Professional Documents
Culture Documents
การเลือกใช้และแนวทางการสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล
การเลือกใช้และแนวทางการสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล
หน่วยที่
หน่วยที่
การเลือกใช้และแนวทางการสร้างเครื่ องมือรวบรวมข้อมูล
จุดประสงค์
เมื่อท่านศึกษาและปฏิบตั ิกิจกรรมในหน่วยนี้ แล้ว สามารถปฏิบตั ิสิ่งต่อไปนี้
1. ระบุประเภทของเครื่ องมือรวบรวมข้อมูลสำหรับการทำวิจยั ในชั้นเรี ยนได้
2. อธิบายวิธีการหาคุณภาพของเครื่ องมือรวบรวมข้อมูลได้
3. เลือกและสร้างเครื่ องมือรวบรวมข้อมูลสำหรับการทำวิจยั ในชั้นเรี ยนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ได้อย่างเหมาะสม
ขอบข่ายเนื้ อหา
ในหน่วยนี้มีเนื้ อหาสาระเกี่ยวกับ ความสำคัญของเครื่ องมือรวบรวมข้อมูล การวัดพฤติกรรมในการเรี ยนรู้ของผูเ้ รี ยน ประเภทของเครื่ องมือ
รวมรวมข้อมูล ตัวอย่างเครื่ องมือรวบรวมข้อมูล และการหาคุณภาพของเครื่ องมือรวบรวมข้อมูล
กิจกรรม
หลังจากวิทยากรนำเข้าสู่ กิจกรรมด้วยการให้ความรู้โดยใช้ภาพจากโปรแกรม Power Point ประกอบการนำเสนอ แล้วให้ท่านปฏิบตั ิ
กิจกรรม ดังต่อไปนี้
1. ศึกษาเอกสารชุดฝึ กฯในหน่วยที่ 5 ทุกหัวข้อให้ละเอียด
2. ทำกิจกรรมตามประเด็นที่กำหนดให้ ในใบกิจกรรมที่ 5 ให้ครบทุกประเด็น
พุทธิพิสัย
วิเคราะห์ตวั แปรตามที่ตอ้ งการ พฤติกรรมด้าน
ทักษะพิสัย
หน่วยที่ 5
การเลือกใช้และแนวทางการสร้างเครื่ องมือรวบรวมข้อมูล จิตพิสัย
กำหนดวิธีการวัดตัวแปรตาม
ในการดำเนินการวิจยั ในชั้นเรี ยน ผูว้ ิจยั จำเป็ นต้องดำเนินการรวบรวมข้อมูลในรู ปแบบใดรู ปแบบหนึ่งหรื อหลายรู ปแบบแล้วแต่ความเหมาะ
สม เพื่อนำมาวิเคราะห์หาคำตอบตามวัตถุประสงค์ของการวิจยั ที่ต้ งั ไว้วา่ ต้องการศึกษาหาคำตอบอะไร ต้องการทราบอะไร พฤติกรรมใด สิ่ งที่อยากรู้
หลังการวิจยั ในชั้นเรี ยนก็คือ ตัวแปรตาม นัน่ เอง ดังนั้นวิธีการที่จะรวบรวมข้อมูลดังกล่าวได้ตรงกับความต้องการก็จะต้องใช้เครื่ องมือ รวบรวม เรี ยกว่า
เลือกประเภทของเครื่ องมือเก็บรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสม
(Research instrument)
เครื่ องมือการวิจยั อีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากนวัตกรรมการเรี ยนการสอน ซึ่งถือว่าเป็ นเครื่ องมือวิจยั เช่นเดียวกัน
การเลือกใช้และการสร้างเครื่ องมือรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสม มีคุณภาพ หลากหลายรู ปแบบ สามารถใช้วดั ความสามารถของผูเ้ รี ยนได้จริ ง ทำให้สามารถนำ
มาสรุ ปผลการวิจยั ในการพัฒนาการเรี ยนรู้ของ ผูเ้ รี ยน จำแนกและอธิบายความก้าวหน้าในการเรี ยนรู้ของผูเ้ รี ยนได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเครื่ องมือรวบรวม
การสร้างเครื่ องมือเก็บจรวบรวมข้
ข้อมูลจึงเป็ นสิ่ งที่จำเป็ นและสำคัญอย่างมากในกระบวนการวิ ยั ใน อชัมู้ นล เรี ยน สรุ ปเป็ นแผนภูมิแสดงขั้นตอนได้ดงั นี้
การหาคุณภาพของเครื่ องมือเก็บรวบรวมข้อมูล
เวลา
การวางแผนการใช้เครื่ องมือ รู ปแบบการนำไปใช้
ผูใ้ ช้
พฤติกรรมหลัก ครอบคลุมในด้านพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย นัน่ เอง ซึ่งสามารถสรุ ปเป็ นพฤติกรรมใหญ่ได้ 9 ประการ คือ
1. ความจำ หมายถึง ความสามารถของสมองในการที่จะเก็บสะสมความรู้หรือ ข้อเท็จจริ งที่ได้ประสบพบเห็นมาให้คงอยูไ่ ด้ พฤติกรรม
ความจำจะมีคำกริ ยาแสดงการกระทำหรื อการแสดงออก เช่น ชี้บ่ง บอกชื่อ นิยาม บรรยาย ให้รายการจับคู่ เลือก ขีดเส้นใต้ บอกหัวข้อ ฯลฯ
เขียนให้ดูได้ดว้ ย
พฤติกรรมความเข้าใจจะมี คำกริ ยาแสดงการกระทำหรื อการแสดงออก เช่น แปล อธิบาย สรุ ปย่อ เปรี ยบเทียบ พยากรณ์ ตีความ พูดใหม่ ฯลฯ
