You are on page 1of 14

เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 40

บทที่ 3 เกณฑ์การประเมินความแข็งแรงของวัสดุ

Otto Mohr (8th October 1835 – 2nd October 1918)

วิศวกรโยธาชาวเยอรมัน ผูเ้ ชีย่ วชาญทางกลศาสตร์วสั ดุ


เป็ นผูค้ น้ พบวิธีการแปลงค่าความเค้นด้วยวิธีทางกราฟฟิ กส์ ที่รจู ้ กั กันในนามของ ‘Mohr’s
Circle’ และยังเป็ นผูพ ั นาวิธีการคานวณอืน่ ๆ ในวิชากลศาสตร์วสั ดุ อีกมากมาย
้ฒ
นอกจากนี้ยงั เป็ นผูเ้ สนอเกณฑ์ประเมินความเสียหายของวัสดุเปราะอีกด้วย

3.1 จุดครากของวัสดุแบบไอโซทรอปิ ก (Yielding in Isotropic Materials)


โลหะเหนียวจะเริม่ เสียรูปเชิงพลาสติก ภายใต้การรับภาระความเค้นแบบตามแนวแกนเดียว
(Uniaxial Stress) เมื่อค่าความเค้นเข้าใกล้ความเค้นทีจ่ ุดคราก (Yielding Stress) ดังเช่น
ชิน้ ส่วนในรูป 3.1 (b) แต่เมื่อพิจารณาลูกบาศก์สเ่ี หลีย่ มจัตุรสั ในรูป 3.1 (a)
ซึง่ กาลังรับความเค้นหลักแบบสามแกน (Principal Triaxial Stress) อยู่ ซึง่ 1 > 2 > 3

(b)
(a)

รูปที่ 3.1 แสดงชิ้นส่วนรับภาระแบบสามแกน (a) และแบบแนวแกนเดียว (b)

คาถามทีเ่ กิดขึน้ ก็คอื ปริมาณของความเค้นหลักจะต้องมีค่าเท่าไร ?


จึงจะทาให้ลูกบาศก์เกิดความเค้นจนถึงจุดครากหมดทัง้ ก้อน ด้วยเหตุน้จี งึ ได้มกี ารนาเสนอ
เกณฑ์ในการประเมินจุดครากของวัสดุ (Yield Criteria) ขึน้ มามากมาย
เกณฑ์การประเมินจุดครากในโลหะทีเ่ ป็ นทีน่ ิยมและได้รบั การยอมรับเป็ นอย่างดี
จะแสดงในตาราง 3.1 โดยค่าวิกฤตในเกณฑ์การประเมินต่างๆ
จะสอดคล้องกับปริมาณความเค้นทีท่ าให้วสั ดุถงึ จุดครากในการรับแรงดึงตามแนวแกน ตามรูปที่
3.1 (b) โดยในทีน่ ้จี ะกาหนดให้ค่าความเค้นทีจ่ ุดคราก ในการรับภาระแบบตามแนวแกนเดียว
แทนด้วยตัวอักษร ‘Y’

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 41

Criteria Equations
1. Maximum Principal Stress 1 = Y, 3 = -Y
2. Maximum Principal Strain (1- (2+ 3) = Y, (3- (1+ 2) = -Y
3. Total Strain Energy ( 1
2
)
+  22 +  32 − 2 (  1 2 +  2 3 +  1 3 ) = Y 2
4. Maximum Shear Stress 1- 3 = Y
5. Shear Strain Energy ( 1 −  2 ) + ( 2 −  3 ) + ( 1 −  3 ) = Y 2
2 2 2

