Professional Documents
Culture Documents
2. ลักษณะการใช้รฐั ธรรมนูญ
3. การบริหารประเทศ
การบริหารประเทศตั้งแต่เข้าสู่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบนั้นทาให้เกิดปัญหารอบด้านภายในประเทศ อาทิ
ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาน้ามัน ปัญหากบฏภายในประเทศ เป็นต้น จึงอาจจะเรียกได้ว่าประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.
2520-2530 นั้นขาดความสงบมาโดยตลอด อันเนื่องมาจากการแย่งชิงอานาจทางการเมืองที่เกิดขึ้นเพราะการ
แบ่งผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว จึงส่งผลให้เกิดการบริหารประเทศที่ล้มเหลวและเกิดปัญหารอบด้าน
1. ปัจจัยภายนอก
1.1 อิทธิพลของประชาธิปไตย
จากการมีอิทธิพลของแนวคิดประชาธิปไตยจากชาติตะวันตก ทาให้เกิดปัญญาชนนักคิดมากมายที่
เป็นตัวผลักดันให้ “คณะราษฎร” สนใจที่จะนารูปแบบการปกครองดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทย เพราะมองว่า
การปกครองที่ถูกจากัดอยู่แต่เฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนางหรือเฉพาะกลุ่มบุคคลบาง
กลุ่ม ทาให้การเปลี่ยนแปลงของประเทศเป็นไปอย่างเชื่องช้าและล้าหลัง จึงได้ใช้วิธีการปฏิบัติตามอุดมการณ์ของ
พวกตน ก่อให้เกิดการปฏิวัติใน พ.ศ.2475 ในเวลาต่อมา
1.2 เศรษฐกิจตกต่าทั่วโลก
สภาวะเศรษฐกิจตกต่าทั่วโลกอันเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย
ในช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ประเทศไทยได้ประสบปัญหาทั้งสถานะทางด้านการเงินและการคลัง รายจ่าย
มากกว่ารายรับ เกิดปัญหาข้าวยากหมากแพงตามมาจนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทาให้เมื่อเปลี่ยนผ่านแผ่นดินแล้ว
รัชกาลที่ 7 ต้องรับภาระหนักและยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนั้นได้
2. ปัจจัยภายใน
2.1 การปลดข้าราชการและตัดทอนค่าใช้จา่ ย
จนกระทั่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปกครองประเทศสืบต่อมา การจัดสรร
ด้านงบประมาณยังคงขาดความสมดุล การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่กาลังดาเนินต่อไปขาดความราบรื่น
เท่าที่ควร ทาให้พระองค์ทรงทาทุกวิถีทางเพื่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในสมัยนั้นที่ย่าแย่ และจากการที่
POL2147 | 3
3. หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
1) ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบ
ประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
4) เริ่มมีประธานคณะกรรมการราษฎร(เทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรี) และกรรมการราษฎร(เทียบเท่ากับ
คณะรัฐมนตรี) ครั้งแรก เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2475
POL2147 | 4
ลักษณะของระบบพ่อขุนอุปถัมภ์
เป็นการลบล้างความเชื่อของคณะราษฎร ที่นารูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยตะวันตกมาใช้ภายหลัง
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซึ่งเป็นสิ่งที่จอมพลสฤษดิ์ให้การปฏิเสธและได้พยายามวิพากษ์วิจารณ์
มาตลอด โดยได้กล่าวถึงข้อผิดพลาดไว้หลายประการ ตั้งแต่ความไม่เหมาะสมของระบบการปกครองที่นามาใช้ ว่า
เป็นการลอกเลียนแบบตะวันตกทั้งดุ้น ไม่มีการดัดแปลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และความเคยชินของสังคมไทย
ดังนั้นเมื่อใช้เวทีทางการเมืองเพื่อกล่าวโจมตีอย่างรุนแรงแล้ว จึงได้ใช้โอกาสในการนาเสนอให้มีการนาระบบ
“พ่อปกครองลูก” กลับมาใช้ เพราะเห็นว่ามีความเหมาะสมกับสังคม และอุปนิสัยของคนไทย เป็นการยกอานาจ
ให้กับผู้เป็นพ่อขุนไปดูแล แต่ต้องใช้ความเมตตาต่อประชาชน