กับดินเหนียวอย่างไร
แสดงออก เช่น จำแนก แยกแยะ ค้นหา ประมาณค่า เปรี ยบเทียบ ความสัมพันธ์ สรุ ปเหตุ สั่ง แบ่งย่อย ฯลฯ
1. แบบทดสอบ (Test)
2 ประเภท คือ
นำมาใช้ แบ่งได้เป็ น
สัมฤทธิ์ วิชาวิทยาศาสตร์ รู ปแบบของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ มีหลายประการ ได้แก่ แบบเลือกตอบ แบบจับคู่ แบบถูกผิดหรื อเรี ยงความ แบบ
ไว้ล่วงหน้า
ข้อสอบแบบเลือกตอบ
คำถามควรยึดหลัก คำถามชัดเจนเข้าใจง่าย แต่ละข้อความถามเพียงเรื่ องเดียว หลีกเลี่ยงคำถามประโยคปฏิเสธ หรื อปฏิเสธซ้อน
น้อยไปมาก หรื อมากไปน้อย ไม่มีลกั ษณะแนะคำตอบ และควรหลีกเลี่ยงใช้ตวั เลือกว่า “ถูกทั้งข้อ ก และ ข” หรื อ “ถูกทุกข้อ”
ในที่น้ ี
เป็ นที่คุณภาพในการสอนของครู กล่าวคือ ถ้าครู ยงั ไม่ได้สอนเนื้ อหานั้น ข้อสอบควรจะยากคือ มีค่า P ต่ำกว่า0.40 แต่ถา้ ครูทำการสอนแล้วและครู
สอนดีนกั เรี ยนควรจะเรี ยนรู้ในเนื้ อหานั้นก็ควรจะทำข้อสอบนั้นได้ซ่ ึ งข้อสอบนั้นได้ ซึ่งข้อสอบควรง่ายคือมีค่ามากกว่า 0.75 ส่ วนการคำนวณ ใช้สูตร
R
P= N
เมื่อ P= ดัชนีความยากง่าย, R = จำนวนนักเรี ยนที่ทำข้อสอบถูก
N= จำนวนนักเรียนที่ทำข้อสอบทั้งหมด
1.2 ดัชนีค่าอำนาจจำแนก สำหรับอำนาจจำแนกของข้อสอบอิงเกณฑ์น้นั จะเป็ นค่าอำนาจจำแนกระหว่างกลุ่มที่ยงั ไม่ได้รับการเรียนรู้
หรื อกลุ่มที่ยงั ไม่รู้ (Nonmaster) กับกลุ่มที่ได้รับการเรี ยนรู้ แล้วหรื อที่รู้แล้ว (Master) ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบอิงเกณฑ์ที่เช่นเดียว
ข้อสอบอยู่ 2 วิธี คือใช้สูตร Cox และ Vargas (1966) Tucker และ Vargas (1971) และ Vargas (1969)
และสูตรของ Brennan (1974) (อ้างใน ล้วน สายยศ อังคณา สายยศ, 2543) หรื อ ที่เรี ยกว่า สูตร B-Index ซึ่งการวิเคราะห์โดยใช้
2.
ความเชื่อมัน่ (Reliability)ของแบบทดสอบ หมายถึง ความคงที่ของคะแนนที่ได้จากการสอบนักเรี ยนคนเดียวกันหลายครั้ง
ในแบบทดสอบชุดเดิม ซึ่งก็คือคุณสมบัติของแบบทดสอบที่สามารถให้คะแนนแก่ผสู ้ อบได้อย่างคงที่แน่นอนหรื อพูดง่าย ๆ คือวัดกี่ครั้งก็ได้คำตอบที่คงที่
เหมือนเดิม ค่าความเชื่อมัน่ จะมีค่าอยูร่ ะหว่าง -1 ถึง +1 และจะพิจารณาเฉพาะค่าที่เป็ นบวกเท่านั้นซึ่งควรมีค่ามากกว่า 0.70 จึงจะเป็ นแบบ
ทดสอบที่มีความเชื่อมัน่ ได้ การคำนวณจะหาในรู ปของการประมาณค่า หาในรู ปของสัมประสิ ทธิ์ ของความเชื่อมัน่ มักใช้สัญลักษณ์ r tt , r XX หรือ
rCC วิธีการหาดังนี้
2.1 ความเชื่อมัน่ ของแบบทดสอบอิงกลุ่ม มีการหาค่าสัมประสิ ทธิ์ อยูด่ งั นี้
2.1.1 ความเชื่อมัน่ แบบความคงที่ของคะแนน วิธีน้ี เป็ นวิธีการทดสอบซ้ำ (Test-retest method) โดย
ทดสอบ 2 ครั้งในเครื่องมือวัดชุดเดียวกัน ว่าค่าเท่ากันเหมือนเดิมหรือไม่ ถ้าค่าเหมือนเดิม แสดงว่ามีความคงที่
ของคะแนน การหาความเชื่อมัน่ แบบนี้ เหมาะกับแบบทดสอบที่กำหนดเวลาในการสอบ(Speed test)
108
N xy x y
r tt = [N x 2
x ][ N y 2 y ]
2 2
r tt = 1 r1
2
ความแปรปรวน โดยมีสูตร
MS E
rtt = 1
MS p
MSE (Error)
คือ คะแนนความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน
MSP
คือ คะแนนความแปรปรวนระหว่างคน (Between people)
2.2 (
ความเชื่อมัน่ ของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ อ้างใน ล้วน สายยศ อังคณา สายยศ , 2543)
หมายถึงผลของคะแนนที่สอบได้มีความคงที่ในการเป็ นผูร้ อบรู้หรื อไม่รอบรู้ในเรื่ องที่สอนซึ่งมีวิธีหาอยูห่ ลายวิธี
(Lovett, 1975)
วิธีที่ 3 ความเชื่อมัน่ โดยใช้วิธีวิเคราะห์ความแปรปรวน
วิธีที่ 4 ความเชื่อมัน่ โดยใช้วิธีแบ่งครึ่ งแบบทดสอบ วิธีน้ ี จะหาค่าความ เชื่อมัน่ โดยใช้สูตร สเปี ยร์แมน บราวน์