ตารางที่ 3.1 แสดงเกณฑ์การประเมิ นจุดครากสาหรับโลหะ

3.2 เกณฑ์การประเมิ นจุดครากโดยค่าความเค้นเฉื อนสูงสุด


ทฤษฏีน้จี ะมีสมมติฐานว่า วัสดุจะเริม่ เกิดการคราก เมื่อความเค้นเฉือนมีค่าเข้าใกล้ค่าวิกฤต
ถ้ากาหนดให้ค่าความเค้นเฉือนสูงสุดในการรับแรงดึงหรือแรงอัดตามแนวแกนที่ทาให้วสั ดุเกิดก
ารคราก มีค่าเป็ น k เราจะได้ k = Y/2 ซึง่ จะเกิดขึน้ ในระนาบ 45°
กับแนวแกนซึง่ เกิดความเค้นดึง ดังแสดงในรูป 3.2

(a) (b)

รูปที่ 3.2 แสดงระนาบทีเ่ กิดความเค้นเฉือนสูงสุดของชิ้นส่วนรับความเค้นดึงตามแนวแกน

ในกรณีเกิดสถานะความเค้นแบบสามแกน (Triaxial stress state) ตามรูป 3.2 (b)


ความเค้นเฉือนสูงสุดก็คอื 13 ซึง่ กระทาในแนวระนาบเอียงเป็ นมุม 45° กับแกน 1 และ 3
โดยขนาดของ
13 = (1-2)/2 ถ้าเทียบกับความเค้นเฉือนในการรับแรงดึงตามแนวแกน เราจะได้ 13 = k
ดังนัน้ จาก เกณฑ์การประเมินจุดครากของเทรสก้า (Tresca) จะมีลกั ษณะดังต่อไปนี้

(1-2) = k (3.1)

ในกรณีเป็ นระนาบความเค้น เราจะหาค่าความเค้นหลักได้จาก

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 42

( + y ) ( +  y ) + 4 xy2
2
x
 1, 2 =
x
 (3.2)
2 2
3 = 0

ดังนัน้ เมื่อเราแทนค่าลงในสมการ 3.1 โดยใช้ค่า 1 เนื่องจาก 1 เป็ นค่าความเค้นดึงสูงสุด


ส่วนค่า 2 จะเป็ นค่าความเค้นอัดสูงสุด เราจะได้
 x2 + 4 xy2 = Y 2 (3.3)

3.3 เกณฑ์การประเมิ นจุดครากโดยค่าพลังงานความเครียดเฉื อนสูงสุด


ทฤษฏีน้จี ะมีสมมติฐานว่า พลังงานความเครียดทัง้ หมด จะมีองค์ประกอบอยู่สองส่วน
คือ การขยายขนาดหรือการเปลีย่ นแปลงเชิงปริมาตร (dilatation)
ซึง่ เป็ นผลมาจากค่าความเค้นไฮโดรสแตติกส์ หรือ ค่าความเค้นเฉลีย่ (mean stress)
และการบิดเบนขนาด (distortion) อันเนื่องมาจากความเค้นเฉือน
เกณฑ์การประเมินนี้มชี ่อื เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เกณฑ์การประเมินจุดครากของฟอนมิสเซส (von
Mises yield criterion)

3.3.1 พลังงานความเครียดทัง้ หมด


เราทราบว่าความหนาแน่นของพลังงานความเครียดทัง้ หมด จะหาได้จาก

U =  ij d  ij =  ( d  1 1 +  2 d  2 +  3d  3 ) (3.4)
 ij

( −  ( 2 +  3 ) )
1
แทนสมการความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นและความเครียด ดังเช่น 1 = 1
E
เป็ นต้น ลงไปในสมการ 3.4 แล้วทาการหาปริพนั ธ์ (Integrate) จะได้

(
  12 +  22 +  32 )  −  2 
U =  E (  1 2 +  2 3 +  1 3 )  (3.5)
 2E   

3.3.1 ความหนาแน่ นพลังงานความเครียดเชิ งปริ มาตร


เราสามารถหา ความหนาแน่นพลังงานความเครียดเชิงปริมาตร (volumetric strain energy
density) ได้จาก

