูง 5 ชันและมีผัง
อาคารดังแสดงในรู ปที 4.9 ผนังโดยรอบอาคารประกอบด้ วยคอนกรี ตหล่อในที คอนกรี ตบล็อก
และชินส่วนคอนกรี ตหล่อสําเร็จ ซึงมีนําหนักมาก แต่รับหน่วยแรงอัดได้ น้อย อาคารชันล่างมีผนัง
กําแพงรับแรงเฉือนทีมุมทังสีด้ าน ชันบนถัดขึนไปมีช่องเปิ ดขนาดใหญ่ด้านทิศเหนือ ทําให้ มีรูปร่าง
แบบ U-shape ซึงจุดศูนย์กลางของแรงต้ านทานทางด้ านข้ าง (center of resistance) จะอยู่คอ่ น
มาทางด้ านทิศใต้ เมือเกิดแรงแผ่นดินไหวกระทําในทิศตะวันออก-ตะวันตก กระทําทีตําแหน่งจุด
ศูนย์กลางมวลซึงอยู่ตรงกลางอาคาร ทําให้ เกิดแรงบิดกระทําต่อตัวอาคารมาก และอาคารนีเกิด
ความเสียหายอย่างมากจนเกือบจะพังทลายในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมือปี ค.ศ. 1964

รูปที 4.9 ผังอาคารอาคารห้ างสรรพสินค้ าแห่ งหนึงในรัฐอลาสกา สหรัฐอเมริกา


มีการจัดตําแหน่ งของกําแพงทีขอบอาคารไม่ สมดุล

วิธีการแก้ ปัญหาการบิดของอาคาร จะต้ องจัดตําแหน่งกําแพงให้ สมดุลเพือลดค่าระยะการเยือง


ศูนย์ระหว่างจุดศูนย์กลางมวลและจุดศูนย์กลางแรงต้ านทาน ซึงอาจกระทําได้ หลายวิธีคือ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

ก) การออกแบบโครงสร้ างเป็ น โครงข้ อ แข็ ง ซึงมี กํ า ลัง และสติ ฟ เนสใกล้ เ คี ย งกัน จัด วาง
โดยรอบอาคาร ทดแทนผนังกําแพงรับแรงเฉื อนเดิม สําหรับผนังอาคารใหม่อาจใช้ วสั ดุ
ผนังมวลเบาซึงไม่มีสว่ นร่วมในการรับแรงต้ านทานทางด้ านข้ าง ดังแสดงในรูปที 4.10ก
ข) การเพิมค่าสติฟเนสของช่องเปิ ด โดยการเพิมผนังกําแพงรับแรงเฉือนทีบริเวณช่องเปิ ดดัง
แสดงในรูปที 4.10ข
ค) การเสริมกําลังทีช่องเปิ ดด้ วยโครงสร้ างเหล็กต้ านทานโมเมนต์หรื อใช้ โครงเหล็กคํายัน ซึง
จะช่วยให้ กําแพงมีลกั ษณะเป็ นแบบผนังทึบโดยรอบ ดังแสดงในรูปที 4.10ค
ง) การออกแบบให้ โครงสร้ างสามารถต้ านทานแรงบิดได้ ซึงเหมาะกับโครงสร้ างขนาดเล็กซึง
ค่าแรงบิดไม่มากเกินไป โดยการออกแบบแผ่นพืนให้ แข็งขึนและรวมพฤติกรรมการรับแรง
ของแผ่นพืนและผนังกําแพงเข้ าด้ วยกัน ดังแสดงในรูปที 4.10ง

รูปที 4.10 การแก้ ปัญหาแรงบิดทีกระทําต่ ออาคารทีมีช่องเปิ ด

4.3.3 อาคารทีมีชันอ่ อนและชันอ่ อนแอ (Soft and Weak Stories)

อาคารทีมีชนอ่
ั อนหมายถึงเสาในชันนันมีการลดค่าสติฟเนส (stiffness) น้ อยลงกว่าเสาที
อยูช่ นบนถั
ั ดขึนไปมาก ส่วนอาคารทีมีชนอ่ ั อนแอหมายถึงเสาในชันนันมีคา่ กําลังการรับแรงทาง
ั ดขึนไปมาก สภาพของอาคารเหล่านีอาจเกิดขึน
ด้ านข้ าง (strength) ลดน้ อยลงกว่าเสาทีอยูช่ นถั
บนระดับชันใดก็ได้ แต่การวิบตั ิอย่างรุนแรงจะเกิดขึนในกรณีสําหรับเสาชันล่างสุด เนืองจากแรง
เฉือนทีฐานมีคา่ มาก หากอาคารแต่ละชันมีคา่ กําลังและสติฟเนสเท่าเทียมกันทุกชัน ค่าการโก่งตัว
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

ของอาคารจะกระจายอย่างสมําเสมอตลอดความสูงของอาคาร แต่ถ้าหากเสาชันล่างมีความ
ยืดหยุ่นมากกว่าหรื อมีกําลังน้ อยกว่าชันทีสอง การโก่งตัวของเสาชันล่างนีจะมีคา่ มากและผลที
ตามมาคือเกิดแรงกระทําทีระดับรอยต่อเสาชันทีสองเพิมขึนเป็ นอย่างมาก ดังแสดงในรูปที 4.11
การเกิดชันอ่อนอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี คือ
ก) ระดับความสูงของชันล่างมีคา่ ความสูงมากกว่าระดับชันบนมาก ทําให้ ชนล่
ั างมีคา่ สติฟ
เนสน้ อยและค่าการโก่งตัวสูงดังแสดงในรูปที 4.12ก
ข) เสาชันทีสองมีการเปลียนค่าสติฟเนสเป็ นอย่างมาก แม้ วา่ ค่าระดับความสูงของแต่ละชันจะ
เท่ากันก็ตาม เนืองจากการใช้ วสั ดุทีแตกต่างไปจากชันล่าง อาทิเช่น การใช้ ชินส่วนเสาหล่อ
สําเร็จขนาดใหญ่เหนือตังแต่ชนสองขึ
ั นไปดังแสดงในรูปที 4.12ข
ค) การใช้ แผ่นผนังกําแพงเป็ นองค์อาคารรับแรงเฉือนอย่างไม่ตอ่ เนือง คือใช้ ไม่ตลอดไปถึงฐานราก
อาคาร มีการหยุดอยูเ่ พียงชันทีสอง ดังแสดงในรูปที 4.12ค

รูปที 4.11 ผลกระทบของชันอ่ อน

รูปที 4.12 รูปแบบของการเกิดชันอ่ อน


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

ปัญหาเหล่านีเกิดจากการจัดรูปแบบและประโยชน์ใช้ สอยของอาคารตามการออกแบบ
ทางสถาปั ตยกรรม ลักษณะนีจึงต้ องมีการแก้ ไขปัญหาร่วมกันระหว่างวิศวกรและสถาปนิก อาทิ
เช่น ในกรณีทีระดับชันล่างยังคงต้ องการรักษาความสูงไว้ อาจหาทางแก้ ไขได้ หลายวิธี คือ
ก) เพิมคํายันเสริมค่าสติฟเนสของเสาไปจนถึงระดับชันบน
ข) เพิมจํานวนเสาทีชันล่างเพือเสริมค่าสติฟเนสของเสา
ค) เปลียนรูปแบบของเสาชันล่างเพือออกแบบให้ มีคา่ สติฟเนสเพิมมากขึน

4.3.4 อาคารทีมีสติฟเนสของเสาแปรเปลียนและเสาอ่ อน-คานแข็งแรง


(Variation of Column Stiffness and Weak Column-Strong Beam)

อาคารทีมีสติฟเนสของเสาแปรเปลียนหมายถึง ในชันเดียวกัน ความยาวของเสาอาจไม่


เท่ากันเนืองจากมีแผ่นผนังเชือมต่อเสาไม่ตลอดทุกต้ น เนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ างจากแรง
แผ่นดินไหวกระจายเป็ นสัดส่วนกับค่าสติฟเนสของเสา ดังนันหากเสามีคา่ สติฟเนสไม่เท่ากัน เสาที
แข็งกว่าจะรองรับแรงกระทําทางด้ านข้ างได้ มากกว่า เนืองจากค่าสติฟเนสแปรผกผันกับความยาว
ของเสายกกําลังสาม (h3 ) พฤติกรรมนีอธิบายด้ วยรูปที 4.13 ดังนันเสาทีสันกว่า ( x) จะรองรับ
แรงกระทําทางด้ านข้ างเป็ น 23 8 เท่าของเสายาว 2x

รูปที 4.13 ผลของการเปลียนค่ าสติฟเนสของเสา


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

ส่วนอาคารทีมีเสาอ่อน-คานแข็งแรงหมายถึงการทีคานเชือมระหว่างเสามีขนาดลึกและ
แข็งมากกว่าเสา ทําให้ เสามีความอ่อนแอกว่าคานมาก การออกแบบอย่างนีขัดกับหลักการของ
การออกแบบอาคารต้ านทานแผ่นดินไหว ซึงจะต้ องออกแบบให้ คานมีการโก่งตัวแบบไม่ยืดหยุน่
ก่อนเสา โดยมีหลักการว่า ขณะทีคานโก่งตัวจากจุดอิลาสติกไปยังจุดอินอิลาสติก จะมีการดูดซับ
และกระจายพลังงานแผ่นดินไหวทีปลายคานบริเวณรอยต่อระหว่างคานและเสา เมือคานค่อยๆ
โก่งตัวลงในช่วงอินอิลาสติก ในขณะเดียวกันเสาอาคารจะมีการโยกตัวแบบอิลาสติก ทําให้
โครงสร้ างอาคารยังคงสภาพอยูไ่ ด้ ด้วยเสาทีรองรับอยู่ แต่ถ้าหากมีการยอมให้ เสาโก่งตัวแบบไม่
ยืดหยุ่นก่อนคาน เสาจะเกิดการโก่งเดาะและนําหนักบรรทุกทีกดลงเสาจะทําให้ เสาอาคาร
พังทลายได้ เร็วยิงขึน
การแก้ ไขอาคารทีมีสติฟเนสของเสาแปรเปลียน อาจเสริ มคํายันทางด้ านข้ างในแนวราบที
เสาต้ นยาว เพือทําให้ สติฟเนสของเสาสมดุลกัน ส่วนกรณีอาคารทีมีเสาอ่อน-คานแข็งแรง จะต้ อง
มีการออกแบบเสริมขนาดเสาให้ มีการรับกําลังมากขึน

4.4 ระบบของโครงสร้ าง (Structural system)

ระบบโครงสร้ างทีเหมาะสมในการออกแบบคือ จะต้ องสามารถต้ านทานแรงกระทําทาง


ด้ านข้ างได้ โดยไม่มีการโก่งตัวมากเกินไป และสามารถโยกตัวไปมาได้ อย่างเหนียวแน่นโดยไม่
พังทลาย หลักในการเลือกระบบโครงสร้ างทีดี มีดงั นี
x โครงสร้ างมีความเรี ยบง่าย สมมาตร และมีความสมําเสมอในผังอาคารและในแนวดิง
x โครงสร้ างสามารถต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ างได้ ทงสองทิ
ั ศทางหลักทีตังฉากกัน
x โครงสร้ างสามารถต้ านทานแรงบิดได้
x พืนอาคารสามารถต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ างได้
x ฐานรากสามารถต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ างได้
สําหรับโครงสร้ างคอนกรี ตเสริมเหล็ก อาจแบ่งออกได้ เป็ น 3 ประเภทใหญ่ คือ
ก) ระบบโครงข้ อแข็ง (Rigid Frame system)
ระบบโครงสร้ างโครงข้ อแข็งเป็ นการออกแบบให้ สามารถรับนําหนักบรรทุกคงที นําหนัก
บรรทุกจร และแรงกระทําทางด้ านข้ างจากแผ่นดินไหวได้ โดยมีการออกแบบให้ รอยต่อระหว่าง
เสา-คานมีความเหนียวเพียงพอต่อพฤติกรรมการรับแรงแบบอินอิลาสติก ซึงจะต้ องใช้ การ
ออกแบบโดยหลักการเสาแข็งแรง-คานอ่อน (Strong column-weak beam concept)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

โครงข้ อแข็งมีลกั ษณะการออกแบบทีสําคัญคือบริเวณข้ อต่อของเสาและคานจะได้ รับการออกแบบ


ให้ สามารถต้ านทานโมเมนต์ทีเกิดขึนบริเวณข้ อต่อขององค์อาคารได้ และมีการออกแบบให้ ยึด
เชือมกันอย่างดี ค่าสติฟเนสของโครงข้ อแข็งซึงเป็ นคุณสมบัตทิ ีสําคัญในการรับแรงกระทําทาง
ด้ านข้ างจะขึนอยู่กบั ค่าสติฟเนสของเสา คาน และการเชือมยึดบริเวณข้ อต่อของเสาและคานนี
ข้ อดีของโครงสร้ างระบบนีคือ ไม่มีโครงสร้ างคํายันกีดขวาง ทําให้ มีความอิสระในการวางผัง
ภายใน การจัดตําแหน่งประตู หน้ าต่าง ทําได้ โดยง่า ย โดยทัวไปหากจัดระยะความกว้ างของ
ช่วงเสาของโครงสร้ างระหว่าง 6.0-9.0 ม. โครงข้ อแข็งนีจะให้ ความประหยัดในการก่อสร้ างอาคาร
สําหรับช่วงความสูงไม่เกิน 25 ชัน แต่ถ้าหากอาคารสูงเกินกว่านีแล้ ว โครงสร้ างประเภทนี
มักจะมีคา่ เฟลกซิบลิ ิตีทางด้ านข้ าง (lateral flexibility) ทีสูงมาก ทําให้ ต้องเพิมขนาดองค์อาคาร
ให้ ใหญ่ขนมากเพื
ึ อควบคุมระยะโยกไหว (lateral drift) ไม่ให้ เกินจากค่าทีกําหนด โครงข้ อแข็งนี
แสดงในรูปที 4.14
ระดับชันที

ระดับชันที

ระดับชันที

ระดับชันที

ระดับชันล่าง

รูปที 4.14 ระบบโครงสร้ างโครงข้ อแข็ง

การก่อสร้ างโครงข้ อแข็งนีเหมาะสําหรับอาคารคอนกรี ตเสริมเหล็ก เนืองจากการยึดต่อขององค์


อาคารมีความแข็งเกร็ง (rigidity) ทีดีมาก สําหรับอาคารโครงสร้ างเหล็ก การทํารอยต่อให้ ดี
สามารถต้ านทานโมเมนต์ได้ จะมีราคาแพง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

ในการคํานวณโมเมนต์ทีเกิดขึนในองค์อาคารของโครงข้ อแข็ง เมือมีนําหนักบรรทุกใน


แนวดิงนัน จะเกิดโมเมนต์ลบ (negative moment) ทีคานตรงตําแหน่งใกล้ เสา จึงเป็ นการลด
ค่าโมเมนต์บวก (positive moment) ทีกึงกลางคาน ทําให้ คา่ โมเมนต์บวกนีน้ อยกว่าค่าทีเกิดใน
คานช่วงเดียว

ข) ระบบกําแพงรับแรงเฉือน (Shear Wall system) ได้ แก่ ระบบกําแพงทีมีการออกแบบ


ให้ สามารถรับนําหนักบรรทุกคงที นําหนักบรรทุกจร และแรงกระทําทางด้ านข้ างจากแผ่นดินไหว
ได้ โดยกําแพงอาจออกแบบให้ มีพฤติกรรมแบบอิสระ (uncoupled) หรื อเป็ นแบบพฤติกรรมควบคู่
(coupled) ซึงพิจารณาคานเป็ นตัวเชือมระหว่างกําแพงก็ได้

ก) ผังอาคาร ข) รูปด้ านข้ างอาคาร

ค) Uncoupled Shear Wall ง) Coupled Shear Wall


รูปที 4.15 โครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

ค) ระบบโครงข้ อแข็ง-กําแพงรับแรงเฉือน (Frame-Shear Wall or Dual system) ได้ แก่ ระบบ


โครงสร้ างที มี โครงข้ อแข็ ง และกํ า แพงรั บแรงเฉื อนทํ าหน้ าที รั บแรงร่ วมกัน เพื อรั บนํ าหนัก
บรรทุกคงที นําหนักบรรทุกจร และแรงกระทําทางด้ านข้ างจากแผ่นดินไหว

ก) ผังอาคาร

ข) รูปตัดขวางของอาคาร

รูปแบบ
การโก่งเฉือน

จุดการดัดกลับ
รูปแบบ
การโก่งดัด

(ค) รู ปแบบการโก่งดัด (ง) รู ปแบบการโก่งเฉือน (จ) รู ปแบบการโก่งแบบผสม

รูปที 4.16 โครงสร้ างโครงข้ อแข็ง – กําแพงรับแรงเฉือน


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

โครงสร้ างระบบนีเป็ นการรวมโครงข้ อแข็งและกําแพงรับแรงเฉือนเข้ าด้ วยกัน ดังแสดงในรูปที 4.15


โดยกําแพงมีพฤติกรรมการโก่งตัวในรูปแบบการดัด (flexural configuration) และโครงข้ อแข็งจะมี
การโก่งตัวในรู ปแบบการเฉื อน (shear mode) ดังนันระบบโครงข้ อแข็งและผนังกําแพงจะมี
พฤติกรรมการรับแรงร่วมกันโดยให้ โครงสร้ างทีแข็งแรงขึน สามารถออกแบบก่อสร้ างอาคารได้ สูง
กว่าระบบโครงข้ อแข็งหรื อโครงสร้ างกํ าแพงรับแรงเฉื อนอย่างเดียว โครงสร้ างระบบนีสามารถ
ออกแบบและก่อสร้ างได้ สงู ถึง 40-60 ชัน

4.5 ข้ อเสนอแนะในการเลือกรู ปร่ างโครงสร้ างอาคาร

ในการเลือกรูปร่างโครงสร้ างอาคารทีดี ควรเลือกอาคารทีมีลกั ษณะ ดังนี


ก) เลือกอาคารทีมีความสมําเสมอในส่วนผังและแนวดิง ควรหลีกเลียงรูปแบบอาคารทีมีส่วนเว้ า
หรื อมีส่วนตัดทีมุม (Reentrant corners) อาจเกิดหน่วยแรงทีจุดใดจุดหนึงมากเป็ นพิเศษได้ หาก
หลีกเลียงอาคารรูปทรงแบบนีไม่ได้ จะต้ องมีการออกแบบแก้ ไขเป็ นพิเศษ ดังแสดงในรูปที 4.17

รูปที 4.17 รูปแบบเรขาคณิตในผังอาคารทีดีและไม่ ดี

ข) เลือกอาคารทีมีองค์อาคารต้ านทานแรงทางด้ านข้ างกระจายสมําเสมอ นันคือ อาคารที มี


ตําแหน่งจุดศูนย์กลางของความแข็ง เชิงดัดใกล้ เคียงกันกับจุดศูนย์กลางของมวล เพือลดการเกิด
แรงบิดจากแรงกระทําทางด้ านข้ างที เยืองศูนย์ จากตําแหน่งของแรงต้ านทาน ดังแสดงในรู ปที
4.18
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

รูปที 4.18 รูปแบบอาคารทีมีการกระจายตัวของมวลและสติฟเนสทีดีและไม่ ดี

ค) เลือกอาคารทีมีความสมําเสมอในแนวดิง และมีความต่อเนืองขององค์อาคารต้ านทานแรงทาง


ด้ านข้ าง จากรูปที 4.19ก โครงสร้ างทีมีชนล่ั างฐานกว้ างและค่อยๆแคบลงเมือมีความสูงขึน ซึ ง
เป็ นลักษณะแบบปล่องควัน จะมีความมันคงมากกว่าโครงสร้ างทีมีส่วนยอดกว้ าง (เป็ นลักษณะ
แบบหอถังนํา) กรณี สํ าหรับรู ปที 4.19ข เป็ นอาคารทีประกอบด้ วยส่วนอาคารเตีย (podium)
และส่วนอาคารสูง (tower) อันมีความสูงแตกต่างกันมาก เนืองจากค่าการโก่งตัวของอาคาร
ส่วนอาคารสูง(Tower)มากกว่าส่วนอาคารเตีย(podium) ทําให้ เกิดแรงดึงบริ เวณรอยต่อระหว่าง
อาคารส่วนสูงและส่วนเตีย ในกรณี สําหรับรู ปที 4.19ค เสาอาคารซึงเป็ นส่วนรับแรงกระทําทาง
ด้ านข้ างไม่ตอ่ เนืองไปยังฐาน ทําให้ เกิดความไม่สมําเสมอของสติฟเนสในแนวดิง ส่วนใน
กรณีสําหรับรูปที4.19ง อาคารประกอบด้ วยส่วนอาคารสูง แฝดสองหลัง (Twin Towers) เชือม
ด้ วยคาน ลักษณะนี จะเกิดโมเมนต์ดัดในคานเชือมมากเนื องจากต้ องถ่ายแรงในการสมดุลค่า
การโยกตัวของอาคารทังสอง ซึงอาจโยกตัวไปในทิศทางเดียวกันหรื อตรงกันข้ ามกันก็ได้ จุดต่อ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

ระหว่างคานเชือมกับเสาอาคารควรเป็ นข้ อหมุนเพื อลดโมเมนต์ดัดในคาน และทํ าให้ เ กิดการ


ถ่ายแรงในแนวแกนได้ อย่างเดียว

รูปที 4.19 รูปทรงอาคารในแนวดิงทีมีลักษณะดีและไม่ ดี

ง) เลือกอาคารทีมีคา่ สติฟเนสและมวลสมําเสมอในแนวดิง อาคารทีมีคา่ สติฟเนสเท่ากันสมําเสมอ


ตลอดความสูง ของอาคารหรื อมี การลดค่าสติฟเนสเมื อความสูงของอาคารมากขึน จะมี ความ
มันคงมากกว่าอาคารทีมีสติฟเนสในชันใดชันหนึงลดน้ อยกว่าในชันถัดขึนไป ดังแสดงในรูปที 4.20
ก-ข เนืองจากอาคารทีมีค่าสติฟเนสไม่สมําเสมอเหล่านีมีโอกาสเกิดการวิบตั ิแบบชันอ่อน (soft
story)ได้ สํ า หรั บ อาคารที ประกอบด้ ว ยโครงข้ อ แข็ ง และกํ า แพงรั บ แรงเฉื อ นเป็ น รู ป แบบที มี
สมรรถนะในการต้ านทานแรงกระทําด้ านข้ างได้ ดี ดังแสดงในรูป ที 4.20ค กําแพงรับแรงเฉือนทีดี
ควรกระจายตัวในแนวดิงแนวเดียวเพือให้ ค่าสติฟเนสต่อเนื องตลอดความสูงของอาคาร ควร
หลี ก เลี ยงการวางกํ า แพงเยื องศูน ย์ ซึงทํ า ให้ เ กิ ด ชันอ่อ นได้ ในกรณี สํ า หรั บ รู ป ที 4.20ง ควร
ออกแบบเสาให้ มี ความยาวเท่ากัน หากเสายาวต่างกัน จะทํ าให้ เสาสันต้ องรั บแรงกระทํ าทาง
ด้ านข้ างมากกว่าเสายาว นอกจากนีหากมวลของอาคารในชันใดชันหนึงมีค่ามากกว่าชันอืนมาก
ดังแสดงในรู ปที 4.20จ จะทําให้ เกิดแรงกระทําทางด้ านข้ างในชันทีมีมวลมาก (10m) สูงกว่าชัน
อืนได้
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

รูปที 4.20 รูปทรงอาคารทีมีการกระจายของสติฟเนสและมวลในแนวดิงทีดีและไม่ ดี

จ) ควรหลีกเลียงการใช้ เสาสันทีเกิดจากการก่อผนังกําแพงอย่างหนาบางส่วนชิดเสา ดังแสดงใน


รูปที 4.21 เมือความสูงของเสาลดลง จะทําให้ คา่ สติฟเนสของเสาสูงขึน เนืองจากแรงกระทําต่อ
เสาแปรผันตามค่าสติฟเนสซึงเป็ นสัดส่วนกับความสูงยกกําลังสาม ส่งผลให้ เสาทีสันจะรับแรงมาก
ว่าเสายาวมาก ในทํานองเดียวกันกับอาคารทีมีชนลอยบางส่
ั วนในชันเดียวกัน ค่าแรงเฉื อนและ
โมเมนต์ดดั ในเสาสันทีรับชันลอยจะมีคา่ มากกว่าเสายาวในชันเดียวกันนันดังแสดงในรูปที 4.22
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร

รูปที 4.21 รูปทรงอาคารทีมีเสาสันเนืองจากผนังก่ อบางส่ วนจะเกิดแรงกระทํามากเป็ นพิเศษ

รูปที 4.22 อาคารทีมีเสาสันเนืองจากเป็ นส่ วนชันลอย (mezzanine) จะเกิดแรงกระทํามากเป็ นพิเศษ


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 93

บทที 5
การออกแบบอาคารโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่ า
5.1 ข้ อกําหนดของวิธีการออกแบบ

การกําหนดแรงกระทําทางด้ านข้ างเนืองจากแรงแผ่นดินไหวเพือใช้ ในการวิเคราะห์และ


ออกแบบโครงสร้ างอาคาร แบ่งออกเป็ น 2 วิธี คือ
ก. วิธีแรงสถิตเทียบเท่า (Equivalent Static Force Procedure)
วิธีการแรกเป็ นการวิเคราะห์หาแรงกระทําทีฐานอาคารโดยพิจารณาแรงคลืนแผ่นดินไหวเป็ นแรง
กระทําแบบสถิตมีคา่ เท่ากับแรงอินเนอร์ เชียซึงเท่ากับมวลของโครงสร้ างคูณกับอัตราเร่งของ
อาคาร และกําหนดอยูใ่ นรูปของสมการแรงเฉือนทีฐานอาคาร สมการนีพัฒนาขึนเพือใช้ สําหรับ
พฤติกรรมพลศาสตร์ ของอาคารทีมีรูปร่างสมําเสมอ (regular structures) ซึงมีสมมุตฐิ านว่าการ
กระจายตัวของมวลและสติฟเนสของโครงสร้ างเป็ นไปอย่างเท่าเทียมกัน โครงสร้ างแบบนีเหมาะ
สําหรับวิธีการแรงสถิตเทียบเท่า โดยจะให้ ผลการคํานวณทีน่าเชือถือได้
ข. วิธีพลศาสตร์ (Dynamic Analysis)
วิธีการทีสองใช้ สําหรับโครงสร้ างอาคารทีมีรูปร่างไม่สมําเสมอ (irregular structures) เนืองจาก
โครงสร้ างเหล่านีขัดกับสมมุตฐิ านของการกระจายแรงกระทําทางด้ านข้ างแบบสถิต หากใช้ วิธีการ
แรงสถิตเทียบเท่ากับอาคารเหล่านี จะให้ ผลการคํานวณทีคลาดเคลือนได้
วิธีการนีเป็ นการกําหนดแรงกระทําและการกระจายแรงทางด้ านข้ างแบบพลศาสตร์ โดยจะต้ องหา
คุณสมบัตทิ างพลศาสตร์ ของโครงสร้ าง ได้ แก่ คาบการสันธรรมชาติ รูปแบบการสัน และค่า
ความหน่วง เป็ นต้ น วิธีพลศาสตร์ อาจกระทําได้ 2 วิธีคือ
ก) วิธีสเปคตรัมของผลตอบสนอง (Response Spectrum Method) เป็ นการคํานวณค่า
ผลตอบสนองการเคลือนทีสูงสุดของโครงสร้ างในแต่ละรูปแบบ (mode) จากข้ อมูลคลืน
แผ่นดินไหว ผลรวมของผลตอบสนองในแต่ละรูปแบบทังหมดนีจะเป็ นค่าแรงเฉือนทีฐาน
อาคาร ซึงนํามาใช้ ในการออกแบบได้ ตอ่ ไป
ข) วิธีคํานวณผลตอบสนองของคลืนแผ่นดินไหวตามช่วงเวลา (Time History Analysis) เป็ น
การคํานวณผลตอบสนองการเคลือนทีของโครงสร้ างทีแต่ละช่วงเวลา โดยการใช้ คลืน
แผ่นดินไหวทีเลือกไว้ คา่ หนึงกระทําทีฐานของอาคารโดยตรง ซึงจะสามารถคํานวณหาแรง
94 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ภายในทีเกิดขึนในแต่ละชินส่วนของโครงสร้ างอาคารได้ ปั จจุบนั นีมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที


สามารถคํานวณและออกแบบโครงสร้ างโดยวิธีนีได้ เช่น โปรแกรม SAP2000 เป็ นต้ น
ในบทนี จะกล่าวเฉพาะวิธี การแรงสถิ ตเที ยบเท่า ซึงใช้ สําหรับอาคารที มี รูปทรงสมํ าเสมอและ
อาคารทีมีรูปทรงไม่สมําเสมอบางประเภทตามข้ อกําหนดของ Uniform Building Code โดยจะใช้
วิธีการตามทีกําหนดโดย UBC1985, UBC1994, UBC1997 ทังนีเนืองจากข้ อกําหนดของ
กฎกระทรวงฉบับพ.ศ.2550 เสนอวิธีการคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคารตามข้ อกําหนดของUBC-
1985 ปั จจุบนั ข้ อกําหนดของ UBC ได้ มีการพัฒนาสูตรการคํานวณแรงเฉื อนทีฐานอาคารใหม่
ต่างไปจากเดิม หากมีการปรับปรุงกฎกระทรวงขึนมาใหม่ ก็จะได้ เห็นข้ อแตกต่างของการพัฒนา
ข้ อกําหนดของการออกแบบ และเลือกนําไปใช้ ได้ อย่างถูกต้ อง

5.2 หลักการออกแบบในข้ อกําหนด Uniform Building Code

ข้ อกําหนด Uniform Building Code ถือหลักการออกแบบว่าจะต้ องป้องกันมิให้ อาคาร


พังทลายภายใต้ แรงแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ หากแต่ยอมให้ โครงสร้ างมีความเสียหายในระดับที
ยอมรับได้ ตามหลักการนี แรงกระทําทางด้ านข้ างทีใช้ ในการออกแบบจะกําหนดให้ มีคา่ ตํากว่า
ค่าแรงกระทําทีอาจเกิดขึนจากแรงแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ แรงกระทําทีมีคา่ เกินกว่าแรงทีใช้
ออกแบบนีจะรองรับด้ วยค่าความเหนียวของโครงสร้ าง (Ductility factor, RP ) ค่ากําลังสํารองของ
โครงสร้ าง (Reserve strength factor, Rs )และค่ากําลังส่วนเกินของโครงสร้ าง (Redundancy
factor, RR ) ทังนีแรงกระทําทางด้ านข้ างจาก UBC1985 และ UBC1994 เป็ นการกําหนดทีระดับ
หน่วยแรงใช้ งาน (Working stress level) ส่วนแรงกระทําทางด้ านข้ างจาก UBC1997 เป็ นการ
กําหนดทีค่าระดับกําลัง (Strength level) ในการคํานวณออกแบบอาคาร สามารถใช้ การออกแบบ
ได้ ทงวิ
ั ธีหน่วยแรงปลอดภัย (Allowable Stress Design, ASD)และวิธีกําลัง (Strength Design,
SD or Load and Resistant Factor Design, LRFD) โดยการใช้ ตวั คูณนําหนักบรรทุกตามข้ อ
กําหนดการรวมแรงกระทํา (Load combination) ของ ACI(2002)สําหรับโครงสร้ างคอนกรี ตเสริม
เหล็ก หรื อ AISC(1999) สําหรับโครงสร้ างเหล็ก
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 95

5.3 ข้ อกําหนดของ UBC1985

ข้ อกําหนดของกฎกระทรวงฉบับ พ.ศ.2550 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุม


อาคาร เสนอวิธีการคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคารตามข้ อกําหนดของ Uniform Building Code,
UBC-1985 ซึงมีวิธีการดังนี

5.3.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร

แรงเฉือนทีฐานอาคารโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่าคํานวณได้ ดงั นี
V = ZIKCSW (5.1)

โดยที V คือ แรงเฉือนทีฐานอาคาร


สําหรับค่าสัมประสิทธิทีเหลือ มีรายละเอียด ดังนี

5.3.2 สัมประสิทธิของความเข้ มของแผ่ นดินไหว (Seismic Zone Factor, Z)

ค่าสัมประสิทธิ Z แสดงความเสียงภัยของอาคารจากแรงแผ่นดินไหว โดยขึนอยู่กบั เขต


แผ่นดินไหวอันแสดงในแผนทีแบ่งเขตแผ่นดินไหวดังกล่าวแล้ วในบทช่วงต้ น และมีคา่ ดังแสดงใน
ตารางที 5.1
ตารางที 5.1 สัมประสิทธิของความเข้ มของแผ่ นดินไหว
เขตความเข้ มของแผ่นดินไหว เขตในแผนที ค่า Z PGA/g
ไม่เสียงภัย 0 0 0
ไม่รุนแรง 1 0.1875 0.075
ปานกลาง 2A 0.375 0.15
ปานกลางค่อนข้ างแรง 2B 0.50 0.20
รุนแรง 3 0.75 0.30
รุนแรงมาก 4 1.00 0.40

เมือ PGA/g คือ ค่าอัตราเร่งสูงสุดประสิทธิผลของพืนดินซึงมีโอกาสทีค่า PGA/g จะเกินไปกว่าที


กําหนดนีเพียง 10% ใน คาบเวลา 50 ปี
96 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

5.3.3 ตัวคูณเกียวกับการใช้ อาคาร (Important Factor, I )

ค่า I แสดงความสําคัญของอาคารซึงแตกต่างกันไปตามประเภทของการใช้ งาน โดยแบ่ง


ประเภทของอาคาร ดังนี
ประเภทที 1 อาคารทีจําเป็ นต่อสาธารณะชน (Essential Facilities) เป็ นอาคารทีมีความ
จําเป็ นต้ อง ใช้ ในกรณีฉกุ เฉินซึงต้ องสามารถใช้ งานได้ ภายหลังเกิด
แผ่นดินไหว เช่น โรงพยาบาล สถานีตํารวจดับเพลิง ทีทําการรัฐบาล เป็ น
ต้ น
ประเภทที 2 อาคารทีมีการใช้ งานเป็ นพิเศษ (Special Occupancy Structures) ใช้
สําหรับอาคารทีจุคนจํานวนมากกว่า 300 คน (ในหนึงห้ อง) เช่น โรงเรี ยน
มหาวิทยาลัย เป็ นต้ น
ประเภทที 3 อาคารอืนๆ (Miscellaneous Structures) เป็ นอาคารเบ็ดเตล็ดอืนๆ

ตารางที 5.2 ค่ าตัวคูณเกียวกับการใช้ อาคาร


ชนิดของอาคาร ค่ าของ I
(1) อาคารทีจําเป็ นต่อสาธารณะชน (Essential Facilities) 1.50
(2) อาคารทีมีการใช้ งานเป็ นพิเศษ (Special Occupancy Structures) 1.25
(3) อาคารอืนๆ(Miscellaneous Structures) 1.00

5.3.4 สัมประสิทธิของโครงสร้ างอาคารทีรับแรงในแนวราบ


(Structural Type Factor, K )

ค่าสัมประสิทธินีเป็ นตัวปรับแรงเฉือนทีฐานตามค่าความเหนียวของระบบโครงสร้ างรับ


แรงกระทําทางด้ านข้ าง แสดงในตารางที 5.3
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 97

ตารางที 5.3 สัมประสิทธิของโครงสร้ างอาคารทีรับแรงในแนวราบ


ระบบและชนิดโครงสร้ างรับแรงในแนวราบ ค่ าของ K
(1) โครงสร้ างซึงได้ รับการออกแบบให้ กําแพงรับแรงเฉือน (Shear Wall) หรื อ 1.33
โครงคํายัน (Braced Frame) รับแรงทังหมดในแนวราบ
(2) โครงสร้ างซึงได้ รับการออกแบบให้ โครงข้ อแข็งซึงมีความเหนียว (Ductile 0.67
Moment-resisting Space Frame) รับแรงทังหมดในแนวราบ
(3) โครงสร้ างซึงได้ รับการออกแบบให้ โครงข้ อแข็งซึงมีความเหนียวร่วมกับกําแพง 0.80
รับแรงเฉือนหรื อโครงคํายันต้ านแรงในแนวราบ โดยมีข้อกําหนดในการ
คํานวณออกแบบ ดังนี
(ก) โครงข้ อแข็งซึงมีความเหนียวต้ องสามารถต้ านแรงในแนวราบได้ ไม่น้อยกว่า
ร้ อยละ 25 ของแรงในแนวราบทังหมด
(ข) กําแพงรับแรงเฉือนหรื อโครงคํายันเมือแยกเป็ นอิสระจากโครงข้ อแข็ง ซึง
มีความเหนียวต้ องสามารถต้ านแรงในแนวราบได้ ทงหมด ั
(ค) โครงข้ อแข็งซึงมีความเหนียวร่วมกับกําแพงรับแรงเฉือน หรื อโครงคํายัน
ต้ องสามารถต้ านแรงในแนวราบได้ ทงหมดั โดยสัดส่วนของแรงทีกระทําต่อ
โครงสร้ าง แต่ละระบบให้ เป็ นไปตามสัดส่วนความแข็ง (Rigidity) โดย
คํานึงถึงการถ่ายเทของแรงระหว่างโครงสร้ างทังสอง
(4) หอถังนํารองรับด้ วยเสาไม่น้อยกว่า 4 ต้ น มีคายั
ํ นยึดและไม่ได้ ตงอยู
ั ่บนอาคาร 2.5
หมายเหตุ ผลคูณระหว่างค่า K กับค่า C ให้ ใช้ คา่ ตําสุดเท่ากับ 0.12 และ
ค่าสูงสุดเท่ากับ 0.25
(5) โครงต้ านแรงดัดทีมีความเหนียวจํากัดและโครงอาคารระบบอืนๆ นอกจากโครง 1.0
อาคารตาม (1) (2) (3) หรื อ (4)

สําหรับโครงข้ อแข็งซึงมีความเหนียว (Ductile Moment Resisting Frame) เป็ นระบบโครงสร้ างซึง


ออกแบบให้ สามารถรับแรงกระทําทังในแนวดิงและแนวราบได้ ในการรับแรงทางด้ านข้ างอาคาร
องค์อาคารมีการออกแบบให้ จดุ รอยต่อมีลกั ษณะแข็ง (rigid joint) เพือให้ รับโมเมนต์ทีเกิดในเสา
และคานได้ โครงสร้ างชนิดนีแบ่งออกเป็ น 3 ประเภท คือ
ก) Ordinary Moment-Resisting Frame (OMRF) เป็ นโครงสร้ างโครงข้ อแข็งต้ านทาน
โมเมนต์ดดั (คอนกรี ตเสริมเหล็กหรื อโครงสร้ างเหล็ก)ปกติทวไป
ั ทีมิได้ มีการออกแบบให้ โครงสร้ าง
98 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

มีความเหนียวเป็ นพิเศษ โครงสร้ าง OMRF สําหรับโครงสร้ างเหล็กใช้ ได้ กบั ทุกเขตความเสียงภัย


แต่โครงสร้ าง OMRF สําหรับ ค.ส.ล.ใช้ สําหรับ Zone 1 ไม่สามารถใช้ กบั Zone 2,3,4 ได้
สําหรับคอนกรี ตเสริมเหล็ก K = 1.5
สําหรับโครงสร้ างเหล็ก K = 1.0
ข) Intermediate Moment-Resisting Frame (IMRF) เป็ นโครงสร้ าง โครงข้ อแข็ง
ต้ านทานโมเมนต์ดดั ใช้ กบั คอนกรี ตเสริมเหล็กทีออกแบบให้ โครงสร้ างมีความเหนียวปานกลาง
โดยมีคา่ K = 1.0 โครงสร้ างชนิดนีใช้ สําหรับ Zone 1 และ 2 ไม่สามารถใช้ ได้ กบั Zone 3 และ
4
ค) Special Moment-Resisting Frame (SMRF) เป็ นโครงสร้ างโครงข้ อแข็งต้ านทาน
โมเมนต์ดดั ทีมีการออกแบบโครงสร้ างให้ มีความเหนียวเป็ นพิเศษตามมาตรฐานของ Uniform
Building Code ทังคอนกรี ตเสริมเหล็กและโครงสร้ างเหล็ก โดยมีคา่ K = 0.67 โครงสร้ าง
ประเภทนีใช้ กบั Zone 3 และ 4 ได้
ส่วนโครงข้ อแข็งซึงมีความเหนียวร่วมกับกําแพงรับแรงเฉือน (Dual System of Wall-
Frame) เป็ นระบบโครงสร้ างผสมระหว่างโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั และกําแพงรับแรงเฉือน
หรื อโครงคํายัน ซึงระบบโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั จะต้ องออกแบบให้ สามารถรับแรงได้
อย่างน้ อย 25% ของเฉือนทังหมด
สําหรับโครงสร้ าง SMRF ร่วมกับ Shear Wall K = 0.8
สําหรับโครงสร้ าง IMRF ร่วมกับ Shear Wall K = 1.0

5.3.5 สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐาน (Base Shear Coefficient, C)

ค่าสัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐาน C มีพืนฐานการคํานวณมาจากค่า Elastic Design


Spectra ดังนันจึงแสดงอยูใ่ นรูปความสัมพันธ์ระหว่างค่าสัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐานอาคารกับค่า
คาบการสันไหวธรรมชาติ, T ดังแสดงในรูปที 5.1 โดยทีค่า C คํานวณได้ ดงั นี
1
C d 0.12 (5.2)
15 T

ค่า C ตามสมการ 5.2 ให้ ใช้ ได้ ไม่เกิน 0.12 ซึงตรงกันกับค่าคาบการสันไหวธรรมชาติ, T ในช่วงไม่
เกิน 0.3 วินาที
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 99

C
0.15

0.10

0.05

0.00
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0
T, second
รูปที 5.1 สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐานกับคาบการสันธรรมชาติ

5.3.6 คาบการสันธรรมชาติของอาคาร (Building Period, T)

ในการคํานวณค่าสัมประสิทธิ C จําเป็ นจะต้ องคํานวณหาค่าคาบการสันพืนฐานของ


อาคารก่อน แต่คา่ คาบการสันธรรมชาติของอาคารทีแท้ จริงจะยังไม่ทราบ เนืองจากยังไม่ได้
ออกแบบขนาดองค์อาคารเพือต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ าง ดังนันข้ อกําหนดUBCจึงเสนอสูตร
อย่างง่ายเพือคํานวณค่าคาบการสันธรรมชาติของอาคารดังนี
0.09hn
T (5.3)
D
โดยที hn เป็ นความสูงของอาคาร, เมตร
D เป็ นขนาดของอาคารในทิศทางทีพิจารณาคาบการสันธรรมชาติของอาคาร, เมตร
สําหรับโครงข้ อแข็งทีมีความเหนียว อาจคํานวณตามสูตร ดังนี
T = 0.10N (5.4)
โดยที N คือจํานวนชันของอาคารทังหมดทีอยูเ่ หนือระดับพืนดิน
นอกจากนีในขณะคํานวณออกแบบอาจมีการปรับค่า T ให้ ละเอียดยิงขึนได้ ด้วยสูตร Rayleigh’s
formula ดังนี
n
¦ WiG i2
T 2S i 1
n
(5.5)
g ¦ f iG i
i 1
100 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

โดยที
fi คือ ค่าแรงกระทําด้ านข้ างทีระดับชัน i
Wi คือ นําหนักอาคารทีกระทําระดับชัน i
Giคือ ค่าการเคลือนทีของโครงสร้ างทีถูกกระทําโดย fi
2
g คือ แรงโน้ มถ่วงโลก (เมตร/วินาที )

5.3.7สัมประสิทธิของการประสานความถีธรรมชาติระหว่ างอาคารและชันดินทีตังอาคาร
(Subsoil Factor, S)

เนืองจากชันดินแต่ละชนิดมีคาบการสันธรรมชาติแตกต่างกันไปหากคาบการสันธรรมชาติ
ของชันดินนันสอดคล้ องกันกับคาบการสันธรรมชาติของอาคาร จะทําให้ เกิดปรากฏการณ์กําทอน
ขึนได้ ส่งผลให้ อาคารนันเกิดการสันไหวทีรุนแรงยิงขึน ค่า S จึงแปรผันตามลักษณะความอ่อน
ของชันดิน ใน UBC-1985 กําหนดลักษณะของชันดิน 3 ประเภท คือ ชันหิน ชันดินแข็ง และชันดิน
อ่อน โดยมีคา่ ดังนี
ตารางที 5.4 สัมประสิทธิของการประสานความถีธรรมชาติระหว่ างอาคารและชันดิน
ลักษณะของชันดิน ค่าของ S
(1) หิน (S1) 1.0
(2) ดินแข็ง (S2 ) 1.2
(3) ดินอ่อน (S3 ) 1.5
(4) ดินอ่อนมาก (S4 ) 2.5
โดยทีลักษณะของชันดินต่างๆจําแนกได้ ดังนี
“หิน” หมายถึง หินทุกลักษณะไม่วา่ จะเป็ นหินคล้ ายหินเชล (shale) หรื อทีเป็ นผลึกตามธรรมชาติ
จําแนกโดยค่าความเร็วคลืน Shear wave เกินกว่า 750 เมตร/วินาที หรื อดินลักษณะแข็งซึงมี
ความลึกของชันดินไม่เกิน 60 เมตร และชนิดของดินทีทับอยูเ่ หนือชันหินเป็ นดินทีมีเสถียรภาพดี
เช่น ทราย กรวด หรื อดินเหนียวแข็ง
“ดินแข็ง” หมายถึง ดินลักษณะแข็งซึงความลึกของชันดินมากกว่า 60 เมตร และชนิดของดินที
ทับอยูเ่ หนือชันหินเป็ นดินทีมีเสถียรภาพดี เช่น ทราย กรวด หรื อ ดินเหนียวแข็ง
“ดินอ่อน” หมายถึง ดินเหนียวอ่อนถึงดินเหนียวแข็งปานกลาง และดินเหนียวแข็งหนามากกว่า 9
เมตร อาจจะมีชนทรายคั
ั นอยูห่ รื อไม่ก็ได้
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 101

“ดินอ่อนมาก” หมายถึง ดินเหนียวอ่อนทีมีกําลังต้ านทานแรงเฉือนของดินในสภาวะไม่ระบายนํา


(Undrained shear strength) ไม่มากกว่า 2,400 กิโลกรัมต่อตารางเมตร และมีความหนาชันดินไม่
มากกว่า 9 เมตร
ในกรณีทีมีการศึกษาเพือหาค่าคาบการสันของชันดิน Ts มาได้ คา่ สัมประสิทธิ S สามารถ
คํานวณได้ จากความสัมพันธ์ระหว่างคาบการสันของโครงสร้ างและคาบการสันของชันดิน ดังนี
2
T §T ·
สําหรับ T d 1.0, S 1.0   0.5 ¨ ¸ t 1.0 (5.6)
Ts Ts © Ts ¹
2
T §T ·
สําหรับ T ! 1.0, S 1.2  0.6  0.3 ¨ ¸ t 1.0 (5.7)
Ts Ts © Ts ¹
สมการที5.3, 5.6 และ 5.7 มีข้อจํากัด ดังนี
0.5 d Ts d 2.5 (5.8ก)
T t 0.3 (5.8ข)
CS d 0.14 สําหรับชันดินทัวไป (5.9)
และ CS d 0.26 สําหรับชันดินอ่อนมาก (5.10)
เนืองจากในการคํานวณหาค่า T และ Ts อาจได้ คา่ ทีไม่นา่ เชือถือได้ ดังนันวิธีการหาค่า S ตาม
สมการ5.6-5.7 จึงถูกยกเลิกในข้ อกําหนดUBCใหม่

5.3.8 นําหนักของตัวอาคาร (Building Weight, W)

โดยทัวไปค่า W เป็ นนําหนักบรรทุกคงทีทังหมดของโครงสร้ าง แต่ในบางกรณีจะมีการ


เพิมนําหนักบรรทุกชนิดอืนเข้ าไปด้ วย ดังนี
ก) สําหรับคลังเก็บพัสดุให้ เพิมนําหนักอีก 25% ของนําหนักบรรทุกจร
ข) สําหรับพืนทีซึงมีการตบแต่งกันห้ องเป็ นส่วนๆจะต้ องเพิมนําหนักอีก 48 กก./ตร.ม.
ค) นําหนักของเครื องมือ เครื องจักรกลซึงติดตังถาวรจะต้ องรวมด้ วย

5.3.9 การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ ละชันอาคาร


(Distribution of Lateral Force, Fx )

แรงเฉือนทีฐานอาคาร V สามารถกระจายเป็ นแรงกระทําในแต่ละชันอาคารได้ ดังนี


Ft = 0.07TV d 0.25V ( T ! 0.7 วินาที) (5.11)
102 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

Ft = 0 ( T d 0.7 วินาที) (5.12)


โดยที Ft เป็ นแรงกระทําพิเศษทียอดอาคาร ซึงเป็ นค่าทีพิจารณาถึงผลกระทบของ Higher mode
ต่อผลตอบสนองของโครงสร้ างในช่วงคาบการสันธรรมชาติทียาว
ส่วนแรงทีเหลือจะกระจายเป็ นแรงกระทําทางด้ านข้ างตลอดความสูงของอาคารดังนี
F =
V  Ft wx hx (5.13)
x n

¦wh
i 1
i i

โดยที Fx คือ แรงกระทําทางด้ านข้ างกระทําอยูช่ นอาคาร


ั x
hx , hi คือ ความสูงของระดับพืน x และ i จากฐานอาคาร ตามลําดับ
wx , wi คือ นําหนักอาคารทีระดับพืน x และ i ตามลําดับ
n คือ จํานวนชันอาคารเหนือฐานอาคารนัน
แรงกระทํา Fx นีจะตรงกับจุดศูนย์กลางมวลทีแต่ละชันของอาคาร สําหรับอาคารทีมีรูปทรง
สมําเสมอ คือมีความสูงและนําหนักในแต่ละชันมีคา่ เท่ากัน แรงทางด้ านข้ างจะกระจายเป็ น
เส้ นตรงในลักษณะสามเหลียมกลับหัว (Invert triangular) จากฐานถึงยอดอาคาร หากการ
กระจายไม่เป็ นไปตามนีแสดงว่าอาคารมีรูปทรงไม่สมําเสมออย่างใดอย่างหนึง การกระจายแรง
กระทําทางด้ านข้ างอาคารนี แสดงในรูปที 5.2
Fn Ft = 0.07TV
n

Wx
Fx hn
x
Wi
i hx
hi

V
รูปที 5.2 การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําทางด้ านข้ างในแต่ ละชันอาคาร
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 103

5.3.10 แรงเฉือนในชันอาคารและโมเมนต์ พลิกควํา ( Vx , M x )

แรงเฉือนในระดับชัน x เป็ นผลรวมของแรงกระทําทางด้ านข้ างทีระดับชันนันและเหนือ


ระดับชันนันขึนไป คํานวณได้ ดงั นี
n
Vx Ft  ¦ Fi (5.14)
i x
โดยที Vx คือ แรงเฉือนกระทําในระดับชันอาคาร x
Fi คือ แรงกระทําทางด้ านข้ างทีระดับชันอาคาร i ดังแสดงในรูปที 5.3

i=n Ft

Fi

i=x hn
Vx
hi
hx

รูปที 5.3 การคํานวณแรงเฉือนในแต่ ละชันอาคาร

สําหรับโมเมนต์พลิกควําทีระดับชัน x , M x เป็ นผลรวมของโมเมนต์ของแรงกระทําทีอยูเ่ หนือ


ระดับชัน x โดยคํานวณรอบระดับชัน x นัน ดังนี
n
Mx Ft (hn  hx )  ¦ Fi (hi  hx ) (5.15)
i x

5.3.11 แรงบิดและผลกระทบของโมเมนต์ ลาํ ดับสอง (Torsion and P-Delta Effect)

ข้ อกําหนด UBC คํานึงถึงความไม่สอดคล้ องกันของตําแหน่งจุดศูนย์กลางมวลและจุด


ศูนย์กลางสติฟเนส ทีอาจเกิดขึนในทางปฏิบตั ไิ ด้ แม้ ในโครงสร้ างทีมีรูปทรงสมําเสมอ ซึงจะทําให้
104 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

เกิดการบิดโดยมิได้ ตงใจให้
ั เกิดขึนได้ เรี ยกว่า Accidental torsion โดยการพิจารณาว่าจุด
ศูนย์กลางมวลอาจมีการเยืองศูนย์ไป 5% ของขนาดผังอาคารในทิศทางตังฉากกับแรงกระทํานัน
สําหรับผลกระทบของโมเมนต์ลําดับสองนัน ข้ อกําหนด UBC1985 ไม่ได้ ระบุทีจะนําค่านี
มาคํานวณด้ วย แต่ในอาคารทีผลกระทบจากโมเมนต์ลําดับสองมีคา่ มาก ก็จะต้ องนํามาคํานวณ
เพิมด้ วย

5.3.12 ระยะจํากัดของการโยกตัว (Drift Limitation)

ค่าระยะการเลือนตัวในระหว่างชันของอาคาร กําหนดให้ ไม่เกินค่าดังนี


'i d 0.005Kh (5.16)
โดยที 'i คือ ค่าระยะการเลือนตัวในระหว่างชันของอาคาร
K คือ สัมประสิทธิของโครงสร้ างอาคารทีรับแรงในแนวราบ (Structural Type Factor)
h คือ ระดับความสูงระหว่างชัน
'4
F4

h4
'3
F3

h3
'2
F2 H

h2
'1
F1

h1

รูปที 5.4 ค่ าระยะการเลือนตัวในระหว่ างชันของอาคาร


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 105

ตัวอย่ างที 5.1 อาคารคลังเก็บพัสดุ คอนกรี ตเสริมเหล็กสูง 4 ชัน มีขนาดดังแสดงในรูป มีความ


สูงระหว่างชัน 3.6 ม. มีคา่ นําหนักบรรทุกคงที 672 กก./ตร.ม. ซึงรวมทังนําหนักพืน คาน เสา
และผนังกําแพง มีคา่ นําหนักบรรทุกจร 600 กก./ตร.ม. อาคารนีตังอยูใ่ นเขตพืนทีภาคเหนือของ
ประเทศไทย ซึงเป็ นเขตบริเวณที 2 ตามกฎกระทรวงปี 2550 และชันดินทีใต้ ฐานรากเป็ นชันดิน
แข็ง จงคํานวณหา
ก) แรงเฉือนทีฐานอาคาร เนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ข) แรงกระทําทีชันอาคารแต่ละชันและแรงเฉือนทีเกิดขึน
ค) ตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร
D N

1 2 3 4 5 6 7 8 9 E

7.2 ม.

7.2 ม.

C
D

8@3.6 ม.= 28.8 ม.


A B C

3.6 ม.

3.6 ม.

3.6 ม.

3.6 ม.

7.2 ม. 7.2 ม.

รูปที5.5 ผังอาคารและรูปตัดของอาคารคลังเก็บสินค้ า
106 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

กําหนดให้ เสาต้ นนอก ขนาดเสา สําหรับทุกชัน 0.30x0.50 ม.


เสาต้ นใน ขนาดเสา สําหรับชันที1 และ ชันที 2 0.30x0.60 ม.
สําหรับชันที 3 0.30x0.50 ม. และชันที 4 0.30x0.40 ม.
คานตามยาวขนาด 0.20x0.40 ม. คานตามขวางขนาด 0.25x0.60 ม.
Ec 2.3 u105 ksc
วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณหานําหนัก W ทีแต่ละชันอาคาร
เนืองจากอาคารนีเป็ นคลังเก็บพัสดุ จึงต้ องเพิมนําหนักอีก 25% ของนําหนักบรรทุกจร
นําหนัก W สําหรับชันที 1, 2, 3 คือ W1, W2, W3 = 672 + 0.25 (600)
= 822 กก./ตร.ม.
ชันที 4 (ดาดฟ้า) W4 = 672 กก./ตร.ม.
พืนทีทังหมด = 28.8x14.4 = 414.72 ตร.ม.
เมือคิดเป็ นแรงกระทํา
W1 = W2 = W3 = (822 x 414.72) x 10-3 = 340.9 ตัน
-3
W4 = (672 x 414.72) x 10 = 278.7 ตัน
นําหนักทังหมด W = (340.9x3) + 278.7 = 1,301.4 ตัน

ขันตอนที 2 คํานวณแรงเฉือนทีฐาน พิจารณาแรงในทิศทาง N-S


V = ZIKCSW
เมือ Z = 0.38 (บริเวณที 2)
I = 1.0 (ประเภทที 3 )
K = 1.0 (โครงต้ านแรงดัดความเหนียวจํากัด)
S = 1.2 (ชันดินแข็ง)
คํานวณคาบการสันธรรมชาติของโครงสร้ าง จากสูตรสําหรับโครงสร้ างอาคารทัวไป
0.09hn
T =
D
0.09 u 14.4
= = 0.34 วินาที
14.4
คํานวณค่าสัมประสิทธิแรงเฉื อนทีฐาน C จาก
1
C =
15 T
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 107

1
= = 0.11 ไม่เกิน 0.12 ใช้ ได้
15 0.34
ผลคูณ CS = 0.11u1.2 = 0.132 ไม่เกิน 0.14 ใช้ ได้
ดังนัน แรงเฉือนทีฐาน
V = ZIKCSW = 0.38 u 1.0 u 1.0 u 0.11 u 1.2 u1,301.4
= 65.28 ตัน
ขันตอนที 3 กระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชัน และแรงเฉือนทีเกิดขึน
F = V  Ft Wx hx
x n

¦W h
i 1
i i

และ V = Ft + 6 Fx
เนืองจากค่า T น้ อยกว่า 0.7 วินาที ดังนัน Ft = 0

คํานวณแรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉือน ดังแสดงในตารางที 5.5 และแสดงการกระจายของ


แรงกระทําทางด้ านข้ างอาคารในรูปที 5.6
ตารางที 5.5 แรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉือนในแต่ ละชัน
ระดับชัน Wx(ตัน) hx(ม.) Wxhx (ตัน-ม.) Fx(ตัน) Vx(ตัน)
4 278.7 14.4 4,013.28 23.03 23.03
3 340.9 10.8 3,681.72 21.13 44.16
2 340.9 7.2 2,454.48 14.08 58.24
1 340.9 3.6 1,227.24 7.04 65.28
6 = 11,376.72

A B C

F4 = 23.03 ตัน
V4 = 23.03 ตัน
F3 = 21.13 ตัน
V3 = 44.16 ตัน
F2 = 14.08 ตัน
V2 = 58.24 ตัน
F1 = 7.04 ตัน
V1 = 65.28 ตัน
รูปที 5.6 การกระจายของแรงกระทําทางด้ านข้ างอาคาร
108 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ขันตอนที 4 คํานวณหาระยะการเคลือนตัวของแต่ละชัน
12 E
คํานวณค่าสติฟเนสของเสาแต่ละชัน จาก ki =
­ ½
° 1 1 °
h2 ®  ¾
I I
°¦ c ¦ b °
¯ h l ¿
สําหรับคาน Icr 0.35I g
สําหรับเสาภายนอก Icr 0.60I g และสําหรับเสาภายใน I cr 0.80I g (Paulay&Priestley, 1992)
เสาชันที 1 และ 2
I ­
° 30(50)3 30(60)3 ½ ° 1
¦ hc = ®°0.6 12
˜ (2 u 9)  0.8
12
˜ 9¾
° 360
= 20,175 ซม.3
¯ ¿
I b ­° 3 ½
¦ = ®0.35 25(60) ˜ (2 u 9) °¾ 1 = 3,937.5 ซม.3
l °¯ 12 ¿ 720
°
­ ½
12(2.3 u 105 ) °° 1 °°
k1 k2 ˜ ® 1 ¾°
= 70,161 กก./ซม.
(360) 2 ° 1 
°¯ 20,175 3,937.5 °¿
เสาชันที 3
I ­
° 30(50)3 30(50)3 ½ ° 1
¦ hc = ®°0.6 12
˜ (2 u 9)  0.8
12
˜ 9¾
° 360
= 15,625 ซม.3
¯ ¿
­ ½
12(2.3 u 105 ) °° 1 °°
k3 ˜®
1 ¾°
= 66,976 กก./ซม.
° 1 
2
(360)
¯° 15,625 3,937.5 ¿°
เสาชันที 4
I ­
° 30(50)3 30(40)3 ½ ° 1
¦ hc = ®°0.6 12
˜ (2 u 9)  0.8
12
˜ 9¾ = 12,575 ซม.3
¯ ¿ 360
°
­ ½
12(2.3 u 105 ) °° 1 °°
k4 ˜ ® 1 ¾°
= 63,859 กก./ซม.
(360) 2 ° 1 
°¯ 12,575 3,937.5 °¿
ระยะการโยกตัวในแต่ละชัน (Story Drift) คํานวณจาก
Vn
'x =
ki
ค่าการเคลือนตัวทางด้ านข้ างจากฐานอาคารทีแต่ละชัน (Lateral displacement) คํานวณจาก
ผลรวมของระยะการโยกตัวในแต่ละชัน ดังนี
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 109

Gx = ¦ 'x
สําหรับ ระยะการโยกตัวและค่าการเคลือนตัวทางด้ านข้ างทีแต่ละชัน แสดงในตารางที 5.6
ตารางที 5.6 ค่าระยะการโยกตัวและค่าการเคลือนตัวทางด้ านข้ างในแต่ละชัน
ระดับชัน แรงเฉือน สติฟเนส ระยะการโยกตัว การเคลือนตัวจากฐาน
Vx (ตัน) ki (กก./ซม.) ' x (ซม.) G x (ซม.)
4 23.03 63,859 0.36 2.78
3 44.16 66,976 0.66 2.42
2 58.24 70,161 0.83 1.76
1 65.28 70,161 0.93 0.93

UBC กําหนดค่าระยะการโยกตัว ไม่เกิน 'max


= 0.005hi
= 0.005(360) = 1.8 ซม.
จากตารางที 5.6 ค่าระยะการโยกตัวในแต่ละชันไม่เกินค่าทีกฎกระทรวงกําหนดไว้

ขันตอนที 5 ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์ คํานวณจาก


n
Mx ¦ Fi hi  hx
i x 1

ดังแสดงในตารางที 5.7

ตารางที 5.7 การคํานวณค่ า Overturning Moment


ชัน แรงกระทํา ความสูงระหว่างชัน Overturning Moment
ด้ านข้ าง Fi (ตัน) hx (ม.) Mx (ตัน-ม.)
4 23.03 3.6 -
3 21.13 3.6 82.91
2 14.08 3.6 241.88
1 7.04 3.6 451.55
ฐาน 686.56
ความปลอดภัยต่อการพลิกควํา
M Re act 1,301.4 u 7.2
S .F . = = = 13.65 ! 1.5
M Act 686.56
110 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควํามากกว่า 1.5 จึงใช้ ได้

ขันตอนที 6 ผลกระทบของโมเมนต์ลําดับทีสอง ( P' Effect )


Pn ' x
T =
Vx hx
ตารางที 5.8 การคํานวณค่ าสัมประสิทธิความมันคง (Stability Coefficient)
ชัน นําหนัก นําหนักสะสม การโยกตัว แรงเฉือน T
(ตัน) Px (ตัน) ' x (ซม.) Vx (ตัน)

4 278.7 278.7 0.36 23.03 0.012


3 340.9 619.6 0.66 44.16 0.026
2 340.9 960.5 0.83 58.24 0.038
1 340.9 1,301.4 0.93 65.28 0.052

เนืองจากค่า Stability Coefficient, T ทีคํานวณได้ มีคา่ น้ อยกว่า 0.1 ดังนันจึงไม่จําเป็ นต้ องนํา
ผลกระทบของ P' มาคํานวณออกแบบเสา ตามข้ อกําหนดของ UBC สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ น
เขต Zone 1 และ 2
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 111

5.4 ข้ อกําหนดของ UBC1994

UBC1994 มีข้อกําหนดในการใช้ วิธีแรงสถิตเทียบเท่าให้ สามารถใช้ ได้ สําหรับโครงสร้ าง


อาคารทีมีคณ ุ สมบัตดิ งั ต่อไปนี
ก) โครงสร้ างทังหมด ทีอยูใ่ นเขต Seismic Zone 1 และโครงสร้ างปกติทวไปที ั อยูใ่ นเขต
Zone 2 ส่วนอาคารทีอยูใ่ นเขต Zone 3 และ 4 จะต้ องจํากัดความสูง ซึงแตกต่างกันไป
ตามประเภทของโครงสร้ าง
ข) โครงสร้ างปกติทีมีผงั อาคารสมมาตร และมีความสูงน้ อยกว่า 73 ม.
ค) โครงสร้ างไม่ปกติเช่น ผังอาคารมีรูปร่างไม่สมมาตร โครงสร้ างอาคารทีมีมวลหรื อสติฟ
เนสทีแปรเปลียนในระหว่างชัน เป็ นต้ น ซึงมีความสูงน้ อยกว่า 5 ชันหรื อ 20 ม.
ง) โครงสร้ างซึงมีสว่ นบนมีลกั ษณะยืดหยุน่ เช่น หอสูง เป็ นต้ น ซึงตังอยูบ่ นฐานทีแข็งแรง
มันคง
สําหรับโครงสร้ างอาคารทีมีคณ ุ สมบัตนิ อกเหนือจากข้ อกําหนดนีให้ ใช้ การคํานวณออกแบบโดยวิธี
พลศาสตร์ (dynamic method)

5.4.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร

การคํานวณหาแรงเฉือนทีฐานอาคารโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่าตามข้ อกําหนดของ UBC-


1994 คํานวณจาก
ZIC
V W (5.17)
Rw
โดยที V คือ แรงเฉือนทีฐานอาคาร
สําหรับค่าสัมประสิทธิทีเหลือ มีรายละเอียด ดังนี

5.4.2 สัมประสิทธิของความเข้ มของแผ่ นดินไหว (Seismic Zone Factor, Z)

ค่า Z นีเป็ นสัมประสิทธิทีคํานึงถึงความเสียงภัยจากแผ่นดินไหวตามทีแสดงในแผนทีเขต


แผ่นดินไหว มีคา่ ตามตารางที 5.9 ดังนี
ตารางที 5.9 สัมประสิทธิความเสียงภัยจากแผ่ นดินไหว
Zone 1 2A 2B 3 4
Z 0.075 0.15 0.20 0.30 0.40
112 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

5.4.3 ตัวคูณเกียวกับการใช้ อาคาร (Important Factor, I)

สัมประสิทธินีเป็ นการแสดงความสําคัญของอาคาร โดยมีการเพิมค่าความปลอดภัย


สําหรับอาคารทีมีความจําเป็ นต่อสาธารณะชนและอาคารทีเก็บวัตถุมีพิษภัย ( I 1.25) ดังแสดง
ในตารางที5.10 แม้ วา่ ค่าเหล่านีจะน้ อยกว่าค่าสูงสุดทีกําหนดใน UBC1985 ( I 1.50) แต่
ข้ อกําหนด UBC1994 กําหนดให้ เพิมคุณภาพของวัสดุในการออกแบบมากขึน ซึงจะเป็ นการเพิม
ระดับความปลอดภัย ดังนันจึงมีการปรับลดค่าค่าสัมประสิทธิ I ลงมา

ตารางที 5.10 สัมประสิทธิความสําคัญของอาคาร


ประเภท ความสําคัญของอาคาร I
1 อาคารทีจําเป็ นต่อสาธารณะชน 1.25
2 อาคารทีเก็บวัตถุมีพิษภัย 1.25
3 อาคารทีมีการใช้ งานเป็ นพิเศษ 1.00
4 อาคารใช้ งานทัวไป 1.00
5 อาคารอืนๆ 1.00

ประเภทที 1 อาคารทีจําเป็ นต่อสาธารณะชน (Essential Facilities) เป็ นอาคารทีมีความจํา


เป็ นต้ องใช้ ในกรณีฉกุ เฉินซึงต้ องสามารถใช้ งานได้ ภายหลังเกิดแผ่นดินไหว เช่น
โรงพยาบาล สถานีตํารวจดับเพลิง ทีทําการรัฐบาล เป็ นต้ น
ประเภทที 2 อาคารทีเก็บวัตถุมีพิษภัย (Hazardous Facilities) เป็ นอาคารเก็บวัตถุระเบิด
ซึงอาจมีการระเบิดทีรุนแรงออกมาได้
ประเภทที 3 อาคารทีมีการใช้ งานเป็ นพิเศษ (Special Occupancy Structures) ใช้ สําหรับ
อาคารทีจุคนจํานวนมาก เช่น โรงเรี ยน มหาวิทยาลัย เป็ นต้ น
ประเภทที 4 อาคารใช้ งานทัวไป (Standard Occupancy Structures) เป็ นอาคารมาตรฐาน
ทัวไปทีมิได้ อยูใ่ นประเภทที 1-3 รวมทังหอสูง
ประเภทที 5 อาคารอืนๆ (Miscellaneous Structures) เป็ นอาคารเบ็ดเตล็ดอืนๆ ยกเว้ น
หอสูง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 113

5.4.4 สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐาน (Base Shear Coefficient, C)

ค่าสัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐาน C ขึนอยูก่ บั ค่าคาบการสันไหวธรรมชาติ, T และลักษณะ


สภาพของชันดิน, S ซึงจะกล่าวรายละเอียดต่อไป สําหรับสูตรการคํานวณค่า C มีดงั นี
1.25S
C 2
(5.18)
T 3

เนืองจากค่าสัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐานนีมีพืนฐานการคํานวณมาจากค่า Elastic Design


Spectra ดังนันจึงแปรเปลียนไปตามลักษณะของสภาพชันดินต่างๆกัน ดังแสดงในรูปที 5.5 โดยที
ค่า C ทีคํานวณตามสมการ 5.18 ให้ ใช้ ได้ ไม่เกิน 2.75

สัมประสิทธิแรงเฉือน (C)

3.0 2.75
S4
2.0 S
S2 3
S1
1.0

1.0 2.0 3.0


คาบการสันธรรมชาติ (T), วินาที
รูปที 5.7 ค่ าสัมประสิทธิแรงเฉือนกับคาบการสันของอาคารและประเภทของดิน

นอกจากนี UBC1994 ยังกําหนดให้ ใช้ คา่ อัตราส่วนของ C Rw ไม่ตํากว่า 0.075 เพือใช้ ใน


การออกแบบสําหรับอาคารโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั ทีมีความสูงมาก

5.4.5 คาบการสันธรรมชาติของอาคาร (Building Period, T)

ค่าคาบการสันไหวธรรมชาติของโครงสร้ างอาคารสามารถคํานวณได้ 2 วิธีคือ


วิธีที 1 ใช้ สําหรับคํานวณหาค่า T โดยประมาณ ดังนี

T = Ct hn3 4 (5.19)
114 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

โดยที Ct = 0.0731 สําหรับอาคารคอนกรี ตเสริมเหล็กแบบโครงข้ อแข็ง


และแบบโครงคํายัน
= 0.0853 สําหรับโครงสร้ างเหล็กแบบโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั
= 0.0488 สําหรับโครงสร้ างอาคารแบบอืนๆ
hn คือ ความสูงทังหมดของอาคาร (เมตร)
วิธีที 2 ใช้ คํานวณหาค่า T ทีให้ คา่ ละเอียดกว่าวิธีแรก โดยการใช้ Rayleigh’s formula
ดังกล่าวแล้ วในข้ อกําหนด UBC1985 แต่ในข้ อกําหนด UBC1994 มีการจํากัดค่า T ทีคํานวณโดย
วิธีนีเพิมเติม กล่าวคือ ในเขตพืนทีความเสียงภัย Zone 1, 2 และ 3 ค่า T ทีคํานวณได้ จะต้ องไม่
มากกว่าค่าทีคํานวณโดยวิธีที 1 เกินไปกว่า 40% และในเขตพืนทีความเสียงภัย Zone 4 จะต้ อง
ไม่มากกว่าค่าทีคํานวณโดยวิธีที 1 เกินไปกว่า 30% ข้ อกําหนดนีมีไว้ เพือป้องกันมิให้ มีการใช้ คา่
คาบการสันธรรมชาติทียาวเกินไปซึงส่งผลให้ แรงเฉือนทีฐานอาคารมีคา่ น้ อยเกินไป ซึงจะไม่
น่าเชือถือได้ แต่ข้อกําหนดนีไม่ต้องใช้ เมือต้ องการตรวจสอบค่าการโยกตัวของอาคาร

5.4.6 สัมประสิทธิของการประสานความถีธรรมชาติระหว่ างอาคารและชันดินทีตัง


อาคาร (Subsoil Factor, S)

