Professional Documents
Culture Documents
oµµÂn·Å®ª
Ã¥ ¦°«µ¦µµ¦¥r ¦. Å¡¼¨¥r {µ³Ã
ª¨· · ·Í
¡·¤¡r¨³¦´¦»Ä®¤n¦´Ê¸É 13
»¨µ¤ 2562
o°¤¼¨µ¦¦µ»¦¤
°®°¤»Â®nµ·
ISBN : 978-616-305-617-7
´¡·¤¡rÃ¥
εÁ°Ã¥
TumCivil.com Training Center / www.tumcivil.com / ´Ê¤¸ª·¨ æ. 089-4990739
การออกแบบอาคาร
Building Design
คณะกรรมการทางวิชาการ
อนุกรรมการสาขาผลกระทบจากแผ่นดินไหวและแรงลม สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย
รางวัลทีได้ รับ
1.รางวัลบุคลากรดีเด่นด้ านวิชาการ (วิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ) มหาวิทยาลัยศรี ปทุม ปี การศึกษา 2552
2.รางวัลบุคลากรดีเด่นสายวิชาการ (ด้ านวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ) สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
แห่งประเทศไทย ปี การศึกษา 2552
ผลงานทีนําไปใช้ ประโยชน์ เชิงนโยบายและเชิงสาธารณะ
มาตรฐานการออกแบบอาคารต้ านทานแรงแผ่นดินไหว (มยผ.-1302) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย
ผลงานวิจัยทีได้ รับรางวัลผลงานวิจัยเด่ น สกว.ประจําปี พ.ศ.2553
โครงการลดภัยพิบตั จิ ากแผ่นดินไหวในประเทศไทย โดยเป็ นนักวิจยั ในโครงการย่อยเรื อง การประเมินระดับความ
ต้ านทานแผ่นดินไหวของอาคารในประเทศไทยและการปรับปรุงอาคารให้ สามารถต้ านทานแผ่นดินไหวในระดับที
เหมาะสม ได้ รับทุนสนับสนุนจาก สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั ฝ่ ายสวัสดิภาพสาธารณะ
ผลงานวิจัยทีได้ รับทุนจากสํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ ประจําปี พ.ศ.2560
การเสริ มกําลังอาคารเรี ยนต้ นแบบเพือต้ านทานแผ่นดินไหวโดยการใช้ ตะแกรงเหล็กฉีก และการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่
ชุมชน กรณีตวั อย่างอาคารเรี ยนในพืนที อ.พาน จ.เชียงราย
ผลงานวิจัยตีพมิ พ์ ในวารสารวิชาการและการประชุมวิชาการนานาชาติ
Panyakapo, P. (2014). Cyclic Pushover Analysis Procedure to Estimate Seismic Demands for Buildings.
Engineering Structure, 66, 10-23.
Phaiboon Panyakapo.(2015). Seismic Damage of Reinforced Concrete Structures by Cyclic Pushover
Analysis. Global Engineering &Applied Science Conference, December 2-4, 2015, Tokyo, Japan.
Phaiboon Panyakapo (2016). Inelastic Foundation for Seismic Design of Buildings. The 11th International
and National Sripatum University Conference (SPUCON2016), December 21, 2016, Bangkok,
Thailand.
Panyakapo, P., Chompooyunt, S., Ruangassamee, A. and Panyakapo, M. (2017). Strengthening of RC Bare
Frame using Ferrocement with Expanded Metal. The 5thPSU-USM International Conference on Arts
and Sciences 2017, 8-9 August, Phuket, Thailand.
Leeanansaksiri, A., Panyakapo, P. and Ruangrassamee, A. (2018). Seismic Capacity of Masonry Infilled RC
Frame Strengthening with Expanded Metal Ferrocement. Engineering Structures, 159, 110-127.
I
คํานํา
สารบัญ
หน้ า
บทที 1 หลักเกณฑ์ การออกแบบโครงสร้ างอาคาร
1.1 บทนํา 1
1.2 ขันตอนการออกแบบโครงสร้ างอาคาร 2
1.2.1 การออกแบบเบืองต้ น 2
1.2.2 การตรวจสอบความแข็งแรงและ
ความมันคงของโครงสร้ าง 5
1.2.3 การวิเคราะห์และออกแบบขันรายละเอียด 8
บทที 2 นําหนักบรรทุกและแรงลม
.1 นําหนักบรรทุก 11
2.1.1 นําหนักบรรทุกคงที 11
2.1.2 นําหนักบรรทุกจร 13
2.2 แรงลม 15
2.2.1 การคํานวณแรงลม 16
2.2.2 การคํานวณแรงลมโดยวิธีแรงสถิตย์ตามข้ อกําหนดของ
Uniform Building Code, UBC-1994 16
หน้ า
3.5 พฤติกรรมของโครงสร้ างรับแรงแผ่นดินไหว 52
3.5.1 แรงกระทําจากแผ่นดินไหวต่อโครงสร้ าง 52
3.5.2 กราฟการออกแบบโครงสร้ างในช่วงยืดหยุน่ 55
บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
4.1 บทนํา 61
4.2 พฤติกรรมของเสา 63
4.2.1 ความชะลูดของเสา 63
4.2.2 โครงคํายันและโครงไม่คํายัน 64
4.3 ตัวคูณความยาวประสิทธิผล 65
4.4 การจําแนกประเภทของเสา 68
4.5 เสาสันรับแรงแนวแกน 70
4.6 เสาสันรับแรงแนวแกนและโมเมนต์ดดั 71
4.7 การออกแบบเสายาว 80
4.7.1 เสาในโครงไม่มีการโยกตัว 80
4.7.2 เสาในโครงมีการโยกตัว 85
หน้ า
5.3.5 การจัดนําหนักบรรทุกจร 111
5.3.6 การกระจายโมเมนต์ในระบบโครงข้ อแข็งเทียบเท่า 113
5.3.7 ค่าโมเมนต์ลบ 114
5.3.8 การกระจายค่าโมเมนต์ทีใช้ ในการออกแบบ 115
5.3.9 การออกแบบเหล็กเสริมบริเวณหัวเสา 116
บทที 10 การออกแบบฐานราก
10.1 บทนํา 223
10.2 หน่วยแรงใต้ ฐานราก 224
10.3 การออกแบบรับแรงดัด 230
10.4 การออกแบบรับแรงเฉือน 233
10.5 การถ่ายแรงจากเสาตอม่อสู่ฐานราก 234
10.6 ขันตอนการออกแบบฐานราก 235
10.7 การออกแบบฐานรากสําหรับอาคารสูง 236
สัญลักษณ์ 297
บรรณานุกรม 305
ภาคผนวก ก 307
ภาคผนวก ข 315
บทที 1
หลักเกณฑ์ การออกแบบโครงสร้ างอาคาร
1.1 บทนํา
จากการทีอัตราประชากรในเมืองใหญ่ๆเพิมจํานวนมากขึนอย่างรวดเร็ว ในขณะทีพืนที
ว่างในเมืองมีจํากัดและราคาแพง ประกอบกับความต้ องการภาคธุรกิจทีจําเป็ นต้ องมีสํานักงานอยูใ่ น
ย่านใจกลางเมือง จนทําให้ ต้องมีการพัฒนาอาคารต่างๆ เช่น อาคารทีพักอาศัย อาคารสํานักงาน
ห้ างสรรพสินค้ า โรงแรม ตลอดจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม เป็ นอาคารสูงมากขึน ดังนันความมันคง
แข็งแรงของอาคาร ความปลอดภัยของทรัพย์สินและผู้ใช้ สอยอาคาร จึงเป็ นสิงสําคัญทีวิศวกร
ผู้ออกแบบจะต้ องคํานึงถึง โดยจะต้ องดําเนินการออกแบบให้ เป็ นไปอย่างถูกต้ องตามหลักวิชาการ
การออกแบบและก่อสร้ างอาคารสูงจะขึนอยูก่ บั ความก้ าวหน้ าทางด้ านวัสดุและเทคโนโลยีการก่อสร้ าง
ในแต่ละยุคสมัย ในปั จจุบนั นี หากแบ่งประเภทของอาคารสูงตามวัสดุทีนํามาใช้ ในการก่อสร้ าง อาจ
แบ่งโครงสร้ างอาคารออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ คือ โครงสร้ างคอนกรี ตเสริมเหล็กและโครงสร้ างเหล็ก
สําหรับในทีนีจะมุง่ เน้ นเฉพาะโครงสร้ างคอนกรี ตเสริมเหล็กเท่านัน เนืองจากโครงสร้ างเหล็กมีวิธีการ
ออกแบบทีแตกต่างไปจากโครงสร้ างคอนกรี ตเสริมเหล็กมาก
“อาคารสูง” ตามคําจํากัดความของกฎกระทรวงฉบับที 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัตคิ วบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 หมายความว่า อาคารทีบุคคลอาจเข้าอยู่หรื อเข้าใช้
สอยได้ โดยมี ความสูงตังแต่ 23 เมตรขึนไป การวัดความสูงของอาคารให้วดั จากระดับพืนดิ นที
ก่อสร้างถึงพืนดาดฟ้ า สําหรับอาคารทรงจัวหรื อปันหยาให้วดั จากระดับพืนที ก่อสร้างถึงยอดผนังของ
ชันสูงสุด จากคําจํากัดความในกฎกระทรวงฉบับนี หากจะคิดเป็ นความสูงของอาคาร โดยคํานวณ
จากความสูงของอาคารแต่ละชัน ซึงวัดจากระดับพืนชันหนึงไปยังระดับพืนอีกชันหนึงประมาณชันละ
3.30 ม. อาคารทีจัดเป็ นอาคารสูงจะมีจํานวนชันตังแต่ 7 ชันขึนไป
สําหรับอาคารสูงในทางวิศวกรรมโครงสร้ าง มิได้ มีการกําหนดให้ ชดั เจนว่าจะต้ องมีความ
สูงหรื อจํานวนชันอย่างน้ อยเท่าใด หากแต่หมายถึงอาคารซึงมีความสูงเพียงพอระดับหนึงจนกระทังมี
ผลทําให้ แรงกระทําด้ านข้ างอาคาร (lateral load) เนืองจากแรงลมหรื อแรงแผ่นดินไหว มีบทบาทที
สําคัญต่อการออกแบบโครงสร้ างอาคาร ซึงจะต้ องมีการตรวจสอบค่าระยะการโก่งตัวของโครงสร้ าง
ค่าหน่วยแรงในองค์อาคาร และความมันคงของโครงสร้ างเนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง โดยจะมีผลต่อ
2 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร
6
WL
รูปแบบของนํ าหนักบรรทุก
WD
5
แบบที
WL
รูปแบบของนํ าหนักบรรทุก
WD
แบบที
4
WL
WD
รูปแบบของนํ าหนักบรรทุก
3 แบบที
WL WL
รูปแบบของนํ าหนักบรรทุก
WD
2
แบบที
WL
WD
รูปแบบของนํ าหนักบรรทุก
1 แบบที
A B C D
1.2.2 การตรวจสอบความแข็งแรงและความมันคงของโครงสร้ าง
(Verification for Strength and Stability of Structure)
ขันตอนต่อไปคือการตรวจสอบกําลังของหน้ าตัดองค์อาคารสําหรับกรณีการรวมนําหนัก
บรรทุกและแรงกระทําทางด้ านข้ างเข้ าด้ วยกัน (combined load case) โดยการใช้ เทคนิควิธีการ
วิเคราะห์โครงสร้ างโดยประมาณ ซึงอาจจะใช้ วิธี Portal Method หรื อ Cantilever Method ตาม
ความเหมาะสม ในการออกแบบองค์อาคารคอนกรี ตเสริมเหล็ก จะต้ องออกแบบให้ กําลังทีออกแบบ
(design strength) มีคา่ มากกว่าหรื อเท่ากับกําลังทีต้ องการ (required strength) นันคือ
กําลังทีออกแบบ t กําลังทีต้ องการ (1.1ก)
หรื อ IMn t Mu (1.1ข)
IPn t Pu (1.1ค)
IVn t Vu (1.1ง)
โดยที
Mu, Pu, Vu คือ กําลังทีต้ องการสําหรับโมเมนต์ แรงอัด และแรงเฉือน ตามลําดับ
IMn, IPn, IVn คือ กําลังทีออกแบบสําหรับโมเมนต์ แรงอัด และแรงเฉื อน ตามลําดับ
Mn, Pn, Vn คือ กําลังระบุสําหรับโมเมนต์ แรงอัด และแรงเฉือน ตามลําดับ
I คือ ตัวคูณลดกําลัง ในกรณีทีการก่อสร้ างมีการควบคุมงานเป็ นอย่างดีและมี
การควบคุมคุณภาพของวัสดุ มาตรฐานสําหรับอาคารคอนกรี ตเสริม
เหล็ก โดยว.ส.ท.กําหนดให้ ใช้ คา่ ดังนี
= 0.90 สําหรับแรงดัดทีไม่มีแรงตามแนวแกน
= 0.90 สําหรับแรงดึงตามแนวแกนและแรงดึงตามแนวแกนทีมีแรงดัดร่วม
ด้ วย
= 0.85 สําหรับแรงเฉือนและแรงบิด
= 0.75 สําหรับแรงอัดตามแนวแกนและแรงอัดตามแนวแกนทีมีแรงดัดร่วม
ด้ วย และองค์อาคารใช้ เหล็กปลอกเกลียว
= 0.70 สําหรับแรงอัดตามแนวแกนและแรงอัดตามแนวแกนทีมีแรงดัดร่วม
ด้ วย และองค์อาคารใช้ เหล็กปลอกเดียว
= 0.70 สําหรับแรงแบกทานบนคอนกรี ต
6 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร
WD
8 F8
WD
7 F7
WD
6 F6
WD
5 F5
WT W
D
4 H8
F4
H7
WD
3 H6
F3 H5
WD
2 H4
F2
WD H3
1 F1 H2
H1
G
M react WT L 2
Safety Factor against overturning ( SF ) (1.10)
M act n
¦ Fi H i
i
โดยที
Mreact คือ โมเมนต์ต้านทานการพลิกควําของอาคาร
Mact คือ โมเมนต์ทีกระทําให้ เกิดการพลิกควําของอาคาร
i คือ จํานวนชันของอาคาร (i = 1, 2,……n)
8 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร
ในขันตอนนีจะมีการตรวจสอบค่าระยะการโก่งตัวและหน่วยแรงในองค์อาคารโดยวิธีการ
วิเคราะห์โครงสร้ างอย่างละเอียด ซึงในปั จจุบนั นีมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ชว่ ยในการวิเคราะห์ ทําให้
ได้ ผลการคํานวณอย่างละเอียดในเวลาอันสัน ขันตอนนีจะรวมการวิเคราะห์ผลกระทบของนําหนัก
บรรทุกต่อค่าการโก่งตัวด้ านข้ าง (P-delta effects) ด้ วย
ในการตรวจสอบค่าระยะการโก่งตัวด้ านข้ างสูงสุดเนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ างจาก
แรงลมหรื อแรงแผ่นดินไหวนัน คุณสมบัตทิ ีสําคัญของโครงสร้ างในการควบคุมระยะการโก่งตัวด้ านข้ าง
คือค่าสติฟเนสของเสา การออกแบบให้ เสามีคา่ สติฟเนสทีเพียงพอเป็ นสิงสําคัญ โดยเฉพาะอย่างยิง
สําหรับอาคารสูง ซึงเป็ นสิงทีแตกต่างจากอาคารเตีย ทังนีเนืองจากอาคารสูงมีโอกาสเกิดการโก่งตัวที
มากเกินไปได้ ซึงจะส่งผลให้ เกิดการแตกร้ าวของโครงสร้ างอาคาร รวมทังการส่งถ่ายแรงไปยังผนัง
กันห้ องทีไม่ได้ มีการออกแบบให้ รับแรงกระทําด้ านข้ างได้ นอกจากนี โครงสร้ างอาคารจะต้ องมีความ
แข็ง (stiff) เพียงพอทีจะต้ านทานการเคลือนทีเนืองจากแรงกระทําในลักษณะไดนามิกส์ เพือป้ องกัน
การโคลงตัวของโครงสร้ างจนอาจทําให้ ผ้ พู กั อาศัยรู้สกึ ไม่สบาย หรื อทําให้ อปุ กรณ์เครื องมือทีมีความ
ละเอียดอ่อนในการใช้ งาน ซึงติดตังในอาคารเกิดความเสียหายได้
ค่าสัมประสิทธิทีใช้ กําหนดระยะโยกไหวของโครงสร้ าง นิยมใช้ คา่ Drift Index (DI) โดย
คํานวณจาก
Gn
Drift Index ( DI ) (1.11)
H
บทที 1 หลักเกณฑ์การออกแบบโครงสร้างอาคาร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 9
G4
'4
F4
G3 h4
'3
F3
G2 h3
'2
F2 H
h2
G1
'1
F1
h1
Vi (1.12)
'i
Ki
โดยที
'i คือ ค่าระยะโยกไหวระหว่างชัน (interstory drift ) ของอาคาร
Vi คือ แรงเฉือนทีเสาสําหรับชันที i เนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง
Ki คือ ค่าสติฟเนสของเสาสําหรับชันที i มีคา่ เท่ากับ 12EIi/hi3
เมือ E คือ ค่าโมดูลสั ยืดหยุ่นของเสา
Ii คือ ค่าโมเมนต์ความเฉือย (moment of inertia) ของเสาสําหรับชันที i
hi คือ ค่าความสูงของเสาสําหรับชันที i
ĵ¦ª·Á¦µ³®r¨³°°Âæ¦oµ°µµ¦´Ê ¦¸É¦³Îµn°Ã¦¦oµ°µµ¦Ân
°°Á} 2 ¦³Á£µ¤·«µ
°Â¦¦³Îµ º° ) ¦¦³ÎµÄª·ÉÁºÉ°µÂ¦Ão¤nª
°
è (gravity load) ÅoÂn Êε®´¦¦»¸É¨³Êε®´¦¦»¦ ¹ÉεªÅoµ
µÂ¨³
ªµ¤®µÂn
°ª´» ʵΠ®´
°¼oÄo°µµ¦ ¨°¹Á¦ºÉ°Äo°¥ ·É°Îµª¥ªµ¤³ª
£µ¥Ä°µµ¦ ¨³
) ¦¦³Îµµoµ
oµ (lateral load) ÁºÉ°µ£´¥¦¦¤µ· ÅoÂn ¦¨¤
¨³Â¦Ân·Å®ª 宦´Â¦¦³Îµ¦³Á£®¨´¸Ê
¹Ê °¥¼n´£µ¡£¼¤·¦³Á« °µµ« ¨³
¨´¬³µ¦¸ª·¥µ ¹É¤¸ªµ¤Â¦¦ªÂ¨³µµ¦rÅo¥µªnµÂ¦¦³Îµ¦³Á£Â¦ ĸÊ
³¨nµª¹Á¡µ³Êε®´¦¦»¸É Êε®´¦¦»¦ ¨³Â¦¨¤ nªµ¦¡·µ¦µÂ¦Ân·Å®ª
o°Äoªµ¤¦¼o¡ºÊµÁ¸É¥ª´Â¦Ân·Å®ªÂ¨³ª·¸µ¦Îµª®µÂ¦¦³Îµ¸ÉÂnµ°°Åµ
¦¦³Îµ
oµo¤µ ¹³Â¥°°Á}Á¡µ³°°Å ¦¦³Îµ¸É °Á®º°Åµ¸Ê º° ¦
¦³Â¹ÉÄoĵ¦Îµª°°Â³¡µ Á¦¥
°®´ ¨·¢r Á¦ºÉ°´¦¨®´ ®¦º°µ¦
εªÊε®´®·¤³ ¦´Êε Á®¨nµ¸ÊÁ}µ¦°°Â¡·Á«¬¹Å¤nÅo¦ª¤°¥¼nÄ¸É ¸Ê
Êε®´¦¦»¸É®¤µ¥¹Êε®´
°°µµ¦°´¦³°oª¥Ã¦¦oµ´Ê®¤
¦ª¤´Ê¦³ÁºÊ°¼·ª¡ºÊ jµÁ¡µ ´ÎµÂ¡ ´Êε ¦³Á¦ºÉ°´¦¨Â¨³Å¢¢jµ Á}o Ä
µ¦Îµª®µÊµÎ ®´¦¦»¸
É °°r°µµ¦nµÇ °µÄonµÊµÎ ®´
°ª´»¹ÉÂĵ¦µ¸É
2.1 åεż´¦·¤µ
°ª´»Ä¸É o °µ¸Êª´»¸ÉŤnÅo°¥¼nĵ¦µ ¹É°µÁ}¨·£´r
Á¡µ³°¥nµ ȵ¤µ¦ÎµªÊε®´¦¦»Åo Ã¥¼µÁ°µ¦Â³Îµ
°¨·£´r´ÊÇ ¹É³¤¸
¦µ¥µ¦ÂnµÊε®´
°ª´»°¥¼noª¥
12 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 2 Êε®´¦¦»Â¨³Â¦¨¤
ÊÎ µ ®´ ¦¦» ¦®¤µ¥¹ ÊÎ µ ®´ ¸É µ¤µ¦Á¨ºÉ ° ¸É Å o ¦ª¤¹ ÊÎ µ ®´ ¼o Ä o ° µµ¦
Á¢°¦r·Á°¦r ®´º° ¼oÁÈÁ°µ¦ ¨³Êε®´¹Éµª¦°ºÉÇ ¹ÉŤnÅo¦ª¤ÅªoÄÊε®´¦¦»¸É
宦´nµÊε®´¦¦»¦¸Éε®Ä¦³¦ª´¸É 6 (¡.«.2527) °°µ¤ªµ¤Ä
¡¦³¦µ´´·ª»¤°µµ¦ ¡.«. 2522 夵Âĵ¦µ¸É 2.2
ĵ¦Î µªÊÎ µ®´ ¸Én µ¥¨Áµ µ ¨³µ¦µÄ®oÄ oÊε®´¦¦» ¸É
°
°µµ¦ÁȤ¸É 宦´Êε®´¦¦»¦ ÁºÉ°µÃ°µ¸ÉÊε®´¦¦»¦³ªµÁȤĻ¡ºÊ¸É¨³
»´Ê
°°µµ¦Á}ÅÅo¥µ Ã¥·µ¦¦´Êε®´¦¦»¦ÁȤ°´¦µ³°¥¼nÄ
°Á
¡ºÊ¸É
µnª
°°µµ¦Ánµ´Ê
o°Îµ®
°µ¦°°Â°µµ¦Ä¦³¦ª´¸É 6 (¡.«. 2527)
¹Åo¥°¤Ä®o¨nª
°Êε®´¦¦»¦¨Åo µ¤µ¦µ¸É 2.3
¦¦³Îµµoµ
oµÁºÉ°µÂ¦¨¤¤¸ªµ¤Îµ´n°µ¦°°Â°µµ¦¼ ¹ÉεĮo
µ¦°°Â°µµ¦¨´ ¬³¸Ê  n µ ŵµ¦°°Â°µµ¦´É ª Å { » ´ ¸Ê ª· ª´ µµ¦
µoµÎµ¨´
°ª´»¼
¹ÊÁ¦ºÉ°¥Ç εĮoµ¦°°ÂÅo
µ°r°µµ¦¸ÉÁ¨È¨Â¨³¤¸Êε®´¸ÉÁµ
¨ Á}¨Ä®oæ¦oµ°µµ¦¤¸Ã°µÁ·µ¦Ãn´ªµoµ
oµÁºÉ°µÂ¦¨¤¤µ
¹Ê ¦¨¤Ä
¦³´ ¦» ¦¹ ´Á} £´¥¦¦¤µ·n°°µµ¦¼·®¹É ¡§·¦¦¤
°Â¦¨¤¤¸ªµ¤´o °
ÁºÉ°µ¤¸ªµ¤Å¤nÂn°¤µ ¹ÉnµµÊε®´¦¦»¸É ¨³¤¸¨´¬³Á}ÂÊε®´¦¦»
¨r (dynamic loading) ¹É¤¸
µÂ¨³·«µ
°Â¦¦³Îµ¸ÉŤnÂn°´Ê¸Ê
¹Ê°¥¼n´¨´¬³
°
) £¼¤·¦³Á« (topography) Án »nèn iµÅ¤o £¼Á
µ ª´ Á}o
) Â
°°µµ¦ (building type) Án ¦¼¦nµ
µ
°°µµ¦ ªµ¤¼ ¡ºÊ·ª
°µµ¦ n°Ád
°°µµ¦ Á}o
) ¦¦¤µ·
°µ¦Å®¨Áª¸¥
°°µµ« (nature of airflow) Án ªµ¤®µÂn
°°µµ« ·«µ
°¨¤ ªµ¤Á¦Èª
°¨¤ ªµ¤¸É
°¨¤¸É¡´¤µ Á}o
Á¤ºÉ°¨¤¡´¤µ³³Ã¦¦oµ°µµ¦ ¨´¬³
°°µµ¦¹É¦³°oª¥
µ ¦¼¦nµ
ªµ¤®¥µ
°¡ºÊ·ªÂ¨³n°Ád ³¤¸¨n°
µ
°Â¦´¸É ¦³µ¥´ª°µµ¦ æ¦oµ
°µµ¦³¼¦³Îµoª¥Â¦¦³Îµ´ÊµÂ¨³Â¦¦³ÎµÂª
ªµ ¦¦³Îµ´Êµ¦³ÎµÄ·«
µµ¦¡´
°¨¤ Ã¥n°Ä®oÁ·Â¦°´¸Éoµ³³¨¤ (windward face) ¨³³¤¸Â¦¼¸Éoµ
®¨¨¤ (leeward face) 宦´Â¦¦³ÎµÂª
ªµ´ÊÁ·Ä¨´¬³¨oµ¥¨¹´µ¦¥´ª
°
eÁ¦ºÉ°·¦³ÎµÄ·«µ´Êµ´Âª®¨´µ ´ÂĦ¼¸É 2.1
¦¦³ÎµÂª
ªµ
oµ®¨¨¤
oµ³³¨¤
¦¦³Îµ´Êµ
2.2.1 µ¦ÎµªÂ¦¨¤
µ¦ÎµªÂ¦¨¤¤¸ 2 ª·¸°º
. ª·¸Â¦· (Static Approach)
宦´ª·¸µ¦¸Ê ³¤¤·Ä®oæ¦oµ°µµ¦Á}ª´»¦¼¦Â
ÈÁ¦È (rigid body)
£µ¥Äo¦¨¤¸É¤µ¦³Îµ ¹ÉÄo宦´°µµ¦¼´ÉªÅ¸ÉŤn°n°Å®ªn°µ¦´É£µ¥Äo¦¨¤
o°Îµ®
° Uniform Building Code, UBC-1994 ¹ÉÁ}¸É·¥¤Äo°°Â°µµ¦Ä¦³Á«
®¦´°Á¤¦·µ ε®Ä®oÄo宦´°µµ¦¸É¤¸ªµ¤¼Å¤nÁ· 122 ¤. ¨³¤¸°´¦µnª
°ªµ¤¼n°
ªµ¤ªoµÅ¤nÁ· 5
. ª·¸Â¦¡¨«µ¦r (Dynamic Method)
宦´Ã¦¦oµ°µµ¦¸É°µ®¦º°¼Á}¡·Á«¬ ®¦º°´Ê°¥¼nÄÁ
¤¸ªµ¤Á¸É¥n°
¡µ¥» ¨ ¤¤µ ¦¨¤¸É ¦³Î µ n ° °µµ¦°µ³Á¡·É ¤
¹Ê ÁºÉ ° µÂ¦· ´ ¤ ¡´ r µ¡¨«µ¦r
(dynamic interaction) ¦³®ªnµµ¦Ã¥Å®ª´ª
°°µµ¦Â¨³µ¦¡´¦¦Ã
°Â¦¨¤Åo ª·¸µ¦
ª· Á ¦µ³®r ¡ §· ¦¦¤
°Ã¦¦o µ °µµ¦Á¡ºÉ ° Äo Ä µ¦°°Â¸É Ä ®o ¨¸ ¸É » º ° µ¦°
Âε¨°
°°µµ¦Â¨³£µ¡Âª¨o°¤Îµ¨°oª¥°»Ã¤r¨¤ (wind tunnel test) Ânª·¸µ¦
°¸ÊÁ}
ªµ¦¸É´o° o°Äo¼oεµµ¦ÄÁ¦ºÉ°¸ÊÃ¥Á¡µ³Â¨³¤¸nµÄonµ¥¼ ¹Á®¤µ³
宦´Ã¦µ¦
µÄ®n 宦´µ¦°°Â°µµ¦¸ÉŤnµ¤µ¦Îµµ¦°oª¥ª·¸¸ÊÅo °µÄo
ª·¸µ¦ÎµªÂ¦¨¤µ¤®¨´Â¦¡¨«µ¦rÅo°¸ ¹É³Á}ª·¸¸É°¥¼n¦³®ªnµª·¸Â¦·Â¨³ª·¸µ¦
°oª¥°»Ã¤r¨¤ ´Ánª·¸µ¦¹É¡´µÃ¥ Davenport (1967) ¨³Åo¤¸¦³»°¥¼nÄ
o°Îµ®
° National Building Code of Canada, NBCC Ä{»´
宦´Ä¸É¸Ê³¡·µ¦µ¹µ¦°°Â°µµ¦¼´ÉªÅµ¤
o°Îµ®
° Uniform
Building Code Ánµ´Ê ÁºÉ°µµ¦ÎµªÃ¥ª·¸Â¦¡¨«µ¦rÁ}µ¦°°Â°µµ¦¡·Á«¬ ¹É
¤¸ÎµªÅ¤n¤µ´
ª·¸µ¦¸ÊÁ}µ¦ÎµªÂ¦¨¤Ã¥µ¦¡·µ¦µ¨¦³
°µ¦¡´¦¦Ã
°Â¦¨¤
¦¼¦nµ ªµ¤¼
°°µµ¦ ªµ¤Ânµ¦³®ªnµ£¼¤·¦³Á«¸É°µµ¦´Ê°¥¼n ¹É¤¸·É¸
ªµµ¨¤
¸É 2 Êε®´¦¦»Â¨³Â¦¨¤ Å¡¼¨¥r {µ³Ã 17
nµÇ´ ¨³ªµ¤Îµ´
°Ân¨³°µµ¦oª¥
¦´¨¤¸ÉÄo°°Â°µµ¦ÎµªÅoµ
P = CeCqqsIw (2.1)
Ã¥¸É P º° ¦´°µµ¦, ./¦.¤.
Ce º° ´¤¦³··Í¹Éε¹¹ªµ¤¼ £¼¤·¦³Á«¸É°µµ¦´Ê°¥¼n¦ª¤´Ê¨´¬³µ¦¡´¦¦Ã
°Â¦¨¤ ¤¸nµµ¤µ¦µ¸É 2.3
Cq º° ´¤¦³··ÂÍ ¦´¨¤ ¤¸nµµ¤µ¦µ¸É 2.4
qs º° ¦´¨¤¤¸nµÁnµ´ 0.004826 V2, ./¦.¤. Á¤ºÉ° V Á}ªµ¤Á¦Èª¨¤¹Éª´¸Éªµ¤¼
¤µ¦µ 10 ¤.µ¡ºÊ· Ã¥ª´Á}nµÁ¨¸É¥ÄnªµÁª¨µ 50 e, ¤./¤.
Iw º° ´¤¦³··Íªµ¤Îµ´
°°µµ¦¤¸µn µ¤µ¦µ¸É 2.5
oµ³³¨¤
T
Cq = - 0.9 Á¤ºÉ° T = 10q
T
Cq = 0.4 Á¤ºÉ° T ! 37q
oµ®¨¨¤
40
ªµ¤¼Á®º°¡ºÊ· ( Á¤¦ )
160
30
20
120
10
80
50
0 30 60 90 120 150 180
¦¨¤ ( · à ¨¦´ ¤ / µ¦µÁ¤¦ )
¦¼¸É 2.3 nµÂ¦¨¤µ¤ ¡.¦..ª»¤°µµ¦ ¡.«.2522
¸É 2 Êε®´¦¦»Â¨³Â¦¨¤ Å¡¼¨¥r {µ³Ã 21
Ä®¤n
D
1 2 3 4
C 5.0 m
8
7
6
2 @ 10.0 m
5
8@4.0 m
B
4
3
2
1
A G
3 @ 8.0 m
A B C
D 10.0 m 10.0 m
Section D-D
1.0
Cq = -0.16 Cq = -0.7
0.5 26.6o
0.3
oµ®¨¨¤
oµ³³¨¤
-0.5
-0.9
-1.0
V5 V5
40.78 FL4 FW4 65.25
V4 V4
39.09 FL3 FW3 62.55
V3 V3
36.44 FL2 FW2 58.30
V2 55.65 V2
FW1
FL1
33.54 V1 53.67 V1
Vb
FLG FWG
Vb
¦´¨¤oµ®¨¨¤ ¦´¨¤oµ³³¨¤
(./¤. 2) (./¤. 2)
) ¦¦³Îµn°Ã¦°µµ¦ÂªÂ 2
) Å°³Â¦¤
°Â¦Áº°
µ¦ª·Á¦µ³®r®µÂ¦Áº°ÄÁµÎµ®¦´´ª°¥nµ¸Ê Äo¤¤·µªnµ¡ºÊ°µµ¦Á}¡ºÊÂ
È
(rigid floor) Ťn¤
¸ µ¦¥º®´ª®¦º°Ãn´ªÁºÉ°µÂ¦¦³Îµoµ
oµ ´´Ê¦¦³Îµoµ
oµ¸ÉÂn
¨³¦³´´Ê°µµ¦ÁºÉ°µÂ¦¨¤¸Ê³oµµoª¥Â¦Áº°ÄÁµÂn¨³´Ê ¹É¤¸nµÁnµ´¨¦ª¤
³¤
°Â¦¦³Îµoµ
oµ´ÊÂn´Ê¨¤µµ¤¨Îµ´ ´ÂÄÅ°³Â¦¤
°Â¦Áº°Ä¦¼¸É
2.6
宦´¨¦ª¤
°Â¦Áº°´Ê®¤³¤¸nµÁnµ´Â¦Áº°¸Éµ
°°µµ¦ Vb ¹É¦³Îµ¸ÉÁµ
°¤n°
°°µµ¦¸Ê
¸É 2 Êε®´¦¦»Â¨³Â¦¨¤ Å¡¼¨¥r {µ³Ã 25
) ¦ª°ªµ¤¤´É
°°µµ¦
µ¦¦ª°ªµ¤¤´É
°°µµ¦ ¦³ÎµÅoÃ¥µ¦Îµªnµªµ¤¨°£´¥n°
äÁ¤r¸É εĮoÁ·µ¦¡¨·ªÉε
M react WT L 2
Safety Factor against overturning ( SF ) n
M act ¦ Fi H i
i
Ã¥¸É Mact εªµÂ¦¨¤¦³Îµoµ³³¨¤ oµ®¨¨¤Â¨³Â¦¥´ª¸É¦³Îµn°®¨´µ
åεªÃ¤Á¤r¦³Îµ¦°µ°µµ¦¸ÉÁµ A 宦´ Mreact 媵Êε®´¦¦»¸ÉÄ
Ân¨³´Ê
°°µµ¦ åεªÃ¤Á¤r¦³Îµ¦°µ°µµ¦¸ÉÁµ A ÁnÁ¸¥ª´ ¨µ¦Îµª
Âĵ¦µ¸É 2.9
5,801 1,185
5,187 1,326
·«µÂ¦¨¤
2,598 594
726 1,168
4,000 ./¤
1,436 2,298
4,000 ./¤
1,398 2,236
4,000 ./¤
1,359 2,174
4,000 ./¤ 34.5
32.0
1,305 2,088
28.0
4,000 ./¤
24.0
1,251 2,002 20.0
4,000 ./¤
16.0
1,166 1,866
4,000 ./¤ 12.0
1,081 1,729 8.0
4.0
537 859
A B C
) 媮µ¦³¥³µ¦Ãn´ªµoµ
oµÄÂn¨³¦³´´Ê
°°µµ¦
nµ¦³¥³Ã¥Å®ª¦³®ªnµ´Ê (interstory drift )
°°µµ¦ εªÅoµ
Vi
'i
Ki
Ã¥¸É Ki = 12EIi/hi3
12(2.3 u 10 5 ) ( 20 u 25 3 )
¦´³³Ê¸É 6 - 8, K 3 3 3 ,369 . / ¤ .
( 400 ) 3 12
12(2.3 u 10 5 ) ( 20 u 30 3 )
¦´³³Ê¸É 3 - 6, K 2 3 5 ,822 . / ¤ .
( 400 ) 3 12
12(2.3 u 10 5 ) ( 20 u 40 3 )
¦´³³Ê¸É G - 3, K 1 3 13 ,800 . / ¤ .
( 400 ) 3 12
16.33
1.16
8
15.17
2.27 7
12.90
1.94 6
10.96
2.54 5
8.42
3.12 4 ·«µÂ¦¨¤
5.30
1.55 3
3.75
1.77 2
1.98
1
Gn 16.33
Drift Index ( DI ) 0.0051 ! 0.0025
H 400 u 8
Gn 1.361
Drift Index ( DI ) 0.0004 0.0025
H 400 u 8
L100X100
10
0 H125X125
30 ¤. L1
0 0X (TYPICAL)
P6
P5
14 ¤.
9 @ 2.0 ¤.
TY
0(
10
0 0X
L1
L100X100 (TYP.)
P3
P2
P1
6.0 ¤.
2.0 ¤.
15.0 ¤. 3.5 ¤.
) ¦¼oµ®oµ
) ¦¼oµ
oµ
2.0 m
1.0 m
0.25x0.25m
¦³´·Á·¤
2.0 m 0.7 m
0.3 m
ÁµÁ
Ȥ
µ 0.22x0.22x21.0 m.
3.0 m 뵻 6 o
) ´µ¦µ ) ¦¼´µ¦µ
®µnµÁ}ª·«ª¦¼o°°Âæ¦oµ
°jµ¥¸Ê 媮µ
) Á¤ºÉ°¡·µ¦µÁ¡µ³Ã¦¦oµÂªÂ A 媮µÂ¦¦³Îµµoµ
oµ¸É»¦³´´Ê
°
æÊε¥´jµ¥ (P1-P8)
) ¦ª°ªµ¤¨°£´¥
°Ã¦¦oµjµ¥¤·Ä®o¨o¤Áº°É µÂ¦¨¤ (Stability Against
Overturning) ®µÅ¤n¨°£´¥Á¡¸¥¡° Ä®o°°ÂεªÁµÁ
ȤĮ¤n
ª·¸ µÎ
) µ P = CeCqqsIw
P8 148.96
146.68
P7 144.4
P6 139.84
W br
P5 133.76
P4 127.68
P3 120.0
P2 110.96
P1 101.84
W bo
94.24
Wc
WF
50 100 150
2
A ¦´¨¤ (./¤. )
3.5 ¤.
Wp
) ¦ª°ªµ¤¤´É
°Ã¦¦oµjµ¥
µ¦¦ª°ªµ¤¤´É
°jµ¥¦³ÎµÅoÃ¥µ¦Îµªnµªµ¤¨°£´¥n°
äÁ¤r¸É εĮoÁ·µ¦¡¨·ªÉε
M react
Safety Factor against overturning ( SF )
M act
Ã¥¸É Mact εªµÂ¦¨¤¦³Îµoµ³³¨¤ åεªÃ¤Á¤r¦³Îµ¦°µjµ¥» A
宦´ Mreact 媵Êε®´¦¦»¸É
°Ã¦¦oµjµ¥ åεªÃ¤Á¤r¦³Îµ¦°µ
¸É» A ÁnÁ¸¥ª´ ´¸Ê
Mact = (2,217x20) + (4,332x18) + (4,195x16) + (4,013x14) + (3,830x12)
+ (3,600x10) + (3,329x8) + (1,528x6)
= 363,385 .-¤.
¸É 2 Êε®´¦¦»Â¨³Â¦¨¤ Å¡¼¨¥r {µ³Ã 35
0.25 m
ÁµÁ
Ȥ¸ÉÁ¡·É¤
¹Ê 0.75 m
2.0 m
0.75 m
0.25 m
3.0 m
เปลือกโลกประกอบด้ วยแผ่นพืนหินขนาดใหญ่หลายแผ่นห่อหุ้มหินหลอมเหลวภายใน
ทียังร้ อนระอุอยู่ แผ่นหิน (Plates) เหล่านีมีการเคลือนทีอย่างช้ าๆ ตลอดเวลาในอัตราความเร็วที
แตกต่างกันด้ วยแรงดันจากการไหลตัวของหินหลอมเหลวภายใต้ แผ่น การเคลือนตัวของแผ่นหิน
จะก่อให้ เกิดแรงอัดมหาศาลสะสมบริเวณรอยต่อของเปลือกโลก อันเนืองมาจากอัตราการเคลือน
ตัวทีไม่เท่ากัน เมือแรงอัดสะสมในบริเวณรอยต่อนันมากขึนเรื อยๆถึงจุดหนึงทีเนือหินรับไม่ได้ จะ
เกิดการแตกประลัยขึนตามแนวรอยเลือน โดยปลดปล่อยพลังงานออกมา (strain energy) จาก
แหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวซึงเรี ยกว่า โฟกัส (focus หรื อ hypocenter) ในทุกทิศทางโดยส่งเป็ น
คลืนแผ่นดินไหว (ดูรูปที 3.1-3.3 ประกอบ) ซึงแบ่งออกเป็ น 3 ชนิด คือ
1) P-Wave(Primary Wave)คลืนนีเดินทางมาถึงก่อนและกระทําในทิศทางเดียวกับการเคลือนที
ของคลืนในลักษณะกลับไป-มาทําให้ เกิดแรงอัดในตัวกลางทีคลืนเดินทางผ่านเป็ นระลอกๆ
2) S-Wave (Secondary Wave หรื อ Shear Wave)กระทําในทิศทางตังฉากกับการเคลือนทีของ
คลืนในลักษณะกลับไป-มา เช่นกัน ทําให้ เกิดแรงเฉือนในตัวกลางทีคลืนเดินทางผ่าน คลืน S-
Waveนีแบ่งออกเป็ น2ทิศทางคือการเคลือนทีในแนวดิงและแนวราบ คลืนชนิดนีปล่อยพลังงาน
ออกมามากกว่าจึงมีผลทําให้ โครงสร้ างอาคารเกิดความเสียหายได้ มากกว่าคลืนชนิดแรก
3) Surface Wave อาจเรี ยกว่า Rayleigh Wave หรื อ Love Wave คลืนชนิดนีมีลกั ษณะการ
เคลือนทีคล้ ายกับ S-Wave แต่เคลือนทีบนผิวของตัวกลางเท่านัน
ศูนย์กลางแผ่นดิ นไหว
ระยะศูนย์กลางแผ่นดิ นไหว
ve คลืนแผ่นดิ นไหว
a ชันดิ นอ่อน
นื S-W
ล
คล
ค
นื P
-W
a ve
แรงอัด
แรงคลาย
(a) P-Wave
ความยาวคลืน
(b) S-Wave
ตารางที 3.1 มาตรวัดปรับปรุ งใหม่ Modified Mercalli Intensity สําหรับปี ค.ศ. 1931 (ต่ อ)
XI โครงสร้ างทียังคงเหลืออยูม่ ีน้อย; สะพานถูกทําลาย; พืนดินมีรอยแตกแยกกว้ าง
เส้ นท่อใต้ ดินใช้ การไม่ได้ หมด; สําหรับดินอ่อน มีการทลายลง และเลือนตัว
รางรถมีการโก่งงออย่างมาก
XII เสียหายทังหมด งานก่อสร้ างทังหมดถูกทําลายเสียหายอย่างรุนแรง;
พืนผิวดินเกิดโก่งตัวเป็ นคลืน เส้ นทางคมนาคมถูกทําลาย วัสดุถกู ดีดขึนบนอากาศ
ง) Moment Magnitude, Mw
สําหรับแผ่นดินไหวทีมีขนาดใหญ่มากๆ การวัดขนาดของแผ่นดินไหวดังกล่าวข้ างต้ นจะมี
ข้ อจํากัด เช่น ML และ Mb จะวัดค่าได้ ไม่เกิน 6 และ 7 ตามลําดับ ส่วน Ms จะวัดได้ ไม่เกิน 8 ถ้ า
แผ่นดินไหวทีมีขนาดใหญ่มากเกินกว่านี นิยมใช้ Moment Magnitude, Mw เป็ นค่าทีวัดขนาด
แผ่นดินไหวทีน่าเชือถือกว่าวิธีอืน ค่า Moment Magnitude คํานวณได้ จาก
log M 0
Mw 10.7
1.5
ความเสียหายของอาคารเนืองจากแรงแผ่นดินไหวมิได้ ขนอยู
ึ ก่ บั ขนาดของแผ่นดินไหว
อย่างเดียว องค์ประกอบสําคัญทีมีผลกระทบต่อความเสียหายของอาคาร ได้ แก่
ก) ลักษณะของคลืนแผ่นดินไหว (Earthquake Characteristics) ได้ แก่ ค่าอัตราเร่ง
สูงสุดของพืนดิน ระยะเวลาของการสันรุนแรงของพืนดิน และคาบเวลาการสันสําคัญ
ของพืนดิน เป็ นต้ น
ข) ลักษณะของสถานทีเกิดแผ่นดินไหว (Site Characteristics) ได้ แก่ ระยะห่างระหว่าง
ศูนย์กลางแผ่นดินไหวไปยังสถานทีตังของโครงสร้ างอาคาร สภาพชันดินของสถาน
ทีตังของโครงสร้ างอาคาร และคาบการสันตามธรรมชาติของสถานทีตังนัน เป็ นต้ น
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 43
0.40
Acceleration, g
0.00
Time, sec
-0.40 PGA = 0.319g
รูปที 3.4 คลืนแผ่ นดินไหวของ El Centro ground motion (1940) (Panyakapo P., 1999)
S
td
³ u (t )dt
2
Ia = g (3.5)
2g 0
โดยทัวไป ความรุนแรงของแผ่นดินไหวจะลดทอนลงตามระยะห่างจากศูนย์กลางของ
แผ่นดินไหว ซึงแสดงด้ วยค่าอัตราเร่งสูงสุดของพืนดิน (PGA) ทีบันทึกได้ ค่าอัตราเร่งสูงสุดของ
พืนดินอาจคํานวณได้ จาก Attenuation Model ของ Esteva L. และ Villaverde, R. (1973)
5, 600e0.8M
PGA (3.6)
( Re 40)2
ค) คาบการสันตามธรรมชาติของสถานทีตังของอาคาร
(Natural Period of Site)
คาบการสันตามธรรมชาติของสภาพชันดินอ่อนอาจคํานวณได้ จาก
4H
Ts (3.7)
Vs
โดยที Ts คือ คาบการสันตามธรรมชาติของชันดินอ่อน, วินาที
Hs คือ ความลึกของชันดินอ่อน, เมตร
Vs คือ ความเร็ วของคลืน S – Wave (หรื อ Shear Wave), เมตร/วินาที
ในกรณีทีคาบเวลาการสันสําคัญของพืนดินเนืองจากแรงแผ่นดินไหว สอดคล้ องกับคาบการสันตาม
ธรรมชาติของชันดิน จะทําให้ พืนดินเกิดการสันอย่างรุนแรง ปรากฏการณ์นีเรี ยกว่า กํา ทอน
(Resonance) ดังนัน อาคารอาจได้ รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมากกว่าทีคาดไว้ ได้ เหตุการณ์
แผ่นดินไหวทีประเทศเม็กซิโกปี ค.ศ. 1985 แสดงให้ เห็นผลของปรากฏการณ์นีอย่างชัดเจน นันคือ
คลืนแผ่นดินไหวขนาด PGA = 0.17g มีคาบเวลาการสันสําคัญของพืนดินเท่ากับ 2 วินาที ซึง
สอดคล้ องกันกับคาบการสันตามธรรมชาติของชันดินอ่อนซึงมีคา่ ประมาณ 2 วินาทีเช่นกัน ทําให้ เกิด
ความเสียหายกับอาคารซึงมีความสูงในช่วง 7 – 20 ชัน จํานวน 400 หลังถูกทําลายและเสียหายอีก
700 หลัง
48 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว
การเคลือนที
คาบการสันครบ รอบ,
Tn = 1/fn
เวลา
60 Story
120 m steel Bldg
R . C . Dam 250 m
26 Story R .C.
steel Bldg Stack
R . C . Nuclear
Reactor 3 Story Bldg
N
Tn (3.9)
Sn
C
[ (3.10)
C cr
um
P (3.12)
uy
52 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว
กําลังต้ านทาน
fy
k
1
การเปลียนตําแหน่ง
uy um
- fy
รูปที 3.9 ความสัมพันธ์ ระหว่ างแรงและการเปลียนตําแหน่ งแบบ Elastic Perfectly Plastic (EPP)
c
k/2 k/2
ug
2
u 2[Znu Z n u ug (3.13)
uo uo
m fso m
=
c h c
k/2 k/2 k/2 k/2
.. Vb
ug
Mb
ก) แรงกระทําแบบจลน์ ข) แรงกระทําแบบสถิตย์
Vb
A
W
(3.16)
g
Mb = Vbh (3.17)
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 55
6.00
Mean
Mean + 1SD
UBC-S1
Base Shear Coefficient, A/g
4.00
2.00
0.00
0.00 1.00 2.00 3.00
รูปที 3.12 กราฟของสเปคตรัมของอัตราเร่ งตอบสนอง Period, sec
สําหรับคลืนทีบันทึกบนชันหินและชันดินแข็งมาก (38 คลืน)
(Panyakapo P., 1999)
2.0 ม.
0.15 ม.
B B
รูปตัด B-B
0.80 ม.
6.0 ม.
A A รูปตัด A-A
กําหนดให้
f cc 250 กก . / ซม .2
กราฟการคํานวณแรงเฉือนทีฐานใช้ คา่ สัมประสิทธิแรงเฉือน ( C ) ตาม UBC-1994
1.25 S
C 2
T 3
โดยที S = 1.0 สําหรับสภาพดินประเภท S1 (ดินแข็งมาก)
และ C มีคา่ ไม่เกิน 2.75
วิธีทาํ
คํานวณค่า Inertia, I ของเสา จาก
S D4 S (80)4
I 2.01u106 ซม.4
64 64
Ec 4, 270w1.5 fcc 4, 270(2.4)1.5 250 2.51u105 กก./ซม.2
คํานวณค่าสติฟเนสของเสาจาก
3Ec I 3(2.51x105 )(981)(2.01x106 )
k 6.87 u106 นิวตัน/ซม.
h3 (600)3
คํานวณมวลของถังนํา โดยแบ่งออกเป็ น 2 กรณี คือ
ก) กรณีทีมีนําในถังเต็มทีระดับนําสูงสุด
นําหนักของนําในถัง
S D2 S (2.70)2
Ww H 2.0 u1, 000 11, 451 กก.
4 4
นําหนักของถังคอนกรี ตเสริมเหล็ก
S D
2
H
Wc [2S rtH S (ro 2 ri 2 ) t ] u 2, 400
3 4
S 3
2 2 2
2.85 1 § 3.0 · § 2.70 ·
[2S u u 0.15 u 2.0 S (¨ ¸ ¨ ¸ ) 0.15 ] u 2, 400
2 3 © 2 ¹ © 2 ¹ 4
10,066 กก.
มวลของถังนํา = Ww + Wc = 11,451+ 10,066 = 21,517 กก.
คํานวณความถีเชิงมุมธรรมชาติ Zn
Zn k m 6.87 u106 21,517 17.87 เรดียน/วินาที
คํานวณคาบการสันตามธรรมชาติ Tn
2S 2S
Tn 0.35 วินาที
Zn 17.87
58 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว
ข) กรณีทีไม่มีนําในถัง
มวลของถังนํา = Wc = 10,066 กก.
คํานวณความถีเชิงมุมธรรมชาติ Zn
Zn k m 6.87 u106 10,066 26.12 เรเดียน/วินาที
คํานวณคาบการสันตามธรรมชาติ Tn
2S 2S
Tn 0.24 วินาที
Zn 26.12
จากกราฟการออกแบบโครงสร้ างในช่วงยืดหยุน่ สําหรับชันดินแข็งมาก เขียนค่าของ Tn = 0.24, 0.35
เพือหาค่าของสัมประสิทธิของแรงเฉือน ดังแสดงในรู ปที 3.14 จะได้ คา่ A/g = 2.75 และ 2.30
ตามลําดับ
3.00
2.75
2.30
Base Shear Coefficient, A/g
2.00 UBC-S1
1.00
0.00
0.2 0.3 0.4
0.00 1.00 2.00 3.00
Period, sec
รูปที 3.14 กราฟของการออกแบบโครงสร้ างในช่ วงยืดหยุ่น
สําหรับชันดินแข็งมาก
บทที 3 แรงแผ่นดิ นไหว ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 59
(ก) การโก่ งตัวของโครงสร้ างอาคารรั บนํ้าหนักบรรทุกปกติ (ข) การโก่ งตัวของโครงสร้ างอาคารรั บนํ้าหนักบรรทุกปกติและแรงลม
P1 P2
P1 V1 V2 P2 V3
V1 M M2 M3
1 V2 V3
V1+ P1 P2+ V2+ V3
ข้ อต่อภายนอก ข้ อต่อภายใน
(ค) รู ปอิ สระแสดงแรงภายในโครงสร้ าง
4.2 พฤติกรรมของเสา
4.2.1 ความชะลูดของเสา
P
P
'
M M
' + =
M
M
M P' Mi M P'
P P
กําแพงรั บแรงเฉือน
lc 4.00 m
ชันที
'o 2.0 cm
A B C
วิธีทาํ จาก Q
¦ Pu 'o
Vu lc
(90, 000 135, 000 80, 000) u 2.0
3, 000 4,500 2, 250 u 400
0.156 ! 0.05 โครงอาคารในชันนีเป็ นแบบโครงไม่คายั
ํ น
ความยาวประสิทธิผลของเสาขึนอยู่กบั ลักษณะการคํายันของโครงอาคารและค่าความ
แข็งเชิงดัดของคาน ในขณะทีเสามีการโก่งตัวจากแรงกระทํา คานจะหมุนตัวตามไปด้ วยเนืองจาก
การยึดระหว่างคานและเสา ในกรณีทีคานมีความแข็งมากและไม่หมุนตัวไปตามเสา ลักษณะ
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
P P
a a
b b
(a) (b)
รูปที 4.5 แผนภาพการหาตัวคูณความยาวประสิทธิผล (a) โครงคํายัน (b) โครงไม่ คายั
ํ น
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
4.4 การจําแนกประเภทของเสา
ข. จําแนกเป็ นเสายาว
klu
เมือค่าอัตราส่วนความชะลูดประสิทธิผล เกินกว่าค่าในสมการ 4.4ก-ข ซึงค่าโมเมนต์
r
ลําดับสองมีคา่ มาก จึงต้ องนํามาคํานวณด้ วย
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
a
9.0 ม. 7.5 ม.
คํานวณค่าอัตราส่วนสติฟเนสของเสาและคาน จาก \ ¦ Ec Ic Lc ¦ Ic Lc
¦ Eg I g Lg ¦ Ig Lg
30 40
3
I ab 0.7 112, 000 ซม.3
12
30 35
3
Ibc 0.7 75, 031.25 ซม.3
12
30 60
3
Ig 0.35 189, 000 ซม.3
12
75, 031.25 400
ทีจุด c \c 0.406
189, 000 900 189, 000 750
ทีจุด b \b
75, 031.25 400 112, 000 450 0.945
189, 000 900 189, 000 750
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
สําหรับเสาปลอกเดียว
I Pn
0.8I ª0.85 fcc Ag Ast f y Ast º
¬ ¼
(4.5ก)
เมือ I คือ ตัวคูณลดกําลังสําหรับเสาปลอกเดียว 0.7
สําหรับเสาปลอกเกลียว
I Pn
0.85I ª0.85 fcc Ag Ast f y Ast º
¬ ¼ (4.5ข)
เมือ I คือ ตัวคูณลดกําลังสําหรับเสาปลอกเดียว 0.75
f cc , f y คือ กําลังอัดประลัยของคอนกรี ตและกําลังครากของเหล็กเริ ม ตามลําดับ
Ag , Ast คือ พืนทีหน้ าตัดของเสาคอนกรี ตและเหล็กเสริ ม ตามลําดับ
ข้ อกําหนดของรายละเอียดการเสริมเหล็ก
x ปริมาณเหล็กเสริมตามยาว 0.01 d U g d 0.08
x ระยะห่างสุทธิระหว่างเหล็กเสริมตามยาวไม่น้อยกว่า 1.5dbl หรื อ 3.8 ซม.
Smax d 16dbl
x ระยะห่างของเหล็กปลอก d 48dbt
db
เมือ Ug คือ อัตราส่วนระหว่างพืนทีหน้ าตัดเหล็กเสริมและหน้ าตัดเสาคอนกรี ต
dbl , dbt คือ ขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริ มตามยาวและเหล็กปลอก ตามลําดับ
b คือ ด้ านแคบของเสา
x ในกรณีที I Pn Pu ! 2 ให้ คํานวณปริ มาณเหล็กเสริ มจาก Ast (min.)
0.01 Ag 2
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
I Pn , I M n bc
I Pn,max. จุดสมดุล f s fy
c Hy 0.002
cc
ช่วงการออกแบบ
ด้วยแรงดึง
d Hc 0.003
dc
พิ กัดการควบคุมด้ วยแรงดึง
กํา ลังรับโมเมนต์ดดั ของเสา M n , I M n Hy 0.005
รูปที 4.7 กราฟ M P Interaction Diagram
ตัวอย่ าง 4.3 อาคารหลังหนึงมีโครงสร้ างเป็ นโครงข้ อแข็งสูง 4 ชัน แต่ละชันสูง 3.3 เมตร จากการ
ตรวจสอบค่าดัชนีความมันคงของโครงสร้ างพบว่าโครงสร้ างนีเป็ นโครงอาคารแบบไม่เซ
จงออกแบบเสาอาคารในระดับชันล่าง ab
กําหนดให้ เสามีขนาด 30x40 ซม.
ค่าตัวคูณความยาวประสิทธิผล k 0.8 สําหรับการโก่งในระนาบ xz ของโครงอาคาร
k 0.75 สําหรับการโก่งในระนาบ yz ของโครงอาคาร
โมเมนต์ในระนาบ xz แสดงในรูป ข. ส่วนโมเมนต์ในระนาบ yz เป็ นศูนย์
2 2
fcc 280 กก./ซม. f y 4, 200 กก./ซม.
Pu 150 Tons
Vu Mu 15 T m 15 T m
b
4@3.3 m=13.2m
b
z
a
y
a Vu
M u 13.5 T m 13.5 T m
x
Pu 150 Tons
(ก) โครงอาคารแบบข้ อแข็ ง (ข) แรงภายในเสา ab (ค) โมเมนต์ของเสา ab
รูปที 4.20 โครงอาคารตัวอย่ างสูง 4 ชัน
kl 0.75 u 330
ค่าความชะลูดของเสาในระนาบ yz 27.5
r 0.3 30
kl
ดังนันเสาในระนาบ yz 27.5 34 12 0 34 จัดเป็ นเสาสัน
r
คํานวณค่าในM-P Diagram โดยกําหนดให้ I Pn Pu
I Pn Pu 150
0.125 ตัน/ซม.2
Ag Ag 30 u 40
0.125 u14.22 1.78 ksi
Mu 15
e 0.10 ม.
Pu 150
I Pn e 0.10
1.78 0.445
Ag h 0.40
ใช้ เหล็กเสริมเพียง 2 ด้ าน คํานวณ J h 40 2(5) 30 ซม. ดังนัน J 30 40 0.75
จาก M-P Diagram รูปที 4.14 U g 0.02
4.7 การออกแบบเสายาว
เนืองจากในพฤติกรรมของเสายาว โมเมนต์จะคํานวณจากผลรวมของโมเมนต์หลักทีปลาย
เสาและโมเมนต์ลําดับสอง จากผลกระทบของ P' ทําให้ โมเมนต์รวมมีการเพิมค่าขึนมา เรี ยกว่า
การขยายกําลังโมเมนต์ ในการคํานวณการขยายกําลังโมเมนต์นี จะแยกออกเป็ น 2 กรณี คือ เสา
ในโครงไม่มีการโยกตัวและเสาในโครงมีการโยกตัว ดังนี
โมเมนต์รวมคํานวณจาก
Mc G ns M 2 (4.6)
เมือ M c คือ โมเมนต์รวมจากการขยายกําลังโมเมนต์
M 2 คือ ค่าโมเมนต์ปลายเสาทีมากกว่าระหว่างปลายสองด้ าน
M 2,min. Pu (1.5 0.03h) (4.7)
โดยที h มีหน่วยเป็ น ซม.
G ns คือ ตัวคูณการขยายกําลัง
Cm
G ns t 1 (4.8)
1 Pu 0.75 Pc
S 2 EI
Pc (4.9)
klu 2
Ec I g / 2.5
EI (4.10)
1 Ed
โดยที E d คือ อัตราส่วนระหว่างนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกทังหมด
ยกเว้ น สําหรับในโครงทีโยกตัวได้ และแรงกระทําด้ านข้ างเป็ นแรงลม
หรื อแรงแผ่นดินไหวซึงกระทําในช่วงสันๆ กําหนดให้ คา่ Ed 0
M1
Cm 0.6 0.4 (4.11)
M2
t 0.4 สําหรับเสาทีไม่มีแรงกระทําในแนวราบระหว่างปลายทังสอง
1.0 สําหรับเสาทีมีแรงกระทําในแนวราบระหว่างปลายทังสอง
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
2 M2 2
2 2
1 1
1 M1 1
2 M2 2 M2
2 2
1 1
1 M1 1 M2
M1
2
2 2 M2
2 2
1.0 0.6
M2
1 1
1 1
ตัวอย่ าง 4.4 อาคารหลังหนึงมีโครงสร้ างเป็ นโครงข้ อแข็งสูง 4 ชัน ชันล่างสูง 6.0 เมตร ตังแต่ชนั
สองขึนไปสูงชันละ 4.0 เมตร จากการตรวจสอบค่าดัชนีความมันคงของโครงสร้ างพบว่าโครงสร้ าง
นีเป็ นโครงอาคารแบบไม่เซ
จงออกแบบเสาอาคารในระดับชันล่าง ab
กําหนดให้ เสามีขนาด 30x45 ซม.
ค่าตัวคูณความยาวประสิทธิผล k 0.9 สําหรับการดัดรอบแกน y
k 0.85 สําหรับการดัดรอบแกน x
โมเมนต์ดดั รอบแกน y แสดงในรูป ข. ส่วนโมเมนต์ดดั รอบแกน x เป็ นศูนย์
2 2 2
fcc 280 กก./ซม. f y 4, 200 กก./ซม. Ec 2.2 u105 กก./ซม. Ed 0.6
Pu 240 Tons
3@4.0 m=12.0m
Vu Mu 8T m
b
y
b z
30 x
6.0 m
y
45
a a Vu
x
M u 1.35 T m
Pu 240 Tons
(ก) โครงอาคารแบบข้ อแข็ ง (ข) แรงภายในเสา ab (ค) โมเมนต์ของเสา ab
รูปที 4.22 โครงอาคารตัวอย่ างแบบโครงข้ อแข็งสูง 4 ชัน
kl
ดังนันเสาในระนาบ xz 40 ! 34 12 0.17 36.04 จัดเป็ นเสายาว
r
ค่าความชะลูดของเสาสําหรับการดัดรอบแกน x
kl 0.85 u 600
56.67
r 0.3 30
kl
ดังนันเสาในระนาบ yz 56.67 ! 34 12 0 34 จัดเป็ นเสายาว
r
สําหรับการดัดรอบแกน y
ออกแบบเป็ นเสายาว โดยมี M1 1.35 T m M2 8.0 T m
ตรวจสอบค่าโมเมนต์น้อยทีสุด
M 2,min. Pu (1.5 0.03h) 240 1.5 0.03 u 45 /100 6.84 T m
M2 8.0 T m ! 6.84 T m ใช้ คา่ M2 8.0 T m
คํานวณ Mc G ns M 2
Cm
G ns t 1
1 Pu 0.75Pc
M1 1.35
Cm 0.6 0.4 0.6 0.4 0.533 ! 0.4 ใช้ ได้
M2 8.0
S 2 EI S 2 Ec I g / 2.5(1 E d )
Pc
klu 2 klu 2
ªS 2 2.2 u105 227,812.5 º / 2.5 1 0.6
¬ ¼
0.9 u 600 2
424.08 ตัน
Cm 0.533
G ns 2.17 > 1.0 ใช้ ได้
1 Pu 0.75Pc 1 240 0.75 u 424.08
Mc G ns M 2 2.17 u 8.0 17.36 ตัน-เมตร
สําหรับการดัดรอบแกน x
เนืองจาก M u 0 จึงใช้ emin. ในการคํานวณโมเมนต์ทีใช้ ออกแบบ
M 2,min. Pu 1.5 0.03h 240 1.5 0.03 u 20 5.76 ตัน-ม.
คํานวณ M c G ns M 2
Cm
G ns t 1
1 Pu 0.75Pc
M1
Cm 0.6 0.4
M2
เนืองจาก M1 M2 0 จึงใช้ M1 M 2 1
ดังนัน Cm 0.6 0.4 1
S 2 EI S 2 Ec I g / 2.5(1 E d )
Pc
klu 2 klu 2
ªS 2 2.2 u105 101, 250 º / 2.5 1 0.6
¬ ¼
0.85 u 600 2
211.31 ตัน
Cm 1
G ns 1.944 < 1.0 ใช้ 1.0
1 Pu 0.75 Pc 1 240 0.75 u 211.31
Mc G ns M 2 1.0 u 5.76 5.76 ตัน-เมตร
คํานวณค่าในM-P Diagram โดยกําหนดให้ I Pn Pu 240
I Pn Pu 240
0.178 ตัน/ซม.2
Ag Ag 30 u 45
0.178 u14.22 2.53 ksi
Mc 5.76 u100
e 2.40 ซม.
