Professional Documents
Culture Documents
โดย
นาย
นายธนรั
ธนรัตตน์น์ ทัทังทอง
งทอง
(ผูพ (ผูพ
้ ิพากษาศาลอ
้ ิพากษาหั ุทธรณ์) ุทธรณ์)
วหน้าคณะในศาลอ
ภาคปกติ 2 ชั่วโมง/สัปดาห
2 ชั่วโมง/สัปดาห
ภาคค่ํา 1 ชั่วโมง/สัปดาห
1 ชั่วโมง/สัปดาห
1
ศึกษาปญหาในกฎหมายตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญาเฉพาะบทบัญญั ติวาดวยหลัก
ทั่ ว ไป อํ า นาจพนั ก งานสอบสวนและศาล การฟ อ ง
คดีอาญาและคดีแพงเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเรียก
และหมายอาญา การจับ ขัง จําคุก คน ปลอยชั่วคราว
และการสอบสวน โดยการวิ เ คราะห ห ลั ก กฎหมาย
ทฤษฎี และคําพิพากษาศาลฎีกา เพื่อใหสามารถปรับ
ใชบทบัญญัติของกฎหมายไดในเชิงปฏิบัติ
2
1. กระบวนการกอนฟองคดี
2. กระบวนการหลังฟองคดี
3. กระบวนการชั้นบังคับคดี
1. กระบวนการกอนฟองคดี
1.1 เรื่องพื้นฐาน
- ความผิดอาญาแผนดิน
- ความผิดตอสวนตัว
- ผูเสียหาย ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4), 4, 5, 6
- คํารองทุกข คํากลาวโทษ ป.วิ.อ. มาตรา 2
(7) (8)
3
(ต่อ)
1.2 ชั้นสอบสวน
1.2.1 ผูมีอํานาจสอบสวน
- ความผิดทองที่เดียว ป.วิ.อ. มาตรา 18
- ความผิ ด เกี่ ย วพั น กั น หลายท อ งที่ ป.วิ . อ.
มาตรา ๑9
- ความผิดกระทํานอกราชอาณาจักร ป.วิ.อ.
มาตรา 20
- ไมแนวาพนักงานสอบสวนคนใดรับผิดชอบ
ป.วิ.อ. มาตรา 21, 21/1
(ต่อ)
1.2.2 ขั้นตอนการสอบสวน
- คดีที่ผู เ สี ย หายเป น ผู ใ หญ ป.วิ . อ.
มาตรา 133, 134, 134/1, 134/4, 135
- คดี ที่ ผู เ สี ย หายเป น เด็ ก ป.วิ . อ.
มาตรา 133 ทวิ, 134/2
4
(ต่อ)
- คดีที่ตองมีการชันสูตรพลิกศพ ป.
วิ.อ. มาตรา 150, 155/1
- คดีอาญาเลิกกัน ป.วิ.อ มาตรา
37, 38, 39 (3)
- การชี้ตั ว บุ ค คล ป.วิ . อ. มาตรา
133 วรรคทาย, 133 ตรี
(ต่อ)
1.3 ชั้นพนักงานอัยการ
- สั่งไมฟอง/สั่งสอบสวนเพิ่มเติม/สั่งฟอง ป.วิ.อ.
มาตรา 140, 141, 142, 143, 144, 145, 145/1,
146, 147
1.4 ขณะฟองคดีอาญา
- ศาลที่ รับฟอ ง ป.วิ .อ. มาตรา 22, 23, 25,
40
- การฟ อ งคดี แ พ ง เกี่ ย วเนื่ อ งคดี อ าญา ป.วิ . อ
มาตรา 43, 44/1, 46, 51
5
(ต่อ)
2. กระบวนการหลังฟองคดี
2.1 เหตุการณเกิดขึ้นระหวางพิจารณาของศาล
- ผู เ สี ย หายขอร วมเปน โจทกกั บ อัย การ ป.วิ . อ.
มาตรา 30
- อัยการขอเขารวมเปนโจทกกับผูเสียหาย ป.วิ.อ.
มาตรา 31
- ถอนฟอง ป.วิ.อ. มาตรา 35, 36
- คดีอาญาระงับ ป.วิ.อ. มาตรา 39
- ผูเสียหายยื่นฟองแลวตายลง ป.วิ.อ. มาตรา 29
6
(ต่อ)
2556 มาตรา 36, 39 (4) มาตรา 43, 44/1 มาตรา 19, 120
(ต่อ)
มาตรา 2 (4), 30, มาตรา 143 วรรคหนึ่ง,
2557 มาตรา 5 (2), 30, 29
44/1 139-143
มาตรา 2 (4), 2 (7), 3 มาตรา 133 ทวิ, มาตรา 131, 150,
2558
(1), 120 134/2, 13 วรรคหนึ่ง 155, 143 วรรคสอง
มาตรา 35, 39 (2), 3 มาตรา 120,133,
2559 มาตรา 19, 22
(5), 4, 5, 6 133 ทวิ, 139
มาตรา 2 (4), 28 (2), มาตรา 20 วรรคหนึ่ง,
2560 มาตรา 35, 36
39 (1) วรรคสอง
มาตรา 18 วรรคสาม,
120, 143 วรรคหนึ่ง
2561 มาตรา 5 (2), 30, 44/1 มาตรา 39 (2), 2 (7)
(7)
7
(ต่อ)
มาตรา 14๕/๑ วรรค
มาตรา ๑๙(๓) และ (๔),
25๖๒ มาตรา ๒๘, ๓๙ (๔) หนึ่ง และวรรคสอง,
๓๙ (2)
๑๔๗
ตารางการบรรยาย
• ครั้งที่ 1 วันที่ 4 ธันวาคม ๒๕๖๓ : ทั่วไป / ประเภทคดีอาญา / ผูเสียหาย
• ครั้งที่ ๒ วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ : ผูมอี ํานาจจัดการแทนผูเสียหาย / คํารองทุกข
• ครั้งที่ ๓ วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๔ : ผูมีอํานาจฟองคดีอาญา/ ผูเสียหายฟองคดีแลวตายลง
โจทกรวม / รวมพิจารณา / ถอนฟอง
• ครั้งที่ ๔ วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๔ : คดีอาญาเลิกกัน / สิทธินําคดีอาญามาฟองระงับ
• ครั้งที่ ๕ วันที่ ๕ กุมภาพันธ ๒๕๖๔ : อํานาจสืบสวนสอบสวน / การสอบสวน
• ครั้งที่ ๖ วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ ๒๕๖๔ : การดําเนินคดีของอัยการ / การชันสูตรพลิกศพ /
เขตอํานาจศาล
• ครั้งที่ ๗ วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ : คดีแพงเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา / สิทธิเรียกคาสินไหม
ทดแทนของผูเสียหาย
สํานักวิจยั และวิชาการ 16
8
ขอ ๑ ) นายเหลืองเปนลูกจางของนายขาว มีหนาที่เก็บเงิน
จากลูกคาที่สั่งซื้อสินคาของนายขาวตามจังหวัดตาง ๆ แลว
นํามามอบใหนายขาวพรอมกับชําระบัญชีที่สํานักงานซึ่ง
ตั้งอยูที่เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร นายเหลืองรับเงินจาก
ลูกคาในจังหวัดตาง ๆ ไวหลายครั้ง แตเก็บไวเสียเองไมนํา
เงินมามอบให นายขาวทวงถาม แตนายเหลืองบายเบี่ยง
ตลอดมา
(ต่อ)
นายขาวจึงไปรองทุกขตอพันตรวจตรีดํา พนักงาน
สอบสวนสถานีตํารวจนครบาลบางซื่อ ซึ่งไดทําการ
สอบสวนดําเนินคดีแกนายเหลือง ตอมาพนักงานอัยการ
ฟองนายเหลืองเปนจําเลยในความผิดฐานยักยอก ระหวาง
การพิจารณา นายขาวยื่นคํารองขอเขารวมเปนโจทกกับ
พนักงานอัยการ ศาลมีคาํ สั่งอนุญาต นายเหลืองใหการ
ตอสูวา พันตํารวจตรีดําพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจ
นครบาลบางซื่อไมมอี ํานาจสอบสวน การสอบสวนไมชอบ
9
(ต่อ)
โจทกจึงไมมีอํานาจฟอง ศาลชั้นตนมีคําพิพากษาลงโทษนาย
เหลืองฐานยักยอก นายเหลืองยื่นอุทธรณ ระหวางการ
พิจารณาของศาลอุทธรณ นายขาวยื่นคํารองตอศาลอุทธรณ
วา ไมติดใจเอาความและขอถอนฟองนายเหลือง โจทกและ
นายเหลืองแถลงไมคัดคาน
ใหวินิจฉัยวา โจทกมอี ํานาจฟองนายเหลืองตอศาล
หรือไม และศาลอุทธรณจะมีคําสั่งตามคํารองของนายขาว
อยางไร
สํานักวิจยั และวิชาการ 19
