You are on page 1of 33

สรุปฟงกชันคลื่นรูปไซน

การกระจัดของตัวกลาง เลขคลืน่ -> λ ความถี่เชิงมุม -> f

y ( x, t ) = A sin ( kx − ωt )
WHIP
WITH
=
.

อําพน
ตําแหนง เวลา
kx − ωt เรียกวาเฟสของคลื่น
เครื่องหมาย – แสดงคลื่นเคลื่อนที่ไปทางทิศ +x
การรวมกันของคลื่น (Superposition of Waves)

เมื่อคลื่น 2 ขบวนเคลื่อนที่เขา
ซอนทับกัน จะเกิดการรวมกัน
ของคลื่น ดังสมการ

y ( x, t ) = y1 ( x, t ) + y2 ( x, t )
การแทรกสอดของคลื่น
เราจะพิจารณาการรวมกันของคลื่นสองขบวนที่เคลื่อนที่ไปทางทิศเดียวกัน
มีอําพน และความถี่เทากัน แตมีเฟสตางกันเปนคาคงที่เทากับ φ +9 g.
M¥ Hit ✗

y1 = A sin ( kx − ω
Qst) y2 = A sin ( kx − ωt + φ )

"I¢
ผลรวมที่ไดจากคลื่นทั้งสองขบวนคื อ q can
*
y ( x, t ) = y1 ( x, t ) + y2 ( x, t )
= A sin ( kx − ωt ) + A sin ( kx − ωt + φ )
อาศัยสูตรตรีโกณมิติสมัยมัธยม
⎛α + β ⎞ ⎛α − β ⎞
sin α + sin β = 2sin ⎜ ⎟ cos ⎜ ⎟
⎝ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠
A
(
เราจะไดวา 1 I
⎡ ⎛ φ ⎞⎤ ⎛ φ⎞
y ( x, t ) = ⎢ 2 A cos ⎜ ⎟ ⎥ sin ⎜ kx − ωt + ⎟
⎣ ⎝ 2 ⎠⎦ ⎝ 2⎠
2¥ -2¥
"

§
t

go
+

A sin ☒
y
อําพนของคลื่นลัพธ
=

จะเห็นวาอําพนของคลื่นลัพธจะมีคาขึ้นอยูกับความตางเฟส
as

⎛φ ⎞ φ
คลื่นสองขบวนจะเสริมกันมากที่สุดเมื่อ cos ⎜ ⎟ = ±1 → = 0, π , 2π ,…
⎝2⎠ 9
2
φ = 0, 2π , 4π ,… cos go -70

คลื่นสองขบวนจะหักลางกันมากที่สุดเมื่อ
-
⎛φ ⎞
o
φ π 3π 5π
cos ⎜ ⎟ = 0 → = , , ,…
⎝o
2⎠ 2 2 2 2

φ = π ,3π ,5π ,…
#¥#
tf
sin
= 0 - Sino :O

:/ /
:*

t

9•
Bad

0.57 ④
↳ sin -11=0
?⃝
คลื่นสถิต (Standing Waves)
พิจารณาคลื่น 2 ขบวนซึ่งมี อําพน เลขคลื่นเชิงมุม ความถี่เชิงมุม และอัตราเร็ว
เฟสเทากัน แตมีทศิ ทางตรงขามกัน
y1 ( x, t ) = A sin ( kx − ωt ) , y2 ( x, t ) = A sin ( kx + ωt )

วิ่งมารวมกันจะเกิดการรวมกันโดย คลื่นลัพธที่ไดจะเขียนเปนสมการไดเปน
y ( x, t ) = y1 ( x, t ) + y2 ( x, t )
= ( 2 A sin kx ) cos (ωt )

⎛α + β ⎞ ⎛α − β ⎞
ใชสูตรตรีโกณมิติสมัยมัธยม sin α + sin β = 2sin ⎜ ⎟ cos ⎜ ⎟
⎝ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠
คลื่นนิ่งบนเสนเชือก
y = A sin ( kx − ωt ) + A sin ( kx + ωt ) y ( x , t ) = ( 2 A sin kx ) cos (ω t )

Go A = 1, L = 4, v = 1

ฮารมอนิกที่ 1
v1
λ1 = 2 L = 8 f1 = =
λ1 8

ฮารมอนิกที่ 2
v 1
λ2 = L = 4 f2 = =
λ2 4
ตัวอยาง
คลื่นสถิตในเสนเชือกมีสมการของการกระจัดในหนวยเมตรเปน
⎛π ⎞
y ( x, t ) = 0.50 sin ⎜ x ⎟ cos(40πt )
⎝3 ⎠
จงหา
ก) อําพน Amplitude
ข) อัตราเร็วเฟสของคลื่น v ?=

ค) ระยะหางระหวางจุด☐ บัพ 2 บัพ maintaining .