Pu 240
I Pn e 2.40
2.53 0.20 ksi
Ag h 30
ใช้ เหล็กเสริมเพียง 2 ด้ าน คํานวณ J h 30 2(6) 18 ซม. ดังนัน J 18 30 0.60
จาก M-P Diagram รูปที 4.13 U g 0.018
4.7.2 เสาในโครงมีการโยกตัว
ในการคํานวณโมเมนต์สําหรับเสายาวทีมีการโยกตัว ค่าโมเมนต์ทีปลายเสาทังสองด้ าน
คํานวณจาก
M1 M1ns G s M1s (4.12a)
M2 M 2ns G s M 2s (4.12b)
เมือ M1 คือ ค่าโมเมนต์ปลายเสาทีน้ อยกว่า มีคา่ บวกเมือเสามีการโก่งทางเดียว
และมีคา่ เป็ นลบเมือเสามีการโก่งสองทาง
M2 คือ ค่าโมเมนต์ปลายเสาทีมากกว่า มีคา่ เป็ นบวกเสมอ
M1ns และ M 2ns คือ ค่าโมเมนต์ในโครงทีไม่มีการโยกตัว (nonsway moment) คํานวณจาก
นําหนักบรรทุกปกติ การวิเคราะห์โครงอาคารแบบยืดหยุน่ ระดับทีหนึง
M1s และ M 2s คือ ค่าโมเมนต์ในโครงทีมีการโยกตัว (sway moment) คํานวณจากแรง
กระทําทางด้ านข้ างทีทําให้ เกิดการโยกตัว
Gs คือ ตัวคูณการขยายกําลังจากการโยกตัว
1
Gs , G s d 1.5 (4.13a)
1 Q
เมือ Q ¦ Pu 'o Vu lc ถ้ าหากค่า G s > 1.5 จะต้ องคํานวณค่า G s จาก
1
Gs (4.13b)
1 ¦ Pu / 0.75¦ Pc
โดยที 1 d G s d 2.5
เมือ ¦ Pu คือ ผลรวมของนําหนักบรรทุกลงสูเ่ สาในชันหนึง
¦ Pc คือ ผลรวมของกําลังรับนําหนักของเสาในชันหนึงคํานวณจากสมการ 4.9
ในกรณีทีเสายาวและมีนําหนักบรรทุกสูง ทําให้ คา่ โมเมนต์สงู สุดไม่เกิดขึนทีปลายเสา ซึงจะเกิดขึน
เมือตรวจสอบจาก
lu 35
! (4.14)
r Pu fcc Ag
สําหรับกรณีนี ให้ คํานวณค่าโมเมนต์รวมจาก
Mc G ns M 2ns G s M 2s (4.15)
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
5 +16.00
4 +12.50
3 +9.00
b 2 +5.50
a G 0.00
B -3.50
M D (T m) M L (T m) M w (T m)
Roof
5 15 18 0.08
4 32 40 0.23
3 47 59 0.47
2 62 78 0.78
G 75 95 1.20
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
วิธีทาํ
พิจารณาการรวมนําหนักบรรทุก 3 แบบตามข้ อกําหนด ACI318-99 คือ
กรณีที 1 DL+LL U = 1.4DL+1.7LL
กรณีที 2 DL+LL+WL U = 0.75(1.4DL+1.7LL+1.7W)
= 1.05DL+1.275LL+1.275WL
กรณีที 3 DL+WL U = 0.9DL+1.3WL
กรณีที 1 DL+LL
โดยทัวไป ค่าการโก่งตัวของเสาอาคารเนืองจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร จะมีคา่
น้ อยมาก ยกเว้ นในกรณีทีอาคารมีความสูงมาก จนต้ องตรวจสอบค่าการโก่งตัว ดังนัน ในกรณีนี
จะถือว่า โครงอาคารเป็ นแบบไม่โยกตัว (nonsway frame)
ตรวจสอบความชะลูดของเสาว่าเป็ นเสาสันหรื อเสายาว
klu M1
จาก d 34 12
r M2
เนืองจาก M1 M 2 (6.2 6.8) (6.2 6.8) 1.0 0.5 ใช้ 0.5
klu
ดังนัน 34 12 0.5 40
r
คํานวณค่าอัตราส่วนสติฟเนสของเสาและคาน จาก \ ¦ Ec Ic Lc ¦ Ic Lc
¦ Eg I g Lg ¦ Ig Lg
55 55
3
Ic 0.7 533, 786 ซม.3
12
45 75
3
Ig 0.35 553, 711 ซม.3
12
ทีจุด a \a
533, 786 350 533, 786 550 4.21
553, 711 900
ทีจุด b \b
533, 786 550 533, 786 350 4.21
553, 711 900
จากรูปที 4.5 แผนภาพการหาตัวคูณความยาวประสิทธิผล k 0.92
0.92 550 75
ดังนัน klu 26.48 40
r 0.3 u 55
จึงจําแนกประเภทของเสา ab ว่าเป็ นเสาสันแบบไม่โยกตัว
Pu 1.4PD 1.7 PL 1.4 75 1.7 95 266.5 ตัน
Mu 1.4M D 1.7M L 1.4 6.2 1.7 6.8 20.24 ตัน-เมตร
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
กรณีที 2 DL+LL+WL
ตรวจสอบว่าโครงอาคารเป็ นแบบโยกตัวหรื อไม่ จาก
ค่าดัชนีความมันคง Q ¦ Pu 'o d 0.05
Vu lc
4,800 u1.1
0.113 ! 0.05 โครงอาคารโยกตัว
85 u 550
ตรวจสอบความชะลูดของเสาว่าเป็ นเสาสันหรื อเสายาว
klu
จาก d 22
r
จากรูปที 4.5 แผนภาพการหาตัวคูณความยาวประสิทธิผล เมือ \ a ,\ b 4.21 , k 2.1
2.1 550 75
ดังนัน klu 60.45 ! 22
r 0.3 u 55
จึงจําแนกประเภทของเสา ab ว่าเป็ นเสายาวแบบมีการโยกตัว
คํานวณโมเมนต์จาก M 2 M 2ns G s M 2s
M 2ns 1.05M D 1.275M L
1.05 6.2 1.275 6.8 15.18 ตัน-เมตร
1
Gs , G s d 1.5
1 Q
4,800 u1.1
เมือ Q ¦ Pu 'o Vulc 85 u 550
0.113
1 1
Gs 1.127 1.5 ใช้ ได้
1 Q 1 0.113
M 2s 1.275M w 1.275 32.7 41.69 ตัน-เมตร
ดังนัน M2 15.18 1.127 41.69 62.16 ตัน-เมตร
Pu 1.05PD 1.275PL 1.275Pw
1.05 75 1.275 95 1.275 1.2
201.41 ตัน
ตรวจสอบ กรณีที ค่าโมเมนต์สงู สุดไม่เกิดขึนทีปลายเสา จาก
lu 35
!
r Pu fcc Ag
lu 550 75
28.8
r 0.3 55
35 35
71.77
Pu fcc Ag
201, 410 / 280 u 552
ดังนัน ค่าโมเมนต์สงู สุดเกิดขึนทีปลายเสา
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
กรณีที 3 DL+WL
ใช้ ผลการคํานวณจากกรณีที 2 จะได้ วา่ เสา ab เป็ นเสายาวแบบมีการโยกตัว
คํานวณโมเมนต์จาก M 2 M 2ns G s M 2s
M 2ns 0.9M D
0.9 6.2 5.58 ตัน-เมตร
จากผลการคํานวณกรณีที 2 Gs 1.127
M 2s 1.3M w 1.3 32.7 42.51 ตัน-เมตร
ดังนัน M2 5.58 1.127 42.51 53.49 ตัน-เมตร
Pu 0.9PD 1.3Pw
0.9 75 1.3 1.2
69.06 ตัน
สรุปผลการคํานวณค่า Pu , M u จากทัง 3 กรณี ได้ ดงั นี
กรณีที 1 DL+LL Pu 266.5 ตัน Mu 20.24 ตัน-เมตร
กรณีที 2 DL+LL+WL Pu 201.41 ตัน Mu 62.16 ตัน-เมตร
กรณีที 3 DL+WL Pu 69.06 ตัน Mu 53.49 ตัน-เมตร
เนืองจากกรณีที 3 ค่า Pu , M u น้ อยกว่ากรณีที 2 จึงตัดกรณีที 3 ออกไป ดังนันจึงเหลือการคํานวณ
เปรี ยบเทียบระหว่างกรณีที 1 และ 2
คํานวณปริมาณเหล็กเสริมสําหรับกรณีที 2 DL+LL+WL
คํานวณค่าในM-P Diagram โดยกําหนดให้ I Pn Pu
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 4 การออกแบบเสาอาคาร
I Pn Pu 201.41
0.066 ตัน/ซม.2
Ag Ag 55 u 55
0.066 u14.22 0.94 ksi
Mu 62.16
e 0.309 ม.
Pu 201.41
I Pn e 0.309
0.94 0.53 ksi
Ag h 0.55
ใช้ เหล็กเสริม 4 ด้ าน คํานวณ J h 55 2(7) 41 ซม. ดังนัน J 41 55 0.75
จาก M-P Diagram รูปที 4.10 U g 0.025
เหล็กยื น 16DB25
55 ซม.
เหล็กปลอก 3RB9@0.40m
¸É 5
µ¦°°ÂÂn¡ºÊ Ŧoµ
5.1 µ¦Îµª°°ÂÂn¡ºÊ
ĸʳ¨nµª¹µ¦°°ÂÂn¡ºÊÃ¥ÁoÁ¡µ³Ân¡ºÊŦoµ Ã¥Äo
¤µ¦µ ACI ¹ÉÁ°ª·¸µ¦Îµª°°ÂÂn¡ºÊ 2 ª·¸º°
) ª·¸Îµª°°ÂÃ¥¦ (Direct Design Method) Á}ª·¸µ¦Îµª°°Â
Ã¥µ¦Äonµ´¤¦³··Í
°Ã¤Á¤r¤µÎµª®µÃ¥¦ Ã¥¸ÉÂn¡ºÊ ´Ê ³o°¤¸
»¤´·µ¤
o°Îµ®
°¤µ¦µ ACI 318-99
) ª·¸Ã¦
o°Â
ÈÁ¸¥Ánµ (Equivalent Frame Method) Á}ª·¸µ¦Îµª°°Â
Ã¥¡·µ¦µ¡§·¦¦¤Ã¦¦oµÄnª¥º®¥»n ª·¸µ¦¸ÊÄo´Ã¦¦oµ°µµ¦Åo°¥nµ
ªoµ
ªµªnµª·¸Â¦ ÁºÉ°µµ¦ÎµªÃ¥ª·¸Â¦¤¸
o°Îµ´¸ªÉ µn Ân¡ºÊ ³o°¤¸
»¤´·µ¤
o°Îµ®
°¤µ¦µ ACI ´´Êª·¸¸É 2 ¹Éµ¤µ¦Îµª°°ÂÂn
¡ºÊÅo åŤn¤¸
o°Îµ´´¨nµª ¹Á®¤µ³¤¸É³Äo¤µªnµ ĸʳÅo¨nµª¹ª·¸µ¦¸Ê
Ã¥¨³Á°¸¥n°Å
ªµ¤®µ
°Ân¡ºÊ
ĵ¦°°ÂÂn¡ºÊ ³o°¤¸µ¦ª»¤¤·Ä®o¡ºÊ¤¸µn µ¦Ãn´ª¤µÁ·Å
¤µ¦µ ACI 318-99 ¹Åo宪µ¤®µÉε»
°Ân¡ºÊ Ūo Á¡ºÉ°Á}µ¦³ªÎµ®¦´
ª·«ª¦¼o°°Â oµ®µÄonµªµ¤®µµ¤¸Éε®È³ª»¤nµµ¦Ãn´ªÅo nµªµ¤
®µÉε»
°¦³Ân¡ºÊ Ŧoµ Âĵ¦µ¸É 5.1
/6 /6
( in each direction )
h 1.25 h
嬵
l1
æ
o°Â
ÈÁ¸¥Ánµ æ
o°Â
ÈÁ¸¥Ánµ
nªÄ nª°
) µ¦Ân¡ºÊ宦´ l2 < l 1
l2 l2
l2 /2 l2 /2 l2 /2
l1 /4 l1 /4 l1 /4
ÂÁµnªÄ
ÂÁµnª°
嬵
l1
æ
o°Â
ÈÁ¸¥Ánµ æ
o°Â
ÈÁ¸¥Ánµ
nªÄ nª°
) µ¦Ân¡ºÊ宦´ l2 > l 1
ª·¸µ¦Îµª°°Âæ
o°Â
ÈÁ¸¥ÁnµÎµ®¦´Ân¡ºÊ Á¡ºÉ°¦´Êε®´¦¦»
Á}µ¦Â¨¦³Ã¦ 3 ¤·· ¹É ¤¸Ân¡ºÊ °µ°¥¼n£µ¥Ä Ä®oÁ}»
°Ã¦ 2 ¤·· °´
¦³°oª¥ ¡ºÊ-µ ¨³Áµ ¹É Ân¨³Ã¦¤¸ªµ¤¼¨°´Ê®¤
°°µµ¦´ÂĦ¼¸É
5.3 ªµ¤ªoµ
°Ân¨³Ã¦¦°¨»¤¹É¨µnªÁµ ĵ¦ª·Á¦µ³®r¦³Ã¦Â¸Ê ¸É
¤¼¦r³o°Îµµ¦ª·Á¦µ³®r 棵¥Ä¨³Ã¦£µ¥° Änªµ¤¥µªÂ¨³µ¤
ªµ
°
°µµ¦ ¨oª¹Îµ¤µ¦³°´Á}°µµ¦´Ê®¤
nª
µ µ¦ 4
°°
¥ µª
nª
æ
o°Â
ÈÁ¸¥Ánµ£µ¥Ä
nªªoµ
°°µµ¦ 3 nª
2 1
Slab - Beam
Column Above
Kct
A1 A2
A2
/2 Parallel Beam
Kct B
A1
Torsional
Member , Kta
c1 c1 c1 c1
¦³¡ºÊŦoµ ¦³¡ºÊ¤¸Âj®´ªÁµ
l2 l2 l2
h I1 h1 I1 h2 h1 I
2
¦¼´ A-A ¦¼´ C-C kl2
¦¼´ D-D
l2 l2
I1/(1-c2/l2)2 I2/(1-c2/l2)2
c2
¦¼´ B-B ¦¼´ E-E
c1
EcsI1/(1-c2/l2)2 EcsI2/(1-c2/l2)2
EcsI2
EcsI1 EcsI1
Å°³Â¦¤Ânµ·¢Á Å°³Â¦¤Ânµ·¢Á
°Ân¡ºÊ-µÁ¸¥Ánµ
°Ân¡ºÊ-µÁ¸¥Ánµ
l1
h2 A C
B
h1
A B
C
c1 c1
¦³¡ºÊ¤¸Âj®´ªÁµÂ¨³®¤ªÁµ
l2 l2
h1 I1 h2 h1 I
2
¦¼´ A-A kl2
¦¼´ B-B
l2
I2/(1-c2/l2)2
c2
¦¼´ C-C
c1
EcsI2/(1-c2/l2)2
EcsI2
EcsI1
c1/2 ln c1/2
Å°³Â¦¤Ânµ·¢Á
°Ân¡ºÊ-µÁ¸¥Ánµ
al1 l2
bl1
CN1/l1 CN2/l2 Stiffness Carry Over Uniform Load Fixed-end moment Coeff. (mNF) for (b-a) = 0.2
Factors Factors Fixed-end
KNF CNF Moment a = 0.0 a = 0.2 a = 0.4 a = 0.6 a = 0.8
Coeff. (mNF)
CF1 = CN1 : CF2 = CN2
0.00 - 4.00 0.50 0.0833 0.0151 0.0287 0.0247 0.0127 0.00226
al1 l2/3 l2
bl1
l1/6 l1/6
Near end (N) Far end (F)
CN1 CF1
EsId/(1-CN2/l2)2
EsId n 2
EsIs FEM NF ¦ m NFiWi l1
i 1
l1/6
CN1/2
l1/6
CF1/2
K NF k NF E cs I s / l1
CN1/l1 CN2/l2 Stiffness Carry Over Uniform Load Fixed-end moment Coeff. (mNF) for (b-a) = 0.2
Factors Factors Fixed-end Moment
KNF CNF Coeff. (mNF) a = 0.0 a = 0.2 a = 0.4 a = 0.6 a = 0.8
CF1 = CN1 : CF2 = CN2
0.00 - 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.00 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.10 4.99 0.55 0.0890 0.0160 0.0316 0.0266 0.0128 0.0020
0.10 0.20 5.18 0.56 0.0901 0.0163 0.0322 0.0270 0.0127 0.0019
0.30 5.37 0.57 0.0911 0.0167 0.0328 0.0273 0.0126 0.0018
0.00 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.10 5.17 0.56 0.0900 0.0161 0.0320 0.0269 0.0128 0.0020
0.20 0.20 5.56 0.58 0.0918 0.0166 0.0332 0.0276 0.0126 0.0018
0.30 5.96 0.60 0.0936 0.0171 0.0344 0.0282 0.0124 0.0016
0.20 0.00 4.79 0.54 0.0879 0.0157 0.0309 0.0263 0.0129 0.0022
0.10 5.17 0.56 0.0900 0.0161 0.0320 0.0269 0.0128 0.0020
0.20 5.56 0.58 0.0918 0.0166 0.0332 0.0276 0.0126 0.0018
al1 l2/3 l2
bl1
l1/6 l1/6
Near end (N) Far end (F)
CN1 CF1
EsId/(1-CN2/l2)2
EsId n 2
EsIs FEM NF ¦ m NFiWi l1
i 1
l1/6
CN1/2
l1/6
CF1/2
K NF k NF E cs I s / l1
CN1/l1 CN2/l2 Stiffness Carry Over Uniform Load Fixed-end moment Coeff. (mNF) for (b-a) = 0.2
Factors Factors Fixed-end Moment
KNF CNF Coeff. (mNF) a = 0.0 a = 0.2 a = 0.4 a = 0.6 a = 0.8
CF1 = CN1 : CF2 = CN2
0.00 - 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020
0.00 5.84 0.59 0.0926 0.0164 0.0335 0.0279 0.0128 0.0020
0.10 6.04 0.60 0.0936 0.0167 0.0341 0.0282 0.0126 0.0018
0.10 0.20 6.24 0.61 0.0940 0.0170 0.0347 0.0285 0.0125 0.0017
0.30 6.43 0.61 0.0952 0.0173 0.0353 0.0287 0.0123 0.0016
al1 l2/3 l2
bl1
l1/6 l1/6
Near end (N) Far end (F)
CN1 CF1
EsId/(1-CN2/l2)2
EsId n 2
EsIs FEM NF ¦ m NFiWi l1
i 1
l1/6
CN1/2
l1/6
CF1/2
K NF k NF E cs I s / l1
CN1/l1 CN2/l2 Stiffness Carry Over Uniform Load Fixed-end moment Coeff. (mNF) for (b-a) = 0.2
Factors Factors Fixed-end Moment
KNF CNF Coeff. (mNF) a = 0.0 a = 0.2 a = 0.4 a = 0.6 a = 0.8
CF1 = CN1 : CF2 = CN2
0.00 - 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.10 7.12 0.64 0.0972 0.0174 0.0365 0.0295 0.0122 0.0016
0.10 0.20 7.31 0.64 0.0978 0.0176 0.0370 0.0297 0.0120 0.0014
0.30 7.48 0.65 0.0984 0.0179 0.0375 0.0299 0.0118 0.0013
0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.10 7.12 0.64 0.0977 0.0175 0.0369 0.0297 0.0121 0.0015
0.20 0.20 7.31 0.65 0.0988 0.0178 0.0378 0.0301 0.0118 0.0013
0.30 7.48 0.67 0.0999 0.0182 0.0386 0.0304 0.0115 0.0011
0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.10 7.29 0.65 0.0981 0.0175 0.0371 0.0299 0.0121 0.0015
0.30 0.20 7.66 0.66 0.0996 0.0179 0.0383 0.0304 0.0117 0.0013
0.30 8.02 0.68 0.1009 0.0182 0.0394 0.0309 0.0113 0.0011
0.20 0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.10 7.21 0.64 0.0991 0.0175 0.0371 0.0302 0.0126 0.0017
0.20 7.51 0.65 0.1014 0.0179 0.0381 0.0310 0.0128 0.0016
0.10 0.00 6.92 0.63 0.0965 0.0171 0.0360 0.0293 0.0124 0.0017
0.10 7.26 0.64 0.0946 0.0173 0.0361 0.0287 0.0112 0.0013
104 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 5 µ¦°°ÂÂn¡ºÊŦoµ
al1 l2/3 l2
bl1
l1/6 l1/6
Near end (N) Far end (F)
CN1 CF1
EsId/(1-CN2/l2)2
EsId n 2
EsIs FEM NF ¦ m NFiWi l1
i 1
l1/6
CN1/2
l1/6
CF1/2
K NF k NF E cs I s / l1
CN1/l1 CN2/l2 Stiffness Carry Over Uniform Load Fixed end moment Coeff. (mNF) For (b-a) = 0.2
Factors Factors Fixed-end Moment
KNF CNF Coeff. (mNF) a = 0.0 a = 0.2 a = 0.4 a = 0.6 a = 0.8
CF1 = CN1 : CF2 = CN2
0.00 - 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.00 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.10 8.07 0.66 0.0998 0.0180 0.0385 0.0305 0.0116 0.0013
0.10 0.20 8.24 0.67 0.1003 0.0182 0.0389 0.0306 0.0115 0.0012
0.30 8.40 0.67 0.1007 0.0183 0.0393 0.0307 0.0113 0.0011
0.00 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.10 8.22 0.67 0.1002 0.0180 0.0388 0.0306 0.0115 0.0012
0.20 0.20 8.55 0.68 0.1010 0.0183 0.0395 0.0309 0.0112 0.0011
0.30 9.87 0.69 0.1018 0.0186 0.0402 0.0311 0.0109 0.0009
0.00 7.89 0.66 0.0993 0.0177 0.0380 0.0303 0.0118 0.0014
0.10 8.35 0.67 0.1005 0.0181 0.0390 0.0307 0.0115 0.0012
0.30 0.20 8.82 0.68 0.1016 0.0184 0.0399 0.0311 0.0111 0.0011
0.30 8.28 0.70 0.1026 0.0187 0.0409 0.0314 0.0107 0.0009
l1
l1
t w h
CN2 CF2
l2/3 l2
l1/6
Near end (N) Far end (F)
CN1 CF1
EsId/(1-CN2/l2)2
EsIs/(1-CN2/l2)2
EsId EsIs FEM NF m NF W l12
l1/6
K NF k NF E cs I s / l1
CN1/2 CF1/2
0.00 5.39 0.49 0.1023 4.26 0.60 0.0749 6.63 0.49 0.1190 4.49 0.65 0.0676
0.10 5.65 0.52 0.1012 4.65 0.60 0.0794 7.03 0.54 0.1145 5.19 0.66 0.0757
0.10 0.20 5.86 0.54 0.1012 4.91 0.61 0.0818 7.22 0.56 0.1140 5.43 0.67 0.0778
0.30 6.05 0.55 0.1025 5.10 0.62 0.0838 7.36 0.56 0.1142 5.57 0.67 0.0786
0.00 5.39 0.49 0.1023 4.26 0.60 0.0749 6.63 0.49 4.49 4.49 0.65 0.0676
0.10 5.88 0.54 0.1006 5.04 0.61 0.0826 7.41 0.58 5.96 5.96 0.66 0.0823
0.20 0.20 6.33 0.58 0.1003 5.63 0.62 0.0874 7.85 0.61 6.57 6.57 0.67 0.0872
0.30 6.75 0.60 0.1008 6.10 0.64 0.0903 8.18 0.63 6.94 6.94 0.68 0.0892
0.00 5.39 0.49 0.1023 4.26 0.60 0.075 6.63 0.49 4.49 4.49 0.65 0.0676
0.10 6.08 0.56 0.1003 5.40 0.61 0.085 7.76 0.62 6.77 6.77 0.67 0.0873
0.30 0.20 6.78 0.61 0.0996 6.38 0.63 0.092 8.49 0.66 7.91 7.91 0.68 0.0952
0.30 7.48 0.64 0.0997 7.25 0.65 0.096 9.06 0.68 8.66 8.66 0.69 0.0991
106 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 5 µ¦°°ÂÂn¡ºÊŦoµ
5.3.2 Áµ
¦¼Â´ÉªÅ
°£µ¡µ¦¦°¦´¸É¨µ¥ÁµÎµ®¦´¦³¡ºÊnµÇ ÂĦ¼¸É
5.7 Å°³Â¦¤
°·¢Á
°Áµ ³Äoĵ¦Îµª®µ·¢Á
°Áµ (Kc) Ã¥¤¸®¨´µ¦
¡·µ¦µ´¸Ê
) äÁ¤rªµ¤ÁºÉ°¥
°Áµ µ·ª»
°Ân¡ºÊ Å¥´Äoo°Ân¡ºÊ Ä®o
εªnµÃ¤Á¤rªµ¤ÁºÉ°¥ µ¤®oµ´¸ÉÁ}¦·
) äÁ¤rªµ¤ÁºÉ°¥
°Áµ µ¦³¥³·ª¨nµ»Â¨³·ª»
°Ân¡ºÊ Å¥´
ªÁo«¼¥r¨µ
°Ân¡ºÊ Ä®o¤¤»·Á}nµ°´r (infinite, D )
ĵ¦Îµªnµ·¢Á¨³nµ´ª¦³°Îµ®¦´nµ¥Ã¤Á¤r (carry-over
factors)
°ÁµÄ®oÄonµÄµ¦µ 5.8
I=v I=v
Ac Ecc Ic Ac Ecc Ic
I=v I=v
Ac
¡ºÊSlab system
Ŧoµo °Á¦¸¥ column stiffness
Å°³Â¦¤
°
¡ºÊ¤¸ÂjSlab system with
®´column
ªÁµÂ¨³®¤ªÁµ
column stiffness
Å°³Â¦¤
°
without beam diagram
·¢Á
°Áµ
capitals diagram
·¢Á
°Áµ
I=v I=v
Slab
¡ºÊŦosystem
µÂwith column stiffness
Å°³Â¦¤
° SlabÊsystem
¦³¡º -µ column stiffness
Å°³Â¦¤
°
drop panels diagram with beams diagram
¤¸Âj®´ªÁµ ·¢Á
°Áµ ·¢Á
°Áµ
ta/tb H/Hc 1.05 1.10 1.15 1.20 1.25 1.30 1.35 1.40 1.45 1.50
0.00 KAB 4.20 4.40 4.60 4.80 5.00 5.20 5.40 5.60 5.80 6.00
CAB 0.57 0.65 6.73 0.80 0.87 0.89 1.03 1.10 1.17 1.25
0.2 KAB 4.31 4.62 4.95 5.30 5.65 6.02 6.40 6.79 7.20 7.62
CAB 0.56 0.62 0.68 0.74 0.80 0.85 0.91 0.96 1.01 1.07
0.4 KAB 4.38 4.79 5.22 5.57 6.15 6.65 7.18 7.74 8.32 8.94
CAB 0.55 0.60 0.65 0.70 0.74 0.79 0.83 0.87 0.91 0.94
0.6 KAB 4.44 4.91 5.42 5.96 6.54 7.15 7.81 8.50 9.23 10.01
CAB 0.55 0.59 0.63 0.67 0.70 0.74 0.77 0.80 0.83 0.85
0.8 KAB 4.49 5.01 5.58 6.19 6.85 7.56 8.31 9.12 9.98 10.89
CAB 0.54 0.58 0.61 0.64 0.67 0.70 0.72 0.75 0.77 0.79
1.0 KAB 4.52 5.09 5.71 6.38 7.11 7.89 8.73 9.63 10.60 11.62
CAB 0.54 0.57 0.60 0.62 0.65 0.67 0.69 0.71 0.73 0.74
1.2 KAB 4.55 5.16 5.82 6.54 7.32 8.17 9.08 10.07 11.12 1.25
CAB 0.53 0.56 0.59 0.61 0.63 0.65 0.66 0.68 0.69 0.70
1.4 KAB 4.58 5.21 5.91 6.68 7.51 8.41 9.38 10.43 11.57 12.78
CAB 0.53 0.55 0.58 0.60 0.61 0.63 0.64 0.65 0.66 0.67
1.6 KAB 4.60 5.26 5.99 6.79 7.66 8.61 9.64 10.75 11.95 13.24
CAB 0.53 0.55 0.57 0.59 0.60 0.61 0.62 0.63 0.64 0.65
1.8 KAB 4.62 5.30 6.06 6.89 7.80 8.79 9.87 11.03 12.29 13.65
CAB 0.52 0.55 0.56 0.58 0.59 0.60 0.61 0.61 0.62 0.63
2.0 KAB 4.63 5.34 6.12 6.98 7.92 8.94 10.06 11.27 12.59 14.00
CAB 0.52 0.54 0.56 0.57 0.58 0.59 0.59 0.60 0.60 0.61
2.2 KAB 4.65 5.37 6.17 7.05 8.02 9.08 10.24 11.49 12.85 14.31
CAB 0.52 0.54 0.55 0.56 0.57 0.58 0.58 0.59 0.59 0.59
2.4 KAB 4.66 5.40 6.22 7.12 8.11 9.20 10.39 11.68 13.08 14.60
CAB 0.52 0.53 0.55 0.56 0.56 0.57 0.57 0.58 0.58 0.58
2.6 KAB 4.67 5.42 6.26 7.18 8.20 9.31 10.53 11.86 13.29 14.85
CAB 0.52 0.53 0.54 0.55 0.56 0.56 0.56 0.57 0.57 0.57
2.8 KAB 4.68 5.44 6.29 7.23 8.27 9.41 10.66 12.01 13.48 15.07
CAB 0.52 0.53 0.54 0.55 0.55 0.55 0.56 0.56 0.56 0.56
3.0 KAB 4.69 5.46 6.33 7.28 8.34 9.50 10.77 12.15 13.65 15.28
CAB 0.52 0.53 0.54 0.54 0.55 0.55 0.55 0.55 0.55 0.55
3.2 KAB 4.70 5.48 6.36 7.33 8.40 9.58 10.87 12.28 13.81 15.47
CAB 0.52 0.53 0.53 0.54 0.54 0.54 0.54 0.54 0.54 0.54
3.4 KAB 4.71 5.50 6.38 7.37 8.46 9.55 10.97 12.04 13.95 15.64
CAB 0.51 0.52 0.53 0.53 0.54 0.54 0.54 0.53 0.53 0.53
3.6 KAB 4.71 5.51 6.41 7.41 8.51 9.72 11.05 12.51 14.09 15.80
CAB 0.51 0.52 0.53 0.53 0.53 0.53 0.53 0.53 0.53 0.52
3.8 KAB 4.72 5.53 6.43 7.44 8.56 9.78 11.13 12.60 14.21 15.95
CAB 0.51 0.52 0.53 0.53 0.53 0.53 0.53 0.52 0.52 0.52
4.0 KAB 4.72 5.54 6.45 7.47 8.60 9.84 11.21 1270 14.32 16.08
CAB 0.51 0.52 0.52 0.53 0.53 0.52 0.52 0.52 0.52 0.51
4.2 KAB 4.73 5.55 6.47 7.50 8.64 9.90 11.27 12.78 14.42 16.20
CAB 0.51 0.52 0.52 0.52 0.52 0.52 0.52 0.51 0.51 0.51
4.4 KAB 4.73 5.56 6.49 7.53 8.68 9.95 11.34 12.86 14.52 16.32
CAB 0.51 0.52 0.52 0.52 0.52 0.52 0.51 0.51 0.51 0.50
4.6 KAB 4.74 5.57 6.51 7.55 8.71 9.99 11.40 12.93 14.61 16.43
CAB 0.51 0.52 0.52 0.52 0.52 0.52 0.51 0.51 0.50 0.50
4.8 KAB 4.74 5.58 6.53 7.58 8.75 10.03 11.45 13.00 14.69 16.53
CAB 0.51 0.52 0.52 0.52 0.52 0.51 0.51 0.50 0.50 0.49
5.0 KAB 4.75 5.59 6.54 7.60 8.78 10.07 11.50 13.07 14.77 16.62
CAB 0.51 0.51 0.52 0.52 0.51 0.51 0.51 0.50 0.49 0.49
6.0 KAB 4.76 5.63 6.60 7.69 8.90 10.24 11.72 13.33 15.10 17.02
CAB 0.51 0.51 0.51 0.51 0.50 0.50 0.49 0.49 0.48 0.47
7.0 KAB 4.78 5.66 6.65 7.76 9.00 10.37 11.88 13.54 15.35 17.32
CAB 0.51 0.51 0.51 0.50 0.50 0.49 0.48 0.48 0.47 0.46
8.0 KAB 4.78 5.68 6.69 7.82 9.07 10.47 12.01 13.70 15.54 17.56
CAB 0.51 0.51 0.50 0.50 0.49 0.49 0.48 0.47 0.46 0.45
9.0 KAB 4.79 5.69 6.71 7.86 9.13 10.55 12.11 13.83 15.70 17.74
CAB 0.50 0.50 0.50 0.50 0.49 0.48 0.47 0.46 0.45 0.45
10.0 KAB 4.80 5.71 6.74 7.89 9.18 10.61 12.19 13.93 15.83 17.90
CAB 0.50 0.50 0.50 0.49 0.48 0.48 0.47 0.46 0.45 0.44
108 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 5 µ¦°°ÂÂn¡ºÊŦoµ
hf
hw
C1
C1
¦¼Â () ¦¼Â ()
C1
bw+2hw< bw+8hf
hf hf
hw hw
bw bw
bw+2hw< bw+8hf C1
¦¼Â () ¦¼Â ()
x1 y1
y1
x1
y2 y2
x2 x2
y1
y1
(1) (2)
x1 x1
Äonµ C ¸É¤µªnµ ¸ÉεªÅoµ (1) ®¦º° (2)
Use larger value of C computed from ( 1 ) or ( 2 )
y1
x1
x2
y2
ª§ x 1 · x 13 y 1 º ª§ x2 · x 32 º
C = ¦ «¨¨ 1 0.63 ¸¸ » «¨¨ 1 0.63 ¸¸ »
«¬© y 1 ¹ 3 »¼ «¬© y2 ¹ 3 »¼
¦ K c u¦ Kt
K ec (5.4)
¦ K c ¦ K t
宦´nµ Kec ¹ÉεªÃ¥Äo¦¼°r¦³°
°Ã¦
o°Â
ÈÁ¸¥Ánµ
(equivalent frame) (¦¼¸É 5.4) ³Åonµ´¸Ê
K ct K cb K ta K ta (5.5)
K ec
>K ct K cb K ta K ta @
Ã¥¸É
Kct º° nµ·¢Á
°µ¦´¸É oµ»
°Áµnª¨nµ
Kcb º° nµ·¢Á
°µ¦´¸ É oµ¨nµ»
°Áµnª
Kta º° nµ·¢Á
°µ¦·
°Ân¨³°r°µµ¦¦´Â¦·
A B C D
Wd+3/4Wl Wd Wd+3/4Wl
A B C D
Wd Wd+3/4Wl Wd
A B C D
Wd+3/4Wl Wd+3/4Wl Wd
A B C D
Wd+3/4Wl Wd Wd
A B C D
5.3.6 µ¦¦³µ¥Ã¤Á¤rĦ³Ã¦ o°Â ÈÁ¸¥Ánµ
Kb1 Kct
1 Kt
Kb1 Kcb
2 Kb2
Kct Ac
Kt
Kb2
A1 3
Kcb A1 Ac
K= kEI/A
¦¼¸É 5.11 ´ª¦³°
°µ¦¦³µ¥Ã¤Á¤r (Moment Distribution Factor, DF)
宦´µ¦Îµª®µ´ª¦³°
°µ¦¦³µ¥Ã¤Á¤r
°Ân¡ºÊ µ¤µ¦®µÅo
´¸Ê
DF (span 2-1) = Kb1 / (Kb1+Kb2+Kec) (5.6)
DF (span 2-3) = Kb2 / (Kb1+Kb2+Kec) (5.6
)
Ä
´Ê°
°µ¦¦³µ¥Ã¤Á¤r´Ê nµÃ¤Á¤rŤn¤»¨Îµ®¦´ÁµÁ¸¥Ánµ³
¦³µ¥Å¥´Áµ¸ÉÂo¦·¹É °¥¼nÁ®º°Â¨³ÄoÂn¡ºÊµ¤´nª
°·¢Á
°Áµ¸ÉÂn¨³
o°n°
´Ê ´¸Ê
114 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 5 µ¦°°ÂÂn¡ºÊŦoµ
宦´nª
°Ã¤Á¤rŤn¤»¨ ¸É¦³µ¥Å¥´Áµnª
DF = Kcb / (Kcb+Kct) (5.8)
宦´nª
°Ã¤Á¤rŤn¤»¨ ¸É¦³µ¥Å¥´Áµnª¨nµ
DF = Kct / (Kcb+Kct) (5.8
)
µ´Ê ¹Îµµ¦°°ÂÁµ Ã¥ÄonµÃ¤Á¤r¸ÉÅoµµ¦¦³µ¥µ¤¸Ê
5.3.7 nµÃ¤Á¤r¨
ĵ¦°°Â´Ê nµÃ¤Á¤r¨ ( M- ) ³o°Äonµ¸É·ª®oµ
°»¦°¦´¹ÉÁ}
¦¼¸ÉÁ®¨¸É¥¤ ÂnÄ®oÄo¸É¦³¥³Å¤nÁ· 0.175 l1 µ»«¼¥r¨µ
°»¦°¦´ ´Ê¸ÊÁ¡ºÉ°j°´¤·
Ä®o¤¸µ¦¨nµÃ¤Á¤r¤µÁ·Å宦´»¦°¦´¸É¨³¥µª Ã¥»¦°¦´¸ÉÄo°µÁ}
Áµ °¤n° ®¼oµ ®¦º°ÎµÂ¡ÈÅo oµ®µ»¦°¦´Å¤n¤¸¦¼¦nµÁ}¸ÉÁ®¨¸¥É ¤Ä®oÄoÁ}¦¼¸ÉÁ®¨¸¥É ¤
»¦´Á¸¥ÁnµÃ¥¤¸¡ºÊ¸ÉÁnµ´»¦°¦´´Ê 宦´ÎµÂ®n¸¡É ·µ¦µ°°ÂÁ¡ºÉ°oµµ
äÁ¤r¨ÂĦ¼¸É 5.12
CL
·ª®oµ °»¦°¦´¦¼¸ÉÁ®¨¸É¥¤Á¸¥Ánµ
®oµ´ª·§Îµ®¦´Ã¤Á¤r¨
a/2
0.175l1 a
C1>0.35l1
l1
5.3.8 µ¦¦³µ¥nµÃ¤Á¤r¸ÉÄoĵ¦°°Â
宦´Ân¡ºÊ Ŧoµ µ¦¦³µ¥Ã¤Á¤rÄÂÁµ (column strip) ¨³Â
¨µ (middle strip) Âĵ¦µ¸É 5.9 ¨³¦¼¸É 5.13
M+ M+
M- M- M-
100 % 60 % 75 % 75 % 60 % 75 %
Column Strip
Design Strip
Middle
5.3.9 µ¦°°ÂÁ®¨ÈÁ¦·¤¦·Áª®´ªÁµ
c2
c1
Mu
h J M
f u
c2+3h
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11
A
7.5 m
B
Zone A
7.5 m
LL = 300 kg/m 2
C
7.5 m
D
Zone B
7.5 m
LL = 400 kg/m 2
E
7.5 m
F
10 @ 8.0 m
¡ºÊ¸É°°Â
X
() ´°µµ¦
5 +20.0
4 +16.0
3 +12.0
2 + 8.0
1 + 4.0
G 0.0
A B C D E F
d = 18 ¤.
ª¦Áº°³¨»
6 0.30 ¤. 8.0 ¤.
d/2 = 9 ¤.
1.00 ¤.
d/2 = 9 ¤.
ª¦Áº°Âµªoµ
7.5 ¤.
Âj®´ªÁµ
Y ª¦Áº°³¨» Y
6 0.30 ¤. 8.0 ¤.
d/2 = 12.5 ¤. 2.67 ¤.
1.00 ¤.
d/2 = 12.5 ¤.
2.50¤.
7.5 ¤.
) ´ÂÂj®´ªÁµ
2.50¤.
h = 23 ¤., d = 18 ¤. 1.25h = 30 ¤.,
d = 25 ¤.
Âj®´ªÁµ
) ¦¼´ ªµ Y-Y
¦ª°®nª¥Â¦Áº°
Vu 1 ,593 ( 7.5 u 8.0 ( 0.55 u 1.25 )
¦Áº°´¨»
b0 d 2( 55 125 )25
= 10.5 ./¤.2 < 14.97
´Ê°¸É 2 媻¤´·
°°r¦³°Ã¦¦oµ
°Ã¦
o°Â
ÈÁ¸¥Ánµ
) ¡ºÊ (Slab)
媮µ Flexural Stiffness, Ksb
CN1/l1 = 100/750 = 0.13, CN2/l2 = 30/800 = 0.0375
µµ¦µ¸É 5.3 Äoª·¸ interpolation ®µnµ KNF, CNF ¨³ mNF
CN1/l1 CN2/l2 KNF CNF mNF
0 4.79 0.54 0.0879
0.1 0.0375 4.865 0.544 0.0883
0.1 4.99 0.55 0.0890
0.13 4.885 0.545 0.0884
0 4.79 0.54 0.0879
0.2 0.0375 4.933 0.548 0.0887
0.1 5.17 0.56 0.0900
) Áµ (Column)
媮µ Flexural Stiffness ¸É¨µ¥´Ê 2 oµ Kc
µµ¦µ¸É 5.8 nµ ta = 18.5, tb = 11.5 ¤.
H = 400 ¤., Hc = 400-18.5-11.5 = 370 ¤.
ta/tb = 1.60 , H/Hc = 1.08
´´Ê KAB = KBA = 5.00
Kc = 5.00 EcIc/H
Ã¥¸É Ic = 30(100)3/12 = 2.5x106 ¤.4
Kc = 5.00 (2.75x105)(2.5x106)/400
= 85.94x108 .-¤.
122 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 5 µ¦°°ÂÂn¡ºÊŦoµ
ksb = 14.53x108
´Ê°¸É 3 εªÃ¤Á¤r
°Ã¦
o°Â
ÈÁ¸¥Ánµ
¦ª° °´¦µnª LL : DL
LL/DL = 400 /652 = 0.61 < 0.75
´´Ê ¹Äo Loading pattern (1) º°´Êε®´¦¦»¦ªµÁȤnª¡ºÊ
Zone A, FEM = 0.0884 Wl2l12 = 0.0884 (1,423)(8.0)(7.5)2 = 56,607 .-¤.
Zone B, FEM = 0.0884 Wl2l12 = 0.0884 (1,593)(8.0)(7.5)2 = 63,370 .-¤.
Carry Over Factor (COF) = 0.545
Zone A, Zone B,
Wu = 1,423 ./¤.2 Wu = 1,593 ./¤.2
A B C D E F
¦°¥n° A B C D E F
°r°µµ¦ A-B B-A B-C C-B C-D D-C D-E E-D E-F F-E
DF 0.27 0.21 0.21 0.21 0.21 0.21 0.21 0.21 0.21 0.27
COF 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545 0.545
FEM 56,607 -56,607 56,607 -56,607 56,607 -56,607 63,370 -63,370 63,370 -63,370
COM 0 -8,330 0 0 -774 0 0 -774 9,325 0
6 56,607 -64,937 56,607 -56,607 55,833 -56,607 63,370 -64,144 72,695 -63,370
DM -15,284 1,749 1,749 163 163 -1,420 -1,420 -1,796 -1,796 17,110
Maximum 41,323 -63,188 58,356 -56,444 55,996 -58,027 61,950 -65,940 70,899 -46,260
Moment
Midspan 27,788 22,644 23,032 25,661 31,027
Moment
wl 2 M1 M 2
Midspan Moment
8 2
124 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 5 µ¦°°ÂÂn¡ºÊŦoµ
A B C D E F
) æ o°Â ÈÁ¸¥Ánµ
27,788 31,027
22,644 23,032 25,661
41,323 55,996
56,444
63,188 58,356 58,027 61,950 46,260
65,940
) Å°³Â¦¤
°Ã¤Á¤r 70,899
47,258 51,075
39,775 42,945 42,419
) Å°³Â¦¤ °Â¦Áº°
27,788 31,027
22,644 23,032 25,661
0.50 ¤.
) äÁ¤r¸ÉÄo°°Â
äÁ¤r¸ÉÄo°°Â
εªµÃ¤Á¤r¸É·ª
°Áµ ¹É ¦³¥³µ»«¼¥r¨µ
°ÁµÅ¥´·ª
°
Áµ³ÄoÅoŤnÁ· 0.175 l1 ( 0.175x7.5 = 1.3125 m)
äÁ¤rÄÁµ
µµ¦¦³µ¥Ã¤Á¤rÃ¥ª·¸ Two-Cycle Moment Distribution Á¡ºÉ°
ª·Á¦µ³®r®µÃ¤Á¤rÄÂn¡ºÊ
°Ã¦
o°Â
ÈÁ¸¥Ánµ ³´ÁÅoªnµ ¥´¤¸Ã¤Á¤rŤn¤»¨
(unbalanced moment) ÄÂn¡º Ê Á®¨º°°¥¼n ¹É äÁ¤rŤn¤»¨¸Ê ³¦³µ¥Å¼nÁµ´Ê ¨³
¨nµµ¤´nª
°nµ·¢Á
°Áµ ´¦¼¸É 5.21 ´¸Ê
20,661.5 2,416
Áµnª
DF = Kcb/(Kcb+Kct)
41,323 63,188
58,356
Áµnª¨nµ
20,661.5 2,416
DF = Kct/(Kcb+Kct)
A B
µ¦Îµª®µ¦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤ÄÂn¡ºÊ
µ¦Îµª®µ¦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤ÄÂn¡ºÊÂÁµÂ¨³Â¨µÃ¥ª·¸µÎ ¨´
ÂÁ}
´Ê°Á¡ºÉ°Ä®o¦³´Â¨³¼Á
oµÄnµ¥ ĵ¦µ¸É 5.11 宦´µ¦°°ÂÁ®¨ÈÁ¦·¤
¦·Áª®´ªÁµÂĵ¦µ¸É 5.12 nª¦µ¥¨³Á°¸¥µ¦´ªµÁ®¨ÈÁ¦·¤¸É°°Â ÂĦ¼
¸É 5.22
µ¦µ¸É 5.11 µ¦°°Â¦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤ÄÂn¡ºÊ
126
Å¡¼¨¥r {µ´Ã
 A  B  C  D  E  F
äÁ¤r¸ÉÄo°°Â -22,858 27,788 -41,808 -44,184 22,644 -42,440 -41,998 23,032 –43,850 -46,355 25,661 –49,994 -54,044 31,027 –25,601
ÂÁµ Column Strip
Moment (%) 100 60 75 75 60 75 75 60 75 75 60 75 75 60 100
Mu / Strip (4¤.) -5,715 4,168 -7,839 -8,285 3,397 -7,958 -7,875 3,455 -8,222 -8,692 3,849 -9,374 -10,133 4,654 -6,400
Ru = Mu/Ibd2 19.6 14.29 26.88 28.4 11.65 27.3 27.0 11.85 28.2 29.8 13.2 32.1 34.75 16.0 21.9
0.85 fcc ° 2Ru ½°
U
f y ¯°
®1 1 ¾
0.85 fcc °¿ 0.0051 0.0033 0.007 0.0075 0.0033 0.0075 0.0075 0.0033 0.0075 0.008 0.0033 0.009 0.0095 0.0045 0.0057
As / Strip = Ubd
Ast =0.0018bh 9.18 5.94 12.6 13.5 5.94 13.5 13.5 5.94 13.5 14.4 5.94 16.2 17.1 8.1 10.3
4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14
¦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤ DB16@0.20 DB16@0.20
DB12@0.175 DB16@0.10 DB12@0.13
嬵
¸É 5 µ¦°°ÂÂn¡ºÊŦoµ
Middle Strip
Moment (%) 0 40 25 25 40 25 25 40 25 25 40 25 25 40 0
Mu / Strip (4¤.) 0 2,780 -3,010 -2,762 2,264 -2,654 -2,624 2,304 -2,740 -2,898 2,566 -3,125 -3,378 3,103 0
Ru = Mu/Ibd2 0 9.53 10.32 9.47 7.76 9.10 9.0 7.9 9.4 9.9 8.8 10.7 11.6 10.6 0
U 0 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033 0.0033
As / Strip = Ubd - 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94 5.94
Ast =0.0018bh 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14 4.14
¦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤
DB12@0.175
¸É 5 µ¦°°ÂÂn¡ºÊŦoµ
µ¦µ¸É 5.12 µ¦°°Â¦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤ÄÂn¡ºÊ¦·Áª®´ªÁµ
äÁ¤r¸ÉÄo°°Â -22,858 -41,808 -44,184 -42,440 -41,998 –43,850 -46,355 –49,994 -54,044 –25,601
ÂÁµ
Column Strip
Moment (%) 100 75 75 75 75 75 75 75 75 100
Mu -22,858 -31,356 -33,138 -31,830 -31,499 -32,888 -34,766 -37,496 -40,533 -25,601
b1=c1+d/2 112.5 125 125 125 125 125 125 125 125 112.5
b2=c2+d 55 55 55 55 55 55 55 55 55 55
Jf 0.51 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.51
Mub = JfMu -11,658 -15,678 -16,569 -15,915 -15,750 -16,444 -17,383 -18,748 -20,267 -13,057
Ru = Mu/Ibd2
= Mu/0.9(1.2)(25)2 17.27 23.23 24.55 23.58 23.3 24.4 25.75 27.78 30.0 19.34
Å¡¼¨¥r {µ´Ã
U 0.0045 0.006 0.0065 0.006 0.006 0.0065 0.007 0.0075 0.0075 0.005
As = Ubd 13.5 18.0 19.5 18.0 18.0 19.5 21.0 22.5 22.5 15.0
Ast =0.0018bh 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48 6.48
¦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤ 5DB20
8DB20 5DB20
127
128 Å¡¼¨¥r {µ´Ã ¸É 5 µ¦°°ÂÂn¡ºÊŦoµ
6
D
Á®¨È
Á®¨È
DB12@0.175 ¤.
DB12@0.175 ¤.
Á®¨È
DB16@0.10 ¤.
Á®¨È¨nµ Á®¨È¨nµ Á®¨È¨nµ
DB12@0.175 ¤. DB12@0.175 ¤. DB12@0.175 ¤.
Á®¨È Á®¨ÈÁ¦·¤¡·Á«¬
DB12@0.175 ¤. 8DB20
Á®¨È
DB12@0.175 ¤.
B
Á®¨È
Á®¨È¨nµ DB16@0.10 ¤.
Á®¨È¨nµ
DB12@0.175 ¤. Á®¨È¨nµ
DB12@0.175 ¤.
DB12@0.175 ¤.
Á®¨ÈÁ¦·¤¡·Á«¬
5DB20
Á®¨È Á®¨È
DB12@0.175 ¤. DB12@0.175 ¤.
Á®¨È
A
DB16@0.20 ¤.
1.2 ¤.
2.0 ¤. 4.0 ¤. 2.0 ¤.
บทที 6
การออกแบบโครงข้ อแข็ง
6.1 หลักการและขันตอนการออกแบบโครงข้ อแข็ง
ก) พฤติกรรมของโครงสร้ างเนืองจากแรงเฉือนภายนอก
แรงเฉือนเนืองจากแรงกระทําด้ านข้ างทีสะสมจากแต่ละชัน ตังแต่ชนบนสุ
ั ดลงมา
จะต้ านทานด้ วยแรงเฉือนในเสาแต่ละชัน ซึงทําให้ เสามีการบิดแอ่นตัว โดยมีจดุ เปลียนแนวการโก่ง
ตัว (point of contraflexure) ทีกึงกลางความสูงของเสาแต่ละชัน แรงเฉือนทีกึงกลางเสาเหล่านี
จะก่อให้ เกิดโมเมนต์ซงจะถ่
ึ ายไปยังคาน ก่อให้ เกิดการบิดและแอ่นตัวโดยมี จุดเปลียนแนวการ
โก่งตัว (point of contraflexure) ทีกึงกลางช่วงคานเช่นกัน ดังแสดงในรูปที 6.1 รูปร่างของการ
โก่งตัวของโครงข้ อแข็งแบบนี เรี ยกว่าการโก่งตัวแบบทรวดทรงแรงเฉือน (shear configuration)
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 131
Points of
contraflexure
Shear in columns
Typical column
moment diagram
Typical beam
moment diagram
Shortening
Compression
Tension
ในขันตอนของการคํานวณหาแรงภายในองค์อาคารเนืองจากนําหนักบรรทุกคงทีและ
นําหนักบรรทุกจรโดยวิธีประมาณ ดังกล่าวข้ างต้ น มีวิธีการคํานวณได้ 2 วิธีคือ
ข) วิธีการกระจายโมเมนต์ แบบสองรอบ
(Two-cycle Moment Distribution)
การคํานวณวิธีนี เป็ นรูปแบบหนึงของการกระจายโมเมนต์ ซึงให้ คา่ ถูกต้ อง
มากกว่าวิธีการแรก และไม่มีข้อจํากัดเรื องความยาวช่วงคาน และนําหนักบรรทุกจร
ในการวิเคราะห์คานด้ วยวิธีนีมีสมมติฐานดังนี คือ
ก) โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกามีเครื องหมายเป็ นบวก และโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
มีเครื องหมายเป็ นลบ
ข) ตําแหน่งปลายเสายึดติดกับพืนซึงอยูเ่ หนือและใต้ คานให้ ถือเป็ นปลาย
ยึดแน่น (fixed support)
ค) ขนาดขององค์อาคารคานและเสา สมมติให้ มีขนาดหน้ าตัดเท่ากัน ดังนัน ค่า
ตัวประกอบของการกระจายโมเมนต์ คํานวณจาก
1 (6.1)
DF
n
โดยที DF คือ ตัวประกอบของการกระจายโมเมนต์ (distribution factor)
ทีแต่ละจุดต่อระหว่างคานและเสา
n คือ จํานวนขององค์อาคารทียึดตรงรอยต่อในระนาบของโครงข้ อ
แข็ง
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 133
ตัวอย่ างที 6.1 อาคารสรรพสินค้ าหลังหนึงสูง 7 ชัน มีโครงสร้ างเป็ นโครงข้ อแข็งดังแสดงในรูปที
6.3 กําหนดให้ นําหนักบรรทุกจรเท่ากับ 500 กก./ตร.ม. จงออกแบบคานและเสาพร้ อมปริมาณ
เหล็กเสริม สําหรับโครงอาคารในแนวแกนที 3 ชันที 1 เนืองจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนัก
บรรทุกจร
A B C D
B1 B2 B1
5
6.0 m
B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5
B3 B4 B3
4
B5 แผ่นพื นสําเร็ จ รู ป
6.0 m
B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5
E HC150X1200 mm E
B3 B4 B3
3
6.0 m
B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5
B3 B4 B3
2
6.0 m
B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5 HC150X1200 mm B5
B1 B2 B1
1
7.5 m 8.0 m 7.5 m
C7 C7 C7 C7
B3 B4 B3
ชันที
C6 C6 C6 C6
B3 B4 B3
ชันที
C5 C5 C5 C5
ชันที
7@4.0 = 28.0 m
B3 B4 B3
C4 C4 C4 C4
B3 B4 B3
ชันที
C3 C3 C3 C3
B3 B4 B3
ชันที
C2 C2 C2 C2
B3 B4 B3
ชันที
C1 C1 C1 C1
ชันล่าง G
7.5 m 8.0 m 7.5 m
วิธีทาํ
ตรวจสอบค่าอัตราส่วนระหว่างนําหนักบรรทุกจร : นําหนักบรรทุกคงที
นําหนักพืน = 302x6.0 = 1,812 กก./ม.
สมมติให้ นําหนักคาน = 25%ของนําหนักพืน
= 0.25x1,812 = 453 กก./ม.
นําหนักพืนและคาน = 1,812+453 = 2,265 กก./ม.
นําหนักบรรทุกจร = 500x6.0 = 3,000 กก./ม.
LL/DL = 3,000/2,265 = 1.325
เนืองจากค่าอัตราส่วน LL/DL มากกว่า 0.75 ดังนันใช้ วิธีการวาง Loading Pattern
เช่นเดียวกับรูปแบบในบทที 1 ในการคํานวณนี จึงจัดการกระจายโมเมนต์เป็ น 4 รูปแบบ ดัง
แสดงในตารางที 6.1-6.4
สําหรับค่าโมเมนต์ทีปลายยึดแน่น (Fixed-End Moment, FEM) คํานวณดังนี
นําหนักบรรทุกคงทีคูณค่า (DL) WDU = 1.4x2,265 = 3,171 กก./ม.
นําหนักบรรทุกจรคูณค่า (LL) WLU = 1.7x3,000 = 5,100 กก./ม.
นําหนักบรรทุกรวมคูณค่า (TL) WTU = 3,171+5,100 = 8,271 กก./ม.
2
ช่วงคาน AB: DL FEM = 3,171(7.5) /12 = 14,864 กก.-ม.
TL FEM = 8,271(7.5)2/12 = 38,770 กก.-ม.
ช่วงคาน BC: DL FEM = 3,171(8.0)2/12 = 16,912 กก.-ม.
TL FEM = 8,271(8.0)2/12 = 44,112 กก.-ม.
ช่วงคาน CD: DL FEM = 3,171(7.5)2/12 = 14,864 กก.-ม.
TL FEM = 8,271(7.5)2/12 = 38,770 กก.-ม.
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 135
WD WD
A B C D A B C D
รอยต่ อ A B C D
องค์ อาคาร A-B B-A B-C C-B C-D D-C
DF 1/3 1/4 1/4 1/4 1/4 1/3
COF 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50
DL FEM 16,912 -16,912
TL FEM 38,770 -38,770 38,770 -38,770
COM 2,732 -2,732
6 41,502 -41,502
DM -13,834 13,834
Maximum Moment 27,668 -27,668
WD WD
A B C D A B C D
รอยต่ อ A B C D
องค์ อาคาร A-B B-A B-C C-B C-D D-C
DF 1/3 1/4 1/4 1/4 1/4 1/3
COF 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50
DL FEM -14,864 14,864
TL FEM 38,770 -38,770 44,112 -44,112 38,770 -38,770
COM -6,462 3,656 -3,656 6,462
6 -45,232 47,768 -47,768 45,232
DM -634 -634 634 634
Maximum Moment -45,866 47,134 -47,134 45,866
136 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง
รอยต่ อ A B C D
องค์ อาคาร A-B B-A B-C C-B C-D D-C
DF 1/3 1/4 1/4 1/4 1/4 1/3
COF 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50
DL FEM 14,864 -14,864 16,912 -16,912 14,864 -14,864
TL FEM 38,770 M+AB -38,770 44,112 M+BC -44,112 38,770 M+CD -38,770
COM 2,732 COMAB -6,462 3,656 COMBC -3,656 6,462 COMCD -2,732
6 41,502 COMBA -45,232 47,768 COMCB -47,768 45,232 COMDC -41,502
DM -13,834 -634 -634 634 634 13,834
Maximum Moment 27,668 M+max -45,866 47,134 M+max -47,134 45,866 M+max -27,668
รอยต่ อ A B C D
องค์ อาคาร A-B B-A B-C C-B C-D D-C
DF 1/3 1/4 1/4 1/4 1/4 1/3
COF 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50 0.50
DL FEM 14,864 -14,864 16,912 -16,912 14,864 -14,864
TL FEM 38,770 19,385 -38,770 44,112 22,056 -44,112 38,770 19,385 -38,770
COM 2,732 1,594 -6,462 3,656 2,057 -3,656 6,462 3,635 -2,732
6 41,502 3,635 -45,232 47,768 2,057 -47,768 45,232 1,594 -41,502
DM -13,834 -634 -634 634 634 13,834
Maximum Moment 27,668 24,614 -45,866 47,134 26,170 -47,134 45,866 24,614 -27,668
สําหรับการคํานวณออกแบบเหล็กเสริมและรายละเอียดของการเสริมเหล็กแสดงในตารางที 6.5
และรูปที 6.4 – 6.6 ตามลําดับ
26,170
24,614 24,614
27,668 27,668
45,866 45,866
47,134 47,134
33,084 33,443
28,590
28,590
33,443 33,084
138
รอยต่อ A B C D
โมเมนต์ทใช้ี ออกแบบ 27,668 24,614 -45,866 47,134 26,170 -47,134 45,866 24,614 -27,668
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป
(Mu, กก.-ม.)
แรงเฉือน (Vu, กก.) 28,590 33,443 33,084 33,084 33,443 28,590
ขนาดคาน 25x80 ซม. 25x80 ซม. 25x80 ซม.
2
Ru = Mu/Ibd (กก./ซม. ) 21.86
2
19.45 36.24 37.24 20.68 37.24 36.24 19.45 21.86
U 0.0057 0.0051 0.0098 0.010 0.0054 0.010 0.0098 0.0051 0.0057
2
As = Ubd (ซม. ) 10.69 9.56 18.38 18.75 10.13 18.75 18.38 9.56 10.69
2
As min. = (14/fy)bd (ซม. ) 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56
ปริ มาณเหล็กเสริ ม 2DB25 2DB25 4DB25 4DB25 2DB25 4DB25 4DB25 2DB25 2DB25
ตามยาว +2DB12 +2DB12 +2DB12
แรงเฉือนทีหน้าตัดวิกฤติ (กก.) 19,905 24,758 24,400 24,400 24,758 19,905
กําลังรับแรงเฉือนของคอนกรีต
14,630 14,630 14,630 14,630 14,630 14,630
(กก.)
ระยะห่างของเหล็กปลอกขนาด
75 39.3 40.7 40.7 39.3 75
DB10 มม. รับแรงเฉือน
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ ง
A B C D
13,834 กก.-ม. 634 กก.-ม. 634 กก.-ม. 13,834 กก.-ม.
27,668 กก.-ม. 45,866 กก.-ม. 47,134 กก.-ม. 47,134 กก.-ม. 45,866 กก.-ม. 27,668 กก.-ม.
13,834 กก.-ม. 634 กก.-ม. 13,834 กก.-ม.
634 กก.-ม.
A MA= 13,834 กก. -ม. B MB= 634 กก.-ม. C M1= 634 กก.-ม. D
M1= 13,834 กก. -ม.
E F G H
ME = 13,834 กก.-ม. MF= 634 กก.-ม. MG= 634 กก.-ม.
MH= 13,834 กก. -ม.
200,130 กก. 465,689 กก. 465,689 กก. 200,130 กก.
c
36db= 2DB12 2DB25
2DB12
0.90 ม. l1/4 = 1.75 ม. l1 /3=2.33 ม. l2 /3=2.50 ม. l2 /3=2.50 ม. l3 /3=2.33 ม. l3/4 = 1.75 ม.
b 2DB25
5 ซม. b 2DB12
l2 /8=0.94 ม. 2DB25 l2 /8=0.94 ม.
B3, l1 = 7.00 ม 0.50 ม. B4, l2 = 7.50 ม. B3, l3 = 7.00 ม. 0.50 ม.
0.50 ม. 0.50 ม.
.
c
0.25 ม. 0.25 ม.
0.50 ม. 2DB25 2DB25
4DB25
DB10@0.40 DB10@0.375
0.50 ม. 6DB25 0.80 ม. DB10@0.375
0.80 ม.
4DB25
2DB12
2DB25 2DB25
140
ก) โครงสร้ างผังสมมาตรรับแรงกระทําสมมาตร
โครงสร้ างสมมาตรทีรับแรงกระทําสมมาตรดังรูปที 6.7ก จะมีการเลือนตัวทาง
ด้ านข้ าง แต่จะไม่มีการบิดตัว จากสมมติฐานของพืนอาคารซึงสมมติวา่ พืนอาคารมีความแข็ง
เกร็ง ดังนัน เมือมีแรงกระทําทางด้ านข้ างต่ออาคาร โครงสร้ างแต่ละแกนจะมีการเลือนตัวทาง
ด้ านข้ างอย่างเท่าเทียมกัน
symm
Q
(a)
(ก)
Bent number
1 2 3 4 5 6
Arbitrary Center of
origin O shear rigidity
x1
x2 e
x3 etc c3 c4
c2 c5
c1 c6
x
(b)
(ข)
รูปที 6.7 (ก) โครงข้ อแข็งผังสมมาตร (ข) โครงข้ อแข็งผังไม่ สมมาตร
142 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง
แรงเฉือนภายนอกทังหมดทีแต่ละระดับชันจะกระจายไปยังโครงสร้ างแต่ละแกน
ตามสัดส่วนของค่า shear rigidity (GA) ของแต่ละแกนทีระดับชันนัน
ค่า shear rigidity (GAji) ของโครงสร้ างในแนวแกน j ทีระดับชัน i คํานวณได้ จาก
12 E
GA ji (6.2)
§ 1 1 ·
hi ¨¨ ¸¸
© G ji C ji ¹
เมือ hi คือความสูงของชันที i
Gji มีคา่ เท่ากับ 6(Ig / L) สําหรับคานในแนวแกน j ทีระดับพืน i
L เป็ นความยาวของช่วงคานในแนวแกน j ทีระดับพืน i
Cji มีคา่ เท่ากับ 6(Ic / hi) สําหรับเสาในแนวแกน j ทีระดับพืน i
E คือโมดูลส ั ของความยืดหยุ่นขององค์อาคาร
Ic,Ig คือโมเมนต์ของความเฉื อยของเสาและคาน ตามลําดับ
Qi GA ji
Q ji (6.3)
6 GA i
โดยที
Qi เป็ นแรงเฉือนทังหมด
(GA)ji เป็ นค่า shear rigidity ของโครงสร้ างในแนวแกน j ทีระดับชันที i
6(GA)i เป็ นผลรวมของค่า shear rigidity ของโครงสร้ างในทุกแนวแกนทีระดับ
ชันที i
ª 6 GA x j º (6.4)
x « 6 GA »
¬ ¼
Qi GA ji Qi ei ^ GA C ` (6.5)
ji
Q ji
¦ GA i ^
¦ GA C
2
`i
โดยที
เป็ นค่าการเยืองศูนย์ของ Qi จากจุดศูนย์กลางของ shear rigidity ทีชัน i
ei
Cj เป็ นระยะจากจุดศูนย์กลางของ shear rigidity ไปยังแกน j
ทังนี ค่า C และ e ใช้ เครื องหมายเป็ นบวก ถ้ าหากค่าทังสองอยู่บนด้ านเดียวกันเมือพิจารณา
จากจุดศูนย์กลางของ shear rigidity และ ค่าของผลรวม (6) เป็ นผลรวมของชุดของโครงสร้ าง
ในแต่ละแนวแกน ทีขนานกับทิศทางของแรงกระทํา
วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณหาแรงเฉือนทีกระทําต่อโครงอาคารทุกแกนในแต่ละชัน
จากข้ อกําหนดของกฎกระทรวง หน่วยแรงลมกระจายตามความสูงของอาคารดังนี
จากระดับชันล่าง G ถึงความสูง 10 ม. แรงลม = 50 กก./ม.2
จากระดับความสูง 10 ม. ถึงความสูง 20 ม. แรงลม = 80 กก./ม.2
จากระดับความสูง 20 ม. ถึงความสูง 40 ม. แรงลม = 120 กก./ม.2
144 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง
+ 28.0 FW7
B3 B4 B3
C7 C7 V7 C7 C7
+ 24.0
B3 B4 B3 FW6
C6 C6 V6 C6 C6
+ 20.0
B3 B4 B3 FW5 120
C5 C5 V5 C5 C5
+ 16.0
B3 B4 B3 FW4
C4 C4 V4 C4 C4
+ 12.0
B3 B4 B3 FW3
C3 C3 V3 C3 C3
+ 8.0 80
B3 B4 B3 FW2
C2 C2 V2 C2 C2
+ 4.0
B3 B4 B3 FW1
C1 C1 V1 C1 C1
0.0 FWG
Vb 50
7.5 m 8.0 m 7.5 m แรงลม (กก./ม 2)
12 E
GA11 GA51
§ 1 1 ·
h1 ¨¨ ¸¸
© G11 C11 ¹
25 ( 60 ) 3 1 ½ 25 ( 60 ) 3 1 ½
G11 6 Ig / L 2® ¾ ® ¾ 1 ,762.5 ซม .3
¯ 12 750 ¿ ¯ 12 800 ¿
50( 50 ) 3 1 ½
C11 6 Ic / h 4® ¾ 5 ,208 ซม .3
¯ 12 400 ¿
12( 2.3 u 10 5 )
GA11 GA51 9.09 u 10 6 กก .
1 1 ·
400 §¨ ¸
© 1 ,762.5 5 ,208 ¹
146 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง
Q1 GA 31 51 ,840 ( 16.0 u 10 6 )
Q31 12 ,533 กก .
6 GA 1 2( 9.09 u 10 6 ) 3( 16.0 u 10 6 )
สําหรับค่าแรงเฉือนทีต้ านทานโดยโครงสร้ างแกน 3 ในระดับชันอืนๆ ก็สามารถคํานวณหาได้ ใน
ทํานองเดียวกันนี ดังแสดงผลสรุปค่าแรงเฉือนในตารางที 6.8
.
Tens .
Tens .
n
Comp
Comp
Tensio
Comp
(a)
.
Comp
0 0
n
Tensio
วิธีการนีมีขนตอนกระทํ
ั าเริมจากทางซ้ ายสุดของโครงสร้ างไปทางขวาและจากบนยอด
อาคารลงสูฐ่ านอาคารดังนี
ก) เขียนรูปโครงข้ อแข็งและแรงเฉือนทีกึงกลางชันแต่ละชัน
ข) ในแต่ละชัน กําหนดแรงเฉือนทีเสาเป็ นสัดส่วนกับความกว้ างของช่วงเสาแต่ละ
ช่วงและเขียนค่าแรงเฉือนลงในรูป
ค) เริมคํานวณจากส่วนบน-ซ้ ายสุดของโครงสร้ าง คํานวณหาโมเมนต์สงู สุดที
ตําแหน่งใต้ รอยต่อหรื อโมเมนต์ภายในเสา
ง) คํานวณหาโมเมนต์ภายใน (ขวามือของรอยต่อ) จากสมการสมดุลของโมเมนต์
ทีรอยต่อนัน สําหรับโมเมนต์ทีปลายอีกส่วนหนึงของคาน ก็จะเท่ากับโมเมนต์ใน
คานทีตําแหน่งแรก แต่มีการโก่งดัดตรงข้ ามกัน
จ) คํานวณแรงเฉือนทีคานจากค่าโมเมนต์ทีคํานวณได้ ก่อน
ฉ) พิจารณาสมดุลของแรงทีข้ อต่อถัดไป โดยการใช้ ขนตอนทีั ค) ถึง จ) เพือหา
ค่าโมเมนต์ในเสา และค่าโมเมนต์และแรงเฉือนในคาน
จากการออกแบบขนาดหน้ าตัดและปริมาณเหล็กเสริมขององค์อาคารในขันตอนแรก
เพือให้ รับนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรได้ แล้ ว หากต้ องการออกแบบองค์อาคารให้
สามารถต้ านทานแรงกระทําทางด้ านข้ างได้ จะต้ องคํานวณหาแรงกระทําทางด้ านข้ างเนืองจาก
แรงลมหรื อแรงแผ่นดินไหวทีกระทําต่อโครงสร้ างทังหมด จากนันจึงคํานวณหาแรงกระทําทาง
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 149
Vi
'i
Ki
โดยที Ki = 12EIi/hi3
12(2.3u 105 ) ( 30 u 30 3 )
ระดับชันท◌ี5◌่- 7, K 3 4 11 ,644 กก . / ซม .
( 400 ) 3 12
12(2.3u 105 ) ( 40 u 40 3 )
ระดับชันท◌ี2◌่- 5, K 2 4 36 ,800 กก . / ซม .
( 400 ) 3 12
12(2.3u 105 ) ( 50 u 50 3 )
ระดับชันท◌ีG◌่- 2, K1 4 89 ,844 กก . / ซม .
( 400 ) 3 12
150 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง
0.32 1.24 6
0.17 0.92 5
ทิศ ทางแรงลม
0.22 0.75 4
0.26 0.53 3
0.13 0.27 2
0.14 0.14 1
วิธีทาํ
ก) คํานวณหาแรงภายในขององค์อาคารอันเนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ าง
พิจารณาโครงสร้ างแนวแกน 3 ในระดับชันที 1 จากค่าแรงเฉือนทีคํานวณได้ ก่อนแล้ ว นํามาเขียน
ได้ ดงั แสดงในรูปที 6.11
A B C D
Q2 =
VA2 VB2 VC2 VD2
11,373
ระดับชันที
Q1 =
VB1 VC1 VD1
12,533
VA1
( 3.75 4.0 )
สําหรั บเสา B และ C ค่ า VB1 VC 1 12 ,533 u 4 ,223 กก .
23
( 3.75 4.0 )
ค่ า VB 2 VC 2 11 ,373 u 3 ,832 กก .
23
A B C D
A B C D
7,794 กก.-ม. 8,316 กก.-ม. 7,794 กก.-ม.
ระดับชันล่าง
4,086 กก.-ม. 8,446 กก.-ม. 8,446 กก.-ม. 4,086 กก.-ม.
-19,874 กก.-ม.
-35,462 กก.-ม. -38,072 กก.-ม. -38,818 กก.-ม.
-55,450 กก.-ม. -53,660 กก.-ม.