U v =  d =  ( m d +  md +  md )
(3.6)
( m  +  m +  m )
U v =
2

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 43

เราทราบว่า  = m / 3k ดังนัน้ เราจะได้

 m2 3 (1 − 2 )  m2
Uv = = (3.7)
2k 2E

หรือสามารถเขียนได้ใหม่ ดังนี้

(1 − 2 )( 1 +  2 +  3 )
2

Uv = (3.8)
6E

เมื่อนาความหนาแน่นพลังงานความเครียดเชิงปริมาตร, Uv
ไปหักออกจากความหนาแน่นของพลังงานความเครียดทัง้ หมด, U
เราจะได้ความหนาแน่นพลังงานความเครียดเชิงบิดเบน, Us
(distortion strain energy density) *[Us = U-Uv]

( )  −  2 
  (1 − 2 )  1 +  2 +  3 ( ) 
2
  12 +  22 +  32

Us =   E (  1 2 +  2 3 +  1 3 )  −  
(3.9)
 2E    6E
 

หรือ
 1 +   −  
( ) 1 2( ) + ( ) + ( )
2 2 2
−3 −3
 2 1
 
Us =   (3.10)
6E
 
 

ในกรณีรบั ภาระแรงดึงตามแนวแกน เราจะได้ 1=Y และ 2=3=0 ดังนัน้ เราจะได้

 (1 +  ) Y 2 
Us =   (3.11)
 3E 

จับสมการ 3.10 เท่ากับ 3.11 จะได้

( ) + ( ) + ( )
2 2 2
1 −2 2 −3 1 −3 = 2Y 2 (3.12)

ถ้าหากว่า 3=0 เราจะได้

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 44

 12 −  1 2 +  22 = Y 2 (3.13)

ในกรณีทว่ี สั ดุรบั ความเค้นทัง้ สามแกนตามรูป 3.1 เราจะได้

( ) + ( ) + ( )
2 2 2
1 −2 2 −3 1 −3 2Y 2
= (3.14)
3 3
3.4 เปรียบเทียบเกณฑ์การประเมิ นจุดครากระหว่างเทรสก้าและฟอนมิ สเซส
ผลการเปรียบเทียบในรูปที่ 3.3
ได้มาจากชิน้ ส่วนทดสอบทีเ่ ป็ นท่อผนังบางรับความดันภายในและแรงในแนวแกน
เพือ่ ทาให้เกิดสถานะของความเค้นหลักสองแกน (principal biaxial stress state)
ชิน้ ส่วนทดสอบทามาจากโลหะชนิดต่างๆ ดังแสดงในตาราง 3.2

รูปที่ 3.3 เปรียบเทียบผลการทดลองโดยเกณฑ์การประเมินจุดครากของ Tresca และ von Mises

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 45

ตารางที่ 3.2 แสดงรายละเอียดของวัสดุที่ใช้ในการทดลอง


จากรูปจะเห็นว่าเกณฑ์การประเมินของฟอนมิสเซส จะให้ผลทีแ่ ม่นยากว่าเกณฑ์ของเทรสก้า
ทาให้สามารถสรุปผลได้ว่า เกณฑ์การประเมินจุดครากของฟอนมิสเซส
สามารถนาไปใช้กบั วัสดุเหนียวแบบโพลีคริสตัลไลน์ (ductile polycrystalline materials)
ได้เป็ นอย่างดี แต่อย่างไรก็ดจี ะเห็นได้ว่า จุดทุกจุดทีไ่ ด้จากผลการทดลอง
จะอยู่นอกเส้นกรอบหกเหลีย่ มของเทรสก้า แสดงว่าถ้าเราใช้เกณฑ์การประเมินของเทรสก้า
ในการออกแบบชิน้ ส่วนก็ยงั คงปลอดภัย และในการคานวณด้วยเกณฑ์การประเมินของเทรสก้า
จะใช้เวลาในการคานวณสัน้ กว่าเกณฑ์การประเมินของฟอนมิสเซส