ค่าสัมประสิทธิชันดินจําแนกตามลักษณะของชันดินทีอาคารตังอยู่ ดังแสดงในตารางที
5.11
ตารางที 5.11 ค่ าสัมประสิทธิชันดิน
ประเภท รายละเอียดชนิดของชันดิน S
S1 ชันดินซึง 1.0
ก) เป็ นชันหินจําแนกได้ โดยมีคา่ ความเร็วคลืน Shear Wave
มากกว่า 760 ม./วินาที หรื อ
ข) เป็ นชันดินแข็งปานกลางถึงแข็งมากซึงลึกน้ อยกว่า 60 ม.
S2 ชันดินแข็งปานกลางถึงแข็งมาก ซึงลึกมากกว่า 60 ม. 1.2
S3 ชันดินเหนียวอ่อนถึงดินเหนียวแข็งปานกลาง มีความลึกเกินกว่า 6 ม. 1.5
แต่มีชนดิ
ั นอ่อนไม่เกิน 12 ม.
S4 ชันดินเหนียวอ่อนมีความลึกมากกว่า 12 ม. ซึงจําแนกได้ โดยมีคา่ 2.0
ความเร็วคลืน Shear Wave น้ อยกว่า 150 ม./วินาที
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 115

5.4.7 ค่ าตัวประกอบการดูดซับพลังงาน ( Rw Factor)

ค่าตัวประกอบ Rw คํานึงถึงคุณสมบัตกิ ารดูดซับพลังงานทีแตกต่างกันของโครงสร้ างแต่


ละชนิด ซึงใช้ เป็ นค่าลดกําลังจาก Elastic Design Spectrum มาทีการออกแบบในช่วงอินอิลา
สติก Inelastic Design Spectrum โดยค่า Rw ประกอบด้ วยค่าความเหนียวของโครงสร้ าง
(ductility factor, RP ) ค่ากําลังสํารองของโครงสร้ าง (Reserve strength factor, Rs )และค่ากําลัง
จากองค์อาคารส่วนเกินของโครงสร้ าง (Redundancy factor, RR ) และเนืองจากข้ อกําหนด
UBC1994 เป็ นการกําหนดแรงทีระดับหน่วยแรงใช้ งาน (Working stress level) จึงมีการเพิมค่า
ความปลอดภัยเพือใช้ สําหรับวิธีการออกแบบโดยวิธีหน่วยแรงปลอดภัย (Allowable Stress
Design, ASD) ส่วนในกรณีทีต้ องการออกแบบโดยวิธีกําลัง ก็ใช้ ตวั คูณนําหนักบรรทุกตาม
ข้ อกําหนดของการออกแบบต่อไป สําหรับส่วนประกอบของค่า Rw , Uang (1991) ได้ แสดงไว้ ดงั นี
Rw = RP :Y (5.20)
โดยที RP คือ ตัวลดกําลังซึงคํานึงถึงค่าความเหนียวของโครงสร้ างในช่วงอินอิลาสติก
: คือ ตัวลดกําลังซึงคํานึงถึงค่ากําลังสํารองของโครงสร้ างซึงเกินจากกําลังทีออกแบบไว้
Rs RR
Y คือ ตัวลดกําลังสําหรับการออกแบบโดยวิธีหน่วยแรงปลอดภัย สําหรับการออกแบบตาม
ข้ อกําหนด ACI318-89 และ AISC-1989 ค่า Y มีคา่ ประมาณ 1.4
สําหรับความสัมพันธ์ระหว่างค่าสัมประสิทธิ K ในUBC1985 และค่าตัวประกอบ Rw ใน
UBC1994 อาจคํานวณได้ โดยประมาณจาก Rw 8 K ค่า Rw แสดงในตารางที 5.8 ดังนี
แรงเฉือนทีฐาน
Elastic Design Spectrum Ve ZICW

Rw = RP Rs RRY
ZIC
Inelastic Design Spectrum V W
Rw

คาบการสันธรรมชาติ, T
รูปที 5.8 การลดกําลังเป็ น Inelastic Design Spectrum ด้ วยค่ า Rw
116 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ตารางที 5.12 ค่ าตัวประกอบ Rw

2
ระบบโครงสร้ าง ระบบการต้ านทานแรงกระทําด้ านข้ าง RW H (ม.) 3
พืนฐาน1

1. ระบบ 1. กําแพง Light-framed ซึงมีผนังรับแรงเฉือน


Bearing wall a. กําแพงผนังโครงไม้ สําหรับโครงสร้ างซึงสูง 3 ชันหรือน้ อยกว่า 8 19.5
b. กําแพง Light-framed อืนๆทังหมด 6 19.5
2. กําแพงผนังรับแรงเฉือน (Shear walls)
a. คอนกรีต 6 48.0
b. ผนังก่อ 6 48.0
3. กําแพง bearing walls โครงเหล็กเบาซึงมีการยึดด้ วยแรงดึง 4 19.5
4. โครงสร้ างคํายัน(Braced frames) ซึงมีโครงคํายันรับนําหนักบรรทุก
(gravity load)
a. โครงสร้ างเหล็ก 6 48.0
b. คอนกรีต4 4 -
c. โครงสร้ างไม้ 4 19.5
2. ระบบ 1. โครงคํายันเหล็กรับนําหนักเยืองศูนย์ (EBF) 10 72.0
Building frame 2. กําแพง Light-framed ซึงมีผนังรับแรงเฉือน
a. กําแพงผนังโครงไม้ สําหรับโครงสร้ างซึงสูง 3 ชันหรือน้ อยกว่า 9 19.5
b. กําแพง Light-framed อืนๆทังหมด 7 19.5
3. กําแพงผนังรับแรงเฉือน (Shear walls)
a. คอนกรีต 8 72.0
b. ผนังก่อ 8 48.0
4. โครงคํายันปกติ (Ordinary braced frames)
a. โครงสร้ างเหล็ก 8 48.0
b. คอนกรีต4 8 -
c. โครงสร้ างไม้ 8 19.5
5. โครงคํายันพิเศษรับนําหนักตรงศูนย์
a. โครงสร้ างเหล็ก 9 72.0
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 117

3. ระบบ 1. โครงสร้ าง moment-resisting frames พิเศษ (SMRF)


Moment- a. โครงสร้ างเหล็ก 12 N.L.
resisting b. คอนกรีต 12 N.L.
frame 2. โครงสร้ างกําแพงก่อ moment-resisting wall frame 9 48.0
3. โครงสร้ างคอนกรีต intermediate moment-resisting frames (IMRF)5 8 -
4. โครงสร้ างปกติ Ordinary moment-resisting frames (OMRF)
a. โครงสร้ างเหล็ก6 6 48.0
b. คอนกรีต7 5 -

4. ระบบ 1. กําแพงผนังรับแรงเฉือน (Shear walls)


โครงสร้ าง a. คอนกรีตชนิด SMRF 12 N.L.
ผสม b. คอนกรีตกับโครงสร้ างเหล็ก OMRF 6 48.0
c. คอนกรีตกับคอนกรีต IMRF5 9 48.0
d. กําแพงก่อ SMRF 8 48.0
e. กําแพงก่อกับโครงสร้ างเหล็ก OMRF 6 48.0
f. กําแพงก่อกับคอนกรีต IMRF4 7 -
2. โครงสร้ างเหล็ก EBF
a. กับโครงสร้ างเหล็ก SMRF 12 N.L.
b. กับโครงสร้ างเหล็ก OMRF 6 48.0
3. โครงคํายันปกติ (Ordinary braced frames)
a. โครงสร้ างเหล็กกับโครงสร้ างเหล็ก SMRF 10 N.L.
b. โครงสร้ างเหล็กกับโครงสร้ างเหล็ก OMRF 6 48.0
c. คอนกรีตกับคอนกรีต SMRF4 9 -
d. คอนกรีตกับคอนกรีต IMRF4 6 -
4. โครงคํายันพิเศษรับนําหนักตรงศูนย์
a. โครงสร้ างเหล็กกับโครงสร้ างเหล็ก SMRF 11 N.L.
b. โครงสร้ างเหล็กกับโครงสร้ างเหล็ก OMRF 6 48.0
5. ระบบอืนๆ ดูใน UBC Sections 1627.8.3 และ 1627.9.2 - -

N.L.- ไม่จํากัด
1
ระบบโครงสร้ างพืนฐานซึงได้ ให้ คําจํากัดความใน UBC Section 1627.6.
2
ดูใน UBC Section 1628.3 สําหรับระบบโครงสร้ างรวม
3
H-จํากัดความสูงสําหรับ Seismic Zones 3 และ 4. ดูใน UBC Section 1627.7.
4
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 3 และ 4
5
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 3 และ 4, นอกจากทียอมให้ ใน UBC Section 1632.2.
6
Ordinary moment-resisting frames ใน Seismic Zone 1 ซึงมีคณ ุ สมบัติตาม UBC Section 2211.6 อาจใช้ คา่ Rw = 12.
7
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 2A, 2B, 3 และ 4, ดูใน UBC Section 1631.2.7.
118 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

Bearing Wall System เป็ นระบบโครงสร้ างทีออกแบบเพือรับนําหนักในแนวดิง จึงจําเป็ นต้ องมี


โครงคํายัน หรื อกําแพงรับแรงเฉือนควบคูก่ นั กันระบบโครงสร้ าง bearing wall นีด้ วย เพือรับ
แรงกระทําด้ านข้ างจากแรงแผ่นดินไหว

Frame System เป็ นระบบโครงสร้ าง ซึงออกแบบให้ มีการยึดรังในแต่ละองค์อาคารในลักษณะ 3


มิติ เข้ าด้ วยกัน เพือใช้ รับนําหนักกระทําในแนวดิง

Braced Frame เป็ นระบบโครงสร้ างดัดทีองค์อาคารมีการยึดรังระหว่างกันเพือใช้ รับแรงกระทํา


ทางด้ านข้ างได้

Moment-resisting Frame System เป็ นระบบโครงสร้ างซึงออกแบบให้ สามารถรับแรงกระทําทัง


ในแนวดิงและแนวรายได้ ในการรับแรงทางแนวราบด้ านข้ างอาคารองค์อาคารมีการออกแบบให้
จุดรอยต่อมีลกั ษณะแข็ง (rigid joint) เพือให้ รับโมเมนต์ทีเกิดในและคานได้ โครงสร้ างชนิดนีแบ่ง
ออกเป็ น 3 ประเภท คือ
ก) Ordinary Moment-Resisting Frame (OMRF) เป็ นโครงสร้ างโครงข้ อแข็ง
ต้ านทานโมเมนต์ดดั (คอนกรี ตเสริมเหล็กหรื อโครงสร้ างเหล็ก) ทีมิได้ มีการออกแบบให้ โครงสร้ าง
มีความเหนียวเป็ นพิเศษ โครงสร้ าง OMRF สําหรับโครงสร้ างเหล็กใช้ ได้ กบั ทุกเขตความเสียงภัย
แต่โครงสร้ าง OMRF สําหรับ ค.ส.ล. ใช้ สําหรับ Zone 1 ไม่สามารถใช้ กบั Zone 2,3,4 ได้
ข) Intermediate Moment-Resisting Frame (IMRF) เป็ นโครงสร้ าง โครงข้ อ
แข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั ใช้ กบั คอนกรี ตเสริมเหล็กทีออกแบบให้ โครงสร้ างมีความเหนียวปาน
กลางโครงสร้ างชนิดนีใช้ สําหรับ Zone 1 และ 2 ไม่สามารถใช้ ได้ กบั Zone 3 และ 4
ค) Special Moment-Resisting Frame (SMRF) เป็ นโครงสร้ างโครงข้ อแข็ง
ต้ านทานโมเมนต์ดดั ทีมีการออกแบบโครงสร้ างให้ มีความเหนียวเป็ นพิเศษตามมาตรฐานของ
UBC ทังคอนกรี ตเสริมเหล็ก และ โครงสร้ างเหล็ก โครงสร้ างประเภทนีใช้ กบั Zone 3 และ 4 ได้

Dual System เป็ นระบบโครงสร้ างผสมระหว่างโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั และกําแพงรับแรง


เฉือน หรื อ โครงคํายัน ซึงระบบโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั จะต้ องออกแบบให้ สามารถรับ
แรงได้ อย่างน้ อย 25% ของเฉือนทังหมด
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 119

5.4.8 นําหนักของตัวอาคาร (Building Weight, W)

ค่านําหนักของตัวอาคารเป็ นค่าทีกําหนดเช่นเดียวกับข้ อกําหนดUBC1985

5.4.9 การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ ละชันอาคาร ( Fx )


แรงเฉือนในชันอาคารและโมเมนต์ พลิกควํา ( Vx , M x )

วิธีการกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชันอาคารรวมทังการ


คํานวณแรงเฉือนในชันอาคารและโมเมนต์พลิกควํา ใช้ เช่นเดียวกับข้ อกําหนด UBC1985

5.4.10 แรงบิดและผลกระทบของโมเมนต์ ลาํ ดับสอง


(Torsion and Secondary Moment or P-Delta Effect)

ข้ อกําหนด UBC1994 มีการพิจารณา Accidental torsion เช่นเดียวกันกับ UBC1985


โดยการพิจารณาว่าจุดศูนย์กลางมวลอาจมีการเยืองศูนย์ไป 5% ของขนาดผังอาคารในทิศทางตัง
ฉากกับแรงกระทํานัน
สําหรับผลกระทบของโมเมนต์ลําดับสองนัน ข้ อกําหนด UBC1994 เสนอวิธีการพิจารณา
ผลกระทบของโมเมนต์ลําดับสองเพือดูความสําคัญของผลกระทบดังนี
โมเมนต์ลําดับสองหรื อP-Delta ( P') หมายถึงโมเมนต์ดดั ทีเพิมขึนเนืองจากผลคูณระหว่าง
นําหนักบรรทุกในแนวดิงและระยะการเคลือนตัวด้ านข้ างของเสา ซึงอาจมีผลกระทบต่อความ
มันคงของโครงสร้ างได้ หากมีคา่ มากเกินไป UBC1994 กําหนดโดยค่าสัมประสิทธิความมันคง
(Stability Coefficient, T ) ดังนี
Px ' x
T = (5.21)
Vx hx
โดยที
Px คือ นําหนักอาคารทีระดับชัน x และเหนือขึนไป
'x คือ ระยะโยกของระดับชัน x (story drift)
Vx คือ แรงเฉือนทีระดับชัน x
hx คือ ความสูงของระดับชัน x
120 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ระดับชัน x+
Px

'x แนวเสาของอาคารทีเอนไป
Vx
ระดับชัน x

hx

ระดับชัน x-

'
รูปที 5.9 การคํานวณผลกระทบของ P'

UBC1994 กําหนดเกณฑ์การพิจารณาผลกระทบของ P' ดังนี


สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Zone 1 และ 2 ค่า Stability Coefficient, T < 0.10
'i
สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Zone 3 และ 4 ค่า Story drift ratio, < 0.02
hi Rw
ถ้ าหากค่า Stability Coefficient หรื อค่า Story drift ratio มีคา่ น้ อยกว่าทีกําหนดนี หมายถึง
ผลกระทบของ P' มีคา่ น้ อยมากจึงไม่จําเป็ นต้ องนํามาคํานวณด้ วย ในกรณีทีค่าสัมประสิทธิ
เหล่านีเกินจากทีกําหนด จะต้ องมีการคํานวณออกแบบเสาเป็ นพิเศษเพือให้ สามารถต้ านทาน
โมเมนต์ทีเพิมขึนนี

5.4.11 ระยะจํากัดของการโยกตัว (Drift Limitation)

ค่าการโยกตัวระหว่างชันของอาคารจะต้ องไม่เกินค่าต่อไปนี
สําหรับโครงสร้ างซึงมีคาบการสันธรรมชาติ น้ อยกว่า 0.7 วินาที
ค่า Story drift, 'i ไม่เกิน 0.04hi Rw หรื อไม่เกิน 0.005hi
สําหรับโครงสร้ างซึงมีคาบการสันธรรมชาติ เท่ากับหรื อมากกว่า 0.7 วินาที
ค่า Story drift, 'i ไม่เกิน 0.03hi Rw หรื อไม่เกิน 0.004hi
จะสังเกตได้ วา่ ระยะจํากัดของการโยกตัวตามข้ อกําหนดนีเข้ มงวดกว่าทีกําหนดใน
UBC1985 ทังนีเนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ างทีคํานวณจากUBC1994 ให้ คา่ ทีน้ อยกว่าที
คํานวณจากUBC1985 จึงต้ องจํากัดค่าระยะการโยกตัวให้ ปลอดภัยมากขึน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 121

ตัวอย่ างที 5.2 อาคารคลังเก็บพัสดุ คอนกรี ตเสริมเหล็ก สูง 4 ชัน มีความสูงระหว่างชัน 3.6 ม.
มีคา่ นําหนักบรรทุกคงที 672 กก./ตร.ม. ซึงรวมทังนําหนักพืน คาน เสาและผนังกําแพง มีคา่
นําหนักบรรทุกจร 600 กก./ตร.ม. อาคารนีตังอยูใ่ นเขตพืนทีภาคเหนือของประเทศไทย ซึงเป็ นเขต
Seismic Zone 2B และชันดินทีใต้ ฐานรากเป็ นหินแข็ง จงใช้ ข้อกําหนด UBC1994 คํานวณหา
ก) แรงเฉือนทีฐานอาคาร เนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ข) แรงกระทําทีชันอาคารแต่ละชันและแรงเฉือนทีเกิดขึน
ค) ตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร
D

1 2 3 4 5 6 7 8 9

7.2 ม.

7.2 ม.

C
D

8@3.6 ม.= 28.8 ม.


A B C

3.6 ม.

3.6 ม.

3.6 ม.

3.6 ม.

7.2 ม. 7.2 ม.
รูปที 5.10 ผังอาคารและรูปตัดของอาคารคลังเก็บสินค้ า
122 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

กําหนดให้ เสาต้ นนอก ขนาดเสา สําหรับทุกชัน 0.30x0.50 ม.


เสาต้ นใน ขนาดเสา สําหรับชันที1 และ ชันที 2 0.30x0.60 ม.
สําหรับชันที 3 0.30x0.50 ม.
สําหรับชันที 4 0.30x0.40 ม.

วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณหานําหนัก W ทีแต่ละชันอาคาร
เนืองจากอาคารนีเป็ นคลังเก็บพัสดุ จึงต้ องเพิมนําหนักอีก 25% ของนําหนักบรรทุกจร
นําหนัก W สําหรับชันที 1, 2, 3 คือ W1, W2, W3 = 672 + 0.25 (600)
= 822 กก./ตร.ม.
ชันที 4 (ดาดฟ้า) W4 = 672 กก./ตร.ม.
พืนทีทังหมด = 28.8x14.4 = 414.72 ตร.ม.
เมือคิดเป็ นแรงกระทํา
W1 = W2 = W3 = (822 x 414.72) x 10-3 = 340.9 ตัน
W4 = (672 x 414.72) x 10-3 = 278.7 ตัน
นําหนักทังหมด W = (340.9x3) + 278.7 = 1,301.4 ตัน

ขันตอนที 2 คํานวณแรงเฉือนทีฐาน
ZIC
V W
Rw
เมือ Z = 0.2 (Seismic Zone 2B)
I = 1.0 (ประเภทที 4 )
Rw = 8 (Intermediate Moment-Resisting Frame, IMRF)
S = 1.0 (ชันหิน)
คํานวณคาบการสันธรรมชาติของโครงสร้ างโดยประมาณ
Tn = Cthn ¾
เมือ Ct = 0.0731 (อาคารค.ส.ล.)
hn = 14.4 ม. (ความสูง 4 ชัน)
Tn = 0.0731 (14.4)3/4 = 0.54 วินาที
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 123

1.25S 1.25 1.0


C 2 2
1.885
T 3 0.54 3
0.2 u1.0 u1.885
V 1,301.4 61.33 ตัน
8
ขันตอนที 3กระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชัน และแรงเฉือนทีเกิดขึน
คํานวณแรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉือน ดังแสดงในตารางที 5.13 และแสดงการกระจาย
ของแรงกระทําทางด้ านข้ างอาคารในรูปที 5.11
V  Ft Wx hx
Fx n และ Ft 0 ( T 0.54  0.7 )
¦ Wi hi
i 1
n
Vx Ft  ¦ Fi
i x
ตารางที 5.13 แรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉือนในแต่ ละชัน
ระดับชัน Wi hx Wxhx Fx Vx
(ตัน) (ม.) (ตัน-ม.) (ตัน) (ตัน)
4 278.7 14.4 4,013.28 21.63 21.63
3 340.9 10.8 3,681.72 19.85 41.48
2 340.9 7.2 2,454.48 13.23 54.71
1 340.9 3.6 1,227.24 6.62 61.33
6 = 11,376.72

A B C

F4 = 21.63 ตัน

F3 = 19.85 ตัน

F2 = 13.23 ตัน

F1 = 6.62 ตัน

V = 61.33 ตัน
รูปที 5.11 การกระจายของแรงกระทําทางด้ านข้ างอาคาร
124 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ขันตอนที 4 คํานวณหาระยะการเคลือนตัวของแต่ละชัน
12 EI cri
คํานวณค่าสติฟเนสของเสาแต่ละชัน จาก ki =
h3
สําหรับเสาภายนอก Icr 0.60I g และสําหรับเสาภายใน I cr 0.80I g (Paulay&Priestley, 1992)

12(2.3 u 105 ) °­ 30(50)3 30(60)3 ° ½


k1 k2 3
˜ ® 0.6 ˜ (2 u 9)  0.8 ˜ 9¾ = 4.29 u 105 กก./ซม.
(360) °
¯ 12 12 °
¿
12(2.3 u 105 ) ­° 30(50)
3
30(50)3 ½ °
k3 ˜ ® 0.6 ˜ (2 u 9)  0.8 ˜ 9¾ = 3.32 u 105 กก./ซม.
(360)3 °
¯ 12 12 °
¿
5 ­ 3 3 ½
12(2.3 u 10 ) ° 30(50) 30(40) °
k4 3
˜ ®0.6 ˜ (2 u 9)  0.8 ˜ 9¾ = 2.67 u 105 กก./ซม.
(360) °
¯ 12 12 °
¿
ระยะการโยกตัวในแต่ละชัน (Story Drift) คํานวณจาก
ค่าการเคลือนตัวทางด้ านข้ างจากฐานอาคารทีแต่ละชัน (Lateral displacement) คํานวณจาก
Vn
'x
Ki
ผลรวมของระยะการโยกตัวในแต่ละชัน ดังนี
Gx = 6' x
สําหรับ ระยะการโยกตัวและค่าการเคลือนตัวทางด้ านข้ างทีแต่ละชัน แสดงในตารางที 5.14

ตารางที 5.14 ค่ าระยะการโยกตัวและค่ าการเคลือนตัวทางด้ านข้ างในแต่ ละชัน


ระดับชัน แรงเฉือน สติฟเนส ระยะการโยกตัว การเคลือนตัวจากฐาน
Vx (ตัน) Ki (กก./ซม.) 'x (ซม.) Gx (ซม.)
5
4 21.63 2.67x10 0.081 0.477
5
3 41.48 3.32x10 0.125 0.396
5
2 54.71 4.29x10 0.128 0.271
5
1 61.33 4.29x10 0.143 0.143

UBC กําหนดค่าระยะการโยกตัว ไม่เกิน 0.04hi/Rw = 0.04x360/8 = 1.8 ซม.


หรื อ 'max
= 0.005hi
= 0.005(360) = 1.8 ซม.
จากตารางที 5.14 ค่าระยะการโยกตัวในแต่ละชันไม่เกินค่าที UBC กําหนดไว้
ขันตอนที 5 คํานวณคาบการสันธรรมชาติ โดยใช้ Rayleigh’s formula
n n
T 2S ¦ WiG i2 g ¦ fiG i
i 1 i 1
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 125

ค่าทีใช้ คํานวณแสดงในตารางที 5.15


ตารางที 5.15 การคํานวณค่ าคาบการสันธรรมชาติ โดยใช้ Rayleigh’s formula
ชัน นําหนัก การเคลือนตัว แรงกระทํา Wi Gi2 Fi Gi
Wi (ตัน) Gx (ซม.) ด้ านข้ าง Fi (ตัน) (ตัน-ซม.2) (ตัน-ซม.)
4 278.7 0.477 21.63 63.41 10.32
3 340.9 0.396 19.85 53.46 7.86
2 340.9 0.271 13.23 25.04 3.59
1 340.9 0.143 6.62 6.97 0.95
6 = 148.88 6 = 22.72

148.88
T 2S 0.51
9.81u100 22.72
ค่าที คํานวณได้ นี ใกล้ เคียงกับค่าทีคํานวณโดยประมาณ (0.54 วินาที ) ดังนัน ไม่
จําเป็ นต้ องคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคารใหม่ โดยจะยังคงใช้ คา่ T เดิมในการคํานวณต่อไป

ขันตอนที 6 ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์
n
Mx ¦ Fi hi  hx
i x 1
Accidental Torsional Moments Tx 0.05DVx = 0.05 u 28.8uVx
ตารางที 5.16 การคํานวณค่ า Overturning Moment
ชัน แรงกระทํา ความสูงระหว่างชัน โมเมนต์พลิกควํา แรงเฉือน โมเมนต์บิด
ด้ านข้ าง Fi (ตัน) hx (ม.) Mx (ตัน-ม.) Vx (ตัน) Tx (ตัน-ม.)
4 21.63 3.6 - 21.63 31.15
3 19.85 3.6 77.87 41.48 59.73
2 13.23 3.6 227.20 54.71 78.78
1 6.62 3.6 424.15 61.33 88.32
ฐาน 644.94
ความปลอดภัยต่อการพลิกควํา
M Re act 1 ,301.4 u 7.2
S .F . 14.53 ! 1.5
M Act 644.94
ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควํามากกว่า 1.5 จึงใช้ ได้
126 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ขันตอนที 7 ผลกระทบของ P'


Pn ' x
ตรวจสอบค่า T = ( hx =360 ซม.)
Vx hx

ตารางที 5.17 การคํานวณผลกระทบของ P'


ชัน นําหนัก นําหนักสะสม การโยกตัว แรงเฉือน T
(ตัน) Px (ตัน) ' x (ซม.) Vx (ตัน)
4 278.7 278.7 0.081 21.63 0.0029
3 340.9 619.6 0.125 41.48 0.0052
2 340.9 960.5 0.128 54.71 0.0062
1 340.9 1,301.4 0.143 61.33 0.0084

UBC1994 กําหนดสําหรับโครงสร้ างทีอยู่ในเขต Seismic Zone 2B ว่า หากค่า


T  0.10 ก็ไม่จําเป็ นต้ องนํ าผลกระทบของ
P' มาคํานวณ เนืองจากค่า T แสดงในตารางที
5.17 น้ อยกว่าค่าทีกํ าหนดมาก ดังนันในการคํานวณออกแบบเสา จึง ไม่จําเป็ นต้ องคํานวณ
โมเมนต์ทีเพิมขึนเนืองจากผลกระทบของ P' นี
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 127

5.5 ข้ อกําหนดของ UBC1997


5.5.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร

การคํานวณหาแรงเฉือนทีฐานอาคารโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่าตามข้ อกําหนดของ UBC-


1997 คํานวณได้ ดงั นี
Cv I
V = W (5.22)
RT
โดยที V คือ แรงเฉือนทีฐานอาคาร โดยมีข้อจํากัดดังนี
2.5Ca I
V d W (5.23)
R
V t 0.11Ca IW (5.24)
0.8ZN v I
V t W สําหรับ Seismic Zone 4 (5.25)
R
สําหรับค่าสัมประสิทธิต่างๆทีแสดงในสมการ 5.22 - 5.25 มีรายละเอียด ดังนี

5.5.2 สัมประสิทธิของความเข้ มของแผ่ นดินไหว (Seismic Zone Factor, Z)

ค่าสัมประสิทธิของความเข้ มของแผ่นดินไหวใช้ เกณฑ์เดียวกันกับข้ อกําหนด UBC1994

5.5.3 ตัวคูณเกียวกับการใช้ อาคาร (Important Factor, I)

ค่าตัวคูณเกียวกับการใช้ อาคารใช้ เกณฑ์เดียวกันกับข้ อกําหนด UBC1994

5.5.4 คาบการสันธรรมชาติของอาคาร (Building Period, T)

การคํานวณคาบการสันธรรมชาติของอาคารใช้ วิธีการและข้ อกําหนดเช่นเดียวกันกับ


UBC1994

5.5.5 สัมประสิทธิของระบบโครงสร้ าง (Structural System Coefficient, R)

ค่าสัมประสิทธิ R คํานึงถึงคุณสมบัตกิ ารดูดซับพลังงานทีแตกต่างกันของโครงสร้ างแต่ละ


ชนิด ซึงใช้ เป็ นค่าลดกําลังจาก Elastic Design Spectrum มาทีการออกแบบในช่วงอินอิลาสติก
128 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

Inelastic Design Spectrum โดยค่า R ประกอบด้ วยค่าความเหนียวของโครงสร้ าง (ductility


factor, RP ) ค่ากําลังสํารองของโครงสร้ าง (Reserve strength factor, Rs )และค่ากําลังจากองค์
อาคารส่วนเกินของโครงสร้ าง (Redundancy factor, RR ) และเนืองจากข้ อกําหนด UBC1997
เป็ นการกําหนดแรงทีระดับค่ากําลัง (Strength level) จึงไม่มีการเพิมค่าความปลอดภัยดัง
ข้ อกําหนด UBC1994
ATC-19 ได้ แสดงส่วนประกอบของค่า R ไว้ ดงั นี
Ve
R = = Rs RP RR (5.26)
V
โดยที R คือ ตัวลดกําลังจากการออกแบบอิลาสติกมาทีการออกแบบในช่วงอินอิลาสติก
Ve คือ แรงเฉื อนทีฐานอาคารจากผลตอบสนองอิลาสติก (Elastic design spectrum)
V คือ แรงเฉือนทีฐานอาคารจากผลตอบสนองอินอิลาสติก (Inelastic design spectrum)
Rs คือ ตัวลดกําลังซึงคํานึงถึงค่ากําลังสํารองของโครงสร้ างซึงเกินจากกําลัง ทีออกแบบไว้
RP คือ ตัวลดกําลังซึงคํานึงถึงค่าความเหนียวของโครงสร้ างในช่วงอินอิลาสติก
RR คือ ตัวลดกําลังซึงคํานึงถึงองค์อาคารส่วนเกินของระบบโครงสร้ าง

สําหรับความสัมพันธ์ระหว่างค่าสัมประสิทธิ R ในUBC1997 และค่าตัวประกอบ Rw ใน


UBC1994 อาจคํานวณได้ โดยประมาณจาก R 0.7 Rw ค่า R แสดงในตารางที 5.9 ดังนี

แรงเฉือนทีฐาน
Cv I
Elastic Design Spectrum Ve W
T

R = Rs RP RR
Cv I
Inelastic Design Spectrum V W
RT

คาบการสันธรรมชาติ, T
รูปที 5.12 การลดกําลังเป็ น Inelastic Design Spectrum ด้ วยค่ า R
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 129

ตารางที 5.18 ค่ าสัมประสิทธิ R

2
ระบบโครงสร้ าง ระบบการต้ านทานแรงกระทําด้ านข้ าง R H (ม.) 3
พืนฐาน1

1. ระบบ 1. กําแพง Light-framed ซึงมีผนังรับแรงเฉือน


Bearing wall a. กําแพงผนังโครงไม้ สาํ หรับโครงสร้ างซึงสูง 3 ชันหรื อน้ อยกว่า 5.5 19.5
b. กําแพง Light-framed อืนๆทังหมด 4.5 19.5
2. กําแพงผนังรับแรงเฉือน (Shear walls)
a. คอนกรี ต 4.5 48.0
b. ผนังก่อ 4.5 48.0
3. กําแพง bearing walls โครงเหล็กเบาซึงมีการยึดด้ วยแรงดึง 2.8 19.5
4. โครงสร้ างคํายัน(Braced frames) ซึงมีโครงคํายันรับนําหนัก
บรรทุก (gravity load)
a. โครงสร้ างเหล็ก 4.4 48.0
b. คอนกรี ต4 2.8 -
c. โครงสร้ างไม้ 2.8 19.5
2. ระบบ 1. โครงคํายันเหล็กรับนําหนักเยืองศูนย์ (EBF) 7.0 72.0
Building 2. กําแพง Light-framed ซึงมีผนังรับแรงเฉือน
Frame a. กําแพงผนังโครงไม้ สาํ หรับโครงสร้ างซึงสูง 3 ชันหรื อน้ อยกว่า 6.5 19.5
b. กําแพง Light-framed อืนๆทังหมด 5.0 19.5
3. กําแพงผนังรับแรงเฉือน (Shear walls)
a. คอนกรี ต 5.5 72.0
b. ผนังก่อ 5.5 48.0
4. โครงคํายันปกติ (Ordinary braced frames)
a. โครงสร้ างเหล็ก 5.6 48.0
b. คอนกรี ต4 5.6 -
c. โครงสร้ างไม้ 5.6 19.5
5. โครงคํายันพิเศษรับนําหนักตรงศูนย์
a. โครงสร้ างเหล็ก 6.4 72.0
130 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

3. ระบบ 1. โครงสร้ าง moment-resisting frames พิเศษ (SMRF)


Moment- a. โครงสร้ างเหล็ก 8.5 N.L.
resisting b. คอนกรี ต 8.5 N.L.
frame 2. โครงสร้ างกําแพงก่อ moment-resisting wall frame 6.5 48.0
3. โครงสร้ างคอนกรี ต intermediate moment-resisting frames 5.5 -
(IMRF)5
4. โครงสร้ างปกติ Ordinary moment-resisting frames (OMRF)
a. โครงสร้ างเหล็ก6 4.5 48.0
b. คอนกรี ต7 3.5 -
5. โครงสร้ างเหล็ก Special Truss Moment Frames (STMF) 6.5 72.0
4. ระบบ 1. กําแพงผนังรับแรงเฉือน (Shear walls)
โครงสร้ าง a. คอนกรี ตชนิด SMRF 8.5 N.L.
ผสม b. คอนกรี ตกับโครงสร้ างเหล็ก OMRF 4.2 48.0
c. คอนกรี ตกับคอนกรี ต IMRF5 6.5 48.0
d. กําแพงก่อ SMRF 5.5 48.0
e. กําแพงก่อกับโครงสร้ างเหล็ก OMRF 4.2 48.0
f. กําแพงก่อกับคอนกรี ต IMRF4 4.2 -
g. กําแพงก่อกับกําแพงก่อ MMRWF 6.0 48.0
2. โครงสร้ างเหล็ก EBF
a. กับโครงสร้ างเหล็ก SMRF 8.5 N.L.
b. กับโครงสร้ างเหล็ก OMRF 4.2 48.0
3. โครงคํายันปกติ (Ordinary braced frames)
a. โครงสร้ างเหล็กกับโครงสร้ างเหล็ก SMRF 6.5 N.L.
b. โครงสร้ างเหล็กกับโครงสร้ างเหล็ก OMRF 4.2 48.0
c. คอนกรี ตกับคอนกรี ต SMRF4 6.5 -
d. คอนกรี ตกับคอนกรี ต IMRF4 4.2 -
4. โครงคํายันพิเศษรับนําหนักตรงศูนย์
a. โครงสร้ างเหล็กกับโครงสร้ างเหล็ก SMRF 7.5 N.L.
b. โครงสร้ างเหล็กกับโครงสร้ างเหล็ก OMRF 4.2 48.0
5. ระบบอาคาร องค์อาคารแบบเสายืน 2.2 10.56
แบบเสายืน
6.ระบบกําแพง- คอนกรี ต8 5.5 48.0
โครงข้ อแข็งร่วม
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 131

N.L.- ไม่จํากัด
1
ดูในUBC section 1630.4 สําหรับระบบโครงสร้ างร่วม
2
ระบบโครงสร้ างพืนฐานซึงได้ ให้ คําจํากัดความใน UBC Section 1629.6.
3
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 3 และ 4
4
รวมคอนกรีตหล่อสําเร็จตาม UBC Section 1921.2.7
5
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 3 และ 4, นอกจากทียอมให้ ใน UBC Section 1634.2.
6
Ordinary moment-resisting frames ใน Seismic Zone 1 ซึงมีคณ ุ สมบัติตาม UBC Section 2211.6 อาจใช้ คา่ R = 8.
7
ความสูงทังหมดของอาคารรวมทังส่วนทีเป็ นเสายืน
8
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 2A, 2B, 3 และ 4, ดูใน UBC Section 1633.2.7.

5.5.6 นําหนักของตัวอาคาร (Building Weight, W)

การคํานวณนําหนักของตัวอาคารใช้ เกณฑ์เดียวกันกับข้ อกําหนด UBC1994

5.5.7 สัมประสิทธิแรงแผ่ นดินไหว (Seismic Coefficients, Cv , Ca )

ค่าสัมประสิทธิแรงแผ่นดินไหว Cv และ Ca เป็ นค่าอัตราเร่งของพืนดินซึงคํานึงถึงการขยาย


กํ าลังคลื นเนื องจากสภาพชันดินลักษณะต่างๆ ดังนันค่าสัมประสิทธิ นี จึงขึนกับเขตความเสี ยง
ภัย (Z ) และประเภทของชันดิน (S ) ดังแสดงในตารางที 5.19-5.20 นอกจากนีในเขตทีมีความ
เสียงภัยสูงคือZone4 ค่าสัมประสิทธิ นียังขึนกับประเภทของแหล่งกํ าเนิดแผ่นดินไหว (Seismic
Source Type A,B,C) และค่าตัวประกอบสําหรับแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวในระยะใกล้ ( N a , Nv )
อีกด้ วย

ตารางที 5.19 สัมประสิทธิแรงแผ่ นดินไหว (Seismic Coefficients, Cv )


ประเภทของ เขตความเสียงภัย Z
ชันดิน Z=0.075 Z=0.15 Z=0.20 Z=0.30 Z=0.40
SA 0.06 0.12 0.16 0.24 0.32 Nv
SB 0.08 0.15 0.20 0.30 0.40 Nv
SC 0.13 0.25 0.32 0.45 0.56 Nv
SD 0.18 0.32 0.40 0.54 0.64 Nv
SE 0.26 0.50 0.64 0.84 0.96 Nv
SF สําหรับดินประเภทนีจะต้ องมีการสํารวจสภาพชันดิน
และทําการวิเคราะห์หาผลตอบสนองทางพลศาสตร์ ของชันดิน
132 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ตารางที 5.20 สัมประสิทธิแรงแผ่ นดินไหว (Seismic Coefficients, Ca )

ประเภทของ เขตความเสียงภัย Z
ชันดิน Z=0.075 Z=0.15 Z=0.20 Z=0.30 Z=0.40
SA 0.06 0.12 0.16 0.24 0.32 N a
SB 0.08 0.15 0.20 0.30 0.40 N a
SC 0.09 0.18 0.24 0.33 0.40 N a
SD 0.12 0.22 0.28 0.36 0.44 N a
SE 0.19 0.30 0.34 0.36 0.36 N a
SF สําหรับดินประเภทนีจะต้ องมีการสํารวจสภาพชันดิน
และทําการวิเคราะห์หาผลตอบสนองทางพลศาสตร์ ของชันดิน

5.5.8 ประเภทของชันดินทีตังอาคาร (Soil Profile Type, S)

การจําแนกประเภทของชันดินทีตังอาคารเป็ นการแสดงผลกระทบของลักษณะสภาพชัน
ดินต่อคลืนแผ่นดินไหวโดยใช้ สญ
ั ลักษณ์ S A ถึง SF ดังแสดงในตารางที 5.21

ตารางที 5.21 ประเภทของชันดินทีตังอาคาร (Soil Profile Type, S)

ประเภท ลักษณะชันดิน คุณสมบัตขิ องชันดินโดยเฉลียสําหรับช่ วง30เมตรแรก


ของชันดิน ความเร็วคลืน Standard Undrained Shear
Shear wave Penetration Strength
(m/s) Test(blows/foot) (kpa)
SA หินแข็ง >1,500 - -
SB หิน 760-1,500 - -
SC ดินแน่นมากและชันหินร่วน 360-760 >50 >100
SD ชันดินแข็ง 180-360 15-50 50-100
SE ชันดินอ่อน <180 <15 <50
SF สําหรับดินประเภทนีจะต้ องมีการสํารวจสภาพชันดินเป็ นพิเศษ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 133

5.5.9 ประเภทของแหล่ งกําเนิดแผ่ นดินไหว (Seismic Source Type A, B,C)

การจําแนกประเภทของแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวเป็ นการกําหนดขนาดความรุนแรงและ
ลักษณะการเคลือนตัวของรอยเลือนในบริเวณใกล้ โครงสร้ าง ซึงใช้ เฉพาะกับเขต Zone 4 เท่านัน
แสดงในตารางที 5.22

ตารางที 5.22 ประเภทของแหล่ งกําเนิดแผ่ นดินไหว (Seismic Source Type)

ประเภทของ ข้ อกําหนดของแหล่ งกําเนิดแผ่ นดินไหว


แหล่ งกําเนิด ลักษณะของแหล่ งกําเนิดแผ่ นดินไหว Moment Slip rate, SR
แผ่ นดินไหว Magnitude, M w (มม./ปี )
A รอยเลือนซึงให้ กําเนิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ M w t 7.0 SR t 5
และมีระดับการเคลือนตัวในเกณฑ์สงู
B รอยเลือนอืนๆนอกจากประเภท A และ C M w t 7.0 SR  5
M w  7.0 SR ! 2
M w t 6.5 SR  2
C รอยเลือนซึงไม่สามารถให้ กําเนิดแผ่นดินไหว
ขนาดใหญ่ได้ และมีระดับการเคลือนตัวใน M w  6.5 SR d 2
เกณฑ์คอ่ นข้ างตํา

5.5.10 ตัวประกอบสําหรับแหล่ งกําเนิดแผ่ นดินไหวในระยะใกล้


(Near Source Factors, Nv , N a )

ค่าตัวประกอบสําหรับแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวในระยะใกล้ Nv , N a แสดงในตารางที
5.23-5.24 ใช้ สําหรับเขตความเสียงภัย Zone4 ซึงใช้ ในการคํานวณหาค่าสัมประสิทธิแรง
แผ่นดินไหว Cv และ Ca ตามลําดับ
134 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ตารางที 5.23 ตัวประกอบสําหรับแหล่ งกําเนิดแผ่ นดินไหวในระยะใกล้ Nv

ประเภทของ ระยะทางทีใกล้ ทสุี ดไปยังแหล่ งกําเนิดแผ่ นดินไหว


แหล่ งกําเนิด d 2 กม. 5 กม. 10 กม. t 15 กม.
แผ่ นดินไหว
A 2.0 1.6 1.2 1.0
B 1.6 1.2 1.0 1.0
C 1.0 1.0 1.0 1.0

ตารางที 5.24 ตัวประกอบสําหรับแหล่ งกําเนิดแผ่ นดินไหวในระยะใกล้ Na

ประเภทของ ระยะทางทีใกล้ ทสุี ดไปยังแหล่ งกําเนิดแผ่ นดินไหว


แหล่ งกําเนิด d 2 กม. 5 กม. t 15 กม.
แผ่ นดินไหว
A 1.5 1.2 1.0
B 1.3 1.0 1.0
C 1.0 1.0 1.0

5.5.11 การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ ละชันอาคาร


(Distribution of Lateral Force, Fx ) แรงเฉือนในชันอาคารและโมเมนต์ พลิก
ควํา ( Vx , M x )

การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชันอาคาร( Fx ) รวมทังการ


คํานวณแรงเฉือนในชันอาคารและโมเมนต์พลิกควํา( Vx , M x ) ใช้ เกณฑ์เดียวกันกับข้ อกําหนด
UBC1994

5.5.12 แรงบิดและผลกระทบของโมเมนต์ ลาํ ดับสอง (Torsion and P-Delta Effect)

ข้ อกําหนด UBC1997 มีการพิจารณา Accidental torsion เช่นเดียวกันกับ UBC1994


โดยการพิจารณาว่าจุดศูนย์กลางมวลอาจมีการเยืองศูนย์ไป 5% ของขนาดผังอาคารในทิศทางตัง
ฉากกับแรงกระทํานัน นอกจากนี ยังเพิมเติมข้ อกําหนดอีกคือ ในกรณีทีค่าการโก่งตัวทีปลายใด
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 135

ปลายหนึงของโครงสร้ างมีคา่ มากกว่า 20% ของค่าเฉลียของการโก่งตัว จะจัดว่าอาคารนันมี


ความไม่สมําเสมอในส่วนการบิด และค่าการเยืองศูนย์ทีมิได้ ตงใจให้
ั เกิดขึน (accidental
eccentricity) จะต้ องมีการขยายเพิมขึนอีก ดังนี
2
ª G max º
Ax = « » d 3.0 (5.27)
¬«1.2G avg ¼»

โดยที G avg คือ ค่าการโก่งตัวเฉลียทีระดับชัน x


G max คือ ค่าการโก่งตัวสูงสุดทีระดับชัน x

ส่วนผลกระทบของโมเมนต์ลําดับสอง UBC1997กําหนดว่าหากดําเนินการคํานวณหา
ผลกระทบของ P' แล้ วพบว่ามีความสําคัญ จะต้ องนําผลกระทบของ P' มาใช้ ในการคํานวณหา
แรงภายในองค์อาคารและการโก่งตัวของโครงสร้ างด้ วย

5.5.13 ตัวคูณความน่ าเชือถือหรื อองค์ อาคารส่ วนเกินของโครงสร้ าง


(Reliability / Redundancy Factor, U )

UBC1997กําหนดว่าแรงเฉือนทีฐานอาคารจะต้ องมีการคูณด้ วยค่าตัวคูณความน่าเชือถือ


หรื อองค์อาคารส่วนเกินของระบบโครงสร้ างต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ าง ดังนี
6.1
1d U 2 d 1.5 (5.28)
rmax AB

โดยที AB คือ พืนทีชันล่างของอาคาร, ตร.ม.


rmax คือ ค่าอัตราส่วนสูงสุดของแรงเฉือนของเสาในชัน i (element story shear ratio, ri )
โดยคิดจากค่า ri ทีมากสุดในระดับ 2 3 ของส่วนล่างของอาคาร
ri คือ ค่าอัตราส่วนระหว่างแรงเฉือนในเสาทีมากทีสุดต่อแรงเฉือนของเสาทังหมด
สําหรับระดับชัน i
สําหรับโครงคํายัน (Braced frame) ค่า ri เท่ากับแรงเฉือนในเสาทีมากทีสุดหารด้ วยแรง
เฉือนของเสาทังหมดในชันนัน
สําหรับโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ (Moment-resisting frame) ค่า ri เท่ากับผลรวม
สูงสุดของแรงเฉือนในเสาสองต้ นทีอยูใ่ กล้ กนั ในโครงหนึงหารด้ วยแรงเฉือนของเสาทังหมดในชัน
136 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

นัน ในกรณีสําหรับเสาร่วมกันในโครงติดกันสองโครง ให้ ใช้ คา่ 70%ของแรงเฉือนในเสาต้ นในทีอยู่


ติดกัน สําหรับการคํานวณผลรวมของแรงเฉือน
สําหรับกําแพงรับแรงเฉือน (Shear wall) ค่า เท่ากับค่าสูงสุดของ i
V ˜ 3.05 lw
ri n
¦Vi
i 1
โดยที Vi คือ ค่าแรงเฉือนในกําแพงชินที i
lw คือ ความยาวของกําแพงชินที i , เมตร
n
¦Vi คือ ผลรวมของแรงเฉือนทังหมดในชันนัน
i 1
สําหรับ Special moment resisting frame หากค่า U มีคา่ เกินกว่า 1.25 จะต้ องเพิม
จํานวนโครงข้ อแข็งมากขึนอีก
ส่วนในการคํานวณค่าการเลือนตัวของอาคาร สําหรับเขต Zone 1 และ 2 ใชัคา่ U =1

5.5.14 ระยะจํากัดของการโยกตัว (Drift Limitation)

ในการคํานวณหาค่าการโยกตัว ให้ ใช้ แรงกระทําทางด้ านข้ างโดยไม่ต้องคํานึงถึงข้ อจํากัด


สําหรับแรงกระทําน้ อยสุดในสมการที 5.24 และสามารถใช้ คา่ คาบการสันธรรมชาติ T ตามที
คํานวณจาก Rayleigh’s formula ได้ ตามทีคํานวณได้ ในความเป็ นจริงโดยไม่มีการจํากัดค่า และ
ให้ ใช้ คา่ ตัวคูณความน่าเชือถือ U =1
UBC1997 กําหนดค่าการเคลือนตัวสูงสุดระหว่างชันให้ คํานวณจาก
'M = 0.7 R' s (5.29)
โดยที ' M คือ ค่าการเคลือนตัวสูงสุด (Maximum inelastic response displacement)
' s คือ ค่าการโยกตัวระหว่างชัน (Story drift)
R คือ ค่าสัมประสิทธิของระบบโครงสร้ าง
การคํานวณค่าการโยกตัวจะต้ องรวมทังค่าการเลือนตัวและการบิดตัวด้ วย หากตรวจสอบพบว่า
ผลกระทบของ P' มีคา่ มากจะต้ องนําผลกระทบนันมาคํานวณด้ วย
สําหรับโครงสร้ างซึงมีคา่ คาบการสันธรรมชาติน้อยกว่า 0.7 วินาที ค่าการโยกตัวสูงสุดใน
ระหว่างชันจํากัดดังนี
'M d ' allow = 0.025 h (5.30)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 137

สําหรับโครงสร้ างซึงมีคา่ คาบการสันธรรมชาติเท่ากับหรื อมากกว่า 0.7 วินาที ค่าการโยก


ตัวสูงสุดในระหว่างชันจํากัดดังนี
'M d ' allow = 0.020 h (5.31)

ตัวอย่ างที 5.3 อาคารคลังเก็บพัสดุ คอนกรี ตเสริมเหล็ก สูง 4 ชัน มีความสูงระหว่างชัน 3.6 ม.
มีคา่ นําหนักบรรทุกคงที 672 กก./ตร.ม. ซึงรวมทังนําหนักพืน คาน เสาและผนังกําแพง มีคา่
นําหนักบรรทุกจร 600 กก./ตร.ม. อาคารนีตังอยูใ่ นเขตพืนทีภาคเหนือของประเทศไทย ซึงเป็ นเขต
Seismic Zone 2B และชันดินทีใต้ ฐานรากเป็ นดินแข็ง จงใช้ ข้อกําหนด UBC1997 คํานวณหา
ก) แรงเฉือนทีฐานอาคาร เนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ข) แรงกระทําทีชันอาคารแต่ละชันและแรงเฉือนทีเกิดขึน
ค) ตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร

1 2 3 4 5 6 7 8 9

7.2 ม.

7.2 ม.

8@3.6 ม.= 28.8 ม.


รูปที 5.13 ผังอาคารและรูปตัดของอาคารคลังเก็บสินค้ า

กําหนดให้ เสาต้ นนอก ขนาดเสา สําหรับทุกชัน 0.30x0.50 ม.


เสาต้ นใน ขนาดเสา สําหรับชันที1 และ ชันที 2 0.30x0.60 ม.
สําหรับชันที 3 0.30x0.50 ม.
สําหรับชันที 4 0.30x0.40 ม.
138 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณหานําหนัก W ทีแต่ละชันอาคาร
เนืองจากอาคารนีเป็ นคลังเก็บพัสดุ จึงต้ องเพิมนําหนักอี ก 25% ของนําหนักบรรทุกจร
นําหนัก W สําหรับชันที 1, 2, 3 คือ W1, W2, W3 = 672 + 0.25 (600)
= 822 กก./ตร.ม.
ชันที 4 (ดาดฟ้า) W4 = 672 กก./ตร.ม.
พืนทีทังหมด = 28.8x14.4 = 414.72 ตร.ม.
เมือคิดเป็ นแรงกระทํา
W1 = W2 = W3 = (822 x 414.72) x 10-3 = 340.9 ตัน
-3
W4 = (672 x 414.72) x 10 = 278.7 ตัน
นําหนักทังหมด W = (340.9x3) + 278.7 = 1,301.4 ตัน

ขันตอนที 2 คํานวณแรงเฉือนทีฐาน
Cv I
V = W
RT
เมือ Z = 0.2 (Seismic Zone 2B)
I = 1.0 (ประเภทที 4 )
R = 5.5 (Intermediate Moment-Resisting Frame, IMRF)
S = S D (ชันดินแข็ง)
Cv =0.4 ( Z =0.2, SD )
คํานวณคาบการสันธรรมชาติของโครงสร้ างโดยประมาณ
Tn = C t hn ¾
เมือ Ct = 0.0731 (อาคารค.ส.ล.)
hn = 14.4 ม. (ความสูง 4 ชัน)
Tn = 0.0731 (14.4)3/4 = 0.54 วินาที
0.4 u1.0
ดังนัน V = 1,301.4
5.5 u 0.54
= 0.1347 1,301.4 = 175.3 ตัน
2.5Ca I
เทียบกับ V d W
R
2.5 u 0.28 u1.0
V d 1,301.4 = 0.127 1,301.4 = 165.3 ตัน <175.3
5.5
ดังนัน ใช้ V = 165.3 ตัน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 139

เทียบกับ V t 0.11Ca IW
t 0.11u 0.28 u1.0 u1,301.4 = 0.031 1,301.4 = 40.34 ตัน ใช้ ได้

ขันตอนที 3กระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชัน และแรงเฉือนทีเกิดขึน


คํานวณแรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉือน ดังแสดงในตารางที 5.25 และแสดงการกระจาย
ของแรงกระทําทางด้ านข้ างอาคารในรูปที 5.14
V  Ft Wx hx
Fx n และ Ft 0 ( T 0.54  0.7 )
¦ Wi hi
i 1
n
Vx Ft  ¦ Fi
i x
ตารางที 5.25 แรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉือนในแต่ ละชัน
ระดับชัน Wi hx Wxhx Fx Vx
(ตัน) (ม.) (ตัน-ม.) (ตัน) (ตัน)
4 278.7 14.4 4,013.28 58.31 58.31
3 340.9 10.8 3,681.72 53.49 111.80
2 340.9 7.2 2,454.48 35.66 147.46
1 340.9 3.6 1,227.24 17.83 165.29
6 = 11,376.72

A B C

F4 = 58.31 ตัน

F3 = 53.49 ตัน

F2 = 35.66 ตัน

F1 = 17.83 ตัน

V = 165.3 ตัน
รูปที 5.14 การกระจายของแรงกระทําทางด้ านข้ างอาคาร
140 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ขันตอนที 4 คํานวณหาระยะการเคลือนตัวของแต่ละชัน
12 EI cr
คํานวณค่าสติฟเนสของเสาแต่ละชัน จาก Ki =
h3
สําหรับเสาต้ นนอก Icr = 0.6 I g และ สําหรับเสาต้ นใน Icr = 0.8 I g
สําหรับเสาหน้ าตัดแตกร้ าว(Kappos,1986; Paulay&Priestley,1992)
12(2.3 u105 ) ­° 30(50)3 30(60)3 ½°
K1 K2 ˜ ® 0.6 ˜ (2 u 9)  0.8 ˜ 9 ¾ 4.29 u 105
(360)3 ¯° 12 12 ¿°
12(2.3 u105 ) ­° 30(50)3 30(50)3 ½°
K3 3
˜ ® 0.6 ˜ (2 u 9)  0.8 ˜ 9 ¾ 3.32 u 105
(360) ¯° 12 12 ¿°
12(2.3 u 105 ) ­° 30(50)3 30(40)3 ½°
K4 ˜ ® 0.6 ˜ (2 u 9)  0.8 ˜ 9¾ 2.67 u 105
(360)3 ¯° 12 12 ¿°
สมมุตใิ ห้ พืนอาคารเป็ นแบบแข็งเกร็ง (rigid floor)
ระยะการโยกตัวในแต่ละชัน (Story Drift) คํานวณจาก
Vx
'x
Ki
ค่าระยะการโยกตัวสูงสุดของแต่ละชัน (Maximum inelastic response displacement) คํานวณ
จาก ' M = 0.7 R' x

สําหรับ ระยะการโยกตัวและค่าระยะการโยกตัวสูงสุดของแต่ละชัน แสดงในตารางที 5.26

ตารางที 5.26 ค่ าระยะการโยกตัวทางด้ านข้ างในแต่ ละชัน


ระดับชัน แรงเฉือน สติฟเนส ระยะการโยกตัว ค่าระยะการโยกตัวสูงสุด
Vx (ตัน) K i (กก./ซม.) ' x (ซม.) ' M (ซม.)
5
4 58.31 2.67x10 0.218 0.84
5
3 111.80 3.32x10 0.337 1.30
5
2 147.46 4.29x10 0.344 1.32
5
1 165.29 4.29x10 0.385 1.48

UBC กําหนดค่าระยะการโยกตัวสูงสุด ไม่เกิน ' allow = 0.025hi


= 0.025(360) = 9 ซม.
จากตารางที 5.26 ค่าระยะการโยกตัวสูงสุดในแต่ละชัน ไม่เกินค่าที UBC กําหนดไว้
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 141

ขันตอนที 5 คํานวณคาบการสันธรรมชาติ โดยใช้ Rayleigh’s formula


n n
T 2S ¦ WiG i2 g ¦ fiG i
i 1 i 1
ค่าทีใช้ คํานวณแสดงในตารางที 5.27
ตารางที 5.27 การคํานวณค่ าคาบการสันธรรมชาติ โดยใช้ Rayleigh’s formula
ชัน นําหนัก การเคลือนตัว แรงกระทํา Wi Gi2 Fi Gi
Wi (ตัน) จากฐาน Gx(ซม.) ด้ านข้ าง Fi (ตัน) (ตัน-ซม.2) (ตัน-ซม.)
4 278.7 2.169 58.31 1311.16 126.47
3 340.9 1.820 53.49 1129.20 97.35
2 340.9 1.261 35.66 542.07 44.97
1 340.9 0.666 17.83 151.21 11.87
6 = 3,133.64 6 = 280.66

3,133.64
T 2S 0.67
9.81 u 100 280.66
ค่าทีคํานวณได้ นีมากกว่าค่าทีคํานวณโดยประมาณ (0.54 วินาที) ดังนัน หากต้ องการคํานวณแรง
เฉือนทีฐานอาคารโดยละเอียด อาจทําการคํานวณโดยใช้ T ใหม่ได้ แต่ในทีนี จะยังคงใช้ คา่ เดิม
ในการคํานวณต่อไป

ขันตอนที 6 ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์
n
Mx ¦ Fi hi  hx
i x 1
Accidental Torsional Moments Tx 0.05DVx = 0.05 u 28.8uVx
ตารางที 5.28 การคํานวณค่ า Overturning Moment
ชัน แรงกระทํา ความสูงระหว่างชัน โมเมนต์พลิกควํา แรงเฉือน โมเมนต์บิด
ด้ านข้ าง Fi (ตัน) hx (ม.) Mx (ตัน-ม.) Vx (ตัน) Tx (ตัน-ม.)
4 58.31 3.6 - 58.31 83.97
3 53.49 3.6 209.92 111.80 160.99
2 35.66 3.6 612.40 147.46 212.34
1 17.83 3.6 1,143.25 165.29 238.02
ฐาน 1,738.30
142 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ความปลอดภัยต่อการพลิกควํา
M Re act 1,301.4 u 7.2
S .F . 5.39 ! 1.5
M Act 1,738.30
ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควํามากกว่า 1.5 จึงใช้ ได้

ขันตอนที 7 ผลกระทบของ P'

Pn 'x
T
Vx hx
hx 360 ซม .

ตารางที 5.29 การคํานวณค่าสัมประสิทธิความมันคง (Stability Coefficient)


ชัน นําหนัก นําหนักสะสม การโยกตัว แรงเฉือน T
(ตัน) Px (ตัน) 'X (ซม.) Vx (ตัน)
4 278.7 278.7 0.218 58.31 0.0029
3 340.9 619.6 0.337 111.80 0.0052
2 340.9 960.5 0.344 147.46 0.0062
1 340.9 1,301.4 0.385 165.29 0.0084

จากข้ อกําหนด UBC1997 สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Seismic Zone 2 พบว่า ค่า
Stability Coefficient, T น้ อยกว่า 0.1 จึงไม่จําเป็ นต้ องนําผลกระทบของ P' มาคํานวณ

ขันตอนที 8 ตัวคูณความน่ าเชือถือหรื อองค์ อาคารส่ วนเกินของโครงสร้ าง


(Reliability / Redundancy Factor, U )
6.1
จาก U 2
rmax AB
คํานวณ rmax จากค่า70%ของแรงเฉือนสําหรับเสาร่วมกันในโครงติดกันสองโครง โดยสมมุติวา่
เสาภายในอาคารรับแรงเฉือนเท่ากัน ส่วนเสาภายนอกอาคารรับแรงเฉือนเท่ากับครึงหนึงของเสา
§V · V
0.7 ¨ ¸ 
ภายใน ดังนัน rmax = © 16 ¹ 32 = 0.075
V
6.1
U 2 = -1.99 < 1.0 ดังนันใช้ ค่า U =1.0
0.075 14.4 u 28.8
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 143

5.6 ข้ อกําหนดมาตรฐานการออกแบบอาคารต้ านทานการสันสะเทือนของ


แผ่ นดินไหว มยผ.1301/1302-61

5.6.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร
การคํานวณหาแรงเฉื อนทีฐานอาคารโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่าตามข้ อกําหนดมาตรฐาน
การออกแบบอาคารต้ านทานการสันสะเทือนของแผ่นดินไหว มยผ.1301/1302-61 คํานวณได้ ดงั นี
V = CsW (5.32)
§I·
= Sa ¨ ¸W (5.33)
©R¹
โดยที Csคือ สัมประสิทธิผลตอบสนองแรงแผ่นดินไหว
W คือ นําหนักโครงสร้ างประสิทธิผล
Sa คือ ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบ Sa ทีคาบการสันพืนฐาน
ของอาคาร T
R คือ ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง

I คือ ค่าตัวประกอบความสําคัญของอาคาร

และ Cs ต้ องมีคา่ ไม่น้อยกว่า 0.01

5.6.2 ค่ าความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบ


(Design Spectral Acceleration Sa )

ค่าความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบ Sa ตามมาตรฐาน มยผ.1302


แบ่งออกเป็ น 2 บริเวณ ได้ แก่ 1) บริเวณพืนทีทัวประเทศทีตังอยู่นอกเขตแอ่งกรุงเทพ และ 2) พืนที
ในแอ่ง กรุ งเทพ ทังนี เนื องจากพืนที ในแอ่ง กรุ ง เทพ มีโอกาสที จะเกิ ดการขยายกํ าลัง ของคลื น
แผ่นดินไหวจากแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ทีอยู่ในระยะไกลได้ จึงมีการจัดทําค่า Sa แยก
ออกมาจากพืนทีทัวไป ดังนัน จึงขอแยกการพิจารณาค่า Sa ดังนี
144 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ก) บริเวณพืนทีทัวประเทศทีตังอยู่นอกเขตแอ่ งกรุ งเทพ


ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบ Sa ให้ ใช้ ตามรูปที 5.15

Sa ( g ) Sa ( g )

S DS S D1
S D1
S D1 Sa
Sa T
S D1 T S DS

S D1
Ts
S DS
Ts 1.0 2.0 T (sec) 0.2 Ts 1.0 2.0 T (sec)

ก) กรณี S D1 d SDS ข) กรณี S D1 ! S DS

รูปที 5.15 ค่ าความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบ Sa ในพืนทีทัวไป

S DS และ S D1 คือ ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบทีคาบการสัน


ในช่วงสันและทีคาบการสัน 1.0 วินาที ตามลําดับ คํานวณได้ จาก
2
S DS S MS (5.34)
3
2
S D1 SM 1 (5.35)
3
SMS คือ ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปคตัมทีคาบการสัน . วินาที ปรับแก้ เนืองจากผลของชัน
ดินทีตังอาคาร หน่วยเป็ น ความเร่งจากแรงโนมถ่วงโลก (g)
SM 1 คือ ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปคตัมทีคาบการสัน 1. วินาที ปรับแก้ เนืองจากผลของชัน
ดินทีตังอาคาร หน่วยเป็ น ความเร่งจากแรงโนมถ่วงโลก (g)
คํานวณได้ จาก
SMS Fa Ss (5.36)
SM 1 Fv S1 (5.37)
Fa คือ สัมประสิทธิสําหรับชันดิน ณทีตังอาคาร สําหรับคาบการสัน 0.2 วินาที
Fv คือ สัมประสิทธิสําหรับชันดิน ณทีตังอาคาร สําหรับคาบการสัน 1.0 วินาที
ค่าสัมประสิทธิ Fa และ Fv หาได้ จากตารางที 5.30 และ 5.31
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 145

ตารางที 5.30 ค่ าสัมประสิทธิสําหรั บชันดิน ณ ทีตังอาคาร Fa


ประเภทของ ความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมของแผ่ นดินไหวรุ นแรงสูงสุดทีพิจารณา
ชันดิน ทีคาบ 0.2 วินาที (g)
SS d 0.25 SS = 0.5 SS = 0.75 SS = 1.0 SS t 1.25
A 0.8 0.8 0.8 0.8 0.8
B 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0
C 1.2 1.2 1.1 1.0 1.0
D 1.6 1.4 1.2 1.1 1.0
E 2.5 1.7 1.2 0.9 0.9
F จําเป็ นต้ องทําการวิเคราะห์การตอบสนองของดินเป็ นกรณีๆไป

ตารางที 5.31 ค่ าสัมประสิทธิสําหรั บชันดิน ณ ทีตังอาคาร Fv


ประเภทของ ความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมของแผ่ นดินไหวรุ นแรงสูงสุดทีพิจารณา
ชันดิน ทีคาบ 1.0 วินาที (g)
S1 d 0.1 S1 = 0.2 S1 = 0.3 S1 = 0.4 S1 t 0.5
A 0.8 0.8 0.8 0.8 0.8
B 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0
C 1.7 1.6 1.5 1.4 1.3
D 2.4 2.0 1.8 1.6 1.5
E 3.5 3.2 2.8 2.4 2.4
F จําเป็ นต้ องทําการวิเคราะห์การตอบสนองของดินเป็ นกรณีๆไป

สําหรับประเภทของชันดินแบ่งออกเป็ น 6 ประเภท คือ A (หินแข็ง), B (หิน), C (ดินแข็ง),


D (ดินปกติ), E (ดินอ่อน), หรื อ F (ดินทีมีลกั ษณะพิเศษ) ในกรณีทีไม่มีข้อมูลดิน และไม่สามารถ
ทําการสํารวจดินได้ ให้ สมมุตวิ า่ ประเภทชันดินเป็ นแบบประเภท D
Ss และ S1 คือ ค่าความเร่ งตอบสนองเชิ ง สเปคตรั มของแผ่นดินไหวรุ นแรงสูง สุด ที
พิจารณา (Maximum Considered Earthquake) ทีคาบการสัน 0.2 วินาที และคาบการสัน 1.0
วินาที ตามลําดับ ซึงแสดงไว้ ในตารางที 5.32 ค่าความเร่งตอบสนองทีแสดงในตารางนี ได้ มาจาก
การวิเคราะห์ความเสียงภัยแผ่นดินไหว โดยสมมุตใิ ห้ สภาพชันดินในทุกๆพืนทีเป็ นแบบดินแข็งหรื อ
หิน ทีมีความเร็วคลืนเฉือนโดยเฉลียในช่วงจากผิวดินถึงความลึก 30 เมตรเท่ากับ 760 เมตร/วินาที
146 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ตารางที่ 5.32 ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมทีคาบ ค่าความเร่ง


สัน . วินาที S S และ ทีคาบ วินาที S1 ของ จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
แผ่นดินไหวรุนแรงสูงสุดทีพิจารณา SS S1
ยางตลาด 0.048 0.028
ค่าความเร่ง ร่องคํา 0.045 0.027
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม สามชัย 0.061 0.031
SS S1
สมเด็จ 0.053 0.030
กระบี เกาะลันตา 0.143 0.089 สหัสขันธ์ 0.055 0.030
เขาพนม 0.227 0.108 หนองกุงศรี 0.055 0.030
คลองท่อม 0.147 0.129 ห้ วยผึง 0.052 0.029
ปลายพระยา 0.263 0.100 ห้ วยเม็ก 0.054 0.030
เมืองกระบี 0.218 0.105 กําแพงเพชร โกสัมพีนคร 0.469 0.133
ลําทับ 0.158 0.090 ขาณุวรลักษบุรี 0.363 0.108
เหนือคลอง 0.195 0.088 คลองขลุง 0.332 0.104
อ่าวลึก 0.267 0.110 คลองลาน 0.496 0.149
กาญจนบุรี ด่านมะขามเตีย 0.862 0.316 ทรายทองวัฒนา 0.252 0.086
ทองผาภูมิ 0.728 0.200 ไทรงาม 0.252 0.084
ท่าม่วง 0.802 0.275 บึงสามัคคี 0.205 0.077
ท่ามะกา 0.481 0.154 ปางศิลาทอง 0.493 0.147
ไทรโยค 0.747 0.210 พรานกระต่าย 0.433 0.117
บ่อพลอย 0.659 0.197 เมืองกําแพงเพชร 0.434 0.122
พนมทวน 0.452 0.136 ลานกระบือ 0.327 0.094
เมืองกาญจนบุรี 0.642 0.241 ขอนแก่น กระนวน 0.060 0.031
เลาขวัญ 0.487 0.138 เขาสวนกวาง 0.074 0.033
ศรี สวัสดิ 0.752 0.208 โคกโพธิไชย 0.050 0.031
สังขละบุรี 0.840 0.234 ชนบท 0.048 0.029
หนองปรื อ 0.674 0.199 ชุมแพ 0.080 0.035
ห้ วยกระเจา 0.520 0.155 ซําสูง 0.054 0.030
กาฬสินธุ์ กมลาไสย 0.046 0.028 โนนศิลา 0.045 0.029
กุฉินารายณ์ 0.049 0.028 นําพอง 0.064 0.032
เขาวง 0.054 0.029 บ้ านแฮด 0.049 0.029
คําม่วง 0.059 0.031 บ้ านไผ่ 0.047 0.029
ฆ้ องชัย 0.046 0.028 บ้ านฝาง 0.056 0.031
ดอนจาน 0.048 0.028 หนองนาคํา 0.087 0.036
ท่าคันโท 0.070 0.033 เปื อยน้ อย 0.043 0.028
นาคู 0.055 0.029 พระยืน 0.053 0.030
นามน 0.050 0.029 พล 0.044 0.029
เมืองกาฬสินธุ์ 0.048 0.028 ภูผาม่าน 0.110 0.038
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 147