การที่นายเหลืองซึ่งเปนพนักงานของนายขาว มีหนาที่
รับเงินคาสินคาจากลูกคาของนายขาวที่จังหวัดตางๆ และ
ไดรับเงินจากลูกคามาแลวหลายครั้ง แตบายเบี่ยงไมนาํ เงิน
คาสินคามามอบใหแกนายขาวกับไมมาชําระบัญชีกับนาย
ขาว ความผิดฐานยักยอกจึงอาจเกิด อางหรือเชื่อวาได
เกิดขึ้นตั้งแตนายเหลืองรับเงินจากลูกคาของนายขาวตาม
จังหวัดตางๆ จนถึงสํานักงานของนายขาวที่เขตบางซื่อ
กรุงเทพมหานคร
10
(ต่อ)
ซึ่งเปนสถานที่ที่นายเหลืองตองมาชําระบัญชีกับนายขาว
กรณีเปนเรื่องที่นายเหลืองกระทําความผิดตอเนื่องกันใน
ทองที่ตาง ๆ เกินกวาทองที่หนึ่งขึ้นไป และเปนความผิดซึ่ง
มีหลายกรรมกระทําลงในทองที่ตาง ๆ กันตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙ (๓) และ (๔)
พนักงานสอบสวนทองที่หนึ่งทองที่ใดที่เกี่ยวของมีอํานาจ
สอบสวนได พันตํารวจตรีดําพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจ
นครบาลบางซื่อซึ่งเปนทองที่ที่เกี่ยวของ
(ต่อ)
และไดรับการรองทุกขจากนายขาว จึงเปนพนักงาน
สอบสวนในทองที่ที่พบการกระทําความผิดกอน จึงเปน
พนักงานสอบสวนผูรับผิดชอบ และมีอํานาจสอบสวน
โจทกจึงมีอํานาจฟองนายเหลือง (คําพิพากษาฎีกาที่
(๗๔๔๕/๒๕๕๕)
ความผิดฐานยักยอกเปนคดีอาญาความผิดตอสวนตัว
และยังไมถึงที่สุด เมื่อปรากฏตามคํารองของนายขาววา
สํานักวิจยั และวิชาการ 22
11
(ต่อ)
โจทกรวมไมติดใจเอาความและขอถอนฟองนายเหลือง โดย
โจทกและนายเหลืองไมคัดคาน แสดงวา นายขาวซึ่งเปน
ผูเสียหายประสงคที่จะถอนคํารองทุกข แตใชขอความผิดไป
วาถอนฟองเนื่องจากคดีนี้พนักงานอัยการเปนโจทก สวน
นายขาวเปนเพียงโจทกรวมจึงไมมีสิทธิถอนฟอง เชนนี้สิทธิ
นําคดีอาญามาฟองยอมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) ศาลอุทธรณชอบที่จะ
สั่งอนุญาตใหถอนคํารองทุกขและจําหนายคดีออกจากสา
รบบความ (คําพิพากษาฎีกาที่ ๔๙๖๗/๒๕๔๑) 23
สํานักวิจยั และวิชาการ
(ต่อ)
ขอ ๒ ) นายหนึ่งเปนโจทกยื่นฟองนายสองและนายสาม
วารวมกันทํารายรางกายนายหนึ่งเปนเหตุใหไดรับอันตราย
สาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ ศาลไต
สวนมูลฟองแลวเห็นวาฟองโจทกเกี่ยวกับนายสองไมมีมูล
พิพากษายกฟอง คงมีคําสั่งประทับฟองเฉพาะนายสาม ใน
วันนัดสืบพยานโจทก นายหนึ่งขอเลื่อนคดีเพราะปวยหนัก
ไมอาจมาศาลได ศาลไมอนุญาตใหเลื่อนคดี และมีคําสั่งงด
สืบพยานโจทก แลวพิพากษายกฟองโจทกสําหรับนายสาม
12
(ต่อ)
เนื่องจากไมมีพยานมานําสืบยืนยันความผิดของนายสาม
นายหนึ่งยื่นอุทธรณตอ ศาลอุทธรณวา พยานหลักฐานชั้น
ไตสวนมูลฟองเกี่ยวกับนายสองรับฟงไดวามีมูล และคําสั่ง
ศาลที่ไมใหเลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทกไมชอบดวย
กฎหมาย ศาลอุทธรณวนิ จิ ฉัยวา อุทธรณของนายหนึ่งฟง
ขึ้นทั้งสองกรณีพิพากษากลับใหประทับฟองสําหรับนาย
สองไวพิจารณา พิพากษายกคําพิพากษาศาลชั้นตนสําหรับ
นายสามและยกคําสั่งศาลชั้นตนที่ไมอนุญาตใหเลื่อนคดี
และงดสืบพยานโจทก
(ต่อ)
ใหยอนสํานวนใหศาลชั้นตนดําเนินกระบวนพิจารณา
และพิพากษาใหมตามรูปคดี ต่อมาพนักงานอัยการยืน
ฟ้องนายสองและนายสามว่าร่วมกันทําร้ายร่างกาย
นายหนึงเป็ นเหตุให้ได้รบั อันตรายสาหัสในการกระทํา
ครังเดียวกันกับคดีก่อน นายสองและนายสามให้การ
ปฏิเสธและต่างยืนคําร้องว่าตนเคยถูกนายหนึงฟ้องใน
การกระทําเดียวกันนีและศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้ว
13
(ต่อ)
พนักงานอัยการจึงไมมีสิทธิฟองนายสองและนายสามอีก
ขอใหพิพากษายกฟอง พนักงานอัยการแถลงคัดคานวา
คําพิพากษาในคดีกอนยังไมถงึ ที่สุด ขอใหพิจารณา
พิพากษาคดีตอไป
ใหวินิจฉัยวา ศาลในคดีที่พนักงานอัยการเปน
โจทกตองดําเนินคดีสําหรับนายสองและนายสามตอไป
อยางไร
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๘
กําหนดใหทั้งพนักงานอัยการและผูเสียหายมีอํานาจฟอง
คดีอาญา ทั้งนายหนึ่งและพนักงานอัยการจึงมีอํานาจฟอง
นายสองและนายสามได อยางไรก็ตามอํานาจฟองดังกลาว
อาจระงับสิ้นไปในกรณีตาง ๆ เพราะสิทธินําคดีอาญามา
ฟองระงับไปแลวตามมาตรา ๓๙ ซึ่งกรณีหนึ่งไดแก มาตรา
๓๙ (๔)
14
(ต่อ)
เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งไดฟอง
เนื่องจากกฎหมายประสงคใหการกระทําผิดคราว
เดียวกันสามารถฟองรองวากลาวกันไดเพียงครั้งเดียว
เทานั้น ดังนัน หากการกระทําผิดคราวเดียวกันได้มี
คําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว จึงห้ามนําการ
กระทํานันมาฟ้องอีกเพราะสิทธินาํ คดีอาญามาฟ้อง
ระงับไปแล้วตามมาตรา ๓๙ (๔)
(ต่อ)
ซึงคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดนันคือคําพิพากษาของ
ศาลทีวินิจฉัยในเนือหาของความผิดว่าจําเลย
กระทําผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงหมายถึงคําพิพากษา
ศาลชันต้นไม่ว่าจะเป็ นคําพิพากษาในชันไต่สวนมูล
ฟ้องหรือในชันพิจารณา แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกาคํา
พิพากษาดังกล่าวและคดียงั ไม่ถึงทีสุดก็ตาม
15
(ต่อ)
กรณี นายสอง เมือศาลไต่สวนมูลฟ้ องแล้วเห็นว่า
คดี ไ ม่มี มูลและพิ พ ากษายกฟ้ อ ง เท่ า กับ ศาลชันต้น ได้
วิ นิ จ ฉั ย ในเนื อหาของความผิ ด แล้ว จึ ง เป็ น กรณี มี ค ํา
พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึงได้ฟ้องไปแล้วตาม
ประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙
(๔ ) โดยมิ พั ก ต้อ งคํา นึ ง ว่ า คํา พิ พ ากษานี ถึ ง ที สุ ด แล้ว
หรือไม่ เพราะกฎหมายประสงค์ให้การกระทําผิ ด คราว
เดีย วกันสามารถฟ้ องร้องว่ากล่าวกันได้เพีย งครังเดีย ว
เท่านัน
(ต่อ)
ดังนั้น แมภายหลังศาลอุทธรณพพิ ากษากลับใหประทับฟอง