3.5 เกณฑ์การประเมิ นการแตกหักของวัสดุเปราะ


โดยทัวไปวั
่ สดุเปราะ (brittle materials)
จะเสียหายทีค่ ่าความเค้นเหนือระดับช่วงอีลาสติกไปเพียงเล็กน้อยกล่าวคือ
วัสดุเปราะจะมีช่วงความเป็ นพลาสติกทีส่ นั ้ มากๆ ดังนัน้ เราจึงสามารถใช้คาว่า ‘แตกหัก
(fracture)’ แทนคาว่า ‘ครากตัว (yield)’ ได้ในการอธิบายความแข็งแรงของวัสดุประเภทนี้

3.5.1 ทฤษฎีความเค้นแกนหลัก (Major principal stress theory, MPS)


แรงคิน (Rankine) ได้พจิ ารณาความเสียหาย (failure) ในวัสดุเปราะ
โดยดูจากค่าความแข็งแรงในการรับความเค้นดึง, t และความเค้นอัด, c ทีแ่ ตกต่างกัน
ดังแสดงในรูปที่ 3.4

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 46

รูปที่ 3.4 แสดงเกณฑ์การประเมินการแตกหักตามทฤษฎีต่างๆ

3.5.2 ทฤษฎีความเสียดทานภายใน (Internal Friction Theory)


เกณฑ์การประเมินการแตกหักของวัสดุเปราะอีกเกณฑ์หนึ่ง นาเสนอโดยก็คอื
ทฤษฎีความเสียดทานภายในของคูลอมบ์-มอห์ (Coulomb-Mohr Internal Friction Theory)
ซึง่ เป็ นการผสมผสาน ระหว่างทฤษฎีความเค้นแกนหลัก, MPS และทฤษฎีความเค้นเฉือนสูงสุด
ลักษณะของเกณฑ์การประเมินนี้จะแสดงในรูปที่ 3.5

รูปที่ 3.5 แสดงเกณฑ์การประเมินการแตกหักตามทฤษฎีความเสียดทานภายในของคูลอมบ์-มอห์

จากรูปจะเห็นว่าความแตกต่างระหว่างค่าความแข็งแรงสูงสุดในการรับแรงดึงและแรงอัดจะแสด
งด้วยจุด A และ C บนวงกลมซึง่ สัมผัสกับแกนความเค้นเฉือน, 
ความเสียหายเนื่องจากสถานะของความเค้นสองแกน
จะเกิดขึน้ ทีจ่ ุดบนเส้นสัมผัสทีเ่ ชื่อมระหว่างวงกลมของแผนภูมวิ งกลมมอห์ทงั ้ สอง
© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548
เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 47

ทีแ่ สดงสถานะของความเค้นดึงและความเค้นอัด เส้นสัมผัสนี้คอื


เส้นแสดงขอบเขตความเสียหาย (failure envelope) นัน่ เอง ดังเช่น
ความแข็งแรงของวัสดุภายใต้ภาระแบบแรงเฉือนอย่างเดียว (pure shear) ก็คอื จุด B ในรูป
ซึง่ มีค่า 1=− สาหรับในกรณีทวไป
ั่ เช่น มีแรงดึงผสมกับแรงเฉือน
ทาให้วงกลมของมอห์สมั ผัสกับเส้นทีจ่ ุด D ค่าความเค้นหลักวิกฤต ก็คอื พิกดั ของจุด D นัน่ เอง
ซึง่ สมการทีใ่ ช้หาจุดสัมผัสนี้จะหาได้จาก

  c  
 2 =  1  −  c (3.15)
   t  

สาหรับในควอแดรนต์ทส่ี ่ี 1 จะมีค่าบวก 2 และ c จะมีค่าเป็ นลบทัง้ คู่ ดังนัน้ เราจะได้

1  2
+ =1 (3.16)
t c

3.5.3 ทฤษฎีที่ดดั แปลงจากทฤษฎีของมอห์ (Modified Mohr Theory)