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
ภูเวียง 0.074 0.034 เมืองชัยนาท 0.170 0.075
มัญจาคีรี 0.050 0.030 วัดสิงห์ 0.207 0.083
เมืองขอนแก่น 0.053 0.030 สรรคบุรี 0.161 0.073
แวงน้ อย 0.045 0.030 สรรพยา 0.126 0.064
แวงใหญ่ 0.047 0.029 หันคา 0.220 0.088
สีชมพู 0.098 0.037 ชัยภูมิ เกษตรสมบูรณ์ 0.075 0.035
หนองเรื อ 0.059 0.032 แก้ งคร้ อ 0.052 0.032
หนองสองห้ อง 0.042 0.028 คอนสวรรค์ 0.048 0.031
อุบลรัตน์ 0.072 0.033 คอนสาร 0.104 0.038
จันทบุรี แก่งหางแมว 0.049 0.033 จัตรุ ัส 0.045 0.032
ขลุง 0.040 0.030 ซับใหญ่ 0.048 0.034
เขาคิชฌกูฏ 0.043 0.031 เทพสถิต 0.048 0.035
ท่าใหม่ 0.044 0.032 เนินสง่า 0.045 0.032
นายายอาม 0.049 0.033 บ้ านเขว้ า 0.049 0.032
โป่ งนําร้ อน 0.040 0.029 บ้ านแท่น 0.061 0.032
มะขาม 0.041 0.030 บําเหน็จณรงค์ 0.047 0.033
เมืองจันทบุรี 0.041 0.030 ภักดีชมุ พล 0.059 0.036
สอยดาว 0.041 0.029 ภูเขียว 0.060 0.032
แหลมสิงห์ 0.042 0.031 เมืองชัยภูมิ 0.047 0.031
ฉะเชิงเทรา ท่าตะเกียบ 0.054 0.034 หนองบัวแดง 0.059 0.034
แปลงยาว 0.089 0.042 หนองบัวระเหว 0.050 0.033
พนมสารคาม 0.058 0.036 ชุมพร ท่าแซะ 0.108 0.078
สนามชัยเขต 0.068 0.038 ทุง่ ตะโก 0.160 0.079
ชลบุรี เกาะจันทร์ 0.096 0.042 ปะทิว 0.097 0.075
เกาะสีชงั 0.153 0.056 พะโต๊ ะ 0.286 0.093
บ่อทอง 0.084 0.039 เมืองชุมพร 0.120 0.080
บางละมุง 0.117 0.048 ละแม 0.188 0.082
บ้ านบึง 0.118 0.045 สวี 0.149 0.080
พนัสนิคม 0.114 0.046 หลังสวน 0.180 0.082
ศรี ราชา 0.141 0.049 เชียงราย ขุนตาล 0.769 0.175
สัตหีบ 0.116 0.049 เชียงของ 0.796 0.202
หนองใหญ่ 0.094 0.040 เชียงแสน 0.984 0.296
ชัยนาท เนินขาม 0.362 0.116 ดอยหลวง 1.015 0.329
หนองมะโมง 0.385 0.119 เทิง 0.763 0.160
มโนรมย์ 0.150 0.069 ป่ าแดด 0.772 0.157
148 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
พญาเม็งราย 0.787 0.188 ฮอด 0.849 0.237
พาน 0.831 0.175 ตรัง กันตัง 0.199 0.096
เมืองเชียงราย 0.917 0.250 นาโยง 0.199 0.089
แม่จนั 1.022 0.306 ปะเหลียน 0.196 0.094
แม่ฟา้ หลวง 1.015 0.292 เมืองตรัง 0.195 0.091
แม่ลาว 0.884 0.220 รัษฎา 0.149 0.085
แม่สรวย 0.894 0.212 ย่านตาขาว 0.216 0.092
แม่สาย 0.981 0.278 วังวิเศษ 0.164 0.094
เวียงแก่น 0.767 0.182 สิเกา 0.154 0.097
เวียงเชียงรุ้ง 0.931 0.267 หาดสําราญ 0.192 0.097
เวียงชัย 0.879 0.229 ห้ วยยอด 0.161 0.091
เวียงป่ าเป้า 0.855 0.195 ตราด เกาะกูด 0.036 0.027
เชียงใหม่ จอมทอง 0.893 0.243 เกาะช้ าง 0.038 0.029
เชียงดาว 1.019 0.266 เขาสมิง 0.038 0.028
ไชยปราการ 1.018 0.265 คลองใหญ่ 0.034 0.023
ดอยเต่า 0.834 0.237 บ่อไร่ 0.037 0.027
ดอยสะเก็ด 0.910 0.225 เมืองตราด 0.036 0.027
ดอยหล่อ 0.926 0.248 แหลมงอบ 0.037 0.028
ฝาง 1.038 0.282 ตาก ท่าสองยาง 0.733 0.185
พร้ าว 0.953 0.238 บ้ านตาก 0.561 0.154
เมืองเชียงใหม่ 0.963 0.248 พบพระ 0.597 0.156
แม่แจ่ม 0.891 0.242 เมืองตาก 0.543 0.142
แม่แตง 0.992 0.260 แม่ระมาด 0.635 0.172
แม่ริม 0.984 0.254 แม่สอด 0.609 0.156
แม่วาง 0.936 0.248 วังเจ้ า 0.535 0.137
แม่อาย 1.080 0.317 สามเงา 0.577 0.163
แม่ออน 0.867 0.187 อุ้มผาง 0.607 0.184
เวียงแหง 1.032 0.274 นครปฐม กําแพงแสน 0.279 0.101
สะเมิง 0.967 0.258 นครพนม ท่าอุเทน 0.307 0.064
สันกําแพง 0.926 0.230 ธาตุพนม 0.087 0.032
สันทราย 0.973 0.251 นาแก 0.077 0.031
สันป่ าตอง 0.938 0.244 นาทม 0.255 0.059
สารภี 0.927 0.236 นาหว้ า 0.129 0.040
หางดง 0.931 0.243 บ้ านแพง 0.336 0.072
อมก๋อย 0.857 0.244 ปลาปาก 0.125 0.038
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 149

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
โพนสวรรค์ 0.213 0.050 หนองบุนนาก 0.039 0.028
เมืองนครพนม 0.283 0.060 ห้ วยแถลง 0.039 0.028
เรณูนคร 0.109 0.035 นครศรี ธรรมราช ขนอม 0.116 0.067
วังยาง 0.091 0.033 จุฬาภรณ์ 0.156 0.079
ศรี สงคราม 0.228 0.053 ฉวาง 0.180 0.082
นครราชสีมา แก้ งสนามนาง 0.045 0.030 เฉลิมพระเกียรติ 0.167 0.074
ขามทะเลสอ 0.042 0.031 ชะอวด 0.143 0.077
ขามสะแกแสง 0.043 0.030 ช้ างกลาง 0.181 0.081
คง 0.041 0.029 เชียรใหญ่ 0.162 0.071
ครบุรี 0.040 0.029 ถําพรรณรา 0.195 0.086
จักราช 0.039 0.028 ท่าศาลา 0.211 0.070
เฉลิมพระเกียรติ 0.040 0.029 ทุง่ สง 0.162 0.082
ชุมพวง 0.039 0.027 ทุง่ ใหญ่ 0.174 0.087
โชคชัย 0.040 0.030 นบพิตํา 0.186 0.075
ด่านขุนทด 0.045 0.033 นาบอน 0.170 0.082
เทพารักษ์ 0.047 0.035 บางขัน 0.147 0.088
โนนแดง 0.041 0.028 ปากพนัง 0.169 0.068
โนนไทย 0.043 0.031 พรหมคีรี 0.205 0.074
โนนสูง 0.041 0.029 พระพรหม 0.184 0.074
บัวลาย 0.043 0.029 พิปนู 0.192 0.079
บัวใหญ่ 0.043 0.029 เมือง 0.201 0.072
บ้ านเหลือม 0.045 0.031 ร่อนพิบลู ย์ 0.156 0.077
ประทาย 0.041 0.028 ลานสกา 0.193 0.077
ปั กธงชัย 0.042 0.032 สิชล 0.160 0.068
ปากช่อง 0.048 0.036 หัวไทร 0.112 0.069
พระทองคํา 0.043 0.031 นครสวรรค์ เก้ าเลียว 0.171 0.070
พิมาย 0.040 0.028 โกรกพระ 0.226 0.084
เมืองนครราชสีมา 0.041 0.030 ชุมตาบง 0.473 0.141
เมืองยาง 0.039 0.027 ชุมแสง 0.116 0.058
ลําทะเมนชัย 0.039 0.026 ตากฟ้า 0.090 0.054
วังนําเขียว 0.043 0.032 ตาคลี 0.112 0.061
สีดา 0.042 0.028 ท่าตะโก 0.091 0.053
สีคิว 0.043 0.033 บรรพตพิสยั 0.221 0.081
สูงเนิน 0.043 0.032 พยุหะคีรี 0.165 0.072
เสิงสาง 0.038 0.028 ไพศาลี 0.077 0.049
150 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
เมืองนครสวรรค์ 0.175 0.072 เมืองบึงกาฬ 0.310 0.071
แม่เปิ น 0.518 0.155 บึงโขงหลง 0.302 0.067
แม่วงก์ 0.494 0.148 บุง่ คล้ า 0.330 0.075
ลาดยาว 0.449 0.130 ปากคาด 0.241 0.059
หนองบัว 0.083 0.050 พรเจริ ญ 0.202 0.053
นราธิวาส จะแนะ 0.063 0.061 ศรี วิไล 0.263 0.064
เจาะไอร้ อง 0.058 0.057 บุรีรัมย์ กระสัง 0.036 0.024
ตากใบ 0.056 0.053 แคนดง 0.038 0.026
บาเจาะ 0.058 0.058 บ้ านด่าน 0.037 0.025
เมืองนราธิวาส 0.057 0.056 คูเมือง 0.038 0.026
ยีงอ 0.059 0.058 เฉลิมพระเกียรติ 0.036 0.025
ระแงะ 0.060 0.059 ชํานิ 0.037 0.026
รื อเสาะ 0.062 0.061 นางรอง 0.037 0.026
แว้ ง 0.061 0.058 นาโพธิ 0.041 0.027
ศรี สาคร 0.063 0.062 โนนดินแดง 0.036 0.026
สุคิริน 0.062 0.060 โนนสุวรรณ 0.037 0.027
สุไหงโกลก 0.059 0.056 บ้ านกรวด 0.034 0.024
สุไหงปาดี 0.059 0.057 บ้ านใหม่ไชยพจน์ 0.041 0.027
น่าน เฉลิมพระเกียรติ 0.705 0.148 ประโคนชัย 0.035 0.025
เชียงกลาง 0.826 0.216 ปะคํา 0.037 0.026
ท่าวังผา 0.927 0.222 พลับพลาชัย 0.035 0.024
ทุง่ ช้ าง 0.773 0.192 พุทไธสง 0.040 0.027
นาน้ อย 0.709 0.124 เมืองบุรีรัมย์ 0.036 0.025
นาหมืน 0.718 0.128 ละหานทราย 0.036 0.026
บ่อเกลือ 0.664 0.138 ลําปลายมาศ 0.037 0.026
บ้ านหลวง 0.714 0.133 สตึก 0.037 0.025
ปั ว 0.924 0.236 หนองกี 0.038 0.028
ภูเพียง 0.732 0.154 หนองหงส์ 0.038 0.027
เมืองน่าน 0.738 0.150 ห้ วยราช 0.036 0.025
แม่จริ ม 0.668 0.133 ประจวบคีรีขนั ธ์ กุยบุรี 0.277 0.085
เวียงสา 0.689 0.126 ทับสะแก 0.185 0.079
สองแคว 0.793 0.168 บางสะพาน 0.158 0.078
สันติสขุ 0.738 0.177 บางสะพานน้ อย 0.120 0.074
บึงกาฬ เซกา 0.206 0.053 ปราณบุรี 0.275 0.085
โซ่พิสยั 0.196 0.052 เมือง 0.263 0.086
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 151

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
สามร้ อยยอด 0.290 0.087 แม่ใจ 0.797 0.156
หัวหิน 0.246 0.081 พังงา กะปง 0.253 0.117
ปราจีนบุรี กบินทร์ บรุ ี 0.047 0.033 เกาะยาว 0.282 0.117
นาดี 0.045 0.033 คุระบุรี 0.323 0.116
ประจันตคาม 0.050 0.035 ตะกัวทุง่ 0.273 0.118
เมืองปราจีนบุรี 0.052 0.036 ตะกัวป่ า 0.261 0.119
ศรี มหาโพธิ 0.051 0.034 ทับปุด 0.267 0.109
ศรี มโหสถ 0.061 0.038 ท้ ายเหมือง 0.267 0.125
ปั ตตานี กะพ้ อ 0.060 0.059 เมืองพังงา 0.272 0.114
โคกโพธิ 0.065 0.066 พัทลุง กงหรา 0.078 0.085
ทุง่ ยางแดง 0.061 0.060 เขาชัยสน 0.074 0.080
ปะนาเระ 0.058 0.058 ควนขนุน 0.072 0.078
มายอ 0.060 0.060 ตะโหมด 0.078 0.084
เมืองปัตตานี 0.062 0.062 บางแก้ ว 0.074 0.080
แม่ลาน 0.064 0.064 ปากพยูน 0.072 0.077
ไม้ แก่น 0.058 0.057 ป่ าพะยอม 0.075 0.082
ยะรัง 0.062 0.062 ป่ าบอน 0.076 0.082
ยะหริ ง 0.060 0.061 เมืองพัทลุง 0.073 0.079
สายบุรี 0.058 0.057 ศรี นคริ นทร์ 0.077 0.084
หนองจิก 0.064 0.065 ศรี บรรพต 0.077 0.083
พระนครศรี อยุธ นครหลวง 0.108 0.059 พิจิตร ดงเจริ ญ 0.088 0.050
บางซ้ าย 0.160 0.073 ตะพานหิน 0.106 0.053
บางปะหัน 0.114 0.060 ทับคล้ อ 0.085 0.047
บ้ านแพรก 0.103 0.057 บางมูลนาก 0.106 0.055
ผักไห่ 0.150 0.070 บึงนาราง 0.155 0.064
ภาชี 0.095 0.055 โพทะเล 0.134 0.062
มหาราช 0.108 0.059 โพธิประทับช้ าง 0.131 0.059
พะเยา จุน 0.756 0.141 เมืองพิจิตร 0.132 0.058
เชียงคํา 0.737 0.142 วชิรบารมี 0.192 0.070
เชียงม่วน 0.745 0.132 วังทรายพูน 0.109 0.051
ดอกคําใต้ 0.756 0.138 สากเหล็ก 0.121 0.054
ปง 0.714 0.137 สามง่าม 0.165 0.064
ภูกามยาว 0.768 0.143 พิษณุโลก ชาติตระการ 0.418 0.096
ภูซาง 0.740 0.146 นครไทย 0.291 0.070
เมืองพะเยา 0.781 0.146 เนินมะปราง 0.125 0.051
152 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
บางกระทุม่ 0.140 0.057 มหาสารคาม กันทรวิชยั 0.048 0.028
บางระกํา 0.268 0.080 กุดรัง 0.045 0.028
พรหมพิราม 0.415 0.104 แกดํา 0.043 0.027
เมืองพิษณุโลก 0.249 0.074 โกสุมพิสยั 0.047 0.029
วังทอง 0.225 0.068 ชืนชม 0.053 0.030
วัดโบสถ์ 0.368 0.091 เชียงยืน 0.050 0.029
เพชรบุรี แก่งกระจาน 0.290 0.111 นาเชือก 0.042 0.027
ชะอํา 0.223 0.083 นาดูน 0.040 0.026
ท่ายาง 0.207 0.085 บรบือ 0.044 0.028
บ้ านลาด 0.191 0.085 พยัคฆภูมิพิสยั 0.039 0.026
บ้ านแหลม 0.202 0.089 เมือง 0.045 0.028
เมืองเพชรบุรี 0.179 0.079 ยางสีสรุ าช 0.040 0.027
หนองหญ้ าปล้ อง 0.269 0.110 วาปี ปทุม 0.041 0.026
เพชรบูรณ์ เขาค้ อ 0.153 0.049 มุกดาหาร คําชะอี 0.052 0.028
ชนแดน 0.079 0.044 ดงหลวง 0.060 0.030
นําหนาว 0.200 0.049 ดอนตาล 0.045 0.026
บึงสามพัน 0.060 0.040 นิคมคําสร้ อย 0.047 0.026
เมืองเพชรบูรณ์ 0.110 0.042 เมืองมุกดาหาร 0.052 0.027
วังโป่ ง 0.093 0.046 หนองสูง 0.048 0.027
วิเชียรบุรี 0.055 0.039 หว้ านใหญ่ 0.062 0.029
ศรี เทพ 0.055 0.040 แม่ฮ่องสอน ขุนยวม 0.888 0.208
หนองไผ่ 0.065 0.039 ปางมะผ้ า 1.059 0.270
หล่มเก่า 0.221 0.054 ปาย 1.019 0.269
หล่มสัก 0.205 0.052 เมืองแม่ฮ่องสอน 0.962 0.227
แพร่ เด่นชัย 0.853 0.197 แม่ลาน้ อย 0.837 0.199
เมืองแพร่ 0.919 0.214 แม่สะเรี ยง 0.832 0.195
ร้ องกวาง 0.795 0.146 สบเมย 0.834 0.201
ลอง 0.880 0.185 ยโสธร กุดชุม 0.041 0.025
วังชิน 1.086 0.275 ค้ อวัง 0.035 0.023
สอง 0.794 0.142 คําเขือนแก้ ว 0.037 0.024
สูงเม่น 0.854 0.197 ทรายมูล 0.040 0.025
หนองม่วงไข่ 0.843 0.191 ไทยเจริ ญ 0.041 0.025
ภูเก็ต กะทู้ 0.306 0.130 ป่ าติว 0.038 0.024
ถลาง 0.313 0.129 มหาชนะชัย 0.036 0.024
เมืองภูเก็ต 0.299 0.129 เมืองยโสธร 0.039 0.025
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 153

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
เลิงนกทา 0.043 0.026 เขาชะเมา 0.057 0.035
ยะลา กรงปิ นงั 0.066 0.066 นิคมพัฒนา 0.094 0.042
กาบัง 0.071 0.072 บ้ านค่าย 0.080 0.040
ธารโต 0.071 0.071 บ้ านฉาง 0.094 0.044
บันนังสตา 0.067 0.066 ปลวกแดง 0.118 0.045
เบตง 0.078 0.076 เมืองระยอง 0.088 0.042
เมืองยะลา 0.064 0.064 วังจันทร์ 0.067 0.037
ยะหา 0.067 0.068 ราชบุรี บ้ านคา 0.308 0.121
รามัน 0.062 0.062 จอมบึง 0.498 0.179
ร้ อยเอ็ด เกษตรวิสยั 0.038 0.025 บ้ านโป่ ง 0.361 0.128
จตุรพักตรพิมาน 0.040 0.026 โพธาราม 0.348 0.123
จังหาร 0.044 0.027 สวนผึง 0.421 0.150
เชียงขวัญ 0.043 0.027 ลพบุรี โคกเจริ ญ 0.066 0.045
ทุง่ เขาหลวง 0.041 0.026 โคกสําโรง 0.080 0.052
ธวัชบุรี 0.042 0.026 ชัยบาดาล 0.054 0.040
ปทุมรัตต์ 0.039 0.026 ท่าวุ้ง 0.107 0.060
พนมไพร 0.038 0.024 ท่าหลวง 0.055 0.041
โพธิชัย 0.044 0.027 บ้ านหมี 0.094 0.055
โพนทราย 0.037 0.024 พัฒนานิคม 0.063 0.044
โพนทอง 0.045 0.027 เมืองลพบุรี 0.080 0.051
เมยวดี 0.046 0.027 ลําสนธิ 0.048 0.036
เมืองร้ อยเอ็ด 0.042 0.027 สระโบสถ์ 0.070 0.047
เมืองสรวง 0.040 0.026 หนองม่วง 0.080 0.051
ศรี สมเด็จ 0.042 0.027 ลําปาง เกาะคา 0.813 0.184
สุวรรณภูมิ 0.038 0.025 งาว 0.784 0.142
เสลภูมิ 0.041 0.026 แจ้ หม่ 0.811 0.160
หนองพอก 0.045 0.027 เถิน 0.651 0.166
หนองฮี 0.037 0.024 เมืองปาน 0.814 0.170
อาจสามารถ 0.040 0.025 เมืองลําปาง 0.835 0.177
ระนอง กระบุรี 0.184 0.089 แม่ทะ 0.930 0.210
กะเปอร์ 0.352 0.105 แม่พริ ก 0.636 0.162
เมืองระนอง 0.310 0.098 แม่เมาะ 0.838 0.155
ละอุน่ 0.249 0.092 วังเหนือ 0.898 0.195
สุขสําราญ 0.355 0.112 สบปราบ 0.935 0.264
ระยอง แกลง 0.056 0.036 เสริ มงาม 0.775 0.195
154 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
ห้ างฉัตร 0.814 0.178 ภูสงิ ห์ 0.031 0.021
ลําพูน ทุง่ หัวช้ าง 0.809 0.213 เมืองจันทร์ 0.035 0.023
บ้ านธิ 0.872 0.209 เมืองศรี สะเกษ 0.034 0.022
บ้ านโฮ่ง 0.876 0.237 ยางชุมน้ อย 0.034 0.022
ป่ าซาง 0.915 0.240 ราษี ไศล 0.035 0.023
เมืองลําพูน 0.908 0.232 วังหิน 0.033 0.022
แม่ทา 0.851 0.211 ศิลาลาด 0.036 0.024
ลี 0.765 0.209 ศรี รัตนะ 0.032 0.021
เวียงหนองล่อง 0.894 0.245 ห้ วยทับทัน 0.034 0.023
เลย เชียงคาน 0.265 0.066 อุทมุ พรพิสยั 0.034 0.023
ด่านซ้ าย 0.287 0.068 สกลนคร กุดบาก 0.069 0.033
ท่าลี 0.283 0.069 กุสมุ าลย์ 0.123 0.038
นาด้ วง 0.172 0.047 คําตากล้ า 0.176 0.048
นาแห้ ว 0.390 0.087 โคกศรี สพุ รรณ 0.075 0.032
ปากชม 0.202 0.053 เจริ ญศิลป์ 0.113 0.039
ผาขาว 0.152 0.043 เต่างอย 0.065 0.031
ภูกระดึง 0.148 0.042 นิคมนําอูน 0.074 0.034
ภูเรื อ 0.279 0.066 บ้ านม่วง 0.150 0.045
ภูหลวง 0.239 0.055 พรรณานิคม 0.087 0.035
เมืองเลย 0.215 0.054 พังโคน 0.088 0.036
วังสะพุง 0.222 0.053 โพนนาแก้ ว 0.102 0.035
หนองหิน 0.193 0.049 ภูพาน 0.061 0.031
เอราวัณ 0.177 0.047 เมืองสกลนคร 0.082 0.033
ศรี สะเกษ กันทรลักษ์ 0.030 0.020 วานรนิวาส 0.119 0.040
กันทรารมย์ 0.033 0.022 วาริ ชภูมิ 0.082 0.035
ขุขนั ธ์ 0.032 0.021 สว่างแดนดิน 0.094 0.037
ขุนหาญ 0.031 0.021 ส่องดาว 0.093 0.037
นําเกลียง 0.032 0.021 อากาศอํานวย 0.143 0.043
โนนคูณ 0.032 0.021 สงขลา กระแสสินธ์ 0.069 0.074
บึงบูรพ์ 0.035 0.024 คลองหอยโข่ง 0.077 0.082
เบญจลักษ์ 0.031 0.020 ควนเนียง 0.073 0.078
ปรางค์กู่ 0.033 0.022 จะนะ 0.069 0.073
พยุห์ 0.033 0.022 เทพา 0.066 0.068
โพธิศรี สวุ รรณ 0.035 0.023 นาทวี 0.072 0.075
ไพรบึง 0.032 0.021 นาหม่อม 0.072 0.076
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 155

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
บางกลํา 0.074 0.079 หนองแค 0.076 0.055
เมืองสงขลา 0.069 0.073 หนองแซง 0.089 0.053
ระโนด 0.068 0.072 หนองโดน 0.090 0.054
รัตภูมิ 0.077 0.083 สิงห์บรุ ี ค่ายบางระจัน 0.121 0.063
สิงหนคร 0.069 0.073 ท่าช้ าง 0.119 0.063
สทิงพระ 0.069 0.073 บางระจัน 0.127 0.065
สะเดา 0.079 0.084 พรหมบุรี 0.109 0.059
สะบ้ าย้ อย 0.069 0.071 เมืองสิงห์บรุ ี 0.114 0.061
หาดใหญ่ 0.074 0.079 อินทร์ บรุ ี 0.120 0.063
สตูล ควนกาหลง 0.083 0.089 สุโขทัย กงไกรลาศ 0.431 0.109
ควนโดน 0.084 0.090 คีรีมาศ 0.435 0.111
ท่าแพ 0.088 0.094 ทุง่ เสลียม 0.490 0.126
ทุง่ หว้ า 0.088 0.094 บ้ านด่านลาน 0.451 0.120
มะนัง 0.084 0.091 เมืองสุโขทัย 0.449 0.117
เมืองสตูล 0.087 0.093 ศรี นคร 0.621 0.154
ละงู 0.092 0.096 ศรี สชั นาลัย 0.526 0.131
สระแก้ ว เขาฉกรรจ์ 0.043 0.031 ศรี สาํ โรง 0.464 0.118
คลองหาด 0.040 0.029 สวรรคโลก 0.503 0.126
โคกสูง 0.036 0.026 สุพรรณบุรี ดอนเจดีย์ 0.349 0.114
ตาพระยา 0.035 0.025 ด่านช้ าง 0.494 0.146
เมืองสระแก้ ว 0.042 0.030 เดิมบางนางบวช 0.188 0.080
วังนําเย็น 0.042 0.030 บางปลาม้ า 0.204 0.083
วังสมบูรณ์ 0.043 0.030 เมืองสุพรรณบุรี 0.258 0.096
วัฒนานคร 0.039 0.029 ศรี ประจันต์ 0.186 0.079
อรัญประเทศ 0.037 0.027 สองพีน้ อง 0.246 0.093
สระบุรี แก่งคอย 0.067 0.045 สามชุก 0.200 0.082
เฉลิมพระเกียรติ 0.078 0.050 หนองหญ้ าไซ 0.311 0.106
ดอนพุด 0.101 0.057 อูท่ อง 0.346 0.115
บ้ านหมอ 0.087 0.053 สุราษฎร์ ธานี กาญจนดิษฐ์ 0.138 0.076
พระพุทธบาท 0.082 0.052 เกาะพะงัน 0.066 0.061
มวกเหล็ก 0.057 0.041 เกาะสมุย 0.076 0.062
วังม่วง 0.057 0.042 คีรีรัฐนิคม 0.276 0.091
วิหารแดง 0.071 0.053 เคียนซา 0.236 0.086
เมืองสระบุรี 0.070 0.053 ชัยบุรี 0.228 0.094
เสาไห้ 0.081 0.051 ไชยา 0.163 0.080
156 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
ดอนสัก 0.109 0.069 ศรี เชียงใหม่ 0.197 0.050
ท่าฉาง 0.199 0.083 สระใคร 0.192 0.047
ท่าชนะ 0.175 0.081 สังคม 0.200 0.053
บ้ านตาขุน 0.310 0.095 หนองบัวลําภู นากลาง 0.165 0.045
บ้ านนาเดิม 0.207 0.083 นาวัง 0.178 0.047
บ้ านนาสาร 0.195 0.083 โนนสัง 0.083 0.035
พนม 0.291 0.098 เมือง 0.132 0.041
พระแสง 0.264 0.095 ศรี บญ ุ เรื อง 0.102 0.037
พุนพิน 0.218 0.083 สุวรรณคูหา 0.198 0.050
เมืองสุราษฎร์ ธานี 0.188 0.080 อ่างทอง ไชโย 0.116 0.062
วิภาวดี 0.296 0.093 ป่ าโมก 0.121 0.062
เวียงสระ 0.201 0.084 โพธิทอง 0.146 0.070
สุรินทร์ กาบเชิง 0.033 0.023 เมืองอ่างทอง 0.120 0.062
เขวาสินริ นทร์ 0.035 0.024 วิเศษชัยชาญ 0.135 0.066
จอมพระ 0.036 0.024 สามโก้ 0.151 0.071
ชุมพลบุรี 0.037 0.025 แสวงหา 0.130 0.065
ท่าตูม 0.036 0.024 อํานาจเจริ ญ ชานุมาน 0.043 0.025
โนนนารายณ์ 0.035 0.024 ปทุมราชวงศา 0.038 0.024
บัวเชด 0.032 0.022 พนา 0.036 0.023
ปราสาท 0.034 0.024 เมืองอํานาจเจริ ญ 0.038 0.024
พนมดงรัก 0.034 0.023 ลืออํานาจ 0.037 0.023
เมืองสุรินทร์ 0.035 0.024 เสนางคนิคม 0.040 0.025
รัตนบุรี 0.036 0.024 หัวตะพาน 0.037 0.024
ลําดวน 0.034 0.023 อุดรธานี กู่แก้ ว 0.095 0.036
ศีขรภูมิ 0.034 0.023 กุดจับ 0.184 0.047
ศรี ณรงค์ 0.033 0.023 กุมภวาปี 0.104 0.037
สนม 0.036 0.024 ไชยวาน 0.108 0.038
สังขะ 0.033 0.022 ทุง่ ฝน 0.132 0.041
สําโรงทาบ 0.034 0.023 นายูง 0.213 0.054
หนองคาย ท่าบ่อ 0.212 0.051 นําโสม 0.215 0.053
เฝ้าไร่ 0.191 0.050 โนนสะอาด 0.083 0.035
โพธิตาก 0.208 0.052 บ้ านดุง 0.181 0.048
โพนพิสยั 0.218 0.052 บ้ านผือ 0.208 0.051
เมืองหนองคาย 0.196 0.048 ประจักษ์ ศิลปา 0.124 0.039
รัตนวาปี 0.211 0.053 พิบลู ย์รักษ์ 0.180 0.047
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 157

ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
เพ็ญ 0.254 0.057 นาตาล 0.037 0.023
เมืองอุดรธานี 0.176 0.045 นาเยีย 0.031 0.020
วังสามหมอ 0.066 0.032 นําขุน่ 0.029 0.019
ศรี ธาตุ 0.074 0.033 นํายืน 0.029 0.019
สร้ างคอม 0.250 0.057 บุณฑริ ก 0.029 0.019
หนองวัวซอ 0.124 0.040 พิบลู มังสาหาร 0.031 0.020
หนองแสง 0.108 0.038 โพธิไทร 0.036 0.023
หนองหาน 0.128 0.040 ม่วงสามสิบ 0.035 0.023
อุตรดิตถ์ ตรอน 0.684 0.167 เมืองอุบลราชธานี 0.033 0.021
ทองแสนขัน 0.570 0.134 วาริ นชําราบ 0.033 0.021
ท่าปลา 0.671 0.159 ศรี เมืองใหม่ 0.034 0.021
นําปาด 0.526 0.118 สว่างวีระวงศ์ 0.032 0.021
บ้ านโคก 0.484 0.108 สิรินธร 0.031 0.020
พิชยั 0.617 0.154 สําโรง 0.032 0.021
ฟากท่า 0.505 0.114 เหล่าเสือโก้ ก 0.034 0.022
เมืองอุตรดิตถ์ 0.579 0.139
ลับแล 0.558 0.135
อุทยั ธานี ทัพทัน 0.244 0.091
บ้ านไร่ 0.299 0.107
เมืองอุทยั ธานี 0.165 0.074
ลานสัก 0.321 0.109
สว่างอารมณ์ 0.202 0.081
หนองขาหย่าง 0.189 0.080
หนองฉาง 0.281 0.100
ห้ วยคต 0.379 0.123
อุบลราชธานี กุดข้ าวปุน้ 0.037 0.023
เขมราฐ 0.039 0.024
เขืองใน 0.035 0.023
โขงเจียม 0.032 0.020
ดอนมดแดง 0.034 0.022
เดชอุดม 0.031 0.020
ตระการพืชผล 0.035 0.022
ตาลสุม 0.033 0.021
ทุง่ ศรี อดุ ม 0.030 0.020
นาจะหลวย 0.028 0.018
158 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ข) พืนทีในแอ่ งกรุงเทพ
พืนทีในแอ่งกรุ งเทพครอบคลุมกรุงเทพมหานครและจังหวัดปริ มลฑลหลายจังหวั ด พืนทีนีได้
ถูกแบ่งย่อยเป็ น 10 โซน ดังรู ปที .18 ค่าความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบ
โดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่า ในพืนที 10 โซนนี ให้ ใช้ ค่าดังแสดงในรู ปที 5.16-5.17 หรื อใช้ ค่าตามที
แสดงในตารางที 5.33

รูปที 5.16 ความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับวิธีแรงสถิตเทียบเท่ าโซน 1-6 ของพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพ


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 159

รูปที 5.1 ความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบด้ วยวิธีแรงสถิตเทียบเท่ า


สําหรับโซน 7-10 ของพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพ
160 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

อาวไทย
(Gulf of Thailand)

แผนที่แสดงการแบงโซนพื้นที่แองกรุงเทพฯ เพื่อการออกแบบ อาคารตานทานแผนดินไหว


โซน 1 โซน 3 โซน 6 โซน 9
จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดนครนายก
- อ.เขายอย (ทั้งจังหวัด) - อ.ลาดบัวหลวง - อ.องครักษ
จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม - อ.บางไทร จังหวัดปราจีนบุรี
- อ.ปากทอ (ทั้งจังหวัด) - อ.บางปะอิน - อ.บานสราง
- อ.วัดเพลง - อ.วังนอย จังหวัดฉะเชิงเทรา
โซน 4
- อ.เมืองราชบุรี - อ.เสนา - อ.บางน้ําเปรี้ยว
จังหวัดนนทบุรี
- อ.อุทัย - อ.บางคลา
โซน 2 (ทั้งจังหวัด)
- อ.ทาเรือ - อ.ราชสาสน
จังหวัดราชบุรี
โซน 5 - อ.บางบาล - อ.คลองเขือ่ น
- อ.ดําเนินสะดวก
จังหวัดกรุงเทพมหานคร - อ.เมืองพระนครศรีอยุธยา - อ.บานโพธิ์
- อ.บางแพ
(ทั้งจังหวัด) - อ.บางปะกง
จังหวัดนครปฐม โซน 7
จังหวัดสมุทรปราการ - อ.เมืองฉะเชิงเทรา
- อ.สามพราน จังหวัดปทุมธานี
(ทั้งจังหวัด)
- อ.พุทธมณฑล (ทั้งจังหวัด) โซน 10
- อ.นครชัยศรี จังหวัดชลบุรี
โซน 8
- อ.ดอนตูม - อ.พานทอง
จังหวัดนครนายก
- อ.บางเลน - อ.เมืองชลบุรี
- อ.บานนา
- อ.เมืองนครปฐม
- อ.ปากพลี
- อ.เมืองนครนายก

รูปที 5.18 การแบ่ งโซนพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพฯ เพือการออกแบบอาคารต้ านทานแผ่ นดินไหว


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 161

ตารางที 5.33 ค่ าความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรั มสําหรั บการออกแบบ ด้ วยวิธีแรงสถิตเทียบเท่ า


สําหรับพืนทีในโซนต่ าง ๆ (อัตราส่ วนความหน่ วง . %) ของพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพ
Sa Sa SDS Sa S D1 Sa Sa Sa Sa Sa
โซน (0.01s) (0.2 s) (0.5 s) (1.0s) (2.0 s) (3.0 s) (4.0 s) (5.0 s) (6.0 s)
1 0.451 0.451 0.451 0.233 0.110 0.053 0.042 0.031 0.029
2 0.439 0.439 0.439 0.249 0.196 0.108 0.058 0.038 0.030
3 0.320 0.320 0.320 0.353 0.217 0.109 0.064 0.044 0.034
4 0.330 0.330 0.330 0.264 0.218 0.100 0.039 0.029 0.027
5 0.220 0.220 0.220 0.250 0.223 0.126 0.067 0.047 0.038
6 0.340 0.340 0.340 0.198 0.207 0.093 0.053 0.040 0.035
7 0.291 0.291 0.291 0.231 0.177 0.103 0.064 0.046 0.040
8 0.210 0.210 0.210 0.097 0.055 0.033 0.018 0.012 0.011
9 0.269 0.269 0.269 0.194 0.144 0.061 0.026 0.017 0.013
10 0.225 0.225 0.225 0.059 0.047 0.031 0.017 0.012 0.010

ตารางที 5.34 ค่ าความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรั มสําหรั บการออกแบบ ด้ วยวิธีแรงสถิตเทียบเท่ า


สําหรับพืนทีในโซนต่ าง ๆ (อัตราส่ วนความหน่ วง . %) ของพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพ
Sa Sa SDS Sa S D1 Sa Sa Sa Sa Sa
โซน (0.01s) (0.2 s) (0.5 s) (1.0s) (2.0 s) (3.0 s) (4.0 s) (5.0 s) (6.0 s)
1 0.360 0.360 0.360 0.181 0.085 0.041 0.034 0.024 0.022
2 0.352 0.352 0.352 0.193 0.151 0.084 0.047 0.030 0.024
3 0.262 0.262 0.262 0.265 0.166 0.085 0.052 0.035 0.026
4 0.287 0.287 0.287 0.207 0.163 0.078 0.032 0.023 0.020
5 0.191 0.191 0.191 0.199 0.168 0.094 0.053 0.037 0.028
6 0.272 0.272 0.272 0.154 0.150 0.077 0.042 0.031 0.026
7 0.246 0.246 0.246 0.181 0.132 0.084 0.051 0.036 0.030
8 0.162 0.162 0.162 0.075 0.041 0.025 0.015 0.010 0.008
9 0.214 0.214 0.214 0.156 0.107 0.048 0.022 0.014 0.011
10 0.179 0.179 0.179 0.049 0.035 0.023 0.014 0.010 0.008
162 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

5.6.3 ตัวประกอบความสําคัญและประเภทของอาคาร
อาคารมี ก ารจํ า แนกตามลั ก ษณะการใช้ งานและความสํ า คัญ ของอาคารที มี ต่ อ
สาธารณชนและการบรรเทาภัยหลังเกิดเหตุ แบ่งออกเป็ น ประเภท (Occupancy Category) คือ
ประเภท I, II, III, และ IV โดยอาคารแต่ละประเภทมีคา่ ตัวประกอบความสําคัญ (Importance
Factor) เพือใช้ ในการออกแบบอาคารต้ านทานแผ่นดินไหวแตกต่างกัน ดังแสดงในตารางที 5.35

ตารางที 5.35 การจําแนกประเภทความสําคัญของอาคาร และค่ าตัวประกอบความสําคัญของอาคาร


ประเภทของอาคาร ประเภท ตัวประกอบ
ความสําคัญ ความสําคัญ
อาคารและส่วนโครงสร้ างอืนทีมีปัจจัยเสียงอันตรายต่อชีวิตมนุษย์คอ่ นข้ างน้ อยเมือเกิดการ I (น้ อย) 1.0
พังทลายของอาคารหรื อส่วนโครงสร้ างนันๆ เช่น
- อาคารทีเกียวข้ องกับการเกษตร
- อาคารชัวคราว
- อาคารเก็บของเล็กๆ ซึงไม่มคี วามสําคัญ
อาคารและส่วนโครงสร้ างอืนทีไม่จดั อยูใ่ นอาคารประเภท ความสําคัญ น้ อย มาก และสูง 1.0
II (ปกติ)
มาก
อาคารและส่วนโครงสร้ างอืนทีหากเกิดการพังทลาย จะเป็ นอันตรายต่อชีวติ มนุษย์และ III (มาก) 1.25
สาธารณชนอย่างมาก เช่น
- อาคารทีเป็ นทีชุมนุมในพืนทีหนึงๆ มากกว่า คน
- โรงเรี ยนประถมหรื อมัธยมศึกษาทีมีความจุมากกว่า คน
- มหาวิทยาลัยหรื อวิทยาลัย ทีมีความจุมากกว่า คน
- สถานรักษาพยาบาลทีมีความจุคนไข้ มากกว่า คน แต่ไม่สามารถทําการรักษา
กรณีฉกุ เฉินได้
- เรื อนจําและสถานกักกันนักโทษ
อาคารและส่วนโครงสร้ างทีมีความสําคัญต่อความเป็ นอยูข่ องสาธารณชนเป็ นอย่างมาก IV (สูงมาก) 1.5
หรื อ อาคารทีจําเป็ นต่อการบรรเทาภัยหลังเกิดเหตุเป็ นอย่างมาก เช่น
- โรงพยาบาลทีสามารถทําการรักษากรณีฉกุ เฉินได้
- สถานีตํารวจ สถานีดบั เพลิง และโรงเก็บรถฉุกเฉินต่างๆ
- โรงไฟฟ้า
- โรงผลิตนําประปา ถังเก็บนํา และสถานีสบู จ่ายนําทีมีความดันสูงสําหรับการ
ดับเพลิง
- อาคารศูนย์สอสาร ื
- อาคารศูนย์บรรเทาสาธารณภัย
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 163

- ท่าอากาศยาน ศูนย์บงั คับการบิน และโรงเก็บเครื องบิน ทีต้ องใช้ เมือเกิดกรณีฉกุ เฉิน


- อาคารศูนย์บญ ั ชาการแห่งชาติ
อาคารหรื อส่วนโครงสร้ างในส่วนของการผลิต การจัดการ การจัดเก็บ หรื อการใช้ สารพิษ
และ เชือเพลิง หรื อสารเคมี อันอาจก่อให้ เกิดการระเบิดขึนได้

5.6.4 ประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่ นดินไหว


มาตรฐานนีได้ กําหนดให้ มีการแบ่งประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่นดินไหวออกเป็ น
ประเภท คื อ ประเภท ก ข ค และ ง โดยเริ มจากระดับ ที ไม่ จํ า เป็ น ต้ อ งออกแบบต้ า นทาน
แผ่นดินไหว (ประเภท ก) ไปจนถึง ระดับทีต้ องออกแบบอย่างเข้ มงวดทีสุด (ประเภท ง) การ
กํ าหนดประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่นดิน ไหวจะพิจารณาจากประเภทความสํ าคัญ ของ
อาคาร (ตารางที 5.35) และความรุนแรงของแผ่นดินไหว ณ ทีตังอาคาร ซึงแสดงโดยค่า SDS และ
S D1 โดยใช้ เกณฑ์ทีกําหนดไว้ ในตารางที 5.36 และ 5.37
สํ า หรั บ พื นที ในแอ่ ง กรุ ง เทพ ค่า SDS และ S D1 มี ค่า เท่ า กั บ ความเร่ ง ตอบสนองเชิ ง
สเปกตรัมสําหรับการออกแบบ ( Sa ) ทีคาบการสัน . วินาที และ . วินาที ตามลําดับ ดังแสดง
ในรูปที 5.16-5.17
ในกรณีทีประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่นดินไหวทีกําหนดตามเกณฑ์ในตารางที 5.36
แตกต่า งจากที กํ า หนดตามเกณฑ์ ใ นตารางที 5.37 ให้ ยื ด ถื อ ประเภทการออกแบบต้ า นทาน
แผ่นดินไหวทีรุนแรงกว่า ในกรณีทีคาบการสันพืนฐานของอาคาร ( T ) ในทังสองทิศทางทีตังฉาก
กันมีคา่ น้ อยกว่า . วินาที อนุญาตให้ กําหนดประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่นดินไหวโดยใช้
เฉพาะเกณฑ์ในตารางที 5.36 เท่านัน

ตารางที 5.36 การแบ่ งประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่ นดินไหวโดยพิจารณาจากค่ า SDS


ประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่ นดินไหว

ค่ า SDS ประเภทความสําคัญ ประเภทความสําคัญ ประเภทความสําคัญ


I หรือ II III IV

S DS  0.167 ก (ไม่ต้องออกแบบ) ก (ไม่ต้องออกแบบ) ก (ไม่ต้องออกแบบ)

0.167 d SDS  0.33 ข ข ค

0.33 d SDS  0.50 ค ค ง

0.50 d S DS ง ง ง
164 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ตารางที 5.37 การแบ่ งประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่ นดินไหวโดยพิจารณาจากค่ า S D1


ประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่ นดินไหว

ค่ า S D1 ประเภทความสําคัญ ประเภทความสําคัญ ประเภทความสําคัญ


I หรือ II III IV

S D1  0.067 ก (ไม่ต้องออกแบบ) ก (ไม่ต้องออกแบบ) ก (ไม่ต้องออกแบบ)

0.067 d SD1  0.133 ข ข ค

0.133 d SD1  0.20 ค ค ง

0.20 d SD1 ง ง ง

5.6.5 การจําแนกระบบโครงสร้ าง

การเลือกใช้ ระบบโครงสร้ างอาคารซึงสามารถต้ านทานแรงด้ านข้ างและรับนําหนักบรรทุก


ปกติ (Gravity load) อาจใช้ ระบบโครงสร้ างตามทีกําหนดในตารางที 5.38 นอกจากนี ยังอาจ
เลือกระบบโครงสร้ างผสมจากการรวมหลายโครงสร้ างเข้ าด้ วยกันก็ได้ ระบบโครงสร้ างเหล่านียัง
ขึนอยู่กบั ประเภทการออกแบบต้ านทานแผ่นดินไหวอีกด้ วย
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 165

ตารางที 5.38 ค่ าตัวประกอบปรั บผลตอบสนอง (Response Modification Factor, R ) ตัวประกอบกําลัง


ส่ วนเกิน (System Overstrength Factor, :0 ) และตัวประกอบขยายค่ าการโก่ งตัว
(Deflection Amplification Factor, Cd )
ค่ าตัวประกอบ ประเภท
ระบบโครงสร้ าง การ
โดยรวม ระบบต้ านแรงด้ านข้ าง R :0 Cd ออกแบบ
ข ค ง
1. ระบบกําแพงรับ กําแพงรับแรงเฉือนแบบธรรมดา (Ordinary Reinforced 4 2.5 4 — — *
นําหนักบรรทุก Concrete Shear Wall)
แนวดิง กํ า แพงรั บ แรงเฉื อ นแบบที มี ก ารให้ รายละเอี ย ดพิ เ ศษ 5 2.5 5 — — —
(Bearing Wall (Special Reinforced Concrete Shear Wall)
System) กํา แพงรั บแรงเฉื อนหล่อสํา เร็ จแบบธรรมดา (Ordinary 3 2.5 3 — X X
Precast Shear Wall) 
กําแพงรับแรงเฉื อนหล่อสําเร็ จแบบทีมีการให้ รายละเอียด 4 2.5 4 — — X
ความเหนียวปานกลาง (Intermediate Precaset Shear
Wall)
2. ระบบโครงอาคาร โครงแกงแนงเหล็กแบบเยืองศูนย์ทีใช้ จดุ ต่อแบบรับแรงดัด 8 2 4 — — —
(Building Frame ได้ (Steel Eccentrically Braced Frame with Moment-
System) Resisting Connections)
โครงแกงแนงเหล็ก แบบเยื องศูน ย์ ที ใช้ จุด ต่อแบบรั บ แรง 7 2 4 — — —
เฉือน
(Steel Eccentrically Braced Frame with Non-Moment-
Resisting Connections)
โครงแกงแนงเหล็กแบบตรงศูนย์แบบให้ รายละเอียดพิเศษ 6 2 5 — — —
(Special Steel Concentric Braced Frame)
โครงแกงแนงเหล็กแบบตรงศูน ย์แบบธรรมดา (Ordinary 3.5 2 3.5 — — X
Steel Concentric Braced Frame)
กําแพงรับแรงเฉือนแบบทีมีการให้ รายละเอียดพิเศษ 6 2.5 5 — — —
(Special Reinforced Concrete Shear Wall)
กําแพงรับแรงเฉื อนแบบธรรมดา (Ordinary Reinforced 5 2.5 4.5 — — *
Concrete Shear Wall)
กํ า แพงรั บ แรงเฉื อ นหล่ อ สํ า เร็ จ แบบธรรมดา (Ordinary 4 2.5 4 — X X
Precast Shear Wall) 
กําแพงรับแรงเฉื อนหล่อสําเร็ จแบบทีมีการให้ รายละเอียด 5 2.5 4.5 — — X
ความเหนียวปานกลาง (Intermediate Precast Shear
Wall) 
หมายเหตุ — = ใช้ ได้ X = ห้ ามใช้ * = ดูหวั ข้ อ 5.6.5.1  = ดูหวั ข้ อ 5.6.5.2
166 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ตารางที 5.38 ค่ าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (Response Modification Factor, R ) ตัวประกอบ


กําลังส่ วนเกิน (System Overstrength Factor, :0 ) และ ตัวประกอบขยายค่ าการโก่ งตัว (Deflection
Amplification Factor, Cd ) (ต่ อ)
ค่ าตัวประกอบ ประเภท
ระบบโครงสร้ างโดยรวม ระบบต้ านแรงด้ านข้ าง การ
R :0 Cd ออกแบบ
ข ค ง
3. ระบบโครงต้ านแรงดัด โ ค ร ง ต้ า น แ ร ง ดั ด เ ห ล็ ก ที มี ค ว า ม เ ห นี ย ว พิ เ ศ ษ 8 3 5.5 — — —
(Moment Resisting (Ductile/Special Steel Moment-Resisting Frame)
Frame) โครงถักต้ า นแรงดัดทีมีการให้ รายละเอียดความเหนียว 7 3 5.5 — — —
เป็ นพิเศษ (Special Truss Moment Frame)
โครงต้ านแรงดั ด เหล็ ก ที มี ค วามเหนี ย วปานกลาง 4.5 3 4 — — *
(Intermediate Steel Moment Resisting Frame)
โครงต้ านแรงดัดเหล็กธรรมดา (Ordinary Steel Moment 3.5 3 3 — — X
Resisting Frame)
โครงต้ า นแรงดัด คอนกรี ต เสริ ม เหล็ ก ที มี ค วามเหนี ย ว 8 3 5.5 — — —
พิเศษ (แบบหล่อในที หรือ แบบหล่อสําเร็ จ) (Precast or
Cast-in-Place Ductile/Special Reinforced Concrete
Moment Resisting Frame) 
โครงต้ านแรงดัดคอนกรี ตเสริ มเหล็กทีมีความเหนียวปาน 5 3 4.5 — — *
กลาง หรื อความเหนียวจํากัด (Ductile RC Moment-
Resisting Frame with Limited Ductility/ Intermediate
RC Moment-Resisting Frame)
โครงต้ านแรงดั ด คอนกรี ต เสริ ม เหล็ ก แบบธรรมดา 3 3 2.5 — X X
(Ordinary Reinforced Concrete Moment Resisting
Frame)
4. ระบบโครงสร้ างแบบผสม ร่ ว มกั บ โครงแกงแนงเหล็ ก แบบตรงศูน ย์ แ บบพิ เ ศษ 7 2.5 5.5 — — —
ที มี โ ครงต้ านแรงดั ด ที มี (Special Steel Concentrically Braced Frame)
ความเหนี ย วที สามารถ ร่ ว มกั บ โครงแกงแ นงเหล็ ก แบบเยื องศู น ย์ (Steel 8 2.5 4 — — —
ต้ า นทานแรงด้ า นข้ า งไม่ Eccentrically Braced Frame)
น้ อยกว่าร้ อยละ 25 ของ ร่ ว มกับ กํา แพงรับ แรงเฉื อนแบบที มีก ารให้ รายละเอียด 7 2.5 5.5 — — —
แรงที กระทํ า กั บ อาคาร พิเศษ (Special Reinforced Concrete Shear Wall)
ทังหมด ร่ ว มกับ กํ า แพงรั บ แรงเฉื อ นแบบธรรมดา (Ordinary 6 2.5 5 — — *
(Dual System with Reinforced Concrete Shear Wall)
Ductile/Special Moment
Resisting Frame)
หมายเหตุ — = ใช้ ได้ X = ห้ ามใช้ * = ดูหวั ข้ อ 5.6.5.1  = ดูหวั ข้ อ 5.6.5.2
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 167

ตารางที 5.38 ค่ าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (Response Modification Factor, R ) ตัวประกอบ


กําลังส่ วนเกิน (System Overstrength Factor, :0 ) และ ตัวประกอบขยายค่ าการโก่ งตัว (Deflection
Amplification Factor, Cd ) (ต่ อ)
ค่ าตัวประกอบ ประเภทการ
ระบบโครงสร้ างโดยรวม ระบบต้ านแรงด้ านข้ าง ออกแบบ
R :0 Cd ข ค ง

5. ระบบโครงสร้ างแบบผสมทีมีโครง ร่ ว มกับ โครงแกงแนงเหล็กแบบตรงศูน ย์ 6 2.5 5 — — X


ต้ า นแรงดัด ที มี ค วามเหนี ย วปาน แบบพิเศษ(Special Steel Concentrically
กลางหรื อ ความเหนี ย วจํ า กั ด ที Braced Frame)
สามารถต้ านทานแรงด้ า นข้ า งไม่ ร่วมกับกําแพงรับแรงเฉื อนแบบทีมีการให้ . 2.5 5 — — —
น้ อ ยกว่า ร้ อยละ 25 ของแรงที รายละเอียดพิเศษ (Special Reinforced
กระทํากับอาคารทังหมด Concrete Shear Wall)
(Dual System with Moment ร่วมกับกําแพงรับแรงเฉือนแบบธรรมดา 5.5 2.5 4.5 — — *
Resisting Frame with Limited (Ordinary Reinforced Concrete Shear
Ductility / Dual System with Wall)
Intermediate Moment Resisting
Frame)
6. ระบบปฏิสมั พันธ์ ระบบปฏิ สัม พัน ธ์ ร ะหว่า งกํ า แพงรั บ แรง 4.5 2.5 4 — X X
(Shear Wall Frame Interactive เฉื อนและโครงต้ านแรงดัดแบบธรรมดาที
System) ไม่มีการให้ รายละเอียดความเหนียว
(Shear Wall Frame Interactive System
with Ordinary Reinforced Concrete
Moment Frame and Ordinary
Concrete Shear Wall)
7. ระบบโครงสร้ างเหล็กทีไม่มีการให้ ระ บ บ โค ร งส ร้ า งเ ห ล็ ก ที ไม่ มี ก า ร ใ ห้ 3 3 3 — — X
รายละเอียดสําหรับรับแรง รายละเอียดสําหรับรับแรงแผ่นดินไหว
แผ่นดินไหว
(Steel Systems Not Specifically
Detailed for Seismic
Resistance)
หมายเหตุ — = ใช้ ได้ X = ห้ ามใช้ * = ดูหวั ข้ อ 5.6.5.1  = ดูหวั ข้ อ 5.6.5.2
168 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

5.6.5.1 ข้ อกํ า หนดด้ า นความสู ง สํ า หรั บ ประเภทการออกแบบต้ า นทานการ


สันสะเทือนของแผ่ นดินไหว ง
เนืองจากอาคารในประเภท ง อยูใ่ นพืนทีซึงมีระดับความรุนแรงแผ่นดินไหวสูงมาก จะต้ อง
มีการออกแบบระบบต้ านแรงด้ านข้ างให้ มีความเหนียวเป็ นพิเศษ แต่หากต้ องการใช้ กําแพงรับแรง
เฉือนแบบธรรมดา โครงต้ านแรงดัดคอนกรี ตเสริมเหล็กทีมีความเหนียวปานกลางหรื อความเหนียว
จํากัด หรื อ โครงต้ านแรงดัดเหล็กทีมีความเหนียวปานกลาง สามารถใช้ ได้ เพียงแต่มีการจํากัด
อาคารทีมีความสูงไม่เกินค่าต่อไปนี
(1) เมตร สําหรับ โครงต้ านแรงดัดคอนกรี ตเสริ มเหล็กทีมีความเหนียวปานกลางหรื อ
ความเหนียวจํากัด และ โครงต้ านแรงดัดเหล็กทีมีความเหนียวปานกลาง
( ) เมตร สําหรับ กําแพงรับแรงเฉือนแบบธรรมดา
โดยจะต้ องเพิมค่าแรงแผ่นดินไหวทีใช้ ในการออกแบบองค์อาคารอีกร้ อยละ ในการคํานวณ
ออกแบบด้ านกําลัง แต่การคํานวณค่าการเสียรูป ไม่จําเป็ นต้ องเพิมค่าแรงทีใช้ ในการคํานวณ
ในกรณี ที ต้ อ งการออกแบบสํ า หรั บ อาคารมี ค วามสูง มากกว่ า ที กํ า หนด ต้ อ งมี ก าร
ตรวจสอบ ภาวะขีดสุด (Limit State) ค่าความเครี ยดของคอนกรี ตและเหล็กเสริ ม แรงเฉือน ฯลฯ
ขององค์อาคาร ว่ามีคา่ อยูใ่ นเกณฑ์ทียอมรับได้

5.6.5.2 ระบบโครงสร้ างแบบหล่ อสําเร็จ (Precast Systems)


ในกรณี ระบบโครงสร้ างแบบหล่อสําเร็ จ สิ งสําคัญ คือการออกแบบจุดต่อระหว่างองค์
อาคารคานและเสา หรื อ จุดต่อระหว่างแผ่นผนังและแผ่นพืนในระบบแผ่นผนังหล่อสําเร็ จ ให้ มี
กําลังเพียงพอ โดยองค์อาคารและจุดต่อต้ องสามารถรับแรงในแนวแกน แรงเฉื อน โมเมนต์ดดั
และโมเมนต์บดิ ทีเกิดขึนได้ และมีการให้ รายละเอียดเพือให้ จดุ ต่อมีความเหนียวอย่างเหมาะสม

5.6.6 การคํานวณค่ าคาบการสันพืนฐาน


ค่าคาบการสันพืนฐาน (Fundamental Period, T ) ในทิศทางแกนหลักของอาคาร
สามารถคํานวณได้ โดยวิธีการประมาณค่าดังนี
อาคารคอนกรี ตเสริมเหล็ก T 0.02 H (5.38)
อาคารโครงสร้ างเหล็ก T 0.03H (5.39)
โดยที H คือความสูงของอาคารวัดจากพืนดิน มีหน่วยเป็ นเมตร
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 169

5.6.7 การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําทางด้ านข้ างในแนวดิง

แรงสถิตเทียบเท่าทีกระทําต่ออาคาร ณ ชันใด ๆ ในแนวราบ ( Fx ) จะต้ องคํานวณจาก


Fx CvxV (5.40)
wx hxk
และ Cvx n
(5.41)
¦ wi hik
i 1

โดยที Cvx คือ ตัวประกอบการกระจายในแนวดิง


wi และ wx คือ นําหนักโครงสร้ างประสิทธิผลของชัน i และ x ตามลําดับ
hi และ hx คือ ความสูงทีระดับชัน i และ x ตามลําดับ
k คือ ค่าสัมประสิทธิทีกําหนดรู ปแบบการกระจายแรง ซึงมีคา่ ดังนี
k 1.0 เมือ T d 0.5 วินาที
T  0. 5
k 1 เมือ 0 .5 วินาที  T  2.5 วินาที
2
k 2.0 เมือ T t 2.5 วินาที

5.6.8 แรงบิดโดยบังเอิญ (Accidental torsion)

การออกแบบอาคารตานทานแผน ดินไหวจะตองพิจารณาถึง ผลของแรงบิดจากลั กษณะ


โครงสราง M t รวมกับแรงบิดโดยบังเอิญ (Accidental Torsion, M ta ) โดยที่แรงบิดโดยบังเอิญนี้
สรางขึ้นดวยการสมมุติใหจุดศูนยกลางมวล เยื้องออกจากตําแหนงเดิม เปนระยะทางรอยละ 5 ของ
มิติของอาคารในทิศทางตั้งฉากกับทิศทางของแรงเฉือน
ในกรณีที่อาคารมีประเภทการออกแบบตานทานแผนดินไหวแบบ ค หรือ ง และมีความไม
สม่ําเสมอของรูปทรงโครงสรางในแนวระนาบ แบบ 1ก หรือ 1ข จะตองขยายคาแรงบิดโดยบังเอิญใน
ทุก ๆ ชั้นโดยการคูณ M ta ดวยตัวประกอบขยายแรงบิดโดยบังเอิญ Ax ซึ่งคํานวณไดจาก
2
§ G max ·
Ax ¨¨ ¸¸ (5.42)
© 1.2G avg ¹

เมื่อ G max คือ คาการเคลื่อนที่สูงสุดในแนวราบชั้นที่ x ที่คํานวณโดยสมมุติให Ax 1


G avg คือ คาเฉลี่ยของการเคลื่อนที่ในแนวราบที่ขอบของอาคารทั้ง 2 ดาน ณ ชั้น x ที่
คํานวณโดยสมมุติให Ax 1
หากคา Ax ที่คํานวณจากสมการ 5.42 มีคามากกวา 3.0 ใหใชคา Ax 3.0
170 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

ยกเวนในกรณีของอาคารที่มีโครงอาคารแบบน้ําหนักเบา เชน โครงสรางไมหรือโครงเหล็กรีด


เย็น ไมจําเปนตองเพิ่มคาแรงบิดโดยบังเอิญ

5.6.9 การคํานวณค่ าการเคลือนทีสัมพัทธ์ ระหว่ างชัน

ค่าการเคลือนทีสัมพัทธ์ ระหว่างชันอาคาร ' คํานวณจาก ค่าผลต่างระหว่างค่าการโก่งตัว


ทีตําแหน่งศูนย์กลางของมวลของชันบนและชันล่างทีพิจารณา ในรูปที 5.19 โดยทีค่าการโก่งตัวที
ระดับ x ทีตําแหน่งศูนย์กลางของมวลของชัน จะต้ องคํานวณจาก
Cd G xe
Gx (5.43)
I
เมือ Cd คือ ตัวคูณขยายค่าการโก่งตัว
G xe คือ ค่าการโก่งตัวทีคํานวณจากวิธีวิเคราะห์โครงสร้ างสําหรับระบบอิลาสติก
I คือ ตัวคูณความสําคัญของอาคาร
ระดับชันที 2
'2 F2 = แรงกระทําระดับกําลัง
G2
G e 2 = การเคลือนทีอิลาสติกเนืองจาก
F2
G e2 แรงกระทําระดับกําลัง F2
Cd G e 2
G2 = การเคลือนทีขยายกําลัง
I
'2 (G e 2  G e1 )Cd / I d ' a
L2

ระดับชันที 1
G1 F1 = แรงกระทําระดับกําลัง
F1
G e1 = การเคลือนทีอิลาสติกเนืองจาก
G e1 '1
แรงกระทําระดับกําลัง F1
Cd G e1
G1 = การเคลือนทีขยายกําลัง
L1 I
'1 G1 d ' a

'i = การโยกตัวของชันที i
'i Li = อัตราส่วนการเคลือนทีของชันที i
G 2 = การเคลือนทีทังหมด

รูปที 5.19 การพิจารณาค่ าการโยกตัวของชันอาคาร


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 171

การเคลือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชันจะต้ องมีคา่ ไม่เกินค่าทียอมให้ (Allowable Story Drift,


' a ) ดังแสดงในตารางที 5.39 ในกรณี ทีอาคารมีการบิดตัวรอบแกนดิงอย่างชัดเจน เมือถูกแรง
แผ่นดินไหวกระทํา การคํานวณค่าการเคลือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชัน ( ' ) นีจะต้ องรวมผลของการ
บิดตัวของอาคารเข้ าไปด้ วย

ตารางที 5.39 การเคลือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชันทียอมให้ ( ' a )


ประเภทความสําคัญของอาคาร
ลักษณะโครงสร้ าง
I หรือ II III IV
โครงสร้ างทีไม่ใช่ผนังอิฐก่อรั บแรงเฉื อนและสูงไม่
เกิน 4 ชัน ซึงผนังภายใน ฉากกันห้ อง ฝ้าเพดาน
0.025hsx 0.020hsx 0.015hsx
และผนังภายนอกถูกออกแบบให้ สามารถทนต่อการ
เคลือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชันได้ มาก
โครงสร้ างกํ า แพงอิ ฐ ก่ อ รั บ แรงเฉื อ นแบบยื นจาก
0.010hsx 0.010hsx 0.010hsx
ฐานรองรับค
โครงสร้ างกําแพงอิฐก่อรับแรงเฉือนแบบอืน ๆ 0.007hsx 0.007hsx 0.007hsx
โครงสร้ างอืน ๆ ทังหมด 0.020hsx 0.015hsx 0.010hsx
หมายเหตุ
1 hsx คือความสูงระหว่างชันทีอยูใ่ ต้ พนชั
ื นที x
2 อาคารชันเดียวทีมีผนังภายใน ฉากกันห้ อง ฝ้าเพดาน และผนังภายนอกทีถูกออกแบบให้ สามารถทนต่อการ
เคลือนตัวสัมพัทธ์ ระหว่างชันได้ มาก จะมีการเคลือนตัวสัมพัทธ์ ระหว่างชันเท่าใดก็ได้ ไม่จํากัด แต่ยงั คงต้ อง
พิจารณาการเว้ นระยะห่างระหว่างโครงสร้ าง
3 อาคารทีถูกออกแบบให้ ใช้ กําแพงก่ออิฐรับแรงเฉือนเป็ นชินส่วนโครงสร้ างในแนวดิงซึงยืนขึนมาจากฐานรองรับ
และถูกก่อสร้ างในลักษณะทีมีถา่ ยโมเมนต์ดดั และแรงเฉือนระหว่างกําแพงข้ างเคียง (แบบ Coupling beam)
น้ อยมาก

5.6.10 ผลของ P-Delta


ผลของ P-Delta พิจารณาจากค่าสัมประสิทธิเสถียรภาพ (Stability Coefficient, T ) ที
คํานวณจากสมการต่อไปนี
Px '
T (5.44)
Vx hx Cd
โดยที
172 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

Px คือ นําหนักโครงสร้ างประสิทธิผลของอาคารระดับชัน x และทีอยู่เหนือชัน x


ทังหมดรวมกัน
' คือ ค่าการเคลือนตัวสัมพัทธ์ ระหว่างชัน ณ ระดับชัน x ทีเกิดจากแผ่นดินไหว
สําหรับออกแบบ
Vx คือ แรงเฉือนในระดับระหว่างชัน x และชัน x - ทีเกิดจากแรงสถิตเทียบเท่า
hx คือ ระยะความสูงระหว่างชัน x กับ ชัน x -
Cd คือ ตัวประกอบขยายค่าการโก่งตัว
ระดับชัน x+
Px

'x แนวเสาของอาคารทีเอนไป
Vx
ระดับชัน x

hx

ระดับชัน x-

รูปที 5.20 การพิจารณา P-Delta

หากค่าสัมประสิทธิเสถียรภาพ มีคา่ น้ อยกว่า 0.1 ไม่ต้องนํามาพิจารณา


ค่า T ทีคํานวณได้ ไม่วา่ กรณีใด ๆ จะต้ องมีคา่ ไม่เกิน Tmax โดยที
0.5
T d 0.25 (5.45)
E Cd
โดยที E คือ อัตราส่วนของแรงเฉื อนทีเกิ ดขึนต่อกํ าลังต้ านทานแรงเฉื อนของอาคารที
ระดับระหว่างชัน x และ x - ซึงอาจกําหนดให้ E 1 เพือเพิมสัดส่วนความ
ปลอดภัยให้ กบั การออกแบบโครงสร้ าง
หากค่า T มีค่ามากกว่า .1 แต่น้อยกว่าหรื อเท่ากับ Tmax ผลของ P-Delta ทีมีต่อการ
เคลือนตัวและแรงภายในองค์อาคารต่าง ๆ จะต้ องถูกนํามาพิจารณาในการออกแบบโครงสร้ าง
อาคาร ในกรณีดงั กล่าวอนุญาตให้ ประมาณการเพิมค่าการเคลือนตัวและแรงภายในองค์อาคาร
1
ด้ วยการคูณค่าเหล่านันด้ วย หากค่า T มีค่ามากกว่า Tmax โครงสร้ างมีโอกาสทีจะ
(1  T )
สูญเสียเสถียรภาพได้ จึงต้ องทําการออกแบบโครงสร้ างใหม่
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 173

5.6.11 ขันตอนการออกแบบ

1) สําหรับอาคารนอกเขตกรุงเทพมหานครและปริ มณฑล หาค่าความเร่งตอบสนอง


เชิ งสเปกตรั ม ที คาบสันและที . วินาที Ss และ S1 จากตารางความเสี ยงภัย
แผ่นดินไหว พร้ อมกับกําหนดประเภทของดินทีรองรับอาคาร(A,B,C,D,E,F) และ
เลือกค่าสัมประสิทธิปรับแก้ เนืองจากผลของชันดิน Fa และ Fv สําหรับอาคารที
ตังอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริ มณฑล สามารถเลือกค่า SDS และ S D1 ได้
จากตารางแสดงค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัม และให้ ข้ามไปทีหัวข้ อ (3)
2) คํานวณค่าความเร่งตอบสนองสําหรับการออกแบบ SDS และ S D1 จาก
2
S DS Fa S s
3
2
S D1 Fv S1
3
3) กําหนดประเภทการออกแบบต้ านแรงแผ่นดินไหว (ข,ค,ง) ตามค่า SDS และ S D1
และความสําคัญของอาคาร (I, II, III, IV)
4) กํ า หนดค่า R, :, Cd จากตารางซึงสัม พัน ธ์ กับ ประเภทการออกแบบต้ านแรง
แผ่นดินไหว (ข,ค,ง) และระบบโครงสร้ างอาคาร
5) คํานวณหาค่าคาบการสันตามธรรมชาติของโครงสร้ าง T
6) คํานวณหานําหนักประสิทธิผลของอาคารทังหมด W
7) คํานวณหาค่าสัมประสิทธิผลตอบสนองแรงแผ่นดินไหว Cs จาก Cs Sa
(R / I )
ซึง Sa คือ ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบทีคาบการ
สันพืนฐานของอาคาร โดยที Cs มีคา่ ไม่น้อยกว่า .
8) คํานวณหาแรงเฉือนทีฐานอาคารเนืองจากแรงแผ่นดินไหว จาก
V CsW
9) กระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชันอาคาร จาก
Fx CvxV
10) ตรวจสอบความมันคงของอาคาร จากค่าระยะการเคลือนทีสัมพัทธ์ ระหว่างชัน
อาคาร(Interstory Drift) ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์ (Safety
Factor Against Overturning Moment, SF) และผลกระทบของโมเมนต์ลําดับทีสอง
( P' Effect)
174 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

11)วิเคราะห์หาแรงภายในของโครงสร้ างอาคาร จากการรวมนําหนักบรรทุกกรณี ที


พิจารณาแรงกระทําทางด้ านข้ าง (Combined Load cases) โดยพิจารณาใช้
ค่าสูงสุดของการรวมแรงจากกรณีตอ่ ไปนี
U 0.75 1.4 D  1.7 L  1.0 E

U 0.9 D  1.0 E
12) ออกแบบขนาดหน้ าตัดขององค์อาคารต่างๆ คือ พืน คาน เสา และฐานราก และ
ออกแบบรายละเอียดการเหล็กเสริมในคานและเสาให้ มีความเหนียวตาม
มาตรฐาน สําหรับในทีนีจะกล่าวรายละเอียดตังแต่ขนตอนที
ั 1 ถึง 11 เท่านัน

ตัวอย่ างที 5.4 อาคารโรงพยาบาลคอนกรี ตเสริ มเหล็กหลังหนึงสูง 4 ชัน มีผงั อาคารและรูปตัด


ดังแสดงในรูปที 5.21 และ 5.22 อาคารนีตังอยูน่ อกเขตกรุงเทพมหานครและปริ มณฑล โดยสมมุติ
ให้ Ss 0.706 g , S1 0.155g และชันดินทีใต้ ฐานรากเป็ นชันดินปกติ จงคํานวณหา

ก) แรงเฉือนทีฐานอาคาร เนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ข) แรงกระทําทีชันอาคารแต่ละชันและแรงเฉือนทีเกิดขึน
ค) ตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร
ง) โมเมนต์และแรงเฉือนจากการรวมนําหนักบรรทุกคงที นําหนักบรรทุกจร และแรงแผ่นดินไหว

กําหนดให้ ใช้ พืนคอนกรี ตสําเร็ จรู ป Hollow Core Slab คิดเป็ นนําหนักบรรทุก
คงทีทังหมด 5.0 กิโลนิวตัน/ตร.ม. ซึงรวมทัง นําหนักพืน คาน เสาและผนังกําแพง นําหนักบรรทุก
จร 3.0 กิโลนิวตัน/ตร.ม. โมดูลสั ยืดหยุ่นคอนกรี ต Ec =23,000 เมกาปาสกาล เสาสําหรับทุกชันมี
ขนาด 0.40x0.60 ม. คานตามยาวมีขนาด 0.30x0.60 ม. คานตามขวางมีขนาด 0.30x0.75 ม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 175

D N

1 2 3 4 5 6 7 8 9 E

7.2 ม.

7.2 ม.

C
D

8@3.6 ม.= 28.8 ม.


รูปที 5.21 ผังอาคารของอาคารโรงพยาบาล
A B C

3.6 ม.

3.6 ม.

3.6 ม.

3.6 ม.

7.2 ม. 7.2 ม.
รูปที 5.22 รูปตัดของอาคารโรงพยาบาล
วิธีทาํ
1) จากค่าความเร่งตอบสนอง Ss 0.706 g , S1 0.155g และชันดินปกติจดั เป็ นประเภท D
ค่าสัมประสิทธิปรับแก้ เนืองจากผลของชันดิน Fa 1.24 และ Fv 2.18
2) คํานวณค่าความเร่งตอบสนองสําหรับการออกแบบ SDS และ S D1 จาก
2 2
S DS Fa Ss 1.24 u 0.706 0.58g
3 3
2 2
S D1 Fv S1 2.18 u 0.155 0.23g
3 3
176 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

3) จากตารางกําหนดประเภทการออกแบบต้ านแรงแผ่นดินไหวเป็ นประเภท ง.