ข) และ ค) ตรวจสอบความแข็งแรงของคานและออกแบบปริมาณเหล็กเสริมใหม่
จากผลการรวมโมเมนต์ระหว่างค่าทีได้ จากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร
รวมกันกับโมเมนต์จากแรงลม เป็ นกรณีของการรวมแรงกระทํา (combined load case) นํามา
เขียนลงในตารางที 6.10 เพือเปรี ยบเทียบกันกับโมเมนต์ทีใช้ ออกแบบเดิม สําหรับกรณีของ
โมเมนต์จากแรงกระทํารวม จัดไว้ เป็ น 2 ชุด เนืองจากแรงลมอาจกระทําในทิศทางตรงกันข้ ามกัน
ได้ ซึงจะให้ คา่ โมเมนต์รวมซึงมีคา่ สลับช่วงกันจากซ้ ายไปขวา
เมือเปรี ยบเทียบกันแล้ ว จะเห็นได้ วา่ ค่าโมเมนต์รวมใหม่จะสูงกว่าค่า โมเมนต์เดิมที
จุดข้ อต่อระหว่างเสาและคานทุกตําแหน่ง ส่วนโมเมนต์ทีกึงกลางคานไม่เปลียนไปจากเดิม ดังนัน
คานจะไม่ปลอดภัยเพียงพอ จึงต้ องมีการออกแบบปริมาณเหล็กเสริมตามยาวในคานใหม่ โดยใช้
ขนาดคานคงเดิม และใช้ คา่ โมเมนต์รวมใหม่ในการออกแบบ ส่วนค่าแรงเฉือนในคานก็มี คา่
เพิมขึนด้ วย จึงต้ องออกแบบปริมาณเหล็กปลอกใหม่เช่นกัน ผลสรุปของการออกแบบใหม่แสดง
รวมอยูใ่ นตารางที 6.10
สําหรับในกรณีของเสา เมือมีแรงกระทําทางด้ านข้ างจะทําให้ เสาเกิดการเซได้ ทําให้
ค่าความชะลูด (slenderness = kl/r) มีคา่ มากขึน การออกแบบจึงเปลียนจากวิธีการคํานวณเดิม
เป็ นแบบเสายาวในโครงข้ อแข็งทีมีการเซ โดยจะมีคา่ โมเมนต์กระทําทีเสาเพิมมากขึนเนืองจากต้ อง
ต้ านทานแรงลมด้ วย ดังนัน ค่าโมเมนต์รวม จึงคํานวณจากโมเมนต์ดดั ทีขยายค่าเพิม
Mc = Mns + GsMs แล้ วจึงนําค่าโมเมนต์รวมนี ไปคํานวณหาปริ มาณเหล็กเสริ มทีต้ องการใหม่ได้
ผลสรุปของการออกแบบปริ มาณเหล็กเสริมในเสาใหม่แสดงอยูใ่ นตารางที 6.11
ตารางที 6.10 การออกแบบปริมาณเหล็กเสริมในคานในกรณีรวมแรงกระทํา (Combined Loads case)
บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ ง
รอยต่อ A B C D
โมเมนต์เดิม (Gravity Load) 27,668 24,614 -45,866 47,134 26,170 -47,134 45,866 24,614 -27,668
โมเมนต์รวม 35,462 24,614 -38,072 55,450 26,170 -38,818 53,660 24,614 -19,874
19,874 24,614 -53,660 38,818 26,170 -55,450 38,072 24,614 -35,462
(Combined Loads case)
โมเมนต์ทใช้ี ออกแบบ 35,462 โมเมนต์เดิม -53,660 55,450 โมเมนต์เดิม -55,450 53,660 โมเมนต์เดิม -35,462
(Mu, กก.-ม.)
แรงเฉือนรวม (Vu, กก.) 30,668 35,521 35,162 35,162 35,521 30,668
ขนาดคาน 25x80 ซม. 25x80 ซม. 25x80 ซม.
2
Ru = Mu/Ibd2 (กก./ซม. ) 32.17 19.45 48.67 50.29 20.68 50.29 48.67 19.45 32.17
U 0.009 0.0051 0.0014 0.014 0.0054 0.014 0.014 0.0051 0.009
2
As = Ubd (ซม. ) 15.75 9.56 24.5 24.5 10.13 24.5 24.5 9.56 15.75
As min. = (14/fy)bd (ซม.2) 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56 6.56
ปริ มาณเหล็กเสริ ม ขนาดใหม่ ขนาดเดิม ขนาดใหม่ ขนาดใหม่ ขนาดเดิม ขนาดใหม่ ขนาดใหม่ ขนาดเดิม ขนาดใหม่
ตามยาว 4DB25 2DB25 6DB25 6DB25 2DB25 6DB25 6DB25 2DB25 4DB25
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป
+2DB12
แรงเฉือนทีหน้าตัดวิกฤติ (กก.) 21,983 26,836 26,478 26,478 26,836 21,983
กําลังรับแรงเฉือนของคอนกรีต 14,630 14,630 14,630 14,630 14,630 14,630
(กก.)
ระยะห่างของเหล็กปลอกขนาด 51 30.6 31.5 31.5 30.6 51
DB10 มม. รับแรงเฉือน ระยะห่างใหม่
ปริ มาณเหล็กปลอก DB10@0.30 ม.
155
156 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 6 การออกแบบโครงข้อแข็ง
เสาแนวแกน A B C D
นําหนักบรรทุก, Pu (กก.) 200,130 465,689 465,689 200,130
E F G
36db= 2DB25 4DB25
2DB25
0.90 ม. l1/4 = 1.75 ม. l1 /3=2.33 ม. l2 /3=2.50 ม. l2 /3=2.50 ม. l3 /3=2.33 ม. l3/4 = 1.75 ม.
2DB25
5 ซม. 2DB12
l2 /8=0.94 ม. 2DB25 l2 /8=0.94 ม.
B3, l1 = 7.00 ม 0.50 ม. B4, l2 = 7.50 ม. B3, l3 = 7.00 ม. 0.50 ม.
0.50 ม. 0.50 ม.
.
E F G
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป
DB10@0.40 6DB25
0.50 ม. 6DB25 DB10@0.30 DB10@0.30
DB10@0.30
0.80 ม. 0.80 ม. 0.80 ม.
4DB25
2DB12
2DB25 2DB25 2DB25
หน้ าตัดเสา คาน B คาน B คาน B
หน้ าตัด E-E หน้ าตัด F-F หน้ าตัด G-G
157
7.2 ¡§·¦¦¤ °Ã¦¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº°Â°·¦³
Á¤ºÉ°¤¸Â¦¦³Îµµoµ
oµ°µµ¦³n°Ä®oÁ·´Ê ®nª¥Â¦´Â¨³®nª¥Â¦Áº°
Äε¡ ¹É®nª¥Â¦´¸Ê³Á}®nª¥Â¦®¨´¸É εĮoε¡¤¸µ¦Ãn´ªÂ¼´ (flexure
mode) εĮoÁ·®nª¥Â¦¹Äoµ¼Â¦¦³ÎµÂ¨³Á·®nª¥Â¦°´Äoµ®¨´Â¦¦³Îµ
160 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 7 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº°
) ε¡¸É¤¸µ¦Á¨¸É¥
µÁ}´nª´
(Proportionate Shear Wall)
I 1A I 1B I 1C I 1A I I
I 2A
, 1B , 1C
I 2 B I 2C
not equal
I 2A I 2B I 2C
æ¦oµÎµÂ¡¸Ê³¤¸µn ¦Áº°Â¨³Ã¤Á¤r¦³µ¥Á}´nª´nµªµ¤Â
ÈÁ·´
°
ε¡ ¨³Å¤n¤¸µ¦¦³µ¥Â¦Áº°®¦º°Ã¤Á¤r¸É¦³´µ¦Á¨¸É¥
µ
°ÎµÂ¡
¸É 7 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº° Å¡¼¨¥r {µ³Ã 161
) ε¡¸É¤¸µ¦Á¨¸É¥
µÅ¤nÁ}´nª´
(Nonproportionate Shear Wall)
7.3 µ¦Îµª°°Âε¡¦³¸É¤¸µ¦Á¨¸É¥ µÁ}´nª´
EI ji
Q ji Qi (7.1)
¦ EI i
EI ji
M ji Mi (7.2)
¦ EI i
Qi
æ¦oµ¹É Ťn¤¤µ¦n°Â
°Â¦¦³Îµ³¤¸µ¦Á¨ºÉ°´ªÂ¨³®¤»´ªoª¥
´ÂĦ¼¸7É .3 µ¦Á¨ºÉ°¸ÉĪ¦µ
°¡ºÊ°µµ¦³Ánµ´¨¦ª¤
°µ¦Á¨ºÉ°´ª
(translation) ¨³µ¦®¤»´ª (rotation) ¦°»«¼¥r¨µ
°µ¦®¤»·´ª ¹É ĸ É ¸Êº°
»«¼¥rªn
°ªµ¤Â
ÈÁ·´ (centroid of flexural rigidity)
°ÎµÂ¡
C æ¦oµ·´ª¦°» C
µ¦®¤»´ª
µ¦Á¨ºÉ°´ª »«¼¥rnª
°ªµ¤Â
È
°ÎµÂ¡
C
Qi
¦EIx j i
x (7.3)
¦ EI i
Ã¥¸É Cx º° »«¼¥r¨µ
°µ¦®¤»·´ª
¸É 7 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº° Å¡¼¨¥r {µ³Ã 163
y
»«¼¥r¨µ
°µ¦®¤»·´ª
1 2 3
x1 e
x2
x3 c3
c2
c1
x
x
oµ®µÃ¦¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº°¤¸µÎ ¡¹ÉªµÄ·«µ´Êµ´Âª
°Â¦
¦³Îµ ´ÂĦ¼¸É 7.5 »«¼¥r¨µ
°µ¦®¤»·´ª µ¤µ¦ÎµªÅoµ
¦EIy j i
y (7.6)
¦ EI i
ε¡Äª´Êµ »«¼¥r¨µ
°µ¦®¤»·´ª
d5
d4
ε¡Äª
µ
d3
d2 y5
d1
y4
y
y3
e y1 y2
x
Qi
¦¼¸É7.5 æ¦oµÅ¤n¤¤µ¦¹É¦ª¤´Êε¡Äª´Êµ
EI d ri
M ri Mi e (7.8)
^
¦ EI c 2 ¦ EI d 2 `i
Ã¥¸É Qri ¨³ Mri º°Â¦Áº°Â¨³Ã¤Á¤rÄε¡Äª´Êµ r ¸É¦³´´Ê i µ¤¨Îµ´
2
6 (EI c )i º°¨¦ª¤
°Ã¤Á¤r¸É°
°ªµ¤Â
ÈÁ·´
°ÎµÂ¡Äª
µ
¸É¦³´´Ê i
6(EI d2)i º°¨¦ª¤
°Ã¤Á¤r¸É°
°ªµ¤Â
ÈÁ·´
°ÎµÂ¡Äª´Êµ
¸É¦³´´Ê i
¸É 7 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº° Å¡¼¨¥r {µ³Ã 165
7.4 µ¦°°ÂÁ®¨ÈÁ¦·¤Äε¡
) ¦ª°ªµ¤®µ °ÎµÂ¡ µ
I Vn
I 2.7 f cc hd t Vu (7.9)
) 媦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤¦´Â¦Áº°
Á®¨ÈÁ¦·¤Äª°
Ħ¸¸É Vu/I > Vc /2
166 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 7 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº°
Vs = Vu/I - Vc (7.11)
Vs = Avfyd/S2 (7.12)
Uh = 0.0025 (7.13)
Á®¨ÈÁ¦·¤Äª´Ê
48.0 ¤
10
6
10@3.50 ¤.
¦¼¸É7.6 °µµ¦Ã¦¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº°Â¤¤µ¦
168 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 7 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº°
ε®Ä®o
µÎµÂ¡ äÁ¤r
°ªµ¤ÁºÉ°¥
ε¡ 1,5 : 8.0x0.2 ¤. 8.533 ¤.4
ε¡ 2,4 : 4.0x0.2 ¤. 1.067 ¤.4
ε¡ 3 : 5.0x5.0x0.2 ¤. 14.771 ¤.4
°¦¸ : fcc = 250 ./¤.2
Á®¨ÈÁ¦·¤ : fy = 4,000 ./¤.2
ª·¸µÎ
媮µÂ¦¨¤¦³Îµoµ¥µª
°°µµ¦ ¨³Â¦Áº°¸ÉoµµÃ¥ÎµÂ¡
´Ê®¤ ÂĦ¼¸É 7.7
+ 40.0 F10
Q10
+ 36.0
F9
Q9
+ 32.0
F8
Q8
+ 28.0
F7
Q7
+ 24.0
F6
Q6
+ 20.0
F5
Q5 120 ./¤.2
+ 16.0
F4
Q4
+ 12.0
F3
Q3
+ 8.0
F2 80 ./¤.2
Q2
+ 4.0
F1
Q1
FG
50 ./¤.2
¦¼¸É7.7 ¦¨¤Â¨³Â¦Áº°¦³ÎµÃ¦°µµ¦´Ê®¤
¸É 7 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº° Å¡¼¨¥r {µ³Ã 169
Qi EI ji E 8.533
ε¡ 1 : Q ji Qi 0.25 Qi
¦ EI i E 8.533 X 2 1.067 X 2 14.771
Qi EI ji E 1.067
ε¡ 2 : Q ji Qi 0.03Qi
¦ EI i E 8.533 X 2 1.067 X 2 14.771
Qi EI ji E 14.771
ε¡ 3 : Q ji Qi 0.44Qi
¦ EI i E 8.533 X 2 1.067 X 2 14.771
M i EI ji E 8.533
ε¡ 1 : M ji Mi 0.25 M i
¦ EI i E 8.533 X 2 1.067 X 2 14.771
M i EI ji E 1.067
ε¡ 2 : M ji Mi 0.03 M i
¦ EI i E 8.533 X 2 1.067 X 2 14.771
M i EI ji E 14.771
ε¡ 3 : M ji Mi 0.44 M i
¦ EI i E 8.533 X 2 1.067 X 2 14.771
170 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 7 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº°
Nu
Mu Mu
1 Vu
Vu h = 0.2 ¤.
hw = 4.0 ¤.
lw = 8.0 ¤.
°°Âε¡¦´Â¦Áº°
´Ê°¸É 1 ¦ª°ªµ¤®µ °ÎµÂ¡
I Vn
I 2.7 f cc hd t Vu
d 0.8 l w 0.8 800 640 ¤ .
I Vn 0.85 2.7 250 ( 20 640 ) 464.5 ³ ! 56.16 ³
´Ê°¸É 2 εªÎµ¨´oµµÂ¦Áº° °°¦¸
1 ,228.80 u 10 3 u 640 ½ 1
Vc ®0.88 250 ( 20 640 ) ¾ 3 423.86 ³
¯ 4 u 800 ¿ 10
§ 1 ,228.80 u 10 3 · ½
° 800 ¨
¨ 0. 33 250 0 . 2 ¸°
¸
° © 800 u 20 ¹ °20 u 640 u 1
®¦º° Vc ®0.16 250 1 ,350.34 u 100 800 ¾
° ° 10 3
° 56.16 2 °
¯ ¿
137.51 ³
.
ÄonµÎµ¨´oµµÂ¦Áº°
°°¦¸¸Éo°¥ªnµ º° Vc = 137.51 ´
´Ê°¸É 3 媦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤¦´Â¦Áº°
IVc 0.85 137.51
58.44 ³ ! Vu ( 56.16 )
2 2
Á®¨ÈÁ¦·¤Âª° Uh = 0.0025
Ah = 0.0025 (20x100) = 5.0 ¤.2/¤.
Äo DB10 @ 0.30 m (2 ´Ê)
172 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 7 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡¦´Â¦Áº°
Á®¨ÈÁ¦·¤Äª´Ê
400
Un 0.0025 0.5§¨ 2.5 ·¸( U h 0.0025 )
© 800 ¹
´Ê°¸É 4 媦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤¦´Â¦´Äª´Ê
Mu 1,350.34 1, 000
Ru 2 2
18.3
I bd 0.9 0.20 640
0.85 f cc ° 2 Ru ½°
U ®1 1 ¾
f y ¯° 0.85 f cc ¿°
0.85 250 ° 2 u 18.3 ½°
®1 1 ¾ 0.0048
4, 000 °¯ 0.85 u 250 ¿°
Umin = 14/4,000 = 0.0035< 0.0048
As = 0.0048 (20)(640) = 61.44 ¤.2 Äo 14 DB25
DB10@0.30 m
DB10@0.30 m
14DB25 14DB25
¦¼¸É7.9 ¦µ¥¨³Á°¸¥
°µ¦Á¦·¤Á®¨ÈÄε¡
บทที 8
การออกแบบโครงสร้ างกําแพง
รั บแรงเฉือนแบบควบคู่
รูปที8.1 ผังอาคารของทีพักอาศัยซึงมีผนังกันห้ อง
řşŜ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่
WALL 1 WALL 2
c.g.of composite section
A D
c.g. B C c.g.
(a)
B C
A D
C1 C2
M2
M1
l
N N
พฤติก รรมของคานเชือม
M1 M2
N N
M M1 M 2 Nl (8.1)
พิจารณาแผ่นกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคูซ่ งมี
ึ ฐานยึดแน่น ดังแสดงในรูปที 8.4a
ถูกกระทําด้ วยแรงลม W ต่อหน่วยความสูงของอาคาร
b A
Equivalent
connecting
medium
Ib
h
H
w Z
I1 I2
A1 A2
C Y
(a) (b)
d1 b 2 b 2 d2
W M1 q n q M2
N N
Wall 1 Wall 2
โมเมนต์ ในกําแพง
แรงเฉือนในคานเชือม
การโก่ งตัวของกําแพง
ค่าการโก่งตัวทางด้ านข้ างของกําแพงทีระดับความสูง z คํานวณได้ จาก
ª § ·
WH 4 « 1 z · 4z ½ ª z § z ·2 º
4
°§ ° 1 ° 1
y ®¨1 ¸ 1¾ 2 ®¨ ¸ «2 ¨ ¸ »
EI « 24 ° © ¹ ¨ 2¸
¬ ¯
H H °
¿ k °©
¯ 2 k D H ¹ ¬« H © H ¹ ¼»
1 ª§ z · 4z º
4
1
«¨1 ¸ 1»
24 «¬© H ¹ H »¼ kD H cos hkD H
4
แรงเฉือนในกําแพงแต่ละส่วนจะแปรตามสัดส่วนของโมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพง
I1 § z · § I1 b ·
S1 WH ¨1 ¸ ¨ l d1 ¸ q (8.16)
I © H¹ ©I 2 ¹
I2 § z · § I2 b ·
S2 WH ¨1 ¸ ¨ l d 2 ¸ q (8.17)
I © H¹ © I 2 ¹
โดยทีค่า สามารถคํานวณได้ จากกราฟในรูปที 8.7
q
เนืองจากค่า q ทีฐานอาคารซึงยึดแน่นมีคา่ เป็ นศูนย์ ดังนัน
แรงเฉือนทีฐานอาคาร (base shear) สําหรับกําแพงชินที 1 และ 2 คํานวณจาก
I1 § z ·
S1 WH ¨1 ¸ (8.18)
I © H¹
I2 § z ·
S2 WH ¨1 ¸ (8.19)
I © H¹
ในกรณีทีกําแพงทังสองส่วนมีขนาดเท่ากัน แรงเฉือนทีฐานอาคารสําหรับแต่ละกําแพงเท่ากับ
1 § z ·
S1 S2 WH ¨1 ¸ (8.20)
2 © H ¹
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řŠś
Wall 1 Wall 2
c.g. of composite section
A B C D
(a)
คานเชือม
c11 c12 c21 c22
N N
M1 l M2
M
(b)
หน่วยแรงสํา หรับกํา แพงอิ สระ
+
N M1c11 M c c1
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด A fA (8.25ก)
A1 I1 Ig
N M 2c21 M c c2
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด D fD (8.25ข)
A2 I2 Ig
เมือ N คือ แรงกระทําในแนวแกนกําแพง
โดยที N M M1 M 2 l
A1, A2 คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
I1 , I 2 คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
Ig คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงคูค่ วบ
A1 A2 2
โดยที Ig I1 I 2 l
A
คือ ระยะจากศูนย์ถ่วงของหน้ าตัดผสม (composite unit) ไปยังขอบนอกสุดของ
c1, c2
กําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
กําหนดให้ หน่วยแรงดึงมีเครื องหมายเป็ นลบและหน่วยแรงอัดมีเครื องหมายเป็ นบวก
8.4 ข้ อกําหนดของการออกแบบกําแพง
กําลังรับแรงเฉือนของกําแพง
กําลังรับแรงเฉือนของกําแพงจะต้ องต้ านทานแรงเฉือนประลัยได้ นันคือ
IVn t Vu (8.26)
ในกรณีที hw lw t 2.0
IVn I Acv 0.53 fcc Un f y d 2.1 fcc Acv (8.27ก)
řŠŞ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่
ในกรณีที hw lw 2.0
IVn I Acv Dc fcc Un f y d 2.1 fcc Acv (8.27ข)
โดยที I = 0.85
Dc = 0.80 เมือ hw lw d 1.5
Dc = 0.53 เมือ hw lw t 2.0
เมือ 1.5 hw lw 2.0 ค่า D c แปรเปลียนเป็ นเส้ นตรงจาก 0.80 ถึง 0.53
hw คือ ความสูงของกําแพงในช่วงทีพิจารณา
lw คือ ความยาวของกําแพงในทิศทางทีแรงเฉือนกระทํา
Acv คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพง
เหล็กเสริมในกําแพง
Wu
Wu M u
C
2 d
d
T C
โดยมีข้อกําหนดของการออกแบบดังนี
ขนาดของเสาขอบกําแพง
x ขนาดความกว้ างของเสาขอบ อย่างน้ อย lw 16 และความยาวอย่างน้ อย 45 ซม. (วัดตาม
ความยาวของแกนกําแพง) ทีแต่ละข้ างของกําแพง
x ในกรณีของกําแพงทีมีหน้ าตัดรูป I, L, C, หรื อ T ขนาดหน้ าตัดของเสาจะต้ องพิจารณารวม
ความกว้ างปี กประสิทธิผลของหน้ าตัดนันด้ วย และจะต้ องขยายเข้ าไปในแกนกําแพงอย่าง
น้ อย 30 ซม.
กําลังของเสาขอบกําแพง
พิจารณาเป็ นเสาสันรูปสีเหลียมผืนผ้ า คํานวณดังนี
Pu d I Pn (8.30ก)
Pn 0.8 ª0.85 fcc Ag Ast Ast f y º (8.30ข)
¬ ¼
Wu M u
โดยที Pu คือ นําหนักบรรทุกประลัยทีกระทําต่อเสา
2 d
Pn คือ กําลังรับนําหนักบรรทุกของเสา
I คือ ตัวคูณลดกําลัง = 0.7
Ag , Ast คือ พืนทีหน้ าตัดของเสาและเหล็กเสริ ม ตามลําดับ
ปริมาณเหล็กเสริมแนวแกน Umin. 0.01 Ust Umax. 0.06
เหล็กปลอก
x ปริมาณเหล็กปลอกและเหล็กรัดขวาง ใช้ ข้อกําหนดเดียวกันกับเหล็กปลอกในเสาตาม
รายละเอียดในเรื องโครงข้ อแข็ง
1.5l d
h
0.2h l
1 Sh d 10 cm Section1-1
การออกแบบเหล็กเสริมแนวทะแยงแบบนีก็เพือป้องกันการวิบตั จิ ากแรงเฉือนเมือมีแรง
กระทําแบบวัฏจักร จากผลการทดสอบโดย Paulay และ Binney (1974) สําหรับคานเชือมทีมีคา่
řšŘ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่
6@6.0 m = 36.0m
1 2 3 4 5 6 7
D
7.0 m
ซม.
คานขนาด x ซม.
C
กํา แพงหนา
2.0 m
เสาภายในขนาด x ซม.
B
5.0 m
A
ก) ผังอาคาร
řšŚ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่
160 กก./ตร.ม.
+40 .0 ม.
20 @ 3.6 m = 72.0 m
+20 .0 ม. 120 กก./ตร.ม.
+10 .0 ม. 80 กก./ตร.ม.
50 กก./ตร.ม.
c.g. c.g.
0.30 m
l = 8.0 m
ข) รูปตัดขวางและแรงลม
วิธีการคํานวณ
คํานวณแรงลมให้ เป็ นแรงกระจายสมําเสมอตลอดความสูงของอาคารเพือให้ สามารถใช้
กราฟการวิเคราะห์ได้
1
WL
72
^(50 u10) 80 u10 120 u 20 160 u 32 ` 122.5 กก./ตร.ม.
122.5 u 6 735 กก./ม.
คํานวณคุณสมบัตขิ องกําแพง :
ความหนาของกําแพงไม่น้อยกว่า lu 15 360 40 15 21.33 ซม. ใช้ 30 ซม.
1
I1 0.3 53 3.125 m4
12
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řšś
1
I2 0.3 7 3 8.575 m4
12
?I I1 I 2 11.700 m4
A1 5 u 0.3 1.5 m2
A2 7 u 0.3 2.1 m2
?A A1 A2 3.6 m2
l 8 m
คํานวณคุณสมบัตขิ องคานเชือม :
1
Ib 0.3 0.4 3 1.6 u103 m4
12
E E E
G
2 1 Q 2 1 0.15 2.3
12 EIb 12 u E u1.6 u103
r O 1.2 0.1104
b2GA 2 2 E 2.3 u 0.4 u 0.3
Ib 1.6 u103
Ic 1.441u103 m4
1 r 1.1104
คํานวณสัมประสิทธิ k , D , kD H
AI 3.6 u11.7
k2 1 2
1 1.2089
A1 A2l 1.5 u 2.1u 82
?k 1.0995
1 0.4
be b u (beam depth) 2 2.2 m
2 2
12 u1.441u103 u 8
2
12 I cl 2
D2
be3hI 2.2 3 u 3.6 u11.7
D 0.0497 m1
? kD H 1.0995 u 0.0497 u 72 3.934
คํานวณโมเมนต์ทงหมดเนื
ั องจากแรงลมกระทําทีฐานอาคาร
1
u 735 u 72 /1, 000
2
Total base moment , M T 1,905.12 T m
2
จากรูปที 8.11 ทีฐานอาคาร (Z/H = 0)
K1 = 40%, K 2 = 60%
โมเมนต์ในกําแพงเนืองจากพฤติกรรมกําแพงอิสระ
M = 0.40 x (1,905.12) = 762.05 ตัน-เมตร
řšŜ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่
3.125
Wall 1 : M1 u 762.05 203.54 T m
11.70
8.575
Wall 2 : M 2 u 762.05 558.51 T m
11.70
โมเมนต์ในกําแพงเนืองจากพฤติกรรมกําแพงผสมแบบสมบูรณ์
K2
Mc MT = 0.60x1905.12 = 1,143.07 ตัน-เมตร
100
โมเมนต์ในคานเชือม Nl M M1 M 2
1,905.12 203.54 558.51 1,143.07 ตัน-เมตร
Nl 1,143.07
ตรวจสอบอัตราส่วนการรับกําลังของคานเชือม 0.60
M1 M 2 Nl 1,905.12
1 2
เนืองจาก d 0.60 d แสดงว่าขนาดของคานเชือมให้ ประสิทธิภาพการรับแรงทีดี
3 3
สําหรับพฤติกรรมแบบกําแพงคูค่ วบ
โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงคูค่ วบ
A1 A2 2 1.5 u 2.1
Ig I1 I 2 l 3.125 8.575 u82 67.70 m4
A 3.6
ตําแหน่งของจุดศูนย์ถ่วงของหน้ าตัดกําแพงคูค่ วบแสดงในรูปข้ างล่าง
A B C D
0.30 m
0.167 m
M1 = 203.54 T-m M2 = 558.51 T-m
2.167 m
N1 = 265.86 T N2 = 910.14 T
7.167 m 6.883 m
M = 1,905.12 T-m
ก) หน่ วยแรงในกําแพงทีฐานอาคาร
N M1c11 M c c1
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด A fA
A1 I1 Ig
265.86 u103 203.54 u103 u100 u 250 1,143.07 u103 u100 u 716.7
fA
1.5 100 3.125 100 67.0 100
2 4 4
ข) แรงเฉือนและโมเมนต์ ดัดสูงสุดในคานเชือม
แรงเฉือนสูงสุดในคานเชือมคํานวณจาก
WH
Qmax F2 (max) h
k 2l
จากรูป 8.7 สําหรับค่า kD H 3.934 จะได้ F2max. = 0.41 ทีระดับ Z/H = 0.38
735 u 72
Qmax 0.41 3.60
1.09952 8.0
8,076.55 กก.
โมเมนต์สงู สุดในคานเชือม
b
M max Qmax 8, 076.55 u1 8, 076.55 กก.-ม.
2
? ymax
735 100 u 72 4 0.30 2.75 ซม.
8 2.3 u105 11.7
สังเกตว่า หากไม่มีคานเชือมระหว่างกําแพง
735 100 u 72 4 1.0 9.17 ซม.
ymax
8 2.3 u105 11.7
ง) ออกแบบเหล็กเสริมในกําแพงและคานเชือม
ขันตอนที 1 เหล็กเสริมในกําแพง
ตรวจสอบว่าจะต้ องเสริมเหล็กตะแกรงรับแรงเฉือน 2 ชันหรื อไม่ จาก
Vu ! 0.53 fcc Acv
คํานวณ Vu จากการรวมนําหนักบรรทุกสูงสุดในกรณี
Vu 0.75(1.4VD 1.7VL 1.7VW )
Vu 0.9VD 1.3VW
เนืองจากค่าแรงเฉือนในกําแพงจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรมีคา่ น้ อย จึงใช้ แรง
เฉือนจากแรงลมเพียงอย่างเดียว และใช้ การรวมนําหนักบรรทุกกรณีที 2 นันคือ
Vu 1.3VW 1.3 u 735 u 72 68,796 กก.
กําแพงแต่ละชินรับแรงเฉือนตามค่าสัดส่วน EI ดังนี
I1 3.125
Vu1 Vu 68, 796 18,375 กก.
I 11.7
I2 8.575
Vu 2 Vu 68, 796 50, 421 กก.
I 11.7
พิจารณากําแพงชินที 2 ซึงมีขนาด 30x700 ซม.
0.53 fcc Acv 0.53 250(700) 30 175,981 กก. > 50, 421 กก.
ดังนัน อาจออกแบบเป็ นเหล็กเสริมชันเดียวได้
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řšş
เนืองจาก Vu 2 IVc 2 I 0.26 fcc Acv 0.6 u 0.26 250(700) 30 51, 798 กก.
เหล็กเสริมในแนวตัง
ใช้ ขนาด DB12 ดังนัน ใช้ Uv(min.) 0.0012
Asv 0.0012 u 30 u100 3.6 ซม.2
เนืองจากกําแพงหนา 30 ซม. จึงใช้ เหล็ก 2 ชัน เพือป้องกันการแตกร้ าวทีผิวกําแพงเนืองจากการ
ยืดหดตัวของคอนกรี ตใช้ ขนาด DB12@0.30m จํานวน 2 ชัน และ S 0.30m 0.45m ใช้ ได้
เหล็กเสริมในแนวนอน
ใช้ ขนาด DB12 ดังนัน ใช้ Uv(min.) 0.002
2
Asv 0.002 u 30 u100 6.0 ซม. ใช้ ขนาด DB12@0.18m จํานวน 2 ชัน
ตรวจสอบกําลังรับแรงเฉือนของกําแพง จาก
พิจารณากําแพงชินที 2 ซึงมีขนาด 30x700 ซม. ความสูงประสิทธิผล 320 ซม.
hw 320
0.46 2.0
lw 700
IVn I Acv Dc fcc Un f y
0.85 30 u 700 0.8 250 0.002 u 4,000
368,587 กก. < 2.1 250(30 u 700) 697, 282 กก.
> Vu 50, 421 กก.
แสดงว่า กําลังต้ านทานแรงเฉือนของกําแพงสามารถต้ านทานแรงเฉือนประลัยได้
650 ซม.
80 ซม. 30 ซม.
50 ซม.
T C
รูปที8.16 หน้ าตัดของเสาขอบกําแพง
řšŠ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่
Wu M u
คํานวณแรงกระทําต่อเสาขอบกําแพง จาก C
2 d
พิจารณากําแพงชินที 2 ซึงมีขนาด 30x700 ซม.
Wu ª¬1.4 500 1.7 200 º¼ 6.0 u 8.0 u 20 998, 400 กก.
M u 1.3MW 1.3 u 558,510 726,063 กก.-ม.
998, 400 726, 063
C 610,902 กก.
2 6.5
คํานวณกําลังรับนําหนักของเสาขอบกําแพง
Pn
¬
0.8 ª0.85 fcc Ag Ast Ast f y º
¼
ใช้ ปริ มาณเหล็กเสริม U ดังนัน Ast 0.02 u 50 u 80 80 ซม.2
0.02
Pn 0.8 ª¬0.85 u 250 50 u 80 80 80 u 4,000º¼ 922, 400 กก.
I Pn 0.7 u 922, 400 645,680 > Pu 610,902 ใช้ ได้
ดังนัน ใช้ เหล็กเสริมขนาด 18DB25
ออกแบบเหล็กปลอก โดยสมมุตวิ า่ ใช้ ขนาด DB10
Vu 2 / 2 50, 421/ 2 25, 211 กก.
§ N ·
กําลังรับแรงเฉือนของเสา Vc 0.53 ¨1 0.0071 u ¸ fccbd
¨
© Ag ¸¹
§ 998, 400 ·
0.53 ¨1 0.0071 ¸ 250 (50 u 75) 87.12 ตัน
© 50 u 80 ¹
IVc 0.85 u 87.12
เนืองจาก Vu 25.21 37.03 ตัน
2 2
ใช้ เหล็กปลอกขนาด 10 มม. ระยะห่างของเหล็กปลอก
Smax d 16dbl 40
d 48dt 48
db 50
ดังนันใช้ เหล็กปลอกขนาด DB10@0.40m
18DB25
4DB10
3DB10
รูปที8.17 การเสริมเหล็กของเสาขอบกําแพง
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือนแบบควบคู่ řšš
ตรวจสอบความต้ องการเหล็กเสริมแนวทแยง
ln 200
5.714
d 35
1.06 fccbd 1.06 250 30 u 35 17,598 กก.
Vu 1.3Vb max. 1.3 u 8,076.55 10,500 กก.
เนืองจาก ln d ! 4 และ Vu 1.06 fccbd ดังนัน ใช้ การออกแบบเหล็กเสริมในคานตามปกติ
M u 1.3M b max. 1.3 u 8,076.55 10,500 กก.-ม.
M R I Rubd 2 0.9 u 66.07 u 0.30 u 352 21,852 กก.-ม.
คํานวณปริมาณเหล็กเสริมตามยาว
Mu 10,500 u100
As 10.33 ตร.ซม. ใช้ 4DB20mm
I f y ju d 0.9 u 4, 000 u 0.807 u 35
ตรวจสอบแรงเฉือน
Vc 0.53 fccbd 0.53 250 30 u 35 8,799 กก.
Vu 10,500
Vs Vc 8, 799 3,554 กก.
I 0.85
ใช้ เหล็กปลอกขนาด DB10, As 2 u 0.785 1.57 ตร.ซม.
Av f y d 1.57 u 4, 000 u 35
S 61.85 ซม.
Vs 3,554
æ¦oµ°µµ¦¹É°°ÂÄ®oµ¤µ¦oµµÂ¦¦³Îµoµ
oµoª¥ÎµÂ¡¦´
¦Áº°Â¨³Ã¦
o°Â
È ´Á}æ¦oµ¦³Á£ÎµÂ¡-æ
o°Â
È (wall-frame structure)
Ã¥nªÄ®n ε¡¦´Â¦Áº°³Á}nªÃ¦¦oµ
°n°¨·¢r Ä
³¸É°°ÂÄ®oæ
o°
Â
Ȧ´Êε®´
°¦³¡ºÊ ¦nª¤´´Ã¦¦oµÎµÂ¡ ´ÂĦ¼¸É 9.1
o°¸
°Ã¦¦oµ
ε¡-æ
o°Â
È º° ¦³¥³µ¦Ã¥´ª
°Ã¦¦oµÁºÉ°µÂ¦¦³Îµµoµ
oµ¤¸nµ¨¨
µÄ¦¸°¸É °ÂÃ¥Äoε¡¦´Â¦Áº°®¦º°Ã¦
o°Â
ÈÁ¡¸¥°¥nµÁ¸¥ª ¨³Ã¤Á¤r
´Äε¡¤¸nµ¨¨µ¦¸Ã¦¦oµÎµÂ¡°¥nµÁ¸¥ª ´Ê¸ÊÁºÉ°µÃ¦¦oµ´Ê °nª
¤¸¡§·¦¦¤¦nª¤´¦´Â¦¦³Îµµoµ
oµ
nElevator
°¨·¢r and service core
Frames
æ
o°Â
È
Shear
ε¡¦´walls
¦Áº°
(a)
()
(b)
(
)
(c)
()
¦¼¸É 9.2 æ¦oµÎµÂ¡-æ
o°Â
Ȧ³Á£nµÇ
() ε¡-æ
o°Â
È ´¤¤µ¦: ε¡¨³Ã¦
o°Â
È °¥¼nÄæ¸É
µ´
(
) ε¡-æ
o°Â
È ´¤¤µ¦: ε¡¨³Ã¦
o°Â
È °¥¼nÄæÁ¸¥ª´
() ε¡-æ
o°Â
È ´Å¤n¤¤µ¦
¸É 9 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡-æ
o°Â
È Å¡¼¨¥r {µ³Ã 203
9.2 ¡§·¦¦¤ °ÎµÂ¡-æ o°Â ȸɤ¸¨´¬³¤¤µ¦
¡§·¦¦¤
°µ¦¦´Â¦¦³Îµ¦nª¤´¦³®ªnµÎµÂ¡Â¨³Ã¦
o°Â
È宦´
æ¦oµ¸Ê³Âoª¥¦¼¦nµµ¦Ãn´ª
°ÎµÂ¡¦´Â¦Áº°Â¨³Ã¦
o°Â
È Ä¦¼¸É 9.3
¨³¦¼¸É 9.3
Ã¥¤¸¤¤·µ´¸Ê
. ε¡³Âoª¥°r°µµ¦¥ºÉ¦´µ¦´ (flexural cantilever)
. æ
o°Â
ȳÂoª¥°r°µµ¦¥ºÉ¦´µ¦Áº° (shear cantilever) ¹É³Ãn
´ªoª¥Â¦Áº°°¥nµÁ¸¥ª ¨³Áµ°µµ¦³¡·µ¦µÄ®o¤¸ªµ¤Â
ÈÁ¦È¨³Å¤n
¤¸µ¦¥º®´ªÄªÂ
. ε¡¨³Ã¦
o°Â
Ȥ¸µ¦ÁºÉ°¤¥¹oª¥´ª¨µÁºÉ°¤¥¹Â
ÈÁ¦È ¹Énµ¥Â¦
¦³Îµoµ
oµ°¥nµÁ¸¥ª
µ¤¤·µ
oµ¸Ê ε¡³¤¸µ¦Ãn´ªÄ¦¼Â
°µ¦Ãn´ (flexural shape) Ã¥¤¸
ªµ¤´¼»¸É¥°
°°µµ¦ Ä
³¸Éæ
o°Â
ȳ¤¸µ¦Ãn´ªÄ¦¼Â
°µ¦ÃnÁº°
(shear shape) Ã¥¤¸ªµ¤´¼»¸Éµ
°°µµ¦ Á¤ºÉ°ÎµÂ¡Â¨³Ã¦°µµ¦¤µÁºÉ°¤Á
oµ
oª¥´Ã¥µ®¦º°¡ºÊ ¹É ¤¸¨µ¥Â
o°®¤» ¦¼¦nµ
°µ¦Ãn´ª
°Ã¦¦oµ¤¸Ê³¤¸
¦¼¨´¬³Á}µ¦´¸Énª¨nµ
°°µµ¦ ¨³¤¸¦¼¨´¬³Á}µ¦Áº°¸Éªn
°µµ¦ ´ÂĦ¼¸É 9.3 ´Ê ¸ÊÁºÉ°µÂ¦µ¤ÂªÂĵÁºÉ°¤ ³ÎµÄ®oµÎ ¡¤¸
¡§·¦¦¤nª¥¥´Ã¦
o°Â
ȸÉnª¨nµÄ¨oµ°µµ¦ ¨³Ã¦
o°Â
ȳnª¥Êε¥´ÎµÂ¡¸É
¥°°µµ¦
¦¼Â
µ¦ÃnÁº°
»µ¦´¨´
¦¼Â
µ¦Ãn´
¨
°¡§·¦¦¤µ¦¦´Â¦¦³Îµ¦nª¤¦³®ªnµÎµÂ¡Â¨³Ã¦°µµ¦ (wall-frame
interaction) ³ÂÅooª¥¦µ¢
°µ¦Ãn´ª äÁ¤r¨³Â¦Áº° ´ÂĦ¼ 9.4
¨³ µ¤¨Îµ´
ª
Á¸¥
æ
¥nµ
-æ
¨´
¡°
´
o°Â
È
εÂ
¦
ε¡
¦Á
Á» ¨
º°
ε æ o
£µ¥
¡
εÂ
°
äÁ
¡
¤
r´
°Â
È
£µ
¥
°
() µ¦Ãn´ª (
) äÁ¤r´ () ¦Áº°
¦¼¸É9.4 ¡§·¦¦¤µ¦¦´Â¦¦³Îµ¦nª¤¦³®ªnµÎµÂ¡Â¨³Ã¦°µµ¦
9.3 µ¦ÎµªÂ¦£µ¥Äæ¦oµÎµÂ¡-æ o°Â È
Concentrated
Rigid links Axially rigid interaction
interaction force QH
continuum force QH
wall Frame Flexural Shear Flexural
cantilever cantilever cantilever Shear
EI GA cantilever
Loading
w(z)
Distributed interaction
w (z) w (z)
intensity q(z)
z
y
()( a ) (
)( b ) ()( c )
d4y 2
2d y W z
(9.3)
D
dz 4 dz 2 EI
Ã¥¸É
GA (9.4)
D2
EI
W z2
y z C 1 C 2 z C 3 cos hD z C 4 sin hD z (9.5)
2 EID 2
d2y
Mb H EI 2 0 (9.7)
dz
. ε®n»
°°µµ¦, ¦Áº°¨´¡rÁ}«¼¥r
d3y dy H
E I 3 H GA 0 (9.8)
dz dz
W H 4 ° 1 ª D H sin hD H 1
y z ® «
EI °̄ D H 4 «¬ cos hD H
cos hD z 1
ª z 1 § z · 2 º º ½°
2
D H sin hD z D H « ¨ ¸ » » ¾ (9.9)
¬H 2 © H ¹ ¼ ¼ °¿
¸É 9 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡-æ
o°Â
È Å¡¼¨¥r {µ³Ã 207
Ã¥¸É
DH H
G A (9.10)
EI
dy z W H 3 ° 1 ª D H sin hD H 1
dz
® «
E I °̄ D H 3 ¬« cos hD H
sin hD z
z ½
D H cos hD z D H §¨ 1 ·¸º» ¾ (9.11)
© H ¹¼ ¿
¦£µ¥Äε¡¨³Ã¦ o°Â È
) äÁ¤r´Äε¡¨³Ã¦ o°Â È
W H z2
M s z M b z (9.14)
2
) ¦Áº°Äε¡¨³Ã¦ o°Â ÈÁºÉ°µÂ¦£µ¥°
¦Áº°Äε¡
d 3 y z (9.15)
Qb z E I
dz 3
´Éº°
° 1 ª D H sin hD H 1 º ½°
Qb z WH ® « sin hD z D H cos hD z » ¾ (9.16)
°̄ D H «¬ cos hD H »¼ °¿
¦Áº°Äæ o°Â È
) ¦Áº°Äε¡¨³Ã¦ o°Â ÈÁºÉ°µÂ¦··¦·¥µ£µ¥Ä QH ¸É¥°°µµ¦
¦Áº°Äε¡
d3y (9.18)
Qb H EI 3 H
dz
¦Áº°Äæ
o°Â
È
dy (9.19)
Qs H GA H
dz
ÁºÉ°µÂ¦Áº°µÂ¦¦³Îµ£µ¥°´Ê®¤¸É¥°°µµ¦Á}«¼¥r ´´Ê¦
Áº°Äε¡¹¤¸µn Ánµ´Â¦Áº°Äæ
o°Â
È Ân¤¸·«µ¦´
oµ¤ ¦Áº°Äε¡
¨³Â¦Áº°Äæ
o°Â
È ¹ÉÁnµ´¸Ê Á¦¸¥ªnµÂ¦··¦·¥µ£µ¥Ä QH
¸É 9 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡-æ
o°Â
È Å¡¼¨¥r {µ³Ã 209
Shear Q
Q
¦¼¸É 9.6 æ
o°Â
ȼ¦³Îµoª¥Â¦Áº°
9.4 µ¦Îµª®µÂ¦£µ¥Ä¨³nµµ¦Ãn´ªÃ¥Äo¦µ¢
dy ( z ) WH 3
K 2 (D H , z H ) (9.22)
dz 6 EI
nµÃ¤Á¤r´Äε¡
WH 2
Mb ( z ) K 3 (D H , z H ) (9.23)
2
nµÂ¦Áº°Äε¡
Qb ( z ) W H K 4 (D H , z H ) (9.24)
Qs = Q - Qb (9.26)
1.0
0.9
0.6
Z/H 0.5
0.4
0.3
WH 4
0.2
0.1
y z K1
0 0.10 0.20 0.30 0.40 0.50 0.60 0.70
8 EI
0.80 0.90 1.00
K1
0.9
0.8
0.7
0.6
Z/H 0.5
0.4 D+
0.3
WH 3
0.2
dy z
0.1
K2
0 0.10 0.20 0.30 0.40 0.50
dz
0.60 0.70
6 EI
0.80 0.90 1.00
K2
WH 2
1.0
0.9
Mb z K3
0.8 2
0.7
0.6
Z/H 0.5
0.4 D+
0.3
0.2
0.1
-0.10 0 0.10 0.20 0.30 0.40 0.50 0.60 0.70 0.80 0.90 1.00
K3
1.0
0.9 Qb z W H K4
0.8
0.7 D+
0.6
Z/H 0.5
0.4
0.3
0.2
0.1
-0.20 -0.10 0 0.10 0.20 0.30 0.40 0.50 0.60 0.70 0.80 0.90 1.00
K4
2 1 1 x 1 1 2
8.0 ¤.
D
8.0 ¤.
24.0 ¤.
C
8.0 ¤.
A
8@8.0 ¤. = 64.0 ¤.
ε®Ä®o
Áµ£µ¥Ä Áµ£µ¥° µ
Ixx Ixx
æ
o°Â
È Â¸É 1 (
µ 1.00x1.00 ¤.) (
µ 0.90x0.90 ¤.) (
µ 0.25x0.80 ¤.)
Ixx = 0.083 ¤.4 Ixx = 0.055 ¤.4 Ixx = 0.011 ¤.4
æ
o°Â
È Â¸É 2 (
µ 0.90x0.90 ¤.) (
µ 0.80x0.80 ¤.) (
µ 0.25x0.60 ¤.)
Ixx = 0.055 ¤.4 Ixx = 0.034 ¤.4 Ixx = 0.0045 ¤.4
´Ê°¸É 1 εªnµ DH
. ªµ¤Â
ÈÁ·´
°ÎµÂ¡nªÂ¨µ
(EI)t = 2.3x105x104x253.92 = 5.84x1011 .-¤.2
. ªµ¤Â
ÈÁ·Áº°
°Ã¦
o°Â
È
12 E
GA
§1 1 ·
h ¨ ¸
©G C ¹
宦´Ã¦
o°Â
ÈÂ¸É 1:
12 u 2.3 u 10 9
GA 1 3.091 u 107 .
½
° 1 1 °
3.5 ® 3 u 0.011
2 0.083 0.055 ¾
° °
¯ 8.0 3. 5 ¿
宦´Ã¦
o°Â
ÈÂ¸É 2:
12 u 2.3 u 10 9
GA 2 1.288 u 107 .
½
° 1 1 °
3.5 ® 3 u 0.0045
2 0.055 0.034 ¾
° °
¯ 8. 0 3.5 ¿
7 7
6 (GA)t = (4x3.091x10 + 2x1.288x10 ) = 14.94x107 .
. εª D H µ
GA t 14.94 u 107
DH H 105 1.68
EI t 5.84 u 10 11
´Ê°¸É 2 εªnµµ¦Ãn´ª¼»
°°µµ¦
WH 4
y z K 1 D H , z H
8 EI t
W = 150x64 = 9,600 ./¤.
µ¦¼¸É 9.7 ¸É¥°»
°°µµ¦, Z/H =1.0, DH = 1.68, K1 = 0.50
¸É 9 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡-æ
o°Â
È Å¡¼¨¥r {µ³Ã 215
nµµ¦Ãn´ª¼»
°¥°°µµ¦:
9 ,600 u 105 4 u 0.50
y H 0.125 ¤ .
8 5.84 u 10 11
宦´nµµ¦Ãn´ª¸É¦³´°ºÉÇ µ¤µ¦®µÅoÄε°Á¸¥ª´¸Ê
´Ê°¸É 4 äÁ¤r´Äε¡¨³Ã¦
o°Â
È
. äÁ¤r´Äε¡
WH 2
Mb z K 3 (D H , z H )
2
媮µÃ¤Á¤r¼»Ä ε¡nªÂ¨µ¸É¦³´µ
°°µµ¦
µ¦¼¸É 9.9 Z/H = 0, K3 = 0.65
9 ,600 u 105 2 u 0.65
Mb 34.40 u 10 6 . ¤ .
2
. äÁ¤r´Äæ
o°Â
È
W H z2
M s z M b z
2
216 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 9 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡-æ
o°Â
È
¸Éµ
°°µµ¦
9 ,600 105 0 2
Ms 34.40 u 10 6 18.52 u 10 6 . ¤ .
2
äÁ¤rÄæ
o°Â
ÈÂ¸É 1
GA 1 3.091 u 107 6
M1 Ms 7 u 18.52 u 10 3.83 u 10 6 . ¤ .
6 GA 14.94 u 10
äÁ¤rÄæ
o°Â
ÈÂ¸É 2
GA 2 1.288 u 107 6
M2 Ms 7 u 18.52 u 10 1.59 u 10 6 . ¤ .
6 GA 14.94 u 10
´Ê°¸É 5 ¦Áº°Äε¡¨³Ã¦ o°Â È
. ¦Áº°Äε¡
z
Qb z W H K 4 §¨D H , ·¸
© H¹
. ¦Áº°Äæ
o°Â
È
Qs (z) = W(H-z) - Qb (z)
¦Áº°Äæ o°Â ÈÂ¸É 1
3.091 u 107
QS 1 u 181 ,440 37 ,558 .
14.94 u 107
¦Áº°Äæ
o°Â
ÈÂ¸É 2
1.288 u 107
QS 2 u 181 ,440 15 ,604 .
14.94 u 107
¨µ¦Îµªnµµ¦Ãn´ª
°°µµ¦ nµÃ¤Á¤r´Â¨³Â¦Áº°Äε¡¨³Ã¦
o°Â
È
ÂĦ¼¸É 9.12 - 9.12
¦Á
0.6 0.6 0.6
º°
Z/H 0.5 Z/H 0.5 Z/H 0.5
´Ê®
εÂ
æ
o°Â
È
¤
εÂ
¡
0.4 0.4 0.4
äÁ¤
æ
o°Â
È
¡
r
0
0 0.05 0.10 0.15 0.20 -10 0 10 20 30 40 50 60 -0.4 -0.2 0 0.2 0.4 0.6 0.8 1.0
宦´µ¦Îµª°°ÂÁ¦·¤Á®¨ÈÄε¡nªÂ¨µ Äoª·¸µ¦ÎµªÁnÁ¸¥ª´´
µ¦°°ÂÄ¸É 7 nªµ¦°°ÂÁ¦·¤Á®¨ÈÄæ
o°Â
È ÈÄoª·¸µ¦ÎµªÁnÁ¸¥ª´
´µ¦°°ÂÄ¸É 6 Ã¥µ¦ÄonµÂ¦Áº°Â¨³Ã¤Á¤r¸ÉÅoεªÂ¥Åªo¨oª ¦³Îµn°
ε¡¨³Ã¦
o°Â
ÈÁ}nªÇÅ Ä¸É¸Ê ³ÂÁ¡µ³µ¦ÎµªÁ®¨ÈÁ¦·¤Äε¡Įo¼
Á}´ª°¥nµ
218 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 9 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡-æ
o°Â
È
Nu = 23,100 ´
CL
Vu = 1,258 ´
Mu = 41,277.6 ´-¤.
h = 0.50 ¤. 1
hw = 3.5 ¤.
lw = 8.0 ¤.
°°Âε¡¦´Â¦Áº°
´Ê°¸É 1 ¦ª°ªµ¤®µ
°ÎµÂ¡
220 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 9 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡-æ
o°Â
È
I Vn
I 2.7 f cc hd t Vu
d 0.8 l w 0.8 800 640 ¤ .
I Vn 0.85 2.7 250 ( 50 640 )2 2 ,322.4 ³ ! 1 ,258 ³
´Ê°¸É 2 εªÎµ¨´oµµÂ¦Áº° °°¦¸
23 ,100 u 10 3 u 640 ½ 1
Vc ®0.88 250 ( 50 640 )2 ¾ 3 5 ,510 ³
¯ 4 u 800 ¿ 10
§ 23 ,100 u 10 3 · ½
° 800 ¨
¨ 0. 33 250 0 . 2 ¸¸ °
° © ( 800 u 50 ) 2 ¹ °( 50 u 640 u 2 ) u 1
®¦º° Vc ®0.16 250 41 ,277.6 u 100 800 ¾
° ° 10 3
°¯ 1 ,258 2 °¿
1 ,281 ³
.ÄonµÎµ¨´oµµÂ¦Áº°
°°¦¸¸Éo°¥ªnµ º° Vc = 1,281 ´
´Ê°¸É 3 媦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤¦´Â¦Áº°
Á®¨ÈÁ¦·¤Äª´Ê
400
Un 0.0025 0.5 §¨ 2.5 ·¸( U h 0.0025 )
© 800 ¹
ÁºÉ°µ Uh = 0.0025 ´´Ê Äo Un = 0.0025 ®¦º° DB12 @ 0.18 ¤. (2 ´Ê)
´Ê°¸É 4 媦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤ÁºÉ°µÊε®´¦¦»Â¨³Ã¤Á¤r´
¡·µ¦µÄ®o
°ÎµÂ¡¦´Â¦Â¨³ÎµªÂ¦¦³Îµn°
°ÎµÂ¡Ân¨³oµ µ
Wu M u
C
2 d
¡·µ¦µÄ®o
°ÎµÂ¡
µ 50x800 ¤. εª 2x3 = 6 ·Ê ¦´Â¦ Wu
23,100 41, 277.6 / 2
C 6, 430 ´
2u3 8
εªÎµ¨´¦´Êε®´
°
°ÎµÂ¡
µ 50x800 ¤.
Pn
¬
0.8 ª 0.85 f cc Ag Ast Ast f y º
¼
Äo¦·¤µÁ®¨ÈÁ¦·¤ U 0.02 ´´Ê Ast 0.02 u 50 u 800 800 ¤.2
Pn 0.8 ª¬0.85 u 250 50 u 800 800 800 u 4, 000 º¼ 9, 224 ´
I Pn 0.7 u 9, 224 6, 457 > Pu 6, 430 ÄoÅo
´´Ê ÄoÁ®¨ÈÁ¦·¤
µ 130 DB 28
宦´µ¦°°ÂÁ®¨ÈÁ¦·¤
°ÎµÂ¡Ä·«µÂª¥µª
°°µµ¦ ȵ¤µ¦
εªÅoÄε°Á¸¥ª´¸Ê ¦µ¥¨³Á°¸¥µ¦Á¦·¤Á®¨ÈÄε¡nªÂ¨µ ÂĦ¼¸É
9.14 Á®¨ÈÁ¦·¤Ä¦¼¸ÊÂnªoµ¥
°Â¤¤µ¦Ä®o¼ 宦´nª
ªµÈÁ¦·¤¦·¤µÁ®¨È
Ánµ´nªoµ¥
222 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 9 µ¦°°Âæ¦oµÎµÂ¡-æ
o°Â
È
CL
130DB28 DB12@ 0.18 ¤.
24DB25
DB12@ 0.18 ¤.
DB12@ 0.18 ¤.
DB12@ 0.18 ¤.
8.0 ¤.
DB12@ 0.18 ¤.
24DB25
บทที 10
การออกแบบฐานรากอาคาร
10.1 บทนํา
ฐานรากเป็ นส่วนทีสําคัญของอาคารในการแบกรับนําหนักบรรทุกสะสมของโครงสร้ าง
ตังแต่หลังคาลงมา รวมกับนําหนักแต่ละชันจากบนสุดลงมาจนถึงชันล่าง โดยถ่ายนําหนักผ่านเสา
อาคารแต่ละชันลงมายังตอม่อ และจากตอม่อลงสูฐ่ านราก และฐานรากจะทําหน้ าทีถ่ายนําหนัก
จากตอม่อลงสูด่ ิน การออกแบบฐานรากนันจะต้ องจํากัดค่าการทรุดตัวทังหมดและค่าการทรุดตัว
ไม่เท่ากันไม่ให้ มีคา่ มากเกินไป โดยเฉพาะ ถ้ าหากการทรุดตัวไม่เท่ากันเกิดขึนมาก จะทําให้
โครงสร้ างเกิดความเสียหายบริเวณรอยต่อของคานและเสาได้ เนืองจากค่าโมเมนต์ดดั ทีเกิดเพิมขึน
มากจนเกินกว่ากําลังทีจะต้ านทานได้ การถ่ายนําหนักของฐานรากสูด่ ินมี 2 แบบ คือ ก) การถ่าย
นําหนักสูช่ นดิ
ั นตืน โดยการใช้ ฐานรากแผ่ กระจายนําหนักลงชันดิน เรี ยกว่าฐานรากแผ่ (spread
footing) หรื อฐานรากตืน (shallow foundation) และ ข) การถ่ายนําหนักลงสูช่ นดิั นทีลึกลงไป
โดยการใช้ ฐานรากวางบนเสาเข็ม เรี ยกว่าฐานรากเสาเข็ม (pile footing) หรื อฐานรากลึก (deep
foundation)
ฐานรากแบ่งออกได้ เป็ น 5 ประเภท คือ
ก) ฐานรากกําแพง (wall footing) ฐานรากประเภทนีเป็ นแผ่นแถบยาวต่อเนืองไป
ตามความยาวของกําแพงโดยมีความกว้ างของฐานมากกว่าความหนาของกําแพง การออกแบบ
แผ่นฐานรากนีพิจารณาเป็ นแผ่นพืนยืน โดยมีแรงกระทําจากแรงดันดินทีรองรับอยู่ และหน้ าตัด
วิกฤติสําหรับแรงดัดอยูท่ ีผิวของกําแพง เหล็กเสริมหลักวางในทิศทางตังฉากกับแนวกําแพง
ข) ฐานรากเดียว (independent isolated column footing) ฐานรากประเภทนี
ประกอบด้ วยแผ่นฐานรูปสีเหลียมผืนผ้ าหรื อสีเหลียมจัตรุ ัส ซึงมีความหนาคงทีหรื อมีความลาด
เอียงไปยังปลายขอบฐาน มีการออกแบบเหล็กเสริมในสองทิศทาง ซึงจะสามารถออกแบบได้ อย่าง
ประหยัดสําหรับนําหนักบรรทุกไม่มากนัก หรื อฐานรากวางบนชันดินแข็งหรื อชันหิน
ค) ฐานรากร่วม (combined footing) ฐานรากประเภทนีรองรับเสาตังแต่สองเสาขึน
ไป ซึงจําเป็ นสําหรับเสาทีวางอยูบ่ นแนวเขตของทีดิน และแผ่นฐานไม่สามารถยืนออกนอกเขต
ทีดินได้ ในกรณีนี ฐานรากจะมีนําหนักเยืองศูนย์ซงจะทํ
ึ าให้ แรงดันดินเกิดแรงดึงได้ ดังนันเพือเป็ น
การกระจายให้ แรงดันดินค่อนข้ างสมําเสมอ ฐานรากของเสาส่วนนอกนีสามารถทีจะรวมกับเสา
ภายในได้ เป็ นฐานรากร่วม
224 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร
การกระจายของแรงดันดินต่อฐานรากขึนอยูก่ บั พฤติกรรมของนําหนักบรรทุกจากเสา
ถ่ายลงสูแ่ ผ่นพืนฐานรากและความแข็ง (degree of rigidity) ของฐาน ชันดินใต้ ฐานรากจะ
สมมุติให้ เป็ นวัสดุยืดหยุน่ แบบเนือเดียวกัน (homogeneous elastic) และฐานรากจะสมมุติให้ มี
ความแข็ง (rigid) สําหรับรูปแบบฐานรากทัวไป ดังนัน แรงดันดินสามารถพิจารณาให้ กระจาย
อย่างสมําเสมอหากนําหนักบรรทุกจากเสากระทําทีตําแหน่งกึงกลางของฐานราก แต่ถ้าหาก
นําหนักบรรทุกกระทําเยืองจากศูนย์กลางฐานราก แรงดันดินจะกระจายเป็ นรูปสีเหลียมคางหมู
เนืองจากการรวมผลของแรงกดและแรงดัด
ในกรณีทีนําหนักบรรทุกจากเสากระทําตรงตําแหน่งจุดศูนย์ถ่วงของฐานราก แรงดัน
ดินใต้ ฐานรากจะสมมุติให้ กระจายอย่างสมําเสมอ คํานวณได้ ดงั นี
q = P/Af (10.1)
โดยที q คือ หน่วยแรงดันดิน
P คือ นําหนักบรรทุกทังหมดทีกระทําลงฐานราก
Af คือ พืนทีของฐานราก
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 225
Pmin = P - Mc Pmax = P + Mc
Af I Af I
ก) P > Mc ข) P = Mc ค) P < Mc
Af I Af I Af I
รูปด้ านข้ าง
แรงดันดินคํานวณได้ ดงั นี
ก. กรณีการเยืองศูนย์ e < L/6 (รูป 10.1ก)
P Pe c
q max 1 (10.2ก)
Af I
P Pe c (10.2ข)
q min 1
Af I
P Pe c Pe c (10.4ข)
q max r 11 r 22
Af I1 I2
1
P
c2
e2
2
e1
c1
10.2.2 ฐานรากวางบนเสาเข็ม
ในกรณีทีนําหนักบรรทุกจากเสากระทําตรงตําแหน่งจุดศูนย์ถ่วงของฐานรากแบบวาง
บนเสาเข็ม ดังแสดงในรูปที 10.3ก จะสมมุติให้ เสาเข็มรับนําหนักเฉลียเท่ากันทุกต้ น
R = P/N (10.5)
โดยที R คือ นําหนักทีเสาเข็มแต่ละต้ นจะต้ องรับ
P คือ นําหนักบรรทุกทังหมดทีกระทําลงฐานราก
N คือ จํานวนของเสาเข็ม
228 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร
P Mc (10.6ข)
R r
N Ip
P M P
คอนกรีตหยาบหนา ซม.
ทรายหยาบหนา ซม.
R R R R R1 R2 R3 R4
D
D
3D
3D
D
d 2 d2
D 3D 3D 3D D d1 d1
(ก) (ข)
รู ปที10.3 ฐานรากเสาเข็ม ก) รั บนําหนักตรงศูนย์ ข) รั บโมเมนต์ ดัด
เมือให้ พนที
ื หน้ าตัดของเสาเข็มแต่ละต้ นมีคา่ เท่ากับ 1 หน่วย
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 229
กําลังรับนําหนักบรรทุกปลอดภัยของเสาเข็ม คํานวณจาก
ก) ในกรณีทีมีข้อมูลการทดสอบคุณสมบัติของดินจากภาคสนาม คํานวณตามหลักวิชาปฐพี
กลศาสตร์ และวิศวกรรมฐานราก โดยใช้ คา่ ความปลอดภัย 2.5-3.0 ของหน่วยแรงสูงสุดที
คํานวณได้
ข) ในกรณีทีไม่มีข้อมูลการทดสอบคุณสมบัติของดิน อาจใช้ ข้อบัญญัติทีกําหนดให้ ในแต่ละท้ องที
สําหรับข้ อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ให้ ใช้ คา่ หน่วยแรงฝื ดของดินดังนี
สําหรับดินทีอยูใ่ นระดับความลึกไม่เกิน 7 เมตร ใต้ ระดับนําทะเลปานกลาง ให้ ใช้ หน่วย
แรงฝื ดของดินได้ ไม่เกิน 600 ก.ก./ตร.ม.ของพืนผิวประสิทธิผลของเสาเข็ม
สําหรับดินทีมีความลึกเกินกว่า 7 เมตร ใต้ ระดับนําทะเลปานกลาง ค่าหน่วยแรงฝื ดของ
ดินเฉพาะส่วนทีลึกเกินกว่า 7 เมตรลงไป ให้ คํานวณดังนี
หน่วยแรงฝื ดเป็ นกิโลกรัมต่อตารางเมตร = 800+200L
L = ความยาวของเสาเข็มส่วนทีเกินกว่า 7 เมตร
ในการคํานวณหากําลังรับนําหนักของเสาเข็มโดยอาศัยความฝื ดของดิน ให้ คํานวณดังนี
P = fpL
เมือ P = กําลังรับนําหนักปลอดภัยของเสาเข็ม (ก.ก. หรื อ ตัน)
f = หน่วยแรงฝื ดทียอมให้ เฉลีย (ก.ก./ตร.ม. หรื อ ตัน/ตร.ม.)
L = ความยาวของเสาเข็ม (ม.)
p = เส้ นรอบรูปประสิทธิผล (effective perimeter) ของเสาเข็ม
(ม.)
สําหรับเสาเข็มไม้ ให้ ใช้ คา่ p เป็ นเส้ นรอบวงของเสาทีกึงกลางความยาว แต่ถ้าเป็ นเสาเข็ม
คอนกรี ตให้ เอาเชือกพันรอบหน้ าตัด แล้ ววัดความยาวเชือกนัน จะเป็ นค่า p ดังแสดงในรูปที 10.4
เส้ นรอบรูป
10.3 การออกแบบรับแรงดัด
โมเมนต์ดดั
โมเมนต์ดดั
h/4
d
จุดเริมร้ าว จุดเริมร้ าว
CL แรงต้ านทานของเสาเข็ม
แรงต้ านทานของเสาเข็ม
L L
เสาเหล็ก
เสาเหล็ก
แผ่นเหล็กรอง หน้ าตัดวิกฤติ แผ่นเหล็กรอง
a
ตอม่อ a หน้ าตัดวิกฤติ
โมเมนต์ดดั
โมเมนต์ดดั
d a/2 d a/2
จุดเริมร้ าว จุดเริมร้ าว
L L
10.3.1 การกระจายเหล็กเสริมในฐานราก
Asbw
2
Ast (10.7)
E 1
เมือ Asbw คือ ปริมาณเหล็กเสริมในแถบกลาง
Ast คือ ปริมาณเหล็กเสริมทังหมดในทิศทางสัน
E คือ อัตราส่วนระหว่างด้ านยาวต่อด้ านสัน
เหล็กเสริมส่วนทีเหลือให้ กระจายสมําเสมอนอกแถบกลางทังสองข้ างของฐานราก รายละเอียด
ของเหล็กเสริมเหล่านีแสดงในรูปที 10.6
Ast
แถบริ มนอก แถบกลาง แถบริ มนอก
Asbw
B
L
รู ปที 10.6 การกระจายเหล็กเสริมในฐานรากรู ปสีเหลียมผืนผ้ า
10.4 การออกแบบรับแรงเฉือน
พืนที
A1
45o 45o
P
ความชัน 2
1
ระนาบการวัด
พืนที A2
10.6 ขันตอนการออกแบบฐานราก
1.10 ม.
คอนกรี ตหยาบ . ม.
ทรายหยาบ . ม.
(ก) รู ปตัดขวาง
CL CL
4.5 ม.
0.35
1.05
1.25 ม.
1.25 ม.
2.80 ม.
1.05
1.50 ม. 1.50 ม. 1.50 ม.
วิธีทาํ
ขันตอนที 1.หาขนาดของฐานราก
คํานวณหาตําแหน่งแรงลัพธ์ของนําบรรทุกทังสองก่อนแล้ วจึงหาขนาดของฐานรากโดยให้ ศนู ย์ถ่วง
ของฐานรากอยูต่ รงตําแหน่งของแรงลัพธ์
หาโมเมนต์รอบศูนย์กลางเสาด้ านซ้ ายมือ
( 300 165 ) x 4.5
x 2.85 ม .
( 180 90 ) ( 300 165 )
นันคือตําแหน่งของแรงลัพธ์อยูห่ า่ งจากขอบนอกของกําแพงด้ านซ้ ายมือ = 2.85 + 0.75 = 3.60 ม.
ถ้ าฐานรากเป็ นรูปสีเหลียมผืนผ้ า ความยาวของฐานราก = 3.60x2 = 7.20 ม.
นําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร = 180+90+300+165 = 735 ตัน
สมมตินําหนักของฐานรากและดินเหนือฐานราก = 75 ตัน (ประมาณ 10% ของนําหนักบรรทุก)
จํานวนเสาเข็มทีต้ องการ = (735+75)/35 = 23 ต้ น
ดังนันใช้ เสาเข็มขนาด I 0.35 ม. ยาว 21 ม. จํานวน 24 ต้ น โดยแบ่งออกเป็ น 3 แถวๆละ 8 ต้ น
และใช้ ฐานรากขนาด 2.80x8.05 ม.
Pu = 700.5 ตัน
Pu = 405 ตัน
Wu = 137.33 ตัน/ม.
(ก) แรงกระทําบนฐานราก
110 ตัน
2.95 ม.
116 ตัน-ม.
-293.4 ตัน-ม.
(ค) ไดอะแกรมของโมเมนต์
รู ปที10.9 ไดอะแกรมของโมเมนต์ และแรงเฉือนสําหรั บฐานรากร่ วม
ขันตอนที 4. คํานวณหาความลึกของฐานราก
ก. พิจารณาจากโมเมนต์ดดั
จาก Mu = IRubd2 ดังนัน คํานวณความลึกประสิทธิผล
293,400 u 100
d 92.73 ซม .
0.9 u 13.54 u 280
เลือกใช้ ความหนาฐานราก = 110 ซม. ระยะ d = 110 - 7.5 – (2.5/2) = 101.25 ซม.
