You are on page 1of 502

ร 1V?

มหาบัณฑิต

มิถิลึานคร
พระไพธิสัดว์เสวยพระชาต็ทรงบำเพ็ญป'ญญาบารมี

น.อ. แย้ม ประพัฒนทอง

kalyanamitra.org
ธิ^^^ะข้®}

มหาบณฑิตแห่งมิถิลานคร

ของ

น.ย.แย้ม ประฟ่ฒน์ทอง

kalyanamitra.org
มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานคร
น.อ.แย้ม ประพัฒน์ทอง
บทเสริมท้าย (เต้าโครงเรื่องในมหาบัณฑิตแห่งมิถิลานคร)

โดย ผศ.ไขสิริ ปราโมช ณ อยุธยา

ดำเนินการจัดพิมพ์ ะ สำนักพิมพ์ธรรมสภา

ธรรมสภา
ได้รับความเมตตาอนุญาตจาก ท่านเจ้าคุณพระสุธรรมถาวร (เจ้าของลิขสิทธ) ให้จัดพิมพ์เผยแพร

บทเสริมท้ายของหนังสีอเล่มนี้ เป็นลิขสิทธของสำนักพิมพ์อักษรเจริญทัศน์ ทางสำนักพิมพ์ยินดีใด้ผู้จัดพิมพ์


นำไปพิมพ์โดยมิได้ดีดค่าตอบแทนอันใดในกาวพิมพ์ครั้งน สำนักพิมพ์ธรรมสภา จึงขอกราบขอบพระคุณ
สำนักพิมพ์อักษรเจริญทัศน์ ที่ได้เมตตาอนุญาตในการพิมพ์บทเสริมท้ายมา ณ โอกาสน

การพิมพ์หนังสิอธรรมเป็นอนุสรณ์และที่ระลึก นอกจากเป็นการจัดทำสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ที่คงอยู่ยืนนาน
แล้ว ยังเป็นการบำเพ็ญธรรมทาน คือการให้ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญว่าเป็นทานอันยอดเยืยมอึกด้วย
ผู้ปฏิบัติเช่นนี้จึงชื่อไต้ว่าแสดงออกซึ่งญาติธรรม พร้อมไปกับการมีส่วนร่วมเผยแพร่ธรรม เพอส่งเสริมสัมมา
ทรรศนะและธรรมปฏิบัติ อันจะอำนวยประโยชน์สุขที่แท้จริงแก่ประชาชน
ธรรมสภา รับบริการจัดหาต้นฉบับที่อุดมด้วยเนี้อหาสาระ ท่านที่ประสงค์จะจัดพิมพ์หนังสีอธรรมะทีดี
มีคุณภาพเป็นทีระลึกในทุกโอกาสของงานประเพณี เป็นการใช้จ่ายเงินที่มีคุณค่า และให้ประโยชน์อย่างถูกต้อง

ท่านที่ประสงค์จะเผยแพร่เป็นธรรมทาน โปรดติดต่อที่....ธรรมสภา
ด/๕-๖ ถนนปีนเกล้า-พุทธมณฑส เขตตลิ่งช้น กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๗๐

๓๕/๒๗๐ จรัลสนิทวงค์ ๖๒ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ๑๐๗๐๐


โทร. ๔๓๔-๔๒๖๗. ๔๓๔-๓๕๖๖, ๔๔®-๑๕๓๕ เทวสาวิ. ๔๒๔-๐๓๗๕
การให้ธรวิมะชนะการให้ทั้งปวง การรับธรรมะและนำไปปฏิบัติย่อมชนะการรับทั้งปวงเช่นกัน

kalyanamitra.org
ด่านำ
มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานคร

มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานครนี้ เป็นเรื่องหนึ่งใน มหานิบาตชาดก เป็นเรืองของการบำเพ็ญ

บารมีชาติหนึ่งในทศชาติหรือสิบชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

ทศชาติ นั้นหมายถึง พระโพธิสัตว์ทรงเสวยพระชาติต่างๆ เป็น พระเตมีย์ พระชนก

พระสุวรรณสาม พระเนมีราช พระมโหสต พระภูมิทัตต์ พระจันทกุมาร พระนารอท

พระวิธูร และพระเวสสันดร
สำหรับเรื่องมหาบัณฑิตแห่งมิถิลานครนี้ เป็นพระชาติที่ ๕ ในจำนวน ๑๐ ชาติ คือชาติ

ที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พระมโหสถ ในชาดกใช้ชื่อว่า มโหสตชาดก เป็นชาติที่

พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี ซึ่งผู้เขียนได้ถอดความและเรียบเรียงจากต้นฉบับภาษา

บาลีเป็นภาษาไทย ที่อ่านเข้าใจง่าย
ลักษณะคำประพันธ์จัดอยู่ในประเภทร้อยแก้ว แต่ถึงกระนั้นผู้เขียนก็ยังเลือกใช้ก้อยคำ

โวหารที่ไพเราะ ทั้งบรรยาย พรรณนา และเทศนาโวหาร อีกทั้งมีการเปรียบเทียบอุปมา อุปไมย

ให้เห็นอย่างเด่นชัด
จุดมุ่งหมายในการเขียนเรื่อง มโหสถชาดก ได้แก่ เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา
เพื่อให้ความรู้ในด้านพระประวัติของพระพุทธเจัา เพื่อยกย่อง สรรเสริญพระปรึชาสามารถ
ของพระมโหสต และให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความฉลาดปราดเปรื่องของพระมโหสถ ชึ่งผู้เซียน

ประทับใจเช่นเดียวกับฉลาดปราดเปรื่องของขงเบังในเรื่องสามก๊ก
ท่านที่ประสงค์จะทราบเนื้อเรื่องโดยย่อของหนังลือเล่มนี้ ขอให้อ่านบทเสริมท้าย ซึ่งเขียน

โดย ผศ.ไขสิริ ปราโมช ณ อยุธยา เพื่อเป็นแนวทางให้ทราบถึงเด้าโครงเรื่องโดยตลอดของ

หนังสือเล่มนี้
ธรรมสภา มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้จัดพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ ให้มีขึ้นไว้ในบรรณโลก

ขอกราบขอบพระคุณ ท่านพระสุธรรมถาวร เจ้าอาวาสวัดภคินีนาถวรวิหาร ที่ได้เมตตาอนุญาต

ให้จัดพิมพ์เผยแพร่ และกราบขอบพระคุณ พระอาจารย์สันต์ชัย ขุนติโก รักษาการเจ้าอาวาส


วัดเปาโรหิตย์ ที่ได้เป็นธุระติดต่อและประสานงาน จนท่าให้หนังสือเล่มนื้โด้บังเกิดและสถิต

อยู่ในบรรณพิภพ มา ณ โอกาสนี้

ด้วยความสุจริต หวังติ
ธรรมสภาปรารถนาให้โลกได้พบกับความสงบสุข

kalyanamitra.org
สารบญ
หน้า
ภาคที่ ๑ ผู้สำเร็จราชการวิเทหร็® ๓
ตอนทิ ๑ ศุภนิมิต
ตอนที่ ๒ ได้ข่าว
ตอนทิ แววปราชญ์ ๑๒

ตอนทิ แววปราชญ์ (ต่อ) ๑๗

ตอนท๊ หลักการทดลอง ๒๖

ตอนทิ ๖ ทดลองปริชา ๓๓

ตอน เข้าเสา ๔๓

ตอน รับราชการ ๕๑

ตอน ประเดิมงาน ๕๗

ตอน พระนางอุทุมพร ๖๕

ตอน ปริศนาซ่อนเงื่อน ๗๓

ตอน มีทรัพย์ลับมีบัญญา ๘๒

ตอน คู่ครอง ๙๒

ตอน ครองคู่ ๑0 ๑

ตอน คู่ควรเคียง ๑๐๗

ตอน ๑๖ ลองใจนาง ๑๑๒


ตอน อมวาเทวี ๑๒๕
ตอน สี่บัณฑิดดิดทำลาย ๑๓๔
ตอน สี่บัณฑิตอัปยศ ๑๔๕
ตอน'ท เกด!!ญหายาก ๑๕๓
ตอนท กลับเช้าเมือง ๑๖๐
ตอนท ๒๒ พิสูจน์ตน ๑๖๕
ตอน ๒๓ แลัปริศนาเทวดา ๑๗๕
ตอน เลศอุบาทว์ ๑๘๐
ตอนท ๒๕ คาดโทษถึงดาย ๑๙๐
ตอนทิ ๒๖ ความลับรั่ว ๑๙๗
ดอนที1 ๒๗ สี่บัณฑิตติดกรุ
๒๐๖

kalyanamitra.org
หนา
ดอนที่ ๒๘ สื่บ้ณ#เตหมดพยศ ๒๑๒
ตอนที' ๒๙ ผ้สำเรึจราชการวิเทหรัฐ ๒๑๗
ตอนที่ ๓0 รัดการบ้านเมึอง ๒๒๒
*

ภาคท ๒ มถลาเผช้ญศก
ตอนที่ ๓* รัชทายาทแห่งบ้ญจาละ ๒๓๐
ตอนที่ ๓๒ คู่สรัางของพระอธิราชจุลนึ ๒๓๘

ตอนที ๓๓ อธิราชจุลนึ ๒๔'๕


ตอนที๓๔ คน๙าลัญของบ้ญจาละ ๒๕๒

ตอนที๓๔ แผนการแผ่อาณารักร ๒๕๗


ตอนที1 ๓๖ แผนการลับรั่ว ๒๖๒
ตอนที' ๓๗ ล่าแควัน ๒๖๖

ตอนที๓๘ พิธิซัยบานลัม ๒๗๕


ตอนที่ ๓๙ มิชิลาถูกลัอม ๒๘๐
ตอนที' ๔0 ชาวมิชิลาพรั่นคึก ๒๘๔
ตอนที' ๔* บำรุงขวัญ ๒๘๘
ตอนที๔๒ โจมดึมิลิลา ๒๙๒
ตอนที่ ๔๓ การปิดลัอม ๒๙๖
ตอนที' ๔๔ เลศธรรมยุทธ์ ๓๐๒
ตอนที' ๔๔ กลับลัอมไวัอึก ๓๑๐
ตอนที' ๔๖ สื่อสารคึก ๓๑๘
ตอนที่ ๔๗ อุบายขั้นที่ * ๓๒๙
ตอนที่ ๔๘ อุบายขั้นที่ ๒ ๓๓๗
ตอนที่ ๔๙ อุบายขั้นที่ ๓ ๓๔๔
ตอนที' ๔0 ผลแห่งสงคราม ๓๕๒

ภาคที่ ๓ ในเงอมหดถจุลน่ ๓๕๕


ตอนที่ ๔* เกวัฏส่องกระจก ๓๖๐
ตอนที่ ๔๒ แผ่สิเนหานุภาพ ๓๖๘

ตอนที๔๓ ราชทูดเกวัฎ ๓๗๖


ตอนที' ๔๔ ท่านมโหสลถูกกรั้ว ๓๘๓

kalyanamitra.org
หนา

ตอนหึ' ๕๕ น์าใจของบัณฑิต ๓๘๘


ตอนหึ' ๕๖ มาถูระวับตึบ ๓๙๓
ตอนหึ' ๕๗ จารกรรมของมาถูวะ ๓๙๗
ตอนหึ' ๕๘ ไปแตนศัตรู ๔๐๔
ตอนหึ' ๕๙ สวัางอุปการนคร ๔๑®
ตอนที่ ๖© ควักตวงใจของพระอธิราช ๔๑๗
ตอนหึ' ๖* วิเทหราชรึ๋เานน ๔๒๒
ตอนที่ ๖๒ วิเทหวาชท้าสรวอ ๔๒๗
ตอนที่ ๖๓ ได้แท้'วดีนเมือง ๔๓๐
ตอนที่ ๖๔ ธรรมของเสนานายก ๔๓๔
ตอนที่ ๖๕ จุลน้บัญชาทัพ ๔๓๗
ตอนที่ ๖๖ ปะทะด้วยลมปาก ๔๔๐
ตอนที่ ๖๗ จุลนึบันป่วน ๔๔๓
ตอนที่ ๖๘ ท้พมายา ๔๔๗

ตอนหึ๖๙ ศันดิภาพ ๔๔๑


ตอนหึ' ๗© กลับมิชิลา ๔๔๖

ภาคที่ ๔ มหานุภาพแห่งป็ฒูญา ๔๖๓


ตอนที่ ๗* ย้ายจากมิชิลา ๔๖๔
ตอนที่ ๗๒ ถูกใส'ความ ๔๖๘
ตอนที่ ๗๓ น์าพระทัยของพระอธิราช ๔๗๓
ตอนที่ ๗๔ ฝัมีโทษ ๔๗๗
ตอนที่ ๗๕ คุณของบัณฑิต ๔๘๑

บทเสรมทาข ( ๑ } - ( (อ ©ร )

kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
ภาคท ๑
ผู้สำเร็จราชการวิเทหฬั

สุภาษตประจำภาค

ทุลฺลโภ ปุริสาชฌฺโฌ น โส สพุพตฺล ชายติ


ยตฺถ โส ชายดี ธึโร ต กุล* สุขเมธดีๆ

พระพุทธวจนะ ธรรมบท •ธุททกน้กาย

บุรุษอาขา ในซหา ไดยาก ท่าน ใม่เกดในทหว ใป


บุรุษอาขาในยนั้นเปีนธรขน บังเกดในลกุลใด ลกุลนั้นย่อมหยังลงย่ความลุข

ผ3โ(1 (0 กดง 18 3 1110โ0บ^เไชโ๗ 013ด,

(า6 18 ก01 ๖อ!■ถ (Vต7^1101*0 ;

XVIา&โ6 811011 3 พ186 1ด3ถ 18 ชอ!'ด,

11131 &เด111^ 1111*^68 113]ว1ว11?,

kalyanamitra.org
๑. ตุภนิมิต
ม่ก่ลในกร ราชธานีของแคว้นวิเทหรัฐในอดีตสมัย เป็นมหานครอันกว้างใหญ่ไพศาลและอุดม
สมบูรณ์ คับคั่งด้วยประชาชน พระเจาว้เทหราช ทรงเป็นจอมราช ทรงปกครองประชาราษฎร์ด้วยทคพิธ-

ราชธรรม มีพระทัยมุ่งที่จะอำนวยความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรโดยทั่วถึง ทรงแต่งผู้อุดมด้วยวิทยาคุ ณ

และอัธยาศัย ให้เป็นที่ปรึกษาราชการบ้านเมือง เป็นปุโรหิตาจารย็ประจำนคร ๔ ท่าน มีนามตามลำด้บ

อาวุโส คือ อาจารย์เสนก อาจารย์ปุกกุสะ อาจารย์กามินท์ และ อาจารย์เทวินท์ อาจารย์ทั้ง ๔ นํ่เท่ากับ

เป็นจตุสดมภ์ คํ้าจุนวิเทหรัฐ และราชบัลลังก์ไว้เป็นอันดี ปราศจากภัยภายนอกและภายใน ถึงกระนั้น

พระเจ้าวิเทหราชก็ยังทรงใฝ่พระทัยที่จะแสวงหาผู้รู้หลักนักปราชญ์ ผู้เชี่ยวชาญในการต่าง *1 มาช่วยกัน

ทำนุบำรุงบ้านเมืองให้รุ่งเรืองยิ่งร้นไปตลอดเวลา

ราตรีกาลวันหนึ่ง เวลาบ้จจุบันใกด้รุ่ง พระเจ้าวิเทหราชเสด็จบรรทมเหนือพระแท่นบรรจถรณ์

ประทับสนิทนิทรารมณ์ ทรงพระสุบินนิมิตน่าพิศวง ในลักษณะพระสุบินนั้นปรากฎว่า

ทห้องทระลานหลวง ม่กองเทล็งลุกโทลงขนมุมละ ๑ กอง รวมเป็นกองเทลง ล้ กอง แต่ละกอง

ประมาณเท่าปราการทระราขน่เวศน์ เป็นกองเทล็งแสงรุ่งโรจน์โขดช่วงสว่างไสวเป็นอต่างยง แล้วเกตมกองเทล็ง


อกกองหนงมุดทลุ่งขนท่ามกลางกองเทลงทั้ง ล้ นั้น กองเทลงนั้เป็นขุดเล็ก ๆ ประมาณเท่าหงห้อยเท่านั้น แต่
ล็ากัญยอดยิ่ง ฉายแสงทวยทุ่งจากเรอนทระลาน จรดถงอกนมฐทรหมโลกทเดย่า แสงนั้นสว่างจ้าทัวจ่กรวาล

ปรากฏรุ่งเรองยิ่งกว่ากองเทลงใหญ่ๆ นั้นมากมาย ความสว่างทฉายฉานยู่ทนเมทน์กระจ่างย}กว่ากก}กรรก^


แสงอาท่ตย็ยิ่งใดๆ ทตกอยู่ภาคทั้นดนในมรเวณนั้นแม้ว่าจะเป็นขนเล็กๆ ขนาดเท่าเมล็ดทันย็ผักกาดก็อาจ

มองเห็นไล้สมาย ประขาโลกทั้งเททยดา มารทรหม ทากันน้อมนำของหอมและดอกไม้เข้ามามูขากองเทล็ง


น้อยนั้นอย่างมูนมอง และแสงเทล็งนั้นเย็นฉํ'าอต่างแลงทระอันท^มหาขนทากันกัญจรไปมาระหว่างเปลวเทล็ง

อย่างผาสุก ไม่มใครกักคนเดยวทจะเกดความรอนกระวนกระวาย แม้แต่ขุมขนหนงก็ม่ไล้เป็นอันดราย เป็น

เปลวเทล็งทให้ความเย็นความขนขมแก่ฝูงประขาน่าอัคจรรย็
พระเจ้าวิเทหราชทรงพระสุบินนึ่แลัว สะดุ้งพระทัยตื่นพระบรรทม ประทับนั่งเหนือพระแท่น

ไสยาสนั ทรงรำพึงถึงพระสุบินตามปกติวิสัย ยิ่งทรงเห็นว่าน่าพิศวง จะเป็นนิมิตรัายดีประการใดก์มิอาจ

จะทรงทำนายทายทักได้ จะว่ารัายเป็นอันตรายแก่บ้านเมืองหรือพระราชสมบัติก์ไม่ปรากฎซัตในพระสุบิน
จะว่าดีก์มิทรงทราบว่าจะมีเหตุการณ์อันเป็นมงคลสถานใดอุบัติร้น ทรงประทับอยู่ด้วยพระหทัยอันเต็ม

ไปด้วยความวิมติกังขา

kalyanamitra.org

ครั้นรุ่งเซัาท่านราชบัณฑิตผู้เป็นจตุสดมภ์แห่งวิเทหรัฐพากันเข้าเฝ็า ถวายบังคมแล้วท่านเสนก

ราชวัลลภาจารย์ก็กราบทูลถวายชัย แล้วทูลถามถึงความสุขในการบรรทมว่า

“ขอเดชะ พระองค์ผู้เป็นสมมุติเทพเจ้า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงบริหารพระราชกรณียกิจ


อันใหญ่หลวง เพี่อความร่มเย็นเป็นสุขแห่งประชาราษฎร์ ทรงเหน็ดเหนื่อยหนักหนาในพระราชภาระ
เป็นที่ล้นพ้น ยามราตรีกาลที่เพิ่งจะผ่านไปก่อนหนัานื่ อังจะได้อำนวยความสุขสำราญพระหฤทัยแด่ใต้

ฝ่าละอองธุลีพระบาทในการทรงพระบรรทมเป็นอันดีหรือไฉนพระพุทธเจ้าข้า ”
ตรัสตอบด้วยพระหฤทัยอังมิวายฉงน “ท่านอาจารย์ การพักผ่อนหลับนอนของฉันเมื่อคึนนื่
จะมิความสุขที่ไหนได้”

“ขอเดชะ มีเหตุผลอันใดพระพุทธเจ้าข้า ที่มาดัดรอนความสุขในการบรรทมของใต้ฝ่าละออง

ธุลีพระบาท โปรดทรงกรุณาเล่าให้ทราบด้วยเกล้าๆ เถิดพระพุทธเจ้าข้า”


พระเจ้าวิเทหราช ตรัสเล่าพระสุบินนิมิตตั้งแต่ด้นจนอวสาน แล้วรับสั่งว่า “ท่านอาจารย์ช่วย

ทำนายทีเถิด จะดีร้ายประการใด”
ท่านเสนกพิเคราะห์ในลักษณะพระสุบินถี่ล้วนแล้ว เห็นต้องด้วยลักษณะศุภนิมิต ก็กราบทูล

ยืนอันมั่นเหมาะว่า “ข้าแด่พระองค์ผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐ ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพัง

ข้าพระพุทธเจ้าเถิด อย่าได้ทรงหวาดหวั่นพระราชหฤทัยเลย พระสุบินนั้นเป็นมหาศุภมงคลอันลํ้าเลิค

จักทรงพระเจริญด้วยสิริศุภสวัสดํ่พิพัฒนาการถี่งลันพระพุทธเจ้าข้า”
“ท่านอาจารย์ที่ว่าความฝันของฉันจะเป็นศุภมงคลนิมิตนั้น ท่านอังจะแถลงเหตุให้ประจักษ์

ในลักษณะแห่งสุบินได้อย่างไร” รับสั่งลาม

“ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมุติเทพเจ้า” ท่านเสนกกราบทูลหนักแน่น “พระลุบนน่ม่ดปรากฏเป็น


กอาเพล่า ๔ กอาด้วยกัน ณ มุมท้อาหระลานหลวา มุบละ & กอา และท่าบกลาาอก 0 กอา ด้นเพลานั้น

ย่อมเป็นททราบเกล้าฯ กันท้า ไปว่า เป็นVอารอนบกักบณะแผดเผาแป'แต่'ผู้ใหเกำเน่ดเพลาก็ไม่พ้นจากควาบ

แผดเผาแท่าเพลา แต่'เพลาในพระลุบนทดร''สเล่าเป็นเพลาเย็นปราศจากความรอน ไม'บลักบณะแผดเผาแด่

ประการใด แท้บุคคลจะเด่นล้ญจรไปมา ก็ม่ไครูสกในอาการเบยดเบยนขอาแลาเพล่าบาดรว่ามุมขน เทล่าใน

พระลุบนจํณิใช่เพล่าทปรากฏเท่ ก'ม่ดร้าย ดรากันข้าม เป็นเหล่าทใท้ความร่มเย็น ใท้ความสว่าาไสวแก่มหาชน


จำเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า กอาเหล่านั้นเป็นอุปมานม่ฅแห่าปรชาญาณ ด้นกระจ่าาแจ่มเป็นไปเหอประโยชน์แก่

มหาชนเป็นแม่นปน "

“สถานททเหล่าปรากฏก็เป็นท้อาพระลานหลวา ภายในพระราชสถาน ล่าแดาเหดุประจักษ์ว่าปร่ขาญาณ


นั้นจะปรากฏเกล่มพระบารม่ขอาใด'ปาละออาธุล็หระบาท ม่ใช่อนเป็นแน่นอน "

“จำนวนกอาเหล่าทั้า ๕ กอานั้นเล่า ก็เป็นน่ม่ตหมายถาบุคคลผู้ทราปร่ขาญาณ กอาใหญ่ กั กอา

นั้น เห็นด้วยเกล้าว่าจะเป็นน่ม่ดหมายถาพวกข้าพระพุทธเจ้าทั้า กั ด้นพร้อมกันปรนน่บด่บำรุาใด้ปาละออา

ธุล่หระบาทมา ตามกำล้าสด่ป็ญ่ญาแห่าดน กอาเหล่าท่ามกลาานั้นปรากฏเป็นจุดเล็ก ๆ ก็เป็นน่ม่ตระบุถาผู้

kalyanamitra.org

มปร่ขาญาณอัน(อกอูดม ล่วงมันข้ามระพุทธ(จ้าทั้ง นั (สย นับ(ปีนบณ'ทอคารบ ๕' อันป้ะไก่มาล่มระบรมใหธ

ลมภารในวัย(ยาว์ บณ’ทอทคารบ ๕ ผู้นั้น (ปีนท่นซม(คารมบูขาของทาย!บทยดาและมนุมล่นกร บาผู้(ลมล

(หง/อนมใด'ท่เดยามระพุทธ(จ้าข้า,’
“ด้วยเหตุผลด้งกราบทูลมาทั้งนึ่ บ่งซัดว่าพระสุบินเป็นศุภนิมิต หากให้จำเริญครีศุภสวัสดํ่

วิเศษอุดมพระพุทธเด้าข้า”
ทรงสดับแล้ว พระหฤทัยก็เต็มตื้นไปด้วยพระปีติปราโมทย์ตรัสถามว่า “เดี๋ยวนึ่บัณฑิตผู้นั้น

อ่ยู่ไหน ท่านอาจารย์จะบอกได้หรือไม่”
ด้วยอำนาจแห่งความเชี่ยวชาญในพยากรณ์ศาสตร์ ท่านเสนกทำนายประหนึ่งเห็นด้วยตาทิพย์

กราบทูลว่า “วันนึ่คงเป็นวันที่บัณฑิตถือปฏิสนธิในครรภ์มารตา หรือมิฉะนั้นก็เป็นวันคลอดจากครรภ์

มารดาพระพุทธเด้าข้า”
คำทท่าน(สนกกราบทูลนั้น(ปีนความจรง วันนั้น(ปีนว็นท่ท่านผู้(ปีนมบาบ้ณ'หดแท่งมถลานคร กอ

ปฎลนธในครรภ์มารดา
พระเด้าวิเทหราชทรงสดับแล้ว ทรงกำหนดไว้แม่นยำในพระราชหฤทัย ประหนึ่งว่าล้อยคำ

ของท่านเสนกนั้นได้ประทับแน่นอยู่กับพระมนัสรอยจารึกในศิลา
ล่วงเลยมาได้ ๗ ปี พระเด้าวิเทหราชทรงใฝ่พระทัยในเรื่องบัณฑิตคนที่คำรบ ๕ ตลอดเวลา

ดึงกับเคยปรารภกับท่านเสนกบ่อย *1 ในเรื่องนึ่นับครั้งเป็นอันมาก แต่เมื่อกาลยังไม่ดึง เป็นอันตองสะกด

พระมนัสไว้ ทรงรอคอยผลแห่งคำทำนายของท่านเสนกจนดึงกาละอันควร คือ ๗ ปีก็ทรงดำริว่า “จำ


เติมแต่อาจารย์เสนกได้ทำนายไว้ว่า บัณฑิตคนที่ ๔ จะมาปังเกิดและมีบัญญายอดเยี่ยมหาผู้ทัดเทียมมิได้

รักมีปรีชาครอบงำนักปราชญ์ทั้ง ๔ ของเราเสีย คำนึ่อาจารย์เสนกได้กล่าวไว้ล่วงมาดึง ๗ ปีแล้ว ธรรมดา

ผู้มีบุญญาธิการ อายุเพียง ๗ ปี ก็จะปรากฏแววแห่งความเฉลียวฉลาดสามารถมาบ้างเป็นแน่ จำด้องให้


อำมาตย์ออกไปเที่ยวสืบเสาะดูให้รัตำแหน่งแห่งที่ของบัณฑิตนั้น”

ครั้นเสด็จออกท้องพระโรง พรั่งพรัอมด้วยอำมาตย์ราชบริพารเฝัาแหนโดยอนุกรม มีพระดำรัส

กับท่านเสนกดึงเรื่องบัณฑิตคนที่ ๔ ว่า “ท่านอาจารย์นับแต่ว้นที่ท่านได้ทำนายสุบินนิมิตของฉันมา จน

ดึงบัดนึ่ ๗ ปีแล้ว ล้าวันที่ฉันฝันเห็นกองเพลิง ๕ กองนั้น จะเป็นเวลาคลอดหรือจะเป็นวันดึอปฏิสนธิ

ป่านนั๊ก็คงจะมีอายุพอจะปรากฏแววอันใดบ้างแล้ว ฉันใฝ่ฝันดึงเขาเสียจริง ยุ เห็นควรจะให้คนออกไป

สืบเสาะดูทีเผื่อจะได้พบปะผู้เป็นบัณฑิตนั้น แล้วจะได้เรียกเข้ามาชุบเลียงสืบไป”

ท่านเสนกกราบทูลคล้อยตามพระราชบรรหาร “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมุติเทพ เป็นพระดำริอัน


ชอบยิ่งนัก ประกาศพระมนัสอันเปียมด้วยพระกรุณาทรงหวังจะได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอาณาประชา-

ราษฎร์อย่างแท้จริงพระพุทธเด้าข้า”
“ล้าเช่นนั้น ฉันรักสั่งให้อำมาตย์ไปสืบเสาะดูตามบ้านทั้ง ๔” รับสั่งพลางเรียกอำมาตย์ ๔ คน

มาเฝืา ตรัสสั่งให้ออกไปเที่ยวสืบเสาะบัณฑิตในคามทั้ง ๔ ตำบล

kalyanamitra.org
อำมาตย์ทั้ง ๔ ต่างแยกกันไปตามคามทั้ง ๔ ตำบล ตำบลละ ๑ นาย อำมาตย์ที่ไปบ้านอื่น กุ
ไม่ไตพบเหตุการณ์ชันแปลกประหลาดอันได แต่ดนที่ไปทางตะวันออกได้ไปถึงยวม้ชฌคามตะวันออก เช้า

นั่งพักภายในศาลาอันโอ่โถงวิจิตรตระการตายิงนัก มีสระโบกขรณี มีสวนดอกไม้ สวนผลไม้ ก็ดำริในใจ

ว่า "ฝูทสรไงศาลามล่ง์ลต้องาปีลคลมสต้ปีญญา,ากล่มากลาคอล่างล่ง}มดมา ล่ง่แาตดูร'องรลมแล่งการกระทาแล่า

มใข่าปี'แล่จมสามเมูใ/ลฮ๕หงกร^ทา ไค อล่างลลม}มดมวก็ตองสร1'างขลภ ามใตอ าล ามก าโขลงบ่ณ-ทตาปี'ลแล่ ๆ "


คิดแล้วก็ไต,ถามคนที่พักผ่อนอยู่แถวนั้นชึ่งมีอยู่หลายคน ก็ได้ความสมกับความคิดของตนทุกประการ ทั้ง

ลอบสวนดูระยะกาลก็เห็นตรงกันกับอายุของกุมารบัณฑิต ยิ่งวินิจฉัยได้แน่นอนทีเดียวว่า “บัณฑิตที่พระ

ราชามีพระราชดำรัสให็สนนั้นคือ กุมาร ผู้มีนไมว่า มโหสถ นื้แล”

kalyanamitra.org
๒. ได้ข่าว
ท่านอำมาตย์ซักไช่ไล่เสียงเรืองราวของกุมารผู้!!ณฑิต อย่างละเอียดลออ แล้วก็ทำรายงานถวาย
พระราชา ให้'บุรุษคนหนึ่งเป็นทูตถือไปกราบทูลรายงานของอำมาตย์นั้นกล่าวถึงเรื่องคาลา และสระสวย

ตลอดจนประว้ติของบัณฑิต มีใจความดังต่อไปนี
“ข้าแต่พระสมมุติเทพ ดามทีได้มีพระดำรัสส้งให้ข้าพระพุทธเจ้า 1■ทียาลบเลาะหาท่า'แผูเ้ ป็น
บัณฑิต ณ ยวมีช่ฌคามตะวันออกนั้น บัดนึ่ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบเรื่องราว และได้พบกับท่านบัณฑิต
แล้ว ขอพระราชทานวโรกาสกราบทูลให้ทรงทราบพฤติการณ์,ของท่านบัลเฑิตนั้น ดังต่อไปนี้

ณ บ้านยวมีชฌคามตะวันออกนี้ มีศาลาหลังหนึ่ง ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “ศาลาเด็กน้อย" เพราะ

สมมุตินามตามท่านผสร้างอายุเพียง ๗ ขวบเท่าน้น เป็นผู้กำหนดแผนผังของศาลานด้งแต่แรกบา ทังเป็น

ผู้ชักชวนเพื่อนเด็ก กุ รุ่นราวคราวเดียวกันให้ขอทรัพย์จากบิดามารดาบาร่วบทุนกันคนละ ๑ กษาปณ์ ได้


เงินรวน ๑,000 กษาปณ์ ทีแรกได้เรียกนายช่างโหฌ่มาเหมาให้กระทำ แด่พอนายช่างใหญ่เริ่มทำระฒั

เท่านั้น บัณฑิตน้อยต้องหยิบเชือกมาขึงระดับให้ดู นายช่างใหญ่ยอมจำนนว่าตนไม่อาจทำอย่างนั้น ครั้น

ถูกถามว่าจะคอยทำตามความคิดเห็นได้หรือไม่ ก็รับคำว่าได้ บัณฑิตน้อยก็บงการให้นายช่างจัดทำตาม

แผนผังของตนทุกประการ
ศาลานี้จัดเป็นส่วน กุ มีห้องพักที่จัดไว้เพื่ออนุเคราะห็แก่ประชาชนด้งนี้ ห้องสำหรับหญิง

อนาถาคลอดบุตร ห้องสำหรับสมณพราหมณ์ผู้อาคันตุกะ ห้องสำหรับคฤหัสถ์ผู้เดินทาง หัองสำหรับ


เก็บสินคัาของพ่อคัาผู้มาพัก ห้องเหล่านี้มีประดูออกทางหน้ามุขศาลาทุก กุ ห้อง ภายในบริเวณศาลามี

สนามเล่นกว้างขวาง พอแก่เด็กจำนวนพันจะลงเล่นได้พร้อม กุ กัน และยังมีห้องโถงกว้างขวาง เป็นห้อง


ประชุมใหญ่ ในเมื่อมีเรื่องที่ต้องวินิจฉัยบังเกิดร้น และเป็นสถานที่ให้การอบรมแก่ประชาชน ให้ข้อควร

และไม่ควร ครั้นการสร้างศาลาเสร็จแล้ว ก็เรียกนายช่างเขียนมาเขียนภาพอันวิจิตรตระการตา โดยตนเอง


เป็นผู้บงการ จิตรกรรม ณ ศาลานี้งดงามน่ารื่นรมย์อย่างแท้จริง เป็นยอดในกระบวนศิลปะการเขียน ศาลา
นี้ปรากฎโดยความงดงามเปรียบกันได้กับสุธรรมาเทวสภาทีเดียว

เสร็จจากการสรัางศาลา บัณฑิตน้อยให้ขุดสระโบกขรณี เพราะดำริว่า “เพียงแต่ศาลายังหา


งดงามเพียงพอไม่ ศาลาที่ไม่มีสระประกอบก็ดูไม่สง่า สระกระทำให้ศาลาปรากฎเฉิดฉายร้น” สระ

โบกขรณีทีขุดนั้นให้ขุดเป็นเวิ้งว้งคุ้งวง ลดเลื้ยวไปนับด้วยพันคุ้ง สร้างท่านี้าสำหรับฝูงชนลงอาบไว้ดั้ง

รัอยท่า แม้จะมากันมากมาย ก็กระจายกันลงได้อย่างสบายไม่เบียดเสียดกัน ฝังสระโดยทั่วไปให้นายช่างอิฐ

kalyanamitra.org

ก่ออิฐโดยทั่วตลอดหมด วิสัยสระจะต้องมีบัวจึงจะงาม บัณฑิตน้อยให้'ปลูกอุบลและปทุมเบญจพรรณชู

ใบ ชูดอก ชูช่อ แลสล้างสลอน ปทุมแทรกอุบลปะปนปทุมแทรกกอบ้าง แทรกกันเป็นกลุ่มบ้าง ยาม


'มีดอกก็บานสลับกัน ทั้งโดยพรรณและโดยประเภท งดงามวิเศษนัก นํ้าในสระใสซึ่งเห็นถึงพื้นดิน ฝูง
ปลาพากันว่ายเวียนวนไปมามั่วมูล เทียบเทียมนันทโบกขรณีชันมีในดาวดึงส์เช่นนั้นเทียว

มั่งโบกขรณีให้ส่ร้างเป็นสวน ปลูกพรรณพฤกษชาติต่าง *1 สล้างสลอน บางตอนปลูกไม้ยืนด้น


ทั้งไม้ผลไม้ดอกคูร่มครื้มงามตา บรรดาไม้ดอกก็มีดอกออกบานทุกฤดูกาล ไม่อย่างนั้นก็อย่างนํ๋ ไม่มีขาด

ตลอดปี ไม้ผลก็เช่นนั้น พื้นภูมิภาคเล่าก็มีหญ้าแพรกมียอดเสมอกัน ไม่สั้นไม่ยาว นุ่มปานผ้ากัมพลขนยาว


น่านั่งนอน แม้นจะพักผ่อนนั่งเล่นนอนเล่น ก็เป็นที่สำราญรมย์ยิ่ง ความร่มรื่นแห่งสวนชวนให้'ฝูงชน

เพลิดเพลิน จึงประมวลว่าเหมือนชลอนันทวันในดาวดึงส์ ซึ่งมีฉายาว่า โมหว่น่ ลงมาไวัฉะนั้นเทียว

ที่ศาลานํ่ ประชาชนพากันมาพักเนืองแน่นทุก *1 วัน ความสะดวกสบายที่ผู้สัญจรไปมาจะพึง

ได้รับอย่างใด อย่างนั้นรับรองครบครัน ณ คาลานํ๋ อาหารการบริโภคตลอดจนนำใ,ซันํ้ากิน การดูแลรักษา

พยาบาลมิครบครัน บัณฑิตน้อยได้จัดการเป็นที่เรียบร้อยโดยมุ่งให้เป็นทาน พูนเพิ่มบารมีของตนให้ยิ่งยอด

ท่านผู้เป็นสมณพราหมณ์ก็ได้รับภักษาหารตามบัญญ้ติแห่งตน *1 ฝูงชนทั่ว *1 ไปก็ได้รับตามสภาพแห่ง

ตน *1 ทุกคนมีความสุขในการพัก แม้น *1 กับอยู่ ณ ถิ่นฐานบัานเมืองตน พ่อด้าพาณิชย์ต่างได้รับความ

เบาใจในการพัก ไม่ต้องพะวักพะวนใจด้วยข้าวของ หญิงอนาถาไร้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งเพราะไม่สามารถ

จะสร้างเหย้าเรือนได้ ก็พากันมาคลอดบุตร ณ ห้'องซึ่งจัดไว้รับรองเป็นชันดี เลียงสรรเสริญบัณฑิต-,

น้อยได้กระจายไปในทิศานุทิค
ยิ่งกว่านั้นในกาละชันควร มีการประชุมกันในห้องโถงของศาลา บัณฑิตน้อยนั่งเหนืออาสนะ

ประกาศกรณียะ คือกิจที่ควรกระทำ และอกรณียะ คือกิจที่ไม่ควรกระทำว่า สิ่งนเป็นหน้าที่แห่งมนุษย์

หญิงชายควรกระทำ เป็นความถูก เป็นความชอบ เป็นความดี อำนวยผล เป็นความสุขความเจริญ


สิ่งนั๊เป็นอกรณียะ เป็นกิจที่ไม่ควรกระทำ ควรละเว้นเสีย แม้นไม่ละเว้น จะเป็นเหตุให้เกิดโทษนานา
เพราะเป็นความสดความไม่ดีไม่งาม ฝูงชนที'พากันมาได้สดับรับพัง พากันโมทนาสาธุการอยู่ทั่วไป

บัณฑิตน้อยผู้นื้ มีนามเรียกว่า มโหสถกุมาร เป็นบุตรแห่ง ท่านสิริว่ฒนะ เศรษฐีผู้เป็นมหา


เศรษฐีแห่งยวม้ชฌคามตะวันออกนื้ เวลาที่บัณฑิตคลอดจากครรภ์มารดา คือ นางสุมนาเทวี นั้น ได้ถือ
แท่งโอสถทรงสรรพคุณวิเศษมาด้วย และบอกกับมารดาในเวลาที่คลอดนั้น ได้นำโอสถไปฝนทาที่ศีรษะ

ของท่านสิริวัฒนะซึ่งปวดมา ๗ ปีแล้ว เมื่อได้ทาโอสถนื้แล้ว อาการปวดศีรษะนั้นก็หายทันทีเหมือนมี

ผู้หยิบเอาไปทิ้ง อาศัยโอสถนั้นเป็นเหตุ จึงขนานนามกันว่า “มโหสถกุมาร” โอสถนั้นได้เป็นอุปการะแก่


มหาชนทั่วไปเป็นชันมาก

ท่านสิริวัฒนะเห็นอานุภาพของบุตรแล้ว ก็ดำริต่อไปว่า ‘‘ผู่ม่บุญญาธการเข่นนจ^ไม่เกดลำฟา


ผู้เดยา” จึงให้คนไปเที่ยวสีบดู ได้ความว่าในเวลาเดียวกันกับที่มโหสถคลอดนั้น บุตรของอนุเศรษฐีอีก-

๑,๐๐๐ ก็พากันคลอดพร้อมกัน ท่านสิริวัฒนะได้ให้ความอุปถัมภ์ทุก ๆ คน ให้เครื่องประดับ ให้นางนม

kalyanamitra.org

และท้ามงคลเด็กทั้งหมดพรัอมก้นกับบุตรของตน บัดนื่ทุก *1 คนพากันแวดลัอมมโหสถกุมาร เป็นบริวารของ


บัณฑิตน้อย รูปร่างของมโหสถกุมารสมบูรณ์ ผิวพรรณเปล่งปลั่งประหนึ่งหล่อด้วยทองคำ เป็นยอดมิง

ยอดขวัญของประชาชนชาวยวมัชฌคามตะวันออกทุก *1 คน ในยวมัชฌคามตะวันออกจะเอ่ยข็อมโหสล
กุมารน้อยด้วยความภาคภูมิ และมีมมังการในมโหสถเต็มที่เสมอ ถ้าไปถามผู้หลักผู้ใหญ่ดึงบัณฑิตน้อย ก็

มักจะได้ชินคำว่า “อ่อ พ่อมโหสถของเราน่ะหรือ ตั้งแต่เกิดมาอายุเข้าปูนชราป่านนื่แลัว ยังไม่เคยพบบุรุษ

แกัวอย่างนื่เลย แกัวจริง *1 พ่อคุณเอ่ย” ถ้าไปลามเพื่อนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็จะได้ชินทุกคนพูดว่า

“อ่อ คุณมโหสถของเราน่ะหรือ วิเศษนักแล เป็นเอกทีเดียว ไม่มึใครสู้ได้เลย เก่งจริง กุ ดีจริง กุ” ทุกหน


ทุกแห่งในยวมัชฌคามตะวันออก ดลบอลอวลไปด้วยเสียงสรรเสริญ ไม่มีใครที่จะไม่รักไม่เอ็นดูไม่เข็ดชู

มโหสถกุมารเลย
มูลเหตุที่จะเกิดสรัางศาลาทีได้กราบทูลมาข้างด้นนั้น เนื่องมาจากมโหสถกับเพื่อนเด็กด้วยกัน

เล่นอยู่กลางบัาน เวลามีสัตว์พาหนะเดินมา เช่นข้างเป็นด้น บุกทำลายสนามเล่นให'เสียหาย และความ


สะดวกสบายในการเล่นในลานบ้านเล่าก็มีอยู่เพียงเล็กน้อย ตองกรำแดดกรำฝน วันหนึ่งฝนตกลงมาขณะที่

กำลังเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน พวกเด็กก็พากันวิ่งหนีฝนอย่างอลหม่านเหยึยบกันหกลัมเข่าแตก แข้ง

บวม เท้าบวม ได้ทุกขเวทนานัก มโหสถกุมารเห็นความเป็นไปนั้นแลัวสมเพชนัก เกิดความคิดจะกระทำ


กิหาสถานขื้นเป็นศาลา เพื่อใท้เกิดประโยชน์อย่างอื่น กุ อึกทั้งจักไม่ตองพากันลำบากเจ็บป่วยอย่างนื่ ด้าริ

แลัวก็ประกาศให้พวกเด็กรู้ทั่วกันว่า

“พวกเราพากันลำบากนัก ตองกรำแดดหนีฝนเจ็บป่วยไปตาม กุ กัน จะเล่นอะไรให้สนุกสนาน


สมใจก็ไม่ได้ เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวข้างมา ถ้าได้ศาลาไว้ลักหนึ่งหลังเป็นที่พักผ่อนนอนนั่ง เป็นที่ร่มแดตร่มฝน

ทั้งเป็นบริเวณที่จะไม่ถูกรบกวนด้วยสัตว์พาหนะก็จะเป็นที่สบายของพวกเรา'’
“เพื่อนเด็กพากันเห็นพ้องด้วยทุกคน มไหสถก็ให้ใปขอเงินกษาปณ์มาคนละกษาปณ์จากบิดา

มารดา รวมเงินได้ ๑,๐๐๐ กษาปณ์ แลัวเรียกนายช่างใหญ่มาทำการก่อสรัางได้ดังกราบทูลมาข้างด้นแลัว’'


“ดันมโหสถกุมารนื่ ข้าพระพุทธเจัาเห็นด้วยเกลัาๆ ว่า คงจะเป็นบัณฑิตคนที่คำรบ ๕ ของ

ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นแม่นมั่น เพราะเมื่อสอบวันเวลาแลัวก็เห็นด้วยเกลัาๆ ว่า ตรงกันกับวันที่

ทรงพระสุบิน เมื่อพิเคราะห์กิจการที่ปรากฎเป็นการกระทำนั้น กุ ก็เป็นพยานประจักษ์ซัดว่า เป็นกิจการ


แห่งผู้มีแกัวคิอบัญญาอยู่ภายในโดยไม่ด้องสงสัย การที่สามารถทำได้ การที่สามารถจัดได้ การที่รู้วิธีทำ

ให็วิจิตร การที่รู้วิธีจัดให้เหมาะเจาะทุกสิงทุกอย่าง นั่นมิใช่อื่น คือองค์พยานแห่งปรีชาแท้ กุ ใช่แต่เท่านั้น

แมัลึงรูปสมบัติก็ปรากฎดามองควิชาว่า ร่างกายนื่เป็นที่สลิดแห่งปรีชาดันกวัางขวาง จะทวงพระกรุณา

โปรดเกลัาฯ ประการใด ข้าพระพุทธเจัาจะนำบัณฑิตน้อยมาเสาใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้หรึอยังพระ-

พุทธเจัาข้า”
พระเรัาวิเทหราชได้ทรงสดับรายงานของอำมาตย์แลัวทรงพระปราโมทย์ยิ่งนัก ตรัสเรียกท่าน

เสนกมาเสารับสั่งว่า “เป็นอย่างไวท่านอาจารย์ เขารายงานมาอย่างนื่ เราควรจะนำบัณฑิตนั้นมาหรือยัง

เล่า”

kalyanamitra.org
®®

ท่านเสนกในตอนด้น รุ ก็ดูกระดึอรือร้นในเรื่องนํ่ เป็นเพราะด้องการจะจัดให้ถูกพระอัธยาศัย

เป็นสำคัญ แด่ครั้นเห็นทรงใฝ่พระทัยเป็นอันมากก็เกิดไม่พอใจ ไม่ตองการเห็นผู้หลักแหลมกว่าตนเข้ามา


อยู่ร่วมงานกัน วิสัยของคนใจแคบก็ด้องคิดแคบแค'ตนเท่านั้น ความเสื่อม ความเจริญของตนเท่านั้น เป็น
สิ่งสำคัญยิ่งกว่าอันใดหมด แม้ว่าจะเป็นกิจการแว่นแควันแดนดินก็ตามทีเถิด กัามีคนดีกว่าตนเข้ามาปฏิบัติ
งานแลัว ความเจริญจะมีขื้นในแว่นแคว้นดินแดนยิ่งนัก แด่กัาการเข้ามาของคนดีนั้นตัดรอนที่ตนเคยดีเคย

ได้อยู่ ก็ย่อมหาทางขัดขวางอย่างสุดเรี่ยวแรงฉันใด ท่านเสนกก็เปันเช่นนั้น จึงกราบทูลทันทีว่า

“ข้าแด่พระองค์ผู้สมมติเทพเจ้า เหตุเพียงให้สร้างศาลาเป็นด้นนั้นกังเป็นการเล็กนัอย ไม่สม

กับจะเป็นเหตุให้บุคคลได้นามว่าบัณฑิด ใคร *1 ก็สร้างได้ไม่น่าอัศจรรย์เลยพระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำของท่านราชวัลลภาจารย้แล้ว ก็ทรงพระดำริว่า “น่าจะกังมีเหตุ-


การณ์อะไรที,ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง เพราะการกระทำที'ไม่ใคร่ครวญให้รอบคอบนั้นเป็นความไม่ดีโดยธรรมดา

อยู่แลัว ยิ่งฐานะของพระองค์ควรวิจาร ณ์ให้รอบคอบกว่านั้น”

ท่านเสนกเห็นพระราชาทรงดุษณีภาพ ก็เลยกราบทูลต่อไปเพื่อป้องกันตน “ข้าแด่สมมติเทพเจ้า


ที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลทัดทานครั้งนั้ก็เพราะตรองเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า บุคคลผู้นั๊หากทรงกรุณาโปรด

วับเข้ามา ก็จะดำรงฐานะเป็นราชบัณฑิตของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แม้นกาวเป็นราชบัณฑิตจะพึงเป็น


กันได้ด้วยเหตุเพียงให้สร้างศาลาเป็นด้นแล้วก็ดูจะไม่มั่นคง หากว่าข่าวนื้แพร่หลายไปทั่วชมพูทวิป ก็จะ

เป็นที่รำลึกได้ด้วยความดูแคลน ในฐานะแห่งราชบัณฑิตของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ว่าอาจจะได้ด้วย

เหตุเพียงเล็กนัอย ขอได้โปรดทรงพิจารณาเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
ได้ทรงฬงลัอยคำของท่านอาจารย์แล้ว มีพระดำรัสให้ทูตผู้นั้นนำกระแสพระราชดำรัสไปแจ้ง-
แก่อำมาตย์ผู้นั้นว่า “ให้คงรออยู่ที่ยวมีชฌคามตะวันออกนั้นต่อไป มีเหตุการณ์อันใดปรากฎให้บอกเข้า

มาอีก"
เป็นอันว่าอำมาตย์ผู้นั้นคงประจำอยู่ ณ สำนักของมโหสถกุมารสึบไป

kalyanamitra.org
๓. แววปราชญ์
ระหว่างที่อำมาตย์ของพระเจ้าวิเทหราชประจำอยู่ ณ สำนักของมโหสถกุมารนั้น ได้ปรากฏ

เหตุการณ์ต่าง *1 หลายเรื่อง แต่ละเรื่องด้วนเป็นพยานแห่งปรีชาอันยอดเยี่ยมทั้งนั้น เมื่อมีเหตุอันใดปรากฏ

บังเกิดขื้นอำมาตย์ก็เรียบเรียงเป็นรายงานให้ทูตถือเข้าไปกราบทูลทุก *1 คราว เรื่องราวต่าง ๆ ที่บังเกิด

และที่อำมาตย์รายงานกราบทูลนั้นมีมากด้วยกัน หากจะคัดมาเล่าไว้ทั้งหมด เกรงจะเป็นเรื่องยืดยาวพา

ให้เยิ่นเย้'อ จึงขอคัดมาแต่บางเรื่องพอเป็นแบบฉบับสนับสนุนปรีชาเท่านั้น

** * วันหนึ่ง มโหสถกุมารกับเพื่อนเด็ก *1 ทั้ง ๑,000 คน พากันเล่นกีฬาอยู่ในสนาม เหยี่ยวด้ว

หนึ่งโฉบชินเนื้อมาได้จากเขียงที่ฆ่าสัตว์ คาบกระร่องกะแร่งบิน่ผ่านเข้ามาในบริเวณสนามกีฬา พวกเด็ก *1

เห็นเข้าก็เลยเอาเป็นกีฬาเสียด้วย วิธีเอาเหยี่ยวเป็นกีฬานั้นก็คึอ พากันวิ่งตามเหยี่ยวขู่ตวาตโห่ว้องเกรียวกราว

เพื่อให้เหยี่ยวตกใจปล่อยชนเนื้อลงมา ต่างคนต่างรู้สึกสนุกสนานมาก แต่ก็ต่างคนต่างลำบากมากไปตาม


กันด้วย เพราะพวกเด็กเหล่านั้นพากันวิ่งตามเหยี่ยวไปพลางแหงนตูคัวเหยี่ยวไปพลาง ต่างก็สะดุดตอไมั

ตกหลุม ตกบ่อ เจ็บปวดเป็นบาดเป็นแผล ลัมลุกคลุกคลานสะบักสะบอมไปตามกัน

มโหสถกุมารเห็นเช่นนั้น ก็รองห้าม ให้พวกเด็ก เหล่านั้นหยุตเสีย แลัวพูดว่า “คอยตูก็แตัว


กัน ฉันจะไล่กวดให้มันปล่อยชินเนื้อนั้นให้จงได้”

พวกเด็ก •เพากันหยุดไล่พร้อมกับพูดว่า “ให้มโหสลลองตูบัาง! ให้มโหสถลองตูหึ!” แลัว


ก็หลบเข้าให้พ้นทางวิ่ง
มโหสลกุมารวิ่งกวดไป ตาก็ตูเงาเหยี่ยวที่ปรากฏอยู่บนพื่นดิน โดยไม่ด้องแหงนตูบนพ้าเลย
กวดจํ่ไปโดยเร็ว ไม่ข้าเหซียบเงาเหยี่ยวได้ ตบมือตวาดขํ่นไปด้วยเสียงด้งสนั่น เสียงนั้นกัองเข้าหูของเหยี่ยว

แลัว ดุจจะผ่านเช้าไปคำรามคำรนอยู่ในท้องของมัน เสียวสยองยิ่งนัก มันตกใจพ้นประมาณจำด้องทิ้ง

ชินเนื้อลงมา แมัจะมีดวามเสียตายปานใด ความพรั่นใจยังมีอำนาจยิ่งกว่า มโหสถมองตูเงาเห็นชินเนื้อ

กำลังหลุดลอยลงมาจากปากเหยี่ยว ก็เอามือรองร้บไวัมิทันให้ตกถึงดิน

ทันใดนั้นเด็ก ๑,๐๐๐ คน ก็เปล่งเสียงโห่ร้องอึงคะนึงแถมตบมือกันกราวเกรียว เสียงโห่ร้อง


และเสียงปรบมึอมิได้มีแต่เฉพาะพวกเด็ก *1 เท่านั้น เยู่งชนที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นั้นก็อดมิได้หึ'จะแสดง

อาการชินชมเช่นนั้น เสียงนั้นจึงกีกกัองกัมปนาทยิ่งนัก ประหนึ่งจะท้าให้แผ่นดินในบริเวณนั้นถล่มทลาย

ลงก็ว่าได้

kalyanamitra.org
๑๓

เมื่อรายงานเรื่องนึ่ ทูตของอำมาตย์ได้นำมากราบทูลแด่พระเจ้าวิเทหราชแล้ว ท้าวเธอทรง

ชี่นชมโสมนัสเป็นลันพ้น มีพระดำรัสถามท่านเสนกว่า “ท่านอาจารย์เห็นอย่างไร? ประพฤติเหตุแห่ง


พ่อบัณฑิตเรื่องนึ่เป็นเหตุการณ์เพียงพอหรือยัง'ๆ ที่จะได้นำพ่อบัณฑิตฟ้ามา”
ท่านเสนกได้พ้งรายงานตลอดเช่นเดียวกัน ยิ่งเห็นความมีปรีชาของมโหลถกุมารยิ่งร้น พรัอม

กันนั้นก็ยิ่งพรั่นตัวกลัวตกอับยิ่งร้นตามกัน ดำริอยู่ว่า “มโหสถกุมารฟ้ามาสู่ราชสำนักเมื่อไร เราทั้ง ๔

คนเป็นหมดรัศมีกันทีเดียว พระราชาจักทรงลืมเสียก็ได้ บางทีถึงกับไม่ทรงเห็นเราเป็นผู้สำคัญเอาเลย


ทีเดียวก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนึ่ก็เป็นอันหมดกันในเรื่องลาภยศ เพราะฉะนั้นจำด้องกราบทูลทัดทานไว้ไม'ให้

ทรงเรียกฟ้ามา”
เมื่อพ้งพระดำรัสถามก็กราบทูลว่า “เหตุเพียงเท่านื้ยังเล็กนัอยเกินไปพระพุทธเจ้าข้า ไม่เพียงพอ

ที่จะไท้บุคคลได้นามว่าบัณฑิต”
พระเจ้าวิเทหราชทรงรับสั่ง “ที่จริงก็เป็นเหตุการณ์อันน่าชี่นชมอยู่มาก การทีสามารถเล็งเห็น
ได้ทั้งบนฟ์าบนดินพร้อมกันเช่นนํ่ ควรเป็นเครื่องหมายแห่งปรีชาอันยอดเยี่ยมได้ทีเดียว”

“ไม่เป็นการยากอันใดดอกพระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกกราบทูลยับยั้ง “เพียงแต่ใช์'ความคิด


เล็กนัอยเท่านั้น ก็สามารถกระทำได้ ตามรายงานปรากฏอยู่แล้วว่า มโหสถได้เห็นพวกเพื่อนกระทำกัน
ก่อน ได้ความลำบากไปตามกัน ก็คิดแก้ไขได้ ด้นหาเหตุผลได้ เป็นความคิดที่มีเงึ่อนให้คิด เป็นความเห็น

ที่มีเงาปรากฏอยู่แล้ว จึงไม่เป็นการยากที่จะคิดอ่าน ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นเป็นการเล็กนัอยอยู่พระพุทธ

เจ้าช้า”
ทรงสดับแล้วก็ประทับดุษณี รับสั่งไท้ทูตนั้นกลับไปนำพระกระแสรับสั่งไปบอกไท้อำมาตย์

นั้นประจำอยู่ที่ยวมัชฌคามตะวันออก คอยดูเหตุการณ์ต่อไป
ต่อมาวันหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งอุ้มลูกไปที่สระโบกขรณีของมโหสถเพื่อจะด้างหนัา นำลูกลงอาบนํ้า

ก่อนแล้ว พับผ้าทำเป็นเบาะปูให้ลูกนั่ง ณ ร่มไม้ริมสระ ตนเองลงไปล้างหนัา ท้นใดนั้นมียักษินีตนหนึ่ง

เห็นเด็กนั้นนั่งอยู่ประสงค์จะเกินเป็นอาหารเสีย จึงแปลงเป็นเพศหญิงมาลึงก็เอ่ยร้นว่า “อุแม่เอ๊ย หนู

คนนึ่ช่างน่ารักกระไร” พลางถามสตรีผู้เป็นมารดาว่า “นึ่เป็นลูกเธอหรือจ๊ะ”

สตรีนั้นตอบว่า “เป็นลูกของฉันเองจ้ะ”
“ความมีบุตรน่ารักเช่นนึ่ เป็นบุญของหญิงอย่างหนึ่งนะจ๊ะ” นางยักษ์กล่าวยอ “ฉันเองเคยมี

กับเขาเหมือนกันแหละจ้ะ แต่เห็นจะทำบุญไว้ไม่ดี หรือไม่มีวาสนาพอ เขาไม่อยู่ให็ได้ชี่นชมเขาไปนาน *1

เลย พลัดพรากจากไปเสียทั้ง กุ ที่กำลังน่ารักน่าชม”

“จะเป็นไรไปเล่าจ๊ะ” มารดาเด็กตอบ “ท่านว่ามาแต่ก่อนว่าลูกนั้นเหมือนผักห่อไว้ในพก ถึง


ตกหล่อนก็มีใหม่ได้ เธอยังไม่เกินวัยที่จะมีบุตรได้นึ่จ๊ะ”

“ถูกของเธอแหละจ้ะ” นางยักษ์รับสนอง “แต่มีแล้วไม่อยู่บ่อย กุ ฟ้าก็รัสีกว่าโอชาในการมี


นั้นลดลงเป็นลำดับ แหมขออุ้มหน่อยเถิดนะ ฉันจะให้แกดื่มนม ล้าจะหิวกระมัง?”

kalyanamitra.org
๑๔

“เชิญเถิดจ้ะ” มารดาเด็กอนุญาด
นางยักษ์อุ้มทารกขนชูชมหยอกเย้าเล่นหน่อยหนึ่ง แล้วก็พาหนิใป มารดาเด็กเห็นนางยักษ์จำแลง

พาลูกตนหนีไปก็รีบขนจากนํ้า วิ่งกวดตามไปทัน ชืดผ้านุ่งไว้พลางตวาดถามว่า “เอ็งจะพาลูกข้าไปไหน

ขอเขาอุ้มเขาก็ให้อุ้ม เพราะความเห็นใจ หน็อยแน่กลับจะมาพาไปเสียอีกเล่า”


นางยักษ์จำแลงเถียงว่า “แน่ ตูข็ หน้าไม่อาย อยู่ กุ ก็มาตู่เอาได้อย่างนั้นแหละ ลูกของเอ็ง

เอ็งได้มาจากไหน ลูกของข้าต่างหาก”
“แน์ขั๊ต่ จู่ กุ ก็ว่าเป็นลูกเด้าอย่างนั้นแหละ แล้วยังมีหน้ามาว่าเจ้าของเขาอีก เอาลูกของข้า

มานา” มารดาเด็กเถียงไม่ลดละ
“ไม่ให้! ลูกของช้าต่างหาก ลูกของแกเมื่อไรล่ะ” นางยักษ์จำแลงยึนกราน

ทั้งสองนางต่างทะเลาะโด้เถียงกันพลาง เดินไปพลาง ถึงประตูศาลา มโหลถกุมารได้ทังหญิง


ทั้งสองนั้นทะเลาะกัน ก็เรียกเข้ามาถามว่า “นางทั้งสองทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร”
หญิงทั้งสองต่างคนก็กล่าวหากันว่า อีกฝ่ายหนึ่งตู่ลูกของตน

มโหสถทังความแล้ว พิเคราะห์เห็นหญิงคนหนึ่งคือนางยักษ์จำแลง มีลักษณะผิดกว่าธรรมดา

สามัญชนอยู่คือ น้ยน้ดาไม่กระพริบเลย นัยน์ตามีลีแดงและไม่มีเงาตัวอีกด้วย ก็รู้ได้ว่าเป็นนางยักษ์จำแลง


กายมา เพื่อความกระจ่างแห่งข้อวินิจฉัยอย่างแท้จริง จึงถามหญิงทั้งลองว่า “ฉันจะตัดสินให้จะยอมหรือ

ไม่ จะทังคำวินิจฉัยของฉันโดยดีหรือไม่”
หญิงทั้งตู่ต่างรับว่ายอมให้มโหสถวินิจฉัย และจัดตั้งอยู่ในคำวินิจฉัยของมโหลถทุกประการ
มโหสถให้คนขีดเส้นที่พื่น ให้เด็กนอนระหว่างเส้นนั้น แล้วให้นางยักษ์จับมือให้มารดาจับเท้า
พลางบอกว่า “ใครแย่งได้แย่งเอา ใครดึงเด็กทันไปจากเส้นที่ขีดไว้ได้ เด็กก็เป็นลูกของผู้สามารถนั้น”
หญิงทั้งสองต่างดึงเด็ก ฝ่ายหนึ่งดึงด้วยแรงปรารถนาจะกินเป็นอาหาร ฝ่ายหนึ่งดึงด้วยแรงรัก

ในบุตร เด็กนั้นถูกซักเย่ออย่างนั้นก็ร้องเอ็ดอึง เลียงร้องของลูกรักนั้นเป็นเลียงที่มีอ่านาจยิ่งนัก บีบคั้น

หัวใจของมารดาแทบจะแตกสลายลงไปทีเดียว สุดที่จะทนต่อเสียงร้องของลูกได้ แล้วหญิงผู้มารดาก็ยอม

ปล่อย ยอมให้นางยักษ์ดึงไปฝ่ายเดียว ความสุขของลูก ความไม่ลำบากของลูก เป็นยอดปรารถนาของแม่


แม่จำยอมแล้ว ก็ยึนฟูมฟายนํ้าตา
มโหสถถามประชาชนที่มาประชุมกัน ณ ที่นั่น ชึ่งมีจำนวนมากมายว่า “ธรรมดาจิตใจของ

ผู้หญิงผู้เป็นมารดา กับของหญิงผู้มิใช่มารดา ฝ่ายไหนจะมีการอ่อนไหวไปตามอาการของลูก ของมารดา


หรือของผู้มิใช่มารดา ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ได้ส้งเกดศึกษามาเห็นพร้อมกันอย่างไว ?”

“ใจของมารดาชี อ่อนไหวไปตามอาการของลูก” เลียงตอบพร้อมกัน “คราวลูกอยู่ดีมีสุข ใจ


มารดาก็แช่มชิ่นเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส คราวลูกเจ็บไข้ได้ทุกข์ ใจมารดาก็พลอยเดือดร้อนสะท้อนไปด้วย

เป็นอย่างนึ่โดยธรรมดา”
“บัดนึ่เส่า ท่านทั้งหลาย เหตุการณ์ที่ปรากฏ บัดนั้เป็นอย่างไร?” มโหสถซัก “ใค?เป็นแม่เด็ก

คนที่แย่งเด็กไปได้ หรือคนที่ปล่อยเด็กเลียยืนร้องไห้ฟูมฟายอยู่นั้น”

kalyanamitra.org
๑๕

“หญิงที่ปล่อยเด็กเสียยืนร้องไห้นั่■นแหละเป็นมารดาเด็ก” ประชาชนตอบพร้อมกัน “ส่วนหญิง


ที่ได้เด็กหาใช่มารดาไม่”
“ถาเช่นนั้น” มโหลถกล่าวชื้นด้วยเสียงแจ่มใส “ท่านทั้งหลายก็คงทราบละซีว่า หญิงที่ได้เด็ก

ไปนั้นเป็นผู้ตู่ เป็นผู้ขโมยเด็ก”

“ข้อนั้นไม่ทราบแน่นอน ไม่อาจให้วินิจฉัยได้" ประชาชนตอบตามความรู้ความคิดของตน “ทราบ

แต่เพียงว่าหญิงผู้ได้เด็กไปนั้นมิใช่มารดาแน่นอน”
“นางคนน’ มโหสถพูดพลางซ็มือไปที่นางยักษ์จำแลง “ไม่ใช่หญิงมนุษย์ดอกเป็นยักษ์นิ จะ

แย่งเอาเด็กไปกินเป็นอาหาร”
“พ่อมหาจำเริญ รู้ได้อย่างไร” เลียงประชาชนถามกันเซ็งแซ่
“รู้ได้ที่มีลักษณาการบางอย่างผิดคน” มโหสถตอบ

“ผิดอย่างไร ?”
“ดูชิ นัยน์ตาแข็ง ไม่กระพริบเลย มีนัยน์ตาก็แดงกลํ่าและไม่มีเงาตัว” มโหสถอธิบาย “คน

อย่างนี่มีที่ไหนเล่า มิหนำซํ้าจิตใจยังผิดมนุษย์อีก ดูหรือเด็กอ่อนแท้ ยุ ยํ๋อที่งดึงไป เอาแต่จะแย่งให้ใด้

เป็นแลัวกัน จะเจ็บจะร้องอย่างไรก็ช่าง ขอให้ได้เด็กไปเท่านั้นเป็นพอ จิตใจทารุณโหดหินกระไร มนุษย์

จะมีจิตใจอย่างนี่มิได้เลย" ว่าแล้วก็เอ่ยถามนางยักษ์ “แกเป็นใคร?”


“เป็นยักษ์นิ” นางยักษ์ตอบตามความจริง เพราะจำนนต่อเหตุผล
“แกจะเอาเด็กคนนั้ใปทำไม ?”

“เอาไปกิน”
“โอ! ร้ายกาจมากทีเดียว คนอันธพาล!” มโหสถกล่าว “เอ็งช่างไม่สำนึกตนบ้างเลยทีเดียว
นะว่า เป็นเพราะอะไรเอ็งถึงได้มาเกิดเป็นยักษ์นึเช่นนั้ ไม่รู้หรือว่านี่เพราะผลบาปกรรมที่ได้กระที่าไร้

แต่ปางก่อนล่งเสริมให้มาบังเกิด แล้วยังจะมาหลงทำกรรมอันเป็นบาปหยาบซัาลงไปอีกเล่า จะควรละ


หรือ แล้วชาติไรเล่าที่เอ็งจะพ้นทุกข้ทรมาน พ้นจากกำเนิดอันเลวกะเขาได้ ไม่รักตนเสียตัวบ้างเลยหรือ”

นางยักษ์ได้พ้งเสียงอันไพเราะมากล่าวสอนค่อยส้นตัวได้จากอาการสลบอยู่ในกรรมอันเป็น
บาป ได้รู้ได้สำนึกตนชื้นมา ยิ่งคิดยิ่งเกิดความรันทดในการที่ตนด้องตกมาในกำเนิดอันตาทรามเช่นนี่ พรัอม

กันนั้นก็เหินว่า “ไม่ควรเลยที่จะมาชํ้าเติมตนเองให้ตกตำตลอดชาติ เพราะดนก็สามารถในอันจะถ่ายถอน

ตนเองได้อยู”่ แต่มิได้รู้หนทางอันควรจะตำเนินอย่างไรก็อัตอั้นใจจนใจตื้นตัน

มโหสถเหินอาการของนางยักษ์ด้งนั้น ก็ทราบว่าคงรู้'สำนึกชื้นมาแล้ว จึงได้ซ็แจงต่อไปในทาง


ที่ควรปฏิบัติให้นางยักษ์สมาทานเบญจศีล แล้วก็กล่าวว่า “คุณคือศีลนี่แหละนางยักษ์จักพาให้ประสบ

พบความสุข ความใจเย็น จงรักษาไร้ให้มั่นคงต่อไปเถิด” แล้วก็ปล่อยตัวไป

ฝ่ายมารดาเด็ก ได้ลูกคืนมา แสนจะดีใจพรำรำพันพระคุณมิขาดปาก ในการที่ได้ช่วยลูกนัอย

ของนางไว้ ลงท้ายอำนวยพร “ขอให้พ่อมีอายุยืนนานด้วยอำนาจซ็วิตทานในครั้งนี่เถิด” แล้วพาบุตรกลับ

ไปตามปรารถนา

kalyanamitra.org
๑๖

เมือพระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสตับรายงานของอำมาตย์ในเรื่องนี่แล้ว ก็ตรัสปรึกษากบท่านเสนก

ว่า “เป็นอย่างไรท่านอาจารย์ พ่อมโหสถมีปรีชาญาณยอดเยี่ยมจริงๆ เธอได้ปฏิบัติกิจอันสำคัญ ให้ซ็วิด


แก่ลูกน้อยของหญิงนั้นไว้ แม้นไม่มีพ่อมโหสลแล้ว ที่ไหนเด็กนั้นจะพ้นเป็นเหยี่อยักษินิ ว่าในเชิงคดีเล่า
ก็เป็นคดีไม่มีผู้รัเห็น ไม่มีใครอยู่ท,ี นั้นขณะที่ยักษินิแย่งเด็กมา แม้มโหสถไม่มีปรีชาจริง ๆ แล้ว ก็ยากที่จะ

วินิจฉัยให้เป็นยุติธรรมได้ นเราจะรับตัวเข้ามาหรือยังอาจารย์”
“โปรดยับยั้งในการที่จะรับตัวมโหสถไว้ก่อนเถิดพระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกทัตทานไว้เพราะ
อัธยาศัยตระหนี่ในลาภยศตามเคย “ที่มโหสกตัดสินก็ยังเป็นเรื่องเล็กน้อย ยังมีช่องที่บุคคลอื่น ๆ อาจลวง

เข้าทักท้วงได้อยู”่
“ฉันเห็นว่าเป็นกิจอันสำคัญยิ่งอยู่แล้ว” รับสั่งยืนยัน “ยังไม่เห็นช่องที่ใครจะล่วงเข้าทักท้วง

ได้ตรงไหน ท่านอาจารย์เห็นอย่างไรลองว่ามาดูก่อน”
“ในเบื้องด้นทีเดียว บุคคลที่มาเผชิญยันยับมโหสกนั้นเป็นยักษินีนี่เป็นข้อที,อาจเห็นเป็นช่อง

ได้” ท่านเลนกกราบทลพลางบรรยายต่อไป “ตามเรื่องนั้นเงอนสำคัญในการวินิจฉัย ไม่มีอะไรนอกจาก


ใครปล่อยเด็ก เมอได้เงื่อนนี่แล้ว อื่น ๆ ก็เป็นหลักประกอบไป คราวนี่ต่างว่ายักษินีจะมีปัญญาลักหน่อย

ปล่อยเสียบัางเล่า จะเอาอะไรเป็นเงื่อนต่อไปได้ แด่เพราะยักษิน้ไม่มีปัญญาอย่างนั้น มุ่งหน้าแต่จะได้

เด็กไปเท่านั้น แสดงว่ามันโง่งมบรมเชอะ มันจึงตองตกเป็นเครื่องประกาศปัญญาของผู้มีปัญญา จะเป็น


การประหลาดอะไรทีคนโง่ต้องจำนนต'อผู้มีปัญญา ถึงอย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้วันยังคํ่า ด้วยอำนาจที่โง่กว่า

เขา การมีปัญญาด้วยเอาความโง่ของคนโง่เป็นเครื่องวัดนั้นจะอัศจรรย์อะไร นี่แหละ พระพุทธเจ้าข้า

เป็นข้อที่ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้า-) ว่า ยังเป็นช่องกว้างพอที่จะทำให้คนทั้งปวงล่วงเข้ามาติเตียนได้

อยู่ยังไม่พ้นไปได้ และก็เห็นเหตุฉะนี่แหละ จึงได้กราบทูลทัดทานใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไว้พระพุทธเจ้า

ข้า” ทรงลตับเหตุผลของท่านเสนกแล้ว ก็รับสั่งให้ทูตนำพระกระแสรับสั่งกลับไปบอกให้อำมาตย์ผู้นั้น

คงอยู่ในสำนักของมโหลถสีบไป

kalyanamitra.org
๔. แววปราชญ์ (ตอ)
ชายหนุ่มํเตั้ยแคระ ผิวดำ ชี่อ โคฬกาฬ มีความรักในสาวงาม ซือ นางท้ฆตาลา แต่เพราะ
โคฬกาฬเป็นคนขํ่เหร' เสน่ห์ไนทางรูปสมบัติบกพร่อง มิหนำซํ้าทางทรัพย์สมบัติขาดแคลน แด่อานุภาพ

แห่งความรักนั้นควรจะพิศวงอาจบันดาลได้ต่าง คุ ชั๋หนทางให้ผู้ตกอยู่ในอำนาจกระทำได้ แม้แต่กรรม


ที่ไม่เคยคิดจะทำเลย เมื่อโคฬกาฬตกเหวรักอันลึก มองเห็นเทพธิดาหนำแฉลัมสถิตอยู่ที่ปากเหว บันได
ที่ก้าวร่นก็ไม่มีในด้านรูปสมบัติและทรัพย์สมบ้ตก็สิ้นไรั คงมีแด่คุณสมบัติประการเดียวที่ยังเหลืออยู่ เป็น

สิ่งเดียวที่โคหกาฬจำด้องใช้เป็นบันไดไต'ขีนไปหาแม่เทพธิดา โคฬกาฬไม่ยอมจำนน นำตนฟ้าไปมอบ


แก่บิดามารดาของนางทีฆตาลา สุดแต่จ?ใช้สอย งานหนักก็เอางานเบาก็สู้ ไม่มีบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลีก

ทำด้วยความเต็มใจจริง คุ ยิ่งนานวันนานเดือนอุตสาหะพยายามของเขาก็หนุนตนขนมาเรื่อย คุ และใกล้

เทพธิดาฟ้ามาทุกที พอครบ ๗ ปี ก็ได้รับบำเหน็จสมความปรารถนา ได้นางทีฆตาลาเป็นคู่ครอง


เมื่อได้ร่วมคู่อยู่ครองกันไม่ช้าวัน โคฬกาฬคิดถึงบิดามารดาเพราะได้พลัดพรากจากมาเป็น
เวลานานปี ก็ปรารถนาจะไปเยี่ยม การไปนั้นเล่าไม่ควรจะไปมือเปล่า ควรหาอะไรติดมือไปฝากบ้าง อะไร

ก็ไม่ดีเด็ดเหมือนด้งวัตถุที่เกิดด้วยฟิมีอเมีย เพราะจะทำให้'บิดามารดาได้รู้รสมือ และทราVถึงคุณสมบัติ

แห่งสะใกัได้ดี จึงอ้อนวอนนางทีฆตาลาว่า “นางผู้เจริญ ทอดขนมให้หน่อยเถิด


“แกจะเอาไปไหนเล่า” นางถาม
“นางเอย ข้าจากบัานมานานแล้ว อำนาจเสน่ห์ได้ผูกม้ดข้าไวั ณ ที่นิ้เป็นเวลาหลายปี บัด่นํ๋

จักไปเยี่ยมพ่อแม่บัาง และจักพานางไปด้วย ให้พ่อแม่ได้รู้จักมักคุ้น” โคฬกาฬแถลง

“จะไปทำไมกัน ไหนว่ามีช้าแล้วก็เท่ากับมีทุกอย่างอย่างไรเล่า” นางห้ามด้วยเชิงพ้อ “บัดนั้สิ

ปรากฎแล้ว ข้ามีได้เป็นทุกอย่างของแก”
“หามีได้ นางเอย นางเป็นทุกอย่างของข้านั้นแน่นอน” รีบแก้ “แต่นางก็มีบ้ญญา อาจพิจารณา
ไตร่ตรองได้ดี อันกรณียกิจที่บุตรจะพึงปฏิบัติต่อบิดามารดานั้น เป็นฉันใด แม้ละเลยเพิกเฉยมินำพาแล้ว

จะเป็นประการใด จะเป็นคนถูกตำหนิสถานไหน”
“ก็จริงอยู่ แต่กิจการทางนํ่เล่า จะได้ใครขวนขวายจัดแจง” นางแย้งด้วยยังไม่ปรารถนาจะไป

“เมื่อแกอยู่ได้เป็นกำลังใหญ่ ไปเลียก็จะวุ่น แม้จะมีคนอื่น คุ. ก็คงไม่เหมือนแก”


"การงานทางนื้ปล่อยเป็นภาระของผู้อื่นไปพลาง เว้นแต่บางชนิดที่เป็นกิจอันเหลือกำลังผู้อื่น

ก็ปล่อยไว้ก่อน เมื่อกลับมาก็จัดทำให้สำเร็จไปโดยเรียบรัอยวางใจเถิด ยังไม่เห็นความสามารถของข้าหรือ

ไร” โคฬกาฬแถลงเป็นการฟินดวามดี

kalyanamitra.org
๑๔

นางทีฆตาลาตกลงยอมตาม ทอดขนมอันเป็นเสบียงด้วยและเป็นของฝากด้วย นอกจากนี่โคฬกาฬ

ยังได้จัดหาของฝากอื่น ๆ สมทบเข้าอีก เสร็จแลัวสองคนผัวเมียก็ชวนกันเดินทางมาถึงแม่นี่าขวางหน้า

อยู่ นี่าในแม่นี่าไม่ลึก พอเดินข้ามได้ แต่โคฬกาฬและนางทีฆตาลา ไม่มีใครที่พอจะเรียกว่าเป็นคนกล้า

ได้ พอเห็นแม่นี่าขวางหน้าเท่านั้นก็สั้นบีญญา ไม่อาจจะลงไปในนี่า คงยีนรออยู่บนฝัง


ขณะที่สองผัวเมียยีนรออยู่นั้น มีชายเข็ญใจคนหนึ่งชี่อ ท่'มป็ฎฐิ เที่ยวรับจ้างทำการต่าง *1 ตาม
แต่จะมีผู้จ้าง เดินเลียบมาตามฝังแม่นี่า ถึงที่สองผัวเมียยีนรออยู่ สังเกตดูท่าทางรู้ได้ว่าเป็นคนขลาด'นา

ก็นึกในใจว่า “คง'เป็นโอกาสดีของเราที่จะได้ค่าจ้าง และฉวยเหมาะก็คงได้รับความรื่นรมย์ใจบ้าง” ขณะ


ที่กำลังรำพึง ก็พอดีได้ยินเสียงโคฬกาฬถามว่า “นี่แน่พ่อสหาย นี่าในแม่นี่านี่ลึกหรือตื้น สหายทราบ

บ้างไหม”
“โอ แกเอ๋ย นี่าในแม่นี่านี่ลึกมาก” ทีฆปิฎฐิบอกลวง พรัอมกับมีท่าทางประกอบเพื่อให้เห็น

จริง “ยิ่งกว่านั้น ตอนนี่มีสัตว์ดุร้ายชุมเสียด้วย”

“สหายจะข้ามเหมือนกันมีใช่หรือ” โคฬกาฬถาม

“กันจะข้ามซี ข้ามไปฝังโน้น”
“ก็เมื่อมีสัตว์ร้าย ‘เ มาก สหายจะข้ามไปได้อย่างไร” โคฬกาฬถามด้วยความสงสัย “แกยัง
ไม่ทราบหรือว่า เจ้าพวกสัตว์ร้ายในนี่ามันชำนาญในการสูดกลิ่น และมันรู้จ้กมักค้นกับคนได้เหมือนกัน”

ทีฆปิฎฐิบรรยาย “เจ้าจระเข้และมังกรค้นเคยกับกันมาก และกลิ่นของมันกันก็จำได้ เหตุนี่แหละกันจึง

ไม่ถูกเบียดเบียนจากมัน พวกที่เป็นผู้แปลกมาเห็นท่าปลอดภัยได้ยาก ความปลอดภัยของผู้แปลกมานั้น

ควรจะอยู่ที่พยายามไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายลงไปแช่นี่าเป็นอันขาด”
สองผัวเมียฬงแล้วสยองใจ และคิดเห็นเป็นคุณอยู่อย่างหนึ่งที่ตนมิได้ผลีผลามลงไปในแม่นี่า

เป็นการถูกต้องยิ่งนักที่ความขลาดได้ช่วยยับยั้งเขาไร้เสีย แต่ความวิตกกังวลว่า “ทำอย่างไรจึงจะข้ามไป

ได้ เมื่อผู้ขามได้มีอยู่ ก็ควรอาศัยผู้นั้นพาข้ามเป็นสำเร็จแน่” คิดแล้วโคฬกาฬก็เอ่ยกับทีฆปิฎฐิว่า “สหาย


เอ๋ย เราทั้งสองมีธุระจำเป็นจะด้องข้ามไปฝังโน้น สหายเป็นผู้สามารถอยู่ช่วยพาเราข้ามไปด้วยซี เราทั้ง

สองจะขอบคุณและสมนาคุณตามกำลังตน ”
“ได้ซีเป็นไรไป” ทีฆปิฏฐิพูดรับรอง “เรื่องบุญคุณนั้นเป็นเรื่องสำคัญในฝ่ายแก สำหรับกัน
ไม่สำคัญเลย วิสัยผู้สามารถด้องช่วยผู้ที่ไม่สามารถ ผู้มีกำลังมากต้องโอบอุ้มคุ้มครองผู้ทรพล นี่เป็นหลัก

ธรรมประจำเผ่าอริยะมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว การช่วยเหลือเอื้อกูลผู้ไม่สามารถ การให้ความโอบอุ้มแก่

ผู้ทรพลเป็นวินัยสำคัญของเผ่าอริยะ กันเป็นผู้หนึ่งในเผ่าอริยะก็อยู่ในวินัยนั้น การกล่าวถึงบุญคุณ จึง

มิใช่ข้อคำนึงของกัน ทางที่ถูกต้องเท่านั้นที่กันคำนึง”

“โอ ช่างดีจริง” อุทานร้นทั้งคู่ แล้วโคฬกาฬกล่าวต่อไปว่า “เมื่อเผ่าอริยะพบกันแล้ว ความ


เจริญเป็นปรากฏแน่ ที่ไม'สามารถก็อาจบรรลุความสำเร็จได้ด้วยอาศัยผู้สามารถ ที่ทรพลก็อาจได้ร้บคุ้ม­

ดรองจากผู้ที่มีกำลัง ผู้มีความสามารถผู้มีกำลังไม่เพิกเฉย ให้ความเอื้อเฟิออยู่ตามควรดังนี่แล้ว ความ

kalyanamitra.org
ด๙

เจริญย่อมเกิดร้นโดยไม่ต้องสงสัย ผู้ทได้รับอุปการะเล่า แม้นเป็นเผ่าอริยะก็ด้องสำนึกในอุปการคุณนั้น

นํ๋เป็นหลักธรรมประจำเผ่าเช่นเดียวก้น และเป็นวิสัยของอริยะเหมือนกัน สหายคงทราบดีว่า ผู้มิใช่เผ่า


อริยะย่อมมีดวามจำและความลืมต่าง *1 กันกับผู้เป็นเผ่าอริยะ ผู้มิใช,เผ่าอริยะจำได้แม่นยำถึงความดีที่ตน

กระทำแก่ผู้อื่น และความข้วที่ผู้อื่นกระทำให้แก'ตน ลืมได้ง่ายดายซึ่งความดีที่ผู้อื่นกระทำแก'ตน และความ

ไม่ดีที่ตนกระทำแก่ผู้อื่น ตรงกันข้ามผู้เป็นเผ่าอริยะจำได้แม่นยำร้นใจนักถึงความดีที่ผู้อื่นกระทำแก่ตน
และความไม่ดีที่กระทำแก่ผู้อื่น ลืมได้ง่ายดายนัก ซึ่งความดีที่ตนกระทำแก่ผู้อื่นและความไม่ดีที่ผู้อื่นกระทำ

แก่ตน”
“มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ” เสียงของนางทีฆตาลาข้ดจังหวะเข้ามา “จะให้คำพูดพาเราข้าม

ไป หรือจะให้กำลังความสามารถของคนพาเราข้ามไป”
“คำพูดย่อมพาเราข้ามไปไม่ได้ดอก นางเอย” โคพกาฬพูดเสียงอ่อน “แต่ความดีใจความซิ่นชม

ของคนแสดงออกได้ด้วยคำพูด จริงละ กำลังความสามารถของคนและของสหายผู้'น โดยเฉพาะจะพาเรา


ข้ามไป ลัาแม้นางเห็นเช่นนั้น ก็จัดแจงเสริมกำลังให้แก่สหายของเราก่อนที่จะพาเราข้ามฝังซี”

นางทีฆตาลาจัดแจงแบ่งขนมที่เตรียมมาออกเลํ่ยงดูทีฆปิฏฐิอย่างอิ่มหนำสำราญ

ทีฆปิฎฐิบริโภคจนอิ่มแลัว เอ่ยร้นกับโคฬกาฬว่า “จะให้กันพาใครไปก่อนล่ะ ” “พาภรรยา


กันไปก่อนเถิด” โคฬกาฬตอบ “กันจะคอยอยู่ฝังนํ๋แลัวค่อยมารับกันไปภายหลัง”

ทีฆปิฎฐิให้นางทีฆตาลาร้นขี่คอตน พร้อมทั้งขนเอาเสบียงอาหารและของฝากทั้งสํ๋นไปด้วย

เดินลงนํ้ายิ่งห่างฝังก็ยิ่งย่อตัวลง เพื่อแสดงให้โคฬกาฬเห็นจริงว่านํ้าลึก ซึ่งสมประสงค์เพราะท้าให้โคฬกาฬ

เกิดความหวาดกลัว ดำริว่า “แม่นํ้านํ๋ลึกจริง เขาสูงกว่าเราตั้งสองเท่า ยังเพียงเอวเพียงอก แม้เราก็มิด

หัวเลย”
ฝ่ายทีฆปีฎฐิ พานางทีฆดาลามาถึงกลางแม่นํ้าก็เอ่ยร้นคลัายจะปรารภว่า “วันนิ้พระศรีได้นำ

เรามาสู่ลาภ ได้กินขนมอันโอชารส และได้ผัสสะอันนุ่มนวล มีกาลกรรณีแทรกแซงเสีย ทำให้เห็นความ


เป็นคู่เคียงที่ไม่คู่ควร”

“เสียงแกบ่นอะไรพึมพำ” นางทีฆตาลาถาม
“ฉันบ่นว่า วัน'แโชคดีงาม พระศรีนำทางมาพบลาภหลายประการ ได้บริโภคอาหารรสโอชา
แต่เป็นวาสนาที่อตมีกาลกรรณีเข้าแทรกเลียมิได้ ทำให้ต้องมาพบคู่เคียงที่ไม่คู่ควร” ทีฆปิฎฐิตอบนาง

“ทำไม จึงว่าคู่เคียงที่ไม่คู่ควร” นางซี'ก “ความเป็นคู่กันแห่งหญิงและชายย่อมเป็นวิสัยแห่ง

ธรรมดาของโลก เหมือนแมลงภู'เป็นคู่กับดอกไม้'’
“นั้นเป็นหลักใหญ่ มิใช่หลักย่อย” ทีฆปิฎฐิแยัง “ธรรมดาหลักเกณฑํในโลกนั๊ย่อมมีข้อปลึก

ย่อย ความเป็นคู่ก็เช่นเดียวกัน มิใช่ว่าหญิงกับชายจะคู่ควรกันไปทุกราย ความคู่ควรเป็นกิจแห่งมนุษย์

ในพิภพจะพึงเห็นด้วยตนเอง”

“เป็นอย่างไรกันเล่า” นางถาม

kalyanamitra.org
๒๐

“ความสูงกับความตำ ความงามกับความขเหร่ แม้นำมาเข้าคู่กันเมื่อใด ความผันแปรเป็นบังเกิด


ขนเมือนั้น” ทีฆปิฎฐิแถลง “ตามเกณฑ์ทีควร ผู้สูงควรจะคู่กับผู้ที่สูงกว่าเมื่อเข้าเคียงกันแล้วก็คู่ควร เพราะ

ผู้สูงกว่าจะทำให้ความสูงที่มีอยู่เป็นความพอดี ล้ามาเคียงคู่กับผู้ที่ตํ่ากว่าก็จะทำให้ความสูงนั้นชะลูดหนัก

■ปนไป ผู้ตํ่าเล่าก็ควรหาคู่ที่ตํ่ากว่า เมื่อเข้าเคียงกันก็จะดูสมกัน เพราะผู้ตํ่ากว่าจะช่วยชูให้ดูสูงขื้นถึงขนาด

พอดี ล้ามาเคียงคู่กับผู้สูงกว่า ความสูงนั้นจะกดความตํ่าลงเป็นเตยแคระตะแหมะแขะไป เมื่อเป็นเช่นนิ้


ความสง่าผ่าเผยอันควรมีก็จะมีไม่ได้ และก็มิใช่เป็นการเหลือวิลัยแห่งผู้ฉลาดซึ่งจะมองเห็น”

“บุคคลบางคนไม่อาจเลือกเฟ้นสิ่งต่าง *1 ได้ตามความพอใจกัน ด้องยอมรับสิ่งที่ผ่านมาโดย

อาการที่เบิกบาน” นางปรารภ “เปรียบเหมือนเราด้องการจะได้ร่มกั้นลักคันหนึ่ง เราอยากจะได้ร่มแพร

แต่ร่มแพรในที่นั้นไม่มี มีแต่ร่มผ้า ความต้องการของเราก็เร่งรัอนก็จำต้องใช้ร่มผ้าที่ตนมี นึ่ก็เป็นหลักการ

ของอารยชนมิใช่หรือ”
“อา นางผู้มีบัญญา ถูกละ! ล้อยคำของนางฬงแล้วจับใจ” ทีฆปิฏฐิยอ ความจริงก็ควรจะ
เป็นเช่นนั้น วิสัยอารมณ์ย่อมพอใจสิ่งที่ตนมียินดีสิ่งที่ตนได้ แต่นางผู้เจริญต่างว่าบุคคลอาจจะได้สิ่งที่ตน

พอใจในกาลต่อมา เปรียบเหมือนได้ร่มผ้าไว้เป็นกรรมสิทธํ่แล้ว ครั้นมาพบร่มแพร อันเป็นสิ่งที่พอใจ

จะได้มาแต่เดิม ผู้ฉลาดจะพึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะดี การที่บุคคลผู้เดียวจะกั้นร่มคราวเดียวกันสองคันนั้น

เป็นการวิตถารเหลือที่ค ณนา”

ภาวะที่จะพึงทราบได้ยาก หยั่งได้ลำบาก ปรากฎขื้น ทีฆปิฎฐิคีอความนึ่งของนางทีฆตาลา

ความนึ่งเป็นเรื่องคาดหมายได้ยากถึงเหตุที่นึ่งจะเป็นนึ่งเพราะจำนนก็ได้ เพราะไม่ปรารถนาจะต่อความ

ยาวสาวความซีดก็ได้ นางทีฆตาลาจะนึ่งเพราะเหตุใด หรือจะกำลังวินิจฉัยว่าจะควรตอบอย่างไร จะควร

ปฏิบัติในข้อสมมตินั้นสถานไหน
เห็นนางนึ่ง ทีฆปิฎฐิก็เอ่ยขื้นตรง *1 ว่า “นางผู้เจริญใจ คนอย่างโคพกาพนอกจากจะนำความ

ขรื่วขํ่เหร่มาทำให้ความสวยงามอันน่าคูน่าชมของนางตองอับเฉาลงแล้ว ยังจะไม่สามารถให้การบำรุงบำเรอ
นางได้สมภาวะของนางอีกด้วย นางผู้เจริญใจไม่ควรจะเป็นคู่กับเขาเลย และเขาก็ไม่ควรจะเป็นที่รักที่

เจริญใจของนางเลย หากนางเห็นความสำคัญแห่งตนอยู่อย่างชัดเจนแล้วไซรั เชิญมาอยู่กับพี่เถิด พี่จะ

เลํ๋ยงดูใหัมีความสบายทุกสิ่งทุกประการ พี่จะหาบำรุงบำเรอมิให้ต้องระคายเคีอง ผ้าผ่อนแพรพรรฌ

สรรพอลังกา ทั้งช้าทาสบริวารที่จะชัดแจงให้นางอย่างพรัอมมูล เชิญมาอยู่กับพึเถิดนะจึะ อย่างโคหกาฬ


มันชักทำอะไรแก่นางได้ บํวยการที่จะเป็นคู่กับคนอย่างนั้น ร่ายกายตํ่าเตั๋ย ความคิดอ่านก็ม้กจะอนุโลมแก่

ร่างกาย ม้กคิดตํ่าคิดเตํ่ยไปทั้งนั้น ถึงแม้จะทำสูงได้ในบางโอกาส แล้วก็คงตกลงมาสู่ความเตยความตํ่า

อีก เหมือนซีนเขย่งเท้าจะยืนอยู่ได้นานเท่าไรเชียวนาง ไม่ควรเห็นว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ควรจะคู่เคียงด้วย

เลย”
ด้วยเหตุผล ด้วยคำประโลมใจ ประกอบกับความไม่พอใจอันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางทีฆตาลา
พลอยเห็นคล้อยไปตามคำขอของทีฆปิฎเ (เต,ยังคงมีข้อคลางแคลงตามวิสัยของสตรีที่กลัวจะถูกทอดทง

kalyanamitra.org
๒๑

จึงกล่าวว่า “วิสัยสตรีมีผัวก็หมายมั่นจะพึ่งพาอาศัยเป็นเพื่อนยาก ฝากไข้เมื่อยามดี ฝากผีเมื่อยามม้วย และ


ผัวนั้นเท่ากับเป็นแหล่งแห่งความสุขความสำราญทุกอย่างของสตรี แม้นถูกผัวทอดทิ้งเสียแต้วเป็นหมดหวัง

ชีวิตหมดโอชา ตั้งแต่จะตรมตรอมไปทุกที ฉันยังไม่วางใจสนิท เกรงวิญญาณแห่งภมรจะแทรกแซงอยู่


ในร่า-!กายของผู้ที่กำลังเกลี้ยกล่อมฉันอยู่บัดนื่ ก็จะทำให้อกตรมไปตลอดชีวิต ”
“นางผู้เจริญใจของพี”่ ทีฆปิฎฐิออดและให้คำมั่น “อย่าได้หวั่นเกรงข้อนั้นเลย พิ่จะไม่ทิ้งนาง

ความรักของพิ่ที่มีในนางนั้นหนักแน่นมั่นคง กระแสนํ้าอันไหลหลั่งลันธารฉันใด กระแสรักได้ท่วมใจ

ของพึ่ก็ฉันนั้น ความกระหายที่จะได้ดื่มนํ้าที่ใสสะอาดของผู้ที่เดินผ่านทะเลทรายมีฉันใด ความรัอนแรง

ด้วยด้องเพลิงรักของพี่ ก็ทำให้พิ่กระหายที่จะฝังตนดื่มมธุรสแห่งความปรานีของนางผู้เจริญใจตลอดไป

ฉันนั้น พระอาทิตย์ประจำวัน พระจันทร์ประจำคืนฉันใด พี่จะรักนางให้หยั่งยืนฉันนั้น”

เมื่อได้รับคำมั่นสัญญาเป็นหลักฐานเช่นนั้น นางทีฆตาลาก็ตกลงใจกับทีฆปิฏฐิ นางเอ่ยว่า “แม้


จริงด้งว่าไว้ ฉันก็ไม่มีใจที่กระด้างต่อการเสนอ การเสนอที่แน่นอน ควรได้รับผลสนองเช่นเดียวกัน”

ครั้นถึงฝังแล้ว ก็เอาขนมที่นางทอดมานั่งกิน พลางสนทนาหยอกเยัากันไปพลางดามประลา

ของผู้ทีประลบผลสำเร็จในความรัก มิว่าความรักนั้นจะมีขนาดและลักษณะอย่างใด ย่อมมีความฉํ่าดื่มดํ่า

ประจำอยู่ทั้งนั้น ทำให้ผู้ประสบผลซืนอกซืนใจได้ทุกชนิด นางทีฆตาลากับทีฆปิฎฐิ ก็ตกในกระแสแห่ง


นิยมนั้น เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้วจะพากันไป ทีฆปิฎฐิตะโกนเย้ยโคฬกาฬว่า “ย้ายเตยเอย คอยอยู่นั่นเถิด

นะ” แล้วก็พานางทีฆตาลาเดินต่อไป
โคฬกาฬเห็นท่าทีของคนทั้งสองในตอนแรก ก็คิดระแวงแหนงใจอยู่แล้ว แต่ลัหักห้ามความ
ระแวงต่าง คุ นั้นเสียในตอนที่ทีฆปิฎฐิพานางถึงฝังแล้ว แทนที่จะกระวีกระวาดกลับไปรับ กลับนั่งลง

กินขนมคุยกับนางอย่างสำราญรื่น ก็คิดเสียว่าเขาคงเหน็ดเหนื่อย ประเดี๋ยวก็คงข้ามมารับเรา ครั้นดูไป

ก็ยิ่งเห็นอาการกิริยาของทั้งคู่สนิทสนมกันขิงกว่าที่ควรจะเป็น ก็ขุ่นใจอยู่ พอเห็นพากันไป ปล่อยให้ตน

คอยอยู่อีกฝังหนื่ง ยิ่งแน่ใจว่า คนทั้งสองตกลงปลงใจที่จะเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน ความแค้นความเสียดาย ความ


อดลได้ประด้งกันข้นมาในจิตใจของเขา วิ่งลงไปในแม่นํ้า พอเดินไปได้หน่อย กลัวจมนํ้าตาย รื้อถอยหลัง

กลับมาจนฝังเล่า ถอยหนัาถอยหลังละล้าละลังใจหลายตลบ ครั้นความแค้นความเสียดายประดังกันขึ้นมา


อย่างเรี่ยวแรงล่งเสริมให้เกิดความคิดขึ้น่มาว่า “ผลของมันเท่ากันทั้งนั้นแหละโคฬกาฬเอ่ย เจัาจะเป็น

หรือเจ้าจะตายไป ความเป็นอยู่ที่ไรัรื่นรมย์ตามนิยมของโลก เป็นความเป็นอยู่ที่เที่ยวเฉา เป็นความเป็นอยู่

ที่มีแต่ความระทม แล้วจะมีประโยชน์อะไร ด้นไม้ที่คงเป็นด้นใมั ก็เพราะม้นผลิดอกออกผลได้ ขยาย

หน่อแนวแผ่พืชพ้นธุ่ออกไปได้ แม้หาไม่ ก็เป็นตอไม้ หาใช่ด้นไม้ไม่ เจ้าก็เป็นเช่นนั้น อันจะไปคำเนินการ


เพื่อแสวงหานางมาร่วมอยู่เคียงแทนนั้นม้นสํ่นปญญาแล้ว เพราะฉะนั้น จะเป็นหรือตายไม่แปลกแล้วโคฬกาฬ

เอ่ย” ตัดใจเผ่นลงไปในแม่นํ้า วิงบุกลงไปโดยแรงโกรธและฤทธํ่กล้า ก็ได้รู้ว่าที่แท้นั้นนํ้าตน ตนโดนเขา

หลอก ถึงฝังก็รีบกวดจํ่ไปทีเดียวพักหนื่งก็ทันคนทั้งสอง ปรี่เข้าใส1 ตวาดทีฆปิฎฐิว่า “เฮ้ยอัายโจร จะพา

เมียของข้าไปไหน”

kalyanamitra.org
๒๒

ทีฆปิฎฐิแลดงอาการประการหนึ่งว่าไม่รู้เรื่องอะไร กล่าวตอบอย่างโกรธจัด “แน่ อ้ายถ'อช


อ้ายแคระ อ้ายเตํ่ยช่างระย้าลิ้นมนุษย์ทีเดียว อยู่ ๆ ก็มาหาว่าพาเมียของเจัามา เมียของเจ้าที่ไหน”

“ช้า ช้า ไอ้ไย่ง” โคหกาฬเถียงไม่ยอมพรันพรึง “เมียของขาแท้ ยุ นึ่นา หนอยมาโกงเป็นเจ้าของ

ไปเสียแล้ว คนอย่างเจ้าเมียคนเดียวหาเอาเองไม่ได้แล้วหรือ จึงต้องมาตู่เมียเขาว่าเป็นเมียตน”


“ไอ้เติ้ย กำแหงใXก” ทีฆปิฏฐิตวาด พลางจับคอไสไปโดยแรง “ตัวเล็ก *1 ทำปากกล้าไม่เจึยม

ตัว” แล้วทำท่าจะเดินต่อไป

โคหกาฬปราดเช้าจับมือนางทีฆตาลาไวั พลางเอ่ยว่า "หยุดก่อน พูดกันก่อนชินางผู้เจริญใจ


โธ1คิดบ้างเป็นไรมี กว่าฉันจะได้นางมาเป็นเมียน่ะด้องท่างานอย่างหนักแลนเหน็ดเหนึ่อยมาตั้ง ๗ ป็ที
เดียวหนา เห็นใจฉันบ้างเถีด ทีทนมาได้ก็เพราะความรักความด้องการนาง ไฉนเล่าจึงมาที่งฉันเสียไปกับ

ไอ้โย่งนึ่”

“อย่านะ” นางห้าม “อย่ามายอยุดฉุดช้าทำไม จะมารำพึงรำพันอะ ไรไม่รู้ไม่เข้าใจ ไอ้ถ่อย


ปล่อยข้า ปล่อยข้าเดํ่ยวนึ”่

ที'มปิฎฐิ กรากเช้ามากระขากตัวโคฬกาฬออกตะคอกขู่ว่า "ไอ้เตยบ้ญญาตำเอาทีไหนมาพรำ

รำพัน บ้าหนัก ข้าจะรีบไป เจ้าขีนข้ดขวางจะเจ็บตัว” ผลักโคฬกาฬออกไปห่าง

โคหกาฬไม่ลดละ แม้จะถูกผลักใลกํคงโต้เถียงส่งเสียงเอะอะตลอดทาง ต่างคนต่างโต้เถียงกัน

ผ่านมาถึงคาลาของมโหลถ
ขณะนั้นมโหลถกับเพื่อนเด็ก *1 กำลังมาประชุมกันพรัอมทั้งมีประชาชนเป็นอ้นมากมาร่วม
อยู่ต้วย เสียงเถียงกันได้ยินถึงมโหสถก็ปรารภว่า “นั่นเสียงใครทะเลาะกันเอะอะมา” แลัวให้คนมาถาม

รู้เรื่องว่า “เกิดตู่เมียกัน” จึงให้ไปเรียกคนทั้ง ๓ นั้นมา เพื่อลอบถามเรื่อง

โคฬกาฬกับทีฆปิฎฐิต่างก็หากันว่า “ตู่เมียของตน”
มโหลถถามว่า “ทั้งลองคน จะยอมให้ฉันวินิจฉัยเรื่องราวนึ่ให้เห็นเท็จจริงหรือไม่เล่า"

“ยอมชิจ๊ะ” คนทั้งสองรับรองพรัอมกัน
"ล้าเช่นนั้น ฉันจะช่วยจัดการให้” มโหลถกล่าวแลัวให้คนพาคนทั้ง ๓ ไปรออยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง
ห่างจากที่วินิจฉัยและให้แยกกันอยู่คนละแห่ง แล้วเรียกนายทีฆปิฎฐิมาก่อน เมื่อมาถึงแล้วก็ถามว่า “เธอ

ชี่ออะไร”

“ชี่อทีฆปิฎฐิ” ตอบทันที

“ภรรยาของเธอชี่ออะไร” ถามต่อไป

ทีฆปีฎฐิไม่รู้จักชี่อนางที1มตาลา เพราะมีไดัไต่ถามกันก่อน ก็ตอบส่งไปตามแต่จะนึกได้ในขณะ


นั้น
“บิดามารดาของเธอเล่าชี่อไร” ซักต่อไปอีก
ทีฆปิฎฐิตอบได้ตามที่เป็นจริง

kalyanamitra.org
๒๓

“บิดามารดาของภรรยาชี่อไร”
จำนนอีก แต่ความจำนนของทีฆปิฏฐิเปีนการจำนนต่อความจริงเท่านั้น หาจำนนต่อความเดา
แห่งตนไม่รู้อีบอกส่งไปดามที่นึกได้

มโหลถก็ไห้บริวารคนหนึ่งจดด้อยคำของทีฆปิฎฐิไวัเป็นหลักฐาน แล้วให้พาทีฆปิฎฐิออกไป

รออยู่ดามที่เดิม ให้เรียกโคฬกาฬเข้ามาถามท่านองเดียวกับที่ถามทีฆปิฏฐิ

โคฬกาฬทราบอยู่ตลอดความเป็นจริง ก็ตอบได้โดยไม่มีสะทกสะท้านและไม่มีอํ้าอื้ง มโหลถ

ก็ให้คนจดไว้
เสร็จแล้วให้นำโคฬกาฬออกไปรออยู่ที่เดิม แล้วเรียกให้นางทีฆตาลาเข้ามาถามว่า “นางชี่อ

อะไร”

“ทีฆตาลา” นางตอบ
“สามีนางชี่อไร”
เช่นเดียวกับทีฆปิฏฐิ คือไม่ได้ถามกันไว้ก่อน ก็บอกออกไปลักแต่ว่าให้เป็นชี่อคนคนหนึ่งเท่านั้น

“บิดามารดาของนางเล่าชี่อไร”

นางทีฆตาลาก็บอกไปตามความจริง
“บิดาของสามีนางชี่อไร”
ตอนนึ่อึกยัก แต่ชี่อในความนึกคิดคงมีอยู่ก็ใช้'ชี่อนั้นออกไป

มโหลถกุมารให้คนจดคำให้การของนางไว้ใช่นเดียวกัน ครั้นแล้วให้คนทั้ง ๒ คือโคฬกาฬกับ


ทีฆปิฏฐิเข้ามาพรัอมกัน พลางสอบถามมหาชนที่ประชุมกันว่า “การวินิจฉัยคดีนึ่(ปีนยันถึงที่สุดลงแล้ว

ณ บิ'ดนึ่ ข้าพเจ้าอยากจะสอบท่านทั้งหลายดูเพื่อให้เป็นที่มั่นเหมาะว่า ด้อยคำของนางทีฆตาลาสมกับ-

คำของใคร ของทีฆปิฏฐิหรือของโคฬกาฬ”
มหาชนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "พ่อบัณฑิต ถ้อยคำของนางทีฆตาลาสมกันกับคำของโคฬกาฬ”
“จะเป็นการทีเป็นไปได้หรือไม่ ทีผู้'เป็นตู่สามีภรรยากันโดยไม่รู้จักกันแม้แต่เพียงชี่อของกัน

และกัน” ซักไซัต่อไป
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ วิสัยหญิงชายที่เป็นคู,ผัวเมียกัน ต้องรู้จักกันถึงวงศ์วานของแต่ละฝ่ายทีเดียว

อย่างน์อยบิดามารดาของแต่ละฝ่ายก็ต้องรู้จักกัน” มหาชนแถลง

“นางทีฆตาลาเป็นคนกลาง ให้การสมกับคำของโคฬกาฬ โคฬกาฬเก็เป็นสามีของนางนะซี”

มโหสถไล่เสียง
“เป็นเช่นนั้นพ่อบัณฑิต” มหาชนรับรอง

“ทีฆปิฎฐิ ก็เป็นโจร” มโหสถกล่าวพลางถามว่า “แกเป็นโจรละซี”


ทีฆปิฎฐิหมดทางที่จะโต้แย้งกับข้อเท็จจริงทั้งปวงได้ กรณีต่าง กุ แวดล้อมเขาจนหมดประดู

ที่จะเถียงได้ จึงยอมสารภาพว่า “จริงแล้วขอรับเจ้าประคุณ ข้าพเจ้าเป็นโจร”

kalyanamitra.org
๒๔

โคหกาฬได้ภรรยาของตนคืนมา ด้วยการวินิจฉัยอันเที่ยงธรรมของมโหสถกุมาร ก็มีความซิ่นบาน

กล่าวชมมไหสถ “พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย เทพยดาจุติจากพ่ากฟ้าลงมาถือกำเนิดในมนุษย์เป็นแน่แล้ว พ่อคุณ


ของคนยาก หากมิได้พ่อแล้วที่ไหนจะได้คืนภรรยาผู้ร์งกว่าจะได้ก็แสนเข็ญ เจ้าพ่อคุณเอย ขอให้พ่อจำเริญ
ยิ่ง จุ เป็นมิ่งขวัญประชาชนซัวกาลนานเถิดหนา” แล้วอำลามโหสถพาภรรยาไปยังลิ่นฐานของตน

มโหลถบัณฑิตสำทับทีฆปิฎฐิว่า “เสียแรงเกิดเป็นชายมีร่างกายสมประกอบ น่าที่จะหาคู่ครอง


ของตนได้โดยลำพัง ไม่น่าที่จะมาประกอบกรรมคู่เมียผู้อนเขาเช่นนั้เลย จงละเลิกเลียเถิด เป็นความไม่ดี

ไม่งามก่อความยุ่งยากแก่มนุษย์สมาคม ไม่ควรจะทำตนให้เป็นผู้เช่นนั้น ตนเองเล่าก็ไม่ได้รับความสุข


ทั้งในบัจจุบันและอนาคต แกจงเลิกทำอย่างนิ้เลีย อย่าทำอีกเลยเทียวนะ” ตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับรายงานของอำมาตย์.ด้วยอาการที่ทรงเพลิดเพลินพระหฤทัย และมี

พระปีติปราโมทย์ในการวินิจฉัยของมโหสถบัณฑิตอย่างยิ่ง พอเจ้าพนักงานอ่านจบลง ก็ผินพระพักตร์

มาทางท่านเสนกราชวัลลภาจารย์ ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันเคล้าด้วยพระปราโมทย์ว่า “เป็นอย่างไรท่าน

อาจารย์ คมคายไหมล่ะ ไม่ใช่เล่นทีเดียวนา เออพ่อมโหสกเอย ฉันอยากจะเห็นรูปร่างหนัาตาของเธอ

เหลือเกิน จะหมดจดงดงามเพียงไร เออแน่ ท่านอาจารย์จะว่าอย่างไร จะรับตัวเข้ามาได้หรือยัง”


“ขอเดชะ พระบารมีเป็นที่ล้นพัน” ท่านเสนกกราบทูล “ขอได้ทรงโปรดยับยั้งรอต่อไปก่อน

เพราะเหตุยังเล็กนัอย ไม่พอแก่การรับตัวมโหสกเข้ามาดำรงตำแหน่ง!ราชบัณฑิตของกรุงมิถิลาได้พระ-

พุทธเจ้าข้า”
“อะไรท่านอาจารย์” ตรัสถาม “คมคายออกปานนั้นแล้ว ยังจะเห็นว่าเหตุเล็กนัอยอีกหรือน่ะ”
“ขอเดชะ หระบารมีปกเกล้า” ท่านเสนกเริ่มแถลงอย่างองอาจ “เห็นด้วยเกล้าๆ ว่ายังเป็นเหตุ

เล็กนัอยอยู่พระพุทธเจ้าข้า ที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่าเล็กนัอยนั้น โดยเพ่งความสำคัญแห่งบุคคลผู้น่า

ตนเข้ามาเฉลิมปรีชาของมโหสกในกรณีนํ๋ ตลอดถืงเงื่อนงำแห่งคดี ก็ไม,สู้จะเรันลับประการใด”


“ข้าแด่พระองค์ผู้สมมุติเทพเจ้า ความคมคายของผู้ปรีชานั้น ควรจะวินิจฉัยกันในกรณีที่พิเศษ

กว่านั้ ข้าพระพุทธเจ้)ขอประทานพระวโรกาสกราบบังคมทูลตามที่เห็นดังนื้ ทีฆปิฎฐิเป็นบุคคลที่ฉลาด

อยู่ แด่ความฉลาดของเขาขาดความรอบคอบ กล่าวคือ มักง่ายไปหน่อย ที่ไม่ไต่ถามแมัแต่ชิ่อเสียงของ

ผู้ที่ตนคู่ว่าเป็นภรรยา ความไม่รอบคอบเท่านํ๋เองเป็นเงื่อนไขแห่งคดีนํ๋ แม้ว'าทีฆปิฏฐิเป็นคนรอบคอบ

ถามซิ่อเลียงของนางให้ทราบไวัลักหน่อย การถามของเข'1ก็จะเป็นชนวนทำให้นางด้องถามเขาบัาง ตลอด


ถึงเผ่าพงศ์วงศ์วานก็จะได้เป็นที่ประจักษ์กันได้ เงื่อนไขของคดีนิ้จะไม่ปรากฎเลย”

“ทั้งนื้จะเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าเป็นเหตุอันเล็กนัอย จักเป็นการอัศจรรย์อันใดพระพุทธเจ้าข้า ที่

คนขาดความรอบคอบ มาผจญกับบุคคลผู้รอบคอบกว่า จะเป็นการน่าพิศวงตรงไหนพระพุทธเจ้าข้า ที่

คนผู้ตกอยู่ในปลักตรม มาประกวดผิวพรรณกับผู้ที่สนานกายแล้วอย่างสะอาดละอัาน การวินิจฉัยคดีนั้

ของมโหสถ แม้จะคมคายปานใดก็ตกอยู่ในฐานะที่เปรียบเปรยได้ดังกราบทูลมา ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็น

ว่ายังเป็นเหตุเล็กแย้ย”

kalyanamitra.org
๒๕

“ยังมีเหตุอันควรจะกราบทูลอยู่อีกพระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ผู้ทรงพระปรีชา ทรงพระกรุณา


โปรดวิจารณ์การกระทำแห่งมโหสถดรั้งนั้มิให้เป็นการปิดช่องที่อาจจะเกิดได้จากผู้อันธพาลสันดานซึ่ว

แต่สำคัญตัวว่าเป็นบัณฑิตแสนฉลาดเลิศ อันจะมากล่าวเล่นได้ว่า “วิเศษอะไรหนักหนาเซียว มโหลถ


เอาชนะได้ก็แต่คนโง่ ๆ เซ่อ ๆ ซึ่งรู้จักแต่จะคิดคดอย่างเดียว มิได้ทราบวงการของการคดว่ามีอยู่อย่างไร

ควรจะตัดความคดของตนตอนไหนให้เช้าวงเข้ากงเท่าไร จึงจะประจบกันเป็นวงกลม อันจะหาเงื่อนต้น

เงื่อนปลายไม่พบ หากเป็นผู้จักคิดคดทั้งรู้จักวงของความคด และสามารถทำความคดของตนให้เข้าวงได้


ด้วยแล้ว ที่ไหนจะสามารถหาเงื่อนงำได้” การที่ไม่อาจปิดช่องฉะนํ่ได้ มิสมควรแก่ผู้ที่จะปรากฎนาม

กระเดื่องว่าราชบัณฑิตแห่งราชสำนักแห่งมิถิลา โปรดทรงพระกรุณาพินิจเถิดพระพุทธเจ้าข้า ”’

kalyanamitra.org
๕. หลกการทดลอง
พระเจ้าวิเทหราชจำต้องสะกดพระทัยต่อไป และมีพระดำรัสให้ทูตนำความไปบอกอำมาตย์
นั้นให้คงประจำ ณ สำนักมโหสถสืบไป และคอยรายงานเหตุการณ์มาอีก
พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระท้ยใฝ่ฝันลึงมโหสถบัณฑิตตลอดมา ประหนึ่งว่าช่องว่างแห่งพระ

อาวชชนาการนั้น *1 บรรจุแน่นไปด้วยมโหสถบัณฑิตไม่เวันระวางเลย ภายหลังจากได้ทรงสดับรายงาน


การวินิจฉัยคดีตู่เมียแล้ว ยิ่งทรงใฝ่ฝันยิ่งร้นและมีพระประสงค์ไว้ตรึงตา แต่คำทักท้วงชองท่านเสนกราช-
วัลลภาจารย์ก็ยังคงมีอำนาจพอที่จะยับยั้งพระทัยของพระองค์ได้ เพราะเหตุผลที่ท่านอาจารย์กราบทูล

มีมูลน่าที่จะทรงพระวิจารณ์ทุกคราว แม้ท่านเสนกจะกราบทูลด้วยความไม่ปรารถนาที่จะเห็นคณะตน

ดํ่าด้อยศักดํ่ ก็ยึดหลักเทอดพระบรมราชอิสริยยศเป็นสำศัญ
วันหนึ่ง ภายหลังจากที่ได้ทรงสดับรายงานเรื่องคดีตู่เมีย พระเจ้าวิเทหราชประท้บเหนือพระแท่น

ภายในท้องพระโรง1พรัอมด้วยอำมาตย์ราชบริพารเฝ็าดามตำแหน่ง ทรงเผยพระพักดรึมาทางท่านเสนก
ชิ่งท่านเสนกย่อมทราบพระราชอัธยาศัยว่า ทรงพระประสงค์จะตรัสเรื่องอะไร และเป็นจริงด้งนั้น “อย่างไร
ท่านอาจารย์เสนก มโหสถเป็นบุรุษวิเศษ^นักหนา จะควรไปรับเช้ามา!หรือยัง”

"ทรงรอก่อนเถิดพระพุทธเจ้าข้า” ท่านเลนกคงทูลทัดทานตามเคย “มโหสถบัณฑิตเป็นผู้'อยู่

ในแว่นแคว้นดินแดนของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอยู่แล้ว ถึงอย่างไร *1 ก็คงเป็นช้าบาทมูลชองใต้ฝ่าละออง


ธุลีพระบาทอยู่นั่นเอง จะทรงยกย่องเชิดชูในฐานะอันสูงแห่งพระราชสำนัก โปรดทรงพระวิจารณ์ให้

เห็นว่าเป็นผู้สมยศสมศักดํ่ ที่จะทรงพระราชทานจริง *1 สักหน่อยเถิดพระพุทธเจ้าช้า”


“ก็จะทำอย่างไรล่ะ ถึงจะได้เห็นเหตุอันตู่ควรนั้น” รับสั่งถาม “ฉันว่ากรณีต่าง รุ ที่พ่อมโหสล

ปฏิบัตินั้น รุ เป็นเหตุใหญ่เพียงพอในการที่จะยกย่องเชิดชูอยู่แล้ว แต่ท่านอาจารย์ยังเห็นว่าเล็กนัอย ไม่


ใหญ่โต ไม่ตู่ควรแก่กาวเป็นบัณฑิต บัดนั้ก็เงียบไปไม่มีวิ'แววอันใดเข้ามา ทำไฉนและเมอไรเราจึงจะเห็น

เหตุอันควรนั้น”

ท่านเสนกพังพระกระแสแล้ว การจะกราบทูลทัดทานลอย รุ จักเป็นเหตุกระทำให้ทรงขุ่น


พระท้ยได้ ตรงหาช่องยับยั้งที่แยบดาย ชี่งก็ไม่ยากเย็นอะไร ไตร่ตรองครู,เดียวก็เห็นทางที่จะประวิงไปได้

อีกนาน พลางกราบทูลว่า
“ขอเดชะ พระบารมีเป็นที่ลันพัน ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

จักต้องทดลองดูให้ถ่องแท้ก่อนพระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
๒๗

“ทำไมจะต้องทดลองอีกเล่า การกระทำต่าง ยุ ของพ่อมโหสถก็ปรากฎเป็นหลักฐาน เป็น

พยานแห่งปรีชาสามารถอยู่แล้ว” ทรงแย้ง
“ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ย่อมทรงพระปรีชาเป็นอันถ่องแท้ การทดลองในกรณีนํ่เป็น
เครื่องให้ทรงพระวินิจฉัยได้แน่นอน ถึงขนาดปรีชาสามารถของมโหสถชิ'งขื้น ตามนิติท่านกล่าวว่า กำลัง

ม้าด้นทราบได้ด้วยความทดลองความเร็ว กำลังโคด่างทราบด้วยการบรรทุก กำลังแห่งบันฑ์ตทราบด้วย

กิจการ” -
“เราจะทดลองอย่างไร จะเอาหลักอะไรเป็นข้อกำหนดความรู้ความฉลาดของบุคคล หลักสำคัญ
ก็อยู่ที่กิจการอันกระทำได้แยบคายเพียงไร สำเร็จผลตามประสงค์โดยถูกต้องหรือไม่ เรื่องก็มีอยู่เท่านั้น

เอง” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงกังวาน

“ขอเดชะ ที่มีพระดำรัสนั่นแหละพระเจ้าข้า เป็นหลักการใหญ่” ท่านเสนกกราบทูล “หล'ก

การในการทดลอา คาดำเนินตามพระบรมราขบรรหาร เห็นด้วยเกล้า1 อยู่ว่า อันบุคคลทควรจะได้นามว่าบณฑ์ต


ตามทาาทควรแล้ว ความว่ความกลาดนั้นพามหล'กเกณฑ์อย่าาน้อย (ท ลถาน คล รอบยู่' หลกแหลม และคมคาย”

“หลักเกณฑ์นั้น ยุ พีงดูแยบคายอยู่นะท่านอาจารย์” ทรงคล้อยตาม “แต่ฉันเห็นว่าพ่อมโหสถ


แม้จะเป็นเด็กอายุเพียง ๗ ขวบ ก็ย้งมีปรีชาสามารถวินิจฉัยคดีต่าง ยุ อย่างนั้ แล้วก็ไม่น่าจะต้องทดลอง
อะไรอีก จะเป็นไรไปถ้าเราจะรับมา เพราะเห็นปรีชาเพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นแนวทางให้เราได้เห็นความยิงใหญ่

แห่งปรีชาในตัวของเขาสืบไป ”
“ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบบังคมทูลมาแล้วว่า หากจะทรงพระกรุณานำมาชุบเลํ่ยงเพียงด้วย

เหตุเท่าที่ปรากฎมานั้น ยุ ก็ย่อมจะทรงกระท้าได้ แต่ความเห็นเป็นสำคัญในตนของเขาย่อมไม่ปรากฎงดงาม

เพื่อเป็นเครื่องเฉลิมพระบารมีได้เพียงพอ อีกทั้งวัยก็ยังเป็นเด็กอยู่ ความเป็นเด็กของบุคคลทั้ว ยุ ไปมี

ฉันใด มโหสถก็ยากที่จะพนภาวะแห่งเด็กไปได้ดุจเดียวกัน แม้นความเป็นเด็กของมโหสถปรากฎออกมา

ด้วยการกระทำอย่างเด็ก ยุ เมื่อไดแล้ว เมื่อนั้นส่วนแห่งครหาพึงเฉลียถึงผู้ที่เป็นคนแนะนำให้ทรงเรียก


ตัวมาได้ด้วย ความไม่ไวัวางใจในความเป็นเด็กแห่งท่านผู้เป็นที่ปรึกษาในการปกครองเช่นข้าพระพุทธเจ้า

ย่อมปรากฎเป็นนิติมาแต่บรรพกาล ดังจะนำมากราบบังคมทูล ณ บัดนั”้

“จอมราชแห่งพระนครพาราณสีในโบราณสมัย มีพระราชโอรสยังทรงพระเยาว์ พระองค์


เสด็จสวรรคต ราชสมบิตีอยู่แก่พระราชโอรสผู้ทรงพระเยาว์นั้น ก่อนทีหมู่อำมาตย์จะถวายราชสมบัติต้อง
พิจารณาทดลองด้วยวิธีนานา เช่นแต่งลิงด้วยเครื่องยศอำมาตย์นำมาส่ที่เฝ็า กราบทูลว่า เป็นอำมาตย์
ชั้นผู้ใหญ่ที่สมเด็จพระราชบิดาทรงชุบเลื้ยงมาดังนื้เป็นด้น จนแน่ใจกันว่าทรงพระปรีชาสามารถแน่นอน

จึงได้พากันถวายเศวตฉัตร”
“ขอเดชะ ในเมื่อตันติประเพณีมีมาเช่นนํ๋ ข้าพระพุทธเจ้าก็เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า เป็นการอัน

ควรอันชอบเป็นระบอบที่งดงาม แม้นประพฤติตามแล้วจึงเป็นไปเพื่อความสุขความเจริญ ข้าพระพุทธเจ้า

เห็นอยู่อย่างนั้จึงได้กราบทูลให้ทรงทดลองให้ถ่องแท้"

kalyanamitra.org
๒๘

“ฉันควรจะขอบใจท่านอาจารย์ในการทีนำบุรพประเพณีมากล่าว” รับสั่งอนุโลม “แด่กังวล


อยู่ว่า วิสัยผู้ที่บัญญากว้างเราจะทดลองกันอย่างกว้าง ๆ ซึงย่อมแผ่ไปถึงระยะกาลอันเนิ่นนาน ดูจะไม่รวม

เป็นทางเดียวกันกับความปรารถนาของฉัน”
“ขอเดชะ พระบารมีไม่พ้นเกล้าๆ ตามที่ทรงพระปริวิตกกังวลพระท้ยเกรงจะเป็นการเนิ่นนาน

นั้น ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลว่ามิได้เป็นดังนั้น” ท่านเสนกกราบทูลยืนยัน “จริงอยู่พระเจ้าข้า ผู้มีบัญญา


กว้าง การทดลองต้องกว้างจึงจะคู่ควร แต่ตามหลักที่มีพระดำรัสมาก็เพียงพออยู่แล้วพระพุทธเจ้าช้า”
“เพียง ๓ หลักที่ท่านอาจารย์คัดชื้นเป็นประเด็นนั้นพอหรือ”
“พอแน่นอนพระเจ้าข้า” ท่านเสนกยืนยันหนักแน่นอีก แลัวกราบทูลแถลงลืบไป “ความมี
ปรีชาสามารถแห่งบุคคลนั้นจะมากมายปานใด ก็อาจจะวินิจฉัยได้ด้วยหลักทั้ง ๓ นั้นเสมอ ข้าพระพุทธเจ้า
ขอประทานพระวโรกาสกราบทูลแถลงหลักเกณฑ์นั้น ๆ ดังต่อไปนิ่”
“อันท่านผู้มีปรีชาญาณนั้น มีความรอบคอบถี่ถ้วนเป็นมูลฐานแห่งความรอบรู้ ความฉลาด

ทุกๆ ท่านจึงเรียกได้ว่าท่านผู้รอบรู้หมายลึงรู้ลิงที่ปรากฏโดยรอบคอบไนกรณีต่างๆของลิ ,งนั้นๆ แท้

ปราศจากความรู้อันเป็นพื้นภูมิเช่นนิ่เสียแล้ว ถึงจะมีลิงที่เรียกกันว่าความรู้มากมายปานใด ก็มิได้ซือว่า

ผู้รอบรู้ ยิ่งทะนงตนยิ่งชื้นเพราะรู้ของตนนั้น ก็เป็นแต่ความสู่รู้ หาใช่ความรอบรู้ไม่ การทีต้องทดลอง

มโหสถกุมารด้วยหลักนิ่ก็เพื้อว่า แม้นมิได้มีความรอบรู้อย่างแท้จริงแล้ว ก็เป็นแต่มีความสู่รู้ บุคคลผู้มี

ความสู่รู้นั้นนำเอาคำว่าบัณฑิตไปเป็นคุณบทเข้าแล้ว ก็เป็นที1น่าเลียดายความหมายของคำนั้นยิ่งนัก หาก­

ระกราบทูลด้วยข้ออุปมาก็เสมือนนำอาภรณ์อันเพริศพรายมีค่ามาสอดสวมในร่างกายแห่งวานร ถึงอย่างไร ๆ
ก็มิได้ทำให้วานรนั้นประพฤติกิริยาท่าทางแปลกจากเผ่าเดิมของมันไปได้เลย”
“มวลชนเป็นอันมากมีอัธยาศัยชอบโอ่ความดีของตนเพื้อด้องการผลนานาประการด้วยความเขลา

บัาง ด้วยความรอบรู้ไม่ท้นบัาง ด้วยเหินเป็นดีไปเสียบ้าง ความรอบรู้เป็นข้อหนืงทีคนพอใจอวด แม้มี


พิเศษอันใดก็พอใจจะนำออกอวดแก่ผู้อื่น ความอวดที่จะเข้าผสมกับความรู้นั้น ถึงความรู้จะบกพร่อง

ความอวด่อาจส่งเสริมส่วนบกพร่องนั้นให้ลันก็ได้ เพราะเหคุนั้น ความอวดรู้กับความสู่รู้ จึงมีคติร่วมกัน

ท่านผู้เป็นบัณฑิต ย่อมไม่มีลันดานเช่นนั้น หากผู้เช่นนั้นจะมาดำรงฐานะบัณฑิตแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

ข้าพระพุทธเจ้าก็จะเหินด้วยเกล้าๆ ว่า หาได้เป็นผู้เฉลิมพระบารมีแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแม้แต่


น้อยหนิ่งไม่ ยิ่งกว่านั้น- ยังจะพลอยกระทำให้เสื่อมเสียพระบรมราชอิสริยยศลงไปเป็นหนักหนา”
“ในหลักการที่ ๒ ข้าพระพุทธเจ้าเหินด้วยเกล้า*ใ อยู่ว่า มีบุคคลบางจำพวก ปรากฏโดยท้ว ๆ

เป็นผู้มีความรู้ในสรรพวิทยาการ อันเป็นมูลฐานแห่งกิจการต่าง ๆ ได้เล่าเรียนมาแต่สำนักอันปรากฎซีอเลียง


เลื่องลือ ควรแก่การที่จะบริหารกรณียกิจที่เกิดชื้นนั้นๆ ให้สำเร็จเด็ดขาดด้วยดี แต่เมื่อมีกิจการบังเกิด

ชื้นอันจำต้องจ้ดทำ บุคคลนั้นกลับไมอาจกระทำ ไม่สามารถรัดให้สำเร็จไป เพียงเทานิ่ก็ยังไม่เป็นไรดอก

พระพุทธเจ้าช้า ที่รัายกว่านั้น แทนที่จะยอมรับว่าตนมิสามารถกลับหาเหตุเลศด่าง ๆ ตนมิลามารถแล้ว

มิหนำซํ้าปิดงํ้าความไม่สามารถของตนเสียด้วย ใช่เล่ห์ใช้กลฉัอฉลกิจการของผู้อื่นว่าเป็นกิจการของตน

ไป บุคคลจำพวกนิ่เรียกได้ว่า พวกรู้มาก”

kalyanamitra.org
๒๙

“ขอเดชะ ความรู้มากนั้นหมายถึงหลายประการ อย่างนั้นก็รู้ อย่างนึ่ก็รู้ รู้หลายอย่าง แต่ทุก *1

อย่างที่รู้นั้น *1 ไม่สำเร็จประโยชน์เลยแม้'สักอย่าง ผู้มีดวามรู้ประเภทนึ่ แมันมีความสำคัญผิด คิดเห็น

ความมากมายของความรู้เป็นดันดีไป ความทะนงใจย่อมปรากฎ ถือความรู้ชูร่อนดูหมินผู้ที่ไม่รู้เท่าตนหรือ


ไม่รู้สิงที่ดนรู้ ว่าโง่เขลา ประมูลตนเองว่าสูงกว่าผู้อื่น ด้วยอำนาจแห่งความรู้เท่านั้น ทั้งพยายามที,จะข่มขู่

ผู้อื่นด้วยการนั้นอีกด้วย”

“ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพเจ้า ดันความรู้ของบุคคลนั้นพึงเป็นหลักแห่งการดำเนินซ็วิต เพื่อ


กระทำตนให็ดำรงอยู่ในโลกสมประลาคน แต่ความรู้มากของบุคคลบางจำพวกนั้น แทนที่จะเป็นหลัก

แห่งการดำเนินซีวิศ แทนที่จะมีซีวิดรุ่งเรืองสุกใส ตรงกันข้าม ความรู้นั้นกลับทำให้มันสมองของเขาตกดำ

นำคนไปสู่ความเสึ่อมเลียถึงเสียคนเป็นที่สุด เหมีอนกับว่าความรู้นั้น ถุ เป็นด้งวัตถุมีนํ้าหนักที่นำลงบรรทุก

เรือ กำด้งเรือทนนํ้าหนักไม่ไหวก็จมลงฉันใดฉันนั้น”

ท่านเสนกกราบทูลซีแจงต่อไปว่า “ที่จริงความรู้ที่มีในบุคคลควรจะเป็นเครื่องพยุงตน ประคับ


ประคองตน ทำตนให้มีความเบาอยู่ในโลก เป็นผู้เบาด้วยกำลังตน หมายความว่าไม่มีกิจดันใดที่จะยาก

ที่จะหนักสำหรับผู้มีความรู้ทุกสิงทุกอย่างดันเป็นกรณียะของตนแลัว เป็นเรื่องเบาทั้งนั้น และยังเป็นผู้

เบาแก่ผู้อื่น นำความเบาอกเบาใจมาสู่ผู้อื่นได้ มิว่าตนจะอยู่ในฐานะไหน เป็นบุตรก็เบาใจบิดามารดา เป็น

สามีภรรยาก็เบาใจกัน เป็นต้น แต่คนทีเรียกว่ารู้มากนั้นตรงกันข้าม ไม่ได้ก่อความเบาให้แก่ใคร ถุ ได้เลย


แม้แต่ตัวเองก็ไม่สามารถจะใซัความรู้ชิ่งมากนั้นหยุดตนเองได้ มิหนำซํ้าก่อความรำคาญแก่ผู้อื่น ๆ ชิ่ง

รู้นัอยกว่า หรือชิ่งตนเหยียดว่ารู้ตํ่ากว่าอีกโสดหนึ่งด้วย”

“พฤติการณ์ต่าง *1 ที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมาทั้งนึ่ ยุติด้วยข้อสันนิษฐานว่า ถืงมีความรู้มาก

ชิ่งเท่ากับมีหลักแห่งกิจการต่าง "I มาก แด่หลักต่าง ยุ เหล่านั้นไม่มีความแหลมเลยลักหลักเดียว จึงไม่


สามารถจะผนึกซีวิตเข้าไว้กับการงานหรือหนัาที่อย่างใดอย่างหนึ่งได้จริง *1 เป็นแต่จับโน่นที่งนันเรื่อย *1

ไป แด้วก็เกิดกระด้างขื้นมาในตนเพราะความมากแห่งความรู้ ขาดผู้ส่งเสริมก็เลยเหิมเห่อ เห็นผู้ไม่ส่งเสริม

นั้น *1 เป็นผู้โง่เขลาเบาปญญากว่าตนไปเลียเลย”

“ข้าพระพุทธเจัาย่อมทราบเกลัาๆ เป็นอย่างดีในนิติธรรม แต่โบราณกาลท่านนักปราชญ์ใน


ยุคนั้น ถุ ได้เห็นต้องกันตลอดมา และตราไว้ในคติดันควรดำเนินทุกยุคทุกสมัยว่า

“ลู(ช้าจ*(ร(เนม่ลปห]ๆกลย่า* ไม่เลอกว่าหยาม ปานกลา* ห่ว่ออุกฤมฎลูเอย(ช้าตอ*,เช้าใจปรหใ'ยขน็

ขอ*ศลปหทุกอย่า*ใช้ช้วยแต่'โม่'ท*ปาหกลมไป'เสยทุกอย่า* กาลหกศศปนนๆ จหนาใเาหใ(เขน์} าใหม่อยู่’'

คติดันน่าสดับบทนึ่ ส่องซัดว่าความรู้นั้น *1 ควรเรียนไม่เลือกประเภท และต้องทราบประโยชน์

คึอวิธึประกอบและผลเมอประกอบแลัวไว้ทุก ถุ อย่าง แต่กระนั้นก็วางบทปรามไวัมีให้ประกอบไปเลีย


ทุกอย่าง ต้องประกอบให้ชอบกาลเทศะนึ่แหละพระพุทธเจัาข้า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทคงจะทรงเข้า
พระท้ยได้ดีว่า การเล่าเรียนศิลปะไว้เป็นความรู้มาก *1 นั้น ถึงจะยากปานใดก็ยังไม่ยากเท่ากับที่จะมีความรู้

kalyanamitra.org
ธา

ว่าศิลปะอย่างนึ่มีประโยชน์อย่างนั้น ความเยากกว่า แต่ก็ยังไม่ยากถึงความรู้ประกอบให้ชอบกับกาล ความ'-


รู้จักประกอบให้ชอบกับกาลนึ่แหละพระพุทธเจ้าข้า เป็นความหลักแหลมและเป็นเครื่องหมายแห่ง!ปรีชาญาณ

อันมีแก่ท่านผู้ควรยกย่อง ทเป็นบัณฑิตเท่านั้น ไม่มีแก่ผู้อื่นเลย

อันมโหสถกุมารมีวัยเยาว์ อาจจะมีความรู้มากได้ด้วยการเล่าเรียน ด้วยได้พบได้เห็น ได้ยินได้


ฬง และได้สังเกตกำหนดไวั ความรู้ของมโหสถนั้นมีประโยชน์เพึยงไร ก็ปรากฏอยู่บัางในกิจที่กระทำ

ประกาศว่ามีความเข้าใจในการใชัอยู่ แต่ความรู้กาละที่จะใซัศิลปะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า

ยังไม่มีอันใดเป็นหลักฐานมั่นคง แม้นจะทรงรับเข้ามาก็กริ่งเกรงว่าจักเป็นความบกพร่อง เป็นช่องแห่ง

ความเลื่อมพระบรมราชอิสริยยศได้พระพุทธเจ้าข้า” .
“ในหลักการที่ ๓ เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า มีความสำคัญพอ *1 กันกับ ๒ ประการข้างต้น บุคคล
บางคนมีความรู้หลักแหลมแต่ไม่มีเชาวน์ไวไหวพริบมีอยู่ บุคคลจำพวกนึ่ถึงจะฉลาดก็ยังไม่สมบูรณ์ และ

ไม่อาจใชัความรู้ความฉลาดประกอบกิจได้ทุกด้าน กิจการบางประการด้องการความรวดเรีวฉับไว ขืน


ชักข้าเป็นเลียประโยชน์มีอยู่ ยิงในฐานะแห่งราชบัณฑิตด้วยแล้ว ยิ่งจำปรารถนาปรีชาที่ว่องไวเป็นพิเศษ

ทีเดียว เพราะตำแหน่งราชบัณฑิตแห่งมิถีลานครนั้น แม้ไร้ปฏิภาณแล้วก็จะเป็นที่เย้ยหยันได้ในแควัน

ต่าง *]”
“อนึ่งเล่าพระพุทธเจ้าข้า มีบุคคลบางจำพวกท่องเที่ยวอยู่ในโลกด้วยชืดถีอความโง่แห่งคนทั้ง

หลายเป็นแดนทำมาหากิน ด้วยใข้เล่ห้ใชักล ด้วยฉัอฉลชาวแควันด้วยอุบายวิธึมีประการต่าง *1 บุคคลเหล่า


นั้นย่อมเต็มไปด้วยไหวพริบ เต็มไปด้วยปรีชาอันกลอกกลิง พยายามทุกวิถีทางเพิอแสวงผลกำไร บุคคล
เหล่านึ่แม้นได้ปรากฏขื้นในแว่นแควันแดนดิน ย่อมเป็นไปเพื่อความเดือดร้อนแก่พสกนิกรมิใช่น้อย ล้า
ทรงไร้อำมาตย์ราชบัณฑิตผู้รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมกโลบายของบุคคลเหล่านั้นแล้ว นาถะแห่งประชาก็ไม่มี ประชาชน

ต้องเป็นเหยื่ออันเอรีดอร่อยของฝูงชนจำพวกนั้น”
“ยังมีเหตุที่ยิ่งกว่านั้นอีกพระเจ้าข้า บุคคลบางคนเห็นตนว่าเป็นผู้ฉลาด ลามารถรู้เท่าและรู้ทัน

ในเหตุการณ์ต่าง ๆ หมายถึงว่าจะมีเหตุการณ์ยอกย้อนซ่อนเงื่อนอย่างใด ก็มิได้ล่วงเลยไปจากปรีชาสามารถ


ของเขาได้ปรีชาสามารถของเขานั้นย่อมเท่าเทียมในทุก’! คราว เหมือนหนึ่งเหตุการณ์นั้น’] เดินอยู่ใน
วงแห่งปรีชาของเขาฉะนั้นเทียว หรีอจะมีเหตุการณ์ที่ลึกลับซับซัอนก็สามารถคลี่คลายกระทำให้ปรากฏ

ได้ แต่ความรู้ความฉลาดและความสามารถทั้งนึ่ มิได้เป็นของตนโดยแท้จริงแม้แต่น้อย กำหนดจดจำเอา


วิธีของท่านผู้ฉลาดมาใชั ในเมื่อยังไม่มีเหตุการณ์อันใดนอกเหนึอไปจากข้อที่กำหนดจดจำนั้น *1 ก็เป็น

อันยังจะสามารถปราดเปรื่อง หากประสบเหตุการณ์ที่นอกตำราเข้าก็ด้องจำนนมิสามารถจะแก้ไข หรือ

มิฉะนั้นในคราวอับคราวจนก็ด้องเลียรู้ไป ความว่องไวแห่งชวนะสูญหายไปหมดไม่ด้องแก้ไขเอาคัวรอด
ทั้งนึ่เพราะความมีเชาวน์ไวมิได้เป็นสันดานของตนเอง หากแต่เกิดขื้นด้วยการเรียนวิธีการของคนฉลาด

แลัวนำมาใซัเมื่อหมดตำราก็สนเลียง”
“เท่าที่ได้ร้บกราบทูลมาครั้งนึ่ ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาที่ก็คงทรงทราบในพระหฤทัยเป็นอันดี

kalyanamitra.org
0า๑

อยู่แล้ว แม้ได้ทวงสอบสวนด้วนถี่ดามหลักการที่ทรงบริหารมา ก็ย่อมจะเป็นการเพียงพอแก่การที่จะรับตัว

มาชุบเลื้ยงในราชสำนักในตำแหน่งราชบัณฑิต และด้ามโหสถเป็นผู้ฉลาดจริง*] เป็นบัณฑิตแท้'*] ก็


สามารถอาจ?องที่จะผ่านการสอบสวนได้เป็นอย่างดี เหมือนทองชมพูนุทถึงจะผ่านการทดลองด้วยวิธืใด *]

ก็คงเป็นธาตุบริสุทธํ่ตลอดกาลทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า”
“น่าพ้งมากท่านอาจารย์” รับสั่งด้วยทรงตระหนักในเหตุผล “เป็นอันตกลงในการที่จะด้อง

สืบสวนทดลองดูกันให้แน่นอนก่อนที่จะรับตัวมา”

“ขอเดชะ พระบารมีเป็นที่ลันพ้น ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระราชบรรหารควรแก่เหตุแลัว

พระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกกราบทูลด้วยอาการประจบ “แต่ข้าพระพุทธเจ้าจะกราบทูลใต้ฝ่าละอองธุลี


พระบาทให้ทรงทราบเกล้าฯ ไว้โดย่ตลอด ณ บัดนื้ทีเดียว”

“กังมีอะไรอีกเล่าท่านอาจารย์” รับสั่งถาม

“การทดลองนั่นแหละ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าไม่พีงทรงโดยเฉพาะ

เจาะจง ควรจะทรงให้เป็นหนัาที่แห่งประชาชนทั้งบ้านทีเดียว”
“ท่านอาจารย์เห็นประโยชน์ในการนั้นอย่างไร” รับสั่งถาม “ฉันคิดว่าเมื่อเราต้องการผู้ใด เรา

ก็ควรทดลองผู้นั้นเพียงคนเดียว”
“ขอเดชะ การที่จะทรงทดลองโดยเจาะจงตัวแต่เฉพาะมโหสถผู้เดียวตามที่ทรงพระดำรินั้น

เป็นการควรอยู่ แต่ข้าพระพุทธเจ้าเสียดายอยู่ที่ว่า หากจะมีผู้ปรีชาอื่นนอกไปจากนั้นบ้าง ก็เป็นอันหมด

หนทางที่จะสำแดงให้ปรากฏพระพุทธเจ้าช้า”

“นั่นเป็นอย่างไรเล่าท่านอาจารย์ ลองแถลงให้กระจ่างหน่อย”
“ขอเดชะ ใด้ฝ่าล^อองธุลีพระบาทย่อมทรงตระหนักในพระหฤทัยเป็นอันดึแล้วว่า ฝูงชนที่

ลึอกำเนิดมาในพิภพนั้น ย่อมสำเร็จด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลที่ได้สร้างสมมา ที่ประกอบด้วยสดีบ้ญญา

อันยอดเยี่ยมอาจจะอุบัติแม้ในถี่นแดนที่ผู้มีปรีชาญาณอื่นอุบัติแล้วก็ได้ หากแต่ยังไม่มีโอกาสที่จะสำแดง

ปรีชาของตนให้ปรากฏออกมา เปรียบเหมือนขับขี่สินธพ เมื่อมีผู้ขับขี่คนหนึ่งแล้ว ผู้อื่นแม้จะขับขี่เป็น

ก็ด้องระงับเสีย จะไปขับขี่ซ์อนมิใช่วิสัยผู้มีบ้ญญาจะพืงกระทำ”

“อนึ่งเล่าพระพุทธเจ้าข้า วิสัยท่านผู้มีปรีชากว้างสมบูรณ์ด้วยลักษณะแห่งบัณฑิตทุกประการ

ย่อมเป็นผู้ตระหนักในกาลสมัยด้งได้กราบทูลมาแล้ว แมัมิใช่โอกาสแล้ว ก็คงเจียมตนเสีย ไม่สำแดงปรีชา


ให้ปรากฏด้วยมาดำริอยู่ว่า มิใช่โอกาสแห่งตนที่จะแสดงปรีชาเป็นโอกาสแห่งผู้หนึ่งอยู่แล้ว ก็ให้โอกาส

แก่เขา ให้เขาแสดงไปตามเรื่องของเขา เปรียบเหมือนการแสดงนาฏะ ฉะนั้น บุคคลประเภทนึ่อาจจะมี

ย้ยู่ก็ได้พระพุทธเจ้าข้า”
“เมื่อการปรากฏอยู่เช่นนึ่ แม้นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงทดลองโดยเจาะจงเฉพาะมโหสถ
ผู้เดียว มิให้เป็นข้อรับชอบโดยตลอดแก่ชาวบ้านนั้นแล้ว พวกนั้นก็ไม่ได้โอกาสในอันที่จะเปิดเผยปรีชา

ของตนให้ปรากฏได้ การที่จะสอดเข้ามาเองในเมื่อได้ทราบข่าวการทดลองนั้น ผู้มีป้ญญาไม่กระทำกัน

kalyanamitra.org
๓๒

ด้วยมารำพึงเลียว่า พวงมาลานึ่มิได้มีประสงค์จะคล้องให้แก่คนทั่วไป ผู้เป็นเจ้าของได้จองผู้'ที่จะคล้อง

ไว้แล้ว ดังนึ่ ผู้มีบ้ญญาเช่นนั้นไฉนจะก้มศีรษะแห่ง แม้จะเป็นศีรษะที่เต็มไปด้วยรัตนะคีอบ้ญญา ออก

ให้คล้อง เป็นการนอกเหนือที่จะเป็นไปได้ เมื่อเป็นเช่นนึ่ในภายหลังก็จะเอ่ยได้ว่า “โอกาสของเราไม่มี

บุญของเราไม่ถึง วาสนาไม่คู่เคียงที่จะได้รับพระราชทานพวงมาลาของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงไม่

ทรงโปรดพระราชทานโอกาสแก่เราบ้าง” แม้นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงทดลองโดยให้เป็นความรับ-
ผิดชอบร่วมก้นเลียแล้ว ก็เป็นอันปิดช่องที่จะจ้วงจาบเช่นนั้นได้”
“และก้าจะไม่มีผู้อึ่นสามารถจริง *1 คนทั้งหมดก็จะพาก้นไปหามโหสถอยู่เอง ที่ไหนจักพ้น

ไปได้ ด้วยเหตุนํ่ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็จักทรงทราบได้โดยพระปรีชาว่า มโหสถเป็นยอดคนในหมู่


นั้น และคนหมู่นั้นด่างก็ยอมยกย่องให้ความเจริญแก่มโหสถอย่างแท้จริงทุกคน มโหสถเท่านั้นเป็นที่พึ่ง

พำนักในทางสดีบ้ญญาของหมู่ชนนั้น เป็นอันได้ทรงประจักษ์เหมือนได้เสต็จไปเห็นความร่วมใจก้นเป็น
อันหนึ่งอันเดียวด้วยพระองค์เอง”

“ด้วยเหตุผลด้งได้กราบทูลนึ่แหละพระพุทธเจ้าข้า จึงเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

ควรจะทรงทำการสอบแก่ทุกคนในบ้านนั้น ให้เป็นภาระของทุกคนที่จะต้องได้รับการทรงทดลองจากใต้

ฝ่าละอองธุลีพระบาท มิเว้นว่าผู้ใด”
“ก็ดีเหมือนก้น เป็นอันตกลง แล้วเราค่อยเริ่มคีดบ้ญหาทดลองต่อไป”
“ขอเดชะ เรื่องบ้ญหาที่จะทดลองนั้น โปรดทรงวางพระหฤทัยเถิดพระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนก

''ราบทูลเพื่อให้สมพระท้ยของพระเจ้าวิเทหราช

kalyanamitra.org
๖. ทดลองปรีชา
ภายหลังจากวันที่ท่านเสนกราชวัลลภาจารย์ได้กราบทูลแถลงหลักการลอบมา ไม่ช้าชาวยวม้ชฌา

คามตะวันออกก็ได้รับความตื่นตระหนกในพระกระแสพระบรมราชโองการอันมาถึงยวม้ชฌคามเขตนั้น

โดยราชบุรุษผู้มีสง่านำมาป่าวประกาศพร้อมกับท่อนไม้ตะเคียนกลมยาวประมาณ ๑ คีบ อันเป็นวัตถุ


แห่งป่ญหา พระบวมราชโองการมีว่าด้งนํ่

“ชาวยวม้ชฌคามตะวันออกทุกคน จงพิเคราะห์ท่อนไม้ดะเคียนนื้ให้ทราบว่าทางไหนเป็นโคน

ทางไหนเป็นปลาย ทั้งนื้ให้ปฎิม้ดีโดยเร็วพลันทันที แม้นพิเคราะห์ไม่ได้ ชาวยว'ม้ชฌคามตะวันออก จะ

ด้องถูกปรับเป็นพินัยหลวง ๑,00๐ กษาปณ์”


พระบรมราชโองการครั้งนํ่ กระทำให้ชาวยวม้ชฌคามตะวันออกทุกคนตะลึงพรึงเพริด เพราะ

ไม่ทราบด้นสายปลายเหตุ ว่ามีพระราชประสงค์เป็นประการใด ต่างคนต่างพูดจาหารึอกันเป็นหมู่ บางหมู่


ก็เอ่ยร้นว่า “ทำไมเราจึงต้องตอบบ้ญหานั้ เหตุผลเป็นอย่างไร”
แด้วมีเลียงขัดร้นว่า “ป่ญหาว่าทำไมเราจึงต้องตอบป่ญหานื้ เป็นป่ญหาที่หาคำตอบไม่ได้ อย่า

ไปตั้งร้นมาอีกเลย เพึยงแต่ป่ญหาเดียวก็สํ่นม้ญญาจะตอบอยู่ จะไปตั้งป่ญหาที่ไม่อาจตอบร้นมาอีก จะ

ยิ่งทำให้บ้ญญาเปลึองไปโดยไม่เข้าเรื่อง ป่วยการเปล่า รุ เก็บบ้ญญาไวัคิดอ่านบ้ญหาเฉพาะหนำนํ๋กันเถิด”

บางกลุ่มก็หยิบท่อนไม้ตะเคียนกลมท่อนนั้นไปพิจารณากัน ต่างคนต่างบ่นต่าง รุ ตามอัธยาศัย

เช่นว่า “จะให้พิเคราะห์ไปทำอะไร พิเคราะห์แลัวจะเป็นคุณอะไร” เป็นด้น


“แลัวพิเคราะห์ได้ไหมล่ะ” เลียงโต้ร้นมาไนกลุ่ม

“ใครจะไปวู้ได้อย่างไร มันกลมเท่ากันทั้งนั้น”
“เพราะอย่างนํ่น่ะซ็ จึงได้บ่นไปตามประสา” เลียงสารภาพ

“เมือพวกเราไม่มีใครวู้'กันแลัว พวกเราพอจะวู้ได้ไหมเล่า ว่าใครจะเป็นผู้วู้'” เลียงสอดร้น

“เออ! บ้ญหาอย่างนั้พอจะหาคำตอบกันได้หน่อย ก็เห็นจะไม่มีใคร นอกจากพ่อมโหสถของ

เรา”
"หรึออังจะมีใครเห็นว่าผู้อื่นจะวู้ใด้ อาจพิเคราะห์ได้ ก็ใหัเอ่ยร้นเถิด”

ณ ที่นั้นไม่มีเลียงอื่น นอกจาก “พ่อมโหสถ” เซ็งแช่ไปตลอดหมด

และแลัวม้านของท่านสิริวัฒนะก็ได้เกิดมหาสันนิบาตร้นโดยชาวม้านไปประชุมกัน เพื่อขอให้

พ่อมโหสถของเขาทำการพิเคราะห์ท่อนไม้ตะเคียนกลมตามพระบรมราชโองการ

kalyanamitra.org
ขณะที่มหาชนพากันไปนั้น มโหสถยังอยู่ ณ สนามเล่นกับเพื่อนเด็ก *1 ระหว่างที่รอคอยก็คง

พูดจาสนทนากันไป โดยท่านสิริวัฒนะผู้เป็นหลักแหล่งบ้านเป็นประธาน
“ดูเถิดท่านผู้เจริญ พระบรมราชโองการของเจ้านายแห่งชาวเรา พระองค์มิได้ทรงประกาศ
พระราชประสงค์ให้'รู้เลย จู่ ๆ ก็ทรงส่งบ้ญหาเป็นการด่วน หรือจะมีพระราชประสงค์ทดลองพ่อมโหสถ

ของเราก็ไม่ทราบ” เสียงชาวบ้านพูดกับท่านสิริวัฒนะ
“ก็มีเหตุผลที่น่าพึง และน่าจะเป็นดังนั้น ” ท่านสิริวัฒนะอนุวัตตาม
แด่ไม่วายจะมีผู้ค้าน “ถ้าเช่นนั้น ก็น่าจะพระราชทานตรงมาเฉพาะพ่อมโหสถเท่านั้นก็สิ้นเรื่อง

ไม่น่าจะด้องให้พวกเราไซับ้ญญว่ซึ่งน้อยอยู่แลัว ต้องน้อยหนักลงไปอีกเลย”

“บ้ญญาที่น้อย ถ้าใซับ้างก็เป็นการเพิ่มพูนร้นมิใช่เป็นทางดัดรอน การได้คิดได้อ่านเป็นการ


ลับสติบ้ญญาได้ทางหนึ่ง ความเติบโตของบ้ญญาอยู่ที่ใซับ้ญญาดามทางที่ควร คงจะทรงพระกรุณา เพือ

ให้พวกเราได้ใซับ้ญญากันบ้าง เพื่อเป็นทางเพิ่มพูนก็ได้ จึงได้ทรงบังคับมาถึงพวกเราด้วย” ท่านสิริวัฒนะ

ตอบ
“จะมาหาบ้ญญาอะไรกับพวกเรา ซึ่งมีความรู้แด่การไถการหว่าน การทำแด่การงานของตน

ไปตามประสา” เสียงชาวบ้านคงบ่น
“ก็เป็นทางที่ดีอยู่ จะได้รู้คิดรู้อ่านร้นบ้างอย่างไรล่ะ ที่ได้พินิจพิเคราะห์สิงใด *1 บ้าง จะรู้หรือ
ไม่รู้ไม่เป็นประมาณ ขอให้ได้ห้ดพินิจพิเคราะห์กันบ้างก็เป็นทางที่จะกระด้นความคิดความอ่านได้อยู่ เพียง

เท่านื้ก็ดีมิใช่น้อย” ท่านสิริวัฒนะโด้ “แด่จะอย่างไรก็ตาม ที่พวกเราทุกคนก็ได้แต่พิเคราะห์เท่านั้น แมั

ข้าพเจ้าเอง'ก็อยู่ในฐานะเดียวกัน ไม่อาจจะให้การพิเคราะห์ปรากฎผลตามพระราชประสงค์ได้”

“ข้าแต่ท่านเศรษฐี บางทีพ่อมโหสถบัณฑิตจะพึงรู้ได้” เสียงหลายคนเอ่ย “ท่านโปรดให้คน

ไปตามมาดูเถิด”
ท่านสิริวัฒนะมิได้ซักช้า รีบให้คนไปตามมโหสถบัณฑิตมาจากสนามเล่น รออยู่ประมาณครู่หนึ่ง

มโหลถกุมารพร้อมด้วยเพื่อนเด็กก็พากันมา มโหสถกุมารรีบเข้าไปหาท่านบิดาพลางถาม “คุณพ่อให้คน


ไปดามผมมาเรื่องอะไรครับ”
“ดูนึ่ซิลูก” ท่านเศรษฐีกล่าวพลางยื่นท่อนไม้ตะเคียนให้คู “พระราชาทรงมีพระบรมราชโองการ
กำกับมา ให้พวกเราพิเคราะห์ท่อนใม้นึ่ว่า ทางไหนเป็นโคนทางไหนเป็นปลาย แม้นไม่รู้จะทรงปรับ •,๐๐๐

กษาปณ์ พวกเราจนบ้ญญาไปตาม กุ กัน ไม่สามารถจะซีได้ว่าทางไหนเป็นปลายทางไหนเป็นโคน ลูกพอ

รู้ได้ไหมล่ะ”
มโหสถกุมารพึงคำร้แจงของท่านบิดา คิดในใจว่า “พระราชาจะทรงประสงค์ปลายหรือโคน
ของท่อนไม้นั้ใปทำอะไร ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร จะมีพระประสงค์ที่จะทรงทราบเพื่อพระราชกิจอัน
ใดอันหนึ่ง ก็ไม่เห็นจะน่ามีได้ พระราชกิจอันใดที่จะด้องทรงบริหารด้วยการรู้โคนรู้ปลายของท่อนไม้ที่

ไหน คงมีพระราชประสงค์จะทรงทดลองเราเท่านั้นแหละจึงไต้ส่งมา” คิดแลัวรับท่อนไม้ตะเคียนมาเพื่อ

kalyanamitra.org
๓๕

พิเคราะห์, เพียงจับดูเท่านั้น/เร้ได้ว่าทางนี้เป็นทางปลาย ทางนี้เป็นทางโคน แต่ทั้ง *1 ที่รัก็เก็บไว้ในใจก่อน

ไม่บอกทันที เพึ่อจะให้มหาชนได้ประจักษ์ด้วยนัยน์ตา จึงบอกท่านบิดาว่า “โปรดให้คนเอาถาดใสนา


มาสักใบหนี้งเถิดขอรับ”
ครั้นได้ถาดนี้ามาวางไว้เรียบร้อยแล้ว ก็เอาเชือกผูกกึ่งกลางท่อนไม้ ถือปลายเชือกข้างหนึ่งไว้

ยกท่อนไม้นั้นวางลงบนนี้าในถาด แทนที่ท่อนไม้นั้นจะจมลงไปเท่ากัน ทางหนึ่งกลับจมลงไปมากกว่าซีก


ทางหนึ่ง เมื่อปรากฎเช่นนี้มโหสถกุมารก็บอกให้มหาชนดู “เชิญท่านทั้งหลายดูซ!็ ท่อนไม้นี้หาได้จมลง

ไปในนี้าเท่ากันไม่ เห็นหรือยังเล่าท่านทั้งหลาย!”
“อ้อ เห็นแล้ว” มหาชนพากันตอบ และย้อนถาม “นั่นเกี่ยวกับโคนและปลายของท่อนไม้นั้น

อย่างไรเล่าพ่อคุณ”
“เกี่ยวซี ท่านทั้งหลาย” มโหสถตอบ แล้วซักถามว่า “ท่านทั้งหลายตอบข้าพเจ้าตามที่ข้าพเจ้า

จะถาม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดานี้เอง เชิญท่านตอบข้าพเจ้า ข้อแรกขอถามท่านทั้งหลายว่า อ้นต้นไม้

ทั้งปวงนั้นโคนเกิดก่อนหรือปลายเกิดก่อน”
“โคนเกิดก่อนซีพ่อ”
“เมื่อโคนเกิดก่อนก็เจริญก่อน เนี้อไม้ก็แข็งกว่าน่ะซี” ซักต่อไป

“เป็นเช่นนั้นซี พ่อบัณฑิต” เสียงมหาชนรับรอง


“เนี้อไม้ที่แข็งกว่า ก็หมายความได้ว่าเนี้อไม้ตอนที่เป็นโคนนั้นแน่นกว่าตอนปลายใช่หรือไม่”

“จริงซี” รับรองเป็นเสียงเดียวกัน
“เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายสำด้ญอย่างไรในท่อนไม้ตะเคียนท่อนนี้ ข้าพเจ้าเอาเชือกผูก
ตรงกี่งกลางพอดี แล้วหย่อนในถาดนี้าอยู่ในบัดนี้ ข้างหนึ่งจมลงไปก่อนอีกข้างหนึ่ง” มโหสถกุมารสอบสวน

ทวนถามอีก
“ข้างที่จมก่อนนั้นมีนี้าหนักกว่าข้างที่จมทีหลัง ข้าพเจ้าสำคัญอย่างนี”้ มหาชนสนอง
“ท่านทั้งหลายยังจำคำของท่านที่กล่าวมาโดยลำดับได้อยู่มิใช่หรือ ” ทบทวนซํ้า

“ได้ซีพ่อคุณ”
“ท่านทั้งหลายทราบหรือยังว่าทางไหนเป็นโคนทางไหนเป็นปลาย กำหนดได้หรือยังเล่า” มโหสถ
กลับซํ้าอีก
“โอ! พ่อคุณเอ๋ย ข้าพเจ้าทั้งหลายกำหนดได้แล้ว” เสียงกล่าวเป็นเสียงเดียวกันครื้นเครง “พ่อ

ช่างรอบร้จริง กุ เจ้าพ่อคุณ”
“ท่านทั้งหลายหมายไว้เถิด ข้างที่จมก่อนเป็นโคนข้างที่จมทีหลังเป็นปลาย” มโหสถกุมารบอก

แก่มหาชน
ชาวยวม้ช่ฌคามตะวันออกทุกคนต่างดีใจในผลพิเคราะห์ของมโหสถกุมารยงนัก กล่าวคำชมเชย
ด้วยประการต่าง กุ แล้วทำเครื่องหมายไว้ ส่งคนนำไปกราบบังคมทูลแต่พระเจ้าวิเทหราช ตามผลแห่ง

การพิเคราะห์นั้น ณ พระราชสำนัก

kalyanamitra.org
๓๖

พระเจ้าวิเทหวาชกำลังประทับ ณ ท้องพระโรง พร้อมอำมาดย์ราชเสนาเฝืาอยู่โดยใกล้ชิด


เมื่อนายพระทวารกราบทูลให้ทรงทราบถึงการมาเฝืาของชาวยวม้ชฌคามตะวันออก พระองค์
รับสั่งให้ฟ้าเฝ่าทันที .พลางมีพระดำรัสถาม "เจ้ามาจากยวม้ชฌคามตะวันออกหรือ”

“ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้ามาจากยวม้ชฌคามตะวันออกพระพุทธเจ้าข้า”


ผู้'นั้นตอบ
“มีธุระอันใดเล่า” ตรัสซัก
“ขอเดชะ ตามทีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกระแสรับสั่งบังคับไปยวม้ชฌคาม

ตะวันออกให้พิเคราะห์ท่อนไม้น”ั้ นำท่อนไม้ตะเคียนออกถวายให้ทอดพระเนตรแล้วกราบทูลต่อไป “เพื่อ

ให้รู้ว่าทางไหนเป็นปลาย ทางไหนเป็นโคน บัดนึ่ได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมแล้วพระพุทธเจ้าข้า”

“เออ ไหนล่ะ ทางไหนเป็นปลายทางไหนเป็นโคนล่ะ นำเข้ามาให้ดูช”ิ


เจ้าพนักงานรับท่อนไม้จากบุรุษนั้น นัอมเข้าไปถวายให้ทรงทอดพระเนตรแล้ว บุรุษนั้นก็กราบ
ทูลว่า "ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมติเทพเจ้า ทางที่ได้ทำเครื่องหมายไวันั้นแลเป็นโคน ทางที่ไม่ปรากฎ

เครื่องหมายเป็นปลายพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชดีพระทัย ตรัสถามว่า “ใครเป็นคนรู้อย่างนึ”่

“ขอเดชะ มโหสถบัณฑิต ผู้บุตรของท่านสิริวัฒนะเศรษฐีเป็นผู้ทราบพระพุทธเจ้าข้า ”


ทรงผันพระพักตร์ไปทางท่านเสนกทันทีตรัสว่า “อย่างไรเล่าท่านเสนก มโหสถด้องรู้ ก็เมื่อ
ยังเด็กเท่านึ่มีบัญญาถึงเพียงนึ่แล้ว เติบโตขนก็ยิ่งมีป้ญญาแก่กล้ายิ่งขน เราจะนำคัวมาได้หรือยัง มโหสถ

เป็นบัณฑิตแน่”
ท่านเสนกยังไม่ยอมตามพระราชอัธยาศัย ถือว่ายังไม่สนหลักเกณฑ์ในการทดลอง ความไม่ลิ้น

หลักในการทดลองนํ๋มีประโยชน์ในการที่คณะของท่านจะคงมีรัศมีเด่นไปอีกนาน จึงกราบบังคมทูลไวั

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ โปรดทรงพระกรุณายับยั้งพระทัยไวัก่อนเถิดพระพุทธเจ้าข้า”


“ไม่น่าจะด้องรอไปอีกเลย” รับสั่งแทรกขน
“ควรชักทดลองตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ครบเสียก่อน่พระพุทธเจ้าข้า ถึงแม้ว่'{ความรอบรู้

ที่แสดงออกจะเป็นเครื่องส่อให้เห็นความเฉลียวฉลาดได้ดี แต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทคงจะทรงปรีชา

หยั่งทราบได้ว่าผู้รอบรู้อาจจะขาดความหลักแหลม และหย่อนความคมคายลงก็ได้”
“อีกประการหนึ่งเล่า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกลัาๆ อยู่ว่า ไม่ว่าการใด *1 ย่อมมีความสำคัญ

ที่ตั้งต้น เมื่อตั้งด้นดีแล้วก็เป็นหวังได้ว่าคงดีตลอดไป แม้นตั้งต้นไม่ดีแลัวจะแกํใขภายหลังย่อมลำบาก

และพาเดือดรัอนด้วย เหตุนั้นข้าพระพุทธเจ้าจึงจำด้องขอพระราชทานพระกรุณา โปรดประทานอภัยโทษ


แก่ช้าพระพุทธเจ้าในการทัดทานนึ่ ช้าพระพุทธเจ้ามีได้มีความปรารถนาเป็นประการอึนเลย คำนึงถึงแต่
พระเกียรติคุณของได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นเบื้องหนัา จึงได้กราบทูลทัดทาน เมื่อว่าตนมีความสามารถ

เพียงใดในการป้องภันพระบรมเดชานุภาพมีให้แคว้นอื่นดูแคลนได้แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าย่อมใซัความสามารถ

เพียงนั้นเทียว กราบทูลมาทั้งนึ่โปรดทรงพระกรุณาดำริเถิดพระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
๓๗

“ก็ดีเหมือนกัน เราทดลองกันให้สุดความสามารถก่อน เพื่อจะได้เห็นแจ่มกระจ่างในปรีชาของ


พ่อมโหลถทุกด้าน” รับสั่งด้วยทรงอนุโลมตามท่านเสนก พลางหันไปดรัสกับบุรุษชาวบ้านยวมัชฌคาม

ตะวันออก “เจ้าไปได้แล้ว”
ภายหลังจากนั้นไม่ช้า ชาวบ้านยวมัชฌคามตะวันออกก็ได้รับพระราชปริศนาพรัอมพระราช
โองการกำกับปริศนา คราวนั๊เปันเรื่องยากยิ่ง กล่าวคือ ได้รับดวงแก้วมณีมีเกลียว ๘ เกลียว แก้วมณีดวงนํ่

ห้าวสักกะประทานแด่พระเจ้ากุสราช เพื่อเป็นเครื่องอำนวยสิริแด่พระองค์ ในเกลียวแก้วมณีมีด้ายรัอย


ด้วยความเก่า ด้ายที่รัอยกระท่อนกระแท่นมานานแล้ว ไม่มีใครสามารถจะดึงด้ายเก่าออกแล้วรัอยด้ายใหม่

เข้าแทนที่ได้ คงปรากฎด้วยอาการนั้นมา จนได้ทรงนำมากระทำให้เป็นปริศนาทดลองครั้งนึ่

“ชาวยว!ม้ชฌคามตะวันออก จงดึงด้ายเก่าออกจากดวงแก้วมณีนึ่ แล้วร้อยด้ายใหม่เข้าไปแทน

ก้าดึงออกไม่ไดร้อยเช้าไปไม่ได้ ด้องถูกปรับ ๑,000 กษาปณ์” นึ่เป็นพระบรมราชปริศนาที่พระเจ้าวิเทหราช

ทรงส่งไป ณ ยว!}ชฌคามตะวันออกเพื่อทดลองมโหสถ แด่ก็ได้ทรงกระทำให้เป็นภาระของทุก ๆ คน

ชาวบ้านไต้ทราบพระปริศนาแล้ว ด่างก็ประชุมกันพิจารณาเหมือนครั้งก่อน ด่างคนด่างทดลอง

กันตามความดีดเห็นของตน *1

“เอ! พิกลแฮะ มองดูก็ไม่น่าจะยากเหมือนจะเอาอะไรสอดเข้าไปดึงออกมาได้ แด่แล้วก็ทำ


ไม่ยักได้เหมือนที่นึก” เลียงบ่นปรากฏขนจากคนหนึ่งเซึ่งทดลองตามวิธีของตน

“นั่นแหละ ท่านว่าการบางอย่างเราดีดว่าง่าย *1 แด่พอลงมือกระทำ'ซึงปรากฏว่ายากและเกิด

ความดีดขัดกระทำไปไม่ได้” เสียงคนหนึ่งกล่าว

“ส่งมาให้กันลองบ้างชิ” อีกคนหนึ่งเอ่ยบ้าง แด่แล้วก็ “เออแน่! ไม่ง่ายจริงอย่างว่า มองไม่เห็น

ท่ากระทำได้เสียเลย เด้า! ใครจะลองสติบ้ญญาบ้างก็เชิญ”


“พุทโธ่ ชาวเราก็ จะมามัวพิจารณาให้ลำบาก สิ้นเปลืองสติบ้ญญาไปทำไมกัน พ่อมโหสถ
ของเราอยู่ทั้งคน ไม่มีใครนึกถึงบ้านหรืออย่างไร มามัวเอาหิ่งห้อยเป็นแม่ไพ่กันอยู่เคุย่างนึ่ จะสำเร็จได้

ที่ไหนกัน” เลียงหนึ่งสอดเข้ามาเป็นเชิงตำหนิพวกกัน

“ไม่ใช่ไม่ดีดชึงพ่อมโหสถดอก แด่เมื่อลิดถึงว่าพ่อมโหสถของเรามีคุณ คือ บ้ญญามากมาย

กว่าพวกเราก็เท่ากับเป็นใหญ่กว่าใดยคุณ การจะรบกวนกันเลียเรื่อยไป อะไรนิดอะไรหน่อยก็ด่'องมโหสถ


ไปเสียทั้งนั้นกึไม่เป็นการสมควร พวกเราควรทดลองดูบ้างตามสติบ้ญญา เมื่อสุดฟิมือกันแล้วซึงค่อยไป

ถึงพ่อมโหสถ อย่างนึ่จืงจะงดงาม” เสียงพูดแก้อย่างมีหลัก

“คราวนึ่ก็ปรากฎหมดฟิมือํกันแล้ว อย่าช้าเลยน่ะ พากันไปบอกให้พ่อมโหสถดัดการเถิด” เสียง


เป็นชันมาก่กล่าวชวนข้น ซึงเป็นเสียงมีอำนาจไม่น้อย เพราะฉะนั้น ทุก คุ คนด่างไปประชุมกันอย่างคับคั่ง

ที่บ้านของท่านสิริวัฒนะอีก

เมื่อได้แจ้งเรื่องราวให้ท่านสิริวัฒนะทราบแล้วก็พรัอมกันรอเมโหสถบ้ณฑิตอ่ย่างเคย
มโหสถกุมารกับเพื่อนเด็ก คุ พาก้นมาไม่ช้านัก เมื่อได้นั่ง ณ ที่ดันสมควรแล้ว ก็เอ่ยถามเรื่องราว

kalyanamitra.org
ธา๘

ได้พ้งความดลอดแล้ว ขอดูดวงแล้วมณีนั้น พิเคราะห์ถี่ล้วนแต้วก็กล่าวขึ้นอยางฉาดฉานมั่นใจ “ท่านทั้งหลาย

อย่าพากันเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเลย เรื่องนี้ไม,ยากดอก”

“พวกเราคลำกันมาหนักหนาแล้ว จนปญญาไปดาม *1 กันหมด พ่อว่าไม่ยากพ่อคุณเอย เห็น


จะไม่มีเรื่องอะไรสำหรับพ่อเสียแล้วไนโลกนี้ ” เสียงกลุ่มชนสดุดี

“เดี๋ยวซี ฉันจะทำให้ดู” มโหสกพูดเด็ดเดี๋ยว ความจริงกิจบางประการในโลกมนุษย์เราไม่อาจ

ท้าได้ แด,มนุษย์อาจใช้ผู้ที่ทำได้ให้กระทำมีอยู่ สำหรับเรื่องนี้สิ้นสมีอมนุษย์แน่นอน แต่เรายังมีทางกระทำ

ให้สำเร็จได้ พลางหันมาทางท่านสิริวัฒนะเอ่ยว่า “คุณพ่อครับ ขอนี้าผื้งให้ผมลักหน่อย”


กลุ่มชนสงสัยเสียงชุบซิบกัน “เอาละ เกิดเรื่องพิสดารขึ้นละ พ่อมโหสกขอนี้าผื้ง จะเอานี้าผื้ง

ดึงด้ายเก่าออก แล้วจะเอานี้าผื้งดึงด้ายใหม่ร้อยเช้าไปอย่างไรกัน น่าพิศวงเสียจริง *1 พวกเรา”

แล้วก็มีเสียงห้ามปรามกัน “อย่าเอะอะไปเลยน่ะ! พวกเราจนปัญญาในการทำแล้ว ก็เก็บปัญญา


ในการพูดไว้ คอยดูไปดึกว่า มันต้องเป็นอุปกรณีอะไรลักอย่างหนึ่งแน่นอน คงไม่ใช่เอานี้าผงดูดด้ายออก

ดึงด้ายเข้าเป็นแน่ ยิงพูดยงโง่เปล่า
พอคนหยิบนี้าผื้งมาส่งให้ มโหลถก็เอานี้าผํ่งทาช่องทั้งสองด้าย แล้วขวั้นด้ายให้เป็นเกลียว
ทานี้าผื้งไวัตรงปลายสนเข้าไปในช่องของดวงแก้วหน่อยหนึ่ง ให้เอาไปวางไว้ตรงที่ที่พวกมดแดงพากัน

ออกจากรัง
นํ้าผื้งพึงใจมดและจมูกมดก็มีประสาทเยี่ย^ในเรื่องดมกลิ่น ดังนั้น กลิ่นนี้าผื้ง!ทุทาช่องของ

ดวงแก้วจึงหอมหวลอบอวลไปทั่วรังของเหล่ามดแดง มันพาก้นออกมาเสูดกลิ่นนี้าผื้ง มันชวนก้นคลาน

เข้าไปในช่องแก้วมณี กัดด้ายเก่าซึ่งเกะกะทางเดินเข้าไปหานี้าผื้งกินไปพลาง จนกระทั่งทั่บลายด้ายเลัน

ใหม่ ก็กัดดึงมาตามช่องแก้วอันเป็นเกลียวนั้น จนกระทั่งปลายด้ายโผล่อีกทางหนึ่ง

มโหสกเห็นด้ายใหม่ร้อยไปตามเกลียวแก้วตลอดแล้ว ก็นำให้แก่ชาวบ้านบอกว่า “ท่านทั้งหลาย

จงนำไปทูลเกล้าฯ ถวายพระราชาเถิดเสร็จแล้ว”
พวกชาวบ้านต่างแซซองสาธุการเลียงสนั่นครั่นครื้นอลเวงไปหมด แล้วพากันล่งดวงแก้วนั้น

ไปทูลเกล้าฯ ถวายพระราชา

พระเจ้าวิเทหราช ทรงรับดวงแก้วมณีอันมีด้ายใหม่ร้อยเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ทรงพิศวงไม่นัอย


ตรัสไล่เลียงถึงอุบายที่มโหสกกระทำ ครั้นทรงทราบถี่ล้วนแล้ว ก็ดีพระทัยเป็นลันพ้น รับสั่งให้ท่านเลนก

มาเฝัา ตรัสเล่าเรื่องราวให้พ้ง พลางรับสั่งด้วยพระสูรเลียงอันล่อถึงพระปีติโสมนัส “เป็นอย่างไรท่าน

อาจารย์ หลักแหลมไหมล่ะ เลิศลันทีเดียวนา จะรับตัวเข้ามาก็ได้แล้ว หรือท่านอาจารย์ว่าอย่างไร”

“ขอเดชะ” ท่านเสนกกราบทูล่สย่างหนักแน่น “ขอได้ทรงพระกรุณาดำเนินการให้ครบตาม


หลักการที่โปรดประทานไว้เถิดพระพุทธเจ้าข้า ถึงอย่างไรมโหสถก็คงเป็นพลเมืองคนหนึ่งของได้ฝ่าละออง

ธุลีพระบาท จะโปรดให้เข้ามาเมื่อไรก็ได้ แต่การรับเข้าดำรงตำแหน่งราชบัณฑิตแห่งราชสำนัก่มิถิลานคร

นั้น เป็นเรื่องสลักสำคัญ โปรดทรงพระกรุณาวิจารณ์โดยแน่นอนพระพุทธเจ้าช้า ”

kalyanamitra.org
๓๙

“ดีเหมือนกัน” รับสั่งคล้อยตาม “สอบกันไปจบหลักสูตวิก็ดี กังเหลืออีกหลักเดียวเท่านั้น ไหน ๆ

ก็วอมาแล้ว เอาละ เป็นอันว่าต้องสอบในหลักคมคายต่อไป”

อยู่มาไม่ช้าราชบุรุษก็นำพระกระแสพระบรมราชโองการไปให้ชาวยวมัชฌคามตะวันออกอีก
พอเห็นหน้าราชบุรุษผู้เทียวไปเทียวมาบ่อย รุ พวกชาวบ้านต่างก็รู้ว่าคงมีกรณียกิจอะไรเกี่ยวกับพระบรม-

ราชโองการอีกละ พากันทักท่านราชบุรุษ “ใต้เท้ากรุณามาคราวนี่ มีพระบรมราชโองการอีกกระมัง ”

“อย่างนั้นสิท่านทั้งหลาย” ท่านราชบุรุษตอบ “คราวนี่ชอบมาพากลเสียด้วย น่ากลัวพวกท่าน

จะสํ่นบ้ฌญาไปตาม รุ กัน ฉันมองไม่เห็นลู่ทางที่พวกท่านจะปฏิบัติตามพระบรมราชกระแสได้เลย พวก

ท่านรอดจากถูกปรับมาหลายครั้งแล้วด้วยบัญญาของพ่อมโหสถบัณฑิต คราวนั๊น่ากลัวจะไม่รอด”

“ถึงอย่างนั้นทีเดียวหรือ ใต้เท้า” ชาวบ้านแสดงอาการตกใจ “พระบรมราชกระแสมีว่าอย่างไร

โปรดแจ้งให้พวกข้าพเจ้าพํงสักหน่อยเถิด”
“เชิญพํง” ท่านราชบุรุษกล่าวพลางอ่านพระบรมราชโองการ
“เราพระเจ้าวิเทหราช ปรารถนาจะเล่นชิงช้าพรวนทราย ซึ่งเป็นสายชิงช้าเส้นเก่าในราชสกุลขาด

เสียแล้ว ให้ชาวยวม้ชฌคามตะวันออกขวั้นพรวนทรายส่งไปให้เรา ๑ เส้น หากส่งไปไม่ได้ต้องปรับ ๑,๐๐0

กษาปณ์”
“แย่ รุ พวกเราเอ๋ย” ชาวบ้านอุทาน “เออนี่จะทำอย่างไรกัน เอาทรายมาขวั้นเชือกพรวนสาย

ชิงช้า เกิดมาไม่เคยไต่ยิน เพิ่งมาได้ยินคราวนี่แหละ ว่าไงพวกเรา”

“จะว่าอย่างไว ก็ต้องไปหาพ่อมโหสถตามเคย” เสียงขานตอบ

“พ่อมโหสถจะทำอย่างไรหนอ จะทำได้หรือ” เสียงชาวบ้านบ่นกันไปพลาง และเดินกันไป

พลางจนถึงบ้านสิริวัฒนะ
มโหสถบัณฑิตกำลังอยู่บ้านพอดี เห็นพวกชาวบ้านพากันมามากมาย ก็คาดว่าคงมีการข้ดข้อง
อะไรเกิดขนอีกแล้ว ทั้งเห็นท่านราชบุรุษผู้เคยมาเสมอ รุ ก็คาดการณ์ได้ว่า “พระราชาคงจะมีพระบรม-
ราชโองการมาทดลองเราอีก” พอชาวบ้านเข้ามาประชุมกันเรียบรัอยก็ท้กทันทีว่า “มีเรื่องอะไรอีกกระมัง

ท่านทั้งหลาย”
“พ่อคุณเอ๋ย หมู่นี่พระราชาของพวกเราทรงพระกรุณาโปรดพวกเราบ่อย รุ จริงละพ่อ หลาย
ครั้งหลายหนแล้ว ต้องพากันมารบกวนพ่อเรื่อย ๆ คราวนี่ก็เหมีอนกัน ดูเหมือนจะสำด้ญกว่าทุกคราว เชิญ

พ่ออ่านพระบรมราชโองการดูเถิด” ชาวบ้านกล่าวพลางเชิญพระบรมราชโองการเข้าไปให้
มโหสถบัณฑิต อ่านพระบรมราชโองการตลอดแล้วนึกในใจว่า “บัญหานี่ต้องย้อนบัญหา” แล้ว

ปลอบชาวบ้านว่า “ท่านทั้งหลายสบายใจเถิด ไม่ยากอะไรดอก”


“ไม่มีอะไรยากตามเคย” เลียงพึมพำในหมู่ชาวบ้านแล้วก็เงียบไป ในเมื่อมโหสลบัณฑิตเรียก
คนที่เข้าใจในการเพ็ดทูลพระราชาเข้ามาสองสามคนสั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงไปพากันเข้าเฝ็าพระราชา

กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมุติเทพเจ้า พวกชาวบ้านยวป๋ชฌคามตะวันออกได้รับพระบรมราช

kalyanamitra.org
๔๐

โองการซึ่งได้โปรดพระราชทานไปแล้วนั้น ก็ปรารถนาฉลองพระเดชพระคุณอยู่ แต่มิได้ทราบขนาดของ

พรวนทรายที,ทรงพระประสงค์ว่า จะต้องพระประสงค์ขนาดไหน หนาหรือบางอย่างไรไม่ทราบเกล้ำๆ


ขอได้ทรงพระกรุณาส่งพรวนทรายเส้นเก่าให้พวกขำพระพุทธเจ้าสัก'ท่อนหนึ่งคืบหรือสีองคุลีก็แล้วแต่

จะทรงพระกรุณา ชาวบ้านยวมืชฌคามตะวันออกเห็นแบบอย่างแล้วจะพากันขวั้นตามที่ทรงประสงค์พระ-

พุทธเจ้าข้า”
’ ล้าพระราชาทรงรับสั่งกะพวกท่านว่า “ขนชี่อว่าพรวนทรายในวังของเราไม่เคยมีแต่ไหนแต่ไร
มาแล้ว” .ทีนั้นพวกท่านจงพากันกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงบรมเดชานุภาพยิ่งใหญ่ แม้นเป็นดัง

พระบรมราชกระแส กล่าวคือในพระบรมมหาราชวังมิได้เคยมีพรวนทรายแล้วไซรั พวกข้าพระพุทธเจ้า


ชาวบ้านยวมืชฌคามตะวันออกชักขวั้นพรวนทรายถวายใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้อย่างไรเล่าพระพุทธเจ้า

ข้า”
พวกท่านทั้งหลายจงกำหนดข้อความทั้งนึ่ให้แม่นยำแล้วกราบบังคมทูลตามที่ฉันว่านึ่ ต่อจาก

นั้นก็เป็นอันว่าพวกท่านได้ปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ แล้วไม่ด้องพรั่นพรึงอันใด”

คนเหล่านั้นรับคำกำหนดข้อความที่มโหสถบัณฑิตบอกกำซับแม่นยำ แล้วพากันไปเสาพระ

ราชา กราบทูลตามที่มโหสถบัณฑิตแนะนำ การได้เป็นดังที่มโหสถบัณฑิตคาดไวํไม่แผกผิด กล่าวคือ

พระเจ้าวิเทหราชปฏิเสธว่า ในพระบรมมหาราชวังไม่เคยมีพรวนทรายมาแต่ไหนแต่ไร ครั้นพวกนั้นกราบทูล


ว่า “เมื่อในพระบรมมหาราชวังไม่เคยมีมาแล้ว พวกชาวบ้านยวม้ชฌคามตะวันออกจะพึงขวั้นพรวนทราย

ถวายได้อย่างไรเล่าพระพุทธเจ้าข้า”
ตรัสว่า “ย้อนบัญหาคมคาย ใครเป็นคนคิดให้พวกเจ้าทั้งหลายมาพูดอย่างนึ”่

“ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าฯ” พวกนั้นกราบทูลอย่างองอาจ “การทั้งนึ่พ่อมโหสถบัณฑิต

คิดให้พวกข้าพระพุทธเจ้ามากราบบังคมทูลพระกรุณาพระพุทธเจ้าข้า”
ทรงสดับแล้ว พระหฤทัยก็เต็มตื้นไปด้วยพระปีติโสมนัส ตรัสชมเชยมโหสถด้วยพระดำรัส

ต่าง *[ พลางรับสั่งให้พวกนั้นกลับสู่เคหสถานของตน แล้วรับสั่งให้หาท่านเสนกมาเสา ตรัสเล่าพฤติการณ์

ให้พึงโดยละเอียดแล้วรับสั่งว่า “คมคายยิ่งนักท่านอาจารย์ การสอบของเราก็เป็นอันสิ้นสุดกันแล้ว พ่อ

มโหสถแก้ไขได้ทุกกระบวน ไม่มีข้อไหนที่มโหสถแก้ไม่ได้ ว่าอย่างไรล่ะท่านอาจารย์ จะรับตัวมาเมื่อไรดี”

ท่านเสนกแม้จะตระหนักในปรีชาอันลํ้าเลิคของมโหสถบัณฑิตดี แต่ด้วยอำนาจความหวงลาภ

ครอบงำจิตใจเลียจนมืดมิด คอยคิดแต่ประวิงเวลาให้ยืดเยอไป เกรงว่ามโหสถบัณฑิตเข้าสู่ราชสำนัก พวก


ตนเป็นต้องดำด้อยลงไปถึงอับเฉาทีเดียว แต่การสอบดามหลักการนั้น *1 ก็สิ้นสุดลงแล้ว หนทางที่จะ

ประวิงก็พลอยติดข้ดไปด้วย อย่างไรก็ตามวิสัยแห่งใจที่มีริษยา ย่อมมีกำลังแห่งใจที่จะกลั่นกรองลู่ทาง

แห่งการประวิงไดํไม่จำนน ท่านเสนกกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระบารมีเป็นที่ลันเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้า

ตระหนักอยู่ว่ามโหสถมีปรีชารอบรู้หลักแหลมและคมคาย ดังที่มีพระราชบรรหาร ทั้งเป็นผู้สอบได้ตาม

หลักการที่โปรดประทานไว้ทุกกระบวน ควรที่จะเป็นราชบัณฑิตเฉลิมพระเกียรติได้โดยแท้ ”

kalyanamitra.org
๔๑

“นั่นสิ ท่านอาจารย์” รับสั่งด้วยทรงโสมนัส “แล้วจะรับตัวมาเมื่อไรดี ”


“ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น” ท่านเสนกกราบทูลเพื่อประวิงต่อไป “การที่รับตัว

มานั้นข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าๆ ว่าด้องกระท่าด้วยวิธีการที่แยบคายจึงจะสมควรพระพุทธเจ้าข้า ”
“เอ๊ะ! อย่างไรท่านอาจารย์ ทำไมด้องมีวิธีการด้วยเล่า จะรับเข้ามาตามที่เห็นว่ามโหสถสมควร

แก่ตำแหน่งราชบัณฑิตของฉันไม่ได้หรือ” ทรงซัก

“จะกระท่าดังพระกระแสก็ได้พระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกคล้อยตามพระราชบรรหาร “แต่


ช้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าๆ ว่า จะมิเป็นการปราศจากโทษพระพุทธเจ้าข้า”
“เอ! ท่านอาจารย์ยังจะเห็นโทษอะไรอยู่อีกเล่า ลองว่ามาดูทีหรือ” ทรงไล่เลียง
“ขอเดชะ พระบารมีเป็นที่ล้นพ้น” ท่านเสนกเริ่มทูลแถลง “ข้าพระพุทธเจ้าไตร่ตรองเห็นด้วย

เกล้าๆ ว่า ถึงจะเฉลียวฉลาดปานใด มโหสถกุมารก็ยังอยู่ในวัยเด็ก ความเป็นผู้อยู่ในวัยเด็กนั้น ยากนัก


ที่จะมีจิตใจรู้จักระวังยับยั้งอย่างผู้เจริญวัย หากใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงพระกรุณาโปรดให้รับตัว

เช้ามา ในฐานะที่ทรงพระดำริเห็นว่าเป็นผู้สมควรแก่ตำแหน่งราชบัณฑิต ที่ไหนมโหสลกุมารจะยับยั้ง

ความรู้สึกทะนงในตนเห็นเป็นบุคคลที่สำคัญกว่าผู้อื่น ข้อนั้นถึงเป็นความลำพองของมโหสถ ซึ่งจะไม่

เป็นคุณแก่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทและแม้แก่ฐานะของเขาเอง ความลำพองในยศดักดํ่จักท่าลายส่วนเด่น

ของบุคคลเสียได้ง่าย รุ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ด้งได้กราบทูลมา อันที่จะลิดว่ามโหสถไม่เป็นเช่น

นั้น ก็เป็นความลิดที่ปรากฏอยู่แก่ข้าพระพุทธเจ้าบัาง แต่มีกำลังอ่อนไม่เพียงพอที่จะบำบัดความลิดตัง

กราบทูลมาก่อนนั้นได้ เพราะความเป็นไปของโลกียมหาชน ย่อมหนีไม่พ้นจากความเหิมฮึกในลาภยศ


การที่ทรงพระกรุณาโปรดให้รับเข้ามา มีอาการท่านองเดียวกับทรงเชื้อเชิญจึงเป็นการไม่ปราศจากโทษ ”

“อนึ่งเล่าพระพุทธเจ้าข้า หากว่าจะมีเหตุการณ์อันใดปรากฏชื้นภายหลังที่ได้ทรงแต่งตั้งเขา

ในตำแหน่งราชบัณฑิตแล้ว ดึงเหตุการณ์นั้นจะรุนแรงพอแก่พระราชอาญาที่จะทรงบำราบ ก็เห็นด้วยเกล้าฯ

ว่าจะทรงกระท่าได้ไม่ถนัดตามพระราชกำหนดไวั เพราะเป็นบุคคลซึ่งทรงรับมาโดยทรงพระราชดำริ
เห็นควรแล้ว หากเขาไม่คู่ควรชื้น จะเป็นที่เคืองระคายใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมิใช่นัอย พระราชหฤทัย

ต้องเปียมไปด้วยโทมนัสขมขื่นเป็นอย่างหนัก โปรดทรงพระกรุณาวิจารณ์โดยถ่องแทั แม้นเป็นดังนั้นชื้น


จะมิเป็นอันว่าจะด้องรื้อสิงซึ่งได้ทรงก่อไว้ ด้วยมิได้มีความลิดว่าจะต้องรื้ออยู่ในพระราชหฤทัยมาก่อน

ไปหรือพระพุทธเจ้าข้า"
“ไหน รุ ข้าพระพุทธเจ้าก็ได้กราบทูลแถลงมาแล้วในด้านการที่จะทรงพระกรุณารับตัว เพื่อ

ได้โปรดทรงพระกรุณาดำริโดยควร ถึงจะเป็นโทษอันยังมิปรากฏ หากเป็นการคาดหมายดามแนวทาง


ที่จะเป็นได้ โดยปรากฏตามอัธยาศัยแห่งมหาชนเป็นเกณฑ์อยู่ ล้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะไม่ทรงกระท่า
เช่นนั้น จะถึอว่ามโหสถเป็นประชาชนผู้หนึ่งในพระบรมโพธีสมภาร ต้องการเรียกตัวเข้ามา การที่จะทรง

กระท่าด้งนั้นก็ทรงกระท่าได้ แต่ไม่ปราศจากโทษเช่นเดียวกัน แม้นทรงมีพระราชดำริเช่นนั้นก็โปรด

ทรงพระกรุณาระงับเสีย ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอาจทรงพิจารณาเห็นความไม่เหมาะสมด้วยประการ

kalyanamitra.org
๔๒

ทั้งปวง เพราะการกระทำเช่นนั้นกับผู้มีปรีชาญาณอย่างมโหสถ อาจเป็นข้อที่กระทำให้เกิดความขุ่นใจได้

ด้วยว่าผู้มีความฉลาดและความสามารถนั้น แม้นปราศจากคุณสมบัติอย่างอื่นในตนแล้'ว อดไม่ได้ที่จะเป็น

ผู้ถึอตน เมื่อเป็นเช่นนํ๋ การเรียกตัวเช้ามาย่อมก่อให้เกิดความคิดแก่ผู้มีปรีชาญาณได้ว่า เป็นการไม่เห็น


เป็นการสำคัญในตัวของเขา การก่อให้เกิดความคิดเช่นนั้ ย่อมรอนความปลงใจในตำแหน่งหน้าที่ของตน

เสีย หากจะรับปฎิบ้ตก็เป็นอย่างข้ดไม,ได้เลียไม่ได้ เหตุนั้นจึงเห็นด้วยเกลัาๆ ว่า การเรียกตัวเข้ามาก็ไม่

เป็นการสมควรพระพุทธเจ้าข้า”
ท่านเสนกกราบทูลแถลงอย่างยืดยาว เพื่อประวิงเวลาหาลู่ทางกับยั้งพระเจ้าวิเทหราชได้ มิให้
ทรงน์ามโหสถบัณฑิตเข้าสู่ราชสำนักโดยเร็วพลัน ทั้งพยายามที่จะแสดงความเป็นนักปราชญ์แห่งตนให้

ปรากฏไวั และยังเป็นการโน้มนัาวพระหฤทัยของพระเจ้าวิเทหราชให้ทรงเห็นว่า ตนเป็นผู้รักษาเชิดชู


พระบรมอิสริยยศ มิยอมปล่อยให้พระบรมเดชานุภาพถูกดูหมื่นได้โดยประการทั้งปวง

สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำกราบทูลของท่านเสนกแล้ว ทรงเข้าพระท้ยตามที่เขาประสงค์

มีพระดำรัสถามว่า “เช่นนั้น ทำอย่างไรจึงจะสมควรเล่า”


“นั่นคือวิธีการพระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกกราบทูลอย่างแข็งข้นเพราะเห็นว่าพระหฤทัยของ

พระจอมราชได้หยุดกระคือรือรันลง “วิธีการที่เหมาะสมด้งที่ข้าพระพุทธเจ้าถวายทูลแล้วนั้น ซึ่งขอพระ-

ราชทานเวลาไตร่ตรองให้ถ่องแท้ก่อน เมื่อประจักษ์แน่นอนว่าปราศจากโทษกาลใด ข้าพระพุทธเจัาจะ

กราบทูลให้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกาลนั้นพระพุทธเจ้าข้า”

มโหสถบัณฑิตก็ยังเป็นกุมารแห่งยวม้ชฌคามตะวันออกลีบไป

kalyanamitra.org
๗. เข้าฟ้า
คำกราบทูลของท่านเลนก แม้จะเต็มไปด้วยเหตุผลเพียงพอที่จะยับยั้งพระเจ้าวิเทหราชมิให้

มีพระราชคำรัลอันใดออกมาดามพระราชประสงค์ก็จริง แต่จะยับยั้งพระหฤทัยให้หยุดยั้งจากพระราชดำริ

ถึงมโหลถหาได้ไม่ พระองค์คงมีพระดำริครุ่นอยู่ในพระหฤทัยตลอดเวลาว่า “ พ่อมโหลถบัณฑิตกำ


หัวใจของเราไว้ได้แลัว ในคราวที่แกับัญหาตามวิสัยของเด็กก่อนนั้น ครั้นเราสอบสวนทดลองด้วยบัญญา

ที่ดึกซ็งตามหลักการที่กำหนดไวั พ่อมโหลถบัณฑิตได้พยากรณ์อย่างฉับเฉียว และในกระบวนบัญหา


อันยอกย้อนนั้น *1 เล่า พ่อก็คิตตอบอย่างท้นควัน ดูช่างสามารถองอาจด้วยปรีชารู้ไปสิ้นจบ บัญหาข้อไหน

ควรจะตอบอย่างไร จะควรโตอย่างไร จะควรย้อนท่าไหน เหล่านํ๋ เหมือนยับจะแจ่มใจอยู่ตลอด บัญหาใด

ผ่านมา บัญหานั้นเป็นปรากฎคำพยากรณ์ออกมาทันทีดูหรีอฉลาดสามารถปานนํ๋ ท่านอาจารย์เสนกยัง

ไม่ยอมให้วับเข้ามาเป็นราชบัณฑิตของเรา แกจะหาทางให้วิเศษอย่างไรร้นไปอีก ไม่เอากะอาจารย์เสนก

ละ จะอย่างไรก็ช่างเป็นไร เราจะไปพาพ่อมโหสถมาเองละ”

ทรงดัดดึนพระทัยเด็ดขาด มีพระราชบัญชาให้ราชวัลลภผู้ใกลัชิดตระเตรียมขบวนโดยเร็ว มี

พระประสงค์จะเสด็จพระวาชดำเนินโดยขบวนม้า ราชวัลลภรับพระบรมราชบัญชาออกมาจัดเตรียมขบวน
รถม้าพรอมเสร็จ พระองค์ก็ประทับม้าพระที่นั่ง เสด็จออกจากพระนครไปโดยมีได้รีรอ

กล่าวถึงท่านเสนกออกจากที่เฝืาพวัอมอาจารย์ทั้งคณะ สนทนาปราศวัยกันไปยังไม่ตกลงกัน

ในบัญหาสำด้ญเกี่ยวกับลาภผลอันจะถูกแบ่งส่วนไป ท่านเสนกเลยชวนคณะอาจารย์ไปหารือกันที่บัาน

ท่านเสนกเอ่ยร้นกับคณะอาจารย์ว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกัน บัดนํ๋เหตุการณ์อันไม่น่าปรารถนากำลัง

จะอุบัติร้นแลัว ข้าพเจ้าเกือบจะหมดป้ญญาแลัวในการที่จะยับยั้งพระเจ้าวิเทหราช สังเกตดูว่าพระหฤทัย

ของพระราชาของเราเวลานํ่บรรจุแน่นไปด้วยมโหสถเท่านั้น ถึงเราจะระงับไว้ได้ ก็เป็นการประวิงเวลา


ให้ยืดยาวออกไปหน่อยเท่านั้น ไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะลดจำนวนมโหสถลงจากพระหฤทัยของพระราชา

ได้”

“ท่านเป็นผู้เจริญกว่าพวกข้าพเจ้า” อาจารย์ปุกกุคะกล่าว “ก็ยังยอมวับว่าเกือบหมดบัญญา


แลัว พวกข้าพเจ้าจะเอาบัญญาที่ไหนมาได้เล่า ”

“ช่วยกันติดเข้าก็คงมีทางบัางดอกน่ะ” ท่านเลนกกล่าวอย่างที่ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว “ใคร

เห็นลู่ทางอย่างไวบัางก็พูดออกมาก็แลัวกัน”

kalyanamitra.org
๔๔

กามีนท้เอ่ยว่า “ก็ท่านอาจารย์เคยทำนายพระสุบินไว้ ก็เห็นความสำคัญแจ่มแจ้งอยู่แล้วว่า ไฟ


ดวงน้อยนั้นจะแผ่แสงครอบงำพวกเราเสีย ควรจะปล่อยไปอย่างนั้นก็จะสนเรื่อง ไม่ต้องมาปรารม/เกัน

ด้วยความน้อยใจเช่นนึ่”

“ทำอย่างว่าน่ะไม่ยากดอก” ท่านเสนกเสียงขุ่น “แด,พวกเราน่าจะคิดดูบ้างว่าฐานะของพวก


เรานั้นจะเป็นอย่างไร สำหรับมิถิลานครและสำหรับแคว้นวิเทหะ ท้าวมีถิลานครทั่วแดนวิเทหะ ยกเว้น

พระราชาเสียแล้วพวกเรานั้นเป็นบุคคลที่ประชาชนจะต้องเห็นว่าสำคัญ เมื่อเราได้รับความสำคัญเช่นนึ่

อยู่แล้ว จะเป็นการดีที่ไหนที่จะลดค่าของคัวด้วยรัศมีของผู้อื่นคือมโหสถ ซึ่งเราอาจจะพูดได้เต็มปากว่า

เด็กเมื่อวานซืนก็ว่าได้ และเพราะความสำคัญของพวกเราเท่านั้นที่ช่วยใท้เราเหื่เองฟังอยู่ตลอดมา เราจะ

ไม่รักษาความสำคัญของเราไว้ละหรือ พวกเราจะปล่อยให้ความสูงส่งของพวกตนถูกดัดรอนเสียด้วยตนเอง
ละหรือ พวกเรามีความดีก็ต้องรักษาความสูงส่งของตนถึงจะถูกต้อง”
“ในเมื่อไม่สามารถจะรักษาไว้ได้ ก็ควรจะยอมโดยดุษณี แม้จะเป็นการลดตนลงมาบ้างก็ยังดี
กว่าอัปยศ ” กามินท์โต้ “แต่ในเมื่อท่านอาจารย์ผู้เป็นปาโมกข์แห่งพวกเรามีลู่ทางพอที'จะบ้องกันความ

สูงส่งไว้ได้ผมก็ยินดีจะร่วมมือทุกประการ แต่เป็นความร่วมมือเท่านั้น เรื่องร่วมคิดโปรดดัดผมออกมา


ได้ เพราะความคิดของผมไม่พอที่จะร่วมกับพรรคพวกได้เสียแล้ว”

เทวินท์นั่งฟังมานานแล้วจึงเอ่ยร้นบ้าง “ท่านอาจารย์ผู้เป็นปาโมกข์ ผมเห็นลู่ทางอยู่ แต่การ

ดำเนินการตามลู่ทางนั้นผมไม่สามารถจะปฎิบ้ติได้”

“เอาเถิด” ท่านเสนกเซิญ “เพียงแต่แนะแนวทางให้รู้'ก็เป็นการมากพออยู่แล้ว ลองว่ามาทีรึ

เทวินท์ ”
เทวินท้แถลง “ความจริงก็น่าจะเป็นที่ทราบกันดีอยู่ในหมู่พวกเราแล้ว ยิ่งท่านอาจารย์ผู้เป็น

ประมุขของพวกเราด้วยแล้ว ยิ่งดระหนักดีในลู่ทางนั้น การที่จะให้ผมแถลงจึงเท่ากับเอากลอนอันบกพร่อง

มาอวดแก่รัตนกวี”
“ม้วแต่อ่านโองการเท่านั้น เมื่อไรจะรู้'เรื่องกันสักที ” เสียงปุกกุสะท้วง
“ไม่บอกเล่าเสียก่อน เผื่อเอ่ยออกไปไม่เป็นที่สมประสงค์ จะเหมาว่าผมบ้องตื้นน่ะซ็คุณ”

เทวีนท้เถียง “เอาละผมจะบอกลู่ทางที,ผมเห็นบัดนื้ มันไม่มีอะไรยากเลย เพียงแต่ทำให้มโหสถจำนนได้

สักครั้งหนึ่งเท่านั้น เราก็จะสามารถกวาดล้างความนิยมในมโหสถออกเลียได้จากพระหฤทัยของพระราชา

อย่างที่เรียกว่าถอนรากถอนโคนกันทีเดียว”

“พุทโธ่ นึกว่าจะแหลมหลักอันใด ที่แท้ก็ปล่อยออกมาอย่างทื่อ กุ” กามินท้ว่า “หลักการมัน


ก็เพีย่งเท่านั้น รู้กันอยู่แล้ว แต่ที่ด้องการน่ะมันเป็นลู่ทางที่จะทำให้มโหสถจำนน ไม่ใช่ลู่ทางอย่างที่คุณว่า”

ท่านเสนกเห็นว่าจะเกิดโต้เถียงกันร้น จึงไกล่เกลี่ยว่า “อย่าเอะอะกันไปเลย เทวินท้ก็บอกแล้ว

ว่าที่เขาพูดนั้นพวกเรารู้กันอยู่แล้ว เอิะ นั่นดูเหมือนพนักงานกำลังมา”

ทุกคนเลยทันไปสนใจกับพนักงานกรมวังอันเป็นผู้ชอบพอกับท่านเสนก ซึงกำลังเดินมาใน

kalyanamitra.org
^๕

บ้านอย่างรีบวัอน เมอเห็นคณะอาจารย์กำลังประชุมกันอยู่ก็เอ่ยขนว่า “พอดีทีเดียว! ท่านอาจารย์ทั้งหลาย

กำลังประชุมกันอยู่พเอมหน้า”
“มีข่าวอะไรหรือคุณ” ท่านเสนกซัก

“พระราชาเสด็จไปยวมัช่ฌคามตะวันออกแล้วละ” เจ้าพนักงานแจ้งข่าว
คณะอาจารย์ตกตะลึงไปดาม ๆ กัน ไม่คิดเลยว่าพระราชาจะตัดสินพระหฤทัยเด็ดขาตฉับพลัน
ดังนั้น ท่านเสนกได้สดีก่อนไล่เลียงว่า “เสด็จไปนานแลัวหรือ ”
“พอเสด็จไป ผมก็รีบมานี่แหละขอวับ ”
“ขอบใจคุณมากที่นำข่าวมาบอก” ท่านเสนกกล่าวแล้วเลยกลบเกลื่อนเงื่อนงำต่อไป “พระ

ราชาของเราทรงมุ่งต่อความเจริญของบ้านเมืองยิ่งนัก จึงมีได้ทรงรีรอในการที่จะวับมโหสถเข้ามา และ

มิได้ทรงเซือด้อยคำของเรา คุณกลับไปพระราชวังเถิด หากมีข่าวอะไรช่วยนำมาบอกเราด้วยก็แลัวกัน”


เมือพนักงานกลับไปแล้ว คณะอาจารย์ก็หันเข้าปรึกษากันใหม่ ข้อที่ปรึกษาในคราวนี่ก็ตอง

เปลี่ยนใหม่ไปด้วย ท่านเสนกเอ่ยก่อนว่า “เหลวหมดแล้ว! ล้มหมดแล้ว! ที่เราคิดจะยับยั้งพระราชาของ

เราไว้ พระองค์ไม่ทรงเซือคำของเราเสียแล้ว ต่อไปนี่พวกเราเห็นจะด้องคิดกะการไว้สำหวับด้อนวับสิง

ยัปยคกันเรื่อยไป”
“ผมคิดว่าพวกเรายังมืหวังอยู่มาก ทั้งพวกอำมาตย์ราชบริพารก็เป็นพรรคพวกของเรา ยังไม่นา

วิตก” ปุกกุสะกล่าว
“ภัยย่อมไม่เกิดเพราะบัณฑิต” กามินท์เอ่ยบ้าง “เมื่อมโหสถเป็นบัณฑิตแล้วพวกเราก็หวังความ

ร่มเย็นได้ และหวังความปลอดภัยได้”
“ความเป็นบัณฑิตจะรู้กันได้มีใช่เพราะเสียงกล่าวขวัญ มิใช่เพราะความเฉลียวฉลาด ซึ่งอาจ

เกิดได้โดยบังเอิญ แต่เป็นอัธยาศัยชันซ่อนไวันอยู่ในสันดาน” เทวินท์กล่าว “เพราะเหตุนั้น ใครจะรู้ว่า

มโหสถเป็นบัณฑิตหรึอไม่ การที่เราหวังความร่มเย็นจากเขานั้น เป็นความหวังซึงไม่มีจุดหมายชันแน่นอน

และเป็นการเล็งผลอนาคตยังไม่มีท่าทีจะมองเห็นแต่ลาง กุ หรือมิฉะนั้นก็เป็นอย่างโก่งธนูคอยจะยิงเป้า

ยันยังไม่ประจักษ์ตา”
“จะอย่างไรก็ตาม ผมคิดว่านักปราชญ์เป็นศัตรู ดีกว่าคนโง่เป็นมิตร” กามีนท์โด้ “พวกเราได้

เห็นแววแห่งความเป็นนักปราชญ์ของมโหสถมาแล้ว ถึงจะมาสู่ราชสำนักก็คงมาอย่างผู้เป็นปราชญ์ และ


ถึงหากเราจะด้องตํ่าด้อยลง ก็คงจะเป็นเพราะเขาดีกว่าเรา ที่ว่าทั้งนี่มิใช,จะเอาใจออกห่างจากพวกเราดอก

นะ กล่าวไปตามความคิดเห็นของตนที่มีอยู่อย่างไร ส่วนความร่วมมือนั้นโปรดอย่าเข้าใจว่าผมได้แยกมือ

ตนออกไปเป็นยันขาด เพราะผมก็มีความรู้สึกในความสำคัญของตนยันเป็นเหตุใหัเฟิองฟังอยู่ตลอดมา

เช่นกัน”
“บัดนี่เหตุการณ์มันผันผวนไปแล้ว พวกเราก็ด้องปล่อยไปตามการณ์ จะไปทัดทานอย่างไร
ไม่ได้ แต่ต่อไปเมื่อมโหสถเช้ามาแล้วนั่นแหละ เราควรจะรู้ถืงวิธีการยันเหมาะสมทีจะใช้กับเขา ซึ่งพวก

เราด้องเห็นว่าเป็นคนกีดขวางทางของพวกเรา” ท่านเสนกดัดบท

kalyanamitra.org
๔๖

คณะอาจารย์ต่างเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ พากันกลับไปสุ’ที่อบูของตน

กล่าวถึงพระเจ้าวิเทหราช เสด็จทรงมงคลอัสดรทรงควบขับไปเพียงทอดเดียวเท่านั้น เท้า


ม้าพระที่นั่งถลำลงไปในระหว่างระแหงดินถึงตกเป็นแผลไม่สามารถจะวิงต่อไปได้ พระองค์จ้าด้องเสด็จ

กลับสู่พระนครเพียงแค่นั้นเอง
ท่านเสนกได้ทราบเรื่องราวนั้นจากเจ้าพนักงานรีบเฝ็ากราบทูลถามพระองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์
ผู้ทรงพระเดชยิ่งใหญ่ด้งข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมา ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จพระราชดำเนินไปสู่

ยวม้ชฌคามตะวันออก เพื่อจะรับดัวมโหสถบัณฑิตมาหรือพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชทรงรับว่า “ถูกแลัวท่านอาจารย์ ฉันไปมาแล้ว” ตรัสเล่าเรื่องอุบัติเหตุที่ทรง

ประสบจนด้องเสด็จกลับเข้ามา หาได้เสด็จถึงบัานยวมัชคามตะวันออกดังพระประสงค์ไม'
ท่านเสนกเห็นเป็นที ก็กราบบังคมทูลกวะหนั่าเอาว่า “ขอเดชะ พระบารมีเป็นทีลันพ้น ได้

ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเข้าพระทัยว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ปรารถนาความเจริญแดได้ฝ่าละอองธุลี
พระบาท ทั้ง *1 ที่ข้าพระพุทธเจ้าพยายามที่จะฉลองพระเดชพระคุณทุกวิถีทางดามสติกำลังแห่งตนตลอด

มา แม้ในเรื่องนั๊ก็ใคร่ที่จะฉลองพระเดชพระคุณโดยเต็มสดิป็ญญา เพื่อที่จะให้เป็นที่เฉลิมพระเกียรติ

ของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท นานาประเทศจะได้ตระหนักเป็นสำคัญในราชบัณฑิตแห่งมิถีลานคร มิอาจ


ดูแคลนใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มิได้ทรงเห็นนํ้าใจของข้าพระพุทธเจ้า แม้ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลพระ

กรุณาแลัวว่า ได้โปรดทรงรอก่อน ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็มิได้ทรงรั้งรอ เสด็จต่วนไป เดชะความ


ชี่อสัตย์จงรักภักดีของช้าพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยเดชะบารมีที่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงสรัางสม

มา เพื่อชักได้ดำรงในพระบรมราไชควรรย้อันเกรียงไกร จึงมาบันดาลให้บังเอิญเท้าม้าพระที่นั่งตองประสบ

อุบติเหตุ ด้งที่ได้เห็นประจักษ์แก,นัยน์เนตรฉะนั๊พระพุทธเจ้าข้า”

ท่านเสนกถวายบังคมลากลับไปยังนิวาสน้สถานด้วยจิตใจที่ไม่มีความสุข เพราะด้องครุ่นคิด

ในกาวทีจะหาวิธีการอันจะเป็นการรอนปรีชาของมโหสถบัณฑิต พรัอมกัน์นั้นก็ตองปกปิดความจริงของ
ตนมิให้พระเจ้าวิเทหราชทรงสอดแคล้วในตนอีกด้วย ความคาดคิดของท่านเสนกในบัดนื้ เห็นตระหนัก

แล้วว่า อย่างไรเสียมโหสถบัณฑิตก็ต้องเข้ามาสู่พระราชสำนักจนได้ หากตนไม่คิดหาวิธีการไวัโดยเรีว

ความจ้านนต่อวิธีการของตนชักเป็นข้อประกาศความในใจของตนออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ความอุตสาหะ
พยายามอันเรียวแรงของท่านเสนกอำนวยผล ตามเด้าเงื่อนดึอเท้าม้าพระที่นั่งแตก ท่าให้ขบคิดปริศนา

ขนได็อย่างคมคาย เลยนึกกระหยิ่มอิ่มใจว่า “เอาละถึงที่สุดกันเสียที พรุ่งนพระราชาคงจะทวงเดีอนเรา

เป็นแน่ เหมาะนัก” ความวุ่นวายใจของท่านราชวัลลภาจารย์ถึงความสงบลง รัสีกโปร่งใจเบาใจคล้ายยก

ภูเขาออกไปจากอก พักผ่อนได้อย่างสบาย
พอรุ่งเข้าท่านเสนกคิตคาดหมายว่า “พระบรมราชกระแสในตอนเข้าวันนั่คงไม่มีเรื่องอื่น นอกจาก

จะมีพระดำรัสถามถึงวิธีการที่จะได้มโหสลเข้ามา ในเข้าวันนื้เราคงจะได้สำแตงป้ญญาของเราให้เป็น

ที่ตระหนักกันในหมู่เสวกามาตย์ราชบริพาร ด้วยแถลงวิธีการอันแยบยลของเรา” ท่านราชวัลลภาจารย์คิด

kalyanamitra.org
๔ &/

พลางกระหยิ่มใจ ดวงใจเปียมด้วยโสมนัส ดวงหนัาผ่องใส ความคาดหมายของท่านราชวัลลภาจารย์เป็น


ที่แม่นยำยิ่งนัก พอพระเจ้าวิเทหราชออกเสด็จท้องพระโรง ประท้บเหนือพระราชบัลลังก์ ก์มีรับสั่งกับ

ท่านเสนกเป็นคนแรก เรื่องที่ทรงรับสั่งก็มิใช่อน คือเรื่องวิธีการที่เหมาะสมที่จะได้ตัวมโหสลบัณฑิต

เข้ามาสู,ราชสำนัก
ท่านเสนกกราบทูลด้วยความกระหยิ่มใจว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาฯ ข้า

พระพุทธเจ้าไตร่ตรองรอบคอบแลัว เห็นด้วยเกลัาๆ ว่าใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ไม่ด้องเสด็จพระราช


ดำเนินไปด้วยพระองค์เองดอก พระพุทธเจ้าข้า เพียงแต่ทรงมีพระราชดำรัสตรัสใข้ทูดไปยังยวม้ช่ฌคาม
ตะวันออก เชิญพระบรมราชกระแสไปพระราชทานเฉพาะมโหสลบัณฑิตด้งนึ่ว่า

“พ่อบัณฑิต ขณะที่เรากำลังมาสู่สำนักของเจ้า เท้าม้าที่ขี่ลลำลงในระแหงถึงแตกมาไม่ถึง

จำเป็นด้องกลับ พ่อบัณฑิตจะส่งม้าอัสดรหรึอม้าที่ประเสริฐมาใท้เราด้วยเถิด แม้นว่าพ่อบัณฑิตจักส่ง

ม้าอัสดรมาถวาย ตนเองต้องมาด้วย แม้นจะส่งม้าดัวที่ประเสริฐมา ด้องส่งบิดามาด้วย”

“บัญหาของทางเราข้อนึ่นั่นแหละ จักเป็นอันถึงที่สุดกันที ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรง

ดำริเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับลัอยคำกราบบังคมทูลของท่านราชวัลลภาจารย้ ทรงเห็นชอบด้วย
ทุกประการ ตรัสรับรองบัญหาของท่านเสนกว่า “แยบคายดี ท่านอาจารย์” พลางตรัสกับราชบุรุษผู้หนึ่ง

ใหอัญเชิญพระราชกระแสอันเป็นบัญหาดังที่ท่านเสนกกราบทูล ไปพระราชทานมโหสถบัณฑิต ณ ยว­

าง้ชฌคามตะวันออกท้นที
ท่านราชบุรุษผู้เป็นทูตรับพระบรมกระแสรับสั่งทราบความแลัวดำริในใจว่า “พระราชาพระ-

ราชทานพระบรมราชกระแสรับสั่งมาทั้งนึ่ มีพระราชประสงค์จะทรงพบเรา หาได้มีพระราชประสงค์

อย่างอึ๋นไม่” คืดแลัวก์ไปหาท่านบิดากราบบอกว่า “คุณพ่อครับ พระราชามีพระราชประสงค์จะทรงพบ


คุณพ่อและกระผม คุณพ่อพรัอมด้วยท่านเศรษฐึทั้ง *,๐00 คน โปรดไปก่อนหนัาผม อนึ่ง เมื่อคุณพ่อ

จะไป โปรดอย่าไปมึอเปล่านะขอรับ โปรดเตรียมของไปทูลเกลัาฯ ถวาย คือ ผอบจันทน์แดงบรรจุเนย

ใสสดไปด้วย”
"ท่านกล่าวไว'ในปตว่า ไปฟ้า!*ระราชา ไปแ)ยมอุปชณาย์ ไปกาลาวท่ฅนกมายมันอย่าไม่มอเปล่า"
“เมื่อคุณพ่อเข้าไปถึงที่เสาแลัว พระราชาจักทรงปฏิสันถารกับคุณพ่อ แลัวคงจักมีพระราช
ดำรัสแก่คุณพ่อว่า “ท่านเศรษฐึ เชิญท่านนั่งดามสมควรเถิด” ตังนึ่คุณพ่อเลึอกอาสนะที่เหมาะแลัวนั่ง

เสาพระองค์ กระผมจักไปถึงราชสำนักในเวลาที่คุณพ่อนั่งแลัว พระราชาจักทรงปราศรัยกับกวะผมแลัว

คงจักมีพระดำรัสว่า “เจ้าบัณฑิต! เจ้าเลึอกหาที่นั่งตามควรเถิด เช่นเดียวกันทีนั้นผมจักช่าเลีองดูคุณพ่อ

คุณพ่อเห็นกระผมช่าเลึองดูละก์โปรดลุกขื้นจากอาสนะ กล่าวกะผมว่า “พ่อมโหสลบัณฑิต เชิญพ่อ


นั่งเหนืออาสนะนึ่เถิดพ่อ” ในวันนึ่บัญหาข้อหนึ่งจักต้องถึงที่สุดกัน คุณพ่อโปรดกำหนดด้งที่กวะผมท่ราบ

เรียนด้วยเถิดนะครับ”

kalyanamitra.org
■๔ ๘

ท่านเศรษฐีรับคำของมโหลถบัณฑิตทุกประการ จัดเตรียมสิงของทีจะทูลเกล้าฯ ถวายพรอม


เสร็จ แล้วเรียกบรรดาเศรษฐีผู้เป็นบริวาร ๑,0๐๐ คน จัดแจงเตรียมการไปเฝ็าพระราชา เมื่อพรัอม

เรียบร้อยก็เคลื่อนขบวนออกจากยวมัชฌคามตะวันออกไดยลำดับ ครั้นถึงพระทวารท้องพระโรงก็ให้โทวาริก
กราบบังคมทูลถึงการมาเผ้าของตนแก่พระราชา เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตให้เข้าเผ้าได้ พร้อมด้วย
บริวารพากันเช้าสู่ท้องพระโรงถวายบังคมพระเจ้าวิเทหราชแล้วยืนเผ้า ณ ที่อันสมควรส่วนหนืง

พระเจ้าวิเทหราชทรงปฏิสันถารกับท่านสิริวัฒนะตามบวมราชอัธยาศัย แล้วมีพระราชดำรัส
ถามว่า “ท่านคหบดี! พ่อมโหสถบัณฑิตลูกชายของท่านอยู่ที่ไหนล่ะ?”