โจทกสําหรับนายสองไวพิจารณาพิพากษา ก็หาทําใหฟอง
โจทกในสวนนี้กลับกลายเปนฟองที่ยังมิไดมคี ําพิพากษาเสร็จ
เด็ดขาดไม เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดตาม
ฟองโจทกสําหรับนายสองแลว สิทธินาํ คดีอาญามาฟอง
เกี่ยวกับการกระทําในคราวเดียวกันนี้ของพนักงานอัยการ
ยอมระงับไปตามมาตรา ๓๙ (๔) ศาลในคดีที่พนักงาน
อัยการฟองนายสองจึงตองพิพากษายกฟองโจทกสําหรับ
นายสอง (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ ๗๒๔๖/๒๕๖๑)
16
(ต่อ)
กรณีนายสาม แมศาลชั้นตนจะเคยมีคําพิพากษายกฟอง
โจทกเกี่ยวกับนายสามไปแลว แตตอมาศาลอุทธรณ เห็น
วา คําสั่งไมอนุญาตใหเลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทกของ
ศาลชั้นตนไมชอบ พิพากษายกคําพิพากษาศาลชั้นตน
และยกคําสั่งศาลชั้นตนที่ไมอนุญาตใหเลื่อนคดีและใหงด
สืบพยานโจทกไปแลว ใหยอนสํานวนใหศาลชั้นตน
ดําเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหมตามรูปคดี
(ต่อ)
คําพิพากษายกฟองในคดีกอนจึงเปนอันถูกยกเลิกเพิก
ถอนไปแลว ไมอาจถือไดวาศาลไดมีคําพิพากษาเสร็จ
เด็ดขาดในความผิดซึ่งไดฟองแลวตามประมวลกฎหมาย
วิธีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๔) พนักงาน
อัยการจึงมีสทิ ธิฟองนายสามในคดีนี้ได ศาลในคดีที่
พนักงานอัยการฟองนายสามจึงตองยกคํารองของนาย
สาม แลวพิจารณาพิพากษาตามรูปคดีตอ ไป (เทียบคํา
พิพากษาฎีกาที่ ๕๓๙๑/๒๕๖๒ ประชุมใหญ)
17
(ต่อ)
ขอ ๓) คดีอาญาเรื่องหนึ่ง เหตุเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร
นายขาวรองทุกขตอพนักงานสอบสวนวานายดําฆานายฟา
บุตรชายของตนตาย ตอมาพนักงานสอบสวนแจงขอหาให
นายดําผูตองหาทราบวานายดํากระทําความผิดฐานฆาผูอื่น
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ เมือพนักงาน
สอบสวนทําการสอบสวนเสร็จแล้ว พนักงานสอบสวน
ผูร้ บั ผิดชอบได้ทาํ ความเห็นว่าควรสังฟ้องส่งไปยังพนักงาน
อัยการพร้อมด้วยสํานวน
(ต่อ)
แตเมื่อพนักงานอัยการไดรับความเห็นและสํานวนจาก
พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการไมเห็นชอบดวยและ
ออกคําสั่งไมฟอ งนายดําผูตองหาและสงสํานวนการ
สอบสวนพรอมกับคําสั่งดังกลาว เสนอผูบัญชาการ
ตํารวจแหงชาติ ตอมาเมื่อผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ
พิจารณาแลวเห็นวานายดําผูตอ งหาไดกระทําความผิด
จึงสงสวนพรอมความเห็นที่แยงไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้
ขาด
18
(ต่อ)
ใหวินิจฉัยวา
(ก) การสงสํานวนพรอมกับความเห็นที่แยงไปยังอัยการ
สูงสุดเพื่อชี้ขาดดังกลาวชอบดวยกฎหมายหรือไม และ
(ข)หากคดีนี้อยั การสูงสุดชี้ขาดสั่งไมฟองและไดแจงคําสั่ง
เด็ดขาดไมฟองคดีใหผูตองหาและผูรองทุกขทราบแลว
ตอมานายแดงซึ่งไดรูเห็นเกี่ยวกับการกระทําของนายดํา
ทั้งหมด แตในขณะสอบสวนไมปรากฎแกพนักงานสอบสวน
เพราะนายแดงปวยหนักตองรักษาตัวอยูในโรงพยาบาลจึง
ไมสามารถแจงใหพนักงานสอบสวนทราบ ตอมานาย
แดงไดเขาพบพนักงานสอบสวนและพาพนักงาน
สอบสวนไปคนหาพยานหลักฐานที่นายดําซุกซอนไว
อันแสดงวานายดําฆานายฟาตาย พนักงานสอบสวนจะ
ทําการสอบสวนนายดําในเรื่องเดียวกันอีกไดหรือไม
สํานักวิจยั และวิชาการ 38
19
(ก) คดีนี้เหตุเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครและการสอบสวน
อยูในความรับผิดชอบของเจาพนักงานตํารวจ ในกรณีที่มี
คําสั่งไมฟองและคําสั่งนั้นไมใชคําสั่งของอัยการสูงสุด การ
สงสํานวนการสอบสวนพรอมกับคําสั่งดังกลาว เสนอผู
บัญชาการตํารวจแหงชาติ จึงเปนการปฏิบตั ิตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ วรรค
หนึ่ง
(ต่อ)
การที่ผูบัญชาการตํารวจแหงชาติพจิ ารณาแลว เห็นวา
นายดําผูตองหาไดกระทําความผิดและสงสํานวนพรอม
กับความเห็นที่แยงไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาดตาม
มาตรา ๑๔๕/๑ วรรคสอง จึงชอบดวยกฎหมายแลว
(ข) คดีนีอัยการสูงสุดชีขาดสังไม่ฟ้องและได้แจ้งคําสัง
เด็ดขาดไม่ฟ้องคดีให้ผตู ้ อ้ งหาและผูร้ อ้ งทุกข์ทราบแล้ว
ต่อมานายแดงซึงได้รูเ้ ห็นเกียวกับการกระทําของนาย
ดําทังหมด
20
(ต่อ)
แต่ในขณะสอบสวนไม่ปรากฏแก่พนักงานสอบสวน
เพราะนายแดงป่ วยหนักต้องรักษาตัวอยู่ใน
โรงพยาบาล จึงไม่สามารถแจ้งให้พนักงานสอบสวน
ทราบ ตอมานายแดงปวยหนักตองรักษาตัวอยูใน
โรงพยาบาล จึงไมสามารถแจงใหพนักงานสอบสวน
ทราบ ตอมานายแดงไดเขาพบพนักงานสอบสวนและพา
พนักงานสอบสวนไปคนหาพยานหลักฐานที่นายดําซุก
ซอนไวอันแสดงวานายดําฆานายฟาตาย
(ต่อ)
ถือวาเปนกรณีไดพยานหลักฐานใหมอันสําคัญแกคดี
ซึ่งนาจะทําใหศาลลงโทษผูตองหานั้นไดตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๗
พนักงานสอบสวนจึงทําการสอบสวนนายดําในเรื่อง
เดียวกันอีกได
21
1. คดีอาญาแผนดิน
1.1 คดีอาญาแผนดินที่รัฐเทานั้นเปนผูเสียหาย
คดีที่กฎหมายมุงประสงคใหรัฐ หรือเจาพนักงานของ
รัฐเทานั้นที่มีอํานาจหนาที่ในการดําเนินคดีกับผูกระทําผิด
ไมมีเอกชนเปนผูเสียหายจึงไมสามารถฟองรองหรือรวมเปน
โจทกกับอัยการได หากมีเอกชนไดรับความเสียหายก็เปน
เพียงผูเสียหายโดยพฤตินัยเทานั้น เชน
(ต่อ)
22
(ต่อ)
- ความผิดตาม พ.ร.ก.กูยืมเงินที่เปนการฉอโกง
ประชาชน (ฎีกาที่ 1562/2532, 8883/2550)
- ความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และพ.ร.บ.ให
บําเหน็จในการปราบปรามผูกระทําความผิด (ฎีกาที่
3797 – 3798/2540)
- คว า ม ผิ ด ต า ม พ . ร. บ .อ า ห า ร ( ฎี ก า ที่
6513/2546)
(ต่อ)
- ความผิดตาม พ.ร.ก.กูยืมเงินที่เปนการฉอโกง
ประชาชน (ฎีกาที่ 1562/2532, 8883/2550)
- ความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากรฯ และพ.ร.บ.