ข. พิจารณาจาก Beam shear ทีระยะห่าง d จากขอบกําแพงริม
Vu = 137.33(1.5+1.01) – 405 = -60.3 ตัน
IVc 0.53I f ccbd 0.53 u 0.85 u 250 280 u 101 / 1000 201.4 ตัน
IVc ! Vu ใช้ ได้
ค. พิจารณาจาก Punching shear ทีระยะห่าง d/2 จากขอบกําแพง
กําแพงชิดเขต :
137.33
Vu 405 2.00 u 2.26 183.3 ตัน
2.8
ตรวจสอบกับสมการ 10.10ค
IVc 1.06I f ccbo d 1.06 u 0.85 u 250 626 u 101 / 1000 900.7 ตัน
IVc ! Vu ( 183.3 ) ใช้ ได้
กําแพงด้ านใน:
137.33
Vu 700.5 4.01 u 2.26 256 ตัน
2.8
ตรวจสอบกับสมการ 10.10ค
IVc 1.06I f ccbo d 1.06 u 0.85 u 250 401 226 ) u 2 u 101 / 1000
1 ,804 ตัน
IVc ! Vu ( 256 ) ใช้ ได้
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 241
ขันตอนที 5. ตรวจสอบนําหนักของฐานรากและดินถม
นําหนักของฐานราก = 1.10x2.80x8.05x2.4 = 59.5 ตัน
นําหนักของดินถม = 0.40x2.80x8.05x1.8 = 16.2 ตัน
รวมนําหนักของฐานรากและดินถม = 75.7 ตัน
เปรี ยบเทียบกับนําหนักทีสมมติไว้ 75 ตัน ใช้ ได้
ดังนัน ใช้ ฐานรากขนาด 2.80x8.05 ม. หนา 110 ซม. มีความลึกประสิทธิผล = 101 ซม.
และใช้ เสาเข็มจํานวน 24 ต้ น
ขันตอนที 6. พิจารณาออกแบบเหล็กเสริ ม
Mu 293,400 u100
Ru 11.4
Ibd 2 0.9280 101
2
0.85 f cc §
¨1 1
2 Ru ·
¸ 0.85250 § 2 u11.4 ·
U ¨1 1 ¸
fy © ¨ 0.85 f cc ¸¹ 4000 © ¨ 0.85250 ¸¹
0.0029 ! U min (0.002)
ก) เหล็กเสริ มรับโมเมนต์ลบ (เหล็กบน) ระหว่างช่วงกําแพง
ดังนัน ใช้ As = 0.0029(280x101) = 82 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริ ม 17 DB 25 มม.
ตรวจสอบระยะฝังยึดเหล็กเสริมเอก
สมมุติให้ คอนกรี ตหุ้มด้ านข้ าง = 7.5 ซม.
ระยะฝังพืนฐาน ldb ของเหล็ก DB 25 ทีต้ องการ 75 ซม.
ระยะฝังทีต้ องการจริ งสําหรับเหล็กบน = 1.3(75) = 97.5 ซม. < 295-7.5 = 287.5 ซม. ใช้ ได้
ข) เหล็กเสริ มรับโมเมนต์บวก (เหล็กล่าง) ทีบริเวณกําแพงด้ านใน
Mu 116,000 u100
Ru 4.51
Ibd 2 0.9280 101
2
0.85 f cc §
¨1 1
2 Ru ·
¸ 0.85250 § 2 u 4.51 ·
U ¨1 1 ¸
fy © ¨ 0.85 f cc ¸¹ 4000 © ¨ 0.85250 ¸¹
0.0011 U min (0.002)
ตรวจสอบระยะฝังยึดเหล็กเสริมเอก
สมมุติให้ คอนกรี ตหุ้มด้ านข้ าง = 7.5 ซม.
ระยะฝังพืนฐาน ldb ของเหล็ก DB 25 ทีต้ องการ 75 ซม.
ระยะฝังทีต้ องการจริ งสําหรับเหล็กบน = 75 ซม. < 130-7.5 = 122.5 ซม. ใช้ ได้
0.85 f cc §
¨1 1
2 Ru ·
¸ 0.85250 § 2 u 2.12 ·
U ¨1 1 ¸
fy © ¨ 0.85 f cc ¸¹ 4000 © ¨ 0.85250 ¸¹
0.0005 U min (0.002)
ดังนัน ใช้ As = 0.002(100x99) = 19.8 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริ ม DB 25 @ 0.25 ม. ในช่วงความกว้ างของคานขวางประมาณ 4.0 ม.
ตรวจสอบระยะฝังยึดเหล็กเสริม
สมมุติให้ คอนกรี ตหุ้มด้ านข้ าง = 7.5 ซม.
ระยะฝังพืนฐาน ldb ของเหล็ก DB 20 ทีต้ องการ 48 ซม. < 140-62.5-7.5 = 70 ซม. ใช้ ได้
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 243
0.85 f cc §
¨1 1
2 Ru ·
¸ 0.85250 § 2 u 2.47 ·
U ¨1 1 ¸
f y ¨© 0.85 f cc ¸¹ 4000 ¨© 0.85250 ¸¹
0.0006 U min (0.002)
ดังนัน ใช้ As = 0.002(100x99) = 19.8 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริ ม DB 25 @ 0.25 ม. ในช่วงความกว้ างของคานขวาง 200 ซม.
ตรวจสอบระยะฝังยึดเหล็กเสริม
สมมุติให้ คอนกรี ตหุ้มด้ านข้ าง = 7.5 ซม.
ระยะฝังพืนฐาน ldb ของเหล็ก DB 20 ทีต้ องการ 48 ซม. < 140-62.5-7.5 = 70 ซม. ใช้ ได้
คํานวณปริ มาณเหล็กเสริมในแนวขวาง สําหรับนอกเขตกําแพง
As = 0.002(100x110) = 22 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริ ม DB 20 @ 0.25 ม. (2 ชัน)
สําหรับรายละเอียดของเหล็กเสริ มในฐานรากแสดงในรูปที 10.10
17DB25
DB20@0. 25 DB20@0. 25
1. 10
คอนกรี ตหยาบ 0.10 m
ทรายหยาบ 0.10 m
รู ปที10.10 รายละเอียดของเหล็กเสริมในฐานราก
244 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร
1 2 3 4 5 6 7 8 9
5@8.0 = 40.0 m
D
A
8@8.0=64.0 m
(ก) ผังอาคาร
8
7
8@3.00 = 24.00 m
6
5
4
3
2
G
B 3.00 m
(ข) รูปตัดตามยาว
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร 245
8
7
8@3.00 = 24.00 m
6
5
4
3
2
G
B 3.00 m
(ค) รูปตัดตามขวาง
รู ปที 10.11 อาคารคอนโดมิเนียมสูง 8 ชัน
วิธีทาํ
ขันตอนที 1
คํานวณนําหนักบรรทุก
นําหนักพืนอาคาร G-Roof wD = 0.3x2,400 = 720 กก./ตร.ม.
นําหนักวัสดุปพู นื G-Roof wSD = 180 กก./ตร.ม.
นําหนักบรรทุกจร wL = 300 กก./ตร.ม.
สมมุติให้ พนใต้
ื ดินซึงเป็ น Mat foundation มีความหนา 1.20 เมตร
wD = 1.2x2,400 = 2,880 กก./ตร.ม.
รวมนําหนักบรรทุกทังหมด = [(720+180+300)x9x(40x64) + (2,880+400)x(40x64)] x10-3
= 36,044.80 ตัน
กําหนดให้ เสาเข็มจัดวางตามตําแหน่งดังแสดงในรูป 10.12 เสาเข็มเจาะขนาด 0.80 เมตร วาง
ระยะห่าง 4.00 เมตร จํานวน 11x17 = 187 ต้ น
เสาเข็มรับนําหนักบรรทุก = 36,044.80/187 = 192.75 ตัน
1 2 3 4 5 6 7 8 9
5@8.0 = 40.0 m
D
8.0 m
B
A
8@8.0=64.0 m
ก) การจัดผังเสาเข็มเจาะ
P/2 P P P P P P P P/2
0.00
-1.00 D ระดับนําใต้ ดิน
h
-4.50
แรงดันนําใต้ ดิน
ขันตอนที 2 คํานวณแรงเฉือนและโมเมนต์ของฐานราก
แรงดันขึนสุทธิกระทําใต้ พนื Mat ต่อความกว้ าง 8.0 ม.
wwu wu = 39.2 - 36.34 = 2.86 ตัน/ม.
แรงดันดินด้ านข้ างกระทําต่อผนังกันดิน ต่อความกว้ าง 8.0 ม.
1 1
0.5 u1.75 4.5 u 8.0
2
p kaJ ( D h) 2
2 2
= 70.88 ตัน
P/2 P P P P P P P P/2
4.50 p p
wwu wu
Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru Ru
17Ru @4.0 m
รู ปที 10.13 การวางนําหนักบรรทุกของฐานรากแผ่ น
รอยต่ อ 1 2 3 4 5
องค์ อาคาร กําแพง 1-2 2-1 2-3 3-2 3-4 4-3 4-5 5-4
DF 1/2 1/3 1/3 1/3 1/3 1/3 1/3 1/3
COF 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5
FEM -63.79 249.75 -249.75 249.75 -249.75 249.75 -249.75 249.75 -249.75
COM 0 -46.49 0 0 0 0 0 0
6 -63.79 249.75 -296.24 249.75 -249.75 249.75 -249.75 249.75 -249.75
DM -92.98 15.50 15.50 0 0 0 0 0
Maximum -63.79 156.77 -280.74 265.25 -249.75 249.75 -249.75 249.75 -249.75
Moment
Midspan - 273.13 -234.38 -242.13 -242.13
Moment
1 2 3 4 5
280.74
265.25 249.75 249.75 249.75
156.77
63.79
-234.38 -242.13 -242.13
-273.13
ก) ไดอะแกรมของโมเมนต์ (ตัน-เมตร)
ขันตอนที 3. ตรวจสอบความหนาของฐานราก
ก. พิจารณาจากโมเมนต์ดดั
ความหนาฐานราก = 120 ซม. ระยะ d = 120 - 7.5 – (2.5/2) = 111.25 ซม.
M
คํานวณความลึกประสิทธิผลทีต้ องการจาก d
I Rb
280, 740 u100
d 53.66 ซม. น้ อยกว่า 111.25 ซม. ใช้ ได้
0.9 u13.54 u 800
250
ขันตอนที 4. พิจารณาออกแบบเหล็กเสริม
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป
ตารางที 10.2 การออกแบบปริมาณเหล็กเสริมในฐานรากแผ่ น
แกน 1 แกน 2 แกน 3 แกน 4
โมเมนต์ (กก.-ม.) 156,770 -273,130 280,740 265,250 -234,380 249,750 249,750 -242,130 249750 249,750 -242,130 249750
แถบเสา
Moment (%) 100 60 75 75 60 75 75 60 75 75 60 75
Mu / Strip (4ม.) 39,193 -40,970 52,639 49,735 -35,157 46,828 46,828 -36,320 46,828 46,828 -36,320 46,828
Ru = Mu/Ibd2 3.53 3.69 4.75 4.49 3.17 4.22 4.22 3.28 4.22 4.22 3.28 4.22
As / Strip = Ubd 9.88 10.32 13.32 14.43 8.88 12.21 12.21 9.21 12.21 12.21 9.21 12.21
Ast 0.002bh 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51
ปริ มาณเหล็กเสริ ม DB25@0.20 DB25@0.20 DB25@0.20 DB25@0.20
แถบกลาง
Moment (%) 0 40 25 25 40 25 25 40 25 25 40 25
Mu / Strip (4ม.) 0 -27,313 17,546 16,578 - 23,438 15,609 15,609 -24,213 15,609 15,609 -24,213 15,609
Ru = Mu/Ibd2 0 2.46 1.58 1.50 2.11 1.41 1.41 2.18 1.41 1.41 2.18 1.41
As / Strip = Ubd 0 6.88 4.44 4.44 5.55 3.89 3.89 5.55 3.89 3.89 5.55 3.89
Ast 0.002bh 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51 23.51
ปริ มาณเหล็กเสริ ม DB25@0.20 DB25@0.20 DB25@0.20 DB25@0.20
บทที 10 การออกแบบฐาน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร
1 2 3 4 5 6 7 8 9
DB25 @ 0.20#
1.20m
DB25 @ 0.20#
0.22ln 0.22ln 0.22ln
ln
A B C
5.0 m 4.5 m
A1 B1 PD = 15 T C1
1 PL = 15 T
ขยายฐานราก A
ขยายฐานราก C
0.10 PD = 12 T 0.15
PD = 12 T
4.0 m 0.70 PL = 10 T 0.70
PL = 10 T
0.70 0.70
A2 B2 C2
2
4.0 m
A3 B3 C3
3
0.70 0.70
0.30 0.30
CL CL
PD = 12 T PD = 12 T 0.15
0.10
PL = 10 T PL = 10 T
0.60 0.60
-1.20 -1.20
CL CL
รู ปที 10.17 ขยายฐานราก A1 และ C1
วิธีทาํ
แก้ ไขการออกแบบฐานรากใหม่ โดยใช้ คานเชือม (Strap beam) ขนาด 20x60 ซม.ตลอดระหว่างฐาน
ราก Line 1
PD = 12 T PD = 15 T PD = 12 T
PL = 10 T PL = 15 T PL = 10 T
4.9 4.35
5.0 4.5
คํานวณหาโมเมนต์ในคานเชือมโดยวิธีการกระจายโมเมนต์สองรอบ
Pu 1.4PD 1.7 PL (1.4 u12,000) (1.7 u10,000) 33,800 กก.
นําหนักคานเชือม w = 0.2x0.6x2,400 = 288 กก.-เมตร
wu 1.4 u 288 403.2 กก.
33,800 0.1 4.9 403.2 5
2 2
Pu ab 2 wu L2
FEM AB = = = 4,086 กก.-เมตร
L2 12 5 2 12
รอยต่ อ A B C
องค์ อาคาร A-B B-A B-C C-B
DF 1/2 1/3 1/3 1/2
COF 0.5 0.5 0.5 0.5
FEM 4,086 - 906 844 - 5,418
COM 10.3 -1,021.5 1,354.5 10.3
6 4,096.3 -1,927.5 2,198.5 - 5,407.7
DM -2,048.15 - 90.3 -90.3 2,703.85
Maximum 2,048.15 - 2,017.8 2,108.2 - 2,703.85
Moment
Midspan -772.98 -1,385.43
Moment
บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร ไพบูลย์ ปัญญาคะโป 255
ออกแบบเหล็กเสริมคานเชือม
โมเมนต์ดดั สูงสุด M u 2,703.85 ตัน-เมตร
คํานวณปริมาณเหล็กเสริม
Mu 2, 703.85 u100
Ru 4.97
0.9 20 55
2 2
I bd
0.85 fcc § 2 Ru · 0.85 250 § 2 u 4.97 ·
U ¨¨1 1 ¸ ¨1 1 ¸
fy © 0.85 fcc ¹¸ 4000 ©¨ 0.85 250 ¹¸
14
0.00126 Umin ( 0.0035)
4, 000
ดังนัน ใช้ As = 0.0035(20x55) = 3.85 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริม 2 DB 20
0.50
0.50
2.00 0.50 x
0.50
PD= 80 T
PL= 60 T
M = 50 T-m
z
V = 30 T x
0.60
วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณนําหนักบรรทุกลงสูเ่ สาเข็ม
นําหนักบรรทุกคงที 80 ตัน
นําหนักบรรทุกจร 60 ตัน
นําหนักฐานราก (0.6x3.0x3.0)2.4 = 12.96 ตัน
บทที 10 การออกแบบฐานรากอาคาร ไพบูลย์ ปัญญาคะโป 257
ขันตอนที 2. ตรวจสอบความหนาของฐานราก
ก. พิจารณาจากโมเมนต์ดดั ประลัย
Mu 64.89 u 0.75 u 2 97.34 ตัน-เมตร
ความหนาฐานราก = 60 ซม. ระยะ d = 60 - 7.5 – (2.5/2) = 51.25 ซม.
M
คํานวณความลึกประสิทธิผลทีต้ องการจาก d
I Rb
97,340 u100
d 51.60 ซม. มากกว่า 51.25 ซม.
0.9 u13.54 u 300
ปรับความหนาของฐานรากเป็ น 70 ซม. ระยะ d = 70 - 7.5 – (2.5/2) = 61.25 ซม.
ขันตอนที 3 ออกแบบเหล็กเสริมฐานราก
โมเมนต์ดดั สูงสุดรอบแกน y ทีขอบเสา คํานวณไว้ จาก ขันตอนที 2
M u 97.34 ตัน-เมตร
คํานวณปริมาณเหล็กเสริม
Mu 97,340 u100
Ru 9.61
0.9 300 61.25
2 2
I bd
0.85 fcc § 2 Ru · 0.85 250 § 2 u 9.61 ·
U ¨¨1 1 ¸ ¨1 1 ¸
fy © 0.85 fcc ¹¸ 4000 ©¨ 0.85 250 ¹¸
0.00246 ! U min ( 0.002)
ดังนัน ใช้ As = 0.00246(100x61.25) = 15.07 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริม DB 20 @ 0.20 ม.
สํ า หรั บ การออกแบบเหล็ ก ปลอกในเสา ให้ ใ ช้ วิ ธี เ ช่ น เดี ย วกัน กับ การออกแบบเสาเพื อต้ า นทาน
แผ่นดินไหว รวมทังรายละเอียดของเหล็กเสริมในเสา
ส่วนรายละเอียดเหล็กเสริมในเสาเข็ม ให้ ดใู นมาตรฐานการออกแบบฯ มยผ.1302 ตามประเภทการ
ออกแบบต้ านทานแผ่นดินไหว
บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 259
บทที 11
การออกแบบฐานรากเครื องจักร
11.1 บทนํา
การออกแบบฐานรากเครื องจัก ร จะต้ อ งพิ จ ารณานํ าหนัก บรรทุก ที เป็ นแรงสถิ ต จากตัว
เครื องจักรและแรงกระทําพลศาสตร์ จากการทํางานของเครื องจักร ซึงนําหนักบรรทุกรวมทังหมดนีจะถ่าย
ไปยังฐานราก ดังนัน การออกแบบฐานรากเครื องจัก ร จึงมีการพิจารณาพฤติกรรมทางพลศาสตร์ ของฐาน
รากและดินทีรองรับด้ วย หากพิจารณาตัวเครื องจักร อาจแยกได้ ดังนี
- เครื องจักรทีทําให้ เกิดแรงกระแทก ได้ แก่ แท่นกด แท่นพิมพ์ เป็ นต้ น
- เครื องจักรทีทําให้ เกิดแรงกระทําแบบไป-กลับซําๆ ได้ แก่ เครื องยนต์ลกู สูบ คอมเพรสเซอร์ เป็ นต้ น
- เครื องจักรทีมีความเร็วสูง ได้ แก่ เครื องปั นกังหัน (Turbo-generator) เป็ นต้ น
- เครื องจักรเบ็ดเตล็ดอืนๆ ได้ แก่ เครื องโม่ เครื องบด ปั ม เครื องปั นไฟ เป็ นต้ น
ก) รอบความถีตําถึงปานกลาง 0-500 รอบต่อนาที (rpm) ได้ แก่ เครื องยนต์ลกู สูบ คอมเพรสเซอร์ ขนาด
ใหญ่ ฐานรากเครื องจักรแบบนี นิยมใช้ ฐานรากแบบกล่องทึบ (Block-type foundation) ซึงมีฐานรากเป็ น
ฐานแผ่ขนาดใหญ่เพือกระจายนําหนักบนดินได้ ง่าย
ข) รอบความถีปานกลางถึงสูง 300-1,000 รอบต่อนาที (rpm) ได้ แก่ เครื องยนต์ลกู สูบขนาดกลาง การ
ออกแบบฐานรากประเภทนี อาจใช้ ฐานรากแบบกล่องทึบ (Block-type foundation) วางบนสปริงหรื อวัสดุ
ยืดหยุ่น เช่น ยาง ไม้ คอร์ ก เพือลดระดับการสันของฐานรากให้ คา่ ความถีธรรมชาติของฐานราก มีคา่ ตํา
กว่ารอบความถีทํางานของเครื องจักร
ค) รอบความถีสูงกว่า 1,000 รอบต่อนาที (rpm) ได้ แก่ เครื องปั นกังหัน (Turbo-generator) การออกแบบ
ฐานรากประเภทนี นิยมใช้ Frame-type foundation ซึงมีแท่นวางเครื องจักร ยกสูงจากตัวฐานราก
260 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร
u u
k Fo sin Z t ku muu Fo sin Z t
m
(a) (b)
รูปที 11.2 แบบจําลองโครงสร้ างแบบไร้ การหน่ วงมีแรงกระทําแบบคลืนประสาน
mZ 2U kU Fo
Fo Fo k
หรื อ U 2
(11.5)
k mZ 1 r2
เมือ r คือ ค่าอัตราส่วนระหว่างความถีของแรงกระทําและความถีธรรมชาติ ,
Z
r (11.6)
Z
หากกําหนดให้ สภาวะเริมต้ น t 0, uo 0, vo 0
และรวมสมการ 11.2, 11.3, 11.4 และ 11.5 เข้ าด้ วยกัน จะได้
Fo k
u (t ) sin Zt r sin Zt (11.7)
1 r2
เทอมทีสองคือ Fo k
r sin Z t เรี ยกว่า ผลตอบสนองแบบชัวคราว (transient response) เนืองจากเป็ น
1 r2
การสันแบบอิสระ หากระบบมีคา่ การหน่วง การสันจะค่อยๆลดขนาดลงและหายไปในทีสุด
เทอมแรกคือ Fo k
sin Z t เรี ยกว่า ผลตอบสนองแบบสภาวะสมําเสมอ (steady-state response)
1 r2
เนืองจากมีแรงภายนอกมากระทํา หากแรงกระทํายังมีอยู่ ระบบก็จะสันต่อไปอีกเรื อยๆ
11.2.2 แรงกระทําแบบคลืนประสานสําหรับระบบมีการหน่ วง
(Harmonic Excitation for Damped System)
พิจารณาจากระบบโครงสร้ างอย่างง่ายทีมีการหน่วง ซึงมีแรงกระทําแบบคลืนประสาน และขนาดแรงมี
ค่าคงที Fo ดังแสดงในรูปที 11.3
u u
k
Fo sin Z t
ku muu Fo sin Z t
m
c cuu
(a) (b)
รูปที 11.3 แบบจําลองโครงสร้ างมีแรงกระทําแบบคลืนประสาน
เมือพิจารณาสมดุลของแรงกระทําจากรูปโครงสร้ างอิสระ จะได้
บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 263
ผลตอบสนองแบบชัวคราว ผลตอบสนองแบบสภาวะสมําเสมอ
เมือ A, B คือ ค่าคงทีของการอินทิเกรท ขึนอยูก่ บ
ั สภาวะเริมต้ น
ust คือ การโก่งตัวแบบยืดหยุน่ ของสปริง
ust Fo k
2[ r
T tan 1
1 r2
เทอมแรกซึงเป็ นผลตอบสนองแบบชัวคราว จะค่อยๆลดลงและหายไป เนืองจากมีคา่ การหน่วงต่อการ
สัน ทําให้ เหลือแต่เทอมทีสอง ซึงเป็ นการสันแบบมีแรงกระทํา ในทีสุด
ค่าอัตราส่วนระหว่างการเคลือนทีสูงสุดของสภาวะสมําเสมอและการโก่งตัวแบบยืดหยุ่น เรี ยกว่า ค่า
การขยายกําลังพลศาสตร์ (Dynamic amplification factor, D) คํานวณจาก
1
D (11.10)
1 r 2 2
2r[
2
Frequency ratio, r
Frequency ratio, r
kg / cm2 T / m 2 kg / cm3
ดินปกติ 1 10 2
2 20 4
ดินแข็งปานกลาง 3 30 5
4 40 6
ดินแข็งมาก 5 50 7
ชันหิน >5 >50 >7
ค่าสปริงสติฟเนสในแนวราบสําหรับเสาเข็มเดียว
12 EI
Kx
h3
1
เมือพิจารณาว่าเสาเข็มมีระยะทีอาจโก่งตัวได้ ในช่วงความลึก ถึง 1 ของความยาวเสาเข็ม H
4 2
ตัวอย่ างที 11.1 จงออกแบบฐานรากเครื องจักรแบบ Block-type ซึงใช้ งานเป็ นเครื องมือทดสอบ
ประกอบด้ วย testing machine และ Pulsator ทีมีแรงกระทําในแนวดิงแบบไป-กลับ ซําหลายรอบ โดย
กําหนดข้ อมูลเครื องจักร ดังนี
นําหนักของเครื องจักรทังหมด 10 ตัน
ข้ อมูลแรงกระทําในเครื องจักร
x นําหนักของเครื อง Pulsator ซึงเคลือนทีได้ W p 45 กก.
x ระยะช่วง Stroke length ของเครื อง Pulsator S p r 3.50 ซม.
x นําหนักของเครื องทดสอบ(testing machine) ซึงเคลือนทีได้ (Wt ) 700 กก.
x ระยะช่วง Stroke length ของเครื องทดสอบ (St ) r 0.50 ซม.
x ความถีในขณะเดินเครื อง 300-750 รอบ/นาที (rpm)
ค่าการเคลือนทีสูงสุดทียอมให้ 0.50 มม.
การออกแบบฐานรากแบ่งออกเป็ น 2 กรณี คือ
กรณีที 1 ดินปกติ ค่ากําลังแบกทานของดินทียอมให้ 20 ตัน/ตารางเมตร ออกแบบเป็ นฐานรากแผ่
กรณีที 2 ดินอ่อน ค่ากําลังแบกทานของดินทียอมให้ 2 ตัน/ตารางเมตร ออกแบบเป็ นฐานรากเสาเข็ม
268 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร
A A
2m 3m
2m
3m
a) Plan view
Pz
1.25 m
0.75 m
b) Section A-A
Step 1 ตรวจสอบความถีธรรมชาติของฐานราก
นําหนักฐานราก = ^3u 3u 0.75 2 u 2 u1.25` 2, 400 = 28, 200 กก.
นําหนักของเครื องจักรทังหมด 10 ตัน = 10,000 กก.
รวมนําหนักทังหมด 38, 200 กก.
38, 200
คิดเป็ นมวล = 38.94 กก.-วินาที2/ซม.
981
10 10
ค่าสัมประสิทธิ Cz = Cz 4 4.216 กก./ซม.3
At 3u 3
ค่าสปริงสติฟเนสในแนวดิง สําหรับฐานรองรับเป็ นดิน
Kz Cz At 4.216 u 300 u 300 37.944 u104 กก./ซม.
1 k 1 37.944
ค่าความถีธรรมชาติ = fn u102 u 60 942.64 รอบ/นาที (rpm)
2S m 2S 38.94
เมือเปรี ยบเทียบกับความถีสูงสุดในขณะเดินเครื อง 750 รอบ/นาที (rpm) ค่าความถีธรรมชาติของฐาน
รากสูงกว่า 25% ดังนัน จะไม่ เกิดการสันพ้ อง (Resonance) จึงปลอดภัย
Step 4 ออกแบบเสาเข็มเบืองต้ น
จากการรวมนําหนักจากแรงสถิตและแรงพลศาสตร์ จาก Step 2 = 64, 278.25 กก.
ใช้ เสาเข็มหน้ าตัด I ขนาด 0.18x0.18 ยาว 21 เมตร รับนําหนักบรรทุกปลอดภัยต้ นละ 20 ตัน
64, 278.25
ใช้ เสาเข็มจํานวน 4 ต้ น รับนําหนักต้ นละ 16.07 ตัน
4 u1,000
บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 271
3m
2m
Pz
A A
3m 2m 1.25 m
0.75 m
a) Plan view
เสาเข็มขนาด I 0.18x0.18x21.0 m
b) Section A-A
Step 5 ตรวจสอบความถีธรรมชาติของฐานรากเสาเข็ม
ค่าสปริงสติฟเนสในแนวดิงสําหรับเสาเข็มเดียวแบบแรงเสียดทาน
K s C p As
Step 6 ตรวจสอบนําหนักบรรทุกของฐานรากเสาเข็ม
คํานวณค่าการขยายกําลังพลศาสตร์ D
กรณีที 1 fn 903.52 รอบ/นาที fm 300 รอบ/นาที
f n2 903.522
D1 1.124
f n2 f m2 903.522 3002
272 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 11 การออกแบบฐานรากเครื องจักร
บทที 12
การออกแบบแผ่ นผนังคอนกรีตหล่ อสําเร็จ
12.1 บทนํา
การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จในอาคารสําหรับบทนี พิจารณาเป็ นแผ่นผนังรับนําหนัก
(Load bearing wall) ซึงทําหน้ าทีรับนําหนักบรรทุกในแนวดิงเนืองจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนัก
บรรทุกจร และทําหน้ าทีเป็ นผนังรับแรงเฉือน (Shear wall) สามารถต้ านทานแรงด้ านข้ างเนืองจากแรงลม
และแรงแผ่นดินไหวได้ การกระจายนําหนักบรรทุกสําหรับแผ่นผนังคอนกรี ตในอาคารแสดงในรูปที 12.1
รรทกุ
นกั บ
นําห
จาย
กระ
การ
แรง
ลม
ลม
แรง
12.2 หลักการออกแบบ
การกําหนดความหนาของแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็จ
โดยทัวไป ความหนาของแผ่นผนังอยู่ระหว่าง 12-30 ซม. ในขันตอนการออกแบบ จะต้ องสมมุติ
ความหนาของแผ่นผนังก่อน จากนันจึงคํานวณตรวจสอบหน่วยแรงในหน้ าตัดคอนกรี ต ให้ อยู่ในเกณฑ์คา่ ที
ยอมให้ สําหรับการควบคุมการแตกร้ าวของผนัง สําหรับกรณีนําหนักบรรทุกรวม (Combined load cases)
การจัดวางทิศทางของแผ่นผนังในอาคาร ควรจะวางแผ่นผนังให้ อยู่ในแนวตังฉากกัน เพือให้ สามารถ
ต้ านทานแรงลมได้ ทงสองทิ
ั ศทาง ดังแสดงในรูปที 12.2ก การวางแผ่นพืนคอนกรี ตสําเร็ จควรวางในทิศทาง
ทีกระจายนําหนักจากพืนไปสู่แผ่นผนังทีเป็ นผนังทึบ แผ่นผนังอาคารจะออกแบบให้ รับนําหนักบรรทุกที
ถ่ายจากหลังคาและพืนลงมาในแนวดิง นอกจากนียังต้ องออกแบบให้ ต้านทานแรงลมทางด้ านข้ างได้ ด้ วย
สําหรับการดัดออกนอกแผ่นระนาบดังแสดงในรูปที 12.2ข และแรงกระทําในระนาบในรูปที 12.2 ค
ทิศทางการกระจาย แรงลม
นําหนักบรรทุกของแผ่นพืน นําหนักบรรทุก
แรงลม
แรงลม ข) รูปตัดอาคาร
ก) ผังอาคาร
นําหนักบรรทุก
โมเมนต์
แรงลม
แรงเฉือน
ค) ผนังในทิศทาง N-S
รับนําหนักบรรทุกและแรงลม
รูปที 12.2 การจัดวางทิศทางแผ่ นผนังในอาคาร
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 275
แรงลม
ลม
แรง
ก) อาคารแบบแผ่นผนังมีการคํายัน
(Braced wall)
N
แรงลม
แรงลม
แผ่นผนังคํายัน (Braced wall)
ขันตอนที 2 คํานวณค่าการโก่งตัวของแผ่นผนังเนืองจากผลต่างของอุณหภูมิของผิวแผ่นผนัง
(Thermal Bow)
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 277
'T C T1 T2 l 2 / 8h (12.2)
เมือ C คือ สัมประสิทธิการยืดหดตัวของคอนกรี ตเนืองจากอุณหภูมิ
T1, T2 คือ อุณหภูมิของแผ่นผนังภายนอกและภายใน ตามลําดับ
h คือ ความหนาของแผ่นผนัง
l
และ 'T ใช้ ไม่น้อยกว่า
360
ขันตอนที 3 คํานวณค่าการโก่งตัวของแผ่นผนังเนืองจากผลของนําหนักเยืองศูนย์ Pu ec
Pu ecl 2
' (12.3)
16 EI
เมือ ec คือ ค่าการเยืองศูนย์ของนําหนักบรรทุก
และ 6' 'T '
200 16
3
โมเมนต์อินเนอร์ เชียสําหรับแผ่นผนังแบบทึบ: I 68, 267 cm4
12
นําหนักผนัง (สูง4.65 m)สําหรับแผ่นผนังแบบทึบ : W 0.16 u 4.65 u 2.0 u 2,400 3,571 kg
เหล็กตะแกรง Weld wire mesh
ปริมาณเหล็กเสริมตําสุด
Uv 0.002, Uh 0.002
ระยะห่างเหล็กเสริม d 3h, 45 cm
2.15 m
3.60 m
P2
P1
ec 5 cm
12.5cm
h 347.5 cm
t 16 cm
¦ Pu 8, 421 kg
ขันตอนที 1 ตรวจสอบกําลังรับนําหนักบรรทุกของแผ่นผนังโดยสูตร Euler’s formula
S 2 EI eff
Pc
l2
0.7 Ec I g
เมือ EI eff
1 Ed
DL 1.2 350 u 2 100 u 3.5 2.0 4, 285
Ed 0.81
TL 8, 421
EI eff
0.7 2.46 u105 68, 267
6.49 u109 kg cm2
1 0.81
S (6.49 u109 )
2
Pc 530, 438 kg ! 8, 421 kg O.K.
347.52
ขันตอนที 3 คํานวณค่าการโก่งตัวของแผ่นผนังเนืองจากผลของนําหนักเยืองศูนย์ Pu ec
'
Pu ecl 2 2960 u 5 347.52 0.017 cm
16 EI
16 6.49 u109
6' 0.965 0.017 0.982 cm
282 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ
ขันตอนที 4 คํานวณค่าการโก่งตัวทีกึงกลางของแผ่นผนังโดยอนุกรมเรขาคณิต
'
Pu ecl 2 2960 ec 347.52 0.007 ec
8EI
8 6.49 u109
6' 0.982
e 0.99 cm
1 'i ec 1 0.007
M u ทีกึงกลางผนัง = 7400 2960 u 0.99 10,330 kg cm
สถานะนําหนักบรรทุกสุดท้ าย
Pe 2960 u 5 14,800
1
x x14,800
407.5 cm
800
600
400
200 Case
1 2
uu
10 20 30
I M n T m
P-M Interaction diagram from
Lecwall
P2
P1
e 5 cm
12.5cm
นําหนักบรรทุกประลัย
P1u 1.2DL 1.0LL
'
P1u ecl 2 2480 u 5 347.52 0.014 cm
16 EI
16 6.49 u109
ค่าการโก่งตัวของแผ่นผนังเนืองจากแรงลม
5 wu l 4
'
384 EI eff
แรงลม wu 1.6 50 u 2 160 kg / m
EI eff
0.7 Ec I g
0.7 2.46 u105 68, 267
11.76 u109 kg cm2
1 Ed 1.0
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 285
5 160 347.5
4
1
' 9
u 0.026 cm
384 11.76 u10 100
คํานวณค่าการโก่งตัวทีกึงกลางของแผ่นผนังเนืองจากโมเมนต์ลําดับสอง P'
'
P1u el 2 2480 e 347.52 0.0032 e
8EI
8 11.76 u109
คํานวณค่าการโก่งตัวทีกึงกลางของแผ่นผนังโดยอนุกรมเรขาคณิต
eo 1.005
e 1.008 cm
1 'i e 1 0.0032
P1u ec w l2
M u กึงกลางของแผ่นผนัง = P1u e u
2 8
160 3.475
2
2480 u 5
2480 1.008 100 32,851 kg cm
2 8
สถานะนําหนักบรรทุกสุดท้ าย
160 3.475
2
ตรวจสอบการแตกร้ าวโดยหน่วยแรงทีผิวคอนกรี ต
P Mc 7,815 32,85116 / 2
หน่วยแรง ft 1.41 ksc (แรงดึง)
A I 16 u 200 68267
หน่วยแรงสุทธิ 1.41ksc
800
600
400
200 Case
1 2
uu
10 20 30
I M n T m
P-M Interaction diagram from
Lecwall
ข) สําหรับกรณีแผ่ นผนังแบบมีช่องเปิ ด
กรณีนีแสดงการคํานวณสําหรับแรงแผ่นดินไหวโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่า ตามมาตรฐานมยผ.1302
1) พืนทีโซน 5 กทม. SDS 0.126 g, SD1 0.158 g
2) ความสําคัญของอาคารประเภทปกติ II (I=1.0)
ประเภทการออกแบบอาคารต้ านทานแผ่นดินไหว ค.
3) ระบบโครงสร้ างต้ านแรงด้ านข้ าง กําแพงรับแรงเฉือนหล่อสําเร็จความเหนียวปานกลาง
(Intermediate Precast Shear Wall) R 4, :o 2.5, Cd 4
4) คาบการสันธรรมชาติของโครงสร้ าง
T 0.02H 0.02 u 8.85 0.177 วินาที
5) นําหนักอาคาร W ( ชัน 1 w1 1, 211 kg / m2 , ชันหลังคา w2 403 kg / m2 )
6) สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐานอาคาร Cs
S DS I0.126 u1.0
Cs 0.0315g
R 4
S I 0.158 u1.0
Cs 0.0315 g D1 0.223g และ Cs ! 0.01g
T R 0.177 u 4
7) คํานวณหาแรงเฉือนทีฐานอาคาร
V CsW 0.0315 u 282.5 8.9 T
8) กระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชันอาคาร จาก
wx hx
Fx CvxV n
V
¦ wi hi
i 1
ความสําคัญของอาคารประเภท II
ค่าระยะการเคลือนทีสัมพัทธ์ทียอมให้ ไม่เกิน 'a = 0.02h
= 0.02(465) = 9.3 ซม.
ค่าระยะการเคลือนทีสัมพัทธ์ในแต่ละชันไม่เกินค่าทีกําหนดไว้ (' x 'a )
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 291
Pu 21,352 kg Pu 8, 400 kg
Vu 1,820 kg Vu 1,820 kg
รูปที 12.19 กําแพงรับแรง Combined load สําหรับแนวแกน A ระหว่ าง Axis 3 และ Axis 4
สร้ างกราฟ P-M Interaction curve โดยโปรแกรม CSI Column สําหรับแผ่นผนังขนาด 16x165 cm
และใช้ ปริมาณเหล็กเสริมเช่นเดียวกับแผ่นผนังแบบแรก คือ Weld wire mesh I 9mm @0.20m# ,
As 318 mm2 / m
As 3.18
U h Uv 0.002 = Umin
bt 100 u16
ผลการวิเคราะห์หน้ าตัด และ กราฟ P-M Interaction curve นํามาแสดงดังรูป 12.20-12.21
ค่า ( Pu , M u ) อยูใ่ นตําแหน่งภายในกราฟ P-M Interaction curve. O.K.
292 ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ
รูปที 12.20 หน้ าตัดแผ่ นผนัง (Wall Section 16x165 cm, RB9@20 cm)
ตรวจสอบแรงเฉือนในกําแพง
ตรวจสอบว่าจะต้ องเสริมเหล็กตะแกรงรับแรงเฉือน 2 ชันหรื อไม่ จาก
Vu ! 0.53 fcc Acv
0.53 fcc Acv 0.53 240(16 u165) 21,676 กก. > 1,820 กก. Vu
ดังนัน อาจออกแบบเป็ นเหล็กเสริมชันเดียวได้
ตรวจสอบปริมาณเหล็กเสริม
เนืองจาก Vu IVc 2 I 0.26 fcc Acv 0.6 u 0.26 240(16 u165) 6,380 กก.
ดังนัน ใช้ Uv(min.) Uh(min.) 0.002
ตรวจสอบกําลังรับแรงเฉือนของกําแพง จาก
hw 420
2.55 ! 2.0
lw 165
IVn I Acv 0.53 fcc Un f y
0.6 16 u165 0.53 240 0.002 u 2, 400
20,609 กก. < 2.1 240(16 u165) 85,887 กก.
> Vu 1,820 กก.
แสดงว่า กําลังต้ านทานแรงเฉือนของกําแพงสามารถต้ านทานแรงเฉือนประลัยได้
I12mm โดยรอบ
แผ่นเหล็ก
I 9mm @ 0.20m#
I12mm โดยรอบ
รูปที 12.23 รอยต่ อระหว่ างแผ่ นพืนและผนังคอนกรีตแบบ Load bearing wall (PCI Handbook, 1999)
รูปที 12.24 รอยต่ อระหว่ างแผ่ นพืนและผนังคอนกรีตแบบ Shear wall (PCI Handbook, 1999)
บทที 12 การออกแบบแผ่นผนังคอนกรี ตหล่อสําเร็ จ ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป 295
สัญลักษณ์
A ค่าการเคลือนทีสูงสุดของพืนดิน
Ach พืนทีหน้ าตัดแกนเสาโดยวัดจากขอบนอกสุดของแกนเสาทีล้ อมรอบด้ วยเหล็กปลอก
Af พืนทีของฐานราก
Ag พืนทีหน้ าตัดเสาทังหมด
Ah เนือทีหน้ าตัดเหล็กเสริมในแนวนอน
Aj พืนทีหน้ าตัดประสิทธิผลทีข้ อต่อ
As เนือทีหน้ าตัดเหล็กเสริมรับแรงดึง
Asbw ปริมาณเหล็กเสริมในแถบกลาง
Ash พืนทีหน้ าตัดของเหล็กปลอกทังหมดภายในระยะห่าง s
Ast เนือทีหน้ าตัดเหล็กเสริมกันร้ าวเนืองจากการเปลียนปลงของอุณหภูมิ
Ast เนือทีหน้ าตัดเหล็กยืนในเสา
Ast ปริมาณเหล็กเสริมทังหมดในทิศทางสัน
Av เนือทีหน้ าตัดเหล็กเสริมรับแรงเฉือน
A1 พืนทีทีรับแรงกดอัดจริง
A2 พืนทีของฐานรูปปิ รามิดยอดตัด
b, bw ความกว้ างของคาน
bo เส้ นรอบรูปรับแรงเฉือนทะลุ
c ระยะจากขอบผิวทีเกิดแรงอัดสูงสุดไปยังแกนสะเทินของรูปตัดคานหรื อเสา
c ระยะห่างของเสาเข็มต้ นทีต้ องการหาค่า วัดจากแกนศูนย์ถ่วงของกลุม่ เสาเข็ม
c ค่า damping ทีแท้ จริง
ccr ค่า critical damping
cji ระยะจากจุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัวไปยังกําแพง j
c1 ความกว้ างของเสา
c2 ความลึกของเสา
C สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐาน
C ค่าคงทีของหน้ าตัดสําหรับองค์อาคารรับแรงบิด
Ce สัมประสิทธิซึงคํานึงถึงความสูง ภูมิประเทศ และลักษณะการพัดกรรโชกของแรงลม
CF1 ความกว้ างของเสาปลายไกล
CF2 ความลึกของเสาปลายไกล
298 สัญลักษณ์
FEM โมเมนต์ทีปลายยึดแน่น
g อัตราเร่งเนืองจากแรงโน้ มถ่วงโลก
Gji มีคา่ เท่ากับ 6(Ig / L) สําหรับคานในแนวแกน j ทีระดับพืน i
(GA)ji ค่า Shear Rigidity ของโครงสร้ างในแนวแกน j ทีระดับชันที i
hc ความกว้ างของหน้ าตัดแกนเสาด้ านยาวสุด โดยวัดจากระยะห่างของศูนย์กลางของ
เหล็กปลอก
h, hf ความหนาของพืน
hi ค่าความสูงของเสาสําหรับชันที i
hw ความลึกของคานส่วนใต้ พืน วัดจากท้ องพืนถึงท้ องคาน
hx ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอกในทุกหน้ าตัดของเสา
H ความสูงทังหมดของอาคาร
Hc ความสูงสุทธิของเสา (clear height)
Hi ความสูงจากฐานของอาคารไปยังระดับชัน i
Hs ความลึกของชันดินอ่อน
i จํานวนชันของอาคาร
I สัมประสิทธิความสําคัญของอาคาร
Ia การวัดความรุนแรงของแผ่นดินไหวแบบ Arias intensity
Ic โมเมนต์ความเฉือยของเสา
Ig โมเมนต์ความเฉือยของคาน
Ii ค่าโมเมนต์ความเฉือยของเสาสําหรับชันที i
Ip โมเมนต์อินเนอร์ เชียรอบแกนศูนย์ถ่วงของกลุม่ เสาเข็ม
Is ค่าโมเมนต์ความเฉือยของแผ่นพืน
Isb โมเมนต์ความเฉือยของแผ่นพืนและคานในทิศทางขนานกับช่วงแผ่นพืนทีออกแบบ
Iw สัมประสิทธิความสําคัญของอาคาร
k ค่าสติฟเนสของโครงสร้ าง
kb ตัวประกอบความยาวประสิทธิผลของเสาในโครงอาคารทีไม่ยอมให้ เซ
(braced frame)
ks ตัวประกอบความยาวประสิทธิผลของเสาในโครงอาคารทียอมให้ เซ
(unbraced frame)
kNF ค่าตัวประกอบสติฟเนสของพืน
Kb สติฟเนสของคาน
Kct ค่าสติฟเนสของการดัดทีด้ านบนสุดของเสาส่วนล่าง
300 สัญลักษณ์
Mreact โมเมนต์ต้านทานการพลิกควําของอาคาร
Mu กําลังโมเมนต์ทีต้ องการ
Mub โมเมนต์ไม่สมดุลบริเวณหัวเสาของแผ่นพืน
Mu โมเมนต์ทีใช้ ออกแบบสําหรับแผ่นพืนทีออกแบบ
Mw มาตราวัดขนาดของแผ่นดินไหวแบบ Moment Magnitude
MW โมเมนต์เนืองจากแรงลม
Mx โมเมนต์ดดั กระทําในระดับชันอาคาร x
n จํานวนขององค์อาคารทียึดตรงรอยต่อในระนาบของโครงข้ อแข็ง
n, N จํานวนชันทังหมดของอาคาร
N จํานวนของเสาเข็ม
Nu นําหนักบรรทุกตามแกนเพิมส่วน
p เส้ นรอบรูปประสิทธิผลของเสาเข็ม
P แรงดันบนอาคาร
P นําหนักบรรทุกทังหมดทีกระทําลงฐานราก
Pcb แรงอัดวิกฤติซงคํ
ึ านวณจากทฤษฎีของ Euler ในโครงอาคารทีไม่ยอมให้ เซ
Pcs แรงอัดวิกฤติซงคํึ านวณจากทฤษฎีของ Euler ในโครงอาคารทียอมให้ เซ
Pn กําลังแรงอัดทีออกแบบ
Pu กําลังแรงอัดทีต้ องการ
PW แรงดันลมด้ านข้ างด้ านปะทะลม
PWR แรงดันลมทีหลังคาด้ านปะทะลม
PL แรงดันลมด้ านข้ างด้ านหลบลม
PLR แรงดันลมทีหลังคาด้ านหลบลม
PGA ค่าอัตราเร่งสูงสุดของพืนดิน
q หน่วยแรงดันดิน
q แรงปฏิกิริยาภายในแบบแผ่กระจายสมําเสมอ
qs แรงดันลม
Qb แรงเฉือนในกําแพง
QH แรงปฏิกิริยาภายในแบบกระทําเป็ นจุด
Qi แรงเฉือนทังหมด
Qji แรงเฉือนในกําแพง j ทีระดับชัน i
Qri แรงเฉือนในกําแพงในแนวตังฉาก r ทีระดับชัน i
302 สัญลักษณ์
Qs แรงเฉือนในโครงข้ อแข็ง
R นําหนักทีเสาเข็มแต่ละต้ นจะต้ องรับ
Re ระยะห่างจากศูนย์กลางของแผ่นดินไหว
Ri นําหนักบรรทุกกระทําบนเสาเข็ม i
Ru สัมประสิทธิของโมเมนต์ดดั ประลัย
Rw ค่าตัวประกอบการดูดซับพลังงาน
sj ระยะห่างของเหล็กปลอกในเสา ช่วงรอยต่อเสา-คาน
st ระยะห่างของเหล็กปลอกบริเวณช่วงกลางเสานอกเขตระยะความยาว lo
sx ระยะห่างของเหล็กปลอกภายในระยะความยาว lo
S ค่าสัมประสิทธิชันดิน
S ระยะห่างของเหล็กปลอก
Sn สัมประสิทธิของแต่ละสภาพชันดิน
S1 บริเวณข้ อหมุนพลาสติก
S2 บริเวณนอกเขตข้ อหมุนพลาสติก
S2 ระยะเรี ยงของเหล็กเสริมตามแนวนอน
SF ค่าความปลอดภัย
t0.05,t0.95 เวลาทีค่าอินทิเกรชันของ Arias intensity, Ia, ถึง 5% และ 95% ตามลําดับ
td ระยะเวลาการสันทังหมดของพืนดิน
T, Tn คาบการสันตามธรรมชาติของโครงสร้ าง
Td ระยะเวลาของการสันรุนแรงของพืนดิน
Tg คาบเวลาการสันสําคัญของพืนดิน
Ts คาบการสันตามธรรมชาติของชันดินอ่อน
u การเคลือนทีทางด้ านข้ างของมวล
u ความเร็วของมวล
u อัตราเร่งของมวล
ug การเคลือนทีของพืนดินเนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ug ค่าอัตราเร่งของพืนดินเนืองจากแรงแผ่นดินไหว
um การเปลียนตําแหน่งสูงสุด
uo ผลตอบสนองของการเปลียนรูปสูงสุดของโครงสร้ าง
uy การเปลียนตําแหน่งทีจุดคราก
vc หน่วยแรงเฉือนต้ านทานของคอนกรี ต
สัญลักษณ์ 303
V ความเร็วลมซึงวัดทีความสูงมาตรฐาน
V แรงเฉือนในคาน
Vb แรงเฉือนทีฐานอาคาร
Vc กําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต
Ve แรงเฉือนแนวราบกระทําทีตําแหน่งบนสุดและใต้ สดุ ของเสา
Vi แรงเฉือนทีเสาสําหรับชันที i เนืองจากแรงกระทําด้ านข้ าง
VL แรงเฉือนทีปลายคานทางซ้ าย, กก.
VR แรงเฉือนทีปลายคานทางขวา, กก.
Vn กําลังแรงเฉือนทีออกแบบ
Vs กําลังต้ านทานแรงเฉือนของเหล็กเสริม
Vs ความเร็วของคลืน S – Wave
Vu กําลังแรงเฉือนทีต้ องการ
Vx แรงเฉือนกระทําในระดับชันอาคาร x
Vxx แรงเฉือนกระทําทีข้ อต่อเสา-คาน
w นําหนักแผ่กระจายต่อหนึงหน่วยความยาว
w หน่วยนําหนักของคอนกรี ต
W นําหนักของอาคาร
W แรงกระทําทางด้ านข้ างจากภายนอกแบบแผ่กระจายสมําเสมอ
WD นําหนักบรรทุกคงที
WL นําหนักบรรทุกจร
WT นําหนักบรรทุกคงทีทังหมดของอาคาร
Wx,Wi นําหนักอาคารทีระดับพืน x และ i ตามลําดับ
x ด้ านสันของชินส่วนรูปสีเหลียมขององค์อาคารรับแรงบิด
x จุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัว
y ด้ านยาวของชินส่วนรูปสีเหลียมขององค์อาคารรับแรงบิด
Z สัมประสิทธิความเสียงภัยจากแผ่นดินไหว
Ds ค่าคงทีทีใช้ ในการคํานวณหาค่า Vc ในแผ่นพืน
E อัตราส่วนระหว่างด้ านยาวต่อด้ านสัน
E1 ตัวคูณประกอบสําหรับความลึกของบล๊ อกหน่วยแรงอัดเทียบเท่า
Ec อัตราส่วนของด้ านยาวต่อด้ านสันของพืนทีทีรับนําหนักบรรทุกกระทําเป็ นจุดหรื อรับ
แรงปฏิกิริยา
304 สัญลักษณ์
Gb ตัวคูณประกอบขยายค่าโมเมนต์ดดั สําหรับเสาทีไม่มีการเซ
Gn ค่าระยะการโก่งตัวด้ านข้ างในระดับชันที n ซึงเป็ นชันบนยอดสูงสุดของอาคาร
Gs ตัวคูณประกอบขยายค่าโมเมนต์ดดั สําหรับเสาทีมีการเซ
'n ค่าระยะโยกไหวระหว่างชันของอาคาร
'i ค่าระยะโยกไหวระหว่างชันของอาคาร
' ระยะศูนย์กลางแผ่นดินไหวเทียบกับเส้ นรอบรูปของโลก
'x ระยะโยกของระดับชัน x
I ตัวคูณลดกําลัง
Im ความโค้ งสูงสุด
Iy ความโค้ งทีจุดคราก
Jf สัมประสิทธิการถ่ายโมเมนต์ไม่สมดุลจากแผ่นพืนไปยังเสา
P ความเหนียวต่อการเปลียนตําแหน่ง
PI ความเหนียวต่อการดัดโค้ ง
T ค่ามุมทีหลังคาเอียงทํามุมกับแนวราบ
T ค่าสัมประสิทธิความมันคง
U อัตราส่วนของเหล็กเสริมรับแรงดึง
Uh อัตราส่วนเนือทีเหล็กเสริมรับแรงเฉือนตามแนวนอนต่อหน้ าตัดคอนกรี ตในแนวตัง
Us อัตราส่วนของปริมาตรของเหล็กปลอกเกลียวต่อปริมาตรของแกนเสาคอนกรี ตโดย
วัดจากขอบนอกสุดของแกนเสาทีล้ อมรอบด้ วยเหล็กปลอก
Ut อัตราส่วนของเนือทีเหล็กยืนในเสาต่อเนือทีทังหมดของหน้ าตัดเสาคอนกรี ต
Un อัตราส่วนเนือทีเหล็กเสริมรับแรงเฉือนตามแนวตังต่อหน้ าตัดคอนกรี ตในแนวนอน
Zn ความถีเชิงมุมธรรมชาติของโครงสร้ างอาคาร
[ ค่าอัตราส่วนของ Damping
\ ค่าอัตราส่วนระหว่างผลรวมของสติฟเนสแฟคเตอร์ ของเสาต่อผลรวมของสติฟเนส
แฟคเตอร์ ของคาน
บรรณานุกรม 305
บรรณานุกรม
“คอนกรี ตเสริ มเหล็ก” หมายความว่า คอนกรี ตทีมีเหล็กเสริ มฝั งภายในให้ ทําหน้ าทีรับแรงได้ มากขึน
“คอนกรี ตอัดแรง” หมายความว่า คอนกรี ตทีมีเหล็กเสริ มอัดแรงฝั งภายในทีทําให้ เกิดหน่วยแรงทีมีปริ มาณพอ
จะลบล้ างหน่วยแรงอัดเกิดจากนําหนักบรรทุก
“เหล็กเสริ ม” หมายความว่า เหล็กทีใช้ ฝังในเนือคอนกรี ตเพือเสริ มกําลังขึน
“เหล็กเสริ มอัดแรง” หมายความว่า เหล็กเสริ มกําลังสูงทีใช้ ฝังในเนือคอนกรี ต อัดแรง อาจเป็ นลวดเส้ นเดียว ลวด
พันเกลียว หรื อลวดเหล็กกลุม่ ก็ได้
“เหล็กข้ ออ้ อย” หมายความว่า เหล็กเสริ มทีมีบงและหรื
ั อมีครี บทีผิว
“เหล็กขวัน” หมายความว่า เหล็กเสริ มทีบิดเป็ นเกลียว
“เหล็กหล่อ” หมายความว่า เหล็กทีมีธาตุถ่านผสมอยูต่ งแต่ ั ร้อยละ 2 ขึนไปโดยนําหนัก
“เหล็กโครงสร้างรู ปพรรณ” หมายความว่า เหล็กทีผลิตออกมามีหน้ าตัดเป็ นรูปลักษณะต่างๆ ใช้ ในงานโครงสร้ าง
“ไม้เนืออ่อน” หมายความว่า ไม้ ทีไม่คงทนต่อดินฟ้ าอากาศ และตัวสัตว์ เช่น มอด ปลวก เป็ นต้ น และหรื อมี
คุณสมบัติตามทีกําหนดไว้ ในข้ อ 14 เช่นไม้ ยาง หรื อไม้ ตะแบก เป็ นต้ น
“ไม้เนือปานกลาง” หมายความว่า ไม้ ทีคงทนต่อดินฟ้ าอากาศและสัตว์ เช่น มอด ปลวก เป็ นต้ น ได้ ดีตามสภาพ
อันสมควร และหรื อมีคณ ุ สมบัติตามทีระบุไว้ ในข้ อ 14 เช่น ไม้ สน เป็ นต้ น
“ไม้เนือแข็ง” หมายความว่า ไม้ ทีคงทนต่อดินฟ้าอากาศและสัตว์ เช่น มอด ปลวก เป็ นต้ น ได้ ดี ตามสภาพอัน
สมควร และหรื อมีคณ ุ สมบัติตามทีระบุไว้ ในข้ อ 14 เช่น ไม้ เต็ง หรือไม้ ตะเคียงทอง เป็ นตัน
“กรวด” หมายความว่า ก้ อนหินทีเกิดตามธรรมชาติขนาดโตเกิน 3 มิลลิเมตร
“ทราย” หมายความว่า ก้ อนหินเมล็ดเล็กละเอียดทีมีขนาดโตไม่เกิน 3 มิลลิเมตร
“ดิ นดาน” หมายความว่า ดินตะกอนของกรวด ดินเหนียว มีนาปู ํ นเป็ นเชือประสาน มีลกั ษณะแข็งยากแก่การขุด
“หิ นดิ นดาน” หมายความว่า หินทีมีเนือละเอียดมาก ประกอบด้ วยดินเหนียว หรื อทรายอัดตัวแน่นเป็ นชันบางๆ
จะมีเชือประสานหรื อไม่ก็ได้
“หิ นปูน” หมายความว่า หินเนือแน่นละเอียดทึบ มีสตี า่ งๆ กัน ประกอบด้ วยแร่แคลไซท์
“หิ นทราย” หมายความว่า หินเนือหยาบ ประกอบด้ วยเม็ดทรายยึดตัวแน่นด้ วยเชือประสาน
“หิ นอัคคี” หมายความว่า หินเนือหยาบเกิดจากการเย็นตัวของหินละลายใต้ พนโลก ื ประกอบด้ วย แร่เฟลด์สปราร์
แร่ควอตซ์ เป็ นส่วนใหญ่ มีลกั ษณะแข็งแกร่ง
“เสาเข็ม” หมายความว่า เสาทีตอกหรื อหล่ออยูใ่ นดินเพือรับนําหนักบรรทุกของอาคาร
“พืนผิ วประสิ ทธิ ผลของเสาเข็ม” หมายความว่า ผลคูณของความยาวของเสาเข็มกับความยาวของเส้ นล้ อมรูปสัน
ทีสุดของหน้ าตัดปกติของเสาเข็มนัน
“ฐานราก” หมายความว่า ส่วนของอาคารทีใช้ ถา่ ยนําหนักอาคารลงสูด่ ิน
“กํ าลังแบกทานของดิ น” หมายความว่า ความสามารถของดินทีจะรับนําหนักได้ โดยมีการทรุดตัวขนาดทีไม่ทํา
ให้ เกิดความเสียหายแก่อาคาร
“กํ าลังแบกทานของเสาเข็ม” หมายความว่า ความสามารถทีเสาเข้ มจะรับนําหนักได้ โดยบ้ านทรุดตัวไม่เกินอัตรา
ทีกําหนดไว้ ในกฎกระทรวงนี
ภาคผนวก 309
(ค) เหล็กขวัน ให้ ใช้ ร้อยละ 40 ของกําลังคราก แต่ต้องไม่เกิน 210 เมกาปาสกาล (2,100 กิโลกรัมแรง
ต่อตารางเซนติเมตร) ทังนี จะต้ องมีผลการทดสอบการดัดเย็น โดยจะต้ องมีสถาบันทีเชือถือได้ รับรอง
(ง) เสาแบบเหล็กโครงสร้ างรูปพรรณ ให้ ใช้ ไม่เกิน 125 เมกาปาสกาล (1,250 กิโลกรัมแรงต่อตาราง
เซนติเมตร)
(จ) เหล็กหล่อ ให้ ใช้ ไม่เกิน 70 เมกาปาสกาล (700 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
(3) ในการคํานวณคานและพืนคอนกรี ตเสริ มเหล็กทีใช้ เหล็กเสริ มรับแรงอัด ให้ ใช้ หน่วยแรงของเหล็ก
เสริ มรับแรงอัดทีคํานวณได้ ตามทฤษฎีอีลาสติกหรื อหน่วยแรงปลอดภัยได้ ไม้ เกินสองเท่า แต่หน่วยแรงทีคํานวณ
ได้ ต้องไม่เกินหน่วยแรงดึงตาม (1)
ข้ อ 7 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารคอนกรี ตเสริ มเหล็กตามทฤษฎีกําลังประลัยให้ ใช้ นาหนั ํ ก
บรรทุกประลัยดังต่อไปนี
(1) สําหรับส่วนของอาคารทีไม่คดิ แรงลม ให้ ใช้ นาหนั
ํ กบรรทุกประลัย ดังนี
นป. = 1.7 นค. + 2.0 นจ.
(2) สําหรับส่วนของอาคารทีคิดแรงลม ให้ ใช้ นาหนั ํ กบรรทุกประลัยดังนี
นป. = 0.75 (1.7 นค. + 2.0 นจ. + 2.0 รล.)
หรื อ นป. = 0.9 นค. + 1.3 รล.