ที่ตอ้ งการจะวัด ซึ่งเป็ นคุณสมบัติที่สำคัญของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ความถนัด เจตคติ จริ ยธรรม บุคลิกภาพ และอื่นๆ แบบทดสอบทุกฉบับจะต้องมี
เนลลี และแฮมเบลตัน (Rowinelli and Hambleton , 1977 อ้างใน ล้วน สายยศ อังคณา สายยศ, 2543)
การวิเคราะห์ดชั นีความสอดคล้องของแบบทดสอบกับจุดประสงค์
เบื้องต้นอย่างง่ายๆ ดังนี้
+1 แน่ใจว่าแบบทดสอบสอดคล้องจุดประสงค์
0 ไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบสอดคล้องจุดประสงค์
-1 แน่ใจว่าแบบทดสอบวัดไม่สอดคล้องจุดประสงค์
2. นำคะแนนของผูเ้ ชี่ยวชาญแต่ละคนมาคำนวณจากสูตรดังนี้
111
IOC = N
R
คอสแคร์ลี่ (Shrock and coscarelli, 1989 อ้างใน อ้างใน ล้วน สายยศ อังคณา สายยศ, 2543)
2. แบบสอบถาม (Questionnaire)
ตัวอย่างแบบสอบถาม
ตอนที่ 1 ข้อมูลทัว่ ไป
1. เพศ ( ) 1. ชาย ( ) 2. หญิง
2. ระดับชั้น ม. …………………………………
113
ตอนที่ 2 การจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนของครู เรื่ อง ทักษะการสังเกตให้นกั เรี ยนพิจารณารายการต่อไปนี้ โดยใช้ขอ้ มูลช่วงที่มีการใช้ชุดฝึ กทักษะการ
สังเกตในการเรี ยนการสอนที่ผา่ นมา โดยทำเครื่ องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับความ คิดเห็นของนักเรี ยนมากที่สุด
ระดับการปฏิบตั ิ
ข้อที่ รายการ มาก มาก ปาน น้อย น้อย
ที่สุด กลาง ที่สุด
3 ครู สอนโดยใช้การบรรยาย
ฯลฯ
ตอนที่ 3 ความพึงพอใจของนักเรี ยน
ช่องที่ตรงกับความรู้สึกของนักเรี ยนมากที่สุด
ระดับความพึงพอใจ
ความเข้าใจ
4 นักเรี ยนสามารถนำเอาทักษะการสังเกตไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ฯลฯ
1. ..
สิ่ งที่นกั เรี ยนประทับใจมากที่สุด คือ ……………………………………………………
…………………………………………………………………………………………..
2. สิ่งที่นกั เรียนต้องการให้มีการแก้ไขปรับปรุงในชุดฝึ กทักษะการสังเกต …………………
…………………………………………………………………………………………..
3. สิ่งที่นกั เรียนได้เกิดการเรียนรู้และนำไปใช้ประโยชน์มากที่สุด ………………………….
…………………………………………………………………………………………..
4. สิ่งที่นกั เรียนต้องการให้มีการพัฒนาการเรียนการสอนคือ ……………………………….
ฯลฯ
การหาคุณภาพของแบบสอบถาม
1) อำนาจจำแนก (Discrimination)
อำนาจจำแนกของข้อความหรื อรายการของคำถามในแบบสอบถาม หมายถึงดัชนีที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับผล
รวมของคะแนนข้ออื่นๆ หรื อคะแนนรวมที่ไม่ได้รวมคะแนนของข้อนั้นๆ เข้าไปด้วยหรื อหมายถึงคุณสมบัติของข้อความหรื อรายการของคำถามที่สามารถ
จำแนกผลรวมของคะแนนทุกข้อ หรื อคะแนนรวมของแบบสอบถามทั้งฉบับออกจากกันระหว่างกลุ่มที่ได้คะแนนสูงกับกลุ่มที่ได้คะแนนต่ำ ซึ่งวิธีการ
คำนวณหาค่าที่น้ ี เสนอวิธีจากการทดสอบนัยสำคัญทางสถิติของความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ได้คะแนนสูงกับกลุ่มที่ได้คะแนนต่ำ โดยใช้สูตร t-
test โดยใช้กลุ่มคะแนนรวมจากแบบสอบถามทั้งฉบับสู ง และกลุ่มคะแนนรวมจากแบบสอบถามทั้งฉบับต่ำ กลุ่มละ 25% ของจำนวนผูต้ อบ
แบบสอบถามทั้งหมดมาหาค่า t กลุ่มคะแนนรวมสูง มีค่าเฉลี่ยของคะแนนในข้อใดๆ สูงกว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนในข้อนั้นของกลุ่มคะแนนรวมต่ำ
(
อย่างมีนยั สำคัญทางสถิติก็แปลความหมายว่าข้อความหรื อรายการของคำถามในข้อนั้นๆ มีอำนาจจำแนก แต่ตำราบางเล่ม หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญ
ศึกษา ชุดฝึ กอบรมด้วยตนเอง การประเมินโครงการสำหรับหัวหน้าหมวดวิชาในโรงเรี ยนมัธยมศึกษา เล่ม 10, 2539:50) กำหนด ค่า t มีค่าตั้งแต่
2.00 ขึ้นไป แปลความหมายว่า รายการหรือประเด็นของคำถามในข้อนั้นมีอำนาจจำแนก