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท^กเกล้าฯ เจัามโหสถบุตรชายของข้าพระพุทธเจัา กำลัง

มาภายหลังพระพุทธเจ้าข้า” ท่านเศรษฐีกราบทูล
พระเจ้าวิเทหราชลดับดังนั้น พระมนัสเต็มเปียมไปด้วยทรงยินดีหน้ก มีพระดำรัสว่า “ท่าน
คหบดี! เชิญท่านเลือกหาที่นั่งเถิด”
ท่านสิริวัฒนะเลือกนั่ง ณ อาสนะอันเหมาะแก่ฐานานุรูปของดน

เมื่อขบวนของท่านบิดาเคลื่อนที่ไปเรียบร้อยแล้ว มโหสถบัณฑิตแต่งกายอย่างงดงามตามทำนอง
เด็กน้อยน่าเอ็นดู พร้อมกับเพื่อนเดก ธุ ๑,๐๐๐ คน แวดล้อมเป็นบริวารขื้นวิถอันตกแต่งประดับประดา

ด้วยรถอลังการ เคลื่อนขบวนไปโดยลำดับ จวนจะเข้าสู่พระนคร มโหสถเห็นลาตัวหนืงกำลังเที่ยวหากิน

อยู่เหนือลันคู จึงบังตับให้มาณพที่แข็งแรงหลายคนช่วยจับลามัดไม่ให้ดิ้นและไม่ให้ร้องออกมาได้ เอา

เสื่อลำแพนห่อให้มิดชิด วางนอนเหนือกระดานเรียบแล้วหามมา ขบวนเด็ก *1 อันมีมโหสถบัณฑิที่เป็น

ประธาน ก็เลื่อนเข้าสู่พระนคร

มหาชนชาวมิถิลานคร เห็นมโหสถบัณฑิตแล้วพากันห้อมล้อมดูเป็นหมู่ใหญ่แน่นขนัด ต่างโจษจัน


กันเซ็งแซ่ “นี่แหละชาวเรา ลูกชายท่านสิริวัฒนะ เศรษฐีแห่งยวมัชฌคามตะวันออกที่มีนามกระเลื่องว่า

มโหสถบัณฑิตละ”
“นั่นสิ ข่าวว่าเมื่อคลอดถือแท่งยาดีดมือมาด้วยนา ถึงได้ชี่อมโหสถอย่างไรล่ะ”

“เออนา! ข่าวว่าเก่งกาจฉลาดเลิศด้วยนานากระบวนบัญหาต่าง ๆ ที่พระราชาของเราทรงล่ง

ไปทดลองมากมาย พ่อแกัตกทั้งนั้นแหละ แมัชิงบัญหาย้อนก็ย้อนได้อย่างคมคายทีเดียว”

“น่าเอ็นดูจริง พ่อคุณเอ๋ย ท่าทางสง่างามกระไรเจ้าพ่อคุณ ดูปราดเปรียวคมสันไม่น้อย เรา


ทำไมจะได้อย่างนี่บัางหนา”

“นี่ข่าวว่าพระราชาของเราทรงปริศนาไปเชิญตัวเข้ามา นัยว่าจะพระราชทานตำแหน่ง?เระราช

บัณฑิตให้เข้าสำรับกับจตุสดมภ์ของพวกเราเป็น ๕ พอดี ครบชุดเบญจพรรคพอเหมาะทีเดียว ”


เสียงโจษขานต่าง *1 ได้เป็นอย่างเอิกเกริก ต่างคนต่างชม ต่างคนต่างดู ดูไม่รู้จักอี,ม ดูแล้วก็

พูด ไม่พูดก็คิด อยากจะให้ลูกของตนเป็นอย่างนั้นบัาง อยากจะมีลูกอย่างนั้นบัาง จนกระทั้งขบวนเคลื่อน

ไปถึงพระทวารพระราชวัง

kalyanamitra.org
๔๙

มโหสลบัณฑิตจึงให้โทวาริกกราบบังคมทูลถึงการมาเสาของตน เพื่อให้พระเจ้าวิเทหราชพระ-

ราชทานพระบรมราชานุญาต
พระเจ้าวิเทหราชทรงสตับแล้ว ดีพระทัยเป็นลันพัน ถึงกับมีพระราชดำรัส “พ่อมโหสถ ลูก

ของข้า จงมาเร็ว *1 เถิด”


มโหสลบัณฑิตพรอมด้วยเด็ก •,๐๐๐ คน แวดล้อมเป็นบริวาร พากันขื้นสู่พระที,นั่งมหาปราสาท

เข้าเสาพระเจ้าวิเทหราช ณ ท้องพระโรงอันแน่นด้วยบรรดาเสวกามาตย์ราชบริพารนับด้วยพัน กำลังเสา


แหนอยู่เป็นถ่องแถวแนวหลังพระบัลลังก์ทอง กองรักษาพระองค์ ลัวนแต่พรัอมที่จะป้องกัน่องค์พระ

มหากษัตริย์ แม้ด้วยซีวิตของตน ลัดมาก็บรรดาราชวัลลภ แต่งกายภาคภูมิ^ป็นผู้หลักผู้ใหญ^นแดนวิเทหรัฐ

เช่น คณะอาจารย์ทั้งสีล
่ ัดมาก็บรรดาอำมาตย์ผู้สูงศักดํ่ และจอมโยธีแห่งมีถิลานครพรัอมด้วยแม่ทัพนายกอง

และยังมีบรรดาราชบุรุษผู้ดำรงในอัครฐานมากมูล ต่างแต่งกายเป็นสง่าอ่าโถง แพรวพราวไปด้วยสีสัน


แห่งภูษา พราวเพริศไปด้วยสีแสงแห่งอาภรณ์ อันประกอบด้วยรัตนง่;อนรรฆมณีเคูน่าเกรงขาม ควรที่

จะให้เกิดอาการประหม่านั่ก่ผู้ที่เข้ามาสู,ชุมนุมนั้น ยิ่งกว่านั้นสายตานับด้วยพันทู่เหล่านั้นยังจ้องขับอยู่ ณ

จุตเดียวกัน เป็นการจ้องอย่างจริงขังสำหรับผู้ที่เข้ามาใหม่ แต่มโหสถบัณฑิตแม้จะเด็กก็เปรียบด้วยลีห-

โปดก ไม่มีสะทกสะท้าน คงมีอิริยาบเาองอาจท่าทีคมลัน เดินเข้าสู่ชุมนุมเสวกามาตย์ ปราศจากความ


สะดุ้งสะเทีอน ตรงเข้ามาเสาพระเจ้าวิเทหราช ถวายบังคมทูลแล้วยืนอยู่ ณ ที่อันสมควร ด้วยท่าทางอัน

สง่างาม
พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นแล้วมีพระหฤทัยเปืยมด้วยโสมนัส ทรงมีพระดำรัสปฏิสันถาร
ด้วยพระสูรเสียงอันอ่อนหวานปานประหนึ่งว่ามโหสถบัณฑิตเป้นพระราชโอรสสุดที่รัก และนิราศจาก

พระองค์ไปเลียนานแล้ว มีพระดำรัสว่า “พ่อบัณฑิตจงเลือกที่นั่ง ณ ที่นั่งอันสมควรเถิต”


การเลือกที่นั่งเป็นหลักเกณฑ์สำคัญประการหนึ่งในความเป็นนักปราชญ์เพราะความรู้จักตน

รู้จักประมาณและรู้จักบริษัทขัตเป็นองค์คุณสำคัญของท่านผู้เป็นบัณฑิต การนั่งในสมาคมคัองรู้ที่อัน
เหมาะสมอันสมควร ยิ่งในบริษัทอันมีพระราชาเป็นประมุข ยิ่งเป็นที่เพ่งเล็งกันนัก หากเลือกได้เหมาะ

ก็สำแดงว่าเป็นผู้ควรแก่ความเป็นนักปราชญ์ หากเลือกไม่เหมาะก็เป็นที่เย้ยหยันกันได้ ด้วยเหตุนึ่พระเจ้า

วิเทหราชจึงทรงมีพระดำรัสแก่มโหสถบัณฑิตดังนั้น

มโหสถบัณฑิตดาดคิดมาแล้วว่า อย่างไรเสียก็จะตองถูกพระเจ้าวิเทหราชทรงทดลองด้งนั้น

จึงได้นัดมากับท่านบิดาเรียบรัอย พอได้ยินพระดำรัสก็ช่าเลืองดูท่านบิดาทันที
ท่านสิริวัฒนะคอยกำหนดดูสัญญาณของมโหสลอยู่แล้ว พอเห็นช่าเลึองมาเท่านั้นท่านก็ลุก
จากอาสนะ พลางกล่าวว่า “พ่อบัณฑิต เชิญพ่อนั่งที่นึ่เถิด”
มโหสถบัณฑิตไม่รีรอ ตรงไปนั่งแทนที่ท่านบิตาทันที บรรตาเสวกามาตย์ราชบริพารที,เสาแหน

อยู่เห็นกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคณะอาจารย์ทั้งสี่ อันมีเสนกเป็นหัวหนัา พวกที่มีสดิบัญญาพอที่จะไตร่ตรอง

ใหัลึกชื้งได้อีกเป็นอันมาก พากันตบมีอหัวเราะกันครื้นเครงเป็นการเย้ยหยัน ต่างพูดกันว่า “คนเป็นอันมาก

kalyanamitra.org
๕๐

พากันกล่าวขวัญอีงมโหลลผู้อันธพาลนื้ว่าเป็นนักปราชญ์ไปได้ มีอย่างหรือ คนที่บอกให้พ่อลุกจากที่นั่ง

แด้วคนไปนั่งเลียเอง ควรจะเรียกว่าบ้ณฑิค” แล้วก็ห้วเราะกันอย่างครึกคร้นต่อไป

พระเจ้าวิเทหราชพระพักครึเผือด เลียพระท้'ยอย่างหนักประท้บนั่งดะลึง -

kalyanamitra.org
๘, รบราชการ
มโหสถบัณฑิตเห็นการเป็นไปดังคาดหมายลมใจนัก คิดว่า “คราวนี้แหละ เราจักสำแดงให้

พวกอาจารย์ๆ เห็นปรึชาของเราบัาง” พลางกราบทูลถามพระเจัาวิเทหราชอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ขอ


เดชะพระบารมีปกเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานสุดแด่จะทรงพระกรุณาโปรดสถานใด เท่าที่

ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระพักตร์ผุดผ่องเมื่อข้าพระพุทธเจ้า


มาเฝืา แด่บัดนี้ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระพักตร์เผือดไปพระพุทธเจ้าช้า”

“เออ! เจัาบัณฑิต ข้าคงมีหนัาเผือดไป” พระเจ้าวิเทหราชราชตรัสพระสุรเสียงดันแสดง


ถึงความขุ่นหมองพระท้ย “เป็นความจริงที่กล่าวกันว่า บุคคลบางคน ได้ยินข่าวกล่าวขวัญแล้ว น่ารักน่า

ซีนใจ แด่พอได้เห็นเข้า ความน่ารักน่าซืนใจก็หมดไป เช่นอย่างที่ข้าได้ประลบอยู่ ณ บัดนี้ แด่ก่อนนั้น


ได้ยินข่าวกล่าวขวัญถึงเจ้าว่าเจ้าได้แกัป้ญหานั้น 1 ทั้งข้าได้ทดลองสอบสวนแล้ว เจ้าช่างเป็นที่ซืนใจข้า

ยิ่งนัก เหมึอนกับว่าเจัาได้กำเอาหัวใจข้าไวัก็ได้ทีเดียวนะ บัดนี้ข้าเห็นเจ้า ข้าพบเจัา ความซ็นใจที่เคยมี

ในเชัานั้นหายไปหมดแล้วไม่มีเหลือเลย ข้ากลับรู้สึกเสียดายจริง *1 ที่ความชี่นใจดันเกิดเมื่อได้พังเรื่องราว

ของเจัานั้น ได้สุดสิ้นลงแทนที่จะเพิ่มขื้นในเมื่อพบเจ้า ข้ากำลังคิดว่าไม่พบเห็นเจัาเสียจะดีกว่า”

“เพราะเหตุไรพระพุทธเจัาข้า” กราบทูลซกด้วยอาการแจ่มใสเป็นปกติ
“จะอะไรอีกเล่า” ตรัสตอบด้วยสุรเสียงดันเกิดจากพระทัยที่โทมนัส “ควรละหรือที่เจ้าใหับิดา

ลุกขื้นจากอาสนะแล้วก็ไปนั่งแทนเสียเอง มีเยิ่ยงอย่างที่ไหน ลูกไล่พ่อเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่า การกระทำ

ของเจ้านั้นไม่ควร เจ้ามีป้ญญาเป็นชันมาก ทำไมไม่รู้ของเล็กนัอยเพียงเท่านี้ เสียแรงฉลาดปราดเปรื่อง

เป็นหนักหนา ไฉนจึงมากระทำอย่างนี้ เจ้ามาดูหมิ่นบิดาของเจ้าต่อหนัามหาชนเช่นนี้ จะดีที่ไหนได้ ข้า

เสียใจจริง *[”

แทนที่มโหสถบัณฑิตจะสลดเศรัา เพราะพังพระดำรัสตำหนิอย่างนั้น คงแจ่มใสเป็นปกติ


กราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ พระบารมีเป็นที่ลันพัน ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาส

กราบบังคมทูลแด่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท บัดนี้ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงสำคัญมั่นในพระทัยเป็น

แน่นอนว่า บิดาเท่านั้นสูงกว่าบุตร ไม่ว่าในฐานะไหน *1 ทั้งสิ้น ดังนี้หรือพระพุทธเจ้าข้า ขอได้ทรงพระ-

กรุณาโปรดพระราชทานพระดำรัสตอบแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยพระพุทธเจ้าข้า”

“เออ เจ้าบัณฑิต” ตรัสยินยัน “พ่อด้องดีกว่าลูกทุกสถาน ลูกจะดีกว่าพ่อไปได้หรือ”

kalyanamitra.org
๕๒

* “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาสอีกสักครั้ง


หนึ่งเถิดพระพุทธเจ้าข้า ใต้’ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้โปรดทรงพระมหากรุณาพระราชทานแก่ข้าพระพุทธเจ้า

ด้วยเถิด” มโหสกบัณฑิตกราบทูลแข็งข้นด้วยเสียงอันไพเราะกังวานแจ่มใส
พระเจ้าวิเทหราชแม้จะยังมิทรงคลายจากความขุ่นพระหฤทัย แต่เมื่อทรงสดับเสียงจะแจ้วเจื้อย

ของมโหสกบัณฑิต ก็ทรงอดมิได้ที่จะทรงพระมหากรุณา จึงมีพระดำรัสว่า “เจ้าบัณฑิตประสงค์จะพูด

อะไรกับข้าก็พูดออกมาเถิด”
เมื่อได้รับประทานพระราชวโรกาสแล้ว มโหสถบัณฑิตกึกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระมหากรุณา

เป็นที่ล้นพ้น ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานอภัยโทษใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ยังจะทรงรำลึกได้มิใช่

หรือพระพุทธเจ้าข้าว่าได้ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าๆ พระราชทานพระบรมราชกระแสรับสงไปยัง
ข้าพระพุทธเจ้าให้ส่งม้าอัสดร หรือมิฉะนั้นก็จะส่งม้าตัวประเสริฐมาดังนึ่ ข้อนี้ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

โปรดทรงยืนยันอีกครั้งเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
“แน่นอน เจ้าบัณฑิต” รับสั่งยืนยัน “ช้าได้สั่งไปยังเจ้าเช่นนั้^เป็นความจริง”

มโหสถบัณฑิตพ้งพระดำรัสจบลง ก็ลุกขํ่นจากอาสนะทันที ด้วยท่าทางอันสง่าประหนึ่งสีหโปดก

อันคะนอง พลางมองไปทางมาณพพวกที่หามลามารอโอกาสอยู่ พลางสั่งว่า “สูทั้งหลายจงแบกลาที่ขับ

ไว้เข้ามานึ่เถิด”
พวกนั้นได้ยินดำสั่ง ก็ช่วยกันหามลาซึ่งมัดไว้เรียบร้อยเข้ามาในท้องพระโรง อาจารย์ทั้งสี่คน

ลนเท่ห์เป็นกำลัง ถึงกับซุบซิบกัน “นึ่มโหสกจะออกท่าไหน” บางคนกึฉงน ไม่ทราบว่าจะมีเหตุการณ์

อะไรต่อไป ทุกคนต่างก็สนใจต่อเหตุการณ์ใหม่นึ่

พระเจ้าวิเทหราชทรงสนเท่ห์พระทัยเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทรงทราบว่ามโหสถนำลาเข้ามาทำไม

จนกระทั่งมาณพหามเข้ามาวางลงแทบพระบาทยุคล

มโหสกบัณฑิตกราบทูลขนว่า “ขอเดชะ พระมหากรุณาปกเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราช-


ทานวโรกาสกราบบังคมทูลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า ลาดัวนึ่ราคาเท่าไร/พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชมีพระดำรัสตอบว่า “เจ้าบัณฑิต ราคามันจะเท่าไร ดัวที่ใช้ได้ดีเอย่างจะมี

ราคาก็ ๘ กษาปณ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่เกินกว่านั้น”

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ แมันว่าลาดัวนึ่ได้สมจรกับแม่ลาผู้อาชาไนย ให้

กำเนิดมัาอัสดรขนมาลักมัาหนึ่ง มัาอัสดรนั้นจะมีค่าสักเท่าไรพระพุทธเจ้าข้า ”

“หาค่ามิได้ทีเดียวนะ พ่อบัณฑิต” รับสั่งตอบ

“ทำไมใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตรัสฉะนึ่เล่าพระพุทธเจ้าข้า ” มโหสกบัณฑิตกราบทูลย้อน
“เมื่อกนึ่เองใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตรัสยืนยันมั๋นคงว่า “พ่อด้องดีกว่าลูกทุกสถาน ลูกจะดีกว่าพ่อจะได้

หรือ” ล้าพระดำรัสของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นความจริงดังที่พระราชทานแก่ข้าพระพุทธเจ้า ไฉน

ค่าของลาอันเป็นพ่อของม้าอัสดร ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงตีราคาไว้ ๘ กษาปณ์ ด่วนม้าอัสดรอันเป็น

kalyanamitra.org
๕๓

ลูกของลาราคา ๘ กษาปณ์ ควรจะทรงดีราคา ๕-๖ กษาปณ์ เพราะเป็นลูกจะดีกว่าพ่อมิได้ แต่ได้ฝ่าละออง


ธุลีพระบาทกลับทรงดีราคาม้าอัสดรสูงลิ่วหาค่ามิได้ เหตุไรเล่าพระพุทธเจ้าข้า ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

จึงมีพระบรมราชกระแสไขว้เขวไปไค์'ด้งนี้ ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเย่อมทรงพระปรีชาญาณกว้างขวาง

เห็นประจักษ์ในการนี้ได้เป็นอันถ่องแท้ สุดแต่จะทรงพระกรุณาดำริเลือกระหว่างลากับม้าอัสดร แม้น

ยังทรงแน่พระทัยว่าลาดีกว่าม้าอัสดร ก็โปรดทรงรับลาไว้ แม้ทรงเห็นว่าอัสดรถึงจะเป็นลูกลา ก็ยังดีกว่า

ลูกลาผู่เป็นพ่อ ก็โปรดรับอัสดรไว้”
“แต่ข้าพระพุทธเจ้าใคร่ขอพระราชทานพระราชวโรกาสเป็นครั้งสุดท้าย ในการที่จะกราบทูล

ข้อที่ตนสงสัยสนเท่ห็เป็นหนักหนา ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทผู้ทรงพระมหากรุณาเป็นลันพ้น โปรดพระ-

ราชทานอีกลักครั้งเถิด เป็นครั้งสุดท้ายพระพุทธเจ้าข้า”
“เอาเถิดพ่อบัณฑิต” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงประกาศว่าพระปีติโสมนัสที่หมดไปนั้น ได้กลับคืน

มาเข้าสู่พระมนัสเต็มเปียมเป็นทวีคูณ “พ่อต้องการจะพูดอะไรกับข้าก็พูดตามอัธยาศัยเถิด”

“เป็นพระมหากรุณาลันเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบบังคมทูลถามถึงพวกบัณฑิตของฝ่า-
ละอองธุลีพระบาท ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าเห็นตบมือหัวเราะกันอย่างครื้นเครงช่างน่าอนาถเสียจริง *1 เจียวละ

พระพุทธเจ้าข้า” มโหสถบัณฑิตกราบทูลเล่นงานคณะอาจารย์ต่อหนัาพระที่นั่ง “พุทโธ่เอ๋ย ท่านพวกนี้

ไม่สามารถจะรู้บัญหาเพียงเท่านี้ รำรวยแต่เสียงที่คอยจะหัวเราะผู้อื่นให้ครื้นเครงไปเท่านั้น ความคิด


ก็มีแต่คอยจะบงการให้ตบมือเข้าหากัน นี่ละหรือพระพุทธเจ้าข้า ราชบัณฑิตผู้ทรงปรีชาสมบูรณ์ด้วยความ

เฉลียวฉลาดเป็นพระอาจารย์ของได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมาได้อย่างไร ได้มาจากไหนพระพุทธเจ้าข้า”
เมื่อได้กราบทูลเช่นนี้แลัว ในที่สุดได้กราบทูลสรุปถวายว่า ”ข้าแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

ผู้ทรงพระอภินิหารอันยิ่งใหญ่ ถ้าบิดาต้องประเสริฐกว่าบุตรเป็นแท้เทียว เซิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

โปรดทรงพระกรุณารับบิดาของข้าพระพุทธเจ้าไว้ ถ้าบุตรยังจะดีกว่าบิดาได้ในบางกรณี ขอใต้ฝ่าละออง


ธุลีพระบาทโปรดรับข้าพระพุทธเจ้าไว้ตามที่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระราชประสงค์เถิดพระพุทธเจ้า

ข้า”
สั้นคำกราบบังคมทูลแล้ว พระราชาทรงพระโสมนัสพระพักตร์ซึ่งสลดอยู่นั้น กลับเปล่งปลั่ง

ประกาศอึงพระหฤทัยอันเต็มเปียมไปด้วยพระปีติเป็นด้นพ้น บรรดาเสวกามาตย์ราชบริพารทั้งมวล เว้นแต่


คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ต่างเปล่งเสียงสนั่นถ้องท้องพระโรงว่า “พ่อบัณฑิตกล่าวบัญญาเด็ดจริง! ” พากัน

แซ่ซ์อง เสียงดีดนี้วมือด้งสนั่น ผ้านับด้วยพันผืนถูกชูร้น ดูสนั่นครั่นครื้นเอิกเกริกยิ่งนัก ,

บัณฑิตทั้ง ๔ ต่างหมดท่าหนัาเสีย ความรื้นเริงบันเทิงใจในการที่จะได้โอกาสหยามมโหสถ

บัณฑิต กลับเป็นผู้ถูกเยัยด้วยเหตุผล จำนนไปตาม *1 กัน


ความจริง บัญหาที่ท่านเสนกคิดร้นในครั้งนี้ แฝงเงื่อนงำสำคัญไว้ไม่นัอย การจะคิดแกไขให้
กระจ่างอย่างแท้จริงนั้นทำไม่ได้ง่าย *1 นั่นขั้นหนึ่งแล้ว การจะทำให้คมคายถึงทำลายรัศมีของผู้ตั้งบัญญา

อีกขั้นหนึ่ง จึงยิ่งเป็นการยากหนักร้น ลองพิเคราะห์ดู หากว่าจะรู้เท่าทันในข้อบัญหานั้นว่ามุ่งจะใหัเข้า

kalyanamitra.org
๕๔

มาเฝืาเพียงเท่านี่ แล้วก็เข้ามาเฝืาตามอรรถปริศนานั้น ดูไม่เห็นจะคมคายอะไร และข้อนั้นดูจะเงียบเหงา


ไม่ส่องให้เห็นปรีชาอันควรแก่การยกย่องเชิดชู ก็จำต้องแก้กันให้แยบคาย ทำให้เกิดเป็นปญหาซ้อนร้น

มาอีกชันหนึ่ง โดยสำแดงข้อที่บัณฑิตทั้งหลายไม่กระทำกัน คือ การแย่งที่นั่งของบิดา แต่นั่นเป็นข้อที่

มโหลลบัณฑิตคาดการณ์ไว้แล้ว และได้นัดหมายมากับบิดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเป็นเหมือนหลุมพราง

ล่อให้ท่านบัณฑิตทั้ง ๔ ถลำลงไปถึงก้นบื้ง ไม่คำนึงดึงอันใด ตบมือสรวลเสเฮฮาหน้าพระที่นั่งกันทีเดียว

สมด้งที่คาดทุกประการ ความรู้ของคณะอาจารย์ทั้ง ๔ ไม่พ้นไปจากขอบวงที่ขีดไว้ คราวนึ่บัญหาที,ขมวด

เงื่อนถึงกับทำให้พระเจ้าวิเทหราชทรงขุ่นพระหฤทัย ก็ได้เปิดเผยร้นทีละขั้น *1 ด้วยวิธีการอันเซียวชาญ

ทำให้ความมืดคลุ้มไนดวงพระหฤทัยของบรมกษัตริย์ ถูกกำจัดไปทีละน้อย รุ จนหมดไป พร้อมกันนั้น


ก็ให้ความ.แจ่มใสปรากฎร้นอย่างเหลือขนาด สมกับได้รับยกย่องทุกประการ รวมความว่าที่มโหสถบัณฑิต

อภิปรายครั้งนี่มีผลถึง ๓ ประการคือ บัญหาที่บรมกษัตริย์ตรัสพระราชทานไปก็ได้รับการวินิจฉัยอย่าง


'กระจ่างแจ่มทุกด้านทุกมุมไม่มีข้อไหนเคลือบคลุม นี่เป็นผลข้อแรก รองลงไปบริษัทที่ประชุมกันในคราว

นั้นตั้งด้นแต่องค์พระมหากษัตริย์ ล้วนต้องการได้รับความมีปรีชาญาณอันเป็นยอดเยี่ยมทั่วหน้า เป็นโอกาส

ควรสำแดงความหลักแหลมให้ปรากฏแก่บริษัทในวาระแรกที่ได้เข้าร่วมทีเดียว ไม่ต้องช่อนคมอมภูมิกันละ

จะได้เป็นที่โจ่งแจ้งกัน และผลประการสุดท้ายก็เป็นการทำให้คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ต้องหมดราคีลงไปด้วย

เท่ากับนายขมังธนูผู้เซียวชาญในศรคีลป๋ ยิงศรไปในอากาศเพียงลูกเดียวประหารนกได้ถึงสองต้ว แล้ว


ลูกศรนั้นยังกลับวกตกลงมาถูกมฤคตายไปอีกด้วหนึ่งด้วยก็ปานกัน

พระเจ้าวิเทหราชทรงยินดีปรีดายิงนัก มิได้ทรงรอรี ทรงจับพระสุวรรณภิงคารอันเต็มเปียม


ด้วยนี่าหอมพรัอมทั้งตรัสเรียกท่านสิริวัฒนะเข้ามาเฝัา ณ ที่ใกล้ พลางทรงหลั่งด้นโธทกให้ตกลงในมือ

ของท่าน อันรอรับพระมหากรุณาธิคุณอยู่ เผยพระบรมราชโองการว่า “ท่านจงปกครองยวมัชฌคามตะวัน-


ออก ด้วยการปกครองอย่างพระราชาเถิด บรรดาเศรษฐีทุก *1 คนที่มีอยู่บัานนั้นก็ให้เป็นข้าเฝ็าของท่าน

ผู้เดียวเถิด” แล้วทรงพระมหากรุณาสั่งให้เจ้าพนักงานจัดเครื่องอลังการอันควรแก่พระเทวีจะพึงทรงประดับ

พร้อมเสร็จ ล่งไปพระราชทานแก่มารดาของมโหสถบัณฑิตพร้อมกัน ณ โอกาสนั้น


ครั้นแล้ว ด้วยทรงเลื่อมใสในข้อบัญหาเรื่องลาเป็นที่ยี่งมีประสงค์จะทรงรับมโหสถบัณฑิตไว้

เป็นพระปิยบุตรของพระองค์ จึงมีพระดำรัสกับท่านเศรษฐีว่า “คหบดีผู้เจริญ ให้มโหสถบัณฑิตเป็น

ลูกของฉันเถิดนะ”
ท่านเศรษฐีแมัจะคาดคิดไว้แล้วว่า อย่างไรก็ตามเถิด พระเจ้าวิเทหราชคงจะทรงขอบุตรชาย
ของตนเป็นแน่นอน และแมัจะเห็นเป็นความเจริญรุ่งเรืองของลูกอันควรที่บิดามารดาจะพึงปลื้มใจ แต่

ความห่วงใยเป็นวิสัยที่ท่านจะหลีกไม่พ้น จึงกราบทูลพระกรุณาว่า “ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าฯ ข้า

พระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลความรู้สึกนึกคิดของตนให้ทรงทราบ

ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระพุทธเจ้าข้า”
“จะไมให้ฉันหรีอ” รับสั่งถามด้วยพระสุรเสึยงอันแสดงพระราชประสงค์อย่างเต็มที ,

kalyanamitra.org
๕๕

“มิได้พระพุทธเจ้าข้า” กราบทูลสนอง “เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้าลันเกลัาๆ


พระพุทธเจ้าข้า ที่โปรดพระราชทานพวะดำรัสขอมโหสถต่อข้าพระพุทธเจ้า แต่เห็นด้วยเกล้าๆ ว่ามโหสก

ยังเด็กนัก แม้จนวันนี้กลีนนี้านมที่ปากของเขายังพิงอยู่นะพระพุทธเจ้าข้า ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรด

ทวงพระกรุณาแก่ข้าพระพุทธเจ้า ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้พามโหสกกลับไปสู่ยวมัชฌคามตะวันออกก่อน
ต่อเมื่อเติบโดเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจะส่งมากวายเป็นข้าบาทมูลพระพุทธเจ้าข้า”
“คหบดี!” รับสั่งด้วยพระสุวเสียงหนักแน่น “อย่าได้เป็นห่วงเขาเลย ขอให้เขาได้อยู่กับฉัน

ตั้งแต่บัดนี้เป็นด้นไปเถิด จะเด็กจะเล็กอย่างไวฉันไม่คิดไม่คำนึงดอก ฉันขอให้คหบดีมอบเขาให้เป็นลูก


ของฉันเท่านั้น ความเติบโดของเขานั้นฉันสามารถที่จะฟูมพิกเขาได้ ในเมื่อเขาเป็นลูกของฉัน จงวางใจ

เสียเถิด เขาคงเป็นประโยชน์แก่บัานเมืองมากกว่าที่จะโดอยู่ในสำนักของท่าน จงให้ฉันได้เลํ๋ยงเขาให้ฉัน -

ได้นำรุงเขาเถิด ท่านจงหมดห่วงเถิด ตั้งแต่วันนี้ไปเขาเป็นลูกของฉัน ท่านไปได้ละ”

ท่านเศรษฐีสุดจะทานทัดข้ดพระราชหฤทัยพระราชาของตนได้ ทั้งเห็นอยู่ว่า ความจำเริญ


ในสำนักของพระราชาย่อมเป็นหนทางอันรุ่งเรืองยิ่งกว่าในสำนักของตน กระนั้นก็สุดแสนจะอาลัยอัดอั้น

ด้นใจ มิรัจะกราบทูลประการใด คงถวายบังคมเท่านั้นซ็งเป็นอาการเหมือนกราบทูลยินยอมตามพระดำรัส

พลางหันมาทางมโหสกบัณฑิต กอดประคองเข้าแนบอกจุมพิตศีรษะของลูกนัอยพลางให้โอวาทว่า

"พ่อเอย เจ้าเป็นดวงใจของพ่อ ดวงใจของพ่อมีดวงเดียวนะพ่อนะ เจ้าเป็นลูกคนเดียวของ


พ่อเท่านั้น นัยน์ตาของพ่อมีสองข้าง แตกนัยน์ตาคู่เดียว เจ้าเป็นคู่เดียวเท่านั้นของพ่อ เป็นดวงตาอันสุดแสน
ประเสริฐ พ่อมโหสก เจ้าเป็นบัณฑิตเป็นซีวิตของพ่อ ความรุ่งเรืองจำเริญของพ่อเกี่ยวเนื่องกับเจ้าผู้เดียว

เจ้าดีก็เหมือนพ่อมีซีวิตเด้มไปด้วยความสุข มีดวงใจอันสดใส มีนัยน์ตาอันส่องประกายสว่างแจ่มจ้า แม้น

ตรงกันข้ามก็เป็นความทุกข์รัอนของพ่อ ดวงใจของพ่อจะด้องมีดมิด ข็วิตของพ่อจะอับเฉา นัยน์ตาพ่อ

จะมีแววเศรัามืดมนอนธการไปหมด”
“เจ้าเป็นผู้สุดที่รักของพ่อ เจ้าเป็นที่พึ่งที่หวังสูงสุดแลัวในซีวิตของพ่อ อย่าทำให้พ่ออนาถา

วัาเหว'นะ จงอุดด่าห็นำรุงพระราชาของเรา เอาใจใส,ในราชกิจอย่าได้ม้วเมาประมาทเลยทีเดียว”


มโหสกบัณฑิตกัมกราบบิดา เรียนท่านเพึ่อมิให้เป็นห่วงว่า “คุณพ่อของลูกโปรดวางใจอย่าได้

เป็นห่วงเลย ลูกจักปฏิบัติตนตามแนวทางอันชอบอันควร โปรดกราบเรียนคุณแม่ของลูกด้วย ลูกมิได้มี

โอกาสกราบลา โปรดให้คุณแม่ได้เบาใจด้วย คุณพ่อโปรดกลับไปก่อนเถิด ลูกจะปฏิบัติตนให้สมกับเป็น

ลูกรักของคุณพ่อทุกประการ”
ท่านเศรษฐีนั้นมั่นใจในลูกของท่านํยิ่งนัก แต่ย่อมเป็นธรรมดาที่เป็นบิดามารดาก็อดที่จะห่วงใย

มิได้ เมื่อได้ฬงมโหสถบัณฑิตรับรองแข็งแรงก็คลายใจกลับไปพรอมด้วยบรืวาร
ภายหลังที่ท่านเศรษฐีกราบบังคมทูลลากลับไป พระเจัาวิเทหราชก็มีพระดำรัสถามมโหสก

บัณฑิต “พ่อเอย บัดนี้เจ้านับว่าเป็นข้าหลวงของเราแลัวเจ้าจะเป็นข้าหลวงฝ่ายใน หรือจะเป็นข้าหลวง

ฝ่ายนอกเล่า”

kalyanamitra.org
๕๖

มโหสลบัณฑิตดำริในใจว่า “พรรคพวกของเรามีมากมาย หากจะเป็นข้าหลวงฝ่ายในพำนัก


อาคัยอยู่ในบริเวณพระราชวังแลัว จักเป็นการอัตแอกันไม่เป็นที่ผาสุกได้ ควรจะขอรับพระราชทานฐานา

ข้าหลวงฝ่ายนอกเถิด จึงจะเป็นกาวสมควร” คิดแลัวกราบบังคมทูล “ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณลัน -

เกล้าฯ ข้าพระพุทธเจัาขอรับพระราชทานเป็นข้าหลวงฝ่ายนอกพระพุทธเจัาข้า”
พระเจัาวิเทหราชก็พระราชทานคฤหาสน์อันใหญ่โดพอที่มโหสถและบริวารทั้ง *,000 คน

จะอยู่กันเป็นผาสุกได้ และพระราชทานข้าวของเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ทุก *1 คนโดยอนุรูป^

จำเดิมแด่กาลนั้น มโหสถปัณฑิดกับบริวารก็ได้รับราชการในสำนักแห่งพระเจัาวิเทหราช ซ็ง


เป็นโอกาสที่จะเผยแผ่ปรีชาอันมากมูลในตนให้เกิดประโยชน์แก่แว่นแควันแดนดิน และพร้อมกันนั้นก็

จะด้องเผชิญกับกลุ่มอาจารย์แห่งราชสำนักทั้ง ๔ อันมีท่านเสนกเป็นประธาน ซ็งจะได้ชับเคี่ยวกันสึบ

ไปกว่าจะยอมจำนน
แม้พระเจัาวิเทหราชเล่า ถึงจะทรงพระปีติโสมนัสสักปานใด ในการที่ได้มโหสถบัณฑิตเข้า

มาสู่ราชสำนัก แด่ในฐานะแห่งพระมหากษัตริย์จำด้องเชิดชูผู้ที่ได้ประกอบกิจให้เป็นที่ประจักษ์แก่พระองค์

เป็นสำคัญ มิฉะนั้นฐานะแห่งพระมหากษัตริย์ของพระองค์ก็ไรัธรรมเป็นกำลังอุปลัมค์ ดังนั้น พระองค์


จำตองมีพระทัยมุ่งที่จะหาโอกาสสอบสวนปรีชาสามารถของมโหสลอยู่เสมอ
ด้วยเหตุด้งที่กล่าวนื้ บ่งถึงความองอาจของมโหสลบัณฑิตอยู่เป็นอันมาก ในการที่เข้ามาสู่วาช-

สำนักคราวนํ๋ ด้วยความมั่นใจอย่างแท้จริง และด้วยลักษณะแห่งบุรุษชาติอาชาไนย คาดการณ์ไวัจนจบ

แลัวในปรีชาอันแจ่มกวะจ่างเฉียบแหลมและคมคาย พร้อมเสมอที่จะด้ดบัญหา พร้อมทุกเมึอที่จะเผชิญ

กับเหตุการณ์ และพรัอมทุกขณะที่จะผจญกับปรบักษ์ของตน

kalyanamitra.org
8. ประเดิมงาน
พระเจ้าวิเทหราช ทรงปรารถนาที่จะทดลองปรีชาของมโหสถบัณฑิตเป็นลำดับมา แต่ยังไม่

ปรากฎงานที่เหมาะสมกับปัญญาอันยอดเยี่ยม จึงด้องทรงรองานที่จะให้พระองค์ได้ทรงเห็นประจักษ์

ด้วยพระเนตรในวิธีจัดและกระทำ ทรงรออยู่ไม่นานงานนั้นก็ปรากฏร้น

ครั้งนั้นมีคนนำความมากราบบังคมทูลว่า “ในสระโบกขรณีอันมีอยู่ไม่ห่างประตูเมืองด้าน

ทักษิณ มีแกัวมณี เพราะเห็นแสงแล้วปรากฏในสระนั้น ”

พระราชาทรงสดับแล้วก็มิได้ทรงพระดำริว่าจะเป็นงานยากลำบากประการใด เพราะคงมีอยู่ -
ในสระนั้นตามแสงที่ปรากฎ จึงทรงพระดำรัสสั่งให้หาท่านเสนกมาเฝืาแล้วตรัสว่า “ท่านอาจารย์ ข่าวว่า

มีคนเห็นแกัวมณีในสระโบกขรณีทางประตูเมืองด้านใด้ ทำอย่างไรจึงจะได้เล่า” ท่านเสนกกราบทูล


พระกรุณาว่า “ขอเดชะพระบารมีปกเกล้าฯ ไม่เป็นการยากเลยพระพุทธเจ้าข้า ให้คนช่วยกันวิดนํ้าออก

เสียให้แห้งแล้วด้นหาคงจะพบแน่”
“ล้าเช่นนั้น” ตรัสมอบภาระ “ท่านอาจารย์จงจัดการไปตามความคิด นำเอาแล้วมณีมาให็ได้

เถิด”
ท่านเสนกรับพระราชกระแส รีบออกมากะเกณฑ์ผู้คนเป็นอันมากไปร่วมประชุมกันที่ฝังสระ

โบกขรณีใกล้ประตูเมืองด้านได้ พลางแจ้งกระแสพระบรมราชโองการให้พวกนั้นรู้ทั่วกัน “ชาวเราเย้ย

บัดนั้มณีรัตน์ปรากฏในสระนั้เห็นแสงแวววาวอยู่ตรงนั้น พระราชาของพวกเราทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้า

จัดการกะเกณฑ์พวกท่านมาช่วยกันวิดสระนํ่ให้แห้ง เพื่อนำเอาแล้วมณีร้นทูลเกล้าฯ ถวาย ท่านทั้งหลาย

จงพากันรับใข้เจ้านายของเรา ปฎิบัตงานด้วยอุตสาหะ อย่าเห็นแก่เหน็ดเหนื่อยกันเลยนะ เอาละ! ลงมือ


กันได้ วิดนํ้าออกให้แห้งก่อน”
คำสั่งของท่านเสนกแม้จะตูไม่มีความเด็ดขาด แต่โดยความเคารพในพระราชาของดน ชาว -

นครมิถิลาที่กะเกณฑ์มาคงไม่มีใครบิดพลิ้ว กระทำงานด้วยความเต็มใจทั่วหน์ากัน ความพรัอมเพรียงกัน

อย่างแท้จริงของคนมากด้วยกัน ทำให้งานสำเร็จลงโดยไม่ชักข้า พักเดียวเท่านั้น นํ้าในสระนั้นก็แห้งหมด

วิดนํ้าแห้งแล้วท่านเสนกก็สั่งให้ลอกโคลนร้นอีกเพื่อด้นหาดวงมณีรัตน์ ซึ่งเข้าใจว่าจะหมกอยู่ในโคลน

ลอกกันจนถึงดินดาน เฟ้นฟอนกันอย่างถี่ล้วน ประหนึ่งว่าท่านเสนกจะให้คนเหล่านั้นทลายแผ่นดินตอน

นั้นด้นหาก็ปานกัน ถึงอย่างนั้นก็มีได้พบเห็นมณีรัตน์ดังที่มุ่งมาด อ่อนใจไปตามกัน ทั้งผู้'บงการและผู้'รับ

บงการ

kalyanamitra.org
๕๘

ท่านเสนกจนปัญญาไม,สามารถจะลันหาดวงมณีรัตน์มาทูลเกล้าฯ ถวายได้ ทั้งเห็นฝูงคนพา

กันเหน็ดเหนื่อยหนักแล้วก็ด้องให้พักผ่อนกันเสียที ตนเองเข้าเฝืากราบบังคมทูลพระกรุณาว่า “ขอเดชะ


พระบารมีปกเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจัาให้คนจัดการวิดนํ้าและลอกโคลนเลนในสระโบกขรณีขื้นแล้วไม่พบ

ดวงมณีรัตน์พระพุทธเจ้าข้า ”

พระเจ้าวิเทหราชรับสั่งซักท่านเสนก “เอิะ! อย่างไรหนาท่านอาจารย์ ท่านหาดวงมณีรัตน์

ไม่ได้ดอกหรือ”
“ขอเดชะ ไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกกราบทูลพลางบรรยายกิจการที่ตนกระทำลงไป
ถวายให้ทรงทราบโดยถี่ล้วน

ทรงสดับแล้วรับสั่งว่า “เงากับตัวควรจะอยู่ด้วยกัน ตามธรรมดามีเง^ก็ด้องมีตัว มีแสงแล้ว

ก็ตองมีล้อนแล้ว เห็นเงาแล้วเอาตัวไม่ได้ เออ! ก็ประหลาด”


ท่านเสนกกึไม่รัจะถวายคำกราบทูลอย่างไร คงคิดว่านิ่งเสียดีกว่า

ต่อมานํ้าได้ไหลเข้ามาขังอยู่เต็มในสระนั้นอีก แสงแวววาวก็ปรากฎขื้นมา จึงมีผู้'นำความขํ่น

กราบทูลอีก พระองค์ก็ทรงมอบหน้าที่ให้ท่านเสนกไปดำเนินงาน “ลองอีกครั้งเถิดท่านอาจารย์ ธรรมดา

มีแสงด้องมีวัดถุแห่งแสง ฉันเชื่อแน่ว่าคงด้องมีกัอนแล้วเป็นแน่ แสงแล้วจึงปรากฎ”


ท่านเสนกรับพระบัญชาแล้วคงดำเนินการตามวิธีเก่า ปาวร้องกันวิด ช่วยกันขุดด้น ผลที่ได้รับ

ก็คงเป็นอย่างครั้งแรก คือไม่ได้พบดวงแก้วมณีรัตน์ และด้องกราบทูลถึงความไม่สำเร็จถวายแด่พระราชา

“เอ! สองยกสองเกณฑ์แล้ว” ตรัสกะท่านเสนก “ท่านอาจารย์คงมิได้พบดวงมณีรัตน์อ่ยู่นิ่น

แหละ ดูท่าทางจะเหน็ดเหนื่อยมากนะ ท่านอาจารย์”

“ขอเดชะ ความเหน็ดเหนื่อยนั้นมิได้มีแก่ข้าพระพุทธเจ้า เพราะด้องออกเรี่ยวออกแรงดอก

พระพุทธเจ้าช้า” ท่านเสนกกราบทูลอย่างอ่อนใจ “แต่มารัสีกยากใจที่มิสามารถจะฉลองพระเดชพระคุณ

ให้สมดังมโนรถนั้นต่างหาก ที่กระทำให้ข้าพระพุทธเจ้ารำลึกถึงตนด้วยความวิตกพระพุทธเจ้าข้า”

“ขอบใจละ ท่านอาจารย์” ตรัสเอาใจ “แม้จะไม่ได้ดวงมณีรัตน์ แด่ก็ได้เห็นท่านอาจารย้เน


การปฎิบัต่หน้าที่เมึอได้กระทำเต็มความสามารถแล้ว ก็ยังไม่ได้จะทำอย่างไรได้เล่า”

“พระมหากรุณาเป็นที่ลันพ้นแล้วพระพุทธเจ้าข้า ที่ตรัสมาเช่นนั้น แต่ก็สุดความสามารถของ

ข้าพระพุทธเจ้าแล้วจริง *|” ท่านเสนกยอมจำนน


“เห็นจะด้องให้พ่อมโหสถบัณฑิตลองลันดูบัาง” ตรัสพลางรับสั่งให้เรียกมโห'สถบัณฑิตเข้า

เฝืา ครั้นมโหสถเข้าเฝ็าแล้วก็ตรัสเล่าเรื่องให้พังว่า “พ่อเอย! ดวงมณีดวงหนึ่งปรากฏอยู่ในสระโบกขรณี

ท่านอาจารย์เสนกเกณฑ์ผู้คนให้วิดนํ้าจนแห้งสระ ให้ลอกโคลนดมออกเฟ์นพ่อนกันอย่างว่าจฺะแยกแผ่นดิน

ด้นหา ก็ไม่พบดวงมณีนั้น ครั้นนํ้าข้งเต็มสระ แสงดวงมณีก็มีปรากฎขนอีก ฉันได้บอกให้ท่านเสนกไป

ด้นหาอีก คงไม่พบเช่นเดียวกัน พ่อเอย! เจ้าจักสามารถลันดวงมณีนั้นได้หรือไม่เล่า”

kalyanamitra.org
มโหสถบัณฑิตพังพระราชดำรัสที่ตรัสเล่าจบลงแล้ว จึงกราบทูลสนองพระราชบัญชาอย่าง

องอาจ “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ การเรื่องนึ่มิได้เป็นการหนักหนาอะไรเลยพระเจ้าข้า

ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระวโรกาสกราบบังคมทูลเชิญได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จพระราช
ดำเนินไปกับข้าพระพุทธเจ้าเถิด ช้าพระพุทธเจ้าจักแสดงดวงมณีนั้นไหทอดพระเนตร่ดังพระประสงค์

พวกอำมาตย์ราชเสวกได้พังคำของมโหสถแล้วต่างคิดกันว่า “แต่ก่อนนั้นเราได้ทราบเรื่องราว
ต่าง *1 ของมโหสถ โดยข่าวเล่าลือกันว่า หาได้เห็นประจักษ์ตาตนลักครั้งหนึ่งไม่ คราวนึ่เป็นโอกาสแล้ว

เฟ้นพระราชาเสด็จไป ก็จะขอดามเสด็จไปด้วย ”
พระเจ้าวิเทหราชเล่า ได้ทรงสตับคำยืนยันมั่นคงของมโหสถแล้วกิดีพระหฤทัยเป็นยงนัก ทรง
พระดำริว่า “ในวันนึ่เราคงเห็นกำลังบัญญาของพ่อบัณฑิต เป็นโอกาสดีแล้วที่บังเอิญมีเหตุการณีเกิดร้น

ให็ได้เห็นกำลังบัญญา ซึ่งเราอยากจะเห็น” ทรงพระดำริแล้วตรัสสั่งให้ตระเตรียมขบวนเสด็จ

บรรดาข้าราชการต่างยินดีที่จะตามเสด็จพระราชดำเนินมีได้เวันตัว เพราะความอยากเห็นกำลัง
ปรีชาของมโหสต จึงเป็นขบวนใหญ่ แถมประชาชนชาวมิถิลายังเข้าสมทบอีกส่วนหนึ่ง ทำให้บริเวณสระ

โบกขรณีแออัดไปด้วยประชาชนนับด้วยพันเป็นอันมาก ประชุมกันเป็นมหาลันนิบาต
มโหสถบัณฑิตไปถึงสระโบกขรณีแล้วยืนที่ฝังสระ มองดูแสงฉายของดวงมณีรัตน์ที่ปรากฎ

ในสระ เห็นเป็นเพียงแต่เงาเท่านั้น หาใช่แสงของดวงแกวที่พวยพุ่งร้นมาจากดวงแกวอยู่ในสระนั้นไม่

ก็คาดได้ว่า “ดวงมณีรัตน์คงไม่อยู่ในสระนึ่แน่” ครั้นตรวจตราดูโดยรอบ เห็นด้นตาลตั้งอยู่^ดดเดียวใกลั *1

สระก็กำหนดลงเป็นแน่นอนว่า “ดวงมณีรัตน์คงมีอยู่ที่ด้นตาลโน้น แสงที่ปรากฏในนํ้าเป็นเงาที่ฉายมา

จากด้นตาลนั้น” ครั้นคะเนการถ่องแท้แลัวก็กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระบารมีปกเกลัาๆ ข้าพระพุทธเจ้า


พิเคราะห์เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ดวงมณีรัตน์มิได้มีอยู่ในสระโบกขรณีนึ่ดอกพระพุทธเจ้าข้า ”

“เอ๊ะ! อย่างไรกันพ่อเอย” ตรัสด้วยฉงน^ระหฤทัย “ก็เห็นปรากฏเป็นดวงแวววาวอยู่ในนั่า

นั่นมิใช่หรือ”

“ช้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า เงาอยู่ตรงไหนไม่ใช่มีตัวอยู่ตรงนั้นเสมอไป ขอพระราชทาน


พระโอกาสทดลองให้ทรงทอดพระเนตร” กราบทูลพลางให้คนยกถาดนํ้าลงไปตรงที่แสงแกัวปรากฎอยู่

นั้น แสงแก้วก็ปรากฏอยู่ในถาดนํ้า จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมติเทพเทวราช ขอเชิญใด้ฝ่า

ละอองธุลีพระบาททอดพระเนตรเถิด พระพุทธเจ้าข้า ใช่ว่าดวงมณีรัตน์จะปรากฏเห็นแวววาวแดในสระ


โบกขรณีเท่านั้นก็หามิได้ ถึงแม้ในถาดนํ้าก็ปรากฏแวววาวอยู่ เฟ้นแก้วมณีจะมีดวงอยู่ในสระแห่งเดียว

เท่านั้น ที่ไหนจะแพรวพราวในถาดนํ้าได้เล่าพระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเ^หราช “เออ! พ่อบัณฑิตเห็นด้วยละ แก้วมณีไม่มีดวงอยู่ในสระแน่ แต่จะมีอยู่


ที่ไหนเล่า”
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ” กราบทูลอย่างมั่นใจว่า “แสงฉายแห่งมณีรัตน์

ปรากฏแม้ในลาดนํ้า ก็เป็นอันเห็นได้แลัวว่า ดวงมณีไม่มีในสระ แต่มีอยู่ในรังกาบนด้นดาลพระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
๖๐

“อย่างนั้นหรือพ่อมโหสถ” รับสั่งด้วยทวงฉงนพระทัย

“เป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า” กราบทูลยืนยัน “ขอฝ่าละอองธุลีพระบาททรงใช่ให้คนร้น

ไปนำมาเถิดพระพุทธเจ้าช้า”
แม้พระเจ้าวิเทหราชจะทรงฉงนพระทัย่ปานใด ความยืนยันอย่างมั่นคงของมโหสถบัณฑิต ทั้ง
ข้อพิสูจน์ก็ปรากฏเป็นที่ประจักษ์พระเนตรอยู่เช่นนั้น จึงไม่มีหนทางที่จะทรงคัดด้านต่อไป มีพระบรม-

ราชโองการตรัสกับราชบุรุษผู้หนึ่งว่า “มโหสถยืนยันมั่นคงนักว่าแก้วมณีอยู่บนด้นตาล เจ้าจงร้นไปนำ

มาให้เราบัดนื่”
ราชบุรุษนำพระราชโองการใส่เกล้าฯ แล้วร้นไปบนด้นตาลทันทีถึงยอดพบรังกาอยู่บนนั้น

ภายในรังกานั้น'เองได้เห็นดวงแก้วอนรรฆมณีกลงอยู่ในรังกาทอแสงแวววาวพราวพราย ก็นำลงมาส่ง
ให้มโหสถบัณฑิตนำร้นทูลเกล้าฯ ถวาย
มโหสถบัณฑิตก็นำดวงแก้วนั้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อพระพักตร็ของพระเจ้าวิเทหราช ซึ่งทำให้

มหาชนอันมาสันนิบาตก้น ณ ที่นั้นกลั้นไวัมิได้เลยที่จะกล่าวชินชมสดุดี เสียงสดุดีด้วยถ้อยคำต่าง ๆ หลาย

กระบวนได้ถึกก้องกังวานสะท้อนไป บัางว่า “เด็ดจริง เจ้าพ่อคุณ”!” บัางก็ว่า “เลิศแล้วเจ้าพ่อคุณ”


เป็นด้น ครั้นสั้นเสียงสดุดีมโหสถบัณฑิตก็มีเลียงกึกก้องร้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเลียงตรงกันข้าม!และเป็น

เสียงสำหรับท่านเสนกคือเลียงต่อว่า “แก้วมณีมีอยู่บนยอดด้นตาลนั้นแน่ เสนกอาจารย์ไม่ได้ความ โง่


อย่างบรม พาเอาคนเป็นก่ายเป็นกองมาลอกสระเสียยาแย่ เหนื่อยกันเปล่า รุ เลียแรงเปล่า รุ นึ่ถ้าไม่มี

มโหสถบัณฑิตแล้ว เห็นจะต้องขุดสระกันถึงบาดาลเสียก็ไม่รู้ มโหสถบัณฑิตพอเห็นเท่านั้นก็รู้ได้แล้วว่า


ดวงแก้วอยู่ที่ไหน ใครจะไปสู้พ่อได้ กระบวนบัณฑิตด้วยกันแล้วเป็นไม่มีใครเสมอเหมือนเลย”
พระเจ้าวิเทหราชทรงดีพระท้ยเป็นที่ยิ่ง ทรงเห็นประจักษ์ในปรีชาของมโหสถบัณฑิต ทรง

ปลดสรัอยพระศอมุกดาหาร ซึ่งทรงประดับพระศอมาในวันนั้นออกทันที พระราชทานมโหสถบัณฑิต

ส่วนเด็ก รุ ที่เป็นบริวารทั้ง ๑,๐๐0 คน ก็ได้รับพระราชทานกำไลมุกดาเป็นบำเหน็จโดยทั่วกัน พรัอม

กันนั้นก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้มโหสถบัณฑิตและบริวารมีตำแหน่งเฝ็า ตั้งแต่บัดนั้น
นับแต่วันนั้นมา พระเจ้าวิเทหราชก็ยิ่งเพิ่มพูนพระมหากรุณาในมโหสถบัณฑิตยิ่งร้น ไม่ว่า

จะเสด็จไปไหนมโหสถบัณฑิตเป็นต้องตามเสด็จโดยใกล้ชิดทุก รุ คราว และในบางครั้งประสบเหตุการณ์


ที่แปลกอย่างใดก็มีพระดำรัสถาม มโหสถบัณฑิตก็กราบทูลวินิจฉัยการนั้น รุ ถวายด้วยความรอบรู้และ

หลักแหลมทุก'"รุ คราว ปรีชาอันเป็นดวงแก้วในหฤทัยของมโหสถบัณฑิตเริ่มแผ่รัศมีเพริศพราวร้นเรื่อย รุ


อยู่มาวันหนึ่ง มโหสถตามเสด็จพระเจ้าวิเทหราชประพาลพระราชอุทยาน คราวนั้นกึมีกิ้งก่า
ตัวหนึ่งเกาะอยู่ปลายเสาด้าย ม้นเห็นพระราชาเสด็จมาก็รีบวิ่งลงมาจากปลายเสาด้ายมาหมอบอยู่ที่พื้นดิน
กิริยาของกิ้งก่ามิได้พันไปจากสายพระเนตรของพระเจ้าวิเทหราช ทรงทอดพระเนตรแล้วก็

ฉงนพระทัย มีพระดำรัสถามมโหสถบัณฑิตว่า “พ่อบัณฑิต กิ้งก่าด้วนึ่มันทำอะไรเธอรูไหม ”


“ขอเตชะ กิ้งก่าตัวนึ่ม้น่ประจบฝ่าละอองธุลีพระบาทพระพุทธเจ้าข้า” มโหสถบัณฑิตกราบทูล

เหมือนจะรู้อัธยาศัยของมัน

kalyanamitra.org
๖ (ฆ่

“ถ้าเช่นนั้น” ตรัสสำแดงพระราชดำริ “การที่มันประจบเรา ก็อย่าให้เป็นการไร้ผฟิเลียเลย

พ่อจงสั่งให้เจ้าพนักงานจ่ายบำเหน็จรางวัลแก่มันเถิด”

“ขอเดชะ พระองค์ผู้เป็นสมมติเทพเจ้า กิ้งก่าไม่มีกิจที่จะต้องใช่'สอยเงินทองพระพุทธเจ้า

ข้า”
“จ^ให้อะไรจึงจะดีล่ะ พ่อบัณฑิต”
“เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า เพียงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดพระราชทานอาหารแก่มันเท่านั้นก็

พอแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
มีพระดำรัสลามลืบไปว่า “ก็กิ้งก่ามันกินอะไรเล่าพ่อบัณฑิต”

“ขอเดชะ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ มันกินเนื้อเป็นอาหารพระพุทธเจ้าช้า”

“มันควรจะได้สักเท่าไร จึงจะพอปากพอท้องของมัน”
“ซื้อให้เพียงราคา ๑ กากณึก (๑ ไพ) ก็พอพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับแล้วมีพระกระแสรับสั่งกะราชบุรุษนายหนึ่งว่า “ธรรมดาของพระ-

ราชทานไม่น่าจะมีราคาเพียงกากณึกเดียว เจ้าจงซื้อเนื้อให้แก่กิ้งก่านื้วันละกึ่งมาสกทุก *1 วัน”

ราชบุรุษนั้นรับพระบรมราชกระแสใส ,เกล้าฯ แล้ว ก็ได้ปฏิบัติตามเรื่อยมาตั้งแต่วันนั้น จน


ถึงวันหนึ่งเป็นวันอุโบสถซื้งมีพระราชกำหนดห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ดัดซีวิต เนื้อไม่มีขายในวันนั้น หาซื้อไม่ได้

จะเป็นด้วยเป็นผู้มีอัธยาศัยสัตย์ซื้อหรือจะเป็นด้วยเห็นว่าทรัพย์นั้นมีประมาณนัอยก็ไม่กล่าวไว้ให้ปรากฏ
ราชบุรุษผู้นั้นได้เจาะเหรียญกึ่งมาสกนั้น แล้วเอาด้ายร้อยห้อยคอเป็นเครื่องประดับให้มัน
เจ้ากิ้งก่าได้เหรียญทองคล้องคอเข้าหน่อยก็เลยเกิดความเย่อหยิ่งขื้นมา บังเอิญวันนั้นพระเจ้า

วิเทพุรัเช/[ด้เสด็จพระราชอุทยาน เพอทรงพระสำราญตามพระราชอัธยาศัย
เจ้ากิ้งก่าเกาะอยู่บนเสาด้ายที่เคยเกาะ เห็นพระเจ้าวิเทหราชเสด็จมา แทนที่จะรีบวิ่งลงมาซบ

อยู่ที่พื้นดินเช่นวันก่อน รุ กลับชะเง้อคอเชิดหัวสูงด้วยแรงหยิ่ง นึกเปรียบตนเสมอกับพระเจ้าวิเทหราช

อยู่ว่า “วิเทหราชเอ๋ย ท่านมีทรัพย์มากนักหรือ จะเท่าไรเซียวเราก็มีทรัพย์มากไม่แพ้ท่านเลยนะ”


พระเจ้าวิเทหราชทรงทอดพระเนตรเห็นท่าทางของมันแล้ว ทรงดำริในพระท้ยว่า “กิ้งก่าตัวนื้.

ในวันก่อนมันประจบเรา มาวันนื้ท้าไมไม่วิ่งลงมาเหมือนวันก่อน นึ่มันเรื่องอะไร อะไรบังคับให้มันคง

เกาะส่ายหัวอยู่ที่เดิม น่าจะถามพ่อมโหสลดู” ทวงดำริพลางมีพระดำรัสถามว่า “พ่อมโหสล .ดูชิประหลาด

ไหมล่ะ เจ้ากิ้งก่าดัวนื้เมื่อก่อนมันไม่เกาะนึ่ง ลงมาซบที่พื้นดิน เจ้าบอกว่ามันประจบเรา มาวันนื้ดูมัน

กระด้างกระเดื่องจริง รุ ละ เจ้าทราบหรือไม่ เป็นด้วยเหตุไร”


'- มโหสถสดับพระราชดำรัสแล้ว พิเคราะห์ดูที่ด้วกิ้งก่า เห็นเหรียญทองกึ่งมาสกผูกอยู่ที่คอก็คาต

คะเนได้ตลอดว่า ราชบุรุษผู้เป็นพนักงานจัดหาเหชื่อให้กิ้งก่า คงหาซื้อเนื้อไม่ได้ในวันอุโบสถ ซื้งมีพระ-

ราชกำหนดห้ามฆ่าสัตว์ดัดซ็วิต เพื้อไม่ทำให้รายได้ของกิ้งก่าต้องสูญเสียไป จึงเจาะเอาเซือกร้อยผูกคอ

ให้มัน มันอาศัยเหรียญกึ่งมาสกที่คล้องคอนั้นเกิดมานะเย่อหยิ่งขื้น ครั้นคาดการณ์ได้ตลอดแล้วก็กราบ

kalyanamitra.org
๖๒

บังคมทูลว่า “ขอเดชะใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงปรีชาญาณลํ้าเลิศ คงจะได้ทรงพิจารณาเห็นถ่องแท้'


แลัวว่า ในวันก่อนนั้นกิ้งก่าตัวนั้นยังไม่มีเหรียญคล้องคอ วันนั้มีเหรียญคล้องคอคือเหรียญกึงมาสก ที่

พระราชทานเป็นค่าเนื้อแก่มันทุกวัน เผอิญวันนื้เป็นวันอุโบสถ พนักงานผู้เลํ๋ยงหาเนื้อให้มันกินไม่ได้ จึง


เอาเหรียญกึ่งมาสกนั้นคล้องคอให้มันเป็นสิ่งที่มันไม่เคยได้ เมื่อได้เข้าแล้วกิทะนงตนถึงดูหมิ่นได้'ฝ่าล?ออง

ธุลีพระบาทผู้ทรงเป็นโมลีแห่งวิเทหรัฐครอบครองพระนครมิถิลานคร ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ
ดังกราบทูลมานื้แลพระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับแล้ว ตรัสเรียกพนักงานนั้นมาเฝืา ทรงสอบถามก็ได้ทรงทราบเหตุ-


การณ์ตรงกันยับที่มโหสถกราบทูลทุกประการ จึงมิได้ทรงซักถามต่อไป แต่ทรงอิ่มเอิบในพระทัยว่า “พ่อ

มโหสถนื้ ช่างรู้ไปสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างดังกัน?เระลัพพัญญทีเดียว แมัแต่อัธยาศัยของกิ้งก่าพ่อก็รู้ได้” ทวง

โปรดปรานมโหสถบัณฑิตยิ่งนัก พระราชทานส่วยที่ประดูพระนครทั้งสีเป็นรางวัลแก่มโหส.ถ แต่ทรง

กริ้วกิ้งก่าเป็นอันมาก ถึงกับทรงปรารภออกมาว่า “ไอัชาตินื้ฆ่าเลียจะดี”

มโหสถบัณฑิตได้ยินพระปรารภดังนั้น ก็กราบทูลทัดทานไวัว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมติ


เทพเจ้า ขื้นชี่อว่าเดรัจฉานมีบัญญานัอย ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงงดโทษเถิดพระพุทธเจ้า

ข้า”
กิ้งก่านั้นคงรอดซีวิตมีโอกาสชูคออวดเหรียญกึ่งมาสกของมันอยู่ได้ต่อไป แต่การชูคอของมัน

ครังนั้นได้ตัดรายได้ประจำวันลงไปเสียหมด ด้องชวดจากเนื้อที่เคยได้รับพระราชทาน

งานที่มโหสลบัณฑิตไดืใซัปรีชาญาณของตนปฏิบัติทั้งลองดราวเป็นงานที่ส่งเสริมปรีชาและ -

เป็นเหตุให้ได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัล ทั้งทำให้พระเจ้าวิเทหราชทรงโปรดมากขื้น

kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
๑๐. พระนางอุทุมพร
มโหสถบัณฑิตผู้โดดเดี่ยวในราชสำนัก ไม่มีพวกพ้องที่คอยสนับสนุน นอกจากคุณคือปรีชา

อันแหลมหลักนั้นแล้ว ก็ไม่มีบุคคลที่เป็นคนในอยู่ฝ่ายตนเลย ต่างกันกับฝ่ายปรบักษ์ คือคณะอาจารย์ทั้ง

๔ ซึ่งมีพรรคพวกมากมาย แต่ผู้มีปรีชาญาณยอดเยี่ยมนั้น แม้จะไร้พรรคพวกก็สามารถใข้บัญญานั้นพยุงตน

ชื้นสู่ฐานะสูงส่งได้ และพาตนให้ผ่านพ้นภัยพิบัติได้ ข้อนึ่เป็นความจริง ทั้งนํ๋เพราะผู้มีบัญญานั้น คงมี

วันหนึ่งที่จะมีผู้เห็นคุณค่าแห่งปรีชาญาณนั้น และให้ความอุปถัมภ์คํ้าชู มโหสถบัณฑิตก็เป็นเช่นนั้น โดด-

เดี่ยวอยู่ไม่นานก็ได้พบผู้อุปถัมภ์ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญยิงคือ พระนางอุทุมพร

พระนางอุทุมพร มีพระประวัติเป็นมาอย่างไร เหตุไรจึงได้เป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงมโหสถบัณฑิต


เป็นข้อทีจะปล่อยให้ผ่านไปเลียมิได้เลย ดังนั้น จึงควรเป็นอย่างยิ่งที่จะด้องนำพระประวัติของพระนาง

เสนอไวัให้ปรากฎด้วย
ณ ดินแดนอันไกลโนัน เหนือชื้นไปจากมิถิลานคร เป็นแคว้นคันธาราษฎร์ มีดักกสิลาเป็น

ราชธานื นามดักกสิลานึ่ลือกระฉ่อนทั่วสกลชมพูทวีป บุคคลที่รู้เดียงสาในพื้นชมพูทวีป เป็นต้องได้ยิน


นามดักกสิลา และไม่เพียงแต่ได้ยินชี่อเท่านั้น ยังมีความรัลึกซึ่งถึงความสำคัญของตักกสิลาด้วย ทั้งนึ่เพราะ

ตักกสิลานั้นเป็นศูนย์กลางแห่งศีลปศาสตร์ เป็นตลาดแกัวคือวิทยาการนานาประเภท เป็นแหล่งสำคัญ

แห่งทิศาปาโมกข์ บรรดาทิศาปาโมกข์ไปรวมกันอยู่ ณ นครนั้นมากมาย ดักกสิลาต้อนรับผู้ด้องการศีลป-


ศาสตร์ได้ทุกประการ ไม่มีจำนน อุดมไปด้วยวิทยาการทุกอย่างดังนึ่ จึงได้จูงใจมหาชนให้มามั่วมูลอยู่

ตักกสิลาอย่างคับคั่ง พราหมณ์กุมารข้ตดิยกุมาร จากแคว้นต่าง กุ เดินทางมาสู่ เพื้อซึ่อเพื้อขนศีลปศาสตร์

กลับไปสู่ด้าวแดนแห่งตน กุ

แงคุตตระ เป็นนามแห่งมาณพนัอยชาวเมืองมิถิลานคร เข้ารับการศึกษาในสำนักอาจารย์ทิศา


ปาโมกข์ มีสดิบัญญาดี เล่าเรียนศึกษาได้รวดเร็ว ไม่นานเท่าไรก็สำเร็จในศีลปคาสตร์ตามด้องการ เมี่อ

ได้ให้อาจารย์ทบทวนเรียบรัอยแล้ว ก็กราบลาอาจารย์จะเดินทางกลับถิ่นฐานของตนคือมิลิลานคร

ในสกุลของท่านศิลาปาโมกข์ผู้นึ่ มีธรรมเนียมกำหนดไว้ว่า ถัามีธิดาสาวต้องยกให้แก่ศิษย์ผู้ใหญ่

ปิงคุตตระเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของอาจารย์ และอาจารย์ก็มีธิดาสาว ไม่ใช่เพียงสาวเท่านั้น ยังงดงามพริ้งเพรา

เทียมเทพอัปสรอีกด้วย ความผูกพันด้วยธรรมเนียมแห่งสกุล ทำให้ท่านอาจารย์ต้องพูดจากับปิงคุตตระ


มาณพว่า “พ่อมหาจำเริญ ฉันต้องให้ธิดาแก่เธอ จงพานางไปด้วยสินะ”
ปิงคุตตระหนุ่มน่าจะดีใจที่ได้ลูกสาวอาจารย์ ซึ่งงดงามหยดย้อย แต่ตรงกันข้ามเขามิได้เต็มใจ

kalyanamitra.org
๖๖

ที่จะได้นางเลย พบเห็นอยู่เสมอ ก็ไม่คิดเอาจิตใจผูกพันใจนางแม้แต่น้อย ทั้งนึ่ท่านว่าปิงคุตตระเป็นคน

ถ่อย อาภัพอับโชค เป็นกาลกรรณี แต่นางเป็นหญิงมีบุญจึงมีอันเป็นไปด้งนั้น ถึงเขาจะไม่ด้องการนาง

ก็ไม่ด้องการจะลบล้างลัอยคำของอาจารย์ จำด้องยอมรับนางมาด้วยความเกรงใจ
ท่านอาจารย์ก็จัดการตกแต่งให้ตามประเพณี ทำให้เขาด้องเลื่อนเวลากลับไปอีกสัปดาห์หนึ่ง

อันควรจะเป็นสัปดาห์แห่งความรื่นรมย์สำราญเยี่ยงหนุ่มสาวผู้เป็นคู่ครองกันตามวิสัยโลก แต่ปีงคุตตระ
ไม่เป็นเช่นนั้น สัปดาห์นั้นของเขาบรรจุแน่นด้วยความอึดอัดเอือมระอา เป็นสัปดาห์ที่เขาไม่มีควา,มสุข

เลย นับแต่วันแรกที่ได้รับนางเป็นคู่ครอง ถึงราตรีกาลเข้านอนเหนือที่นอนก็อึดอัด ฝ่ายนางเป็นกุลสตรี

ได้รับสกสอนแล้วในมรรยาทแห่งสตรี เห็นชายผู้สามีประพฤติอย่างนั้น นางจะทนนอนอยู่บนเตียงอย่างไร


ได้ ก็ด้องลงจากที่นอนตามไปด้วย พอนางเข้ามานอนใกล้ กุ เขาก็เริ่มอึดอัดอีก ทนไม่ไหวเข้าก็เผ่นร้นไป

นอนเสียบนเตียงนอน นางตามร้นไปเขาก็กลับเผ่นลงมานอนที่พื้นอีก คราวนึ่นางไม่ตามลงมารบกวนเขา

อีก คงนอนอยู่บนที่นอน เขาก็คงนอนอยู่ที่พื้น นี่แหละท่านถึงว่า “-/แขอว่ากาลกรรณย่อมไม่คู่ควรก'บศร’’

สัปดาห์ผ่านไปด้วยอาการด้งกล่าวนั้น จึงมิใช่เป็นสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยความสดซิ่นของหนุ่ม
อัปลักษณ์ แต่เป็นสัปดาห์แห่งความอึดอัดใจอย่างสุดแสน กว่าจะผ่านพ้นไปได้ ก็รู้สีกว่าเป็นสัปดาห์ซึ่ง

ยาวกว่าก่อน กุ นานครัน ครบกำหนดปิงคุดตระมิไดรีรอ กราบลาอาจารย์จากตักกสิลาไปทันที


ธรรมดาหนุ่มสาวเดินทางร่วมกันย่อมจักสนทนาปราดรัยกัน ซิ่ชวนกันชมนกชมไม้ เป็นเหตุ
บรรเทาความเหน็ดเหนึ่อยเมอยล้า ทางไกลก็จะเป็นเหมือนใกล้ ด้วยความเพลิดเพลินเป็นเครื่องพาไม่ให้

พะวงถึงระยะทาง คงมัวแต่สนทนาปราศรัยอย่างเดียว แต่ปิงคุตตระกับนางผู้เป็นภรรยาตามประเพณี


บังคับ ตรงกันข้ามไม่มีเลย แม้นมาตรว่าจะสนทนาปราศรัยอะไรกัน ปิงคุตตระมุ่งแต่จะเดิน-เดินไปข้าง
หน้าอย่างรีบเร่ง ซึ่งพลอยให้นางด้องสาวเทัาอย่างกระชันตามไปด้วย มีฉะนั้นจะเดินไม่ท้นเขา การพักแรม
ระหว่างทางก็เป็นอย่างคนเดินทางที่ต่างคนต่างมาพัก จนย่างเหยียบเข้าแดนกรุงมิถิลานคร ทั้ง กุ ที่ต่าง

ฝ่ายก็อิดโรยระอาไปตามกัน พรัอมทั้งความหิวโหยเข้าครอบงำ แตกใกล้บัานเมืองแล้ว มองเห็นกำแพง

เมืองมิถิลานครตระหง่านอยู่ข้างหน้านั้น
ณ ที่ใกล้กำแพงพระนครนั้น ปิงคุตตระผู้กำลังหิวโหยเหลือบเห็นด้นมะเดื่อด้นหนึ่งใกล้ทาง

มีผลสุกสีแดงสะพรั่ง ไม่รอข้ารีบปีนร้นไปเก็บกินอย่างตะกราม ทั้งมีได้คำนืงผู้ที่อยู่ในปกครองของตน

อีกคนหนึ่งเลย เสมือนหนึ่งว่านางนั้นมิได้ติดตามเขามา หรีอเป็นผูซ


้ ึ่งไม่รู้จักกับเขามา หรือเป็นผู้ซึ่งไม่

รู้จักกับความหิวโหย
นางผู้แสนอาภัพถูกความหิวแผดเผาสุดที่จะทน นางก็เดินเข้ามาใกล้ด้นมะเดื่อ แม้จะไม่เคย

พูดจากับเขามาเลย การเอ่ยพูดกับเขาดูเป็นการน่าละอาย แตขืนอายก็อด นางจึงเอ่ยปากพูดกับเขาเป็น


ครั่งแรก “นายเจัาขา! เก็บผลมะเดื่อลงมาให้ฉันบัางเถิด”
แทนที่ปิงคุตตระจะสนองความรัองขออันอ่อนหวานนั้น เขากลับพูดออกมาอย่างสำราก “มือ

ตีนของเจัาไม่มีหรือ? ร้นมาเก็บกินเองไม่เป็นหรือ? ข้าไม่ใช่ร้ข้าของเจัา จะได้ใชัเล่นตามประสงค์”

kalyanamitra.org
๖๗

นางผิดหวัง คำขอร้องของนางให้ผลตรงกันข้าม แต่นางไม่ยอมจำนนและไม่จำเป็นตองง้อ


กัน ขึ้นไปเก็บกินเองก็ได้
ปิงคุตตระชายถ่อย เห็นนางขึ้นมาเก็บผลมะเดื่อเองดังนั้น ก็รีบลงก่อนโดยเร็วอย่างกับจะหนี

ไม่เพียงแต่เท่านั้นยังไปหอบเอาเรียวหนามมาสะไวัรอบด้นมะเดื่ออีกด้วย เสร็จแล้วพูดอย่างดีใจว่า “เออ!


ท้นจากนางกาลกรรณีได้แล้ว” ไม่รอข้าหลบหนีไปเสียเลย ทิ้งนางไวับนด้นมะเดื่อเดียวดาย
นางผู้'เป็นทาสแห่งธรรมของสกุล หมดหนทางที่จะลงจากด้นมะเดื่อได้ จำด้องนั่งเจ่าอยู่บฺน

คาคบ พร้อมกันนั้นความระทดระทมก็หลั่งระดมเข้าสู่ความนีกคิด เช่นเดียวกับความร้สีกของผู้'ที่ถูกทอดทิ้ง

ไวัแด่เดียวดาย ดวงอาทิตย์กำลังบ่ายคล้อยลงไป เงาด้นมะเดื่อกำลังชายไปทางตะวันออกเหยียดออกไป


ทีละน้อย กุ ค่อยทวีความยาวซึ่งเป็นเครื่องหมายระบุว่าอีกไม่ข้าดอกเงาแห่งด้นไม้นึ่ก็จะหายไปพร้อมกับ

ความลับลงไปแห่งดวงอาทิตย์ แต่นั้นความมืดก็จะปกคลุมสกลชมพูทวีป นางจะทำอย่างไรในเมื่อกาล

นั้นผ่านมาถึง แต่กาลนั้นยังไม่มาถึงทันใด จะทุกข์ร้อนไปก่อนก็ใช่วิสัยแห่งผู้มีบัญญา ความคิดของนาง


คิดลันไปทุกทาง ในเรื่องช่วยตนเอง นางคงมีแต่ความหวัง คือหวังความช่วยเหลือจากคนที่เดินทางผ่าน

มาทางนั้น ความหวังเพียงประการเดียวนึ่เท่านั้น ที่ช่วยนางให้มีแก่ใจรอคอย แม้จะเป็นการรอคอยที,ห่าง

ไกลจากเครื่องหมายแห่งความสำเร็จผล นางก็คงคอย คงมิใช่เป็นเพราะความขลาดที่นางมิได้คิดทำลาย

ซีพของนางเลียก่อน เพราะการทำลายซ็วิตตนเองยังไม่เป็นทางออกแห่งผู้มีทุกข์ระทมในยุคนั้น ความเห็น

ความสำคัญในซีวิตยังคงปรากฎมิว่าจะตกอยู่ในเหตุการณ์อย่างใด ความคิดในทางทำลายซีวิตตนจึงไม่เกิด

แก่นาง
ล้นทจร่ง โม่Iปีนการยุตธรรมเสยเลย ในการทต้องตกระกำลำบาก หร่อประสบความพลาดหวังแล้ว

มาลงโทบขวต เพราะขว่ตไม่ไต้เปีนเจ้ากิจเจ้าการในความมุ่งความหวังใดๆของบุคคล จิตใจต่างหากเปีน


ผู้มุ่งหวัง เปีนผู้วับผลแห่งความลมหวังและผดหวัง ผู้ม่ใจเทยงตรงย่อมไม่เห็นว่าขาตเปีนเจ้ากิจเจ้าการ หาก

จะเปรยบก็เหม่อนกับรถและผู้'ขับรถจะแล่น ไปอย่าง ไรกิ'แล้วแต่ผู้''ขับ แม้นว่ารถ ไม่แล่น ไปตามจุดหมายของ

ผู้'ขับ ใครจะเปีนผู้'ควรถูกลงใทบ รถหรอผู้ขับ? ขวตแล่ะร่างกายเปรยบเหม่อนรถ จิตใจเปีนผู้ขับ หากรถคอ

ร่างคายและขวตทผดทมาดหมาย ควรละหร่อจะมาลงโทพร่างกายและขวต ความคดแห่งผู้'เทยงธรรม ย่อมม่


ทำนองนั้นเปีนกัธยากัย กังนั้น จิงยากทความคดประหารตนเองจะเกิดไต้
นางคงนั่งแกร่วอยู่บนต้นมะเดื่อด้วยความหวังทางเดียวของนาง และเรื่องของความหวังนั้น

เป็นทราบกันดีว่าเป็นนิติแห่งท่านผู้บัณฑิต ถึงกับตราขึ้นเป็นสุภาษิตทีเดียวว่า “ท่านผู้'เปีนบัณฑ่ดพงหวัง

ไวทเดยว ไม่ควรเบอหน่ายเสย เคยประล้กบ็แล้วว่าหวังอย่างโดก็ไต้อย่างนั้น” เหตุแห่งนิดินึ่เข้าชูช่วยอีกแรง

หนึ่ง เป็นบัจจัยแรงสูงอำนวยผลเกินความคาดหมายของนาง

สายัณห์กำลังผ่านเข้ามา ดวงอาทิตย์คล้อยโคจรทางฟากฟ์าตะวันตกเสมอกับแนวไม้แล้ว ฝูง


นกก็กำลังบินกลับรวงรัง เลียงเพรียกในบริเวณนั้น ดังจะเป็นเลียงเรียกขานซักชวนกันให์รีบเร่งหาเหยื่อ
เพื่อปากท้อง และฝากผู้ที่ต้องเลั้ยงในรวงรัง ท้นใดนั้นเลียงกลองและเสียงสังข์ก็กังวานแว่วเป็นระยะ กุ

kalyanamitra.org
๖๘

มาแต่ไกล มองไปทางทิศนั้นเห็นฝ่นฟ์งร้นเป็นควันในอากาศ เป็นเครื่องหมายบอกซัดว่า นั่นเป็นขบวน

ของผู้ทรงอิสริยยศ อย่างน้อยก็เป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ หรือมิฉะนั้นก็เป็นพระราชกุมารหรือพระราชาทีเดียว

กำลังเสด็จกลับจากประพาสเข้าลู่พระนคร นางคิดคาดคะเนการไว้ในใจ ความปลอดภัยปรากฎแลัว ความ


รู้สึกว่าจะพ้นภัยกำลังแล่นเข้าลู่จิตใจใกล้เช้ามาแล้ว! ใกล้เข้ามาแล้ว! ความกลัวแต่เดิมหายไปแล้ว แต่
ความกลัวชนิดใหม่กำลังผุดร้น จะเป็นใครก็ไม่รู้ เจ้าของขบวนซึ่งกำลังใกล้เข้ามานั้น เป็นบุคคลสำคัญ

เพียงใดไม่มีทางจะรู้ใด้เลย
แต่ไม่ซัานัก นางก็ได้เห็นกลุ่มชนผู้ประดับกายด้วยอาภรณ์อันเพริศพรายหลายหลาก เดินมา
ตามถนนหลวงเป็นขบวนใหญ่ บางพวกก็เชิญเครื่องสูงสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ บางพวกก็ถืออาวุธ
แวดล้อมท่านผู้หนึ่งซึ่งสถิตอยู่เหนือคอคชาธาร ซึ่งประกอบด้วยอลังการงดงามเยี่ยงซัางต้น ท่านทีขี่คอ

นั้นนางจะสำคัญเป็นอื่นมิได้ นอกจากองค์พระมหากษัตริย์ จริงดังนั้น พระเจ้าวิเทหราชนั่นเองเสด็จ

พระราชดำเนินไปลู่พระราชอุทยานในวันนั้น ทรงประพาสเล่นตามพระราชอัธยาศัย แล้วเสด็จกลับคืน


เข้าพระมหานคร ประทับเหนือคอซัางพระที่นั่งด้วยพระอิริยาบถอันทรงศักดํ่สง่า พระหัตถ์ทรงพระแสง

ขอคุมพระคชาธารมา พอจะผ่านด้นมะเดื่อก็ทอดพระเนตรเห็นนาง ทันใดนั้นเองพระหัตถ์อันทรงขอก็


เหนี่ยวพระคชาธารใหัหยุดรอ พระองค์มิอาจผ่านไปได้ ความงดงามแห่งรูปโฉมได้ทะลุพระเนตรเข้ารวบรัด
เอาพระหฤทัยไว้มั่นคง ความรักชำแรกผิวพระมังสะแล่นทะลุจรดเยี่อในพระอัฐิอย่างรวดเร็ว จะเสด็จ

ต่อไปไม่ได้ ขบวนทั้งหมดก็ปราศจากการเคลื่อนไหวในอิริยาบถเดินโดยทันที
อำมาตย์ผู้ใกล้ชิตได้รับพระกระแสรับสั่งว่า “จงไปถามนางให้รู้เรื่องราวทีหรือ แล้วก็ถามให้รู้

ด้วยว่านางมีคู่ครองหรือไม่ม”ี
อำมาตย์ผู้นั้นไต่ถามเรื่องราวของนางอย่างละเอียด ลงท้ายก็ถามถึงเรื่องสามี
นางก็ตอบตามความจริง ในเรื่องสามีนางตอบว่า “สามีของดิฉันมีแล้วเจ้าข้า เป็นคนที่ทางสกุล

ยกให้ แต่เขาหลอกให้ดิฉันร้นมาอยู่บนด้นมะเดื่อนี่ แล้วทอดทิ้งดิฉันเลียหลบหนีไปแล้วเจ้าข้า”


อำมาตย์นำเรื่องราวของนางตั้งแต่ด้นจนปลายร้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบตามคำที่นางเล่า

ทุกประการ
พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบตลอดแล้ว รับสั่งทันทีว่า “ทัณฑะไม่มีเจ้าของ ตกเป็นของหลวง”

พลางทรงรับนางลงมาให้ร้นลู่คอพระคชาธาร ทรงพาไปพระราชนิเวศน์ แล้วทรงอภิเษกสถาปนานาง


ไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี เป็นที่ทรงโปรดปรานพอพระหฤทัย เพราะทรงได้นางที่ด้นมะเดื่อ คนทั้ง

หลายจึงพากันขนานพระนามว่า “พระเทาอุทุมพร"
นับแต่พระนางอุทุมพรเข้าลู่พระราชฐาน ทำให้การประพาสพระราชอุทยาน เพื่อทรงสำราญ

พระหฤทัยของพระเจ้าวิเทหราชเว้นว่างไป จะเป็นเพราะพระองค์ทรงได้รับความรื่นรมย์ทุกประการจาก

พระนาง หรือพระนางได้ทรงเป็นจุดรวมแห่งความเกษมสำราญพระหฤทัยของพระองค์ก็มีผลเป็นเช่น
เดียวกัน คือทำให้การประพาสนอกพระราชฐานว่างไปจนถนนหนทางรก ซึ่งไม่น่าจะเป็นเพราะเหตุอื่น

นอกจากไม'เสด็จนั่นเอง

kalyanamitra.org
๖๙

จนกระทั่งวันหนึ่งทรงประกาศพระราชประสงค์ จะเสด็จประพาสพระราชอุทยาน เพื่อทรง


สำราญพระหฤทัย การประพาสคราวนึ่ เปลี่ยนจากขบวนซัางมาเป็นขบวนรถ เหตุผลในการเปลี่ยนนั้น

ก็มิได้ลับเร้นอันใด ก่อนจะเสด็จต้องกะเกณฑ์กันจัดการแผ้วถางปดกวาดที่จะเสด็จพระราชดำเนิน และ

ในกลุ่มที่เกณฑ์มา ปรากฎมีนายปิงคุตตระหนุ่มอัปลักษณ์ร่วมอยู่ผ้หนึ่ง

เป็นเรื่องน่าคิดอยู่บ้าง ที่คนอย่างปิงคุตตระซึ่งได้รับการศึกษาสำเร็จจากตักกสิลา จะเทียบ

กับยุคป้จจุบันก็เท่ากับสำเร็จมหาวิทยาลัยเป็นชันอุดมทีเดียว ทำไมจึงยังต้องถูกเกณฑ์มาถางหญ้ากวาด
ถนนอยู่อีก จะเป็นเพราะวิชาที่ศึกษามาไม่เป็นที่ประสงค์ของบ้านเมือง หากแด่ศึกษาเพื่อให้ตนมีนามว่า

นักศึกษาตามกำหนดของลูกผ้ชาย หรือจะเป็นการศึกษาซึงมุ่งอาซีพของตนเป็นหลักก็ทราบไม่ได้ แด่


การที่มิถิลานครปรากฎคนกวาดถนนที่สำเร็จจากตักกสิลาก็มี เป็นเครื่องหมายอันสูงส่งแห่งความเจริญ

อย่างสำคัญทีเดียว
การจัดแผ้วถางถนนหนทางยังไม่ท้นเสร็จเรียบร้อย ถึงวันเสด็จเสียแล้ว จึงเป็นอันว่าจะเสด็จ
ก็เสด็จเถิด ที่กำลังถากกำลังถางก็ทำไปไม่หยุดยั้ง มาณพอัปลักษณ์ปิงคุตตระถูกเกณฑ์ถูกเขมรจั่งมั่ง

ตั้งหนัาตั้งตาถากถนนตัวเป็นเกลียว เลียงตะโกนบอกเป็นระยะ ๆ มา “พระราชาเสด็จแล้ว เสด็จพร้อม

กับพระนางอุทุมพรราชเทวี ”
นายปิงคุตตระคงก้มหน้าก้มตาถากถนนหนทางอยู่อย่างขะมักเขม้น

พระนางอุทุมพรทอดพระเนตรเห็นเขาแล้ว ทรงพระดำริในพระทัย “นิกว่าจะวิเศษปานใด


หรือ ทิ้งเราไปเลีย โอ! เขาเป็นคนกาลกรรณีแน่ละ บุญของเรานักที่ได้บันดาลให้ก้าวชื้นสู่ฐานะอันมี

สง่าราศีถึงเพียงนึ่ ที่ไหนคนกาลกรรณีอย่างเขาจะควรเป็นคู่ครองของเราได้เล่า นึกแล้วก็น่าหัวเราะ” พลาง

ก็ทรงพระสรวลออกมา
การหัวเราะโดยไม่มีเหตุผลนั้น เป็นชัอที่ทำให้เกิดความระแวงแคลงใจแก่ผู้ที่ร่วมอยู่ด้วย เพราะ

ไม่รู้ว่าอีกคนหนึ่งหัวเราะอะไร จะเป็นการเยาะในความผิดพลาดของตนก็ได้ ดังนั้นพระเจัาวีเทหราชจึง

ทรงกริ้ว เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระนางทรงสรวลชื้นลอย ยุ ก็ไม่พอพระหทัย พระมนัสอันเคยเปียม

ด้วยความรักในพระนางเหือดลงด้วยกำลังเผาแห่งเพลิงกริ้ว พระพักตร์บื้ง พระเนตรทั้งคู่ประกาศความ

ขุ่นพระหฤทัย จัองพระนางประหนึ่งจะทรงมองให้ทะลุถึงพระทัยของพระนาง พลางเผยพระโอษฐ์ตรัส

ถามด้วยพระสุรเลียงอันน่าพรั่น “เธอหัวเราะทำไม! อะไรเป็นเหตุให้เธอหัวเราะ ?”

พระนางหทัยสั่นขวัญหาย คลายจากอาการสรวลทันที ทูลสนองว่า “ขอเดชะ พระทูลกระหม่อม

แก้ว เกล้ากระหม่อมฉันได้เห็นสามีคนแรกคนที่กำลังถากถนนอยู่นั่นแหละเพคะ เป็นสามีเดิมของเกล้า


กระหม่อมฉัน ที่หลอกให้เกล้ากระหม่อมฉันชื้นด้นมะเดื่อ แล้วเอาหนามสะโคนเลียหนีไป เกล้ากระหม่อม

ฉันได้มาพบวันนึ่ นีกถึงความเป็นไปของเขาและเกล้ากระหม่อมฉันแล้ว ก็อดมิได้ที่จะเกิดความรู้สึกหรรษา


มารำพึงว่าเขาช่างเป็นคนกาลกรรณีเลียจริง ยุ บุญวาสนาที่ได้สร้างสมมาน้อยหนักหนา มิสามารถจะ

ครอบครองเกล้ากระหม่อมฉันไวัใด้ ให้มีแด่ความชิงซัง ตั้งหน้าแด่จะทอดทิ้งสิริอันสูงส่งเลียจงได้ เกล้า

kalyanamitra.org
๗๐

กระหม่อมฉันดำริดังนั้นจึงได้หัวเราะ กราบทูลมาทั้งนี่เป็นความสัตย์จริง สุดแต่จะทรงพระมหากรุณา

โปรดเถิดเพคะ”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับแล้วมิได้ทรงเซึ่อกลับทรงพระดำริว่า “เป็นไปไม่ได้ใครจะเซือถือ
อย่างนั้น มีเยี่ยงอย่างที่ไหนคนเราที่ไม่รู้จักแก้วได้แก้วแล้วจะทิ้งเสีย” ทรงเห็นว่าพระนางต้องเห็นอย่าง

อื่น จึงได้ตรัสประกาศพระดำริออกมา “เธอพูดเท็จ เป็นไปไม่ได้ที่ชายจะทอดทิ้งหญิงงามอย่างเธอ เธอ

ต้องเห็นอะไรนอกไปจากที่บอกนั้นเป็นแน่นอน แต่เธอไม่บอกเราตายเสียเถิด พุทโธ'! นับประลาอะไร


เพียงแต่เหตุที่หัวเราะของเธอ เธอก็ปกปิดและมากล่าวเท็จเสียจนได้” พลางพระหัตถ์ที่เคยทรงขอเหนี่ยว

พระคชาธารใหัหยุดในคราวพบพระนาง ก็เอื่อมไปจับพระแสงดาบ

พระนางตกพระทัยเป็นที่ยี่ง มิได้ทรงคาดหมายเลยว่าพระสวามีจะทรงถือเป็นเรื่องอุกฉกรรจ์

อันจำต้องพระราชอาญาถึงสิ้นพระชนม์ เมื่อเหตุการณ์ปรากฏเข้าบงอับบงราดังนั้น พระนางก็ทรงคิด

หาทางประวิงเพื่อใหัพระสวามีได้ทรงยับยั้งพระหฤทัยไว้ก่อน เมื่อจะทรงผ่อนผันโทษของพระนางไว้
ก่อน จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้าฯ เรื่องของเกล้ากระหม่อมฉันครั้งนี่ หากมิเป็นความ
จริงก็ควรที่เกล้ากระหม่อมฉันจะยอมรับพระราชอาญา แต่เกล้ากระหม่อมฉันเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ที่กราบทูล

แด่ทูลกระหม่อมนั้นเป็นความจริง และเหตุที่เกล้ากระหม่อมฉันหัวเราะก็เป็นความจริง มิได้กราบทูล

เท็จเลย เกล้ากระหม่อมฉันพระราชทานพระบรมราชวโรกาสได้โปรดสดับถามท่านราชบัณฑิตก่อน เฟ้น


ราชบัณฑิตทั้งหลายกราบบังคมทูลมิสมคำของเกล้ากระหม่อมฉัน ก็สุดแต่จะทรงโปรดประทานพระราช

อาญาเถิดเพคะ”
พระเจ้าวิเทหราชทรงได้พระสติ เห็นด้วยก้บคำกราบทูลของพระนาง พลางมีพระดำรัสถาม
ท่านเสนกตามเรื่องที่พระนางกราบทูลถึงมูลเหตุที่ทรงพระสรวลว่า “ท่านอาจารย์ยังพอจะเซึ่อได้หรือ

ผู้ชายที่ไม่ปรารถนาหญิงงามทั้งรูป งามทั้งคุณสมปติ” พลางตรัสเล่าเรื่องของพระนางใหัท่านเสนกพ้ง

ท่านเสนกรับพระราชกระแสรับสั่งถาม และพ้งเรื่องราวตลอดแล้วก็กราบทูลตามอัธยาศัยว่า

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ปลงใจเซือเลยพระพุทธเจ้าข้า ใครเลย


ในโลกนี่ ชายคนไหนที่ได้หญิงงามพรัอมสมบูรณ์ด้วยรูปสมปติและคุณสมบัติ เป็นนารีรัตน์นางแก้วมา

เป็นกรรมลิทธํ่ของพระนางราชเทวี ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่เซึ่อว่าจะเป็นไปได้

พระพุทธเจ้าข้า”
พระนางทรงสดับคำกราบบังคมทูลของท่านอาจารย์เสนกแล้ว พระหทัยยิ่งหวั่น ทรงพระดำริ

ว่าเห็นจะไม่มีรอดจากพระราชอาญาได้แล้ว ทรงหมดความหวังว่า ตั้งพระทัยที่จะยอมรับพระราชอาญา

ซึ่งพระนางมิควรจะได้รับ แด'ใครเล่าจะช่วยกราบทูลใหัสมก้บคำของพระนาง เพราะเรื่องของพระนาง

เป็นเรื่องผิดวิสัยผู้ที่มีบัญญาเพียงสามัญจะเข้าใจ และเล็งเห็นได้จริง รุ พระนางทรงประทับดุษณี แด่

พระเจ้าวิเทหราชกลับทรงพระราชดำริในก้อยคำของท่านเสนกเป็นอย่างธรรมดา ทรงดำริว่า “ท่านอาจารย์


เสนกจะรู้อะไรหนักหนา ที่ตอบมาก็เป็นอย่างเดียวก้บความเช้าใจของคนสามัญตามความรู้สึกของคนสามัญ

kalyanamitra.org
๗๑

อันมิเคยรู้ความพิเศษแห่งความเป็นไปของกรรมอันสร้างสรรค์บุคคล ควรจะได้ถามพ่อมโหสถดูบ้าง เผื่อ


มีทางที่จะเป็นไปได้” ทรงพระดำริแล้วตรัสถามมโหสถเช่นเดียวกับที่ตรัสถามท่านเสนก

มโหสถบัณฑิตฬงพระราชดำรัสแล้ว กราบบังคมทูลสนองทันทีว่า ‘'ขอเดขะ พระบารม่(ปีน

ทยง ข้าทระพุทธเจ้าเข่อว่า(1ปีน(ร่องท!ปีนไปได้'พระพุทธเจ้าช้า เพราะว่าบุคคลไนโลกนม่ไข่จะ(หม่อนกัน บาง

คนก็ม่บุญม่วาสนามาก บางคนก็ม่าาสนาน้อย บางคนก็เปีนคนม่โขค คนทอับโขคเป็นคนกาลกรรณ ผ่ม่โขค


ม่บุญวาลนา (ร่ยกว่าเป็นผ่ทรงสร กันกาลกรรณกับลา'นั้นเป็นปฎปีกบ์กัน จะอยู่รามกันมได้เทมอนแผ่นด้น

ร่วมกับน้าไม่ไข้เหม่อนผ่งสมุทรผ่งโน้นกับผ่งนนั้นไม่ไข้คนกาลกรรณแม่'จะ ไข้เป็นเจ้าของผู้ทรงลร่ ก็ไม่

สามารถจะครอบครอง ไว''เป็นเจ้าของคน ไข้พฤด้การณ์ของสร่กับกาลกรรณ์ม่อยู่ดังน แค่ไหนแค่ไรมาแล''วลร


กับกาลกรรณ์อยู่ร่วมกันไม่ไข้กาลกรรณ์อยู่ร่วมกับกาลกรรณ ลร่ข้องอยู่ร่วมกับสร่ ดังนั้นพระนางผู้ทรงสร่กัน

สูง เม่อตกอยู่ไนกรรมลท!)ของคนกาลกรรณ์ คนกาลกรรณ์จงข้องหาทางทอดทงเสย ม่ลาจครอบครองไวคลอด


ไปเป็นดังนั้พระพุทธเจ้าช้า ”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำกราบทูลของมไหสถบัณฑิตแล้ว ทรงเห็นแจ้งในพระท้ยถึงความ
จริงระหว่างสิริกับกาลกรรณี ความกริ้วที่แผดเผาพระหทัยก็ด้บลง พระเมตตากรุณาอันเคยมีในพระนาง

ก็หลั่งไหลเข้ามาเต็มพระท้ยดังเดิม พร้อมกันนั้นก็ทรงโปรดปรานมโหสถบัณฑิตหนักขนถึงกับออกพระ
โอษฐ์ว่า “พ่อบัณฑิต แม้นไม่มีเจ้าเสียแล้ว วันนี้ข้าก็ด้องพลัดพรากจากนางแก้วนี้ ด้วยก้อยคำโง่ของเสนก

เป็นแน่ทีเดียว เพราะอาศัยเจ้าดอกช้าจึงได้นางแก้วนี้คืนมา” ตรัสแล้วให้พระราชทานทรัพย์แสนกษาปณ์

เป็นเครื่องบูชา
ฝ่ายพระเทวิอุทุมพร ทรงรู้สึกเหมือนดังว่าทรงได้พระชนมีคืนมาเพราะมโหสถบัณฑิต พระ
หทัยอันเศร้านั้นกลับทรงโสมนัสเต็มเปียม ทรงยกพระกรทั้งคู่ถวายบังคมแทบพระบาทพระราชสวามี

กราบทลว่า “ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแก้ว พระมหากรุณาธิคุณเป็นลันเกล้า•า เกล้ากระหม่อมืฉันขอพระ-


ราชทานพระพรเพื่อสถาปนามโหสถไว้ในฐานะเป็นกนิษฐภาดาของเกล้ากระหม่อมฉัน ขอได้โปรดพระ-

ราชทานเถิดเพคะ”
“ดีแล้ว เธอผู้'เป็นศรีแห่งซีวิตของฉัน” ตรัสอนุวัตตาม “เชิญเธอรับพรที่เธอขอนั้นเถิด ฉัน

ให้เธอ” พร้อมกันนั้นก็ตรัสกับมโหสถว่า “พ่อมโหสถ แม่อุทุมพรขอเจ้าเป็นนัองชายของเธอ เจ้าต้อง


เป็นนัองชายเธอแต่วันนี้ไปนะ”
มโหสถบัณฑิตยอกรนัอมเศียรลงถวายบังคมทูลว่า “ขอเดชะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณลันเกล้า

ลันกระหม่อมพระพุทธเจ้าข้า”
พระนางทรงดีพระทัยที่ได้ทรงทดแทนคุณแก่มโหสถบัณฑิตสมพระมนัสปรารถนา จึงยก
พระกรนัอมพระเศียรถวายบังคมขอบพระมหากรุณาธิคุณ และกราบทูลขอพระพรอีกประการหนึ่ง “ขอ

เดชะ พระทูลกระหม่อมแก้ว เป็นพระมหากรุณาทีสุดแก่เกล้ากระหม่อมฉันที่ได้โปรดพระราชทานพระพร

ดังมโนรถของเกล้ากระหม่อมฉันอีกสักครั้งหนึ่งเถิด เกล้ากระหม่อมฉันขอพระราชทานพระพรจากทูล

กระหม่อมแก้วอีกประการหนึ่งเพคะ”

kalyanamitra.org
๗๒

“เธอด้องการอะไรอีก เธอผู้เจริญใจของฉัน” ตรัสด้วยทรงพระปรานี “บอกมาเถิด”


“เป็นพระมหากรุณาอ้นยิ่ง” พระนางกราบทูลด้วยดีพระทัย “เกล้ากระหม่อมฉันขอพระราชทาน
พระพรว่า ตั้งแต่วันนใป แม้เกล้ากระหม่อมฉันจักได้บริโภคสิ่งไรที,มีรสอร่อย สิ่งนั้น 1 เกล้ากระหม่อม

ฉันจักบริโภคโดยลำพัง มิได้แบ่งให้น้องชายบริโภคด้วยไม่ได้เลย เพราะเหตุนั้นเกล้ากระหม่อมฉันขอ


พระราชทานพระบรมราชานุญาตไวัว่า ตั้งแต่บัดนั้ใปหากเกล้ากระหม่อมฉันจะส่งสิ่งใด *1 ถึงจะเป็นเวลา

ดึกคํ่าคืนอย่างไร ก็ขอให้สิ่งที่เกล้ากระหม่อมฉันส่งไปนั้น "I ถึงน้องชายของเกล้ากระหม่อมฉันทุกครั้ง

นะเพคะ”
“ได้ซีเธอ” ตรัสประทานตามที่พระนางทูลขอ “เธอจงรับพรนั้นไว้เถิด”
เป็นอันว่าตั้งแต่วันนั้นเป็นด้นไป มโหสกบัณฑิตมิใช่เป็นผู้โดดเดี่ยวในราชสำนัก แต่ได้เป็น

ผู้อุปถัมภ์สำคัญยิ่ง คือพระนางอุทุมพร ผู้สามารถเหมือนหนึ่งจะเข้าไปนั่งประจำพระหทัยของพระเจ้า

วิเทหราชตลอดกาล ทั้งสามารถที่จะเป็นความสำราญทุกอย่างของพระสวามี ซีวิตในราชการจะด้องต่อด้าน

กับคณะอาจารย์อย่างไรในกาลต่อไปก็ยังพอที่จะได้ทราบความเป็นไปภายในได้ทันกาล และต่อไปจะได้
เห็นว่า พระนางได้ทรงเป็นกำลังสำคัญของมโหสถเป็นอย่างยิ่ง

kalyanamitra.org
๑๑. ปริศนาซ่อนเงอน
ฟ้าวันหนึ่ง มโหสกบัณฑิตพร้อมด้วยนักปราชญ์ทั้ง ๔ พากันไปเฝ็าตามปรกติ นั่งเหนืออาสนะ

ตามลำด้บอาวุโส คึอ ท่านเสนกนั่งอยู่ด้นใกล้ที่ประทับ ถัดลงมาก็ปุกกุสะแล้วกามินท้ เทวินท้ มโหสก

อยู่ทัาย นอกจากนึ่ก็มีข้าราชบริพารเฝืาตำแหน่ง

พอได้เวลา พระเจ้าวิเทหราชก็เสด็จออกประทับเหนือพระราชอาสนั มวลอำมาตย์พากันถวาย


บังคมตามประเพณี วันนึ่พระองค์ทรงมีพระมนัสข้นบาน พระพักตร์ยิ้มผ่อง ในพระเนตรมีแววแห่งหรรษา

ปรากฎฉายแจ่ม แม้จะได้สังเกตเห็นกันด้งนั้น ก็มีได้มีผู้ใดว่าขานหรือเอ่ยชื้น เป็นแต่ซ่อนความรู้สึกกัน

ไวั แล้วไม่ชัาการก็ปรากฎออกมาโดยพระราชดำรัสกับคณะอาจารย์และมโหสกบัณฑิตว่า “ท่านอาจารย์


ทั้ง ๔ และพ่อมโหสก ฉันมีบัญหาอยู่ข้อหนึ่ง จะขอถามท่านอาจารย์ทั้งหมดและพ่อมโหสกด้วย ”

คณะอาจารย์และมโหสกบัณฑิตนัอมเศียรรับพระกระแสรับสั่ง แล้วท่านเสนกผู้มีอาวุโสสูง
กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระบารมีเป็นที่ลันพัน ข้าพระพุทธเจ้าทั้งมวลพรัอมอยู่แล้วที่จะฉลองพระเดช

พระคุณเต็มกำลังสติบัญญ■เของตน กุ พระพุทธเจ้าช้า”

“ดีแล้ว” ตรัสด้วยพระสรเลียงทรงข้นชม “คอยพังนะฉันจะถาม” พลางมีพระดำรัสข้อปรึคนา


ต่อไป “ท่านอาจารย์ทั้ง ๔ และพ่อมโหสก ปรากฎการณ์อันไม่เคยมีเลยในโลกแต่ไร กุ มา”

“สัตว์ผู้'เป็นศัตรูคู่ปรป้กษ์กัน ไม่เคยเดินร่วมทางกันได้ แม้เพียงสัก ๗ กัาว ม้นด้องวิวาทกัน


เสมอ เพียงพบหนัากันก็วิวาทกันเลียแล้ว แต่บัดนึ่เจัาสัตว์คู่ปรบักษ์นั้น กลับมาเป็นมิตรสหายกัน ทั้งคู่

ต่างไร้วางใจกันท่องเที่ยวไป นึ่เป็นเพราะเหตุไร ?”

ตรัสข้อปริคนาเสร็จแล้ว ทรงคาดคั้น “ล้าพวกท่านไม่สามารถจะแกโขบัญหาข้อนั้โด้ภายใน

เวลาอาหารฟ้าของฉันวันนึ่ ฉันจักขับพวกท่านออกไปเลียจากแว่นแควันแดนดินทุกคน ฉันไม่ด้องการ

บัณฑิตชนิดที่มีบัญญาเลว กุ เลย”
ครั้นมีพระราชดำรัสกำชับแล้ว ก็ประทับดุษณี มโหสกบัณฑิตเริ่มใคร,ครวญกระแสความแห่ง

พระราชปุจฉาทันที พิจารณาทุกแง่แล้วก็มองไม'เห็นคำตอบ จึงหวนมาคิดว่า “พระจอมราชแห่งเรานึ่

โดยพระอัธยาศัยปรกติแล้ว พระองค์มิได้มีพระปริชาว่องไวเท่าใดนัก ที่พระองค์มีพระดำรัสถามปริคนา

ข้อนึ่ ต้องมีมูลมาจากได้ทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์อันใดก่อน มิได้ทรงดำรัสชื้นได้โดยลำพังเป็นแน่นอน

การที่จะได้รู้ข้อที่ยังไม่รู้นั้นต้องใซัความรู้เป็นเครื่องสอดล่องจึงจะรู้ได้ ถัาเอาความไม่รู้เข้าไปสืบคนแล้ว

ผลก็ดึอความไม่รู้หนักชื้นเหมือนเข้าที่มืดโดยไม่มีดวงไพ่ก็มีดตื้อ ถัาได้โอกาสขยายเวลาไปได้สัก 6 วัน

kalyanamitra.org
เ^๔

เราต้องค้นหาเงื่อนไขบัญหานึ่มากวาบทูลเฉลยได้เป็นแน่ ทำอย่างไรหนอจึงจะขอผัดเวลาได้สัก 4) วัน

ขอวันนึ่วันเดียวเท่านั้น เสนกจะมีอุบายอะไรที่จะขอผัดผ่อนได้หรือไม่ ท่านเสนกจะดีดเฉลยได้', ดำริ

แล้วดีช่าเลึองดูท่านเสนกท่านอาจารย์ทั้ง ๓ ซ็งกำลังก้มหน้านิ่งมองไม่เห็นอะไรเลยเหมือนถูกจับใส'ใน

ต้องมืด
ส่วนท่านเสนกนั้นดีอัดอั้นดันบัญญาอยู่แล้ว มองไม่เห็นเงื่อนไขอันใดเลย ครุ่นดีดอยู่ว่า “มโหสถ

จะมีท่าทางอย่างไรหนอ เขาจะแก้ใด้หรือไม่หนา” ดีดแล้วดีช่าเลึองดูมโหสล พอดีกับมโหสถช่าเลึองมา

สายดาประสานกันเพียงแวบเดียวท่านเสนกดีอ่านออก “ล้า! แม้พ่อบัณฑิตก็มืดมัวเหมอนกัน ท่าทีดูเหมือน


จะต้องการเวลาลัก * วัน ต้องช่วยเขาหน่อย ช่วยใต้เขาสมประสงค์สักหน่อยเอาไวัด้วยล้อยทีต้อยอาลัย
กัน” พอดีดเสร็จดีหัวเราะร้นด้วยเลียงอันกังวานเพราะความค้นกับพระเจ้าวิเทหราช พลางกราบบังคมทูล

ว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทผู้ทรงพระกรุณาธิคุณลันเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทาน


อต้ยโทษที่โปรดดำรัสว่า แม้พวกข้าพระพุทธเจ้ามิสามารลกราบทูลเฉลยพระบวมราชปุจฉาได้ ใต้ฝ่า-

ละอองธุลีพระบาทจะทรงขับไล่จากแว่นแควันนั้น ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงกระทำได้ดังพระบวม

ราชโองการจริงคุ ทีเดียวหรือพระพุทธเจ้าข้า?”

“จริงซ็ท่านอาจารย์” ตรัสยืนยัน “ใครแกัใม่ได้ฉันไม่ใต้อยู่จริง คุ”


ท่านเสนกคงมิได้หวาดหวั่น กราบบังคมทูลต่อไปอย่างร่าเริง “ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าฯ

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอรับพระราชทานโองการใส'เกล้าฯ แดใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระดำริเห็น
ว่าป้ญหาเงื่อนเดียวหรือความจริงพระบรมราชปุจฉาแม้จะเป็นเงื่อนเดียว แต่มีเงื่อนงำลํ้าลึกอยู่พระพุทธ-

เจาข้า พวกข้าพระพุทธเจ้าจะไม่สามารถกราบทูลเฉลยได้ในวันนึ่ แต่ล้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระ

กรุณาโปรดเลื่อนกำหนดไปสักหน่อยดีจะฉลองพระเดชพระคุณได้ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้โปรด
ทรงพระดำริเถิด พระราชปริศนานึ่ซ่อนเงื่อนอยู่ พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่อาจดอกที่จะกราบทูลแกํใขท่าม-
กลางมหาชน ชักกราบทูลเฉลยได้ดีต่อเมื่อได้นิ่งลิดนิ่งตรอง ณ ที่อันเหมาะ คุ สักแห่งหนึ่ง ช้าพระพุทธเจ้า

ทั้งหลายขอหวังในพระม่หากรุณาธิคุณ ทรงโปรดเลื่อนเวลาพระราชทานโอกาสแก'พวกข้าพระพุทธเจ้า

เถิดพระพุทธเจ้าข้า”
ท่านเสนกกราบทูลแล้วหันไปดูมโหสลบัณฑิต เห็นไม่มีท'าทีที่จะคัดค้าน ภิยิ่งแน่ใจว่าตนได้

อ่านสายตานั้นได้ถูกด้องแล้ว เพื่อจะยืนยันลัอยคำของตนใต้มีนํ้าหนักยิ่งร้น จึงกราบทูลบวรยายลีบไป

“ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงสมมุติเทพเจ้า ในเมื่อมหาชนประชุมกันอยู่ เลียงอึกทึกโกลาหลสนั่นไปหมดเช่นนึ่

พวกข้าพระ'พุทธเจ้าต่างดีมีใจว'อกแว่กไป มิได้แน่วแน่เป็นหนึ่งได้ ย่อมไม่สามารถเลยที่จะกราบทูลแก้


พระราชปริศนาอันลึกซ็งที่มีพระดำรัสลามพระปรีชาญาณข้อนึ่ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมิ่งโมลีแห่งนิกรชน

วิสัยท่านผู้เป็นนักปราชญ์ทั้งหลาย ชักกล่าวแก้อรรถปริศนาใด คุ ต้องต่างคนด่างอยู่แต่ผู้เดียว สำรวมจิตใจ


ใหัมีอารมณ์แน่วแน่เป็นจุดเดียวในรโหฐานสงัดเงียบ ปราศจากเลียงอึกทึกรบกวน ลิดพิจารณาโดยถี,ล้วน

ถึงกระแสความแห่งบัญหาแล้ว เป็นต้องสามารถแดีไขได้พระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
๗๕

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำกราบบังคมทูลของท่านเสนกนั้นแล้วทรงโปฺรดปรานเป็นทียิง
ทรงเห็นจริงตามที่กราบบังคมทูล ประทานพระราชกระแสว่า “ท่านอาจารย์ เป็นความจริงดังทึท่านกล่าว
ฉันเห็นด้วย” แต่ในที่สุดก็ทรงกำซับอย่างหนักแน่นว่า "เชิญไปคิดกันก่อนแล้วค่อยกล่าวแกเถิด เมื่อแกั

ไม่ได้ฉันด้องไล่เด็ดขาด ไม่ทังเลียงทีเดียว ”
คณะอาจารย์ทั้ง ๔ และมโหสกบัณฑิต พากันถวายบังคมลาออกจากที่เฝืา อาจารย์ทั้ง ๔ ลง

จากพระมหาปราสาทไปก่อนมโหสถบัณฑิต ต่างคนต่างหมกมุ่นอยู่ในความคิดที่จะแล้พระราชปริศนา

ต่างคนต่างเดินกันไปเงียบ *1 ภายในความเงียบนั้นไม่แน่นักว่าจะมีความคิดที่ลึกซึ่งแยบคาย เพราะความ

เงียบบางครั้งก็เป็นฝาละมีป็ดความโง่ของคนโง่ได้ดีไม่มีอะไรสู้
ท่านเสนกเห็นอาจารย์อีก ๓ คนกำลังเงียบอยู่ก็เอ่ยกำซับไปในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่กว่า “พระ

บรมกษัตริย์แห่งเรามีพระดำรัสถามพระราชปริศนาลึกซึ่งและสุขุมนัก พวกคุณอย่าพากันเห็นไม่สำคัญ

เสียนะ ได้ยินกันแล้วมีใช่หรึอว่าล้าใครแล้ไม่ได้แล้วเป็นเกิดมห้น่ตภัยทีเดียว ทวงดำริ'สคาดโทษอย่างจริงขัง


ฉันเห็นว่าไม่มีทางที่จะขอพระมหากรุณาได้เลย เพราะฉะนั้น พวกคุณจงพากันบริโภคอาหารที่เหมาะแก่

รางกายให้ความสบายแก'ตน ซึ่งจะเป็นผลให้มีความคิดอ่านสดใส ต่อจากนั้นจงพากันใคร่ครวญพระราช


ปริศนาด้วยทางที่ชอบ พิเคราะห์ให้ถี่ล้วนในกระแสความ อย่าได้พากันมัวประมาทเป็นอันขาดทีเดียว”
อาจารย์ทั้ง ๓ ทังดำกำซับของหัวหนัาคณะต่างก็รับคำด้วยเลียงซึ่งไม่ท่าให้ตนเองและผู้ทัง

คลายความหนักใจได้เลย เป็นคำริ'บอย่างซังกะตายเท่านั้น แล้วก็พากันแยกไปกังเรือนของตน *1

ฝ่ายมโ^สถออกจากที่เฝืาด้วยความคิดเดิมคือว่า พระเจ้าวิเทหราชด้องทรงเห็นเรื่องใดเรื่อง
หนึ่งเป็นต้นเด้ามาก่อนจึงทรงผูกปริศนาได้ ความคิดนึ่มิได้เลือนไปจากห้วงนึกจึงกังไม่กลับบัาน ตรงไป

เฝ็าพระนางอุทุมพรทันที ถวายบังคมแล้วนัง ณ ที่อันสมควร พลางกราบทูลว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้า

พระบาทขอประทานพระมหากรุณาสักหน่อย ”
“มีอะไรเล่านัอง” ตรัสด้วยความรักอย่างสนิท “ไม่ด้องเกรงใจ บอกพี่เถิด”

“เป็นพระมหากรุณาลันเกล้าๆ” กราบทูลด้ายความชาบซึ่งในพระคุณ ข้าพระบาทขอประทาน


กราบทูลถาม “เมื่อเซัานึ่หรือเมื่อวานนึ่ พระบรมกษัตริย์เสด็จประทับที่ไหนนาน *1 บัางพะย่ะค่ะ”
“นัองรัก พี่เห็นทูลกระหม่อมเสด็จ■พระราชดำเนินทอดพระเนตรทางช่องพระแกลที่เฉลียง
อยู่หลายเที่ยวเมื่อวานนื”้ ตรัสเล่าพลางมีพระเสาวนีย์ถาม “มีเรื่องอะไรหรือ นัองรัก”

“ข้าแต่พระแม่เจ้า เมื่อเข้าสมเด็จพระบรมกษัตริย์ตรัสถามปริศนาลึกลับมากพะย่ะค่ะ” กราบทูล

แล้วเลยเล่าถึงพระราชปริศนาถวายให้ทรงทราบ
พระนางสดับแล้วรับลังว่า “ก็ชอบกลอยู่ ชะรอยทูลกระหม่อมจะเห็นอะไรที่ตรงนั้นกระมัง
ทรงทอดพระเนตร พลางเสด็จดำเนินกลับไปกลับมาหลายเที่ยวนัองลงไปดูช”ี
มโหสถรีบถวายบังคมลา ออกไปที'เฉลียงพระมหาปราสาทตรงที่พระนางตรัสบอก มองออกไป

ทางช่องพระแกล พลันก็พบเงื่อนแห่งพระราชปริศนาจากที่นั้นเอง

kalyanamitra.org
๗^

มองจากทางช่องพระแกลนั้น ตรงออกไปอีกฟากหนึ่ง จะเห็นฝาผนังใหญ่ปรากฏ ที่ผนังใหญ่

นั้นมีสองสัตว์พากันอาศัยอยู่คือหมากับแพะ มันทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียวกันยิงนัก ซึ่ง

เป็นการแปลกประหลาด เพราะสัตว์ทั้งสองนึ่เป็นอริกันมาก ไม่เคยมีเลยที่จะเป็นมิตรกันได้ แด่เจ้าคู่นื้

กลับมาเป็นมิตรรักใคร่กันทั้งนื้ เนื่องด้วยมันทั้งสองมีเรื่องที่ก่อความเป็นมิตรมาแต่หนหลัง ดังนื้

แพะตัวนั้นเข้าไปในโรงช้ำง เห็นหญ้าที่คนเลํ๋ยงทอดไว้หนัาช้าง ข้างยังไม่ทันจะจับเลยมันคาบ


ชิ้นเที่ยวเลียก่อน พวกคนเลั้ยงข้างคว้าไมัหวดไล่ตะเพิดมันออกไป ขณะที่มันกำลังวิ่งรัองไปนั้น มีคน

เที่ยงช้างคนหนึ่งคว้าไม้พลองวิ่งกวดมันไปอย่างรวดเร็ว พอทันก็หวดลงไปกลางหลังมันอย่างเต็มเหนี่ยว

หลังแอ่นไปเลย มันแสนเจ็บแสนปวดวิ่งหลังแอ่นไปนอนเจ็บอยู่บนหลังแคร่ที่วางไว้ชิดกับผนังราชมนเทียร

หมาตัวนั้น เป็นหมาได้กินกระดูกและหนังที่พ่อครัวที่งไว์ในห้องเครื่อง จนเติบโตอ้วนพี บังเอิญ

ในวันนั้นคิดกำเริบไม่พอใจที่จะแทะกระดูกและทึงหนังเสียแล้ว ขณะที่พ่อครัวจัดแจงแต่งเครื่องเสวย
เสร็จ วางไว้ในห้องเครื่อง ตนเองออกไปช้างนอกเพื่อผึ่งลมให้เหงื๋อแห้ง มันได้กลิ่นปลากลิ่นเนื้อเข้าแลัว

สุดที่จะระงับความกระหายได้ ก็ย่องเข้าไปในห้องเครื่อง ตะกายฝาภาชนะตกลงมา แล้วก็ขย้ำชิ้นเนื้อ

กินอย่างตะกลาม พ่อครัวได้ยินเลียงภาชนะตก ก็หวนเข้ามาทันที เห็นมันกำลังขยํ้าชิ้นเนื้อธยู่ก็ปิดประตู


เสีย คว้าอ้อนดินและไม้ค้อนขว้างไปก่อน ตนเองดักอยู่ที่ประดู มันถูกขว้างแล้วก็ด้องคายชิ้นเนื้อที่ง วิ่งร้อง

รอดออกมาทางประตูพอโผล่ออกมายังไม่ทันสุดตัว พ่อครัวคอยทีอยู่แล้วก็เอาไมัพลองฟาดตูมลงไปกลาง
หลังมันเต็มแรง มันด้องเดินหลังแอ้ ทั้งด้องเขย่งตีนชิ้นเลียช้างหนึ่งด้วย วิ่งสามขาไปแอบซุกอยู่ตรงที่

แพะนอนอยู่ก่อนนั่นเอง
แพะเห็นหมาวิ่งในท่าที่แปลก ก็สงสัย เอ่ยถามว่า “เพื่อนเอ้ย เป็นอย่างไรไปแกจึงด้องวิ่งหลัง

แอ่นสามขามาเล่า? ลมมันเสียดแทงเอาแกเข้าหรืออย่างไร?”
หมาได้ยินดังนั้นก็นึกฉิว ไม่ตอบทันที ยัอนถามบัางว่า “ก็แกล่ะ ทำไมถึงได้นอนหลังแอ่น

อยู่เล่า?”
แพะเล่าเรื่องของตนให้ทัง หมาเห็นว่าแพะเล่าให้ทังโดยดี ก็เล่าเรื่องของตนให้ทังบัาง

แพะเอ่ยลามว่า “อย่างไรเพื่อน แกยังจะกล้าไปห้องเครื่องอีกไหม”


“ไม่เอาแล้วเพื่อนเอ้ย” หมาตอบ “ขืนไปอีกเป็นไม่รอดซีวิตแน่” แล้วก็ย้อนถามแพะว่า “แก

ล่ะจะกล้าไปโรงข้างอีกไหม?”
“เหมือนกันแหละเพื่อน ไม่กล้าย่างไปอีกแล้ว ขืนไปเป็นไม่รอดเช่นเดียวกัน เข็ดแล้ว”

เมื่อตกอยู่ในฐานะคับแค้นอย่างเดียวกัน มีห้วอกอันเดียวกัน ถึงแม้จะเคยเป็นอริกันมาก็ออมชอม


กันเข้ามาได้ ทั้งคู'ต่างก็ปรึษาหารือกันคิดอ่าน “เราจะทำอย่างไรดีเล่าคราวนื้ จึงจักเป็นอยู่ต่อไปได้ เรื่อง

มันตัองกิน ไม่กินเป็นตายแน่ ทำอย่างไรเราจึงจะได้อาหารมากินกัน”

แพะป้ญญาไวกว่าหมาคิดไว้ก่อน บอกกับหมาว่า “อ้าแกกับข้าสามารถปรองดองกันอยู่ร่วมกัน


ได้ ต่างฝ่ายต่างไม่คิดเป็นอริกัน ข้าเห็นทางอยู่ทางหนึ่ง ที่เราพอจะดำเนินเพื่อมีซ็วิตต่อไปได้”

kalyanamitra.org
๗๗

“แกคิดได้อย่างไรก็บอกมาเถิด” หมากล่าวอย่างไม่แน่ใจ "ไอ้เรื่องเป็นอริกันนั้น เอาไว้เป็น

หนหลังเถิด ประโยชน์ของเราต้องร่วมกัน จะมามัวคิดเป็นอริกันไปทำไม แลัวก็เป็นแลัวกันไป”


“ดีแล้วเพื่อน ล้าแกคิดได้ดังนั้น ประโยชน์ที่ร่วมกันเป็นไข้ได้แน่” แพะกล่าวด้วยดีใจ พลาง

แถลงอุบายของดนว่า “เพื่อนเอ๋ยตั้งแต่ปัดนื้เป็นด้นไป แกไปที่โรงข้างซี พวกคนเลํ๋ยงข้างที่ไหนจะสงสัย

แก เพราะแกไม่ใช่สัตว์กินหญ้า ต่างก็จะพากันวางใจไม่คอยดูแลระวัง ได้ช่องแกก็คาบหญ้ามาให้ขา ส่วน


ข้าเล่าก็จะไปห้องเครื่อง พ่อครัวคงไม่ระแวงข้าเหมือนกัน เพราะข้ามิใช่สัตว์กินเนื้อ พอได้โอกาสข้าก็

คาบเนื้อมาให้แก แลัวเราก็มาแลกกันที่นี่ เป็นยังไงอุบายของข้าพอไปได้ไหม?”

“เข้าที แหลมมากเพื่อน” หมาชมด้วยความจริงใจ “ข้าเห็นด้วยกับแก อุบายของแกต่ออายุเรา


ไปได้อีก ไม่อดตายกันละคราวนื้”

เมื่อตกลงกันแล้ว หมาก็ไปโรงข้าง แพะก็ไปห้องเครื่อง หมาคาบหญ้ามา แพะคาบเนื้อมา

ต่างนำมาที่ตรงผนังนั้น แล้วก็แลกกันกิน แพะกินหญ้า หมากินเนื้อ แล้วด่างก็ซืนชมกลมเกลียวเล่นหัว


อยู่ด้วยกัน ณ ที่ตรงนั้น

พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเหตุการณ์นื้ ทรงพระดำริว่า “วันนื้เราได้เห็นเหตุการณ์แปลก


ไม่เคยเห็นมาแด่ก่อน ยุ สัตว์สองพวกนื้เป็นศัตรูกันซัด ยุ บัดนื้มันกลับเป็นมิตรกันได้ ต้องผูกเป็นปญหา

ถามพวกบัณฑิตของเรา ใครไม่รู้ปัญหานื้ไล่ไปเลย แด่ผู้ที่รูใด้เราต้องบูชา เพราะบัณฑิตอย่างนื้หาที่ไหน


ไม่ได้แล้ว วันนื้หมดเวลาเสียแล้ว พรุ่งนื้ค่อยถามในเวลาที่พากันมาเฝ็า”

มโหสถเห็นกิริยาที่แพะกับหมาแสดงต่อกัน ก็พลันเห็นแจ่มกระจ่างในราชปริศนา ตกลงใจ


เด็ดขาด “นี่เอง ไม่มีอื่นล่ะ สมเด็จพระบรมกษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ทั้งสองนื้แล้วผูกเป็นพระราช

ปริศนา” แล้วก็ออกจากพระราชวังกลับบัานด้วยความเบิกบานใจ
ปุกกุสะ กามินท้ เทวินท์ ภายหลังจากมาถึงบัาน ต่างคนก็เริ่มคิดเป็นการใหญ่ แด,เป็นการคิด
ที่ไม่มีเด้าเงึ๋อน ก็คิดเปือยไป คิดเท่าไร ยุ ก็ไม่เห็นจะได้คำตอบออกมาเลย จนปัญญาเข้าด้วยกัน ด่างคน

ด่างมาหากัน ปรึกษากันคงไม่รู้อยู่นั่นเอง ในที่สุดก็ชวนกันมาหาท่านเสนกหัวหนัาคณะ

ท่านเสนกเล่าก็กำลังหมกมุ่นครุ่นคิดอย่างหนัก แด่ก็ไม่มีหลักที่จะคิดเช่นเดียวกัน ความคิด


นั้นจึงไม่มีทางที่จะทะลุปรุโปร่งไปได้ ครั้นเห็นพวกนั้นพากันมาหาก็ถามทันที “พวกคุณเห็นทางเฉลย

ปัญหาแล้วหรือ?”
พวกเหล่านั้นพากันตอบเป็นเลียงเดียวกัน “ไม่เห็นเลยท่านอาจารย์ มีดเหมือนถูกจบข้งในห้อง

มีดทีเดียว”
“ล้าสมเด็จบรมกษัตริย์ชักทรงไล่พวกคุณไปจากดินแดนของพระองค์เล่า พวกคุณจะทำกัน

อย่างไร?” ท่านเสนกพูดแกมขู่
อาจารย์ทั้ง ๓ มีความกังวลใจ เกรงพระราชอาญาอยู่ไม่นัอย ที,มาหาท่านเสนกก็ด้วยหวังจะเอา
เป็นที่พึ่ง ครั้นได้ฬงท่านเสนกพูดว่าดังนั้นก็ค่อยอุ่นใจขํ่นบัาง ด้วยคิดว่า “อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ของ

kalyanamitra.org
๗๘

เราคงเห็นเค้าเงื่อนบ้างเป็นแน่ ถ้าเช่นนั้นคงไม่พูดขู่เข็ญเรา” คิดแล้วพากันถาม “ท่านอาจารย์เล่าขอรับ


ท่านเห็นเค้าเงื่อนแล้วละกระมัง อย่างไรก็โปรดอย่าทอดทิ้งพวกผมก็แล้วกัน พวกผมไม่มีท,ี พึ่งที่ไหนนอกจาก

ท่านอาจารย์เท่านั้น”

“อือ!” ท่านเสนกอุทาน “ฉันหรือ? อือ....คิดไม่เห็นเหมือนกัน ”


“อ้าว!” ทั้ง ๓ รัองขื้นพรัอมกัน “ก็เมื่อท่านอาจารย์คิดไม่เห็นพวกผมจะไปคิดเห็นได้อย่างไร
เล่า เออ! เมื่อเช้านื้พวกเราคุยโขมงลั่นท้องพระโรงประหนึ่งราชสีห์แผดเลียง กราบทูลสมเด็จพระบรม
กษัตริย์ว่า ขอคิดแล้วจักกราบทูลแก้ไข แล้วก็พากันมาขบคิด บัดนื้ต่างก็หมดบัญญาไปตาม *1 กัน ไม่มี

ใครแก้ได้สักคนเดียว สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชด้องกร้วพวกเราแน่ทีเดียว พวกเราจะทำอย่างไรกันล่ะ ”

“อย่าเป็นทุกข์รอนกันไปเลย” ท่านเสนกปลอบ “ฉันรู้แต่แรกแล้วว่าป้ญญาข้อนื้เกินกำลังบัญญา

ของพวกเรา พวกเราไม่สามารถที่จะคิดแก้ได้ดอก เห็นอยู่คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถคือ มโหสถบัณฑิต

นั้นเขาอาจคิดได้แล้วตั้งรัอยซันก็ได้ มาเถิดน่ะมาไปด้วยกันไปหาเขา”

“ท่านอาจารย์ครับ ดู คุ ก็น่าละอายอยู่บ้าง ที่จะด้องอาศัยป้ญญาของมโหสถ ครั้งหนึ่งเราเคย

ดูแคลนเคยขัดขวางเขามาแต่ก่อน คุ ครั้นหมดท่าเข้าก็ด้องพากันไปพึ่งพาอาศัยเขา” เลียงอาจารย์ทั้ง ๓

ท้วง
“ความอายอย่างนื้ อายไม่เข้าเรื่อง” ท่านเสนกแย้ง “ขืนอายซ็จะได้สิ้นเนื้อประดาตัวล่มจมไป

ตาม คุกัน แม้แผ่นดินก็จะไม่มีอยู่ ปวยการน่ะ อย่ามัวถือเล็ก คุน้อย คุกันอยู่เลย พระราชอาชญากำลัง

ครอบศีรษะอยู่ด้วยกัน มาเถอะไปกันเถอะ”
ทั้ง ๓ อาจารย์เห็นท่านเสนกยืนยันความคิดเห็นมั่นคง และตนเองก็หมดประตู ประกอบกับ
ความรักยศรักตำแหน่งเข้าเป็นแรงเสริม ก็พลอยตามท่านเสนกไปบ้านของมโหสถบัณฑิต หยุดรอที่ประตู

เรือนแจ้งข่าวไท้ทราบว่าพวกตนพากันมา
มโหสถบัณฑิตได้ทราบว่าอาจารย์ทั้ง ๔ พากันมาหา ก็คาดได้ถูกด้องว่า “ไม่มีเรื่องอื่นด้อง
เป็นเรื่องพระราชปริศนาเมื่อเช้านื้ เห็นจะเต็มกำลังเข้าแล้วคิดไม่ออกตาม คุ กัน จึงได้พากันมา” พลาง

บอกใท้เข้ามาพบตามมรรยาทแห่งเจ้าของบ้าน
คณะอาจารย์ทั้ง ๔ พากันเข้ามาในห้องด้อนรับ พบมโหสถบัณฑิตกำลังรออยู่ ต่างก็กล่าวถ้อยค้า
ปราศรัยตามเรื่อง แลัวพากันนั้งลง ณ ที่อ้นสมควรพลางเอ่ยถามว่า “พ่อบัณฑิต พระราชปริศนาที่ตรัสถาม

เมื่อเช้านื้พ่อคิดได้แล้วหรือยัง?”

“เมื่อข้าพเจ้าคิดไม่ได้แล้วละก้อย่าได้หวังเลยว่าจะมีใครคิดได้” มโหสถบัณฑิตประกาศเลียง

กังวาน “แน่นอนละท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดได้แล้ว คิดได้ตลอดแล้ว”


“พวกเราก็รู้อยู่ว่ามีแต่พ่อบัณฑิตเท่านั้น ที่สามารถจะคิดพระราชปริศนาข้อนื้ได้” คณะอาจารย์

กล่าวเลียบเคียง เป็นการสารภาพไปในตัวว่าพวกตนคิดยังไม่ได้ ต่อจากนั้นก็ออกปากขอตรง คุ ว่า “พ่อ

คิดได้แล้ว กรุณาบอกแก'พวกเราบ้างเถิด”

kalyanamitra.org
๗๙

มโหสถบัณฑิตนิ่งคิด ในที่สุดก็ตกลงใจว่า “ถ้าเราไม่บอกพวกนึ่เป็นไม่แคล้วลูกกริ้ว แล้วก็จัก

ถูกสมเด็จพระบรมกษัตริย์ขับไล่ออกไปจากดินแดน ส่วนเราจักได้รับพระราชสักการะ พระองค์คงจัก


ทรงพระราชทานแกัว ๗ ประการแก่เรา คนโง' ๆ พวกนึ่อย่าพากันย่อยยับเลียเลย เราบอกให้เอาบุญเลอะ”

คิดแล้วก็บอกให้ “พวกท่านจงพากันเรียนตามประเพณี”
คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ต่างพากันลดตนลงจากอาสนะที่นั่ง ซึ่งเป็นที่เสมอกันกับมโหสถบัณฑิต

กลับลงมา ณ ที่อันตํ่ากว่าในท่าของศิษย์แสดงความเคารพต่ออาจารย์ พรัอมกับประนมมือ ทั้งนึ่เป็น

ประเพณีในการเรียนวิทยาในครั้งนั้น ผู้เรียนไม่ว่าจะอยู่ในวัยและฐานะไหน ด้องแสดงความเคารพต่อผู้สอน

ไม่ว่าจะอยู่ในวัยและฐานะไหน

มโหสถบัณฑิตเห็นคณะอาจารย์ปฏิบ้ตถูกด้องแล้ว ก็บอกคำตอบพระราชปริศนาให้คนละข้อ
ซึ่งมีข้อความต่าง *1 กัน คนหนึ่งก็ได้คำตอบไปอย่างหนึ่ง แต่มิได้บอกถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้าวิเทหราช

ทรงทอดพระเนตรเห็นให้พวกนั้นรู้ เป็นแต่กำซับว่า “เวลาที่มีพระราชปุจฉา พวกท่านพึงกราบทูลพยากรณ์

ตามที่ข้าพเจ้าบอกอย่างนึ่ก็แล้วกัน”

คณะอาจารย์จึงไม่ทราบความหมายอันแท้จริงของคำตอบแห่งตน *1 ต่างคนต่างเรียนมาคนละ'

บทแล้วก็พากันกลับบัาน พรัอมกับมีความเบาใจ
ครั้นวันรุ่งร้น เมื่อพากันไปเฝืา ณ ท้องพระโรงนั่งตามอาสนะที่จัดไวัโดยอันดับกัน พระเจัา

วิเทหราชเสด็จออกประทับเหนือพระราชอาสน์แล้ว มีพระราชดำรัสลามเสนกทันที “ท่านเสนก ทราบ

ป้ญหาแล้วหรือ ?”
“ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าๆ” ท่านเสนกกราบทูลอย่างอาจหาญ “เมื่อข้าพระพุทธเจามิได้
ทราบด้วยเกล้าๆ แล้วคนอื่น *1 ไหนเล่าพระพุทธเจ้าข้าที่จะทราบด้วยเกล้าๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญว่าไป”

“ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมุติเทพเจ้า ขอเชิญได้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงสดับพระพุทธเจ้าข้า”


ท่านเสนกกราบทูล แล้วกล่าวคำแกัพระราชปริศนาตามที่ได้เรียนไวัด้งนึ่

“เนึ่อแพะเป็นที่โปรดปรานของบรรดาชนชันสูง

เจ้าขุนมูลนาย และลูกเจ้าขุนทั้งหลายเหล่านั้นไม่ยอมบริโภคเนึ่อหมาเลย

น่าประหลาดกระไร แพะกับหมามาเป็นเพื่อนกันได้*’
ท่านเสนกกราบทูลไปแล้ว ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าที่กราบทูลนั้นมีความหมายอย่างไร เรื่องราว

เด้ามูลมีมาอย่างไร
แต่พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบดี เพราะเรื่องปรากฎแก่พระองค์ เข้าพระทัยว่าท่านเสนกรู้เลย

ตรัสถามปุกกุสะต่อไป
ฝ่ายปุกกุสะ เห็นว่าท่านเสนกกราบทูลไปแล้วตามที่เรียนมาจากมโหสถบัณฑิต สังเกตพระเจ้า

วิเทหราชทรงพอพระหฤทัย ก็มั่นใจว่าของดนก็คงเป็นเช่นนั้น จึงกราบทูลอย่างเขื่อง กุ ออกไปบัาง “ขอ

kalyanamitra.org
๘๐

เดชะ พวะองค์ผู้ทวงพวะกรุณาอันยิงใหญ่ ใคร *1 เขาเป็นบัณฑิตกัน ข้าพวะพุทธเจ้าคนเดียวเท่านั้นหรีอ


พระพุทธเจ้าช้าที่ไม่เป็นบัณฑิต”

“เข็ญว่าไปเถิด”
ปุกกุสะกวาบทูลตามที่ได้เรียนไวัว่า

“ฝูงชนพากันช่าแหละเอาหนังแพะไปทำเบาะปูหลังม้า พากันขบชี่อย่างสบาย

หนังหมาไม่มีใครไข้ทำเบาะปูหลังม้า
น่าประหลาดกระไร แพะกับหมามาเป็นเพื่อนกันได้”

กราบทูลแลัวตนเองก็ไม่รู้ความดุจเดียวกัน
ฝ่ายบวมกษัตริย์ได้ทรงฬงก็เข้าพระท้ยว่าแม้ปุกกุสะก็รู้จึงตรัสถามกามีนท้ต่อไป
กามินท์กราบทูลตามที่เรียนไว้ว่า

“แท้จริง แพะมีเขาบิดเป็นเกลียว
หมาไม่มีเขาเลยทีเดียว
แพะกินหญ่า หมากินเนื้อ

มันน่าประหลาดกระไร แพะกับหมามาเป็นเพื่อนกันได้”

กราบทูลแลัวก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

แต่บรมกษัตริย์ทวงเช้าพระท้ยว่ากามีนท้ก็รู้ จึงตรัสลามเทวินท้ต่อไป
เทวินท้กราบทูลตามที่เรียนไว้ว่า

“แพะกินหญ้า กินใบไม้

หมาไม่กินหญ้า ไม่กินใบไม้ หมาชอบกัดกระต่ายและแมว


น่าประหลาดกระไร แพะกับหมามาเป็นเพื่อนกันได้”

กราบทูลแลัวก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

แต่พระเจ้าวิเทหวาชทรงทราบดี และทวงเข้าพระท้ยว่าเทวินท้ก็รู้เหมึอนกัน แลัวมีพระดำรัส


ถามมโหสถบัณฑิตเป็นคนสุดท้าย “พ่อบัณฑิต เจ้ารู้ป้ญหานื้บัางไหมเล่า?”
“ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงลึริสวัสดํ่อันใหญ่หลวง เบื้องดำก็าหนดจากอเวจีจนจดเบื้องบนจน
อึงชันภวัคคพรหม เวันจากช้าพระพุทธเจ้า คนลิ่นจะมีใครที่ทราบด้วยเกลัาฯ อึงพระราชปริศนาข้อนื้ ”

กราบทูลอย่างอาจหาญ เพราะเหตุการณ์ประจักษ์แก่ตนจริง กุ
“กัาเช่นนั้น เจ้าจงว่าไป”
“ขอเดชะ เข็ญใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงสด้บพระพุทธเจ้าช้า” กราบทูลแลัวบรรยายเรื่องวาว

แห่งพวะวาชปริศนาว่า
“สัตว์จตุบาทมีเท้า ๔ มีกึบ ๘ กิบ ดึอแพะหลบซ่อนตัวเดินมาสู่ท้องเครื่อง มันคาบเนื้อไป

ใท้แก'หมา หมาก็แอบซ่อนตัวเดินมาสู่โรงข้าง มันคาบหญ้าไปไท้แพะ

kalyanamitra.org
ใด้ฝ่าละอองธุลีพวะบาทผู้เป็นมิงโมลีแห่งวิเทห-โฐประท้'บบนพวะมหาปราสาท ได้ทวงทอด
พระเนดวข้อนั้นเป็นมิดวภาพของหมาและแพะพวะพุทธเด้าข้า”
พระเด้าวิเทหราชมิได้ทรงทราบว่า คณะอาจารย์ด้องพึ่งมโหสลบัณฑิต จึงรัเรื่องที่นำมาแกั

ปริศนาของพระองค์ ทวงเช้าพระท้ยว่าบัณฑิดทั้ง ๕ ด่างรัด้วยท้าลังปัญญาของตน ทรงพระโสมนัสเป็น


ที่ยิ่ง ทรงเปลงพระอุทานวาจาประกาศความปลื้มพระหฤทัยว่า
“เป็นลาภอย่างลันเหลึอของฉันจริง ที่ในสกุลของฉันมิบัณฑิตเช่นนื้ ช่างหลักแหลมกันทุกคน

พากันขบลิดข้อขอดที่ลึกข้งสุขุมของปัญหาได้อย่างแตกฉานด้วยหลักกาวคมคาย

ครั้นแลัวทรงพระดำริว่า “ในเมือเราได้รับความข้นชมแลัว ก็ด้องประกาศอาการของผู้ข้นชม


ออกมา” เมือจะทรงประกาศพระมนัสที่ทรงยินดีได้ออกพระโอษฐ์ว่า

“ท่านผู้เป็นนักปราชญ์ทั้งหลาย เราสุดแสนจะปลาบปลื้มใจ ด้วยความหลักแหลมของปวงท่าน


ขอใทัรางวัลรถเทียมอัสดรคนละคัน และบัานส่วยที่มั่งคั่งคนละบัาน”

โปรดพระราชทานแก่ทุกคนเท่า *1 กันตามพระวาจา

kalyanamitra.org
๑๒. มืทรพย์กบมืป๋ญญา
เมื่อพระเจ้าวิเทหราชี่โปรดพระราชทานบำเหน็จในการแก้ปริศนาแก่ราชบัณฑิตทั้ง ๕ เสร็จ
ไปแก้ว พระนางอุทุมพรทรงทราบข่าวที่โปรดพระราชทานเท่าก้น พระนางไม่ทรงพอพระท้ย่เป็นอย่างยิง

เพราะทรงทราบเรื่องดีว่า “บัณฑิตทั้ง ๔ นั้นรู้คำแก้พระราชปริศนาได้ก็ด้วยอาศัยมโหสถบัณฑิต แม้น--


หาไม่แล้วชักด้องรับพระราชอาญาก้นทุกคนทีเดียว ความกรุณาของมโหสถเป็นแท้ที่ช่วยกู้ฐานะของบัณฑิต
ทั้ง ๔ ไว้ การที่พระเจ้าวิเทหราชโปรดพระราชทานสักการะให้เท่า รุ ก้นเป็นเหมือนทรงกระทำถั่วเขียว

กับถั่วราชมาศัมืให้ต่างก้น จะนิ่งอยู่ไม่ได้ จำด้องกราบบังคมทูลให้พระราชทานแก่น้องชายของเราเป็น

พิเศษ” ทั้งนิ่เป็นพระดำริของพระนาง และเมื่อทรงดำริแล้วก็มิได้ทรงรอช้าเสด็จไปเสาพระเจ้าวิเทหราช

กราบทูลถาม “ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระราชปริศนายันลึกซื้งใครแก้ถวายเพคะ ?”

“แม่มหาจำเริญ พวกบัณฑิตทั้ง ๕ ของเราซ็จ๊ะเป็นคนแก้ ” ตรัสด้วยทรงซืนชม “เป็นลาภ


ของเราเหลือเกินเทียวละแม่คุณเอ๋ย ที่เรามีบัณฑิตผู้ทรงปรีชาหลักแหลมถึง ๕ คน ไม่มีใครเหมือนเช่น
นิ่”

“ทูลกระหม่อมเพคะ บัณฑิตทั้ง ๔ คน มีเสนกเป็นด้นนั้น ทูลกระหมอมทรงทราบหรือไม่ว่า


มีได้รู้ด้วยปรีชาญาณของตน และต้องอาศัยปรีชาคนอื่น จึงได้ทราบคำแก้พระราชปริศนา”

“เออ! แม่มหาจำเริญ ฉันมิได้รู้เลย” ตรัสด้วยอาการทรงฉงน “เรื่องเป็นํอย่างไรล่ะ บอก

ให้รู้หน่อยซิ”
“ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณเป็นก้นพ้น ตามที่เกล้ากระหม่อมฉันได้ทราบเกล้าฯ นั้น พวก

บัณฑิตทั้ง ๔ นั้นจะรู้อะไรเพคะ ต่างก็ไม่รู้ด้วยก้นิ่ทั้งนั้น ด้องไปไหว้วอนขอเรียนจากมโหสถทุกคน พ่อ


มโหสถ!ก็ใจดีเกรงว่าพวกนั้นจะพาก้นล่มจมไปเสีย จึงยอมให้เรียน ความจริงเป็นดังที่กราบทูลมานิ่ทุก

ประการ”
“งั้นดอกหรือ?” ตรัสอุทาน
“เช่นนั้นซิ!พคะ” กราบทูลยืนยัน “เมื่อเป็นเช่นนิ่ การที่ทูลกระหม่อมโปรดพระราชทานบำเหน็จ
รางวัลให้เสมอก้นทั้ง ๕ คน เกล้ากระหม่อมฉันเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าทรงกระทำยังไม่สมควร ทางที่ถูกควร

พระราชทานแก่พ่อมโหสถเป็นพิเศษเพคะ”
“พ่อมโหสถช่างดีจริง” ทรงดำริในพระหทัยด้วยทรงโปรดปรานยิ่งขื้น “ไม่ยักบอกเราว่าให้

พวกนั้นเรียนค้าแก้บัญหา ใจดีจริง รุ สมเป็นผู้มียัธยาศัยกว้างขวาง” พรัอมก้นนั้นก็ทรงมีพระราชประสงค์

kalyanamitra.org
สต

พระราชทานสักการะได้ยิ่งร้นไป แต่ทรงระงับหฤทัยเสียด้วยทรงพระดำริว่า “ช่างเถิด แล้วไปแล้วก็เป็น-

อนเสร็จไปที เราจักคิดปริศนามาถามลักข้อหนึ่ง คราวนึ่ล้าลูกของเราแก้ได้ จักให้รางวัลให้มากมายทีเดียว”

ทรงดำริตรัสปลอบพระนางว่า “แม่มหาจำเริญ คราวนึ่แด้วไปแล้ว่เอย่างไรก็ตามน้องชายของเธอได้แสดง —

ให้เห็นอัธยาศัยอันยิ่งใหญ่ให้ปรากฏแล้ว รอเมื่อฉันคิดปริศนาลักข้อหนึ่งมาถาม ล้าน้องชายของเธอแก้

ได้แล้วจะรางวัลเป็นการใหญ่”
ภายหลังจากนั้นก็ทรงคิดปริศนา ค้นหาข้อที่ลึกซื้งและสุขุม ในทันทีทรงพระดำริได้ถึงบัญหา

อันได้โต้เถียงก้นมาข้านาน ไม่เป็นที่ตกลงก้น คือบัญหาเกี่ยวด้วยทรัพย์ก้บบัญญาอะไรดีกว่าก้น พระองค์

ทรงพระประสงค์จะให้ท่านเสนกทั่บมโหสถบัณฑิตโต้ก้นให้เด็ดขาด ทั้งทรงตระหนักอฟ้โนพระหทัยเป็น
อย่างดีว่า ท่านเสนกควรจะต้องสนับสนุนทางทรัพย์เป็นแน่ เพราะบัญหานึ่เป็นข้อที่สืบเนึ่องอยู่ในวงศ์

ของตน สำหรับมโหสถบัณฑิตนั้น ก็ทรงคาดในพระหทัยว่าจะต้องสนับสนุนบัญญาเพราะเป็นวิลัยแห่งตน


ด้งนั้น วันหนึ่งเมื่อเสด็จออกท้องพระโรง ราชบัณฑิตทั้ง ๕ พร้อมทั้งอำมาตย์ราชบริพารเฝ็า
แหนตามตำแหน่ง ทรงทอดพระเนตรราชบัณฑิตทั้งมวลแล้ว ทรงมองดูท่านเลนกทรงเห็นกำลังนั่งอย่าง -

สบาย ก็มีพระดำรัสว่า “ท่านเสนก ฉันจักถามบัญหานะ ”


“ข้าแต่สมมุติเทพเจ้า เชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตรัสถามเถิด พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้า
พร้อมที่กราบบังคมทูลฉลองพระเดชพระคุณอยู่แลัวพระพุทธเจ้าช้า ” ท่านเสนกกราบทูลอย่างร่าเริง
พระเจ้าวิเทหราชมีพระดำรัสถามดังนึ่ “ท่านเสนก ฉันขอถามท่านถึงเรื่องนึ่ ระหว่างผู้มีบัญญา
ที่ปราศจากสิริ (คือทรัพย์และยศ) กับผู้มียศ (มีทรัพย์) ที่ปราศจากบัญญา ทั้งคู,นึ่นักปราชญ์กล่าวว่าใคร

ประเสริฐกว่าก้น?”
ท่านเสนกยิ้มกริมเพราะเป็นข้อที่สืบเนึ่องในวงศ์สกุลทั้งมีความเซียวชาญแล้ว ดังนั้น จึงทราบทูล

ตอบไปทันทีเหมือนท่องไว้แม่นยำว่า “ขอเดชะ พระจอมนรชนปินประชากรชาววิเทหรัฐ ข้าพระพุทธเจ้า


ขอประทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลแก้พระราชปริศนา ณ บัดนึ่

“ฝูงคนไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์เปรื่องปรีชาหรือเป็นพาลทรามบัญญา ทั้งมิได้เลือกว่ามีศิลป
หรือไม่ อนึ่งเล่าจะได้กำหนดว่ามีเผ่าพันธุ่เซือชาดิดี หรือไม่มีเซือแถวก็หามิได้ ทุก กุ คนที่กล่าวมานั้น

ย่อมยอมตนเป็นคนใข้ของผู้ดำรงในยศศักดํ่อัครฐาน รุ่งเรืองด้วยทรัพย์สารมิได้เว้นเลย”

ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ประจักษ์อยู่ดังนึ่ จึงขอพระราชทานกราบบังคมทูลว่า “ผู้มี

บัญญาเป็นคนเลว ผู้มีสิริคือทรัพย์เท่านั้นเป็นคนดีพระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำของท่านเสนกแล้ว ไม่ทรงถามอีก ๓ ท่าน ทรงผ่านไปตรัสถาม


มโหสถบัณฑิตทีเดียว ทั้งนึ่เพราะมีพระราชประสงค์จะทรงพังวาทะอันเฉียบแหลมของท่านทั้งสอง พระ-

ราชดำรัสที่ตรัสถามมโหสถบัณฑิตด้งนึ่ “พ่อมโหสถเอย! เจ้าก็เป็นผู้มีป้ญญาแหลมหลักหนักหนาเห็น


ธรรมทั่วล้วนเราขอถามเจ้าบ้างละ คนโง่ที่มั่งคั่งด้วยทรัพย์ สมบูรณ์ด้วยยศศักดิ๋อัครฐาน ก้บบัณฑิตผู้มี

ปรีชาญาณ แต่ไร้โภคทรัพย์ ท่านผู้ฉลาดกล่าวว่า ใครเป็นผู้ประเสริฐกว่าก้นเล่า!”

kalyanamitra.org
๘๔

มโหสกบัณฑิตกราบทูลทันทีเหมือนกัน “ขอเดชะ พระองค์ผู้เป็นมิ่งโมลีแห่งประชาชน ขอ

เชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงสดับ พระพุทธเจ้าข้า”
“ธรรมตาคนพาลสันดาน■ยั่ว มาสำคัญตนว่าแป็นผู้ประเสริฐ ตีกว่าคนในโลกนํ๋ทีเดียว คงเห็น

แต่โลกนั้มิได้หยั่งเห็นถึงโลกหน้าย่อมกระทำแต่กรรม/ที่ซัวข้าลามก'เป็นอันกอบโกยเข้าไว้ ได้แต่ความกลี

ลามกในโลกทั้งสองเป็นผู้พ่ายทั้งซัวนื้ซัวหน้า ด้วยความมัวเมาในความเป็นใหญ่เป็นโต/ของตน”

“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ คังนั้ ขอกราบบังคมทูลว่า ผู้มีบัญญาเท่านั้นเป็นคนดี คน

พาลมียศไม่ดีเลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับแล้ว หันพระพักตร์/ใปทางท่านเสนกตรัสว่า “อย่างไร่ท่านเสนก
พ่อมโหสก,แยังท่านแล้วซ็ เธอกล่าวว่าคนมีบัญญาเท่านั้น!เป็นผู้ประเสริฐ มิใช่น้อย ?”
ท่านเสนกพังพระดำรัสแล้ว กราบบังคมทูลด้วยคำหมิ่นมโหสกบัณฑิต “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรง

คุณอันสูงส่ง ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทย่อมทรงทราบในพระทัยเป็นอันดีว่ามโหสกยังเด็กอยู่มิใช่หรือ แม้'


จนวันนํ๋กลี่นนํ้านมก็ยังฟ์งอยู่ที่ปากของเขาเลย มโหสกปากยังไม่สิ้นกลี่นนํ้านมเห็นโลกมาไม่ลี่ปีจะรู้อะไร

ได้พระพุทธเจ้าข้า” กราบทูลด้วยความกระหยิ่มในความคิดเห็นของตนแล้ว ก็เอ่ยแถลงแก้ด้วยก้อยคำอัน

ฉาดฉาน พรัอมทั้งยกตัวอย่างเพื่อจะขยํ๋ใหัมโหสถจำนนต่อไป
“ขอเดชะ มิใช่ศิลปะดอกนะพระพุทธเจ้าข้า ที่ชัดสรรทรัพย์สมบัติใหัมิใช่พวกพัองมิใช่ความ

ประกอบแห่งร่างกายที่น้อมนำโภคะเข้ามาให้ท่านโครวินที มนุษย์ขิ้ริ้วที่ปากมีนํ้าลายไหลยืดยาด น่าขยะแขยง

แต่ท่านมีความสุข ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระราชวโรกาสกราบทูลเล่าถวาย เพื่อยืนยันคำกราบบังคมทูล

ของข้าพระพุทธเจ้า”
“ท่านโครวินทีแห่งมิกิลา มหาเศรษฐีรูปซัวรำรวยทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิไม่มีลูกชาย ไม่มีลูกสาว
ไม่รู้ศิลปะอะไร *1 ทั้งนั้น มิหนำข้าเวลาพูดก็มีนํ้าลายไหลชืดออกมาสองข้างขาตะไกร หญิงสาว ๒ คน

งามหยดยัอยเทียมเทพอัปสรแพรวพราวด้วยเครื่องอลังการ ถือดอกบัวขาบประจำอยู่ ๒ ข้าง คอยน์อม-


ดอกบัวที่ถือนั้นเข้าไปรองรับนํ้าลายแล้วโยนทิ้งไปทำงช่องหน้าต่าง เปลี่ยนดอกใหม่รองไว้อีก ดอกบัว

ขาบที่โยนไปนั้น พวกนักเลงสุรใด้องการนัก อยากได้กันจริง คุ ก้าไม่มีทิ้งอยู่แล้ว ใครด้องการก็ตะโกน

เรียกขณะผ่านบัาน “เจ้านายครับ” ท่านโครวินท์ผู้เศรษฐี ท่านจะถามว่า “อะไรพ่อคุณ” นํ้าลายก็จะไหล


ออกมา และตอกบัวขาบก็จะปลิวออกมา นักเลงสุราเก็บเอาไปล้างนํ้าแล้วทัดหู1เป็นเครื่องประดับที'หรู

นัก พากันเดินเข้ารัานเหล้า คนไหนไม่มีก็เป็นอันด้อยกว่าเขา”


“เรื่องของท่านโครวินที เป็นข้อยืนยันอย่างมิ่น่คงว่า ไม่ต้องมีศิลปะ ไม่ต้องมีพวกพัอง ไม่ต้อง

มีรูปร่างสมประกอบ ขอให้มีทรัพย์อย่างเดียว แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่จะอำนวยความสุขมาเอง แม้แต่ตอก

บัวที่เมื้เอนนำลายของคนมีทรัพย์ ยังเป็นเครื่องประดับอันเชิดชูหน้าตาของคนได้”
“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ดังนื้จึงขอกราบบังคมทูลว่า คนมีบัญญาเป็นคนเลว คนมี

ทรัพย์เท่านั้นเป็นคนดีพระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
๘๕

พระเจ้าวิเทหราขทรงสดับแล้ว ก็ทร งหนักพระทัยอยู่ครัน เพราะเรื่องของโครวินทั่ที่ท่านเสนก

ยกมานั้น พระองค์ทรงทราบ และเป็นที่รู้จักทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นเรื่องที่แสดงอำนาจของทรัพย์อย่างมหาศาล

แต่มีพระประสงค์จะทรงสดับคำ'กัของมโหสถบัณฑิตจึงตรัสว่า “เป็นอย่างไรพ่อมโหสถบัณฑิต ? ท่าน


เสนกยกอุทาหรณ์มั่นคงอยู่นา”

“ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมุติ'เทพเจ้า” กราบทูลอย่างองอาจ และเคาะท่านเสนกเช้าบ้างว่า “เสนก


น่ะหรือพระพุทธเจ้าข้าจะรู้อะไร จ้องมองแต่ทรัพย์ด้านเดียวไม่เห็นไม้ด้อนอันใหญ่ที่ตกลงใสศรษะ เหมือน
กาจ้องดูอาหารในที่ที่เขาเทข้าวสุก และเหมือนหมาที่จ้องจะเลีย,นมส้ม มันจ้องเขม้นหมายอยู่ที่เดียว ไม่

มองดูไม้ด้อนที่จะดีมันเลย ฉันใด เสนกก็เหมือนกันพระพุทธเจ้าข้า เชิญใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรง

สดับเถิด”
“คนไม่มีบัญญา ได้ความสุขแล้วก็มัวเมาประมาทลืมตน จนทำแต่กรรมชิ'ว พอถูกความทุกข์
กระทบเช้าบ้างก็เลื่อนเปือนไปเลย คนพาลนั้นน่ะพระพุทธเจ้าช้า ประสบความสุขความทุกข์ที่ผลัดมา

กระทบ ก็ดิ้นรนเหมือนปลาที่ถูกจับโยนขื้นที่ตรงแดดรัอน ครั้นดกลงถูกรัอนก็โดดขื้นไปอีก จนหมดแรง

ฉันใด คนพาลก็ฉันนั้น ถูกความสุขความทุกข์ผลัดกันเข้ามากระทบแล้ว ก็โลดเต้นไปจนสิ้นฤทธํ่ เพราะ

ไม่มีบัญญาที่จะรู้คิดอ่านผ่อนปรนได้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าๆ ด้งนั้ จึงขอกราบทูลขีนยันว่า คน

มีบัญญาเท่านั้นประเสริฐ คนพาลมีทรัพย์ไม่ประเสริฐเลยพระพุทธเจ้าข้า ”

“เป็นอย่างไรท่านเสนก” รับสั่งถาม “พ่อมโหสถโด้คมคายนา คนไม่มีบัญญาได้รับความสุข

แล้วก็มัวแต่เห่อเหิม ครั้นถูกความทุกข์กระทบเข้า ก็เลื่อนเปือนเหลวไหลไป ไม่มีความคิดอ่านอะไรที่จะ

ผ่อนปรนได้ เออ! หลักแหลมนา ท่านอาจารย์จะว่าอย่างไร?”


'‘ขอเดชะ มโหสถนั้น่ะจะรู้อะไรเล่าพระพุทธเจ้าข้า” กราบทูลอย่างกระหยิ่ม “พวกมนุษย์

ยกไว้ใม่ด้องพูดถึงกันก็ได้ ดูด้นไม้ที่เกิดในปาก็ได้ ด้นไหนมีผลดกอุดม ฝูงนกก็พากันบินเข้าหา ธรรมดา

โลกเป็นอย่างนั้นะพระพุทธเจ้าข้า”

ท่านเสนกหลบมุมไปอีกแง่หนึ่ง ด้วยหมายใจจะโต้ให้'มโหสถบัณฑิตให้จำนนแล้วกราบทูลว่า

“ฝูงคนเป็นอันมากมีได้เว้น ย่อมพากันเข้าหาผู้ท,ี มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง เพราะ

ต้องการประโยชน์โภชน์ผลเหมือนฝูงนกพากันบินร่อนเข้าหาต้นไม้ที่มีผลดกไนป่าก็ปานกัน”

“ช้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ดังนั้ จึงขอกราบทูลยิ่นยันว่า คนมีบัญญาเปีนคนเลว คนมี

ทรัพย์เท่านั้น'เป็นคนดีพระพุทธเจ้าข้า”

“ว่าอย่างไรเล่า พ่อมโหสถ?” ตรัสด้วยทรงหนักพระท้ย “ท่านเสนกโตเข้าท่า อุปมาเข้าที

พ่อจะโต้อย่างไร?”
“ขอเดชะใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ” กราบทูลอย่างมั่นใจ “เสนกมีความเจริญแต่

อวัยวะเท่านั้น และที่เจริญเห็นซัด *1 ก็คือพุง อันมิใช่เป็นคลังแห่งปรีชา ดังนั้น'จะรู้อะไรหนักหนาพระ-

พุทธเจ้าข้า เชิญใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไปรดสดับ” ครั้นแล้วก็กราบทูลโต้วาทะของท่านเสนกต่อไปว่า

kalyanamitra.org
๘๖

“การฝูงคนมีดวามปรารถนาทรัพย์ พากันทำตนเข้าเป็นบริวารห้อมล้อมคนพาลลันดานขัวปราดจาก
ปญญาจนกลายเป็นกำลังของคนพาลนั้น ไม่เป็นการดีเลย คนพาลได้กำลังเข้าแล้วก็จะชวนกันกระทำกรรม
อันหยาบร้ายบีบคั้นฝูงคนได้เงินทองมา หมู่นิริยบาลผู้มีหน้าที่รักษานรกพากันกระชากตัวคนปัญญาทราม -

นั้น ผู้ครํ่าครวญอยู่'มิได้สร่างชา เอาตัวไปสู่นรกอันร้ายกาจ”

“ช้าพระพุทธเจาเห็นด้วยเกล้าๆ ด้งนื้ จึงขอกราบทูลยืนยัน ผู้มีปัญญาเท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ

คนพาลมีทรัพย์ไม่ประเสริฐเลยพระพุทธเจ้าข้า”
“ว่าไงท่านเสนก ?” ตรัสด้วยพระสูรเสียงชี่นชม

ท่านเสนกยังไม่ยอมจำนน คงหลบเข้าหาทางเปรียบเทียบใหม่สืบไป ภายหลังจากการกราบทูล

เตือนให้พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำโด้ของตนแล้ว ก็ดำเนินกระแสความสืบไป
“แม่นํ้าทั้งหลายมิเลือกว่าสายไหน เมื่อไหลถึงคงคา ทุก *[ สายก็หายชิ่อเสียงไปหมด ไม่มีใคร

เรียกชี่อเดิมของแม่นํ้านั้น *1 กลับเรียกว่าคงคาทั้งนั้น ครั้นคงคาไหลถึงสมุทรเล่า ชี่อว่าคงคาก็หายไปไม่มี


ใครเรียก ผู้ที่มีความมั่งคั่งเป็นผู้ประเสริ^ในโลกแท้ ใคร *1 ก็ตามเมื่อมาถึงสำนักของผู้’มีทรัพย์เข้าแล้ว

ชาติโคตรของเขาจะเป็นอย่างไร จะมีปัญญามากมายเพียงไร ย่อมไม่ปรากฎเลย คงปรากฎแต่ชี่อเสียงของ

ผู้มีทรัพย์เท่านั้น อานุภาพแห่งทรัพย์ได้ปกปิดชี่อเสียงของคน ๆ นั้นเสียหมด”

“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ด้งนั๊จึงกราบทูลยืนยันว่า คนมีปัญญาเป็นคนเลว ผู้มีทรัพย์

เท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐพระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงขัดจังหวะ ด้วยพระดำรัสถามมโหสถตามเคย
มโหสถบัณฑิตผู้รุ่งเรืองด้วยปัญญา มิได้หวาดหวั่นต่อวาทะของท่านเสนก คงกราบทูลเหน็บ

ท่านเลนก “ท่านเสนกจะรัอะไร พระพุทธเจ้าข้า โปรดทรงสดับ” แล้วก็เอ่ยโด้สีบไป “เสนกท่านกล่าว


ถึงมหาสมุทรนั่น ที่จะเป็นมหาสมุทรเพราะแม่นํ้าหลายสายไหลลงไปรวมกันทุกเมื่อเชี่อวัน สูดที่จะนับ

ได้”
“มหาสมุทรกระฉอกงานไปด้วยระลอกคล่นอันครนคร้นตลอดกาลเป็นน่จ แต่อย่างไรก็ตาม(ถด
มหาสมุทรอ'นคย่'โครม ประหนงจะทุ่มโถมเฝนด้นให้ถล่มทลายด้วยสายคลนอันข้ดสาดอย่ฉาดงาน ก็ไม่
อาจ(ลยทั้จะด้นป่งไปได้ม่อาจจะทังปงไปได้เลย ทันคย่นแสนกล่นขดสาดมา ป่งลกัดอยู่ทั้งนั้น ข้อนั้ฉันใด

การแย้มทรายของคนทาลกันดานโง่นั้นก็เปรยบฉันนั้น ไม่ว่าไนกาลไหน ๆ คนม่ทร้ทย์จะก้าวทันฝูม่ปญญา

ไปไม่ได้เลย ใครๆ ก็ตาม(มอ(กดความสงกัยสนเทนั้ในประโยขน์ และม่ใข่ประโยขน์แล้ว ไม่ม่เลยทจะฝาน

ทันคนม่ป้ญญาเล่ย แล้วเข้าไปทนอบทเทา คนโง่ๆ แม้จะเป็นใหญ่เป็นโต เทราะคนโง่จะข่วยกำจัดความ


สงกัยนั้น ไม่ได้แต่จะทากัน ไปทนอบทเทาคนม่ป้ณูญาและ ได้ทราบว่น่จง่ย่อันแน่'นอนจากปูม่ปฌูญา ”
“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ด้งนํ๋ จึงขอกราบทูลยืนยันว่า ผู้มีปัญญาเท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ

คนโง่ 1 มีทรัพย์ไม่ประเสริฐเลยพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชตรัสให้ท่านเสนกโด้ต่อไป ท่านเสนกยังคงยืนหยัดอยู่ในมติของตนอย่างเข้มแข็ง
เพราะไม,เคยแพ้ใครมานานแล้วในเรื่องนั๋ จึงเริ่มโต้ต่อไปด้วยองอาจ

kalyanamitra.org
๘®!

“คนที่มีทรัพย์สมบูรณ์ด้วยยศศักตํ่อัครฐานน่ะหรือ แมัว่าจะเปันคนไม่มีศีลธรรม เวลาเข้าสู่

ที่ประชุมกล่าวข้อความแก่คนอื่น *1 ถึงด้อยคำของเขาจะเป็นคำเท็จ ที่ประชุมก็ด้องฬงและคำของเขาย่อม

ขื้นปากขนใจได้รับความนิยมในที่ประชุม ใคร *1 ก็ย่อมกระทำตามด้อยคำของเขา คนมีบัญญาไม่อาจจะ

ปลูกฝังถ้อยคำของตนอันเสั้อมจากศรีสง่า คึอไม่มีทรัพย์เป็นแรงหนุนให้เป็นที่นิยมของใคร *1 ได้ ยิ่งคน

ที่ไรัทรัพย์ด้วยแลัวคนมีป็ญญายิ่งไม่อาจจะให้เขาทำอะไรตามถ้อยคำของตนได้เลยทีเดียว”

“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกลัาฯ ด้งน จึงดงกราบทูลว่า คนมีบัญญาเป็นคนเลว คนมีทรัพย์


เท่านั้นประเสริฐพระพุทธเด้าข้า”
พระเด้าวิเทหราชทวงหนุนมโหสถบัณฑิตให้โด่ต่อไปเพราะทรงเห็นท่าน.สนกตั้งประเด็นชื้น

ใหม่อีกประเด็นหนึ่งแลัว ดีอผู้มีทรัพย์ย่อมมีเสียง พูดอะไร คุ มีคนเข้อถึอ ซ็งเปันประเด็นที่ชอบมาพากล

อยู่ เพราะผู้มีทรัพย์นั้นจะพูดว่าขานการใด *1 ย่อมมีคนเอาใจใส่เสมอ เป็นประเด็นที่มันคงมิใช่น้อย

แต่มโหสอบัณฑิตคงยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคง กราบทูลเข้ญไห้ทรงสดับพรัอมกับเหน็บท่านเสนก

ว่า “เสนกโง่ สันดานพาลจะรัอะไร มองเห็นแต่โลกนึ่ด้านเดียวเท่านั้น โลภอื่นมองไม่เห็นเสียเลย คำพูด

ของผู้เห็นด้านเดียวจะดีอะไร” พลางโตว่า
“คนไรับัญญา พูดแต่คำเท็จคำปด เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องส่องว่าเท็จจริงอย่างไร ก็มุ่ง

แต่จะพูดให้เป็นคุณแก่ผู้อื่นบัางแก,ตนบัาง เท็จหรือจริงไม่เข้าใจ ขอแต่ให้สำเร็จความปรารถนาเป็นใหญ่


คนพาลนั้นถูกติฉินในที่ประชุม ในฐานพูดเอาแต่ได้ มิหน้าข้าภายหลังยังจะไปทุคติอีกเล่า”

“ข้าพระพุทธเด้าเห็นด้วยเกลัาๆ ดังนึ่จึงทูลว่า ผู้มีบัญญาเท่านั้นประเสริฐ คนโง่ *1 มีทรัพย์

ไม่ประเสริ5เลยพระพุทธเด้าข้า”
ท่านเสนกถูกเหน็บอย่างแวงสุดที่จะกลํ้ากลึนได้ พอสั้นค้ามโหสอบัณฑิต ก็มิได้รั้งรอไห้พระเจ้า

วิเทหราชตรัสเดีอนเผยวาทะโด้ทันที

“ผู้มีป้ญญากว้างปานแผ่นดิน เป็นคนไม่มีหลักฐาน ไรัทรัพย์ยากจน ถึงหากจะกล่าวถ้อยคำ


เป็นประโยชน์ คำของเขาก็ไม่งอกงามชื้นได้ในกลางชุมนุม สง่าราศีของผู้มีบัญญาไม่มีเลย เขาปรากฎตน

ในที่ประชุมเหมือนห็งห้อยในเวลาตวงอาทิตย์อุทัย”

“ช้าพระพุทธเด้าเห็นด้วยเกลัาๆ ดังนึ่ จึงกราบทูลยืนยันว่า คนมีบัญญาเป็นคนเลว คนมีทรัพย์

เท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐพระพุทธเด้าข้า”

พระเด้าวิเทหราชตรัสเดีอนว่า “เป็นอย่างไรพ่อมโหสอ ท่านเสนกยังคงยืนยันไม่ยอมจำนน”


“เสนกจะรัอะไรพระพุทธเจ้าข้า” เหน็บเข้าให้ “มองคูแค่โลกนึ่ด้านเดียว ไม่แลดูโลกอื่นบัาง”

.พลางกราบทูลโด้
“ผู้มีบัญญากว้างไม่กล่าวคำเหลาะแหละ เพราะเหตุผู้อื่นหรือเพราะเหตุตน เขาย่อมได้รับบูชา
ในที่ประชุม ตั้งภายหลังก็ยังจะได้ไปสุคติ ตรงกันข้ามคนพาลเอาแต่ได้ ไม่พูดคำสัตย์ที่จริง ย่อมถูกตำหนิ

และภายหลังก็ไปนรก”

kalyanamitra.org
"ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าๆ ด้งนํ๋ ขอกราบทูลยืนยันว่า คนมีปัญญาเท่านั้นประเสริฐ คน
โง่มีทรัพย์ไม่ประเสริฐพระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกโด้ทันควัน

“บรรดาสิ,งที่เป็นมิ,งขวัญ ทั้งที่มีวิญญาณ์และหาวิญญาณมิได้ เช่น ข้าง ม้า วัว ควาย แก้วมณี

และกุณฑล ตลอดถึงเหล่านารี ย่อมเกิดในสกุลที่มั่งคั่งสมบูรณ์ ใช่แต่เท่านั้นหามิได้ คนมีปัญญาเหล่านั้น

ยังไม่มีอำนาจ ต้องตกเป็นเครื่องอุปโภคของคนที่มีความมั่งคั่งสมบูรณ์ไปทั้งหมดทีเดียว คนที่ยากจน

แม้จะมีปัญญาเมหาศาล1จะหาข้างม้าเป็นพาหนะก็ทั้งยาก”
“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าๆ ดังนื้ ขอกราบทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนเลว คนมีทรัพย์เท่านั้น

เป็นผู้ประเสริฐพระพุทธเจ้าข้า”
มโหสถบัณฑิตภายหลังที่เหน็บท่านเสนกนิดหน่อยอย่างคราวก่อนแล้วก็เอ่ยโต้

‘‘คมทาลก่แดามโง่ ไม่รู้จกจดแจงการ]าม ม่ความคิดขมิดอย่างคมหคิดขัว ๆ สีรคิอความภาคภูมิ


โอ่อ่าจะอยู่ด้วยไม่ได้ต้องละทิ้งไป เทราะเขาเปีมคมเสีอม เกมกว่าจะเป็มมูลฐามของสรคิอความภาคภูมิ[หม่อม

หม่งทิ้เก่าแต้ว งูก่ลอกทิ้งเสยฉะมั้ม หมายความว่าคมโง่ม่ทร'ทย่ ถูกลอกคราบโต้'

“ช้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ดังนั้ จึงขอกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้นประเสริฐ คนโง่

มีทรัพย์ไม,ประเสริฐเลยพระพุทธเจ้าช้า”

พระเจ้าวิเทหราชตรัสกะท่านเสนกว่า “ท่านอาจารย์จะว่าอย่างไร พ่อมโหสกแย้งหลักแหลม


คนโง่ กุ จะภาคภูมิไปได้อย่างไร ไม่มีปัญญาแล้วจะได้อะไรเป็นเครื่องผดุงความภาคภูมิของตนเล่า เป็น

ความจริงไม่ใช่หรือ ?”

“ขอเดชะ มโหสกยังเป็นเด็กทารกจะรู้ประสีประสาอะไรพระพุทธเจ้าข้า” เหน็บเอาบ้าง พร้อม


กันนั้นกึมุ่งจะเล่นงานมโหสกให้จำนนด้วยก้อยคำและเหตุผลอย่างหมดประตูแย้ง ตามที่ตนเคยปราบผู้อื่น

มาแล้วแต่ก่อน กุ ถึงกับภูมิใจหนักหนาว่าเป็นไม้เด็ดของตน ท่านเสนกกล่าวโต้ด้วยเสียงหนักแน่นอย่าง


ผู้มั่นใจในชัยชนะ

“ขอเดชะ พระบารมีต้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ คน เป็นบัณฑิตมีปัญญามากมาย รอบรู้


ในประโยชน์ทั้งหลาย ทุกคนพากันนัอมกายถวายขีวิต!เป็นข้าเฝืาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ใต้ฝ่าละออง

ธุลีพระบาททรงมีพระราชอำนาจครอบงำช้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงเป็นใหญ่เหนือข้าพระพุทธเจ้า

ประดุจทัาวคักรินทร์เทวราช เป็นบดีแห่งฝูงสัตว์ก็ปานกัน”
“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ประจักษ์ดังนํ๋ ขอกราบทูลยืนยันว่า คนมีปัญญาเป็นคนทราม

คนมีทรัพย์เท่านั้นประเสริฐพระพุทธเจ้าข้า ”
บทโต้ของท่านเสนกบทนื้ปรากฎว่า ไม่เคยมีผู้ใดทานได้เลย เป็นไม้ตายของท่านเสนกทีเดียว

ด้งนั้นในที'ประชุมจึงต่างก็มีความรู้สึกกันไปตามฝ่ายของตน ที่เป็นพวกของท่านเสนกก็นืกยิ้มทีได้ยินข้อ

โต้นั้น เพราะถึงอย่างไรก็คงจะได้พบความจำนนของมโหสกบัณฑิตเป็นแน่ และท่านเสนกต้องเป็นฝ่าย


ชนะในการโต้ครั้งนั๊ ฝ่ายที่เป็นพวกมโหสกบัณฑิตเล่า'ก็คิดหนักใจพลอยเป็นทุกข์ว่าจะแกัวาทะของท่าน

kalyanamitra.org
๘๙

เสนกได้หรือไม่ ยิ่งพระเจ้าวิเทหราชด้วยแล'ว ยิ่งทรงพระวิตกหนัก ทรงพระดำริว่า “อาจารย์เสนกเอา


เหตุการณ์อย่างสำคัญเหมาะหนักหนาเป็นบทโด้ เป็นหลักยันความคิดอันมั่นคง ลูกของเราจะสามารถหา
หลักอะไรมาลบลัางได้หรือ” แต่ก็มิได้ทรงแสดงความหนักพระ'คัยให้ปรากฏเป็นแต่รับสั่งว่า “อย่างไร

พ่อบัณฑิต ?”

มโหสถบัณฑิง่มิได้หวาดหวั่นวิตโเในบทโด้นั้นเลย กราบทูลอย่างองอาจ “ขอเดชะ พระองค์

ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ เสนกเป็นพาลจะรู้อะไรพระพุทธเจ้าข้า ตาแกมองแต่ยศศักดํ่อัครฐานเท่านั้น

เมื่อมองแต่ยศศักดํ่อัครฐานแล้ว สิ,งที่เพิ่งมองนั้นก็บังตาเสีย มิให้รู้ถีงความพิเศษของบัญญา เชิญใต้ฝ่า-

ละอองธุลีพระบาททรงสดับพระพุทธเจ้าข้า”

ครั้นแล้วก็เอาไม้ตายของท่านเสนกนั้นเองตีกลับเข้าให้ว่า
•‘คนโงกไดรบยศกักดอัครฐานน'ะ ต้องเป็นทาลของยู่มป้ญญาทั้งนั้น ในเมอเกิดความต้องการอย่าง
นั้นๆ แล้ว บณป็ตก็ล้ดทำไปอย่างละเอยดลออไหเหมาะสมกับความต้องการ คนโง่ๆ เลยเกิดไปถ]ความลุ่มหลง

ไนการอัดทำอย่างละเอยดลออนั้น ปีนกระท่ง่ม่ไดล้านกตนว่ากำลีง์เป็นเหมอนปลากินเหย่อ"

“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ดังนั้ ขอกราบทูลว่า คนมีป้ญญาเท่านั้นประเสริฐ คนโง่ ๆ

มีทรัพย์ไม่ประเสริฐเลยพระพุทธเจ้าข้า”

บทโต้อันเป็นไม่ตายทั้งสองน ม่ช้อบขบช้อนอยู่บ้างคอว่าบทของ]เวนเสนกนน คดดูเม่น ๆ }ก็น่ไปีะ

เป็นความปีรงเหราะปรากฏประอักบ้ายู่ว่า บุกคนกำลังเบ้าแหนอยู่นนลัวนตกอยู่ภายใต้หระราขอานาปีทั้งนั้น

เขามุ่งอะไรกัน/ ก็มุ่งทว่หยปีากหระเล้าว่เทหราข และหระองก็หระราขทวนใบ้แก่ทุกคนจงได้ทรงมอานาปี


เหนอทุกคน แต่'ความหลาดอย่างกน'ดใจของท่านเสนกแฝงอยู่ไนนั้น แม่แต่ตนเองก็มองไม่เป็นแผลล่นใหญ่

ของตน ทั้งนเหราะยศกักดอัครฐานของหระเล้า]เทหราช้ปดบง่เสย ทันล่อท่านเสนกยกบทนขนมาเปีนการหม่น

หระบรมเดขานุภาหอย่างกทัดใจ เหราะเม่อล้างหระองก็ขนมาเปีนหลีกย่นในประเดนบตนย่ฅอยู่ ท่ว่าคนโง่


ม่ทรํหย๎เป็นยู่.ประเสรฐก็เท่ากํบกุดหระเล้าว่เทหราขลงไนฐานะแท่งบุคคลในไ/ระเดินนั้น ล่อเป็นคนโง่แต่รารวย
ม่ยศลีกดอัครฐานเท่านั้นยังไม่หอ กลบยกตนในแงทว่า หวกตนเป็นปณฑต่ท่บิเช้าไ]/อกขาหนั้งเล่า เป็นการ

ลบหลีหระเล้าว่เทหราขอย่างใหญ่หลวง ม่ดวลี'ยแห่งปณ’.ย่ตท่เดยว และทั้ท่าน]สนกกล่าวมานั้นเล่า ก็ผดไ]/

จากความปีรงอกด้วย เหราะททรงไข่หระราขทรํหย่ใหเกิดเป็นประโยข]'เตามควไมต่องการของหระองก็นั้น ๆ
เป็นวลัยแห่งหระราขปรขาต่างหาก ด้งนั้น เม(ไห่เคราะห์ล่งบทใต้ของมใหสถบ้ณ’ทตบ้าง ก็ปีะเห็นได้ว่า มโหสถ

ปณ’ทตนั้นทท่านเลนกคว่าไปเลย แทนทจะยกว่าเป็นใ:ณ'ทด กลีบว่าท่านเสนกเป็นคนโง่'จงต้องยอมเป็นทาส

ไห่คนฉลาดใช้ ล่อหระเล้าว่เทหราขทรงม่หระใ/รขาญาณ เม่อม่หระราขประสงก็ปีะทรงบว่หารกิจการบ้านเมอง

ข่งเปีนหระราขกิจหล ายหลากมากกระบวน ก็ทรงจดแจงแบ่ง ไ]/อย่างละเลียดลออหลท่ปีะใบ้คนโง่ ๆ งมงาย


ไป จนกระทังเป็นตนเปีนยู่ว์เศษไปแล้ว และกลับมาข่มท่านเสย(ไย่างท่ท่านเสนกหูดมานั้น ปีงแทนท่ปีะเปีน
บททั้มฤทธกลับเปีนยาห่ษ ข่งเล้าของเอนั้าาต้องกล่นเช้าไป'อย่างขนขมและทาล่นตรายตนเอง

kalyanamitra.org
๙๐

การที่มโหสถโต้ข้อนของท่านเสนกตกไป ทำให้เกิดความกระจ่างสดใสร้นในที่ประชุมอย่าง
ที่สุด ด้วยเหตุที่เป็นบทที่ไม่เคยมีใครโต้ได้เลย พอมโหสถบัณฑิต่เอ่ยออกมาทำให้พระเจ้าวิเทหราชทรง

เอิบอิ่มพระหทัย และบรรดาอำมาตย์ราชบริพารพากันฟ้าใจกระจ่างชัดเจนกล่าวได้ว่า เป็นเสมือนมโหลถ


บัณฑิตคุ้ยทรายทองร้นจากเซิงเขาพระสุเมรุเมาเกลี่ยไว้ ณ สถานที่นั้น หรือเป็นเหมือนบันดาลให้ดวงจันทร์

เพ็ญปรากฎร้น ณ ที่นั้น เป็นอานุภาพแห่งป้ญญาอันใหญ่หลวงทีมโหสถบัณฑิตได้แสดงออกมา พระเจ้า

วิเทหราชทรงโสมนัสยิงนัก ตรัสเตือนท่านเลนก “ท่านเสนกเห็นอย่างไร ยังจะรู้อยู่ก็โด้ให้หนักร้นชิ”

ท่านเสนกเป็นคนมีแววอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เมื่อได้ฬงคำโต้ของมโหสถบัณฑิตแล้ว ก็ได้สำนึก

ในความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของตน เห็นซัดในความโง่ของตนร้นมาทันทีทันใด พรัอมกันนั้นเล่าขอ


ที่ร้นใจกำหนดจดจำก็เป็นอันหมดไปเหมือนข้าวหมดไปจากยุ้ง หรือพูดกันอย่างสามัญก็หมดพุงเสียแล้ว

ปฏิภาณอันเคยสดใสมาแต่เดิมก็อับแสงลง ท่าทางในขณะนั้นล้าป็นก็เหมือนได้ยากเพราะมีทั้งความอัปยศ
อดสู มีทั้งความพรั่นใจรวมกันอยู่ในผิวหน้า จะกราบทูลอันใดก็ไม่รู้จะเอาอะไรมากราบทูล นั่งเกัอเขิน

ชบเชาไป ถึงว่าจะสามารถยกข้อโต้มากราบทูลได้อีกก็ใช่ว่าจะทำให้มโหสถบัณฑิตจำนนได้เท่าไรก็เท่ากัน
ท่านเสนกยกมาได้ ๑,00๐ มโหสถก็โต้แย้งไปได้ทั้ง ๑,000 และในที่สุดท่านเลนกก็ด้องเป็นฝ่ายจำนน

อยู่นั่นเอง

มโหสถบัณฑิตเห็นท่านเสนกนั่งจำนนไปแล้วต้องการจะพรรณนาบัญญาให้ยอดยิ่งร้นไปอีก

ประดุจว่าบัญญานั้นเป็แห้วยนํ้าอันลึกซํ่ง และมโหสถบัณฑิตเป็นผู้หยิบยกเอามาให้คนทั้งหลายได้เห็น

จึงกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชต่อไป ‘‘ขอเดข๕ ใด้ม่าละอองธุลทระบาทปกเกล้าฯ เป็นความจ:รง 11'ญญาเท่าบั้น


ทท่านผู้เป็นลัดบุรฺษทั้งหลายทากันสรรเสรญ ฝูงคนทวกทั้ยนด้ไนใภคทว่ท'ยลมบด่ ทากันขนขมสรคอความสมบูรณ์

ด้วยทรัทย์ แด่ความรู้ของท่านผู้รู้ทั้งหลายเป็นลังหาอะไรเท่ยบเท่าม่ได้เลย ไม่ว่าในกาลไหนๆ คนม่ทรทย์จะ

คำเกนฝูม่ปญญา ไปไม่ได้”

“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าๆ แล้วดังนั่ จึงกราบทูลว่า คนมีบัญญาเท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ

คนโง่มีทรัพย์ไม่ประเสริฐเลยพระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับแล้ว พอพระหทัยด้วยการพยากรณ์ของมโหสถบัณฑิต มีพระประสงค์


จะบูชาให้เต็มขนาด ประหนึ่งว่าจะทรงเรียกฝนลูกเห็บให้ตกลงพรั่งพรู จึงตรัสว่า “พ่อมโหสถผู้เห็นธรรม

ถ่องล้วน! เราได้ถามบัญหาใดกะเจ้า เจ้าได้แก้ไขซีแจงแก'เรา เราพอใจด้วยข้อพยากรณ์ป้ญญาของเจ้า


แล้ว ขอให้โค ๑,000 ด้ว พรัอมกับโคอุสุภาราชอันเป็นจ่าฝูง และรถเทียมม้าอาชาไนยอีก ๑0 คัน ทั้ง

บัานส่วยอีก ๑0 ตำบลแก'เจ้า”

การโต้วาทะครั้งนั่ เป็นอันตัดสินกันเต็ดขาดระหว่างคณะอาจารย์ทั้ง ๔ และมโหสถบัณฑิต


ว่าใครจะเยิ่ยมกว่าใคร แสงเพลิงใหญ่ ๔ กองอับแสงลงไป แสงเพลิงกองน้อยสว่างโพลงจ้าร้น ข่มแสง

kalyanamitra.org
ธโ, ®

เพลิงเจิดทั้ง ๔ กองนั้นเสียแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นเกียรติยศเกียรติศักดิ๋ของมโหสกบัณฑิตก็ยิ่งใหญ่โต

บัญหาทุกข้อที่โต้กันนั้น พระนางอุทุมพรก็ได้ทรงพระวิจารณ์ด้วยพระปรีชาอันสุขุม ทรงเห็น


ปรีชาสามารถของมโหสกบัณฑิต ซืงพระนางทรงรับเป็นน้องชาย ทรงซืนชมเป็นที่ยิ่งในความเฉลียวฉลาด

นั้น ทั้งทรงโมทนาในการที่มโหสกบัณฑิตมียศศักดํ่อัครฐานใหญ่โตขํ่นอีกสถานหนึ่งด้วย

kalyanamitra.org
๑๓. คูครอง
กาลเวลาผ่านไป มโหสกบัณฑิตยิ่งเจริญด้วยลาภยศเป็นคนใหญ่โตของมิถิลานครยิ่ง จุ ร้น เป็น
ที่โปรดปรานของพระเจ้าวิเทหราชอย่างยิ่ง พระองค์ทรงรักมโหสกบัณฑิตเสมือนหนึ่งเป็นพระราชปิโยรส

ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นที่โปรดปรานของพระนางอุทุมพรอย่างยิ่ง เป็นพระน้องแก้วพระน้องขวัญของพระนาง


ทีเดียว พร้อมก้นนั้นความสำคัญของท่านเสนกราชวัลลภาจารย์ก็น้อยลง ยิ่งอีกสามอาจารย์ยิ่งน้อยหนัก

ลงไปกว่านั้นหลายเท่า ทั้งนึ่เป็นธรรมดาเหมือนดวงไฟจุดอยู่ ณ ที่แห่งเดียวหลายดวงด้วยก้น เมื่อดวงใด

แจ่มจ้าด้วยแสงกำจาย ก็ย่อมขับแสงดวงอื่นให้ด้อยลงโดยไม่ต้องประทุษร้ายไฟดวงอื่น จุ ความดีความ


เด่นของคนก็เช่นเดียวก้น เมื่อดีเด่นจริง จุ แล้ว ฝ่ายที่ไม่ดีเด่นจริง จุ ก็ต้องด้อยไปเอง ไม่ต้องมีใครไป

กระทำอะไรให้ด้อย ข้อนึ่เป็นหลักความจริงมานมนาน พึงเห็นดังมโหสกบัณฑิตกับคณะอาจารย์ทั้งสี่เป็น

แบบอย่าง รัศมีปรีชาของมโหสกบัณฑิตแผ่สร้านออกบดบังรัศมีของคณะอาจารย์ทั้งสี, เพราะดีจริง

เมื่อมโหสกบัณฑิตรุ่นหนุ่ม อายุได้ ๑๖ ปี พระนางอุทุมพรทรงพระดำริว่า “พ่อน้องชายของ


เราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว ทั้งยศศักดํ่อัครฐานเล่าก็ใหญ่โต เป็นราชบัณฑิตก็ทรงปรีชาญาณยอดเยี่ยม ควร

จะมีคู่ครองได้แล้ว วัยก็สม ฐานะก็สม จะได้เป็นสิริสง่าเชิดชูยี่งร้น” พระนางจึงนำพระดำริกราบทูล

แด่พระราชสวามี

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับแล้ว ทรงเห็นชอบด้วยดำริของพระนางตรัสว่า “ดีแล้วแม่มหาจำเริญ


บอกให้เขารัดัวไว้เถิด”

“เพคะ เกล้ากระหม่อมฉันจะบอกให้น้องรู้ตัว ” พระนางก้มเกล้าฯ รับพระราชบัญชา


ในโอกาสที่มโหสถบัณฑิตมาเสาพระนางภายหลังจากนั้น พระนางตรัสว่า “น้องรัก ปีนึ่อายุ

ของน้อง ๑๖ ปีบริบูรณ์แล้ว เป็นหนุ่มเต็มที่แล้ว ทั้งยศศักดํ่ของน้องเล่าก็ยี่งใหญ่ควรจะมีคู่ครองแล้ว”

“ขอเดชะ พระกรุณาลันเกล้าๆ” มโหสกบัณฑิตกราบทูล “ซัาพระบาทเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าที1

โปรดปรานประทานพระเสาวนีย์มา เป็นไปตามคดีแห่งผู้ครองเรือนอยู่พะย่ะค่ะ”
“นั่นน่ะซี น้องก็ยังครองเรือน และมีหน้าที่สำคัญในบัานเมืองคนหนึ่ง” ตรัสคล้อยตาม “พี

เห็นว่าน้องควรจะหาคู่ครองมาเป็นแม่บ้านแม่เรือน และพี่ก็ได้กราบทูลเรื่องนึ่แด่พระเจ้าเหนือหัวแล้ว ทรง

พระมหากรุณาเห็นชอบกับพี่ ตรัสบอกน้องให้รู้ตัวไว้”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพะย่ะค่ะ ” มโหสกบัณฑิตกราบทูลรับพระเสาวนีย์
“ล้าเช่นนั้นพี่จักคัดเลือกกุมาริกาที่สมควรสู่ขอมาให้น้อง” ตรัสด้วยทรงชมชิน

kalyanamitra.org
๙๓

มไหสตบัณฑิตสดับพระเสาวนีย์ ดำริในใจ “บางทีกุมาริกาที่พระนางทรงเลือกมาให้จะไม่พึง

เป็นที่ชอบใจเราก็ได้ เป็นเรื่องคนหนึ่งฝัน แต่คนหนึ่งแกั ยากที่จะตรงกันได้ เราควรเลือกหาคู่ครองด้วย

ตนเอง” คิดแล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระแม่เหนือเกล้าๆ โปรดประทานโอกาสแก่ข้าพระบาทสักสองสามวัน

เถิดพะย่ะค่ะ”
“น้องมีประสงค์อะไรเล่า?” ตรัสถาม
“ข้าพระบาทจักเลือกหากุมาริกาลักนางหนึ่ง ที่ด้องใจข้าพระบาทได้แล้ว จักกราบทูลให้ทรงทราบ

พะย่ะค่ะ”
“พี่หาให้เกรงจะไม่ถูกใจหรือ?” ตรัสสัพยอก “พี่ก็รัอยู่ว่าเรื่องอย่างนึ่เปันเรื่องเฉพาะคน แต่

เห็นว่าน้องเป็นผู้ที่พี่รักอย่างน้องของพี่จริง กุ ทั้งน้องก็ได้มีอุปการะอย่างสูงได้ชวยซีวิตพี่ไวั คิดจะทดแทน

บัางตามโอกาสที่จะกระทำได้ จึงได้คิดจะสู'ขอให้เลยทีเดียว เมื่อน้องพอใจจะเลือกเอง พิ่ก็ตามใจ”

“เป็นพระกรุณาลันเกล้าๆ” มโหสถกราบทูล “การเลือกของข้าพระบาทก็เพราะเห็นด้วยเกล้าๆ


ว่า จะหากุมาริกาซึงเป็นที่พอใจของข้าพระบาท และข้าพระบาทก็ไม่ลึมที่จะให้พระแม่เหนือเกล้าฯ ทรง

พอพระท้ยด้วยพะย่ะค่ะ”
“ดีแล้ว” ตรัสอนุมัติ “พี่อยากรัว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไรในเรื่องคู่ครอง? หญิงที่สมควรจะเป็น

คู่ครองจะเป็นอย่างไร ? ซีแจงให้ฬงสักหน่อยชิ”
“ขอเดชะ หากพระแม่เหนือเกล้าฯ มีพระประสงค์ ข้าพระบาทก็จะกราบทูลถวาย แต่เป็นเรื่อง
ที่พิสดารสักหน่อย พะย่ะค่ะ”

“เอาเถอะไม่เป็นไรดอก อยากทราบหตักเกณ,ท์การเลอกค่ครองของน้องว่าม่อซู่อย่างโร?” ตรัส

ด้วยทรงสนพระทัย
“ขอเดชะ ทระกรุณาล้นเกล้าร การม่ค่ครองของบุรุษเป็นโปตามว่ตัยแห่งโลก็ย์ อันบุรุษเทศเมลโดรบ

อุปการะจากบดามารดามาแต่น้อยคุ้มใหญ่แล้ว ก็เป็นกรณยะอย่างหนงทจะต้องปลํกตนออกโปจากการเลยงดู
ของท่ไนทั้งสอง ยังจะเกาะอยู่ตับห่อแม่นั้นเป็นความโม่ต่ช่อหนงของลูกผู้ขาย เทราะจะเป็นผู้ถูกตราหน้าค่า
ขอว่า “เลยงโม่ร,ู 'จักโต’’ ชงเป็นอุดมคต่ทลูกปูขายควรย์ดถอ เทราะเป็นการปฎปต่ทั้โม่สมสภาทของมนุษย์ ขอ

โต้ทรงทระกรุณาว่จารณ็บรรดาสรรทปาณชาต่ทั้ปรากฎภายในทั้นทภท จะเป็นภาระของบตามารดาก็ขัวระยะ

กาลทั้ป็กยังโม่'กล้า ขายังโม่แข็งแรงยังโม่ทอ ครั้นป็กกล้าขาแข็งแรงทอ ก็ทาล้นปลกตนออกโปหาเลยงตน


ตามลาทัง เป็นตังนั้อซู่ทาล้น มนุษย์เป็นปูมใจสูง ม่ความคดอ่านอย่างทั้ฝูงปาณขาต่อนๆ โม่ม่ หากโม่รู'จัก

สามารถเลยงตนโด,โดยลำทัง ก็เชอว่าโต้ทำลายสภาทของตนใต้ตกตำลง โม่ควรเป็นว่ตัยแห่งผู้เป็นบุรุษเทศ


ตังนั้น บุรุษผู้ลามารถย่อมทยายามทั้จะเลยงตนเองเสมอ ”

“ในการเลยงตนเองนั้น ก็คอการปลดเปลองภาระของบดามารดา ม่ต้องให่บคามารดาต้องมาเป็น


ภาระล้งวลในการเลยงดูตนผู้สามารถแล้ว การทั้งนั้โม่ม่ความหมายเป็นอย่างอนเรยกโต้ตรงๆ ว่า เป็นการ

แยกตนออกโปจากวงคุ้มครองของบดามารดา จากความช่วยเหลอเกอกูลของญาต่ทน้องทั้เคยอุปล้มล้ เมอ

kalyanamitra.org
๙๔

บุรุษเหคตระหนักในจุดเริมแห่งการม่คู่ครองว่า เป็นการแยกตนเองออกไป'จากวง#เติมของตนไป'ตั้งเปีนวง#

ใหม่ อ'นจะมตนเป็นต้นวง# การทเคยไต'.ริบอุปการะจากปด1.มารดา การทเคยได.ริบความช่วยเหลอเกอกูลจาก


หน'องก็จะต้องขาดไป จำต้องหเคราะห็สจานะของตนใต้ล่องแต้ว่า เมอตนต้องแยกออกไปดังนั้น ควรมใคร

บ้างทจะร่วมกับตน ความต้องการในต้องเหศนั้น ความบุ่งหมายก็มเหอสกุลวง#อันจะม่ผูล่บต่อ แต่ในความ

บุ่งหมายนั้นเอง จักต้องม่บุคคลทเป็นผู้อุปถัมภ์ตนอย่างน้อยทสุดก็ต้องเป็นคนใดคนหนง ในบุคคลทเคยใต้ความ


อุปถัมภ์บำรุงตนมา ชงกล่าวตามฐานะของบุคคลแล้วมถง ๔ คน คอ แม่ น้อง เห่อน และคนใช่' บุคคลเหล่านั้

เป็นผู้ล่ากัญในการตั้งหล้กฐานและดำรงวง#สกุล.... ”

“ทำไมจึงตองเป็นเช่นนั้นด้วย” พระนางรับสั่งขัดร้น

“ขอเดชะ พระแม่เหนือเกล้าๆ โปรดทรงพระวิจารณ์ ” กราบทูลแถลง “บุรุษผู้แยกตนเอง


มาตั้งหลักฐานอยู่ต่างหากนั้น ตนจะตองบำเพ็ญกรณียะเพียงแต่จะให้มีซีวิตอยู่ และอยู่อย่างสมสภาพของ
มนุษย์ จำด้องมีกิจการชันเป็นอาซ็พเป็นหลักแห่ "1ารตั้งดน ในการปฎิบ้ตกิจการของเขานั้น จำด้องปลด
เปลื้องภาระกังวลในการงานบางประการลงไป เช่นกิจการเกี่ยวกับบ้านเรือน เกี่ยวกับอาหารการบริโภค

ทั้งนั้เพื่อมุ่งหน้ากระทำกิจเกี่ยวกับการตั้งหลักฐานให้เต็มที, ไม่ด้องห่วงหน้าพะวงหลังและก่อนนั้น ครั้ง

ที่เขายังอยู่ในครอบครัวของตน ภารกิจเหล่านึ่มารดาเป็นผู้จัดเป็นผู้ทำ ตนเองหากจะกระทำก็เป็นโเต่


เพียงผู้ช่วยเหลึอมารดา เมื่อมาแยกตนออกไปแล้ว ใครเล่าจะเป็นผู้รับมอบภารกิจส่วนน ก็มีแต่ผู้ที่เป็น

คู่ครองคึอภรรยาเท่านั้น ด้งนั้นภรรยาจึงได้นามว่า แม่บ้านแม่เร่อน”

“อนึ่งเล่า พระพุทธเจ้าข้า คนเราเกิดมาย่อมมีพยาธิตามเบียดเบียนร่างกาย ทำให้เกิดความ

เจ็บบํวยมีประการต่าง *1 หรือในบางกรณี เหตุภายนอกเป็นด้นว่ากระทบความรัอนเกินไป กระทบความ


เย็นเกินไป ก็เป็นเหตุให้ร่างกายวิปริตไปเป็นไข้โด้ทุกข์ ในยามนึ่ใครเล่าจะช่วยดูแลเอาใจใส่ให้ข้าวนํ้า แต่

เดิมนั้นก็มารดาของตนนั่นแหละ เอาใจใส'พยาบาลด้วยความรักความกรุณา เมื่อพ้นจากอ้อมแขนของมารดา


ออกมาอยู่ตามลำพัง จะได้ใครที่ไหนคอยปรนนิบํตัในยามเจ็บป่วยด้วยความรักเสมอมารดา ก็ได้ค,ครอง

เท่านั้นที่จะทำหน้าที่ปรนนิบํติด้วยความรักชันสนิทใจ”

“อีกประการหนึ่ง ในการตั้งหลักฐานนั้น ความสำคัญขันแรกคือ การเก็บหอมรอบริบทรัพย์สิน

เงินทองให้ทวิจำนวนร้นเป็นกลุ่มเป็นกัอน การประกอบกิจการต่าง รุ ก็เพื่อให้ใด้ทรัพย์มา ครั้นได้มาแล้ว

การที่จะด้องรักษาก็มีร้นเป็นเงาตามตน หากจะรักษาไว้กับตนก็กระทำได้ แต่เป็นการลำบาก การที่จะ

นำทรัพย์ติดตนไปทุก รุ ขณะที่ด้องประกอบการงานชันเป็นอาซีพ ไม่น่ากระทำเลย เมื่อเป็นเช่นนึ่ก็ต้อง

หาผู้ที่ไว้วางใจสำหรับจะได้ฝากฝัง หรือมอบหมายการจับจ่ายใขัสอยตลอดถึงการเก็บออมรักษา แต่เดิม

มาครั้งอยู่กับสกุลวงศ์ผู้ที่ตนวางใจเป็นที่สุดคือมารดา หากตนจะได้ทรัพย์สินเงินทองมาด้วยประการใด ๆ

ก็มักจะฝากฝังไว้กับแม่ ซี,งท่านย่อมรับฝากด้วยความเต็มใจ แม้แด1ทรัพย์ของท่านเองก็ยังอุตส่าห์เก็บรักษา

ไว้ให้ลูกในเวลาชันสมควร ด้งนั้น จึงไม่มีบ้ญหาเลยว่า ท่านจะไม่เต็มใจเก็บรักษาทรัพย์ของลูก ท่านย่อม

kalyanamitra.org
๙๕

เก็บงำรักษาไว'เป็นยันดี เมื่อได้แยกตนออกมาจะหาใครรับหน้าที่ยันนของแม่ ก็มีแต่ภรรยาเท่านั้นทีจะ

มอบหน้าที่นั้นได้”
“ตามที่ข้าพระบาทกราบทูลมาทั้งนึ่ เป็นยันประกาศซัดแล้วว่า เรึ่องของบุรุษนั้น ยากน้กที่จะ

ห่างจากแม่ แม้แต่จะปลีกตนออกไปแล้ว มีคู่ครองไปแล้วก็ด้องหาคู่ครองที่สามารถจะท่าหน้าที่แทนแม่

ได้ จึงจะได้รับความอยู่เย็นเป็นสุข และมีอุตสาหะในการก่อสรัางหลักฐานได้เติมเรี่ยวแรง ไม่ด้องมาเป็น

ห่วงใยกิจการทางบ้านเรือน เพราะมีแม่บ้านแม่เรือนแล้ว”
“ช่างซีแจงน่าพ้งดีจริง *1” ตรัสชม “แล้วทำไมถึงตองมีน้องอีกล่ะ มีแต่แม่ก็เท่ากับมีทุกอย่าง

แล้วมิใช่หรื■อ?”
“มิได้พะย่ะค่ะ” กราบทูลแย้ง “เพียงแต่มีแม่ยังไม่เพียงพอในการก่อลรัางหลักฐาน เนึ่องจาก

ในบางคราวเกิดธุรกิจจำเป็นบางประการ ชันต้องมีผู้ช่วยเป็นมือเป็นเท้าช่วยจัดท่าให้สำเร็จลุล่วงไป มิให้


เกิดความบกพร่องชื้นแก่กิจการยันเป็นอาซีพเช่นในบางโอกาส งานอาซีพด้องรีบเร่ง มีงานจรเข้ามาแทรก

ในขณะเดียวกัน ครั้นจะผละงานยันเป็นอาซีพหรึอก็ไม่ได้ เกิดความเลียหายหลายประการ ครั้นจะเห็น


งานจรไม่สำคัญหรือก็ไม่ชอบด้วยเหตุผล ในกรณีเช่นนึ่จำตองมีผู้ช่วยแบ่งเบาตามสมควร คือ จะด้อง
มอบหมายธุรกิจส่วนใดส่วนหนึ่งให้กระท่า เพราะตนเองไม่สามารถจะแบ่งภาคออกไปกระท่าได้ ในยาม

ที่ตนอยู่กับสกุลวงศ์ก็ยังมีผู้ที่เป็นน้องร่วมบิดามารดา พอจะได้อาศ์'ยไหว้'วานให้กระท่าธุรกิจบางประการ
เมื่อแยกตนเองออกมาแล้ว จะไดใครเล่าเป็นผู้ช่วยแบ่งเบาภาระยันนึ่ก็ตกเป็นหน้าที่ของผู้เป็นคู่ครองคือ

ภรรยา”
- “ในกรณีที่เกิดมีกิจการเช่นนั้น ภรรยานั่นแหละจะเป็นผู้รับสนองช่วยแบ่งเบาไปเลียทางใด

ทางหนึ่งได้ เท่ากับเป็นองคาพยพแห่งผู้เป็นสามี สามีไม่ด้องวิตกกังวลละ ว่าภรรยาจะมิได้จัดท่าให้เรียบรัอย

ด้วยตนเอง ทั้งนึ่เพราะประโยชน์โภคผลแห่งกิจการของสามีกับภรรยานั้น เป็นเรื่องของคน กุ เดียวกัน


ภรรยาที่ดีย่อมจะจัดการงานที่สามีบอกวานให้สำเร็จไปด้วยดีเสมอด้วยกิจการของตนเอง ทั้งนึ่เนึ่องด้วย

ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันและกันเพียงพอที'จะประกอบธุรกิจให้กันได้สมใจ”

“จะไม่มีบุคคลอื่นบ้างเลยละหรือ ที,จะพอไหว้'วานกันได้ในธุรกิจบางอย่างที่พ้องกัน?” พระนาง

ตรัสแย้ง “ฉันเห็นว่าคนเราควรจะมีบุคคลอื่น กุ อีกบ้าง เพราะเราเกิดมาในโลกก็มิได้อยู่คนเดียว”

“เป็นความจริงดังพระเสาวนีย”์ กราบทูลคล้อยตามแล้วแถลงต่อไปว่า “แต่พระแม่เหนือเกล้าฯ


ย่อมทรงพระปรีชาญาณเพียงพอที่จะทรงพระวิจารณ์ได้ว่า ยันผู้อื่นชี่งมิได้สนิทซีดเชื้อนั้น ถ้าหากจะมี

อารีมีจิตไมตรีต่อด้วย อาจรับช่วยธุระที่ไหว้'วานได้ แต่เมื่อมิได้เป็นญาติสนิทแล้ว ผู้วานก็ด้องมีความรู้สึก

เกรงใจ จะขอรัองกันได้เป็นบางครั้งบางคราว หากบ่อย กุ เข้าก็อดที่จะนึกเกรงใจมิได้ ความรู้สึกเกรงใจ


กันนึ่เป็นคุณอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้หวังความสุขในการครองเรือนด้องปฎิบ้ติการเอาแต่ใจตนเป็นที่ตั้ง เป็นไปเพึ่อ

ความเสื่อมเลียหลายประการ ผู้หวังความเจริญจำต้องละเลียทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนึ่จะคิดแต่วานผู้อื่นเรื่อย กุ

ไปย่อมเป็นทางที่ไม่ชอบ ดังนั้น การวานกันในธุระต่าง กุ จึงควรแก่ผู้เป็นญาติสนิท ซึ่งถึงจะเป็นที่ด้อง

kalyanamitra.org
๙๖

เกรงใจอยู่บ้างก็ยังน้อยกว่าผู้อื่น ยิ่งสนิทยันจริง รุ ในฐานะคู่ทุกข์คู่ยากด้วยแลัว ก็ไม่มีข้อที่จะด้องระแวง


ว่าไม่ยินดีกระทำให้ ด้วยเหตุนึ่แหละพะย่ะค่ะ ผู้ที่แยกตนออกไปควรจะมีผู้ที่ตนอาจถือเป็นน้องอยู่ด้วย”

“ที่เห็นด้วย” ตรัสด้วยทรงเข้าพระทัยแจ่มแจ้ง “แล้วทำไมต้องมีเพื่อนอีก พิ่ได้กล่าวมาแล้วว่า

คนเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก จะไม่มีผู้ที่เป็นบุรุษด้วยกันที่ถูกอัธยาศัยกันบ้างสักสองคนทีเดียวหรือ ?”

“ความเป็นเพื่อนนั้น ปรากฏแก่บุคคลได้ทุก รุ คนและทุก *1 เพศ แต่เพื่อนพิเศษซึ่งจะร่วม


ในการกินการนอนตลอดกาลที่ยังดำรงซีพนั้น เป็นเรื่องหนึ่งต่างหากพะย่ะค่ะ ความเป็นเพื่อนทีบุรุษเพศ

ด้องการในการตั้งหลักฐานนั้นเป็นเพื่อนคนละเพศซึ่งจะอำนวยความรื่นรมย์ อำนวยความชุ่มซี่นเป็นที่

ปรึกษาหารือในยามทุกข์รัอน เป็นผู้ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย เป็นผู้ให้ความบันเทิงในยามสุข ซึ่งลิง


เหล่านื่จะหาได้จากเพื่อนเพศเดียวกัน แม้'จะดีที่สุดปานใดก็หาไม่ได้”

“ในบรรดาเพื่อนที่เป็นเพศเดียวกัน อาจช่วยเหลือเกอกูลกัน เป็นที่ปรึกษาหารือกัน ช่วยคลาย

ทุกข์รัอนให้กันด้วยอัธยาศัยดียิ่ง แต่ก็มีบางประการที่ไม่อาจอำนวยแก่กันได้ ถืงที่อาจอำนวยได้นั้นเล่า

ก็มิใช่เป็นไปทุกขณะที่เกิดความด้องการ ใครจะมาคอยเอาใจใส่คนอื่นอยู่ทุกวันทุกคืน ทั้ง รุ ที่เดนยังด้อง

มีการงานอันด้องกระทำ เมื่อเป็นเช่นนื่ ผู้ที่แยกตนออกมาก็ด้องหาคู่ครองซึ่งเป็นเพื่อนไปด้วย”

“ที่เห็นความแล้ว” รับสั่งถามต่อไปถึงเรื่องคนใซั “ทำไมบุคคลที่เป็นคู่ครองของผู้ที่แยกตน

ออกมาจึงด้องมีฐานะเป็นคนรับใซัด้วย ?”

มโหสถบัณฑิตกราบทูลว่า “เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งพะย่ะค่ะ บุรุษผู้ที'แยกตนออกมาตั้งหลัก-

ฐาน ย่อมมีกิจการเนื่องด้วยอาซีพ ซึ่งจำตองกระทำด้วยความขยันหมั่นเพียร หากจำต้องมัวพะวงด้วย

กิจการอันเนื่อง■ด้วยการอุปโภคบริโภคของตนอยู่ด้วยแล้ว ก็ไม่อาจประกอบการงานด้านอาซีพได้เต็มที่ จำ

ตองมีคนคอยกระทำกิจเนื่องด้วยบริโภค อุปโภค เช่น ตักนํ้าตำข้าว เก็บผักหักฟิน เป็นด้น”

“ตามหลักเกณฑ์ที่น้องแถลงมานึ่ มิเป็นอันว่าบุรุษผู้แยกตนออกมา จะด้องมีคนอยู่ด้วยอีก ๔

คนกระนั้นกระมัง?” ตรัสซัก

“มิได้พะย่ะค่ะ คนเดียวเท่านั้น พะย่ะค่ะ” กราบทูลตอบ

“เอ๊ะ! คนเดียวเป็น ๔ คนอย่างนั้นหรือ?”


“พะย่ะค่ะ คนเดียวเป็น ๔ คน” กราบทูลว่า “หมายความว่า บุรุษผู้แยกตนออกมาเพื่อตั้งตนเอง

ใหัเป็นหลักฐานแผ่วงศ์วานออกไป ก็ด้องมีคู่ครองคือภรรยา”

“แต'ภรรยากั้กกจะเปีกเมยแก็วของขาย ด้ฝ็งมีคุณลมท่ต ๔ ใ/ร:;การ ค์อ มีความรักใกสามีเหมีอก

มารดารักบุตร มีความ{คารพเหมีอกก้องสาวเคารมมา)าย มีความขอตรงเหมีอกเพอกร'วมตาย และมีความองรัก


ภกด{หมี'อกทาสรักกาย แม้กขายใดได้คู่ครองทเพยบพร้อมด้วยคุณลมบ'ตทง ๔ กแล้ว แม้จะอยู่กระท่อมก็

เหมีอกอยู่ใกวิมาก{มีองสวรรค์"

kalyanamitra.org
ธ^๗

“เพลาลงมากว่านั้น แม้จะบกพร่องไปไม่ครบบริบูรณ์ มีประการใดประการหนึ่ง แม้เพียง

ประการเดียวเท่านั้น ก็ยังคงเป็นคู่ครองที่ดีของชาย และเป็นทีมุ่งหมายชองบุรุษผู้ฉลาดทุกกาลสมัย พะย่ะ

ค่ะ”
“แล้'2ชายทุกคนได้คู่ครองเช่นว่านึ่เหมือนกันทั้งนั้นหรือ?” ตรัสถามอีก “หรือเป็นแต่บางคน?”