โดยใช้ คา่ นําหนักบรรทุกประลัยทีมากกว่า แต่ทงนี ั ต้ องไม่ตากว่
ํ าค่านําหนักบรรทุกประลัยใน (1) ด้ วย
นป. = นําหนักบรรทุกประลัย
นค. = นําหนักบรรทุกคงทีอาคาร
นจ. = นําหนักบรรทุกจร รวมด้ วยแรงกระแทก
รล. = แรงลม
ข้ อ 8 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารคอนกรี ตเสริ มเหล็กตามทฤษฎีกําลังประลัย ให้ ใช้ คา่ หน่วย
แรงอัดประลัยของคอนกรี ตไม่เกิน 15 เมกาปาสกาล (150 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
ข้ อ 9 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารคอนกรี ตเสริ มเหล็กตามทฤษฎีกําลังประลัย ให้ ใช้ กําลัง
ครากของเหล็กเสริ มดังต่อไปนี
(1) เหล็กเส้ นกลมผิวเรี ยบให้ ใช้ ไม่เกิน 240 เมกาปาสกาล (2,400 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
(2) เหล็กเสริ มอืน ให้ ใช้ เท่ากําลังครากของเหล็กเสริ มชนิดนัน แต่ต้องไม่เกิน 400 เมกาปาสกาล (4,000
กิโลกรัมแรมต่อตารางเซนติเมตร)
ข้ อ 10 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารคอนกรี ตอัดแรงตามทฤษฎีกําลังประลัย ให้ ใช้ นาหนั ํ ก
บรรทุกประลัยเช่นเดียวกับข้ อ 7
ข้ อ 11 ในการคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารคอนกรีตอัดแรง ให้ ใช้ คา่ หน่วยแรงอัดของคอนกรี ต
ดังต่อไปนี
(1) หน่วยแรงอัดในคอนกรีตชัวคราวทันทีทีถ่ายแรงมาจากเหล็กเสริ มอัดแรงก่อนการเสือมสูญการ
แรงอัดแรงของคอนกรี ต ต้ องไม่เกินร้ อยละ 60 ของหน่วย แรงอัดประลัยของคอนกรีต
(2) หน่วยแรงอัดทีใช้ ในการคํานวณออกแบบหลังการเสือมสูญการอัดแรงของคอนกรี ต ต้ องไม่เกินร้ อย
ละ 40 ของหน่วยแรงอัดประลัยของคอนกรี ต
ภาคผนวก 311
¦³¦ª
ε®µ¦¦´Êε®´ ªµ¤oµµ ªµ¤
°°µµ¦
¨³¡ºÊ·¸É¦°¦´°µµ¦Äµ¦oµµÂ¦´É³Áº°
°Ân·Å®ª
¡.«. ÓÖÖÑ
() µ«¹¬µ
() µ¦´Á¨¸Ê¥ÁÈ°n°
() °µµ¦¸É¤¸¼oÄo°µµ¦Åo´ÊÂn®oµ¡´
¹ÊÅ
() °µµ¦¸É¤¸ªµ¤¼´ÊÂn·®oµÁ¤¦
¹ÊÅ
() ³¡µ®¦º°µ¥¦³´¸É¤¸nª¦³®ªnµ«¼¥r¨µ°¤n°¥µª´ÊÂn·Á¤¦
¹ÊÅ
() Á
ºÉ ° ÁÈ ´ ÊÎ µ Á
ºÉ° ÊÎ µ ®¦º ° µ¥ÊÎ µ ¸É ´ ª Á
ºÉ ° ®¦º ° ´ª µ¥¤¸ ªµ¤¼
´ÊÂn·Á¤¦
¹ÊÅ
o° Õ µ¦°°Âæ¦o µ °µµ¦Ä
o ° Ô Ä®o ¼o Î µ ª°°ÂÎ µ ¹ ¹
µ¦´¦¼ÂÁ¦
µ·Ä®o¤¸Á¸¥¦£µ¡Äµ¦oµµµ¦´É³Áº°
°Ân·Å®ª µ¦Îµ®
¦µ¥¨³Á°¸¥¨¸¥n°¥·ÊnªÃ¦¦oµ ¦ª¤´Ê¦·Áª¦°¥n°¦³®ªnµ¨µ¥·ÊnªÃ¦¦oµnµ Ç
¨³µ¦´Ä®oæ¦oµ´Ê¦³°¥nµo°¥Ä®o¤¸ªµ¤Á®¸¥ªÁ¸¥Ánµªµ¤Á®¸¥ªÎµ´ (Limited Ductility)
µ¤¤µ¦µ¦³°µ¦°°Â°µµ¦Á¡ºÉ°oµµµ¦´É³Áº°
°Ân·Å®ª
°¦¤Ã¥µ·µ¦
¨³´ Á¤º ° ®¦º° ¤µ¦µªnµo ª¥µ¦°°Â°µµ¦o µµµ¦´É ³Áº°
°Ân · Å®ª
¸É£µª·«ª¦¦´¦°
µ¦Î µ ª°°Âæ¦o µ °µµ¦Ân ¨ ³·Ê n ª Ä®o Ä o n µ ®n ª ¥Â¦
°¨µ
Ân·Å®ª ®¦º°¨µÂ¦¨¤µ¤¸Éε®Ä¦³¦ª ´¸É × (¡.«. ÓÖÓØ) °°µ¤
ªµ¤Ä¡¦³¦µ´´·ª»¤°µµ¦ ¡.«. ÓÖÓÓ ¸É¤¸n°·Ê nªÃ¦¦oµ´Ê nµÄnµ®¹É
¸É¤µªnµ
o° Ö µ¦Îµª°°Âæ¦oµ°µµ¦¸É¤¸¦¼¦Å¤n¤ÉεÁ¤° ®¦º°Ã¦¦oµ
°µµ¦°ºÉ Ç ¸ÉŤnÄn°µµ¦µ¤¸Éε®Ä
o° × Â¨³Å¤n°¥¼nÄ ¦·ÁªÁ jµ¦³ª´ ¼oεª°°Â
o°Á}¼oÅo¦´Ä°»µÁ}¼o¦³°ª·µ¸¡ª·«ª¦¦¤ª»¤´ÊÂn¦³´µ¤´ª·«ª¦
¹ÊŠ¨³
o°ÎµªÄ®o°µµ¦µ¤µ¦¦´Â¦´É³Áº°
°Ân·Å®ª Ã¥Äoª·¸µ¦ÎµªÁ·¡¨«µ¦r®¦º°
ª·¸°ºÉ¸É´Ê°¥¼n¡ºÊµµ§¬¸Á·¡¨«µ¦r
µ¦Îµªµ¤ª¦¦®¹É o° Á} ŵ¤¤µ¦µªnµo ª¥µ¦°°Â°µµ¦oµµ
µ¦´É³Áº°
°Ân·Å®ª¸É£µª·«ª¦¦´¦° ®¦º°¸É´ÎµÃ¥nª¦µµ¦®¦º°··»¨¹ÉÅo¦´
Ä°» µ¦³°ª· µ¸¡ª· « ª¦¦¤ª»¤ ¹É ¤¸ª·« ª¦¦³´ ª»· ª·« ª¦ µ
µª· « ª¦¦¤Ã¥µ
µ¤®¤µ¥ªnµoª¥ª·«ª¦ Á}¼oÄ®oε³ε¦¹¬µÂ¨³¨¨µ¥¤º°ºÉ°¦´¦°ª·¸µ¦Îµª´Ê
®oµ ÓÑ
Á¨n¤ ÒÓÕ °¸É Ù× ¦µ·µ»Á¬µ ÔÑ ¡§«·µ¥ ÓÖÖÑ
¦Z K
L O
L L
Ft º° ¦Äª¦µ¸É¦³Îµn°¡ºÊ´Ê»
°°µµ¦
Fx º° ¦Äª¦µ¸É ¦³Îµn°¡ºÊ´Ê¸É x
°°µµ¦
T º° µµ¦Âªnµ¤¦¦¤µ·
°°µµ¦ ¤¸®nª¥Á}ª·µ¸
®µnµÅoµ¤¼¦Ä
o° ÒÑ
V º° ¦Áº°´Ê®¤Äª¦µ¸É¦³´¡ºÊ·
wx,wi º° Êε®´
°¡ºÊ°µµ¦´Ê¸É x ¨³´Ê¸É i µ¤¨Îµ´
hx,hi º° ªµ¤¼µ¦³´¡ºÊ·¹¡ºÊ´Ê¸É x ¨³´Ê¸É i µ¤¨Îµ´
i = 1 宦´¡ºÊ´Ê¦¸É°¥¼n¼´µ¡ºÊ´Ê¨nµ
°°µµ¦
x = 1 宦´¡ºÊ´Ê¦¸É°¥¼n¼´µ¡ºÊ´Ê¨nµ
°°µµ¦
Q
n º° εª´Ê´Ê®¤
°°µµ¦¸É°¥¼nÁ®º°¦³´¡ºÊ´Ê¨nµ
°°µµ¦
ĵ¦Î µ ª°°Âæ¦oµ °µµ¦¸É¤¸ ¦¼ ¦µ¤¸É ¦ ³»Ä ª¦¦®¹É ¼oÎ µ ª
°°Â°µÄoª·¸°ºÉÅo Ânª·¸µ¦Îµª°°Âo°Á}ŵ¤¤µ¦µªnµoª¥µ¦°°Â
°µµ¦oµµµ¦´É³Áº°
°Ân·Å®ª¸É£µª·«ª¦¦´¦° ®¦º°¸É´ÎµÃ¥nª¦µµ¦®¦º°
··»¨¹ÉÅo¦´Ä°»µ¦³°ª·µ¸¡ª·«ª¦¦¤ª»¤ ¹É¤¸ª·«ª¦¦³´ª»·ª·«ª¦ µ
µ
ª·«ª¦¦¤Ã¥µ µ¤®¤µ¥ªnµoª¥ª·«ª¦ Á}¼oÄ®oε³ε¦¹¬µÂ¨³¨¨µ¥¤º°ºÉ°¦´¦°ª·¸µ¦
εª´Ê
o° Ø nµ´¤¦³··Í
°ªµ¤Á
o¤
°Ân·Å®ª (Z)
°¦·Áª¸É Ò Ä®oÄoÁnµ´
Ñ.ÒÚ ®¦º°¤µªnµ ¨³¦·Áª¸É Ó Ä®oÄoÁnµ´ Ñ.ÔÙ ®¦º°¤µªnµ
o° Ù ´ª¼Á¸É¥ª´µ¦Äo°µµ¦ (I) Ä®oÄo ´n°Å¸Ê
·
°°µµ¦ nµ
° I
(Ò) °µµ¦¸ÉεÁ}n°ªµ¤Á}°¥¼n
°µµ¦ µ¤
o° Ô Ò.ÖÑ
(Ó) °µµ¦¸ÉÁ}¸É »¤»¤¦´Ê®¹É Ç Åo¤µªnµµ¤¦o°¥ Ò.ÓÖ
(Ô) °µµ¦°ºÉ Ç Ò.ÑÑ
®oµ ÓÓ
Á¨n¤ ÒÓÕ °¸É Ù× ¦µ·µ»Á¬µ ÔÑ ¡§«·µ¥ ÓÖÖÑ
สารบัญ
หน้ า
บทที 1 ความรู้ พืนฐานของแผ่ นดินไหว
1.1 วิศวกรรมแผ่นดินไหว 1
1.2 การเกิดแผ่นดินไหว 2
1.3 คลืนแผ่นดินไหว 5
1.4 คลืนนําขนาดยักษ์ 7
1.5 การวัดขนาดของแผ่นดินไหว 9
1.6 แหล่งกําเนิดแผ่นดินไหว 13
1.7 สถิตแิ ผ่นดินไหวทีมีผลต่อประเทศไทย 15
3.9.2 กราฟสเปคตรัมสําหรับค่าความเหนียวคงที 62
3.9.3 กราฟสเปคตรัมสําหรับค่าความเสียหายคงที 64
บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิธีพลศาสตร์
6.1 ข้ อกําหนดของวิธีการออกแบบ 183
6.1.1 ความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัม 184
6.1.2 การปรับค่าแรงเฉือนทีฐาน 187
6.2 การคํานวณผลตอบสนองของอาคาร 188
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว v
6.2.1 สมการการเคลือนทีของแต่ละรูปแบบและตัวประกอบของ
การมีสว่ นร่วม 189
6.2.2 แรงเฉือนของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 190
6.2.3 นําหนักประสิทธิผลของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 191
6.2.4 แรงกระทําทางด้ านข้ างของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 191
6.2.5 การโยกตัวของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 192
6.2.6 การโยกตัวระหว่างชันของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 192
6.2.7 โมเมนต์พลิกควําของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 193
6.2.8 โมเมนต์บิดของแต่ละรูปแบบการเคลือนที 193
6.3 การคํานวณผลตอบสนองทีใช้ ในการออกแบบ 194
6.4 ขันตอนการออกแบบโดยวิธีพลศาสตร์ สําหรับ มยผ.1301/1302-61 197
ตัวอย่างการคํานวณ 199
บทที 10 การออกแบบฐานราก
10.1 บทนํา 329
10.2 การรับแรงกระทําของฐานราก 330
10.3 ขันตอนการออกแบบฐานราก 332
10.3.1 นําหนักบรรทุกทีใช้ ในการออกแบบขนาดฐานรากเบืองต้ น 332
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว vii
สารบัญ (ต่ อ)
¸É 1
ªµ¤¦¼¡
o ºÊµ
°Ân·Å®ª
1.1 ª·«ª¦¦¤Ân·Å®ª (Earthquake Engineering)
{»´¸Ê¦³µ¦Ã¨Îµª®¨µ¥¦o°¥¨oµ°µ«´¥°¥¼nĦ·Áª¸É¤¸ªµ¤Á¸É¥£´¥n°
¸ ª· ¨³¦´ ¡ ¥r · °µµ¦ o µ Á¦º ° ¨°µµ¦¼ ãn µ Ç ÁºÉ ° µ£´ ¥ ¡· ´ · µ
Á®»µ¦rÂn·Å®ª ®µ·Á}εªÁ·³¤¸¤¼¨nµ¤®µ«µ¨ ªµ¤Á¸É¥Á®¨nµ¸Ê¤·Åo¤¸Á¡¸¥
Á¡µ³¦³Á«Ä¦³Á«®¹É ÂnÁ}¦µµ¦r¦¦¤µ·¸É¦oµªµ¤Á¸¥®µ¥Äªªoµn°
¦³Á«
oµÁ¸¥¸É°¥¼nĦ·Áª¡ºÊ¸Éªµ¤Á¸É¥£´¥¸Ê ªµ¤¦·Ân·Å®ªÁ¥Á·
¹Ê°¥nµ
n°ÁºÉ°¤µ´¨oµe¨oª ¨³³¥´Á·
¹Ê°¸n°ÅÄ°µ Ä°¸¸Énµ¤µ Ân·Å®ªÁ¥
Á·Ä¸É®nµÅ¨ªµ¤Á¦·¹Å¤nn°¥¤¸Ä¤µ´ ÂnÄ{»´ ÁºÉ°µªµ¤Á¦·
°
Á¤º°Ân
¥µ¥°°Å¼nÄÁ
¸É®nµÅ¨¤µ
¹Ê εĮoÁ®»µ¦rÂn·Å®ªµ¤µ¦¦oµªµ¤ºÉ
¦³®Ân¡¨Á¤º°Â¨³n¨¦³n°°µµ¦oµÁ¦º°Åo¤µ
Á¦¸¥µªµ¤Á¸¥®µ¥
°°µµ¦nµÇÄÁ®»µ¦rÂn·Å®ª¸Éε´Ân¨³¦´Ê
°µ·Án Ân·Å®ª¸ÉÁ¤º°ÃÁ ¦³Á«¸É»i e ¡.«. 2538 ¦³Á«Åo®ª´e ¡.«. 2541 ¨³
¨nµ»£´¥¡·´·µ¨ºÉ¥´¬r¹µ¤· ¸É¤¸«¼¥r¨µÂn·Å®ª¦·ÁªÁ®º°Áµ³»¤µ¦µ ¦³Á«
°·Ã¸Á¸¥ Á¤ºÉ°ª´¸É 26 ´ªµ¤ ¡.«. 2547 εĮo¤¸µ¦oªoµÂ¨³¡´µªµ¤¦¼oĵ¦
°°Â°µµ¦¤µ
¹Ê
o°Îµ®
°µ¦°°Â°µµ¦oµµÂn·Å®ª (Seismic
Design Codes) ¤¸µ¦¡´µ°¥nµ¦ªÁ¦ÈªÁ¡ºÉ°Ä®oµ¤µ¦¦´¤º°´Â¦´É³Áº°Â¨³£´¥¡·´·Ä
¦¼ÂnµÇµÂn·Å®ª¦´ÊÄ®¤nÇÅo
o°Îµ®
°µ¦°°Â°µµ¦²Á®¨nµ¸Ê¤¸¡ºÊµ
¤µµª·µª·«ª¦¦¤Ân·Å®ª °´Á}«µ¦r¸ÉÁ¸É¥ª
o°´ª·¸µ¦j°´Á¡ºÉ°¸É³¨£´¥¡·´·
µÂn·Å®ª ¹É¤¸¨¦³n°¦³µ °µµ¦oµÁ¦º° µ¦¤µ¤ ¦³µµ¦¼Ã£
·Éª¨o°¤ ¨°Á«¦¬·
°¦³Á«·Á}¤¼¨nµªµ¤Á¸¥®µ¥¤®µ«µ¨ µ
µª·µ¸Êº°ªnµ
¥´Ä®¤n宦´¦³Á«Å¥ Á¤ºÉ°Á¸¥´¦³Á«¸É¡´µÂ¨oªÁn ®¦´°Á¤¦·µ ¸É»i Á}o
¦³Á«Á®¨nµ¸Ê¤¸µ¦¡´µªµ¤¦¼oÄnª 40-50 e¤µÂ¨oª ®µ¡·µ¦µÁºÊ°®µª·µ¸Ê³¡ªnµ
¦°¨»¤®¨µ®¨µ¥µ
µ ¹É³o°¤¸µ¦¡·µ¦µÄÂn ¦¸ª·¥µ µ¦Å®ª´ª
°Ân·
ª·«ª¦¦¤¡¸ ª·«ª¦¦¤Ã¦¦oµ ¨°µoµÁ«¦¬«µ¦r¨³´¤«µ¦r 宦´Ä
2 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 1 ªµ¤¦¼o¡ºÊµ
°Ân·Å®ª
Á¤ºÉ°Â¦°´³¤Ä¦·Áª¦°¥n°´Ê¤µ
¹ÊÁ¦ºÉ°¥Ç¹»®¹É ¸ÉÁºÊ°®·®nª¥Â¦°´
¦³¨´¥Å¤nÅo ³Á·µ¦Â¦³¨´¥
¹Êµ¤Âª¦°¥Á¨º°É (fault) Ã¥¨¨n°¥¡¨´µ°°¤µ
(strain energy) µÂ®¨nεÁ·Ân·Å®ª ®¨´µ´ÊÂn®·È³º´ª¨´¼n£µ¡Á·¤
¨Åµ¦Á·Ân·Å®ªÂ¸ÊÁ}ŵ¤§¬¸µ¦º´ª
°ª´»Â¥º®¥»n (Elastic
rebound theory) °´Á}¸É¥°¤¦´´Ä{»´ ´É º°®nª¥Â¦°´¸ÉÁ·
¹Ê¦·Áª¦°¥n°
°
ÁºÊ°®·ÎµªÅoµ
V = EH (1.1)
2
Ã¥¸É V º° ®nª¥Â¦°´¸ÉÁ·
¹Ê¦·Áª¦°¥n°
°ÁºÊ°®·, ./¤.
n
°ÁºÊ°®·, ./¤.2
E º° nµÃ¤¼¨´¥º®¥»
H º° ®nª¥µ¦®´ª
°ÁºÊ°®·
¡¨´µ¸É³¤ÄÁºÊ°®·ÁºÉ°µ®nª¥Â¦°´¸Ê εªÅoµ
VH
U = (1.2)
2
Ã¥¸É U º° ¡¨´µ (strain energy) ¸É³¤n°¦·¤µ¦
°ÁºÊ°®·, .-¤./¤.3
¡¨´µ¸É¨¨n°¥°°¤µnªÄ®n³¼¼´oª¥µ¦Á¨ºÉ°´ªÂ¨³Á¨¸É¥£µ¡
°ÁºÊ°®·¨µ¥Á}¡¨´µªµ¤¦o°¦·ÁªÎµÂ®n¦°¥Á¨ºÉ°´Ê ¡¨´µµnª¸ÉÁ®¨º°°¥¼n
³¦³µ¥°°Á}¨ºÉ Ân·Å®ª ªµ¤¦»Â¦
°¨ºÉ¸Ê¤´³Á}´nªÃ¥¦´
µ
°Ân·Å®ªÂ¨³
¹Ê°¥¼n´ ¨´¬³µ¦Á¨ºÉ°´ª
°¦°¥Á¨ºÉ°
¨´¬³µ¦Á¨ºÉ°´ª
°¦°¥Á¨ºÉ°°µÂn°°ÅoÁ} 5  ´ÂĦ¼¸É 1.2
´¸Ê
) µ¦Á¨ºÉ°oµ
oµ (Lateral Fault ®¦º° Strike-Slip Fault) Á}¨´¬³¸ÉÁ¨º°Ân®·¤¸µ¦
Á¨ºÉ°´ªÅµoµ
oµ°¥nµÁ¸¥ª Ã¥°µÁ¨ºÉ°Åµoµoµ¥®¦º°
ªµ
¹Ê°¥¼n ´µ¦¤°
µÂn®·oµÄoµ®¹É
) µ¦Á¨ºÉ°Â· (Normal Fault ®¦º° Dip-Slip Fault) Á}¨´¬³¸ÉÁ¨º°Ân®·¤¸µ¦
Á¨ºÉ°´ªÅĪ¨µ´
°¦°¥Â Ã¥¸ÉÂnÁ¨ºÉ°´ª¨ÉµÎ ªnµÁ¤ºÉ°·´¤¡´r´Ân
¨nµ ¨´¬³¸ÊÁ}µ¦Á¨ºÉ°´ªµ¤Â¦Ão¤nªÃ¨Ã¥¦¦¤µ·
) µ¦Á¨ºÉ°Â¨´·« (Reverse Fault ®¦º° Thrust Fault) Á}¨´¬³¸ÉÁ¨º°Ân®·¤¸µ¦
Á¨ºÉ°´ªÅĪ¨µ´
°¦°¥ÂÁn´´Â· ÂnÁºÉ°µÂn¨nµ¤¸µ¦¤»´ª
¨ÎµÄ®oÁ·Â¦¨´ÂnÄ®o´ Á¨ºÉ°´ª
¹Ê¼ªnµÂn¨nµ
4 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 1 ªµ¤¦¼o¡ºÊµ
°Ân·Å®ª
Ân¨nµ (footwall)
) n°Ân·Å®ª
) µ¦Á¨ºÉ°oµ
oµ
(Lateral Fault ®¦º° Strike-Slip Fault)
) µ¦Á¨ºÉ°Â· ) µ¦Á¨ºÉ°Â¨´·«
(Normal Fault ®¦º° Dip-Slip Fault) (Reverse Fault ®¦º° Thrust Fault)
) µ¦Á¨ºÉ°ÂÁ¥ºÊ°· ) µ¦Á¨ºÉ°ÂÁ¥ºÊ°¨´·«
(Lateral Normal Fault ®¦º° Oblique Normal Fault) (Lateral Reverse Fault ®¦º° Oblique Reverse Fault)
¦¼¸É 1.2 ¨´¬³µ¦Á¨ºÉ°´ª
°Ân®·
Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 1 ªµ¤¦¼o¡ºÊµ
°Ân·Å®ª 5
¦·Áª¸ÉÁ·¡¨´µÂn¦³µ¥°°¤µ£µ¥ÄÁ¨º°Ã¨Äo¡ºÊ·Á¦¸¥ªnµ«¼¥r¨µ
Ân·Å®ª¸ÉÂo¦· (focus ®¦º° hypocenter) ¨³Á¦¸¥¦·Áª¸ÉÁ·Ân·Å®ª¦·ª¡ºÊ
oµ ¹Éµ¤µ¦Îµ®¡·´Åoªnµ «¼¥r¨µÂn·Å®ª·ª¡ºÊ (epicenter) ¨³Á¦¸¥
¦³¥³µµ«¼¥r¨µÂn·Å®ª·ª¡ºÊÅ¥´µ¸¦ªª´ªnµ ¦³¥³«¼¥r¨µÂn·Å®ª
´ÂĦ¼¸É 1.2 µ¦´É³Áº°
°¡ºÊ·µ¤µ¦¦ªª´Åooª¥Á¦ºÉ°¤º°ª´¨ºÉ
Ân·Å®ª ¹É¤¸µ¦Ân¨ºÉ°°Á} 3 · º°
) P-Wave (Primary Wave) ¨ºÉ¸ÊÁ·µ¤µ¹n°oª¥ªµ¤Á¦Èª¦³¤µ 5,800 Á¤¦n°
ª·µ¸ ¨³¦³ÎµÄ·«µÁ¸¥ª´Áoµµ¦Á·µ
°¨ºÉĨ´¬³¨´Å-¤µ ε
Ä®oÁ·Â¦°´Ä´ª¨µ¸É¨ºÉÁ·µnµÁ}¦³¨°Ç
) S-Wave (Secondary Wave ®¦º° Shear Wave) ¨ºÉ¸ÊÁ·µ¤µoµªnµ·Â¦oª¥
ªµ¤Á¦Èª¦³¤µ 3,000 Á¤¦n°ª·µ¸ ¦³ÎµÄ·«µ´Êµ´Áoµµ¦Á·µ
°
¨ºÉĨ´¬³ 2 ·«µ º° µ¦Á¨ºÉ°¸ÉĪ·É¨³Âª¦µ εĮoÁ·Â¦Áº°Ä
´ ª ¨µ¸É ¨ºÉ Á· µn µ ¨ºÉ · ¸Ê ¨n ° ¥¡¨´ µ°°¤µ¤µ¸É » ¹ ¤¸ ¨Î µ Ä®o
æ¦oµ°µµ¦Á·ªµ¤Á¸¥®µ¥Åo¤µªnµ¨ºÉ·°ºÉ
«¼¥r¨µÂn·Å®ª·ª¡ºÊ
¦³¥³«¼¥r¨µÂn·Å®ª
ve ¨ºÉÂn·Å®ª
S -Wa ´Ê·°n°
¨ ºÉ
¨
ºÉ P
-W
ave
´Ê·Â
È lt)
( Fau
Á¨ºÉ°
¦°¥
´Ê®· «¼¥r¨µÂn·Å®ªÂo¦·
(Focus or Hypocenter)
¦°´
¦¨µ¥
(a) P-Wave
ªµ¤¥µª¨ºÉ
(b) S-Wave
Gg
Vs 100 (1.4)
U
(O 2G ) g
Vp 100 (1.4
)
U
G ( E 2G )
O (1.4)
3G E
Vs , V p º° ªµ¤Á¦Èª
°¨ºÉ S-Wave ¨³ P-Wave µ¤¨Îµ´, Á¤¦/ª·µ¸
O º° nµ¸É Lame, ./¤.2
G º° nµÃ¤¼¨´
°µ¦Áº°
°´Ê ®·, ./¤.2
E º° nµÃ¤¼¨´¥º®¥»n
°´Ê®·, ./¤.2
U º° nµªµ¤®µÂn
°´Ê®·, ./¤.3
g º° nµªµ¤Á¦nÁºÉ°µÂ¦Ão¤nªÃ¨, Á¤¦/ª·µ¸
Ħ¸¸ÉÂn®·¸É°¥¼nÄoo°¤®µ¤»¦Á·µ¦Á¨ºÉ°´ªÎµÄ®oÁ·Ân·Å®ª
¹Ê Ħ³´
ºÊ Ã¥¸É»«¼¥r¨µÂn·Å®ªÂo¦·°¥¼n¨¹Å¤nÁ· 60 ·Ã¨Á¤¦.µ·ª¡ºÊ è ¹ÉÂn®·Äo
o°ÊεÁ·´´ª
¹ÊĨ´¬³µ¦Á¨ºÉ°´ªÂ¨´·« (Reverse Fault ®¦º° Thrust Fault) ®¦º°
Ħ¸¸ÉÂn®·Äoo°Êε¤¸µ¦Á¨ºÉ°´ª¨Â· (Normal Fault ®¦º° Dip-Slip Fault) ³Îµ
Ä®o¤ª¨Ê央µ«µ¨Á·µ¦¥´ª®¦º°¥»´ª¨°¥nµ¦ªÁ¦ÈªÂ¨³³¦³µ¥´ª°°ÅÁ¡ºÉ°¦´¬µ
¤»¨
°¡¨´µÊε ¨´¬³¸Ê ³n°Ä®oÁ·
ª¨ºÉʵΠ¸Éª· ³Á¨Á¦¸¥ªnµ¨ºÉ ʵΠ³Á¨µ
Ân·Å®ª (seismic sea wave) ¹Éµª¸É»iÁ¦¸¥ªnµ ¹µ¤· °´Á}ºÉ°¸É ·¥¤Á¦¸¥´Ä{»´
¸Ê
¨ºÉʵΠ¹µ¤·¸Ê¤¸¨´¬³¡·Á«¬Ânµµ¨ºÉÊε´ÉªÅº° Äo°³Á¨¨¹ ªµ¤¼
°¨ºÉ¤¸nµo°¥¤µÁ¡¸¥¦³¤µ 30 Á·Á¤¦ Ânªµ¤Á¦Èª¨ºÉ ¤¸nµ¼¤µ¦³¤µ 700
·Ã¨Á¤¦n°´ÉªÃ¤ ¨³ªµ¤¥µª¨ºÉ¤¸ªµ¤¥µª¤µ µÁª¨µµ¦Á¨ºÉ°¸Éµ¨ºÉ¨¼®¹É Å
¥´°¸¨¼®¹É°¥¼nÄnª 5 µ¸ ¹ 1 ´ÉªÃ¤ εĮo´ Áµ¦Á·¨ºÉÄo°³Á¨¨¹Åo¥µ¤µ
ªµ¤Á¦Èª
°¨ºÉʵΠ¹µ¤·´¤¡´r´ªµ¤¨¹
°Êε³Á¨ ¹É °µÎµªÃ¥¦³¤µµ
®¨´µ¦
° Langrange’s Law Åo´¸Ê
Vtsu = Ds g (1.5)
8 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 1 ªµ¤¦¼o¡ºÊµ
°Ân·Å®ª
V1= 5 m/sec
ªµ¤¥µª¨ºÉ V0=200 m/sec
A1=12 m
A0=0.30 m
¦³´Îʵ³Á¨µ¨µ
) Moment Magnitude, Mw
宦´Ân·Å®ª¸É¤¸
µÄ®n¤µÇ µ¦ª´
µ
°Ân·Å®ª´¨nµª
oµo
³¤¸ªµ¤¨µÁ¨ºÉ°Äµ¦ÎµªÅo Án ML ¨³ Mb ³¤¸ªµ¤¨µÁ¨ºÉ°Á¤ºÉ°ª´nµÅo
Á· 6 ¨³ 7 µ¤¨Îµ´ nª Ms ³¤¸ªµ¤¨µÁ¨ºÉ°Á¤ºÉ°ª´ÅoÁ· 8 oµÂn·Å®ª¸¤É ¸
µÄ®n¤µÁ·ªnµ¸Ê ·¥¤Äo Moment Magnitude, Mw Á}nµµ¦ª´Ân·Å®ª
µ
Ä®n¸É nµÁºÉ°º°ªnµª·¸°ºÉ nµ Moment Magnitude εªÅoµ
log M 0
Mw 10.7 (1.4)
1.5
Ã¥¸É M0 º°Ã¤Á¤rÂn·Å®ª, År-¤.
Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 1 ªµ¤¦¼o¡ºÊµ
°Ân·Å®ª 13
1.6 ®¨nεÁ·Ân·Å®ª¸É¤¸¨¦³n°¦³Á«Å¥
1.7 ··Ân·Å®ª¸É¤¸¨n°¦³Á«Å¥
Ä°¸¸Énµ¤µ¦³Á«Å¥Á¦µÁ¥Á·Á®»µ¦rÂn·Å®ª¤µÂ¨oª®¨µ¥¦´Ê Ä
¦³ª´·«µ¦rÁ¥¤¸µ¦´¹Åªoªnµ Äe ¡.«. 1003 ¤¸Ân·Å®ª
µÄ®nÁ·
¹Ê¦»Â¦¤µ
εĮo¦·ÁªÃ¥¦¥»¤¨Á·Á}®°ÊεĮn ¨³Á¤ºÉ°e ¡.«. 2088 ÈÁ·Ân·Å®ª
¦´ÊÄ®n¸É ¦Á¸¥Ä®¤n ¥°Á¸¥r®¨ª¼ 86 Á¤¦ ®´¡´¨¤µÁ®¨º° 60 Á¤¦ ´´ÊÂn´Ê
¤µ¹{»´¦³¤µ¸É¦o°¥ªnµe¤µÂ¨oª Ȥ¸Ân·Å®ªÁ·
¹ÊÁ}¦³¥³Ç ÄnªÁª¨µ 90
ªnµe¸Énµ¤µ Åo¤¸µ¦¦ªª´Ân·Å®ªoª¥Á¦ºÉ°ª´Ân·Å®ª (seismograph) 宦´
¦³Á«Å¥Â¨³¦³Á«
oµÁ¸¥Ä£¼¤·£µÁ°Á¸¥³ª´°°Á¸¥Äo°¥nµn°ÁºÉ°
o°¤¼¨µ
Á¦ºÉ°ª´¦³°oª¥
µ
°Ân·Å®ª ε®n
°»«¼¥r¨µÂ¨³Áª¨µ¸ÉÁ·
°
Ân·Å®ªÂn¨³¦´Ê åĦ³¥³Â¦ nª¡.«. 2453-2505 ¤¸µ¦´Êµ¸¦ªª´Îµª¥´¤¸
Ťn¤µ´¦³µ¥°¥¼nĦ³Á«Á¡ºÉ°oµÄ¨oÁ¸¥ Ân¥´Å¤n¤¸µ¸Ä¦³Á«Å¥ ¹¤¸µ¦
¦ª´ÅoÁ¡µ³Ân·Å®ª¸É¤¸
µn°
oµÄ®n (¦³¤µ 6 ¦·Á°¦r
¹ÊÅ) Ä
³¸É
Ân·Å®ª
µÁ¨È¹
µ¨µ (¦³¤µ 3-5 ¦·Á°¦r) ¹ÉÁ·
¹ÊÁ}媤µ¤´®¨»
¦°ÅÅo n°¤µÄe¡.«.2506 ¹Åo¤¸µ¦·´Êµ¸¦ªª´Ã¥¦¤°»»·¥¤ª·¥µ
°Å¥Á}
¦´Ê¦¸É´®ª´Á¸¥Ä®¤n ¨³Åo¤¸µ¦Á¡·É¤Îµªµ¸¦³µ¥Åµ¤£¼¤·£µnµÇ ¡¦o°¤´Ê
¡´µ
¸ªµ¤µ¤µ¦
°Á¦ºÉ°¦ªª´
¹Ê¤µ åεÁ¦ºÉ°ª´¦»nÄ®¤nɤ¸ ¸ªµ¤µ¤µ¦Ä
µ¦¦ª´¼ Á
oµ¤µÂÁ¦ºÉ°¦»nÁnµ Ä{»´ ¤¸µ¸¦ªª´Á}εª 19 µ¸´Éª
¦³Á« µ
o°¤¼¨´ÂĦ¼¸É 1.8 εĮo¦ª¡Ân·Å®ª
µÁ¨È¨³
µ¨µÄ
£µÁ®º°Â¨³£µ³ª´Á¸¥Á®º°
°Å¥Îµª¤µ
®µ´Änª¦³¥³Áª¨µ´ÊÂn¤¸µ¦·´Êµ¸¦ªª´Ä¦³Á«Å¥Á}Áª¨µ 40 ªnµ
e¸Énµ¤µ ¤¸µ¦´¹··Ân·Å®ª¸É¦¼o¹Åoµ¤Á¤º°Ä®nÇ ´Âĵ¦µ¸É 1.3 Ã¥
Á¨¸É¥
µ
°Ân·Å®ª¸ÉÁ·
¹Ê¨³¦¼o ¹ÅoĦ³Á«Å¥¤¸
µ¦³¤µ 4.5 ¹ 5.3 ¦·
Á°¦r ´ÅoªnµÁ}Ân·Å®ª
µµ¨µ (Moderate earthquake)
16 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 1 ªµ¤¦¼o¡ºÊµ
°Ân·Å®ª
) £´¥µÂn·Å®ª µÄ®nĦ³¥³Å¨
°Á®º°µ¦·Áª£µÁ®º°Â¨³£µ³ª´Á¸¥Á®º°Â¨oª ¦·Áª¸É¦µ£µ¨µ
°¨nµ °´Á}¸É´Ê
°¦»Á¡¤®µ¦Â¨³¦·¤¨ ¥´¤¸ªµ¤Á¸É¥£´¥µÂn·Å®ª°¥¼n
Ân¤·ÄnÁ·µÂn·Å®ªÄ¦³¥³Ä¨o ÂnÁ}Ân·Å®ª¸ÉÁ·Ä¦³¥³Å¨ Án Ân·Å®ªÄ
¦³Á«¡¤nµ ijÁ¨°´µ¤´ ®¦º°Á
´®ª´µ»¦¸ Á}o ®µÁ·Ân·Å®ª
µÄ®n
´ÊÂn 6.5 ¦·Á°¦r
¹ÊÅ ³n¨¦³n°°µµ¦oµÁ¦º°Ä¦·Áª¦»Á¡¤®µ¦Åo
ÁºÉ°µ£µ¡·°n°Ä¦·Áª¸Ên°Ä®oÁ·µ¦
¥µ¥ªµ¤¦»Â¦
°µ¦´É ³Áº°
°¡ºÊ ·
Åo¹¦³¤µ 3-4 Ánµ´ª
°¦³´¸ªÉ ´ ´Ê·Â
È °µ¸ÊÁºÉ°µµµ¦´É
°·
°n°¦·Áª¸¤Ê ¸nµ¦³¤µ 1 ª·µ¸ ¨´¬³¸Ê³¤¸¨n°°µµ¦¼¸É¤¸µµ¦´É µ¤¦¦¤µ·
¡o°´´®ª³µ¦´É³Áº°
°¡ºÊ · ³ÎµÄ®o°µµ¦Á·µ¦´ÉÃ¥´ª¦»Â¦Á}¡·Á«¬Åo
´ª°¥nµ¨¦³
°Ân·Å®ªÄ¦³¥³Å¨¸É¤¸n°°µµ¦¼Ä¦»Á¡² ´ÁÅoµ
Á®»µ¦rÂn·Å®ªÁ¤ºÉ°ª´¸É 22 ¤.. 2546 ¤¸»«¼¥r¨µ°¥¼n ¸ÉÁµ³»¤µ¦µ®nµµ¦»Á¡²
20 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 1 ªµ¤¦¼o¡ºÊµ
°Ân·Å®ª
¸É 2
¨¦³
°Ân·Å®ªn°°µµ¦
2.1 {´¥¸¤É ¸¨n°¦³´ªµ¤Á¸¥®µ¥
°°µµ¦
ªµ¤Á¸¥®µ¥
°°µµ¦Áº°É µÂ¦Ân·Å®ª¤·Åo
¹Ê°¥¼n´
µ
°Ân·Å®ª
°¥nµÁ¸¥ª °r¦³°Îµ´¸É¤¸¨¦³n°ªµ¤Á¸¥®µ¥
°°µµ¦ ÅoÂn
) ¨´¬³
°¨ºÉÂn·Å®ª (Earthquake Characteristics) ÅoÂn nµ°´¦µÁ¦n
¼»
°¡ºÊ · ¦³¥³Áª¨µ
°µ¦´É¦»Â¦
°¡ºÊ · ¨³µÁª¨µµ¦´É
뵫
°¡ºÊ · Á}o
) ¨´¬³
°µ¸ÉÁ·Ân·Å®ª (Site Characteristics) ÅoÂn ¦³¥³®nµ
¦³®ªnµ«¼¥r¨µÂn·Å®ªÅ¥´µ¸É ´Ê
°Ã¦¦oµ°µµ¦ £µ¡´Ê ·
°µ¸É´Ê
°Ã¦¦oµ°µµ¦ ¨³µµ¦´É µ¤¦¦¤µ·
°µ
¸É´Ê´Ê Á}o
) ¨´¬³
°Ã¦¦oµ°µµ¦ (Structural Characteristics)ÅoÂn µµ¦´É
µ¤¦¦¤µ·Â¨³nµdamping
°Ã¦¦oµ°µµ¦´Ê °µ¥»Â¨³ª·¸µ¦n°¦oµ
°Ã¦¦oµ°µµ¦ ¨³µ¦Á¦·¤Á®¨ÈÄ®oæ¦oµ¤¸ªµ¤Á®¸¥ª Á}o
°r¦³°¸Éε´Á®¨nµ¸Ê³¨nµª¦µ¥¨³Á°¸¥ÄÂn¨³®´ª
o°n°Å
°µµ¦ª´
µ
°Ân·Å®ªÂ¨oª Á¦ºÉ°¤º°¦ªª´Ân·Å®ªÄ{»´
µ¤µ¦´¹¨ºÉ
°Ân·Å®ª¸ÁÉ ¦¸¥ªnµ strong ground motion Åo ¹É®¤µ¥¹µ¦Á¨ºÉ°¸É
°¡ºÊ·¸¤É ¸ ªµ¤¦»Â¦Á¡¸¥¡°¸É³¤¸¨¦³n°¤»¬¥r¨³·Éª¨o°¤ Ã¥·¥¤ª´nµÁ}
°´¦µÁ¦n
°¡ºÊ ·´Áª¨µ (acceleration time history ®¦º° accelerogram) µµ¦´¹
¨ºÉÂn·Å®ª¸Ê ª·«ª¦Ân·Å®ªÎµÂ¨´¬³¸Éε´
°¨ºÉ
°Ân·Å®ª (strong
ground motion) Ã¥Äo¡µ¦µ¤·Á°¦r ´¸Ê
22 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 2 ¨¦³
°Ân·Å®ªn°°µµ¦
0.40
Acceleration, g
0.00
Time, sec
-0.40 PGA = 0.319g
¦¼¸É 2.1 ¨ºÉÂn·Å®ª ° El Centro ground motion (1940) (Panyakapo P., 1999)
) ¦³¥³Áª¨µ
°µ¦´É¦»Â¦
°¡ºÊ·
(Duration of Strong Ground Motion, Td)
·¥µ¤
°¦³¥³Áª¨µ
°µ¦´É¦»Â¦
°¡ºÊ ·¤¸´ª·´¥®¨µ¥Á°Åªo Ä¸É ¸Ê³
ε·¥µ¤¸ÁÉ °Ã¥ Trifunac ¨³ Brady (1975) ¤µÄoÁºÉ°µÁ}¸¥É °¤¦´Äªª·µµ¦°¥nµ
ªoµ
ªµ °¸´Ênµ¥Äµ¦Îµª ¹ÉÂÅo´¸Ê
Td = t0.95 - t0.05 (2.1)
Ã¥¸É Td = ¦³¥³Áª¨µ
°µ¦´É¦»Â¦
°¡ºÊ· nª t0.05 ¨³ t0.95 º° Áª¨µ¸Énµ°··Á¦´É
° Arias intensity, I a ¹ 5% ¨³ 95% µ¤¨Îµ´ nµ Arias intensity, I a (Arias, 1970) ¤¸
·¥µ¤´¸:Ê
td
S
Ia = 2
³ u (t )dt
g (2.2)
2g 0
) µÁª¨µµ¦´Éε´
°¡ºÊ·
(Predominant Period of Ground Motion, Tg)
µÁª¨µµ¦´Éε´
°¡ºÊ· Á}µÁª¨µ¹É¡ºÊ·´ÉÃ¥¤¸µÁª¨µµ¦´É
¸ÉÁn°¥¼n°¥nµÂn°µÁª¨µ®¹É ¨´¬³µ¦´É
°¡ºÊ ·¸Ê°µÁ¦¸¥°¸°¥nµ®¹ÉÅoªµn Á}
µ¦´É¤¸ Narrowband frequency content ĵ¨´´®µ¡ºÊ ·¤¸µ¦´É¸ÉŤn¤¸
µÁª¨µµ¦´É¸ÉÂn° °µÁ¦¸¥Åoªµn Á}µ¦´É¤¸ Broadband frequency content
宦´µ¦´É
°¡ºÊ·Â Narrowband ¤´³n°Ä®oÁ·ªµ¤Á¸¥®µ¥Ânæ¦oµ°µµ¦Åo
¤µ ®µµÁª¨µµ¦´Éε´
°¡ºÊ ·´Ê (Tg) Å°¨o°´´µµ¦´Éµ¤¦¦¤µ·
°Ã¦¦oµ°µµ¦ ´Ê¸ÊÁº°É ¤µµ¨¦³
°Îµ° (Resonance)
Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 2 ¨¦³
°Ân·Å®ªn°°µµ¦ 25
) ¦³¥³®nµ¦³®ªnµ«¼¥r¨µÂn·Å®ªÅ¥´µ¸É´Ê
°°µµ¦
(Epicentral Distance)
1.00
M = 6.5-7.0
Peak ground acceleration, g
M = 7.0-7.5
0.10 M = 7.5-8.0
M = 8.0-8.5
0.00
100.00 200.00 300.00 400.00 500.00
Closest horizontal distance from zone of energy release, km.
Âε¨°Ä¦³¥³®¨´n°¤µÅo¤¸µ¦¦ª¤¨¦³
°µ¦Á·Ân·Å®ªµ¦°¥Á¨ºÉ°·
nµÇ¨³¨´¬³
°´Ê· ´Án Âε¨°
° Campbell ¨³ Bozorgnia (1994)
°µ¸ÊÂε¨°
° Boore ¨³³ (1997) Åo¡´µÂε¨°¸¦É ª¤¨¦³Åo
ªoµ
ªµ¥·É
¹Ê Ã¥¡·µ¦µ¹ ¦³¥³®nµµ«¼¥r¨µÂn·Å®ª
µ
°Ân·Å®ª M w
nµªµ¤Á¦Èª
°¨ºÉÄ´Ê· (shear wave velocity) ¨³¦³
°¦°¥Á¨ºÉ°
°µ¸Ênµ¦³¥³®nµµ«¼¥r¨µÂn·Å®ª¥´¤¸¨n°nµnªÁª¨µµ¦´É¦»Â¦
°¡ºÊ·
(Duration of Strong Ground Motion, Td ) ¨µ¦ª·¥´ ¡ªnµnµnªÁª¨µµ¦´É¦»Â¦
°¡ºÊ ·³
¨¨Á¤ºÉ°¦³¥³®nµµ«¼¥r¨µÂn·Å®ª¤µ
¹Ê ¨µª·¥´
° Chang ¨³ Krinitzsky
(1977) ¥´¡ªnµnµnªÁª¨µµ¦´É¦»Â¦
°¡ºÊ· Td ¸É ´¹´Ê ·¤¸nµ¤µªnµnµ Td
´Ê®·¦³¤µ°Ánµ ´ÂĦ¼¸É 2.4-2.5
28 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 2 ¨¦³
°Ân·Å®ªn°°µµ¦
) µµ¦´É µ¤¦¦¤µ·
°µ¸É´Ê
°°µµ¦
(Natural Period of Site)
µ¦Á¨ºÉ°¸É
µµ¦´É¦ 1 ¦°,
Tn = 1/fn
Áª¨µ
60 Story
120 m steel Bldg
R . C . Dam 250 m
26 Story R .C.
steel Bldg Stack
R . C . Nuclear
Reactor 3 Story Bldg
) µ¦Á¦·¤Á®¨ÈÄ®oæ¦oµ¤¸ªµ¤Á®¸¥ª (Ductility)
¦·Áª
o°®¤»¡¨µ·Á®¨nµ¸Ê³°°ÂÄ®oµ¤µ¦®¤»Åo¹ ¦³´µ¦Á¨¸É¥¦¼
¡¨µ·Ã¥Ä®o¤¸ªµ¤Á®¸¥ªÁ¡¸¥¡°Á¦¸¥ªnµ ªµ¤Á®¸¥ªn°µ¦´Ão (curvature ductility)
¹ÉεªÅoµ
34 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 2 ¨¦³
°Ân·Å®ªn°°µµ¦
Im
PI (2.8)
Iy
Ã¥¸É PI º° ªµ¤Á®¸¥ªn°µ¦´Ão
Im º° ªµ¤Ão¼» (maximum curvature)
I y º° ªµ¤Ão¸É»¦µ (yield curvature)
ªµ¤Á®¸¥ªn°µ¦´Ão
°Ã¦¦oµÂn¨³·ÊnªÁ¦¸¥ªnµ ªµ¤Á®¸¥ª
°°r
°µµ¦ (member ductility) Á¤ºÉ°¡·µ¦µÃ¦¦oµ°µµ¦´Ê®¨´ ¹É ¦³°oª¥°r°µµ¦
°µÂ¨³Áµ´ÂĦ¼¸É 2.9 ªµ¤Á®¸¥ª
°Ã¦¦oµ´Ê ¦³³Á¦¸¥ªnµ ªµ¤Á®¸¥ª
°¦³ (system ductility) ¹É·¥¤ª´Ä¦¼
° ªµ¤Á®¸¥ªn°µ¦Á¨¸É¥ÎµÂ®n
(displacement ductility) εªÅoµ
um
P (2.9)
uy
Ã¥¸É P º° ªµ¤Á®¸¥ªn°µ¦Á¨¸É¥ÎµÂ®n
um º° µ¦Á¨¸¥ É ÎµÂ®n¼» (maximum displacement)
É ÎµÂ®n¸É» ¦µ (yield displacement)
u y º° µ¦Á¨¸¥
ªµ¤´¤¡´r¦³®ªnµÂ¦Â¨³µ¦Á¨¸É¥ÎµÂ®n
°Ã¦¦oµÁ¤ºÉ°¦´Â¦¦³ÎµÄ¨´¬³
cyclic loading 宦´¡§·¦¦¤Ã¦¦oµ°¥nµnµ¥·¥¤Äo Elastic Perfectly Plastic
(EPP) ´ÂĦ¼¸É 2.10
ε¨´oµµ
fy
k
1
µ¦Á¨¸É¥ÎµÂ®n
uy um
- fy
2.2 ªµ¤Á¸¥®µ¥
°°µµ¦µÂn·Å®ª
ªµ¤Á¸¥®µ¥
°°µµ¦µÂ¦´É³Áº°
°¡ºÊ ·°µÂ¥Á}¦¸µ¦ª·´·Åo´¸Ê
) µ¦ª·´·Â Soft Story
ÁºÉ°µ°µµ¦´ÉªÅ¸ÉŤn¤¸ µ¦°°ÂÁºÉ°Ä®ooµµÂ¦Ân·Å®ªÅo ª·«ª¦³
°°ÂÄ®oµ¤µ¦Â¦´Êε®´¦¦»Äª·É Åo°¥nµÁ¸¥ª´É º°Áµ°µµ¦³¼°°Â
Ä®o¦´Â¦°´Á}®¨´ ®µ¤¸Â¦¦³Îµµoµ
oµµÂ¦Ân·Å®ª ¦³ÎµÄ¨´¬³
¨´Å¤µÅo³ÎµÄ®o°µµ¦Ã¥Å®ªÅ¤µ ¹É¤¸¨ÎµÄ®oÁ·ªµ¤Á¸¥®µ¥¸ÉÁµ°µµ¦Åo
ÁºÉ°µÅ¤nÅo¤¸µ¦°°ÂÄ®oÁµ¤¸ªµ¤Á®¸¥ªÄµ¦oµµÂ¦¦³ÎµÃ¥Å¤µ ´ª°¥nµ
°ªµ¤Á¸¥®µ¥
°°µµ¦Â¸ÊÂĦ¼¸É 2.11 °µµ¦Ä¦¼¸Ê¤¸Ã¦¦oµÁ}°¦¸
Á¦·¤Á®¨È ®µ¼µ£µ¥°³Á®Èªnµ¤¸Áµ¸ÉÄ®n Â
ȦÁ¡¸¥¡°¸É³¦´ÊµÎ ®´´ª°µµ¦Â¨³
Êε®´¦¦»¦Äª·ÉÅo Ânæ¦oµ£µ¥Ä
°Áµ¹É³¤¸Á®¨ÈÁ¦·¤°¥¼n ŤnÅo¤¸µ¦
°°ÂÄ®o¦´Â¦´Â¨³Â¦Áº°ÁºÉ°µÂ¦¦³Îµµoµ
oµ ¹ÉεĮoÁµÃ¥Å¤µÅo ε
Ä®oÁµ¤¸ªµ¤Á¦µ³n°µ¦¦´Â¦Â¸Ê ³´ÁÅoªµn ¤¸¦°¥Â¸É¦·Áª¦°¥n°¦³®ªnµÁµÂ¨³
µ ¨³Áµ°µµ¦Á¸¥¤»¨Á°¸¥Å
) µ¦ª·´·Áº°É µµ¦Ã¥´ªÂ¨³¨¦³
°Ã¤Á¤r¨Îµ´°
¦¦³Îµµoµ
oµµÂn·Å®ª³ÎµÄ®oÁµ°µµ¦Ã¥´ªÅ æ¦oµ¸É¤¸ µ¦
°°ÂÄ®ooµµÂn·Å®ªÅo ³°°ÂÄ®oÁµ¤¸ªµ¤Á®¸¥ªÂ¨³µ¤µ¦Ã¥´ªÅ¤µÅo
Änª°·°·¨µ·Â¨³Îµ®Ä®o¦³¥³µ¦Ã¥´ª°¥¼nÄÁr¥¸É °¤¦´Åo ®µ¤¸µn ¤µÁ·Å³
εĮoæ¦oµÅ¤n¤¸Á¸¥¦£µ¡´ÂĦ¼¸É 2.12 µ¦ª·´·Â¸Ê¤´³Á·ª¼n´´
¨¦³
°Ã¤Á¤r¨µÎ ´° (secondary moment ®¦º° P' effect) ®¤µ¥¹Ã¤Á¤r´¸É
Á¡·É¤
¹ÊÁºÉ°µ¨¼¦³®ªnµÊµÎ ®´¦¦»Äª·É¨³¦³¥³µ¦Á¨ºÉ°´ªoµ
oµ
°Áµ
¹É³¤¸¨¦³n°ªµ¤¤´É
°Ã¦¦oµÅo ®µ¤¸nµ¤µÁ·Å
) µ¦ª·´·Â Overturning
°µµ¦¤¸¦¼¦´nª¸ÉŤn¸º°¤¸°´¦µnª¦³®ªnµªµ¤¼n°ªµ¤ªoµ
°µ¤µ
°µÎµÄ®oŤn¤Á¸ ¸¥¦£µ¡Á¡¸¥¡°n°Â¦¦³Îµµoµ
oµÁºÉ°µÂ¦Ân·Å®ªÅo ÁºÉ°
äÁ¤rµÂ¦¦³Îµµoµ
oµn°°µµ¦¤¸nµÁ·ªnµÃ¤Á¤rµo µÁºÉ°µÊε®´
°
°µµ¦ ¦µµ¦r
°µ¦ª·´ ·
°°µµ¦Ä¨´¬³¸ÊÁ¥Á·
¹Ê¨oª´¦¸Á®»µ¦r
Ân·Å®ª¸ÉÁ¤º°ÃÁ ´ÂĦ¼¸É 2.13 ³´ÁÅoªnµ°µµ¦¸Ê¤¸oµªoµ¸É εĮo
°´¦µnª
°ªµ¤¼n°ªµ¤ªoµ¤¸nµ¼ ¹¤¸ªµ¤Á¸¥É n°µ¦ª·´Â· ¸Ê
2.4 µ¦´¦³j°´Â¨³¦¦Áµ£´¥µÂn·Å®ª
¤µ¦µ¦j°´£´¥µ¹µ¤·
1.
³¸É°¥¼n¦·Áªµ¥ {~ Á¤ºÉ°¦¼o¹ªnµ¤¸Ân·Å®ª®¦º°¡ªnµ¦³´Êε³Á¨¨¨¤µ··
Ä®o¦¸°¡¥¡Å¥´¦·Áª¸É ¼´¸
2. Á¤ºÉ°Åo¦´¢{¦³µ«µµµ¦Á¸É¥ª´µ¦Á·Ân·Å®ªÄ³Á¨Ä®oÁ¦¸¥¤¦´µµ¦r
¸É°µ³Á·¹µ¤·µ¤¤µÅo
3. oµ°¥¼nÄÁ¦º°¹É °°¥¼nÄnµÁ¦º° Ä®o¦¸ÎµÁ¦º°°°Å¨µ³Á¨ Á¤ºÉ°¦µ
nµªªnµ³Á·¹µ¤·
¡´Á
oµ®µ
4. ¨ºÉ¹µ¤· °µÁ·
¹ÊÅo®¨µ¥¦³¨°µµ¦Á·Ân·Å®ª¦´ÊÁ¸¥ª ÁºÉ°µ¤¸µ¦Âªn
Ťµ
°ÊµÎ ³Á¨ ´´Êª¦¦°¦³µ«µµ¦n°¹µ¤µ¦¨Åµ¥®µÅo
5. ·µ¤µ¦Á°
nµª
°µ¦µµ¦°¥nµÄ¨o·Â¨³n°ÁºÉ°
6. ®µ¸Éµo Á¦º°°¥¼nĨoµ¥®µ ª¦´ÎµÁ
ºÉ° ε¡ ¨¼oŤo ªµª´» ¨Â¦³³
°
Êε³Á¨ Ħ·Áª¥nµ¸É¤¸ªµ¤Á¸É¥£´¥ÄÁ¦ºÉ°¹µ¤·
7. ª¦®¨¸Á¨¸É¥µ¦n°¦oµ°µµ¦oµÁ¦º°Ä¨oµ¥ {~ Ä¥nµ¸É¤¸ªµ¤Á¸É¥£´¥¼
8. ªµÂĵ¦ fo°¤¦´£´¥µ¹µ¤·Á}¦³Îµ»e Ánε®Áoµ®¸£´¥¹µ¤·
µ¸Éĵ¦°¡¥¡ ¨³Â®¨n³¤ÊµÎ ³°µ Á}o
9. ´ªµ´Á¤º°Ä®oÁ®¤µ³¤ ¦·ÁªÂ®¨n¸É°µ«´¥ª¦¤¸¦³¥³®nµµµ¥ {~
10. ¦³µ´¤¡´r¨³Ä®oªµ¤¦¼o¦³µÄÁ¦ºÉ°µ¦j°´Â¨³¦¦Áµ£´¥µ¹µ¤·Â¨³Ân
·Å®ª
11. ªµÂ¨nª®oµ ®µÁ·µµ¦r
¹Ê¦· ÄÁ¦ºÉ°µ¦¦³µµ¦³®ªnµ®nª¥µ¸É
Á¸É¥ª
o°Îµ®
´Ê°Äoµµ¦nª¥Á®¨º°¦¦Áµ£´¥ oµµµ¦³»
µ¦¦ºÊ°°Â¨³
¢g¢¼·É n°¦oµ Á}o
Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 2 ¨¦³
°Ân·Å®ªn°°µµ¦ 39
¦³Áº°£´¥µ¨ºÉ¥´¬r¹µ¤·
¸É 3
µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª
3.1 ε
ª·«ª¦nªÄ®n³»oÁ¥´µ¦ª·Á¦µ³®ræ¦oµÁ¡º°É ¦´Êε®´¦¦»¸É¨³
Êε®´¦¦»¦¹ÉÁ}¦¦³ÎµÂ·¥r£µ¥Äo¦Ão¤nªÃ¨ µ¦Îµª®µÂ¦£µ¥Ä
°r°µµ¦ÅoÂnäÁ¤r ¦Áº° ¨³Â¦ÂªÂ Á}o ¨³µ¦Ãn´ª
°Ã¦¦oµ³Åo
ε°¸ÉÁ}nµ¸ÉÁ¡¸¥nµÁ¸¥ªn°Êε®´¦¦»¸É¦³Îµnµ®¹É 宦´Â¦¦³Îµµ
Ân·Å®ªÁ}¦Á¨¸É¥µ¤Áª¨µÅo ¹ÉÁ}¨´¬³¡¨«µ¦r ªµ¤Á¸¥®µ¥
°°µµ¦
¤µµ¨°°
°Ã¦¦oµÁºÉ°µµ¦Á¨ºÉ°¸É
°¡ºÊ ·¸É µ°µµ¦ µ¦ª·Á¦µ³®r
æ¦oµ³o°Äo®¨´ª·µ¡¨«µ¦rÁ¡ºÉ°Îµª®µÂ¦£µ¥Ä°r°µµ¦Â¨³µ¦Á¨ºÉ°´ª
°Ã¦¦oµ ε°¸ÉÅo³¤¸Á}媤µµ¤nµ
°Â¦¸ÉÁ¨¸¥É ŵ¤Áª¨µ ÂnÄoµ
ª·«ª¦¦¤ nµ¨°°¼»¸ÉεªÅoµnªÁª¨µ¸Éε® ³Á}nµ¸É 夵Äoĵ¦
°°Âæ¦oµ
ĸʳ¨nµª¹®¨´µ¦
°¡¨«µ¦rÁ¡ºÉ°ÎµÅÄoĵ¦Îµª®µ
¨°°
°Ã¦¦oµ°µµ¦£µ¥Äo¦Ân·Å®ª Ã¥³Á¦·É¤µµ¦¡·µ¦µµ¦´É
°
æ¦oµ°¥nµnµ¥n°
3.2 µ¦Á¨ºÉ°¸É °¦³Ã¦¦oµÂnµ¥
æ¦oµ°µµ¦´ÊÁ¸¥ª·¥¤ÄoÁ}¦³Ã¦¦oµÂnµ¥Äµ¦ª·Á¦µ³®rµ¦
Á¨ºÉ°¸É
°°µµ¦£µ¥Äo¦¦³Îµ¡¨«µ¦r æ¦oµ¸Ê¦³°oª¥Ã¦¦oµ®¨´µ¹É
¡·µ¦µÁ}¤ª¨¸ÉÂ
ÈÁ¦È (rigid) m ¦°¦´oª¥Áµ¹Éµ¤µ¦Ã¥´ªÅooª¥nµ·¢Á
°Áµ
k µ¦¼¸É 2.1 ¤¤»·ªnµ¤¸Â¦¦³Îµn°°µµ¦ P(t ) ¹ÉÁ}¢{r´É ´Áª¨µ εĮo¤ª¨
°
æ¦oµ¤¸µ¦Á¨ºÉ°¸ÉÅ u (t ) ¦³Ã¦¦oµÂ¸ÊÁ¦¸¥ªnµ¦³¸¤É ¸µ¦Á¨ºÉ°¸°É ·¦³¦³´
Á¸¥ª single-degree-of-freedom (SDOF) system ÁºÉ°µ¤¸µ¦Á¨ºÉ°¸ÉÄ·«µÁ¸¥ª
Ánµ´Ê ¤ª¨
°¦³ SDOF ¸Ê¤¤»·ªµn ¤¸µ¦¦ª¤´ª¸Éε®nÁ¸¥ªÁ¦¸¥ªnµ lumped mass Á¤ºÉ°
¤ª¨
°Ã¦¦oµÁ¨ºÉ°¸É oª¥°´¦µÁ¦n u(t ) ÁºÉ°µÂ¦¦³Îµµ¤
o°¸É 2
°·ª´
42 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 3 µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª
P (t ) = mu (3.1)
u
Pt Pt
m
= c
k/2 k/2
) æ¦oµ°µµ¦´ÊÁ¸¥ª ) æ¦oµ°¥nµnµ¥Á¸¥Ánµ
µ¦Á¨ºÉ°¸É
µµ¦´É¦ 1 ¦°,
2S
Tn
u (0) Z
2
ª u (0) º 2
A «¬ Z »¼ >u (0) @
u (0)
Áª¨µ
ª·¸µÎ
媤ª¨
°°µµ¦
m 35 30 u 22.5 15 3.6 ^ 30 22.5 u 2` 29, 295 .
æoµÂ¦´Ä·«µÁ®º°-Äo
24
12 EI 24
12 2.03 u106 3, 446
43,181 ./¤.
k ¦ h 3 ¦ 3603
i 1 i 1
k 43,181u 981
Z 38.03 Á¦Á¸¥/ª·µ¸
m 29, 295
2S 2S
T 0.165 ª·µ¸ °
Z 38.03
46 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 3 µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª
3@7.5 m = 22.5 m
) ¦¼oµ
oµ
5@6.0 m = 30.0 m
1.425 m
3.6 m
N
) ¦¼oµ oµ
æÊε¥´Ä·«µ³ª´°°-³ª´
6
AE
k ¦ cos 2 T
i 1 L
Sd2
A 4.91 ¦.¤.
4
L 6.02 3.62 7.0 ¤.
T tan 1 3.6 6.0 31o
cos 31o 0.857
6
4.91 2.03 u 106 0.857 2 62, 747 ./¤.
k ¦ 700
i 1
k 62, 747 u 981
Z 45.84 Á¦Á¸¥/ª·µ¸
m 29, 295
2S 2S
T 0.137 ª·µ¸ °
Z 45.84
Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 3 µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª 47
Ã¥¦¦¤µ·µ¦Á¨ºÉ°¸É
°Ã¦¦oµ³n°¥Ç¨¨µ¤Áª¨µÁºÉ°µÂ¦oµµµnµ
ªµ¤®nª (damping)
°Ã¦¦oµ ¹É Á¦¸¥ªnµ viscous damping force ¤¸nµÁnµ´
fd = cu (3.6)
Ã¥¸É c º° nµ´¤¦³··Íªµ¤®nª (viscous damping coefficient), kg sec/ m
¨³ÎµªÅoµ c 2[Zn m
¤µ¦µ¦Á¨ºÉ°¸É
°¦³¸É¤¸ªµ¤®nª Á}´¸Ê
mu cu ku = 0 (3.7)
뵡
°¤µ¦ 3.7 µ¤µ¦Á
¸¥°¥¼Än ¦¼Â´¸Ê
= e[Zt ¨ >u (0) u (0)[Z @ sin Zd t u (0) cos Zd t ¸
§ ·
u (3.8)
© Zd ¹
Ã¥¸É [ º° nµ damping ratio
Zd Z 1 [ 2 º° nµªµ¤¸ÁÉ ·¤»¤
°Ã¦¦oµ¸É¤¸ªµ¤®nª
µ¦Á¨ºÉ°¸É°·¦³¸ÊÂĦ¼¸É 3.5
µµ¦´É¦ 1 ¦°,
2S
TD
Z
u (0)
u (0)
Áª¨µ
3.4 ¤µ¦µ¦Á¨ºÉ°¸ÉµÂ¦¦³Îµ£µ¥°
(Equation of Motion: External Force)
µ¤»¨
°Â¦Ä¦¼¸É 3.6 ¦¨´¡r¸É¦³Îµn°Ã¦¦oµº°Â¦¦³Îµ£µ¥°®´
¨oª¥Â¦oµµµ¦Á¨º°É ¸É
°ÁµÂ¨³Â¦oµµµnµªµ¤®nª εĮoæ¦oµ
Á¨ºÉ°¸ÉÅ
oµ®oµ ³Á¸¥ÁnµÂ¦ÁºÉ°¥¸ÉµÎ Ä®oæ¦oµÁ¨ºÉ°¸É¨´¤µ´¸Ê
P (t ) f S f D = fI (3.9)
u u
fI
P(t)
m m
fS/2 fD fS/2
c = c
k/2 k/2 k/2 k/2
) æ¦oµ¤¸Â¦¦³Îµ£µ¥° ) ¦oµµ£µ¥Äæ¦oµ
3.5 ¤µ¦µ¦Á¨ºÉ°¸ÉµÂ¦Ân·Å®ª
(Equation of Motion : Earthquake Excitation)
Ħ¸¸Éæ¦oµ°µµ¦¤¸Â¦Ân·Å®ª¦³Îµ¸Éµ°µµ¦ ³ÎµÄ®oµÁ¨ºÉ°¸ÉÅ
Ánµ´ u g ¨³ÎµÄ®o¤ª¨ m Á¨ºÉ°´ªÅÁ}¦³¥³ u æ¦oµ¸Ê ³Å¤n¤¸Â¦¦³ÎµÂ¡¨«µ¦r
¸É¦³´¥°
°°µµ¦ Ân³¤¸Â¦¦³Îµ¸Éµoª¥°´¦µÁ¦n ug  ´ÂĦ¼¸É 3.7
Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 3 µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª 49
ut
ut
u fI u
m m
fS/2 fD
= fS/2
c c
k/2 k/2 k/2 k/2
ug ug
) æ¦oµ¤¸µ¦Á¨ºÉ°¸É¸Éµ
) ¦£µ¥Äoµµ
°Ã¦¦oµ
c = c
k/2 k/2 k/2 k/2
ug µ°¥¼n·É
ug
) æ¦oµ¤¸µ¦Á¨ºÉ°¸É¸Éµ
) ¦Ân·Å®ª¦³··¨¦³ÎµÂµ·É
3.6 ¦µ¢µ¦°°
°Ã¦¦oµÄnª°·¨µ·
(Elastic Response Spectra)
¦¼¸É 3.9 (a) °´¦µÁ¦n
°¡ºÊ ·: (b) deformation responses of three SDF systems with [ = 2%
and Tn = 0.5, 1, and 2 sec; (c) deformation responses spectrum for [ = 2%
¦¼¸É 3.10 Response spectra ([ = 0.02) for EI Centro ground motion: (a) deformation response
spectrum; (b) pseudo-velocity response spectrum; (c) pseudo-acceleration response
spectrum.
52 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 3 µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª
c = c
k/2 k/2 k/2 k/2
ug Vb
Mb
ug
) ¦¦³ÎµÂ¡¨«µ¦r
) ¦¦³ÎµÂ·¥r
³Åoªnµ =
f so kuo
= mZn2uo = mA (3.13)
Ã¥¸É A = Zn2uo Á¦¸¥ªnµ peak pseudo-acceleration
uo = peak deformation response
f so Á¦¸¥ªnµÂ¦·¥rÁ¸¥Ánµ (Equivalent Static Force)
¦ f so ¸Ê³¼oµµoª¥Â¦Áº°¸Éµ°µµ¦ ¹É Á¦¸¥ªnµ Base Shear Force, Vb
Vb = f so = mA (3.14)
A
®¦º° Vb = W (3.15)
g
Á¤ºÉ° W = Êε®´
°°µµ¦
g = ¦Ão¤nª
°Ã¨
A
nµ ¸Ê Á¦¸¥°¸°¥nµ®¹ÉÅoªµn nµ´¤¦³··Í¦Áº°¸É µ°µµ¦ (Base Shear Coefficient)
g
¨³ äÁ¤roµµ¸Éµ°µµ¦
Mb = Vb h (3.16)
Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 3 µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª 53
¦¼¸É 3.13 Combined D-V-A response spectrum for El Centro ground motion; [ = 2%
54 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 3 µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª
¦¼¸É 3.14 Combined D-V-A response spectrum for El Centro ground motion: [ = 0, 2, 5, 10, 20%
Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 3 µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª 55
3.6 Zn =
k
=
38,580
m 2, 400
= 4 rad/sec
2S
Natural period Tn = = 1.57 sec
4
µ¦¼ 3.15 Á¤ºÉ° Tn = 1.57 sec
³Åonµ D = 5 s ¨³ A = 0.20 g
´´Ê Peak deformation = 5s = 12.7 ¤.
A
Base shear force Vb = W = 0.20 (2,400)
g
= 480 .
Moment ¸Éµ Mb = Vb h = 480 u 3.6
= 1,728 . – ¤.
¦¼¸É 3.15 Combined D-V-A response spectrum for El Centro ground motion: [ = 2%
= 2,640 .
Moment ¸Éµ Mb = Vb h = 2,640 u 3.6
= 9,504 . – ¤.