ความสําคัญของอาคารประเภท IV ค่า I 1.5
4) จากตาราง โครงต้ านแรงดัดคอนกรี ตเสริมเหล็กทีมีความเหนียว
กําหนดค่า R 8, :o 3, Cd 5.5
5) คํานวณหาค่าคาบการสันตามธรรมชาติของโครงสร้ าง
T 0.02 H 0.02 u14.4 0.288 วินาที
6) คํานวณหานําหนักของอาคาร W
W (5.0 u14.4 u 28.8) u 4 (2, 073.6) u 4 8, 294.4 กิโลนิวตัน
7) คํานวณหาค่าสัมประสิทธิผลตอบสนองแรงแผ่นดินไหว Cs
Sa S DS
Cs
(R / I ) (R / I )
S DS 0.58
Cs 0.109 g
§R· § 8 ·
¨ ¸ ¨ ¸
©I¹ © 1.5 ¹
S 0.23
Cs 0.109 g  D1 0.15 g และ Cs ! 0.01g
§R· § 8 ·
T ¨ ¸ 0.288 ¨ ¸
©I¹ © 1.5 ¹
8) คํานวณหาแรงเฉือนทีฐานอาคารเนืองจากแรงแผ่นดินไหว จาก
V CsW 0.109 u 8, 294.4 904 กิโลนิวตัน
9) กระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชันอาคาร จาก
wx hx
Fx CvxV n
V เนืองจากค่า T น้ อยกว่า 0.5 วินาที k 1.0
¦ wi hi
i 1
คํานวณแรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉื อน ดังแสดงในตารางที 5.40 และแสดงการกระจาย
ของแรงกระทําทางด้ านข้ างอาคารในรูปที 5.23
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 177

ตารางที 5.40 แรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉือนในแต่ละชัน


ระดับชัน Wx hx Wxhx Fx Vx
(กิโลนิวตัน) (ม.) (กิโลนิวตัน-ม.) (กิโลนิวตัน) (กิโลนิวตัน)
4 2,073.6 14.4 29,860 361.60 361.60
3 2,073.6 10.8 22,395 271.20 632.80
2 2,073.6 7.2 14,930 180.80 813.60
1 2,073.6 3.6 7,465 90.40 904.00
6 = 74,650

A B C

F4 = 361.60 KN
V4 = 361.60 KN
F3 = 271.20 KN
V3 = 632.80 KN
F2 = 180.80 KN
V2 = 813.60 KN
F1 = 90.40 KN
V1 = 904 KN

รู ปที 5.23 การกระจายของแรงกระทําทางด้ านข้ างอาคาร

10) ตรวจสอบความมันคงของอาคาร จากค่าระยะการการเคลือนที สัมพัทธ์ ในแต่ละชัน


(Interstory Drift) ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์ (Safety Factor
Against Overturning Moment, SF) และผลกระทบของโมเมนต์ลํ าดับที สอง
( P' Effect)

ในการคํานวณนี กําหนด ค่าโมเมนต์อินเนอร์ เชี ยประสิทธิผลขององค์อาคาร โดยใช้


คุณสมบัตหิ น้ าตัดแตกร้ าว ดังนี
สําหรับ คาน I eff 0.35 I g
สําหรับ เสา I eff 0.7 I g
178 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

12 E
คํานวณค่าสติฟเนสของโครงสร้ างแต่ละชัน จาก k =
­ ½
° 1
2 1 °
h ®  ¾
I I
°¦ c ¦ b °
¯ h l ¿
สําหรับแรงกระทําในทิศทาง เหนือ-ใต้ (N-S)
ค่าโมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของเสา
40 60
3
Ic 0.7 ˜ 504, 000 ซม.4
12
ค่าโมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของคาน
30 75
3
Ib 0.35 ˜ 369,141 ซม.4
12
สําหรับแรงกระทําในทิศทาง ตะวันออก-ตะวันตก (E-W)
ค่าโมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของเสา
60 40
3
Ic 0.7 ˜ 224, 000 ซม.4
12
ค่าโมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของคาน
30 60
3
4
Ib 0.35 ˜ 189, 000 ซม.
12

สติฟเนสของโครงสร้ างในแต่ละชัน สําหรับแรงกระทําในทิศทาง เหนือ-ใต้ (N-S)


12(23, 000)
k u102 158.0 กิโลนิวตัน/มม.
­ ½
2° 1 1 °
(360) ®  ¾
504, 000 369,141
° 3u 9 2 u 9 °
¯ 360 720 ¿

สติฟเนสของโครงสร้ างในแต่ละชัน สําหรับแรงกระทําในทิศทางตะวันออก-ตะวันตก (E-W)


12(23, 000)
k u102 153.36 กิโลนิวตัน/มม.
­ ½
2° 1 1 °
(360) ®  ¾
224, 000 189, 000
° 9 u 3 8 u 3 °
¯ 360 360 ¿
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 179

คํานวณหาระยะการเคลือนทีของแต่ละชัน (Story Drift) จาก


Vx
G xe =
kx
ค่าการเคลือนทีทางด้ านข้ างจากฐานอาคารทีแต่ละชัน (Lateral displacement) เมือพิจารณาตัว
คูณขยายค่าการเคลือนทีด้ านข้ าง คํานวณจากผลรวมของระยะการเคลือนทีในแต่ละชัน ดังนี
n
Cd G xe
Gx = ¦ I
x 1
คํานวณค่าการเคลือนทีสัมพัทธ์ ระหว่างชัน (Interstorey drift) จาก
'x = G x  G x1
การคํานวณค่าการเคลือนตัวทางด้ านข้ างเหล่านี แสดงในตารางที 5.41 และ 5.42
ตารางที 5.41 ค่าการเคลือนทีในแต่ละชันสําหรับแรงกระทําในทิศทาง เหนือ-ใต้ (N-S)
ระดับชัน แรงเฉือน สติฟเนส k x การเคลือนที การเคลือนที การเคลือนทีสัมพัทธ์
Vx (กิโลนิวตัน/มม.) ของแต่ละชัน จากฐาน ระหว่างชัน
(กิโลนิวตัน) G xe (ม.) G x (ม.) ' x (ม.)
4 361.60 158.0 0.0023 0.0627 0.0084
3 632.80 158.0 0.0040 0.0543 0.0147
2 813.60 158.0 0.0051 0.0396 0.0187
1 904.00 158.0 0.0057 0.0209 0.0209

ตารางที 5.42 ค่าการเคลือนทีในแต่ละชันสําหรับแรงกระทําในทิศทางตะวันออก-ตะวันตก (E-W)


ระดับชัน แรงเฉือน สติฟเนส k x การเคลือนที การเคลือนที การเคลือนทีสัมพัทธ์
Vx (กิโลนิวตัน/มม.) ของแต่ละชัน จากฐาน ระหว่างชัน
(กิโลนิวตัน) G xe (ม.) G x (ม.) ' x (ม.)
4 361.60 153.36 0.0024 0.0648 0.0088
3 632.80 153.36 0.0041 0.0560 0.0150
2 813.60 153.36 0.0053 0.0410 0.0194
1 904.00 153.36 0.0059 0.0216 0.0216

สําหรับโครงสร้ างทัวไป ทีความสําคัญของอาคารประเภท IV


ค่าระยะการเคลือนทีสัมพัทธ์ทียอมให้ ไม่เกิน 'a = 0.01h
= 0.01(3.60) = 0.036 ม.
180 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า

จากตารางที 5.41 และ 5.42 ค่าระยะการเคลือนทีสัมพัทธ์ ในแต่ละชันไม่เกินค่าทีกําหนดไว้


(' x  'a ) และ ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์ คํานวณจาก
n
Mx ¦ Fi hi  hx
i x 1

ดังแสดงในตารางที 5.43
ตารางที 5.43 การคํานวณค่า Overturning Moment ในทิศทาง N-S
ชัน แรงกระทําด้ านข้ าง Fx ความสูงระหว่างชัน Overturning Moment
(กิโลนิวตัน) hx (ม.) M x (กิโลนิวตัน-ม.)
4 361.60 3.6 -
3 271.20 3.6 1,301.76
2 180.80 3.6 3,579.84
1 90.40 3.6 6,508.80
ฐาน 9,763.20

ความปลอดภัยต่อการพลิกควํา ในทิศทาง N-S


M Re action 8, 294.4 u 7.2
S .F . = = = 6.12 ! 1.5
M Action 9,763.20
ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควํามากกว่า 1.5 ใช้ ได้

ผลกระทบของโมเมนต์ลําดับทีสอง ( P' Effect )


Px ' x
T =
Vx hx Cd

ตารางที 5.44 การคํานวณค่าสัมประสิทธิเสถียรภาพ (Stability Coefficient) ในทิศทาง E-W


ชัน นําหนัก นําหนักสะสม การเคลือนที แรงเฉือน T
(กิโลนิวตัน) Px (กิโลนิวตัน) สัมพัทธ์ Vx
' x (ม.) (กิโลนิวตัน)
4 2,073.6 2,073.6 0.0088 361.60 0.0025
3 2,073.6 4,147.2 0.0150 632.80 0.0050
2 2,073.6 6,220.8 0.0194 813.60 0.0075
1 2,073.6 8,294.4 0.0216 904.00 0.0100
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 181

เนืองจากค่าสัมประสิทธิเสถียรภาพ T ทีคํานวณได้ มีคา่ น้ อยกว่า 0.1 ดังนันจึงไม่จําเป็ นต้ องนํา


ผลกระทบของ P' มาคํานวณออกแบบโครงสร้ าง

11) วิเคราะห์หาแรงภายในของโครงสร้ างอาคาร จากการรวมนําหนักบรรทุกกรณี พิจารณา


แรงกระทําทางด้ านข้ าง (Combined Load cases) โดยพิจารณาใช้ คา่ สูงสุดของการรวม
แรงจากกรณีตอ่ ไปนี
U 1 0.75 1.4 D  1.7 L  0.3E X  1.0 EY
U 2 0.75 1.4 D  1.7 L  1.0 E X  0.3EY
U 3 0.9 D  0.3E X  1.0 EY
U 4 0.9 D  1.0 E X  0.3EY
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 183

บทที 6
การออกแบบอาคารโดยวิธีพลศาสตร์
6.1 บทนํา

การวิเคราะห์เชิงพลศาสตร์ แบ่งออกเป็ น 2 วิธี คือ


ก) การวิเคราะห์สเปกตรัมของผลตอบสนอง (Response Spectrum Analysis)
วิธีนีเป็ นการวิเคราะห์หาผลตอบสนองของโครงสร้ างจากสเปกตรัมความเร่งผลตอบสนอง
โดยมี การคํา นวณผลตอบสนองของโครงสร้ างที ตรงกับค่า การเคลื อนที แต่ล ะรู ปแบบ (Mode
shape) และนํ าผลตอบสนองแต่ล ะรู ปแบบมารวมกัน เพื อใช้ เ ป็ นผลตอบสนองทังหมดของ
โครงสร้ าง เนืองจาก แรงเฉื อนทีได้ จากการรวมผลตอบสนองนี เป็ นการคํานวณจากความเร่ ง
ผลตอบสนองในพิกัดยืดหยุ่น ดังนันจึงมีการปรับค่าเป็ นแรงเฉื อนทีใช้ ในการออกแบบด้ วยค่าตัว
ประกอบการลดกําลัง สําหรับค่าการเคลือนทีของโครงสร้ าง มีการปรับให้ เป็ นค่าการเคลือนทีจาก
ระดับยืดหยุน่ เป็ นการเคลือนทีระดับไม่ยืดหยุ่นด้ วยค่าตัวประกอบขยายค่าการโก่งตัว
ในกรณีทีค่าแรงเฉือนทีได้ จากวิธี สเปกตรัมของผลตอบสนองมีค่าน้ อยกว่าเกณฑ์ของแรง
เฉื อนที ได้ จ ากวิธี แ รงสถิ ตเที ยบเท่า ข้ อกํ าหนดการออกแบบเสนอแนะให้ ป รั บค่าแรงเฉื อนให้
เทียบเท่ากับเกณฑ์ของแรงเฉือนตามวิธีแรงสถิตเทียบเท่า ทังนีเพือป้องกันค่าแรงเฉือนทีได้ มีคา่ ตํา
มากจนอาจไม่ปลอดภัยได้ สําหรับการรวมจํานวนของรู ปแบบการเคลือนที จะใช้ ข้อกํ าหนดว่า
หากค่าผลรวมของ นําหนักอาคารในแต่ละโหมด (Modal weight) เท่ากับหรื อมากกว่า 90% ของ
นําหนักอาคารทังหมด จะถือว่าเป็ นจํานวนของรูปแบบทีเพียงพอ
การรวมค่าแรงกระทําสูงสุดจากแรงในองค์อาคาร ค่าการเคลือนที แรงกระทําในชัน แรง
เฉือนในชัน และแรงเฉือนทีฐาน สําหรับแต่ละรูปแบบจะมีการรวมโดยวิธีการทีเชือถือได้ ซึงใน
ปัจจุบนั นีนิยมรวมโดยวิธีรากทีสองของผลรวมของค่ากําลังสอง
ข) การวิเคราะห์ผลตอบสนองของโครงสร้ างแบบประวัตเิ วลา (Response History Analysis)
วิธีนีเป็ นการคํานวณผลตอบสนองการเคลือนทีของโครงสร้ างทีแต่ละช่วงเวลา โดยการใช้
คลืนแผ่นดินไหวทีเลือกไว้ ชุดหนึงกระทําทีฐานของอาคารโดยตรง ซึงจะสามารถคํานวณหาแรง
ภายในทีเกิดขึนในแต่ละชินส่วนของโครงสร้ า งอาคารได้ การวิเคราะห์แบ่งย่อยออกเป็ น 2 วิธีคือ
การวิเคราะห์โครงสร้ างแบบเชิ งเส้ นและแบบไม่เชิงเส้ น โดยจะต้ องใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 184

สามารถคํ า นวณและออกแบบโครงสร้ างโดยวิ ธี นี ได้ เช่ น โปรแกรม DRAIN, IDARC,


RUAUMOKO เป็ นต้ น ข้ อกําหนดการวิเคราะห์มีรายละเอียดแสดงใน มยผ.1301/1302-61 ในทีนี
จะกล่าวเฉพาะวิธีการวิเคราะห์สเปกตรัมของผลตอบสนองเท่านัน

6.1.1 ความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัม


กรณี การวิ เคราะห์ UBC-1994,UBC-1997 ใช้ กราฟความเร่ ง ตอบสนองเชิ ง สเปกตรั ม
ตามที แสดงในรู ปที 6.1 สํ าหรั บมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ค่า ความเร่ ง ตอบสนองเชิ ง
สเปกตรัมสําหรับการออกแบบด้ วยวิธีพลศาสตร์ สําหรับพืนทีทัวประเทศไทย ยกเว้ นแอ่งกรุงเทพ
แสดงในรูปที 6.2 และสําหรับในพืนทีแอ่งกรุงเทพ แสดงในรูปที 6.3 และตารางที 6.1-6.2

รูปที 6.1 กราฟความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัม (UBC-1994, UBC-1997)


Sa ( g ) Sa ( g )

To 0.2 S D1 S DS

Ts S D1 S DS
S DS S D1
S DS S D1
S D1 Sa
Sa T
S D1 T

0.4 S DS 0.4 S DS
S D1
Ts
S DS
To Ts 1.0 2.0 T (sec) 0.2 Ts 1.0 2.0 T (sec)

ก) กรณี SD1 d SDS ข) กรณี SD1 ! SDS


รูปที 6.2 ค่ าความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบด้ วยวิธีพลศาสตร์ Sa
ในพืนทีทัวประเทศไทย ยกเว้ นแอ่ งกรุ งเทพ (มยผ.1301/1302-61)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 185

1.00 1.00
Sa, (g)

Sa, (g)
0.10 0.10

โซน 1 (Damping=2.5%) โซน 2 (Damping=2.5%)


โซน 1 (Damping=5.0%) โซน 2 (Damping=5.0%)
0.01 0.01
0.01 0.1 1 0.01 0.1 1
T(sec) T(sec)
1.00 1.00
Sa, (g)

Sa, (g)

0.10 0.10

โซน 3 (Damping=2.5%) โซน 4 (Damping=2.5%)


โซน 3 (Damping=5.0%) โซน 4 (Damping=5.0%)
0.01 0.01
0.01 0.1 1 0.01 0.1 1
T(sec) T(sec)
1.00 1.00
Sa, (g)

Sa, (g)

0.10 0.10

โซน 5 (Damping=2.5%) โซน 6 (Damping=2.5%)


โซน 5 (Damping=5.0%) โซน 6 (Damping=5.0%)
0.01 0.01
0.01 0.1 1 0.01 0.1 1
T(sec) T(sec)

รูปที 6.3ก ความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบด้ วยวิธีเชิงพลศาสตร์


สําหรับโซน - ของพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพ (มยผ.1301/1302-61)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 186

Sa, (g) 1.00 1.00

Sa, (g)
0.10 0.10

โซน 7 (Damping=2.5%) โซน 8 (Damping=2.5%)


โซน 7 (Damping=5.0%) โซน 8 (Damping=5.0%)
0.01 0.01
0.01 0.1 1 0.01 0.1 1
T(sec) T(sec)
1.00 1.00
Sa, (g)

Sa, (g)
0.10 0.10

โซน 9 (Damping=2.5%) โซน 10 (Damping=2.5%)


โซน 9 (Damping=5.0%) โซน 10 (Damping=5.0%)
0.01 0.01
0.01 0.1 1 0.01 0.1 1
T(sec) T(sec)

รูปที 6.3ข ความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบด้ วยวิธีเชิงพลศาสตร์


สําหรับโซน - ของพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพ (มยผ.1301/1302-61)

ตารางที 6.1 ค่ าความเร่ งตอบสนองเชิ งสเปกตรั ม การออกแบบ ด้ ว ยวิ ธี พลศาสตร์ (อั ตราส่ ว น
ความหน่ วง . %) ของพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพ (มยผ.1301/1302-61)
Sa Sa SDS Sa S D1 Sa Sa Sa Sa Sa
โซน (0.01s) (0.2 s) (0.5 s) (1.0s) (2.0 s) (3.0 s) (4.0 s) (5.0 s) (6.0 s)
1 0.208 0.654 0.451 0.233 0.110 0.053 0.042 0.031 0.029
2 0.136 0.318 0.439 0.249 0.196 0.108 0.058 0.038 0.030
3 0.111 0.266 0.320 0.353 0.217 0.109 0.064 0.044 0.034
4 0.102 0.260 0.330 0.264 0.218 0.100 0.039 0.029 0.027
5 0.075 0.148 0.220 0.250 0.223 0.126 0.067 0.047 0.038
6 0.099 0.226 0.340 0.198 0.207 0.093 0.053 0.040 0.035
7 0.093 0.200 0.291 0.231 0.177 0.103 0.064 0.046 0.040
8 0.085 0.236 0.210 0.097 0.055 0.033 0.018 0.012 0.011
9 0.080 0.205 0.269 0.194 0.144 0.061 0.026 0.017 0.013
10 0.115 0.383 0.225 0.059 0.047 0.031 0.017 0.012 0.010
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 187

ตารางที 6.2 ค่ าความเร่ งตอบสนองเชิ งสเปกตรั ม การออกแบบ ด้ ว ยวิ ธี พลศาสตร์ (อั ตราส่ ว น
ความหน่ วง . %) ของพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพ (มยผ.1301/1302-61)
Sa Sa SDS Sa S D1 Sa Sa Sa Sa Sa
โซน (0.01s) (0.2 s) (0.5 s) (1.0s) (2.0 s) (3.0 s) (4.0 s) (5.0 s) (6.0 s)
1 0.208 0.495 0.360 0.181 0.085 0.041 0.034 0.024 0.022
2 0.136 0.257 0.352 0.193 0.151 0.084 0.047 0.030 0.024
3 0.111 0.212 0.262 0.265 0.166 0.085 0.052 0.035 0.026
4 0.102 0.211 0.287 0.207 0.163 0.078 0.032 0.023 0.020
5 0.075 0.128 0.191 0.199 0.168 0.094 0.053 0.037 0.028
6 0.099 0.189 0.272 0.154 0.150 0.077 0.042 0.031 0.026
7 0.093 0.167 0.246 0.181 0.132 0.084 0.051 0.036 0.030
8 0.085 0.189 0.162 0.075 0.041 0.025 0.015 0.010 0.008
9 0.080 0.165 0.214 0.156 0.107 0.048 0.022 0.014 0.011
10 0.115 0.301 0.179 0.049 0.035 0.023 0.014 0.010 0.008

6.1.2 การปรับค่ าแรงเฉือนทีฐาน

เนื องจากแรงเฉื อนที ฐานอาคารตามที คํ า นวณได้ จ ากวิ ธี ก ารวิ เ คราะห์ ส เปกตรั ม ของ
ผลตอบสนอง เป็ นแรงเฉือนในระดับพฤติกรรมยืดหยุ่น จึงมีการปรับค่าให้ เป็ นแรงเฉือนทีใช้ ในการ
ออกแบบระดับไม่ยืดหยุน่ และนํามาเทียบกับค่าแรงเฉือนทีได้ จากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า ดังนี

สําหรับ UBC-1994, UBC-1997


ปรับค่าแรงเฉือนทีได้ ด้วยใช้ ตวั คูณ I / Rw หรื อ I / R สําหรับ UBC 1994 และ UBC
1997 ตามลําดับ และนํามาเทียบกับค่าแรงเฉือนทีได้ จากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า และปรับค่าแรง
เฉือน ดังนี อาคารรูปทรงไม่สมําเสมอ ปรับค่าให้ เท่ากับค่าแรงเฉือนทีได้ จากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า
สําหรับอาคารรูปทรงสมําเสมอ ปรับค่าแรงเฉือนให้ ไม่น้อยกว่า 80% ของค่าแรงเฉือนทีได้ จากวิธี
แรงสถิตเทียบเท่า

สําหรับ มยผ.1301/1302-61
ปรับค่าแรงเฉือนทีได้ ด้วยใช้ ตวั คูณ I / R และนํามาเทียบกับค่าแรงเฉือนทีได้ จากวิธีแรง
สถิตเทียบเท่า ให้ คา่ แรงเฉือนทีได้ ให้ มีคา่ ไม่น้อยกว่า 85% ของแรงเฉือนจากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 188

ในการคํานวณปรั บเทียบนี ค่าแรงเฉื อนทีคํานวณด้ วยวิธี แ รงสถิ ตเที ยบเท่า ให้ ใช้ คาบการสัน
ธรรมชาติทีคํานวณได้ จากวิธีสเปกตรัมผลตอบสนอง ซึงมีค่าไม่เกิน 1.5 เท่าของค่าทีคํานวณได้
จากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า
สําหรับค่าการเคลือนทีของโครงสร้ าง ซึงคํานวณได้ จากแรงกระทําที ได้ จากการปรับเป็ น
ค่าแรงเฉื อนทีใช้ ในการออกแบบตามทีกล่าวข้ างต้ น แล้ ว ให้ ปรั บค่าการเคลือนที โดยใช้ ตวั คูณ
Cd / I เนืองจาก ค่าการเคลือนทีซึงคํานวณจากแรงเฉื อนทีใช้ ออกแบบทีปรั บค่าแล้ วนี มีคา่ อยู่ใน
พิกดั ยืดหยุน่ จึงต้ องมีการปรับค่าให้ เป็ นการเคลือนทีระดับไม่ยืดหยุน่

6.2 การคํานวณผลตอบสนองของอาคาร

พิจารณารูปตัดของอาคารแบบเฉือน (Shear building) ดังแสดงในรูปที 6.4 ซึงเป็ น


อาคารหลายชัน มีแรงแผ่นดินไหวกระทําให้ ฐานเคลือนทีไปเป็ นระยะ u g และทําให้ มวลแต่ละชัน
เคลือนทีไปเป็ นระยะ un โดยสมมุตวิ า่ ยังไม่พิจารณาค่าความหน่วง

mn
un
kn/2 kn/2
mn-1 un-1
kn-1/2 kn-1/2
m4 u4
k4/2 k4/2
m3 u3
k3/2 k3/2
m2 u2
k2/2 k2/2
m1
u1
k1/2 k1/2

ug
รูปที 6.4 หน้ าตัดอาคารแบบเฉือนหลายชันมีการเคลือนทีของฐาน

สมการของการเคลือนที สามารถเขียนได้ ดงั นี


> M @^u`  > K @^u`  > M @^1` ug (t ) (6.1)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 189

โดยที > M @ และ > K @ คือ ค่าเมตริกซ์ของมวลและสติฟเนส ของระบบ ตามลําดับ


^u` และ ^u` คือ ค่าการเคลือนทีและความเร่งของโครงสร้ าง ตามลําดับ
ug คือ ค่าความเร่งเนืองจากการเคลือนตัวของพืนดิน
^1` คือ เวคเตอร์ 1 หน่วย

6.2.1 สมการการเคลือนทีของแต่ ละรู ปแบบและตัวประกอบของการมีส่วนร่ วม


(Modal Equation and Participation Factor)

จากสมการ 6.1 คําตอบของสมการนีจะหาได้ จากการแก้ สมการ eigenproblem ดังนี


^> K @  Z 2 > M @`^)` ^0` (6.2)
ในสมการที6.2นีจะต้ องหาค่าความถีเชิงมุมธรรมชาติ Z1, Z2 ,........, Zn (หรื อคาบการสันธรรมชาติ
T1, T2 ,..........., Tn )และค่าเมตริ กซ์ของรู ปแบบ ^)` ซึงจะแสดงค่ารูปแบบการสันแต่ละแบบ
(Normalized modal shapes)
สมการ 6.2 จะแยกเป็ นสมการอิสระทีไม่ถกู ควบกันได้ โดยการสมมุติคา่ การเคลือนที ดังนี
^u` = > ) @^ z` (6.3)
แทนค่าการเคลือนทีจากสมการที 6.3 ลงในสมการที 6.1 จะได้
zm  Zm2 zm = * mu g (t ) (m 1, 2,....N ) (6.4)
โดยที * m คือ ค่าตัวประกอบของการมีสว่ นร่วม (Participation factor) และคํานวณได้ จาก
N
¦ WiIim
*m = i 1
N
(6.5)
¦ 2
WiIim
i 1
เมือ Wi คือ นําหนักอาคารทีชัน i
Iim คือ รูปแบบการสัน (mode shape) ชันที i และรูปแบบที m
N
เนืองจาก ในกรณีนี ¦ Wi Iim2 1 ดังนันค่าตัวประกอบของการมีสว่ นร่วม จะเหลือเป็ น
g
i 1
1 N
*m = ¦ IimWi
gi1
(6.6)
โดยที g คือ ค่าความเร่งเนืองจากแรงโน้ มถ่วงโลก
เมือนําค่าความหน่วงมารวมลงในสมการที 6.4 จะได้ สมการของการเคลือนที ดังนี
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 190

zm  2[mZm zm  Zm2 zm = * mu g (t ) (6.7)


โดยที [m คือค่าอัตราส่วนความหน่วงของแต่ละรูปแบบ
สมการที 6.7 สามารถเขียนใหม่ในรูปทีไม่มีคา่ ตัวประกอบของการมีสว่ นร่วม ดังนี
qm  2[mZm qm  Zm2 qm = u g (t ) (6.8)
เมือ zm = *m qm (6.9)

6.2.2 แรงเฉือนของแต่ ละรู ปแบบการเคลือนที (Modal Shear Force)

ค่าของความเร่งตอบสนองจากสมการที 6.8 สามารถหาได้ จากกราฟความเร่งตอบสนอง


เชิ ง สเปกตรั ม (รู ป ที 6.1-6.3) เรี ย กว่า ความเร่ ง ตอบสนองของแต่ล ะรู ป แบบการเคลื อนที
Sam qm max
จากสมการที 6.3 และ 6.9 ค่าความเร่ งตอบสนองสูงสุดแต่ละรู ปแบบการเคลือนที
(m mod e) ทีระดับชัน x ของอาคาร คํานวณได้ จาก
th

axm = *mIxm Sam (6.10)


โดยที Sam และ axm คือ ความเร่งตอบสนองของแต่ละรูปแบบการเคลือนที และ
ค่าความเร่งตอบสนองสูงสุดแต่ละรูปแบบการเคลือนทีทีระดับชัน x ของ
อาคาร ตามลําดับ มีหน่วยเป็ น ค่าความเร่งเนืองจากแรงโน้ มถ่วงโลก g
แรงกระทําทางด้ านข้ างของแต่ละรูปแบบการเคลือนที ทีระดับชัน x ของอาคารคํานวณ
ได้ จากกฎของนิวตัน ดังนี
Fxm = axmWx
= *mIxm SamWx (6.11)
โดยที Wx นําหนักของอาคารทีกระจายในระดับชัน x
แรงเฉือนของแต่ละรูปแบบการเคลือนที ทีระดับชัน x ของอาคารคํานวณจากผลรวมของ
แรงกระทํา Fxm เหนือระดับของชันนัน
N
Vxm = ¦ Fim (6.12)
i x
แรงเฉือนของแต่ละรูปแบบการเคลือนทีกระทําทีฐานของอาคาร คํานวณจากผลรวมของ
แรงกระทํา Fim เหนือระดับฐานของอาคาร
N
Vm = ¦ Fim (6.13)
i 1
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 191

N
= ¦ * mIim SamWi (6.14)
i 1

6.2.3 นําหนักประสิทธิผลของแต่ ละรู ปแบบการเคลือนที


(Effective Modal Weight)

ค่านําหนักประสิทธิผลของแต่ละรูปแบบการเคลือนที Wm มีการกําหนดมาจากสมการ
Vm = Wm Sam (6.15)
จากสมการที 6.14 ค่านําหนักประสิทธิผลของแต่ละรูปแบบการเคลือนทีอยูใ่ นรูปของ
N
Wm = * m ¦ IimWi (6.16)
i 1
เมือนําสมการที 6.5 และ 6.16 มารวมกัน จะได้ คา่ ความสัมพันธ์ทีสําคัญของนําหนักประสิทธิผล
ของแต่ละรูปแบบการเคลือนที ดังนี
2
ªN º
« ¦ IimWi »
Wm = ¬« i 1 ¼» (6.17)
N
¦ 2
Iim Wi
i 1
จากการพิสจู น์ด้วยการวิเคราะห์โดย CloughและPenzien (1993) แสดงว่า ผลรวมของค่านําหนัก
ประสิทธิผลของทุกรูปแบบการเคลือนทีของอาคารมีคา่ เท่ากับนําหนักของอาคารทังหมด นันคือ
N N
¦ Wm = ¦Wi (6.18)
m 1 i 1
สมการที 6.18 มีประโยชน์ในการประเมินหาค่าจํานวนของรูปแบบการสันของอาคารเพือใช้ ในการ
ออกแบบ โดยเฉพาะอย่างยิง ข้ อกําหนดของ UBC1994, UBC1997 และ มยผ.1301/1302-61
เสนอว่าหากค่าผลรวมของนําหนักอาคารในแต่ละโหมด จากจํานวนรู ปแบบการสันแบบต่างๆ
เท่ากับหรื อมากกว่า 90% ของนําหนักอาคารทังหมด จึงจะถือว่าเป็ นจํานวนของรูปแบบการสันที
เพียงพอ นันคือ การคํานวณผลรวมของค่า นําหนักประสิทธิ ผลจากสมการที 6.17 ของแต่ล ะ
รูปแบบจนกระทังนําหนักทีได้ มีคา่ เท่ากับหรื อมากกว่า 90% ของนําหนักอาคาร
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 192

6.2.4 แรงกระทําทางด้ านข้ างของแต่ ละรู ปแบบการเคลือนที


(Modal Lateral Force)

จากการรวมสมการที 6.11 เข้ ากับสมการ 6.15 และ 6.16 ก็อาจแสดงค่าแรงกระทํา


ทางด้ านข้ างของแต่ละรูปแบบการเคลือนทีได้ ดังนี
Fxm = CxmVm (6.19)
โดยที Cxm คือ ค่าสัมประสิทธิแรงแผ่นดินไหวของแต่ละรูปแบบการเคลือนที ทีระดับชัน x
I xmWx
Cxm = N
(6.20)
¦ IimWi
i 1

6.2.5 การโยกตัวของแต่ ละรู ปแบบการเคลือนที (Modal Displacement)

ค่าการโยกตัวของแต่ละรูปแบบการเคลือนที G xm ทีระดับชัน x ของอาคารสามารถแสดง


อยูใ่ นรูปของสมการที 6.3 และ 6.9 ได้ ดังนี
G xm = *mIxm Sdm (6.21)
โดยที * m คือ ค่าตัวประกอบของการมีสว่ นร่วม สําหรับรูปแบบที m
Sdm คือ ค่าการเคลือนทีตอบสนองสําหรับรู ปแบบการสันนัน
นอกจากนี ค่า G xm ยังสามารถคํานวณได้ จากกฎการเคลือนทีของนิวตัน ดังนี
Wx 2
Fxm = ZmG xm (6.22)
g
g Fxm
หรื อ G xm = ˜ (6.23)
Zm2 Wx
เมือแทนค่า Zn 2S Tm จะได้
g Tm2 Fxm
G xm = 2
˜ (6.24)
4S Wx
โดยที Tm คือ คาบการสันธรรมชาติที m

6.2.6 การโยกตัวระหว่ างชันของแต่ ละรู ปแบบการเคลือนที (Modal Drift)

ค่าการโยกตัวระหว่างชันของแต่ละรูปแบบการเคลือนที สําหรับระดับชัน x ของอาคาร


คํานวณจากค่าการโยกตัวสัมพัทธ์ระหว่างชันทีอยู่ติดกัน นันคือ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 193

' xm = G xm  G ( x 1) m (6.25)


เมือ G 0m 0
จากข้ อกําหนดของ UBC1994 ค่าการโยกตัวระหว่างชันของอาคารจะต้ องไม่เกินค่าต่อไปนี
สําหรับโครงสร้ างซึงมีคาบการสันธรรมชาติ น้ อยกว่า 0.7 วินาที
ค่า Story drift, 'i ไม่เกิน 0.04hi Rw หรื อไม่เกิน 0.005hi
สําหรับโครงสร้ างซึงมีคาบการสันธรรมชาติ เท่ากับหรื อมากกว่า 0.7 วินาที
ค่า Story drift, 'i ไม่เกิน 0.03hi Rw หรื อไม่เกิน 0.004hi
สําหรับข้ อกําหนด มยผ.1301/1302-61 ใช้ เช่นเดียวกับวิธีแรงสถิตเทียบเท่า

6.2.7 โมเมนต์ พลิกควําของแต่ ละรู ปแบบการเคลือนที


(Modal Overturning Moment)

ค่าโมเมนต์พลิกควําของแต่ละรูปแบบการเคลือนที M xm สําหรับระดับชัน x ของอาคาร


คํานวณได้ จากผลรวมของโมเมนต์ของแรงกระทําทางด้ านข้ าง Fxm เหนือระดับชันนัน ดังนี
N
M xm = ¦ Fim (hi  hx ) (6.26)
i x
โดยที hi คือ ค่าความสูงทีระดับชัน i
ค่าโมเมนต์พลิกควําของแต่ละรูปแบบการเคลือนทีกระทําทีฐานของอาคาร M m คํานวณได้ จาก
N
Mm = ¦ Fim hi (6.27)
i 1

6.2.8 โมเมนต์ บิดของแต่ ละรู ปแบบการเคลือนที (Modal Torsional Moment)

ค่า โมเมนต์ บิ ด ของแต่ล ะรู ป แบบการเคลื อนที M txm สํ า หรั บ ระดับ ชัน x ของอาคาร
เนืองจาก ค่าการเยืองศูนย์ ex ระหว่างจุดศูนย์กลางของมวลและจุดศูนย์กลางของแรงต้ านทาน
ทางด้ านข้ างทีระดับชันนันคํานวณได้ จาก
M txm = exVxm (6.28)
โดยที Vxm คือ ค่าแรงเฉือนทีของแต่ละรูปแบบการเคลือนทีระดับชัน x ของอาคาร
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 194

นอกจากนี ข้ อกํ าหนดของ UBC1994 และมยผ.1301/1302-61 พิจารณาการคํานวณ


Accidental torsion ตามหลักเกณฑ์ เ ดียวกันกับวิธี แ รงสถิ ตเที ยบเท่าคือ การพิจารณาว่าจุด
ศูนย์กลางมวลอาจมีการเยืองศูนย์ไป 5% ของขนาดผังอาคารในทิศทางตังฉากกับแรงกระทํานัน

6.2.9 ผลกระทบของ P-Delta


ข้ อ กํ า หนดของ UBC1994 และ มยผ.1301/1302-61 พิ จ ารณาจากค่า สัม ประสิ ท ธิ
เสถียรภาพ ( T ) เช่นเดียวกับวิธีแรงสถิตเทียบเท่า สําหรับ มยผ.1301/1302-61 ใช้ คา่ การเคลือนที
สัมพัทธ์ทีคูณด้ วย Cd / I แล้ ว

6.3 การคํานวณผลตอบสนองทีใช้ ในการออกแบบ

ค่าผลตอบสนองทีใช้ ในการออกแบบได้ แก่ แรงเฉือนทีฐานอาคาร แรงเฉือนในระหว่างชัน


ค่าการโยกตัวระหว่างชัน ค่าการเคลือนทีทางด้ านข้ าง ค่าโมเมนต์พลิกควํา และค่าโมเมนต์บดิ
คํานวณได้ จากการรวมผลตอบสนองในแต่ละรูปแบบการสันเข้ าด้ วยกัน ในปัจจุบนั นีวิธีการรวมกัน
ทียอมรับและใช้ กนั อย่างแพร่หลาย ใช้ เทคนิควิธีรากทีสองของผลรวมของค่ากําลังสอง (Square
Root of the Sum of the Square, SRSS) ซึงแสดงได้ ดังนี
N
R = ¦ Ri2 (6.29)
i 1

โดยที R คือ ค่าผลตอบสนองจากการรวมทุกรูปแบบการสันทังหมด


Ri คือ ค่าผลตอบสนองสูงสุดของรู ปแบบการสันที i
แม้ วา่ เทคนิค SRSS จะให้ ผลการรวมค่าผลตอบสนองทังหมดเป็ นทีน่าเชือถือได้ อย่างไรก็
ตาม หากมีการสันในบางรู ปแบบทีให้ ค่าความถีทีใกล้ เคียงกันมาก กล่าวคือ ผลต่างระหว่างสอง
ความถีธรรมชาติมีคา่ ไม่เกิน 10% ของค่าทีน้ อยกว่าสําหรับสองค่าความถีนัน เทคนิค SRSS อาจ
ให้ ผลการรวมทีคลาดเคลือนไปได้ มาก โดยเฉพาะในกรณี ของการวิเคราะห์โครงสร้ าง 3 มิติซึง
ผลกระทบของการบิดตัวมีความสําคัญ ในกรณีแบบนีควรใช้ อีกวิธี การหนึงเรี ยกว่าการรวมผล
กําลังสองแบบสมบูรณ์ (Complete Quadratic Combination, CQC) ซึงมีพืนฐานมาจากทฤษฎี
การสันแบบสุ่มเสนอโดย Kiureghian (1980) และ Wilson และคณะ (1981) ซึงเป็ นการขยายผล
มาจากเทคนิค SRSS และให้ ผลการคํานวณทีละเอียดถูกต้ องมากขึน แต่เนืองจากการคํานวณมี
ความซับซ้ อน จึงจําเป็ นต้ องใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ช่วยในการคํานวณ อย่างไรก็ตาม สําหรับ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 195

การคํานวณขันต้ นหรื อการคํานวณด้ วยมือ เทคนิค SRSS เป็ นวิธีทีง่ายและนิยมใช้ กนั โดยทัวไปใน
การคํานวณหาผลตอบสนองสูงสุดทีใช้ ในการออกแบบ
นอกจากนี ผลงานวิจัยหลายชินในระยะหลัง ยังพบว่า การวิเ คราะห์ด้วยวิธีส เปกตรั ม
ผลตอบสนอง ให้ ค่าแรงเฉื อนตํากว่าแรงเฉื อนทีวิเคราะห์ด้วยวิธี NTHA โดยเฉพาะโครงสร้ าง
อาคารสูงทีมีกําแพงรับแรงเฉื อน เนืองจากผลของการปรับ ค่าแรงเฉื อนในแต่ละรู ปแบบการสัน
เท่าๆกันด้ วยค่าตัวประกอบผลตอบสนอง (R Factor) จึงได้ มีการเสนอปรับปรุ งวิธีการวิเคราะห์
สเปกตรัมผลตอบสนองใหม่ เช่น การใช้ คา่ ตัวประกอบผลตอบสนองเฉพาะค่าแรงเฉือนในรูปแบบ
การสันพืนฐาน (Fundamental Mode) (Priestley, 2003) การใช้ คา่ ตัวประกอบผลตอบสนองที
แตกต่างกันในแต่ละรูปแบบการสัน (Calugaru และ Panagiotou, 2012) นอกจากนี ข้ อกําหนดใน
EC8(2004), NZS (2006), NBCC (2010) ยังได้ ปรับปรุงวิธีการคํานวณแรงเฉือนสําหรับโครงสร้ าง
คอนกรี ตเสริ มเหล็กทีมีกําแพงรับแรงเฉือน เพือรองรับแรงเฉือนทีมีคา่ สูง ขึนสําหรับรูปแบบการสัน
ทีสูงขึน (Higher Modes) ผลงานวิจยั เหล่านี จึงนําไปสู่การปรับปรุงมาตรฐาน มยผ.1301/1302-
61 ดังนี
การคํานวณ ค่าแรงภายในทีใช้ สําหรับออกแบบกําลังความแข็งแรงของชินส่วนโครงสร้ าง
ยกเว้ นค่าแรงเฉื อนสําหรับการออกแบบชินส่วนโครงสร้ างแนวดิงเป็ นรายชินส่วน ให้ ใช้ ค่าการ
I
ตอบสนองสูงสุดของระบบยืดหยุน่ เชิงเส้ นในแต่ละโหมดคูณด้ วย
R
ในการคํานวณแรงเฉือนรวมทีฐาน (Total Base Shear, Vt ) ซึงรวมผลจากหลายโหมด
I
ด้ วยวิ ธี SRSS โดยทุก โหมดถูกคูณ ด้ วย จะได้ ค่าแรงเฉื อ นที ฐาน จากการวิเ คราะห์ เ ชิ ง
R
พลศาสตร์
I
Vt Vb2,1e  Vb2,2 e  Vb2,3e  (6.30)
R

โดยที Vb,ie คือ แรงเฉือนรวมทีฐานในโหมด i ของระบบยืดหยุน่ เชิงเส้ น (Linear Elastic)

ในการคํานวณค่าแรงเฉือนสําหรับการออกแบบชินส่วนโครงสร้ างแนวดิงเป็ นรายชินส่วน


สําหรับโหมดแรกของการสันไหวในแต่ละทิศทางในแนวราบให้ คณ ู ค่าแรงเฉือนสูงสุดของชินส่วน
S F I :0
นันในระบบยืดหยุน่ เชิงเส้ นด้ วย สําหรับโหมดอืน ๆ ให้ คณ
ู ค่าแรงเฉือนสูงสุดของชิ นส่วน
R
นันในระบบยืดหยุ่นเชิงเส้ นด้ วย I จากนันรวมค่าการตอบสนองของทุกโหมดทีพิจารณาด้ วยวิธี
SRSS
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 196

2
§S :V ·
V I ¨ F 0 1e ¸  V22e  V32e  (6.31)
© R ¹

โดยที V1e ,V2e , และ V3e คือ แรงเฉือนในระบบยืดหยุ่นเชิงเส้ นในโหมดที , , และ ตามลําดับ
วิธีการคํานวณนีเรี ยกว่า Modified Response Spectrum Analysis (MRSA) ซึงเป็ นการปรับ
วิธีการคํานวณแรงเฉือนต้ านทานให้ การออกแบบมีความปลอดภัยโดยพิจารณาแรงเฉือนเนืองจาก
โหมดสูงเป็ นแบบยืดหยุน่ เชิงเส้ น

ในการออกแบบแรงเฉื อนในเสาทีต้ องใช้ ตวั ประกอบกําลังส่ วนเกิน หรื อในการออกแบบ


เสาทีกําหนดให้ คณ ู ค่าแรงเฉื อนเป็ นสองเท่า ค่าจากสมการ 6.31 ถือว่าได้ คณ
ู ตัวประกอบกําลัง
ส่วนเกินแล้ วจึงไม่ต้องคูณตัวประกอบกําลังส่วนเกินซําอีก

ในการคํานวณแรงภายในอืนนอกเหนือจากแรงเฉื อนสําหรับการออกแบบชินส่วน เช่น


I
โมเมนต์ดดั ให้ ใช้ คา่ คูณผลตอบสนองแบบยืดหยุน่ เชิงเส้ นของทุกโหมดได้
R

SF I
M M 1e 2  M 2 e 2  M 3e 2  (6.32)
R

โดยที M1e , M 2e , และ M 3e คื อ โมเมนต์ ดัด ในระบบยื ด หยุ่น เชิ ง เส้ น ในโหมดที , , และ
ตามลําดับ
ในการเคลือนตัวและการเคลือนตัวสัมพัทธ์ ระหว่างชัน ทีเกิดขึนจริ ง ซึงพิจารณาผลของ
การตอบสนองแบบอินอีลาสติก คํานวณได้ จากการเคลือนตัวและการเคลือนตัวสัมพัทธ์ระหว่าง
ชันภายใต้ แรงทีใช้ ออกแบบกําลังความแข็งแรงของชินส่วนโครงสร้ าง (ค่าการเคลือนตัวทีคูณด้ วย
I Cd Cd
แล้ ว) คูณด้ วยค่า ซึงเทียบเท่ากับค่าการเคลือนตัวของระบบยืดหยุน่ เชิงเส้ นคูณด้ วย
R I R

Cd
G G12e  G 22e  G 32e  (6.33)
R

Cd
' '12e  ' 22 e  ' 32e  (6.34)
R

โดยที G1e , G 2e , และ G3e คื อ การเคลื อนตัว ในระบบยื ด หยุ่น เชิ ง เส้ น ในโหมดที , , และ
ตามลําดับ และ '1e , '2e , และ '3e คือ การเคลือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชันในระบบยืดหยุ่นเชิงเส้ น
ในโหมดที , , และ ตามลําดับ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 197

สําหรับการคํานวณผลกระทบของ P' ใช้ หลักเกณฑ์เช่นเดียวกันกับวิธีแรงสถิตเทียบเท่า


โดยมีสตู รคํานวณ ดังนี
Px ' x
T = (6.37)
Vx hx
Px
'x

Vx A
ระดับชัน x

MA

hx

MB
B Vx-1 ระดับชัน x-

Px-1
รูปที 6.5 ผลกระทบของ P' ต่ อเสาอาคาร

6.4 ขันตอนการออกแบบโดยวิธีพลศาสตร์ สาํ หรั บ มยผ.1301/1302-61

1) สําหรับอาคารนอกเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หาค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมที
คาบสันและที . วินาที Ss และ S1 จากตาราง พร้ อมกับกํ าหนดประเภทของดิน ที รองรั บ
อาคาร(A,B,C,D,E,F) และเลือกค่าสัมประสิทธิ ปรับแก้ เนื องจากผลของชันดิน Fa และ Fv
สําหรั บอาคารที ตังอยู่ในเขตกรุ งเทพมหานครและปริ มณฑล สามารถใช้ กราฟความเร่ ง
ตอบสนองเชิงสเปกตรัมด้ วยวิธีพลศาสตร์ ทีแสดงข้ างต้ น
2) คํานวณค่าความเร่งตอบสนองสําหรับการออกแบบ SDS และ S D1 จาก
2
S DS Fa S s
3
2
S D1 Fv S1
3
3) กํ าหนดประเภทการออกแบบต้ า นแรงแผ่นดิน ไหว (ข,ค,ง) ตามค่า S DS และ S D1 และ
ความสําคัญของอาคาร (I, II, III, IV)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 198

4) กําหนดค่า R, :, Cd จากตารางซึงสัมพันธ์ กับประเภทการออกแบบต้ านแรงแผ่นดินไหว และ


ระบบโครงสร้ างอาคาร
5) สร้ างกราฟความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบด้ วยวิธีพลศาสตร์
6) สร้ างแบบจําลองโครงสร้ าง พร้ อมทังกําหนดมวลและสติฟเนสของโครงสร้ าง
7) วิเคราะห์หาคาบการสันธรรมชาติในแต่ละรูปแบบการเคลือนที ค่าการเคลือนทีในแต่ละรูปแบบ
8) หาค่าความเร่ งตอบสนองของโครงสร้ างทีตรงกับคาบการสันธรรมชาติในแต่ละรู ปแบบการ
เคลือนที จากขันตอนที 5 และ 7
9) คํานวณหานําหนักประสิทธิผลของโครงสร้ างและแรงเฉือนทีฐานของแต่ละรูปแบบการสัน
10) ปรับค่าแรงเฉื อนที ได้ โดยคูณด้ วยค่า I / R เพือเป็ นค่าแรงเฉื อนสําหรับการออกแบบ และ
นํามาปรับเทียบให้ มีคา่ ไม่น้อยกว่า 85% ของแรงเฉือนจากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า
ทังนี ค่า แรงเฉื อ นที คํ านวณด้ ว ยวิ ธี แ รงสถิ ตเที ยบเท่า ใช้ ค าบการสันของรู ปแบบพื นฐานที
คํานวณได้ จากขันตอนที 7 ซึงมีคา่ ไม่เกิน 1.5 เท่าของค่าทีคํานวณได้ จากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า
11) คํานวณค่าการเคลือนทีของโครงสร้ าง จากแรงกระทําทีได้ จากการปรับเป็ นค่าแรงเฉือนทีใช้ ใน
การออกแบบแล้ ว นํามาปรับค่าการเคลือนทีโดยใช้ ตวั คูณ Cd / I
12) ค่าแรงเฉือนสําหรับการออกแบบชินส่วนโครงสร้ างแนวดิงเป็ นรายชินส่วน คํานวณโดยวิธี
Modified Response Spectrum Analysis (MRSA) สมการที 6.31
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 199

ตัวอย่ างที 6.1 อาคารคลังเก็บนํามันแห่งหนึง โครงสร้ างเป็ นคอนกรี ตเสริ มเหล็ก สูง 4 ชัน มี
ความสูงระหว่างชัน 3.6 ม. มีคา่ นําหนักบรรทุกคงที 672 กก./ตร.ม. ซึงรวมทังนําหนักพืน คาน
เสาและผนังกําแพง มีคา่ นําหนักบรรทุกจร 600 กก./ตร.ม. อาคารนีตังอยู่ในเขตพืนทีภาคเหนือ
ของประเทศไทย โดยสมมุติ ให้ Ss 0.706 g , S1 0.155g และชันดินทีใต้ ฐานรากเป็ นชันดิน
ปกติ จงใช้ วิธีการวิเคราะห์สเปกตรัมผลตอบสนองตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 คํานวณหา
ก) แรงเฉือนทีฐานอาคาร เนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ข) แรงกระทําทีชันอาคารแต่ละชันและแรงเฉือนทีเกิดขึน
ค) ตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร
D

1 2 3 4 5 6 7 8 9
A B C

A
3.6 ม.
7.2 ม.
3.6 ม.
B
3.6 ม.
7.2 ม.
3.6 ม.
C
D 7.2 ม. 7.2 ม.
8@3.6 ม.= 28.8 ม.
ก) ผังอาคาร ข) รูปตัดขวาง
รูปที 6.6 ผังอาคารคลังเก็บสินค้ า

กําหนดให้ เสาต้ นนอก ขนาดเสา สําหรับทุกชัน 0.30x0.50 ม.


เสาต้ นใน ขนาดเสา สําหรับชันที1 และ ชันที 2 0.30x0.60 ม.
สําหรับชันที 3 0.30x0.50 ม.
สําหรับชันที 4 0.30x0.40 ม.
คานมีขนาดหน้ าตัดเท่ากันหมด 0.30x0.60 ม.

วิธีทาํ
ขันตอนที 1 นําหนัก Wi ทีแต่ ละชันอาคาร
เนืองจากอาคารนีเป็ นคลังเก็บพัสดุ จึงต้ องเพิมนําหนักอีก 25% ของนําหนักบรรทุกจร
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 200

นําหนัก W สําหรับชันที 1, 2, 3 คือ W1, W2, W3 = 672 + 0.25 (600)


= 822 กก./ตร.ม.
ชันที 4 (ดาดฟ้า) W4 = 672 กก./ตร.ม.
พืนทีแผ่นพืนในช่วงพาด 3.6 เมตรโครงข้ อแข็งสองมิติ = 3.6x14.4 = 51.84 ตร.ม.
เมือคิดเป็ นนําหนักกระทําต่อโครงข้ อแข็งสองมิตเิ พียง 1 แกน
W1 = W2 = W3 = (822 x 51.84) x 10-3 = 42.6 ตัน
-3
W4 = (672 x 51.84) x 10 = 34.8 ตัน
นําหนักทังหมด W = (42.6x3) + 34.8 = 162.6 ตัน

ขันตอนที 2 แบบจําลองของโครงสร้ าง

13 7 14 8 15

18 19 20
10 5 11 6 12

15 16 17
4@3.6 = 14.4 m

3 8 4 9
7

12 13 14
4 1 5 2 6

9 10 11
1 2 3
x
7. 2 m 7. 2 m

รูปที 6.7 แบบจําลองโครงสร้ างสําหรับอาคารตัวอย่ าง

โครงสร้ างนีจําลองเป็ นแบบโครงข้ อแข็ง 2 มิติ และใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ คํานวณหา


เมตริกซ์ของสติฟเนสและใช้ วิธีการควบแน่นแบบสถิต เพือลดขนาดเมตริ กซ์ลงมาให้ สอดคล้ องกัน
กับแกนของการเคลือนตัวทางด้ านข้ างทีระดับชันต่างๆของอาคาร ในการป้อนค่าหมายเลขจุดต่อ
ของโครงนี แสดงค่า จุด ต่อ ในเครื องหมายวงกลม องค์ อ าคารที อยู่ร ะหว่า งจุด ต่อ แสดงด้ ว ย
เครื องหมายสามเหลียม ดังนันในแบบจําลองนี จึงมีจํานวนจุดต่ออาคาร 15 จุดและมีองค์อาคาร
ทังหมด 20 ชิน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 201

ดังนัน ค่าเมตริ กซ์สติฟเนสของโครงสร้ าง

ª111.6  58 9.1  0.9 º


« 58 76.8  37.4 5.3 »»
>K @ = «
«9.1  37.4 57.6
ตัน/ซม.
 27.8 »
« »
¬ 0.9 5.3  27.8 23.2 ¼
ค่าเมตริ กซ์มวลของโครงสร้ าง (Wi g)
ª0.0434 0 0 0º
« 0 0.0434 0 0 »»
>M @ = «
«
ตัน ˜ วินาที2/ซม.
0 0 0.0434 0»
« »
¬ 0 0 0 0.035 ¼

ขันตอนที 3 คาบการสันธรรมชาติและรู ปแบบการสัน


ค่าความถีธรรมชาติและรูปแบบของการสันคํานวณได้ จากการแก้ สมการ eigenproblem
^> K @  Z 2 > M @`^)` ^0`
แทนค่า > K @ และ > M @ จะสามารถหารากของสมการข้ างบนได้ จาก > K @  Z 2 > M @ 0 นันคือ
Z12 77.22, Z32 1939.75
Z22 678.60, Z42 4052.78
คํานวณความถีธรรมชาติ ( f Z 2S ) ,รอบ/วินาที
f1 1.40, f3 7.01
f2 4.14, f 4 10.13
คํานวณคาบการสันธรรมชาติ (T 1 f ) ,วินาที
T1 0.715, T3 0.143
T2 0.241, T4 0.099
ค่าการเคลือนทีในแต่ละรูปแบบการสัน (modal shapes) โดยจัดในแนวดิง (column)ได้ ดงั นี
ª0.11277  0.31074  0.35308 0.50518 º
«0.27075  0.46790  0.11497  0.42860»
>) @ = «
«0.43123  0.06907
»
0.50310 0.21286 »
« »
¬0.51540 0.45452  0.34652  0.07766 ¼
เขียนแสดงรูปแบบการสัน ดังนี
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 202

4 4 4 4

3 3 3 3

2 2 2 2

1 1 1 1

1st Mode 2nd Mode 3rd Mode 4th Mode


รูปที 6.8 รูปแบบการสันของโครงสร้ าง

ขันตอนที 4 คํานวณหาความเร่ งตอบสนองของโครงสร้ าง (Sam )


จากค่าความเร่งตอบสนอง Ss 0.706 g , S1 0.155g และชันดินปกติจดั เป็ นประเภท D
ค่าสัมประสิทธิปรับแก้ เนืองจากผลของชันดิน Fa 1.24 และ Fv 2.18
2 2
S DS Fa Ss 1.24 u 0.706 0.58g
3 3
2 2
S D1 Fv S1 2.18 u 0.155 0.23g
3 3
I 1.5 R 8, :o 3, Cd 5.5
สร้ างกราฟความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบด้ วยวิธีพลศาสตร์ ดังนี
Sa ( g )

0.6

0.5

0.4

0.3

0.2

0.1

0.5 1.0 1.5 2.0 T (sec)


รูปที 6.9 ความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบ
จากกราฟในรูปที 6.9 จะสามารถหาค่า Sam ทีตรงกับคาบการสันธรรมชาติ T1, T2 , T3 , T4 ได้ ดงั นี
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 203

Sa1 0.34 g , Sa 3 0.58 g


Sa 2 0.58 g , Sa 4 0.58 g

ขันตอนที 5 คํานวณหานําหนักประสิทธิผลและแรงเฉือนทีฐานของแต่ ละรู ปแบบการสัน


2
ªN º
« ¦ IimWi »
Wm = ¬« i 1 ¼» และ Vm = Wm Sam
N
¦ 2
Iim Wi
i 1
ตารางที 6.3 นําหนักประสิทธิผลและแรงเฉือนทีฐานของแต่ ละรูปแบบการสัน (Wm ,Vm )
รูปแบบที ª N º
2 N นําหนักประสิทธิผลของแต่ละ Vm (Tons)
«¦ IimWi » ¦ 2
Iim Wi
รูปแบบการสัน ค่าแรงเฉือนแบบ
«¬ i 1 »¼ i 1
Wm (Tons) (%) ยืดหยุน่
1 2,771.42 20.83 133.0 82 45.2
2 411.89 20.83 19.7 12 11.5
3 111.64 20.83 5.3 3 3.1
4 92.69 20.83 4.4 3 2.6
¦ = 162.4 ¦ = 100

แรงเฉือนทีฐานทังหมดคํานวณโดยเทคนิค SRSS
(45.2)2  11.5  3.1  2.6
2 2 2
V = = 46.8 ตัน
N N
จากการตรวจสอบค่า ¦ Wm =162.4 ตัน ใกล้ เคียงกันกับ ¦ Wi =162.6 ตัน
m 1 i 1
ดังนัน จํานวนรูปแบบการสัน (modes) = 4 จึงถือว่าพอเพียง

ขันตอนที 6 การปรับค่ าแรงเฉือนทีฐาน


คํานวณหาค่าคาบการสันธรรมชาติของโครงสร้ าง ตามวิธีแรงสถิตเทียบเท่า
T 0.02 H 0.02 u14.4 0.288 วินาที
เนืองจากคาบการสัน T1 0.715 วินาที มีคา่ มากกว่าคาบการสันตามวิธีแรงสถิตเทียบเท่า จึงใช้
ค่าคาบการสันไม่เกิน 1.5 เท่าของคาบการสันตามวิธีแรงสถิตเทียบเท่า นันคือ
T 1.5 u 0.288 0.432 วินาที ซึงนํามาใช้ ในการคํานวณแรงเฉือนด้ วยวิธีแรงสถิตเทียบเท่า
S DS 0.58
Cs 0.109 g
R/I 8 /1.5
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 204

S D1 0.23
Cs 0.109 g ! 0.10 g และ Cs ! 0.01g
§R· § 8 ·
T¨ ¸ 0.432 ¨ ¸
©I¹ © 1.5 ¹
ดังนัน Cs 0.10 g และ V CsW 0.10 u162.6 16.26 ตัน
ปรับค่าแรงเฉื อนทีได้ โดยคูณ ด้ วยค่า I / R เพือเป็ นค่าแรงเฉื อนที ฐานสําหรั บการออกแบบ
1.5
V 46.8 u 8.77 ตัน
8
เนืองจากค่าแรงเฉือนสําหรับการออกแบบ 8.77 ตัน น้ อยกว่า 0.85x16.26 = 13.82 ตัน
0.85Vstatic 0.85 u16.26
ดังนัน ปรับด้ วยค่า SF = = = 1.57
Vdynamic 8.77
ดังนันจึงนําค่า SF มาคูณกับค่า Vm เป็ นค่าใหม่

ตารางที 6.4 การปรับค่ าแรงเฉือนทีฐานของแต่ ละรูปแบบการสัน (Vm )


รูปแบบที ค่าแรงเฉือนแบบ ค่าแรงเฉือนการออกแบบ I
Vm ˜ S F
Vm (Tons)
ยืดหยุน่ I
Vm (Tons)
R
Vm (Tons) R

1 45.2 8.48 8.48x1.57 13.31


2 11.5 2.16 2.16x1.57 3.39
3 3.1 0.58 0.58x1.57 0.91
4 2.6 0.49 0.49x1.57 0.77
แรงเฉือนทีฐานทังหมดคํานวณโดยเทคนิค SRSS
(13.31)2  3.39  0.91  0.77
2 2 2
V = = 13.79 ตัน

ขันตอนที 7 แรงกระทําทางด้ านข้ างของแต่ ละรู ปแบบสัน


I xmWx
Fxm = CxmVm โดยที Cxm = N
¦ IimWi
i 1
ตารางที 6.5 ค่ าสัมประสิทธิแรงแผ่ นดินไหวของแต่ ละรูปแบบการสัน Cxm
ระดับชัน x รูปแบบที 1, Cx1 รูปแบบที 2, Cx 2 รูปแบบที 3, Cx3 รูปแบบที 4, Cx 4
4 0.341 -0.780 1.141 -0.281
3 0.349 0.145 -2.027 0.942
2 0.219 0.982 0.463 -1.897
1 0.091 0.652 1.422 2.235
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 205

ตารางที 6.6 ค่ าแรงกระทําทางด้ านข้ างของแต่ ละรูปแบบการสัน Fxm (ตัน)


ระดับชัน รูปแบบที1, รูปแบบที2, รูปแบบที3, รูปแบบที4, Fx ทีใช้ ออกแบบ
x Fx1 Fx 2 Fx3 Fx 4
4 4.54 -2.64 1.04 -0.22 5.36
3 4.64 0.49 -1.84 0.72 5.07
2 2.91 3.33 0.42 -1.46 4.68
1 1.21 2.21 1.29 1.72 3.31
N
แรงกระทําทางด้ านข้ างทีใช้ ออกแบบ Fx = ¦ Fxm2
m 1
ขันตอนที 7 แรงเฉือนของแต่ ละรู ปแบบสัน Vxm
N
ค่าแรงเฉือนของแต่ละรูปแบบการสัน Vxm = ¦ Fim
i x
N
ค่าแรงเฉือนทีใช้ ออกแบบ Vx = ¦ Vxm2
m 1
ตารางที 6.7 ค่ าแรงเฉือนของแต่ ละรูปแบบการสัน Vxm (ตัน)
ระดับชัน รูปแบบที1, รูปแบบที2, รูปแบบที3, รูปแบบที4, Vx ทีใช้ ออกแบบ
x Vx1 Vx 2 Vx3 Vx 4
4 4.54 -2.64 1.04 -0.22 5.36
3 9.18 -2.15 -0.8 0.50 9.48
2 12.09 1.18 -0.38 -0.96 12.19
1 13.31 3.39 0.91 0.76 13.79

A B C

F4 = 5.36 ตัน
V4 = 5.36 ตัน
F3 = 5.07 ตัน
V3 = 9.48 ตัน
F2 = 4.68 ตัน
V2 = 12.19 ตัน
F1 = 3.31 ตัน
Vb = V1 = 13.79 ตัน

รูปที 6.10 แรงกระทําทางด้ านข้ างและแรงเฉือนสําหรับโครง 2 มิติ


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 206

ขันตอนที 8 คํานวณหาระยะการเคลือนตัวจากฐานของแต่ ละรู ปแบบสัน G xm


g Tm2 Fxm Cd
G xm = 2
˜ ˜
4S Wx I
N
Gx = ¦ G xm
2

m 1
ตารางที 6.8 ค่ าระยะการเคลือนตัวจากฐานของแต่ ละรูปแบบการสัน G xm (ซม.)
ระดับชัน รูปแบบที1, รูปแบบที2, รูปแบบที3, รูปแบบที4, G x ทีใช้ ออกแบบ
x G x1 G x2 G x3 G x4
4 6.075 -0.399 0.056 -0.005 6.088
3 5.083 0.061 -0.081 0.015 5.084
2 3.190 0.411 0.019 -0.030 3.216
1 1.325 0.273 0.057 0.035 1.355

ขันตอนที 9 การเคลือนทีระหว่ างชันของแต่ ละรู ปแบบการสัน (Modal Drift) ' xm


' xm = G xm  G ( x 1) m
N
'x = ¦ ' 2xm
m 1
ตารางที 6.9 การโยกตัวระหว่ างชันของแต่ ละรูปแบบการสัน ' xm (ซม.)
ระดับชัน รูปแบบที1, รูปแบบที2, รูปแบบที3, รูปแบบที4, ' x ทีใช้ ออกแบบ
x ' x1 ' x2 ' x3 ' x4
4 0.992 -0.460 0.137 -0.020 1.102
3 1.893 -0.350 -0.100 0.044 1.929
2 1.864 0.138 -0.039 -0.065 1.871
1 1.325 0.273 0.057 0.035 1.355

มยผ.1301/1302-61 กําหนดค่าระยะการเคลือนทีสัมพัทธ์ ไม่เกิน 0.01xh = 0.01x360 = 3.6


ซม. ค่าการเคลือนทีสัมพัทธ์ในแต่ละชันไม่เกินค่าที มยผ.1301/1302-61 กําหนดไว้

ขันตอนที 10 โมเมนต์ พลิกควําของแต่ ละรู ปแบบการเคลือนที


N
M xm = ¦ Fim (hi  hx )
i x
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 207

N
Mx = ¦ M xm
2

m 1

ตารางที 6.10 โมเมนต์ พลิกควําของแต่ ละรูปแบบการสัน M xm (ตัน-เมตร)


ระดับชัน รูปแบบที1, รูปแบบที2, รูปแบบที3, รูปแบบที4, Mx
x M x1 M x2 M x3 M x4 ทีใช้ ออกแบบ
4 - - - - -
3 16.34 -9.52 3.73 -0.78 19.29
2 49.40 -17.27 0.83 1.05 52.35
1 92.96 -13.03 -0.55 -2.37 93.89
ฐาน 140.87 -0.84 2.72 0.39 140.90

ความปลอดภัยต่อการพลิกควํา
M Re act 162.6 u 7.2
S .F . 8.3 ! 1.5
M Act 140.9
ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควํามากกว่า 1.5 จึงใช้ ได้

ขันตอนที 11 โมเมนต์ บิดของแต่ ละรู ปแบบการเคลือนที (Modal Torsional Moment)


โมเมนต์บิดโดยบังเอิญ M txm = exVxm
= 0.05DVxm = 0.05 u 28.8u (Vxm u 8)
N
M tx = ¦ M txm
2

m 1
ตารางที 6.11 โมเมนต์ บิดของแต่ ละรูปแบบการสัน M txm (ตัน-เมตร)
ระดับชัน รูปแบบที1, รูปแบบที2, รูปแบบที3, รูปแบบที4, M tx
x M tx1 M tx 2 M tx3 M tx 4 ทีใช้ ออกแบบ
4 52.30 -30.41 11.98 -2.53 61.72
3 105.75 -24.77 -9.22 5.76 109.16
2 139.28 13.59 -4.38 -11.06 140.44
1 153.33 39.05 10.48 8.76 158.81
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 208

'
ขันตอนที 12 ผลกระทบของ P'
Px ' x
T =
Vx hx Cd
ตารางที 6.12 การคํานวณค่ าสัมประสิทธิเสถียรภาพ (Stability Coefficient)
ชัน นําหนัก นําหนักสะสม การเคลือนทีสัมพัทธ์ แรงเฉือน T
(ตัน) Px (ตัน) ' x (ซม.) Vx (ตัน)
4 34.8 34.8 1.102 5.36 0.0036
3 42.6 77.4 1.929 9.48 0.0080
2 42.6 120.0 1.871 12.19 0.0093
1 42.6 162.6 1.355 13.79 0.0081
เนืองจากค่าสัมประสิทธิเสถียรภาพ T ทีคํานวณได้ มีคา่ น้ อยกว่า 0.1 ดังนันจึงไม่จําเป็ นต้ องนํา
ผลกระทบของ P' มาคํานวณออกแบบโครงสร้ าง

ขันตอนที 13
นําค่าแรงเฉื อนในขันตอนที 5 มาคํานวณ เนืองจากแรงเฉื อนรวมในแต่ละชันคิดจากเสา
ทังหมด 3 ต้ น ดังนัน ค่าแรงเฉือนสําหรับการออกแบบเสา1ต้ นในชันล่าง จึงหารแรงเฉือนรวมด้ วย
จํานวนเสา 3 ต้ นและนําไปคํานวณโดยวิธี Modified Response Spectrum Analysis (MRSA)
ตารางที 6.13 การปรับค่ าแรงเฉือนทีฐานของแต่ ละรูปแบบการสัน
รูปแบบที ค่าแรงเฉือนรวมแบบ ค่าแรงเฉือนแบบยืดหยุน่ ค่าแรงเฉือนของเสาในชันล่าง
ยืดหยุน่ ในชันล่าง ของเสา 1 ต้ น สําหรับออกแบบ (Tons)
Ve (Tons) Ve Mode1 S F :oVcol ,e / R
Vcol ,e (Tons)
3 Mode 2,3, 4 Vcol ,e
1 V1e = 45.2 15.07 8.87
2 V2e = 11.5 3.83 3.83
3 V3e = 3.1 1.03 1.03
4 V4e = 2.6 0.87 0.87
แรงเฉือนสําหรับการออกแบบเสาชันล่าง คํานวณโดยเทคนิค SRSS
2
§S :V ·
V I ¨ F 0 1e ¸  V22e  V32e 
© R ¹

V = 1.5 u (8.87)2  3.83 2  1.03 2  (0.87) 2 = 14.63 ตัน


สําหรับค่าแรงเฉื อนสําหรับการออกแบบเสาในชันทีสองและชันถัดไป ให้ คํานวณค่าแรงเฉือนรวม
แบบยืดหยุน่ ในชันทีสองแบบเดียวกับขันตอนที 5 และนํามาใช้ คํานวณเช่นเดียวกับขันตอนที 13
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

บทที 7
การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้ อแข็ง
7.1 บทนํา

ปั จ จุบัน นี อาคารที อยู่ในพื นที เสี ยงภัยตามที กํ า หนดในกฎกระทรวงฉบับ พ.ศ. 2550


จะต้ องมีการออกแบบอาคารให้ สามารถต้ านทานแรงแผ่นดินไหวได้ พืนทีเสียงภัยดังกล่าวนี แบ่ง
ออกเป็ น 3 บริ เวณ คือ ก) บริ เวณเฝ้าระวัง ได้ แก่พืนที 7 จังหวัดภาคใต้ ข) บริ เวณที 1 ได้ แก่ พืนที
ในเขตกรุงเทพมหานครและปริ มณฑล และค) บริ เวณที 2 ได้ แก่ พืนทีใน 9 จังหวัดในภาคเหนือ
และอีก 1 จังหวัดในภาคตะวันตก กฎกระทรวงฉบับใหม่นีกําหนดว่า พืนทีในบริ เวณที 1 และ
บริ เวณที 2 จะต้ องออกแบบให้ อาคารสามารถรับแรงสันสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ โดยคํานวณ
แรงเฉื อนทีฐานตามวิธีทีกําหนดไว้ และให้ จดั รู ปแบบเรขาคณิตของอาคารให้ มีเสถียรภาพในการ
ต้ านทานการสันสะเทือนของแผ่นดินไหว และมีการออกแบบรายละเอียดบริ เวณรอยต่อระหว่าง
ปลายชินส่วนโครงสร้ างต่างๆ และการจัดให้ โครงสร้ างทังระบบมีความเหนียวเทียบเท่าความ
เหนียวจํากัด (Limited Ductility)
ส่วนบริ เวณเฝ้าระวัง กฎกระทรวงกําหนดให้ มีการออกแบบการจัดรูปแบบเรขาคณิตของ
อาคารให้ มีเสถียรภาพและการออกแบบให้ โครงสร้ างมีความเหนียว ยกเว้ นว่า ไม่ได้ กําหนดให้ ต้อง
มีการคํานวณออกแบบแรงเฉื อนที ฐานอาคาร ในปั จจุบัน มาตรฐานการออกแบบอาคารเพื อ
ต้ านทานการสันสะเทือนของแผ่นดินไหว (มยผ.1301/1302-61) มีรายละเอียดการเสริ มเหล็กเพือ
ใช้ สําหรับการออกแบบโครงสร้ างอาคารให้ มีความเหนียวปานกลางและความเหนียวพิเศษ ให้
เหมาะสมสําหรับสภาพเขตความเสียงภัยในแต่ละพืนทีทัวประเทศ
ในการคํานวณออกแบบอาคารจะต้ องเริ มจากการหาแรงเฉือนทีฐานอาคารเนืองจากแรง
แผ่นดินไหว สูตรการคํานวณตามกฎกระทรวงฉบับ พ.ศ. 2550 นี ร่างตามข้ อกําหนดของ Uniform
Building Code (UBC, 1985) อย่างไรก็ตาม หากจะใช้ วิธี การคํานวณตามมาตรฐาน
มยผ.1301/1302-61หรื อ วิ ธี ก ารตามมาตรฐานอื น วิ ศ วกรผู้อ อกแบบอาคารที มี ค วามเข้ า ใจ
หลัก การออกแบบที สํ าคัญ ย่อมสามารถนํ าไปประยุก ต์ก ารออกแบบต่อไปได้ สํ าหรั บ วิธี การ
คํานวณแรงเฉื อนทีฐานอาคาร แรงกระทําทางด้ านข้ าง แรงเฉือนในชัน ค่าการโยกตัวระหว่างชัน
โมเมนต์กระทําพลิกควําในชัน โมเมนต์บดิ กระทําในชัน และผลกระทบของโมเมนต์ลําดับสอง การ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