ง) อัตราเร็วของอนุภาคตัวกลางทีต่ ําแหนง 1.5 เซนติเมตร ณ เวลา 9/8 วินาที


↳ mw .
F.
ตัวอยาง
คลื่นสถิตในเสนเชือกมีสมการของการกระจัดในหนวยเมตรเปน
⎛π ⎞ self

0¥00
y ( x, t ) = 0.50 sin ⎜ x ⎟ cos(40πt )
⎝3 ⎠
^
y ( x, t ) = 2 A [sin kx ] cos (ωt )
ก) 0
อําพน s÷t
A = 0.25 8TH 't
If 0.5=2 A
A
.

ข) อัตราเร็วเฟสของคลื่น : 0.25
40-11=2-117
k=

=
π
→λ =6 2¥ Iz
__

λ 3 v = f λ = 20 × 6 = 120 ^
2π f = 40π → f = 20
7
1--27-4×3 =
6
ตัวอยาง
คลื่นสถิตในเสนเชือกมีสมการของการกระจัดในหนวยเมตรเปน
:¥¥
tzn +
! cost

⎛π ⎞
y ( x, t ) = 0.50 sin ⎜ x ⎟ cos(40πt )
⎝3 ⎠
ค) ระยะหางระหวางจุดบัพ 2 บัพ
1) ⎛π
Ay1 + y2 ( x ) = 2 A sin ⎜
⎝3

x⎟

y = 2A sink
1 loop
=
IÉsinÉ¥j
⎛π ⎞ π ∆x = 3 − 0 = 3
x ⎟ = 0 → x = 0, π → x = 0,3

sin ⎜
⎝3 ⎠ 3
Ef
2)
λ =6 →
λ
=3
1-loop
sin ④ 0 =
=

2A9ihI⑤
2 box sin
E.④ =p 1=0
ตัวอยาง
คลื่นสถิตในเสนเชือกมีสมการของการกระจัดในหนวยเมตรเปน
⎛π ⎞
fu y ( x, t ) = 0.50 sin ⎜ x ⎟ cos(40πt ) ←
⎝3
€0 ⎠
ง) อัตราเร็วของอนุภาคตัวกลางทีต่ ําแหนง 1.5 เซนติเมตร ณ เวลา 9/8 วินาที
∂y ∂ ⎛ ⎛π ⎞ ⎞ ⎛π ⎞∂
vy = = ⎜ 0.50sin ⎜ x ⎟ cos ( 40π t ) ⎟ = 0.50sin ⎜ x ⎟ ( cos ( 40π t ) )
∂t ∂t ⎝
• ⎝3 ⎠ ⎠ ⎝3 ⎠ ∂t
⎛π ⎞ ⎛π ⎞
= −0.50 × 40π sin ⎜ x ⎟ sin ( 40π t ) = −20π sin ⎜ x ⎟ sin ( 40π t )
⎝3 ⎠ ⎝3 ⎠
⎛ 9⎞ ⎛π ⎞ ⎛ 9⎞
☐ ⎝ 8⎠☐
v y ⎜ x = 1.5 ×10−2 , t = ⎟ = −20π sin ⎜ 1.5 × 10−2 ⎟ sin ⎜ 40π ⎟ = 0
⎝3 ⎠ ⎝ 8⎠
?⃝
I (f)
-
= 5T + lot

4*811-1 =
51-+10

)=Ñ (f)
da
= Ict ) = 5
โมดูเลชัน
ถามีคลื่นสองคลื่นเคลื่อนที่ไปในทิศเดียวกัน การรวมกันของคลื่นคูนี้เรียกวา
ปรากฏการณโมดูเลชัน (Modulation) เพื่อความสะดวกเราจะพิจารณาใน
กรณีที่คลื่นทั้งสองมีอําพนเทากัน
y1 = A sin ( k1 x − ω1t ) y2 = A sin ( k2 x − ω2t )
ผลรวมของทั้งสองคลื่นคือ
y = y1 + y2 = A sin ( k1 x + ω1t ) + A sin ( k2 x + ω2t )
⎡⎛ k2 − k1 ⎞ ⎛ ω2 − ω1 ⎞ ⎤ ⎡⎛ k2 + k1 ⎞ ⎛ ω2 + ω1 ⎞ ⎤
= 2 A cos ⎢⎜ ⎟ x −⎜ ⎟ t ⎥ sin ⎢⎜ ⎟ x −⎜ ⎟t⎥
⎣ ⎝ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠ ⎦ ⎣⎝ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠ ⎦
เราอาจเขียนผลรวมของคลื่นทั้งสองไดเปน
y ( t , x ) = Amod sin ( kav x − ωav t ) Egg