= 3,448 ./¤.2
¨
°µ¦Á¡·¤É
µÁµÁ®¨È εĮonµ Natural period ¨¨ ¹ÎµÄ®onµ Response
¼
¹Ê ¨³nµ Base shear force ¼
¹Ê ¹É Ânµµµ¦°°Âæ¦oµ¦´ Static Load
¦¼¸É 3.16 Pseudo-acceleration response spectra for ground motions recorded on rock sites
(38 records) Å¡¼¨¥r (2545)
Áo¦µ¢Á¦¸¥¸ÉÄoÁ}´ªÂ
°¦µ¢ S pa ¸ÊÁ¦¸¥ªnµ Elastic Design Spectra Äo
A
宦´Îµª®µ Base shear force µ¼¦ Vb W Ã¥¸É¡·µ¦µªnµ æ¦oµ¤¸
g
¡§·¦¦¤µ¦¦´Êε®´Änª°·¨µ· ĵ·´· ¦µ¢¸ÉÄoĵ¦°°Â³o°Îµ¹¹
¦¼¦nµ
° S pa ¸É媵¨ºÉ Ân·Å®ª
µ¨µ¸ÉÁ·
¹ÊĦ³¥³Ä¨o ¹É ³¤¸¨n°
æ¦oµÄnªµµ¦´É ¦¦¤µ·¸É´Ê ¨³Ân·Å®ª
µÄ®n¸ÉÁ·
¹ÊĦ³¥³Å¨¹É³
¤¸¨n°Ã¦¦oµÄnªµµ¦´É¦¦¤µ·¸É¥µªªnµ´ÂĦ¼ 3.17
Ân·Å®ª
µ¨µÄ¦³¥³Ä¨o
Pseudo-acceleration, Spa,g
¦µ¢µ¦°°Â
Ân·Å®ª µÄ®nĦ³¥³Å¨
natural period, Tn
®¨´µ¦°°Âæ¦oµoµµÂn·Å®ªº° ÄÁ®»µ¦rÂn·Å®ª
µÄ®n
¹É¡ºÊ ·¤¸µ¦´É¸É¦»Â¦ ³¥°¤Ä®oæ¦oµ¤¸µ¦Ãn´ªÁ·¡·´¥º®¥»n żnnªÅ¤n¥º®¥»n
(inelastic)Åo Ã¥¥°¤Ä®oæ¦oµ¤¸ªµ¤Á¸¥®µ¥Åooµ ÂnÄ®o°¥¼nĦ³´¸É¥°¤¦´ÅoÃ¥
æ¦oµ°µµ¦Å¤n¡´¨µ¥ ®¨´µ¦¸Ê³¦³ÎµÅoÃ¥µ¦Îµ®nµÂ¦Áº°¸É µ°µµ¦o°¥
ªnµnµµ¦°°Â¸É¡§·¦¦¤°·¨µ· ´ÂĦ¼¸É 3.18 ¹É³ÎµÄ®oæ¦oµ¤¸µ¦Ãn´ª
Á·¡·´¥º®¥»nÅÄnª°·°·¨µ·Åo ¨³³o°°°ÂÄ®oæ¦oµ¤¸ªµ¤Á®¸¥ªÄµ¦
¦´Â¦¦³ÎµÂª´´¦ Ã¥¤¸µ¦®¤»Ã¥´ªÅ¤µÅo¸É
o°®¤»¡¨µ·¦·Áª¨µ¥µ¦
ε®n¦°¥n°¦³®ªnµµÂ¨³Áµ
µ¦¼¸É 3.18 ¦Áº°¸Éµ³¼¨µ¦µ¢ Elastic design spectrum oª¥nµµ¦
¨Îµ¨´ R 宦´
o°Îµ® International Building Code (IBC 2000) ¨³ Uniform Building
Code (UBC1997) ®¦º°nµ Rw 宦´ Uniform Building Code (UBC1994)
El Centro (1940)
ĵ¦ª·Á¦µ³®r®µ¨°°
°¡§·¦¦¤Ã¦¦oµÂ¸Ê ·¥¤Îµ¨°¡§·¦¦¤Á}Â
Á} elastic perfectly plastic model ®¦º° elastoplastic model ´ÂĦ¼¸É 3.20 ´Éº°
¦¨³µ¦Á¨ºÉ°´ª³¤¸ªµ¤´¤¡´r°·¨µ·oª¥nµ·¢Á k ¦³´É ¹»¦µ u y
¹É¦´nµÎµ¨´¦µ f y ®¨´µ´Êε¨´¦µ³¸Éµ¦Á¨ºÉ°´ª¹»¼» um ¹É³
Á¨¸É¥µ¦¦´Â¦¨´·«¡¦o°¤´µ¦Á¨ºÉ°¨´´ª
°Ã¦¦oµ
°µ¸¡Ê §·¦¦¤µ¦¦´Â¦Âª´´¦¥´¤¸¦¼¦nµ¸ÂÉ nµ´Å ´Ê¸Ê
¹Ê°¥¼n ´ ·
°Ã¦¦oµ 宦´°¦¸Á¦·¤Á®¨È·¥¤ÄoÂε¨°
° Clough (1967) ¹É¤¸»¤´·
° stiffness degrading ®¦º°Âε¨°
° Modified Takeda (1970) ¹ÉÅoÁ¡·É¤¨¦³
° stiffness degrading ¨³ strength deterioration ®¦º°Âε¨°
° Park’s general
three parameters (1987) ¹É¦ª¤¨´¬³
° stiffness degradation, strength deterioration
¨³ Pinching behavior Á
oµoª¥´ 宦´Ã¦¦oµÁ®¨È·¥¤ÄoÂε¨° Bilinear model
¹ÉÅoµ¨µ¦¨°
° Krawinkler et al. (1971) ¨³ Castiglioni ¨³ Di Palma (1988)
Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 3 µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª 61
fs fs
¡§·¦¦¤¦·
fy fy
Âε¨°¡§·¦¦¤Â
elastoplastic k
1
u u
uy um uy um
- fy
) ¡§·¦¦¤¦·Â¨³¡§·¦¦¤Îµ¨°
) ¡§·¦¦¤Îµ¨°Â elastoplastic
O Deformation Deformation
-Fy
Force k
2k Force k
0.12k 0.12k
Fy 2k
0.4Fy
Deformation 0.5Fy
y Deformation
-0.4Fy
-Fy
-2Fy
) Modified Takeda (MT) Model ) Park’s general three parameters (PA) Model
¦¼¸É 3.21 ¦µ¢ªµ¤´¤¡´r¦³®ªnµÂ¦Â¨³µ¦Á¨ºÉ°´ªÂnµÇ
62 Å¡¼¨¥r {µ³Ã ¸É 3 µ¦´É
°Ã¦¦oµ£µ¥Äo¦Ân·Å®ª
3.9.2 ¦µ¢Á¦´¤Îµ®¦´nµªµ¤Á®¸¥ª¸É
(Constant-Ductility Response Spectrum, CDRS)
´´Ê ¹°µ¦oµ¦µ¢Îµ¨´¦µÎµ®¦´nµªµ¤Á®¸¥ª¸ÉÅoµ¦µ¢Îµ¨´Â°·¨µ·
¨³nµ ductility factor, RP ¹ÉÅo¤¸´ª·´¥®¨µ¥nµÎµµ¦«¹¬µ®µªµ¤´¤¡´r¦³®ªnµnµ
ductility factor ¨³ nµªµ¤Á®¸¥ª P Ã¥ÂÁ}Âε¨°µ·«µ¦rÅo®¨µ¥Â
ÄεªÁ®¨nµ¸Ê Âε¨°
° Miranda (1994) Åo¦´ªµ¤·¥¤°¥nµÂ¡¦n®¨µ¥ (ATC-19)
å嵤¨´¬³£µ¡´Ê ·Á} 3 ¨»n¤ Ã¥nµ ductility factor Á}¢{r´É´ nµªµ¤
Á®¸¥ª P ¨³µµ¦´É ¦¦¤µ· ´¸Ê
P 1
RP (T , P ) 1 (3.19)
)
1 1
宦´´Ê ®· ) (T , P ) 1 exp ª 1.5(ln T 0.6) 2 º
¬ ¼
(3.20a)
T (10 P ) 2T
1 2
宦´´Ê ·³° ) (T , P ) 1 exp ª 2(ln T 0.2) 2 º
¬ ¼
(3.20b)
T (12 P ) 5T
Tg 3Tg ª T º
宦´´Ê ·°n° ) (T , P ) 1 exp « 3(ln 0.25) 2 » (3.20c)
3T 4T ¬« Tg ¼»
3.9.3 ¦µ¢Á¦´¤Îµ®¦´nµªµ¤Á¸¥®µ¥¸É
(Constant-Damage Response Spectrum)
¹Â¤oªnµ¦µ¢µ¦°°Â宦´nµªµ¤Á®¸¥ª¸É ³Á}¸É¥°¤¦´´°¥nµ
ªoµ
ªµÄ¦³®ªnµ¼o¡´µ Seismic Design Codes ¨³ª·«ª¦¼o°°Â ÂnÄ
µ¦«¹¬µ¦³¥³®¨´¤¸µ¦Âªµ¤Á®Èªnµ 'nµªµ¤Á®¸¥ª¸É’ °µ³¤·ÄnÁr¸ÉÁºÉ°º°Åo
宦´µ¦¡·µ¦µ®µnµªµ¤o°µ¦Îµ¨´ ´Ê¸ÊÁºÉ°µnµªµ¤Á®¸¥ª´ÊŤn´¤¡´r´
ªµ¤Á¸¥®µ¥³¤°´Á}¨¤µµ¨°°
°Ã¦¦oµÄnª°·°·¨µ· (inelastic
cycles) Ĩ´¬³Â¦¦³Îµ¨´Å¤µÂª´´¦ ´´Êæ¦oµ¸É°°Â¡ºÊµ
°
ªµ¤Á®¸¥ª¸É°µ³Å¤n¤¸nµªµ¤¨°£´¥Á¡¸¥¡°n°µ¦¡´¨µ¥
Ã¥Á¡µ³°¥nµ¥·É¨µ¦ª·´¥
° Warnitchai ¨³ Panyakapo (1999), Panyakapo
(2004) o¡ªnµ ªµµ¦°°ÂÁ·¤Å¤nµ¤µ¦ÄoÅo´¦¸
°Ã¦¦oµ¸É´Ê°¥¼n´Ê
·°n° Á¡¦µ³ªnµnµªµ¤Á¸¥®µ¥°´Á·µªµ¤Á¸¥®µ¥¸É³¤µÃ¦¦oµ¼Â¦¦³Îµ
¨´Å¤µ¤¸nµ¼¤µ ¨³ÅoÁ°ª·¸µ¦°°ÂªµÄ®¤nÃ¥´Ê°¥¼n¡ºÊµ
° ªµ¤
o°µ¦Îµ¨´Îµ®¦´nµªµ¤Á¸¥®µ¥¸É
3.9.3.1 ªµ¤·¡ºÊµ °®¨´µ¦ªµ¤Á¸¥®µ¥¸É
3.9.3.2 nµµ¦¨Îµ¨´Îµ®¦´ªµ¤Á¸¥®µ¥¸É
£µ¡´Ê·³°
RD
^(7.05 0.71DI ) DI 0.26` (0.25P ) 1 (3.24a)
Z2
1 1 0.78 ·
=2 1 0.87
1.79 ·
ª §
EXP « ¨ 7.00
2º
¸ ln T 0.10 » (3.24b)
3.63 DI T § ¬ © DI ¹ ¼
¨ 1.39 ¸ T
© DI ¹
£µ¡´Ê·°n°
(9.5DI 1.48 )(0.25P )1.1 (3.25a)
RD 1
Z3
1 1 2
=3 1 EXP ª 4.0 ln T / Tg 0.20 º
0.44 DI
1.92
T / Tg 2.08 1.63DI T / Tg «¬ ¼»
(3.25b)
æ¦oµÁ®¨È æ¦oµ°¦¸Á¦·¤Á®¨È
Strength Reduction Factor, R D Strength Reduction Factor, R D
10.0 10.0
9.0 9.0
8.0 ´Ê®· DI = 1.0 8.0 ´Ê®·
7.0 7.0
6.0 6.0 DI = 1.0
5.0 5.0
4.0 4.0
3.0 3.0
2.0 DI = 0.2 2.0
1.0 1.0 DI = 0.2
0.0 0.0
0.0 1.0 2.0 3.0 0.0 1.0 2.0 3.0
Period T, sec Period T, sec
¦¼¸É 3.25 ¦µ¢nµµ¦¨Îµ¨´Îµ®¦´ªµ¤Á¸¥®µ¥¸É宦´´Ê®· ( P 4) Å¡¼¨¥r (2547)
æ¦oµÁ®¨È æ¦oµ°¦¸Á¦·¤Á®¨È
Strength Reduction Factor, R D Strength Reduction Factor, R D
10.0 10.0
9.0 ´Ê·³° 9.0 ´Ê·³°
8.0 8.0
7.0 DI = 1.0 7.0
6.0 6.0 DI = 1.0
5.0 5.0
4.0 4.0
3.0 3.0
2.0 DI = 0.2 2.0
1.0 1.0 DI = 0.2
0.0 0.0
0.0 1.0 2.0 3.0 0.0 1.0 2.0 3.0
Period T, sec Period T, sec
¦¼¸É 3.26 ¦µ¢nµµ¦¨Îµ¨´Îµ®¦´ªµ¤Á¸¥®µ¥¸É宦´´Ê·³° ( P 4) Å¡¼¨¥r (2547)
æ¦oµÁ®¨È æ¦oµ°¦¸Á¦·¤Á®¨È
Strength Reduction Factor, R D Strength Reduction Factor, R D
10.0 10.0
´Ê·°n° ´Ê·°n°
8.0 8.0
DI = 1.0
6.0 6.0 DI = 1.0
4.0 4.0
2.0 2.0
DI = 0.2 DI = 0.2
0.0 0.0
0.0 1.0 2.0 3.0 0.0 1.0 2.0 3.0
Period ratio T/Tg Period ratio T/Tg
¦¼¸É 3.27 ¦µ¢nµµ¦¨Îµ¨´Îµ®¦´ªµ¤Á¸¥®µ¥¸É宦´´Ê·°n° ( P 4) Å¡¼¨¥r (2547)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร
บทที 4
ข้ อพิจารณารู ปแบบของอาคาร
ต้ านทานแผ่ นดินไหว
4.1 บทนํา
ก) การออกแบบโครงสร้ างเป็ น โครงข้ อ แข็ ง ซึงมี กํ า ลัง และสติ ฟ เนสใกล้ เ คี ย งกัน จัด วาง
โดยรอบอาคาร ทดแทนผนังกําแพงรับแรงเฉื อนเดิม สําหรับผนังอาคารใหม่อาจใช้ วสั ดุ
ผนังมวลเบาซึงไม่มีสว่ นร่วมในการรับแรงต้ านทานทางด้ านข้ าง ดังแสดงในรูปที 4.10ก
ข) การเพิมค่าสติฟเนสของช่องเปิ ด โดยการเพิมผนังกําแพงรับแรงเฉือนทีบริเวณช่องเปิ ดดัง
แสดงในรูปที 4.10ข
ค) การเสริมกําลังทีช่องเปิ ดด้ วยโครงสร้ างเหล็กต้ านทานโมเมนต์หรื อใช้ โครงเหล็กคํายัน ซึง
จะช่วยให้ กําแพงมีลกั ษณะเป็ นแบบผนังทึบโดยรอบ ดังแสดงในรูปที 4.10ค
ง) การออกแบบให้ โครงสร้ างสามารถต้ านทานแรงบิดได้ ซึงเหมาะกับโครงสร้ างขนาดเล็กซึง
ค่าแรงบิดไม่มากเกินไป โดยการออกแบบแผ่นพืนให้ แข็งขึนและรวมพฤติกรรมการรับแรง
ของแผ่นพืนและผนังกําแพงเข้ าด้ วยกัน ดังแสดงในรูปที 4.10ง
อาคารทีมีชนอ่
ั อนหมายถึงเสาในชันนันมีการลดค่าสติฟเนส (stiffness) น้ อยลงกว่าเสาที
อยูช่ นบนถั
ั ดขึนไปมาก ส่วนอาคารทีมีชนอ่ ั อนแอหมายถึงเสาในชันนันมีคา่ กําลังการรับแรงทาง
ั ดขึนไปมาก สภาพของอาคารเหล่านีอาจเกิดขึน
ด้ านข้ าง (strength) ลดน้ อยลงกว่าเสาทีอยูช่ นถั
บนระดับชันใดก็ได้ แต่การวิบตั ิอย่างรุนแรงจะเกิดขึนในกรณีสําหรับเสาชันล่างสุด เนืองจากแรง
เฉือนทีฐานมีคา่ มาก หากอาคารแต่ละชันมีคา่ กําลังและสติฟเนสเท่าเทียมกันทุกชัน ค่าการโก่งตัว
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที4 ข้อพิ จารณารู ปแบบของอาคาร
ของอาคารจะกระจายอย่างสมําเสมอตลอดความสูงของอาคาร แต่ถ้าหากเสาชันล่างมีความ
ยืดหยุ่นมากกว่าหรื อมีกําลังน้ อยกว่าชันทีสอง การโก่งตัวของเสาชันล่างนีจะมีคา่ มากและผลที
ตามมาคือเกิดแรงกระทําทีระดับรอยต่อเสาชันทีสองเพิมขึนเป็ นอย่างมาก ดังแสดงในรูปที 4.11
การเกิดชันอ่อนอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี คือ
ก) ระดับความสูงของชันล่างมีคา่ ความสูงมากกว่าระดับชันบนมาก ทําให้ ชนล่
ั างมีคา่ สติฟ
เนสน้ อยและค่าการโก่งตัวสูงดังแสดงในรูปที 4.12ก
ข) เสาชันทีสองมีการเปลียนค่าสติฟเนสเป็ นอย่างมาก แม้ วา่ ค่าระดับความสูงของแต่ละชันจะ
เท่ากันก็ตาม เนืองจากการใช้ วสั ดุทีแตกต่างไปจากชันล่าง อาทิเช่น การใช้ ชินส่วนเสาหล่อ
สําเร็จขนาดใหญ่เหนือตังแต่ชนสองขึ
ั นไปดังแสดงในรูปที 4.12ข
ค) การใช้ แผ่นผนังกําแพงเป็ นองค์อาคารรับแรงเฉือนอย่างไม่ตอ่ เนือง คือใช้ ไม่ตลอดไปถึงฐานราก
อาคาร มีการหยุดอยูเ่ พียงชันทีสอง ดังแสดงในรูปที 4.12ค
ปัญหาเหล่านีเกิดจากการจัดรูปแบบและประโยชน์ใช้ สอยของอาคารตามการออกแบบ
ทางสถาปั ตยกรรม ลักษณะนีจึงต้ องมีการแก้ ไขปัญหาร่วมกันระหว่างวิศวกรและสถาปนิก อาทิ
เช่น ในกรณีทีระดับชันล่างยังคงต้ องการรักษาความสูงไว้ อาจหาทางแก้ ไขได้ หลายวิธี คือ
ก) เพิมคํายันเสริมค่าสติฟเนสของเสาไปจนถึงระดับชันบน
ข) เพิมจํานวนเสาทีชันล่างเพือเสริมค่าสติฟเนสของเสา
ค) เปลียนรูปแบบของเสาชันล่างเพือออกแบบให้ มีคา่ สติฟเนสเพิมมากขึน
ส่วนอาคารทีมีเสาอ่อน-คานแข็งแรงหมายถึงการทีคานเชือมระหว่างเสามีขนาดลึกและ
แข็งมากกว่าเสา ทําให้ เสามีความอ่อนแอกว่าคานมาก การออกแบบอย่างนีขัดกับหลักการของ
การออกแบบอาคารต้ านทานแผ่นดินไหว ซึงจะต้ องออกแบบให้ คานมีการโก่งตัวแบบไม่ยืดหยุน่
ก่อนเสา โดยมีหลักการว่า ขณะทีคานโก่งตัวจากจุดอิลาสติกไปยังจุดอินอิลาสติก จะมีการดูดซับ
และกระจายพลังงานแผ่นดินไหวทีปลายคานบริเวณรอยต่อระหว่างคานและเสา เมือคานค่อยๆ
โก่งตัวลงในช่วงอินอิลาสติก ในขณะเดียวกันเสาอาคารจะมีการโยกตัวแบบอิลาสติก ทําให้
โครงสร้ างอาคารยังคงสภาพอยูไ่ ด้ ด้วยเสาทีรองรับอยู่ แต่ถ้าหากมีการยอมให้ เสาโก่งตัวแบบไม่
ยืดหยุ่นก่อนคาน เสาจะเกิดการโก่งเดาะและนําหนักบรรทุกทีกดลงเสาจะทําให้ เสาอาคาร
พังทลายได้ เร็วยิงขึน
การแก้ ไขอาคารทีมีสติฟเนสของเสาแปรเปลียน อาจเสริ มคํายันทางด้ านข้ างในแนวราบที
เสาต้ นยาว เพือทําให้ สติฟเนสของเสาสมดุลกัน ส่วนกรณีอาคารทีมีเสาอ่อน-คานแข็งแรง จะต้ อง
มีการออกแบบเสริมขนาดเสาให้ มีการรับกําลังมากขึน
ระดับชันที
ระดับชันที
ระดับชันที
ระดับชันล่าง
ก) ผังอาคาร
ข) รูปตัดขวางของอาคาร
รูปแบบ
การโก่งเฉือน
จุดการดัดกลับ
รูปแบบ
การโก่งดัด
บทที 5
การออกแบบอาคารโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่ า
5.1 ข้ อกําหนดของวิธีการออกแบบ
5.3.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร
แรงเฉือนทีฐานอาคารโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่าคํานวณได้ ดงั นี
V = ZIKCSW (5.1)
ค่า C ตามสมการ 5.2 ให้ ใช้ ได้ ไม่เกิน 0.12 ซึงตรงกันกับค่าคาบการสันไหวธรรมชาติ, T ในช่วงไม่
เกิน 0.3 วินาที
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 99
C
0.15
0.10
0.05
0.00
0.0 1.0 2.0 3.0 4.0 5.0
T, second
รูปที 5.1 สัมประสิทธิแรงเฉือนทีฐานกับคาบการสันธรรมชาติ
โดยที
fi คือ ค่าแรงกระทําด้ านข้ างทีระดับชัน i
Wi คือ นําหนักอาคารทีกระทําระดับชัน i
Giคือ ค่าการเคลือนทีของโครงสร้ างทีถูกกระทําโดย fi
2
g คือ แรงโน้ มถ่วงโลก (เมตร/วินาที )
5.3.7สัมประสิทธิของการประสานความถีธรรมชาติระหว่ างอาคารและชันดินทีตังอาคาร
(Subsoil Factor, S)
เนืองจากชันดินแต่ละชนิดมีคาบการสันธรรมชาติแตกต่างกันไปหากคาบการสันธรรมชาติ
ของชันดินนันสอดคล้ องกันกับคาบการสันธรรมชาติของอาคาร จะทําให้ เกิดปรากฏการณ์กําทอน
ขึนได้ ส่งผลให้ อาคารนันเกิดการสันไหวทีรุนแรงยิงขึน ค่า S จึงแปรผันตามลักษณะความอ่อน
ของชันดิน ใน UBC-1985 กําหนดลักษณะของชันดิน 3 ประเภท คือ ชันหิน ชันดินแข็ง และชันดิน
อ่อน โดยมีคา่ ดังนี
ตารางที 5.4 สัมประสิทธิของการประสานความถีธรรมชาติระหว่ างอาคารและชันดิน
ลักษณะของชันดิน ค่าของ S
(1) หิน (S1) 1.0
(2) ดินแข็ง (S2 ) 1.2
(3) ดินอ่อน (S3 ) 1.5
(4) ดินอ่อนมาก (S4 ) 2.5
โดยทีลักษณะของชันดินต่างๆจําแนกได้ ดังนี
“หิน” หมายถึง หินทุกลักษณะไม่วา่ จะเป็ นหินคล้ ายหินเชล (shale) หรื อทีเป็ นผลึกตามธรรมชาติ
จําแนกโดยค่าความเร็วคลืน Shear wave เกินกว่า 750 เมตร/วินาที หรื อดินลักษณะแข็งซึงมี
ความลึกของชันดินไม่เกิน 60 เมตร และชนิดของดินทีทับอยูเ่ หนือชันหินเป็ นดินทีมีเสถียรภาพดี
เช่น ทราย กรวด หรื อดินเหนียวแข็ง
“ดินแข็ง” หมายถึง ดินลักษณะแข็งซึงความลึกของชันดินมากกว่า 60 เมตร และชนิดของดินที
ทับอยูเ่ หนือชันหินเป็ นดินทีมีเสถียรภาพดี เช่น ทราย กรวด หรื อ ดินเหนียวแข็ง
“ดินอ่อน” หมายถึง ดินเหนียวอ่อนถึงดินเหนียวแข็งปานกลาง และดินเหนียวแข็งหนามากกว่า 9
เมตร อาจจะมีชนทรายคั
ั นอยูห่ รื อไม่ก็ได้
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 101
¦wh
i 1
i i
Wx
Fx hn
x
Wi
i hx
hi
V
รูปที 5.2 การกระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําทางด้ านข้ างในแต่ ละชันอาคาร
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 103
i=n Ft
Fi
i=x hn
Vx
hi
hx
เกิดการบิดโดยมิได้ ตงใจให้
ั เกิดขึนได้ เรี ยกว่า Accidental torsion โดยการพิจารณาว่าจุด
ศูนย์กลางมวลอาจมีการเยืองศูนย์ไป 5% ของขนาดผังอาคารในทิศทางตังฉากกับแรงกระทํานัน
สําหรับผลกระทบของโมเมนต์ลําดับสองนัน ข้ อกําหนด UBC1985 ไม่ได้ ระบุทีจะนําค่านี
มาคํานวณด้ วย แต่ในอาคารทีผลกระทบจากโมเมนต์ลําดับสองมีคา่ มาก ก็จะต้ องนํามาคํานวณ
เพิมด้ วย
h4
'3
F3
h3
'2
F2 H
h2
'1
F1
h1
1 2 3 4 5 6 7 8 9 E
7.2 ม.
7.2 ม.
C
D
3.6 ม.
3.6 ม.
3.6 ม.
3.6 ม.
7.2 ม. 7.2 ม.
รูปที5.5 ผังอาคารและรูปตัดของอาคารคลังเก็บสินค้ า
106 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
1
= = 0.11 ไม่เกิน 0.12 ใช้ ได้
15 0.34
ผลคูณ CS = 0.11u1.2 = 0.132 ไม่เกิน 0.14 ใช้ ได้
ดังนัน แรงเฉือนทีฐาน
V = ZIKCSW = 0.38 u 1.0 u 1.0 u 0.11 u 1.2 u1,301.4
= 65.28 ตัน
ขันตอนที 3 กระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชัน และแรงเฉือนทีเกิดขึน
F = V Ft Wx hx
x n
¦W h
i 1
i i
และ V = Ft + 6 Fx
เนืองจากค่า T น้ อยกว่า 0.7 วินาที ดังนัน Ft = 0
A B C
F4 = 23.03 ตัน
V4 = 23.03 ตัน
F3 = 21.13 ตัน
V3 = 44.16 ตัน
F2 = 14.08 ตัน
V2 = 58.24 ตัน
F1 = 7.04 ตัน
V1 = 65.28 ตัน
รูปที 5.6 การกระจายของแรงกระทําทางด้ านข้ างอาคาร
108 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ขันตอนที 4 คํานวณหาระยะการเคลือนตัวของแต่ละชัน
12 E
คํานวณค่าสติฟเนสของเสาแต่ละชัน จาก ki =
½
° 1 1 °
h2 ® ¾
I I
°¦ c ¦ b °
¯ h l ¿
สําหรับคาน Icr 0.35I g
สําหรับเสาภายนอก Icr 0.60I g และสําหรับเสาภายใน I cr 0.80I g (Paulay&Priestley, 1992)
เสาชันที 1 และ 2
I
° 30(50)3 30(60)3 ½ ° 1
¦ hc = ®°0.6 12
(2 u 9) 0.8
12
9¾
° 360
= 20,175 ซม.3
¯ ¿
I b ° 3 ½
¦ = ®0.35 25(60) (2 u 9) °¾ 1 = 3,937.5 ซม.3
l °¯ 12 ¿ 720
°
½
12(2.3 u 105 ) °° 1 °°
k1 k2 ® 1 ¾°
= 70,161 กก./ซม.
(360) 2 ° 1
°¯ 20,175 3,937.5 °¿
เสาชันที 3
I
° 30(50)3 30(50)3 ½ ° 1
¦ hc = ®°0.6 12
(2 u 9) 0.8
12
9¾
° 360
= 15,625 ซม.3
¯ ¿
½
12(2.3 u 105 ) °° 1 °°
k3 ®
1 ¾°
= 66,976 กก./ซม.
° 1
2
(360)
¯° 15,625 3,937.5 ¿°
เสาชันที 4
I
° 30(50)3 30(40)3 ½ ° 1
¦ hc = ®°0.6 12
(2 u 9) 0.8
12
9¾ = 12,575 ซม.3
¯ ¿ 360
°
½
12(2.3 u 105 ) °° 1 °°
k4 ® 1 ¾°
= 63,859 กก./ซม.
(360) 2 ° 1
°¯ 12,575 3,937.5 °¿
ระยะการโยกตัวในแต่ละชัน (Story Drift) คํานวณจาก
Vn
'x =
ki
ค่าการเคลือนตัวทางด้ านข้ างจากฐานอาคารทีแต่ละชัน (Lateral displacement) คํานวณจาก
ผลรวมของระยะการโยกตัวในแต่ละชัน ดังนี
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 109
Gx = ¦ 'x
สําหรับ ระยะการโยกตัวและค่าการเคลือนตัวทางด้ านข้ างทีแต่ละชัน แสดงในตารางที 5.6
ตารางที 5.6 ค่าระยะการโยกตัวและค่าการเคลือนตัวทางด้ านข้ างในแต่ละชัน
ระดับชัน แรงเฉือน สติฟเนส ระยะการโยกตัว การเคลือนตัวจากฐาน
Vx (ตัน) ki (กก./ซม.) ' x (ซม.) G x (ซม.)
4 23.03 63,859 0.36 2.78
3 44.16 66,976 0.66 2.42
2 58.24 70,161 0.83 1.76
1 65.28 70,161 0.93 0.93
ดังแสดงในตารางที 5.7
เนืองจากค่า Stability Coefficient, T ทีคํานวณได้ มีคา่ น้ อยกว่า 0.1 ดังนันจึงไม่จําเป็ นต้ องนํา
ผลกระทบของ P' มาคํานวณออกแบบเสา ตามข้ อกําหนดของ UBC สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ น
เขต Zone 1 และ 2
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 111
5.4.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร
สัมประสิทธิแรงเฉือน (C)
3.0 2.75
S4
2.0 S
S2 3
S1
1.0
T = Ct hn3 4 (5.19)
114 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ค่าสัมประสิทธิชันดินจําแนกตามลักษณะของชันดินทีอาคารตังอยู่ ดังแสดงในตารางที
5.11
ตารางที 5.11 ค่ าสัมประสิทธิชันดิน
ประเภท รายละเอียดชนิดของชันดิน S
S1 ชันดินซึง 1.0
ก) เป็ นชันหินจําแนกได้ โดยมีคา่ ความเร็วคลืน Shear Wave
มากกว่า 760 ม./วินาที หรื อ
ข) เป็ นชันดินแข็งปานกลางถึงแข็งมากซึงลึกน้ อยกว่า 60 ม.
S2 ชันดินแข็งปานกลางถึงแข็งมาก ซึงลึกมากกว่า 60 ม. 1.2
S3 ชันดินเหนียวอ่อนถึงดินเหนียวแข็งปานกลาง มีความลึกเกินกว่า 6 ม. 1.5
แต่มีชนดิ
ั นอ่อนไม่เกิน 12 ม.
S4 ชันดินเหนียวอ่อนมีความลึกมากกว่า 12 ม. ซึงจําแนกได้ โดยมีคา่ 2.0
ความเร็วคลืน Shear Wave น้ อยกว่า 150 ม./วินาที
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 115
Rw = RP Rs RRY
ZIC
Inelastic Design Spectrum V W
Rw
คาบการสันธรรมชาติ, T
รูปที 5.8 การลดกําลังเป็ น Inelastic Design Spectrum ด้ วยค่ า Rw
116 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
2
ระบบโครงสร้ าง ระบบการต้ านทานแรงกระทําด้ านข้ าง RW H (ม.) 3
พืนฐาน1
N.L.- ไม่จํากัด
1
ระบบโครงสร้ างพืนฐานซึงได้ ให้ คําจํากัดความใน UBC Section 1627.6.
2
ดูใน UBC Section 1628.3 สําหรับระบบโครงสร้ างรวม
3
H-จํากัดความสูงสําหรับ Seismic Zones 3 และ 4. ดูใน UBC Section 1627.7.
4
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 3 และ 4
5
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 3 และ 4, นอกจากทียอมให้ ใน UBC Section 1632.2.
6
Ordinary moment-resisting frames ใน Seismic Zone 1 ซึงมีคณ ุ สมบัติตาม UBC Section 2211.6 อาจใช้ คา่ Rw = 12.
7
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 2A, 2B, 3 และ 4, ดูใน UBC Section 1631.2.7.
118 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ระดับชัน x+
Px
'x แนวเสาของอาคารทีเอนไป
Vx
ระดับชัน x
hx
ระดับชัน x-
'
รูปที 5.9 การคํานวณผลกระทบของ P'
ค่าการโยกตัวระหว่างชันของอาคารจะต้ องไม่เกินค่าต่อไปนี
สําหรับโครงสร้ างซึงมีคาบการสันธรรมชาติ น้ อยกว่า 0.7 วินาที
ค่า Story drift, 'i ไม่เกิน 0.04hi Rw หรื อไม่เกิน 0.005hi
สําหรับโครงสร้ างซึงมีคาบการสันธรรมชาติ เท่ากับหรื อมากกว่า 0.7 วินาที
ค่า Story drift, 'i ไม่เกิน 0.03hi Rw หรื อไม่เกิน 0.004hi
จะสังเกตได้ วา่ ระยะจํากัดของการโยกตัวตามข้ อกําหนดนีเข้ มงวดกว่าทีกําหนดใน
UBC1985 ทังนีเนืองจากแรงกระทําทางด้ านข้ างทีคํานวณจากUBC1994 ให้ คา่ ทีน้ อยกว่าที
คํานวณจากUBC1985 จึงต้ องจํากัดค่าระยะการโยกตัวให้ ปลอดภัยมากขึน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 121
ตัวอย่ างที 5.2 อาคารคลังเก็บพัสดุ คอนกรี ตเสริมเหล็ก สูง 4 ชัน มีความสูงระหว่างชัน 3.6 ม.
มีคา่ นําหนักบรรทุกคงที 672 กก./ตร.ม. ซึงรวมทังนําหนักพืน คาน เสาและผนังกําแพง มีคา่
นําหนักบรรทุกจร 600 กก./ตร.ม. อาคารนีตังอยูใ่ นเขตพืนทีภาคเหนือของประเทศไทย ซึงเป็ นเขต
Seismic Zone 2B และชันดินทีใต้ ฐานรากเป็ นหินแข็ง จงใช้ ข้อกําหนด UBC1994 คํานวณหา
ก) แรงเฉือนทีฐานอาคาร เนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ข) แรงกระทําทีชันอาคารแต่ละชันและแรงเฉือนทีเกิดขึน
ค) ตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร
D
1 2 3 4 5 6 7 8 9
7.2 ม.
7.2 ม.
C
D
3.6 ม.
3.6 ม.
3.6 ม.
3.6 ม.
7.2 ม. 7.2 ม.
รูปที 5.10 ผังอาคารและรูปตัดของอาคารคลังเก็บสินค้ า
122 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณหานําหนัก W ทีแต่ละชันอาคาร
เนืองจากอาคารนีเป็ นคลังเก็บพัสดุ จึงต้ องเพิมนําหนักอีก 25% ของนําหนักบรรทุกจร
นําหนัก W สําหรับชันที 1, 2, 3 คือ W1, W2, W3 = 672 + 0.25 (600)
= 822 กก./ตร.ม.
ชันที 4 (ดาดฟ้า) W4 = 672 กก./ตร.ม.
พืนทีทังหมด = 28.8x14.4 = 414.72 ตร.ม.
เมือคิดเป็ นแรงกระทํา
W1 = W2 = W3 = (822 x 414.72) x 10-3 = 340.9 ตัน
W4 = (672 x 414.72) x 10-3 = 278.7 ตัน
นําหนักทังหมด W = (340.9x3) + 278.7 = 1,301.4 ตัน
ขันตอนที 2 คํานวณแรงเฉือนทีฐาน
ZIC
V W
Rw
เมือ Z = 0.2 (Seismic Zone 2B)
I = 1.0 (ประเภทที 4 )
Rw = 8 (Intermediate Moment-Resisting Frame, IMRF)
S = 1.0 (ชันหิน)
คํานวณคาบการสันธรรมชาติของโครงสร้ างโดยประมาณ
Tn = Cthn ¾
เมือ Ct = 0.0731 (อาคารค.ส.ล.)
hn = 14.4 ม. (ความสูง 4 ชัน)
Tn = 0.0731 (14.4)3/4 = 0.54 วินาที
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 123
A B C
F4 = 21.63 ตัน
F3 = 19.85 ตัน
F2 = 13.23 ตัน
F1 = 6.62 ตัน
V = 61.33 ตัน
รูปที 5.11 การกระจายของแรงกระทําทางด้ านข้ างอาคาร
124 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ขันตอนที 4 คํานวณหาระยะการเคลือนตัวของแต่ละชัน
12 EI cri
คํานวณค่าสติฟเนสของเสาแต่ละชัน จาก ki =
h3
สําหรับเสาภายนอก Icr 0.60I g และสําหรับเสาภายใน I cr 0.80I g (Paulay&Priestley, 1992)
148.88
T 2S 0.51
9.81u100 22.72
ค่าที คํานวณได้ นี ใกล้ เคียงกับค่าทีคํานวณโดยประมาณ (0.54 วินาที ) ดังนัน ไม่
จําเป็ นต้ องคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคารใหม่ โดยจะยังคงใช้ คา่ T เดิมในการคํานวณต่อไป
ขันตอนที 6 ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์
n
Mx ¦ Fi hi hx
i x 1
Accidental Torsional Moments Tx 0.05DVx = 0.05 u 28.8uVx
ตารางที 5.16 การคํานวณค่ า Overturning Moment
ชัน แรงกระทํา ความสูงระหว่างชัน โมเมนต์พลิกควํา แรงเฉือน โมเมนต์บิด
ด้ านข้ าง Fi (ตัน) hx (ม.) Mx (ตัน-ม.) Vx (ตัน) Tx (ตัน-ม.)
4 21.63 3.6 - 21.63 31.15
3 19.85 3.6 77.87 41.48 59.73
2 13.23 3.6 227.20 54.71 78.78
1 6.62 3.6 424.15 61.33 88.32
ฐาน 644.94
ความปลอดภัยต่อการพลิกควํา
M Re act 1 ,301.4 u 7.2
S .F . 14.53 ! 1.5
M Act 644.94
ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควํามากกว่า 1.5 จึงใช้ ได้
126 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
แรงเฉือนทีฐาน
Cv I
Elastic Design Spectrum Ve W
T
R = Rs RP RR
Cv I
Inelastic Design Spectrum V W
RT
คาบการสันธรรมชาติ, T
รูปที 5.12 การลดกําลังเป็ น Inelastic Design Spectrum ด้ วยค่ า R
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 129
2
ระบบโครงสร้ าง ระบบการต้ านทานแรงกระทําด้ านข้ าง R H (ม.) 3
พืนฐาน1
N.L.- ไม่จํากัด
1
ดูในUBC section 1630.4 สําหรับระบบโครงสร้ างร่วม
2
ระบบโครงสร้ างพืนฐานซึงได้ ให้ คําจํากัดความใน UBC Section 1629.6.
3
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 3 และ 4
4
รวมคอนกรีตหล่อสําเร็จตาม UBC Section 1921.2.7
5
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 3 และ 4, นอกจากทียอมให้ ใน UBC Section 1634.2.
6
Ordinary moment-resisting frames ใน Seismic Zone 1 ซึงมีคณ ุ สมบัติตาม UBC Section 2211.6 อาจใช้ คา่ R = 8.
7
ความสูงทังหมดของอาคารรวมทังส่วนทีเป็ นเสายืน
8
ห้ ามใช้ สําหรับ Seismic Zones 2A, 2B, 3 และ 4, ดูใน UBC Section 1633.2.7.
ประเภทของ เขตความเสียงภัย Z
ชันดิน Z=0.075 Z=0.15 Z=0.20 Z=0.30 Z=0.40
SA 0.06 0.12 0.16 0.24 0.32 N a
SB 0.08 0.15 0.20 0.30 0.40 N a
SC 0.09 0.18 0.24 0.33 0.40 N a
SD 0.12 0.22 0.28 0.36 0.44 N a
SE 0.19 0.30 0.34 0.36 0.36 N a
SF สําหรับดินประเภทนีจะต้ องมีการสํารวจสภาพชันดิน
และทําการวิเคราะห์หาผลตอบสนองทางพลศาสตร์ ของชันดิน
การจําแนกประเภทของชันดินทีตังอาคารเป็ นการแสดงผลกระทบของลักษณะสภาพชัน
ดินต่อคลืนแผ่นดินไหวโดยใช้ สญ
ั ลักษณ์ S A ถึง SF ดังแสดงในตารางที 5.21
การจําแนกประเภทของแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวเป็ นการกําหนดขนาดความรุนแรงและ
ลักษณะการเคลือนตัวของรอยเลือนในบริเวณใกล้ โครงสร้ าง ซึงใช้ เฉพาะกับเขต Zone 4 เท่านัน
แสดงในตารางที 5.22
ค่าตัวประกอบสําหรับแหล่งกําเนิดแผ่นดินไหวในระยะใกล้ Nv , N a แสดงในตารางที
5.23-5.24 ใช้ สําหรับเขตความเสียงภัย Zone4 ซึงใช้ ในการคํานวณหาค่าสัมประสิทธิแรง
แผ่นดินไหว Cv และ Ca ตามลําดับ
134 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ส่วนผลกระทบของโมเมนต์ลําดับสอง UBC1997กําหนดว่าหากดําเนินการคํานวณหา
ผลกระทบของ P' แล้ วพบว่ามีความสําคัญ จะต้ องนําผลกระทบของ P' มาใช้ ในการคํานวณหา
แรงภายในองค์อาคารและการโก่งตัวของโครงสร้ างด้ วย
ตัวอย่ างที 5.3 อาคารคลังเก็บพัสดุ คอนกรี ตเสริมเหล็ก สูง 4 ชัน มีความสูงระหว่างชัน 3.6 ม.
มีคา่ นําหนักบรรทุกคงที 672 กก./ตร.ม. ซึงรวมทังนําหนักพืน คาน เสาและผนังกําแพง มีคา่
นําหนักบรรทุกจร 600 กก./ตร.ม. อาคารนีตังอยูใ่ นเขตพืนทีภาคเหนือของประเทศไทย ซึงเป็ นเขต
Seismic Zone 2B และชันดินทีใต้ ฐานรากเป็ นดินแข็ง จงใช้ ข้อกําหนด UBC1997 คํานวณหา
ก) แรงเฉือนทีฐานอาคาร เนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ข) แรงกระทําทีชันอาคารแต่ละชันและแรงเฉือนทีเกิดขึน
ค) ตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร
1 2 3 4 5 6 7 8 9
7.2 ม.
7.2 ม.
วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณหานําหนัก W ทีแต่ละชันอาคาร
เนืองจากอาคารนีเป็ นคลังเก็บพัสดุ จึงต้ องเพิมนําหนักอี ก 25% ของนําหนักบรรทุกจร
นําหนัก W สําหรับชันที 1, 2, 3 คือ W1, W2, W3 = 672 + 0.25 (600)
= 822 กก./ตร.ม.
ชันที 4 (ดาดฟ้า) W4 = 672 กก./ตร.ม.
พืนทีทังหมด = 28.8x14.4 = 414.72 ตร.ม.
เมือคิดเป็ นแรงกระทํา
W1 = W2 = W3 = (822 x 414.72) x 10-3 = 340.9 ตัน
-3
W4 = (672 x 414.72) x 10 = 278.7 ตัน
นําหนักทังหมด W = (340.9x3) + 278.7 = 1,301.4 ตัน
ขันตอนที 2 คํานวณแรงเฉือนทีฐาน
Cv I
V = W
RT
เมือ Z = 0.2 (Seismic Zone 2B)
I = 1.0 (ประเภทที 4 )
R = 5.5 (Intermediate Moment-Resisting Frame, IMRF)
S = S D (ชันดินแข็ง)
Cv =0.4 ( Z =0.2, SD )
คํานวณคาบการสันธรรมชาติของโครงสร้ างโดยประมาณ
Tn = C t hn ¾
เมือ Ct = 0.0731 (อาคารค.ส.ล.)
hn = 14.4 ม. (ความสูง 4 ชัน)
Tn = 0.0731 (14.4)3/4 = 0.54 วินาที
0.4 u1.0
ดังนัน V = 1,301.4
5.5 u 0.54
= 0.1347 1,301.4 = 175.3 ตัน
2.5Ca I
เทียบกับ V d W
R
2.5 u 0.28 u1.0
V d 1,301.4 = 0.127 1,301.4 = 165.3 ตัน <175.3
5.5
ดังนัน ใช้ V = 165.3 ตัน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 139
เทียบกับ V t 0.11Ca IW
t 0.11u 0.28 u1.0 u1,301.4 = 0.0311,301.4 = 40.34 ตัน ใช้ ได้
A B C
F4 = 58.31 ตัน
F3 = 53.49 ตัน
F2 = 35.66 ตัน
F1 = 17.83 ตัน
V = 165.3 ตัน
รูปที 5.14 การกระจายของแรงกระทําทางด้ านข้ างอาคาร
140 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ขันตอนที 4 คํานวณหาระยะการเคลือนตัวของแต่ละชัน
12 EI cr
คํานวณค่าสติฟเนสของเสาแต่ละชัน จาก Ki =
h3
สําหรับเสาต้ นนอก Icr = 0.6 I g และ สําหรับเสาต้ นใน Icr = 0.8 I g
สําหรับเสาหน้ าตัดแตกร้ าว(Kappos,1986; Paulay&Priestley,1992)
12(2.3 u105 ) ° 30(50)3 30(60)3 ½°
K1 K2 ® 0.6 (2 u 9) 0.8 9 ¾ 4.29 u 105
(360)3 ¯° 12 12 ¿°
12(2.3 u105 ) ° 30(50)3 30(50)3 ½°
K3 3
® 0.6 (2 u 9) 0.8 9 ¾ 3.32 u 105
(360) ¯° 12 12 ¿°
12(2.3 u 105 ) ° 30(50)3 30(40)3 ½°
K4 ® 0.6 (2 u 9) 0.8 9¾ 2.67 u 105
(360)3 ¯° 12 12 ¿°
สมมุตใิ ห้ พืนอาคารเป็ นแบบแข็งเกร็ง (rigid floor)
ระยะการโยกตัวในแต่ละชัน (Story Drift) คํานวณจาก
Vx
'x
Ki
ค่าระยะการโยกตัวสูงสุดของแต่ละชัน (Maximum inelastic response displacement) คํานวณ
จาก ' M = 0.7 R' x
3,133.64
T 2S 0.67
9.81 u 100 280.66
ค่าทีคํานวณได้ นีมากกว่าค่าทีคํานวณโดยประมาณ (0.54 วินาที) ดังนัน หากต้ องการคํานวณแรง
เฉือนทีฐานอาคารโดยละเอียด อาจทําการคํานวณโดยใช้ T ใหม่ได้ แต่ในทีนี จะยังคงใช้ คา่ เดิม
ในการคํานวณต่อไป
ขันตอนที 6 ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควําเนืองจากโมเมนต์
n
Mx ¦ Fi hi hx
i x 1
Accidental Torsional Moments Tx 0.05DVx = 0.05 u 28.8uVx
ตารางที 5.28 การคํานวณค่ า Overturning Moment
ชัน แรงกระทํา ความสูงระหว่างชัน โมเมนต์พลิกควํา แรงเฉือน โมเมนต์บิด
ด้ านข้ าง Fi (ตัน) hx (ม.) Mx (ตัน-ม.) Vx (ตัน) Tx (ตัน-ม.)
4 58.31 3.6 - 58.31 83.97
3 53.49 3.6 209.92 111.80 160.99
2 35.66 3.6 612.40 147.46 212.34
1 17.83 3.6 1,143.25 165.29 238.02
ฐาน 1,738.30
142 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ความปลอดภัยต่อการพลิกควํา
M Re act 1,301.4 u 7.2
S .F . 5.39 ! 1.5
M Act 1,738.30
ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควํามากกว่า 1.5 จึงใช้ ได้
Pn 'x
T
Vx hx
hx 360 ซม .
จากข้ อกําหนด UBC1997 สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Seismic Zone 2 พบว่า ค่า
Stability Coefficient, T น้ อยกว่า 0.1 จึงไม่จําเป็ นต้ องนําผลกระทบของ P' มาคํานวณ
5.6.1 การคํานวณแรงเฉือนทีฐานอาคาร
การคํานวณหาแรงเฉื อนทีฐานอาคารโดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่าตามข้ อกําหนดมาตรฐาน
การออกแบบอาคารต้ านทานการสันสะเทือนของแผ่นดินไหว มยผ.1301/1302-61 คํานวณได้ ดงั นี
V = CsW (5.32)
§I·
= Sa ¨ ¸W (5.33)
©R¹
โดยที Csคือ สัมประสิทธิผลตอบสนองแรงแผ่นดินไหว
W คือ นําหนักโครงสร้ างประสิทธิผล
Sa คือ ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบ Sa ทีคาบการสันพืนฐาน
ของอาคาร T
R คือ ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง
I คือ ค่าตัวประกอบความสําคัญของอาคาร
Sa ( g ) Sa ( g )
S DS S D1
S D1
S D1 Sa
Sa T
S D1 T S DS
S D1
Ts
S DS
Ts 1.0 2.0 T (sec) 0.2 Ts 1.0 2.0 T (sec)
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
ภูเวียง 0.074 0.034 เมืองชัยนาท 0.170 0.075
มัญจาคีรี 0.050 0.030 วัดสิงห์ 0.207 0.083
เมืองขอนแก่น 0.053 0.030 สรรคบุรี 0.161 0.073
แวงน้ อย 0.045 0.030 สรรพยา 0.126 0.064
แวงใหญ่ 0.047 0.029 หันคา 0.220 0.088
สีชมพู 0.098 0.037 ชัยภูมิ เกษตรสมบูรณ์ 0.075 0.035
หนองเรื อ 0.059 0.032 แก้ งคร้ อ 0.052 0.032
หนองสองห้ อง 0.042 0.028 คอนสวรรค์ 0.048 0.031
อุบลรัตน์ 0.072 0.033 คอนสาร 0.104 0.038
จันทบุรี แก่งหางแมว 0.049 0.033 จัตรุ ัส 0.045 0.032
ขลุง 0.040 0.030 ซับใหญ่ 0.048 0.034
เขาคิชฌกูฏ 0.043 0.031 เทพสถิต 0.048 0.035
ท่าใหม่ 0.044 0.032 เนินสง่า 0.045 0.032
นายายอาม 0.049 0.033 บ้ านเขว้ า 0.049 0.032
โป่ งนําร้ อน 0.040 0.029 บ้ านแท่น 0.061 0.032
มะขาม 0.041 0.030 บําเหน็จณรงค์ 0.047 0.033
เมืองจันทบุรี 0.041 0.030 ภักดีชมุ พล 0.059 0.036
สอยดาว 0.041 0.029 ภูเขียว 0.060 0.032
แหลมสิงห์ 0.042 0.031 เมืองชัยภูมิ 0.047 0.031
ฉะเชิงเทรา ท่าตะเกียบ 0.054 0.034 หนองบัวแดง 0.059 0.034
แปลงยาว 0.089 0.042 หนองบัวระเหว 0.050 0.033
พนมสารคาม 0.058 0.036 ชุมพร ท่าแซะ 0.108 0.078
สนามชัยเขต 0.068 0.038 ทุง่ ตะโก 0.160 0.079
ชลบุรี เกาะจันทร์ 0.096 0.042 ปะทิว 0.097 0.075
เกาะสีชงั 0.153 0.056 พะโต๊ ะ 0.286 0.093
บ่อทอง 0.084 0.039 เมืองชุมพร 0.120 0.080
บางละมุง 0.117 0.048 ละแม 0.188 0.082
บ้ านบึง 0.118 0.045 สวี 0.149 0.080
พนัสนิคม 0.114 0.046 หลังสวน 0.180 0.082
ศรี ราชา 0.141 0.049 เชียงราย ขุนตาล 0.769 0.175
สัตหีบ 0.116 0.049 เชียงของ 0.796 0.202
หนองใหญ่ 0.094 0.040 เชียงแสน 0.984 0.296
ชัยนาท เนินขาม 0.362 0.116 ดอยหลวง 1.015 0.329
หนองมะโมง 0.385 0.119 เทิง 0.763 0.160
มโนรมย์ 0.150 0.069 ป่ าแดด 0.772 0.157
148 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
พญาเม็งราย 0.787 0.188 ฮอด 0.849 0.237
พาน 0.831 0.175 ตรัง กันตัง 0.199 0.096
เมืองเชียงราย 0.917 0.250 นาโยง 0.199 0.089
แม่จนั 1.022 0.306 ปะเหลียน 0.196 0.094
แม่ฟา้ หลวง 1.015 0.292 เมืองตรัง 0.195 0.091
แม่ลาว 0.884 0.220 รัษฎา 0.149 0.085
แม่สรวย 0.894 0.212 ย่านตาขาว 0.216 0.092
แม่สาย 0.981 0.278 วังวิเศษ 0.164 0.094
เวียงแก่น 0.767 0.182 สิเกา 0.154 0.097
เวียงเชียงรุ้ง 0.931 0.267 หาดสําราญ 0.192 0.097
เวียงชัย 0.879 0.229 ห้ วยยอด 0.161 0.091
เวียงป่ าเป้า 0.855 0.195 ตราด เกาะกูด 0.036 0.027
เชียงใหม่ จอมทอง 0.893 0.243 เกาะช้ าง 0.038 0.029
เชียงดาว 1.019 0.266 เขาสมิง 0.038 0.028
ไชยปราการ 1.018 0.265 คลองใหญ่ 0.034 0.023
ดอยเต่า 0.834 0.237 บ่อไร่ 0.037 0.027
ดอยสะเก็ด 0.910 0.225 เมืองตราด 0.036 0.027
ดอยหล่อ 0.926 0.248 แหลมงอบ 0.037 0.028
ฝาง 1.038 0.282 ตาก ท่าสองยาง 0.733 0.185
พร้ าว 0.953 0.238 บ้ านตาก 0.561 0.154
เมืองเชียงใหม่ 0.963 0.248 พบพระ 0.597 0.156
แม่แจ่ม 0.891 0.242 เมืองตาก 0.543 0.142
แม่แตง 0.992 0.260 แม่ระมาด 0.635 0.172
แม่ริม 0.984 0.254 แม่สอด 0.609 0.156
แม่วาง 0.936 0.248 วังเจ้ า 0.535 0.137
แม่อาย 1.080 0.317 สามเงา 0.577 0.163
แม่ออน 0.867 0.187 อุ้มผาง 0.607 0.184
เวียงแหง 1.032 0.274 นครปฐม กําแพงแสน 0.279 0.101
สะเมิง 0.967 0.258 นครพนม ท่าอุเทน 0.307 0.064
สันกําแพง 0.926 0.230 ธาตุพนม 0.087 0.032
สันทราย 0.973 0.251 นาแก 0.077 0.031
สันป่ าตอง 0.938 0.244 นาทม 0.255 0.059
สารภี 0.927 0.236 นาหว้ า 0.129 0.040
หางดง 0.931 0.243 บ้ านแพง 0.336 0.072
อมก๋อย 0.857 0.244 ปลาปาก 0.125 0.038
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 149
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
โพนสวรรค์ 0.213 0.050 หนองบุนนาก 0.039 0.028
เมืองนครพนม 0.283 0.060 ห้ วยแถลง 0.039 0.028
เรณูนคร 0.109 0.035 นครศรี ธรรมราช ขนอม 0.116 0.067
วังยาง 0.091 0.033 จุฬาภรณ์ 0.156 0.079
ศรี สงคราม 0.228 0.053 ฉวาง 0.180 0.082
นครราชสีมา แก้ งสนามนาง 0.045 0.030 เฉลิมพระเกียรติ 0.167 0.074
ขามทะเลสอ 0.042 0.031 ชะอวด 0.143 0.077
ขามสะแกแสง 0.043 0.030 ช้ างกลาง 0.181 0.081
คง 0.041 0.029 เชียรใหญ่ 0.162 0.071
ครบุรี 0.040 0.029 ถําพรรณรา 0.195 0.086
จักราช 0.039 0.028 ท่าศาลา 0.211 0.070
เฉลิมพระเกียรติ 0.040 0.029 ทุง่ สง 0.162 0.082
ชุมพวง 0.039 0.027 ทุง่ ใหญ่ 0.174 0.087
โชคชัย 0.040 0.030 นบพิตํา 0.186 0.075
ด่านขุนทด 0.045 0.033 นาบอน 0.170 0.082
เทพารักษ์ 0.047 0.035 บางขัน 0.147 0.088
โนนแดง 0.041 0.028 ปากพนัง 0.169 0.068
โนนไทย 0.043 0.031 พรหมคีรี 0.205 0.074
โนนสูง 0.041 0.029 พระพรหม 0.184 0.074
บัวลาย 0.043 0.029 พิปนู 0.192 0.079
บัวใหญ่ 0.043 0.029 เมือง 0.201 0.072
บ้ านเหลือม 0.045 0.031 ร่อนพิบลู ย์ 0.156 0.077
ประทาย 0.041 0.028 ลานสกา 0.193 0.077
ปั กธงชัย 0.042 0.032 สิชล 0.160 0.068
ปากช่อง 0.048 0.036 หัวไทร 0.112 0.069
พระทองคํา 0.043 0.031 นครสวรรค์ เก้ าเลียว 0.171 0.070
พิมาย 0.040 0.028 โกรกพระ 0.226 0.084
เมืองนครราชสีมา 0.041 0.030 ชุมตาบง 0.473 0.141
เมืองยาง 0.039 0.027 ชุมแสง 0.116 0.058
ลําทะเมนชัย 0.039 0.026 ตากฟ้า 0.090 0.054
วังนําเขียว 0.043 0.032 ตาคลี 0.112 0.061
สีดา 0.042 0.028 ท่าตะโก 0.091 0.053
สีคิว 0.043 0.033 บรรพตพิสยั 0.221 0.081
สูงเนิน 0.043 0.032 พยุหะคีรี 0.165 0.072
เสิงสาง 0.038 0.028 ไพศาลี 0.077 0.049
150 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
เมืองนครสวรรค์ 0.175 0.072 เมืองบึงกาฬ 0.310 0.071
แม่เปิ น 0.518 0.155 บึงโขงหลง 0.302 0.067
แม่วงก์ 0.494 0.148 บุง่ คล้ า 0.330 0.075
ลาดยาว 0.449 0.130 ปากคาด 0.241 0.059
หนองบัว 0.083 0.050 พรเจริ ญ 0.202 0.053
นราธิวาส จะแนะ 0.063 0.061 ศรี วิไล 0.263 0.064
เจาะไอร้ อง 0.058 0.057 บุรีรัมย์ กระสัง 0.036 0.024
ตากใบ 0.056 0.053 แคนดง 0.038 0.026
บาเจาะ 0.058 0.058 บ้ านด่าน 0.037 0.025
เมืองนราธิวาส 0.057 0.056 คูเมือง 0.038 0.026
ยีงอ 0.059 0.058 เฉลิมพระเกียรติ 0.036 0.025
ระแงะ 0.060 0.059 ชํานิ 0.037 0.026
รื อเสาะ 0.062 0.061 นางรอง 0.037 0.026
แว้ ง 0.061 0.058 นาโพธิ 0.041 0.027
ศรี สาคร 0.063 0.062 โนนดินแดง 0.036 0.026
สุคิริน 0.062 0.060 โนนสุวรรณ 0.037 0.027
สุไหงโกลก 0.059 0.056 บ้ านกรวด 0.034 0.024
สุไหงปาดี 0.059 0.057 บ้ านใหม่ไชยพจน์ 0.041 0.027
น่าน เฉลิมพระเกียรติ 0.705 0.148 ประโคนชัย 0.035 0.025
เชียงกลาง 0.826 0.216 ปะคํา 0.037 0.026
ท่าวังผา 0.927 0.222 พลับพลาชัย 0.035 0.024
ทุง่ ช้ าง 0.773 0.192 พุทไธสง 0.040 0.027
นาน้ อย 0.709 0.124 เมืองบุรีรัมย์ 0.036 0.025
นาหมืน 0.718 0.128 ละหานทราย 0.036 0.026
บ่อเกลือ 0.664 0.138 ลําปลายมาศ 0.037 0.026
บ้ านหลวง 0.714 0.133 สตึก 0.037 0.025
ปั ว 0.924 0.236 หนองกี 0.038 0.028
ภูเพียง 0.732 0.154 หนองหงส์ 0.038 0.027
เมืองน่าน 0.738 0.150 ห้ วยราช 0.036 0.025
แม่จริ ม 0.668 0.133 ประจวบคีรีขนั ธ์ กุยบุรี 0.277 0.085
เวียงสา 0.689 0.126 ทับสะแก 0.185 0.079
สองแคว 0.793 0.168 บางสะพาน 0.158 0.078
สันติสขุ 0.738 0.177 บางสะพานน้ อย 0.120 0.074
บึงกาฬ เซกา 0.206 0.053 ปราณบุรี 0.275 0.085
โซ่พิสยั 0.196 0.052 เมือง 0.263 0.086
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 151
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
สามร้ อยยอด 0.290 0.087 แม่ใจ 0.797 0.156
หัวหิน 0.246 0.081 พังงา กะปง 0.253 0.117
ปราจีนบุรี กบินทร์ บรุ ี 0.047 0.033 เกาะยาว 0.282 0.117
นาดี 0.045 0.033 คุระบุรี 0.323 0.116
ประจันตคาม 0.050 0.035 ตะกัวทุง่ 0.273 0.118
เมืองปราจีนบุรี 0.052 0.036 ตะกัวป่ า 0.261 0.119
ศรี มหาโพธิ 0.051 0.034 ทับปุด 0.267 0.109
ศรี มโหสถ 0.061 0.038 ท้ ายเหมือง 0.267 0.125
ปั ตตานี กะพ้ อ 0.060 0.059 เมืองพังงา 0.272 0.114
โคกโพธิ 0.065 0.066 พัทลุง กงหรา 0.078 0.085
ทุง่ ยางแดง 0.061 0.060 เขาชัยสน 0.074 0.080
ปะนาเระ 0.058 0.058 ควนขนุน 0.072 0.078
มายอ 0.060 0.060 ตะโหมด 0.078 0.084
เมืองปัตตานี 0.062 0.062 บางแก้ ว 0.074 0.080
แม่ลาน 0.064 0.064 ปากพยูน 0.072 0.077
ไม้ แก่น 0.058 0.057 ป่ าพะยอม 0.075 0.082
ยะรัง 0.062 0.062 ป่ าบอน 0.076 0.082
ยะหริ ง 0.060 0.061 เมืองพัทลุง 0.073 0.079
สายบุรี 0.058 0.057 ศรี นคริ นทร์ 0.077 0.084
หนองจิก 0.064 0.065 ศรี บรรพต 0.077 0.083
พระนครศรี อยุธ นครหลวง 0.108 0.059 พิจิตร ดงเจริ ญ 0.088 0.050
บางซ้ าย 0.160 0.073 ตะพานหิน 0.106 0.053
บางปะหัน 0.114 0.060 ทับคล้ อ 0.085 0.047
บ้ านแพรก 0.103 0.057 บางมูลนาก 0.106 0.055
ผักไห่ 0.150 0.070 บึงนาราง 0.155 0.064
ภาชี 0.095 0.055 โพทะเล 0.134 0.062
มหาราช 0.108 0.059 โพธิประทับช้ าง 0.131 0.059
พะเยา จุน 0.756 0.141 เมืองพิจิตร 0.132 0.058
เชียงคํา 0.737 0.142 วชิรบารมี 0.192 0.070
เชียงม่วน 0.745 0.132 วังทรายพูน 0.109 0.051
ดอกคําใต้ 0.756 0.138 สากเหล็ก 0.121 0.054
ปง 0.714 0.137 สามง่าม 0.165 0.064
ภูกามยาว 0.768 0.143 พิษณุโลก ชาติตระการ 0.418 0.096
ภูซาง 0.740 0.146 นครไทย 0.291 0.070
เมืองพะเยา 0.781 0.146 เนินมะปราง 0.125 0.051
152 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
บางกระทุม่ 0.140 0.057 มหาสารคาม กันทรวิชยั 0.048 0.028
บางระกํา 0.268 0.080 กุดรัง 0.045 0.028
พรหมพิราม 0.415 0.104 แกดํา 0.043 0.027
เมืองพิษณุโลก 0.249 0.074 โกสุมพิสยั 0.047 0.029
วังทอง 0.225 0.068 ชืนชม 0.053 0.030
วัดโบสถ์ 0.368 0.091 เชียงยืน 0.050 0.029
เพชรบุรี แก่งกระจาน 0.290 0.111 นาเชือก 0.042 0.027
ชะอํา 0.223 0.083 นาดูน 0.040 0.026
ท่ายาง 0.207 0.085 บรบือ 0.044 0.028
บ้ านลาด 0.191 0.085 พยัคฆภูมิพิสยั 0.039 0.026
บ้ านแหลม 0.202 0.089 เมือง 0.045 0.028
เมืองเพชรบุรี 0.179 0.079 ยางสีสรุ าช 0.040 0.027
หนองหญ้ าปล้ อง 0.269 0.110 วาปี ปทุม 0.041 0.026
เพชรบูรณ์ เขาค้ อ 0.153 0.049 มุกดาหาร คําชะอี 0.052 0.028
ชนแดน 0.079 0.044 ดงหลวง 0.060 0.030
นําหนาว 0.200 0.049 ดอนตาล 0.045 0.026
บึงสามพัน 0.060 0.040 นิคมคําสร้ อย 0.047 0.026
เมืองเพชรบูรณ์ 0.110 0.042 เมืองมุกดาหาร 0.052 0.027
วังโป่ ง 0.093 0.046 หนองสูง 0.048 0.027
วิเชียรบุรี 0.055 0.039 หว้ านใหญ่ 0.062 0.029
ศรี เทพ 0.055 0.040 แม่ฮ่องสอน ขุนยวม 0.888 0.208
หนองไผ่ 0.065 0.039 ปางมะผ้ า 1.059 0.270
หล่มเก่า 0.221 0.054 ปาย 1.019 0.269
หล่มสัก 0.205 0.052 เมืองแม่ฮ่องสอน 0.962 0.227
แพร่ เด่นชัย 0.853 0.197 แม่ลาน้ อย 0.837 0.199
เมืองแพร่ 0.919 0.214 แม่สะเรี ยง 0.832 0.195
ร้ องกวาง 0.795 0.146 สบเมย 0.834 0.201
ลอง 0.880 0.185 ยโสธร กุดชุม 0.041 0.025
วังชิน 1.086 0.275 ค้ อวัง 0.035 0.023
สอง 0.794 0.142 คําเขือนแก้ ว 0.037 0.024
สูงเม่น 0.854 0.197 ทรายมูล 0.040 0.025
หนองม่วงไข่ 0.843 0.191 ไทยเจริ ญ 0.041 0.025
ภูเก็ต กะทู้ 0.306 0.130 ป่ าติว 0.038 0.024
ถลาง 0.313 0.129 มหาชนะชัย 0.036 0.024
เมืองภูเก็ต 0.299 0.129 เมืองยโสธร 0.039 0.025
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 153
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
เลิงนกทา 0.043 0.026 เขาชะเมา 0.057 0.035
ยะลา กรงปิ นงั 0.066 0.066 นิคมพัฒนา 0.094 0.042
กาบัง 0.071 0.072 บ้ านค่าย 0.080 0.040
ธารโต 0.071 0.071 บ้ านฉาง 0.094 0.044
บันนังสตา 0.067 0.066 ปลวกแดง 0.118 0.045
เบตง 0.078 0.076 เมืองระยอง 0.088 0.042
เมืองยะลา 0.064 0.064 วังจันทร์ 0.067 0.037
ยะหา 0.067 0.068 ราชบุรี บ้ านคา 0.308 0.121
รามัน 0.062 0.062 จอมบึง 0.498 0.179
ร้ อยเอ็ด เกษตรวิสยั 0.038 0.025 บ้ านโป่ ง 0.361 0.128
จตุรพักตรพิมาน 0.040 0.026 โพธาราม 0.348 0.123
จังหาร 0.044 0.027 สวนผึง 0.421 0.150
เชียงขวัญ 0.043 0.027 ลพบุรี โคกเจริ ญ 0.066 0.045
ทุง่ เขาหลวง 0.041 0.026 โคกสําโรง 0.080 0.052
ธวัชบุรี 0.042 0.026 ชัยบาดาล 0.054 0.040
ปทุมรัตต์ 0.039 0.026 ท่าวุ้ง 0.107 0.060
พนมไพร 0.038 0.024 ท่าหลวง 0.055 0.041
โพธิชัย 0.044 0.027 บ้ านหมี 0.094 0.055
โพนทราย 0.037 0.024 พัฒนานิคม 0.063 0.044
โพนทอง 0.045 0.027 เมืองลพบุรี 0.080 0.051
เมยวดี 0.046 0.027 ลําสนธิ 0.048 0.036
เมืองร้ อยเอ็ด 0.042 0.027 สระโบสถ์ 0.070 0.047
เมืองสรวง 0.040 0.026 หนองม่วง 0.080 0.051
ศรี สมเด็จ 0.042 0.027 ลําปาง เกาะคา 0.813 0.184
สุวรรณภูมิ 0.038 0.025 งาว 0.784 0.142
เสลภูมิ 0.041 0.026 แจ้ หม่ 0.811 0.160
หนองพอก 0.045 0.027 เถิน 0.651 0.166
หนองฮี 0.037 0.024 เมืองปาน 0.814 0.170
อาจสามารถ 0.040 0.025 เมืองลําปาง 0.835 0.177
ระนอง กระบุรี 0.184 0.089 แม่ทะ 0.930 0.210
กะเปอร์ 0.352 0.105 แม่พริ ก 0.636 0.162
เมืองระนอง 0.310 0.098 แม่เมาะ 0.838 0.155
ละอุน่ 0.249 0.092 วังเหนือ 0.898 0.195
สุขสําราญ 0.355 0.112 สบปราบ 0.935 0.264
ระยอง แกลง 0.056 0.036 เสริ มงาม 0.775 0.195
154 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
ห้ างฉัตร 0.814 0.178 ภูสงิ ห์ 0.031 0.021
ลําพูน ทุง่ หัวช้ าง 0.809 0.213 เมืองจันทร์ 0.035 0.023
บ้ านธิ 0.872 0.209 เมืองศรี สะเกษ 0.034 0.022
บ้ านโฮ่ง 0.876 0.237 ยางชุมน้ อย 0.034 0.022
ป่ าซาง 0.915 0.240 ราษี ไศล 0.035 0.023
เมืองลําพูน 0.908 0.232 วังหิน 0.033 0.022
แม่ทา 0.851 0.211 ศิลาลาด 0.036 0.024
ลี 0.765 0.209 ศรี รัตนะ 0.032 0.021
เวียงหนองล่อง 0.894 0.245 ห้ วยทับทัน 0.034 0.023
เลย เชียงคาน 0.265 0.066 อุทมุ พรพิสยั 0.034 0.023
ด่านซ้ าย 0.287 0.068 สกลนคร กุดบาก 0.069 0.033
ท่าลี 0.283 0.069 กุสมุ าลย์ 0.123 0.038
นาด้ วง 0.172 0.047 คําตากล้ า 0.176 0.048
นาแห้ ว 0.390 0.087 โคกศรี สพุ รรณ 0.075 0.032
ปากชม 0.202 0.053 เจริ ญศิลป์ 0.113 0.039
ผาขาว 0.152 0.043 เต่างอย 0.065 0.031
ภูกระดึง 0.148 0.042 นิคมนําอูน 0.074 0.034
ภูเรื อ 0.279 0.066 บ้ านม่วง 0.150 0.045
ภูหลวง 0.239 0.055 พรรณานิคม 0.087 0.035
เมืองเลย 0.215 0.054 พังโคน 0.088 0.036
วังสะพุง 0.222 0.053 โพนนาแก้ ว 0.102 0.035
หนองหิน 0.193 0.049 ภูพาน 0.061 0.031
เอราวัณ 0.177 0.047 เมืองสกลนคร 0.082 0.033
ศรี สะเกษ กันทรลักษ์ 0.030 0.020 วานรนิวาส 0.119 0.040
กันทรารมย์ 0.033 0.022 วาริ ชภูมิ 0.082 0.035
ขุขนั ธ์ 0.032 0.021 สว่างแดนดิน 0.094 0.037
ขุนหาญ 0.031 0.021 ส่องดาว 0.093 0.037
นําเกลียง 0.032 0.021 อากาศอํานวย 0.143 0.043
โนนคูณ 0.032 0.021 สงขลา กระแสสินธ์ 0.069 0.074
บึงบูรพ์ 0.035 0.024 คลองหอยโข่ง 0.077 0.082
เบญจลักษ์ 0.031 0.020 ควนเนียง 0.073 0.078
ปรางค์กู่ 0.033 0.022 จะนะ 0.069 0.073
พยุห์ 0.033 0.022 เทพา 0.066 0.068
โพธิศรี สวุ รรณ 0.035 0.023 นาทวี 0.072 0.075
ไพรบึง 0.032 0.021 นาหม่อม 0.072 0.076
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 155
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
บางกลํา 0.074 0.079 หนองแค 0.076 0.055
เมืองสงขลา 0.069 0.073 หนองแซง 0.089 0.053
ระโนด 0.068 0.072 หนองโดน 0.090 0.054
รัตภูมิ 0.077 0.083 สิงห์บรุ ี ค่ายบางระจัน 0.121 0.063
สิงหนคร 0.069 0.073 ท่าช้ าง 0.119 0.063
สทิงพระ 0.069 0.073 บางระจัน 0.127 0.065
สะเดา 0.079 0.084 พรหมบุรี 0.109 0.059
สะบ้ าย้ อย 0.069 0.071 เมืองสิงห์บรุ ี 0.114 0.061
หาดใหญ่ 0.074 0.079 อินทร์ บรุ ี 0.120 0.063
สตูล ควนกาหลง 0.083 0.089 สุโขทัย กงไกรลาศ 0.431 0.109
ควนโดน 0.084 0.090 คีรีมาศ 0.435 0.111
ท่าแพ 0.088 0.094 ทุง่ เสลียม 0.490 0.126
ทุง่ หว้ า 0.088 0.094 บ้ านด่านลาน 0.451 0.120
มะนัง 0.084 0.091 เมืองสุโขทัย 0.449 0.117
เมืองสตูล 0.087 0.093 ศรี นคร 0.621 0.154
ละงู 0.092 0.096 ศรี สชั นาลัย 0.526 0.131
สระแก้ ว เขาฉกรรจ์ 0.043 0.031 ศรี สาํ โรง 0.464 0.118
คลองหาด 0.040 0.029 สวรรคโลก 0.503 0.126
โคกสูง 0.036 0.026 สุพรรณบุรี ดอนเจดีย์ 0.349 0.114
ตาพระยา 0.035 0.025 ด่านช้ าง 0.494 0.146
เมืองสระแก้ ว 0.042 0.030 เดิมบางนางบวช 0.188 0.080
วังนําเย็น 0.042 0.030 บางปลาม้ า 0.204 0.083
วังสมบูรณ์ 0.043 0.030 เมืองสุพรรณบุรี 0.258 0.096
วัฒนานคร 0.039 0.029 ศรี ประจันต์ 0.186 0.079
อรัญประเทศ 0.037 0.027 สองพีน้ อง 0.246 0.093
สระบุรี แก่งคอย 0.067 0.045 สามชุก 0.200 0.082
เฉลิมพระเกียรติ 0.078 0.050 หนองหญ้ าไซ 0.311 0.106
ดอนพุด 0.101 0.057 อูท่ อง 0.346 0.115
บ้ านหมอ 0.087 0.053 สุราษฎร์ ธานี กาญจนดิษฐ์ 0.138 0.076
พระพุทธบาท 0.082 0.052 เกาะพะงัน 0.066 0.061
มวกเหล็ก 0.057 0.041 เกาะสมุย 0.076 0.062
วังม่วง 0.057 0.042 คีรีรัฐนิคม 0.276 0.091
วิหารแดง 0.071 0.053 เคียนซา 0.236 0.086
เมืองสระบุรี 0.070 0.053 ชัยบุรี 0.228 0.094
เสาไห้ 0.081 0.051 ไชยา 0.163 0.080
156 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
ดอนสัก 0.109 0.069 ศรี เชียงใหม่ 0.197 0.050
ท่าฉาง 0.199 0.083 สระใคร 0.192 0.047
ท่าชนะ 0.175 0.081 สังคม 0.200 0.053
บ้ านตาขุน 0.310 0.095 หนองบัวลําภู นากลาง 0.165 0.045
บ้ านนาเดิม 0.207 0.083 นาวัง 0.178 0.047
บ้ านนาสาร 0.195 0.083 โนนสัง 0.083 0.035
พนม 0.291 0.098 เมือง 0.132 0.041
พระแสง 0.264 0.095 ศรี บญ ุ เรื อง 0.102 0.037
พุนพิน 0.218 0.083 สุวรรณคูหา 0.198 0.050
เมืองสุราษฎร์ ธานี 0.188 0.080 อ่างทอง ไชโย 0.116 0.062
วิภาวดี 0.296 0.093 ป่ าโมก 0.121 0.062
เวียงสระ 0.201 0.084 โพธิทอง 0.146 0.070
สุรินทร์ กาบเชิง 0.033 0.023 เมืองอ่างทอง 0.120 0.062
เขวาสินริ นทร์ 0.035 0.024 วิเศษชัยชาญ 0.135 0.066
จอมพระ 0.036 0.024 สามโก้ 0.151 0.071
ชุมพลบุรี 0.037 0.025 แสวงหา 0.130 0.065
ท่าตูม 0.036 0.024 อํานาจเจริ ญ ชานุมาน 0.043 0.025
โนนนารายณ์ 0.035 0.024 ปทุมราชวงศา 0.038 0.024
บัวเชด 0.032 0.022 พนา 0.036 0.023
ปราสาท 0.034 0.024 เมืองอํานาจเจริ ญ 0.038 0.024
พนมดงรัก 0.034 0.023 ลืออํานาจ 0.037 0.023
เมืองสุรินทร์ 0.035 0.024 เสนางคนิคม 0.040 0.025
รัตนบุรี 0.036 0.024 หัวตะพาน 0.037 0.024
ลําดวน 0.034 0.023 อุดรธานี กู่แก้ ว 0.095 0.036
ศีขรภูมิ 0.034 0.023 กุดจับ 0.184 0.047
ศรี ณรงค์ 0.033 0.023 กุมภวาปี 0.104 0.037
สนม 0.036 0.024 ไชยวาน 0.108 0.038
สังขะ 0.033 0.022 ทุง่ ฝน 0.132 0.041
สําโรงทาบ 0.034 0.023 นายูง 0.213 0.054
หนองคาย ท่าบ่อ 0.212 0.051 นําโสม 0.215 0.053
เฝ้าไร่ 0.191 0.050 โนนสะอาด 0.083 0.035
โพธิตาก 0.208 0.052 บ้ านดุง 0.181 0.048
โพนพิสยั 0.218 0.052 บ้ านผือ 0.208 0.051
เมืองหนองคาย 0.196 0.048 ประจักษ์ ศิลปา 0.124 0.039
รัตนวาปี 0.211 0.053 พิบลู ย์รักษ์ 0.180 0.047
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 157
ค่าความเร่ง ค่าความเร่ง
จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม จังหวัด อําเภอ เชิงสเปกตรัม
SS S1 SS S1
เพ็ญ 0.254 0.057 นาตาล 0.037 0.023
เมืองอุดรธานี 0.176 0.045 นาเยีย 0.031 0.020
วังสามหมอ 0.066 0.032 นําขุน่ 0.029 0.019
ศรี ธาตุ 0.074 0.033 นํายืน 0.029 0.019
สร้ างคอม 0.250 0.057 บุณฑริ ก 0.029 0.019
หนองวัวซอ 0.124 0.040 พิบลู มังสาหาร 0.031 0.020
หนองแสง 0.108 0.038 โพธิไทร 0.036 0.023
หนองหาน 0.128 0.040 ม่วงสามสิบ 0.035 0.023
อุตรดิตถ์ ตรอน 0.684 0.167 เมืองอุบลราชธานี 0.033 0.021
ทองแสนขัน 0.570 0.134 วาริ นชําราบ 0.033 0.021
ท่าปลา 0.671 0.159 ศรี เมืองใหม่ 0.034 0.021
นําปาด 0.526 0.118 สว่างวีระวงศ์ 0.032 0.021
บ้ านโคก 0.484 0.108 สิรินธร 0.031 0.020
พิชยั 0.617 0.154 สําโรง 0.032 0.021
ฟากท่า 0.505 0.114 เหล่าเสือโก้ ก 0.034 0.022
เมืองอุตรดิตถ์ 0.579 0.139
ลับแล 0.558 0.135
อุทยั ธานี ทัพทัน 0.244 0.091
บ้ านไร่ 0.299 0.107
เมืองอุทยั ธานี 0.165 0.074
ลานสัก 0.321 0.109
สว่างอารมณ์ 0.202 0.081
หนองขาหย่าง 0.189 0.080
หนองฉาง 0.281 0.100
ห้ วยคต 0.379 0.123
อุบลราชธานี กุดข้ าวปุน้ 0.037 0.023
เขมราฐ 0.039 0.024
เขืองใน 0.035 0.023
โขงเจียม 0.032 0.020
ดอนมดแดง 0.034 0.022
เดชอุดม 0.031 0.020
ตระการพืชผล 0.035 0.022
ตาลสุม 0.033 0.021
ทุง่ ศรี อดุ ม 0.030 0.020
นาจะหลวย 0.028 0.018
158 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
ข) พืนทีในแอ่ งกรุงเทพ
พืนทีในแอ่งกรุ งเทพครอบคลุมกรุงเทพมหานครและจังหวัดปริ มลฑลหลายจังหวั ด พืนทีนีได้
ถูกแบ่งย่อยเป็ น 10 โซน ดังรู ปที .18 ค่าความเร่ งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบ
โดยวิธีแรงสถิตเทียบเท่า ในพืนที 10 โซนนี ให้ ใช้ ค่าดังแสดงในรู ปที 5.16-5.17 หรื อใช้ ค่าตามที
แสดงในตารางที 5.33
อาวไทย
(Gulf of Thailand)
5.6.3 ตัวประกอบความสําคัญและประเภทของอาคาร
อาคารมี ก ารจํ า แนกตามลั ก ษณะการใช้ งานและความสํ า คัญ ของอาคารที มี ต่ อ
สาธารณชนและการบรรเทาภัยหลังเกิดเหตุ แบ่งออกเป็ น ประเภท (Occupancy Category) คือ
ประเภท I, II, III, และ IV โดยอาคารแต่ละประเภทมีคา่ ตัวประกอบความสําคัญ (Importance
Factor) เพือใช้ ในการออกแบบอาคารต้ านทานแผ่นดินไหวแตกต่างกัน ดังแสดงในตารางที 5.35
0.50 d S DS ง ง ง
164 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
0.20 d SD1 ง ง ง
5.6.5 การจําแนกระบบโครงสร้ าง
ระดับชันที 1
G1 F1 = แรงกระทําระดับกําลัง
F1
G e1 = การเคลือนทีอิลาสติกเนืองจาก
G e1 '1
แรงกระทําระดับกําลัง F1
Cd G e1
G1 = การเคลือนทีขยายกําลัง
L1 I
'1 G1 d ' a
'i = การโยกตัวของชันที i
'i Li = อัตราส่วนการเคลือนทีของชันที i
G 2 = การเคลือนทีทังหมด
'x แนวเสาของอาคารทีเอนไป
Vx
ระดับชัน x
hx
ระดับชัน x-
5.6.11 ขันตอนการออกแบบ
U 0.9 D 1.0 E
12) ออกแบบขนาดหน้ าตัดขององค์อาคารต่างๆ คือ พืน คาน เสา และฐานราก และ
ออกแบบรายละเอียดการเหล็กเสริมในคานและเสาให้ มีความเหนียวตาม
มาตรฐาน สําหรับในทีนีจะกล่าวรายละเอียดตังแต่ขนตอนที
ั 1 ถึง 11 เท่านัน
ก) แรงเฉือนทีฐานอาคาร เนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ข) แรงกระทําทีชันอาคารแต่ละชันและแรงเฉือนทีเกิดขึน
ค) ตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร
ง) โมเมนต์และแรงเฉือนจากการรวมนําหนักบรรทุกคงที นําหนักบรรทุกจร และแรงแผ่นดินไหว
กําหนดให้ ใช้ พืนคอนกรี ตสําเร็ จรู ป Hollow Core Slab คิดเป็ นนําหนักบรรทุก
คงทีทังหมด 5.0 กิโลนิวตัน/ตร.ม. ซึงรวมทัง นําหนักพืน คาน เสาและผนังกําแพง นําหนักบรรทุก
จร 3.0 กิโลนิวตัน/ตร.ม. โมดูลสั ยืดหยุ่นคอนกรี ต Ec =23,000 เมกาปาสกาล เสาสําหรับทุกชันมี
ขนาด 0.40x0.60 ม. คานตามยาวมีขนาด 0.30x0.60 ม. คานตามขวางมีขนาด 0.30x0.75 ม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า 175
D N
1 2 3 4 5 6 7 8 9 E
7.2 ม.