คํานวณเหล่านีเป็ นการออกแบบขันเบืองต้ น ดังกล่าวรายละเอียดแล้ วในวิธีแรงสถิตเทียบเท่าและ


วิธี พ ลศาสตร์ ในบทนี จะกล่า วถึ ง การคํ า นวณออกแบบองค์ อ าคารคอนกรี ต เสริ ม เหล็ ก ตาม
ข้ อกําหนดของมยผ.1301/1302-61 ซึงประกอบด้ วยการออกแบบ คาน เสา และรอยต่อระหว่าง
คาน-เสา เพือให้ มีความเหนียวต้ านทานแรงกระทําแบบวัฏจักร เพือใช้ เป็ นหลักในการออกแบบ
อาคารต้ านทานแผ่นดินไหวต่อไป

7.2 ขันตอนการออกแบบ

ในการออกแบบอาคารต้ านทานแผ่นดินไหว มีขนตอนการออกแบบดั


ั งนี
สําหรับ UBC (1985, 1994, 1997)
1) พิจารณาลัก ษณะของโครงสร้ างอาคารว่า จะใช้ ก ารออกแบบโดยวิธี แ รงสถิ ต
เทียบเท่าหรื อวิธีพลศาสตร์ ตามหลักการทีกล่าวแล้ ว
2) พิจารณาตําแหน่งทีตังของอาคารว่าอยู่ในเขตพืนทีความเสียงภัยแบบใด และ
สภาพดินทีรองรับอาคารนันจัดเป็ นชันดินชนิดใด ซึงจะเป็ นการกําหนดการใช้ คา่
Seismic Zone Factor, Z และค่า Subsoil Factor, S ทีเหมาะสม
3) พิจารณาความสําคัญของอาคารว่าจัดอยู่ในประเภทของการใช้ งานแบบใด และ
เลื อ กระบบโครงสร้ างของอาคารซึ งจะเป็ น การกํ า หนดการใช้ ค่า Important
Factor, I และค่า Structural Type Factor, K (UBC-1985) หรื อค่า Rw (UBC-
1994) หรื อค่า R (UBC-1997) ทีเหมาะสม ซึงจะมีความสัมพันธ์กบั เขตพืนที
ความเสียงภัยด้ วย โดยเฉพาะในกรณีของโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั
4) พิจารณาเลื อกการใช้ สูตรในการคํานวณหาค่าคาบการสันตามธรรมชาติของ
โครงสร้ าง ซึ งขึ นอยู่กับ ประเภทของโครงสร้ าง เพื อใช้ ใ นการคํ า นวณหาค่า
สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐาน Base Shear Coefficient, C (UBC-1985, 1994)
5) คํานวณหานําหนักของอาคารทังหมด Building Weight, W ซึงคิดเฉพาะนําหนัก
บรรทุกคงทีเท่านัน ยกเว้ นในบางกรณีจะมีการเพิมนําหนักบรรทุกชนิ ดอืนเข้ าไป
ด้ วยตามทีกล่าวแล้ วในข้ างต้ น ในขันตอนนีต้ องมีการสมมุติขนาดหน้ าตัดของ
องค์อาคารต่างๆก่อนเพือใช้ ในการประเมินนําหนักของอาคาร
6) คํานวณหาแรงเฉือนทีฐานอาคารเนืองจากแรงแผ่นดินไหวโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่า
หรื อ แรงกระทํ า แบบพลศาสตร์ และกระจายแรงเฉื อ นที ฐานเป็ น แรงกระทํ า
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ด้ านข้ างในแต่ละชันอาคาร และคํานวณแรงเฉือนในชัน ค่าการโยกตัวระหว่างชัน


โมเมนต์ ก ระทํ า พลิ ก ควํ าในชัน โมเมนต์ บิดกระทํ า ในชัน และผลกระทบของ
โมเมนต์ลําดับสอง

สําหรับมยผ.1301/1302-61
7) สําหรับอาคารนอกเขตกรุงเทพมหานครและปริ มณฑล หาค่าความเร่งตอบสนอง
เชิ งสเปกตรั ม ที คาบสันและที . วินาที Ss และ S1 จากตารางความเสี ยงภัย
แผ่นดินไหว พร้ อมกับกําหนดประเภทของดินทีรองรับอาคาร(A,B,C,D,E,F) และ
เลือกค่าสัมประสิทธิปรับแก้ เนืองจากผลของชันดิน Fa และ Fv สําหรับอาคารที
ตังอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริ มณฑล สามารถเลือกค่า SDS และ S D1 ได้
จากตารางแสดงค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัม และให้ ข้ามไปทีหัวข้ อ (9)
8) คํานวณค่าความเร่งตอบสนองสําหรับการออกแบบ SDS และ S D1 จาก
2
S DS Fa S s
3
2
S D1 Fv S1
3
9) กําหนดประเภทการออกแบบต้ านแรงแผ่นดินไหว (ข,ค,ง) ตามค่า SDS และ S D1
และความสําคัญของอาคาร (I, II, III, IV)
10) กํ าหนดค่า R, :, Cd จากตารางซึงสัม พันธ์ กับประเภทการออกแบบต้ านแรง
แผ่นดินไหว (ข,ค,ง) และระบบโครงสร้ างอาคาร
11)คํานวณหาค่าคาบการสันตามธรรมชาติของโครงสร้ าง T
12) คํานวณหานําหนักประสิทธิผลของอาคารทังหมด W
13)คํานวณหาค่าสัมประสิทธิผลตอบสนองแรงแผ่นดินไหว Cs จาก Cs Sa
(R / I )
ซึง Sa คือ ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบทีคาบการ
สันพืนฐานของอาคาร โดยที Cs มีคา่ ไม่น้อยกว่า .
14) คํานวณหาแรงเฉือนทีฐานอาคารเนืองจากแรงแผ่นดินไหว จาก
V CsW
15) กระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชันอาคาร จาก
Fx CvxV
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

16) ตรวจสอบความมันคงของอาคาร จากค่าระยะการโยกตัวในแต่ละชัน (Inter-


story Drift) ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์ (Safety
Factor Against Overturning Moment, SF) และผลกระทบของโมเมนต์ลําดับ
ทีสอง ( P' Effect) ซึงได้ กล่าวรายละเอียดแล้ ว
17) วิเ คราะห์ ห าแรงภายในของโครงสร้ างอาคาร เนื องจากนํ าหนัก บรรทุก คงที
นําหนักบรรทุกจร และแรงกระทําทางด้ านข้ าง และคํานวณหาแรงภายในรวม
จากการรวมกรณีของนําหนักบรรทุกและแรงกระทําทางด้ านข้ าง (Combined
Load cases) โดยพิจารณาใช้ คา่ สูงสุดของการรวมแรงตามข้ อกําหนด
18) ออกแบบขนาดหน้ าตัดขององค์อาคารต่างๆ คือ พืน คาน เสา และฐานราก จาก
แรงภายในรวมทีคํานวณได้ ข้างต้ น องค์อาคารทีสําคัญ คือ
x เสาและคาน จะต้ องออกแบบให้ สามารถต้ านทานโมเมนต์ดดั และแรงเฉือน
เนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ างได้ รวมทังการรับนําหนักบรรทุกปกติ
x ฐานราก จะต้ องออกแบบให้ ส ามารถต้ านทานโมเมนต์ดดั และแรงเฉื อน
กระทํ าที ฐาน รวมทังการรั บนํ าหนักบรรทุกปกติ และจะต้ องสามารถ
ต้ านทานการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์ (Overturning Moment) ได้
19) ออกแบบความแข็งแรงของคานและเสา และรอยต่อระหว่างคาน-เสา เพือให้ มี
ความเหนียวต้ านทานแรงกระทําแบบวัฏจักร
สําหรับในบทนีจะกล่าวรายละเอียดเฉพาะขันตอนที 16 การตรวจสอบความ
มันคงของอาคาร ขันตอนที 17 การรวมแรงกระทํา และขันตอนที19 การออกแบบ
ความแข็งแรงของคานและเสา และรอยต่อระหว่างคาน-เสา เท่านัน เนืองจากขันตอน
เหล่านีมีรายละเอียดพิเศษแตกต่างจากการออกแบบโดยทัวไป

7.3 การตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร

การคํานวณหาความมันคงของโครงสร้ างอาคารต่อแรงกระทําทางด้ านข้ างตามข้ อกําหนด


เพือตรวจสอบว่า อาคารมีรูปทรง สัดส่วนทีดี และมีขนาดหน้ าตัดเสาทีพอเหมาะทีจะทําให้ มี
เสถียรภาพต่อแรงกระทําทางด้ านข้ างเนืองจากแรงแผ่นดินไหว ซึงมีขนตอนในการตรวจสอบ
ั 3 ขัน
คือ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

7.3.1 การตรวจสอบค่ าระยะการโยกตัวในแต่ ละชัน (Inter-story Drift)

หากตังสมมุตฐิ านว่าพืนอาคารเป็ นพืนแข็ง (rigid floor) ไม่มีการยืดหดตัวหรื อโก่งตัว


เนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง ดังนันแรงกระทําด้ านข้ างทีแต่ละระดับชันอาคารจะต้ านทานด้ วย
แรงเฉือนในเสาแต่ละชัน และระยะโยกไหวระหว่างชัน (inter-story drift) ของอาคาร คํานวณได้
จาก
Vi
'i = (7.1)
ki
โดยที 'iคือ ค่าระยะโยกไหวระหว่างชัน (inter-story drift ) ของอาคาร
Vi คือ แรงเฉือนทีเสาสําหรับชันที i เนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง

K i คือ ค่าสติฟเนสของเสาสําหรับชันที i มีคา่ เท่ากับ 12 EI3 i


hi
E คือ ค่าโมดูลสั ยืดหยุ่นของเสา
Ii คือ ค่าโมเมนต์ความเฉือยของเสาสําหรับชันที i
hi คือ ค่าความสูงของเสาสําหรับชันที i

'4
F4

h4
'3
F3

h3
'2
F2 H

h2
'1
F1

h1

รูปที 7.1 การโก่ งตัวทางด้ านข้ างของโครงสร้ างอาคาร

ค่าระยะการเคลือนตัวในระหว่างชันของอาคาร กําหนดให้ ไม่เกินค่าดังนี

ข้ อกําหนด UBC1985
'i d 0.005Kh (7.2)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

โดยที 'i คือ ค่าระยะการเลือนตัวในระหว่างชันของอาคาร


K คือ สัมประสิทธิของโครงสร้ างอาคารทีรับแรงในแนวราบ (Structural Type Factor)
h คือ ระดับความสูงระหว่างชัน
ข้ อกําหนด UBC1994
x สําหรับโครงสร้ างซึงมีคาบการสันธรรมชาติน้อยกว่า 0.7 วินาที
ค่า Story drift, 'i ไม่เกิน 0.04hi Rw หรื อไม่เกิน 0.005hi
x สําหรับโครงสร้ างซึงมีคาบการสันธรรมชาติเท่ากับหรื อมากกว่า 0.7 วินาที
ค่า Story drift, 'i ไม่เกิน 0.03hi Rw หรื อไม่เกิน 0.004hi
ข้ อกําหนด UBC1997
x สําหรับโครงสร้ างซึงมีคาบการสันธรรมชาติน้อยกว่า 0.7 วินาที
ค่า Story drift, 'i ไม่เกิน 0.025hi
x สําหรับโครงสร้ างซึงมีคาบการสันธรรมชาติเท่ากับหรื อมากกว่า 0.7 วินาที
ค่า Story drift, 'i ไม่เกิน 0.020hi
มยผ.1301/1302-61
ข้ อกําหนดการเคลือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชันทียอมให้ ตามประเภทอาคารทีแสดงในบทที 5
หากค่าระยะเคลือนตัวสัมพัทธ์ ระหว่างชัน เกินจากทีกํ าหนดนีแสดงว่า ขนาดเสามีหน้ าตัดเล็ก
เกินไป ควรขยายขนาดเสาใหม่ให้ ใหญ่ขนึ และตรวจสอบอีกครังหนึงจนกว่าจะผ่าน

7.3.2 การตรวจสอบค่ าความปลอดภัยต่ อการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์


(Safety Factor Against Overturning Moment, SF)

ค่าความปลอดภัยต่อโมเมนต์ทีทําให้ เกิดการพลิกควํา คํานวณจาก


M react WT ˜ L 2
SF = = n
(7.3)
M act
¦ Fi H i
i
โดยที
M react คือ โมเมนต์ต้านทานการพลิกควําของอาคาร
M act คือ โมเมนต์ทีกระทําให้ เกิดการพลิกควําของอาคาร
Fi คือ แรงกระทําด้ านข้ างทีระดับชัน i
Hi คือ ความสูงจากฐานของอาคารไปยังระดับชัน i
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

WT คือ นําหนักบรรทุกคงทีทังหมดของอาคาร
L คือ ความกว้ างของอาคาร
SF คือ ค่าความปลอดภัย ซึงจะต้ องมีคา่ มากกว่าหรื อเท่ากับ 1.5 ( SF t 1.5)
WT
WD
4 F4
WD
3 F3
WD
2 F2 H4
WD H3
1 F1 H2
H1
G

รูปที 7.2 แรงกระทําให้ เกิดการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์

หากค่าความปลอดภัยนีน้ อยกว่าค่าทีกําหนดแสดงว่า อาคารมีรูปทรงสัดส่วนทีไม่ดีทําให้ ไม่มี


เสถียรภาพเพียงพอต่อแรงกระทําทางด้ านข้ างเนืองจากแรงแผ่นดินไหว ซึงควรปรับแก้ ขนาด
รูปทรงใหม่ โดยอาจขยายส่วนฐานของอาคารให้ กว้ างขึน หรื อหากรูปทรงไม่สามารถขยายได้
จําเป็ นต้ องมีการออกแบบฐานรากเสาเข็มให้ สามารถต้ านทานแรงถอนไม่ให้ พลิกควําได้ ลักษณะ
อาคารแบบนีเป็ นกรณีทีอาคารมีคา่ ความชะลูดสูงมาก

7.3.3 การตรวจสอบผลกระทบของโมเมนต์ ลาํ ดับทีสอง ( P' Effect)

ผลกระทบของโมเมนต์ลําดับทีสอง หมายถึงโมเมนต์ดดั ทีเพิมขึนเนืองจากผลคูณระหว่าง


นําหนักบรรทุกในแนวดิงและระยะการเคลือนตัวด้ านข้ างของเสา โมเมนต์นีอาจเรี ยกอีกอย่างหนึง
ได้ วา่ โมเมนต์เนืองจากผลกระทบของ P' ( P' Effect) ซึงอาจมีผลกระทบต่อความมันคงของ
โครงสร้ างได้ หากมีคา่ มากเกินไป ผลกระทบของ P' นี กําหนดโดยค่าสัมประสิทธิความมันคง
(Stability Coefficient, T ) ดังนี
Px ' x
UBC (1985, 1994, 1997) T = (7.4ก)
Vx hx
Px ' x
มยผ.1301/1302-61 T = (7.4ข)
Vx hxCd
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

โดยที
Px คือ นําหนักอาคารทังหมด (W) ทีระดับชัน x และเหนือขึนไป
' x คือ ระยะโยกของระดับชัน x (story drift)
Vx คือ แรงเฉือนทีระดับชัน x
hx คือ ความสูงของระดับชัน x
Cd คือ ตัวประกอบขยายค่าการโก่งตัว
Px
'x

Vx A
ระดับชัน x

MA

hx

MB
B Vx-1 ระดับชัน x-

Px-1
'
รูปที 7.3 การคํานวณผลกระทบของ P'

ข้ อกําหนด UBC1985
ข้ อกําหนด UBC1985 ไม่ได้ ระบุทีจะนําผลกระทบนีมาคํานวณด้ วย แต่อาจใช้ เกณฑ์การ
พิจารณาผลกระทบของ P' ดังนีคือ หากค่าสัมประสิทธิความมันคง (Stability Coefficient,T)
T < 0.10 ก็ไม่จําเป็ นต้ องคํานึงถึงผลกระทบจาก P' แต่ในกรณีทีค่าสัมประสิทธิความมันคง
เกินจากทีกําหนด จะต้ องมีการคํานวณออกแบบเสาเป็ นพิเศษเพือให้ สามารถต้ านทานโมเมนต์ที
เพิมขึนนีได้ ซึงอาจใช้ การขยายขนาดเสาให้ มีคา่ สติฟเนสมากขึน หรื อเสริมปริมาณเหล็กเพิมขึน
ข้ อกําหนด UBC1994
UBC1994 กําหนดเกณฑ์การพิจารณาผลกระทบของ P' ดังนี
สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Zone 1 และ 2 ค่า Stability Coefficient, T < 0.10
'i
สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Zone 3 และ 4 ค่า Story drift ratio, < 0.02
hi Rw
ข้ อกําหนด UBC1997
UBC1997 กําหนดเกณฑ์การพิจารณาผลกระทบของ P' ดังนี
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Zone 1 และ 2 ค่า Stability Coefficient, T < 0.10
'i
สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Zone 3 และ 4 ค่า Story drift ratio, < 0.02
hi R
ข้ อกําหนด มยผ.1301/1302-61
0.5
T d 0.25
E Cd
โดยที E คือ อัตราส่วนของแรงเฉื อนทีเกิ ดขึนต่อกํ าลังต้ านทานแรงเฉื อนของอาคารที
ระดับระหว่างชัน x และ x - ซึงอาจกําหนดให้ E 1 เพือเพิมสัดส่วนความ
ปลอดภัยให้ กบั การออกแบบโครงสร้ าง
ถ้ าหากค่า Stability Coefficient หรื อค่า Story drift ratio มีคา่ น้ อยกว่าทีกําหนดนี หมายถึง
ผลกระทบของ P' มีคา่ น้ อยมากจึงไม่จําเป็ นต้ องนํามาคํานวณด้ วย ในกรณีทีค่าสัมประสิทธิ
เหล่านีเกินจากทีกําหนด จะต้ องมีการคํานวณออกแบบเสาเป็ นพิเศษเพือให้ สามารถต้ านทาน
โมเมนต์ทีเพิมขึนนี

7.4 การรวมแรงกระทํา (Combined Load Cases)

การกําหนดนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรทีกระทําต่อโครงสร้ างและแรงกระทํา
จากแผ่นดินไหวแสดงในรูปที 7.4
wD+wL
F4
wD+wL
F3
wD+wL
F2
wD+wL
F1

ก) นําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร ข) แรงแผ่นดินไหว

รูปที 7.4ก การรวมโมเมนต์ กระทําจากนําหนักบรรทุกคงที นําหนักบรรทุกจรและแรงแผ่ นดินไหว


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ค) โมเมนต์จากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุก จร ง) โมเมนต์จากแรงแผ่นดินไหว

รูปที 7.4ข การรวมโมเมนต์ กระทําจากนําหนักบรรทุกคงที นําหนักบรรทุกจรและแรงแผ่ นดินไหว

ค่านํ าหนักและแรงกระทํ าดัง กล่าวเป็ นไปตามข้ อกํ าหนดของการรวมแรงกระทํ า (Combined


Loads Cases) สําหรับค่าทีใช้ ออกแบบให้ ใช้ คา่ สูงสุดจากการรวมนําหนักกระทําต่อไปนี
สําหรับการรวมแรงตามกฎกระทรวงฉบับที 6 และกฎกระทรวง 2550 กําหนดดังนี
U = 1.7DL+2.0LL (7.5ก)
U = 0.75 {1.7DL+2.0LL+2.0 (E หรื อ WL)} (7.5ข)
U = 0.9DL+1.3(E หรื อ WL) (7.5ค)
ข้ อกําหนด มยผ.1301/1302-61
U 0.75 1.4 D  1.7 L  1.0 E (7.5ง)
U 0.9 D  1.0 E (7.5จ)
โดยที U เป็ น นําหนักบรรทุกประลัย
DL, LL เป็ น นําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร ตามลําดับ
E, WL เป็ น แรงกระทําทางด้ านข้ างเนืองจากแรงแผ่นดินไหวและแรงลม ตามลําดับ

หมายเหตุ มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 กําหนดให้ เฉพาะการรวมแรงเฉือนสูงสุดให้ ใช้ Load


factor = 2.0 สําหรับแรงเฉือนจากแผ่นดินไหว

7.5 การจําแนกประเภทของโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์

ข้ อ กํ า หนด มยผ.1301/1302-61 จํ า แนกลัก ษณะการออกแบบโครงข้ อ แข็ ง ต้ า นทาน


โมเมนต์โดยแบ่งออกเป็ น 3 ประเภทคือ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ก) โครงต้ านทานแรงดัดธรรมดา (Ordinary Moment-Resisting Frame, OMRF) เป็ น


โครงสร้ างโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั (คอนกรี ตเสริ มเหล็กหรื อโครงสร้ างเหล็ก ) ทีคล้ ายกับ
การออกแบบให้ โครงสร้ างโดยทัวไป เพียงแต่มีข้อกํ าหนดเพิมเติมเพือให้ เหมาะสมกับเขตพืนที
ความเสียงภัยน้ อย โครงสร้ าง OMRF สําหรับโครงสร้ างเหล็กใช้ ได้ กบั ทุกเขตความเสียงภัย แต่
โครงสร้ าง OMRF สําหรับคอนกรี ตเสริ มเหล็กใช้ เฉพาะสําหรับเขตทีแผ่นดินไหวมีขนาดเบาได้ แก่
Zone 1 เท่านัน ไม่สามารถใช้ กบั Zone 2,3,4 ได้
สํ าหรั บ โครงสร้ างคอนกรี ต เสริ ม เหล็ ก การออกแบบองค์ อาคารใช้ ข้อกํ าหนดของการ
ออกแบบคอนกรี ตเสริ มเหล็กโดยทัวไปตาม ACI318-02 บทที 1-12 นอกจากนียังมีข้อกําหนด
เพิมเติม ดังนี
(1) ขนาดหน้ าตัดขององค์อาคาร ดูจากรูปที 7.5
(2) โครงอาคารสําหรับพืนและเสา โครงสร้ าง OMRF ยอมให้ ใช้ แผ่นพืนไร้ คาน (Flat
plate) เป็ นระบบคานของโครงอาคารได้ แต่จะต้ องมีการออกแบบป้องกันแรงเฉือนทะลุบริเวณหัว
เสาเนืองจากการรวมแรงกระทําระหว่างนําหนักบรรทุกปกติและแรงกระทําทางด้ านข้ างจาก
แผ่นดินไหว
(3) เหล็กปลอก จะต้ องมีการเสริมเหล็กปลอกตลอดความยาวของคาน และปริมาณเหล็ก
ปลอกต้ องไม่น้อยกว่า 0.005bv s โดยที bv คือความกว้ างของเหล็กปลอก และ s คือระยะห่างของ
เหล็กปลอก เหล็กปลอกชุดแรกจะต้ องห่างจากขอบเสา 5 ซม. และเหล็กปลอกอีก 6 ชุดถัดไป
จะต้ องวางห่างกันไม่เกิน d 4
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

รูปที 7.5 ข้ อกําหนดขนาดหน้ าตัดของคานและเสา (OMRF)


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

(4) เหล็กเสริมส่วนล่างของคาน เหล็กเสริมส่วนล่างของคานบริเวณหัวเสาจะต้ องมีการฝัง


ยึดอย่างเพียงพอเพือการต้ านทานโมเมนต์บวกจากแรงกระทําทีกลับทิศทางได้ โดยจะต้ อง
ออกแบบให้ M n t 0.30M n โดยที M n และ M n คือ กําลังต้ านทานโมเมนต์บวกและลบของ
หน้ าตัดคานบริเวณหัวเสา ตามลําดับ
(5) การต่อทาบเหล็ก ระยะการต่อทาบเหล็กแต่ละชุดในคานจะต้ องยาวอย่างน้ อยเท่ากับ
ระยะห่างระหว่างเหล็กปลอก
(6) เหล็กปลอกของเสา เหล็กปลอกบริเวณปลายเสาจะต้ องมีระยะห่างไม่เกิน 10 ซม.
หรื อไม่เกินด้ านแคบของเสา หรื อไม่เกิน 1 6 ของความสูงสุทธิของเสา และเหล็กปลอกชุดแรก
จะต้ องห่างจากขอบรอยต่อระหว่างเสาและคาน 5 ซม.
(7) ข้ อต่อระหว่างคานและเสา ข้ อต่อของเสาทีอยูข่ อบภายนอกและทีมุมอาคารจะต้ องมี
การเสริมเหล็กปลอกตลอดช่วงข้ อต่อ ตามข้ อกําหนดของเหล็กปลอกในเสา

ปริ มาณเหล็กปลอก
ระยะห่างไม่เกิน Av 0.005bv s
10 ซม., b, h/6
5 cm
ระยะทาบ
5 cm

ระยะห่างไม่เกิน
h d
ข้ อกําหนดของเสา

S1 S2 S1 S1
ห่างอย่างน้ อย h S2
M n t 0.30M n
ในช่วง S1 ในช่วง S2
ระยะห่างของเหล็กปลอกใน ระยะห่างของเหล็กปลอกไม่เกิน d/
6ชุ ดแรกไม่เกิน d/4

รูปที 7.6 รายละเอียดการเสริมเหล็กสําหรับโครงสร้ าง OMRF

ข) โครงต้ านแรงดัดทีมีความเหนียวปานกลาง (Intermediate Moment-Resisting Frame,


IMRF) เป็ นโครงสร้ างโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั ใช้ กบั คอนกรี ตเสริมเหล็กทีออกแบบให้
โครงสร้ างมีความเหนียวปานกลางโครงสร้ างชนิดนีใช้ สําหรับเขตทีแผ่นดินไหวมีขนาดความรุนแรง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ระดับปานกลางได้ แก่ Zone1 และ Zone 2 ไม่สามารถใช้ ได้ กบั Zone 3 และ 4 โครงสร้ าง
ประเภทนีมีรายละเอียดตามรูปที 7.7-12
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ค) โครงต้ านแรงดัดทีมีความเหนียวพิเศษ (Special Moment-Resisting Frame, SMRF)


เป็ นโครงสร้ างโครงข้ อแข็งต้ านทานโมเมนต์ดดั ทีมีการออกแบบโครงสร้ างให้ มีความเหนียวเป็ น
พิเศษ โครงสร้ างประเภทนีใช้ กบั Zone 3 และ 4 ตามมาตรฐานของ UBC และ อาคารประเภท
ง. ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ทังคอนกรี ตเสริมเหล็กและโครงสร้ างเหล็ก
หลักการออกแบบโครงสร้ างประเภทนีคือ การออกแบบให้ คานสามารถดูดซับพลังงาน
จากแรงแผ่นดินไหวโดยยอมให้ มีการโก่งตัวเกินจากจุดอิลาสติกไปสู่ในช่วงอินอิลาสติก ทีตําแหน่ง
จุดข้ อหมุนพลาสติกบริ เวณปลายคานซึงเป็ น รอยต่อ ระหว่างคานและเสา ดัง นันจึง ต้ องมี การ
ออกแบบเสาให้ มีกําลังต้ านทานโมเมนต์ดดั มากกว่าคาน อันเป็ นหลักการของเสาแข็งแรง-คาน
อ่อน
ในบทนีจะแสดงการออกแบบโครงสร้ างคอนกรี ตเสริ มเหล็กทีมีความเหนียวปานกลาง ซึง
ใช้ กบั อาคารประเภท ค. และโครงสร้ างคอนกรี ตเสริ มเหล็กทีมีความเหนียวพิเศษ ซึงใช้ กบั อาคาร
ประเภท ง. ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61

7.6 การออกแบบองค์ อาคารต้ านแรงดัดทีมีความเหนียวปานกลาง

7.6.1 การออกแบบเหล็กเสริมตามยาวในคาน
ก) การออกแบบเหล็กเสริมในองค์อาคารของคานและเสา มีเกณฑ์การพิจารณา ดังนี
- ถ้ าหากแรงตามแนวแกน Pu  0.10Acfcc พิจารณาออกแบบเป็ นคาน
- ถ้ าหากแรงตามแนวแกน Pu t 0.10Acfcc พิจารณาออกแบบเป็ นเสา
ข) ปริมาณเหล็กเสริมตามยาวตําสุดในคาน ต้ องไม่น้อยกว่า
14
U min t (7.6)
fy
ค) ปริมาณเหล็กเสริมตามยาวสูงสุดในคาน
Umax d 0.75Ub (7.7)
ง) กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีจุดต่อเสา-คาน
1 
M n t Mn (7.8ก)
3
กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีหน้ าตัดใดๆ
1
M a t ( M a ) max (7.8ข)
5
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

1
M a t ( M a ) max (7.8ค)
5

โดยที M n คือ กําลังโมเมนต์ดดั ระบุมีคา่ เป็ นบวกทีจุดต่อเสา-คาน


M n คือ กําลังโมเมนต์ดดั ระบุมีคา่ เป็ นลบทีจุดต่อเสา-คานเดียวกัน
M a , M a คือ กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีหน้ าตัดใดๆมีคา่ เป็ นบวกและลบ
M a max , M a max คือ กําลังโมเมนต์ดดั ระบุสงู สุดทีหน้ าตัดใดๆมีคา่ เป็ นบวกและลบ
ตามลําดับ

7.6.2 การออกแบบเหล็กปลอกต้ านทานแรงเฉือนในคาน

จากข้ อกําหนดการรวมแรงกระทําจากนําหนักบรรทุกปกติและแรงกระทําทางด้ านข้ าง


ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61
แรงเฉือนทีใช้ ออกแบบจะต้ องไม่น้อยกว่า แรงเฉือนในกรณีตอ่ ไปนี
ก) แรงเฉือนทีปลายคานคํานวณจากกําลังโมเมนต์ต้านทานทีเกิดขึนบริเวณข้ อหมุน
พลาสติกดังนี
M nL  M nR 0.75(1.4 wD  1.7 wL )
VL  lc (7.9ก)
lc 2
M nL  M nR 0.75(1.4 wD  1.7 wL )
VR  lc (7.9ข)
lc 2
โดยที VL คือ แรงเฉือนทีปลายคานทางซ้ าย, กก.
VR คือ แรงเฉือนทีปลายคานทางขวา, กก.
Mn คือ กําลังโมเมนต์ต้านทาน (nominal moment strength) ทีปลายคาน, กก.-ม.
R, L คือ ด้ านขวาและด้ านซ้ ายของคาน ตามลําดับ
lc คือ ความยาวช่วงคานสุทธิ, ม.
wD, wL คือ นําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร ตามลําดับ, กก./ม.
โมเมนต์ดดั และแรงเฉือนสําหรับคานทีมีการเซไปทางซ้ ายแสดงในรูปที 7.13
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

wu 0.75(1.4wD  1.7 wL )

MnL MnR
lc
VL VR
รูปที 7.13 โมเมนต์ ดดั และแรงเฉือนทีปลายคาน

ข) แรงเฉือนสูงสุดทีได้ จากการรวมนําหนักบรรทุกออกแบบ (Design Load Combination) ที


พิจารณาแรงแผ่นดินไหวด้ วย ดังนี
Vu 0.75(1.4VD  1.7VL )  2.0VE (7.10ก)
Vu 0.9VD  2.0VE (7.10ข)
โดยที Vu คือ แรงเฉือนประลัย
VD คือ แรงเฉื อนเนืองจากนําหนักบรรทุกคงที
VL คือ แรงเฉือนเนืองจากนําหนักบรรทุกจร
VE คือ แรงเฉือนเนืองจากแรงแผ่นดินไหว

กําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต
Vc 0.53 fccbd (7.11)
กําลังต้ านทานแรงเฉือนของเหล็กปลอก
Vu
Vs  Vc (7.12)
I
เมือ I 0.85
ระยะห่างของเหล็กปลอก S = Asfyd/Vs (7.13)
กําหนดการวางเหล็กปลอกในช่วง 2 เท่าของความลึกคาน (2h) จากผิวรอยต่อคาน
ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอก Smax ใช้ คา่ ตําสุดของค่าต่อไปนี
- 1 4 ของความลึกประสิทธิผล, d 4
- 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริมตามยาว, 8dbl
- 24 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก, 24dbh
- 0.30 ม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

7.6.3 การออกแบบเหล็กเสริมตามยาวในเสา

ปริมาณเหล็กเสริมตามยาวในเสา ต้ องอยูใ่ นช่วง 0.01dUgd0.06


โดยที Ug = As/Ag ในทางปฎิบตั ิ ค่า Ug สูงสุดไม่ควรเกิน 0.035 เพือป้องกันมิให้ ปริมาณเหล็ก
เสริมมีแน่นเกินไป

7.6.4 การออกแบบเหล็กปลอกต้ านทานแรงเฉือนในเสา

แรงเฉือนทีใช้ ออกแบบจะต้ องไม่น้อยกว่าค่าดังต่อไปนี


ก) แรงเฉือนในเสา คํานวณจาก
M nt  M nb
Vu (7.14)
h
โดยที Vu คือ แรงเฉือนประลัยในแนวราบกระทําทีตําแหน่งบนสุดและใต้ สดุ ของเสา, กก.
Mnt, Mnb คือ กําลังโมเมนต์ต้านทาน (nominal moment strength) ทีปลาย
เสาส่วนบนและเสาส่วนล่าง ตามลําดับ, กก.-ม.
h คือ ความสูงของเสา, ม.
โมเมนต์ดดั และแรงเฉือนทีปลายเสา แสดงในรูปที 7.14
Pu
Mnt
Vu

Vu M nt  M nb
Mnb Vu
h
Pu
(ก) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ปลายเสา (ข) ไดอะแกรมของแรงเฉือนในเสา
รูปที 7.14 โมเมนต์ ดดั และแรงเฉือน (ก) ทีปลายเสา และ (ข)แรงเฉือนในเสา
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ข) แรงเฉือนในกรณีแรงเฉือนสูงสุดทีได้ จากการรวมนําหนักบรรทุกออกแบบ (Design


Load Combination) ทีพิจารณาแรงแผ่นดินไหวด้ วย ดังแสดงในสมการที 7.10ก-7.10ข

คํานวณกําลังต้ านทานแรงเฉือนของเหล็กปลอก, Vs จาก


Vs Vn  Vc (7.15)
โดยที Vn คือ แรงเฉือนแนวราบทีตําแหน่งบนสุดและใต้ สดุ ของเสา เท่ากับ Vu / I , กก.
Vc คือ กําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต (0.53 fccbd )
ระยะห่างของเหล็กปลอก (S = Asfyd/Vs)

7.6.5 ข้ อกําหนดของปริมาณเหล็กปลอกในเสา

เนืองจากการเสริ มเหล็กปลอกในเสาจะต้ องมีการออกแบบให้ เพียงพอ ทังนีก็เพือให้ เสา


มีกําลังการโยกตัวทีเพียงพอในบริ เวณข้ อหมุน ซึงเกิดขึนเนืองจากแรงแผ่นดินไหว ดังนัน จะต้ องมี
การเสริมปริมาณเหล็กปลอก ดังนี
ก) สําหรับเสาปลอกเกลียว ค่าอัตราส่วนของปริมาตรของเหล็กปลอกต่อปริมาตรของ
แกนเสาคอนกรี ต จะต้ องไม่น้อยกว่าค่าต่อไปนี
0.08 f cc
Us t (7.16ก)
f yh
§ Ag · fc
หรื อ U s t 0.45 ¨  1¸ c (7.16ข)
© Ach ¹ f yh
โดยที U s คือ อัตราส่วนของปริ มาตรของเหล็กปลอกเกลียวต่อปริ มาตรของแกนเสาคอนกรี ตโดย
วัดจากขอบนอกสุดของแกนเสาทีล้ อมรอบด้ วยเหล็กปลอก
Ag คือ พืนทีหน้ าตัดเสาทังหมด, ซม.2
Ach คือ พืนทีหน้ าตัดแกนเสาโดยวัดจากขอบนอกสุดของแกนเสาทีล้ อมรอบด้ วยเหล็ก
ปลอก, ซม.2
fyh คือ กําลังครากของเหล็กปลอกเกลียว, กก./ซม.2

ข) สําหรับเสาปลอกเดียว พืนทีหน้ าตัดของของเหล็กปลอกทังหมดภายในระยะห่าง s


จะต้ องไม่น้อยกว่า ค่าต่อไปนี
f cc
Ash t 0.08shc (7.17)
f yh
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

โดยที Ash คือ พืนทีหน้ าตัดของเหล็กปลอกทังหมดภายในระยะห่าง s, ซม.2


hc คือ ความกว้ างของหน้ าตัดแกนเสาด้ านยาวสุด โดยวัดจากระยะห่างของศูนย์กลางของ
เหล็กปลอก, ซม.
s คือ ระยะห่างของเหล็กปลอกวัดตามความยาวของเสา, ซม.

ค) เหล็กปลอกบริเวณหัวเสาทังส่วนบนและส่วนล่างของจุดต่อเสา-คาน จะต้ องมีการ


เสริมเหล็กปลอกบริเวณนีเป็ นระยะความยาว lo และมีระยะห่าง So ไม่เกินค่าต่อไปนี
- So d 1 2 ของด้ านแคบของเสา, หรื อ b/2
- So d 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กยืน, 8db
- So d 24 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก, 24db
- So d 30 ซม.

โดยที So คือ ระยะห่างของเหล็กปลอกภายในระยะความยาว lo, ซม.


สําหรับการเสริมเหล็กปลอกนอกจากระยะความยาวนี ให้ เสริมตามปกติทวไป

สําหรับระยะความยาว lo คํานวณจากระยะสูงสุดของค่าต่อไปนี
- lo t ความลึกของเสา
- lo t 1/6 ของความสูงสุทธิของเสา
- lo t 50 ซม. สําหรับบริเวณเสาทีรับนําหนักบรรทุกและโมเมนต์ดดั มาก เช่น เสาชันล่างของ
อาคาร ให้ เพิมความยาว lo อีก 50% เป็ นอย่างน้ อย 75 ซม.

ง) เหล็กปลอกในข้ อต่อระหว่างคานและเสา จะต้ องเสริมไม่น้อยกว่า


bw S
Av t 3.5 (7.18)
fy
โดยที Av คือ พืนทีหน้ าตัดของเหล็กปลอกทังหมดภายในระยะห่าง S, ซม.2
bw คือ ความกว้ างของหน้ าตัดแกนเสาด้ านทีน้ อยสุด , ซม.
S คือ ระยะห่างของเหล็กปลอกวัดตามความยาวของเสา, ซม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

7.6.6 การออกแบบข้ อต่ อระหว่ างคานและเสา

พิจารณาจากโมเมนต์ดัดและแรงเฉื อนทีปลายเสาบริ เวณข้ อต่อระหว่างเสา-คานแสดงในรู ปที


7.15

Mn2

Vcol
ดูรูปขยาย (ข)
C1=T1 T2 = As2fy
Vxx
Vcol N.A.
Vxx
Vcol T1 = As1fy C2=T2

Vcol
Mn1

(ก) โครงต้านแรงดัด (ข) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ข้ อต่อเสา-คาน


รูปที7.15 แรงเฉือนทีข้ อต่ อระหว่ างคานและเสา

แรงเฉือนแนวราบสุทธิทีข้ อต่อเสา-คาน ส่วนเหนือแนวแกนสะเทิน คํานวณจาก


Vxx C1  T2  Vcol (7.19ก)
T1  T2  Vcol (7.19ข)
As1 f y  As 2 f y  Vcol (7.19ค)
ซึงค่าแรงเฉือนทีข้ อต่อ Vxx นี จะต้ องไม่เกินกําลังต้ านทานแรงเฉือนของข้ อต่อ นันคือ
Vxx d IVn (7.20)
ก) กรณีทีข้ อต่อมีคานเชือมทุกด้ าน
Vn 5.4 fcc A j (7.21ก)
ข) กรณีทีข้ อต่อมีคานเชือมสามด้ านหรื อเชือมบนหน้ าตัดตรงกันข้ าม
Vn 3.9 fcc A j (7.21ข)
ค) กรณีทีข้ อต่อมีคานเชือมแบบอืน
Vn 3.2 fcc A j (7.21ค)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

โดยที Vn คือ กําลังต้ านทานแรงเฉือนของข้ อต่อ, กก.


2
Aj คือ พืนทีหน้ าตัดประสิทธิผลทีข้ อต่อ, ซม. ดังแสดงในรูปที 7.16
2
fcc คือ กําลังอัดของคอนกรี ตสําหรับข้ อต่อ, กก./ซม.
และ I 0.85
หากค่าแรงเฉือนทีข้ อต่อ Vxx มีคา่ น้ อยกว่ากําลังต้ านทานแรงเฉือนของข้ อต่อ Vn แสดงว่า ขนาด
ของข้ อต่อเพียงพอต่อการต้ านทานแรงเฉือนทีเกิดขึน

พืนทีหน้ าตัด
ประสิทธิ ผล Aj ความกว้างประสิทธิผล db+h หรื อ b+ x 1
ความลึกข้ อต่อ (h)
ในระนาบของเหล็กเสริ ม
ทีทําให้ เกิดแรงเฉือน

x1 h
ก) รู ปข้ อต่ อ
ทิศทางของแรงทีทําให้เ กิด
แรงเฉือนในข้ อต่อ
b

ความกว้างประสิทธิผล db+h หรื อ b+ x 1


ความลึกข้ อต่อ (h)

พืนทีหน้ าตัด
ประสิทธิ ผล Aj

x2 x1
ข) รู ปแปลนด้ านบน
x1 < x2

รูปที 7.16 พืนทีหน้ าตัดประสิทธิผลของข้ อต่ อรับแรงเฉือน


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

7.7 การจัดรายละเอียดเหล็กเสริมในคานและเสา

7.7.1 เหล็กเสริมในคาน
การจัดรายละเอียดเหล็กเสริ มในคาน มีดงั นี
ก) การหยุดเหล็กเสริ มตามยาวของคานทีเสาต้ นนอก จะต้ องยืนเหล็กเสริ มจากขอบเสา
เข้ าไปอีกเป็ นระยะ ld และงอเหล็กเสริมตามมาตรฐาน เพือให้ สามารถรับแรงดึงได้ ดี
ข) จุดการต่อทาบเหล็กเสริมตามยาวจะต้ องอยู่ห่างจากผิวรอยต่อของคานและเสาอย่าง
น้ อย 2 เท่าของความลึกคาน ห้ ามต่อทาบเหล็กภายในบริ เวณข้ อหมุนพลาสติกและ
บริ เวณจุดต่อเสา-คาน ทังนีเพราะเหล็กเสริ มในบริ เวณนีอาจจะรั บแรงดึงสูงเกินจุด
ครากได้ และมีแรงกระทําซําในลักษณะกลับไป-มาด้ วย
ค) เหล็กปลอกเสริมรับแรงเฉือนมีอยู่ 2 ช่วง คือ S1 บริเวณข้ อหมุนพลาสติก ซึงจะต้ อง
เสริมเหล็กปลอกทีแน่นเป็ นพิเศษตามข้ อกําหนด เป็ นระยะอย่างน้ อย 2 เท่าของความ
ลึกคาน และ S2 บริเวณนอกเขตข้ อหมุนพลาสติก ซึงจัดเหล็กปลอกตามแบบปกติ
ดังแสดงรายละเอียดในรูปที 7.17


d 50 mm M nL
 d 50 mm
dbl
M nR ระยะทาบ
ld

dbh h d

S S2 S1 S1 S3
2h1 2h 2h
 1   1 
M nL t M nL M nR t M nR
3 3

ในช่วง S1 ในช่วง S2 ในช่วง S3


ระยะห่างของเหล็กปลอกไม่เกิน ระยะห่างของเหล็กปลอก ระยะห่างของเหล็กปลอกไม่เกิน
d/4 หรื อ 8dbl หรื อ dbh หรื อ ซม. ไม่เกิน d/ d/4 หรื อ ซม.
1 
M n , M n ทีหน้ าตัดใดๆ t ของค่าสูงสุดระหว่าง 
M nLและ M nR
5
รูปที 7.17 รายละเอียดเหล็กเสริมในคาน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

7.7.2 เหล็กเสริมในเสา
การจัดรายละเอียดเหล็กเสริ มในเสา มีดงั นี
ก) การต่อทาบเหล็กยืน จะต้ องต่อภายในช่วงระยะกึงกลางเสาเท่านัน ห้ ามต่อทาบเหล็ก
ภายในระยะความยาว lo จากข้ อต่อเสา-คาน ดังแสดงในรู ปที 7.18 เนืองจากที
บริเวณข้ อต่อเสานีมีคา่ โมเมนต์ดดั สูง
ข) เหล็กปลอกเสริมรับแรงเฉือนมีอยู่ 2 ช่วง คือ So บริเวณส่วนบนและส่วนล่างของข้ อ
ต่อเสา-คาน ภายในระยะความยาว lo จากผิวรอยต่อ ซึงจะต้ องเสริ มเหล็กปลอกที
แน่นเป็ นพิเศษตามข้ อกําหนด และ st บริเวณช่วงกลางเสานอกเขตระยะความยาว lo
ซึงจัดเหล็กปลอกตามแบบปกติ
ค) สําหรับเสาภายในข้ อต่อเสา-คาน จะต้ องเสริมเหล็กปลอกตามข้ อกําหนด ดังนี
- หากความกว้ างของคานมากกว่าหรื อเท่ากับ ¾ เท่าของความกว้ างของเสา ให้
จัดระยะเหล็กปลอก เป็ น 2So
- สําหรับกรณีอืน ใช้ ระยะเหล็กปลอกเท่ากับ So
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ของอมาตรฐาน องศา
คานชันบน ld
Sj

lo ความยาวไม่น้อยกว่า lo So ระยะห่างสูงสุดไม่ เกิน


- ความลึกของเสา - b/2
- H/6 - 8dbl , 24dbs
- 50 ซม. - 30 cm.
ระยะทาบต่อเหล็กเสา Sl ระยะห่างสูงสุด ไม่เกิน b/
H
St ระยะห่างสูงสุดไม่ เกิน
H - 16 dbl
2 - 48 dbs
lo
-b

Sj ระยะห่างสูงสุดไม่ เกิน
- 2So ถ้ าความกว้ างของคาน t 34 b
- So สําหรับกรณีอืน
h

dbl hx hx b
dbs

รูปที 7.18 รายละเอียดเหล็กเสริมในเสาสําหรับโครงข้ อแข็งทีมีความเหนียวปานกลาง


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

7.7.3 การจัดปลอกเสริมในคานและเสา
การจัดเหล็กปลอกเสริมในคานและเสา มีรายละเอียดดังแสดงในรูปที 7.19-7.20 ดังนี
เหล็กปลอก B

เหล็กปลอก A เหล็กปลอก A

เหล็กปลอก C เหล็กปลอก C

การจัดเหล็กปลอกแบบ A การจัดเหล็กปลอกแบบ B และ C


135o
6db

db =4db

การดัดเหล็กปลอก

45o 6db
6db

เหล็กปลอก A เหล็กปลอก B เหล็กปลอก C


รูปที 7.19 รายละเอียดเหล็กปลอกสําหรับคาน

hx
hx จะต้ องไม่เกิน ซม.
hx

hx hx hx

เหล็กปลอกรัดขวางจะต้ องงอขอทีด้ านตรงกันข้ าม

รูปที 7.20 รายละเอียดเหล็กปลอกสําหรับเสา


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ตัวอย่ างที 7.1 จากโครงสร้ างอาคารในตัวอย่างที 5.1 โดยกําหนดให้ ดงั นี


ขนาดคาน 0.30x0.60 ม. เหล็กเสริม As = As = 4DB25
ขนาดเสาทุกต้ น สําหรับทุกชัน เท่ากับ 0.30x0.90 ม. เหล็กยืน 16DB28
2 2
f cc = 250 กก./ซม. และ f y = 4,000 กก./ซม.
จงคํานวณออกแบบปริ มาณเหล็กปลอกต้ านทานแรงเฉือนบริ เวณจุดต่อเสาและคาน (Joint E) ดัง
แสดงในรู ปที 7.21 สําหรับเสาและคาน โดยออกแบบเป็ นโครงต้ านแรงดัดทีมีความเหนียวปาน
กลาง

A B C

F1 = 27.54ตัน
3.6 ม.
F2 = 25.27 ตัน
3.6 ม.
F3 = 16.85 ตัน
3.6 ม.
Joint E
F4 = 8.42 ตัน
3.6 ม.
V = 78.08 ตัน
7.2 ม. 7.2 ม.
16DB28
0.80 ม. 0.30 ม.
0.30 ม. 0.20 ม. 4DB25
0.60 ม.
0.90 ม. 4DB25
หน้ าตัดเสา หน้ าตัดคาน

รูปที 7.21 รูปตัดขวางของอาคารสําหรับตัวอย่ างที 7.1


วิธีทาํ
คํานวณกําลังรับโมเมนต์ ดัดของคาน
U = Uc =
As
= 4x4.91/(30˜55) = 0.012 > Umin = 14/4,000 (=0.0035)
bd
f c 6120
Ub 0.85E1 c 0.027, U max 0.75 x0.027 0.02
f y 6120  f y
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ค่าปริมาณเหล็กเสริมตามยาว Umin < U <Umax ตามทีกําหนด และแสดงว่าเหล็กเสริมรับแรงดึง


ถึงจุดคราก
f cc d c 6120
( U  U c)min = 0.85E1 ˜ ˜
f y d 6120  f y
250 5 6120
= 0.85(0.85) ˜ ˜ 0.012
4, 000 55 6120  4000
เนืองจาก U-Uc= 0 < (U-Uc)min = 0.012 แสดงว่าเหล็กเสริมรับแรงอัดไม่ถึงจุดคราก
ดังนัน คํานวณหาหน่วยแรงอัดในเหล็กเสริมรับแรงอัด fcs ทีเกิดขึนจริง จาก
c  dc
f sc 6,120
c
คํานวณค่า c ได้ เท่ากับ 7.37 ซม. และ a = 0.85(7.37) = 6.26 ซม.
c R r R2  Q
โดยที 6,120 Asc  As f y 6,120d cAsc
R , Q
1.7 f ccbE1 0.85 f ccbE1
7.37  5
f sc 6,120 1,968 กก./ซม.2
7.37
ดังนัน กําลังรับโมเมนต์ดดั ของคาน
Mn = 0.85fccab(d-a/2)+Acs fcs(d-dc)
= 0.85u250u6.26u30(0.55-0.0626/2)+19.64u1,968(0.55-0.05)
= 40,026 กก.-ม.

คํานวณกําลังรับโมเมนต์ ดัดของเสา
U = Uc = As/bd = 6x6.16/(30˜85) = 0.014 > Umin = 14/4,000 (=0.0035)
ค่าปริมาณเหล็กเสริมตามยาว Umin < U <Umax แสดงว่าเหล็กเสริมรับแรงดึงถึงจุดคราก
250 5 6120
( U  U c)min 0.85(0.85) ˜ ˜ 0.0077
4, 000 85 6120  4000
เนืองจาก U-Uc= 0 < (U-Uc)min = 0.0077 แสดงว่าเหล็กเสริมรับแรงอัดไม่ถึงจุดคราก
ดังนัน คํานวณหาหน่วยแรงอัดในเหล็กเสริมรับแรงอัด fcs ทีเกิดขึนจริง
คํานวณค่า c ได้ เท่ากับ 8.92 ซม.และ a = 7.58 ซม.และ fcs = 2,690 กก./ซม.2
ดังนัน กําลังรับโมเมนต์ดดั ของเสา
Mn = 0.85fccab(d-a/2)+Acs fcs(d-dc)
= 0.85u250u7.58u30(0.85-0.0758/2)+36.96u2,690(0.85-0.05)
= 118,781 กก.-ม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ออกแบบเหล็กปลอกทีจุดข้ อต่ อ (Joint E) ทีปลายคาน บริเวณข้ อหมุนพลาสติก

ก) แรงเฉือนคํานวณจากกําลังโมเมนต์ต้านทาน สมการ 7.9ก-7.9ข


บริ เวณข้ อหมุนพลาสติก wu 0.75(1.4wD  1.7 wL ) บริ เวณข้ อหมุนพลาสติก

2h 2h
M-nL
M+nR h = 0.60 ม.

4DB25
lc = 6.3 ม.
VL VR
รูปที 7.22 แรงกระทําบนคานเพือการออกแบบจุดข้ อต่ อ

คํานวณแรงเฉือนทีปลายคาน จาก
M nL  M nR 0.75(1.4 wD  1.7 wL )
VL  lc
lc 2
M nL  M nR 0.75(1.4 wD  1.7 wL )
VR  lc
lc 2
0.75 u1.4wD = 1.05(672x3.6) = 2,540 กก./ม.
0.75 u1.7wL = 1.275(600x3.6) = 2,754 กก./ม.
40, 026  40, 026 2,540  2, 754
VL  (6.3) 29,383 กก.
6.3 2
40, 026  40, 026 2,540  2, 754
VR  (6.3) 3,969 กก.
6.3 2

ข) แรงเฉือนคํานวณจากการรวมนําหนักบรรทุกออกแบบ (Design Load Combination)


Vu 0.75(1.4VD  1.7VL )  2.0VE หรื อ
Vu 0.9VD  2.0VE
แรงเฉือนในคานทีจุด A Vu 0.75(1.4 u 7,983 1.7 u 7,128)  2.0 u 2,052 21,574 กก.
หรื อ Vu 0.9 u 7,983  2.0 u 2,052 11, 289 กก.
แรงเฉือนในคานทีจุด B Vu 0.75(1.4 u 9, 434 1.7 u 8, 424)  2.0 u 2,052 24,750 กก.
หรื อ Vu 0.9 u 9, 434  2.0 u 2,052 12,595 กก.
ดังนัน ใช้ คา่ แรงเฉือนสูงสุดจากกรณี ก. Vu 29,383 กก.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

wL = 2,160 kg/m 9,434 kg


7,983 kg

wD = 2,419 kg/m

wL
wD
-9,434 kg -7,983 kg
wL
ข) แรงเฉือนเนืองจากนําหนักบรรทุกคงที VD
wD

wL 8,424 kg
7,128 kg
wD

-8,424 kg -7,128 kg

ก) โครงอาคารรับนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร ค) แรงเฉือนเนืองจากนําหนักบรรทุกจร VL
รูปที 7.23 แรงกระทําบนคานเนืองจากนําหนักบรรทุกปกติ
F4 3, 060 kg
V4 3, 060 kg
F3 2,808 kg
V3 5,868 kg
F2 1,872 kg
V2 7, 740 kg
F1 936 kg
V1 8, 676 kg

A B C
ก) แรงกระทําและแรงเฉือนจากแรงแผ่นดินไหว

1,935 kg 3,870 kg 1,935 kg


3, 483 kg  m 6,966 kg  m 7,387 kg  m 3, 483 kg  m
936 kg
3,904 kg  m 7,387 kg  m 7,808 kg  m 3,904 kg  m
2,169 kg 4,338 kg 2,169 kg
A B C
ข) โมเมนต์และแรงเฉือนเนืองจากแรงแผ่นดินไหว

3, 483 kg  m 2, 052 kg 6,966 kg  m 7,387 kg  m 2, 052 kg

3,904 kg  m 2, 052 kg 7,808 kg  m

A B
7,387 kg  m
ค) แรงเฉือนในคานเนืองจากแรงแผ่นดินไหว
รูปที 7.24 แรงกระทําบนคานและเสาเนืองจากแรงแผ่ นดินไหว
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

Vc 0.53 fccbd 0.53 250(30)(55) 13,827 กก.


Vu 29,383
Vs  Vc  13,827 20, 741 กก.
I 0.85
ใช้ เหล็กปลอก DB12, As = 2 u1.13 = 2.26 ซม.2
Av f y d 2.26 u 4, 000 u 55
S 23.97 ซม.
Vs 20, 741

กําหนดการวางเหล็กปลอกในช่วง 2 เท่าของความลึกคาน (2h=1.20 ม.) จากผิวรอยต่อคาน


ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอก Smax ใช้ คา่ ตําสุดของค่าต่อไปนี
- ¼ ของความลึกประสิทธิผล, d/4 = 55/4 = 13.75 ซม.
- 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริมตามยาว, 8dbl = 8(2.5) = 20 ซม.
- 24 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก, 24dbh = 24(1.2) = 28.8 ซม.
- ไม่เกิน 30 ซม.
ดังนัน ใช้ เหล็กปลอก DB12@0.13ม. วางในช่วงระยะ 1.20ม. จากผิวรอยต่อคาน

ออกแบบเหล็กปลอกสําหรับแรงเฉือนทีระยะห่าง 2h จากผิวรอยต่อคาน
Vu 29,383  (2,540  2,754) u1.2 23,030 กก.
Vu 23, 030
Vs  Vc  13,827 13, 267 กก.
I 0.85
Av f y d 2.26 u 4, 000 u 55
S 37.5 ซม.
Vs 13, 267
ช่วงในของคาน กําหนดให้ ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอกไม่เกิน d/2 = 55/2 =27.5 ซม.
ดังนันใช้ เหล็กปลอก DB12 @ 0.275 ม. วางในช่วงจากปลายสุดของบริเวณข้ อหมุนพลาสติกไป
ยังกึงกลางคาน

ออกแบบเหล็กปลอกต้ านทานแรงเฉือนในเสา
คํานวณแรงเฉือนทีใช้ ออกแบบจาก
ก) คํานวณหาแรงเฉือนทีปลายเสา จากกําลังโมเมนต์ต้านทานทีปลายเสา
M nt  M nb 118, 781  118, 781
Vu 65,989 กก.
h 3.6
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

P
Mnt = 118,781 kg-m
Vu = 65,989 kg

3.6 ม.

Vu = 65,989 kg
Mnb = 118,781 kg-m
118, 781  118, 781
P Vu 65,989 kg
3.6
(ก) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ปลายเสา (ข) แรงเฉือนที่เสา
รูปที 7.25 โมเมนต์ ดดั และแรงเฉือนทีปลายเสา

ข) แรงเฉือนจากการรวมนําหนักบรรทุกออกแบบ (Design Load Combination)

Vu 0.75(1.4VD  1.7VL )  2.0VE หรื อ


Vu 0.9VD  2.0VE

เนืองจาก แรงเฉือนจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรทีกระทําต่อเสา มีคา่ น้ อยมาก


จึงพิจารณาเฉพาะแรงเฉือนจากแผ่นดินไหวเท่านัน
แรงเฉือนในเสา แกน A Vu 0.75 2.0 u 2,169 3, 254 กก.
หรื อ Vu 2.0 u 2,169 4,338 กก.

ดังนัน ใช้ คา่ แรงเฉือนสูงสุดจากกรณี ก. Vu 65,989 กก.

คํานวณออกแบบเหล็กปลอกบริเวณหัวเสา ซึงรองรับข้ อต่อเสา-คาน


Vu 65,989
Vs  Vc  0.53 250(30 u 85) 56, 265 กก.
I 0.85
ใช้ เหล็กปลอก DB12, As = 2 u1.13 = 2.26 ซม.2
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

Av f y d 2.26 u 4,000 u 85
S 13.66 ซม.
Vs 56, 265

คํานวณพืนทีหน้ าตัดของของเหล็กปลอกทังหมดภายในระยะห่าง s
f cc
Ash t 0.08shc
f yh
1.2
hc 90  2(4  ) 80.8 , s = b/2 = 30/2 = 15 ซม.
2
Ash 0.08 u15 u 80.8(250 / 4,000) 6.06 ตร.ซม.
ดังนัน จัดเหล็กปลอกและเหล็กรัดขวางดังแสดงในหน้ าตัดเสารูปในตัวอย่างข้ างต้ น
รวมพืนทีเหล็กปลอกทังหมด = 7x1.13 = 7.91 ตร.ซม. > 6.06 ตร.ซม. จึงใช้ ได้
จัดเหล็กปลอกบริเวณระยะความยาว lo และมีระยะห่าง So ไม่เกินค่าต่อไปนี
- So d 1
2
ของด้ านแคบของเสา, b/2 = 30/2 = 15 ซม.

- So d 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กยืน, 8db = 8(2.8) = 22.4 ซม.


- So d 24 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก, 24db = 24(1.2) 28.8 ซม.
- So d 30 ซม.
เนืองจากระยะห่างตามทีคํานวณเพือรับแรงเฉือน S = 13.66 ซม. มีคา่ ตําสุด จึงใช้ So = 13.50
ซม.

สําหรับระยะความยาว lo คํานวณจากระยะสูงสุดของค่าต่อไปนี
- lo t ความลึกของเสา = 90 ซม.
- lo t 1/6 ของความสูงสุทธิของเสา = 3.0/6 = 0.50 ม.
- lo t 75 ซม. สําหรับเสาชันล่าง
ดังนัน ใช้ เหล็กปลอก DB12@0.135ม. เสริมทีเสาในระยะความยาว = 0.90 ม. จากผิวรอยต่อของ
เสาและคาน ทังส่วนบนและส่วนล่างของจุดข้ อต่อ ดังแสดงในรูปที 7.26
คํานวณเหล็กปลอกในข้ อต่อระหว่างคานและเสา ซึงใช้ คา่ S = 13.50 ซม. จะต้ องเสริมไม่น้อย
กว่า
bw S 30 u13.5
Av 3.5 3.5 0.35 ตร.ซม.
fy 4, 000
ดังนัน ใช้ เหล็กปลอก DB12@0.135ม. , Av 1.13 u 2 2.26 ตร.ซม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ตรวจสอบแรงเฉือนทีข้ อต่ อระหว่ างคานและเสา

118,781 kg-m
1,935 kg
ดูรูปขยาย (ข)
T2 = 78,560 kg
1,935 kg Vxx
N.A. 40,026 kg-m
2,169 kg Vxx
C2=78,560 kg

2,169 kg
118,781 kg-m

(ก) โครงต้านแรงดัด
(ข) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ข้ อต่อเสา-คาน
รูปที 7.26 แรงเฉือนทีข้ อต่ อระหว่ างคานและเสา

แรงเฉือนแนวราบสุทธิทีข้ อต่อเสา-คาน ส่วนเหนือแนวแกนสะเทิน คํานวณจาก


Vxx As 2 f y  Vcol 78,560  1,935 76, 625 กก.
ค่าแรงเฉือนทีข้ อต่อ Vxx จะต้ องไม่เกินกําลังต้ านทานแรงเฉือนของข้ อต่อ IVn
กรณีทีข้ อต่อมีคานเชือมสามด้ าน
Vn 3.9 fcc A j 3.9 250 30 u 90 166, 494 กก.
IVn 0.85 u166, 494 141,520 ! 76,625 กก.
กํ าลังต้ านทานแรงเฉื อนของข้ อต่อมีค่ามากกว่าแรงเฉื อนทีเกิดขึนมาก ดังนัน ขนาดของข้ อต่อ
เพียงพอต่อการต้ านทานแรงเฉือนทีเกิดขึน สําหรับพืนทีหน้ าตัดรับแรงเฉือนแสดงในรูปที 7.27

พืนทีหน้ าตัดรับแรงเฉือน
Aj 30 u 90 h = 90 ซม. ความกว้างประสิทธิผล b = ซม.

ทิศทางแรงเฉือนในข้ อต่อ
.
ซม
30
b=

รูปที 7.27 พืนทีหน้ าตัดรับแรงเฉือน


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

เหล็กยืน 16DB28
0.30 ม.
0.90 ม.
เหล็กปลอก DB12

DB12@0.30 ม.

lo=0.90 ม.
DB12@0.135 ม. 4DB25

DB12@0.135 ม.

0.05ม DB12@0.13 ม. DB12@0.275 ม.


.
2h =1.20 ม.
lo=0.90 ม.
DB12@0.135 ม.

DB12@0.30 ม.

รูปที 7.28 รายละเอียดเหล็กเสริมของคานและเสา


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

7.8 การออกแบบโครงต้ านแรงดัดทีมีความเหนียวพิเศษ


(Ductile / Special Moment Resisting Frame)

โครงต้ านแรงดัดคอนกรี ตเสริ มเหล็ก ทีมีความเหนียวพิเศษ (Ductile / Special RC


Moment-Resisting Frame, SMRF) เป็ นโครงสร้ างต้ านทานโมเมนต์ดดั คอนกรี ตเสริ มเหล็ก ทีมี
การออกแบบโครงสร้ างให้ มีความเหนียวเป็ นพิเศษตามมาตรฐานของ UBC 1994, UBC1997,
ACI318-14 และโครงสร้ างประเภท ง. ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61
หลักการออกแบบโครงสร้ างประเภทนีคือ การออกแบบให้ คานสามารถดูดซับพลังงาน
จากแรงแผ่นดินไหวโดยยอมให้ มีการโก่งตัวเกินจากจุดอิลาสติกไปสู่ในช่วงอินอิลาสติก ทีตําแหน่ง
จุดข้ อหมุนพลาสติกบริ เวณปลายคานซึงเป็ นรอยต่อระหว่างคานและเสา ดัง นันจึง ต้ องมี การ
ออกแบบเสาให้ มีกําลังต้ านทานโมเมนต์ดดั มากกว่าคาน อันเป็ นหลักการของเสาแข็งแรง-คาน
อ่อน

7.8.1 การออกแบบโครงข้ อแข็งคอนกรีตเสริมเหล็ก


โดยหลักการเสาแข็งแรง-คานอ่ อน (Strong Column – Weak Beam Concept)

สํ า หรั บ การออกแบบคอนกรี ต เสริ ม เหล็ ก โดยหลัก การเสาแข็ ง แรง-คานอ่ อ น ตาม


ข้ อกําหนด ACI318-14 มีหลักการดังนี
ก) จะต้ องออกแบบเสาให้ มีกําลังความแข็งแรงและมันคง (strength & stability) ต่อแรง
กระทําทางด้ านข้ าง โดยมีพฤติกรรมการรับแรงแบบยืดหยุน่ (elastic)
ข) จะต้ องออกแบบคานให้ มีความสามารถรับการโก่งดัดได้ ดี ยอมให้ เหล็กเสริมเกิดการ
ครากได้ แ ละรั บ แรงในช่ ว งอิ น อิ ล าสติ ก โดยออกแบบให้ ค านมี ค วามเหนี ย วต่อ การดัด โค้ ง
(curvature ductility) ภายใต้ การรับแรงแบบไป-กลับ เรี ยกว่าเกิดข้ อหมุนพลาสติก (plastic hinge)
และจัดวางตําแหน่งของการดัดโค้ งหรื อข้ อหมุนพลาสติก ให้ เกิดขึนบริ เวณปลายคานทีต่อกับเสา
เพือให้ คานมีการหมุนในบริ เวณนีได้ ดังนันพลังงานจากแรงแผ่นดินไหวจะถูกดูดซับและกระจาย
ไปในบริเวณข้ อหมุนพลาสติกทีปลายคาน
เนืองจากเสามีความแข็งแรงโดยมีพฤติกรรมแบบอิลาสติก ในขณะทียอมให้ คานมีความ
อ่อนกว่าเสา โดยยอมให้ เกิดข้ อหมุนพลาสติกทีปลายคานได้ ดังนัน จึงเป็ นการป้องกันมิให้ เกิดข้ อ
หมุนพลาสติกในระหว่างชันของอาคาร โครงสร้ างอาคารจึงมีการโยกไหวไป-มาได้ อย่างเหนียว
แน่นมันคงไม่พงั ทลายลงได้ ดังแสดงในรูปที 7.29
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ข้ อหมุนพลาสติก
F6

F5

F4

F3

F2

F1

Vb
รูปที 7.29 ระบบโครงสร้ างตามหลักการเสาแข็งแรงและคานอ่ อน

หลักการเสาแข็งแรง-คานอ่อนนีจะกระทําได้ ก็ตอ่ เมือมีการออกแบบให้ กําลังโมเมนต์


ดัดต้ านทานของเสามีคา่ มากกว่ากําลังโมเมนต์ดดั ต้ านทานของคาน ดังนี
§6·
6M column t ¨ ¸ 6M beam (7.22)
©5¹
โดยที 6M column คือ ผลรวมของกําลังโมเมนต์ดด
ั ระบุ(nominal moment) ของเสารอบจุดรอยต่อ
6M beamคือ ผลรวมของกําลังโมเมนต์ดดั ระบุ(nominal moment)ของคานรอบจุดรอยต่อ
เนืองจากแรงกระทําจากแผ่นดินไหว มีลกั ษณะกระทํากลับไป-มา ดังนันค่าโมเมนต์ดดั บริเวณจุด
รอยต่อเสาและคาน อาจกลับทิศทางได้ ดังแสดงในรูปที 7.30
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

IM+ IMn-
n

IMn- IM+
n IM+
n IMn-

IMn- IM+
n

(ก) (ข)

รูปที 7.30 โมเมนต์ ดดั ทีจุดต่ อเสาและคาน


(ก) การเซด้ านข้ างไปทางซ้ าย (ข) การเซด้ านข้ างไปทางขวา

สมการที 7.22 เขียนใหม่ได้ ดังนี


I M n  I M n column t
6
5

I M n  I M n beam (7.23)
โดยที I = 0.90 สําหรับคาน
= 0.70 สําหรับเสาปลอกเดียว
= 0.75 สําหรับเสาปลอกเกลียว

7.8.2 การออกแบบเหล็กเสริมตามยาวในเสาและคาน

เมือมีการกําหนดนําหนักบรรทุกและแรงกระทําจากแรงแผ่นดินไหว ก็จะวิเคราะห์หา
ค่าโมเมนต์ดดั ประลัยสําหรับคานได้ ซึงจะนํามาคํานวณหาปริมาณเหล็กเสริมในหน้ าตัดคานได้
โดยมีข้อกําหนดสําหรับเหล็กเสริม ดังนี
ก) เหล็กเสริมตามยาวในเสาและคานจะต้ องออกแบบตามหลักการของเสาแข็งแรง
และคานอ่อน ดังแสดงในสมการ 7.23
ข) อัตราส่วนปริมาณเหล็กเสริมตามยาวในคาน-เสาต้ องอยูใ่ นช่วง 0.01dUgd0.06
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

โดยที Ug = As/Ag ในทางปฎิบตั ิ ค่า Ug สูงสุดไม่ควรเกิน 0.035 เพือป้องกันมิให้


ปริมาณเหล็กเสริมมีแน่นเกินไป
ค) ปริมาณเหล็กเสริมตามยาวตําสุดในคาน ต้ องไม่น้อยกว่า
สําหรับหน้ าตัดคานทัวไป
0.79 fcc 14
Umin t t (7.24ก)
fy fy
สําหรับหน้ าตัดคานรูป T ซึงปี กคานรับแรงดึง (โมเมนต์ลบ)
1.58 fcc 14
Umin t t (7.24ข)
fy fy
ค่าปริมาณเหล็กเสริมตามยาว U ใช้ ได้ ไม่เกิน 0.025

ง) กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีจุดต่อเสา-คาน
1 
M n t Mn (7.25ก)
2

กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีหน้ าตัดใดๆ


1
M a t ( M a ) max (7.25ข)
4
1
M a t ( M a ) max (7.25ค)
4

โดยที M n คือ กําลังโมเมนต์ดดั ระบุมีคา่ เป็ นบวกทีจุดต่อเสา-คาน


M n คือ กําลังโมเมนต์ดดั ระบุมีคา่ เป็ นลบทีจุดต่อเสา-คานเดียวกัน
M a , M a คือ กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีหน้ าตัดใดๆมีคา่ เป็ นบวกและลบ
M a max , M a max คือ กําลังโมเมนต์ดดั ระบุสงู สุดทีหน้ าตัดใดๆมีคา่ เป็ นบวกและลบ
ตามลําดับ

เมือกําหนดขนาดหน้ าตัดและปริ มาณเหล็กเสริ มในคาน ก็จะนําไปคํานวณค่า กําลัง


โมเมนต์ดดั ทีเป็ นไปได้ (Probable Moment Strength, M pr ) ทีปลายคานได้ โดยคํานวณจาก
กํ าลังหน้ าตัดเหล็กเสริ มตามยาวเท่ากับ 1.25เท่าของกํ าลังคราก 1.25 f y ซึงค่า M pr นี จะ
นํามาใช้ ในการคํานวณหากํ าลังรั บแรงเฉื อนของคาน และกํ าลัง รับแรงทีข้ อต่อเสา-คานต่อไป
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

เนืองจากการออกแบบกําลังรับแรงเฉือนของคาน และข้ อต่อเสา-คาน ขึนอยู่กบั ปริ มาณเหล็กเสริ ม


รับแรงดัดของคาน ดังนัน การคํานวณหาปริ มาณเหล็กเสริ มรับแรงดัดในคานจึงเป็ นสิงสําคัญที
ควรจะคํานวณอย่างเหมาะสม
การกําหนดจุดบริ เวณทีให้ เกิดการครากในคานก็เป็ นสิงสําคัญ ในกรณีทีคานมีช่วงพาด
ค่อนข้ างสันหรื อมีนําหนักบรรทุกค่อนข้ างน้ อยเมือเทียบกับแรงกระทําทางด้ านข้ างจากแผ่นดินไหว
ดังแสดงในรู ปที 7.31ก ข้ อหมุนพลาสติกมักจะเกิดทีปลายคานทังสองข้ างภายใต้ แรงกระทําสลับ
ทิศ ซึงเป็ นพฤติกรรมแบบทีต้ องการตามหลักการเสาแข็งแรง-คานอ่อน

รูปที 7.31 การเกิดข้ อหมุนพลาสติกในคาน ก) แบบข้ อหมุนพลาสติกแบบสลับทาง


ข) ข้ อหมุนพลาสติกแบบไม่ สลับทาง

รูปที 7.32 การครากของคานบริเวณข้ อหมุนพลาสติก


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ในทางตรงกั น ข้ าม ในกรณี ที คานมี ช่ ว งพาดค่ อ นข้ างยาวหรื อมี นํ าหนั ก บรรทุ ก


ค่อนข้ างมากเมือเทียบกับแรงกระทําทางด้ านข้ างจากแผ่นดินไหว ดังแสดงในรู ปที 7.31ข เมื อ
โครงสร้ างเซตัวไปทางขวาเนืองจากแรงด้ านข้ าง และคานเกิดการโก่งตัว ทําให้ เกิดโมเมนต์ลบ
สูงสุดทีปลายคานด้ านขวา และเกิดข้ อหมุนพลาสติกทีปลายด้ านขวานี ในขณะทีโมเมนต์บวก
สูงสุดด้ านซ้ ายจะไม่เกิดขึนทีปลายคานข้ างซ้ าย แต่จะขยับเข้ ามาอยู่ช่วงในคานและห่างจากขอบ
เสา ลักษณะการเกิดข้ อหมุนพลาสติกแบบนีเป็ นพฤติกรรมทีไม่ต้องการให้ เกิดขึน เนืองจากคาน
ช่วงในจะมีการโก่งตัวมากและอาจเกิดการวิบตั ใิ นตําแหน่งโมเมนต์บวกสูงสุดขึนได้ วิธีการป้องกัน
การเกิ ดพฤติก รรมแบบนี สามารถทํ า ได้ โ ดย การออกแบบให้ ค่า กํ าลัง โมเมนต์ ดัดที เป็ น ไปได้
( M pr ) มีคา่ ดังนี
wu ln2
M 
pr  M pr t
2
(7.26)

7.8.3 การออกแบบเหล็กปลอกต้ านทานแรงเฉือนในคาน

การป้องกันการวิบตั ขิ องคานเนืองจากแรงเฉือน โดยการคํานวณแรงเฉือนทีปลาย


คานจากกําลังโมเมนต์ต้านทานทีเป็ นไปได้ ทีเกิดขึนบริเวณข้ อหมุนพลาสติก ดังนี
M prL  M prR wu lc
VL  (7.27ก)
lc 2
M prL  M prR wu lc
VR  (7.27ข)
lc 2
โดยที VL คือ แรงเฉือนทีปลายคานทางซ้ าย, กก.
VR คือ แรงเฉือนทีปลายคานทางขวา, กก.
M pr คือ กําลังโมเมนต์ต้านทานทีเป็ นไปได้ (probable moment resistance) ทีปลาย
คาน คํานวณจากกําลังหน้ าตัดเหล็กเสริมตามยาวเท่ากับ 1.25 f y , กก.-ม.
R, L คือ ด้ านขวาและด้ านซ้ ายของคาน ตามลําดับ
lc คือ ความยาวช่วงคานสุทธิ,ม.
wu คือ นําหนักบรรทุกประลัยเพิมส่วน, กก./ม.
โมเมนต์ดดั และแรงเฉือนสําหรับคานทีมีการเซไปทางซ้ ายแสดงในรูปที 7.33
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

wu

- +
MprL MprR

VL VR

รูปที 7.33 โมเมนต์ ดดั และแรงเฉือนทีปลายคาน

กําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต
Vc 0.53 fccbd (7.28)
กําลังต้ านทานแรงเฉือนของเหล็กปลอก
Vs = Vn  Vc (7.29)
ระยะห่างของเหล็กปลอก S = Av f y d Vs (7.30)
กําหนดการวางเหล็กปลอกในช่วง 2 เท่าของความลึกคาน 2h จากผิวรอยต่อคาน
ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอก Smax ใช้ คา่ ตําสุดของค่าต่อไปนี
- 1 4 ของความลึกประสิทธิผล, d 4
- 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริมตามยาว, 8dbl
- 24 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก, 24dbh
- 0.30 ม.
มีข้อควรพิจารณาสําหรับการใช้ คา่ กําลังส่วนเกิน Oversrtength Factor เท่ากับ 1.25
เท่าของกําลังคราก (1.25 f y ) ในการคํานวณกําลังโมเมนต์ต้านทานทีเป็ นไปได้ ( M pr ) ดังนี ค่า
กํ า ลัง ส่ว นเกิ น ที เสนอโดย ACI 318-14 นี พิ จ ารณาจากเหล็ กเสริ ม ที ผลิ ต ใช้ ใ นประเทศ
สหรัฐอเมริ กา มีกําลังครากทีแท้ จริ งถึง 1.5 เท่าของกําลังครากทีกําหนดของเหล็กเสริ ม การใช้ คา่
กําลังส่วนเกินเท่ากับ1.25 เท่าของกําลังครากทีกําหนด จึงยังมีส่วนปลอดภัยเพียงพอ ดังนัน การ
นําค่ากํ าลังส่วนเกินนีมาใช้ ในประเทศไทย จึง ควรใช้ เหล็กเสริ มทีมีการผลิตตรงตามมาตรฐาน
เหล็กเสริมด้ วย มิฉะนัน อาจจะไม่ปลอดภัยเพียงพอ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

รูปที 7.34 การเสริมเหล็กสําหรับคานทีมีความเหนียวพิเศษ (SMRF)

7.8.4 การออกแบบเหล็กปลอกต้ านทานแรงเฉือนในเสา

แรงเฉือนบริเวณรอยต่อเสา-คาน คํานวณจาก
M pr1  M pr 2
Ve (7.31)
h
โดยที Ve คือ แรงเฉือนแนวราบกระทําทีตําแหน่งบนสุดและใต้ สดุ ของเสา, กก.
M pr1, M pr 2 คือ กําลังโมเมนต์ต้านทานทีเป็ นไปได้ (probable moment resistance) ที
ปลายเสาส่วนบนและเสาส่วนล่าง ตามลําดับ, กก.-ม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

h คือ ความสูงของเสา, ม.
โมเมนต์ดดั และแรงเฉือนทีปลายเสาและข้ อต่อระหว่างเสา-คานแสดงในรูปที 7.35
P
Mpr1
Ve
Mpr2

Ve

T2 = 1.25Asfy C1=T1
Vxx
h N.A.