โดยที่
Amod = 2 A cos ( kmod x − ωmod t ) เปนอําพนโมดูเลต
และ 1
1
kmod = ( k2 − k1 ) kav = ( k2 + k1 )
2 2
1 1
ωmod = (ω2 − ω1 ) ωav = (ω2 + ω1 )
2 2

ωmod เรียกวาความถี่เชิงมุมโมดูเลต
ωav เรียกวาความถี่เชิงมุมเฉลี่ย
ความเร็วกลุม
จะเห็นวาผลของการโมดูเลชัน y ( t , x ) = Amod sin ( kav x − ωavt )
จะไดคลื่นที่มีอําพนไมคงที่ และอําพนนั้นจะเคลื่อนที่แบบไซน (Sinusoidal
traveling wave)
Amod = 2 A cos ( kmod x − ωmod t )
ซึ่งจะเคลื่อนที่ดวยความเร็ว
ω2 − ω1 dω
vg = =
k2 − k1 dk

ซึ่งเรียกวาความเร็วกลุม หรือ group velocity ดู Animation


บีสต (Beast)
การที่คลื่นสองขบวนมีความถีต่ างกันเล็กนอย เราจะพบปรากฏการณบีสต คืออําพน
ของคลืน่ ลัพธมีคาเพิ่มขึ้น-ลดลง สลับกันไป ดวยความถี่เทากับความถีบ่ ีสตคือ
ความถี่บีสต = f1 – f2

บีสต
นกรองเพลงไมเหมือนคนเราผิวปากนะ

นกรองเพลงโดยอาศัยอวัยวะที่เรียกวา Syrinx ซึ่งแตละขางของทอเสียง


นี้จะทําหนาที่สรางคลื่นนิ่ง ทําใหเกิดเปนฮารมอนิกตางๆ
บีสตจากนกแพนกวิน
โดยทั่วไปนกจะสามารถใช Syrinx ทําใหเกิด
เสียงไดเพียงขางเดียว แตในนกแพนกวินชนิด
หนึ่งคือ Emperor Penguin มันสามารถใชทอ
ทั้งสองไดพรอมกัน
สมมุติวาแตละทอ (ทอ A และ B) มีความถี่ของ
ฮารมอนิกที่ 1 เปน f A = 432Hz และ
f B = 371Hz
จงหาความถี่บีสตระหวางความถี่ฮารมอนิกที่ 1
ของทั้งสองทอ และระหวาง ความถี่ฮารมอนิก
ที่ 2 ของทั้งสองทอ
บีสตจากนกแพนกวิน (ตอ)
ความถี่บีสตระหวางฮารมอนิกที่ 1 เนื่องจาก Syrinx ของแพนกวิน มี
f beat1 = f A1 − f B1 ลักษณะเปนทอปลายเปดสองปลาย
= 432 − 371 = 61 Hz ความถี่ของฮารมอนิกที่สองจะเปน
สองเทาของฮารมอนิกที่หนึ่ง
f A 2 = 2 f A1 , f B 2 = 2 f B1

f beat2 = ( 2 f A1 − 2 f B1 ) = 2 f beat1
= 122 Hz

แพนกวินสามารถสรางบีสตที่มีความถี่สูงๆเชนนี้ได ซึ่งทําใหมันสามารถ
แยกเสียงของแพนกวินแตละตัวได
คลื่นที่ไมไดเปนรูปไซน และ คุณภาพเสียง

คลื่นที่เกิดขึ้นในธรรมชาติเชนเสียงจากเครื่องดนตรีมักจะเปน superposition
ของฮารมอนิกตางๆ เสียงจากเครื่องดนตรีตางชนิดก็มักจะมีการผสมของฮาร
มอนิกที่แตกตางกันไป เราเรียกวามีคุณภาพเสียงที่ตางกัน
คุณภาพเสียงของสอมเสียง

สอมเสียงที่ใชสําหรับเทียบเสียงมีเพียง
ความถี่เดียว ซึ่งจะเปนคลื่นไซน ถา
เขียนกราฟระหวางฮารมอนิกตางๆ
เทียบกับความเขมเสียง ก็จะไดดังรูป
ดานซาย
คุณภาพเสียงของฟรุต