มอห์ได้ทาการดัดแปลงเพิม่ เติม แนวเส้นกรอบแสดงความเสียหายในควอแดรนต์ทส่ี องและสาม
ในรูปที่ 3.4 ทาให้ได้คาตอบใกล้เคียงกับผลการทดลองเพิม่ ขึน้ โดยสมการทีใ่ ช้หาเส้นทีเ่ ชื่อมจุด
F และ c ในรูปที่ 3.4 จะมีดงั นี้

  c +  t  
 2 =  c −  1  (3.17)
   t  

และเช่นเดียวกัน สาหรับในควอแดรนต์ทส่ี ่ี 1 จะมีค่าบวก 2 และ c จะมีค่าเป็ นลบทัง้ คู่ จะได้

 1 ( 1 +  2 )
+ =1 (3.18)
t c

รูปที่ 3.6
จะเปรียบเทียบผลการทดลองความแข็งแรงของเหล็กหล่อสีเทาด้วยเกณฑ์การประเมินต่างๆ

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 48

รูปที่ 3.6 เปรียบเทียบผลการทดลองความแข็งแรงของเหล็กหล่อสีเทาด้วยเกณฑ์การประเมินต่างๆ


3.5.4 การล้าตัวในวัสดุ
ภาระแบบวงรอบ (Cyclic loading) ทีเ่ กิดขึน้ ในชิน้ ส่วนเครื่องจักร
อาจจะทาให้เกิดความเสียหายเนื่องจากการล้าตัวของวัสดุกไ็ ด้ ในการออกแบบเชิงสถิต (static
design)
แฟกเตอร์ทใ่ี ช้ในการออกแบบก็คอื ค่าความเค้นทีจ่ ุดครากหรือค่าความเค้นประลัยในการรับภาร
ะแรงดึงหรือแรงอัดเท่านัน้ แต่สาหรับชิ้นส่วนทีร่ บั ภาระแบบวงรอบ
เราจะใช้ช้นิ ส่วนทดสอบลักษณะต่างๆ มา สร้างเป็ นแฟกเตอร์ในการออกแบบชิ้นส่วน ดังเช่น
เครื่องทดสอบการล้าตัวของวัสดุแบบหมุนรอบ ในรูปที่ 3.7

รูปที่ 3.7 เครื่องทดสอบการล้าตัวของวัสดุแบบหมุนรอบ

ในการเตรียมชิน้ ส่วนทดสอบจะต้องทาการขัดผิวให้เรียบ
เพือ่ หลีกเลีย่ งผลกระทบความเสียหายทีเ่ กิดขึน้ เนื่องจากแฟกเตอร์ความเรียบผิว (Surface
factor) ในการทดสอบจะแขวนน้าหนักไว้ตรงกลางของชิน้ ส่วนทดสอบ
เพือ่ ให้ชน้ิ ส่วนรับโมเมนต์ดดั สลับไปมา ในขณะทีช่ น้ิ ส่วนทดสอบกาลังหมุนอยู่

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 49

โดยค่าโมเมนต์ดดั , M จะมีค่าคงทีต่ ามปริมาณน้าหนักถ่วงทีใ่ ช้


ขนาดของโมเมนต์ดดั จะหาได้จาก

WL 1
M = (3.19)
2

ส่วนความเค้นตัง้ ฉากสูงสุดทีเ่ กิดขึน้ กับชิน้ ส่วนทดสอบจะคานวณจาก

32 M 16WL 1
 max = = (3.20)
d 3
d 3

แต่เนื่องจากน้าหนักถ่วงนัน้ จะแขวนอยู่กบั ที่ แต่เพลานัน้ จะหมุนอยู่


จึงทาให้ค่าความเค้นสูงสุดทีเ่ กิดขึน้ กับจุดใดๆ
ในชิน้ ส่วนทดสอบมีค่าเปลีย่ นแปลงไปมาเป็ นวงรอบของความเค้น  =  max ตามรูปที่ 3.8