“ขอเดชะ ไม่สมหมายเสมอไปดอก พะย่ะค่ะ” กราบทูลแถลง “ชายบางคนมีความประพฤติ


ในส่วนตนเลวทรามตำข้า แต่กลับได้คู่ครองที่ต็มีคุณสมบัติก็มี อย่างนึ่เรียกว่า ขายผตู่กับเทบธ่ตา ชายบาง

คนมีความประพฤติส่วนตัวดีงาม แต่กลับไปได้คู่ครองที่เลวทรามก็มี อย่างนึ่เรียกว่า ขา(แทาตาตู่กับมาผ

ชายบางคนมีความประพฤติเลวทรามได้คู่ครองก็เลวทรามเช่นเดียวกันก็มี อย่างนึ่เรียกว่า ผตู่กับผ ชาย

บางคนมีความประพฤติดีงาม ได้คู่ครองมีความประพฤติดีงามเสมอกันก็มี อย่างนึ่เรียกว่า เทวดาตู่กับเทาดา

ทั้งนึ่แล้วแต่ความรักจักบังเกิดขื้นพะย่ะค่ะ”

“ความจริงทุกคนก็มีความรักดีด้วยกัน ความรักดีนั้นย่อมเป็นเหตุให้ต้องการดี แสวงดี แลัว


ทำไมจึงยังมีผู้ที่ได้คู่ครองไม่ดี?” พระนางตรัสถาม

“เป็นธรรมดาของคนที่รักดี ก็ต้องการดีและแสวงดี แต่จะได้ดีเหมือนต้องการหรือไม่นั้น ความ

ต้องการไม่มีอำนาจบันดาลให้สมประสงค์ได้”
กราบทูลแถลงแล้วบรรยายลีบกระแสความว่า “เหตุบัจจัยที่จะให้ใด้คู่ครองนั้น อยู่ที่ความรัก

กันด้งกราบทูลมา แม้อัธยาศัยของคนจะรักดีต้องหาให้ได้ที่ดี รุ การได้นั้นก็มีใช่ว่าจะได้ไม่ได้ คงได้ดีเหมือน

กัน แต่เป็นดีที่ตรงรัก หมายความว่าเอาความรักเป็นเครื่องพิสูจน์ความดี มิใช่เอาความดีเป็นเครื่องพิสูจน์

ความรัก ร'กทศราด กับ ดทตราร่ก่ เป็นหลักการคนละแนว พะย่ะค่ะ”


“พูดพิกล รักที่ตรงดี ดีที่ตรงรัก เป็นหลักต่างกันอย่างไร พี่พีงแลัวไม่เข้าใจเลย”

“ต่างกันมากทีเดียว พะย่ะค่ะ
ร้กทตราด หมายถึงว่าผู้ที่จะหาหญิงเป็นคู่ครองจำต้องเลือกเฟ์นคุณสมบัติในตนของผู้ที่จะมา

เป็นคู่ครองนั้นรุ ก่อน ว่ามีความดีอันใดบัาง สมควรที่จะมาเป็นผู้ครองหรือไม่ ต่อเมื่อได้พบเห็นคุณงาม

ความดีแล้วจึงปลงใจรักและนำมาเป็นคู่ครอง อย่างนึ่เรียกว่าเอาความรักไปไว้กับความดี

ส่วน ดทตรารก นั้น หมายถึงว่าผู้ที่จะหาหญิงเป็นคู่ครอง บังเกิดความรักในหญิงนั้นเลียก่อน

แล้ว เลยเห็นอะไร รุ ที่คู่ครองกระทำด้วยกายเป็นความละม่อมละไมไปหมด ฬงเลียงที่พูดแม้จะเกร้ยว-

กราดก็เป็นมธุรสแห่ง!สตประสาทไปทั้งนั้น คือลงได้รักแลัวอะไร รุ เป็นดีไปหมด เดินแทบจะไม่เห็น


หัวคน ก็ว่าท่าทางองอาจเป็นสง่าปราดเปรียว กิริยาลุกลื้ลุกลน ก็ว่ากระฉับกระเฉงนึ่กระไร พูดจาว่าขาน

ชัดชัานแปรแปรัน ก็ว่าพูดจาฉาดฉานท้นผู้ทันคน ส่งเลียงเจั๊ยวจึาว ก็ว่าพูดจากระจู๋กระจํ่เสนาะสนิท อย่าง

นึ่เรียกว่าเอาความดีไปไว้กับความรัก เนึ่องด้วยรักการแสวงหาคู่ครองมี ๒ แนวดังนึ่ การได้คู่ครองของ


บุรุษจึงเป็นไปอย่างที่ได้กราบทูลแล้ว แม้จะรักดีด้วยกันก็ย่อมได้ต่าง รุ กัน แต่อย่างไรก็ดาม จะเป็นชนิด

ดีแล้วรัก หรือรักแล้วดี เรื่องรักต้องนำเสมอ หากไม่มีความรักกันแล้ว ความเป็นคู่ครองไม่มีโอชารสเลย

kalyanamitra.org
๙๘

เมื่อโอชารสในความเป็นคู่ครองไม่มีแล้ว ความเป็นคู่ครองกันก็มีแต่ต่างฝ่ายต่างเพิ่มทุกข์ให้แก'กัน ไม่เป็น

คู่ครองกันเสียสบายกว่าเป็นไหน ยุ ดังนั้น ความรักจึงย่อมเป็นสำคัญในความเป็นคู่ครอง”


“พี่อดซักไม่ได้ ขอซักลักหน่อยเถอะ” ตรัสกลั้วพระสุรเสียงสำรวล “น้องหาคู่ครองในครั้งนี้

จะดำเนินตามแนวไหน ? ”
“ข้าพระบาทดำเนินดามแนวเอาความรักไปไวัที่ความดีพะย่ะค่ะ”
“น้องเห็นประโยชน์อย่างไร ที่เอาความรักไปไว้ที่ความดี ?”

“ความรักที่มีอายุยืนนานพะย่ะค่ะ ” กราบทูลตอบ “ความรักที่ไปฝากไว้กับความดีมีสภาพยืนยง

ข้าพระบาทขอกราบทูลเพียงสั้น ยุ ว่า ความรักอย่างนี้จะหมดก็ต่อเมื่อคู่ครองหมดความดี ซึ่งคนจะมีอัธยาศัย

ดีถึงซ็วิตดับร่างกายเป็นเล้าเป็นผงคลีไปแล้วดียังคงไม่หมด เมื่อดียังไม่หมดแล้ว รักก็ยังคงอยู่ ตรงกันข้าม


เอาความดีไวัที่ความรัก ความยืนยงของความรักมีน้อยเหลือเกิน ทั้งนี้เพราะรักกับชังนั้นอยู่ใกล้กันที่สุด

หากจะเปรียบฝ่ามือเป็นความรัก หลังมือเป็นความซังก็ยังไกลไปกว่าระยะระหว่างความรักกับความซัง
เพราะใกล้กันชิดกันเหลือเกิน เมื่อเป็นด้งนี้ความยั่งยืนก็มีไม่ได้ รักกลายเป็นชังไปเมื่อใด ที่เคยดีก็พลอย

เป็นเสียไปเมื่อนั้น ดีอันอยู่ที่รักกลับกลอกได้รวดเร็ว คู่ครองที่เอาความดีไปไว้ตรงกับรัก จึงมักมีความ

ระหองระแหงกัน ความระหองระแหงนั้นก็เลยปล้นเอาโอชาในความเป็นคู่ครองไปด้วย ยิงระหองระแหง


กันบ่อยเข้าก็เท่ากับถูกปล้นบ่อยเข้า ในที่สุดก็หมดโอชา ยางคือสิเนหาก็ขาดสายใย สุดทางของคู่ครองที่

เข้าลักษณะนี้ ก็คือความแยกกันไป”

“เดี๋ยวก่อนเถอะ” ทรงขัด “น้องได้กล่าวมาแล้วว่า ความรักเป็นสำคัญในความเป็นคู่ครอง จะ

อย่างไรก็ต้องรักกันก่อนจึงเป็นคู่ครองกันได้ดังนี้มิใช่หรือ ?”

“ถูกแล้วพะย่ะค่ะ ข้าพระบาทกราบทูลไว้ด้งนั้น ความรักย่อมเป็นสำคัญเสมอ ขอได้ทรงพระ


วิจารณ์มารดาเลิ้ยงดูบุตรด้วยความทะนุถนอมปานแก้วตา ด้วยอาศัยอะไรเป็นมูลเหตุพะย่ะค่ะ ?”

“ความรักสิน้อง”
“เพื่อนที่สามารถตายแทนเพื่อนได้นั้น เพราะอะไรเป็นมูลเหตุพะย่ะค่ะ”

“ความรักสิ”
“น้องสาวจะช่วยธุระในกิจการของพี่ชายด้วยความยินดีปรีดา ไม่รีรอบิดพลิ้ว อาศัยอะไรเป็น

มูลเหตุเล่า พะย่ะค่ะ”

“ความรักสิ”
“ทาสีที่จะรับใซันายของตนด้วยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เอาแรงกายเข้าทุ่มเทในกิจการของนาย

แม้สายตัวแทบจะขาด ก็มิได้ปริปากบ่นว่านายเลยสักคำ อย่างที่ว่า อาสาเจ้าจนตัวตาย อาสานายจนพอแรง

เพราะอาศัยอะไรเป็นมูลเหตุ พะย่ะค่ะ?”

“ความรักสิ”

“เป็นอันว่าพระแม่เหนือเกล้าฯ ก็ทรงยอมรับว่า เพราะความรักมารดาจึงทะนุถนอมบุตร เพราะ

kalyanamitra.org
๙๙

ความรักน้องสาวจึงช่วยกิจการของพี่ชาย เพราะความรักมิตรจึงช่วยมิตร เพราะความรัก ทาสีจึงเต็มใจ

ทำงานให้นายเต็มแรง หากไม่มีความรักแล้วจะไม่เป็นดังนั้นเลย ทุก คุ คนจะกลับกลายไปหมด เพราะ


ฉะนั้น ผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองของบุรุษ ซึ่งเป็นคนเดียวแต่มีคุณสมบัติของบุคคล ๕ คน อยู่ในตนครบครัน

หรือเพียงแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจึงขาดความรักเสียมีได้ ช้าพระบาทจึงกราบทูลว่าความรักเป็นสำคัญพะย่ะ

ค่ะ”
“เป็นอันว่าบุรุษจะด้องทำให้ผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองมีความรักในตนเสียก่อน จึงจะตกลงปลงใจ

กันได้สนิทสนมกระนั้นหรือ?”

“เป็นเช่นนั้น พะย่ะค่ะ”
“ทำอย่างไรเล่า ความรักจึงจะเกิดได้ หรือว่าเกิดขํ่นได้เอง?”

“ความจริงเรื่องเหตุของความรักนั้น พระแม่เหนือเกล้าๆ ก็ย่อมจะทรงทราบในพระทํยด้วย

พระปรีชาดีอยู่แล้วพะย่ะค่ะ” กราบทูลสนอง “เพราะข้าพระบาทเห็นด้วยเกล้าฯ อยู่ว่า พระแม่เหนือเกล้าฯ


มีพระทัยเต็มไปด้วยความรักในพระเจ้าเหนือหัวสูงสุดอยู่แล้ว คงจะได้ทรงทราบเป็นอันดี ”
“เอัอ! ที่พิ่มีความจงรักต่อทูลกระหม่อมนั้น เพราะทรงให้ความอุปกัมภ์บำรุงพี่ ยกย่องเชิดชู

พี่อย่างสูง ความสุขความเจริญของพี่เท่าที่ปรากฏอยู่นึ่ ทูลกระหม่อมโปรดประทานให้พิ่ทั้งนั้น ดังนั้น

รืงมีใจจงรัก แม้ซีวิตของพิ่ก็อาจถวายเพื่อความสุขความสำราญของพระองค์ และเพื่อความปลอดภัยของ

พระองค์”
‘นั่นแหละพะย่ะค่ะเป็นเหตุที่ทำให้ความรักบังเกิดขื้นเรียกว่า ความเกื้อกูลกันในบัจจุบัน กัง

มีอีกเหตุหนึ่งพะย่ะค่ะ ที่จะทำให้ความรักเกิดขื้นได้"

“อะไรเล่า?” ทรงซัก
“ขอพระราชทานโอกาส พระแม่เหนือหัวเป็นชาวดักกสิลา เสด็จสมภพในพระนครดักกสิลา
แต่ได้รับสถาปนาเป็นพระมเหสีแห่งพระเจ้าวิเทหราชชี่งอยู่ห่างไกลกัน แม้ว่าพระแม่เหนือเกล้าฯ จะ

เคยได้ยินกิตติคัพท้แห่งพระเจ้าวิเทหราชมาบัาง ก็เป็นที่แน่เหลือเกินว่ามิได้ทรงพระประสงค์มาก่อนเลย

หรือมิได้เคยทรงมีปณิธานมาเลย ว่าเราด้องการเป็นพระมเหสีของพระเจ้าวิเทหราช แต่แล้วพระแม่เหนือ


เกล้าฯ ก็ได้มาเป็นดังนึ่ จะทรงเข้าพระทัยว่าเป็นได้เพราะอะไรพะย่ะค่ะ?”

“เออนะ ชอบกล! พื่ไม่รัดอก ความจริงไม่ได้เคยคิดเคยฝันมาเลย ว่าตนจะได้มาเป็นพระ

มเหสีเช่นนึ่”

“นึ่แหละพะย่ะค่ะ ที่บัญญ้ติเรียกว่า บุพเพวนวาล เคยเป็นคู่ครองกันมาแต่ก่อนคือในชาติ


ก่อน ๆ นั้น พระแม่เหนือเกล้าฯ ได้เคยเป็นคู่ครองของพระเจ้าเหนือหัวมาแล้ว มาในบัจจุบันนึ่จึงได้มา

เป็นพระมเหสีอีก แม้จะได้เสด็จไปสมภพเสียไกลแสนไกล ก็มีทางจะมาเป็นจนได้”


“รวมเหตุที่จะให้ความรักเกิดมี ๒ สถาน คือ เกื้อกูลกันในบัจจุบัน และเคยเป็นคู่ครองกันมา

แต่ก่อนเช่นนั้นหรือ ?”

kalyanamitra.org
๑๐๐

“ถูกแล้วพะย่ะค่ะ เหตุที่จะทำให้เกิดความรักมี ๒ สถานเท่านั้นแหละพะย่ะค่ะ ที่ความรักเกิด

ร้นนั้นก็ด้วยเหตุทั้ง ๒ นื้ไม่เกินไปกว่านํ่ เปรียบเสมือนนํ้ากับเปือกตม ทำให้บัวเกิดฉะนั้น พะย่ะค่ะ”


“พ่อน้องชายของฉันช่างรอบรู้จริง” ตรัสชมด้วยพระท้ยซืนบาน “พี่พอใจเป็นอันมากที่น้อง
ชํ่แจงให้พังอย่างกระจ่าง เหมือนเปิดเผยของที่เหมือนจุดไพ่ให้สว่างในที่มืด แต่พี่ยังข้องใจอยู่หน่อยว่า

น้องของพิ่จะไปหาคู่ครองในเวลาสองสามวัน น้องจะได้พบความดีของคู่ครองได้อย่างไรในเวลาอันสั้น

เพราะคุณสมปติเช่นนั้นจะทราบได้ด้องอาศัยเวลานาน ต้องพยายามสังเกตกันมิใช่วันสองวัน หรือน้อง


มีวิธีใดที่จะทำให้เห็นคุณสมบัติทั้งหลายนั้นได้โดยรวดเร็ว”

“ขอเดชะ ข้าพระบาทเห็นด้วยเกล้าๆ ว่าการจะเลือกสตรีที่ทรงคุณสมปติต่าง จุ ตามที,กราบทูล

มาเป็นคู่ครอง วิธีด้นคุณสมปตินั้นมีอยู่พะย่ะค่ะ”

“มือย่างไรนะน้อง ?”

“มองจุดเดียวเห็นหลายจุด พะย่ะค่ะ กราบทูลเป็นน้ยหมายความว่า ไม่ด้องกันทุกอย่างพะย่ะ


ค่ะ เพียงแต่พบคุณสมนํตีประการเดียวแล้ว ก็หยั่งว่ามีคุณสมบัติทั้งหลายรวมอยู่ครบครัน ด้งนั้น จึงไม่

ต้องด้นกันนานพะย่ะค่ะ เพียงพูดจากันสองสามคำก็อาจด้นพบได้”
“ทำไมไม่บอกพี่เล่า ว่าอะไรที่น้องว่าเป็นจุดสำคัญ?”

“ความฉลาดพะย่ะค่ะ” กราบทูลบรรยาย “คนเรามีความฉลาดอยู่ในตนแล้ว ก็เท่ากับมีรัตนะ


ประจำตน มีคุณสมบัติประเสริฐอยู่ในตน ความฉลาดประการเดียวเท่านั้นเป็นทางไหลมาแห่งสรรพคุณ
ชึ่งเปันที่ปรารถนา พะย่ะค่ะ”

“เอ๊ะ! พี่เคยได้ยินท่านกล่าวกันมาว่า ไม่มีใครอีกแล้วในโลกที่จะทำอะไรโง่ จุ และบัา จุ ได้

เท่ากับหญิงที่มีความฉลาด บุรุษบางคนขอหนีความฉลาดของสตรี ขออยู่กับความโง่ของสตรีทุกชาติ ดังนั้

ก็มี น้องจะว่าอย่างไร?”
“ข้าพระบาททราบความข้อนั้นอยู่พะย่ะค่ะ” กราบทูลรับพระเสาวนีย์ “แต่คำที่กล่าวนั้นเป็น
ด้วยเหตุผล ข้าพระบาทขอกราบทูลยืนยัน ว่ล้ยคนฉลาดไม่ว่าลดรหรอบุรุษ จะทำกรรมใดๆ ทั้งเส.ดงความ

โง'และความบ้านั้นเปีนไปไม่ใด*'ทะย่ะค่ะ คนโม่ท่านั้นทั้ทำอะไรโง่ๆ คนบ้าเท่านั้นท่ทาอะไรบ้าๆ การทลดร

ทำอะไรโง่ๆ และบ้าๆ นั้น ม่ใม่ทำด้วยความฉลาดในตน ท่แบ้ทำด้วยความโง'ผสมกบมานะท่^ ขงปรากฏ


เปีนความอวดรู้อวดฉลาด ทำใบ้ม่อึ่นเม่าใจว่าเปีนคนฉลาด ความจรงโมไม่เลย การกระทำต่างๆ ของลดร

เทศอันเปีนเหดุใบ้บุรุษเดอดร้อนนานัปการ เกดจากความโง่ผสมก็บมานะทํฐของลดรทั้งนั้น ม่ใม่'เปีนกรรมทั้


เกดด้วยความฉลาด ความฉลาดนั้โม่'เคยทำใครใหเดอดร้อน ความฉลาดอำนวยแด'ความสุขความเจรญล้วน

เดซว คนม่ความฉลาดแล้วก็ม่บุกอย่างทั้ด้องการจะม่ เหดุนั้นด้นเท่ยงความฉลาดประการเดยวทบแล้ว ก็เท่ากบ

ได้ทบคุณสมบดทั้งหลายทั้ด้องการทะย่ะค่ะ’'

“ดีจริง จุ น้องพูดแจ่มแจ้งมาก พี่จะรอน้องสะใกัที่น่ารักน่าชี่นใจของพี”่ ตรัสด้วยพระพักตร์

แจ่มใส มีพระสุรเสียงสรวลเคล้าอยู่เป็นระยะ จุ

kalyanamitra.org
๑๔. ครองค
เมื่อได้กราบทูลชีแจงถวายพระนางอุทุมพรจนเป็นที่พอพระทัย และประทานพระอนุญาตตาม

ประสงค์ ก็กราบถวายบังคมลามาสู่เคหาสน์จัดแจงสั่งเสียแก่บรรดาสหายให้ดูแลบ้านเรือนเสร็จ จำแลงตน

เป็นชายช่างชุน มึกระเป๋าเครื่องมือในการเย็บบักถักร้อย พร้อมด้วยกระทอหนังขนาดย่อมบรรจุเงิน ๑,๐๐0


กษาปณ์ และผ้าสาฎกเนื้อดีผืนหนึ่ง ครั้นเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางไปแต่ลำพังผู้เดียว ออกทางประดู

ทิศอุดร บ่ายหน้าไปทางยวม้ชฌคามเหนือเพื่อแสวงหาคู่ครองตามอุดมคติ ผ่านละเมาะไม้และท้องทุ่ง

รอนแรมไปตามระยะทาง
วันหนึ่ง อากาศในยามเช้าแห่งเดือนท้ายของฤดูรัอนมีเมฆเป็นกลุ่ม *1 ลอยผ่านท้องฟ้า เป็น

สัญลักษณ์ให้กสิกรทราบว่า รีบไถเข้าเถิด ฟ้าจะโปรยเมล็ดฝนลงเชยชะแผ่นดินในไม่ช้าแลัว ทวยกสิกร


ผู้พลิกแผ่นดินหาทรัพย็ ต่างก็ขะมักเขม้นประกอบกิจ ก่อนพระอาทิตย์จะเยี่ยมโลกนั่นเทียว ต่างไถต่าง

คราดด้วยความอดทน ผลนั้นหรือคือความหวัง ความหวังเท่านั้นทำให้กสิกรพากันไถ ความหวังเท่านั้น


พาให้กสิกรพากันหว่าน เหมือนกับการงานทั้งหลายในโลก ทุกคนอยู่ด้วยความหวัง สิ้นหวังแล้วหมดหวัง
แล้ว การงานอะไรเล่าที่จะเหลืออยู่ กลุ่มโน้นกสิกรหนุ่มกับคันไถและคู่โคกำลังลุยไปในพื่นดิน กลุ่มนั้น

เล่าก็กสิกรอีก ทุกดวงใจเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้รับผล คือรวงสาลีเป็นบำเหน็จแรง

แสงทองเรื่อ จุ จับขอบฟ้าแล้ว ความอบอุ่นแผ่ไปทั่วแผ่นดิน นกกาพากันบินว่ว่อนจากรังเรียง


ส่งเสียงเพรียกไปตามลำเนาแนวทุ่ง บ้างโผผืน บ้างบินร่อน บ้างลงจับที่พื่นดิน สรรพชีวิตที่หลับไหล

มาตลอดราตรีได้กลับฟินคืนขื้นมาแล้ว โลกแห่งความมืด โลกแห่งความหลับ ได้กลับสว่างและตื่นตาตื่นใจ


ชีวิตทั้งหลายต่างดิ้นรนเพื่ออะไร เพื่อท้องนั่นสิ สัตว์ที่ปากเป็นมือ ก็จิกก็คาบเพื่อท้อง ที่มีมีอก็หยิบป้อน

ปากแล้วก็ลงไปเพื่อท้อง อโห! สรรพสัตว์คือทูตของท้อง

โสมทํต-ช่างชุนหนุ่ม เดินทางมาตามแนวถนนอันตัดผ่านท้องทุ่ง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านอันมองเห็น


ทิวไม้เขียวอยู่เนื้องหน้าโน้น ดวงใจเต็มไปด้วยความหวังเช่นเดียวกับกสิกรที่ผ่านมา แต่ผลที่หวังเท่านั้น

ที่ต่างกัน กสิกรหวังรวงสาลี โสมทัตหวังพบคู่ครอง เมื่อผ่านกสิกรแต่ละแห่ง จุ ก็ชวนให้คำนึง “กรณียะ


แห่งผู้ไถหว่านเหล่านื้หนอได้เพิ่มพูนความมั่งคั่งให้แก,แว่นแควัน แรงกายและความอดทนเหล่านื้ได้เลื่ยง

รัฐบาลให้รุ่งเรืองบ้านเมืองมีความสมบูรณ์ บรรดาทรัพย์ในโลกอะไรเล่าจะเสมอเหมือนธัญชาติ บ้านใด


เมืองใดไร้ธัญชาติ ก็ศึอขาดทรัพย์อันประเสริฐสุด ” รำพึงพลางเดินพลางผ่านทิวท้ศน้อันรื่นรมย์ ผ่าน
แสงอ่อนแห่งดวงอาทิตย์ยามอรุณ ผ่านสรรพชีวิตที่กำลังตื่นตัวและเคลื่อนไหวไปตามจำนง

kalyanamitra.org
๑๐๒

สายแลัว แสงแดดทวึความกลัาร้นกว่ายามรุ่งแลัว และหมู่บ้านที่จะมุ่งไปให้ถึงก็ใกล้เข้ามาแลัว

“เอิะโน่น ดูเหมือนสตรีกำลังกระเดียดภาชนะเดินสวนทางมา กิริยาท่าทางดูจะเป็นผู้ที่ได้ร้บสกหัดมา

ดีแล้ว เดินมาแต่ผู้เดียวด้วยท่าเดินดังนางหงส์ ไม่เร็วจนเป็นลุกลน ไม่ซัาจนเป็นยืดยาด ทั้งท่วงทีมีองอาจ

สง่างาม ทั้งรูปทรงสัณฐานก็พร้อมด้วยสรรพลักษณะ ไม่ขาวเกินไป ไม่ดำเกินไป ไม่อ้วนเกินไป ไม่


ผอมเกินไป ไม่สูงเกินไป ไม่ตํ่าเกินไป กิริยามารยาทที่ปรากฎเป็นปกติ นิสัยเล่าก็สมเป็นกุลสตรี ล้านาง

ยังไม่มีคู่ครอง เราจะรับนางนํ๋เป็นคู่ครองของเราก็เหมาะดี” ฝ่ายนางบุตรีของสกุลเศรษฐีเก่าแต่มาตกยาก

เป็นหญิงงดงามพร้อมด้วยศุภลักษณะมีบุญญาธิการ แม้จะตกยากลำบาก ก็คงดำรงความเป็นกุลสตรีอยู่


ได้ ฟ้าวันนั้นนางรีบด้มข้าวด้มแต่เช้าตรู, เสร็จแล้วก็กระเดียดออกจากบ้าน เพื่อจัดไปส่งใหับิดาซึ่งกำลัง

ไปไถนาอยู่ เดินสวนทางมานั้น พอเหินช่างชุนหนุ่มก็รู้สีกด้องตาลอบสังเกตกิริยาท่าทาง ตลอดจนลักษณะ


แห่งลูกผู้ชายเหินสมกับเป็นกุลบุตร ระหว่างที่ช่างชุนหนุ่มรำพึง นางก็รู้สึกเหมือนกัน “บุรุษนํ๋ท่าทางมี

สง่างามเหมือนราชสีห์หนุ่ม ท่วงทีองอาจมิใช่เป็นคนดำทรามเลย ดูจะเป็นผู้เรืองอำนาจวาลนา แม้ว่าเรา


ได้เป็น....ของเขา อย่างไรก็คงกอบกฐานะ’'แได้ จนเป็นปีกแผ่นเป็นแน่ ความเสิ่อมโทรมแห่งสกุลของ
เรา คงจะพื่นพ่ร้นเป็นมั่นแม่น”

ขณะที่นางรำพึงอยู่ในใจ ก็เหินช่างชุนหนุ่มหยุดยืนอยู่ในระยะห่าง *1 และกำมือชูออกมฟ้างหน้า

ทั้งนึ่เป็นการทดลองความว่องไวแห่งปฏิภาณของนางว่าจะฉลาดหลักแหลมปานใด พอเหินนางก็ทราบ

ทันทีว่าชายนึ่ถามเราว่า “มีผัวแล้วหรือ?” นางหยุดยืนทันที พร้อมกับแบมือใหัดู

“ยังไม่มีผัว” ชำ-}ชุนหนุ่มรู้ได้ “แบมือหมายความว่ายังไม่อยู่ในอำนาจความบังคับของใคร ยัง

เป็นอิสระแก่ตนอยู่ ” ดีใจเดินเข้ามาใกล้พลางถามว่า “แม่นางมีนามว่ากระไรจ๊ะ ?”


“พ่อนายเอย” นางตอบด้วยเสียงกังวานร้น “อ้นใดที่ไม่มีแก่ดิฉัน ทั้งในอดีตทั้งในอนาคต หรือ

ในบ้จจุบันนึ่ อ้นนั้นเป็นนามของดิฉัน ดิฉันมีซืออ้นนั้นค่ะ”

“อ้อ! อ้นสงไม่ตายไม่มีในโลก” ช่างชุนหนุ่มเอ่ยทันที “แม่นางชี่อ อมวา ถูกไหมจ๊ะ”


“ถูกค่ะ พ่อนาย” นางสนองพร้อมกับนึก “ชายคนนั้ช่างฉลาดจริง กุ”

“แม่นางจักนำข้าวด้มไปให้ใครเล่าจ๊ะ ?” ถามต่อไป

“ไปให้บุรพเทพของดิฉันค่ะ พ่อนาย” บอกเป้นป้ญหาฉลาดก็คิดเอา

“ธรรมดาบุรพเทพ เทวดาองค์แรกของคนก็ไม่มีใคร นอกจากบิดามารดาเป็นบุรพเทพ และ


ตามธรรมดาผู้ที่จะออกไปประกอบการงานนอกบ้าน ก็ควรจะเป็นชายมากกว่าหญิง ดังนั้นแม่นางคงนำ

ข้าวด้มไปส่งบิดาละ” พูดด้วยสำเนียงกลั้วกับความหรรษาที่ได้พบความฉลาดของนาง

“ถูกค่ะ พ่อนาย” นางสนอง “ดิฉันนำข้าวด้มไปส่งบิดา”

“บิดาของแม่นาง กำลังทำอะไรอยู่จ๊ะ?”
“บิดาของดิฉันกำลังทำหนึ่งโดยส่วนสองค่ะ” ตอบเป้นบ้ญหาอีก
“ทำหนึ่งโดยส่วนสอง” ยํ้าคำพลาง “อ้อ! อ้นการทำหนึ่งโดยแยกสองก็คือไถนานั่นเอง ไถ

kalyanamitra.org
๑๐ธา

ไปรอบเดียวดินแยกออกเป็นสองแถว ถูกไหมจ๊ะ ?”
“ไนที่ใดเล่าคะ ฝูงคนไปแล้วครั้งเดียวไม่กลับหลังเลย บิดาของดิฉันกำลังไถนาอยู่ใกล้ *1 ที่

นั้นแหละค่ะ”

“ไปครั้งเดียวแล้วไม่กลับคืนหลัง...ก็ป่าช้าละ” ช่างชุนหนุ่มเฉลย “บิดาของแม่นางไถนาอยู่

ใกล้*1 ป่าชาใช่ไหมจ๊ะ?”

“ใช่แล้วค่ะ”
“แม่นางเอย เธอจะกลับบ้านวันนึ่หรึอไม่เล่าจ๊ะ ” ถามด้วยความพอใจ
“พ่อนายคะ กาวิกลับหรือไม่กลับของดิฉันอยู่ที่สิ่งหนึ่งจักมาหรือไม่มา คือล้าสิ่งหนึ่งจักมา

ดิฉันจักไม่ได้กลับ แม้นไม่มาดิฉันจึงจะกลับค่ะ” ผู้'มีบ้ญญาก็ด้องพูดให้คิดถึงจะถึงใจ

ช่างชุนหนุ่มได้พีงคำนางก็ทวิาบได้ทันที แถลงด้วยความภูมิใจว่า “แม่นางเอย บิดาของแม่นาง


เห็นจะไถนาใกล้ฝังแม่นํ้าซิ เมื่อนั้าไหลเช้ามาแม่นางก็มาบ้านไม่ได้ ล้านํ้ายังไม่ได้ใหลเข้ามาก็มาบ้านได้”

“ถูกแล้วค่ะ”
การสนทนาปราศรัยที'กระทำล้นเพียงเท่านึ่ ก็เป็นข้อที่บอกบ่งอัธยาศัยของล้นและล้นได้เพียงพอ

ความตนลึกหนาบางมีเพียงไร ความแหลมความคมมีขนาดไหนพอหยั่งทวิาบกันได้ ความฉลาดรู้กันได้

ด้วยกาวิสนทนา เมื่อพบความฉลาดแลัวก็เป็นอันพบจุดเอกจุดเยี่ยมแห่งคุณสมบัติในตน เพราะ

"ป้ณูณูไม่หแหส^ ห่กใเ} ไขณกล่ไ}}าไเมแล}ลุหลุด ด}ามลุภไห1/1'เม'/(ไหกด ด}ไมมส}'ไว}ศเได

แ/มคุณธรรมหมาด ไม'ดมม:ไเณฺณ ไห}มม "


“พ่อนายคะ นึ่ก็ยังเช้าอยู่ เซิอว่าคงมิได้บริโภคอาหารสิ่งใดมา จะดื่มยาคูไหมเล่าคะ?” นาง

เซิย้เชิญ “ดื่มลักหน่อยนะคะ”

“การปฏิเสธผู้มีอัธยาศัยดี เป็นอัปมงคล” ช่างชุนหนุ่มคิดแล้ว.ตอบแม่นาง “ดื่มชีจ๊ะ”

นางอมราจัดแจงวางหม้อยาคูลง ขณะนั้นช่างชุนหนุ่มดำริต่อไปว่า “ล้านางจักไม่ล้างถาดเลีย


ก่อน ไมให้นํ้าเราล้างมือก่อนที่จะให้ข้าวด้มแก่เราละล้อ เป็นอันว่าต้องปล่อยนางไปตามเรือง การตดต่อ

ระหว่างเรากับนางก็มีเพียงเท่านึ่ เพราะการปฏิ! ต่ของนางยังบกพร่องอยู่

แต่....เหมือนกับจะรู้ความคิดของขางชุนหนุ่มทุก *1 อย่างนางนำถาดลงไปล้าง แล้วก็เอาถาด


นั้นเองตักนั้ามาให้เราล้างมือ เสร็จแล้ววางถาดลงบนพนดินคนหม้อข้าวต้มแล้วดักใส่ถาด

เห็นนางทำถูกใจทุกอย่าง แต่มองดูในถาดเมล็ดข้าวข้นมาก ช่างชุนหนุ่มกล่าวเป็นเซิงสัพยอก

ว่า “แม่นางจ๊ะ ข้าวยาคูเห็นจะมากมายหรือไรจ๊ะ?”


“พ่อนายคะ” นางสนองด้วยเลียงแจ่มใส “เราไม่จำเป็นต้องมีนํ้าไว้ค่ะ”
“นํ้าจากลำรางที่นาเห็นจะใช้ใด้กระมัง?” ถามด้วยคาดคะเน “จึงไม่ต้องเผื่อนํ้าข้าวต้มไว้มาก จุ”

“เป็นเช่นนั้นพ่อนาย” ตอบแล้วแบ่งข้าวด้มที่จะให้แก'บิดาไว้ ส่วนที่เหลือให้ช่างชุนหนุ่มดื่ม

เสร็จจากดื่มยาคู บ้วนปากแล้ว ช่างชุนหนุ่มผู้พอใจในนางอมรา โดยได้พบคุณสมบัติอันพรัอม

kalyanamitra.org
๑๐๔

มูล ความฉลาดเป็นประการด้น ความรู้จักที่ถูกที่ควร สมกับความฉลาดเป็นลำดับมา ก็ปลงใจว่าเป็นผู้

เหมาะแก่ตนทุกประการแล้ว เมื่อปลงใจด้งนั้นก็ต้องดำเนินการต่อไปให้สมเหตุสมผล จึงเอ่ยถาม “แม่นาง

ฉันจักไปบ้านของเธอซีทางให้ฉันหน่อยเถิด หวังว่าคงไม่รังเกียจนะจ๊ะ”

“ได้ซีจ๊ะ” นางตอบด้วยความยินดี พลางบอกหนทางอย่างคนฉลาดกับคนฉลาด


“ที่ใดนะคะมีร้านขายข้าวสตู ร้านขายนํ้าลัมและมีด้นทองหลางใบมนกำลังออกดอก ดิฉันถือ

ด้วยมือข้างใด ดิฉันบอกด้วยมือข้างนั้น ดิฉันไม่ถือด้วยมือข้างใด ไม่บอกด้วยมือข้างนั้น นี่แหละค่ะ หนทาง


ไปยวมัชฌคามอันมีบ้านของดิฉันอยู่ที่นั่น โปรดทราบทางที่ปกปิดนี่เถิดค่ะ ”

พอบอกเสร็จแล้ว นางก็ยกหม้อข้าวยาคูขื้นลึอไวั พร้อมกับเดินทางไปด้วยความพอใจเป็นอย่าง


สูง ปล่อยให้ช่างชุนหนุ่มเดินทางไปบ้านตามทางที่นางชื้แจง

ช่างชุนหนุ่มในนามโสมทัต ไม่เคยจำนนในบ้ญหาใด ตุ ไฉนจะจำนนในหนทางที่นางพลางไว้


คงเดินไป เดินไปด้วยความชื้นชม ถึงร้านขายข้าวสตูกับร้านขายนํ้าลัมและต้นทองหลางใบมนกำลังออก

ดอกสะพรั่งตามที่นางซีแจง “ดิฉันถือด้วยมือข้างใด ดิฉันก็บอกด้วยมือข้างนั้น” หมายความว่า บ้านของ

นางอยู่ขวามือพอถึงเรือนพบมารดาของนางพอดี
มารดานางอมราเชื้อเชิญให้นั่ง แล้วกล่าวต้อนรับว่า “พ่อมาแต่เช้าคงย้งไม่ไต้บริโภคอะไรมา

จักดื่มยาคูไหมเล่าจ๊ะ ?”
“คุณแม่ครับ น้องอมราให้ยาคูผมดื่มหน่อยหนึ่งแล้วครับ” ตอบด้วยคารวะ

เพียงเท่านี่ มารดาของอมราก็ทราบทันทีว่า “พ่อหนุ่มนี่มาเพื่อขอลูกสาวเราแน่นอน”

ด้วยความสังเกตโดยปรีชาอันปรุโปร่งทราบได้ทันทีว่าสกุลนี่ตกยาก แม้จะรู้ดังนั้นอยู่เต็มใจก็
กังถามนางว่า “คุณแม่ขอรับ ผมเป็นช่างชุน มีผ้าอะไรตุ ที่จะต้องเย็บต้องปะบ้างไหมเล่าครับ?”

“มีพ่อคุณ” นางตอบ “แต่ค่าจัางซีจ๊ะ แม่ไม่มีให้”


“คุณแม่ครับ ไม่ต้องพูดถึงค่าจ้างค่าแรงอะไรดอกครับ” พูดให้เบาใจ “ผมมิได้ต้องการค่าจ้าง

ของคุณแม่ดอกครับ มีเท่าใดก็นำมาเถิดผมจะเย็บจะปะให้”
นางได้พังก็ดีใจ ขนเอาผ้าเก่า ตุ ที่ขาด ตุ ซึ่งมีอยู่เป็นอันมากมาให้แก่ช่างชุนหนุ่ม

ช่างชุนหนุ่มทำงานด้วยความชำนาญอย่างยิ่ง ที่ควรปะก็ปะให้ ที่ควรเย็บก็เย็บให้ ที่ควรชุน

ก็ชุนให้ พักเดียวผ้าทีขนมามากมายนั้นก็เสร็จหมด ทำให้เกิดความพีควงแก'นางไม่น้อย เพราะไม่เคยพบ


เห็นช่างชุนคนไหนทีจะเซียวชาญเหมือนคนนี่เลย เห็นนางกำลังดื่นตาดื่นใจที่ผ้าเก่า ตุ เกือบจะต้องรุอยู่
แล้วกลับสำเร็จประโยชน์ชื้นมา เหมือนกับผ้นว่าไปพบเทวดาแล้วท่านมาเย็บให้ใหม่ ก็บอกกับนางว่า “คุณ
แม่ครับ คุณแม่เที่ยวไปบอกคนตามแถวถนนซีครับ ให้เขานำผ้าเก่า ตุ ขาด ตุ มาจ้างผมเย็บ”

นางเทียวปาวร้องไปตลอดบ้าน “พ่อแม่ทั้งหลายใครมีผ้าเก่า ตุ ขาด ตุ เชิญขนเอามาเถิด ช่างชุน


ผู้เซียวชาญฟิมือทำงานรวดเร็วทันใจกำลังมาพักอยู่ที่บ้านฉันทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ ค่าจ้างก็ไม่แพง

เชิญเถิดเจ้าข้า! เชิญหอบผ้ามาจ้างกันเถิด”

kalyanamitra.org
ข่าวที่มารดาของนางอมราเที่ยวป่าวประกาศไปเป็นที่พอใจแก่ชาวบ้านร้านถิ่นทั่วหน้า ต่างคน

ต่างขนผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ มาสู่บ้านของแก ช่างชุนหนุ่มก็เย็บปะชุนไปตามสภาพของผ้าสำเร็จอย่างรวดเร็ว


และด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเจ้าของผ้าคนใดที่จะไม่พอใจ การกระทำของช1างชุนหนุ่มได้ปิดช่องทีเอ่ยคำ

ตำหนิมิดชิดทุกประตู เปิดแต่ช่องแห่งคำสรรเสริญเท่านั้น ตลอดวันนั้นช่างชุนหนุ่มด้องทำงานอย่างรวดเร็ว


และด้วยความชำนาญยิ่ง ผ้าที่ขาด *1 ที่มีอยู่ในหมู่บ้านนั้นทั้งหมด ได้เปลี่ยนสภาพไปไม่มีเหลือ ค่าจ้าง

ที่ได้รับในการชุนผ้าทั้งวันเป็นเงิน ๑,๐00 กษาปณ์

มารดานางอมราเห็นความสามารถอันเป็นพิเศษมีความรู้สึกเหมือนว่าช่างชุนหนุ่มเป็นผู้วเศษ
เกิดความพอใจเป็นที่ยิ่ง ไม่มีอะไรที่จะเป็นข้อน่ารังเกียจอีกแล้ว สำหรับชายนึ่ที่ขิะมาเป็นบุตรเขย พร้อม

กันนั้นก็เบาใจในการที่บุตรสาวสุดที่รักชักได้สามีเป็นบุรุษผู้สามารถเช่นนึ่ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างนางเอาใจใส่

ดูแลเหมือนบุตรของตน ตอนเข้าก็ชัดอาหารให้รับประทาน ครั้นอึงเวลาที่จะต้องชัดหาเพื่อมื้อเย็นก็หารือ

“พ่อคุณ อาหารมื้อเย็นจะหุงข้าวสักเท่าไร ?”

“คุณแม่ครับ ที่บ้านนั้รับประทานกันกี่คน คุณแม่โปรดหุงให้พอก็แล้วกันครับ” เป็นคำตอบ

ที่ช่างชุนหนุ่มให้แก่มารดานางอมราด้วยความสนิทสนม เสมือนเป็นผู้ร่วมบ้านคนหนึ่ง และด้วยความรู้

กระแสแห่งธรรมดาว่า วันนึ่นํ้ายังคงเข้าไม่ถึงแน่ อย่างไรเสียบิดากับนางอมราคงต้องกลับมาบัาน

เป็นความจริงด้งที่คาด พอตกเวลาเย็นนางอมราก็กลับมาบ้านศีรษะทูนมัดฟินกระเดียดกระทาย

ใส'ฝักเดินเข้ามาในประตูเรือนด้านหน้าวางมัดฟินไว้ใกล้ รุ กับประตูนั้น ย้อนออกไปเข้าบ้านทางประตูหลัง


ภายหลังจ')กนั้นเกือบคํ่าบิดานางจึงได้กลับ

มโหสถบัณฑิตในฐานะช่างชุน คงพำนักอยู่ ณ บ้านของนางอมรา เฝืาสังเกตตูกิริยามารยาท


โดยรอบคอบเห็นสมควรที่จะเป็นตู่ครองของตนทุก รุ อย่าง ยังแต่นํ้าใจเท่านั้นจะมีความหนักแน่นมั่นคง

เพียงไร หุนทันพลันแล่นหรือไม่ ทำอย่างไรจึงจะรู้ การจะรู้เช่นนึ่ใด้ด้องทดลองกันด้วยเรึ่องที่น่าเคึอง

เพื่อทราบคุณสมบ้ดิข้อนึ่ วันหนึ่ง มโหสถบัณฑิตเรียกนางมามอบข้าวสารให้ครึงทะนาน ให้ไปทำอาหาร

๓ อย่าง ด้มยาคู ทำขนม และหุงเป็นข้าวสวย


นางอมรารับข้าวสารครึ,งทะนานนั้นมา คัดข้าวออกเป็น ๓ ชนิด ข้าวที่เป็นตัวด้มเปันยาคู ข้าว

ที่ห้กครึ,ง รุ กลาง รุ หุงเป็นข้าวสวย ปลายข้าวท้าขนม สำหรับยาคูและข้าวสวยนั้นชัดให้มีกับข้าวพอสมควร


เสร็จแลัวยกไปให้แก่มโหสถบัณฑิตพร้อมกับกล่าวว่า “พ่อนายคะ อาหารที่ส่งดิฉันทำเสร็จแลัวค่ะ จะ

รับประทานหรือยังเล่าคะ ?”

“เสร็จแลัวหรือ?” กล่าวเป็นถามด้วยสำเนียงปกติ “ยกข้าวด้มมาลองชิมดูก่อนซี”


นางอมรายกข้าวต้มเข้าไปเทียบให้เป็นอันดับแรก มโหสถบัณฑิตลองชิมดูเพียงข้อนเดียวเท่านั้น
โอชารสแผ่ชาบช่านไปทั่วประสาทที่รับรสทั้งเจึดพันทันที แต่เพื่อทดลองจึงแกล้งเอ่ยขื้นว่า “โอ ! แม่นาง

เอย ต้มข้าวด้มกินก็ไม่รู้จัก ทำให้ข้าวสารของฉันเสียไปเปล่า รุ” ว่าแล้วถ่มข้าวต้มพร้อมกับน์าลายลงดิน

kalyanamitra.org
๑๐๖

นางไม่โกรธ คงมีอาการปกติ เอ่ยว่า “พ่อนายคะ! ล้าข้าวต้มไม่อร่อยก็ลองรับประทานขนม


หน่อยซีคะ” แล้วเลื่อนขนมเข้าไปให้
ช่างชุนหนุ่มของนางคงเอะอะเหมือนคราวที่แล้ว กล่าวตำหนิทำนองเดียวกัน นางคงเป็นปกติ

เชิญให้รับประทานข้าวสวย “พ่อนายคะ! ล้าขนมไม่ถูกปากก็เชิญรับประทานข้าวสวยเถิดค่ะ”


คงเป็นอย่างครั้งแรก และท้าเป็นโกรธเกร้ยวหาว่า “เธอไม่รู้จักหุงต้มทำของกินไม่เป็นประสา

ทำให้ข้าวของฉันเสียหายไปหมด” ว่าแล้วเอาอาหารทั้ง ๓ อย่างคลุกเข้าด้วยกัน ขยำทาด้วนางตั้งแต่ศีรษะ


ตลอดเท้าแล้วสั่ง “เธอจงไปนั่งที่ประตูเรือน”

นางอมราคงไม่โกรธ ยกมือไหว้รับคำสั่งเสมือนเป็นเทพโองการอันจะขัดขืนมิได้ ถอยไปนั่ง


อยู่ที่ประตู ปราศจากอาการที่จะส่อว่าขุ่นเคืองแม้แด่น้อย ไม่มีอาการฮึดฮัดกระพัดกระเฟืยดใด *1 ทั้งสิ้น

มโหสถบัณฑิตเห็นกิริยาของนางปราศจากความถือตน ไม่มีอาการเย่อหยิ่งทะนงเป็นที่พอใจแล้ว
ผลแห่งการทดลองเป็นที่สมใจจึงเรียก “แม่นางเอยมานี่เถิด”

เพียงคำเดียวเท่านั้น นางอมรารีบลุกมาหาประหนึ่งเทวบัญชาแห่งเทพเจัาผู้ศักดํ่สิทธํ่ เช้ามา


นั่งใกล้ *1 มโหสถบัณฑิตด้วยอาการปกติ
มโหสถเปิดกระทอหยิบผ้าสาฎกเนื้อดีที่เตรียมมาออกส่งให้ พร้อมกับสั่ง “แม่นางจงไปอาบนํ้า

พร้อมกับเพื่อนหญิงของเธอ แล้วจงนุ่งผ้าสาฎกผืนนื้มาหาฉัน”

เพียงเทพประกาศิต นางทำตามมิได้ขัดขืนเลย
มโหสถบัณฑิตมั่นใจและปลงใจในนางอมรา เห็นความงดงามด้วยความประพลุติและอัธยาศัย

ซึ่งยากนักจักปรากฎในสตรีที่ทรงรูปสมบัติ เมื่อได้โอกาสจึงมอบทรัพย์ ©,๐๐0 กษาปณ์ ที่ได้จากชุนผ้า


กับอีก ©,๐๐๐ กษาปณ์ที่ได้เตรียมไปจากบ้านให้บิดามารดาของนาง ทำให้ท่านทั้งสองปลมใจที่บุตรีคน

เดียวได้สามีเป็นหลักฐาน ถึงจะไม่ทราบความเป็นไปอย่างแท้จริง ก็ได้เห็นความสามารถในตน ทั้งความ


ปลงใจแห่งบุตรีเล่า ก็เป็นเหตุสำคัญที่บิดามารดาไม่สามารถจะคัดต้านได้ ทั้งเป็นการปฎิบิติที่ว่า เมื่อ

บุตรีควรจะมีสามีแล้ว บิดามารดาที่ดีทั้งหลายย่อมถือเป็นกรณีสำคัญในอันที่จะตกแต่งให้เป็นหลักฐาน

ไป แม้นไม่รีบจัดแจงให้สมควรก็เป็นเหมือนปล่อยดอกไม้ที่กำลังแย้มให้เหี่ยวเฉาไปกับต้นคอ เป็นการ

ประกาศอัประมาณของสกุล เพราะความไร้ผู้ต้องการเป็นข้อที่ไม่น่าภาคภูมิใจ

มโหสถบัณฑิตพักผ่อนอยู่ที่บ้านนางอมราพอสมควรแล้วก็กราบลาพ่อตาแม่ยาย พานางมาสู่

มิถิลานคร

kalyanamitra.org
๑๕. คู่ควรเคียง
ก่อนออกเดินทางสุมถิลานคร มโหลถบัณฑิตได้ชัดหาร่มและรองเท้ามอบให้แก่นางอมรา เนึ่อง-
ด้วยเห็นเป็นสิ่งควรที่นางจะมีไว้' เพื่อป้องกันแลงแดดแผดเผาผิวกายและป้องกันเลยนหนามตามทาง ขณะ

ให้ได้กล่าวว่า “อมราผู้เจริญใจ เชิญกั้นร่มและสวมรองเท้านํ๋เดินไปด้วยกันเถิด ตะวันสายจัดแล้วแดดกล้า

นัก และเสิ่ยนหนามตามทางอาจจะมี ร่มเป็นเครื่องป้องกันความร้อนจากแสงแดด และรองเท้าก็เป็น

เครื่องป้องกันเสั้ยนหนามตามทางได้ดี เชิญอมรารับไว้เถิด”
นางนัอมรับทั้งสองอย่างด้วยความชินชม แต่การใชิ'นั้นมิได้เป็นไปตามที่คนเป็นอันมากใช้กัน

นางได้ทำให้ผิดแผกไปทั้งสองอย่าง กล่าวคือ เวลาเดินในที่แจ้ง แสงแดดแผดกล้าก็หุบร่มเลีย ถือไป เวลา

เดินบนบกก็ถอดรองเท้าเลีย ถือไป ต่อจะต้องลุยนํ้าลุยโคลนจึงสวม การกระทำที่แปลกไปเช่นนึ่ จะเป็น

ด้วยนางคิดจะทดลองสดิบัญญาของสามีก็ได้ หรือจะเป็นด้วยต้องการให้เกิดเป็นบัญหาขํ่นเพื่อสนทนากัน

ในยามเดินทาง ซึ่งเป็นข้อที่น่าชินชมของผู้มีปรีชาก็ได้

ดังนั้นมโหสกบัณฑิตจึงเอ่ยถามขณะที่กำลังลุยนํ้าตอนหนึ่งว่า “อมราผู้เจริญใจของฉัน ขอ

ถามลักหน่อยเถิด ทำไมนะเวลาเดินบนบกจึงไม่สวมรองเท้า เวลาลุยนํ้าจึงจะสวม มีเหตุผลเป็นอย่างไร

จ้ะ”
“ทูนหัวขา” สนองด้วยคำอ่อนหวาน “ไม่เห็นจะเป็นป้ญหาอะไรเลยนึ่คะเป็นเรื่องปกติดีเทียว

ค่ะ”
“ปกติไม่เป็นเช่นนึ่นึ่จิะ” แยงด้วยยิ้มแย้ม “คนทั่วไปเขาสวมรองเท้าเดินบนบกกัน เวลาลุย

นํ้าลุยโคลนเขาถอดกันทั้งนั้น ที่อมรากระทำจะว่าเป็นปกติอย่างไรจ้ะ”

“เป็นปกติคนละอย่างค่ะ” โต้อย่างนุ่มนวล “ปกติของคนต้องถนอมสิ่งที่ตนรักใช่ไหมคะ”

“ถูกละ แม่นางผู้เจริญใจ ปกติของคนต้องถนอมสิ่งที่ตนรัก”

“ขอโทษน่ะคะ ทูนหัว แม้จะตระหนักแน่แก,ใจอมรานึ่ดีอยู่แล้วก็ใคร่ขอถามลักหน่อย”

“ถามอะไรก็ตามเถิดจ้ะ”

“ทูนหัวรักอมราหรือเปล่าคะ”
“รักซีจ้ะ ถามทำไม ไม่รักแล้วจะขออมรามาเป็นคู่ซีวิตของฉันหรือ?”

“ชินใจอมราค่ะ” กล่าวด้วยชินบาน “รักอมราแล้ว ก็หมายจะถนอมอมราใช่ไหมคะ”

“ใช่ซีจ้ะ”

kalyanamitra.org
ด0

“รองเท้าที่ให้'นี้ ก็เพื่อถนอมอมรา หรือให้เพื่อเหตุอื่น”

“เข้าในหลัก เพื่อถนอมนั้นแหละจ้ะ”
“รองเท้าที่ทูนหัวให้แก่อมรา เพื่อป้องกันอันตรายที่จะบังเกิดแก่เท้าของอมรา แม้นว่าจะมี

เสํ๋ยนมีหนามยอกเท้าอมราแล้ว ชักไม่เป็นความผาสุกแก่ตัวของอมรา และพาให้ทูนหัวพลอยไม่ผาสุกไป

ด้วย เป็นเช่นนี้ใช่ไหมคะ”

“ถูกแลัว อมราผู้เจริญใจ”
“เมื่อเป็นเช่นนั้น อมราควรปฏิบัติอย่างไรเล่า สำหรับรองเท้าที่ได้น้อมรับมา ด้วยทราบตระหนัก
ในความประสงค์ของทูนหัว และในประโยชน์ของมัน อมราควรจะใข้ในโอกาสไหน นี่เป็นข้อที่อมราครุ่น
คำนึง ทั้งนี้เพื่อให้สมประสงค์สถานหนี่ง อมราจึงตัดสินใจว่าในโอกาสที่ด้องลุยนี้ายํ่าโคลนเท่านั้นควร

ใข้รองเท้า ในเวลาเดินบนบกไม่ควร” เว้นระยะกล่าวต่อไป “ทั้งนี้เพราะในเวลาเดินบนบกนั้น นัยน์ตา

ทั้งคู่อาจมองเห็นเสั้ยนหนามที่ปรากฎได้ ไม่จำต้องสวมรองเท้าก็ได้ ส่วนเสั๊ยนหนามที่อยู่ในนี้าโคลน

นัยน์ตาไม่สามารถจะแลลอดสอดเห็นได้ รองเท้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นในเวลานั้น ถ้าไม่สวมแล้วอาจเกิดอันตราย


แก'อมราได้ ทำให้อมราประสบทุกข์เวทนาถึงกับเป็นที่รัอนใจแก'ทูนหัวของอมรา อมราคิดเห็นดังนี้ จึง

ใด้สวมรองเท้าในเวลาลุยนี้ายํ่าโคลน”
"ความคิดของอมราด้งกล่าวนั้น ทำให้อมราปฏิบัติไปเพื่อให้สมกับที่ทูนหัวถนอมอมรา มิปรารถนา

ให้อมรานี้เจ็บป่วยลำบาก อมรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งนะคะว่าตนได้สนองความประสงค์ของทูนหัวแลัว นี่

แหละค่ะ เป็นเรื่องปกติแท้ *1 ทีเดียวค่ะ แต่ปกติของอมราอาจจะแปลกไปจากปกติทั่ว รุ ไปก็ได้ เพราะ

เป็นปกติโดยเพ่งประโยชน์เป็นสำคัญ อาจจะต่างกับปกติที่เพ่งกรณีอื่นเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์

ควรจะเป็นใหญ่ถูกไหมคะ”
“นางนี้เฉลียวฉลาดจริง รุ” มโหสถบัณฑิตนึกในใจ ไม่ชมออกมาให้ปรากฎ แต่อาการนั้นก็เต็ม

ไปด้วยความชี่นชม พากันเดินทางต่อไป
ผ่านพ้นท้องทุ่งอันว้างเวิ้งไปแล้ว จวนจะเข้าหมู่ไม้อันร่มครื่มเบื้องหน้า ร่มที่นางอมราถึอมา

ด้วยอาการหุบไว้ ก็เริ่มกางออกด้วยมือนาง ครั้นเข้าร่มไม้นางก็กั้นร่มเดินเรื่อยไป เป็นอาการที่ชวนให้เกิด

ความลงลัยขึ้นอีก มโหสถบัณฑิตจึงเอ่ยถาม “อมราผู้เจริญใจ ที่เราเดินผ่านกันมาแล้วเบื้องหลังโน่น เป็น

ทุ่งโล่งแจ้งแสงแดดแผดกล้า คนทั้งหลายเขาเดินทางเช่นนั้นแล้วก็ต้องกั้นร่ม ป้องกันแสงแดดจะแผดเผา


แต่ช่างแปลกประหลาดจริง อมราทนเดินกรำแดดมาได้ ไม่กั้นร่มเหมือนคนทั้งหลายเขา ครั้นมาบัดนี้เข้า
ที่ร่มครื่ม มีหมู่ไม้ร่มรื่น แสงแดดล่องไม่ถึงพื้นดินเลย อมราก็กั้นร่มเดิน นี้เป็นเพราะเหตุผลกลใดเล่าจ้ะ”

“พ่อทูนหัวของอมราคะ” สนองด้วยยิ่มแย้มแจ่มใส “ดิฉันได้ทราบตระหนักแล้วว่า อมรานี้เป็น

ที่รักที่เจริญใจของทูนหัว ร่างกายของอมรา แม้แต่จะมีอันตรายประการใดแล้ว ทูนหัวก็ย่อมพลอยรัอนใจ

ไปด้วย ด้งที่ได้กรุณาชี่แจงให้ทราบแล้ว การที่ทูนหัวให้ร่มแก,อมราก็ด้วยหมายจะให้ใข้ป้องกันตนในที่แจ้ง

โล่ง ภัยจากเบื้องบนยากที'จะมีได้ แม้จะไม่กั้นร่มก็ไม่มีอันตรายอันใด แต่ในที่ร่มเต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นครึม

kalyanamitra.org
©0 6^

ย่อมมีอันตรายมาก ใครเล่าคะ จะทราบได้ว่ากิ่งไม้ต่าง *1 ที่ผุที่หักห้อยนั้น ๆ จะหลุดหล่นลงมาเมื่อไร เดิน


เพลิน •เ ไปโดนเข้าก็เจ็บตัวเปล่า *1 กั้นร่มไว้ร่มก็ป้องกันอันตรายเช่นนื้ได้ อมราดิดเห็นตังนั้ จึงได้กั้นรมใน

เวลาเข้าร่ม เผื่อไม้แท้งไม้ผุตกลงมา ร่มก็กั้นไวัมีให้ต้องตัว จริงไหมคะ”


“ความคิดของอมราเป็นด้งที่ได้แถลงมาข้างต้นนั้น โปรดทราบเถิดทูนหัว อมราทราบว่าลิงใด

ส่วนใดทูนหัวของอมราด้องการ อมราจะถนอมไว้เป็นอย่างดีสุดสามารถทีเดียว เพราะอมราตระหนักว่า


ทูนหัวรักก็ควรจะถนอมสิงที่รัก *1 นั้นไว้เพื่อทูนหัวจะได้รักอมราไปตลอดกาลนาน การจะเอาใจรักผู้ที่

ไม่รู้จักถนอมของรัก นอกจากเสียแรงรักแล้ว กังทำลายประโยชน์ได้ด้วย จริงไหมคะ”


มโหสถบัณฑิตพังเหตุผลทั้งสองประการของนางแล้ว ยงเพิ่มความรักความชี่นชมในนางเป็น

อย่างสูง แต่เก็บไว่ในใจไม่เอ่ยอะไรออกมา เดินทางกันต่อมาถึงที่แห่งหนึ่งมีด้นพุทรา มีผลดกเต็มด้น ก็

เข้านั่งพักใด้ร่มพุทรา

นางเห็นสามีนั่งพักอย่างสบาย และเห็นพุทรามีผลดก ก็เอ่ยขนว่า “ทูนหัวขาพุทราดกเต็มด้น

น่ารับประทานจริง *1 เชิญขื้นแล้วเก็บรับประทานชิคะ และโปรดใหัอมราได้รับประทานบัาง”

“ที่รัก! เป็นความจริง ฉันมิได้รังเกียจในการขอรัองของอมราเลย” ปฏิเสธด้วยสำเนียงอ่อนโยน

“แต่รู้สึกล้าอยู่อยากจะขอนั่งพักใหัสบายสักหน่อย ไม่อยากจะก้าวขาขื้นไปเลย อมราขนเก็บเองได้มิใช่

หรือจ๊ะ”
อมราได้พังคำของสามีเช่นนั้น มิได้คิดเห็นเป็นอย่างอื่น นอกจากว่า สามีคงเหน็ดเหนึ่อยเมื่อยล้า

จริง *1 นางก็ปีนขนด้นพุทรา เลึอกเก็บผลบริโภคตามความพอใจ


“ที่รักขอให้ฉันบ้างซีจ๊ะ” มโหสถบัณฑิตเอ่ยวอน

“เหมาะนัก” อมรานีกในใจ “อยากรู้นักว่าผัวของเราจะฉลาดหรือไม่ ฉลาดแต่ไหน เป็นโอกาส


ที่ได้ทดลองให้รู้แน่กันละ” แล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “ทูนหัวขา โปรดบอกอมราหน่อยเถิดคะ ต้อง-

การจะรับประทานชนิดรัอนหรือเยินคะ ”
มโหสถบัณฑิตได้พังค้าสนอง ก็เห็นเหตุได้ แต่ทั้ง *1 ที่รู้ก็ทำเป็นเหมือนไม่รู้ ทั้งนึ่เพือทดลอง

ซัอนการทดลองของนาง พลางกัอนถามว่า “ที่รัก พุทราก็มีชนิดร้อนหรือชนิดเยินด้วยหรือจ๊ะ”

“มีซ็คะ” ตอบยํ้าด้วยสำเนียงสรวลระรื่น “มีจริง *1 นะคะ จะต้องการรับประทานอย่างไหน

เล่าคะ”
“ไหนลองร้อน *1 ก่อนซีจ๊ะ” ตอบด้วยชี่นชม “ฉันด้องการผลพุทราชนิดร้อนจ้ะ”
นางเก็บผลพุทราที่แก่งอม โยนลงไปที่แผ่นดินพร้อมกับเสียงเชิญอันระรื่น “พุทราร้อน ๆ จ้ะ

เชิญรับประทานชีคะ”
ผลพุทราที่นางโยนลงมากระทบแผ่นดิน ผิวก็แตกเปือนฝ่นละออง ฝ่นละอองชำแรกผิวเข้า

ไปจับเนื้อพุทรา เวลาเก็บมารับประทาน ต้องบัดต้องเปามีอาการเหมือนบริโภคผลไม้ที่ร้อน *1 มโหสถ

บัณฑิตแสนจะชี่นชมในความคมคายของนาง พลางนึกจะลองต่อไป “ที่รักจ๋า ชนิดร้อน *1 พอแล้วจ้ะ

kalyanamitra.org
(5) (5) 0

ขอรับประทานชนิดเย็น ๆ บ้าง”
นางเย็บไยนลงไปบนพนหญ้า ผลพุทราไม่แตกไม่มีฝ่นละอองจับพลางร้องเชิญ “เชิญรับประทาน

ชนิดเย็นเถิดค่ะ”
มโหลถบ้ณ•ทิดเย็บผลพุทรา รับประทานได้อย่างสบาย เย็บใส่ปากเลย ไม่ต้องบ้ดต้องเป่า
รับประทานไปพลาง “นางนึ่ช่างเฉลียวฉลาดเหลือเกิน เป็นบุญวาสนาแท้ ๆ ที่ได้มาพบคู่ครองอันมีดวาม
ฉลาดเช่นนํ่ อย่างไรย็ตามพระราชเทวีเหนือเกล้าฯ ของเรา คงจะทรงโปรดปรานไม่น้อย ” เมื่อเห็นสมควร
แก่กาล จึงบอกนางว่า “ลงเถิดที่รัก เราจะได้เดินทางล้นต่อไป เดี๋ยวจะเย็นเสีย ไม่ท้นประตูเมืองปิดจะ

เข้าเมืองไม่ได้”
นางพังแล้ว ลงจากด้นพุทรา หยิบหม้อนํ้าไปสู,แม่นํ้าต้กนํ้ามาให้มโหสกบัณฑิตดี๋มแล้วบ้วน

ปาก เสร็จแล้วพากันเดินทางต่อไป จนเช้าส่มิถิลานคร


มโหสกบัณฑิตยังต้องการที่จะทดลองนางให้เป็นที่แน่ประจักษ์อีกครั้งหนึ่งก่อน เมื่อถึงบ้าน-
เมืองแล้วแทนที่จะพานางไปบ้านท้นที หาทำเช่นนั้นไม่ กลับแวะไปบ้านนายประตูซึงรู้จักกันดี ไห้นาง--
พักอยู่ที่บ้านนั้นก่อน พร้อมกับกล่าวว่า “ที,รัก นายประตูเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอของฉัน เราสนิทสนม-
กนมากต้องขอฝากที่รักไวัที่บ้านนึ่ก่อน ฉันจะไปตูบ้านเรือนที่เราจะอยู่กันให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วจะมารับ-
ภายหลัง และกลางคืนจะกลับมาเป็นเพื่อนนะจ๊ะที่รัก ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร”
เพียงเท่านึ่อมราย็ยอม เพราะนางหาทราบฐานะอย่างแท้จริงของสามีไม่ แม้เมื่อมาถึงบ้านนาย
ประตูนั้นเล่า ย็ไม่มีท่าอันใดที่จะแสดงให้นางทราบความจริงที่สามีพลางไว้ นางคงเข้าใจว่ามโหลถบัณฑิต
เป็นโลมท้ตช่างชุนผู้ช่านาญอยู่ตามเดิม นางจึงไม่คัดด้านนอกจากวิงวอน “ทูนหัวขา อมราไม่มีที่รู้รักที่
ไหนในเมือง มีแต่ทูนหัวคนเดียวเท่านั้นเป็นที่พึ่ง โปรดจงเอ็นตูอย่าทอดที่งให้ว้าเหว่อยู่นานน้กนะคะ เมื่อ
เสร็จธุระแล้วโปรดกลับมาเป็นเพื่อนอมรานะคะ ”
“ไม่เป็นไรดอก ที่รัก” ปลอบให้คลายใจ “เสร็จเรื่องราวแล้วจะรีบกลับ และอย่าได้กลัวว้าเหว่
เลย ฉันจะบอกให้ภรรยานายประตูรู้เรื่องไว้ เซือว่าคงทำให้ที่รักหายว้าเหว่ได้ชั่วระยะเวลาที่รอคอยฉัน”

แล้วให้นางเข้าพักในห้องอันสมควร
เมื่อได้สั่งเสียเรียบร้อย มโหลถบัณฑิตย็ออกจากห้องมาพบภรรยานายประตู ซึ่งรออยู่ภายนอก
ด้วยความอยากจะทราบเรื่องราว พอพบกันมโหลถบัณฑิตก็เอ่ยก่อนด้วยเลียงเบา ๆ “พี่นาง ฝากน้องนาง

ไว้ด้วยนะ”
“รับประกันเด็ดขาดน้องชาย” รับรองแข็งข้น “พ่อคุณช่างสรรได้เด็ดจริง ๆ เพียงพีได้เห็นก็
นึกรักเสียแล้ว”
“แต่อย่าเพิ่งขยายให้รู้ว่าฉันคือใครนะ ช่วยบอกพี่ชายของพิ่ลาวด้วย อย่าได้แพร่งพรายให้นาง

รู้อะไร *1 ของฉันเป็นอันขาด นะพิ่นะ” ขอร้องเชิงบังคับ “ฉันคือโสมท้ตช่างชุนผูมีฟิมือในการชุน ไม่ใช่


ผู้มีอำนาจราชคักดี๋อันใด พี่นางโปรดทราบไว้”

kalyanamitra.org
®®®

“ทำไมจะต้องปิดบังอำพลางด้วยเล่า” ซักด้วยความสนเท่ห์
“ฉันยังต้องการจะทดลองนํ้าใจนางต่อไปอีกก่อน อย่าเพิงให้นางรู้เลย แล้วก็รู้ไปเองแหละ”

ดัดความพลางชั๊แจงวิธีการที่จะทดลองให้รู้กันไว้แล้วลาไปบัาน

ภรรยานายประตูยิ้มรับด้วยความซืนชม พร้อมกับนึก “นักปราชญ์นึชอบกล จะมีภรรยาสักคน

ก็ลองแล้วลองอีก”

kalyanamitra.org
๑๖. ลองใจนาง
ถึงบ้านแล้ว มโหสถบัณฑิตมิได้รอเวลาให้ผ่านไป ดำเนินการตามความคิดทันที เรียกสหาย
ที่ร้นซึอลึอนามในทางเจ้าซ้มาพบ ๓ นายด้วยกัน คือ ธนบาล ยศบาล และสุขวันต์ ล้วนมีซือในทางเจ้าซ้

พูดจาโวหารดีและเป็นบริวารเคยเล่นหัวกันมาแต่ครั้งเป็นเด็ก *1

เมื่อมาพรอมหน้ากันแล้ว ท่านมโหสถก็กล่าวปรารภเรื่อง “เพื่อนรัก ฉันพาผู้หญิงมาคนหนึ่ง

ฝากไวัที่บ้านนายประตูด้านเหนือ พวกคุณจงพากันไปเกั๊ยวให้นางตกลงปลงใจกับพวกคุณํเลิด”

ทั้งสามคนต่างนึ่งอื้ง มีอาการเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ ต่างคนต่างคิด “เอ ประหลาดเสีย


แล้วนึ่มันเรื่องอะไรกันความผันผวนอันใดเกิดร้นละกระมัง หายหน้าไป ๒ ๓ วัน กลับมาชักวิปริตไป

มาก”
“ทำไมถึงพากันนึ่งอยู่ล่ะ” เลียงเตือนด้วยใบหน้ายิ้ม “บอกให้ไปเกยวผู้หญิงไม่ชอบใจหรือ?”

“ชอบซีครับ” ธนบาลสนอง “แต่อดสนเท่ห์ไม,ได้เพราะไม่ทราบต้นสายปลายเหตุอะไรเลย


ท่านเป็นคนพามาเอง จะให้พวกผมไปเกั๊ยวทำไม ?”

“ก็ผู้ชายเขาเกื้ยวผู้หญิงกันทำไม?” ย้อนถาม “ไม่เห็นจะน่าสงสัยสนเท่ห์สักหน่อยเลย”


“ก็เยิ้ยวเพื่อให้หญิงตกลงปลงใจบำเรอตนนั่นแหละ”

“แล้วก็ยังจะสนเท่ห์อะไรอีกล่ะ”
“การที่ผู้ชายพาผู้หญิงมาได้นั้น ความหมายก็ไม่มีอย่างอื่น คือต่างฝ่ายต่างก็รักใคร่กันปรารถนา

จะร่วมซีวิดกัน ตัดความว่าเป็นผัวเมียกัน ท่านพานางมาก็หมายถึงว่านางเป็นภรรยาของท่าน ท่านเป็นนาย


ก็เท่ากับนางเป็นนาย จะให้พวกผมไปเกยวภรรยานายโดยนายบังคับเช่นนึ่ ตูจะเป็นการที่เรียกว่าวิปริต”

ธนบาลแถลงพลางหันไปทางเพื่อน “หรือว่าอย่างไรพวกเรา”

“ถ้าจะให้กันว่าบ้าง ก็คงว่าอย่างนั้นแหละ” ยศบาลกับสุขวันต์ตอบเหมือนซ้อมกันมา


“อย่ามัวโอ้เอ้อยู่เลย” มโหสถบัณฑิตตัดความ “เดี๋ยวจะเย็นจะคํ่าหมดเวลาเสีย พากันไปเยิ้ยว

นางเถิดว่าให้เต็มสมือทีเดียวนะ อ้อ เดี๋ยวก่อน รอเดี๋ยว....” หันไปเปิดหีบหยิบถุงเหรียญกษาปณ์ส่งให้

หนึ่งถุง ภายในบรรจุเหรียญกษาปณ์ ๑,๐๐0 เหรียญ พร้อมกับพูดว่า “เอาไปด้วย เผื่อจะต้องใชั เพราะ


สวรรค์ในมนุษย์ทั่ว *1 ไป ผู้ใดจะร้นต้องใซ้เงินทำเป็นขั้นบันไดจึงจะร้นได้สะดวก เอาละพากันไปเถอะ

อย่าลืมว่านางรู้จักฉันในนามว่าโสมทัตช่างชุนนะ ขอให้ผลสำเร็จจงเป็นของพวกคุณ”
สามสหายแมัจะยังไม่สิ้นสนเท่ห์ และยิ่งสนเท่ห์หนักร้นในเมื่อมโหสถบัณฑิตส่งเงินให้อีก

kalyanamitra.org
๑๑ธา

ตั้ง ๑,๐๐๐ เหรียญ คลัายกับจ้างให้ไปเกี่ยวอีกด้วย แต่ก็ไม่รู้จะโด้แยังอย่างไรเพราะเป็นคำสั่งที่เต็ดขาด

ไม่เคยมีใครสามารถโด้แยังได้ จำใจด้องพากันไปตามบัญชา
“เออ! นายเรานี่ถ้าจะอย่างไรเลียแล้ว” ธนบาลเอ่ยขณะที่เดินทาง “ไม่เคยปรากฎในกาลไหน,]

ได้เมียมาใหม่ คุ ไม่ทันกี่วัน มาบังคับให้พวกเราไปเกี่ยว ท่านจะคิดอย่างไรของท่านหนอ มีหนำซัาแถม


เงินให้อีกด้วย ประหลาดจริง คุ นักปราชญ์นี่ทำอะไรลึกซึ่งเราหยั่งไม่ค่อยถึงนะ จ้างคนให้ไปเกี่ยวเมียตน

คิด คุ แล้วพิลึก ดู *1 จะวิตถารหนัก”


“จะด้องมาพูดไปท้าไม” สุขวันต์ “ท่านเป็นนายท่านใช้ก็ท้า คำบัญชาของท่านเป็นลิงศักดํ่สึทธํ่

กันก็ไม่เห็นเลียหายอะไร ท่านอยากให้พวกเราเกี่ยวก็เกี่ยวกันไป ได้หวือไม่ได้ก็แล้วแต่เรื่องของฝ่ายคุณนาย

ของท่าน เรื่องทางเราก็มีแด,เรื่องเกี่ยว เรื่องตกลงหวือไม่เป็นเรื่องของผู้ถูกเกี่ยว”

“ได้เรื่องเกี่ยวน่ะด้องเกี่ยวละ ไม่ด้องสงสัย” พูดพลางถอนใจ “แต่กันหนักใจหลายสถาน”

ธนบาลแสดงความวิตก
“หนักใจทำไม” สุขวันต์คงขัด “เชื่อเถอะน่าทำไปดามคำสั่งไม่ด้องวิตก หวือเห็นอย่างไร

ยศบาลไม่เห็นเอ่ยอะไรบัาง ถ้าจะตรึกตรองเล่ห็เหลี่ยมอย่างไรกระมัง”
“ข้อนั้นแน่ละ” ยศบาลซึ่งเดินมาเงียบ คุ เอ่ย “เมื่อนายสั่งให้ทำก็ด้องทำเต็มลามารถ พยายาม

ให้ได้ผลตามคำสั่ง ไม่ใช่อย่างชุ่ย คุ พอแล้วไปที ซึ่งไมใช่วิสัยของอารยชนผู้ได้รับคำสั่ง”

“เอ! กลับมาตำหนิเราเข้าอีก” สุขวันต์บ่น “แล้วก็ไม่นึกหนักใจอย่างธนบาลเพื่อนนั่นบัาง

หรือ”
“ไม่หนักแล้วจะนึ่งหรือ” ยศบาลย้อน “ความหนักมันกดทับอยู่นะซิ พูดอะไรไม่ออก ลอง

เบาก็คุยเหมือนกัน”
“เอา! หนักกันทั้ง ๒ คน มีกันคนเดียวเท่านั้นนะที่ไม่รู้สึกหนัก” พูดอย่างคนไม่วิตก “เออ!

ลองว่าให้ฬงทีหรือหนักใจอย่างไรบัาง ธนบาลบอกก่อนเถอะ”
“ข้อแรกที่ฉันคำนึง คือสดิป้ญญาระหว่างเรากับท่านมโหสถห่างกันปานฟ้าห่างดิน” ธนบาล
เริ่มบรรยาย “เมื่อเป็นเช่นนี่แล้ว ไฉนท่านจะดูเบาในการเลึอกสตรีเป็นคู่ครอง อย่างนัอยที่สุดท่านก็ตอง

ใช้สดิป้ญญาชันมีอยู่นั้นเลือกเฟ้นจนเหมาะใจจริง คุ แล้วก็อย่างนัอยที่สุดของท่านนั้นมากที่สุดกว่ามาก

ที่สุดของเราเลียด้วยอย่างพวกเราจะไปเกี่ยวได้อย่างไรกัน ดีไม่ดีจะเป็นภัยแก่ดนเองเอาด้วยนา”

“ชอบกลเหมือนกัน” สุขวันต์คล้อยตาม “ยศบาลล่ะหนักใจอย่างไร ลองบอกมาทีหรือ”


“ข้อที่กันคำนึงหนักก็เหมือนธนบาลนั่นแหละ” ยศบาลบอกความคิด “แต่กันกลัวไปรูปหนึ่ง”

“กลัวอะไร” ซักทันควัน
“กลัว'เลียเชิงชาย” ยศบาลบอกตรง คุ “วิสัยชายเกี่ยวหญิง ด้องมุ่งหวังสำเร็จเป็นใหญ่ แมน

เกี่ยวไม่สำเร็จ นางไม่เล่นด้วย ก็เป็นการเลียเชิงชาย เป็นการอัปยศขนาดหนักทีเดียว ต่อมานางก็จะมา

เป็นคุณนายเข้าอีก พบกันรํ่าไป รู้สึกว่าจะด้องขายหนัาไปจนตายเอาก็ไม่ร”ู้

kalyanamitra.org
®®

“พุทโธ่! เพื่อนทั้งสองนี่กลัวไม่เข้าเรื่องเลย” สุขวันต์ท้วง “ทำไมดึงไม่เล็งเจตนาชันแท้จริง


ของท่านดูบ้างเล่า ที่ให้พวกเราไปเกี้ยวนี่น่ะเป็นการทดลองดูนํ้าใจนางว่าจะหนักแน่นมั่นคงแค่ไหน”

“จะมาลองทำไมอีก ในเมื่อตกลงเป็นคู่ครองกันแล้วยังทดลองกันไม่พออีกหรือ?” ธนบาล

กับยศบาลรุมกันแย้ง

“กันจะบรรยายให้ฬง” สุขวันต์เริม “ก่อนอื่นเราต้องคำนึงดึงฐานะของท่านมโหสถว่าจะเป็น

อย่างไร ท่านเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสูง เป็นราชบัณฑิตใกล้ชิดพระเจ้าวิเทหราช และเป็นนัองของพระนาง


อุทุมพรราชเทวี เป็นผู้ที่เลื่องลือด้วยความเฉลียวฉลาด คนทั้งเมืองไม่มีใครสู้ เป็นเอกอัครอัจฉริยะอยู่
ในยุคนี่ หากท่านมีภริยาชึ่งมีจิตใจอันชิ้อได้ด้วยเงินตรา มีความพอใจอันอาจหยิบยื่นให้ใคร รุ ได้ด้วยคำยกยอ

และมีร่างกายทุก รุ ส่วนไวัเพื่อต้อนรับความสุขเฉพาะหนัาเช่นนี่ จะคู่ควรกับท่านอย่างไรได้ เพื่อนคง

ไม่ลืมนิติแต่กาลก่อน อันกล่าวดึงสตรีด้วยข้อเปรียบเปรยต่าง รุ เช่นว่า ภาวะของหญิงรู้ได้ยาก เหมือน


ทางไปของปลาในนํ้า และไม'มีอะไรที่เป็นเครื่องผูกมัดหัวใจสตรีได้ ทรัพย์หรือ เกียรติยศหรือ ความสะดวก

สบายหรือ สงเหล่านี่เมื่อจะใช้ผูกมัดหัวใจหญิงแล้วเปือยยุ่ยเหมือนปุยฝัายมัดช้างสาร”

“จะเป็นการตำหนิที่หนักไปกระมัง สำหรับจะเอามาใช้กับหญิงที่ท่านมโหสถพามาคนนี”่ ธนบาล

แย้ง
“อย่าเพิ่งขัดซี” สุขวันต์กำลังเพื่อง “เพื่อนก็รู้ รุ อยู่ด้วยกันแล้ว พวกเราใคร รุ เขาก็ลำลือว่า

เป็นเจ้าชู้ ย่อมมีความรู้ในเรื่องของหญิงเท่า รุ กัน สูตรสำคัญของเรามีอยู่ว่า แม่นาทุกลายไหลคด ป้า

กั้งหมดล1''.วนม่หม่ไม่'ม่โอกาลแล้วไขร่หญงด‘องกาข่วก่นก”

อีกสูตรหนึ่งว่า "ไดกลบ ไดโอกาล ม่ขายเกยว หญงย่อมเลยล้า” ด้วยสูตรเหล่านี่หรือมิใช่ที่

พวกเราถูกใคร รุ ขนานนามว่า "เจาขู”้


“ไม่มีอะไรเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งหญิงได้บ้างละหรือ?” ยศบาลข้ดขํ่นบ้าง “สูตรต่างรุ เหล่านั้น

ดึงกันรู้ ก็ยังรู้สึกคลางแคลง”
“ทำไมจะไม่มี มีซี เครื่องเหนี่ยวรั้งของหญิงมีเหมือนกัน สหายไม่ทราบดอกหรือ”

“อะไรเล่า”
“ใจนางเอง ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อใจมั่นคงแล้วความเป็นสตรีจะกระทำอะไรได้” สุขวันต์ตอบ

ท้นที “แมันใจนางหนักแน่นแล้ว ก็เหนี่ยวรั้งใจนางเอง นี่แหละเป็นสาระแห่งการทดลองละจะบอกให้ ”

“พวกเราพากันไปเกี้ยวนางแล้ว ต่อมาเป็นนายเรา พวกเรามิต้องขายหนัาแย่หรือ?” ยศบาล

ยังหวั่น

“ไม่เป็นไร หากทดลองแล้ว นางมั่นคงจริง รุ ก็แสดงว่านางเป็นบัณฑิต มีความเฉลียวฉลาด

ภัยอันตรายที่ขิะเกิดขื้นแต่บัณฑิตไม่มีเลยรับรองเด็ดขาด คนโง่ รุ ดอกที่เป็นภัยอันตรายได้ เพราะความ

คิดอย่างโง่ รุ แล้วก็ทำอย่างโง่ รุ เซือกันเถอะไม่ต้องกลัวไม่มีทางเสีย”

kalyanamitra.org
® ® (^'

“อ้าว! ถึงบ้านนายประตูแล้ว” ธนบาลบอก “เราจะทำอย่างไรดี จะเข้าไปพร้อม*1 กัน หรือ

ผลัดกันทีละคน”
“ไม่มีธรรมเนียม ชายหลายคนเกยวหญิงคนเดียวพร้อมกัน” สุขวันต์แย้ง “ต้องผลัดกันเข้าไป

ทีละคน”
“กันอดประหม่าไม่ได้ เข้าไปหลาย รุ คนเป็นเพื่อนกันดีนา” ธนบาลเสนอ
“เจ้าซัประหม่าผู้หญิง ไม่มีตำรับ” สุขวันต์ไม่ลดละ “เคยเกี่ยวมานับไม่ล้วน จะมาประหม่า

ทำไมกัน”
“ที่เคยมาไม่ใช่ของท่านมโหลถ นาเพื่อน” ธนบาลยังไม่ยอม

“มัวเถียงกันเสียเวลา เข้าไปเถอะ” ยศบาลตัดความ


“ใครก่อนล่ะ” ยศบาลเอ่ย “กันสมัครเป็นโหล่ ”
“ตามลำดับ” สุขวันต์พูดเฉียบขาด “ธนบาล ยศบาล แล้วสุขวันต์ ไม่ต้องเกี่ยง เวลาจะได้ดี

ละก็ฉันก่อน ฉันก่อน พอเวลาเสียหายละก็ฉันทีหลังอย่าง'แควรจะใช้ต่างเท้าเลียอีกสองช้าง ไม่ควรจะ

เดินด้วยเท้าเพียง ๒ ข้างอย่างคน”
“ออกจะรุนแรงไปกระมังเพื่อนรัก” ธนบาลเสียงขุ่น เกิดมานะโนใจกล่าวว่า “กันก็ชายคนหนึ่ง”

ว่าแล้วก็เดินเข้าไปในบ้านของนายประตู โดยมิได้เหลียวมาตูเพื่อนทั้งสองซ็งมองตูด้วยความรู้สึกข้นใน

กิริยาของธนบาล
ธนบาลเช้าไปในบ้านแล้ว ไม่พบใคร ก็ส่งเสียงเรียกเอะอะไปตามเรึ๋อง “นายประตูอยู่ไหน
พึ่สาวอยู่ไหน” คงไม่เห็นมีใครออกมา

อมรากำลังทำงานเล็ก รุ นัอย ๆ อยู่ในห้องพักได้ยินเสียงเอะอะก็ออกจากห้องมา■ด้วยอัธยาศัย


อันเคยได้ฝึกมาว่า “อยู่บ้านท่านจงอย่าละเลยประโยชน์ของท่าน” เมื่อเห็นธนบาลเดินเข้ามาทักถาม “ภาดา

มีธุระอะไรกับนายประตูหรือคะ ”
ธนบาลจ้องตะลึงตูนางอยู่แล้ว เกือบไม่วางตา และกำลังนึกว่า “เห็นจะคนนึ่เอง ไม่เลวเลย”

แล้วก็ตอบว่า “ฉันเคยมาสนทนาวิสาสะกับนายประตูเสมอ รุ หลายวันแล้วไม่ได้มา วันนึ่เลยแวะมา หมาย

จะสนทนากันฐานชอบอัธยาศัยกัน”
“เห็นจะไปด้วยกิจ ณ แห่งใดแห่งหนึ่งแหละค่ะ” อมรากล่าวด้วยสำเนียงธรรมดา “เชิญขื้น

มานั่งคอยก่อนก็ได้นึ่คะ”
เป็นโอกาส ธนบาลรีบฉวย ขื้นไปนั่งบนเรือนทันที เมื่อนั่งลงเรียบรัอยแล้วอมราก็ต้องนั่งลง
ด้วยดามประเพณี “อ้า! ฉันไม่ได้มาเสียนาน ไม่เห็นภคินีมาแต่ก่อน” ธนบาลเริ่มปราศรัย "มั่นใจว่าคง

ไม่เป็นการเลียหายอันใด ที่ฉันขอทราบว่าภคินีเป็นอะไรกับนายประตู ผู้ชอบพอกับฉัน มิใช่หรือชีะ”


“ชายคนนึ่พูดจาชอบกล” นางนึกพลางเล่าเรื่องของนางเท่าที่ควรเล่าให้พังโดยย่อเพื่อไม่ต่อ

ความยาวสาวความยืด

kalyanamitra.org
ส®#3

แด่ธนบาลได้รับบัญชามาให้ดำเนินการเลื้ยวฬงเรื่องเพียงว่า สามีพานางมาฝากไว้ก็เห็นช่อง
ที่จะสึบกวะแสความต่อไป จึงเอ่ยถาม “ขอโทษเถิดนะจ๊ะ ภคินีมีได้บอกให้ทราบเลยว่าชื่ออะไร จะเป็น
การละลาบละด้วงไปสักหน่อยก็ได้ ที่ได้เอ่ยถามชื่อของภคินี แต่หวังอยู่ว่า คงไม่รังเกียจในความมีไมตรี

อันเป็นมิตรธรรมสำคัญ”

“ไม่มีการละลาบละด้วงอันใดในการถาม ภาดา” สนองด้วยเสียงอันปกติ “และดิฉันก็มิได้


รังเกียจในการที่จะบอก ดิฉันย่อมพอใจในมิตรธรรมเดียวกัน ด้าภาดาต้องการทราบก็อาจทราบได้”

“ดีเหลือเกิน!” อุทานด้วยปลื้มใจ คิดเห็นลู่ทางกระจ่างไปไกลถึงกับสันนิษฐานว่า “มีเด้าแห่ง

ความสำเร็จ”
“ชื่อของดิฉันไม่ไพเราะ เพราะฉะนั้นการบอกจะรู้สึกละอายอยู่บัางที่จะบอกตรง อุ” นาง

กล่าวด้วยคิดจะทดลองแววฉลาดของเขา “ขอบอกภาดาว่า “สิ่งที่ไม่มีแก่ดิฉันมาแต่ก่อน ไม่มีอยู่ในบัจจุบัน


และจักไม่มีในอนาคต สิ่งนั้นเป็นชื่อของดิฉัน ภาดา ต้องการรู้จักดิฉันก็คิดดูเถิด ดิฉันชื่อนั้นแหละ” ทอด

สายตาคูเขาอย่างคันหัวใจดูว่า “ฉลาดแค่ไหน”

ธนบาลสะอึก ความคิดเห็นลู่ทางที่เคยกระจ่างกลับมืดมนลงท้นที เพียงแต่บอกชื่อก็เป็นปริคนา


ไปเสียแลัว พยายามคิดก็ไม่สามารถจะทราบได้ ครั้นจะขอรัองใหันางไขก็ละอายนักไม่อาจเอ่ยได้ นิ่งนึก

“เออ! ถาจะเข้าบ่วงอับบ่วงราเสียจริง อุ แลัว เพียงแด่ชื่อกึไม่สามารถจะรู้ได้เสียแล้ว นางฉลาดจริง *1

แต่....ความฉลาดของหญิงมักเป็นภัยแก่ตนเอง.•..ช่างเถิด เราไม่จำเป็นต้องรู้จักชื่อก็ได้, คิดอยู่ครู่หนิ่ง

พลางถามถึงชื่อของสามีนาง “ภคินีผู้มีดวงหนัาอันประมวลแห่งสิริ ชื่อของภคินีเป็นปริคนาชวนคิดดี

เหลือเกิน เป็นเครื่องให้เห็นความฉลาดอันเป็นคุณสมบัติอย่างสูงทำให้ฉันต้องคิดหนัก แต่แล้วก็ไม่ปรากฎ


ผล เชื่อว่าเวลาจะคงอำนวยในกาลต่อไป เรื่องชื่อของภคินีเป็นอันปล่อยให้ผ่านไปก่อนก็ได้ ไม่เป็นข้อ

สำคัญเพราะล้าคุ้นกันยิ่งกว่านิ่ก็คงจะทราบได้ว่าสิ่งที่ภคินีไม่มีนั้นคืออะไร แล้วก็จะทราบได้เอง แด่สามี

ของภคินีเป็นใคร มีฐานะเป็นอย่างไร ที่ด้องการทราบนั้นก็เพื่ออำนวยความสวัสดีแก่ภคินีและคู่ครอง


คงจะไม่รังเกียจในการที่จะบอกตรง *1 ถึงชื่อของชายผู้มีโอกาสงามผู้นั้นนะจ๊ะ”

“โสมท้ตค่ะ” นางตอบทันที และมีอาการยิ้มในหนัาเหมือนจะกล่าวออกมาว่า หนัาโง่ อุ อย่างนิ่

สู้โสมทัดไม่ได้ดอก”
“โสมทัด!” ท้าเสียงและแสดงท่าเหมือนตกใจ “โสมท้ตในมิถิลานครนิ่ก็มีคนเดียว เป็นช่างชุน
โสมทัดคนนั้นหรือจ๊ะเป็นสามีของภคินีผู้ทรงสิริอย่างนิ่” เว้นระยะแล้วพูดเหมือนปรารภกับตนเอง "น่า

สงสัย และน่าสงสาร”
“ภาดา! กล่าวอะไร น่าสงสัยและน่าสงสาร” นางถามเป็นเชิงฉงน “สงสัยอะไรและสงสาร

ทำไม”

หากภคินีไม่ถึอโทษในการกล่าวของฉัน และมีเจตนาจะให้อภัยแก่ฉัน ฉันก็ยินดีจะแจ้งให้ทราบ”

กล่าวเป็นนัย

kalyanamitra.org
๑๑๗

“การแก้สงลัย เป็นเรื่องของผู้แสวงหาความสว่างแก่ตน และการสงสารก็เป็นการแสดงความ


เห็นใจไม่เห็นว่าจะเป็นโทษเป็นภัยอันใด ทั้งดิฉันเองก็ไม่เคยคุ้นภับภาดามาก่อน เพิ่งพบกันวันนั้เป็นครั้ง

แรก จะไปมีโทษอะไรที่ควรจะยกสำหรับภาดา” นางแถลง


“ถ้าเช่นนั้น ฉันก็ยินดีที่จะบอกเล่าให้ได้ทราบข้อที่ควรจะทราบเพื่อเป็นการปลีกตนเสียแต่เมื่อ

ยังอาจปลีก และมีโอกาสปลีกได้” ที่ฉันปรารภว่า น่าสงสัย และน่าสงสารนั้น เรื่องเป็นเช่นนึ่ โปรดพีง

นะจ๊ะ”
“เชิญพูดตามีสบายเถิดค่ะ” นางสนอง ซึ่งธนบาลนึกว่า นางคงเต็มใจพีงจริง *1

“ที่ว่าสงสัยนั้น คืออย่างนึ่ ภคินีจะทราบถึงความเป็นไปของตนดีเพียงไร ก็เป็นเรื่องทีฉันอยาก

จะทราบได้เกี่ยวกับความสวยงาม เกี่ยวกับผิวอันผุดผ่อง เกี่ยวกับกิริยาอันละมุนละม่อมและอะไร *1 อีก

มากประการ ซึ่งประมวลกันเข้าแล้วก็เป็นกลุ่มเป็นก้อน อันสามารถจะสรัางความเป็นนางแก้วให้ได้อย่าง

สมบูรณ์....”
เมื่อได้พีงอย่างนึ่ นางก็ทราบได้ทันทีว่า “ชายนํ๋เกี่ยวเรา” นางนึกต่อไป “พุทโธ่ ไม,ได้ชิ้ดีน
ผัวเรา หากจะหยิบเอาขดีนของผัวเราชิ้นมาลักชิ้นหนึ่ง ซึ่งคงจะเป็นธุลีเล็กนักหนา ก็ยังจะมีราคากว่าชาย

คนนึ”่ เป้นความนึกของนางขณะฬงธนบาลกล่าว “ลองพีงคารมเขาต่อไป” นางคงนึ่งเหมือนตั้งใจฟ์ง

“ข้อนั้นเป็นการที่ภดินึน่าจะทราบได้ดี” เริมต่อไป “ความสวยงามของภคินีที่ปรากฏเฉพาะ

หนัาฉันบ้ดนึ่ เป็นความสวยงามทั้งปวงที่เคยผ่านมาตลอดกาลแห่งอายุถึงบ้ดนึ่ เป็นความงามอันควรจะ

เป็นมื่งบ้านมิ่งขวัญเมืองได้ทีเดียว”

“ภาดาผู้เจริญ ความงามของดิฉัน เกี่ยวข้องอะไรกับคำพูดที่ว่าน่าสงสัย และน่าลงสารนั้น

ด้วยหรือคะ” ถามด้วยอาการยิ้ม ซึ่งแปลความหมายได้ยาก

“เกี่ยวชีจ๊ะ” ยืนยันหนักแน่น “เป็นกรณีแวดล้อมสำคัญทีเดียว”

“ถ้าเช่นนั้นเชิญพูดต่อไปเถอะค่ะ ”
“ก็เมื่อความงามอันสูงสุด เกินกว่าถ้อยคำที่พูดกันเป็นภาษาอยู่ทุกวันนึ่ ได้ประมวลไวัหมดใน

ร่างกายของภคินีเช่นนึ่ เป็นการน่าประหลาดแท้ ๆ ที่มาคู่เคียงกับความสนไรัประดาเลีย ไม่น่าจะเป็นไป

ได้เลย จึงเกิดสงลัย'’แมาว่า โสมทัดช่างชุนนั้นเป็นคนไม่ปรากฏหลักแหล่ง เที่ยวรับจ้างอยู่ในเมืองนึ่ นาน5]

ก็หายวับไปแล้วก็กลับมา เป็นคนอนาถา ทำไมจึงมาได้ภคินีเป็นคู่ครอง น่าจะเป็นเพราะโสมทัดใช้ปาก


ของตนเป็นเครื่องพามากระมัง เพราะในปากคนมีอะไร *] อยู่มาก เชือกเกลียวก็มี อาวุธก็มี เพลิงก็มี นา­
ทวานก็มี นํ้าแสบก็มี ภคินีคงจะหลงลมปากโสมทัดละซ็จึงได้ติดตามมา นึ่เป็นข้อสงสัยของฉัน”

“ดิฉันจะแก้ข้อสงสัยของภาดา” นางกล่าวด้วยเลียงธรรมดา “โสมทัดไม่ได้ล่อลวง แต่เรามี


ความพอใจก้น รักกัน ยินดีที่จะเป็นคู่ครองของกันและกัน เราพอใจในความดีของกันและกัน รักกันด้วย

ความดี และก็มุ่งจะปกปัองครองกันด้วยความดีของเรา หายสงสัยหรือยังเล่าคะ”


“ยังสงลัยจ้ะ” ธนบาลยืนคำ “ดีแล้วถึงรัก หรือรักแล้วชึงดี นึ่เป็นข้อสงสัยช้อนชิ้นมาอีกข้อหนึ่ง”

kalyanamitra.org
®®

“ข้อนั้นก็ไม่น่าสงสัยเลยนี่คะ”

“ไม่น่าสงสัยอย่างไรได้” ธนบาลแย้ง “โสมทัดไม่มีดีอะไรเลยเท่าที่เห็น ยากจนค่นแค้นอนาถา


ไม่มีที่พำนักเป็นหลักแหล่ง จะดีมาแต่ไหน จึงน่าจะเห็นว่ามิใช่ต็ก่อนแล้ว ดีนั้นนำเข้ามาถึงรัก คงเป็น

เพราะได้พังถ้อยคำอันโน้มนัาวให้จิตใจเคลิบเคลิ้ม จนรักเกิดร้น แลัวรักนั้นจึงนำเข้าต็งดี เมื่อรักกันแล้ว

อะไร กุ ก็ดีหมด เป็นเช่นนั้นกระมังจ๊ะ”


“ความดีไม่มีใครผูกขาด ความดีไม่มีเจ้าของ และความดีไมมีชันของคน” นางแถลง “การที่

บันทึกว่าคนยากจนค่นแค้นอนาถาเป็นคนไม่ดีนั้น ไม่เป็นการถูกต้องเลย ทั้งนี่เพราะความดีใชัทรัพย์ซื้อ

เอาไม่ได้ ความดีใซัความมีสกุลสูงเป็นเครื่องนำมาก็ไม'ได้ และความดีจะใชัอำนาจน้อมมาก็ไม่ได้ คน

ทุกคนมีความดีเท่า กุ กันถ้าหากบำเพ็ญความดี โสมทัดสามีของดิฉันจะมีฐานะเป็นอย่างไร ยากจนค่นแค้น


ปานไหนก็ตามที ทุกสิ,งทุกอย่างนั้นไม่อาจลบล้างความดีของเธอให้หมดไปได้ หรือจะเพียงแต่จะทำให้

ลดหย่อนลงจากความดีก็ไม่ได้ จึงไม,เป็นการประหลาดอะไรที่ดิฉันจะรักและรับความรักของเธอ”

“ถูกอย่างนางแถลง ความดีไม่มีใครผูกขาด ความดีมิได้ซื้อได้ด้วยทรัพย์” ธนบาลคล้อยตาม

แล้วตลบท้าย “แต่ความมีทรัพย์ใครเล่าจะปฏิเสธว่าไมใช่ความดี ผู้'มีทรัพย์แล้ว แม้มีผิด ทรัพย์ก็ช่วยปกปิด


ความผิดได้ แม้มีตระกูลตำทรัพย์ก็เชิดร้นสู'สมาคมแห่งผู้มีตระกูลสูงได้ แม้ไร้อำนาจ ทรัพย์ก็เรียกร้อง

อำนาจมาให้ได้ อานุภาพแห่งทรัพย์มีมากมาย ผู้มีทรัพย์จึงเป็นผู้มีความดี ผู้ใม่มีทรัพย์จะเป็นคนดีได้อย่างไร


ไร้ทรัพย์เสียอย่างเดียว ถึงจะไม่ทำอะไรผิดก็เป็นที่หวาดระแวงว่าจะต้องทำผิด เพราะผู้ทำผิดด้วยยากแค้น

มีอยู่ ถึงจะมีตระกูลสูง ก็ไม่มีใครเชิดชู ลึงมีอำนาจก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ ย่อมดูถูกดูหมิ่น แม้ในหมู่พีน้อง


คลานตามกันมา เมื่อเป็นเช่นนี่ความไร้ทรัพย์จะช่วยคนอย่างโสมทัตให้เป็นคนดีได้อย่างไร และโสมทัด
จะป็ดีอยู่อย่างตรงไหน จึงเป็นผู้ที่คู่ควรแก่ความรักของภคินีผู้ควรแก่การเทอดไว้สูงกว่าเขาปานพีากับดิน”

“ภาดาผู้เจริญ ดูช่างรำพันรำพีงถึงความมีทรัพย์เสียเป็นหนักหนา ประหนึ่งมีทรัพย์แล้วอาจ

มีได้ทุก กุ อย่าง” นางโต้ตอบด้วยอารมณ์ชิน “ทร้มย์จะข่ายอะไรได้ในเมอผูมทรมย์!เระมฤต่ขา ทรํมย์จะ


ข่ายอะไรไต'ในคราามฤตยูเข่ามาผลาญ และทร่มย์จะคุ้มอะไรไต่ในเมอคาามาม่ตเก่ดแก่ทรมย์นั้นเอง ทรมย์
จะคอะ ไรน''กหนา แม้จะม่ทรมย์มากอาจขอโลก ได้ทั้งโลก แต่ทรมย์นั้น ไม่'อาจขอนั้าใจทแด้'จริงของคนเมนง
คนเดยว ได้เป็นเข่นนั้จริง ไหมคะภาดา”

ธนบาลชักจะจำนนต่อเหตุผลและข้อเท็จจริง ทั้งลังเกดได้ว่า นางไม่เปิดทางให้แก'ใคร ห้วใจ


ของนางมีแต่โสมทัตผู้เดียวเต็มเปียม แต่ไม้ดื้อของเขาย้งมี “ภคินีผู้เจริญใจ ไม่อาจปฏิเสธได้ใช่ไหมจ๊ะ

ระหว่างผู้มีทรัพย์กับผู้ไม่มีทรัพย์นั้น ผู้มุ่งหวังความเจริญควรจะเลือกทางผู้มีทรัพย์ โดยเฉพาะสตรีผู้หวัง


ความสำราญอันแท้จริงในซีวิต ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะซีดความมีทรัพย์ไวัเป็นเบื้องต้น”
“ภาดาผู้เจริญ ถ้อยคำที่พูดนั้น หากมุ่งจะเปรียบผู้ไม'มีทรัพย์ คือโสมทัตผู้เป็นที่รักของดิฉัน

ละก็ ท่านเปรียบผิดเหมือนกับเปรียบนี่ากับไฟว่าเป็นอันเดียวกัน”

“ทำไมจ๊ะ?” เขาซัก “ความจริงที่ประจักษ์เป็นเช่นนั้นหรือจ๊ะ”

kalyanamitra.org
® ® 6โ'

“ภาดาประจักษ์ในความจริงเท่าที่เห็นอยู่นั้น เป็นความจริงตามข้อเท็จจริง ซึงคนละชนิดกับ

ความจริง ตามเหตุผล” นางแถลง “หากภาดาจะเปรียบผู้มีทรัพย์กับโสมท้ตแลัวก็ต้องเปรียบระหว่างผู้มี

ทรัพย์กับผู้เป็นเจ้าของขุมทรัพย์จึงจะคู่ควรกัน เพราะโสมท้ตเป็นผู้ครองบ่อแห่งทรัพย์ ผู้มีบัญญาควร

จะเลือกฝ่ายไหน จึงจะลมกับเป็นผู้รู้จักเลือกของภาดา โปรดแถลงหน่อยเถิดค่ะ”


“ก็เป็นเรื่องชอบกล” ธนบาลกล่าวเชิงฉงน “แต่เหตุผลที่ว่าโสมท้ตควรจะเปรียบกับผู้ครอง

ขุมทรัพย์นั้นยังไม่แจ่มแจัง จะให้ฉันแถลงได้อย่างไร” เขาหลบป้ญหาไปเลียทางหนึ่ง

“ที่จริงภาดาก็รู้จักโสมทัดเพียงเผิน ตุ เท่านั้นเอง” นางตำหนิ “สมรรถภาพของเขามีอย่างไร

ภาดาไม่ทราบเลย ดิฉันทราบแล้ว ดิฉันพบแล้ว ซึงคุณข้อนั้นของเธอผู้เป็นทีรักจึงกล่าวว่าเธอเป็นผู้ครอง

ขุมทรัพย์เพราะสมรรถภาพของตนนั้นต่างหาก คือขุมทรัพย์อันแท้จริงของมนุษย์ ขุมทรัพย์ของมนุษย์


มิใช่อยู่ที่ความรำรวยของบิดามารดา มิใช่อยู่ที่ความมั่งคั่งของสตรีผู้เป็นภรรยา หมายความว่ามีบิดามารดา

เป็นผู้รํ่ารวย เมื่อท่านวายชนม์แล้ว ทรัพย์นั้น ตุ ก็ตกแก่ผู้เป็นบุตร หรือสกุลที่มีธิดาเป็นสกุลม์งคังด้วย

โภคสมบิต ตนก็หาทางสมรสกับธิดาแห่งสกุลเช่นนั้น แล้วกลายเป็นผู้มีทรัพย์ร้น หากภาดาจะสำคัญมั่น-

หมายด้งนึ่ไชรั ความสำคัญนั้นก็เป็นผิดและผิดอย่างหนัก สมรรถภาพของมนุษย์เท่านั้นเป็นขุมทรัพย์อัน

ไพศาล ภาดากล่าวมาแล้วว่า “ความม่ทว่ม่(เไม่ม่ใคโปฏ่!ส!)ไ'าม่ไข่ควไมศ’' แต่คไามม่ขุม!แม่บ่สบป้าบไม่

โจกหมด จ!'ม่ใคโบาาหจ"ไม่ยสม)บ (แดกว่าความม่ท)ห!)แสบบา''


“ที่ภคินีกล่าวนั้นก็เป็นความจริง แต่-” ธนบาลยังมุ่งที่จะทำลายแนวป้องกันของนาง แล้วเข้า

ถึงจุดประสงค์ของตน “สมมุติว่า ผู้ครองขุมทรัพย์ไว้ในมือแล้ว ยังไม่ได้ขุดทรัพย์นั้นร้นมา ก็เป็นแต่ความ

หวังอันมิปรากฎเป็นรูปร่าง ยังอยู่ห่างไกลที่มือจะถือจะหยิบได้ ความสำเร็จประโยชน์อะไรก็ยังอยู่ไกล

ทั้งนั้น ล้ามีผู้มีทรัพย์ปรากฎแล้วเฉพาะหน้า สามารถอำนวยประโยชน์ให้สำเร็จทุกประการ ด้วยความ


พอใจเป็นที่สุดในการที่จะมอบให้แก่ภคินีผู้เจริญใจเพราะความรัก ความปรารถนาที่จะเห็นนางผู้เป็นที,รัก

เป็นที่เจริญใจ มีความสุขพรั่งพร้อมด้วยความสะดวกสบายทุกประการเช่นนี้ ภคินีผู้เจริญใจจะเห็นอย่างไร

จ๊ะ จะควรรออนาคตอันไม่แจ่มใส หรือจะรีบรวบเอาบัจจุบันอันแจ่มใส มิใช่นิติอันดีเลย ที่สิงใดอยู่ใกล้ ตุ

เป็นได้แน่แต่ไม่ปรารถนา กลับไปหวังภายหน้า อันไม่แน่นอนของภคินี โปรดตัดสินความข้อนี้เพื่อฉัน

ผู้ซึ่งทอดกายและใจลงแล้ว ในการที่จะอำนวยสงปรารถนานั้นแก่ภคินีด้วยความรักอันลันพัน และด้วย

ความภักดีเสมือนมาตุลีอันภักดีต่อองค์อัมรินทร์ฉะนั้นเทียว”
“ภาดาผู้เจริญ ความที่กล่าวแก่ดิฉันบัดนี้ เป็นช้อที่แจ่มแจ้งแก,ใจดิฉันมาแต่แรกแล้ว แต่ด้วย

เคารพในความเป็นเผ่าผู้อารยชน ก็หวังอยู่ว่าคงไม่มีเหตุการณ์อันใด ซึงจะเป็นการละเมิดวินัยแห1งอารยชน


บังเกิดร้นได้” นางตอบด้วยสำเนียงอันปกติ “ดิฉันเป็นหญิงมีสามีแล้ว ย่อมอยู่ในฐานะอันมิควรที่ชายใด

จะมุ่งใจใฝ่รัก และโดยที่แท้จิตใจของดิฉัน ตลอดถีงสิ่งที่ตนรักที่สุดของตน ได้มอบไวัแล้วแก่สามีซึ่งเป็น

เจ้าของขุมทรัพย์อันมหาศาล ทั้งมิได้คิดมอบแต่ชาดินี้ ยังมีหวังที่จะมอบให้เธอทุกชาติไป ภาดาจะหวัง

อะไรกับสตรีซึ่งเป็นเช่นนี้ จะมีอุบายอันที่จะนำมาใข้กับสตรีเช่นดิฉัน หากภาดาหวังที่จะคั้นนี้ามันออก

kalyanamitra.org
๑๒

จากเม็ดทราย ก็ดูจะง่ายกว่าเป็นไหน *[ เชิญภาดาผู้เจริญกลับไปเสียเชิด และจงใซัทรัพย์เพื่อคุณอย่าง

อื่นเชิด อย่าใซัเพื่อการนี้เลย”

“นางผู้เจริญเอย ความรักของบุรุษย่อมเกิดไต่ไนสตรี มิได้เลือกวัยและฐานะ วัยและฐานะของ


สตรีจะห้ามความรักของบุรุษมิได้เลย” ธนบาลออด “เพราะฉะนั้นนางจงได้กรุณาปรานีแก'ฉันผู้มอบแล้ว

ทุกอย่างแก'นางด้วยเถิด”
“ภาดาผู้เจริญ! คำกล่าวของภาดาแต่ด้นมา” นางย้อนถาม “ภาดายังจะนึกได้หรือไม่ แต่ดิฉัน

ยังจำได้ดี ภาดาเป็นผู้มีทรัพย์ ภาดาสรรเสริญค่าแห่งทรัพย์ว่า ผู้มีทรัพย์เท่ากับมิทุกอย่าง ทรัพย์อาจอำนวย


สิ่งที่ปรารถนาได้มิว่าอันใด ดังนั้นโปรดใซัทรัพย์ของภาดาที่มีอยู่ชื้อเลียเถิด คือชื้อความรักในสตรีที่มีสามี

เช่นดิฉันไปเสียจากหัวใจของภาดา และพร้อมกันนั้นก็ขอให้ภาดาใ,ชัทรัพย์,ซีอความดี คือเจตนางดเวันการ


ล่วงละเมิดภรรยาของคนอื่น แม้เพียงความรู้สึกนึกคิด มาใส'ไวั!นหัวใจแทน ทั้งดิฉันขอรัองต่อภาดาผู้
มีทรัพย์ ณ ครั้งนี้ด้วยว่า จงโปรดใซัทรัพย์ของท่านถ่ายความซัวออกจากตนเสีย และชื้อความดีที่โลกเขา

นิยมกันมาใส'ไวัแทน ซึ่งในการชื้อทั้งหมดนี้ทรัพย์ของภาดาผู้เจริญจะมิด้องสั้นไปแม้แต่เบี้ยเดียว ภาดา

มีทรัพย์มากชื้อเลียนะคะ”

ธนบาลพังถ้อยดำของนางด้วยความรู้สึกแปลบปลาบขื้นในดวงใจ จะโกรธจะเคืองก็ไม่ถนัด

เป็นความเจ็บปวดซึ่งไม่มีทางระบายออกได้เพราะวาจาของตนนั้นเอง กลับมาม้ตตน เหมือนพรานผู้วาง


บ่วงไว้ด้วยความมุ่งหวังจะดักมฤค แต่กลับลูกมฤคลวงล่อใหันายพรานวิ่งเข้าไปติดบ่วงที่ตนดักวางไว้เอง

จะโกรธใคร จะโทษใคร ก็ด้องโกรธตนเอง และโทษตนเอง ภาวะของธนบาลขณะนี้มิได้ต่างกันกับนาย

พรานนั้นเลย และดูจะเป็นโอกาสแรกที่เขาได้เห็นตัวของเขาซัดเจนขื้น พร้อมกันนั้นก็นึกบูชาความฉลาด


ของนาง และยิ่งบูชาปญญาอันสามารถของมโหลลมากขื้น

เมื่อหมดหนทางจะล่วงลํ้า หมดประตูที่ตนจะช้าแรกเข้าไปในระหว่างความรักของท่านมโหสถ

และอมราผู้งามพร้อมได้แล้ว ธนบาลรู้สึกว่า “การนั่งอยู่ต่อหน้านาง ยิ่งนานเพียงใดก็ยิ่งเพิ่มความอัประมาณ

ให้แก่ตนเพียงนั้น ทางดีที่สุดที่ควรจะเดินก็คือลาออกมาเลีย” เลียงอำลาของธนบาลที่กล่าวนั้นหมดความ

แจ่มใส เหมือนว่าความอดสูได้ปล้นเอากระแสเลียงอันกังวานของเขาไปโดยไกลแสนไกล จนเขายากจะ


เหนี่ยวติดดามกลับมาได้ทันใจ

พ้นออกมาแล้ว รู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองขื้น และความอึดอัดทั้งหลายก็ค่อยคลายลง มาถึงเพื่อน

ที่วิอต่างรุมกันเข้ามาถาม-“เป็นไรบ้างสหายรัก” ด้วยอารมณ์อดสูยังกร้งอยู่ เขาตอบสะบัด “อย่าลามเลย

ไปลองตูเองเถอะ คงรู้ได้ด้วยตัวเองดอก”
“ถามหน่อยก็ไม่ได้หรือ?” สุขวันต์กระเซัา “บอกกันให้รู้ไว้บ้างซ็ เผื่อจะได้คิดแก็ข้อที่จำนน”

“ขอทีเชิด เพื่อนรัก” ธนบาลดัดความ “กันเหนื่อยเหมือนคนที่วิ่งมาแต่ทางอันไกล อึดอัดเหมือน

ผู้ที่โผล่ขนมาจากการดำนี้าที่นาน ให้กันพักผ่อนตามลำพังเชิด”
“อย่าไปเซาชื้เขาเลย” ยศบาลบอก “ถึงวาระของกันแล้ว กันจะเข้าไปเกื้ยวตูบ้าง”

kalyanamitra.org
๑๒๑

ผลที่ยศบาลได้พบก็ไม่ต่างกับธนบาล กลับออกมาด้วยกิริยาท่าทางทำนองเดียวกัน แม้สุขวันต์

ก็ทำนองนั้น ทั้งสามมาพบกันพร้อมแล้วต่างได้รู้รสชาติของการเกื้ยวภรรยานายแล้วก็พากันกลับไป เพื่อ

แจ้งความให้มโหสถบัณฑิตทราบ
ระหว่างทาง สุขวันต์ซึ่งไม่เคยทุกข์ร้อนในเรื่องอะไรเอ่ยเป็นเชิงปรารภ “เด็ดเดี่ยวจริง แม่เจ้า

ประคุณ เป็นนายเราก็เหมาะแล้ว ฉลาดเฉียบแหลมคมคาย ไม่รู้ว่าแม่ไปฟิกฝนมาจากไหน ควรเป็นมิ่ง

ขวัญคู่ซีวิตจิตใจของท่านมโหสถจริง ๆ”
“สูตรต่าง *1 ของเพื่อนเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” ธนบาลยั่ว “เห็นสาธยายลั่นเมื่อขณะที,มา หญิง

ได้ช่องต้องทำซัวบ้าง หญิงได้ที่ลับ ได้โอกาส มีชายเกั้ยวต้องเสียตัว อ้างออกฟังแล้วเป็นอย่างไรล่ะ สูตร

เหลวละซี”
“ไม่เลว สูตรคงเป็นสูตร” สุขวันต์โต้
“แต้วก็เป็นอย่างไรล่ะ หน้าของพวกเราเมื่ออยู่ต่อหน้านาง รู้สีกเหมือนพอกด้วยยางหนา *1 จน
มีนั้าหน้กลึงไม่อาจเงยใช่ไหมล่ะ” ธนบาลคงกระเซัาต่อไป “ที่ลับก็ไต้ ชายเกยวก็มี โอกาสกึดี ทำไมไม่

ปรากฏผลลัพธ์ตามหลักสูตรหนา”
“ไม่ครบตามสูตร” สุขวันต์แย้ง “ที่ลับได้จริง ชายเกยวมีจริง แต่ขาดข้อสำคัญ คือขาดโอกาส”

“ก็โอกาสมีอยู่มิใช่หรือ” ยศบาลซักบ้าง

“ไม่มีเลย” สุขวันต์ยืนยัน “นางไม่เปิดโอกาสให้แก่ตนได้ด้วย”

“อย่างไรนะ ?”
“อย่างนื้ซี” สุขวันต์เฉลย “โอกาสนั้นคือช่องว่างในหัวใจ เพื่อนคงสังเกตได้ดีว่า หัวใจของนาง

เต็มอัดแน่นไปด้วยความรักความภักดีในโสมหัต นางทราบด้วยเหตุผลอันถูกต้องของตนว่า นางมีโสมหัต


ผู้เดียวแล้วเท่ากับนางมีทุกอย่าง แม้แต่ความสุขในแดนทิพย์ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของนางที่จะคว้ามาเป็นสมบัติ

ของตน โสมท้ตผู้เดียวบันดาลทุกสิ'งทุกอย่างใหันางได้ เพราะนางมั่นใจว่าโสมหัดเป็นขุมทรัพย์ เป็นขุม

ศฤงคาร เป็นขุมความสุขที่จะอำนวยให้ใม่รู้ชักสัน ความใฝ่ใจของนางถึงความยุติลงแล้ว ความพอได้


ปรากฏแก่ใจของนางแล้ว หัวใจของนางไม่พร่อง เมื่อเป็นเช่นนื้โอกาสจะมีที่ไหน อันโอกาสนั้นย่อมปรากฏ

แก่หัวใจที่ยังใฝ่ฝันหา เป็นหัวใจที่ไม่มีความพอ เป็นหัวใจที่ยังบกพร่อง เพื่อนลองพิเคราะห์เถิด นารีใด


ยังมีความใฝ่ฝัน ยังมีหัวใจที่บกพร่อง ความพอไม่มีในหัวใจนั้นหัวใจยังมีช่อง ซึ่งเป็นทางเปิดรับลิงที่หัวใจ

ใฝ่หา เมือบุรุษนารีใดทราบอาการเสนอของหัวใจนาง ก็สนองตามที่นางปรารถนาได้ซือว่าเข้าช่องได้ เมือ

เข้าช่องได้แล้วผลลัพธ์เป็นไม่ต้องกล่าวกัน คงเป็นไปตามสูตร”
“ล้าเช่นนั้นก็เห็นจะรักษาตัวยาก และยากที่จะป้องกันตนให้พ้นจากความเลียหายต่าง *1 ละซี”

ธนบาลด้าน
“จะว่ายากก็ยากจะว่าไม่ยากก็ไม่ยาก” เฉลยต่อไป “เพราะเป็นเรื่องของใจนางเอง ซึ่งได้กล่าว

ไว้ครั้งก่อนแล้ว ล้าครองใจตนเองได้ก็เป็นอันพ้นภัย”

kalyanamitra.org
๑๒๒

“เพื่อนรู้มากไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ” ยคบาลชม “แต่ชายดูจะเป็นทุก *1 อย่างในอารมณ์ของ

หญิง ถาพิงตามคำพูดของเพื่อน”

“ชายเป็นความประสงค์ของหญิง” สุขวันต์ว่า “แต่หญิงเป็นทีประสงค์ของชายอย่างพวกเรา”


พูดพลางหัวเราะด้วยความสนุก “ธนบาลจะเข้าหลักยิ่งกว่าเพื่อนกระมัง”

“ขายเปโยมเหม่อนโม” ธนบาลอุปมา “ร่มย่าคันใหญ่ย่ากาาก็นได้หลายหัว หญ่าเปโยมเลม่อนคัว

หัวถาจ?ใหญ่โดก็คันร่มหล ายด่นขณ?เด่ยวกน ไม่'ได้”

“เออ! อุปมาเข้าที” สุขวันต์เอ่ย “แด'หญ่าใจเด่ยวเปร่ยมเหม่อนด้นไม่เด่ยวแก่นเด่ยว ด้นเด่ยว

จ?ม่แก่นเกนกว่าหนาไม่ม”่

“คมคายเหมือนกัน” ยศบาลยอ "หญ่าหลายใจเปร้ยมเหม่อนกป็หญ่ากป็เด่ยวม่ได้มากด่นแล"


ต่างสนทนาปราศรัยกันเรื่อยมาจนกระทั่งถึงบ้าน จึงพากันนำเรื่องไปเล่าให้มโหสถพิงถึงความ

ไม่สมหวังของตน *1 และพร้อมกันนั้นก็สดุดีความหลักแหลมคมคายของนางตามที่ประรักษ์แก่ตน

“คราวเดียวจะให้สมปองได้อย่างไร” ท่านมโหสถแย้ง “นางยังไม่คุ้น ยังไม่วางใจ เพราะเห็น

กันใหม่ ดุ จะให้ตกลงปลงใจได้อย่างไร ไปอีกซิ”


“พอทีเถอะท่านที่เคารพรัก ไม่เอาแล้ว” ทั่งสามสหายต่างปฏิเสธ

“ชาติเจ้าซัต้องไม่มีคำว่าพอไว้ในปากสำหรับพูดในเรื่องเกยวผู้หญิง” ท่านมโหสถบัณฑิตท้วง
“มิฉะนั้นคำว่าเจ้าชัก็ไม่มีความหมายพิเศษอันใดที่จะนำมาประดับซือของตนต่อไปอีก ไปเกํ่ยวนางอีก”

ทั่งสามต่างมองดูหน้ากันคล้ายจะหารือกันด้วยสายตาว่า “จะไปกันอีกทีหรือ ?” น้ยน้ตาทั่งหมด


ไม่มีลักษณะที่จะบ่งความหมายแห่งความต้องการต่อไปอีก

“ไปเถิด-ไปเกํ๋ยวอีกเถิด” ท่านมโหสถยํ้าเชิงบ้งค้บ “อย่าชักข้าอยู่เลย ทางเอกแห่งความสำเร็จ

คือความรู้จักหมั่นเพียร” ปลุกใจให้อาจหาญต่อไป “ครั้งแรกไม่สำเร็จ ครั้งต่อไปความสำเร็จคงใกล้เข้า

มา ไปกันอีกเถิด”
“ไปก็ไป” ทั่งสามคนพูดออกมาอย่างไม่สมัครใจ แล้วก็พากันไปบ้านนายประดู และต่างคน
ต่างแสดงภูมิเต็มที่ ผลก็คงเป็นอย่างคราวแรก พากันกลับมาด้วยความอดสูใจ

“ด้องให้ครบ ๓ ครั้ง” มโหสถบัณฑิตกล่าวเมื่อสามสหายพากันกลับไปเล่าความให้พิง เป็น

บัญชาเด็ดขาดไม่มีใครด้านได้สำเร็จ
“หมดกระบวนการแล้วขอรับผม” สุขวันต์ย้อนวอน “ขอได้กรุณายุติเรื่องทดลองนางเถิด นาง
เป็นสตรีประเสริฐควรเป็นมิ่งมงคลแก่ท่านแท้แล้ว ”

“กระบวนการอะไรของเธอเล่า สุขวันต์” มโหสถชัก


“กระบวนการที่ใชัเพื่อโน้มน้าวใจสตรี” สุขวันต์ตอบ “ผมได้นำออกใช้กับนางหมดไป ๗ ประการ

แล้วไม่สำเร็จ ก็เป็นอันนางบริสุทธํ่จริง ดุ”

“อะไรบ้าง?”

kalyanamitra.org
๑๒ธา

“ใขทรัหย์ล'อ ยอให้เหลิง เขงออดอ้อน วอนขอร'ก ดักให้จน ทนให้ด่า ห้าให้ดม’’ สุขวันต์ลังวัธยาย


“กระบวนการเหล่านี้นำออกมาใช้หมดแล้ว ยังเหลือแต่กระบวนการที่ ๘ ซึ่งไม่น่าจะใช้กับนางคือ ตะปบตัว

นางไม่สมควรแก่การล่วงเกินอย่างนั้น”
“ไปอีกเถอะ ที่แล้ว กุ เป็นการเกื้ยวเพื่อตน” ท่านมโหสถซีช่อง “คราวนี้เป็นสื่อให้ผู้อื่นบ้าง

ซี”
ทั้งสามสหายเห็นช่องทีซึ่โห้ก็ด้องพากันไปอีก คราวนี้ช่วยกันพูดจาหว่านล้อมด้วยประการต่าง กุ

แตกต้องนำความไม่สำเร็จกลับมาเล่าแจ้งแก่มโหสถบัณฑิตตามเคย
“กระบวนการที่ ๘ เป็นอันต้องใช้” ท่านมโหลถกล่าวร้นเมื่อได้รับพิงความไม่สำเร็จ “ไปถึง

ฉุดมาเลย ฉุดมาหาฉันในห้องนี”้

“จะไม่เป็นการรุนแรงหนักไปหรือขอรับ” ทั้งสามพากันด้าน “การขืนใจกุลสตรีเป็นการเสื่อมเสีย

อย่างรัายกาจของเผ่าอารยะ และเป็นการละเมิดบทบัญญ้ติในอริยวินัย” ต่างคนต่างด้านด้วยประการต่าง *1

“ไม่มีการใดที่จะเรียกว่ารุนแรงสำหรับการทดลอง ทั้งการฉุดเมียของฉันมาให้ฉันซึ่งเป็นผัว

กิไม่เป็นการเสียหาย เจตนาของเราเพื่อความบริสุทธํ่เท่านั้น มิใช่เพื่อทำลายนาง” มโหสถบัณฑิตแถลง

แลัวบัญชา “ไปกันเถิด ไปฉุดตัวมา”


ทั้งสามสหายจำต้องไปตามบัญชา และปฏิบัติตามที่สั่ง

เวลานั้นเป็นเวลาเย็นมาก ดวงอาทิตย์ใกลัจะสนธยาอยู่แล้ว อมรารอสามีอยู่ด้วยจิตใจอันระทึก


ความมั่นใจของนางเท่านั้นเป็นเครื่องประโลมใจ และแม้จะถูกรบกวนด้วยชายหนุ่มทั้งสามคน ก็มิได้เย็บ

มาคำนึงให้เป็นเรื่องรำคาญ เพราะนางได้เหํ่นความไม่เทียมทันของชายทั้งสามนั้นกับโสมท้ตมาแต่ต้น
แลัว กล่าวอย่างสาม้ญกิต้องว่า ไม่ได้ร้ดีนโสมทัดผัวของนาง ดังนั้นการเกั้ยวการเล้าโลมทั้งปวงของสาม

สหายจึงเป็นเพียงใบไม้ใบหญ้าที่นางเดินผ่านแล้วกิเหยียบไป

สามสหายมาถึงบ้านนายประตู ก็จู่โจมเข้าถึงตัวนางพลางบังคับ “นายของฉันสั่งให้มาฉุดนาง

ไป”
กาวขัดขืนมิใช่เป็นทางที่ควรดำเนินของผู้ฉลาด วิสัยผู้ฉลาดจะทำการใด กุ ต้องพิเคราะห์หลาย

สถาน ที่เป็นประการสำคัญก็คือ ด้องคาดกำลังและความสามารถในตนให้ถูกต้อง ด้งนั้นนางจึงยอมตาม

มิได้ขัดขืน แต่กิคิดคำนึงถึงทางวอดอยู่ตลอดทาง
ถึงบ้านซึ่งมิใช่เป็นของใครเลย เป็นบ้านซึ่งนางจะได้มาครอบครองแต่นางก็ไม่รู้ เขาพาเข้าไป

ในห้องที่สามีของนางนั่งรออยู่ นางก็จำไม่ได้เพราะเวลานั้นมโหสถเป็นคนละคนกับโสมทัดช่างชุน เครื่อง

ประตับประดาอันมีเครื่องหมายแห่งอำมาตย์ราชเสวกชันผู้ใหญ่ อีกทั้งเครื่องประดับห้องอันสูงค่า เครื่องใช้


ต่าง กุ ลัวนแต่มีราคา สิ,งเหล่านี้พลางดานางเสียมิให้เห็นโสมทัตผู้นั่งอยู่เฉพาะหนัา นางจำโสมทัตของ

นางไม่ได้เลย
นางมองตูสามีของนางในรูปที่เป็นจริง.พรัอมกับสรรพสื่งอันเพริศพรายภายในห้อง แล้วเสียง

kalyanamitra.org
๑๒๔

หัวเราะอันกังวานของนางดังร้น และในที่สฺดแห่งเสียงหัวเราะนั้น นํ้าตาอันเป็นความหมายแห่งการร้องไห้


ก็หลั่งไหลพร้อมทั้งเสียงสะอื้นควรเวทนา

กาวอย่างนี่เป็นที่น่าสงสัยสำหรับสามัญชนทัว กุ ไป เพราะอาการหัวเราะแล้วร้องไหันั้นมัก
ปรากฎแก่บุคคลผู้มีจิตใจอันวิปริต เป็นอาการส่อถึงจิตใจอันผิดไปจากปกติชน เป็นอาการที่น่าฉงนของ

ผู้ที่ได้พบไลั่เห็นในขณะนั้น โดยเฉพาะสามสหาย ซึ่งถาเป็นโอกาสแล้วคงไม่เว้นที่จะวิจารณ์ ดังนั้นท่าน

มโหสถจึงเอ่ยถามด้วยสำเนียงอันแสดงถึงความมีอำนาจ “บอกซิ นางหัวเราะแล้วร้องไห้เช่นนี่เพราะเหตุ

ไร”
ภายหลังจากสะกดอาการสะอึกสะอื้นกลืนไว้ภายในอย่างสนิทแล้ว นางแถลง “ท่านผู้เป็นนาย

ที่ดิฉันหัวเราะนั้น ดิฉันมองดูความมั่งคั่งสมบูรณ์ เพียบพร้อมด้วยทรัพย์ศฤงคารบริวารเป็นอันมาก แล้ว

ก็อดคิดในใจว่าสมปติทั้งนี่มิใช่ท่านได้มาด้วยไม่มีเหตุ ท่านต้องได้ด้วยมีเหตุ ท่านจักต้องได้เพราะสร้างสม

กุศลไว้ในภพก่อน กุ เป็นแม่นมั่น เมื่อได้คิดเห็นเหตุที่ให้ท่านได้รับสมบัติอันมหาศาลเช่นนี่ว่า กุศลหน

หลังบันดาลให้แล้ว ทำให้จิตใจของดิฉันรู้สึกนึกถึงความอัศจรรย์แห่งผลบุญ อโห! ผลของบุญ ผลของ


ความดีนี่ช่างน่าอัศจรรย์จริง จิตใจของดิฉันเปียมปลื้มร่าเริงจึงได้หัวเราะ”

“ดิฉันร้องไห้ มิใช่ร้องด้วยเหตุอื้น ร้องด้วยความรู้สึกสงสารท่าน พุทโธ'เอ๋ย น่าลงสารเสีย


จริง กุ เสียแรงท่านมาสู่โลกนี่ด้วยสมบัติอันควรซึ่นชม เป็นที่นิยมยกย่องแม้แห่งพระราชา ใคร กุ ก็พากัน

เข้าหาเป็นบริวาร เดชะบุญของท่านทั้งนั้น แต่บัดนี่ท่านกำลังจะพาตัวเองไปสู่ขุมนรก ท่านผู้มีบุญญาธิการ

เจาขา ท่านล่วงลื้าเข้าไปในวัตถุที่มีเจ้าของ มีผู้ปกครองคือตัวดิฉัน บาปกรรมเหลือเกิน ท่านจักด้องไปนรก


น่าเสียดายความดีที่ท่านสร้างสมมาจนเกิดผลมหาศาลดังที่ปรากฎนี่ จักไม่สามารถคุ้มครองรักษาท่านผู้

ประพฤติกรรมเป็นบาปเสียเป็นแน่ ดิฉันคิดเช่นนี่ขื้นมาแล้วก็สงสารท่านจริง กุ นี่แหละเจ้าค่ะ ดิฉันร้องไห้


มีเหตุดังนี”่

มโหสถบัณฑิตพอใจเป็นอันมาก ในผลของการทดลองเห็นความบริสุทธํ่ผุดผ่องของนเง พลาง

บัญชา “พากันไป พานางไปล่งคืนดังเดิม"


พอถึงเวลาคํ่า มโหสถบัณฑิตก็แปลงรูปเป็นโสมทัดช่างชุนหนุ่มผู้สามารถ ไปหานางอมรา

และคงนอนพักอยู่กับนางที่บัานของนายประตู

kalyanamitra.org
๑๗. อมราเทว
รุ่งขนเวลาเช้ามโหสถดึน ภายหลังจากที่นางอมราได้ตื่นเรียบร้อยแล้ว และได้จัดแจงลิงที่มนุษย์

จะพึงต้องการในเวลาตื่นนอนไว้พร้อม ตามจรียวัตรของภริยาที่ดีด้วยคว''มชื่นบาน

“แม่นางผู้เจริญใจ” เอ่ยร้นภายหลังจากที่อาหารมื่อเช้าผ่านไป “จัดแจงเตรียมตัวประเดียวฉัน

จะพาไปบ้าน”
“เจ้าค่ะ” รับคำด้วยปีติยินดี ด้วยนางคำนึงอยู่เสมอที่จะได้เป็นผู้ดูแลบ้านเรือนของสามี

เมื่อเรียบร้อยแล้ว ทั้งตู่ก็อำลาเจ้าของบ้านออกเดินทางบ่ายหน้าไปทางพระราชวัง
อมราเดินตามด้วยกิริยาอันเสงี่ยมงาม ไม่เร็วไม่ช้าไม่ใกล้เกินไป และไม่ห่างเกินไป ขณะที่

เดินไปก็รำพึงถึงฐานะอันแท้จริงของบุรุษผู้สามีด้วยความสนเท่ห์ ซึ่งนางได้ข่มไว้ภายในอำนาจแห่งจิตใจ

อันสูง ถึงกับมิได้ปรากฏออกมาทางกายและวาจา ความตื่นตาตื่นใจในความเฉิดฉายแห่งอาคารบ้านเรือน


และปราสาทราชฐาน ซึ่งตั้งตระหง่านเป็นสง่าชวนให้เกิดความประหม่าแก่ผู้ที่เพิ่งย่างเหยียบเข้าไป ก็ถูก

นางระงับไว้เลียเช่นเดียวกัน กิริยาอาการของนางดูเป็นปกติอย่างที่สุด ไม่มีอาการเคอะเขิน ไม่มีอาการ

หวั่นไหว ตามไป ตามไป และตามไปแล้วแต่จะนำ ความแจ่มใสชื่นบานคงปรากฏในใจตลอดมา นางภูมิใจ

ในบุรุษผู้สามีเท่า *1 กับที่สามีภูมิใจในนาง ดังนั้นการเดินทางจึงเต็มไปด้วยความแช่มชื่น

มโหสถบ้ณฑิตควรจะมีความแช่มชื่นยิงกว่า เพราะตระหนักในฐานะแห่งตน และได้รับความ

รู้สึกในหรรษารมณ์ยงกว่า เพราะได้พลางความจริงไว้แด่ด้นมา ความจริงนั้นก็ใกล้จะถึงคราวเปิดเผยอยู่


แล้ว ใกล้เข้ามาแล้วความจริง พระราชวังปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้น และโฉมหน้าก็มุ่งไปทางประตูพระราชวัง

ไม่มีทางแวะเวียนไปทางไหน
“เขาเป็นใคร” การรำพึงของนางน่าจะมี “สามีของเรา-ยอดชีวิตของเราคือผู้ใด เป็นพระราช

โอรสหรือไฉน ไม่ปรากฏเลยว่าพระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดา หรือจะเป็นพระ


ญาติพระวงศ์องค์ใดองค์หนึ่งกระมัง” บ้ญหาต่าง รุ คงสะกดเก็บไว้เงียบ รุ ไม่จำเป็นจะต้องเร่งรู้ไปก่อน

เรื่อง ผู้รู้จักคอยย่อมได้โอกาสเสมอ

ผ่านพระราชทวารเข้าไปแล้ว โทวาริกผู้สูงอายุแสดงคารวะอันสมควร และแสดงกิริยาพิศวง


เหมือนจะถามอะไร รุ มากมาย แด่ไม่ท้นเอ่ยปาก มโหสถบ้ณฑิตก็พานางไปพ้นจากระยะอันควรแก,จะ
พูดกันฉันผู้มีศักดํ่เลียแล้ว

kalyanamitra.org
๑๒๖

ผ่านพระที,นั่งไปแล้ว เลยวลัดไปตามฉนวนในพระราชวังดึงพระตำหน้กอันที่ประทับของพระ-
ราชเทวีอุทุมพร มโหสถบัณฑิตจึงบอกให้นางข้าหลวงกราบทูลพระนางดึงการที่ตนขอพระราชวโรกาส

เข้าเฝ็า เมื่อได้รับพระราชโอกาสแล้วก็พานางผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยเข้าเสา “มาเถิดที่รัก มาเช้าเสา

พระแม่เหนือเกล้าฯ ของเราเถิด”
ด้วยถ้อยคำของสามีเพียงเท่านั่ ยังไม่ให้ความแจ่มกระจ่างอันใดแก่จิตใจของนางเลย แด'นางก็

คงใข้ดุษณีภาพเป็นป้อมป้องกันความตื่นเต้น เพียงแต่แสดงความรู้สึกสนเท่ห์ให้ปรากฏในแววตาอันตำซึ่ง

ทั้งคู่ จ้องดูสามีด้วยอาการเหมือนจะขอรัองให้สามีได้ช่วยแนะนำให้นางได้หายสนเท่ห์ แต่ก็ไม่มีคำพูด

อันใดออกมา
มโหสถบัณฑิตเข้าใจในกิริยาของนาง จึงกล่าวเป็นเชิงปลอบ “อย่าวิตกไปเลยที่รัก ไม่เป็นสิง
ที่น่ากลัวน่าหวาดหวั่นอันใด มาเถิด! อย่าชักข้า เดี๋ยวพระแม่เหนือเกล้าฯ ของเราจะทรงรอ”

ทั้งคู่พากันเข้าสู'พระตำหนักของพระนางอุทุมพร พ้นพระทวารเข้า''เปก็ปรากฏว่า พระนาง


ทรงประทับเหนือพระแท่นบัลลังก์รออยู่ “แหมพ่อนัองชาย พี่กำลังรออยู่ทีเดียว” ตรัสภายหลังที่ท่าน
มโหสถบัณฑิตพานางเช้ามาถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่อันลมควร

“ข้าพระบาทได้ปฏิบัติตามที่ได้กราบทูลขอพระกรุณาไว้พ่ะย่ะค่ะ” กราบทูลด้วยความนอบน้อม

แล้วถวายการแนะนำ “สตรีผู้นี่แหละพะย่ะค่ะ ที่ข้าพระบาทได้คัดเลือกแล้วเพี่อเป็นคู่ชีวิต จึงนำมาถวาย

แด่พระแม่เหนือหัวฯ เพื่อได้ทรงพระกรุณารับไว้เป็นข้าฝ่าละอองธลีพระบาท เธอมีนามว่า อมวา พะย่ะค่ะ”

ทรงพิจารณาด้วยความพอพระท้ย “น่ารักจ้ะพ่อน้องชาย” พลางรับดั่งเรียกนางให้เข้าเสาโดย

ใกล้ชิด “มานี่ชิน้องอมรา”

นางยอบคลานเข้าไปด้วยกิริยาอันเต็มไปด้วยคารวะ ดึงระยะพอสมควรก็น้อมกายถวายบังคม
แสดงว่านางสามารถรักษามารยาทแห่งกุลสตรีในยามใกล้ซิดข้ตติย.สกุลได้ดี เป็นที่ซิ่นชมแก่สามีและพระนาง

“มาใกล้ กุ นี่เถิด เป็นน้องของฉันแล้วนะ” ตรัสพระสูรเลียงปิดิ “มโหสถเขาเป็นน้องฉัน

เธอเป็นคู่ครองของเขาก็เท่ากับเป็นน้องของฉันเหมือนกัน”
นางกระเถิบเข้าชิดพระแท่นและกราบทูลตอบพระดำรัสถามต่าง กุ ที่ทรงรับดั่งด้วยเกี่ยวกับ
หลักฐาน และพื้นเพของนางเป็นข้อใหญ่ กุ ซึ่งนางก็กราบทูลให้เป็นที่พอพระทัย และพร้อมกันนั้นนาง

ก็สามารถทราบฐานะอันแท้จริงแห่งสามีของนาง ทั้งล่วงรู้ดึงเรื่อง กุ ที่นางถูกทดลองเป็นลำดับ “มิใช่

อื่นเลย เพราะสามีของนางเป็นบุคคลสำคัญแห่งมิถิลานคร เป็นราชบัณฑิตของพระเจ้าวิเทหราช เป็น


การถูกด้องแล้วที่จะด้องมีภริยาให้คู่ควรแก่ฐานะ” นางรำพึงในใจ มิได้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวในสามี นางคิด

ในด้านเหตุผลเป็นประมาณ
เห็นว่าพระนางทรงพระกรุณาแก่อมรา ทั้งจะต้องรีบกลับไปดั่งการในเรื่องงานอาวาหมงคล
บัานที่เคยอยู่แด'ผู้เดียวจะมีคู่ครองมาอยู่เป็นมิ่งขวัญ จำต้องชัดการรับมิ่งรับขวัญให้คู่ควร ท่านมโหสถบัณฑิต

จึงกราบบังคมทูล “ช้าแต่พระแม่เหนือเกล้าฯ ข้าพระบาทขอถวายบังคมลา เพื่อได้ชัดบัานรอรับมิ่งขวัญ

kalyanamitra.org
๑๒๗

ที่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงพระกรุณาโปรดล่งไปพระราชทาน ”

“น้องจะไปละหรือ” ตรัสแย้มพราย “ดีแล้วพี่จะกราบทูลกระหม่อมให้ทรงจัดการโดยเร็ว วันน

คงทัน” พลางทรงเย้า “ขอตัวอมราไวัเป็นเพื่อนพี่นาน*] ได้ไหมน้อง”

“ข้าพระบาทย่อมทราบซี๊งในพระกรุณาธิคุณของใต้ฝ่าพระบาทอยู่เป็นนิจพะย่ะค่ะ” กราบทูล

ด้วยความซิ่นบาน พลางถวายบังคมลาออกจากพระตำหนักกลับสู่เคหาสน้

ทรงพระตำหนัก พระนางตรัสสนทนากับนางอมราถึงเรื่องที่ท่านมโหสถบัณฑิตได้ปฏิบัติไป

จนได้นางมาถวายด้วยพระอาการที่ทรงสนิทพระท้ย

“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ ท่านมโหสถพบเกล้ากระหม่อมฉันในนามโสมท้ตผู้มือาซีพช่างชุนเพคะ”

นางกราบทูลสนองพระเสาวนีย์

“อ้อ! นัองมโหสถแปลงปลอมไป” ตรัสสรวลระรื่น “แล้วอมรารักไหมล่ะ”


“รักเพคะ” อมราเทวีทูลสนอง “ยิ่งเห็นความฉลาดในเวลาที่ถามเกล้ากระหม่อมฉัน ถึงเรื่อง
มีสามีหรือยัง ยิ่งเพิ่มความพอใจขน”

“นัองมโหสถถามอมราอย่างไรจ๊ะ” ตรัสชัก
“กำมือยื่นมาทางเกล้ากระหม่อมฉันเพคะ” นางกราบทูลเล่าทุกอย่างตามที่เป็นมา

“เมื่อมโหสถบัณฑิตปิดบังฐานะอ้นแท้จริงของตนเสียเช่นนั้น อมราคงไม่ทราบอะไรเลยใน

ความเป็นอยู่ของเขา ฐานะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ หลักฐานบัานช่องเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ อมราตกลงปลงใจ


กับมโหสถด้วยเห็นประโยชน์อะไรเล่าจ๊ะ ที่ถามทั้งนํ่อมราอย่าคิดว่าจะดูหมิ่นนะจ๊ะ” ตรัสซักเหมีอนทรง

เป็นพี่ของนางแท้ *1 “พี่ทราบอยู่ในหลักฐานและควรจะเลือกผู้เป็นหลักฐาน อนาคตของตนจึงจะแจ่มใส

เมื่อไม่พบพี่เป็นหลักฐานแล้ว อนาคตยากที่จะทำนายได้ว่าจะมืดมนหรือสว่างไสว”

พระนางตรัสด้วยพระสุรเสียงเจือเศร้า เพราะทรงระลึกถึงความหลัง แต่แล้วก็ทรงระงับเสีย


ตร้ลต่อไป “ปรากฎเป็นอ้นมากทีเดียวที่สตรีต้องตกระกำลำบาก เพราะมีสามีผิด คือเป็นคนไม่มีหลักฐาน

เสียแล้ว อมราคิดอย่างไรจ๊ะ ถึงได้ตกลงปลงใจ พี่ถามเพราะอยากทรญความคิดอ่านของอมราไวัเผื่อบางที

จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้บ้าง”

“พระแม่เจัาเพคะ” นางกราบทูลด้วยความแจ่มใส “เป็นความจริงที่รูปลมปติเป็นประการแรก

ที่เกล้ากระหม่อมพอใจ เกล้ากระหม่อมขอกราบทูลด้วยความสัตย์จริงว่า ตั้งแต่เกล้ากระหม่อมได้ย่างเข้า

สู่วัยแห่งความเป็นกุมารี ได้พบบุรุษมามากแล้วมิได้ต้องตาด้องใจเหมือนเมื่อพบท่านมโหสถบัณฑิตเลย
เกล้ากระหม่อมฉันสารภาพในรูปสมบัติเป็นเบื้องแรก”

“ส่วนในเรื่องหลักฐาน แม้ท่านจะปิดบังเกล้ากระหม่อมก็คงจะปิดบังได้แต่หลักฐานที,เป็นรูป

อ้นได้แก่บ้านเรือน หรือทรัพย์ศฤงคารบริวาร แต่หลักฐานที่ไม่ปรากฎเป็นรูปนั้นเกล้ากระหม่อมฉันสามารถ

ทราบได้และอาจด้นพบได้ เพราะเป็นที่ซ่อนเร้นได้ยาก คือคุณสมบัติในตนของท่าน แม้ว่าพระแม่เจ้า

kalyanamitra.org
๑๒๘

จะโปรดพระราชทานโอกาสแก่เกล้ากระหม่อมฉันแล้ว ก็จะขอบังคมทูลโดยละเอียดในความคิดของเกล้า

กระหม่อมฉันเพคะ”
“เชิญน้องพูดไปเถิด พี่ปรารถนาจะพังความคิดเห็น ไม่มีราชการอะไรในเวลานี”้ ตรัสด้วย

ทรงสนพระทัยเต็มที่ “ยังมีเวลาอีกนานกว่าพี่จะขื้นเฝ็าพระเจ้าอยู่หัว เพื่อกราบทูลเรื่องของน้อง เชิญ

พูดไปเถิด”

“พระกรุณาเป็นล้นเกล้าๆ” นางกราบทูลแถลงต่อไป “เกล้ากระหม่อมฉันเป็นชาวชนบท เคย


ได้รับการอบรมจากผู้ใหญ่ในสกุลตามแบบฉบับที่นำสืบ กุ กันมา โดยวิธีเล่านิยายให้พัง ท่านผู้ใหญ่ของ

เกล้ากระหม่อมฉันคงจะได้รับช่วงการเล่านิยายมาแต่ท่านผู้ใหญ่ของท่านอีกทอดหนึ่งก็ได้ เพราะนิยาย
ด่าง กุ นี้เอง เป็นทางเพาะความรู้สึกนึกคิดชันรอบคอบและชอบด้วยเหตุผลแก่ผู้ที่สนใจ เกล้ากระหม่อม

ฉันก็ได้อาศัยนิยายที่สดับมานั้น กุ เป็นแนวการดำเนินชีวิต เกล้ากระหม่อมฉันขอพระราชโอกาสกราบทูล


เล่าถวายเฉพาะเรื่องที่เกล้ากระหม่อมฉันใช้ตัดสินคู่ครองนะเพคะ”

“เล่าเถิด น้องอมรา พี่ต้องการจะพังเป็นอย่างยง” ตรัสเน้นพระสุรเลียงจริงจัง

“กาลครั้งหนึ่ง นางฟ้าสองนางเกิดทะเลาะกันในเรื่องใครจะควรลงอาบนี้าในสระอโนดาตก่อน

นางหนึงเป็นธิดาของท้าววิรูบักษ์ผู้เรืองเดชโลกบาลทิศตะวันตกนามเจ้าแม่กาลี นางหนึ่งเป็นธิดาท้าวธตรฐ

ผู้เรืองยศโลกบาลทิศตะวันออก นามเจ้าแม่ศรี บางทีก็เรียกเจ้าแม่ลักษมี ทั้งคู่ต่างเถียงกันจะลงอาบก่อน


ไม่ลามารถตกลงกันเองได้ ต้องเที่ยวไปหาเทพเจ้าชันผู้ใหญ่ชื้ขาด จนถึงท้าวมัฆวาน ท้าวเธอไม่อาจชิขาด

ได้ แต่ท้าวเธอรู้จักผู้ที่จะชื้ขาดได้เป็นมนุษย์เมืองพาราณลีเป็นเศรษฐีใจบุญสุนทร์ทาน ทั้งญาติมิตรบริวาร

ล้วนเป็นคนสะอาดทั้งนั้น จึงมีนาม สุจิบริวาร ท่านเศรษฐีสุจิบริวารนั้นแหละจะเป็นผู้ชขาดได้ว่า ใคร


ควรจะอาบนี้าได้ก่อน”

“ประหลาดเหมือนกันนะน้องอมรา พี่ไม่ใช่ชักน้องดอก แต่อดรู้สึกประหลาดไม่ได้ เพราะ


พี่เคยได้ยินเขาว่า มนุษย์เคี่ยวเข็ญเทวดา ไม่ว่าอะไรก็มักจะกวนเทวดา แต่เรื่องของน้องชอบกล เทวดา

กลับมากวนมนุษย์ ให้มนุษย์ตัดสินคดีนางฟ้านางสวรรค์”
“ก็มนุษย์เป็นคนดีนึ่เพคะ เทวดาก็ต้องยกย่องชีเพคะ”
“พี่เห็นอีกทางหนึ่งว่า เป็นความฉลาดของท้าวมัฆวานมากกว่า” พระนางแย้งด้วยทรงพระสรวล

“ท้าวมัฆวานไม่กล้าตัดสินเด็ดขาดลงไปด้วยตนเอง เพราะเมื่อจะทรงลูบพระพักตร์ก็มักจะพบพระนาสิก
ท้าววิรูบักษ์ก็เป็นคนของท่าน ท้าวธตรฐก็เป็นคนคี่นที่ไหน คนของท่านเหมือนกันจะทรงชํ่ขาดได้อย่างไร

จะให้เจ้าแม่ศรีอาบก่อนก็ขัดกับท่านวิรูบักษ์ จะให้เจ้าแม่กาลีอาบก่อนเล่าก็รัายกันใหญ่ ท้าวเธอไม่รู้จะ

ทำอย่างไรเลยโยนกลองมาให้มนุษย์”

“พระแม่เจ้าทรงปรีชาญาณ สามารถทราบอัธยาศัยของเทพเจ้าได้ทีเดียวเพคะ” กราบทูลยกย่อง


“จะเป็นตังพระเสาวนีย์ก็ได้เพคะ และถ้าเป็นเช่นนั้นระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ใครจะเอาใครเพคะ”

“เล่าต่อไปดีกว่า น้องอมรา” ตรัสตัดบท “เทวดาก็ไปเกิดจากมนุษย์ บางทีก็ไปเกิดจากดิรัจฉาน

kalyanamitra.org
๑๒๙

ก็เคยมี เล่าเรึองของน้องไปเถอะ”
“ท้าวมัฆวานตรัสว่า ถ้าท่านสุจิบริวาร รับนางใดให้นอนเหนือที่ท่านจัดไว้เป็นพิเศษในเรือน

ของท่าน นางนั้นเป็นผู้ควรลงอาบนํ้าในสระอโนดาตได้ก่อน เว้าแม่กาลีได้สดับเทพโองการ ไม่รอช้า ชิง

ขื้นหน้าไปก่อนทีเดียว เหาะลิว *1 มายังเรือนของท่านสุจิบริวาร กล่าวขอพักอาศัยนอนในที่นอน ท่าน

สุจิบริวารถามเจัาแม่กาลีถึงความประพฤติและอัธยาศัยตลอดถึงชายที่นางชอบว่าชอบคนเช่นไ'5”

“เว้าแม่กาลีตอบถึงคนที่ทรงโปรด คือคนที่เก่ง *1 ห้าวหาญ เป็นคนที่ไม่ต้องการกัมเศียรให้

ใคร แม้จะมีพระคุณแก'ตนมาก็พยายามที่จะเนรคุณเสมอเป็นคนไม่ยอมให้ใครเหนือ เผยอตนเท่าผู้ที่สูง

กว่าอยู่เรื่อย คุ ชอบการแข่งดี เห็นใครดีเป็นแข่งเอาดีของเขามาเป็นตนให้ได้ไม่ว่าทางใด คุ เป็นคนเห็น-


แก่ตัวชอบโอัอวด ได้สิงใด คุ มาแล้วเป็นต้องคิดทำลายเลีย คนอย่างนี้เป็นคนที่เว้าแม่จะทรงรักใคร'”

“ที่โปรดยิ่งกว่านั้น คือคนเอะอะฉุนเฉียว ลงโกรธใครแล้วเป็นผูกใจเจ็บจนตาย่จาก เช่นยุให้


เขารำตำให้เขารั่ว ยั่วให้แยก ชอบพูดคำแข็งกระด้างหยาบคาย คนอย่างนี้เว้าแม่โปรดปรานยิ่งกว่าคนก่อน”

“คนที่เว้าแม่โปรดปรานเป็นที่สุดคือคนที่ชอบผัดเพี้ยนเวลา อะไรที่ควรทำเสร็จในวันนี้ ขอ

ให้เลื่อนไปพรุ่งนี้ ประโยชน์ของตนอยู่ที่ไหนไม่จำเป็นต้องรู้ ไม่ด้องให้ใครมาตักเตือนเป็นอันขาด เพราะ


เป็นคนหนึ่งเหมือนกัน ใครขืนมาตักเตือนก็ด้องข้ดใจกันละ เป็นคนที่ไม่มีใครดีกว่าเขาไปได้ แม้ว่าจะมี

ใครดีกว่าด้วยคุณสมปติปานไรก็ไม่เว้นที่จะดูหมิ่น เป็นคนไม่มีธุระกังวลอะไรกับใคร พอใจแต่ในการ


เล่นหัวตลอดไป และเป็นคนชอบระรานเพื่อน คนอย่างนี้เว้าแม่โปรดปรานเป็นที่สุด ถึงกับออกปากได้

คนอย่างนี้เป็นคู่ครองแล้วจะไม่มีหัวใจไว้นึกถึงคนลื่น คุ อีกเลย”

“ท่านสุจิบริวารตะเพิดเว้าแม่กาลีเปิดไปเลย” สักครู่หนึ่งเว้าแม่ศรีเข้ามาหาท่าน เมื่อได้ยิน

คำถามเช่นเดียวกัน เว้าแม่ตอบท่านใจความว่า

“ผู้ที่ขยันข้นแข็งทำการงาน ไม่คำนึงถึงความหนาวความรัอน ความหิวกระหาย มุ่งหน้าที่จะ

ทำงานให้เสร็จไป มีความเข้มแข็งอดทนต่อความลำบากตรากตรำ ไม่ปล่อยให้ประโยชน์ที่ผ่านมาตามกาล

เสื่อมเสียไปคนอย่างนี้ดิฉันชอบ ดิฉันอดใจอยู่ในเขาทีเดียว”

“ผู้ที่ไม่มักโกรธ มีเมตตาจิต เป็นคนมีนํ้าใจเลียสละ สุภาพเรียบร้อย ไม่โอ้อวด ชี่อตรง ชอบ

สงเคราะห์ผู้ลิ่น พอใจที่จะเป็นสหายกับคนทุกคน พูดจาอ่อนหวาน แม้จะเป็นใหญ่โตก็ไม่ทำลำพองผยอง

หยิ่ง คงประพฤติอ่อนน้อม คนอย่างนี้ดิฉันจะรักอย่างกว้างขวางเหมือนคลื่นที่ปรากฎอย่างกว้างขวางใน

มหาสมุทร หมายความว่า รักอย่างไม่อั้น เท่าไรเท่ากัน”

“อนึ่งเล่า ผู้ใดคิดทำประโยชน์สงเคราะห์ไม่ว่าใคร จะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูก็ตาม เคยบำเพ็ญ

ประโยชน์ให้หรือเคยใส่ร้ายให้ก็ตาม ต่างได้รับสงเคราะห์เท่าเทียมกัน และเขาไม่กล่าวคำหยาบคายในเวลา


ไหน คุ เลย ดิฉันจะมอบตัวเป็นของเขา ทั้งเวลาที่เขามีซีพอยู่ทั้งเวลาที่เขาตายไปแล้ว”

“ผู้ใดก็ตามดังกล่าวมา พอได้ดีมีหน้ามีตา มียศดักดํ่อัครฐาน ละเลยความประพฤตินั้น คุ เลีย

kalyanamitra.org
๑๓

หวนมาในทางอันผิดเป็นทุจริต คนชนิดนํ๋ป้ญญาฟ้อย โง่เขลา ดิฉันจะทิ้งท้นที เหมีอนคนสะอาดเกลียด

หลุมอุจจาระก็ปานกัน”

“คนเราจะมีสง่าราคีหรือไม่ ตนเองทำให้แก่ตน จะมีสง่าราคี ก็ตนกระทำ จะไม่มีสง่าราคี


ก็ตนกระทำ คนอื่นจะกระทำให้คนอื่นให้มีสง่าราคีหรือไม่มีไม่ได้เลย”
ท่านสุจิบริวารฬงถ้อยแถลงของเจ้าแม่ศรีแล้วชื่นชมยินดีเป้นที'สุด จึงเชื่อเชิญเจ้าแม่ศรีเข้ามา

สถิตเหนือที่นอนที่จัดไว้ ตั้งแต่นั้นมาที่นอนก็มีนามของเจัาแม่กำกับอยู่คือที่เรียกว่า "สง่ใสยาทมลมของ

เจาแม่ศร"
“เกล้ากระหม่อมฉันได้ลด้บนิยายเรื่องนื้ แล้วกำหนดไว้เป็นข้อสำหรับประพฤติตน เว้นการ

ที่เจ้าแม่กาลีทรงโปรดปรานปฏิบัติแด่การที่เจ้าแม่ศรีทรงโปรดตามสติกำลัง และยังได้ใช้เป็นหลักในการ

เฟ์นบุคคลได้ดีอีกด้วย เกล้ากระหม่อมได้พบท่านมโหสถบัณฑิตในลักษณะที่ปราศจากหลักแหล่งจริง อุ
แต่มิได้เป็นผู้ปราศจากหลักฐานเลย ท่านเป็นผู้ที่เจ้าแม่ศรีทรงโปรดปรานยิงนักทีเดียว คุณสมบัติต่าง อุ

ปรากฏอยู่ทุกประการในท่าน เกล้ากระหม่อมฉันเห็นด้วยเกล้าว่า ท่านเป็นที่สถิตแห่งเจ้าแม่ศรีตลอดไป

และเป็นผู้ที่เจ้าแม่รับสงว่า 1“ดิฉันจะมอบตัวเป็นของเขาทั้งเวลาที่เขามีชีพอยู่ ทั้งเวลาที่เขาตายไปแล้ว”

นั้เป็นความแท้จริงของเกล้ากระหม่อมฉัน ขอได้ทรงพระกรุณาพระราชทานอภัยในความผิดพลาด อัน

อาจมีแก่เกล้ากระหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
“ไม่มีความผิดพลาดอันใดที่ฟ้องจะต้องขออภัยพี่เลย เรื่องราวของนัองจ้บใจพิ่เหลือเกิน แต่...”

พระนางตรัสชมและหวนนึกถึงข้อที่จะทรงซัก “แต่พี่ยังสงสัย ฟ้องยังไม่ได้ทำให้กระจ่างแก่

พี่ในข้อทีว่าฟ้องเห็นอะไรของมโหสถ จึงทราบได้ถึงคุณสมบัตินั้น อุ ข้อ'นี้พี่ยังสงสัย”

“จุดสำคัญที่ปรากฎแก่เกล้ากระหม่อมฉัน คือความฉลาดของท่าน” นางกราบบังคมทูลจาก

ความรู้สึกที่แท้จริง “ท่านเป็นคนฉลาดจริง อุ นะเพคะ”

“เขาว่ากันว่า คนฉลาดก็ม้กจะมีโกงเสมอนะฟ้อง” ตรัสด้าน


“คนฉลาดเช่นนั้น เอาความฉลาดของตนไปผสมกับโกงเลียแล้วจะเรียกว่าคนฉลาดได้อย่างไร

เพคะ” กราบทูลโต้ “ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงพระกรุณาพระด้าริด้วยพระปรีชาเถิดเพคะ ค))ม

โกงแ/มคาามขำ แเไ/;คา)มเสยม)ย โมผล่แเมคาไม(คลคร่'ลม คมออ)ดร่ขํคลย่อย'ไงเม)ล่า แง่จ::เอไแล)ค)ไม

โองมไใขํ จลแหอ})ออ)คใคล)))งใรเล'))หค:: ร่อยคมออไคย่อมอไมไรถกไจอล่งยอม)ขอ))เร่เมคมขไลออ

จไกค่า โม่โค คมออไคแค่ย่งศ111ล)คมโกง)ข)ใ]ออ อ)ม่ไอแค))มโกงยงออไคอ)) อมเองอ))/)ล่มโง่อ)')

คาไมโกง เออ'')อร::แม่ลมอม)แมค)ย(ออ )I คง)แหคล"


“คนฉลาดของฟ้องอมรา เป็นคนฉลาดจริง แม้รู้ว่าอันใดควรทำก็ทำได้ อันใดควรเว้นก็เว้น
ได้” พระนางตรัสสรุป

“เป็นเช่นพระดำรัสเพคะ” กราบทูลสนอง “ท่านมโหสถฉลาดจริง อุ เพคะ คือมีความรอบรู้


ด้วย สามารถทำได้ดามที่รู้นั้นด้วย บุคคลเช่นนั้ซิคะ เจ้าแม่ศรีทรงโปรดปรานและเข้าประจำตลอดเวลา

kalyanamitra.org
0 ธใ®

ที่เป็นอยู่ทั้งตายไปแล้ว ”

“น้องอมรารักพ่อมโหสถมากเท่า *1 กับเจ้าแม่ศรีโปรดปรานชีนะจ๊ะ ” ตรัสเคล้าพระสรวล

“จะเท่าหรือไม่ เกล้ากระหม่อมฉันก็คาดไม่ถูกเพคะ” กราบทูลหน้กแน่น “แต่ในความรู้สึก


ของเกล้ากระหม่อมฉัน ตายแล้วเกิดใหม่ก็ขอเป็นของท่านเรื่อยไปทุกชาติเพคะ”

ด้วยอำนาจพระปีติทีบังเกิดขนในพระมนัสอย่างต้นเปียม พระนางทรงโถมพระวรกายเข้าสวม
กอดนางอย่างแน่น ประหนึ่งว่าจะทรงผนึกร่างของอมราเข้าเป็นเนอเดียวกับพระวรกายของพระนาง พระ
โอษฐ์เปล่งพระดำรัสอันประกาศพระหทัยที่สุดแสนจะทรงซิ่นบาน “พ่อมโหสถของพี่มีบุญมาก น้อง

อมราก็มีบุญหนัก ฉันปลื้มใจเหลือเกิน” ซัวครู่หนึ่ง พระปีดีที่หลังลงลู่พระมนัสจึงคลาย พระนางทรง

คลายพระกรออก แต่ยังทรงกุมมือนางไว้ “น้องอมราช่างสมเป็นคู่ครองของมโหสถเป็นอย่างยิง” ตรัส


ชมพลางรับสั่งว่า “พี่จะด้องขํ่นเฝ็าพระเจ้าวิเทหราช เพี่อกราบทูลเรื่องของน้องให้ทรงทราบ แล้วแต่จะ
โปรดประการใด น้องอมราพักผ่อนในห้องของพี่ก่อนก็ได้ พี่กลับมาจะได้เริมรัดการพิธีของน้องต่อไป”

พระนางเสด็จขื้นลู่พระมหาปราสาทที่ประทับของสวามีเข้าเฝ็าในเวลากำลังทรงพระลำวิฯญ

ภายหลังพระกระยาหารเช่ำได้เสร็จไปแล้ว ถวายบังคมและประทับ ณ ที่อันควร พลางกราบทูล “ทูล

กระหม่อมเพคะ มโหสถพากุมารีที่เขาเลือกเป็นคู่ครองมาแล้วละเพคะ"

“สวยไหม” ตรัสถามตามพระอัธยาศัย

“สวยมาก ฉลาดมาก ดีมากเพคะ” แล้วพระนางทูลเล่าถวายทุกประการ

“คงไม่มากเหมือนน้องหญิงของฉันดอกนะจ๊ะ”
“เป็นพระกรุณาธีคุณลันเกล้าลันกระหม่อม ที่เกล้ากระหม่อมยังคงได้พังกระแสเช่นนึ่ แต่

ทูลกระหม่อมเพคะ โปรดทรงพระกรุณาแก่เกล้ากระหม่อมเพียงเล็กน้อยเถิด เพราะเกล้ากระหม่อมฉัน


เป็นผู้มีพี่นเพมาอย่างไรก็ย่อมทราบอยู่นะเพคะ ความสวยงามในเรือนร่างก็มิใช,เป็นสิงที่ยั่งยินนาน ทูล

กระหม่อมคงจะคลายพระกรุณาธิคุณสักวันหนึ่งเป็นแน่เพคะ”

“น้องหญิงเป็นทุกสิงของฉัน เป็นจอมขวัญเฉลิมใจของฉัน ไม่มีวันคลายละ” ตรัสยินยัน


“เป็นพระกรุณาธิคุณล้นเกล้าๆ แต่เรื่องของมโหสถเล่าเพคะ ทูลกระหม่อมจะทรงพระกรุณา

สถานใด”
“น้องหญิงเห็นควรอย่างไรเล่าจ๊ะ” ตรัสหารือ

“สุดแต่จะทรงพระกรุณาเถิดเพคะ”
“จัดอย่างสะใภ้หลวงนะซ็จ๊ะ” ทรงมีพระกระแสด้วยพระมนัสซิ่นบาน พลางมีพระดำรัสสั่ง

มหาดเล็กให้ไปสั่งเจ้าหนัาที่พนักงานเตรียมพิธีอาวาหมงคลตามแบบอย่างสะใภ้หลวง แล้วมีพระดำรัส

กับพระนาง “ส่งตัวไปวันนึ่เถิดนะจ๊ะ ฉันจะจัดของขวัญไปให้เขาด้วย”

“เกล้ากระหม่อมฉันถวายบังคมลา” พระนางกราบทูลพลางน้อมพระกรถวายบังคม ภายหลัง


ที่มหาดเล็กประจำเชิญพระกระแสรับสั่งไปแล้ว

kalyanamitra.org
๑ธา๒

วันนั้นมีถิลานครโกลาหล ข่าวอาวาหมงคลแผ่คลุมไปทั้งปรีมณฑล ทุกถนนทุกตรอกเลียงโจษจัน


อันครื้นเครงในเรื่องอาวาหมงคล ทุกคนอยากรู้ ทุกคนอยากเห็น และทุกคนอยากรู้จัก เลียงต่าง รุ เป็นด้น

ว่า “จะด้องไปดูทีหรือ พ่อมโหสถของเรารู้หลักนักปราชญ์ฉลาดลํ้า จะได้คู่ครองงามปานไหน” พวก

หนุ่ม 1 ก็กล่าวเกรินกัน
“ไปดูคู่บุญท่านบัณฑิตกันเถิด สหายเอ๋ย ท่านบัณฑิตเลือกเฟ์นแล้วจะเป็นอย่างไร” บรรดา

หญิงสาวเล่าก็ซักชวนกัน “ไปเถอะไปกัน ไปดูเจัาสาวของท่านมโหสถ จะงดงามขนาดไหน ถึงด้องไป


เที่ยวหาถึงไหน *1 ไม่รู้" ถ้อยคำต่าง ๆ ดูเพรียกไปทั่วกรุงอันมีปริมณฑลกว้างขวางนั้น

และแล้วในดอนบ่ายนั้นเอง ก่อนขบวนจะออกจากพระราชวังสองข้างถนนจากพระราชวังไป

ยังบ้านมโหสถก็แออัดไปด้วยฝูงชน ธงชัยนับแสน ธงฉานนับแสน ด้นกล้วยนับแสนปกอยู่เรียงรายตลอด


ระยะทางอันไม่ใกล้นั้น ทุกคนคอย ทุกคนรอ ด้วยไม่รู้เบื่อหน่าย หวังจะได้เห็นเท่านั้น ความหวังของ

ทุกคนก็สำเร็จดังหวัง
“ขบวนแห่งผู้เป็นคู่ครองของพ่อมโหสถ ออกจากพระราชวังมาแล้ว” เลียงตะโกนบอกกันต่อ รุ
ไป จนได้ยินกันทั่วไปเวลาไม่ซัา
“มาโน่นแล้ว” เลียงบอกกันเมื่อขบวนแห่เข้าสู่ทัศนวิถี “ใกล้เข้ามาแล้วละ นางนั่งมาในวอใหญ่”
“วออย่างนึ่ด้องเป็นสะใภ้หลวงจึงจะได้รับพระราชทาน” เลียงหนึ่งกล่าวแสดงว่าเป็นคนมี

ความรู้
“งั้นหรือ” เลียงสนองของผู้ไม่รู้ “เป็นเกียรติแก่พ่อมโหสถอย่างสง นึ่มิทรงคิดว่าพ่อมโหสถ

เป็นพระราชโอรสละหรีอ จึงทรงพระมหากรุณาถึงเพียงนึ่ ”
“แน่นอนละ” เลียงยืนยัน “ทรงโปรดปรานมโหสถยิ่ง และยิ่งกว่านั้น พวกเราด้องไม่ลืมพระนาง

อุทุมพรพระราชเทวีก็ทรงขอมโหสถเป็นนัองชายอีกเล่า อย่างนึ่จะไม่ทรงพระมหากรุณาธิคุณแล้ว จะมี

ใครอีกล่ะที่ควรยิ่งกว่าน' แต่เลียงต่างรุ เหล่านึ่เปันไปได้ไม่นานนัก ก็ถูกกลบเสียด้วยเลียงโห่จากแสน

ปากเป็นอันมาก พร้อมกันนั้นธงชัยและธงฉานนับด้วยแสนเป็นอันมากก็ปลิวไสวขื้นสู่อากาศ สำแดง

อาการแสนจะซิ่นชม ทุกดวงใจ ทุกดวงตา และทุกช่องปากแห่งมหาชนหลายแสนนั้นนึกถึงท่านมโหสถ

อันทรงปรีชา เพ่งดูอมราผู้ทรงคภลักษณ์ ทั้งมีท่าทีเป็นสง่า และมีแววแห่งปรีชารัตน์ฉายอยู่ แล้วถ้อยคำ


ที่พรั่งพรูออกมาก็มิใช่อีน เป็นคำล้วนแต่อำนวยสวัสดํ่ สุดแต่ใครจะนึกอันใดได้ก็กล่าวออกมา เปล่งออก

มาด้วยความรักนับถีออันจริงใจ จวบจนขบวนแห่ของนางอมราผ่านพ้นไปจนถึงบ้านของท่านมโหสถ
บัณฑิต ซ็งได้รับการด้อนรับอันสมควรแก่เกียรติที่ทรงมหากรุณาประทานทุกอย่าง

ต่อจากนั้น ท่านราชวัลลภชันผู้ใหญ่ พร้อมด้วยบริวารผู้ใด้รับพระบรมราชโองการใหนำทรัพย์


มาพระราชทานเป็นของขวัญถึง ๑,๐0๐ เหรียญก็ติดตามมา และนำราชทรัพย์นั้นส่งให้แก่นางอมรา บรรดา
ชาวเมืองตั้งด้นแต่นายประดูไป ต่างก็นำของขวัญมาให้เป็นอันมาก กล่าวได้ว่าทั่วทั้งเมืองทีเดียว จะมีเวัน

ก็แต่คณะอาจารย์ทั้ง ๔ เท่านั้น

kalyanamitra.org
๑ธา๓

นางอมราได้รับเกียรติสูงเกินกว่านางคาดคิดไว้และโดยตำแหน่งแห่งสามี นางได้รับเฉลิมนาม

เป็นเทวีเรียกกันว่า อ)ภาเทวี ได้ปฏิบัติตนสมกับเป็นคู่ครองของท่านมโหสถผู้เป็นราชบัณฑิตแด่วันแรก


ในการโอภาปราดรัย ในการตอนรับ และในการสงเคราะห์อนุเคราะห์แก่ผูใปในงานของนายโดยทั่วหน้า

ทั้งได้รักษาประเพณีดันเป็นบทบัญญ้ติแห่งอารยชนไว้ ในเรื่องทรัพย์สิ่งของที่ได้รับในวันมงคลของนาง
มิให์พลาด คือได้แบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่งคืนไปส่วนหนึ่ง รับไว้ส่วนหนึ่ง แม้พระราชทรัพย์ที่ทรง

พระกรุณาพระราชทานก็เช่นเดียวกัน นางได้ส่งทูลเกล้าฯ ถวายกึงหนึ่งสู่ท้องพระคลัง บรรดาชาวเมือง

เล่าก็ได้รับความสงเคราะห์จากบรรณาการของนาง โดยวิธีดันชอบเหมือนหนึ่งว่านางกอบกำนํ้าใจของ

ชาวเมืองไว้แต่ครั้งแรกทีเดียว

จำเดิมแต่นั้น ท่านมโหสถบัณฑิตก็ปกป้องครองคู่ด้วยอมราเทวีด้วยความรัก และมีความสุข


ตามวิสัย มีตำแหน่งถวายอนุศาสน์ในเรื่องอรรถเรื่องธรรมแด่พระเว้าวิเทหวาช จำเริญรุ่งเรืองด้วยยคศักดํ่

อัครฐานสืบมา

kalyanamitra.org
๑๘. ส์บณฑิตคิดทำลาย

ในเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มอุทัยไขแสง แม้จะเป็นเพียงรุ่งอรุณ ยังไม่แผดกล้าฉายฉานถึงระยะกาล

กึ่งอัมพร ความสว่างแห่งแสงนั้นก็เพียงพอที่จะข่มแสงอันน้อยแห่งฝูงหิ่งห้อยให้อับไป และหมดแสงไป

เช่นนึ่ฉันใด ในเมื่อท่านมโหสถเริ่มเด่นด้วยปรีชาในแว่นแคว้นแดนดิน และโดยเฉพาะในสำนักแห่งพระเจ้า

วิเทหราช ก็ย่อมทำให้รัศมีอันเคย่โชติช่วงของท่านบัณฑิตราชวัลลภ มีท่านเสนกเป็นด้น ต้องอับเฉาไป


ก็ฉันนั้น ความอับเฉาของท่านบัณฑิตทั้งสี'นั้น มิใช่จะเป็นผลเพียงแต่อับเฉาลงไปเท่านั้น เป็นการอับด้วย

ประการต่าง *1 มากอย่างด้วยกัน มีอับโชค อับลาภ อับยศ เป็นต้น ความอับต่าง ๆ ที่ปรากฏแก่ท่านบัณฑิต

ทั้ง ๔ นั้น ใช่จะเป็นด้วยถูกข่มขจากทำนมโหลถก็หามิได้ เป็นเพราะแลงแห่งปรีชาของท่านบัณฑิตทั้ง


๔ นั้น สว่างสู้ไม่ได้นั่นต่างหาก แต่การที่จะพิเคราะห์ให้ถ่องแท้ถึงเหตุที่บันดาลผลนั้นสุดวิสัยแห่งผู้ปรีชา

น้อยขนาดท่านบัณฑิตทั้ง ๔ ดังนั้น จึงแทนที่จะเห็นความน้อยแห่งปรีชาของตนแล้วและเร่งศึกษา หรือ


พยายามขวนขวายด้วยประการอื่นเพื่อเพิ่มพูนปรีชาให้แก่ตน ซึงเป็นทางอันยุติตามเหตุและผล กลับเห็น

ไปเสียว่า ล้าท่านมโหสถไม'เข้ามาสู่ราชสำนักแล้วตนคงจะดีคงจะเด่นได้ตลอดไป ดังนั้นวิธีท,ี จะดึงความ


เด่นมาสู่ตนจึงมาสรุปผลตรงที่ในราชสำนักต้องไม่มีท่านมโหสถ ความคิดชนิดนึ่ย่อมปรากฏแก่ผู้ที่มีป้ญญา

น้อยเสมอ เพราะอย่างนั่แหละหิ่งห้อยแด่ก่อนกับหิ่งห้อยเดี๋ยวนึ่จึงคงยังมีแสงสว่างเท่าไรก็เท่านั้น เพราะ

ไม่มีทางจะเพิ่มแสงให้แก่ตนเอง ต้องรอเมื่อหมดแสงอื่นที่สว่างกว่าแล้วจึงมีแสงได้ ความคิดของท่าน

บัณฑิตทั้ง ๔ รวมเป็นผลสรุปแล้วก็คือ “ทำให้ราชสำนักว่างจากมโหสกให้ได้”


วันหนึ่ง บัณฑิต ๓ ท่านคือ ปุกกุสะ กามินท์และเทวินท์ชวนกันมาที่บัานทัวหน้าคณะของ

ตนคือท่านเสนก เมื่อได้โอภาปราศรัยกันตามสมควรแล้ว ท่านเสนกเอ่ยขื้นเป็นเซิงตักเตือนในฐานะผู้มี


อาวุโสสูง “พ่อคุณทุกคนคงจะรู้ตัวกันอยู่ดีแล้วนะว่าพวกเรานึ่น่ะ ไม่เทียมท้นมโหสกลูกบ้านนอกเขาเลย”

ทุกคนพากันรับรอง “เป็นเช่นนั้น ท่านอาจารย์ เขาเกินหน้าเราไปมากทีเดียว ความคาดคะเน


ของท่านอาจารย์แต่ก่อนนั้น บ้ดนึ่ปรารภเป็นผลสมจริง พระเจ้าวิเทหราชมิได้ทรงเห็นพวกเราเป็นบุคคล
ที่พระองค์จะทรงตระหนัก และดูเหมือนจะลืมพวกเราเลียแล้วเลยในบางคราว”

“นั่นน่ะชี” ท่านเสนกกล่าวด้วยเลียงกังวานด้วยความขุ่นหมอง “เพียงแต่มโหสกคนเดียวเท่านั้น

พวกเราก็พากันตาด้อยลงไป เกือบจะไม่เป็นที่เพ่งเล็งของใคร กุ เลียแล้ว บัดนึ่เขาพาภรรยาอยู่ด้วยกันแล้ว

ไม่ใช่หรือ”

“จริงละ ท่านอาจารย์” ปุกกุสะรับรอง “วันอาวาหมงคล ผมได้ใปดูเหมือนกัน เป็นหญิงงดงาม

ไม่น้อยทีเดียว ท่านอาจารย์ไม่ได้ใปดูกับเขาด้วยดอกหรือ"

kalyanamitra.org
๑๓๕

“ใครจะไปดูได้*’ กล่าวห้วน กุ “ในเมื่อความขวางตาขวางใจมันปรากฎอยู่เช่นนึ่ เพียงแต่ไต้

ข่าวโจษจันกันเซ็งแซ่ไปทั้งเมือง เหมือนว่าเมืองมิถิลาอันกว้างขวางนึ่ จะมีแต่เสียงกล่าวขวัญดึงนางอมรา

เท่านั้นในวันนั้นไม่มีเสียงอื่น') อีกเลย”

“แล้วคุณกามินท็กับคุณเทวินท็เล่า” หันไปทางอาจารย์ทั้งสอง “ไปดูกับเขาหรือเปล่า”

“ไปเหมือนกัน แต่ไม่เห็นถนัด เพราะคนแน่นเหลือเกิน” ทั้งสองแบ่งรับแบ่งปฏิเสธ

"สวยงามนักไม่ใช่หรือ” ปุกกุสะซัก

“เห็นไม่ถนัด บอกไม่ได้ว่าสวยหรือไม่สวย”
“นั้นก็นับว่าพลาดจากสิ่งที่เป็นมงคลแก่นัยน์ตาไป” ปุกกุสะเริมจะรำพัน

“ดูติดอกติดใจจริงนะ ปุกกุสะ” ท่านเสนกสกัด “มัวแต่พรำดึงความสวยไปเถอะ อัปมงคล


จะเช้ามาหาตนสักวันหนึ่ง”

“อะไรได้ครับ ท่านอาจารย์” ปุกกุสะแย้ง “นัยน์ตาได้เห็นสิ่งที่งดงาม เป็นด้นว่าเห็นหญิงงาม

ท่านว่าเป็นมงคลมิใช่หรือครับ และก็เป็นจริงดังนั้นด้วย เพราะเห็นแล้วหัวใจมันเบิกบานแช่มซี่นพิลึก

บอกยากจะเป็นอัปมงคลไปได้อย่างไร”

“คุณเห็นแต่ความสวยงามในภายนอก ความสวยงามมันบังปญญาคุณเสียหมดแล้วละ” ท่าน


เสนกกล่าวเย้ย กุ “คุณไม่ทราบดึงว่าในความงามนั้นมีอะไรแฝงอยู่เสียเลย จริงไหมล่ะ”

“นัยน์ตามันก็เห็นแต่สวยแต่งามเท่านั้น จะไห้มันล่วงรู้เช้าไปในความสวยได้อย่างไรเล่าครับ
ท่านอาจารย์” ปุกกุสะโด้ไว้เซิง “เรื่องที่แฝงอยู่เบื้องหลังความสวยนั้น มิใช่หนัาที่ของนัยน์ตาจะเห็นได้

นึ่ครับ”

“แล้วคุณรู้หรือไม่เล่าว่า เบื้องหลังความสวยของนางนั้นมีอะไรซ่อนอยู่อีกบัาง” ซักด้วยเสียง

กรัาว
“ไม่ทราบครับ ท่านอาจารย์”
“นั่นแหละ คือสิ่งที่จะบันดาลอัปมงคลให้แก่พวกเราละจะบอกให้” ท่านเสนกกล่าวเน้นหนักแน่น

“อะไรครับ ท่านอาจารย์”
“ความฉลาดน่ะซี” ท่านเสนกตอบ “คุณไม่รู้ดอกหรือเขากล่าวขวัญกันออกอึงไปว่า นางฉลาด

ปราดเปรียวกว่ามโหสถเสียอีก”
“จะเป็นคำกล่าวขวัญที่ไม่มีข้อเท็จจริงรับรองละกระมังครับ” ปุกกุสะถามด้วยความฉงน “ความ

ฉลาดของมนุษย์ในมิถิลา ผมเห็นว่ายากที่จะเกินมโหสถ ไม่ว่าหญิงว่าชาย”

"คุณปุกคุละละ โม่น่าจะย่อหย่อนในเหศศาสตร์เลย อันว่าความกลาดนั้น หากเป็นลมปตของหญง

แล้วย่อมเปรองป'ราดกว่าขาย ความคล่องแคล้วในการใข้ปร้ขาของขายโม่เท่าหญง แม้ว่าจะงลาดไม่เท่าเท่ยม


กันเหม่อนม่ดถางหญ้า แม้ว่าจะคมดปานใด ก็คงคมล่าหรบถางหญ้าเท่านั้น หากจะเปรยบกับหระขรรค์แล้ว

ความคล่องแคล่วในการใข'เป็นอาวุธ ม่ดถางหญ้าย่อมล้หระขรรค์ไม่ใต้แม้ความคมจะม่อย่เท่า ๆ กัน หร์อ

kalyanamitra.org
๑๓๖

แม่ม่ร;;ข!!คง:;ม่คาามคมคคแคร่) คาไมคค่คไห่,คมข่าแม่แค!มคไ)มแเมน;นง:;ใขคา)มคมไดแไขน เร่')ไม่น

เป็นเข่นน คุณปุกกุค:;น่าง:;น!)นไดดน่น)"
“แล้วจะเป็นภัยแก่เราได้อย่างไรเล่า ผมมองไม่เห็นทางเลย ปุกกุสะยังไม่ลดราวาศอก”

“ความฉลาดของหญิงย่อมเป็นภัยแก่ชายได้เสมอ โดยเฉพาะความฉลาดของนางอมราผู้เป็น

ภรรยามโหลถ ย่อมเป็นภัยแก่เราเป็นอันมาก” ท่านเสนกแถลง ลองคิดตามเกณฑ์ธรรมดาดูก็ได้ เพียง


มโหสถคนเดียว พวกเรายังโค่นเขาไม่ลง คราวนึ่มีคู่ครองซึ่งฉลาดปราดเปรื่องกว่าเข้ามาเป็นเพื่อนคู่คิด

พวกเราจะท้ฯอย่างไรกัน เพราะคนเดียวก็เหนือเรา อีกคนหนึ่งบวกเข้าฆาก็เหนือเราอีก คุณไม่รู้หรือ เพียง

วันแรกที่นางเหยียบย่างเข้าสู,เรือนของมโหสถเท่านั้น นางได้เรียกร้องนํ้าใจของชาวมิถิลาไปรวมไว้ที่คัวนาง

เกือบหมดเมือง ยิ่งกว่านั้น ภายในพระราชฐานพระเจ้าวิเทหราชก็คงจะทรงโปรด เพราะเป็นเหมือนหนึ่ง

น้องสะใภ้ของพระนางอุทุมพร ซึ่งได้ยินข่าวมาว่าทรงโปรดปรานนางอมราเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนํ่

พวกเราจะไปต่างอะไรกันกับธุลีที่เอาไปเปรียบกับเขา และใครเลยจะเห็นความสำคัญของพวกเราดังแต่ก่อน

“พวกคุณคิดกันอย่างไรเล่า ความเป็นคนที่มหาชนหลงลืม ไม่เห็นเป็นสำคัญนั้น มิใช่ความ

อัปยศของพวกเราแล้วก็จะมีอะไรที่อัปยศยิ่งลงไปกว่า ความปราศจากของมนุษย์ในโลกนึ่ อะไรเล่าจะ


ร้ายยิ่งไปกว่าความปราศจากค่า พวกเราเกิดมาแล้วดี ได้รับการศึกษาแล้วดี พวกเรามีค่าและพวกเราเพิ่ม

ค่าให้เกิดทวิร้นด้วยการศึกษา จนปรากฎผลประจักษ์ว่าพวกเราเป็นคนมีค่าของวิเทหรัฐ บัดนึ่ค่าของเรา

ลดลงและลดลงใกล้จะถึงความหมดค่าลงทุก กุ ทีแล้ว ชาวมิถิลานครตั้งด้นแต่พระเจ้าวิเทหราชจนถึงทาส


กรรมกร ยังเหลือใครบัางที่เห็นความมีค่าของเรา ด้องการเราเช่นแต่ก่อน พวกคุณยังจะทนได้หรือ ต่อ

ความปราศจากค่านึ่ ผู้เป็นทาสเขา แม้จะเป็นทาสชนิดเลว ก็ยังมีค่ากว่าพวกเรามิใช่หรือ ความปราศจาก


ค่านึ่ทุก กุ อย่าง ลาภยศสรรเสริญสุข เมื่อปราศจากค่าในตนแล้ว ความหมายที่แท้จริงก็คือคำพูดเพ้อ กุ

ในเวลาฝันเท่านั้น”

“มโหสถเข้ามาสู่ราชสำน้ก ค่าของเราลดลง แต่ไม่ถึงกับหมดค่าทีเดียว เพราะความฉลาดของ


มโหสถนั้น แม้จะน่าครั่นคร้ามปานใด ก็ไม่เป็นภัยแก่พวกเรา แต่บัดนึ่มโหสถมีภรรยาที่ปราดเปรื่อง ความ

ปราดเปรื่องของภรรยาสามารถใข้ความฉลาดของมโหสถเป็น่เครื่องมีอฟาดพ้นพวกเราให้ยิงลดค่าลงจน
หมดค่า มิวันใดก็วันหนึ่ง แม้จะไม่เป็นเช่นนั้นพวกเราก็ด้องหมดค่าลงไปเอง”

“เวลานึ่พวกเราหากจะเปรียบกับบรรดาสิงที่มีแสง ก็เป็นเพียงดวงดาวในคราวดวงอาทิตย์ลับ

ไป ความมีดปกคลุมพิภพ แสงดาวก็อาจพราวแพรวได้ แต่พอถึงคราวดวงจันทร์ร้นมา ความสุกสกาวของ

แสงดาวใครจะเห็น มโหสถเปรียบเหมือนดวงจันทร์ เมื่อดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ปรากฎร้นทุกคืนแล้ว

แสงดาวก็หมดค่าไป”
“ความคิดของผมก็คงเป็นแต่ความคิดเท่านั้น ที่จะแปรรูปความคิดให้เป็นการกระทำเท่านั้น

เห็นจะไม่ได้” ปุกกุสะตอบอย่างจนบัญญา “ผมเห็นด้วยในความหมดค่าของพวกเรา และเห็นมาตั้งแต่


มโหลถเริมเช้ามาแล้ว แต่วิธีแกัไขเท่านั้นที่ผมมองไม่พบเลย นอกจากปล่อยให้มันเป็นเรื่องของกระแล

kalyanamitra.org
๑๓๗

กรรม อยู่ไปวันหนึ่ง *1 จนกว่าซ็วิตนึ่จะคับ ด้วยอาการอย่างทุกวันนั้ ก็ดูสบายดี”

“เป็นอยู่อย่างปราศจากค่า เป็นอยู่อย่างผู้ที่มีข็วิดเลวทรามแม้กว่าทาสเช่นนึ่น่ะหรือ ? เป็นความ

สบาย” ท่านเสนกย้อนคำด้วยเสียงบอกความขุ่น “แล้วคุณสองคนนั้นเล่าจะว่าอย่างไร หรือจะปล่อยข็วิด

ไปดามกระแสกรรมอย่างปุกกุสะบ้าง”
“การที่ผมจะว่าอย่างไรนั้นก็จำด้องรู้ว่าอย่างไรที่ดนควรว่า” กามินท้เอ่ยอย่างกำกวม “เมื่อไม่รู้

ว่าอย่างที่ตนควรจะว่าก็คือไม่ว่าอย่างไร ”

“พูดชอบกล พ้งดูวนไปวนมา ลงผลที่สุดก็คือไม่ว่าอย่างไร” ท่านเสนกรู้สีกงุ่นง่าน

“ผมไม่มีอะไรจะว่าดอกครับ ท่านว่าอย่างไร ผมว่าอย่างนั้น” เทวินท้เอ่ยอย่างเกรง กุ

ปุกกุสะเห็นท่าทางของเสนกตกอยู่ในอารมณ์ขุ่นก็เอ่ยร้นว่า “การที่ท่านอาจารย์กล่าวมาทั้งหมด
นั้น มิใช่ผมจะไม่คิดเห็นเป็นสำคัญ ความจริงเป็นข้อที่สำคัญมาก และควรที่จะกำหนดทีเดียว เพราะ

พฤติการณ์ทุก กุ อย่างที่เป็นอยู่เวลานึ่ บอกบ่งซัดว่า พวกเรากำลังดำด้อยลง หนทางแก้ไขนั้น เห็นแต่

ผลเท่านั้น เหตุไม่ปรากฎ ที่ว่าอย่างนึ่หมายความว่า ความไม่มีมโหสถนั่นแหละคือพวกเราจะคืนสภาพเติม

แต่ทำอย่างไรมโหสกถึงจะไม่มีได้ในราชสำนัก ข้อนึ่จนบ้ญญาทีเดียว ไม่รู้ที่จะคิดอย่างไรเพราะแม้แต่

จะป้องกันพวกเราก็ไม่สามารถจะมาคิดแก้นั้นจะเอาบัญญาที่ไหนมาคิด เรื่องแก้ยากกว่าเรื่องกันเป็นไหน กุ

เพราะอย่างนึ่ดอกขอรับที่ผมจำด้องปล่อยไปวัน กุ หนึ่ง แล้วแต่กระแสกรรมจะพาไป มิใช่จะไม่สำนึก

ในค่าของตน”
“พูกกันอย่างนึ่บ้าง ก็จะค่อยยังชี่'ว นึ่อะไรจะปล่อยให้เราคิดเพ้อไปผู้เดียวด้งว่าจะไม่เห็นความ

สำคัญในตน ใครล่ะจะไม่ฉิว” ท่านเสนกค่อยอารมณ์ดีร้น “บ้ญหาที่คุณว่า กันง่ายกว่าแก้ แก้ยากกว่ากัน


ก็น่าคิดเหมือนกัน แต่ในกรณีมโหสถน ผมเห็นในบ้ดนึ่ว่า การกันนั้นยากกว่าการแก้ เหมือนกระแสนํ้า

กำลังเชี่ยวไหลทุ่งมา เราจะสกัดกั้นทันทีไม่ได้ด้องปล่อยให้ไหลปาไปเสียก่อน ผ่อนความเชี่ยวให้คลายลง

แล้วค่อยคิดแก้ไขในภายหลัง ก็เป็นอย่างในกรณีของมโหสถนึ่ผมเห็นลู่ทางบ้างแล้วละ”

“ท่านอาจารย์เห็นอย่างไร โปรดว่ามาเถิดครับ ผมเป็นร่วมด้วยเสมอ” ทั้งสามต่างพูดในทำนอง

เดียวกัน “พวกผมไม่อาจคิดอะไรได้ดอกครับ”
“พวกคุณอย่าไปคิดเลย ผมคิดแล้วละ เห็นอุบายอยู่อย่างหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของ

พวกคุณจึงจะสำเร็จ คืออย่างน....” ท่านเสนกเริ่มแถลง “พวกเราต้องกระทำให้พระราชาทรงแคลง

พระทัยในมโหสถให้ใต้เลียก่อน การตอนนึ่ทำไม่ยากเลย เพราะพระราชานั้น ตามธรรมดาต้องมีความ

ระแวงประจำพระหทัยอยู่เสมอไม่ว่าอะไร แม้จะทรงทราบดีก็ด้องมีความระแวง เพราะความระแวงทำให้


เกิดความระวังได้ทางหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนึ่ก็มิใช่เป็นการยากที่จะก่อความระแวงร้นในพระหทัย และอะไร

ก็ไม่ดีเท่าทำให้ทรงรู้สึกว่า มโหสถคิดการใหญ่โตอยู่ในบ้ดนึ่ ถ้าท่านจะกำเริบถึงล้มราชบัลลังก์ก็ได้”


“โย้โฮ มันเป็นการใหญ่มิใช่เล่นเลยนะครับ” กามินท้แทรกร้น “พระเจ้าวิเทหราชจะทรงเชี่อ

หรือครับ”

kalyanamitra.org
(ธ) 0า 6*

“ทำไมเล่า คุณคิดดูซิ มโหสถมีบริวารมากเพียงไร ประชาชนในพระนครมิถิลา ต่างนับถือ


มโหลถปานใด เห็นได้แล้วมิใช่หรือ และนา;งอมราเล่าก็สามารถจะกำหัวใจชาวเมืองไว้ได้แทบทั้งเมือง

หากเขาคิดจริง คุ คุณก็คงเห็นว่าทำได้จริงไหมล่ะ”
“เห็นจะได้จริง” กามินท้รับรอง

“ถ้าเขาคิดทำก็คงจะทำได้จริง คุ’' ปุกกุสะเห็นคล้อยตาม “แต่ใครจะเชื่อว,ามโหสถจะคิดอย่าง


นั้น ยิ่งพระเจ้าวิเทหราชเห็นว่าเป็นการยากยิ่งที่พวกเราจะกราบทูลให้ทรงเชื่อด้วยเหตุเพียงเท่านี่ แม้,ว่า

เป็นธรรมดาของพระราชาที่จะไม่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในใคร คุ ก็ยังเป็นการยากที่กราบทูลยุยงให้ทรง

แหนงได้”

“ทำไมล่ะ” ท่านเสนกซัก

“เพราะปกติของมโหสถเป็นคนมีพรรคพวกมากมาแต่ดั้งเดิมแล้ว” ปุกกุสะแถลงแก้ “จะอ้าง


เหตุปกติเป็นเครื่องซ็พถุติการณ์ในทางร้ายนั้น ใครเล่าจะเชื่อเป็นที่หละหลวม ไม่สมกับผลที่จะกราบทูล”

“นี่คุณปุกกุสะคงคิดว่า ผมจะยกเหตุเพียงเท่านี่ขื้นกราบทูลยุยงกระมัง” ท่านเสนกถามด้วย

เสียงเย้ยหยัน
“ก็จะใหัเข้าไปใจอย่างไร ในเมื่ออธิบายอย่างนั้น” ปุกกุสะโด้ “เพียงเท่าที่อธิบายมันยังไม่มี

เหตุพอที่จะให็ใคร คุ สันนิษฐานได้ว่ามโหสถจะคิดภารใหญ่”

“ควรจะมีเหตุอื่นที่ยิ่งไปกว่านั้นอีก ถูกไหมล่ะ” ท่านเสนกสอด

“ถ้ามีเหตุยิ่งกว่าเข้าประกอบ ก็พอจะเห็นทางว่า คงคิดจริง” ปุกกุสะชื่แจง

“สมมุติ....” ท่านเสนกเริ่มดั้งเด้าแผนการ่ “สมมุติเราพาพยานมายืนยันได้ว่า มโหสถคิดการ

อย่างนั้น คุณปุกกุสะจะเห็นว่าพอหรือยัง”

“พวกเราจะได้อะไรเป็นพยานเล่า บุคคลหรือวัตถุ” ปุกกุสะพูดพลางส่ายหน้า “พยานบุคคล


เราจะได้ใครเป็นพยานยืนยันแก่พระเจ้าวิเทหราช ใครจะบังอาจอื่นคอมารอคมดาบไม่เห็นหน้าไหนเลย

แมัจะได้ทรัพย์สินจ้างมากมายก็คงไม่มีผู้ปรารถนาเป็นแน่.... ”

ปุกกุสะกล่าวยังไม่ทันจบ ท่านเสนกเอ่ยแทรกขนว่า “ใครเล่าจะคิดหาพยานบุคคลมาให้ลำบาก


ผมไม่เคยคิดในเรื่องพยานบุคคลเลย ความคิดของผมเป็นไปในทางวัตถุพยาน เพราะวัตถุถ้าลงเป็นพยาน

ในกรณีใดแล้ว มันจะไม่แปรรูปเรื่องราวเป็นอย่างอื่นไปได้เลย ความบ่งซัดในกรณีย่อมแน่นอนเท่า คุ กับ


ความไม่แปรรูปของมัน เป็นสิ งที่ยืนยันได้เด็ดขาดนัก”

“เราจะหาวัตถุอะไรมายืนยันกันเล่า” กามินท้กล่าวเชิงวิตก “หาวัตถุพยานควรจะเป็นภายหลัง


เหตุการณ์ หาก่อนเหตุการณ์ เราจะได้อะไรที่ส่อกรณี”

ท่านเสนกมองหน้ากามินท์ยิ้ม คุ แลัวเอ่ยว่า “นั่นแหละคือที่ผมพูดว่าพวกเราด้องร่วมมือกัน

เพื่อหาวัตถุพยานสร้างเหตุการณ์ และวัตถุอ้นนั้นจะบอกซัดในเรื่องราวที่เราจะเอ่ยขื้นอย่ๅงเด่นซัด”

kalyanamitra.org
(ธิ)

“วัตถุอะไรกันครับ ท่านอาจารย์โปรดบอกเสียทีเถิดครับ” เทวินท์ถามร้นด้วยรู้สึกว่าพูดกัน

มานานแล้ว ยังไม่ได้ความเลย
“วัตถุที่จะบอกให้รู้ว่ามโหสถด้องการเป็นกษัตริย์น่ะซี” ท่านเสนกตอบ

“เราจะได้จากไหน” ทั้งสามถามร้นพร้อมกัน
“มีที่ไหนก็ได้จากนั้น” ท่านเสนกตอบ และเมื่อเห็นทั้งสามคนยังมีอาการฉงนจึงแถลงต่อไปว่า

“พวกเราร่วมมือกันขโมยจากที่เก็บเครื่องราชปิลันธนาภวิณ์คนละอย่างเท่านั้นก็พอถมไป”

“ใครจะขโมยอะไรล่ะ” ปุกถุสะถาม “ไอ้เรื่องขโมยของพระราชานั้ ล้าจะว่าไปมันก็ออกจะ

ไม่ง่าย และก็ไม่ค่อยจะแนบเนียนได้เลย ผมคิด ๆ ไปแล้วก็ยังเห็นความลำบากอยู่หลายประการ”


“มันจะยากอะไร” ท่านเสนกกระตุ้น “เราไม่ใช่ขโมยวัตถุที่ใหญ่โตอะไร สิ่งใดที'พอหยิบพอ

ถือ พอจะปกปิดให้มิดเม้น เราก็เอาสิ่งนั้นมาก็แล้วกัน คุณปุกกุสะก็เอาของที่ช่อนง่ายๆ สุวรรณมาลา

ที่เคยทรงออกงานพระราชพิธีใหญ่ ๆ สักชิ้นหนึ่ง จะยากหรือ กามินท์ก็แอบไปเอาผ้ากัมพลอย่างวิเศษ


ที่เคยทรงคราวเสด็จประพาสมาลักผืนหนึ่ง จะยากอะไร เทวีนท้ก็คว้าฉลองพระบาททองชุบมาลักค,หนึ่ง

จะไม่ได้ทีเดียวหรือ”

“แล้วท่านอาจารย์เล่า” ปุกกุสะถาม
“ผมหรือ พระจุฬามณีซีคุณ” ท่านเสนกตอบทันที “เป็นไปตามลำดับวัยลำดับชั้น ผมสูง
กว่าคุณลักเครื่องประดับตัว คุณก็รองลงมาลักเครื่องประดับหู กามินท้กัดคุณลักเครื่องประดับกาย เทวีนท้

สุดท้ายลักเครื่องประดับเท้า รวมกันเข้าครบองค์พระมหากษัตริย์หัวหูตัวตีนครบเลย เป็นอย่างไร จะพอ

ทำได้หรือไม่”
“ทำไมจะไม่ได้ท่านอาจารย์” รับรองกันเต็มที่ทั้งลามคน ปุกกุละเอ่ยต่อไป “ได้มาแล้วจะ

ทำอย่างไรต่อไปเล่า”
“พุทโธ่ เท่านึ่ก็ต้องซักด้วย ท่านเสนกกล่าวพลางกระซิบบอกอุบายให้ทุก ๆ คนเช้าใจ เสร็จ

แล้วแถมท้ายว่า “หัวหูตัวตีนของกษัตริย์เข้าอยู่กับมโหสถแล้ว ก็เป็นอ้นว่าองค์กษัตริย์ก็อยู่ด้วย เป็นอย่างไร

อุบายของผม”
“ดีแน่ครับ ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง” ทั้งสามรับเป็นเลียงเดียวกัน”

“ต้องร่วมมือกันสร้างองค์กษัตริย์ใหัแก่มโหสถ ถึงจะกำจัดมโหสถได้ ขอให้ทุก *1 คนดำเนิน


ตามอุบาย อย่าพากันนึ่งนอนใจต่อไป” ท่านเสนกกำชับ

เมื่อสนทนาปราศรัยกันอย่างชิ้นชมต่อไป แล้วทั้งสามบัณฑิตก็ลากลับ

ต่อจากนั้นมาไม่กี่วัน เมื่อมโหสถเช้าเฝืาอยู่ ณ ราชสำนัก ทางบ้านก็มีแม่ด้าเดินร้องขายเปรียง


วนเวียนมาอยู่หนัาบ้าน ไม่ไปที่อื่น “เปรียงแม่เอ๊ย เปรียงแม่เอ๊ย” ผ่านไปแล้ว เดี๋ยวก็กลับมา “เปรียง

แม่เอ๊ย เปรียงแม่เอ๊ย” บางทีก็ร้องว่าเซิญซีอเปรียงเจัาค่ะ” กลับไปกลับมา


อมราเทวียืนอยู่ที่ประตูเรือน ได็ยินเสียงแม่ด้าเปรียงเดินร้องกลับไปกลับมาอยู่หนัาบ้านหลาย

kalyanamitra.org
๑๔๐

กลับแล้ว ทั้งมองดูกิริยาเหมือนตั้งใจจะขายให้แก่บ้านนี้เท่านั้น ด้วยเชาวน์อันว่องไวนางดำริในใจว่า “แม่ค้า

คนนั้ใม่ไปที่อื่นเลย ร้องขายวนเวียนอยู่หน้าบ้านเราเท่านั้น คงจะมีเหตุอะไรเป็นแม่นมั่น” ดำริพลาง ทำ

บ้ยใบ้ให้พวกสาวใช้ของนางหลบหน้าไปเลียให้หมด นางเรียกแม่ค้าเปรียงผู้นั้น “แม่ค้าเปรียงจ๋าแวะมา


ทางนี้ฉันจะชื้อเปรียงจ้ะ”

แม่ค้าแวะเข้ามาทันที “คุณหญิงจะชื้อหรือคะ”

“จ้ะฉันจะชื้อ” นางตอบและให้สัญญาณแก่พวกสาวใช้ ซึ่งจะเข้ามารับใซัมิให้มาหานาง ใน

เวลาที่แม่ค้าเปรียงกระเดียดหม้อเปรียงมาวางตรงหน้า

“เอ พวกเด็ก ตุ ของฉันพากันหลบหน้าไปไหนกันหมดก็ไม่ร”ู้ อมราบ่นพลางบอกกับแม่ค้า

เปรียง “แม่คุณเถอะฉันวานลักหน่อย ช่วยเข้าไปตามพวกเด็ก ตุ รับใช้ของฉันให้ทีเถอะ”

แม่ค้าผู้ไม่มีไหวพริบ นึกว่านางอมราเทวีต้องการสาวใช้จริง ตุ ก็วางหม้อเปรียงตรงหน้านาง


ตนเองก็เดินเข้าไปในบ้านเพื่อสนองคำวานของนาง ได้โอกาสอมราเทวีเปิดหม้อล้วงเอาพระจุฬามณีขื้น
มาดู พอเห็นแล้วก็รีบทิ้งลงไปในหม้อตามเดิม พอแม่ค้าไปตามตัวสาวใช้มาได้แล้ว อมราเทวีจึงถามเป็น

เซิงให้การปราศรัยว่า “แม่คุณจ๊ะ อย่านึกเห็นเป็นอย่างโน้นอย่างนั้ใปเลยนะ ฉันอยากจะรู้จักกับเธอ ขอ

ถามเธอลักหน่อยด้วยความรู้สึกเห็นใจในความเหนื่อยยากตรากตรำทำมาหาเลํ่ยงตนด้วยการค้าขายเช่นนี้
ช่างเป็นที่น่านิยมจริง ตุ เธอทำการค้ามานานแล้วหรือจ๊ะ”

“ไม่นานหรอกเจ้าค่ะ คุณหญิง” ตอบตามประสาชื้อ “เพิ่งเริ่มเป็นครั้งแรกคราวนี้แหละเจ้าค่ะ”

“งั้นดอกหรือ” คล้อยตามเชิงฉงน “แต่ก่อนนี้เธอมีอาชีพอะไรเล่าจ๊ะ”

“ดิฉันเป็นคนใช้เขาเจ้าค่ะ” ตอบตามตรง เพราะไม่ได้รับการซักซ้อมมาก่อน “เป็นคนใช้ของ

ท่านราชบัณฑิตเสนกอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

“อัอ เห็นจะอยู่กับท่านเสนกมานานแล้วนะจ๊ะ”
"นานแล้วเจ้าค่ะ” ตอบพลางเยินยอนายของตน “ท่านดีจะตายไปเจ้าค่ะ ใจคอดั๊ดี แล้วก็ฉลาด
ปราดเปรื่องมากทีเดียวเจ้าค่ะ”
“เธอเห็นจะเป็นคนที1เคยรับใช้ใกล้ชิดของท่านซ็นะจ๊ะ”

“เจ้าค่ะ” รับคำ “บางทีก็นึกรำคาญท่านบ้างเหมือนกันเจ้าค่ะ คนไหน ตุ ก็ไม่ค่อยชอบใช้ ดิฉัน

แหละเจ้าค่ะ ถูกใช้บ่อย ตุ”


“ก็เป็นธรรมดานื่จ๊ะ คนไหนวางใจก็ม้กจะชอบใช้คนนั้น เพราะได้อย่างใจทุก ตุ คราวที'ใช้”

ยอเข้าหน่อย “ขอโทษเถอะนะ เธอชื้ออะไรจ๊ะ ฉันอยากจะรู้จักไว้บ้าง ดูเธอเป็นคนคล่องแคล,วดีเหลือ

เกิน”
“ดิฉันชื้อ ธนปาล เจ้าค่ะ” ตอบตามตรง
“ชื้อของเธอ ธนปาลีนี้ ไม่น่าจะเป็นคนใช้เลยนะจ๊ะ ” แสดงท่าฉงน “แตกจะทำอย่างไรได้

เล่านะจ๊ะ วีถึชีวีตของคนเราไม่แน่นอนอะไร แต่อย่างเธอนี้ฉันคาดว่าคงมิได้เป็นคนใซัที่เกิดในเรือนเบื้ย

kalyanamitra.org
๑๔®

ของท่านเสนกดอกนะจ๊ะ เพราะถัาเกิดในเรือนเบยแลัว ที่ไหนจะได้นามเพราะพริ้งด้งนี่ ”

“เป็นความจริงเจ้าค่ะ” รับด้วยความภาคภูมิ “ดิฉันเกิดในสกุลที่พอมีอันจะกินเหมือนกัน แค่

ภายหลังเกิดวิบัติทรัพย์สินย่อยยับลง จึงด้องตกไปเป็นคนไข้ท่านเจ้าค่ะ”

“แหม น่าเห็นใจ” แสดงท่าอย่างผู้เปืยมด้วยกรุณา “แลัวบิดามารดาของเธอเล่าจ๊ะ ยังอยู่หรือ


ตายเลียแลัว ขอโทษนะจ๊ะ ฉันออกจะถามซอกแชกไป ขอให้นกว่าเพื่อรัชักกันไว้ และด้วยความเห็นใจ

ในความตกยากของเธอ”

“ไม่เป็นไรดอกเจ้าค่ะ” ตอบด้วยความรัลึกเคารพ “บิดามารดาของดิฉันยังมีข็วิตอยู่เจ้าค่ะ”


แต่ก็อยู่ในความอุปถัมภ์ของท่านเสนกเหมือนกันเจ้าค่ะ บิดาซือเทวทาส มารดาซึ่อกัจจานี เจ้าค่ะ”
“แสดงว่าเป็นผู้เคยมีสกุลมาเหมือนกันนี่จ๊ะ” ยกย่องต่อไป “ดีแลัวฉันขอบใจเธอ ธนปาลึ ที่

ให้ความสนิทสนมแก่ฉัน อัอ เปรียงนี่เธอจะขายราคาเท่าไรเล่าจ๊ะ ฉันจะซึ่อไว้ใซั’

“เปรียงมีอยู่ด้วยกันลีทะนาน” บอกจำนวนนี่ามันในหม้อ “แค่เมื่อคุณหญิงด้องการ ก็ไม่ด้อง

ให้ราคาก็ได้เจ้าค่ะ เชิญรับไว้ทั้งหม้อก็แลัวกัน”

“ทำไมเล่าจ๊ะ” อมราเทวีท้วง “ค้าขายไม่รับสิงของมิขาดทุนหรือจ๊ะ เชิญเธอรับเอามูลค่าไป

เถิดจะ”
“ดิฉันไม่รับดอกเจ้าค่ะ” นางกล่าวเพราะท่านเสนกสั่งมา “เชิญคุณหญิงรับไว้ทั้งหม้อก็แลัว

กันเจ้าค่ะ ดิฉันมอบให้หมดเจ้าค่ะ”

แม้จะพูดท้วงดิงอย่างไร แม่ค้าขายเปรียงคงยืนคำ ไม่ขอรับมูลค่าท่าเดียว อมราเทวีก็รับไว้


พรัอมกับกล่าวคำขอบใจและสั่งให้มาขายอีก “คราวต่อไปฉันไม่ยอมให้เธอขายให้เปล่า กุ อย่างคราวนี่

เป็นแน่”
พอแม่ค้าเปรียงใปแล้ว อมราเทวีก็บันทึกเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียดลออ “วันนี่ เดึอนนี่ เวลา

เท่านั้น อาจารย์เสนก ได้ใชัทาสีซีอ ธนปาลี นำหม้อเปรียงบรรจุพระจุฬามณีมาขายไวั” เสรีจแลัวไม่ข้า


ก็มีแม่ค้าดอกไม้ ถึอผอบดอกไม้รัองขายมา และก็เป็นเช่นเดียวกันกับคนก่อน ดึอไม่ไปขายที่ไหน รัอง

ขายกลับไปกลับมาอยู่แถวนั้น อมราเทวีเรียกให้เข้ามาและทำอุบายด้งครั้งก่อน ทั้งซักถามได้ความว่ามา


จากบัานของปุกกุสะ แม่ด้าดอกไม้คงขายดอกไม้ทั้งผอบ ซึ่งมีพระสุวรรณมาลาซุกซ่อนอยู่ โดยมิได้รับ

มูลค่าตอบแทนเช่นเดียวกัน อมราเทวีคงคำเนินการเช่นรายก่อน
พอแม่ค้าดอกไม้ไปแลัวไม่ซัาก็มีแม่ค้าขายผักหิ้วกระเข้าผักมาขาย แม่ค้าผู้นี่มาจากม้านอาจารย์

กามินท้ ในกระเข้าผักมีผัาคลุมพระองค์กัมพลพับซุกซ่อนมา อมราเทวีคงคำเนินอุบายและซักถามเช่น


เดียวกัน แลัวก็ถึงแม่ค้าที่มาจากม้านเทวีนท์ เป็นแม่ค้าขายฟ่อนข้าวเหนียว ในฟ่อนข้าวเหนียวมีฉลอง-

พระบาทซุกอยู่ ซึ่งก็ได้ขายให้แก,อมราเทวีด้วยวิธีเดียวกัน และอมราเทวีก็จดเป็นบันทึกไว้อย่างละเอียด

ทุก กุ ราย
“ท่านเจ้าคะ” อมราเทวีเสนอแต่ท่านมโหสถ ขณะที่กำลังสำราญในตอนเย็นวันนั้น “วันนี่

kalyanamitra.org
๑๔๒

มีเรืองบระหลาดเจ้าค่ะ ดิฉันจะขอเล่าให้ทราบไว้”
“เรื่องอะไรจ๊ะเทวีของฉัน” ท่านซักด้วยความสนใจ “เชิญเล่าเถิดจ้ะฉันจะขอพ้ง”
“มีแม่ด้านำของมาขายให้ ๔ ราย” อมราเทวีเริ่ม แล้วเล่าให้ทราบตลอดพร้อมกับนำบันทึก
ให้ดูด้วย แล้วกล่าวเป็นเซิงวิตก “ดิฉันไม่ทราบว่าอะไรเกิดขื้นเจ้าค่ะ”

“อย่าไปวิตกเลยเทวีของฉัน” ท่านมโหสกกล่าวเอาใจ “ผลอะไรก็กังไม่ปรากฏ จะไปกังวลไย


คอยดูผลที่ปรากฏต่อไปก่อนจะดีกว่า”

“ดิฉันคิดคาดว่า อาจารย์ทั้ง ๔ คงมีเลศนัยอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่เจ้าค่ะ” แถลงความคิด

ตามเด้ามูล “และเกรงว่าจะเป็นความเดือดร้อนแก่เราด้วยชีเจ้าคะ”
“ความเดือดร้อนไม่มีแก่ผู้สุจริต” ท่านมโหสกกล่าวหนักแน่น “ผู้สุจริตย่อมอยู่ในที่เย็นเสมอ
ดือเมื่อคำนึงถึงความสุจริตของตนแล้วก็เย็นใจชินใจ นั่นเป็นผลดันเพียงพอแล้วสำหรับผู้สุจริต เทวีอย่า

กังวลไปเลย”
อาจารย์ทั้งสี'ใช้อุบายนำเครื่องราชูปโภคทั้ง ๔ อย่างเช้าไปไว้ในบัานท่านมโหสกได้แล้ว ต่าง
ก็มีความยินดี “เห็นจะอยู่ละคราวนึ่ อย่างน้อยก็คงไม่ได้ปรากฏอยู่ในราชสำนักแหละน่า” ท่านเลนกกล่าว

กับคณะในวันรุ1งขื้น ขณะกำลังจะเข้าเฝืา “เป็นอย่างไรอุบายแยบคายมิใช่หรือ”

“แยบคายนักเทียว ท่านอาจารย์” ทั้งสามยกย่องด้วยความชินชม

“อย่าซักช้าเลย พวกเราพากันไปเฝ็าพระเจ้าวิเทหราชเสียก่อนมโหสกเถิด” ท่านเสนกชวนคณะ


ของเขาเข้าสู่พระราชสถาน ก่อนที่ท่านมโหลถจะได้เข้าเฝ็า และก็เป็นโอกาสเหมาะที่พระเจ้าวิเทหราช

ได้เสด็จออกภายหลังจากที่คณะอาจารย์ทั้ง ๔ เข้ามาประจำไม่ช้านัก

“ขอเดชะ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ” ท่านเสนกเอ่ยกราบทูล เมื่อได้ถวายชัยแล้ว

“ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ตามความสังเกตของช้าพระพุทธเจ้า เห็น


ด้วยเกล้าๆ ว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมิได้ทรงประดับพระราชปิลันธนาภรณ์ลันเป็นสิริมงคลมานาน

แล้วพระพุทธเจ้าข้า”
“อะไรเล่า ท่านอาจารย์” มีพระดำรัสกาม

“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้าๆ ข้าพระพุทธเจ้าต้องขอพระราชทานอภัยโทษพระพุทธเจ้าข้า”

ท่านเลนกกราบทูลเสียงกังวาน “คือพระจุฬามณีลันประดับด้วยอนรรฆมณีพระเจ้าข้า”
“ท่านอาจารย์ไปหยิบมาให้ฉันซี ฉันจะได้ประดับ” มีพระราชดำรัสผสมรอย
ท่านเสนกชวนพรรคพวกพากันเดินเข้าไปในห้องเก็บเครื่องราชูปโภค ทำเป็นด้นหาอยู่ครู่หนึ่ง

แล้วกลับออกมากราบทูลว่า “ขอเดชะ พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าๆ ข้าพระพุทธิเจ้าทั้งลี่คน ช่วยกันลัน

พระจุฬามณีไม่พบ หายไปจากที่เก็บพระพุทธเจ้าข้า”

“เอ๊ะ จะหายไปได้อย่างไร ไม่มีผู้คนเข้าออกพลุกพล่านเลยนี่นา” พระเจ้าวิเทหราชมีพระดำรัส

ด้วยทรงสงสัย “ใครเป็นคนเอาไปนะ”

kalyanamitra.org
๑๔๓

“มิใช่แต่พระจุฬามณีอย่างเดียวพระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกกราบทูลเป็นเชิงนำ
“อะไรหายไปอีกล่ะ” ตรัสซักโดยเร็ว
“พระสุวรรณมาลา พระภูษากัมพล และฉลองพระบาททอง ก็หายไปพระพุทธเจ้าข้า”
“เกิดโจรร้นในราชวังของฉันเจียวหรือนี่” ตรัสด้วยพระสุรเสียงเกร้ยวกราด “มันผู้ใดเล่าเป็น

โจร มันคือใคร” พระโทสะยิ่งพุ่งร้นรุนแรง พระเนตรวาวด้วยความกร้ว


ได้โอกาสแต้วไม่รีรอ ท่านเลนกกราบทูลทันที “ขอเดชะ พระบารมีด้นเกล้าๆ ที่ข้าพระพุทธเจ้า

กราบทูลให้'ทรงประดับพระจุฬามณีนั้นมีเหตุอยู่พระพุทธเจ้าช้า”

“เหตุอะไร ว่าไป อย่าซักข้า”


“คือมีผู้'บอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่า มโหสถใข้สอยเครื่องราชูปโภคทั้ง ๔ อยู่ คราวแรกก็มิได้
วางใจเชี่อเอาเป็นแน่นอนตอก ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้หาโอกาสที'จะได้รับพระบรมราชานุญาตให้ได้ตรวจดู

จึงได้กราบทูลพระกรุณาเพื่อได้โปรดรับสั่งให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าไปเชิญพระจุฬามณีพระพุทธเจ้าข้า ”

“มโหสถหรือ? เป็นไปได้หรือ? มันทำได้หรือ? มันจะคิดกำเริบหรือ? ” มีพระดำรัสเป็น


ห้วง *1 ด้วยทรงกริ้วอย่างหนัก

ขณะนั้นมโหสถรีบมาเฝืา เพราะได้ทราบเรื่องจากผู้หวังดีในราชสำนัก ก็ดำริว่า “เราต้องกราบทูล

พระเจ้าวิเทหราชให้'รู้เรื่อง” แต่ท่านก็มิล่วงเข้าสู่ท้องพระโรงได้ พอนายพระทวารขานนามท่านเท่านั้น


พระเจ้าวิเทหราชก็ยิ่งทรงกริ้วหนัก ถึงกับไม่ทรงยอมใทัเข้าเฝ็า เพราะทรงระแวงพระท้ยว่า “ใครจะไป
รู้ว่า มโหสถจะคิดอย่างไร อะไรจะเกิดขน” เป็นอันว่าท่านถูกห้ามเฝืา เห็นว่าพระเจ้าวิเทหราชกำลังกริ้ว

จะเข้าเฝ็ากราบทูลร้แจงก็ไม่ได้ กังไม่เป็นโอกาส ก็เลยออกจากพระราชวัง กลับนิเวศน์ของตน


ท่านมโหสถกลับไปแต้ว พระเจ้าวีเทหราชมีพระดำรัสสั่งคณะอาจารย์ทั้ง ๔ “พวกท่านรับ

มันเถิด”
แต่ท่านมโหสถได้ทราบพระราชดำรัสก่อนหน้าที่คณะอาจารย์จะออกจากพระราชวัง เพราะ

ผู้ที่มุ่งประโยชน์มีเป็นอันมาก นำเรื่องไปแจ้งพอได้ทราบเรื่องก็มิได้รอข้า เรียกอมราเทวีเข้ามาใกล้ “เทวี

ของฉัน ฉันตองหลบไปก่อนนะ เธอจงดูแลบ้านไวัจงดี”


“ท่านจะหลบไปทำไมคะ” นางท้วง “เรามีพยานหลักฐานพร้อมอยู่ในมือนี่เจ้าคะ”
“เทวีของฉันอย่าหน่วงเหนี่ยวไวัเลย ไฟไม่มีความรู้ อะไรควรเผา อะไรไม่ควรเผา” กล่าวแล้ว

รีบแปลงตน นุ่งห่มอย่างสามัญออกจากบ้านไปทันที
ข่าวการหนีของท่านมโหสถแพร่ไปโดยรวดเร็วไม่ข้าเลย และก่อนที่คณะอาจารย์ทั้ง ๔ จะไป
ถึงบ้านท่านด้วยชํ้า ข่าวการหน็ก็รู้ไปทั่วมีถิลานคร เสียงโจษจันอึงคะนึงไปทุกหนแห่ง “ท่านมโหลถบ้ณ•ทิต

หนีไปเสียแล้วเจ้าข้า ท่านมโหสถบ้ณ‘ทิตหนีไปเสียแล้วพวกเราเอย มิ่งขวัญของมิถิลานคร มาพรากไป

เสียแล้ว” เสียงต่าง*1 ทำนองนี่โกลาหลไปหมด


คณะอาจารย์ทั้งสี,ต้องมีงานเพิ่มร้นอีกแทนการคุมราชบุรุษไปจับท่านมโหสถ ต่างต้องแยกยัาย

kalyanamitra.org
6)ธ',(1เ’

กันไปเที่ยวปลอบนี่าใจประชาชน เพื่อระงับการโกลาหลที่เกิดชื้นตามชุมนุมนั้น *1

“พี่น้องชาวมิถิลานครทั้งหลาย” เสียงคณะอาจารย์ทั้ง ๔ ประกาศ “เชิญฟังข้าพเจ้า มิชิลานคร

ก่อนที่มโหสลจะเกิดนั้น ใครกันเล่าได้ช่วยทำนุบำรุงมา ไม่ใช่เสนกหรือ? ไม่ใช่ปุกกุสะหรือ? ไม่ใช่

กามินท้หรือ? ไม'ใช่เทวินท้หรือ? เราทั้ง ๔ จะอยู่กับท่าน เราทั้ง ๔ จะอยู่รวมกันเป็นผู้แก้ไขปดเบำ

ความเลื่อมเสียแก่พวกท่าน และพรอมกันนั้นก็จะพยายามทำนุบำรุงพวกท่านใหใด้รับความเจริญรุ่งเรือง”
“นี่แน่ะ พี่น้องทั้งหลาย พวกเราทั้ง ๔ เคยเป็นที่เชิอถึอของพวกท่านมาแต่เก่าก่อนมิใช่หรือ?