ใหบําเหน็จในการปราบปรามผูกระทําความผิด (ฎีกา
ที่ 3797 – 3798/2540)
- ความผิ ด ตาม พ .ร.บ.อา หาร ( ฎี ก าที่
6513/2546)
23
(ต่อ)
ขอสังเกต ความผิดที่กลาวมาเปนความผิดตอ
รัฐ เอกชนไมใชผูเสียหายที่จะดํา เนิ นคดีแกผูกระทํ า
ความผิดได ไมวา จะเปนรองทุกขหรือฟองรอง หรือเขา
รวมเปนโจทกกับอัยการ หรืออุทธรณฎีกา และไมอาจ
มีผูจัดการแทนผูเสียหายได แตเอกชนอาจกลาวโทษ
ตอพนักงานสอบสวนใหดําเนินคดีแกผูกระทําผิดได
(ต่อ)
1.2 คดีอาญาแผนดินที่มีผูเสียหาย
คดีอาญาที่ผูกระทําความผิดได กระทําให เกิดความ
เสียหายแกรัฐและแกเอกชนกฎหมายมุงประสงคใหทั้งรัฐ
และเอกชนเปน ผูเสียหายตามกฎหมายมิใชเป นเพียงโดย
พฤตินัย เจาพนักงานของรัฐมีอํานาจหนาที่ดําเนินคดีอาญา
แทนแผนดิน และขณะเดียวกันเอกชนผูไดรับความเสียหาย
หรือผูมีอํานาจจัดการแทนผูเสียหายก็มีอํานาจดําเนินคดีกับ
ผูกระทําความผิดดวยโดยไมตองพึ่งรัฐ เชน
24
(ต่อ)
- คดีความผิดฐานทํารายรางกายตาม ป.อ.
มาตรา 295
- คดีความผิดฐานฆาผูอื่น ตาม ป.อ. มาตรา
288
- ฐานอื่นๆ เชน ป.อ.มาตรา 137 ฯลฯ
(ต่อ)
25
(ต่อ)
หรือผูมีอํานาจจัดการแทนผูเสียหายตามมาตรา
4, 5, 6 เฉพาะบุ ค คลดั ง กล า วเป น ผู ท่ี จ ะต อ ง
เริ่มตนคดีโดยการฟองรอง หรือรองทุกขภายใน
กํ า หนดเวลาตามกฎหมาย ความผิ ด ใดเป น คดี
ความผิดอันยอมความไดระบุไวชัดแจงตาม ป.อ.
(ต่อ)
26
ผูเสียหายมีสิทธิดําเนินคดีทุกขั้นตอนตั้งแตการรอง
ทุก ข การฟ อ งคดี การเข า เปนโจทก รว มกั บ อั ย การ เปน
โจทกฟองคดีแ พงที่ เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การถอนฟอ ง
ยอมความ การอุทธรณ-ฎีกา
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ผูเสียหาย มี 2 ประเภท
1. ผูเสียหายโดยแทจริง
2. ผูมีอํานาจจัดการแทนผูเสียหายโดยแทจริงตาม
มาตรา 4, 5, 6
(ต่อ)
1. ผูเสียหายโดยแทจริง มีหลักเกณฑ
1.1 มีการกระทําความผิดอาญาเกิดขึ้น
1.2 ผูเสียหายตองเปนบุคคลตามกฎหมาย
1.3 บุ ค คลนั้ น ต อ งได รั บ ความเสี ย หายอั น
เนื่องมาจากการกระทําความผิดนั้น
1.4 เปนผูเสียหายโดยนิตินัย
27
(ต่อ)
(ต่อ)
28
(ต่อ)
(ต่อ)
29
ขอพิจารณาเกี่ยวกับนิติบุคคลที่เปนผูเสียหายและผูมี
อํานาจดําเนินการแทนตามคําพิพากษาฎีกามีดังนี้
(ต่อ)
ส ว นราชการกระทรวงกลาโหมเฉพาะสํ า นั ก งาน
ปลัดกระทรวง กรมราชองครักษ กองบัญชาการทหาร
สูงสุด กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ เทานั้นที่
เปนนิติบุคคล กรมอื่นๆ เชน กรมแพทย กรมการขนสง
ทหารบก กรมสื่อสารทหารเรือ ไมเปนนิติบคุ คล
30
(ต่อ)
(ต่อ)
2. ศาลเจา แมไมมีฐานะเปนนิติบุคคลแตมี
กฎเสนาบดี ว า ด ว ยด ว ยกุ ศ ลสถานชนิ ด ศาลเจ า
กําหนดใหผูจัดการปกครองศาลเจาที่ผูวาราชการ
จังหวัดแตงตั้งมีอํานาจหนาที่เขาเปนโจทกจําเลย
ในคดี แ พ ง และอาญาที่ เ กี่ ย วกั บ ศาลเจ าได
(ฎ.4806/40)
31
(ต่อ)
3. นิติบุคคลที่เกี่ยวกับศาสนาตางๆ
3 . 1 วั ด ทา ง ศ าส นา พุ ท ธ เฉ พ าะ วั ด ที่ ไ ด รั บ
พระราชทานวิสุงคามสีมาเทานั้นจึงจะเปนนิติบุคคล วัดที่
เปนสํานักสงฆจึงไมเปนนิติบุคคล (ฎ.7490/42)
3.2 วั ด บาทหลวงโรมั น คาทอลิ ก มี ฐ านะเท า กั บ
บริษัทจึงเปนนิติบุคคล (ฎ.4033–8037/38)
3.3 มัสยิดที่จดทะเบียนตอพนักงานเจาหนาที่แลวมี
ฐานะเปน นิติบุคคล สวนมัสยิ ดที่ ยังไม จดทะเบียนก็ยั งไม
เปนนิติบุคคล (ฎ.4480/28)
(ต่อ)
4. มีกฎหมายบัญญัติไวเปนการเฉพาะหรือ
พิจ ารณาขอ เท็ จจริง เป นกรณี ๆ ไป เช น สนามม า
โดยนายสนามมา (ฎ.1683/05) สํานักสงฆที่มิไดมี
ฐานะเป น นิ ติบุ คคล (2386/41) กองทุน หมู บ า น
(ฎ.6600/49) สหกรณ (ฎ.5865/55) คุรุสภาซึ่งมี
ปญหาในการตีความกฎหมายเกี่ยวกับผูมีอํานาจรอง
ทุกข (ฎ.241-243/59 กลับ ฎ.274-277/57)
32
(ต่อ)
(ต่อ)
ผูเชา ซื้อเปน ผูครอบครองใช ประโยชนรถที่ เชา ซื้ อ
เปนผูเสียหายในความผิดฐานยักยอกทรัพยที่เชาซื้อ แมผู
เชาซื้อไปรองทุกขในฐานะผูรับมอบอํานาจจากผูใหเชาซื้อ
ก็ถือวาเปนการรองทุกขในนามของตนเองดวย ผูเชาซื้อจึง
ถอนคํารองทุกขได ดูฎีกาที่ 7832/2556
ถาภายหลัง ผูเชาซื้อตายมีผูยัก ยอกทรั พยท่ีเชา ซื้ อ
สิทธิและหนาที่ตามสัญญาเชาซื้อยอมตกทอดแก ทายาท
ของผู เชา ซื้อ ทายาทของผู เช า ซื้ อ ย อ มเป นผู เสี ย หายใน
ความผิดฐานยักยอก ดูฎีกาที่ 6007/2530
33
(ต่อ)
(ต่อ)
34
(ต่อ)
แตถาทนายโจทกไดรับมอบหมายจากโจทก
ให รั บ เงิ น แทนโจทก เงิ น ที่ ไ ด รั บ ย อ มตกเป น ของ
โจทกในฐานะตัวการทันที ทนายโจทกยักยอกเงิน
นั้น โจทกยอมเปนผูเสียหายในความผิดฐานยักยอก
ดูฎีกาที่ 33/2532
(ต่อ)
35
(ต่อ)
ฎีกาที่ 373/2559 จําเลยที่ 2 เปนตัวแทนประกัน
ชีวิตของบริษัท ท. เมื่อจําเลยที่ 2 รับเงินค าเบี้ยประกันที่
โจทกผูเอาประกันภัยทําสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท ท. ไว
จากโจทก จึงเปน การรับ ไว แทนบริษั ท ท. เพื่อ นํ าไปมอบ
ใหแกบริษัท ท. เงินคาเบี้ยประกันภัยจึงตกเปนของบริษัท ท.