รูปที่ 3.8 ลักษณะของความเค้นทีเ่ กิดขึน้ ในชิ้นส่วน ในแต่ละวงรอบ

ในการทดสอบจะนับจานวนวงรอบจนกระทังชิ ่ ้นส่วนทดสอบแตกหัก
ซึง่ เราจะเรียกค่าความเค้นทีท่ าให้ช้นิ ส่วนแตกหักนี้ว่า ค่าความเค้นล้าตัว (fatigue stress), Sf
แต่ถา้ หากว่าทาการทดสอบไปจนจานวนวงรอบมากกว่า 106 – 107
แล้วชิน้ ส่วนทดสอบยังไม่แตกหัก ก็จะยุตกิ ารทดสอบ แล้วเพิม่ น้าหนักแขวนใหม่
แล้วทาการทดสอบเช่นนี้ต่อไป โดยเพิม่ น้าหนักขึน้ เรื่อยๆ กราฟที่
พล็อตระหว่าง ค่าความเค้นล้าตัว กับ จานวนวงรอบ จะใช้สเกลแบบ log-log
ดังเช่นกราฟในรูปที่ 3.9 ซึง่ ได้จากการทดสอบเหล็กเหนียวทัวไป ่ เราจะเรียกกราฟนี้ว่า แผนภูมิ
S-N

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 50

รูปที่ 3.10 แผนภูมิ S-N ทีไ่ ด้จากการทดสอบเหล็กเหนียว

จะเห็นว่ามีการหักมุมของกราฟ ทีต่ าแหน่งประมาณ N = 106 รอบ เราจะเรียกค่าทีจ่ ุดนี้ว่า


ขีดจากัดความทานทนสูงสุด (endurance limit), Se ความสัมพันธ์ระหว่าง Sf และ N
ในระหว่างวงรอบ 103 –106 จะหาได้จาก

 0 .9 S u 
(0 .9 S u )2
1
− log  
Sf =  Se 
3
N (3.21)
Se

หรือในทางกลับกันเราสามารถหาจานวนวงรอบได้จาก

3

 S f Se   0 .9 S u 
log  
N = 2 
 Se 
 (0 .9 S u ) 
(3.22)

โดยที่ Su คือค่าความเค้นประลัยของวัสดุ (ultimate strength)


ในบางครัง้ ความเค้นทีเ่ กิดขึน้ กับชิ้นส่วนเครื่องกลอาจจะกระเพือ่ มไปมาทีค่ ่าไม่แน่นอน
ไม่ได้สลับไปมาทีค่ ่าคงที่ max เหมือนกับในการทดสอบการล้าตัว แต่อาจจะมีลกั ษณะตามรูปที่
3.11

รูปที่ 3.11 ลักษณะของความเค้นทีเ่ กิดขึน้ ในชิน้ ส่วนเครื่องกล

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 51

จะเห็นได้ว่าในกรณีแบบนี้ max ไม่สามารถนามาเปรียบเทียบกับค่าความเค้นทีจ่ ุดคราก


หรือความเค้นประลัยได้ เนื่องจากค่าความเค้นไม่ได้สลับไปมาทีค่ ่า max เดิมเสมอไป
และค่า max ก็ไม่สามารถนามาเปรียบเทียบกับ ขีดจากัดความทานทนสูงสุด ได้เช่นกัน
ในกรณีแบบนี้เราต้องใช้ วิธแี บบเชิงประจักษ์ (empirical approach) ในการวิเคราะห์
ในวิธกี ารแบบนี้ เราจะกาหนดค่า ความเค้นเฉลีย่ m ขึน้ มา
แทนการกระเพือ่ มของความเค้นในชิน้ ส่วนที่ ความเค้นแอมปลิจดู a ใดๆ
โดยค่าความเค้นดังกล่าวจะหาได้จาก

(  max +  min )
m =
2
(3.23)
(  max −  min )
a =
2

ความเสียหายทีเ่ กิดขึน้ นี้ จะเป็ นการผสมกันระหว่างค่าความเค้นเฉลีย่ m และ ความเค้น