คุณภาพเสียงของฟรุต เมื่อเลนตัวโนต
เดียวกันกับสอมเสียง พบวาฮารมอนิก
ที่ 2 มีความเขมสูงสุด สวน ฮารมอนิก
ที่ 4 มีคาใกลเคียงกับ ฮารมอนิกที่ 1
คุณภาพเสียงของคาริเนต

ฮารมอนิกที่ 5 มีความเขมสูงสุด
สวนฮารมอนิกที่ 1 กับฮารมอนิกที่ 4
มีความเขมรองลงมา
การวิเคราะหคลื่นทีไ่ มไดเปนรูปไซน
ถาคลืน่ ที่พิจารณามีลักษณะเปนคาบ โดยอาศัยทฤษฎีของฟูเรีย เราสามารถ
เขียนคลื่นดังกลาวในรูปของผลรวมของคลื่นรูปไซน และ โคไซนได ซึ่ง
เรียกวา Fourier series
y (t ) = ∑ ( An sin 2π ƒ n t + Bn cos 2π ƒ n t )
n

= A1 sin 2π f1 + A2 sin 2π f 2 +

โดยที่แตละคลื่นรูปไซนมีความถี่เปนจํานวนเทาของความถี่มาตรฐาน f1
1
f1 = , f n = n f1 ; n = 2,3,…
T
ตัวอยาง: Square wave

y = A1 sin 2π f + A3 sin 2π ( 3 f )

y = A1 sin 2π f + A3 sin 2π ( 3 f )
+ A5 sin 2π ( 5 f )

y = A1 sin 2π f + A3 sin 2π ( 3 f )
+ A5 sin 2π ( 5 f ) + A7 sin 2π ( 7 f ) +
ปรากฏการณดอปเปลอร (Doppler effect)
เมื่อตนกําเนิดคลื่นและผูสังเกตเคลื่อนที่สัมพัทธกัน ผูสังเกตจะไดรับคลื่นที่
มีความถี่ตางไปจากเคลื่อนที่ไดรับเมื่อทั้งตนกําเนิดและผูสังเกตหยุดนิ่ง
เชนในรูป แหงกําเนิด S หยุดนิ่ง
แตผูสังเกตเคลื่อนที่เขาหาดวย
อัตราเร็ว vD ถาให v เปน
อัตราเร็วเสียงในอากาศ เราจะได
วาความถี่ที่ผูสังเกตไดยิน ( f’ )
คือ
⎛ v + vD ⎞
f′= f ⎜ ⎟
⎝ v ⎠
เมื่อ f คือความถี่ของเสียงที่ปลอยออกมาจากแหลงกําเนิด
ในกรณีที่ผูสังเกตเคลื่อนที่ออกจากแหลงกําเนิดเสียงจะไดวา

′ ⎛ v − vD ⎞
f = f⎜ ⎟
⎝ v ⎠

ดูรายละเอียดในหนังสือฟสิกส 1 !!!

ในทํานองเดียวกันถาผูสังเกตอยู
นิ่ง แตแหลงกําเนิดเคลื่อนที่เขา
หาดวยอัตราเร็ว vS ความถี่ที่ผู
สังเกตไดยินคือ

⎛ v ⎞
f′= f ⎜ ⎟
⎝ v − vs ⎠
ถาแหลงกําเนิดเคลื่อนที่ออกจากผูสังเกต เขาจะไดยินเสียงที่มีความถี่เทากับ
⎛ v ⎞
f′= f ⎜ ⎟
⎝ v + vS ⎠

ในกรณีที่ทั้งแหลงกําเนิดและผูสังเกตตางก็เคลื่อนที่ ผูสังเกตจะไดยินความถี่คือ
⎛ v ± vD ⎞
f′= f ⎜ ⎟
⎝ v ∓ vS ⎠

เมื่อเครื่องหมาย (+ เศษ - สวน) แสดงวาแหลงกําเนิดและผูสังเกตเคลื่อนที่เขา


หากัน แตถาเครื่องหมายกลับกันแสดงวาทั้งคูเคลื่อนที่ออกจากกัน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสือฟสิกส 1 !!!
ทดสอบความเขาใจ
แผนภาพแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของแหงกําเนิดเสียงและเครื่องรับใน 6
สถานการณ สถานการณใดที่ผูรับไดยินเสียงที่มีความถี่สูงกวา ต่ํากวา และ
เทากันกับ ความถี่ที่แหลงกําเนิดปลอย
แหลงกําเนิด เครื่องรับ
ก) vD=0 ⎛ v ± vD ⎞
f′= f ⎜ ⎟
ข) vD=0 ⎝ v ∓ vS ⎠
ค)
ง)
จ)
ฉ)
คลื่นกระแทก

v 1 vS
sin θ = = และ M = เรียกวา เลขมัค (Mach number)
vS M v

ดูรายละเอียดในหนังสือฟสิกส 1 บทที่ 8 !!!