แลว การที่จําเลยที่ 2 เบียดบังเอาเงิ นดังกลาวไปเปนของ
ตนเองตามที่โจทกฟองบริษัท ท. เปนผูไดรับความเสียหาย
จากการกระทําของจําเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4)
โจทกจึงมิใชผูเสียหายและไมมีอํานาจฟองจําเลยที่ 2
(ต่อ)
กรณีหางหุนสวนสามัญไมจดทะเบียน ถือวาหุนสวน
แตละคนโดยลําพังเปนผูเสียหายในความผิดฐานยักยอก
เงินของหางหุนสวนได ดูฎีกาที่ 9948/2555
สํ า หรั บ กรณี ห า งหุ น ส ว นจํ า กั ด ถื อ ว า ห า งฯ เป น
ผู เ สี ย หายในความผิ ด ฐานยั ก ยอกทรั พ ย สิ น ของห า งฯ
หุน ส วนผูจัดการไมใช ผูเสี ย หาย ไม มี อํา นาจร องทุ กขใน
นามของตนเอง ดูฎีกาที่ 5008/2537
36
(ต่อ)
37
(ต่อ)
ฎีกาที่ 4684/2528 (ประชุมใหญ) การที่จําเลย
ซึ่งเปนผูจัดการของโจทกรวมหลอกลวงลูกคาของโจทกรวม
วาโจทกรวมขึ้น ราคาสินคา ลูกคาหลงเชื่อซื้อตามนั้น เงิน
ส วนที่ขายเกินกําหนดเป นเงินของลูกคาสงมอบใหจําเลย
เพราะถูก จําเลยหลอกลวง มิใ ช เ ป นเงิ นที่ จํา เลยไดรั บ ไว
เกี่ยวดวยการเปนตัวแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 810 จึงเปน
เงิ น ของลูก ค า ผู ถู ก หลอกลวงหาใช เ งิ น ของโจทก ร ว มไม
โจทกรวมจึงมิใชผูเสียหาย เมื่อลูกคาผูเปนเจาของเงินซึ่ง
เป นผูเสีย หายมิได รองทุกข พนักงานอัย การโจทกจึงไม มี
อํานาจฟอง
(ต่อ)
38
(ต่อ)
(ต่อ)
แตการที่จําเลยมีเจตนาหลอกลวงทรัพยสินของคน
หนึ่ง ผูถูกหลอกลวงนําเรื่องไปบอกแกบุคคลที่สาม บุคคล
ที่ สามหลงเชื่อจึ งมอบเงิ น สว นหนึ่ งให แกผูถู กหลอกลวง
นําไปมอบใหแกจําเลย ดังนี้ ผูถูกจําเลยหลอกลวงเทานั้น
เปนผูเสียหายในความผิดฐานฉอโกง สวนบุคคลที่สามไม
เปนผูเสียหาย ดูฎกี าที่ 6969/2555
39
(ต่อ)
กรณีหางหุนสวนสามัญไมจดทะเบียนหุนสวนทุกคน
ยอมจัดการหางหุนสวนนั้นไดทุกคน จึงเปนผูเสียหายใน
ความผิ ดที่ ก ระทํ า ต อ ทรั พ ย ข องห า งฯ ได ดู ฎี ก าที่
3559/2550 เป นความผิ ดฐานฉ อ โกงหรื อยั กยอก (ดู
ฎ.9948/2555 เรื่องผูเสียหายในความผิดฐานยักยอก)
(ต่อ)
จําเลยเอาเช็คไปปลอมลายมือชื่อของผูรับเงิ น
สลักหลังโอนใหจําเลย แลวนําไปหลอกลวงธนาคารให
จายเงิน เปนการกระทําตอธนาคาร ไมไดกระทําตอ
ผูรบั เงินตามเช็ค ดังนี้ธนาคารและเจาหนาที่ธนาคารที่
ถูกหลอกลวงเปนผูเสียหายในความผิดฐานฉอโกง สวน
ผูที่มีชื่อเปนผูรับเงินตามเช็คไมใชผูเสียหายในความผิด
ดังกลาว ดูฎีกาที่ 2193/2534
40
(ต่อ)
(ต่อ)
ในกรณีการรับฝากเงิน ผูรับฝากมีสิทธินําเงิน
ที่รับ ฝากไปใชได เพียงแต มีห นา ที่ ตอ งคื นเงิ นแกผู
ฝากใหครบจํานวนเทา นั้น (ป.พ.พ. มาตรา 672)
หากมีผูมาหลอกลวงเอาเงินจากผูรับฝาก ผูรับฝากก็
ยั ง มี ห น า ที่ คื น เงิ น ให แ ก ผู ฝ าก ผู ฝ ากจึ ง ไม ใ ช
ผูเสี ยหายในความผิดฐานฉอ โกง ผูรั บฝากเท านั้ น
เป น ผู เ สี ย หาย ดู ฎี ก าที่ 6966-6967/2558,
87/2506 (ประชุมใหญ) , 613/2540
41
(ต่อ)
(ต่อ)
แตถาเปนกรณีที่จําเลยหลอกลวงเอาบัตร เอ.ที.เอ็ม.
ที่แทจริงจากลูกคาของธนาคารแลวนําไปถอนเงินจากตูเบิก
เงินดวน ถือวาเงินที่ถอนมาเปนเงินของลูกคาแลว ลู กค า
เปนผูเสียหาย เทียบฎีกาที่ 671/2539, 4611/2549
ความเสียหายในความผิดฐานฉอโกง ตองเปนความ
เสียหายโดยตรงจากการหลอกลวงของผูกระทําผิด ที่โจทก
บรรยายฟองวาการหลอกลวงของจําเลยเปนผลใหโจทกถูก
จําเลยฟองเปนคดีแพง มิใชความเสียหายโดยตรง โจทกจึง
ไมเปนผูเสียหาย ดูฎีกาที่ 1357/2533
42
(ต่อ)
(ต่อ)
ขอสังเกต จําเลยมีความผิดฐานใชใหโจทกลัก
ทรัพย และฐานฉอโกงโจทกสําหรับความผิดฐานลัก
ทรัพยนั้น โจทกเปนผูกระทําผิดฐานลักทรัพยเอง จึง
ไมเปนผูเสียหายโดยนิตินัย สวนความผิดฐานฉอโกง
โจทก ถู ก จํ า เลยหลอกลวง โจทก ไ ม มี ส ว นในการ
กระทําฐานนี้ดวย จึงยังคงเปนผูเสียหายในความผิด
ฐานนี้อยู
43
(ต่อ)
(ต่อ)
44
(ต่อ)
ขอสังเกต ป. เปนผูเสียหายในความผิดฐานฉอโกง
เพราะเปนผูที่ถูกจําเลยหลอก แมภายหลัง ส.จะยอมรับเงิน
คาซอมรถยนตเฉพาะสวนที่ขาดอยูเทานั้น ไมไดให ป. ตอง
รับผิดเต็มจํานวนที่ตกลงกัน ป.ก็ยังคงเปนผูเสียหายอยู
ฎี ก าที่ 4018/2542 การที่ จํ า เลยที่ 1 นํ า ใบ
บั น ทึ ก รายการขายปลอมไปใช เ บิ ก เงิ น จากธนาคาร
ธนาคารจึงเปนผูเสียหาย ไมใชผูถือบัตรเครดิตที่ถูกปลอม
ลายมือชื่อเปนผูเสียหาย
(ต่อ)
45
(ต่อ)
(ต่อ)
46
(ต่อ)
(ต่อ)
47
ผู เ สี ย หายมอบเงิน ให จํ า เลยนํ า ไปให เ จ า
พนัก งานที่เกี่ย วของ เพื่อ ใหบุ ตรของตนเขา รั บ
ราชการโดยไม ต อ งสอบอั น เป น การหลอกลวง
ผูเสียหาย ถือวาผูเสียหายใชใหจําเลยกระทําผิด
ไ ม ใ ช ผู เ สี ย ห า ย โ ด ย นิ ติ นั ย ดู ฎี ก า ที่
1960/2534
(ต่อ)
แตถาไมปรากฏวาผูเสียหายใหเงินจําเลยไปเพี่อใหจําเลย
นําไปใหเจาพนักงานกระทําการอันมิชอบดวยหนาที่เพื่อ
ช ว ยให เ ข า รั บ ราชการโดยไม ต อ งสอบ เช น นี้ ยั ง เป น
ผู เ สี ย ห า ย โ ด ย นิ ติ นั ย ดู ฎี ก า ที่ 4 7 4 4 / 2 5 3 7 ,
4005/2551, 4691/2547
แต ถาผูถูกหลอกลวงมิไดกระทําความผิ ดใด ๆ ไม