จงระลึกถึงความหลังปางเชิด อย่าได้'คิดเสียใจไปเลยว่า มโหสถบัณฑิตหนีไปแล้วจะไม่มีบัณฑิตของปาน

เมือง ใช่ว่ามิชิลานครไม่มีมโหสถแล้วจะไม่มีบัณฑิตเลย หามิได้ คนดีของมิชิลาไม่ใช่มีแต่มโหสถผู้เดียว


พี่น้องทั้งหลายจงไตร่ตรองดู แม้พวกเราเล่า ก็เป็นบัณฑิตมิใช่หรือ? พวกเราเป็นบัณฑิตไม่ได้หรือ?”

ประชาชนได้ยินคำประกาศของคณะอาจารย์ทั้ง ๔ ต่างพากันสงบความโกลาหลลงไป เป็น


อย่างว่า “เมื่อไก่ไม่มีข้นก็'ฟังเป็ดขันไปพลาง” หรือว่า “เมื่อนกยูงมาหนีไป ก็ชมกาไปพลางต่างนกยูง ถึง

จะไม่มีแววแพรวพราย ก็พอดูแก้รำคาญได้ในบางครั้ง”
เมื่อเห็นประชาชนสงบเสียงลงแล้ว ต่างคนก็พาก้นกลับเคหาสน์ของตน กุ ด้วยความกระหยิ่ม
อิ่มใจ ซึงแยกได้เป็น ๒ สถาน สถาน ๑ นั้นคือ อิ่มใจในการคัดมโหสถออกไปได้สำเร็จ ซึงเป็นที่รักัน

อยู่แลัว ส่วนอีกสถาน ๑ ต่างคนต่างเก็บงำไว้ในใจ ไม่มีใครบอกใคร แต่ต่างก็กระหยิ่มเหมือนก้น ที่ว่า

นี่คือต่างคนคิดจะ เท้ายกรำ"

kalyanamitra.org
๑๙. สี่บณฑิตส์ปยศ

คณะอาจารย์ทั้งสี่เที่ยวปลุกปลอบประชาชนจนหายความโกลาหลแลัว ต่างแยกย้ายกันกลับไป
ยังเคหาสนํของตน *1 พร้อมด้วยความคิดคำนึงซึ่งจะบอกให้กันรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ด่างคนต่างกริ่มใจมิใช่

ในผลสำเร็จของกิจที่ตนร่วมกันกำจัดท่านมโหลถเท่านั้น ลึกกว่านั้น ซึ่งกว่านั้น คือคิดจะเป็นผู้แทนท่าน


มโหลถ ในการเมืองก็ได้ประกาศให้ปรากฏไปแล้ว แต่ความคิดที่จะเสวยตำแหน่งในกรณีบ้านนั่นสิ ที่

ต่างคนต่างดำริโดยไม่บอกให้กันร้เลย
ท่านเสนกกลับถึงเคหาสน์ ก็เริ่มดำริวางแผนการที่จะเข้าครองตำแหน่งในบ้านของท่านมโหลถ

ทันที ร่าง*] ที่ตนเองก็ทราบอยู่ว่า “อมราเนรเปีนหญงงลาด” ด้งที่ตนเคยพูดให้พรรคพวกฬง แต่ตนเอง

กลับเห็นไปเสียว่า “หณงยงงลไดยงง่ายต่อการต่ดต่อ เทรา^ทูดก่นเทยงแไกนอยก่ร‘เรองด็” และยังถือตำรา


ที่ว่า “หฌงยงงลาด ก็ม่ก่ใขดรามงลาดปร:ไหไรตนเอง" ท่านเสนกรำพึงเป็นอันมาก “จะทำอะไรดี จึง

จะแจ้งความประสงค์ให้นางรู้ด้วยวิธีอันแยบคาย” คิดแลัวคิดเล่า “เขียนเป็นหนังสือสารเถอะน่ะถืงจะ


เข้าที เรื่องกวีเราก็พอทำได้” แล้วหยิบเครื่องเขียนออกมา “จะใช้สารทำนองไหน แนย:ไ (ครามร'อยกรอง)
หรือ ก่น'ย:ไ (ครามเรยง) บ้ทยะก็ดีเหมือนกัน ลองดูช”ิ เริ่มลงมือเขียน

“อัาแม่วิมลโฉม อมราสุรางคศรื

โฉมเพียงพระเทวี พระศุลีอุมาสมร”

“ท่าจะไม่ค่อยเข้าที คูเยินเยัอตะกุกตะกักชอบกล ไม่เอาละ ล่าบากลำบนเปล่า กุ นางเป็น


คนฉลาด เพียงบอกสั้น กุ ก็รู้ความหมายได้ดี “ในที่สุด” ไม่ตองมีจดหมายเป็นสื่อสารกันเอาของขวัญ

ไปให้อย่างเดียว นางก็คงรู้'ว่า เราให้ด้วยความประสงค์อย่างไร”


ในกลางวันวันนั้น อมราเทวีก็ได้รับของขวัญจากท่านเสนก โดยมีผู้นำมาให้ นางได้รับของขวัญ
และได้นัดเวลาให้ท่านเสนกมาหาในเวลาคํ่าเป็นคนแรก ต่อจากนั้นก็ได้รับของขวัญจากปุกกุสะ กามินท้

และเทวีนทีโดยลำด้บ นางก็นัดให้ทั้งสามอาจารย์มาหานางต่างเวลากัน เวันระยะพอลมควร


เมื่อได้นัดหมายอาจารย์ทั้งสี,ไปกับผู้นำของขวัญมาให้เรียบร้อยแล้ว อมราเทวีดำริ “เป็นโอกาส

งามยิ่งนัก ไม่ด้องคิดให้เหนื่อยยากลำบากเลย เสือจะเข้ามาหาจั่นเอง จะด้องทำให้ใด้อายทุก กุ คนทีเดียว

จะได้เห็นเสียบ้าง” พลางกะแผนการที่จะเล่นงานอาจารย์ทั้ง ๔ ให้สาใจ เรียกสาวใช้มาช่วยกันขุดหลุม


ณ ที่แห่งหนึ่งลึกพอที่จะปีนขนไม,ได้ ส่วนกวัางพอจุได้ ๔ คน แต่ยัดเขียดกันหน่อย เสร็จแล้วให้ขน

kalyanamitra.org
๑๔๖

อุจจาระมาใส่เต็มพนที่ เอานำเทลงไปด้วย ถ้าจะยืนก็ราวท้อง ไม่ให้ทรมานมากนัก ช้างบนหลุมทอด


กระดานหกใส่สลักไว้ทั้งสองข้าง ช่องว่างที่เหลือใช้เสึ๋อลำแพนกรุ มิให้เห็นว่าเป็นหลุม กั้นรั้วไว้อย่าง

มิดชิด และทำเป็นห้องอย่างน่ารื่นรมย์ แขวนพวงดอกไม้หอมระรื่น ไว้ในที่ต่าง *1 เป็นระย้า แล้วให้ตั้ง


ตุ่มนี่าไว้ด้านหนึ่ง

ท่านเสนกได้ทราบกำหนดนัดแล้ว ปลื้มใจอย่างที่สุด “เออ วันนี่เป็นวันโชคดีของเรา กีจการ

ต่าง *1 ดูสำเร็จลุล่วงไปอย่างน่าชินใจ แถมยังจะได้รับบำเหน็จอันน่าภูมิใจอีกเล่า” คิดไปอย่างเพลิดเพลิน


“เวลาเอีย ทำไมถึงช้านักก็ไม่รู้ ตั้งแต่เราเกิดมา วันนี่พระอาทิตย์ช่างเดินช้าเลียจริง *1 ทำไมไม่รีบบทจร

ไปเร็ว ลุ ก็ไม่รู้ละเบื่อจริง ลุ” เมื่อไม่รู้จะเร่งเวลาให้เร็วท้นใจได้อย่างไร ก็เลยเล่นงานสุริยเทพเข้าให้


“ทำไมไม่รีบหวดสินธพทั้งพันตัวให้มันซักรถไปเร็วเล่า สุริยเทพนึ่ดูจะเกียจคร้านเอามาก ลุ ไม่มีกระดือ

รือรันให้ทันใจมนุษย์บ้างเลย อืดอาดยืดยาดอยู่ได้” คิดไปต่าง ลุ โทษสุริยเทพก็แล้ว เวลาย้งวันอยู่เลย


โทษความมีดต่อไป “ชะชะความมืด ความมืดช่างกระไร ทำไมถึงมาเยือนโลกช้านักนะในวันนี่ ช่างอ้อยอิง

เสียเหลือเกิน กว่าจะคืบคลานมาสู่พิภพได้" นึกรำพึงไปด่าง ลุ แต่เวลาก็คงเป็นไปตามเวลา ดวงอาทิตย์

ก็คงโคจรไปตามปกติ

เย็นแล้ว ท่านเลนกแต่งกายพิถีพิถ้น ปานว่าจะเย้ยเทพบุตรให้ได้อาย ผ้านุ่งเป็นผ้าอย่างดีจาก


กาสีรัฐ เครื่องประดับต่าง ลุ ล้วนแต่ดัดเลือกดีที่สุดในบรรดาที่มีอยู่ เสร็จแล้วก็บริโภคอาหาร ชิงจัดสั่ง

เป็นพิเศษ ล้วนโอชารสเลิศ ลุ ทั้งนั้น เพราะการบริโภคอาหารในวันนี่เป็นคราวพิเศษ ต้องจัดเป็นพิเศษ


ให้สมกัน เสร็จจากอาหารก็ใกล้เวลาที่นัด ออกจากเคหาสนํเดินอย่างฉุยฉาย ไปสู่เรือนของท่านมโหสถ

ทันที ถึงแล้วยืนรอที่ประคู บอกคนที่อยู่ใกล้ ลุ ให้ช่วยแจังแก่อมราเทวี “นี่พ่อคุณคนนั้นน่ะ ช่วยไปบอก

คุณนายของแกทีเถอะว่าอาจารย์เสนกมาแล้ว”
นายคนนั้นของท่านเสนก มองหน้าท่านเสนกด้วยแววตาที่แฝงความเย้ยไว้ภายใน แต่ท่านเลนก

ไม่มีแก่ใจจะจับกิริยาอาการของใคร ลุ ทั้งนั้น มุ่งอยู่แต่จะพบกับอมราเทวีเท่านั้น นายคนนั้นหายไปสักครู่

กลับออกมาบอกแก่ท่านเสนกว่า “คุณนายให้เชิญท่านไปพบได้”
ดีใจนัก เดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้าไปหาอมราเทวี ณ ที่ที่จัดไว้ด้อนรับ เมื่อได้เห็นรูปร่างอ้นงดงาม
เปล่งปลั่งแล้วก็เลยตะลึง อาการที่องอาจก็หายไป กลับมีอาการประหม่าเข้ามาแทน ไม่รู้จะพูดกับนาง

อย่างไร ได้แต่ยืน “นึ่งตะลึงดูนางอย่างไม่วางตา”

“เสนกเอ๋ย แกยังไม่รู้จักฉัน” อมราเทวีดำริ "ประเดี๋ยวเถอะแกจะได้รู้จักฤทธํ่ของฉัน” เห็น

เลนกนี่ง เพื่อไม่ให้เสียมารยาท จึงกล่าวปราศรัย “ดิฉันยินดีค่ะที่จะมืเพื่อนสนทนาในโอกาสเช่นนี่”

เสียงอันกังวานแจวเจื้อยจับใจท่านเสนกเช้าอีก “ฮะ ฮะ ฉันก็-ก็ยินดีอย่างล้นพัน ที่คุณนาย

ให้เกียรติรับเป็นเพื่อน” กว่าจะหลุดออกมาได้ก็ด้องบ้งดับปากเสียยำแย่

“มิเป็นการยกย่องดิฉันมากเกินไปหรือคะ” กล่าวเป็นเชิงล้อ ลุ “ท่านก็เป็นบัณฑิตอันเรืองนาม


ในมิถีลานคร ใครเล่าคะที1จะไม่ยินดีรับความเป็นมิตรที่กรุณายื่นให้”

kalyanamitra.org
๏๔๗

“มิได้เลย คุณนาย” ปฏิเสธอย่างภาคภูมิ “เป็นเกียรติแก่ฉันจริง ๆ หากจะมีเกียรติอ้นใดที่ฉัน

ได้รบมาแล้ว หรือจะได้รับต่อไปข้างหน้าก็เห็นว่าจะไม่เกินกว่าเกียรติที่ได้รับครั้งน”

“รั้นหรือคะ” กล่าวกลั้นสำรวล “เกรงว่าท่านจะรัด็กเสียใจภายหลังในถ้อยคำของท่านกระมี'งคะ”

ท่านเสนกไม่ทราบว่ามีความหมายอย่างไรก็ยืนยัน “เป็นความจริงทั้งหมดที่ฉันกล่าวนั้น ว่าแต่

ว่า....” ทิ้งท้ายอย่างเป็นบ้ญหาให้ถาม

“อะไรคะ” ซักท้นที

“ง่วงจ้ะ” ตอบเร็วเหมือนกัน
“อุ๊ย ตายจริง” แกล้งอุทาน “นอนมาตั้งนานแล้วยังจะง่วงอยู่อีก พอมาถึงก็จะนอนทีเดียวหรือคะ”
“เรื่องนอนเป็นเรื่องสำคัญในขีวิตของคน” ซักค่อยกล้าขนเริมแสดงภูมิ

“สำคัญอย่างไรคะ” แกล้งซักไปตามเรื่อง

“บรรดาอิริยาบถใหญ่ ๆ ของมนุษย์นะจ๊ะ” เริมบรรยาย “อิริยาบถนอนเป็นสำคัญที่สุด เป็น


เบื้องด้นของคน และก็เป็นที่สุดของคน”

“เอ อย่างไรกันคะ” แกล้งทำเป็นสนใจ “นอนเป็นเบื้องด้นของคนและเป็นที่สุดของคน”

“คนเราเกิดมาก็นอนก่อนทุกคน ไม่มีใครเกิดมานั่ง เกิดมายืน เกิดมาเดินก่อนเลย นอนเป็น

เบื้องด้นของคน กล่าวได้ว่า นอนเป็นประธานแห่งอิริยาบถทั้งหลายทีเดียว แล้วก็เวลาตาย ก็นอนตายกัน


ทุกคน เป็นธรรมดา ที่ซีนตาย นั่งตาย หากจะมีบ้างก็เป็นส่วนน้อย ไม่ถึงการที่จะนับได้ ยิ่งเดินตายยิ่ง

หาไม่ได้เลย นอนเป็นที่สุดของคน” เห็นว่านางนั่งด้วยเชิงสนใจ ก็เข้าใจว่านางคงพอใจพํง จึงบรรยาย

ต่อไป

“อนั่งเล่า คนเรานั้น เมื่ออิริยาบถใด กุ เป็นไปไม่ได้ นั่งไม่ได้ ยืนไม่ได้ เดินไม่ได้ นอนไม่ได้

หรือนั่งไม่สบาย เดินไม่สบาย ยืนไม่สบาย แต่ถ้านอนได้ก็สบาย ลงนอนไม่ได้แล้ว แมีอิริยาบถอื่นอาจจะ

เป็นไปได้ ก็ไม่มีความสุข นี่แหละเรื่องนอนเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ละคุณนาย ”

“ท่านช่างเข้าใจหาเหตุผลสมกับเป็นราชบ้ณ,ทิต” แสรังยอ “ดิฉันเห็นแล้วละค่ะ การนอนเป็น


เรื่องสำคัญที่สุดของคน”

ท่านเสนกหน้าบานทีเดียว ความคิดคำนึงในด้านอกุศลระดมเข้ามา “คุณนายผู้ทรงศรีอ้นเพริศ-


พรายออกจะยกย่องฉันเกินไป เป็นเรื่องธรรมดาที่สุดทีเดียวนะจ๊ะ ใคร กุ ก็อาจคิดและพูดได้”

เห็นเวลาจวนจะถึงกำหนดที่นัดอีกคนหนั่งไว้แล้ว จึงกล่าวว่า “ดิฉันจำนนท่านละค่ะ บ้ดนั่

ดิฉันก็หมดที่พึ่งพำนักแล้ว ก็หวังในท่านว่าจะพอเป็นที่พึ่ง อนั่งเมื่อการณ์ได้ล่วงเลยมาเพียงนั่ ย่อมเป็น

การปงซัดว่า ดิฉันหมดทางที่จะปลึกตนพํนไปจากอำนาจของท่านเลียแล้ว แต่ขอท่านได้โปรดคำนึงตูเถอะ

เจ้าค่ะ คนจะหลับจะนอน ควรจะชำระล้างร่างกายให้สะอาดเลียก่อน จึงจะเป็นการสมควร มิใช่หรือ

เจ้าคะ

kalyanamitra.org
๑๔๖

อุจจาระมาใส่เต็มพนที่ เอานาเทลงไปด้วย ถ้าจะยืนก็ราวท้อง ไม่ให้ทวิมานมากนัก ข้างบนหลุมทอด


กระดานหกใส่สลักไว้ทั้งสองข้าง ช่องว่างที่เหลือใช้เสื่อลำแพนกรุ มิให้เห็นว่าเป็นหลุม กั้นรั้วไว้อย่าง

มิดชิด และทำเป็นห้องอย่างน่ารื่นรมย์ แขวนพวงดอกไม้หอมระรื่น ไว้ในที่ต่าง *1 เป็นระย้า แล้วให้ตั้ง


ตุ่มนํ้าไว้ด้านหนึ่ง

ท่านเสนกได้ทราบกำหนดนัดแลัว ปลื้มใจอย่างที่สุด “เออ วันนึ่เป็นวันโชคดีของเรา กิจการ

ต่าง *1 ดูสำเร็จลุล่วงไปอย่างนาชินใจ แถมยังจะได้รับบำเหน็จอ้นน่าภูมิใจอีกเล่า” คิดไปอย่างเพลิดเพลิน


“เวลาเอีย ทำไมถึงช้านักก็ไม่รู้ ตั้งแต่เราเกิดมา วันนี้พระอาทิตย์ช่างเดินช้าเสียจริง ๆ ทำไมไม่รีบบทจร

ไปเร็ว รุ ก็ไม่รู้ละเบื่อจริง รุ” เมื่อไม่รู้จะเร่งเวลาให้เร็วท้นใจได้อย่างไร ก็เลยเล่นงานสุริยเทพเข้าให้


“ทำไมไม่รีบหวดสินธพทั้งพันตัวให้มันซักรถไปเร็วเล่า สุริยเทพนึ่ดูจะเกียจครานเอามาก รุ ไม่มีกระดือ

รือรันให้ทันใจมนุษย์บ้างเลย อืดอาดยืดยาดอยู่ได้” คิดไปต่าง รุ โทษสุริยเทพก็แลัว เวลายังวันอยู่เลย


โทษความมืดต่อไป “ชะชะความมืด ความมืดช่างกระไร ทำไมถึงมาเยือนโลกช้านักนะในวันนี้ ช่างอ้อยอิง

เสียเหลือเกิน กว่าจะดืบคลานมาลู่พิภพได้” นึกรำพึงไปต่าง รุ แด่เวลาก็คงเป็นไปตามเวลา ดวงอาทิตย์

ก็คงโคจรไปตามปกติ

เย็นแลัว ท่านเสนกแต่งกายพิถึพิถัน ปานว่าจะเย้ยเทพบุตรให้ได้อาย ผ้านุ่งเป็นผ้าอย่างดีจาก


กาลีรัฐ เครื่องประดับต่าง รุ ลัวนแด่คัดเลือกดีที่สุดในบรรดาที่มีอยู่ เสร็จแล้วก็บริโภคอาหาร ชิงจัดสั่ง

เป็นพิเศษ ล้วนโอชารสเลิศ รุ ทั้งนั้น เพราะการบริโภคอาหารในวันนี้เป็นคราวพิเศษ ต้องจัดเป็นพิเศษ

ให้สมถัน เสร็จจากอาหารก็ใกล้เวลาที่นัด ออกจากเคหาสน็เดินอย่างฉุยฉาย ไปลู่เรือนของท่านมโหสถ

ทันที ถึงแล้วยืนรอที่ประดู บอกคนที่อยู่ใกล้ รุ ให้ช่วยแจังแก,อมราเทวี “นี้พ่อคุณคนนั้นน่ะ ช่วยไปบอก

คุณนายของแกทีเถอะว่าอาจารย์เสนกมาแล้ว”
นายคนนั้นของท่านเสนก มองหนัาท่านเสนกด้วยแววตาที่แฝงความเย้ยไว้ภายใน แต่ท่านเสนก

ไม่มีแก่ใจจะจับกิริยาอาการของใคร ๆ ทั้งนั้น มุ่งอยู่แต่จะพบกับอมราเทวีเท่านั้น นายคนนั้นหายไปลักครู่

กลับออกมาบอกแก่ท่านเสนกว่า “คุณนายให้เชิญท่านไปพบได้”
ดีใจนัก เดินอย่างสง่าผ่าเผยเช้าไปหาอมราเทวี ณ ที่ที่ชัดไว้ต้อนรับ เมื่อได้เห็นรูปร่างอ้นงดงาม

เปล่งปลั่งแล้วก็เลยตะลึง อาการที่องอาจก็หายไป กลับมีอาการประหม่าเข้ามาแทน ไม่รู้จะพูดกับนาง

อย่างไร ได้แต่ยืน “นึ่งตะลึงดูนางอย่างไม่วางตา”


“เสนกเอืย แกยังไม่รู้จักฉัน” อมราเทวีดำริ “ประเดี๋ยวเถอะแกจะได้รู้จักฤทธํ่ของฉัน” เห็น

เสนกนึ่ง เพื่อไม่ให้เลียมารยาท จึงกล่าวปราศรัย “ดิฉันยินดีค่ะที่จะมีเพื่อนสนทนาในโอกาสเช่นนี้”


เสียงอ้นกังวานแจ้วเจื้อยจับใจท่านเสนกเข้าอีก “ฮะ ฮะ ฉันก็-ก็ยินดีอย่างลันพัน ที่คุณนาย

ให้เกียรติรับเป็นเพื่อน” กว่าจะหลุดออกมาได้ก็ต้องบังคับปากเสียยํ่าแย่

“มิเป็นการยกย่องดีฉันมากเกินไปหรือคะ” กล่าวเป็นเชิงลัอ รุ “ท่านก็เป็นบัณฑิตอ้นเรืองนาม


ในมิถิลานคร ใครเล่าคะที่จะไม่ยินดีรับความเป็นมิตรที่กรุณายื่นให้”

kalyanamitra.org
๑๔๗

“มิได้เลย คุณนาย” ปฏิเสธอย่างภาคภูมิ “เปันเกียรติแก่ฉันจริง กุ หากจะมีเกียรติอันใดที่ฉัน

ได้รับมาแล้ว หรือจะได้รับต่อไปช้างหน้าก็เห็นว่าจะไม่เกินกว่าเกียรติที่ได้รับครั้งน’'

“งั้นหรือคะ” กล่าวกลั้นสำรวล “เกรงว่าท่านจะรู้สึกเสียใจภายหลังในถ้อยคำของท่านกระมังคะ"

ท่านเสนกไม่ทราบว่ามีความหมายอย่างไรก็ยืนยัน “เป็นความจริงทั้งหมดที่ฉันกล่าวนั้น ว่าแต่

ว่า....” ทั้งท้ายอย่างเป็นบ้ญหาให้ถาม

“อะไรคะ” ซักทันที

“ง่วงจ้ะ” ตอบเร็วเหมือนกัน
“อุ๊ย ตายจริง” แกล้งอุทาน “นอนมาตั้งนานแล้วยังจะง่วงอยู่อีก พอมาถึงก็จะนอนทีเดียวหรือคะ”
“เรื่องนอนเป็นเรื่องสำคัญใน'ชีวิตของคน” ชักค่อยกล้าขื้นเริ่มแสดงภูมิ

“สำคัญอย่างไรคะ” แกล้งซักไปตามเรื่อง

“บรรดาอิริยาบถใหญ่ กุ ของมนุษย์นะจ๊ะ” เริ่มบรรยาย “อิริยาบถนอนเป็นสำคัญที่สุด เป็น


เบื้องด้นของคน และก็เป็นที่สุดของคน”

“เอ อย่างไรกันคะ” แกล้งทำเป็นสนใจ “นอนเป็นเบื้องด้นของคนและเป็นที่สุดของคน”

“คนเราเกิดมาก็นอนก่อนทุกคน ไม่มีใครเกิดมานั่ง เกิดมายืน เกิดมาเดินก่อนเลย นอนเป็น

เบื้องต้นของคน กล่าวได้ว่า นอนเป็นประธานแห่งอิริยาบถทั้งหลายทีเดียว แล้วก็เวลาตาย ก็นอนตายกัน


ทุกคน เป็นธรรมดา ที่ยืนตาย นั่งตาย หากจะมีบ้างก็เป็นส่วนน้อย ไม่ถึงการที่จะนับได้ ยิ่งเดินตายยง
หาไม่ได้เลย นอนเป็นที่สุดของคน” เห็นว่านางนิ่งด้วยเชิงสนใจ ก็เข้าใจว่านางคงพอใจพํง จึงบรรยาย

ต่อไป

“อนึ่งเล่า คนเรานั้น เมึ่ออิริยาบถใด ๆ เป็นไปไม่ได้ นั่งไม่ได้ ยืนไม่ได้ เดินไม่ได้ นอนไม่ได้

หรือนั่งไม่สบาย เดินไม่สบาย ยืนไม่สบาย แต่ถ้านอนได้ก็สบาย ลงนอนไม่ได้แล้ว แม้อิริยาบถอนอาจจะ

เป็นไปได้ ก็ไม่มีความสุข นี่แหละเรื่องนอนเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ละคุณนาย ”

“ท่านช่างเข้าใจหาเหตุผลสมกับเป็นราชบ้ณ,ทิต” แลรังยอ “ดิฉันเห็นแล้วละค่ะ การนอนเป็น


เรื่องสำคัญที่สุดของคน”

ท่านเสนกหน้าบานทีเดียว ความคิดคำนึงในด้านอกุศลระดมเข้ามา “คุณนายผู้ทรงศรือันเพริศ-


พรายออกจะยกย่องฉันเกินไป เป็นเรื่องธรรมดาที่สุดทีเดียวนะจ๊ะ ใคร กุ ก็อาจคิดและพูดได้”

เห็นเวลาจวนจะซึงกำหนดที่นัดอีกคนหนึ่งไว้แล้ว จึงกล่าวว่า “ดิฉันจำนนท่านละค่ะ บ้ดนี่

ดิฉันก็หมดที่พึ่งพำนักแล้ว ก็หวังในท่านว่าจะพอเป็นที่พึ่ง อนึ่งเมึ๋อการณ์ได้ล่วงเลยมาเพียงนี่ ย่อมเป็น

การบ่งซัดว่า ดิฉันหมดทางที่จะปลึกตนพํนไปจากอำนาจของท่านเสียแล้ว แต่ขอท่านได้โปรดคำนึงตูเถอะ

เจ้าค่ะ คนจะหลับจะนอน ควรจะช้าระล้างร่างกายให้สะอาดเสียก่อน จึงจะเป็นการสมควร มิใช่หรือ

เจ้าคะ”

kalyanamitra.org
๑๔๘

“ถูกทีเดียว” รีบคล้อยตาม “คุณนายรักษาคิรีมงคลดีมาก เชิญสีจ็ะ ฉันจะอาบนา ตามคำของ

คุณนาย”
“คุ่มนํ้าตั้งอยู่ตรงนั้นแล้วเจ้าค่ะ” พูดแล้วซ็ไปที่คุ่มนํ้าที่ตั้งอยู่ “เชิญท่านเดีนไปบนแผ่นกระคาน

นี่แหละเจ้าค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะช่วยรดไห้”

“เช่นนั้น ก็ดีหาที่เปรียบมิได้แล้ว คุณนายที่รัก” ท่านเสนกปลื้มจนลืมนึกว่าผ้าที่ตนนุ่งมานั้น

มิใช่จะเป็นผ้าสำหรับผลัดอาบนํ้า เดินไปบนกระดานหกที่ทำไวั ถึงระยะพอสมควรก็นั่งลง เพื่อรอนํ้า

ที่จะได้รับจากอมราเทวี

อมราเทวีทำทีก้มลงตักนํ้าจากคุ่มเหมือนรดให้ แด่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ที่ก้มนั้นก็ถอดสลักออก

ปล่อยให้กระดานกระดก ท่านเสนกก็พลัดลงหลุมไป
เสียงหัวเราะได้กังวานชินจากบุคคลในบ้านที่คอยแอบดูผลสำเร็จที่ได้มีส ,วนร่วมมือ อมราเทวี

ยินดียิ่งนัก ปรารภกับทุก *1 คน “อย่าเอ็ดอึงนัก เดี๋ยวมาอีก”

ถึงเวลานัด ปุกกุสะก็มาตามเวลานัดมิได้คลาดเคลื่อน และเป็นเวลาพอดีกับที่อมราเทวีได้จัดการ


ด่าง กุ อันผิดปกติไปให้เข้ารูปดังเดิม เพื่อมิให้เป็นที่สงลัยของใคร

โดยทำนองเดียวกัน ปุกกุสะร่วงลงไปในหลุมอันมีท่านเสนกรออยู่แล้ว และท่านเสนกตกอยู่ใน


ฐานะลำบากกว่า เพราะปุกกุสะหัวหกตกลงไปถูกหัวท่านเสนกเข้าเต็มที่ เท่านั้นยังไม่จุใจ กลับถามว่า

“นั่นผีหรือคน”

“คนโว้ย กันอาจารย์เสนก” ตอบแลัวยัอนถามบ้าง “แกล่ะ ผีหรีอคน”

“คนเหมือนกัน” พลางบอกให้รู้ “ผม อาจารย์ปุกกุสะขอรับ”


“ทำไมตกลงมาโดนหัวกันเข้าล่ะ เจ็บจะตายไป” ท่านเสนกบ่น
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะขอรับ ว่าท่านอาจารย์ลงมารออยู่ก่อนแล้ว” ปุกกุสะแก้ “แบ้แด่จะนึกว่าตน
จะตกหลุมก็มิได้นึกรู้มาก่อนเลย ท่านอาจารย์มาตกอยู่ตั้งแต่เมื่อไรครับ”
“จะรู้ใปทำไมนะ” พูดด้วยเสียงไม่พอใจ “เมื่อไร กุ มันก็ดกอยู่ก่อนคุณทั้งนั้น”

กำลังพูดก้นอยู่ กามินท้ ก็ร่วงหล่นตับลงไป หัวกระแทกทั้งสองคน ส่งเสียงรัองด้วยความ

ดกใจ “ใครเว้ย ผีหรือคน”

“คนโว้ยคน” เสียงตอบช้อน กุ ก้น “แกล่ะ ผีหรือคน”


“คนเรอะ” ยํ้าแล้วตอบ “คนเหมือนก้น” แลัวถามต่อ “คนน่ะใคร ชี่ออะไร”

“อาจารย์เสนก อาจารย์ปุกกุสะ” เลียงตอบเรียงก้น “แกละเป็นใคร ชี่ออะไร”

“อาจารย์เหมือนก้น กามินท์ ครับผม” “สามละ” ปุกกุสะนับ “ล้าเห็นครบชุดเป็นแน่ จะแก็ไข

อย่างไรก้นดีครับ ท่านอาจารย์ของผม"
“เอาอะไรไปแก้ล่ะ” ท่านเสนกว่า “และมีทางเดียวยึนแช่มันไป จนกว่าเขาจะรับขื้นไป”
“ล้ามันถึงทนไม่ไหวแน่ครับ” กามินท้อุทธรณ์ “ผมได้นัดหมายในเวลาอันเป็นภาคที' 0) แห่ง

kalyanamitra.org
๑๔๙

ยามด้นถึงบัดนี่ ก็คงพอดีครบยามแรก จะด้องทนไปอีกถึง ๒ ยามเห็นจะแย่ขอรับ”

“จะมาบ่นหาอะไรกันเล่า” ท่านเสนกดุ
“โธ่ครับ ท่านอาจารย์ของผม” กามินท์ออด “อย่าเพิ่งดุข็ครับ ผมอุตส่าห์ลงมาร่วมทุกข์ร่วม

ยากกับท่านด้วยแล้ว หันหน้าเข้าหากันหารือกัน คิดอ่านเอาตัวรอดเถิดครับ”


“ชะชะ ยังจะมาเอาเป็นบุญเป็นคุณเสียอีกหรือนี”่ ท่านเสนกเอ็ด ก่อนจะทำอะไรทำไมไม่

บอกกันล่ะ”
“ก็ท่านอาจารย์ล่ะ ทำไมไม่บอกให้ผมรู้ ผมจะได้ใม่ด้องมาตกเป็นเพีอนของท่าน ล้าผมรู้ว่า
ท่านจะมาหานาง ผมก็คงไม่ปรารกนา นี่ผมไม่รู้ ท่านไม่บอกผม การไม่บอกของท่านเป็นการเลียหายแก่

ผมถึงเพียงนี่ โปรดคิดบ้างเถิดขอรับ”

“อุวะ” ท่านเลนกตวาด “เราเลยกลายเป็นคนผิดไปอีกแล้ว....”


“ใครโว้ย ผิหรือคน คนหรือผี” เสียงเอ็ดในเมื่อหัวกระแทกกระทบกับสามอาจารย์ “บ้า เหม็น

ก็เหม็น มืดก็มืด ผีหรือคนกันโว้ย”

“คนโว้ย คน คน” เลียงตอบช้อน *1

“คนน่ะใคร” ยํ้าถาม

“อาจารย์ทั้งนั้นแหละ” กามินท์ตอบแทน “แกล่ะ เทวินท้ใช่ไหม”

“ใช่แล้ว อาจารย์เหมือนกัน” เทวินท์ตอบ


“ครบแล้วครับ ท่านอาจารย์” ปุกกุสะบอกกับท่านเลนก พลางพูดเอาใจตนและเพิ่อน กุ “เออ

มาร่วมทุกข์ร่วมยากกันนะพรรคพวก”
“อย่าหยุกหยิกไปชี” เสียงท่านเสนกเอ็ดขน “หัวคุณมาโดนหัวผมนี่นา”

“หัวท่านอาจารย์ก็โดนหัวผมเหมือนกันนี่ขอรับ” เลียงปุกกุสะตอบ ทั้งนี่เพราะที่ตับแคบมาก

เบียดกันยืนอยู่ จึงอดที่จะกระทบกันไม่ได้

“นิ่ง กุ เถอะพวกเรา” ท่านเสนกค่อยสงบอารมณ์ได้ “อย่าทำเลียงอึกทึกไปเลย ตั้งแต่บัดนี่

เป็นด้นไป พวกเราจักด้องอดสูกันละเตรียมสร้างยุ้งฉางไว้ให้ใหญ่เถอะ เอาไว้ใส่ความอดสู”

“ขอรับ เป็นความพ่ายแพ้อย่างหมดทางสูทเดียว” ปุกกุสะคล้อยตาม “ว่าแต่เราจะไม่มีทางใด

ช่วยกันให้รอดไปได้หรือขอรับ”
“จะได้อย่างไร บ้านช่องของเขาแข็งแรง ผู้คนเฝ็ารักษาก็มีมาก ขืนยุ่มย่ามขื้นไป ก็จะเจ็บตัว"

ท่านเสนกดอบ “แล้วก็จะขนไปได้อย่างไรถึงจะไม่ให้ใคร กุ รู้ หมดหนทางทั้งนั้น”

“เออ ไม่พอทีเลย” เสียงเทวินทีบ่น “อยู่ดีไม่ว่าดีตันมาลงหลุมอุจจาระกับเขาด้วย”


“เทวินที” กามีนทีปลอบ “ท่านว่าไว้ ลีงพ้นวิสัยอย่าบ่นทนเอาเถิดเพิ่อน ไหน กุ มันก็ล่วงมา

ถึงเพียงนี่แล้ว บ่นไปก็เท่านั้นเอง การบ่นไม่ช่วยอะไรเราได้เลย"


“นั่งก็ไม่ได้ ตองยืนอยู่อย่างนี่ ก็แย่กันเท่านั้นเอง” เทวินทียังอดปนไม่ได้

kalyanamitra.org
๑๕๐

“นิง ๆ เถิด เทวินท์เอย” ท่านเสนกกล่าวด้วยอารมณ์ขุ่น


คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ทนทุกข์ทรมาน ยืนแซ่วอยู่ในหลุมทั้งเหม็นทั้งมืดทั้งคับแคบ ความรู้สึก
เมื่อกลางวันที่ว่าพระอาทิตย์ช่างเดินข้า ถึงกับบ่นว่าพระอาทิตย์ก็ปรากฎร้นมาอีก ทั้ง ๔ รู้สึกว่า “กระบวน

ราตรีกาลที่ผ่านมาในซีวิดไม่มีราตรีไหนจะยืดยาวเท่าราตรีนิ้เลย”

พอสว่าง อมราเทวีให้คนโยนเชือกลงไปในหลุมเพื่อให้ทุก กุ คนเกาะแล้วจะได้สาวร้นมา

เมื่อเห็นหลุมเปิดและเห็นเลันเชือกหย่อนลงมา อาจารย์ทั้ง ๔ ดีใจก็ดีใจในการที่จะพ้นทุกข์

ทรมาน แต่ภายในความดีใจนั้นเอง ความกระดากอายก็ยังไม่วายมีอิทธิพลเหนืออยู่ แม้จะเห็นทางพ้นจาก


ที่ทรมานก็จะยังอดเกี่ยงงอนเสียมิได้ เพราะว่าถ้าใครร้นมาก่อนก็จะด้องเผชิญกับคนที่อยู่ข้างบนก่อน การ

เผชิญหน้าก็หมายถึงจะด้องได้รับความอายก่อน หากจะมีการดูหมิ่นเยัยหยันชันใดเกิดร้นก็ด้องประสบก่อน

ทุกอย่าง ความเป็นคนแรกในฐานะอย่างนิ้ไม่มีผู้ปรารถนา

“ร้นไปก่อนซิ” ท่านเสนกเกี่ยงอีกสามอาจารย์

“ตามลำดับตามอาวุโส ถึงจะชอบ” ปุกกุสะแย้ง


“มาลำดับอาวุโสอะไรกันในหลุมขเล่า” ท่านเสนกโด้ “กามินท์หรือเทวีนท์ ร้นไปก่อนซิ”

“ไม่ชอบด้วยคลองธรรม” ทั้งสองด้าน “ท่านอาจารย์ตกลงมาก่อนด้องมาทนทุกข์ทรมานนาน


กว่าเพื่อน คราวพ้นก็ควรจะได้พ้นก่อน จึงจะชอบด้วยทำนองคลองธรรม ”

“ถูก” ปุกกุสะรับรอง “ผู้น้อยควรเป็นผู้อยู่หลัง”


“อย่างนั้ ผู้น้อยด้องออกหน้า” ท่านเสนกยังไม่ยอม “นิ้วถ้อยด้องถูกนับก่อนในเวลานับ นิ้ว

หัวแม่มีอด้องจดถ้อยก่อนเป็นธรรมเนียม หัวแม่มือนับตนเองเป็นสุดท้าย”
“ทำไมล่าข้านักเล่า” เสียงตะโกนลงมา “จะทนแช่ไปอีกหรือ” แล้วก็มีเสียงหัวเราะอย่างชบข้น

ประสานแซ,ตามลงมาด้วย
“ท่านอาจารย์ร้นไปก่อน” ทั้งสามหนุน และไม่ยอมพ้งคำด้านใด กุ “ผมมากคนกว่านะจะบอก

ให้”
โดนเข้าท่านิ้ ท่านเสนกยอมจำนน เกาะเชือกแล้วก็ถูกดาวร้นมาก่อนเพื่อน แล้วก็เรียงกันเป็น
ลำดับร้นมา จนครบคณะ เมื่อสาวร้นมาครบแล้''ก็ได้รับการชำระล้างอย่างหมดจด จนเกินด้องการชอง

ทุก กุ คน คือทุกคนได้รับการปฎิบ้ติภายหลังจากการชำระล้างเป็นชั้น กุ ด้งนิ้


ชั้นที่ 9 ถูกโกนผมโกนหนวดด้วยมีดโกนที่ที่อ กุ กล่าวอย่างง่าย กุ ก็คือ ถูกชูดเข้าเด้ามากกว่า

จะเรียกว่าถูกโกน
ชั้นที่ ๒ ถูกข้ดตลอดร่างด้วยแผ่นอิฐ เพื่อความบริสุทธํ่แห่งผิว ชัดถูกันถึงเลือดออกทีเดียว

ชั้นที่ ๓ ชะโลมตั้งแต่หัวถึงเท้าด้วยแป้งเปียก คือ เอาข้าวสารประมาณทะนานหนึ่ง แช,แล้ว

บดจนละเอียดยิบ ใส่ถาดไวักวนเข้ากับข้าวด้มข้น กุ
ชั้นที่ ๔ เอาปุยนุ่นโรยทั้งร่างตั้งแต่หัวถึงเท้า มองดูชาวโพลนไปทั้งตัว

kalyanamitra.org
ต (^®

เป็นอันเสรีจพิธีขั้นแรก ยังขั้นสุดท้าย อมราเทวีให้นำเสื่อลำแพนมาสำหรับห่อ ก่อนที่จะห่อ

ได้กล่าวว่า “ช้าแด่ท่านราชบัณฑิตทั้ง ๔ ดิฉันต้องขอโทษท่านที่จำด้องปฏิบ้ตด่อท่านเช่นนี่ เป็นความ

จำเป็นของดิฉันที่ด้องกระทำ ทำไมดิฉันจึงว่าเป็นความจำเป็น ก็เพราะดิฉันมารำพึงว่า ท่านทั้ง ๔ เป็น

บัณฑิตของพระเจ้าวิเทหราช เป็นผู้มียคศ'กดํ่อัครฐานอันสูงส่งเป็นที่เคารพนับถือของมหาชน จะเปรียบ

ว่าท่านทั้ง ๔ เป็นเหมือนศักดํ่ทั้ง ๔ อันคํ้าชูวิเทหรัฐก็ไม่ผิด ควรเป็นอย่างยิ่งที่พวกท่านจะด้องดำรงตน

ไว้ในทางที่ดีที่ชอบอย่างมั่นคง ให้เป็นแบบฉบับสำหรับประชาชนทั่วไป จะได้ยึดถือประพฤติตนตามอย่าง

หากท่านผู้เป็นหลักมารวนเรเหลวไหลเสียเช่นนี่ ประชาชนชาวแคว้นจะได้แบบฉบับที่ดีที่ชอบจากผู้ใดเล่า

มิเท่ากับบัานเมืองปราศจากหลักคํ้าชู นับวันจะล่มจมไปเช่นนั้นหรือ”

“การที่ดิฉันทำให้ท่านลำบากด้วยประการด่าง *1 เช่นนั้ หรือแม้ว่าท่านทั้ง ๔ จะด้องพระราช

อาญาถึงสิ้นซีวิตในเพราะการกระทำซัวของพวกท่าน ทุกข์โทษทั้งนี่นั้น ดิฉันเห็นว่านัอยเป็นนักหนา ใน

เมื่อสำนึกถึงว่าพวกท่านประกอบความช้วไวัตามที่ปรากฎถืง ๒ สถานที่เป็นอุกฤษฏ์โทษ คือ เป็นโจร

ลักเครื่องราชูปโภคของราชาซึ่งจะมีโทษท้ณฑิสถานใด ก็แล้วแด่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ นี่สถาน 8)

อีกสถาน ๑ คือพวกท่านพยายามจะคบหากับภรรยาของคนอื่นด้งที่ท่านกระทำแก่ดิฉันปรากฏผลอยู่ ณ

บัดนี่ การกระทำเช่นนี่จะสมกับฐานะแห่งราชบัณฑิตของกรุงมิถิลานครละหรือ และการอย่างนี่พวกท่าน


จะมิกระทำแก่สตรีอื่น รุ มาแล้วดอกหรือ บัญหาเหล่านี่ คำตอบอยู่ที่การกระทำของพวกท่านเอง หากว่า
การที่ดิฉันกระทำแก่พวกท่านครั้งนี่ จะได้ทำให้ท่านรัจ้กหลาบจำ ไม่ก่อกรรมทำเข็ญแก'ใคร รุ ต่อไปใน

ภายภาคหนัา หากท่านกลับประพฤติเป็นคนดี ควรแก่ฐานะและควรเป็นหลักบัานหลักเมืองได้แล้ว ดิฉัน


จะพอใจหนักหนาเพราะการกวะทำของดิฉันครั้งนี่ได้ช่วยพวกท่านให้พ้นจากนรกได้ทีเดียว”

ทั้ง ๔ อาจารย์ด่างหมดปากหมดเลียง นั่งกัมหน้า คอตก หากว่าน้ยน้ตามีอำนาจทีจะเบิกพื้นดิน

ตรงหน้าได้กว้างพอที่ดนเล็ดลอดไปได้ นั่นจะเป็นสิ้งที่ทั้ง ๔ อาจารย์พอใจอย่างไม่มีอะไรปาน แด่ก็ไม่

เป็นไปเช่นนั้น
อมราเทวีกล่าวเสรีจก็ให้อาจารย์ทั้ง ๔ นอนลงในกระชุเสื่อลำแพนแล้วให้ปิดเลียมิดชิด มัด

ด้วยเชิอกอย่างแน่นหนา ประทับตราอย่างเรียบรัอย ให้คนเชิญเครื่องราชูปโภคทั้ง ๔ อย่าง กับให้หาม

กระชุใส่อาจารย์ทั้ง ๔ ตามไปสู,ราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราช เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตให้เช้าเฝ็า


ได้แล้ว ก็เข้าสู่ท้องพระโรง ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง พลางกราบบังคมทูล “ขอเดชะ

พระกรุณาธิคุณเป็นที่ลันพ้น ขอเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณาโปรดรับเครื่องบรรณาการ

ของเกล้ากระหม่อมฉันเถิดเพคะ” แล้วให้คนหามกระชุเสื่อลำแพนทั้ง ๔ เข้าไปวางไว้แทบพระยุคลบาท

ของพระเจ้าวิเทหราช
“แม่อมรา เครื่องบรรณาการอะไรของเจ้าล่ะ” ตรัสด้วยทรงเช้าพระทัยว่าอมราเทวีคงจะขอ

พระราชทานโทษของสามี จึงได้นำบรรณาการมาทูลเกล้าถวายฯ มีพระดำรัสกับราชบุรุษ “พนายเอย

เจ้าจงแกัดูชิ”

kalyanamitra.org
๑๕๒

ราชบุรุษช่วยกันแก้ออก ปรากฎเป็นอาจารย์ทั้ง ๔ มีท่านเสนกเป็นด้น มีลักษณะคด้ายลิงทโมน


เผือกออกมาจากกระชุลำแพน นั่งก้มหน้ามองดูพื้นท้องพระโรงปานว่าจะให้พื้นตรงนั้นแยกออก ตนจะได้

ชำแรกลงไปเสียให้พ้น
พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นเครื่องบรรณาการของอมราเทวีเป็น ๔ อาจารย์ และมี
อาการวิปริตไปด้งนั้น ทรงนิ่งอื้งด้วยมิทรงทราบด้นสายปลายเหตุ มีพระอาการตะลึงประทับดุษณียภาพ

อ ยู่
ำยมหาชนที่พากันเข้าเฝ็าแน่นขนัด เห็นอาจารย์เหล่านั้น่พากันพูดว่า “พวกเราเอ๋ย สิ่งที่ไม่

เคยเห็น ก็ได้มาเห็น อโหลิงเผือกหลายตัวด้วนทโมน รุ ด้วยกันทั้งนั้น อมราเทวีไปจับมาจากปาไหนหนอ


นำมาถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการ ช่างน่าดูจริง รุ ละชาวเรา” แล้วพากันหัวเราะอย่างครื้นเครง เพราะ

สุดที่จะกลั้นความข้นไว้ได้ แม้'จะอยู่ในที่เฝืา

คณะอาจารย์ทั้ง ๕ สุดแสนจะอดสู แตกไม่รู้จะเอาตัวปลีกหลีกหนีอย่างไรได้เช้าตาจำนน หมด

ท่าก็ด้องก้มหน้าทนไป
ต่อจากนั้น อมราเทวี ก็ให้คนเชิญเครื่องราชูปโภคทั้ง ๔ อย่างทูลเกล้าๆ ถวายคืนแด่พระเจ้า

วีเทหราช กราบทูลประกาศถึงท่านมโหสถปราคจากโทษ “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นสมมุติเทพเจ้า เกล้า


กระหม่อมฉันขอพระราชทานพระวโรกาสที่จะกราบทูลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงทราบว่า ท่าน
มโหสถสามีของเกล้ากระหม่อมฉัน มิได้เป็นโจรลักเครื่องราชูปโภคเหล่านี้ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

เลยเพคะ ผู้ที่ทำการลักเครื่องราชูปโภคเหล่านี้คือคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นราชบัณฑิตของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

เสนกลักพระจุฬามณี ปุกกุสะลักพระสุๅรรณมาลา กามินท์ลักคลุมพระองค์กัมพล เทวีนทํลักฉลองพระ-


บาททอง แลัวให้นางคนใช้ของตน รุ นำไปขายที่บัานเกล้ากระหม่อมฉัน” แล้วกราบทูลถวายรายงานวัน

เดือนและชี่อเสียงของทาสีที่นำของนั้น รุ ไปขายเป็นราย รุ ไป พร้อมกับกราบทูลเล่าถึงเรื่องที่อาจารย์

ทั้ง ๔ ส่งบรรณาการไปให้แก่นางจบลงแล้วก็ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือบันทึกที่จดไว้พร้อมทั้งกราบบังคม


ทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์ทรงสมมุติเทพเจ้า เชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททอดพระเนตรบันทึกที่เกล้า

กระหม่อมฉันจดไว้ทูลเกล้าฯ ถวาย และโปรดทรงรับราชูปโภคของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่หายโป

ทั้งโปรดทรงรับตัวโจรเหล่านี้ไวัเถิด เสร็จธุระของเกล้ากระหม่อมฉันแล้ว ขอถวายบังคมลา จะทรงพระ

เมตตากรุณาประกาวใด ก็แล้วแต่จะทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม” กราบทูลแล้วก็ถวายบังคมลากลับไป


พระเจ้าวิเทหราช ประทับนิ่งตลอดเวลา มิได้ทรงมีพระกระแสรับสั่งอย่างใดกับนางอมราเทวี
ระยะที่นางกราบบังคมทูลนั้น เหมือนจะมิได้ทรงไต่ยิน พระหฤทัยของพระองค์ยังไม่คลายจากการที่ทรง

ระแวงในทางมโหสถ “ก็เมื่อตนไม่มีความผิดจะหนีไปทำไม การหนีไปเสียจะให้เข้าใจอย่างไร” นิ่เป็น

พระราชดำริอันทรงคำนึงอยู่ระหว่างเวลาเหล่านั้น “เมื่อมโหสถมาหนีไปเสียแลัว บัานเมืองก็หมดผู้ที่

เป็นปราชญ์ ก็ยิ่งจะหมดบัณฑิตในบัานเมือง ของก็ได้คืนมาแลัว บัณฑิตทั้ง ๔ คนเล่า ก็ได้ความอับอาย

ขนาตหนักอยู่แล้ว ทั้งเป็นผู้ที่เคยยกย่องในฐานะอาจารย์มาแต่ก่อน จะลงโทษทัณฑ์สถานใดอีก ก็ไม่สมควร”

พระราชดำริเป็นดังนี้ จึงมีได้มีพระราชกระแสดำหนีติเตียนคณะอาจารย์ทั้ง ๔ ประการใด มีพระดำรัส


แต่เพียงว่า “ท่านทั้งหลายพากันกลับไปอาบนี้าชำระตนเสียยังบัานเรือนของตนเถิด”
kalyanamitra.org
๒๐. เกิดป๋ญหายาก
ท่านมโหสถหนีไปแล้ว เงียบไปเลย ไม่มีวี่แววว่าอยู่ที่ไหน และท่าอะไร ราชสำนักของพระเจ้า

วิเทหราชอันเคยสดชีนรื่นเริงก็ดูเหงาไป ประชาชนชาวมิลิลาที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสก็พากันมีหนัาเศร้า ความ

มืดทึบดูปกแผ่ทั่วไปตลอดมิถิลาอันกร้างขวาง ความเงียบขรึมเข้าครอบงำตามหมู่บ้านทั่ว *1 ไป “โธ่ พ่อ

จอมปราชญ์ของมิลิลานคร มาทอดที่งพวกเราเสียแล้วสีนะ ไปอยู่แห่งหนตำบลไหนใครจะรู้บ้างเล่า” เสียง


ชุบข็บไต'ลามเสียงปรึกษาหารือ พึมพำไปดามวิสัยแห่งหัวใจอันมีอาลัยรัก ทั้งนเพราะถิ่นใดปราศจาก

แสงแห่งปรีชา ถิ่นนั้นก็เปรียบเหมือนท้องพำปราศจากดวงจันทร์ ความมืดก็เข้าครอบงำจักรวาล

ในราชสำนัก ท่านมโหสถเคยแสดงอรรถธรรมแนะนำคุณโทษถวายแด่พระเจ้าวิเทหราช ตาม

กาลอันควร ในตำแหน่งผู้อนุศาสน์ พระเจ้าวิเทหราชพร้อมด้วยข้าราชบริพาร เคยได้ทรงสดับและพํง


เกิดความรู้ดีรู้ชอบ มาบ้ดนั้ผู้ซีแจงจากไปเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะท่าหนัาที่เช่นนั้น ไม่มีผู้ใดที่จะมีปรีชาอัน

ล่องแท้ในสรรพธรรม การขาดผู้ชีข้อควรและไม่ควร ข้อผิด ข้อลูก ก็ไม่ด่างอะไรกับการขาดดวงดาที่จะ

สอดส่องมองดูสิ่งใด *1 ความเดือดร้อนของผู้เคยมีดวงตาอันกระจ่างมาแด่เดิมแล้วมามีดมัวไปเสียเป็น

ฉันใด การขาดผู้สามารถซีทางประโยชน์ก็ควรจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนได้ฉันนั้น ความเดือดร้อนอันน


ควรจะมีแก่มนุษย์เป็นอันมาก แด่วิสัยของมนุษย์นั้น เมือสุดที่จะแท้ไขได้ก็ด้องร้อนถึงเทวดา เพราะแด่

ไหนแด่ไรมาเทวดาย่อมมีอานุภาพเหนือมนุษย์ทั้งหลาย ในสิ่งที่สุดวิสัยของมนุษย์แล้ว มันไม่เกินวิสัยของ

เทวดา เพราะฉะนั้นก็ด้องเทวดาเท่านั้นที่จะแท้ไขความเดือดร้อนของมิถิลานคร

เทวดาที่จะแท้ไขให้ท่านมโหสถกลับคืนมานั้นมิใช่เทวดาบนสรวงสวรรค์ชันพำ เป็นเทวดา
ผู้ใกล้ชิดและสิงสลิด ณ กำพูฉัดวของพระเจ้าวิเทหราชนั้นเอง เคยพํงธรรมของท่านเสมอมา บัดนั้ใม่ได้

พํงเลย ราชสำนักว่างจากการแสดงธรรมโดยท่านมโหสถไปนานจึงคำนึง “มีเหตุการณ์อะไรเล่านะ มโหสถ


จึงไม่ประกาศธรรมดามเคย” ครั้นพิจารณาก็ทราบเรื่องด่าง *1 ซึ่งท่านอาจทราบได้โดยมิด้องมีใครบอก

เล่า “เอาเชิด เราจะด้องหาหนทางให้มโหสถกลับมาจงได้*, นื้เป็นความดำริที่เกื้อกูลทั้งแก่ท่านมโหสถ

แก่พระเจ้าวิเทหราชและแก่ชาวมิลิลานคร
ราดรีกาลผ่านไปสองระยะยาม สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชเสด็จเข้าสู่ที่พระบรรทม กำลังระจับ
พระหท้ยเพึ่อทรงเสวยความสุขในนิทรารมณ์ แด่พระองค์ตองทรงตระหนกพระท้ยเป็นอย่างยิ่ง เพราะ

ปรากฎว่าภายใน'ห้องพระบรรทมนั้นมีแสงอันสว่างแพรวพราย ฉายออกมาจากชันพระเศวตฉัตร แล้ว


แผ่สร้านไปทั่วห้องพระบรรทม เหมือนลีแห่งนํ้าทองที่ละลายคร้าง ส่งแสงปลาบปลั่งจับขอบเบ้าอยู่ใน

kalyanamitra.org
ร)๕๔

เตาหลอมของช่างทอง แสงนั้นสาดทั่วพระวรกายพรายเพริศเจิดจ้า ปานประหนึ่งทรงประทับนอนอยู่ใน


มณฑลของดวงจันทร์ มิข้าร่างแห่งเทวดาก็ปรากฏเข้าสู่คลองพระเนตร เป็นภาพอันงดงามสุดที่จะพรรณนา

เผยพักตร์ปริมณฑลออกจากชันเศวตฉัตรอย่างถนัดและซัดเจน
“ท่านเป็นใคร” พระสุรเสียงของพระเจ้าวิเทหราชปรากฏดังกังวานร้น “เราจะทราบได่ไฉน

ว่าท่านประสงค์อะไร” พระดำริ-สทั้งนึ่มีกระแสสั่นด้วยอำนาจทรงหวาดหวั่น

“เราคือเทวดาสิงสถิตอยู่ ณ กำพูฉัตรของท่าน” เลียงตอบอย่างแจ่มใส แต่มีกระแสอันกังวาน


น่าพรั่นใจ
"อ้า เป็นมิ,งมงคลแก่ข้าพเจ้ามิใช่นัอย ในการที่ได้พบเห็นท่านผู้เป็นทิพกาย” ตรัสด้วยค่อย

คลายพระทัย “แต่ข้าพเจ้าสงสัย แต่ก่อนแต่ไร ท่านก็มิได้ปรากฏกายให้ข้าพเจ้าเห็น คราวนึ่ท่านประสงค์

สั่งใดจึงสำแดงกายให้ปรากฏแก่ข้าพเจ้า”

“อ้า จอมราชแห่งแคว้นวิเทหะ” เลียงเรียกอย่างหนักแน่น “แต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าก็ได้เคยอภิบาล


ท่านตามอานุภาพของตนตลอดมา และกิจธุระอันใดที่จะเกี่ยวช้องกับท่านก็มิได้มี ข้าพเจ้าก็อยู่ในแดนทิพย์

ของข้าพเจ้า บัดนึ่ข้าพเจ้าเกิดความสนเท่ห์ในปัญหาบางประการ เห็นว่าท่านมีนักปราชญ์ผู้ฉลาดในธรรม

อยู่หลายคน ทั้งพระองค์เองเล่าก็มีปรีชาญาณอันได้ฟิกฝนดีแล้ว คงไม่เป็นการยากในการแก่ไห้ข้าพเจ้า

ทราบ”
“อ้า ผู้ดำรงในแดนทิพย์ ปัญหาของท่านคืออย่างไรเชิญแถลง”
“ได้ซีมหาราช” ก่อนแถลงนั้ใด้ยาว่า “ท่านคงแก่ไขแก่ข้าพเจ้าได้ในเวลาราตรีนึ่”

“ข้าพเจ้าขอพังบัญหาก่อน” ตรัสด้วยไม่ทรงมั่นพระหทัย “หากไม่เกินสติบัญญาของข้าพเจ้า

ก็จะตอษให้ท่านทราบทันหึ”

เทวดากล่าวป้ญหา
“จอมราช ผู้ใดเล่าประหารท่านด้วยมือด้วยเท้า ชกเอา ต่อยเอา ถีบเอา เตะเอา บางคราวก็
ตบเอา ผู้นั้นแลเป็นที่รัก พระองค์ท่านเห็นใครเป็นที่รักของบุคคลด้วยเหตุนั้น นึ่เปันป็ญหาข้อแรก ข้าพเจ้า

ขอลามพระองค์ท่าน”
“บุคคลด่าผู้ใดดามชอบใจ แต่ใม่ปรารถนาที่จะให้ผู้ถูกด่าแช่งประสบผลรัายตามคำด่าแช่ง ไม่

ด้องการให้ความที่ด่าแช่งนั้น *1 มาดึงผู้ที่ถูกด่านั้น ผู้ที่ถูกด่านั้นย่อมเป็นที่รักของผู้ด่าแช่ง จอมราชพระองค์

ทวงเห็นใครเป็นอย่างนั้น นึ่เป็นปัญหาที่สอง”

“บุคคลกล่าวดู'กันด้วยความไม่จริง ด่างก็โด้เถียงกันด้วยคำเหลาะแหละ ผู้นั้นย่อมเป็นที่รักใคร่


กัน จอมราชพระองค์ทรงเห็นใครเป็นอย่างนั้น นึ่เปันปัญหาที่สาม”

“บุคคลผู้ขนไป ขนไป ซีงข้าวน์า ผ้าและที่หลับที่นอน มีแด่ขนไปถ่ายเดียว บุคคลเหล่านั้น


กลายเป็นที่น่ารักไคร,ไป จอมราชพระองค์ท่านทรงเห็นใครเป็นเช่นนั้น นึ่เปันปัญหาที่ลี'”

กล่าวจบปัญหาแลัว เทวดายํ้าว่า “ความประสงค์ของพระองค์ท่านที่จะทรงสดับข้อปัญหาก่อน

kalyanamitra.org
๑๕๕

ข้าพเจ้าสนองแล้วโดยธรรม ต่อไปนึ่เปันวาระที่พระองค์ท่านจะพึงสนองความประสงค์ของข้าพเจ้าบ้าง

ละ คือขอพระองค์ท่านทรงวินิจฉัยบัญหาที่ข้าพเจ้าถามบัดนึ”่

ขณะที่เทวดากล่าวข้อบ้ญหามาตามลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชก็ทวงพระดำริตริตรองมาโดย

ลำดับเช่นเดียวกัน แต่ก็มิได้ทรงพบเงื่อนที่จะคลายเทวปริศนาปรากฎในพระหทัยแม้แต่น้อยเลย คนั้นได้

ทรงสดับดำเตือนยํ้าของเทวดาดังนิ้ ก็ตรัสแถลงตามพระราชอัธยาศัย “ข้าพเจ้าไม่ทราบบ้ญหาของท่าน

เลยคิดไม่เห็นเงื่อนที่จะแกไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าขอผัดสักวันหนึ่งเถิด จะนำบ้ญหาเหล่านึ่ใปถามบัณฑิตอื่น *1

ดู ข้าพเจ้าจะให้คำตอบแก่ท่านได้ในคืนวันพรุ,งนึ่ เชิญท่านมาทังในคืนวันพรุ่งนึ่เถิด” "


“ไม่เป็นไร จอมราช เทวดากล่าวอนุวัตตาม” โอกาสเป็นสิงที่ควรมีสำหรับการแกับัญหาที่วิไป

ข้าพเจ้าก็มิใช่จะคาดคั้นทันที หากแต่ว่าพระองค์ท่านทรงสามารถแกัใขได้ทันที ข้าพเจ้าก็จะทังได้ทันที


เมื่อด้องเลื่อนไป อาการสนองของพระองค์ก็เป็นอันล่าข้าไปเท่านั้น ขอเชิญบรรทมตามพระอัธยาศัยเถิด

แล้วเทวดาก็อันตรธานหายวับไป พร้อมกับแสงอันพรายแพรว
ราตรีนั้น แม้ว่าจะเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย แต่ด้วยพระหทัยที่ทรงคอยที่จะได้ทอดพระเนตรเห็น

แสงอาทิตย์โดยเร็วของพระเจ้าวิเทหราช ดูเหมือนเป็นสีงที่มีพละอันยิ่งยงยึดหน่วงราตรีกาลระยะสั้นนั้น
ไว้ให้ยืดยาวไป ประหนึ่งว่าลอยคืนไปสู่เมื่อสนธยายํ่าอันเป็นระยะแรกแห่งราตรีกาล ลัอยคำที่กล่าวเชิญ

ให้บรรทมของเทวดานั้นไร้ความหมายสำหรับพระเจ้าวิเทหราชเสียทีเดียว พระองค์มิทรงสามารถจะระวับ

พระทัยสู่นิทรารมณ์ได้แม้เพียงแต่จะทรงบังคับขอบพระเนตรให้บรรจบกัน ก็มิทรงสามารถจะกระท่า
ได้เลียแล้ว พระหทัยของพระองค์ทรงมีแต่เรียกดวงอาทิตย์ให้อุทัย และบัญหาต่าง *1 ที่เทวดาลามสลับ

กันไป ผลัดกันเป็นผู้สถิตในพระหทัย แลัวราตรีกาลก็ผ่านท้นไป


ในวันอื่น *1 แสงอุทัยแห่งตวงอาทิตย์ มิได้ยังพระหทัยของพระเจ้าวิเทหราชให้ทวงอภิรมย์เหมือน
ในวันนั้นเลย พอดวงอาทิตย์ทอแสง พระองค์ก็ตรัสเรียกมหาดเล็กทันที “พนายเว้ยใครอยู่นั้น” เมื่อมหาดเล็ก

เฝืาพระบรรทม เข้ามาถวายบังคมยืนอยู่ใกล้พระแท่นก็มีพระกระแสรับสั่งทันที “เจ้าจงรีบไป ไปบ้าน

ท่านอาจารย์เสนก บอกให้มาหาเราบัดนึ่อย่าซัาทีเดียว ให้มาพรัอมกันทั้ง ๔ คน ไปได้ละ”

มหาดเล็กเชิญพระราชกระแสรืบไปทันที ถึงบ้านท่านเสนกแต่เข้าตรู่ เมื่อได้พบท่านเสนก


แล้วรีบแจ้งพระราชกระแส “ท่านอาจารย์ครับ เร็ว ๆ เถิด พระราชามีพระราชกระแสรับสั่งให้ท่านอาจารย์

กับคณะเข้าเฝืาบัดนึ่ ด่วนที่สุด”

“มีเรื่องอะไรหรือคุณ” ซักถามตามเรื่อง “เร่งร้อนมากทีเดียวหรือ”

“ผมก็ไม่ทราบครับ ท่านอาจารย์” ตอบตามเรื่องเหมีอนกัน “แต่สังเกตได้ว่าทรงมีพระวิตก


กังวลอันใดอยู่อย่างหนัก คาดว่าการบรรทมเมื่อคืนนึ่แทบมิได้มีโอกาสเข้าเฝ็าพระราชาของเราเลย หาก

จะได้มาเฝ็าก็มิได้ถวายความสำราญแก่พระองค์เท่าที่ควร นึ่เปันความคิดของผม”

“เอ" อุทานด้วยความหนักใจ “จะให้ไปอย่างไรเล่า”


“สุดแต่ท่านอาจารย์เถิดครับ ให้ได้เฝืาเร็วที่สุดเป็นแล้วกัน จะเดินเร็วหรือจะวิ่ง จะควบม้า

kalyanamitra.org
๑๕๖

จะขื้นรถขอให้ถึงพระราชวังเร็วที่สุด ก็แลัวกัน”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” ท่านเสนกขัด “การไปที่ผมปรารภนั้นมิได้หมายถึงวิธีที่จะไป แต่หมายถึง

ด้วผู้จะไป”

“ทำไมล่ะครับ” ลามด้วยฉงน “ตัวผู้จะไปอีคือท่านอาจารย์กับอีกสามอาจารย์นะซี”

“รัแต้ว” ท่านเสนกกล่าวเอีอบเป็นตวาด “แต่จะให้ผมไปได้อย่างไร ดุณดูซี หัวของผมมันโลัน


เลี่ยนอย่างนี่ จะออกนอกบานไปไหน *1 ได้อย่างไรเล่า”

“ออ”
“คุณมีดวามรัสีกเห็นใจผม” ท่านเสนกเอ่ยเสียงเศรัาเจึอแด้น “ความเจ็บความอายครั้งนี่นี่

เหลือประมาณทีเดียวนาคุณนา กรุณาเห็นใจกันบ้าง จะให้ผมไปเฝืาได้อย่างไร”


“ผมอีเห็นใจท่านอาจารย์” มหาดเล็กพูดจากนี่าใจที่แท้จริง “เป็นผมบ้างอีคงไม่สามารถจะ
ไปได้เหมือนกัน แต่จะให้ผมทำอย่างไรล่ะ เป็นพระราชกระแสรับสั่งของพระราชานี่ครับ”

“ถึงอย่างนั้นอีเถอะคุณเอ๋ย ความอายของผมมันคงมีอำนาจเหนือกว่าความดีดที่จะปฎิบัตพระ-
บรมราชโองการอยู่ดีแหละคุณ” ท่านเสนกคงชินกรานที่จะไม่ไปเฝืาเพราะความอายห้วโลัน

“เอ จะให้ผมทำอย่างไร นี่อีล่วงเวลาเข้ามานานอยู่มากแต้ว” มหาดเล็กเอ่ยเป็นเซิงหารือ

“อย่างนี่อีแลัวกัน คุณกลับไปกราบทูลพระราชาของเราว่า พวกเรามิอาจไปเฝืาได้ เพราะความ

ละอายที่ห้วยังโลันเลี่ยนอยู่ ต่อจากนั้นจะทรงมีพระดำรัสประการใดอีสุดแต่จะทรงโปรด” ท่านเสนก

เสนอแนะ
“อีมีทางที่ด้องเลือกอยู่เท่านี่เอง” มหาดเล็กพูดเหมือนปรารภกับตนเอง “เมื่อท่านอาจารย์เห็น

เช่นนั้น ผมอีจะนำความขื้นกราบบังคมทูลตามนั้น” กล่าวแลัวอีกลับเข้าสู่พระราชวัง

เมื่อมหาดเล็กเข้าเฝืาถวายบังคม ยังมิท้นกราบทูลข้อความใด *[ พระเจ้าวิเทหราชอีตรัสเสีย

ก่อน “อย่างไรเล่า ท่านอาจี)ารย้ทั้ง ๔ ทำไมยังไม่มาเล่า”


“ขอเดชะ พระบารมีเป็นลันเกลัา” กราบทูลด้วยความพรั่นพรึง “ท่านอาจารย์ทั้ง ๔ มิอาจ

ที่จะมาเฝืาใด้ฝ่าละอองธุลืพระบาทตามพระราชบัญชาได้พระพุทธเจ้าข้า”

“เป็นไรจึงมาไม่ได้*’ ตรัสซักท้นที

“ขอเดชะพระมหากรุณาเป็นลันเกลัาๆ ท่านว่ามิอาจจะมาเฝืาพระพุทธเจ้าข้า”
“เหคุ ด้องการเหตุที่มาไม่ไดี*, พระสุรเสียงคาดคั้น “ไม่รัเหตุจะเห็นผลได้หรือ”

“เป็นด้วยศึรษะของท่านยังโลันอยู่พระพุทธเจ้าช้า ไม่กลัามาเฝืาเพราะความอาย”
“เอ จะท้าอย่างไรดีล่ะ” ทวงดุษณีภาพ แต่ในความนิ่งทรงพระดำริ “เรื่องของเราอีเร่งรัอน

เป็นอย่างยง หวังจะพึ่งบัญญาพวกอาจารย์อีเกิดมีอันเป็นเสียเช่นนี่ จะทำอย่างไรดีหนา” ทรงพระดำริ

หนักหน่วงในที่สุดอีทรงเห็นช่องทาง ท่านอาจารย์อายห้วโลัน ความอายนี่จะเกิดขนก็เพราะนัยน์ตาคนมอง

เห็น ลัาท้าให้นัยน์ตาคนไม่อาจเห็นห้วโลัน ก็คงไม่อาย ด้งนั้นทางที่จะแก้ไขจึงมีอยู่ ๒ ทาง คือ ทางที่ *

kalyanamitra.org
๑๕^

ปิดนัยน์ดา ทางที่ ๒ ปิดหัว ทางทั้ง ๒ ร่วมจุดกันดึอ ไม่เห็นหัวโลัน แต่ทางที่ * ปฎิบ้ตไม,ได้ เพราะ

การปิดนัยน์ดาคนเป็นอันมากนั้น แม้เราจะมีราชานุภาพอยู่ก็กระทำไม่ได้ เป็นการนอกเหนือวินัย เป็นไป


เพราะความเดึอดร้อน ทางที่ ๒ เท่านั้นอยู่ในวิสัย ทำอย่างไรจึงจะปิดหัวท่านอาจารย์ได้ การปิดหัวนื้ยัง
ไม่เคยมีมาแต่ก่อนเลย เมือได้เด้าเงื่อนเป็นทางสบต่อ ไม่ข้าก็ทรงคิดเครื่องปิดหัวได้
เครื่องปิดหัวที่พระเจ้าวิเทหราชทรงคิดชื้นในครั้งนั้นเรึยกว่า “มาฬกาปฎฎ” หากจะคิดให้เข้ารูป
กับภาษาไทยก็คงเป็นรูปทะนานที่เรียกในบัดนึ่ว่า "หมวกตุ้ม!/” และนัยว่า “หมวกตุ้ม!/" เกิดชื้นดั้งแต่
นั้นเป็นต้นมาจนทุกวันนึ่ พระเจ้าวิเทหราชทรงเป็นผู้'ต้นคิดหมวกตุ้มปี
เมือทรงคิดได้แลัว ก็ตรัสสั่งให้ทำทันที ไม่ข้าก็เสรีจ ๔ ใบ มีพระดำรัสให้มหาดเด็กนำไป
ให้แก่อาจารย์ทั้ง ๔ โดยพระกระแสรับสั่งว่า “ท่านอาจารย์จงสวมหมวกนึ่ไวับนศีรษะแลัวพากันมาเถิด”

คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ได้รับพระราชทานหมวกตุ้มปีสวมศีรษะเข้าแลัวเป็นอันปิดหัวโลันได้อย่าง
เนืยบเนืยน และมิหนำข้าเป็นเครื่องประด้บที่เข้าชุดกันกับเครื่องแต่งกาย คึอข้างล่างมีเครื่องรองได้แก่
รองเท้า ข้างบนมีเครื่องปิดได้แก่หมวก (ซึ่งที่ถูกควรจะเรียกว่า “ฝาหัว” จึงจะเข้าชุดกับรองเท้า) ต่างคน

ก็สวมดามพระราชบัญชา พากันเข้าเฝืาโดยปราศจากความละอาย
เมือคณะอาจารย์ทั้ง ๔ มาถึงที่เฝ็า และนั่งดามดำแหน่งแลัวพระเจ้าวิเทหราชซึ่งทรงรออยู่
ด้วยพระหทัยอันร้อนเร่าก็ดรัสเล่าเรื่องที่พระองค์ถูกเทวดาถามบัญหา ๕ ข้อให้ทัง จบลงมีกระแสรับสั่ง

กับท่านเสนกว่า “ท่านอาจารย์เสนก บัญหาที่เทวดาถามสั้น *1 ฉันไม่รู้เลย จึงขอผลัดกับเทวดาไว้ว่าจะ


ต้องถามบัณฑิตดู เพราะฉะนั้น ฉันขอถามท่านอาจารย์ช่วยกล่าวแก้ปัญหานั้นใหัทีเถิด” ดรัสแลัวทรงกล่าว
ปัญหาข้อแรกให้ท่านเสนกทัง “คอยทังนะ ปัญหาข้อแรกมีอยู่ว่า” ดังนึ่

“จํอฆราช ผู้ใดเล่า ประหารท่านด้วยมือด้วยเท้า ชก ต่อย ถีบ เดะท่าน บางคราวก็ตบปากท่าน


ผู้'นั้นแลเป็นที่รัก พระองค์ท่านทรงเห็นใครเป็นที่รักของบุคคลด้วยเหตุนั้น”
“ท่านอาจารย์เสนก ปัญหาข้อนึ่เป็นข้อแรกที่เทวดาถามฉัน ท่านอาจารย์เห็นความอย่างไร เชิญ

แก้หน่อย”
ท่านเสนกทังปัญหาแลัว ก็ไม่รู้เหมือนกัน “อะไรประหารอะไรกัน” เสยงบ่นพึมพำไปดาม
เรื่องของผู้ที่ไม่รู้ แต่ก็อยากจะพูดออกมาบ้างอย่างนัอยที่สุดเพึยงแต่ทวนดำก็ยังดี ยิ่งคิดยิ่งมืด มองไม่เห็น
เงื่อนต้นเงื่อนปลายของปัญหานั้น ทั้งนึ่เพราะว่า การจะรู้สิ่งที่ยังไม่รู้นั้น ต้องเอาความรู้เข้าไปด้นหา เปรียบ
การแสวงหาสิ่งที่ยังไม่เห็นในความมืด ต้องเอาแสงสว่างเช้าไปส่อง จึงจะพบฉะนั้น หากมีแต่ความไม่รู้
จะเอาความไม่รู้ใปสอดส่องข้อที่ยังไม่รู้ เพึอจะให้เป็นความรีชื้นมานั้นเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนเอาความ
มืดเช้าไปด้นหาสิ่งที่ยังไม่เห็นอันอยู่ในความมืด ผลก็คึอมีดตื้อไปด้วยกัน ท่านเสนกไม่มีความรู้อยู่กับตน
เลย จะได้สิ่งใดที่เป็นแสงสว่างเข้าไปส่องด้น มีแต่ความไม่รู้ ยิ่งใซัความไม่รู้เข้าไปขบคิด ความไม่รู้กับ
ข้อที่ยังไม่รู้ผสมกันเข้าก็คึอความสุดรู้เท่านั้นเอง ดำนืงอยู่พักหนึ่งเห็นว่าไปไม่ไหวแลัว ความคิดสิ้นแล้ว
ก็กราบบังคมทูล “ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณเป็นที่พึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบบังคมทูลว่าหมดปัญญา

kalyanamitra.org
® (1

ที่ใด้ฝ่าละอองธุลีมีพระราชดำรัสถามพระพุทธเจ้าข้า”

“เออ ท่านอาจารย์ก็จนเหมือนกันรึ” ตรัสถามด้วยพระสุรเสียงทรงพระวิตกหนักในพระทัย


ครั้นมีพระดำรัสถาม ๓ อาจารย์ ต่างก็นิ่งอั้นด้นปัญญาไปตาม *1 กัน ยิ่งทรงมุ่งหวังที่จะได้ทรงทราบความ

ของปัญหาก็ยิ่งทรงรัอนพระทัยอย่างขนาดหนักทีเดียว

บัณฑิตทั้งสี่หมดปัญญาที่จะกราบทูลเฉลยปัญหาได้แล้ว ต่างก็กัมเกล้าฯ ถวายบังคมลากลับ

ไป เพราะแม้จะมีเครื่องปิดบังส่วนที่พิกลไปจากสายตาคนได้ก็จริง แต่พฤติการณ์ต่าง *1 ยังไม่จางไปจาก

ความจำของคนเป็นอันมาก ทางที่ดีที่สุดก็คือปลีกตนออกเสียจากชุมชนได้เร็วเท่าใดเป็นดีเท่านั้น

พระเจ้าวิเทหราชทรงยับยั้งตลอดทิวากาลวันนั้น ด้วยความเร่ารัอนพระหฤทัยเป็นที่สุด หาก

ทรงมีอำนาจบังคับโลกธาดุได้แลัว ทิวากาลวันนั้นคงจะยืดไปนาน-นานจนกว่าจะทรงหายจากความเร่าร้อน
พระหทัย หรึอนานจนกว่าจะทรงแกับัญหาได้ ซึ่งแต่ละระยะจะประมาณเดือนปีเป็นอันยาก เพราะความ

เร่าร้อนพระหทัยนั้นเกิดเพราะทรงเฉลยป้ญหาไม่ได้ การแกับัญหาเหล่านั้นเล่า ก็ไม่รู้เมื่อไรจึงจะทรง


แก็ไป จึงเป็นอันว่าทั้ง ๒ สถานคงด้องการเวลานานเท่า *1 กัน แต่ทิวากาลมิได้ขึ้นอยู่กับพระองค์ท่าน

พระองค์ท่านไม่มีอานุภาพอันใดที่จะบังคับทิวากาลได้ ดังนั้นทิวากาล.จึงได้ผ่านไปตามเรื่องของโลกธาตุ

ตามที่ทรงรู้สึก “เอ วันนี้ช่างสั้นจริง ฤ”

ราตรีกาลที่พระเจ้าวิเทหราชไม่ทรงปรารถนาผ่านเข้ามาแล้ว ภาคด้นแห่งราตรีนั้น ก็ล่วงไปแล้ว

เหนือพระยิ่ภู'อันปูลาดภายใด้พวะมหาเศวตฉัตร พระองค์ทรงทอดพระเนตรพระกายในพระอิริยาบถบรรทม
แต่หาได้เสด้จส่นิทรารมณ์ไม่ เพราะพระหทัยทรงคอยทรงรอ ผู้ที่พระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะทรงพบปะ

หากแต่จะด้องทรงพบปะตามที่ทรงสัญญาไวั คือเทวดาผู้สถิต ณ กำพูฉัตร

แสงแพรวพรายกำจายบรรเจิตจ้าทั่วห้องบรรทมแลัว และแล้วดวงพักตร์พิมลอันเพริศพราย

ปรากฎ พลางเอ่ยถามพระเจ้าวิเทหราชว่า “พระองค์ท่านทรงแก้ปัญหาได้แล้วหรือ ? ทรงนำบัญหาไป


ถามนักปราชญ์ของพระองค์ได้แลัวหรือ ?”
“เทวดา ข้าพเจ้านำปัญหาของท่านไปลามบัณฑิตทั้ง ๔ คนของข้าพเจ้าแล้ว” ตรัสบอก “พวก
นั้นต่างก็ไม่ทราบความแห่งปัญหาของท่านทุกคน เป็นเรื่องจนปัญญาจริง *1 นะท่าน”

“บัณฑิตพวกนั้นจะไปรู้อะไร” เทวดากล่าวอย่างหนักหน่วง “พันจากมโหสถบัณฑิตแล้ว ใคร

จะสามารถรู้ใด้เล่า มโหลถไปไหนเสียเล่า พระองค์ท่านจึงมิได้ตรัสถามดู”

“มโหสถหนืไปแล้ว” ตรัสแล้วทรงอึดอัด “หนืไปนานแล้ว”

“พระองค์เป็นพระราชาผู้ใหญ่ ทรงปกครองแว่นแควันแดนดิน โปรดทรงพระวิจารณ์ด้วย


ปรีชาญาณสักหน่อย” เทวดากล่าวเป็นเชิงขู่ “ข้าพเจ้าจะทูลทำเนียบเปรียบถวายดังนี”้

“คนทเทยาแสวงหา ไฟ ในเมอกองใฟลว่าง ไสวปรากฎอยู่ลุกรุ่งเว่อ!อยู่ ได้เหนหงห้อยในเวลากลางคน

ปองแลงแวววาว ก็มาปากัญว่าเป็นกองไฟ เพราะสปนเสมอกันกับดวงไฟ จัดแลงหาเขอฝอย เข่นขโคแห้งและ


หญ้าแห้งถมไป'เข่าไปทแลงหงห้อยก่อด้วยลมปาก ด้วยความปาคญมิด มิก่อให้ไฟลุกได้เลย อุปมานื้ก่นใด

kalyanamitra.org
๑๕๙

ผทโม่ชลาด้องการประโยชน์มาแสวงกาประโยชน์ โดยอุบายม่ขอบก็ย่อมไม่ได้ประใยขน์ ม่อุปไมยฉนบั้น”


“อนึ่งเล่า คนที่ด้องการนํ้านมวัว แต่ไปมัวรีดเขาวัวจะให้เขาวัวหลั่งนํ้านมให้ จะได้นํ้านมที่ไหน

เป็นกาวฉลาดไฉนที่ผู้ด้องการนั้านมวัวมัวรีดเขาวัวอยู่เช่นนั้น”

“ฝูงคนในโลก ย่อมได้รีบประโยชน์ด้วยอุบายต่าง รุ”


“ท่านผู้ปกครองแผ่นดิน ย่อมปกครองแผ่นดินได้ด้วย คอยข่มพวกอมิตรที่คิดประทุษรัาย ด้วย

การยกย่องเชิดชูผู้เป็นมิตรไมตรีต่อ ด้วยการชุบเลํ๋ยงอำมาตย์ผู้เป็นมนตรีที่ไวัวางใจด้นเคยกัน”

“ช้าแต่พระองค์ผู้เป็นมหาราช บัดนึ่เล่า พระองค์ด้องการแสงสว่างคือปัญญา ก็เปรียบได้กับ

คนด้องการไฟ ปัญญาอันเปรียบเหมือนไฟก็มีอยู่' ปรากฎอยู่เปรียบได้กับมโหสถบัณฑิต พระองค์กลับ


ละเลยเสีย มามัวก่อแต่หิ่งห้อย คือพวกบัณฑิตมีเสนกเป็นอาทิ อันมีปัญญานัอยหนักหนา พระองค์ท่าน

จะได้ปัญญาอันหยั่งรู้ในข้อที่ลึกซึ่งได้อย่างไรนะพระองค์”

“มโหสถเป็นผู้ฉลาด สามารถจะให้ความชุ่มชินเบิกบานด้วยประโยชน์โสตถิผล เป็นเหมือน


แม่โคนม อันมีนํ้านมซึ่งโอชารส เป็นบุคคลตองการนํ้านมรีดเมื่อใดเป็นได้เมื่อนั้น แต่พวกเสนกเป็นด้น

เปรียบเหมือนเขาโค ซึ่งแข็งกระด้างหานํ้านมมิได้สํกนิดเดียว พระองค์จะบีบคั้นอย่างไรก็ไม่สามารถจะ

หานํ้านม การที่ทรงถามปัญหากับเสนกเป็นต้นก็เช่นเดียวกัน พระองค์จะทรงได้ความรู้กระจ่างมาแด่ไหน”

“เมื่อเป็นเช่นนึ่ การปกครองแว่นแควันแดนดินของพระองค์ จะอำนวยสวัสดีแก่ประชากรได้


อย่างไร คนดีมีความรู้พระองค์ทรงละเลยเลีย มิได้ชุบเลั้ยงโดยธรรมโดยสมควร คนที่ไม่มีความรู้อาศัย

แต่การประจบสอพลอเป็นเบื้องหนัา พระองค์ก็ทรงชุบเลื้ยงเขาไวั ทรงยกย่องเชิดชูในยศศักดํ่อัครฐาน

พวกนั้นจะบันดาลความสวัสดีให้แก่แว่นแควันได้ไฉน”
เทวดาได้กล่าวล้อยคำเหล่านึ่แก่พระเจากรุงวิเทหราชแล้ว ลงท้ายขู่พระองค์ท่านว่า “พระชนม์
ของพระองค์จะดำรงอยู่ลีบไปในสิริราชสมบัติก็เพราะทราบปัญหาเหล่านํ๋ แมันไม่ทรงสามารถจะเฉลย

ปัญหาเหล่านึ่ได้ก็หมายความว่าพระชนม์ของพระองค์ถึงวาระอวสาน” กล่าวแล้วก็หายวับไป

kalyanamitra.org
๒๑. กลบเข้าเมอง
พระเจ้าวิเทหราชทรงพรั่นพระท้ยในคำขู่ของเทวดา ทรงผ่านราตรีกาลนั้นไปด้วยความลำบาก

อีกวาระหนึ่ง ทรงรำพึงถึงท่านมโหลถ จะไปอยู่แห่งหนตำบลใด จะไปอยู่อย่างไรก็ไม่รู้ และแล้วอาการ


ที่ทรงระแวงก็นัอมพระดำริไปต่างๆ “คงจะไปตั้งเกลํ๋ยกล่อมผู้คน เพื่อความเป็นใหญ่กระมัง? แต่ก็

ปกปิดซ่อนเร้นมาก ไม่ปรากฏเป็นข่าวคราวอันใดเลย ทำไมเล่าจึงด้องหนี เมื่อไม่ผิดก็ควรจุะสู้หน้า การ


หนีไปเสียเช่นแจะทำให้เข้าใจอย่างไร ๆ” ความระแวงได้น้อมพระดำริไปต่าง *1 ในที่สุดก็ตกลงพระหทัย

“จะอย่างไรก็ตามที ปรีชาของมโหลถเป็นที่พึ่งของเรา เป็นประโยชน์แก่แว่นแคว้น จำด้องหาทางสีบเสาะ

ให้พบและน้ามาชุบเลํ๋ยงตามเดิม”

พอรุ่งเข้าได้เวลาเสด็จออกว่าราชการ พระราชดำรัสเป็นปฐมในวันนั้น คือ ตรัสเรียกอำมาตย์

๔ นายเข้ามารับกระแสพระบรมราชโองการ “เจ้าทั้งลีอย่าได้ข้าเลย จงเบิกเงิน ๑,๐๐๐ กษาปณ์ กับผ้า


๑ คู่ ร้นรซแยกกันไปคนละทิศทางประตูเมืองทั้ง ๔ พบมโหสกลูกเราที่ใด จงมอบให้แก่เขาที่นั้น แล้ว

พาดัจมาเร็ว”
อำมาตย์ทั้ง ๔ นาย รับกระแสพระราชโองการใส,เกล้าฯ แล้วพากันเบิกสิ'งของที่พระราชทาน

ไปตามพระราชกระแส พากันร้นรถข้บออกไปจากเมืองเป็น ๔ สายทันที


ผู้ที่ไปทางทิศอื่น ๆ ไม่พบ แต่ผู้ไปทางทิศทักษิณ ได้พบท่านมโหสถอยู่ที่บ้านช่างหมัอ ขน

ดินมาไว้แล้วป่นสังเวียนให้นายช่างหมัอ แล้วก็บริโภคข้าวเหนียวกับแกงเลว ๆ เช่นเดียวกับลูกจ้างของ

นายช่างหมัอ
การที่ท่านมโหสลทำเช่นนั้น ก็เนื่องด้วยพระเจ้าวิเทหราชทรงระแวงพระทัยอยู่ว่า “มโหสถ

บัณฑิตจะชิงราชสมบ้ดิเป็นแน่” ล้าได้ทรงทราบข่าวว่า “มโหสถเลํ๋ยงชีวิตจ้วยการปินหมัอ ก็จะทรงปราศจาก

ความระแวง เพราะผู้ที่คิดการใหญ่นั้นดามธรรมดาย่อมพยายามเปิดตน เพื่อให้เกิดความนิยมแก'มหาชน


แล้วจะได้คนเป็นอันมากเช้ามาเป็นสมัครพรรคพวก แด'การที่มาซ่อนตน ทำการงานเป็นลูกจ้างของช่าง

หมัอเช่นนื่ ไม่สมกับจะเป็นผู้คิดการใหญ่”

พอท่านมโหสถเห็นอำมาตย์ผู้นั้นเท่านั้น ก็ทราบได้ทันทีว่า “อำมาตย์นั้นต้องการจะมาหา”


เลยคิดต่อไปว่า “วันนื่ยคศักดํ่อัครฐานของเราจักคงคืนปกติ และที่สำคัญกึคือ วันนื่จักไต้รับประทาน
อาหารที่เอร็ตอร่อยมีโอชาเลิศต่าง *1 ที่อมราเทวีเตรียมไวัคอยท่า” พอคิดแล้วก็ทิ้ง!เนข้าวเหนียวที่กิาลัง

ถึอไว้ทันที “หลายนื่อแลัวที่รับประทานพอประทังชีพ บ้ดนื่เห็นพอทิ้งกันได้เลียทีละ ถึงอย่างไวข้าวเหนียว

kalyanamitra.org
® V) ®

ของนายช่างหม้อก็ช่วยต,อช็พ และเพิ่มกำลังในการงานให้ไม่น้อย แต่อาหารที่ดีกำลังคอยอยู่ และหมดโอกาล

มานานแลัว ก็ควรจะให้โอกาสแก่โอชารสนั้นต่อไป” เมื่อทิ้งปันข้าวเหนียวแลัวก็บ้วนปากรอคอยอยู่ ด้วย

อาการอันสงบ
ทันใดนั้นอำมาตย์ผู้นั้นก็เข้าไปหา และบังเอิญอำมาตย์เป็นพรรคพวกของท่านเสนก ด้งนั้น
จึงพูดกระทบท่านมโหสถว่า “ท่านผู้เป็นบัณฑิต คำของท่านอาจารย์เป็นลัอยคำที่ถูกด้องแน่นอน ดูท่าน

เถอะ พอเสื่อมยคแลัว บัญญาอันมีมากมายก่ายกองก็ไม่สามารถจะเป็นหลักที่พักพิงได้ บ้ดนีท่านมีฐานะ

อย่างไร ร่างกายอันเคยลูบไลัชะโลมด้วยจุณจันทน์อันอบอวลกลับมาเปรอะเปือนด้วยดินเหนียว บัญญา


ของท่านได้ลูบไล่ของหอมเช่นเดิม ท่านเคยนั่งบัลลังก์อาสน์อันวิจิตรตระการ มีค่าอันมากมายด้องมานั่ง

ตั่งฟางข้าว บ้ญญาของท่านดีอะไรเล่า ทำไมไม่ช่วยท่านให้นั่งอาสน์ด้งเดิมเล่า ท่านเคยรับประทานอาหาร

อันมีโอชาล่าเลิศ เมื่อยามดำรงในยศศักดํ่อัครฐาน ด้องมารับประทานข้าวเหนียวปันกับแกงเลว จุ เช่น


มีบ้ญญาไว้ทำไมกัน บัญญามีได้ช่วยดำรงสถานะเดิมไวใด้เลย เมื่อท่านมียศอยู่ไม่เป็นเช่นนั่เลย หมดยศ

แลัวมีบัญญาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้” กล่าวแลัวยํ้าความนั้นต่อไป
“เห็นจริงแลัวหรือมิใช่ในคำที่ท่านเสนกพูดไว้ ท่านเองเล่าก็มีบัญญากว้างขวาง ความยิ่งใหญ่

ความหลักแหลม และความริขนาดของท่าน มิได้ช่วยป้องกันท่านผู้ที่ที่ด้องประสบความเสื่อมได้เลย ท่าน

ด้องรับประทานข้าวเหนียวกับแกงเลว จุ อย่างนั๊ บัญญาช่วยอะไรได้เล่าท่าน”

“ท่านเอย” ท่านมโหสถเอ่ยโด้ “ท่านยังอ่อนนัก นัยน์ตาของท่านยังม้วน้ก ความประสงค์ของ


ข้าพเจ้าเป็นอย่างไรท่านมิได้รัเลย จะบอกให้ที่ข้าพเจ้าทำเช่นนั๊ ก็เพื่อจะเรียกรัองยศศักดํ่อัครฐานให้กลับคืน

มาด้งก่อนด้วยกำลังป้ญญาของตนละริไว้เถิด”

“ท่านเอย ข้าพเจ้ากำลังบ่มความสุขด้วยความทุกข์ ข้าพเจ้ายอมทนทุกข์ ร่างกายของข้าพเจ้า


เปรอะเปือนดินเหนียว แทนผงจันทน์อันหอมหวน ด้งที่ท่านเห็นอยู่บัดนํ่นั้น เป็นความทุกข์ของช้าพเจัา
จิตใจของข้าพเจ้าเล่า เรียกรัองคำนีงถึงความสุขเก่าก่อนตลอดมา รำพึงถึงเคหาอันอบอุ่น รำพึงถึงผู้ที่

สามารถจะให้ความรื่นรมย์อันอยู่เบํ๋องหลังนั้น เป็นความทุกข์ที่ทรมานใจของข้าพเจ้า แต่ท่านทราบหรือ


ไม่ว่า ความทุกข์ทั้งทางกายทางใจนํ่ มันเป็นเครื่องบ่มความสุขแต่เก่าก่อนของข้าพเจ้าให้สุกงอม และ

ร่วงหล่นลงมาถึงข้าพเจ้าโดยมิพักต้องกระเสือกกระสนรนหา ท่านยังอ่อนต่อความเป็นไปของโลกอยู่หนัก

หนา จึงมิทราบถึงประโยชน์ของการคอยว่ามีอยู่อย่างไรบ้าง ธรรมดาของผลไมับางชนิด มีรสหวานสนิท


เมื่อสุกงอม การที่จะไปด่วนชิงสุกก่อนที่มันจะห่ามนั้น เป็นคติของคนโง่เขลาเบาบัญญา ผู้ริไม’นิยมเลย

ผู้รัย่อมรัจักคอยให้มันสุก แลัวความหวานอันโอชาก็จะปรากฎเอง”

“ท่านผู้ยังจะมีซีวิดอยู่ต่อไปในโลก อันหมุนเวิยนเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา ควรจะมีบัญญา


หยั่งรัเหตุผลอยู่บ้างในเรื่องกาลและมิใช่กาล เพราะกาลเวลาได้ผ่านเราไปนานแลัว ข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็น

กาละและอกาละแน่ตระหนักทึเดียวว่าใดเป็นกาลแห่งประโยชน์ โดยเฉพาะในการเปิดเผยตนและในการ
ปกปิดตนก็ย่อมชื้นอยู่กับกาละเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้ารักาลเวลามาพิเคราะห์เห็นตนอยู่ว่า ในเวสาที่ลูกพระ-

kalyanamitra.org
๑๖๒

ราชาของเราทรงกริ้วก็ควรปกปิดตนซ่อนเร้นอยู่พลาง การเปิดเผยตนในเวลานั้นเป็นภัยแก่ตนแท้ ข้าพเจ้า


จึงซ่อนตัวด้วยความพอใจ และเลยงซ็พด้วยการทำหมอ ตังที่ท่านเห็นอยู่นี่”

“ในเมื่อการปกปิดตนเป็นทางที่จะนำความเจริญมาสู่ตน ข้าพเจ้าปกปิดตนอยู่ก็เท่ากับข้าพเจ้า
เปิดประตูรับประโยชน์ที่ตนจะพึงได้ไร้ ฐานะของผู้เป็นอำมาตย์ราชเสวกจะเป็นอย่างไรนั้น ความสำคัญ

อยู่ที่การปฏิบัติงานด้วยความจงรักภักดีในพระราชาของตน แม้นว่าพระราชาของตนทรงเกิดความระแวง
พระหทัยขนแล้ว ก็เป็นการจำเป็นที่จะด้องเก็บตนไว้ ไม่แสดงให็ปรากฎในที่ไหน *1 รอคอยโอกาสที่พระ-

ราชาของดนจะทรงหายระแวงแล้ว ก็เป็นโอกาสที่จะทรงระลึกถึงความจงรักภักดีของอำมาตย์ของพระองค์”

“ทำไมถึงด้องหนีเล่า ท่าน” อำมาตย์ซัก


“เป็นความจำเป็นในกรณีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบดีในนี่าพระทัยของพระเจ้าวิเทหราชว่า

ทรงมีพระกรุณาในข้าพเจ้ามากมายปานใด ในยามที่ทรงกริ้วแล้ว ความกริ้วของพระองค์ก็มีปานนั้น มิได้

น้อยกว่าพระกรุณาลงไปเลย พระหทัยของพระองค์ในเวลาที่ทรงกริ้วนั้นย่อมขุ่นม้ว ความขุ่นมัวนั้นเอง

ทำใท้เห็นลิงใด *] ไม่ซัดเจน ดังนั้น ล้าข้าพเจ้าเข้าเฝืาพระองค์ในยามที่พระหทัยขุ่นมัวอยู่อย่างนั้น ท่าน

จะทราบได้เองว่า ผลจะเป็นประการใด พระองค์จะทรงทอดพระเนตรข้าพเจ้าด้วยนี่าพระทัยอันมัธยัสถ์

ได้ไฉน เมื่อพระหทัยไม่ดำรงในสถานกลางแล้ว ท่านคิดหรือว่าข้าพเจ้าจะได้รับความยุติธรรม กรณีของ


ข้าพเจ้าย่อมมีข้อแตกต่างกับของผู้อื่นอย่างนี่นะท่าน”

“และก็ทำไมถึงมาเป็นลูกมือนายช่างหม้อเช่นนี่เล่า ท่านบัณฑิต”
“เป็นไรไปเล่าท่าน” กล่าวยิ้มอย่างเย้ย “เป็นการประหลาดหรือท่าน ที่ข้าพเจ้ามาเป็นลูกมือ

ของนายช่างหม้อเช่นนั๊ ข้าพเจ้ากำหนดกฎแห่งเหตุแล้วสีจึงได้กระทำ จะเป็นการประหลาดอะไรกัน ใน


เมื่อผู้มีฐานะเช่นข้าพเจ้ามาเป็นลูกมือของช่างหม้อ การนี่เป็นความชอบธรรมมิใช่หรือ เป็นการปราศจาก

ความเลื่อมเสียมิใช่หรือ มนุษย์เรานี่ท่านคิดว่ามีสภาพโดยทั่ว ยุ ไปวิเศษนักหนา ความจริงนั้นฐานะของ

มนุษย์เป็นเพียงอุทรทูตคือ "ทูตขอ)ท้อ)" เท่านั้น เมื่อปากเรียกร้อง เมื่อท้องอุทรณี มนุษย์ก็ดิ้นรนทำ

การโน้น กิจนี่ ท้าให็แก่ปากแก่ท้องนั่นแล้ว ท่านเอย ฐานะของข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนั้น เมื่อปากข้าพเจ้าเรียกร้อง

เมื่อท้องของข้าพเจ้าอุทธรณ์ ข้าพเจ้าก็ตองทำงานทุก ยุ อย่างที่เป็นสุจริต ที่ข้าพเจ้าสามารถ”

“ผู้ที่ดำรงฐานะเป็นมนุษย์แล้ว และเป็นอุทรทูต เช่นเดียวกัน ในเมื่อปากของเขาเรียกร้อง

ในเมื่อท้องของเขาอุทธรณ์ แต่เขาไม่ประกอบการงานใด ยุ ท่านลองคิดดูซี เขาได้ปฏิบัติหน้าที่สมกับความ

เป็นมนุษย์ของเขาแล้วหรือ ? เขาได้ประพฤติชอบด้วยขนบธรรมเนียมของโลกมนุษย์แล้วหรือ ? บรรพสัตว์


ปาณชาตินานาชนิด มีชีวิตมาในโลกทุกหมู่เหล่าต่างพากันดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อปากเพื่อท้อง แต่

มนุษย์นั้นมานั่งอยู่เฉย ยุ ท่านเห็นเขาเป็นคนถูกด้องแล้วหรือ? เมื่อสัตว์เดิ้ยงชีพได้ตามประสาคน และ

ประสาคนก็ควรจะดีกว่าประเสริฐกว่าประสาสัตว์ ด้งนี่จึงจะเป็นการดูกด้องมิใช่หรือ ? จะเป็นการประหลาด


อะไรเล่าท่าน ข้าพเจ้ามาเป็นลูกมือช่างหม้อ นี่เป็นกฎแห่งเหตุข้อหนึ่งของข้าพเจ้า”

“ยังมีอีกหนึ่งเล่า ข้าพเจ้าทำเช่นนี่ เพื่อกันความระแวงในพระหทัยของพระเจ้าวิเทหราชใทั

kalyanamitra.org
๑๖๓

หมดไป เพราะเมือได้ทรงทวาบประพฤติเหตุของข้าพเจ้าแลัว ที่ทรงดำริในพระหทัยว่าข้าพเจ้ากำเริบเติบ

สาร มักใหญ่ใฝ่สูงก็จะหมดสํ่นไป เพราะคนมักใหญ่ใฝ่สูงมีที่ไหนบ้างที่กวะท้าตนอย่างข้าพเจ้า แสะท่าน

เคยได้ทราบวิถีทางแห่งโลกมาแล้ว มีใครบ้างซีแจงหลักของความมักใหญ่ใฝ่สูงได้เช่นนั่ ข้าพเจ้ามาอยู่ที่นั่

อย่างคนอนาถา ไม่มีใครรู้จักข้าพเจ้าเลยลักคนเดียวในยิ่นนั่ แมัแด่นายช่างหม้อเองก็หาทราบว่าข้าพเจ้าเป็น

ใครไม่ เชิญท่านถามดูก็ได้”
“ด้วยอำนาจของเหตุเหล่านํ๋แหละท่าน ข้าพเจ้าจึงขอพอใจบริโภคข้าวเหนียวของนายช่างหม้อ
ในเวลาที่ข้าพเจ้าด้องการจะปิดบังตน รอคอยความสุกงอมหอมหวานแห่งประโยชน์ที่จะผ่านเข้ามาในประตู

ที่ข้าพเจ้าเปิดรอรับไว้ ท่านจักได้เห็นความสง่าผ่าเผยของข้าพเจ้าสิน่า ท่านจักได้เห็นข้าพเจ้าด้วยความ

รุ่งเรืองอีกสิน่า คอยดูเถอะ”
อำมาตย์ผู้นั้นเห็นอย่างไรในคำของท่านเป็นการยากที่จะทราบเพราะพอท่านอภิปรายจบ ก็เอ่ย

ว่า “ท่านบัณฑิต เทวดาที่สิงสถิต ณ กำพูฉัตรถามบัญหากับพระราชาของเรา พระองค์ตรัสถามคณะ

บัณฑิตทั้ง ๔ แลัวไม่มีใครแก้ได้ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงให้ข้าพเจ้าตามท่านกลับไป”


“นั่นว่าแล้วไหมล่ะ” ท่านอุทานด้วยปิดิ “ท่านเห็นหรือยังเล่า”

“เห็นอะไร ท่านบัณฑิต”

“อานุภาพของบัญญาน่ะซี”
อำมาตย์ผู้นั้นหมดทางโด้เถียง ด้องนั่งฬงต่อไป

“ท่านมาพบข้าพเจ้าในฐานะเช่นนั่ ท่านกล่าวไว้อย่างไรข้าพเจ้ายังจำได้ และคำของท่านเสนก


ที่ท่านน่ามากล่าว ข้าพเจ้าก็ยังจำได้ และบัดนั่ท่านก็เห็นแลัวมิใช่หรือว่า อะไรกันแน่เป็นที่พึ่งได้ในยาม

เช่นนั่ ทรัพย์หรือ? ยศคักดํ่อครฐานหรือ? ความเป็นใหญ่หรือ? ท่านเอ๋ยทุก*[อย่างที,กล่าวนั้นมีอยู่

พรัอมมิใช่หรือในราชสำนักแห่งพระราชาของเรา ทำไมถึงไม่น่าสิ,งเหล่านั้นที่ท่านเสนกซีนชมนิยมว่า

ประเสริฐหนักหนาไปแกับัญหาของเทวดาเล่า พระราชาของเราดำรัสไข้ให้ท่านออกมาตามข้าพเจ้าไป ก็
ด้วยมีประสงค์จะพึ่งป้ญญาของข้าพเจ้า แกับัญหาของข้าพเจ้า แกับัญหาของเทวดาใช่ไหมเล่า ท่านเอ๋ย
อานุภาพของบัญญานั้นสุดประมาณได้ทีเดียวนะท่าน เป็นที่พึ่งของคนได้แท้จริงยิ่งกว่าสิ'งใด *1 ทั้งนั้น

ดูอานุภาพของบัญญาเถิด”
อำมาตย์ไม่ตอบต่อล้อยคำ นำพระราชกระแสออกแถลง “ท่านบัณฑิต พระราชาของเรามี
พระดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า ล้าพบท่านที่ไหนก็ให้มอบเงิน ๑,00๐ กษาปณ์ และฝ่าดู่หนั่งให้ท่านทันที

แล้วให้ท่านอาบนํ้าแต่งกายไปเฝ่าโดยไม่ซักข้า” พูดแล้วนำเงิน ®,000 กษาปณ์ และฝัาดู่หนั่งชื่นให้แก่

ท่านมโหสถ
ก่อนจะเดินทางกลับ ท่านมโหสถก็เช้าไปลานายช่างหม้อ “โธ่! พ่อคุณพ่อมหาจำเริญ” นาย
ช่างหม้อซึ่งเพิ่งทราบความจริงกล่าวขื้น “พ่อก็ไม่บอกให้รู้ จู่ *] ก็มาของานทำ ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้จักหนัาตา

พ่อคุณลักครั้งเลย เคยได้ยินแต่กิตติศัพท์เลื่องลือเป็นหนักเป็นหนา โอ พ่อมาเป็นลูกมือข้าพเจ้า ข้าพเจ้า

kalyanamitra.org
๑๖๔

จะไถ่โทษตนอย่างไรเล่า”
“ท่านอาจารย์ค•โบ โปรดอย่านึกเป็นโทษเป็นทัณฑ์อะไรเลย ความจริงท่านอาจารย์มีอุปการะ
แก่ผมมากทีเดียว ผมดกทุกข์ได้ยากบากหนัามาขอพึ่งพาอาศัย ท่านอาจารย้ก็มิได้รังเกียจประการใดเลย

ด้อนรับผมไว้ด้วยดี เป็นพระคุณอย่างสูงกับผมแล้ว โปรดอย่าวิตกกังวลไปเลยครับ ไม่มีโทษ ไม่มีภัย


ชันใดแก่ท่านอาจารย์ดอก” เห็นนายช่างหม้อค่อยคลายความหวาดหวั่นแล้ว มโหลลจึงมอบเงินทั้งหมด

ทื่โปวดพระราชทานมานั้นให้แก่นายช่างหม้อ ซ็งก็ด้องคะขั้นคะยอกันอยู่นานกว่านายช่างหม้อจะรับไวั

ท่านมโหลลคงมีร่างกายเบือนโคลนอยู่อย่างนั้นนั้งวถเข้าสู่พระนครไปจนถึงพระราชวัง

kalyanamitra.org
๒๒. พิสูจน์ตน
เมึอรถถึงพระราชวังแลัว ท่านมโหสถก็รออยู่ภายนอก ให้อำมาตย์นำข่าวไปกราบทูลก่อน จะ

ทรงพระกรุณาโปรตประกาวใด
“ขอเดชะ พระกรุณาธิคุณลันเกลัาฯ” อำมาตย์กราบทูล “ดามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกฺลัาๆ

ให้ข้าพระพุทธเช้าไปตามท่านมโหลถบัณฑิตนั้น บัดนิ้พบแลัวและได้พามาแลัวพระพุทธเจาข้า”

“เจ้าไปพบเข้าที่ไหนล่ะ” ตรัสซัก
“ขอเดชะ พบที่บัานนายช่างหม้อยวม้ชฌคามใด้ อำลังป้นหม้ออยู่ทีเดียวพระพุทธเจ้าช้า” กราบ
ทูลแลัวบรรยายต่อ “พอข้าพระพุทธเจ้าบอกว่า มีพระราชกระแสรับสั่งให้มาเฝืาก็ไม่ยอมอาบนํ้าข่าวะกาย

มาทั้ง *[ ที่ร่างกายเปือนดินม่อล่อกม่อแล่กอยู่อย่างนั้นแหละพระพุทธเจ้าข้า”
“ด้ามโหสถจะลิดเปันศัตรูต่อเรา ก็คงจะท่องเที่ยวไปด้วยการตั้งด้วเป็นใหญ่” ทรงพระดำริ

“ที่ไหนจะไปทำการฃ้นหม้อเลื้ยงข่พอย่างนั้น เห็นจะไม่ด้อง่กาวเป็นศัตรูกับเราเป็นแน่ ” ทรงพระดำริ

แลัวตรัสกับอำมาตย์ “จงไปบอกลูกของเราว่า เราสั่งให้ไปบัานของตน อาบนํ้าชำระกายแลัวแต่งกายมา

โดยยศอย่างที่เราให้นั้นเถิด”

ท่านมโหสถได้ทราบพระกระแสรับสั่งจากอำมาตย์นั้นแลัว ก็ได้ปฎิบดีตามพระราชดำรัสกลับ

มาเฝืา เมือได้พระบวมราชานุญาตแลัวจึงเข้าสู่ท้องพระโรงถวายบังคมยึน ณ ที่อันสมควร

“อัอ มโหสถ กลับมาแลัวหรือ” มีพระดำรัสซัก “ไปอยู่ที่ไหนล่ะ”

“ขอเดชะ ไปอยู่ที่บัานนายช่างหม้อพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระประสงดีจะทดลองนํ้าใจของท่าน จึงตรัสทำเนียบต่อไปนื้

“พ่อมโหสถเอย คนบางจำพวกในโลกนํ๋มีความสุขสมบูรณ์ด้วยยศศักดํ่อัครฐานมีบริวารพรั่ง-

พรัอม มาดำริว่าเพียงเท่านื้ก็พอแลัวสำหรับเรา เขาไม่กระทำความซัว เพราะความเป็นใหญ่ที่ยิ่งร้นไป

กว่านั้น อย่างนื้ก็มีอยู”่

“บางจำพวกเล่า ได้รับยศศักดํ่อัครฐานแลัว มาดำริว่ายศศักดํ่อัครฐานที่ได้ครองอยู่นั้ เจ้านาย

โปรดประทานให้แก่เรา แม้นว่าเราจะลิดรัายต่อเจ้านายผู่ให้ยศศักดํ่อัครฐานแก่เราเห็นปานฉะนื้ ขักด้อง

เป็นที่ตำหนิดิเดียนของคนทั้งหลาย ดำริฉะนั๊แลัวก็มิกระทำความซัว เพราะกลัวถูกติเตียน”

“บางจำพวกเล่า ก็โง่เขลาทีเดียว ในเวึ๋องการกระทำความซัว ไม่มีความลิดอ่านอันใดในการ

กระทำความซัวนั้นเลย ก็เป็นอันทำความซัวไม่ได้อยู่เองแลัว เพราะมีความดีดอ่านน้อย”

kalyanamitra.org
๑๖๖

“รวมความว่า คนในโลกทไม่กระทำความข''ไนั้นเมราะเหตุ ผ สถานคอ เมราะม่ความสุขมอแล้ว


สถาน 0 เมราะกลัวจะถูกตำหนค่เคยนสถาน 0 และเป็นคนโว'เขลาไม่รูจกคดอ่านสถาน 0 นั้เป็นขอทํปรากฏ

อยู่ในโลกลันนว าสอ่นนั้"

“แด่เจ้าเป็นผู้สามารถฉลาดเฉลียว เฉึยบแหลมลึกซ็ง มีความคิดเห็นความเจริญได้กว้างขวาง


ล้าเว้าปรารถนาละก็พึงดำรงราชัยในสกลชมพูทวิปได้แน่นอน เหดุไวเล่านะ ถึงไม่ชิงวาชสมบํติของเรา ไม่

กระทำความเดือดรัอนให้แก่เรา”

“ขอเดชะ พระบารมีปกเกลัาๆ” กราบถวายบังคมทูลนอบน้อม “ข้าพระพุทธเว้าขอประทาน


พระราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณา ถึงระบอบอันชอบธรรมแห่งปวงบัณฑิต เชิญใด้ฝ่าละออง

ธุลีพระบาททรงสดับ”

“บัณฑิตทั้งหลายทุกยุคทุกสมัย ไม่ยอมเลยที่จะประพฤติการอันเป็นบาปเพราะสุขส่วนตนเป็น

เหตุ หมายความว่าปวงบัณฑิตที่จะมุ่งความสุขเพึอตน ต้องการบำเรอตนด้วยความสุข แล้วกระทำกรรม

อันเป็นบาปหยาบซัานั้น เป็นไปไม่ได้”
“บัณฑิตทั้งหลายแม้จะมีความทุกข์ยากลำบากเพียงจะสิ้นซีวิตมากระทบ แม้จะพลาดจากความ

สมบูรณ์พูนสุขทุกประการลีเต็มที ที่จะกระเสีอกกระสนว่นวายนั้นไม่มี คงเป็นผู้สงบไม่ยอมละทิ้งประเพณี

ธรรมและสุจริตธรรม เพราะความรักและความซังเป็นอันขาด”

“ที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมาทั้งนี่ เป็นธรรมเนียมแห่งบัณฑิตในโลกพระพุทธเจ้าข้า”
ยังไม่เป็นที่พอพระทัย ทรงมุ่งจะทดลองต่อไปอีก ทรงนำเอาข้อที่เป็นมารยาของกษัตริย์ มา

ตรัสเป็นข้อพิสูจน์ดังนี่
“คนเรา ควรยกตนที่ตํ่าด้อยศักดํ่ ชื้นดำรงในยศศักดํ่อัครฐานให้พรัอมมูลด้วยวิธีการอย่างใด
อย่างหนึ่งดือ ด้วยวิธีอ่อน เปรียบเหมือนเถาวัลย์ชื้นพันด้นไม้ใหญ่ เกาะเที่ยวเหนี่ยวรัดเรื่อย *1 พอได้โอกาส

ชื้นถึงยอดได้แล้ว ก็ปกคลุมเอาเป็นพุ่มของตนเสียฉันนั้น คนทีมุ่งความเป็นใหญ่ได้อาศัยท่านบุญหนัก


ศักตํ่ใหญ่โอนฤอนผ่อนตามเข้าหา ด้วยวิธีผูกพันให้วางใจ แล้วครอบงำเสียฉะนั้น นี่เป็นวิธีอ่อน”

“หรึอจะใชัวิธีแข็ง ด้วยการทารุณรัายกาจซ่องสุมสมัครพรรคพวกเกลิ้ยกล่อมประชาชนให้

อยู่ในอำนาจแล้ว ทำการแย่งชิงสมบัติเอาด้วยห้กหาญในเมื่อเห็นผู้ดำรงในยศศักดํ่อัครฐานสูงส่งนั้นอ่อน

ก่าลัง ไม่มีฟิไม้ลายมือในการด้านก็จะไปไหนรอด คงอยู่ในกำมือเป็นแน่นอนนี่เป็นวิธีแข็ง ”

“เมื่อได้ปฏิน้ติการตาม่วิธีทั้งสองนั้น อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ยกตนชื้นจากความตํ่าด้อย สู'ความ

สมบูรณ์พูนผล พรังพรัอมด้วยอิสริยยศ บริวารยศ และเกียรติยศแลัว ภายหลังค่อยประพฤติความดีความ


งามก็ยังได้”

ท่านมโหสถกราบทูลยกทำเนียบเปรียบความถวายว่า “ขอเดชะ พระมหากรุณาเป็นลันเกล้าๆ

ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมทูลทำเนียบเทียบทานถวาย ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงสด้บ”

kalyanamitra.org
๑๖๗

“บุคคลน7หร้อนอน ในร่มของต้นไม่ใด ไม่ควรหักกงค้านของต้นไม้นั้น (หราะคนทประทุษร้าย


ม่ทร (ปีนคนข้วแต้”
เมือได้ชักท้าเนียบกราบบังคมทูลแด้ว อภิปรายต่อไป “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเกียรติอันใหญ่
หลวง เพียงแต่บุคคลมาหักอัานรานกิ่งด้นไม้ที่ตนได้อาศัยร่มเงา ก็ได้นามว่าเป็นผู้ประทุษรัายมิตรไปได้
เช่นนึ่แลัว ผู้ที่ปวะทุษรัายต่อผู้มีพระคุณลันเกลัาลันกระหม่อมนั้น จะเป็นคนอะไรเล่าพระพุทธเข้าข้า

เทียบอึงได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทุกับข้าพระพุทธเข้า บิดามารดาของข้าพระพุทธเข้า ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท


ทรงพระมหากรุณาสถาปนาไข้ในอิสริยยศอันโอหาร ข้าพระพุทธเข้าเล่ากีได้ข้บพระมหากรุณาธิคุณ ทวง
พระอนุเคราะห์อย่างใหญ่หลวง หากช้าพระพุทธเข้าประทุษข้ายในได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแลัว คำที่เรียก

ว่า “คนประทุษร้ายม่ตร” นั้น จะเป็นคำที่รัายแรงพอสำหรับจะใข้แก่ข้าพระพุทธเข้าละหรือ แม้ว่าจะนำ

เอาความข้'วรัาย มิตรทั้งหมดบรรดามีในโลกทุกยุคทุกสมัย มาบวกกันแลัวมอบใหัเป็นความข้วรัายของ

ข้าพระพุทธเข้าผู้เดียว ก็ยังจะน้อยไปเสียอีกนะพระพุทธเข้าข้า”
ครั้นได้พิสูจน์คนถวายจนกระทั้งเปลื้องมลทินของตนหมดแลัว ท่านมโหสลมีความประสงค์
จะกราบบังคมทูลหักท้วงข้อที่พระเข้าวิเทหราชทรงกระท้า อันเป็นข้อเสียหายใหัทรงสำนึกบ้าง จึงกราบทูล

ว่า “ขอเดชะ พระบารมีปกเกลัาๆ ข้าพระพุทธเข้าขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูล


อึงธรรมเนียมแต่โบราณ ถวายแด่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทลักหน่อยพระพุทธเข้าข้า”
“พูดไปเถิดเข้า” ทรงพระราชทานโอกาส
“ขอเดชะ ธรรมเนียมอันเป็นวะบอบแต่เบื้องโบราณนั้น มีข้อหนึ่งบ่งไข้ ด้งนึ”่

"บุคคลม่ความ(ข้าใจหลักความจร่ง แม้จะม่ประมาณน้อยจากท่านปูใดและท่าน(หล่าใด ม่อ่ธยาลัย

สงบระงับ 1ต้ช่วยกำจดความสงลัยให่ข้อนั้นคอหลักความจร่งนั้น และความสนสงลัยนั้น (ปีนประ''7 (ปีนหลัก


ของปู'นั้นท(ดซว ปูมปญญาไม่ควรต้ดใมดร่ค้บท่านนั้น ๆ (สย”

ทรงสดับแลัว ความระแวงพระท้ยต่าง รุ ก็หมดไป จึงมีพระดำรัสถามดึบไป “พ่อมโหสถ


เข้าเคยอุดมสมบูรณ์ได้รับบำรุงบำเรอเป็นอันดีด้วยสิ่งที่ข็วิตด้องการ ที่เข้าไปยอมบริโภคข้าวเหนีแวของ
นายช่างหม้อนั้นดูไม่น่าจะเป็นที่ควรยินดีเลย ท้าไมเข้าจึงยอมทนอยู่ได้ตลอดกาลอึงเพียงนึ”่
“ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณปกเกลัาๆ ตามที่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระดำรัสลามมา

นั้น ขอพระราชทานกราบบังคมทูลว่า
อันวัตถุที่จะเป็นสิ่งสีบซ็พของมนุษย์นั้น ความสำคัญอยู่ที่ประโยชน์ มิได้อยู่ที่ความทรามหรือ
ความประณีต อึงจะทรามแต่อำนวยประโยชน์ ก็เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ ข้าวเหนียวของนายช่างหม้อ หาก
จะเท้นว่าเป็นของทรามกว่าโภชนะที่ปรุงด้วยสิ่งที่มีโอชา ก็เป็นแต่เพียงราคาเท่านั้น ส่วนสำคัญคึอประโยชน์

คงเสมอกัน มิได้ผิตแผกแตกต่างกันเลย โภชนะแม้ประณีตแต่ไม่มีประโยชน์อันใด ชังจะทรามกว่าโภชนะ


ของนายช่างหม้อเป็นไหน รุ
อนึ่งเล่า สิ่งใด รุ จะเป็นที่ยินดีแกใคร รุ หรือไม่ มิได้สำคัญที่ค่าหรือความประณีตของสิ่ง

kalyanamitra.org
® ๖ 6®

นั้น*1 ความสำคัญนั้นอยู่ที่ความพอใจของคน หากคนพอใจแม้จะมีค่าน้อย แม้จะไม่ประณีต ?!คงเป็น


ที่ยินดีนั่นเอง ความพอแห่งใจ หรึออาการที่ใจว้จักพอนึ่ คือความพอใจสรรพวัตถุในโลก รวมเรียกสั้น กุ
ว่า กาม คือลิงที่คนและสัตว์ปรารถนากัน กามนั้นแม้แต่น้อยก็ไม่พอประสงดี แม้นมาก?!ไม่อิ่ม นึ่เป็น
สภาพตายตัวของกามดามที่ท่านผู้ว้แจังเห็นจบกล่าวไว้ เมือน้อย?!ไม่พอ มาก?!ไม่อิ่มเช่นนั่ ผู้ที่บริโภคกาม

จะพึงปฎิปติไฉนจึงจะท่าตนให้เปันผู้อยู่เย็นเป็นสุขได้ ข้าพระพุทธเจัาเห็นด้วยเกลัาๆ ว่าแม้ถึงพระเจัา


มันธาตุราชอันเป้นองดีจักรพรรดิราชปางอดีตทรงมีบุญญาธิการเหลือคณนา ทรงสามารถปรบพระห้ตถึ
เรียกห่าฝนแกัว ๗ ประการให้ตกลงมาได้ กระนั้นพระองดี?!ไม่อิ่มในกาม ทรงปรารถนาชิงไปอีก ถึงได้
ครองดาวดึงส์เทวโลกกึ่งหนึ่ง กระนั้น?(ยังไม่อิ่ม ทรงด้องกาวจะเป้นพระอินทรีครองดาวดึงส์ผู้เดียวต่อไป

ด้งนั้นจึงเป็นนิท้ค่นะให้เห็นประจักษ์ได้ว่า
บรรดากามพัสดุทั้งมวลนั้น ถึงจะมีมากมายเพียงไร ก็มิได้ท่าให้ใจคนเราว้จักอิ่มได้ หมายความ

ว่ามีเท่าไร?(ไม่พอใจ ?(เมื่อความมีใคร *1 ?(ไม่อาจจะท่าให้เป็นความพอใจได้ เนึ่องด้วยความพร่องในตน


นั้นอย่างหนึ่ง และเนึ่องด้วยผู้ชื่นเป็นบัจจัย คือตัองอาศัยผู้ชื่นนั้นอย่างหนึ่งเช่นนึ่ เห็นได้ว่า ความมีนั้น
เป็นเรื่องสุดวิสัยที่มนุษย์จะกวะท่าให้พอร้นมาได้ แต่ความพอเล่า อยู่ในวิสัยแท้ คือคนทุกคนอาจสว้าง
ความพอใจให้เกิดแก่ตนได้ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นความว้จักหน้าตาของดวามพอ คือความว้จักพอ ข้าพระ-
พุทธเจัาขอพระราชทานกราบบังคมทูลโดยสรุปว่า ความมีท่าให้พอไม่ได้ แต่ความพอท่าให้มีได้ เมื่อ

ท่าความไม่พอให้มีได้แลัว ความมีย่อมพอไปเอง”
“ช้าพระพุทธเจัาพิเคราะห์เห็นด้งกราบบังคมทูลมา แม้ตนจะด้องบริโภคโภชนะของนายช่าง
หม้อ ชี่งมิได้มีโอชารสเลยต่างกันกับที่เคยบริโภคก็ทนได้ ไม่เดึอดว้อนอันใด ซีวิตของข้าพระพุทธเจัายัง

คงดำรงอยู่ได้ และยังเป็นประโยชน์ได้แม้ด้วยภารบริโภคเช่นนั้น ขอใด้ฝ่าละอองธุลึพระบาททรงพระ

กรุณาวินิจฉัยด้วยพระปรีชาญาณอันประเสริฐเถิดพระพุทธเจัาข้า”
“พ่อมโหสถ เชัาพูดดีมาก” ดว้สชมแลัวทรงแย้ง “แต่ยังไม่กระจ่างนักในหลักเกณฑ์ทั่ว *1 ไป

เคยมีบัญญ้ติไว้เหมือนกันมิใช่หรีอว่า
วาชาชอบสันโดษก็ไม่จึาเริญ หญิงแพคยามีความละอายก็พินาศ กุลสตรีหน้าด้านก็หมดดี เพราะ
ฉะนั้นที่เจัาสรุปว่า ความมีท่าให้พอไม่ได้ ความพอท่าให้มีได้ เมื่อท่าความพอให้มีได้แลัว ความมีย่อม
พอไปเอง คังนึ่ ย่อมไม่ได้ทั่วไป เพราะขัดกับบัญญิติอันเป็นนิติของวาชา”
“ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณลันเกลัาๆ นิดิที่ทรงพระกรุณานำมานั้น ข้าพระพุทธเจัาขอ
กราบบังคมทูลด้วยข้ออุปมาถวายด้งนึ่
“สมมุติเรื่องว่า มีบุรุษสองคน คนหนึ่งซีอ ท้ติตะ คนหนึ่งซี่อมํติคะ มีความประสงดีสำคัญ
ร่วมกันคือมุ่งจะให้ศีรษะอยู่ในร่ม และให้เท้าเหยยบแผ่นหนังตลอดทางที่เดินไปถึงไหนอีงที่นั่น ศีรษะ

จะไมไห้ด้องแสงอาทิตย์ เท้าจะไม่ให้ด้องเหยึยบแผ่นดิน เพื่อบรรลุจุดประสงดี ต่างคนต่างดำเนินกาว


ตามที่เห็นว่าจะสำเร็จดามความมุ่งหมาย

kalyanamitra.org
๑๖๙

ทตตะ เดินทางไปพร้อมด้วยสัมภาระ คือเครื่องมุงเครื่องบังข้างบน และแผ่นหนังสำหรับ


ปูข้างล่าง ออกเดินทางก็สร้างหลังคาเรื่อยไปและปูแผ่นหนังเรื่อยไป ที่ขนไปหมดแลัวก็เที่ยวหามาใหม่

มุงไปปูไปเดินไปหรือเดินไปมุงไปปูไป
ม้ต์ตะ ก่อนจะออกเดินทาง ได้หาไม้ไผ่มาทำเป็นคันยาวประมาณแขนตน ที่สุดของคัน มีดุม
สวมไว้รองจากดุมนั้นก็มีดุมอีกชันหนึ่งเลื่อนที่ได้ แต่มีสลักคอยสกัดให้ดุมที่เลื่อนได้อยู่ในระยะที่กำหนด
ให้ แล้วนำเอาไม้มาเหลาเป็นซี่ ๆ สั้นและยาวเท่า จุ กัน ชี่ยาวซี่ด้นฝังลงในร่องดุมอันยอด ปลายซี่แม่ออก

เป็นปริมณฑล มีเชือกร้อยซี่ให้ติดกับดุม แล้วขึงปลายซี่ให้เป็นวงกลม ชี่สั้นลอดในร่องดุมอันที่เลื่อน

ได้ ทางหนึ่งสอดเข้ากับท้องของซี่ยาว มีเชือกร้อยมิให้หลุดได้ แล้วเอาผ้าคลุมปริมณฑลของซี่ยาวนั้นผนึก

ให้ติดแน่นกางออกได้หุบเข้าก็ได้ อันนี่สำหรับปิดศีรษะมิให้ด้องแสงอาทิตย์ แล้วหาหนังมาตัดให้พอดี

กับเท้า กระท้าให้ติดอยู่กับเท้าในเวลาเดินทางไปกางเครื่องปิดบนศีรษะ มือถือคัน เท้าสวมแม่นหนังเดิน

ไป”
“ข้าพระพุทธเจาขอพระราชทานอภัยโทษที่จะกราบบังคมทูลถามว่า ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

ทรงเหินอย่างไร บุรุษ ๒ คนนั้น คนไหนจะบรรลุผลสมความมุ่งหมายยิ่งกว่ากันและดีกว่ากันพระพุทธ

เจ้าข้า”
“เด็ดจริง พ่อมโหสถ” ตรัสเคล้าพระสรวล “เอาละเป็นอันพ้นไปประเด็นหนึ่ง กังอีกประเด็น

หนึ่งชี่งเจ้าควรจะแถลงด้วยเหมือนกันคือ ล้าคนทุก *1 คนพากันพอใจในสิ่งที่ตนมีซ็อเสียงหมดแล้ว มิเป็น

อันไม่ต้องคิดขยับขยายการงานของตนออกไป และมิเป็นการบีบรัดตนเองอยู่ในวงแคบ เพราะคนเช่นนั้น

ย่อมไม่มีความกระตือรือร้นอันใดมิใช่หรือ”

“ขอเดชะ จะได้เป็นด้งพระบรมราชบรรหารหามิได้พระพุทธเจ้าข้า” กราบทูลปฏิเสธแลัว


แถลง “อันบุคคลผู้รู้จักพอนั้น เป็นผู้ลามารถที่จะขกับขยายฐานะของตนและลามารถจะแม่กิจการของตน

ได้กวางขวางเป็นแน่ ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบบังคมทูล ถืงผู้ไม่รู้จักพอเป็นเบองด้นก่อน”

“ผู้ไม่รู้จักพอ มีอะไร อย่างไร ก็ไม่รู้จักพอ ได้อะไรเท่าไร ก็ไม่พอ มีอาซีพการงานอะไร หนัก


หรือเบาก็ตามก็ไม่พอ คือไม่จุใจทั้งนั้น ทำกสิกรรมก็ไม่จุใจ ทำโคร้กขกรรมก็ไม่จุใจ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

จับโน่นโยนนี่ ไม่เป็นล้าเป็นลัน คนเช่นนี่หรือจะสามารถขยับขยายกิจการของตนออกไปได้ ไม่ปรากฎเลย

ว่า คนจับจดมีการงานเป็นหลักฐาน
ผลที่คนเช่นนี่ได้เล่า ล้าไม่รู้จักพอ คือผลที่ได้รับจากการงานที่ตนกระท้านั้น *1 ได้เท่าไร จุ ก็

ไม่รู้จักพอ หรือไม่สามารถจะทำให้พอได้ เมื่อไม่พอก็ต้องคิดหาทางอื่น ซี่งหมายลึงหวังจะได้จากผู้อื่น

เช่นผลงานของตนได้รับเพียง ๑๐๐ กษาปณ์ไม่พอ ท้าอย่างไรจึงจะได้กษาปณ์เพิ่มอีก วิธึเพิ่มกษาปณ์

ของตน ก็ในเมื่อกษาปณ์ของตนยังไม่พอที่จะใชัแล้ว การยึมกษาปณ์ของผู้อื่นมานั้น แทนที่จะมากกษาปณ์

ของตนกลับมาท้าให้กษาปณ์ของตนต้องลดนัอยลง สมมุติว่า ยืมผู้อื่น ๑๐ กษาปณ์ เป็น ๑๐๐ กษาปณ์


ต่อไปก็ทักใชัเจ้าหนี่ ๑๐ กษาปณ์ จาก ๑๐๐ คงเหลึอ ๙๐ เมื่อ ๑00 ไม่พอ ๙๐ จะพอได้ไฉน ยืม ๒๐

kalyanamitra.org
๑๗๐

คงเป็น •๐๐ ต่อไปด้องไข้ ๒๐ ใน •๐๐ ของตน คงเหลือ ๘๐ ยิ่งมีดอกเบั้ยเพิ่มร้นด้วยก็ยิ่งลดลงไปตาม

ส่วนอีก การกัหนื้จึงเป็นการลดรายได้ของตนลงสำหรับผู้ที่มีรายได้จำกัด มิไช1เป็นการเพิ่มรายได้

(ลวลงยงกว่านั้น ว่ยการเทฝกษาปณ์ของตนด้วยล้วงกษาปณ์ของผ่อนมา คอการเสยงโด้เสยงเสย

ได้แก่เล่นการทล้น การเล่นก ารทล้นเป็นเรองทเศยงแท้ เหร่ยญกษาปณ์ทเป็นผลงานมอยู่ในกระเปาของตน


แล้ว มันใจได้ว่าเป็นของตน อาจจับจ่ายใข้สอยได้ตามแต่ความปรารถนา ครั้นนกจะเล่นการทล้นช่นมา เหร่ยญ

กษาปณ์นั้นก็ใม่แน่เลยว่าจะเป็นของใคร จะเป็นของตนหร่อของคู่ทล้นก็ยังไม่แน่ ล้าตนขนะก็ได้เทมและเป็น

ของตน แต่'ล้าแท่ก็หมดไป และไม่ใช่ของตน แท้จะเล่นได้ก็ไม่ท้นคนจองเวร อย่างล้อยคู่ทล้นก็คดหาหนทาง


ทจะเอาขนะไท้ได้ หาก ไม่ได้ด้วยว่ร่)การทตรง ไปตรงมาก็ด้วยวืยคดโกง ชง ไม่ใช่ว่ล่ทางท่ผ่'เป็นวิณูณูชนจะบง

ดำเน่น
เลวทลุด ก็คอว่ล่ลักล้วงช่วงชง หรอคู่ล้อด้วยอุบายต่าง ๆ เทอก่ายเทกษาปณ์ของบอ่นใล่กระเปา
ตน เทมกษาปณ์ของตนให้มากขน วล่เช่นนั้เป็นล้ยแก'วงลังคมของมนุษย์อย่างย่งประการหน่งท่เดํยา ’’

“เท่าที่ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูลมาทั้งนํ๋ ขอได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงวิจารณ์ ผู้ไม่

รัจ้กพอ จะเป็นผู้ลามารถขยับขยายกิจการของตน ออกไปได้เพียงไร และจะสามารถแผ่ฐานะของตนกว้าง

ออกไปอย่างไร”
“ล่าน!ปูจักทอ ตรงกนขาม ม่อะไร อย่างไร จุใจอย่างนั้น ได้อะไร เท่าไร จุใจเท่านั้น ท่าความ

ทอใหจ่นเสมอไป ท่ากล่กรรมก็จุใจ ทอใจ ตั้งหล้ากระท่าล้นจร่งจัง ไม่ละวาง ทาโครกขกรรม ก็ท่าจรงจัง

ท่าทาณ์ขยกรรมก็ท่าจรงจัง ตั้งหล้าตั้งตาขยันหมันเท่ยร การงานย่อมเป็นหลักราน มันคงเป็นปกแผ่นต่อไป


ผลได้จากการงานนั้นๆ เล่า จะเท่าไร ก็รู่จักท่าให้ทอได้ทุกเมอ ไม่'ต่องการคู่ห่นั้ย์มล่นใคร เว้น

การทล้น เวนการลักล้อ ได้เท่าไร ทาให้ทอได้เท่านั้น รู"จักประหยัด คอการดารงขทตามกฎท่อารยขนได้ตั้ง

ไว้โดยเคร่งครัด เช่นแบ่งทร'ทย์ท่ได้มาเป็น ๔ ล่วา/ ใช่'ลงทุน ๒ ล่วน เลยงตนและครอบครัว ® ล่าน เก็บ


ไว้0 ล้วน ด้งนั้เป็นด้น ไม่ข้าทรัทย์ก็จะก่อตัวเองทว่ขนโดยล่าดับ เหม่อนเมก็ดดํนเล็กๆ ทปลวกแต่ละตัว

ขนมาก่อเป็นจอมปลวกใหญ่โต ได้’’
“ข้าทระทุทธเจาขอกราบทูลอุปมาถวาย “เหม่อนมนุษย์ทุกๆ คนท่เก่ดมาในโลกนั๋ เมอแรกเกด

ก็คงเป็นเด็กอ่อนนอนเบาะด้วยล้นทั้งนั้น ครั้นภายหลังก็เตบโตขน ๆ ตามวย ความ'เตบโตของร่างกายแห่งมนุษย์


นั้น ๆ ม่ใช่เต่บโตเทราะนาเล่อดผ่อนมาเท่มเล่อดของตน น่าเนั้อของผ่อนมาเท่มเนอของตนเป็นด้น หาม่ได้

เลย เต่บโตด้วยนานมและข้าวป้อนของมารดาเป็นเดํมมา เข้าโม่'เป็นเล่อดเนั้0 และเม่อเป็นเล่อดเนอแล้ว ยัง

คอยป้องล้นม่ให้เล่อดเนอนั้นต่องเสยไปอ่กเล่า รวมความว่าเต่บโตขนเทราะการบารุงเลยงและการปฎบ่ต่เป็น
จันก็ ล้นใด ก็จการและป็านะของตนในโลกนั้ก็ล้นนั้น จะเจร่ถู/ขยายออกกว้างขวางได้ ก็อยู่ทได้.รับการบารุง

รักษ าดูแลเป็นอ่นดํ ”
“ม่อยู่ทระทุทธเจ่าข้า บุคคลบางคน หร่อบางทวกมักกล่าวอ่ างเอาคว ามทอเป็นเคร่องป้องล้นค ว าม

เก่ยจคว้านของตน ป้องล้นคว าม ไม่ขวนขว ายในก ารง านทดนกระทา มักล้างว่าจะท ไ โปนา โม ม่ทอแล้วก็แล้ว

kalyanamitra.org
๑๗๑

กัน แล้วละวางกจการล้นเป็นธุระของตนเล่ยดังใ/บ้าง มักล้างว่า โล้มาเห่านั้แล้วหอกนโปโล้เห่านั้นวันเห่านั้

เอ่อนแล้ว ระหว่างวัน(ดอนเหล่านั้น(ป็นโอกาสแท่งการมักผ่อน โม่โซ่โอกาลแห่งการงาน ดังนั้บ้าง บุคคล

เซ่นนั้หากันละ(มดขนมของโลก โม่เออเ^อต่อขนบแห'งโลก และเป็นผุมอ!5ยาดัยเอาเปรปบขไวโลกอย่างหน้าล้าน

ทเอ่ยวหระหุทธ(ล้าข้า "
“แจ่มแจ้งสำหรับประเด็นที่ลาม” ตรัสชมพลางตรัสซัก “แต่เจ้าก็ได้สรัางประเด็นร้นใหม่อีก

คือที่ว่าคนเก็ยจครัานพากันละเมิดขนบของโลกนั้นเปันอย่างไร ถะไรเล่าเป็นขนบของโลก เจ้าด้องอธิบาย

ประเด็นที่ตั้งร้นใหม่ให้แจ่มแจ้งด้วย”

“ขอเดชะ ขนบของโลกนั้น ได้แก่ข้อที่ชาวโลกด้องประพฤติ ซึ่งท่านผู้รัแจ้งจบในพฤติการณ์

ของโลกบัญญ้ติไวั” กราบทูลแล้วแถลงต่อไป “ขนบยันนึ่มีมาแต่โบราณกาล คือความพากเพียร ในข้อนั้

ข้าพระพุทธเจ้าขอนำเรื่องแต่ปางก่อนมากราบบังคมทูลเพึอทรงพระวิจารณ์ ”
“แต่ครั้งก่อนนานมาแล้ว พระมหาราชองค์หนึ่งซึ่งครองราชย์ ณ พระมหานครมิถิลานึ่เอง

พระนามว่า พระชนกมหาราช ก่อนแต่จะได้ราชัยพระองค์ทรงกระทำการคาขายทางทะเล คราวหนึ่งสำเภา

กัปปางคนทั้งหลายพากันตายตกเป็นเหยื่อปลาทะเลไปหมด แต่พระองค์คงว่ายอยู่ในท้องทะเลไม่ท้อถอย

นางมณีเมขลา ผู้เป็นเทพธิดารักษาสมุทร ได้มาปรากฎกายให้เห็น และได้สนทนาโด้ตอบกันกับพระชนก


ด้งนึ”่

นางมณ์เมชสาถามวา
“นึ่ใครมาแหวกว่ายอยู่กลางทะเลทั้ง *1 ที่มองไม่เห็นฝัง ท่านทราบอำนาจประโยชน์อะไร

จึงพยายามอย่างเข้มแข็งอย่างนึ”่

พระชนกตอบว่า
“ข้าพเจ้าพิจารณาขนบของโลก และผลของความพยายามดูแล้วนะเทพธิดา เหตุนั้นถึงมอง

ไม่เห็นฝังก็จะแหวกว่ายไปในกลางทะเล”
นไง- ฝังทะเลลึกสุดประมาณ ยังไม่ปรากฎเลย ความพยายามอย่างลูกผู้ชายของท่านเป็นโมฆะ ท่าน

ยังไม่ถึงฝัง จักตายเสึยก่อน”
พระ- “ผู้ที่กระทำกิจที่ลูกผู้ชายพิงกระทำนั้น เป็นคนไม1เป็นหนึ่ของญาติของเทวดาและของบิดา

มารดา ทั้งไม่ต้องเดือดรัอนในภายหลังด้วย ”
นาง- “กรรมชันใดที่ยังคาดผลสำเร็จไม่ได้ คงยังไม่มีเหตุผล มีแต่ทวิความลำบากให้ ทั้งมีความ

ตายคอยจ้องอยู่เฉพาะหนำอีกด้วย เป็นประโยชน์อะไรที่จะพยายามในกรรมนั้นเล่า”

หระ- “เทพเจ้าข้า ผู้ใดทราบแล้วว่าการกระทำของตนยังไม่สำเร็จลุล่วงไปอย่างแน่นอน ผิยังความ


พยายามให้เสื่อมสิ้นไปเลีย ผู้นั้นเซึ่อว่าไม่รักษาซีวิด ทั้ง 1 ที่รัหมายความว่ายันดรายมาปรากฎ
แล้ว ยังไม่พยายามมิวงอมืองอเท้า ปล่อยให็ชีวิดของตนสิ้นไปทั้ง *1 ที่รัอยู่ว่า ลัางอมี^งอเท้า

เป็นตาย เป็นคนไม่รักษาซีวิด เทพธิดาเอย บุคคลบางพวก เพ่งผลที่ประสงค์ในโลกนึ่จึง

kalyanamitra.org
๑๗๒

ประกอบการงาน การงานของเขานั้น *1 สำเร็จก็มี ไม่สำเร็จก็มี เอาแน่นอนอะไรมิได้ แต่


ท่านก็กำลังเห็นผลกรรมของข้าพเจ้าที่สำเร็จท้นตาเห็นอยู่บัดนึ่มิใช่หรือ ท่านเห็นไหมล่ะ*

คนอื่น *1 พากันจมนํ้าไปหมดแล้ว เป็นเหยื่อฝูงปลาไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าผู้เดียวยังไม่ตาย ยัง


ไม,จม ยังแหวกว่ายอยู่ ทั้งยังได้เห็นท่าน ซึ่งฝูงมนุษย์ปรารถนาจะพบจะเห็นกันหนักหนา

ล้าข้าพเจ้าไม่พยายามตามเรี่ยวแรงที่ตนมีอยู่แล้ว ปานนั้ก็คงยังเป็นอย่างเดียวกับคนอื่น *1 ที่

ไหนจะได้พบท่านเล่า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจักพยายามตามกำลังความสามารถของตน จัก


บากบั่นให้สมกับเกิดเป็นชายให้บรรลุที่หมาย คือชายฝังทะเลให้จงได้”
ผลที่สุดพระมหาชนกได้รับความอนุเคราะห์จากเทพธิดาพาไปยังกรุงมิถิลานคร และได้ดำรง

ราชัยเป็นพระมหากษัตริย์แห่งวิเทหรัฐ ซึ่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทย่อมทรงทราบด้วยพระปรีชาญาณ

อยู่แลัว”
ตามเรื่อง,ที่ข้าพระพุทธเจ้าน่ามากราบบังคมทูลปรากฏขนบของโลกซัดเจนอยู่แลัวว่า ‘‘ความ

ทากเทม!ขคาลูกผูขามนนแค เป็นขนบขคาโคก ขาวโลกสืคาทากินเห็นเป็นคาค่ณู แม่นผูใศเกิดมาโนโลก แล้ว

เป็นคนเกยคคร่าน ผู้ปันเป็นคนคมเม่ดขนบขคาโลก ”
“อนึ่งเล่า พระพุทธเจ้าข้า นักปราชญ์แต่ครั้งก่อน ได้คึกษาเจนจบแล้วในพฤติกรรมแห่งโลก

ได้กำหนดไวเป็นแบบฉบับลืบ ๆ กันมา ข้อใดจะเป็นข้อเสียหายของผู้ครองเหย้าเรือน และท่านผู้ดำรง


ในฐานะอื่น *1 ก็มีปรากฏเป็นหลักฐาน ข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระราชวโรกาสกราบบังคมทูล ตามบัญญ์ติ
นั้นด้งนึ”่

“ผู้ครองเหย้าเรือน บริโภคกาม เป็นคนเกียจคร้านไม่ดี

บรรพชิตไม่สำรวมอินทรีย์ก็ไม่เหมาะ

พระราชาไม่ทรงพิเคราะห์บริหารราชกิจ ก็ไม่งาม
บัณฑิตใจพลุ่มพล่ามขํ๋โกรธ ก็ไม่ควร

จอมกษัตริย์ทิศบดีพึงทรงพระวิจารณ์ก่อนแล้วทรงบริหารพระราชกิจ ยังไม่ทรงพระวิจารณ์
แล้วไม่ควรจะทรงบริหาร

จอมราชผู้ทรงพระวิจารณ์แล้วทรงบริหารพระราชกิจ ย่อมทรงพระเจริญด้วยพระราชอิสริยยศ
ทั้งพระเกียรติคุณก็จะพิงเฟิองไป ”

kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
๒๓. แก้ปริศนาเทวดา
พระเด้าวิเทหราชทรงสดับคำกราบบังคมทูลของท่านมโหสถด้วยพระหท้ยอันชุ่มซี่น และทรง

สำนึกในพระองค์ที่ได้ทรงปฏิบัติต่อท่านมโหลถไปด้วย ทวงระแวงในครั้งก่อน “พ่อมโหลถ นิติต่าง *1

ที่เด้าสาธกมานั้น *1 เป็นที่งดงามแล้ว ชอบแลัว บัณฑิตก็ดำรงอยู่ในภูมิแห่งบัณฑิต ราชาก็ดำรงในภูมิ


แห่งวาชา ผู้ครองเรือนก็ดำรงในภูมิของตน ความเจริญรุ่งเรึองเป็นบังเกิดแน่นอน แต่บัตนื้เราได้รับบัญหา

ที่ยากจากเทวดาผู้สิงสชิด ณ เศวตฉัตร เป็นบัญหาลึกดับซับซอนมาก ไม่มีใครสามารถจะแล้ได้ แม้บัณฑิต


ทั้ง ๔ ก็ไม่รั เพราะเหตุนั้นเราขอเชิญเจ้าแล้ปริศนานั้น ณ บัดนึ่” ตรัสแล้วเชิญท่านมโหลถให้นั่งเหนือ

พระราชบัลลังก็ภายใด้เศวตฉัตร ส่วนพระองค์เสด็จประทับเหนือพระราช่อาสน์ ดำลงมากกว่านั้นตาม

ธรรมเนืยม
เมือท่านมโหสลนั่งเรียบรัอยแล้ว ก็กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นใหญ่ ขอเชิญใต้ฝ่า

ละอองธุลึพระบาทตรัสปริศนา ที่เทวดากราบบังคมทูลถามเชิดพระพุทธเด้าช้า ข้าพระพุทธเด้าจะขอรับ

พระราชทานแล้ถวาย”
“เชิญพ่อมโหลลฬง เทวดาถามเราดังนึ”่ แล้วตรัสข้อปวศนาข้อแวกที่เทวดาทูลถาม

“จอมวาช ผู้ใดเล่า ประหาวท่านด้วยมอด้วยเท้า ชกเอา ค่อยเอา กบเอา เตะเอา บางดวาวก็


ตบเอา ผู้'นั้นแลกลิบเป็นที่ว่ก พวะองค์ทวงเห็นใควเป็นที่ว*กของบุคคล ด้วยเหตุนั้น'

พอท่านมโหสถได้ฬงข้อปริศนาเท่านั้น ก็เห็นความของป้ญหานั้นแจ่มกระจ่างเหมือนอย่างเห็น

ดวงชันทร์เพ็ญในท้องฟ้า จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงสดับเชิดพระพุทธ-

เด้าข้า”

“ครา?ค ปอทนูน้อยนอนเทนอต้กมารดา มอาการร่าเรายินด น้วเราะยมแย้ม เล่นน้า ขกต่อย ถม


เตะ มารดาตน ทาผม ตมปากขอามารดา ครานั้นมารดาก็แสนรักสุดรัก เอ่ยปากร่า ‘'ดูข่ ลูกโจรไจรัาย ล่าไม
เย้าจาขกต่อยก็มเตะข่าอย่าานั้ทา" เปีนต้น แต้วก็ไม่อาจกลั้นความรักอันเป่ยมล่าใจใรัไต้สวมกอดเข'ไม1

แนมระทว่าาฉัน จูมจอมถนอมเกล้า จูมแล่วจูมเล่า ทุก ๆ คราาทลูกน้อยกระล่าเข่นนั้น มารดาก็ยาเทมทูน

ความรักแราขน แม่มดาก็เข่นเอ่ยวกัน ”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับแล้ว ทรงเข้าพระทัยแจ่มกระจ่าง คนทั้งหลายที่ประชุมล้นเสาแหน

ก็เข่นเดียวกัน ต่างเห็นความของปริศนากระจ่างปานประหนึ่งท่านมโหลถชูสริยมณฑล ชื้นในท่ามกลาง

ท้องฟ้าทีเดียว

kalyanamitra.org
๑๗๖

เทวดาเจ้าของปัญหาเองเล่า ก็สุดแสนจะปลื้มปืติ ไม่อาจช่อนตนอยู่ในกำพูฉัตรได้ แสตงกาย

ให้ปรากฏช่กหนึ่ง ประกาศความชินชมซ้องสาธุการด้วยสุรเสียงอันไพเราะ ชมท่านมโหสกว่า “ชินใจ

เหลึอเกินพ่อบัณฑิต แก้ปัญหาถูกต้องเด็ดขาดไปเลย” แล'วบูชาท่านด้วยดอกไม้หอมอันเป็นทิพย์เต็มผอบ

แก้ว แล้วหายวับไป
พระเจ้าวิเทหราชเล่า ก็ทรงพระโสมนัสเปืยมพระหทัยโปรดบูชาท่านด้วยดอกไม้เป็นด้น แล้ว
ขอถามปัญหาข้ออื่น ๆ สีบไป “พ่อบัณฑิตผู้เห็นถ่องแท้ทั่วถึงในกระแสธรรมดา จงแก้ปัญหาข้ออื่น *1

ให้แจ่มใจเราสืบไปเชิด”
“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดพระราชทานพระปริศนาแก่ข้าพระพุทธเจ้าเชิดพระ-

พุทธเจ้าข้า”
“เชิญพ่อสดับปัณูหไทสอง” ตรัสพลางทรงนำปัญหาข้อที่สอง ตามที่เทวดาทูลถามพระองด็

ด้งนึ่

‘‘บุคคสด่าแช่งผู้ใดจนสาแก่ใจ แด่ไม่ปรารถนาจะให้ผู้ถูกด่าแช่งประสบผลร’'ายตามคำด่าแช่ง
ไม่ต้องการให้ความที่ด่าแช่งนั้น ๆ มาถงผู้ที่ตนด่าแช่ง และผู้'ที่ถูกด่าแช่งนั้นแทนที่จะถูก!กลขดช่งไม่ต้องการ

จะพบปะชองผู้ด่าแช่ง ดรงก้นชามก้บเป็นที่รกใคร่ของผู้ที่ด่าแช่ง จอมราช พระองคทรงเห็นใครเป็นอย่าง

นั้น นเป็นปัญหาที่สอง’'

ท่านมโหสถสด้บพระดำรัส ตรัสเอาปัญหาของเทวดามาถาม ก็เห็นความได้แจ่มทันที กราบ


บังคมทูล “ขอเคชะ ทระบารม่ปกเกล้าฯ ปญหาข้อนั้ หมายถงแม่กับลูกนันแหละทระพุทธเล้าข้า ต่างกันอยู่

หน่อยทปญหาของเทาดาข้อนั้หมายถงลูกทโตขนาด ๗ ขาบ ตั ขาบ ททอจะกระทำการตามคำกังของแม่ใต้

ในเาลาทแมเข]'ลูกเข่นนั้น ใบ้ไปทำกจการททอจะทำใต้เข่นร่า “ลูกเอ(แล้าจงใปทใรทเดยา” หร่อ “เล้าจง


ใปฅลาด งํ้อสงนั้นสงนั้ใต้แม่หน'ลยเถด” แทนทท่อหนูนั้นจะ ใปกันท กลับม่การเกยงจะเอารางว้ลสงนั้นล่งนั้

เข่นหูดร่า “แม่จำ ล้าแม่ใต้ขนมหนูละต้อ หนูล้กใปใต้”


แม่ปรารถนาจะใต้ลูกใปตามทกัง ก็เอ่ยร่า “ใดขลูก” แล้วหย็บขนมล่งใต้ลูกตามทเร่ยกร้อง ลูกร'บ

มาก็นแล้าบ้านปากใปย็นอย่ทประดูป./น แทนทจะโปไร่โปตลาดตามทแม่ใข้ ก็หาใปโม่ กลับใปเล่นกับทาก


เทอมเด็กด้ายกัน ไม'ทำตามทแม่กัง ครั้นแม่ทบเข้าก็เท่กน “ยังโม'โปอกหร่ทลูก ไปหน่อยข่" ลูกก็กลับหูดร่า
“แม่จำ แม่นั้งือยู่ในเร่อน ลมเย็นสบายมาใข้หนูใปข้างนอกบ้าน ร้อนออกจะตายใป หนูจะใปใต้อย่างไร"

ม่ายแม่ใต้ปงดังนั้น รู้สกร่าลูกลูกลวงเล่ยแล้ว ก็เอ่ยร่า “เล้าลวงข้ากมขนมเลยเปล่า ๆ แล้วก็หา

ใม่'ตามทใข้โม่"
ลูกเห็นเป็นความขบข้น และรู้สกภาคภูม่ใจทตนสามารถลางแม่ของตนใต้เข่นนั้นก็แสดงทท่าเป็น

การประกาศความฉลาดของคน ยกม่อใต้แม่บ้าง ทำปากแบะแสยะยมใต้แม่บ้าง แล้วก็วงหน่ใปเสย


ม่ายแม่เห็นเข่นนั้นก็เด็ลดดาล ขะขะ ลวงแล้วยังแถมหลอกใต้อกเล่า คว้าใต้ใบ้เร่ยาออกกวด เมอ

กาดใม'กัน เทราะลูกย่อมจะวงเร็วกว่าแม่โดยมาก ก็โม่รู้'จะทำอย่างใร นอกจากจะใข้ปากตะโกนค่า ใต้ตัว

kalyanamitra.org
(^^^

ร้าย ไอํขาคข่ว ไอ้ลูกโจร ม่งก่นของของกูแล้ว ไม'ปรารถนาจะทำอะไรไล้ ไข้อะไรก็ไม่ได้ลักอย่าง หยุดนะ

หยุดนะม่ง ตะโกนไปข ลูกก็ไม่ย่อมหยุดวง ดงวงหนต่อไป แม่ก็กวดไปหลาง ตะโกนไปหลาง เห็นไม่ล้นแน่

เร้ยกไล้หยุดก็ไม'ยอมหยุด สุดกำลังเล้า แต่กำลังปากย่ง่ม่ ก็เลยแข่งล่งท้าย ไปเกดม่งอ้ายตัวร้าย ไหไอ้หวกโจร

มนหาลันจ'ปม่งล้นล้นใล้เปีนท่อน ๆ เลยเกด ไหงร้ายลัดตายเสยเกด ไล้ควายขวิดม่งตายเสยเกด แต่เวลาได


ท่ปากกล่าวล้อยคำอ้นโห่ร้ายแก'ลูก เวลานั้นหัวใจของแม่ไม่ปรารถนาเลยทั้จะให้ลูกเปีนอย่างปากแม่ว่า ไม่

ต้องการเลยทจะไล้อ้นตรายต่าง ๆ มาท้องหานลูกของแม่
ปายลูกหน่แม'ไปเทํยวเล่นกับเท่อนเด็กด้วยลันตลอดวัน ตกเย็นจะเข้าบ้านก็ไม่กล้า กลัวแม่จะ

ลงโทษดุด่าเมยนต ก็เลยไปตามบ้านญาต่ ไม่ยอมกลับเข้าบ้าน แม่เล่าก็คอยด้วยไจอันเปีนห่วงเปีนใย คอย


กูต้นทางทั้ลูกจะมา ครั้นเห็นลูกรักไม่มา ใจของแม่เต็มไปด้วยความโคก ลูกรักของแม่คงไม่กล้ากลับบ้าน โธ่

จะไป'อยู่ทไหน จะก่นอะไร ปานนั้ลูกม่หวแย่หรอ? หร้อจะไปประสบอ้นตรายอะไรก็ไม่รู่'โธ่ลูกรักของแม่

ครวญครำรำล้นไป นำตานองหน้า ออก/ทยวด้นหาลูกตามบ้านญาตทลูกเคยไปมา หอเห็นลูกรักแล้ว อำนาจ


ความรักความเปีนห่วงสุดแสน ตรงเข้าสวมกอดจูบจอมถนอมเกล้า รัดลูกไว้ด้วยม่อทั้งสองข้าง ปวะหนงว่าจะ

ม่ใล้ลูกหลุดลอยไปจากอกแม่ อย่าโกรธอย่าเคองแม่เลยนะ อย่าเก็บเอาคำของแม่ไว,ไนใจเลยนะลูกนะ มา

เกดลูก กลับบ้านเถอะลูก ลูกแล้วของแม่หวแล้วละข่ ปากรำหันไป ใจก็ยงเหมหูนความรักในลูกท้นประมาณ

ขอเดขะ ได้ปาละอองธุลหระบาทผู้ทรงหระคุณอ้นใหญ่หลวง คงจะทรงหระคำร้ได้ด้วยหระปรขา


ญาณ อ้นความรักของแมทม่ด่อลูกนั้น จะยงทวิขนไนเวลาหแม่โกรธ ยงแข่งยงด่ามาก ความรักของแม่กย่ง
เหมหูนไนลูกมาก และทั้ง ๆ ทั้ปากแม่แข่งแม่ด่า แต่ไจของแม่ก็ไม่ปรารถนาจะไล้ลูกเปีนตามคำของแม่ นั้แล

เปีนอธ่บายของปญหาทสอง ทเทวดาทูลถามแด'ได้ปาละอองธุลหระบาทหระหุทธเจ้าข้า”
ภายหลังจากด้อยแถลงแก้ป้ญหาข้อที่สองจบลง เสียงสาธุการและอาการแสดงออกแห่งปรีดา

ปราโมทย์ได้ปรากฏเช่นเดียวกับครั้งแรก ทั้งทางเทวดา ทั้งทางพระเจาวิเทหราชและข้าราชบริพาร


พระเจ้าวิเทหราชทรงนำบัญหาที่สาม มาดรัสถามสืบไป “พ่อมโหสถ เชิญพ่อสดับป้ญหใ

ที่สไมต่อไป”

“บุคคลกล่าวคู่ก้นด้วยความไม่ชิรง ต่างโด้เถยงก้นด้วยถ้อยคำเหลาะแหละ ผู้นั้นแลย่อมเป็น


ที่ร*กของก้นํ ชิอมราช พระองค์ท่านทรงเห็นใครเป็นอย่างนั้น นเป็นบัญหาที่สาม”

“ขอเดชะได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ บํโญหานํ่หมายถึงบุคคลที่เป็นคู่สามีภรรยากัน พระ-

พุทธเจ้าข้า” ท่านมโหสถกราบบังคมทูล ประหนึ่งว่าคำดอบบัญหานั้นมาปรากฏลอยเด่นอยู่เฉพาะหนำ

“ขอได้ทรงพระดำริเชิดพระพุทธเจ้าข้า อ้นขายหญ่งทั้เปีนลาม่ภรํย่ากัน เข้าล่ทํอ้นรโหฐาน ต่าง

ก็ม่จตใจร้าเร้งระรนด้วยฤด็กันกูดดมตามวิลัยโลก ต่างคนต่างล้วเล้ากันด้วยล้อยคำอ้นหาความจรงม่ได้ เปีน

การกล่าวตู่กัน เข่น
ขายผู้เปีนสาม่ลัหยอกหญ่งผู้เปีนภรยาว่า "แม่นางปูเจรญโจ เธอข่างไม่รักกันเลย ความรักของเธอ

ทํเคยม่ในกันเคยมอบไห่'กัน ใม่ม่เหลอเยอใยเลยเลยละ คูเหม่อนไนบัดนเธอกำลัง*วิตไจเหนห่างจากกัน ไป

kalyanamitra.org
0ใ/ (ล0่

เสยแล้ว ดวงใจทเคยมอมให่แก่ง'น่ปันกำล'งจะถูกเร่ยกร'องกลมล่น ไป การเร่ยกกลับล่น ไปนั้เล่าก็ม่ใช่จะน่า

กลมไปเป็นของเยอดงเดมดอกนะ เยอกำลังจะน่าไปมอมแก'มุคคลอกคนหนงขงนอกไปจากลัน"
หญงผู้เป็นภร่ยาจะได้ว่า "พ่อนายของลันไล่ความลันเสยเหล่อเกน ไม่เป็นความจรงเลยทเคยว เยอ
ปันด่างหากควรจะเป็นผู้สนองด้อยคำทั้งหมดนั้น ดามทลันลังเกต มัดนั้พ่อนายดลายความรักลันลง ไปกว่าแด่

ก่อนมากห*ดยา ไม่เหม่อนเม่อได้อยู่ร่วมเร่ยงเห่แงหมอนลันใหม่ๆ นั้นเลย ทุกล่งทุกอย่างพ่อนายได้ปฎ!เตต่อ


ลันปานว่าจะกลำกล่น เดยวนั้หาเป็นเข่นนั้นไม่ เป็นจร่งด'งท่ท่านว่าไว้“ของใหม่ๆ เป็นทขอมใจของลัตว์

สรรห" ลันเดยานั้เป็นของเก่าของพ่อนายไปเสยแล้ว พ่อนายกำลังจะหาใหม่ หร่อจะม่ของใหม่ชุกช่อนไว้แห่ง

ไหนเป็นแน่ จ่งดูเห่นห่างจากลันเสยหมักหนา ทั้งอาการกรยาและคำหูด ก็ดูเป็นท่านองป็นหูดไปทั้งนั้น เม่อ


แรกรักล่ว่าจะ ไม่จากจนดวด าย มัดนั้เล่าพ่อนายจา ต้วยัง ไม่ปันดายแด่หัวใจเหม่อนดายจากลันไปแล้ว ”

“เม่อได้โต้ตอมลันทำนองนั้อยู่ไปมา เหล่งรักก็ยงจะลามเล่ยจดใจล่งปรากฏออกมาเป็นอาการกอด

รัดและจุมห่ตอย่างแสนดูดดม ยงดู่ลันมากยงใต้ลันมาก ก็ยงรักลันมาก นั้แหละเป็นอยมายของปัญหาทสาม

ของเทวดาหระทุทยเจ้าข้า”

เมื่อประกาศอาการที่ทรงพระโสมนัสและบูชาคำแกัปญหาข้อลามแล้ว ก็มีพระดำรัสป๋ณูหา
ข้อที่ส่ มาตรัสถามสึบไป “เชิญพ่อทังปญหาข้อต่อไป ณ บัตนํ่ ”

“บุคคลผูขนไป ขนไป ชงข้าวนำ ผ้าผ่อนที่นอนที่หล,บมแต่ขนไปถ่ายเคยว บุคคลเหล่านั้นกลาย

เชนที่รักใคร่ไป จอมราชพระองค์ทรงเห็นใครเชนเข่นนั้น"

“พ่อมโหสถเห็นว่าได้แก่ใคร ฉันประหลาดใจเป็นที่สุด ผู้ที่ขนไปถ่ายเดียวกลายเป็นที่รักใคร่

ของผู้ที่ถูกขนไป ฉันนึกว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย พ่อลองแถลงให้ทังลักหน่อยเถิด”

“ขอเดขะ หระมหากรุณายคุณปกเกล้าฯ ปัญหาข้อนั้ท่านผู้เป็นเจ้าของ มุ่งล่งลมณหราหมณ็ผู้ทรง

คลยรรม หระหุทยเจ้าข้า" ท่านมไหสถกราบทูลสนองทันที

“เป็นอย่างไร จึงว่าหมายถึงสมณพราหมณ์ พ่อจงขยายความให้กระจ่างดักหน่อย” ตรัสซัก


“ท่านผู้ประหฤด่เป็นสมณะ คำรงในคุณล่อความสงม สละเคหสถานเหยัาเร่อนโภคสมมตออกมวข
บาเห์ญไตรปฎ.ปด งดเว้นการเมยดเม่ยนม่อน มุ่งแต่จะใหัสรโหลัตว์ทั้งสากลโลกยาคุปราศจากเวรลัย จตใจ

ของท่านชุ่มล่าอยู่ด้วยเมตตา กรุณา วางศาสตราและอาวุยเสยแล้ว กายกรรมก็ม์ว่สุทยสะอาด วจกรรมก็มัร่สุทย

สะอาด มโนกรรมเล่าก็เข่นเดยวลัน าเานผู้เป็นหราหมณ์ประหฤต่หรตมุ่งต่อหรหมโลกเมองหปัา คำเนนข้อ


ปฎมตด้วยยศหรหมาหาร ม่เมตตาเป็นต้นตลอดไป ท่านผู้เป็นข้าศกของใครๆ ไนโลก ทั้งไนความเป็นอยู่เล่า

ก็อาคำ/ขาวแคว้นม่ม่ศรัทยา เข่อในผลแห่งการมูขาว่าเป็นทางแห่งลารยขน เป็นมรรคาท่จะดาเนนไใเล่งอารยภูม่


เมฝ็เป็นเช่นนการประหฤตปฏมดของท่านเหล่านั้น จะควรเป็นทว่ง์เกยจของขาวแคว่นทไหนเล่า

ขาวแคว่นผู้เห็นผลแห่งการใหัคํงนั้น ม่ไคํรุล่กหน่ายแหนงเลยทเดยว ในล่นจะทานุมารุงสมณหราหมณ

เช่นนั้น เห็นท่านขอตามว่ลํย่ของอร่ยขนไต้แล้วก็น่าไปมร่โภคไข้สอย ก็ย่งเล่อมใส ท่านขอของของเรา ย่ง

kalyanamitra.org
ร}^๙

นกก็ยงร''กใคร่ในท่าน น((หละหระหุทข(จ้าขา ท่านผูขอ ท่านผู้ขน(ปีน ทร่ก่ของขาวขน ใดแก่'สมณหราหมณ


เข่น นั้'น หระหุทธ(จ้าขา "

การ(แลยปัญหา!)ติลงแล้ว (สยงแชล้องสาธุการกังวาน! (จากท่านผู้(ปีน(จ้าของปัญหา และหระ(จ้า


หหราขก็ทรงประกาศหระปีติป'ราใมทซ์ โปรดประทานหระดำร''สสาธุการ (ทวคา(จ้าของปัญหาก็ทอคผอบแล้ว

ประการลงแทบ(ล้าของท่านมโหสก หร่อมกับ(ปล่งวาจาว่า “ห่อบ่ณท่ต (ชญห่อรบ(ถด,,


พวะเจ้าวิเทหราช ทรงเพิ่มพูนความรักในท่านมหาบัณฑิคยิ่งนัก พระมนัสเปียมปลื้มด้วยความ
เลื่อมใส ได้โปรดพระราชทานด่าแหน่งเสนาบดีบูชาปรีชาญาณของท่าน
จำเดิมแด่นั้นยศของท่านดียิ่งใหญ่จำเริญชื้น

kalyanamitra.org
๒๔. เลศอุบาทว์
ความเจริญยิ่งใหญ่ของท่านมโหสถเปันที'ไม่พึงใจของคณะอาจารย์ทั้ง ๔ ยิ่งนัก เพราะยิ่งลิด

ท่าลายก็ยิ่งไปเพิ่มบารมีให้ความดีความเด่นทวึร้นเป็นภาวะที่สุดแสนจะดูดายอยู่ได้ อาจารย์ทั้ง ๔ จึง

ประชุมด้นในวันหนึ่งพูดว่า “บัดนึ่ใชัเต็กบ้านนอกมันใหญ่โดร้นแลัว ได้รับสถาปนาในดำแหน่งเสนาบดี

พวกเราจะท่าอย่างไรกันเล่า”
“ช่างมันเถิดน่ะ” ท่านเสนกเอ่ย “มันจะใหญ่ไปแด่ไหนเซียวนะ คอยดูบ้ญญาเราบ้าง คราวนึ่

จะเล่นงานเสียให้อยู่มีอทีเดียว”
“ท่านอาจารย์จะท่าอย่างไรครับ” เทวินท่อดไม่ได้แซงร้น “ใครจะเป็นคนอยู่มือใคร มโหสถ

จะอยู่มือท่านอาจารย์หรือท่านอาจารย์จะอยู่มือมโหสถ”
“ท่าไมถึงพูดอย่างนั้น พ่อคุณ” ท่านเสนกเอ่ยด้วยเสียงบอกอาการขุ่นในใจ “ก็เราเป็นคนท่า
เขา เหดุไรผู้ที่อยู่มือจะเป็นเราเสียเล่า ไม่เชื่อสดิบัญญากันบ้างละหรือ”
“เชื่อซีครับท่านอาจารย์” เทวินท่สนองด้วยท่าทีประจบ “ไม'เชื่อท่านอาจารย์แล้วพวกผมจะ

ไปเชื่อใคร”
“เชื่อก็ทำไมพูดเช่นนั้นเล่า” ท่านเสนกซักค่อยคลายความเครียดลง “เชื่อกันก็ตองพึงกันก่อน

ซี”
“เชิญท่านอาจารย์ดามสบายเถิดขอรับ” เทวินท์กล่าวเรียบ กุ
“พวกคุณคอยพึงความลิดของผม” ท่านเสนกเริม “ความมุ่งหมายของเราก็คือตองท่าให้มโหสถ

แดกกับพระราชาให้ได้”
“ดูกแล้วครับท่านอาจารย์” เทวินท่แทรกร้นอีก “ความมุ่งหมายนั้นพวกเรามีมานานแล้ว แด่

วิธึการเท่านั้น....”
“เอ คุณนึ่ ชอบแซงจริงนะ” ท่านเสนกคุ “ผมก็ด้องย้อนกล่าวถึงความมุ่งหมายก่อนซี แล้ว

วิธึกาวก็ดามมา คุณพึงเฉย *1 ก็แล้วกัน อย่าเพิ่งขัด พึงนึ่ง *1 เหมือนปุกกุสะกับกามีนท์”

“ครับ ครับ”
“วิธึกาวนั้นมีหลักสำด้ญอยู่ประการเดียว” ท่านเสนกชำเลืองทางเทวินท์พลางกล่าวต่อไป “คือ

ท่าให้มโหสถเป็นคนมีลับลมคมใน”
“เข้าทือยู่ครับ” ปุกกุสะซ็งพ้งมานาน “ล้าเราท่าสำเร็จ ความมุ่งหมายนั้นก็สำเร็จ”

kalyanamitra.org
๑๘๑

“ต้องสำเร็จซ็” ท่านเสนกยืนยัน “ผมเห็นช่องแต้ว”


“ให็ผมถามสักคำเถิดครับ” กามินท์เอ่ยบ้าง “ท่านอาจารย์ยืนยันมั่นคงนัก วิธีการของท่านอาจารย์

จะทำอย่างไว”
“ทำอย่างนื่ซ”็ ท่านเสนกยิ้มอย่างภาคภูมิ “พฺวกเราพากันเข้าไปหามโหสล ตั้งคำถามสำคัญ

ข้อเดียวว่า “คววบอกความลับแก่ใคร” เท่านั้น เราก็จะได้เห็นทางแห่งความสำเร็จซัดเจน”


“โปรดขยายอีกหน่อยเถิดครับ” เทวินท้ลอด “ผมยังสงสัยเป็นอันมาก ถามเขาเพียงเท่านั้น

จะเห็นช่องทางอย่างไร”
“ก็พังคำตอบของเขาดูซ็ เขาจะตอบเราอย่างไร ถ้าเขาตอบว่าความลับบอกใครไม่ได้ เท่านั้

ก็พอแต้ว เราก็ได้เด้าที่จะกราบทูลพระเจ้าวิเทหวาชว่า มโหสถเปันคนมีลับลมคมในไม่น่าไว้วางใจ อาจ

เป็นช้าศึกแก่พระองค์เมื่อไรก็ได้”
“เดี๋ยวก่อนครับ” กามินท้ยับยั้ง “เพียงเท่านั้นจะทำให้พระเจ้าวิเทหราชทรงแหนงพระท้ยได้
อย่างไว การไม่บอกความลับแก่ใคร จะเป็นเหตุพอละหวือที่พวกเราจะถีอเอาเป็นข้อใส่รัาย”
“พอถมไป” ท่านเสนกตอบทันที “คนไม่บอกความลับใครนั้นก็คือคนไม่ไว้ใจใคร เป็นคนที่

มีลับลมคมใน เพราะไม่มีใครรัดวามคิดว่าเป็นอย่างไร จึงเป็นบุคคลที่ควรระแวงโดยเฉพาะพระเจ้าวิเทหวาช

พระองค์จะด้องทรงแหนงพระหทัยทีเดียว”
“ก็ถ้าเขาตอบว่า ควรบอกแก่ผู้นั้นผู้นเล่า” เทวินท้ซัก
“นั่นด้องคิดอ่านกันใหม่” ท่านเสนกแกั “พวกเราไปหามโหสถกันเถิด ฬงคำตอบของเขาดู”
บัณฑิตทั้งสามดต้อยตามท่านเสนก ยอมให้ท่านเสนกนำไปถึงบ้านของท่านมโหสถ ชึ่งก็ได้
รับการต้อนรับเป็นอันดี เมื่อได้สนทนำปราศรัยกันตามสมควรแต้วท่านเสนกก็เอ่ยถึงธุระที่พากันมาหา

ทันที “พ่อบัณฑิต ที่พวกข้าพเจ้าพากันมาถึงสำนักของท่านในว้นนั่ เนื่องด้วยมีความฉงนสนเท่ห์ในป้ญหา


เกี่ยวกับการก่อร่างสรัางตนของบุรุษที่เป็นผู้ฉลาด พวกข้าพเจ้าไม่สามารถจะตกลงกันได้จึงได้พากันมา

หวังจะขอปรีชาของพ่อบัณฑิตผู้เจนจบแต้วในนิติธรรมทั้งปวงให้ช่วยวินิจฉัยชํ๋ขาด ขอจงกรุณาแก่พวก

ข้าพเจ้าเถิด”
“ท่านเสนกผู้เจริญ ไม่เป็นไรเชิญท่านถามเถิด ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยให้ท่านทราบ” ท่านมโหสถ

เปิดโอกาสทันที

“เป็นกรุณาอันจะลืมเสียมิได้แต้ว พ่อบัณฑิต” ท่านเสนกรำพัน “ช่างสมควรแก่ภาวะแห่ง


บัณฑิตแท้ ทั้งความรูและอัธยาศัยแผ่เผอเรือจานมิได้หน่ายแหนงเลย” เมื่อได้สรรเสริญตามธรรมเนิยม
แต้ว ท่านเสนกก็เริ'มบรรยายความสีบไป “พ่อบัณฑิตผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าไปประชุมกันพิจารณาหาทาง

จ้ดการปรับปรุงความเป็นอยู่ของประชาชนพลเมืองโตยทั่ว ๆ ไป ประเด้นที่พวกข้าพเจ้าตั้งไว้นั้น เป็น


ด้งนื”่

“บุคคลที่เกิดมามีซีวิตอยู่ในโลก โตยเฉพาะในแว่นแคว้นแตนดินอันนื่ ทุก *1 คนย่อมมุ่งมาด

kalyanamitra.org
(5) เ0

ปรารถนาความรุ่งเรืองแห่งซ็วิตทั้งนั้น แต่บางคนก็สมปอง บางคนก็ไม่สมมาด ทั้งนื้เห็นร่วมกันว่า เป็น

ด้วยมิได้ทราบถึงคติแห่งกาวดำรงซ็พว่าควรจะมีอะไรก่อน แล้วต่อไปควรจะมีอะไร สิงเหล่านื้เซีอว่าจะ

เกื้อกูลแก่การดำรงซีพของคนได้ดี แม้ท่านผู้รี'หลักนักปราชญ์ได้กำหนดกฎเกณฑ์ได้ พวกขาพเด้าพากัน

หยิบยกป้ญหานั้ขั๊นพิเคราะห์ เพื่อจะกำหนดเป็นเกณฑ์ในกาวดำรงซีพ ต่างคนต่างว่าคนละทางไม่ลงรอย

กันได้ เพราะฉะนั้นข้าพเด้าจึงขอพื่งปวิชาของท่าน โปรดวินิจฉัยทึเถิดว่า อันลูกผู้ชายดำเนินในกิจชันเป็น

ประโยชนั ควรตั้งตนไวิในคุณธรรมอะไรเป็นเบื้องต้น ”

“ก่อนอื่นใดทั้งหมดต้องมีความสัตย์ ต้องดำรงตนไวิในความสัตย์” ท่านมโหลถตอบทันที เพราะ

ความเจนจบในคติแห่งโลก
“ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น” ท่านเลนกซักและเอ่ยแย้ง “จะมีคุณสมบัติประการอื่นก่อนไม่ได้หรือ”
“ข้าพเด้าขอถามท่านก่อน ท่านสำคัญมั่นใจอย่างไร จงตอบอย่างนั้น” ท่านมโหสถย้อนถาม

“ท่านผู้เจริญ ธรรมดาไม้ที่เป็นหลักบัานหลักเมืองต้องบักแน่น ไม่โยกโคลง ใช่หรือไม่”

“ใช่ละ พ่อบัณฑิต”
“ไม้ที่บักไม่แน่น โยกโคลงได้ จะเรียกว่าหลักได้ไหม”

“ไม่ได้ซิ พ่อ”
“และไม้ที่จะใซัเป็นหลักบัานหลักเมือง ต้องเป็นไม้เนื้อแน่น เป็นไม้มีแก่น หรือว่าเป็นไม้แล้ว

ก็ใซัเป็นหลักได้ทั้งนั้น”
“ไม่ใช่ซี เป็นไม้แล้วจะนำมาบักเป็นหลักบ้านหลักเมืองไม่ได้ ต้องคัดเอาไม้เนื้อแน่น ไม้มีแก่น”

"ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น”
“เพราะต้องการความยั่งยึน ทนทานถาวร”

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็พอสรุปความลงได้แล้วมิใช่หรือว่า ธรรมดาหลักนั้นต้องแน่นและต้องยั่งยืน

ไม่เคลื่อนคลาดได้ง่าย *]”

“จริงอย่างนั้น พ่อบัณฑิต”
“หลักภายนอกต้องแน่นต้องยั่งยืน ฉันใด หลักคือคุณสมบัติในภายในก็ฉันนั้น ต้องมีความแน่น
ต้องมีความยั่งยืนเช่นเดียวกัน และท่านยังจะเห็นคุณสมบ้ติอื่นใดของคนเราที่ควรเป็นหลักยิ่งไปกว่าความ

สัตย์มีอยู่หรือ”
“ไม่มีละ พ่อบัณฑิต ความสัตย์ความจริงนี่แหละเป็นคุณสมบ้ดีชันเป็นหลักของคน”

“ท่านผู้เจริญ เข็ญพิเคราะห์ คนไม่มีสัตย์ ไม่มีจริง คือคนไม่จริง กับคนมีสัตย์ มีจริง คือคน

จริง คนไหนหนักแน่นกว่ากัน"
“คนมีสัตย์มีจริง คือคนจริง หนักแน่นมั่นคงกว่าซี พ่อบัณฑิต”

“ข็วิดคือความเป็น กับมรณะคือความตาย อยู่ไกลกันมากนักหรือท่าน”

“อยู่ใกล้กันนักท่าน”

kalyanamitra.org
® (โ® 0า

“ถ้าเช่นนั้นชีวิตก็มิใช่สิงยั่งยืน”

“ลูกแล้ว”
“เมื่อมีชีวิตมา ชีวิตนั้นก็มิได้ยั่งยืน ทั้งไม่มีพลานุภาพใด ๆ ที่จะบังคับให้ชีวิตมีความยั่งยืนได้

ด้วย ผู้ทราบความเป็นไปของชีวิตจะควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะสมกับเป็นผู้มีชีวิตมาคราวหนึ่งเล่า”

“ก็ด้องประพฤติให้เป็นหลักซิท่าน”

“อะไรเล่าเรียกว่าความประพฤติเป็นหลัก”
“ท่าจริง พูดจริง ใจจริง”

“ก็คือความสัตย์ความจริง ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วพ่อบัณฑิต ลูกผู้ชายผู้บำเพ็ญกิจอันเป็นประโยชน์ด้วยปรีชา จำด้องตั้งตนไว้ในความ
สัตย์ความจริงเป็นเบื้องด้น” ท่านเสนกสรุปความพลางสืบกระแสเพื่อเข้าหาจุดสำคัญต่อไป “เมื่อดำรง

ตนมั่นอยู่ในความสัตย์ความจริงแล้วพึงปฏิบัติอย่างไร”
“มีความสัตย์ความจริงแล้ว ก็เพิ่มพูนทรัพย์สินให้มองมูนขนต่อไป”

“ยังไม่หมดความสงสัย” ท่านเสนกข้ด “มีสัตย์มีจริงแล้วเพิ่มพูนทรัพย์สิน ดูสับสนกัน ไขว้เขว

กัน ควรจะหาทรัพย์สินก่อนแล้วตั้งอยู่ในสัตย์ เพราะการหาทรัพย์กับความสัตย์ ดูเหมือนจะขัดกันอยู่มิใช่

หรือพ่อ”
“ขัดอย่างไร ท่านเสนก”
“ทำไมจะไม่ขัด เพราะเรื่องของความสัตย์ความจริงเป็นเรื่องตรงเอาความตรงไปหาทรัพย์ จะ
ได้ทรัพย์ที่ไหนกัน เปรียบเหมือนต้องการข้าวสุกจากหม้อ ต้องงอนึ่วมือด้กขื้นมา จึงจะได้ฉันใด การแสวงหา

ทรัพย์ในโลกก็ฉันนั้น จะใซัความตรงเห็นจะได้ยาก ต้องคดจึงจะได้ ข้าพเจ้าเห็นเช่นนึ”่

“ท่านเสนก” ท่านมโหสถเรียกซือวัลลภาจารย้ด้งถ้อง และมีกระแสสำรวลผสม “ท่านได้ยอมรับ

กับข้าพเจ้ามาแล้วทีเดียวว่า ความสัตย์ความจริงเป็นหลักของชีวิต ทำชีวิตให้มีหลัก ไม่เปล่าประโยชน์


มาบัดนึ่ท่านกลับเห็นความเป็นอย่างอื่นไป ท่านเห็นว่าความตรงเป็นปฏิบักษ์ต่อการแสวงหาทรัพย์ เห็น

ความคดเป็นมิตรแห่งการแสวงหาทรัพย์ ทำไมจึงวิปริตไปเช่นนั้นเล่า ท่านเสนก อันความสัตย์ความจริง


นั่นสิเป็นมิตรแท้ในการแสวงหาทรัพย์ ข้าพเจ้าจะบรรยายให้ท่านฬง”

‘‘บุคคลทมความล้ตย์ม่จริ] ดำเนินกจการอมเป็นปร?ใยขน็ ใช้ความจริ]ใจคนปร?กอบการ]าน

ทำการ]านด้วยอาการจริ]จ'] โม่ท้อแท้กบความลำบาก ไม่ท้อถอยกับความยากทคฅขัด มุ']ไท้การ]านท่กร?ทำ


นั้นๆ ลำเร็จเป็นเบอ]หน้าไม่จับจด ใม่รวนเร ผู้เข่นนั้ควรใครบบำเหน็จจากการ]าน คอผลลำเร็จแห่]การ

]านนั้นิแล แล?ผลแห่]การ]านท'ลำเร็จล]นั้น หากเป็นส]ทจ?แลกเบํลํยนเป็นทรัทย ก็ควได้ทรทย์มา นเทรา?

อ?ไร เทรา?การทำจริ]ทำอย่า]ป้กใจม่ล]ใจ ความล้ตซความจริ]ข่วยสม'บํลมุนโห้เขัมแข] ไม่ย่อท้อถอย บุก


บํนฟ้นิท้าท้าวหน้าเรอยไบํ เข่นนั้

อน]เล่าน? ท่านก็ย่อมทราบไดดแล้วว่า โลกด้อ]อาด้ยผู้อม คนในโลกท้อ]ท่]ทาอาดํยก่นิ มก?นั้น

kalyanamitra.org
®๘

ความเปีนอยู่กิจะไม่'ราบรน แม้แต่ในการแสวงหาทร้พอ่ กิต้องอาลัยยู่อื่น ทำไมจงต้องอาลัยยู่อื่น เพราะของคน

อังใม่ม่ หรอม่แค่'อังไม่เปีนปีกแผ่น กิต้องอาลัยทรัพยยู่อื่นเพอความเปีนปีกแผ่นของคน การทต้องการอาลัยผ่อื่น

นั้น จะอาลัยเขาไคกิต้วยการปรับทนเองใต้เต้ากับเขาไต้การปรับคนเองใต้เต้ากับผ่อื่นไต้กิต้องอาลัยความ

กัคย์ความจรงเปีนหลักล่ากัญ คนไมม่ลัต(เคนทํไม่'ดำรงในความจรงอ่อมไม่เปีนหไว้'.'วางใจของใคร อ่อมใม่เปีน


ทเขอถอของยู่อื่น ใครเล่าพอใจติดต่อกับคนขคดขโกง หนาไหวหกังหลอก กลับกลอกปลนปล้อน"

“ที่ท่านกล่าวเป็นข้อเปรียบเทียบว่าทางแห่งการได้ทรัพย์นั้น ด้องคด เหมือนการคดข้าว ท่าน


เสนกผู้เจริญ ข้าพเจ้าจะขอกล่าวเปรียบเทียบให้ท่านฬงบ้าง เหมือนคณะของท่านเดินทางจากบ้านที่อยู่
มาถึงบ้านข้าพเจ้าต้องผ่านวงเวียนใหญ่ มีถนนรอบวงเวียนนั้น ท่านก็เดินตามวิถีที่อ้อมรอบวงเวียน จน

กว่าจะถึงถนนตวง ครั้นเดินตรงไปได้หน่อยก็ต้องเลี่ยวข้ายแล้วก็เลั้ยวขวา กว่าจะถึงบ้านข้าพเจ้า ก็ด้อง


อ้อมต้องเลื้ยวตามถนนเล็กถนนใหญ่ หลายวกหลายวง การที่ต้องเดินอ้อมต้องเดินคดโค้งไปเช่นนิ้จณึเป็น

อ้นว่าท่านเป็นคนไม่ตรงไปละกระมัง ”
“ไม่เป็นเช่นนั้นดอก พ่อบัณฑิต” ท่านเสนกปฏิเสธโดยเร็ว “การที่ต้องเดินอ้อมเดินคดก็เพราะ

ทางเดินบังคับให้ต้องเดิน ไม่ใช่เป็นเพราะข้าพเจ้าเป็นคนคดจึงต้องเดินคดดอก”
“คราวนิข
้ ้าพเจ้าขอเปลี่ยนข้อเปรียบนั้นใหม่ สมมติว่าท่านจะมาบ้านข้าพเจ้าเป็นการสมมติกัน
นะ ท่านออกจากบ้านท่านก็เดินตรงดิ่งมาทีเดียว ไม่ยอมอ้อมไม่ยอมเลั้ยวแห่งไหนหมด ควรปีนท่านปีน

ควรข้ามท่านข้าม ควรไต่ท่านไต่ สุดแต่ว่าอะไรจะขวางทางตรงของท่าน ท่านไม่ยอมหลีก เพราะท่านถือ


ความตรง ข้าพเจ้าขอลามท่านว่า การปฏิปติเช่นนั้นเป็นความตรงใช่ไหม และเป็นความสัตย์จริงใช่ไหม”

“ไม่ใช่ละ พ่อบัณฑิต อย่างนั้นหากจะไม่เรียกว่าบ้า ก็ต้องว่ามีส่วนแห่งความบ้า อย่างน้อย


ที่สุดก็ต้องว่าโง่เง่าเต็มประดา” ท่านเสนกรีบแถลงท้นที “ไม่ถึงอย่างนั้น เพียงแต่ทางทำไว้ให้เดินไม่เดิน

ไพล่ไปเดินออกทาง เช่นทางอ้อมวงเวียนไปเดินตัดข้ามวงเวียน ก็เรียกว่านอกลู่นอกทางเสียแล้ว พ่อบัณฑิต”


“ท่านเสนกผู้เจริญ คำเปรียบของท่านที่กล่าวถึงคนคดข้าวนั้น คนที่ไต้ข้าวด้องงอนิ้วมือ ก็เหมือน

ท่านต้องเดินตามทางที่ดัดให้เดิน ตรงไหนโด้งก็ต้องเดินโด้ง ตรงไหนอ้อมก็ต้องอ้อม ไปตามทาง มิฉะนั้น

ก็ต้องเดือดรัอน และไม่ถึงที่หมาย จะปรับเอาว่าเป็นคนคดไปเจียวหวือท่าน”

“ข้าพเจ้าเห็นความแล้ว พ่อบัณฑิต ผู้รู้จักทางเดินและเดินตามทาง ไม่ใช่คนคด” ท่านเสนก

รับรอง
“ทางแสวงหาทรัพย์ก็เป็นทำนองเดียวกัน บางกรณีก็มีโด้ง มีอ้อม บางกรณีก็ตรง บางทีก็ด้อง
รอโอกาส บางทีก็ด้องฉวยโอกาสที่จะต้องอ้อมไปตรงเสียก็เสียที ถึงทีจะต้องตรง กลับไปอ้อมเสีย ก็เสีย
ทีอีก ที่จะต้องข้า กลับไปต่วนก็เสียที ที่ต้องต่วนก็มัวโอ้เอ้เสีย เป็นไม่ได้ทั้งนั้น ท่านเสนกการที่บุคคล

เราจะได้ทรัพย์และรักษาทรัพย์อยู่นั้น ต้องมีความรู้กระแสแห่งทรัพย์ ฉลาดในการงาน มีความขยันข้นแข้ง


รวมลงในที่สุดก็คึอถูกต้องเสมอ อย่าให้ผิด ทางไหนไม่ผิดควรถือทางนั้น อย่างนิ้ไม่เสียสัตย์ และทรัพย์

เพิ่มพูนมูนมองขื้นด้วย ”

kalyanamitra.org
® (รัว (ต้'

ความเปีนอซ่กฮ็ ๕โม่ราบรน แม้แต่ในการแสวงหาทร'ทย์ ก็ต้องอากัยผ่อน ทำโมจงต้องอากัยผ่อี่น เทรา?ของตน


ยังใม่ม่ าผ่ฉม่แต่ยังใม่เปีนปีกแผ่น ก็ต้องอาด่ยทรัทย็ผ่อนแ■'อความเปีนปีกแผ่นของตน การทต้องการอาลัยผ่ลี่น

นั้น จ?อาลัยเขาโด่ก็ต้วยการปรับตนเองใหเ'เข้ากับเขาโต้การปรับตนเองใต้เข้ากับม่อนโต้ก็ต้องอาลัยความ

ลัตย์ความจ'รง!ปีนหลักทำกัญ คนโม่ม่ลัตย์คนทโม่ด่ารงในความจรงซ่อมโม่เปีนทเววางใจของใคร ซ่อมใม่เปีน

ทเขอกอของม่อน ใครเล่าทอใจงคด่'อกับคนขคคขโกง หน''าโหวหลังหลอก กลับกลอกปล่นปล้อน"


“ที่ท่านกล่าวเป็นข้อเปรียบเทียบว่าทางแห่งการได้ทรัพย์นั้น ด้องคด เหมือนการคดข้าว ท่าน
เสนกผู้'เจริญ ข้าพเจ้าจะขอกล่าวเปรียบเทียบให้ท่านฬงบ้าง เหมือนคณะของท่านเดินทางจากบ้านที่อยู่
มาถึงบ้านข้าพเจ้าด้องผ่านวงเวียนใหญ่ มีถนนรอบวงเวียนนั้น ท่านก็เดินตามวิถีที่ชัอมรอบวงเวียน จน

กว่าจะถีงถนนตรง ครั้นเดินตรงไปได้หน่อยก็ด้องเลี้ยวซ์ายแล้วก็เลี้ยวขวา กว่าจะถึงบ้านข้าพเจ้า ก็ตอง


ย้อมตองเลี้ยวตามถนนเล็กถนนใหญ่ หลายวกหลายวง การที่ด้องเดินย้อมด้องเดินคดโต้งไปเช่นนิ้จณึเป็น

ยันว่าท่านเป็นคนไม่ตรงไปละกระมัง ”
“ไม่เป็นเช่นนั้นดอก พ่อบัณฑิต” ท่านเสนกปฏิเสธโดยเร็ว “การที่ด้องเดินย้อมเดินคดก็เพราะ

ทางเดินบังคับให้ด้องเดิน ไม่ใช่เป็นเพราะข้าพเจ้าเป็นคนคดจืงด้องเดินคดดอก ”
“คราวนิ้ข้าพเจ้าขอเปลี่ยนข้อเปรียบนั้นใหม่ สมมติว่าท่านจะมาบ้านข้าพเจ้าเป็นการสมมติกัน
นะ ท่านออกจากบ้านท่านก็เดินตรงดิ่งมาทีเดียว ไม่ยอมย้อมไม่ยอมเลี้ยวแห่งไหนหมด ควรปีนท่านปีน

ควรข้ามท่านข้าม ควรไต่ท่านไต่ สุดแต่ว่าอะไรจะขวางทางตรงของท่าน ท่านไม่ยอมหลีก เพราะท่านถีอ


ความตรง ข้าพเจ้าขอลามท่านว่า การปฏิบัติเช่นนั้นเป็นความตรงใช่ไหม และเป็นความสัตย์จริงใช่ไหม”

“ไม่ใช่ละ พ่อบัณฑิต อย่างนั้นหากจะไม่เรียกว่าบ้า ก็ด้องว่ามีส่วนแห่งความบ้า อย่างห้อย


ที่สุดก็ด้องว่าโง่เง่าเต็มประดา” ท่านเสนกรีบแถลงทันที “ไม่ถึงอย่างนั้น เพียงแต่ทางทำไว้ให้เดินไม่เดิน

ไพล่ไปเดินออกทาง เช่นทางย้อมวงเวียนไปเดินด้ดข้ามวงเวียน ก็เรียกว่านอกลู่นอกทางเสียแล้ว พ่อบัณฑิต”


“ท่านเสนกผู้เจริญ คำเปรียบของท่านที่กล่าวถึงคนคดข้าวนั้น คนที่ได้ข้าวด้องงอนิ้วมือ ก็เหมือน

ท่านด้องเดินตามทางที่ดัดให้เดิน ตรงไหนโด้งก็ด้องเดินโด้ง ตรงไหนย้อมก็ด้องย้อม ไปดามทาง มิฉะนั้น

ก็ด้องเดีอดรัอน และไม่ถึงที่หมาย จะปรับเอาว่าเป็นคนคดไปเจียวหรือท่าน”

“ข้าพเจ้าเห็นความแล้ว พ่อบัณฑิต ผู้รัจักทางเดินและเดินตามทาง ไม่ใช่คนคด” ท่านเสนก

รับรอง
“ทางแสวงหาทรัพย์ก็เป็นทำนองเดียวกัน บางกรณีก็มีโด้ง มีย้อม บางกรณีก็ตรง บางทีก็ด้อง
รอโอกาส บางทีก็ด้องฉวยโอกาสที่จะด้องย้อมไปตรงเสียก็เสียที ลึงทีจะด้องตรง กลับไปย้อมเสีย ก็เสีย
ทีอีก ที่จะด้องข้า กลับไปต่วนก็เสียที ที่ต้องต่วนก็มัวโย้เย้เสีย เป็นไม่ได้ทั้งนั้น ท่านเสนกการที่บุคคล

เราจะได้ทรัพย์และรักษาทรัพย์อยู่นั้น ด้องมีความรักระแสแห่งทรัพย์ ฉลาดในการงาน มีความขยันข้นแข็ง


รวมลงในที่สุดก็ศึอถูกต้องเสมอ อย่าให้ผิด ทางไหนไม่ผิดควรถึอทางนั้น อย่างนิ้ไม่เสียสัตย์ และทรัพย์

เพิ่มพูนมูนมองขื้นด้วย ”

kalyanamitra.org
๑๘๕

“ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว พ่อบัณฑิต” ท่านเสนกแสดงความซืนชมแล้วเอ่ยถาม “เมือได้มีทรัพย์

เป็นปีกแผ่นแล้ว เป็นอันว่ามนุษย์ถึงจุดยอดแห่งความปรารถนาในทางโลก แล้วยังจะต้องบำเพ็ญกรณี

อะไรสืบไปอีกหรือไม่เล่าพ่อบัณฑิต”
“เพียงมีทรัพย์แม้จะมากมายก่ายกอง จะเรียกว่าเป็นผู้สมบูรณ์แล้วหาไม่ได้” ท่านมโหสถเฉลย

สืบไป
“ด้องทำอะไรอีกเล่า มีทรัพย์เป็นปึกแผ่นแล้วก็น่าจะยุติกันที ใซัทรัพย์บำเรอตนให้เกษมสุข

ก็พอแล้ว ไม่น่าจะต้องทำอะไรต่อไปอีก”
“จะคิดว่าพอเพียงนั้นไม่ชอบ” ท่านมโหสถแย้ง “ทรัพย์อำนวยความสุขได้จริง แต่ทรัพย์นั้น

ก็อาจอำนวยความทุกข์ได้เหมือนกัน ความเป็นปึกแผ่นของทรัพย์จะเป็นคุณแค,ไหน-ในเมื่อด้องตกอยู่ใน
วงล้อมของผู้ริษยา ซึ่งมีนัยน์ตาร้อนอยู่ทุกขณะที ,มองเห็นความมั่นคั่งนั้น ท่านเสนกลองคิดดู ล้าเป็นท่าน

มีความมั่งคั่ง มีทรัพย์เป็นปึกแผ่น แต่ประชาชนพากันริษยา เห็นความมั่งคั่ง แยกท่านออกไปไว้ในที่สูงสุด

ที่จะมองเห็นความตํ่าด้อยของเขา หรือบางทีเขาก็เห็นท่านเป็นเหมือนมีอะไรมาหนุนเท้าให้เห็นศีรษะ

สูงกว่าคนธรรมดาด้วยกัน หรือบางทีก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกในท่านว่า ร่างกายของท่านนั้นสรัางมาด้วย


ธาตุอันมีส่วนผสมเป็นพิเศษกว่าส่วนผสมที่รวมกันเป็นตัวของเขา ซึงกับจะถูกต้องตัวมิได้และเข้ากันมิได้

รอบตัวของท่านผู้มั่งคั่งล้อมด้วยความเป็นไปทำนองนํ๋ ท่านยังจะมีความสุขอยู่ในกองเงินกองทองของท่าน

ได้อยู่หรือ ท่านยังจะนอนตาหลับอยู่ได้ด้วยอำนาจเงินทองที่มากมายนั้นได้หรือ”

“ความมั่งคั่งนั้นจะอำนวยความสุขได้อย่างไรพ่อบัณฑิต” ท่านเสนกสนอง “เป็นเหมือนอยู่


ในท่ามกลางกองเพลิงอย่างนั้น ที่ไหนจะนอนตาหลับลงได้”
“เมื่อเป็นเช่นนั้น จะมิควรคิดดับเพลิงรอบข้างนั้นเสียหรือ” ท่านมโหสลแถลงต่อไป “นั่น

แหละเป็นกรณีที่ท่านผู้มีทรัพย์ตั้งตัวได้เป็นปึกแผ่นแล้ว จะต้องบำเพ็ญสืบไปคือกาวแผ่ไมตรีอารีอารอบ

ทำให้ทุก จุ คนรู้สึกในความเป็นมิตร มีเมตตาต่อตนให้จงได้”


“หมายความว่า มีทรัพย์มั่งคั่งแล้ว ก็พีงแสวงหามิตรสืบไป” ท่านเสนกแสดงความเข้าใจ “แต่

ข้าพเจ้ายังสงสัย ผู้ที่มั่งคั่งด้วยทรัพย์นั้น ก็ย่อมเป็นผู้ที่ใคร จุ จะพึงเข้าหาทั้งนั้น ด้วยมุ่งหวังจะขอเป็น

ที่พึ่งพำนัก เมื่อเป็นเช่นนิ จะด้องไปแส'หามิตรทำไม พ่อบัณฑิต”

“ท่านเสนก ท่านก็คงยึดคติเดิมอยู่นั่นเอง มีทรัพย์แล้วทุก จุ อย่างเป็นมีมาตามด้วย อย่าเข้าใจ


เช่นนั้น บุคคลที่จะเข้ามาหาผู้มีทรัพย์มิใช่เข้ามาด้วยความมุ่งหวังจะพึ่งพำนักเท่านั้น เขาต้องการความเมตตา

อารีของผู้มีทรัพย์ด้วย แม้นผู้มีทรัพย์ลันเหลือ แต่ไร้ความเมตตาอารี จะมีใครเข้ามาสนิทซีดชอบเล่า ความ


ดึงดูดของทรัพย์นั้นจะมีเรียวแรงอะไร ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนเห็นใครมั่งมีแล้ว ก็มุ่งจะเข้ามาประจบเพื่อพึ่งพิง

อิงอาศัยก็หามิได้ บางจำพวกดอกที่มีความคิดเช่นนั้น ส่วนบางจำพวกนั้น เขาไม่ด้องการจะประจบประแจง

ผู้มีทรัพย์ ทั้ง จุ เขาก็ยังขัดสน เป็นเช่นนั้ก็มีนะท่าน”

“ก็ช่างปะไร พวกไหนประจบประแจงเรา เราก็รับไว้เป็นมิตรสหาย พวกไหนไม่ประจบประแจง

kalyanamitra.org
๑๘๖

เราก็ปล่อยเขาอยู่ตามฐานะของเขา ไม่เห็นจะต้องกังวลใจอะไรกับคนจำพวกนั้น”
“หากเราปฏิบ้ติเช่นนั้น มิตรสหายและพรรคพวกเรา ก็มีแต่พวกหัวประจบทั้งนั้น เพราะเรา
เปิดรับแต่พวกเหล่านั้น” ท่านมโหสถแยัง “ทำเช่นนั้นไม่สมกับที่ได้นามว่าเป็นคนฉลาด ดำเนินในกิจ

อันเป็นประโยชน์ด้วยปรีชา วิสัยคนฉลาดต้องการมิตรก็หมายความว่าต้องการผู้ที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ ช่วย

คิดช่วยอ่าน ตลอดถึงร่วมเป็นร่วมตาย ก็เมึ่อ่ได้แต่มิตรชนิดหัวประจบทั้งนั้น จะไปได้อะไรจากมิตรเช่น


นั้น ความสุขก็หวังแต่จะพึ่งเอาถ่ายเดียว คราวทุกข์ก็ทอดที่งเรา ในด้านความคิดอ่านเล่าเราพูดดีก็คล้อย

ดาม เราพูดข้วก็คล้อยดาม คอยแต่พยักเพชิดไปกับเราเสียเท่านั้น ก็เท่ากับความคิดอ่านของเรานั่นเอง ไม่ได้

อะไรงอกเงยขื้นมาเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นคนฉลาดคนใดปฏิน์ติเช่นนั้น จะเรียกว่าคนฉลาดหาสมไม่”

“ล้าเช่นนั้น ก็จำต้องเลือกคบแต่มิตรที่มั่งมีเท่าเทียมกัน ผู้ที่มั่งคั่งแลัวย่อมไม่ต้องการประจบ

ประแจงใคร และบางคนก็ตองการใหัผู้ชื่นมาประจบประแจงตนเช่นนํ๋หรึอพ่อบัณฑิต” ท่านเสนกโต้


“อย่างนั้นก็ไม่ถูกอีกแหละท่าน” ท่านมโหสถแถลง “เป็นที่ทราบกันอยู่เป็นพื้นแล้วว่า ในโลกนํ๋

คนเราไม่ได้อยู่ผู้เดียว ด้อมรอบด้วเรายังมีคนอีกเป็นอันมาก คนเหล่านั้นย่อมเป็นประโยชน์ได้ทั้งนั้น หาก

ได้รับไมตรีจากใจจริง การแผ่ไมตรีจำต้องแผ่ไปโดยไม่จำกัดเขต จึงจะเป็นการสมควร ดังนั้น การคบ


มิตรจึงเลือกมิได้โดยชาติ ฐานะ หรือโดยวัย เพราะยิ่งมีมิตรมาก ความอุ่นหนาฝาคั่งก็ยิ่งมั่นคง ความอภิรมย์

ชมชี่นด้วยมิตรเป็นสิ่งที่น่าชินดี คติที่ว่า ‘‘บ้านไหนใม่ม่เทลนก็แม่นเหม่ลนก่ม่รา!ไทร" เป็นข้อที่ท่านผู้ตั้งด้ว

ได้"จ้วควรจะคิดใหัมากและปฏิบติใหัเคร่งครัด”
“คนหัวประจบก็ไม่ยอมคบ คนมั่งมีด้วยกันก็ถูกบ่ายเบี่ยง แล้วจะปฏิบัติอย่างไรในการเสนอ

ไมตรี” ท่านเสนกท้วงอีก
“ท่านเสนก ท่านก็มีอายุมากแลัว ควรจะทราบถึงวงสังสรรค์ของมนุษยชาติได้ดีแล้ว ศ าร่า
เทลนม่ได,'หมายก็งความเท่าเท'ยมกน์ แห่งวืย์ แห่งฐานะเป็นตนนั้นเลย หมายก็งฝูหรบไมตรึแล้วม่ไมดรตลบ สะ

เป็นผูใดก็ใด'ใม่เลลกวัยทั้งนั้น กล่าวตามหล'กขลงบํณฑตแล้า ต้ลงทยายามหล*เป็นม่ตรก่บ์ทุกๆ คน และ


ทยายามทั้จะใบ้ทุก ๆ คนเป็นม่ตร"

“แม้จะเคยเป็นศัตรูกันมาแต่ก่อนด้วยหรือ พ่อมโหสถ” ท่านเสนกกล่าวเป็นเชิงประชด


“ถูกแด้ว” ท่านรับรองหนักแน่น “ล้าศัตรูนั้นยอมรับไมตรีและมีไมตรีต่อก็เป็นมิดรกันได้ มนุษย์
ในโลกต่างคนต่างเกิดมา มิได้นัดกันมาเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกันมาก่อนเลย ความเกี่ยวข้องกันต่อมานั้น

ต่างหากท้าใท้เป็นมิตรกันหรือเป็นศัตรูกัน หากเกี่ยวข้องกันในทางเกื้อกูลกัน เป็นประโยชน์ต่อกัน ก็เป็น

มิตรต่อกัน หากตรงกันข้าม เกี่ยวข้องกันในทางดัดรอนกัน ก่อความพินาศใหัแก่กัน ก็เป็นศัตรูกัน เมึ่อ

ต่างมีไมตรีต่อกันแด้ว แม้จะเคยเป็นศัตรู ก็พึงประพฤติเกื้อกูลกันแท้ และก็เป็นมิตรกันได้”


“เห็นจะเป็นการยากแก่การปฏิบัตินะพ่อ” ท่านเสนกเอ่ยด้าน “ใครจะคิดผูกไมตรีกับผู้ที่เปัน

ศัตรู และศัตรูคนไหนจะมีหนัามารับไมตรีแลัวสนองไมตรี จะมีก็แต่ศัตรูที่หวังจะประทุษร้ายเท่านั้น ที่

ไข้ไมตรีเป็นส่อใหัคู'อาฆาตคลายใจ”

kalyanamitra.org
๑๘๗

“กาวกระท้าเช่นนั้น จะเรียกว่าไมตรีตอบไม่ได้ชิ” ท่านมโหสกโด้ “ไมตรีด้องเกิดจากอัธยาศัย


ที่เต็มด้วยความมุ่งดีหวังดีเท่านั้น มุ่งร้ายหวังร้ายอยู่จะเรียกว่ามีไมตรีตอบอย่างไร ท่านตองเข้าใจว่าไมตรี
ที่ข้าพเข้าพูดมานั้น เกิดจากนํ้าใสใจจริง นั่าใจไม่ใสจริงจะเป็นที่ตั้งของไมตรีไม่ได้จงเข้าใจอย่างนั่”

“ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว” ท่านเสนกรับคำ พรัอมกับดำเนินกระแสความต่อไป “เมื่อคบมิตรแล้ว

จะพึงบำเพ็ญกรณีอะไรต่อไปอีกหรือไม่”

“มีมิตรแล้ว ด้องจับความดีดอ่านของมิตรให้ได้” ท่านมโหสกตอบ

“ประหลาดอยู่ พ่อบัณฑิต” ท่านเสนกกล่าว แสดงท่าทางประกอบ “ท้าไมจะด้องจับความ

ดีดอ่านของมิตรด้วย”
“ท่านเสนก ท่านคงเคยพบเห็นบุคคลบางคนที่ได้ความเดือดร้อนเพราะมิตรมาบัางแล้วเป็น

แน่ หรือท่านไม่เคยเห็นมาเลย” ย้อนลาม


“เคยเห็นมาเหมือนกัน บางคนมั่งคั่งเป็นปีกแผ่นแน่นหนา แต่ภายหดังด้องเสื่อมโทรมลงเพราะ

มิตรสหาย มีอยู”่ ท่านเสนกกล่าวตามรู้เห็น


“นั่น ท่านทราบหรีอไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”

"ไม่เคยดีดเห็นมาก่อนเลย เห็นจะเป็นเพราะความสุรุ่ยสุร่ายจับจ่ายบำรุงบำเรอมิตรสหายนั่น

แลเป็นเหตุสำคัญ”
“ที่ท่านเสนกกล่าวนั้นยังไมใช่เหตุแท้จริง” ท่านมโหสกติงพร้อมกับหันไปทางอีกสามอาจารย์

ซีงนั่งนั่งมานานแล้ว พลางเอ่ยถาม “ท่านทั้งสามเล่าคงเคยพบบุคคลเช่นนั้นมาแล้ว ท่านดีดว่าเป็นเพราะ

เหตุใด”
สามอาจารย์คงตอบเป็นใจความเช่นเดียวกับท่านเสนกคือ “ไม่เคยดีดถึงเรื่องเหตุในเรื่องนั้นมา

ก่อนเลย”
ท่านมโหสกจึงหันมาทางท่านเสนก “ท่านเสนก บุคคลที่ประลบความพินาศเพราะมิตรนั้น

เป็นเพราะเปิดแต่หัวใจด้านเดียว ตาและหูเปิดเสียหมดเลย หรือกล่าวอีกอย่างหนั่งก็ว่า กวัางแต่ใจ ตาหู

แคบ”
“ข้าพเข้าไม่เข้าใจเลย พ่อบัณฑิต โปรดอธิบาย”
“ถูกละ ที่ท่านไม่เข้าใจ เพราะท่านไม่เคยดีดมาก่อน ก็เท่ากับขาดพื้นรับข้อที่ข้าพเจ้าพูด แล้ว

ท่านก็ตองไม่เข้าใจ” ท่านมโหสกประสมประสาน "บ่านลองค์ดดูเถด บุคคลบ่เปีนออ่างว่านั้น เปีนคนใจ

กว่างโอบอ่อมอาร ไม่ม่ความตา^นนเน๎นแก่ตนเลน เอ่อแผ'เจอจานแก'บู่เปี'นมต71ปีนสนาแก่วนใจฝ็นกว่างVวาง


นั้น นก่อคนเปีดน่ว ใจกว่าง แต่บุคคลนั้นม่ ไก่สอดก่องดูค ว ามม่าเ*หฤต่ ม ไดนา าบขงก่งค ว ามคดอ่านของมตา

สนายแม่'แต่นอน ตลอดก่งไม่ลก่ปตาบบ่งความเปีนไไเของม่ตโสนไนของตนมางเลนว่าเปีนออ่างไว ขว่ดก่น'าง

แค่ไนน ไม่ม่ว่เสนเลน นก่อกาาปีดนูปีดตาตนเองเสน ไม่เปกตาดู ไม่'เปกนูสก่ปบางเลน ก่ง่นํมใมบสุคก่ม่ก่จ.-!