คลืน่ กระแทกจากเครื่องบิน FA-18 ของกองทัพเรือสหรัฐ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส

ฟสิกส 1(ภาคกลศาสตร( ฟสิกส 1 (ความรอน)

ฟสิกส 2 กลศาสตรเวกเตอร
โลหะวิทยาฟสิกส เอกสารคําสอนฟสิกส 1
ฟสิกส 2 (บรรยาย( แกปญหาฟสิกสดวยภาษา c
ฟสิกสพิศวง สอนฟสิกสผานทางอินเตอรเน็ต
ทดสอบออนไลน วีดีโอการเรียนการสอน
หนาแรกในอดีต แผนใสการเรียนการสอน
เอกสารการสอน PDF กิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร
แบบฝกหัดออนไลน สุดยอดสิ่งประดิษฐ
การทดลองเสมือน

บทความพิเศษ ตารางธาตุ ) ไทย1) 2 (Eng)


พจนานุกรมฟสิกส ลับสมองกับปญหาฟสิกส

ธรรมชาติมหัศจรรย สูตรพื้นฐานฟสิกส

การทดลองมหัศจรรย ดาราศาสตรราชมงคล
แบบฝกหัดกลาง

แบบฝกหัดโลหะวิทยา แบบทดสอบ

ความรูรอบตัวทั่วไป อะไรเอย ?

ทดสอบ)เกมเศรษฐี ( คดีปริศนา

ขอสอบเอนทรานซ เฉลยกลศาสตรเวกเตอร
คําศัพทประจําสัปดาห
ความรูรอบตัว

การประดิษฐแของโลก ผูไดรับโนเบลสาขาฟสิกส
นักวิทยาศาสตรเทศ นักวิทยาศาสตรไทย
ดาราศาสตรพิศวง การทํางานของอุปกรณทางฟสิกส
การทํางานของอุปกรณตางๆ
การเรียนการสอนฟสิกส 1 ผานทางอินเตอรเน็ต

1. การวัด 2. เวกเตอร
3. การเคลื่อนที่แบบหนึ่งมิติ 4. การเคลื่อนที่บนระนาบ
5. กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน 6. การประยุกตกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
7. งานและพลังงาน 8. การดลและโมเมนตัม
9. การหมุน 10. สมดุลของวัตถุแข็งเกร็ง
11. การเคลื่อนที่แบบคาบ 12. ความยืดหยุน
13. กลศาสตรของไหล 14. ปริมาณความรอน และ กลไกการถายโอนความรอน
15. กฎขอที่หนึ่งและสองของเทอรโมไดนามิก 16. คุณสมบัติเชิงโมเลกุลของสสาร
17. คลื่น 18.การสั่น และคลื่นเสียง
การเรียนการสอนฟสิกส 2 ผานทางอินเตอรเน็ต

1. ไฟฟาสถิต 2. สนามไฟฟา
3. ความกวางของสายฟา 4. ตัวเก็บประจุและการตอตัวตานทาน
5. ศักยไฟฟา 6. กระแสไฟฟา
7. สนามแมเหล็ก 8.การเหนี่ยวนํา
9. ไฟฟากระแสสลับ 10. ทรานซิสเตอร
11. สนามแมเหล็กไฟฟาและเสาอากาศ 12. แสงและการมองเห็น
13. ทฤษฎีสมั พัทธภาพ 14. กลศาสตรควอนตัม
15. โครงสรางของอะตอม 16. นิวเคลียร
การเรียนการสอนฟสิกสทัว่ ไป ผานทางอินเตอรเน็ต

1. จลศาสตร )kinematic) 2. จลพลศาสตร (kinetics)


3. งานและโมเมนตัม 4. ซิมเปลฮารโมนิก คลื่น และเสียง
5. ของไหลกับความรอน 6.ไฟฟาสถิตกับกระแสไฟฟา
7. แมเหล็กไฟฟา 8. คลื่นแมเหล็กไฟฟากับแสง
9. ทฤษฎีสมั พัทธภาพ อะตอม และนิวเคลียร

ฟสิกสราชมงคล

You might also like