อาจถื อ ได ว า รว มกั นนํ า สิ นบนไปให เ จา พนั ก งานเพื่ อ ให
ตนเองพนผิด ยั งคงเปนผูเสียหายตามกฎหมาย ดูฎีกาที่
4212/2550
48
(ต่อ)
แตถาหลอกลวงใหผูเสียหายเลนการพนันเพื่อเอา
เงิ นจากผูเสียหายเสี ยเองไมไดหลอกลวงใหผูเสียหาย
เข ารวมเล นการพนันเพื่อ ตมหรือ หลอกลวงบุคคลอื่ น
แล ว ผู เ สี ย หายมิ ไ ด มี ส ว นร ว มในการกระทํ า ผิ ด ฐาน
ฉ อ โกงด ว ย เป น ผู เ สี ย หายโดยนิ ติ นั ย ดู ฎี ก าที่
5612/2556, 1335/2552, 3327/2532
แต มี ฎีก าที่ 3369/2556 วิ นิ จ ฉั ย ไปอี ก ทาง
หนึ่ง ดูฎีกาดังกลาว
(ต่อ)
49
(ต่อ)
จึงถือวาผูเสีย หายรวมกันกระทําความผิดฐานเลนการ
พนัน โดยไมไดรับ อนุญาตกั บ จํ าเลยทั้ งสองกับพวกอั น
เปน ความผิดตามกฎหมาย ผูเสียหายจึงมิใช ผูเสียหาย
โดยนิตินัย แมผูเสียหายจะรองทุกขไวย อมเทากับไมมี
การรองทุกขตามกฎหมาย ซึ่งเปนผลหามมิใหการทําการ
สอบสวนตอไป ดังนั้น การสอบสวนที่ดําเนินตอมาจึงไม
กอสิทธิเกิดอํานาจแกพนักงานอัยการยื่นฟองคดี โจทก
จึงไมมอี ํานาจฟองคดีนี้
(ต่อ)
จําเลยหลอกลวงโจทกวาจะนําเงินไปปลอยกูเกิน
กวาอัตราที่กฎหมายกําหนด โจทกหลงเชื่อจึงมอบเงินให
จําเลยไปปลอยกูเปนการแสวงหาผลประโยชนอันเกิด
จากการกระทําผิดกฎหมาย โจทกไมเปนผูเสียหายโดย
นิตินยั ดูฎีกาที่ 13489/2553, 12530/2556
หลอกลวงวาจะขายธนบัตรปลอมใหเปนความตก
ลงที่มีวัตถุประสงคผิดกฎหมายไมเปนผูเสียหายโดยนิติ
นัย (ฎ.771/2493)
50
ความผิดฐานลักทรัพย ทําให เสียทรัพย รับของโจร
บุ ก รุ ก เป น การกระทํ า ที่ ก ระทบต อ กรรมสิ ท ธิ์ แ ละสิ ท ธิ
ครอบครอง ดังนี้เจาของทรัพยหรือผูครอบครองดูแลรักษา
ทรัพยนั้นเปนผูเสียหาย ในความผิดดังกลาวได เชน ผูขนสง
เปนผูครอบครองดูแลทรัพยท่ีขนสง เปนผูเสียหายโดยตรง
จากการที่ทรัพยที่ขนสงสูญหาย ดูฎีกาที่ 12578/2547,
5980-5981/2539
(ต่อ)
51
(ต่อ)
ผูรับประกันภัยที่ไดชดใชคาสินไหมทดแทน
ใหแ ก ผู เ อาประกั น ภั ย (ผู เ สี ย หาย) มิ ใ ช ผู ไ ด รั บ
ความเสียหายเนื่องจากการกระทําความผิดฐานลัก
ทรัพยโดยตรง ไมใชผูเสียหายในความผิดฐานลัก
ทรัพย ดูฎีกาที่ 880/2555
52
(ต่อ)
53
(ต่อ)
แตถาเปนเพียงที่ดินของรัฐที่อยูในเขตปฏิรูปที่ดิน ผู
ครอบครองที่ดินเปนผูเสียหายในความผิดฐานบุกรุก แมผู
บุกรุกเปนผูที่ไดรับหนังสื ออนุญ าตใหเขาทําประโยชน ใน
ที่ดนิ ก็ตาม ดูฎีกาที่ 15933/2557
ข อ สั ง เกต แม ผู ค รอบครองสาธารณสมบั ติ ข อง
แผนดิ นไมใชผูเสี ยหายในความผิดฐานบุ กรุก แตอาจเปน
ผูเสียหายในความผิดฐานทําใหเสียหายแกตนไมหรือสิ่งปลูก
สร า งที่ ผู ค รอบครองปลู ก สร า งไว ใ นสาธารณสมบั ติ ข อง
แผนดินได ดูฎีกาที่ 5310/2530, 17209/2555
54
(ต่อ)
(ต่อ)
เปนเจาของที่ดิน แตไมไดเปนเจาของผูครอบครอง
รถยนตและเต็น ทซึ่งอยูในที่ ดินนั้น จึง ไม ใช ผูเสีย หายใน
ความผิ ด ฐานทํ า ให ร ถยนต แ ละเต็ น ท เ สี ย หาย ดู ฎี ก าที่
7477/2541
เรื่องทางภาระจํายอม เจาของสามยทรัพย (เจาของ
ที่ ดิ น ที่ มี สิ ท ธิ ใ ช ท างภาระจํ า ยอม) ไม ใ ช เ จ า ของหรื อ ผู
ครอบครองภารยทรัพย จึงไมเปนผูเสียหายที่จะมีอํานาจ
ฟ อ ง ผู ที่ ทํ า ใ ห ภ า ร ย ท รั พ ย นั้ น เ สี ย ห า ย ดู ฎี ก า ที่
1828/2523
55
ฎีกาที่ 1007/2524 การที่จําเลยนําความเท็จมา
ฟองโจทกเปนคดีอาญาถึงแมศาลชั้นตนจะพิพากษายกฟอง
ในชั้ น ไต สวนมู ล ฟ อ ง แต โ จทก ผู ถู ก ฟ อ งย อ มได รั บ ความ
เสียหายจากการกระทําของจําเลย โจทกจึงเปนผูเสียหาย
ตามกฎหมายและคําฟองในคดีนั้นก็ถือวาเปนคําฟองโดย
ชอบด วยกฎหมายแลว โจทก จึงมีอํ านาจฟ องจํา เลยเป น
คดีอาญาฐานฟองเท็จตาม ป.อ. มาตรา 175 ได
ค ว า ม ผิ ด ฐ า น เ บิ ก ค ว า ม เ ท็ จ แ ล ะ แ ส ด ง
พยานหลัก ฐานอัน เปนเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 177 และ 180 สวนไดเสียในความผิดทั้ง 2 ฐาน
นี้ คือ ผลแหงการแพ คดีช นะคดี ดัง นั้ น ผูที่ ไ ด รับ ความ
เสียหายจึงนาจะเปนคูความฝายใดฝายหนึ่งในคดีนั้นเอง
หรือเจาพนักงานในการยุติธรรม ดูฎีกาที่ 533/2541,
4804/2531, 1033/2533, 951/2531
56
(ต่อ)
(ต่อ)
57
(ต่อ)
อยางไรก็ดี คูความไมใชผูเสียหายในความผิดฐานเบิก
ความเท็จ หรือ แสดงพยานหลั ก ฐานอั น เป นเท็ จ ในกรณี
ตอไปนี้
1. ขอความที่เบิกความในชั้นไตสวนคํารองขอยกเวน
คาธรรมเนียมศาล ถือวาเปนเรื่องสวนตัวของคูความฝายนั้น
ไมเกี่ยวกับ คูความอีกฝายหนึ่ง แม จะเปนเท็ จ คูความอี ก
ฝายหนึ่งก็ไม ใชผูเสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จ ดู
ฎีกาที่ 555/2514 และกรณีเชนนี้ถือวาไมเปนผูเสียหาย
ในความผิดฐานแจงความเท็จดวย ดูฎีกาที่ 1050/2518
(ต่อ)
2. กรณีคูความเบิกความเท็จในชั้นไตสวนคํา
ร อ งขอเลื่ อ นคดี ถื อ ว า ความเสี ย หายมิ ไ ด เ กิ ด แก
คู ความอีก ฝายหนึ่ งโดยตรง คู ความอีก ฝ า ยหนึ่ง นั้น
ยอมไมเปนผูเสียหาย ดูฎีกาที่ 297/2508
3. ในกรณีจําเลยเบิกความเท็จในชั้นไตสวนขอ
อนุญาตยื่นคําใหการ ไมใชกลาวหาวาโจทกกระทําผิด