7.2 ม.
C
D
3.6 ม.
3.6 ม.
3.6 ม.
3.6 ม.
7.2 ม. 7.2 ม.
รูปที 5.22 รูปตัดของอาคารโรงพยาบาล
วิธีทาํ
1) จากค่าความเร่งตอบสนอง Ss 0.706 g , S1 0.155g และชันดินปกติจดั เป็ นประเภท D
ค่าสัมประสิทธิปรับแก้ เนืองจากผลของชันดิน Fa 1.24 และ Fv 2.18
2) คํานวณค่าความเร่งตอบสนองสําหรับการออกแบบ SDS และ S D1 จาก
2 2
S DS Fa Ss 1.24 u 0.706 0.58g
3 3
2 2
S D1 Fv S1 2.18 u 0.155 0.23g
3 3
176 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที5 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีแรงสถิ ตเทียบเท่า
A B C
F4 = 361.60 KN
V4 = 361.60 KN
F3 = 271.20 KN
V3 = 632.80 KN
F2 = 180.80 KN
V2 = 813.60 KN
F1 = 90.40 KN
V1 = 904 KN
12 E
คํานวณค่าสติฟเนสของโครงสร้ างแต่ละชัน จาก k =
½
° 1
2 1 °
h ® ¾
I I
°¦ c ¦ b °
¯ h l ¿
สําหรับแรงกระทําในทิศทาง เหนือ-ใต้ (N-S)
ค่าโมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของเสา
40 60
3
Ic 0.7 504, 000 ซม.4
12
ค่าโมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของคาน
30 75
3
Ib 0.35 369,141 ซม.4
12
สําหรับแรงกระทําในทิศทาง ตะวันออก-ตะวันตก (E-W)
ค่าโมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของเสา
60 40
3
Ic 0.7 224, 000 ซม.4
12
ค่าโมเมนต์อินเนอร์ เชียประสิทธิผลของคาน
30 60
3
4
Ib 0.35 189, 000 ซม.
12
ดังแสดงในตารางที 5.43
ตารางที 5.43 การคํานวณค่า Overturning Moment ในทิศทาง N-S
ชัน แรงกระทําด้ านข้ าง Fx ความสูงระหว่างชัน Overturning Moment
(กิโลนิวตัน) hx (ม.) M x (กิโลนิวตัน-ม.)
4 361.60 3.6 -
3 271.20 3.6 1,301.76
2 180.80 3.6 3,579.84
1 90.40 3.6 6,508.80
ฐาน 9,763.20
บทที 6
การออกแบบอาคารโดยวิธีพลศาสตร์
6.1 บทนํา
To 0.2 S D1 S DS
Ts S D1 S DS
S DS S D1
S DS S D1
S D1 Sa
Sa T
S D1 T
0.4 S DS 0.4 S DS
S D1
Ts
S DS
To Ts 1.0 2.0 T (sec) 0.2 Ts 1.0 2.0 T (sec)
1.00 1.00
Sa, (g)
Sa, (g)
0.10 0.10
Sa, (g)
0.10 0.10
Sa, (g)
0.10 0.10
Sa, (g)
0.10 0.10
Sa, (g)
0.10 0.10
ตารางที 6.1 ค่ าความเร่ งตอบสนองเชิ งสเปกตรั ม การออกแบบ ด้ ว ยวิ ธี พลศาสตร์ (อั ตราส่ ว น
ความหน่ วง . %) ของพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพ (มยผ.1301/1302-61)
Sa Sa SDS Sa S D1 Sa Sa Sa Sa Sa
โซน (0.01s) (0.2 s) (0.5 s) (1.0s) (2.0 s) (3.0 s) (4.0 s) (5.0 s) (6.0 s)
1 0.208 0.654 0.451 0.233 0.110 0.053 0.042 0.031 0.029
2 0.136 0.318 0.439 0.249 0.196 0.108 0.058 0.038 0.030
3 0.111 0.266 0.320 0.353 0.217 0.109 0.064 0.044 0.034
4 0.102 0.260 0.330 0.264 0.218 0.100 0.039 0.029 0.027
5 0.075 0.148 0.220 0.250 0.223 0.126 0.067 0.047 0.038
6 0.099 0.226 0.340 0.198 0.207 0.093 0.053 0.040 0.035
7 0.093 0.200 0.291 0.231 0.177 0.103 0.064 0.046 0.040
8 0.085 0.236 0.210 0.097 0.055 0.033 0.018 0.012 0.011
9 0.080 0.205 0.269 0.194 0.144 0.061 0.026 0.017 0.013
10 0.115 0.383 0.225 0.059 0.047 0.031 0.017 0.012 0.010
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 187
ตารางที 6.2 ค่ าความเร่ งตอบสนองเชิ งสเปกตรั ม การออกแบบ ด้ ว ยวิ ธี พลศาสตร์ (อั ตราส่ ว น
ความหน่ วง . %) ของพืนทีในแอ่ งกรุ งเทพ (มยผ.1301/1302-61)
Sa Sa SDS Sa S D1 Sa Sa Sa Sa Sa
โซน (0.01s) (0.2 s) (0.5 s) (1.0s) (2.0 s) (3.0 s) (4.0 s) (5.0 s) (6.0 s)
1 0.208 0.495 0.360 0.181 0.085 0.041 0.034 0.024 0.022
2 0.136 0.257 0.352 0.193 0.151 0.084 0.047 0.030 0.024
3 0.111 0.212 0.262 0.265 0.166 0.085 0.052 0.035 0.026
4 0.102 0.211 0.287 0.207 0.163 0.078 0.032 0.023 0.020
5 0.075 0.128 0.191 0.199 0.168 0.094 0.053 0.037 0.028
6 0.099 0.189 0.272 0.154 0.150 0.077 0.042 0.031 0.026
7 0.093 0.167 0.246 0.181 0.132 0.084 0.051 0.036 0.030
8 0.085 0.189 0.162 0.075 0.041 0.025 0.015 0.010 0.008
9 0.080 0.165 0.214 0.156 0.107 0.048 0.022 0.014 0.011
10 0.115 0.301 0.179 0.049 0.035 0.023 0.014 0.010 0.008
เนื องจากแรงเฉื อนที ฐานอาคารตามที คํ า นวณได้ จ ากวิ ธี ก ารวิ เ คราะห์ ส เปกตรั ม ของ
ผลตอบสนอง เป็ นแรงเฉือนในระดับพฤติกรรมยืดหยุ่น จึงมีการปรับค่าให้ เป็ นแรงเฉือนทีใช้ ในการ
ออกแบบระดับไม่ยืดหยุน่ และนํามาเทียบกับค่าแรงเฉือนทีได้ จากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า ดังนี
สําหรับ มยผ.1301/1302-61
ปรับค่าแรงเฉือนทีได้ ด้วยใช้ ตวั คูณ I / R และนํามาเทียบกับค่าแรงเฉือนทีได้ จากวิธีแรง
สถิตเทียบเท่า ให้ คา่ แรงเฉือนทีได้ ให้ มีคา่ ไม่น้อยกว่า 85% ของแรงเฉือนจากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 188
ในการคํานวณปรั บเทียบนี ค่าแรงเฉื อนทีคํานวณด้ วยวิธี แ รงสถิ ตเที ยบเท่า ให้ ใช้ คาบการสัน
ธรรมชาติทีคํานวณได้ จากวิธีสเปกตรัมผลตอบสนอง ซึงมีค่าไม่เกิน 1.5 เท่าของค่าทีคํานวณได้
จากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า
สําหรับค่าการเคลือนทีของโครงสร้ าง ซึงคํานวณได้ จากแรงกระทําที ได้ จากการปรับเป็ น
ค่าแรงเฉื อนทีใช้ ในการออกแบบตามทีกล่าวข้ างต้ น แล้ ว ให้ ปรั บค่าการเคลือนที โดยใช้ ตวั คูณ
Cd / I เนืองจาก ค่าการเคลือนทีซึงคํานวณจากแรงเฉื อนทีใช้ ออกแบบทีปรั บค่าแล้ วนี มีคา่ อยู่ใน
พิกดั ยืดหยุน่ จึงต้ องมีการปรับค่าให้ เป็ นการเคลือนทีระดับไม่ยืดหยุน่
6.2 การคํานวณผลตอบสนองของอาคาร
mn
un
kn/2 kn/2
mn-1 un-1
kn-1/2 kn-1/2
m4 u4
k4/2 k4/2
m3 u3
k3/2 k3/2
m2 u2
k2/2 k2/2
m1
u1
k1/2 k1/2
ug
รูปที 6.4 หน้ าตัดอาคารแบบเฉือนหลายชันมีการเคลือนทีของฐาน
N
= ¦ * mIim SamWi (6.14)
i 1
ค่านําหนักประสิทธิผลของแต่ละรูปแบบการเคลือนที Wm มีการกําหนดมาจากสมการ
Vm = Wm Sam (6.15)
จากสมการที 6.14 ค่านําหนักประสิทธิผลของแต่ละรูปแบบการเคลือนทีอยูใ่ นรูปของ
N
Wm = * m ¦ IimWi (6.16)
i 1
เมือนําสมการที 6.5 และ 6.16 มารวมกัน จะได้ คา่ ความสัมพันธ์ทีสําคัญของนําหนักประสิทธิผล
ของแต่ละรูปแบบการเคลือนที ดังนี
2
ªN º
« ¦ IimWi »
Wm = ¬« i 1 ¼» (6.17)
N
¦ 2
Iim Wi
i 1
จากการพิสจู น์ด้วยการวิเคราะห์โดย CloughและPenzien (1993) แสดงว่า ผลรวมของค่านําหนัก
ประสิทธิผลของทุกรูปแบบการเคลือนทีของอาคารมีคา่ เท่ากับนําหนักของอาคารทังหมด นันคือ
N N
¦ Wm = ¦Wi (6.18)
m 1 i 1
สมการที 6.18 มีประโยชน์ในการประเมินหาค่าจํานวนของรูปแบบการสันของอาคารเพือใช้ ในการ
ออกแบบ โดยเฉพาะอย่างยิง ข้ อกําหนดของ UBC1994, UBC1997 และ มยผ.1301/1302-61
เสนอว่าหากค่าผลรวมของนําหนักอาคารในแต่ละโหมด จากจํานวนรู ปแบบการสันแบบต่างๆ
เท่ากับหรื อมากกว่า 90% ของนําหนักอาคารทังหมด จึงจะถือว่าเป็ นจํานวนของรูปแบบการสันที
เพียงพอ นันคือ การคํานวณผลรวมของค่า นําหนักประสิทธิ ผลจากสมการที 6.17 ของแต่ล ะ
รูปแบบจนกระทังนําหนักทีได้ มีคา่ เท่ากับหรื อมากกว่า 90% ของนําหนักอาคาร
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 192
ค่า โมเมนต์ บิ ด ของแต่ล ะรู ป แบบการเคลื อนที M txm สํ า หรั บ ระดับ ชัน x ของอาคาร
เนืองจาก ค่าการเยืองศูนย์ ex ระหว่างจุดศูนย์กลางของมวลและจุดศูนย์กลางของแรงต้ านทาน
ทางด้ านข้ างทีระดับชันนันคํานวณได้ จาก
M txm = exVxm (6.28)
โดยที Vxm คือ ค่าแรงเฉือนทีของแต่ละรูปแบบการเคลือนทีระดับชัน x ของอาคาร
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 194
การคํานวณขันต้ นหรื อการคํานวณด้ วยมือ เทคนิค SRSS เป็ นวิธีทีง่ายและนิยมใช้ กนั โดยทัวไปใน
การคํานวณหาผลตอบสนองสูงสุดทีใช้ ในการออกแบบ
นอกจากนี ผลงานวิจัยหลายชินในระยะหลัง ยังพบว่า การวิเ คราะห์ด้วยวิธีส เปกตรั ม
ผลตอบสนอง ให้ ค่าแรงเฉื อนตํากว่าแรงเฉื อนทีวิเคราะห์ด้วยวิธี NTHA โดยเฉพาะโครงสร้ าง
อาคารสูงทีมีกําแพงรับแรงเฉื อน เนืองจากผลของการปรับ ค่าแรงเฉื อนในแต่ละรู ปแบบการสัน
เท่าๆกันด้ วยค่าตัวประกอบผลตอบสนอง (R Factor) จึงได้ มีการเสนอปรับปรุ งวิธีการวิเคราะห์
สเปกตรัมผลตอบสนองใหม่ เช่น การใช้ คา่ ตัวประกอบผลตอบสนองเฉพาะค่าแรงเฉือนในรูปแบบ
การสันพืนฐาน (Fundamental Mode) (Priestley, 2003) การใช้ คา่ ตัวประกอบผลตอบสนองที
แตกต่างกันในแต่ละรูปแบบการสัน (Calugaru และ Panagiotou, 2012) นอกจากนี ข้ อกําหนดใน
EC8(2004), NZS (2006), NBCC (2010) ยังได้ ปรับปรุงวิธีการคํานวณแรงเฉือนสําหรับโครงสร้ าง
คอนกรี ตเสริ มเหล็กทีมีกําแพงรับแรงเฉือน เพือรองรับแรงเฉือนทีมีคา่ สูง ขึนสําหรับรูปแบบการสัน
ทีสูงขึน (Higher Modes) ผลงานวิจยั เหล่านี จึงนําไปสู่การปรับปรุงมาตรฐาน มยผ.1301/1302-
61 ดังนี
การคํานวณ ค่าแรงภายในทีใช้ สําหรับออกแบบกําลังความแข็งแรงของชินส่วนโครงสร้ าง
ยกเว้ นค่าแรงเฉื อนสําหรับการออกแบบชินส่วนโครงสร้ างแนวดิงเป็ นรายชินส่วน ให้ ใช้ ค่าการ
I
ตอบสนองสูงสุดของระบบยืดหยุน่ เชิงเส้ นในแต่ละโหมดคูณด้ วย
R
ในการคํานวณแรงเฉือนรวมทีฐาน (Total Base Shear, Vt ) ซึงรวมผลจากหลายโหมด
I
ด้ วยวิ ธี SRSS โดยทุก โหมดถูกคูณ ด้ วย จะได้ ค่าแรงเฉื อ นที ฐาน จากการวิเ คราะห์ เ ชิ ง
R
พลศาสตร์
I
Vt Vb2,1e Vb2,2 e Vb2,3e (6.30)
R
2
§S :V ·
V I ¨ F 0 1e ¸ V22e V32e (6.31)
© R ¹
โดยที V1e ,V2e , และ V3e คือ แรงเฉือนในระบบยืดหยุ่นเชิงเส้ นในโหมดที , , และ ตามลําดับ
วิธีการคํานวณนีเรี ยกว่า Modified Response Spectrum Analysis (MRSA) ซึงเป็ นการปรับ
วิธีการคํานวณแรงเฉือนต้ านทานให้ การออกแบบมีความปลอดภัยโดยพิจารณาแรงเฉือนเนืองจาก
โหมดสูงเป็ นแบบยืดหยุน่ เชิงเส้ น
SF I
M M 1e 2 M 2 e 2 M 3e 2 (6.32)
R
โดยที M1e , M 2e , และ M 3e คื อ โมเมนต์ ดัด ในระบบยื ด หยุ่น เชิ ง เส้ น ในโหมดที , , และ
ตามลําดับ
ในการเคลือนตัวและการเคลือนตัวสัมพัทธ์ ระหว่างชัน ทีเกิดขึนจริ ง ซึงพิจารณาผลของ
การตอบสนองแบบอินอีลาสติก คํานวณได้ จากการเคลือนตัวและการเคลือนตัวสัมพัทธ์ระหว่าง
ชันภายใต้ แรงทีใช้ ออกแบบกําลังความแข็งแรงของชินส่วนโครงสร้ าง (ค่าการเคลือนตัวทีคูณด้ วย
I Cd Cd
แล้ ว) คูณด้ วยค่า ซึงเทียบเท่ากับค่าการเคลือนตัวของระบบยืดหยุน่ เชิงเส้ นคูณด้ วย
R I R
Cd
G G12e G 22e G 32e (6.33)
R
Cd
' '12e ' 22 e ' 32e (6.34)
R
โดยที G1e , G 2e , และ G3e คื อ การเคลื อนตัว ในระบบยื ด หยุ่น เชิ ง เส้ น ในโหมดที , , และ
ตามลําดับ และ '1e , '2e , และ '3e คือ การเคลือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชันในระบบยืดหยุ่นเชิงเส้ น
ในโหมดที , , และ ตามลําดับ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 197
Vx A
ระดับชัน x
MA
hx
MB
B Vx-1 ระดับชัน x-
Px-1
รูปที 6.5 ผลกระทบของ P' ต่ อเสาอาคาร
1) สําหรับอาคารนอกเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หาค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมที
คาบสันและที . วินาที Ss และ S1 จากตาราง พร้ อมกับกํ าหนดประเภทของดิน ที รองรั บ
อาคาร(A,B,C,D,E,F) และเลือกค่าสัมประสิทธิ ปรับแก้ เนื องจากผลของชันดิน Fa และ Fv
สําหรั บอาคารที ตังอยู่ในเขตกรุ งเทพมหานครและปริ มณฑล สามารถใช้ กราฟความเร่ ง
ตอบสนองเชิงสเปกตรัมด้ วยวิธีพลศาสตร์ ทีแสดงข้ างต้ น
2) คํานวณค่าความเร่งตอบสนองสําหรับการออกแบบ SDS และ S D1 จาก
2
S DS Fa S s
3
2
S D1 Fv S1
3
3) กํ าหนดประเภทการออกแบบต้ า นแรงแผ่นดิน ไหว (ข,ค,ง) ตามค่า S DS และ S D1 และ
ความสําคัญของอาคาร (I, II, III, IV)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 198
ตัวอย่ างที 6.1 อาคารคลังเก็บนํามันแห่งหนึง โครงสร้ างเป็ นคอนกรี ตเสริ มเหล็ก สูง 4 ชัน มี
ความสูงระหว่างชัน 3.6 ม. มีคา่ นําหนักบรรทุกคงที 672 กก./ตร.ม. ซึงรวมทังนําหนักพืน คาน
เสาและผนังกําแพง มีคา่ นําหนักบรรทุกจร 600 กก./ตร.ม. อาคารนีตังอยู่ในเขตพืนทีภาคเหนือ
ของประเทศไทย โดยสมมุติ ให้ Ss 0.706 g , S1 0.155g และชันดินทีใต้ ฐานรากเป็ นชันดิน
ปกติ จงใช้ วิธีการวิเคราะห์สเปกตรัมผลตอบสนองตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 คํานวณหา
ก) แรงเฉือนทีฐานอาคาร เนืองจากแรงแผ่นดินไหว
ข) แรงกระทําทีชันอาคารแต่ละชันและแรงเฉือนทีเกิดขึน
ค) ตรวจสอบความมันคงของโครงสร้ างอาคาร
D
1 2 3 4 5 6 7 8 9
A B C
A
3.6 ม.
7.2 ม.
3.6 ม.
B
3.6 ม.
7.2 ม.
3.6 ม.
C
D 7.2 ม. 7.2 ม.
8@3.6 ม.= 28.8 ม.
ก) ผังอาคาร ข) รูปตัดขวาง
รูปที 6.6 ผังอาคารคลังเก็บสินค้ า
วิธีทาํ
ขันตอนที 1 นําหนัก Wi ทีแต่ ละชันอาคาร
เนืองจากอาคารนีเป็ นคลังเก็บพัสดุ จึงต้ องเพิมนําหนักอีก 25% ของนําหนักบรรทุกจร
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 200
ขันตอนที 2 แบบจําลองของโครงสร้ าง
13 7 14 8 15
18 19 20
10 5 11 6 12
15 16 17
4@3.6 = 14.4 m
3 8 4 9
7
12 13 14
4 1 5 2 6
9 10 11
1 2 3
x
7. 2 m 7. 2 m
4 4 4 4
3 3 3 3
2 2 2 2
1 1 1 1
0.6
0.5
0.4
0.3
0.2
0.1
แรงเฉือนทีฐานทังหมดคํานวณโดยเทคนิค SRSS
(45.2)2 11.5 3.1 2.6
2 2 2
V = = 46.8 ตัน
N N
จากการตรวจสอบค่า ¦ Wm =162.4 ตัน ใกล้ เคียงกันกับ ¦ Wi =162.6 ตัน
m 1 i 1
ดังนัน จํานวนรูปแบบการสัน (modes) = 4 จึงถือว่าพอเพียง
S D1 0.23
Cs 0.109 g ! 0.10 g และ Cs ! 0.01g
§R· § 8 ·
T¨ ¸ 0.432 ¨ ¸
©I¹ © 1.5 ¹
ดังนัน Cs 0.10 g และ V CsW 0.10 u162.6 16.26 ตัน
ปรับค่าแรงเฉื อนทีได้ โดยคูณ ด้ วยค่า I / R เพือเป็ นค่าแรงเฉื อนที ฐานสําหรั บการออกแบบ
1.5
V 46.8 u 8.77 ตัน
8
เนืองจากค่าแรงเฉือนสําหรับการออกแบบ 8.77 ตัน น้ อยกว่า 0.85x16.26 = 13.82 ตัน
0.85Vstatic 0.85 u16.26
ดังนัน ปรับด้ วยค่า SF = = = 1.57
Vdynamic 8.77
ดังนันจึงนําค่า SF มาคูณกับค่า Vm เป็ นค่าใหม่
A B C
F4 = 5.36 ตัน
V4 = 5.36 ตัน
F3 = 5.07 ตัน
V3 = 9.48 ตัน
F2 = 4.68 ตัน
V2 = 12.19 ตัน
F1 = 3.31 ตัน
Vb = V1 = 13.79 ตัน
m 1
ตารางที 6.8 ค่ าระยะการเคลือนตัวจากฐานของแต่ ละรูปแบบการสัน G xm (ซม.)
ระดับชัน รูปแบบที1, รูปแบบที2, รูปแบบที3, รูปแบบที4, G x ทีใช้ ออกแบบ
x G x1 G x2 G x3 G x4
4 6.075 -0.399 0.056 -0.005 6.088
3 5.083 0.061 -0.081 0.015 5.084
2 3.190 0.411 0.019 -0.030 3.216
1 1.325 0.273 0.057 0.035 1.355
N
Mx = ¦ M xm
2
m 1
ความปลอดภัยต่อการพลิกควํา
M Re act 162.6 u 7.2
S .F . 8.3 ! 1.5
M Act 140.9
ค่าความปลอดภัยต่อการพลิกควํามากกว่า 1.5 จึงใช้ ได้
m 1
ตารางที 6.11 โมเมนต์ บิดของแต่ ละรูปแบบการสัน M txm (ตัน-เมตร)
ระดับชัน รูปแบบที1, รูปแบบที2, รูปแบบที3, รูปแบบที4, M tx
x M tx1 M tx 2 M tx3 M tx 4 ทีใช้ ออกแบบ
4 52.30 -30.41 11.98 -2.53 61.72
3 105.75 -24.77 -9.22 5.76 109.16
2 139.28 13.59 -4.38 -11.06 140.44
1 153.33 39.05 10.48 8.76 158.81
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 6 การออกแบบอาคารโดยวิ ธีพลศาสตร์ 208
'
ขันตอนที 12 ผลกระทบของ P'
Px ' x
T =
Vx hx Cd
ตารางที 6.12 การคํานวณค่ าสัมประสิทธิเสถียรภาพ (Stability Coefficient)
ชัน นําหนัก นําหนักสะสม การเคลือนทีสัมพัทธ์ แรงเฉือน T
(ตัน) Px (ตัน) ' x (ซม.) Vx (ตัน)
4 34.8 34.8 1.102 5.36 0.0036
3 42.6 77.4 1.929 9.48 0.0080
2 42.6 120.0 1.871 12.19 0.0093
1 42.6 162.6 1.355 13.79 0.0081
เนืองจากค่าสัมประสิทธิเสถียรภาพ T ทีคํานวณได้ มีคา่ น้ อยกว่า 0.1 ดังนันจึงไม่จําเป็ นต้ องนํา
ผลกระทบของ P' มาคํานวณออกแบบโครงสร้ าง
ขันตอนที 13
นําค่าแรงเฉื อนในขันตอนที 5 มาคํานวณ เนืองจากแรงเฉื อนรวมในแต่ละชันคิดจากเสา
ทังหมด 3 ต้ น ดังนัน ค่าแรงเฉือนสําหรับการออกแบบเสา1ต้ นในชันล่าง จึงหารแรงเฉือนรวมด้ วย
จํานวนเสา 3 ต้ นและนําไปคํานวณโดยวิธี Modified Response Spectrum Analysis (MRSA)
ตารางที 6.13 การปรับค่ าแรงเฉือนทีฐานของแต่ ละรูปแบบการสัน
รูปแบบที ค่าแรงเฉือนรวมแบบ ค่าแรงเฉือนแบบยืดหยุน่ ค่าแรงเฉือนของเสาในชันล่าง
ยืดหยุน่ ในชันล่าง ของเสา 1 ต้ น สําหรับออกแบบ (Tons)
Ve (Tons) Ve Mode1 S F :oVcol ,e / R
Vcol ,e (Tons)
3 Mode 2,3, 4 Vcol ,e
1 V1e = 45.2 15.07 8.87
2 V2e = 11.5 3.83 3.83
3 V3e = 3.1 1.03 1.03
4 V4e = 2.6 0.87 0.87
แรงเฉือนสําหรับการออกแบบเสาชันล่าง คํานวณโดยเทคนิค SRSS
2
§S :V ·
V I ¨ F 0 1e ¸ V22e V32e
© R ¹
บทที 7
การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้ อแข็ง
7.1 บทนํา
7.2 ขันตอนการออกแบบ
สําหรับมยผ.1301/1302-61
7) สําหรับอาคารนอกเขตกรุงเทพมหานครและปริ มณฑล หาค่าความเร่งตอบสนอง
เชิ งสเปกตรั ม ที คาบสันและที . วินาที Ss และ S1 จากตารางความเสี ยงภัย
แผ่นดินไหว พร้ อมกับกําหนดประเภทของดินทีรองรับอาคาร(A,B,C,D,E,F) และ
เลือกค่าสัมประสิทธิปรับแก้ เนืองจากผลของชันดิน Fa และ Fv สําหรับอาคารที
ตังอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริ มณฑล สามารถเลือกค่า SDS และ S D1 ได้
จากตารางแสดงค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัม และให้ ข้ามไปทีหัวข้ อ (9)
8) คํานวณค่าความเร่งตอบสนองสําหรับการออกแบบ SDS และ S D1 จาก
2
S DS Fa S s
3
2
S D1 Fv S1
3
9) กําหนดประเภทการออกแบบต้ านแรงแผ่นดินไหว (ข,ค,ง) ตามค่า SDS และ S D1
และความสําคัญของอาคาร (I, II, III, IV)
10) กํ าหนดค่า R, :, Cd จากตารางซึงสัม พันธ์ กับประเภทการออกแบบต้ านแรง
แผ่นดินไหว (ข,ค,ง) และระบบโครงสร้ างอาคาร
11)คํานวณหาค่าคาบการสันตามธรรมชาติของโครงสร้ าง T
12) คํานวณหานําหนักประสิทธิผลของอาคารทังหมด W
13)คํานวณหาค่าสัมประสิทธิผลตอบสนองแรงแผ่นดินไหว Cs จาก Cs Sa
(R / I )
ซึง Sa คือ ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสําหรับการออกแบบทีคาบการ
สันพืนฐานของอาคาร โดยที Cs มีคา่ ไม่น้อยกว่า .
14) คํานวณหาแรงเฉือนทีฐานอาคารเนืองจากแรงแผ่นดินไหว จาก
V CsW
15) กระจายแรงเฉือนทีฐานเป็ นแรงกระทําด้ านข้ างในแต่ละชันอาคาร จาก
Fx CvxV
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
'4
F4
h4
'3
F3
h3
'2
F2 H
h2
'1
F1
h1
ข้ อกําหนด UBC1985
'i d 0.005Kh (7.2)
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
WT คือ นําหนักบรรทุกคงทีทังหมดของอาคาร
L คือ ความกว้ างของอาคาร
SF คือ ค่าความปลอดภัย ซึงจะต้ องมีคา่ มากกว่าหรื อเท่ากับ 1.5 ( SF t 1.5)
WT
WD
4 F4
WD
3 F3
WD
2 F2 H4
WD H3
1 F1 H2
H1
G
โดยที
Px คือ นําหนักอาคารทังหมด (W) ทีระดับชัน x และเหนือขึนไป
' x คือ ระยะโยกของระดับชัน x (story drift)
Vx คือ แรงเฉือนทีระดับชัน x
hx คือ ความสูงของระดับชัน x
Cd คือ ตัวประกอบขยายค่าการโก่งตัว
Px
'x
Vx A
ระดับชัน x
MA
hx
MB
B Vx-1 ระดับชัน x-
Px-1
'
รูปที 7.3 การคํานวณผลกระทบของ P'
ข้ อกําหนด UBC1985
ข้ อกําหนด UBC1985 ไม่ได้ ระบุทีจะนําผลกระทบนีมาคํานวณด้ วย แต่อาจใช้ เกณฑ์การ
พิจารณาผลกระทบของ P' ดังนีคือ หากค่าสัมประสิทธิความมันคง (Stability Coefficient,T)
T < 0.10 ก็ไม่จําเป็ นต้ องคํานึงถึงผลกระทบจาก P' แต่ในกรณีทีค่าสัมประสิทธิความมันคง
เกินจากทีกําหนด จะต้ องมีการคํานวณออกแบบเสาเป็ นพิเศษเพือให้ สามารถต้ านทานโมเมนต์ที
เพิมขึนนีได้ ซึงอาจใช้ การขยายขนาดเสาให้ มีคา่ สติฟเนสมากขึน หรื อเสริมปริมาณเหล็กเพิมขึน
ข้ อกําหนด UBC1994
UBC1994 กําหนดเกณฑ์การพิจารณาผลกระทบของ P' ดังนี
สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Zone 1 และ 2 ค่า Stability Coefficient, T < 0.10
'i
สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Zone 3 และ 4 ค่า Story drift ratio, < 0.02
hi Rw
ข้ อกําหนด UBC1997
UBC1997 กําหนดเกณฑ์การพิจารณาผลกระทบของ P' ดังนี
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Zone 1 และ 2 ค่า Stability Coefficient, T < 0.10
'i
สําหรับโครงสร้ างทีอยูใ่ นเขต Zone 3 และ 4 ค่า Story drift ratio, < 0.02
hi R
ข้ อกําหนด มยผ.1301/1302-61
0.5
T d 0.25
E Cd
โดยที E คือ อัตราส่วนของแรงเฉื อนทีเกิ ดขึนต่อกํ าลังต้ านทานแรงเฉื อนของอาคารที
ระดับระหว่างชัน x และ x - ซึงอาจกําหนดให้ E 1 เพือเพิมสัดส่วนความ
ปลอดภัยให้ กบั การออกแบบโครงสร้ าง
ถ้ าหากค่า Stability Coefficient หรื อค่า Story drift ratio มีคา่ น้ อยกว่าทีกําหนดนี หมายถึง
ผลกระทบของ P' มีคา่ น้ อยมากจึงไม่จําเป็ นต้ องนํามาคํานวณด้ วย ในกรณีทีค่าสัมประสิทธิ
เหล่านีเกินจากทีกําหนด จะต้ องมีการคํานวณออกแบบเสาเป็ นพิเศษเพือให้ สามารถต้ านทาน
โมเมนต์ทีเพิมขึนนี
การกําหนดนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรทีกระทําต่อโครงสร้ างและแรงกระทํา
จากแผ่นดินไหวแสดงในรูปที 7.4
wD+wL
F4
wD+wL
F3
wD+wL
F2
wD+wL
F1
ก) นําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร ข) แรงแผ่นดินไหว
ค) โมเมนต์จากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุก จร ง) โมเมนต์จากแรงแผ่นดินไหว
ปริ มาณเหล็กปลอก
ระยะห่างไม่เกิน Av 0.005bv s
10 ซม., b, h/6
5 cm
ระยะทาบ
5 cm
ระยะห่างไม่เกิน
h d
ข้ อกําหนดของเสา
S1 S2 S1 S1
ห่างอย่างน้ อย h S2
M n t 0.30M n
ในช่วง S1 ในช่วง S2
ระยะห่างของเหล็กปลอกใน ระยะห่างของเหล็กปลอกไม่เกิน d/
6ชุ ดแรกไม่เกิน d/4
ระดับปานกลางได้ แก่ Zone1 และ Zone 2 ไม่สามารถใช้ ได้ กบั Zone 3 และ 4 โครงสร้ าง
ประเภทนีมีรายละเอียดตามรูปที 7.7-12
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
7.6.1 การออกแบบเหล็กเสริมตามยาวในคาน
ก) การออกแบบเหล็กเสริมในองค์อาคารของคานและเสา มีเกณฑ์การพิจารณา ดังนี
- ถ้ าหากแรงตามแนวแกน Pu 0.10Acfcc พิจารณาออกแบบเป็ นคาน
- ถ้ าหากแรงตามแนวแกน Pu t 0.10Acfcc พิจารณาออกแบบเป็ นเสา
ข) ปริมาณเหล็กเสริมตามยาวตําสุดในคาน ต้ องไม่น้อยกว่า
14
U min t (7.6)
fy
ค) ปริมาณเหล็กเสริมตามยาวสูงสุดในคาน
Umax d 0.75Ub (7.7)
ง) กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีจุดต่อเสา-คาน
1
M n t Mn (7.8ก)
3
กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีหน้ าตัดใดๆ
1
M a t ( M a ) max (7.8ข)
5
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
1
M a t ( M a ) max (7.8ค)
5
wu 0.75(1.4wD 1.7 wL )
MnL MnR
lc
VL VR
รูปที 7.13 โมเมนต์ ดดั และแรงเฉือนทีปลายคาน
กําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต
Vc 0.53 fccbd (7.11)
กําลังต้ านทานแรงเฉือนของเหล็กปลอก
Vu
Vs Vc (7.12)
I
เมือ I 0.85
ระยะห่างของเหล็กปลอก S = Asfyd/Vs (7.13)
กําหนดการวางเหล็กปลอกในช่วง 2 เท่าของความลึกคาน (2h) จากผิวรอยต่อคาน
ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอก Smax ใช้ คา่ ตําสุดของค่าต่อไปนี
- 1 4 ของความลึกประสิทธิผล, d 4
- 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริมตามยาว, 8dbl
- 24 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก, 24dbh
- 0.30 ม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
7.6.3 การออกแบบเหล็กเสริมตามยาวในเสา
Vu M nt M nb
Mnb Vu
h
Pu
(ก) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ปลายเสา (ข) ไดอะแกรมของแรงเฉือนในเสา
รูปที 7.14 โมเมนต์ ดดั และแรงเฉือน (ก) ทีปลายเสา และ (ข)แรงเฉือนในเสา
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
7.6.5 ข้ อกําหนดของปริมาณเหล็กปลอกในเสา
สําหรับระยะความยาว lo คํานวณจากระยะสูงสุดของค่าต่อไปนี
- lo t ความลึกของเสา
- lo t 1/6 ของความสูงสุทธิของเสา
- lo t 50 ซม. สําหรับบริเวณเสาทีรับนําหนักบรรทุกและโมเมนต์ดดั มาก เช่น เสาชันล่างของ
อาคาร ให้ เพิมความยาว lo อีก 50% เป็ นอย่างน้ อย 75 ซม.
Mn2
Vcol
ดูรูปขยาย (ข)
C1=T1 T2 = As2fy
Vxx
Vcol N.A.
Vxx
Vcol T1 = As1fy C2=T2
Vcol
Mn1
พืนทีหน้ าตัด
ประสิทธิ ผล Aj ความกว้างประสิทธิผล db+h หรื อ b+ x 1
ความลึกข้ อต่อ (h)
ในระนาบของเหล็กเสริ ม
ทีทําให้ เกิดแรงเฉือน
x1 h
ก) รู ปข้ อต่ อ
ทิศทางของแรงทีทําให้เ กิด
แรงเฉือนในข้ อต่อ
b
พืนทีหน้ าตัด
ประสิทธิ ผล Aj
x2 x1
ข) รู ปแปลนด้ านบน
x1 < x2
7.7 การจัดรายละเอียดเหล็กเสริมในคานและเสา
7.7.1 เหล็กเสริมในคาน
การจัดรายละเอียดเหล็กเสริ มในคาน มีดงั นี
ก) การหยุดเหล็กเสริ มตามยาวของคานทีเสาต้ นนอก จะต้ องยืนเหล็กเสริ มจากขอบเสา
เข้ าไปอีกเป็ นระยะ ld และงอเหล็กเสริมตามมาตรฐาน เพือให้ สามารถรับแรงดึงได้ ดี
ข) จุดการต่อทาบเหล็กเสริมตามยาวจะต้ องอยู่ห่างจากผิวรอยต่อของคานและเสาอย่าง
น้ อย 2 เท่าของความลึกคาน ห้ ามต่อทาบเหล็กภายในบริ เวณข้ อหมุนพลาสติกและ
บริ เวณจุดต่อเสา-คาน ทังนีเพราะเหล็กเสริ มในบริ เวณนีอาจจะรั บแรงดึงสูงเกินจุด
ครากได้ และมีแรงกระทําซําในลักษณะกลับไป-มาด้ วย
ค) เหล็กปลอกเสริมรับแรงเฉือนมีอยู่ 2 ช่วง คือ S1 บริเวณข้ อหมุนพลาสติก ซึงจะต้ อง
เสริมเหล็กปลอกทีแน่นเป็ นพิเศษตามข้ อกําหนด เป็ นระยะอย่างน้ อย 2 เท่าของความ
ลึกคาน และ S2 บริเวณนอกเขตข้ อหมุนพลาสติก ซึงจัดเหล็กปลอกตามแบบปกติ
ดังแสดงรายละเอียดในรูปที 7.17
d 50 mm M nL
d 50 mm
dbl
M nR ระยะทาบ
ld
dbh h d
S S2 S1 S1 S3
2h1 2h 2h
1 1
M nL t M nL M nR t M nR
3 3
7.7.2 เหล็กเสริมในเสา
การจัดรายละเอียดเหล็กเสริ มในเสา มีดงั นี
ก) การต่อทาบเหล็กยืน จะต้ องต่อภายในช่วงระยะกึงกลางเสาเท่านัน ห้ ามต่อทาบเหล็ก
ภายในระยะความยาว lo จากข้ อต่อเสา-คาน ดังแสดงในรู ปที 7.18 เนืองจากที
บริเวณข้ อต่อเสานีมีคา่ โมเมนต์ดดั สูง
ข) เหล็กปลอกเสริมรับแรงเฉือนมีอยู่ 2 ช่วง คือ So บริเวณส่วนบนและส่วนล่างของข้ อ
ต่อเสา-คาน ภายในระยะความยาว lo จากผิวรอยต่อ ซึงจะต้ องเสริ มเหล็กปลอกที
แน่นเป็ นพิเศษตามข้ อกําหนด และ st บริเวณช่วงกลางเสานอกเขตระยะความยาว lo
ซึงจัดเหล็กปลอกตามแบบปกติ
ค) สําหรับเสาภายในข้ อต่อเสา-คาน จะต้ องเสริมเหล็กปลอกตามข้ อกําหนด ดังนี
- หากความกว้ างของคานมากกว่าหรื อเท่ากับ ¾ เท่าของความกว้ างของเสา ให้
จัดระยะเหล็กปลอก เป็ น 2So
- สําหรับกรณีอืน ใช้ ระยะเหล็กปลอกเท่ากับ So
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ของอมาตรฐาน องศา
คานชันบน ld
Sj
Sj ระยะห่างสูงสุดไม่ เกิน
- 2So ถ้ าความกว้ างของคาน t 34 b
- So สําหรับกรณีอืน
h
dbl hx hx b
dbs
7.7.3 การจัดปลอกเสริมในคานและเสา
การจัดเหล็กปลอกเสริมในคานและเสา มีรายละเอียดดังแสดงในรูปที 7.19-7.20 ดังนี
เหล็กปลอก B
เหล็กปลอก A เหล็กปลอก A
เหล็กปลอก C เหล็กปลอก C
db =4db
การดัดเหล็กปลอก
45o 6db
6db
hx
hx จะต้ องไม่เกิน ซม.
hx
hx hx hx
A B C
F1 = 27.54ตัน
3.6 ม.
F2 = 25.27 ตัน
3.6 ม.
F3 = 16.85 ตัน
3.6 ม.
Joint E
F4 = 8.42 ตัน
3.6 ม.
V = 78.08 ตัน
7.2 ม. 7.2 ม.
16DB28
0.80 ม. 0.30 ม.
0.30 ม. 0.20 ม. 4DB25
0.60 ม.
0.90 ม. 4DB25
หน้ าตัดเสา หน้ าตัดคาน
คํานวณกําลังรับโมเมนต์ ดัดของเสา
U = Uc = As/bd = 6x6.16/(3085) = 0.014 > Umin = 14/4,000 (=0.0035)
ค่าปริมาณเหล็กเสริมตามยาว Umin < U <Umax แสดงว่าเหล็กเสริมรับแรงดึงถึงจุดคราก
250 5 6120
( U U c)min 0.85(0.85) 0.0077
4, 000 85 6120 4000
เนืองจาก U-Uc= 0 < (U-Uc)min = 0.0077 แสดงว่าเหล็กเสริมรับแรงอัดไม่ถึงจุดคราก
ดังนัน คํานวณหาหน่วยแรงอัดในเหล็กเสริมรับแรงอัด fcs ทีเกิดขึนจริง
คํานวณค่า c ได้ เท่ากับ 8.92 ซม.และ a = 7.58 ซม.และ fcs = 2,690 กก./ซม.2
ดังนัน กําลังรับโมเมนต์ดดั ของเสา
Mn = 0.85fccab(d-a/2)+Acs fcs(d-dc)
= 0.85u250u7.58u30(0.85-0.0758/2)+36.96u2,690(0.85-0.05)
= 118,781 กก.-ม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
2h 2h
M-nL
M+nR h = 0.60 ม.
4DB25
lc = 6.3 ม.
VL VR
รูปที 7.22 แรงกระทําบนคานเพือการออกแบบจุดข้ อต่ อ
คํานวณแรงเฉือนทีปลายคาน จาก
M nL M nR 0.75(1.4 wD 1.7 wL )
VL lc
lc 2
M nL M nR 0.75(1.4 wD 1.7 wL )
VR lc
lc 2
0.75 u1.4wD = 1.05(672x3.6) = 2,540 กก./ม.
0.75 u1.7wL = 1.275(600x3.6) = 2,754 กก./ม.
40, 026 40, 026 2,540 2, 754
VL (6.3) 29,383 กก.
6.3 2
40, 026 40, 026 2,540 2, 754
VR (6.3) 3,969 กก.
6.3 2
wD = 2,419 kg/m
wL
wD
-9,434 kg -7,983 kg
wL
ข) แรงเฉือนเนืองจากนําหนักบรรทุกคงที VD
wD
wL 8,424 kg
7,128 kg
wD
-8,424 kg -7,128 kg
ก) โครงอาคารรับนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจร ค) แรงเฉือนเนืองจากนําหนักบรรทุกจร VL
รูปที 7.23 แรงกระทําบนคานเนืองจากนําหนักบรรทุกปกติ
F4 3, 060 kg
V4 3, 060 kg
F3 2,808 kg
V3 5,868 kg
F2 1,872 kg
V2 7, 740 kg
F1 936 kg
V1 8, 676 kg
A B C
ก) แรงกระทําและแรงเฉือนจากแรงแผ่นดินไหว
A B
7,387 kg m
ค) แรงเฉือนในคานเนืองจากแรงแผ่นดินไหว
รูปที 7.24 แรงกระทําบนคานและเสาเนืองจากแรงแผ่ นดินไหว
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ออกแบบเหล็กปลอกสําหรับแรงเฉือนทีระยะห่าง 2h จากผิวรอยต่อคาน
Vu 29,383 (2,540 2,754) u1.2 23,030 กก.
Vu 23, 030
Vs Vc 13,827 13, 267 กก.
I 0.85
Av f y d 2.26 u 4, 000 u 55
S 37.5 ซม.
Vs 13, 267
ช่วงในของคาน กําหนดให้ ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอกไม่เกิน d/2 = 55/2 =27.5 ซม.
ดังนันใช้ เหล็กปลอก DB12 @ 0.275 ม. วางในช่วงจากปลายสุดของบริเวณข้ อหมุนพลาสติกไป
ยังกึงกลางคาน
ออกแบบเหล็กปลอกต้ านทานแรงเฉือนในเสา
คํานวณแรงเฉือนทีใช้ ออกแบบจาก
ก) คํานวณหาแรงเฉือนทีปลายเสา จากกําลังโมเมนต์ต้านทานทีปลายเสา
M nt M nb 118, 781 118, 781
Vu 65,989 กก.
h 3.6
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
P
Mnt = 118,781 kg-m
Vu = 65,989 kg
3.6 ม.
Vu = 65,989 kg
Mnb = 118,781 kg-m
118, 781 118, 781
P Vu 65,989 kg
3.6
(ก) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ปลายเสา (ข) แรงเฉือนที่เสา
รูปที 7.25 โมเมนต์ ดดั และแรงเฉือนทีปลายเสา
Av f y d 2.26 u 4,000 u 85
S 13.66 ซม.
Vs 56, 265
คํานวณพืนทีหน้ าตัดของของเหล็กปลอกทังหมดภายในระยะห่าง s
f cc
Ash t 0.08shc
f yh
1.2
hc 90 2(4 ) 80.8 , s = b/2 = 30/2 = 15 ซม.
2
Ash 0.08 u15 u 80.8(250 / 4,000) 6.06 ตร.ซม.
ดังนัน จัดเหล็กปลอกและเหล็กรัดขวางดังแสดงในหน้ าตัดเสารูปในตัวอย่างข้ างต้ น
รวมพืนทีเหล็กปลอกทังหมด = 7x1.13 = 7.91 ตร.ซม. > 6.06 ตร.ซม. จึงใช้ ได้
จัดเหล็กปลอกบริเวณระยะความยาว lo และมีระยะห่าง So ไม่เกินค่าต่อไปนี
- So d 1
2
ของด้ านแคบของเสา, b/2 = 30/2 = 15 ซม.
สําหรับระยะความยาว lo คํานวณจากระยะสูงสุดของค่าต่อไปนี
- lo t ความลึกของเสา = 90 ซม.
- lo t 1/6 ของความสูงสุทธิของเสา = 3.0/6 = 0.50 ม.
- lo t 75 ซม. สําหรับเสาชันล่าง
ดังนัน ใช้ เหล็กปลอก DB12@0.135ม. เสริมทีเสาในระยะความยาว = 0.90 ม. จากผิวรอยต่อของ
เสาและคาน ทังส่วนบนและส่วนล่างของจุดข้ อต่อ ดังแสดงในรูปที 7.26
คํานวณเหล็กปลอกในข้ อต่อระหว่างคานและเสา ซึงใช้ คา่ S = 13.50 ซม. จะต้ องเสริมไม่น้อย
กว่า
bw S 30 u13.5
Av 3.5 3.5 0.35 ตร.ซม.
fy 4, 000
ดังนัน ใช้ เหล็กปลอก DB12@0.135ม. , Av 1.13 u 2 2.26 ตร.ซม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
118,781 kg-m
1,935 kg
ดูรูปขยาย (ข)
T2 = 78,560 kg
1,935 kg Vxx
N.A. 40,026 kg-m
2,169 kg Vxx
C2=78,560 kg
2,169 kg
118,781 kg-m
(ก) โครงต้านแรงดัด
(ข) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ข้ อต่อเสา-คาน
รูปที 7.26 แรงเฉือนทีข้ อต่ อระหว่ างคานและเสา
พืนทีหน้ าตัดรับแรงเฉือน
Aj 30 u 90 h = 90 ซม. ความกว้างประสิทธิผล b = ซม.
ทิศทางแรงเฉือนในข้ อต่อ
.
ซม
30
b=
เหล็กยืน 16DB28
0.30 ม.
0.90 ม.
เหล็กปลอก DB12
DB12@0.30 ม.
lo=0.90 ม.
DB12@0.135 ม. 4DB25
DB12@0.135 ม.
DB12@0.30 ม.
ข้ อหมุนพลาสติก
F6
F5
F4
F3
F2
F1
Vb
รูปที 7.29 ระบบโครงสร้ างตามหลักการเสาแข็งแรงและคานอ่ อน
IM+ IMn-
n
IMn- IM+
n IM+
n IMn-
IMn- IM+
n
(ก) (ข)
7.8.2 การออกแบบเหล็กเสริมตามยาวในเสาและคาน
เมือมีการกําหนดนําหนักบรรทุกและแรงกระทําจากแรงแผ่นดินไหว ก็จะวิเคราะห์หา
ค่าโมเมนต์ดดั ประลัยสําหรับคานได้ ซึงจะนํามาคํานวณหาปริมาณเหล็กเสริมในหน้ าตัดคานได้
โดยมีข้อกําหนดสําหรับเหล็กเสริม ดังนี
ก) เหล็กเสริมตามยาวในเสาและคานจะต้ องออกแบบตามหลักการของเสาแข็งแรง
และคานอ่อน ดังแสดงในสมการ 7.23
ข) อัตราส่วนปริมาณเหล็กเสริมตามยาวในคาน-เสาต้ องอยูใ่ นช่วง 0.01dUgd0.06
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
ง) กําลังโมเมนต์ดดั ระบุทีจุดต่อเสา-คาน
1
M n t Mn (7.25ก)
2
wu
- +
MprL MprR
VL VR
กําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต
Vc 0.53 fccbd (7.28)
กําลังต้ านทานแรงเฉือนของเหล็กปลอก
Vs = Vn Vc (7.29)
ระยะห่างของเหล็กปลอก S = Av f y d Vs (7.30)
กําหนดการวางเหล็กปลอกในช่วง 2 เท่าของความลึกคาน 2h จากผิวรอยต่อคาน
ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอก Smax ใช้ คา่ ตําสุดของค่าต่อไปนี
- 1 4 ของความลึกประสิทธิผล, d 4
- 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริมตามยาว, 8dbl
- 24 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก, 24dbh
- 0.30 ม.
มีข้อควรพิจารณาสําหรับการใช้ คา่ กําลังส่วนเกิน Oversrtength Factor เท่ากับ 1.25
เท่าของกําลังคราก (1.25 f y ) ในการคํานวณกําลังโมเมนต์ต้านทานทีเป็ นไปได้ ( M pr ) ดังนี ค่า
กํ า ลัง ส่ว นเกิ น ที เสนอโดย ACI 318-14 นี พิ จ ารณาจากเหล็ กเสริ ม ที ผลิ ต ใช้ ใ นประเทศ
สหรัฐอเมริ กา มีกําลังครากทีแท้ จริ งถึง 1.5 เท่าของกําลังครากทีกําหนดของเหล็กเสริ ม การใช้ คา่
กําลังส่วนเกินเท่ากับ1.25 เท่าของกําลังครากทีกําหนด จึงยังมีส่วนปลอดภัยเพียงพอ ดังนัน การ
นําค่ากํ าลังส่วนเกินนีมาใช้ ในประเทศไทย จึง ควรใช้ เหล็กเสริ มทีมีการผลิตตรงตามมาตรฐาน
เหล็กเสริมด้ วย มิฉะนัน อาจจะไม่ปลอดภัยเพียงพอ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
แรงเฉือนบริเวณรอยต่อเสา-คาน คํานวณจาก
M pr1 M pr 2
Ve (7.31)
h
โดยที Ve คือ แรงเฉือนแนวราบกระทําทีตําแหน่งบนสุดและใต้ สดุ ของเสา, กก.
M pr1, M pr 2 คือ กําลังโมเมนต์ต้านทานทีเป็ นไปได้ (probable moment resistance) ที
ปลายเสาส่วนบนและเสาส่วนล่าง ตามลําดับ, กก.-ม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 7 การออกแบบความแข็งแรงของโครงข้อแข็ง
h คือ ความสูงของเสา, ม.
โมเมนต์ดดั และแรงเฉือนทีปลายเสาและข้ อต่อระหว่างเสา-คานแสดงในรูปที 7.35
P
Mpr1
Ve
Mpr2
Ve
T2 = 1.25Asfy C1=T1
Vxx
h N.A.
C2=T2 T1 = 1.25Asfy
Ve
Ve
Mpr2 Mpr1
P
(ก) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ปลายเสา (ข) โมเมนต์และแรงเฉือนที่ข้ อต่อเสา-คาน
รูปที 7.35 โมเมนต์ ดดั และแรงเฉือน (ก) ทีปลายเสา และ (ข)ทีข้ อต่ อเสา-คาน
h
b
7.8.5 ข้ อกําหนดของปริมาณเหล็กปลอกในเสา
§ Ag · fc
หรื อ U s t 0.45 ¨ 1¸ c (7.35ข)
© Ach ¹ f yh
โดยที U s คือ อัตราส่วนของปริ มาตรของเหล็กปลอกเกลียวต่อปริ มาตรของแกนเสาคอนกรี ตโดย
วัดจากขอบนอกสุดของแกนเสาทีล้ อมรอบด้ วยเหล็กปลอก
Ag คือ พืนทีหน้ าตัดเสาทังหมด, ซม.2
Ach คือ พืนทีหน้ าตัดแกนเสาโดยวัดจากขอบนอกสุดของแกนเสาทีล้ อมรอบด้ วยเหล็ก
ปลอก, ซม.2
f yh คือ กําลังครากของเหล็กปลอกเกลียว, กก./ซม.2
- lo t 1/6 ของความสูงสุทธิของช่วงเสา
- lo t 50 ซม. สําหรับบริ เวณเสาทีรับนําหนักบรรทุกและโมเมนต์ดด ั มาก เช่น เสาชันล่าง
ของอาคาร ให้ เพิมความยาว lo อีก 50% เป็ นอย่างน้ อย 75 ซม.
7.8.6 การจัดรายละเอียดเหล็กเสริมในเสา
ระยะทาบ Sl ระยะห่างสูงสุดไม่เกิน
b/4 หรือ 10 ซม.
H
2
lo Sx
Sj
lo ความยาวไม่น้อยกว่า lo Sx ระยะห่างสูงสุดไม่เกิน
- ความลึกของเสา - b/4 หรือ 10 ซม.
- H - 6dbl
6
- 50 ซม. - 10+(35-hx)/3
H
St ระยะห่างสูงสุดไม่เกิน
- 16 dbl
H
- 48 dbs
2
-b
lo
Sj ระยะห่างสูงสุดไม่เกิน
- 2Sx ถ้าความกว้างของคาน t 34 b
- Sx สําหรับกรณีอนื
h
dbl hx hx b
dbs
บทที 8
การออกแบบโครงสร้ างกําแพงรั บแรงเฉือน
8.1 บทนํา
Wall 2
Connecting
links
Wall 1 I2A
I2A
I1A I1A
Region A
I2B I2B
I 1A I 1B I 1C I 1A I I
I 2A
, 1B , 1C
I 2 B I 2C
not equal
I 2A I 2B I 2C
EI ji
Q ji Qi (8.1)
¦ EI i
EI ji
M ji Mi (8.2)
¦ EI i
Qi
โครงสร้ างซึงไม่สมมาตรต่อแกนของแรงกระทําจะมีการเลือนตัวและหมุนตัวด้ วย
ดังแสดงในรูปที8.3 การเคลือนทีในแนวราบของพืนอาคารจะเท่ากับผลรวมของการเลือนตัว
(translation) และการหมุนตัว (rotation) รอบจุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัว ซึงในทีนีคือ
จุดศูนย์ถ่วงของความแข็งเชิงดัด (centroid of flexural rigidity) ของกําแพง
C โครงสร้ างบิดตัวรอบจุด C
การหมุนตัว
การเลือนตัว จุดศูนย์ถ่วงของความแข็งของกําแพง
C
Qi
¦EIx j i
x
¦EI i
(8.3)
โดยที x คือ จุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัว
¦ ( EI )i คือ ผลรวมของความแข็งเชิงดัด flexural rigidity
¦ ( EIx j )i คือ ผลรวมของโมเมนต์ของความแข็งเชิงดัดรอบจุดศูนย์กลางของการหมุนบิด
ตัว
268 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน
y
จุดศูนย์กลาง
ของการหมุนบิดตัว
1 2 3
x1 e
x2
x3 c3
Qi
c2
c1
x
x
ถ้ าหากโครงสร้ างกําแพงรับแรงเฉือนมีกําแพงซึงวางในทิศทางตังฉากกับแนวของแรง
กระทํา ดังแสดงในรูปที 8.5 จุดศูนย์กลางของการหมุนบิดตัว สามารถคํานวณได้ จาก
¦EIy j i
y (8.6)
¦ EI i
กําแพงในแนวตังฉาก จุดศูนย์กลาง
ของการหมุนบิดตัว
d5
d4
กําแพงในแนวขนาน
d3
d2 y5
d1
y4
y
y3
e y1 y2
x
Qi
แรงเฉือนและโมเมนต์ทีเกิดขึนในกําแพงในแนวตังฉากทีระดับชันi จากการบิดตัวของ
โครงสร้ าง คํานวณได้ จาก
EI d ri
Q ri Qi e
^¦EI c ¦EI d 2 `i
2 (8.7)
EI d ri
M ri Mi e
^¦EI c ¦EI d 2 `i
2 (8.8)
¦ ( EI d 2 )i คือ ผลรวมของโมเมนต์ทีสองของความแข็งเชิงดัดของกําแพงในแนวตังฉาก
ทีระดับชัน i
Equivalent
connecting
medium
Ib
h
H
w Z
I1 I2
A1 A2
C Y
(a) (b)
รูป8.7 การทดแทนกําแพงคู่ควบด้ วย Continuum model
พิจารณารูปตัดของ Connecting Medium ดังแสดงในรูปที 8.8
b b
d1 2 2 d2
0
M1 q n q M2
w
N N
Wall 1 Wall 2
Wall 1 Wall 2
c.g. of composite section
A B C D
(a)
N คานเชือม N
c11 c12 c21 c22
M1 l M2
M
(b)
หน่วยแรงสําหรับกําแพงอิสระ
+
(c) หน่วยแรงสําหรับกําแพงผสมแบบสมบูรณ์
=
(d) หน่วยแรงสําหรับกําแพงคู่ควบ
ค่าหน่วยแรงดัดในกําแพงจะกระจายเป็ นสัดส่วนโดยตรงตลอดชินส่วนของโครงสร้ าง
ผสมนี โดยทีค่าหน่วยแรงดึงและหน่วยแรงอัดจะเกิดขึนทีขอบนอกสุด ดังแสดงในรูปที 8.10 ซึง
จะต้ องมีการตรวจสอบหน่วยแรงสูงสุดทีขอบทังสองนี ว่าเกินหน่วยแรงปลอดภัยหรื อไม่ หน่วยแรง
ในกําแพงทีแท้ จริงจะเป็ นการรวมหน่วยแรงสําหรับกรณีกําแพงอิสระสองแผ่นและกรณีกําแพง
ผสมแบบสมบูรณ์เป็ นพฤติกรรมของกําแพงแบบคูค่ วบ (Coupled Wall) ดังนัน พฤติกรรมที
แท้ จริงของกําแพงทังคูน่ ี ซึงเชือมยึดด้ วยคานเชือมทีมีลกั ษณะยืดหยุน่ จะอยู่ระหว่างกรณีกําแพง
อิสระสองแผ่น (8.10b) และกําแพงผสมแบบสมบูรณ์ (Fully composite unit, 8.10c)
N M1c11 Mcc1
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด A fA (8.16ก)
A1 I1 Ig
N M 2c21 Mcc 2
หน่วยแรงทีขอบนอกจุด D fD (8.16ข)
A2 I2 Ig
โดยที N คือ แรงกระทําในแนวแกนกําแพง
โดยที N M M1 M 2 l
A1, A2 คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
I1 , I 2 คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงชินที 1 และ 2 ตามลําดับ
Ig คือ โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงคูค่ วบ
A1 A2 2
โดยที Ig I1 I 2 l
A
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 277
แรงเฉือนและโมเมนต์ ดัดในคานเชือม
1
สําหรับแรงกระทํา P ทียอดอาคาร q P F2 (8.17ก)
k 2l
H
สําหรับแรงกระทํากระจายแบบรูปสามเหลียม q p F2 (8.17ข)
k 2l
แรงเฉือนสูงสุดทีกระทําในคานเชือมสําหรับแต่ละระดับชันอาคาร
V ³ qdz
1 H (8.18)
(P p ) F2(max) h
k 2l k 2l
โมเมนต์ดดั สูงสุดในคานเชือมทีรอยต่อยึดกับกําแพง
Mb = V b 2 (8.19)
shear flow, q
V h
Mb
Mb
V
b/2 b/2
การโก่ งตัวของกําแพงทียอดอาคาร
PH 3
สําหรับแรงกระทํา P ทียอดอาคาร yH F3 (8.20ก)
3EI
11 pH 4
สําหรับแรงกระทํากระจายแบบรูปสามเหลียม yH F3 (8.20ข)
120 EI
ค่าสัมประสิทธิ F2 และ F3 สามารถหาได้ จากกราฟในรูปที 8.14-8.17
278 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 279
280 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน
8.5 ข้ อกําหนดของการออกแบบกําแพง
กําลังรับแรงเฉือนของกําแพง
กําลังรับแรงเฉือนของกําแพงจะต้ องต้ านทานแรงเฉือนประลัยได้ นันคือ
IVn t Vu (8.21)
ในกรณีที hw lw t 2.0
IVn I Acv 0.53 fcc Un f y d 2.1 fcc Acv (8.22ก)
ในกรณีที hw lw 2.0
IVn I Acv D c fcc U n f y d 2.1 fcc Acv (8.22ข)
โดยที I = 0.6
D c = 0.80 เมือ hw lw d 1.5 และ D c = 0.53 เมือ hw lw t 2.0
สําหรับ 1.5 hw lw 2.0 ให้ พิจารณาเฉลียค่า D c โดยการแปรเปลียนเชิงเส้ น
(linear interpolation)
hw คือ ความสูงของกําแพงในช่วงทีพิจารณา
lw คือ ความยาวของกําแพงในทิศทางทีแรงเฉือนกระทํา
Acv คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 281
เหล็กเสริมในกําแพง
หากแรงเฉือนประลัยมีคา่ มากกว่ากําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต จะต้ องเสริ มเหล็ก
รับแรงเฉือน ซึงจะต้ องจัดเสริ มทังแนวตังและแนวนอน ดังนี
ในกรณีที Vu ! 0.53 fcc Acv
จะต้ องเสริมเหล็กตะแกรงรับแรงเฉือนในกําแพง 2 ชัน
ในกรณีที Vu ! IVc 2 I 0.26 fcc Acv
Asv
Uv (min.) U h(min.) t 0.0025
Acv
โดยที Uv (min.) , U h(min.) คือ อัตราส่วนระหว่างเหล็กเสริ มและหน้ าตัดกําแพงอย่างน้ อยทีสุด
ในแนวตังและแนวนอน ตามลําดับ
Asv คือ ปริ มาณเหล็กเสริ มในหน้ าตัดกําแพงซึงมีระยะห่างไม่เกิน 45 ซม.