หลอนเก่อมไม่ก่บม่ตว หาอบางควาวความเสอมของตนเม่นความเปีองบ่ของม่ตาไป'ก่ม่ น'!อบไงบ่ม่ตาขกนา

kalyanamitra.org
ไปใมทา*ท ไม่ด ไม่*าม ประสบความเสยหายร'ไซแร*ก็ม่ "
“บุคคลในโลกนั้ ย่อมม่อัซยาด่ยและความทอใจค่า* ๆ ก้น บา*คนม่อัธซาด่'ยประณ์ตหน''กแม่น บา*

คนทอไจจะประทฤตในทามย่อมๆ มา*คนทอใจจะประทฤตในทา*Iจรญ ทวกบทอใจไปในทา*เย่อมๆ นั้น

ซ*จำแนกออกไปโด่อก ทอใจเทราะโม่รู่'ว่าเปีนความ[ย่อมก็ม่ ทอใจ[ทราะรู่'ว่า[ปีนความ[ย่อมก็ม่’’


ท่านเสนกอดมิได้ขัดร้นท้นที “ขอโทษเชิดพ่อบัณฑิต ข้าพเจ้าใคร่จะขอด้านท่านสักหน่อย

ท่านพูดชวนสง๙'ยเหลึอเกิน”
“เชิญท่านเชิด ข้าพเจ้ายินดีจะรับข้อด้านของท่านเสมอ” มโหสถใหโอกาส
“ที่ท่านว่าพอใจในทางเสื่อม ทั้งที่รู้ว่าเป็นทางเสื่อมก็มีนั้น เห็นจะไขว้เขวเสียแล้ว เพราะดาม

ธรรมดาสามัญชนย่อมมุ่งความเจริญแก่ดนทั้งนั้น ไฉนเล่าเมื่อรู้ว่าเป็นทางเสื่อมแล้วจึงจะพอใจอยู่ได้ ”
“ท่านเสนก ไม่น่าจะสงสัยเลยทีเดียว บุคคลบางจำพวกพอใจในทางเสื่อมทั้ง กุ ที่รู้แจ่มแจ้ง

ว่าเป็นความเสื่อมนั้น ปรากฎเป็นอันมาก หาตัวอย่างคนจำพวกนั้ใด้ไม่ยากเลย ท่านไม่เห็นบ้างหรือ ผู้

ที่ประพฤติตัวเสียหายรัายแรงเป็นอันมาก รัอยู่ทีเดียวว่าความประพฤติเช่นนั้น กุ ของตนเป็นความเลียหาย

แต่ก็ยังประพฤติเสียหายจนได้ บางคนอาจตำหนิตนเองได้แท้ว่า ล้าตนไม่ประพฤติอย่างนั้ ก็ดีเลียนาน


แล้ว ที่ตนไม่ดี ก็เพราะประพฤติการไม่ดี แต่แล้วก็คงประพฤติการที่ตนว่าไม่ดีนั้นอยู่ ที่เป็นเช่นนื้เพราะ
ความรู้ของบุคคลจำพวกนั้ไม่ซ็ง คือรู้แต่ว่า “ไม่ด”ี เท่านั้นเอง แต่การที่ท่าอย่างไรจึงจะเว้นการที่ไม่ดี

นั้นของตนได้ ไม่มีความรู้เลียเลย ความรู้ที่จะท่าให้เว้นความประพฤติที่ไม่ดีนั้น่ ลืกซํ่งกว่าความรัที่รู้ว่า

อันใดไม่ดีนะท่าน เพราะฉะนั้น บุคคลบางพวกจึงยังพอใจในความเสื่อมได้ ทั้ง *1 ที่รู้ว่าเป็นความเสื่อม”

“ยิ่งกว่านั้น บุคคลจำพวกนั้น บางคนคิดจะแก้ความเสื่อมของตนให้เป็นความเจริญให้จงได้

ก็มี เห็นไปว่าความเจริญต่าง กุ นั้น เกิตเพราะการแก้ความเสื่อมต่าง กุ ให้เป็นความเจริญให้ได้ ผู้ใดแก้


ได้สำเร็จ ผู้นั้นก็เป็นผู้มีความเจริญ เช่นผู้ที่ท่าโจรกรรมคิดแก้ไขการโจรกรรมของตนให้เป็นกุศลกรรม

ร้นมาให้ได้ เป็นด้นว่าอย่าให้เขาจ้บไดไล่ทัน อย่าให้ด้องโทษกรรมกรณ์ ก็มีความเจริญได้ มีซือลือชาปรากฎ


ทั่วไป อย่างน้อยที่สุดก็ได้รับยกย่องว่าเป็นคนเก่งกาจฉลาดเฉลียวนั้นเป็นข้อที่น่าพอใจมิใช่หรือ เพราะ

เหตุนั้นผู้ที่พอใจในความเสื่อมทั้ง *1 ที่รู้จึงยังมีอยู”่

“ข้าพเจ้าเห็นแล้ว พ่อบัณฑิต” ท่านเสนกยอมจำนน “เชิญท่านแถลงต่อไปในเด้าเดิมเถิด”


“ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วถึงผู้ใจไปทางเสื่อม และท่านก็คงเห็นกับข้าพเจ้าแต้ว ต่อไปนํ๋ก็ถึงประเภท

ของผู้ที่พอใจความเจริญ” ท่านมโหสถตำเนินอนุสนธิ๋ “บุคคลบทอใจในไIไ*เจากุ/นั้น[ล'ไ บา*คนก็ห/ไใจ

ก่ว่าท่าอย่ไ*นั้น[ปีนคาไมเจาญ ท ไอย่ไ*น[ปีนคาไม[จรกุ/ แค่ไม่สไมารถจะกระบ ไคาไม[จ/กุ/ใบบ่*[ก้ดไต่'

ก็ม่ มา*คนม่คาไม[ข่าใจเช่นนั้นแล.'ไต่ไ[น'นกไรไป[ทอคาไมเจ/กุ/ แค่กลบไไ/บาคาไมเย่อมใบเกดแก่ผ่อน

ทดนั้น ๆ ก็ก่อ มุ'*คาไมเจ/กุ/แก่ตนด่าซกไรใซนคาไมเย่อมใบ"ม่อนเช่นนก็ม่ บเข่ไใจในคาไมเจ/กุ/แลาสา.มารถ

ท าคาไมเจ/ญใม่มนใด่ก็ม่ ”
“ทฤตการณ์ค่า* ๆ ขอ*บุคคลทใกลขดนั้น ๆ เปีนแอ*ไไม่ม่ปกุ/กุ/ไสนใจคนคาไซดก'อใบ'ไต่'ตลอด

kalyanamitra.org
๑๘๙

จม่ถ)ความคทอ่าม่ขอ)มุคคลม่ม ๆ อัมซ๕โม่ม่เอ่ย)ไปใมทา)ใด เปม่คุณเป็ม่โทษอย่า)ไร ขอมหร้อไม่ขอม


ไฟิม่ ทั้)ม่ก็เทอจะได้เปม่แม่าทา)- าะปร้มฅม่ให้เขาอัมมุคคลม่ม่ และถ้าเห็ม่เปม่โทษก็จะได้ย่ายขกม่าโห่คด

อ่าม่กลมโจโม่ทา)ทเป็ม่ประโยขม่อ่มไป ถ้าตม่สามารถลมาคมอัมใครไม่ทรามคาามไม่ขอ)เขา ไม่ถ้เม่ทา)


ห่มณ'ทดก็)!เบุเบด ม่อัาอย่า)ผูที่ทลอยถ)คาามทม่าคไปกมผูที่ดม่สมาคม มา)ก็!1ระสมอัม่ดรายร้ายแร)ถ)ขาด

ก็เคยม่ ทั้)ม่ม่ใข่อม่ เป็ม่เทราะมำเท็ณูตม่เปีม่คม่ใจกวา) แด่ดาหูไม่เมกกาา)ไปดามด้าย เหตุม่ม่คมม่ดรแล้า

ก็ด้อ)อัมคาามคดอ่าม่ขอ)ม่ฅรโห่ได้"

“แจ่มแลังดีมาก พ่อบัณฑิต” ท่านเสนกยกย่อง ซึงยากจะฟ้าใจว่าจริงใจหรือเสแสริ'ง พลาง


เดินกโลบายต่อไป “เมือปฏิป้ตดามหลักเกณฑ์ในการตั้งตัวตามที่ท่านกำหนดทั่ว *1 กัน ก็น่าจะเป็นอัน
สริ’างหลักฐานได้มั่นคงจริง 1 แต่ในการความคิดอ่านของมิดรนั้น อาจจะเป็นการลำบากในทางปฎึบัติอยู่
บัาง เพราะเป็นการต่างฝ่ายต่างแลกกันอยู่ เช่นเมือคนสองคนเป็นมิตรกัน คนหนึ่งเรียนความคิดของอีก
คนหนึ่งแลัว คนที่ถูกเรียนนั้นเองก็กลับเป็นผู้เรียนอีกท้หนึ่ง ต่างคนต่างแลกกันเช่นนึ่ เป็นการลัอยทีลัอย

อาศัยกัน”
“ถูกแลัว เป็นการกัอยทึลัอยอาศัยกัน เราเรียนของเขา เขาเรียนของเรา” ท่านมโหสถกล่าว
คลัอยตามแลัวแย้งในที่สุด "แด่คาามคดขอ)เราทเป็ม่รห่ส ด้อ)ระม่ดระวั)ไม่'คารมอกแก่ผูอ่ม่ ”

“หมายความว่า ความลับของเราบอกใครไม่ได้เช่นนั้นหรือ ? พ่อบัณฑิต” ท่านเสนกรีบรวบ

ความท้'นที
“เช่นนั้น ความลับของตนบอกแก่ผู้อื่นไม่ได้” ท่านมโหสกยืนยัน
“สาธุ” อาจารย์ทั้งสี่เปล่งเสียงออกมาเหมือนนัดหมายกันไวั

kalyanamitra.org
๒๕. คาดโทษถงตาย
“เป็นอย่างไรคุณทั้งสาม เรากะไม่ผิดเลย ท่านเสนกเอ่ยอย่างเปรมใจกับคณะ ภายหลังจากได้
อำลาท่านเสนาบดีมายังบ้านของตนแล้ว “แผนการของเราด้องเป็นผลสำเร็จแน่นอน คราวนี่แหละมโหสถ

เอ๋ย ความฉลาดเกินตัวของเจ้าจักฟาดพันเจ้าละ” ท่านเสนกรำพันเหมือนนักรบเห็นชัยชนะปรากฎอยู่

เฉพาะหนัา
“ท่านอาจารย์ครับ” ท่านเทวินท้เรียก “โปรดระงับอารมณ์ลงบ้างเถิดครับ เพียงแต่เห็นเงา
ของความสำเร็จก็โปรดอย่าเพิ่งเข้าใจว่าเงากับตัวเป็นอันเดียวกันไป โดนเงาที่หลอกได้เข้าจะ:เสียใจยิงนัก

นะครับ”
“เอ คุณนี่ ก็เห็นแลัวมิใช่หรือว่าเงาอันใดฉายอยู่” ท่านเสนกกล่าวเสียงด้ง “เงาฉันใดตัวก็ฉัน

นั้น ตัวฉันใดเงาก็ฉันนั้น”

“ท่านอาจารย์ครับ โปรดอย่าเห็นว่าผมล่วงเกินเลยนะครับ” เทวินท์เลียงอ่อน “เงาฉันใดตัว


ก็ฉันนั้น ตัวฉันใดเงาก็ฉันนั้น ไม่เป็นความจริงทุกกรณีดอกครับ ผมเห็นว่ามันแล้วแต่แสงที่จะฉายให้

เห็นเงานั้นด้วย เช่นแสงอุทัยแห่งดวงอาทิตย์ในเวลาเชัา ชายคนเตํ๋ยผู้ผ่านแสงให้มีเงายาวชืดไปก็ได้”

เทวินท้จะเอ่ยต่อไป กามินท์ก็ข้ดไว้เลีย “คุณเทวินท์ นั่นมันเงาจริง *1 ส่วนที่ท่านอาจารย์กล่าว


นี่เงาเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตามทีเถอะ ผมเห็นว่าในครั้งนี่เราทั้ง ๓ ควรมอบให้ท่านอาจารย์ดำเนินการ

ไปตามความคิดอ่านของท่าน เพราะดูจะเข้าทีอยู่มากทีเดียว”

ปุกกุสะเห็นเทวินท์จะพูดอีกก็เลยพูดเลียก่อน “กามินท์พูดถูกแล้ว พวกเราควรเดินตามท่าน


อาจารย์ในแผนการครั้งนี่ ข้อปลีกย่อยนั้น *1 แล้วแต่ท่านอาจารย์จะบัญชา”
“การที่ผมพูดขัดกับท่านอาจารย์นั้น โปรดอย่าเข้าใจว่าผมไม่ลงความเห็นกับท่านหามิได้” เทวินท์

ออกตัว “แต่เห็นท่านอาจารย์จะไปเร็วเกินกว่าที่ควร เหมือนอย่างว่ายังไม่ทันจะกัาวเดินเลยถึงเลียก่อน

แล้ว ผมก็ด้องขอขัดไว้บ้างเท่านั้นแหละ ส่วนวิธึการของท่านอาจารย์ในคราวนี่ ผมยอมด้วยความยินดีเช่น


เดียวกันว่าท่านอาจารย์ของเราหลักแหลมที่สุด กลเม็ดเด็ดพรายพราวทีเดียว ล่อล้วงเอาดาบอันคมกริบ

จากอุ้งมือของมโหสถมาได้อย่างไม่นึกไม่ฝัน ”
ท่านเสนกค่อยชี่นบานชื้น พลางซักชวนกันไปเฝืาพระเจ้าวิเทหราชในขณะนั้น โดยการขอพระ-

ราชทานวโรกาสเฝ็า เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะกราบทูลให้ทรงทราบเฉพาะพระองค์ เมือได้รับพระราชทาน


โอกาสก็พากันเฝ็า ณ ที่ประทับอันรโหฐาน

kalyanamitra.org
(ธิ)๙®

“ท่านอาจารย์ทั้ง ๔ มีเรื่องราวร้ายแรงอะไรหรือจึงได้พากันมาเฝืาเป็นการรีบด่วนเช่นนี”้ พระเจ้า

วิเทหราชมีพระดำรัสถาม
“ขอเดชะ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าๆ” ท่านเสนกกราบบังคมทูล “ข้าพระพุทธเจ้า
ทั้ง ๔ นี้ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทย่อมทรงทราบในพระทัยเป็นอันดีอยู่แล้วว่า มีความมุ่งหวังที่จะฉลอง

พระเดชพระคุณด้วยนี้าใจอันชี่อสัตย์สุจริต คิดอยู่แด่ว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงเกษมสำราญ

ในราชัยไอศวรรย้ด้วยประการใด ประการนั้นแม้จะต้องเสียสละอย่างสูงดึงสั้นซีวิต ก็จะขอพลีถวายด้วย


ความเป็นห่วงใยในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงมิได้นิ่งนอนใจ เมื่อได้ทราบเกล้าๆ ถึงวี่แววอันใดที่จะเป็น

ชนวนชวนให้เกิดความไม่ผาสุกแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ก็จำต้องรีบด่วนชวนกันมาเฝืากราบบังคม

ทูลทันทีพระพุทธเจ้าข้า”
“ขอบใจมากท่านอาจารย์” ตรัสด้วยทรงพอพระท้ย “บัดนี้มีเรื่องอะไรเล่า เชิญท่านบอกเถิด”

“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า” ท่านเสนกเริ่ม “ข้าพระพุทธเจ้าขอพระมหากรุณาเป็นที่พึ่ง


แม้นว่าข้อความที่ข้าพระพุทธเจ้าจะกราบบังคมทูลไปทั้งนี้จะเป็นที่ระคายเคืองเบื้องบทมาลย์ โปรดพระ-

ราชทานอภัยโทษแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”

“ไม่เป็นไรท่านอาจารย์ เชิญท่านกล่าวเถิด ฉันใคร'จะทราบอยู”่ ตรัสเร่งเร้า


“ขอเดชะ บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า มโหสถชาวบัานนอกซึ่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

ทรงพระมหากรุณาชุบเลยงมาแต่เล็ก *1 และทรงสถาปนาในตำแหน่งเสนาบดีอยู่ในบัดนี้ กำลังคิดเป็น


ฝ่ายตรงกันข้ามกับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอยู่ ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจเลยพระพุทธเจ้าข้า”

“อะไร้ ท่านอาจารย์” ตรัสด้วยพระสุรเสียงเจือพระสรวล “เอาอะไรมาพูด ฉันไม่เชี่อ ฉัน


ไม่เชี่อเด็ดขาด เป็นไปไม่ได้ พ่อมโหสถไม่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับฉันแน่นอน”

“จริงพระพุทธเจ้าข้า" ท่านเสนกกลับกราบทูลยืนยัน “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเชี่อข้า


พระพุทธเจ้าเถิด ที่ข้าพระพุทธเจ้านี้น์าความมากราบบังคมทูลนั้น มิได้มีเจตนาจะริษยามโหสถ ทั้งนี้

มิได้คาดคิดคะเนเอาว,ามโหสถได้รับตำแหน่งใหญ่คงจะคิดกำเริบเติบสารต่อไปพระพุทธเจ้าช้า มีหลักฐาน
ที่จะกราบทูลพระกรุณาให้ทรงพิสูจน์ได้ด้วยพระปรีชาญาณพระพุทธเจ้าข้า”

“ท่านอาจารย์มีหลักฐานอย่างไร ลองว่ามาดู” ตรัสถามตามปกติ


“ขอเดชะ พระบารมีเป็นที่ยิ่ง ช้าพระพุทธเจ้าขอประทานวโรกาสกราบบังคมทูลถามใต้ฝ่า-

ละอองธุลีพระบาทผู้ทรงพระปรีชาลักข้อหนึ่งก่อนดังนี”้ ท่านเสนกเว้นระยะ ครั้นเห็นพระเจ้าวิเทหราช

ทรงดุษณี ก็กราบทูลต่อไป “สมมติว่ามีข้าราชการผู้ใกล้ชิดลักคนหนึ่ง เป็นผู้มีลับลมคมใน ใต้ฝ่าละออง

ธุลีพระบาททรงทราบตระหนกในพระหทัยเป็นอย่างดี จะยังคงทรงไว้วางพระราชหทัยให้คงรับพระราชกิจ
ใกล้ชิดใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอยู่หรือพระพุทธเจ้าข้า”
“คนมีลับลมคมใน จะไว้วางใจได้ที่ไหนเล่า” ตรัสตามที่ทรงประจักษ์ “คนอย่างนั้นก็คือคน

ที่เก็บเอาความเป็นศัตรูเข้าไวิในใจน่าซีท่านอาจารย์”

kalyanamitra.org
๑๙๒

“ด้ามโหสณ!เนคนมีลับลมคมในเล่าพวะพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกกราบทูลเน้นหนักหน่วง “ใต้


ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทวงเห็นว่า เขายังเป็นผู้'ที่ควรแก่ความไว้วางพระราชหทัย หวือจะทรงเห็นด้ง

พระราชดำรัสที่ว่าเป็นคนเก็บความเป็นศัตรูเข้าไวํในใจพระพุทธเจ้าข้า”

“แต่....มโหสกไม่มีลับลมคมในนึ่นา” ตรัสยืนยันมั่นคง

“มีพระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกยํ้าอย่างองอาจอีก “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงทดลองตูก็

จะทรงทราบด้วยพระปรีชาญาณพระพุทธเจ้าข้า ”
“จะให้ฉันทตลองด้วยวิธีไหน ถึงจะรู้ความมีลับลมคมในของมโหสก” ตรัสซัก

“ขอเดชะ เป็นวิธีง่าย รุ พระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกกราบทูลอย่างฉาดฉาน “ใด้ฝ่าละออง


ธุลีพระบาทโปรดมีพระดำรัสถามมโหสลดูว่า “ความคิดอ่านที่เป็นข้อเร้นลับควรบอกแกใคร” เพียงเท่านึ่

ก็เห็นด้วยเกลัาฯ ว่าใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงพบความมีลับลมคมในอันแฝงอยู่ในส่วนลึกของมโหสก

เหมือนเห็นพระฉายาลักษณ์ของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปรากฎในพระฉายทีเดียว”
“ถามเพียงเท่านึ่จะรู้ได้อย่างไร ท่านอาจารย์” ตรัสซักอีก

'ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจักทรงทราบได้พระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกยํ้าต่อไป “ด้ามโหสก


กราบทูลว่า “ไม่ควรบอกใคร” นั่นก็แปลว่ามโหสกเก็บความลับไว้รู้ผู้เดียว การณ์เป็นเช่นนึ่ก็เท่ากับมโหสก

มีความคิดอันเป็นฝ่ายตรงข้ามกับได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแฝงอยู่ เพราะการเก็บความคิดอ่านทีเป็นข้อเร้นลับ

ไว้เฉพาะตนผู้เดียว ส่อความมีลับลมคมในอยู่แลัว ขอได้ทรงพระกรุณาวิจารณ์เกิดพระพุทธเจ้าข้า”


“ฉันเห็นว่ามโหสกคงจะไม่เก็บความลับไว้กับตนผู้เดียวเป็นแน่” ตรัสด้วยทรงเซือมั่นในท่าน

เสนาบดีของพระองค์

“ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกลัาๆ ว่า หากเป็นผู้ไม่มีดวามคิดอ่านในทางม้กใหญ่ใฝ่สูงแลัว ก็ควร


จะเป็นด้งพระดำรัส แต่ด้าตรงกันข้ามก็คงเก็บไว้เป็นเรื่องเฉพาะตน จนกว่าความมุ่งมาดปรารถนาถึงที,สุด
เต็มบริบูรณ์แลัวนั่นแหละจึงจะยอมแก่ผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงทดลองดั้ง

เป็นพระราชปริศนาในท่ามกลางสันนิบาต จะทรงประจักษ์แก่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฝ่ายเดียวพระพุทธ

เจ้าข้า” ท่านเสนกกราบทูลเหมือนท้าพระเจ้าวิเทหราช
“ดีละ ฉันจะลองดูอย่างนั้น” ตรัสตกลง “รอให้มาพร้อม ๆ กันก่อนจะได้ลามหลาย รุ คน”
ด้งนั้น วันหนึ่งโอกาสแห่งป้ญหานั้นก็มาถึงแก'อาจารย์ทั้ง ๙ ท่านเสนาบดีหนุ่มแห่งวิเทหราช

และข้าราชบริพารเฝืาตามตำแหน่งในท้องพระโรง พระเจ้าวิเทหราชประทับเหนือพระราชอาสน์ภายใต้
พระมหาเศวตฉัตร ตรัสบริหารพระราชกรณีนานาเสร็จสิ้นแลัว มีพระดำรัสกับบัณฑิตทั้ง ๕ ทันที “ท่าน

ผู้เป็นบัณฑิตมาพร้อมกันทั้ง ๕ คนแลัว ป้ญหาปรากฎขื้นแก่ฉัน เข็ญสดับบัญหานั้น เรื่องราวที่เป็นความ


ลับจะเป็นข้อที่ควรสรรเสริญก็ดี ควรจะเปิดเผยแกใคร เข็ญท่านผู้เป็นบัณฑิตวินิจป้ญหานึ่ด้วยเถิด”

ท่านเสนกไม่รอให้พระปริศนาล่วงไปแม้แต่น้อย และก็ไม่ยอมให้ใครกราบทูลอะไรก่อน รีบ


ชิงกราบบังคมทูลพระเจ้าวิเทหราชโดยฉับพลัน “ขอเดชะพระบารมีเป็นที่ลันพ้น ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

kalyanamitra.org
๑ธโ'ธา

ทรงปกครองประชากร ทวงพระกรุณาชุบเลื้ยงพวกข้าพระพุทธเจ้าและปวงเสวกามาตย์ ต้องทรงมีพระราช

หฤทัยทนต่อพระราชภาระมิใช่น้อย แม้กระนั้นก็ยังทรงพระอุตสาหะอบรมพระปรีชาญาณ ด้วยทรงพระ


วิจารณ์พระราชปริศนาเป็นอเนกมัยด้งที่ได้ทรงประภาษมา ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานวโรกาสได้ฝ่า

ละอองธุลีพระบาท โปรดทรงพระวิจารณ์ แล้วทรงพระกรุณามีพระราชบรรหารแก่พวกข้าพระพุทธเจ้า


เป็นปฐม ข้าพระพุทธเจ้าซีงได้รับพระกรุณายกย่องในตำแหน่งราชบัณฑิต จะได้พิจารณาพระราชอัธยาศัย

ของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ชักริ'บพระราชทานกราบทูลแถลงสืบไปพระพุทธเจ้าข้า” คำกราบทูล


ของท่านเสนกทั้งนั้มีจุดประสงค์ที่จะน้อมน่าพระเจ้าวิเทหราชให้เป็นฝ่ายตนเสียก่อน จะได้เป็นผลแก่

แผนการณ์ทำลายล้างของตน

พระเจ้าวิเทหราช ตรัสแถลงพระอัธยาศัยของพระองค์ทันที
“ภริยาใต เป็นหญิงทรงศีลทรงสัตย์ ผู้อื๋นจะล่วงลํ้ากํ้าเกินไม่ได้ โอนอ่อนผ่อนตามความพอใจ

ของกัสตา น่ารักน่าซีนใจ บุคคลควรวางใจบอกความลับ ทั้งที่เป็นข้อควรติฉิน ทั้งที่เป็นข้อควรสรรเสริญ

แด่ภริยานั้น”
พระราชดำรัสทั้งนั้ เป็นที่ทราบกันในบรรดาเสวกามาตย์ว่า ทรงหมายถึงพระนางอุทุมพรเทวี
ท่านเสนกได้สดับแล้วก็กระหยิ่มใจเป็นอย่างยิง เพราะเห็นว่า “พระราชาเป็นฝ่ายตนแล้ว คราวนื้มโหสถ

เป็นอยู่มือแน่นอน” พลางกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระกรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าๆ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วย

เกล้าๆ ว่า”
“สหายใด เมึ๋อยามยากลำบากเดือดรัอน เป็นที่พึ่งได้ เป็นผู้ช่วยประคับประคองได้ เป็นผู้รับ

หน้าได้ ควรบอกความลับ ทั้งที่เป็นข้อควรสรรเสริญแก่สหายนั้น ”

พระเจ้าวิเทหราชตรัสสรุป “เข้าทีเหมือนกัน เพี่อนเช่นนั้นควรไว้วางใจได้ ก็คงเก็บเอาความลับ

ไว้ได้” พลางตรัสถามปุกกุสะต่อไป “อาจารย์ปุกกุสะเล่าเห็นอย่างไร ความลับของตนควรบอกแก่ใคร”


ปุกกุสะก็เปรมใจไม่น้อยเหมือนกัน ในการที่มองเห็นชัยชนะวิออย่เบองหน้า กราบทูลอย่าง

ฉาดฉาน
“พี่น้องคนใด จะเป็นพี่ชายใหญ่ พี่ชายรองหรีอน้องคนเล็ก แม้นเป็นคนดำรงในศีล จิตใจ

มั่นคงไม่โยกโคลง ควรบอกความลับทั้งที่เป็นข้อควรติฉิน ทั้งที่เป็นข้อสรรเสริญแก่พิ่น้องคนนั้น”

“ชอบกลเหมือนกัน พี่น้องอย่างนั้น ก็ควรวางใจไว้ความลับได้” ตรัสคล้อยตามแล้วถามกามินท้

ต่อไป “อาจารย์กามินท้เล่าเห็นอย่างไร ควรบอกความลับแก่ใคร”

กามินท้กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระกรุณาล้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า”


“บุตรคนใด เข้าถึงความปรารถนาแห่งหัวใจของบิดา เป็นอนุชาตบุตร มีความเฉลียวฉลาดไม่
เลวกว่าบิดา ควรบอกความลับทั้งที่เป็นข้อควรติฉิน ทั้งที่เป็นข้อควรสรรเสริญแก่บุตรนั้น"

“ลูกดีไว้ใจได้*’ ตรัสด้วยทรงสำราญพระหทัยแล้วตรัสถามเทวีนที “อาจารย์เทวีนทีเล่า เห็น

อย่างไร”

kalyanamitra.org
๑๙๔

เทวินท์กระหยิ่มใจไม่น้อย กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าๆ ข้าพระพุทธเจ้าเห็น

ด้วยเกล้าฯ ว่า”
“มารดาเลี่ยงบุตรด้วยความซิ่นใจด้วยความรัก ควรบอกความลับทั้งที่เป็นข้อควรสรรเสริญแก่

มารดานั้น”

“แม่รักลูกผูกซีวิตจิตใจไว้กับลูก ก็ควรวางใจได้” ตรัสด้วยพระหทัยโมทนา แล้วมีพระราช

ดำรัสแก่ท่านเสนาบดี “พ่อบัณฑิตเป็นอย่างไร ควรบอกความลับแก่ใคร”

ท่านเสนาบดีมุ่งจะแถลงหลักการของความลับ จึงกราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ ใด้ฝ่าละออง


ธุลีพระบาทผู้ทรงเป็นปีนประชาชาววิเทหรัฐ ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานวโรกาสกราบบังคมทูลหลักการ
ของความลับดังนิ้”

“อันความลับ ต้อวข่อนไม้ปีนความลับ ลันแหละด การแหร่วมรายความลับไม่ว่าแก่ใครๆ เปีน


ต้อนไม่น่าสรรเลร่ญเลย ท่านผู่ทเปีนธรขน เมอม่ระโยขนอัวไม่ท่าเร่จมวอดกลั้นไว'' ไม่ยอมเปีดเผยความลับ

เปีนอันขาด ด่อเม่อป'ระโยขน์ท่มุ่วหมายท่าเร่จแล้ว ลันแหละมวมูดดามสบาย”


ได้ทรงสดับเช่นนั้ พระเจ้าวิเทหราชทรงเปลี่ยนพระอาการไปทันที พระพักตร์ซึ่งผุดผ่องก็
หมองไป ดวงพระเนตรซึ่งสดใสก็ขุ่น ล่อว่าทรงเลียพระทัยอย่างลึกซึ่ง พระอาการบื้งดึงปรากฎซัดเจน

ท่านเลนกเห็นความเงียบปรากฎขื้น ก็ทราบได้ทันทีว่า “อุบายของตนเป็นผลแน่” จึงช่าเลึอง

ตาดูพระพักตร์พระราชาของตน พอดีกับทรงทอดพระเนตรมาประสบกัน ลายตาของท่านเสนกเต็มไป


ด้วยแววแห่งความยืนยัน คล้ายกับจะกราบทูลว่า “เป็นอย่างไรพระพุทธเจ้าช้า ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูล
ไว้แล้ว บัตนั๊ทรงสดับด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงเห็นความมีลับลมคมในของมโหสถ ซึ่งทรงยกย่องอย่าง

สูงนั้นแล้วหรือยังพระพุทธเจ้าข้า”

สายพระเนตรของพระเจ้าวิเทหราชนั้นคล้ายกับจะมีพระดำรัสยอมจำนน “ท่านอาจารย์กล่าว
ไว้จริงแล้ว ฉันเห็นแล้วเซึ่อแล้ว”
อาการกิริยาของพระเจ้าวิเทหราชและท่านเลนกทั้งนํ๋ไม่ได้ล่วงพันความสังเกตของท่านเสนาบดี

ไปได้ พอได้เห็นเช่นนั้นก็ทราบได้ทันทีว่า “คนทั้ง ๔ นื้ยุยงพระราชาไว้ก่อนแล้ว ที่ถามเป็นป้ญหาก็เพื่อ

จะทดลองเราเท่านั้นเอง”
เวลานั้นดวงอาทิตย์อัสดงคตลับดวงไปแล้ว ความมืดขมุกขมัวปกคลุมพื้นพิภพทั่วไป ในท้อง

พระโรงยามนั้น ความมืดได้เข้าครอบงำ ดูมัวซัว ทุกสิงที่ด้องอยู่ในอุ้งโอบของความมืด มองไม่กระจ่าง

ไปทั้งนั้น ความเพริศแพรวแห่งพระปิลันธนาภรถ่เที่เคยวาววะวาบวับเมื่อยามวัน ถึงยามนั้นก็ดูอับเศรัา

ไป ตลอดสรรพรัตนามาศอันเป็นเครื่องประดับประดาท้องพระโรงก็ดูหมองคลํ้า ประกอบเข้ากับความ

หม่นหมอง อันครอบครองพระหทัยของพระเจ้าวิเทหราชซึ่งแผ่กำจายออกสู่ปริมณฑลแห่งพระพักตร์
ผนวกเข้ากับความรู้สึกอึดอัดของท่านเสนาบดีในยามนั้น รวมทั้งความรู้สึกไม่สะดวก ในการที่จะกราบ

บังคมทูลให้พระราชวินิจฉัยเด็ดขาดในทางที่จะเป็นประโยชน์ฝ่ายตนของอาจารย์ทั้ง ๔ เข้าไปอีกด้วย ยิ่ง

kalyanamitra.org
๑๙๕

ทำให้'ท้องพระโรงอันเคยชัชวาลกลับมีดคลุ้มลงไปกว่าเดิม ดวงประทีปได้ถูกนำมาตั้งดามที่แล้ว ที่เป็น

ประทีปแขวนก็ได้ถูกจุดร้นแล้วอย่างแจ่มแจ้ง แม้กระนั้นก็หาได้บรรเทาประทังความมีดคลุ้มในบุคคลให้
หายไปไม่ ความไม่กระจ่างแจ่มแห่งใจ ท้าให้ทุก จุ สิงที่เห็นกลายเป็นมัวไปหมด มีหนำชํ้ายังมีความเงียบ

ฉี่ เงียบสนิทเพราะต่างก็นิง-นิงคิด-นิงคำนึง ยิงทำให้เกิดความวังเวง

ท่านเสนาบดีดำริในใจ ในเมื่อเห็น่พระอาการดุษณีของพระเจ้าวิเทหราช และอาการของคณะ

อาจารย์ “ขืนอยู่ข้าจะไม่เป็นการดี การกระทำของจอมราชที่เป็นการรุนแรง ดามธรรมดาไม่ค่อยมีใครรู้


จะทรงกระทำอย่างไร ก็ทรงมีพระดำรัสสั่งทันทีมีให้ท้นรู้ตัว ใครจะไปคาดรู้ได้ว่าอะไรจะบังเกิด ควร

ที่เราจะด้องกลับไปเสียก่อน” เมื่อความเงียบยังครอบครองสถานที่นั้นอยู่ ก็ลุกร้นจากอาสนะ ถวายบังคม

เดินออกจากท้องพระโรงโดยไม่มีผู้ใดทักท้วงหน่วงเหนี่ยวเลย

พอท่านเสนาบดีลับตัวไป ท่านเสนกชึ่งรอโอกาสเช่นนั้นอยู่ด้วยความอึดอัดใจ เพราะตนจะ


กราบทูลอะไรกับพระราชาไม่ได้ ในเมื่อท่านเสนาบดียังอยู่หนำพระที่นั่ง เมื่อท่านไปเสียแด้ว ก็เป็นอัน

หมดผู้กีดหน้าขวางตา ก็กราบทูลพระเจ้าวิเทหราชทันที “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทผู้ทรงอานุภาพ


ยิ่งใหญ่ ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมาแต่ก่อนว่า มโหสถเป็นผู้มีลับลมคมใน คิดอ่านอะไร ก็ไม่ยอมเปิดเผย
ให้ใครรู้ เก็บเป็นความลับเฉพาะตนผู้เดียว ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็มิได้ทรงเห็นด้วย บัดนี่เป็นอย่างไร

เล่าพระพุทธเจ้าข้า”

เป็นทีแล้ว อีกสามอาจารย์ก็ถือโอกาสเสริมส่งด้วยคำเพ็ดทูล ซึ่งรวมลงแล้วว่า “มโหสถเป็น

บุคคลที่ไว้วางใจไม่ได้”

คำเพ็ดทูลของคณะอาจารย์ได้ผลดังคาดหมาย ทำให้พระหฤทัยของพระเจ้าวิเทหราชสะดุ้ง

เหมือนพระวิจารณญาณของพระองค์ถูกความระแวงคลุมเลียหมดลน แล้วพระหทัยของพระองค์ทรง
น้อมไปตามคำเพ็ดทูลของคณะอาจารย์ทั้ง ๔ ตรัสกับท่านเสนกว่า “ท่านอาจารย์เลนกผู้บัณฑิต คราวนี่

เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ”

พระราชดำรัสเป็นทำนองทรงหารือนี่ สมใจท่านเสนกเป็นยิ่งนัก กราบทูลทันที “ขอเดชะ

จะรอไว้เนี่นนานไม่ได้แล้วพระพุทธเจ้าช้า ต้องรีบกำจัดมโหสถเลียเงียบ จุ ไม่ให้อีอฉาว จึงจะชอบพระ

พุทธเจ้าข้า”

“ท่านอาจารย์เสนก นอกจากพวกท่านแล้ว ฉันไม่เห็นใครสักคนเดียวที่จะมุ่งประโยชน์แก่ตัว

ฉัน” ตรัสด้วยพระสุรเสียงแสดงอาการน้อยพระทัย “พวกท่านจงชวนผู้ร่ามใข็กันซุ่มอยู่ที่ประตูวัง เมื่อ

มโหสถมาเฝ็าจงรุมตัดศีรษะเสียด้วยพระขรรค์นี่เถิด” ตรัสแต้ว พระราชทานพระขรรค์แก้ว อันเป็นพระแสง

ประจำพระองค์ แก่คณะอาจารย์ทั้ง ๔

คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ดีใจยิ่งนัก แทบจะโลดลอยกันทีเดียว ต่างคนต่างกราบบังคมทูล “ขอเดชะ

พระองค์ผู้สมมุติเทพเจ้าโปรดทรงวางพระราชหฤทัยเถิดพระพุทธเจ้าข้า” อย่าได้ทรงหวาดหวั่นพรั่นพรึง

kalyanamitra.org
® (ธิที่ ๖

ไปเลย พวกข้าพระพุทธเจาชักรับอาสาฆ่ามโหสถเสีย เพื่อมิให้เป็นเสยนหนามระคายเคืองเบื้องบาทยุคล

ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทสืบไปพระพุทธเชัาข้า”
กราบทูลแล้วก็เลยพากันถวายบังคมลาออกจากที่เฝืา ด้วยความยินดีปรีดาปานว่าได้ผ่านสมบัติ

บรมจักรพรรดิฉะนั้นเทียว

kalyanamitra.org
๒๖. ความลบรว
ท่านมไหสกเสนาบดี เดินออกมาจากพระราชฐานด้วยจิตชันหมกมุ่น คิดกึงด้อยคำของคณะ
อาจารย์ทั้ง ๔ ที่กราบทูลแด่พระเด้าวิเทหราช ด้อยคำทั้งนั้น ชวนให้คิดชวนให้ด้น เสนกกราบทูลว่า “ควร

บอกความลับแก่สหาย ปุกกุสะกราบทูลว่า ควรบอกความลับแก่พื้น้อง กามินท้ว่า ควรบอกความลับแก่


ลูก เทวินท้ว่าควรบอกความลับแก'แม่” เมื่อย้อนเอาด้อยคำของคณะอาจารย์มารำพึง พลางตัดสินว่า “ที่

ทุก *1 คนกราบทูลนั้น กุ ด้องเป็นเรื่องที่ตนกระทำไว้ทั้งนั้น พวกนั้นเห็นประจักษ์แล้วทั้งนั้น ดึงได้มา


กราบทูลเช่นนั้น กุ ต้องพยายามหาทางรู้ความลับของพวกนั้นให้ได้ในวันนี”้ พลางก็ดำริกึงวิธีการที่จะ
ลัวงความลับของคณะอาจารย์เรื่อย กุ มาจนออกจากประตูพระราชวัง เหลือบเห็นลังข้าวใหญ่ควํ่าอยู่ข้าง

ประตูพระราชวัง ก็พบวิธีที่จะลัวงความลับของคณะอาจารย์ได้ ทั้งนี้เพราะท่านเสนาบดีเคยสังเกตมา

เรื่อย กุ ว่า “คณะอาจารย์ทั้ง ๔ เมื่อออกจากเฝ็าแลัว ต้องนั่งประชุมกันบนลังข้าวนั้นปรึกษาหารือเรื่อง

ด่าง กุ กันก่อน แลัวจึงด่างคนด่างกลับไปบ้านเช่นนี้ทุกวัน” ท่านเสนาบดีเห็นช่องแลัว ก็ตัดสินใจ “ได้

การละ ความลับของคณะอาจารย์ไม่พ้นความรู้ของเราไปได้”
ตกลงใจแล้วท่านก็บัญชาให้บริวารเผยอลังข้าวนั้นร้น เอาเสื่อปุลงที่พื้นก่อนที่จะเข้าซ่อนตน

น้ดหมายกับบริวาร “เมื่อบัณฑิตทั้ง ๔ ปรึกษากันเรียบร้อย พากันไปแลัวค่อยมารับเรากลับบ้าน ขณะนี้

พากันหลบไปเสียก่อน” เมื่อพวกบริวารรับคำแลัว ท่านก็เข้านอนอยู่ในลังข้าวนั้น


คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ออกจากที่เฝืา เดินกระหยิ่มยิ้มย่องกันมา ต่างคนด่างคิด “คราวนี้ได้เห็น

หลังศัตรูของเราแน่” พอมาดึงลังข้าวสาร ก็พากันนั่งบนหลังลังช้าวสารตามเคย


“เออ นี่แน่ะพวกเรา” ท่านเสนกเอ่ยร้นด้วยเสียงแจ่มใสชื่นบานภายหลังที่ทุกคนได้นั่งเรียบร้อย

แลัวและมองตูรอบแลัว “ใครจะเป็นคนฆ่ามโหสกล่ะ”
“ผมเห็นว'าผู้ที่เหมาะสมแก่หน้าที่นั้น คือท่านอาจารย์ผู้เดียว” ปุกกุสะเสนอ พลางหันไปทาง

อีกสองคน “หรือคนทั้งสองเห็นอย่างไร ใครเป็นผู้เหมาะสมแก่หน้าที่นั้น”

“จริงของคุณปุกกุสะแลัว ไม่มีใครเหมาะเท่าท่านอาจารย์” กามินท้รับรอง “ท่านเป็นเด้าของ


ความคิดมาแด่แรกแลัว พวกเราเป็นผู้ช่วยส่งเสริมเท่านั้น ”
“ต้องเป็นท่านอาจารย์ผู้เดียวเท่านั้น” เทวินท์ยํ้าหนักแน่น “แผนอุบายนี้ท่านคิดมาแด่ด้นแลัว

ครั้นจะเป็นผลสำเรึจเด็ดขาด คนอื่นจะมาช่วงชิงเอาไปเสียหาเหมาะไม่ ท่านตั้งด้นมาแล้ว ท่านก็ควรลงท้าย

ของท่านเอง”

kalyanamitra.org
® (๗!

“พวกคุณก็พลอยได้รับผลแห่งแผนของผมไปตาม รุ กัน” ท่านเสนกประชดเป็นเชิงเยัา “ผม

จัดแจงหุงด้มคดใส่ชามให้เสร็จ เชิญคุณเปิบกันตามสบาย”
“พุทโธ่ครับ” เทวินท์อ้อนวอน “พวกผมสติปัญญาไม่หลักแหลมเท่าท่านอาจารย์นี่ครับ ที่
ดำรงคงดีอยู่ได้ทุกวันนี่ก็เพราะท่านอาจารย์อุ้มชูไว้ ยิ่งด้วผมเองด้วยแล้วเป็นเช่นนั้นจริง รุ แม้นท่านอาจารย์

ไม่อุ้มชูแล้วก็ไม่แน่ใจในฐานะของตนเลย โปรดกรุณาให้ตลอดเชิด ไหน รุ ท่านก็ริเริ่มมาแล้วจะให้ผู้อื่น

มาเด็ดยอดไปกินเสียทำไมครับ” หันไปพูดกับอีกสองอาจารย์ “คุณทั้งสองก็เช่นเดียวกัน คงไม'มีใคร


กระหยิ่มจะรับหน้าที่นี่ เพราะเป็นการอดสูเหลือประมาณ ที่จะเด็ดผลชิ้นสุดท้ายมาเป็นของตนเอง โดย

มิได้เป็นผู่ริเริ่ม หรือว่าอย่างไร”

“เทวินท์พูดถูกแล้ว” ปุกกุสะและกามินท์รับรองเป็นเอกฉันท์
“เมื่อคุณทุกคนมีความเห็นเช่นนี่ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น” ท่านเสนกรับหน้าที่เป็นคนฆ่าท่านเสนาบดี

แล้ว กล่าวต่อไปเพื่อจะล้วงถามความลับของอาจารย์ทั้งสาม “คุณปุกกุสะกราบทูลแด่พระราชาของเรา


ว่าควรบอกความลับแก่พิ่น้อง คุณกามินท์กราบทูลว่าควรบอกแก่ลูก คุณเทวินท์กราบทูลว่าควรบอกแก่

แม่ ผมขอถามพวกคุณสักหน่อยเถอะ พวกคุณทำอย่างนั้นเอง หรือเพียงแด่รู้เห็นมา ได้ยินได้พีงมา”


ทั้งสามอาจารย์รับว่า เป็นข้อที่ประจักษ์แก่ตนเองทั้งนั้น แล้วย้อนถามท่านเสนกบ้างว่า “ข้อ
ที่ท่านอาจารย์กราบทูลว่าควรบอกความลับแก่เพื่อนนั้นเล่าครับ ท่านอาจารย์ทำเอง หรือได้ยินได้พีงมา

หรือว่าได้พบได้เห็นมา”
“ผมทำอย่างนั้น เพราะความลับของผมอยู่กับเพื่อน” ท่านเสนกสารภาพ พลางลามทั้งสาม
อาจารย์ถึงความลับที่ตนกระทำ

อาจารย์ทั้งสามไม่ยอมบอกก่อน เกี่ยงว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านอาจารย์โปรดเล่าไห้พวกผมพีงเชิด

ครับ แล้วพวกผมจะเล่าให้ท่านอาจารย์พีง”
“มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ถ้าพระราชาของเราทราบเรื่องนี่เข้าแล้ว ผมเป็นต้องโทษประหาร
ซีวิตแน่นอน” ท่านเสนกบ่ายเบี่ยง

“ไม่เป็นไรดอกครับ ท่านอาจารย์ พวกผมพยายามปกปิดความลับของท่านไว้ เสมือนเป็นความ


ลับของตนเอง พวกผมรับประกันความแพร่งพรายแห่งความลับของท่านอาจารย์เต็มที่ ณ ที่นี่ไม่มีใคร

จะเปิดเผยความลับของท่านเลย พวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมาทั้งนั้น เชิญเล่าเชิดท่านอาจารย์” ทั้งสาม


ให้คำมั่นสัญญาอย่างจริงใจ

ท่านเสนกตกลงใจที่จะเล่าให้พรรคพวกพีง แต่ยังไม่วางใจสนิท เอาเล็บเคาะถังข้าวกล่าวว่า

“มโหสถอยู่ใด้นี่กระมัง” ทำไปด้วยความหวั่นเกรงเท่านั้น มิได้มีความหวาดระแวงจริงจัง

“ท่านอาจารย์หวั่นไปได้*’ ทั้งสามอาจารย์ขัดเป็นเชิงตำหนิ “มโหสลเป็นคนมัวเมาด้วยความ

ยิ่งใหญ่ของตน ไม่ยอมเข้าไปชุกช่อนอยู่ใต้นี่ดอก ป่านนี่มิคำลังหมกมุ่นอยู่ด้วยศฤงคารบริวารยศของตน

ครึกครื้นอยู่แล้วหรือ ไปวิตกถึงทำไม มืดคำป่านนี่แล้วแกไม่มาอยู่ดอก เชิญเล่าเชิด”

kalyanamitra.org
๑๙๙

“คุณทั้งสามเคยรู้จักนามเรวดีหรือเปล่า” ท่านเสนกเริ่มเรื่องของตน “เรวดีหญิงแพศยาน่ะ”

“ทำไมจะไม่รู้จักครับ” ทั้งสามรับรอง “ใครไม่รู้จักเรวดีก็มิใช่ชาวมิสิลาละ หรือใครมามิสิลา

มิได้พบกับเรวดีจะไปคุยกับใครไม่ได้ว่า “มิสิลานครฉันไปมาแลัว” ท่านอาจารย์ถามทำไม”


“เดํ่ยวนี่ พวกคุณพบนางบ้างหรือเปล่า” ท่านเสนกถามต่อไป

"ไม่พบนานแลัว” ทั้งสามคนตอบ “หายหน้าไปนานแล้ว ไม่ได้พบกันเลย”


“นั่นแหละความลับของผมละ” ท่านเสนกเริ่มขยาย “วันหนึ่งผมกับเรวดีชวนกันไปร่วมอภิรมย์

ชมชิน ณ อุทยานสาลวัน วันนั้นเรวดีแพรวพรายไปด้วยเพชรรัตน์รายรอบ ตรงกลางมีเพชรรัตน์ข้ตดิยา


ชาติขนาดใหญ่นํ้าแดงเหมือนผลมะพลับสุก พิจารณาดูในลูกแล้ว จะเห็นเป็นรัศมี ขาว เหลือง ตำ เขียว
และสีรู้ง ยามเมือตองแสงแดดเห็นเป็นดวงประกายระยิบระยับ พวยพุ่งออกจากเหลี่ยม เป็นสีเบญจรงค์

ด้านละ ๘ ดวง คุณเอ๋ย! เพชรวิเศษลูกนั้นเป็นชนิดยอดเยี่ยมหนักหนา เรวดีเธอประดับไปกับผมเพื่อ

ความรื่นรมย์อันสุดวิเศษคราวนั้น ยิงพิศแลัวยิ่งอยากจะได้เป็นสมปติของตนเลียจริง

เป็นการยากเกินไปคุณทั้งสาม ที่ผมจะเอ่ยปากขอจากเรวดี เพราะทราบกันดีแลัว หญิงพวก

นั้นยากนักที่มีใจกวัางขวาง ถึงกับสละสิ่งมีค่าเช่นนั้นให้แก,ใคร คุ นางเป็นแต่ฝ่ายรับ เคยเป็นแต่ฝ่ายรับ


เท่านั้น ความเป็นฝ่ายให้นั้น ไม่เคยติดอยู่ในจิตใจของนาง ทั้งการเอ่ยปากขอของรักของใคร คุ ก็เป็นที่

ตำหนิกันมาแต่นานแลัวว่า ผู้ขอจัดนั้นย่อมเป็นที่เกลียดซัง นิติธรรมอันนี่ยังคงฝังอยู่ในใจ ผมจะขอนาง

ไม่ได้แลัวคุณเอ๋ย
แต่ความอยากเป็นเจัาของกรองศอเพชรสายนั้นเล่า ก็มีอำนาจหนักหนา มีกำลังเรียวแรงเป็น
ยิ่ง ทำให้ดวงใจผมมืดมิดไปหมด ด้องการแต่จะให้ได้มาเป็นสมบัติของตนเท่านั้น ความละโมบนั่นเที่ยว

ครอบงำจิตใจจนมืดมิด
ในที่ลุด ณ สุมทุมพุ่มพฤกษ์อันร่มรื่น และเป็นทีมิดชิดปิดบังนัยน์ตาของคนภายนอก เราได้

เลือกเป็นสถานที่อำนวยความอภิรมย์ระรื่นสุดแสนหฤหรรษ์ และแล้วความโลภอันรัายแรงด้งกล่าวนั้น

บันดาลเดชทำให้ผมฆ่านาง-ฆ่าด้วยมือผมทั้งสองนี่ คอระหงอย่างนั้นนึ่คุณเอ๋ย จะทนต่อความบีบเด้น

ได้เท่าไรนักหนา
ความโลภมีซัยทุกอย่าง บันดาลความปรารถนาแก่ผมแลัว กรองศอเพชรสายนั้นเปลี่ยนมาเป็น

สมปติของผม ภายหลังที่ได้ซอนร่างน้อย คุ ของนางไว้ในหลุมกลบเสียมิดชิดแล้ว ความโลภช่างเป็นเพื่อน

ที่น่ารักเลียเหลือแสน แต่แลัวก็ประหลาดเหลือละคุณทั้งสาม ความชินชมในผลสำเร็จด้งปรารถนามิได้

มีเลย หลังจากวันนั้นเป็นด้นมา ผมมีแต่ความหวาดระแวงเหมือนเรวดีในกายทิพย์ได้คอยกระซิบใกลั คุ


หู “มึงคุ ไอัเสนก! นี่หรือราชบัณฑิตของแคว้นวิเทหะ! นี่หรือราชบัณฑิตของมิสิลานคร! นี่หรือท่าน

ราชวัลลภาจารย์แห่งวิเทหราช อนาถใจจริงละ มองดูเพียงผิวดูเกลี่ยงเกลา แต่ครั้นเห็นภายในของมึงแลัว


แลนรก แสนสกปรก แสนจะรุงรัง” “ไอ้ขี้ควาย” เหมาะนักที่ควรจะเรียกมึงว่า “ไอ้ขี้ควาย” เพราะมัน
เกลี่ยงแต่ข้างนอก ข้างในขรุขระสิ่นดี ” เลียงกังวานด้งว่านี่มันแว่วเป็นเสียงกระซิบกระชาบดลอดมา มิ

kalyanamitra.org
๒๐๐

หนำซาบางคราวยังมีเสียงแสดงความอาฆาต “คงมีวันหนึ่งเสนกเอ๋ย ที่ซ็วิตจะต้องชดใชัอีวิต”

เสียงกังวานแว่วต่าง *1 ได้มีกำลังกัองชื้น ทำให้ผมหวาดผวาและสะดุ้งสะเทือนตลอดมา เครื่อง


ประดับนั้นก็ไม่กลัาใชั ได้มาแลัวก็คงเอาไปแขวนไวัที่ไม้ขอสำหรับแขวนดึงของในห้อง นึ่งผมไม่ต้องการ
จะเหยียบย่างเข้าไป ความหลังของผมมันเร่งเรัาใจผมตลอดเวลา ความผิตในซีวิตมันรัายแรงสุดแสนที1ผม
จะเก็บความลับไว้เฉพาะตน ต้องนำไปเล่าให้เพื่อนรักคนหนึ่งฟังช่วยบรรเทาความกลัดกลุ้มลงไปได้ นอก
จากนั้นแล้วก็ไม่เคยบอกใครเลย ด้วยเหตุนึ่ผมจึงกราบทูลพระราชาว่า “ควรบอกความลับแก่เพื่อน”
“พวกคุณฟังเรื่องของผมแล้ว อย่านำไปบอกเล่าให้ใครฟังเป็นอันขาด ล้าความเรื่องนึ่ทราบถึง
พระกรรณของพระราชาเมื่อไร ก็เป็นอันว่า พวกคุณกับผมต้องแยกไปอยู่กันคนละโลก ไม่ได้อยู่ร่วมโลก
กันต่อไป” ท่านเสนกกำซับในตอนท้ายแล้วเลยทวงปุกกุสะ “คราวนึ่คุณปุกกสะต้องเล่าให้พวกเราฟัง

อย่าอิดเอื้อนทีเดียว”
“พวกคุณคงจะเคยได้เห็นคราวที่พระราชาทรงโปรดปรานผม มีพระกระแสรับสั่งเรียกผม

เข้าไปใกลัที่ประทับในเวลาทรงพระสำราญ แล้วพระองค์ก็บรรทมหนุนขาของผมอยู่บ่อย *1” ปุกกุสะ


เริ่มขยายความลับของตน “และเมื่อบรรทมตามพระราชอัธยาศัยแล้ว ก็มักจะมีพระราชกระแสรับสั่งว่า

“ขาของอาจารย์ปุกกุสะนุ่มดี” นั่นแหละเป็นความลับยิ่งยวดในซีวิตของผม เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเช่น


เดียวกัน เรื่องนึ่ใม่มีใครรู้นอกจากน้องชายคนเล็กของผมคนเดียวเท่านั้น”
“คงจะเป็นข้อน่าสงสัย ทำไมผมถึงเห็นเป็นเรื่องสำคัญในเมื่อพระราชาทรงโปรดปรานถึงเพียง
นั้น ไม่ต้องสงสัยดอกพวกคุณ ที'เป็นเช่นนั้น เพราะขาของผมเป็นชื้เร้อน ผมพยายามปกปิดเป็นหนักหนา

ไม่มีใครรู้เว้นแต่น้องชายเท่านั้น แกก็ไม่เคยบอกใครเลย แกล้างแผลให้ ใส่ยาให้ แล้วพันผ้าให้ บริเวณ


ขาของผมตอนนั้นมีผ้าพันอยู่ จึงมีสัมผัสนุ่มเป็นที่โปรดปรานสำราญพระราชหฤทัยของพระราชาแห่ง

พวกเรา”
“เรื่องนึ่เป็นความลับนึ่งผมปกปิดหนักหนา นอกจากน้องชายแล้วไม่เคยบอกผู้ใดเลย เพิ่งจะ

นำมาเล่าให้พวกเราฟัง เพราะเห็นว่าร่วมยากมาด้วยกันตกอยู่ในฐานะอันเดียวกัน อย่างไรเสียคงไม่ลิด


ทำลายล้างกันเป็นแน่ ขฺอให้ท่านอาจารย์และคุณกามีนท์ คุณเทวินท์ช่วยปกปิดให้ผมด้วย มันเป็นเรื่อง

เกี่ยวกับความมีซีวิดหรือความไม่มีซ็วิตของผม ล้าพระราชาทรงทราบก็หมายความว่าผมไม่มีซีวิตต่อไปละ”
ทั้งสามคนยีนยันจะช่วยกันปกปิดให้มีดเมัน แต่ไม่มีใครทราบว่ายังมีบุคคลอีกผู้หนึ่ง นึ่งไม่อยู่
ในวงของตน ได้กำหนดความลับนึ่ใว้อย่างแม่นยำ คือผู้ที่ทุกคนลิดว่า “ป่านนึ่คงกำลังหมกมุ่นมัวเมาด้วย

ศฤงคารบริวารยค” นั่นแหละ

กามินท้ไม่ด้องรอให้เตือน เอ่ยความลับของตน “ท่านอาจารย์และท่านปุกกุสะกับเทวินท้ ล้า


คุณไปบ้านผมในวันสิ้นกาฬบ้กษ์ คือวันแรม ๑๕ คํ่าหรือแรม •๔ คำ แล้วแต่เตือนไหนจะเป็นเตือน
คู่หรือเตือนที่ คุณจะพบประตูบ้านผมปิดสนิทไม่มีผู้ใตจะสามารถเข้าไปพบกับผมได้ และพรัอมกันนั้น
จะได้ยินเลียงมหรสพถึกกัองอยู่ที่ประตูบ้านภายนอก ประดุจว่ามีงานครึกครืนรื่นเริงทุก *1 วันดึนบ้กษ์

kalyanamitra.org
๒๐๑

ทีเดียว นั่นแหละความลับของผมละ’,

“ทำไมผมจึงว่านั่นเป็นความลับของผม เรืองมีอยู่ว่าผมนึ่เป็นคนมีเวรมีกรรมประจำตัวมานาน

แล้ว ไม่ทราบว่าจะแก้ไขได้อย่างไร คือพอถึงวันสิ้นกาฬบักษ์ ก็มียักษ์ตนหนึ่งนามว่านรเทพ เข้าสิงใน

ร่างกายของผมทุกคราวมา เมื่อนรเทพเข้าสิงแล้ว จะกระทำให้ผมปราศจากความรู้สึกนึกคิคเช่นคนปกติ


ทำให้ผมรองครวญคราง มีเสียงเห่าหอนเหมือนสุนัขบัา เป็นเช่นนึ่มาทุก กุ วันสิ้นกาฬบ้กษ์”

“ความข้อนึ่ไม่มีใครทราบ นอกจากลูกชายของผมคนเดียวซ็งผมบอกให้แกรู้ เพราะฉะนั้น เมื่อ

ถึงวันนั้นละก็แกไม่ยอมให้ผมไปไหน เมื่อเห็นผมเริมถูกผืเข้าสิง ก็ชัดการให้ผมนอนเสียในห้องชันใน ปิด


ประตูขังไว้ ส่วนแกออกมาอยู่ข้างนอกชัดการให้มีมหรสพขื้นที่ประตูบ้านอย่างครื้นเครง เพื่อจะอาศัยเสียง

มหรสพกลบเสียงของผมซึ่งหอนเห่าอยู่อย่างสนั่นภายในห้องเรือน ลูกชายปกปิดความลับของผมไวัมิให้

แพร่งพราย”
“ท่านอาจารย์และคุณทั้งสองลองคิดตูเถิด ลัามีคนรู้ความลับของผมแล้ว จะเป็นอย่างไร ยิ่ง

ทรงทราบถึงพระกรรณของราชาด้วยแลัว ก็หมายความถึงสิ้นซีวิดเท่านั้นเอง นึ่เป็นความลับของผม ลูกชาย

เท่านั้นที่รู้ผมจึงกราบทูลดังที่เราทราบกัน”

“ถึงวาระของคุณเทวินท์บ้างละ” ท่านเสนกเตือน “คุณกราบทูลว่าควรบอกความลับแก่แม่


นั้นคุณมีความลับอย่างไร จงนำมาเล่าสู่กันฬง พวกเราทั้งสามก็ได้เปิดเผยความลับของตน *1 หมดแล้ว

เชิญคุณเล่าความลับของคุณเถิด”
“ท่านอาจารย์ไม,เตือนผมก็ด้องเล่าอยู่แล้ว” เทวินท้เสียงอ่อน “เมื่อท่านอาจารย์กับพรรคพวก
ล่มห้วกันแล้ว ผมก็จมท้ายด้วยเสมอ ไม่มีทางที่จะเอาตัวหลีกปลีกไปได้ ท่านอาจารย์เป็นผู้กำกับนาวา

ที่เราร่วมกันมา เป็นก็เป็นด้วยกันดายก็ตายด้วยกันซีครับ ”

“อย่ารํ่าไรเลย เล่าเรื่องของคุณเถิด” ท่านเสนกเตือนชํ้า

“เรื่องของผมก็เป็นเรื่องสำคัญเท่า กุ กับเรื่องของท่านอาจารย์และคุณทั้งสอง” เทวินท์เริม

อารัมภบท “ท่านอาจารย์ คุณปุกกุสะและคุณกามินท้ คงจะได้เคยเห็นความสำคัญของผมในเวลาเข้าเฝืา

อยู่ด้วยกันแล้ว เวลาเข้าเฝ็าพระราชาของเราพร้อมกัน พระราชาเป็นด้องทรงท้กทายผมก่อนใครทีเดียว


นึ่เป็นความลับสำคัญยิ่งในซีวิต ผมปกปิดที่สุดทราบแต่มารดาของผมผู้เดียว”
“ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอานุภาพของดวงแก้วมณีเป็นเครื่องเชิดชูสง่าราศี ซึ่งท้าวคักรินทร์เทวราช

โปรดประทานแด่พระเชัากุสราช แต่กาลก่อนโนัน เพื่อให้พระเชัากุสราชผู้มีพระรูปปราศจากความสวยงาม


ได้ทรงประดับสำหรับพระองค์ ท้าให้ทรงสมบูรณ์ด้วยพระสิริอันสูงส่ง เป็นดวงแก้วที่อำนวยสวัสดีมงคล
อย่างยอดเยิ่ยม ดวงมณีรัตน์ดวงนั้นได้ตกทอดเป็นพระราชมรดกถึงพระราชาแห่งเราในทุกวันนึ่ ”

“คราวหนึ่ง พระเชัาวิเทหราชตรัสให้ผมนำมณีรัตน์ต่าง กุ ซึ่งเป็นพระราชมรดกไปทำการข้ดสี

ฉวิวรรณ เพราะผมเป็นผู้ข้านาญพิเศษในทางเจียระไนรัตนะ เมื่อได้โอกาสเช่นนั้น ก็เลยขโมยดวงมณีรัตน์

อันหาค่ามิได้นั้นไปเป็นสมบัติของตนเสีย โดยมอบให้มารดาเป็นผู้รักษาไว้ ถึงเวลาจะเข้าเฝืามารดาก็นำ

kalyanamitra.org
๒๐๒

ดวงมณีรัตน์นั้นมาให้ผม ผมก็เพ่งดูดวงมณีดื่มสิริมงคลจากดวงมณีรัตน์นั้นเข้าสู่ตนด้วยสายตา แลัวก็คืน

ให้มารดาเก็บไว้ดังเดิม”

“ด้วยวีธีนึ่ เวลาผมเข้าเสาพรัอม *1 กับผู้อื่นแม้แด'ท่านอาจารย์และพวกเรา พระราชาก็ทรงทักทาย

ปราศรัยกับผมก่อนเพื่อน และผมมักจะได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลวันละ ๘ กษาปณ์บ้าง ถึง ๒๔

กษาปณ์บ้าง ถึง ๖๔ กษาปณ์ก็เคยมีทุก *1 วัน”

“อานุภาพของดวงมณีรัตน์นั้น ไม่มีผู้ใดล่วงวู้เลยแม้แต่พระราชาก็ไม่ทรงทราบ หากพระองค์


ทรงทราบเมื่อใดนั้น ข็วิตของผมก็เป็นชันเสร็จสั้นกัน นึ่เปันความลับของผม เมื่อชึ่งวู้แด'มารดาเท่านั้น

และผมเซึอในพระกรุณาคุณของแม่ว่า อย่างไรก็ไม่คิดทำลายลูกรักของท่าน มีแต่จะสนับสนุนส่งเสริม


ลูกให้มีความสุขความเจริญยิ่ง *1 ขื้นถ่ายเดียว ดังนั้นผมจึงกราบทูลว่าควรบอกความลับแก่มารดา”

คณะอาจารย์ทั้ง ๔ มานั่งประชุมกันเล่าความลับสู่กันพัง เหมือนดังผ่าอกของตน *[ แต้วสาวไส้


ออกมากองไว้ภายนอก ซึงท่านเสนาบดีได้กำหนดไวัถี่ถ้วนในความทรงจำ โดยพวกนั้นหาได้วู้สึกตนแม้

แต่นัอยไม่ ครั้นแต้วท่านเสนกได้เอ่ยขื้น “พวกเราร่วมมือกันมา ร่วมคิดกันมา เป็นเวลา ๑0 ปีแต้ว ที

จะทำลายบุคคลซึงเป็นผู้กีดขวางเรา ถึงกับทำให้เราได้รับความอัปยศอดสูแทบจะดูหนัาชาวมิถิลามิได้
มาด้วยกัน ครั้งนึ่เป็นครั้งสุดท้ายแต้ว พวกคุณอย่าได้ประมาทเลินเล่อเผลอไผลเป็นชันขาด พรุ่งนึ่ต้อง

พากันมาแต่เข้าตรู่ จักได้ร่วมมือกันจับไอ้ลูกบ้านนอก ฆ่าเสียให้สั้นเสั้ยนหนาม”

ทุกคนรับคำของท่านเสนก แลัวก็พากันลุกขื้นแยกย้ายกันกลับบ้านเรือน

คณะอาจารย์ทั้งสี่พากันลุกไปหมดแต้ว คนของท่านเสนาบดีก็พากันมาเปิดถ้งข้าวพาท่านกลับ

บ้าน

ท่านเสนาบดีกลับถึงเรือน เมื่อราตรืได้ผ่านไปนานแต้ว อาบนํ้าบริโภคอาหารด้วยความสบายใจ


อิ่มหนำสำราญแต้วดำริในใจว่า “วันนึ่พระนางอุทุมพรเทวี พระพี่ของเราคงส่งข่าวมาบอกจากในวังเป็น

แน่” คิดแต้วก็เรียกคนสนิทคนหนึ่งมาสั่งว่า “เจ้าจงคอยระวังอยู่ทีประดู หากมีใครออกมาจากวังด้องการ

จะพบเราละก็ รีบพาไปหาเราทันทีทีเดียว” สั่งเสียแต้วก็เข้ามานอนพักผ่อน เพื่อออมกำลังไว้ตอนรับกับ

เหตุการณ์ในวันรุ่งขื้น

ราตรีกาลนั้น พระเจ้าวีเทหราชเสด็จเข้าสู'พระแท่นบรรทม พระองค์มิได้ทรงผาสุกในพระ


หฤทัยเลย ทั้งนึ่ด้วยทรงหวนระลึกถึงความดีของท่านเสนาบดีที่ประกอบไว้ครั้งอดีต ทรงย้อนรำลึกไป

ถึงว่า “พ่อมโหสถเป็นบัณฑิตมีความเฉลียวฉลาดรอบรู้ในสรรพธรรม เห็นประโยชน์ถ่องแท้เจนใจ เรา


ได้อุปถ้มภ์บำรุงมาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เธอเล่าก็มุ่งที่จะทำนุบำรุงเรามาแต่กาลครั้งนั้น ไม่เคยปรากฎเลย
ว่าได้กระทำความเสื่อมเสียแก่เรา ตลอดระยะกาล ©๐ ปี คราวที่เทวดาถามบ้ญหาเราเล่าถ้าไม่ได้พ่อมโหสถ

บัณฑิตแลัว เราก็คงไม่ได้มีซีวิตอยู่มาได้ถึงปานนึ่ เราคงถูกเทวทัณฑ์เป็นชันตรายไปแลัว ”


“โธ่! ไม่พอที่เลย ไม่เป็นการควรเลย ที่เรายึดถึอเอาถ้อยคำของอาจารย์เสนกเป็นด้น ซึงเป็น

kalyanamitra.org
๒๐ธา

ไพรีกันเป็นอริกันกับพ่อมโหสถ ดึงกับส่งพวะขรรค์บังคับให้'ฆ่าเธอเสีย ไม่ควรที่เราจะกระทำเช่นนั้น

เลย”
“โชั พรุ่งนึ่แลัว พรุ่งนึ่เข้า เราจะไม่ได้เห็นพ่อมโหสถผู้บัณฑิตต่อไปแล้ว”

พระองค์ทรงรำพึงไป ความโศกเศรำก็ยี่งกล้มรุมพระราชหฤท้ยสุดประมาณ พระหฤทัยถูก


ความเศรำโศกแผดเผารัอนอุรา พระเสโทซ็มชาบทั่วพระวรกาย พระองค์ทรงกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง

ทวงเสียพระหฤทัยอย่างหนัก ความผ่องใสมิได้มีโอกาสเยี่ยมกรายเข้าสู่พระหฤทัยแม้แต่นัอยเลย แม้กระทั่ง

พระนางอุทุมพรเสต็จเข้าประทับร่วมพระแท่น พระองค์ก็คงมีพระมนัสจมอยู่ในห้วงแห่งความเศรำแทบ
จะมิได้ทรงริ'สีกว่าบัดนึ่เหนือพระแท่นบรรทม มีบุคคลที่ ๒ มาร่วมด้วย

พระนางอุทุมพร เห็นพระอาการของพระราชสวามีผิดปกติไปด้งนั้น ก็ทรงพระดำริ “เป็น


ไฉนหนอวันนึ่ทูลกระหม่อมหมองไปดึงเช่นนึ่ มีอะไรกระทบพระราชหฤทัยอย่างไรหนอ ” ทรงคันหา

สมุฏฐานดึบไป “ความผิดพลาดของเราข้อหนึ่งข้อใดอันทำให้เป็นที่วะคายเคืองพระหฤทัยจะมีบ้างกระม้ง ”

ทรงตรวจพระจริยาวัตร ก็มิได้ทรงประสบข้อบกพร่องอันจะเป็นเหตุให้พระราชสวามีทรงระคาย “คง

จะเป็นด้วยเหตุอน ด้องทูลถาม” ตัดสินพระทัยแล้ว กราบบังคมทูลถาม “ขอเดชะ พระทูลกระหม่อม


ผู้เป็นสิริสง่าสูงสุดของเกล้ากระหม่อมฉัน ทูลกระหม่อมทรงเสียพระหทัยด้วยเรื่องอะไร เพคะ เกลัา

กระหม่อมฉันขอประทานพระวโรกาสต่อพระทูลกระหม่อม ทรงพระกรุณาตรัสบอกเกลากระหม่อมฉัน

เถิดเพคะ ทรงกังวลพระราชหฤทัยอย่างไร เกิดเหตุการณ์อันกระทำให้ด้องทรงมีพระวิตกหนักพระราช


หฤทัย หรีอเกล้ากระหม่อมฉันได้กระทำความผิดข้อใดอันจะเป็นเหตุให้ระคายเคืองเบื้องบาทยุคล โปรด

ทรงพระกรุณาตรัสเถิด ขอพระทูลกระหม่อมโปรดทรงระลึกดึงที่เกล้ากระหม่อมฉันไต้เคยกราบทูลพระ

กรุณามาแต่ไร ยุ แล้วว่า ความสุขความสำราญของพระทูลกระหม่อมเท่านั้น เพคะ เป็นความสุขของเกล้า

กระหม่อมฉัน”
“เทวีของฉัน” ตรัสด้วยสุรเสียงแหบเครือ “เธอไม่มีความผิดอะไรดอกแต่ โอั-นึ่ฉันจะบอก

เธออย่างไร-จะบอกเธออย่างไร” พระดำรัสเป็นห้วง ยุ ด้วยอำนาจแห่งพระโทมนัส


“ตรัสเถิด พระทูลกระหม่อม” พระนางปลอบ “จะได้เป็นทางระบายพระอาการโทมนัสมา
ให้เกล้ากระหม่อม ซีวิตของเกล้ากระหม่อมฉันดำรงอยู่เพื่อความสุขของทูลกระหม่อมนะเพคะ ”
“ขอบใจ เทวีที่รัก ฉันทราบดีดึงความจงรักภักดีของเธอแล้ว” ดรัสชมพระเทวี “แต่เรื่องที่

ฉันกำลังกลุ้มอยู่นึ่ คิดว่าล้าบอกเธอ ก็จะด้องทำให้เธอต้องกลุ้มไม่น้อยกว่าฉันเลย”

“ไม่เป็นไรดอกเพคะ” กราบทูลรับรองหนักแน่น “เกล้ากระหม่อมฉันจะขอน้อมเกล้าๆ รับ


พระกรุณาด้วยความอดทนที่เกล้ากระหม่อมฉันมีอยู่เพคะ”

“ที่ฉันกำลังกลุ้มใจอยู่นึ่” ตรัสด้วยพระสุรเสียงแผ่ว “เพราะกำลังคิดดึงว่าฉันได้สั่งให้เขาฆ่า

มโหสถผู้เป็นบัณฑิตเลียแล้ว ฉันคิดแล้วก็■ส่ยใจ โธ่! เขาทำความดีความชอบให้แก่ราชการเป็นอันมาก


ไม่เคยมีความไดความบกพร่องประการใด ทั้งสติบัญญาเล่าก็สามารถยี่งกว่าใคร ยุ ไม่ควรเลยที่ฉันจะ

kalyanamitra.org
๒๐๔

สั่งให้ฆ่าเสีย”

พระนางอุทุมพรทรงสดับแล้ว ทรงเลียพระทัยอย่างหนัก พระอุราของพระนางเหมือนหนึ่ง

ถูกภูเขาทั้งลูกมาทับไว้ พระอัสสาสะบัสสาสะเป็นไปด้วยอาการขัดเจียนจะไม่ปรากฏออกมา นํ้าพระเนตร


คลอพระเนตร “โอ้พ่อน้องรักของพี่” ทรงรำพึงแต่แล้วก็สู้สะกดพระท้ยไว้ กราบทูลพระราชสวามี “มโหสถ

ได้กระทำความผิดอันใดเล่าเพคะ”
“ฉันถามบัญหาเรื่องความลับควรบอกแก่ใคร” ตรัสเล่าความนั้น อุ แก่พระนาง “ทุกคนก็มี
คนที่ไวัวางใจความลับทั้งนั้น แต่พ่อมโหสถไม่บอกแก่ใคร เขาไม,ไว้วางใจใคร เก็บความลับไว้กับตนผู้

เดียว เป็นบุคคลที่น่ากลัวน่าระแวง ฉันจึงได้มอบพระขรรค์แก่คณะอาจารย์ ให้จัดการฆ่าเขาเลียในดอน

ฟ้าวันพรุ่งนึ่”

“ความจริงพ่อมโหสถกราบทูลเช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นคนมีความลับลมคมใน ไม่น่าที่ทูลกระหม่อม
จะไว้วางพระราชหฤทัยยิ่งทำให้เป็นที่น่าระแวงหนักขื้น” พระนางตรัสคล้อยตามพระราชอัธยาศัย เพี่อ

ให้ทรงคลายพระโทมนัส “การที่ทูลกระหม่อมตรัสสั่งให้ฆ่า ก็เป็นการถูกต้องอยู่เพคะ เปรียบเหมือน

ด้บไพ่ขณะที่เริ่มเกิด ยังไม่ทันได้ลุกลาม หรือเปรียบเหมือนถอนต้นไม้เลียแต่มันยังเล็ก อุ อยู่ ยังไม่ทัน

หยั่งรากแผ่กิงกัานกว้างขวางออกไป กรณียกิจทั้งนึ่ พระราชาธิบดีทุก ๆ พระองค์แต่ปางอดีตย่อมปฏิบัติ


มา เมื่อทรงเห็นว่าผู้ใดมีท่าทางจะเป็นเสั้ยนหนามแก่ราชบัลลังก็ ก็ต้องรีบกำจัด เพราะองค์พระมหากษัตริย์

สมมุติเทพย่อมทรงค่ายิ่งกว่าสิงใด อุ ในแดนดิน ตามกำหนดแต่ปางบรรพ์ท่านก็กล่าวว่า “พึงสละหมู่บัาน

เพี่อนิคม พึงสละนิคมเพื่อชนบท พึงสละชนบทเพื่อราชธานี พึงสละราชธานีเพื่อองค์พระมหากษัตริย”์


ด้งนั้น การที่จะทรงกำจัดมโหสถเลียครั้งนึ่ก็นับว่าทรงดำเนินตามนิติแต่ปางบรรพ์โดยอนุโลม ทูลกระหม่อม

โปรดทรงพระวิจารณ์ด้วยพระปรีชาเถิดเพคะ”

พระเจ้าวิเทหราชค่อยมีพระทัยคลายจากพระโทมนัสตรัสกับพระนางด้วยพระลุรเลียงเกือบ

ปกติ “แม้จะชอบด้วยนิติแต่ก่อน ฉันก็อดเลียใจไม่ได้เลย”


พระนางก็ทรงหาเรื่องต่าง อุ มากราบทูลเทียบถวายเพื่อให้คลายพระท้ย ในที่สดพระเจ้าวิเทหราช

ก็ทรงคลายจากความเศร้าโศก เสด็จฟ้าสู่นิทรารมณี พระนางทอดพระเนตรเห็นพระราชสวามีบรรทม


สนิทแต้ว ก็เสด็จจากพระแท่นบรรทมเข้าสู่ห้องอีกห้องหนึ่ง ทรงพระอักษรถึงท่านเสนาบดี เป็นข้อความ

ดังนึ่

“พ่อมโหสถ”
คณะบัณฑิตทั้ง ๔ ใส,ร้ายเธอ กราบทูลยุยงพระราชา พระราชากริ้วมาก ประทานพระแสงขรรค์
ให้พวกนั้นช่วยกันจับเธอฆ่าเลียที่ระหว่างประตูวังในวันพรุ่งนึ่ เพราะฉะนั้นวันพรุ่งนึ่ เธออย่ามาสู่พระ-

ราชวังเลย ล้าจำต้องมา ก็ต้องสามารถทํ เชาวนครให้อยู่ในกำมือให้ใต้แล้ว จึงค่อยมา”


ทรงพระอักษรเสร็จแล้ว ทรงสอดใสในกลัก พลางพันด้วยด้ายใส่ภาชนะแล้วทรงคลุมมิดชิด
ประทับตราเรียบร้อย ตรัสเรียกนางข้าหลวงคนสนิทมา มีพระเสาวนีย์สั่ง “เจ้าจงนำภาชนะนั้ใปให้แก่

kalyanamitra.org
๒๐๕

มโหสถบัณฑิตน้องชายของเราเดี๋ยวนิ”้ แล้วพระนางก็เสด็จเข้าส่ที่บรรทม

นางข้าหลวงรับพระเสาวนีย์ใส่เกล้าฯ แล้วยกภาชนะเดินออกจากวังไป เมื่อจะผ่านประตูแด่

ละข้น *1 นายทวารบาลซักถาม ได้ทราบว่า “พระนางส่งของไปให้ท่านมโหสถบัณฑิต” ก็ไม่มีใครหาม


เพราะเป็นที่ทราบก้นทัวไปแล้วว่า พระนางกราบทูลขอพรแต่เพระเจาวิเทหราชไว้ว่า “หากพระนางเสวย
สิ'งใด มีโอชารสเมื่อใด จะทรงส่งของนั้นไปให้มโหสถเมื่อนั้น ไม่ว่าคํ่าคืนดึกดี๋นเพียงไร ขออย่าให้ผู้ใด

ห้ามปรามเลย แม้นายประตูก็จงเปิดประตูให้ไปทุกคราว” นางข้าหลวงจึงได้นำกลักสารไปถึงบัานท่าน


เสนาบดีโดยปราศจากที่ดิดขัด
ยามนั้นเป็นเวลาดึกมาแล้ว ประตูท่านเสนาบดียังมีคนที่ดี๋นเฝ็าอยู่ เมื่อเห็นนางข้าหลวงมา ก็

ทราบได้ว่า มาจากพระนางอุทุมพร ไม่รอชัารีบเปิดประตูพาเข้าไปหาท่านเสนาบดีทันที


ท่านเสนาบดีเห็นนางข้าหลวงถีอภาชนะ มีผ้าคลุมมิดซีดนำมาให้ก็ทราบได้ทันทีว่า “พระนาง

อุทุมพรทรงส่งข่าวมาประทาน” กล่าวขอบใจนางข้าหลวง และขอให้นางข้าหลวงช่วยกราบทูลความรู้สึก

ขอบพระเดชพระคุณในพระกรุณาของตนแด่พระนาง แล้วก็ให้นางข้าหลวงกลับ

ท่านเสนาบดีแก้ห่อภายนอก พบลายพระหัตถ์อ่านทราบความตลอดแล้ว ก็พิจารณาวางแผน

ไว้เรียบรัอยแล้วเข้านอนต่อไป

kalyanamitra.org
๒๗. ส์บณฑิตติดกรุ

ฟ้าตรู่ แสงอาทิตย์ยังไม่อุทัย ความมืดอันเป็นความหมายของราตรียังคงมีอำนาจคลุมพื้นพิภพ

อยู่ เป็นเวลาที่ฝูงชนกำลังสำราญในนิทรารมณ์ แต่คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ได้สลดเลียแล้วซึ่งความสำราญ

นั้น เพราะมีกิจอันสลักสำค้ญ ซึ่งจะอำนวยความสำราญสูงสุดรออยู่ ต่างคนต่างแต่งกายทะมัดทะแมง


รีบมาพร้อมกันที่ช่องประตูวัง เชิญพระแสงขรรค์อาญาสิทธํ่มาด้วย โดยท่านเสนกเป็นผู้ถือ ต่างก์หมายมั่น

ว่า “อย่างไรก็ด้องฆ่ามโหสถในฟ้าวันนี่”
แต่รอ-รอ-จนกระทั่งดวงอาทิตย์อุทัย ท่านเสนาบดีก็ยังไม่มา ไม่เห็นท่านเสนาบดีผ่านฟ้ามา

ต่างคนต่างก็ปรึกษากัน “เอ! ทำไมมโหสถไม่มา ป่านนี่แล้ว สายมากแล้ว ไม่เห็นมาทำอย่างไรกันดี”

“ไม่มาก็ไม่ได้ฆ่า” เทวินท์เอ่ยขื้นตามความจริง แตกทังแปร่งหู

“คุณนี่พูดอย่างไร” ท่านเสนกเลียงขุ่น “เดี๋ยวก็สมมุติเป็นตัวแทนไอ้ลูกบ้านนอกเสียเลย ผ่าซี”

เทวินท้ทังแล้ว หัวใจวาบ “โปรดเชิดครับ ผมพูดไปตามประสาซึ่อ เห็นว่าลัาเขาไม่มา พวก

เราก็ไม่ได้ฆ่า ความจริงก็เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือครับ”

“จริงน่ะจริง แต่ไม่ควรจะพูด” ท่านเสนกค่อยคลายความเคร่งเครียดลง “ความจริงบางอย่าง


พูดไม่ได้มีอยู่นะคุณเช่นเรื่องนี่ พวกเราหมายมั่นป้นมีอเป็นหนักหนา ทั้งได้ลงทุนลงแรงกันมามิใช่นัอย

กว่าจะได้รับพระแลงขรรค์อาญาลีทธํ่เล่มนี่มา พวกเราต่างก็ยินดีปรีดากันที่จะได้เห็นผลสำเร็จประจักษ์

ต่อหนัาต่อตา สู้อุตส่าห์ทิ้งความสำราญมาชุ่มรออยู่ที่นี่แต่ก่อนแสงอาทิตย์อุทัย ครั้นมาผิดพลาดหมายเช่น

นั้น ทุก คุ คนก็เสียใจเป็นอย่างยิ่ง หรือคุณไม่เสียใจ”

โธ่ครับ ทำไมผมจะไม่เสียใจเล่า” เทวินท์กล่าวเลียงอ่อน แสดงความระทด “ผมเลียใจเป็น


ที่สุดแล้ว ที่พวกเราต้องผิดพลาดหมาย ความเลียใจของผมครั้งนี่คิดว่าคงไม่น้อยกว่าพรรคพวกเป็นแน่

แต่เราจะทำอย่างไรกันต่อไป” เทวินท้รีบเปลี่ยนแนวทางไปเลียทางอน

“นั่นสิ พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไป จนป่านนี่มโหสถ•ก็ไม่มา” ปุกกุสะรีบส่งเสริมเทวินท้

“สายมากแล้ว มโหสถคงจะรัตัวกระมัง”

“ผมคิดว่า พวกเราควรจะไปเฝ็ากราบทูลแด่พระเจัาเหนือหัวดีกว่า” กามินท์ออกความเห็น


“เพื่อทังพระกระแสลีบไป หากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าๆ สถานใด ค่อยคิดอ่านกันใหม่”
“ตกลง ไปเฝืากันก็ไป” ท่านเสนกตัดบท “ป่านนี่คงไม่มาแล้ว”

kalyanamitra.org
๒๐๗

คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ต่างพากันเข้าเฝืาพระเจ้าวิเทหราช ณ ที่ประทับรโหฐาน

“ท่านอาจารย์ทั้งหลายฆ่ามโหสถแล้วหรือ” พระเจ้าวิเทหราชมีพระดำรัสถามด้วยพระสูรเสียง
สั่นสะท้าน แสดงว่าทรงข่มพระทัยอย่างสูดพระกำลัง

“ขอเดชะ พระราชอาญามิพ้นเกล้าๆ” ท่านเสนกกราบบังคมทูล “พวกข้าพระพุทธเจ้ามาชุ่ม


รอตั้งแต่เข้าตรู่จนบัดนื้ ไม,เห็นมโหสถเข้ามาพระพุทธเจ้าข้า”
เวลาที่อาจารย์เข้าเฝืาพระเจ้าวิเทหราชนั้นท่านเสนาบดีหนุ่มน้อยเพิ่งตื่นเท่านั้นเอง ภายหลัง

จากสนานกายด้วยนํ้าหอม ประดับกายด้วยอาภรณ์พร้อมสรรพ รับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญแลัว

ก็มีบัญชาสั่งโยธาที่อยู่ในอำนาจให้แยกย้ายกันไปทำการยึดพระนครมิถิลาไวิในอำนาจ ทั้งมีคำสังให้รัดการ
ป้องกันเหตุการณ์โดยรอบคอบ ทั้งนั้ดำเนินตามแผนการชึ่งได้จ้ดวางไว้อย่างเรียบร้อย ส่วนท่านเสนาบดี

ขื้นสู่รถคันงาม มหาชนชาวมิถิลาพากันห้อมล้อมเดินขบวนเข้าสู่พระราชวังจนถึงพระทวารหลวง
พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับเสียงครื้นเครงของขบวนที่ท่านเสนาบดีนำมาถึงพระทวารหลวง

ก็เสด็จลุกจากพระราชอาสน์เผยสีหบัญชรประทับยืนทอดพระเนตรจนขบวนเข้ามาถึงหน้ามุขเด็จ
ท่านเสนาบดีเห็นพระเจ้าวิเทหราชประทับยืนอยู่ด้งนั้นก็ลงจากรถถวายบังคมแล้วยืนอยู่ตรงนั้น
พระเจ้าวิเทหราชทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วทรงพระดำริว่า “ล้ามโหสลนี่จะคิดเป็นเสื้ยนหนาม

กับเราจริง รุ ที่ไหนจะบังคมเรา คงจะนำผู้คนจู่โจมเข้ามาจับเราเป็นมั่นคง ตามวิสัยของผู้เป็นฝ่ายตรง

กันข้าม แต่นี่มิได้เป็นเช่นนั้น คงมีความเคารพเทอดทูนเราตามปกติ” ทรงพระดำริแล้ว มีพระกระแส


รับสั่งให้หาตัวท่านเสนาบดีมาเฝ็า ณ ที่ประทับ พลางเสด็จเข้าประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์ ณ ที่นั้น

คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ยังคงนั่งเฝ็า และใกล้กับที่ประทับก็มีพระนางอุทุมพรประทับเหนือพระแท่นเฝืาอยู่

ด้วย
ท่านเสนาบดีทราบพระกระแสรับสั่งแล้ว ก็เข้ามาสู่เฝ็า ถวายบังคมแล้วนั่งเหนืออาสนะดาม

ดำแหน่ง
พระเจ้าวิเทหราชทรงทำเป็นเหมือนมิได้ทรงทราบเหตุการณ์อะไร ตรัสกะท่านเสนาบดีว่า
“พ่อมโหสถ เมื่อวานนํ๋เจ้าไปตั้งแต่ยามต้น วันนิ้เพิ่งมาเตื่ยวนํ๋เอง ทำไมถึงได้ละเลยเราถึงเพียงนั”้

“ขอเดชะ พระมหากรุณาเป็นที่ลันพ้น” ท่านกราบทูลด้วยเสียงอันกังวาน “ใด้ฝ่าละอองธุลี

พระบาท ทรงเซือลัอยคำพูดเท็จของบัณฑิตทั้ง ๔ แล้วตรัสสั่งบังคับให้ฆ่าพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น

ข้าพระพุทธเจ้าจึงมิได้มาตามเวลาที่เคยเฝืาพระพุทธเจ้าข้า”

“อัา! เจ้าผู้มีบัญญากว้าง” ตรัสด้วยพระสูรเสียงปกติ “เจ้าได้ยินได้พ้งเองหรือใจของเจ้าระแวง


ไปกระมัง หรือใครบอกเรื่องอะไรแก่เจ้าเชิญเถิดเจ้า บอกมาเถิด! เราขอพ้งเรื่องนั้น”
“ขอเดชะ พระเดชพระคุณพ้นเกลัาๆ ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงนำข้อที่ทรงหารือกันว่า
มโหสถเป็นคนมีลับลมคมในต้องฆ่าเลีย ทั้งนั้ใปตรัสบอกแด่พระแม่เหนือเกล้าๆ เมื่อเข้าสู่พระที่บรรทม

พระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนาบดีกราบทูลความลับที่ได้ทราบอย่างฉฺาดฉาน “ความลับที่ทรงเปิดเผยนั้น

kalyanamitra.org
๒๐๘

ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบเกลัาๆ ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเปิดเผยเมึ่อใด ช้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทราบเกล้าๆ

เมือนั้นแหละพระพุทธเจ้าข้า ”
พอได้ทรงสดับเช่นนั้น ก็เข้าพระทัยท้นที “พระนางอุทุมพรเป็นผู้ลอบส่งข่าวไป” ทรงกริ้ว
หนัก หันพระพักตร์ทอดพระเนตรพระนางประหนึ่งว่าสายพระเนดรจะดึ่มพระโลหิตทุกหยาดจากพระ

วรกายของพระนางจนหมดสํ่น และเซือดพระมังสะออกเป็นข้น รุ ก็ปานกัน

ด้วยสายพระเนตรนั้น พระนางมีพระพักตร์เผือด พระโลหิตอันเคยเอิบอาบซับพระพักตร์ใหั


เปล่งปลั่ง กลับคึนเช้าสู่ดวงพระหทัย พระวรกายก็สั่นระรัวด้วยทรงพรั่นพระราชอาญาเป็นที่ยิ่ง

พระอาการทั้งนึ่มิได้พ้นไปจากความรู้เห็นของท่านเสนาบดี ท่านกราบบังคมทูลพระเจ้าวิเทหราช

ด้วยความองอาจ “ขอเดชะ ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทผู้สมมุติเทพ ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงกริ้ว

แด่พระแม่เหนือเกล้าๆ ทำไมพระพุทธเจ้าข้า ช้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานวโรกาสกราบทูลว่า ข้า


พระพุทธเจ้านั้นย่อมทราบเหตุการณ์ได้ตลอด ความลับของได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่ตรัสบอกแก่พระแม่

เหนือเกล้าๆ และพระแม่เหนือเกล้าว ทรงพระกรุณาตรัสแก่ข้าพระพุทธเจ้า ไม่สำคัญอันไดดอกพระ


พุทธเจ้าข้า ความลับของอาจารย์ทั้งสี่มีเสนกเป็นด้น ใครบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าเล่าพระพุทธเจ้าข้า ข้า

พระพุทธเจ้าทราบด้วยเกล้า•า ถึงความลับของอาจารย์ทั้ง ๔ นึ่ทุกคน”


“อนึ่งเล่าพระพุทธเจ้าช้า ขอได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงหวนระลึกถึงเรื่องแต่ครั้งก่อน ๆ

ปัญหาของปอมช่างใครเป็นคนบอกช้าพระพุทธเจ้า จึงได้กราบทูลใหัทรงทราบได้ ปัญหาของพวกเทวดา


ก็เช่นเดียวกัน ใครบอกแก'ข้าพระพุทธเจ้า ไม่มีเลย ข้าพระพุทธเจ้าอาจทราบได้ แมัจะเป็นเรื่องลับเรัน

อย่างไร ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบด้วยเกล้าฯ ได้”


“โดยเฉพาะความลับของอาจารย์ทั้ง ๔ ที่ได้กราบทูลแต่ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไว้ว่า ควร

บอกแก่ผู้นั้นผู้นึ่ ก็มิได้พันไปจากความรู้ของข้าพระพุทธเจ้าเลยพระพุทธเจ้าข้า”

“ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลถวายแต่ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงความลับของท่า,นอาจารย์ทั้ง
๔ เริ่มของท่านเสนกก่อน”
“เสนกได้ทำการอันข้วรัาย ซึ่งคนดีมีศีลธรรมกระทำไม่ได้ แต่เสนกทำได้ลงคอ ทำได้อย่าง
หินชาตินั่นคือ เสนกฆ่านางเวิวดี แพศยานางหนึ่งในนครนึ่ที่อุทยานสาลวัน เพราะความละโมบในเครื่อง

ประดับของนาง แล้วนำไปเล่าไหัเพื่อนของตนพัง ข้าพเจ้าก็ได้ทราบเกล้าฯ พระพุทธเจ้าข้า”


“แมัจะทรงมีพระราชดำริในอันที่จะกำจัดเสิ้ยนหนามของแว่นแคว้นแดนดินแล้วไซรั เสนก

เป็นดัวรัายทีเดียว ขอได้ทรงพระกรุณาวิจารณ์ เสนกดำรงตำแหน่งราชบัณฑิตแห่งมิถิลานคร ได้ฝ่าละออง


ธุลีพระบาททรงยกย่องในฐานะเป็นพระอาจารย์ ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นราชวัลลภใกล้ชิดได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

แต่เสนกคือผู้รัายฆ่าคนตาย มือของท่านเสนกเปือนโลหิตมาแล้ว เลนกใจเหยมปานใด เพียงแต่เห็นเครื่อง

ประดับของหญิงแพศยาเท่านั้น ยังละโมบถึงกับประหารเจ้าทรัพย์เสียได้ลงคอ เครื่องประดับของหญิง


แพศยาจะมีด่าเท่าไร เมือเทียบกับพระราชสมบัติของได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เสนกจะมิคิดละโมบร้น

kalyanamitra.org
๒๐๙

บ้างหรือ เสนกก็ได้พบได้เห็นอยู่ทุกมื่อทุกวัน ที่ไหนจะหักห้ามความปรารถนาของตนได้เล่า มิวันใดวัน

หนึ่งความละโมบของเสนกจะปรากฎเป็นการกระทำร้นเป็นแน่ ด้วยเหตุดังที่ได้กราบทูลมาทั้งนั้น ระบุ

ซัดว่าเสนกเป็นเสิ้ยนหนามแห่งราชบัลลังก์ แม้นใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระราชประสงค์ด้วยผู้ที่เปัน

เสิ้ยนหนามแลัว ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดใหัขับเสนกพระพุท.ธเจาข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงทอดพระเนตรไปทางท่านเสนกทันที พลางมีพระดำรัสถามด้วยพระ

สูรเสียงเฉียบขาด “จริงหรือ? เสนก”


ด้วยเสียงที่แผ่วแหบเครือ ท่านเสนกกราบทูล “จริงพระพุทธเจ้าข้า”

“เหวยราชบุรุษ” พระกระแสตรัสเรียกราชบุรุษสนั่นที 1ประทับ “อยู่ที่ไหนกัน เข้ามานี”่

พอสิ้นพระราชกระแส ราชบุรุษสี,นายก็พากันเข้าถวายบังคมรอรับพระบรมราชโองการ

“เอาเสนกไปขังตรุเดี๋ยวนี”่ ด้วยพระดำรัสนี่ ท่านเสนกก็ถูกคุมตัวไปสู่พันธนาการ

ท่านเสนาบดีกราบทูลถึงความลับของปุกกุสะสืบไป “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ผู้


ทรงเป็นปินประชาชน เสิ้ยนหนามของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทหมดไปหนึ่งคนแล้ว ยังมีอีกพระพุทธเจาข้า

ดึออาจารย์ปุกกุสะ คนนี่เป็นโรคร้ายแรงมาก ไม่ควรจะเข้าใกล้พระราชา ไม่ว่าในกาลไหน กุ บุคคลที่เป็น

โรคชนิดนี่ คือโรคเร้อน คราวที่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทประพาสพักทรงพระสำราญ เคยทรงใซัท่อนขา

ของปุกกุสะต่างพระเขนย แล้วก็ทรงโปรดว่ามีสัมผัสนุ่มดีนั่นคือผ้าพันแผลโรคเร้อนของเขา ความขัอนี่

ไม่มีผู้ใดรู้ นอกจากน้องชายคนเล็กของเขา
ปุกกุสะเป็นผู้ท,ี ทรงยกย่องในตำแหน่งราชบัณฑิต และทรงมีพระดำรัสเรียกว่าท่านอาจารย์ตลอด

มา โดยมิได้ทรงทราบว่าเป็นคนมีโรคร้ายที่ไม่ควรจะเป็นราชเสวก และไม่ควรที่จะแตะต้องร่างกายของ

เขา ตัวของเขาเองหากเป็นคนมีอัธยาศัยงาม ก็ควรจะพิจารณาตนเอง ว่าตนเป็นโรคร้ายที่พึงรังเกียจ โดย

เฉพาะเป็นผู้ใกล้ชิดพระองค์ของพระราชา ย่อมเป็นการไม่สมควรมากขน เห็นความดังนี่ก็ไม่ปกปิด เปิดเผย

ใหัทรงทราบสูดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดสถานใด ก็ยังดี หรือมิฉะนั้นก็กราบถวายบังคมลาออกไปเสีย


จากราชการ โดยยกเอาโรคร้ายของตนร้นเป็นมูลเหตุ เช่นนี่กึยังนับได้ว่าเป็นสัปบุรุษ เป็นผู้ดีควรแก่การ
ยกย่องได้ แต่นี่หาได้ปฏิบัติเช่นนั้นไม่ กลับปกปิดเสียและยกเอาเป็นข้อดีข้อเด่นในการที่จะทรงโปรดหนุน

ขาของตนเป็นการหลอกลวงเจ้าเหนือหัวของตนเองอย่างน่าบัดสี
“อนึ่งเล่า หากความข้อนี่เป็นที่รู้ทั่วไป เพราะความลับของเขาได้เปิดเผยออกแล้วกับน้องชาย

ของเขา ซึ่งใครก็ไม่ทราบว่าน้องชายนั้นจะไปเล่ากับใครในกาลต่อไปเมื่อไร เมื่อได้ถูกเปิดเผยออกแล้ว

ก็เป็นการแน่นอนว่า ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะเป็นที่เย้ยหยันแห่งแคว้นต่าง กุ อย่างน้อยที่สูดเพียงแต่


ว่า “พระเจ้าวิเทหราช มีราชบัณฑิตเป็นร้เร้อน ทรงยกย่องคนร้เร้อนเป็นราชบัณฑิต” ก็มิได้เป็นข้อที่

ทรงปรารถนาจะได้สดับเพราะเสมือนหนึ่งว่า มิถิลานครนี่ สิ้นคนดีที่มีความสามารถเสียแล้ว ด้องยกย่อง


คนร้เร้อนร้นเป็นราชบัณฑิต และทรงอุปถัมภ์โดยใกล้ชิดอีกด้วย ประชาชนชาวมิถิลาจะเอาหน้าไปไวัที่

ไหน ความภาคภูมิใจที่บ้านเมืองของตนสง่างาม พระราชาของตนทรงธรรม บัณฑิตทุกคนควรเคารพ

kalyanamitra.org
๒๑

ล้าเกิดเป็นบัณฑิตขเร้อนขื้นแลัว จะยังคงภาคภูมิได้ที่ไหน เป็นความเสื่อมคักดํ่ศรี เลียสุดที่จะกล่าวที

เดียว”
“เพราะเหตุดังที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบบังคมทูลมา จึงได้เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ปุกกุสะมิได้ทรง

คุณธรรมสมควรแก่ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณายกย่อง ไนฐานะพระอาจารย์และในฐานะราช
วัลลภ ที่แท้มีอัธยาศัยเห็นแก่ตนเป็นใหญ่ คนเห็นแก่ตนเป็นประมาณเช่นนี้ หากทรงวางพระราชหฤทัย

ไท้เข้าใกล้ซีด คงมีวันหนึ่งเป็นแน่ที่จะด้องประพฤติตามใจตน ซึ่งจะเป็นผลที่ระคายเคืองเบื้องบาทยุคล

จึงเป็นบุคคลที่เรียกได้ว่าอยู่ในฝ่ายตรงกันข้ามกับได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระพุทธเจ้าข้า ”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับแล้ว ตรัสถามเจ้าตัว ซึ่งก็ไม่ทรงได้รับคำกราบทูลอย่างอื่น นอกจาก

คำกราบทูลรับสารภาพ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อย่างเดียวกับท่านเสนก คือถูกนำไปเข้าพันธนาการ

ท่านเสนาบดีกราบทูลความลับของอาจารย์กามินท์ต่อไป “ขอเดชะ กามินท้ก็เป็นพวกเดียวกัน


มีความลับเป็นสำคัญซึ่งตนปกปิดเป็นหนักหนา เปิดเผยแก่ลูกชายคนเดียวเท่านั้น แต่ก็มิได้รอดพันไป

จากความรู้ของข้าพระพุทธเจ้า ความลับของกามินท์เป็นเรื่องร้ายแรงไม่นัอยกว่าอาจารย์ปุกกุสะ คือเป็น

คนบัาผีสิง”
“เวลาวันเต็มกาฬบักษ์จะมียักษ์ตนหนึ่ง ชี่อนรเทพเข้าสิงในกามินท้ ทำให้กามินท้ต้องเห่าหอน
เหมือนสุนัขบัา ลูกชายต้องเอาตัวขังไวัในห้อง แล้วจัดให้มีมหรสพที่ประตูบ้านเพื่อกลบเลียงเห่าหอน

ของบิดา”
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงพระวิจารณ์บุคคลเช่นนี้ ควรละหรือที่จะเข้าสู่ราชตระกูล

ควรละหรือที่จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณทรงยกย่องในฐานันดรคักดํ่อันสูงดังที่เป็นอยู่ ข้าพระพุทธเจ้า

เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าไม่ควรเป็นแท้ หากลีบไปภายหนัามีผู้ทวาบว่าราชบัณฑิตของพระเจ้าวิเทหราชเป็นบัา


ผีสิง ด้งนึ่ ก็จะเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติยศเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าจึงกราบบังคมทูลว่า

กามินท์ไม่แพ้ปุกกุสะพระพุทธเจ้าช้า”

กามินท้คงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เช่นเดียวกับสองอาจารย์ก่อน

ความลับของเทวินท้ ท่านเสนาบดีกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณลันเกล้าฯ ดวง


มณีรัตน์อันโอฬารมีเกลียวในดวง ๘ เกลียว เป็นดวงแล้วซึ่งท้าวคักรินทร์เทวราชประทานแต่สมเด็จพระ-

ปิตามหาราชเจ้าของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เวลานี้ตกไปอยู่ที่เทวินท์ เทวินท้ได้ถือเอาเป็นเจ้าของครอบ­

ด รองอยู่ ความข้อนี้เทวินท์มิให้ใครรู้ นอกจากมารดาของตน”


“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อาจทรงพระวิจารณ์ได้เป็นแท้ บุคคลที่ทำตนเป็นคนมือไวใจเร็ว

อย่างเทวินท้นี้ ควรจะชุบเลั้ยงในฐานันดรคักดํ่ถืงขนาดที่ทรงพระกรุณายกย่องทีเดียวหรือ ราชบัณฑิต

ควรละหรือที่จะประพฤติตนเป็นคนขื้ขโมย”
“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า คณะอาจารย์นี้ช่างพอกันจริง กุ คนหนึ่งเป็นผู้ร้ายใจเหยม

คือเสนก คนหนึ่งเป็นโรคเร้อนคือปุกกุสะ คนหนึ่งเป็นบ้าผีสิงคือกามินท์ คนหนึ่งเป็นคนขั้ขโมยคือเทวินท์

kalyanamitra.org
1ธ ® ® 1

น่าบัดลีเป็นที่สุด ราชบัณฑิตของมิลิลานครลัวนแต่เด็ด *1 ทั้งนั้น ราชบัณฑิตมหาโจร ราชบัณฑิตขั้เร้อน

ราชบัณฑิตผีสิง ราชบัณฑิตขื้ขโมย ราชบัณฑิตเหล่านั๊ดีอจัตุสดมภ์แห่งวิเทหรัฐ ชาวแคว้นของใด้ฝ่าละออง


ธุลีพระบาทจะรัสีกอย่างไร ในเมื่อได้ทราบความลับของราชบัณฑิตเหล่านื้ น่าอัปยศอดสูเหลือเกินแลัว

พระเจัาข้า”
เทวินท้คงด้องพระราชอาญาทำนองเดียวกับพรรคพวก
ความเหิมฮึกที่จะได้ฆ่าท่านเสนาบดีไม่มีเหลืออยู่ในใจของคณะอาจารย์ทั้ง ๔ แม้แต่น้อย ทุก *1

คนไม่ภลัาเหลืออยู่เลย ต่างเดินไปสู่พันธนาการเหมือนเดินทางเช้าปากราชสีห์ เพราะทุกคนรัฐานะของ


ดนดีอยู่ว่า หัตถ์แห่งมฤตยูราชอันทรงมหิทธานุภาพไพศาล กำลังยื่นมารอรับซีวิตของตนอยู่แลัว

kalyanamitra.org
๒๘. สี่บณฑิตหมดพยศ

คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ท่านได้พากันเดินทางไปสู่พันธนาการหมดแล้ว เป็นการรับสนองผลแห่ง


กรรม คือการเปิดเผยความลับของตน ยุ แก่ผู้อื่น ซึ่งคณะอาจารย์เห็นเป็นความดีความงามที่ตนเป็นคน

ไม่มีลับลมคมใน แล้วนำมากราบทูลยุยงส่งเสริมแด่พระเจ้าวิเทหราช เพื่อกำจัดท่านเสนาบดีผู้เป็นหลัก

ซึ่งกีดขวางพวกตน ผลของกรรมนั้นย้อนกลับมาได้แก่พวกตนไป ทั้งนั้เป็นเรื่องปรากฏประจักษ์แก'พระ

หฤทัยของพระเจ้าวิเทหราชซัดเจน
ด้งนั้นท่านเสนาบดีจึงได้กราบบังคมทูลยืนยันสืบไป “ขอเดชะ พระบารมีเป็นที่ล้นพัน ข้าพระ-

พุทธเจ้าขอพระราชทานพระวโรกาส กราบทูลยืนยันแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ด้งน”


“การปกใ'เตความลับไว''เท่านั้น เป็นกาวด

กาวเป็ดเผยความลบ บ'ณ'ท่ต ไม่'ลววเสวก)เลย


ท่านผูม่ฟ้ญกุ! า เม่ลคว ามคตยา ไม่ท่าแจต"อาอดทน ไว''

ต่อปว?ใยขน้ท่าแจแท่วน'นแหล? ท่าทูตตามสบาย”
“ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นพ่อมโหสถ” ตรัสซักเพื่อจะทรงทราบให้ยิ่งชื้น

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าๆ” กราบทูลบรรยาย “เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อ

กํ๋นั๊ พฤติกรรมของคณะบัณฑิตทั้ง ๔ เป็นเรื่องยืนยันคำกราบบังคมทูลช้าพระพุทธเจ้าได้ดี พระพุทธเจ้า

ข้า บัณฑิตทั้ง ๔ กล่าวความลับของตนแก่ผู้อื่นจึงได้รับพระราชอาญาไปตามกัน หากเก็บไว้เป็นความ


ลับไม่เปิดเผยแก,ใคร ยุ ที่ไหนจะมีใครทราบ ความลับก็คงเป็นความลับ แมัจะเป็นเรื่องรัายแรงคอขาด

บาดตาย เมื่อไม่มีผู้ใดล่วงรู้ก็จะไม่ต้องรับพระราชอาญา เพราะฉะนั้น

“ไม่ท่าเป็ตเผยความลับเป็นอันขาด
ท่าริกบาความลับนั้น ไวเหม่อนขุมทอา

ความลับ วญณูขนเป็ดเผยแล้ว
ไม่เป็นความตเลย,’
“นักปราชญ์ทุกยุคทุกสมัยไต่ให้คติแห่งความลับไว้เช่นนื้ พระเจ้าข้า”

“พ่อบัณฑิต ความลับนั้นมีบทบังคับว่าต้องปิดดายคัวทึเดียวหรือจะเปิดเผยแก่ใครบัางไม่ได้

ละหรือ” ตรัสซัก
“จะเปิดเผยก็ได้พระพุทธเจ้าช้า” กราบทูลรับ “แต่ต้องเลือกบุคคลที่จะเปิดเผยให้ล่องแท้ ซึ่ง

เป็นกิจที่กระทำได้ใม่ง่าย เพราะในการเปิดเผยความลับนั้นมึบทบังคับไว้ว่า”

kalyanamitra.org
๒๑(ก

"บัณฑิต โม่ทงงล่าความลบแก่'บุคคลIหล่าม คอ

๑. สต!
๒. ฝูทไม่ใข่มต!

๓. คมทขอบอาม่ล
๔’. คมทแฝงความต้องการไว1ไมหัวใจ”
“ทำไมต้องเว้นบุคคลเหล่านั้นด้วย พ่อมโหสถแถลงได้หรือไม่”
“ได้พระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนาบดีกราบทูลแถลง “ที่ไม่ให้ความลับแก่สตรีนั้น เพราะสตรี

ยากที่จะปกปิดความลับใด *1 ไว้ได้ ความลับต่าง ๆ ที่สตรีได้ทราบแล้ว ถูกสตรีนั้นเปิดเผยต่อไปอีกมีเป็น

อันมาก พระพุทธเจ้าข้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายหรือเป็นเรื่องที่ควรยกย่องสรรเสริญ ทั้งนึ่เพราะ


สตรีเป็นเพศที่กล้าเห็นว่าเรื่องสำคัญถึงคอขาดบาดตายนั้นไม่สำคัญเลียก็มี หรือเห็นเรื่องที่ควรยกย่อง

สรรเสริญไม่น่าจะด้องปิดบังใคร คังนึ่ก็มี”
“อนึ่งเล่าพระพุทธเจ้าข้า บรรดาสตรีเป็นอันมากยากที่จะดำรงในความมัธยัสถ์ คือ วางตนเป็น
กลางระหว่างรักกับซัง มักเอนไปทางใดทางหนึ่งเสมอ อาการที่จิตใจเอนน้อมไปทางใดทางหนึ่งเช่นนึ่

ย่อมยากแก่การรักษาความลับ เพราะเป็นจิตใจที่ปราศจากความหนักแน่น”
“บุคคลที่ควรเว้นจำพวกต่อไป คือคนที่มิใช่มิตรนั้นไม่มีบัญหาใด เพราะคนเช่นนั้นเป็นผู้ที่

ไม่ควรบอกความลับอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่ชอบอามิสนั้นแม้จะเป็นมิตรก็ไม่ควรบอกความลับให้พึง เพราะล้า


ไปถูกใคร *1 เอาอามิสเข้าล่อก็อาจขยายความลับให้พึงได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นบุคคลที่ควรเว้น ”
“สำหรับบุคคลที่แฝงความด้องการไว้ในใจคือคนที่มิใช่มิตร แต่เป็นคนเข้ามาสมาคมวางตัว

สนิทสนมเหมือนเป็นมิตร คำพูดกับความคิดไม่ตรงกัน พูดอย่างหนึงคิดอย่างหนึ่ง คนอย่างนั้ใว้ใจไม่ได้

พระพุทธเจ้าข้า”
“ยากจริงหนา พ่อบัณฑิต” ตรัสด้วยพระหฤทัยที่คล้อยตาม “จะหาใครที่ควรบอกความลับได้

ยากจริง รุ”
“เป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า” กราบทูลสนอง “ครั้นได้บอกออกไปแล้วเล่าก็ต้องลำบากอีก
เพราะผู้ใดรู้ความลับที่คนอื่นไม่น่ารู้ของตนแล้ว ต้องอดทนเหมือนดังตนเป็นทาสของผู้นั้นทีเดียว เพราะ

กลัวความคิดของตนจะแพร่งพรายไป ”
“ใช่ว่าบอกความลับไปแล้ว แม้แก่บุคคลที่วางใจได้จะเป็นอันหมดธุระหามิได้ การที่บอกออก

ไปนั้นกลับมาเป็นข้อผูกมัดตน หากบุคคลที่รับรู้ความลับไปนั้นจะด่าเอาบัาง จะบริภาษเอาบัาง จะทุบดี

เอาบัาง ก็จำต้องยอมทน ทนเหมือนตนเป็นทาสของเขาทีเดียว มิฉะนั้นแล้วเขาจะนำความลับนั้นไปเปิดเผย


แก่คนอื่น*1 ต่อไป ความทีตนคิด กิจที่ดนคาดหมาย เรื่องที่แวงรัายแพร่งพราย เป็นที่รู้กันกว้างขวางออก

ไปเพราะผู้ที่ทวาบความคิดอันเป็นข้อเรันลับของบุรุษมีจำนวนเท่าใด ความสะด้งหวาดเสียวก็ย่อมมีแก่

บุรุษนั้น จำนวนเท่านั้น เพราะฉะนั้นบุรุษไม่พึงแพร่งพรายความลับ”

kalyanamitra.org
๒๑๔

“การเปิดเผยความลับแม้แก่ผู้ที่วางใจได้ เป็นเรื่องไม่ดีไม่งามมากทีเดียว ถึงกระทำให้ตนต้อง


เป็นทาสของผู้ที่กำความลับของตนไวัดังที่ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูลมา ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรด

ทรงพระวิจารณ์ บัณฑิตคนใดเล่าพระพุทธเจ้าข้าที่พอใจในความเป็นทาส กระทำตนอันเป็นไทให้เป็น

ทาสไม่มีเลยพระพุทธเจ้าข้า เมื่อการบอกความลับกระทำให้'เป็นทาสได้ ดังข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมา

การปฏิบ้ติด่อความลับจึงมีทางเดียวคือ ไม่บอกใคร”
“อนึ่งเล่าพระพุทธเจ้าข้า แม้นมีคู่คิดคู่ร่วมในความลับ มีส่วนได้ส่วนเสียในความลับนั้นเท่า *1

กัน จะต้องคิดอ่านพูดจาหารือกันเป็นบางคราว ก็มิใช่จะกล่าวหารือกันได้พรํ่าเพรื่อไป ต้องเลือกกาละ

และสถานที่ดังน’

“ถ้าจะพูดความลับกันในเวลากลางวัน ต้องหาที,สงัดปกปิดมิดชิด

ด้าจะพูดในเวลากลางคืน ต้องไม่เปล่งเสียงให้'ดังเกินขอบเขต
ต้องเข้าใจว่าผู้ที่แอบฬงความลับคอยฬงอยู่เสมอ ถ้าคนเหล่านั้นได้ยินแล้ว ความคิดอ่านที่เป็น

เรื่องลับนั้น ย่อมถึงความแตกกระจายไปทันที”
“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ตามที่ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบบังคมทูลพระกรุณา

มา ในเรื่องราวของความลับอันมีบทบังคับไวัอย่างไร เพื่อได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว คง
จะได้ทรงดำริเห็นในยามยากเป็นล้นเกล้าฯ ในการที่จะกล่าวความลับแก่ใคร *1 แม้แก่บุคคลที่มีล่วนร่วม
ในความคิดอ่านอันเป็นข้อเร้นลับเล่า ก็ยังต้องเลือกกาลเลือกสถานที่เพราะเหตุนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้

กราบทูลแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า ความลับต้องปกปิดบอกใครไม่ได้ ด้งที'ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ทั้งนี้

จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถานใด ก็สุดแด่พระดำริของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระพุทธเจ้าข้า ”


พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับถ้อยแถลงของท่านเสนาบดีตลอดแล้ว ทรงเห็นด้วยกับท่านในเรื่อง
บทบังคับของความลับ พร้อมกันนั้นก็ทรงเห็นว่าท่านเสนาบดีเป็นฝ่ายถูกปราศจากความผิดใด ๆ เมื่อท่าน

เป็นฝ่ายถูกแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งคือคณะอาจารย์ทั้ง ๔ ก็ต้องเป็นฝ่ายผิด ดังนั้น เมื่อทรงสดับถ้อยแถลง

จบลง จึงทรงกริ้วพวกอาจารย์ทั้ง ๔ ว่า “พวกนั้นก่อเวรไปเอง ทำตนให้เป็นไพรืไปเอง พลอยกระทำ

ให้พ่อบัณฑิตของเราเป็นไพรีไปด้วย ความจริงพ่อบัณฑิตมิได้คิดเป็นไพรีแม้แต่น้อย” จึงมีพระบรมราช


โองการให้หาราชม้ลเข้ามาเฝืา แล้วมีพระราชดำรัสสั่งบังคับ “สูทั้งหลายพากันไปเดี๋ยวนี้ คุมเสนก ปุกกุสะ

กามินท้ และเทวินท้ออกไปนอกเมือง จับให้มันนอนหงายบนปลายหลาวเหล็กแล้วดัดหัวเสียทุกคน”


ด้วยพระราชดำรัสอันเฉียบขาด คณะราชมัลรีบพากันไปเบิกตัวคณะอาจารย์ทั้ง ๔ ออกจาก
เรือนจำ มัดมือไพล่หลังคุมตัวเดินไป ถึงที่อันเป็นถนน ๔ แยกก็หยุดเฆี่ยนด้วยหวายคนละ ๑๐๐ ทีทุก กุ

สี่แยก เพื่อให้มหาชนชาวพระนครได้เห็นเป็นแบบอย่าง
ท่านเสนาบดีมโหสถยังคงอยู่ ณ ที่เฝืา ได้ฬงพระดำรัสสั่ง ก็มีใจกรุณาแต่จะกราบทูลขอพระ-

ราชทานอภัยโทษทันทีก็ไม่สมควร เพราะสังเกตพระอาการกำลังกริ้วหนัก หากกราบทูลในขณะนั้นก็ยาก

ที่จะหวังในพระกรุณาธิคุณ จึงปล่อยให้ระยะกาลผ่านไป พอเห็นว่าทรงบรรเทาจากพระโทสะจึงกราบทูล

kalyanamitra.org
๒๑๕'

ว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ผู้ทรงเป็นสมมติเทพเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระ


มหากรุณาธิคุณเป็นที่พึ่ง ด้วยข้าพระพุทธเจ้าดำริด้วยเกล้าฯ เห็นว่า อาจารย์ทั้ง ๔ มีเสนกเป็นประมุข
ได้กระทำความผิดปกปิดความซัวของตน ควรแก่การลงพระราชอาญาถึงสิ้นซีวิต แต่เมื่อมาคำนึงถึงว่า

อาจารย์เหล่านั้นเป็นอำมาตย์รุ่นเก่า รับราชการฉลองพระคุณมานาน มีได้เคยทำความผิดความเสียหาย


ชันใดอนนอกจากนั้น ทั้งมีความเอาใจใส'ในราชกิจ มุ่งที่จะทำนุบำรุงใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยความ

จงรักชักดีดลอดกาลนาน ก็เป็นคุณงามความดียันควรจะทรงพระกรุณา เพราะฉะนั้นข้าพระพุทธเจ้าขอ

พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแต่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดพระราชทานอภัยแก่อาจารย์เหล่านั้น

เถิดพระพุทธเจ้าข้า”
“ได้ซิ พ่อบัณฑิต” โปรดเกล้าฯ พระราชทานรับสั่งให้ราชบุรุษรีบไปบอกแก่คณะราชมัลทันที

“ไปบอกพวกนั้นว่า พ่อมโหสถบัณฑิตขอโทษต่อเรา เราได้ให้พ่อมโหสถแต้ว และให้คุมตัวคนทัง ๔ มา


ที่นึ่โตยเรีว”
ราชบุรุษเซิญกระแสพระราชดำรัสไปโดยต่วน ไปถึงขณะทีอาจารย์ทั้ง ๔ กำลังถูกเฆียนอยู่

ตรง ๔ แยกตอนหนึ่ง ใกล้จะถึงประตูเมืองอยู่แล้ว


ท่านราชมัลเห็นราชบุรุษรีบมาโดยต่วน ก็สั่งให้ระงับการเฆียนไว้พลาง เพึอรอว่าจะมีพระราช

ดำรัสสั่งสถานใดต่อไป เมื่อราชบุรุษมาถึงจึงถามว่า “เห็นจะเชืญกระแสพระราชดำรัสมากระมัง”


“ถูกแล้ว ท่านที่เคารพ” ราชบุรุษตอบ “มีพระกระแสรับสั่งให้ปลดปล่อยและนำตัวอาจารย์

ทั้ง ๔ กลับไปเฝ็าเดี๋ยวนึ”่

“เห็นจะเป็นเพราะท่านเสนาบดีกราบทูลขอพระกรุณาไว้’, ท่านราชมัลกล่าวด้วยอาการคาดคะเน
“เ'โ แเช่นนั้น ท่านคาดถูกทีเดียว” ราชบุรุษสนอง “เป็นยอดคนแท้ ๆ ท่านเสนาบดีของเรา

อย่าข้าเลยท่าน ลังให้เขาแกมัดปล่อยให้อาจารย์ทั้ง ๔ เป็นอิสระก่อนเถิด จะพาตัวไปเฝ็า จะทรงพระ


กรุณาโปรดเกล้าๆ ประการใดก็ยังไม่ทราบ”

พระเจ้าวิเทหราชได้ทอดพระเนตรเห็นอาจารย์ทั้ง ๙ เข้ามาเฝ็าถวายบังคม ตามร่างกายมีรอย


หวาย ก็มีพระราชดำรัสลังว่า “เราขอยกคนทั้ง ๔ นึ่ให้เป็นทาสของพ่อมโหสถตั้งแต่บัดนึ่ไป”

“ขอเดชะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า” ท่านเสนาบดีกราบทูล “ข้าพระพุทธเจ้าขอพระ-


ราชทานพระมหากรุณาโปรดให้อาจารย์ทั้ง ๔ นึ่คงเป็นไทพระพุทธเจ้าข้า”

“ล้าเช่นนั้นจงอย่าพากันอยู่ในแว่นแคว้นของเรา” มีพระราชดำรัสสั่งบัพพาชนึยกรรม

“ขอเดชะ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงพระกรุณางดโทษแก่อาจารย์เหล่านึ่ผู้มืดมนเถิด

พระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนาบดีกราบทูลขอไว้อีก “และขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงพระกรุณา


ให้ทุกคนคงดำรงในฐานันดรดังเก่าพระพุทธเจ้าช้า”
พระเจ้าวิเทหราชโปรดพระราชทานตามที่ท่านเสนาบดีกราบทูลขอทุกประการ ด้วยทรงเลื่อมใส

เป็นอย่างยิ่งในท่านเสนาบดี ทรงดำริในพระทัย “ตูหรือ บัจจามิตรแท้ ๆ พ่อมโหสถยังแผ่เมตตาถึงเพียง

kalyanamitra.org
๒๑๖

นั้ เป็นผู้อื่น *1 จักยิ่งกว่านั๊เพิยงใดเล่า”


คณะอาจารย์ทั้ง ๔ กราบถวายบังคมแล้ว ขอสมาท่านเสนาบดี ขอให้ท่านให้อภัยโทษในการที่

ตนได้คิดกันทำลายท่านนั้น *1 เมื่อได้รับอภัยแล้วด่างก็มีใจชี่นชมหรรษา ปราศจากความคิดที่เป็นศัตรูกับ

ท่านเสนาบดี พากันละพยศหมดพิษสงเหมือนงูที่ถูกถอนเขยว ไม่กล้าจะเพ็ดทูลอะไร *1 ได้ตั้งแต่บัดนั้น

kalyanamitra.org
๒๙. ผู้สำเร็จราชการวิเทหร็ฐ
พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระหฤทัยโสมนัส และทรงเลื่อมใสในคุณสมน์ติของท่านเสนาบดี
เป็นอย่างยิ่ง ทรงพระดำริในพระมนัส “มโหสถบัณฑิตมีความรอบรู้ในสรรพกิจต่าง *1 ทั้งเป็นผู้มีอัธยาศัย

กว้างขวาง มีเมตตากรุณา แม้ในบุคคลที่มุ่งประหัตประหารตน ก็ยังแผ่ไมตรีจิตไปให้ดังเช่นอาจารย์ทั้ง

๔ เป็นผู้มีอัธยาศัยดียิ่งนัก ทั้งเป็นผู้สามารถในการปกครอง เป็นที่เคารพนับถือของทวยนคร ดังจะได้

เห็นจากพฤติการณ์ที่พ่อมโหสถได้กระทำไป เป็นที่ประจักษ์อยู่ว่า มหาชนชาวมิถีลาน้อยนักที่จักไม่เคารพ

ยำเกรง หากได้รับมอบหมายกิจการบ้านเมืองให้เป็นสิทธํ่ขาด มโหสถจักกระทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง

ได้เป็นอันมาก” เมื่อทรงพระดำริแล้ว ก็มีพระราชดำรัสกับท่านเสนาบดี “พ่อมโหสถ ฉันมาดำริอยู่ว่า


การปกครองแว่นแคว้นแดนดินนั้น เป็นภาระอันหนักมิใช่น้อย เพราะผู้ที่ดำรงในฐานะเช่นฉันนึ่ จำด้อง

คิดอ่านกิจการทุก *1 กระบวน เพื่อให้ความร่มเย็นแก่ประชากร ครั้นคิดแล้วก็ใช่ว่า จะเป็นผู้ปฏิบัติตาม

ความคิดของตนก็หามิได้ ด้องมอบหมายให้ผู้อื่นไปปฏิบัติ เพื่อให้เกิดสวัสดีภาพแก่ทวยราษฎร์ ”


“เมื่อความเป็นไปตกในทำนองนึ่ แม้'ความคิดอ่านในทางรัฐประศาสโนบายจะดีเลิคปานไร
หากผู้รับปฏิบัติมิได้ดำเนินกิจการนั้นโดยชอบ มิหนำซํ้าประกอบไปด้วยอัธยาศัยอันทราม แทนที่จะเป็น

คุณก็กลับเป็นโทษไปเสีย ครั้นเป็นดังนั้น ความรับผิดก็ตกแก่ผู้เป็นใหญ่ในการปกครองทวยราษฎร์ได้รับ


ความเดือดรัอนเพราะผู้ที่รับรัฐประคาสโนบายไปดำเนินการแต่เพราะบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ใหญ่ในการ

ปกครองแต่งตั้งไป ความไม่ดีไม่งามต่าง คุ ก็ตกแก,ผู้ที่แต่งตั้ง ฉันเคยได้ทราบเรื่องราวแต่ปางก่อน ชง

ให้คติในการปกครองอยู่บ้าง จะเล่าให้ฬงโดยย่อ คุ”


“เจ้าเมืองพาราณลีในครั้งโบราณองค์หนึ่งมีนามว่า ป้ญขิาลราช ด้องการจะทราบความเป็นไป
ของประชากรโดยใกล้ชิด จึงชวนปุโรหิตปลอมตัวไปเที่ยวภายนอกพระนคร เสด็จไปตามชนบท เย็นวันนั้น

ไปถืงบ้านหนึ่ง พบตาแก่คนหนึ่งนั่งบ่งหนามไปพลางปากก็แช่งไปพลางว่า
“ขอให้บัญจาลราช ถูกลูกศรเลียบในสงครามเจ็บปวดเหมือนข้าถูกหนามยอกเทัาอยู่บัดนึ่เถิด”

เจ้าบัญจาลราชได้ยินก็ให้ปุโรหิตไปซักถามแกดู ปุโรหิตเข้าไปพูด'กับตาแก่นั้นว่า

“ตาเอ๋ย ตาก็แก่แล้ว นัยน์ตาฝ็าพ่าง เวลาก็เย็น ตามองอะไรไม่เห็นถนัดจึงถูกหนามยอก พระ


ราชาจะมีความผิดอย่างไร พระองค์มีหน้าที่คอยกวาดหนามมิให้ยอกเท้าตาหรือ”

ตาแก่แกกลับว่า

kalyanamitra.org
๒®๘

“ทำไมบ้ญจาลราชจะไม่ผิดเล่า พ่อคุณ บ้ญจาลราชผิดมากทีเดียว ท่านปกครองบ้านเมืองไม่ดี

ประชาชนได้รับความเดือดร้อน พ่อไม่รู้หรือกลางวันกลางคืนราษฎรเดือดร้อนปานใด จะเล่าให้ฬง กลางวัน

พวกเจ้าพนักงานของบ้ญจาลราชก็รวมหัวกันมารีดนาทาเร้น กลางคืนเล่าพวกโจรก็พากันเข้าปลัน พ่อคุณ


เอ๋ย ในแผ่นดินของกูฏราชนึ่คนไร้ศีลธรรมชวนกันมาเกิดมากเหลือเกิน เมื่อมีภัยอย่างนประชาชนก็พากัน

ระสำระสาย เข้าขื้นก็เอาเรียวหนามสะประตูบ้านไว้ หอบลูกพาเมียหลบหนีเจ้าพนักงานไปซุกซ่อนอยู่ใน


ปา จนกว่าจะเย็นจะคํ่าคะเนว่าพวกเจ้าพนักงานพากันกลับไปหมดแล้ว จึงพากันกลับยังเรือนของตน ฉัน

เองต้องเดินยํ่ามานานแล้ว มันก็ยอกมามากแล้วเหมือนกัน. เออ ก็ล้าบ้านเมืองดีร่มเย็น ไม่มีทุกข์เข็ญที่

ไหนจะต้องทำอย่างนึ่ ก็ไม่ต้องทำ เมื่อไม่ต้องทำ ก็ไม่ต้องยํ่าหนามกันทุก *1 วัน เมื่อไม่ต้องยํ่ามันแล้ว

มันก็จะยอกได้ที,ไหนกันเล่า ที่ฉันถูกหนามยอกนํ่ ไมใช่ความผิดของพระราชาหรือ ? ไม่ใช่เพราะปกครอง

ไม่ดีดอกหรือ ? พ่ออย่าไปเข้าข้างพระราชาเลย พระราชาอย่างนํ๋ไม่ควรให้ความสนับสนุนดอกนะ ”

เจ้าบ้ญจาละฬงคำของตาแก่นั้นแล้ว พูดกับปุโรหิตว่า “แกพูดถูกแล้ว เราไปกันต่อไปเถิด”


ดึงบ้านหนึ่งอยู่ใกล้ รุ หนทาง ได้ยินเสียงยายแก่คนหนึ่งตะโกนลอยอยู่ว่า “เมื่อไรบ้ญจาลราช

จักตายเลียที ผู้หญิงสาว ๆ ในแผ่นดินจะได้มีผิวกันได้ ยังไม,ตายหาผิ'วกันไม่ได้เลย”


ปุโรหิตเข้าไปไล่เลียงแกว่า “ยายทำไมดึงปากกล้านัก ทำไมดึงได้จ,ู ลู่วู่วามอย่างนั้นเล่ายาย พระ
ราชาจะไปหาผัวให้หญิงสาวได้อย่างไร พระองค์มีหนัาที่คอยหาผัวให้หญิงสาวในบ้านเมืองหรือ ?”

ยายแก่แกกลับว่า “พ่อคุณเอ๋ย ฉันไม่ได้เป็นคนปากร้ายนะพ่อนะ ฉันไม่ได้พูดชั่วเลย ความ

เสื่อมความเจริญฉันทราบดี พ่อคิดตูบ้างชี เจ้าบ้ญจาลราชปกครองบ้านเมืองเป็นอย่างไร กลางวันกลางคืน


เดือดร้อนทั้งนั้น กลางวันก็ต้องคอยหลบหนีเจ้าพนักงานของพระองค์ที่มาคอยรีดนาทาเร้น กลางคืนก็

ไม่เป็นอันหลับนอน ต้องคอยระมัดระวังพวกโจรเข้าปล้น พุทโธ1เอ๋ย ในแผ่นดินนึ่ ไม่รู้ว่าคนไม่มีศีลธรรม


พากันมาจากไหนมามั่วสุมกันมากมาย ฉันมีลูกสาว ๒ คน โตเป็นลาวแล้วทั้งคู่ ไม่มีใครมาสู่ขอ คิดตูซ็

พ่อ ในเมื่อบ้านเมืองมียุคเข็ญอย่างนึ่ ผู้ชายคนไหนมันจะมีแก,ใจมาขอเล่า การเลี้ยงตูกันก็แสนยากแสน


เข็ญ ฉันนึ่นะพ่อ ลำบากสายตัวแทบจะขาดลงไปแล้วละ พ่ออีหนูหรือก็ตายไปนานแล้ว ฉันคนเดียวต้อง

เที่ยวเก็บผักหักฟินเลี้ยงลูก นึกว่าลูกเป็นสาวแล้วก็จะมีผัวไป หมดห่วงหมดใยกันที ที่ไหนไต้ มาโดนยุค

เข็ญเช่นนึ่เข้าอีก ก็ต้องบำรุงเลี้ยงต่อไปอีก ใคร รุ เขาพากันหลบหนี ฉันก็ไปอย่างเขาไม่ได้ ต้องระวัง

รักษาลูกสาวแสนยากลำบาก วันนั้ใปหาผักขื้นไปบนต้นไม้เพื่อเก็บผัก เผลอตัวพลัดตกลงมาข้ดยอกไป

ทั้งตัว ล้าลูก รุ เขามีผัวไปแล้ว ผัวเขาก็หาเลี้ยงกัน ฉันก็ไม่ต้องลำบากอย่างนึ่ นึ่เป็นความผิดของใครเล่า

จ๊ะพ่อ โธ่คิดตูซ็ ฉันไม่ใช่คนวู่วามตามอารมณ์ดอก ความจริงมันก็เป็นอย่างนึ่นาพ่อนา”


พระเจ้าบ้ญจาละบอกกับปุโรหิต “แกพูดถูกแต้ว” พากันไปต่อไปลึงที่นาแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียง

ตะโกนโหวก รุ อยู่ว่า
“ใหับ้ญจาลราชต้องหอกในสงคราม นอนแน่นึ่งอย่างน่าสังเวชเหมือนไอ้สาลียะ (วัว) ถูก

บาดแผลนอนอนาถอยู่บ้ดนึ่เถิด”

kalyanamitra.org
1ป็ ส 6^

ปุโรหิตเข้าไปกล่าวท้วง “ดูจะเหยมหาญนักละแก ตนทำไม่ดีลิมาพาลพาโลด่าพระราชาของ


ตนอย่างนี่จะถูกต้องหรือ ? คิดดูไห้ดี ๆ ซี พระราชาจะมาคอยป้องกันไม่ให้ผาลบาตตีนวัวของแกได้อย่างไร

เล่า”
ชาวนาโต้ “แกเอ๋ย เป็นการถูกต้องของข้าแล้ว ดูซ็แก! ดูความผิดของพระราชา ประชาชน
ไม่เป็นอันกินอันนอน เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าทีเดียว รู้ไหมเล่า ในแผ่นดินของราชาองค์นี่มนุษย์ไม่มี

ศีลธรรมซักชวนกันมามั่วสุมมากมาย เอ้าเชิญพิจารณานางคนล่งข้าวของข้าอุตส่าห์ลุกขื้นหุงข้าวแด่เช้าตรู่

เสร็จแล้วก็หาบมาพบกับเจ้าพนักงานของพระราชา พวกนั้นขู่เอาไปกินเสีย มันจะไม่ให้ที่ไหนได้ ก็ต้อง


ให้ แล้วก็ต้องไปหุงหาข้าวใหม่ กว่าจะได็ข้าวมาส่งก็สายยิ่งนัก ยิ่งสาย ข้าก็ยิ่งหิว และยิ่งเหนึ่อยคอยมอง

ดูทางที่ข้าวจะมา เมื่อไรมันจะมาลักที มือลงปฎักไอ้สาลิยะไปเรื่อย ๆ ตามองทางหนึ่ง มือทำไปทางหนึ่ง

ไอ้สาลิยะเลยถูกผาลบาดเอา นึ่เป็นความผิดของใคร ความผิดของข้าหรือ? แกคิดดูซ็ ล้าปกครองบ้านเมือง

ดี เจ้าพนักงานไม่ขู่เข็ญราษฎรแล้ว ไอ้สาลิยะมันจะถูกผาลบาดหรือ? คิดดูซ”็


“ถูกของแก” เจ้าบ้ญจาละพูดกับปุโรหิต พากันไปต่อไป คํ่าลงอาศัยพักแรมที่บ้านหลังหนึ่ง

ใกล้โรงรีดนม รุ่งเช้าเสียงเอะอะเอ็ดตะโรในโรงรีดนม เสียงคนรีดนมตะโกน


“ให้บ้ญจาลราชถูกดาบเซีอดในสงคราม เลือดอาบกายเหมือนข้าถูกแม่โคเตะ และนี่านมหก

อยู่บ้ดนี่เถิด”

ปุโรหิตเข้าไปพูดท้วง “เกินไปนักละท่าน ไอ้สัตว์เลยงดัวนี่มันเทนี่านมเอง มันเตะแกเอง แก

จะไปด่าพระราชาได้หรือ ? พระราชามีหน้าที่คอยป้องกันวัวไม่ให้เตะแกหรือ ? แกถึงไปปรักปรำพระ

ราชา”
“แน่นอน บ้ญจาลราชเป็นผู้สั่ง” คนรีดนมเถียง “แกคิดดู โคของข้า ข้ารู้'ตัวไหนเป็นอย่างไร

อีดัวนี่มันดุ ดิ้นเก่งและดีดเก่ง ก่อนนี่ข้าไม่ต้องรีดนมมัน แต่วันนึ่ด้องรีด ทำไมต้องรีด เพราะถูกเขารีด


ใครล่ะรีดข้า เจ้าพน้กงานของบ้ญจาลราชน่ะซ็จะใครเลียอีกล่ะ บังคับข้าให้เอานํ้านมไปให้มาก ๆ มิฉะนั้น

จะเอาตัวไปฆ่าเสีย นี่แหละแกเอ๋ย ความผิดของข้าเองหรือ? บ้ญจาลราชไม่ได้ลังให้วัวตัวนีเตะข้า เทนม


ของข้าก็เหมือนสั่งโดยปริยาย เพราะปกครองบ้านเมืองไม่ดี ล้าปกครองบ้านเมืองดี เจ้าพนักงานไม่รีดนา

ทาเรัน ข้าก็ไม่ถูกวัวเตะด้งนี่ แกคิดดูเถิด เออ! แสนเข็ญจริง *[”

“ถูกของแก” เจ้าบ้ญจาละเอ่ย แล้วออกจากบ้านนั้นบ่ายหน้ากลับพระนคร เดินดามถนนใหญ่


เห็นแม่วัวตัวหนึ่งวิ่งรำร้องกลับไปกลับมาวกวนอยู่ พร้อมกับได้ยินพวกเด็ก แถวนั้นตะโกนเอ็ดอึงว่า

“ให้บ้ญจาลราชต้องพลัดพรากจากลูกจากเมีย วิ่งวกวนรำไห้เหมือนแม่โคถูกเขาพรากลูกไปฆ่า

วิ่งร้องหาลูกอยู่ไปมานึ่เถิด”

ปุโรหิตเช้าไปพูดท้วง “เด็ก ๆ เอ๋ย พวกเจ้ายังอ่อนนักไม่ร้ชักประสีประสา ทำปากกล้าสามหาว


ไป ธุระกงการอะไรของพระราชาเล่าที่จะมาคอยป้องกันไมให้แม่โคตัวนั้นมันร้องไปมา เป็นธุระของเจ้าของ
มันมิใช่หรือ ทำไมพวกเจ้าจึงไม่ด่าเจ้าของเล่า ไพล่มาด่าพระราชา พระองค์ไปทำผิดคิดร้ายอะไรในเรื่องนี”่

kalyanamitra.org
๒๒

“โอ ผิดมาก และร้ายกาจมากด้วย” พวกเด็กพากันยืนยันแล้วกล่าวต่อไปว่า


“ท่านที่น่าเคารพ ท่านมาจากไหน ไม่ทราบความเป็นไปของบ้านเมืองบ้างเลยหรือ ทุกวันนี่

ประชาชนร้อนรนปานใด ทั้งกลางวันกลางคืนเดือดร้อนกันจนไม่เป็นอันกินอยู่หลับนอน กลางวันพว์ก

เจ้าพนักงานพากันมารีดนาทาเร้น กลางคืนพวกโจรก็พากันฟ้าปล้น ฝูงชนลำเค็ญเหลือ ดูเหมือนพวกอธรรม


นัดกันมาเกิดในแผ่นดินของกูฏราชนี่ ดูซ็ท่าน! แม่โคด้วนน่าสงสารนัก มันวิ่งร้องไปมา มันกำลังเรียกหา

ลูกของมัน ความร้กลูกอ่อนนั้น สัตว์ดิรัจฉานมันก็เหมือนคนนะท่าน ลูกมันไปไหนหรือ พวกเจ้าพนักงาน

ของบ้ญจาลราชสิท่าน จะมีใครเลียอีกล่ะ เขาจะเอาหนังลูกวัวไปทำฝักดาบ เอาลูกของมันไปฆ่าเลีย เพื่อ

สนองความต้องการของพวกเขา โธ่! เหยมโหดกระไร ใครเล่าจะช่วยป้องกันมิให้ถูกฆ่าได้ดูเถิดท่าน!

บ้านเมืองของบ้ญจาลราช แม้แต่ลูกวัวยังไม่ทันหย่านมก็ถูกเจ้าพนักงานจับเอาไปฆ่าเอาหนังทำฝักดาบ
อนาถไหมท่าน นี่ความผิดของใคร ความผิดของเจ้าโคหรือของพระราชา หากพระราชาปกครองบ้านเมือง

โดยธรรมจะเป็นเช่นนี่ไหม ใครจะเป็นผู้ควรถูกด่ากันแน่? เจ้าของโคหรือพระราชา”

เจ้าบ้ญจาลราชตรัสกับปุโรหิต “น่าทัง ท่านอาจารย์” แล้วเดินทางต่อมาใกล้จะถึงเมือง มีสระ


แห่งหนึ่ง นํ้าขอดเต็มที ฝูงกบตกคลั่กอยู่ ฝูงกาพากันรุมจิกกบกิน เลียงกบร้องครํ่าครวญเป็นเลียงด่าพระ-

ราชาว่า
“ให้ป้ญจาลราชพร้อมลูกถูกฆ่าในสงคราม ถูกฝูงการุมจิกเนี่อกินเหมือนพวกเราเกิดในแดน

ปา ถูกฝูงกาเกิดในแดนบ้านจิกกินอยู่ในวันนี่เถิด"

ปุโรหิตท้วงตามเคย “ชา *1 เจ้าพวกกบเอ๋ย พระราชาทั้งหลายในมนุษยโลกมีองค์ไหนบ้าง ที่

อาจให้อารักขาได้ถึงสรรพสัตว์ในแผ่นดิน เพียงแต่พวกเจ้าถูกฝูงการุมจิกกิน จะถือเอาเป็นเหตุว่าพระราชา


เป็นอธรรมไม่สมเลย พระราชาองค์ไหนเล่าที่จะป้องกันฝูงกามิให้มากินฝูงกบได้ พระราชาองค์ไรเล่าจะ
เสด็จเที่ยวไปตามป่าดามหนอง คอยไล่ฝูงกาไม่ให้รังแกฝูงกบ เยี่ยงอย่างมีที่ไหนกัน”

พวกกบพากันโด้แย้งว่า “ท่านผู้เป็นพงค์พรหมพูดไม่เข้าท่าเลียแล้ว ฟ้ากับพระราชาเสียเรื่อย


ทีเดียวในเมื่อพวกเราซ็งก็เป็นประชานิกรถูกกลุ้มรุมทำร้ายท่านยังมีแก่ใจบูชาพระราชาอยู่อีก ทั้ง*[ที่

ทารุณกรรมปรากฏแก่ตาท่านอยู่ทนโท่ ท่านไม่ยักเห็นใจพวกเราเลย ลองคิดดูซ็ แม้นแว่นแควันแดนดิน


นี่ พระราชาดำรงราชย์โดยธรรม ฟัาฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ฝูงชนก็จะตั้งหน้าทำมาหากินพอกพูนทรัพย์ลีน

ให้มั่งคั่ง มีความยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจก็จะน้อมไปในทางบุญ จะพากันพลีกัอนข้าวให้แก่ฝูงกาทั่ว *1 ไป

ฝูงกาได้กินข้าวที่ฝูงคนพลีให้แล้ว ที่ไหนจะมาเอาซีวิตพวกเราไปเลํ๋ยงซีวิตตนเล่า ที่พวกเราฝูงกบฝูงกา

รุมกันจิกกินอยู่นี่เพราะอะไร ไม่เพราะบ้ญจาลราชผู้ครองบ้านเมืองหรือ บ้านเมืองเคืองเข็ญทั้งกลางวัน

กลางคืน ประชาชนหาความแจ่มใสใจสุขมีได้เลย ฟ้าฝนก็ไม่ดกต้องตามฤดูกาล ข้าวยากหมากแพง มิหน์าซ์า

พวกเจ้าพนักงานยังพากันรีดนาทาเร้นประชาราษฎรย่อยยับไปตาม *1 กัน ใครเล่าจะมีแก่ใจพลีกัอนข้าว


ให้แก่กาแม้ลักป้นหนึ่งได้ ฝูงกาก็พากันมากินฝูงกบ เรื่องมันเป็นอย่างนี่นาท่านนา ข้าพเจ้าจึงด้องด่าพระ-

ราชา”

kalyanamitra.org
๒๒๑

“ถูกของมัน” เจ้าบ้ญจาลราชพูดกับปุโรหิต แล้วคืนเข้าสู,นคร ตั้งแต่นั้นก็ดำเนินการปรับปรุง

แก้ไขเป็นการใหญ่ ให้ความร่มเย็นกลับคืนมาสู่แว่นแคว้นแตนดินสืบไป
“พ่อมโหสก เรื่องนฉันได้คำนึงอยู่เป็นนิตย์ เห็นว่าการปกครองบ้านเมืองเป็นภาระอันไม่เบา
เลย ทุกสิ่งที่เป็นความดี ได้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้าเป็นความเข็ญขุ่นเคือง ได้แก่พระราชาองค์เดียว อะไร
ที่เป็นผลเสืยหายแล้ว เหตุมาจากพระราชาทั้งนั้น ดูข็พ่อ หนามยอกเท้าเพราะพระราชาไม่ดี ลูกสาวไม่มี

ผัวเพราะพระราชาไม่ดี วัวถูกผาลบาดเพราะพระราชาไม่ดี โคนมอาละวาดเพราะราชาไม่ดี แม่โคพลัด

ลูกเพราะพระราชาไม่ดี กบถูกกากิน เพราะพระราชาไม่ดี ฬงแลัวก็ลำบากจริง *1 นะพ่อ”


“เดชะบุญของฉัน ที่ได้ดำรงราชย์ในบัดนั้ ยังไม่มีปราฏการณ์เช่นนั้น ทั้งนั้เป็นด้วยบรรดา
เจ้าพนักงาน พากันเป็นใจแก่การงานของฉัน เอาความจงรักภักดีเข้าตั้งหนัา มีความชี่อสัตย์สุจริตเป็นพื้น
ของจิตใจ ความยากเข็ญขุ่นเคืองจึงไม่บังเกิดขน แต่ก็เป็นการยากยิ่งที่จะคิดว่าจะไม่บังเกิดขื้นได้ตลอคไป

เป็นการยากนักที่จะหาหลักประกันมิให้เป็นเช่นกล่าวนั้น *1 เพราะแมัแต่ผัที่ได้รับยกย่องเชิดชูเป็นหนักเป็น
หนา ดำรงในยศคักดํ่อัครฐาน เช่นอาจารย์ทั้ง ๔ ก็ยังอดมีความโสมมอยู่เบื้องหลังมิได้ จะไปวางใจผู้ใด

ได้เล่าพ่อเอ๋ย”
“ฉันหรึอ ว่าโดยอัธยาศัยที่แท้จริงแล้ว ก็มุ่งหมายอย่างยิ่งที่จะเห็นความเจริญรุ่งเรืองของแว่น-
แคว้น ปรารถนาเป็นที่สุดที่จะได้เห็นความร่มเย็นเป็นสุขแผ่ไปในประชาชน เพื้อความมุ่งหมายอันนั้น
ฉันยอมได้ทุกอย่างทีเดียว ขอแต่ให้บ้านเมีองและประชาชนมีความเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น เมื่อบ้านเมือง

รุ่งเรืองประชาชนมีความสุข ฉันจะเป็นอย่างไรมิได้คำนึงเลย ใครจะรับฉันไปจองจำ ฉันก็ไม่เดีอดรัอน


ใครจะจับฉันไปฆ่าฉันก็ไม่เจ็บแด้น เพราะอิ่มใจในข้อที่ว่าฉันได้นำความสุขมาให้แก่ประชาชนที่อยู่ใน
ปกครองได้แล้ว ความรัอนใจของฉันคงมีอยู่ทุกเมื่อ ถ้าฉันยังมิสามารถจะนำความสุขมาสู่หม่ชนที่ยกฉัน
ขื้นสู่ราชัย”
“พ่อมโหสถ เธอเป็นผู้รอบรัทั้งสามารถในสรรพกิจ ทั้งเป็นที่เคารพรักของประชากร ฉันหวัง
อยู่ว่าความรอบรัและความสามารถอันยอดเยิ่ยมของเธอ จะบันดาลวิเทหรัฐให้รุ่งเรืองจำเริญ และนำความ

ร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ประชาชนชาวแคว้นได้สมความมุ่งมาดปรารถนาของฉัน ด้งนั้น ฉันขอมอบกิจการบ้าน

เมืองให้แก่เธอโดยเด้ดขาด กิจการแห่งวิเทหรัฐควรรัดควรท้าประการใด ให้เธอจัดการทำไปดามความ


คิดของเธอทุกประการ ขอเธอจงรับมอบกิจการที่ฉันได้มอบให้นั้ใวั จักได้เป็นหูเป็นดาและเป็นมือเป็น
เท้าที่จะสอดส่องและนำพากิจการอันเป็นไปเพื้อประโยชน์สุขของแว่นแคว้นลุลึงความเจริญ”
ท่านเสนาบดีได้ฬงพระราชดำรัส ก็ยากที่จะขัดพระราชประสงค์ เพราะคาดกำลังของตนได้

อยู่ว่าสามารถสนองพระมหากรุณาธิคุณได้ ด้งนั้น จึงนัอมเศึยรเกลัาๆ กราบถวายบังคมรับมอบอำนาจ

ในการรัตการบ้านเมือง คือเป็นผู้สำเรืจราชการวิเทหรัฐ

kalyanamitra.org
๓๐. จดการบานเมอง
จำเดิมแด,ได้วับมอบอำนาจสิทธิ้ขาดในการบ้านเมือง เป็นผู้สำเร็จราชการวิเทหวัฐแล้ว ท่าน

มโหสถบ้ณ‘ทิตได้พยายามสอดส่องเอาใจใสในราชการทุก *1 กระบวน สมกับเป็นผู้ต่างพระเนดรพระกรรณ


จริง *1 นอกจากนั้นแล้วยังได้เป็นผู้ถวายอนุศาสน์อรรถธรรมแด่พระเจ้าวิเทหราชเป็นกิจประจำอีกด้วย
เมื่อราชการบ้านเมืองดำเนินไปด้วยความเรียบวัอยราบรื่น ประชาชนได้วับความร่มเย็นเป็น

สุขกันดลอดแว่นแคว้น ไม่มีความเคืองเข็ญอันใดสมด้งพระหฤทัยของพระเจ้าวิเทหราชแล้ว ท่านผู้สำเร็จ


ร'!ชการมิได้นิ่งนอนใจเพียงเท่านั้น ท่านดำริว่า “การที่พระเจ้าเหนือหัวของเราได้ทรงพระกรุณาชุบเลื้ยง

มาแต่น้อยด้มใหญ่ และได้พระราชทานยศศักดํ่อัครฐานสูงสุด ถึงทรงมอบอำนาจในการบังคับบัญชากิจการ

ของแว่นแคว้น ด้วยทรงไว้วางพระท้ยแท้จริงเช่นนิ่ เป็นพระมหากรุณาธิคุณลันเกล้าๆ ฐานะของเราใน

บัดนึ่เท่ากับเป็นผู้พิทักษ์เศวตฉัตร และพระราชสมบ้ติของพระเจ้าเหนือหัวแห่งเรา อันแว่นแคว้นวิเทหวัฐ


นึ่อุตมสมบูรณ์ปานใดก็เป็นที่ปรากฏทั่วไปในแคว้นต่าง *1 ความอุดมสมบูรณ์ของแว่นแคว้น ความผาสุก

ของประชาชน เป็นเหมือนนํ้าผื้งรวงอันส่อตาของผู้ปรารถนาความเป็นใหญ่ยิ่งในสกลชมพูทวีป หากเรา

มัวมาประมาทเสียแล้ว ก็เป็นที่แน่ว่า วิเทหวัฐด้องประสบความเป็นทาสสักวันหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นการที่

ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายอำนาจสิทธํ่ขาดแก่เราก็ไม่มีผลพิเศษอันใด ทั้งการที่ทรงยกย่องเราในฐานะ

สูงศักดํ่เช่นนั้น ก็ไม่เป็นการสมควร และการที่เราได้วับไวัก็เหมือนมิได้รู้ประมาณตน ซ็งไม่ใช่แนวทาง

ของบ้ณ‘ทิตเช่นเราจะพิงดำเนิน ดังนั้น เราจำด้องคิดป้องกันแว่นแคว้นแดนดิน พิทักษ์มหาเศวตฉัตร

ชัยไอศวรวย์ของพระเจ้าเหนือหัวไวัมิให้เกิดอันตรายได้ จะมัวเมาประมาทมิได้เลย”
ท่านดำเนินงานตามความคิดนั้นทันที เพราะได้วับมอบอำนาจสิทธิ๋ขาดอยู่แล้ว แมัจะไม่ด้อง

กราบทูลแต่พระเจ้าวิเทหราชก็ดำเนินการได้ตามความคิด
ในประการแรก ด้องคิดการป้องกันพระนครให้มั่นคงก่อน ก็าแพงและป้อมชี่งได้'ช่อมกันเรื่อย

มาชำรุดทรุดโทรมเต็มที ไม่มีความมั่นคงพอที่จะทานกำลังศึกได้ ก็จ้ดแจงกะเกณฑ์เป็นหมวดเป็นกอง

แบ่งงานเป็นหมวดเป็นกอง แบ่งงานเป็นด้าน *1 ไป สวัางกำแพงใหญ่ในพระนครขื้นให้มั่นคง

ต่อจากกำแพงใหญ่ออกมา มีคูนํ้าโดยรอบ คูนึ่ปรากฎว่า บางตอนตนเขิน บางตอนก็ด้น ชัดการ

ให้ลอกรื่อขื้นใหม่ ขยายกว้างออก และขุดให้ลึกลงไปอีก


ถัดจากคูออกมา สวัางเสริมกำแพงลดหลั่นจากกำแพงใหญ่ ล้อมรอบพระนครอีกชันหนึ่ง

ถัดจากกำแพงหลั่น ให้ขุดเป็นคูโคลนกว้างและลึกพอ *1 กันกับคูนํ้า

kalyanamitra.org
๒๒ธา

ถัดจากคูโคลน สร้างกำแพงหลั่นลงมาอีก ล้อมรอบพระนครเช่นเดียวกัน

ถัดจากกำแพงนั้นให้ขุดคูกว้างและลึก แต่เป็นคูแห้งเต็มไปด้วยเครื่องกีดขวางและหนามเป็นด้น

กำแพงทุก รุ ซันมีประตูและหอครบครัน ตั้งเรียงรายรอบทุกด้าน มีสะพานเสือกสำหรับข้ามคู

ในยามปกติ
มิถิลานครได้รับการสร้างเสริมร้นใหม่อย่างมั่นคง สามารถจะทนทานต่อการโจมดีจากกองทัพ
อันเกรียงไกร แม้จะมีจำนวนมากมายได้ เป็นที่อุ่นใจของประชาชนทั่ว *1 ไป

เมื่อจัดการป้องถันข้าศึกที่จะมาจากภายนอกเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้สำเร็จราชการก็เริ่มงานพัฒนา

ภายในพระนครสืบไป โดยจัดให้มีการสำรวจอาคารบ้านเรือนทั่วพระนคร อาคารใดเก่าครำคร่าชำรุดทรุดโทรม

ก็ให้จัดการซ่อมแปลงแต่งใหม่ให้งดงามมั่นคงถาวรสืบไป พื้นที่ดรงไหนเป็นที่ว่างเปล่าและกว้างขวาง

ก็ให้ดำเนินการขุดเป็นสระใหญ่ รุ ไว้มากมาย ทั้งนิ่เพราะท่านผู้สำเร็จราชการพิจารณาเห็นว่า “มิถิลานคร


ตั้งอยู่ห่างจากฝังแม่นํ้า หากถูกข้าศึกล้อมประชิดปิดช่องทางหมดแล้ว ทวยนครจะพากันอดนํ้าลำบาก”

จึงให้ขุดสระใหญ่ รุ ไว้หลายแห่ง แล้วฝังท่อชักนํ้าจากแม่นํ้าคงคาเช้ามาถึงได้ตลอดทุกสระ

บรรดายุ้งฉางทุก รุ แห่งที่มีในพระนคร เคยว่างเปล่าเพราะมิได้มีความจำเป็นอันใดในการ


ที่จะสะสมข้าวเปลือกไว้ มาถึงสมัยของท่านก็เริ่มดำเนินการหาข้าวเปลือกมาบรรจุไว้จนเต็มทุก ๆ ฉาง

มิให้บกพร่อง เพื้อป้องกันเหตุการณ์ในเมื่อเกิดมีข้าศึกมาล้อม
ที่เคหาสน์ของท่านมีดาบสมาพำนักจากหิมพานต็ เป็นที่คุ้นเคยสนิทสนมกันมีอยู่เป็นอันมาก
ท่านได้ขอร้องดาบสเหล่านั้นให้นำเหง้าบัวต่าง รุ จากหิมพานต็ประเทศมาปลูกไว้ในสระทั่ว รุ ไป

ท่อระบายนํ้าในพระนครอันมีอยู่ทั่ว รุ ไป ไม่ค่อยได้กวาดล้างกันมาแต่ก่อน ท่าให้สิงโสโครก

มองมูนร้น มาถึงสมัยของท่านมิได้นิ่งดูดาย ตั้งเจัาหนัาที่ควบทุมกันกวาดล้างให้สะอาด เพื้อระบายสิง

ปฏิกูลออกไปภายนอกพระนครสู'แม่นํ้าได้สะดวก ท่าให้บัานเมืองสะอาดสะอัานปราศจากสิงสกปรก

กิจการภายในพระนครเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการพัฒนาภายนอกพระนครสืบไป ภายนอก


พระนครมีศาลาตั้งอยู่เป็นระยะ รุ ทั่ว รุ ไปทั้ง ๔ ทิศ เป็นที่พำนักอาศัยของผู้เดินทางจากต่างแคว้น เป็น
ที่พำนักของพวกพ่อด้าที่มาจากแดนไกล ทั้งเป็นสถานที่อาศัยของคนยากจนอนาถา และเป็นที่คลอดบุตร

ของหญิงมีครรภ์ซ็งยากจน ท่านผู้สำเร็จราชการสั่งให้ตรวจตราดูแล ศาลาใดชำรุดทรุตโทรมก็สั่งให้รีบ

ท่าการซ่อมแปลงให้คงคืนเป็นที่พำนักอาศัยได้ด้งเดิม พร้อมทั้งจัดเจัาพนักงานคอยดูแลผู้คนที่ไปมาพัก

อาศัย ตลอดถึงจัดให้เจัาหนัาที่ดูแลเอาใจใสในคนกำพร้าอนาถาและผู้หญิงมีครรภ์ให้ได้รับความสะดวก

สบาย ไม่ต้องเดึอดร้อนด้วยการกินอยู่หลับนอน
เมื่อได้จัดการเสร็จเรียบร้อยเช่นนิ้แล้ว พระนครมิชิลาก็เป็นเมืองที,มั่นคงสะอาดงดงาม ประชาชน

ชาวพระนครเล่าก็มีความผาสุกสนุกสบาย ปราศจากความทุกข็ขุกเข็ญ บรรดาพ่อด้าต่างด้าวแดนก็พากัน


ขนสินด้าฝัาผ่อนแพวพรรณ และรัตนะนานาชนิดมาสู่มิถิลานครมิได้ว่างเว้น ซือเลียงของผู้สำเร็จราชการ
ลือชาปรากฏในทิศานุทิศ ความงดงามสง่าของพระนครมิถิลา ความผาสุกร่มเย็นของประชาชนกระฉ่อน

kalyanamitra.org
๒๒๔

ไปทั่วทุกเขตแคว้นแดนชมพูทวีป เป็นเสียงที่เป็นสึ่อซักนำพวกพ่อค้าให้เร่งขนสินค้ามายังมิถิลานครเพื่อ
เปลี่ยนเป็นเหรียญกษาปณ์ แล้วก็นำเหรียญกษาปณ์นั้นเปลี่ยนเป็นความสนุกสนานสำราญรื่น ซึ่งมิถิลานคร

ค้อนรี'บด้วยความซึ่นบาน

ท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถ แม้จะเห็นผลงานในการพัฒนาปรับปรุงบ้านเมืองสำเร็จโดยรวดเร็ว
และเห็นประชาชนพากันเกษมสุขเช่นนั้นแลัวก็ตาม ยังมิวายที่จะคิดถึงการภายนอกแว่นแคว้น ท่านดำริ

ว่า “ดินแดนชมพูทวีป แบ่งเขตเป็นแคว้น มีนครใหญ่ *1 อยู่มากมายถึง ๑0๑ นครด้วยกัน ในนครนั้น รุ


มีพระราชาปกครองเป็นอิสระ แม้นไม่ได้รู้ดึงความเป็นไปในนครต่าง รุ แล้ว ก็ยากนักที่จักปฏิบัติการใด รุ

ได้ทันท่วงที จ้าเป็นต้องหาทางที่จะทราบความคิดอ่านของพระราชานั้น รุ ไว้ หากองค์ใดคิดเป็นปรบ้กษ์

ต่อมิถิลฺานคร จะช่วงชิงพระมหาเศวตฉัตรของพระเจ้าเหนือห้วของเรา จักได้คิดอ่านป้องกันได้ทันท,วงที”


ด้วยความดำรินั้น ท่านผู้สำเร็จราชการได้พยายามพบปะกับบรรดาพ่อค้าที่มาจากต่างแดนเสมอ รุ

และทุกครั้งที่พบกันท่านก็ถามด้วงเอาความเป็นไปในแว่นแคว้นแดนดินของพ่อค้าเหล่านั้น ตลอดดึงพระราชา
ของแคว้นนั้น รุ เพื่อทราบพฤติการณ์ด่าง รุ ในที่สุดก็ลงเอยด้วยการถามสิงของยันเป็นที่ต้องพระทัยขธง

พระราชาในพระนครนั้น รุ บรรดาพ่อค้าทั้งนั้นมิได้ปกปิด บอกเล่าไปดามที่ตนทราบ ซึ่งเป็นอุปการะ

แก่การดำเนินงานของท่านผู้สำเร็จราชการเป็นอย่างดี
จากการสอบถามบรรดาพ่อค้าที่มาจากต่างแดน ท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถได้ทราบถึงความ

พอใจเป็นอดิเรกของพระราชาทั้ง ๑๐๑ พระองค์ จึงได้จัดการสั่งช่างซึ่งมีอยู่ในมิถิลานคร ให้กระทำเครื่อง

ราชูปโภคต่าง รุ เป็นกุณฑลบ้าง ฉลองพระบาทบ้าง พระขรรค์บ้าง สุวรรณมาลาบ้าง และทุก รุ ชิน


ที่จัดท้านั้น รุ ให้จารีกซือมโหสถช่อนไว้ด้วย หากยังไม่ด้องการให้ใครรู้ก็ไม่มีใครสังเกตได้ บรรดาราชูปโภค

ที่ได้จัดทำนั้น รุ เป็นวัตถุประกอบสำคัญในการที่จะส่งบุรุษของท่านเข้าไปลู่สำนักทั่วชมพูทวีป

เมื่อเครื่องราชูปโภคต่าง รุ เสร็จตามที่สั่งแล้ว ท่านผู้สำเร็จราชการจึงคัดเลือกบุรุษจากสหชาติ

โยธา ๑๐๑ นาย ให้ครบจ้านวนราชสำนักทั้ง ๑๐๑ เชิญมาประชุม ณ ห้องรโหฐาน ท่านมโหสถได้


กล่าวแถลงถึงความมุ่งหมายในการเชิญพวกเหล่านั้นมาประชุม พรัอมกับสั่งการ

“สหายผู้ร่วมงานของข้าพเจ้า"

ที่ได้เชิญพวกท่านมาประชุมครั้งนั้ ความมุ่งหมายก็เพื่อจะส่งพวกท่านไปยังราชสำนักต่าง รุ

แห่งละคนทั่วชมพูทวีป ทั้งนั้เพราะข้าพเจ้ามารำพึงว่า พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ


ยกย่องข้าพเจ้าไว้ในฐานันดรศักดํ่ยันสูง และทรงมอบหมายอำนาจในการจัดบ้านเมืองสิทธิ๋ขาดแก่ข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าได้นัอมเกล้าฯ รับพระมหากรุณาธิคุณเพื่อฉลองพระเดชพระคุณโดยเต็มกำลังสามารถ กิจการ


ในด้านที่เป็นภายในได้จัดแจงเสร็จไปแล้ว ตามที่ปรากฎแก'ท่านทั้งหลาย ตลอดถึงการปกครองประชาชน

ก็ได้จัดไปในทางที่จะบำบัดทุกข์บำรุงสุขทั่วแว่นแคว้น ผลที่ปรากฏก็คือ ประชาชนชาวแคว้นมีความร่มเย็น

เป็นสุขกันทั่วหนัา และการจัดการป้องกันบ้านเมืองเล่า ก็ได้จัดทำจนเป็นที่อุ่นใจได้ว่า แม้จะมีอริราช

ไพรีมาบีฑา ก็จะสามารถรับรองป้องกันพระนครมิให้เป็นชันตรายได้ ทั้งกำลังพลประจำเมืองก็ได้จัดการ

kalyanamitra.org
๒๒๕

สกห้ดกันข้านิข้านาญ เป็นสุรโยธาที่สามารถเป็นเอก เครื่องอาๅธยุทโธปกรณ์ก็ได้ดระเดรียมไว้พรัอม

สรรพ เห็นว่าอาจป้องกันภยันตรายจากข้าศึกได้ แต่ท่านผูเป็นสหาย ความปลอดกัยปราศจากชันดวายของ


บ้านเมึองนั้น เพียงแด1เราคิดว่าเราป้องกันไว้เรียบรึ'อยแลัวยังไม่เป็นกาวเพียงพอ กัาเราไม่สามารถจะทราบ
ถึงทีท่าและทางที่ภัยชันตรายนั้นจะมาท่าไหน เมื่อไร และทางใด ก็เป็นการไม่สะดวกในการที่จะป้องกัน
ได้ทันท่วงทึ และความฉุกละหูกป่นปวนจะทำให้เสียแนวที่มั่นคงเกิดเรรวนได้ อย่างน้อยก็ขณะหนึ่ง ชี่ง
ลัาไม่อาจระจับความเรรวนนั้นให้สงบลง จะเป็นเหตุให้ถึงเพลี่ยงพลี่าได้ แต่ลัาเราได้ทราบทีท่าเสียแต่
เนึ่น ยุ แลัวความฉุกเฉินก็จะหมดไป แนวที่มั่นคงของเราก็จะไม่รวนเรได้ เพราะเราอาจเดรียมลู่ทางรับรอง
ป้องกันไว้แต่เนึ่นแลัว ด้งนั้นข้าพเจ้าเห็นว่า ชัาจะให้เป็นการปลอดภัยได้อย่างมั่นคง จำเป็นต้องรัความ
คิดอ่านของพระราชาทั่วชมพูทวีป ว่าองค์ใดบ้างที่มีความคิดในทางจะแผ่ขยายอาณาจักร ตองภารจะดำรง
ฐานะเป็นราชาเอก และได้ตระเตรียมกำลังพลแสนยานุภาพเพื่อความสำเร็จผลตามที่ด้องการ ตลอดถึง

าธีการดำเนินกาวและกาลเวลา

เนื่องด้วยความจำเป็นด้งกล่าวนั้น ข้าพเจ้าจำด้องส่งท่านทั้งหลายไปยังนครต่าง ยุ ขอให้ท่าน


ทั้งหลายจงพากันไป อย่ามีความห่วงใยด้วยบุตรภรรยาเลย ข้าพเจ้าจักเลี่ยงดูมิให้เดึอดรัอนด้วยประการ
ใด ยุ ท่านทั้งหลายจงโล่งใจเถิด งานที,ท่านด้องไปปฎิบํตีนึ่เป็นงานที่จะอำนวยความแข็งแรงมั่นคงในการ

ป้องกันแว่นแคว้นดินแดนของเรา เป็นอุปการะในการป้องกันพระมหาเศวตฉัตรชัยไอศวรรย้ แห่งพระเจ้า


เหนึอห้วของเรา ในกรณีที่พวกเราทุกคนพึงบำเพ็ญแท้

หน้าที่ที่พวกท่านจะด้องปฎิบํด ข้าพเจ้าขอข็แจงแก่ท่านทั้งหลายให้ทราบไวัทีเดียว ดังนื่


๑. ท่านทุกคนที่มาประชุม ณ ที่นื่ด้องแยกกันไปสู่นครทั้ง ๑๐๑ นคร นครละ ๑ คน

๒. ทุกท่านจงปกปิดฐานะของตน อย่าให้ใครรัเป็นชันขาดว่าท่านไปจากมิถิลานคร
๓. ท่านผูใตจะต้องไปยังนครใด ข้าพเจ้าได้จัดไว้แลัว
๔. เมื่อท่านไปถึงแลัว จงพยายามที่จะสมัครเข้าเป็นอำมาตย์ของพระราชาในนครนั้นให้จงได้
๕. ความพยายามในการที่จะทำให้พระราชาในนครนั้น ยุ วางใจในกิจการต่าง ยุ ถึงกับได้รับ

ตำแหน่งราชวัลลภ เป็นมุ่งหมายชันเป็นยอดปรารถนาความ
๖. ข้าพเจ้าได้เตรียมเครื่องราชุปโภค ชันเป็นที่ด้องพระท้ยของพระราชาในนครนั้น ยุ ไว้เรียบรัอย
แลัว เพื่อพวกท่านจะได้นำไปเป็นบรรณาการถวาย จักได้รับความโปรดปรานจากพระราชานั้น ยุ และ
จักไต้เป็นเครื่องนำทางให้ท่านได้เป็นข้าเฝ็า
๗. เมื่อท่านได้เป็นช้าราชการในราชสำนักนั้น ยุ แลัว จงพยายามที่จะทราบความเคลื่อนไหว

หรีอความคิดอ่านให้ได้
๘. หากได้ทราบอย่างไรแลัว จงรายงานถึงข้าพเจ้าโดยเร็ว
๙. พวกท่านด้องพากันอยู่ในนครนั้น ยุ จนกว่าข้าพเจ้าจะเรียกกลับ

kalyanamitra.org
๒๒๖

ทั้งนึ่เป็นหน้าที่ที่พวกท่านด้องปฏิป่ติ ขอให้ข้าพเจ้าได้มั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่อันสมบูรณ์

ของพวกท่านเทอญ
สหชาติโยธาทั้ง ๑๐๑ ต่างพากันรับรอง และต่างแสดงความรู้สึกภาคภูมิอย่างยิ่งที่ได้รับมอบ
หน้าที่อันสำคัญ ทั้งต่างให้ปฏิญาณอันแน่วแน่ในการที่จะปฏิป่ติหน้าที่มิให้บกพร่อง

ท่านผู้สำเร็จราชการเต็มตื้นไปด้วยปีติปราโมทย์ในคำรับรองของสหชาติโยธา จึงเรียกเข้ามา
ทีละคน ระบุนามที่ด้องไปแล้วมอบเครึ่องราชูปโภคอันเป็นที่ด้องอัธยาศัยของพระราชานครนั้น ครั้น

เสร็จแล้วก็กล่าวคำอวยชัยให้พร และให้เตรียมตัวออกเดินทางได้ทันที
ตั้งแต่บัดนั้น ราชสำนักทั่วชมพูทวีป ก็มี "บุรุษแฝง" เข้าไปรวมอยู่ในหมู่เสวกามาตย์ทุก 1

นคร เท่ากับท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถ ส่งตาไปคอยดูส่งหูไปคอยทังทั่วสกลชมพูทวีป ความเคลื่อนไหว

ของนครนั้น *1 มิได้รอดทันไปจากความรู้เห็นของท่านผู้สำเร็จราชการแห่งวิเทหราชเลย
บุคคลสำคัญของท่านผู้สำเร็จราชการอีกผู้หนึ่งที่ควรจะได้กล่าวถึงไวั ณ ที่นึ่ เพราะผู้นึ่เปัน

ผู้ทำการสื่อสารระหว่าง “บุรุษแฝง” กับท่านผู้สำเร็จราชการ เป็นสื่อที,ยอดเยี่ยม ทั้งอาจจะสืบข่าวมารายงาน


เองก็ได้ด้วยบุคคลผู้นึ่มีนามว่า “มาถูระ"

มาถูระเป็นนกขนเขียวปากแดง ในจำพวกนกแขกเด้า แต่นกมาดูระของท่านผู้สำเร็จราชการ


วิเทหรัฐเป็นนกที่ฉลาดเป็นเยี่ยม ท่านได้เลยงดูและสกสอนจนสามารถที่จะปฏิบัติแม้จะยากแสนยาก ซ็ง

บางคราวมนุษย์ก็สุดรู้ แด,นกมาดูระสามารถจะสืบรู้ใต้ ถึงกับได้รับนามว่า “สุวบัณฑต-เจาแขกเต้าต้บณ์ฑต"

ทีเดียว
กรณียะต่าง *1 ที่สุวบัณฑิตได้ปฏีป่ติอันเป็นคุณแก่วิเทหรัฐ และเป็นอุปการะแก่ชมพูทวีปมี

อย่างไรบัาง บทบาทของสุวบัณฑิต มีความสำคัญอย่างไร เพียงไร จะปรากฏในเมือดึงวาระของเขา


ท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถ ได้จัดการบัานเมืองทั้งภายในและภายนอก ด้วยปรีชาอันสามารถ
เป็นยอดเยี่ยม ประชาชนชาวมิถิลาพากันแซ่ซัองสรรเสริญ แม้แต่คณะอาจารย์ทั้ง ๔ ซ็งเคยริษยา ก็พากัน

ชี่นชมปรีดาในการผดุงและส่งเสริมสวัสดิภาพให้แก่พระนคร บรรดาพ่อด้าต่างเมืองเล่า ก็พากันซืนชม


สดุดีมิเวันตน พรัอมทั้งน้าความเจริญรุ่งเรึอง ความมั่นคงแข็งแรงของมิถิลานครเที่ยวป่าวประกาศไปใน
ทิศานุทิศ ตามบัานเล็ก เมืองน้อย เมืองใหญ่ ที'ตนไปทำการค้าขาย กิตติศัพท์อันงดงามของท่านผู้สำเร็จ

ราชการมโหสถ ปรีชาอันยอดเยี่ยมของท่านได้เป็นที่ทราบกันกระฉ่อนทั่วทวีปชมพู

จบภาคทั้ ๑

kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
ภาคท
มิถิลาเผชิญศก
สุภาน็ดประจำภาค

อนาคติ ปฎิกยิราถ กิจฺจํ


มา มํ กิจจํ กิจุกาเล พฺยเธสิ
ติ ตาทิสํ ปฎิกตกิจุจการึ

น ติ กิจุจํ กิจุกาเล พฺยเธสิ


ชาดก ปฐมภาก ขุททกน้กาย

ผู้ปีนบณ•ทดก่งเด!ยมกระทำก่จทึ่ยัง ไม่มาก่ง!อไร้เลยก่อน ด้วยคดว่า “ก่อนั้นอย่าทำให้เดอดร้อน


ในเวลาด้ลงกระทำก่อ’’ อย่างนแล ก่จนั้นจงจะ ไม่'ทำให้บณ,ทดผู.'ทำทนาทควรทำเดายมไร้ไม่ให้
ด้องเดอดร้อน ในเวลาทด.องทำก่อนั้น

X พ่56 0116* ร110น1ช 30001111111511 1115 ชนIX 11131 ถ0เ 7^ 00๓6, 11111110118 ‘1-61 1101

1116 ชนเX &น!1 1าา6 1น 1116 111116 0โ 11131 0นธ111 เ0 ๖6 ช0น6.’

71131 รน011 3 ^156 0116 V/!10 เ13พ่น2 ชนIX 31โ63ชx ชอ!16.

?นณ!'6 ชนเX I16V6I■ 1131-ช 111 1116 111116 0โ ณ31 0นธึ11เ ณ ๖6 ช0ถ6.

kalyanamitra.org
๓๑. ร์ชทายาทแห่งป๋ญจาละ
เหนือร้นไปจากวิเทหร้ฐ อาณาจักรแห่งความร'มเยิน ภายได้การปกครองแทนพระองค์ พระเจัา

วิเทหราชของท่านมหาบัณฑิตมโหสก ด้งกล่าวมาในภาค ๑ นั้น มีอาณาจักรสำคัญอีกอาณาจักรหนึ่ง ซี,ง

จะได้แสดงบทบาทอย่างฮึกหาญ ในการรวบรวมราชธานีน้อยใหญ่เข้าไว้ในอุ้งมือแต่ผู้เดียว จนกระทั่ง

ปะทะกันกับมิถิลานคร ซึ่งรักสงบ แต่ก็เตรียมรบไว้พรัอมสรรพ เพื่อจะรับศึกมิเลือกว่าจะมาจากทิศไหน

เหตุนั้น ประว้ตีการของอาณาจักรนั้น จึงเป็นข้อที่ด้องนำมาบันทึกไว้ก่อนอื่น เพื่อจะให้ทราบถึงความ

เกรียงไกรแห่งแสนยานุภาพและความลามารถอันยิ่งยง
ที่ราบลุ่มนํ้าคงคา เหนือวิเทหรัฐร้นไปประมาณ ๑๐๐ โยชน์ เป็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล

อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธัญญาหาร เป็นลู่ข้าวลู่นํ้า ควรแก่การสถาปนามหาอาณาจักร ผืนแผ่นดิน


นั้นแหละเป็นอาณาบริเวณแห่งกัปป็ลรัฐอันรุ่งเรือง ราชธานีมีนามว่า ป้ณูจาลนคร เป็นมหานครอันคับคั่ง

แจจนด้วยชาวประชา อาคารบ้านเรือนปราสาทราชฐานงดงามเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเจริญรุ่งเรือง


ของบัญจาลนคร เทียบเทียมมิถิลานครไม่เป็นรอง มิถิลานครรุ่งเรืองปานใด บัญจาลนครก็รุ่งเรืองปาน
นั้น ความอุดมสมบูรณ์เล่า ก็มิได้ด้อยกว่ากัน

จอมราชผู้ดำรงราไชศวรรยาธิบัตย้ เป็นมิ่งโมลีแห่งกัปปิลรัฐ สถิต ณ ป็ญจาลมหานคร ทรง

พระนามว่า พระเจ้ามหาจลน์ ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วยประศาสโนบายอันยึดทศพิธราชธรรม


เป็นบรรทัด เป็นที่ร่มเยินแก่ทวยราษฎร์ทั่วหน้า ทรงมีพระมเหสีคู่พระราชหฤทัย พระนามว่า พระนาง

สลากเทา เป็นจอมสุรางค์แห่งแคว้นกัปปิลรัฐ ทรงพระสรีรโฉมงดงามยอดยิ่ง เพียบพร้อมกัลยาณลักษณ์


ทุกประการ ทั้งเป็นข้ตดิยนารีผู้สูงศักดิ๋ พระเจ้ามหาจุลนีทรงรักใคร่ในพระนาง ด้วยทรงวางพระหฤทัย

ของพระองค์ไว้แด่พระนางทีเดียว ยิ่งกว่านั้นพระนางได้ประทานพระราชปิโยรส อันจะดำรงราชัยดึบ

สันตติวงศ์ต่อไปคึอ พระราชกุมารจลน์ กิยิ่งเป็นมิ่งขวัญของทวยราษฎร์ยิ่งนัก เพราะพระนางได้ทรงบำบัด

ความหวาดเกรงของประชาชน ในข้อที่วงศ์กษัตริย์ชักขาดสูญ เพราะพระราชาไม่มีพระโอรสไปจากความ

รู้สึกนืกดิดของประชากรได้ จึงย่อมเป็นที่พึงพอใจของทวยราษฎร์ลันเหลือ
พระเจ้ามหาจลนี ทรงมีที่ปรึกษาราชการ ดำรงตำแหน่งปุโรหิตอีกผู้หนึ่ง มีนามว่า ฉัพภิพราหมณ์

ท่านผู้นึ่เรียนจบไตรเพทและคิลปศาสตร์บรรดามี เจนจบในศาสตร์นั้น *1 ทุกกระบวน ท่านพราหมณาจารย์

ได้ถวายคำปรึกษาหารือในแนวทางความรุ่งเรืองของแว่นแคว้นด้วยดี พระเจ้ามหาจุลนีทรงโปรดปราน
ท่านฉัพภิพราหมณ์เป็นอันมาก ชึงช์นทรงยกเป็น ราชวัลลภาจารย้ ทีเดียว

kalyanamitra.org
๒๓๑

ท่านปุโรหิตาจารย์ผู้เรึองวิทยา แม้จะเจนจบในกระบวนศาสตร์นั้น *1 แต่ในบรรดาศาสตร์นั้น *1

มิได้รวมมายาศาสตร์เข้าไวิ'ด้วย เพียงเท่านั้นก็พอท่าเนา ท่านปุโรหิตาจารย์ยังขาดความสำรวมในตน ซ็ง


เป็นเรื่องที่ราชเสวกผู้ใกล้ชิดพระราชาชิบดีจะด้องยึดเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดที่สุดเลียอีกด้วย ดังนั้น

ความเจนจบในวิทยาอันมากมายนั้น จึงไม่สามารถจะลัางความสกปรกในใจของตนให้หมดไป กาวได้ดำรง

ฐานันดรอันสูงใหญ่ ทั้งได้รับพรพิเศษจากพระเจ้ามหาจุลนี ในการเข้านอกออกในได้ทุกโอกาส และ


ทุกแห่งที่ประทับ แม้ในพระดำหนักอันรโหฐาน แทนที่จะเป็นคุณกลับเป็นสื่อแห่งกาลี เป็นโอกาสแห่ง

การประกอบกรรมอันเลว ซ็งผู้มีวิทยาภูมิขนาดนั้นน่าจะได้งดเวันเสีย แต่การใข้วิทยาคุณมาเปลี่ยนอัธยาศัย

เลวของคนนั้น เป็นเรื่องผิดฝาผิดตัวกันแท้เพราะ “เพียงแต่สวมชฎา ก็ไม่ท่าให้วานรกลายสภาพไปจาก

ภาวะเดิมของม้นได้*’ ท่านฉัพภิพราหมณาจารย์มีโอกาสได้เข้าสู,พระราชสถานทุกแห่งด้งกล่าวมาแลัว โดย


มีกิจราชการต่วนควรจะได้กราบทูลทันที หรือโดยได้รับพระกระแสรับสั่งให้เฝ็าเพึ่อเป็นคู่ทวงสกา โอกาส

เหล่านึ่มีอยู่เสมอ และก็ทุก *1 ครั้งท่านปุโรหิตมักจะได้พบพระนางสลากเทวี ประทับอยู่กับพร.•'สวามี


และไม่นัอยครั้งเลยที่ท่านปุโรหิตได้พบแต่พระนางประทับอยู่พระองค์เดียว คราวใดได้พบพระนางประทับ

อยู่พระองค์เดียว คราวนั้นความบันป่วนรัญจวนใจด้องเกิดแก่ท่านอย่างรุนแรงทุกครั้ง และทุกครั้งที่เกิด


ร้นก็ไม่มีทางบรรเทาเลียด้วย

พระนางเล่า แม้จะทรงพระสรีรโฉมสุดแสนละคราญสมบูรณ์ด้วยศุภลักษณ์ ความงามพร้อม


พริ้งเพราของพระนางนั้นเป็นสิ่งชวนปรารถนาแห่งผู้ใกล้ชิด ยิ่งผู้ใกลีชิดไม่ปรากฎว่าได้มีคู่ครองแลัว แรง
ปรารถนาก็ยิ่งเพิ่มพูนคูณด้วยจำนวนแสนทีเดียว โดยเฉพาะท่านปุโรหิตฉัพภิพราหมณ์ ทั้งฝ่ายพระนาง

เองนั้น นั้าพระท้ยก็มิได้เต็มเปียมด้วยพระเจ้ามหาจุลนีพระราชสวามีผู้เดียว พระทัยของพระนางยังมี

โอกาสที่จะบรรจุผู้อื่นลงไปได้อีก หากว่าจะมีผู้สมัครจะฝังตนลงในพระท้ยของพระนางด้วยฐานะอันสมควร

โอกาสในพระท้ยย่อมพอและพร้อมที่จะบรรจุไว้ ทั้งนั้จะเป็นเพราะแรงรักของพระเจ้ามหาจุลนีมีในพระ-

นางมาก ยิ่งกว่าแรงรักของพระนางที่มีต่อพระองค์ แต่แรงปรารถนาของพระเจ้ามหาจุลนีในพระนางมี

นัอยกว่าแรงปรารถนาของพระนางก็เป็นได้ เพราะในฐานะแห่งคู่ครองนั้น ล้าแรงรักและแรงปรารถนา


ไม่สมดุลแล้ว โอกาสในห้องฺหทัยเป็นเกิดร้นทันที หากจะเปรียบกับวัตถุที่ยกร้นซังบนดราชู ข้างหนึ่งคือ

แรงรัก ข้างหนึ่งคือแรงปรารถนา ข้างไหนของฝ่ายไหนหย่อนระดับลงไป เช่น ล้าแรงรักหย่อนก็หมาข­

ดวามว่ารักไม่แรง แรงปรารถนาก็ได้โอกาสถ่วงลงตำเพราะปรารถนาแรง เมื่อแต่ละฝ่ายมีแรงทั้งคู่ไม่สมดุล

แล้ว ความเหมาะสมก็คลายความสำคัญ พระเจ้ามหาจุลนี ทรงมีแต่ความรัก แต่รักของพระองค์ไม่แรง


เท่ากับแรงปรารถนา พระนางมีแต่แรงปรารถนา และปรารถนานั้นแรง เลยถ่วงพระนางลงมาตํ่าจากระดับ

แห่งฐานันดรศักดํ่อันสูง

ดังนั้น ในโอกาสต่าง จุ ที่พระนางได้พบแก่ท่านฉัพภิพราหมณ์เพียงสองต่อสอง พระเนตร

ทั้งคู่ของพระนางก็ทอดคูท่านพราหมณ์ จึงมีประกายฉายแววแห่งความพิศวาสแสนหวาน และมีความ


แหลมคมพอที่จะสลักห้วใจท่านพราหมณ์ให้กำซาบไปด้วยพิษแห่งหฤหรรษ์สุดจะบรรยาย พระกระแส

kalyanamitra.org
๒๓๒

เสียงที่ตรัสแต่ละคำนั้นเล่า ก็เคล้าเคลือบด้วยมธุรสอันเอมโอชผ่านโสตประสาทของท่านพราหมณ์จํ่จรด

หัวใจตรึงประทับแน่น พร้อมทั้งแผ่พิษแห่งอภิรมย์ระรื่นทั่วทุกขุมขน พระสัมผัสอันเกิดโดยบังเอิญ หรือ

เป็นเหมือนบังเอิญในบางครั้ง ความละมุนละไมแม้แห่งปลายนิ้วพระบาทก็มีพิษสงพอที่จะแยกผิวกาย

ของท่านพราหมณ์ให้โปร่งเป็นทางไหลแห่งกระแสสรีรสัมผัสเข้าจรดกระดูก แล้วชำแรกกระดูกออกจน
พรุน เข้าถึงเยื่อในกระดูกทีเดียว ศรของพระนางที่มแทงท่านพราหมณ์อยู่เป็นนิจ “ศรพระเนตรตรึงตรา

ศรพระสฺรเลียงตรึงหู ศรพระสรีรโฉมตรึงใจ” แต่ละเล่มทรงมหิทธิพลกระนิ้หรือ ไตรเพทที่จบเจนจะ

มาทานทนอยู่ได้ ไตรเพทของท่านพราหมณ์พ่ายไตรศรของพระนางอย่างสิ้นท่าทีเดียว สิเนหานุภาพได้

กำหนดหัวใจของท่านพราหมณ์ไว้อย่างแน่นเหนียว ท่านพราหมณ์ต้องพยายามที่จะได้พบโอกาสซึ่งตน

จะได้ดื่มหฤหรรษาจากสายพระเนตร ดื่มมธุรสจากพระสูรเลียง และดื่มอภิรมย์จากพระสรีรสัมผัส

พิษแห่งไตรศรแสดงอานุภาพแล้ว พระนางผู้เป็นเจ้าของไตรศรเล่า ได้ทรงแผลงศรไปต้อง


หทัยท่านพราหมณ์ แต่กระนั้นศรนั้นคงวกกลับมาสู่พระท้ยของพระนาง ทำนองเดียวอันความพัวพันใน
มธุรสแห่งความอภิรมย์กำเริบกล้า และทวีอานุภาพขื้นเป็นลำดับ ไม่มีฝ่ายใดที่จะระงับยับยั้งไวใต้ ต่าง

ก็ปล่อยให้กระแสสิเนหาบ่าท่วมหทัยไปตามเพลงของความปรารถนา ของดำกฤษณา ต่อจากนั้นความ


มืดมนอนธการก็เช้าครอบงำความรู้สึกดีทั้งสิ้นเลีย ผลที่สูดจะเป็นอย่างไรไม่ต้องกล่าว เพราะมีวิธีเดียว
ที่ดำกฤษณาเช่นนิ้จะฉุดคร่าไป

พฤติกรรมอันทรามของท่านปุโรหิต- และพระนางสลากเทวีได้ถูกปกปิดเป็นความลับอยู่ในตอน

แรก *1 ดูเป็นความสงบเงียบ แต่ท่านกล่าวว่า


"ความลงมเงซบของกรรมข้านั้น อซ่าพงเข้าใจว่าเป็นความลับ อรรถาข่บายทถูกข้องแท้จริงของ
ความเงยบแห่งกรรมข้านั้น คอการห่กข้วของความแพร่งพราย เป็นเหมอนห่องไข่ไก่ทม่ข้วแลบแม่ไก่กำลังห่ก

หริอเป็นเหม่อนทูตทไป'ต่างแดน กำลังเดนทางมาก่แดนแห่งพรบราขาของตน หมายความว่า เวลาเงยบของ


กรรมข้า คอเวลาเดนทางของความแพร่งพราย” ‘‘ทลับโนโลกนั้ ทไว่ไหคนทำความข้านั้น หาไม่ไข้เลยทํเคยา”

ความซัวของท่านปุโรหิตและพระนางสลากเทวีก็หนีคติของมันไม่พัน ข่าวความเป็นชํ'อัน ได้


เริ่มเดินทางโดยนางข้าหลวงคนสนิท นำไปเล่าให้เพื่อนที่สนิทพร้อมทั้งกำซับแน่นหนา “แล้วอย่าไปบอก

ใครนะ” ผู้รับพังก็รับคำแน่นหนา “ไว้ใจเถอะน่า” และเพื่อนที่รับพังนั้น ก็นำไปเล่าให้เพื่อนที่สนิทอัน

พังต่อไป และไม่ลืมคำกำซับข้างท้าย “อย่าไปบอกใครนะ” ซึ่งปฏิญญาของผู้รับพังก็คง “ไว้ใจเถอะน่า”


ต่อจากนั้นก็คงเดินทางต่อไปอีก เพราะผู้ที่รับคำว่า “ไว้ใจเถอะ” นั้น รุ ก็ล้วนแด่มีคนที่ตนไว้ใจได้อยู่

ด้วยอัน ในที่สูดก็ทรงทราบถึงพระเจ้ามหาจุลนี

พระเจ้ามหาจุลนีทรงทราบข่าวอันน่าบัดลีนิ้ และทรงกำหนดจับอาการเคลื่อนไหวในกาลต่อมา

ก็ได้ทรงเห็นประจักษ์ พระองค์ทรงอึดอัดพระหทัยเป็นอย่างยิ่ง สูดที่จะทรงบริหารเหตุนั้นโดยสถาน

เพราะบุคคลทั้งคู่ล้วนแต่เป็นที่ทรงโปรดปรานยวดยิ่ง พระนางสลากเทวีหรือก็เป็นที่โปรดปรานของพระองค์

ประหนึ่งว่าทรงมอบพระหทัยไว้ในอุ้งพระหัตถ์ของพระนาง ความที่ต้องพลัดพรากจากพระนางมิว่าโดย

kalyanamitra.org
๒๓๓

สลานใด ก็เป็นเรื่องทรมานพระหทัยของพระองค์อย่างสุดแสน เหมือนกับว่าการที่พระนางด้องพลัดพราก

ไปนั้น ได้กระชากดวงพระหทัยไปเสียจากพระวรกายฉะนั้นเทียว ท่านฉัพภิพราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตเล่า


ก็เป็นกำลังสำคัญของบัานเมือง ความราบรื่นแห่งประชาชนพลเมือง ความร่มเย็นเป็นสุขซึ่งปกแผ่ทั่ว

กัปปิลรัฐ สำเร็จด้วยความคิดอันยังยงของท่านปุโรหิต “พระนางคือดวงพระหทัย ปุโรหิตเป็นความคิด”


พระเด้ามหาจุลนี ก็ด้องทรงอัดอั้นดันพระท้ย ขาดพระนาง พระองค์ก็เหมือนปราดจากหทัย ขาดปุโรหิต

ก็เหมือนพระองค์หมดความคิด พระองค์ทรงอนุสรณ์ถึงนิติแต่โบราณกาล ทรงระลึกได้ถึงจอมราชแห่ง


กาลีพระองค์หนึ่ง ตกอยู่ในฐานะเช่นเดียวกับพระองค์ เรื่องมีตังนึ่

จอมราชแห่งกาลี เถลิงถวัลยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณลี ราชเสวกผู้เป็นที่โปรดปราน

ของพระองค์อย่างยิ่ง ได้ลอบรักกับพระสนมคนโปรดอย่างยิ่งของพระองค์ ครั้นทรงทราบก็ทรงพระพิโรธ

เป็นกำลัง ในกำลังแห่งพระพิโรธนั้นเอง กึมีกำลังพระอาลัยแทรกซึมอยู่มิใช่นัอย กำลังทั้งคู่ทัดเทียมกัน

ทีเดียว ด่างฝายต่างซึงชัยกันในสนามรบ คือ ดวงหทัยของจอมราชแห่งกาลี ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ทำให้


ทรงอัดอั้นตันพระท้ยเป็นที่สุด ไม่ทรงสามารถจะจัดการสถานใด

เพึ่อจะทรงระบายความอัดอั้น วันหนึ่งราชบัณฑิตของพระองค์มา ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะ

ทรงระบายความในพระหฤทัยได้ จึงตรัสเป็นนัย “ท่านอาจารย์ผู้เจริญด้วยปรีชาและสามารถ ฉันมีบัญหา


ที่จะหารือด้งนึ’่ '

“มีเจ้าหมาจั้งจอกตัวหนึ่ง มันบังอาจเออมเอิบกำเริบใจ เข้ามานึ่งนอนในถํ้าทองของพญาสีหราช

เพียงเท่านึ่ยังมิหนำใจ มันยังละลาบละล้วงละเลิงใจ ลงเล่นสำราญในสระสรง ณ ท่าที่พญาสีหราชลง

สนานกาย แล้วหนำซํ้าดันขื้นมากลิ้งเกลือกเลีอกกายสบายอารมณ์เหนือสนามหญ้าอันอ่อนนุ่ม ซึ่งเป็น

สนามพำนักของพญาสึหราชอีกเล่า พญาลีหราชรัถีถ้วนถ่องแท้แล้ว จะจัดการกับเจ้าหมาจิ้งจอกตัวนั้น

อย่างไรถึงจะสมควร”
ท่านราชบัณฑิตแห่งกาลีได้สดับพระราชดำรัสเพียงเท่านั้น ก็หยั่งทราบพระอัธยาศัยได้ตลอด
จึงกราบทูลสนองเป็นนัยเดียวกัน “ขอเดชะใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ พระราชกระแสที่ทรง

พระกรุณาโปรดประภาษนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ด้งนึ”่

“ช่างกระไร เจ้าหมาจิ้งจอกนั้น มันกำเริบเติบสารอหังการยิ่งนัก มิได้สำนึกในฐานะของตน

บัางเลย แต่จะไปเอาอะไรกับมัน เพราะเทวดาองค์หนึ่งกล่าวเป็นภาษิตไว้ดังนึ่ว่า "กระบานทฤกษขาด

ละหุ่ง(ปีนเลวทสุด กระบวนปีกษ กาIปีนเลวทสุด กระบวนท้าวส้เท้า หมาข่งล(ไก(ปีนระบาทสุด'’ ก็เมื่อมัน


เลวที่สุดอยู่เช่นนึ่แลัว จะมีอะไรที่พึงทำด้วยกาย จะมีคำอะไรที่จะพึงเอ่ยด้วยวาจา ที่จะสมกับลันดาน

เลวของมันที่เลวที่สุดอยู่แล้ว การที่มันละลาบละล้วงล่วงเกิน ก็เพราะลันดานระยำของมัน แต่การกระทำ

ของมันนั้น มิได้ทำให้สิ่งใดแปรสภาพไป ถํ้าทองก็คงเป็นถํ้าทอง สระสรงก็'คงเป็นสระสรง ท่าสนาน

ก็คงเป็นท่าสนาน นํ้าก็คงเป็นนํ้า และเนินก็คงเป็นเนิน เพราะฉะนั้น พญาสีหราชผู้เป็นใหญ่ยิงกว่ามฤค

ในราวไพรพึงอดใจเลีย มิพึงวู่วามลงโทษกับหมาจิ้งจอก ควรปล่อยมันไปตามยถากรรมพระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
๒ 0า

จอมราชแห่งกาลีทรงสดับแล้ว ทรงโมทนาในถ้อยคำกราบบังคมทูลของท่านราชบัณฑิต ทรง

ระงับพระหทัยได้ มีพระมนัสแช่มซืนเป็นปกติดังเดิม

พระเจ้ามหาจุลนีทรงรำพึงนิติแต่โบราณกาลแล้ว ทรงระงับพระหทัยไว้ มิได้ทรงแสดงพระ-


อากัปกิริยาให้เป็นที่สะด้งแก่พระนางและปุโรหิต แต่ก็มีพระมนัสปรารถนาจะหาทางให้นัยอยู่ดามโอกาส

อันควร
แต่การที่พระเจ้ามหาจุลน็ ทรงระงับพระหทัยได้นั้น มิได้เป็นเหตุให้ความเป็นขักันของพระนาง

กับปุโรหิตพลอยระงับไปด้วย สิเนหานุภาพก็คงครอบงำประจำบุคคลทั้งสองสืบไป จากวันเป็นสัปดาห์


จากสัปดาห์เป็นกึ่งเดือน จากกึ่งเดือนเป็นเดือน กลิ่นคาวฉาวโฉ,ก็ยิ่งกระพือขื้นตามระยะเวลา ในที่สุด

ปรีชาอันฉลาดเลิศของพระนางสลากเทวีก็ได้ช่องที่จะแสดงออกมา ก็แต่เป็นปรีชาอันอยู่ในครอบครอง

แห่งความเขลาประกาศความหฤโหดของพระนางเอง โดยทรงปลงพระชนม์พระราชสวามีเสียด้วยยาพิษ
ครั้นแล้วก็เลยยกราชสมบัติให้แก่ฉัพภิพราหมณ์ครอบครองสืบไป เพราะไม่มีใครจะสืบสันตติวงศ พระ-
ราชโอรสจุลนีก็ยังทรงพระเยาว์เพิ่งย่างพระบาทได้ใม่กึ่พระวัสสา พระนางเล่าก็เป็นหญิงไม่อาจครอบ

ครองได้ พระเสาวนีย์ของพระนางปราศจากข้อขัดขวาง เพราะหมู่อำมาตย์ราชบริพารของพระเจ้ามหาจุลน้


ล้วนอยู่ในกำมีอของฉัพภิปุโรหิตเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งคติการบ้านเมืองย่อมอยู่ในระบอบ “ใครเป็นใหญ่

ก็เคารพนบน้อมผู้'นั้น” เรื่องก็เป็นอันหมดไป
กาลวันหนึ่ง พระราชกุมารจุลนิทรงพระสำราญด้วยการเล่นตามประสาจนทรงระโหยหิว ก็

เข้าไปเฝ็าพระราชชนนีกราบทูลว่า “ข้าแต่พระชนนี หม่อมฉันหิวเป็นกำลัง ขอได้โปรดประทานขนมให้

หม่อมฉัน”
พระนางสลากเทวี ก็ประทานขนมพร้อมกับนํ้าอัอยแก่พระราชโอรส

พระราชกุมารรับขนมกับนํ้าอัอยจากพระหัตถ์พระราชชนนีแล้ว ปรารถนาจะเสวยตามพระ-

อัธยาศัย แต่แมลงวันพากันบินตอมล้อมพระองค์ ก็ทรงดำริว่า “เราจักกินขนมนึ่ไม่ให้มีแมลงวันตอม”

แล้วก็ทรงเลี่ยงไปเลียหน่อยหนึ่ง หยดหยาดนํ้าอัอยลงที่พื้น ไล่หมู่แมลงวันที่บินตอมล้อมพระองค์ไป

แมลงวันก็พากันไปตอมนํ้าอัอยที่ทรงหยดลงไวัที่พื้นนั้นหมด มิได้มาตอมพระองค์อีก จุลนีราชกุมารเสวย

ได้โดยสบายปราศจากความรบกวนจากแมลงวัน เสวยเสร็จล้างพระหัตถ์ทั้งสองบ้วนพระโอษฐ์ แล้วก็

เสด็จดำเนินไปตามพระอัธยาศัย
กิริยาของพระราชกุมารทั้งนึ่ มิได้รอดพ้นไปจากการเพ่งเลีงของฉัพภิพราหมณ์ผู้ชิงวาซย้ เพราะ

คอยจ้องจับดูอยู่เสมอ เมือเห็นวีธีที่พระราชกุมารทรงกระทำก็นำเอามาดิด “กุมารนึ่สามารถนัก กินนํ้าอัอย

ไม่มีแมลงวันตอม ตัวเลิกเด็กกวะจ้อยอายุน้อยเพียงเท่านึ่ยังเฉลียวฉลาดสามาวถปานนึ่ หากเติบโดเจริญวัย


ใหญ่กล้าขื้นแล้ว ที่ไหนจะยอมให้เวาครองวาชสมบัติ จะด้องคิดกำจัดเราเลียเป็นมั่นคง เราจะด้องคิด

กำจัดเสียก่อน เป็นการดัดทอนผู้จะทำลายเรา ”
ครั้นได้โอกาสอยู่ในที่รโหฐานกับพระนางสลากเทวีร่วมประทับรับความรื่นรมย์ พราหมณ์ก็

kalyanamitra.org
๒ ๓๕

เอ่ยเป็นเชิงทูลถาม “ข้าแต่พระแม่เจา บัดนึ่ยังทรงประทานพระกรุณาโปรดปรานข้าพระบาทเหมือนแต่

กาลก่อน หรือผ่อนคลายลงไฉนพระเจ้าข้า”
“ถามทำไมคะท่านพราหมณ์” มีพระดำรัสย้อน “ไม่น่าจะถามฉันอีกเลย ท่านเป็นที่รักที่ซิ่นใจ

ของฉันสุดที่จะบอกทีเดียว ท่านเป็นเสมือนเทพเจ้าประจำซีพของฉันก็ว่าได้ อย่าได้ระแวงสงสัยต่อไป


เลย ฉันไม่เคยนึกจืดจางในท่านเลย ดูเหมือนจะยิ่งวันยิ่งทวีความรักใคร่ในท่านยิ่งขื้นเสียอีกสิ ”

“พระกรุณาของพระแม่เจ้าลันกระหม่อมแลัว สุดที่ข้าพระบาทจะสนองพระกรุณาให้ด้มกัน

ได้ จะขอเป็นฉลองพระบาทของพระแม่เจ้าไปจนกว่าซ็วีตจะหาไม่” กราบทูลสนอง ดามเล่ห์อันลึกซ็ง


“ไม่ถึงกับด้องดีดด้งนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” พระนางตรัส แต่พระหทัยแสนที่จะปลาบปลื้ม “เพียง

แต่ท่านปลงใจรักฉันให้ยั่งยืนไปไม่มีวันเบื่อหน่ายก็พอแลัว”

“เป็นความสัตย์ ข้าพระบาทมุ่งมาดจะถวายแม้ชนมซีพของตนเพื่อสนองพระกรุณาของพระ-

แม่เจ้า ทุกวันทุกคืนข้าพระบาทได้รับความสุขความสดซิ่น เพราะทรงพระกรุณา” พราหมณ์ทูล “นา


พระกรุณาของพระแม่เจ้าเย็นยิ่ง ประหนึ่งนํ้าทีพวารีอันหลั่งลงจากทีพยสถาน สนานใจข้าพระบาทให้

เฉื่อยฉํ่าทุกคํ่าเซัา ขอพระแม่เจ้าโปรดวางพระหฤทัยในความจงรักของข้าพระบาท”

“ว่าได้หรือเจ้าคะ” ทรงติง ด้วยพระอาการอันยวนใจ “เดี๋ยวนึ่เป็นบรมกษัตริย์ครอบครองบัาน

เมือง รุ่งเรืองด้วยพระเกียรติ ใคร ๆ ก็ย่อมหมายจะถวายการบำเรอบำรุงบาท ท่านก็จะลุ่มหลงไป เหินห่าง


จากฉันอันบูชาท่านเหมือนหนึ่งเทพเจ้าประจำใจแห่งตน"

“ขอถวายสัตย์ปฏิญาณทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า” ทูลยืนยัน “ขอได้ทรงพระวิจารณ์เถิด แต่ข้ไ-

พระบาทได้ดำรงราไชศวรรย้หลายเดึอนแลัว บรรดาพระสนมนางกำนัลอันมีมากในพระราชฐาน ข้ไ-


พระบาทมิได้ข้องแวะด้วย คงถวายความภักดีแด่พระแม่เจ้าผู้เดียวเท่านั้น แม้กระนั้นก็ยังดีดไปว่าความ
ภักดีเพียงเท่านึ่ ยังไม่ได้ส่วนเสี้ยวแห่งพระกรุณา และก็ไม่แน่นอนว่าจะมีซีวิตยืนยาวอยู่ถวายภักดีได้อีก

ลักเท่าใด”
“ทำไมท่านจึงพูดอย่างนั้นเล่า” ตรัสถามด้วยพระหฤทัยฉงน “ท่านเห็นนิมิตอันใดหรือ จึงได้

กล่าวคำร้ายแรงถึงเพียงนั้น”

“ถูกแล้ว พระแม่เหนือเกล้า” ทูลสนอง “ข้าพระบาทมองเห็นนิมิตประจักษ์อยู่จึงได้กราบทูล


ดั่งนั้น”

“อะไรเป็นนิมิตที่ท่านเห็นประจักษ์” ตรัสซักร้อนรน

“เป็นการยากที่ข้าพระบาทจะกราบทูลได้'’ บ่ายเบี่ยง

“ทำไมเล่า บอกมาเถิด อะไรเป็นนิมิตที่ปรากฎดังนั้น เผื่อมีลู่ทางจักได้ดีดอ่านป้องกันเสียแต่

ด้น มิให้บังเกิดขื้นแก่เทพบุตรของฉัน” ตรัสเอาใจ


“ล้าเป็นพระกรุณาแล้ว ก็เห็นทางอยู่ที่ข้าพระบาทจะมีซีวิตฉลองพระคุณได้ แตก็เห็นเป็นเรื่อง

ยากที่พระแม่เหนือหัวจะดำเนินการได้ ” ทูลสนองสำเนียงแสดงความหมดหวัง

kalyanamitra.org
๒๓๖

“มันเรื่องอะไรถันหนักหนา” ตรัสพระสูรเลียงแกมคุ “ก็เมื่อฉันกรุณาท่านได้แล้ว ทำไมไม่


บอกมาเล่า มัวนิ่งอื้งอมพะนำอยู่อย่างนั้น ฉันจะไปทำอย่างไรไห้ได้ ท่านพึงตระหนักเถิด ความซีนบาน

ในชีวิตของฉันนั้นคึอท่าน”
“เป็นเรื่องกราบทูลยากเย็นเสียเหลือเกิน แต่ข้าพระบาทก็ไม่อาจจะปิดบัง” กราบทูลอย่างไม่

เด็มใจ “เจ้าจุลนีสิพวะแม่เจ้า เป็นเด็กเฉลียวฉลาดเกินตัวนัก ถัาเดิบใหญ่ขื้นที่ไหนจะไว้ชีวิตข้าพระบาท”


แล้วทูลเล่าเรื่องที่เกิดขื้นเมื่อกลางวัน

ตลอดเวลาที่พราหมณ์พูดเรื่องราชโอรส พระหฤทัยของพระนางหวั่นไหวแต่ทวงระงับเสีย

โดยเรีว และทรงคิดอุบายไว้ตลอดหมดในระหว่างนั้น พอพราหมณ์ทูลจบก็ตรัสว่า “พิโธ่เรื่องเท่านี้เอง

เทพเจ้าของฉันเอามาวิตกถังวลเสียเป็นวักเป็นเวรไปได้ กว่าจะบอกออกมาก็ต้องคาดคั้นเสียเป็นนาน เชิญ


สำราญใจเถิด เด็กนัอยคนนี้จะยากอะไรนักหนา แต่พระภัสดาฉันยังจัดการเสียเรียบรัอย ด้วยความรัก
ในท่านอนสูงกว่ายิ่งกว่ากุมารนี้จะดีอะไรนักหนา ทำไมฉันจะประหารเลียไม่ได้ เทวะของฉันอย่าได้คลาง-

แคลงแหนงใจเลย คอยอีกลักหน่อยเถิด จักด้องทำเป็นความลับมิให้อื้อฉาว ด้องวางอุบายให้แนบเนียน”


ตรัสพลางทรงเล่าอุบายที่จะดำเนินงานประหารพระราชกุมารจุลนีโดยละเอียด

ฉัพภิพราหมณ์ได้สดับพระเสาวนีย์ก็ดีใจ ทูลว่า “เป็นพระกรุณาลันเกล้าลันกระหม่อม ข้า


พระบาทยอมถวายชีวิตเพื่อทดแทนพระกรุณานี้ทีเดียว”

จากนั้นพระนางมิได้รอข้า รับสั่งเรียกพ่อครัวซึ่งเป็นที่ไว้วางพระหฤทัยมาเฝืาพลางตรัส “จุลนี

กุมาร ลูกชายของข้ากับธนูเสกข์ลูกชายของเจ้าเกิดวันเดียวกัน เติบโตมาด้วยกันแลัวก็เป็นสหายที่รักของ

กันและกัน แต่เดี๋ยวนี้ ข้ามีเรื่องร้อนใจนัก ฉัพภิพราหมณ์ต้องการจะฆ่าลูกข้าเลีย เจ้าเท่านั้นจะช่วยให้

จุลนีรอดไปได้ เจ้าจงให้ชีวิตแก่ลูกข้าด้วยเถิด”
พ่อครัวกราบทูลว่า “ข้าแด,พระแม่เจ้า เป็นความยินดีแก่ข้าพระบาทลันเกล้าๆ ที่จะถวายความ

ภักดีแด่พระแม่เจ้าในครั้งนี้ แต่ช้าพระบาทจะทำได้อย่างไรเล่าพระพุทธเจ้าช้า”
“เรื่องนั้น ช้าคิดไว้ตลอดปลอดโปร่งแล้ว” รับสั่งอธิบายว่า “เจ้าจงพาจุลนีลูกชายของข้าไป

นอนที่เรือนเจ้าทุกวัน ตัวเจ้า ลูกของข้า และลูกของเจ้าจงนอนเลียในห้องเครื่องเพื่อมิให้ใครสงลัย ทำ

อย่างนี้ลัก ๒-๓ วัน ครั้นเห็นว่าไม่มีใครสงลัยแน่แล้ว เจ้าจงหากระดูกแพะไว้ในที่นอนของเจ้าทั้ง ๓ พอเวลา

ดีกสงัดมหาชนหลับกันหมดแล้ว จงจุดไพ่เผาห้องเครื่องเลีย แล้วอย่าให้ใครรู้ จงพาลูกของช้าและลูกของ

เจ้าออกทางประดูเล็กไปนอกแคว้น แต่อย่าพูดให้ใครรู้ว่าลูกของข้าเป็นพระราชโอรส จงเลยงดูลูกของข้า


เสมือนลูกของเจ้า เพียงเท่านี้แหละ เจ้าจะจัดการได้หรือไม่เล่า นึกว่าช่วยชีวิตลูกของข้าไว้ลักครั้งเถิด”

“ไม่เป็นไรดอกพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระบาทขอฉลองพระคุณ แมัชีวิตของข้าพระบาทจะสิ้นสูญ

ไปเพราะพิทักษ์พระราชโอรสของพระแม่เจ้าก็ตามทีเถิด ” กราบทูลปฏิญาณ “อุบายของพระแม่เจ้าแยบคาย

ดีนักพระพุทธเจ้าข้า ช้าพระบาทจะปฏิน้ติดามทุกประการ”
พระนางทรงยินดีอย่างยิง ประทานแกัวแหวนเงินทองให้พ่อครัวเพื่อเป็นเครื่องลีบชีพต่อไป

kalyanamitra.org
๒๓๗

ต่อจากนั้นไม่กี่วัน ท่ามกลางราตรีกาลอันสงบเงียบปราศจากศัพท์สำเนียงอันอึกทึก บํโญจาลนคร

อันคับคั่งแน่นเนืองด้วยมหาชน และอึกทึกด้วยเสียงต่าง *1 บันลือลั่นคร้นเครง ยามนั้นเงียบเซ็ยบ ความ

มืดแห่งท่ามกลางราตรีกาลได้กลืนทุก *1 อย่างเข้าไวัหมด มิช้าก็ปรากฎกลุ่มควันดำมะเมื่อมพลุ่งขน แล้ว

ก็เปลวเพลิงสว่างช่วงโชติ ห้องเครื่องในพระราชวังเกิดเพลิงไหม้ เสียงโกลาหลของชาววัง เสียงแสดง


ความตกใจของสตรีกึกกองกังวานสนั่นถึงภายนอก นครคุปติกบุรุษวิ่งวุ่นชุลมุนเพื่อดับเพลิงพระราชฐาน

ชันใน ยามนั้นดูกขวักไขว่วุ่นวายไปด้วยฝูงชนชาวใน บัางเก็บข้าวของ บัางก็วิ่งไปมา ดูไม่เป็นสำ ต่าง

แตกตื่นเกรงภัยกันทั่วหน้า

แต่ล้าจะมีใครลักคนหนึ่งตื่นชื่นก่อนหน้าแสงเพลิง และคอยแอบอยู่แถวหน้าห้องเครื่อง ใคร

ผู้'นั้นจะเห็นภาพชายสูงอายุกับเด็กเชื่อง ๒ คนพากันออกจากห้องนั้น เหลียวหลังล่อกแล่กเกรงใครจะ


พบคอยหลบพวกประจำยาม มุ่งหน้าไปทางประตูเล็กทางออกนอกพระราชวัง แต่ไม่มีประโยชน์ บัดนึ่

เด็ก ๒ ผู้ใหญ่ ® ได้พ้นไปแล้วจากกำแพงพระนคร กำลังไปซีนคูแสงเพลิงอันจับท้องฟ์าอยู่นอกพระ-


มหานครเสียนานแล้ว ทั่ง ๓ คนใช้เวลาราตรีนั้นให้หมดไปด้วยการเดินทาง รีบเร่งด่วนเดินเพื่อจะไปให้
ไกลทีสุด พอรุ่งสางก็ไปพ้นเขตที่จะถูกติดตาม พ้นเขตอาคารบัานเรือนก็พักผ่อนตามสุมทุมพุ่มไม้ หาย

อิดโรยก็เดินทางต่อไป จนย่างเข้าเขตม้ททรัฐ พ่อครัวก็พากุมารทั่งสองไปยังสาคลนครราชธานีของม้ททรัฐ

นั้น สมัครเข้ารับราชการในพระเจ้าม้ททราชในตำแหน่งพ่อครัว
ทางบัญจาลนครเข้าใจว่า พ่อครัวและกุมารทั่งสองได้ตายไปเสียแล้วในกองเพลิงนั้น ฉะนั้น

ใคร *1 ก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า “โอั น่าสมเพชนัก พ่อครัว จุลนีราชกุมาร และธนูเสกข์ลูกพ่อครัว ถูก


ไพ่คลอกตายเลียแล้ว โธ่น่าสงสารนัก”

พระนางสลากเทวีทรงทราบประพฤติเหตุแล้ว ก็บอกแก่พราหมณ์ “เทพเจ้าของฉัน ความ


ปรารถนาของท่านถึงที่สุดแล้ว แต่นึ่ไปท่านจงหมดความระแวงเถิด พ่อครัว จุลนี ธนูเสกข้ถูกไพ่คลอก
ตายเสียแล้ว เมื่อไพ่ไหม้ห้องเครื่องนั่นเอง” พรัอมกันนั้นพระนางก็แสดงกระดูกแพะที่ไหม้อยู่ในไพ่ให้

พราหมณ์ดู “นึ่อย่างไรเล่า กระดูกของพวกนั้น” แล้วให้เอาไปทิ้งเสีย


ฉัพภิพราหมณ์ร่าเริงยินดีนัก “พระแม่เจ้าทรงพระกรุณาข้าพระบาทเป็นที่ยิ่ง โปรดทรงวาง

พระหฤท้ยในความภักดีของข้าพระบาทเถิดพระเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
๓๒. คู่สร้างของพระอธิราชจุลน้
จุลนีราชกุมาร รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์บ้ญจาลนคร ต้องพลัดพรากจากเวียงวัง ไรันิเวศน์
อันเป็นที่รมณีย■สถาน ห่างจากพระราชชนนีและพระพี่เลั้ยง ปราศจากผู้คอยบำรุงรักฟูมฬกทะนุลนอม

มีแต่พ่อครัวผู้เดียวเท่านั้นที่จะเอาใจใส่ดูแลด้วยความจงรักภักดีอันมั่นคง แต่ฐานะของพ่อครัวกับฐานะ

แห่งกษัตริย์นั้นเทียบกันไม่ได้เลย ที่ไหนจะสามารถให้การบำรุงบำเรอพระราชกุมารได้เต็มที่ ถึงจะได้

ทรัพย์สารที่พระนางสลากเทวีประทาน ก็มิใช่จะใซัสอยได้สะดวกสบายไปทุกอย่างและทุกสถาน เพราะ

ทรัพย์ที่ได้มานั้นเป็นของมีค่าควรแก่ราชูปโภคทั้งนั้น แม้นนำออกใซัสอยจับจ่ายก็เป็นที่ชวนให้เกิดความ

สงสัยแก่มหาชนในที่นั้น กุ พ่อครัวผู้รอบคอบจึงด้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง หากพลาดพลั้งลงไปก็อาจ

เป็นภัยแก่พระราชกุมาร ผู้ซึ่งดนถวายความภักดีไว้นั้นด้วย การเป็นดังนี้ โอกาสที่จะถวายความสำราญ

รมย์แด่พระราชกุมารจึงไม่มี ตกเป็นหน้าที่ของพระราชกุมารจะพึงแสวงหาตามประสาของพระองค์ ซึ่ง

ก็ได้ธนูเสกข์ ลูกพ่อครัวเป็นเพื่อนคู่พระทัยเป็นคนแรก ต่อจากนั้นก็ได้ร่วมกลุ่มกับบรรดาเพื่อนเด็ก กุ


ในพระราชฐานของพระเจัากรุงมัททราช อันมีจำนวนมากพอที่จะให้ความเพลิดเพลินแด'พระราชกุมาร

ได้ตลอดวันหนึ่ง กุ

การที่พระราชกุมารจุลนีต้องประสบความลำบาก ทั้งนี้จะถือว่าเป็นเคราะห์รัายถ่ายเดียวก็ไม่

สนิทนัก อันที่จริงก็มีส่วนดีอยู่ไม่น้อย ตามพระราชประเพณีขัตติยราชกุมารผู้เป็นรัชทายาทสืบสันตติวงศ์

ดำรงราไชศวรรย้นั้น เมื่อทรงเจริญวัยสมควรแก่การศึกษาแลัว พระราชบิดาพระราชมารดามักจะทรง


ล่งไปให้ศึกษาศิลปศาสตร์ ณ แว่นแคว้นแดนไกล ทั้ง กุ ที่ในบ้านรุ่งเรืองด้วยศิลปศาสตร์วิทยาการ และ