2) ความเชื่อมัน่ (Reliability) ของแบบสอบถาม หมายถึง คุณสมบัติของแบบ สอบถามในด้านความสามารถในการวัดสิ่งต่างๆ
ที่ตอ้ งการวัดได้อย่างคงที่แน่นอน หรื อ คงเส้นคงวา (Consistency)ซึ่งมีหลายวิธี และวิธีหาใช้สูตรการหาเช่นเดียวกับการหาความเชื่อมัน่ ของ
แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม นิยมใช้มากคือ วิธีของ ครอนบัค (Cronbach alpha procedure)
3) ความเที่ยงตรง (Validity) ของแบบสอบถาม หมายถึง คุณสมบัติของแบบ สอบถามในด้านความสามารถในการวัดสิ่งต่างๆ ที่
ต้องการวัดได้สอดคล้องตรงกันกับความต้องการหรื อจุดมุ่งหมายของการวัด ความเที่ยงตรงของแบบสอบถามเป็ นความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง
(Construct Validity) ซึ่งนอกจากผูว้ ิจยั จะหาได้จากการใช้ดุลยพินิจของ ผูว้ ิจยั เอง โดยการพิจารณาจากวิธีการสร้างข้อความหรื อรายการ
ของคำถาม ที่คำนึงถึง หรื อยึดถือการเปรี ยบเทียบกับนิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจยั แล้วผูว้ ิจยั ยังสามารถหาความเที่ยงตรงตามโครงสร้างของ
แบบสอบถามที่ใช้ในการวิจยั ได้ โดยการนำข้อความหรื อรายการของคำถามในแบบสอบถามที่สร้างขึ้น พร้อมนำโครงการวิจยั นิ ยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ใน
การวิจยั วิธีการและกระบวนการในสร้างข้อความหรื อรายการของคำถามตลอดจน รายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของการวิจยั ไปขอความ
(Expert)
อนุเคราะห์จากผูท้ รงคุณวุฒิหรื อผูเ้ ชี่ยวชาญ ที่มีความรอบรู้ในด้านเนื้ อหา สาระของปัญหาการวิจยั ในการให้ความเห็นและตัดสิ นสรุ ป
ความเที่ยงตรงตาม โครงสร้างของแบบสอบถาม โดยการวัดความสอดคล้องระหว่างข้อความหรื อรายการของคำถามกับนิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจยั
หรื อจุดหมายที่ใช้ในการสร้างแบบสอบถาม ซึ่งก็เป็ นการหาค่า IOC นัน่ เองเหมือนกับการหาความเที่ยงตรงของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ นอกจากนี้ ยงั มี
อีกหลายวิธีที่หาความ เที่ยงตรงของแบบสอบถามได้
หลักการสัมภาษณ์
- วัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์
- เครื่ องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการสัมภาษณ์
2) การเริ่ มต้นสัมภาษณ์ ก่อนการสัมภาษณ์ครู ผสู ้ ัมภาษณ์ควรบอกจุดมุ่งหมาย สร้างความเป็ นมิตร สนิทสนม โดยสนทนาในเรื่ องที่คาด
3) การดำเนินการสัมภาษณ์
3.2 พยายามตะล่อมให้ตรงประเด็น เป็ นลักษณะผูฟ้ ังให้มาก แต่ตอ้ งอยูใ่ นกรอบเนื้ อหาที่ตอ้ งการข้อมูล
3.4 อย่าใช้คำถามชี้นำคำตอบ
3.5 จดบันทึกคำตอบให้เร็ว
3.6 ถ้าสัมภาษณ์ใช้เวลา ควรหาวิธีผอ่ นความตึงเครี ยด
3.7 ไม่ใช่คำพูดในลักษณะสั่งสอนนักเรียนผูใ้ ห้การสัมภาษณ์ ใช้คำพูดที่เป็ นกันเอง ให้ความสนใจในขณะที่ผใู ้ ห้การสัมภาษณ์ พูด
ข้อดีของการสัมภาษณ์
การรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ดีกว่าวิธีอื่นหลายประการ โดยเฉพาะ
2) ข้อมูลที่ได้มีความคลาดเคลื่อนน้อยเชื่อถือได้มาก เพราะสัมภาษณ์และเห็นมาโดยตรง
4) หลักการสัมภาษณ์แล้วเป็ นการสร้างความสัมพันธ์เข้าใจกันดีข้ ึน
ผูใ้ ห้สัมภาษณ์
8)
ในขณะสัมภาษณ์ ถ้าสงสัยข้องใจอะไรสอบถามทบทวนกันได้ทนั ที และทำให้เข้าใจกันได้ทุกประเด็นก่อนตอบ
ตัวอย่างแบบสัมภาษณ์
ตอนที่ 1 ข้อมูลทัว่ ไป
ตอนที่ 2 แบบสัมภาษณ์น้ ี ใช้สัมภาษณ์โดยครู ผสู ้ อนหลังจากที่นกั เรี ยนได้ใช้ชุดฝึ กทักษะการสังเกตเสร็จสิ ้ นแล้ว โดยมีขอ้ คำถามในการสัมภาษณ์ดงั นี้
117
รายการข้อคำถาม คำตอบการสัมภาษณ์
1. นักเรียนได้ทำกิจกรรมอะไรบ้างใน ชุดฝึ กทักษะการสังเกต
2. กิจกรรมในชุดฝึ กทักษะการสังเกตมีความเหมาะสมกับการเรียนรู้ของ
นักเรี ยนไหม ?