แอมปลิจดู a กล่าวคือเมื่อ a = 0, m จะเท่ากับค่าความเค้นทีจ่ ุดคราก, Sy หรือ
ค่าความเค้นประลัยของวัสดุ Su และเมื่อ m = 0, a = Se และเมื่อทัง้ a และ m
ต่างก็มคี ่าใดๆ เราจาเป็ นต้องนาเอาเกณฑ์การประเมินขึน้ มาใช้ในการประเมินอายุช้นิ ส่วน
เกณฑ์การประเมินทีน่ ิยมก็คอื เกณฑ์การประเมินการแตกหักเนื่องจากการล้าตัวของเกอร์เบอร์
(Gerber criterion)
และเกณฑ์การประเมินการแตกหักและจุดครากดัดแปลงจากเกณฑ์ของกูด้ แมน (modified
Goodman criterion) และเกณฑ์การประเมินจุดครากของโซเดอร์เบิรก
์ (Soderberg criterion)
ซึง่ แสดงในรูปที่ 3.12 และ 3.13

รูปที่ 3.12 แสดงเกณฑ์การประเมินการแตกหักของเกอร์เบอร์และแบบดัดแปลงของกูด้ แมน

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 52

รูปที่ 3.13 แสดงเกณฑ์การประเมินจุดครากแบบดัดแปลงของกูด้ แมนและโซเดอร์เบิรก์


เกณฑ์การประเมินการแตกหักเนื่องจากการล้าตัวของเกอร์เบอร์ จะเป็ นดังนี้
2
m  a
  + =1 (3.24)
 u 
S S e

เกณฑ์การประเมินการแตกหักเนื่องจากการล้าตัวแบบดัดแปลงของกูด้ แมน จะเป็ นดังนี้


m a
+ =1 (3.25)
Su Se

เกณฑ์การประเมินจุดครากของโซเดอร์เบิรก์ จะเป็ นดังนี้


m a
+ =1 (3.26)
Sy Se
เกณฑ์การประเมินจุดครากแบบดัดแปลงของกูด้ แมน จะเป็ นดังนี้

m a  a Se ( Su − S y )
+ =1  (3.27)
Su Se  m Su ( S y − Se )

 a Se ( Su − S y )
 a +m = Sy 
 m Su ( S y − Se )

ในกรณีทค่ี ่าความเค้นในชิ้นส่วนเครื่องกลกระเพือ่ มไปมา


มีค่าเปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลาในแต่ละวงรอบ ดังเช่นในรูปที่ 3.13 ในกรณีแบบนี้
ผลกระทบเนื่องจากการสะสมความเค้น เราสามารถนาวิธขี องไมเนอร์ (Miner’s method)
มาใช้ในการประเมินอายุชน้ิ ส่วนได้ ซึง่ สมการของไมเนอร์ จะมีรปู แบบดังต่อไปนี้

n1 n2 n3 ni
+ + + ....... + 1 (3.28)
N1 N2 N3 Ni

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548


เอกสารประกอบการสอนวิชา กลศาสตร์ ของแข็งขั้นกลาง (Intermediate Mechanics of Solids) 53

โดยที่ ni คือจานวนวงรอบของความเค้นแอมปลิจูด a ทีค่ ่า i ใดๆ ส่วน Ni


คือจานวนวงรอบทีช่ ้นิ ส่วนมีอายุการใช้งานทีค่ ่าอนันต์ (infinite life) ความเค้นแอมปลิจดู a
ทีค่ ่า i ใดๆ เช่นกัน ซึง่ Ni สามารถหาได้จากสมการ 3.22

รูปที่ 3.14 แสดงลักษณะความเสียหายเนื่องจากการล้าตัวของเพลาส่งกาลัง

© ผศ. ดร. ศุภฤกษ์ ศิริเวทิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ พ.ศ. 2548

You might also like