มีราชครูปุโรหิตาจารย์อยู่แล้วก็ต้องล่งไปมิได้เว้นเลย ทั้งนี้เพื่อให้รัชทายาทได้ประสบความลำบากตรากตรำ

เสียบ้าง ให้รู้รสแห่งความลำเค็ญด้วยตนเองบ้าง จักได้มีความอดทนเข้มแข็งด้วยพลานามัย สามารถฝ่า


ลักับความยากเข็ญในคราวครองราชย์ได้ ทั้งจะได้ศึกษาความเป็นไปของแว่นแคว้นแดนดินด่าง กุ แล้ว

กำหนดไว้เป็นแนวในการดำเนินประศาสโนบาย กับจะได้รู้จักหนทางระหว่างแคว้นต่อแคว้นว่ามีลักษณะ
อย่างไร อันจะเป็นคุณในการคิดป้องกันการรุกรานจากแคว้นอื่น ดังนั้นการที่พระราชกุมารจุลนีต้องตก

ระกำลำบากแด่ยังทรงพระเยาว์โดยผลแห่งกรรมบันดาลเป็น ก็เป็นอันสอดคล้องต้องด้วยข้ตดิยราชประ-
เพณีทุกประการ และด้วยเหตุที่ทรงลำบากตรากตรำแต่น้อย กุ ผลจึงปรากฎว่า พระราชกุมารจุลนีเข้มแข็ง

และแข็งแรงเฉียบขาดอาจหาญ แม้จะมีพระชนมายุยังเยาว์อยู่

kalyanamitra.org
๒๓๙

ยิ่งกว่านั้นยังประสบโชคสำคัญ ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์บันดาลเปันเช่นนั้น ก็ไม่แน่นักว่าพระราช

กุมารจุลนึจักได้ทรงประสบหรือไม่ ถึงจะได้ทรงประสบในคราวที'ดำรงราชย์แล้ว ก็คงจะไม่เหมือนกับ

ที่ทรงประสบในคราวนี่ นั่นคือ พระวไชกุมไรน่นทไ พระราชธิดาของ พระเช้ากรุงม่ท่ทรไช การที่พระราช

กุมารจุลนึได้พบกับพระราชกุมารีนันทาในสมัยทรงพระเยาว์ด้วยกัน และในฐานะเป็นเพื่อนเล่นกันมา
เป็นอุปการะสำคัญที่จะได้ความรักนำความเป็นคู'ครอง หากได้พบในคราวดำรงราชย์ก็จะตรงกันข้าม คือ

การจะกลายเป็นรูปความเป็นคู่ครองนำความรัก ความรักนำความเป็นคู่ครองนั้นย่อมมีโอชาเป็นมธุรส
แห่งชีวิตคู่เป็นอย่างยิ่ง แต่ความเป็นคู่ครองนำความรักนั้น ย่อมไม่แน่นักว่าโอชาอันเป็นมธุรสแห่งชีวิตคู

จะมีหรือไม่ เพราะด้องคอยดูก่อนว่า ความเป็นคู่ครองนั้นสามารถนำความรักมาให้ได้หรือไม่ ถ้าสามารถ


นำมาให้ได้ก็มีโอชา ถ้าไม่สามารถนำมาให้ได้ก็ไรัโอชา การที่ด้องพลัดพรากของพระราชกุมารจุลนื ทำให้

ทรงประสบคู่สร้างของพระองค์ จึงเข้าเกณฑ์ท,ี นับว่าไม่ร้ายเลียทีเดียว

ในสนามเล่นภายในพระราชวังแห่งพระเจ้ากรุงมัททราช เป็นกรีฑาสถานอันให้ความสำเริง
สำราญพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แต่พระราชกุมารจุลนีเป็นแหล่งประชุมของบรรดาราชบุตรเล็ก กุ ซึ่งมีจำนวน

มากมาย พร้อมด้วยพระพื่เลี้ยงมาร่วมสนุกสนานกันเป็นประจำทุกวัน แวดด้อมพระราชกุมารีนันทา ชวน

ให้พระราชกุมารีมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน พระราชกุมารจุลนึกับธนูเสกข้คงเป็นเด็กประจำสนามเล่น
เช่นเดียวกับเด็กอื่น กุ แต่พระราชกุมารจุลนีเป็นผู้ที่แปลกกว่าเพื่อน คือมีรูปร่างงดงามสง่า ผิวพรรณผิด

กับเด็กอื่น กุ และที่เห็นเด่นชัดคือความทะนงตน ทั้งนี่เพราะทรงมีข้ตติยมานะตามเซือสาย แม้จะยังทรง

พระเยาว์ ก็คงมีความถือพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์อยู่นั่นเอง ข้ตติยมานะนั้นย่อมปรากฎแม้แก่พระราชกุมาร

ทีเดียว ด้งนั้นท่านจึงว่า "อย่าดูถูกกษ่ต่ริย์ว่าเปีนเด็ก”


ภายในสนามเล่นนั่นเอง พระราชกุมารและพระราชกุมารีก็ได้พบปะกัน และได้เริมมีอัธยาศัย

ด้องกัน พระราชกุมารผู้เข้มแข็ง พระราชกุมารีผู้อ่อนโยน เป็นการประหลาดอยู่บัางที่ความเข้มแข็งกับ

ความอ่อนโยนมาร่วมกันสมัครสมานกัน แต่ถ้าคิดถึงว่าความอ่อนโยนนั้นย่อมใฝ่หาความเข้มแข็งเพื่อยืดเหนี่ยว

เกี่ยวเกาะพยุงตน เหมือนเถาลดาอันใฝ่หาพฤกษชาติที่มีแก่น ก็ไม่เป็นเรื่องประหลาดอะไร และถ้าแข็ง

มาพบกันเข้าแล้ว ที่จะสมัครสมานกันได้นั้นเป็นเรื่องยาก มีแต่ว่าจะด้องให้แตกหักกันลงไปข้างหนึ่ง แต่

ถ้าแข็งมาพบกับอ่อนเข้าแล้วก็ตรงกันข้าม ความอ่อนนั้นย่อมพัวพันรัดรึงเข้าไว้ได้ ดังนั้นพฤติการณ์ต่าง กุ


ระหว่างพระราชกุมารและพระราชกุมารีจึงคืบหน้าไปในทางสมัครสมานกันได้ แม้ฝ่ายหนึ่งจะแข็งและ
ฝ่ายหนึ่งอ่อน

ระยะกาลผ่านไปจากหลายเดือนเป็นหลายปี อายุของคนก็ได้รับจำนวนทวีร้น ร่างกายผู้ที่อยู่

ในระยะเติบก็เติบร้น แต่ของผู้ท,ี เข้าระยะเสื่อมก็เสื่อมลง พระราชกุมารจุลนีและพระราชกุมารีนันทา กำลัง

อยู่ในเกณฑ์จำเริญก็เติบร้น พระราชกุมารก็ยิ่งแข็งแรงและองอาจหนักร้น พระราชกุมารีก็ยิ่งสวยงามเปล่ง-


ปลั่งยิ่งร้น เด็ก กุ ทุกคนก็พากันเติบโตร้นตามกัน ความรัสีกต่าง กุ ก็พลอยพิสดารตามมาด้วย ที่ไม่เคย

ได้คิดก็มาคิดได้ร้น ที,ไม่เคยนึกได้ก็มาได้นึกร้น

kalyanamitra.org
๒๔๐

พระราชกุมารจุลนื ยิ่งทรงพระเจริญยิ่งทรงทะนงในศักดํ่แห่งพระมหากษัตริย์มากชื้น ความ

องอาจมีกำลังทวีชื้น ประกอบด้วยพระสรีรร่างงดงามเป็นสง่าจึงทรงเป็นโจกในบรรดาเพื่อน กุ เด็ก กุ

ด้วยกันเรึ่อยมาแต่เยาว์นั้น บัดนี่ยิ่งเฉียบขาดหนักชื้น แต่ในด้านที่เกี่ยวกับพระราชกุมารี พระราชกุมารก็

ทรงรู้สึกไม่พอพระทัยในความเหินห่างจากพระราชกุมารีเกินไปนัก ทรงพอพระทัยในการที่จะใกล้ชิดกับ

พระราชกุมารีเสมอ กุ แต่ความรู้สึกเช่นนั้นไม่มีอำนาจพอที่จะทำให้พระราชกุมารคลายจากความทะนง

ในศักดํ่ของตน
พระราชกุมารีนันทา ยิ่งทรงเจริญพระชันษาก็ยิ่งทรงพระสิริโสภาคย์ผุดผาดผ่องพรรณเป็น

ที่เจริญตาเจริญใจ พระสรีรโฉมของพระราชกุมารีเมื่อทรงพระเยาว์ก็งดงามอยู่แล้ว แต่เป็นความงามอัน


.มิได้ถูกตกแต่งอันใด เป็นเหมือนรูปทองที่ยังมิได้ข่ดสึและตกแต่ง ครั้นมาถึงยามดรุณว้ยก็ยิ่งสดใสพริ้งพราย

เหมือนรูปทองที่ได้รบการขัดสิจึงทวีความเปล่งปลั่งชื้นแพรวพราว ประกอบทั้งพระหทัยในยามนี่เกิดเปลว

เพลิงลีนวล คือเพลิงรักเริ้มก่อชื้น แม้จะยังกระพือฮือโหมก็เป็นเพลิงที่เพียงพอจะตกแต่งผิวพรรณให้


พืงพิศยิ่งชื้น ทั้งพระจริตกิริยาก็ละม่อมละไมสมเป็นขัตติยกุมารี และควรที่สถิตในฐานะเอกอัครนารีรัตนั

เป็นเที่ยงแท้

ความรักระหว่างพระราชกุมารและพระราชกุมารี ดำเนินไปตามกระแสแห่งอารมณ์ในยามรุ่น
ชึ่งเริมมาจากความชอบพอ ความสนิทสนมเป็นสื่อสิเน่หา แต่ด้วยความทะนงในศักดิ๋แห่งขัตดิยวงค์ ความ

วู่วามจึงมิได้ปฏิการ คงเป็นเพียงมิตรภาพในกรีฑาสถาน ทั้งคู่มิได้กระทำการใด กุ ให้เกินไปจากวัย แต่


ความรักของเจ้าหญิงนั้นเป็นไปหนักแน่นยิ่งกว่าความรักของเจ้าชายที่มีในเจ้าหญิง เพราะอำนาจคุ้นเคย

ใกล้ชิด และความรู้สึกนิยมชมชินในความเป็นเอกแห่งบรรดาดรุณกุมาร เจ้าหญิงทรงเก็บความรักไว้ใน


พระท้ย ทั้ง กุ ที่มิได้ทรงทราบเลยว่าจุลนิราชกุมารนั้นเป็นขัตติยวงค์เช่นเดียวกัน

พระเจ้ากรุงม้ททราชพระชนกของเจ้าหญิง ทรงสอดส่องความเป็นไปของพระราชธิดาอยู่เสมอ
เมื่อเห็นเจ้าหญิงทรงสนิทสนมกับเจ้าชายจุลน้ พระองค์ทรงเพ่งเล็งคูพระราชกุมารจุลน้อย่างใกล้ชิด เพราะ

ทรงสงลัยมาแต่แรกแล้วว่าจะมิใช่บุตรของพ่อครัว เนื่องด้วยรูปร่างและผิวพรรณต่างกันกับธนูเสกขัเป็น

อันมาก แต่พ่อครัวก็เคยกราบทูลว่า “ต่างมารดากับธนูเสกข์” พระองค์ก็ด้องระงับความสงลัยไว้แต่ใน


พระท้ย แต่ก็ทรงสังเกตพฤติการณ์ของเจ้าชายตลอดมา จนกระทั่งวันหนี่งทรงได้ยินเลียงพระราชธิดา

กันแสงดังสนั่นจากสนามเล่น
มูลเหตุที่เจ้าหญิงทรงกันแสงนั้น เนื่องมาจากมิได้ทรงปฏิบัติตามบัญชาของจุลนิราชกุมาร

“พรุ่งนี่ หญิงต้องนำลูกข่างพร้อมทั้งสายมาให้เราเล่นกันที่นี่นะ” นี่คือบัญชาของเจ้าชายจุลนิ

แต่เจ้าหญิงมิได้ทรงปฏิบ้ติตาม ถึงเวลาลงสนามเล่น ถูกเจ้าชายถามถึงลูกข่างก็ตรัสว่า “ไม่ได้

เอามา จะทำอะไรฉัน”
ด้วยอัธยาศัยที่ทะนงศักดํ่ไม่ต้องการให้ใครขัดคำสั่ง เจ้าชายจุลนีตรัส “ทำอะไรหรือ จะทำ

อย่างนี่” แล้วทรงเขกพระเศียรของเจ้าหญิงทันที

kalyanamitra.org
๒๔๑

เจ้าหญิงมิได้ทรงคิดว่าเจ้าชายจะโกรธรุนแรงเช่นนั้น และไม่เคยได้ประสบกับความเจ็บปวด
ใด *1 มาก่อน จึงรู้สึกเจ็บมาก ทรงกันแสงลั่นจนได้ยินถึงพระกรรณพระราชบิดา
“ใครทำอะไรลูกหญิงของฉัน” พระสุรเลียงดังมาจากพระตำหนัก “พวกพี่เลื่ยงนางนมไปไหน

กันหมด ไม่เอาใจใส'ดูแลลูกหญิงของฉันเลยไม่ได้ยินกันหรือ”
พระพิ่เลื่ยงซึ่งปล่อยเจ้าหญิงให้ทรงเล่นในสนามตามลำพัง ได้ชินพระดำรัสพระเจ้ากรุงมัททราช

แล้วร้อนตัว รีบวิ่งไปหาเจ้าหญิงทันที สวมกอดเจ้าหญิงไว้พลางทูลถาม “ใครรังแกพระแม่เจ้า เพคะ”


เจ้าหญิงทรงนิ่ง-'นง เพราะสิเนหานุภาพในเจ้าชายซึ่งแฝงอยู่ในดวงพระหทัยของเจ้าหญิงนันทา

“ล้าเราบอกไปตรง รุ ว่าจุลนีตีเรา ที่ไหนพระราชบิดาจะละลดอดพระหฤทัย จะด้องทรงพระราชอาญา

แก่จุลนี จุลนีจ้กด้องพระราชอาญาเพราะเรา การที่จุลนีตีเรานึ่เราทนได้ แต่การที่จุลนีด้องอาญาของพระ-

ราชบิดาของเรานั้นเราทนไม่ได้ เหลือที่เราจะทนจริง รุ”


อำนาจของความรักประหลาดไม่นัอย ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงรักแล้ว แม้จะถูกผู้ที่ตนรักนั้นกระทำ

โดยโบยดีก็ทนทานได้ แต่ลัาผู้ที่ตนรักนั้นจะถูกผู้ลงทัณฑ์โบยดีบ้าง เป็นสุดที่จะทนได้ กามเทวะเจ้าเอย

ช่างมีอานุภาพพึงพิศวงเลียจริงเจียว
“ไม่มีใครรังแกฉันดอก” เจ้าหญิงตรัส “ฉันวิ่งเล่นเพลินไป ยั้งไม่ท้นศีรษะไปโดนด้นไม้เข้าน่ะ”
พระพี่เลํ๋ยงไม่ตองทรงซักไชอะไรอีก ปลอบเจ้าหญิงแล้วก็นำความขื้นกราบทูลตามที่เจ้าหญิง

ตรัสบอก
พระเจ้ากรุงม้ททราชมิได้ทรงเซือถือล้อยคานั้น แต่มิได้ตรัสพระวาจาดันใดออกมา เพราะทรง

พระดำริว่า “ไม่มีประจักษ์พยานอะไรเป็นเครื่องยืนยัน ขืนเอ่ยออกไปก็จะเป็นเหมือนจับเงาในกระจก

ผิดจากราชธรรมดันตราไว้ว่า”
••ใ/ตตปาธิ!/ด ซังไม่ทรงเห็นโทษทั้งใหญ่ทั้งน,'ลพ)องผูอนใคยรอบคอบ ไม่ใด้หจารณาถถ้วนด้วย

ษระฝ็งค้เอง ไม่ห็งลงหระราขอาญา”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นด้นมา พระเจ้ากรุงม้ททราชยิ่งทรงสังเกตเจ้าชายจุลนีเพิ่มขื้นอีก ดูเหมือนว่า

กิริยาอาการของเจ้าชายจุลนีที่เคลื่อนไหวในบริเวณพระราชฐานนั้น นัอยนักที่จะพันจากลายพระเนตรของ

พระองค
วันหนึ่ง บรรดาพระพิ่เลื่ยงของเจ้าหญิงนันทานำเครองเสวยกลางวันไปถวายเจ้าหญิงในสถาน

กิพา เจ้าหญิงทรงกรุณาแจกประทานแก่เด็กอื่น รุ ที่มาร่วมกีฬา ณ ที่นั้น

พวกเด็ก รุ ที่เข้ามารับของประทาน ได้รับการอบรมมาแล้วในเรื่องสัมมาคารวะ ก่อนที่จะรับ

ของจากพระหัตถ์ของเจ้าหญิง ต่างย่อกายถวายอัญชลีและเอางานก่อนจึงรับของจากพระหัตถ์ กวะทำเช่นนึ่

ทุกคน
เว้นแต่จุลนีราชกุมารผู้ทะนงในตักดํ่แห่งข้ตติยวงศ์ มิได้ทรงทำเช่นนั้น ไม่ทรงยอมอ่อนนัอม

ต่อเจ้าหญิง เมื่อเห็นเจ้าหญิงทรงแจกขนมก็เดินตรงเข้ามาอย่างองอาจ พอได้ระยะก็หยิบไปจากพระหัตถ์

kalyanamitra.org
๒๔๒

ของเจ้าหญิงท้นที ไม่ต้องถวายอัญชลีเอางาน และไม่ด้องรอให้เจ้าหญิงทรงยื่นประทานทีเดียว ควัาได้

ก็เดินไปเลย
กิริยาอาการของเจ้าชายจุลน้คราวนึ่มิได้รอดท้นสายพระเนตรของพระเจ้ากรุงม้ททราชไปได้

เพราะทรงสอดส่องอย่างใกล้ชิดตลอดมา จึงเป็นเงื่อนอีกปมหนึ่งที่ขมวดความคลางแคลงไวํในพระหทัย

“เด็กคนนึ่ทำไมถึงองอาจนัก พ่อครัวว่าเป็นลูกของตน ก็ทำไมถึงไม่เป็นอย่างเจ้าธนูเสกข์นั้นเล่า และก็


เด็ก *1 ทุกคนที่มารับขนมจากลูกหญิง ต่างก็นัอมรับด้วยความอ่อนนัอมกันทั้งนั้น แต่จุลนิไม่กระทำเช่น

นั้นเลย ดูกิริยาท่าทางองอาจสง่านัก จะเปรียบกับเจ้าธนูเสกข์มิได้เลย ธนูเสกข้ปราศจากความไวัด้ว และ


ไม่เห็นเค้าแห่งความทะนงองอาจในตน ไม่กระด้างกระเดื่องอันใดเลย ดูเสงี่ยมเจียมตัว จะว่าเป็นลูกพ่อครัว

ก็ไปกันได้ แต่จุลนีไม่น่าจะเป็นลูกพ่อครัวเลย” พระองค์เกือบจะทรงตาดคั้นเอาความจริงจากพ่อครัว

อยู่แล้ว แต่พอทรงเห็นว่า “เหตุผลยังหย่อนอยู”่ จึงได้ทรงรอ


การรอของพระองค์ล่วงไป ความสนิทสิเนหาระหว่างเจ้าชายและเจ้าหญิงก็ยิ่งกระชับยิ่งขื้น นับ

แต่เจ้าหญิงไม่ทรงฟ้องพระราชบิดาถึงการที่ตนถูกรังแกเป็นต้นมา เจ้าชายก็ทรงเห็นพระทัยเจ้าหญิง เป็น

อันว่าความอ่อนได้โอกาสเข้ารัดรึงตรึงตราดวงหทัยของเจ้าชายแน่นหนาขื้นกว่าเดิม แต่ทั้งสององค์ก็มิได้

ทรงวู่วาม เจ้าชายก็มิได้ล่วงเกินเจ้าหญิง และเจ้าหญิงก็มิได้ประพฤติให้เป็นที่เสื่อมเสียอันใด

ความสัมพันธ์ของเจ้าชายและเจ้าหญิงมิได้ท้นไปจากอาการที่ทรงสังเกตของพระเจ้ากรุงม้ททราช

แต่พระองค์ก็มีพระอัธยาศัยสุขุม มิได้ทรงปฏิบ้ติการใด ๆ ให้เป็นที่กระทบกระเทือน ทรงป้องกันพระ-

ราชธิดาเหมือนนายอัศวาจารย้ผู้'ฉลาดเซียวชาญในการฟิกม้าอันกำลังลำพอง ทรงผ่อนปรน แต่มิได้ทรง


ปล่อยปละละเลย ทั้งทรงเซือมั่นว่า “จุลนีไม่ใช่ลูกพ่อครัว จุลนืด้องเป็นลูกกษัตริย์ เพราะกิริยาอาการ

บ่งซัด” ความเซือมั่นของพระองค์บรรลุผล ตังนั้นในวันต่อมา

เจ้าชายจุลน้โปรดลูกข่างเป็นอย่างยิ่ง ทรงเล่นได้ดี วันหนึ่งทรงนำลูกข่างขื้นไปเล่นถึงเฉลียง

พระราชมนเทียร เป็นการเผอิญที่ลูกข่างนั้นกลิ้งเข้าไปภายใด้พระบรรทมนัอา อันเป็นพระแท่นที่พระเจ้า

กรุงม้ททราชประทับบรรทมผ่อนพระอารมณ์ ล้าเป็นเด็กธรรมดาก็คงจะคลานเข้าไปเก็บทันทีไม่มีการ
รีรอซักข้า แต่เจ้าชายผู้'ทะนงศักดํ่ ข้ตติยมานะในพระองค์ ไม่ยอมให้กระทำเช่นนั้น และเป็นดังกวะด้น

เตือนห้วงพระทัยว่า “เรานึ่เปันโอรสแห่งขัดติยมหาศาล มีบรมเดชานุภาพเกรียงไกร จะมาคลานเข้าไป

ใด้แท่นบรรทมของพระราชาเล็ก *1 เช่นนึ่ ไม่เป็นการสมควร” เจ้าชายจุลนึออกเที่ยวหาไม้มาเขี่ยลูกข่าง


ออกมา แลัวหยิบลูกข่างที่ออกมาท้นจากแท่นบรรทมนั้น

อาการของเจ้าชายจุลน็คราวนึ่คงอยู่ในคลองพระเนตรของพระเจ้ากรุงม้ททราชอีก และเป็น

เหตุอันเพียงพอแก่การที่จะทรงยืนยันว่า “จุลนิไมใช่ลูกพ่อครัว ด้องเป็นโอรสของกษัตริย์พระองค์ใดพระ-

องค์หนึ่งแน่” ทั้งนึ่เพราะพระองค์ก็ดำรงฐานะเป็นกษัตริย์ ย่อมทรงเล็งเห็นประพฤติเหตุแห่งอัธยาศัย

ของกษัตริย์ได้ประจักษ์แจ้ง ทรงหยั่งถึงข้ตติยมานะอันเกิดแก่เจ้าชายจุลนึได้ดี “ทำไมจุลนึไม่ยอมเข้าไป

ใด้แท่นบรรทม ล้าเป็นธนูเลกข์ด้องไม่รีรอเลย” พระองค์เห็นพฤติการณ์นั้นแล้วไม่ใช่อน “เขาด้องถึอตน

kalyanamitra.org
๒๔๓

ว่าเขาเป็นโอรสกษัตริย์ไม่ยอมลอดใด้ที่นอนใคร” ทรงพระดำริเด็ดขาด “พอแล้ว เหตุผลจากพฤติการณ์

ต่าง จุ เพียงพอที่จะยืนยันแล้ว” ตรัสให้ตามพ่อครัวมาเฝืาทันที พอพ่อครัวเช้ามาเฝัาเฉพาะพระพักตร์

พระองค์ตรัสซักทันที “จุลนีลูกใคร?”
“ขอเดชะ พระอาญามิพันเกล้าๆ” พ่อครัวกราบทูลด้วยเลียงซึ่งสะกดความรู้สึก “เป็นบุตร

ของข้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าข้า”
“เจ้าอย่าปิดบังอำพรางข้าต่อไปเลย” ตรัสคาดคั้น “ไม,มีประโยชน์อะไรแล้ว บอกมาตรง จุ

ดีกว่า”
“เป็นบุตรของข้าพระพุทธเจ้าจริง จุ พระพุทธเจ้าข้า” พ่อครัวยืนยันอีก
“เจ้าปดข้า” ตรัสด้วยพระสูรเลียงกร้ว “เจ้าปดข้า บอกมาตามจริง ขืนปิดบังข้าเจ้าจะด้องตาย”

ตรัสพลางซักพระขรรค์ ทรงเงื้อและทรงขู่ชํ้า “จงดูความคมของพระขรรค์เล่มนั้ ล้าไม่บอกช้าจะพันเจ้า

เดี๋ยวนํ๋ บอกชิ บอกมา”


พ่อครัวตัวสั่นหน้าชิด ความคิดที่จะปิดบังอำพรางได้หมดไปจากจิตใจ ดำสั่งของพระนางสลาก

เทวีแห่งบัญจาลนคร พ่ายแท้แก,ดำขู่และคมพระขรรค์ของพระเจ้ากรุงม้ททราช เพราะการปกปิดไว้เป็น

เหตุให้ตนตาย การเปิดเผยเป็นทางรอด ผู้มีดวงจิตอันอ่อนไหวได้ง่าย จุ ก็ด้องเลือกทางรอดไว้ก่อน อีก


ทั้งเห็นลู่ทางอยู่ว่า การเปิดนั้นคงไม่เป็นภัยแม้แก่พระราชกุมาร เพราะได้สังเกตพระอาการของพระเจ้า

ม้ททราชเห็นว่ามีพระอัธยาศัยประกอบด้วยพระกรุณา อย่างไรก็คงจะไม่กำจัดเจ้าชายของตนเลีย ความ


คิดเหล่านั้ทำให้ตัดสินใจเปิดเผยความลับอันได้อำพรางไว้เป็นเวลานานปี เข้าล้มเกล้าฯ ลงแทบพระบาท

ของพระเจ้ากรุงม้ททราชกราบทูล “ขอเดชะ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เถิดพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระ-

พุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาสกราบทูลเฉพาะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระพุทธเจ้าข้า ”
พระเจ้ากรุงม้ททราชทรงอนุวัตตาม ให้พวกอำมาตย์ราชบริพารพากันกลับไป คงอยู่เฉพาะ

พ่อครัวผู้เดียว “เอ้า เจ้าบอกมาเถิด”


“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระกรุณาธิคุณเป็นที่พึ่งพระพุทธเจ้าข้า ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระ-

บาทโปรดทรงพระกรุณาแก่จุลนีด้วย พระพุทธเจ้าข้า” พ่อครัวกราบทูลอ้อนวอนด้วยเกรงภัยจะเกิดแก่

เจ้าชาย
“ไม่เป็นไรดอกน่ะ” ตรัสรับรอง
เห็นทรงรับรองดังนั้น พ่อครัวจึงเล่าเรื่องราวในบัญจาลนครถวายตั้งแต่ด้น จนกระทั่งพระนาง

สลากเทวีทรงคิดอุบายถ่ายเทให้เจ้าชายจุลนีหลบหนีมากับตน ในที่สูดก็กราบทูลว่า “ที่ข้าพระพุทธเจ้า

ต้องปิดบังใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็เพราะเกรงเจ้าชายจุลนีของข้าพระพุทธเจ้าจะประสบอันตราย เพราะ


มิได้ทราบถึ.งพระมหากรุณาธิคุณอันลันพัน ดังที่ทรงแสดงให้ประจักษ์แก่ข้าพระพุทธเจ้าอยู่ ณ บัดนั้

อีกทั้งเกรงจะแพร่งพรายไปแก1ผู้อื่น ซึ่งเป็นฝักฝ่ายแห่งฉัพภิพราหมณ์ผู้ทรยศ ก็จะเป็นภัยแก่ข้าพระพุทธ-

เจ้าและเจ้าชาย ขอได้ทรงพระกรุณาวิจารณ์และโปรดพระราชทานอภัยโทษแก่ช้าพระพุทธเจ้า ณ ปัดนื้

kalyanamitra.org
๒๔๔

เถิดพระพุทธเจ้าช้า”
ทรงสดับเรื่องราวแล้ว ตรัสรับรองในยันที่จะไม่ทรงกระทำยันตรายแก่เชัาชายจุลน็ “อย่าได้
หวั่นใจไปเลยเจ้าผู้ภักดี ช้าจะรับให้อุปการะแก,เจ้าชายจุลน็ จงสบายใจเถิด”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณลันเกล้าๆ ” พ่อครัวกราบทูลด้วยความรู้สึกตนดัน แล้วกราบถวาย

บังคมลา
เมื่อฐานะยันแท้จริงของเจ้าชายจุลน็ได้เปิดเผยออกแล้ว พระเจ้ากรุงม่ทํทราชทรงพระราชดำริ
ในฐานะแห่งพระราชาผู้ทรงปรีชาสุขุม “เป็นการถูกด้องแล้วที่พ่อครัวจะด้องปกปิดฐานะยันแท้จริงนั้น

ไว้ เพราะเป็นกรณียะยันสำคัญของผู้ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์พึงปฏิบัต”ิ ยิ่งทรงพระดำริก็ยิ่งทรงพระ-

กรุณาในความจงรักภักดีของพ่อครัว และยิ่งกว่านั้นยังทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกลเกินที่คนชันพ่อครัว

จะคาดถึง นั่นคือทรงเห็นว่า “เจ้าชายจุลนีจักด้องไปรับสถาปนาในตำแหน่งข้ตติยาธิบดีในอนาคต” ด้วย

พระดำริที่ทรงคาดการณ์ไกล และทรงมีพระกรุณาในเจ้าชายจุลนี มิได้ทรงแพร่งพรายให้ผู้ใดทราบฐานะ

ยันแท้จริงของเจ้าชายจุลนึในยามนั้น เป็นแต่ทรงพระกรุณาโดยสถานอื่น ทรงสงเคราะห์เจ้าชายและพ่อครัว


กับธนูเสกช้เป็นพีเศษกว่าแต่ก่อน ตลอดจนปล่อยโอกาสแก่เจ้าชายจุลนืในการที่จะสนิทสนมกับพระราช

ธิดา ในที่สุดก็ทรงพระกรุณาอภิเษกเจ้าชายจุลน็กับพระราชกุมารีน้นทาให้ครองกันตามพระราชประเพณี

สุริยาทิตย์อรุณแห,งบัญจาลนคร ก็ได้เปล่งรัศมีในยามแรกแห่งทิวากาล ณ สาคลนคร ร่วม


โคจรในจักรราคีแห่งชันทรายันเพียบเพ็ญด้วยรังสิโยภาสผุดผ่องของมัททรัฐ คือพระราชกุมารีน้นทา ทั้ง
สององค์ดำรงในสุขารมย์ เพียบพร้อมด้วยความสำราญรื่น เจ้าชายจุลนิทรงลืมเวียงวังราชบัลลังก็บัญจาลนคร

ลืมฉัพภิพราหมณ์ผู้ทรยศ ลืมความสำราญรมย์ในอุทยานแห1งบัญจาลนคร ทรงมีแต่พระนางนันทาเท่านั้น

ในพระหฤทัย

kalyanamitra.org
๓๓. อธิราชจุลนี
ท่านผู้ทรงอภินิหาร ได้สร้างสมบุญญาธิการไว้อย่างมากมูล แม้จะประสบความทุกข์ยากลำบาก
บ้างในบางคราวบางสมัย อานุภาพแห่งบุญญาธิการนั้นย่อมคุ้มครองตลอดไป ตกนํ้าไม่ไหลดกไฟไม่ไหม้

จุลนืกุมารวัชทายาทแห่งบัลลังก์บ้ญจาลนคร ตกระกำลำบากร่อนเร่ระเหระหนจากไอศวรรย้ไปอยู่สาคลนคร
ด้วยอำนาจแห่งบุญหนุนนำให้ได้ประสบคู่สร้าง ก็ค่อยทรงพระสำราญ แต่วิสัยท่านผู้บุญหนักคักดํ่ใหญ่

ไม่สมควรจะตกอยู่ในแคว้นเล็ก กุ เช่นนั้น อันเป็นร้ฐทีไม่เพียงพอแก่อำนาจราชคักติ กล่าวคือปรีชาสามารถ


ในตน อำนาจแห่งบุญจึงปันดาลให้เหตุการณ์ในบัญจาลนคร ดำเนินไปในทางที่จะเป็นคุณประโยชน์แก่

จุลนิราชกุมาร จนถึงได้กลับมาดำรงราไชควรรย้ เป็นพระอธิราชแห่งบัญจาลนคร


เหตุการณ์ในบัญจาลนคร หลังจากที่ราชกุมารจุลนีด้องตกอยู่ในสาคลนครนั้น ที่เป็นประการ

สำคัญเป็นอันบันดาลความเป็นอธิราชของจุลนิราชกุมารรัชทายิาทโดยแท้จริงของราชบัลลังก์กัปปิลรัฐ

บุคคลผู้ดำเนินงานประหารฉพภิพราหมณ์ผู้ทรยศแล้วอัญเชิญราชกุมารจุลนีมาเถลิงถวัลราชย์ในต่อมา

ก็คือ ติขิณราชกุม!ร อันดำรงในฐานเป็นพระอนุชาของจุลนิราชกุมาร


ราชกุมารดิขิณะประสูติจากคัพโภทร ของพระนางสลากเทวี ในเมื่อราชกุมารจุลนืระเห็จไป

แล้ว นัยว่าเมื่อพระเจ้ามหาจุลนีถูกปลงพระชนม์โดยพระหัตถ์ของพระปิยมเหสีนั้น พระองค์ได้ประทาน


กำเนิดพระราชโอรสไว้แล้วในคัพโภทรของพระนาง เป็นพระหน่อเนิ้อเชื้อแถวพระองค์สุดท้ายและเป็น
พระอังกรราช ซึ่งเสมือนว่าจะอุบัติมาเพื่อดำเนินการที่พระเจ้ามหาจุลนีพระชนกมิได้มีโอกาสจะทรง

กระทำได้ ความอุบ้ติของพระโอรสพระองค์นื้ พระนางสลากเทวีย่อมทรงทราบ แต่ฉัพภิพราหมณ์มิได้

ล่วงรู้ เมื่อได้เป็นพระราชาขน และถวายตำแหน่งราชินีแก่พระนางสลากเทวีดังเดิม ไม่ซัาก็ประสูติพระราช


กุมาร ฉัพภิพราหมณ์ยินดีปรีดายิ่งนักสำคัญว่าเป็นโอรสของตน จึงใหัการอภิบาลบำรุงเลี้ยงเป็นอย่างดี

เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในกาลต่อไป เพราะฉัพภิพราหมณ์มั่นหมายไว้ว่า ราชกุมารผู้นื้จะเป็นผู้สีบสันตติวงศ์

ดำรงราชย์แทน
ด้วยความมุ่งหมายดังกล่าวมา ฉัพภิพราหมณ์จึงให้การศึกษาในศิลปวิทยาการทุกอย่าง ซึ่งจะ

เป็นคุณประโยชน์ในการครอบครองบัานเมือง และเป็นการเตรียมไว้พร้อมทุกประการเพื่อจะใหัดิชิณ-

ราชกุมารเป็นขัดติยาบดีผู้สูงคักดํ่สืบไป ดังนั้นความเติบโตของดิขิณราชกุมารจึงดำเนินไปพร้อมกับความ

สันทัดในวิชาการของนักรบและนักปกครอง ซึ่งก็สมประสงค์ทุกประการ เป็นที่เพิ่มปีติปราโมทย์แก่ฉัพ­

กพราหมณ์เป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับมอบพระขรรค์ชนิดเอกให้แก่ราชกุมารเพื่อให้ใช้เป็นเครื่องประดับพระองค์

แม้ในขณะเฝืาก็ใหัขัดพระขรรค์เช้ามาได้ จะเป็นการกระทำผิดหรือถูกของฉัพภิพราหมณ์ ไม่อยู่ในข้อ

kalyanamitra.org
๒๔๖

ที่จะด้องวินิจฉัย แต่ต่อไปพระขรรค์เล่มนี้ และด้วยหัตถ์ของราชกุมารอันเหยียดออกรับพระขรรค์ด้วย

ความนอบน้อมนั่นแหละ ทำให้เศียรของฉัพภิพราหมณ์หลุดจากบ่าไป

ติขิณราชกุมารมิได้ทราบประพฤติเหตุอันใด ที่เกี่ยวกับฉัพภิพราหมณ์ ตั้งแต่ประสูติมาจนรู้

เจริญวัย ได้รับอุปการะจากฉัพภิพราหมณ์ด้วยประการต่าง กุ เยี่ยงบุตรจะพึงได้รับจากบิดา ก็สำคัญมั่น

ในหทัยว่าฉัพภิพราหมณ์เป็นพระชนกบังเกิดเกล้าฯ ทรงมีกตัญญมั่นคงในฉัพภิพราหมณ์ อุตส่าห์ปฏิบัติ

ราชกิจด้วยความสุจริตและจงรักภักดี ขยันขันแข็งในการงานอันเป็นหน้าที่ อาทิการฟิกซ้อมพลรบของ

ป้ญจาลนคร ตลอดจนวางแผนป้องกันพระนคร และแผนการจัดกองทัพ ดิขิณราชกุมารทรงกระทำด้วย


ความพยายามเต็มขนาด ด้วยพระปรีชาสามารถอันเยี่ยมยอดสมที่ได้ทรงศึกษามาแล้วอย่างเชียวชาญ และ

สมกับจะเป็นผู้สืบสันตติวงศ์ดำรงราชย์เป็นปินประชานิกร แม้จะทรงพระชนม์เยาว์ แต่ความเยาว์แห่ง


พระชนม์มิได้หักล้างปรีชาสามารถอันยอดเยี่ยมนั้นได้ กิจการในบ้านเมืองแทบทุกประการ ดุกเป็นภาระ
ของเจ้าชาย ฉัพภิพราหมณ์ได้มอบหมายให้ดำเนินตามที่เห็นสมควร บัญจาลนครกระเดื่องเพิ่องพึงสมบูรณ์

ด้วยไพร่พลพาหนะอันได้รับการฟิกปรนปรือเป็นอย่างดี ผลทั้งนี้เป็นเครื่องเพิ่มพูนเดชานุภาพให้แก่ฉัพภ-

พราหมณ์อย่างไพศาล

บรรดาช้าราชบริพารของราชสำน้กบัญจาลนคร ได้รับการบำรุงจากฉัพภิพราหมณ์ด้วยประการ
ต่าง กุ ซึ่งประการต่าง กุ เหล่านั้น ฉัพภิพราหมณ์ได้กระทำแก่ข้าราชการ เพื่อซื้อความจงรักภักดีจาก

พวกเหล่านั้น เพราะว่าความจงรักภักดีของหมู่อำมาตย์ราชเสวกเท่านั้น เป็นเครื่องประกันความปลอดภัย


ในการดำรงราชย์ของผู้ที่ซิงบัลลังก์ ความคิดอ่านในการปลงใจยอมรับนับถือฺ จะมีได้ก็แต่เฉพาะผู้ที่เห็น

แก่ได้ ไรัสัจจะความจริงในตน เป็นคนมัวเมาในลาภยศ ใครจะเป็นจะตายอย่างไรก็ช่างเถิด จะรัายหรือ


ดีก็ตามที ขอแต่ให้เรามีส่วนได้ลาภยศ มีความสุขไปวันหนึ่ง กุ ก็แล้วกัน ในจำพวกนี้ เมื่อความปรารถนา

ปรากฏแล้วปฏิปทาที่จะให้สำเร็จความปรารถนานั้น กุ จะเป็นทางอื่นมิได้เลย นอกจากประจบสอพลอ

พูดตามที่ฉัพภิพราหมณ์พอใจให้พูด ซึ่งเป็นทางเอกที่บุคคลผู้ปรารถนาในลาภยศจากฉัพภิพราหมณ์จะ

พึงดำเนิน
ส่วนพวกที่ทรงสัตย์มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์กษัตริย์จุลนี การบำรุงของฉัพภิพราหมณ์

มิอาจซื้อความจงรักภักดีนั้นได้เลย นี้าใจท่านพวกนี้มั่นคงไม่เอนโอนไปด้วยอำนาจแห่งลาภยศที่ฉัพภ-

พราหมณ์ยื่นให้ เพื่อเป็นเหยื่อล่อให้สวามิภักดํ่ในตน เคยจงรักภักดีอย่างไร ก็คงอยู่อย่างนั้น ชิงได้เห็น

การกระทำของฉัพภิพราหมณ์ผู้พยายามเกลื้ยกล่อมนี้าใจช้าราชการ ก็ยี่งเป็นสาเหตุกระพือความซื้อสัตย์

ในพระเจ้ามหาจุลนื เพราะมั่นหมายในใจว่า ราชสมบัติบรรดามีในแว่นแคว้นแดนดินกัปปีลรัฐ เป็นราช­

ลมบํติของขัตดิยาธิบดีวงศ์จุลนึ ทรงสร้างสมมา ฉัพภิพราหมณ์เป็นผู้มาปล้นด้วยวิธีแห่งโจรใจฉกาจ เมื่อ


คิดเห็นด้งนี้ ความคิดที่จะบั่นทอนก็ก่อร้นในใจมีโอกาสเมื่อใดก็จะทำลายเสีย มิให้ฉัพภิพราหมณ์นั่งสง่า

อยู่บนบัลลังก์เมื่อนั้น

ในจำนวนนี้มีอำมาตย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นผู้เฒ่าจงรักภักดีนักในพระเจ้ามหาจุลนี โดยฐานะ

kalyanamitra.org
๒๔๗

เป็นผู้ใกล้ชิดจอมกษ’ตวิย้ ทราบพฤติการณ์ต่าง *1 ได้ดี คอยหาโอกาสอยู่เสมอในอันจะประหัตประหาร

ฉัพภิพราหมณ์ผู้ทรยศ และเชิดชุเชอลายพระเจ้ามหาจุลนีให้คงดำรงราชย์สืบไป แม้จะทราบดีอยู่ว่า ราช­

กมารต็ขิณะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามหาจุลน็ อย่างไรก็คงจะได้ครอบครองอาณาจักรสืบแทนฉัพทิ-
พราหมณ์ ในเมื่อเขาได้ตายลงตามอายุขัย แต่นันเป็นการดูดายเกินไป ในพระชนม์ชีพของพระเจ้ามหาจุลนี

และพระโอรสพระองค์ใหญ่ เหมือนไม่มีความเจ็บร้อนแทนพระองค์ท่านเสียเลย คนทรยศกบฎราช ควร


ละหรือที่จะปล่อยให้มฤตยูมาปล้นเอาชีวิตไป ในเมื่อถึงกาลสิ้นสุดของอายุ ชีวิตหนึ่งด้องสิ้นไปด้วยการ

ถูกประหาร แต่ชีวิตของผู้ประหารกลับจะสิ้นไปด้วยอาการแห่งธรรมดา ไม่คู่ควรกันเลย ดังนึ่ จะด้องให้

ฉัพภิพราหมณ์ได้รับสนองของกรรมที่ตนประกอบใหัสาลม แต่ความคิดอ่านของท่านผู้นึ่ด้องสงบนึ่งรอ

โอกาสมานานจนดิขิณราชกุมารทรงพระเจริญวัย ประกอบด้วยปรีชาสามารถดังกล่าวมา ความกระเดื่อง

เพิ่องฟ์งของราชกุมาร ทำให้เกิดความปราโมทย์แก'ท่านอำมาตย์ผู้เฒ่าอย่างล้นพ้น ท่านได้เพ่งเล็งพฤติ-

การณ์ของพระกุมารด้วยความคิดเห็นการณ์ไกล พึงใจในความปราดเปรื่องเสมอด้วยข้ตดิยราชอันทรง
ปรีชาญาณยอดเยี่ยมแต่เดิม กุ มา ซึ่งมีไม่มากนัก และพระราชกุมารพระองค์นึ่แหละ จะเป็นผู้ดำเนินการ

แก้แค้นทรราชได้สะใจ “เพียงแต่กราบทูลความในให้ทรงทราบเท่านั้น ที่ไหนจะทรงเงือดงดอดกลั้นเสีย

สิทธิในราชบัลลังก์อันชอบธรรมซึ่งถูกยื้อแย่ง พระชนมซ็พของพระราชบิดาอันถูกปลงโดยฉัพภิพราหมณ์

เป็นสาเหตุ ทั้งนึ่ย่อมเป็นเหตุเพียงพอทีเดียวที่จะก่อความเจ็บแค้นในพระทํย” ท่านอำมาตย์ผู้เฒ่ารำพึง

เสมอ
วันหนึ่ง ท่านอำมาตย์ผู้ภักดีต่อพระราชวงศ์เห็นพระราชกุมารทรงพระสำราญ มีพระธุรกิจ

เบาบางลง ก็ขอประทานโอกาสเข้าเฝืาเป็นการเฉพาะ เมื่อได้รับพระอนุญาตแล้วจึงได้เข้าไปเฝัาเฉพาะ


กราบทูลว่า “ข้าพระบาทหาโอกาสมานานแล้วที่จะกราบทูลใต้ฝ่าพระบาทให้ทรงทราบรหัสเหตุอันสำคัญ

ประการหนึ่งเพิ่งจะได้ประสบในคราวนึ”่

ดิขิณราชกุมารประทานอนุญาต “ท่านมีเรื่องอะไรก็เชิญพูดเถิด ท่านหวังจะได้รับความช่วยเหลือ

ประการใดจากฉันหรืออย่างไรก็บอกมา ”
“มิได้พระเจ้าข้า ไม่ใช่เป็นเรื่องของข้าพระบาทดอกพระพุทธเจ้าข้า” ท่านอำมาตย์กราบทูล
“เป็นเรื่องของใต้ฝ่าพระบาทโดยตรง แต่เป็นเรื่องซึ่งเรันลับหนักหนา ข้าพระบาทเห็นว่าใต้ฝ่าพระบาท
ควรจะทรงทราบเป็นอย่างยี่ง กล่าวคือ ที่ใต้ฝ่าพระบาททรงสำคัญมั่นพระทัยว่า พราหมณ์ผู้ครองราชย์

ในบัดนึ่เป็นพระชนกนั้น ทรงเข้าพ่ระทัยผิด ความจริงใต้ฝ่าพระบาทมิใช่โอรสของพราหมณ์เป็นแน่นอน

ทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า”
“เอ๊ะ” ราชกุมารทรงอุทานด้วยฉงนพระทัย “ฉันเป็นลูกใคร ตั้งแต่ฉันจำความได้ ก็เห็นแต่
ท่านพราหมณ์นึ่ผู้เดียว ไม่มีใครอีกแต้ว ทั้งฉันเองก็ได้รับแนะนำว่าเป็นลูกของพราหมณ์ พราหมณ์เป็น

พ่อของฉัน ฉันก็เห็นพราหมณ์รักฉัน มีความไวัวางใจฉันเป็นอย่างดี”


“ทั้งนึ่ เพราะพราหมณ์เข้าใจผิดเช่นเดียวกัน” ท่านอำมาตย์เฒ่ากราบทูลยืนยัน

kalyanamitra.org
๒๔๘

“เข้าใจผิดอย่างไร” ตรัสซัก
“ที่เข้าใจว่าใต้ฝ่าพระบาทเป็นโอรสของตน นั่นแหละพระพุทธเจ้าช้า เป็นความเข้าใจผิดของ

พราหมณ์เลยทำให้ใต้ฝ่าพระบาทเข้าใจผิดตามไปด้วย” ท่านอำมาตย์แถลง “ความจริงใด้ฝ่าพระบาทเป็น


พระราชโอรสของพระเจ้ามหาจุลนี ขณะที่พระราชชนนีทรงพระครรภ์ใต้ฝ่าพระบาท พรัะนางมีพระหทัย

วิปริตบิดผัน ได้ทรงประกอบอติจารึกกรรม นอก่พระราชหฤทัยของพระราชสวามีกบพราหมณ์ผู้นี้ แล้ว

ทรงปลงพระชนมซีพพระเจ้ามหาจุลนีพระชนกนาถของใต้ฝ่าพระบาทเลีย ราชสมบัติจึงตกเป็นของพราหมณ์
ผู้ทรยศ ซึ่งมิได้มีสิทธิ๋ค,ู ควรแก่ราชบัลลังก์ ยังมีพระราชกุมารจุลนี พระเชุษฐาธิราชของใต้ฝ่าพระบาท

อีกองค์หนึ่ง แต่ต่อมาก็เกิดเพลิงไหม้ห้องเครื่องด้น ซึ่งพระราชกุมารจุลนีประทับร่วมบรรทมกับธนูเสกข์

กุมาร ลูกพ่อครัวผู้เป็นพระสหายเลยสิ้นพระชนม์พร้อมกับความตายของสองพ่อลูกนั้น ความจริงเป็นดัง


ที่ข้าพระบาทกราบทูลมานี้แหละพระพุทธเจ้าข้า”

ดิขิณราชกุมารทรงสดับแล้ว กริ้วพราหมณ์เป็นกำลังเหมือนนาคมาณพอ้นทรงฤทธํ่กำแหงห้าว

ต้องประหารที่ขนดก็ปานกัน ความแค้นเกิดขื้นสุดขีด ทรงกลํ้ากลืนด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด รับสั่ง

ว่า “ขอบใจในความภักดีของท่านมาก” พระสรเสียงสั่นระรัว “ปล่อยให้มันสำราญสำเริงในผลที่ได้รับ

จากความทรยศของมันไปพลาง กุ ให้มันได้ดื่มโอชารสแห่งความสุขในไอควรรย้ไปก่อน และในไม่ข้า


มันจะได้ดื่มโอชารสของความตายที่สาสมกับความทรยศของมัน”

ความปรารถนาของท่านอำมาตย์ผู้ภักดีถึงที่สุด แล้วกราบทูลว่า “ใต้ฝ่าพระบาทมีประสงค์จะ

ทรงใช้ข้าพระบาทประการใดก็ได้โปรดใช้เถิด ข้าพระบาทจะรับพระธุระนั้นปฏิบัติเต็มกำลังสามารถ พระ


มหากรุณาธิคุณของพระเจ้ามหาจุลนีที่ทรงเลื้ยงข้าพระบาทมา ลันเกล้าลันกระหม่อม มีคุณเกินกว่าซีวิต

และร่างกายของข้าพระบาทมากมายนัก ข้าพระบาทได้เตรียมพร้อมแล้วทุกเมื่อ เพื่อจะฉลองพระคุณแม้

ด้วยซีวิตและเลือดเนื้อ” ท่านอำมาตย์เฒ่าปวารณาตน

“ขอบใจท่านอีกครั้งหนึ่งที่ท่านได้มอบตนให้แก่ฉัน ลัามีความต้องการเมื่อใด เมื่อนั้นท่านจะ


เป็นคนแรกที่ฉันจะนึกถึง ข้อสำคัญเราต้องระวังปิดบังมิให้เรื่องนี้รั่วรัถึงหมันได้จึงจะดี” รับสั่งเป็นเชิง

กำซับ "เรื่องนี้เราต้องทำด้วยอุบายที่แนบเนียน ทำวู่วามไปจะเกิดความยุ่งยากขนในบ้านเมืองได้ เพราะ


ถึงอย่างไรคนที่เป็นพวกของพราหมณ์ก็คงมีไม่มากก็นัอย ซึ่งพรรคพวกนั้นขาดหัวหน้าเลียคนเดียวก็มิอาจ

กำเริบ เราต้องคิดตัดต้นตอเลียทีเดียว ดีกว่าจะไปมัวริดกัานรานกิ่งแล้วจึงดัดด้นก่นตอ ซึ่งเราก็สามารถ


ที่จะกระทำได้ อย่างไรเลียอ้ายพราหมณ์เจ้าเล่ห์นี้ไม่พ้นเงิ้อมมือเราไปได้ ท่านคอยดูเถิด”

ติขิณราชกุมาร ทรงครุ่นคิดหาอุบายที่จะประหารฉัพภิพราหมณ์ตลอดมา ในที่สุดทรงพบ


อุบายที่แนบเนียนอย่างยิ่ง ทรงกระหยิ่มในพระหทัย “อ้ายพราหมณ์ทรยศ อุบายที่ทำลายเจ้าข้าคิดได้

ปรุโปร่งแล้ว โอกาสที่เจ้าจะนั่งอยู่บนบัลลังก์ก็มีน้อยเลียแล้ว”

เวลาเช้าวันหนึ่ง ติขิณราชกุมารเสด็จไปสู่ราชสำนักประทานพระแสงขรรค์ ซึ่งฉัพภิพราหมณ์

มอบให้นั้นแก'มหาดเล็กคนหนึ่งให้เชิญตามไป แล้วตรัสกับมหาดเล็กอีกคนหนึ่งว่า “เจ้าจงไปยืนที่ประตู

kalyanamitra.org
๒๔๙

พระราชนิเวศน์ เมื่อเห็นคนที่ถือพระขรรค์จะเข้าไปข้างใน จงพูดว่า “นั่นพระขรรค์ของเรา พึงหาเรื่อง

วิวาทกับมหาดเล็กนั้น โดยยึดเอาพระขรรค์เป็นสาเหตุให้จงได้” ตรัสแล้วก็เสด็จเข้าสู่ท้องพระไรง

มหาดเล็กผู้เชิญพระขรรค์ของดีขิณราชกุมาร มาถืงประดูท้องพระโรง จะตามเจ้านายของตน


เข้าไปก็ถูกมหาดเล็กที่ซีนอยู่ใกล้ประดูขวางหน้าไว้ พรัอมกับพูดว่า “เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งเข้าไป' ขอดูพระขรรค์

ชิ ของเราหายไป เล่มนั้คลัายกับของเรา”

ผู้เชิญพระขรรค์ได้ว่า “เป็นของพระราชกุมารติขิณะต่างหากประทานให้เราเชิญมา เจ้าอย่ามา

ตู่เลย เราจะรีบเช้าไปข้างในตามเสด็จเจ้าชาย”
“ไม่ใช่ด,ู ขอดูหน่อย ทุก กุ คราวพระราชกุมารทรงขัดมาเอง ไม่เคยมีคนเชิญ วันนํ่ทำไมจึง

ต้องให้เจ้าเชิญด้วย เราไม่เห็นเหตุ เจ้าจงเอามาให้เราดูก่อน”

“ไม่ได้ ไม่ยอมให้ดู เราไม่ไต้ไปลักขโมยของเจ้ามา เป็นของเจ้าชายจริง กุ”


“ก็เมื่อเจ้าบริสุทธิ๋ใจทำไมจึงไม่ยอมให้เราดูเล่า ธรรมดาสิงใดที่บริสุทธํ่จริง กุ แล้ว ย่อมทน

ต่อการเพ่งต่อการพิสูจน์จะว่าบริสุทธิ๋ได้อย่างไร อย่าเอาบาทใหญ่มาข่มกันเลย”
“ความจริงเป็นอย่างไรก็บอกแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะด้องให้เจ้าดู ไม่เชี่อก็ไปถามพระ-

ราชกุมารติขิณะ พระองค์จะตรัสบอกเอง”
“ความจริงทุกอย่าง ย่อมทนได้ต่อการพิสูจน์อันคู่ควรกัน สิ'งใดไม่อาจทนต่อการพิสูจน์ สิ่ง

นั้นจะเป็นความจริงไม่ได้ เปรียบเหมือนทองคำธรรมชาติ จะพิสูจน์อย่างไร ก็คงเป็นทองคำ ตรงกันข้าม


ที่เป็นของปลอม ไม่อาจทนต่อการพิสูจน์ได้เลย เจ้าอัางว่าคำบอกของเจ้าเป็นความจริง แต่เจ้าไม่อาจให้

เราพิสูจน์ตามสมควร ความจริงที่เจ้าบอกจะเป็นความจริงได้อย่างไรกัน เป็นความจริงได้ในความคิดเห็น


ของตนคนเดียวจะใช้ได้หรือ มิหนำชํ้าเจ้ายังอ้างเอาเจ้าชายขื่นข่มเราทุกประโยคคำพูด ยิ่งทำให้เห็นความ

ไม่จริงหนักขนอีก”
“ได้หรือไม่ได้ เป็นความจริงก็แล้วกัน มันไม่ใช่กงการอะไรของเจ้าเลย ที่จะมาชิ'กความยาว

สาวความเยิ่นเถียงกับเรา ถ่วงเวลาของเราให้เสียไปเปล่า กุ ไม่เช้าเรื่องเลย”

"อย่าพูดคำเขื่องเลยพรรคพวก เจ้ากับเราก็เป็นข้าราชการด้วยกัน เพียงแต่เจ้าอ้างว่าเป็นคนเชิญ


พระขรรค์ ก็จะเท็จจริงอย่างไรก็ไรัข้อพิสูจน์นั้น มันไม่พอที่จะเป็นเหตุให้เจ้าต่างกับข้าดอกนะ ก็เมื่อ

พระขรรค์ของเราหายไป เห็นเจ้าถือมา ดูรูปร่างคล้ายกัน ข้าก็ขอดู เจ้าก็ไม่ยอม ความไม่ยอมของเจ้านั้น


เจ้านึกละหรือว่าจะเป็นเหตุใหัข้าด้องยอม อย่านึกดังนั้น อย่าเห็นไปดังนั้น ความไม่ยินยอมของเจ้านั่นแหละ

ยิ่งทำให้ข้าเกิดโทโสยิ่งเป็นโมโหไปทีเดียวจะบอกให้ เจ้าจะว่าอย่างไร จะยอมให้ข้าพิสูจน์หรือไม่ ล้าเจ้า

ไม่ยอมข้าก็ต้องดำเนินการตามแต่ข้าจะประสงค์ได้อย่างไร หากข้าจะด้องทำกรรมอันมิใช่ข้อที่อารยชน

พึงกระทำแก,เจ้าไชรั เจ้าก็พึงนึกไว้ว่าที่ข้ากระทำลงไป ก็เพราะเจ้าได้ก่อขื่นก่อนในอนารยกรรมนั้น จะ

ถือว่าข้าเป็นคนหุนหันไม่ได้”

“ทุดกุย ถ่อยทรลักษณ์แท้ ไม่มีแววแห่งอารยชาติติดสันดานเลย ผู้ดำรงในอาวยวินัยซึงเป็น

kalyanamitra.org
๒๔๘

“ฟ้าใจผิดอย่างไร” ตรัสซัก
“ที่ฟ้าใจว่าใต้ฝ่าพระบาทเป็นโอรสของตน นั่นแหละพระพุทธเจ้าข้า เป็นความเข้าใจผิดของ

พราหมณ์เลยทำให้ใต้ฝ่าพระบาทเข้าใจผิดดามไปด้วย” ท่านอำมาตย์แถลง “ความจริงใด้ฝ่าพระบาทเป็น


พระราชโอรสของพระเจ้ามหาจุลนี ขณะที่พระราชชนนีทรงพระครรภ์ใต้ฝ่าพระบาท พรัะนางมีพระหทัย

วิปริตบิดฝัน ได้ทรงประกอบอติจาริกกรรม นอก่พระราชหฤทัยของพระราชสวามีกบพราหมณ์ผู้นึ่ แล้ว

ทรงปลงพระชนมซีพพระเจ้ามหาจุลนีพระชนกนาถของใต้ฝ่าพระบาทเลีย ราชสมบัติจึงตกเป็นของพราหมณ์
ผู้ทรยศ ซึ่งมิได้มีสีทธคู'ควรแก่ราชบัลลังก์ ยังมีพระราชกุมารจุลนี พระเชฺษฐาธิราชของใต้ฝ่าพระบาท

อีกองค์หนึ่ง แต่ต่อมาก็เกิดเพลิงไหม้ห้องเครื่องด้น ซึ่งพระราชกุมารจุลนีประทับร่วมบรรทมกับธนูเสกข้

กุมาร ลูกพ่อครัวผู้เป็นพระสหายเลยสิ้นพระชนม์พร้อมกับความตายของสองพ่อลูกนั้น ความจริงเป็นด้ง


ที่ช้าพระบาทกราบทูลมานึ่แหละพระพุทธเจ้ฟ้า”

ดิขิณราชกุมารทรงสด้บแล้ว กรวพราหมณ์เป็นกำลังเหมือนนาคมาณพอ้นทรงฤทธํ่กำแหงห้าว

ต้องประหารที่ขนดก็ปานกัน ความแค้นเกิดชื้นสุดขีด ทรงกลํ้ากลืนด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด รับสั่ง

ว่า “ขอบใจในความภักดีของท่านมาก” พระสุรเลียงสั่นระรัว “ปล่อยให้'มันสำราญสำเริงในผลที่ได้รับ

จากความทรยศของมันไปพลาง กุ ให้มันได้ดื่มโอชารสแห่งความสุขในไอศวรรย้ไปก่อน และในไม่ข้า


มันจะได้ดื่มโอชารสของความตายที่สาสมกับความทรยศของมัน”

ความปรารถนาของท่านอำมาตย์ผู้ภักดีถึงที่สุด แล้วกราบทูลว่า “ใต้ฝ่าพระบาทมีประสงค์จะ

ทรงใช้ข้าพระบาทประการใดก็ได้โปรดใช้เถิด ข้าพระบาทจะรับพระธุระนั้นปฎิน้ติเต็มกำลังสามารถ พระ


มหากรุณาธิคุณของพระเจ้ามหาจุลนีที่ทรงเลื้ยฟ้าพระบาทมา ล้นเกล้าลันกระหม่อม มีคุณเกินกว่าซีวิต

และร่างกายขอฟ้าพระบาทมากมายน้ท ช้าพระบาทได้เตรียมพร้อมแล้วทุกเมื่อ เพื่อจะฉลองพระคุณแม้

ด้วยซีวิตและเลือดเนอ” ท่านอำมาดย์เฒ่าปวารณาตน
“ขอบใจท่านอีกครั้งหนึ่งที่ท่านได้มอบตนให้แก่ฉัน ล้ามีความต้องการเมื่อใด เมื่อนั้นท่านจะ
เป็นคนแรกที่ฉันจะนึกถึง ข้อสำค้ญเราต้องระวังปิดบังมิให้เรื่องนึ่รั่วร้ถึงทูมันได้จึงจะดี” รับสั่งเป็นเชิง

กํฟ้บ “เรื่องนึ่เราต้องทำด้วยอุบายที่แนบเนียน ทำวู่วามไปจะเกิดความยุ่งยากชื้นในบัานเมืองได้ เพราะ


ถึงอย่างไรคนที่เป็นพวกของพราหมณ์ก็คงมีไม่มากก็น้อย ซึ่งพรรคพวกนั้นขาดหัวหน้าเสียคนเดียวก็มิอาจ

กำเริบ เราด้องคิดตัดด้นตอเลียทีเดียว ดีกว่าจะไปมัวริดกัานรานยิ่งแล้วจึงตัดด้นก่นตอ ซึ่งเราก็สามารถ


ที่จะกระทำได้ อย่างไรเลียอ้ายพราหมณ์เจ้าเล่ห์นั่ใม่พ้นเงื้อมมือเราไปได้ ท่านคอยดูเถิด”

ติขิณราชกุมาร ทรงครุ่นคิดหาอุบายที่จะประหารฉัพภิพราหมณ์ตลอดมา ในที่สุดทรงพบ

อุบายที่แนบเนียนอย่างยิ่ง ทรงกระหยิ่มในพระหทัย “อ้ายพราหมณ์ทรยศ อุบายที่ทำลายเจ้าข้าคิดได้

ปรุโปร่งแล้ว โอกาสที่เจ้าจะนั่งอยู่บนบัลลังก์ก็มีน้อยเลียแล้ว”

เวลาเช้าวันหนึ่ง ติขิณราชกุมารเสด็จไปสู่ราชสำน้กประทานพระแลงขรรค์ ซึ่งฉัพภิพราหมณ์

มอบใหันั้นแก่มหาดเล็กคนหนึ่งใหัเชิญตามไป แล้วตรัสกับมหาดเล็กอีกคนหนึ่งว่า “เจ้าจงไปยืนที่ประดู

kalyanamitra.org
๒๔๙

พระราชนิเวศน์ เมื่อเห็นคนที่ถือพระขรรค์จะเช้าไปข้างใน จงพูดว่า “นั่นพระขรรค์ของเรา พึงหาเรื่อง

วิวาทกับมหาดเล็กนั้น โดยยึดเอาพระขรรค์เป็นสาเหตุให้'จงได้” ตรัสแล้วก็เสด็จเข้าสู่ท้องพระโรง

มหาดเล็กผู้เชิญพระขรรค์ของติขิณราชกุมาร มาถีงประดูท้องพระโรง จะตามเจ้านายของตน


เข้าไปก็ถูกมหาดเล็กที่ธืนอยู่ใกล้ประดูขวางหน้าไว้ พร้อมกับพูดว่า “เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งเข้า!ป*ขอดูพระขรรค์

ชิ ของเราหายไป เล่มนํ่คล้ายกับของเรา”

ผู้เชิญพระขรรค์โด้ว่า “เป็นของพระราชกุมารติขิณะต่างหากประทานให้เราเชิญมา เจ้าอย่ามา

คู่เลย เราจะรีบเข้าไปข้างในตามเสด็จเจ้าชาย”
“ไม่ใช่คู่ ขอดูหน่อย ทุก กุ คราวพระราชกุมารทรงขัดมาเอง ไม่เคยมีคนเชิญ วันนั่ทำไมจึง

ต้องให้เจ้าเชิญด้วย เราไม่เห็นเหตุ เจ้าจงเอามาให้เราดูก่อน”

“ไม่ได้ ไม่ยอมให้ดู เราไม่ไต้ไปลักขโมยของเจ้ามา เป็นของเจ้าชายจริง กุ”


“ก็เมื่อเจ้าบริสุทธํ่ใจทำไมจึงไม่ยอมให้เราดูเล่า ธรรมดาสิ่งใดที่บริสุทธิ๋จริง กุ แลัว ย่อมทน

ต่อการเพ่งต่อการพิสูจน์จะว่าบริสุทธํ่ใต้อย่างไร อย่าเอาบาทใหญ่มาข่มกันเลย”
“ความจริงเป็นอย่างไรก็บอกแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะด้องให้เจ้าดู ไม่เขื่อก็ไปถามพระ-

ราชกุมารติขิณะ พระองค์จะตรัสบอกเอง"
“ความจริงทุกอย่าง ย่อมทนได้ต่อการพิสูจน์อันคู่ควรกัน สิ่งใดไม่อาจทนต่อการพิสูจน์ สิ่ง

นั้นจะเป็นความจริงไม่ได้ เปรียบเหมือนทองคำธรรมชาติ จะพิสูจน์อย่างไร ก็คงเป็นทองคำ ตรงกันข้าม


ที่เป็นของปลอม ไม่อาจทนต่อการพิสูจน์ได้เลย เจ้าอ้างว่าคำบอกของเจ้าเป็นความจริง แต่เจ้าไม่อาจให้

เราพิสูจน์ตามสมควร ความจริงที่เจ้าบอกจะเป็นความจริงได้อย่างไรกัน เป็นความจริงไต้ในความคิดเห็น


ของตนคนเดียวจะใช้ได้หรือ มิหนำชํ้าเจ้ายังอ้างเอาเจ้าชายขื่นข่มเราทุกประโยคคำพูด ยิ่งทำให้เห็นความ

ไม่จริงหนักขื่นอีก”
“ได้หรือไม่ได้ เป็นความจริงก็แล้วกัน มันไม่ใช่กงการอะไรของเจ้าเลย ที่จะมาซักความยาว

สาวความเยิ่นเถียงกับเรา ถ่วงเวลาของเราให้เสียไปเปล่า กุ ไม่เข้าเรื่องเลย”

“อย่าพูดคำเขื่องเลยพรรคพวก เจ้ากับเราก็เป็นข้าราชการด้วยกัน เพียงแต่เจ้าอ้างว่าเป็นคนเชิญ


พระขรรค์ ก็จะเท็จจริงอย่างไรก็ไร้ข้อพิสูจน์นั้น มันไม่พอที่จะเป็นเหตุให้เจ้าต่างกับข้าดอกนะ ก็เมื่อ

พระขรรค์ของเราหายไป เห็นเจ้าถือมา ดูรูปร่างคล้ายกัน ข้าก็ขอดู เจ้าก็ไม่ยอม ความไม่ยอมของเจ้านั้น


เจ้านึกละหรือว่าจะเป็นเหตุให้ข้าต้องยอม อย่านึกดังนั้น อย่าเห็นไปดังนั้น ความไมยึนยอมของเจ้านั่นแหละ
ยิ่งทำให้ข้าเกิดโทโสยิ่งเป็นโมโหไปทีเดียวจะบอกให้ เจ้าจะว่าอย่างไร จะยอมให้ข้าพิสูจน์หรือไม่ ล้าเจ้า

ไม่ยอมข้าก็ต้องดำเนินการตามแต่ข้าจะประสงค์ได้อย่างไร หากข้าจะต้องทำกรรมอันมิใช่ข้อที่อาวยชน

พึงกระทำแก่เจ้าไซร้ เจ้าก็พึงนึกไว้ว่าที่ข้ากระทำลงไป ก็เพราะเจ้าได้ก่อขื่นก่อนในอนารยกรรมนั้น จะ

ถือว่าข้าเป็นคนหุนหันไม่ได้”

“ทุดกุย ถ่อยทรลักษณ์แท้ ไม่มีแววแห่งอารยชาติติดสันดานเลย ผู้ดำรงในอารยวินัยซ็งเปัน

kalyanamitra.org
๒๕

บัญญ้ดของอารยชน ย่อมมีนํ้าใจเชื่อฬงถ้อยคำของผู้อื่นบ้าง เคารพในถ้อยคำของผู้อื่นบ้าง อย่างน้อยที,สุด


ก็ยอมรับท้ง นี่อะไร เอาแต่ความคิดเห็นของตน ช้า-ชะ-พ่ออารยชน! อารยชนไม่ดันทุรังอย่างเจ้าดอก’,

“เจ้าเป็นผู้เอ่ยก่อนซังคำหยาบ ประกาศตนว่ามีสันดานอย่างไร นั่นเลวลงไปชันหนึ่งแล้ว มิ

หนำซํ้าแสดงเหตุเพื่อยืนยันว่าเราเป็นคนถ่อยทรลักษณ์ เพราะไม่เชื่อถ้อยคำของเจ้า เหตุที่แสดงนั้นยิง

กดตนลงให้เห็นโง่เขลาหนักลงไปอีก อ้างถึงวินัยแห่งอารยชนด้วยการเชื่อคนอื่นและลงท้ายด้วยธรรมดา

ผิดอย่างรัายกาจ ข้าจะบอกให้ ธรรมดาของอารยชนนั้นมิใช่เชื่องมงายไปดามคำบอกเล่าของคนอื่น นอกจาก


จะพิสูจน์ได้ด้วยปรีชาแห่งตน ดังนี่ดอกนะ ข้าควรจะลงท้ายด้วยคำบัดซบก็ได้มิใช่หรือ',

การทะเลาะวิวาทของมหาดเล็กอึงคะนึง ด่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน และต่างก็ประมูลถ้อยคำให้


รุนแรงทวีร้น ยิ่งเกิดโทสะร้นมากเพียงใด ถ้อยคำที่กลั่นกล่าวออกมาย่อมกลั้วด้วยพิษสงแห่งโทสะ ก็ยิ่ง

ทวีความรุนแรงร้ายกาจเพียงนั้น และเลียงที่เปล่งออกมาในเวลานี่เล่าก็เป็นเสียงที่เจือด้วยอำนาจโทสะ

ซึ่งทำให้จิตมืดมัวปราศจากแสงสว่างส่องทางที่ถูกต้องสมควร จึงยิ่งดังร้น ตุ จนเอ็ดอึง เพราะต่างไม่ยอม

ลดลากัน ถ้อยคำก็จะต้องให้ยิ่งกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เลียงก็จะต้องให้ยิงกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง อะไร ตุ ก็พยายามที่

จะให้ยิ่งกว่าทั้งนั้น ทั้ง ตุ ที่การจะให้ยิ่งกว่านั้น ผู้พยายามมิได้รับผลสนองสมความเหนื่อยยาก แต่ก็ยัง

พยายาม อย่างไร ตุ ก็ขอให้ยิ่งกว่าเข้าไว้เป็นดี แด'ทุก ตุ ประการที่มหาดเล็กกระทำไปนั้น เป็นละครที่


เจ้าชายที่ทรงกำกับการแสดงทั้งนั้น

เลียงทะเลาะของมหาดเล็กทั้งสองไต่ยินไปถึงท้องพระโรง ติขิณราชกุมารจึงดำรัสใช้ให้ราช-
บุรุษ ผู้หนึ่งไปดูเหตุการณ์ว่า “นั่นเขาทะเลาะกันเรื่องอะไร”

ราชบุรุษออกไปดู ซักถามทราบความตลอดแล้วก็นำความมากราบทูลพระราชกุมารตามเรื่องราว
ที่ตนรู้

ขณะนั้น ฉัพภิพราหมณ์ไต้ยินราชบุรุษทูลพระราชกุมารถึงเรื่องราวนั้นก็ถามว่า “นั่นเรื่องอะไร

กันพ่อติขิณะ,,
พระราชกุมารเห็นสมคะเนจึงกราบทูลว่า “พระแลงขรรค์ที่โปรดพระราชทานช้าพระพุทธเจ้า

นั้น มีผู้อ้างเอาว่าเป็นของตนพระพุทธเจ้าข้า”
“สะ เจ้าพูดอะไร” ฉัพภิพราหมณ์กล่าว “มีเยิ่ยงอย่างที่ไหน ที่เราจะเอาของของคนอื่นมา

ให้เจ้า ไปเอามาดูทีหรือว่า ข้าจำของช้าได้,,

ดีขิณราชกุมารไม่รอช้า รีบให้คนเชิญพระขรรค์มาให้พลางทรงชักออกจากฝัก แล้วถือเช้าไป


ใกล้เป็นทีจะให้ฉัพภิพราหมณ์ดู พอเห็นฉัพภิพราหมณ์กัมศีรษะลงมา เพื่อจะตรวจดูให้แน่นอน เป็น

การให้โอกาสอ้นงาม พระราชกุมารมิได้ทรงรอรั้ง รีบฉวยโอกาสนั้นดัดหัวฉัพภพราหมณ์ฉับเดียวขาด!


หล่นกลิ้งอยู่แทบพระบาทนั่นเองุ ทรราชแห่งบัลลังก์บัญจาลนคร ถึงกาลอวสานด้วยคมพระขรรค์ของตน

และด้วยมือชี่งเอื่อมรับจากตนด้วยความนอบน้อมในครั้งก่อนนั้นเอง

ติขิณราชกุมารมิได้ทรงรอช้า มีพระราชดำรัสสงพวกราชบุรุษ*1ห้จัดการนำร่างที1ไร้วิญญาณ

kalyanamitra.org
๒๕๑

ของฉัพภิพราหมณ์ออกไปพ้นพระราชฐาน แล้วนำชำระล้างท้องพระโรงสะอาดดังเดิม ตลอดทั้งพระนคร


ก็ให้จัดการตกแต่งเป็นที่งดงามทั่วทุกแห่ง เพึ่อเป็นการประกาศความข้นชมยินดีที่ทรราชผู้แย่งบัลลังก์ได้

ถูกล้างซ็พแลัว ต่อไปนี้ผืนแผ่นดินกัปปิลรัฐเป็นอันปราศจากเสนียดจัญไร คงมีแต่มิ่งมงคลจอมกษัตริย์

ผู้จะดำรงรัฐสีมาอาณาจักรสืบไป ทรงเป็นอส์มภิพงศ์ เป็นพระอังกูรราชแห่งพระเจ้ามหาจุลนี คือดิขิณ-

ราชกุมาร
โดยอาศัยเหตุที่ทรงพระปรีชาแหลมคม ทรงวางอุบายประหารฉัพภิพราหมณ์เสียอย่างแนบเนียน
บรรดาประชาชนชาวบัญจาละพากันชื่นชมยินดี น้อมใจถวายพระเกียรติเพิ่มพระนามว่า “พระต็ขิณมนตรี”

เมื่อทรราชได้ถูกกำจัดจากราชบัลลังก์แล้ว จำด้องตั้งพระเจ้าแผ่นดินกันใหม่จะเว้นว่างมิได้

ดังนั้นพวกอำมาตย์ราชเสวกชนผู่ใหญ่ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์จึงประชุมกัน และมีความเห็นร่วม


กันเป็นเอกฉันท์จะถวายพระราชบัลลังก์แด่พระดิขิณมนตรี อัญเชิญชื้นเถลิงถวัลยาธิปัตย์

แด่ความเห็นนิ้ พระนางสลากเทวีชนนีนาถทรงดัดด้าน โดยมีพระเสาวนีย์ว่า จุลนีราชกุมาร


เป็นพี่เจ้าของดิขิณมนตรี ยังดำรงพระชนม์อยู่ ไม่ควรจะให้ดิขิณมนตรีครองราชย์ก่อน เพราะจะเป็นการ

ผิดเยี่ยงอย่างไป
ที่ประชุมถามว่า “บัดนี้พระราชกุมารจุลนีประทับอยู่ที่ไหนเล่า พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระบาท

เห็นตามเสาวนีย์ทุกประการ แมนพระราชกุมารองค์พระเชษฐาธิราชดำรงพระชนม์อยู่แล้ว ก็จะขอกราบทูล


เชิญชื้นครองราชสมบัติสืบกษัตริย์ต่อไป”
พระนางตรัสบอกว่า “ปัดนี้จุลนีอยู่ ณ กรุงสาคล ราชธานีของแคว้นมัททรัฐ ในฐานะเป็น

พระราชบุตรเขยของพระเจ้ามัททราช”
พวกอำมาตย์ได้พ้งกระแสรับสั่ง ต่างก็เห็นร่วมกันว่า “ควรอัญเชิญมาครองราชย์”

เมื่อได้รับปรึกษาตกลงกันแล้ว ก็เริ่มดำเนินการชัดขบวนสะพรั่งพรัอมด้วยจตุรงดินีเสนา ไป

รับเสด็จพระราชกุมารจุลน็ โดยพระราชอิสริยยศอันใหญ่
รัชทายาทแห่งบัลลังก์บัญจาลนคร ซึ่งด้องเร่ร่อนไปก็ได้เสด็จกลับมาดำรงรัฐสีมาอาณาจักร
เป็นหลักช้ยมิ่งมงคลของประชากรกัปปิลรัฐ

kalyanamitra.org
๓๔. คนสำคํญของป็ญจาละ
พระอธิราชจุลนีดำรงราไชศวรรย์ เพียบพร้อมด้วยพระบรมเดชานุภาพ บรรดาราชเสวกามาตย์
อันห้อมด้อมเป็นราชบริพาร แต่ละคนด้วนประกอบด้วยความภักดี ปลงใจที่จะถวายซีวิตไร้ใต้เบื้องบาท

ยุคล กำลังไพร่พลพาหนะก็ดับคั่งลมบูรณ์ ด้วนฟิกปรือเจนจัดสันทัดในเชิงรบ กระหึ่มหาญที่จะประจญ

ต่ออริราชไพรื บ้ญจาลนครปราศจากอมิตรที่จะคิดประทุษร้ายทุกทิศทาง เป็นพระมหานครอันได้รับความ

ต้มครองแน่นหนาแล้ว ด้วยประการ คือ ป้อมและหอรบ และด้วยปราการคือไพร่พลพาหนะ ทั้งนึ่สำเร็จ

ลงด้วยราชมนตรึผู้เรืองปรีชาญาณ เกิดประดับพระบรมราชสมภารเพิ่มพระบรมเดชานุภาพ

ราชมนตรีต่าง *1 ตามที่ปรากฎนาม เริมต้นทีเดียว คือ พระราชชนนีพระนางสลากเทวี ถัดลงมา


กิคือ พระอนุชาธิรไช จากนั้นกิพระสหายคู่พระชนม์ คือธนูเสกช ต่อจากนึ่ที่เป็นบุคคลสำคัญก็คือ ท่าน

ราชปุโรหตาปีารย์เกว*'ฎ และอีกท่านหนึ่งซึ่งมิความสำคัญแก่บ้านเมืองไม่น้อย คือ พระราชธรรมป็ริยาปีารย์

เภรืปรพาชิกา แต่ละท่านด้วนทรงปรีชาญาณหลักแหลม ควรเป็นราชมนตรี มีพระประร้ดีและประวดี


ย่อ *1 ดังต่อไปนึ่
พระนางสลากเทว พระราชชนนีนั้นเป็นที่เลื่องลือตลอดแดนชมพูทวีปว่า ทรงปฏิภาณว่องไว

เป็นยอดเยี่ยม พระเกียรติคัพท์ข้อนึ่เกิดด้วยทรงใซัพระกุศโลบายวินิจฉัยคดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งพระอธิราชจุลน็

ทรงพระวินิจฉัยยังมิเป็นยุติธรรม คดีเรื่องนั้นมีมูลกรณีดังนึ่
กระทาช่ายผู้หนึ่ง ถือข้าวสาร ๑ ทะนาน ข้าวสุก ๑ ห่อ และเงิน ๑,00๐ กหาปณะ เดินทาง

มาถึงฝังแม่'นํ้า คิดจะข้ามฟาก หาเรือแพไม่ได้ จึงว่ายข้ามไปด้วยกำลัง ถึงกลางแม่นํ้าสายนํ้าเชี่ยวจัด ทั้ง

สิ่งของที่มีอยู่ก็ถ่วงหนัก กำลังก็ลัาลง ไม่อาจจะข้ามไปให้ถึงฟากได้ จึงตัดสินใจตะโกนบอกแก่คนที่อยู่

บนฝังว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ช้าพเจัามีข้าวสาร ๑ ทะนาน ข้าวสุก ๑ ห่อ เงิน ๑,000 กหาปณะอยู่


ในมือ ใครสามารถพาข้าพเจ้าข้ามฟากได้ ข้าพเจ้าจักให้สิ่งที่ข้าพเจ้าชอบใจซึ่งมีอยู่ในมือแก่ผู้นั้น”

ณ ที่นั้น มีกระทาชายคนหนึ่งกำลังหนุ่มลำสันแข็งแรง ได้ฟงแล้วมิรอข้า รีบนุ่งผ้าให้มั่นคง


ทะมัดทะแมงโดดลงแม่นํ้า โผไปโดยเร็ว พอถึงตัวผู้ชายผู้นั้นก็คว้าแขนพาว่ายไปถึงฝังโดยปลอดภัย ครั้น

แล้วก็พูดกับชายเจ้าของทรัพย์ว่า “ท่านจงให้สิ่งที่ควรแก่ข้าพเจ้าเถิด”

“ข้าพเจ้ายินดีให้ท่านตามที่ได้พูดไว้" ผู้ข้ามฟากกล่าว “เชิญท่านเลือกเอาเถิด จะเอาข้าวสาร

๑ ทะนาน หรือข้าวสุก ๑ ห่อ ก็แล้วแด่ท่านจะพอใจ”

kalyanamitra.org
๒๕๓

“อะไรกันท่านผู้เจริญ” ผู้พาข้ามเอ่ยด้วยความฉงน ข้าพเจ้าไม่คิดเห็นแก่ซีวิตของตนพาท่าน


ข้ามฟากมา ท่านจะไท้รางวัลแก่ข้าพเจ้าเพียงเท่านั้นละหรือ? ดูไม่สมควรกันเลยนี่ท่าน ข้าพเจ้าไม่ด้องการ

ของ ๒ สิ่งนั้น ท่านด้องให้เงินแก่ข้าพเจ้า”


“ข้าพเจ้าได้พูดไว้แล้วมิใช่หรือว่า ชักให้ลีงที่ข้าพเจ้าชอบใจซึ่งมีอยู่ในมือ” ผู้ข้ามฟากฟินคำ

เดีม “เมื่อท่านปรารถนาก็จงรับไปเถิด จะเอาข้าวสุกหรือข้าวสารก็ตามอัธยาศัยของท่าน”

“อึะ อย่างนั้นมันจะใช้ได้ทไหน” ผู้พาข้ามพูดด้วยอารมณ์โทสะ พลางหันไปกล่าวกับอีกคน


หนี่งซึ่งอยู่ใกล้ ตุ “ท่านผู้เจริญ เห็นอย่างไรเรื่องนี”่

“อ่อ ความเห็นของข้าพเจ้าไม่อาจจะเห็นเป็นอย่างอื่นได้” ผู้ใกล้เคียงกล่าว “นอกจากว่า รับ


เอาตามที่เขาให้ เพราะเขาพูดไว้อย่างนั้น และเขาก็ได้กระทำแล้วตามที่พูด รับเอาเถิดดีกว่า ไม่เช่นนั้น

ท่านจะชวดไม่ได้อะไรเลย”
“ข้าพเจ้าไม่รับ มีเยี่ยงอย่างที่ไหน บำเหน็จของการกระทำที่ด้องเสียงชีวิต คือ ช้าวสาร ๑
ทะนาน หรือข้าวสุก ๑ ห่อ” ผู้พาข้ามฟากพูดพลางเกาะตัวผู้ข้ามฟากไปยังโรงศไล นำความร้นแจ้งแก่

ตุลาการผู้วินิจฉัยทันที
ท่านตุลาการผู้วินิจฉัยหลายท่าน ประชุมกันฟงคดีของคู่ความ ซักถามอย่างละเอียดลออทั้งโจทก็
และจำเลย เมื่อได้ฟงสิ้นกระแสความแล้วก็ไม่ร้ที่จะวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ เพราะสัญญาที่ให้ไว้อย่างใด

ก็ได้เป็นไปตามนั้นแล้ว 'จึงพร้อมกันตัดสินให้บุรุษผู้พาข้ามฟากรับเอาข้าวสาร หรือข้าวสุกตามที่จำเลย

ให้การ เพราะเป็นของที่จำเลยบอกว่าชอบใจ

โจทก์ก็ไม่ยอม ไม่พอใจในคำตัดสินของพวกท่านอำมาตย์ผู้เป็นตุลาการ จึงรีบเข้าเผิานำความ


ร้นกราบบังคมทูล ขอพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าๆ ทรงพระราชวินิจฉัยให้เป็นยุติธรรม

พระอธิราชจุลนิ ตรัสเรียกพวกท่านวินิจฉยามาตย้มาร่วมประชุมด้วย มีพระบรมราชกระแส


รับสั่งถามถ้อยคำของคู่ความ ตลอดจนข้อวินิจฉัยของท่านอำมาตย์ผู้ตัดสินอรรถคดี ทรงสดับด้วยความสน

พระราชหฤทัย สิ้นสำนวนแล้วก็มิได้ทรงเห็นเป็นอย่างอื่น จึงทรงพิพากษายืนตามที่พวกท่านวินิจฉยามาตย์

ตัดสินไว้
พอสิ้นกระแสพระบรมราชดำรัส บุรุษผู้พาข้ามฟากก็พูดร้นหน้าพระที่นั่งด้วยเลียงอันดัง “ขอ

เดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ใต้ฝ่าสะอองธุสีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าผู้สละชีวิต


ลงช่วยพาบุรุษผู้นี่ข้ามฟากให้เป็นผู้มีโทษเสียแล้ว การกระทำของข้าพระพุทธเจ้าต้องเสิ่ยงชีวิต ถ้าข้า-

พระพุทธเจ้าพลาดก็ตาย แต่การกระทำนั้นควรแก,บำเหน็จรางวัล เพียงข้าวสาร ๑ ทะนาน หรือข้าวสุก

๑ ห่อ อนาถไหมพระพุทธเจ้าข้า”
ขณะนั้นพระบรมราชชนนีประทับนั่งอยู่ใกล้ ตุ ได้ทรงสดับเรื่องราวโดยตลอดถึงพระราชวินิจฉัย

ของพระเจ้าจุลนีทรงเห็นว่า “พระราชโอรสทรงวินิจฉัยคดีผิด” จึงตรัสกับพระเจ้าจุลนีว่า “พ่อวินิจฉัยคดี

อย่างผิด ตุ จะดีหรือ”

kalyanamitra.org
๒๕๔

พระอธิราชจุลนีทูลพระราชชนนีว่า “คดีนี้เป็นเรื่องของสัญญาคือข้อตกลงระหว่างกัน ตาม


กรณีแวดล้อมเป็นอันฟงได้ว่า บุรุษผู้ข้ามฟากได้เอ่ยปากให้คำมั่นสัญญาจะให้สิ่งที่ตนชอบ ซึ่งมีอยู่ใน

มือ แก'ผู้พาข้าม เมื่อผู้พาข้ามได้ฟ'งคำมั่นของเขาแล้ว ก็เป็นอันตกลงรับปฏีปติการตามสัญญานั้น ครั้น

ผู้ข้ามฟากให้สิ่งของที่เขาชอบใจ ผู้พาข้ามจะขอรับอย่างอื่นไม่ได้ ด้องได้แต่สิ่งที่ผู้ข้ามสัญญาจะให้ คู่สัญญา

ตกลงกันอย่างไร การก็เป็นไปตามนั้น ไม่มีการบ่ายเบี่ยงบิดพลิ้ว เห็นว่ายุติธรรมแล้ว หม่อมฉันเห็นดังนี้

มิได้เห็นอย่างอื่นนอกไปจากนี้ หากพระมารดาทรงพิเคราะห์เห็นยิ่งกว่านี้ หม่อมฉันขอทูลถวายได้โปรด

ทรงวินิจฉัยอีกเถิด”
พระนางรับสั่งว่า “ดีละพ่อ แม่จะวินิจฉัยให้เห็นเท็จจริง” ตรัสแล้วทรงหันไปทางบุรุษผู้จำเลย

มีพระเสาวนีย์เรียกให้เข้ามาใกล้ แล้วให้วางสิ่งของทั้ง ๓ อย่างเรียงไว้ที่นั้น พลางมีพระกระแสรับลังถาม

“เมื่อเจ้าลอยคอจวนจะจมหรือมิจมแหล่อยู่ในนี้านั้น เจ้าได้พูดว่ากระไรกะคนที่พาเจ้าข้ามฟากนี”้

“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้พูดว่า จะให้สิ่งของที่ข้าพระพุทธเจ้าชอบใจในของ ๓ อย่างนี้

พระพุทธเจ้าข้า” ,
“ล้าเช่นนั้น” ตรัสโดยเร็ว “บัดนี้ คดีก็เป็นอันได้วินิจฉัยแล้ว เจ้าจงถือเอาของที่ชอบใจของ

เจ้าไปเถิด”
จำเลยไม่ท้นคิดอะไร นึกว่าเสร็จเรื่องกันแล้วตนจะรีบกลับบัานเรือน ก็ตรงเข้าคว้าถุงเงินออก

เดินไปทันที พอเดินได้ ๒-๓ ก้าว ก็ด้องหันกลับมาด้วยพระเสาวนีย์เรียก

“เจ้าชอบเงิน ๑,0๐๐ กหาปณะ หรือ”

“พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าชอบเงิน ๑1๐๐๐ กหาปณะ”


“เจ้าพูดว่าเจ้าจะให้ของที่เจ้าชอบใจแก่ผู้พาข้ามฟากหรือไม่ได้พูด”

“พูดพระพุทธเจ้าข้า”
“ล้าเช่นนั้น” ตรัสพร้อมกับทรงพระสรวล "เจ้าจงทำตามคำมั่นสัญญาของเจ้า ให้ถุงเงินแก่

คนพาเจ้าข้ามฟากไปเถิด เพราะเป็นสิ่งที่เจ้าชอบใจใน ๓ สิ่ง”

จำเลยได้ฟงพระวินิจฉัยแล้ว ร้องไห้ครํ่าครวญมากมาย แต่ก็สุดที่จะบ่ายเบี่ยงได้ จำใจหยิบ

ถุงเงินให้แก'ผู้พาข้ามฟากด้วยอาการสุดแลนเสียดาย
ขณะนั้น พระอธิราชพร้อมทั้งพวกลูกขุนและราชบริพารต่างชี่นชมในพระวินิจฉัย พากันถวาย

สาธุการเซ็งแช่ไป
ตั้งแต่นั้นพระเกียรติของพระนางในทางพระปฏิภาณว่องไวก็ลึอชาปรากฎในที่ทั้งปวง

พระอนุช1ธิราช ด้ข้ณมนตรี มีพระประวัติเป็นอย่างไร ก็ปรากฏมาแล้วในตอนประหารพราหมณ์


ด้วยพระปรีชาอันคมคาย ยิ่งกว่านั้นยังทรงเป็นพระกรเบื้องขวาของพระอธิราชในการทะนุบำรุงแว่นแคว้น

แดนดิน มีฟิพระหัตถ์เยี่ยมในทางธนูศิลป๋เป็นยอดขุนพลแห่งแคว้นกัปปิละ กำลังอันเพรียบพร้อมของ


บัญจาลนคร บังเกิดร้นด้วยความคิดอันหลักแหลมของพระองค์ พระดิขิณมนตรีทรงเพิ่มกำลังทหาร ทรง

kalyanamitra.org
๒๕๕

จัดแผนการต่าง *1 อย่างละเอียดรอบคอบ จนกระท้งบ้ญจาลนครทรงพลานุภาพเกรียงไกร มีกองทัพ


มหึมาสะพรึบพร้อมเป็นจำนวนถึง ๑๘ กองทัพใหญ่ จำนวนไพร่พลพาหนะในกองทัพหนึ่ง ๆ จัดตาม

เกณฑ์ดังนึ่ กองช้าง ๒๑,๘๗0 กองรถ ๒®,๘๗๐ กองม้า ๖๕,๖๑๐ กองราบ ๑๐๙,๓๕๐ เมือรวมกำลัง
ในกองทัพหนึ่งเข้าลันแล้ว ก็เป็นจำนวนพลถึง ๒๑๘,๗๐๐ กองทัพอันเพียบพร้อม ด้วยกำลังประมาณ

เท่านึ่มีลึง ๑๘ กองทัพ ทุกหมวดกอง จัดอยู่ในระเบียบอันดี มีความรัความสามารถเชียวชาญ โดยเฉพาะ


นายทัพนายกองที่เป็นทหารเอกมีถึง ๓๙,๐๐๐ นาย กำลังของบ้ญจาลนครจึงยิ่งใหญ่เป็นที่เกรงขามของ

รัฐต่าง รุ ทั้งนึ่สำเร็จลงด้วยกำลังความคิดอันสุขุมคัมภีรภาพของพระดิขิณมนตรี พระอนุชาธิราชทั้งนั้น

ธนูเสกข์ มาณพพระสหาย เป็นสหชาติขององค์อธิราชจุลนื เกิดร่วมวันท้นยามพระราชสมภพ


ในคราวต้องนิราศไร้พระนคร ก็ได้ธนูเสกข์เป็นพระสหายติดตามพระองค์ไป ในยามที่ทรงประสบทุกข์

ก็ได้เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยาก แม้จะแสนระกำลำบากธนูเสกข์ก็ไม่ได้ทิ้งพระอธิราชในยามนั้น นอกจาก

ธนูเสกข์แลัวมิได้มีผู้ใดอีกที่จะติดตามพระองค์ไปในยามนั้น ในยามที่ต้องเสด็จไปต่างด้าวแดน ธนูเสกข์

ผู้เดียวเท่านั้น ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระอธิราชมาแต่กาลก่อน มิได้ทอดทิ้งพระองค์ จงรักภักดีมั่นคง

ตลอดมา ในยามที่พระเจ้าจุลนืย์ดำรงราชย์ ธนูเสกข์ก็ได้รับยกย่องเป็นราชวัลลภใกล้ชิดสนิทสนมพระองค์

อธิราช และช่วยเหลือจัดกิจการบ้านเมืองเป็นสามารถ ไม่ว่าจะทรงพระประสงค์ใช้อย่างใด เวลาใด ธนูเสกข์


สนองพระราชประสงค์ได้อย่างนั้น และในเวลานั้น กลางวันหรือกลางคืนของธนูเสกช์ได้ถวายแล้วเพื่อ
พระราชกิจจานุกิจของพระอธิราชของตน เป็นราชมนตรีชึ่งมีความจงรักภักดียิ่ง และมีความมั่นในราชกิจ

ทุกประการ เป็นผู้หนึ่งซึ่งมีส่วนร่วมในการสถาปนากัปปีลรัฐให้รุ่งเรือง
เกวัฎราชปุโรหิตไจไรย์ เป็นบุคคลสำคัญยิ่งของแว่นแคว้นกัปปิลรัฐทีเดียว ท่านผู้นึ่เจนจบไตรเพท

ลันทัดในกระบวนวิทยาคุณโลกายตศาสตร์ เป็นคนฉลาดในสรรพนิมิต สามารถทำนายได้แม่นยำว่า นิมิต


นั้นจะให้เกิดผลดังนึ่ นิมิตนั้นจะให้เกิดอย่างนั้น ไม่มีผิดพลาด ทั้งรอบวิในกระบวนเสียงร้องของสรรพสัตว์

ทราบได้แน่ชัดถึงความหมายของเลียงนั้น ๆ เป็นผู้เชียวชาญในพื้นฟ้า ลามารถทราบการโคจรของดวงดาว

ตลอดถึงดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ทำนายได้ถึงจันทรุปราคาและสุริยุปราคา ทั้งอาจทำนายผลอันจะเกิด


ขื้นจากอุกกาบาตและลำพู่กัน เชี่ยวชาญในวิชาพยากรณ์สุบินทุกประกาว ว่าฝันอย่างนึ่จะเกิดผลอย่างนึ่

กับเป็นคนร้นกษ้ต่ร์อันควรแก่การนำทัพว่านักษัตร์นํ่ควรจึงเข้าโจมตี เป็นคนแจ้งจบในภูมิภาคและนภากาศ

ว่าจะให้คุณให้โทษสถานใด อีกทั้งรอบร้โคจรแห่งดวงนักษัตร์ทั้ง ๒๘ รวมความก็คือ เป็นคนเจนจบแจ้ง


กระจ่างในพฤติการณ์แห่งพื้นดินและแผ่นฟ้า เกวัฎเพียบพร้อมคุณวุฒิวิชาการ พอแก่ตำแหน่งของตน

ไม่บกพร่องทีเดียว ทั้งมีความซึ่อตรงจงรักหนักแน่นในองค์พระอธิราชอีกด้วย จึงเป็นบฅคลสำคัญยิ่งมิ่ง-

ขวัญของบ้ญจาลนคร
ศีลธรรมเป็นคุณสำคัญของบ้านเมือง ยิ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ยิ่งมีความสำคัญมาก เพราะ

เป็นคุณที่จะธำรงความเจริญไว้ให้มั่นคงดำรงอยู่ได้ แม้นปราศจากคุณคือศีลธรรมแล้ว ถึงจะเจริญรุ่งเรือง

ปานใด ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นหลักประกันความรุ่งเรืองนั้น ๆ ไว้ได้เหมือนพาหนะที่มีความเร็ว ต้องมีอาการ

kalyanamitra.org
๒๕๖

ทรงตัวดี ยิงเร็วมากเพียงใด ก็ยิ่งด้องการอาการทรงตัวมากเพียงนน แม้นปราศจากอาการทรงตัว เป็นดึง

ความล่มจมทีเดียวฉันใด คุณคือศีลธรรมฉันนั้น เป็นเหมือนอาการทรงตัวของบ้านเมือง แมนขาดเสีย


แล้ว จะเจริญปานใด ก็ไม่แคล้วที่จะต้องล่มจม

พระอธิราชจุลนีทรงมีมุขมนตรีอันสำคัญ ร่วมกันทำนุบำรุงบ้านเมืองรุ่งเรืองจำเริญตังกล่าว
มาแล้ว และยังทรงมีพระราชธรรมจริยาจารย้ประจำพระองค์อีกท่านหนึ่ง พระราชธรรมจริยาจารย์ เป็น

หญิงนักบวชนามว่า “เภรี" เป็นบุคคลที่ชาวบ้ญจาลนครเทิดทูนแล้ว ในฐานะเป็นมหาเมธาวินีของบ้านเมือง

เป็นพระแม่เจ้าของชาวเมือง เป็นผู้ถวายอนุศาลนัแด่องค์อธิราช และบรมอำมาตย์ราชบริพารทั้งฝ่ายหนัา

และฝ่ายใน และเป็นผู้พรำสอนประชาชนให้ดำรงในธรรมจริยา เว้นการควรเว้น ประพฤติการควรประพฤติ


และนำโนัมนัาวนํ้าใจของปวงชนให้ใฝ่แด่ในทางสุจริต เป็นสัมมาจารี พระแม่เจ้าเภรีเป็นผู้ฉลาดในคดี

โลกคดีธรรม สามารถในการชื่แจงแนะนำเป็นอย่างดี บรรดาประชาชนชาวบ้ญจาลนคร ตั้งด้นแต่พระ-

อธิราชจุลนี จนดึงสามัญชน ล้วนเคารพชื่นชูพระแม่เจ้าประหนึ่งเทพยดาที่ทรงบุญญานุภาพก็ปานนั้น

พระแม่เจ้าเป็นบุคคลสำคัญยิ่งผู้หนึ่งของบ้านเมือง ช่วยบ้านเมืองอันรุ่งเรืองให้มีกำลังทรงตน มิให้ตกตำ

เลื่อมทรามทางด้านจริยคุณ
นอกจากบุคคลที่ปรากฎนามมาทั้งนึ่แล้ว ยังมีผู้ที่ทรงปรีชาลามารถในการงานอื่น ๆ อีกหลาย

ท่าน แต่มิได้ปรากฎนาม คงมีแต่จำนวนรวมกันรวมทั้งพระอธิราชและพระบรมราชชนนี เป็น ๑9 ท่าน

ด้วยกัน ได้ร่วมประชุมกันปรึกษาหารือในกิจการบ้านเมีองทุก คุ เรือง ช่วยกันจรรโลงรัฐสีมามณฑลให้


ไพบูลย์พูนผลเพียบพร้อมด้วยอานุภาพเกรียงไกร เป็นที่ระย่อของรัฐนัอยใหญ่ในภาคพื้นชมพูทวึป

kalyanamitra.org
๓๕. แผนการแผ่อาณาจกร
วันหนึ่งเวลาใกล้รุ่ง ราชปุโรหิตาจารย์เกวัฎราชมนตรีเอกของปัญจาลนคร อื่นขีนจากนิทรารมณ์
อ้นแสนผาสุก กวาดสายตาไปทั่วห้องซืงงดงามโอ่อ่าประดับประดาด้วยสรรพพัสดุอันเป็นเครื่องหมายแท่ง

ความรุ่งเรืองด้วยเกียรติยศ แสงประทีปอ้นสว่างไสวส่องกระจ่างแจ่มจับสิ่งต่าง *1 ในห้องนั้น ดูพราวพราย


เตือนใจของเกวัฎให้เกิดรำพึงว่า “ยศศักดํ่อัครฐานอันมโหฬารของเราได้ประจักษ์อยู่ ณ บัดนั๊เป็นของ

ใคร ใครเล่าเป็นผู้อำนวยให้แก'เรา” ความคิดของเขาได้รับคำตอบจากความคิดในอันดับต่อทันที “จะเป็น


ของใครที่ไหนเล่า จะเป็นคนอื่นไปได้หรือ ไม่มึใครอีกแล้วนอกจากพระเจ้าเหนือห้วจุลนืพรหมทัด พระเจ้า

จุลนึพรหมทัดนั่นสิ ทรงพระมหากรุณาพระราชทานยศศักดิ๋อัครฐานศฤงคารอันอุดมแก่เรา ทรงยกย่อง


เชิดชูเราด้วยพระราชอัธยาศัยอันงาม พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เป็นที่ล้นพันแล้ว เราก็เป็นผู้ที่ได้

เล่าเรียนศึกษาเจนจบในวิทยาคุณอันสามารลเป็นแท้ ควรที่จะรับเป็นราชมนตรีไม่แต่ในแคว้นเดียวคือ
ก'ป!]ลรํฐนึ่เท่านั้น แม้ชมพูทวีปอยู่ในบริเวณแล้วเราก็สามารถที่จะปฏิบัติราชการถวายรัฐประศาสโนบาย

อันสุขุมคัมภีรภาพแด่พระอธิราชได้ เพียงแด'กัปปิลรัฐเท่านึ่ ไม่พอแก่สดิป้ญญาของเรา ไม่พอแก่พระ-

บรมเดชานุภาพแท่งองค์อธิราชของเรา จะเป็นการถูกด้องที่ไหนได้ ในเรื่องความคิดอันกว้างขวางสามารถ


ดำเนินประศาสโนบายได้ตลอดโลก มาต้องถูกจำกัดลงในวงแคบเพียงแคว้นเดียว จะเป็นการลมควรที่

ไหนกัน ในเมื่ออานุภาพอันเกรียงไกรต้องมาถูกจำกัดเขตอยู่ในแคว้นเดียว แคว้นเดียว! แคบเกินไปไม่

พอแก่สดิบัญญาของเรา ไม่พอแก่บรมเดชานุภาพขององค์พระอธิราช เหมือนรถใหญ่แด่มาถูกบังคับให้

แล่นบนถนนแคบ จะขับให้เต็มกำลังไม่ได้เลย หรือเป็นเหมือนได้กินไม่พอคำ ได้กำไม่พอมือ จึงเป็น


การสมควรอย่างยิ่งที่เราจักชัดแจงสถาปนาพระอธิราชผู้ทรงพระมหากรุณาแก่เราให้โด้ทรงดำรงในพระ-

ราชฐานะ มิใช่แด่เป็นพระราชาแท่งแคว้นเดียว หากแด่เป็นจอมราชในสกลชมพูทวีปทีเดียว การทั้งนื้จะ

เกินจากสติป้ญญาเราก็หามิได้ เราเห็นตนอยู่ว่าเป็นผู้สามารถ ทั้งกำลังรํ๋พลของกรุงป้ญจาละเล่ามีที่ไหน

บัางที่จะทัดเทียม ไม่ต้องพูดถึงในด้านจำนวนกันละ แด่เพียงในด้านคุณสมบัติอาทิ เช่น ความองอาจ

กล้าหาญเท่านั้น ก็ไม่ปรากฎว่าใครที่จะเทียมท้น การแผ่พระราชอาณาจักรต้องสำเร็จโดยปราศจากข้อ

ติดขัดประการใด การนำคำข้าวปากพอเลั้ยงร่างยังจะลำบากกว่า เพราะบางคราวคำข้าวนั้นยังจะกระจัด


กระจาย ยากที่จะตะล่อมเข้ากันให้เป็นกลุ่มเป็นกัอน และทั้งยังมีหล่นเรี่ยลงในขณะที่เปิบเสียอีกเล่า ส่วน

การนึ่เป็นความสะดวกแท้ หากทรงพระอนุม้ติในความคิดเห็นของเรา ความเป็นจอมราชในสกลชมพูทวีป

ก็จะเกิดขี้นแก่พระอธิราชผู้ทรงพระคุณอันมหาประเสริฐ ทีนั้นเราเล่าที่ไหนพระองค์จะทรงลืมพระบรม-

kalyanamitra.org
๒๕๘

ราชฉายาเสียได้ ชักทรงพระมหากรุณาสถาปนาเราไว้ในตำแหน่งอัครปุโรหิตาจารย์ของพระองค์เป็นแม่นมั่น

ชมพูทวีปจะเป้นอย่างไร ต่อจากนั้นไปก็ต้องอาศัยความคิดอ่านของเรา เราผู้เอกอัครปุโรหิต”


ราชปุโรหิตาจารย์เกวัฎรำพึงจนรุ่งแจ้งจึงรีบลุกชื้นจากที่นอน รีบเข้าเฝ็ากราบบังคมทูลถามถึง
การที่ทรงบรรทมเหนือพระบรมราชสิริไสยาสน์เป็นที่ทรงสำราญพระราชหฤทัยหรือไฉน ซึ่งเป็นการ

ทูลถามตามธรรมเนียมแล้วก็กราบทูลชื้นว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ช้าพระพุทธเจ้า


มีข้อความที่จะพึงกราบทูลปรึกษาอยู่เป็นบางประการ ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระราช-

วโรกาสแก่ช้าพระพุทธเจ้าเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
“เชิญลิ ท่านอาจารย์" ตรัสอนุญาต “มีเรื่องราวอะไรเชิญท่านอาจารย์พูดเถิด”
“ขอเดชะ เรื่องที่ข้าพระพุทธเจ้าจะกราบทูลนึ่เป็นความลับยิ่งนัก พระพุทธเจ้าช้า” ท่านเกวัฎ
กราบทูลหนักแน่น “สถานที่อันลับพอที่จะกราบทูลเรื่องนึ่ในพระนคร ช้าพระพุทธเจ้าตรวจดูแล้วไม่มี

แห่งใดเลย ขอกราบทูลเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จไปสู่พระราชอุทยานเถิดพระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าจุลนีเห็นชอบด้วย จึงเสด็จไปสู่พระราชอุทยานกับท่านเกวัฎ พรัอมด้วยขบวนพลนิกาย


เป็นยศบริวาร เมื่อเสด็จถึงพระราชอุทยานแล้ว ก็มีพระราชดำรัสสั่งให้พวกพลนิกายรายล้อมรักษาการ-

อยู่ภายนอก มิให้ผู้ใดแปลกปลอมเช้าไปได้ พระองค์เสด็จไปกับราชปุโรหิตาจารย์เกวัฎเท่านั้น เสด็จชื้น


ประทับนังเหนือมงคลศิลาอาสน์ อันเป็นพระราชบัลลังก์กลางพระราชอุทยาน ราชปุโรหิตาจารย์ก็นั่ง ณ
ที่อันสมควร มิได้ห่างเกินไปหรือชิดเกินไป ทั้งไม่สูงเกินไปหรือตำเกินไป ครั้นแล้วมีพระราชดำรัสสั่ง

ให้ราชปุโรหิตาจารย์กราบทูลเรื่องที่ตนแย้มพรายไว้นั้นทันที

ราชปุโรหิตาจารย์เกวัฏได้กราบทูลเป็นเชิงกำชับชื้นก่อนว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท

ปกเกล้าฯ ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงกำหนดไว้ในพระกรรณเฉพาะที่นั้เท่านั้น ความคิดที่ข้าพระ-

พุทธเจ้าจะกราบบังคมทูลต่อไปนั้น ชักต้องเรียกได้ว่าได้ยินกัน ๔ โสตเท่านั้น แม้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท


ทรงกระท่าตามถ้อยคำของช้าพระพุทธเจ้าแล้ว ประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไพศาลจักสำเร็จแด่ใต้ฝ่าละอองธุลี

พระบาทเป็นแม่นมั่นทีเดียว”

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับคำของท่านปุโรหิตาจารย์ ก็ทรงพระโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง เนั้องด้วย

ถ้อยคำของเกวัฎนั้นมีเด้าตรงกับที่ทรงต้องการเป็นที่สนพระราชหฤทัย เพราะพระองค์มีพระหฤทัยใฝ่ฝัน

อยู่ทุกเมื่อในการที่จะได้ดำรงพระเกียรดีศักดํ่เอกอัครราชในสกลชมพูทวีป ดังนั้นเมื่อเกวัฎมาพูดแย้มพราย
ชื้น จึงเป็นประหนึ่งเกาถูกที่เหมาะ จำเพาะตรงที่กำลังดัน จึงตรัสว่า “เชิญท่านอาจารย์พูดไปเถิด ฉัน

จักท่าตามคำของท่านอาจารย์ ”

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ” ท่านเกวัฏเริมบรรยายความคิด “กำลังกองทัพ


ของป็ญจาละมีมากถึง ๑๘ กองทัพใหญ่ ทั้งรื่พลพาหนะก็ล้วนได้รับการฟิกปรือเป็นอย่างดี เป็นกำลังอัน
มหิมาทีเดียว ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระราชโองการสั่งเตรียมกองทัพนั้น รุ แล้วทรงเป็นจอมทัพ พรัอม

ด้วยราชเสวกามาตย์โดยเสด็จ ยกกระบวนพลเข้าล้อมราชธานีนัอย รุ ยึดไว้ก่อน ไม่ยอมให้ประชาชนมี

kalyanamitra.org
๒๕๙

โอกาสหลบหนีไปได้ ข้าพระพุทธเจ้าจักขอรับพระราชทานวโรกาสอาสาเป็นทูตของได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
เข้าส,นครนั้นทางประตูน้อย กล่าวคำเกลื้ยกล่อมพระราชาผู้ครองนครนั้นให้ยินยอมอ่อนน้อม ถวายโภค-

ทรัพย์และบ้านเมือง โดยให้เหตุผลว่า การรบนั้นท้าวเธอไม่ควรกระทำ เพราะไม่อำนวยคุณประโยชน์


อันใดให้เลย ขืนรบก็จักพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ไม่มีทางใดที่จะสู้ได้ เนื่องจากเหตุผลหลายประการ เช่น

กำลังพล ความสามารถของพลรบเสียเปรียบทุกทาง ฉะนั้นยอมอ่อนน้อมเลียโดยดี ยังเป็นประโยชน์กว่า


ท้าวเธอจักได้ดำรงฐานะเป็นพระราชาอยู่ด้งเดิม ด้งนื่ ถ้าพระราชานั้นทรงยินยอม เราก็คุมพระราชาพระองค์

นั้นไว้ ถ้าไม่ยินยอมข้ดแข็งที่จะรบกับพวกเรา พวกเราก็จะรุกรบจับพระราชานั้นสำเร็จโทษเลีย แลัวก็

คุมไพร่พลของนครนั้น สมทบกันเช้ากับกองทัพของพวกเรา ยกไปยึดเมืองอื่น ตุ ต่อไปพระพุทธเจ้าช้า”

“ฉันเห็นด้วย ท่านอาจารย์” ตรัสคลัอยตาม “แต่ยังฉงนอยู่บางประการ คือถ้าพระราชาทุก ตุ


เมืองยินยอมโดยดีไม่มีเมืองไหนขัดแข็งรบราต่อสู้ ท่านอาจารย์ว่าเราก็จ้บพระราชาเมืองนั้น ตุ ไว้ นี่แหละ

ฉันสงสัยว่าจะคุมไว้ทำไม เพราะถ้าไม่ให้เขาครองราชสมบัติต่อไป ก็ต้องประหารเลียเท่านั้นเป็นอย่างนี่

มิใช่หรือ”
“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงฉงนพระหฤทัยดังนั้นเป็นการสมควรอยู่แล้วพระพุทธ-
เจ้าข้า” ราชปุโรหิตาจารย้เกวัฎกราบทูลสนับสนุน “บรรดาพระราชาที่ทรงยินยอมอ่อนน้อมต่อพวกเรา

นั้น พวกเราจักต้องคุมไว้ก่อน แต่การคุมนั้นมิได้หมายถึงการจองจำ เพียงแต่คุมตัวไปในกองทัพของพวก


เราด้วย โดยปล่อยให้ดำรงตำแหน่งประเทคราชไปก่อน การที่จะประหารเลียทันทีนั้น ไม่เป็นการสมควร

อย่างยิ่ง ผิดพระราชประเพณื เป็นการกระทำอันมิชอบด้วยธรรมนิยมพระพุทธเจ้าข้า”

“นั่นสิ ท่านอาจารย์ ฉันก็เห็นอยู่ว่า การประหารพระราชาเหล่านั้นผู้ยินยอมอ่อนน้อมแล้ว เป็น

การผิดธรรมนิยมและนิติแห่งพระราชา เป็นการที่ต้องครหา เป็นการประทุษรัายแก่ผู้ที่ไม่สู้'ตน ตูเป็นการ

เลวทรามมาก” พระเจ้าจุลนืรับสังด้วยพระกังวล “เมื่อเป็นดังนั้นเราก็ด้องปล่อยให้คงครองเมืองเป็น

ประเทศราชต่อไปดังเดิมน่ะสิ ท่านอาจารย์”
“หากเป็นดังนั้น พระราชอาณาเขตก็มิได้เป็นอันหนี่งอันเดียวกัน และมีลู่ทางทีจะเป็นอันตราย

ได้โดยง่าย” ราชปุโรหิตเกวัฎกราบทูลแยง “ความมุ่งหมายของข้าพระพุทธเจ้านั้นจะใคร่ได้เห็นได้ฝ่าละออง

ธุลีพระบาท ทรงสมบูรณ์ด้วยพระบรมราชอิสริยยศ เป็นจอมราชแห่งสกลชมพูทวีป มีพระราชอาณาเขต


แผ่ตลอดร้อยเอ็ดพระนคร ราชสมบัติในสกลชมพูทวีปเป็นของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแต่พระองค์เดียว
ไม่มีราชาอื่น ตุ ในพระราชอาณาจักร แม้พระราชาองค์นั้นจักทรงฐานะเป็นเพียงพระราชาประเทศราช

ก็ไม่พึงประสงค์พระพุทธเจ้าข้า”

“เป็นอย่างไรหรือ ท่านอาจารย์” ตรัสชัก “การมีประเทศราชก็เป็นการแสดงอำนาจของเรา

อยู่แล้วมิใช่หรือ”
“เป็นดั่งที่ทรงพระดำรินั้นพระพุทธเจ้าข้า” ราชปุโรหิตกราบทูล “แต่เห็นด้วยเกล้าๆ ว่า การ

มีประเทศราชนั้น เป็นการยากแก่การปกครอง ลำบากในการดำเนินรัฐประศาสในบาย เพราะแม้ว่าพระ-

kalyanamitra.org
๒๖๐

ราชาเหล่านั้นจะทรงปฏิปติตามพระราชอัธยาศัย ทั้ง *1 ทีไม่ต้องอับอัธยาศัยของตน ก็มิได้ขัดขืน เพราะ


ตระหนักอยู่ว่าการขัดขืนนั้นจะเป็นภัยแก่ตน จำต้องปฏิบัติไปเช่นนึ่ก็เป็นการสนกระทำ หรือเป็นการกระทำ

ตามแต่ภายนอกแลดงความชื่นชมความพอใจออกมา แต่ใจจริงนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง เก็บงำความขุ่นหมอง


ไว้ภายใน เผยความผ่องใสให้ปรากฎ พระราชาประเทศราชที่ทรงเป็นเช่นนึ่ เรียกได้ “ถึงจะหมอบก็ไม่

ราบ ถึงจะกราบก็ไม่เรียบ” ฉะนั้นจึงเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า สู้รวมอันเสียเป็นพระราชอาณาจักรอันเดียวไม่ได้


อีกประการหนึ่งเล่า พระราชาที่ด้องลดพระเกียรติลงจากเอกราช เป็นประเทศราชนั้น ที่ไหนจะเว้นเลีย

ได้'ซึ่งความรำพึงถึงความตํ่าอิสรศักดิ๋ คงจะต้องมีความดำริอยู่เป็นแน่ ความดำรินั้นจะเป็นอาหารหล่อเลยง

ความคิดในการกอบอัพระราชฐานะให้คงคืน แม้จะดำเนินการควบคุมสถานใด ด้วยอาญาอย่างใด ก็มิสามารถ


เป็นแท้ที่จะควบคุมจิตใจอันได้ เมื่อความคิดนั้นเติบโตชื้นแล้ว หากยังไม่เห็นโอกาสหรือไม่มีท่วงทีก็คง
มีอาการสงบอยู่ แม้นได้โอกาสได้ท่วงทีแล้ว จะก่อเป็นการกระทำชื้นท้นที ซึ่งเป็นการขุ่นเคืองเบื้องบทมาลย์

ต้องเสด็จปราบปรามอีก ถึงจะเป็นการคาดหมายได้แน่นอนว่า ถึงอย่างไรก็ต้องปราบราบคาบจนได้ไม่เหลือ


วิสัย กระนั้นก็ยังสั้นเปลืองพระราชทรัพย์และซีวีตของไพร่พลลงไปอีก ที่ได้มาก็จะไม่คุ้มอับที่ทรงเลียไป

เพราะฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ควรรวมดินแดนที่ทรงพิชิตแล้วทุก ‘I ส่วน ตลอด

ชมพูทวีปเป็นพระราชอาณาจักรเดียวอันเสียแต่เริมแรก เพื่อมิให้ต้องปฏิน์ติงานอย่างเดียวอันเป็นวาระ
ที่สอง ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงพระวิจารณ์เถิดพระพุทธเจ้าข้า”

“ที่ท่านอาจารย์แถลงมานั้น ฉันเห็นชอบด้วยทุกประการ เพราะฉันเห็นอยู่ว่า ชาวเมืองทุก คุ

เมืองนั้น สามารถรวมอันในอาณาจักรของฉันได้ ไม่ขัดข้องอันใด บัญหาที่ฉันข้องใจมีอยู่เพียงแต่ว่า เรา

จะจัดการอย่างไรอับพระราชาทุก คุ พระองค์เท่านั้นแหละ” ตรัสไล่เลียง

“ข้าพระพุทธเจ้าคิดกะการไว้ตลอดแล้วพระพุทธเจ้าข้า” ราชปุโรหิตเกวัฎกราบทูลสนอง “บัญหา


ที่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทข้องพระราชหฤทัยนั้น คำตอบอยู่ท,ี พระราชานั้น คุ จะไม่มีพระองค์อยู่เลยใน

แผ่นดิน ส่วนวิธีการนั้น ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้าฯ ดังนึ่ เมื่อได้ราชสมปติในสกลชมพูทวีปหมดแล้ว

เราก็พาพระราชาในเมืองต่าง คุ ซึ่งติดตามไปในกองทัพอยู่แล้วกลับมายังกรุงบัญจาละ ต่อจากนั้นก็ทำ

พิธีฉลองชิ'ย ประกาศรวมดินแดนเข้าเป็น่ราชอาณาจักร ในพระราชพิธีนึ่จะมีการดื่มชัยบาน พวกเราก็

ให้พระราชานั้น คุ ดื่มสุราเจือยาพิษเลีย ก็จะพาอันสั้นพระชนม้ไปไม่เหลืออยู่ พระราชอุทยานนึ่ จะเป็น

แดนที่พระราชานั้น คุ ทอดที่งพระกายอันปราศจากพระชนม์ลงไว้ พวกเราก็ชัดแจงให้ท้าวเธอนั้น คุ สูญ-

หายไป โดยนำพระศพไปที่งเลียในคงคา เพียงเท่านึ่ ราชสมบัติในสกลชมพูทวีปก็จักอยู่ในพระหัตถ์ของ

ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระองค์เดียว แล้วใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็จักได้เป็นพระเอกอัครราชในชมพูทวีป
ทั้งหมดพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าจุลนิทรงสดับแล้ว มีพระมนัสเต้มดื่นด้วยพระปีติ รับสั่งว่า “แยบคายดีมาก แนบเนียน

จริง คุ ท่านอาจารย์ ฉันจะกระทำตาม”


"ขอเดชะ ช้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานโอกาสกราบทูลว่า ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรด

kalyanamitra.org
๒๖®

ทรงใส่พระหฤทัยไว้ว่า ความคิดนํ๋ข็อว่าความคิดรู้กัน ๔ โสต บุคคลลื่นไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ และจะ


ให้ล่วงรู้ไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า” ราชปุโรหิตเกวัฏกราบทูลกำชับ “เพื่อที่จะรักษาความคิดน และรักษา

ประโยชน์ในการฉวยโอกาสจู่โจม ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่าได้ทรงซักซัาเลย รีบมีพระบวมราช-


โองการสั่งให้กองทัพเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนพลได้ทันที ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเป็นจอมทัพรีบ
เสด็จไปในเร็ววันนํ่ทีเดียวพระพุทธ เจ้าข้า ”
“ดีแล้ว ท่านอาจารย์” พระเจ้าจุลนีตรัสด้วยพระโสมนัส “กองทัพของเราพร้อมเสมอที่จะ

เคลื่อนไปได้ ฉันสั่งเมื่อใดเป็นยกได้เมื่อนั้น”

kalyanamitra.org
๓๖. แผนการลบรว
แผนการของราชปุโรหิตาจารย้กรุงปญจาละ ซึ่งได้กราบทูลแด่พระอธิราชจุลนีในพระราชอุทยาน

อันมีขบวนพลแวดล้อมระมัดระวังอย่างแข็งแรง และท่านอาจารย์ได้รำพึงหนักหนา ว่าแผนการของตน


เป็นความลับ รู้กันเพียง ๔ โสต คือของตน ๒ และของพระเจ้าจุลนีอีก ๒ เท่านั้น บุคคลอื่นไม่มีใคร
สามารถล่วงรู้ได้ อันที่จริงก็ไม่น่าที่ใครจะล่วงรู้ได้ เพราะเกวัฎปุโรหิตได้คิดใคร่ครวญรอบคอบหนักหนา

ถึงกับไม่ยอมพูดในพระนคร อุตส่าห์เชิญเสด็จพระอธิราชมา ณ พระราชอุทยาน น่าจะพ้นจากความรั่วไหล

ได็ยินถึง ๖ หู แด่ก็หาสมมาดปรารถนาไม่ เพราะในขณะที่ปุโรหิตเกวัฎกับพระอธิราชปรึกษากันอย่าง


วางใจนั้น มีหูอีกคู่หนึ่งคอยเก็บล้อยค็าทุก ๆ คำไวัหมด กำหนดโดยแม่นยำ หูทั้ง ๒ ข้างนั้น คือหูของ

มาถูระจารกรรมตัวเยี่ยมของกรุงมีถิลา

ที่มาถูระจะต้องมาถึงแคว้นกัปปิละนึ่ สาเหตุเกิดจากผู้ลืบราชการลับประจำราชสำนักสังขพต-

กะแคว้นกัมพล ได้รายงานเหตุการณ์ไปกังท่านผู้สำเร็จราชการแคว้นวิเทหะ ณ กรุงมิถิลาว่า “ขอประทาน


กราบเรียน ๆพณๆ ทราบ เกล้ากระหม่อมเห็นพระเจ้าลังขพลกะ มีพระราชการกระแสรับสั่งให้เตรียม

ศัสตราวุธยุทธภัณฑ์ และเรียกระดมไพร่พลเข้าประจำกองทัพเป็นการเร่งรีบ แด่ความมุ่งหมายอันแท้จริง


ของท้าวเธอนั้น จะทรงระดมกองทัพเพื่ออะไร เกล้ากระหม่อมหาทราบตระหนักไม่ เหตุการณ์ในพระ-
นครของแคว้นกัมพลนี๊ก็มิได้มีอันใดผิดปกติ ขอใต้เท้ากรุณาล่งมาถูระออกล่าข่าว จักทราบความเป็นไป

ที่แท้จริงได้ด้วยตนเอง”

เมื่อได้รับรายงานดังนึ่ ท่านมหาอัครเสนาบดีมิได้นึ่งนอนใจปล่อยให้เวลาล่วงไป รีบเรียกสุว-

โปดกมาถูระ มาสั่งว่า “พระราชาในแคว้นกัมพลทรงพระนามลังขพลกะ ทรงเตรียมศัสตราวุธและระดม

พลจัดเป็นกองท้พ เจ้าไปลืบข่าวมาให้แน่นอน เมื่อได้ข่าวจากแคว้นกัมพลประการใดก็ให้ท่องเที่ยวต่อไป

จนทั้วชมพูทวีป ลาดตระเวนหาข่าวอันเป็นประพฤติเหตุของทุก ยุ แคว้นมาแจ้งแก่เรา” สั่งแล้วให้สุว-

โปดกมาถูระกินข้าวตอกคลุกนั้าผื้ง ให้ดื่มนํ้าผื้ง แล้วเอานํ้ามันที'หุงตั้งร้อยครั้งพันครั้งทาขนปีกให้จับที่

หนัาต่างทางทิศตะวันออก แล้วปล่อยบินไป
สุวโปดกมาถูระบินไปตรงแคว้นกัมพลทันที แฝงตนเข้าไปกังสำนักของทหารผู้ลืบราชการลับ
ประจำราชสำนักพระเจ้าลังขพลกะ ไต่ถามเรื่องราวต่าง ยุ ผู้พฤติเหตุของพระเจ้าลังขพลกะโดยแน่นอน

แล้ว จึงออกจากแคว้นกัมพล ท่องเที่ยวไปยังรัฐต่าง ยุ ในชมพูทวีป เที่ยวลืบข่าวความเป็นไปของแคว้น


นั้น ยุ จนกระทั่งมาถึงกรุงใ!ญจาละในแคว้นกัปปิละ ประจวบโอกาสที่ปุโรหิตเกวัฎกับพระเจ้าจุลนีกำลัง

kalyanamitra.org
๒๖๓

เช้าสู่พระราชอุทยาน มาถูระเห็นกิริยาท่าทางของพระมหากษัดริย์กับพราหมณ์ชอบมาพากลก็ลิดว่า “บรม


กษัตริย์กับพราหมณ์มีกิริยาท่าทีชอบกล เสด็จเข้าสู่อุทยานพร้อมกับพราหมณ์ร้เท่านั้น บริวารดั้งรายล้อม
อยู่ภายนอก ไม่มีผู้ใดดิดตามเลย คงจะมีเหตุการณ์ลับลมคมในแฝงอยู่เป็นแน่ วันนี้เราจักได้พังเรื่องราว

อะไร ตุ ที่เป็นชิ้นเป็นอัน ควรแจ้งแก่ท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแน่นอน คิดแล้วก็บินเช้าสู่ราชอุทยาน

จับซ่อนเร้นตนอยู่ในระหว่างใบสาละ กำบังตนมิดชิดปลอดจากการเห็นชองใคร ตุ แล้วก็เงียหูพังล้อยคำ


ระหว่างบรมกษัตริย์กับพราหมณ์ โดยทั้งคู่มิได้รู้สึกสงสัยว่าจะมีใครลอบเข้ามาพังแผนการของตน
เมื่อพระอธิราชจุลนีพร้อมกับเกวัฏ ร่วมวางแผนการตามความคิดที่เกวัฎเสนอนั้นจบลง มาถูระ

ก็สำแดงร่างให้'ปรากฎบินออกจากที่ซ่อนทำทีประหนึ่งจะโผถลาลงจับกิ่งสาละที่ห้อยอยู่ตรงศีรษะของ

พราหมณ์พลางถ่ายคูถให้ตกลงบนศีรษะของเกวัฎปุโรหิตผู้ชาญกโลบาย แล้วร้องด้วยภาษามนุษย์ว่า “นี่

อะไรกัน”
ราชปุโรหิตผู้แจ้งจบแผ่นดินและพื้นฟ้า ได้ยินเลียงก็ตกใจและสงสัยระคนกัน ทั้งรู้สึกว่ามีอะไร

ตกลงบนศีรษะ ก็แหงนหน้าชิ้นดู

มาดูระฉวยโอกาสที่เกวัฎแหงนหน้าชิ้นมานั้น ถ่ายคูถให้ตกลงในปากอีก แล้วก็ร้องเลียง “กิร­ิ


กริ” บินชิ้นจากกิ่งสาละ พลางกล่าวด้วยเลียงแจ้วเจื้อยในภาษามนุษย์ว่า “เกวัฎเอ๋ย! ท่านสำคัญมั่นหมาย

ว่าความคิดของท่านรู้กันแต่ ๔ โสตหรือ? ผิดเลียแล้วละท่าน บัดนี้เป็น ๖ หูแล้ว จักรู้กันเป็น ๘ หูอีก

ต่อจากนั้นก็จะต้องรู้กันตั้ง ๑๐๐ หู และมิใช่ร้อยเดียว” พูดพลางบินถลาชิ้นสู่เวหา

เกวัฎบอกพวกไพร่พลให้ช่วยกันจับตัวให้ได้ ตะโกนด้วยความโกรธว่า “เร็ว พวกเรา! เอา


คัวนกนั่นให้ได้อย่าให้มันรอดไปยิงมันขว้างมันให้ตายเลียเร็ว!”

พวกไพร่พลพากันเกรียวกร ร้องบอกกันว่า
“ช่วยกันจับเร็ว! ช่วยกันจับเร็ว!” บางคนก็คว้าก้อนดินขว้างชิ้นไป บางคนก็ยิงด้วยธนู เลียง

เกรียวกราวโกลาหลอลหม่านไปทั่วบริเวณพระราชอุทยาน

แต่มาถูระรวดเร็วเกินกว่าความเร็วของพวกเหล่านั้นหลายเท่านัก ศัสตราไมั ไมัคัอน ก้อนดิน


หรือลูกธนูที่พวกเหล่านั้นส่งชิ้นมาเพื่อประหารตน จึงมิได้ระคายแม้แต่ปลายขนลักขนเดียว คงบินมาโดย

ปลอดภัย พ้นจากอุทยานบัญจาลนคร ก็บินบ่ายหนัาสู่กรุงมิถิลาอย่างรวดเร็วประหนึ่งลมพัด ตรงเข้าสู่

คฤหาสน์ของท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถ บินเข้าทางช่องหน้าต่าง จับลงตรงจงอยบ่าของท่านทีเดียว เป็น

สัญญาณว่า “ความลบสุดยอด"
ฝ่ายมหาชนอันมาประชุมกันในห้องนั้น เห็นกิริยาของมาถูระแล้วต่างก็รู้กันทันทีว่า “มีความลับ
สุดยอด” เพราะเป็นสัญญาณที่มีกำหนดกฎชาอยู่แล้ว จึงพากันออกไปเลียจากห้องนั้นทุกคน

ท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถ ตระหนักในกิริยาของมาถูระซึ่งเป็นรหัสทุกประการ แม้จะได้

โอกาสดังนั้นท่านก็มิได้วางใจ พามาดูระชิ้นไปชันบนเป็นที่ปลอดจริง ตุ แล้วจึงถามว่า “พ่อมาถฺระทีรัก

ร่วมใจ พ่อได้เห็นได้พังอะไรมาหรือ ข่าวที,เราให้เจ้าไปลีบนั้น มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร”

kalyanamitra.org
๒๖๔

มาถูระแจ้งข่าวว่า “ข้าแต่พ่อเหนือหัวเจ้าท่าน ข้าพเจ้ามิได้เห็นภัยอะไรจากสำนักของพระราชา


ลิ่น ๆ ไนชมพูทวีป การเคลื่อนไหวทางทหารของพระเจ้าลังขพลกะ ก็มิได้มีท่าทางว่าจะรุกรานบ้านเมือง

ผู้ใด ดูเป็นท่านองคิดตระเตรียมป้องกันตนเผื่อจะมีภัยมาเท่านั้น”

“ล้าเช่นนั้น พ่อไปได้พ้งเรื่องราวอะไรมาจากไหนเล่า” ท่านมโหลถซักต่อไป

“ข้าพเจ้าได้พ้งมา และเห็นว่าจะเป็นภัยใหญ่หลวงแก'สกลชมพูทวีป คือแผนการของพราหมณ์


เกวัฎปุโรหิตาจารย้ของพระเจ้าจุลนีพรหมหัต กรุงบัญจาละเหนือโน้น” มาถูระเริ่มแลลงข่าว

“เกวัฎปุโรหิตคิดการอย่างไรหรือ พ่อจึงได้กล่าวว่าเป็นภัยใหญ่หลวง” ไล่เลียงต่อไป


“ข้าพเจ้ากำลังจะแจ้งให้พ่อเหนือหัวเจ้าท่านทราบ ณ บัดนี่” มาถูระกล่าวพลางบรรยายเรื่อง

“เกว้ฎปุโรหิตพาพระเจ้าจุลนืพรหมทัตไปสู่พระราชอุทยาน แล้วกราบทูลถวายความคิดยันรู้กัน ๔ โสต


ข้าพเจ้าจับแฝงใบสาละพ้งอยู่จนสิ้นความ ถ่ายคูถใส1ปากพราหมณ์เสีย แลัวก็บินมานี”่ กล่าวแล้วเล่าเรื่อง
ตามที่ราชปุโรหิตเกวัฎกับพระเจ้าจุลนีคิดอ่านกันตั้งแต่ด้นจนอวสานให้พ้ง

ท่านมหาบัณฑิตพ้งพลางกำหนดพลาง เมื่อจบลงแล้วจึงถามว่า “พ่อได้ยินหรือเปล่าล่ะ ว่า

พระเจัาจุลนีพรหมหัตทรงเห็นงามตามความคิดนั้นหรือไม่”

“ทรงเห็นชอบด้วยทีเดียวละ ใด้เท้ากรุณา” มาถูระยืนยัน “ท้าวเธอมีอาการแสดงว่า ทรงโสมนัส


เป็นอย่างยิ่ง ในความคิดแผ่อาณาจักรของเกวัฎ”

ท่านมหาบัณฑิตซักว่า “แล้วก็พระเจ้าจุลนีทรงรับปากรับคำว่าจะท่าตามหรือไม่ เจ้าไดยินหรือ

เปล่า”
“ได้ยินซัดเจน” มาถูระยืนยัน่อีก “ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินท้าวเธอทรงรับจะกระท่าตามแผนความ
คิดของเกวัฎ เกว้ฎยังกราบทูลเร่งเรัาให้ทรงรีบกระท่าโดยเร็ว เพื่อไต้ช่องจู่โจมเข้ายืดเมืองต่าง ยุ ท้าว
เธอก็รับสั่งว่าจะรีบกระทำตามอีก ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ซัาก็จะได้ข่าวกองหัพบัญจาละเข้ายืดนครต่าง *1”

ท่านมหาบัณฑิตได้พ้งแล้วกล่าวว่า “ดีละพ่อ พ่อได้ท่ากิจสมกับหน้าที่แล้ว ” พลางจัดแจง

ประคองมาถูระเข้ากรงทองคำ ให้นอนเหนือเครื่องลาดยันอ่อนละมุน เสร็จแล้วก็ดำริตริตรอง คาดในใจ


ว่า “แผนการของกรุงบัญจาละ คงจะลุกลามมาถึงแคว้นวิเทหะเป็นแม่นมั่น อย่างไรเสียก็จะหนีไม่พ้น

มิถิลาจะด้องเผชิญสงคราม สงครามซึ่งเป็นภัยแก่ซีวิดและทรัพย์สมบัติ แด่เป็นเครื่องมืออย่างเดียวที่ใซั

ในการแผ่อาณาจักรของกษัตริย์ ซึ่งมีความปรารถนาใหญ่ใฝ่อภิศักดํ่ คืออัครราชัยในชมพูทวีป” แล้วก็

รำพึงถึงว่า “ชะรอยเกวัฎจะไม่รู้จักเรา เราผู้มีซึ่อว่ามโหสถ ความคืดที่เขาคิดกันนั้น ๆ ไม่ล่วงเลยความ

คิดของเราไปได้ ดีละ เราจะสกัดความคิดของเกวัฎไว้ ให้เขาได้คิดว่าความคิดที่เขาคิดนั้นด้องหยุด ต้อง


อึงที่สุด ในเมื่อมาเผชิญกันเข้ากับความคิดของเรา เปรียบเหมือนคลื่น จะครืกโครมคะนองอยู่ได้ก็เฉพาะ

ในมหาสมุทรเท่านั้น พอมาถึงฝังแล้ว มิอาจเลยฝังไปได้ ฝังสกัดกระแสคลื่นไว้ได้หมดฉะนั้นเทียว”


ท่านมหาบัณฑิตมิได้นิ่งนอนใจ แผนการต่าง ยุ ที่ได้รำพึงคิดมาแต่ก่อน ยุ นั้น บัดนี่ได้ปรากฎ

เป็นความจริงขื้นแล้ว การตระเตรียมการป้องกันพระนครเล่าก็ได้จัดแจงไว้ดีแล้ว ไพร่พลของมิถิลาแม้

kalyanamitra.org
๒๖๕

จะมีประมาณนอยกว่าของบ้ญจาละ แต่ก็เป็นไพร่พลที่เยี่ยมด้วยคุณสมบ้ติ อ้นได้รับการฟิกปรือบดฝน

จนฝังลงในจิตใจ ทุกคนอาจหาญทุกคนสามารถเสียสละได้ทุกอย่าง ด้วยใจอ้นชินเย็น ทุกคนเคร่งครัดในวินัย


ด้งนั้น แม้จะน้อยก็มีได้น้อยถึงกับจะป้องกันบ้านเมืองของตนไม่ได้ เป้นความน้อยที่พอจะด้านทานความ

มาก แต่หากย่อหย่อนในคุณสมบ้ดีได้เป็นอย่างดี
เมื่อข่าวศึกอ้นมีกำลังมหาศาล พรั่งพร้อมด้วยไพร่พลพาหนะจะยกมาประชิดติดพระนคร ก็

จำเป้นด้องรีบจัดการตามแผนการตั้งรับแต่เริ่มแรก ท่านมหาบัณฑิตจึงอพยพครอบครัวถ่ายเทบรรดาสกุล

ใหญ่ กุ ซึ่งมั่งคั่งด้วยทรัพย์ศฤงคารบริวาร เป็นหลักบ้านหลักเมืองที่อาศัยอยู่ภายนอกกำแพงพระนคร

ก็จัดการบอกกล่าวให้เร่งอพยพหลบย้ายเข้ามาอยู่เสียในกำแพงเมือง เพื่อมีให้ข้าศึกทำลายลัาง แล้วยึด

เอาทรัพย์สินเป็นกำลังต่อไป สกุลที่ยากจนอ้นอยู่ในเมือง ก็ให้ออกไปอยู่นอกเมือง แม้จะด้องตกไปเป็น


เชลยของข้าศึก ก็มิเป็นประโยชน์อะไรมากมายนัก เป็นการจำเป็นที่จะต้องยอมแลกเปลี่ยนเช่นนั้น สง

ใดที่เป็นมาก ก็ด้องพิทักษ์รักษาไว้ ปล่อยให้เสียแต่ที่เป็นประโยชน์ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็ว่า “เอาน้อยแลก

ใหญ่เอาไพร่แลกขุน”

ในด้านเสบียงอาหาร ท่านมหาบัณฑิตคาดการณ์ไกลเล็งเห็นว่า การสงครามจะด้องติดพันกัน


ยึดเยื้อไปนาน และมุ่งจะรับศึกในพระนคร เอาพระนครมิถิลาเป็นที่มั่น ดังนั้นจึงได้เตรียมเสบียงอาหาร

ไว้เป็นอ้นมาก ตรวจตรายุ้งฉาง ที่ไหนบกพร่องก็บรรจุให้เต็มไว้ทุก กุ ฉางที่มีอยู่ ยิ่งกว่านั้นยังให้สร้าง

ฉางเพิ่มขนใหม่ ให้พอแก่การบรรจุธัญญาหารไว้เลี่ยงดูกันได้นานเท่านาน หรือให้พอแก่จำนวนธัญญาหาร

ที่จะหาสะสมไว้ได้ทั้งว้ตกุต่าง กุ ที่จะเป็นอุปกรณ์แก่ความเป็นอยู่ของทวยนาครเป็นด้นว่าเซือเพลิง ก็

ให้สะสมไว้เป็นจำนวนมากพอแก่ความต้องการของประชาชนเป็นแรมปี
ก่อนที่กองทัพของพระอธิราชจุลนี จะได้กรีธามาประชิดวิเทหรัฐ มิถิลานครก็พร้อมแล้วทุก

ประการที่จะตั้งมั่นด้านทานกำลังพลอ้นมหึมานั้นได้

kalyanamitra.org
๓๗. ล่าแคว้น
พระอธิราชจุลนิทรงเชี่อในแผนการของเกวัฎเต็มพระอัธยาศัย ดังนั้น หลังจากที่ได้ปรึกษา

หารึอกันไม่กี่วัน ขบวนทัพอันพรั่งพรัอมด้วยไพร่พลพาหนะเป็นกองทัพมหึมา ประกอบด้วยพลช้าง พล

ม้า พลรบ และพลราบ ก็เคลื่อนออกจากกรุงบ้ญจาละ ประหนึ่งละลอกคลื่นในมหาสมุทรก็ปานกัน องค์

พระอธิราชทรงเป็นจอมทัพ เกวัฎเป็นที่ปรึกษา เจ้าชายติขิณมนตรีเป็นเสนาธิการ พร้อมด้วยนายทัพ

นายกองอเนกอนันต์
เดินทางรอนแรมมาโดยลำดับ จนถึงนครอันเป็นเมืองใกล้ชิด ก็เข้าล้อมไว้โดยรอบ ดูแน่นหนา
ด้งกำแพงเหล็กมาตั้งประชิดฉะนั้นเทียว

ฝ่ายปุโรหิตเกวัฎก็เข้าไปในพระนครนั้น กราบทูลแด่พระราชาผู้ครองนครว่า “พระองค์อย่า

ได้คิดต่อสู้ให้ลำบากยากแก่ไพร่พลเลย จะทำให้เปลืองซีวิตไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเสียเปล่า ถึงอย่างไรพระองค์


ก็ไม่มีทางที่จะต่อด้าน แม้พระราชาทั้งหมดในสกลชมพูทวีปจะรวมกันพร้อมด้วยกำลังอันมีทั้งหมดนั้น

ก็ไม่สามารถจะสู้'พวกข้าพเจ้าได้ ขอให้พระองค์ยอมอ่อนน้อมถวายบ้านเมืองแด่พระเจ้าจุลนีเลียโดยดี จะ
เป็นการดียิงนัก เป็นทางเดียวเท่านั้นที่พระองค์ควรเลือกปฏิบ้ต เพราะเป็นทางที่จะให้สวัสดีแก่พระองค์

และประชาชน
เมื่อเล็งเห็นผลในที่สุดแล้วโดยชัดแจ้งว่า จะเป็นอย่างไร ก็ไม่สมควรจะขัดขืนดึงด้นไป ยอม

รับผลที่เป็นบ้จจุบันซืงก็เท่ากันกับผลที่สุดในภายหน้า เป็นการชอบ คือว่าถึงอย่างไรก็แพ้ ไม่มีประตูชนะ

เลยก็ยอมแพ้เสียดีกว่า หรือเปรียบเหมือนเมื่อกัาวบันไดพลาดแล้ว จะให้หกคะมำควํ่าคะเมนลงไปทั้ง รุ


ที่พลาดนั้น ย่อมเป็นอันตรายแก่ร่างกายและซีวีตได้มาก สู้ดำริว่าไหน รุ ก็พลาดแล้ว พลอยกระโจนเสีย

เลยเถอะ อย่างนึ่ดีกว่า เพราะการยอมแพ้โดยง่ายนั้น ไม่สํ๋นเปลืองด้วยประการทั้งปวง ที่ควรจะทรงพระ-

วิจารณ์!ห้คูกต้องดีนั้นก็คือ ล้าจะทรงด้านทานสู้รบ ในที่สุดต้องพ่ายแพ้ จะพยากวิณ์ไม,ได้เลย พระชนมซ็พ

ของพระองค์ผู้แพ้จะดำรงอยู่หรือไม่โปรดทรงพระวิจารณ์เถิด”
พระราชาผู้ครองนครนั้น ได้พ้งล้อยคำเกวัฏแล้ว พิเคราะห์เห็นหมดประตูที่จะต่อสู้ด้านทาน

“บ้านเล็กเมืองน้อยย่อมมีอำนาจน้อยแต่พอครองตนได้ ลัาผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ใฝ่สูงเลียก็พอจะมีอิสรภาพ
ยั่งยืนไปได้ แต่ในโลกนึ่อะไรเล่าเป็นใหญ่ อำนาจ-อำนาจ... เท่านั้นเป็นใหญ่ ผู้สมบูรณ์ด้วยเครื่องมือ

แห่งอำนาจ ย่อมต้องการใซัเครื่องมือนั้นเสมอ เพื่อทวีอำนาจแก่ตนจนมีมากในโลก แล้วก็เป็นใหญ่ใน

โลก เป็นโจกในมนุษย์นิกร” จึงทรงอ่อนน้อมยอมถวายบ้านเมืองโดยดี

kalyanamitra.org
๒๖๗

เกวัฏก็นำพระราชาผู้ครองนครมาเฝืาถวายความภักดีแด่พระอธิราชจุลนี พร้อมทั้งโภคสมบัติ

บรรดามีในพระนคร ก็จัดทำเป็นบัญข็ทูลเกล้าถวาย
พระอธิราชก็ทรงปราศรัยปฏิสันถารด้วยดี ทรงเอาพระหทัยพระราชามิให้ทรงระแวงแหนงหน่าย
เมื่อทรงพักผ่อนแก่พระราชอัธยาศัยแล้ว ก็มีพระราชดำรัสสั่งให้พระราชาผู้ครองนครนั้นเกณฑ์ท้พสมทบ
ไปดีนครอื่น ๆ ต่อไป ชี่งทุก ตุ นครก็เข้าทำนองเดียวกัน ไม่มีนครไหนที่จะต่อสูได้นครนึ่แลัว ก็ให้พระ-
ราชาเกณฑ์ทัพสมทบไปด้วยดีนครนั้น ได้นครนั้นแล้วก็ต่อไปนครโน้น ชี่งเพียงแต่ลมปากของเกวัฎอัน

มีกำลังกองทัพมหึมาหนุนหลังอยู่ ทำให้กองทัพของพระอธิราชเติบโตจำเริญขื้นเรื่อย *1 ทั้งกระโจมนาย-


ท้พชื่'นพระราชาก็พลอยเพิ่ม ตลอดถึงอาสนะในกองบัญชาการของพระอธิราชก็ด้องเพิ่มกันเรื่อย ตุ เพื่อ
พระราชอาสน์ของพระราชาผู้ครองนครที่ยอมอ่อนน้อมนั้น ตุ ทุก ๆ อย่างที่เพิ่มขื้นนั้น เป็นที่ให้เกิดพระ
ปีติโสมนัสแด่องค์พระอธิราชยิ่งนัก และเป็นเหตุให้พระอธิราชทรงเคารพเชื่อเกวัฏยิ่งขื้นทุกที
แต่มีสิงเพิ่มขื้นอีกอย่างหนึ่งในกองทัพกรุงบัญจาละ ชี่งล้าพระอธิราชหรือเกวัฎหรึอท่านเสนา-

ธิการติขิณมนตรี ตลอดถึงแม่ทัพนายกองอื่น ตุ รู้เข้าแล้วจะต้องเป็นเดือดเป็นแด้นหาประมาณมิได้ เพราะ


การทวีจำนวนส่วนนึ่ เป็นการเพิ่มเพื่อความลดเหมือนดังหนอนที่บ่อนในลำไส้ ยิ่งทวีจำนวนมากขื้น ความ
สุขสำราญของผู้เป็นเจ้าของไลัก็ยิ่งลดลงทุกที ที่ว่านึ่ ดือทหารของท่านมหาบัณฑิตที่ส่งไปเป็นผู้สึบราช-
การลับประจำราชสำนักต่าง ตุ นั่นเอง
ท่านผู้สืบราชการลับเหส่านึ่ เมื่อพระราชาเมืองไหนต้องตกอยู่ในพระราชอำนาจของพระอธิราช
แล้ว ก็ติดตามไปด้วย ด้งนั้น ความเคลื่อนไหวของกองท้พบัญจาละจะเป็นอย่างไร จึงไม่พันไปจากความรู้
ของท่านมหาบัณฑิตแห่งมิถิลานครทุกระยะทีเดียว ที่ท่านมหาบัณฑิตได้รับรายงานจากทหารเหล่านึ่ “นคร
ทั้งหลายมีประมาณเท่านึ่ พระเจ้าจุลน้ยึดไวีได้แลัว อยู่ในอำนาจของท้าวเธอหมดแล้ว บัดนื้กำลังเคลื่อน

กองทัพไปทางนครทางโน้น ขอท่านอย่าได้ประมาทเลย”
เมื่อได้รับรายงานแล้ว ก็ส่งข่าวตอบไปยังทหารเหล่านั้นว่า “ที่นึ่เรามิได้ประมาทเลย เราเตรียม

พร้อมแล้ว ท่านทั้งหลายอย่าวิตกถึงเรา อุตส่าห์ระมัดระวังคน อยู่จงดีเชิด”


กล่าวถึงพระอธิราชจุลนี ทรงกรีธาทัพเที่ยวล่าแว่นแควันแดนดินรวมเช้าไวีในพวะราชอำนาจ
สิ้นเวลา ๗ ปีเศษ ได้บ้านเมืองเข้าไวีในเงื้อมพระห้คล้ ตลอดราชสมบ้ดิในสกลชมพูทวีปเป็นของท้าวเธอ

เกึอบทั้งหมด เวันแต่วิเทหรัฐเท่านั้น ยังมิได้มาอยู่ในพระราชอำนาจ ท้าวเธอปรารถนาจะยกกองท้พไป

ยึดเป็นแดนสุดท้าย จึงทรงปรึกษากับเกวัฎว่า “ท่านอาจารย์นครต่าง ตุ ในชมพูทวีปเราไต้ใวัแลัว เป็น


ของเราหมดแล้ว ยังเหลือแต่วาชสมบัติของวิเทหราชกรุงมิชิลาแห่งเดียวเท่านั้น เราจักยกกองท้พไปยึดเอา
ในคราวนึ่ ให้เป็นที่เสร็จสิ้นกันไป”

ราชปุโรหิตาจารย้กวาบทูลด้านท้นที “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าๆ พวกเราไม่


อาจจะยึดราชสมบ้ติในนครที่\~หสถอยู่พระพุทธเจัาข้า”
“ท้าไมนะ ท่านอาจารย์ มโหสถผู้นึ่ดือใคร” ตรัสลามด้วยทรงสนเท่ห์ “ท่านอาจารย์ไม่เคยย่อท้อ

kalyanamitra.org
๒๖๘

ต่อผู่ใดเลย นี่เหตุไฉนจึงมาย่นระย่อเช่นนี่เล่า”

“ขอเดชะ มโหสถเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแควันวิเทหรัฐพระพุทธเจ้าข้า” ปุโรหิตเกวัฎ


กราบทูลตอบ “บุคคลอื่นนอกจากมโหสถแล้ว เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าเป็นผู้ที่ไม่น่าหวาดเกรง ไม่น่าพรั่นพรึง

แต่คนอย่างมโหลถสมบูรณ์ด้วยความรู้หลักนักปราชญ์ และฉลาดในอุบายหลายหลากมากประการ หาก


พวกเราไปทำการชืดเมืองมิติลาแล้ว รักด้องเปลืองกำลังไพร่พลเป็นอันมาก และก็ไม่เป็นการแน่ด้วยว่า

จะพึงสำเร็จหรือไม่”
“อนึ่งเล่าพระพุทธเจ้าข้า การยุทธนาการที่จะกระทำกันระหว่างคู่คึก ด้องใคร่ครวญพินิจกัน

อย่างถ่องแท้ ยิ่งเป็นฝ่ายรุกด้วยแล้ว จำต้องเตรียมกันอย่างหนักทั้งคนทั้งวัตถุทีเดียว■ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

โปรดทรงพระกรุณาทราบ หลักของสงครามมีที่จะพึงยึดทั้งในการรุกและในการรับคือ อาวุธยุทธวิธี ขวัญ

อาหาร การเพิ่มพูนจำนวน และความสามัคคี...”

“ท่านอาจารย์ ฉนเห็นว่าทั้ง ๖ ประการนั้นปรากฏแล้วอย่างครบถ้วนในกองทัพเรา” พระอธิราช

ตรัสแย้ง “อาวุธหรือ? อาวุธของทวยหาญแห่งป้ญจาละของเรา ใครจะเทียม กองทัพแห่งราชาใดจะ


เทียบทัน ทูซิ ดาบเนตดิงสะ ดาบชั้นเยี่ยม นักรบแห่งกองทัพใดมีหรือในชมพูทวีป ที่ใชัดาบชนิดนี่ มัน

เป็นดาบชั้นเอกอุมิใช่หรือ ? นอกจากนี่อาวุธต่าง จุ ในกองทัพของเราก็มากมูล พอที่จะประหัตประหาร

ปรปกษ์แมัจะมีปรากฏตลอดชมพูทวีปก็ได้ สำมะหาอะไรกับมิติลานครเพียงหยิบมือเดียวอาวุธของปญจาละ

จะมิพอประหาร”
“ยุทธวิธีหรือ ? กองท้พปญจาละของเราได้รับการฟิกหัดรัดเจนในกระบวนรบ ทั้งทางรุกและ
ทางรับเป็นเยี่ยมในชมพูทวีป การจัดรูปขบวนในเวลาโจมดีเล่า แม่ทัพนายกองของเราล้วนแต่เชี่ยวชาญ

ในตำรับพิชัยสงคราม อาจบัญชาการโจมดีได้ถูกด้องทำนองยุทธ นำพลรบเข้ากระทำการรบโดยไม่เพลี่ยง-

พลํ้าเป็นอันขาด เมื่อกองทัพของเราสามารถอาจองถึงเพียงนี่ จะเป็นอันบกพร่องทางยุทธวิธีละหรือ ?

มิติลานครสักเท่ากระแบะมือจะรอดพ้นไปจากยึดครองของเราได้หรือ?”
“ขวัญหรือ? กองทัพของเรามีขวัญดีเยี่ยม เวลาที่ผ่านมาย่อมเป็นพยานได้ว่า ตลอดระยะเวลา
นานที่กองทัพได้เหยียบย่างไปในด้าวแดนชมพูทวีปอันมหาศาลนี่ ไม่เคยได้พบปราชัยเลย ไปที่ไหน รบ

ที่ไหน มีซัยทุกครั้งไม่เคยแพ้ ไม่เคยย่อย่น นักรบทุก *1 คนต่างคึกคะนอง มอบกายมอบซีวิตไวัแก่เราทั้ง

ลิ้น ขวัญของเขาคือด้วเรา ตัวเราเป็นจุดรวมแห่งขวัญของกองทัพป้ญจาละ กระนี่แล้วยังจะวิตกกังวล

อะไรอีกเล่า ในทางขวัญ?”
“อาหารหรือ? ท่านอาจารย์ กองทัพของเรามีเสบียงสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง นักรบของ
บัญจาละทุกคนไม่เคยรู้จักกับความอดเลย ตั้งแต่ยกออกจากเมืองมาจนกระทั่งบัดนี่ ยังอุดมสมบูรณ์ ยิ่ง

กว่านั้นเรายังได้รับเสบียงอาหารจากบรรดานครด่าง *1 ซึ่งลำเลียงมาส่งเป็นวาระตามกำหนด กองทัพของ

เราไม่มีวันประสบความอดอยากเลย ทั้งนี่เป็นหลักประกันอันมั่นคงในเรื่องเสบียงอาหารในกองทัพของ

เรา

kalyanamitra.org
๒๖๙

“การทวีจำนวนหรือ? ในกองทัพของเราสมบูรณ์ด้วยผู้คนพาหนะ นักรบของใ!ญจาละที่ได้


รับการฟิกฝน ชำนาญในการช่างต่าง ตุ ก็มีมาครบครัน ในด้านจำนวนพลก็เห็นว่า ๑๘ กองทัพใหญ่นี้ ก็

พอจะขยั้มิติลานครให้แหลกลงเป็นผงได้ ไม่ด้องคิดหากำลังหนุนจากไหนอีก ในทางวัตถุเล่า ของเราก็มี


พร้อมมูลอยู่แล้ว ตลอดเวลาที่กองทัพของเราได้เหยียบยำมาตลอดแดนชมพูทวีปจนบัดนี้ ก็ยังมิได้ถูกชิง

ออกไปเพื่อปะทะปรใ!กษ์เลย อาวุธยุทธภัณฑ์ของเราคงมีพร้อมมูลอยู่เสมอ แม้จะมีมิถิลานครอีก ๑0


นคร อาวุธยุทธภัณฑ์ที่มีมาก็เพียงพอที่จะประหัตประหารให้วอดวายไปได้ ไม่น่าวิตกในเรื่องจำนวนคน

และอาวุธยุทธภัณฑ์เลย”
“ความสามัคคีหรือ ? เป็นที่ประรักษ์อยู่แล้วมิใช่หรือ ? นักรบแห่งใ!ญจาละทุกคนมีอุดมคติ

ประจำใจอยู่ว่า “ไม่มีอะไรที่จะทำลายความเป็นปึกแผ่นได้ เมื่อยังคุมกันเป็นปีกแผ่นได้ตราบใด ความ

ย่อยยับก็ไม่ปรากฎ ถ้าแตกแยกกันเมื่อใด ความย่อยยับเป็นปรากฎเมื่อนั้น” ความแตกแยกนั้น แม้จะไม่ตอง

มีใครคอยทำลายล้างก็จะต้องย่อยยับไปเอง นักรบแห่งใ!ญจาละทราบคุณแห่งความเป็นปีกแผ่น และโทษ


แห่งความแตกแยกเจนใจอยู่ฉะนี้ จะเป็นไปได้หรือ ที่พวกเขาจะขาดความสามัคคีกัน ไม่น่าจะเป็นไปได้

เลย มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ากองทัพของใ!ญจาละเป็นปีกแผ่นแน่นหนา ไม่มีอะไรที่จะทำลายได้”

“ตามเหตุผลที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้ เห็นว่าจะเป็นเครื่องประกันความลมบูรณ์ด้วยหลักในการสงคราม

แห่งกองทัพของเรา ฉันไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวแม้แต่นิดเดียว ว่ากองทัพของใ!ญจาละจะต้องปราชัย ไม่ว่า


จะประรันบานกับกองทัพของใครในแผ่นดินชมพูทวีปนี้ เพราะเป็นกองทัพที่พร้อมทุกอย่าง สมบูรณ์

ทุกประการ ในหลักการแห่งการทำสงคราม ไม่มีข้อบกพร่องเลยสักอย่างเดียว ท่านอาจารย์เห็นอย่างไร

จึงระงับเสีย ไม่ยอมให้กองทัพของเราเหยียบแดนของวิเทหราช ฉันอยากเห็น อยากให้นักรบของใ!ญจาละ

ได้เห็นกำแพงมิติลานคร ”
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าๆ” เกวัฏไม่ยอมจำนน กราบทูลแถลงสืบไป “ตาม
ที่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มีพระราชดำรัสมา ข้าพระพุทธเจ้าก็เห็นด้วยเกล้าๆ ดังพระราชดำรัส อัน

กองทัพแห่งใ!ญจาละนั้นได้เตรียมไว้พร้อมสรรพ เพื่อถวายความเป็นเอกอัครราชแดใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
กรณียะอันใดที่ควรกระทำ เพื่อประกันความบกพร่องในหลักการสงครามก็ได้พยายามเพิ่มเดิม ได้พยายาม

สร้างสม จนกระทั่งถึงความสมบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง มีอาวุธดีเยี่ยม ยุทธวิธีเป็นยอดขวัญดียิ่ง อาหาร

สมบูรณ์ จำนวนเพียงพอ ความสามัคคีก็เป็นเลิศ กองทัพใดสมบูรณ์ด้วยหลักลงครามครบถ้วนดังนี้ กอง

ทัพนั้นตั้งอยู่ห่างจากความปราชัยในสมรภูมิอย่างลิบลับ จะกล่าวให้เต็มปากก็ได้ว่า จะไม่ประสบความ


ปราชัยเลย ข้าพระพุทธเจ้าไม่หวั่นวิตก และมิได้กังวลแม้แต่น้อยในเรื่องอาวุธยุทธวิธี ความมีขวัญ อาหาร

การทวีจำนวนเหล่านี้ แต่วิตกด้วยเกล้าฯ ในประการสุดท้าย คือความสามัคคี”

“ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณา

วิจารณ์ อันกองทัพแห่งบัญจาละมีกำลังมหาศาล ได้กรีธาออกจากบัานเมืองรอนแรมไปในแว่นแคว้น


แดนดินนั้น ตุ ทุกด้าวแดนที่กองทัพยกเข้าประชิดไม่มีแดนไหนจะต่อด้าน ต่างชินยอมน้อมถวายแว่นแคว้น

kalyanamitra.org
๒๗๐

แดนดินแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท กองทัพเรามีได้เข้าทำการรบราฆ่าพันกับใครเลย ใต้ฝ่าละอองธุลี

พระบาทมีพระดำรัสมาว่า ดาบของบัญจาละไม่เคยพันปรบักษ์ลักเล่มเดียว ลูกศรลักลูกเดียวก็ไม่เคยขิง


จากกองทัพ ทั้งนึ่เพราะไม่มีผู้ใดเคยต่อด้าน คงผ่านไปด้วยความยอมจำนนของอีกฝ่ายหนึ่ง การที่จะวัด

ความเก่งกาจของไพร'พลด้วยความไม่ต่อสู้ของฝ่ายดรงกันข้าม จะถือว่าเป็นการวัดที่ชอบด้วยเหตุผล หา

ถูกตองนักไม่ ความเก่งกาจนั้นควรจะวัดในเมื่อได้ประสบกับคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจ จึงชอบด้วยเหตุผล กองทัพ

ของปญจาละ ไม่เคยได้รู้รสแห่งการต่อสู้ที่แท้จริงลักครั้งเดียว ไพร่พลทุกคนคงมีแต่ความรู้สึกคะนอง


ไปตามอารมณ์ ยิ่งระยะกาลเนึ่นนานก็ยิ่งมีความทะนงดูหมิ่นในศัตรูหนักขนได้ บัดนึ่กองท้พบัญจาละจะ

ต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้อย่างแท้จริง คือกองทัพมิถิลานคร อย่างไรก็ตามที ที่จะยึดครองมิถิลานครได้ง่าย

นั้น ข้าพระพุทธเจ้าเหินด้วยเกล้าฯ ว่า เป็นไปไม่ได้ มิถิลาต้องป้องกันบ้านเกิดเมีองนอนของเขา ยิ่งกว่า

นั้นมิถิลานครยังมีผู้ฉลาดสามารถยอดเยี่ยมเป็นผู้บริหาร ฝ่ายเรามิได้ทราบความเป็นไปของมิถิลานครเลย

ว่ามีกำลังเพียงไร พรัอมมูลเพียงไร และดำเนินการอย่างไร กองทัพป้ญจาละมีมากทั้งไพร่พลพาหนะ

และอาวุธยุทโธปกรณ์ คะเนแล้วก็มากกว่าทางฝ่ายมิถิลาหลายเท่า แต่โปรดทรงพระกรุณาวิจารณ์ ไพร่


พลที่มากและมากด้วยความทะนงในชัยชำนะ เพราะไม่เคยมีใครสู้ ความที่ไม่เคยมีใครสู้นั้น กลับเป็น

ความเคยของไพร่พลมาแล้วตั้ง ๑๐๐ ครั้ง เมื่อเป็นเช่นนึ่พวกพลรบยังจะมีความรู้สึกนึกคิดไว้เผื่อความ

พรัอมเพรียง ไว้เผื่อเสียงสัญญาณ รุกพรัอมกัน และถอยพรัอมกันละหรือ? ข้าพระพุทธเจ้าเหินด้วย

เกล้าฯ พลรบแห่งบ้ญจาละลำพองไปจนถึงขาดความพรักพร้อม เมื่อหมดความพรักพร้อมแล้ว ถึงจะ

มีกำลังมากก็เหมือนมีนัอยเพราะขาดความเป็นปีกแผ่น เลยกลายเป็นส่วนย่อย *[ ไปหมด”


“ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท คงจะทรงรำลึกไดถึงเรื่องราวสงครามระหว่างกาลิงครัฐกับอัสสกรัฐ
แต่โบราณกาล ข้าพระพุทธเจ้าขอนำมากราบบังคมทูลในโอกาสนึ่ เพื่อเป็นแนวทางแห่งพระราชดำริโดย

สังเขป”
“พระเจ้ากาลิงคะทรงยกกองทัพมาประชิดพรมแดนแคว้นอัสสกะ ซึ่งมีพระเจ้าอัสสกะดำรง

ราชย์และอำมาตย์คนสำคัญซึ่อนนทเสนเป็นที่ปรึกษา เมื่อพระเจ้ากาลิงคะทรงกรีธาทัพมานั้น นนทเสน

อำมาตย์ได้ส่งสารถึงพระเจ้ากาลิงคะว่า “ตามทางที่ควรใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงพักพลอยู่ใน

พรมแดนของพระองค์ โปรดอย่าทรงล่วงลํ้าเข้ามาในรัฐสีมาแห่งจอมราชของข้าพระพุทธเจ้าเลย การรบ

จักมีที่พรมแดนของแคว้นทั้งสอง”
พระเจ้ากาลิงคะทรงเซือมั่นในกำลังพลพาหนะและอาวุธยุทโธปกรณ์ของพระองค์ซึ่งเจนศึก

มาแล้ว และไม่เคยมีใครสู้ใด้ก็ทรงหยุดกองทัพของพระองค์ไว้เพียงพรมแดน ตั้งคอยอยู่ในรัฐสีมาของ


พระองค์ที่พรมแดนนั้น มีพระดาบสมาบำเพ็ญตบะธรรมอยู่ พระเจ้ากาลิงคะได้ปลอมพระองค์เสด็จไป

หาพระดาบส ตรัสถามว่า “กาลิงคะ กับ ย์ส่ชกะ จะรบกัน กำลังตั้งกองทัพอยู่ในเขตแดนของตน *1 ใคร

จะเป็นฝ่ายชนะ ใครจะเป็นฝ่ายแพั"
พระดาบสถวายพระพรว่า “อาตมภาพไม่ทราบ แต่ท้าวสักกะเคยมาที่นึ่ อาตมภาพจะถามท้าว

kalyanamitra.org
๒๗๑

เธอแล้วจะบอกให้”
วันรุ่งขื้นพระเจ้ากาลิงคะปลอมพระองค์เสด็จไปพบพระดาบสอีก ได้ตรัสถามเรื่องการรบ

พระดาบสถวายพระพรว่า “ได้ถามท้าวสักกะแล้ว ท้าวเธอบอกว่ากาลิงคะจะเป็นฝ่ายมีซัย อัสสกะจะ

เป็นฝ่ายปราชัย”
“ได้พ้งเช่นนี้ก็พอแล้ว เพราะท้าวสักกะเป็นเทวราชย่อมมีทิพเนตรเห็นเหตุการณ์ได้ดลอด
พระเจ้าภาลิงคะและไพร่พลของพระองค์ต่างกระหยิ่ม ต่างลำพอง พระอินทร์ลงมาบอกแล้วว่ากาลิงคะ

จะมีชัย อสสกะจะปราชัย เรื่องนี้ได้เ๘-!ไปกว้างขวางถึงกองทัพชัสสกะ”

พระเจ้าอัสสกะทรงทราบแล้ว ตรัสปรึกษากับนนทเสน “ไดํยินเลียงโจษจันกันอื้ออึงว่าฝ่าย

กาลิงคะจะมีชัย จะท้าอย่างไรกัน ว่าพระอินทร์ลงมาบอกดังนั้น”


นนทเสนตรัสปลอบพระหทัย แล้วคิดใคร่ครวญธึงที่มาของข่าวลือ เห็นเด้าว่าคงมาจากพระ

ดาบส จึงไปหาพระดาบสบ้าง ก็ได้ทราบความตามนั้น แด่นนทเสนคงถามต่อไปถึงบุรพนิมิตแห่งความ

แพ้และชนะว่ามีอย่างไร ซึงฝ่ายกาลิงคะมิได้ถาม พระดาบสจึงแจังถึงบุรพนิมิตว่า

“อารักขเทวดาของฝ่ายชนะ เป็นโคศุภราชขาวปลอด ของฝ่ายแพ้เป็นโคคุภราชดำปลอด อารักข-


เทวดาของกองทัพทั้งสองรบกันหน้ากองทัพก่อน เห็นได้เฉพาะแม่ทัพเท่านั้น โคขาวปลอดของฝ่ายกาลิงคะ
จะมีซัยแก่โคดำปลอดของฝ่ายอัสสกะ นี้เป็นบุรพนิมิต”

นนทเสนกลับมากองทัพทันที พาทหารรักษาพระองค์ประมาณ ๑,000 คน ขื้นสู่ยอดเขาซึ่ง

อยู่ใกล้ *1 ฐานทัพ พลันประกาค


“พี่น้องทหารทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจักกล้าถวายชีวิตแด่พระราชาของพวกเราหรือไม่”

“พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย พร้อมที่จะถวายทุกเมื่อ” พวกนั้นพากันตอบ

“ล้าเช่นนั้น การตายของพวกเราทุกคน จักช่วยพระราชาของเราไว้ใด้ พวกท่านทุกคน จงโดด


ลงไป โดดลงไปจากภูเขานี”้ นนทเสนสั่งเฉียบขาด

ทุกคนตั้งท่าจะกระโดดจากเขาพร้อมกัน
“หยุด” นนทเสนสั่ง “ไม่ด้องโดดลงไปที่นี้ดอก ขอให้ทุกคนตั้งใจซืนบานที่จะถวายชีวิตแด่

พระราชาของพวกเรา จงพากันรบอย่างไม่ด้องถอยทีเดียวนะ”

ทุกคนรับคำ
ถึงคราวรบกัน กองทัพกาลิงคะ ด่างลำพองในความมีชัย ตามคำพยากรณ์ของท้าวสักกะ ตั้งแต่

จอมทัพจนถึงไพร่พลต่างระเริงไปหมด อย่างไรเลียเราก็ด้องชนะ อัสสกะด้องแพ้


พลรบต่างขาดต่อการเอาใจใสในหน้าที่ เกราะก็ไม่สวมต่างคนต่างประพฤติตามชอบใจ ขาด

ความพรักพร้อม แยกกันเป็นพวก *1 ยกเข้าต่อสู้กับชัสลกะ ควรจะรุกก็ไม่รุก ควรจะจู่โจมก็ไม่จู่โจม


จอมทัพทั้ง ๒ ต่างทรงม้า ขับเข้าประชิดกัน มีอารักขเทวดาประจำทัพหน้าไป ฝ่ายอัสสกะ
เป็นโคดำปลอด ฝ่ายกาลิงคะเป็นโคขาวปลอด เมื่อเข้าใกล้กันก็ถลาโถมเข้าขวิดกัน ปรากฏแก'จอมทัพทั้ง ๒

kalyanamitra.org
๒๗๒

นนทเสนคอยอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าอัสสกะราช พร้อมด้วยทหารคู้ตาย ๑,๐00 คน กราบทูลถาม


เรื่องอารักขเทวดาประจำทัพ เมื่อได้ทราบความตามที่พระดาบสบอกแล้ว ก็กราบทูลให้พระเจ้าอัสสกะ

ทรงพุ่งพระแสงหอกประหารโคเผือกชองฝ่ายกาลิงคะให้ถูก พระเจ้าอัส สกะทรงปฏิบัติตาม ทรงควบ


พระอาชาเข้าจนได้ ระยะพุ่งพระแสงหอกถูกโคเผือกทันที ท้นใดนั้นหอกอีก ๑,๐00 เล่ม ของทหารคู้ตาย
ก็ระดมไปยังเป้าหมาย คือจุดที่พระแสงหอกของพระราชาบ้กอยู่ อารักขเทวดาชองกาลิงคะก็เลยมอดม้วย
พระเจ้ากาลิงคะเห็นเทวดาประจำทัพสิ้นซีพก็เลียขวัญควบพระอาชาหันกลับ ทหารคู้ตายก็สำทับส่ง บุกบั่น

ตะลุยไล่ ไม่ยอมถอย ตายเป็นตาย พักเดียวฝ่ายกาลิงคะก็ปราชัย พระเจ้ากาลิงคะรอดไปได้


ตอนที่จะหนีจากสมรภูมิ พระเจ้ากาลิงคะได้ทรงตะโกนด่าพระดาบสว่า

“เฮย ได้ดาบสลวงโลก! มึงบอกไว้ว่า ฝ่ายกาลิงคะผู้ไม่มีใครคู้จะต้องชนะ ฝ่ายอัสลกะจะ


ต้องแพ้อย่างนึ่ คนที่เป็นคนตรงเขาไม่พูดเท็จดอกเว้ย!”

ต่อมาอีกสองสามวัน ท้าวสักกะมาหาพระดาบสอีก พระดาบสจึงต่อว่า


“ข้าแต่ท้าวสักกะ ทวยเทพเว้นเด็ดขาดซึ่งการกล่าวเท็จพูดแต่คำจริงอย่างยอดเยี่ยมทั้งนั้นมิใช่

หรือ?”
“ข้าแต่ท้าวมัฆวานเทวราชผู้เป็นใหญ่ พระองค์อาสัยเหตุใดเล่า จึงตรัสคำเท็จว่า กาลิงคะจะ
ต้องชนะ อัสสกะจะต้องแพ้นั้น”

ท้าวสักกะตรัสตอบ
“ท่านพราหมณ์ ท่านไม่เคยได้สดับบ้างหรือ ที่เขากล่าวกันว่า “ทวยเทพก็กีดกันความกัาวหน้า

ของคนไม่ได้”
“ฝ่ายอัสสกะมีชัย ด้วยองคคุณคือ การฟิกฝน ความมั่นใจ ความร่วมใจ ความไม่ย่อหย่อน การ
รุกในเวลาที่เหมาะ วิริยะที่มั่นคง และความรุดไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง”

เกวัฎนำเรื่องราวอันเป็นเนติสงครามแด,ปางอดีต มากราบทูลลน้บสนุนความคิดเห็นของตน

แล้วกราบบังคมทูลสรุป “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าๆ จากเรื่องอันเป็นเนติแด่ปางบรรพ

แสดงอย่างชัดว่า กาลิงคะต้องพ่ายแพ้แก่อัสสกะโดยประการสำคัญ คือความระเริงเหลิงในชัยชนะ จน


ไม่ลืมหูลืมตา ไม่เอาใจใส'ในหน้าที่ที่ต้องปฏินํติ ขาดความพรักพรัอม ต่างคนต่างทำตามอำเภอใจ ข้า

พระพุทธเจ้าคำนึงถึงเรื่องนํ่แล้วก็คิดด้วยเกล้าฯ ว่า กองทัพบ้ญจาละของเราก็น่าจะเคยคุ้นกับความที่ไม่มี

ใครคู้เสียนานแล้ว จะเป็นเหตุให้พระเกียรติยศของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสื่อมเสียไป
อีกประการหนึ่งเล่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงพระวิจารณ์ให้ถี่ถ้วนเถิด ราชสมบัติ

ในมิถีลานครเป็นของเล็กน้อย เมื่อเทียบราชสมบัติในสกลชมพูทวีปทีเรามี ย้ยู่ นั่นเป็นของพอแก่พวกเรา

แล้ว จะทรงประสงค์ทำไมด้วยราชสมบ้ติของมิถิลานครพระพุทธเจ้าข้า”
ที่เกวัฏกราบทูลตอนหลังนึ่ เป็นนัยให้พระอธิราชทรงอนุสรณ์ถึงแผนการที่ได้คิดกันไว้ตลอด

แล้ว

kalyanamitra.org
๒๗ส

พระอธิราชจุลนื ทรงสดับคำอันเป็นนัยของราชปุโรหิตก็ทรงหวนระลึกได้ทันทีด้วยทรงพระ-
ปฏิภาณ จึงมิได้ทรงซักไซํไล่เลียงอันใดอีก เป็นแต่พระราชทานพระราชกระแสรับสั่งให้กองทัพทุก รุ

กองตระเตรียมการไวให้พรัอมสรรพ เพื่อจะได้ยกกลับไปยังนครของตน รุ และทรงมีพระราชกำหนด


นัดพระราชาในนครนั้น *1 ให้เสด็จไปในพิธีดื่มซัยบาน ซึ่งจะได้ทรงจัดการประกอบขน ณ พระราชอุทยาน

กรุงปญจาละ
พระราชาผู้ครองนครทั้งมวล ที่ตกอยู่ในอำนาจของพระอธิราชจุลนืยอมนอบน้อมถวายบ้าน

เมือง และนำกองทัพมาสมทบกับกองทัพของพระอธิราช ได้เข้ามาชุมนุมเฝ็าอยู่ด้วยในที่บัญชาการทัพ

ของพระเจ้าจุลนื ได้สดับลัอยคำทัดทานห้ามปรามของปุโรหิตเกว้ฏด่อพระราชดำรัสของพระอธิราชอี
มิได้พอพระหฤทัยไปตาม *1 เหตุที่มิพอพระหฤทัยของพระราชาเหล่านึ่มีอยู่คือ บ้านเมืองของตน รุ ต้อง

ตกเป็นของพระอธิราชหมดแลัว ดินแดนในชมพูทวีปซึ่งแต่ก่อนแบ่งเป็นส่วนสัด ตนได้ปกครองเป็น

เอกราช มาบ้ดนึ่ความเป็นเอกราชนั้นได้เสิ่อมสูญไปแลัว แผ่นดินที่เป็นส่วนของตน รุ เป็นของพระอธิราช

จุลนืหมดแล้ว ตนก็ต้องเป็นประหนึ่งทาสของกรุงบัญจาละ กรุงป้ญจาละบงการความเป็นไปในบ้านเมือง


สิทธํ่ขาด มีอำนาจเหนือทุก *1 อย่าง ความเป็นราชาของตนอันรุ่งเรืองแต่ดั้งเดิม บ้ดนึ่ก็เป็นเพียงหุ่นซึ่ง

แล้วแต่ผู้เชิดจะซัก ความที่เคยรุ่งเรืองกระเดื่องด้วยอิสริยยศ ลดลงตํ่าด้อยด้อยหนักหนา แต่กรุงมิถิลา

พระเจัาวิเทหราชยังดำรงเอกราชอยู่มิต้องตกตํ่าทำนองเดียวกับตน มิต้องกระทบกระเทือนเหมือนพวก

ตน เป็นพระนครที่ดีกว่าประเสริฐกว่า เป็นพระราชาพระองค์เดียวที่มิได้ถูกขู่ข่ม คงรุ่งเรืองด้วยพระราช

อำนาจ ตามที่ดำรงอยู่ในฐานะอันตนก็เคยดำรงมา และมิได้ตกตํ่าลงตามตนด้วย

ทั้งนึ่เป็นความหม่นหมองของจิตใจที่ตํ่าทราม อันจะเป็นสาเหตุให้เกิดความคิดชนิดที่ไม่อยาก

ให้ใครดีกว่าตน ทนดูมิได้แล้วในความจำเริญรุ่งเรืองของผู้อื่น เมื่อความคิดนึ่เกิดขื้น ก็จะต้องเป็นช่อง

ให้คิดหาลู่ทางที่จะจำเริญรุ่งเรืองนั้น รุ ให้ตกตํ่าลงมาเช่นตนจึงจะพอใจ หรือล้ายิ่งตกตาลงยิ่งกว่าตนได้

อีกเพียงไร ก็ยิ่งจะเพิ่มความพอใจมากขื้นเพียงนั้น ดังนั้นแหละความดำรงเอกราชอยู่ได้แห่งกรุงมิถิลา


จึงเป็นประหนึ่งหนามยอกนัยน์ตาของพระราชาอื่น รุ ซึ่งหมดอำนาจราชศักดิ๋แล้ว
เมื่อปุโรหิตเกวัฎกราบทูลห้ามพระเจัาจุลนืมิให้ยกทัพไปยํ่ายีมิถิลานคร ทำให้ท้าวเธอยั้งพระ-

หฤทัยจนถึงมีพระราชดำรัสให้เตรียมทัพกลับ พระราชาเหล่านั้นจึงพากันตรัสว่า “พวกเราต้องยึดราช­

ดมบ้ดิในกรุงมิถิลาให้ได้ก่อน จึงจะดื่มชัยบานกัน”
“อย่าเลยพระพุทธเจ้าข้า” เกวัฏกราบทูลห้าม “อย่าได้ทรงดำริถึงการที่จะยกกองทัพไปยึด

มิถิลาเลยพระพุทธเจ้าข้า”
“ทำไมหนอท่านเกวัฏ” พระราชานั้น รุ ซัก “ความเป็นเอกราชในสกลชมพูทวีป ความเป็น
อัครราชาในแผ่นดินทั้งหมด มิได้เป็นที่มุ่งหมายในการกระทำของพระอธิราชเจ้าแห่งเราหรือ”

“ถูกแล้วพระพุทธเจ้าข้า” เกวัฎกราบทูลสนอง “ความเป็นเอกราชในสกลชมพูทวีป เป็นความ


มุ่งหมายในการที่พระอธิราชทรงกระทำครั้งนึ่ ทั้งนึ่เพื่อจะทรงแผ่พระบารมีให้กว้างขวางเป็นทางทะนุ

kalyanamitra.org
๒๗๔

บำรุงบ้านน้อยเมืองใหณ์ ทุกเขตแควันให้ได้รับความผาสุกสำราญด้วยพระปรีชาอันสุขุมดัมภีรภาพ จึง


ได้ทรงอดทนฝ่าความลำบากตรากตรำ นำทวยหาญออกเที่ยวยึดบ้านล้อมเมือง เพื่อขอให้รวบรวมก้นฟ้า
มาแต่โดยดี การก็เป็นที่เรียบร้อยลมพระราชประสงค์ ใต้ฝ่าพระบาททั้งหลายล้วนทรงเล็งเห็นในพระเดช

พระคุณของพระอธิราช ได้อ่อนน้องงยอมถวายบ้านเมือง มิได้ทรงกระทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัย


ของพระอธิราช ทั้งมิได้ทรงกระทำให้เปลืองซีวิตของไพร'พล นั่นเป็นการชอบการควรแล้ว”
“นั่นสิ! ฉันเซือว่า กรุงมิติลาคงทำนองเดียวก้นนั่นแหละ ที่ไหนจะแข็งขึงขืนขัดให้เป็นที่

เดือดร้อน” พระราชาทั้งหลายดำรัสตามที่ทรงคิดเห็น

“ความคิดเห็นของข้าพระบาท มิได้เป็นดังนั่นดอกพระพุทธเจ้าข้า” เกวัฏโต้ “ช้าพระบาท


เห็นว่าจะต้องไปยึดราชสมบัติในวิเทหรัฐทำไมให้เหน็ดเหนื่อยลำบากเปล่า *1 บัดนื่พระเจ้าวิเทหราชนั่น
ก็เหมือนอยู่ในกำมือของเราทั้งหลายแล้ว เพราะความเป็นหนึ่งในจำนวนร้อยนั่น ก็เหมือนกับรวมอยู่ใน

จำนวนร้อยแล้วโดยปริยาย เชิญใต้ฝ่าพระบาททั้งหลายเสด็จกลับนครเถิด”

พระราชาเหล่านั่น ทรงสดับคำของเกวัฎแลัวก็มิได้รู้ว่าปุโรหิตคิดการไวัอย่างไร เพราะเป็น

ความใน และพูดเป็นนัยด้งนั่น แต่ก็เห็นว่าแม้จะพูดจาอย่างไร การไปยึดเมืองมิถิลานครคงไม่สำเร็จลง

ได้ ทั้งองค์พระอธิราชจุลน็ก็มิได้ทรงสนับสนุน ทรงยินยอมกับพราหมณ์เกวัฎไปแล้ว จึงด่างพระองค์

ก็คุมกองทัพเสด็จกลับนครของตน
บรรดาผูลึบราชการลับของท่านมหาบัณฑิต ได้สดับเหตุการณ์ต่าง จุ ถีล้วน ก็ส่งข่าวบอกไปยัง

ท่านว่า “พระเจ้าจุลน็พรหมทัตมีพระราชาร้อยเอ์ด แวดล้อมเป็นราชบริพาร จะเสด็จมายึดกรุงมิถิลาอยู่


แล้ว แต่คูกเกวัฎพราหมณ์ห้ามเลีย ก็พาก้นเสด็จกลับเมืองของตน จุ ทั้งพระเจ้าจุลน็ก็เสด็จกรีธาทัพกลับ

กรุงบ้ญจาละแลัว มิติลาเห็นจะปลอดภัยสงคราม”

kalyanamitra.org
๓๘. พิธีช์ยบานลม
พวะเจัาจุลนืพรหมท้ตกรีธาทัพกลับพระนคร หลังจากที่ได้ทรงซีดนครค่าง 1 เข้าไว้ในพระ-
ราชอำนาจหมดลิ้นแล้ว เว้นแค่พระนครมิถิลาแห่งเดียวเท่านั้น จึงทวงปรึกษาลับท่านเภวัฎราชปุโรหิตาจาวซี
ว่า “ท่านอาจารย์ บัดนํ๋การซีดนครค่าง *1 ได้สำเร็จลงแลัวโดยวาบรื่น ราชสมบัติในสกลชมพูทวีป ทับ

ว่าเป็นของเราแลัว เว้นแควเทหรัฐเท่านั้นยังดำรงเป็นเอกราชอยู่ เราจะท่าประกาวใดต่อไปเล่า”

ปุโรหิตาจารย้ชาญอุบาย ทูลสนองพระบรมราชโองการว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท


ปกเกลัาๆ ต่อจากนํ่ ควรเริมจัดการมหกรรมพิธีฉลองชัย คึอ ชัยบาน่ ด้วยชัยบานนั้แหละราชสมปติใน

พระนครมิถิลาจักด้องตกมาเป็นของเรา ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจักทรงพิชิตชมพูทวีป”
พระเชัาจุลนึ จึงมีพระราชกระแสดำรัสสั่งราชเสวกให้ตระเตรียมงานพระราชพิธีชัยบาน ให้

ดกแต่งพระราชอุทยาน ตระเตรียมสุราไว้เป็นจำนวนรัอยโอ่งพ้นโอ่ง ตระเตรียมของบริโภคยันมีรสโอชา


ประกอบด้วยปลาและเนั้อปรุงเป็นอาหารค่าง *[ ให้เพียงพอ และมีพระกระแสรับสั่งบอกไปถึงพระราชา

ในนครค่าง *1 ทั่วชมพูทวีป เชิญเสด็จมาร่วมรับพระราชทานชัยบาน แม้พระเชัาวีเทหราชก็ได้รับเชิญ


ระหว่างที่กรุงบัญจาละกำลังตระเตรียมงานชันมโหพารตามแผนของเกว้ฎกับพระอธิราชอยู่
นํ่ บรรดาผู้สืบราชกาวลับของท่านมหาบัณฑิตมีได้ล่วงรู้ความในของพิธีชัยบานครั้งนื้ว่า เพึ่อความเป็น
เอกยัควราชของพระเจัาจุลนึ บรรดาพระราชาที่เสด็จมาร่วมสันนิบาต จะมิได้มีพระชนม์กลับคึนไปบัาน
เมือง แม้แค่พระสรีระร่างก็ถูกโยนลงในคงคา ผู้สืบราชการลับจึงรายงานไปยังท่านมหาบัณฑิตว่า “บัดนื้
ทางกรุงบัญจาละกำลังตระเตรียมจัดให้มีพิธีดื่มชัยบานเป็นการใหญ่ เจัาหน้าที่กำลังตระเตรียมตกแต่ง
พระราชอุทยาน ยันจะเป็นสถานสโมสรอย่างรีบด่วน ความเป็นไปในบัญจาละดูครึกครื้นดื่นเด้นมโหพาว
มาก และได้ทราบว่าพระราชาในสกลชมพูทวีป ก็จะได้รับเชิญมาร่วมงานสันนิบาตนั้มิได้เว้นพระองด็ ”
ท่านมหาบัณฑิตได้ทราบข่าวด้งนั้น ก็ตระหนักทันทีว่า “เกวัฏกำลังดำเนินแผนการรัายตาม
ความคิดของตน เป็นแผนความคิดที่สามานย์นัก” จึงตอบข่าวไปยังผู้สืบราชการลับว่า “ให้คอยสืบให้ทราบ
วันกำหนดที่แน่นอนว่า การดื่มสุราฉลองชัยคราวนั๊ พระเจัาจุลนิทรงกำหนดแน่นอนวันไหน แล้วจงบอก

แก่เราโดยเร็ว”
ต่อมาอีก ๒-๓ วัน ผู้สืบราชการลับก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งเสร็จลิ้นไป ส่งกำหนดการที่แน่นอน

บอกไปยังท่านมหาบัณฑิต

kalyanamitra.org
๒๗๖

ท่านมหาบัณฑิต ทราบกำหนดการพิธีชัยบานแล้ว ก็นำมารำพึงว่า “ในพิธีชัยบานของพระราชา


ในสกลชมพูทวีปคราวนื่ ที่ไหนจะมีพระราชาพระองค์ใดล่วงรู้ว่า ภายในของพิธีชัยบานนั้นมิได้มีความ
รื่นรมย์ ซัวขณะก็ไม่มี ในชัยบานมีสิ่งที่ดัดรอนแม้ชีวิตที่กำลังรื่นรมย์ นอกจากเราแลัว เห็นว่าไม่มีพระ-

ราชาพระองค์ใดได้ทรงทราบ อนาถหนักหนา! ทุกๆ พระองค์ก็ต้องตกเป็นเหยื่อแห่งความคิดอันสามานย์


ความคิดของคนอันธพาล แต่เมื่อบัณฑิตเช่นเรายังมีอยู่และทั้งรู้ความในของชัยบานครั้งนั้ พระราชาทั้งหลาย
ก็ไม่ควรจะสิ้นพระชนมซ็พ การที่ได้รับยกย่องว่าเป็นบัณฑิตจะเป็นประโยชน์อะไร จะมีความหมายตรง

ไหน ในเมื่อไม่สามารถจะบัดเป่าอันตราย แม้ที่ตนทราบชัดถึงมูลเหตุอยู่อีกทั้งอุบายที่จะบัดเปาก็มิได้เกิน

วิสัยสามารถของตน ดังนั้นเมื่อมีเราอยู่ พระราชาทั้งหลายก็ต้องมีพระชนม์อยู่ เราจักเป็นที่พึ่งของพระ-

ราชาเหล่านั้น” ดำริแล้ว ก็คิดวางแผนการทำลายล้างพิธีชัยบานของกรุงบัญจาละโดยตลอด เห็นแยบคาย


แน่ และมีหนทางที่จะทำให้สำเร็จได้แน่ จึงเรียกประชุมพวกทวยหาญที่เป็นสหชาติทันที

เมื่อพรักพร้อมกันแล้ว ท่านมหาบัณฑิตจึงแจ้งให้ทราบว่า “สหายทั้งหลาย ที่ต้องเรียกพวกเธอ

มาประชุมพร้อมกันครั้งนื่ เนื่องด้วยมีธุระสำคัญจะต้องวานพวกเธอทุก ๆ คนให้ร่วมมีอกันกระทำ กิจ

นื่จึงจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ความองอาจของพวกเธอ ขอให้ทุกคนจงตั้งใจปฏิบัติการตาม

ที่ฉันสั่งต่อไปน”

“ก่อนอื่น ควรจะได้รู้ด้นสายปลายเหตุของเรื่องที่จะให้พวกเธอไปกระทำครั้งนื่ไวัด้วย คือฉัน

ไดํยินข่าวมาว่า พระราชาจุลนีกรุงบัญจาละมีพระดำริให้คนตกแต่งพระราชอุทยาน งดงามตระการตา เป็น


รมณียสถาน พร้อมทั้งมีพระราชดำรัสให้จัดแต่งตั้งบัลลังก์อาสน์ สำหรับเป็นที่ประทับนั่งของพระราชา

ทั้งหลายจำนวนร้อยเอ็ดพระองค์ พระเจ้าจุลนีมีพระราชาเหล่านั้นแวดล้อมเป็นราชบริวาร เสด็จสู,พระราช


อุทยานประทับเหนือบัลลังก์อาสน์พรักพร้อมกันแล้วก็จะดื่มสุราชัยบาน”
“กิจที่ฉันจะให้พวกเธอกระทำนั้น ข้อใหญ่ใจความก็อยู่ที่ข้ดขวางมิให้พระราชจุลนีกับพระราชา

ทั้งหลายดื่มชัยบานได้ แต่วิธีปฏิบัตินั้น ควรให้เป็นไปในทำนองที่แนบเนียน ดังนั้นจึงควรกระทำดังต่อ

ไปน”
“พวกเธอจงพากันไปในพระราชอุทยาน ตรงไป ณ สถานที่อันจะเป็นที่ประทับของพระราชา

ทั้งหลาย ■เมื่อได้เห็นอาสน์ที่เจ้าพนักงานจัดไว้เรียบร้อยเรียงราย แต่ยังหามีพระราชาพระองค์ใดประทับ

นั่งอยู่ไม่ เธอทั้งหลายจงชิงเอาอาสน์ชึ่งเขาจัดไวิในลำดับต่อกันกับอาสน์ของพระเจ้าจุลนีแล้วประกาศ

ว่า ‘นื่เป็นอาสน์อันมีค่ามากของพระราชาแห่งพวกเรา’ พวกข้าราชการฝ่ายโนัน คงจะด้องเอ่ยถามชื้นว่า

‘พวกท่านเป็นคนของใคร’ เธอจงตอบตามความจริงว่า ‘เป็นข้าราชการของพระเจ้าวิเทหราช’ พวกเขา


คงจะพูดกับพวกเธอว่า ‘คราวที่เราทั้งหลายไปล้อมยึดเอานครนั้น *1 เป็นเวลาถึง ๗ ปีเศษ ก็มิได้เห็น

พระราชาอันมีพระนามว่า วิเทหะ ลักวันหนึ่ง พระราชาที่พวกท่านอัางนั้น จักชี่อว่าพระราชากระไรได้

ไปเถิดท่านทั้งหลาย โนัน อาสน์ท้ายสุดโน่นเป็นที่ลมควรแก่พระราชาของพวกท่าน เชิญจองไว้เถิด’ พวก

เธอจงเถียงว่า ‘พระราชาพระองค์อื่น ๆ ยกพระเจ้าจุลนีพรหมทัตเสียแล้วที่จะยิ่งไปกว่าพระราชาของ

kalyanamitra.org
๒๗๗

พวกเราไม่มีเลย พระราชาของพวกเรายังเป็นเอกอยู่ ในเมื่อพระราชาทั้งหลายหมดเอกราชไปแล้ว” พูด


ฉะนี่แล้วจงทุ่มเถียงให้มากชื้น แล้วพูดว่า “เมื่อพวกเราไม่ได้แม้แต่อาสน์ที่สมควรเพื่อพระราชาของพวก

เรา พวกเราก็จักไม่ให้ท่านทั้งหลายลิ่มสุราและบริโภคกับแกล้มที่ตกแต่งไว้ ณ บัดนี”่


ครั้นพูดแล้วจงพรอมกันเปล่งเสียงโห่ริ'องก้องสนั่น ให้ข้าราชการฝ่ายโน้นเกิดความสะดุ้งกลัว

จงช่วยกันทุบต่อยไหสุราสาดเทม้จฉมังสาหาวเสีย ทำให้บริโภคไม่ได้ต่อไป เสร็จแล้วรีบเข้าไปปะปน


เสียกับพวกเสนา พากันเปล่งเลียงโห่ร้องให้อึกทึกครืกโครม แล้วร้องประกาศว่า “เราทั้งหลายเป็นคน

ของมโหสถบัณฑิตในกรุงมีถิลา ล้าพวกท่านสามารถก็มาสี! มาจับพวกเราเถิด” ให้ข้าราชการฝ่ายโน้น

ร้ว่า “พวกเธอหนีไปได้แล้ว” จงพากันมา “อย่าให้เลียทีได้”


“นี่เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อขัดขวางในการลิ่มชัยบาน ขอให้พวกเธอจงพากันไปปฏิบัติให้ได้ผลสม
ความปรารถนาของฉันให้จงได้ การกระทำคราวนั๊จะอำนวยผล เป็นคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ไพศาลทีเดียว”

พวกทวยหาญสหชาติอ้นเป็นบริวารเหล่านั้น รับคำสั่งทำความเคารพท่านมหาบัณฑิตแล้ว ก็

รัดแจงแต่งกายสวมเกราะสอดสวมอาวุธครบล้วน พากันเดินทางออกจากกรุงมีถิลา เพื่อไปปฏิบัติการ

ตามคำสั่ง
พระราชอุทยานกรุงบัญจาละได้รับการประดับประดางดงามราบรื่น ที่รกเรื้อรุงรังก็ถูกถางแผ้ว

กวาดสะอาดโปร่งตา ที่เกะกะกีดขวางก็ถูกลิดรอนทอนบั่นฟนที่งจนราบเรียบ พื้นพระราชอุทยานเล่า ก็

ทุบวาบปราบเรียบ ดูราบรื่น ที่บันเป็นถนนหนทางก็ถากถางฉาบดินคูสมํ่'แสมอ สองฟากถนนบักธงชาย

ธงแผ่นผ้า ในระหว่างป้กฉัตรห้าชั้นเจ็ดชันเป็นหลั่น รุ ไป ราชวัติอ้นวิจิตรบรรจงแวดวงไปทั่วบริเวณ

ท่ามกลางอุทยานมีราชสัณฐาคารโอ่โถงมโหฬาร ประดับด้วยอลังการนานาชนิด บุปผาชาติอ้นร้อยกรอง


ด้วยนืมือมาลาการเป็นพู่พวง ห้อยย้อยเป็นระย้าพิศเพลินดาพาเพลินใจ ภายในตั้งราชบัลลังก็อ้นวิจิตรด้วย
รัตนแพรวพราว สำหรับเป็นที่ประทับของพระราชาทั้ง ๑0® และพระอธิราชจุลนี ทุก รุ ราชบัลลังก็

ก็มีเศวตฉัตรกางกั้นทุกที่ พระราชอุทยานกรุงป็ญจาละในยามนั้น งามละม้ายน้นทวันในทิพาลัยดาวดึงส์

ทวยหาญสหชาติของท่านมหาบัณฑิตพากันเข้าสู่อุทยานอ้นงดงามในวันอ้นเป็นกำหนดลิ่มชัยบาน
ได้เห็นสิริราชสมปติอ้นโอฬารของพระราชา ทำให้เพลิดเพลินพูดชมกันเป็นกลุ่ม รุ ในหมู่ตน ชมนั่น

ชมนี่ซ็ชวนกันชมจนเกือบใกล้เวลาที่พระราชาทั้งหลายเสด็จมาสู่พระราชอุทยาน พวกหนึ่งก็พากันเข้าไป

ในลัณฐาคาร นอกนั้นพากันคอยอยู่ตามที่ตั้งสุรา และปลาเนึ่ออ้นเป็นกับแกล้ม

พวกที่เข้าไปในสิ'ณขิาคารก็เที่ยวไต่ถาม ทราบว่าพระราชอาสน์ของพระเจัาจุลนีอยู่ ณ ที่ใด

แล้ว ก็พากันกรูเข้าไป ณ พระราชอาสน์อ้นถัดลงมา พลางบอกว่า “นี่แน่ะพวกเรา พระราชอาสน์ของ

พระราชาแห่งเราอยู่น”ี่

ข้าราชการของกรุงป้ญจาละ ผู้ดูแลควบคุมสัณฐาคาวก็ถามว่า “พวกท่านเป็นคนของใคร พระ

วาชาของท่านทรงพระนามว่าอะไร”
“พวกเราหรือ?” สหชาติโยธาเอ่ย “พวกเราเป็นข้าราชการของพระเจัาวิเทหราชสิ! ท่านทั้ง

kalyanamitra.org
๒๗๘

หลายไม่ได้ชินพระนามยันกระเดื่องของพระองส์ท่านเลยหรึอ ? ”
“คราวที่พวกเราไปด้อมซีดพระนครด่าง *1 ท้วสกลชมพูทวิปเป็นเวลานาน ๗ ปีเคษ ไม่เคย
เห็นพระเข้าวิเทหวาชลักวันหนึ่ง” ข้าราชกาวกรุงบัญจาละแย้ง “วิเทหราชของพวกท่าน มีซี่อแด่เพียง

เป็นราชาเท่านั้น ไม่เห็นจะมีความสามารถองอาจอะไร พวกท่านยกย่องชื้นเพราะไม่มึผู้ใดจะดีกว่า การ


ที่ได้วับยกย่องเพราะไม่มีใครจะดีกว่านั้น เป็นความยกย่องที่ส่อความดํ่าปรีชาของผู้ยกย่อง ไม่น่าจะเป็น

บุคคลพิเศษอะไร”
“พระราชาของพวกเราจะเป็นบุคคลพิเศษหรึอไม่ดีเข็ญพิจารณาดู” ทวยหาญแห่งวิเทหรัฐ
โด้ “ในเมือพระราชาทังหลายตกอยู่ในอำนาจของพระอธิราชจุลนึหมดแลัว พระเข้าวิเทหราชยังคงเป็น
อิสระอยู่มิใช่หรึอ ? การที่สามารถค่ารงความเป็นอิสระอยู่ได้ ในเมือผู้อินในฐานะเดียวกันหมดอิสระไป
นั้น จะยังไม่ดวรยกย่องว่าเป็นบุคคลพิเศษล่ะหรึอ ?”
“อิสระที่ไม่ถูกใครข่มน่ะหรึอ ?” พวกป้ญจาละว่า “เป็นอิสระอยู่ได้เพราะไม่ถูกข่มเหงรุกราน

แค่นจะเอามานิยมชฟ่ข็นด้วย” พูดแลัวก็สรวลเสกัน
“ดีใครเขาไปห้ามเล่า ท่านเอิย” พวกวิเทหรัฐเย้ย “การที่สามารถรุกรานและได้รุกรานมาแลัว
ที่วแดนดิน แต่ไม่ไปรุกรานพระราชาของเรานั้น ปล่อยให้พระราชาของเราคงเป็นอิสระอยู่นั้น เป็นชัปยศ
ของใคร เป็นความผิดของใคร การที่สามารถรุกรานแลัวไม่รุกรานจะเรียกว่าเป็นความไม่กลัา ความขลาด

พวกผู้รุกรานเองดีได้ใช่ไหมล่ะ”
“ดูหมิ่นกันหนักไปละ” พวกป้ญจาละพูดด้วยเสียงโกรธ
“มิได้ พวกข้าพเข้าไม่ได้ดูหมิ่นใคร” พวกวิเทหรัฐปฏิเสธ
“แด่เหตุผลบ่งซัดอยู่เช่นนั้นนึ่ ท่านทังหลาย'’
“ไม่ได้ วิเทหราชไม่สมควรกับอาสนะนึ”่ พวกบัญจาละซีนคำ
“พระเข้าวิเทหราช สมควรกับพระวาชอาสน์นึ่เป็นอย่างยิ่ง” พวกวิเทหรัฐเถึยง “พระเข้าวิเทหราช

ด้องอยู่ค่เดียงกับพระอธิราชจุลนิ”
“เวลาเหนึ่อยยาฦตรากดรำสิไม่เห็นหน้า เวลารื่นรมย์จะมาหมายจองที่ดีที่เด่น อย่างนึ่ใข้ไม่ได้”

พวกบัญจาละเสียงแข็ง “โน่น อาสนะสุดท้ายโน่น เหมาะแก่วิเทหราชผู้ไม่ยอมร่วมในความเหนึ่อยยาก

หากจะหมายร่วมพิธีชัยบาน”
“ไม่ยอม พระวาชาของพวกเราด้องประทับพระราชอาสน์นึ่” ฝ่ายมิถิลายั่ว “เป็นไรดีเป็นกัน

พระราชาของพวกเราเป็นเอกราช เป็นอิสระ จะให้ประทับสุดท้ายพระราชาประเทศราช มีแบบฉบับ


ที่ไหน”

ฝ่ายบัญจาละภิไม่ยอม ฝ่ายมิถิลากึไม่ยอม ฝ่ายกรุงมิถิลาดีจะแย่งจองให้ได้ ฝ่ายกรุงบัญจาละ


ก็ไม่ยอม เอะอะกันเอ็ดอึง ในที่สุดสหชาติโยธาจึงพูดชื้นด้วยเสียงชันด้ง “เมิ่อเราไม่ได้อาสน์ชันสมควร
เพื่อถวายแด่พระราชาของพวกเรา พวกเราก็จะไมให้พวกท่านได้ดื่มสุรา และบริโภคมัจฉมังสาหารเหล่านึ่

kalyanamitra.org
๒๗๙

เป็นอันขาด”
พูดแลัว ถีบันลึอสิงหนาทโห่รัองถีกกัอง กรูเกรึยวกันเข้าทุบต่อยเดะถีบไหสุรา และเทมัจฉมัง-
ลาหารเสียหมด ใ1ชัการอะไรมิไอั ครันแลัวถีคุมกันฟ้าคลุกคลึปะปนไปกับพวกพลเสนา พากันส่งเสียง
โห่รัองอึงคะนึงประกาศกัองว่า “เราท้งหลายเป็นคนของมโหลถบัณฑิต ณ กรุงมิติลา กัาพวกท่านลามารถ

ถีเข็ญเติด เข็ญซิเข็ญจับพวกเรา”
ขณะที่ความโกลาหลอลหม่าน ยังปรากฎอยู่ในพระราชอุทยานกรุงบัญจาละนั่นแหละ ทวยหาญ

สหชาติของท่านมหาบัณฑิต บ่ายหน้ากลับมิติลานครอย่างปลอดภัยทุกคน

kalyanamitra.org
๓๙. มิถิลาถกล้อม
ฝ่ายข้าราชการกรุงป้ญจาละ ซึ่งตกประหม่าในเหตุการณ์อันมิคาดคิดว่าจะเกิดชื้นรุนแรง ก็กลับ

มาเกิดชื้นโดยหมดหนทางแก้ไขป้องกัน “สุราทุกไหหกไหลไปตามพื้นดินหมด ไหนับพันถูกทุบแตกละเอียด

เป็นชื้นเป็นเสี่ยง กับแกล้มทุกจานถูกเทสาดคลุกกับฝ่นกับดินกินไม่ได้ ราชวัติฉัตรธงหักล้มระเนระนาด

การดื่มชัยบานถูกทำลายลงแล้ว ถูกทำลายลงด้วยมือของข้าราชการกรุงมิถิลา คนของมโหสถบัณฑิต เสียดาย


นักความสวยงามของพระราชอุทยานหมดไป ความครึกครื้นรื่นเริงหายไป เสียดายนัก เหล้าดี รุ และกับ-

แกล้มอันโอชามาถูกทำลายเสียเปล่า รุ” เมื่อได้รำพึงรำพันด้วยความเลียดาย ผสมกับความเดือดแค้นจน

ไม่รู้จะท้าอย่างไร ก็ต้องนำความชื้นกราบทูลแด,พระเจ้าจุลนี ซึ่งก้าลังประทับร่วมบันเทิงอยู่กับพระราชา

๑๐6) อันแวดล้อมประหนึ่งดวงดาราเกลื่อนฟ้า เข้าแวดล้อมดวงจันทร์

พระอธิราชจุลนีกำลังมีพระหฤทัยเต็มตนไปด้วยพระปีติในการที่จะได้ทรงครอบครองสกล

ชมพูทวีป เป็นเอกอัครราชาธิราชผู้พิชิตชมพูทวีป ทรงเพ่งมองพระราชาอันมาแวดลัอมด้วยพระเนตร


อันเปียมด้วยโสมนัส ในบางขณะก็ทรงพระการุญ ไม่มีพระประสงค์จะทรงปลดพระชนม์เลียด้วย อุบาย
ด้งที่ก้าลังคิดกระท้า “น่าสมเพชพระราชาเหส่านึ่ จะมีพระชนม์อยู่ไม่ทันจะได้เห็นแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์

ในวันรุ่งชื้น และจะไม่ได้เห็นต่อไป” ในบางขณะพระหฤทัยก็หมุนกลับไปด้วยความทะยานในพระราช

อำนาจ “เราด้องการความเป็นใหญ่เป็นเอก ความเป็นใหญ่เกิดชื้น ณ ที่ใด ณ ที่นั้นความเป็นนัอยก็ไม่


เป็นสิ่งสำคัญ และล้ายังปรากฎเหลืออยู่ก็เป็นเสมือนเสี่ยนยอกแสยงอยู่ในความเป็นใหญ่ จำเป็นด้อง

.กระทำตามแผนความคิดที่กะไวั”

ขณะนั้นพอดีข้าราชการหนัาตาดื่นเข้ามากราบทูลอย่างละลํ่าละลัก “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลี

พระบาทปกเกล้าฯ พระอาญามิพันเกล้าฯ ได้โปรดเกล้าฯ เถิดพระพุทธเจ้าข้า”


“อะไรกันนะ เกิดเรื่องอะไร?” พระอธิราชตรัสซัก “พูดไม่ได้เรื่องอะไรเลย”

“หมดแล้วพระพุทธเจ้าข้า” ข้าราชการกราบทูลอย่างงันงกตกประหม่า “หมดทิเดียวพระพุทธ­

เจ้าข้า”
“อะไรหมด?” ตรัสถามด้วยพระสุรเลียงกร้าวแกมฉงน “ทำไมจึงหมด?”
“ทั้งสุราและกับแกล้มมัจฉมังสาหารพระพุทธเจ้าข้า ”

“เอ๊ะ! เป็นเพราะเหตุผลกลใด ใครกินหมดอย่างนั้นหรือ?” ตรัสไล่เลียง

“ไม่มีใครรับพระราชทาน หามิได้พระพุทธเจ้าข้า” กราบทูลค่อยหายประหม่า

kalyanamitra.org
๒๘®

“เรื่องราวเป็นอย่างไร เล่ามาให้พังหน่อยซิ”

ข้าราชการผู้นั้น จึงกราบทูลประพฤติเหตุทั้งปวงให้ทรงทราบ
พระอธิราชจุลน็ทรงสดับแล้ว ทรงพิโรธยิ่งนัก พระพักตร์บงตึง พระเนตรทั้งคู่ฉายประกาย

แห่งพระโทสะรุ่งโรจน์ พระทนต์ขบแน่น พระหฤทัยเดือดพล่านด้วยเพลิงแค้น “ชะชะ!! ชาวมีถิลามา


ทำลายแผนความคิดของเรา ทำลายความยิ่งใหญ่ของเรา ดีละ! จะได้เห็นกัน” พระดำริอันคลุกเคล้าด้วย

พระโทสะเป็นไปมากมาย
พระราชาทั้ง ๑๐® ก็ทรงพระพิโรธ “ชิชะ! พวกมิถิลาถือดือย่างไรจึงมาแกล้งทำลายเหล้ายา
ปลาเนื้อของเขาให้เสียหมด ทำให้พวกเราอดดื่มชวดความสนุกสำราญ”

พวกพลนิกายต่างก็โกรธ “อ้ายพวกมิถิลาทืเดียวมาแกล้งไม่ให้พวกเราได้ดื่มสุราอันโอชารส
โดยไม่ด้องเลียมูลค่า ม้นน่ายํ่าให้แหลกลาญ ด้องตะลุยให้เป็นผงคลี”
ท้นใดนั้น พระอธิราชจุลนึตรัสเรียกพระราชาเหล่านั้นประชุมกันรับสั่งว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย

มา-มาเถิดมาพรัอมกัน เราจักไปมิถิลา ไปยึดเมืองจับวิเทหราชด้ดเศียรเสียด้วยพระขวรต์เล่มน” ชูพระแสง


“ยำเหยียบเสียด้วยเท้า” ทรงกระทืบพระบาท “แล้วมาร่วมสโมสรดื่มชัยบานกันให้เป็นที่สำราญ ท่าน
ทั้งหลายจงเตรียมกองทัพไวิให้พรัอม เมื่อเราสั่งการเมื่อไร เป็นยกไปได้ทันที วิเทหราชจะพันมือพวก

เราไปไม่ได้” ตรัสสั่งแล้วเสด็จเข้าสู่ที่รโหฐาน ตรัสเรียกปุโรหิตาจารย์มาเข้าเฝ็า พลางตรัสว่า “ท่านอาจารย์

เราแค้นนัก นัอยหรือวิเทหราชทำอันตรายแก่มงคลพิธีของเราได้ เราด้องจับให้ได้ จับบั่นเศียรเลีย พวก

เราพรัอมด้วยกองทัพ ๑๘ กองทัพ พรัอมสรรพด้วยเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ ทั้งพระราชา ๑๐๑ แวดล้อม

ไป ท่านอาจารย์จงไปด้วยจะได้ปรึกษาหารือกัน เสรีจการศีกมิถิลาแล้ว กลับมาดื่มชัยบานกันภายหลัง

ความคิดของฉันเป็นเช่นนื้ ท่านอาจารย์จะเห็นเป็นอย่างไร”

ปุโรหิตาจารย์ผู้เฉลียวฉลาดรอบคอบ ทำการไม่เคยพลาดด้วยความฉลาดของท่าน ได้สดับ

พระดำรัสแล้วดำริในใจว่า “ลำพังสติป้ญญาของเราไม่อาจเอาชนะมโหสกบัณฑิต มโหสกบัณฑิตมีสติ


ป้ญญาเหน็อกว่าสูงกว่าเรามากนัก เมื่อเราทำการลงไปครั้งนื้ อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะชนะได้ ความละอาย

จะตองมีแก่เรา เราจักด้องเสื่อมเสียเกียรติคุณอันเคยลือชาในแคว้นและในแดนชมพูทวิป ใคร ๆ จะพา


กันตำหนิเรา เพราะเรานั้นเทียว บัญจาละด้องฟายแพัแก่มิถิลา เราจะยอมตามพระหฤทัยในข้อนื้ไม่ได้

จักให้ทรงงดพระดำริเลีย” คิดแล้วจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ การที่มงคล

พิธีของเราถูกทำลายลงในครั้งนื้ แม้จะเป็นด้วยฟิมือของมีถิลา แต่นั้นมีใช่กำลังพระปรีชาของพระวิเทหราช

เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า นั้นเป็นวิธีการ. นั้นเป็นมหานุภาพของมโหสกบัณฑิต ชะรอยมโหสกบัณฑิตจะล่วงรั

ความคิดของเรา จึงเข้าทำลายเสีย การที่พวกเราจะยกกองทัพไปยึดนครมีถิลานั้น เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าจะ

เป็นการลำบากเปล่า *1 เพราะดามที่ข้าพระพุทธเจัาได้สดับตรับพังมา กรุงมิถิลามโหสกจัดการฺรักษาเป็น

อย่างดี มีปัอมปราการแข็งแรง ค่ายคูหอวบมีครบครัน ทั้งกำลังไพร่พลก็เพียงพอที่จะรักษาตัวได้ กรุง

มิติลาได้รับการพิทักษ์รักษาด้วยคุณวุฒิปรีชาของมโหสก เป็นประหนึ่งกำที่สีหราชรักษา ใคร *1 ก็ไม่กล้า

kalyanamitra.org
๒๘๒

ทีจะยึดเอาได้ แม้นพวกเราขืนยกกองทัพไปยึดกรุงมิถิลา ความละอายขายหน้าประดาเลียจะต้องมีแก'พวก


เราเท่านั้น ไม่มีหวังในอย่างลื่นนอกไปกว่านั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าๆ ว่า พวกเราไม่ควรไปกรุง

มิถิลาเลยทีเดียว”
ล้อยคำของท่านปุโรหิตาจารย์ในตอนนี่หมดความขลังเลียแล้ว ข้ตดิยมานะในพระองค์ของพวะ-

อธิราชจุลน้มีกำลังเรี่ยวแรง เกินกว่าที่จะมีล้อยคำของผู้ใดมาเหนี่ยวรั้งพระองค์ได้ พระโทสะของท้าวเธอ

ผนวกกับความม้วเมาในพระราชอิสริยยศครอบคลุมปิดบังพระปรีชาญาณของพระองค์มีดมิดหมด อีก
ทั้งกำลังพลนิกายของท้าวเธอก็ทรงแสนยานุภาพ ยากที่ใคร *1 จะต่อด้านได้ พระองค์จึงตรัสว่า “นี่าหน้า

อย่างมโหสกจะวิเศษอะไรหนักหนา มโหสกจักทำอะไรเราได้” ตรัสแลัวเสด็จทรงเครื่องพิชัยสงคราม

เสร็จก็เสด็จพระราชดำเนินสู่สนามชุมนุมพล พรัอมด้วยพระราชา ๑๐® พระองค์ ท้อมล้อมเป็นราชบริพาร


อาจารย์เกวัฏหมดทางที่จะเหนี่ยวรั้งพระอธิราชของตน ก็จำใจโตยเสด็จไปด้วย นอกจากนี่ที่ปรากฎก็คือ

พระอนุชาธิราชติขิณมนตรีดำรงตำแหน่งเสนาธิการพรัอมด้วยผู้เซียวชาญในยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี

ตลอดถึงผู้ชำนาญการต่าง จุ ชันเป็นอุปการะแก่การทำสงคราม นายทหารชันเอกแม่ท้พนายกองมีประมาณ

๓๙,๐๐๐ นาย ไพร่พลมีจำนวน ๑๘ กองทัพใหญ่


กองทัพหนี่ง จุ บรรจุจัตุรงคินิเสนา เต็มตามอัตราศึก คือกองชัาง ๒๑,๘๗๐ กองรถเท่ากับ

กองข้าง กองม้า ๖๕,๖๑๐ กอง ราบเท่ากับกองข้างและกองม้า และกองรถรวมกัน คือ ๑๐๙,๓๕๐ รวม


กำลังในกองทัพ ๑ กอง ๒,®๘๗,๐๐๐ เมื่อคิดถึงจำนวนชันคูณด้วย ๑๘ แล้ว ก็เป็นกำลังชันมหึมามีด
ฟ์าม้วดิน และยิ่งกว่านั้นบรรดาแม่ทัพนายกอง ตลอดถึงพวกพลนิกายทุกคน ลัวนเป็นเดือดเป็นแด้น ใน

การที่คนมิถิลามาทำลายพิธีชัยบานเลียอีกด้วยแลัว กำลังศึกจึงยิ่งฉีดเหิมที่มท้าวขนอีกรัอยเท่าพันทวิ

ขบวนกองทัพของพระอธิราชจุลน็ เคลื่อนจากกรุงป้ญจาละดูพิลึกมหึมา กระแสพลยันเดิน

ตามกันเป็นหมวดเป็นกองดุจดังกระแสคลื่นในมหาสมุทร เพียงพนดินจะถล่มทลาย ทิวแถวธงยันโบกไสว

ไกวกวัด ดูเป็นขนัดนับด้วยหมื่นแสนเป็นชันมาก แสงระยิบระยับของเครื่องอลังการชันวิจิตรรุ่งโรจน์กวะทบ


แสงพระอาทิตย์ก็ส่องสะกาววาววะวับปลาบปลั่ง แสงอาวุธประจำหัตถ์ของทวยหาญยันกำลังลำพอง

คะนอง มือแกว่งกวัด เข้ากับแสงสุริโยภาสวะวาบปลาบตา เลียงสังข์และพ้องกลองยันเป็นสัญญาณบอก


ใหัรู้รัวสนั่น ใหักัาวใท้ถอยกลับและเลํ๋ยวซ้ายเลํ๋ยวขวา ต้องหมายรู้ด้วยเลียงสัญญาณพ้องกลองและแตร
สังข์ ฟิเท้าพลข้างพลม้า พลรถและพลราบยํ่าบนพื่นดิน ด้งอุโฆษกึกกัองอึงมี่สนั่นครั่นดวนไปหมต ยัง

เลียงคำรามแห่งพาหนะช้างม้าน่าพิลึกสะพรึงกลัว กองทัพยันมหึมายาตรารอนแรมมาโดยลำดับ บ่ายหน้า


เช้าสู่วิเทหรัฐ เพื่อล้อมมิถิลานคร

ท่านมหาบัณฑิตแห่งกรุงมิถิลา ทราบความเคลื่อนไหวของกองทัพพระอธิราชจุลน้ทุก จุ ระยะ


เนื่องด้วยผู้ลึบราชการลับประจำราชสำนักต่าง จุ นั้นมาในกองทัพด้วย ได้ส่งข่าวรายงานมาใท้ทราบ วันนี่

กองทัพดึงตำบลไหน พรุ่งนี่จะถึงไหน ระยะพักรอนแรมตลอดถึงพฤติการณ์ต่าง จุ ในกองทัพยันจักเป็น

ประโยชน์แก่การดำเนินความคิดในการป้องกันพระนคร ท่านมหาบัณฑิตมิได้ประมาท เร่งรัดจัดกิจการ

kalyanamitra.org
๒๘0า

ที่ยังคั่งค้างไม่เรียบร้อยให้เสร็จลง จัดแจงเกณฑ์พลโยธาประจำเมือง ขื้นประจำป้อมหอรอรบตามอัตรา

พลทหารกองหน้าและกองหนุนจัดหมุนเวียนเปลี่ยนผลัดกันระวังเหตุการณ์มิให้พร่อง ประตูใหญ่ของ

พระนครก็จัดการปิดผนึกแน่นหนา เปิดประตูน้อยสำหรับประชาชนใช้เป็นทางเข้าออก สะพานข้ามตู-


เมืองก็ชัดการทำลาย ใช้สะพานเรือแทน เตรียมเสร็จไม่กี่วัน ก็ได้รับข่าวว่า “วันนิพระเจัาจุลนึจักกรีธาทัพ

มาถึงมิติลานคร” ท่านมหาบัณฑิตยิ่งเข้มงวดกวดข้นในการป้องกันโดยเคร่งครัดมิได้ย่อหย่อน ใสใจตรวจตรา


หน้าที่ทุก รุ ด้านด้วยตนเอง ปลุกใจไพร่พลให้มีขวัญดี ให้ปลงใจในหน้าที่ไม่ทอดที่งธุระที่ได้มอบหมาย

และสั่งการงานแก่พวกแม่ทัพนายกองให้รับมอบหน้าที่แบ่งเบาภาระเป็นหูเป็นตาตูแลระวังเหตุการณ์ ให้

อยู่ใกล้ชิดกับไพร่พล อย่าปลีกตนออกห่างในยามอับข้น ไพร่พลจะได้มีขวัญ ไม่รู้สึกว้าเหว่ใจ


พระอธิราชจุลนิ เสด็จรอนแรมมาโดยลำดับด้วยกองทัพมหึมา คํ่าว้นนั้น ท้าวเธอพร้อมด้วย

พลนิกายถึอคบเพลิงนับด้วยแสนดวงส่องมรรคาเสด็จดึงกรุงมิติลาแต่ห้วคํ่า พอมาถึงก็มีพระบรมราช-

โองการดำรัสสั่งให้ล้อมเมืองมิติลาไว้ให้สิ้นทุกด้านโดยทันที
แม่ทัพทั้งหลายได้รับพระบรมราชโองการ ก็ดำเนินการล้อมมิติลานคร ตั้งซุ้มพลลงในที่นั้น รุ

รอบเมือง แล้วรายล้อมพระนครมิติลาด้วยกำแพงช้างเป็นชั้นแรก กัดออกมาล้อมด้วยกำแพงรถ ลัดออก

มาล้อมด้วยกำแพงม้า พลราบล้อมชั้นนอก
เหล่าพลนิกายที่รายล้อมอยู่โดยรอบ ต่างพากันเปล่งเสียงบันลือโห่ร้องปรบมือผิวปาก บ้างก็

คารามคำรนร้องก้องอึกทึกครึกโครมเคล้าไปกับเสียงคำรามคำรนร้องของพาหนะคือม้าและช้าง และเสียง
ดุริยางค์เป็นโกลาหล ประหนึ่งพื้นแผ่นดินจะพังทลายแหลกลาญลงด้วยเสียงอันกัมปนาทนั้น

กรุงมิติลาอันมีปริมณฑล ๒,๘00 เส้น ตกอยู่ในวงล้อม เหมือนผู้ทรงมหิทธานุภาพนิรมิตกำแพง


มาตั้งไว้รอบด้านถึง ๔ ชั้น แต่ละชั้นมั่นคงนักหนา แลงคบเพลิงที่พวกพลนิกายจุด ทั้งแสงประทีปโดมไพ่

ในสถานนั้น รุ ส่องแสงสว่างไสวรุ่งเรืองแจ่มกระจ่างชัา จับมหานครมิติลาประหนึ่งกลางวัน แสงประทีป

ฉายประกายกระทบอลังการคือหมวกและเสิ้อเกราะเป็นอาทิของบรรดานักรบกรุงบ้ญจาละ ทำให้ตูแพรไ-
พราววาววับเพิ่มความเจิดจัาจำรัสขื้นพ้นที่จะพรรณนา

kalyanamitra.org
๔๐. ชาวมิถิลาพรํ่นศก

ในตอนคํ่าวันนั้น ประชาชนชาวมิติลาต่างตกใจตื่นกลัวไปทั่วหน้า ไม่มีใครที่จะสามารถคุมสติ

ให้ครองตนอยู่โดยปราศจากความหวาดหวั่นพรั่นพรึง เว้นแต่ท่านผู้สำเร็จราชการกับพวกนายทหารเท่านั้น

ที่ดำรงสติมั่นคงอยู่ ไม่มีอาการตื่นตกใจ คงปฏิบัติหน้าที่ไปตามกำหนด พวกรื้พลฝ่ายมิติลาอันชื้นประจำ


หน้าที่เซิงเทินเล่า ก็คงมีขวัญดีอยู่ มิได้ครั่นคร้ามขามเกรง มีความเซีอมั่นในผู้บังคับบัญชาเต็มที่

เมื่อกองทัพของกรุงป้ญจาละรายล้อมพระมหานครนั้น ท่านผู้สำเร็จราชการต้องปฏิบัติงาน
เหน็ดเหนื่อย ต้องเที่ยวดรวจดราด้านโน้นด้านนื่ ปลุกปลอบนํ้าใจของไพร่พลให้เป็นใจแก'ราชการ ด้อง

คิดอ่านวางแผนการร้บศึกอันมีกองทัพมหึมากับบรรดานายทหารร่วมใจ กิริยาท่าทางของท่านปราศจาก
ความครั่นคร้าม ยามท่องเที่ยวดรวจตราหน้าที่ก็เหมือนพญาสีหะอันกำแหงหาญ แผดผยองแม้ต่อหน้า

ข้าศึกอันรายล้อมอยู่รอบตน
กล่าวถึงทางราชสำนัก ชัคุสดม/เของมิติลากำลังเฝ็าพระเจ้าวิเทหราช เพราะท่านทั้ง ๔ ได้ยิน
เลียงโห่ร้องอออึงครืกโครมรอบพระนคร ไม่ทราบว่าเกิดอะไรชื้น เพราะความใส่ใจในราชการของท่าน

ทั้ง ๔ ในตอนนื่น้อยไป เมื่อได้ยินแล้วต่างคนก็รีบรนขวนขวายชื้นเฝืาพลางกราบทูลว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่า

ละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ เลียงโห่ร้องถึกกัองโกลาหลดังสนั่นครั่นครื้นยิ่งนัก รอบ คุ พระนครมิติลา

ข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ มิได้ทราบเกล้าฯ ว่าเป็นเลียงอะไร ควรที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงพิจารณา

ให้ทรงทราบเรื่องพระพุทธเจ้าข้า ”
พระเจ้าวิเทหราชทรงได้ทราบวี่แววมาก่อนแล้วว่า พระเจ้าจุลนีจะกรีธาทัพมาชืดมิติลา ครั้น

ได้ทรงสดับคำของอาจารย์ทั้ง ๔ ก็ทรงดำริว่า “พระเจ้าจุลนีพรหมทัดเสด็จมาแล้ว” พลางทรงเปิดพระ-


แกลทอดพระเนตรออกไปภายนอกพระมหานคร ทรงเห็นแสงคบเพลิงโคมไฟสว่างแจ่มจ้าไปทั่วทุกทิศทาง

ศัพท์สำเนียงต่าง คุ สนั่นลั่นอึง ก็แน่พระหฤทัยว่า “พระเจ้าจุลนีพรหมทัตมาแล้ว” ก็ตกพระหฤทัยกลัว

ต่อมรณภัยเป็นที่ยิ่ง ทรงเห็นแน่ซัดว่า “ซีวิตของพวกเราไม่มีละ พรุ'งนื่พระเจ้าพรหมทัตจักประหารซีวิต

พวกเราเลียทุก คุ คนเป็นแน่” แม้จะทรงปลงพระหฤทัยได้แต่ก็มิวายที่จะประหวั่น ทรงผินพระพักตร์

อันเผือดพระโลหิต มาทางท่านอาจารย์ทั้ง ๔ พลางตรัสว่า “ท่านอาจารย์ทั้งหลาย นั่นจะเสียงอะไรเสีย

อีกเล่า ท่านไม่รู้ดอกหรือ นั่นแหละเลียงกองทัพของพระเจ้าจุลนีพรหมท้ตละ พรุ่งนื่ท้าวเธอก็คงจะดีรุก

บุกบั่นเข้ามาจับพวกเราประหารเลีย ดูซีกองทัพล้อมเราไว้รอบทุกด้านแล้วจะทำไฉนดี?”

kalyanamitra.org
๒๘๕

ท่านทัง ๔ หน้าซ็ดด้วสั่น ต่างกลัวตาย ท่านเสนกได้สติหน่อยกราบทูลว่า “แม้ได้ฝ่าละออง


ธุลึพระบาทสิ้นพระชนม์แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็จะขอตายตามเสด็จ มิขออยู่เป็นทาสของพระเด้าจุลนี”
ท่านอาจาวก็อีก ๓ ท่านก็กราบทูลโตยท่านองเดียวกัน ซึ่งแม้ว่าการตายจะมีเพึอนดายด้วย แต่
ก็มิได้ช่วยให้ความหวาดหวั่นต่อความตายหมดไป จะเป็นได้บ้างก็แต่เพียงบรรเทาทุกข์ที่เมีอนึกอย่างโง่ *1

ว่า แทนที่เราจะด้องตายผู้เดียวก็ยังมีผู้ร่วมตายอีกหลายคน ล้าความดายของหลายคนจะท่าให้ความตายของ


คนเดียวรอดพ้น นั่นเสียอีกยังจะเป็นข้อน่าข้นใจในกรณีของพระเด้าวิเทหราชกับท่านอาจารก็ทั้ง ๔
ระหว่างที่พระเด้าวิเทหราชกับท่านอาจารย้ทั้ง ๔ สนทนาปรับทุกข์กัน พอดีท่านผู้ดำเร่จราชการ

เสร็จกาวงานแล้วนืกลึงพระเจ้าอยู่หัวได้ คิดว่าจะมากราบทูลปลอบพระราชหฤทัยให้ทรงคลายพระวิตก
จึงขื้นมาเสาในพระราชนิเวศน์ ถวายบังคมพระเด้าวิเทหราชแล้วยึนอยู่ ณ ที่อันสมควรส่วนหนั่ง

พอเห็นหน้าท่านมหาบัณฑิต พระเจ้าวิเทหราชค่อยสบายพระหฤทัย ทรงระบายพระอัสสาสะ


ด้วยอาการโล่งคลายความอึดอัดทีเดียว ทรงดำริในพระทัยว่า “เหตุการณ์ที่เกิดในคราวนั่ หนักแน่นคับขัน
ยิ่งนัก ยกเลียแต่มโหสถลูกเราแล้ว คนอื่น *1 คงไม่มีใครอีกแต้วที'สามารถปลดเปลื่องกรุงมิถิลาจากทุกข์ร้อน

อันนั่ได้’’ ทรงดำริพลางมีพระดำรัสกับท่านมหาบัณฑิตว่า “พ่อมโหสถ พระเจ้าพรหมทัดเจ้ากรุงบัญจาละ


เสด็จกรีธาทัพมาพร้อมด้วยแสนยากรและอาวุธยุทธภัณฑ์ พ่อเอย เสนาของกรุงบัญจาละนั่นนั้นมากมาย
สุดที่จะประมาณ ในกองท้พมีทหารช่างสำหรับก่อสร้างที่พักพอ และตั้งค่ายได้เรียบร้อยและรวดเร็ว ทั้ง

กระท่าได้แน่นหนาสามารถต่อด้านการรุกรบของข้าศึกได้ดี มีพลรบอันได้รับการสกหัดจัดเจนในกระบวน
รบทุกประกาว แคล่วคล่องว่องไวในการรุกและล่าดีถอย พังข็พ่อมโหลถเลียงของไพร่พลมิได้เซาชา พัง
เซ็งแช'คึกคะนองลำพองหาญ บอกประมาณว่ามากมายเหลือที่จะคณา ทั้งการบอกเล่าก็ด้องใซัเลียงกลอง
และเลียงสังข์เป็นสัญญาณ จึงจะไดํยินทั่วกัน น่าพิลึกสะพึงกลัวนักหนานัก”

“พ่อเอย ในกองทัพของพระเจ้าจุลนีมีผู้เซียวชาญในโลหศิลป๋ สามารถนำเอาโลหะมาคิดกระท่า


เป็นยุทโธปกรณ์นานาชนิด ดูซ็พ่อ-เครื่องประดับกายของนักรบชาวบัญจาละเป็นด้นว่าเสิ้อเกราะแพรวพราว
ที่แวววาวด้วยรัศมีรัตนวิจิตรตระการตา นั่นคืออลังการของพระราชาและมหาอำมาตย์กับแม่ทัพนายกอง
โน่น-ทิวธงประจำกองเป็นถ่องแถวสล้างสลอนรุ่งเรืองด้วยการประดิษฐ์ประดับระยับระยิบ นั่น-พล
ข้าง พลม้า ขื้นประจำเหนือหลังพาหนะคชอัศวชาติมากมายพ้นที่ประมาณ ดูนั่เรียงรายเกลื่อนกล่นตลอด
ปริมณฑลแห่งมิถิลาของเรา ประกาศว่าในกองทัพสะพรั่งพร้อมสะพรึบไปด้วยศิลปินผู้เซียวชาญในเชิง
ศิลป๋ มีหัศดีศิลป๋เป็นอาทิ พ่อเอย ก็แสนยากรของกรุงป้ญจาละนั่เป็นที่ลือชา ตั้งขื้นด้วยเหล่าโยธาทวย

หาญอันกลั่นแกล้ว องอาจบากหน้าลู้ไม่มีถอยท้อต่อศัตรู เสมอด้วยราชสีห์อันมิระย่อต่อฝูงมฤคก็ปานนั้น


“ยิ่งกว่านั้น พ่อมโหสถ ในกองทัพนั่มีบัณฑิตอันทรงคุณวุฒปรีชามีบัญญากว้างขวางกึง ๑๐
นาย มักจะประชุมปรึกษาหารือกันในที่รโหฐาน นับทั้งพระราชชนนีของพระเจ้าจุลนีพรหมทัตซี่งฉลาด
เป็นเอก ก็เป็น ๑๑ ด้วยกัน การปกครองบัญจาละดำเนินไปด้วยปรีชาสามารถของท่านเหล่านั่ ความสามารถ
แห่งปรีชาของคนเหล่านั่นะพ่อ กล่าวกันว่า เมื่อพวกเขาได้ร่วมคิดเพียงวันสองวันเท่านั้น ก็สามารถจะ

kalyanamitra.org
๒๘๖

พลิกแผ่นดินเอาขื้นไปดั้งไร้บนอากาศก็ได้ พังเถิดพ่อ พวกบัณฑิตของบัญจาละสามารถเป็นเลิศ บรรดา

ไพร่พลดันอยู่ในปกครองจะมิสามารถเป็นเอกในชมพูทวีปหรือ? ”
“ยังอีกเล่า เหล่าพระราชา ๑๐๑ พระองค์ผู้รุ่งเรืองแล้วด้วยอิสริยยศและบริวารทั้งหมด มา
ดิดตามด้อมด้อมจอมราชจุลนีเพราะแควันของตน *1 ถูกยึดครอง ต่างก็กลัวภยันตรายแต่ที่จะถูกบีบดั้น
บั่นทอนพระชนม์ ต่างก็ยอมตนเข้าสู่อำนาจของกรุงป้ญจาละ พ่อเอย-กำลังแสนยากรของบัญจาละแต่
ลำพังก็เป็นเอกอยู่แลัว ยังมาได้กำลังของพระราชา ๑๐๑ เข้าเพิ่มเดิมยิ่งเป็นกำลังมหาศาลสุดที่จะผจญ”
“พระราชาทั้ง 6๐๑ เหล่านั้น ด้องกระทำตามพระบัญชาสั่งของจอมราชจุลนี แม้จะไม่พอใจ
ก็ด้องสนใจทำ ไม่มีทางจะขัดขืน ไม่เห็นงามเห็นชอบในเรื่องใดก็ตองกลํ้ากลืนสนกล่าวให้เป็นที่พึงพอใจ
จอมราชจุลนี เพื่อใท้ตนเป็นที่รักใคร่ของท้าวเธอ ดูเถิดพ่อ พระราชาเหล่านั้น ปางก่อนเคยรุ่งเรืองแลัว
ด้วยอำนาจราชศักตํ่ บัดนึ่ด้องมาเป็นประเทศราชกรุงบัญจาละ ด้องดำเนินตามพระเจ้ากรุงบัญจาละทุก
สถาน ไม่อาจขืนขัดทัดทานได้ทั้งสิ้น ที่ไหนจะไม่กระทำตามโองการของจอมราชบัญจาละ ด้าท้าวเธอ
จะดำรัสสั่งให้เข้ายํ่าชืมิถิลานครของเรา ”

“โอ! พ่อมโหสถ มองดูใท้ตลอด มองดูให้รอบมิถิลาราชธานีของชาววิเทหะ ถูกแสนยากร


กรุงป็ญจาละด้อมไว้ลง ๓ ชัน ปราการกำแพงซัางเป็นดั้นิแรก ถัดออกไปเป็นรถ ปราการ-กำแพงรถ
ถัดนั้นดัศวปราการ-กำแพงม้า ถัดนั้นข้ตติปราการ-กำแพงพลรบ ทุก *1 กำแพงแข็งแรงประหนึ่งวซิร-

ปราการ ดูแน่นขนัดยัดเชืยดกันระวางกองข้างกับกองรถนับเป็นดั้น ๑ ระวางกองรถกับกองม้าเป็นดั้น ๑


ระวางกองม้ากับกองพลรบเป็นดั้น ๑ รวมเป็น ๓ ดั้นฉะนึ่ ไพร่พลกรุงบัญจาละมาด้อมมิถิลานครหลวง
ของชาววิเทหะครั้งนึ่ ประหนึ่งว่าเขาจะขุดเมืองมิถิลาโดยรอบแลัวช่วยกันยกไปด้วยมือบัดนึ่ก็ได้ทีเดียว
พ่อช่างไม่ครั่นคร้ามขามเกรงเขาบัางเลยหรือ?”
“พ่อเอย อาวุธยุทธภัณฑ์ประจำตนพวกพลเสนาทุกหมวดเหล่าที่มาด้อมเมืองเราไร้ ครั้งนึ่
มากมายสุดแสนจะนับได้ ดูดุจดวงดาวที่ปรากฎในแผ่นฟ้าดันหาประมาณมิได้ก็ปานกัน พ่อมโหสถเอย
บ้านเมืองของเราเข้าที่คับขันถึงปานนึ่ จะถูกยํ่าฃึเป็นผุยผงลงในไม่ซัา พ่อก็เรืองปรีชาปรากฏหลักแหลม

จงวู้เถิด ให้แน่แก่ใจเชิด ความรอดพันจักมีแก่พวกเราชาวมิถลาด้วยวิธึไว ?”