3. นักเรียนคิดว่ากิจกรรมในชุดฝึ กทักษะการสังเกตมีประโยชน์หรือไม่
อย่างไร ?
4. นักเรียนจะนำทักษะการสังเกตไปใช้ได้ในโอกาสใดบ้าง ?
ฯลฯ
..
ชื่อ ………………………………… ผูส้ ัมภาษณ์
สัมภาษณ์เวลา …………น. วันที่ ……..เดือน ……………พ.ศ. …………
การหาคุณภาพของแบบสัมภาษณ์
ประเภทของการสังเกต
ประเภทของการสังเกต สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ขึ้นอยูก่ บั หลักเกณฑ์ในการแบ่งการสังเกต ถ้าแบ่งตามวิธีการในการสังเกต
สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1) การสังเกตแบบมีส่วนร่ วม (Participant observation) เป็ นการสังเกตที่ผสู ้ ังเกตเข้าไปมีส่วนร่ วม ปะปนร่ วมกับผูถ้ ูก
สังเกต และทำกิจกรรมร่ วมกับผูถ้ ูกสังเกต เหมือนกับสมาชิกคนหนึ่ง โดยที่ผถู ้ ูกสังเกตไม่รู้ตวั ว่าถูกสังเกต
2) การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่ วม (Non-participant observation) การสังเกตแบบนี้ เป็ นการสังเกตที่ผสู ้ ังเกตไม่ได้
เข้าไปร่ วมกิจกรรมในเหตุการณ์น้ นั ๆ เช่น การสังเกตการสอน เป็ นต้น
2 ประเภท คือ
การสังเกตถ้าแบ่งตามแบบของการสังเกต แบ่งได้
1) การสังเกตแบบมีโครงสร้าง (Structured observation) เป็ นการสังเกตที่กำหนดสิ่ งที่ตอ้ งการไว้ล่วงหน้าแน่นอน ว่า
จะสังเกตอะไร
2) การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured observation) เป็ นการสังเกตที่ไม่ได้กำหนดสิ่ งที่ตอ้ การสังเกตเอาไว้
ล่วงหน้า การศึกษาเรื่ องอะไร สังเกตอะไร จะเป็ นสิ่ งที่ผสู ้ ังเกตกำหนดเองในขณะการสังเกตนั้น การสังเกต ผูส้ ังเกตอาจจะสังเกต
สภาพทัว่ ๆ ไปอย่างกว้างขวางหรื อสิ่ งที่พบเห็นหรื อสิ่ งที่ปรากฏขึ้น ทั้งหมด เป็ นต้น
หลักการในการสังเกต
การสังเกตเป็ นเครื่ องมืออย่างหนึ่งในการรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจยั และเพื่อให้การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็ นไปอย่างถูกต้อง เที่ยงตรง และเป็ น
ไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด การสังเกตจึงควรมีหลักการดังนี้
1) มีเป้ าหมายในการสังเกตที่แน่นอนว่า จะสังเกตอะไร สังเกตในลักษณะใด
2) สังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์ ถี่ถว้ น ตั้งใจไม่ทำอย่างผิวเผิน
3) บันทึกการสังเกตทันทีเท่าที่ทำได้ ในสิ่ งที่สังเกตเห็น
4) พยายามสังเกตให้ได้ขอ้ มูลจำนวนมาก
119
5) ควรใช้ผสู ้ ังเกตที่มีความรอบรู้
6) ต้องมีความเป็ นปรนัยหรื อความเป็ นกลาง ไม่ลำเอียง
7) การสังเกตบางเรื่ อง ควรสังเกตซ้ำเพื่อได้ผลการสรุ ปที่เที่ยงตรง
ตัวอย่างแบบสังเกต
แบบสังเกตการทดลองวิทยาศาสตร์ เรื่ อง ………………… วิชา ……… ชั้น …… ..
รายการ
การเลือกและใช้ การทดลองตาม การบันทึกผลการ การสรุ ปผลการ การจัดเก็บ คะแนนรวม
อุปกรณ์การทดลอง ลำดับ ขั้นตอน ทดลอง ทดลอง อุปกรณ์
/
กลุ่มที่ ชื่อ
ตัวอย่างเกณฑ์การให้คะแนน
1. การเลือกและใช้อุปกรณ์การทดลอง
1 หมายถึง เลือกใช้อุปกรณ์ในการทดลองยังไม่เหมาะสม
2 หมายถึง เลือกใช้อุปกรณ์การทดลองได้เหมาะสม
3 หมายถึง เลือกใช้อุปกรณ์การทดลองได้เหมาะสม และใช้อย่างคล่องแคล่ว
4 หมายถึง เลือกใช้อุปกรณ์การทดลองได้เหมาะสม ใช้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง
2. ฯลฯ
เกณฑ์การสรุ ปประเมินผล
การหาคุณภาพของแบบสังเกต
คุณลักษณะ /
ลักษณะบ่งชี้ พฤติกรรม
- มีความกระตือรือร้นต่อกิจกรรมและเรื่องต่าง ๆ
- ชอบทดลองค้นคว้า
- ชอบสนทนา ซักถาม ฟัง อ่าน เพื่อให้ได้รับความรู้เพิ่มขึ้น
คุณลักษณะ /
ลักษณะบ่งชี้ พฤติกรรม
- รวบรวมข้อมูลอย่างเพียงพอเสมอก่อนจะลงสรุปเรื่องราวต่าง ๆ
คุณลักษณะ
/
ลักษณะบ่งชี้ พฤติกรรม
- เลือกใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดและปฏิบตั ิ
- ตั้งใจเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
123
- ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรม
- ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใคร่ครวญไตร่ตรองถึง
ผลดีและผลเสี ย
2) การกำหนดจุดมุ่งหมาย ได้แก่ จุดมุ่งหมายในการวัดซึ่งเป็ นความคาดหวังของ ผูส้ ร้างเครื่ องมือว่า เครื่ องมือนี้ จะนำไปใช้วดั ลักษณะ
ความสนใจ
1. ด้านที่เกี่ยวกับสมอง
2. ด้านที่เกี่ยวกับความรู้สึก อารมณ์
3. ด้านที่เกี่ยวกับการปฏิบตั ิ
124
ย่อยๆ ได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ และถูกต้อง ผูส้ ร้างต้องจำแนกเนื้ อหาออกเป็ นหมวด หน่วยให้ได้ โดยอาศัยการอ่านเอกสาร ตำราที่เกี่ยวข้อง แล้วจึงให้ผู ้
ตัวอย่างแบบวัดคุณลักษณะของผูเ้ รี ยน
แบบวัดคุณลักษณะ ด้านความรับผิดชอบ
คะแนนผลการประเมิน
คะแนน
ที่ -
ชื่อ สกุล ความร่ วมมือใน ทำงานเต็ม วางแผนการ ปฏิบตั ิงาน ส่งงานตาม ฯลฯ
รวม
หมู่คณะ ความสามารถ ทำงานร่ วมกัน อย่างจริ งจัง กำหนด
125
เกณฑ์การให้คะแนน
1. ความร่ วมมือกับหมู่คณะ
2. ฯลฯ
เกณฑ์การสรุ ปประเมินผล
ดี หมายถึง ..