โจทกจึงไมใชผูเสียหาย ดูฎีกาที่ 1572/2525
58
(ต่อ)
59
(ต่อ)
(ต่อ)
ชายจดทะเบียนสมรสซอน โดยแจงตอนายทะเบียน
วาตนยังไมเคยสมรสมากอน ดังนี้ทั้งภรรยาใหมและภรรยา
เดิม เปน ผู เสียหายในความผิดฐานแจ งความเท็จ ดุฎี กาที่
2614/2518, 2583/2522, 5052/2530
ข อ สั ง เกต ตามคํ า วิ นิ จ ฉั ย แสดงว า ถ า หญิ ง ที่ จ ด
ทะเบียนสมรสภายหลังทราบวาชายมีภริยาอยูกอนแลวก็ยัง
ยอมจดทะเบียนสมรสกับชายนั้นอีก ไมเปนผูเสียหายโดย
นิตินยั ผูไดรับความเสียหาย ดูฎีกาที่ 1955/2546
60
กลาวโดยเฉพาะความผิ ดฐานปลอมเอกสาร
โดยปลอมลายมือของผูอ่นื ถือวาผูที่ถูกปลอมลายมือ
ชื่อไดรับความเสียหายจากการกระทําความผิดฐานนี้
โดยตรง จึ ง เป น ผู เ สี ย หายในความผิ ด ฐานปลอม
เอกสารและฐานใชเอกสารปลอม
สําหรับความผิดฐานใชเอกสารปลอมผูที่ไดรับ
ความเสียหายรวมถึงผูที่จําเลยนําเอกสารปลอมนั้นไป
ใชและผูไดรับความเสียหายจากการใชเอกสารนั้นดวย
ดู ฎี ก า ที่ 1 4 7 9 3 / 2 5 5 5 , 3 2 5 2 / 2 5 4 5 ,
7001/2544, 9321/2554
61
(ต่อ)
จําเลยปลอมลายมือชื่อเจามรดกวาเจามรดกทํา
หนั ง สื อ สั ญ ญาซื้ อ ขายที่ ดิ น ซึ่ ง เป น การแสดงว า เจ า
มรดกขายที่ดิน ใหแ กจํา เลยแล ว นํ า ไปยื่ น คํ า ร อ งของ
แสดงกรรมสิทธิ์และฟองรองใหทายาทโอนที่ดินใหแก
จํ า เลย ทายาทที่ มี สิ ท ธิ รั บ มรดกเป น ผู เ สี ย หายใน
ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและฐานใชเอกสารสิทธิ
ปลอม ดูฎีกาที่ 9026/2553
(ต่อ)
62
(ต่อ)
จําเลยใชบัตรเครดิตปลอมไปชําระคาสินคาและ
บริการเปนเหตุใหธนาคารตามบัตรเครดิตตองจายเงิน
ใหแกรานคาผูรับบัตรเครดิตปลอม ถือวาธนาคารตาม
บัตรเครดิตเปน ผู เสียหายในความผิ ดฐานใชเอกสาร
ปลอม ดูฎีกาที่ 7001/2544
(ต่อ)
การปลอมหนังสือมอบอํานาจขณะเจาของที่ดิน
ยังมีชีวิต เจาของที่ดินเปนผูเสียหายสวนผูท่ีอางวาจะ
ได รั บ ที่ ดิ น ในภายหลั ง ไม ใ ช ผู เ สี ย หาย ดู ฎี ก าที่
8159/2557
ผูรับมอบอํานาจใหฟองคดี ไมเปนผูเสียหายใน
กรณี ที่ จํ า เลยปลอมหรื อ ใช เ อกสารปลอมเป น
พยานหลักฐานในคดีนั้น ดูฎีกาที่ 3561/2525
63
(ต่อ)
จําเลยปลอมลายมือชื่อผูตายเพื่อขอลางานตอ
ผูบังคับบัญชาของผูตาย กับปลอมจดหมายสงไปถึง
บุตรผูตายวาผูตายตองไปฝกสมาธิ บิดาผูตายมิใชผู
ไดรับความเสียหายจากการกระทําดังกล าว ไมเปน
ผูเสียหายในความผิดฐานปลอมและใชเอกสารปลอม
ดูฎีกาที่ 2236-2237/2550
(ต่อ)
64
(ต่อ)
เพียงแตรฐั นําที่ดินมาจัดสรรใหประชาชนครอบครอง
ทํากินเทานั้น การกระทําของจําเลยดังกลาวไมกอให
น. และ จ. มี สิ ท ธิ ใ ดๆ ในที่ ดิ น พิ พ าท แม จํ า เลย
รั บรองตอ โจทกว า ไมจํ า หน า ย จํ า นํ า หรื อ ก อ ภาระ
ผูกพันในที่ดินพิพาท โจทกก็มิใชผูไดรับความเสียหาย
จากการที่จําเลยปลอมและใชเอกสารปลอม
(ต่อ)
65
(ต่อ)
(ต่อ)
การเขียนแกจงึ ไมอาจเปนการโกงเวลาราชการไมนาจะ
เกิดความเสียหายแกโจทกและการแกไขเวลาดังกลาวก็
มิใชการกระทําของโจทก โจทกไมอาจถูกลงโทษทาง
วินัยได โจทกจึงไมใชผูเสียหายที่จะมีอํานาจฟองจําเลย
ในความผิดตาม ป.อ.มาตรา 264, 265
66
(ต่อ)
ความผิดฐานเจาพนักงานปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ
ตาม ป.อ.มาตรา 157 ในตอนแรก มีองคประกอบว า
เพื่อใหเกิดความเสียหายแกผูหนึ่งผูใดนั้น หมายความ
รวมถึงเพื่ อใหเกิดความเสียหายแกบุคคลหรือเอกชนผู
หนึ่ ง ผู ใ ดด วย เอกชนจึ ง อาจเป น ผูเ สี ย หายได (ฎี ก าที่
7030/2551) เชน
67
(ต่อ)
การที่เจาพนักงานละเวนการปฏิบัติหนาที่
เพื่ อ ช ว ยผู ก ระทํ า ความผิ ด อาญาผู เ สี ย หายใน
ความผิ ด อาญาฐานนั้ น ย อ มเป น ผู เ สี ย หายใน
ความผิดฐานเปนเจาพนักงานปฏิบัติหนาที่โดยมิ
ชอบได ดูฎีกาที่ 4881/2541, 2294/2517,
611/2497
(ต่อ)
เจาพนักงานตํ ารวจจดคํา พยานเป นเท็ จเพื่อ ช วย
ผู ก ระทํ า ผิ ด มิ ใ ห รั บ โทษ หรื อ รั บ โทษน อ ยลง เป น การ
ปฏิ บั ติ ห น า ที่ โ ดยมิ ช อบ ผู เ สี ย หายหรื อ ผู จั ด การแทน
ผูเสียหายในความผิดดังกลาวเปนผูเสียหายในความผิด
ฐานปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ ดูฎกี าที่ 2294/2517
ฎีกาที่ 611/2497 ผูใหญบานละเวนไมจับผูฉุด
คราโจทก โดยเจตนาชวยไม ใหผูทํ า ผิดต อ งรับ โทษทาง
อาญา โจทก ไ ด ชื่ อ ว า เป น ผู เ สี ย หายมี อํ า นาจฟ อ งใน
ความผิดตามมาตรา 142 กําหมายลักษณะอาญาได
68
(ต่อ)
(ต่อ)
การที่ จําเลยแจงความตอพนักงานสอบสวนวา
โจทกเปนผูกระทําผิดฐานบุกรุกที่สาธารณะเปนการ
กระทําอีกกรรมหนึ่งตางหากจากการกระทําดังกลาว
แม โจทก จ ะได รับ ความเสี ย หายจากการกระทํา ของ
จําเลยในขอนี้ก็หาทําใหโจทก เปนผูเสียหายในขอหา
ตาม ป.อ.มาตรา 157 ไปดวยไม โจทกจึงไมมีอํานาจ
ฟองในขอหานี้
69
(ต่อ)
(ต่อ)
70
เจ า หนี้ ข ณะที่ มี ก ารกระทํ า ความผิ ด (ขณะ
จํ า เลยโอนที่ ดิ น เพื่ อ ให พ น จากการบั ง คั บ คดี ) แม
ตอมาเจาหนี้นั้นไดโอนสิทธิเรียกรองตามคําพิพากษา