Acv คือ พืนทีหน้ าตัดกําแพง
Vu คือ แรงเฉือนเพิมค่าทีใช้ ในการออกแบบ
หากแรงเฉือนประลัยมีคา่ น้ อยกว่ากําลังต้ านทานแรงเฉือนของคอนกรี ต จะต้ องเสริ มเหล็ก
อย่างน้ อยทีสุดทังแนวตังและแนวนอน ดังนี
ในกรณีที Vu d IVc 2 I 0.26 fcc Acv
เหล็กเสริมในแนวตัง
สําหรับเหล็กเสริมขนาด d DB16mm Uv (min.) t 0.0012 โดยที f y t 4, 000 กก./ซม.2
สําหรับเหล็กเสริมขนาด ! DB16mm Uv (min.) t 0.0015
เหล็กเสริมในแนวนอน
สําหรับเหล็กเสริมขนาด d DB16mm U h(min.) t 0.0020 โดยที f y t 4, 000 กก./ซม.2
สําหรับเหล็กเสริมขนาด ! DB16mm U h(min.) t 0.0025
ในกรณีกําแพงอิสระ
Nu M u c
fc ! 0.2 f cc (8.23)
A I
ในกรณีกําแพงคูค่ วบ คํานวณหน่วยแรงอัดสูงสุดทีขอบกําแพง โดยพิจารณาจากรูปที 8.10 และ
ปรับจากสมการ 8.16ข
Nu M u 2c21 M u cc 2
fc ! 0.2 fcc (8.24)
A2 I2 Ig
โดยที Nu , M u คือ แรงประลัยและโมเมนต์ดดั ประลัยกระทําในแนวแกนกําแพง
ในการออกแบบเสาขอบ จะพิจารณาเป็ นเสาหน้ าตัดสีเหลียม โดยสมมุตวิ ่า เสานีรับนําหนัก
ทังหมดเนืองจากการรวมแรงจากนําหนักบรรทุกในแนวดิงและแรงในแนวแกนจากโมเมนต์พลิก
ควํา ดังแสดงในรูปที 8.18
Mu
Wu
Wu M u
C
2 d
d
T C
โดยมีข้อกําหนดของการออกแบบดังนี
ขนาดของเสาขอบกําแพง
x ขนาดความกว้ างของเสาขอบ อย่างน้ อย lw 16 และความยาวอย่างน้ อย 45 ซม. (วัดตาม
ความยาวของแกนกําแพง) ทีแต่ละข้ างของกําแพง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 283
1.5l d
h
0.2h l
1 Sh d 10 cm Section1-1
การออกแบบเหล็กเสริมแนวทะแยงแบบนีก็เพือป้องกันการวิบตั จิ ากแรงเฉือนเมือมีแรง
กระทําแบบวัฏจักร จากผลการทดสอบโดย Paulay และ Binney (1974) สําหรับคานเชือมทีมีคา่
อัตราส่วนความยาวต่อความลึกระหว่าง 1.0 1.5 พบว่าการจัดเหล็กเสริมแบบนีทําให้ คาน
สามารถรับแรงเฉือนได้ ดีภายใต้ แรงกระทําแบบวัฏจักร โดยมีพฤติกรรมการรับแรงและการโก่งตัว
(hysteretic behavior) ทีมันคงและมีคา่ ความเหนียวมากกว่าการเสริมเหล็กแบบปกติทวไป ั
นอกจากนีผลการทดสอบของ Barney และคณะ (1980) ยังพบว่าสําหรับคานเชือมทีมีคา่
อัตราส่วนความยาวต่อความลึกระหว่าง 2.5 5.0 การจัดเหล็กเสริ มแบบนีก็ให้ ผลการรับกําลังทีดี
แม้ วา่ ค่าอัตราส่วนนีจะค่อนข้ างสูง
ขันตอนที 5 การเสริมเหล็กในรายละเอียด
ตัวอย่ างที 8.1 อาคารคอนโดมิเนียมหลังหนึงสูง 20 ชัน โครงสร้ างเป็ นคอนกรี ตเสริมเหล็ก ระบบ
โครงสร้ างในรูปตัดทางขวางเป็ นกําแพงคูค่ วบ (Coupled Shear Wall) ดังแสดงในรูปข้ างล่างนี
6@6.0 m = 36.0m
1 2 3 4 5 6 7
D
8.0 m
ซม.
คานขนาด x ซม.
C
กําแพงหนา
2.5 m
B
เสาภายในขนาด x ซม.
8.0 m
A
คานขนาด x ซม. เสาภายนอกขนาด x ซม.
20 @ 3.6 m = 72.0 m
0.15 m
h = 3.6 m
Ic
I1,A1 I2,A2
H = 72.0 m
z
1.90
H
V = 68.5 T
ข) หน่ วยแรงในกําแพงทีฐานอาคาร
คํานวณคุณสมบัตขิ องกําแพงคู่ควบ
0.15 u 8.03
I1 I2 6.4 m 4
12
I I1 I 2 6.4 6.4 12.8 m4
A1 A2 0.15 u 8.0 1.2 m2
A A1 A2 1.2 1.2 2.4 m2
คํานวณคุณสมบัตขิ องคานเชือม
0.3 u 0.43
Ib 1.6 u103 m4
12
E E E
G
2(1 Q ) 2(1 0.15) 2.3
294 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน
r
12 EI b
O
12 E 1.6 u103 1.2 0.0707
b 2GA 2.52 E 2.3 0.3 u 0.4
Ib 1.6 u103
Ic 1.49 u 103 m4
1 r 1 0.0707
d 0.4
ความยาวคานประสิทธิผล be b 2.5 2.7 m
2 2
3
12 I cl 2 12 u (1.49 u10 )10.5 2
D2 3 3
2.17 u103
be hI 2.7 u 3.6 u12.8
D 0.0466
AI 2.4 u12.8
k 2 1 2
1 1.1935
A1 A2l 1.2 u1.2 u10.52
k 1.09
kD H 1.09 u 0.0466 u 72 3.657
คํานวณโมเมนต์ ในกําแพง
โมเมนต์กระทําทังหมดทีฐานอาคาร
1 §2 ·
M (1.85 u 72) ¨ u 72 ¸ 7.14 u 72
2 ©3 ¹
3,196.8 514.08 3, 710.88 ตัน-เมตร
จากรูปที 8.11 โมเมนต์ในกําแพงทีฐานอาคาร (Z/H = 0)
สําหรับแรงกระทําทียอดอาคาร K1 30%, K2 70%
สําหรับแรงกระจายแบบสามเหลียม K1 40%, K2 60%
โมเมนต์ในกําแพงเนืองจากพฤติกรรมกําแพงอิสระ (Individual cantilever action)
I1 K1
M1 M2 M 3,196.8(0.5)(0.40) 514.08(0.5)(0.30) 716.5 ตัน-เมตร
I 100
โมเมนต์ในกําแพงเนืองจากพฤติกรรมกําแพงผสม (Composite cantilever action)
K2
Mc M (0.60 u 3,196.8) (0.70 u 514.08) 2, 278 ตัน-เมตร
100
โมเมนต์ในคานเชือม Nl M M1 M 2
3,711 716.5 716.5 2, 278 ตัน-เมตร
Nl 2, 278
ตรวจสอบอัตราส่วนการรับกําลังของคานเชือม 0.61
M1 M 2 Nl 3, 711
1 2
เนืองจาก d 0.61 d แสดงว่าขนาดของคานเชือมให้ ประสิทธิภาพการรับแรงทีดี
3 3
สําหรับพฤติกรรมแบบกําแพงคูค่ วบ
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 295
โมเมนต์อินเนอร์ เชียของกําแพงคูค่ วบ
A1 A2 2 1.2 u1.2
Ig I1 I 2 l 6.4 6.4 10.52 78.95 m 4
A 2.4
พิจารณาหน้ าตัดกําแพงคูค่ วบดังแสดงในรูปที8.27
A B c.g. C D
0.15 m
1.25 m 1.25 m
4.0 m 4.0 m 4.0 m 4.0 m
8.0 m 2.5 m 8.0 m
M1 = 716.5 T-m
M2 = 716.5 T-m
N = 216.95 T N = 216.95 T
M = 3,711 T-m
ค) แรงเฉือนและโมเมนต์ ดัดสูงสุดในคานเชือม
คํานวณแรงเฉือนสูงสุดในคานเชือม
§ 1 H ·
จาก V ¨ P 2 F2(max.) p 2 F2(max.) ¸ h
© k l k l ¹
296 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน
จากรูปที 8.14 และ 8.16 สําหรับค่า kD H 3.657 จะได้ F2(max.) ทีระดับ z H = 0.45 ซึง
ตรงกับระดับชันที9 มีคา่ เท่ากับ 0.78 และ 0.27 สําหรับแรงกระทําทียอดอาคารและแรงกระทํารูป
สามเหลียม ตามลําดับ
แรงเฉือนสูงสุดในคานเชือม
§ 1 72 ·
Vb (max.) ¨ 7.24 2
0.78 1.90 2
0.27 ¸ u 3.6
© 1.09 u10.5 1.09 u 10.5 ¹
12.23 ตัน
โมเมนต์สงู สุดในคานเชือม
b 2.5
M b (max.) Vb (max.) 12.23 u 15.29 ตัน-เมตร
2 2
ง) ค่ าการโก่ งตัวสูงสุดทีระดับชันบนสุดของอาคาร
คํานวณจากแรงกระทําทียอดอาคารและแรงกระทํากระจายแบบรูปสามเหลียม
PH 3 11 pH 4
yH F3 F3
3EI 120 EI
7.24 u103 (7200)3 11 1.9 u103 (7200)4
yH 0.32 0.33
3(2.3 u105 )(78.95 u1004 ) 120 (2.3 u105 )(78.95 u1004 )(100)
1.00 ซม.
จ) ออกแบบเหล็กเสริมในกําแพงและคานเชือม
ขันตอนที 1 เหล็กเสริมในกําแพง
ตรวจสอบว่าจะต้ องเสริมเหล็กตะแกรงรับแรงเฉือน 2 ชันหรื อไม่ จาก
Vu ! 0.53 fcc Acv
คํานวณ Vu จากการรวมนําหนักบรรทุกสูงสุดในกรณี
Vu 0.75(1.4VD 1.7VL 1.87VE )
Vu 0.9VD 1.43VE
เนืองจากค่าแรงเฉือนในกําแพงจากนําหนักบรรทุกคงทีและนําหนักบรรทุกจรมีคา่ น้ อย จึงใช้ แรง
เฉือนจากแรงแผ่นดินไหวอย่างเดียว และใช้ การรวมนําหนักบรรทุกกรณีที 2 นันคือ
Vu 1.43VE 1.43 u 68,500 97,955 กก.
0.53 fcc Acv 0.53 250(15 u 800 u 2) 201,120 กก. > 97,955 กก.
ดังนัน อาจออกแบบเป็ นเหล็กเสริมชันเดียวได้
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 297
เนืองจาก Vu ! IVc 2 I 0.26 fcc Acv 0.6 u 0.26 250(15 u 800) u 2 59,198 กก.
ดังนัน ใช้ Uv(min.) U h(min.) 0.0025
Asv 0.0025 u15 u100 3.75 ซม.2
เนืองจากกําแพงหนา 15 ซม. จึงใช้ เหล็ก 2 ชัน เพือป้องกันการแตกร้ าวทีผิวกําแพงเนืองจากการ
ยืดหดตัวของคอนกรี ตใช้ ขนาด DB10@0.30m จํานวน 2 ชัน และ S 0.30m 0.45m ใช้ ได้
ตรวจสอบกําลังรับแรงเฉือนของกําแพง จาก
hw 360
0.45 2.0
lw 800
IVn I Acv D c fcc U n f y
0.6 15 u 800 u 2 0.8 250 0.0025 u 4, 000
326,147 กก. < 2.1 250(15 u 800 u 2) 796,894 กก.
> Vu 97,955 กก.
แสดงว่า กําลังต้ านทานแรงเฉือนของกําแพงสามารถต้ านทานแรงเฉือนประลัยได้
T C
รูปที8.28 หน้ าตัดของเสาขอบกําแพง
Wu M u
คํานวณแรงกระทําต่อเสาขอบกําแพง จาก C
2 d
§ 18.5 ·
Wu ª¬1.4 500 1.7 200 º¼ ¨ 6.0 u ¸ u 20 1,154, 400 กก.
© 2 ¹
Mu 1.43M E 1.43 u 716,500 1,024,595 กก.-ม.
298 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน
5DB12
รูปที8.29 การเสริมเหล็กของเสาขอบกําแพง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 8 การออกแบบโครงสร้างกําแพงรับแรงเฉือน 299
ตรวจสอบความต้ องการเหล็กเสริมแนวทแยง
ln 250
7.14
d 35
1.06 fccbd 1.06 250 30 u 35 17,598 กก.
Vu 1.43Vb max. 1.43 u12, 230 17, 490 กก.
เนืองจาก ln d ! 4 และ Vu 1.06 fccbd ดังนัน ใช้ การออกแบบเหล็กเสริมในคานตามปกติ
M u 1.43M b max. 1.43 u15, 290 21,865 กก.-ม.
M R I Ru bd 2 0.9 u 66.07 u 0.30 u 352 21,852 กก.-ม.
คํานวณปริมาณเหล็กเสริมตามยาว
Mu 21,865 u100
As 21.50 ตร.ซม. ใช้ 5DB 25mm
I f y ju d 0.9 u 4, 000 u 0.807 u 35
ตรวจสอบแรงเฉือน
Vc 0.53 fccbd 0.53 250 30 u 35 8, 799 กก.
Vu 17, 490
Vs Vc 8, 799 11, 777 กก.
I 0.85
ใช้ เหล็กปลอกขนาด DB12, As 2 u1.13 2.26 ตร.ซม.
Av f y d 2.26 u 4, 000 u 35
S 26.87 | 27 ซม.
Vs 11, 777
ตรวจสอบระยะห่างของเหล็กปลอกในช่วงข้ อหมุนพลาสติก
กําหนดการวางเหล็กปลอกในช่วง 2 เท่าของความลึกคาน (2h=0.80 ม.) จากผิวรอยต่อคาน
ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอก Smax ใช้ คา่ ตําสุดของค่าต่อไปนี
- ¼ ของความลึกประสิทธิผล, d/4 = 35/4 = 8.75 ซม.
- 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริมตามยาว, 8dbl = 8(2.5) = 20 ซม.
- 24 เท่าของขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก, 24dbh = 24(1.2) = 28.8 ซม.
- ไม่เกิน 30 ซม.
ดังนัน ใช้ เหล็กปลอก DB12@0.085 ม. วางในช่วงระยะ 0.80 ม. จากผิวรอยต่อคาน
และใช้ เหล็กปลอก DB12@0.175 ม. วางในช่วงจากปลายสุดของบริเวณข้ อหมุนพลาสติกไปยัง
กึงกลางคาน ซึงระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอกไม่เกิน d/2 = 35/2 =17.5 ซม.
Å¡¼¨¥r ´µ³Ã ¸ É 9 µ¦Á¦· ¤Îµ¨´oµµÂn· Å®ª
°°µµ¦ 301
¸É 9
µ¦Á¦·¤Îµ¨´o µµÂn ·Å®ª
°°µµ¦
9.1 ε
µ¦Á¦· ¤Îµ¨´o µµÂn·Å®ª
°Ã¦¦o µ°µµ¦°µÂnÁÈ 2 ¦³Á£Ä®n º°
µ¦Á¦· ¤Îµ¨´Ã¥¦ª¤
°Ã¦¦o µ (Structural-level or Global Retrofit) ¨³µ¦Á¦· ¤Îµ¨´
Á¡µ³»
°Ã¦¦o µ (Local Retrofit)
µ¦Á¦· ¤Îµ¨´Ã¥¦ª¤
°Ã¦¦o µ Åo Ân µ¦Á¦· ¤o ª¥ÎµÂ¡¦´Â¦Áº° µ¦Á¦· ¤
ε¡n°°·Äæ°µµ¦ µ¦Á¦· ¤Î ʵ¥´Ã¦°µµ¦ µ¦Á¦· ¤ªµ¤®µÄε¡ µ¦Á¦· ¤
ªµ¤®nªÄæ¦o µ (Damper) ¨³µ¦Äo ¦³Â¥µ (Base Isolation) Á¡ºÉ°¨µ¦
´É ³Áº°
°Ã¦¦o µ
µ¦Á¦· ¤Îµ¨´Á¡µ³»
°Ã¦¦o µ Åo Ân µ¦Á¦· ¤Îµ¨´
°µÂ¨³Áµo ª¥Á®¨È
Á¦· ¤ (Jacketing) µ¦Á¦· ¤Îµ¨´o ª¥ÂnÁo Ä¥Á¦· ¤Îµ¨´ (Fiber Reinforced Polymer, FRP)
µ¦Á¨º ° Äo ª· ¸ µ¦Á¦· ¤ Î µ ¨´ n µ ÇÁ®¨n µ ¸ Ê ª¦¤¸ µ¦ª· Á ¦µ³®r ¡ §· ¦¦¤o µ µ
Ân·Å®ª
°Ã¦¦o µ°µµ¦n° ¹É °µÄo ª·¸Â¦·Á¸¥Ánµ¹É ÁÈ µ¦ª·Á¦µ³®r°¥nµnµ¥
®¦º °ª·¸µ¦¨´°µµ¦ÂŤnÁ·Áo (Nonlinear Static Analysis or Pushover Analysis) Á¡ºÉ°
¦ª¼ªnµ æ¦o µ°µµ¦³¤¸µ¦ª·´ ·Ä¦¼ ÂÄo µ ¹É³Åo Äo Á·µ¦Á¦· ¤Î µ¨´¸É
Á®¤µ³¤Åo ¨³®¨´µÁ¦· ¤Îµ¨´Ã¦¦o µ°µµ¦Â¨o ª ª¦¤¸µ¦ª·Á¦µ³®r¡§·¦¦¤£µ¥®¨´
µ¦Á¦· ¤Îµ¨´ Á¡ºÉ°¦ª°ªµ¤¨°£´¥°¸¦´Ê
宦´Ä¸ Ê ³¨nµªÁ¡µ³µ¦Á¦· ¤Îµ¨´Ã¥µ¦Äo æ°µµ¦Î ʵ¥´o°´µ¦Ãn
Áµ³ (Buckling Restrained Brace) ¹ÉÁÈ ª·¸µ¦Á¦· ¤Î µ¨´Ã¥¦ª¤
°Ã¦¦o µ¸É ¤¸
¦³··£µ¡¼ ¨³·¥¤Äo ´ °¥nµÂ¡¦n®¨µ¥Ä®¦´°Á¤¦· µ
æΠʵ¥´Â¸ ʤ¸nª¦³°¸Éε´ 2 nª º° ÂÁ®¨È (Steel Core) ¨³ ¨°
®»o¤ÂÁ®¨È (Steel Casing) ÂÁ®¨È³ÁÈ · Ênª®¨´Äµ¦¦´Â¦ÂªÂ¹É ÁÈ Â¦¹
¨³Â¦°´ Ã¥¤¸ µ¦°°Ânª ÂÁ®¨È Ä®o µ¤µ¦o µ µÂ¦°´ Åo ¹ » ¦µ
ÁnÁ¸¥ª´´µ¦¦´Â¦¹ ÁºÉ°µµ¦Äo ¨°®»o¤ÂÁ®¨È¸Éo°´µ¦ÃnÁµ³
°Â
Á®¨È ´ÂĦ¼¸É 9.1εĮo ¡§·¦¦¤µ¦¦´Â¦Âª´´¦ÁÈ Å¤¼¦r
´ª°¥n µ 9.1 °µµ¦Á¦¸ ¥®¨´®¹É¼ 4 ´Ê ¤¸´ °µµ¦Â¨³¦¼ ´´ÂĦ¼ ¸É 9.6 ¨³ 9.7
°µµ¦¸ Ê´°¥¼
Ê nÄÁ
°.Á¤º° .Á¸¥¦µ¥ ¨³´·
Ê ¸ÉÄo µ¦µÁÈ ´· Ê · æ¦o µ°µµ¦
ŤnÅo ¤¸µ¦°°Âo µµÂn·Å®ª ¡º Ê°µµ¦Äo ¡º Ê°¦¸ εÁ¦È ¦¼ Hollow Core Slab
·ÁÈ Î Êµ®´¦¦»¸É®¤
´Ê 500 ·Ã¨¦´¤/¦.¤. ¹É ¦ª¤´Ê Πʵ®´¡º Ê µ ÁµÂ¨³´
ε¡ Πʵ®´¦¦»¦ 300 ·Ã¨¦´¤/¦.¤. 伨´ ¥º®¥»n°¦¸ Ec =23,000 Á¤µµ
µ¨ ÁµÎµ®¦´»´¤¸Ê
µ 0.20x0.40 ¤. µµ¤¥µª¤¸
µ 0.20x0.40 ¤. µµ¤
ªµ¤¸
µ 0.20x0.60 ¤.
¦ª°nµµ¦Á¨ºÉ°¸É¤´ ¡´r ¦³®ªnµ´Â¨³°°ÂÁ¦·
Ê ¤Îµ¨´Ã¦¦o µo ª¥
æ°µµ¦Î ʵ¥´o°´µ¦ÃnÁµ³ (BRB)
' 1
(
7.2 ¤.
7.2 ¤.
&
'
$ % &
3.5 ¤.
3.5 ¤.
3.5 ¤.
4.5 ¤.
7.2 ¤. 7.2 ¤.
¦¼ ¸É 9.8 ¦¼ ´
°°µµ¦Á¦¸ ¥
ª·¸µÎ
εªÂ¦Áº°¸Éµ µ¤¤µ¦µ ¤¥.1301/1302-61
µnµªµ¤Á¦n°° Ss g , S g ¨³´· Ê ·´ ÁÈ ¦³Á£ D
nµ´¤¦³··Í¦´Âo ÁºÉ°µ¨
°´·
Ê Fa ¨³ Fv
εªnµªµ¤Á¦n°°Îµ®¦´µ¦°°Â S DS ¨³ S D µ
S DS Fa S s u g
S D Fv S u g
µµ¦µÎµ®¦³Á£µ¦°°Âo µÂ¦Ân·Å®ªÁÈ ¦³Á£ .
ªµ¤Îµ´
°°µµ¦¦³Á£ III nµ I
宦´ æo µÂ¦´¸ÉÄo æ°µµ¦Î ʵ¥´o°´µ¦ÃnÁµ³
ε®nµ R :o Cd
媮µnµµµ¦´É µ¤¦¦¤µ·
°Ã¦¦o µ
T H u ª·µ¸
媮µÎ ʵ®´
°°µµ¦
W u u u ·Ã¨¦´¤
´
媮µnµ´¤¦³··Í¨°°Â¦Ân·Å®ª Cs
Å¡¼¨¥r ´µ³Ã ¸ É 9 µ¦Á¦· ¤Îµ¨´oµµÂn· Å®ª
°°µµ¦ 309
Sa S DS
Cs
R I R I
S DS I u
Cs g
R
S D
Cs g g ¨³ Cs ! g
§R· § ·
T¨ ¸ ¨ ¸
©I¹ © ¹
媮µÂ¦Áº°¸Éµ°µµ¦ÁºÉ°µÂ¦Ân·Å®ª µ
V CsW u ´
¦³µ¥Â¦Áº°¸ÉµÁÈ Â¦¦³Îµo µ
o µÄÂn¨³´°µµ¦
Ê µ
wx hx
Fx CvxV n
V ÁºÉ°µnµ T o °¥ªnµ 0.5 ª·µ¸ k
¦ wi hi
i
εªÂ¦¦³Îµµo µ
o µÂ¨³Â¦Áº° ´Âĵ¦µ¸É 9.1 ¨³Âµ¦¦³µ¥
°
¦¦³Îµµo µ
o µ°µµ¦Ä¦¼¸É 9.7
µ¦µ¸É 9.1 ¦¦³Îµµo µ
o µÂ¨³Â¦Áº°ÄÂn ¨³´Ê
¦³´´Ê Wx hx Wxhx Fx Vx
(´) (¤.) (´-¤.) (´) (´)
4 207.36 15.0 3,110.4 31.27 31.27
3 207.36 11.5 2,384.6 23.97 55.24
2 207.36 8.0 1,658.9 16.68 71.91
1 207.36 4.5 933.1 9.38 81.29
6 = 8,087
310 Å¡¼¨¥r ´µ³Ã ¸ É 9 µ¦Á¦· ¤Îµ¨´oµµÂn· Å®ª
°°µµ¦
%5
%
%
%5
%
%5
%5
%
%
%5
%5
%
%
%5
%5
%
εªnµµ¦Á¨ºÉ°¸É °Ã¦°µµ¦Á¦· ¤Îµ¨´
I sc
Pe Lsc ¤.4
S E
S
u
4
Á¨º°Á®¨È®»o¤Â¨n°
µ 10x20 ¤. I sc = 2,258 ¤.
7XEH[PP
3/[PP
0RUWDU
FP
8QERQGLQJDJHQW
FP
6HFWLRQ$$%5%
$
Á®¨ÈÂnª¦µ
Á®¨ÈÂnªÅ¤n¦µ £µ¥Ä¨°®»o¤
Á®¨ÈÂnªÅ¤n¦µ £µ¥°¨°®»o¤
¦¼µ¤¥µª
° BRB 1
¦¼ ¸É 9.13 ¦µ¥¨³Á°¸¥Ã¦¦o µÁ¦·¤Îµ¨´o ª¥ BRB
Å¡¼¨¥r ´µ³Ã ¸ É 9 µ¦Á¦· ¤Îµ¨´oµµÂn· Å®ª
°°µµ¦ 315
´°¸
Ê Ê Á¦·É ¤µµ¦ÎµÂε¨°Ã¦¦o µÃ¥Ã¦Â¦¤ PERFORM-3D 宦´
¡§·¦¦¤µ¦¦´Â¦
°µÂ¨³Áµ¦· Áª
o °®¤»¡¨µ·Äo Âε¨°®o µ´Å¢Á°¦r ¨³
ª·Á¦µ³®r¡§·¦¦¤o µµÂn·Å®ª
°°µµ¦o ª¥ª·¸ µ¦¨´°µµ¦ (Pushover Analysis)
¨³µ¦ª·Á¦µ³®rµ¤¦³ª´·Áª¨µÂŤnÁ·Áo o ª¥¨ºÉÂn·Å®ª (Nonlinear Time History
Analysis)
() (
)
¦¼ ¸É 9.16
() ¡§·¦¦¤
°ª´»Än ª¦³°¥n °¥
°®o µ´Å¢Á°¦r (Fiber Section)
(
) µ¦ª´¤¦¦³
°Ã¦¦o µªµ¤´¤¡´r Force-Deformation
°°¦¸ ¨³Á®¨ÈÁ¦·¤
Å¡¼¨¥r ´µ³Ã ¸ É 9 µ¦Á¦· ¤Îµ¨´oµµÂn· Å®ª
°°µµ¦ 317
´°µ¦ª·
Ê Á¦µ³®rµ¦¨´°µµ¦Â·Å¤nÁ·Áo Ã¥ª·¸ Pushover Analysis
) 媮µnµ¦³¥³µ¦Á¨ºÉ°¸É Áoµ®¤µ¥ (Target Displacement) Ã¥ª·¸
Displacement Coefficient Method (ASCE/SEI 41-06, FEMA 356-2000) 宦´
Ân¨³Ã®¤
) 嵦¨´°µµ¦ÅÄÂn¨³Ã®¤ Å¥´nµ¦³¥³µ¦Á¨ºÉ°¸ÉÁoµ®¤µ¥
) ¦ª°nµ Demand-Capacity Ratio (DCR)
°Ã¦¦o µÂn¨³· Ê Îµ®¦´µ¦
¨´ÄÂn¨³Ã®¤ Ã¥ª´¤¦¦³
°Ã¦¦o µ 3 ¦³´ Åo Ân ¦³´Á
o µÄo °µµ¦
Åo ´ ¸ (IO), ¦³´ªµ¤¨°£´¥n°¸ª· (LS), ¨³¦³´o°´µ¦¡´¨µ¥Ã¥
· ÊÁ· (CP)
µ¦µ¸É 9.6 ¨µ¦Îµªn µ¦³¥³µ¦Á¨ºÉ°¸ÉÁo µ®¤µ¥n °Á¦· ¤Îµ¨´ 宦´ Ân ·Å®ª¦³´
ªµ¤¦» ¦¤µ¡ºÊ ¸É´®ª´Â¡¦n
Mode ·«µµ¦
Te Sa Gt height Drift 1.5x Drift 2x Drift
Shape ¨´°µµ¦
1 H2 µ¤
ªµ 1.039 0.3265 0.1263 11.20 0.0113 0.0169 0.0226
2 H1 µ¤¥µª 1.023 0.3316 0.1243 11.20 0.0111 0.0166 0.0222
Drift Ratio 2 % nµ DCR
°Áµ¤¸µn Ánµ´ 1.15 ¨³ 1.82 宦´Áµ C-ř’ ¨³Áµ CŚ Ä´Ê
Ê É° µ¤¨Îµ´ nµ DCR ¸ÉÁ· 1 ¸ Ê ®¤µ¥ªµ¤ªnµ æ¦o µÁµ
°°µµ¦Å¤n
¸É¨nµ ¹´¸
µ¤µ¦¦´Îµ¨´Ä¦³´¸ ÊÅo °¸n°Å
Demand-Capacity Ratio
C2 F1-F2 LS
C1’ F1-F2 LS
¨µ¦ª·Á¦µ³®r
oµo ªnµ Áµ°µµ¦ Cc ¨³ C ´Ê ¨nµÂ¨³´Ê ¸É° ¸É°¥¼nÄ
ª 1, 2, 14, 15 ¹É °¥¼n ¦· Áª¨µ¥
°µ¤ªµ¤¥µª
°°µµ¦´°o
Ê µ¤¸µn Á¨¸É¥
°
Demand-Capacity Ratio
°Ã¦¦o µ °¥¼nĦ³´¸ÉÁ·ªnµnµ¦³´ªµ¤¨°£´¥n°¸ª·
(Life Safety, LS) 宦´Ân·Å®ª¦³´ªµ¤¦»Â¦¤µ (. ¡¦n)
ªµµ¦Á¦· ¤Î µ¨´o µµÂn·Å®ªÎµ®¦´ °µµ¦Ã¦Á¦¸ ¥¸ Ê ¹Äo æΠʵ¥´
o°´µ¦ÃnÁµ³ (Buckling Restrained Brace, BRB) Á¦· ¤Äª A, D ¸Énª¦³®ªnµ
 1, 2 ¨³nª¦³®ªnµÂ 14, 15 Ä´¨n
Ê µ ´ÂÄ´µ¤¥µª
°°µµ¦ ¹É ¦· Áª
320 Å¡¼¨¥r ´µ³Ã ¸ É 9 µ¦Á¦· ¤Îµ¨´oµµÂn· Å®ª
°°µµ¦
Mode ·«µµ¦
Te Sa Gt height Drift 1.5x Drift 2x Drift
Shape ¨´°µµ¦
1 H2 1.008 0.3365 0.1251 11.20 0.0112 0.0168 0.0223
µ¤
ªµ
2 H1 µ¤¥µª 0.9316 0.3641 0.1156 11.20 0.0103 0.0155 0.0206
¨µ¦ª· Á ¦µ³®r  ÁÈ ¦µ¢ªµ¤´¤ ¡´ r ¦ ³®ªn µ ¦Áº ° ¸É µÂ¨³µ¦Á¨ºÉ ° ¸É
´¤¡´r
°°µµ¦ 宦´Ã®¤¸É Ś ¨´Ä·«µµ¤¥µª ´¦¼¸É 9.19
Å¡¼¨¥r ´µ³Ã ¸ É 9 µ¦Á¦· ¤Îµ¨´oµµÂn· Å®ª
°°µµ¦ 321
Demand-Capacity Ratio
C2 FŚ-F3 LS
C2 F1-F2 LS
´°µ¦ª·
Ê Á¦µ³®rµ¤¦³ª´·Áª¨µÂŤnÁ·Áo o ª¥¨ºÉÂn·Å®ª ª·Á¦µ³®rÃ¥ Äo
¨ºÉÂn·Å®ª εª 7 »¹É ÁÈ ´ªÂ
°¡º ʸɴ ®ª´Â¡¦n ´Âĵ¦µ¸É 9.8 嵦
¦´Á¸¥o ª¥ Scale Factor Á¡ºÉ°Ä®o nµÁ¨¸É¥ Response Spectrum Á¸¥Ánµ´¦µ¢µ¦
°°Â Design Spectrum 宦´¡º ʸɴ ®ª´Â¡¦n (¦¼ ¸É 9.21) ¨³ª·Á¦µ³®ræ¦o µ o ª¥
榤 PERFORM-śD
µ¦µ¸É 9.8 ¨ºÉÂn ·Å®ªÎµ®¦´ µ¦ª·Á¦µ³®r
°¡ºÊ ¸É´®ª´Â¡¦n
CMS (0.75s)-Summary of Properties of Rotated & Scaled Horizontal Records
Event NGA# Year Mag Mechanism Rrup (km) Vs30 (m/s) Scale Factor
Mammoth Lakes-01 231 1980 6.06 Normal-Oblique 15.5 345.4 1.693
Irpinia- Italy-01 290 1980 6.9 Normal 29.8 350 3.6533
Mammoth Lakes-01 230 1980 6.06 Normal-Oblique 6.6 338.5 1.0701
Imperial Valley-06 175 1979 6.53 Strike-Slip 17.9 196.9 3.2108
Kobe- Japan 1107 1995 6.9 Strike-Slip 22.5 312 1.6124
Superstition Hills-02 721 1987 6.54 Strike-Slip 18.2 192.1 1.5761
Morgan Hill 458 1984 6.19 Strike-Slip 11.5 221.8 1.696
Design spectrum
1.0
ªµ¤Á¦n °°Á·Á¦´¤ Sa (g)
¦¼ ¸É 9.22 µ¦¦´ ¦ª´´¦ ° BRB µª·Á¦µ³®r æ¦o µo ª¥¨ºÉÂn ·Å®ª
() n °Á¦·¤Îµ¨´
Áµ¤¸µn ¼» Ř.65 ¸ÉÁµ C1’ Áµ Line 2-D ¨³ Line 14-D nµ DCR
°Áµ´®¤
Ê ¤¸µn o °¥
ªnµ ř.Ř ÂÄ®o Á®Èªnµ æ¦o µ¤¸¤¦¦³°¥¼Än nªÅ¤nÁ·¦³´ªµ¤¨°£´¥n°¸ª· (LS)
บทที 10
การออกแบบฐานราก
10.1 บทนํา
V1 V2 V3 V4
P1 P2 P3 P4
รู ปที 10.1 แรงกระทําและการกระจายตัวของข้ อหมุนพลาสติกในโครงสร้ างภายใต้ แรงแผ่ นดินไหว
330 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก
10.2 การรับแรงกระทําของฐานราก
ในการคํานวณแรงแผ่นดินไหวกระทําต่อฐานรากมีการพิจารณาพฤติกรรมแบบไม่ยืดหยุ่น
เช่นเดียวกับการออกแบบโครงสร้ างส่วนบนดังแสดงในรู ปที 10.2 แรงเฉือนทีใช้ ในการออกแบบ
โครงสร้ างต้ านทานแผ่นดินไหว จะมีการปรับค่าจากแรงระดับ ยืดหยุ่นมายังระดับไม่ยืดหยุ่นด้ วย
ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (R Factor) พิจารณาจากรูปที 10.2 แสดงพฤติกรรมการรับแรง
แผ่นดินไหวของโครงสร้ างทีแท้ จริ งเป็ นเส้ นโค้ ง โดยมีคา่ การเคลือนทีสูงสุด 'max ซึงเส้ นโค้ งนี จะ
แทนทีด้ วยแบบจําลอง Elastic Perfectly Plastic (EPP) เพือเป็ นตัวแทนอย่างง่ายของพฤติกรรมที
แท้ จริ ง สําหรับแรงกระทําระดับยืดหยุ่น Ce พิจารณาจากกราฟเส้ นตรงทีลากเส้ นสัมผัสของส่วน
โค้ งถึงค่าการเคลือนที ' e ซึงทําให้ พืนทีใต้ กราฟของพฤติกรรมยืดหยุ่นเท่ากันกับพืนทีใต้ กราฟ
ของพฤติกรรมแบบ EPP ตามหลักการพลังงานทีเท่าเทียมกัน (Newmark and Hall, 1973)
สําหรับแรงกระทํา ณ จุดคราก C y หาได้ จากการลดกําลังจาก Ce มายัง C y ด้ วยค่าการลดกําลัง
เนืองจากความเหนียว (Ductility Reduction Factor, RP ) ของโครงสร้ างสําหรับแรงกระทําทีใช้
ออกแบบ Cs ซึงเป็ นค่าทีกําหนดในมาตรฐาน จะลดค่าลงมาจากระดับจุดคราก ด้ วยค่าตัวประกอบ
กําลังส่วนเกิน (Overstrength Factor, :o ) เนืองจากในการออกแบบโครงสร้ างจะมีค่ากําลัง
ส่วนเกิน ได้ แก่ การใช้ ขนาดหน้ าตัดคอนกรี ตและเหล็กเสริมทีเกินกว่าค่าทีคํานวณได้ เป็ นต้ น การ
ลดกําลังจากระดับ Ce มายัง Cs จะใช้ ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (R Factor) ซึงเป็ นค่าที
แสดงในมาตรฐานการออกแบบนันเอง
Base Shear Coefficient
แรงกระทําระดับยืดหยุน่
Ce
RP
Cd
10.3 ขันตอนการออกแบบฐานราก
นํ าหนัก บรรทุก ประลัย กระทํ า ต่อ ฐานรากเป็ น ผลรวมนํ าหนัก บรรทุก แนวดิ งและแรง
แผ่นดินไหว ให้ พิจารณาแรงแผ่นดินไหวทังสองทิศทางทีตังฉากกัน ในกรณี ใช้ การรวมนําหนัก
บรรทุก คงที นํ าหนักบรรทุกจรและแรงแผ่น ดิน ไหวที ใช้ ในการออกแบบ (Design load
Combinations) สําหรับมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 มีดงั นี
กรณีพิจารณาแรงแผ่นดินไหวในแต่ละทิศทางกระทําต่ออาคารแยกจากกัน
สําหรับการออกแบบด้ วยวิธีกําลัง
0.75(1.4D+1.7L)+1.0EX (10.2ก)
0.75(1.4D+1.7L)+1.0EY (10.2ข)
0.9D+1.0EX (10.2ค)
0.9D+1.0EY (10.2ง)
กรณีพิจารณาแรงแผ่นดินไหวใน 2 ทิศทางหลักกระทําต่ออาคารร่วมกัน
สําหรับการออกแบบด้ วยวิธีกําลัง
0.75(1.4D+1.7L)+0.3EX+1.0EY (10.3ก)
0.75(1.4D+1.7L)+1.0EX+0.3EY (10.3ข)
0.9D+0.3EX+1.0EY (10.3ค)
0.9D+1.0EX+0.3EY (10.3ง)
โดยที EX, EY คือ แรงแผ่นดินไหวตามทีคํานวณตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ในทิศทาง
แกน X และแกน Y ตามลําดับ
สํา หรั บ แรงเฉื อ นกระทํ า ต่อ ฐานรากในแนวราบเนื องจากผลของแรงแผ่น ดิ น ไหว ให้
คํานวณจากผลของแรงเฉือนทีได้ จากกรณีการรวมนําหนักบรรทุกสูงสุด ซึงคูณด้ วยค่าตัวประกอบ
กําลังส่วนเกินของโครงสร้ าง (Overstrength Factor, :o ) เพือปรับค่าแรงเฉือนเป็ นระดับไม่
ยื ด หยุ่น และนํ า ไปใช้ ใ นการตรวจสอบความปลอดภัย ของฐานรากในขันตอนถัด ไป สํ า หรั บ
มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 ดังนี
334 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก
กรณีพิจารณาแรงแผ่นดินไหวในแต่ละทิศทางกระทําต่ออาคารแยกจากกัน
สําหรับการออกแบบด้ วยวิธีกําลัง
0.75(1.4D+1.7L)+1.0 :o EX (10.4ก)
0.75(1.4D+1.7L)+1.0 :o EY (10.4ข)
0.9D+1.0 :o EX (10.4ค)
0.9D+1.0 :o EY (10.4ง)
กรณีพิจารณาแรงแผ่นดินไหวใน 2 ทิศทางหลักกระทําต่ออาคารร่วมกัน
สําหรับการออกแบบด้ วยวิธีกําลัง
0.75(1.4D+1.7L)+ :o (0.3EX+1.0EY) (10.5ก)
0.75(1.4D+1.7L)+ :o (1.0EX+0.3EY) (10.5ข)
0.9D+ :o (0.3EX+1.0EY) (10.5ค)
0.9D+ :o (1.0EX+0.3EY) (10.5ง)
กรณีนําหนักบรรทุกและโมเมนต์ทีกระทําต่อฐานราก ไม่ต้องมีการปรับเพิมค่า เนืองจากผลของ
แรงแผ่นดินไหวทําให้ ค่านําหนักบรรทุกของเสาเข็มและค่าโมเมนต์ทีกระทําต่อฐานรากเพิมขึนไม่
มาก ตามทีแสดงผลการวิเคราะห์ ในหัวข้ อข้ างต้ น ซึงค่าความปลอดภัยในการออกแบบได้ เผือไว้
แล้ ว จึงไม่ต้องมีการปรับเพิมค่าในการออกแบบ
10.3.3 การตรวจสอบความปลอดภัยของฐานราก
สําหรับการตรวจสอบความปลอดภัยของฐานราก มีดงั นี
ก) กําลังรับนําหนักบรรทุกของฐานรากแผ่และฐานรากเสาเข็ม
กรณีการออกแบบฐานรากแผ่และฐานรากเสาเข็ม กําลังแบกทานทีออกแบบของฐานราก
จะต้ องสามารถรับนําหนักบรรทุก ประลัยจากกรณีการรวมนําหนักบรรทุกสูงสุดเนืองจากผลรวม
นําหนักบรรทุกแนวดิงและแรงแผ่นดินไหว ซึงอาจเป็ นแรงกดหรื อแรงถอน ทังนีกําลังแบกทานของ
ฐานรากอาจคํานวณได้ จากคุณสมบัติของดิน หรื อผลการทดสอบกําลังแบกทานของฐานราก
ข) การเลือนไถลและการพลิกควําของฐานราก
กําลังต้ านทานต่อการเลือนไถลทีออกแบบของฐานรากจะต้ องสามารถต้ านทานต่อ แรง
เฉือนประลัยในแนวราบเนืองจากผลของแรงแผ่นดินไหว โดยแรงต้ านทานของฐานรากคํานวณ
จากผลรวมของแรงเสียดทานของดินรอบส่วนข้ างใต้ ฐานราก แรงดันดินด้ านข้ าง (Passive earth
pressure) ตลอดความหนาของฐานราก และกําลังต้ านทานแรงด้ านข้ างของเสาเข็ม ทังนี ค่า แรง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 335
10.3.4 การออกแบบความหนาของฐานรากและเหล็กเสริม
10.4 ฐานรากเดียว
หากการออกแบบฐานรากเป็ นแบบฐานรากเดียว (Isolated Foundation) ซึงมี
นํ าหนักบรรทุก แรงเฉื อนและโมเมนต์ ถ่ ายเข้ าสู่ฐานรากแต่ละต้ น จะต้ องมี การออกแบบเพื อ
ป้องกันการวิบตั ิของฐานราก ซึงอาจแบ่งออกได้ เป็ น 3 แบบ ดังนี ก) การเกิดข้ อหมุนพลาสติก
เฉพาะที โคนเสา ดัง แสดงในรู ปที 10.3ก จะต้ อ งมี ก ารออกแบบให้ โ คนเสาต้ า นทานการวิ บัติ
เนืองจากแรงเฉือน และเสริ มเหล็กให้ มีความเหนียวในบริ เวณนี ข) มีการออกแบบให้ ขนาดฐาน
รากกว้ างใหญ่พอ เพือป้องกันการโคลงตัวของฐาน (Rocking) และตรวจสอบความปลอดภัยจาก
การพลิกตะแคงตัวของฐานรากเนืองจากโมเมนต์พลิกควํา ดังแสดงในรูปที 10.3ข และ ค) มีการ
ออกแบบป้องกันการแตกร้ าวทีใต้ ฐานรากเนืองจากโมเมนต์ดดั ใต้ ฐานราก ดังแสดงในรูปที 10.3ค
โดยการตรวจสอบกําลังต้ านทานโมเมนต์ดดั ของฐานรากให้ มากกว่าโมเมนต์แตกร้ าว เพือป้องกัน
ผิวคอนกรี ตในฐานรากเกิดการแตกร้ าว ดังนี
I M n t 1.2M cr (10.6)
เมือ M n คือ กําลังต้ านทานโมเมนต์ดดั ประลัย, กก.-ม.
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 337
M M
M
V V
V
ข้ อหมุนพลาสติก
การแตกร้ าวจากการโก่งดัด
M
P
v
H
d2 d 2
d1 d1
R1 R2 R3 R4
รู ปที 10.4 แรงกระทําต่ อฐานรากเดียว
10.5 ฐานรากร่ วม
การออกแบบฐานรากเดียวสําหรับอาคารต้ านทานแผ่นดินไหว อาจมีขนาดใหญ่กว่า
ฐานรากของอาคารทัวไป เพือป้องกันการวิบตั ิดงั กล่าวข้ างต้ น หากออกแบบเป็ นฐานรากร่ วม
(Combined Foundation) โดยการใช้ คานยึดรัง (Tie Beam)ยึดระหว่างฐานรากเข้ าด้ วยกัน จะ
ช่วยยึดเสาตอม่อและฐานรากป้องกันการโคลงตัวของฐานราก และกระจายโมเมนต์ดดั ของฐาน
รากได้ การออกแบบฐานรากร่วมแบบมีคานยึดรัง อาจจะกําหนดให้ คานคอดินเป็ นคานยึดรัง และ
ฐานรากอยู่ติดกับคานยึดรัง ดังแสดงในรู ปที 10.5 ในกรณีนี บริ เวณโคนเสาจะออกแบบเพือให้
พลังงานแผ่นดินไหวถูกดูดซับ และเกิดเป็ นข้ อหมุนพลาสติกบริ เวณนี ดังนันการออกแบบโคนเสา
จะต้ องมีการเสริ มเหล็กปลอกเป็ นพิเศษเพือป้องกันการวิบตั ิแบบเฉื อนเปราะ และออกแบบให้
เหล็กเสริมตามยาวของเสามีพฤติกรรมรับแรงดัดแบบเหนียวแทน
Lc
การออกแบบขนาดของคานเชือม ขนาดหน้ าตัดคาน b t เมือ Lc คือระยะห่าง
20
สุทธิระหว่างฐานราก สําหรับการออกแบบเหล็กเสริ มตามยาวในคานเชือม นอกจากจะออกแบบ
ให้ ต้านทานโมเมนต์ดดั ทีถ่ายเทระหว่างฐานรากทังสองนีได้ นอกจากนี ยังต้ องออกแบบรับแรง
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 339
M u1 Mu2
Lc
bt
20
ข้ อหมุนพลาสติก คานยึดรัง (Tie beam) ข้ อหมุนพลาสติก
Vu1 P Vu 2
Lc หน้ าตัดคานยึดรัง
M u1 Mu2 Lc
bt
20
คานยึดรัง (Tie beam)
Vu1 P Vu 2
ข้ อหมุนพลาสติก ข้ อหมุนพลาสติก
Lc
10.6 ฐานรากเสาเข็ม
ข้ อหมุนพลาสติก
10.7 การออกแบบรายละเอียดเสาเข็ม
10.7.1 อาคารประเภท ค ตามมาตรฐาน มยผ.1301/1302-61
ก) เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็ก
เหล็กเสริมตามยาวเสาเข็ม
As 0.0025 Ag (10.9)
2
เมือ As คือ ปริ มาณพืนทีหน้ าตัดเหล็กเสริ มตามยาว, มม.
Agคือ พืนทีหน้ าตัดของเสาเข็ม, มม.2
เหล็กเสริมตามยาวนีจะต้ องวางเลยจากตําแหน่งระยะเสริมเหล็กขันตําต่อไปอีกเท่ากับระยะฝังยึด
รับแรงดึง โดยที ความยาวของระยะเสริมเหล็กขันตําวัดจากผิวล่างของฐานรากหุ้มหัวเข็ม (Pile
cap) ให้ ใช้ คา่ มากระหว่าง
(1) 1 ใน 3 ของความยาวเสาเข็ม
(2) 3 เมตร
(3) สามเท่าของขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของเสาเข็ม
(4) ความยาวเชิงดัดของเสาเข็ม
เหล็กปลอกของเสาเข็ม
ใช้ เหล็กปลอกวงปิ ด หรื อ เหล็กปลอกเกลียว มีเส้ นผ่านศูนย์กลางอย่างน้ อย 9 มม. มี
ระยะเรี ยงไม่เกิน 150 มม. หรื อ 8 เท่าของขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของเหล็กตามยาว จัดภายใน
ระยะ 3 เท่าของเส้ นผ่านศูนย์กลางของเสาเข็มวัดจากผิวล่างของฐานรากหุ้มหัวเข็มลงมา สําหรับ
ความยาวทีเหลือของระยะเสริ มเหล็กขันตําลงมา ใช้ ระยะเรี ยงของเหล็กปลอกไม่เกิน 16 เท่าของ
ขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของเหล็กตามยาว
ข) เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง
0.12 f cc
Us (10.10)
f yh
โดยที
U s คือ อัตราส่วนเชิงปริ มาตร (ปริ มาตรเหล็กปลอกเกลียว/ปริ มาตรแกนคอนกรี ต)
f cc คือ กําลังรับแรงอัดของคอนกรี ต (เมกาปาสกาล)
f yh คือ กําลังครากของเหล็กปลอกเกลียว (เมกาปาสกาล) แต่ใช้ ไม่เกิน 586 เมกาปาสกาล
เหล็กปลอกเกลียวนี เสริมภายในระยะ 6 เมตรวัดจากผิวล่างของฐานรากหุ้มหัวเข็ม (Pile cap) ลง
มา ในช่วงความยาวทีเหลือของเสาเข็ม จะต้ องเสริมเหล็กปลอกเกลียวให้ มีอตั ราส่วนเชิงปริมาตร
อย่างน้ อยครึงหนึงของค่าทีกําหนดในสมการ 9.10
ก) เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็ก
การออกแบบเหล็กเสริมจะต้ องคํานวณจากแรงกระทําแผ่นดินไหวต่อเสาเข็ม นอกจากนี
ปริมาณเหล็กเสริมตามยาวเสาเข็มจะต้ องไม่น้อยกว่า
As 0.005 Ag (10.11)
2
เมือ As คือ ปริมาณพืนทีหน้ าตัดเหล็กเสริมตามยาว, มม.
2
Ag คือ พืนทีหน้ าตัดของเสาเข็ม, มม.
เหล็กเสริมตามยาวนีจะต้ องวางเลยจากตําแหน่งระยะเสริมเหล็กขันตําต่อไปอีก
เท่ากับระยะฝังยึดรับแรงดึง โดยที ความยาวของระยะเสริมเหล็กขันตําวัดจากผิวล่างของฐานราก
หุ้มหัวเข็ม (Pile cap) ให้ ใช้ คา่ มากระหว่าง
(1) 1 ใน 2 ของความยาวเสาเข็ม
(2) 3 เมตร
(3) สามเท่าของขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของเสาเข็ม
(4) ความยาวเชิงดัดของเสาเข็ม
เหล็กปลอกของเสาเข็ม
การเสริ มเหล็กตามขวางให้ มีความเหนียวตามข้ อ 21.4.4.1 ข้ อ 21.4.4.2 และ ข้ อ
21.4.4.3 ของมาตรฐาน ACI 318-14 ตลอดระยะเสริ มเหล็กขันตําทีวัดจากผิวล่างของฐานรากหุ้ม
หัวเข็ม (Pile cap) ลงมา สําหรับเสาเข็มในดินประเภท E หรื อ F ให้ เสริ มเหล็กตามยาวและเหล็ก
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 343
ข) เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง
§ f c · § Ag ·§ 1.4 P ·
Us 0.25 ¨ c ¸ ¨
¨ f yh ¸ © Ach
1.0 ¸ ¨ 0.5 ¸ (10.12)
© ¹ ¹ ¨© f ccAg ¸¹
แต่ต้องไม่น้อยกว่า
§ f c ·§ 1.4 P ·
Us 0.12 ¨ c ¸ ¨ 0.5
¨ f yh ¸ ¨ ¸ (10.13)
© ¹© f ccAg ¸¹
โดยที U s ต้ องมีคา่ ไม่เกิน 0.021
U s คือ อัตราส่วนเชิงปริ มาตร (ปริ มาตรเหล็กปลอกเกลียว/ปริ มาตรแกนคอนกรี ต)
f cc คือ กําลังรับแรงอัดของคอนกรี ต (เมกาปาสกาล) แต่ใช้ ไม่เกิน 41.4 เมกาปาสกาล
f yh คือ กําลังครากของเหล็กปลอกเกลียว (เมกาปาสกาล) แต่ใช้ ไม่เกิน 586 เมกาปาสกาล
Ag คือ พืนทีหน้ าตัดของเสาเข็ม (ตารางมิลลิเมตร)
Ach คือ พืนทีของแกนหน้ าตัดของเสาเข็มทีล้ อมด้ วยเส้ นผ่านศูนย์กลางด้ านนอกของเหล็กปลอก
เกลียว(ตารางมิลลิเมตร)
P คือ แรงตามแนวแกนบนเสาเข็มจากชุดการรวมนําหนัก 1.2D + 0.5L + 1.0E (กิโลนิวตัน)
ปริมาณของเหล็กปลอกเกลียวตามสมการข้ างต้ นอนุญาตให้ ใช้ ได้ ทงเหล็
ั กปลอกเกลียววง
ในและ วงนอก
(6) เมือใช้ เหล็กวงรอบปิ ดสีเหลียมผืนผ้ าร่วมกับเหล็กปลอกขวาง เป็ นเหล็กตาขวางในบริเวณที
ต้ องได้ รับการจัดรายละเอียดให้ มีความเหนียว พืนทีหน้ าตัดของเหล็กตามขวางในทิศทาง
ทีตังฉากกับมิติ hc ของเสาเข็ม ต่อระยะเรี ยง s จะต้ องเป็ นไปตามสมการ
§ f c · § Ag ·§ 1.4 P ·
Ash 0.3shc ¨ c ¸ ¨
¨ f yh ¸ © Ach
1.0 ¸ ¨ 0.5
¨ ¸ (10.14)
© ¹ ¹© f ccAg ¸¹
แต่ต้องไม่น้อยกว่า
§ f c ·§ 1.4 P ·
Ash 0.12 shc ¨ c ¸ ¨ 0.5
¨ f yh ¸ ¨ ¸ (10.15)
© ¹© f ccAg ¸¹
โดยที
s คือ ระยะเรี ยงของเหล็กตามขวาง (มิลลิเมตร)
h คือ มิติของหน้ าตัดแกนคอนกรี ตของเสาเข็มวัดจากศูนย์กลางถึงศูนย์กลางของเหล็กปลอก
วงปิ ด (มิลลิเมตร)
f yh คือ กําลังครากของเหล็กปลอกเกลียว (เมกาปาสกาล) ให้ ใช้ ไม่เกิน 483 เมกาปาสกาล
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 345
ตัวอย่ าง 10.1 อาคารเรี ยนหลังหนึง มีผงั อาคารและรูปตัด ดังแสดงในรูปที 10.8 โครงสร้ างอาคาร
มีการออกแบบเป็ นโครงต้ านแรงดัดที มี ความเหนี ยว จงคํานวณออกแบบฐานรากอาคารเพื อ
ต้ านทานแรงแผ่นดินไหว
กําหนดให้
ค่าความเร่งตอบสนองในพืนทีออกแบบอาคาร SS 0.735g และลักษณะชันดินเป็ นดินปกติ
เสาอาคาร C1 ขนาด 60x60 ซม. ซม. เหล็กยืน 8DB25 เหล็กปลอก DB10@0.10 ม.
รับนําหนักบรรทุกคงที 55.7 ตัน นําหนักบรรทุกจร 31.5 ตัน คาน B1 ขนาด 25x80 ซม.
ฐานรากนีใช้ เสาเข็มขนาด 22x22 ซม. เหล็กยืน 8DB12 ป DB10@0.10 ม.
กําลังรับนําหนักบรรทุกปลอดภัยของเสาเข็ม 40 ตัน
กําลังรับนําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็ม 100 ตัน
กําลังต้ านทานปลอดภัยต่อแรงดึงถอนของเสาเข็ม 24 ตัน
กําลังต้ านทานปลอดภัยต่อแรงด้ านข้ างของเสาเข็ม 1.5 ตัน
( fcc = 250 กก./ตร.ซม. f y = 4,000 กก./ตร.ซม.)
346 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก
B1
C1 3.50 m
B1 C1
C1 3.50 m
C1
B1
C1 3.50 m
C1
B1
4.50 m
C1 C1
B1
10.50 m
วิธีทาํ
ขันตอนที 1 คํานวณหาขนาดฐานราก
¦P PD PL ตัน
55.7 31.5 87.2
สมมุตินําหนักของฐานรากและดินเหนือฐานราก = 9 ตัน (ประมาณ 10% ของนําหนักบรรทุก)
จํานวนเสาเข็มทีต้ องการ = (87.2+9)/40 = 2.41 ต้ น
ใช้ เสาเข็มขนาด 22x22 ซม. จํานวน 4 ต้ น และใช้ ฐานรากขนาด 1.50x1.50 ม.ความหนา 0.70 ม.
และใช้ คานคอดินเป็ นคานยึดรัง (tie beam) ระหว่างฐานราก
y y
Pile 22x22 cm
Tie Beam
Tie Beam
1.50 m
1.50 m
1.00 m
0.60 m
0.60 m
1.00 m
x Tie Beam x
0.60 m 0.60 m
1.00 m 1.00 m
1.50 m 9.00 m 1.50 m
10.50 m
COMB 1 = D+L
COMB 2 = 1.4D+1.7L
COMB 3 = 0.75(1.4D+1.7L) +0.3EX+1.0EY
COMB 4 = 0.75(1.4D+1.7L) +1.0EX+0.3EY
COMB 5 = 0.9D+0.3EX+1.0EY
COMB 6 = 0.9D+1.0EX+0.3EY
ผลการวิเคราะห์กรณี COMB 4 แสดงในรูปตัดขวาง ดังนี
Pu = 96.50 T Pu = 101.37 T
Mu = 8.87 T-m
Mu = 18.18 T-m
Vu = 1.47 T
Tie Beam Vu = 7.74 T
0.60
C1 C1 0.70
10.5
ขันตอนที 3 ตรวจสอบการพลิกควําและการไถลตัวของฐานราก
ตรวจสอบการพลิกควําของฐานรากด้ านขวา เนืองจากมีคา่ โมเมนต์สงู สุด
โมเมนต์พลิกควํา (Overturning Moment)
M O 18.18 :o u 7.74 u1.30 18.18 3 u 7.74 u1.30 48.37 ตัน-เมตร
โมเมนต์ต้านทาน (Resisting Moment)
กําลังต้ านทานต่อแรงดึงถอนประลัยของเสาเข็ม = 2.5x24 = 60 ตัน
M R 107.12 u 0.75 2 u 60 u1.0 200.34 ตัน-เมตร
กําลังต้ านทานโมเมนต์พลิกควําทีออกแบบ I M R 0.6 u 200.34 120.20 ! 48.37 ใช้ ได้
ตรวจสอบแรงเฉือนเลือนไถลของฐานรากด้ านขวา เนืองจากมีคา่ แรงเฉือนสูงสุด
Vu :o u 7.74 3 u 7.74 23.22 ตัน
แรงเสียดทานใต้ ฐานราก VF = สัมประสิทธิแรงเสียดทาน x Pu
ใช้ คา่ สัมประสิทธิแรงเสียดทานสําหรับทรายหยาบดินตะกอนปนทรายหยาบ(0.5)จากตารางที
10.1
แรงเสียดทานใต้ ฐานราก = 0.5x107.12 = 53.56 ตัน
แรงดันดินด้ านข้ างตลอดความหนาของฐานราก
p kaJ h A 0.5 u1.75 u1.3 u 0.7 u1.5 1.19 ตัน
กําลังต้ านทานแรงด้ านข้ างประลัยของเสาเข็ม = 2.5x1.5 = 3.75 ตัน
รวมกําลังต้ านทานแรงด้ านข้ างประลัยของเสาเข็มทังหมด = 3.75x4 = 15 ตัน
รวมกําลังต้ านทานการเลือนไถลของฐานราก VF = 53.56+1.19+15 = 69.75 ตัน
กําลังต้ านทานต่อการเลือนไถลทีออกแบบ IVF 0.8 u 69.75 55.80 ! 23.22 ใช้ ได้
รวมแรงเฉือนต้ านทานของเสาเข็ม = 4(20.88) = 83.52 ตัน > 23.22 ตัน ใช้ ได้
ขันตอนที 5 ตรวจสอบความหนาของฐานราก
ก. พิจารณาจากโมเมนต์ดดั ประลัยทีขอบเสาตอม่อ
Mu (50.96 u 2) u 0.20 20.38 ตัน-เมตร
ความหนาฐานราก = 70 ซม. ระยะ d = 70 - 7.5 – (2.5/2) = 61.25 ซม.
M
คํานวณความลึกประสิทธิผลทีต้ องการจาก d
I Rb
20,380 u 100
d 33.39 ซม. น้ อยกว่า 61.25 ซม. ใช้ ได้
0.9 u13.54 u 150
ข. พิจารณาจากแรงเฉือนแบบคาน จากศูนย์กลางฐานรากถึงระยะห่าง d จากขอบเสา เท่ากับ
91.25 ซม. ซึงมีคา่ เกินกว่าระยะตําแหน่งเสาเข็มมาก ดังนันฐานรากจะไม่วิบตั ิด้วยแรงเฉือนแบบ
คาน
ค. พิจารณาจาก แรงเฉือนทะลุ ทีระยะห่าง d/2 จากขอบเสา
ขันตอนที 6 ออกแบบเหล็กเสริมฐานราก
เลือกใช้ เหล็กเสริม 7 DB 20
โมเมนต์ดดั สูงสุดรอบแกน x ทีขอบเสา คํานวณจาก
Mu (50.96 u 0.20 2.60 u 0.20) 10.71 ตัน-เมตร
คํานวณปริมาณเหล็กเสริม
Mu 10, 710 u100
Ru 1.06
0.9 300 61.25
2 2
I bd
0.85 f cc § 2 Ru · 0.85 250 § 2 u1.06 ·
U ¨¨1 1 ¸ ¨1 1 ¸
fy © 0.85 fcc ¹¸ 4000 ¨© 0.85 250 ¸¹
0.00026 U min 0.002
ดังนัน ใช้ As = 0.002(150x70) = 21.0 ซม.2
เลือกใช้ เหล็กเสริม 7 DB 20
Lc 1
ขนาดหน้ าตัดคานไม่น้อยกว่า b 10.5 1.5 0.45 ม.
20 20
ใช้ คานยึดรังขนาด 0.45x0.50 ม. เพือต้ านทานโมเมนต์ดดั และแรงเฉือนจากการรวมนําหนัก
บรรทุกกรณี COMB 4
แรงแนวแกนในการออกแบบคานเชือม
P 0.10SDS wu
2
S DS u1.2 u 0.735 g 0.588 g
3
wu คือค่าทีมากกว่าของนําหนักบรรทุกบนฐานรากทังสองฐาน = 107.12 ตัน
P 0.10 u 0.588 u107.12 6.3 ตัน
P 6,300
ปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึง As 1.75 ตร.ซม.
I fy 0.9 u 4, 000
และคํานวณกําลังรับแรงอัดของคาน โดยพิจารณาว่าดินรอบข้ างคานยึดรังป้องกันการโก่งเดาะ
ของคาน ดังนัน กําลังรับแรงอัด คํานวณจากพฤติกรรมแบบเสาสัน ซึงมีเหล็กเสริ มตามยาวรับแรง
แนวแกน 6DB25 ดังนี
I Pn ¬
0.8I ª0.85 f cc Ag Ast f y Ast º
¼
1
0.8 0.7 ª¬0.85 u 250 45 u 50 6 u 4.91 4, 000 u 6 u 4.91º¼
1, 000
ไพบูลย์ ปัญญาคะโป บทที 10 การออกแบบฐานราก 351
3DB25 3DB25 A
2DB10@0.22m
1DB16 1.00 m 1.00 m 1DB16
3DB25
DB25 A
0.45 m
0.70 m 7DB20# 7DB20# 0.70 m
6DB25
0.50 m 2DB10@0.11m
3DB25
เสาเข็ม 0.22x0.22 m ขยายคาน หน้าตัด A-A เสาเข็ม 0.22x0.22 m
บรรณานุกรม
กรมโยธาธิการและผังเมือง (2561) มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสันสะเทื อนของ
แผ่นดิ นไหว มยผ.1301/1302-61 กระทรวงมหาดไทย
คํารบ บํารุงราษฎร์ และไพบูลย์ ปั ญญาคะโป (2556) “การประมาณค่าการเคลือนทีของอาคาร
คอนกรี ตเสริมเหล็กเนืองจากแรงแผ่นดินไหวโดยวิธีการผลักแบบวัฏจักร” วารสารศรี ปทุม
ปริทศั น์ฉบับวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีปีที 5 มกราคม-ธันวาคม.
เป็ นหนึง วานิชชัย และอาเด ลิซานโตโน (2537) “การวิเคราะห์ความเสียงภัยจากแผ่นดินไหว
สําหรับประเทศไทย”, การประชุมวิชาการทางวิศวกรรม วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป (2547) “แผนผังความต้ องการกําลังเพือการออกแบบอาคารต้ านทาน
แผ่นดินไหวโดยหลักการความเสียหายคงทีและวิธีการสเปคตรัมของความสามารถ” ศรี ปทุม
ปริ ทศั น์, ปี ที 4, ฉบับที 2, กรกฎาคม – ธันวาคม.
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป และภูริพงษ์ พลพิมลพัฒน์ (2557) “การเสริมกําลังอาคารเรี ยนคอนกรี ต
เสริมเหล็กด้ วยองค์อาคารยึดรังไร้ การโก่งเดาะ” วารสารนเรศวร ฉบับวิ ทยาศาสตร์ และ
เทคโนโลยี ปี ที 22 ฉบับที 2.
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป และอนุชาติ ลีอนันต์ศกั ดิศิริ (2556) “การเสริมกําลังผนังก่ออิฐสําหรับ
อาคารเพือต้ านทานแผ่นดินไหว” การประชุมวิชาการคอนกรี ตประจําปี ครังที 9 จังหวัด
พิษณุโลก
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป และทนงศักดิ พรหมบุญแก้ ว (2557) “การเสริมกําลังต้ านทานแผ่นดินไหว
ของอาคารพาณิชย์โดยเหล็กประกอบ” การประชุมวิชาการระดับชาติ นเรศวรวิจยั ครังที 10
จังหวัดพิษณุโลก
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป และ องอาจ สนันเสียง (2557) “ความสามารถต้ านทานแผ่นดินไหวของ
อาคารเรี ยนคอนกรี ตเสริมเหล็กทีออกแบบตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง” การ
ประชุมวิชาการระดับชาติ นเรศวรวิจยั ครังที 10 จังหวัดพิษณุโลก
ไพบูลย์ ปั ญญาคะโป และ วีระพันธ์ นครพุม่ (2557) “การศึกษาความสามารถต้ านทาน
แผ่นดินไหวของอาคารพาณิชย์ทีออกแบบตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง” การ
ประชุมวิชาการระดับชาติ นเรศวรวิจยั ครังที 10 จังหวัดพิษณุโลก
ACI Committee 318 (2002), Building Code Requirements for Structural Concrete
(ACI318-99) and Commentary (ACI318R-99), American Concrete Institute,
Farmington Hills, MI.
ACI Committee 318 (2014), Building Code Requirements for Structural Concrete (
ACI318-14) and Commentary (ACI318R-14), American Concrete Institute,
Farmington Hills, MI.
354 ไพบูลย์ ปัญญาคะโป การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดิ นไหว