ได้คะแนนระหว่าง … ถึง …… คะแนน .
พอใช้ หมายถึง ..
ได้คะแนนระหว่าง … ถึง …… คะแนน .
ปรับปรุ ง หมายถึง ได้คะแนนต่ำกว่า ……… . คะแนน
การหาคุณภาพของเครื่ องมือวัดคุณลักษณะของผูเ้ รี ยน
1) ความเที่ยงตรง (Validity) เป็ นการหาคุณภาพของเครื่ องมือที่สามารถวัดในสิ่ งที่ตอ้ งการวัด นัน่ คือ วัดได้อย่างยุติธรรม ชอบ
เหตุผล ความเที่ยงตรงถือว่าเป็ นหัวใจอันดับหนึ่ งของเครื่ องมือวัด ถ้าเครื่ องมือวัดมีความเที่ยงตรงต่ำไม่ควรใช้เลย ถึงแม้คุณภาพด้านอื่นๆ สูงก็ตาม แบ่งได้
3 กลุ่ม คือ
1.1) ความเที่ยงตรงตามเนื้ อหา (Content Validity) การหาค่าความเที่ยงตรงตามเนื้ อหาจะไม่มีค่าเป็ นตัวเลข หากแต่ใช้
มือ
ในการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นศูนย์กลาง ซึ่งเป็ นการจัดการเรี ยนรู้ตามสภาพจริ งที่ส่ งเสริ มสอดคล้องกับการประเมินตามสภาพ
จริ ง การประเมินสภาพจริ งเป็ นการประเมินพฤติกรรม หรื อการแสดงออกที่ คำนึงถึงบริ บทที่ตอ้ งเป็ นไปตามสภาพจริ งในชีวิตประจำวัน การประเมินตาม
การประเมินตามสภาพจริ งและประเมินจากการปฏิบตั ิมกั ใช้ร่วมกัน แต่แท้จริ งแล้วมีลกั ษณะต่างกัน (Mayer, 1992 อ้างใน สม
ศักดิ์ ภูว่ ิภาดาวรรธน์ , 2544 : 98) ชี้ให้เห็นว่าการประเมินจากการปฏิบตั ิน้ นั ผูเ้ รี ยนต้องปฏิบตั ิพฤติกรรมให้สมบูรณ์หรื อแสดงออกเป็ นพฤติกรรมที่
ผูป้ ระเมินต้องการให้แสดงออกให้ได้หรื อกล่าวได้ว่าพฤติกรรมที่ผเู ้ รี ยนแสดงออกเป็ นพฤติกรรมที่ผปู ้ ระเมินต้องการจะวัด ขณะที่การประเมินจากสภาพจริ ง
นั้น ผูเ้ รี ยนไม่เพียงแต่แสดงพฤติกรรมให้ได้สมบูรณ์ตามที่ผวู ้ ดั ต้องการเท่านั้น แต่พฤติกรรมที่แสดงออกนั้นต้องต้องทำในบริ บทของความเป็ นจริ งในชีวิต
ประจำวัน (Real-Life Context)
การประเมินการปฏิบตั ิ (Performance Assessment)
การประเมินการปฏิบตั ิเป็ นการประเมินความสามารถที่แท้จริ งในการเรี ยนรู้ และการทำงานของผูเ้ รี ยน ภายใต้สถานการณ์และเงื่อนไขที่
สอดคล้องกับสภาพจริ งมากที่สุด และวิธีการประเมินแบบนี้ จะเหมาะกับการทำวิจยั ในชั้นเรี ยนของครู วิทยาศาสตร์เป็ นอย่างยิง่ เนื่องจากธรรมชาติวิชา
วิทยาศาสตร์จะต้องให้นกั เรี ยนได้ลงมือฝึ กปฏิบตั ิจริ งให้มากที่สุด เพื่อให้นกั เรี ยนเกิดความคิดรวบยอดในการเรี ยนวิทยาศาสตร์ อย่างแท้จริ ง สามารถนำเอา
หลักการทางวิทยาศาสตร์ไปประยุกต์หรื อบูรณาการกับชีวิตจริ งให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผูอ้ ื่นได้ ดังนั้นครู ผสู ้ อนวิชาวิทยาศาสตร์ ควรได้มีการ
สร้างเครื่ องมือประเมินภาคปฏิบตั ิให้มากขึ้ นกว่าการใช้แบบทดสอบ หรื อแบบประเมินที่เน้นเฉพาะความรู้ความจำให้นกั เรี ยนตอบเท่านั้น การประเมินภาค
ปฏิบตั ิสามารถทำได้ 3 ลักษณะ คือ
ประเมินกระบวนการ
ประเมินผลผลิต
ประเมินทั้งกระบวนการและผลผลิต
เกณฑ์การประเมิน
(Rubric) หมายถึงการสร้างเกณฑ์ข้ึนเพื่อพิจารณาลักษณะ
เครื่ องมือที่ใช้ประเมินภาคปฏิบตั ิของผูเ้ รี ยนควรจัดทำในลักษณะที่เป็ น รู บริ ค