C2=T2 T1 = 1.25Asfy

Ve
Ve
Mpr2 Mpr1

P
(ก) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ปลายเสา (ข) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ข้ อต่อเสา-คาน

รูปที 7.35 โมเมนต์ ดดั และแรงเฉือน (ก) ทีปลายเสา และ (ข)ทีข้ อต่ อเสา-คาน

จากรูปที 7.27ข แรงเฉือนแนวราบสุทธิทีข้ อต่อเสา-คาน ส่วนเหนือแนวแกนสะเทิน คํานวณจาก


Vxx = T2  C1  Ve (7.32)
ซึงค่าแรงเฉือนทีข้ อต่อ Vxx นี จะต้ องไม่เกิน กําลังต้ านทานแรงเฉือนของข้ อต่อ คํานวณได้ จาก
ง) กรณีทีข้ อต่อมีคานเชือมทุกด้ าน
Vn d 5.4 fcc A j (7.33ก)
จ) กรณีทีข้ อต่อมีคานเชือมสามด้ านหรื อเชือมบนหน้ าตัดตรงกันข้ าม
Vn d 3.9 fcc A j (7.33ข)
ฉ) กรณีทีข้ อต่อมีคานเชือมแบบอืน
Vn d 3.2 fcc A j (7.33ค)
โดยที Vn คือ กําลังต้ านทานแรงเฉือนของข้ อต่อ, กก.
2
A j คือ พืนทีหน้ าตัดประสิทธิผลทีข้ อต่อ, ซม. ดังแสดงในรูปที 7.36
2
f cc คือ กําลังอัดของคอนกรี ตสําหรับข้ อต่อ, กก./ซม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

หากค่าแรงเฉือนทีข้ อต่อ Vxx มีคา่ น้ อยกว่ากําลังต้ านทานแรงเฉือนของข้ อต่อ Vn แสดงว่า ขนาด


ของข้ อต่อเพียงพอต่อการต้ านทานแรงเฉือนทีเกิดขึน

พืนทีหน้ าตัด ความกว้างประสิทธิผล < b+h หรือ b+ x


ประสิทธิผล
Aj

h
b

รูปที 7.36 พืนทีหน้ าตัดประสิทธิผลของข้ อต่ อรับแรงเฉือน

คํานวณกําลังต้ านทานแรงเฉือนของเหล็กปลอก, Vs จาก


Vs = Vn  Vc (7.34)
โดยที Vn คือ แรงเฉือนแนวราบสุทธิทีข้ อต่อเสา-คาน เท่ากับ Vxx , กก.
Vc คือ กําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต (0.53 fccbd )
ระยะห่างของเหล็กปลอก S = Av f y d Vs

7.8.5 ข้ อกําหนดของปริมาณเหล็กปลอกในเสา

ข้ อกําหนดสําหรับเหล็กปลอกในเสานีใช้ ตามประเภทโครงต้ านแรงดัดทีมีความเหนียว


พิเศษ (Special / Ductile Moment Resisting Frame, SMRF) ซึงมีข้อแตกต่างจากรายละเอียด
สําหรับโครงต้ านแรงดัดทีมีความเหนียวปานกลาง ดังนัน จึงนํามาแสดงการเสริ มปริ มาณเหล็ก
ปลอก ดังนี
ก) สําหรับเสาปลอกเกลียว ค่าอัตราส่วนของปริมาตรของเหล็กปลอกต่อปริมาตร
ของแกนเสาคอนกรี ต จะต้ องไม่น้อยกว่าค่าต่อไปนี
0.12 f cc
Us t (7.35ก)
f yh
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

§ Ag · fc
หรื อ U s t 0.45 ¨  1¸ c (7.35ข)
© Ach ¹ f yh
โดยที U s คือ อัตราส่วนของปริ มาตรของเหล็กปลอกเกลียวต่อปริ มาตรของแกนเสาคอนกรี ตโดย
วัดจากขอบนอกสุดของแกนเสาทีล้ อมรอบด้ วยเหล็กปลอก
Ag คือ พืนทีหน้ าตัดเสาทังหมด, ซม.2
Ach คือ พืนทีหน้ าตัดแกนเสาโดยวัดจากขอบนอกสุดของแกนเสาทีล้ อมรอบด้ วยเหล็ก
ปลอก, ซม.2
f yh คือ กําลังครากของเหล็กปลอกเกลียว, กก./ซม.2

ข) สําหรับเสาปลอกเดียว พืนทีหน้ าตัดของของเหล็กปลอกทังหมดภายในระยะห่าง s


จะต้ องไม่น้อยกว่า ค่าต่อไปนี
f cc
Ash t 0.09 shc (7.36ก)
f yh
§ Ag · fc
หรื อ Ash t 0.3shc ¨  1¸ c (7.36ข)
© Ach ¹ f yh
โดยที Ashคือ พืนทีหน้ าตัดของเหล็กปลอกทังหมดภายในระยะห่าง s , ซม.2
hc คือ ความกว้ างของหน้ าตัดแกนเสาด้ านยาวสุด โดยวัดจากระยะห่างของศูนย์กลางของ
เหล็กปลอก, ซม.
2
Ach คือ พืนทีหน้ าตัดของแกนเสา โดยวัดจากขอบนอกสุดของเหล็กปลอก, ซม.
s คือ ระยะห่างของเหล็กปลอกวัดตามความยาวของเสา, ซม.
ค) เหล็กปลอกบริเวณหัวเสาทังส่วนบนและส่วนล่างของจุดต่อเสา-คาน จะต้ องมีการ
เสริมเหล็กปลอกบริเวณนีเป็ นระยะความยาว lo และมีระยะห่าง sx ไม่เกินค่าต่อไปนี
- sx d 1
4
ของด้ านแคบของเสา, b
4
หรื อ ไม่เกิน 10 ซม.
- sx d 6 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กยืน, 6db
- sx d 10+(35-h x )/3

โดยที คือ ระยะห่างของเหล็กปลอกภายในระยะความยาว lo , ซม.


sx
hx คือ ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอกในทุกหน้ าตัดของเสา, ซม.
สําหรับระยะความยาว lo คํานวณจากระยะสูงสุดของค่าต่อไปนี
- lo t ความลึกของเสา
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

- lo t 1/6 ของความสูงสุทธิของช่วงเสา
- lo t 50 ซม. สําหรับบริ เวณเสาทีรับนําหนักบรรทุกและโมเมนต์ดด ั มาก เช่น เสาชันล่าง
ของอาคาร ให้ เพิมความยาว lo อีก 50% เป็ นอย่างน้ อย 75 ซม.

7.8.6 การจัดรายละเอียดเหล็กเสริมในเสา

การจัดรายละเอียดเหล็กเสริ มในเสา มีดงั นี


x การต่อทาบเหล็กยืน จะต้ องต่อภายในช่วงระยะกึงกลางเสาเท่านัน ห้ ามต่อทาบเหล็ก
ภายในระยะความยาว lo จากข้ อต่อเสา-คาน เนืองจากทีบริ เวณข้ อต่อเสานีมีคา่ โมเมนต์
ดัดสูง
x เหล็กปลอกเสริมรับแรงเฉือนมีอยู่ 2 ช่วง คือ sx บริเวณส่วนบนและส่วนล่างของข้ อต่อ
เสา-คาน ภายในระยะความยาว lo จากผิวรอยต่อ ซึงจะต้ องเสริมเหล็กปลอกทีแน่นเป็ น
พิเศษตามข้ อกําหนด และ st บริเวณช่วงกลางเสานอกเขตระยะความยาว lo ซึงจัดเหล็ก
ปลอกตามแบบปกติ
x สําหรับเสาภายในข้ อต่อเสา-คาน จะต้ องเสริมเหล็กปลอกตามข้ อกําหนด ดังนี
หากความกว้ างของคานมากกว่าหรื อเท่ากับ 3 4 เท่าของความกว้ างของเสา ให้
จัดระยะเหล็กปลอก เป็ น 2sx - สําหรับกรณีอืน ใช้ ระยะเหล็กปลอกเท่ากับ sx
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง

ระยะทาบ Sl ระยะห่างสูงสุดไม่เกิน
b/4 หรือ 10 ซม.
H
2

lo Sx

Sj

lo ความยาวไม่น้อยกว่า lo Sx ระยะห่างสูงสุดไม่เกิน
- ความลึกของเสา - b/4 หรือ 10 ซม.
- H - 6dbl
6
- 50 ซม. - 10+(35-hx)/3
H
St ระยะห่างสูงสุดไม่เกิน
- 16 dbl
H
- 48 dbs
2
-b
lo

Sj ระยะห่างสูงสุดไม่เกิน
- 2Sx ถ้าความกว้างของคาน t 34 b
- Sx สําหรับกรณีอนื
h

dbl hx hx b
dbs

รูปที 7.37 รายละเอียดเหล็กเสริมในเสาสําหรับโครงสร้ าง SMRF


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 263

บทที 8
การออกแบบโครงสร้ างกําแพงรั บแรงเฉือน
8.1 บทนํา

โครงสร้ างกําแพงคอนกรี ตเสริมเหล็กมีบทบาททีสําคัญในการต้ านทานแรงแผ่นดินไหว


เนืองจากคุณสมบัตขิ องกําแพงมีคา่ สติฟเนสทีสูง จึงทําให้ สามารถลดค่าการโก่งตัวของโครงสร้ าง
และเพิมค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควํา รวมทังลดระดับความเสียหายของส่วนประกอบอาคาร
ทีมิใช่โครงสร้ างได้ ประโยชน์ทีสําคัญอีกประการหนึงคือ พฤติกรรมของโครงสร้ างกําแพงมีความ
น่าเชือถือมากกว่าโครงข้ อแข็ง เนืองจากกําแพงมีคณ ุ สมบัตทิ ีแข็งแรงกว่าคานมาก ทําให้ ข้อหมุน
พลาสติกเกิดขึนทีปลายคานตามบริเวณทีออกแบบไว้ โดยไม่เกิดทีกําแพง ดังนันจึงสอดคล้ องกับ
หลักการเสาแข็งแรง-คานอ่อน
แต่แม้ วา่ โครงสร้ างกําแพงจะมีประโยชน์มาก แต่ข้อกําหนดของการออกแบบ UBC1994
และUBC1997ยังคงใช้ คา่ สัมประสิทธิการดูดซับพลังงานของโครงสร้ าง ( Rw , R) สําหรับโครงสร้ าง
กําแพงน้ อยกว่าโครงข้ อแข็งทีมีความเหนียวพิเศษ (SMRF) ถึง 50% เหตุผลทีสําคัญคือโครงสร้ าง
กําแพงมีพฤติกรรมทีไม่คอ่ ยเหนียวโดยเฉพาะมีโอกาสทีจะเกิดการวิบตั แิ บบความเปราะด้ วยแรง
เฉือน หากต้ องการออกแบบให้ มีคณ ุ สมบัตเิ หนียวยิงขึน ในปัจจุบนั นิยมใช้ โครงสร้ างผสมระหว่าง
โครงข้ อแข็งและกําแพง ซึงข้ อกําหนดUBC1997เพิมค่าสัมประสิทธิการดูดซับพลังงาน R สําหรับ
โครงสร้ างผสมนีให้ ใกล้ เคียงกันกับกรณีโครงข้ อแข็ง
โครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนแบ่งออกเป็ น 2 แบบ ตามพฤติกรรมของการรับแรงกระทํา
ทางด้ านข้ าง คือ ก) โครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนแบบอิสระ (independent shear wall) ได้ แก่
กําแพงทัวไป ซึงมีรูปร่างต่างๆ ตามลักษณะการจัดวางผังอาคาร เช่น รูปร่างแบบ L, T, I, U เป็ น
ต้ น พฤติกรรมการรับแรงกระทําทางด้ านข้ างของกําแพงเหล่านี จะแยกเป็ นอิสระจากกัน โดยจะ
ต้ านทานทังแรงเฉือนและโมเมนต์ดดั ทีเกิดจากแรงกระทําทางด้ านข้ าง และ ข) โครงสร้ างกําแพง
รับแรงเฉือนแบบควบคู่ (coupled shear wall) ได้ แก่ โครงสร้ างกําแพงทีถูกเชือมยึดด้ วยพืนหรื อ
คาน ซึงมีความหนาหรื อความลึกเพียงพอทําให้ เกิดแรงต้ านทานต่อโมเมนต์ดดั มาก ดังนัน
กําแพงทีวางอยูใ่ นแนวเดียวกันและยึดเชือมเข้ าด้ วยกันนี จะมีพฤติกรรมร่วมในการช่วยกัน
264 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

ต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ าง ทําให้ เพิมประสิทธิภาพของการรับแรงกระทํามากยิงขึนกว่า


กําแพงอิสระ

8.2 โครงสร้ างกําแพงรั บแรงเฉือนแบบอิสระ

พฤติกรรมการรับแรงของโครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือน เมือมีแรงกระทําทางด้ านข้ าง


อาคารจะก่อให้ เกิดทังหน่วยแรงดัดและหน่วยแรงเฉือนในกําแพง ซึงหน่วยแรงดัดนีจะเป็ นหน่วย
แรงหลักทีทําให้ กําแพงมีการโก่งตัวแบบถูกดัด (flexure mode) ทําให้ เกิดหน่วยแรงดึงในด้ านถูก
แรงกระทําและเกิดหน่วยแรงอัดในด้ านหลังแรงกระทํา โดยทีโครงสร้ างกําแพงจะทําหน้ าทีเสมือน
เสา ในการรับนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรด้ วย หากวางตําแหน่งของกําแพงให้
สมมาตรในผังอาคาร นําหนักบรรทุกเหล่านีจะช่วยลดหน่วยแรงดึงในกําแพงได้ ซึงจะทําให้
ออกแบบเหล็กเสริมในกําแพงได้ อย่างประหยัด
โดยทัวไปโครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนในอาคารสูงมักใช้ ขนาดความยาวและความหนา
ลดหลันกันไป ซึงผลจากการใช้ ขนาดกําแพงทีแปรเปลียนได้ นี ทําให้ เกิดการกระจายโมเมนต์และ
แรงเฉือนทีซับซ้ อนในระหว่างรอยต่อการเปลียนขนาดของกําแพง ดังนัน จึงจําแนกกําแพงอิสระนี
ออกเป็ น 2 ประเภท ตามลักษณะการเปลียนขนาดของกําแพง ดังนี

ก) กําแพงทีมีการเปลียนขนาดเป็ นสัดส่ วนกัน


(Proportionate Shear Wall)

โครงสร้ างกําแพงระบบนีเป็ นกําแพงซึงมีอตั ราส่วนของความแข็งเชิงดัด (flexural


rigidity) คงทีตลอดความสูงของอาคาร ดังแสดงในรูปที 8.1ก
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 265

Wall 2
Connecting
links
Wall 1 I2A
I2A
I1A I1A
Region A
I2B I2B

Region B I1B I1B


I2C I2C

Region C I1C I1C

I 1A I 1B I 1C I 1A I I
I 2A
, 1B , 1C
I 2 B I 2C
not equal
I 2A I 2B I 2C

(ก) กําแพงทีมีการเปลียนขนาดเป็ นสัดส่วนกัน (ข) กําแพงทีมีการเปลียนขนาดไม่เป็ นสัดส่วนกัน

รูปที 8.1 โครงสร้ างกําแพงแบบทีมีการเปลียนขนาดเป็ นสัดส่ วนและแบบไม่ เป็ นสัดส่ วนกัน

โครงสร้ างกําแพงนีจะมีคา่ แรงเฉือนและโมเมนต์กระจายเป็ นสัดส่วนกับค่าความแข็งเชิงดัดของ


กําแพง และไม่มีการกระจายแรงเฉือนหรื อโมเมนต์ทีระดับการเปลียนขนาดของกําแพง

ข) กําแพงทีมีการเปลียนขนาดไม่ เป็ นสัดส่ วนกัน


(Nonproportionate Shear Wall)

โครงสร้ างระบบนีมีคา่ อัตราส่วนของความแข็งเชิงดัด (flexural rigidity) ไม่คงที


ตลอดความสูงของอาคารดังแสดงในรูปที 8.1ข ณ ระดับชันซึงมีการเปลียนค่าความแข็ง จะมีการ
กระจายแรงเฉือนและโมเมนต์ในกําแพงเกิดขึนได้ และมักมีแรงเฉือนเกิดขึนสูงทีบริเวณชันนี
เนืองจากการคํานวณหาแรงภายในองค์อาคารของกําแพงแบบนีค่อนข้ างซับซ้ อน สําหรับในทีนี จะ
กล่าวในรายละเอียดของการคํานวณออกแบบเฉพาะกําแพงแบบแรกคือ Proportionate Shear
Wall เท่านัน
266 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

8.3 การคํานวณออกแบบกําแพงระบบทีมีการเปลียนขนาดเป็ นสัดส่ วนกัน

8.3.1 โครงสร้ างสมมาตร (Symmetric Structure)

โครงสร้ างซึงมีลกั ษณะสมมาตรในผังอาคารต่อแนวของแรงกระทํา ดังแสดงใน


รูปที 8.2 จะไม่มีการบิดตัวทีระดับชัน i ใดๆ แรงเฉือนภายนอกทังหมด Qi และโมเมนต์ภายนอก
ทังหมด M i จะกระจายไปยังกําแพงต่างๆ ตามอัตราส่วนของค่าความแข็งเชิงดัด(flexural
rigidity) ของกําแพง ดังนี
แรงเฉือนและโมเมนต์ในกําแพง j ทีระดับชัน i

EI ji
Q ji Qi (8.1)
¦ EI i
EI ji
M ji Mi (8.2)
¦ EI i

โดยที Qi และ Miคือแรงเฉือนภายนอกและโมเมนต์ภายนอกทังหมดทีกระทําทีระดับชัน i


ตามลําดับ
Q ji และ M ji คือแรงเฉื อนและโมเมนต์ในกําแพง j ทีระดับชัน i ตามลําดับ

( EI ) ji คือความแข็งเชิงดัด (flexural rigidity) ของกําแพง j ทีระดับชัน i


¦ ( EI )i คือผลรวมของความแข็งเชิงดัดของกําแพงทังหมด ทีระดับชัน i

Qi

รูปที 8.2 โครงสร้ างกําแพงแบบสมมาตร


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 267

8.3.2 โครงสร้ างไม่ สมมาตร (Asymmetric Structure)

โครงสร้ างซึงไม่สมมาตรต่อแกนของแรงกระทําจะมีการเลือนตัวและหมุนตัวด้ วย
ดังแสดงในรูปที8.3 การเคลือนทีในแนวราบของพืนอาคารจะเท่ากับผลรวมของการเลือนตัว
(translation) และการหมุนตัว (rotation) รอบจุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัว ซึงในทีนีคือ
จุดศูนย์ถ่วงของความแข็งเชิงดัด (centroid of flexural rigidity) ของกําแพง

C โครงสร้ างบิดตัวรอบจุด C

การหมุนตัว

การเลือนตัว จุดศูนย์ถ่วงของความแข็งของกําแพง
C

Qi

รูปที 8.3 การเคลือนตัวของโครงสร้ างไม่ สมมาตร

พิจารณาจากรูปโครงสร้ างอาคารซึงไม่สมมาตร (รูปที 8.4) จุดศูนย์กลางของ


การหมุนบิดตัว สามารถคํานวณได้ จาก

¦ EIx j i
x
¦ EI i
(8.3)
โดยที x คือ จุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัว
¦ ( EI )i คือ ผลรวมของความแข็งเชิงดัด flexural rigidity
¦ ( EIx j )i คือ ผลรวมของโมเมนต์ของความแข็งเชิงดัดรอบจุดศูนย์กลางของการหมุนบิด
ตัว
268 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

สําหรับโครงสร้ างกําแพงทีเป็ นสัดส่วนกัน จุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัวและจุดศูนย์กลางของ


แรงเฉือน (shear center) จะทับกัน

y
จุดศูนย์กลาง
ของการหมุนบิดตัว

1 2 3

x1 e
x2
x3 c3
Qi
c2
c1
x
x

รูปที 8.4 โครงสร้ างไม่ สมมาตรซึงแนวกําแพงขนานกับแนวแรงกระทําทางด้ านข้ าง

แรงเฉือนและโมเมนต์ทีกระจายสูก่ ําแพง j ทีระดับชัน i คํานวณจาก


Qi EI ji Qi e EI ˜ c ji
Q ji  (8.4)
¦ EI i
¦ EI ˜ c 2 i
M i EI ji M i e EI ˜ c ji
M ji  (8.5)
¦ EI i
¦ EI ˜ c 2 i
โดยที c ji คือ ระยะจากจุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัวไปยังกําแพง j
e คือ ระยะจากจุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัวไปยังแนวแรงเฉือนภายนอก

ค่าเทอมแรกทางขวามือของสมการ 8.4 และ 8.5 เป็ นแรงเฉือนและโมเมนต์ที


เกียวข้ องกับการเลือนดัดของโครงสร้ าง (bending translation) ส่วนเทอมทีสอง จะเกียวข้ องกับ
การดัดของกําแพงเมือโครงสร้ างถูกบิดไป สําหรับ ค่า c ji จะพิจารณาเครื องหมายเป็ นบวก เมือ
อยูบ่ นด้ านเดียวกันกับค่า e จากจุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัว
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 269

ถ้ าหากโครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนมีกําแพงซึงวางในทิศทางตังฉากกับแนวของแรง
กระทํา ดังแสดงในรูปที 8.5 จุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัว สามารถคํานวณได้ จาก

¦ EIy j i
y (8.6)
¦ EI i

ซึงค่าความแข็งเชิงดัด (flexural rigidity), EI ในทีนีหมายถึงกําแพงซึงวางในทิศทางตังฉากกับแนว


ของแรงกระทํา
y

กําแพงในแนวตังฉาก จุดศูนย์กลาง
ของการหมุนบิดตัว

d5
d4
กําแพงในแนวขนาน
d3
d2 y5
d1
y4
y
y3
e y1 y2
x
Qi

รูปที 8.5 โครงสร้ างไม่ สมมาตรซึงรวมทังกําแพงในแนวตังฉาก

แรงเฉือนและโมเมนต์ทีเกิดขึนในกําแพงในแนวตังฉากทีระดับชันi จากการบิดตัวของ
โครงสร้ าง คํานวณได้ จาก
EI ˜ d ri
Q ri Qi ˜ e
^¦ EI ˜ c  ¦ EI ˜ d 2 `i
2 (8.7)

EI ˜ d ri
M ri Mi ˜e
^¦ EI ˜ c  ¦ EI ˜ d 2 `i
2 (8.8)

โดยที Qri และ M ri คือ แรงเฉือนและโมเมนต์ในกําแพงในแนวตังฉาก r ทีระดับชัน i ตามลําดับ


¦ ( EI ˜ c 2 )i คือ ผลรวมของโมเมนต์ทีสองของความแข็งเชิงดัดของกําแพงในแนวขนาน
ทีระดับชัน i
270 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

¦ ( EI ˜ d 2 )i คือ ผลรวมของโมเมนต์ทีสองของความแข็งเชิงดัดของกําแพงในแนวตังฉาก
ทีระดับชัน i

8.4 โครงสร้ างกําแพงรั บแรงเฉือนแบบควบคู่ (Coupled Shear Wall Structure)

ในกรณีที กําแพงสองชินมีการเชือมยึดด้ วยคาน โมเมนต์ทีกระทําต่อโครงสร้ างนีจะ


ต้ านทานโดยกําแพงทังสองซึงมีพฤติกรรมการต้ านทานเสมือนเป็ นโครงสร้ างผสมอันหนึง (Single
composite unit) มีการดัดรอบจุดศูนย์ถ่วงของกําแพงทังสองนี ดังแสดงในรูปที 8.6 เมือกําแพง
มีการโน้ มเอียงไปภายใต้ แรงกระทําด้ านข้ างปลายของคานเชือม จะถูกดันให้ หมุนและเคลือนทีไป
ในแนวดิง จนกระทังคานถูกดันให้ โก่งดัดสองทาง (double curvature) เพือต้ านทานการดัดแบบ
อิสระของกําแพงแต่ละชิน

รูปที 8.6a ผังอาคารทีพักอาศัยทีมีกาํ แพงควบคู่

รูปที 8.6b พฤติกรรมการรับแรงกระทําทางด้ านข้ างของกําแพงควบคู่


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 271

พฤติกรรมการดัดของคานเชือมนีจะก่อให้ เกิดแรงเฉือนในคาน ทําให้ เกิดโมเมนต์ดดั


ในทิศทางตรงกันข้ ามกับโมเมนต์ภายนอกทีมากระทําทีกําแพงแต่ละชินแรงเฉือนเหล่านีเหนียวนํา
ให้ เกิด axial force ในกําแพงทังสอง โดยมีลกั ษณะเป็ นแรงดึงและแรงอัดในกําแพง ดังนัน ค่า
โมเมนต์ เนืองจากแรงกระทําภายนอกทีระดับชินของอาคารใดๆ สามารถคํานวณได้ จาก
M = M1  M 2  Nl (8.9)
โดยที M1 , M 2 คือ โมเมนต์กระทําต่อกําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
M คือ โมเมนต์ทงหมดที
ั กระทําต่อกําแพงคูค่ วบ
l คือ ระยะห่างระหว่างจุดศูนย์ถ่วงของกําแพงทังสอง
N คือ แรงกระทําในแนวแกนกําแพง
เทอม Nl เป็ นโมเมนต์ดดั ต้ านทานการดัดแบบอิสระของกําแพง ในกรณีทีคานเชือม
มีการยึดรังทีปลายกับกําแพงเป็ นแบบปลายหมุนเทอม Nl จะเป็ นศูนย์ และเทอมนีจะมีคา่ สูงสุด
เมือคานเชือมมีลกั ษณะแข็งเกร็ง (infinitely rigid) ดังนันพฤติกรรมการรับแรงของคานเชือมนีจึง
ช่วยลดโมเมนต์ทีเกิดขึนในกําแพงนีได้ ซึงทําให้ คา่ หน่วยแรงดึงสูงสุดในคอนกรี ตลดลง โครงสร้ าง
กําแพงระบบนีจึงมีประสิทธิภาพในการต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ างได้ ดีกว่าโครงสร้ างกําแพง
อิสระ

8.4.1 การวิเคราะห์ กาํ แพงคู่ควบโดยวิธีตัวกลางเชือมต่ อเนือง


(Continuous Medium Method)

พิจารณาโครงสร้ างกําแพงคูค่ วบซึงมีแรงกระทําทางด้ านข้ างดังแสดงในรูปที 8.7a


สมมุตฐิ านทีใช้ มีดงั นี
1. คุณสมบัตขิ องกําแพงและคานเชือมไม่มีการเปลียนแปลง ตลอดความสูงของอาคารและความ
สูงแต่ละชันมีคา่ คงที
2. ระนาบของกําแพง หลังจากถูกแรงดัดกระทํายังคงรักษาระนาบไว้ โดยไม่เสียรูป
3. คานเชือมระหว่างกําแพงใช้ เป็ น “ตัวกลางเชือมต่อเนืองเทียบเท่า” (Equivalent Continuous
Connecting Medium) โดยมีคา่ ความแข็งเชิงดัด (Flexural Rigidity) EIb/h ต่อหน่วยความสูง
เมือ h เป็ นความสูงของชันแต่ละชัน ดังแสดงในรูปที 8.7b
4. กําแพงทังสองส่วนมีการโก่งโน้ มเอนในทางแนวราบเท่าๆ กัน เนืองจากพืนอาคารมีความแข็ง
ในแนวราบมากรวมทังคานเชือมก็มีคา่ สติฟเนสในแนวแกนทีสูง ดังนัน ค่าความชัน (Slope)
272 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

ของกําแพงทังสองส่วนจึงเท่ากันตลอดความสูงของอาคาร เป็ นเหตุให้ คานเชือมบิดไปโดยมีจดุ


การดัดกลับ (point of contraflexure) อยูท่ ีกึงกลางช่วงคาน
จากสมมุตฐิ านนีทําให้ คา่ มุมของการโก่งตัว (Curvature) ของกําแพงทังสองส่วนเท่ากันตลอด
ความสูงของอาคาร และค่าโมเมนต์ดดั ในแต่ละกําแพงจะเป็ นสัดส่วนกับค่าความแข็งเชิงดัด
ของกําแพงแต่ละชิน
5. แรงทีเกิดขึนในคานเชือม คือ
Axial Forces จะแทนด้ วย Equivalent Continuous distribution, n ต่อหน่วยความสูง
Shear Forces จะแทนด้ วย Equivalent Continuous distribution, q ต่อหน่วยความสูง
Bending Moment จะแทนด้ วย Equivalent Continuous distribution, m ต่อหน่วยความสูง
b "

Equivalent
connecting
medium
Ib
h
H
w Z
I1 I2
A1 A2
C Y
(a) (b)
รูป8.7 การทดแทนกําแพงคู่ควบด้ วย Continuum model
พิจารณารูปตัดของ Connecting Medium ดังแสดงในรูปที 8.8
b b
d1 2 2 d2
0

M1 q n q M2
w
N N

Wall 1 Wall 2

รูป8.8 แรงภายในของ Coupled Shear Wall


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 273

ทีหน้ าตัดในแนวดิงของคานเชือม จะมี Shear Flow ขนาด q (z) ต่อหน่วยความสูง


Axial Force ขนาด n (z) ต่อหน่วยความสูง
Axial force, N ในแต่ละกําแพงทีระดับ z
H
N ³z qdz (8.10)
dN
หรื อ q  (8.11)
dz

ในการวิเคราะห์เพือหา governing differential equation สําหรับโครงสร้ างระบบนี จะพิจารณา


จาก ค่าการเคลือนทีสัมพัทธ์ในแนวดิงทีแนวเส้ นตัดของของจุดดัดกลับทีเกิดขึนสําหรับพฤติกรรม
ของโครงสร้ างกําแพงคูค่ วบ ซึงสรุปได้ ดงั นี
Governing Equation for Coupled Walls
d 2N D2
 (kD )2 N  M (8.12)
dz 2 l
12 I cl 2
โดยที D2
b3hI
Ib 12 EIb
Ic และ r O
1 r b2GA
AI
k2 1
A1 A2l 2
I I1  I 2และ A A1  A2
GA คือ ค่าความแข็งเชิงเฉือน (Shear rigidity)ของคานเชือม
I b คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของคานเชือม
O คือ ค่าสัมประสิทธิของรูปร่างหน้ าตัดคานเชือม สําหรับหน้ าตัด
สีเหลียมผืนผ้ า O 1.2
274 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

8.4.2 การวิเคราะห์ กาํ แพงคู่ควบสําหรั บแรงแผ่ นดินไหวแบบแรงสถิตเทียบเท่ า

พิจารณาโครงสร้ างกําแพงคูค่ วบซึงมีแรงกระทําดังแสดงในรูปที 8.9

รูป 8.9 การกระจายของแรงกระทําต่ อโครงสร้ างกําแพงคู่ควบ

Wall 1 Wall 2
c.g. of composite section

A B C D
(a)
N คานเชือม N
c11 c12 c21 c22

M1 l M2
M

(b)
หน่วยแรงสําหรับกําแพงอิสระ
+

(c) หน่วยแรงสําหรับกําแพงผสมแบบสมบูรณ์
=

(d) หน่วยแรงสําหรับกําแพงคู่ควบ

รูป 8.10 การกระจายหน่ วยแรงของโครงสร้ างกําแพงคู่ควบ


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 275

โมเมนต์ ทังหมดทีกระทําต่ อกําแพงคู่ควบ


1
M = P( H  z )  p ( H  z ) 2 (2  z H ) (8.13)
6
โมเมนต์ ในกําแพงแต่ ละชิน (Independent action)
I1 K1
M1 = M (8.14ก)
I 100
I 2 K1
M2 = M (8.14ข)
I 100
โดยที K1 เป็ นเปอร์ เซ็นต์ของโมเมนต์ทงหมดซึ
ั งต้ านทานโดยพฤติกรรมของกําแพงแบบอิสระ
โมเมนต์ ในกําแพงผสมแบบสมบูรณ์ (Composite Cantilever Action)
K2
Mc = M (8.15)
100
โดยที K2 เป็ นเปอร์ เซ็นต์ของโมเมนต์ซงต้
ึ านทานโดยพฤติกรรมของกําแพงแบบ Composite Unit
ค่าสัมประสิทธิ K1 และ K2 สามารถหาได้ จากกราฟในรูปที 8.11-8.12
โดยที K1  K2 100
276 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

ค่าหน่วยแรงดัดในกําแพงจะกระจายเป็ นสัดส่วนโดยตรงตลอดชินส่วนของโครงสร้ าง
ผสมนี โดยทีค่าหน่วยแรงดึงและหน่วยแรงอัดจะเกิดขึนทีขอบนอกสุด ดังแสดงในรูปที 8.10 ซึง
จะต้ องมีการตรวจสอบหน่วยแรงสูงสุดทีขอบทังสองนี ว่าเกินหน่วยแรงปลอดภัยหรื อไม่ หน่วยแรง
ในกําแพงทีแท้ จริงจะเป็ นการรวมหน่วยแรงสําหรับกรณีกําแพงอิสระสองแผ่นและกรณีกําแพง
ผสมแบบสมบูรณ์เป็ นพฤติกรรมของกําแพงแบบคูค่ วบ (Coupled Wall) ดังนัน พฤติกรรมที
แท้ จริงของกําแพงทังคูน่ ี ซึงเชือมยึดด้ วยคานเชือมทีมีลกั ษณะยืดหยุน่ จะอยู่ระหว่างกรณีกําแพง
อิสระสองแผ่น (8.10b) และกําแพงผสมแบบสมบูรณ์ (Fully composite unit, 8.10c)
N M1c11 Mcc1
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด A fA   (8.16ก)
A1 I1 Ig
N M 2c21 Mcc 2
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด D fD   (8.16ข)
A2 I2 Ig
โดยที N คือ แรงกระทําในแนวแกนกําแพง
โดยที N M  M1  M 2 l
A1, A2 คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
I1 , I 2 คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
Ig คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงคูค่ วบ
A1 A2 2
โดยที Ig I1  I 2  l
A
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 277

แรงเฉือนและโมเมนต์ ดัดในคานเชือม
1
สําหรับแรงกระทํา P ทียอดอาคาร q P F2 (8.17ก)
k 2l
H
สําหรับแรงกระทํากระจายแบบรูปสามเหลียม q p F2 (8.17ข)
k 2l
แรงเฉือนสูงสุดทีกระทําในคานเชือมสําหรับแต่ละระดับชันอาคาร
V ³ qdz
1 H (8.18)
(P p ) F2(max) ˜ h
k 2l k 2l
โมเมนต์ดดั สูงสุดในคานเชือมทีรอยต่อยึดกับกําแพง
Mb = V ˜b 2 (8.19)
shear flow, q

V h
Mb

Mb

V
b/2 b/2

รูปที 8.13 แรงเฉือนและโมเมนต์ ดัดในคานเชือม

การโก่ งตัวของกําแพงทียอดอาคาร
PH 3
สําหรับแรงกระทํา P ทียอดอาคาร yH F3 (8.20ก)
3EI
11 pH 4
สําหรับแรงกระทํากระจายแบบรูปสามเหลียม yH F3 (8.20ข)
120 EI
ค่าสัมประสิทธิ F2 และ F3 สามารถหาได้ จากกราฟในรูปที 8.14-8.17
278 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 279
280 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

8.5 ข้ อกําหนดของการออกแบบกําแพง

ขันตอนการออกแบบโครงสร้ างกําแพงต้ านทานแรงแผ่นดินไหวตามข้ อกําหนด


ACI318-99 มีดงั นี
ขันตอนที 1 การออกแบบต้ านทานแรงเฉือน
ขันตอนที 2 การตรวจสอบและออกแบบกล่องหุ้มขอบกําแพง
ขันตอนที 3 การตรวจสอบกําลังรับแรงแนวแกนร่วมกับแรงดัด
ในกรณีกําแพงคูค่ วบ จะเพิมขันตอนที 4 การออกแบบคานเชือม (Coupling Beam)
ขันตอนที 5 การเสริมเหล็กในรายละเอียด

ขันตอนที 1 การออกแบบต้ านทานแรงเฉือน

กําลังรับแรงเฉือนของกําแพง
กําลังรับแรงเฉือนของกําแพงจะต้ องต้ านทานแรงเฉือนประลัยได้ นันคือ
IVn t Vu (8.21)
ในกรณีที hw lw t 2.0


IVn I Acv 0.53 fcc  Un f y d 2.1 fcc Acv (8.22ก)
ในกรณีที hw lw  2.0


IVn I Acv D c fcc  U n f y d 2.1 fcc Acv (8.22ข)
โดยที I = 0.6
D c = 0.80 เมือ hw lw d 1.5 และ D c = 0.53 เมือ hw lw t 2.0
สําหรับ 1.5  hw lw  2.0 ให้ พิจารณาเฉลียค่า D c โดยการแปรเปลียนเชิงเส้ น
(linear interpolation)
hw คือ ความสูงของกําแพงในช่วงทีพิจารณา
lw คือ ความยาวของกําแพงในทิศทางทีแรงเฉือนกระทํา
Acv คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 281

เหล็กเสริมในกําแพง
หากแรงเฉือนประลัยมีคา่ มากกว่ากําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต จะต้ องเสริ มเหล็ก
รับแรงเฉือน ซึงจะต้ องจัดเสริ มทังแนวตังและแนวนอน ดังนี
ในกรณีที Vu ! 0.53 fcc Acv
จะต้ องเสริมเหล็กตะแกรงรับแรงเฉือนในกําแพง 2 ชัน
ในกรณีที Vu ! IVc 2 I 0.26 fcc Acv
Asv
Uv (min.) U h(min.) t 0.0025
Acv
โดยที Uv (min.) , U h(min.) คือ อัตราส่วนระหว่างเหล็กเสริ มและหน้ าตัดกําแพงอย่างน้ อยทีสุด
ในแนวตังและแนวนอน ตามลําดับ
Asv คือ ปริ มาณเหล็กเสริ มในหน้ าตัดกําแพงซึงมีระยะห่างไม่เกิน 45 ซม.
Acv คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพง
Vu คือ แรงเฉือนเพิมค่าทีใช้ ในการออกแบบ
หากแรงเฉือนประลัยมีคา่ น้ อยกว่ากําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต จะต้ องเสริ มเหล็ก
อย่างน้ อยทีสุดทังแนวตังและแนวนอน ดังนี
ในกรณีที Vu d IVc 2 I 0.26 fcc Acv
เหล็กเสริมในแนวตัง
สําหรับเหล็กเสริมขนาด d DB16mm Uv (min.) t 0.0012 โดยที f y t 4, 000 กก./ซม.2
สําหรับเหล็กเสริมขนาด ! DB16mm Uv (min.) t 0.0015
เหล็กเสริมในแนวนอน
สําหรับเหล็กเสริมขนาด d DB16mm U h(min.) t 0.0020 โดยที f y t 4, 000 กก./ซม.2
สําหรับเหล็กเสริมขนาด ! DB16mm U h(min.) t 0.0025

ขันตอนที 2 การตรวจสอบและออกแบบเสาขอบกําแพง (Boundary element)


ในกรณีทีหน่วยแรงสูงสุดทีขอบกําแพงเกินกว่า 0.2 fcc จะต้ องออกแบบเสาทีขอบตลอด
ความสูงของกําแพงและรอบขอบช่องเปิ ด เสาขอบกําแพงนีจะต้ องออกแบบให้ สามารถรับนําหนัก
บรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรในแนวดิง รวมทังแรงในแนวแกนทีต้ านทานโมเมนต์พลิกควํา
จากแรงแผ่นดินไหวได้ ด้วย นันคือ
282 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

ในกรณีกําแพงอิสระ
Nu M u c
fc  ! 0.2 f cc (8.23)
A I
ในกรณีกําแพงคูค่ วบ คํานวณหน่วยแรงอัดสูงสุดทีขอบกําแพง โดยพิจารณาจากรูปที 8.10 และ
ปรับจากสมการ 8.16ข
Nu M u 2c21 M u cc 2
fc   ! 0.2 fcc (8.24)
A2 I2 Ig
โดยที Nu , M u คือ แรงประลัยและโมเมนต์ดดั ประลัยกระทําในแนวแกนกําแพง
ในการออกแบบเสาขอบ จะพิจารณาเป็ นเสาหน้ าตัดสีเหลียม โดยสมมุตวิ ่า เสานีรับนําหนัก
ทังหมดเนืองจากการรวมแรงจากนําหนักบรรทุกในแนวดิงและแรงในแนวแกนจากโมเมนต์พลิก
ควํา ดังแสดงในรูปที 8.18
Mu

Wu

Wu M u
C 
2 d

d
T C

รูปที 8.18 แรงกระทําต่ อกําแพงคู่ควบทีใช้ ในการออกแบบเสาขอบกําแพง

โดยมีข้อกําหนดของการออกแบบดังนี
ขนาดของเสาขอบกําแพง
x ขนาดความกว้ างของเสาขอบ อย่างน้ อย lw 16 และความยาวอย่างน้ อย 45 ซม. (วัดตาม
ความยาวของแกนกําแพง) ทีแต่ละข้ างของกําแพง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 283

x ในกรณีของกําแพงทีมีหน้ าตัดรูป I, L, C, หรื อ T ขนาดหน้ าตัดของเสาจะต้ องพิจารณารวม


ความกว้ างปี กประสิทธิผลของหน้ าตัดนันด้ วย และจะต้ องขยายเข้ าไปในแกนกําแพงอย่าง
น้ อย 30 ซม.
กําลังของเสาขอบกําแพง
พิจารณาเป็ นเสาสันรูปสีเหลียมผืนผ้ า คํานวณดังนี
Pu d I Pn (8.25ก)
Pn 0.8 ª0.85 f cc Ag  Ast  Ast f y º (8.25ข)
¬ ¼
Wu M u
โดยที Pu คือ นําหนักบรรทุกประลัยทีกระทําต่อเสา 
2 d
Pn คือ กําลังรับนําหนักบรรทุกของเสา
I คือ ตัวคูณลดกําลัง = 0.7
Ag , Ast คือ พืนทีหน้ าตัดของเสาและเหล็กเสริ ม ตามลําดับ
ปริมาณเหล็กเสริมแนวแกน Umin. 0.01  Ust  Umax. 0.06
เหล็กปลอก
x ปริมาณเหล็กปลอกและเหล็กรัดขวาง ใช้ ข้อกําหนดเดียวกันกับเหล็กปลอกในเสาตาม
รายละเอียดในเรื องโครงข้ อแข็ง

รูปที 8.19 รายละเอียดการเสริมเหล็กในกําแพง


284 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

ขันตอนที 3 การตรวจสอบกําลังรับแรงแนวแกนร่ วมกับแรงดัดของกําแพง


ขันตอนนีเป็ นการตรวจสอบกําลังของหน้ าตัดกําแพงทีฐานอาคารว่าสามารถรับการรวม
แรงกระทําตามแนวแกนและโมเมนต์ดดั ได้ โดยปลอดภัยหรื อไม่ โดยการใช้ P  M Interaction
Diagram หากไม่ปลอดภัยจะต้ องมีการขยายหน้ าตัดกําแพงหรื อการเสริมเหล็กเพิม

ขันตอนที 4 การออกแบบคานเชือม (Coupling Beam) ในกําแพงคู่ควบ


ขนาดของคานเชือมจะต้ องออกแบบให้ มีกําลังและค่าสติฟเนสทีพอดี เนืองจากคานทีมี
ความแข็งแรงเกินไปจะทําให้ พฤติกรรมของกําแพงเป็ นกําแพงผสมแบบสมบูรณ์ ซึงทําให้ หน่วย
แรงดึงในตัวกําแพงมีคา่ สูงได้ และจะทําให้ กําลังรับแรงเฉือนและโมเมนต์ดดั ของกําแพงถูกลดค่า
ลงไป ในทางกลับกัน หากคานมีความอ่อนแอเกินไป จะทําให้ พฤติกรรมของกําแพงเป็ นกําแพง
อิสระ ซึงจะทําให้ โมเมนต์ดดั กระทํารวมทังค่าการโก่งตัวในแต่ละกําแพงมีคา่ สูงมาก ดังนันขนาด
ของคานเชือมทีเหมาะสม จะทําให้ เกิดพฤติกรรมเป็ นกําแพงคูค่ วบ โมเมนต์ในกําแพงจะกระจาย
ไปยังคานเชือม ซึงจะลดหน่วยแรงดึงในตัวกําแพงและโมเมนต์ดดั กระทํารวมทังค่าการโก่งตัวลง
ด้ วย ข้ อกําหนดการออกแบบของนิวซีแลนด์ (NZS 4203:1992) เสนอแนะค่าอัตราส่วนกําลังของ
คานเชือมต่อกําแพง ดังนี
1 Nl 2
d d (8.26)
3 M1  M 2  Nl 3
ซึงจะให้ คา่ ขนาดของคานเชือมทีทําให้ กําแพงคูค่ วบมีประสิทธิภาพทีดีในการถ่ายแรงกระทําต่อ
กําแพง
สําหรับการออกแบบเหล็กเสริมในคานเชือม ข้ อกําหนด UBC1997 และ IBC2000
เสนอแนะการออกแบบเหล็กเสริม ดังนี
ในกรณีที ln d t 4 ใช้ การออกแบบเหล็กเสริมในคานตามปกติ
โดยที ln คือ ความยาวสุทธิของคานเชือม
d คือ ความลึกประสิทธิผลของคานเชือม
ในกรณีที ln d  4 และ Vu ! 1.06 fccbwd จะต้ องออกแบบให้ มีเหล็กเสริมในแนวทะแยงตัดกันที
กลางคาน 2 ชุด โดยกําลังรับแรงเฉือนของเหล็กเสริมพิเศษนีคํานวณได้ จาก
Vn 2 Avd f y sin D d 2.65 fccbwd (8.27)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 285

1.5l d
h

0.2h l
1 Sh d 10 cm Section1-1

รูปที 8.20 รายละเอียดการเสริมเหล็กในคานเชือม

การออกแบบเหล็กเสริมแนวทะแยงแบบนีก็เพือป้องกันการวิบตั จิ ากแรงเฉือนเมือมีแรง
กระทําแบบวัฏจักร จากผลการทดสอบโดย Paulay และ Binney (1974) สําหรับคานเชือมทีมีคา่
อัตราส่วนความยาวต่อความลึกระหว่าง 1.0  1.5 พบว่าการจัดเหล็กเสริมแบบนีทําให้ คาน
สามารถรับแรงเฉือนได้ ดีภายใต้ แรงกระทําแบบวัฏจักร โดยมีพฤติกรรมการรับแรงและการโก่งตัว
(hysteretic behavior) ทีมันคงและมีคา่ ความเหนียวมากกว่าการเสริมเหล็กแบบปกติทวไป ั
นอกจากนีผลการทดสอบของ Barney และคณะ (1980) ยังพบว่าสําหรับคานเชือมทีมีคา่
อัตราส่วนความยาวต่อความลึกระหว่าง 2.5  5.0 การจัดเหล็กเสริ มแบบนีก็ให้ ผลการรับกําลังทีดี
แม้ วา่ ค่าอัตราส่วนนีจะค่อนข้ างสูง

ขันตอนที 5 การเสริมเหล็กในรายละเอียด

การเสริมเหล็กสําหรับโครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนโดยใช้ คอนกรี ตหล่อในทีมีรายละเอียด


ดังแสดงในรูปที 8.21-8.22 การเสริมเหล็กสําหรับเสาขอบ (boundary zone) แสดงในรูปที 8.23
สําหรับกรณีทีกําแพงมีการก่อสร้ างด้ วยแผ่นผนังคอนกรี ตสําเร็จรูป จะต้ องมีการต่อเหล็กเป็ น
พิเศษเพือให้ ผนังคอนกรี ตแต่ละแผ่นมีการยึดเป็ นแผ่นเดียวกันได้ ดังแสดงในรูปที 8.24
286 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 287
288 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 289
290 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 291

ตัวอย่ างที 8.1 อาคารคอนโดมิเนียมหลังหนึงสูง 20 ชัน โครงสร้ างเป็ นคอนกรี ตเสริมเหล็ก ระบบ
โครงสร้ างในรูปตัดทางขวางเป็ นกําแพงคูค่ วบ (Coupled Shear Wall) ดังแสดงในรูปข้ างล่างนี

6@6.0 m = 36.0m
1 2 3 4 5 6 7
D

8.0 m
ซม.
คานขนาด x ซม.
C

กําแพงหนา

2.5 m
B

เสาภายในขนาด x ซม.

8.0 m
A
คานขนาด x ซม. เสาภายนอกขนาด x ซม.

20 @ 3.6 m = 72.0 m

0.15 m

8.0 m 2.5 m 8.0 m

รูป8.25 โครงสร้ างกําแพงคู่ควบตัวอย่ าง


292 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

กําแพงคูค่ วบแต่ละส่วนวางห่างกัน 6.0 ม. โดยมีคานขนาด 0.30x0.40 ม. เชือมระหว่างกําแพง


แต่ละคู่ อาคารนีมีคา่ นําหนักบรรทุกคงที 500 กก./ตร.ม. ซึงรวมทังนําหนักพืน คาน เสาและผนัง
กําแพง นําหนักบรรทุกจร 200 กก./ตร.ม. อาคารนีตังอยู่ในเขตพืนทีภาคเหนือของประเทศไทย
ซึงเป็ นเขต Seismic Zone 2B และชันดินทีใต้ ฐานรากเป็ นดินแข็ง จงออกแบบโครงสร้ างกําแพงคู่
ควบของอาคารหลังนี โดยใช้ ข้อกําหนด UBC1985 ตามกฎกระทรวง 2550 คํานวณหา
ก) แรงเฉือนทีฐานอาคารและการกระจายแรงกระทําทางด้ านข้ าง
ข) หน่วยแรงในกําแพงทีฐานอาคาร
ค) แรงเฉือนและโมเมนต์ดดั สูงสุดในคานเชือม
ง) ค่าการโก่งตัวสูงสุดทีระดับชันบนสุดของอาคาร
จ) ออกแบบเหล็กเสริมในกําแพงและคานเชือม Ec 2.3 u105 ksc, fcc 250 ksc
วิธีการคํานวณ
ก) แรงเฉือนทีฐานอาคารและการกระจายแรงกระทําทางด้ านข้ าง
นําหนักอาคารแต่ละชัน Wi 500 u18.5 u 36 1,000 = 333 ตัน
นําหนักอาคารทังหมด W 333 u 20 = 6, 660 ตัน
V ZIKCSW
เมือ = 0.50
Z (Seismic Zone 2B)
I = 1.0 (ประเภทที 3 )
K = 1.33 (โครงสร้ างกําแพง)
S = 1.2 (ชันดินแข็ง)
คํานวณคาบการสันธรรมชาติของโครงสร้ าง จาก
0.09hn 0.09 72
T 1.51 วินาที
D 18.5
1 1
C 0.054
15 T 15 1.51
เนืองจาก KC 1.33 u 0.054 0.072  0.12 จึงใช้ KC 0.12
ดังนัน V 0.5 u1.0 u 0.12 u1.2W 0.072W
0.072 u 6,660 479.52 ตัน
Ft 0.07TV 0.07 u1.51u 479.52
50.69 ตัน ไม่เกิน 0.25V
เนืองจากกําแพงรับแรงเฉือนมีทงหมด
ั 7 คู่ ดังนันแต่ละคูจ่ งึ รับแรงเฉือน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 293

V 479.52 7 68.5 ตัน


แรงกระทําทียอดอาคาร Ft 50.69 7 7.24 ตัน
1
คํานวณการกระจายแรงกระทําทางด้ านข้ างจาก pH 68.5
2
2 u 68.5
p 1.90 ตัน/เมตร
72
b=2.5 m
P = 7.24 T

h = 3.6 m

Ic

I1,A1 I2,A2

H = 72.0 m
z
1.90
H

V = 68.5 T

รูป8.26 แรงเฉือนทีฐานและแรงกระทําทางด้ านข้ างต่ อโครงสร้ างกําแพงคู่ควบ

ข) หน่ วยแรงในกําแพงทีฐานอาคาร
คํานวณคุณสมบัตขิ องกําแพงคู่ควบ
0.15 u 8.03
I1 I2 6.4 m 4
12
I I1  I 2 6.4  6.4 12.8 m4
A1 A2 0.15 u 8.0 1.2 m2
A A1  A2 1.2  1.2 2.4 m2
คํานวณคุณสมบัตขิ องคานเชือม
0.3 u 0.43
Ib 1.6 u103 m4
12
E E E
G
2(1 Q ) 2(1  0.15) 2.3
294 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

r
12 EI b
O

12 E 1.6 u103 1.2 0.0707
b 2GA 2.52 E 2.3 0.3 u 0.4
Ib 1.6 u103
Ic 1.49 u 103 m4
1 r 1  0.0707
d 0.4
ความยาวคานประสิทธิผล be b 2.5  2.7 m
2 2
3
12 I cl 2 12 u (1.49 u10 )10.5 2
D2 3 3
2.17 u103
be hI 2.7 u 3.6 u12.8
D 0.0466
AI 2.4 u12.8
k 2 1 2
1 1.1935
A1 A2l 1.2 u1.2 u10.52
k 1.09
kD H 1.09 u 0.0466 u 72 3.657
คํานวณโมเมนต์ ในกําแพง
โมเมนต์กระทําทังหมดทีฐานอาคาร
1 §2 ·
M (1.85 u 72) ¨ u 72 ¸  7.14 u 72
2 ©3 ¹
3,196.8  514.08 3, 710.88 ตัน-เมตร
จากรูปที 8.11 โมเมนต์ในกําแพงทีฐานอาคาร (Z/H = 0)
สําหรับแรงกระทําทียอดอาคาร K1 30%, K2 70%
สําหรับแรงกระจายแบบสามเหลียม K1 40%, K2 60%
โมเมนต์ในกําแพงเนืองจากพฤติกรรมกําแพงอิสระ (Individual cantilever action)
I1 K1
M1 M2 M 3,196.8(0.5)(0.40)  514.08(0.5)(0.30) 716.5 ตัน-เมตร
I 100
โมเมนต์ในกําแพงเนืองจากพฤติกรรมกําแพงผสม (Composite cantilever action)
K2
Mc M (0.60 u 3,196.8)  (0.70 u 514.08) 2, 278 ตัน-เมตร
100
โมเมนต์ในคานเชือม Nl M  M1  M 2
3,711  716.5  716.5 2, 278 ตัน-เมตร
Nl 2, 278
ตรวจสอบอัตราส่วนการรับกําลังของคานเชือม 0.61
M1  M 2  Nl 3, 711
1 2
เนืองจาก d 0.61 d แสดงว่าขนาดของคานเชือมให้ ประสิทธิภาพการรับแรงทีดี
3 3
สําหรับพฤติกรรมแบบกําแพงคูค่ วบ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 295

โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงคูค่ วบ
A1 A2 2 1.2 u1.2
Ig I1  I 2  l 6.4  6.4  10.52 78.95 m 4
A 2.4
พิจารณาหน้ าตัดกําแพงคูค่ วบดังแสดงในรูปที8.27

A B c.g. C D
0.15 m
1.25 m 1.25 m
4.0 m 4.0 m 4.0 m 4.0 m
8.0 m 2.5 m 8.0 m
M1 = 716.5 T-m
M2 = 716.5 T-m
N = 216.95 T N = 216.95 T

M = 3,711 T-m

รูปที8.27 หน้ าตัดของกําแพงคู่ควบ

ในทีนีแรงแนวแกน N คํานวณจากแรงกระทําทางด้ านข้ างเท่านันไม่ได้ รวมน.น.บรรทุกคงทีและ


น.น.บรรทุกจร ดังนี
N 2, 278 10.5 216.95 ตัน
N M1c11 Mcc1
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด A fA   
A1 I1 Ig
216.95 u103 716.5 u103 u100 u 400 3, 711u103 u100 u 925
fA   
1.2 100 6.4 100 78.95 100
2 4 4

 106.34 กก./ซม.2 (แรงดึง)


N M 2c21 Mcc 2
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด D fD  
A2 I2 Ig
216.95 u103 716.5 u103 u100 u 400 3, 711u103 u100 u 925
fD  
1.2 100 6.4 100 78.95 100
2 4 4

106.34 กก./ซม.2 (แรงอัด)

ค) แรงเฉือนและโมเมนต์ ดัดสูงสุดในคานเชือม

คํานวณแรงเฉือนสูงสุดในคานเชือม
§ 1 H ·
จาก V ¨ P 2 F2(max.)  p 2 F2(max.) ¸ ˜ h
© k l k l ¹
296 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

จากรูปที 8.14 และ 8.16 สําหรับค่า kD H 3.657 จะได้ F2(max.) ทีระดับ z H = 0.45 ซึง
ตรงกับระดับชันที9 มีคา่ เท่ากับ 0.78 และ 0.27 สําหรับแรงกระทําทียอดอาคารและแรงกระทํารูป
สามเหลียม ตามลําดับ
แรงเฉือนสูงสุดในคานเชือม
§ 1 72 ·
Vb (max.) ¨ 7.24 2
0.78  1.90 2
0.27 ¸ u 3.6
© 1.09 u10.5 1.09 u 10.5 ¹
12.23 ตัน
โมเมนต์สงู สุดในคานเชือม
b 2.5
M b (max.) Vb (max.) 12.23 u 15.29 ตัน-เมตร
2 2

ง) ค่ าการโก่ งตัวสูงสุดทีระดับชันบนสุดของอาคาร
คํานวณจากแรงกระทําทียอดอาคารและแรงกระทํากระจายแบบรูปสามเหลียม
PH 3 11 pH 4
yH F3  F3
3EI 120 EI
7.24 u103 (7200)3 11 1.9 u103 (7200)4
yH 0.32  0.33
3(2.3 u105 )(78.95 u1004 ) 120 (2.3 u105 )(78.95 u1004 )(100)
1.00 ซม.

จ) ออกแบบเหล็กเสริมในกําแพงและคานเชือม
ขันตอนที 1 เหล็กเสริมในกําแพง
ตรวจสอบว่าจะต้ องเสริมเหล็กตะแกรงรับแรงเฉือน 2 ชันหรื อไม่ จาก
Vu ! 0.53 fcc Acv
คํานวณ Vu จากการรวมนําหนักบรรทุกสูงสุดในกรณี
Vu 0.75(1.4VD  1.7VL  1.87VE )
Vu 0.9VD  1.43VE
เนืองจากค่าแรงเฉือนในกําแพงจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรมีคา่ น้ อย จึงใช้ แรง
เฉือนจากแรงแผ่นดินไหวอย่างเดียว และใช้ การรวมนําหนักบรรทุกกรณีที 2 นันคือ
Vu 1.43VE 1.43 u 68,500 97,955 กก.

0.53 fcc Acv 0.53 250(15 u 800 u 2) 201,120 กก. > 97,955 กก.
ดังนัน อาจออกแบบเป็ นเหล็กเสริมชันเดียวได้
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 297

เนืองจาก Vu ! IVc 2 I 0.26 fcc Acv 0.6 u 0.26 250(15 u 800) u 2 59,198 กก.
ดังนัน ใช้ Uv(min.) U h(min.) 0.0025
Asv 0.0025 u15 u100 3.75 ซม.2
เนืองจากกําแพงหนา 15 ซม. จึงใช้ เหล็ก 2 ชัน เพือป้องกันการแตกร้ าวทีผิวกําแพงเนืองจากการ
ยืดหดตัวของคอนกรี ตใช้ ขนาด DB10@0.30m จํานวน 2 ชัน และ S 0.30m  0.45m ใช้ ได้

ตรวจสอบกําลังรับแรงเฉือนของกําแพง จาก
hw 360
0.45  2.0
lw 800

IVn I Acv D c fcc  U n f y

0.6 15 u 800 u 2 0.8 250  0.0025 u 4, 000
326,147 กก. < 2.1 250(15 u 800 u 2) 796,894 กก.
> Vu 97,955 กก.
แสดงว่า กําลังต้ านทานแรงเฉือนของกําแพงสามารถต้ านทานแรงเฉือนประลัยได้

ขันตอนที 2 ตรวจสอบและออกแบบเสาขอบกําแพง (Boundary element)


จากการคํานวณหน่วยแรงอัดในกําแพง fc 106.34 ! 0.2 fcc 0.2 u 250 50 กก./ซม.2
ดังนัน จะต้ องออกแบบเสาขอบกําแพง
ขนาดความกว้ างของเสาขอบ lw 16 800 16 50 ซม. ใช้ ความยาว 80 ซม. ดังนี
720 ซม.
80 ซม.
15 ซม.
50 ซม.

T C
รูปที8.28 หน้ าตัดของเสาขอบกําแพง
Wu M u
คํานวณแรงกระทําต่อเสาขอบกําแพง จาก C 
2 d
§ 18.5 ·
Wu ª¬1.4 500  1.7 200 º¼ ¨ 6.0 u ¸ u 20 1,154, 400 กก.
© 2 ¹
Mu 1.43M E 1.43 u 716,500 1,024,595 กก.-ม.
298 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

1,154, 400 1, 024,595


C  719,505 กก.
2 7.2
คํานวณกําลังรับนําหนักของเสาขอบกําแพง
Pn
¬
0.8 ª0.85 f cc Ag  Ast  Ast f y º
¼
ใช้ ปริมาณเหล็กเสริม U 0.03ดังนัน Ast 0.03 u 50 u 80 120 ซม.2
Pn 0.8 ª¬0.85 u 250 50 u 80  120  120 u 4, 000 º¼ 1, 043, 600 กก.
I Pn 0.7 u1,043,600 730,520 > Pu 719,505 ใช้ ได้
ดังนัน ใช้ เหล็กเสริมขนาด 20DB28
ออกแบบเหล็กปลอก โดยสมมุตวิ า่ ใช้ ขนาด DB12@0.10m
f cc § Ag · fc
จาก Ash t 0.09 shc หรื อ Ash t 0.3shc ¨  1¸ c
f yh © Ach ¹ f yh
เหล็กปลอกทางด้ านสัน
hc 80  2(4  1.2 2) 70.8 ซม. bc 50  2(4  1.2 2) 40.8 ซม.
250 2
Ash 0.09 u 10 u 70.8 3.98 ซม.
4, 000
§ 50 u 80 · 250
Ash 0.3 u10 u 70.8 ¨  1¸ 5.11 ซม.2 ใช้ 5 DB12 Ash 5.65 ซม.
© 40.8 u 70.8 ¹ 4, 000
เหล็กปลอกทางด้ านยาว
hc 50  2(4  1.2 2) 40.8 ซม. bc 80  2(4  1.2 2) 70.8 ซม.
250 2
Ash 0.09 u10 u 40.8 2.3 ซม.
4, 000
§ 50 u 80 · 250
Ash 0.3 u10 u 40.8 ¨  1¸ 2.94 ซม.2 ใช้ 3DB12 Ash 3.39 ซม.2
© 40.8 u 70.8 ¹ 4, 000
b 50
Smax. d 12.5 หรื อ 10 ซม.
4 4
Smax. d 6db 16.8 ซม.
35  20.4
Smax. d 10  15 ซม.
3
20DB28
17.7 ซม.

5DB12

3DB12 20.4 ซม.