ท่านมหาบัณฑิตสดับพระราชดำรัสพรรณนากวะบวนทัพพระเจ้าจุลนี ซืงทรงระบายออก
มาจากพระหฤทัยชันสุดแสนจะพรั่นพรึง แต่ก็มิได้ทำอันตรายแก่นํ้าใจดันเชือกเย็นของท่านให้พลอยหวั่น-
ไหวไปตาม คงมีใจหนักแน่นเชือกเย็นปราศจากความครั่นครัาม กราบทูลพระเจ้าวิเทหราชด้วยสุรเสียง

ดันชัดเจนฉาดฉานปานสีหะคำรามด้วยองอาจว่า “ขอเดชะ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ ขอใด้ฝ่า-


ละอองธุลีพระบาทอย่าได้ทรงหวาดหวั่นพรั่นพระหฤทัย เซีญเสวยราชสมบัติให้ผาสุก ทรงเหชืยดพระ-
ยุคลบาทให้สำราญ ทรงบริโภค ทวงรื่นรมย์ในราชสมบัติตามพระราชอัธยาศัยเชิดพระพุทธเจ้าข้า เป็น

ภาวะของข้าพระพุทธเจ้าในการป้องกันพิทักษ์มหานครมิชิลาราชธานีของชาววิเทหะ การรักษาป้องกัน
ข้าพระพุทธเจ้าได้จัดการแลัวโดยบั่นคงแข็งแวง ได้ทรงพระมหากรุณาโปรดวางพระราชหฤทัยเถิด กอง

kalyanamitra.org
๒๘๗

ทัพใหญ่ของพระเจ้าจุลนีประมาณนับได้ ๑๘ กองนํ๋ จักมิอาจเลยทีเดียวพระพุทธเจาข้า ที่จะก่อให้เกิด

ความรำคาญเคืองใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แม้แต่ปลายเส้นพระโลมาก็จะมิได้รับความกระทบกระเทือน

จากผลของพระเจ้าจุลนี คอยทอดพระเนดรเถิดพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจักทำแสนยากรอันมหึมา


ของพระเจัาจุลนีมิให้มือะไรติดตัวกลับไปแม้แต่ฝ่าที่พันพุงก็จะมิให้เป็นเจ้าของได้เลย ข้าพระพุทธเจัา

จักไล่ไพร่พลอันมาลัอมกรุงมิถิลา ให้เตลิดเปิดเปิงหนีไปเหมือนเงื้อก้อนดินไล่ให้กาหนี หรือมิฉะนั้นก็

เหมือนขํ่นธนูไล่วานรฉะนั้นทีเดียว ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระสำราญพระราชหฤทัยตามพระ-
ราชอัธยาศัยเถิด อย่าได้ทรงหนักหน่วงพระหฤทัยถึงเรื่องสงครามเลย พระเจ้าจุลนีพรหมทัดจักเป็นพระ-
องค์แรกที่จะเสด็จหนี แม้แต่แสนยากรชาวบัญจาละท้าวเธอก็จะต้องที่ง”

ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลปลอบพระราชหฤทัยพระเจ้าวิเทหราชแล้วก็กราบถวายบังคมลาออก
จากที,เฝืา เที่ยวตรวจตราหนัาที่ต่าง รุ มิได้หยุดยั้ง
บรรดาประชาชนชาวมิถิลานคร ต่างก็อกสั่นขวัญหายกลัวต่อความตาย ต่างก็พาก้นชุมนุมเป็น

กลุ่ม รุ โจษจันก้นด้วยเรื่องกาวสงคราม และเกิดความหวาดหวั่นพรั่นใจไปต่าง รุ เป็นโกลาหล ดูเป็น

อลเวงยิ่งนัก

kalyanamitra.org
๔๑. บำรุงขวญ
ในการกระทำสงครามกันนั้น สิ่งที่เป็นสำคัญในการศึกก็คือขวัญ ทั้งฝ่ายรุกและฝ่ายรับต้องมี

ขวัญดีด้วยกันทั้งนั้น ขวัญนั้นได้แก่ความประพฤดีอันเป็นสง่าองอาจ ไม่แสดงอาการหวาดสะดุ้งกลัวปรากฏ


จากกำลังใจที่ทรหดเข้มแข็ง กองทัพแม้จะมีกำลังมหึมา แต่ลัาขวัญของทหารไม่ดี ก็หมดสง่าราศึ อาจ

ปราชัยแก่ฝ่ายดรงข้าม แม้กำลังน้อย กัาขวัญดีด้วยกัน การแพ้ชนะก็ย่อมแลัวแต่กำลังและอาวุธยุทธกัณฑ์


ประกอบด้วยการดำเนินงานอันฉลาดสุขุมของแม่ทัพนายกองเข้าช่วยด้วย
แต่ยังมีมิ่งขวัญที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ขวัญของชาวเมืองเป็นสำคัญยิงแก่กองทัพผู้ทำ

สงคราม ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองต้องพยายามรักษาขวัญของชาวเมืองให้คงดี หรึอลัาเสียไปก็ต้องบำรุง


ให้คืนดี ทั้งนึ่เพราะชาวเมืองกับกองทัพเนื่องกันแยกกันไม่ได้ บุคคลที่เป็นนักรบในกองทัพย่อมมีความ
สัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกับชาวเมืองทุกคน นักรบทุกคนจะต้องมีพวกพ้องพี่ปัานัาอาบิดามารดาอยู่เบื้องหลัง
อีสรชนด้องดูแลเอาใจใส่โดยรอบคอบ ปฏิบัติให้ชอบ ให้ควรแก่ที่เขาได้ให้ลูกหลานพี่นัองออกไปปฏิบัติ
งานสำคัญ จริงอยู่ การปฏิบ้ติของนักรบนั้นเป็นการกระทำเพี่อผลส่วนรวม ซึ่งตนเองย่อมมีส่วนได้เสีย
แต่อีสรชนทุกยุคทุกสม้ย ที่ฉลาดปราดเปรื่องย่อมตระหนักในความเป็นไปของมนุษย์อันยุติในข้อว่า “กระบวน
ประโยชน์แลัว ประโยชน์ของตนเป็นเยี่ยม” ตังนั้น แม้จะเห็นการกระทำของนักรบเป็นประโยชน์ส่วน
รวม ซึ่งผู้เป็นนักรบตลอดถึงวงศ์วานมีส่วนได้เสียร่วมด้วย ก็มิได้ละเมิดประโยชน์ส่วนที่เขาเคยมีควร

และมิได้ลืมว่าประโยชน์ส่วนรวมจะไพศาลก็เพราะประโยชน์ส่วนตนไพบูลย์ นักรบผู้ใดเล่า จะมีแก่ใจ


ปฏิบัติงานในหน้าที่ ซึ่งต้องยืนอยู่ในระหว่างเขยวอันโชติช่วงของมฤตยูราช ในเมื่อได้ทราบว่า พวกพ้อง

ของตนมิได้รับความเป็นปกติสุขแลัวยังแถมเกิดความลำเค็ญด้วยประการต่าง *1
อนึ่ง ความพรั่นพรึงหวาดกลัวของพวกพ้องของนักรบเล่า ก็เป็นบัจจัยให้กองทัพเกิดความระสำ
ระสายได้โดยไม่ยาก นักรบคนใดเล่าที่จะยืนหยัดเคร่งครัตในหน้าที่อันเผซิญหนัากับความตาย ในเมื่อได้
ทราบความป่นบํวนมาของพวกพ้องซึ่งอยู่ข้างหลัง จิตใจของนักรบนั้น ยุ จะต้องห้นหวนบํวนป่นหรั่นไหว
ไปตามพฤติการณ์ของพวกพ้องวงศ์วาน อิสรชนผู้บริหารบ้านเมืองในคราวที่บ้านเมืองเข้าที่คับขันด้งมิถิลา
ประสบ จะต้องติดหาทางที่จะควบคุมประชาชนชาวเมือง ให้พำนักกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นกัอน ไม่ให้เกิด
ความป่นบํวนได้
ในการปฏิบัติเพี่อผลด้งกล่าวมา ท่านมหาบัณฑิตแห่งมีถิลาได้กระทำไปอย่างเหมาะสม คือให้
นำกลองดีประกาศการมหรสพไปเที่ยวดีทัวเมืองพรัอมกับดำประกาศของท่านมหาบัณฑิต บอกแก่ประชาชน
คังนื่

kalyanamitra.org
๒๘๙

“พ่อแม่ทั้งหลายเอย พวกท่านอย่าได้คิดเป็นทุกข์เป็นร้อนเลยในเรื่องสงคราม จงตระเตรียม

ร้อยกรองดอกไม้อบเครื่องหอมเครื่องลูบไล้ จงตระเตรียมเครื่องดื่มและของบริโภค เตรียมไว้ให้มาก พอ

สำหรับ ๗ วัน แล้วจงชวนกันเริมเล่นมหรสพเป็นการใหญ่”


“ประชาชนทั้งหลาย อันมีถิ่นที่อาคัยในแห่งหนตำบลใดในแห่งหนตำบลนั้น ชวนกันเถิดชวน

กันดื่ม ดื่มกันขนานใหญ่ให้เหมือนกับเมื่อไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขื้น ชวนกันเถิดชวนกันเล่นดีดสีเป่า

ขับขานประสานเสียง ชวนกันเถิดชวนกันประโคมดนตรีแตรสังข์และบัณเฑาะว์ ชวนกันเถิดชวนกันฟ้อนรำ


เยองกรายไปตามบทบาทแห่งเพลง โห่เถิด โห่ให้เต็มสนุกเต็มปรารถนา ฮาเถิดฮากันให้ครั่นครื่น เอ็ด

เถิด เอ็ดกันให้เอิกเกริก ตบมือเถิด ตบมือกันให้เต็มสนุก ขับร้องเถิดขับร้องกันตามสบาย จงดื่ม จงบริโภค


จงเล่น ตามสบายเถิดพ่อเอย แม่เอย เสบียงที่ท่านทั้งหลายจะใช้สอยสิ้นเปลืองไปในการเหล่านื่อย่างใดมี

จำนวนเท่าใด เป็นของเรา เราจะจัดให้ ท่านทั้งหลายไม่ต้องกลัวความหมดเปลือง จงบันเทิง จงเริงรื่น


สนุกสนานกันให้เต็มที่ทั่วทุกคนทั่วทุกตำบลบัานเถิด”

“ในเรื่องการสงคราม อันบ้านเมืองของเราจักด้องกระทำกับช้าคึกศัตรูนั้น พวกท่านไม่ต้อง

วิตกกังวล เป็นภาระธุระของเรา จะจัดการให้ใต้ผลเป็นคุณประโยชน์แก่บัานเมืองของเรา การป้องกัน


รักษา เหล่านักรบของมิถีลาปฎิน์ติอยู่อย่างเข้มแข็งทะมัดทะแมงยิ่ง ยากที่ข้าคึกจะหักหาญโหมเข้าดีให้

แดกได้โดยง่าย เราผู้มีซิ่อเป็นที่รักับท่านทั้งหลายว่ามโหสถบัณฑิต ตระหนักในเกียรติแห่งมีถิลานครอัน

น่าภูมิใจนื่บ้นลือตลอดมาชัวกาลนานแล้วว่า “อโยชฌยานคร” จะคงตำรงเกียรตินั้นสืบไป พวกท่านจะเห็น

อานุภาพของเรา อย่าได้วิตกกังวลใจเลย”
ชาวมิถิลาได้ทราบคำประกาศของท่านมหาบัณฑิตด้งนั้น ต่างก็คลายใจได้ความโล่งอกโล่งใจ
ช้กชวนกันเล่นมหรสพอย่างครื่นเครงทุก *1 คนทุก รุ ตำบลไม่มีว่างเวัน กรุงมิถิลาแทนที่จะเงียบเหงา
เพราะมีข้าคึก อันทรงกำลังมหาศาลมาประชิดติดพัน กลับตรงกันข้าม มีแต่ความครื่นเครงสนุกสนาน

ที่ทั่ว ๆ ไป
ปานาคารทุก รุ แห่งที่ได้ปิดการด้าขาย เนื่องด้วยความหวาดหวั่นกลัวภัย อันจะเกิดขึ้นจากการ

ที่ด้องรบก็กลับเปิดขึ้นใหม่ ประด้บประทีปโคมไพ่งดงามตระการ ห้อยพวงมาลัยระบายระบัดเป็นเฟ้อง

บ้างพู่บ้างดูงดงาม ประพรมสุคนธชาติตลบอบอวลชวนให้ซิ่นใจ ฝูงคนนับด้วยร้อยเป็นอันมาก นับด้วย


พันเป็นอเนก ต่างก็พากันไหลหลั่งเข้าสู่ปานาคาร ทุกคนเบิกบาน ทุกคนแช่มซิ่น ทุกคนยิ่มแย้มแจ่มใส
ซักชวนกันเป็นพวกมากบ้างนัอยบ้าง นังลัอมเป็นวง ดื่ม-ดื่มกันอย่างเทนํ้า ดื่มกันไม่มีขีดทั่นซ์นประตู

เพราะเป็นเรื่องปราศจากมูลค่า เหรียญกษาปณ์ในกระเป๋าไม่ด้องลูกนำออกใช้เพิ่อแลกเปลี่ยนเลย มัจ-


ฉมังสาหารอันโอชาเรียงรายตามแต่ปรารถนา ด้มแกงแต่งเจียวฝักพร่าปลายำมากมองมูล ประหนื่งจะ

เย้ยผู้บริโภคว่าท้องของท่านแต่ละคนจะชนสิงเหล่านื่เข้าไปบรรจุไว้ได้หมดละหรือ ? จะขยายด้วยเอา ๑๐

คูณได้ละหรือ จึงจะมีช่องพอบรรจุไม่ได้เหลือหลอ ?
เมื่อสุราและกับแกล้มได้ประมาณแล้ว บัญญาอันอาศัยสุราเป็นสื่อก็พรั่งพรูออกมา คล้ายกับ

kalyanamitra.org
๒๙๐

สุราที่ดื่มฟ้าไปนั้นมีอำนาจผลักคันป้ญญาของมนุษย์เราให้'ปรากฏออกมา ที่ขับขานไม่เป็นก็เป็นร้น ที่


ร้องเพลงไม่ได้ก็มาร'องได้ ที่ไม่เคยฟ้อนรำก็มาฟ้อนรำได้ ที่ไม่เคยเก่งกาจ ก็มาเก่งกาจได้ ที่ไม่เคยพูดจา
ฉาดฉาน ก็มาพูดฉาดฉานได้ บัญญาชันมีสุราเป็นสื่อมีอานุภาพประหลาดมหัศจรรย์ เสมอด้วยเทพฤทธํ่

บันดาลให้เป็นก็ปานก้น ทุก *1 อย่างที่เคยทำไม่ได้ ไม่เคยฟิกหัดมาเลย สุราเป็นสื่อผลักป้ญญาพิเศษออก


มาแล้ว ที่ไม่เคยทำไม่เคยฟิกหัดก็เป็นชันทำได้สนิทสนม
ในปานาคารนั้น คุ ฝูงคนชันจับกลุ่มกัน มักเป็นไปตามอัธยาศัย อัธยาศัยที่ใหักลุ่มชนเป็นไป
ตามนั้น ก็ได้จากบัญญาที่สุราเป็นสื่อเป็นเกณฑ์กำหนด ที่พอใจฟ้อนรำ ก็จับกลุ่มกันในพวกชอบฟ้อนรำ
ที่ชอบดีดสีตีเป่าก็จับกลุ่มกันพนพวกดีดสีตีเปา ที่ชอบคุยสนทนาก็จับกลุ่มกันล้วนที่ถูกคอ ที่ชอบร้องเพลง
ก็ฟ้ากันกับพวกที่ถนัดเพลง พฤติการณ์เหล่านั้ยังจัดสรรแยกออกไปอีก บัางก็ทราม บัางก็ประณีต ล้า

จะจัดให้ฟ้าชุดกระบวนคิลป็ก็บันได้กว้าง คุ ว่าลางกรรมก็เป็นหีนศิลป้ลางกรรมก็เป็นประณีตศิลป๋ สุด


แต่บัญญาที่สุราดันออกมานั้นจะเป็นบัญญาชนิดไหน
ในกลุ่มแห่งพฤติการณ์ต่าง คุ ในปานาคารนั้นอึ๋น คุ ยกเสียเถิดเพราะเป็นไปตามธรรมดา แต่
ในวงการสนทนา เป็นที่น่าสนใจ เพราะการสนทนาในยามนึ่ย่อมเป็นไปดามเหตุการณ์แวดลัอมเป็นสำคัญ
ชันจะพ้นไปนั้นยากนัก ดังนั้นในวงสนทนาจึงพูดถึงกันแต่เรึ่องการรบทัพจับคึก แสดงความคิดความเห็น
กันไปตามเพลง แต่เพลงที่ความคิดความเห็นแสดงตามนั้น บางเพลงก็คึกดักองอาจ บางเพลงก็สลดหดหู่
บางเพลงก็เนือย คุ เฉื่อยชา บางเพลงก็มีรสสนุกสนาน ตามอัธยาศัยของผู้เป็นเชัาของเพลงนั้น คุ ด้งเช่น
ในตอนหน้งของกลุ่มสนทนามีด้งนั้
คนหนึ่งเอ่ยร้นมา “มิถิลาราชธานีของชาวเราคราวนึ่ประสบภัยใหญ่หลวงนัก หลายซัวดนมา
แล้ว ไม่เคยประสบถึงเพียงนึ่ ดูกำลังของข้าคึกคึกคักกำแหงหาญนักหนา เมืองเราถูกลัอมด้วยกำแพง

ข้างมัารถและพลรบ ซับข้อนมิได้มีระวางว่างเว้น พวกเราจะมีหนทางรอดได้อย่างไรน่าสงสัยนัก”


“นึ่ก็แสดงว่าไม่เซือในท่านมหาบัณฑิต” เสียงแย้ง “ท่านประกาศออกมาแลัวอย่างซัดเจนว่า
พวกเราไม่ด้องวิตกกังวล จงกินเล่นให้สนุกสำราญ ป่วยการที่จะพะวงถึงเรึ่องสงคราม ปล่อยให้เป็นภาระ
ของท่านมหาบัณฑิตของเราดีกว่า แลัวแต่ท่านจะบัญชาเถิดน่ะพวกเรา ท่านสั่งให้กินดื่ม-เล่น ก็กิน ก็
ดื่ม ก็เล่น จนกว่าจะหมดเวลาที่กำหนด หรือจนกว่าเราจะหมดฤทธํ”่
“อย่างนั้นน่ะ เป็นของแน่นอน ในเมื่ออกใจร้อนผะผ่าวอยู่อย่างนึ่ การกินการดื่มการเล่นมัน
มีรสชาติอึด คุ มิใช่หรือ มันไม่เป็นรสชาติที่คล่องโปร่งเสียเลย” เสียงนึ่ลนับสนุนคนที่ * “กันเองก็เห็น
ว่าในคราวนึ่มิถิลาด้องกระทบภัยอย่างหนัก และยากที่จะบ่ายเบี่ยงให้พ้นไปได้’
พอสิ้นเสียงนึ่ ก็มีเสียงสอดร้น “นึ่พวกเราจะไม่ยอมวางใจในท่านมหาบัณฑิตของเรากันละ

หรือ ไม่เซือฟิมือและความคิดของท่านแล้วซ้นะ จริงอยู่ภัยหนักมาประจันหนัาชาวเรา แต่การต่อด้านของ


เราก็พร้อมอยู่แล้วมิใช่หรือ การดำเนินการป้องกันบัานเมืองนั้น ท่านเห็นหรือไม่ว่าท่านมหาบัณฑิตของ

เราได้เริมมาแด่นานแล้ว พอท่านได้รับพระมหากรุณาจากพระมหากษัตริย์ของเรา ให้ดำรงดำแหน่งมหา-

kalyanamitra.org
๒๙®

อำมาตย์อัครมหาเสนาบดี มีหน้าที่จัดราชการบ้านเมืองสิทธํ่ขาด ท่านได้เริมจัดการต่าง *1 เพื่อเป็นทาง


ป้องกันบ้านเมือง พวกเราก็เห็นอยู่ด้วยกัน เมื่อเป็นดังนั้น เราจะไปหวาดหวั่นพรั่นพรึงอะไร ทุก ๆ อย่าง

ที่เกิดร้นนั้น เกิดเป็นร่างอยู่นานแล้วในแผนความดีดของท่านผู้สำเร็จราชการ กันว่าอย่างนี้เห็นอย่างนั้น

จึงไม่วิตกกังวล คอยดูเถิดพวกเรา พวกเราคงได้ประจักษ์ในอานุภาพของท่านมหาบัณฑิตเป็นแน่”


“เออ จริงซี” หลายเสียงสนับสนุน “ความดีดความอ่านของท่านสุขุมมาก ยากที่พวกเราจะ
ล่วงรู้'เท่าท้น ท่านได้จัดการไว้อย่างไรบ้างแล้วเราไม่รู้เลยทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่กล้าหาญในการที่จะ

ประกาศข่าวป่าวร้องออกมาดอกน่ะ วิสัยท่านผู้เป็นบัณฑิต มิใช่เป็นคนโอ้อวด คำพูดที่พูดออกมาย่อมมี

หลักฐานเป็นที่เชื่อลือได้ทั้งนั้น หลักการในเรื่องนี้มีอยู่ว่า “ผู้ใดในโลกนี้คาดการแลัวกระทำกิจ รู้ดีลึงกำลัง

และความสามารถในตน เป็นผู้รอบคอบด้วยการปรึกษาหารือด้วยหลักการ ผู้นั้นย่อมชนะอย่างไพบูลย์”


ท่านมหาบัณฑิตของเราสมบูรณ์แล้วด้วยสมน์ตึที่กล่าวนั้น เย็นใจเถอะพวกเรา มิถิลาไม่เป็นไร ท่านเห็น

ทางรอดแล้ว เห็นอย่างปรุโปร่งทีเดียว”
“เมื่อพวกเราส่วนมากเห็นว่าไม่เป็นไร กันก็ไม่ขัดแข็งและมีความเห็นร่วมด้วย” คนแรกอ่อน
ลง “แต่ความวิกตกังวลใจยังคงมีอยู่ จะไม่ให้มีไม่ได้ เห็นอยู่แล้วในกิจการต่าง *1 ที่ท่านมหาบัณฑิตจัด

ร้น เชื่อมั่นแล้วในกำลังความดีดความสามารถของท่าน แต่ก็อดไม่ได้ เห็นจะด้องดีดจนกว่ากองทัพช้าศึก


พ้นแดนมิถิลานั่นแหละ”

“ป่วยการดีด ความดิดที่หมกมุ่นอยู่ในใจ ปรากฎเป็นการกระทำไม่ได้ก็ดี ความดีดวิตกกังวล

ในสิ่งที่ไม่ควรวิตกกังวลก็ดี เสียแรงเปล่า” พวกกันเอ่ย “ดื่ม-กิน-เล่น-ดีกว่า”

จากปานาคารทุกบ้านทุกตำบล ทุกตรอกทุกถนน ฝูงชนต่างชวนกันเป็นหมูเป็นพวก ดื่ม-กิน-

เล่นทุกแห่งไม่มีเว้นว่าง มิถิลานครครึกคร้นด้วยเลียงขับขาน เลียงร้องเพลง เลียงดนตรี เลียงเฮฮา เลียง


โห่ เลียงเอ็ดอึง เสียงต่าง ขุ กลั้วระคนกันดังสนั่นหวั่นไหว ได้ยินไปถึงภายนอกพระนคร ประชาชนที่

อยู่ภายนอกกำแพงเมือง ต่างก็พากันเข้ามากินทางประดูนัอยซึ่งมีผู้คอยตรวจรักษาอย่างกวดขัน ป้องกัน

มิให้สัตวิเข้ามา ล้าเป็นชาวเมืองมิถิลาแล้วก็เข้าออกได้ตามอัธยาศัย
การกระทำของท่านมหาบัณฑิตสำเร็จผลอย่างงดงาม ความหวาดหวั่นครั่นคร้ามของชาวเมือง

หมดไป ความชบเชาเหงาเงียบของบ้านเมืองอ้นเป็นเครื่องประกาศจิตใจของชาวเมืองว่ารอวันตายก็หาย

ไป กลับมีชีวิตจิตใจสนุกสนานร่าเริงบันเทิงชื่นบาน เป็นสิริมงคลแก่บ้านเมือง ประกาศความไม่ทุกข์ร้อน


ในการที่จะด้องเผชิญกับสงคราม ถึงจะมีภัยใหญ่มหันต์ประจันหน้าก็จะต่อลัด้วยจิตใจอันเบิกบานร่าเริง

เสมอ

kalyanamitra.org
๔๒. ใจมต็มิถลา
พระอธิราชจุลนึประทับ ณ กองบัญชาการกองทัพของพระองค์ ได้ทรงสดับเสียงสนุกสนาน
ครื้นเครงในพระนครมิติลาอันสนั่นโกลาหล จึงมีพระราชดำรัสตรัสกับพวกอำมาตย์ราชบริพารว่า

“พ่อเอย ในเมือพวกเรายกกองทัพอันประกอบด้วยกำลังแสนยากรดึง 9๘ กองทัพใหญ่ เข้า


ลัอมบัานเมืองไว้ออกแน่นหนามั่นคงดึงเพียงนี่ พวกชาวบัานชาวเมืองเขาไม่มีความหวาตกลัว ไม่มีความ
ครันครัามกันเลยหรึอ จึงเริงรื้นบันเทิงใจ ยินดีปรีดาชวนกันดีดลีดีเป่า ชวนกันฟ้อนรำ ชวนกันรัองเพลง
ชวนกันโห่ ชวนกันฮา ชวนกันปรบมือ ชวนกันคะนองลำพองใจ นี่มันเป็นเหดุอะไรกันนะ?”

ในบรรดาอำมาตย์ของพระอธิราชนั้น อย่าลืมว่าด้องมีผู้ลืบราชการลับร่วมวงอยู่ด้วยเสมอไป
ท่านพวกเหล่านี่แหละได้เป็นกำลังของกรุงมิติลามากมาย ต่างกระท้ากิจอันเป็นคุณประโยชน์ให้แก่บัานเมือง
โตยแท้ เมื่อไดํยินพระดำรัสด้งนั้นไม่มีใครตอบ ผู้สึบราชกาวจึงกราบทูลชื้นตามความลิดเห็นที่เป็นประโยชน์

แก่บัานเมือง “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลึพระบาทปกเกลัาฯ พวกข้าพระพุทธเจาได้ลอบปลอมตนเข้าไปใน


พระนครนี่โดยประตูเล็ก ซ็งเปิดเป็นทางเช้าออกของชาวเมือง เห็นมหาชนชาวมิติลากำลังมั่วสุมกันเล่น
มหรสพทุกหนทุกแห่ง พวกข้าพระพุทธเจารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งในพฤติการณ์ของชาวมิติลา ตู
เขาช่างสนุกสนานกันเลียจริง รุ ทั้ง รุ ที่ภัยลัอมอยู่รอบด้าน เขาก็ย้งมีกะใจกิน-ดื่ม-เล่นอย่างหน้าชินบาน

ข้าพระพุทธเจ้าจึงลามพวกเขาว่า “พ่อแม่ทั้งหลาย พระราชาในสกลชมพูทวีป มีพระอธิราชจุลนีเป็นจอมทัพ


ยกพหลแสนยากรมีจำนวนมหึมากรีธาแวดล้อมพระนครของพวกท่าน ตั้งมั่นอยู่โดยรอบ กระไรเลยพวก
ท่านช่างมัวประมาทใจ เห็นเป็นไม่สลักสำคัญอะไรเลียได้ มามัวสนุกสนานครื้นเครงเล่นมหรสพดื่มสุรา

ฟ้อนรำกันตลอดวันตลอดคืนประมาทหนักหนา หรือพวกท่านเห็นว่ามิติลาจะปลอดภัยจากกองทัพอัน
มหาคาลนี่ได้กระนั้นหรือ”

พวกชาวเมืองได้ย้อนลามข้าพระพุทธเจ้าว่า “พวกท่านเป็นใครมาจากไหน ท่านไม่รู้หรือพระ-


มโนรถของเจ้านายเราพระเจ้าวีเทหราช พระองค์มีพระประสงค์อย่างไร”
พวกข้าพระพุทธเจ้าพูดกับพวกนั้นว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาววีเทหรัฐเหมือนกัน แต่อยู่นอกกำแพง-
เมือง ไม่ต่อยจะรู้เรื้องราวความเป็นไปภายใน ประดุจจะเป็นผู้มาแต่ป่าดง ขอท่านได้เอ็นตู เล่าพระมโนรถ

ของพระเจ้าวีเทหราชให้ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบบัางเถิด”
“อ๋อ ได้ซิจะเป็นไรไป” พวกนั้นสนองดำของข้าพระพุทธเจ้าพลางเริมเล่าว่า “ในการที่มีศึก
มาประชิดติดนครคราวนี่ พระเจ้าวีเทหราชได้มีพระกระแสพระบรมราชโองการประกาคให้รู้ทั่วกันว่า

kalyanamitra.org
๒๙๓

ในสมัยที่พระองค์ดำรงในภาวะแห่งพระราชกุมาร ได้มีพระมโนรถตั้งพระราชปณิธานไว้ประการ.หนึ่ง

ว่า เมือพระนครของเราถูกพระราชาในํสกลชมพูทวีปยกกองทัพมาล้อมแล้ว เราจักกระทำการสมโภช


มีมหรสพฉลองเป็นการใหญ่” ในวันนึ่ พระมโนรถของพระองค์ท่านถึงที่สมพระกมลมุ่งประสงค์แล้ว
พระองค์ท่านถึงให้คนนำฉัณเภรึเที่ยวดีประกาศทั่วเมือง ร่วมพระมนัสสมโภชพระมโนรถนั้นทุกหนทุก
แห่ง พระองค์ท่านกิเสด็จประทับ ณ พระที่นั่งโถงอ้นกว้างใหญ่ ทรงดื่ม ดื่มอย่างขนานใหญ่เช่นเดียวกัน
นึ่แหละท่าน พวกเราโดยเสด็จพระมหากษัตริย์ของตน ร่วมฉลองพระมโนรถนั้นด้วยความภักดีในพระองค์
มาสิท่านมาร่วมกันดื่มร่วมกันกิน ร่วมกันเล่น”
“พวกข้าพระพุทธเว้าได้ทราบเกล้าฯ มาดังนึ่ แล้วแต่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงกรุณา

ดำริเถิตพระพุทธเว้าข้า”
การที่พวกผู้ลึบราชการลับของกรุงมิลิลากราบทูลทั้งนึ่ เป็นการจี๊จุดเพลิงพระโทสะของพระ-
อธิราชให้กระพึอพรึบเป็นเปลวขื้นทันที กววเป็นกำลัง ตรัสตวาด “ดูหมีนนักชาวมีถิลา ประมาทเรานัก
วีเทหราช ไม่รักำลังของจุลนีเสียแลัว คงได้เห็นกัน” ตรัสพลางทวงมีพระดำรัสสั่งแม่ทัพทุก *1 ด้านให้
ยกพลเข้าโจมดีทักเอาพระนคร ในกระแสพระราชดำรัสสั่ง มีข้อความดังนึ่

“สูทั่งหลาย เร็วรุกรุ่มทักเอาเมืองมีถึลาทุกด้าน ลมคูทุกตอน พังกำแพง ทำลายประตูทุกช่อง

โจมดีป๋อมทุกป๋อม เข้าเมืองด้ตทัวชาวมิถิลาบรรทุกเกวียนมา 800 เล่ม เหมือนเขาบรรทุกลูกพัก จับ


วีเทหราชให้ได้ ตัดเอาแต่หัวมาบัดนึ”่

พระประกาศิตของพระอธิราชจุลนี พลุ่งออกจากพระโอษฐ์ด้วยอำนาจเพลิงโทสะ อ้นลุก-


กระพึอพลุ่งโพลงอยู่ในพระหฤทัยหลังออกคู่โสตประสาทของบรรดาแม่ทัพนายกอง กระเทือนถึงมโนธาตุ
เปล่งกระแสความไม่รังรอที่จะปฎิบํดีกาวตามพระราชประกาศิต ออกมาทันที ทุก กุ คนออกคำสั่งไป

ยังหมวดกองของตนให้เข้าโจมดีมิถิลาทุกด้าน
เลียงสังข์กังวานแว่วแว้วเจั๊อยขื้นทุกหมวดกอง ไม่ใช่เสียงไพเราะเสนาะแก่ผู้พัง หากเป็นสัญญาณ
บอกให้เดรึยม เพึ่อเข้าหามฤตยู ปรี่เข้าไปฆ่ากันอย่างไม่มีเหตุเป็นส่วนตนเลย สำเนียงที่ปรากฏจากสังข์

เหมือนเสียงสั่งการ....
“รุกเชิดซี บุกเข้าไปซี ทักเข้าไปซี รอรึทำไม ในสงครามหาความปรานีที่ไหน ทหารหาญกล้า

ข้กข้าอยู่ไย รุกเข้าไป ทักเข้าไป ในแดนศัตรู”


เลียงกังวานของสังข์สัญญาณเรัาเร่งจิตใจของสูรโยธาบัญจาละทุกคนดื่นใจ ทุกคนลำพอง
ทุกคนฮึกเหิมเตรียมอารุธกวะซับมือมั่น ไม่เคยโกรธกันมาก่อน มีได้เป็นไพรึเคยบีฑากันมาเลย แด'จะ

ด้องฆ่า จะตัองเซีอดเฉึอนกันลงไป
สิ้นเสียงสังข์ กลองรบรัวสั่นขื้น พังกระหึ่มครึมครางบอกให้เดินหนัาเข้าไปหาข้าศึก เร่งเรัา
รัวเร็วชิข์น กุ ประหนึ่งเสียงกระหึ่มแห่งปีศาจอ้นกระหายโลหิต เป็นเสียงกึกกัองมาจากบริวารแห่งยมราช
เรียกรัองเอาดวงวีญญาณให้ไปเผซีญกับทวกรรมโดยเร็ว จะเป็นเสียงอะไรไม่ใช่บัญหาที่พวกสูรโยธา

kalyanamitra.org
๒๙๕

นักรบ!!ญจาละผู้เจนศึก บัดนื่ได้ประสบความจริงแล้ว มิถิลามิใช่รังผื้งที่จะหยิบบริโภคได้หวาน *1

เหมือนเคยปฏิบัติมากับพระนครอื่น ๆ ทั่วชมพูทวีปนั้นเลย ความคึกฮึกหาญลดกำลังความชยาคขลาดกลัว


เข้ามาแทนที่ มิไยกลองจะรัวเร่ง มิไยเสียงสังข์จะรัวเร้าเพื่อให้หนุนเนื่องเข้าตีอีก รัวไปเถิด เร่งไปเถิด
ไม่มีใครที่จะเผ่นโผนโจนใส่เลียแล้ว ร่างที่ไร้วิญญาณเกลื่อนกลาดดาษดา ลูกศรเสียบตามอกบัาง หอก
บัาง แหลนหลาวยังคาอยู่บัาง ที่ยังไม่ตายก็ดิ้นเร่า *1 ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด โลหิตแห่งความ
กาจกล้าได้หลั่งออกมารดพื้นสมรภูมิแดงฉาน ไหลนองไปทั่วแนวรบอันแสนโหดร้าย เหตุการณ์เหล่านื่

ปรากฎอยู่ต่อตาทำให้นักรบทุกคนของบัญจาละไม่สนใจในซีวีตของตนเลียเลย ว่าถาขืนบุกเข้าไป จะได้


คึนหลังหรือไม่สงสัยนัก ต่างก็ชะงักระย่อรอฬงสัญญาณถอยกันทั่วไป
พวกแม่ท้พนายกองผู้ควบคุมขบวนเข้าดี ต่างก็หมดบัญญา ไม่รู้จะสั่งการอย่างไร ให้พวกไพร่
พลเข้าโจมตี แม้จะมีความเดือดแค้นไพร่พลมิใช่นัอย ความเดือดแค้นนั้นก็ไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกที่เห็น
ว่า การป้องกันบัานเมืองของชาวมิถิลาเข้มแข็งยิ่งนัก จะโหมหักไม่ได้เลียแล้ว

เห็นพวกกองทัพป้ญจาละขยาดสมือ ไม่หาญหักเข้ามา พวกมิถิลาก็แสดงตนให้ปรากฎ พร้อม


กับเสียงตะโกนด่า เลียงเย้ยเสียงขู่ตวาด “อย่างไรเลียเล่า ท่านผู้กล้าหาญแห่งป้ญจาละ เหตุไฉนจึงรอรี
อยู่เล่า กำลังสนุกแล้วทีเดียว แด่ความสนุกของพวกเรา เห็นจะเป็นความไม่สนุกของพวกท่านแน่ละ คง
นึกว่าจะได้บริโภคอย่างหวาน,] ละซีนะ สมปติของมิถิลาน่ะ คงหมายมั่นปันมือมาว่าพอถึงก็จะเปิบ โดย

ที่เคยได้เช่นนั้นในนครอื่น *1 มาพาให้กำเริบเติบใจ ผิดหวังเลียแล้วนะท่านสหาย ท่านทั้งหลายอิดโรยโหย


บอบชํ้า หมดเรียวแรงไม่ได้บริโภคภัตตาหาร มาซีเข้ามาเถิด พวกท่านจักดึ่มลักหน่อย จักเดิ้ยวกับแกล้ม
สักหน่อยก็ได้มาซี” เย้ยพลางยั่วพลางโยนกระบอกใส่สุรากับไม้ด้บเนื่อลงไป ส่วนพวกตนก็พากันอื่มพา

กันเคยวเดินอวดไปมาบนชายกำแพง
แม้คำพูดจะแสลงหู กิริยาอาการจะแสลงตา พาให้เกิดพิษแสลงถึงใจ เหล่านักรบบัญจาละ
ก็ตองจำกลํ้ากลืน ไม่กล้าแสดงความโกรธให้ผาดโผนปรากฎออกไป เพราะตระหนักเป็นอย่างดีว่า ภายใน
ของคำยั่วคำเย้ยมีสิงที่จะพรากวิญญาณของตนให้ออกจากร่างล่องลอยไปสู่ปรโลกได้ ซ็งปรโลกที่วิญญาณ
ของตนจะไปสู่นั้น จะรึนรมย์เหมือนในโลกนื่หรึอไม่ก็ไม่แน่นัก จึงด้องกลํ้ากลืนเอาไว้ และทนให้ถากถาง

ยั่วเย้ยตามสบาย จนมีสัญญาณถอยกลับเข้าแหล่ง
การเข้าดีของกองทัพพระอธิราชจุลนึในวาระแรกก็ปิดฉากลงด้วยความพินำศย่อยยับสุดที่จะ

นับประมาณได้ เป็นความพินาศอย่างใหญ่หลวง ซีงกองทัพของท้าวเธอมิได้เคยประสบมาก่อนเลย

kalyanamitra.org
๒๙๖

๔๓. การปิดล้อม
พวกแม่ทัพนายกองเมื่อได้ให้สัญญาณให้พวกสูรโยธาล่าถอยกลับเข้าแหล่งแล้ว ต่างก็ชวนกัน

ไปเฝืาพระอธิราชจุลนึ ณ กองบัญชาการจอมทัพ ต่างกราบบังคมทูลถวายรายงานการเข้าตีของหน่วยใน


ความบังคับบัญชาชองตน รุ โดยบัวกัน พร้อมกับกราบบังคมทูลถึงความบังคับบัญชาของตน *1 โดยทั่วกัน

พร้อมกับกราบบังคมทูลถึงความเสียหายในการเข้าโจมดีคราว'น เสร็จแล้วก็ทราบทูลด้วยความพรั่นพรึง

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าๆ ในการเช้าโจมตีกรุงมิถิลานครครั้งนึ่ ฝ่ายเราประสบความเสียหาย

ใหญ่หลวงนัก จะหัก่เข้าไปมิได้ เพราะชาวมิถิลาป้องกันบ้านเมืองแข็งแรง ทั่งกำแพงค่ายคูประตูหอรบ


ก็มั่นคงแข็งแกร่ง เห็นด้วยเกล้าๆ ว่า ยกแต่ท่านผู้ทรงมหิทธานุภาพแล้วผู้อื่นไม่เลือกว่าใคร แม้จะทรง

สติบัญญามีกำลังสามารถเยี่ยมยอดยิ่งยงปานไร ก็ไม,อาจเป็นแท้ที'จะหักเข้าไปอึดครองนครมิถิลานึ่ได้”

พระอธิราชจุลนีทรงสดับรายงานของบรรดาแม่ท้พนายกอง ด้วยพระอาการรันทดพระราช
หฤท้ย เพราะมิได้ทรงคำนึงถึงมาก่อนว่า ชาวมิถิลาจะต่อด้านเข้มแข็ง ถึงกับทำใท้กองทัพของพระองค์
ประสบความพินาศถึงขนาดนั้น ทั่งเพลิงพระโทสะอันพลุ่งโพลงก็ค่อยเสื่อมสร่างกระแสลง กลายเป็น

ความสลดลังเวชพระหฤทัยในการสูญสั้นของไพร่พล พระองค์ทรงอัดอั้น มิได้ตรัสประการใดกับพวก

แม่ทัพนายกอง ประทับดุษณีภาพอยู่เหนือพระราชอาสน์ จนได้เวลาก็เสด็จเข้า ณ ที่ประทับรโหฐาน

เป็นเวลา ๔-๕ วัน พระอธิราชมิได้ทรงพิพากษ์ศึกสงครามเลย พระดำรัสต่าง รุ ในทางสงคราม

กับมิถิลามีได้ผ่านพ้นพระโอษฐ์ออกมา พระพักตร์หม่นมัวแสดงว่าทรงวิตกกังวลในพระหฤทัย คำคัดด้าน


ของเกวัฎผ่านเข้ามาสู่พระมนัส พํ่นพระกมลให้หมกมุ่นครุ่นครวญ จะทรงบริหารสถานไหน ความอัปยศ

จึงจะเสื่อมไป ความรุ่งเรืองด้วยพระบรมเดชานุภาพจะพิงดำรงด้วยดี เป็นที่เกรงขามแก'นานาประเทศ

อันทรงพิชิต ท้าวเธอทรงดำริตลอดเวลา ๔-๕ วันนั้น เมื่อสั้นสุดพระปรีชา มิได้ทรงเห็นช่องทางใด รุ


ที่จะทรงยึดถือเป็นแนวในการยึดครองมิถิลา ก็มีอีกผู้เดียวเท่านั้นที่มีสดิป้ญญาพอที่จะทรงปรึกษาหารือ

ด้วย คือราชปุโรหิตาจารย้เกวัฏ ด้งนั้นในวันหนึ่ง จึงได้มีพระดำรัสถามท่านปุโรหิต ท่ามกลางราชบริพาร

ว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราไม่สามารถที่จะยึดนครมิถิลาได้ แม้แต่ไพร่พลเพียงคนเดียวที่จะสามารถเข้าไป

ใกล้กำแพงเมืองก็ไม่มีเลียเลย จะทำอย่างไรกัน?”
เกวัฎเป็นปุโรหิตทรงปรีชา แม้จะตระหนักในความเห็นของตนถึงการที่จะด้องเผชิญกับคู,ศึก
อันหนักยิ่ง จนถึงได้เคยกราบทูลด้านมาแล้วแต่เดิมที ก็มิได้เป็นเช่นอำมาตย์บางประเภท ที่มั่นแต่ในความ

คิดของตน ปราศจากความผ่อนปรนให้เหมาะแก่เหตุการณ์ ซึ่งอำมาตย์ประเภทนึ่ จะวางมือทันทีในเมื่อ

kalyanamitra.org
๒๙๗

ความคิดเหินของตนมิได้เป็นทียอมรับปฏิบัติ เพราะเป็นความเหินที่ขัดด้นกับอึกฝ่ายหนึ่ง ท่านเกวัฏเป็น

ประหนึ่งสาวถผู้ช่านาญการ เมือผู้ทรงยานจะให้ตนขับยานไปในทางซีงดนเหินว่าไม่วาบรื่น อึจำด้องปีนใจ


ตาม เมือประสบความขัดข้องขื้นแล้ว ก็มิได้ยอมจำนนหรึอปริปากกัอนเอาความหลังขื้นตั้งเป็นข้อคำนึง

ให้เกิดความคิดว่า “เราบอกแล้วไม่เชี่อ” ทั้งกาวปีนใจตามไปนั้น ท่าให้ตนได้รับประโยชน์อย่างนัอยอึศึอ


ความเด่นในหมู่มนตรี ดังนั้น คงพยายามหาทางแก้ไขเพื่อพากันไปให้ถึงจุดหมายปลายทางให้จงได้ เมือ

ได้ห้งพระดำรัสถาม จึงกราบบังคมทูล “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท


อย่าทวงปริวิตกไปเลยพระพุทธเจ้าข้า พระนครมิถิลานั้ แม้จะมีการป้องกันแข็งแรงปานใดอึมีส่วนเลีย
อยู่ในตนประการหนึ่ง ซืงเป็นหนทางเลียเปรียบในการรับข้าศึก ทั้งนึ่คือมีแม่นํ้าอยู่นอกเมือง ธรรมตา

เมืองที่มีแม่นํ้าอยู่ภายนอก ถูกข้าศึกปิดล้อม ไม่ข้านํ้าก็จะขาด การขาดนํ้านั้นเป็นเหตุให้เลียเมืองแก่ข้าศึก


เพราะพวกมนุษย์ที่อยู่ในเมืองด้องลำบากในเรื่องนํ้าแล้ว ที่ไหนจะทนกระหายอยู่ได้ จักด้องพากันเปิด
ประตูพระนครออกมาเพื่อหานํ้าบริโภค นั่นคือโอกาสที่จะด้องฉวยในกาวโจมดีในที่สุดอึยึดเมืองได้ใม่ยาก

เลยพระพุทธเจ้เข้า”
“อุบายของท่านอาจารย์แยบคาย เป็นประโยชน์มาก” ตรัสด้วยทรงมีพลังพระหฤทัยขื้นถนัด

“ฉันเหินด้วย คราวนึ่มิถิลาเหินจะไม่วอดมือเราไปได้ นํ้าเป็นอุปการะสำคัญในข็วิตของมนุษย์ ด้าขาด


นํ้าแล้วเป็นด้องลำบากนัก และจักพลันถึงอันตรายทีเดียว” ตรัสพลางทรงมีพระราชโองการแก่แม่ทัพ
นายกองทั้งปวง ให้จัดการปิดกันทางนํ้าที่ไหลเข้าไปในเมืองทุก จุ ทาง
พวกแม่ทัพนายกองรับพระราชโองการ ด่างอึสั่งพวกพลโยธาให้จัดการปิดกันถมลำรางคลอง
บางด่าง จุ ที่เป็นทางนํ้าไหลเข้าสู่พระนครมิถิลา ทั้งกระซับการล้อมให้เข้มงวดกวดข้นยิ่งขื้น ไม่ยอมให้

ใครนำนํ้าเข้าไปในเมืองเป็นอันขาด
ที่นั้น บรรดาท่านผู้ลึบวาชการลับทั้งหลายที่แทรกแซงอยู่ในหมู่อำมาตย์ขององคืพระอธิราช
อึเขียนหนังลึอบอกเรื่องราวความคิดอ่านของเกวัฏที่ปรึกษาทุกประกาว ผูกปลายลูกศรชิงเข้าไปในก้าแพง

เมือง เพื่อให้พวกโยธาชาวมิถิลาเก็บไปให้ท่านมหาบัณฑิตทราบ
ลูกศรผูกหนังลีอแจ้งข่าวสาวเกี่ยวกับการลัอมปิดเพื่อให้ขาดนํ้าตกลึงมือท่านมหาบัณฑิตในไม่
ข้า ตูจะพูดว่า กองท้พบัญจาละเริ่มเดลิ่อนไหวเพื่อปฏิบัติการดามแผนอุบายใด เมือใดแผนอุบายนั้นอึทราบ
ลึงท่านมหาบัณฑิตเมือนั้น ดังนึ่ก็ได้
ท่านมหาบัณฑิตทราบประพฤติเหตุนั้นแลัว ก็รำพึงด้วยความสลดใจ ในแผนความคิดของเกวัฎ

ว่า “เกวัฎช่างงมงายโง่เซอะ หาได้ทราบความเป็นบัณฑิตของเรา เราจะแสดงความเป็นบัณฑิตของเรา


ให้เหิน ให้เป็นที่รักันในกองทัพของจุลนีว่ามิถิลานั้นสมบูรณ์ด้วยนํ้า แม้จะถูกลัอมตั้ง *๐ ปี 900 ปี อึ
ไม่อดนํ้าตาย”
ความคิดที่จะแสดงให้ข้าศึกได้เหินประจักษ์ด้งกล่าวมานั้น ปรากฏเป็นกาวงานขื้นคังนึ่
ท่านมหาบัณฑิตให้คนนำไม้ไผ่ สรรลำที่ยาวประมาณ ๖๐ ศอกมาเป็นอันมาก แล้วให้ผ่าออก

kalyanamitra.org
6๑

เป็นสองซีก รานข้อออกเสียให้หมด ขัดให้เกลี้ยงเกลา แล้วประกบกันเข้าใหม่เป็นลำดังเดิม พันด้วยหนัง


แล้วให้เพาะพืชบัวที่ดาบสผู้มีฤทธิ๋นำมาแต่หิมว้นตประเทศที่ชายเลนริมฝังโบกขรณี วางไมัใผ่นั้นครอบ
พืชบัวไว้กรอกนํ้าใส่ลงจนเต็ม ไม่ข้าดอกบัวก็งอกสูงชื้นไปกว่าปลายไม้ไผ่ประมาณ * ศอก ท่านมหา
บัณฑิตก็ให้คนถอนสายบัวนั้น่ 1 มามอบให้แก'พวกทหารประจำภารตามหน้าที่พรัอมด้วยคำสั่งว่า “พวก
เว้าจงให้สายบัวเหล่านึ่แก่ท่านจุลน็พรหมทัต”

พวกทหารชาวมิถิลารับสายบัวแล้ว ต่างก็ขดกัานบัวทำเป็นวงกลม ขว้างไปให้แก่พวกไพร่พล


ของพระอธิราชจุลนิ ทั้งพูดเป็นเย้ยหยัน “พ่อเอย พวกท่านเป็นข้าละอองรองธุลีพระบาทพระเจ้าพรหมทัด
ผู้เรืองด้วยพระเดชานุภาพ อย่าพากันมาตายอดตายอยากเสียเลย เชิญรับเอาสายบัวเหล่านั้ใป รับเอาเถิต
เอาดอกไปประดับร่าง เอาสายไปกินให้ท้องซึ่งพร่องไปเพราะความหิวเต็มชื้นเถิด”
สายบัวที่พวกทหารมิถิลาโยนออกมา ได้ตกไปถึงมือของผู้สืบราชการของท่านมหาบัณฑิตคน
หนึ่ง ท่านผู้นั้นมีได้รอข้ารีบคว้าเอาไปสู'กองบัญชาการของพระอธิราชโดยเร็ว วางสายบัวไว้ตรงหน้าพระ

พักตร์ให้ทอดพระเนตรพลางกราบทูลว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าๆ เชิญทอดพระเนตร


สายบัวนึ่เถิดพระพุทธเจ้าข้า แต่ก่อนแต่ไรมา พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่เคยเห็นสายบัวที่ยาวเช่นนั้เลย”
พระเว้าจุลนีทอดพระเนตรสายบัว ด้วยทรงอัศจรรย์พระฤทัยไม่น้อยพลางตรัสสั่งว่า “พวก

ท่านลองวัดมันตูทีหรือยาวลักเท่าไร”
ท่านผู้สีบราชการลับหลายคนอันกำลังมาร่วมชุมนุมช่วยกันวัดได้ ๖๐ ศอก แต่เพื่อประมูลความ
ให้ยิงชื้นไปอีก จึงกราบบังคมทูลมากชื้นไปว่า “ขอเดชะ เบ็ดเสร็จ ๘๐ ศอกพระพุทธเจ้าข้า”
“เออแน่ ยาวจริง *[” รับสั่งด้วยความประหลาดพระหฤทัย “มันเกิดที่ไหนใครรับัาง?”
ท่านผู้หนึ่งในหมู่ผู้สืบราชการลับมีปฏิภาณว่องไวกราบทูลว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ปกเกล้าฯ วันหนึ่งข้าพระพุทธเจ้าเกิดความกระหายเป็นกำลัง สุดที่จะกลั้นความกระหายเสียไดจึงลอบ
เข้าสู่พระนครทางประตูเล็ก ด้วยความหวังว่าจะไปหาสุราดื่ม จึงได้ไปเห็นสระบัวใหญ่กว้างขวาง พวก
ชาวเมืองร่วมกันตบแต่งเพื่อเล่นกีฬาในนำ มหาชนชวนกันลงเรือรูปแปลก ‘เ มากคนบัาง น้อยคนบัาง
เล็กบัาง ใหญ่บัาง คลาคลำไปในสระนั้น ต่างก็ถอนสายบัวเด็ดออกมาประด้ษร่างและลำเรือ ขณะที่เห็น
นึ่เป็นสายที่เกิดริมฝังสระทั้งนั้น ที่เกิดในที่ลึก *1 กลางสระชักต้องถึง ๑๐๐ ศอกทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า”
ทรงสดับพลางผันพระพักตร์ไปทางที่ปรึกษาทัพ รับสั่งว่า “ท่านอาจารย์ สายบัวบอกความ
ลึกตนแห่งแหล่งนํ้า สายปัวนึ่ยาวมาก แสดงว่านครมิชิลามีสระนํ้าใหญ่และลึกมาก เราจะคิดล้อมให้ขาด
แล้วยึดเอานั้นเห็นจะไม่เป็นการเสียแน่ กี่ปีมิถิลาจะขาดนํ้า เลิกความคิดอันนั้นเสียเถิดไม่สำเร็จแน่”
เกวัฎยังไม่สิ้นแต้มในการที่จะป็ดลัอมมิถิลา จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ปกเกล้าฯ กิจกรรมแห่งสงครามได้ดำเนินมาจนถึงชันนึ่แล้ว หากจะเลิกราล่าถอยก็จะทำให้เสื่อมเสียพระ-
บรมเดชานุภาพเป็นที่อัปยศเย้ยหยันแก่มหาชน ต้องพยายามดำเนินต่อไป สุดแต่จะมีอุบายอันใดอยู่ ก็

จำต้องนำออกมาใข้ ส่วนผลแห่งอุบายจะเป้นอย่างไร ก็แล้วแต่การ เมื่อทรงพิจารณาตระหนักพระหฤทัย

kalyanamitra.org
๒๙๙

แต้วว่า กาวจะฃึดมิชิลาให้ได้โดยต้อม่ให้สิ้นนํ้า ไม่เป็นผลแต้ว ก็คววดำเนินอุบายใหม่ ตามที่ข้าพระพุทธเต้า


พิเคราะห์ดู เห็นด้วยเกด้าฯ ว่ามิชิลานครนึ่มิได้มีไร่นาอยู่ภายใน ด้องอาศัยธัญญาหาร’ฦกภายนอกเข้าไป
บำรุงเสิ้ยง หากปิดด้อมมิให้ชาวเมืองออกหาเสบียงภายนอกแต้ว เสบียงที่สะสมไวัก็จะเลยงกันไปได้ไม่
กี่มื้อ คงจะสิ้นเปลืองหมดไป เกิดความอัดด้ดข้ดสน ที่ไหนวิเทหวาชจะทนทานอยู่ได้ คงจะด้องอ่อนนิอม

ในพระบรมโพธิสมภารเป็นแน่”
พระเต้าจุลนิทวงสด้บ ก็รับสั่งว่า "แยบคายดีท่านอาจารย์ อุบายอย่างนึ่คงสำเร่จประโยชน์ได้”
รับสั่งพลางมีพระราชโองการประกาศแก่บรรดาแม่ทัพนายกอง ให้ทราบพระราชประสงดํทุกหมวดกอง
เป็นใจความว่า ให้เลิกการปิดลัอมเพื่อให้’มิชิลาชาดนํ้าเดิมนั้นเสีย ให้กระชับกาวปิดลัอมเพื่อให้สิ้นข้าว

ต่อไป ให้โยธาบัญจาละทุกคนดรวจตราจงกวดข้นอย่าให้ชาวมิชิลานำธัญญาหารจากภายนอกเข้าไปในเมือง
ได้เป็นอันขาด
อุบายนั้เปีนท่านองเดียวกันกับอุบายทั้งหลาย คือ มิได้วอดพนไปจากความรัของท่านมหาบัณฑิต
เมื้อได้ทราบแต้วก็ดำเนินความคิดแต้ไขให้พระเจ้าจุลนืทรงเลิกความคิดนั้น ด้วยวิธึการด้งต่อไปนํ๋
ให้จัดการโกยเลนชื้นไปถมบนกำแพง แต้วให้หว่านเมล็ดข้าวเปลือกบนกองเลนนั้น ไม่กี่วัน
ข้าวเปลือกก็งอกงามตั้งลำด้นเขียวชอุ่มปรากฎเหนือลันกำแพงโดยทั่วไป
บรรดาโยธาของบัญจาละได้เห็นเป็นที่พิศวง ตลอดถึงพระเจ้าจุลนืก็ทรงฉงนพระหฤทัย จึง
ได้มีพระราชดำรัสถามในท่ามกลางราชบริพารว่า “ท่านทั้งหลายใครจะรับัาง นั่นอะไรปรากฎเหนือกำแพง

เป็นทิวแถว ?”
พวกท่านผู้สีบวาชกาวลับของท่านมหาบัณฑิต ได้ยินพระราชดำรัสถามก็เป็นเสมือนว่า ได้ลอด
ต้อยคำออกมาจากปากของท่านมหาบัณฑิตกำหนดกฎชาไว้แต้ว จึงกราบทูลสนองพระราชดำรัสได้ทันที
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีฟระบาทปกเกลัาฯ ตามที่ข้าพเจ้าได้สดับตรับทังมา เรื่องราวเป็นด้งนึ่ มโหสถ
บัณฑิตผู้บุตรของสิริวัฒนะเล็งเห็นภัยที่จะบังเกิดมีแก่บัานเมืองของตนในกาสภายหน์า จึงให้ขนข้าวเปลือก
มาจากไร่นาตลอดแคว้นวิเทหราช เข้าบรรจุไว้เต็มยุ้งเต็มฉางในพระนครเท่านั้นยังไม่เพียงพอ อาคาร
บัานเรือนแห่งใดที่เป็นเรือนรัางว่างเปล่า ก็นำข้าวเปลือกบรรจุไว้เป็นเสบียงสะสม ข้าวเปลือกที่ขนมา
นั้นมีประมาณมากมาย เมือบรรจุเต็มที่แลัว ก็ยังเหลืออีกเป็นอันมาก จึงให้จัดการกองไว้เหนือลันกำแพง
เมือง ข้าวเปลือกเหล่านั้นลูกแดดเผาก็แห้งไปด้วยแสงแดด ครั้นฤดูฝนเชยก็ชุ่มชื่น ในที่สุดก็งอกชื้นเป็น
ข้าวกลัาทั่วไปในที่นั้น *1 แบัข้าพระพุทธเจ้าก็ได้เคยลองเข้าไปในเมืองมิชิลาทางประตูเล็กในวันหนึ่ง เห็น
กองข้าวเปลือกมองมูลอยู่ ณ ลันกำแพง ข้าพระพุทธเจ้าไม่อาจกลั้นความตื่นใจได้ จึงกอบข้าวเปลือก
จากกองมาแต้วโปรยลงที่ถนน ฝูงชนชาวเมืองได้เห็นก็พากันหัวเราะเยาะแทนที่จะโกรธชื้ง และยังพากัน
บอกว่า ‘ชะรอยท่านจะหิวโหยไม่มีข้าวบริโภคสินะ ท่านอย่าได้กระดากกระเดื่องเลย เชิญโกยข้าวเปลือก
ห่อชายผ้าเอาไปเหย้าเรือนของท่าน ซ้อมดำหุงด้มกินตามอัธยาศัยเถิด’ เรื่องนึ่ได้ประจักษ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า

มาทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org

พระอธิราชทรงสดับก็ตระหนักในพระหฤทัยว่า “อุบายที่จะล้อมให้อดข้าวก็เห็นจะไม่เป็นผล
เสียอีกแลัว” จึงหันพระพักตร์มาทางที่ปรึกษาเกวัฎ ตรัสว่า “ท่านอาจารย์ การล้อมให้อดข้าว ก็เห็นจะไม่

เป็นผลเสียแล้วละ กว่าเขาจะอดข้าวเราก็จะอดไปก่อน อุบายอย่างอื่นยังมีอีกไหมเล่า ?”


เกวัฎยังไม่สิ้นแต้ม เพราะยังมีแต้มที่จะเดินได้อยู่ แด่แต้มที่เดินนั้นถึงไม่สิ้นก็เป็นแต้มตํ๋น *1
ตามความตนแห่งปรีชา เมื่อเห็นว่าจะล้อมให้อดข้าวไม่ได้ ก็คิดต่อไปถึงสิ่งที่จะทำให้ข้าวบริโภคได้คือฟิน

จึงกราบทูลว่า “เมื่อมิถิลามีข้าวเปลือกมากมาย จะล้อมเอามีได้ด้วยวิธีจะให้อดข้าว เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าข้าว

จะเป็นอาหารได้ต้องใช้ฟินหุงต้ม เราล้อมให้ขาดฟินก็เห็นจะชืดเอาได้ เพราะใครจะกินข้าวสารได้ เพราะ

ธรรมดาบ้านเมืองย่อมมีฟินอยู่ภายนอกเป็นแดน ถูกกักถูกล้อมเข้าก็คงขาดลงในไม่ช้าพระพุทธเจ้าข้า”
“ก็แยบคายดี ฉันเห็นด้วย” รับสั่งด้วยดีพระหฤทัย พลางมีพระบรมราชโองการสั่งแม่ทัพนาย

กองให้กวดข้นมิให้ชาวเมืองออกหาฟินได้
พอรุ่งร้นบนลันกำแพงก็มองมูลไปด้วยกองฟิน บนข้าวกล้ามีแต่เกองฟินตลอดไป มากมายสุด

จะนับประมาณ
พวกทหารมิถิลาพากันพูดเยาะเย้ยทหารของพระเจ้าอธิราชจุลนี “ท่านทั้งหลายเอ๋ย ล้าพวกท่าน
อดอยากหิวโหย จงเอาฟินเหล่านี่ไปหุงข้าวด้มแกงกินเถิด” พูดแล้วก็ขว้างดุ้นฟินเหล่านั้นออกไปให้
แม้พระอธิราชก็ได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์นั้นด้วยพระองค์เอง จึงมีพระดำรัสถามในที่ประชุม
กองบัญชาการถึงเรื่องราวนั้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

พระดำรัสถามของพระอธิราชนั้น ไม่มีผู้ใดจะกราบบังคมทูลสนองได้ดีเท่ากับพวกผู้สีบราชการ
ลับของท่านมหาบัณฑิตเลย ท่านพวกนั้นตอบได้ดี เพราะเป็นการตอบเพื่อประโยชน์แห่งบ้านเมืองของตน

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินได้พังมาว่า มโหสถบัณฑิตคิดเห็นภัยใน


อนาคต จึงให้ขนฟินมาเก็บรวบรวมไว้ในบ้านเมืองให้กองไว้ที่หลังเรือนของท่านผู้มีสฤลในมีถิลาทั่วทุก

แห่ง คนทั้งเมืองมิถิลารวมกันใช้หึเนเหล่านั้นแมัตั้ง 800 ปีก็ไม'หมด ฟินที่ขนร้นกองบนกำแพงนี่เห็น


ด้วยเกล้าว่าเป็นสิ่งที่เหลือใช้ เพราะการคิดปัองกันภัยของมโหสถนั้น ช้าพระพุทธเจ้าได้ยินกิตติศัพท์อยู่

ว่า ปฏิบัติกาวด้วยความรอบคอบถีล้วน พอแก่จำนวนของประชาชนทุก *1 ประการ และพอแก่กาลเวลา


ที่จะต้องประสบภัยนั้นแมันานเท่านาน จนกว่าเหตุการณ์อันเป็นภัยนั้นจะคลี่คลายไป หรือล้าไม่คลี่คลาย

ไปเองตามวิสัยของเหตุการณ์ ก็คงคิดอ่านให้คลีคลายไปจงได้ ยิ่งกว่านั้นสิ่งของด่าง *1 ที่ได้สะสมไว้นั้น 1


นอกจากจะพอแก่จำนวนผู้ต้องการ นอกจากจะพอแก่ระยะกาลอันนาน ทั้งสองประการนั้นแล้ว ยังมีพอ
ที่จะเฝือขาดเผื่อหน่วยอีก นัยว่า เป็นการเตรียมด้วยความรอบคอบแท้ *1 ข้าพระพุทธเจ้าได้ชินมาด้งกราบ
ทูลฉะนี่พระพุทธเจ้าข้า”
พระอธิราชจุลนึทรงสดับแล้ว เกิดความท้อในพระหฤทัย ตรัสกับท่านที่ปรึกษาว่า “ท่านอาจารย์
เอัอ-พวกเราไม่สามารถอึกนั้นแหละที่จะล้อมยึดเอามิถิลา ด้วยทำให้ขาดฟิน ต้องเลิกอุบายนี่เสียอีกแล้ว”

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อย่าทวงพระปริวิตกกังวลพระหฤทัยไปเลยพระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
๓๐®

ท่านเกวัฎกวาบทูลเอาพระท้ย “อุบายอยางอึนย้'งมีพระพุทธเด้าข้า”
พระอธิราชอุลนึ มีพระท้ยเบือต่อการซีดเยื้อเต็มประดา ดร้'สเป็นเซิงประชดว่า “ท่านอาจารย์!

อุบายอะไรข้นเล่า 1 ? ขันไม่เห็นอุบายของท่านหมดสักที แต่ก็ยึดเมืองมิติลาไม่ได้สักที กลับไปบ้านเมือง


ของเราดึกว่า”

kalyanamitra.org
๔๔. เลศธรรมยุทธ์
ที่ปรึกษาเกวัฎ ได้ยินกระแสดำรัสดังนั้น แมัจะเห็นว่าเป็นเรื่องตรงกันกับที่ตนได้กราบทูล
ทักท้วงมาแต่แรกแต้ว ก็หาได้มีความคิดที่จะกราบทูลลำเลิกย้อนด้อยรัอยความอีกไม่ จะว่าเป็นเพราะเป็น

ผู้มีอัธยาศัยไม่เล็งผลเลิศในทางที่จะให้ใคร *1 เห็นตนว่าเป็นผู้คาดถูก ในเมื่อคนทั้งหลายเป็นฝ่ายผิดจน


จำนนต่อความผิดนั้นแต้ว หรือจะว่าเป็นเพราะมีอัธยาศัยเป็นคนรั้นไม่ยอมถอยหลังในกิจการที่เริ่มกวะท้า

มาแต้ว ด้วยทุนด้วยแรงเป็นอันมาก ยังไม่ท้นจะได้รับผลด้มกันกับแรงเลย ก็จะมาทอดทิงถอยเลียกลางด้น


กระไรได้ ก็แต้วแต่จะว่า เพราะทั้งสองโสดนั้นด้าเพ่งกันแต่เผิน ๆ ก็เรึยกได้ว่า ความเข้มแข็งเสมอกัน
แต่ด้าเพ่งกันลึกข็งกว่านั้ อาจจะว่าไม่ใช่ความแข็งก็ได้ การที่อัธยาศัยอันเป็นเด้ามูลของการไม่ยอมถอย
ทั้งนั้นจะเป็นความเข้มแข็งได้หรือไม่ได้ ก็มิได้เป็นข้อที่จะตัดรอนความไม่ยอมถอยของเกวัฎ ตรงกันข้าม
กลับทำให้เกวัฎเกิดมานะในการที่จะเผชิญกับท่านมหาบัณฑิตตัวต่อด้วทีเดียว
เกวัฎกราบบังคมทูลพระอธิราชยั่วพระหฤทัยให้เกิดพระอุต่สาหะคลายพระอาการท้อแท้ ท่าน
เริ่มด้น “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทผู้เป็นเทพเจ้าแห่งชมพูทวิป เป็นเอกอัครราชในแผ่นดิน ประกอบ

ด้วยพระอธิราชอิสริยยศและพระบริวารยศปรากฎไม่มีผู้เสมอแลัวในแดนดิน เชิญใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ทรงพระวิจารณ์ด้วยพระปรีชาญาณอันเยี่ยมยอดเถิด พระพุทธเจ้าข้า ลัาเราจะเลิกถอยล่าทัพกลับบัาน
เมือง กิตติศัพท์ก็จะลีอเลื่องไปทั่วทิศานุทิค พระเจ้าจุลนึพรหมทัตพรัอมด้วยพระราชา *๐* พระองดี
ยาตราทัพสรรพด้วยลื้พลพาหนะและอาวุธยุทธกัณฑ์เป็นจำนวนมากมาย มีดฟ์ามัวดินเข้าด้อมมิถิลานคร

อันมีปริมณฑล ๒,๘๐๐ เสัน แต่ด้วยกองทัพอันมหึมานั้น พระเจ้าจุลนึมีอาจยึดมิถิลานครได้ มิอาจชิง

แคว้นวิเทหะได้ มิอาจจับพระเจ้าวิเททวาชจอมประชาชาววิเทหะได้ ด้องเลิกกองทัพกลับไปเอง กิตติศัพท์


อันระป้อไปด้งนํ่ จักเป็นที่อัปยศอดสูแก,พวกเรานัก จักทำให้เป็นที่เสื่อมเลียพระบวมเดชานุภาพของ

ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้เป็นอันมากทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า”
“ก็จะทำอย่างไรได้เล่า ท่านอาจารย์” ตรัสด้วยทวงกังวลพระหฤทัย “เราได้ทำแก่มิถิลาหลาย
ท่าหลายทางแลัว โจมดีก็ทำแลัว แต่ก็ด้องถอยเพราะชาวมีถิลาป้องกันบัานเมืองเข้มแข็งยี่งนัก ฝ่ายเรา

เลียหายมากมาย อุบายปิดด้อมก็ทำแลัวไม่เป็นผล เพราะเขาคิดตระเตรียมไวัมิได้ขาดตกบกพร่อง เราจะ


ท้าอย่างไรอีกเล่า มโหสถเขาเป็นบัณฑิตมีความคิดปรุโปร่ง ป้องกันมิถิลานครด้วยปรีชาสามารถอย่างเลิศ
แลัว เขาควรเป็นอำมาตย์แท้จริง อุ”

kalyanamitra.org
๓๐๓

การสรรเสริญคู่ปรับชิง *1 หน้า เป็นเหมือนพายุพ้ดกระพือเพลิงโทสะให้เกิดขื้นในใจของที่

ปรึกษา เกวัฎจึงเปล่งเสืยงกวาบทูลสนองอย่างหนักแน่น “ขอเดชะ ท้าไมนะพระพุทธเข้าข้า มโหสก


เป็นบัณฑิต แม้ข้าพระพุทธเข้าก็เป็นบัณฑิตเหมือนกัน ความคิดอ่านของข้าพระพุทธเข้ายังไม่หมดใน
กาวสงคราม ข้าพระพุทธเข้าก็ได้คึกษามาเจนจบ ที่ไม่อาจสำแดงให้เห็นเด่นซัด ก็เพราะมิดึลามิได้ยักพล
ออกมาต่อสู้ชิงซัยกันในสมรภูมิ เอาแด่หลบซ่อนแอบแฝงอยู่ในแหล่งที่มั่น ยากแก่การที่จะหักโหมโรมริ'น
เข้าไป แด่อย่างไวก็ดาม ข้าพระพุทธเข้าคิดชักกระท้าเลศประกาวหนึ่ง ชิงเป็นข้อลึกลับซับซัอน เอาซัยชนะ

มโหสถชืดเมืองมิดิลาให้ได้”
“ท่านอาจารย์ ที่ท่านเรียกว่า เลศนั้นน่ะ อะไรกัน?” ตรัสซัก “ฉันพ้งแลัวไม่เข้าใจ อธิบาย

สักหน่อยเกิด”
“ขอเดชะ เลศที่ข้าพระพุทธเข้าจักกระท้านึ่เรียกว่า ‘ธรรมยุทธ’ การรบกันทางธรรมพระพุทธ-

เข้าข้า”
“เออ มันเป็นอย่างไรนะ รบกันท่าไหน จึงเรียกว่า ธรรมยุทธ์?”
“ขอเดชะ ธรรมยุทธ์เป็นวิธีรบประการหนึ่ง มีมาแด่โบราณ นักปราชญ์ในทางสงครามได้
กำหนดกันขื้นแด่โบราณสมัย ในเมื่อเห็นความเป็นภัยจากการรบกันด้วยทหารและศาสตราวุธ ชิงท้าให้
เปลึองซ็วิตมนุษย์ลงมากมายก่ายกอง การรบท้านองนึ่ไม่มีเสนา ไม่มีอาวุธ เป็นแด่บัณฑิตสองนายของ
พระราชาทังสองฝ่ายมาพบกันในสลานที่แห่งเดียวกัน ในสองคนนั้นผู้ใตด้องไหว้ ผู้นั้นด้องแพ้ ความแพ้

ของผู้นั้น เป็นความแพ้ของฝ่ายนั้นด้วย” ท่านเกวัฎกราบทูลซ็แจงและเสริมความต่อไป “มโหสถดึงเป็น


บัณฑิตก็จริง แด่ยังเยาว์วัย ได้พบได้เห็นความเป็นไปของโลกน้อย ย่อมไม่อาจรู้ความคิดอันนึ่ ข้าพระ-
พุทธเข้าเล่าก็เป็นบัณฑิตท้ดเทียมกัน แด่ได้เปรียบที่เจริญวัยเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กว่า ในเมื่อมาพบกัน มโหสก

เป็นเด็กเห็นข้าพระพุทธเข้าแลัวชักด้องไหว้ตองแสดงความเคารพ คราวใดมโหสกไหว้ข้าพระพุทธเข้า
คราวนั้นวิเทหรัฐก็ซือว่าเป็นผู้แพ้แลัวในธรรมยุทธนาการ ทีนั้นพวกเราก็ชักมีซัยเหนึอวิเทหราช ครั้นแลัว
ก็ชักพากันกลับบ้านเมีองของตน *1 โดยนำความมีซัยกลับไป ด้วยอุบายอย่างนึ่แหละพระพุทธเข้าข้า พวก
เราชักไม่ต้องอัปยศอดสู จักเฟิองด้วยเกียรติคุณดำรงในฐานะผู้พิชิตชมพูทวิปสืบไป นึ่แหละเรียกว่า ธรรม-

ยุทธ์ละพระพุทธเข้าข้า”
พระอธิราชจุลนึ ทรงสด้บด้อยคำของท่านที่ปรึกษาด้วยความพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะ
พระหอุท้ยของพระองด็พอเสืยแลัวในกาวยุทธ์ด้วยอำนาจแห่งแสนยากร จึงเป็นกาวง่ายที่จะพอในวิธีการ
อันมีด้องหมดเปลึองซ็วิตของไพร่พล ตรัสชมวิธีการของท่านเกวัฎว่า “เข้าที ท่านอาจารย์ อุบายนึ่งามดี

เห็นจะได้เมืองมิถิลาแน่” ดำรัสแลัวมีพระบรมราชโองการตรัสให้เขียนพระราชสาส์นส่งไปกวายแด่พระ-

เข้าวิเทหราช

“ทูลพระราชาว้เทหราช
เราผู้พิชิตแลัวตลอดแดนชมพูทวิป พรัอมด้วยราชา 400 องค์ ยกกองทัพมาลัอมเมืองมิดึลา

kalyanamitra.org
ไว้ในบัดนํ๋ ด้วยมีความมุ่งหมายจะรวบรวมอาณาบริเวณแห่งทวีปฟ้าเป็นปึกแผ่น ดำรงในสถาพรแห่ง

อาณาบัญญ้ติเสมอกัน มิให้แตกต่างกันไป หากแต่พระองค์มิได้เห็นความสถาพรอันนั้น จึงแข็งขึงดึงด้น


อยู่ ครั้นเรารักจู่โจมโหมหักด้วยกำลังพล ก็คิดลังเวชด้วยรํ่พลรักพากันลัมตาย บ้านเมืองก็รักประสบความ

เสียหายหักพังลงปนไป ดังนั้น จึงคิดหาลู่ทางปราศจากความทารุณโหดร้าย ก็มาเล็งเห็นธรรมยุทธ์เป็น


ทางที่งดงาม ปราศจากความไหลหลั่งแห่งกระแสโลหิต ปราศจากการเสียซ็วิดระหว่างไพร่พล เพราะ

ฉะนั้น ในวันพรุ,งนํ๋ ธรรมยุทธ์รักเกิดมีบัณฑิตของบัญจาละกับบัณฑิตของมิถิลารักมาปวะสบพบกัน ความ

มีซัยหรือความปราชัย รักมีได้โดยธรรม โดยชอบระหว่างนักปราชญ์ทั้งสอง พระองค์รักไม,ทรงกระทำ


ธรรมยุทธ์ ก็เป็นอันว่าทรงพร้อมที่จะยอมปราชัย”

พระราชสาส์นนํ๋ ได้ส่งไปโดยมือแห่งทูตประจำทัพทางประตูนัอยของพระนคร แด,พระราช­

ลาส์นนํ่ล่าชัาไปกว่าหนังดึอที่ยิงโดยลูกศรจากมือของท่านมหาบัณฑิต บอกความคิดบอกแผนอุบายของ

เกวัฎโดยละเอียดละออ ขณะที่ราชบุรุษผู้ได้รับพระราชกระแสให้มาตามไปเฝ็า ท่านมหาบัณฑิตอ่านข้อ­

ดวามในสาส์นนั้นจบลงกำลังคิดว่า “ถ้าเราแพ้แก่เกวัฎก็ไม่ใช่บัณฑิต” เมื่อราชบุรุษเข็ญพระราชกระแส


บอกใหัทราบความว่า มีรับสั่งให้ท่านขื้นเฝ็า ก็มิได้รอซัา รีบขื้นพระราชนิเวศน์กำหนดแผนอุบายแก้ไร้

โดยตลอดในระยะนั้นเอง
“ว่าอย่างไรพ่อมโหสถ” พระเจ้าวีเทหราชตรัสปราศรัย พลางทรงเล่าเรื้องที่มีทูตมานำทูล

พระราชสาส์นเป็นการท้าให้กระทำธรรมยุทธ์โดยตลอด แลัวรับสั่งถาม “เราจะตกลงรับคำท้าของจุลนื

หรืออย่างไร ?”
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ ดีนักพระพุทธเจ้าข้า” กราบทูลด้วยความมั่นใจ

“ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงตอบรับการท้าเถิดพระพุทธเจ้าข้า ในพระราชสาส์นเห็นด้วยเกลัาๆ ว่า ควร


บอกกำหนดสถานที่อันเป็นยุทธมณฑลโดยทางฝ่ายเราเป็นผู้'เตรียมรัดไร้ ทางประตูด้านบัจฉิมทิคแห่ง

พระนคร เข็ญเสด็จพระเจ้าจุลน็เสด็จมาพร้อมด้วยนักปราชญ์บัญจาละสู่ธรรมยุทธ์มณฑลในวันพรุ่งนํ่

เถิด”
พระเจ้าวีเทหราชจึงมีพระกระแสรับสั่งให้เขียนพระราชสาส์นตอบพระราชสาส์นของพระเจ้า

จุลนิพรหมทัต

“ทูลพระเจ้าจุลน้
ตามที่พระองค์ส่งทูตถึอพระราชสาส์นไปนั้น เราได้ทราบความตลอดแลัวเห็นว่า กาวซึ่งพระองค์

มีความมุ่งหมายเพื่อจะสถาปนาสลาพรภาพแห่งอาณาบัญญัติเสมอกัน จึงได้ทรงยกกองทัพมาลัอมมิถิลานคร

ของเรา ความจริงสถาพรภาพแห่งอาณาบัญญัตินั้น ย่อมมีสารัตถะเสมอกันอยู่แลัว ผู้'ดำรงในราชสมบัติ


ที่ออกอาณาบัญญัติอันใต ก็มุ่งความร่มเย็นแห่งประชากรเป็นประทัสฐานและทุกเทศะ จะเรียกการนั้น

ว่าเป็นการบังควรหรือเป็นการบังอาจ ในเมื่อเกิดมีการรื้อส้นการกระทำซึ่งเรียบราบดีอยู่แลัวให้เป็นการ
กวะท้าอันใหม่ ซึ่งก็มิได้เรียบวาบดีขื้นไปกว่าเดิมแม้แด่นัอยดังนื้ พวะองค์จะทวงเรียกการนั้นฉันใดดี ใน

kalyanamitra.org
๓๐๕

ระหว่างความบังควรกับความบังอาจ
ย่อมประจักษ์ในพระปรีชาอยู่เอง หม่อมฉันมิได้แข็งขึงดึงดันอันใด เป็นการมิสมควรเป็นอัน
มาก ที่เจัาของสมบัติป้องกันสมบัติของตนไว้จากกาวแย่งยํ่อมา ด้องต็ฉินว่าดึงดัน แต่ผู้ที่เพ่งเล็งสมปติ
ของผู้อื่นอยู่ด้วยแรงแห่งปรารถนาอันมิสมควร เป็นผู้ได้รับนิยมชมว่าเก่งกาจที่ทรงมีพระมนัสสมเพชแก่
ซีวิตของไพร่พล เป็นกุศลจิตอันควรจะบังเกิดก่อนแต่กาลบัดนึ่ทีเดียว แต่ที่เกิดในกาลบัดนึ่ก็นับว่าเป็น
แววพระอุปนิสัยอันงดงาม หม่อมฉันขอรับธรรมยุทธ์ที่ทรงเสนอแล้’ว พรุ่งนึ่เจัาพนักงานของหม่อมฉัน

จักเตรียมยุทธมณฑลทางประตูพระนครด้านตะวันตก เชิญเสด็จมาพรัอมด้วยท่านนักปราชญ์ของบัญจาละ
เถิด นักปราชญ์แห่งมิถิลาจะได้ไปพบกัน และธรรมยุทธ์จะเป็นไป ณ ที่นั้น ความมีซัยและความปราชัย

พึงมีโดยธรรมโดยชอบ ระหว่างนักปราชญ์สองพระนคร”
พระราชสาส์นของพระเจ้าวิเทหราชได้ล่งไปพร้อมกับการอำลากลับของทูตแห่งกองท้พบัญจาละ และ
ได้ปรากฎในชุมนุมแม่ทัพนายกองของป้ญจาละอันมีพระอธิราชเป็นประธาน ได้รับการวิจารณ์ด่าง กุ เมื่อสรุปความ
ต่าง กุ แห่งวิจารณ์นั้นลง ก็ไปรวมที่จุดคือ วิเทหราชไม่เจียมพระองค์ หลงด้อยคำของบัณฑิตเยาว์วัยอันเพิ่งผ่านพ้น
จากบ่ริษัทบานไม่นานปืน้ก ต่อจากนึ่กองบัญชาการของพระอธิราชก็เต็มไปด้วยความร่าเริงบันเทิงใจ หวังเต็มที่ใน
ชัยชนะตามที่ท่านปรึกษากองทัพบอกไว้
รุ่งขื้นท่านมหาบัณฑิตแห่งมิถิลาดำริในใจว'า “ความปราชัยด้องมีแก่เกวัฏเป็นแน่ แผนอุบายที่คิดไว้หวัง
จะให้เราเป็นฝายปราชัยนั้น เป็นความคิดอันดำตื้น จ้กด้องลวงเกวัฎให้เจ็บแสบทีเดียว” ดำริพลางสั่งเจ้าพนักงาน
ให้ไปจัดเตรียมสถานที่อันจะเป็นมณฑลแห่งธรรมยุทธ์ ณ ประตูพระนครด้านตะวันตก
การที่ท่านมหาบัณฑิตกำหนดสถานที่ด้งนึ่ เป็นการประกาศถึงการเลือกชัยภูมิที่เหมาะ การใชัพิ่นที่ได้
เหมาะนั้นเป็นคุณแก่การยุทธ์ แม้โนธรรมยุทธ์ อันการรบกันนั้นยากที่จะดำรงสัตย์ต่อกัน ผู้เป็นขุนพลไม่พึงวางใจ
ศัตรูว่าจะไม่คิดห้กหลัง ด้องระมัดระวังเหตุการณ์โดยรอบคอบ ท่านมหาบัณฑิตเลือกด้านนั้ ก็เพื่อสะดวกแก่การ

ระมัดระวังตน หากเกิดเหตุการณ์ก็สะดวกแก่การล่าลอย และฝ่ายข้าศึกจะติดตามไม่สู้ถนัดนัก แสงดะวันจะเป็น


ฉากธรรมชาติ ปะทะสายตาของไพร่พลมีให้เห็นได้ถนัด อนึ่งเล่าฝ่ายข้าศึกจะด้องมาตรำอยู่กับแสงแดดตลอดเวลา
รัศมีอาทิตย์จะฉายล่องหน้าของพวกตนแผดเผาถึงสติบัญญาทีเดียว การเลือกด้านตะวันตกจึ่งเป็นชัยภูมิด้งนึ่

ในตอนเชัาวันนั้น ทางฝ่ายบัญจาละดึกดักแข็งแรงหวังเต็มเปียมในความมีชัย เกวัฎเบิกบานบันเทิงใจ


เต็มที่ แต่งกายโอ่โถงพรัอมด้วยเครื่องประดับเกียรติอันโอหาร คำเนินมาสู'สนามธรรมยุทธ์มณฑลแต่เช้าตรู'
บริวารอันแวดด้อมเกวัฎมาแน่นเนืองนั้น เฉพาะที่ใกล้ชิดแท้ กุ จะเป็นคนอื่นมิได้ นอกจากพวกน้กสึบ
ของท่านมหาบัณฑิต พวกนั้นแวดด้อมเป็นบริวารเกวัฎมา อาการที่ปรากฎก็ตูเป็นยศเป็นเกียรติ และท่าทีก็จะพิทักษ์
เกว้ฏ แต่ความจริงตรงกันข้าม ที่ติดตามมาโดยใกล้ชิดก็เพื่อรักษาเจ้านายของตนคือ ท่านมโหสถ เพราะพวกนึ่มิได้

วางใจในเหตุการณ์ ต่างก็ดำริในใจว่า “ใครจะไปรูได้ว่าอะไรจักเกิดมีขน เมื่อได้ระวังอยู่แลัวหากเกิดมี


อันเป็นขื้นก็จักช่วยกันแกัไขไปตามเพลง ”

พระอธิราชจุลนืพรัอมด้วยพระราชาในนครต่าง กุ (•๐๑ องค์ ก็เสต็จพระราชดำเนินมาสู'สนาม

kalyanamitra.org
๓๐๖

ธรรมยุทธ์ เพึอทอดพระเนตรการชิงชัยระหว่างปราชญ์ต่อปราชญ์ แต่ในพระหฤทัยของทุก 1 พระองค์


มีความหวังในความมีชัยของเกวัฎเป็นเดิมพันอยู่แลัว แม้จะไม่เดิมทีเดียวก็มากกว่าครึ่ง

สนามธรรมยุทธ์ดูลับคังคืกคัก งดงามเป็นสง่าด้วยเครืองทวงของบรมกบัตริย์ เครืองสูงประด้บ


พระเก็ยรติ และประคับเกียรติของพระราชาและหมู่ข้ามาดย้ ด้วนประลับด้วยวัดนนานาชนิด ด้องแสง
อาทิตย์ดูระยิบระยับพราวพราย ฉายแสงแวววาบปลาบดา เสึยงอึกทึกกึกด้องพัวธรรมยุทธ์มณฑล ด้วย
ศัพท์สำเนิยง พาหนะและหมู่พหลอันข้าแหงหาญ ทุกคนต่างบ่ายหน้ามองด้นทางที่ท่านมหาบัณฑิตจะ
มา ข็งหมายความว่าทุกคนเพ่งดูทิศตะวันออกอันมีดวงอาทิตย์ข้าลังส่องแสง ยิ่งสายก็ยิ่งส่องกลัาขื้นเป็น

ด้าด้บ พระราชาหมู่ข้ามาตย้ ตลอดอึงเกวัฎตกในฐานะเดียวกัน คือปะทะกับแสงอาทิตย์เดิมหน้าด้วยกัน


พังนั้น
ทางในพระนคร ก็คืกลักอึงคะนึงด้วยการตระเตรียมท่านองเดียวกัน ท่านมหาบัณฑิตตื่นแต่เชัา

สนานกายด้วยนี้าอันอบแลัวด้วยสุคนธ์หอมฟังจรุงใจ นุ่งผ้าอันมาแต่แควันกาด็ราคาอึง •00,000 เหรียญ


ประด้บด้วยอลังการแห่งท่านผู้ทรงอัครฐานของมิถิลา เสว้จแลัวก็บริโภคอาหารอันมีรสโอชาสำเลิศ ชี่ง
ปรุงแต่งด้วยมธุรพัดก็แห่งอมราเทวืครีภริยา อิ่มหนำสำราญแลัวก็ไปคู่พระทวารพระราชนิเวศน์ พรัอม

ด้วยบริวารแห่พัอมเป็นกระบวนหลวงอึงพระราชฐานแลัว ก็ให้นายพระทวารกราบทูลขอพระราชทาน
โอกาสเข้าเผ้า
พระเจ้าวิเทหราชตรัสประทานพระโอกาสทันทีทีได้สลับคำกราบบังคมทูลของนายประตูว่า

“เข้ามาเถิด ลูกของเรา”
ท่านมหาบัณฑิตได้วับพระราชทานพวะราชวโรกาส ก็เข้าไปเผ้าถวายบังคมแลัวยินอยู่ ณ ที่

อันสมควร
“พ่อมโหสถ มีธุระประสงค์อะไรหรือ” มีพระดำรัสถามด้วยพระหฤทัยแจ่มใส
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ ข้าพระพุทธเจ้าจักไปคู่สนามธรรมยุทธ์พระพุทธ­
เจ้าข้า” ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลแถลง
“พ่อด้องการจะได้สิงไรไปเล่า บอกเถิดพ่อ สิ'งไรที่พ่อควรจะได้ไปในการชิงชัยในสนามธรรม-
ยุทธ์ครั้งนี้” ตรัสถามด้วยทรงเดิมพระหฤทัยที่จะพระราชทานทุกอย่าง
“ขอเดชะ การครั้งนี้เป็นทีอยู่ ข้าพระพุทธเจ้ามีความปรารถนาจะลวงเกวัฏพราหมณ์โหยอม
อ่อนน้อม” กราบทูลตามแผนความคิด “ในกาวไปครั้งนี้จำเป็นด้องมีของติดมือไปล่อ คังนี้ช้าพระพุทธเจ้า
ขอพระราชทานดวงแกัวมณี ๘ คด สิ'งนี้แหละพระพุทธเจ้าข้า ที่ข้าพระพุทธเจ้าควรจะไดโปในสนามรบ
คราวนี้ และด้วยดวงแกัวนี้ ความปราชัยจะมีแก่เกวัฎพระพุทธเจ้าข้า”
“เอาฃ็พ่อ” รับสั่งพลางสั่งให้ราชบุรุษไปนำดวงแกัวมณี ๘ คดมาพระราชทานท่านมหาบัณฑิต

โดยเร็ว
ท่านมโหสถได้รับพระราชทานดวงแกัวแลัว ชินชมนักหนา ถวายบังคมพระเจ้าวิเทหราชลง

kalyanamitra.org
010๗

จากพระราชนิเวสน์ บรรดาโยธาสหชาติ 9,๐9๐ ก็เข้าแวดลัอมเป็นบริวาร ตัวท่านชื้นสู่รถอันสวยงาม


เทียมด้วยสินธพด็ขาว ประหนึ่งสิสังข์ มีราคาถึง ๙๐,0๐0 เหรียญ สารถีขับและแล่นระเรื่อยผ่านฝูง
ประชาชนอันมายึนดอยอำนวยชัยอยู่แออัด แสนเสียงมิใช่น้อยที่โห่ริ'องอวยชัย แสนแห่งธงชัยธงประดาก
มิใช่น้อยที่มือหลายแสนมีอได้ชูชื้นโบกสะบัดในขณะที่รถของท่านมหาบัณฑิดผ่านไป ตั้งแด่ด้นประตู

พระราชวังจนถึงประตูพระนครด้บคั่งไปทั้งนั้น ขบวนของท่านมหาบัณฑิตถึงประตูพระนครในเวลาอาหาร
มื้อเชัาพอดี
กล่าวถึงเกวัฎคอยจ้องมองดูทางที่ท่านมโหสลจะมาพริ’อมกำท่าใจนึกว่า “เดี๋ยวคงมา *]" เฝืา

ชะเง้อชะแง้จนประหนึ่งว่า จ้าคอของคนเราพึงยึดออกได้ในคราวที่ชะเง้อชื้นเพียงครั้งละ 9 เมล็ดข้าวเปลือก


แจ้วไซริ คอของเกวัฏในวันนั้นคงจะยาวผิดปกติไปมาก หากจะกำหนดด้วยคืบ ก็คงมิใช่คืบเดียว ทั้งแสง
อาทิตย์ก็ยิ่งทวีความกลัาชื้นตามเวลาที่อุทัยมานาน ความกลัาของแสงนั้น ยิ่งทวีชื้นเพียงใด ก็เป็นธรรมดา

ที่ความร้อนจักด้องทวีชื้นเพียงนั้น เกวัฎด้องแสงอาทิตย์แผดเผาเร่าร้อนจนเหงื่อตก และยังจะร้อนไจใน


การที่ด้องคอยด้วยใจอันพรำว่า “เมื่อไรจะมา เดี๋ยวคงมา” มิหนำชัาความร้อนของอุทรอันมีสาเหตุมาจาก
ความว่างเปล่าปราศจากอาหารยังมาแถมอีกโสดหนึ่งเล่า เมื่อรวมความร้อนทั้งสามโสดเข้าเป็นอันเดียวกัน
ก็เป็นความร้อนกัอนใหญ่ที่จะท้าให้ถึงความเดือดร้อนได้โดยมิด้องสงสัย และความเดือดนั้น เป็นธรรมดา
อยู่เองที่จะเผาผลาญแม้แด่สดิบัญญาให้พลอยหม่นไหม้ไปด้วย
ฝ่ายท่านมหาบัณฑิตเมื่อมาถึงประตูแจ้ว ก็มีบัญชาให้เปิดประตูพระ นคร พร้อมด้วยบริวาร
แวดลัอมห้อมแห่เป็นขน้ด อึกทึกครืกโครมประหนึ่งมหาสมุทรอันคะนองด้วยกระแสคลื่น ปราศจากความ
หวาดหวั่นครั่นคร้ามสยดสยอง ประหนึ่งไกรสรสีหราชอันผาดผยองในฝูงมฤค ออกจากพระนครด้วยท่าทาง
สง่างดงาม ถึงบริเวณธรรมยุทธ์มณฑลก็ลงจากรถปรากฎเหมือนสีหราชอันอาจอง ทรงสง่าผาดผยอง
ด้วยทะนงศักดี๋ ดำเนินเข้าสู่สนามธรรมยุทธ์ งามราวเทพบุตรอันยุรยาตรเข้าสู่ทิพยวิมาน

บรรดาพระราชา ๑๐๑ พระองค์ทอดพระเนตรเหินรูปสิริของท่านมหาบัณฑิตแจ้ว ด่างก็พากัน


ชมเชย “คนนื้ละหรือที่เลื่องลือกันนักว่า เป็นบุตรท่านสิริวัฒนะเศรษฐี มีนามว่ามโหสถบัณฑิต ทางปรีชา

ละก็ในสกลชมพูทวีปเป็นไม่มีสอง ไม่มีใครเสมอเหมือน” เสียงกล่าวขวัญตั้งแสนเสียงเอิกเกริกอึงคะนึง


ทั่วบริเวณ

ท่ามกลางเสียงอึกทึกครืกโครม ท่ามกลางแห่งแสนสายตาอันจ้องอยู่ ท่ามมหาบัณฑิตถีอดวง


มณีรัตน์ทรงรัศมีแวววาวกัาวเดินเข้าไปหาเกวัฏปราชญ่ของบัญจาละด้วยกิริยาท่าทางอันสุดสง่าหาเปรียบ
มิได้ และจ้าจะแค่นเปรียบให้ได้ก็ด้องว่าเหมือนท้าวสักกะ อันดำเนินเข้าสู่วงลัอมของหมู่อสูรก็ปานกัน
ฝ่ายเกว้ฎเหินท่านมโหสถเดินมุ่งหน้ามาหา ความคิดที่เคยกำหนดว่าจะปันลำท้าท่าให้ท่านมโหสถ
เกิดความยำเกรง ก็ถูกสง่าของท่านมโหสถกำจัดไปเลียแจ้ว ไม่อาจท้าปันปืงอยู่ได้ ออกด้อนรับโอภาปราศรัย
ทันที “อ้า ท่านบัณฑิตมโหสถ เราทั้งสองเป็นบัณฑิตด้วยกัน เมื่อพวกข้าพเจ้ามาอาศัยท่านอยู่ตลอดกาล
ปานนึ่แลัว ท่านมิเคยเลยที่จะแสดงอัธยาศัยไมตรีแม้เพียงบรรณาการลักชนหนึ่งท่านก็มิได้เคยส่งเสียเลย

kalyanamitra.org
๓๐๘

ท่านได้ละเมิดเมินเสียอย่างนี่ เพราะเหตุผลประกาวไร วิสัยของท่านผู้ได้นามว่าบัณฑิตพึงเคารพไนปฏิ-


สันถารด้อนรับ เมื่อได้ทราบว'ามีผู้ไปมาหาลู่ย้งลิ่นฐาน มิได้เพิกเฉยดูดายย่อมแสดงอัธยาศัยไมตรีอารึอารอบ
ชื่นโยนสิ่งของเป็นเครื่องด้อนรับ นี่ท่านกลับนิ่งเฉยมิได้เอื้อเฟ้อดูผิดวิสัยหนักหนา นะท่าน”
“ท่านเกวัฎผู้บัณฑิต” ท่านมโหสถโด้ด้วยยิ้มแย้ม “วิสัยผู้รัจะให้สิ่งใดแก่ใคร จำด้องใคร่ครวญ
ให้ย้วนลิ่ ด้องเฟ้นวัตถุให้สมควรแก่ผู้รับ และด้องเลือกผู้รับอันสมควรแก่สิ่งของที่จะให้ การให้ที่ไม่เหมาะ
คือให้สิ่งของไม่ควรให้ และให้แก'ผู้รับอันมิสมควรแก่ของที่ให้ ผู้ให้จะได้อะไรนอกจากเลียของไปเท่านั้น
ข้าพเจ้าด้องเลือกเฟ้นหาของที่สมควรแก่ท่าน และพร้อมกันก็ด้องคิดว่าท่านจะสมควรแก่ของสิงไหน พึ่ง
เห็นเหมาะในวันนี่ นิ่อย่างไรเล่าท่าน “ขูดวงมณีรัตน์” มณีรัตน์ดวงนี่ข้าพเจ้าเลือกได้มาเห็นเหมาะแก่
ท่าน เชิญซิท่าน เชิญท่านถือเอาดวงมณีรัตน์นี่เถิด ดวงมณีรัดน์อื้น*1 ที่จะเหมือนอย่างนี่หาไม่ได้แลัว
ในโลก เป็นสิ่งประเสริฐนักหนา ข้าพเจ้านำมาเป็นของบรรณาการแก่ท่าน เชิญรับเถิด”
เกวัฎ ตั้งแต่แรกที่ได้เห็นดวงแกวแวววามอยู่ในมือท่านมโหลถ ก็คิดคอยอยู่แลัวว่า “มโหสถ
มุ่งจักให้ดวงมณีรัตน์นั้นแก่เรา” ครั้นได้ยินถ้อยคำที่บอกให้ด้งนั้นก็สมใจ พูดพร้อมกับแบมือออกว่า “ถ้า

กระนั้นท่านจงให้เถิด”
ท่านมโหสลได้ยินถ้อยคำของเกวัฎพร้อมทั้งได้เห็นกิริยาที่ปรากฏเป็นอาการแสดงความกระเหยน

กระหือ ก็กำหนดในใจได้ทันทีว่า “ความปราชัยปรากฏแก่เกวัฎแลัว” จึงออกปากว่า “เชิญรับเอาเถิด”


พร้อมกับที่งดวงมณีรัตน์ให้ตกลงที่ปลายนี่วของเกวัฎ
ดวงมณีรัตน์มีนี่าหนักมากกว่าเกินกว่าที่ปลายนี่วของท่านเกวัฎจะสามารถทานไร้อยู่ จึงพลัด
ตกจากมือกลิ้งไปใกลัฝ่าเทัาของท่านมหาบัณฑิต
อำนาจของความโลภครอบครองจิตใจของเกวัฎคลุมปริชาญาณอันเยี่ยมยอดให้มืดมน มิได้
คิดหยั่งให้ดระหนักในเหตุการณ์ มุ่งแต่จะเก็บดวงมณีรัตน์ให้ใด้สมปรารถนา ความมุ่งนั้นเป็นกำลังเหนี่ยว
กายของเกวัฎให้นัอมลงแทบฝ่าเท้าของท่านมโหสถ เพื่อจะหยิบดวงมณีรัตน์อันอยู่ ณ ที่นั้น อาการกิริยา

ของท่านเกวัฎจึงมองดูคลัายกับกัมลงกราบกรานอย่างงดงาม
โอกาสนั้นเอง ท่านมโหสถผู้คาดการแน่ถนัด ก็คํ้าคอปราชญ์เกวัฎแห่งบัญจาละไร้ด้วยมือ
ข้างหนี่ง อีกข้างหนี่งคร้าที่ชายกระเบนเหน็บ อาการกิริยาที่ท่านมโหสถกระทำดูห่าง *[ ก็เหมือนเป็นอาการ
ห้ามมิให้กราบด้วยวิธีฉุดให้ลุกชื้น ความจริงตวงกันข้าม เป็นอาการห้ามการลุกชื้น หากบังคับให้เป็นอาการ

กราบ
ส่วนปากของท่านมหาบัณฑิตก็ประกาศกัองสนั่นได้ยินกันตลอดธรรมยุทธ์มณฑลว่า “เชิญ
ท่านลุกชื้น เชิญลุกชื้นเถิดท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าเป็นเด็กคราวหลานของท่านเท่านั้น อย่ากราบข้าพเจ้าเลย
เป็นการไม่สมควรอย่างยี่งที่ท่านอาจารย์จะมากราบชบนบไหว้ข้าพเจ้าดังนี่" เมื่อเสียงตะโกนถ้องร้อง
ประกาศนี่กังวานไป พร้อมกับจับคอท่านเกวัฎเอาหนัาถูไถไปมากับพื้น หนัาผากของท่านเกวัฎแตกโลหิต

ไหลลาแก'ใจแล้วก็ผลักให้ร่างของท่านเกวัฎถอยถลาไป

kalyanamitra.org
๓๐๙

ส่วนดวงมณีรัตน์นั้นพวกบริวารของท่านมหาบัณฑิตรีบคว้าเอาไว้ในตอนที่ท่านมหาบัณฑิต

กำลังจับท่านเกวัฏไว้นั่นเอง

เกวัฎถูกผลักไสไปในท่าโก้งโค้งอย่างนั้นด้วยกำลังแรง ถอยถลาไปไกลประมาณชัวโคโดด จึง


ทรงร่างลุกไแได้ หนีเปิดไปร้นม้าเลยทีเดียว

แต่การลุกร้นหนีของเกวัฎซัาไปเลียแล้ว ไม่ทันกันกับพรรคพวกของตนมีพระเจัาจุลนีเป็น

ประธาน พร้อมด้วยพระราชาร้อยเอ็ดพระองค์กับราชบริพารได้เสด็จปลาสนาการไปเสียแด่เมื่อได้มอง

เห็นท่านเกวัฎก้มตัวลง และเห็นท่าทีท่านมโหสถห็'าม พร้อมทั้งได้ยินเลียงร้องอันก้องกังวานของท่าน

มหาบัณฑิตอันห้ามเกวัฏมิให็ไหว้ ต่างก็ทรงสำคัญในพระหฤทัยว่า “นกปราชญ์ของชาวเรากราบมโหสถ


บัณฑิตเสียแล้ว บัดนี่พวกเราเป็นฝ่ายแพ้แล้ว ที่ไหนมโหสถจะไว้ซีวิตพวกเราเล่า” จึงต่างพระองค์เสด็จ

ร้นทรงอาชาพระที่นั่งประจำ ควบซับบ่ายพระพักตร์ไปสู่แคว้นบัญจาละเหนือ หนีเอาพระองค์รอดไป

ทันที
อาการลุกลลุกลนของจอมทัพพร้อมด้วยราชบริพาร มิได้ผ่านจากสายตาของทหารมีถิลา พวก

ทหารมิถิลาเห็นเป็นทีก็โห่สำทับเสียงกึกก้องกัมปนาท “จุลนีพรหมท้ตพร้อมด้วยกษัตริย์ร้อยเอ็ดหนีไป

แล้ว พวกเราเร็วเถิด! เร่งติดตามโจมดี”


จอมทัพจุลนีกับพระราชาร้อยเอ็ดพระองค์ ทรงสดับแล้ว ยิ่งทรงหวาดหวั่นกลัวต่อความตาย

เหมือนเสียงมฤตยูราชคุกคามคำรามร้องจะเอาซีวิต ก็ยิ่งทำให้เร่งม้าพระที่นั่งเผ่นโผนโจนทะยานไปอย่าง
ไม่คิดเห็นแก่เป็นตาย ไร,พลทั้ง ๑๘ กองทัพใหญ่ก็เกิดอลหม่านระสำระสาย เห็นนายหนี ก็หมดที่จะ

ยึดเหนี่ยว ต่างขวัญหนีเลยพาให้ตนหนีเปิดไปตามนาย

พวกทหารมิถิลาก็ยิ่งขู่สำทับโห่ร้องคำรนทำทีตระเตรียมจะแล่นโลดออกติดตามโจมดีให้แหลก-

ลา ญ ยิ่งเป็นเหตุให้กองท้พป็ญจาละ กระจัดกระจายหนีกระเจิงไปไม่เป็นสํ่า

ท่านมหาบัณฑิตได้ชัยชำนะงดงามในลนามธรรมยุทธ์แล้ว ก็นำขบวนกลับเซัาพระนคร ภาย


หลังที่ได้เห็นความระสำระสายอย่างใหญ่หลวงของทัพบัญจาละเป็นขวัญตา

kalyanamitra.org
๔๕. กลบล้อมไว้อีก
เกวัฏราชปุโรหิตพ้นจากเงื้อมทัตชิของท่านมโหสลก็รีบไปขื้นม้าประจำ เหลียวหน้าเหลียวหลัง
เห็นความอลหม่านไม่เปันสํ่าของกองทัพที่ก็าลังหนีเตลิดเปิดเปิง ทั้งเหลียวดูจอมทัพก็มิได้เห็นปรากฎ
พระองค์อยู่ในที่นั้น ทั้งพระราชาร้อยเอ็ดพระองค์ ก็หายพระพักตร์ไปด้วย ทั้งตนเองก็รู้ลึกเจ็บแสบที่
หน้าผาก เลือดไหลลงหยดย้อย ความคั่งแด้น ความอัปยศ ระดมกันครอบจิตใจ เช็ดโลหิตพลางควบม้า

กวดตามกองท้พโดยเร็ว
แสนยากวอันรีบรุดหนีติดตามจอมทัพไปนั้นเป็นอย่างหนีเอาตัวรอด ตัวใครด้วม้น และปราศจาก
การควบคุม แรงใครแวงมัน ทั้งพลซัางพลม้า ทั้งพลรถพลราบต่างพากันท้อรุดไปสุดแรงดน จุดหมาย
ปลายทางก็คือกรุงปญจาละเหนีอ ระหว่างที่เกวัฎควบม้ามานั้น แสนยากรของพระอธราชขบวนราบล่วง

ทางมาได้ไกลถึง 01 โยชน์แลัว
ท่านเกวัฎ่รีบควบม้าเร่งสเท้าห้อเต็มเหยียด พอไปท้นพวกกองราบซึงข้ากว่าขบวนอื่น *1 ก็ตะโกน
บอกทั้ง รุ ที่นั่งอยู่บนหลังม้า “ชาวเราเอยอย่าหนีไปเลย ข้าพเจ้ามิได้ไหวัมโหสถดอก หยุด หยุดเชิด”

พวกแสนยากรทุกคนมิได้เชี่อพัง ไม่ยอมหยุด คงเดินต่อไป มิหนำข้าดะโกนด่าทอเกวัฎอย่าง

ปราศจากยำเกรงอีกว่า “ไอัพราหมณ์ชัว ไอัแสนเลว มีแด่ความประจบเป็นเจ้าเรีอน มึงประกาศไว้ว่า


เราจักกระทำธรรมยุทธ์ครั้งนิ้มโหสถด้องปราชัย ครั้นมึงไปถึงสนามธรรมยุทธ์เข้าสิกลับไปไหว้มโหสถ

ผู้เยาว์วัย ไม่พอแม้เพียงจะเป็นหลานของตน ถุย! ไม่มีท่าแล้วหรีอ? มึงจึงกวะทำอย่างนั้น” ต่างคน


ต่างตะโกนด่า แม้เกวัฏจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมพังล้อยคำทั้งนั้น มุ่งแด่จะเดินต่อไปอย่างเดียว
เกว้ฎเห็นอาการไม่สู้ดี ตนจะพูดจาอย่างไรพวกเสนาไม่พังคำ หมดความสามารถที่จะซีแจง

กันให้เข้าใจได้เสียแลัว ด้องติดตามให้ทันพระเจ้าจุลนี กราบทูลอธิบายให้ทรงทราบ พระองค์มีพระบรม-


ราชโองการประกาศแสนยากรก็คงปฎิปติตามพระบรมราชโองการ ดิดแลัวก็รีบควบม้าเร่งดามไป ไม่พะวง
ถึงการจะซีแจงให้พวกเสนาที่พบเห็นเข้าใจอะไรอีกแล้ว แม้จะถูกด่าทอห้อตะเพิด ก็อดใจเสีย มุ่งแด่จะ

ให้ทันพระอธิราชเท่านั้น
พระอธิราชจุลนีเสต็จทรงม้าพระที่นั่ง ควบมาด้วยสเท้าอันรวดเร็วล่วงหน้าพระราชาองค์อื่น รุ

และล่วงหน้าข้าราชบริพาร มิได้มีใครตามทัน ครั้นทรงรัลึกว่าเสด็จมาไกลแล้วพันแดนสมรภูมิแลัว ก็


ค่อยเบาพระหถุท้ยในการที่จะทรงหวั่นเกรงจะถูกทหารมิชิลาจับพระองค์ แด่มีความหวาดเกรงประการ
ใหม่เกิดขื้นในพระหฤทัย คือ เมื่อได้ทรงทอดพระเนตรไปทางพระปฤษฎางค์ มิได้ทรงเห็นผู้ใดติดตาม

kalyanamitra.org
ถ®®

พระองค์มาเลย ก็ทรงหวั่นพระหฤทัย จึงทรงรั้งม้าพระที่นั่งให้ลดสเท้าลงเหยาะย่างอย่างธรรมดา เพื่อ

รอขบวนพระราชา ๑0๑ พระองค์ กับราชบริพาร


ราชปุโรหิตาจารย้เกวัฎเร่งฟิเท้าอาชาคู่ใจไม่รั้งรอ ผ่านขบวนแสนยากรใดก็ประกาศกัองรัอง
บอกให้ขบวนนั้นหยุดและซีแจงด้งกล่าวแลัว ผลที่ท่านได้รับตอบแทนก็ดีอคำด่าตะเพิดทำนองเดียวกัน
กับที่กล่าวแลัว จะหาผู้ใดเซึอกัอยคำเป็นอันไม่มี สั้นศรัทธากันทั้งนั้น ตัวเองก็หมดคำลัง สุดสดิป้ญญา

ที่จะพูดจาให้ใคร *1 เข้าใจได้ ด้องกลํ้ากลึนขมขื่นทนต่อกัอยคำจ้วงจาบนั้น มุ่งหน้าห้อม้าต่อไป หวังใจว่า


อย่างไรองค์พระอธิราชคงมีพระสติป็ญญาเพียงพอที่จะทรงราชวิจารณ์เหตุการณ์ของตนได้เป็นแน่

พระเจ้าจุลนึพรหมท้ตทวงรอม้าพระที่นั่งจนพระราชารัอยเอ็ดเสด็จท้น ก็แวดลัอมพระองค์

เสด็จพระราชคำเน้นต่อไปด้วยพระอาการปกติธรรมดา
เกวัฎควบอาชามาท้น เด็มไปด้วยความเหน็ดเหนั้อยแทบจะดำรงกายอยู่บนหลังม้าไม่ไหว ด้วย
ความเข้มแข็งอย่างยิ่งยวด สามารถข่มความเมื่อยลัาสะกดกลั้นความอ่อนระโหยเลีย ขับม้าเช้าใกลัองค์พระ

อธิราชจุลน็พลางกราบบังคมทูล “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ เชิญได้ฝ่าละอองธุลึพวะบาท


ประทับยับยั้งพึงกัอยคำของช้าพระพุทธเจ้าก่อนเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าอธิราชจุลน็ทวงทอดพระเนตรราชปุโรหิตาจารย์ เห็นมีถิริยาอาการเหน็ดเหนั้อยเน้อง
ในการติดตาม ทั้งทรงหวนรำลึกความพยายามอันเป็นคุณประโยชน็ยิ่งใหญ่แต่เดิมมา จึงทวงพระอนุม้ติ

ตามคำกราบบังคมทูล ทรงรั้งม้าพระที่นั่งให้หยุด ซีงพระราชารัอยเอ็ดพระองค์ก็ทวงปฏิบัติตาม แลัว

จึงมีพระราชดำรัสถามเกวัฎ “ท่านอาจารย์ได้พูดไว้มิใช่หรึอว่ามโหสถจ้กเป็นผู้ปราชัยในเลศธรรมยุทซี
เพราะมิได้แจ้งในความคิดอันนิ้ มโหสถจ้กด้องไหว้ท่านผู้ทรงวัยวุฒิตามจารีตประเพณี ครั้นถึงเวลาจริงจ้ง

เข้า ไฉนเล่าท่านจึงไปไหว้มโหสลเลีย ท้าให้ตนเป็นผู้ปราชัย ซ็งความปราชัยของท่านอาจารย์พลอยเป็น


ความปราชัยของกองท้พป้ญจาละทั้งหมดตามข้อตกลง ท่านมีเหตุผลอย่างไรในกาวกระทำอย่างนั้น? ”
“ขอเดชะ เชิญใด้ฝ่าละอองธุลึพระบาททวงสด้บ” เกวัฎเริ่มแถลง “ความเป็นจริงนั้น ช้าพระ-

พุทธเจ้ามิได้ไหว้มโหสถเลย”
“ฉันได้เห็นกับน้ยน็ตาของฉันเองทีเดียว” ทรงยืนยัน “แม้พระราชาทั้งรัอยเอ็ดพระองค์เหล่านํ่

ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นเช่นเดียวกัน ท่านอาจารย์ยังจะกล่าวได้ว่าไม่ได้ไหว้มโหสถ”
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ ขอได้ทรงพระวิจารณ์ให้ถ่องแท้ก่อนพระพุทธเจ้า
ข้า” ปุโรหิตาจาวย์กราบทูลวิงวอน “รูปที่ปรากฎในทัศนวิถีนั้น *1 ไม่พึงเป็นความจริงของเหตุการณ์เสมอ
ไป อายตนะกล่าวดีอจ้กษุของมนุษย์นั๋ แม้จะดำรงความเป็นใหญ่ในเรีองเห็นก็มิสามารถชัาแรกให้ปรุโปร่ง

ในเหตุการณ์อันแสดงเป็นรูปาวมณ์โดยถ่องแท้ และถูกด้องตรงกับความเป็นจริงได้ ความจริงของเหตุ-


การณ์นั้นเล่าก็มิใช่จะปรากฎในรูปาวมณ์ให้อายตนะได้เห็นไปทุกโอกาส นั่เป็นหลักแห่งทัศนะ ความรั

ในเหตุการณ์อันอาศัยทัศนะเป็นปท้สถาน บัณฑิตมิได้ชิดถึอเห็นประจ้กษ์ภาพไปทุกกรณี ต่อได้ใชัญาณ


ความริ'หลักแหลมกลั่นกรองโดยละเอียดแลัวนั่นแหละ ความจริงของรูปารมณ์จึงจะปรากฎดูประจ้กย์”

kalyanamitra.org
๓®๒

“แต่ท่านอาจารย์” ทรงด้าน “ภาพที่ปรากฎแก่นัยน์ตาของมนุษย์อย่างใด มนุษย์ก็พึงเซึ่อใน


ภาพนั้นว่าเป็นความจริงอย่างนั้น นี่ก็ควรเป็นหลักแห่งทัศนะมิใช่หรึอ ก็เมือนัยน์ตาได้บอกดึงความริ'สึก
ว่าอย่างใดแล้วมนุษย์กึด้องรู้สึกตามนั้น ดังนี้เป็นความจริงมิใช่หริอ?”
“ขอเดชะ ที่ทรงพระกรุณาประทานพระราชดำรัสมานั้น เป็นคติสามัญแห่งมวลมนุษย์อัน
จำต้องพึ่งแต่จักษุ ในการแสวงหาความรู้ให้แก่ตน ความรู้ที่ได้มาจากจักษุนั้น จะเป็นความจริงอันท่าให้
มนุษย์มีความฉลาดยิ่งขื้นไปกว่าสามัญก็หามิได้ แดในกรณีของข้าพระพุทธเจัา เป็นเหดุการณีนอกเหนือ
ไปจากสามัญวิสัย กิริยาท่าทางที่ปรากฏแก่นัยน์ตาผู้อื่นเป็นอย่างหนึ่งความจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง ตรงอัน

ข้ามทีเดียวพระพุทธเจ้าช้า”
“ในกรณีของท่านอาจารย์เป็นกรณีพิเศษอย่างไร” ตรัสลามมีพระอาการฉงนและทรงลังเล
พระหฤทัย ยังไม่แน่พระหฤทัยว่าภาพที่ทอดพระเนตรนั้นจะเป็นภาพกำบังเหตุการณีอันแท้จริง

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้โปรดทรงพระมหากรุณาสดับด้วยพระหฤทัยอันมีอาการ


เสมือนมิได้ทรงประจักษ์ภาพของข้าพระพุทธเจ้ามาก่อน ทรงปิดภาพนั้นเลียซัวคราว นี้าพระหฤทัยอัน

เปียมด้วยพระปรีชาญาณมาทรงพินิจในความจริง จักทรงเห็นอย่างไรก็สุดแต่พระวิจารณ์ของใด้ฝ่าละออง
ธุลีพระบาท” กราบทูลพลางเล่าเรื่องที่ตนถูกท่านม'เหสลลวงตลอดดึงการบังลับให้กราบในท่าที่ห้ามมิให้
กราบ จนปรากฎเป็นบาดแผลที'นลาฏของตน เพราะผลการกระทำของท่านมหาบัณฑิตเป็นประจักษ์พยาน
ในที่สุดเกวัฏกราบทูลว่า “ขอได้ทรงกรุณาวิจารณ์ช้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้เจริญวัยแก่กว่าท่านมโหสลมาก

ปีนัก ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทย่อมทรงทราบดีในอัธยาศัยของช้าพระพุทธเจ้าแลัวว่า เป็นคนดำรงในยุติ


แห่งการณ์มั่นคงเพียงไร แต่ครั้งใดครั้งหนึ่งมีละหรือที่จะปฏิบัติการอันใดโดยไรัอำนาจแห่งเหตุ กล่าวคือ

เป็นผู้ละเมิดต่อเหตุหรือแม้เพียงสนเหตุ ได้โปรดทรงระลึกเถิด ความถูกต้องสมควรเท่านั้น เป็นปทัสถาน


แห่งการปฏิบติของข้าพระพุทธเจ้าเสมอมา จะเป็นภารถูกต้องที่ไหน จะเป็นการสมควรอย่างไร ที่ช้าพระ-
พุทธเจ้าจะยอมนัอมตนลงให้แก่มโหสถ ผู้ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าหมายมั่นปินมืออย่างหนักหนาที่จะเป็นผู้รับ
การไหว้นั้นจากเขา ทั้งอุบายเลศนี้เล่าก็เป็นความลิดของข้าพระพุทธเจ้ากราบบังคมทูลเสนอ ย่อมแจ่มแจ้ง
อยู่แลัวในความสำนืกทุกระยะ ด้วยเหตุผลกลใดเล่าพระพุทธเจ้าช้า ที่ข้าพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งเป็นต้นอุบาย
จะหลงกลแก่อุบายของตนเอง เป็นไปไม่ได้แน่ทีเดียว ยิ่งกว่านั้น ข้าพระพุทธเจ้าย่อมตระหนักเป็นอย่างยิ่ง
ที่ว่า ในกาวเข้าสู่สนามธรรมยุทธ์คราวนี้มิได้เป็นเรื่องเฉพาะตัวของตน หากเป็นผู้แทนแห่งกองทัพอัน
มหึมาซึ่งมีใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นจอมเสนืย้ และมีพระราชารัอยเอ็ดพระองด้ดำรงในสิริอันลํ้าเลิศ
เชิดชูสง่าแก่แสนยากร การกระทำของข้าพระพุทธเจ้าทุกประการทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว ต้องเป็นกาว
กระทำเป็นการเคลื่อนไหวของกองทัพ ข้าพระพุทธเจ้าชักบังอาจได้ไฉนที่จะทำลายเลียซึ่งเกียรติศักดิ้

เกียรติคุณอันบวรของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เป็นไปไม่ได้แท้ อย่าว่าดึงการกระทำเลยพระพุทธเจ้าข้า


แม้ความดีดอย่างนั้นก็มิได้เคยปรากฏลักครั้งเดียว ความจริงเป็นด้งที่กราบบังคมทูลมานี้ จะทรงพระกรุณา

โปรดสถานใด ก็สุดแต่พระบรมราชวินิจฉัยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
ถ®๓

“ฉันยอมเสื่อท่านอาจารย์” รับสั่ง “ด้าท่านอาจารย์ไม่แถลงความจริง หรึอด้าฉันมิได้คันเคย


ในชัธยาศัยใจคอของท่านอาจารย์มาก่อนแลัว จิดใจของฉันจะปลงเสื่อก็เห็นจะยาก เพราะมันชวนให้คัดคัาน

อยู่เสมอไป”
“เป็นคังที่ทรงพระกรุณาประภาษนั้นทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า” ปุโรหิตาจารย้กราบทูลคล้อยตาม
ภาพที่ปรากฏในคลองจักษุประสาทอยู่ในลักษณะอย่างใดก็ย่อมบอกแก่จิตใจในลักษณะอย่างนั้น เมอจิตใจ
ได้ทราบตามที่จักษุรายงานแลัวก็เกิดความเอียงรับทันที เพราะเป็นร่องรอยอย่างนั้นอยู่แลัว บุคคลเรามี
ที่จะรู้ทราบเหตุการณ์ภายนอกได้ด้วยอาศัยสื่อประสานคือ ตา หู จมูก ลน กาย เมือลื่อรายงานชันใดให้
ทราบอย่างใดก็รู้ชันนั้นอย่างนั้น ส่วนการพินิจพิเคราะห์ให้ละเอียดลออจริง รุ นั้นเป็นหนัาที่ของปรีชา
สื่งสูงขื้นไปกว่าสิ่งที่อำนวยความรู้อื่นใดทั้งสิ้น เพราะสามารถบ่งถึงความจริงตามที่เป็นแลัวอย่างไร นั่น

เป็นความดีเลิศลิาในความเป็นมนุษย์ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแม้จะทรงทอดพระเนตรเห็นกิริยาอาการ
ของข้าพระพุทธเด้า ประจักษ์แก่พระเนตร อึงเป็นเหตุให้ทรงรีบด่วนเสด็จด้วยทรงเกรงมหาภัยยันจะเกิด
ติดดามมากับความปราชัย เมือได้ทรงสดับด้อยคำของข้าพระพุทธเจัาแลัว ทรงพระวินิจฉัยโดยชอบแก'
เหตุ ก็เป็นการประกาศว่า ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงดำเนินปฏิปทาประพฤติเป็นไปในอำนาจแห่งเหตุ
ซืงเป็นนิมิตของท่านผู้ทรงบุญหนักศักดิ้ใหญ่แล้วพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าพึ่งได้รับโอกาสยันงดงาม
ยิ่งในบัดนั้ ที่จะกล่าวประกาศออกมาด้วยความภาคภูมิยันยิ่งยอดว่า “บุญหนักหนาของข้าพระพุทธเจ้า
ที่ได้สรางลมไว้แด่เพรากาล ดลบันดาลให้ได้มารับพระบรมราชูปถัมภ์ภายใด้บทมาลย์ของใด้ฝ่าละออง
ธุลีพระบาท ผู้ทรงพระคุณยันเลิศนํ”๋

ด้อยคำของราชปุโรหิตกราบทูลพระอธิราชในราชบริษัททำให้พระหฤทัยของพระอธิราชจุลนิ
บังเกิดความเสื่อมั่นในตน ทรงเห็นความรีบด่วนคัดสินพระหฤทัยเร็วเกิน'!ปของพระองค์เอง จนถึงมีพระ-
ราชกระแสรับสั่งว่า “เป็นความจริงทีเดียวท่านอาจารย์ เราเบาความไปหน่อย ที่วินิจฉัยเหตุการณ์แด่เพียง
รูปารมณ์ที่มาส่คลองจักษุเท่านั้น มิได้วิจารณ์ให้ถ่องแท้ถนัดถนี่ แด่ก็เป็นยันแล้วเสียแลัว การที่ล่วงแลัว

จะนำมาคืนหาได้ไม่ อดีตกรณีผ่านพ้นไปแล้ว การคำนึงดึงไม่เป็นเหตุแห่งความสำเร็จ เราควรจะเป็น


อยู่กันด้วยกรณีบัจจุบัน เพราะฉะนั้นฉันขอถามท่านอาจารย์ว่า บัดนํ๋พวกเราควรจะทำอย่างไร ความเหมาะสม
แก่กรณียกิจบัจจุบันเท่านั้น จะเป็นเครื่องล้างความผิดในอดีต และเป็นเครื่องนำทางไปส่ผลสำเร็จใน

อนาคต ท่านอาจารย์เห็นสมควรอย่างไร”
“ขอเดชะ กรณียกิจที่เหมาะสมในบัดนํ่มีทางเดียว” ราชปุโรหิตาจารย้กราบทูลด้วยท่าทาง และ
นํ้าเสียงชันหนักแน่น “ทางเดียวเท่านั้นคือ ทวงกลับพลกลับไปล้อมมิถิลานครไว้อีก ด่วนที่จะทำอย่างไร
ต่อจากนั้นไปก็เป็นอนาคต พึงให้เป็นเจ้าหนัาที่ของความคิดในกาลต่อไป”

พระอธิราชทรงสดับแล้ว ทรงเสื่อทันที พลันมีพระบรมราชโองการประกาศิตให้บรรดาแม่ทัพ


นายกอง ปาวรัองแก่กระบวนพลของตน รุ ทุกหมวดกอง ให้เข้าประจำที่ตามแผนที่ได้วางไว้แด,เดิมโดย

ด่วน

kalyanamitra.org
0า ® ธ^

บรรดาแม่ทัพนายกองได้รับพระบรมราชประกาศิต ต่างก็รีบเร่งรวบรวมไพร่พลที่กำลังพล
ระสํ่าระสายซึ่งเป็นการไม่ลำบากนัก เพราะไพร่พลทุกหมวดแม้จะระสำระสาย ก็บ่ายหนัาไปทางเดึยว
กัน แต่ที่ว่าไม่ลำบากกันนั้น มิใช่เป็นการปฏิเสธความเหนื่อยยากเสียทีเดียว เพราะพวกแม่ทัพนายกอง

ต้องต้อนรับด้องขับแสนยากรของตน *1 กว่าจะควบคุมกันเขัาได้ก็ต้องเปลืองเรียวแรงมิใช่นัอยเลย
กองทัพอันมีกำลังมหึมาสามารถจะลมมิถิลานครให้เป็นขุนเขาอันใหญ่หลวงได้ด้วยอาการที่

แต่ละคนกำฝ่นคนละกำ หรือลือกัอนหินคนละกัอนขว้างปาเข้าไปทุก *1 ด้าน เหล่าทหารบัญจาละได้พัง


บัญชาของแม่ทัพนายกองของตน *1 ก็ควบคุมกันเข้าเป็นกระบวนพลหายระสํ่าบ่ายหนัาเข้าล้อมมิถิลานคร

ด้งเดิม

เมือกองทัพเช้าล้อมมิถิลาเรียบรัอยแล้ว พระอธิราชจุลน็ก็เสด็จออกประทับ ณ สลานอันเป็น


ที่บัญชาการทัพ ท่ามกลางพระราชารัอยเอ็ดและราชมนตรี อันมีราชปุโรหิตาจารย์เป็นประมุขพรัอมด้วย

แม่ทัพนายกอง ทรงสดับรายงานเหตุการณ์ในการเข้าล้อมอันเป็นไปโดยปราศจากอุปสรรคเสร็จแล้ว มี
พระราชประสงค์จะดำเนินการคึกให้เสร็จสั้น โดยยึดเอาความยินยอมอ่อนนัอมของวิเทหราชเป็นที่หมาย
ก็ทรงหารีอกับเกวัฎสึบไป “ท่านอาจารย์ บัดนื่กองทัพของเราได้กลับมาล้อมมิถิลาได้ดังเติมโดยเรียบรัอย
แลัว ทุกหมวดทุกกองได้เข้าประจำตำแหน่งแหล่งที่มิได้คลาดเคลื่อนแล้ว ต่อไปนื่เราจะทำอย่างไรล่ะ?”

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ” ท่านเกว้ฎกราบบังคมทูลสนอง “การล้อมพระนคร


ในทำนองศึก เป็นนิติประเพณีมาแต่เบื้องบรรพ์ เป็นการล้อมเพื่อหักล้างกำลังกันโดยอำนาจการโจมดี
ของบรรดาโยธาหาญ มิได้มีความมุ่งหมายที่จะระรานประชาราษฎร์ให้ได้รับความเดือดรัอนลำบาก จอมราช

ผู้ทรงพระบรมเดชานุภาพเมือทรงเสด็จกรีธาทัพเข้าล้อมพระนครประเทศใด ก็ย่อมทรงเคารพนิติประเพณี
นั้นเสมอมา จึงทรงผ่อนปรนการสัญจรไปมาของทวยราษฎร มิไดัปิดประตูเล็ก จุ ของพระนคร คงปล่อย
ให้ประชาชนสัญจรเข้าออกได้ กองทัพคงตั้งชุมพลประจันหนัาเฉพาะประตูใหญ่และป้อม มุ่งแต่จะพัง

ประตูใหญ่ ดีป๋อมพังกำแพงเข้าเมืองด้วยวิสัยสามารถของโยธาหาญ กล่าวดือ แข็งต่อแข็งเข้าลักัน โยธา-


หาญของฝ่ายที่แรงกว่าย่อมจะกำขัยไว้ได้เสมอ นื่เป็นนิติประเพณี ซึ่งได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็ได้ทรง

ปฏิบัติมิได้ละเมิด ดังนั้นในการล้อมคราวก่อน นับเป็นยุทธธรรมอันพึงตระหนักในทุกกาลเทศะทีเดียว


แต่เมือได้พิเคราะห์สถานการณ์ในกรณีนื่แลัว เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า เป็นความจำเป็นแท้ที่จะด้องยอมละเมิด
ยุทธ์ธรรม แม้จะเป็นนิติประเพณีมาแต่เบื้องบรรพ์นั้นเสียที”

“หมายความว่า เราจักด้องปิดทางสัญจรของหน่วยราษฎรเลียทุกช่องกระนั้นหรือ?” ตรัสซัก

“เป็นดังพระราชบรรหารพระพุทธเจัาข้า” เกวัฎทูลสนอง
“ธรรม เป็นสภาวะอันควรที่ทุกคนจะพึงตระหนักเห็นเป็นสำคัญ ไม่ควรละเมิดแม้เพราะเหตุ
ใดสั้น เราจักด้องละเมิดเช่นนื่ มิเป็นการประจานพวกเราเองหรือ? ไม่น่ากระทำเลย” รับสั่งคล้ายทรง

รำพึง
“เป็นความจำเป็นพระพุทธเจัาข้า” เกวัฎกราบทูลยา “ความจำเป็นย่อมเป็นคัวกาวบังคับให้

kalyanamitra.org
๓®๕

คนกวะทำได้ทุก *1 อย่าง แมัจะเป็นทางละเมิดธรรม ธรรมที่ละเมิดเพราะความจ้าเป็น พ้นวิสัยที่จะก่อ

วิบัติแก่ผู้ละเมิด ใคร *1 ก็ย่อมให้อภัยแก่ผู้ละเมิดธรรมเพราะความจำเป้นพระพุทธเรัาข้า”


“ในศาสตร์แห่งมนุษยธรรม ฉันเคยสดับมาว่า “ธรรมเป้นความจำเป็นที่สุดของมนุษย์ ไม่มี
เหตุการณ์ชันใดแลัวที่จะจำเป็น หรือที่ควรอ้างว่าจำเป็นยิ่งไปกว่าธรรม” รับสั่งอ้างหลักฐานในศาสตร์
“ที่ศาสตร์ได้บัญญัติไว้ด้งนื้ เพราะเล็งถึงสภาวะชันเป็นสามัญของซีวโลก บรรดาสรรพลังขารชันมีวิญญาณ
ครอง กล่าวคือมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉาน ย่อมดำรงในสามัญสภาวะมิได้แผกเพื่ยน คือการกิน การนอน
การกลัว และการสีบพันธ์พืช ความพิเศษของมนุษย์ที่ควรยกย่องก็คือธรรม เพราะฉะนั้นมนุษย์ต้อง
ประพฤติธรรม เพื่อดำรงฐานะชันพิเศษแห่งตนไว้ แมัละเมิดธรรมเลียแลัวก็ไรัคุณพิเศษที่เป็นเหตุให้
ดำรงในมนุษยภาพ ความดำรงอยู่มิได้ในมนุษยภาพซึงตนสามารถแท้ที่จะดำรงได้ ก็เป็นการทำลายคุณ-

พิเศษของตนเอง แต่นั้นจะได้อะไรเล่าที่จะเป็นเครื่องเชิดความเป็นมนุษย์ให้พิเศษกว่าดิรัจฉาน ท่าน


อาจารย์ก็คงจะตระหนักในศาสตร์ดังนํ๋ดีแลัว”
“ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตรัสประภาษมา เป็นความจริงโดยบัญญัติแห่งศาสตร์ แต่บัญญัติ
แห่งศาสตร์ไม่พึงเป็นประกาศิตชันทรงมหิทธานุภาพยิ่งไปกว่าความพินิจของมนุษย์ ผู้ดำรงมั่นในบัญญ้ติ
ไม่ยอมละเมิดบัญญัติ มิได้บันดาลให้มีชิพพิเศษกว่าปวงมนุษย์ คงดำรงร่างกายทำนองเดียวกัน อิ่มมิ้อ
หลับมิ้อเสมอกันกับผู้ละเมิดบัญญัติ ก็มิอาจที่จะบันดาลให้กลายร่างจากมนุษย์ไปเป็นดิรัจฉานได้เลย ขอ
เดชะ การวิจารณ์ธรรมในสถานการณ์เช่นนั่ เป็นอกาลอยู่พระพุทธเจ้าข้า แต่เพื่อที่รักให้ประโยชน์ของ

เราลุล่วงสมปรารถนา ข้าพระพุทธเรัาขอพระราชทานพระวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณา ในเหตุผล


ด้งนํ”๋
“ธรรมในโลกนื้มิอาจกํ้าเกินอำนาจได้ อำนาจย่อมเป็นใหญ่ในโลก อำนาจครองโลก ธรรม
ไม่เห็นเลยที่จะครองโลกได้ เมื่อใดเกิดความบันป่วน เมื่อใดเกิดความวุ่นวาย เมื่อนั้นอำนาจเท่านั้นเป็น
เครื่องกำชับ อำนาจไม่มีในที่ใด ในที่นั้นหมดความราบคาบมิได้ อำนาจอาจเป็นแท้ที่จะดำรงตนอยู่ได้

โดยลำพังแต่ธรรมมิอาจเลย แต่ได้อำนาจอุปลัมก็จึงอาจดำรงอยู่ได้ ดังนั้น ท่านผู้ประสงค์ความเป็นใหญ่

ในฝูงชนพึงแสดงอำนาจ
อำนาจนื้หรึอเมื่อเกิดขื้นแลัว ธรรมก็เข้าสนับสนุนส่งเสริมทันที ผู้มีอำนาจแมัแต่จะไม่เป็น
ผู้ประพฤติธรรม ก็จะมีบุคคลใดเล่าที่จะบังอาจติเตียน ความไม่มีธรรมของผู้เรืองอำนาจนั้น ยิ่งกว่านั้น
อำนาจครอบงำการกระทำ แมัจะไม่เที่ยงธรรมให้ผันแปรเป็นเที่ยงธรรมไปก็ได้ ด้งนั้น ธรรมจะสำคัญ

อะไรเมื่อมาเทียบกับอำนาจ เปรียบเหมือนด้นหญัาจะสำคัญอย่างไรเมื่อเทียบกับต้นไม้ใหญ่ เหตุนั้นพึง

แสวงอำนาจ
ผู้ทรงอำนาจ ถึงจะประพฤติธรรมก่อกรรมทำเข็ญเพื่อเถลิงอำนาจของดน เพื่อความมั่นคง

ของตน ครั้นบรรลุผลด้งปรารถนาแลัว หากจะมีแก่ใจประพฤติธรรมภายหลังเพื่อเปิดช่องตำหนิบัาง ธรรม


ก็ต้องโอบอุ้มคํ้าชูอยู่นั่นเอง และช่องที่เปิดอ้าอยู่เพื่อความตำหนิจะปิดลงทันที ปิดลงพรัอมกับหลั่งกระแส

kalyanamitra.org
๓๑๖

เลียงสรรเสริญให้พรั่งพรัอมออกมาจากปาก แม้จะเป็นของคนที่เคยเป็นศัตรู หรือแม้จะเป็นปากของผู้ที่

ถูกบีฑาเอง เหตุนั้นพึงแสวงอำนาจก่อน ธรรมกันเอาไว้เป็นเบื้องหลังพระปฤษฎางค์ ซ็งไม่ห้องทวงพะวง


นักในการที่จะพิเคราะห์ในขณะที่ส่องพระพักตร์”
“เดี๋ยวก่อนท่านอาจารย’ ตรัสยั้งท่านราชปุโรหิต “ระหว่างธรรมกับอำนาจเป็นเรื่องที่ควรวินิจฉัย
กันให้ถ่องแท้ เรายอมละเมิดธรรมเพื่ออำนาจ หรือยอมลดอำนาจเพื่อธรรม นี่เป็นข้อใหญ่ เป็นประเดีน

ที่เราจะควรยกขื้นพิจารณากัน ฉันยอมเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ที่กล่าวถึงอำนาจเป็นใหญ่เป็นประธานใน

โลก มีอำนาจแต้วทุกสิงทุกอย่างแม้แต่ธรรมก็พลอยมีด้วย ผู้เรืองอำนาจแม้จะไรัธรรมใครเล่าจะบังอาจ


ติเตียน ใครเล่าจะไม่ยอมยกให้ในเมื่อผู้เรืองอำนาจด้องการให้ยกว่าดำรงธรรม แต่อำนาจที่บุคคลนั้นมี
พึงไข้ให้อยู่ในขอบเขตของธรรมจึงจะควร หากผิดผันไปใครจะนิยมชมชอบ ถึงจะมีก็เป็นเรื่องจำใจสนใจ

ต่อได้ธรรมอุปต้มกัอำนาจนั้น *1 จะยิ่งรุ่งเรือง เป็นดังนี่มิใช่หรือ”


“สมปติที่บุคคลมีเป็นของตน จะเป็นชนิดที่มีรูปคึอ ทรัพย์สมบัติก็ดี ชนิดหารูปมีได้ดี ธรรม
สมบัติก็ดี เป็นสิ,งที่มีไว้เพื่อดำรงตนในซีวโลก เป็นสิงตองรักษาให้ยั่ง่ยืนอยู่กับตนตลอดซีพ” เกวัฎกราบทูล
อธิบาย ‘ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงดำรงพระองค์ในฐานะเอกอัครราชแห่งชมพูทวึปนั่นได้ด้วยอาศัย
อะไร อำนาจหรือมิใช่ เห็นด้วยเกลัาๆ ว่า อำนาจเท่านั้นที่เชิดชูยกย่องใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้สูงส่ง
แม้นไรัพระราชอำนาจแต้วที่ไหนจะได้ทรงดำรงในพระราชฐานะได้ มีอำนาจแต้วก็ด้องรักษาอำนาจ กาว
รักษาอำนาจเล่าก็ต้องอาศัยอำนาจนั่นเองเป็นเครื่องรักษา บัดนี่เป็นกาละแต้วพระพุทธเว้าข้า ที่จะด้อง
รักษาอำนาจไวัมิให้ตกตํ่าเสื่อมสลายลง ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณา บัญชาให้กองทัพ
ด้อมปิดมิถิลา โดยมิได้เว้นช่องทีเดียว เพราะหนทางที่จะนำชัยมหาศาลมาคู่กองทัพป้ญจาละเป็นคุณ-
ประโยชน์แก'พวกเรา ใครเล่าจะล่วงเข้าดำหนิติฉินพวกเราผู้บากบั่นอยู่ เพื่อบรรลุประโยชน์ของตนตาม
สถานะและดามวิธีที่เราจะได้รับ เพราะท่านก็กล่าวไว้แลัวว่า บุคคลจะพึงได้ประโยชน์ในที่ใดด้วยวิธีใด
ก็พึงพยายามในที่นั้นด้วยวิธีนั้น นี่เป็นหลักการสำคัญ หากจะยกขื้นเป็นยุทธธรรมประการหนี่ง ก็จะหา

มุนึในสงครามคนใดคัดด้านมิได้เลย แม้จะนานเท่านาน ให้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระวิจารณ์เถิดพระ-


พุทธเว้าข้า”
พระอธิราชจุลนึ แม้จะมีพระหฤทัยตระหนักในยุทธธรรมอันเป็นนิติประเพณีแห่งสงคราม
แต่กำลังแห่งความตระหนักมิได้รับบัจขัยอื่นอุปลัมกั ก็ย่อมหย่อนกำลังลง ความมีพระราชประสงค์ใน
พระราชอำนาจซ็งได้บัจขัยสนับสนุนเรี่ยวแรงก็เกิดมีกำลังกว่า กลับทรงดำรงในพระราชหฤทัยใหม่ว่า
แม้จะทวงละเมิดยุทธธรรมประการหนี่งลงไป ท้าวเธอก็เท่ากับเป็นผู้ได้นำหลักกาวในธรรมศาสตร์อีก
บทหนี่ง เข้ามาตราไว้เป็นยุทธธรรม ซ็งมุนีในสงครามทุกสมัยจักตองเคารพ และชิดถึอเปันหลักปฏิบัติ

แต่ท้าวเธอยังมิคู่แน่พระหฤทัยว่า กองทัพป้ญจาละจะได้ชัยชนะสมความปรารถนา จึงมีพระดำรัสถาม


ข้าอีก “ท่านอาจารย์แน่ใจแต้วหรือว่า เมื่อเราปิดลัอมโดยมิยอมเปิดช่องแมัแต,น้อยแต้ว ชัยชนะจักห้อง

เป็นของเรา”

kalyanamitra.org
ซา®๗

“เป็นการแน่นอนทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า” เกวิ'ฎกราบทู®หนักแน่น ‘‘ฝูงสัตว์ในพิภพย่อมปรารถนา


ความวอดพ้น ไม่ด้องการถูกกักข้ง ไม่ว่ามนุษย์หรึอลัดว์เดร์จฉาน ย่อมรักต้องดิ้นรนเดีอด-โอน ในเมือ
ถูกกักชังทั้งสิ้น ชาวเมืองมิชิ®าที่ไหนจะเป็นมนุษย์ที่นอกเหนึอไปจากสามัญวิสัยได้ เมือบ้านเมืองถูกปิด
ด้อมหนาแน่น ไม่ยอมไต้สัญจรไปมาเข้าออกได้ ในไม่ข้ากิจะเกิดความกระเหื้ยนกระหึอในการที่จะออก
ให้ได้ ความกวะเหื้ยนกวะหึอนั้นไม่มีลู่ทางใดที่จะสมใจได้เลย ในที่สุดกิรักสำแดงกิจการใต้ปรากฎ ด้วย

กาวบ้งด้บให้พากันเปิดประดูเมืองออกมา เมือนั้นบ้จจามิดรของพวกเรากิจะหนึรอดเงึอมมือไปไม่ได้ เรา

รักต้องรับได้แน่ทึเดียวพระพุทธเรัาข้า”
“ท่านอาจารย์ อุบายนั้คมคายทีเดียว ดก®งเป็นอันปฎิบ้ดดามคำของท่านอาจารย์” ทรง•โบรอง

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณด้นเกด้าๆ” เกวัฎกราบทู®สดุดี “ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระ


วิจารณ์ถูกด้องแลัว ทรงด้ดสินพวะหอุท้ยเดีดขาดเข่นนั้ เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เสดีจเถ®งพระบรม

ราชาธิป็ดย์แห่งสกลชมพูทวิป ขอจงพระเจริญยิ่ง *1 เชิดพระพุทธเรัาข้า”

kalyanamitra.org
๔๖. ส์อสารศก

พฤติการณ์ภายในกองทัพของพระเจ้าจุลนี ความคิดอ่านในการดำเนินสงครามในกองบัญชาการ

ทัพกรุงบัญจาละตลอดถึงข้อโต้แย้งระหว่างเกวัฏกับพระอธิราช ได้ปลิวไปสู่กองบัญชาการของท่านมหา-
บัณฑิตโดยมือของท่านผู้สื่อข่าวลับ ภายหลังจากการตกลงพระหฤทัยขององค์พระอธิราชไม'นานนัก
ท่านมหาบัณฑิตได้ทํราบความคิดอ่าน ในการดำเนินสงครามของฝ่ายบัญจาละโดยถิ่ลัวน ก็

ด้องดำริตริตรองด้วยความพะวักพะวนใจ “บัดนึ่กองทัพฝ่ายปัญจาละตั้งลัอมประชิดปิดแม้ประตูนัอย ชี่ง


เป็นทางเข้าออกไปมาของประชาชน ตัดการสัญจรเสียทุกช่องเพื่อก่อความป่นป่วนให้เกิดแก่ประชาราษฎร์

ด้วยความรู้สึกแห่งผู้ถูกกักขัง นานวันเข้าพวกเราก็เกิดความอิดหนาระอาใจ และเกิดความกระสับกระส่าย


ปรารถนาจะพ้นจากการถูกลัอม เปรียบเหมือนไก่ที่ถูกขังไวโนกรงก็มีอาการดํ๋นรนเสาะหาทางออก ใน

ที่สุดก็มืสามารถสะกดระงับความกระวนกระวายใจนั้นได้ มทันตภัยจะบังเกิดเป็นแน่ เพราะประชากร

จะพากันระสำระสาย แม้จะเห็นแก่ส่วนรวมเพียงไร ความเห็นแก,ส่วนรวมนั้นก็ย่อมหย่อนกำลังแก'ความ

เห็นแก่ส่วนตัว ความเห็นแก่ส่วนตัวนั้น แม้ในยามปกติก็เป็นเรื่องแสนเลวอยู่แลัว ในยามคับขันถาเกิดมี


ร้น ก็เป็นเครื่องประกาศความแตกแยก ย่อยกำลังที่เป็นปืกแผ่นออกไป เมื่อความเป็นปึกแผ่นถูกย่อยออก

ไปแลัว ความยับก็ปรากฎในที่สุดเป็นความวิป่ติอันใหญ่หลวง

แต่บุคคลอย่างเรา จะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างนั้นไม่ได้ วิสัยบัณฑิตย่อมทรงปรีชาญาณ


อันเป็นเครื่องริ'กษาตนโดยรอบด้าน อยู่ในถิ่นใดประเทศใดก็อำนวยสุขและประโยชน์โสตถิผลในถิ่นนั้น

ประเทศนั้น นั่นพึงเป็นปฏิทาของเราแท้ เหตุการณ์อันเกิดร้นแก่มิถิลานครครั้งนั่ เป็นไปตามอนุมานปรีชา

ของเรา เราได้คาดคิดเห็นเหตุการณ์นํ๋มาแต่นานแลัว ทั้งได้จัดการป้องกันมาโดยลำดับ ผ่อนปรนแกโข

เหตุการณ์นั้น ๆ เป็นระยะ *] มา ในคราวนึ่เปันวาระสำคัญจ้าด้องคิดอ่านขับไล่ข้าศึกให้หนีไปเสียโดย


เร์ว อุบายความคิดในเรื่องนั้ใช่จะขัดสนก็หามิได้ เกวัฎคงจะเห็นความคิดของเราในครั้งนึ่ และจะหลาบจ้า

ไปนานทีเดียว”
“อันความคิดในการวางแผนอุบายแม้จะเป็นอย่างเยี่ยม หากขาดบุคคลที่เป็นสื่อสารในการดำเนิน

อุบายก็ไริ'ประโยชน์ เราจะนำตัวของเราเช้าไปดำเนินเองหาได้โม่ เปรียบเหมือนนาวาใหญ่แล่นไปในทะเล


หลวง จ้าต้องทอดสมอจอดอยู่ในที่ลึก มิอาจเข้าสนิทชิดฝังทะเลได้ ต้องอาคัยเรือเล็กลำเลียงถ่ายทอด

อีกต่อหนึ่งฉันใด ความเป็นไปของเรานึ่ก็เปรียบได้ฉันนั้น เราไม่อาจเป็นแท้ที่จะทอดตนเข้าชิงกับพระ

อธิราชจุลนีนึ่ จ้าต้องมีบุคคลอีกผู้หนึ่ง ทำหนัาทีคลัายเรีอเล็กลำเลียงถ่ายทอดอุบายของเรา ใครเล่าจะ

kalyanamitra.org
๓๑๙

เหมาะสม ? บรรดาทหารของเราก็มีหนัาที่ด้องกระทำเป็นประจำอยู่ ทังเป็นคนหนุ่มยากที่จะวางดนให้'


สนิทแนบเน้ยน และที่ยากกว่านั้นก็ดึอความฉลาดในการใช่ความคิดอ่านให้ได้ประโยชน์ ตลอดถึงสามารถ
ในการอำนวยความคิดอันฉลาดนั้นได้ด้วย บุคคลในมิถิลาควรจะมีบ้างที่สามารถได้ด้งนื้”

ความคิดใคร่ครวญของท่านมหาบัณฑิต มิได้เป็นความคิดที่ไร่'ผล ในที่สุดท่านก็พบด้วบุคคล


ที่เหมาะสม เป็นพราหมณ์ผู้เจริญวัยอยู่ในกรุงมิถิลานครนั้นเอง มีนามตามที่เรียกอันว่า “อนุเกว*ฎ" เป็น
ผู้ฉลาดหลักแหลม มีความคิดอ่านว่องไว ใจคอหนักแน่นมั่นคง ท่านจึงให้คนไปตามท่านอนุเกวัฎมาพบ
ที่บ้าน

เมื่อท่านอนุเกวัฎมาพบท่านมหาบัณฑิตที่บ้านแลัว ท่านมหาบัณฑิตได้ตอนรับปฏิสันถารดาม
ควร จนเห็นท่านอนุเกวัฏค่อยคลายจากความเมื่อยลัา จึงพาเข้าไปสู่ห้องรโหฐานเฉพาะตัวต่อตัว ครั้นนั่ง
ลงเรียบรัอย ท่านมหาบัณฑิตก็เอ่ยปรารภขั้นด้วยเคารพในวัยของท่านอนุเกวัฏ “ท่านอาจารย์ที่นับถึอ ท่าน

คงจะตระหนักในพฤติเหตุแห่งบ้านเมืองของเราดีอยู่แลัวว่าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร”

“จริงละ ท่านบัณฑิตที่เคารพ” ท่านพราหมณ์สนองด้วยความนับถึอเช่นอัน “ข้าพเจ้าได้ทราบ


อยู่ตามเหตุการณ์ที่ปรากฏ มิได้ทราบซื้งถึงสถานการณ์อันแฝงอยู่เบื้องหลังพฤติเหตุน”ื้
“ความจริงสถานการณ์ที่แอบแฝงอยู่ภายในเหตุการณ์นื้ ก็ไม่ใช่อื่นไกลนอกจากทางกรุงบัญจาละ
ด้องรีบบังคับมิถิลาให้หมดทางดิ้นรนยอมจำนนไปเอง” ท่านมโหสถแถลง “ตามฺที่ข้าพเจ้าทราบมาจาก
รายงานของผู้มีประโยชน์ยิ่งแห่งมิถิลา แสดงให้เห็นสาระสำคัญในสถานการณ์นื้ ดั่งที่บอกท่านแลัว”

“ทำไมกรุงบ้ญจาละจึงได้หมายมั่นปินมือที่จะยึดครองมิถิลานัก” พราหมณ์กล่าวขั้นด้วยฉงน

“คนเราควรจะมีไมตรีอัน ไม่เบียดเบียนอันก็จะดี บ้านใครเมืองใครก็ปล่อยให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นเมือง


นั้นดำเนินกิจการในประคาสโนบายดามลำพังตน ไม่มีการที่จะยึดถึอเอาบ้านใครเมืองใคร อย่างนิจะมิเป็น

ความสงบสุขอันเยือกเยินหรือ ตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า มนุษย์เราเกิดมามีร่างกายอันธรรมชาติได้


ประสาทสวรรค์เพื่อความโอนอ่อนต่ออันเป็นแท้ เนื้อหนังหรือก็นุ่มนิ่ม ผิวพรรณก็เกลื้ยงเกลาปราศจาก

ความหนาอันจะเป็นเกราะด้านทานแม้แต่ความแปรผ้นแห่งฤดูกาลด้องอาศัยผ้านุ่งผ้าห่มปิดป้องกาย พูด
ถึงอาวุธที่จะประหัดประหารอันเล่าก็มิได้มีติดประจำกายมาแต่กำเนิด เขั้ยวก็ไม่สามารถจะใช่'เป็นอาวุธ

ได้ด้งเขั้ยวสัตว์ เล็บเล่าก็ท้านองเดียวอัน และบนศีรษะก็ไรัเขาเครื่องประหัตประหารอัน มนุษย์มาสร่างสรรค์


ด้วยสัมภาระในภายหลังทั้งนั้น ไม่น่าเลยที่จะเบียดเบียนบีฑาอันให้เดีอดร่อน”

“ลูกตองแลัว ท่านอาจารย์” ท่านมหาบัณฑิตรับรอง


“ธรรมชาติสร่างสรรค์มนุษย์ เสมือนจะประกอบมนุษยชาติด้วยความอ่อนโยนเข้าหาอัน ละมุน
ละม่อมต่ออัน ไม่เป็นศัตรูอันด้งที่ท่านกล่าว แต่ธรรมดาของมนุษย์บางจำพวกด้องการจะเป็นถึงส่งเสริม

ความสนับสนุนอันให้เป็น”
“ความที่ท่านกล่าวยังเรันลับ” ท่านอนุเกวัฎท้วง “โปรดอธิบายให้แจ่มแจ้งลักหน่อย อันใดเป็น

kalyanamitra.org
๓๒

ธรรมดาของมนุษย์ ดันใดเป็นธรรมดาของโลกที่มนุษย์ต้องเป็นไป และมนุษย์บางจำพวกสมัครที่จะเป็น

ไป”
“ธรรมดาของมนุษย์เกิดมาไม่สม่าเสมอกัน บางจำพวกประณีต บางจำพวกทราม ความประณีต
และความทรามว่ากันแบ่งมนุษย์ให้เป็นชาติเป็นชัน นึ่ก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ประการหนึ่ง”
“เลี้ยวก่อน ท่านบัณฑิตที่เคารพ ชาติช์นที่ปันแบ่งกันในหมู่มนุษย์ให้สำเร็จความต่างกันได้
ด้วยประการไฉนเล่า บวรดาสรรพสัตว์ที่ปรากฏกายในซีวโลก ที่กลั้งเกลือกเสือกกายไปตามพสุธาดลโดย
ปราศจากเห้า นั่นก็ควรกำหนดเป็นชาติเป็นชนิด เสือกคลาน หรึอได้นามตามโวหารว่า ทีฆชาติบัาง ลัปป-

ชาติบ้าง ที่เกิดมาแรก *1 ก็มีกายดันต้องนอนแบบกับรวงรัง มีเท้าแต่เพียงสอง ครั้นถึงกาลสมัยกิเกิดมี


ปืกมีหางโผผกยกตนเผยอด้วขื้นได้จากพื้นดินบินเร่ร่อนไปในอากาศนั่น กิควรกำหนดเป็นชาติชนิดสัตว์
มีปึก ได้นามว่า สกุณไชใต้บ่าง ปักษชาต้บาง ที่เกิดมามีร่างกายคลานไปตามแผ่นดินด้วยเท้าทั้งลี, มีขนสื
กายหลายหลากมากชนิด ตลอดถึงมีเซียวงาเล็บนอเขานั่นเล่า กิควรจัดเป็นชนิด ส์หชาตื พขค'มชาต เป็น

อาทิตามวิสัย เป็นการควรแท้เพราะความเป็นชาติต่าง *1 นั้น ได้ประโยชน์ในโวหารสมมติเรียกว่าสัตว์ชนิด


นั้นชนิดนึ่ และก็สมควรเพราะด้วนแต่ต่างกัน ผิดกัน มิได้แมันละมัายคด้ายคลึงกัน ก็มนุษย์เราเกิดมามี

ร่างกายมิได้แผกผิดกัน อวัยวะส่วนใด *1 ก็มีเหมือน *1 กัน การปันชาติเป็นชันสำเร็จประโยชน์ชันใดเล่า


ข้าพเจ้ามองไม่เห็นเหตุกาวปันการแบ่ง แต่ก็ช่างกระไรมาแบ่งมาปันเลียเป็นชันเป็นชาติ ให้ต่างกันเลีย
ได้ ไม่มีเหตุผล ไม่มีข้อใดที่จะชัางได้ว่าลมควรแบ่งเลย”

“วาทะของท่านควรโมทนา” ท่านมโหลถกล่าวด้วยจริงใจ “ความจริงเป็นดังนั้นแท้ *1 ไม่มีแมั


แต่ความสมควรในการแบ่งเป็นชาติเป็นชันของมนุษยชาติ เพราะมิได้มีอะไรเป็นเครื่องหมายแห่งประเภท
แต่คๆรแบ่งนั้นจำเป็นเพื่องานดันต่างหน้าที่จำต้องทำในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ งานสืบซีพเพื่อดำรง
อยู่ในซีวโลกท้าให้คนเราต้องทำงานหาเลี้ยงตน ครั้นมนุษย์รวมกันเช้าเป็นเมือง เรื่องเฉพาะดนก็กลายเป็น
เรื่องกว้างออกไป เกิดมีหน้าที่ดันจำต้องทำมากขน การป้องกัน การแนะนำในขนบธรรมเนียมของประ-
เพณีของหมู่ การขวนขวายหาสิงจำเป็นแก่การครองซีพ การใชักำลังกายแบกหามสัมภาระเหล่านึ่ก็เกิด
ขน บุคคลที่รวมกันเป็นหมู่ก็ต้องกำหนดมอบหมายกันให้เป็นกิจลักษณะไปตามที่สามารถ จึงเกิดการแบ่ง
แยกกันขนเป็นพวก ๆ เพื่อปฏิป้ติงานของหมู่คณะ ครั้นนานไป การแบ่งแยกกันนั้นก็ยิ่งแน่นอนมั่นคงขื้น
จนถึงยึดถือเอาเป็นกำหนดกฎเกณฑ์ให้ตามเผ่าพันธุเพียงเท่านึ่ใม่เป็นไร เพราะเป็นไปดามหน้าที่ ครั้น

นาน *1 ไปความรู้สึกนึกคิดในความจริงด้งกล่าวผันแปรไป ทำให้เกิดความเพ่งเล็งกันในด้านดำสูง เลยมี


การถือเผ่าพันธุชันชาติ ชาตินั้นสูง ชาตินั้นดํ่า ความดูหมิ่นกันก็เกิดตามมา ความถือสูงดำก็พลอยเกิดขื้น
ในที่สุดก็แยกกันเป็นชาติเป็นชัน ทั้ง *1 ที่ไรัเหตุผลดันสมควร และทั้ง *1 ที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัย
ชัน จะขาดกันเลียมิได้แมัแต่พวกใดพวกหนึ่ง” ท่านมโหสถบรรยายสภาพแห่งประชาราษฎร์ “ความที่มา
ถือกันเป็นเช่นนั้น กำหนดกฎชากันเช่นนั้น เป็นเหตุชันสำคัญในการที่จะก่อให้ชาวโลกไรัความสงบสุข
เพราะเหตุใด ? เหตุว่าฝายที่สูงและถือว่าสูง จำต้องประคองความสูงของตนให้ดำรงอยู่ ความสูงจะดำรง

kalyanamitra.org
๓๒๑

ได้ก็ด้วยกีดกันฝายท้า ไม่ยอมให้ฝ่ายท้าล่วงลาเข้าไปปะปน ความกีดด้นด้วยประการต่าง *1 นั้น ล่ออัธยาศัย


เห็นแก่ด้วจัด ชิงย่อมขัดกันกับประโยชน์ที่กว้าง และก็การที่ประโยชน์กว้างถูกขัดนั้นทำให้เกิดอุปสรรค
ชื้นในวงศ์แห่งมนุษยชาติ ทำให้มนุษยชาติเกิดตั้งป้อมด้อมวงศ์ ฝ่ายใดก็ฝ่ายนั้นจะร่วมกันมิได้ ความที่
ร่วมกันไม่ได้ในเมือความจริงจะด้องร่วมกัน ทำให้ขาดความเกื้อกูลกัน ขาดความไมตรีต่อกัน ต่อจากนี่
ไปจะมีอะไรที่เป็นผลสนองความไม่ปรองดองกันนั่นสิ เมือความไม่ปรองดองด้นมีขน ความวิวาทบาดหมาง
ก็ดามมา กาวทะเลาะชกต่อยดีรันพ้นแทงก็เกิด กล่าวให้สั้น ความที่มนุษยชาติเหยียดหยามกันด้วยความ
กระด้างดื้อดึอด้ว่ถือตน นั่นเป็นเหตุหนึ่งที่ก่อให้มนุษย์ตองทะเลาะกัน นี่เป็นด้นเด้าประการหนึ่งในกาว

ประหัตประหาวด้นของมนุษยชาติ”
“การที่มนุษยชาติด้องบันกันเป็นพวก *1 เพื่อประกอบการงานใหัแก่หมู่คณะ ไม่น่าจะก่อความ
เหลื่อมลํ้าดํ่าสูงชื้นได้" ท่านพราหมณ์อุทาน “และก็เห็น *1 กันอยู่ว่าจะขาดจากกันเลียพวกใดพวกหนึ่ง

ก็ไม่ได้ ก็ควรจะเห็นประโยชน์แห่งความปรองดอง”
“ตามทางที่ควรเป็นเช่นนั้น” ท่านมหาบัณฑิตรับรอง “ด้าต่างฝ่ายต่างสำนึกในภาระอันจะทำ

สำหรับความอยู่ร่วมกัน ไม่ซีดมั่นถือมั่นเอาเป็นเหตุเหยียดหยามกัน เรื่องยุ่งเหยิงต่าง *1 ก็จะเบาบางลง


เป็นอันมาก เปรียบเหมือนอวัยวะในร่างกายคึอมือและเท้า ต่างก็มีหน้าที่ มือจับถือ เท้าเดิน ก็เป็นไปตาม
พน้กงานของอวัยวะ แต่อัธยาศัยของมนุษย์ไม่ยอมที่จะไม่ถือตํ่าสูงอยู่นั่นเอง นี่แหละเป็นธรรมดาประการ
หนึ่งของมนุษย์”
“ทึนี่พูดถึงธรรมดาของโลก กัาจะตั้งเป็นบัญหาว่าอะไรเป็นใหญ่ในโลก ผู้รัคดิของธรรมดา
จะด้องตอบท้นทึว่า “อำนาจเป็นใหญ่ในโลก” ท่านลองด้นหาความเป็นไปในโลกโดยทั่ว *1 ไปเถิด ท่าน
จะด้องเห็นว่าในข็วโลกไม่มีอะไรที่เป็นใหญ่เหนึอไปกว่าอำนาจ และอำนาจคืออะไร ? ความบังคับนั่นสิ
เป็นคัวอำนาจ นี่เป็นธรรมดาของโลก”

“ธรรมดาของคนย่อมไม่พ้นไปจากธรรมดาของโลก คือถูกอำนาจของธรรมดาบังคับให้เป็นไป
ตามธรรมดา ต่างแต่ว่าผู้ใดจะรัเท่าท้นอำนาจของธรรมดาหรือไม่ กัารัเท่าทันก็อาจที่ใขัอำนาจของธรรมดา

อันบังคับตนให้เป็นประโยชน์แก่ตนและแก่โลก กัาวัไม่เท่าท้นอำนาจของธรรมดาก็จะฉุดไปคร่าไป ฟ้งเพ้อ


เห่อเหิมไปตามบงการของธรรมดาโลก อันจะหนึไปไม่พันจากความมั่งทั่งด้วยทรัพย์สิน ความมีหน้ามีตา
ความสุขกายสบายใจ และกาวได้วับยกย่องเชิดชู อำนาจของธรรมดาโลกนี่ซักพาไป มนุษยชาติต่างก็เป็นไป
ตามบงการไม่เว้นตน ปรารถนาด้องการจะให้สิ่งเหล่านั้นแก่ตน จะให้ดนมีสิงเหล่านั้น การมีสิงเหล่านั้น

เป็นความนิยมชมชิน ไม่ใช่แม้แต่คัวเอง คนอื่น *1 ก็พลอยนิยมชมชอบช่วยส่งเสริมสนับสนุนกัน ก็ย้ง


ชวนกันทะเยอทะยานร่านรนไป ทั้งกล่าวกันด้วยว่า ผู้ใดมีมาก ผู้นั้นก็เป็นคนมีศักดื้มีอำนาจ สามารถนัอม
ความด้องการไปสู่สิ่งที่ปรารถนาได้ และสามารถนัอมสิ่งที่ปรารถนามาถู'ความด้องการได้ ไม่มีอะไรเป็น

อุปสรรคคอยขัดขวาง เป็นกาวประกาศความขิงใหญ่ไปในตน ผลก็คือจูงคนให้ใฝ่อำนาจ เพื่อตนจะได้เป็น


ใหญ่ เพื่อความเป็นใหญ่จะได้มีในตน ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งเป็นใหญ่มาก เพราะความเป็นใหญ่ย่อมโตตาม

kalyanamitra.org
๓๒๒

ความมีอำนาจ และเมื่ออำนาจโตพอเป็นฐานให้ความเป็นใหญ่โตได้แล้ว ก็ทำให้อะไร *1 พลอยมากมูล


ร้น ของตนเล็กไปไม่พอแก่ความใหญ่โต ก็หาของคนอื่นมาเพิ่มเอาให้โตให้ได้ จึงจะสมกับผู้เรีองอำนาจ”
“ดูเถิดท่าน พฤติการณ์ของชีวโลกเป็นอย่างนํ่เป็นมานานแลัว กำลังเป็นอยู่และชักเป็นต่อไป

จะไปหวังได้อย่างไร กึงความสงบสุข”
“ถ้าผู้เรืองอำนาจ ไม่ใช้อำนาจ ไม่นำเอาอำนาจไปร่วมในการดำเนินชีวิตตน กึงจะรุ่งเรือง
ด้วยอำนาจปานใด ก็มิได้ใช้อำนาจก่อกวนความสงบสุขของพลโลก ก็ยังจะเป็นทางแห่งสันติสุขได้มิใช่
หรือ ท่านบัณฑิตที่เคารพ” ท่านพราหมณ์ท้วง
“จะไปหวังเช่นนั้น ชีวิตของท่านจะต้องสิ้นไปด้วยร้อยชีวิตเป็นดันมาก ก็จะสมหวังไม่ได้”

ท่านมหาบัณฑิตกล่าวเน้นหนักแน่น “โลกไม่มีอำนาจ จะคงเป็นโลกอยู่มิได้ โลกต้องดำรงอยู่ในอำนาจ


นึ่เป็นประการหนึ่งแลัวที่แกํไม่ได้ ความหวังของท่านไม่กึงเพียงนึ่ คือไม่กึงกับจะต้องล้างอำนาจให้ขาด
โลก เพียงหวังจะให้ผู้เรืองอำนาจงดใช้อำนาจนั่นก็เกินไป อย่าให้กึงเพียงนั้นเลย เพียงแต่ว่า ขอให้ท่าน

ผู้เรืองอำนาจใช้อำนาจในบังคับแห่งเหตุ กล่าวคือใช้อำนาจให้อยู่ในทำนองคลองธรรม อย่าได้นำไปใช้


ในบังคับแห่งอำเภอใจ เท่านึ่ก็ยังเหลึอที่จะหวังได้เสียแล้วละท่านผู้เจริญ”
“สาธุ ท่านบัณฑิต” ท่านพราหมณ์กล่าวเต็มตื้นด้วยเลื่อมใส “วาทะของท่านเป็นความจริง
ชีวโลกจะต้องวุ่นวายไปด้วยการประห้ตประหารกัน เบียดเบียนบี•ทากัน มากบ้างนัอยบ้างเป็นธรรมดา ที่
กำเริบเติบโตร้นจนเรียกได้ว่าสงคราม ก็เกิดมาจากการทะเลาะกันของมนุษย์ จะขัดว่าสงครามเป็นโรค
ของโลกอันจำต้องมีเป็นธรรมดา เหมือนคนเราต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดาก็ว่าได้ โลกนึ่ก็มิใช่ว่าจะ

มีอะไรเป็นฐานนอกจากความทุกข์ โอ อนาถจริง!”
“ถูกของท่าน ความเป็นไปของสัตว์โลกล้วนกลิ้งเกลือกอยู่ในความทุกข์ ความทุกข์ชันเป็นอยู่
ตามวิสัยโลกนั้น ก็น่าอิดหนาระอาใจอยู่แล้ว ยังจะมาซํ้าเดิมกันให้ทุกข์หนักลงไปอีกเล่า เกิดมาในโลกชัน
เต็มไปด้วยทุกข์ ความทุกข์แล้วก็ต้องผจญกันไปตามวิสัยสามารถ” ท่านมหาบัณฑิตปรารภ “บัดนึ่เหตุการณ์

ได้ปรากฎแก่เราแล้วเป็นความคับข้นแสนเข็ญอยู่ มิใช่เป็นด้วยเหตุอื่นเลย ความต้องการเป็นใหญ่ของพระ-


เจ้าจุลน้ พระองค์มีพระราชประสงค์จะเป็นเอกอัครราชในชมพูทวีป จึงกรีธาทัพยึดครองพระนครทั้งหลาย
ไว้ในพระราชอำนาจ คงแต่บ้านเมืองของเราเท่านั้นที่ดำรงเอกราชอยู่ได้ แด,ในครั้งนึ่ด้องถูกบีบร้ดอย่าง
เรี่ยวแรง เพราะท้าวเธอปิดล้อมมิดชิด ไม่ยอมให้ประชาชนเข้าออกได้เลย ชาวเมืองมิถิลาถูกจำกัดเขต
ให้อยู่แต่ภายในกำแพงพระมหานครเท่านั้น ท่านอาจารย์ลองน็กดูเถิด การที่ถูกจำกัดให้อยู่ในวงแคบนั้น

จะมีผลเป็นอย่างไร”
“เห็นว่าจะเป็นอื่นไปมิได้ นอกจากจะต้องกล่าวว่า การที่ถูกจำกัดให้อยู่ในวงแคบนั้น มีผล
กระเทือนกึงจิตใจ ทำให้ใจพลอยแคบไปด้วยด้งนึ่เท่านั้น” ท่านพราหมณ์ตอบ
“เมื่อประชาชนชาวมิถิลาพากันใจแคบ แล้วที่ไหนจะเล็งเห็นประโยชน้ทีกวางได้ ความใจแคบ
นั้นจะต้องทำให้คิดแคบจำกัดอยู่แต่เพียงตนเท่านั้น กึงขั้นนั้แล้วก็เป็นอันทำนายได้ว่าความพินาศอันใหญ่-

kalyanamitra.org
0า๒ธา

หลวงได้สิงอยู่แล้ว ณ ใจกลางแห่งนครมิถีลาในไม่ข้าจะปรากฏผลอย่างแน่นอน” ท่านมหาบัณฑิตแถลง


“เหตุนั้นเราต้องรีบแก้ไขเหตุการณ์โดยเร็ว จะปล่อยให้คงเป็นอย่างนั้ใม่ได้ บ้านเมืองของเราจะย่อยยับ

ไปเป็นแน่”
“ท่านบัณฑิตจะคิดแก้ไขอย่างไร ข้าพเจ้าจะมีเหตุอันภูมิใจบ้างหรือไม่ในความคิดของท่าน”
“ท่านอาจารย์ หวังได้แน่นอนในเหตุอันควรภาคภูม”ิ ท่านมหาบัณฑิตแย้มพราย “ที่ข้าพเจ้า

เรียกท่านมาหา ก็เพราะมีประสงค์จะมอบภารกิจอันน่าภูมิใจแก่ท่าน ขอให้ท่านช่วยธุระข้าพเจ้าสักอย่าง


หนึ่ง เกียวอับการดำเนินความคิดนก้ไขเหตุการณ์อันกำลังรุกรันพวกเราอยู่บัดนึ่”
“ความภาคภูมิใจอันใดเล่าใน'ชีวิต ที,จะมาเทียมเท่าความภาคภูมิใจในการที่รับใข้ท่านมหาบัณฑิต”
ท่านพราหมณ์กล่าวด้วยเต็มตื้น
“ท่านอาจารย์ควรจะกล่าวว่า ความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ของท่านนั้นอยู่ที่ได้บำเพ็ญกรณียกิจ
แก่ประชาชนมิถิลาด้งนึ่” ท่านมหาบัณฑิตน้อมสำนึกของท่านอนุเกวัฎไปในประโยชน์อันสูง “ท่านเป็น
บุคคลที่ข้าพเจ้าเลือกแล้ว เห็นว่าเหมาะในการวางอุบายของข้าพเจ้า เชิญท่านคอยสดับอุบายนั้น กำหนด
จงแม่นยำอย่าให้เคลื่อนคลาดได้ หากมีช้อควรสงสัยอย่างไร เชิญท่านซักไซ้โดยละเอียด อย่าได้เกรงใจ

เลย?”
“เชิญกล่าวเถิดท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าพร้อมที่จะกำหนดอุบายของท่านแล้ว” ท่านพราหมณ์รับ
ท่านบัณฑิต จึงได้กล่าวชีแจงแนะนำอุบายความคิด ในการที่จะเผด็จศึกให้เสร็จสิ้นไป ข้อใด

ที่ท่านอนุเกวัฏมีความสงสัยสนเท่ห์ ไม่แจ้งใจ ก็ซักไซ้ไล่เลียงจนแจ่มกระจ่าง ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย


ครั้นซักซ้อมสอบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านมหาบัณฑิตได้เอ่ยร้นว่า “ตามแผนอุบายนื้ ท่าน

อาจารย์จำด้องเสียสละบ้างเป็นแน่"
“ไม่เป็นไวดอก ท่านบัณฑิตที่เคารพ” ท่านพราหมณ์สนอง “ขอแด่ชีวิตและมือเท้าเท่านั้น

นอกนั้นจะท่าประการใดก็สุดแด่อัธยาศัยเถิด”
“ไม่ถึงอับจะด้องดัดเท้าดัดมือท่านอาจารย์ดอก เพียงแด่ท่านจะต้องอดทนให้เฆี่ยนสักสองสาม

ครั้งเท่านั้น” ท่านมหาบัณฑิตกล่าว “เพื่อความแนบเนียนแห่งอุบาย”

“เพียงเท่านั้นจะเป็นไรไปท่านบัณฑิต” ท่านพราหมณ์กล่าวแจ่มใส
“ท่าไมเล่าท่านอาจารย์ การเสียสละเพื่อส่วนรวมนั้น แม้จะถึงชีวิตก็ควรยอมสละได้โดยซีนตา
มิใช่หรือ” ท่านมหาบัณฑิตถามเพื่อหยั่งความคิด
“ตามทางที่ควรก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ในความจริงของข้าพเจ้าไม่ยอมที่จะให้ข้าพเจ้าพูดออก

ไปอย่างนั้น” ท่านพราหมณ์แถลงความจริงใจ

“มีเหตุผลประการใดหรือท่านอาจารย์” ท่านมหาบัณฑิตซัก
“เหตุผลของข้าพเจ้า เป็นเหตุสามัญ ความสำนึกในฐานะแห่งสามัญชนบัญชาให้ข้าพเจ้าเรียน
แก่ท่านด้งนั้น” ท่านพราหมณ์ชีแจง “แด่เป็นเรืองยึดยาวลักหน่อยท่านวินิจโดยควรเถิด ข้าพเจ้าแน่ใจว่า

kalyanamitra.org
๓๒๔

เหตุของข้าพเจ้ามิได้ล่วงพ้นไปจากปรีชาญาณของท่านเลย”
“เข้ญท่านแถลงมาเถิด ข้าพเจ้าพริอมที่จะพ้งแด้ว” ท่านมหาบ้ณ•คิดเดึอน

“เหตุผส‘ของข้าพเจ้ามิดังต่อไปนิ” ท่านพราหมณ์เริม “ความคิดเห็นประโยชน์ในความสำน้ก


ของสามัญชนนั้น จะเห็นประโยชน์อย่างไรเป็นสูงสุด ไม่มีประโยชน์อื่นจะยิ่งไปกว่า นั่นคึอประโยชน์ตน
กระบวนประโยชน์แลัว ประโยชน์ของตนเป็นสูงสุด เป็นดังนึ่ทั้งนั้น และข้อนั้นเป็นธรรมดาตราประจำ
โลกทีเดียว การที่จะเสียสละประโยชน์ตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นอุดมคติ พึ่งในความคิดเห็นของ

ข้าพเจ้าเกินกว่าขั้นของข้าพเจ้า
ก็อุดมคติของมนุษย์นั้น เป็นที่ตระหนักอยู่โดยที่วไป มิได้เสมอกัน บางคนมีอุดมคติสูง และ
สามารถที่จะดำเนินกายวาจาใจไปสู'อุดมคตินั้นได้ บางคนมีอุดมคติดำ และก็มีความสามารถเหมาะแก่
ที่จะปฎิบ้ติกายวาจาใจไปในอุดมคตินั้น ผู้มีอุดมคติสูงแลัวก็เป็นผู้ประณีตแลัวโดยอัธยาศัย ผู้มีอุดมคติ
ตํ่าก็เป็นผู้ใม่ประณีตด้วยอัธยาศัย แต่ในการกัาวขนสู'อุดมคติที่คูงเกินความสามารถของผู้มีอุดมคติดำนั้น
จึงพึ่งเป็นไปได้แต่เพียงย้อยคำพูดที่ออกมาเท่านั้นละหรือ ? หากเป็นเช่นนั้นแลัวไซริ'จะมีใครบ้างเล่าใน
โลกนึ่ ที่ยอมตนให้ตกอยู่ในภาวะอันดำด้อย ทุกคนคงจะกัาวไปสู'ความสูงส่งด้วยกัน ด้วยการสกฝน ด้วย
การบำเพ็ญและด้วยการสริ'างสมอันยิ่งยวดเท่านั้นมิใช่หรือ ที่จะสนับสนุนให้บุคคลกัาวขื้นถู่อุดมคติอัน
สูงได้ มิใช่กัาวขื้นไปได้แต่เพียงความนึกคิดและเพียงคำพูด

ความเป็นขั้นสูงแห่งคติของบุคคลในโลก พึงมีด้วยอำนาจแห่งกรรมเป็นแท้ เหมือนความมี


ขีดสูงแห่งสิ่งธรรมชาติทั้งหลายในโลก อันจำกัดกันเองโดยธรรมชาติด้วยอำนาจของธรรมดา เช่น ขีด

สูงของด้นหญ้า ก็จำกัดอยู่เพียงยอดของด้นหญ้า ซีดสูงสุดของด้นหญ้ามิได้เสมอกันได้กับด้นดาล อันจำกัด


ความสูงสุดเพียงยอดของมัน เห็นํอยู่ประจักษ์ในสภาพของมนุษย์อันกระเสีอกกระสนกันอยู่ ย่อมเป็นไป
ตามอุดมคติของตน *1 ความที่เห็นว่าตนมีอุดมคติอันเหมาะแก่ความสามารถเพียงใด แลัวดำเนินกายวาจาใจ
ไปตามอุดมคตินั้น ก็ควรจะได้ริ'บยกว่าเป็นผู้กำหนดริ'ตน กรรมใดที่เห็นเกินกำลังสามารถ ก็ไม'กระท่า
กรรมนั้น พึ่งถากระท่าลงไปแลัวจะมีได้ริ'บผลสำเรืจอันใด นอกจากความเย้ยหยันของผู้อื่นพึ่งสามารถ
และการที่ถูกเย้ยหยันนั้นหากยึดถีอเอาว่าผลสำเร็จ ก็ควรจะได้นามว่าเป็นผู้มีส่วนแห่งความวิกลในตน ส่วน
ที'มีนั้นก็ไม่ควรจะกล่าวว่านัอยเลย
ความเปรียบเทียบข้อหนึ่งได้ปรากฏชัดแก่ข้าพเจ้า ผู้เพียงเก็งอยู่ในพรตของซีวโลก ความเปรียบ
ข้อนั้นอย่างใด ? อย่างนึ่ บุรุษผู้หนึ่งเดินทางไกลกันดารผ่านความลำบากตรากตรำด้วยเริ่ยวแรงอันหมด
ไปมากมาย ทั้งเสบืยงก็สิ้นไปหมดถุง เต็มไปด้วยความอิดโรยโหยหิว เขาพึ่งได้อาหารอันแสนเลว มีข้าวด้ง
กันหมัอกับนึ่าผักดองเท่านั้น อาหารที่เขาได้แบ้เพียงเท่านึ่ ก็มีค่ามากกว่าซ็วิต เขาเต็มใจที่จะบริโภคแกั
กระหาย ก็ขณะเขากำลังเคํ่ยวข้าวดังกลั้วด้วยนํ้าผักดอง อันมีรสเลวอยู่นั้นมีท้นจะกลึนล่วงลำคอลงไป
มีผู้อื่นนำอาหารมีโอชาเลิคมาให้เขาพริ'อมกับให้เขาคายข้าวที่กำลังเคํ่ยวนั้นที่งเสีย ริบอาหารที่มึโอชาที่

นำมาให้ใหม่นั้น บุรุษนั้นจะพึงกระท่าประการใด จะยอมคายคำข้าวนั้นเสียหรือ หรือจะพึงกลึนคำข้าว

kalyanamitra.org
ธา๒๕'

นั้นก่อน ข้าพเจ้าหากตกในฐานะเยี่ยงบุรุษนั้น ก็เจียมตนนักที่จะอาจเอื้อมพูตว่า จะคายคำข้าวที่ก่าลังเคยว

นั้นทิ้งเสีย เพราะนั่นเปันวิสัยแห่งท่านผู้ทรงปรึชากว้าง อันมิใช่วิสัยของข้าพเจ้า


ในเมื่อข้าพเจ้ายังรื่นรมย์อยู่ในชีวิต และเต็มไปด้วยความลิดความหวัง ซีวิตของข้าพเจ้าย่อมเป็น
ลิงที่ข้าพเจ้ารัก หวงแหนและพยายามทะนุถนอมสงวนไว้สุดสามารถแม้ด้วยฐานะของช้าพเจ้า จะบำรุง
บำเรอซีวิตด้วยสรรพอุปกรณ์อันเลวเยี่ยงช้าวดังกับนํ้าผักตองในข้อเปรียบเทียบนั้น แต่ความรื่นรมย์ความ
ผาสุกก็เป็นสิงที่ซีวิตของข้าพเจ้าได้ดื่มมาแลัวด้วยความพึงใจ ไฉนจะทอดทิ้งได้ ไฉนข้าพเจ้าจะเสียสละ
เสียได้ ถึงว่าข้าพเจ้าจะไรึรื่นรมย์สิ้นลิดสิ้นหวังก็เลอะ ข้าพเจ้าไม่ลิดให้รัายแก่ซีวิดตนเลย เป็นการสมควร
ละหรือ ที่คนเราจะรักชีวิตถนอมชีวิตเฉพาะในยามรื่นรมย์เปียมด้วยควาปผิดหวัง และซังชีวิตในยามรื่นรมย์
และสิ้นลิดสิ้นหวังแสนยากแสนเข็ญละที่จะได้มีชีวิตมา ไหนจะมาให้ความอยุติธรรมแก่ซีวิตดังนั้นไม่ ไม่

น่าเลยทีเดียว
อนึ่งเล่า บรรดาโยธาหาญอันปฏิบัติงานให้แก่บ้านเกิดเมืองนอนของตนในบ้ดนึ่ ผู้ควรเป็นยิง
นักที่จะขนานสาม้ญญาด้วยความเชีดชูว่า “บุรุษแห่งมถลฺใ" ทุก ยุ คนได้ปฏิบัติภารกิจด้วยความระแวง
สงสัยในชีวิตกึ่งเปันกึ่งตายอยู่ทุกเมื่อเซือวัน ทุก ยุ คนได้เผชีญอยู่กับทูตแห่งมฤตยูซึ่งปรากฎเฉพาะหนัา
ทุกดีนวัน จะเปันจำนวนลัวนทั่วกันละหรือ ที่ได้สลัดแลัวซึ่งความหวัง เปันผู้หมดหวังแลัวในซีวิด ไม่

อาลัยเสียดายซีวิตตน เปล่าเลยทุกคนยังมีดิด ทุกคนยังไม่หมดหวัง เพราะความรักชีวิตเหนึอความรักทั่ง


หลาย ถึงแม้ในขณะต่อสู้กับช้าศึกก็อย่านึกว่าสิ้นหวังในชีวิตแลัว ที่แท้เขาต่อสู้ด้วยความหวังเพื่อชีวิตนั่น
ต่างหาก ก่าลังหาญจึงเกิดขื้นแข็งข้นเปันการต่อสู้ถึงแม้จะเรียกได้ว่า ‘‘ตวยขวิต" แต่จะปฏิเสธการที่จะ
เรียกการต่อสู้นั้นว่า ‘วนัล
่ ขวิต" เสียมิได้เลย
ก็เมื่อบุรุษแห่งมิถิลาทั่งหลาย ยังมิได้สิ้นหวังในซีวิตยังด้องการซีวิต ความด้องการในชีวิตนั้น
จะเปันความพอใจเพึยงเท่านั้นละหรือ หามิได้เลย ความตองการในชีวิตนั้นเป็นสื่อแห่งความด้องกาวอื่น ยุ

อีกมาก บุรุษแห่งมิถิลาทุกคน แม้จะไดสกฝนจนฝังวินัยแห่งนักรบ วิญญาณแห่งนักรบได้คลุกเคลัาอยู่


แลัวทุกหยดแห่งโลหิต เขาจะรบอย่างองอาจกลัาหาญไม่พรั่นพรึงต่อความตาย และแม้จะได้กวะท้าแลัว

ซึ่งสัจจะปฏิญาณด้วยเสียงอันถึกกัองคลัายความกระหึ่มครีมครางแห่งมหาเมฆ ณ สถานชุมนุมพล จะ
สละทุกอย่างเพื่อมิถิลา เพื่อพระราชาธิบดีกระนั้นก็ดี การที่รบได้โดยไม่พรั่นพรึงต่อความตายนั้น มิใช่ว่า
ทุกคนจะรนหาเรื่องตาย และการที่ปฏิญาณไว้นั้น ก็มิใช่ทุกคนจะทอดทิ้งลิ'งที่ดนกล่าวว่าจะสลชุ ยังคง
ปรารถนา มีความหวังอยู่เบื้องหนัา ในความเป็นอยู่ ในความคำรงอยู่แห่งตน มิใช่จะหวังเพึยงความรอด

ตาย มิใช่จะหวังเพียงความปลอดภัยของบ้านเมือง และมิใช่จะหวังเพียงสวัสดีภาพแห่งราชบัลลังก็ หวัง


ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้บัญชาท่านใด ณ บ้านเมืองใด เลีงความหวังแห่งโยธาเพียงเท่านั้น ด้วยความคำนึง
ว่า เมื่อเขาได้ปลงใจลงแลัวในหนัาที่แห่งนักรบ เพื่อปัองกันบ้านเมือง ด้วยเลึอดเนึ่อและชีวิต ครั้นได้
ปฏิบัติภารกิจตามปลงใจจนบ้านเมืองปลอดภัย ปัองกันราชบัลลังก็ไวัได้และยังรอดอยู่ นั่นพึงเป็นข้อที่
พึงพอใจแลัว ไม่ด้องการอะไรนอกเหนึอไปกว่านั้น นั่นเป็นยอดสุดแห่งความหวังแลัว มิได้หวังอะไรยิ่ง

kalyanamitra.org
๓๒๖

ไปกว่านั้น ผู้บัญชาการนั้นจักด้องสรัางฉางใหญ่ 1 มิใช่ฉางเดียว เอาไวัสำหรับบรรจุคำดิชิน คำดีชิน


ต่าง *1 นั้นจะเป็นชินเป็นชันได้ แม้จะเด็กเพียงเท่าอ^ กิด้องเตรียมไวัหลายฉางอยู่นั้นเอง ที่งนํ่มิใช่อน
คนเรายังมีดวามหวังที่จะมีซีวิด ซีวิดที่มีนั้นกิมีเพื่อหวังต่อไป เป็นด้งนีที่งนั้น”
“เหตุผลในความคิดเห็นของข้าพเข้ามีด้งที่เรียนมานั๊ ข้าพเข้าจึงไม่ยอมที่จะเอ่ยถึงการเลึยสละ
ซีวิดเพื่อปฏิบัติภารกิจชันเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ข้าพเข้าไม่ยอมให้มายาสาไถยได้โอกาสแทรกแชง
ครอบ-)าดนจนถึงมองไม่เห็นดนเอง แลัวบังคับให้กด้ายินยอมในสิ่งซีงดนรัว่ายอมไม่ได้ แม้แด'อวัยวะมือ
เท้า ข้าพเข้ากิยังขอไวั เพราะยังรักที่จะยืนยงอยู่คู่คันไปคับซีวิด ความมีซีวิตโดยไม่มีมือเท้าซึงเคยมีมาแต่

ชัอนแต่ออกนั้น แม้จะไม่ถึงคับกล่าวว่าไม่มีซีวิตเสึยเลยจะดีกว่า ยันช้าพเข้าขอกล่าวกิเป็นชันกล่าวได้แน่


ว่าเป็นซีวิดที่ไม่สมประกอบ ถึงข้าพเข้าจะรักซีวิดของคนหาประมาณมิได้ ข้าพเข้ากิยังรัสึกว่าซีวิดที่ไม่
สมประกอบ ข้าพเข้าจะรักน์อยกว่าซีวิดที่สมประกอบ กรุณาวินิจฉัยด้งที่เรียนมานื้ด้วยปรีชายันกวัางขวาง

ของท่านเชิด”
“ลัอยแถลงของท่านอาจารย์ ได้ท้าให้รุ่เาพเจ้าแน่ใจยิ่งขื้นว่า การวางอุบายของเราจักดำเนินไป
ได้โดยแนบเนียนและราบรึน พวงมาลัยกล่าวดึอภารกิจของข้าพเจ้า ท่านเป็นผู้สมควรอย่างยิ่งที่จะได้สวม”

ท่านมหาบัณฑิตกล่าวด้วยจริงใจ “พระเจัาจุลนี พรัอมด้วยราชบริพาร และโยธาหาญ *๘ กองท้พใหญ่


จะด้องหนีเตลิดไป เหมีอนผู้งกาที่ถูกขวัางด้วยคัอนดิน คนเหล่านั้นจักไม่ได้เป็นเจ้าของแม้แต่ผ้าคาดพุง

ขอให้เราได้ช่วยกันถอดถอนความลำเศึญเข็ญของชาวมิชิลา ถวายความสวัสดีแก่บรมราชสววรยาชิบัตย์
ของพระอธิราชแห่งเรา เพื่อทรงปกครองให้ความร่มเย็นแก่ชาววิเทหรัฐสิ้นกาลนาน เชิญเถิดท่านอาจารย์
เชิญไปเตรียมตนดำเนินกาวเป็นสื่อสารน์ากลศึกเข้าสู่ใจกลางแห่งกองท้พบัญจาละโดยเรีวเชิด”

kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
๔๗. อุบายขั้นที่ ๑

หลังจากที่ตกลงกันระหว่างท่านอนุเกวัฎกับท่านมหาบัณฑิตสองสามวัน ณ กองบัญชาการทัพ
กรุงมิถิลา ก็ปรากฏตัวท่านอนุเกวัฏพร้อมด้วยเครื่องพันธนาการ มีทหารของมิถิลาควบคุมแข็งแรง เพื่อ
แจ้งคดีแก'ผู้สำเร็จราชการ ท่านมหาบัณฑิตออกมานั่งยังที่ว่าการ พังรายงานคดีของผู้ที่รับอนุเกวัฎ
ตามข้อคดีเป็นกรณีร้ายแรง ฐานเอาใจออกห่างจากพระเจ้ากรุงวิเทหราช เพื่อภักดีต่อไท้ต่างด้าว
ท้าวต่างแดน เป็นการกบฏต่อหน้าราชศัตรู เรื่องราวพิสดารมีตังนื้
ในวันหนึ่ง ขณะที,ทหารแห่งมิถิลาอันประจำอยู่ตามป้อมและกำแพงเพื่อป้องกันอริราชที่จะ
มายํ่ายีกำลังพักผ่อนเพื่อกินอาหาร คงมีแต่เวรยามรักษาการณ์ตามหน้าที่ ท่านอนุเกวัฏได้ถึอโอกาสขณะ
ที่เวรยามเผลอปรากฏตัวขื้นที่ชายกำแพงน้อย ต่อหน้าทวยหาญแห่งป้ญจาละ หยิบขนมบ้าง ปลาบ้าง เนื้อ

บ้างโยนไปให้แก่ทวยหาญของป้ญจาละ พร้อมกับตะโกนถ้องร้องประกาศแก่ชาวกองทัพฝ่ายศัตรูว่า
“พ่อคุณทั้งหลายเอ๋ย จงเคื้ยวเถิด จงกินเถิดซึ่งขนมและมัจฉมังสาหารเหล่านื้ ท่านทั้งหลาย

อย่าเดือดร้อนรำคาญเลย จงพยายามตรึงไว้อีกสัก ๒-๓ วันเถิด พวกชาวเมืองกำลังกระวนกระวายใจเหมือน


ฝูงไก่ที่ถูกขังอยู่ในกรง ไม่ซัาดอกจะต้องเปิดประตูเมืองให้แก,ท่าน ทีนั้นพวกท่านจักจับได้ ซึ่งวิเทหราช

และเจ้าลูกบ้านนอกตัวร้าย”
พวกโยธากรุงมิถิลา ได้พังถ้อยคำของท่านอนุเกวัฎ ทั้งได้เห็นกิริยาที่ยื่นโยนสิ,งของให้แก่พวก

ศัตรู ก็โกรธเป็นกำลังกรูเกรียวกันเข้าแวดล้อม ด่าทอตวาดขู่และจับกุมตัวมายังกองบัญชาการทันที


ท่านมหาบัณฑิตผู้ทรงอำนาจสูงสุดแห่งมิถิลา ได้ทราบเรื่องราวอยู่แล้ว เพื่อให้อุบายแนบเนียน
สมจริง จึงแสร้งตวาดถาม “เพราะเหตุผลกลใด อนุเกวัฎจึงทำเช่นนั้น”

“เหตุผลหรือ” พูดด้วยสำเนียงกระด้าง “เหตุผล! จะด้องมีเหตุผลด้วยหรือในการกระทำของ


เรา ความพอใจสิท่าน ความพอใจเป็นเหตุผลอันมีพอเพียงแก่การกระทำของเรา”
“ทำไมจึงพอใจเช่นนั้น” ซักต่อไป “ความพอใจของตน หากขัดกันกับความพอใจของหมู่คณะ
ก็ไม่ควรจะพอใจ ท่านก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่มีวัยอันเจริญแล้ว ควรจะทราบข้อนื้มิใช่หรือ”

“มนุษย์ต้องมี เรากล่าวว่าต้องมี” พูดตอบเสียงห้าว “ต้องมีอิสระในความพอใจ และต้องมี


อิสระในการกระทำตามความพอใจ ก็เมื่อความพอใจของส่วนรวมขัดกันกับความพอใจของเรา เราก็ต้อง

เห็นความพอใจของเราเป็นใหญ่ จะไปคำนึงทำไมถืงความพอใจของคนเป็นอันมาก ปล่อยให้คนเป็นอัน


มากฉุดลากตนไปทั้ง *] ที่ตนไม่พอใจ มนุษย์ผู้อ่อนแอ มนุษย์ผู้เหลวไหลเท่านั้นที่จะพึงมีสภาพเหมือน

kalyanamitra.org
๓0า

วัวควาย อันมนุษย์จูงจมูกไปได้ตามความปรารถนา มนุษย์ผู้เข้มแข็ง มนุษย์ผู้มีอานุภาพในตน ใครเล่า


จะยอมให้ถูกจูงไปดามความปรารถนาเขานั่นสิ-เขาคนเดียวควรจะเป็นผู้จูงผู้อึ๋นไปในความพอใจของเขา

ท่านเอ๋ย เราเห็นโลกมานานกว่า เราเป็นผู้เห็นความเป็นไปในโลกมากกว่า ย่อมสามารถที่จะหยั่งคิดถึงสภาพ

ด่าง,]นั้นด้วยความรู้ของตนความพอใจของเราเรี่ยวแรงพอแล้วไมด้องอาศัยความพอใจของใคร"

“อหังการนัก” สำหับหนักแน่น
“ถูกละท่าน เราย่อมมีอหังการ คนเราไม่ควรมีอหังการแล้วหรือ ความเป็นตัวของคนเป็นของ
ที่ไม่ควรมีละหรือ เกิดมาทำไมกัน มนุษย์ที่ไม่มีอหังการ เกิดมาทำไมกัน มนุษย์ที่ไม่รู้จักเป็นตัวเอง ความ

เกิดมาเป็นมนุษย์ไร้อหังการ ไร้ความเป็นตนเองฺ ไม่มีอะไรที่จะจัญไรยิ่งไปกว่านั้นแล้วในโลก ทุดความ

เป็นเสนียดนี่ จงไปจากจิตใจของข้า ถุย-ให้ช้าได้ห่างพ้นไปเถิด ไปให้ไกลเถิด ไปให้ไกลเถิดไปห่างแม้

ด้วยความตายก็จะยอม ยอมด้วยอหังการ ยอมด้วยความเป็นตัวเอง” พูดด้วยอาการดุเดีอด

“ดีแล้ว ท่านผู้เป็นอหังการ ท่านผู้เป็นตนเอง” ทำทีประชด “พึงทราบว่าความเป็นตนเองพึง


มีได้แม้ด้วยปราศจากอหังการ ความเป็นตัวเองอันมีอหังการเป็นความเย่อหยิ่งจองหอง แล้วก็เลยเป็นความ

แข็งกระด้างถีอแด่ใจตน ทำอะไรตามอำนาจของจิตตามอำเภอใจและอำเภอใจที่มีอหังการ เป็นลันดาน

อัน,ยั่วข้านัก ท่านจักได้รับความพอใจ ท่านจักทราบผลแห่งการกระทำความพอใจ เราเคารพในความพอใจ

ของท่าน แด่ก่อนที่ท่านจะได้รับผลแห่งความพอใจนั้น เราขอบอกกับท่านว่า ท่านก็มีปรีชามีใช่นัอย ตาม

ล้อยคำที่พูด คงจะไม่คิดลบล้างความพอใจของส่วนรวม เห็นความพอใจของส่วนรวมเป็นสิงที่ท่านจะ

พึงดูหมิ่น ไม่เป็นของสำคัญอันใดที่ตนจะพึงเคารพด้วยใจอันแท้จริง”

พูดพลางสั่งเจ้าหน้าที่ที่ชับท่านอนุเกวัฏคว่าลงเฆี่ยนจนหลังแตกเป็นรี่วรอย แล้วมีบัญชาสั่ง

“สูทั้งหลายจงกวะท้าตามความพอใจของเขา จงไล่ไปยังที่ที่เขาปรารถนาจะไป มิติลาไม่ด้องการมีคนเช่นนี่

ไวั คนเช่นนี่ควรมีในที่อึ่นนอกจากมิติลาของพวกเรา ”

ด้วยบัญชาอันเด็ดขาด บุรุษแห่งมิถิลาคร่าตัวท่านอนุเกวัฎมาทันที นำตัวเข้าสู่พิธีบัพพาชน้ย-


ก รรมโกนหัวเป็นห้าแกละ โวยผงอิฐเต็มบนกบาล เอาพวงดอกกรณวิร (ยี่โถ) ห้อยหู เป็นพิธีกรรมใน

การข้บไล่พาไปยังกำแพงพระนคร แสดงการกระทำให้ปรากฏแก,กองทัพบัญจาละ เอาตัวใส่สาแหรก

โรยลงไปนอกเมืองด้วยเชือก พร้อมกับตะเพิดว่า “ไปเถิด ไอัโจรทำลายความคิด”


ทวยหาญแห่งบัญจาละ เมื่อเห็นท่านอนุเกวัฎผู้เพียบพร้อมด้วยเครื่องด้นเครื่องทรงแห่งบัพ-
พาชนียกรรมกระเยัอกระแหย่งลุกจากสาแหรก ก็พากันเข้าห้อมล้อมลามโน่นถามนี่จอแจไป

ท่านอนุเกวัฎไม่ตอบค้าถามนั้น แสดงอาการกะปลกกะเปลั้ย พูดด้วยเสียงกระเส่า “องค์พระ-


อธิราชจุลน็อัครราชแห่งชมพูทวีปประทับที่ไหน อนุเคราะห็เถิดพาเราไป พาเราไปเฝืาพระองค์โดยเร็ว

เถิด กรรมของเราจักแจ่มแจ้งเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ การกระทำของเรา ปรากฎแก่ท่านแล้ว ทั้ง


การกระทำของทหารแห่งมิติลาก็ปรากฏแก่ท่านแล้ว กาวใดที่เราทำลงไป ผลของการนั้นก็สนองเรา พวก

ท่านจะตองถามไปไย พึงทราบเถิดว่า ไมตรีต่อพวกท่านของเรานั่นสิส่งเรามาจากมีถิลา อย่าข้าเลย พา

kalyanamitra.org
๓0า®

เราไปเฝืาพระอธิราชของท่านเถิต”
พวกทหารแห่งปญจาละได้พังก็รีบพาท่านอนุเกวัฎไป ณ กองบัญชาการทัพ พระอธิราชกำลัง
ประทับอย่เหนือราชบัลลังก็แวดลัอมด้วยพระราชาร้อยเอ็ดและอำบาตย์บุขบนดรี เฝ็าแหนพร้อบเพรียง

โดยขนัด
ทอดพระเนดรเห็นทหารพาท่านอนุเกวัฏ เข้ามาเฝ็าเฉพาะพระพักตร์ด้วยลักษณะแห่งบุคคล
ผู้ด้องบัพพาชนืยกรรมโดยฉงนพระหฤทัย จึงมีพระราชกระแสไต'ถามเรื่องราว ครั้นทรงสดับจากพวก

ทหารแลัว ก็มีพระราชดำรัสถามท่านอนุเกวัฎว่า “เจ้าเป็นใคร ข้อไร?”