สามารถในการแสดงออกของผูเ้ รี ยนในแต่ละระดับ ข้อมูลจากรู บริ คจะสะท้อนให้ครู ผสู ้ อน นักเรี ยน ผูป้ กครอง และบุคคลอื่นๆ ได้ทราบว่าผูเ้ รี ยนรู้
อะไรบ้าง และทำอะไรได้มากน้อยเพียงใด
เกณฑ์การประเมินหรื อแนวทางการให้คะแนน
เกณฑ์การประเมินเป็ นสิ่ งสำคัญของการประเมินผล โดยใช้แฟ้ มสะสมผลงานต้องชัดเจนและสามารถสะท้อนคุณภาพของผลงานได้ ดังนั้นจะใช้
(Rubric Assessment) โดยบรรยายคุณภาพของงานที่แสดงความสามารถของผูเ้ รียนเป็ นมาตรวัด (Scale)
เกณฑ์การให้คะแนน
ตัวอย่างแบบวัดการปฏิบตั ิเชิงกระบวนการ
( )
แบบวัดการปฏิบตั ิน้ี จะคล้ายกับแบบสังเกต ในกรณี ที่สังเกตการปฏิบตั ิแล้วประเมินให้คะแนน แต่จะต่างกันตรงที่ว่าแบบวัดการ
ปฏิบตั ิจะมีรายละเอียดของการสังเกตที่ชดั เจนมากกว่าและแบบสังเกตในลักษณะที่เป็ นนามธรรม บางครั้ งใช้ความรู้สึกของ ผูส้ ังเกตบรรยายราย
ละเอียดประกอบ แต่ถา้ เป็ นผลจากการปฏิบตั ิที่สามารถวัดได้แน่นอนจะใช้การประเมินจะผลที่ปฏิบตั ิจริ งได้ ซึ่งการวัดจะต้องสร้างเกณฑ์ข้ึ นเพื่อพิจารณาสิ่ ง
ที่สังเกต หรื อผลการปฏิบตั ิ โดยการกำหนดเป็ นเกณฑ์การสังเกตการปฏิบตั ิ
ตัวอย่างแบบวัดทักษะปฏิบตั ิเชิงกระบวนการ
ลักษณะการใช้เทอร์โมมิเตอร์
ที่ -
ชื่อ สกุล การจับ การอ่าน การเก็บ
หมายเหตุ
1
2
3
.
.
.
เกณฑ์การสังเกตทักษะปฏิบตั ิการวัดการปฏิบตั ิเชิงกระบวนการ การใช้เทอร์โมมิเตอร์
1. การใช้เทอร์โมมิเตอร์ จะต้องใช้ความระมัดระวังเนื่องจากเทอร์โมมิเตอร์ จะทำด้วยแก้วและภายในมีของเหลวที่บรรจุดว้ ยปรอทหรื อ
แอลกอฮอล์ผสมสี
2. ขณะใช้เทอร์โมมิเตอร์ตอ้ งไม่เอามือจับกะเปาะที่บรรจุของเหลวไว้ ก่อนจะใช้วดั อุณหภูมิในของเหลวต้องจับและสะบัดเทอร์โมมิเตอร์
เบาๆ ให้ปรอทหรื อแอลกอฮอล์ผสมสี ลงมาอยูใ่ นระดับในกระเปาะ
3. การอ่านเทอร์ โมมิเตอร์ที่ถูกต้องนั้น จะต้องให้เทอร์โมมิเตอร์ต้ งั อยูใ่ นแนวตรงถ้าอยูใ่ นของเหลวต้องให้กระเปาะจุ่มอยูใ่ นระดับพอ
เหมาะและอยูใ่ นระดับสายตาของผูอ้ ่านเสมอ เพื่อป้ องกันความผิดพลาดคลาดเคลื่อนในการอ่าน
4. เมื่อใช้เทอร์โมมิเตอร์เสร็ จแล้วจะต้องล้างหรื อเช็ดเบาๆ เพื่อทำความสะอาดและเก็บให้เรี ยบร้อยในที่เก็บ
ตัวอย่างแบบวัดทักษะปฏิบตั ิเชิงผลงาน
ตัวอย่างแบบบันทึกคะแนนทักษะปฏิบตั ิ
129
คะแนนผลการประเมิน
ที่ -
ชื่อ สกุล การใช้เทอร์โมมิเตอร์ ฯลฯ
รวม
เกณฑ์การให้คะแนนทักษะปฏิบตั ิ
การใช้เทอร์โมมิเตอร์
1 หมายถึง หยิบจับเทอร์โมมิเตอร์ดว้ ยความระมัดระวัง
2 หมายถึง นอกจาก1 แล้ว ต้องไม่ใช้มือจับที่กระเปาะของเทอร์โมมิเตอร์ก่อนใช้วดั อุณหภูมิของเหลวต้องสะบัดเทอร์โมมิเตอร์เบาๆ
3 หมายถึง นอกจาก 2 แล้ว ขณะใช้วดั อุณหภูมิของเหลวต้องจุ่มเทอร์ โมมิเตอร์ในของเหลวอยูใ่ นระดับเหนือกระเปาะได้พอเหมาะและ
ตั้งตรงให้อ่านได้ในระดับสายตา
4 หมายถึง นอกจาก 3 แล้วเมื่อใช้เทอร์โมมิเตอร์แล้ว ได้ทำความสะอาดและจัดเก็บเทอร์โมมิเตอร์ไว้ในที่เก็บให้ปลอดภัยและ
เรี ยบร้อย
ฯลฯ
เกณฑ์การประเมินผลทักษะปฏิบตั ิ
ดีมาก ได้คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป
ดี ได้คะแนนร้อยละ 70 – 79
พอใช้ ได้คะแนนร้อยละ 60 – 69
ควรปรับปรุ ง ได้คะแนนต่ำกว่าร้อยละ 60
3) การประเมินเชิงกระบวนการและผลผลิต
การประเมินแบบนี้ จะประเมินทั้งในส่ วนของการปฏิบตั ิระหว่างดำเนินการโดยผูเ้ รี ยนได้ใช้ความรู้ ประสบการณ์และทักษะต่างๆในการ
ทำงานจนได้ผลงานหรื อผลผลิตออกมา แล้วมีการประเมินคุณภาพของผลงานหรื อชิ ้นงานที่ผลิตอีกครั้งหนึ่ง เช่น การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรี ยน
เป็ นต้น
ตัวอย่างแบบตรวจโครงงาน
รายการ
การออกแบบการ การเลือกใช้วสั ดุ ประโยชน์ในการนำ การนำเสนอผลการ เนื้ อหาสาระใน คะแนนรวม
ทดลอง อุปกรณ์ ไปใช้ ทดลอง รายงาน
130
/
กลุ่มที่ ชื่อ
ตัวอย่างเกณฑ์การให้คะแนน
1. การออกแบบการทดลอง
1 หมายถึง เขียนขั้นตอนในการทดลองที่ยงั ไม่เป็ นระบบอย่างชัดเจน
2 หมายถึง เขียนขั้นตอนในการทดลองที่เป็ นระบบชัดเจน
3 หมายถึง เขียนขั้นตอนในการทดลองที่เป็ นรายชัดเจนและมีการเขียนแผนภูมิแสดงขั้นตอนประกอบแต่ไม่ละเอียด
4 หมายถึง เขียนขั้นตอนในการทดลองที่เป็ นรายชัดเจนและมีการเขียนแผนภูมิแสดงขั้นตอนประกอบอย่างละเอียด
2. ฯลฯ
เกณฑ์การประเมินผล
การใช้แบบวัดทักษะปฎิบตั ิ
การหาคุณภาพของแบบวัดการปฏิบตั ิ
(Mackillop, 1994 อ้างใน สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์, 2544 : 111) กล่าวคือนักเรียนต้องยึดกระบวนการ 2 ขั้นตอน คือ
1) นักเรียนแต่ละคนเก็บรวบรวมผลงาน บันทึกและผลการประเมินต่างๆ ไว้ในแฟ้ มรวมผลงาน (Working Folder)
2) นักเรียนแต่ละคนจัดและคัดเลือกผลงานจากแฟ้ มรวมผลงานเพื่อจัดทำ แฟ้ มสะสมผลงาน (Portfolio) ต่อไป
แฟ้ มสะสมผลงานจะเป็ นเอกสารที่ระบุให้ทราบว่านักเรี ยนได้เรี ยนได้เรี ยนรู้อะไรไปแล้วบ้างในชั้นเรี ยนและในชีวิตประจำวันและนักเรี ยนได้
กระตือรื อร้น
ส่วนประกอบของแฟ้ มสะสมผลงาน
วิชา หรื อโรงเรี ยนได้หรื อไม่ และ คะแนนมีความคงที่หรื อไม่ วิธีตรวจสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อมัน่ ของแฟ้ มสะสมผลงานสามารถทำได้โดยวิธีการ
ดังนี้
(Validity)
ความเที่ยงตรง วิธีตรวจสอบคุณภาพ
- ความคงที่ระหว่างผูป้ ระเมิน
- ความคงที่ของคะแนนในงานที่มีลกั ษณะคล้ายคลึงกัน
ใบกิจกรรมที่ 5
การเลือกและแนวทางการสร้างเครื่ องมือรวบรวมข้อมูล (150 นาที )
กิจกรรมที่ปฏิบตั ิ ให้แต่ละท่านดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ศึกษารายละเอียดในเอกสารชุดฝึ กฯ หน่วยที่ 5 การเลือกและการสร้าง
เครื่ องมือรวบข้อมูล
2. เขียนชื่อเครื่องมือวิจยั ในชั้นเรียนที่ตอ้ งใช้ในการรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ อย่างน้อย 1 ชนิดที่จะใช้วดั ตัวแปรตามลงใน
ตารางช่องเครื่ องมือวิจยั ที่ใช้
3. เขียนกรอบของเครื่องมือวิจยั ที่เลือกใช้ในการรวบรวมข้อมูล ขณะเขียน ให้ปรึ กษาและแลกเปลี่ยนคิดเห็นกับเพื่อน
สมาชิกด้วย
4. ส่งผลการปฏิบตั ิในข้อ 3 – 4 ให้วิทยากรตรวจสอบและให้ขอ้ สังเกตหรือ
ข้อเสนอแนะ
จากกิจกรรมที่ 4