รูปที8.29 การเสริมเหล็กของเสาขอบกําแพง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 299

ขันตอนที 3 การตรวจสอบกําลังรับแรงแนวแกนร่ วมกับแรงดัด


57, 720 u 20
นําหนักบรรทุกประลัย Pu 577, 200 กก.
2
โมเมนต์ดดั ประลัย Mu 716,500 u1.43 1,024,595 กก.-ม.
Mu 1, 024,595
ค่าการเยืองศูนย์ e 1.775 ม.
Pu 577, 200
ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริมในกําแพง
Ast 20 u 6.16 2  5.2 u 8 288 ซม.2
Ag 50 u 80 2  15 u 800  160 17, 600 ซม.2
Ast 288
Ut 0.016 , 0.01  Ut  0.06 ใช้ ได้
Ag 17, 600
ตรวจสอบจากกราฟ M  P Interaction Diagram
e 1.775
0.22
lw 800
Mu Mu 1, 024,595 u100
0.032
I bh f cc I Ag lw fcc
2 0.9 17, 600 800 250
Pu Pu 577, 200
0.187
I bhfcc I Ag fcc 0.7 17, 600 250
fy 4, 000
m 18.82
0.85 f cc 0.85 u 250
Ut m 0.016 u18.82 0.30
d 800  40 d
0.95 ใช้ กรณี 0.9 อ่านค่าจากกราฟ M  P Interaction Diagram
h 800 h
Mu Pu
0.145 ! 0.032 และ 0.67 ! 0.187 ใช้ ได้
I Ag lw fcc I Ag fcc
300 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน

ขันตอนที 4 ออกแบบคานเชือม (Coupling Beam)

ตรวจสอบความต้ องการเหล็กเสริมแนวทแยง
ln 250
7.14
d 35
1.06 fccbd 1.06 250 30 u 35 17,598 กก.
Vu 1.43Vb max. 1.43 u12, 230 17, 490 กก.
เนืองจาก ln d ! 4 และ Vu  1.06 fccbd ดังนัน ใช้ การออกแบบเหล็กเสริมในคานตามปกติ
M u 1.43M b max. 1.43 u15, 290 21,865 กก.-ม.
M R I Ru bd 2 0.9 u 66.07 u 0.30 u 352 21,852 กก.-ม.
คํานวณปริมาณเหล็กเสริมตามยาว
Mu 21,865 u100
As 21.50 ตร.ซม. ใช้ 5DB 25mm
I f y ju d 0.9 u 4, 000 u 0.807 u 35
ตรวจสอบแรงเฉือน
Vc 0.53 fccbd 0.53 250 30 u 35 8, 799 กก.
Vu 17, 490
Vs  Vc  8, 799 11, 777 กก.
I 0.85
ใช้ เหล็กปลอกขนาด DB12, As 2 u1.13 2.26 ตร.ซม.
Av f y d 2.26 u 4, 000 u 35
S 26.87 | 27 ซม.
Vs 11, 777
ตรวจสอบระยะห่างของเหล็กปลอกในช่วงข้ อหมุนพลาสติก
กําหนดการวางเหล็กปลอกในช่วง 2 เท่าของความลึกคาน (2h=0.80 ม.) จากผิวรอยต่อคาน
ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอก Smax ใช้ คา่ ตําสุดของค่าต่อไปนี
- ¼ ของความลึกประสิทธิผล, d/4 = 35/4 = 8.75 ซม.
- 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริมตามยาว, 8dbl = 8(2.5) = 20 ซม.
- 24 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก, 24dbh = 24(1.2) = 28.8 ซม.
- ไม่เกิน 30 ซม.
ดังนัน ใช้ เหล็กปลอก DB12@0.085 ม. วางในช่วงระยะ 0.80 ม. จากผิวรอยต่อคาน
และใช้ เหล็กปลอก DB12@0.175 ม. วางในช่วงจากปลายสุดของบริเวณข้ อหมุนพลาสติกไปยัง
กึงกลางคาน ซึงระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอกไม่เกิน d/2 = 35/2 =17.5 ซม.
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 301

šš¸É 9
„µ¦Á­¦·¤„ε¨´Š˜o µœšµœÂŸn œ—·œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦
9.1 šœÎµ
„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜o µœšµœÂŸnœ—·œÅ®ª…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ°µ‡µ¦°µ‹ÂnŠÁžÈ œ 2 ž¦³Á£šÄ®n ‡º°
„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´ŠÃ—¥¦ª¤…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ (Structural-level or Global Retrofit) ¨³„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š
ÁŒ¡µ³‹»—…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ (Local Retrofit)
„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´ŠÃ—¥¦ª¤…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ ŗo „n „µ¦Á­¦· ¤—o ª¥„ε¡Š¦´Â¦ŠÁŒº°œ „µ¦Á­¦· ¤
„ε¡Š„n°°·“ĜǦŠ°µ‡µ¦ „µ¦Á­¦· ¤‡Î ʵ¥´œÃ‡¦Š°µ‡µ¦ „µ¦Á­¦· ¤‡ªµ¤®œµÄœ„ε¡Š „µ¦Á­¦· ¤
‡ªµ¤®œnªŠÄœÃ‡¦Š­¦o µŠ (Damper) ¨³„µ¦Äo ¦³Â¥„“µœ (Base Isolation) Á¡ºÉ°¨—„µ¦
­´œÉ ­³Ášº°œ…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ
„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´ŠÁŒ¡µ³‹»—…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ ŗo „n „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š…°Š‡µœÂ¨³Á­µ—o ª¥Á®¨È„
Á­¦· ¤ (Jacketing) „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š—o ª¥ÂŸnœÁ­o œÄ¥Á­¦· ¤„ε¨´Š (Fiber Reinforced Polymer, FRP)
„µ¦Á¨º ° „čo ª· ›¸ „ µ¦Á­¦· ¤ „Î µ ¨´Š ˜n µ ŠÇÁ®¨n µ œ¸ Ê ‡ª¦¤¸ „ µ¦ª· Á ‡¦µ³®r ¡ §˜· „ ¦¦¤˜o µ œšµœ
Ÿnœ—·œÅ®ª…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ°µ‡µ¦„n°œ Ž¹ŠÉ °µ‹Äo ª·›¸Â¦Š­™·˜Áš¸¥ÁšnµŽ¹ŠÉ ÁžÈ œ„µ¦ª·Á‡¦µ³®r°¥nµŠŠnµ¥
®¦º °ª·›¸„µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦ÂÅ¤nÁ·ŠÁ­o œ (Nonlinear Static Analysis or Pushover Analysis) Á¡ºÉ°
˜¦ª‹—¼ªnµ ǦŠ­¦o µŠ°µ‡µ¦‹³¤¸„µ¦ª·˜´ ·Äœ¦¼ žÂÄ—o µŠ Ž¹ÉŠ‹³Å—o čo Áš‡œ·‡„µ¦Á­¦· ¤„Î µ¨´Šš¸É
Á®¤µ³­¤Å—o ¨³®¨´Š‹µ„Á­¦· ¤„ε¨´ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ°µ‡µ¦Â¨o ª ‡ª¦¤¸„µ¦ª·Á‡¦µ³®r¡§˜·„¦¦¤£µ¥®¨´Š
„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š Á¡ºÉ°˜¦ª‹­°‡ªµ¤ž¨°—£´¥°¸„‡¦´ŠÊ
­Îµ®¦´Äœšœ¸ Ê ‹³„¨nµªÁŒ¡µ³„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´ŠÃ—¥„µ¦Äo ǦŠ°µ‡µ¦‡Î ʵ¥´œžo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠ
Á—µ³ (Buckling Restrained Brace) Ž¹ÉŠÁžÈ œª·›¸„µ¦Á­¦· ¤„Î µ¨´ŠÃ—¥¦ª¤…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠš¸É ¤¸
ž¦³­·š›·£µ¡­¼Š ¨³œ·¥¤Äo „œ´ °¥nµŠÂ¡¦n®¨µ¥Äœ­®¦´“°Á¤¦· „µ

9.2 ǦŠ°µ‡µ¦‡ÎµÊ ¥´œžo °Š„´œ„µ¦Ã„n ŠÁ—µ³


(Buckling Restrained Brace Frame, BRBF)
302 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

ǦŠ‡Î ʵ¥´œÂœ¸ ʤ¸­nªœž¦³„°š¸É­Îµ‡´ 2 ­nªœ ‡º° „œÁ®¨È„ (Steel Core) ¨³ ž¨°„
®»o¤Â„œÁ®¨È„ (Steel Casing) „œÁ®¨È„‹³ÁžÈ œ· ʜ­nªœ®¨´„Äœ„µ¦¦´Â¦ŠÂœªÂ„œŽ¹ŠÉ ÁžÈ œÂ¦Š—¹Š
¨³Â¦Š°´— ×¥¤¸ „ µ¦°°„­nª œÂ„œÁ®¨È „ Ä®o ­ µ¤µ¦™˜o µ œšµœÂ¦Š°´— ŗo ‹ œ™¹ Š ‹»— ‡¦µ„
ÁnœÁ—¸¥ª„´œ„´„µ¦¦´Â¦Š—¹Š ÁœºÉ°Š‹µ„„µ¦Äo ž¨°„®»o¤Â„œÁ®¨È„š¸Éžo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³…°ŠÂ„œ
Á®¨È„ —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼žš¸É 9.1šÎµÄ®o ¡§˜·„¦¦¤„µ¦¦´Â¦ŠÂª´’‹´„¦ÁžÈ œÅžÂ­¤¼¦–r

¦¼ žš¸É 9.1 ¡§˜·„¦¦¤…°ŠÃ‡¦Š°µ‡µ¦‡ÎµÊ ¥´œžo °Š„´œ„µ¦Ã„n ŠÁ—µ³

¦¼ žÂ„µ¦‡Î ʵ¥´œÃ‡¦Š°µ‡µ¦°µ‹šÎµÅ—o ®¨µ¥Â —´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼ žš¸É 9.2 š´Šœ¸


Ê Ê…¹ ʜ°¥¼n„´
¨´„¬–³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠÂ¨³­™µž´ ˜¥„¦¦¤…°Š°µ‡µ¦ Ž¹ŠÉ „µ¦ªµŠ˜ÎµÂ®œnŠ…°ŠÃ‡¦ŠÁ­¦· ¤„ε¨´Šœ¸ ÊŤn
‡ª¦„¸—…ªµŠ„µ¦Äo ŠµœÂ¨³‡ª¦¡·‹µ¦–µ¦¼žÂšµŠ­™µž´ ˜¥„¦¦¤ž¦³„°„´œ

¦¼ žš¸É 9.2 ¦¼ žÂ…°ŠÃ‡¦Š°µ‡µ¦‡ÎµÊ ¥´œžo °Š„´œ„µ¦Ã„n ŠÁ—µ³


Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 303

¦µ¥¨³Á°¸¥—­nªœž¦³„°Â¨³®œo µ˜´—…°ŠÃ‡¦Š°µ‡µ¦‡Î ʵ¥´œžo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³œ¸ Ê­—Š


Ĝ¦¼žš¸É 9.3-9.4 —´Šœ¸ Ê

¦¼ žš¸É 9.3 ¦µ¥¨³Á°¸¥— BRB (Wada et.al.1998)

¦¼ žš¸É 9.4 ®œo µ˜´—…°Š BRB š¸É¤¸„µ¦¡´•œµ¤µÄo Ĝž¦³Áš«¸Éž»nœ

„) Á®¨È„„œ­n ªœ‡¦µ„ Á®¨È„„œ°µ‹Äo ®œo µ˜´—­¸ÉÁ®¨¸É¥¤ŸºœŸo µ®¦º °®œo µ˜´—°ºÉœ


—´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼ žš¸É 9.4 ÁœºÉ°Š‹µ„Á®¨È„„œ‹³˜o °Š¤¸„µ¦¦´Â¦ŠÁ„·œ„ªnµ‹»—‡¦µ„£µ¥Ä˜o ¦Š
„¦³šÎµÂª´’‹´„¦ —´Šœ´œ‹¹ Ê Š˜o °ŠÄo Á®¨È„š¸É¤¸‡ªµ¤Á®œ¸¥ª ŗo „n Á®¨È„Á„¦— A36 ®¦º °°µ‹
čo Á®¨È„„ε¨´Š­¼Š Ánœ Á®¨È„Á„¦— A572 Gr.50 ÁžÈ œ˜o œ
…) Á®¨È„„œ­n ªœÅ¤n ‡¦µ„£µ¥Äœž¨°„®»o¤ ÁžÈ œ­nªœš¸É…¥µ¥˜n°‹µ„Á®¨È„„œ­nªœ‡¦µ„
×¥„µ¦…¥µ¥®œo µ˜´—­nªœœ¸ ÊÄ®o Ä®n…¹ ʜÁ¡ºÉ°Ä®o ­µ¤µ¦™¦´„ε¨´ŠÄœnªŠ°·¨µ­˜·„Å—o ˜n¥Š´ ‡Š
°¥¼£n µ¥Äœž¨°„®»o¤žo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³
‡) Á®¨È „ „œ­n ª œÅ¤n ‡ ¦µ„£µ¥œ°„ž¨°„®»o ¤ ÁžÈ œ ­nª œž¨µ¥­»— …°ŠÂ„œÁ®¨È „ š¸É ° ¥¼n
£µ¥œ°„ž¨°„®»o¤ ­nªœœ¸¤Ê ¸„µ¦…¥µ¥®œo µ˜´—Ä®o ¤¸…œµ—Ä®n¨³‹´—Á˜¦¸ ¥¤„µ¦¥¹——o ª¥
304 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

­¨´„Á„¨¸¥ªÁ…o µ„´‹»—˜n°Ã‡¦Š­¦o µŠ°µ‡µ¦ Ž¹ÉŠ¦°¥˜n°œ¸ ʇª¦°°„Ä®o ˜·—˜´ŠÅ—o


Ê Šnµ¥Â¨³
‹³˜o °Šžo°Š„´œ„µ¦ª·˜´ · Ã„nŠÁ—µ³ÁŒ¡µ³š¸É¦· Áª–¦°¥˜n°œ¸ ʗo ª¥
Š) ­µ¦®¨n °¨ºÉœÂ¨³ª´­—»…¥µ¥˜´ªÅ—o ­nªœœ¸ ʚ宜o µš¸É¨—¦ŠÁ­¸¥—šµœ¦³®ªnµŠÂ„œÁ®¨È„
¨³ž¼œ¤°¦r ˜oµ¦r £µ¥Äœž¨°„®»o¤ ª´­—»š¸Éčo ŗo „n ¥µŠ ­µ¦Ã¡¨¸Á°š·¨¸œ ‹µ¦³¸Ž·¨·Ã‡œ ÁžÈ œ
˜o œ ÁœºÉ°Š‹µ„„œÁ®¨È„š¸É™¼„„¦³šÎµ—o ª¥Â¦Š„—°´—‹œÁ„·œ‹»—‡¦µ„ ¤´„‹³Á„·—„µ¦Ã„nŠÅ—o
Ê Š˜o °Š¤¸„µ¦ÁŸºÉ°n°ŠªnµŠ£µ¥Äœ¦³®ªnµŠÂ„œÁ®¨È„¨³ž¨°„®»o¤Á¡ºÉ°
o µŠÁ¨È„œo °¥ —´Šœ´œ‹¹
„µ¦…¥µ¥˜´ª…°ŠÂ„œÁ®¨È„ Á¡ºÉ°žo°Š„´œÅ¤nÄ®o „œÁ®¨È„ÅžÁ¸¥—ž¼œ¤°¦r ˜oµ¦r ‹œÁ„·—¦Š„—
°´—¦³®ªnµŠŸ·ª­´¤Ÿ´­š´Š­°Š­n
Ê ªœœ¸ Ê
‹) ¦³žo °Š„´œ„µ¦Ã„n ŠÁ—µ³ ­nªœœ¸ ʞ¦³„°—o ª¥ž¨°„Á®¨È„¨³ž¼œ¤°¦r ˜oµ¦r š¸É®¨n°®»o¤
„œÁ®¨È„Ä®o °¥¼£n µ¥Äœž¨°„Á®¨È„ ×¥¤¸„µ¦°°„Ä®o ¤¸®œo µ˜´—¤¸…œµ—Ä®nÁ¡¸¥Š¡°š¸É
šÎµÄ®o ‡µn ­˜·¢Áœ­…°Š¦³œ¸ ʤ¸‡µn „ε¨´Š¦´Â¦ŠÂœªÂ„œÅ—o ¤µ„„ªnµ 1.5 Ášnµ…°Š„ε¨´ŠÂ„œ
Á®¨È„

9.3 …´œÊ ˜°œ„µ¦°°„

œªšµŠ„µ¦ª·Á‡¦µ³®r¨³°°„œ¸ Êŗo œÎµª·›¸„µ¦…°Š Lopez (2004) ¤µž¦´ž¦» ŠÄ®o


Á®¤µ³­Îµ®¦´¤µ˜¦“µœ ¤¥Ÿ. 1301/1302-61
1. „ε®œ—¦¼ žÂ„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´ŠÃ‡¦Š°µ‡µ¦‡Î ʵ¥´œžo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³ (BRB)ŗo „n V-
brace Invert –V ÁžÈ œ˜o œ ¨³„ε®œ—…œµ—®œo µ˜´—Áº Ê°Š˜o œ…°ŠÁ®¨È„„œ
2. „ε®œ—‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Íš¸Éčo Ĝ„µ¦‡Îµœª–Ÿ¨˜°­œ°ŠÂ¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª
­Î µ ®¦´  ǦŠ˜o µ œÂ¦Š—´— š¸É Ä o à ‡¦Š°µ‡µ¦‡Î µÊ ¥´œ žo° Š„´œ „µ¦Ã„n Š Á—µ³ (Buckling-
Restrained Brace Frames for Moment resisting beam-column connections)
R  :o  Cd  ˜µ¤Á°„­µ¦ FEMA-450 (2003)
3. ª·Á‡¦µ³®rǦŠ­¦o µŠ°µ‡µ¦š¸ÉÁ­¦· ¤„ε¨´ŠÃ‡¦Š°µ‡µ¦‡Î ʵ¥´œžo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³ ×¥ª·›¸
¦Š­™·˜Áš¸¥Ášnµ®¦º °ª·›¸¡¨«µ­˜¦r (˜µ¤ÁŠºÉ°œÅ…¦¼ žš¦Š°µ‡µ¦) Á¡ºÉ°‡Îµœª–®µÂ¦Š
„¦³šÎµÄœÃ‡¦Š°µ‡µ¦¥¹—¦´ŠÊ Ŧo „µ¦Ã„nŠÁ—µ³
4. ˜¦ª‹­°‡n µ °´ ˜ ¦µ­n ª œ…°Š‡ªµ¤˜o °Š„µ¦„Î µ ¨´Š ¨³‡ªµ¤­µ¤µ¦™˜o µœšµœ
(Demand Capacity Ratio, DCR) …°ŠÁ®¨È„„œ ˜¨°—š´Š®¨´ Ê Š…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ ‹µ„
Pu Pu
DCR d  (9.1)
I Pn I Fysc Asc
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 305

Á¤ºÉ° Pu‡º° œÎ ʵ®œ´„¦¦š»„ž¦³¨´¥˜µ¤ÂœªÂ„œÁ®¨È„


Fysc ‡º° „ε¨´Š‡¦µ„…°ŠÁ®¨È„„œ
Asc ‡º° ¡º ʜš¸É®œo µ˜´—…°ŠÁ®¨È„„œ
I ‡º° ‡nµ„µ¦¨—„ε¨´ŠÁšnµ„´ 0.9
š´Šœ¸ Ê °œ (Weak Story)š¸ÉœÄ—´
Ê ÊÁ¡ºÉ°žo°Š„´œ¤·Ä®o ¤¸„µ¦ª·˜´ · ´œ°n ´ Ê œ®œ¹
Ê ŠÉ
5. ‡Îµœª–®µ…œµ—®œo µ˜´—…°Šž¨°„Á®¨È„®»o¤žo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³ ×¥š¸É „Î µ¨´Š…°Š
ž¨°„Á®¨È„®»o¤ Pe ‹³˜o °Š¤µ„„ªnµ 1.5 Ášnµ…°Š„ε¨´Š…°ŠÁ®¨È„„œ Py
Pe
t  (9.2)
Py
×¥š¸É Pe ‡º° „ε¨´Š¦´œÎ ʵ®œ´„…°ŠÁ®¨È„®»o¤Â°·¨µ­˜·„ ‡Îµœª–‹µ„
S  EI sc
Pe (9.3)
Lsc
I sc ‡º° äÁ¤œ˜r°·œÁœ°¦r Á¸¥…°ŠÁ®¨È„ž¨°„®»o¤
Lsc ‡º° ‡ªµ¤¥µªÄo Šµœ…°ŠÁ®¨È„ž¨°„®»o¤
6. ˜¦ª‹­°„ε¨´Š…°Š‡µœÂ¨³Á­µ ÁœºÉ°Š‹µ„Ÿ¨…°Š BRB šÎµÄ®o Á„·—¦Š°´—ĜœªÂ„œ
Á¡·É¤…¹ ʜ ×¥¡·‹µ¦–µ‹µ„„¦–¸„µ¦¦ª¤œÎ ʵ®œ´„¦¦š»„ (Load Combination case)
7. ‡Îµœª–‡nµ„µ¦¥º—˜´ª˜µ¤ÂœªÂ„œ…°Š BRB ÁœºÉ°Š‹µ„„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°Š´œ°µ‡µ¦ Ê
°·¨µ­˜·„ (Elastic Story Drift) 'bx ‹µ„
Pbx Lysc
'bx (9.4)
EAsc
×¥š¸É Pbx ‡º° ¦Š„¦³šÎµ˜µ¤ÂœªÂ„œ…°Š BRB
Lysc ‡º° ‡ªµ¤¥µªž¦³­·š›·Ÿ¨š¸ÉÁ„·—„µ¦‡¦µ„ (Yield Length) …°ŠÂ„œÁ®¨È„
ž¦³¤µ– 0.66 Ášnµ…°Š‡ªµ¤¥µªš´Š®¤—
Ê (Work-point Length)
E ‡º° 䗼¨­´ …°ŠÁ®¨È„„œ
8. ‡Îµœª–‡nµ„µ¦¥º—˜´ª˜µ¤ÂœªÂ„œ…°Š BRB ÁœºÉ°Š‹µ„„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°Š´œ°µ‡µ¦
Ê
˜µ¤‡nµÂ¦Šš¸É°°„ (Design Story Drift) 'bm ‹µ„
'bm Cd 'bx (9.5)
9. ‡Îµœª–‡nµ®œnª¥„µ¦¥º—˜´ªÁŒ¨¸É¥…°Š BRB, H BRC ‹µ„
'bm
H BRC (9.6)
Lysc
306 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

„) ‡ªµ¤¥µªž¦³­·š›·Ÿ¨š¸ÉÁ„·—„µ¦‡¦µ„ (Yield Length)

…) „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÃ‡¦Š°µ‡µ¦ BRBF

¦¼ žš¸É 9.5 ‡ªµ¤¥µªž¦³­·š›·Ÿ¨Â¨³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÃ‡¦Š°µ‡µ¦ BRBF


10.‡Îµœª–®µ‡nµ˜´ª‡¼–ž¦´„ε¨´Š Z  ZE ‹µ„„¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r¦³®ªnµŠ‡nµ˜´ª‡¼–ž¦´
„ε¨´ŠÂ¨³‡nµ®œnª¥„µ¦¥º—˜´ªÁŒ¨¸É¥…°Š BRB, H BRC

¦¼ žš¸É 9.6 „¦µ¢…°œ°„…°Š¡§˜·„¦¦¤„µ¦¦´ Â¦Š…°Š BRB


Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 307

11. ‡Îµœª–‡nµ„ε¨´Š…°Š BRB š¸Éž¦´‡nµ­Îµ®¦´Â¦Š—¹Š TPD[ ¨³Â¦Š°´— CPD[ ‹µ„


TPD[ Z Pysc (9.7„)
CPD[ ZE Pysc (9.7…)

12. ˜¦ª‹­°„ε¨´Š…°Š‡µœÂ¨³Á­µÁœºÉ°Š‹µ„Ÿ¨…°ŠÂ¦Š—¹ŠÂ¨³Â¦Š°´—…°Š BRB


¨³°°„¦°¥˜n°¦³®ªnµŠ BRB ¨³‡µœ

˜´ª°¥n µŠ 9.1 °µ‡µ¦Á¦¸ ¥œ®¨´Š®œ¹ÉŠ­¼Š 4 ´œÊ ¤¸ŸŠ´ °µ‡µ¦Â¨³¦¼ ž˜´——´ŠÂ­—ŠÄœ¦¼ žš¸É 9.6 ¨³ 9.7
°µ‡µ¦œ¸ ʘ´Š°¥¼
Ê nĜÁ…˜°.Á¤º°Š ‹.Á¸¥Š¦µ¥ ¨³´œ—·
Ê œš¸ÉĘo “µœ¦µ„ÁžÈ œ´œ—· Ê œž„˜· ǦŠ­¦o µŠ°µ‡µ¦
Ťnŗo ¤¸„µ¦°°„˜o µœšµœÂŸnœ—·œÅ®ª ¡º ʜ°µ‡µ¦Äo ¡º ʜ‡°œ„¦¸ ˜­ÎµÁ¦È ‹¦¼ ž Hollow Core Slab
‡·—ÁžÈ œœÎ ʵ®œ´„¦¦š»„‡Šš¸ÉšŠ®¤—
´Ê 500 „·Ã¨„¦´¤/˜¦.¤. Ž¹ŠÉ ¦ª¤š´ŠÊ œÎ ʵ®œ´„¡º ʜ ‡µœ Á­µÂ¨³Ÿœ´Š
„ε¡Š œÎ ʵ®œ´„¦¦š»„‹¦ 300 „·Ã¨„¦´¤/˜¦.¤. 䗼¨­´ ¥º—®¥»nœ‡°œ„¦¸ ˜ Ec =23,000 Á¤„µžµ­
„µ¨ Á­µ­Îµ®¦´š»„´œ¤¸Ê …œµ— 0.20x0.40 ¤. ‡µœ˜µ¤¥µª¤¸…œµ— 0.20x0.40 ¤. ‡µœ˜µ¤…ªµŠ¤¸
…œµ— 0.20x0.60 ¤.
‹Š˜¦ª‹­°‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r ¦³®ªnµŠ´œÂ¨³°°„Á­¦·
Ê ¤„ε¨´ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ—o ª¥
ǦŠ°µ‡µ¦‡Î ʵ¥´œžo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³ (BRB)
' 1

         (

7.2 ¤.

7.2 ¤.

&
'

8@3.6 ¤.= 28.8 ¤.


¦¼ žš¸É 9.7 Ÿ´Š°µ‡µ¦…°Š°µ‡µ¦Á¦¸ ¥œ
308 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

$ % &

3.5 ¤.

3.5 ¤.

3.5 ¤.

4.5 ¤.

7.2 ¤. 7.2 ¤.
¦¼ žš¸É 9.8 ¦¼ ž˜´—…°Š°µ‡µ¦Á¦¸ ¥œ
ª·›¸šµÎ
‡Îµœª–¦ŠÁŒº°œš¸É“µœ ˜µ¤¤µ˜¦“µœ ¤¥Ÿ.1301/1302-61
‹µ„‡nµ‡ªµ¤Á¦nŠ˜°­œ°Š Ss  g , S  g ¨³´œ—· Ê œž„˜·‹—´ ÁžÈ œž¦³Á£š D
‡nµ­´¤ž¦³­·š›·Íž¦´Â„o ÁœºÉ°Š‹µ„Ÿ¨…°Š´œ—·
Ê œ Fa  ¨³ Fv 
‡Îµœª–‡nµ‡ªµ¤Á¦nŠ˜°­œ°Š­Îµ®¦´„µ¦°°„ S DS ¨³ S D ‹µ„
 
S DS Fa S s  u  g
 
 
S D Fv S  u   g
 
‹µ„˜µ¦µŠ„ε®œ—ž¦³Á£š„µ¦°°„˜o µœÂ¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ªÁžÈ œž¦³Á£š Š.
‡ªµ¤­Îµ‡´…°Š°µ‡µ¦ž¦³Á£š III ‡nµ I 
­Îµ®¦´ ǦŠ˜o µœÂ¦Š—´—š¸Éčo ǦŠ°µ‡µ¦‡Î ʵ¥´œžo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³
„ε®œ—‡nµ R  :o  Cd 
‡Îµœª–®µ‡nµ‡µ„µ¦­´œÉ ˜µ¤›¦¦¤µ˜·…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ
T H  u  ª·œµš¸
‡Îµœª–®µœÎ ʵ®œ´„…°Š°µ‡µ¦
W  u   u    u    „·Ã¨„¦´¤
 ˜´œ
‡Îµœª–®µ‡nµ­´¤ž¦³­·š›·ÍŸ¨˜°­œ°ŠÂ¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª Cs
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 309

Sa S DS
Cs
R  I R  I
S DS I  u 
Cs  g
R 
S D 
Cs  g   g ¨³ Cs ! g
§R· §  ·
T¨ ¸  ¨ ¸
©I¹ ©  ¹

‡Îµœª–®µÂ¦ŠÁŒº°œš¸É“µœ°µ‡µ¦ÁœºÉ°Š‹µ„¦ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ‹µ„
V CsW  u   ˜´œ
„¦³‹µ¥Â¦ŠÁŒº°œš¸É“µœÁžÈ œÂ¦Š„¦³šÎµ—o µœ…o µŠÄœÂ˜n¨³´œ°µ‡µ¦
Ê ‹µ„
wx hx
Fx CvxV n
V ÁœºÉ°Š‹µ„‡nµ T œo °¥„ªnµ 0.5 ª·œµš¸ k 
¦ wi hi
i 
‡Îµœª–¦Š„¦³šÎµšµŠ—o µœ…o µŠÂ¨³Â¦ŠÁŒº°œ —´ŠÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 9.1 ¨³Â­—Š„µ¦„¦³‹µ¥…°Š
¦Š„¦³šÎµšµŠ—o µœ…o µŠ°µ‡µ¦Äœ¦¼žš¸É 9.7
˜µ¦µŠš¸É 9.1 ¦Š„¦³šÎµšµŠ—o µœ…o µŠÂ¨³Â¦ŠÁŒº°œÄœÂ˜n ¨³´œÊ
¦³—´´œÊ Wx hx Wxhx Fx Vx
(˜´œ) (¤.) (˜´œ-¤.) (˜´œ) (˜´œ)
4 207.36 15.0 3,110.4 31.27 31.27
3 207.36 11.5 2,384.6 23.97 55.24
2 207.36 8.0 1,658.9 16.68 71.91
1 207.36 4.5 933.1 9.38 81.29
6 = 8,087
310 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

¦¼ žš¸É 9.9 „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ‹µ„¦ŠÂŸn œ—·œÅ®ª˜µ¤Â„œ x


‡Îµœª–®µ¦³¥³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÂ˜n¨³´œÊ (Story Drift) ‹µ„
Vx
G xe =
kx
‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉšµŠ—o µœ…o µŠ‹µ„“µœ°µ‡µ¦š¸É˜n¨³´œÊ (Lateral displacement) Á¤ºÉ°¡·‹µ¦–µ˜´ª
‡¼–…¥µ¥‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É—oµœ…o µŠ ‡Îµœª–‹µ„Ÿ¨¦ª¤…°Š¦³¥³„µ¦Á‡¨º°É œš¸ÉĜ˜n¨³´œÊ —´Šœ¸ Ê
n
Cd G xe
Gx = ¦
x  I
‡Îµœª–‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r¦³®ªnµŠ´œÊ (Inter-story drift) ‹µ„
'x = G x  G x

„µ¦‡Îµœª–‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ªšµŠ—o µœ…o µŠÁ®¨nµœ¸ Ê Â­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 9.2

˜µ¦µŠš¸É 9.2 ‡n µ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉĜ˜n ¨³´œÊ ­Îµ®¦´ Â¦Š„¦³šÎµÄœš·«šµŠ˜³ª´œ°°„-˜³ª´œ˜„ (E-W)


¦³—´´œÊ ¦ŠÁŒº°œ ­˜·¢Áœ­ k x „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°Š „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r
Vx (˜´œ/¤.) ˜n¨³´œÊ ‹µ„“µœ ¦³®ªnµŠ´œÊ
(˜´œ) G xe (¤.) G x (¤.) ' x (¤.)
4 31.27 1,100 0.028 1.044 0.112
3 55.24 1,100 0.050 0.932 0.20
2 71.91 1,100 0.065 0.732 0.260
1 81.29 689 0.118 0.472 0.472
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 311

­Îµ®¦´Ã‡¦Š­¦o µŠš´ªÉ Ş š¸É‡ªµ¤­Îµ‡´…°Š°µ‡µ¦ž¦³Á£š III


‡nµ¦³¥³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›rš¸É¥°¤Ä®o ' a = 0.015h = 0.015(4.50) = 0.0675 ¤.
‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›ršŠ´ Ê 4 ´œ¤µ„„ªn
Ê µ‡nµš¸É¥°¤Ä®o ' x ! ' a —´Šœ´œ‹³˜o
Ê °Š°°„Á­¦· ¤„ε¨´Š
…´œÊ ˜°œÁ­¦·¤„ε¨´ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ—o ª¥ Buckling Restrained Brace (BRB)
×¥„µ¦Äo Á®¨È„Á„¦— A36 Fy = 2,520 ksc
…œµ— BRB1 = 5X7 Ž¤., BRB2 = 5X5 Ž¤. BRB3 = 4X5 Ž¤., BRB4 = 3X5 Ž¤.
ªµŠÂÂœªš³Â¥ŠÄœnªŠÂ„œ 1-2 ¨³ 8-9 š´Š­°Š—o Ê µœ…°Š°µ‡µ¦

%5
%

%
%5
%

%5
%5

%
%

%5
%5

%
%

%5
%5

%

¦¼ žš¸É 9.10 „µ¦Á­¦·¤„ε¨´ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ—o ª¥ BRBĜ„œ x

‡Îµœª–‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÃ‡¦Š°µ‡µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š

¦¼ žš¸É 9.11 „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ‹µ„¦ŠÂŸn œ—·œÅ®ª˜µ¤Â„œ x


312 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

˜µ¦µŠš¸É 9.3 ‡n µ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉĜ˜n ¨³´œÊ ­Îµ®¦´ Ã‡¦Š­¦o µŠ BRB š·«˜³ª´œ°°„-˜³ª´œ˜„ (E-W)


¦³—´´œÊ ¦ŠÁŒº°œ ­˜·¢Áœ­ k x „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É…°Š „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r
Vx (˜´œ/¤.) ˜n¨³´œÊ ‹µ„“µœ ¦³®ªnµŠ´œÊ
(˜´œ) G xe (¤.) G x (¤.) ' x (¤.)
4 31.27 3,474 0.009 0.168 0.036
3 55.24 5,022 0.011 0.132 0.044
2 71.91 7,191 0.010 0.088 0.040
1 81.29 6,774 0.012 0.048 0.048
‹µ„˜µ¦µŠš¸É 9.3 ‡nµ¦³¥³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r Ĝ˜n¨³´œÅ¤n
Ê Á„·œ‡nµš¸É„ε®œ—Ūo ' x  ' a ' a
= 0.0675 ¤.
‡Îµœª–‡nµÂ¦ŠÄœÂœªÂ„œ…°Š BRB ×¥„µ¦ª·Á‡¦µ³®r®µÂ¦Š£µ¥Äœ…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ°µ‡µ¦ ‹µ„„µ¦
¦ª¤œÎ ʵ®œ´„¦¦š»„„¦–¸¡·‹µ¦–µÂ¦Š„¦³šÎµšµŠ—o µœ…o µŠ (Combined Load cases) ×¥¡·‹µ¦–µ
čo ‡µn ­¼Š­»—…°Š„µ¦¦ª¤Â¦Š‹µ„„¦–¸˜°n Şœ¸ Ê
U1 = 0.75(1.4D+1.7L)+0.3EQX+1.0EQY
U2 = 0.75(1.4D+1.7L)+1.0EQX+0.3EQY
U3 = 0.9D+0.3EQX+1.0EQY
U4 = 0.9D+1.0EQX+0.3EQY

¦¼ žš¸É 9.12 ¦ŠÄœÂœªÂ„œ…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠÁ­¦·¤„ε¨´Š—o ª¥ BRB


Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 313

˜¦ª‹­°‡nµ°´˜¦µ­nªœ…°Š‡ªµ¤˜o °Š„µ¦„ε¨´ŠÂ¨³‡ªµ¤­µ¤µ¦™˜o µœšµœ (Demand Capacity


Ratio, DCR) …°ŠÁ®¨È„„œ
Ê µŠ¦³®ªnµŠ „œ 8-9 Pu = 69.67 ˜´œ
‡nµÂ¦ŠÂœªÂ„œ­¼Š­»— °¥¼šn ¸É BRB1 ´œ¨n
Pu Pu  u 
DCR   
I Pn I Fysc Asc  u  u  u 

˜µ¦µŠš¸É 9.4 ‡n µ°´˜¦µ­n ªœ…°Š‡ªµ¤˜o °Š„µ¦„ε¨´ŠÂ¨³‡ªµ¤­µ¤µ¦™˜o µœšµœ


(Demand Capacity Ratio, DCR) …°ŠÁ®¨È„„œ
BRB
Asc cm  Pu Ton I Pn Ton DCR
BRB1 (5X7 cm) 35 69.67 79.38 0.88
BRB2 (5X5 cm) 25 47.37 56.70 0.84
BRB3 (4X5 cm) 20 34.68 45.36 0.76
BRB4 (3X5 cm) 15 16.72 34.02 0.49
Pe
‡Îµœª–®µ…œµ—®œo µ˜´—…°ŠÁ®¨È„®»o¤žo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³ ‹µ„ t 
Py
S  EI sc
Á¤ºÉ° Pe ¨³ Py Fy Asc
Lsc
­Îµ®¦´ BRB1 Py Fy Asc  u  u  u  ˜´œ
Pe  Py  u   ˜´œ

I sc
Pe Lsc    Ž¤.4
S E 
S 
u 

4
Á¨º°„Á®¨È„®»o¤Â„¨n°Š…œµ— 10x20 Ž¤. I sc = 2,258 Ž¤.

˜µ¦µŠš¸É 9.5 „µ¦‡Îµœª–®µ…œµ—…°ŠÁ®¨È„®»o¤žo °Š„´œ„µ¦Ã„n ŠÁ—µ³


BRB Py Ton Pe Ton
I sc cm  Steel Core Tube
Size (cm)
I sc cm

BRB1 (5X7 cm) 88.2 132.3 1,930 10x20 2,258


BRB2 (5X5 cm) 63.0 94.5 1,379 10x20 2,258
BRB3 (4X5 cm) 50.4 75.6 1,103 10x20 2,258
BRB4 (3X5 cm) 37.8 56.7 827 10x20 2,258
314 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

7XEH[PP

3/[PP

0RUWDU

FP

8QERQGLQJDJHQW

FP

6HFWLRQ$$ %5%

$
Á®¨È„„œ­nªœ‡¦µ„
Á®¨È„„œ­nªœÅ¤n‡¦µ„ £µ¥Äœž¨°„®»o¤

Á®¨È„„œ­nªœÅ¤n‡¦µ„ £µ¥œ°„ž¨°„®»o¤

¦¼ž˜µ¤¥µª…°Š BRB 1
¦¼ žš¸É 9.13 ¦µ¥¨³Á°¸¥—ǦŠ­¦o µŠÁ­¦·¤„ε¨´Š—o ª¥ BRB
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 315

˜´ª°¥n µŠ 9.2 °µ‡µ¦Á¦¸ ¥œ®¨´Š®œ¹ÉŠ ¤¸„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´ŠÃ—¥Äo Áš‡œ·‡Ã‡¦Š°µ‡µ¦‡Î ʵ¥´œžo°Š„´œ„µ¦


ÄnŠÁ—µ³ (Buckling Restrained Brace, BRB) °µ‡µ¦œ¸ ʄn°­¦o µŠ˜µ¤Â¤µ˜¦“µœ
„¦³š¦ªŠ«¹„¬µ›·„µ¦ ‡ªµ¤­¼Š 3 ´œÊ ¤¸ 18 ®o °ŠÁ¦¸ ¥œ Ÿ´Š°µ‡µ¦Â¨³¦¼ ž˜´— ­—ŠÄœ¦¼ žš¸É 9.14 ¨³
9.15 °µ‡µ¦œ¸ ʘ´Š°¥¼
Ê Än œÁ…˜ °.¤n¨µª ‹.Á¸¥Š¦µ¥ ¨³´œ—·
Ê œš¸ÉĘo “µœ¦µ„ÁžÈ œ´œ—·
Ê œž„˜· ǦŠ­¦o µŠ
°µ‡µ¦Á—·¤Å¤nŗo ¤¸„µ¦°°„˜o µœšµœÂŸnœ—·œÅ®ª
„) ‹Šž¦³Á¤·œ„ε¨´Š˜o µœšµœÂŸnœ—·œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦Á—·¤
…) ‹Š˜¦ª‹­°„ε¨´Š˜o µœšµœÂŸnœ—·œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦š¸ÉÁ­¦· ¤„Î µ¨´ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ—o ª¥Ã‡¦Š
°µ‡µ¦‡Î ʵ¥´œžo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³ (BRB) œ¸ Ê
BRB čo Á®¨È„Á„¦— A36 Fy = 2,520 ksc ×¥¤¸…œµ—®œo µ˜´— 14 ˜µ¦µŠÁŽÈœ˜·Á¤˜¦

¦¼ žš¸É 9.14 ˜ÎµÂ®œn Š…°ŠÁ­µÄœŸ´Š°µ‡µ¦

„) „µ¦Á­¦·¤ BRB ˜µ¤¥µª…°Š°µ‡µ¦ …) „µ¦Á­¦·¤BRB ˜µ¤…ªµŠ…°Š°µ‡µ¦

¦¼ žš¸É 9.15 ˜ÎµÂ®œn Š…°Š„µ¦Á­¦·¤„ε¨´ŠÃ—¥Ã‡¦Š‡ÎµÊ ¥´œžo °Š„´œ„µ¦Ã„n ŠÁ—µ³

˜´ª°¥nµŠœ¸ ʜ夵‹µ„Ÿ¨Šµœª·‹¥´ Á¦ºÉ °Š „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š°µ‡µ¦Á¦¸ ¥œ‡°œ„¦¸ ˜Á­¦· ¤Á®¨È„—o ª¥°Š‡r


°µ‡µ¦¥¹—¦´ŠÊ Ŧo „µ¦Ã„nŠÁ—µ³…°ŠÅ¡¼¨¥r ž´ µ‡³Ãž ¨³£¼¦·¡Š¬r ¡¨¡·¤¨¡´•œr (2557) Ž¹ŠÉ ŗo ¦´
š»œ­œ´­œ»œ„µ¦ª·‹¥´ ‹µ„­Îµœ´„Šµœ„°Šš»œ­œ´­œ»œ„µ¦ª·‹¥´ (­„ª.) ǦŠ„µ¦¨—£´¥¡·˜´ ‹· µ„
Ÿnœ—·œÅ®ªÄœž¦³Áš«Åš¥ (¦³¥³š¸É 3)
316 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

„) „µ¦ž¦³Á¤·œ„ε¨´Š˜o µœšµœÂŸn œ—·œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦Á—·¤

…´œ˜°œœ¸
Ê Ê Á¦·É ¤‹µ„„µ¦šÎµÂ‹Îµ¨°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠÃ—¥Ãž¦Â„¦¤ PERFORM-3D ­Îµ®¦´
¡§˜·„¦¦¤„µ¦¦´Â¦Š…°Š‡µœÂ¨³Á­µ¦· Áª–…o °®¤»œ¡¨µ­˜·„čo ‹Îµ¨°Š®œo µ˜´—Å¢Á°¦r ¨³
ª·Á‡¦µ³®r¡§˜·„¦¦¤˜o µœšµœÂŸnœ—·œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦—o ª¥ª·›¸ „µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦ (Pushover Analysis)
¨³„µ¦ª·Á‡¦µ³®r˜µ¤ž¦³ª´˜·Áª¨µÂÅ¤nÁ·ŠÁ­o œ—o ª¥‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª (Nonlinear Time History
Analysis)

‹Îµ¨°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ¦¼ž˜´—Å¢Á°¦r (Fiber Section)


­nªœž¦³„°œ¸ Êčo Ĝ„µ¦‹Îµ¨°Š¡§˜·„¦¦¤°·œ°·¨µ­˜·„ ®¨´„„µ¦­Îµ‡´…°Š­nªœž¦³„°
­nªœœ¸ ʇº°„µ¦ÂnŠ®œo µ˜´—°Š‡r°µ‡µ¦‡°œ„¦¸ ˜Á­¦· ¤Á®¨È„š¸É¦· Áª–ž¨µ¥°Š‡r°µ‡µ¦°°„ÁžÈ œ­nªœÇ
(Å¢Á°¦r ) ˜µ¤š¸É­—ŠÄœ¦¼ žš¸É 9.16 („) ×¥¦¼ ž˜´—Å¢Á°¦r ‹³‹ÎµÂœ„Å—o ÁžÈ œ ś ž¦³Á£š‡º° ř)
‡°œ„¦¸ ˜®»o¤Á®¨È„ Ś) „œ‡°œ„¦¸ ˜ ¨³ ś) Á®¨È„Á­¦· ¤
‹µ„‡ªµ¤­´¤¡´œ›r Force-Deformation …°Š‡°œ„¦¸ ˜Â¨³Á®¨È„Á­¦· ¤­Îµ®¦´¦¼ ž˜´—Å¢Á°¦r
œÎ µ¤µÄo ª´—­¤¦¦™œ³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ 3 ¦³—´ ˜µ¤š¸É ­—ŠÄœ¦¼ žš¸É 9.16 (…) ŗo „n ¦³—´Á…o µÄo
°µ‡µ¦Å—o šœ´ š¸ (Immediate Occupancy, IO), ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (Life Safety, LS),
¨³¦³—´žo°Š„´œ„µ¦¡´Šš¨µ¥Ã—¥­· ʜÁ·Š (Collapse Prevention, CP) Ž¹ŠÉ ˜¦Š„´„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É –
‹»—‡¦µ„ ‹»—ž¦³¨´¥ ¨³‹»—¡´Šš¨µ¥…°Šª´­—» ˜µ¤¨Îµ—´

(„) (…)
¦¼ žš¸É 9.16
(„) ¡§˜·„¦¦¤…°Šª´­—»Äœ­n ªœž¦³„°¥n °¥…°Š®œo µ˜´—Å¢Á°¦r (Fiber Section)
(…) „µ¦ª´—­¤¦¦™œ³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ‡ªµ¤­´¤¡´œ›r Force-Deformation …°Š‡°œ„¦¸ ˜Â¨³Á®¨È„Á­¦·¤
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 317

Ÿ¨„µ¦ª·Á‡¦µ³®r „µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦Á—·¤„n °œÁ­¦·¤„ε¨´ŠÃ—¥ª·›¸ Pushover Analysis

…´œ˜°œ„µ¦ª·
Ê Á‡¦µ³®r„µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦Â­™·˜Å¤nÁ·ŠÁ­o œÃ—¥ª·›¸ Pushover Analysis
„) ‡Îµœª–®µ‡nµ¦³¥³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É Ážoµ®¤µ¥ (Target Displacement) ×¥ª·›¸
Displacement Coefficient Method (ASCE/SEI 41-06, FEMA 356-2000) ­Îµ®¦´
˜n¨³Ã®¤—
…) šÎµ„µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦ÅžÄœÂ˜n¨³Ã®¤— Ş¥´Š‡nµ¦³¥³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉÁžoµ®¤µ¥
‡) ˜¦ª‹­°‡nµ Demand-Capacity Ratio (DCR) …°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠÂ˜n¨³· ʜ ­Îµ®¦´„µ¦
Ÿ¨´„Ĝ˜n¨³Ã®¤— ×¥ª´—­¤¦¦™œ³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ 3 ¦³—´ ŗo „n ¦³—´Á…o µÄo °µ‡µ¦
ŗo šœ´ š¸ (IO), ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (LS), ¨³¦³—´žo°Š„´œ„µ¦¡´Šš¨µ¥Ã—¥
­· ʜÁ·Š (CP)
˜µ¦µŠš¸É 9.6 Ÿ¨„µ¦‡Îµœª–‡n µ¦³¥³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉÁžo µ®¤µ¥„n °œÁ­¦· ¤„ε¨´Š ­Îµ®¦´ ÂŸn œ—·œÅ®ª¦³—´
‡ªµ¤¦» œÂ¦Š¤µ„¡ºœÊ š¸É‹´Š®ª´—¡¦n

Mode š·«šµŠ„µ¦
Te Sa Gt height Drift 1.5x Drift 2x Drift
Shape Ÿ¨´„°µ‡µ¦
1 H2 ˜µ¤…ªµŠ 1.039 0.3265 0.1263 11.20 0.0113 0.0169 0.0226
2 H1 ˜µ¤¥µª 1.023 0.3316 0.1243 11.20 0.0111 0.0166 0.0222

Á¡ºÉ°ÁžÈ œ„µ¦Â­—Š­¤¦¦™œ³…°ŠÁ­µ Ĝ˜ÎµÂ®œnŠ˜nµŠÇ…°Š°µ‡µ¦ ‹¹ŠÂ­—Š ˜ÎµÂ®œnŠ…°ŠÁ­µÄœ


Ÿ´Š°µ‡µ¦Äœ¦¼žš¸É 9.14 ‹µ„„µ¦ª·Á‡¦µ³®r„µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦­Îµ®¦´ÂŸnœ—·œÅ®ª¦³—´‡ªµ¤¦» œÂ¦Š¤µ„
(‹. ¡¦n ) ­—Š„¦µ¢‡ªµ¤­´¤¡´œ›r ¦³®ªnµŠÂ¦ŠÁŒº °œš¸É“µœÂ¨³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r …°Š°µ‡µ¦
­Îµ®¦´Ã®¤—š¸É Ś Ÿ¨´„Äœš·«šµŠ˜µ¤¥µª
318 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

¦¼ žš¸É 9.17 „µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦Ã®¤—š¸É Ś (ŚŘŘ% Target Drift) „n °œÁ­¦·¤„ε¨´Š


­Îµ®¦´ ÂŸn œ—·œÅ®ª‡ªµ¤¦» œÂ¦Š¤µ„ (‹. ¡¦n )

‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥ÁŒ¡µ³š¸É‹µ„Ÿ¨„µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦Ã®¤—š¸É Ś (ŚŘŘ% Target Drift) ­Îµ®¦´


Ÿnœ—·œÅ®ª‡ªµ¤¦»œÂ¦Š¤µ„ (‹. ¡¦n) —´Š¦¼žš¸É 9.17 ¡ªnµ
„) Á¤ºÉ°„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r Ášnµ„´ 0.0039 (®¦º ° 0.39%) Á®¨È„Á­¦· ¤…°ŠÁ­µ C2 ¤¸„µ¦
¥º—˜´ª™¹Š‹»—‡¦µ„ Ž¹ÉŠ‹»—œ¸ ÊÁžÈ œ…¸—¦³—´ž¨°—£´¥ ‹´—ÁžÈ œ¦³—´Á…o µÄo °µ‡µ¦Å—o šœ´ š¸ (Immediate
Occupancy, IO)
…) Á¤ºÉ°„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›rÁšnµ„´ 0.01 (®¦º ° 1.0%) ¡ªnµ Á®¨È„Á­¦· ¤…°ŠÁ­µ CŚ Ĝ´œÊ
Ê É­°Š ¤¸„µ¦¥º—˜´ªÁ„·œ‹»—‡¦µ„™¹Š¦³—´‡ªµ¤Â…ÈŠÁ‡¦¸ ¥— (strain hardening) Ž¹ŠÉ ÁžÈ œ
š¸É¨µn Š ™¹Š´œš¸
…¸—¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥…°Š¸ª·˜ (Life Safety, LS)
‡) Á¤ºÉ°„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r Ášnµ„´ 0.016 (®¦º ° 1.6%) ¡ªnµ Á®¨È„Á­¦· ¤…°ŠÁ­µ C1’Ĝ
´œš¸ Ê É­°Š ¤¸„µ¦¥º—˜´ªÁ„·œ‹»—‡¦µ„™¹Š¦³—´‡ªµ¤Â…ÈŠÁ‡¦¸ ¥— (strain hardening) Ž¹ŠÉ
Ê É¨µn Š ™¹Š´œš¸
ÁžÈ œ…¸—¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥…°Š¸ª·˜ (Life Safety, LS)
Š) ®¨´Š‹µ„œ´œÊ ‡nµ„ε¨´Š…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ˜„¨Š¤µ°¥nµŠ´—Á‹œ Á¤ºÉ°„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r Á…o µ
Ą¨o 0.02 (®¦º ° 2.0%) ­—ŠªnµÃ‡¦Š­¦o µŠÁ­µ°µ‡µ¦Å¤n­µ¤µ¦™¦´„ε¨´ŠÅ—o °¸„˜n°Åž

Ÿ¨„µ¦ª·Á‡¦µ³®r‡nµ Demand-Capacity Ratio (DCR) …°ŠÁ­µ°µ‡µ¦ ­—Š­¤¦¦™œ³


…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (LS) Ĝ¦¼ žš¸É 9.18 ¡ªnµ – ˜ÎµÂ®œnŠ‡nµ Inter story
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 319

Drift Ratio 2 % ‡nµ DCR …°ŠÁ­µ¤¸‡µn Ášnµ„´ 1.15 ¨³ 1.82 ­Îµ®¦´Á­µ C-ř’ ¨³Á­µ CŚ Ĝ´œÊ
Ê É­°Š ˜µ¤¨Îµ—´ ‡nµ DCR š¸ÉÁ„·œ 1 œ¸ Ê ®¤µ¥‡ªµ¤ªnµ ǦŠ­¦o µŠÁ­µ…°Š°µ‡µ¦Å¤n
š¸É¨nµŠ ™¹Š´œš¸
­µ¤µ¦™¦´„ε¨´ŠÄœ¦³—´œ¸ Êŗo °¸„˜n°Åž

Demand-Capacity Ratio

C2 F1-F2 LS

C1’ F1-F2 LS

Inter Story Drift


¦¼ žš¸É 9.18 ‡n µ Demand-Capacity Ratio (DCR) ­Îµ®¦´ „µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦
­—Š­¤¦¦™œ³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n °¸ª·˜ (LS)

…) „µ¦Á­¦·¤„ε¨´ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ°µ‡µ¦Á¦¸ ¥œ

Ÿ¨„µ¦ª·Á‡¦µ³®r …oµŠ˜o œ ­—Šªnµ Á­µ°µ‡µ¦ Cc ¨³ C  ´œÊ ¨nµŠÂ¨³´œÊ š¸É­°Š š¸É°¥¼nĜ
œªÂ„œ 1, 2, 14, 15 Ž¹ŠÉ °¥¼n ¦· Áª–ž¨µ¥…°˜µ¤‡ªµ¤¥µª…°Š°µ‡µ¦š´Š­°Š—o
Ê µœ¤¸‡µn ÁŒ¨¸É¥…°Š
Demand-Capacity Ratio …°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ °¥¼nĜ¦³—´š¸ÉÁ„·œ„ªnµ‡nµ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜
(Life Safety, LS) ­Îµ®¦´ÂŸnœ—·œÅ®ª¦³—´‡ªµ¤¦»œÂ¦Š¤µ„ (‹. ¡¦n)
œªšµŠ„µ¦Á­¦· ¤„Î µ¨´Š˜o µœšµœÂŸnœ—·œÅ®ª­Îµ®¦´ °µ‡µ¦Ã¦ŠÁ¦¸ ¥œœ¸ Ê ‹¹ŠÄo ǦŠ‡Î ʵ¥´œ
žo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³ (Buckling Restrained Brace, BRB) Á­¦· ¤ÄœÂœªÂ„œ A, D š¸ÉnªŠ¦³®ªnµŠ
„œ 1, 2 ¨³nªŠ¦³®ªnµŠÂ„œ 14, 15 Ĝ´œ¨n
Ê µŠ —´ŠÂ­—ŠÄœ˜´—˜µ¤¥µª…°Š°µ‡µ¦ Ž¹ŠÉ ¦· Áª–
320 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

nªŠš¸ÉÁ­¦· ¤„ε¨´Šœ¸ Ê ÁžÈ œŸœ´Š„n°°·“ Ťnž·—„´œ…ªµŠšµŠÁ—·


Ê œÂ¨³Å¤n„¸—…ªµŠ¡º ʜš¸Éčo ­°¥Ä— „µ¦Á­¦· ¤
BRB Ĝ¦· Áª–œ¸ Ê ÁœºÉ°Š‹µ„ Á­µ°µ‡µ¦ Cc ¨³ C  š¸É°¥¼nĜœªÂ„œ 1, 2, 14, 15 Ž¹ŠÉ °¥¼n¦· Áª–
ž¨µ¥…°˜µ¤‡ªµ¤¥µª…°Š°µ‡µ¦š´Š­°Š—o
Ê µœ¤¸‡nµÁŒ¨¸É¥…°Š Demand-Capacity Ratio …°Š
ǦŠ­¦o µŠ °¥¼Än œ¦³—´š¸ÉÁ„·œ„ªnµ‡nµ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (Life Safety, LS)

Ÿ¨„µ¦ª·Á‡¦µ³®r ǦŠ­¦o µŠ®¨´ŠÁ­¦·¤„ε¨´ŠÃ—¥Ã‡¦Š‡ÎµÊ ¥´œžo °Š„´œ„µ¦Ã„n ŠÁ—µ³


ª·›¸ Pushover Analysis
‹µ„„µ¦ª·Á‡¦µ³®r„µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦­Îµ®¦´ÂŸnœ—·œÅ®ª¦³—´‡ªµ¤¦»œÂ¦Š¤µ„ (‹. ¡¦n) ×¥Ÿ¨´„
°µ‡µ¦ÅžÁšnµ„´‡nµ¦³¥³„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸ÉÁžoµ®¤µ¥ —´ŠÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 9.7
˜µ¦µŠš¸É 9.7 Ÿ¨„µ¦‡Îµœª–‡n µ¦³¥³„µ¦Á‡¨ºÉ °œš¸ÉÁ žo µ®¤µ¥ ®¨´ ŠÁ­¦· ¤„ε¨´ Š—o ª¥ BRB ­Îµ®¦´ 
Ÿn œ—·œÅ®ª¦³—´‡ªµ¤¦» œÂ¦Š¤µ„¡ºœÊ š¸É‹´Š®ª´—¡¦n

Mode š·«šµŠ„µ¦
Te Sa Gt height Drift 1.5x Drift 2x Drift
Shape Ÿ¨´„°µ‡µ¦
1 H2 1.008 0.3365 0.1251 11.20 0.0112 0.0168 0.0223
˜µ¤…ªµŠ
2 H1 ˜µ¤¥µª 0.9316 0.3641 0.1156 11.20 0.0103 0.0155 0.0206

Ÿ¨„µ¦ª· Á ‡¦µ³®r  ­—ŠÁžÈ œ „¦µ¢‡ªµ¤­´¤ ¡´œ ›r ¦ ³®ªn µ ŠÂ¦ŠÁŒº ° œš¸É “ µœÂ¨³„µ¦Á‡¨ºÉ ° œš¸É
­´¤¡´š›r…°Š°µ‡µ¦ ­Îµ®¦´Ã®¤—š¸É Ś Ÿ¨´„Äœš·«šµŠ˜µ¤¥µª —´Š¦¼žš¸É 9.19
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 321

¦¼ žš¸É 9.19 „µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦Ã®¤—š¸É Ś (ŚŘŘ% Target Drift) ®¨´ŠÁ­¦·¤„ε¨´Š—o ª¥ BRB


­Îµ®¦´ ÂŸn œ—·œÅ®ª‡ªµ¤¦» œÂ¦Š¤µ„ (‹. ¡¦n )

‡ªµ¤Á­¸¥®µ¥ÁŒ¡µ³š¸É‹µ„Ÿ¨„µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦Ã®¤—š¸É Ś (ŚŘŘ% Target Drift) ­Îµ®¦´


Ÿnœ—·œÅ®ª‡ªµ¤¦»œÂ¦Š¤µ„ (‹. ¡¦n) —´Š¦¼žš¸É 9.19 ¡ªnµ
„) Á¤ºÉ°„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r œo°¥„ªnµ 0.01 (®¦º ° 1.0%) Á­µ°µ‡µ¦š´Š®¤—
Ê C1, C1’, C2
˜´ŠÊ ˜n´œÊ ˜°¤n ° ™¹ Š ´œÊ š¸É 3 ¤¸ „ µ¦¥º — ˜´ª ™¹ Š ‹»— ‡¦µ„ Ž¹ÉŠ ‹»— œ¸ ÁÊ žÈ œ …¸ — ¦³—´ ž¨°—£´¥
‹´—ÁžÈ œ¦³—´Á…o µÄo °µ‡µ¦Å—o šœ´ š¸ (Immediate Occupancy, IO)
…) Á¤ºÉ°„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r Ášnµ„´ 0.02 (®¦º ° 2.0%) Á®¨È„Á­¦· ¤ÄœÁ­µš»„˜o œ¤¸„µ¦¥º—
˜´ª¥´ŠÅ¤n™¹Š‹»—¦³—´‡ªµ¤Â…ÈŠÁ‡¦¸ ¥— (strain hardening) Ž¹ÉŠÁžÈ œ…¸—¦³—´‡ªµ¤
ž¨°—£´¥…°Š¸ª·˜ (Life Safety, LS) —´Šœ´œÊ ǦŠ­¦o µŠÁ­µ…°Š°µ‡µ¦ ¤¸‡ªµ¤
ž¨°—£´¥­Îµ®¦´°¥¼nĜnªŠÅ¤nÁ„·œ ­¤¦¦™œ³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°
¸ª·˜ (LS)

Ÿ¨„µ¦ª·Á‡¦µ³®r‡µn Demand-Capacity Ratio (DCR) …°ŠÁ­µ°µ‡µ¦®¨´Š‹µ„Á­¦· ¤„ε¨´Š


—o ª¥ BRB ­—Š­¤¦¦™œ³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (LS) Ĝ¦¼ žš¸É 9.20 ¡ªnµ
– ˜ÎµÂ®œnŠ‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r Ášnµ„´ 2 % ‡nµ Demand-Capacity Ratio (DCR) …°ŠÁ­µ
°µ‡µ¦ C2,Ĝ´œš¸ Ê É­µ¤ ¤¸‡µn ­¼Š­»—Ášnµ„´ Ř.ŠŚŝ Ž¹ŠÉ ¤¸‡µn œo °¥„ªnµ ř.Ř —´Šœ´œÃ‡¦Š­¦o
Ê É­°Š ™¹Š´œš¸ Ê µŠ
322 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

Á­µ…°Š°µ‡µ¦ ¤¸‡ªµ¤ž¨°—£´¥­Îµ®¦´  ­¤¦¦™œ³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ ª·˜


(LS)

Demand-Capacity Ratio

C2 FŚ-F3 LS

C2 F1-F2 LS

Inter Story Drift

¦¼ žš¸É 9.20 ‡n µ Demand-Capacity Ratio (DCR) ­Îµ®¦´ „µ¦Ÿ¨´„°µ‡µ¦Äœš·«šµŠ˜µ¤¥µª


®¨´ŠÁ­¦·¤„ε¨´Š—o ª¥ BRB ª´—¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n °¸ª˜· (LS)
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 323

ª·›¸ª·Á‡¦µ³®r ˜µ¤ž¦³ª´˜Á· ª¨µÂÅ¤n Á·ŠÁ­o œ (Nonlinear Time History Analysis)

…´œ˜°œ„µ¦ª·
Ê Á‡¦µ³®r˜µ¤ž¦³ª´˜·Áª¨µÂÅ¤nÁ·ŠÁ­o œ—o ª¥‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª ª·Á‡¦µ³®r×¥ čo
‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª ‹Îµœªœ 7 »—Ž¹ŠÉ ÁžÈ œ˜´ªÂšœ…°Š¡º ʜš¸É‹Š´ ®ª´—¡¦n —´ŠÂ­—ŠÄœ˜µ¦µŠš¸É 9.8 šÎµ„µ¦
ž¦´Áš¸¥—o ª¥ Scale Factor Á¡ºÉ°Ä®o ‡nµÁŒ¨¸É¥ Response Spectrum Áš¸¥Ášnµ„´„¦µ¢„µ¦
°°„ Design Spectrum ­Îµ®¦´¡º ʜš¸É‹Š´ ®ª´—¡¦n (¦¼ žš¸É 9.21) ¨³ª·Á‡¦µ³®rǦŠ­¦o µŠ —o ª¥
ަ„¦¤ PERFORM-śD
˜µ¦µŠš¸É 9.8 ‡¨ºÉœÂŸn œ—·œÅ®ª­Îµ®¦´ „µ¦ª·Á‡¦µ³®r …°Š¡ºœÊ š¸É‹´Š®ª´—¡¦n
CMS (0.75s)-Summary of Properties of Rotated & Scaled Horizontal Records
Event NGA# Year Mag Mechanism Rrup (km) Vs30 (m/s) Scale Factor
Mammoth Lakes-01 231 1980 6.06 Normal-Oblique 15.5 345.4 1.693
Irpinia- Italy-01 290 1980 6.9 Normal 29.8 350 3.6533
Mammoth Lakes-01 230 1980 6.06 Normal-Oblique 6.6 338.5 1.0701
Imperial Valley-06 175 1979 6.53 Strike-Slip 17.9 196.9 3.2108
Kobe- Japan 1107 1995 6.9 Strike-Slip 22.5 312 1.6124
Superstition Hills-02 721 1987 6.54 Strike-Slip 18.2 192.1 1.5761
Morgan Hill 458 1984 6.19 Strike-Slip 11.5 221.8 1.696

Design spectrum
1.0
‡ªµ¤Á¦n Š˜°­œ°ŠÁ·Š­Áž„˜¦´¤ Sa (g)

0.9 °ÎµÁ£°ª´Š·Êœ ‹´Š®ª´—¡¦n


0.8
0.7
0.6
0.5
0.4
0.3
0.2
0.1
0.0
0.0
0.1
0.2
0.3
0.4
0.5
0.6
0.7
0.8
0.9
1.0
1.1
1.2
1.3
1.4
1.5
1.6
1.7
1.8
1.9
2.0
2.1
2.2
2.3
2.4
2.5
2.6
2.7
2.8
2.9
3.0

‡µ„µ¦­´É œ›¦¦¤µ˜·…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ (sec)



¦¼ žš¸É 9.21 ‡n µ‡ªµ¤Á¦n Š˜°­œ°ŠÁ·Š­Áž„˜¦´ ¤­Îµ®¦´ „µ¦°°„
324 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

‹µ„„µ¦˜¦ª‹­°¡§˜·„¦¦¤…°Š„µ¦¦´Â¦ŠÂœªÂ„œ…°Š BRB ¡ªnµÂ„œ…°Š BRB ­µ¤µ¦™


˜°­œ°ŠÄœnªŠÁ„·œ‹»—‡¦µ„Å—o —¸ ¤¸„µ¦—¼—Ž´¡¨´ŠŠµœÅ—o ¤µ„£µ¥Ä˜o ¦Š„¦³šÎµÂª´’‹´„¦ —´Š
­—Š˜µ¤¦¼ žš¸É 9.22 Ž¹ÉŠÁžÈ œŸ¨„µ¦ª·Á‡¦µ³®rǦŠ­¦o µŠ—o ª¥Ãž¦Â„¦¤ Perform 3D —o ª¥‡¨ºÉœ
Ÿnœ—·œÅ®ª

Axial Force (kg)

Axial Deformation (m)

¦¼ žš¸É 9.22 „µ¦¦´ Â¦ŠÂª´’‹´„¦…°Š BRB ‹µ„ª·Á‡¦µ³®r ǦŠ­¦o µŠ—o ª¥‡¨ºÉœÂŸn œ—·œÅ®ª

‹µ„„µ¦ª·Á‡¦µ³®rǦŠ­¦o µŠ—o ª¥ª·›¸ž¦³ª´˜·Áª¨µÂÅ¤nÁ·ŠÁ­o œÃ—¥‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ªš´ŠÊ ş »—


­—Š‡nµ„µ¦Á‡¨ºÉ°œ˜´ª­´¤¡´š›r ¦³®ªnµŠ´œÊ Ĝ¦¼ žš¸É 9.23 ¡ªnµ‡nµÁŒ¨¸É¥„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r
¦³®ªnµŠ´œ°µ‡µ¦­Î
Ê µ®¦´š·«šµŠ˜µ¤¥µª „n°œÁ­¦· ¤„ε¨´Š¤¸‡nµÁ„·œ‡nµš¸É¥°¤Ä®o ˜µ¤¤µ˜¦“µœ„µ¦
°°„°µ‡µ¦˜o µœšµœ„µ¦­´œÉ ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ‡º° 2% ®¨´ŠÁ­¦· ¤„ε¨´Š¤¸‡nµÁŒ¨¸É¥„µ¦
Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r Ášnµ„´ 1.2% ¦· Áª–´œ¨n
Ê µŠ…°Š°µ‡µ¦ ¨³ 0.8% ¦· Áª–´œœ­» Ê —…°Š°µ‡µ¦
Ž¹ŠÉ ˜Îɵ„ªnµ‡nµš¸É¥°¤Ä®o ˜µ¤¤µ˜¦“µœ„µ¦°°„°µ‡µ¦˜o µœšµœ„µ¦­´œÉ ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 325

(„) „n °œÁ­¦·¤„ε¨´Š

(…) ®¨´ŠÁ­¦·¤„ε¨´Š—o ª¥ BRB


¦¼ žš¸É 9.23 „µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­´¤¡´š›r ¦³®ªn µŠ´œÊ °µ‡µ¦
„) „n °œÁ­¦·¤„ε¨´Š …) ®¨´ŠÁ­¦·¤„ε¨´Š—o ª¥ BRB

Ÿ¨„µ¦ª·Á‡¦µ³®r‡µn Demand-Capacity Ratio …°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠÁ—·¤„n°œÁ­¦· ¤„ε¨´Š ­Îµ®¦´


‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª¦³—´‡ªµ¤¦» œÂ¦Š¤µ„ (‹. ¡¦n ) ­—Š‡nµ­Îµ®¦´­¤¦¦™œ³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ¦³—´
‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (LS) Ĝ¦¼ žš¸É 9.24„ Ĝš·«šµŠ H1 ˜µ¤¥µª ‡nµ DCR …°ŠÁ­µ¤¸‡µn ­¼Š­»—
ÁŒ¨¸É¥ 1.16-1.56 ¨³Äœ¦¼ žš¸É 9.24… š·«šµŠ H2 ˜µ¤…ªµŠ ‡nµ­¼Š­»—ÁŒ¨¸É¥ 1.27-1.41 ‹µ„‡nµ
DCR Á„·œ„ªnµ 1.0 ­—Šªnµ ǦŠ­¦o µŠÁ—·¤Å¤nž¨°—£´¥ Ĝ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (LS)
326 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

(„) °µ‡µ¦Á—·¤„n °œÁ­¦·¤„ε¨´ŠÄœš·«šµŠ˜µ¤¥µª

(…) °µ‡µ¦Á—·¤„n °œÁ­¦·¤„ε¨´ŠÄœš·«šµŠ˜µ¤…ªµŠ


¦¼ žš¸É 9.24 ‡n µ Demand-Capacity Ratio (DCR) ­Îµ®¦´ °µ‡µ¦Á—·¤„n °œÁ­¦·¤„ε¨´Š
ª·›¸ž¦³ª´˜Á· ª¨µÂÅ¤n Á·ŠÁ­o œ („) š·«šµŠ˜µ¤¥µª (…) š·«šµŠ˜µ¤…ªµŠ

‹µ„Ÿ¨„µ¦ª·Á‡¦µ³®r‡nµ Demand-Capacity Ratio …°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ ®¨´Š‹µ„Á­¦· ¤„ε¨´Š


—o ª¥ BRB ­Îµ®¦´‡¨ºÉœÂŸnœ—·œÅ®ª¦³—´‡ªµ¤¦»œÂ¦Š¤µ„ (‹. ¡¦n ) ­—Š‡nµ­Îµ®¦´­¤¦¦™œ³…°Š
ǦŠ­¦o µŠ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (LS) Ĝ¦¼žš¸É 9.25 Ĝš·«šµŠ˜µ¤¥µª…°Š°µ‡µ¦ ‡nµ DCR
…°ŠÁ­µ¤¸‡µn ­¼Š­»— Ř.96 š¸ÉÁ­µ CŚ Á­µ¦· ¤°µ‡µ¦ ¨³Äœš·«šµŠ˜µ¤…ªµŠ…°Š°µ‡µ¦ ‡nµ DCR …°Š
Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦ 327

Á­µ¤¸‡µn ­¼Š­»— Ř.65 š¸ÉÁ­µ C1’ Á­µ Line 2-D ¨³ Line 14-D ‡nµ DCR …°ŠÁ­µš´Š®¤—
Ê ¤¸‡µn œo °¥
„ªnµ ř.Ř Â­—ŠÄ®o Á®Èœªnµ ǦŠ­¦o µŠ¤¸­¤¦¦™œ³°¥¼Än œnªŠÅ¤nÁ„·œ¦³—´‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (LS)

(„) ®¨´ŠÁ­¦· ¤„ε¨´Š—o ª¥ BRB Ĝš·«šµŠ˜µ¤¥µª

(…) ®¨´ŠÁ­¦·¤„ε¨´Š—o ª¥ BRB Ĝš·«šµŠ˜µ¤…ªµŠ


¦¼ žš¸É 9.25 ‡n µ Demand-Capacity Ratio(DCR) ®¨´ŠÁ­¦·¤„ε¨´Š—o ª¥ BRB
ª·›¸ž¦³ª´˜Á· ª¨µÂÅ¤n Á·ŠÁ­o œ („) š·«šµŠ˜µ¤¥µª (…) š·«šµŠ˜µ¤…ªµŠ
328 Å¡¼¨¥r ž´µ‡³Ãž šš¸ É 9 „µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š˜oµœšµœÂŸnœ—· œÅ®ª…°Š°µ‡µ¦

Ÿ¨„µ¦ž¦³Á¤·œ­¤¦¦™œ³Ã‡¦Š­¦o µŠ°µ‡µ¦„n°œÁ­¦· ¤„ε¨´ŠÂ¨³®¨´ŠÁ­¦· ¤„ε¨´Š—o ª¥Ã‡¦Š‡Î ʵ


¥´œžo°Š„´œ„µ¦Ã„nŠÁ—µ³ ­¦»žÅ—o —Š´ œ¸ Ê

­¤¦¦™œ³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠÁ—·¤„n °œ„µ¦Á­¦·¤„ε¨´Š


Ÿ¨„µ¦ª·Á‡¦µ³®r°µ‡µ¦Á—·¤ „n°œ„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š Á­µÃ‡¦Š­¦o µŠÅ¤n­µ¤µ¦™¦´„ε¨´ŠÄœ¦³—´
­¤¦¦™œ³‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (LS Level) ŗo ÁœºÉ°Š‹µ„
„)‡nµÁŒ¨¸É¥„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r ¦³®ªnµŠ´œ°µ‡µ¦­Î
Ê µ®¦´š·«šµŠ˜µ¤¥µª ¤¸‡nµÁ„·œ‡nµš¸É¥°¤
Ä®o ˜µ¤¤µ˜¦“µœ„µ¦°°„°µ‡µ¦˜o µœšµœ„µ¦­´œÉ ­³Ášº°œ…°ŠÂŸnœ—·œÅ®ª ‡º° 2%
…) ‡nµ Demand-Capacity Ratio …°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ Ž¹ŠÉ ª´—‹µ„®œnª¥„µ¦¥º—˜´ª…°ŠÁ®¨È„Á­¦· ¤¤¸
‡nµÁ„·œ„ªnµ‡nµš¸É¥°¤Ä®o ‡Îµœª–Äœš·«šµŠš´Š˜µ¤¥µªÂ¨³˜µ¤…ªµŠ
Ê …°Š°µ‡µ¦

­¤¦¦™œ³…°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ®¨´Š„µ¦Á­¦·¤„ε¨´Š—o ª¥Ã‡¦Š‡ÎµÊ ¥´œžo °Š„´œ„µ¦Ã„n ŠÁ—µ³