1. การให้ความช่วยเหลือ
1) คณะปฏิวัติได้มีคาสั่งให้ลดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าในย่านกรุงเทพฯ-ธนบุรี
2) ออกพระราชกฤษฎีกาให้แต่ละครอบครัวได้รับน้าฟรีเดือนละ 30 ปี๊บ
4) ให้เทศบาลยกเลิกภาษีบางประเภท ค่าธรรมเนียมทะเบียนและค่าธรรมเนียมการบริการของราชการ
POL2147 | 6
5) ครอบครัวที่ยากจนก็ได้รับบริการฟรีในเรื่องยาและการรักษาสุขภาพต่างๆที่โรงพยาบาล
6) ตั้งกองทุนสงเคราะห์สาหรับให้ข้าราชการพลเรือนระดับล่างได้กู้ยืม
7) สาหรับพ่อค้าแม่ค้าเพื่อลดราคาสินค้าประเภทอาหาร จอมพลสฤษดิ์ได้สั่งให้เปิดตลาดแห่งใหม่ๆขึ้นตาม
ตลาดนัดวันอาทิตย์ที่มักจะเปิดร้านที่สนามหลวง อนุญาตให้บรรดาพ่อค้าสามารถนาเอาสินค้าของตนมาขายให้แก่
ประชาชนโดยตรงซึ่งไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
2. การรักษาความสงบเรียบร้อยให้กบั สังคม
นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีคนพูดถึงผลงานของจอมพลสฤษดิ์อยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย
ภายในประเทศ เนื่องจากจอมพลสฤษดิ์มีความเชื่อว่า ความสะอาดและความเรียบร้อยของหมู่บ้านหรือเมือง ย่อม
หมายถึงคนในเมืองนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองและทันสมัย
เนื่องจากถูกมองว่าเป็นแหล่งส่งเสริมอาชญากรรม โดยที่จอมพลสฤษดิ์สั่งให้จับกุมโสเภณีและส่งไปฝึกอบรมยัง
สถานฝึกอาชีพตามที่ต่างๆ
3) ให้ยกเลิกอาชีพสามล้อในเขตพระนคร เพราะเห็นว่าคนเหล่านี้ละทิ้งอาชีพเกษตรกรในชนบทแล้วมา
อาศัยอยู่ในพระนคร เช่น อาศัยอยู่ตามวัด โรงรถ ปลูกกระต๊อบข้างถนนหรือปลูกเพิงใต้สะพาน ทาให้บ้านเมือง
สกปรก นอกจากนี้ยังสั่งให้มีการทาความสะอาดถนนบ่อยครั้ง การขจัดขอทาน การกาจัดสุนัขกลางถนน การ
จับกุมคนที่เป็นโรคเรื้อน และส่งไปยังศูนย์ควบคุมโรคเรื้อน การปรับเงินสาหรับผู้ที่ทิ้งสิ่งปฏิกูลตามถนน ความ
เลื่อมใสของประชาชนที่มีต่อจอมพลสฤษดิ์ในฐานะพ่อขุนมีเพิ่มขึ้น เมื่อจอมพลสฤษดิ์จับกุมบุคคลที่ทิ้งเศษขยะลงบน
ท้องถนนด้วยตนเอง
4) โดยเฉพาะด้านการป้องกันอัคคีภัยและการสั่งประหารชีวิตคนวางเพลิง ทาให้ความนิยมของประชาชน
ที่มีต่อจอมพลสฤษดิ์มีมากขึ้น เพราะเห็นว่าการเกิดเพลิงไหม้เป็นความจาเป็นที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วนและเฉียบ
ขาด ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ณ ที่ใด จอมพลสฤษดิ์มักจะเดินทางไปอานวยการดับเพลิงและทาการสอบสวน
ด้วยตนเอง และเมื่อสอบสวนแล้วพบว่าผู้นั้นเป็นผู้ลอบวางเพลิงก็จะถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการยิงเป้า การ
ลงโทษผู้ลอบวางเพลิงของจอมพลสฤษดิ์สามารถเรียกความนิยมได้จากประชาชน โดยแสดงให้เห็นว่ามีความห่วงใย
ต่อสวัสดิภาพของประชาชน ความเฉียบขาดของจอมพลสฤษดิ์ในเรื่องนี้ได้ผลมาก เพราะประชาชนส่วนใหญ่ชมเชย
จอมพลสฤษดิ์ว่าเป็นผู้ที่มีความพยายามจัดการกับปัญหาอัคคีภัยและปราบปรามผู้ลักลอบวางเพลิง ส่งผลทาให้จอม
พลสฤษดิ์ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ไม่ว่ากรณีที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ และที่สาคัญคือจอมพลสฤษดิ์
จะออกไปอานวยการด้วยตนเองไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน หรือไม่ว่าจะเจ็บไข้หรือสุขสบาย จอม
พลสฤษดิ์ก็มักจะไปปรากฏตัวให้เห็นในที่เกิดเหตุอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของจอมพลสฤษดิ์จึงแพร่หลายออกไป
อย่างกว้างขวางเพราะความสนใจและความเอาใจใส่ในเรื่องเพลิงไหม้ และประชาชนก็ดูจะมีความเชื่อถือว่า จอม
พลสฤษดิ์เป็นผู้นาที่ยิ่งใหญ่ตามแบบฉบับของพ่อขุน
3. การส่งเสริมสุขภาพและศีลธรรม
4. การเยี่ยมเยียนประชาชน
เพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองและความสามัคคีภายในชาติ ซึ่งในขณะนั้นความแตกแยกทางการ
เมืองที่เกิดขึ้นภายในประเทศและสถานการณ์อันไม่มั่นคงในอินโดจีนได้คุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ และเพื่อ
ทาให้ความขัดแย้งภายในประเทศ และความขัดแย้งของกลุ่มชนระหว่างถิ่นลดน้อยลง จอมพลสฤษดิ์จึงได้วางแผน
เพื่อทาให้ประเทศเกิดความมั่นคง ด้วยการเดินทางออกไปเยี่ยมเยือนประชาชนตามหัวเมืองต่างๆเป็นการส่วนตัว
เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความห่วงใยประชาชนในทุกๆภาค และต้องการที่จะเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของ
ประชาชนด้วยตาตัวเอง
จอมพลสฤษดิ์ให้ความสนใจต่อปัญหาของประชาชนตามภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ เพราะตระหนักดีว่าใน
เวลาที่ผ่านมานั้น ในบริเวณภาคต่างๆที่อยู่นอกเขตเมืองหลวงได้รับความสนใจน้อยมากจากรัฐบาล โดยเฉพาะใน
พื้นที่ภาคอีสาน เป็นบริเวณที่รัฐบาลในสมัยก่อนหน้าจอมพลสฤษดิ์ไม่ได้ให้การเหลียวแลอย่างจริงจัง จนบ่อยครั้ง
ก่อให้เกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะการต่อต้านอานาจรัฐ จอมพลสฤษด์จึงดาเนิน
มาตรการที่เป็นการส่งเสริมความสามัคคีภายในชาติและการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง เช่น การสั่งประหาร
ชีวิตผู้นาทางการเมืองจากภาคอีสานที่แข็งข้อ และที่สาคัญคือใช้วิธีการปกครองแบบพ่อขุน โดยออกไปเยี่ยมเยือน
ราษฎรเป็นการส่วนตัว ตลอดจนการจัดทาแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 โดยสั่งให้มีการจัดทาแผนพัฒนา
เศรษฐกิจในส่วนภูมิภาคขึ้นด้วย
นอกจากการตรวจราชการครั้งใหญ่แล้ว จอมพลสฤษดิ์ยังเดินทางไปตรวจราชการตามจังหวัดต่างๆอีก
เป็นระยะ เพื่อตรวจเขตชายแดนและโครงการพิเศษต่างๆ ในระหว่างการเดินทางไปตรวจราชการนั้น เมื่อมีโอกาส
จอมพลสฤษดิ์จะเดินทางโดยรถยนต์ และชอบที่จะไปตามถนนหนทางที่มีสภาพย่าแย่หรือถิ่นทุรกันดาร เพื่อที่จะ
แสดงให้เห็นถึงความอดทนต่อความยากลาบากและการใช้ชีวิตที่ไม่มีพิธีรีตรอง จอมพลสฤษดิ์ปฏิเสธที่จะพักแรมใน
บ้านพักรับรองและเลือกที่จะกางเต๊นท์นอน ซึ่งไม่ว่าจะเดินทางไปยังสถานที่ใด จอมพลสฤษดิ์ก็จะพยายามพูดคุย
กับประชาชนและรับฟังความต้องการของประชาชนโดยตรง เพราะฉะนั้นการเดินทางไปตรวจราชการของจอม
พลสฤษดิ์ก็เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความเป็นพ่อขุนที่ห่วงใยและเอาใจใส่ต่อความต้องการของประชาชน
สรุป ระบบพ่อขุนอุปถัมภ์ของจอมพลสฤษดิ์นั้นถือเป็นระบบการปกครองที่ยังไม่เหมาะสมสาหรับประเทศไทย
เนื่องจากการมีอานาจอย่างเบ็ดเสร็จของผู้นาส่งผลให้เกิดการเผด็จการซ้อนเข้ามาในการปกครอง โดยมีการจากัด
สิทธิและเสรีภาพของประชาชน มีการใช้ความรุนแรง ก่อให้เกิดความหวาดกลัวและจายอมมากกว่ายินยอม
POL2147 | 9
สภาพสถานการณ์โดยทัว่ ไปก่อนเหตุการณ์
มูลเหตุสาคัญของเหตุการณ์
P O L 2 1 4 7 | 10
บทสรุปของเหตุการณ์
นับจากนั้นข่าวการรัฐประหารก็สะพัดขึ้นทันที ก่อนจะชัดเจนเมื่อพบความเคลื่อนไหวเป็นพิเศษของกองกาลัง
พลสังกัดกองทัพภาคทื่ 3 ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 โดยมี
รายงานข่าวในช่วงบ่ายว่า พล.ท.สพรั่ง ได้เดินทางไปที่กองพลทหารม้าที่ 1 เพชรบูรณ์ พร้อมสั่งการให้ตรวจสอบ
ความพร้อมของยานลาเลียง รถถัง ปืนใหญ่ และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆของ พล.ม.1
ข่าวดังกล่าวเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ก่อนที่ฝ่ายรัฐประหารจะเคลื่อนกาลังออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
P O L 2 1 4 7 | 12