ไปใหผูอื่นแลวก็ยังคงเปนผูเสียหายในความผิดฐาน
โกงเจาหนี้ได ดูฎีกาที่ 8782/2558
(ต่อ)
71
(ต่อ)
สิทธิในการเปนผูเสียหายในคดีอาญาจึงตอง
พิจารณาในขณะที่มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น แม
ขณะที่โจทกฟองคดีนี้โจทกโอนสิทธิเรียกรองตามคํา
พิ พากษาในคดีแ พงใหแก บริ ษัท บ. แล วก็แ ต วันที่
จํา เลยกระทําความผิดโจทกยังเปนเจา หนี้ ตามคํ า
พิพากษาในคดีดังกลาว
(ต่อ)
เมื่อจําเลยโอนขายที่ดินของจําเลยใหแก น. เพื่อมิ
ใหโจทกซ่ึงเปนเจาหนี้ตามคําพิพากษาไดรับชํ าระ
หนี้ทั้งหมดหรือบางสวน โจทกจึงเปนผูที่ไดรับความ
เสียหายจากการกระทําความผิดฐานโกงเจาหนี้ของ
จําเลยโจทกยอมอยูในฐานะผูเสียหายและมีอํานาจ
ฟองจําเลยได
72
ความผิ ดตาม พ.ร.บ. วาดวยความผิดอันเกิ ดจากการใช
เช็ ค ฯ เกิ ด ขึ้ น เมื่ อ ธนาคารตามเช็ ค ปฏิ เ สธการจ า ยเงิ น
ผูเสียหายคือผูทรงเช็คในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจายเงิน
เท า นั้ น ดู ฎี ก าที่ 103/2529 ผู รั บ โอนเช็ ค หลั ง จาก
ธนาคารปฏิเสธการจายเงินไมใชผูเสียหาย แมจะเปนเช็คผู
ถื อ ซึ่ ง โ อ น ไ ด โ ด ย ก า ร ส ง ม อ บ ก็ ต า ม ดู ฎี ก า ที่
5407/2546, 1891/2524
(ต่อ)
แมผูเสียหายจะไดรับชําระหนี้ตามเช็คจากผูทรง
คนก อ นแล ว ก็ ต าม ก็ ยั ง เป น ผู เ สี ย หายอยู (ฎี ก าที่
2353/2537)
ผูรับโอนเช็คภายหลังธนาคารปฏิเสธการจายเงิน
ไม ใ ช ผู เ สี ย หายแม ผู รั บ โอนจะนํ า เช็ ค ไปขึ้ น เงิ น และ
ธนาคารปฏิเสธการจา ยเงินอี ก ก็ต าม เพราะไมทํา ให
จําเลยมีความผิดขึ้นอีก (ฎีกาที่ 2703/2523)
73
(ต่อ)
เช็ ค ระบุชื่อ ผูรั บเงิ นและผู น้ั นได รับ เช็ ค ไว ใ น
ครอบครองตองถือวาผูน้ันเปนผูทรงเช็ ค โจทกรวม
จะอา งวา ผูนั้น มี ความสั ม พันธ ในฐานะเปนตั วแทน
ของโจทกรวมในการรับเช็คก็ไมมีผลทําใหโจทกรวมมี
ฐานะเปน ผูทรงเช็คพิพ าทตามกฎหมาย โจทกรวม
ไมใชผูเสียหายดูฎีกาที่ 5526/2552
(ต่อ)
ถาผูทรงเช็คถึงแกความตายกอนธนาคารปฏิเสธการ
จายเงิน (กอนความผิดเกิด) สิทธิในเช็คยอมเปนมรดกตก
ทอดแกทายาท ถือวาทายาทเปนผูทรงเช็ค เมื่อตอธนาคาร
ปฏิเสธการจายเงิน ทายาทจึงเปนผูเสียหายในความผิดตาม
พ.ร.บ. ว า ด วยความผิ ดอั นเกิดจากการใชเช็ค ฯ ดู ฎีก าที่
3619/2543
สั่งจายเช็คผูถอื ชําระหนี้ใหแกบริษทั บริษัทเปนผูทรง
เช็คและเปนผูเสียหาย สวนกรรมการผูมีอํานาจของบริษัท
ไมใชผูเสียหาย(ฎีกาที่ 5799/2549)
74
(ต่อ)
75
(ต่อ)
(ต่อ)
และเปนผูเสียหายในความผิดฐานรวมกันพราก
ผูเยาวอายุกวาสิบหาป แตยังไมเกินสิบแปดปไป
เสียจากบิดาซึ่งเปนผูดูแลตาม ป.อ.มาตรา 319
วรรคแรก ด ว ยผู ร อ งที่ 2 ย อ มมี สิ ท ธิ เ รี ย กค า
สินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 ได
76
(ต่อ)
(ต่อ)
“ผูใดพรากผูเยาวอายุกวาสิบหาปแตยังไมเกินสิบ
แปดปไปเสียจากบิดามารดา ผู ปกครองหรือผูดูแล...”
ซึ่งจะเห็นไดวาวัตถุแหงการกระทําความผิดกฎหมายทั้ง
สองมาตรานี้ที่กฎหมายมุงคุมครองคืออํานาจปกครอง
ของบิ ดามารดา ผู ป กครองหรื อ ผู ดู แ ลนั่ นเอง มิ ใช ตั ว
ผูเยาวที่ถูกพราก ดังนั้น ผูเสียหายคือบุคคลผูไดรับความ
เสียหายเนื่อ งจากการกระทํ าความผิ ดทั้ งสองมาตรานี้
ตามมาตรา 2 (4) แหง ป.วิ.อ. จึงไดแกบิดามารดา
77
(ต่อ)
ผูปกครอง หรือผูดูแลผูเยาวทั้งสองในขณะที่จําเลยทั้ง
สามกับพวกรวมกันกระทําความผิด หาใชตัวผูเยาวคือ
โจทกรวมทั้งสองไม
ขอสังเกต เรื่องนี้ แม ล. เปนนา สวน จ. เป น
ยายของผูเยาวทั้งสอง แต เมื่อทั้ งสองเปนผู ปกครอง
หรื อ ผู ดู แ ลผู เ ยาว ทั้ง สอง จึ ง ถื อ วา ล. และ จ. เปน
ผูเสียหายในความผิดฐานพรากผูเยาวไปเพื่ออนาจาร
ความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งอยู
ในกลุ ม บุค คล โดยไม ไ ด เ จาะจงว า หมายถึ ง ผู ใ ดหรื อ จาก
ถอยคําที่หมิ่น ประมาทไม อาจทราบว าเป นผู ใด ผูที่ อยู ใน
ก ลุ ม นั้ น ค น ใ ด ค น ห นึ่ ง ไ ม ใ ช ผู เ สี ย ห า ย ( ฎี ก า ที่
1325/2548, 3954/2539)
แตถาเปนการหมิ่นประมาททุกคนที่อยูในกลุมบุคคล
นั้ น คนใดคนหนึ่ ง เป น ผู เ สี ย หาย ฎี ก า 448/2489,
295/2505 (ประชุมใหญ)
78
(ต่อ)
ฎี ก า 1943/2497 ความผิ ด
ฐานตอสูขัดขวางเจาพนักงาน เปนการ
กระทํ า ต อ เจ า พนั ก งาน โจทก มิ ใ ช เ จ า
พนัก งานผูถูก จํ า เลยต อ สู ขั ดขวางไมใช
ผูเสียหายที่จะมาฟองทางอาญา
79
ฎีกาที่ 507/2542 จํา เลยเปน ตัว แทนของ
คณะนายทหารประเทศเนเธอรแลนด นําเช็ค 4 ฉบับ
ไปชําระหนี้ใหแกการสื่อสารแหงประเทศไทย 3 ฉบับ
และบริษัท ท. อีก 1 ฉบับ ซึ่งตราบใดที่เช็คทั้งสี่ฉบับ
ยังมิไดสงมอบใหแกการสื่อสารฯ และบริษทั ท.
80
ฎีกาที่ 267/2557 โจทกรวมเปนผูสมัครรับ
เลือกตั้งเชนเดียวกับจําเลยการใหทรัพยสินเพื่อจูงใจ
ให ล งคะแนนเลื อ กตั้ ง ให แ ก จํ า เลยดั ง กล า วมี
ผลกระทบตอการเลือกตั้ง และมีผลเสียหายแกโจทก
รวม อาจทําใหโจทกรวมซึ่ งเปนผูสมั ครรับเลือกตั้ง
ไมไดรับการเลือกตั้งโจทกรวมจึงไดรับความเสียหาย
(ต่อ)
81
82