(Buckling Restrained Brace, BRB)
Ÿ¨„µ¦ª·Á‡¦µ³®r°µ‡µ¦®¨´Š‹µ„¤¸„µ¦Á­¦· ¤„ε¨´Š Á­µÃ‡¦Š­¦o µŠ­µ¤µ¦™¦´„ε¨´ŠÄœ¦³—´
­¤¦¦™œ³‡ªµ¤ž¨°—£´¥˜n°¸ª·˜ (LS Level) ŗo ×¥ª´—‹µ„
„)®µ„¡·‹µ¦–µÄœ¦³—´´œ°µ‡µ¦
Ê ‡nµÁŒ¨¸É¥„µ¦Á‡¨ºÉ°œš¸É­¤´ ¡´š›r ¦³®ªnµŠ´œ°µ‡µ¦­Î
Ê µ®¦´
š·«šµŠ˜µ¤¥µª ¤¸‡µn ­¼Š­»—Ášnµ„´ 1.5% ¦· Áª–´œ¨n
Ê µŠ…°Š°µ‡µ¦ Ž¹ŠÉ ŤnÁ„·œ‡nµš¸É¥°¤Ä®o
˜µ¤¤µ˜¦“µœ„µ¦°°„°µ‡µ¦˜o µ œšµœ„µ¦­´Éœ ­³Ášº °œ…°ŠÂŸnœ —·œ Å®ª ‡º ° 2%
—´Šœ´œÊ Á­µ°µ‡µ¦‹³Å¤nÁ„·—„µ¦ª·˜´ · ´œ°n
Ê °œ
…) ®µ„¡·‹µ¦–µÄœ¦³—´°Š‡r°µ‡µ¦ ‡nµ Demand-Capacity Ratio …°ŠÃ‡¦Š­¦o µŠ Ž¹ŠÉ ª´—‹µ„
®œnª¥„µ¦¥º—˜´ª…°ŠÁ®¨È„Á­¦· ¤ÄœÁ­µ°µ‡µ¦ ¤¸‡nµ­¼Š­»— 0.96 ¨³ 0.65 Ĝš·«šµŠ
˜µ¤¥µªÂ¨³Äœš·«šµŠ˜µ¤…ªµŠ ˜µ¤¨Îµ—´ Ž¹ŠÉ ŤnÁ„·œ„ªnµ‡nµš¸É¥°¤Ä®o ‡º° 1.0 ‹¹ŠÅ¤nÁ„·—
„µ¦ª·˜´ Á· Œ¡µ³š¸É ĜÁ­µ°µ‡µ¦
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 329

บทที 10
การออกแบบฐานราก
10.1 บทนํา

จากหลักการออกแบบโครงสร้ างอาคาร ทีได้ กล่าวแล้ วในบทเรื องการออกแบบโดยวิธีแรง


สถิ ตเทียบเท่า แรงแผ่นดินไหวที ใช้ ในการออกแบบโครงสร้ างจะมีการลดทอนจากแรงสําหรั บ
พฤติกรรมยืดหยุน่ ด้ วยค่าตัวประกอบการดูดซับพลังงานหรื อค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (R
Factor) เป็ นแรงทีใช้ ออกแบบโครงสร้ างสําหรับพฤติกรรมไม่ยืดหยุ่น (Inelastic behavior) โดย
การกําหนดให้ โครงสร้ างส่วนบน ทีอยู่เหนือพืนดินขึนไป มีพฤติกรรมแบบเหนียว (Ductile Super-
Structure) ยอมให้ มีข้อหมุนพลาสติกเกิดขึนได้ ทีปลายคานบริ เวณรอยต่อคาน-เสา และบริ เวณ
โคนเสาชันล่า งสุด เพื อดูดซับพลังงานจากการเคลือนที แบบพฤติกรรมไม่ยื ดหยุ่น ภายใต้ แรง
แผ่นดินไหว เมือแรงกระทําจากโครงสร้ างนี ถ่ายลงมาสู่ฐานรากซึ งประกอบด้ วยนําหนักบรรทุก
แนวแกน แรงเฉือน และโมเมนต์ดดั ลงสูฐ่ านราก ดังแสดงในรูปที 10.1 ดังนัน ฐานรากอาคารจึง
ต้ องสามารถต้ านทานแรงกระทําและดูดซับพลังงานทีถ่ายมา ในลักษณะเช่นเดียวกับโครงสร้ าง
ส่วนบน

V1 V2 V3 V4

P1 P2 P3 P4
รู ปที 10.1 แรงกระทําและการกระจายตัวของข้ อหมุนพลาสติกในโครงสร้ างภายใต้ แรงแผ่ นดินไหว
330 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

10.2 การรับแรงกระทําของฐานราก

พิจารณาจากรู ปที 10.1 นําหนักบรรทุกในแนวแกน (Axial Load, P) เป็ นแรงกดอัด


P3 , P4 ทีกระทําต่อฐานรากจะเพิมมากขึนกว่านําหนักบรรทุกปกติ (gravity load) เนืองจากผล
ของโมเมนต์พลิกควํา (Overturning Moment) กระทําต่อฐานรากด้ านขอบปลายสุดของอาคาร
ในขณะเดียวกัน จะเกิดแรงถอน P1, P2 ในขอบอาคารด้ านตรงกันข้ าม ซึงแรงกระทําเหล่านี จะ
นํามารวมกับนําหนักบรรทุกปกติ เป็ นนําหนักบรรทุกรวมโดยอาจเป็ นแรงกดหรื อแรงถอน เพือใช้
ในการออกแบบต่อไป ในการออกแบบฐานรากอาคาร พิจารณาการออกแบบได้ เป็ น 2 ประเภท
คือ ฐานรากทีมีพฤติกรรมแบบยืดหยุ่น (Elastic Foundation) และฐานรากทีมีพฤติกรรมแบบไม่
ยืดหยุน่ (Inelastic Foundation)
ก) ฐานรากทีมีพฤติกรรมแบบยืดหยุน่ (Elastic Foundation)
การกํ าหนดโครงสร้ างส่วนล่างที อยู่ตํากว่าพืนดินซึงเป็ นฐานราก ให้ มีพฤติกรรมแบบ
ยืดหยุ่น เพือทีการออกแบบคอนกรี ตเสริ มเหล็กสําหรับฐานรากจะเป็ นการออกแบบตามปกติโดย
ไม่ต้องมีการเสริ มเหล็กพิเศษให้ ฐานรากมีความเหนียว การกําหนดพฤติกรรมแบบนี เนืองจาก
ฐานรากเป็ นส่วนทีอยู่ใ ต้ พืนดิน ซึงไม่ควรเกิดการครากของเหล็กเสริ มหรื อเกิดการแตกร้ าวทีผิว
คอนกรี ตจากพฤติ กรรมแบบไม่ยืดหยุ่น ผลที ตามมาจากความเสียหายเหล่านี จะไม่สามารถ
ตรวจสอบพบได้ เนืองจากฐานรากเป็ นส่วนทีอยู่ใต้ พืนดิน รวมทังอาจก่อให้ เกิดความเสียหายจาก
การกัดกร่อนของเหล็กเสริมจากนําใต้ ดินทีแทรกซึมเข้ ามาในรอยแตกร้ าวของคอนกรี ตได้
หลักการออกแบบนีนิยมใช้ ในประเทศนิวซีแลนด์ โดยกําหนดฐานรากให้ มีค่าตัวประกอบ
ความเหนียว (Ductility Factor) เท่ากับ 1.25 (P 1.25) ในการออกแบบฐานรากและใช้ เป็ น
โครงสร้ างประเภททีมีความเหนียวน้ อยแบบ Nominally Ductile Structure ตามมาตรฐาน NZS
1170.5 (2004) โดยสูตรการคํานวณแรงแผ่นดินไหวจะสัมพันธ์ กบั ค่าตัวประกอบความเหนียวที
กําหนดนี ดังนัน ฐานรากจะมีพฤติกรรมใกล้ เคียงกับฐานรากแบบยืดหยุ่น (Elastic Foundation)
ได้ เมือพิจารณาแรงกระทําฐานรากในระดับยืดหยุ่น แรงกระทําทีใช้ ในการคํานวณออกแบบฐาน
รากจะมีค่าสูงกว่าโครงสร้ างส่วนบนซึงพิจารณาพฤติกรรมแบบไม่ยืดหยุ่น ดังนัน การออกแบบ
ฐานรากแบบยืดหยุน่ จึงมีฐานรากขนาดใหญ่ซงอาจไม่ ึ เป็ นการประหยัด
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 331

ข) ฐานรากทีมีพฤติกรรมแบบไม่ยืดหยุน่ (Inelastic Foundation)

ในการคํานวณแรงแผ่นดินไหวกระทําต่อฐานรากมีการพิจารณาพฤติกรรมแบบไม่ยืดหยุ่น
เช่นเดียวกับการออกแบบโครงสร้ างส่วนบนดังแสดงในรู ปที 10.2 แรงเฉือนทีใช้ ในการออกแบบ
โครงสร้ างต้ านทานแผ่นดินไหว จะมีการปรับค่าจากแรงระดับ ยืดหยุ่นมายังระดับไม่ยืดหยุ่นด้ วย
ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (R Factor) พิจารณาจากรูปที 10.2 แสดงพฤติกรรมการรับแรง
แผ่นดินไหวของโครงสร้ างทีแท้ จริ งเป็ นเส้ นโค้ ง โดยมีคา่ การเคลือนทีสูงสุด 'max ซึงเส้ นโค้ งนี จะ
แทนทีด้ วยแบบจําลอง Elastic Perfectly Plastic (EPP) เพือเป็ นตัวแทนอย่างง่ายของพฤติกรรมที
แท้ จริ ง สําหรับแรงกระทําระดับยืดหยุ่น Ce พิจารณาจากกราฟเส้ นตรงทีลากเส้ นสัมผัสของส่วน
โค้ งถึงค่าการเคลือนที ' e ซึงทําให้ พืนทีใต้ กราฟของพฤติกรรมยืดหยุ่นเท่ากันกับพืนทีใต้ กราฟ
ของพฤติกรรมแบบ EPP ตามหลักการพลังงานทีเท่าเทียมกัน (Newmark and Hall, 1973)
สําหรับแรงกระทํา ณ จุดคราก C y หาได้ จากการลดกําลังจาก Ce มายัง C y ด้ วยค่าการลดกําลัง
เนืองจากความเหนียว (Ductility Reduction Factor, RP ) ของโครงสร้ างสําหรับแรงกระทําทีใช้
ออกแบบ Cs ซึงเป็ นค่าทีกําหนดในมาตรฐาน จะลดค่าลงมาจากระดับจุดคราก ด้ วยค่าตัวประกอบ
กําลังส่วนเกิน (Overstrength Factor, :o ) เนืองจากในการออกแบบโครงสร้ างจะมีค่ากําลัง
ส่วนเกิน ได้ แก่ การใช้ ขนาดหน้ าตัดคอนกรี ตและเหล็กเสริมทีเกินกว่าค่าทีคํานวณได้ เป็ นต้ น การ
ลดกําลังจากระดับ Ce มายัง Cs จะใช้ ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (R Factor) ซึงเป็ นค่าที
แสดงในมาตรฐานการออกแบบนันเอง
Base Shear Coefficient

แรงกระทําระดับยืดหยุน่
Ce

RP

R แรงกระทําระดับไม่ยืดหยุน่ พฤติกรรมทีแท้ จริ ง


Cy
พฤติกรรมจําลองแบบ Elastic
:o
Perfectly Plastic (EPP)
แรงกระทําทีใช้ ออกแบบ
Cs

Cd

'w 'y 'e ' max


Drift

รู ปที 10.2 พฤติกรรมการรั บแรงแบบไม่ ยืดหยุ่นของฐานราก


332 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

เนืองจากแรงเฉื อนทีฐานในระดับ ยืดหยุ่น จะมีค่าสูงกว่าแรงเฉื อนทีใช้ ในการออกแบบ


ตามมาตรฐานมาก การออกแบบฐานรากแบบไม่ยืดหยุ่น จะให้ การออกแบบทีประหยัดกว่าฐาน
รากแบบแรก ดังนัน ในบทนี จะเสนอวิธีการออกแบบฐานรากแบบไม่ยืดหยุ่น ในการออกแบบให้
ฐานรากมีพฤติกรรมแบบไม่ยืดหยุ่น จะต้ องมีการกําหนดบริ เวณทีเป็ นข้ อหมุนพลาสติกในการดูด
ซับพลังงานให้ ชัดเจน เพือป้องกัน ไม่ให้ เกิ ดการครากของเหล็กเสริ ม และคอนกรี ตแตกร้ าวใน
บริ เวณทีไม่สามารถตรวจสอบได้ วิธีการทีนิยมใช้ คือการออกแบบคานยึดรัง (Tie Beam) ระหว่าง
ฐานราก ให้ อยู่ในระดับคานคอดินเพือถ่ายแรงกระทําและยอมให้ เกิดข้ อหมุนพลาสติกบริ เวณ
ปลายคานรอยต่อเสา-คาน เพื อให้ สามารถดูดซับพลังงานบริ เวณนี การเสริ มเหล็ก ในเสาตอ
ม่อฐานรากคอนกรี ตและคานเชือม จะต้ องมีการให้ รายละเอียดเหล็กเสริ มเพือให้ มีความเหนียว
ทังนีเพือป้องกันการวิบตั ิแบบเปราะ โดยใช้ ข้อกําหนดการออกแบบเช่นเดียวกับเหล็กเสริ มในเสา
และคาน
การออกแบบฐานรากแบบไม่ยืดหยุ่นในบทนี จะนําผลงานวิจยั (Panyakapo, P., 2016)
ซึงได้ ศึกษาค่าตัวประกอบกําลังส่วนเกิน (Overstrength Factor) ของฐานราก และความ
ปลอดภัยของฐานรากทีออกแบบด้ วยแรงกระทําระดับ ไม่ยืดหยุ่น เพือนํามาใช้ กําหนดเป็ นวิธีการ
ออกแบบฐานรากอาคาร

10.3 ขันตอนการออกแบบฐานราก

10.3.1 นําหนักบรรทุกทีใช้ ในการออกแบบขนาดฐานรากเบืองต้ น (Preliminary Design)


ในการคํานวณหาขนาดของฐานรากเบืองต้ น (Preliminary Design) ซึงรองรับด้ วยดิน
หรื อเสาเข็ม เมือพิจารณาว่า การวิบตั ิของฐานรากส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการทรุดตัวทีมากเกินไป
มากกว่าการเสียกําลังรับนําหนักแบกทาน เพือเป็ นการควบคุมค่าการทรุดตัวของฐานราก เอกสาร
FEMA 451 (2006) จึงเสนอแนะให้ คํานวณออกแบบขนาดฐานรากเบืองต้ นโดยใช้ นําหนักบรรทุก
ใช้ งาน (Service Load) และค่ากําลังแบกฐานของดินทียอมให้ เนืองจาก จะทําให้ ค่าการทรุ ดตัว
ของฐานรากอยู่ในระดับไม่มากเกินไป ดังนัน ในการคํานวณขนาดฐานรากเบืองต้ น ให้ ใช้ นําหนัก
บรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรใช้ งาน (Service Load) ทีกระทําลงสูฐ่ านราก คํานวณออกแบบ
ด้ วยแรงดันแบกทานของดินทียอมให้ (Allowable Bearing Soil Pressure) หรื อ ในกรณีเสาเข็ม
จะออกแบบด้ วยนําหนักบรรทุกปลอดภัยของเสาเข็ม (Safe Load of Pile) ดังนี
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 333

P 1.0 D  1.0 L (10.1)


เมือ P คือ นําหนักบรรทุกบนฐานราก
D คือ นําหนักบรรทุกคงที
L คือ นําหนักบรรทุกจร

10.3.2 การรวมนําหนักบรรทุกลงฐานรากเนืองจากผลของแรงแผ่ นดินไหว

นํ าหนัก บรรทุก ประลัย กระทํ า ต่อ ฐานรากเป็ น ผลรวมนํ าหนัก บรรทุก แนวดิ งและแรง
แผ่นดินไหว ให้ พิจารณาแรงแผ่นดินไหวทังสองทิศทางทีตังฉากกัน ในกรณี ใช้ การรวมนําหนัก
บรรทุก คงที นํ าหนักบรรทุกจรและแรงแผ่น ดิน ไหวที ใช้ ในการออกแบบ (Design load
Combinations) สําหรับมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 มีดงั นี
กรณีพิจารณาแรงแผ่นดินไหวในแต่ละทิศทางกระทําต่ออาคารแยกจากกัน
สําหรับการออกแบบด้ วยวิธีกําลัง
0.75(1.4D+1.7L)+1.0EX (10.2ก)
0.75(1.4D+1.7L)+1.0EY (10.2ข)
0.9D+1.0EX (10.2ค)
0.9D+1.0EY (10.2ง)
กรณีพิจารณาแรงแผ่นดินไหวใน 2 ทิศทางหลักกระทําต่ออาคารร่วมกัน
สําหรับการออกแบบด้ วยวิธีกําลัง
0.75(1.4D+1.7L)+0.3EX+1.0EY (10.3ก)
0.75(1.4D+1.7L)+1.0EX+0.3EY (10.3ข)
0.9D+0.3EX+1.0EY (10.3ค)
0.9D+1.0EX+0.3EY (10.3ง)
โดยที EX, EY คือ แรงแผ่นดินไหวตามทีคํานวณตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ในทิศทาง
แกน X และแกน Y ตามลําดับ
สํา หรั บ แรงเฉื อ นกระทํ า ต่อ ฐานรากในแนวราบเนื องจากผลของแรงแผ่น ดิ น ไหว ให้
คํานวณจากผลของแรงเฉือนทีได้ จากกรณีการรวมนําหนักบรรทุกสูงสุด ซึงคูณด้ วยค่าตัวประกอบ
กําลังส่วนเกินของโครงสร้ าง (Overstrength Factor, :o ) เพือปรับค่าแรงเฉือนเป็ นระดับไม่
ยื ด หยุ่น และนํ า ไปใช้ ใ นการตรวจสอบความปลอดภัย ของฐานรากในขันตอนถัด ไป สํ า หรั บ
มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ดังนี
334 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

กรณีพิจารณาแรงแผ่นดินไหวในแต่ละทิศทางกระทําต่ออาคารแยกจากกัน
สําหรับการออกแบบด้ วยวิธีกําลัง
0.75(1.4D+1.7L)+1.0 :o EX (10.4ก)
0.75(1.4D+1.7L)+1.0 :o EY (10.4ข)
0.9D+1.0 :o EX (10.4ค)
0.9D+1.0 :o EY (10.4ง)
กรณีพิจารณาแรงแผ่นดินไหวใน 2 ทิศทางหลักกระทําต่ออาคารร่วมกัน
สําหรับการออกแบบด้ วยวิธีกําลัง
0.75(1.4D+1.7L)+ :o (0.3EX+1.0EY) (10.5ก)
0.75(1.4D+1.7L)+ :o (1.0EX+0.3EY) (10.5ข)
0.9D+ :o (0.3EX+1.0EY) (10.5ค)
0.9D+ :o (1.0EX+0.3EY) (10.5ง)
กรณีนําหนักบรรทุกและโมเมนต์ทีกระทําต่อฐานราก ไม่ต้องมีการปรับเพิมค่า เนืองจากผลของ
แรงแผ่นดินไหวทําให้ ค่านําหนักบรรทุกของเสาเข็มและค่าโมเมนต์ทีกระทําต่อฐานรากเพิมขึนไม่
มาก ตามทีแสดงผลการวิเคราะห์ ในหัวข้ อข้ างต้ น ซึงค่าความปลอดภัยในการออกแบบได้ เผือไว้
แล้ ว จึงไม่ต้องมีการปรับเพิมค่าในการออกแบบ

10.3.3 การตรวจสอบความปลอดภัยของฐานราก
สําหรับการตรวจสอบความปลอดภัยของฐานราก มีดงั นี
ก) กําลังรับนําหนักบรรทุกของฐานรากแผ่และฐานรากเสาเข็ม
กรณีการออกแบบฐานรากแผ่และฐานรากเสาเข็ม กําลังแบกทานทีออกแบบของฐานราก
จะต้ องสามารถรับนําหนักบรรทุก ประลัยจากกรณีการรวมนําหนักบรรทุกสูงสุดเนืองจากผลรวม
นําหนักบรรทุกแนวดิงและแรงแผ่นดินไหว ซึงอาจเป็ นแรงกดหรื อแรงถอน ทังนีกําลังแบกทานของ
ฐานรากอาจคํานวณได้ จากคุณสมบัติของดิน หรื อผลการทดสอบกําลังแบกทานของฐานราก
ข) การเลือนไถลและการพลิกควําของฐานราก
กําลังต้ านทานต่อการเลือนไถลทีออกแบบของฐานรากจะต้ องสามารถต้ านทานต่อ แรง
เฉือนประลัยในแนวราบเนืองจากผลของแรงแผ่นดินไหว โดยแรงต้ านทานของฐานรากคํานวณ
จากผลรวมของแรงเสียดทานของดินรอบส่วนข้ างใต้ ฐานราก แรงดันดินด้ านข้ าง (Passive earth
pressure) ตลอดความหนาของฐานราก และกําลังต้ านทานแรงด้ านข้ างของเสาเข็ม ทังนี ค่า แรง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 335

เสียดทานใต้ ฐานรากคํานวณจากค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานสําหรับฐานรากคอนกรี ตบนวัสดุดิน


รองรับฐานราก ตามทีแสดงในตารางที 10.1 คูณด้ วยนําหนักบรรทุกประลัยของฐานราก

ตารางที 10.1 สัมประสิทธิแรงเสียดทานสําหรั บฐานรากคอนกรี ตบนวัสดุดนิ รองรั บฐานราก


(U.S. Department of the Navy, 1992)
วัสดุดินรองรับฐานราก สัมประสิทธิแรงเสียดทาน
หินแน่นสะอาด 0.7
กรวดสะอาด กรวดผสมทราย ทรายหยาบ 0.55-0.60
ทรายหยาบ ดินตะกอนปนทรายหยาบ กรวดปนดินเหนียว 0.45-0.55
ทรายละเอียด ทรายละเอียดปนดินเหนียว 0.35-0.45
ดินตะกอนปนทรายละเอียด 0.30-0.35
ดินเหนียวแข็งมาก 0.40-0.50
ดินเหนียวแข็งปานกลาง ดินเหนียวปนดินตะกอน 0.30-0.35

กําลังต้ านทานโมเมนต์พลิกควําทีออกแบบของฐานรากจะต้ องสามารถต้ านทานการพลิก


ควํา เนืองจากผลของโมเมนต์พลิกควํา (Overturning Moment) จากแรงแผ่นดินไหว โดยโมเมนต์
ต้ านทานการพลิกควําคํานวณได้ จากผลของนํ าหนักบรรทุกเพิมส่วนที กระทํ าลงฐานรากและ
โมเมนต์ต้านทานจากแรงต้ านทานการถอนของเสาเข็ม
ค) กําลังต้ านทานแรงเฉือนของเสาตอม่อและเสาเข็ม
เสาตอม่อของฐานรากจะต้ องสามารถต้ านทานแรงเฉือนทีกระทําต่อฐานรากเนืองจากผล
ของแรงแผ่นดินไหว โดยกําลังต้ านทานแรงเฉื อนคํานวณจากกําลังของคอนกรี ตเสาตอม่อและ
เหล็กปลอกทีโอบรัดเสา ทังนี รายละเอียดเหล็กปลอกในเสาตอม่อใช้ ตามข้ อกําหนดเช่นเดียวกับ
การออกแบบเสาโครงสร้ าง นอกจากนี เสาเข็มจะต้ องมีการออกแบบให้ สามารถต้ านทานแรงเฉือน
ทีกระทําต่อฐานรากเนืองจากผลของแรงแผ่นดินไหวเช่นเดียวกัน

10.3.4 การออกแบบความหนาของฐานรากและเหล็กเสริม

การออกแบบขนาดความหนาของฐานรากเบืองต้ น คํานวณได้ จากกํ าลังต้ านทาน


โมเมนต์ ดดั ของฐานราก และตรวจสอบกํ าลังต้ านทานแรงเฉื อนแบบคานและแรงเฉื อนทะลุที
ตํ า แหน่ ง หน้ า ตัด วิ ก ฤติ โดยใช้ แรงกระทํ า จากการรวมนํ าหนัก บรรทุก ประลัย เนื องจากแรง
336 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

แผ่นดินไหวดังกล่าวข้ างต้ น สําหรับปริ มาณเหล็กเสริ มของฐานรากพิจาณาจากกําลังต้ านทาน


โมเมนต์ดดั และปริมาณเหล็กเสริมขันตําในหน้ าตัดฐานราก
ในกรณี การออกแบบฐานรากแบบไม่ยืดหยุ่น โดยการใช้ นําหนักบรรทุกรวมตามที
กําหนดในมาตรฐานการออกแบบ ซึงเป็ นการใช้ แรงกระทําสําหรับโครงสร้ างแบบพฤติกรรมไม่
ยืดหยุ่น จะต้ องมีการออกแบบให้ ฐานรากมีความเหนียว (Ductile Foundation) โดยอาจ
กําหนดให้ คานยึดรังมีความเหนียว เพือให้ มีการดูดซับและสลายพลังงานทีข้ อหมุนพลาสติกตรง
ตําแหน่งปลายคาน นอกจากนี เสาเข็มจะต้ องออกแบบให้ มีความเหนียวสําหรับรองรับพฤติกรรม
แบบไม่ยืดหยุน่ ด้ วย
ทังนี ควรทราบว่า การออกแบบฐานรากพฤติกรรมแบบไม่ยืดหยุ่นนี เนืองจาก คาน
ยึดรังฐานรากเป็ นส่วนทีอยู่ในดิน ซึงไม่ควรเกิดการครากของเหล็กเสริ มหรื อเกิดการแตกร้ าวทีผิว
คอนกรี ตจากพฤติกรรมแบบไม่ยืดหยุ่น ผลที ตามมาจากความเสียหายเหล่านี จะไม่สามารถ
ตรวจสอบพบได้ เนืองจากฐานรากเป็ นส่วนทีอยู่ในดิน รวมทังอาจก่อให้ เกิดความเสียหายจากการ
กัดกร่อนของเหล็กเสริมจากนําใต้ ดินทีแทรกซึมเข้ ามาในรอยแตกร้ าวของคอนกรี ตได้ ดังนัน ควรมี
การออกแบบให้ คานยึดรังไม่มีส่วนสัมผัสกับดิน โดยอาจกําหนดให้ คานยึดรังเป็ นคานคอดินชัน
ล่าง เพือยกระดับคานขึนมา และมีการป้องกันนําใต้ ดินทีจะแทรกซึมเข้ าสัมผัสกับคานได้

10.4 ฐานรากเดียว
หากการออกแบบฐานรากเป็ นแบบฐานรากเดียว (Isolated Foundation) ซึงมี
นํ าหนักบรรทุก แรงเฉื อนและโมเมนต์ ถ่ ายเข้ าสู่ฐานรากแต่ละต้ น จะต้ องมี การออกแบบเพื อ
ป้องกันการวิบตั ิของฐานราก ซึงอาจแบ่งออกได้ เป็ น 3 แบบ ดังนี ก) การเกิดข้ อหมุนพลาสติก
เฉพาะที โคนเสา ดัง แสดงในรู ปที 10.3ก จะต้ อ งมี ก ารออกแบบให้ โ คนเสาต้ า นทานการวิ บัติ
เนืองจากแรงเฉือน และเสริ มเหล็กให้ มีความเหนียวในบริ เวณนี ข) มีการออกแบบให้ ขนาดฐาน
รากกว้ างใหญ่พอ เพือป้องกันการโคลงตัวของฐาน (Rocking) และตรวจสอบความปลอดภัยจาก
การพลิกตะแคงตัวของฐานรากเนืองจากโมเมนต์พลิกควํา ดังแสดงในรูปที 10.3ข และ ค) มีการ
ออกแบบป้องกันการแตกร้ าวทีใต้ ฐานรากเนืองจากโมเมนต์ดดั ใต้ ฐานราก ดังแสดงในรูปที 10.3ค
โดยการตรวจสอบกําลังต้ านทานโมเมนต์ดดั ของฐานรากให้ มากกว่าโมเมนต์แตกร้ าว เพือป้องกัน
ผิวคอนกรี ตในฐานรากเกิดการแตกร้ าว ดังนี
I M n t 1.2M cr (10.6)
เมือ M n คือ กําลังต้ านทานโมเมนต์ดดั ประลัย, กก.-ม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 337

M cr คือ โมเมนต์แตกร้ าว, กก.-ม.


fr I
M cr
yt
2
f r คือ โมดูลสั ของการแตกร้ าวมีคา่ เท่ากับ 1.96 fcc , กก./ซม.
2
f cc คือ กําลังอัดประลัยของคอนกรี ต, กก./ซม.
I คือ โมแมนต์อินเนอร์ เชียของหน้ าตัดองค์อาคาร, ซม.4
yt คือ ระยะจากจุดศูนย์ถ่วงไปยังผิวคอนกรี ตส่วนรับแรงดึง, ซม.
I 0.9
P P
P

M M
M
V V
V

ข้ อหมุนพลาสติก
การแตกร้ าวจากการโก่งดัด

ก) การเกิดข้ อหมุนพลาสติกทีโคนเสา ข) การโคลงตัวของฐาน (Rocking) ค) การแตกร้ าวของฐานจากการโก่ งดัด

รู ปที 10.3 การออกแบบฐานรากเดียว

หากพิ จ ารณาแรงกระทํ า ต่อ ฐานรากเดี ยวแบบเสาเข็ ม ในกรณี ที นํ าหนัก บรรทุก


แนวแกนจากเสา P มีแรงเฉือน V และโมเมนต์ดดั M กระทําร่วมกัน ดังแสดงในรูปที 10.4 เสาเข็ม
แต่ละต้ นจะรับนําหนัก คํานวณได้ ดงั นี
P Mdi
Ri r (10.7)
N ¦ d 2n
โดยที Ri คือ นําหนักทีเสาเข็มแต่ละต้ นจะต้ องรับ
P, M คือ นําหนักบรรทุกและโมเมนต์ทีกระทําลงฐานราก
N คือ จํานวนของเสาเข็ม

di คือ ระยะห่างของเสาเข็ม i (i = 1-n) จากแกนศูนย์ถ่วงของกลุม่ เสาเข็ม


338 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

M
P
v

H
d2 d 2

d1 d1

R1 R2 R3 R4
รู ปที 10.4 แรงกระทําต่ อฐานรากเดียว

แรงเฉือนทีกระทําต่อฐานราก จะต้ านทานด้ วยเสาเข็มแต่ละต้ น ดังนันเสาเข็มจึงต้ อง


ออกแบบให้ สามารถต้ านทานแรงเฉื อนทีส่งถ่ายมาจากแรงแผ่นดินไหวได้ นอกจากนี ผลของ
โมเมนต์ดดั กระทําให้ เกิดโมเมนต์พลิกควํา (Overturning Moment) กระทําต่อฐาน ดังนัน จะทํา
ให้ เกิดแรงกดต่อเสาเข็มด้ านขอบฐานราก ( R4 ) และเกิดแรงดึงต่อเสาเข็มด้ านขอบฐานรากทีอยู่
ตรงกันข้ าม ( R1 ) ดังนัน เสาเข็มจึงต้ องออกแบบให้ สามารถต้ านทานแรงดึงทีอาจเกิดขึนได้ นี

10.5 ฐานรากร่ วม
การออกแบบฐานรากเดียวสําหรับอาคารต้ านทานแผ่นดินไหว อาจมีขนาดใหญ่กว่า
ฐานรากของอาคารทัวไป เพือป้องกันการวิบตั ิดงั กล่าวข้ างต้ น หากออกแบบเป็ นฐานรากร่ วม
(Combined Foundation) โดยการใช้ คานยึดรัง (Tie Beam)ยึดระหว่างฐานรากเข้ าด้ วยกัน จะ
ช่วยยึดเสาตอม่อและฐานรากป้องกันการโคลงตัวของฐานราก และกระจายโมเมนต์ดดั ของฐาน
รากได้ การออกแบบฐานรากร่วมแบบมีคานยึดรัง อาจจะกําหนดให้ คานคอดินเป็ นคานยึดรัง และ
ฐานรากอยู่ติดกับคานยึดรัง ดังแสดงในรู ปที 10.5 ในกรณีนี บริ เวณโคนเสาจะออกแบบเพือให้
พลังงานแผ่นดินไหวถูกดูดซับ และเกิดเป็ นข้ อหมุนพลาสติกบริ เวณนี ดังนันการออกแบบโคนเสา
จะต้ องมีการเสริ มเหล็กปลอกเป็ นพิเศษเพือป้องกันการวิบตั ิแบบเฉื อนเปราะ และออกแบบให้
เหล็กเสริมตามยาวของเสามีพฤติกรรมรับแรงดัดแบบเหนียวแทน
Lc
การออกแบบขนาดของคานเชือม ขนาดหน้ าตัดคาน b t เมือ Lc คือระยะห่าง
20
สุทธิระหว่างฐานราก สําหรับการออกแบบเหล็กเสริ มตามยาวในคานเชือม นอกจากจะออกแบบ
ให้ ต้านทานโมเมนต์ดดั ทีถ่ายเทระหว่างฐานรากทังสองนีได้ นอกจากนี ยังต้ องออกแบบรับแรง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 339

แนวแกนเป็ นแรงอัดหรื อแรงดึงให้ ได้ ตามข้ อเสนอแนะในมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 และ


ASCE 7-10, ASCE- SEI 41-06 แนะนําให้ ใช้ แรงแนวแกน ในการออกแบบคานเชือมเท่ากับ 10%
ของผลคูณค่าความเร่งสปคตัมตอบสนอง S DS กับนําหนักบรรทุกประลัย ดังนี
P 0.10SDS wu (10.8)
เมือ P คือ แรงแนวแกนเป็ นแรงอัดหรื อแรงดึงในคานเชือม
S DS คือ ความเร่ งสปคตัมตอบสนองทีใช้ ในการออกแบบสําหรับคาบการสันในช่วงสัน
wu คือ นําหนักบรรทุกประลัยทีมากกว่าระหว่างฐานรากทังสอง ( wu1, wu 2 )
wu1 wu 2

M u1 Mu2
Lc
bt
20
ข้ อหมุนพลาสติก คานยึดรัง (Tie beam) ข้ อหมุนพลาสติก
Vu1 P Vu 2

Lc หน้ าตัดคานยึดรัง

รู ปที 10.5 ฐานรากร่ วมแบบอยู่ตดิ กับคานยึดรั ง

ในกรณีทีฐานรากอยูต่ ํากว่าระดับคานยึดรังโดยมีเสาตอม่อ (Stub column) ต่อขยาย


ลึกลงไปเพือให้ ฐานรากอยู่บนชันดินทีแน่นสําหรับฐานรากแบบแผ่ ดังแสดงในรูปที 10.6 กรณีนี
แรงแผ่นดินไหวทีส่งถ่ายมายัง ฐานราก จะทําให้ เกิดข้ อหมุนพลาสติกทีบริ เวณคานยึดรังหรื ออาจ
เกิดขึนทีบริ เวณเสาตอม่อได้ ด้วย เนืองจากระดับของฐานรากซึงถือเป็ นจุดยึด แน่นของเสาถูกลด
ระดับลงมา ดังนัน คานยึดรังและเสาตอม่อ จะต้ องออกแบบและจัดทํารายละเอียดเพือป้องกันการ
วิบตั ิแบบเฉือนเปราะ และออกแบบให้ มีความเหนียว เพือดูดซับพลังงานแผ่นดินไหว
wu1 wu 2

M u1 Mu2 Lc
bt
20
คานยึดรัง (Tie beam)
Vu1 P Vu 2

ข้ อหมุนพลาสติก ข้ อหมุนพลาสติก

Lc

รู ปที 10.6 ฐานรากร่ วมแบบมีเสาตอม่ ออยู่ตากว่


ํ าคานยึดรั ง
340 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

10.6 ฐานรากเสาเข็ม

หลักการออกแบบฐานรากเสาเข็ม กําหนดให้ พฤติกรรมการรับแรงของเสาเข็มเป็ น


แบบยืดหยุ่นเช่นเดียวกับตัวฐานรากหุ้มเสาเข็ม (Pile cap) ผลรวมของนําหนักบรรทุกแนวแกน
และโมเมนต์ ดัดกระทํ า ต่อ ฐานราก อาจเป็ น แรงกดอัด หรื อแรงถอนสํา หรั บ เสาเข็ ม ในกรณี ที
เสาเข็มจะต้ องออกแบบให้ สามารถต้ านทานแรงถอน จะพิจารณาแรงต้ านทานด้ วยแรงเสียดทาน
ระหว่างผิวสัมผัสของดินรอบเสาเข็ม และจะต้ องออกแบบให้ เหล็กเสริ มตามความยาวของเสาเข็ม
ต้ านทานแรงดึงนีได้ และเหล็กเสริ มตามยาวนี จะต้ องฝั งเข้ าในตัวฐานรากหุ้มเสาเข็ม โดยมีระยะ
การฝังทีเพียงพอด้ วย
P M

ข้ อหมุนพลาสติก

รู ปที 10.7 การรั บแรงของฐานรากเสาเข็ม

สําหรับแรงเฉือนทีต้ านทานด้ วยฐานราก อาจแบ่งได้ เป็ น 2 ส่วน คือ


ก) ฐานรากหุ้มเสาเข็ม (Pile cap) แรงเฉือนจะต้ านทานด้ วยแรงเสียดทานของดินรอบส่วนข้ างใต้
ฐานรากส่วนนี ค่าสัมประสิทธิ แรงเสียดทานของดินรอบส่วนข้ างใต้ ฐานราก แสดงในตารางที
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 341

10.1 และแรงดันดินด้ านข้ าง ตลอดความหนาของฐานรากหุ้มเสาเข็ม และ ข) เสาเข็ม แรงเฉือน


ต้ านทานคํานวณจากกําลังต้ านทานแรงเฉือนของเสาเข็มคอนกรี ตและเหล็กปลอกของเสาเข็ม

10.7 การออกแบบรายละเอียดเสาเข็ม
10.7.1 อาคารประเภท ค ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61

ก) เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็ก
เหล็กเสริมตามยาวเสาเข็ม
As 0.0025 Ag (10.9)
2
เมือ As คือ ปริ มาณพืนทีหน้ าตัดเหล็กเสริ มตามยาว, มม.
Agคือ พืนทีหน้ าตัดของเสาเข็ม, มม.2
เหล็กเสริมตามยาวนีจะต้ องวางเลยจากตําแหน่งระยะเสริมเหล็กขันตําต่อไปอีกเท่ากับระยะฝังยึด
รับแรงดึง โดยที ความยาวของระยะเสริมเหล็กขันตําวัดจากผิวล่างของฐานรากหุ้มหัวเข็ม (Pile
cap) ให้ ใช้ คา่ มากระหว่าง
(1) 1 ใน 3 ของความยาวเสาเข็ม
(2) 3 เมตร
(3) สามเท่าของขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของเสาเข็ม
(4) ความยาวเชิงดัดของเสาเข็ม
เหล็กปลอกของเสาเข็ม
ใช้ เหล็กปลอกวงปิ ด หรื อ เหล็กปลอกเกลียว มีเส้ นผ่านศูนย์กลางอย่างน้ อย 9 มม. มี
ระยะเรี ยงไม่เกิน 150 มม. หรื อ 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของเหล็กตามยาว จัดภายใน
ระยะ 3 เท่าของเส้ นผ่านศูนย์กลางของเสาเข็มวัดจากผิวล่างของฐานรากหุ้มหัวเข็มลงมา สําหรับ
ความยาวทีเหลือของระยะเสริ มเหล็กขันตําลงมา ใช้ ระยะเรี ยงของเหล็กปลอกไม่เกิน 16 เท่าของ
ขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของเหล็กตามยาว

ข) เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง

การเสริมเหล็กปลอกเกลียว จะต้ องมีอตั ราส่วนเชิงปริมาตรไม่น้อยกว่า 0.007 หรื อ


คํานวณจากปริมาณ ดังนี
342 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

0.12 f cc
Us (10.10)
f yh
โดยที
U s คือ อัตราส่วนเชิงปริ มาตร (ปริ มาตรเหล็กปลอกเกลียว/ปริ มาตรแกนคอนกรี ต)
f cc คือ กําลังรับแรงอัดของคอนกรี ต (เมกาปาสกาล)
f yh คือ กําลังครากของเหล็กปลอกเกลียว (เมกาปาสกาล) แต่ใช้ ไม่เกิน 586 เมกาปาสกาล
เหล็กปลอกเกลียวนี เสริมภายในระยะ 6 เมตรวัดจากผิวล่างของฐานรากหุ้มหัวเข็ม (Pile cap) ลง
มา ในช่วงความยาวทีเหลือของเสาเข็ม จะต้ องเสริมเหล็กปลอกเกลียวให้ มีอตั ราส่วนเชิงปริมาตร
อย่างน้ อยครึงหนึงของค่าทีกําหนดในสมการ 9.10

10.7.2 อาคารประเภท ง ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61

ก) เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็ก
การออกแบบเหล็กเสริมจะต้ องคํานวณจากแรงกระทําแผ่นดินไหวต่อเสาเข็ม นอกจากนี
ปริมาณเหล็กเสริมตามยาวเสาเข็มจะต้ องไม่น้อยกว่า
As 0.005 Ag (10.11)
2
เมือ As คือ ปริมาณพืนทีหน้ าตัดเหล็กเสริมตามยาว, มม.
2
Ag คือ พืนทีหน้ าตัดของเสาเข็ม, มม.
เหล็กเสริมตามยาวนีจะต้ องวางเลยจากตําแหน่งระยะเสริมเหล็กขันตําต่อไปอีก
เท่ากับระยะฝังยึดรับแรงดึง โดยที ความยาวของระยะเสริมเหล็กขันตําวัดจากผิวล่างของฐานราก
หุ้มหัวเข็ม (Pile cap) ให้ ใช้ คา่ มากระหว่าง
(1) 1 ใน 2 ของความยาวเสาเข็ม
(2) 3 เมตร
(3) สามเท่าของขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของเสาเข็ม
(4) ความยาวเชิงดัดของเสาเข็ม

เหล็กปลอกของเสาเข็ม
การเสริ มเหล็กตามขวางให้ มีความเหนียวตามข้ อ 21.4.4.1 ข้ อ 21.4.4.2 และ ข้ อ
21.4.4.3 ของมาตรฐาน ACI 318-14 ตลอดระยะเสริ มเหล็กขันตําทีวัดจากผิวล่างของฐานรากหุ้ม
หัวเข็ม (Pile cap) ลงมา สําหรับเสาเข็มในดินประเภท E หรื อ F ให้ เสริ มเหล็กตามยาวและเหล็ก
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 343

โอบรัดตามขวาง ข้ างต้ นตลอดความยาวเสาเข็ม เหล็กปลอกจะต้ องมีขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางไม่


น้ อยกว่า 10 มม. สําหรับเสาเข็มทีมีเส้ นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 500 มม. และ ไม่น้อยกว่า 12 มม.
สําหรับเสาเข็มทีมีขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 500 มม.
สําหรับดินประเภท A ถึง D ให้ เสริมเหล็กตามยาวและเหล็กปลอกข้ างต้ นเป็ นระยะอย่าง
น้ อย 7 เท่าของขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของเสาเข็มทีด้ านบนและด้ านล่างนับจากรอยต่อระหว่าง
ดินเหนียวอ่อนถึงแข็งปานกลางกับชันดินทรายทีเกิดการแปลงสถานะเป็ นของเหลวเนืองจากความ
ดันนําสูง (Liquefaction) ได้ ยกเว้ นสําหรับเหล็กปลอกทีอยู่นอกระยะเสริ มเหล็กขันตํา ซึงอนุญาต
ให้ ใช้ เหล็กปลอกเกลียวทีมีอตั ราส่วนเชิงปริ มาตรไม่น้อยกว่า 0.06 fcc f yh และระยะเรี ยงของ
เหล็กปลอกทีไม่อยู่ในระยะเสริ มเหล็กขันตําต้ องไม่เกินกว่าค่าทีน้ อยทีสุดระหว่าง 12 เท่าของเส้ น
ผ่านศูนย์กลางเหล็กตามยาว ครึงหนึงของเส้ นผ่านศูนย์กลางของเสาเข็ม และ 300 มม.

ข) เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง

การเสริมเหล็กปลอกโอบรัดให้ ใช้ ตามข้ อ 9.7.1 และข้ อกําหนดเพิมเติมดังนี


(1) ไม่ต้องใช้ ข้อกําหนดในบทที 21 ของมาตรฐาน ACI318-14
(2) เมือความยาวเสาเข็มทีฝั งในดินน้ อยกว่าหรื อเท่ากับ 10 เมตร ให้ ถือว่าตลอดความยาวของ
เสาเข็มทังหมดต้ องได้ รับการจัดรายละเอียดให้ มีความเหนียว เมือเสาเข็มมีความยาว
มากกว่า 10 เมตร ให้ ถือเอาค่ามากระหว่าง 10 เมตร และระยะจากผิวล่างของฐานรากหุ้มหัว
เข็ม (Pile cap) ถึงจุดทีการดัดเป็ นศูนย์บวกสามเท่าของมิติด้านน้ อยของเสาเข็มเป็ นช่วง
ความยาวเข็มทีต้ องได้ รับการจัดรายละเอียดให้ มีความเหนียว
(3) ในช่วงความยาวของเข็มทีต้ องมีความเหนียว ระยะจากศูนย์ถึงศูนย์ของเหล็กปลอกเกลียว
หรื อเหล็กปลอกโอบรัดจะต้ องไม่เกินค่าทีน้ อยทีสุดระหว่าง หนึงในห้ าของมิติทีน้ อยทีสุดของ
เสาเข็ม 6 เท่าของขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของลวดเกลียวอัดแรง และ 200 มม.
(4) เหล็กปลอกเกลียวจะต้ องทาบต่อด้ วยระยะทาบหนึงรอบเต็มด้ วยการเชือมหรื อตัวยึดเชิงกล
เมือใช้ การทาบเหล็กปลอกเกลียว ปลายของเหล็กปลอกเกลียวตรงบริเวณทีทําการทาบเหล็ก
จะต้ องทําของอต้ านทานแผ่นดินไหวตาม มยผ.1301-54 การเชือมและการใช้ ตวั ยึดเชิงกล
ต้ องเป็ นไปตามข้ อ 12.14.3 ของมาตรฐาน ACI318-14
(5) เมือใช้ เหล็กปลอกเกลียวหรื อเหล็กปลอกวงปิ ดรูปวงกลมเป็ นเหล็กตามขวาง อัตราส่วนเชิง
ปริมาตรในบริเวณทีต้ องทําให้ เหนียวจะต้ องมีคา่ ตามสมการ
344 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

§ f c · § Ag ·§ 1.4 P ·
Us 0.25 ¨ c ¸ ¨
¨ f yh ¸ © Ach
 1.0 ¸ ¨ 0.5  ¸ (10.12)
© ¹ ¹ ¨© f ccAg ¸¹
แต่ต้องไม่น้อยกว่า
§ f c ·§ 1.4 P ·
Us 0.12 ¨ c ¸ ¨ 0.5 
¨ f yh ¸ ¨ ¸ (10.13)
© ¹© f ccAg ¸¹
โดยที U s ต้ องมีคา่ ไม่เกิน 0.021
U s คือ อัตราส่วนเชิงปริ มาตร (ปริ มาตรเหล็กปลอกเกลียว/ปริ มาตรแกนคอนกรี ต)
f cc คือ กําลังรับแรงอัดของคอนกรี ต (เมกาปาสกาล) แต่ใช้ ไม่เกิน 41.4 เมกาปาสกาล
f yh คือ กําลังครากของเหล็กปลอกเกลียว (เมกาปาสกาล) แต่ใช้ ไม่เกิน 586 เมกาปาสกาล
Ag คือ พืนทีหน้ าตัดของเสาเข็ม (ตารางมิลลิเมตร)
Ach คือ พืนทีของแกนหน้ าตัดของเสาเข็มทีล้ อมด้ วยเส้ นผ่านศูนย์กลางด้ านนอกของเหล็กปลอก
เกลียว(ตารางมิลลิเมตร)
P คือ แรงตามแนวแกนบนเสาเข็มจากชุดการรวมนําหนัก 1.2D + 0.5L + 1.0E (กิโลนิวตัน)
ปริมาณของเหล็กปลอกเกลียวตามสมการข้ างต้ นอนุญาตให้ ใช้ ได้ ทงเหล็
ั กปลอกเกลียววง
ในและ วงนอก
(6) เมือใช้ เหล็กวงรอบปิ ดสีเหลียมผืนผ้ าร่วมกับเหล็กปลอกขวาง เป็ นเหล็กตาขวางในบริเวณที
ต้ องได้ รับการจัดรายละเอียดให้ มีความเหนียว พืนทีหน้ าตัดของเหล็กตามขวางในทิศทาง
ทีตังฉากกับมิติ hc ของเสาเข็ม ต่อระยะเรี ยง s จะต้ องเป็ นไปตามสมการ
§ f c · § Ag ·§ 1.4 P ·
Ash 0.3shc ¨ c ¸ ¨
¨ f yh ¸ © Ach
 1.0 ¸ ¨ 0.5 
¨ ¸ (10.14)
© ¹ ¹© f ccAg ¸¹
แต่ต้องไม่น้อยกว่า
§ f c ·§ 1.4 P ·
Ash 0.12 shc ¨ c ¸ ¨ 0.5 
¨ f yh ¸ ¨ ¸ (10.15)
© ¹© f ccAg ¸¹
โดยที
s คือ ระยะเรี ยงของเหล็กตามขวาง (มิลลิเมตร)
h คือ มิติของหน้ าตัดแกนคอนกรี ตของเสาเข็มวัดจากศูนย์กลางถึงศูนย์กลางของเหล็กปลอก
วงปิ ด (มิลลิเมตร)
f yh คือ กําลังครากของเหล็กปลอกเกลียว (เมกาปาสกาล) ให้ ใช้ ไม่เกิน 483 เมกาปาสกาล
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 345

เหล็กปลอกวงปิ ด และ เหล็กปลอกขวาง จะต้ องเป็ นเหล็กทีเทียบได้ กบั เหล็กข้ ออ้ อย


ขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 10 มม. ปลายของเหล็กปลอกวงปิ ดรูป
สีเหลียมผืนผ้ าจะต้ องหยุดทีมุมและทําของอต้ านทานแผ่นดินไหวทีปลาย
(7) นอกบริเวณทีต้ องได้ รับการจัดรายละเอียดให้ มีความเหนียว จะต้ องเสริมเหล็กปลอกเกลียว
หรื อเหล็กปลอกวงปิ ดทีมีอตั ราส่วนเชิงปริมาตรไม่น้อยกว่าครึงหนึงของข้ อ (5) หรื อ ข้ อ (6)
แล้ วแต่กรณี

ตัวอย่ าง 10.1 อาคารเรี ยนหลังหนึง มีผงั อาคารและรูปตัด ดังแสดงในรูปที 10.8 โครงสร้ างอาคาร
มีการออกแบบเป็ นโครงต้ านแรงดัดที มี ความเหนี ยว จงคํานวณออกแบบฐานรากอาคารเพื อ
ต้ านทานแรงแผ่นดินไหว
กําหนดให้
ค่าความเร่งตอบสนองในพืนทีออกแบบอาคาร SS 0.735g และลักษณะชันดินเป็ นดินปกติ
เสาอาคาร C1 ขนาด 60x60 ซม. ซม. เหล็กยืน 8DB25 เหล็กปลอก DB10@0.10 ม.
รับนําหนักบรรทุกคงที 55.7 ตัน นําหนักบรรทุกจร 31.5 ตัน คาน B1 ขนาด 25x80 ซม.
ฐานรากนีใช้ เสาเข็มขนาด 22x22 ซม. เหล็กยืน 8DB12 ป DB10@0.10 ม.
กําลังรับนําหนักบรรทุกปลอดภัยของเสาเข็ม 40 ตัน
กําลังรับนําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็ม 100 ตัน
กําลังต้ านทานปลอดภัยต่อแรงดึงถอนของเสาเข็ม 24 ตัน
กําลังต้ านทานปลอดภัยต่อแรงด้ านข้ างของเสาเข็ม 1.5 ตัน
( fcc = 250 กก./ตร.ซม. f y = 4,000 กก./ตร.ซม.)
346 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

B1

C1 3.50 m
B1 C1

C1 3.50 m
C1
B1

C1 3.50 m
C1
B1

4.50 m
C1 C1
B1

10.50 m

รู ปที 10.8 ผังและรู ปตัดขวางอาคารเรี ยน

วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณหาขนาดฐานราก
¦P PD  PL ตัน
55.7  31.5 87.2
สมมุตินําหนักของฐานรากและดินเหนือฐานราก = 9 ตัน (ประมาณ 10% ของนําหนักบรรทุก)
จํานวนเสาเข็มทีต้ องการ = (87.2+9)/40 = 2.41 ต้ น
ใช้ เสาเข็มขนาด 22x22 ซม. จํานวน 4 ต้ น และใช้ ฐานรากขนาด 1.50x1.50 ม.ความหนา 0.70 ม.
และใช้ คานคอดินเป็ นคานยึดรัง (tie beam) ระหว่างฐานราก
y y
Pile 22x22 cm
Tie Beam
Tie Beam
1.50 m

1.50 m
1.00 m
0.60 m

0.60 m

1.00 m

x Tie Beam x

0.60 m 0.60 m

1.00 m 1.00 m
1.50 m 9.00 m 1.50 m
10.50 m

รู ปที 10.9 ผังฐานรากรู ปตัดขวางอาคารเรี ยน

คํานวณแรงแผ่นดินไหวตามมาตรฐานมยผ.1301/1302-61 ใช้ คา่ R = 8 วิเคราะห์โครงสร้ าง


อาคารโดยใช้ โปรแกรม ETABS และใช้ การรวมนําหนักบรรทุก ดังนี
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 347

COMB 1 = D+L
COMB 2 = 1.4D+1.7L
COMB 3 = 0.75(1.4D+1.7L) +0.3EX+1.0EY
COMB 4 = 0.75(1.4D+1.7L) +1.0EX+0.3EY
COMB 5 = 0.9D+0.3EX+1.0EY
COMB 6 = 0.9D+1.0EX+0.3EY
ผลการวิเคราะห์กรณี COMB 4 แสดงในรูปตัดขวาง ดังนี
Pu = 96.50 T Pu = 101.37 T

Mu = 8.87 T-m
Mu = 18.18 T-m
Vu = 1.47 T
Tie Beam Vu = 7.74 T
0.60
C1 C1 0.70

10.5

รู ปที 10.10 ผลการวิเคราะห์ กรณี COMB 4 = 0.75(1.4D+1.7L)+1.0EX+0.3EY ในรู ปตัดขวาง

ขันตอนที 2 คํานวณนําหนักบรรทุกของเสาเข็ม กรณีผลรวมแรงแผ่นดินไหว


พิจารณาฐานรากด้ านขวา เนืองจากมีคา่ แรงกระทําสูงสุด
นําหนักบรรทุกประลัย 101.37 ตัน
นําหนักฐานราก (0.7x1.5x1.5) 2.4 = 3.78 ตัน
นําหนักดินถม (0.25x1.5x1.5) 1.8 = 1.01 ตัน
รวมนําหนักบรรทุก = 101.37+1.2(3.78+1.01) = 107.12 ตัน
ใช้ คา่ ตัวประกอบกําลังส่วนเกิน(Overstrength Factor, :o 3 ) คูณค่าแรงเฉือน = 3x7.74 =
23.22 ตัน
นําหนักบรรทุกสูงสุดทีเสาเข็มรับ
P Md 107.12 (18.18  23.22 u1.30)0.5
Rmax   = 50.96 ตัน
N ¦d 2 4 4 u 0.52
กําลังต้ านทานทีออกแบบของเสาเข็ม IQu 0.75 u100 75 ! 50.96 ใช้ ได้
นําหนักบรรทุกน้ อยสุดทีเสาเข็มรับ
P Md 107.12 (18.18  23.22 u 0.60)0.5
Rmin   = 2.60 ตัน
N ¦d 2 4 4 u 0.52
(เสาเข็มไม่เกิดแรงถอน)
348 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

ขันตอนที 3 ตรวจสอบการพลิกควําและการไถลตัวของฐานราก
ตรวจสอบการพลิกควําของฐานรากด้ านขวา เนืองจากมีคา่ โมเมนต์สงู สุด
โมเมนต์พลิกควํา (Overturning Moment)
M O 18.18  :o u 7.74 u1.30 18.18  3 u 7.74 u1.30 48.37 ตัน-เมตร
โมเมนต์ต้านทาน (Resisting Moment)
กําลังต้ านทานต่อแรงดึงถอนประลัยของเสาเข็ม = 2.5x24 = 60 ตัน
M R 107.12 u 0.75  2 u 60 u1.0 200.34 ตัน-เมตร
กําลังต้ านทานโมเมนต์พลิกควําทีออกแบบ I M R 0.6 u 200.34 120.20 ! 48.37 ใช้ ได้
ตรวจสอบแรงเฉือนเลือนไถลของฐานรากด้ านขวา เนืองจากมีคา่ แรงเฉือนสูงสุด
Vu :o u 7.74 3 u 7.74 23.22 ตัน
แรงเสียดทานใต้ ฐานราก VF = สัมประสิทธิแรงเสียดทาน x Pu
ใช้ คา่ สัมประสิทธิแรงเสียดทานสําหรับทรายหยาบดินตะกอนปนทรายหยาบ(0.5)จากตารางที
10.1
แรงเสียดทานใต้ ฐานราก = 0.5x107.12 = 53.56 ตัน
แรงดันดินด้ านข้ างตลอดความหนาของฐานราก
p kaJ h ˜ A 0.5 u1.75 u1.3 u 0.7 u1.5 1.19 ตัน
กําลังต้ านทานแรงด้ านข้ างประลัยของเสาเข็ม = 2.5x1.5 = 3.75 ตัน
รวมกําลังต้ านทานแรงด้ านข้ างประลัยของเสาเข็มทังหมด = 3.75x4 = 15 ตัน
รวมกําลังต้ านทานการเลือนไถลของฐานราก VF = 53.56+1.19+15 = 69.75 ตัน
กําลังต้ านทานต่อการเลือนไถลทีออกแบบ IVF 0.8 u 69.75 55.80 ! 23.22 ใช้ ได้

ขันตอนที 4 ตรวจสอบกําลังต้ านทานแรงเฉือนของเสาตอม่อและเสาเข็ม


แรงเฉือนต้ านทานของเสาตอม่อ
§ 2 u 0.785 u 4, 000 u 55 · 1
IVn I Vc  Vs 0.85 ¨ (0.53 250 u 60 u 55)  ¸
© 10 ¹ 1, 000
= 52.87 ตัน > 23.22 ตัน ใช้ ได้
แรงเฉือนต้ านทานของเสาเข็ม
IVn I Vc  Vs
§ 2 u 0.785 u 4, 000 u 18 · 1
0.85 ¨ 0.53 250 u 22 u 18  ¸ 20.88 ตัน/ 1 ต้ น
© 10 ¹ 1, 000
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 349

รวมแรงเฉือนต้ านทานของเสาเข็ม = 4(20.88) = 83.52 ตัน > 23.22 ตัน ใช้ ได้

ขันตอนที 5 ตรวจสอบความหนาของฐานราก
ก. พิจารณาจากโมเมนต์ดดั ประลัยทีขอบเสาตอม่อ
Mu (50.96 u 2) u 0.20 20.38 ตัน-เมตร
ความหนาฐานราก = 70 ซม. ระยะ d = 70 - 7.5 – (2.5/2) = 61.25 ซม.
M
คํานวณความลึกประสิทธิผลทีต้ องการจาก d
I Rb
20,380 u 100
d 33.39 ซม. น้ อยกว่า 61.25 ซม. ใช้ ได้
0.9 u13.54 u 150
ข. พิจารณาจากแรงเฉือนแบบคาน จากศูนย์กลางฐานรากถึงระยะห่าง d จากขอบเสา เท่ากับ
91.25 ซม. ซึงมีคา่ เกินกว่าระยะตําแหน่งเสาเข็มมาก ดังนันฐานรากจะไม่วิบตั ิด้วยแรงเฉือนแบบ
คาน
ค. พิจารณาจาก แรงเฉือนทะลุ ทีระยะห่าง d/2 จากขอบเสา

(50.96 u 2  2.60 u 2) u1, 000


vu 3.61 กก./ตร.ซม.
(60  61.25)4 u 61.25
I vc 1.06I fcc 1.06 u 0.85 u 250 14.25 กก./ตร.ซม.
I vc ! vu ใช้ ได้

ขันตอนที 6 ออกแบบเหล็กเสริมฐานราก

โมเมนต์ดดั สูงสุดรอบแกน y ทีขอบเสาตอม่อ คํานวณไว้ จาก ขันตอนที 5


M u 20.38 ตัน-เมตร
คํานวณปริมาณเหล็กเสริม
Mu 20,380 u100
Ru 4.02
0.9 150 61.25
2 2
I bd
0.85 f cc § 2 Ru · 0.85 250 § 2 u 4.02 ·
U ¨¨1  1  ¸ ¨1  1  ¸
fy © 0.85 fcc ¸¹ 4000 ¨© 0.85 250 ¸¹
0.001015  U min 0.002
ดังนัน ใช้ As = 0.002(150x70) = 21.0 ซม.2
350 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก

เลือกใช้ เหล็กเสริม 7 DB 20
โมเมนต์ดดั สูงสุดรอบแกน x ทีขอบเสา คํานวณจาก
Mu (50.96 u 0.20  2.60 u 0.20) 10.71 ตัน-เมตร
คํานวณปริมาณเหล็กเสริม
Mu 10, 710 u100
Ru 1.06
0.9 300 61.25
2 2
I bd
0.85 f cc § 2 Ru · 0.85 250 § 2 u1.06 ·
U ¨¨1  1  ¸ ¨1  1  ¸
fy © 0.85 fcc ¹¸ 4000 ¨© 0.85 250 ¸¹
0.00026  U min 0.002
ดังนัน ใช้ As = 0.002(150x70) = 21.0 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริม 7 DB 20

ขันตอนที 7 ออกแบบคานยึดรังฐานราก (Tie Beam)

Lc 1
ขนาดหน้ าตัดคานไม่น้อยกว่า b 10.5  1.5 0.45 ม.
20 20
ใช้ คานยึดรังขนาด 0.45x0.50 ม. เพือต้ านทานโมเมนต์ดดั และแรงเฉือนจากการรวมนําหนัก
บรรทุกกรณี COMB 4
แรงแนวแกนในการออกแบบคานเชือม
P 0.10SDS wu
2
S DS u1.2 u 0.735 g 0.588 g
3
wu คือค่าทีมากกว่าของนําหนักบรรทุกบนฐานรากทังสองฐาน = 107.12 ตัน
P 0.10 u 0.588 u107.12 6.3 ตัน
P 6,300
ปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึง As 1.75 ตร.ซม.
I fy 0.9 u 4, 000
และคํานวณกําลังรับแรงอัดของคาน โดยพิจารณาว่าดินรอบข้ างคานยึดรังป้องกันการโก่งเดาะ
ของคาน ดังนัน กําลังรับแรงอัด คํานวณจากพฤติกรรมแบบเสาสัน ซึงมีเหล็กเสริ มตามยาวรับแรง
แนวแกน 6DB25 ดังนี
I Pn ¬
0.8I ª0.85 f cc Ag  Ast  f y Ast º
¼
1
0.8 0.7 ª¬0.85 u 250 45 u 50  6 u 4.91  4, 000 u 6 u 4.91º¼
1, 000
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 351

= 330 ตัน > 6.3 ตัน


กําลังรับแรงดึงของเหล็กเสริมในคานยึดรัง
1
P I As f y 0.9 u 6 u 4.91u 4, 000( ) 106 ตัน > 6.3 ตัน
1, 000

3DB25 3DB25 A

2DB10@0.22m
1DB16 1.00 m 1.00 m 1DB16
3DB25
DB25 A
0.45 m
0.70 m 7DB20# 7DB20# 0.70 m
6DB25
0.50 m 2DB10@0.11m
3DB25
เสาเข็ม 0.22x0.22 m ขยายคาน หน้าตัด A-A เสาเข็ม 0.22x0.22 m

รู ปที 10.11 ขยายหน้ าตัดคานยึดรั ง


ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว 353

บรรณานุกรม
กรมโยธาธิการและผังเมือง (2561) มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสันสะเทื อนของ
แผ่นดิ นไหว มยผ.1301/1302-61 กระทรวงมหาดไทย
คํารบ บํารุงราษฎร์ และไพบูลย์ ปั ญญาคะโป (2556) “การประมาณค่าการเคลือนทีของอาคาร
คอนกรี ตเสริมเหล็กเนืองจากแรงแผ่นดินไหวโดยวิธีการผลักแบบวัฏจักร” วารสารศรี ปทุม
ปริทศั น์ฉบับวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีปีที 5 มกราคม-ธันวาคม.
เป็ นหนึง วานิชชัย และอาเด ลิซานโตโน (2537) “การวิเคราะห์ความเสียงภัยจากแผ่นดินไหว
สําหรับประเทศไทย”, การประชุมวิชาการทางวิศวกรรม วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป (2547) “แผนผังความต้ องการกําลังเพือการออกแบบอาคารต้ านทาน
แผ่นดินไหวโดยหลักการความเสียหายคงทีและวิธีการสเปคตรัมของความสามารถ” ศรี ปทุม
ปริ ทศั น์, ปี ที 4, ฉบับที 2, กรกฎาคม – ธันวาคม.
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป และภูริพงษ์ พลพิมลพัฒน์ (2557) “การเสริมกําลังอาคารเรี ยนคอนกรี ต
เสริมเหล็กด้ วยองค์อาคารยึดรังไร้ การโก่งเดาะ” วารสารนเรศวร ฉบับวิ ทยาศาสตร์ และ
เทคโนโลยี ปี ที 22 ฉบับที 2.
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป และอนุชาติ ลีอนันต์ศกั ดิศิริ (2556) “การเสริมกําลังผนังก่ออิฐสําหรับ
อาคารเพือต้ านทานแผ่นดินไหว” การประชุมวิชาการคอนกรี ตประจําปี ครังที 9 จังหวัด
พิษณุโลก
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป และทนงศักดิ พรหมบุญแก้ ว (2557) “การเสริมกําลังต้ านทานแผ่นดินไหว
ของอาคารพาณิชย์โดยเหล็กประกอบ” การประชุมวิชาการระดับชาติ นเรศวรวิจยั ครังที 10
จังหวัดพิษณุโลก
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป และ องอาจ สนันเสียง (2557) “ความสามารถต้ านทานแผ่นดินไหวของ
อาคารเรี ยนคอนกรี ตเสริมเหล็กทีออกแบบตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง” การ
ประชุมวิชาการระดับชาติ นเรศวรวิจยั ครังที 10 จังหวัดพิษณุโลก
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป และ วีระพันธ์ นครพุม่ (2557) “การศึกษาความสามารถต้ านทาน
แผ่นดินไหวของอาคารพาณิชย์ทีออกแบบตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง” การ
ประชุมวิชาการระดับชาติ นเรศวรวิจยั ครังที 10 จังหวัดพิษณุโลก
ACI Committee 318 (2002), Building Code Requirements for Structural Concrete
(ACI318-99) and Commentary (ACI318R-99), American Concrete Institute,
Farmington Hills, MI.
ACI Committee 318 (2014), Building Code Requirements for Structural Concrete (
ACI318-14) and Commentary (ACI318R-14), American Concrete Institute,
Farmington Hills, MI.
354 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว

American Society of Civil Engineers (2006), Seismic Rehabilitation of Existing


Buildings, ASCE/SEI 41-06.
American Society of Civil Engineers (2010), Minimum Design Loads for Buildings
and other Structures, ASCE/SEI 7-10.
Calugaru, V. and Panagiotou M. (2012) Response of Tall Cantilever Wall Buildings
to Strong Pulse Types Seismic Excitation, Earthquake Engineering and Structural
Dynamics 41(9): 1301-1318.
Castiglioni, C. A. and Di Palma, N. “Steel members under cyclic loads: numerical
modeling and experimental verifications.” Costruzioni Metalliche. N.6, 1988.
Clough, R. W. and Johnston, S. B. “Effect of stiffness degradation on earthquake
ductility requirements.” Proceedings of the Japan Earthquake Engineering
Symposium. 227-232, 1967.
Esteva, L. and Villaverde, R. (1972) “Seismic Risk, Design Spectra and Structural
Reliability,” Proceedings of the 5th World Conference on Earthquake
Engineering, Rome, Vol. 2, 2586-2596.
Eurocode 8 (2002, 2004). Design of structures for earthquake resistance-Part 1, CEN.
Federal Emergency Management Agency (2000) Pre-standard and Commentary for
the Seismic Rehabilitation of Buildings, FEMA 356.
Federal Emergency Management Agency (2003) NEHRP Recommended Provisions
for Seismic Regulations for New Buildings and other Structures, FEMA 450,
Building Seismic Safety Council.
Federal Emergency Management Agency (2006) NEHRP Recommended Provisions :
Design Examples, FEMA 451, Building Seismic Safety Council.
Gutenberg B.(1945) “Magnitude determination for deep-focus earthquakes,” Bulletin
of the Seismological of America, Vol.35,117-130.
Gutenberg B. and Richter C. F. (1936) “On Seismic Waves (third paper),” Gerlands
Bietraegezur Geophysik, Vol. 47, 73-131.
ICBO International Conference of Building Officials (1985,1994,1997). Uniform
Building Code, Whittier, Calif.
Krawinkler, H., Bertero, V. V., and Popov, E. P. “Inelastic behavior of steel beam to
column subassemblages.” Report No. EERC 71-7. University of California,
Berkeley, California, 1971.
Lopez W.A. and Sabelli R. (2004) Seismic Design of Buckling-Restrained Braced
Frames, Structural Steel Educational Council.
Miranda, E. (1993). “Site-dependent strength reduction factors.” Journal of Structural
Engineering, ASCE, 119(12), 3503-3519.
NBBC (2005, 2010). National Building Code of Canada, National Research Council
Canada.
Newmark, N. M. and Hall, W. J. (1973). “Seismic design criteria for nuclear reactor
facilities.” Report No. 46, Building Practices for Disaster Mitigation, National
Bureau of Standards, U.S. Department of commerce, 209-236.
New Zealand Standard (2004). Structural Design Actions, Part 5 Earthquake actions,
NZS 1170.5, Standard New Zealand, Private Bag 2439, Wellington 6020.
New Zealand Standard (2006). Concrete Structure Standard, NZS 1301, Standard
New Zealand, Private Bag 2439, Wellington 6020.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว 355

Panyakapo P. (2004). “Evaluation of Site-Dependent Constant-Damage Design


Spectra for Reinforced Concrete Structures”, Earthquake Engineering and
Structural Dynamics, Vol.33, No.12, 1211-1231.
Panyakapo, P. (2014) “Cyclic Pushover Analysis Procedure to Estimate Seismic
Demands for Buildings,” Engineering Structure, 66, 10-23.
Panyakapo, P. (2016) “Inelastic Foundation for Seismic Design of Buildings” The
11th International and National Sripatum University Conference (SPUCON2016),
December 21, 2016, Bangkok, Thailand.
Park, Y. J. and Ang, A. H. (1985). “Mechanistic seismic damage model for reinforced
concrete.” Journal of Structural Engineering, ASCE, 111(4), 722-739.
Paulay, T. and Priestley, M. J. N. (1992). Seismic Design of Reinforced Concrete and
Masonry Buildings, John Wiley & Sons, Inc.
Priestley, M.J.N. (2003) Does Capacity Design do the job? An examination of higher
mode effects in cantilever walls. Bulletin of the New Zealand Society of
Earthquake Engineering 36(4): 276-292.
Richter C. F. (1935) “An instrumental earthquake scale,” Bulletin of the Seismological
of America, Vol.25, 1-32.
Smith, B. S. and Coull A. (1991), Tall Building Structures, Analysis and Design, John
Wiley&Sons, Inc, New York.
Takeda, T., Sozen, M. A., and Nielsen, N. N. “Reinforced concrete response to
simulated earthquakes.” Journal of the Structural Division, ASCE, 96(ST12):
2557-2573, 1970.
Trifunac, M. D. and Brady, A. G. (1975). “A study on the duration of strong
earthquake ground motion.” Bulletin of the Seismological Society of America,
65(3), 581-626.
Uang, C.M. (1991) “Establishing R(or Rw ) and Cd Factors for Building Seismic
Provisions” Journal of Structural Engineering, ASCE, 117(1), 19-28.
US Department of the Army, the Navy, and the Airforce (1992).Seismic Design for
Buildings, TM 5-80-10, NAVFAC P-355, AFM 88-3, Washington, DC.
Warnitchai, P. and Panyakapo, P. (1999) “Constant-Damage Design Spectra”, Journal
of Earthquake Engineering, Vol. 3, No. 3, 329-347.
Warnitchai, P., Sangarayakul, C. and Ashford, S. A. (2000) “Seismic hazard in
Bangkok due to long-distance earthquakes.” Proceedings of the 12th World
Conference on Earthquake Engineering, Auckland, New Zealand.
Wada A., Watanabe A., Hitomi Y., Saeki E., Fujimoto M., 1988 Properties of Brace
Encased in Buckling-Restraining Concrete and Steel Tube. Proc. 7th World
Conference on Earthquake Engineering, Tokyo-Kyoto, Japan, Vol.4, pp 719-724.

You might also like