“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอำมาตย์ผู้'หนึ่งในกรุงมิถิลา

มีนามว่าอนุเกวัฎพระพุทธเจ้าข้า” กราบบังคมทูลด้วยความอ่อนน้อม
“เจ้าได้ทำผิดคิดรัายประการใดเล่า จึงถูกบัพพาชนืยกรรมดังนึ่?” ตรัสซัก

“ขอเดชะ ความผิดของข้าพระพุทธเจ้านั้น เป็นเรื่องแตกรัาวกันระหว่างมโหสลพระพุทธเจ้า


ข้า” กราบทูลเลียงสะอื้นด้วยอารมณ์แต้น

“เราได้ยินข่าวเล่าลือเป็นหนักหนาว่า มโหสถเป็นคนฉลาดสามารถเป็นผู้อาจบงการบ้านเมือง
ได้ราบรื่นทั้งภายนอกภายใน ชัดกาวปกครองบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ทวยราษฎร์เป็นชันดี เป็นทีนิยมนับถือ
ของชาวเมีองมิถิลาไม่ว่าชันสูงชันดํ่า แม้ในบรรดาอำมาตย์ของมิถิลา ก็ได้ยินว่ายกย่องเชิดชูกันเป็นยิ่งนัก

ไฉนท่านจึงกล่าวรัายแก่เขาเล่า ?” ตรัสไล่เลียง
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ในมนุษย์ชันรวมกันเป็นบ้านเมืองนั้น ใด้ฝ่าละออง
ธุลีพระบาทคงจะได้ทราบอยู่แล้วว่า ผู้ใดมีพวกมาก ผู้นั้นย่อมเป็นคนมีอำนาจมาก และความมีอำนาจย่อม
ปิดเสียได้แม้ซี่งความไม่ดีไม่งามของผู้เรืองอำนาจ โปรดทรงวิจารณ์เถิด มโหสถมีพรรคพวกมาก ช่วย
กันส่งเสริมสนับสนุนใหัเกียรติคุณบรรลือไปทั่วทุกหนทุกแห่ง พวกเขาช่วยกันประกาศคุณงามความดี
ของมโหสถอย่างนั้นอย่างนํ๋ ส่วนใดที่เป็นความไม่ดี ส่วนนั้นจะแพร่งพรายออกไปมีได้เลย เพราะได้ถูก
กดทับเลียแน่นหนา เหมือนแผ่นศิลาที่ทับอยู่บนหย่อมหญ้าที่ไหน หญ้าจะสามารถข้าแรกแผ่นศิลาขื้น
มาปรากฎใหัคนเห็นได้ข้อนึ่ฉันใด ความไม่ดีไม่งามของมโหสถก็เปรียบได้ฉันนั้นมิหนำข้าแรกแหวกขื้น

ได้ จากล้อยสดุดีดันปรากฎแน่นหนาเพราะอาศัยปากของพรรคพวกนั้นได้ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรด

ทรงทราบเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
“อีกประการหนึ่งเล่าพระพุทธเจ้าข้า มโหสถเป็นผู้ทรงอำนาจ อำนาจของเขาแผ่ไพศาล ครอบงำ

ชาวมิถีลา ครอบงำชาววิเทหรัฐ เป็นอำนาจชันกล้าแข็งสำแดงเดชกระเดื่อง ประชาชนไหนอาจจะมอง

จ้องเขม้นเห็นจุดหม่นหมองของเขาได้ ความแผดกล้าแห่งตบะเดชา ได้ฉายปะทะท้ศนวิสัยมิให็ใครบังอาจ

เพ่งเลีงเห็นข้อเลียหายของเขา ขืนเพ่งมองจ้องดูไปก็จะเป็นภัยแก่ตนเอง จึงไม่มีผู้ใดมองเห็นความไม่ดี


ไม่งาม เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ชันสถิต ณ มัธยภาคแห่งนภดล ส่องแสงแผดกล้าลหัสรังสีดันกำจาย
ออกมานั้น เป็นมหันตรายแก่ทัศนวิสัยของชาวโลก ใครมิอาจเห็นจุดหม่นหมองของดวงอาทิตย์ในยามนั้น

kalyanamitra.org
๓๓๒

ได้เลย ชินเพ่งเล็งก็เป็นอันตรายแก่จักษุของตน ด้งนั้นดวงสริยมณฑลก็เหมือนไรัมลทิน โปรดทวงทราบ

ด้งที่ข้าพระพุทธเจัากราบทูลฉะนึ่เถิด ”

“ยังอีกประการหนึ่งเล่า บุคคลผู้อยู่ภายนอกไม่อาจเป็นแท้ที่จะทราบชงถึงความใน บุคคลเหล่า

นั้นไม่มีโอกาสทีเดียว ที่จะใกล้ชิดความเป็นไปอันแท้จริง แม้ด้วยความฉลาดอันยอดเยี่ยมของตน จะได้

รู้ใด้เห็นก็แด่เพียงประพฤติเหตุที่แพร่งพรายออกมาภายนอก หรือที่ได้เลือกคัดแล้วว่าเป็นไปเพื่อทวีความ
ดีความเด่นให็แก่ตน จะมีใครเล่าที่จะสามารถชำแรกปรีชาของตนหยั่งเข้าไปใท้ทะลุปรุโปร่งในประพฤติ

เหตุนั้น *1 ต่อเมื่อเป็นบุคคลภายในนั่นแหละ จึงทราบความเป็นไปภายในไต้ถูกตองแท้จริง ใต้ฝ่าละออง

ธุกี๚ระบาททรงพระปรีชาญาณอันเยี่ยม เป็นยอดแล้วในชมพูทวีป ย่อมทรงทราบแก่พระราชหฤท้ยว่า

ความใน คนในเท่านั้นรั เมื่อเป็นเช่นนึ่ บุคคลภายนอกคนไรเล่าที่จะทราบความจริงในภายในของราชสำนัก

มีถิลา ใครเล่าจะมีทิพยจักษุมองทะลุลอดสอดเห็นพฤติการณ์ ในอดีตและป้จจุบันของราชสำนักแห่ง

วีเทหราช เปรียบเหมือนผลไม้อันมีผิวอร่ามงามสดสี เพียงมองด้วยม้งสจักษุ จะเห็นทะลุถึงภายในว่ามี

หนอนบ่อนอยู่ได้ไฉน”

ด้วยคำอันหนักแน่นแวดล้อมด้วยเหตุผลและอุปมาอุปไมยแทรกข็มเซิบชาบเข้าสู่พระหฤทัย

ของพระอธิราช ท้าวเธอทรงเห็นด้วยกับคำกราบบังคมทูลของท่านอนุเกวัฎ หมดพระอาการเคลือบแคลง


มีพระกระแสรับสั่งว่า “ถ้อยคำของท่านมีเหตุผลและข้อเปรียบเทียบควรฬง แต่ความเป็นไปวะหว่างท่าน

กับมโหสถเส่า เป็นอย่างไรท่านยังมิได้เล่าให้เราฬง ทำไมมโหสถจึงข้บไล่ไสส่งท่านเสีย เราสังเกตดูท่าน

ก็เป็นคนฉลาดควรจะปฎิน์ติราชกิจสำคัญ ๆ ได้”

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าๆ โปรดทรงสด้บเถิดพระพุทธเจ้าช้า” กราบทูลด้วย


ความนอบนัอม “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระปรีชากว้างขวางเสมอด้วยอากาศอันแผ่ไปทั่วอนันต-

จักรวาล ย่อมทรงตระหนักได้เป็นอันดีว่า ความฉลาดของบุคคลนั้น ถ้าเปรียบก็เหมือนแผ่นผ้าอันบริสุทธํ่


ละอาด ซึ่งไม่ควรจะเป็นลีอื่นนอกจากสีขาว อันผู้เป็นเจ้าของจะชุบย้อมให้เป็นสีใด *1 ก็ได้ตามชอบใจ

และใจที่จะชอบสีนั้นก็ไม่มีอะไรในโลกที่จะมาบังคับบัญชา ย่อมเป็นอิสระแก่ตนในความชอบทุก ๆ ใจ

ทั้งสีทุกสีในโลกเล่า ก็ไม่มีอะไรบังคับได้ว่าด้องกลืนกันได้ ไม่มีด้ดกันฉันใด ความฉลาดก็ฉันนั้น บุคคล


ย่อมมีอิสระในการที่จะชุบย้อมด้วยความคิดความเห็นตามความพอใจได้ และเมื่อได้ชุบย้อมอย่างใดแล้ว

ก็จะปรากฎด้วยกระทำและคำพูดตามนั้น ซึ่งจะเห็นเป็นสิงอันหนึ่งอันเดียวกันกับคนอื่น *1 หาได้ไม่ ตอง


ต่างกันไปตามอัธยาศัยซึ่งต่างอยู่แล้ว โดยธรรมดาความคิดเห็นที่ต่างกันนั้น ทำให้ไม่กินกัน ความฉลาด

ที่ไม่กินกันก็เหมือนผ้าที่สีไม่กลมกลืนจะเข้าชุดกันไม่ได้ ความฉลาดของข้าพระพุทธเจ้าเป็นความฉลาด

ที่ชุบย้อมแล้ว ด้วยความคิดเห็นอันผิดสีกับของมโหสถไม่กินกันกับความคิดเห็นซึ่งซับย้อมความฉลาดของ

เขา ข้าพระพุทธเจ้าจึงเข้าชุดกับเขาไม่ได้ การที่เข้าชุดกันไม่ได้เป็นมูลเหตุต่อ *1 มา ถึงกับข้าพระพุทธ-

เจ้เต้องษุาเผ้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยลักษณะของดนด้องบัพพาชนียกรรม”
“ก่อนอื่น ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบบังคมทูลย้อนไปอึงความเดิมที่มโหสถจะรุ่งเรีองด้วยอำนาจ

kalyanamitra.org
ธไถ๓

ราชศักดึ้ให้ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงทราบโดยแน่ชัด พฤติการณ์ในความรุ่งเรืองอำนาจของมโหสถ
นั้น เป็นเรื่องของความกักขฬะที่ครอบงำความฉลาดปราดเปรื่อง บันไดที่มโหลลใซักัาวขื้นสู่ความเรือง

อำนาจนั้น คือศีรษะของผู้เรืองอำนาจก่อนตน มโหลถกดผู้ดื่นไวัภายอุ้งเท้าและฝ่าเท้ายันกดอยู่บนเศียร


ผู้ดื่นนั้น มีกงจักรรัอนคมกล้าหนุนอยู่ด้วย ผู้ที่ถูกกดด้นคนใดวาบเรียบไม่มีกระด้างกระเดื่อง ก็รอดตน
คงอยู่ในยัควฐานชันแล้วแด่มโหลถจะกำหนดให้ ถ้าผู้ใดคิดเผยอจะยกเศียรขื้นให้ท้นอุ้งเท้า การยกเผยอ

ของผู้นั้นจะด้องกระทบกับคมแห่งจักรชันหนุนอยู่ และจักด้องประสบหายนะอย่างไม่มีบัญหา แม้พระเจ้า


วิเทหราชเองก็ทวงยำเกรงมโหลถอย่างยิ่ง ตำแหน่งชันสูงส่งในราชสำนักตกมาแก่มโหลถ มีใช่ด้วยความ

พอพระราชหฤท้ย หากถูกมโหลถบังคับ มโหลถยึดพระนคร คุมสมัครพรรคพวกเข้ามาเฝืา บังคับให้ทรง


ลงพระราชอาญาท่านจ้ตุสดมภ์ทั้ง ๔ ปลดเสียจากตำแหน่ง พระเจ้าวิเทหราชตกอยู่ในฐานะจำพระหฤทัย
ต้องทรงปฎิบ้ติตนตาม แต่งตั้งมโหลถขื้นเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน มีอำนาจสิทธิขาดในการจัดการบัาน

เมือง บัดนมโหลถมีฐานะเท่าเทียมกับผู้กินเมืองมิถิลา ถ้ามองเผิน *1 ก็จะเห็นมโหลถอยู่เหนือประชาชน


วิเทหรัฐ เหนือมโหลถคือพระเจัาวิเทหราช เหนือพระเจัาวิเทหราชคือนพปฎลเศวตฉัตร แด่ถ้ามองให้
เห็นประจักษ์ในภายใน มโหลถจะต้องอยู่ในระหว่างพระเจัาวิเทหวาชกับนพปฎลเศวตฉัตร พระองค์เป็น
ประหนึ่งหุ่นที่มโหสถเชิดเท่านั้น ความรุ่งเรืองด้วยอำนาจของมโหลถเป็นเช่นนั้”
“ในบวรดาข้าราชบริพารที่ตำรงซีพในฐานะราชเสวกด้วยเล่ห็ลิ้น ด้องอยู่ด้องกินด้วยบำเหน็จ
ที่พระราชทานจึงต้องทน หรือมีฉะนั้นก็เข้าผสมผสานกันกับมโหลถ พึ่งบุญบารมีฝากด้วฝากตนเป็นพรรค
พวก เพึ่อความสะดวกวาบรื่นแก่การตำรงซ็พของตน เพราะเป็นพวกที่มีแด่ซีวิต ขาดความคิดในการที่

จะเลิ้ยงซีวิตด้วยลำพังตน แม้จะมีความฉลาด แด่ความฉลาดก็ชุบย้อมด้วยความเห็นชันจางง่ายคลายเร็ว


ความฉลาดที่ชุบย้อมด้วยความคืดเห็นยันจางง่ายคลายเร็ว ก็เปรียบเหมือนผ้าที่ย้อมด้วยสีอ่อน ถึงจะไม่

สำรอกสีเดิมก็ย้อมท้บใหม่ได้ทุกสี ขอแด่ให้มีสีมาย้อมก็แล้วกัน เป็นไปเสมอไม่ข้ดข้องเลย พวกนั้น

ก็พากันได้รับความสุขไป พวกที่ไม่ยอมให้ย้อมได้ง่าย *1 ด่างก็ถูกรังแครังคัด บ้างก็ถูกลอดยศลดตำแหน่ง


บ้างก็ถูกยื้อแย่งยศศักดํ่อัครฐาน ได้รับความเดือดรัอนรำคาญทั่วไป ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนหนืงซ็งมีความ

ฉลาดยันชุบย้อมทับไม่ได้ จึงเกิดไม่กินกับมโหสถ ยันพวกข้าพระพุทธเชัาเรียกว่าลูกบ้านนอก เพราะชาติภูมิ


ของเขาเป็นเช่นนั้น ทังได้รับการ'บำรุง!ลิ้ยงใกล้ชิดกับคอกโคกระบือ ได้สดับตรับพังแด่เรื่องการไถการ
หว่านในไร่นาจึงเรียกกันอย่างเต็มที่ว่า “ลูกบ้านนอกคอกนา” มโหสถข้ดเคืองเป็นอย่างยิ่งในการที่ถูกดูหมิ่น
ด้งนั้น ทั้งจะคิดเกลิ้ยกล่อมอย่างไร■พวกข้าพระพุทธเจัาก็ไม่ยอมเป็นพรรคพวก จึงหาโอกาสคัดรอนเสีย

ข็งก็เป็นไปตามความต้องการของเขา พวกข้าพระพุทธเจัาถูกปล้นตำแหน่ง ถูกแย่งยัควฐาน


พวกข้าพระพุทธเจ้าจะต้องออกมาทำมาหากินตามประสายาก จนกระทั่งมิถิลาได้ข่าวศึกของ
ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทด่างก็ขวัญเสีย เมืองมิถิลากระหึ่มครีมครางไปด้วยเสียงยันแสดงความหวาดหวัน

พรันพรึง ดื่นตระหนกตกใจ ทุกคนกลัว ทุกคนประหม่า ในพระบรมเดชานุภาพของใต้ฝ่าละอองธุลีพระ-

บาท เสียงโจษจันกันระเบ็งเซ็งแช่พูดกันแด่ความย่อยยับล่มจม สนทนากันแด่ความเก่งกล้าสามารถของ

kalyanamitra.org
๓๓๔

กองทัพแห่งบ้ญจาละ อันได้ชัยชนะมาแล้วตลอดผืนแผ่นดินชมพูทวีป ชาวมิถิลากล่าวขวัญถึงใต้ฝ่าละออง

ธุลีพระบาทผู้เป็นจอมทัพ กล่าวขวัญถึงพระอนุชาธิราชซึงเป็นผู้บัญชาการสูงสุด และกล่าวขวัญถึงท่าน


เกวัฎที่ปรึกษาเอกแห่งกองทัพ คำกล่าวนั้น ยุ เต็มไปด้วยความยินยอมนอบน้อมในพระบรมเดชานุภาพ

อันเหนือพระบรมเดชานุภาพแห่งข้ตดิยาธิบดีทุกสมัยทุกยุด ข้าพระพุทธเจ้าตระหนักในเหตุ จึงได้สะกด


กั้นความในใจทุก ยุ อย่างเสีย บากหน้าเช้าไปหามโหสถ ณ กองบัญชาการของเขา เมื่อพบเห็นหน้า ข้า
พระพุทธเจ้าสังเกตกิริยาอาการผยองศักดํ่ยิ่งนัก ทั้งมีท่าทีเหยียบหยามข้าพระพุทธเจ้าอย่างที่สุด แต่ข้า

พระพุทธเจ้าต้องกลํ้ากลืนเสีย ด้วยมาคิดเห็นว่า “ความเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูนั้นไม่สำคัญในยามเช่นนึ่

ความอยู่รอดปลอดภัยของบ้านเมืองสำคัญกว่า” ข้าพระพุทธเจ้าได้ถามถึงความตกลงใจของเขาในเหตุการณ์
ลงครามนึ่ ก็ได้ทราบว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะด้านทานอยู่แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้พิงถ้อยคำของเขาแล้ว

ก็เล็งเห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า ถึงมโหสถจะเป็นที่นิยมยกย่องว่าเป็นบัณฑิตแต่เขาขาดคุณธรรมของ

ผู้ดี คือไม่รู้จักประมาณคาดการ ตามแด'ใจตน มิได้อนุวัตแก่เหตุผลอันถูกต้องสมควร จึงได้ถามต่อไปว่า


“ท่านแน่ใจหรือว่ากำลังของมิถิลาเพียงพอที่จะต้านทานกำลังทัพอันมหึมาของพระเจ้ากรุงบัญจาละได้”

“นั่นเป็นบัญหาซึงเหตุการณ์จ่ะตอบเอง เราไม่ต้องตอบท่านก็ได้” มโหสถพูดกับช้าพระพุทธ-

เจ้าคล้ายกับเลียไม่ได้
“เหตุการณ์จะตอบได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่ตระหนักในเหตุผล” ข้าพระพุทธเจ้าแย้ง

“ท่านเคยได้ยินบ้างไหมว่า คนน้อยชนะคนมากได้ก็มี มิใช่ว่าคนมากจักชนะคนน้อยได้เสมอไป


และที่ยิ่งกว่านึ่ ก็ยังมีคำในพระคัมภีร์กล่าวอีกว่า “ฝูใดคาดการแลวักระทำกิจ ทราบกำลงกาย กำล'งคราม

คดใมดมแจ่มแจ้ง และเปีมคมรอบคอบดวัยการปรกบาดรยทลํกการ ผู้มั้มย่อมขมะอย่างใทบูลย์” ข้อนิ้ก็เป็น

หลักอีกประการหนึ่ง เป็นเนติอันเป็นหลักใหญ่ในวิถีของบ้านเมือง มโหสถยกดดิชี่งเป็นข้อสนับสนุนความ

คิดเห็นของตนขื้นมาอัาง
“ที่กล่าวนั้น ย่อมไม่เป็นเครื่องลบล้างความพินาศย่อยยับของมิถิลาได้เลย” ข้าพระพุทธเจ้า

ห้วง “ท่านเป็นคนที1พามิถิลาไปสู่ความปนแหลก ท่านเป็นผู้ทำลายเลียแล้วซึงราชบัลลังก์ของวิเทหรัฐ

ถ้าจะยังดื้อถือดันต่อด้านกองทัพบ้ญจาละ”

“นั่นเป็นหน้าที่ของช้าพเจ้าที่จะต้องรับผิดชอบ ท่านไม่ต้องมากัาวก่ายในกิจอันมิใช่กงการของ

ท่าน”
“ข้าพเจ้าก็เป็นชาวมิถิลาผู้หนึ่ง ทำไมจะเกี่ยวข้องไม่ได้ บัานเกิดเมืองนอนของตนทุกคนต้อง

รัก ทุกคนต้องเกี่ยวข้องในเหตุการณ์อันเป็นภัยแก่บัานเกิดเมืองนอน และทุกคนต้องกังวลวิตกเท่า ยุ กัน

หากมิถิลาพินาศ ข้าพเจ้าก็ต้องมีส่วนในความพินาศนั้น ท่านจะมาห้ามข้าพเจ้ามิให้ข้องเกี่ยวได้อย่างไร

ท่านควรจะคิดอ่านผ่อนปรนแก่เหตุการณ์ อย่าให้พวกเราได้พบเห็นความพินาศย่อยยับจะต็กว่า”
“นั่น!เอการยอมตนลงเป็นทาสด้วยความสมัครใจ จะเป็นไปไม่ได้มิถิลาภายในกำมือของเรา

จะยอมเป็นุชาสใครไม่ได้ ท่านได้ยินไหม” มโหสถส่งเสียงดัง

kalyanamitra.org
๓๓๕

“เป็นทาสโดยไม่ถูกบังคับ กับเป็นทาสโดยถูกบังคับผลย่อมต่างกัน”

“ตายด้วยความเป็นไท ดีกว่าอยู่ไปด้วยความเป็นทาส” มโหสถกล่าวอย่างกำแหง

“เป็นทาสรอดอยู่ได้ เป็นไทต้องมอดมวย ทางไหนจะดีกว่า ท่านจะไม่มีความคิดเลยหรือ เรา


ยอมมีซีพอยู่ด้วยความเป็นทาส เพื่อเราจักได้ตายด้วยความเป็นไท”

“ป่วยการคิด” ข้าพระพุทธเจ้าถูกมโหสถตัดบทพร้อมกับสำทับว่า “เป็นไทอยู่แล้ว ยังป้องกัน


ไว้ไม่ได้ ตกเป็นทาสจะมีโอกาสที่ไหนเล่า”

“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นความดึงดันของมโหสถด้งนั้น ก็สุดสิ้นป็ญญาที่จะโต้แย้ง ความไม่กินกัน

ด้วยความคิดเห็นซึ่งเป็นสีย้อมความฉลาดเกิดร้นวาระหนึ่ง ท่าให้ข้าพระพุทธเจ้ากับมโหสถแยกกันคนละ

ทาง อย่างฝังมหาสมุทรอันไกลกัน และเราต่างหันหลังให้กัน ต่างคนต่างเดินมุ่งหน้าไปดามความคิดเห็น


ของตน จนกระทั่งกองทัพมหึมาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเข้าล้อมพระนครมิถิลาไว้มั่นคง ประหนึ่ง

ได้ทรงมหึทธานุภาพนิรมิตกำแพงเหล็กอันไพศาลกั้นไว้ทั้งลี,ทิศ ทั้งการดำเนินความคิดในกลศึกถูกต้อง

ทุกประการ หากจะทรงล้อมในคราวนั้น เหมือนทรงปฏิบัติในคราวนึ่แล้ว มิถิลาก็จะตกอยู่ในเงอมพระหัตถ์

เลียแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
พระอธิราชทรงหันพระพักตร์ไปทางเกวัฏทันที และเกวัฏก็ตอบสนองกระแสพระเนตรเป็น

หน้งจะกราบบังคมทูลว่า “ช้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วทีเดียว”
“บัดนึ่เล่าพระพุทธเจ้าข้า ชาวมีถีลากำลังระสำระสายป่นปวนกัน ความถูกจำกัดให้อยู่ในวงแคบ

ท่าให้เกิดความดั้นรนเดือดร้อนกันทั่วไป ข้าพระพุทธเจ้าสุดจะทน จึงได้แจ้งแก่พวกโยธาหาญบัญจาละ

ให้เป็นที่ทราบกันไว้ว่า เหตุการณ์ในมิถิลากำลังยุ่งยาก ให้ตรึงไว้สักสองสามวันก็ได้ตัวศัตรูเป็นแน่นอน


ทั้งนึ่เพราะช้าพระพุทธเจ้าคิดดัดใจแล้วว่า ตายเลียก่อนที่จะได้เห็นความแหลกลาญแห่งมิถิลาประเสริฐ

กว่า หากว่าจะรอดพันได้ก็จะเป็นอันใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะมิทรงลืม อย่างน้อยก็คงชุบเลยงเยี่ยงผู้

สวามิภักดั้ทั้งหลาย ก็พอจะมีความสบายไปได้ตลอดซีพ แต่ก็หารอดพ้นไม่ พวกทหารของมโหสถมาพบ

เข้าพอดี ทุบตีข้าพระพุทธเจ้าแล้วเกาะกุมคุมตัวไปให้มโหสถลงโทษตามระบิลเมือง มโหสถร้เรื่องก็ขัดใจ

เป็นอย่างยี่ง ถึงกับจะบัญชาให้ประหารช็วิตข้าพระพุทธเจ้าเลียทันที ข้าพระพุทธเจ้าได้ตะโกนร้นว่า “ผู้

มีอำนาจควรจะใช้อำนาจให้ยุติธรรม ” เป็นเหตุให้เกิดโต้วาทะกันอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดมโหสถจำนนต่อ

เหตุผลของช้าพระพุทธ เจ้าซึ่งพูดว่า

“ท่านเป็นผู้ทรงอำนาจสิทธิขาดในมิถิลา เมื่อเห็นช้าพเจ้าปฏิบัติตามความพอใจตนอันขัดกับ

ความพอใจของท่าน ท่านก็ให้ฆ่าเสียจะยากอะไร มีอำนาจอยู่ในมือจะท่าอะไรก็ท่าได้ ซ็วิตข้าพเจ้าคนเดียว

ไม่เป็นของสำคัญ แต่ท่านจงพิจารณาดูให้ถ้วนถี คนเราควรมีอิสระในความพอใจ และควรกระท่าได้ดาม


ความพอใจนั้น ทำไมจักต้องเอาตามความพอใจของผู้อึ๋นอันเบนความมิพอใจของอีกฝ่ายหนึ่ง มาเป็นเครื่อง

ตัดสินลงโทษทัณฑ์ ท่านผู้เรืองอำนาจ นั่นเป็นความองอาจสมภูมิฐานแล้วหรือ? นั่นเป็นความถูกตอง

สมบูรณ์แล้วหรือ? ทำไมท่านหวาดเกรงอะไรหรือ? ท่านมีความพรั่นพรึงอย่างไรหรือ? จึงมิได้ยก

kalyanamitra.org
๓๓๖

เอาความพอใจของช้าพเข้าขื้นเป็นข้อวินิจฉัยลงโทษท้ณฑ์ ความพอใจของข้าพเข้ามีประการใด ท่านควร

จะเห็นแก่ข้าพเข้าป้าง และให้ช่องแก่ความพอใจแก่ข้าพเข้าป้าง จึงจะถูกจะชอบมิใซ่หรึอ ? หรึอท่านจะ


ถึอแค่ข้านาจบาทใหญ่ให้ประหารข้าพเข้า นั่นข้าพเข้าขอประกาศไข้ ณ ที่นึ่ว่า เป้นความขลาดอย่างสิ้นดี

ของท่าน เป็นกาวกระท่าอันห่างแล้วจากความยุดีธรวม เข็ญเชิด เข็ญท่านท่าตามอำนาจของท่านในเมื่อ


ท่านพอใจจะท่า จะได้เป็นที่ข้อันว่า •ความพอใจที่ไรัอำนาจเป็นความพอใจของร่างที่มีข็วิตเหมือนไม่มี
ความพอใจที่มีอำนาจนั้น เป็นความพอใจของคนมีข็วิคแท้ และอาจด้ดข็วิตของคนอื่นด้วยชิได้ล้าเขาพอใจ

จะท่า”
“การที่คิดประหารข็วิตของข้าพระพุทธเข้าเป็นอันตองระงับไป เพราะมโหลถไม่อาจเผชิญ
หห้าค่อเหคุผลที่ถูกด้องสมควรได้ นั่นชิสถานหนึ่ง หรึออาจเป็นด้วยอัธยาศัยชอบประชดของมโหสถอีก
สถานหนึ่งด้วย เป็นสองสถานเข้าประกอบอัน ท่าให้ข้าพระพุทธเข้ารอดอยู่เขากล่าวว่า

“ท่านจะได้รับความพอใจ ท่านจะได้ปฎิบ้ติตามความพอใจ แค่ก่อนที่จะได้วับความพอใจ ท่าน


ชิควรจะเดารพความพอใจของส่วนรวม อย่าพึงคิดเสียว่าความพอใจของส่วนรวมเป็นสิ'งไม่สำคัญอะไร
ท่านจะดูหมิ่นเมื่อไรก็ไดืในเมื่อท่านเคารพในความพอใจของตน อย่าพึงเวันเคารพในความพอใจของส่วน

รวม จงให้ความพอใจของส่วนรวมได้โอกาสกระท่าดามความพอใจบ้าง”
แล้วภิสั่งให้เฆี่ยนข้าพระพุทธเข้าหลังแตกเป็นรั้วรอยแล้วให้ขับเสียจากบ้านเมือง ข้าพระพุทธเข้า
ได้รับทุกขเวทนาที่ปรากฎแก่ร่างกายไม่ช้านานก็หาย ส่วนความเจ็บใจนึ่สิพระพุทธเข้าข้าเห็นหนักนัก มโหสถ

มีอำนาจจะกดขีข่มเหงอย่างไรชิท่าได้ ได้อำนาจราชศักดื่ดื้อด้นมุทะลุไม่รู้จักประมาณตน ข้าพระพุทธเจัา

จักขอพิฆาตมโหสถเสียให้จงได้
“บัดนึ่ช้าพระพุทธเข้า ได้เช้ามาแล้วสู่พระบวรรังสีแห่งพระมหากรุณาธิคุณ จากแดนอันเดือดรัอน
มาได้รับกระแสชลอันเย็นฉํ,าในสระอโนดาดมาชะโลมกาย สายชลพระมหากรุณาได้แผ่ซ่านกระเซ็นชะโลม
ใจ ข้าพระพุทธเข้า ผู้ได้มาพบเห็นดวงพระเนตรอันฉัาด้วยนํ้าพระกรุณา วิญญาณอันเร่ารัอนวะรุ่มด้วย
เพลิงโศกระคนแด้น เพราะถูกขับไล่จากแดนด้วยอำนาจพาลค่อยเลื่อมสร่างสว่างไสวจากความเศรัา ดง
แต่ความคุมแด้นอันยากนักที่จะคลี่คลาย แม้ได้ดื่มกระแสเลือดในอกมโหสถได้เมื่อใด นั่นแหละดือโอสถ

อันทรงสรรพคุณขลังพอที่จะระงับด้บแคันนั้นเสียได้ แม้นทรงพระเมตตากรุณาชุบเลี่ยงข้าพระพุทธเชัา
ผู้สวามิกักดื่จงรักต่อใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยใจสัตย์ เพียงเป็นประหนึ่งเครื่องลาดรอยพระยุคลบาท

ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาอันสูงสุดแก่ข้าพระพุทธเจ้าแล้ว ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงพระเมตตาแก่
ข้าพระพุทธเข้า ผู้'ฝ่ามาแล้วแต่แดนอันเดือดรัอนด้วยร่างกายและเลือดเนึ่อ เพื่อสวามีกักดื่แค่ฝ่าละออง
ธุลีพระบาท ณ บ้ดนึ่เถิด”
พระอธิราชจุลนิทรงสดับเรื่องราวที่ท่านอนุเกวัฎกราบบังคมทูล และอ้อนวอนด้วยลัอยคำอัน
อ่อนนัอมยอมมอบกายถวายซีวิต ทรงพระพินิจโดยถี่ล้วน ทรงเห็นปราศจากเลศนัยมิได้เห็นอุบายอันใด
ก็ทรงพระเมตตา พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ตามสมควร และทรงชุบเลี่ยงไว้ในตำแหน่งอำมาตย์
ผู้หนึ่งของพระองค์

kalyanamitra.org
๔๘. อุบายขั้นที่ ๒

ท่านอนุเกวัฎได้เข้าร่วมอยู่แด้วในกองทัพกรุงปัญจาละ กิเป็นยันได้ปฏิป็ลิภารกิจตามที่ได้ร่บ

มอบหมายมาสำเร่จไปขน * แล่การกิจที่จะได้ร่บมอบหมายมานั้นชังไม่หมดลามทีตกลงชัน ท่านจะด้อง


ปฏิป้ลิล่อไปอีก แล่เมือได้เข้ามาอยู่ราชสำนักของพระอธิราชแลัว นับว่าได้ชัาวขนมาสู่บันไดขั้นแรก มิ

หนำข้ายังได้พรรคพวก "ผู้เป็นประโยชน์แห่งมิชิลา” ซีงมีร่านวนนับร่อยในกองทัพของพระอธิราชจุลนิ


ท่านพวกเหล่านั้น กับท่านอนุเกวัฎได้พบปะนัดหมายเข้าใจกันตลอดเรื่องแลัว จึงเป็นกำลังกลุ่มใหญ่
ที'จะคอยส่งเสริมท่านอนุเกวัฎทุก จุ กรณี
ความสำบากของท่านอนุเกวัฎในกาวปฏิป็ลิกิจขั้นนึ่กิดีอ การยึดพระหฤทัยของพระอธิราชเข้า
ไร่ไท้ได้ ทั้งไท้กิจการนั้นเป็นไปโดยปวาคจากการริษยาของบรรดาราชเสวกามาตย์ขั้นประมุขอื่น จุ อีกด้วย
แล่ท่านกิได้ปฏิป้ลิสำเร่จไปด้วยอาการกิริยายันอ่อนนัอมยอบกาย ประหนึ่งจะเหขียดกายของตนลงไป
ณ พระแท่นรองพระยุคลบาท ทุก จุ ครั้งที่เข้าเฝืา เป็นไปด้วยอาการละเมียดละไม มิได้เป็นท่าทางที่

ใคร จุ พึงเรียกว่า '๚วาง" หริอ "ขัดไขไว" ชันจะก่อใท้เกิดความกวะทัอนล่อจุดริษยาของคนอื่น จุ และ

ด้วยด้อยค้ายันอ่อนคด้อยตามพระราชยัธยาคัย เล็มไปด้วยด้อยค้าเชิดชุพระเกิยวดิ ทั้งเล็มไปด้วยความ


เสนาะสนิททุกครั้งที่กราบบังคมทูล ในไม่ข้า พระอธิราชจุลนิกิทรงยอมที่จะใท้ท่านอนุเกวัฎได้โอกาส

ที่จะเข้าไปในพระราชหฤทัยของพระองค้ เช่นเดียวกับค้ามาลย์คนสำคัญอื่น จุ ซ็งเปันราชวัลลภมาแล่เดิม


ในโอกาสเดียวกันท่านอนุเกวัฎกิผูกใจเกวัฎบรมราชาจารย์ไวัอยู่ ทั้งนึ่เพราะท่านเกวัฎเปันผู้
ทรงคุณๅฒิเยี่ยมในศิลปศาสตร์ ไม่มีผู้ใดในปัญจาละเทียมทัน จึงหมดโอกาสที่จะสนทนาพาทีกับใคร จุ
ในกวะบวนบุคคลของปัญจาละได้ลึงอกลึงใจ ครั้นท่านอนุเกวัฎได้มากวายสวามิกักดํ่กับพระอธิราชของตน

ได้สด้บตร่บฬงด้อยค้ากราบบังคมทูลเห็นแววแห่งเชาวน์ปรีชาชันจะเป็นคู่สนทนาพาทีได้ ก็มีความพึงใจ

เมือท่านอนุเกวัฎได้นำตนเข้าไปหา ด้วยกาวปวารณาตนล่อเกวัฏ แสดงความเคารพนับลึอด้วยอากัปกิริยา


ชันอ่อนน้อมแทัจริง ลึงกับว่า “หากท่านผู้เป็นมธุวธาธิบดีแห่งปัญจาละ มิได้คิดว่าเป็นกาวผยํ่าเผยอของ

ข้าพเด้าแลัว จงทวงร่าไว้ว่า ข้าพเด้าดีอยันเตวาสิกของท่านเชิด” ด้งนั้น ความพึงใจซ็งมีเป็นทุนเดิมอยู่


แด้ว กิกลายเป็นความพอใจเกวัฏพอใจที,จะสนทนาพาทีกับท่านอนุเกวัฏในปัญหาแห่งศาสตร์ล่าง จุ ท่าน
อนุเกวัฎมีความร่พอด้วที่จะสนองความประสงค้ของราชบัณฑิตแห่งปัญจาละได้ ความค้นเคยสนิทสนม
กิเกิดข็นล่อมา

kalyanamitra.org
ตต๘

บรรดาเสวกามาตย์ของพระอธิราชขั้นประมุข ยังมีผู้อื่นอีก เช่น สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าชาย


ดิขิณมนตรีผู้อาจองทวงศักดิ๋ พระองค์ทรงมีอัธยาศัยอ้นได้รับสนับสนุนให้ลำพองด้วยผลแห่งกิจการใหญ่ *1

อ้นได้ทรงกวะท้าสำเร็จแด้ว โดยพระปรีชาสามารถของพระองค์ อาทิการประหารทรราชแห่งราชบัลลังก็


ปัญจาละ การจ้ดพลากรอันมหึมา พระองค์จึงปรากฎด้วยความสูงขั้นแห่งพระศิโรมางค์ แม้องค์พระอธิราช

ก็ทรงร่าคาญพระราชหฤทัยอยู่เสมอ แต่ท่านอนุเกวัฏก็สามารถจะสมัครสมานกับพระองค์ได้ด้วยการ
ยกยอให้สมพระอัธยาศัย แสดงให้ทรงเห็นความสำเร็จอันควรภาคภูมิใจยิ่งทุกกรณีย์ที'ทรงบำเพ็ญ เสึยงยอ
นั้นแม้จะเป็นที่ทราบกันอยู่ว่า คือสัญญาแห่งมหาภัย ความน่าหวาดเสยวของเสียงยอ ก็เยิ่ยงเดียวกันกับ
เสียงคำรามแห่งพยัคฆ์ แต่ความเอียงรับของจิตใจมนุษย์ คงโนัมนัอมไปทางเสียงยออยู่นั่นเอง ทั้งนึ่เป็น
เพราะเสียงยอแม้จะเป็นสัญญาณแห่งมหาภัย แต่ก็เด็มไปด้วยโอชาอันด้องอัธยาศัย จึงยังคงเป็นที่นิยม
ของผู้นั้ามหาภัยและผู้ที่ได้รับภัยทุกยุคทุกสมัย ท่านอนุเกวัฎได้พยายามผูกใจบรรดาเสวกามาตย์จำพวก
ที,ทะนงให้ความยิ่งใหญ่ ลำพองในอัครฐาน ปานว่าร่างกายของตนนั้นได้สรัางสรรค์จากธาตุอื่นจากที่
สรัางมนุษย์ทัวไป หรือหากจะสรัางด้วยธาตุชนิดเดียวกัน ที่ลรัางพวกนั้นก็เป็นชนิดพิเศษมิใช่ชนิดสามัญ
ด้วยอาศัยการยกยอปอใ]น ในที่สุดก็กลมเกลียวกันสมัครสมานกัน
ด้วยวิธิการด้งกล่าวมา ท่านอนุเกวัฏเป็นบุคคลสำคัญขั้นในกองบัญชาการทัพของพระอธิราชจุลนื
การประชุม ณ กองบัญชาการทัพกรุงบัญจาละก็เพิ่มอาสนะขั้นเพึ่อท่าน ทุก รุ คราวที่ประชุมกันขาดมิได้
หากคราวใดท่านล่าข้าไปจะมีผู้ไต่ถามถึงแม้องค์อธิราชก็จะทรงบ่นหา ประหนึ่งอ้าขาดท่านเสียแอ้วการ
ประชุมนั้นก็ยากทีจะดำเนินไบ่ได้ หากจะดำเนินไปได้ ก็เป็นอย่างกลํ้ากลืนไม่มีความสดชี่นรื่นเริงใน

รสแห่งการประชุม
การปฎิบํติภารกิจตามอุบายขั้นที่ ๒ นึ่ แม้ท่านอนุเกวัฎจะได้ท้าให้เกิดความไว้วางใจ ในบรรดา
อำมาตย์ชันประมุขของบัญจาละได้แอ้ว นั่นยังมิใช่ข้อมุ่งหมายอันเป็นสาระแทัจริงแห่งแผนอุบาย สาระ
ที่แทัจริงนั้นอยู่ที่ได้รับตำแหน่งบังคับบัญชาทหาร อ้นเป็นบันไดนำกองทัพบัญจาละไปสู่หายนะ ท่าน
อนุเกวัฎพยายามที่จะกลบเกลอนเงื่อนจำ ท้าให้ทุก รุ คนหมดความระแวงสงสัยในตนแอ้ว ก็ย่อมไม่
เป็นการยากที่จะหาตำแหน่งบังคับบัญชาในกองทัพบัญจาละของพระอธิราชจุลนื
ในที่ประชุมกองบัญชาการทัพคราวหนึ่ง พระอธิราชประทับเป็นประธานพรัอมด้วยแม่ทัพ

นายกองขั้นผู้ใหญ่รวมทั้งท่านอนุเกวัฎ ประชุมพิจารณาเหตุการณ์ต่าง รุ ในกองทัพ อ้นเป็นเรื่องด้อง


มีอยู่เสมอ รุ แอ้วบัญหาที'เกิดถกเถียงกันในทีประชุมนั้นก็เวียนมาถึงระยะกาลที่มิชิลาจะยอมจำนน จาก

รายงานเหตุการณ์ของกองทัพต่าง รุ ปรากฏผลว่า
“การให้นักรบอยู่เฉย รุ โดยมิได้ปฏิบัติการรบ ในเมื่อการรบนั้นก็ได้เปิดฉากขั้นแอ้ว เป็น
ผลเสียหายหลายสถาน นอกจากจะเปลืองเสบียงแอ้ว ยังท้าให้เกิดความมั่วสุมชุมนุมกัน เพื่อประกอบกิจ
อ้นผิดต่อระเบียบการปกครอง อาทิการเล่นการพนัน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการประพฤติผิดวินัย เป็นการ

ยากแก่การปกครอง ทำให้กำลังใจของนักรบหย่อนความเข้มแข็ง เกิดความท้อแท้ได้ง่าย รุ เพราะความ

kalyanamitra.org
ธาธา๙

สบายในยามพักรบนั้น มีรสชวนให้เพลิดเพลินเป็นสาเหตุให้จิตใจดื่มอยู่ในสุขเกินไป ครั้นถึงคราวจะห้อง


ปฏิบัติการ ก็ทำให้อ่อนแอลงยากที่จะได้ชัยชนะ เหตุนั้นควรจะห้องปลุกให้ทหารได้สำนึกในหน้าที่อยู่เสมอ
ด้วยการเข้าโจมดีข้าศึกบ้างเป็นครั้งคราว แทนที่จะห้อมไว้เฉย ตุ”
บัญหานึ่เป็นเหมือนลิ่มแทรกลงในระหว่างความคิดเห็นของแม่ทัพชันผู้ใหญ่แห่งบัญจาละ
ทำให้เกิดเป็นฝักฝ่ายกันขน ฝ่ายหนึ่งเห็นรวมตนข้อเสนอกันตลอด อีกฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยในผลเสียหาย
แต่ไม่เห็นด้วยในการเปิดการโจมดี ประเด็นสำคัญที่ยึดถือเป็นกรณีถกเถียงกัน อยู่ที่การโจมดีและมีผล

แก่ความเสียหายนั้นได้หรึอไม่ และจะมีหวังชนะได้หรือไม่
พวกที่เป็นฝ่ายผู้เสนอ เห็นด้วยในการโจมดีก็ให้เหตุผลสนับสนุนความเห็นของตน สรุปลง
แต้วก็ดีอว่า “การที่ให้ทหารอยู่เฉย ตุ ทำให้ทหารหย่อนในทางวินัยไม่ปลงใจในหน้าที่ได้เด็ดเดี่ยว ควรให้
ได้ออกรบเสียบ้าง จะแกัความหย่อนในทางวินัยและป้องกันความเรื้อในทางฟิมึอ ทั้งเป็นการป้องกัน
การมั่วสุมประชุมกัน อันผู้ปกครองบ้งคับบัญชาไม่ปรารถนานั้นได้อีกด้วย”
ทางฝ่ายด้านก็ให้เหตุผลว่า “ในเมื่อปรากฏการณ์มีอยู่ว่า อย่างไรเสียมิชิลาก็ด้องยอมแพวันอังห้า

จะนำเอาทหารไปพล่าเสียทำไม การรบกันห้องเสียหายบ้างไม่มากก็นัอย ซีวิตมิใช่ไม้ไผ่ด้นกลัวยจะได้


ด้ดรอนกันได้ง่าย ตุ แสนยากแสนเข็ญกว่าจะได้มีซีวิตวอดตนมาจนปานนึ่ จะให้เขาไปเผชิญหน้ากับความตาย
โดยผลที,เราจะได้รับอันจะมิด้องซือด้วยซีวิตเขาก็ได้ ส่วนความบกพร่องประการต่าง ตุ ที่เกิตขื้นนั้น ตุ
ใช่ว่าจะหมดหนทางบำบัดก็หามิได้ หากผู้บังคับบัญชาทุกคนไห้ใส'ใจที่จะอบรมบดฝนให้พวกเขาทุก ตุ
คนเห็นคุณเห็นโทษได้แท้จริงแห้ว ความเสึ่อมเสียต่าง ตุ ก็หมดไปได้”

ข้อโด้แอังระหว่างแม่ทัพนายกองชันผู้ใหญ่เห็นความเห็นอันขัดกัน ต่างฝ่ายก็ได้รับสนับสทุน
และมีเหตุผลพอ ตุ กัน พระอธิราชจุลนึประทับทรงสด้บด้วยพระหฤทัยลังเล ยากที่จะทรงพระวินิจฉัย
เด็ดขาดสถานใด หากทรงบริหารไปทางใดทางหนึ่งในสองทางนั้น ผลที่ทรงได้รับก็ลัวนแต่เป็นอารมณ์
ที่ไม่ทรงพระประสงส์ทั้งนั้น พระองด็ทรงนึกถึงท่านอนุเกวัฎขื้นมาทันที จึงมีพระราชดำรัสถามท่าน
อทุเกวัฎ “อนุเกวัฏมีความเห็นอย่างไวในเรื่องที่แม่ทัพของเราห้าลังโต้กันอยู่นึ่”
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ” กราบทูลไม่เวันที่จะแสดงกิริยานบนอบ “ใต้

ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระปรีชากว้างขวางย่อมทรงตระหนักในพระหฤทัยเป็นอย่างดีว่า ตามความ
คิดเห็นของท่านแม่ทัพนายกองผู้ใหญ่ที่ถกเถึยงกันมา ทั้งนึ่เกิดด้วยจิตใจอันมากลันด้วยความจงรัก มุ่งที่

จะถวายพระเกึยวดีแด่ให้ฝ่าละอองธุลีพระบาททั้งนั้น แต่เป็นธรรมดาของความเห็นจะได้ลงกันทุกประการ
ย่อมไม่ได้ เพราะต่างคนต่างปรีชาและต่างอารมณ์ รวมความว่าต่างจิตใจกัน กระนั้นจุดหมายของความ
เห็นก็รวมกัน กล่าวได้ว่าเป็นความผุดผ่องอันหนึ่งของให้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่ทรงสมบูรณ์ด้วยบูรพา-

ภินิหาร อันเป็นเหตุให้ทวงได้แม่ทัพนายกองผู้ใหญ่อันทรงคุณสมบัติเป็นแม่ทัพของพระอธิราชแห่ง

ชมพูทวิป”
“ที่ข้าพระพุทธเว้าวิจารณ์ความเห็นของท่านผู้ใหญ่คังที่กราบทูลนั้น ด้วยความคิดเห็นแห่ง

kalyanamitra.org
๓๔๐

ข้าพระพุทธเรัาเห็นด้วยเกลัาว่า ท่านพวกที่คิดเห็นความย่อหย่อนแห่งวินัย ก็คิดจะแกัไขโดยให้'ทหารได้


รบเสียบ้าง ป้องกันความเรื้อแห่งวินัยและความเรื้อแห่งฟิมือ ท่านพวกนึ่ต่างมีความเห็นว่าทหารของใด้
ฝ่าละอองธุลีพระบาทซึ่งเป็นบรมราชาธิราชแห่งสกลชมพูทวีป ด้องเป็นผู้ดำรงเกียรติ สมบูรณ์ด้วย

คุณสมบ้ตีอันควรแก่การสรรเสริญของชาวโลก เกียรติคุณอันควรแก่การสรรเสริญของเหล่านักรบนั้น
ที่จะปรากฏแก่ดาประชาชนได้ ก็ไม่มีอื่นนอกจากวินัย วินัยเท่านั้นเป็นมิ่งขวัญในดนของนักรบ คุณคึอวินัย

อันได้แก่แนวควบคุมกายวาจาให้เป็นระเบียบเรียบริ'อย เป็นข้อสำคัญแก่กลุ่มชนอันอยู่รวมกัน เป็นอายุ


แห่งการปกครอง การปกครองใดไม่มีวินัย การปกครองนั้นไม่มีอายุ หรือเคยมีมาแลัวมาเสื่อมทรามไป
ก็เป็นลางว่า การปกครองนั้นจะหมดอายุ โดยธรรมดาวินัยนักปราชญ์ท่านถือว่า เป็นเครื่องส่องความเป็น

พาลและเป็นบัณฑิต ผู้มีวินัยท่านว่าเป็นคนดีคนฉลาด ผู้ไม่มีวินัยท่านว่าเป็นคนพาลคนซัว ก็กัานักรบ


จะไม่มีวินัยประจำตนแล้วจะเป็นอื่นไปมิได้ นอกจากเป็นนักรบพาล ความเป็นพาลของนักรบย่อมจะ
ยิ่งกว่าสามัญชนมากมายนัก ความเสื่อมเสียของทหารในฐานะที่ย่อหย่อนวินัย เป็นความเสียอันมีผลดึง
จอมทัพด้วยเสมอ ด้งนั้น ที่ท่านแม่ทัพผู้ใหญ่พวกหนึ่งวิตกกังวลจึงเป็นการที่เกิดด้วยความจงรัก มุ่งที่
จะเชิดชูพระบรมราชอิสริยยศของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ด้วยแรงสวามิภักดํ่เป็นแท้'’
“ท่านแม่ทัพผู้ใหญ่อีกพวกหนึ่งซึ่งมีความคิดเห็นขัดแย้งนั้นเล่า ก็เห็นด้วยเกล้าๆ ว่ามีความ
จงรักที่จะถวายพระเกียรติให้ปรากฏท้านองเดียวกัน แต่เพ่งเล็งกันคนละด้านเท่านั้น ท่านพวกมีความ

เห็นแย้งนั้นเป็นฝ่ายป้องกันใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มิให้พลาดพลั้งในพระราชกรณีย์ อันจะเป็นเหคุ


ก่อความเดือดรัอนแก่บรรดานักรบภายใด้เบื้องบทชาลย้ เนึ่องด้วยการสงครามยึดมิชิลานั้นถึงจะไม่ด้อง
ใซักำลังเข้าหักหาญก็จะมีซัยเป็นแน่ ข้อนึ่เป็นเรื่องอนุโลมแก่ธรรมดา สภาวะของบุคคลที่ดำรงซีวิดอยู่
ไดํในโลกด้องมีภาวะประจำตน ๒ ประการคือ เข้าและออก แมัขาดเสียเพียงวาระใตวาระหนึ่ง จะคงมี
ซีวิตอยู่มิได้ เช่นลมหายใจก็มีวาระ ๒ คือเช้าและออก แมัขาดเสียทางใดทางหนึ่งซ็วิตก็ดึงอับจนเป็นแน่
บ้านเมืองเป็นสถานอันมนุษย์สริางขื้น จะหน็สภาวะของมนุษย์พ้นได้ที่ไหน แม้นขาดการเข้าออกเสียแล้ว
ก็จะดึงความพีบ้ติเป็นแม่นมั่น ก็เมิ่อเหคุการณ์ประรักษ์อยู่เช่นนั้น จะด้องนำซีวิดไพร่พลไปพล่าเสียทำไม
หากกระทำลงไปก็เป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติ เป็นเสมือนทรงพระคชาธารมงคลหัตถึพรัอมด้วยคชาภรณ์
และหมอควาญเสด็จเที่ยวทรงรับตกแตนมิสมกัน นึ่แหละพระพุทธเรัาข้า ท่านพวกที่ข้ดแย้งก็เพื่อป้องกัน

พระเกียรติมิให้เสื่อม
ตกลงว่าความคิดเห็นของท่านผู้ใหญ่ของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทั้งสองฝ่ายเป็นไปสมภูมิฐาน
เป็นความคิดอันสุขุมรอบคอบ ประกอบด้วยปรีชาอันคิดหยั่งในการอันละเอียดนัก ยากที่จะห้ามเสียแต่
ฝ่ายหนึ่งได้ เพราะการเชิดชูเล่าก็เป็นการเพื่มพูนเพื่อให้ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้มีพระเกียรติยิ่งใหญ่
ไพศาล การป้องกันเล่าก็เป็นการรักษาเพื่อให้พระเกียรติซึ่งทวงมีอยู่แล้วดำรงอยู่มิเสื่อม หากจะทรงสด้บ

ความคิดเห็นของข้าพระพุทธเรัาแล้ว ด้องขอรับพระราชทานพระบรมราชวโรกาสถวายบังคมทูลต่อไป
จะทรงพระกรุณาสถานใด สุดแต่พระปรีชาญาณอันลันกวะหม่อมเชิดพระพุทธเรัาข้า”

kalyanamitra.org
๓๔๑

“ท่านวิจารณ์ความคิดเห็นของบวรดาแม่ทัพผู้ใหญ่ของเราดีมาก” ดรัสชมเชย “แด่ความคิดเห็น


ของท่านในเรื่องนื้เป็นอย่างไรท่านมิได้แสดงออกมา จงแสดงความคิดเห็นของท่านออกมาบ้างเชิด”

“ขอเดชะ แม้นมิพระบวมราชประสงด้จะทรงสด้บข้าพระพุทธเด้าชิจะกราบบังคมทูล แม้น


บกพร่องประกาวใด ขอพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่พึ่ง โปรดพระราชทานออัยแก่ข้าพระพุทธเข้า ผู้'มี
สดีบ้ญญานัอยนื้เชิด” กราบทูลพระกรุณาพลางเริ่มแสดงความคิด “ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระ-
ปรีชาญาณอันอุดม ย่อมจะทวงหยั่งทราบเป็นอย่างดีถึงสภาพธรรมชาดีในโลกว่า บรรดาพฤกษชาติที่

จะข้านวยผลให็แก่มนุษย์นั้น ต่อถึงกาลสม้ยจึงจะเผลีด แด่พฤกษชาติบางเหล่า หากได้รี'บการท่านุป้ารุง


อย่างดีชิจะเผล็ดผลใทัเร็วกว่าปล่อยดามเรื่องวาว ความเป็นไปนื้เปรียบฉันใด สถานการณ์สงครามคราวนื้
ชิเปรียบได้ฉ้นนั้น หากปล่อยตามเรื่องราวชิจะด้องคอยข้าไปลักหน่อย หากเร่งรี'ดชิจะเร็วเข้า เพราะฉะนั้น
ระหว่างความรวดเร็วอับความยึดเยื้อ สุดแด่จะทรงพระด่าริเลีอก และหากจะเสียสละเลีอดเนื้อซีวิตบ้าง
เพื่อท่าความซีดเยื้อใทัเป็นความรวดเร็ว ผลจะอัมอันเพียงไรหรือไม่ประกาวใด สุดแด่จะทวงพระกรุณา

ด่าริเห็น”
“ขอเดชะ อีกประการหนึ่ง โภคผลบางประเภทจะสำเร็จประโยชน์ได้ต่อเมือ “(เก’’ เข่น ผลไม้
บางชนิดจะเป็นอาหารของมนุษย์ได้ชิด่อเมื่อสุก จึงเรียกผลประเภทนื้ว่า "วมาก’’ การที่ผล,จะถึงความสุก
ได้นั้น บางชนิดชิด้องปล่อยใทัเป็นไปตามสภาพ เมื่อถึงคราวถึงสมัยชิสุกได้เอง แมัอังไม่ถึงกาลสมัยชิ
ไม่สุก บางชนิดชิอาจจะท่าใทัสุกด้วยการบ่ม อันได้แก่ กาวใทัความข้อนขื้นแก่ผลที่บ่มนั้น ชิสถานการณ์
สงครามมิชิลาคราวนื้หากปล่อยไปชิจะสุกหอมงอมหล่น มีพ้กด้องยกขอสอย หากจะบ้งด้บใทัสุกชิได้
ด้วยก่อให็เกิดความข้อนขื้น ดีอด้วยกาวโจมดีรบกวนมิให็ข่าวมิชิลาผาสุกได้ การชิจะเป็นด้งใทัเกิดผลความ
ข้อนขื้นแก่ผลไมัที่ถูกบ่มฉะนั้น ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระราชประสงด้ในพระหฤทัยประการใด

ชิสุดแด่จะทวงพระกรุณาด่าริเชิดพระพุทธเข้าข้า”
“หากใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มีพระราชประสงด้จะได้มิชิลาโดยรวดเร็วปราศจากความขีดเยื้อ
ทรงมีพระมนัสมุ่งด้งนั้นแทัจริง แม้จะด้องทรงเสียสละเลีอดเนื้อซีวิตของไพร่พลบ้างชิจะทรงยอม ด้วย
ทวงด่าริรอบคอบแด้วเห็นเป็นเรื่องอัมอันอยู่ หรึอมีพระประสงด้ที่จะบีบบ้งด้บมิชิลาใทัยอมร์านนต่อ
ได้เบื้องพระยุคลบาท ด้วยพระบรมราชานุภาพอันเกรียงไกร ชิควรจะคิดโจมดีก่อกวนมิชิลามิใทัผาสุกได้
ชิร์าด้องปลงพระหฤทัยมีพระบวมวาชบ้ญชาสั่ง แม้นจะด้องเสียซีวิดไพร่พลบ้าง ชิเป็นเรื่องที่อัมอันอับ
การที่ทรงแผ่พระบวมเดชานุภาพ เหมือนการเชิบผลไม้มาบ่มก่อนมันจะสุกเอง ชิเพราะเล็งเห็นผลอัน
อัมแก่เหนึ่อยยากฉะนั้น ข้าพระพุทธเข้ากราบทูลตามความคิดเห็นด้วยสดีบ้ญญาอันน้อยจะทวงเห็นสมควร

ประกาวใด สุดแด่พระปรีชาญาณอันกข้างขวางเชิดพระพุทธเข้าข้า”
“ความคิดเห็นที่ท่านแถลงมานื้ เป็นอันว่าเราควรจะด้องโจมดีมิชิลาบ้าง” พระอธิราชทวงสรุป
“ท่านแน่ใจหรือว่าการรบ นักรบจะแอัไขความเสียหายที่กำดังมีอยู่ได้ และท่านแน่ใจหรือว่าเราจะสิ้นเสีย

ไม่มากนัก”

kalyanamitra.org
๓๔๒

“ขอเดชะ พระราชอาญามิพ้นเกลัาๆ” ท่านอนุเกวัฎบังคมทูลสนอง “ที่ข้าพระพุทธเข้ากราบ


บังคมทูลพระกรุณามาทั้งนื้ตามสคิบัญญาแท่งข้าพระพุทธเข้า ส่วนที่จะแกัใขความเสื่อมเลียได้หรีอไม่
เพียง’ใ-ร สคิบัญญาของข้าพระพุทธเข้านื้นัอยนัก มิอาจที่จะกราบทูลยึนยันเพราะจะคิดหยั่งไปด้งนั้น เห็น

จนด้วยเกลัาๆ หากกล่าวดามความคิดเห็นก็พอจะกราบบังคมทูลได้ว่า ความเลียหายด่าง *1 ที่เกิดขั้นนั้น ๆ


จะแก็ไขได้ด้วยการที่แกัตนเอง ทางอื่น รุ นั้นเป็นเพียงการส่งเสริมมิใช่เนื้อหาในเรื่องแกั ข้าเข้าด้วไม่
แข้ดนเอง เฟ้จะมิวิธีการเลิคลอยก็ไม่ได้ผล แด่ในเรื่องนื้ไม่น่าจะเป็นเรื่องล่าบาก เพราะมนุษย์เกิดมา
ธรรมดามิได้ลึมที่จะสริ'างความริ'มาให็ด้วย เป็นความ•ริอันคิดดามตนมาแด่กำเนิด ครั้นเคิบโดได้เห็นได้
ธนได้ทราบเหตุการณ์ด่าง รุ ความรินั้นก็ค่อยเติบโตขั้นโดยล่าดับ จนสามารถแก็ใข สามารถบังอับกิจการ
ด่าง 'รุ ได้ จึงเป็นธรรมดาอยู่ที่มนุษย์ต้องสามารถแกัตนบังอับตนไต้ ส่วนบัญหาที่ว่ามนุษย์จะใซัความ
สามารถนั้นหรึอไม่ เป็นเรื่องของแด่ละคน ใคร รุ ก็ปรารถนาจะเป็นคนสามารถ เมือมีความสามารถ

ไม่ใซัก็เท่ากับอัดรอนตนเอง
ส่วนความสิ้นเปลึองกำลังร้พลเพียงไรในการเข้าโจมดี ข้อนื้ข้าพระพุทธเข้าเห็นด้วยเกลัาฯ ว่า

ด้องแต้วแด่ขุนพลผู้น์าทัพอันมีความ•ริเซียวชาญ หยั่งทราบความเป็นไปทางฝ่ายข้าศึกได้แน่นอนว่า กำลัง


ของฝ่ายข้าศึกนั้นตอนไหนมั่นคงแข็งแรง ตอนไหนอ่อนแอไม่มั่นคง ทั้งปัอมและกำแพงช่องไหนมั่นคง

ช่องไหนไม่มั่นคง ตลอดถึงภูมิประเทศ อันจะเป็นเล่นทางในการเข้าโจมดี ทางไหนมีกัยโดยธรรมชาติ

ประทุษริาย เป็นด้นว่าในคูเมืองดอนไหนมีสํ'ตริรัาย เช่น จระเข้ชุกชุม ตอนไหนไม่มี หากมิความ•ริความ


ช่านาญแน่ถนัดดังที่กราบทูลนื้แต้ว ความสิ้นเปลึองกำลังร้พลก็ย่อมจะน้อยลงเป็นธรรมดา”
“ก็ใครเล่าจะเป็นผู้ริถนัดซัดแข้งด้งนั้น” ริบสั่งขั้นลอย รุ “ในบรรดาแม่ทัพนายกองของเรา

จะหาผู้ริช่านาญด้งนั้นได้ยาก”
เป็นโอกาสแก,ท่านอนุเกวัฎแลัวที่จะแสดงตนในการนั้น เพื่อกัาวย่างขั้นส,ขั้นแท่งอุบายตามที่

ได้รับมอบหมายมา จึงกราบทูลขั้นทันทึ “ขอเดชะ พระกรุณาธิคุณลันเกลัาๆ ตั้งแต่ข้าพระพุทธเข้าได้

เข้ามาในพระฉายาอันร่มเย็น ได้รับพระมหากรุณาธิคุณปกเกลัา มิความสุขความสำราญสร่างเดึอดรัอน


ข้าพระพุทธเข้าครุ่นค้านึงอยู่ทุกโอกาส ที่จะปฎิบ้คิงานฉลองพระมหากรุณาธิคุณเติมอัธยาด้ย แมัซีวิต
ตนก็จะขอพลีถวายไริใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และความเจ็บแค้นที่มโหสถได้กระท่าแก่ข้าพระพุทธเข้า

ก็ยังเป็นเสมือนหนามเหน็บเจ็บปลาบอยู่มิรัหาย เฟ้นมิได้ประหารซีพมโหสลด้วยมือตนแลัว หากมีพระ-


ราชประสงติจะใทัทหารเข้าโจมดีมิชิลา ก่อกวนใทัเกิดความระสำระสาย ก็จะขอถวายซีวิตอาสาใต้ฝ่า-
ละอองธุลีพระบาทนำทหารเข้าโจมดี เพราะข้าพระพุทธเข้าทราบเกลัาๆ ได้ชิงความเป็นไปของมิถิลา
ตลอดจนพื้นภูมิประเทศจะเป็นเหตุใทักำลังร้พล อันเป็นที่รักของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสมือนบิดารัก
บุตร ได้รับการสงวนทะนุถนอมเป็นอันดี กราบทูลมาทั้งนื้จะควรประการใด สุดแด่จะทวงพระกรุณาเชิด

พระพุทธเข้าข้า”
พระอธิราชจุลนิ ทรงสดับค้ากราบทูลของท่านอนุเกวิฏก็สบพระหฤทัยต้องพระประสงติเป็นที่ยิ่ง

kalyanamitra.org
๓๔๓

จึงมีพระท้ารัสแก่ท่าน “เราขอบใจที่ท่านรับอาสา เห็นว่าความปรารถนาของเรา จะพึงสำเร็จได้โคยรวดเร็ว


การที่ปล่อยให็กาวสงครามขีดเฃึอไป?!เป็นกาวเสืยหายแก่จิตใจของไพร่พล เป็นผลให้เกิดความท้อแท้ได้
เราจึงคิดจะท้าเนินกาวโจมดีมิชิลาอยู่ แม้นเป็นทีก็จะได้ด้วยท้าลังพล หรือไม่อย่างนั้นก็ยังเป็นการก่อกวน
ชาวมิชิลาให็ระสำระสาย ด้งที่ท่านกล่าว ส่วนในด้านวินัยก็ให้พวกแม่ทัพนายกองดลอดชิงผู้บังคับบัญชา
ใกลัชิด บดฝนอบรมซีแจงสั่งสอนกัน ก็เห็นจะเป็นทางกระด้นเดือนให้มีสำนึกได้ เมื่อมีสำนึกในคน
อยู่ปัาง ความสำนึกนั้นเป็นเครืองยับยั้งให้ท้าวงอยู่ในทางที่ดีได้”

พระราชท้ารัสของพระอธิราชจุลนึ เป็นชันทวงยอมรับความเห็นของบรรดาแม่ทัพขั้นผู้ใหญ่
ทั้งสองพวก แม้จะเป็นกาวเสึยทางหนึ่งได้ทางหนึ่ง ก็มิได้ทรงคำนึงพระประสงค์ของพระองค์แน่วแน่

เดืดเดี่ยว ไม่มีผู้ใดจะช้ดแย้ง ท่านแม่ทัพผู้ใหญ่ต่างก็คุษณึภาพเหมีอนยอมรับพระราชบริหารด้วยอาการ


สงบเสงี่ยม พระองค์เห็นเป็นโอกาส่ จึงทรงประกาศพระบวมราชโองการแต่งดั้งอนุเกวัฎเป็นผู้บังคับ
บัญชาพิเศษสกลปรินายก มีอำนาจเดืมที่ในการคุมพลเข้าโจมดีตามที่เห็นชอบ และให็บรรดาแม่ท้พนายกอง

ทุกคนจงปฏิบดิการส่งเสริมสนับสนุนให้ราชการเป็นไปโดยเรียบรัอย ท่านอนุเกวัฎจะด้องการไพร่พล
จากกองไหนจิานวนเท่าไว ให้ผู้มีอำนาจสั่งการชัดมอบให้อย่าให้ขัดช้องได้
ปวะกาศพระบวมราชโองกาว ณ ท่ามกลางประชุมแม่ทัพนายกองผู้ใหญ่ ทั้งนึ่ทั้งนั้น เป็นด้ง

พระอธิราชจุลนึ ได้ทวงประทับพระมหาราชลัญจกรลงเหนึอกองทัพใหญ่ทั้ง ๑๘ กอง แต่พระองค์มิได้


ทวงมีพระญาณหยังทวาบอนาคดของกองทัพชันมหึมาของพระองค์เลย ช้อนั้นแหละ เป็นเหดุให้ท่าน
อนุเกวัฎได้กัาวขั๊นสู่ขั้นที่ ๒ แห่งอุบาย ดามปรีชาชันยอดเยี่ยมของท่านมหาบัณฑิตแห่งมิชิลา

kalyanamitra.org
๔๙. อุบายขั้นที่ ๓

ท่านสกลปรินายกอนุเกวัฏ ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งในท้าแหน่งชันสูง มีท้านาจลิทธิ้


ขาดในการนำกองทหารเข้าโจมดี จึงมีท้าสั่งใทัทุก กุ หมวดกองขัคเตรียมการสกซัอมไว้โดยพรัอมเพรียง
เพื่อว่าข้าจะเปิดการโจมดีเมึ่อใด ด้านไหน โดยกองทัพใดก็ด้องปฎิบ้ดีการได้ทันที ไม่มีการซักข้าเสึยเวลา

บวรดานักรบของบัญจาละ ต่างคนก์ดระเตรียมกันชุลมุนวุ่นวาย สกข้อมกระบวนยุทธต่าง *1


ตามแบบฉบับ ในเวลาว่างเป็นยามพักผ่อน ก็ขับกลุ่มสนทนาปราศรัยหรีอมั่วสุมกันประกอบกรรมตาม

ท้าเภอใจ สุดแต่อัธยาศัยจะชอบ นายหมวดนายกองด้องปฎิบตงานกันอย่างคว้าเคร่ง เพราะไม่ทราบว่า


ท่านสกลปรินายกจะเรียกกองไหนเช้าท่าการโจมดีเมอใด
เมือได้ใทัเวลาในกาวเตรียมการแก่บรรดานักรบของบัญจาละพอแก่การแลัว ท่านสกลปรินายก

ก็ออกตรวจพลพรัอมด้วยเหล่าแม่ทัพนายกองจากกองบัญชาการกองทัพของพระอธิราช เป็นสูคอยแนะนำ
สูบังทับบัญชาดามลำดับชันให่ใด้พบปะริ'จักท่าน ชี่งเป็นสูบังคับบัญชาพิเศษ ต่อหนัาทหารปัญจาละ

ชันร่วมประชุมกัน ณ สนามชุมนุมพลทุก *1 แห่ง ท่านสกลปรินายกได้เป็นสง่า กล่าวข้อยท้าปลุกใจเร่งเว้า


ใทัทหารของบัญจาละเกิดความคึกคักคะนอง เพื่อปลงใจในหนัาที,ชันจะดัองเผชิญหนัาต่อความตาย ใจ
ความที,กล่าวนั้นหากจะนำมาก็จะเป็นท่านองคังนื้

“สูรโยธาแห่งบัญชาละทั้งหลาย
ข้าพเขัาได้มาปรากฏต่อหนัาท่านแด้ว ข้าพเขัานั้แหละจะเป็นสูนำปวงท่านเข้าสู่ย่านแห่งอาวุธ
เพื่อผ่านไปสู่จุดหมายคึอชัยชนะเหนึอมิถิลานคร ซีงข้าพเขัาแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะด้องอยู่ในท้ามือของ
พวกเรา แต่เราด้องรบ-รบเพื่อเร่งรัดบึบตั้นมิถิลา พวกเราสูรโยธาแห่งปัญจาละ เป็นสูแผ่พระบวมเดชา-
นุภาพแห่งพระอธิราชเขัาของเรา ถวายความเป็นอัครราชในชมพูทวึปแด,พระองท้ ชี่งทรงมีพระกฤษฎาภินิหาร
ประกอบด้วยพระบรมโพธิสมภารชันยอดยิ่ง พระองด้คึอมิ่งมงกุฎสวมเกลํำของชาวเรา พระองคึศึอ
เทริดสง่าแห่งสูรโยธาบัญจาละ เพียงแต่นามว่าสูรโยธาของพระอธิราชจุลนึเท่านั้ พวกเราก็ไม่มีเก็ยรดิ
อะไรที่ควรจะภาคภูมิใจยิ่งไปกว่าแข้ว เป็นนามรัตน์ชันสดใสในดวงใจของเราทุกคน เป็นการเพียงพอแข้ว
มิใข้หรีอที่พวกเราจะรบ รบเพื่อเชิดนามว่าสูรโยธาแห่งพระอธิราชจุลนึ และรบเพื่อความเป็นเอกแห่ง

แคว้นบัญจาละ
ท่านทั้งหลาย สูรโยธา ไม่มีสงสัยว่าเรารบ เราจะมิด้องตายหรึอ ? สูรโยธาไม่ท้านึงถึงเป็น
ถึงตาย หนัาที่-หนัาที่เท่านั้น ที่เขาท้านึงถึงตลอดเวลา ทำไมเล่าคนํเราเกิดมาแลัวไม่ตาย-ตายทุกคน จะ

kalyanamitra.org
๓๔๕'

ด้องวะแวงสงสัยอะไรกันอีก ตายเถิด-ยอมดายเชิด ตายเพื่อหน้าที่ เพื่อกิจการของสูรโยธา คนที่เกิด

มาเป็นอันมาก ตายไปโดยไ-โเหตุอันควรเชิดชู ตายเปล่า *1 ปราศจากประโยชน์ ดายให้โทษแก่คนอื้นผู้

ยังเป็น ก็การตายของพวกเรา คู่ควรแก่นามสูรโยธา เป็นการตายอันด้องเชิดชู เป็นการตายอันอำนวย


ประโยชน์ เป็นการตายที่ให้คุณแก่ผู้อยู่เบื้องหลัง กวะนึ่จะยังมิเป็นการควรดายอีกหรีอ? มีโอกาสใดบ้าง
ที่ความดายจะงดงามด้งการตายครั้งนื้ มีทางตายใดบ้างที่เราจะเลือกตายได้ดังนื้ มีอยู่ที่ไหนหรอ?

ท่านผู้กลัาหาญทั้งมวล พยัดฆชาติอันอำวงอำนาจในราวอรัญ แม้มันจะท้ากาลกิริยาวายปราณไป


ลายของมันก็ปรากฎเป็นที่หวาดหวั่นครั่นครัามแก่ฝูงคนที่ได้พบได้เห็น เพียงแต่เห็นลายเลีอรัายเท่านั้น
ไม่ชืงด้องเห็นตัว ก็จะหยั่งทราบได้ประจักษ์ว่าสัญชาติพยัคฆ์อาจองทรงสักดํ่ น่าหวาดหวั่นครั่นครัาม

ขามเกรงเพียงใด ลายพยัคฆ์ยังเป็นประโยชน์ยาวชืนแก่หมู่พยัคฆชาติสีบ *[ มา ชาวเราเป็นมนุษย์เกิด


มาแลัวจำด้องดาย จะไม่ไวัลวดลายแก่คนภายหลังบ้างละหรือ? จะไม่ไวัร่องรอยให้ลูกหลานบ้ญจาละได้
ชืดเป็นแบบฉบับอำเนินกาวตามละหรือ? ก็ผิดทึนัก! เป็นกาวอาจเอื้อมนักที่จะเรียกพวกเราว่า “สูรโยธา
แห่งป้ณูจาละ’, เป็นกาวอำแหงเกินไปน้กละ ที่จะนึกชิงว่า พวกเราเป็นสูรโยธาผู้น้อมนำสกลชมพูทวึป

มาถวายแต่พระอธิราช เพราะพวกเราไม่สมแมัเพียงภาวะที่เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย
เพราะฉะนั้น ท่านผู้กลัาหาญแห่งบ้ญจาละทั้งหลายจงคอย - คอยเวลาที่ข้าพเข้าสั่ง เมีอช้าพเข้า
สั่งท่านทั้งหลายจงพรัอมกันปฏิบัติ ปฏิบัติตามอำสั่งของช้าพเข้าโดยปราศจากความสอดแคลัวใด กุ ด้วย
อาวุธที่ท่านชิอ-ด้วยมึอที่สันทัดข้านาญ ด้วยความกลัาหาญที่มี ท่านจงบุกบั่น จงพ้น่ฝ่า จงมุ่งไปข้างหน้า

อย่าลอย! เพึ๋อนำข้■ยมาถวายแต่พระอธิราชเข้าแห่งเรา เพื่อแผ่พระบรมเดชานุภาพแห่งพระองอํผู้เปัน


มิ่งมงกุฎเหน้อเกลัาๆ แห่งเรา และเพื่อเอกานุภาพทั่วดินแดน”

จบด้อยอำของท่านสกลปรินายกลงคราวใด แสนแห่งปากเป็นอันมากของสูรโยธาบ้ญจาละ
ก็โห่รัองกัองกังวานขื้นด้วยสุดที่จะวะรับความดีนเด้นในตนได้ ความกึกกัองกังวานได้เป็นไปมากครั้ง จน
ได้ยินชิงที่ประทับของพระอธิราช พระองอํทวงสด้บเสียงอึงคะนึงของไพร่พลผิดสังเกต ก็มีพระอำรัสถาม
“เลียงไพร่พลโห่รัองอึงคะนึงประหนึ่งเสียงคลื่นในมหาสมุทร นั่นมีมูลมาแต่อะไร ท่านผู้ใดรับ้าง?”

“ขอเดชะ วันนึ่ท่านอนุเกวัฏออกตรวจพลเพื่อเตรียมการโจมดีมิชิลา” ท่านผู้มีประโยชน์แห่ง


มิชิลาผู้หนึ่งกราบทูลสนอง “ข้าพระพุทธเข้าเห็นด้วยเกลัาๆ ว่านักรบแห่งบ้ญจาละคงโห่รัองด้อนรับท่าน
เป็นแน่ หรือมิฉะนั้นก็คงจะเปล่งเลียงแสดงความพึงใจในท่าน ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งเป็นแน่พระพุทธเข้าข้า”

พระอธิวาชทวงสดับอำกราบบังคมทูล ซ็งแมัจะเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ก็มีพระหฤทัยเบิกบาน


พลอยยินดี ทรงตระหนักในความกักดีด้วยนํ้าใสใจจริงของท่านอนุเกวัฏยิ่งขื้น ทรงเห็นว่าการที่ท่านอนุเกวัฎ
ปฏิบิติการไปนั้น กระท้าด้วยความสุขุมรอบคอบสมเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ควรแก่การที่ยกย่องเชิดชู ที่พระองด้
ทรงมอบอำนาจให้ไม่เป็นการทรงกระทำที่ผิดเลย

ในดอนบ่ายวันนั้น พระองด้ได้ทวงสดับรายงานการปฏิป่ติของท่านสกลปรินายก ตลอดจน


ด้อยอำปลุกใจไพร่พลจากท่านแม่ทัพผู้ใหญ่คนหนึ่ง ยิ่งเพิ่มพูนพระปีติปราโมทย์เปียมลันในพระหฤทัย

kalyanamitra.org
อา๔๖

ตรัสปราศรัยกับท่านแม่ทัพผู้นั้นว่า “ท่านอาจารย์อนุเกวัฎ เป็นผู้มีความฉลาดสามารถผู้หนึ่ง ในกระบวน


ผู้มีความฉลาดสามารถทั้งหลายของบัญจาละ เป็นบุญของเรายิ่งที่ได้คนคนนึ่เข้ามาไว้ในกองทัพของเรา
ครั้งนึ่ความมีชัยเหนือมิถิลาเป็นของเราแน่ ราชอุทยานแห่ง!!ญจาละจะได้รับการดกแต่งอย่างมโหฬาร
เพื่อด้อนรับพิธีชัยบานอันเป็นศรีสง่า เศียรของวิเทหราชกับศีรษะของมโหสถจะเคียงคู่กัน เป็นมิ่งขวัญ
ฉลองชัยบานอันเราได้เริ่มแลัว แต่มาถูกท่าลายเสียด้วยบุรุษแห่งมิลิลา เวลาของเราใกลัเข้ามามากแลัว”

หากพระอธิราชจะทรงพระปรีชาเป็นทีฆทัสสีสักหน่อยก็จะทรงตระหนักว่า ในกองทัพของ
ป้ญจาละไม่ควรมีอนุเกวัฎเลยเพราะพระปรีชาญาณนั้นจะแวังการถวายแก่พระหฤทัย ประหนึ่งทรงพบ

พระองค์เองกำลังเป็นเสมือนฝูงกา อันถูกขว้างด้วยไมิค้อนก็อนดินบินหนีไปก็ปานกัน แต่พระอนาคด้งสญาณ


ด้งกล่าวนึ่พระอธิราชมิได้ทรงมีประจำพระองค์ ท่านอนุเกวัฎจึงได้กำอำนาจอันไพศาลไว้ได้เหนือแสนยากร

แห่งกรุงบัญจาละ
ท่านสกลปรินายกดำเนินงานขั้นด้นเป็นผลเรียบรัอย โดยตรวจพลด้วนทุกหมวดกอง ได้กล่าว
คำปลุกใจไพร่พลให้รื่นเริงบันเทิงในความตาย เห็นความตายเป็นของธรรมดาไม่น่าหวาดกลัว ไพร่พล
ทุกคนต่างปลงใจในหนัาที่ที่มีใจลำพองกำแหงห้าวสมคะเนทุกประการ หลังจากนั้นไม่ข้าท่านก็มีบัญชาสั่ง

กองทหารช่างกองหนึ่ง ให้ชัดการสรัางสะพานข้ามคูเมือง เพื่อให้กองข้างและกองรถปฏิบัติการได้เต็มมือ


ณ คูเมืองตำบลหนึ่ง ท้ายคำสั่งได้มีกำชับให้เริ่มปฏิน์ตีกิจให้'สำเร็จโดยเร็ว อย่าให้'ฝ่ายศัตรูได้ล่วงรัลึง

การกระท่านั้นได้เป็นอันขาด
กองทหารช่างแห,งบัญจาละ ได้รับคำสั่งก็ตระเตรียมการที่จะสรัางสะพานไว้อย่างครบครัน
พอถึงเวลาราตรีก็ควบคุมกันขนทัพสัมภาระอันเป็นอุปกรณ์ในการก่อสรัางมายังตำบลที,กำหนดในคำสั่ง
พอถึงก็เร่งลงมือปฏิบัตีงานโดยเร็วไม่รีรอชักซัา พวกที่บักเสาลงก็ลงนํ้าท่าการบักเสา พวกเดินรอดก็
สอดใส' พวกปูพื้นก็คอยเตรียม
แต่การปฏิบัติงานของกองทหารช่าง ไม่อาจสำเร็จลุล่วงไปได้ บรรดาไพร่พลที่ลงไปปฏิบัติ
ณ สถานที่นั้นด้องเสียซีวิตลัมตายมากต่อมากเพราะเป็นตำบลที่จระเข้ชุม และเป็นชนิดที่รัายทั้งนั้น ต่าง
เข้าคาดคั้นขบกัดพาเอาไปเป็นอาหารก็มาก ที่บาดเจ็บสาหัส เพราะถูกกัดก็มาก ที่ถึงอวัยวะพิกลพิการก็มี
สุดที่จะทนปฏิบัติงานสีบไปได้ ที่รัายยิ่งกว่านั้น ลูกศรอันคมกลัาใบปลิวโปรยมาจากกองทหารแห่งมิถิลา
หนาแน่นประหนึ่งห่าฝน ทั้งนึ่เพราะข่าวได้รั่วไหลเข้าไปถึงกองทหารมิถิลาได้ โดยที่มีอของ “ผู้เป็นประ-

โยชน์แห่งมิลิลา” ทหารแห'งป็ญจาละต่างคนก็หมดความกลัา ความกลัาที่หมดไปนั้นมิใช่จะท่าใหัเกิด


ความว่างขื้นในส่วนของมัน ที่มีอยู่ในห็บคีอหฤทัย ที่แทัมันถูกความกลัวอันรุนแรงกว่าผลักไสไล่ออก
ไปแลัวก็เข้าแทนที่ ความมืดแห่งราตรีกาล ความสวัดวังเวงในยามดึก เสียงลมพัดผ่านพุ่มไม้พังเสียงงึมง่า
คด้ายกับเสียงวิญญาณแห่งผู้ที'ตายไปในขณะนั้น โดยถูกลูกศรบัาง ถูกจระเข้กัดบัาง ได้เร่ร่ายรัองบ่น
พึมพำ พาใหัเกิดความรัสีกเสียวสยอง ต่างก็ขนลุกขนพองไม่เว้นตน ยิ่งกว่านั้นร่างที่บาดเจ็บสาหัส เพราะ
ถูกกัดถูกขบและถูกขิงก็นอนดิ้น กระเดึอกกระสนรัองครวญครางด้วยพิษปวดอันรวดรัาว เป็นสิ่งที่สุดแสน

kalyanamitra.org
๓๔๗

จะทนทังทนปฏิบ้ชิงานได้ต่อไป ตัวใครกิด้วมัน นายก็ลืมไพร่ไม่คิดเห็น ไพร่ก็ลึมนาย ความกลัวตายมี


อานุภาพขิงกว่า ต่างบ่ายหนัากลับยังหมวดกองของตน กลับมาแต่ตัวเท่านั้น ขวัญได้หนัใปไกลเกินกว่า
ที่จะกลับมาถึงชินพวัอมลับตน และทัพสัมภาระต่าง ๆ ที่ขนไปเพื่อการสวัางละพาน ลัามันจะมีเท้า มันกิ
วิ่งชิดคามผู้พามันไปแลัวทิ้งมันเสีย หริอกัามันมีปากมีเสียง มันกิคงตะโกนบอกไท้คอยมันก่อน มิฉะนั้น
ก็คงต่อขานในฐานะที่พามันมาแลัวไม่พามันไปด้วย แต่นี่มันเป็นเพึยงอุปกรณ์จึงด้องนอนกลิ้งเกะกะไป
ดามที่ถูกทิ้งไวัอย่างใดอย่างนั้น
พอรุ่งขั้น ก่อนที่จะได้วับรายงานทางกองทหารข่าง ท่านสกลปรินายกก็ออกอ้าสั่งใท้กองราบ
เข้าโจมดี ผ อ้าบลหนี่งอีก เพื่อท้กเข้าไปในเมีองด้วยกำลังหาญใท้จงได้
สังข์สัญญาณและกลองรบ อ้นสงบเงึยบเสียงมานานแลัวก็กังวานขั้นอีก เสียงสังข์ระวัวทะลุ
โสตประสาทจื้เข้าไปชิงใจ ทุกคนสั่นระริกลื่นเด้นด้ว่ยอ้านาจดวามหาญ เสียงกลองถึกกัองบอกบุกเข้าหา
ศัตรู นักรบแห่งบ้ญจาละผู้ถูกปลุกแลัว วิญญาณแห่งผู้กลัาหาญได้ดีนเต็มที่แลัว ด้วยอ้าปลุกใจของท่าน
สกลปรินายก ต่างอ้าแหงหาญทะยานเข้าหาศัตรู ณ เบืองหนัา ไม่ครั่นควัามไม่สะด้งสะเทือนหนุนเนื่องกัน

เข้าไป บ้างก็ได้วับสัญญาณใท้เข้าดีป้อม บ้างก็ได้วับสัญญาณใท้จู่โจมเข้าทะลายอ้าแพงเมือง


ทางฝ่ายมิชิลา บุรุษแห่งมิชิลา ผู้ได้วับอ้าสั่งจากบุรุษรัตน์ของตนต่างก็เตรียมตัวคอยวับรอง
กองทัพของบ้ญจาละอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ประหนี่งด้านบ้ญจาละเข้าโจมดีนั้นจะเป็นจุดอ่อนแอ ปราดจาก

การระมัดระวังอ้นแข้งข้น แต่พอกองทัพบ้ญจาละยกเข้ามาได้ระยะธนู ลูกธนูก็ปลิวออกไปดังห่าฝน ประ-


หารทหารแห่งบ้ญจาละผู้ยกเช้ามาอย่างย่อยยับ ที่เข้าใกลัป้อมได้ระยะหอกก็โดนหอก ที่ปึนปายขั้นมาถูก

กรวดทรายและกัอนหินตกลงไป
กองทัพบ้ญจาละพยายามด้วยอ้านาจดวามแค้นความบ้าเลึอดเดือดดาลไม่ยอมถอย หนุนเนื่อง
กันเช้าไป ที่ไหนดายก็ปล่อยใท้ดายไป ที'บาดเจิบก็ลัมลุกคลุกคลานไป ที่สามารถก็ดาประดังเข้าไป หวัง

จะท้กเมึอง หวังจะประหารทหารมิชิลาแกัแค้นแทนเพื่อนกัน แด่ก็สุดกำลังความสามารถ ความพินาศ


ย่อยยับเท่านั้นเป็นผลที,สูรโยธาบ้ญจาละประสบ ในที่สุดก็ด้องส่าถอย แบ้จะถูกบังคับอย่างไร เมื่อใจ
ไม่สมัครและกำลังใจไม่มีเหลือแลัวก็สุดที่จะบังคับตนเช้าลัหนัากับความดายได้

รายงานการปฏิบัติของกองทหารได้ผ่านมาถึงท่านสกลปรินายก บอกซึงความลัมเหลวด้วย
ประการทั้งปวง กองทหารช่างที่สั่งใทัทำสะพานข้ามคูก็ปฏิบัติการไม่ได้ผล กองราบที่เข้าโจมดีก็เสียหาย

มากมายด้องล่าลอย ท่านอนุเกวัฎก็แสวังแสดงกิริยาข้ดแค้นแก่ฝ่ายศัตรู พวัอมกันนั้นก็บ่นเป็นเชิงระแวง


แคลงใจว่า “ในกองทัพนื้เห็นจะมีจารบุรุษคอยบอกความเคลื่อนไหวต่าง จุ ไปยังข้าดึก”
ท่านอนุเกวัฏได้ไปเยี่ยมเหล่าทหารที่ประสบยุทธภัยโดยใกลัชิด ในโอกาสนั้นก็ได้ปลอบใจ
ด้วยวิธิการด่าง จุ อ้างพระบรมเดชานุภาพเป็นปทัสฐาน เข่นว่า “เราเสียเลือดเนื้อเพื่อพระอธิราชของเรา
นับเป็นการแสดงความจงวักภักดีต่อพระองอ้ใทัประจักษ์แก่ตาโลก เลือดทุก จุ หยาดที'หลั่งลง ณ พื้น
สมรภูมิดือกวะแสแห่งความกดัญญกตเวทีของพวกเรา พวกเราได้ลาดพื้นอ้นจะเป็นทางแผ่พระบรมเดชา-

kalyanamitra.org
๓๔๘

นุภาพของพระองค์ จงภูมิใจเถิด จงยินดีปรีดาเถิด ที่กระแสโลหิดของชาวเราไต้ดำรงในฐานะนี”่ ในที่สุด


ท่านได้กล่าวถึงความระแวงแคลงใจให้พวกนักรบบัญจาละวัด้วยโดยทั่วกัน
ท่านสกลปรินายกได้มีบัญชาสั่งอีก เปลี่ยนกองเปลี่ยนทิศทาง โดยทำนองเดียวกัน กลางดึน

ให้กองทหารช่างดำเนินการสริ'างสะพาน กลางวันส่งกองราบเข้าโจมดีดำบลต่าง *1 ที่กองทหารช่างไป


ปฏิน์ติการก็ดี จุดต่าง *1 ที่กองทหารราบทำการโจมดีก็ดี เป็นแหล่งซึ่งด้ดรอนทำลังของฝ่ายบัญจาละ
เองทั้งนั้น และทุกคนก็มีผลไม่ต่างกันกับคราวแรก
ไพร่พลของบัญจาละถึงความพินาศย่อยยับลงมากมายก่ายกอง ความพินาศนั้นก็แพร่กระจาย
ไปเป็นกลุ่ม ยิงมากกลุ่มพวกเช้า ก็ยิ่งกระจายกวัางมากขํ่น ความหวาดหวันพรั่นพรึงก็เถิดขื้นดามกัน กอง
ทหารช่างก็เกรงต่อกัยอันตรายที่จะประสบ ต่างก็ระอาใจไม่มีใครจะยอมกวะทำดามดำสั่ง กองทหารวาบ
ก็ทำนองเดียวกัน ต่างคนต่างไม่ยอมปฏิบัติงานตามคำสั่ง มิใยจะถูกบังคับขู่เข็ญ ก็ต่างแข็งขึงดึงด้น ความ
แข็งขึงดึงด้นในหมู่ทหารบัญจาละมิได้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลหรึอหมวดหมู่ เป็นไปทั่วหนัาทั้งกองจะ

ลงโทษทัณฑ์กันอย่างไรไหว การบังคับบัญชาก็มิได้เป็นไปดามกฎข้อบังคับ เพราะผู้บังคับบัญชาก็หมด


สติบัญญาที่จะนำเอากฎข้อบังคับนั้น ๆ มาใข้ให้สำเร็จประโยชน์ได้ ผู้บังคับบัญชาจึงต้องลดหย่อนผ่อน
ปรนเอาตนรอด ปล่อยผู้ใด้บังคับบัญชาไปตามเรื่องตามราว กองทัพบัญจาละก็ถึงความเหลวแหลกลง

ทุกที
ท่านสกลปรินายกอนุเกวัฏ เห็นความเป็นไปในกองทัพของบัญจาละแหลกเหลวด้งนั้น ก็เป็น
อันสมคะเน เป็นเหตุอันยิ่งใหญ่เพียงพอที่พระอธิราชจะต้องระทมพระหฤทัย และเพียงพอที,จะทำดน
ให้เป็นผู้คอยชูชุบพระหฤทัยในยามเช่นนั้น ซึ่งจะได้เป็นบันไดกัาวย่างขื้นสู่ยอดแห่งอุบาย ด้วยความเป็น

ผู้ฉลาดในอุบายอย่างเลิศ ท่านสกลปรินายกได้ไปยังกองทัพต่าง *1 เรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกอง


เพื่อขอทราบเหตุผลในการที่มิได้ปฏิบัติตามคำสั่ง ก็ได้ฬงเหตุผลเป็นอย่างเดียวกันทุกแห่ง ท่านถูกโด้แย้ง
จากบรรดาแม่ทัพนายกองในที่ประชุม เมื่อการประชุมได้เปิดขื้นแลัว โดยท่านเป็นผู้พูดถึงความเหลวแหลก
ของกองทัพที่ปราศจากการเซือฬงคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาสั่งการมาก็เหลวทุกที สั่งให้
สริางสะพานก็ทำไม่ได้ สั่งให้เช้าโจมดีก็ไม่ยอมรบ เช่นนี่จะเป็นทหารกันทำไม ทหารไม่มีวินัย ทหาร

ไม่อยู่ในบังคับบัญชา โจรยังต้องมีวินัยประจำหมู่ ยังอยู่ในบังคับบัญชาของโจรผู้ใหญ่ แต่ทหารของพระ-


อธิราช นักรบของพระอัครราชแห่งชมพูทวีป ไม่มีวินัย ไม่ฬงคำสั่งผู้บังคับบัญชา เป็นการน่าพิศวงนัก
นี่ละหรึอเกียรติ นี่ละหรือความภาคภูมิของทหารผู้เป็นสูรโยธาแห่งบัญจาละ

บรรดาแม่ทัพนายกองสุดจะทนฬงกัอยคำกระทบกระเทียบได้ ก็กล่าวด้าน “ท่านผู้เป็นสกล


ปรินายกทหารบัญจาละไม่ใช่สวัางด้วยเหล็ก เขามีร่างเหมือนท่านและข้าพเจัา และเขามีซีวิดซึ่งเป็นที่วัก
เท่ากับที,เราทุก ๆ คนวักชีวิต ก็เมื่อเขาเห็นประจักษ์อยู่ว่า การปฏิบัติงานทุกครั้ง พวกเขาต้องเอาชีวิด
ไปทิ้งเสีย เอาชีวิตไปพล่าเสีย ทุกครั้งที่พวกเขาปฏิบัติดามคำสั่งท่าน ความพินาศย่อยยับเป็นผลสนอง
แลัวก็ใครเล่าจะยอมปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน จะยากอะไร! ท่านเป็นผู้สั่งท่านไม่ต้องเสียงซีวิด ท่านไม่

kalyanamitra.org
0า๔๙

สั่งคัวของท่านไปปฏิบัติดามคำสั่งของตน แต่พวกทหารด้องปฏิบัติดามคำสั่งของท่าน จะด้องเอาซีวิด


เข้าเสียงในคำสั่งของท่าน มนุษย์ใดเล่าที่จะมีแก่ใจที่จะยอมกระท่าดามค้าสั่ง ในเมือเหตุการณ์ปรากฎอยู่

ซัด ๆ ว่า ความดาย ความพินาศ เป็นผลสนอง อย่าว่าแต่มนุษย์เลยท่าน สัดว์ดิรัจฉานชันเหยึยดกันว่า


ทรามชาติ ม้นก็ยังมีความวัดามสันดานในการกลัวภัย เมื่อภัยปรากฏแลัว ม้นก็ข้องหาที่หลบซ่อนซุกซอนไป

ท่านเป็นผู้ใชัอำนาจ จะบังคับอย่างไร ไม่เป็นการประหลาด อำนาจมนุษย์บังคับบัญชาได้แค่ไหน ท่าน


ย่อมทราบ อำนาจไม่อาจบังคับใจคนได้ ลัาเขาไม่บังคับใจเขาเอง พูดเช่นนื่บางทืจะสูงเกินไป อย่าใหัข้ง
คนเลย เพียงโค กระบือซึ่งมนุษย์อาจจูงจมูกใซั มนุษย์กิไม่อาจบังคับใจมันได้ เช่นจะบังคับมันไม่ใหั
กินหญ้าบังคับได้ ผูกปากเสียมันก็กินไม่ได้ นั่นมันเป็นเรื่องของกาย แต่เมือมันไม่กิน จะไปบังคับใหั
มันกินด้วยกาวเฆิ่ยนดี ด้วยการขู่ ด้วยการชัอนวอน ไม่ได้ทั้งนั้น ท่านเห็นหวึอยัง อำนาจบังคับได้เพียงใด
ทหารแห,งบัญจาละเป็นคนนะท่าน คนจะบังคับนั่าใจคนไม่สำเร็จดอก เมือเขาจะไปรบ เราสั่งเขาก็ไป
ตามสั่ง เมื่อใจเขาไม่รบ เราจะสั่งบังคับอย่างไรเขาก็ไม่ยอมไป จะท่าอะไรก็เชิญข็ท่านจะว่าอย่างไว”

“ตกลงว่าทหารของท่านใซัไม่ได้" ท่านสกลปรินายกแสวังขึงซัง “ความใช้ไม่ได้ของทหารใน


บังคับบัญชาจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นมิได้ ความใช้ไม่ได้นั้นด้องเนื่องมาแต่ผู้บังคับบัญชาใช้ไม่ได้
ไม่สามารถจะควบคุมทหารไวิในอำนาจ ไม่สามารถท่าใหัทหารสำนึกในหน้าที่ ในเกียรติ ในความจงรัก
ภักดีต่อพระอธิราช พวกท่านก็ไม่เป็นใจด้วยราชการของพระเด้าอยู่หัว จึงเหลวแหลกเช่นนื่”
“ท่านสกลปรินายก อย่าพี'กว่าไปเลย” พวกนั้นสกัด “ความใซัไม่ได้ของทหาร กัาจะว่าเนื่อง

มาจากผู้บังคับบัญชาคือพวกข้าพเจ้าใช้ไม่ได้ ช้าพเด้าขอเริยนถามท่าน ท่านผู้ทรงอำนาจสูงในกองทัพ


ความใช้ไม่ได้ของพวกซัาพเด้า เนื่องมาจากความใช้ไม่ได้ของใคร? ท่านจะตอบข้าพเจ้าได้หรือไม่? ถึง
ไม่ตอบ ข้าพเจ้าก็พอจะโดยสารหลักเกณฑ์ของท่าน ด้งนื่ การที่ผู้บังคับบัญชาใช้ทหารในบังคับบัญชาไม่ได้

ทหารนั้น 1 จึงเรียกว่าเป็นทหารใช้ไม่ได้ ส่องผลย้อนร้นไปถึงว่าผู้บังคับบัญชาเป็นผู้บังคับบัญชาใช้ไม่ได้


พวกข้าพเจ้าจะยอมละว่าพวกข้าพเจ้าใช้ไม่ได้ แต่ท่านผู้บังคับบัญชาเหนึอ *1 ซึ่งใช้พวกข้าพเจ้าไม่ได้นั้น

จะยังคงใช้ได้อยู่หรือ?”
การประชุมเป็นชันยุติ ท่านสกลปรินายกพกความโกรธไวิในท่าทีท่าเป็นเดินด้วยใจโกรธไป
ด้วยเร็ว แต่ในจิตใจปลื้มในผลสำเร็จของตนอย่างยิ่ง จากนั้นก็เข้าไปเฝืาพระอธิราชในที่รโหฐานทันที

สีหน้าบอกความปริวิตกกังว,ลอย่างเหลือประมาณ พลางกราบบังคมทูล “ขอเดชะ พระราชอาญามิพีน


เกลัาๆ บัดนื่เกิดความเหลวแหลกร้นใหญ่แลัวละพระพุทธเด้าข้า”
“อะไรกัน! ท่านอนุเกวัฏ?” รับสั่งถามด้วยพระหฤทัยฉงน “ความเหลวแหลกที่ท่านกล่าวนั้น

คืออะไร?”
“ทุกประการในแผนการพระพุทธเด้าข้า” กราบทูลสนองด้วยเสียงแสดงความเศวัา “บรรดา
แสนยากรแห่งบัญจาละทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยมิได้เป็นใจด้วยราชการ ไม่มีผู้ปฏิบัติตามคำสั่งกาวบังคับบัญชา
ในกองทัพเหลวแหลกสั้นดี ช้าพระพุทธเด้าได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกลัาโปวดกระหม่อมแต่งด้ง

kalyanamitra.org
๓๕๐

ให้ท้าวงในท้าแหน่งสกลปรินายก เพื่อท้าเนินพระราชกิจบีบด้นมิถิลาให้อยู่ในอำนาจ ข้าพระพุทธเด้า


ได้สั่งการไป ไม่เห็นผู้ใดเอาใจใส่ดูแลในกิจการให้ท้าเนินไปดามที่ข้าพระพุทธเด้าได้สั่งการ เมื่อเป็นเช่น
นึ่ ข้าพระพุทธเด้าจึงใคร่ครวญพิจารณาสอบสวน ก็ไม่ทราบเหตุการณ์ยันเป็นมหาด้ยแด่ใด้ฝ่าละอองธุล-

พระบาท ซีงสุดที่ข้าพเด้าจะดูดายได้แลัวพระพุทธเด้าข้า”
“เยัะ! อะไรกัน!” วับสั่งอย่างตกพระหฤทัย “ที่ว่าเป็นมหากัยแก่ฉันนั้นอย่างไร?”

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ ไปรดทรงสดับเถิดพระพุทธเด้าข้า” ท่านสกล


ปรินายกแถลง “แสนยากรของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่เป็นชันผู้ใหญ่ก็ดาม ผู้น้อยก็ตาม ลัวนแต่ถูก

มโหสถถูกบ้านนอกท้าลายเด็ยแลัว เขาท้าลายจิตใจชันจงวักกักดึต่อใด้ฝ่าละอองธุลึพระบาท พวกเหล่านั้น

เอาใจออกห่างจากพระมหากรุณาธิคุณหมดแลัว ด้วยสินด้างรางวัลของมโหสถทำให้จิตใจของแสนยากร
บ้ญจาละฝันแปรไป”
“เป็นไปไม่ได้ ท่านอนุเกวัฎ” วับสั่งค้าน “เขาเป็นคนของฉัน ฉันไท้ให้ความอนุเคราะห์แก่
เขา ให้ความร่มเยินแก่เขา แม่ในยามที่อยู่ปกติมิได้ออกสนามรบ ที่เขาจะแสดงอกดัญญดังนั้นเป็นไป

ไม่ไท้'’
“ขอเดชะ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อย่าทรงแน่พระหฤทัยดังนั้น” กราบทูลทัวง “จิตใจคน
เรายากที่จะครองให้ตรงอยู่ได้ดลอดไป มีทางที่จะหันเหเปลี่ยนแปลงไปได้มากนัก อย่าว่าแต่ผู้ลิ่นเลย แม่
พระราชา *๐* ดูประหนึ่งว่ามีความยำเกรงในพระบรมเดชานุภาพ มีความจงรักใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
เสด็จแวดลัอมนอบน้อมเป็นราชบริพารของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทนั่นก็กินสินบนจากมโหสถ แม่ท่าน
เกวัฎชี่งเป็นพระอาจารย์ของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ช้าพระพุทธเด้าก็ไม่แน่ใจ เพราะท่านก็วับดวงมณีรัตน์

จากมึอมโหสถ แลัวทำให้ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทด้องเสด็จหน็ไปในคราวนั้น เป็นเลศนัยชวนสงลัยอยู่

พระพุทธเด้าข้า”
“ไม่น่าเชี่อว่าจะเป็นอย่างนั้น” ตรัสดิงไม่ปลงพระหฤทัยเต็มที่ “ฉันเห็นว่าทุกคนจงวักภักดี

ต่อฉันมันคง ไม่เห็นมีผู้ใดแสดงอาการกระด้างกระเดื่องต่อฉันเลย”

“ขอเดชะ พระราชอาญามิพ้นเกลัาๆ” กราบทูลหนักแน่น “แม่นใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไม่


ทรงแน่พระหฤทัย มีพระราชประสงค์จะทรงพิจารณาหลักฐานโดยประจักษ์ก็ได้พระพุทธเด้าช้า ”
“ทำอย่างไรจึงจะริได้เล่า?” ตรัสซัก
“เชิญพระราชาทั้งหมดมาประชุม ณ พระราชสำนัก โดยให้ทรงเครื่องข้ตดิยาภรณ์ครบด้วน
ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะได้ทรงเห็นประจักษ์ว่า ทุก รุ พระองค์วับสินบนจากมโหสถ ทั้งคอยหาโอกาส
ที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่มิถิลาทั้งนั้น ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเรียกประชุมเถิดพระพุทธเด้าช้า”
พระอธิราชจุลนิทรงมีพระราชกวะแสดำรัสสั่งให้พระราชา ๑0* ทรงข้ตดิยาภรณ์ครบด้วน
มาประชุมกัน ณ ทัองพระโรงทันที เพื่อทรงพิจารณาให้แน่นอน
เมื่อพระราชาทุกพระองค์มาประชุมพวัอมกันแลัว พระอธิราชจุลน้ก็เสด็จออกประทับเหน้อ

kalyanamitra.org
0า๕®

พระราชบัลลังก็ ท่านสกลปรินายกโดยเสด็จใกลัชิดเฝ็าใกลัพระแท่นที่ประทับ
“ทำอย่างไรจึงจะริได้เล่า ท่านอนุเกวัฎ” ริบสั่งกระข็บ “ท่านจะทำอย่างไรต่อไป”

“ขอเดชะ ด้องดรวจวาชาภรณ์ของทุก *1 พระองค์ดูพระพุทธเด้าข้า” ท่านสกลปรินายกทูลดอบ


พระอธิราชจุลนึทรงปฏิป็ดดาม โดยให้มหาดเด็กดรวจด้นราชาภรณ์ของพระราชา 900 องด็
ก็ได้พบพระอาภรณ์บางชินซ็งมีฃ็อมโหสถซ่อนอยู่ บางพระองค์ก็อยู่ที่พระภูษาทรง บางพระองค์ก็อยู่ที่
พระสุวรรณมาลา บางพระองค์ก็อยู่ที่ฉลองพระบาท รวมความว่ามีวัดฤที,เป็นของมโหสกทุกพระองค์
เหตุการณ์ชันนั้ ทำให้พระอธิราชจุลน็ทรงดะดึงอึดชัดพระหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ประทับดุษณีภาพ

อยู่เหนึอพระแท่นมีได้ดริสประกาวได พระพักตร์เผือดคร์าลง พระเนตรฉายแววความสะด้งแห่งพระ


หฤทัย ท้าวเธอเสด็จลุกจากพระแท่น เข้าสู่พระด้าหนักรโหฐานทันที ท่านอนุเกวัฎก็ลุกดามเสด็จพระอธิราช
ไปด้วย พระราชาที่มาประชุมต่างพระองค์ก็เสด็จกลับโดยมิทราบด้นสายปลายเหตุแน่1ชิดประการใด.

kalyanamitra.org
๕๐. ผลแห่งสงคราม
พระอธิราชจุลนึเสด็จเข้าพระดำหนักรโหรานด้วยพระอารมณ์หม่นหมอง พระองค์ทรงผิดหวัง
หมดทุกประการ ทรงได้พระสำนึกด้วยความเศร้าพระหฤทัย“.สียแรงลำบากตรากตรำจากไอศวรวิย์
ยันแสนสุขเพึ่อจะแผ่พระบรมเดชานุภาพ บุคคลที่เป็นกำลังในการนึ่ก็ได้อุปลัมภ์เป็นยันดี ควรหรือมา
เป็นไปได้”ยิ่งทรงพระดำริไป ก็ยิ่งกลัดกลัมในพระหฤทัยเป็นกำลัง ตอนนั้นมิได้ทรงเห็นผู้ใดที่พระองค์
จะทรงวางพระหฤทัย ราชปุโรหิตาจารย์หรึอก็ทรงระแวงตามที,ท่านอนุเกวัฏกราบทูล ในยามไร้พระองค์
ทวงเห็นแต่ท่านอนุเกวัฎคนเดียวเท่านั้น เมื่อเห็นท่านอนุเกวัฎติดตามพระองค์เข้ามา ก็ค่อยดีพระทัย พอที่

จะได้ตรัสปราศรัยปรับทุกข์ร้อนกันได้บ้าง จึงตรัสว่า “ขอขอบใจท่านอาจารย์ ฉันเห็นจริงแต้ว ท่านอาจารย์


เป็นผู้ประพฤติกาวยันเป็นประโยชน์แก1ฉันจริง”
“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเช้าย่อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณยันลันเกลัาๆ อยู่ตลอดกาล โปรด
ทรงระลึกไว้เถิดพระพุทธเช้าช้า ว่าข้าพระพุทธเช้านึ่เป็นประหนึ่งฉลองพระบาทของใดํฝ่าละอองธุลีพระบาท
แม้ซีวิดจะจากร่างก็ขออุทิศถวายไว้ใด้บทมาลย์” ท่านอนุเกวัฎกราบทูลเพึ่อผลสุดท้ายแห่งอุบาย ยันเป็น

ผลสุดท้ายแห่งสงครามด้วย
“ขอบใจท่านอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง ฉันรู้สีกว่าโง่เหลือเกิน ฉันงมงายมากที่มัวคิดว่าทุกคนจะ

จงรักกักดีต่อฉัน ฉันมิไค้เคยคิดว่า เขาเหล่านั้นจะเห็นศัตรูดีกว่า ถึงกับยอมรับสินช้างรางวัลกันได้ลงคอ”


ตรัสด้วยทรงพระระทมพระมนัส “ท่านอาจารย์เท่านั้น ท่านอาจารย์ผู้เดียวที่ฉันพอจะเหลียวเห็น บัดนึ่
เราจะทำอย่างไรกัน กิจอะไรที่ฉันควรจะกระทำในคราวนึ่?”
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ บัดนึ่การเป็นที่ปรากฏแก่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

แต้ว ทุก *1 คนที่แวดต้อมใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท รับสินช้างรางวัลจากมโหสถไว้ไม่เห็นตน แม้แต่ท่าน


อาจารย์เกวัฎ” กราบทูลซัาเดิม “การตกลงกันระหว่างผู้ให้’สินบนกับผู้รับประการใดประการหนึ่งพึงมี

ต่อกัน ความตกลงกันนั้น แม้จะไม่ปรากฏซัดแช้งออกมา ก็คาดได้ก่อนทีเดียวว่าเป็นยัปมงคลแก่ใด้ฝ่า


ละอองธุลีพระบาทเป็นแน่นอน ไม่มีอื่นแต้ว ข้าพระพุทธเช้าเห็นด้วยเกลัาๆ ว่า พระองค์ของใด้ฝ่าละออง-
ธุลีพระบาทนั่นแหละ คือผลที่ตกลงกันวะหว่างมโหสถกับคนเหล่านึ่ เมื่อเป็นเช่นนึ่ แม้ได้ฝ่าละอองธุลี-
พระบาทจะทวงประทับยับยั้งอยู่เพียงวาตริเดียว ช้าพระพุทธเช้าก็ไม่พอใจเลย การอยู่ร่วมกับผู้ที่เอาใจ

ออกห่าง ไม่ต่างกันกับการอยู่ร่วมกับหมู่ไพรี ซืงท่านกล่าวว่า การอยู่ในหมู่ไพรีแม้เพียงคืนเดียวก็เป็นทุกข์


เพราะเหตุนั้นใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทควรจะเสด็จปลีกพระองค์ไปเสียในคินว้นนึ่ทีเดียว ข้าพระพุทธเช้า

kalyanamitra.org
๓๕๓

ขอดามเสด็จไปกับใต้ฝ่าละอองธุลึพระบาทลู่ปัญจาละนคร ทรงพระดำริเชิดพระพุทธเด้าข้า ขีนข้กข้า

อยู่จะเกิดความพิบ้ดี”
พระเด้าจุลนีตรัสด้วยพระสุวเสียงแสดงพระอาการรันทด “ฉันจะด้องเปล่าเปลิ่ยวถึงเข่นนึ่
ทีเดียวหรือ อนาถจริงไม่มีใครอีกแลัวสิ ที่จะจงรักกักดีต่อฉัน แม้กระนั้นก็ย้งเป็นห่วงเขาอยู่ดี หากฉัน

หนีไปเสีย เขาจะเป็นอย่างไร เขาจะอยู่กันอย่างไร”


“แต่โปรดทรงพระดำริไห่รอบ?อบก่อนพระพุทธเด้าข้า” ท่านอนุเกวัฎกราบทูลทัวง “การที่

ได้ฝ่าละอองธุลึพระบาทเอาพระราชหฤทัยห่วงใยพวกเหล่านั้น ข้อนั้นเป็นพระอัธยาศัยสูงประกาศถึง
ภาวะแห่งท่านผู้เป็นมหาบุรุษรัตน์ เพราะทรงพระกรุณาแผ่คลุมไปทั่ว แป้ในบุคคลผู้เหินห่างหรือแม้
ในศัดรู เปรียบเหมีอนด้นจันทน์อันใทักลิ1นแม้แก่ขวานทีประหาวตน แดในกร ณึของใด้ฝ่าละอองธุลึพวะบาท

จะทรงพะวงในพระหฤทัยอย่างนั้นไม่ได้ ใต้ฝ่าละอองธุลึพวะบาทเป็นข้ดติยมหาศาล ทวงบวมเดชานุภาพ


เกรียงไกร จำต้องทรงพระอาลัยพระองค์เองใทัมากกว่าอื่น เพราะพระองค์นั้นคึอพระมหาอาณาด้กว
ชมพูทวีป บุคคลในกองทัพเหล่านํ๋จะเป็นสี,งน้อยนัก ในเมื่อเทียบกับมหาอาณาจักรชมพูทวีปแลัว ด้งนั้น
ความปลอดกัยส่วนพระองค์ของใด้ฝ่าละอองธุลึพระบาทเป็นสิงที่ควรทวงพระประสงค์ก่อนอื่น *1 หมด

ข้าพระพุทธเด้าจักถวายความปลอดกัยแต่ใด้ฝ่าละอองธุลึพระบาทดลอดไป จะสมควรประกาวใดสุด

แต่จะทวงพระกรุณาดำริเชิดพระพุทธเด้าข้า”
“ไม่มีทางอื่นใด นอกจากต้องไปเสียใทัทันจากพวกนึ่ ความประสงค์ของฉันก็เป็นเข่นนั้น
แต่ใจอดเป็นห่วงใยเขาไม่ได้เพราะเคยร่วมทุกข์ยากล่าบากมาด้วยกัน ก็อดคิดเสียมิได้ อีกประการหนึ่ง
เมื่อฉันมาลู่แดนดินของมิชิลาพรั่งพรัอมด้วยขบวนโยธา ครั้นถึงคราวนึ่ ฉันจะต้องทอดทิ้งสิงเหล่านั้นไป

ก็อดเศรัาใจไม่ได้”
“ขอเดชะ เป็นธรรมดาอยู่พระพุทธเด้าข้า” ท่านอนุเกวัฎทูลปลอบ “แต่ได้โปรดทรงทักพระ-
หฤทัย ถึงอย่างไวคงมีวันหนึ่งที่ใด้ฝ่าละอองธุลึพระบาทจะทรงได้พระราชอำนาจกลับคึนดังก่อน หรือ
อาจจะยิ่งกว่าก็ได้พระพุทธเด้าช้า”
“ท่านอาจารย์หวังดีด'อฉันมาก เอาเป็นดกลงดีนวันนึ่เราไปด้วยกัน ท่านไปเดรียมพาหนะสำหรับ
ฉันใทัด้วย ถึงเวลาสมควรก็มาบอกฉัน ความปลอดกัยของดนเองจำปรารถนาก่อนถูกทีเดียว” รับทั่งหนัก

แน่น
ท่านอนุเกวัฏรับพระบวมวาชกระแสรับทั่งใส่เกลัา กราบถวายปังคมลาออกมาภายนอก ด้วย
ความปลึมใจในผลสำเร็จแห่งอุบาย แต่ท่านจะมัวเสวยความอิมเอมเปรมปรีดํ่อยู่มิได้ ด้องรีบเร่งกวะท่ากิจ
ซ็งจะปันดาลผลอันไพศาลสีบไป จึงได้ไปพบกับบวรดาผู้สื่อข่าวลับของมิชิลา นัดหมายใทัเป็นที่รักัน
ไว้ทั่วว่า “พระอธิราชจุลนีพระเสด็จหนีเที่ยงคึนวันนึ่ พวกท่านอย่ามัวหลับนอนเสีย จงคอยเวลาที่ข้าพเด้า

จะมาบอกเรื่องราว แลัวร่วมกันกวะท่าพิธึข้บไล่ไพร่พลของปัญจาละใทัหนีอลหม่าน” เสร็จจากกาว


นัดหมาย ก็ออกอุบายที่จะกวะท่าใทัรักันไว้

kalyanamitra.org
๓๔๔

เสร็จจากการนัดหมายกับพวกสึบข่าวแล้ว ท่านอนุเกวัฏก็ได้ไปสู่โรงล้าต้น ด้วยอำนาจที่เป็น


สกลปรินายกผู้รักษาพาหนะพระที่นั่งจึงไม่อาจขัดขวางประการใด ท่านอนุเกวัฎน์ามัาทรงพรัอมสรรพี
ด้วยอัศวาภวณ์มาสู่สำนักของตน พลางอัดแจงผูกล้าพระที่นั่งอย่างมั่นคงแน่นหนา และผูกโดยวิธีที่ยิงดึง
ขิงท้อ เพราะเป็นผู้ข่านาญในอัศวคิลป็ เรียบรัอยแล้วก็รอโอกาสที่บรรดาโยธาและราชบริพารจะพากัน

หลับสนิท

ราตรีกาลนั้น เป็นอมาวสีกาฬปกษ์ ดวงอันทร็ร่วมราคีกับดวงอาทิตย์ เป็นวาดรีที่มึดสนิท


ปราดจากแสงสว่างจากพื้นนภากาด นอกจากแสงดาวที่พราวพรายระยิบระยับ ซึ่งดูเป็นเครื่องประด้บ

อันงดงามของอัมพรประเทศ แสงของดวงดาวถึงมากดวงนับด้วยโกฏิแลน ก็มิได้อำนวยความสว่างแก่


พื้นโลกเท่ากับดวงอันทร์เพียงดวงเดียว ความเรืองแสงแห่งดวงดาวคงไท้ความสว่างได้เพียงราง *1 สลัวมัว
ในกองทัพพระอธิราช แสงประทีปอันกวะจ่างที่โยธาจุดกันขั้นเพื่อความสว่าง ระยิบระยับทั่วไปดูประดุจ
เป็นกลุ่มดาวอันเคลื่อนที,จากแผ่นฟ้าภาคปญจาละมาส่งแสงอยู่ ณ แผ่นดินมิถิลาแข่งแสงดาวบนแผ่น

ฟ้าภาคมิถิลา แสงประทีปชวาลานั้น ครั้นราดรีกาลผ่านไปนาน *1 เข้า ก็ค่อย *1 หรืมอดหมดไปทีละดวง


สองดวงจนเหลีออยู่นัอยเฉพาะที่จ่าเป็นห่าง *1 กัน เมื่อความสว่างนัอยลง ความมืดก็มากขั้นเป็นธรรมดา

กว่าจะถึงท่ามกลางแห่งราตรีกาล ก็มีความเงียบสงัดเข้าผสมกับความมืดอีกประกาวหนึ่ง ไพร่พล 0๘


กองทัพใหญ่พากันระงับความกระวนกระวายกายใจ นอกจากเวรยามตามหนัาที่แลัว ด่างก็หวังความสุข

จากนิทรารมถ่เตามแด่จะได้ทุกคน ความสงัดกับความมืดผสมกัน ทำใท้เกิดความวังเวง บริเวณสมรภูมิ


เงียบเซียบแล้แด่เสียงลมกระพึอเพียงเฉิอยฉิว ก็อาจได้ยินเสียง มิซั1 ก็ถึงเที่ยงคืน

เที่ยงดึนแลัว ฆองแห่งทหารยามดีบอกกึ่งกลางราตรีแล้ว ความเงียบสนิทปกคลุมบริเวณนั้น


ทั่วไปหมดแล้ว ท่านอนุเกอัฏสื่อสนธํ่กลคีกของมิถิลา สกลปรินายกของป้ญจาละอำลังคอยเวลานึ่อยู่ทีเดียว
มันมาอึง แล้จะเป็นเวลาที่ค่อย *1 คืบคลานยิ่งกว่าเที่ยงคืนในราตรีลิ่น *1 ความรัสีกของผู้ที่คอยก็ตามที่
ผู้คอยก็เว้นที'จะตื่นใจด้วยปรีดาเสียมิได้ ท่านอนุเกวัฎจูงล้าซึ่งได้เตรียมไวัมายังที่ประทับของพระอธิราช
พลางขั้นไปกราบทูลว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าๆ ล้าสำหรับใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

จะทรงเป็นราชพาหนะ ข้าพระพุทธเอัาเตรียมไว้เรียบรัอยแล้ว ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงอำหนดเวลา


เสด็จเถิดพระพุทธเอัาข้า”

“เป็นการดีแล้ว ท่านอาจารย์ ฉันเตรียมตัวคอยอยู่” รับสั่งพระสุวเสียงแผ่ว “ฉันพรัอมแล้ว

เราไปกันเถิด เป็นโอภาสแล้วมิใช่หรือ”
“เป็นโอกาสแล้วพระพุทธเอัาข้า” กราบทูลสนอง
“พระอธิราชมิได้ทรงรอรั้ง รีบเสด็จจากที่ประทับมาทรงพระอาชาทีท่านอนุเกวัฏอัดมาเสด็จ

หน็ไป พรัอมกับท่านอนุเกวัฎตามเสด็จถวายความปลอดกัยโดยใกล้ชิด
ท่านอนุเกวัฎตามเสด็จพระอธิราชไป พอพนจากฐานทัพของล้ญจาละไปได้สักหน่อย ก็ซัก

kalyanamitra.org
๓๕๕

ม้าหวนกลับมายังรานทัพของโ!ญจาละ ปล่อยให้พระอธิราชทรงควบม้าพระที่นั่งไปโดยลำพังพระองค์

เดียว
พระอธิราชจุลนึทรงควบม้าพระที่นั่งห้อเหยียดบ่ายพระพักดร์ไปทางใ!ญจาละ ครั้นเสด็จ

พันฐานทัพไปไกลแด้วก็ทวงกัสีกพระองค์ว่าเสด็จมาแต่พระองค์เดียว ท่านอนุเกวัฎกลับไปแลัว โดยมิได้


กราบทูลให้ทรงทราบ ก็ทรงพรั่นพระหฤทัย ทรงเกรงลัยนานาประกาว ก็ทรงซักม้าพระที่นั่งให้หยุดรั้งรอ
แต่ม้าพระที่นั่งไม่พังบังคับของพระองค์ ยิ่งรั้งยิ่งดึงยิ่งห้อดะบึงไปท่าเดียว สุดพระปรึชาสามารถแลัวก็

ด้องปล่อยไปดามยถากรรม
“พวกเราไปเถิด ขืนอยู่จักด้องดายไปตามกัน ไปเถิดพวกเราไป” ท่านอนุเกวัฎกลับเข้าไปใน
ฐานทัพแลัว ก็ตะโกนกัองบอกพวกพัองและกัองประกาศว่า “พระเจัาจุลนีหนีไปแลัว ยุ”
ท่านผู้สีบราชกาวลับของมิถิลาไค์ชินเสียง ท่านอนุเกวัฎตะโกนประกาศ ก็พากันกับค์านั้นตะโกน
ประกาศแก่ฝัคนของตน พวกนั้นก็กับคำแลัวกัองประกาศกันต่อ ยุ ไป เสียงระเบ็งเช้งแช่
พระราชากัอยเด็ดพระองค์ทรงสคับเสียงประกาศนั้น สำคัญพระหฤทัยว่า “มโหสถบัณฑิต

เปิดประตูพระนครยกพลเช้ามาปด้นจะจับพระอธิราชจุลนี ท้าวเธอต้องเสด็จระเห็จหนี หากจับพวกเรา


ได้ที่ไหนจะไวัซีวิด บัดนั้ขีวิตของพวกเราร่อแร'เห็นจะรอไม่ได้แลัว” ต่างพระองค์ก็สะด้งพระหฤทัย
มิท้นที่จะเก็บ^าเครื่องด้นเครื่องทรง ทรงตื่นพระบรรทมด้วยเครื่องทรงอย่างใดก็เสด็จหนีไปด้วยเครื่อง
ทรงอย่างนั้น เสด็จออกจากห้องพระบรรทมลงจากพลับพลา ก็จับม้าพระที่นั่งควบซับดามไปโดยเรึว

ทั้งกัอยเด็ดพระองค์
ขณะนั้นก็มีเสียงตะโกนประกาศกัองขื้นอีก “พระราชาทั้งหมดก็หนีแลัว หนีกันหมดแลัว

พวกเราไปเถิด ขืนอยู่จักต้องดายไปดามกัน ไปเถิดพวกเรา พวกเราไปเถิด”


แม่ทัพนายกองแห่งบัญจาละพังค้านั้น ก็สำคัญไปว่า “มโหสถยกกองทหารจู่โจมออกมาจับ

พระอธิราชและพระราชากัอยเด็ดพระองค์ไปได้” ต่างก็สะด้งกลัวไม่ทันจะได้หยิบฉวยอะไรได้ พากันหนี


เปิดไปอย่างชุลมุน
ทหารทั้ง •๘ กองทัพ ก็เกิดกาหลอลหม่าน ไม่มีมิ่งขวัญ ไม่มีผู้บังคับบัญชา ได้ชินเสียงประ­
กาศว่าคนนั้นก็หนีคนนื้ก็หนี ต่างก็กลัว ต่างก็ลิดเอาคัวรอดวิงหนีกันอลเวงเครงครื้น
ฝ่ายทหารมิถิลาซึ่งกักษาหน้าที่อยู่บนก็าแพงและหอรบ ได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวปานว่าแผ่นดิน

จะถ่มทลายลง ก็กัแน่ว่าอุบายของท่านมหาบัณฑิตบันดาลผลแลัว ประกอบกับได้กัเรื่องราวนัดหมายกับ


ท่านมหาบัณฑิตอีกด้วย ต่างก็ช่วยโห่กัองสำทับประคังขื้นทุก ๆ ด้าน สำแดงอาการประหนึ่งยกมาถา

โถมโจมดี
พวกบัญจาละไค์ขินเสียงโห่กัองกัองสนั่นจากเมืองมิถิลาก็ยิ่งตื่นตระหนกตกใจ หมดความลิด

นึกเรื่องใด ยุ ทั้งสิ้น มีแต่ลิดหนีไปให้พันเท่านั้น เสียงอ้นกัมปนาทจากมิชิลาเป็นแรงเร่งพวกบัญจาละ


ให็รึบกัดขื้นอีกเป็นทวิคูณ ความกาหลอลหม่านของฝูงคนนับด้วยด้านเป็นอ้นมากนั้นจะปานใด เพียงแต่

kalyanamitra.org
0า๕'๖

สเท้าที่วิ่งไปประด้งซ็นพริอมกัน ก็ประหนึ่งเสียงแผ่นดินทรุด หรึอประหนึ่งเสียงคลิ่นในมหาสมุทรชัน


ท้องมหาวายุระดมพัดสนั่นหวิ่นไหว ไม่ท้นสว่าง ฐานท้พของบัญจาละก็เงียบเสียง มิใช่เป็นกาวเงียบ

เพราะฝัคนทั้งมวลสงบเงียบลง เป็นกาวเงียบเพราะไม่มีท้คนจะส่งเสียงทำลายความเงียบ พวกปญจาละ


ด้องทิ้งแท้กระท้งฝัาที่พันพุง เอาไปไม่ได้เลย สิ่งของเครื่องใช่ในการวบ เครื่องใช่ของบุคคล ดลอดอึง
ยวดยานพาหนะ พวกบัญจาละทงหมด ทิ้งไวัดามที่ของมันนั่นเอง
รุ่งเช่า แสงอรุณของมิชิลามหานคร นึ่งทอแสงชันหม่นหมองมานาน เพราะถูกเมฆหมอก
สงครามปกคลุม บัดนึ่สดใสแจ่มกระจ่าง เป็นเวลาเช่าที่งามหนักหนา ประชาชนยั้มแย้มเบิกบานต่างด้อนริบ
อรุณด้วยจิดใจชันเบ่งบานเต็มที่ หนัาดาร่าเริงแจ่มใสประกาศว่าจิตใจเป็นอิสระแลัว ปราศจากความ

หม่นหมองแลัว เมฆหมอกสงครามได้เคลื่อนย้ายไปแลัวจากความคิดนึก เคลื่อนไปด้วยความท้าวงอยู่

แห่งเอกราชและอธิปไดยของมิถิลา บัญจาละท้องกระวัดกระจายไปด้วยข้านาจปรีชาของท่านผ้เป็นดวงแกัว
แห่งแควันวิเทหะ
ทหารแห่งมิถิลา เปิดประดูเมืองออกเป็นครั้งแรกหลังจากที่ด้องปิดตรีงมาหลายเดือน พากัน

ออกไปสำรวจตรวจดูบวรดาสิ่งของต่าง *1 เห็นมากมายมูลมองหนักหนา ตั้งด้นแต่ท้าผ่อนแพรพรรณ


จนอึงริ'ตนะนานาชน็ด และเครื่องอุปกรณ์ในการรบจะนับประมาณมิได้ ก็พากันนำความไปแวังต่อท่าน

มหาบัณฑิต
ท่านมหาบัณฑิตมีบัญชาสั่ง “เครื่องราชูปโภคทุกอย่างให็รวบรวมนำถวายแต่พระเวัาวิเทหราช
เครื่องอุปโภคของราชาข้ามาตย์ช่'นท้ใหญไท้รวบรวมมาใท้แก่เรา นอกนั้นแบ่งบันกันในชาวมิชิลาใท้ท้วอึง”
สิ่งของที่เป็นมท้คฆกัณฑ์ นึ่งรวบรวมเพอถวายพระเวัาวิเทหวาชและใท้ท่านมหาบัณฑิตนั้น
กว่าจะเสรีจสิ้น กินเวลาสำรวจตรวจตราและขนอึง 9๕ วัน ที่เหดือนอกนั้นกว่าจะหมดสิ้นกินเวลาอึง ๔
เดือน ตั้งแต่นั้นชาวมิชิลานึ่งมั่งด้งอยู่แลัว ก็ยิ่งรุ่งเรีองขนด้วยทริ'พย์สาว

ท่านอนุเกวัฏ ได้ริบบำเหน็จจากท่านมหาบัณฑิตอย่างมโหฬารทั้งลาภทั้งยศปรากฎเกิยรติ
ในมิชิลายิ่งนัก ไม่ด้องวิตกกังวลในความขาดแคลนไปตลอดชาดิทิเดียว
ตั้งแต่นั้นมามิถลานคร ก็เริมสนุกสนานครึกครื่น เป็นมหานครแห่งความบันเทิง เป็นมหานคร

แห่งอาวยธรรม เป็นมหานครแห่งริ'ตนะนานัปการ ประชาชนต่างก็ปราศจากความทุกข์ขุกเข้ญ มีแต่ความ


ร่มเย้นเป็นสุขสถาพร

จบภไค* เ0

kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
ภาคท ๓
ในผอมหํตเจุลน

สุภาษิตประจำภาค

โย จีธ กมมํ กรเต ปมาย

ลามพลํ อตตนิ ส่วิทิตฺวา

ชปเปน มนเตน สุภาสิเตน


ปริกขวา โส วิปุลํ ชินาติ

ชาดก ปฐมภาค ขุททกนิกาย

ก็บุคคลในโลก ประมาณการแล้ว กระทำกรรมทราบไดอย่างศถงกำลัง และความสามารถในตน


1ป็นคนรอบคอบด้วยการปรกบาด้วยการหารอด้วยหลักสุภาบต บุคคลนั้นย่อมขนะอย่างไพบูลย์

ธช1 111 1๖15 ^01’1(1 116 XV๖0 11^1ภ8 01635111*6(1,

X.กก 1115 ©XVก 511*602111 30(1 [10^61,

71101-011ธ!!IV 105]ว6016(1 ๖7 5111(1VIกธึ.

๖7 001151111311011 311(1 ๖7 IV©โช5 0โ XVIรป๐1าา,

7๖611 (1065 ๖!5 ผ0โ1(,

ร๖311 00ถ(]แ61’ 3๖1111(13017.

kalyanamitra.org
๕๑. เกวฎส่องกระจก
วันคึนผ่านไป-ผ่านไป-มิถิลานครปราศจากข้าศึก ประชาชนชาววิเทหรัฐต่างมีความสุข ไม่
มีภัยอันใดมายํ่ายี ทั้งภายในและภายนอก ต่างยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้า เพราะการสอดส่องเอาใจใส่ดูแล
คอยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ทวยประชาชนอย่างทั่วถึงและเต็มไปด้วยยุดิธรรมของท่านผู้สำเร็จราชการ
มโหสก ทำให้ประชาชนหมดความระแวงภัย ในภายในความปราชัยพ่ายแพ้'ของกองทัพบัญจาลนคร ซึ่ง
มีพระเจิาจุลนึเป็นจอมทัพ ได้เลื่องลือทั่วชมพูทวีปแผ่กำจายไปทั่วทุกบ้านเมือง ทำให้เกิดความครั่นครัาม

แก,บรรคาแควันต่าง *1 ไม่มีใครอีกแลัวที่จะคิดกำแหงหาญมารุกรานมิถิลานคร แบ้จะเกิดมีความคิดเช่น


นั้นชื้น ก็ด้องยับยั้งเสียด้วยพระนามาภิไธยแห่งจอมทัพคึอจุลนี จอมทัพผู้เกรียงไกร ไม่มีใครเทียมทัน
ในด้านไพร่พลพาหนะ เป็นเอกราชแห่งราชาผู้พิชิตดลอดบ้ฐพี ยังพ่ายแพ้'แทบสิ้นเนื้อประดาด้ว นึกได้
ด้งนื้แลัว ก็ไม่มีใครอยากจะเป็นจุลนึองค์ท,ี ๒ ให้ชาวมิชิลาซัอมกำลังเป็นเด็ดขาด องค์พระอธิราชจุลนึ
เองก็ทรงพรั่นพรึงเป็นที'สุดในปรีชาสามารถของท่านมหาบัณฑิต พระหทัยของพระองค์ทรงจารึกความ

พ่ายแพอย่างหมดด้ว แบ้แต่พระภูษาทวงก็แทบจะไม่คิดพระวรกายกลับไปบัญจาลนคร ย่อยยับเพึยงไว


วอดวายเพิยงไร ยังเป็นรอยลึกฝังพระหทัยอยู่เหมือนกับว่าทรงผ่านเหดูการณ์นั้นมาเมื่อวานนื้เอง แต่

ระยะเวลาได้ผ่านไปแลัว *9 ปี พฤติกรรมในสนามรบแห่งมิถิลานครได้บันทึกไวัอย่างน่าสยองในความ
ทรงจำของบวรคาขุนศึกแห่งปัญจาลนคร อย่างยากที่จะเลือนลืมทีเดียว เพียงแต่ชึ่อ “มไหสถ” เท่านั้น

ลัาเอ่ยชื้นแลัว ก็ทำให้เกิคขนพองสยองเกลัาเสียแลัว ด้งนั้นพระอธิราชจุลนึก็ดี พระราชา *๐0 องค์


ซึ่งยังประทับอยู่กับพระอธิราชก็ดี แม่ทัพนายกองอื่น *1 ก็ดี ต่างรัสีกเข็ดขยาดไปดาม *1 กัน ไม่มีผู้ใด
เอ่ยถึงพฤติการณ์ในสนามรบมิลิลานครเลย ต่างแสวงแต่ความรึ๋นรมย์ จากความสนุกสนานบวรคามี เพื่อ
กลบเกลื่อนความทรงจำปางอดีตให้เลือนหายไป แบ้จะเป็นได้เพียงซัวระยะเวลาอันสั้นก็เห็นว่าเป็นคุณ

หน้กหนา
แต่-เกวัฎ-ราชปุโรหิตาจารย้ ทีปรึกษาสำคัญของพระอธิราชจุลนึผู้นื้ไม่มีวันลึม ความแด้น
ของเขาหยั่งวากลึกลงในดวงใจ ยามใดเกวัฎส่องกระจก ยามนั้นเขาด้องเปล่งเสียงค้ารามออกมาด้วยความ

แค้นอย่างสุดแสนจะพรรณนา แผลเป็นรอยจารึกแห่งความพินาศ รอยอนุสรณ์แห่งความโง่เขลาเบาบัญญา


เกวัฎเห็นแผลเป็นที่หน้าผากคราวใด เหตุการณ์ในสมรภูมิโดยเฉพาะเหตุการณ์ในสนามยุทธนากาวอัน

งามสง่า ด้านดะวันดกแห่งมิถิลานคร ความสำนึกของเขาจะโน้มน้าวดวงจิตให้หวนไปยังอดีดนั้น ค้านึง


อยู่แต่ละครั้งเป็นเวลานาน จนกว่าแรงแห่งความอาฆาตแค้นจะสงบลงด้วยอาการที่วะวับกล่ากลืนอย่าง

kalyanamitra.org
๓๖®

สุดสนทีเดียว ภาพมาณพหนุ่มน้อยอาอุคราวลูกคราวหสาน รูปร่างสวยงาม ท่าทางสง่าองอาจ เดินเช้ามาสู่


สนามอุทธนากาว ปราศจากอาการสะทกสะท้านเหมือนวาชสีห็หนุ่มเดินเข้าหาคู่งมฤคก็ปานกัน ทุกย่างเท้า
หนุ่มน้อยเต็มไปด้วยความทะนง เต็มไปด้วยความผยอง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเฟ้มและเกัยหกันในที
ในมือข้างขวาซึอดวงแกัวมณีค่าควรเมือง เยื้องกรายใกลัเข้ามา-ใกลัเข้ามา ในตอนนึ่เกวัฏก็เห็นภาพของตน

เดินเข้าไปหาเอ่ยปราศรัย และแลัวดีเพราะตวงแกัวตวงนั้นเอง ท่าให้น้อมกายลงแทบเท้าของศัตรูคู่ศึก


คด้ายกราบลงแทบเท้า แลัวก็ถูกกดคอไว้อย่างหนักหน่วงด้วยมือข้างหนึ่ง อีกช้างหนึ่งคว้าตรงบั้นเอวรั้งขนมา
เสียงตะโกนกัองว่า “เกว้ฎอย่าไหว้ฉัน ฉันเป็นเด็กคราวลูกคราวหลาน” กังวานไปทั่วยทธบริเวณ เสียงนั้น
ยังกัองอยู่ในโสตประสาทของเกวัฎจนวันนึ่ ดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด ถูกกดคอเอาหน้าผากโขกกับพื้นเสียจน
แตกเลึอดหลั่งไหล เป็นรอยแผลที่แสกหน้าตราตรึงซึงวันนึ่ “ฮึ่ม-ฮึ่ม มโหสล” เกวัฏด้องคำรามทุก
ครั้งที,ส่องกระจก พรัอมทั้งขบกรามแน่น “แผลนึ่ นึ่เปันการกระท่าของไชัลูกบ้านนอก มันท่าเราเจ็บ

แสบนัก แสนเจ็บ แสนอาย มึงรัายนัก ท่ากูต่อหน้าธารกำนัล ต่อหน้าพระอธิราช ต่อหน้าพระราชา ๑๐๑


ต่อหน้าแม่ทัพนายกอง” เขาพร่าเพ้อ เพลิงโกรธกำจายแสง “กูต้องแกัแค้นมึงให็ได้ ต้องมีวันของกู ต้อง
ซึงวาระของกูสักวันหนึ่ง คอยดูนะ วาระนั้นมาซึงเมื่อใด กูจะดับพ้นบ้นเสียให้กากลึนไม่แค่นคอทีเดียว”

เพ้อพร่าไปแลัวก็คิด “ไม่มีทางละหรือ? ความคิดกูจนเสียแลัวละหรือ เกวัฏเคยจำนนมีหรือ? กูก็ชาย


ชาญเชิง กูก็เจนจบ กูจะต้องคิดแกัมึอมึงให้จงได้ กังไม่หมดหนทางดอกนะ คอยก่อนเถอะ วันหนึ่งคง

ซึงวาระกูบ้าง"
แรงแค้นอาฆาตกลัฆรุมจิตใจของเกวัฏบ่อย ๆ ท่าให้เริ่มวางอุบาย เริ่มหาทางแกัแค้น เกวัฎตัด
สินเด็ดขาดลงไปว่า “ด้องฆ่าวิเทหราชกับมโหสถเสียให้ได้ โลกที่กูอยู่จะมีมนุษย์ ๒ คนนํ๋อยู่ร่วมไม่ได้”
การครุ่นคิดด้วยอ่านาจแค้นคำเนินไปเป็นเวลานาน คิดทุกด้านที่จะฆ่า จะประหาร ในที่สุดก็เห็นลู่ทาง
วางหลักการร้นได้ว่า “ด้องล่อวิเทหราชและมโหสถเช้าสู่บ้านเมืองของเรา แลัวจับฆ่าเสีย” เมื่อได้พบ
หลักการแลัว ก็เกิดบ้ญหาร้นต่อไป เช่นว่าจะล่อให้เข้ามาได้อย่างไร? จะใช้อะไรเป็นเหยื่อล่อ?
เขาคิดแกับ้ญหาเหล่านึ่อยู่เริ่อย ๆ ในที่สุดก็แกํได้เพราะกำเนิดของเขานั่นเองเป็นเงาสะท้อน
คือ “ฬรานฒ็ด” พอคิดซึงพรานเบ็ดได้ ความคิดก็เดินต่อไป “พรานเบ็ดสามารถดึงเอาปลาร้นมาจาก
แม่นาแมัจะลึกก็ได้ เพราะอะไร เพราะเหยื่อมันเป็นธรรมดาเหลือเกิน ปลาต้องกินเหยื่อ ปลาไม่กินเหยื่อ
ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นการยากเลย ที่พรานเบ็ดจะจับปลาเพียงแต่เอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ดเข้า หย่อนลง
ไปในแม่นั่าปลาก็จะปรี่เข้าฮุบเหยื่อ พรานเบ็ดก็สาวร้นมา” เขาคิดด้วยความพอใจที่เห็นแนวทาง แต่ก็

ยังไม่หมดบ้ญหา เขาพบแต่วิธิการเท่านั้น เขาจะเป็นพรานเบ็ด วิเทหราชและมโหสถเปรียบเหมือนปลา


บ้ญหาที'เขากังต้องแกัอีกเปราะหนึ่งก็คือเหยื่อ “จะได้อะไรเป็นเหยื่อล่อวิเทหราชให้มาสู่บ้ญจาลนคร”
แต่ไม่ช้าเขาก็เห็นตัวเหยื่ออุทานออกมาด้วยความกระหยิ่ม “ได้การละได้การแลัว วาระที่จะเป็นของเรา

มีหวังแลัว” แลัวก็วิตกต่อไป “พระอธิราชจะไม่ทรงยินยอมกระมัง” เขาตัดสินทันทีว่า “พระองค์ด้อง


ยอมแน่ เพราะพระองค์ก็ทรงมีมานะแห่งข้ตดิยาธิบดียิ่งเสียกว่าเราก็เป็นได้” เขาแทบจะตะโกนออกมาว่า

kalyanamitra.org
๓๖๒

“เห็นจะชิงทีของกูบ้างละ”
เกวัฎไม่รอช้า รีบเข้าเสาพระอธิราชท้นที พอดีองค้พระอธิราชกำลังประทับสำราญพระทียอยู่
เขากราบทูลว่า “ขอเดชะ พระบารมีลันเกลัาๆ ข้าพระพุทธเข้าขอพระราชทานวโรกาส เพื่อกราบทูล

ความคิดเห็นชันสำคัญใท้ทรงทราบ ฝ่าละอองธุลึพระบาทพระพุทธเข้าข้า”
พระอธิราชจุลนึตรัสด้วยความเคารพ “เรื่องอะไรหรือท่านอาจารย์ ดูหน้าดาแช่มชี่นเบิกบานนัก

เหมือนคับพบความสำเร็จในความคิดอย่างใหญ่หลวงทีเดียว”
“คราวนิ่สำเร็จแน่พระพุทธเข้าข้า” กราบทูลอย่างละลาละลัก “สำเร็จเด็ดขาดพระพุทธเข้าข้า”
“อะไรคันเล่า ท่านอาจารย์ สำเร็จแน่ สำเร็จเด็ดขาด ฉันยังไม่รัเรื่องเลย” ตรี'สด้วยพระสรเสียง

สำรวลนัอย *1 “ท่านอาจารย์ยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าเรื่องอะไร”

“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเข้าได้พบความสำเร็จพระพุทธเข้าข้า” เกวัฎกราบทูลอย่างเบิกบาน


“เป็นความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง เป็นความสำเร็จที่ข้าพระพุทธเข้าคัองใช้เวลา ๑ บิ พระพุทธเข้าช้า

ข้าพระพุทธเข้าได้พบอุบาย อุบายชันสำคัญ! ขอประทานพระวโรกาสกราบทูลแด่ได้ฝ่าละอองธุลึพระบาท

พระพุทธเข้าข้า”
“ท่านอาจารย์” พระอธิราชตรัสเรียกด้วยพระสรเสียงมีกังวานประหลาดเคลัาพระสรวล ชี่ง
เกว้ฎรัสีกว่าโสตประสาทของเขา ไม่ปรารถนาจะรับพระสรเสียงนิ่เลย แด่ก็ด้องรับพระด่ารัส “เพราะ

อุบาย-อุบายดันแยบคาย-ความคิดชันแหลมคมของท่านอาจารย์หรือมิใช่ กองทัพของเรา •๘ กองทัพ


ไม่ได้มีอะไรดีดคัวกลับบ้ญจาลนคร แบ้แด่ฝ่าคาดพุงสักผืนเดียวก็ไม่มีเหลือ แตกกระจายป่นเปิง คัอง
ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนพื้นแผ่นดินของวิเทหราช ความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ น่าอัปยศในคราวนั้นฉันยัง

ไม่ลึมนะท่านอาจารย์ มันลืมไม่ได้ทีเดียวละตลอดขีวิดนื้ และมิใช่จะไม่ลึมแด่ฉันคนเดียว ใคร *1 ก็ยัง


ไม่ลืมทั้งนั้น มาบัดนั๋ท่านอาจารย์จะท้าอะไรอีกเล่า อุบายดันยอดเยี่ยมของท่านอาจารย์เก็บไว้เสียเชิด
อยู่นิ่ง จุ กันไปอย่างนื้เชิด ท่านอาจารย์อย่าเอ่ยความคิดอะไรออกมาอีกเลย ฉันเกรงว่าอุบายชันยอดเยี่ยม
ของอาจารย์จะบันดาลผลเช่นเดียวกับในครั้งนั้น ได้มากระหนิ่าช้าลงในความทวงจำของพวกเราอีกเป็น
วาระที่ ๒ นะสีท่านอาจารย์”

เพลิงแค้นของเกวัฎไม่ยอมใทัเกวัฎหยุดยั้ง แรงอาฆาตมีกำลังกลัาหนุนอยู่ภายใน เขากราบทูล

อย่างหนักแน่นดึบไป “ทรงพระกรุณาโปรดเชิดพระพุทธเข้าข้า โปรดพระราชทานวโรกาสให็ข้าพระพุทธ-


เข้าได้กราบบังคมทูลความคิดนื้ก่อนเชิดพระพุทธเข้าข้า”
พระอธิราชจุลนึทรงเห็นว่า “ชิงอย่างไร ราชปุโรหิตของพระองค้ก็คงไม่ยอมหยุดยั้งที่จะกราบทูล
ถวายความคิดเห็นของตน อีกทั้งทรงเห็นว่าเขาเป็นคนหนิ่งที่มุ่งประโยชน์ต่อพระองค้อย่างจริงใจ” ก็ทวง

ดุษณีภาพให็โอกาสแก'เขา
เมือเห็นพระอธิราชทวงดุษณีภาพ เกวัฎก็เข้าใจได้ทันทีว่าพระองค้มีประสงค้จะทวงสดับ
อุบายของเขา จึงซีอโอกาสกราบทูล “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลึพวะบาทปกเกลัาๆ ความคิดอ่านของข้าพระ-

kalyanamitra.org
๓๖๓

พุทธเจ้าในคราวที่แลัว *1 มา เห็นด้วยเกลัาๆ ว่า เป็นความคิดอ่านสามัญ เชิงชันไม่แยบคาย ทั้งนึ่เป็น

ด้วยข้าพระพุทธเจ้าคาดเสียว่า ท้าลังไพร่พลพาหนะแห่งป็ญจาลนครอันมหาคาสจะสามารถนัอมเอา
แผ่นดินวิเทหวาชมาถวายแทบบาทมูลได้โดยไม่ยาก เหมึอนบุคคลปอกผลกลัวยลุกใส,ปากรับประทาน
ฉะนั้น อนึ่งเล่า แย้ว่าข้าพระพุทธเจ้าจะได้ยินข่าวกล่าวขวัญถึงมโหสถลูกปัานนอกมาแต่เดิม ก็มิได้เคย
ข้บเคี่ยวท้น ไม่อาจหยังทราบได้ถึงความสุขุมลุ่มลึกแห่งปรีชาของเขาได้ จึงเป็นกาวยากแก่การคาดคะเน
ผลในที่สุด และทำให้ข้าพระพุทธเจ้าเกิดประมาทต่อกาวทำให้เสียรื้พลไปเป็นอันมาก และด้องทอดทิ้ง
อาวุธยุทธท้'ณฑใวิในครั้งนั้นอย่างมากมาย เพราะความคาดผิดของข้าพระพุทธเด้าเป็นแน่นอน ควรที่
จะทวงลงพระราชอาญาแก่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นเที่ยงแท้ แด่ก็ด้วยทรงมีพระมหากรุณาแก่ข้าพระพุทธเจ้า
จึงมิได้ทรงถึอโทษประการใด ข้าพระพุทธเจ้าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณนึ่อยู่มิรัวาย จึงพยายามทุ่มเท
ความคิดแสวงหาอุบายเต็มท้าลังสดิบัญญาของตน เพื่อมุ่งที่จะถวายพระบรมเดชานุภาพให้ลีอชาปรากฏ

ท้วเมทนึ
ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ย่อมทรงพระปรีชาสามารถอาจทรงทราบด้วยพระวิจารณญาณอยู่
แด้วว่าความพ่ายแพ้ในครั้งแรก เป็นบันไดแห่งชัยชนะครั้งต่อไป ทั้งนื้เพราะความผิดพลาดบกพร่องอันใด
ที่เป็นสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ในครั้งนั้นจะได้รับการปรับปรุงแท้ไขมิให้เกิดขื้น ข้อนึ่เห็นด้วยเกลัาๆ ว่า
จะเป็นหลักการข้อสำลัญที่จะกอบท้ความปราชัยของบัญจาลนครให้เป็นความมีซัย

ข้าพระพุทธเจ้าก็เป็นชาวปัญจาละ ความเจริญและความเสื่อมของบัญจาละ ข้าพระพุทธเจ้า


ถึอว่าดนมีส่วนด้วยเสมอไป ยิ่งกว่านั้น ในฐานะที่ช้าพระพุทธเจ้าได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ทรงยกย่อง

ในฐานันดรอันสูงส่ง ก็ชอบที่จะรักษาพระบรมเดชานุภาพของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไวัเหนึอสีงใด *1
แย้ชีวิตของช้าพระพุทธเจ้าก็พรัอมอยู่แลัวที่จะถวาย เพื่อผดุงพระบรมราชอิสริยยคไม่ยอมให้ปฏิราชใด *[
ดูแคลนได้ ช้อนึ่เป็นบัจด้ยเรียวแรงยิ่งนัก กระด้นเดือนข้าพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดมา มิได้นึ่งดูดายเพิกเฉย

ข้าพระพุทธเจ้าด้องคิดเวื่อย *1 ถึงอุบายที่จะกอบท้พระบรมเดชานุภาพ แย้นว่าข้าพระพุทธเจ้าไม่สามารถ

จะน์าพระเสียวของพระเจ้าวิเทหราชและเสยรของมโหสถมาวางลงแทบบาทมูลของใดัฝ่าละอองธุลี-
พระบาทแลัว ความมีป็ญญาของข้าพระพุทธเจ้า ก็ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะครองชีวิตอยู่ต่อไป ด้วยเหตุ
ผลที่กราบทูลมานึ่ ข้าพระพุทธเจ้าด้องคิด คิดเพื่อบัญจาลนคร คิดเพื่อพระบรมเดชานุภาพของได้ฝ่า
ละอองธุลีพระบาท ผลแห่งความคิดของช้าพระพุทธเจ้า ก็ได้ปรากฏแลัว ถึงที่ลุดแลัว เป็นอุบายที่ยอด-

เยิ่ยม ไม่มีอุบายใด 1 จะทัดเทึยมได้เลยพระพุทธเจ้าข้า”


พระอธิราชจุลนึทวงสดับลัอยแถลงของปุโรหิตาจารย้อันซีดยาวยืนยันอย่างเด็ดเคี่ยวอย่างนั้น
ก็ทวงสนพระทัย พระอาการดูหมิ่นก็หมดไปจากพระมนัสตรัสว่า “ท่านอาจารย์ยืนยันมั่นคงนักคราวนึ่
ลองแจ้งอุบายให้ฉันทราบสักหน่อยเถิด เพึยงแต่แยัมพรายก็ได้ ฉันรัสีกว่าคำแยบคายอย่างยิ่งทีเดียว”

“ขอเดชะ พระมหาธิคุณลันเกลัาๆ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ซ็งทรงพระปรีชาญาณสุขุมย่อม


จะยังมิทรงลึมเวึ่องชัยบาน ข็งข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลแด่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ไนพระราชอุทยาน

kalyanamitra.org
๓๖๔

อันมีโยธาหาญด้อมรอบอย่างแข็งแรง ไม่มีลู่ทางที'ใคร ยุ จะแอบแฝงเข้าไปได้ ถึงกระนั้นความลับใน

คราวนั้นอังแพร่งพรายไปได้ จนเสียการที่เตรียมไว้' ข้าพระพุทธเจ้านึกถึงคราวนั้นแล้วไม่มีวันที่จะลืมได้

คราวนี่จะไม่ยอมให้แพร่งพรายเป็นอันขาด ขอพระราชทานพระวโรกาลกราบทูลแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

เป็นการเฉพาะและในที่เร้นลับอย่างยิ่งใดเล่าพระพุทธเจ้าข้า ที่ใด้ฝ่าละอองธุลึพระบาทกับข้าพระพุทธเจ้า

เพียง ๒ คนเท่านั้น จะสนทนากัน บุคคลที่ ๓ จะไม่มีโอกาสย่างกรายเข้าไปได้เลย ณ ที่นั้นแหละ ข้ไ-

พระพุทธเจ้าจะกราบทูลอุบายในครั้งนํ๋ให้ทรงทราบพระพุทธเจ้าข้า”

“จริงชีนะ ท่านอาจารย์ ฉันเกือบจะลืมไปเลียแล้ว” ตรัสด้วยทรงระลึกได้ “คราวนั้นความลับ


ของเราด้องแพร่งพรายออกไปอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว คราวนี่ต้องระมัดระวัง ท่านอาจารย์เลือกก็แล้วกัน

ฉันไม่เลือกละ แล้วแต่ท่านอาจารย์เถิดที,ไหนจะเหมาะก็บอกมา ”

“ล้าทรงพระกรุณาโปรดเช่นนั้น ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลเชิญเสด็จใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
เสด็จพระราชดำเนินตามข้าพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าข้า” ราชปุโรหิตาจารย้กราบทูล พลางลุกจากที่นั่งนำ
เสด็จขนชั้นบนของพระมหาปราสาทถึงห้องพระบรรทมก็หยุด กราบทูลว่า “ที่นี่แหละพระพุทธเจ้าข้าที่

จะเป็นที,เร้นลับที่ปราศจากโอกาสของบุคคลที่ ๓ ความลับจะได้ยินเพียง ๔ ทูเท่านั้น”

“ที่นั่เป็นที่นอนของฉัน คงไม่มีมนุษย์ไหนบังอาจละลาบละล้วงเข้ามาเป็นแน่ ท่านอาจารย์”

ตรัสยินอันมั่นพระที'ย “เชิญท่านอาจารย์บอกอุบายที,ดีดไว้อย่างยอดเยี่ยมนั้นเถิด”

“ขอเดชะ ความดีดของข้าพระพุทธเจ้าในคราวนี่ เห็นด้วยเกล้า*ไ ว่า ด้องล่อวิเทหราชและ

มโหลลมาในบ้านเมืองของเรา แล้วจับลังหารเลียทั้งคู่ พระพุทธเจ้าข้า” เกวัฏรีบกราบทูล

“เห็นด้วยในหลักการ แต่ในทางปฏิบัติน่าจะไม่มีทางสำเร็จ” ตรัสแอัง "เขาย่อมรัว่าเราเป็น


ศัตรูเป็นคู่ศึกกันมา ที่ไหนเขาจะยอมมาบ้านเมืองของเรา เพราะล้าเขามาเท่ากับยื่นคอมาให้ศัตรูด้ต คน

ฉลาดอย่างมโหลถคงไม่มาเป็นอันขาด ฉะนั้นจึงไม่มีทางสำเร็จ”

“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าๆ ว่า มาแน่นอนพระพุทธเจ้าช้า” เกวัฎกราบทูลโต้ “สัญชาติ


ปลาด้องกินเหยื่อ ไม่มีปลาตัวใดที่ไม่กินเหยื่อ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงดำเนินตามวิธีการของ

พรานเบ็ด ทรงเป็นนายพรานเบ็ด ข้าพระพุทธเจ้าจะขอรับอาสาเป็นสายเบ็ด อังขาดอยู่อย่างเดียวพระ-


พุทธเจ้าข้า คือเหยื่อนี่แหละพระพุทธเจ้าข้า ต้องสุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรด เพราะใต้ฝ่าละอองธุลี

พระบาทเท่านั้นทีจะทรงประทานได้พระพุทธเจ้าข้า ”

“เหยื่อรึ ท่านอาจารย์” ตรัสด้วยทรงฉงน “จะเอาอะไรเป็นเหยื่อ ทำไมเหยื่อจึงอยู่ที่ฉัน”

“พระราชธิดาบัญจาลจ้นทีลิพระพุทธเจ้าช้า ” กราบทูลหนักแน่น “สุดแด่จะทรงพระกรุณา


โปรดเกล้าๆ ข้าพระพุทธเจ้าดำริเห็นอยู่ว่า ล้าทรงพระกรุณาโปรดแล้ว วิเทหราชซ็งเปรียบเหมือนปลา
จะไม่กินเหยื่อคือพระราชธิดา ก็ผิดไปละพระพุทธเจ้าข้า แต่วิธีการนั้นอยู่ทีประโลมหทัยของวิเทหราช
ด้วยเพลงสวาท ทำให้เคลิบเคลิ้มใฝ่ฝัน วิเทหราชหรีอจะไม่ปรารถนา ต้องปรารถนาแน่นอนทีเดียวพระ-

พุทธเจ้าช้า”

kalyanamitra.org
๓๖๕

“ท่านอาจารย์มีเหตุผลอย่างไร ถึงยืนยันมั่นคงว่าวิเทหราชจะมาสู่บัญจาลนครของเรา ด้วยการ


เอาบัญจาลจ้นทีไปล่อ จะเป็นไปได้หรึอ?” ตรัสด้วยยั่งไม่มั่นพระที’ย “ได้ทราบอยู่ว่าพระมเหลึของวิเทห-

ราชงดงามและมีสติปญญาเฉลึยวฉลาด เป็นควงใจของวิเทหราชทีเดียว ทีไหนวิเทหวาชจะตุ่มหลงไน


ธิดาของเราถึงกับจะยอมมาใ!ญจาลนคร ซ็งเท่ากับยื่นคอมาหาดาบ ฉันยังไม่แน่ใจเลย”
“มาแน่นอนพระพุทธเจ้าข้า” เกวัฎซีนยันมั่นคง “ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระปรีชา

ชันสุขุม โปรดทรงพิจารณาเหตุการณ์ในแคจ้นของวิเทหราช!ดยถ่องแท้ จะทรงเห็นได้ว่าวิเทหวาชจะ


ด้องรีบรับพระราชธิดาทันที หากได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะโปรดประทาน ทั้งนึเพวาะเหตุการณ์ใน
ดินแดนบังดับให้เป็นเช่นนั้น คือพระมเหสีที่ทรงมีอยู่แลัวนั้น แม้จะงดงามก็คงไม่งามกว่าพระราชธิดา
จะเทิดทูนว่างามเท่ากันก็ได้ แต่ส่วนที่ขาดอย่างสำคัญ คือไม่สามารถจะให้ทายาทแห่งราชบัลลังก็วิเทหรัฐ

สีบไปได้ วงศ์กษัดริย์ขาดผู้สืบสาย เป็นความเดีอดรัอนใหญ่หลวงของพระราชา และประชาชน เพราะ


เป็นนิมิตรัาย หมายถึงความขาดสูญของข้ดติยวงศ์ โปรดทรงพระวิจารณ์เชิดพระพุทธเจ้าข้า”

“ในอดีตสมัยความเดือดรัอนเช่นนึ่ของประชากรได้เกิดขื้นมานักต่อนักแลัว แม้ในมิชิลานคร

เองเล่า ก็เคยปรากฏมาแต่กาลก่อนสมัยพระเจ้าสรจิมหาราชก็เคยปรากฏมา ถึงกับต้องด้งพิธิมโหหาร


เพื่อให้เกิดพระราชโอรสสืบสันตติวงศ์ อีกทั้งนิติแห่งความเป็นคู่ครอง ก็ระบุอยู่บทหนึ่งว่า ความเป็น
คู่ครองที่ปราศจากบุตร มีโอชารสไม่ยั่งยืนเลย เป็นดึงที่โอชารสสุขอยู่ข้วกาลระยะหน้งเท่านั้น ต่อจาก

นั้นความจืดจางจะต้องดามมา มเหสีของวิเทหราชจะเฉลียวฉลาดลันท้นปานใด ก็ไม่สามารถจะกำจ้ด


ความรัสีกที่เมียเราเป็นหญิงหมันให้หมดไปจากหทัยของวิเทหราชได้นั่นเองเป็นข้อสำคัญที่คอยลดค่า
แห่งความรักของวิเทหราชสิเนหาบุภาพจะเสํ่อมลงโดยลำดับ ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกลัาๆ ว่า เวลานึ่
วิเทหราชกำลังกังวลพระหทัยอย่างหนัก คือกังวลว่าเสียงรัองจากประชาชนจะเกิดขื้นเมอไร

วิเทหราชจะทำอย่างไร จึงจะมีพระโอรสให้แก่ประชาชนได้ ทำอย่างไรถึงจะป้องกันเสียง


เรียกรัองของประชาชนที่ว่า “ขอเดชะ พระราชาที่ไม่มีพระโอรสย่อมทำให้ราชวงศ์ขาดตอนไป โปรด

ประทานพระราชโอรสแก,พวกข้าพระองค์เชิด” วิเทหราชกำลังวิตกในการให้ดำตอบแก่ประชาชนของตนอยู่
ทางเดียวเท่านั้นที่วิเทหราชจะด้องดำเนิน คือมีพระมเหสีที่เป็นกุมารี ทั้งนึ่เพวาะเป็นบทนิยมมาแต่กาลนาน

แลัวว่า “ต้องการบุตรจึงมีภริยาสาว”
แต่ในฐานะแห่งวิเทหราช อาจกระทำได้ยากยั่ง เพราะมเหสีที,มีอยู่ทรงคุณสมบ้ตมิได้บกพร่อง
เป็นที่โปรดปรานอยู่มาก หากวิเทหราชจะดำริเองในการหาพระสนมกำนัลก็จะทวงกระทำได้ แต่โอกาส
เท่านั้นที่วิเทหราชยากที่จะได้
กัาวิเทหราชได้ทราบว่าใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระราชธิดาผู้เลอโฉม และจะหาใครที่ควร

เป็นคู่ครองไม่ได้แลัวในชมพูทวีป เจ้นแต่วิเทหราช วิเทหราชองค์เดียวเท่านั้นเป็นผู้เหมาะลมกับพระนาง


ดังนึ่แลัววิเทหราชจะมีอาการอย่างไร ดวงเนดวจะมิเบิกกจ้างกว่าปกติหรึอ ยิ่งได้ทราบว่าใด้ฝ่าละอองธุลี-

พระบาท มุ่งหมายจะประทานให้เพื่อลบลัางกาวเป็นศัตรูกันมาแต่ดั้งเดิม เป็นเหมีอนสายโซ่สุวรรณกวะข้บ

kalyanamitra.org
๓๖๖

ส้มทันธไมตรีวะหว่างสองพระ:นครด้วยแลัว วิเทหราชจะยิงปลาบปลื้มเพึยงใด ความเด็กที่บีบคั้นหท้ย

อยู่ในป็ญหาด่าง 1 เที่ยวกับราชวงศ์ เที่ยวกับความเรียกรี'องของประชาชน และโอชารสของความมึคู่ครอง


ได้พบดำตัดสินชันดีแลัว ดีอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้นชังปลอดชัยจากพระมเหสีเดิม เพราะพระมเหด็เดิมนั้น
เป็นเหมือนของเก็บดกยกยอขื้น โดยสกุลเล่าดีเป็นสามัญ ส่วนพระราชธิดาสิ เป็นข้ตดิยาณึอุภโตสฺชาด
จึงหมดโอกาสที่พระมเหสีเดิมจะยกขื้นเป็นข้อขุ่นข้องหมองพระทัย
ด้วยเหดุผลดามที่ข้าพระพุทธเข้ากราบทูลแถลงมาครั้งนึ่ จึงเห็นด้วยเกด้าๆ ว่า แมันใด้ฝ่าละออง-
ธุลีพระบาทโปรดพระราชทานดามที่ข้าพระพุทธเข้ากราบทูลมา วิเทหวาชฝัเสมือนปลากำลังหิวเหชื่อ
ที่ไหนจะยอมหยุดยั้งรั้งวอ ลัามีบึกอย่างบีกษึก็คงจะบินมาทันทีเสียด้วยซ์า ไม่ด้องทวงสงลัยดอกพระ-
พุทธเข้าข้า อีกทั้งการที่จะพระราชทานพระราชธิดานั้นเล่า ดีเป็นเพียงอุบายเท่านั้น มิได้เป็นความจริงรัง
ประการใด เพียงเป็นเหชื่อล่อให้วิเทหราชเสด็จเข้ามาป้ญจาลนครเท่านั้น จับวิเทหวาชฆ่าเสียได้แลัว

พระราชธิดาก็คงดำรงในฐานะเดิม มิได้กระท้าให้เกิดความเสียยันใดแก่พระราชอิสริยยศเลยแมัแด่นัอย
ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงพระวิจารณ์โดยควรเชิดพระพุทธเข้าข้า”
พระอธิราชจุลนิทรงสดับลัอยแถลงยันขีดยาวของราชปุโรหิดอย่างสนพระทัย ทรงเห็นคด้อย
ตามอุบายของเกวิ'ฎทุกประการ ทั้งนึ่ก็เพราะจุดแคันชังปรากฏอยู่มิได้หายไป ลัามีข้องทางที'จะแกัแคัน

ได้ดีย่อมเห็นด้วยเป็นธรรมดา ตรัสชมว่า ‘'ท่านอาจารย์ อุบายนึ่ยอดเยี่ยมจริง *1 ฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง


ฉันคิดว่าด้ากลับกัน ฉันเป็นวิเทหราชดีเห็นจะไม่แคลัวอุบายนึ่ ท่านอาจารย์ข้างรอบคอบหนักหนา รัดวาม
เป็นไปของวิเทหราชแจ่มแข้ง เตรียมการเข้ากันกับความด้องการอย่างมั่นใจ แด่วิธีการเล่าอาจารย์จะดำริ

ไว้อย่างไร ดำเนินกาวด้วยวิธีไหน”
“วิธีการนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้กำหนดไว้เรียบรัอยแลัวพระพุทธเข้าข้า” เกวัฎกวาบทูลถึงวิธี
การที่จะปฎิบีติเป็นขั้น กุ ไป ตามแผนที่ได้กำหนดไว้ตลอด แลัวกราบทูลยีนชันอีกครั้งหนึ่งว่า “วิธีการ
ด้งที่ได้กราบทูลมานึ่ จะท้าให้สิเนหานุภาพแห่งพระราชธิดาครอบร็าวิเทหวาชอย่างแน่นหนา ต่อจากนั้น
วิเทหราชดีเหมือนปลาที่กำลังหิว พอหย่อนสายเบ็ดลงไปก็ฮุบทันที วิเทหราชจะด้องมาบีญจาลนคร
และเข้าลูกบีานนอก มโหสถจะด้องตามมา เพราะมโหสถนั้นเปรียบเหมือนหางของปลานั่นเอง ด้องติด

ตามตัวปลา คอยโบกคัดโบกวาดให้ว่ายไปว่ายมา ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทวงพระดำริดู หลังศัดรู


กำลังปรากฏให้ทอดพระเนตรอยู่ไว กุ แลัวมิใข้หรือพระพุทธเข้าข้า”
“เด็ดมาก เยี่ยมทีเดียว ท่านอาจารย์” ตรัสชมด้วยพอพระทัย “อุบายนึ่ของท่านอาจารย์วิเศษ
เหลือเกิน อา! วิเทหราช-มโหสถ-และผืนแผ่นดินวิเทหรัฐ คราวนึ่ไม่ทันมือเรา วิเทหวาชเอ๋ย คราวนึ่
เห็นจะหาทางรอดไม่ได้แลัว มโหสถเข้าความคิดนั้นอีกคนหนึ่ง ต้องอยู่มือจุลน็คราวนึ่แหละ ชาวบีญจาละ
จะได้เห็นหนัาศัตรูคู่ศึกของเขา ความอัปยศของกองทัพบีญจาละจะหมดไปในคราวนึ่ ท่านอาจารย์ฉัน

เห็นด้วยทุกประการ เราจะต้องเริมงานทันที ฉันอยากเห็นหนัาศัตรูเร็ว กุ เหลือเกิน จะดูหนัาลักหน่อย


ว่าจะมีลักษณาการอย่างไร ในเมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือของเรา”

kalyanamitra.org
๓๖๗

ความลับทั้งมวลไม่มีมนุษย์ล่วง! พ้นจากหูของมนุษย์ แต่ยังไม่พ้นหูของนางนกสาลีกา ซ็ง


พระอธิราชจุลนีทรงเลื้ยงไวัประจำห้องพระบรรทม ได้ยินได้พ้งทั้งหมด โดยไม่มีใครคิดระแวง ทั้งเกวัฎ

และองด้พระอธิราชคงดื่มแต่ปีติ ในความแยบคายของกโลบายเท่านั้นเอง

kalyanamitra.org
๕๒. แผ่สิเนหานุภาพ
พระอธิราชจุลนิภายหลังจากทรงสดับกโลบายของเกวัฏแต้ว ก็ทรงดำเนินตามทันทีมิได้ทรง
วึรอ เพราะทรงพระประสงค์ที'จะได้เห็นพระเด้าวิเทหราช และท่านมหาบัณฑิตแห่งมิถลานครเข้ามาสู่

เยื้อมพระหัตย์โดยเร็ว บวรดากวีเอกแห่งบัญจาละนครได้รับพระราชกระแสรับสั่งใหัเข้าเฝ็า ทรงลัตเลือก

นักเลงกาพย์ที่เป็นผู้เซียวชาญ ในการรัอยกรองกาพย์กลอนได้หลายนาย พระราชทานพระราชทรัพย์เป็น

บำเหน็จมากมาย แต้วทวงเรียกพระราชธิดาบัญจาลด้นทีมาประทับ ณ สโมสรของนักเลงกาพย์เหล่านั้น


พรัอมกับมีพระกระแส “ฉันมีความด้องการดำกาพย์ที่พรรณนารูปโฉมของลูกบัญจาลจันที เชิญพวก

ท่านพิจารณาแต้วรจนาคำกาพย์อย่างไพเราะเพราะพริ้ง และช่วยปรับใหัเข้าทำนองเพลงอันแสนเสนาะ

ด้วย”
ท่านพวกนักเลงกาพย์ ทราบพระราชประสงค์ นัอมเกลัาๆ รับพระบรมราชกระแส กราบ
บังคมทูล “ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณเป็นต้นเกลัาๆ พระราชประสงค์ของได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
มิได้เป็นสิ่งเกินวิสัยสามารถของข้าพระพุทธเด้า ที่จะฉลองพระเดชพระคุณเลยพระพุทธเด้าข้า เพราะ
พระราชธิดาก็ทรงพระสิริรูปโสภาคย้ทั่วสรรพางค์อยู่แลัว เพียงแด่นำพระสิริลักษณ์ ตามที่เป็นจริงของ

พระนางรัอยกรองตามระเบียบแห่งกาพย์เท่านั้น ทุกสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งงาม และทุกสิ่งที่เป็นสิ่งที่มี

ส่วนงามก็จะพ่ายแพ้ไปในทันที เนื่องด้วยมาปรากฏในพระสรีรโฉมหมดแต้วพระพุทธเด้าช้า ”

ท่านพวกนักเลงกาพย์เหล่านั้น เริมงานตามพระราชประสงค์ ร่วมมือกันพิจารณาพระสิริลักษณ์


ของพระนางบัญจาลจันที อย่างถี่กัวน ทั้งดูพิศ ดูผาด ดูดรง คูเฉียง และจำแนกส่วนพระวรกายออก
เป็นด่วนย่อย ยิ่งกว่านั้นยังพิเคราะห์ท่วงทีท่าทาง ที่พระนางเยื้องกรายตามอิริยาบถนั้นทั้งพระอิริยาบถ

ใหญ่และอิริยาบถย่อย เสร็จแต้วก็ปรับเช้ากระบวนกาพย์พรัอมทั้งอุปมาอุปไมยพรรณนาทรวดทรงสัณฐาน
ว่าพริ้งเพราเหลาหล่อสำอางสะอาด พรรณนาพระฉวีว่าผุดผาดปานดังทาบทาด้วยนื่าทอง พรรณนา

พระนัยเนตรทั้งสองว่าเหมือนดวงตานกพิราบ ดังนื่เป็นอาทิ

พระราชธิดาบัญจาลชันที ทรงพระศรีศุภลักษณ์ลํ้าเลิศอยู่แต้ว เมื่อท่านพวกนักกาพย์ผู้เซียวชาญ

นำเอาความงามของพระนางร้อยกรองเข้าเป็นคำกาพย์ตามลบองทำนองกาพย์เข้าไปอีกแต้ว ความงาม
อันเลอเลิศนั้นก็ยิ่งเป็นความงามอันควรพิศวง เพราะเรื่องกาพย์ที,รจนาด้วยนักกาพย์ผู้เซียวชาญนั้น แม้

แด่ปาแท้*1 รกเริ้อรุงรังหนักหนาก็พรรณนาเลียหยดยัอยน่าดูน่าชมน่านิยมอย่างเลิศไปได้ ด้งนั้นกาพย์


ยอพระสรีรโฉมของพระราชธิดาบัญจาลชันที จึงเป็นเหมือนประมวลสิ่งที่สวยงามและส่วนที่งดงาม

kalyanamitra.org
๓๖๙

ของทุกสิงทุกด่วนทั้งที่มีวิญญาณและไม่มีวิญญาณ เข้ามาร่วมไว้ แถมยังมีความงามของบางสิ่งบางส่วน


พ่ายแพ้ไปก็มี เช่น ความเปล่งปลั่งของเพ็ญจันทร์พ่ายแพ้ความเปล่งปลั่งแห่งเพ็ญพักตร์ ดังนํ๋เป็นด้น

รวมความเข้าทั้งหมดแลัว พระราชธิดาป'ญจาลจันทีงามแสนงาม งามสุดงาม แม้นใครได้พบไต้เห็นก็


มีได้เว้นตะลึงลาน ข้าพบในเวลาที่ผู้พบกำลังบริโภคอาหาร ก็อาจป้อนคำข้าวผิดช่องปากไปเลย เพราะ

หลงใหลในพระรูปพระโฉม
กาพย์ยอพระโฉมสำเร็จลงด้วยดี ไพเราะเพราะพริ้งด้วยกระบวนลีลาแห่งอักษร และกระบวน
แห่งกาพย์พังระเรื่อยเจื้อยแชัว ไม่มีดำใดที่เป็นโทษ ไม่มีความไหนที่ซัดเขิน คำและความกลมกลืนกัน

ทั้งบทบาทพยัญชนะอันควรหนักเบาและอ่อนแข็ง วางไว้เหมาะสม ต่อจากนั้นคณะนักเลงกาพย์ ก็ร่วมกัน


พิจารณาเพื่อจะปรับเข้ากระบวนเสียง ที่เรียกว่า "อุจจารณลลา,’ ควรหยุดระยะแค่ไหน จังหวะหนักเบา
ควรอยู่ตรงไหน ควรใซัเสียงสูงเสียงตํ่าตอนไหน หรือตอนใดควรใซัเสียงเสมอ เมือได้ร่วมพิจารณา
วางลีลาเสร็จก็ซัอมดู เห็นว่าเพราะพริ้งยิ่งยวดถึงขนาดที่เรียก "อุจจารณวลาศ” คือความเสนาะสนิท
ในการร่ายรัอง ผู้ใดได้สดับแต้ว ผู้นั้นจะมิเว้นเลยที่จะได้ประสบความพวยพุ่งแห่งอารมณ์หรือที่เรียกว่า

"จาร่มมณุท™ธ”
ท่านนักเลงกาพย์ทั้งคณะ ต่างพิงพอใจในผลงานของตนเป็นที่ยิ่ง ต่างคนต่างปลาบปลื้มดื่มใจ
อยู่ในกระบวนกาพย์อันปรับเข้ากระบวนเสียงจนกระทั่งอำนวยโอชารสลํ้าเลิศ ก่อให้เกิดสิงคารรสปรากฏซัด

เพราะกระบวนกาพย์และกระบวนเสียง จะกระตุ้นฤดีรมย์ของผู้สดับให้พวยพุ่งออกเต็มขนาด ซัอมกัน


ครั้งแลัวครั้งเล่าจนแม่นยำ จำได้ขึ้นใจ และคล่องปาก ไม่มีผิดพลาด ก็พากันเข้าเสาบังคมทูลแต่พระ-
อธิราชจุลนิ “ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณเป็นลันเกลัาๆ ตามที่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มีพระกระแส
รับสั่งให้พวกข้าพระพุทธเจัารจนากาพย์ยอพระโฉมพระราชธิดา พรัอมทั้งปรับเช้ากระบวนเสียงเป็น
เพลงข้บนั้น บัดนํ่พวกข้าพระพุทธเจัาได้ร่วมกันร้อยกรองเสร็จแลัว ขอนำขึ้นทูลเกลัาๆ ถวาย สุดแต่

จะทรงพระกรุณาโปรดเกด้าๆ พระพุทธเชัาช้า”
“เสร็จแลัวหรือ” ตร้สด้วยทวงซืนชม “ทันใจดีจริง ไหนลองว่าให้พังทีหรีอ”

คณะนักกาพย์กราบถวายบังคมแลัว พร้อมกันเปล่งเสียงร่ายร้องบทกาพย์ปรับเข้ากับกระบวน
เสียงตามที่ได้ซักซัอมกันมา
พระอธิราชจุลนิ ทรงสดับบทกาพย์ด้วยพระทัยเคลิบเคลื้ม ทวงร้สีกว่า “เอ! นี่เราได้ขึ้นไป
สู่ด้าวแดนแมนสรวงหรือไฉน ภาพที่ปวากฎในใจ ซ็งสรัางขึ้นตามบทกาพย์ ช่างเป็นภาพวิจิตวสวยงาม

เหลือคณา” พรัอมกันนั้นก็ทวงแคลงพระหทัยต่อไปว่า "เวาก็เห็นลูกหญิงของเวาอยู่ทุกวัน ความงาม


ความสวยของแกแม้จะมีปานใด ก็ไม่เห็นจะลานตาลานใจเหมือนภาพที่ปรากฏในเมื่อพังคำกาพย์นี่เลย
พิศวงเหลือประมาณ ดูลั่งกับว่าลูกบัญจาลจันที เป็นนางที่เทพเจัาผู้มีมห้ทธานุภาพเนรมิตขึ้น ช่างสวย

สตงดงามเหลือที่จะกล่าว” พระฤดีรมย์ของพระอธิราชได้ถูกอำนาจแห่งบทกาพย์ ดึงออกมาจากห้วงหทัย

อย่างเหลือขนาด แม้จะจบแลัว แต่พระโสดยังแว่ว พระหทัยยังคงปรากฏภาพพระธิดาประทับอยู่ ทวง

kalyanamitra.org
๓๗

พระปรีดาปราโมทย์เป็นลันท้น ดำริในพระทัยว่า “เห็นได้การแน่ วิเทหราชหรือจะไม่เดลิบเคลั้มหวั่นไหว


ไปด้วยสิเนหานุภาพ แต่เราเป็นพ่อของนาง ยังเป็นได้ถึงเพียงนึ่ เออ! คราวนึ่วิเทหราชไม่พันมือ” พลาง
ดริ'สกับคณะนักเลงกาพย์ “เป็นการริ'อยกรองที่เด็ดมาก ท่านทั้งหลาย โอชาแห่งบทกลอนของท่านควร

จะพีควง ฉันขอให็รางวัลแก่พวกท่าน” แต้วโปรดพระราชทานทรัพย์เป็นจำนวนมากแก่คณะนักเลงกาพย์


โดยที่'วกัน

พระอธิราชจุลนิ ทรงมีพระดำรัสเรียกนางนาฎของพระองค์มาทั้งหมด ทรงมอบให้คณะ-


นักเลงกาพย์ตรัสว่า “พวกท่านจงช่วยกัน'ฝึกซัอมนางพวกนึ่ให้ข้บรัอง ดำกาพย์ของพวกท่านให้ข้านิข้านาญ

ด้วยเชิด”
คณะนักเลงกาพย์ ปฎิบ้ติตามพระราชบัญชาช่วยกันสกซัอมบรรดานางนาฏของพระอธิราชจุลนิ

จนช่านิข้านาญเหมือนคณะท่าน แต้วพากันกราบทูลแด'พระอธิราช “ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณลันเกด้าๆ


ตามที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มีพระราชบัญชาให้พวกข้าพระพุทธเจัาสกชี'อมการขับลำน่ากาพย์ยอ
พระโฉมพระราชธิดาแก่หม่นาฏิกานั้น บัดนั้หม่นางนาฏิกาทั้งหมดต่างมีความข้านิข้านาญแต้วพระพุทธ-

เจัาข้า”
พระอธิราชจุลนิทรงดึพระท่ย โปรดให็นางนาฏเหล่านั้นขับลำนำยอพระโฉมถวาย ทรงสดับแต้ว
โปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง มีพระดำรัสให้ขับเป็นประจำในสม้ชชมณฑลในพระราชวังคราวใดจะมีการขับขาน
ในพระราชสำนัก คราวนั้นก็ต้องขับลำนำกาพย์ยอพระโฉมพระราชธิดาบัญจาลจํ'นทีทุกคราว

จากพระราชวัง ลำนำกาพย์ยอพระโฉมได้แพร่หลายไปตามบัานอำมาตย์ชันผู้ใหญ่ ต่อจาก


นั้นก็ขยายวงกวัางออกไปกว้างออกไปจนถึงประชาชนภายในเมืองแต้ว ก็ออกนอกเมืองไปสู่ชาวนิคมภายนอก

พวกเด็ก *1 พากันจำไปขับรัอง พวกผู้ใหญ่ได้พังก็จำไปข้บรัองตาม จุ กันไป ความกีกกัองกังวานด้วย


เสียงยอพระโฉมพระราชธิดาบัญจาลจันที ดังดลบกลบแคว้นกัปปิละ พระสิริโฉมของพระนางบัญจาลจันที
จับใจชาวปัญจาละมิเว้นตน
พระบรมราโชบายของพระอธิราช กำลังดำเนินไปดังพระกมลมุ่งหมายในขั้นด้นแต้ว การ
โฆษณาพระราชธิดา ได้กระท่าให้แคว้นบัญจาละอยู่ภายใต้ปกคลุมแห่งลำนำกาพย์ “ยังไม่เพียงพอสำหรับ
การโฆษณา ต้องให้ยิ่งกว่านั”้ ทรงพระดำริสืบไปแต้วมีรับสั่งให้พวกนักขับลำนำขั้นเอกซึ่งมีอยู่มากใน
พระนครบัญจาละเข้ามาเฝ็า พลางมีพระกระแสรับสั่ง “พวกท่านจงร่วมกันดำเนินงานของฉันสักอย่าง
หนึ่งเชิด”

“ขอเดชะ ชีวิตอยู่ใต้เบื้องพระบาท” พวกนักขับลำนำกราบทูล “พระราชกิจของใต้ฝ่าละออง-


ธุลีพระบาททุกประการ ข้าพระพุทธเจัาทั้งหลายขอรับฉลองพระเดชพระคุณเต็มกำลัง ถึงแม้ว่าจะต้อง
ถวายชีวิต ก็พรัอมที'จะสละถวายด้วยความภาคภูมิ เพราะเป็นเกียรติหนักหนา หาอันใดปานมิได้แต้ว ที่

จะได้ถวายชีวิตแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระพุทธเจัาข้า”
“ฉันขอบใจมาก” ตรัสด้วยพระสรเสียงปราโมทย์ “ไม่หนักหนาอะไรดอก เพียงแต่พวกท่าน

kalyanamitra.org
ธา๗๑

พากันรับนกขนาดใหญ่ไวัมาก *1 ถึงเวลากลางคืน ยามดึกสงัดก็จงพากันขํ่นสู่ด้นไม้' พากันขับลำนำคำ


กาพย์ยอโฉมลูกหญิงของฉันเรื่อยไป พอถึงเวลาใกลัรุ่ง ก็เอากวะดึงผูกเข้าทีคอนกเหล่านั้น ปล่อยได้มันบิน
แลัวพากันกลับบ้าน อย่าใหัมีใครร์ใครเห็น จงพากันปกปิดการกระทำนั้ใว้เป็นความลับ เท่านั้นแหละ”

“เป็นการลำบากหามิได้พระพุทธเรัาข้า” พวกนักขับลำนำกราบทูลวับปฏิบัติตามพระบัญชา
ตั้งแต่บัดนั้น ในยามคำคืนดึกสงัด เสียงขับลำนำยอพระโฉมพระราชธิดาบัญจาลรันที ก็กังวาน
อยู่บนด้นไม้ใหญ่ในพระนคร เสียงกังวานไพเราะเยือกเย็นเสนาะสนิท ครั้นใกลัรุ่งเสียงกระดึงก็ด้งไป

ในอากาศไกลออกไปทุกทีจนเสียงหาย
ประชาชนชาวบัญจาละกำลังเคลิบเคลิ้ม กำลังหายใจเป็นพระนางบัญจาลจันที กำลังหลงใหล
ในพระรูปพระโฉมตามที่พรรณนาในลำนำกาพย์ ยามทิวาก็แซ่ซัองด้วยลำนำยอพระโฉม ครั้นราตรีได้
ยินเสียงขับลำนำเลื่อนลอยมาในอากาศ เสียงกังวานมาแต่ไกลไพเราะเสนาะสนิทรับใจนัก ก็พิศวงงงงวยไป

ดามกันเห็นเป็นการอัศจรรย์ยงยวด ครั้นใกด้รุ่ง ก็ได้ยินเสียงกวะดึงดังกังวานครวญครางค่อย *1 ห่างออกไป


ห่างออกไป จนเงียบไป ยิ่งเพิ่มความเห็นเป็นมหัศจรรย์ ต่างโจษรันกันเป็นหมู่ *1 “โอ! ชาวเราเอ๋ย เป็น

ลาภลันแลัวพระราชธิดาของพระอธิราชแห่งชาวเรา เป็นอุดมนารีวัตน์แน่ทีเดียว เป็นนางแกัวศรีแควัน


ขวัญเมือง เป็นดวงจันทร์แจ่มใจชาวบัญจาละแลัวเจัาแม่เอ๋ย เหตุใดหรีอ จะมีใครอีกเล่าชาวเราเอ๋ยที่ยัง
จะคลางแคลง เมื่อราตรีอันผ่านพ้นไปนึ่ ชาวเราใครบ้างที,ไม่ได้ยิน เราพ้งกันแลัวมิใช่หรือ หูสองข้าง
ของพวกเรายังกังวานอยู่ด้วยเสียงแห่งลำนำยอพระโฉม มิใช่จากปากแห่งมนุษย์เป็นแน่ ที'แท้จากโอษฐ์
ของเทพยดาทีเดียว เยือกเย็นไพเราะเสนาะสนิทเป็นที่ยิ่ง ดังชาวเราเข้าใจเทพคนธรรพ้อันมีนามว่าบัญ-
จสีขวนั่นกระมัง เยือกเย็นไพเราะมาร่ายวัองบรรเลงลำนำนึ่ เป็นดนตรีจากสวรรค์ซันพิา เป็นเสียงแห่ง
เทพเรัาชาวแมน อโห! ชาวเราเอ๋ย สุดจะพรรณนาความหยดยัอยเสนาะสนิทนั้นแลัว ยิ่งกว่านั้นดวงใจ
ของชาวเรานึ่เล็กนิดเดียวเท่านั้น ยังไม่พอที,จะบรรลุความปลาบปลิ้มในบุญญาภินิหารของพระราชธิดา

ดวงจันทร์ของชาวบัญจาละได้เลย มันลันแลัว ท่วมท้นแลัวเรัาข้าเอ๋ย”


ความถึกกัองโกลาหลแห่งชาวแควัน อุโฆษสนั่น ความมหัศจรรย์รับหัวใจของชาวแควัน นั่น
คือพระบวมราชประสงด้ในการโฆษณาพระสรีรโฉมแห่งพระราชธิดาใหัเปันที,เลื่องลึอวะบือทั่ว ทั้ง
ประกอบด้วยความมหัศจรรย์ เพื่อเป็นการกรุยทางแห่งพระบวมราโชบายที,จะแผ่สิเนหานุภาพใหักำซาบ
เช้าสู่หทัยแห่งวิเทหราช โดยความบวรลึอแห่งการขับลำนำ เป็นการพรางพระราชประสงคืที่แทัจริงอีก
สถานหนึ่งด้วย

ความอุโฆษแห่งลำนำยอพระโฉม แผ่ปกคลุมแควันกัปปิลวัฐตลอดแลัว พระอธิราชจุลน็ตวัส


เรียกคณะนักเลงกาพย์ฝัเชี่ยวชาญคณะเก่ามาเฝ็าอีกเป็นวาระที่สอง คราวนึ่มีพวะดำรัสว่า “ลำนำกาพย์
ของพวกท่านคราวก่อนนั้น เป็นที่พอใจฉันมากและติดอกติดใจชาวแควันเป็นอันมาก ฉันเรียกพวกท่าน
มานึ่เพื่อจะขอแสดงความซืนชมต่อท่านทั้งหลาย และขอวัองใหัพวกท่านรจนาลำนำกาพย์เพิ่มเดิมอีก
ท่อนหนึ่ง พรรณนาความว่า ‘ราชกุมารีศรึบัญจาลนคร ผ้ทรงโฉมงดงามจนแมัแต่ทวยเทพก็มิได้งดเวัน

kalyanamitra.org
๓๗๒

ที่จะสดุดีนึ่ ในพื้นชมพูทวีปไม่มีใครที่จะควรเป็นคู่ครองของนาง เว้นแต่พระองค์เดียว ดีอพระเว้าวิเทหราช


อันเถลิงถวัลยราชลมบํติเป็นปีนประชาชนมิถิลานคร นางนั้นควรเป็นมิ่งมเหสึของพระราชาธิราชพระ-
องค์นั้น’
ความดอนนึ่ จงรจนาลำนำกาพย์ให้ไพเราะเสนาะสนิทพังแต้วชาบซืงตรึงใจทีเดียว เชิญพวก

ท่านร้อยกรองสักหน่อย
คณะนักเลงกาพย์ทราบพระราชประสงค์ ก็ร่วมความคิดกันร้อยกรองลำนำกาพย์ พรรณนา
ถึงบุคคลที่เหมาะสมกับพระราชธิดา อันจะหามิได้แต้วในพื้นชมพูทวีป เว้นแต่พระองค์เดียวดึอพระเว้า-

วิเทหราชแห่งมิถิลานคร แม้นนางได้เป็นพระมเหสีของพระเว้าวีเทหราช พระเว้าวิเทหราชได้เป็นพระ-


ราชสวามีของพระนาง ก็จะสมกันเหมือนท้าวโกสีย์กับนางสุชาดา
ครั้นรัอยกรองลำนำกาพย์เรียบร้อยแต้ว ก็ปรับเข้ากระบวนเสียงและเครื่องสังดีด จนเป็นที่
พอใจแต้ว นำขื้นทูลเกด้าๆ ถวาย เป็นที่ไปรดปรานมาก ได้รับพระราชทานทรัพย์สินเป็นบำเหน็จอย่างจุใจ
“คราวนึ่ฉันมีเรื่องที่จะด้องใข้พวกท่าน” พระอธิราชจุลนิดรัสภายหลังที่ได้พระราชทานรางวัล

แต้ว “จะใข้คนอื่นเกรงจะข้าไป เพราะกว่าจะซักซัอมกันให้ถึงขนาดได้ ก็กินเวลาเป็นอันมาก ต้าได้พวก

ท่านไปทำงานแต้ว เวลาก็จะเร็วเข้ามากทีเดียว”
“ขอเดชะ พระกรุณาธิคุณลันเกลัาๆ พวกข้าพระพุทธเว้ายินดีอย่างสูงสุด และร้สีกภาคภูมิใจ
อย่างยิ่งที่จะได้โอกาสฉลองพระเดชพระคุณ แด'ใด้ฝ่าละอองธุลึพระบาทพระพุทธเว้าข้า” คณะนักกาพย์

กราบบังคมทูล
“ขอบใจเป็นอันมาก” ตรัสด้วยพระสรเสียงซืนชม ก่อนอื่นฉันว้าด้องบอกความมุ่งหมายของ
เรื่องที่จะให้พวกท่านไปกระทำคราวนึ่ให้เป็นที่ร้ไว้ จงคอยพัง
“ลูกหญิงบัญจาลว้นที เจริญวัยสมควรที่จะมีคู่ครองแต้ว ฉันเป็นบิดา มีหนัาที่รับผิดชอบต่อ
ความเจริญรุ่งเรืองของลูกหญิงได้คู่ครองที่เหมาะสมกัน กรณียะอันนื้ฉันได้ฅำน็งนักหนาและได้พิจารณา

มาเรื่อย *1 ฐานะของฉันเป็นกษัตริย์ ลูกของฉันก็เป็นเผ่ากษัตริย์ จะหาคู่ครองก็ว้าด้องให้คู่ควรกัน ซืง


จะเป็นเผ่าอื่นนอกจากกษัตริย์ไม่ได้ บรรดากษัตริย์ในชมพูทวีปเล่าก็อผู่ในอำนาจของฉันทั้งหมด เว้นแต่

วีเทหราชองค์เดียวเท่านั้น กษัตริย์เหล่านั้นฉันได้พิจารณาแลัวโดยใกลัชิด เห็นว่ามิได้เหมาะสมกับจะ


เป็นสามีของลูกเป็นความจริง วีเทหราชเท่านั้นที่คู่ควรกัน”
“ฉันจะทำอย่างไวเล่า รึงจะให้วิเทหราชร้ความข้อนั้ใด้ เป็นความลำบากมิใช่นัอย เพราะ
วิเทหราชกับฉันเคยเป็นคู่คึกกันมาครั้งหนึ่ง ซ็งพวกท่านคงได้ทราบแต้ว หากจะบอกให้วิเทหราชตรง จุ

ท้าวเธออาจจะเห็นเป็นอุบายของฉันเสียก็ได้ ครั้นจะวอข้าไป จนถึงกาลอันควร ดีอวิเทหราชหมดความ


ระแวงก็ไม่ร้ได้ว่ากาลนั้นจะมาถึงเมื่อไร หากเนิ่นนานไปนักความบกพร่องอาจเกิดแก่หนัาที่ของม้เปัน
พ่อก็ได้ เป็นเช่นนิ่รึงจำด้องหาวิธิที่จะให้วิเทหราชทราบ และหมดความกินแหนง
อนึ่งเล่าแคว้นบัญจาละเคยยกกองทัพไปลัอมเมืองมิถิลาไว้ ทำให้ความสัมพันธ์อันเคยมีต่อกัน

kalyanamitra.org
๓๗๓

ของป็ญจาละและวิเทหะเกิดความหมองหมางกัน ฉันคิดจะฟินลัมพันธใมดรีอันสลายลงนั้นใทักลับดำรง
คงคืนเปันอย่างเดิม สองพระมหานครจะได้เป็นสุพรรณปฐพีอันเดียวกัน การที่จะเป็นเช่นนิ่ได้ ทางฝ่ายเรา

จำต้องทอดสะพานไปหาฝ่ายเขา เพราะฝ่ายเราได้เป็นฝ่'กระทำใทัเกิดความสลายแห่งสายสัมพันธ์ จะ
หวังใทัทางเขาทอดสะพานมาหาเรานั้น เป็นกาวหวังได้ยาก เขาอยู่ดีกินดีอยู่แลัว แมัจะไม่ต้องมีไมดรี

กับเรา ประโยชน์แห่งความเป็นไมตรีจะเกิดอันใดในเมือเขากับเราเป็นไมดรีกัน แต่ทางฝ่ายเราสิ มีเหตุ


บังอับซ็งจะนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ คือลูกหญิงบัญจาลจันที จำต้องมีคู่ครองที่คู่ควร
เมื่อจะกระทำทางตรงก็ไม่ได้ จะไม่กระทำก็ไม่ได้ เป็นความเสียหายแก่เราทั้งสองสถาน อังที่
กล่าวมา ท่านทั้งหลายคงเห็นเป็นเรื่องจำเป็นมัดต้วเราจริง *1 ฉันจึงต้องหาทางดำเนินการอันเป็นทางที่
จะอำนวยผลคือการโฆษณาโดยกว้างขวาง เพื่อใทัความเลื่องลีอระบือของข่าวนั้นเข้าถึงสำนักวิเทหราช

โดยเป็นการแทรกซ็มเข้าไปเอง ไม่ใช่เป็นความขวนขวายของฝ่ายเราโดยดวงนัก เป็นความดำริภายใน


วงวาชการของเราเท่านั้น และเมื่อได้ประจักษ์ในท่าทีอันแสดงความประสงค์ของวิเทหวาชแลัว เราจึงจะ

ดำเนินการสมัครสมานสีบไป”
“ท่านทั้งหลายคงเห็นได้ว่า แมันการนิ่เปันผลสำเร็จจะปรากฎผลถึงสองประการ คือลูกของ
ฉันได้คู่ครองที,คู่ควรและความเป็นไมตรีระหว่างสองแคว้นก็จะเกิดขื้นเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นขอพวก
ท่านจงได้ปฎิบืติภารกิจที่ฉันจะได้มอบหมายอังนิ”่

๑. พากันไปส่มิชิลานครโดยเร็ว พวัอมทั้งคณะลังดีด
๒. ประกาศคุณสมบัติของลูกหญิงบัญจาลจันที และคู่ครองที่คู่ควร คือวิเทหราช

๓. ใทัมีข่าวระบือไปในทำนองว่า จุลนิต้องการจะถวายนางบัญจาลจันทีแก่วิเทหราช
๔. จงขับล่านำกาพย์ที่ท่านได้รจนานั้น *1 ในมณฑลสถานที่มีมหรสพทุก *1 แห่ง ด้วยมุ่งหมาย

ที่จะใทัเกิดข่าวแพว'ไปถึงราชสำนักวิเทหราชใทัจงได้
๕. การโฆษณา ด้องกระทำเช่นเดียวกับที่ได้กระทำในแว่นแคว้นของเรา คือยามดึกใทัข้บ
ล่านำบนต้นไมัสูง *1 แลัวปล่อยนกที่ผูกกระดึงไว้ท,ี คอไปในเวลาใกลัรุ่ง เพื่อใทัปวะชาชนชาวมิชิลาเห็น

ความว่า แมัเทวดาก็พากันข้บล่านำนั้น

๖. ค่าใซัจ่ายฉันจะมอบใทัจนพอเพียง
“ดามที่ฉันได้ล่าหนดมอบหมายอังนิ่ พวกท่านคงไม่มีที'สงสัยอะไร ขอใทัทุก *1 ท่านดั้งใจ
ปฏิบัติ เพื่อความดีงามแก่ฉันเป็นส่วนอัว และเพื่อความดีงามแก่แว่นแคว้นแดนดินของเราเชิด”
“ขอเดชะ พระบารมีเป็นที่ลันพ้น ข้าพระพุทธเจัาทั้งหลาย ขอถวายสัตย์ปฏิญาณที่จะร่วมกัน
ปฏิน้ติพระราชกิจใทัสำเร็จผล อังที่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปรารถนาทุกประกาว” คณะนักกาพย์กราบ

บังคมทูลร้บรองแลัว ถวายบังคมลากลับมาเตรียมการเดินทางไปสู่มิชิลานคร
คณะนักกาพย์เดินทางวอนแรมมา พักบัานใดดำบลใดก็พากันขับล่านำกาพย์พรรณนารูปสมบัติ
ของพระธิดาบัญจาลจันทีและแถมด้วยบทที่กล่าวถึงวิเทหราชว่า คู่ควรที่จะเป็นพระราชสวามีของพระ-

kalyanamitra.org
๓๗๔

ราชธิดานั้น ลำนำกาพย์ได้แทรกซ็มสีงจิดใจของประชาชนทุก *1 บัานทุก *1 ดำบลที่ผ่านมา จนกระทั่ง


เข้าสู่มิถิลานครก็ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระอธิราช ตามมณฑลสถานที่มีมหรสพ หรึอในบางครั้ง
ก็เปิดการบรรเลงชื้น ขับลำนำกาพย์น้อมนำประชาชนชาวมิชิลาให้หลงใหลใฝ่ฝันในลำนำกาพย์ จนกระทั่ง

ทุกแถวทุกตรอกระบือไปด้วยเสียงเพรียกแห่งลำนำ
มิชิลานครกระฉ่อนด้วยเสียงกาพย์ชันยอพระรูปพระโฉมของพระนางป็ญจาลร้นที ประชาชน
ต่างถูกมนต์คือความสวยงามมัดดวงใจ และชังถูกกระแสความปลาบปลื้มดึ่มดํ่าในลำนำ ตอนที่กล่าวถึง
ผู้ที่คู่ควรกับพระนาง คือพระราชาของตนท่วมท้นด้นหัวใจ ยิ่งกว่านั้นในตอนดึกชังได้ยินเสียงกังวานแว่ว
ของลำนำ จะเจื้อยแร้วอยู่ ณ ที่สูง ครั้นจวนรุ่งก็ได้ยินเสียงกระดึงลอยไปในฟากท้า ต่างพากันสำคัญ
“มิใช่แต่มนุษย์เท่านั้นที่กล่าวเกรินเยินยอพระรูปพระโฉมของพระนางบัญจาลขันที แมัแต่เทวดาก็พากัน
ขับลำนำยอพระโฉมเช่นเดียวกัน” ต่างคนต่างเห็นเป็นมหัศจรรย์เลื่องลือโจษขานกันตลอดเมือง
ไม่นานเท่าไร ข่าวลือนั้นก็แพร่ไปถึงราชสำนักพระเร้าวิเทหราช ทรงสดับข่าวชันเกรียวกราวนั้น
มีพระกระแสรับสั่งให้เรียกคณะกาพย์เข้าเฝ็า
คณะนักกาพย์พากันดีใจที,ภารกิจของพวกตนใกลับรรลุท,ี มุ่งหมายแลัว ต่างพากันเช้าเฝ็าถวาย

บังคม ณ ท้องพระโรง
“พวกท่านเป็นชาวเมืองไหน?” พระราชดำรัสของพระเร้าวิเทหราชตรัสลามคณะนักกาพย์
“ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงพระคุณชันยิ่งใหญ่ พวกช้าพระพุทธเร้าเป็นชาวปัญจาละพระพุทธเร้าข้า”

พากันกราบบังคมทูล
“บัญจาละเคยยกกองทัพมาด้อมเรา พวกท่านไม่รัหรือ?” ตรัสซัก
“ทราบด้วยเกด้าๆ อยู่พระพุทธเร้าข้า” กราบทูลรับ “แต่พวกข้าพระพุทธเร้าเป็นกวี มิได้ศึกษา
ในทางรบราฆ่าทัน ดังนั้น ความรัเรื่องสงครามก็เป็นเช่นชาวเมืองผู้หนึ่ง เพราะความเป็นกวีกับความ
เป็นนักรบมิได้เดินร่วมทางกัน อารมณ์แห่งกวีเป็นอย่างหนึ่ง อารมณ์ของนักรบเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น
จึงมีแต่ส่วนร่วมรัเท่านั้น พวกช้าพระพุทธเร้ามีกังวลอยู่แต่เรื่องกาพย์กลอน และการขับลำนำเท่านั้น

ซีวิตจิตใจของกวีฝากไร้ในกาพย์กลอน มิได้ฝากไร้ในสนามรบพระพุทธเร้าช้า”
“ลองขับลำนำของพวกท่านให้เราทังสักหน่อยซี”
คณะกาพย์ถวายบังคม แลัวขับลำนำกาพย์ดังกล่าวนั้นถวาย จบลงแลัร ก็ถูกพระดำรัสถาม
“เป็นความจริงหรือที่จุลนีจะใหัลูกสาวเรา?”
“ขอเดชะ ความช้อนึ่โจษขานกันเป็นชันมากในบัญจาลนคร ข้าพระพุทธเร้าได้ทราบด้วยเกด้าๆ
ว่าพระอธิราชจุลนีมีพระประสงค์เช่นนั้น บัดนึ่ทั่วนครบัญจาละ ประชาชนจะพากันขับลำนํ้านึ่อย่างชื้นใจ
เพราะลำนำนึ่แผ่ไปทั่วแคร้นกัปปิละ แม้แต่เทพเร้าก็พ่ากันขับลำนำนื้ ซ็งชาวบัญจาละจะลำหนดว่าเป็น
ศุภนิมิต และเป็นประกาศิตจากฟากท้า พากันซืนชมเป็นที่ยิ่ง แม้ในพระมหานครมิลิลา ข้าพระพุทธเร้า
ทั้งมวลก็ได้ทราบด้วยเกลัาๆ ว่าเทพเร้าก็ชวนกันขับลำนำกาพย์นึ่เช่นเดียวกัน ข้าพระพุทธเร้าทั้งมวลลิด

kalyanamitra.org
ธา๗๕

ด้วยเกลัาๆ ว่าเป็นศุภมงคลยันยิ่งลันที่ได้เป็นผู้บรรเลงกาพย์ทั้งนํ๋ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพิจารณา

เถิดพระพุทธเด้าข้า”
ทรงสดับคำกราบบังคมทูลของคณะนักกาพย์แต้ว โปรดเป็นที่ยิ่ง พระราชทานทรัพย์แก่คณะ

นักกาพย์เป็นยันมาก
คณะนักกาพย์พากันกราบถวายบังคมลา และชัดแจงเดินทางกลับไปบัญจาลนคร เพี่อกราบ

บังคมทูลประพฤติเหดุแด่พระอธิราชจุลนีสืบไป

kalyanamitra.org
๕๓. ราชทตเกวํฏ
คณะนักขับลำนำกลับถึงบัญจาลนครแล้ว พากันเข้าเสากราบบังคมทูลถวายรายงานแด'พระ-
อธิราชจุลนีดามที่พวกตนได้ปฏิบัติไป ได้รับผลเป็นที่สมพระราชประสงต็ทุกประการ
“ดีจริง พ่อคุณทั้งหลาย” พระอธิราชตรัสชม “วิเทหราชยินดีมากหรือที่ได้รับข่าวว่าเราจะ

ให้ธิดา”
“ขอเดชะ ทรงยินดีเป็นอันมากทีเดียวพระพุทธเด้าข้า” คณะขับลำนำกราบทูล “โปรดพระ-

ราชทานพระราชทรัพย์แก่พวกข้าพระพุทธเด้ามากมาย พวกข้าพระพุทธเด้าคิดด้วยเกล้าๆ ว่า พระเจัา-


วิเทหราชคงจะได้ตั้งพ่ระหฤทัยในเรื่องนื้อยู่ก่อนแล้วก็ได้พระพุทธเด้าข้า”

“อย่างนั้นหรือ ดีแลัว บัญจาละกับวิเทหะจักได้สมัครสมานสามัคดีรสกันสืบไป อาณาประ-


ชาราษฎรในพระนครทั้งสองจักได้มีไตรีต่อกัน ปราศจากการจองเวรจองกรรมกันสืบไป” ตรัสพลาง
พระราโชบาย “พ่อคุณทั้งหลายพากันปฏิน์ตกิจที่ได้รับมอบสำเร็จด้วยดี ฉันยินดีมากขอขอบใจทุกคน

พากันไปยังบ้านเรือนของท่านเถิด”
เมื่อคณะนักขับลำนำถวายบังคมลา พากันออกจากที่เสาไปแล้ว เกวัฎกราบบังคมทูล “ขอเดชะ

พระมหากรุณาปกเกล้าๆ บัดนื้เห็นด้วยเกล้าๆ ว่า ข้าพระพุทธเด้าควรเดินทางไปสู่ราชสำนักแห่งวิเทหราช

ก่อนเพึ่อกะวันพระราชอาวามงคลพระพุทธเด้าข้า”
“ดีทีเดียวท่านอาจารย์” ตรัสด้วยสนพระทัย “ฉันกำลังจะพูดกับท่านอาจารย์อยู่แล้ว ในเรื่องที่

จะให้เป็นราชทูตไปยังราชสำนักมีถิลา เพราะใครก็ไม่เหมาะเท่ากับท่านอาจารย์ แด่ท่านอาจารย์ไม่ด้องการ

สิงใดไปบ้างหรือ?”

“บรรณาการสักเล็กนัอยก็พอพระพุทธเจัาช้า”
“ตองการอะไรบ้างก็จัดแจงบอกไปเถิด ท่านอาจารย์” ตรัสมอบภาระให้เต็มที่

เกวัฎกราบถวายบังคมลาออกจากพระราชสำนัก จัดหาเครื่องราชบรรณาการของมีค่าเล็กนัอย
พอไมให้เสียธรรมเนียมการเจริญลันถวไมตรี เพราะคิดว่า “การไปครั้งนํ๋ ตนจะเป็นผู้นำนารีรัตน์ไปถวาย

เพียงเท่านั้นก็มีค่าหนักหนาอยู่แล้ว จะด้องสรรเครื่องราชบรรณาการไปให้มากก็ปวยการ ” ครั้นแลัวก็

คัดเลึอกบริวารเป็นขบวนใหญ่ ออกเดินทางจากบัญจาลนครรอนแรมไปโดยลำคับ

ขบวนของราชทูตเกวัฎยังไม่ทันจะย่างเช้าสู่พรมแดนวิเทหรัจ ข่าวก็เอิกเกริกเกรียวกราวกัน
ทั่วไปในมีถิลานคร เสียงประชาชนชาวมิถิลานครโจษจันกันเซ็งแซ่

kalyanamitra.org
“ข่าวว่าพระเว้าจุลนืกับพระเว้าวิเทหราชของเราจะทวงกระทำสันถวไมตรีกัน”

เสียงกลุ่มชนพูดกัน บางคนก็เอ่ยเป็นเชิงฉงน
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ พระเว้าจุลนืเคยยกกองทัพมาลัอมเมืองมีถิลาของเราไว้ เล่นเอาพวกเรา
อกสั่นขวัญหายไปตามกัน ไฉนจะมาคิดเป็นไมตรีกับพระเว้าเหนือหัวของเรา”

“ก็น่าฉงนอยู่เหมือนกัน” เสียงคด้อยตามและวิพากษ์ “จะเป็นเพราะเห็นว่าบ้านเมืองเรา

ท่านผู้สำเรีจราชการมไหลถจัตแจงป้องกันเป็นอันดี มีความเข้มแข็งแกร่งกลัา สามารถขับไล่กองทัพ


ของบ้ญจาลนครอันมากมายนั้นเหมือนเอากัอนดินขว้างกา ขืนเป็นสัตรูกับบ้านเมืองของเราก็จะไม่ดี จึง
คิดผูกไมตรีไว้ก่อนเป็นการลบด้างอาฆาตในนํ้าใจของชาวแคว้นมิใหัมีความขุ่นหมอง ซึ่งจะเป็นเหตุใหั

กองทัพมิถิลายํ่าแดนบ้ญจาลนครเข้าบ้างใครจะไปรั น่าจะเกรงอย่างนึ่แหละจึงชิงเป็นไมตรีเสียก่อน”

“ก็มีเหตุผลน่าทังไม่น้อย” เสียงสนับสนุน “เมิ่อเป็นไมตรีกันแลัวถึงท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถ


จะมีความคิดในการที่จะชิงชัยกับบ้ญจาลนครอยู่ก็เป็นการยาก หากกระทำลงไปก็เท่ากับเป็นผู้เกะกะระราน

ไมตรีนึ่แหละเป็นปราการยั่แดินแดนได้ดีไม่มีอะไรส้ทเดียว พระเว้าจุลนืทรงดำเนินพระกุศโลบายหลักแหลม

อยู”่
“ดูเหมือนว่าพระเว้าจุลนืทรงตกลงพระทัยยกพระราชธิดาถวายแด่พระเว้าเหนือหัวของเรา
ทึเดียวนา” เสียงแสดงชิงความสอดส่องความเคลิ่อนไหว “และเวลานึ่ก็ได้ทรฺาบข่าวว่า ท่านเกวัฏราช

ปุโรหิตาจารย์ของบ้ญจาลนครกำลังเดินทางมาในตำแหน่งทูต เพี่อกะวันที่พระเว้าเหนือหัวของเราจะ

เสดีจพระราชตำเนินไปรับพระราชกุมารี”
“นั่นปะไรล่ะ พระเว้าจุลนืมีพระประสงค์จะลบด้างรอยรัาวที่ได้ทรงกระทำแก่มิถิลานคร

สตรีเป็นหัวใจแห่งวิสัยโลกแก่กันแด้ว ความหมองหมางระหว่างแคว้นก็เป็นอันหมดไป” เสียงวิจารณ์ต่อ


“แต่กังอดที่จะเป็นห่วงมิได้ถึงพระแม่เหนือเกลัาๆ ของชาวเรา จะทรงทุกข์โทมนัสประการใดหรือไม่

เพราะความทุกข์ของสตรีในโลกไม่มีอะไรทุกข์รัอนยิ่งกว่ามีสตรีอื่นมาร่วมสามี พระแม่เหนือเกลัาของ

ชาวเราจะทรงรัดึกอย่างไรด้าการได้เป็นไปเช่นนั้น”

“ไม่น่าจะด้องเป็นห่วง” เสียงขัดจังหวะ “พระแม่เหนือเกลัาฯ ของชาวเรา ทรงมีพระปรีชา


ฉลาดเป็นยอดหญิงของมิ่งเมือง พระนางย่อมจะทรงเห็นประโยชน์อันไพบูลย์ยิ่งกว่าที่จะเห็นแก่ประโยชน์

ส่วนพระองค์ เป็นการแน่เหลึอเกินที่พระปรีชาญาณของพระแม่เหนือเกด้าๆ จะได้ทรงหยั่งถึงพฤติการณ์

แห่งพระราชบัลลังก์วิเทหรัฐยิ่งกว่าตำแหน่งเอกอัครมเหสีเหตุใดหรือ? ชาวเราคงจะเห็นได้แด้วว่าพระ-

แม่เหนือเกลัาๆ ของชาวเรานั้น แม้ทรงสิรีเป็นมิ่งบ้านขวัญเมือง แต่พระนางก็มิได้ประทานพระโอรส

หรือพระธิดาแก่ชาวเราสั่กพระองค์เดียว ระยะกาลที่ทรงดำรงตำแหน่งอัครมเหสีก็นานกว่า ๑๐ ปีแลัว


พระแม่เหนือเกลัาๆ ย่อมจะทรงตระหนักในข้อนึ่ดีอยู่แลัว ไม่น่าที่ชาวเราต้องเป็นห่วง”

“อนึ่งเล่า อันสดรีผู้มีปรีชามุ่งความสุขและประโยชน์ในซ็วิตแห่งคู่ครองของตน มีความรักภักดี


ต่อสามี เห็นความสุขของสามีเป็นความสุขของตนอย่างแท้จริงนั้น ย่อมมีใจมุ่งมาดปรารถนาที่จะหาความสุข

kalyanamitra.org
๓๗๘

มาให้แก่สามีทุกวิถีทาง เพราะความสุขของสามีเท่านั้นเป็นสิงที่นางปรารถนา เมื่อสามีจะมีความสุขได้

ด้วยทางใด นางย่อมไม่ขัดขวางหนทางนั้น และนางย่อมตระหนักได้ว่า ทางที่ทำให้สามีมีความสุขนั้น


เป็นวิถีที่หลั่งไหลมาแห่งความสุขของนางด้วย เหมือนมารดาที่มีบุตรคนเดียวเป็นที่สุดสวาทขาดใจ ทางใด

ที่ลูกจะมีความสุข ทางนั้นมารดามิได้ขัดขวาง เพราะความสุขของลูกเท่านั้นเป็นความชี่นใจของแม่ ฉันใด

ฉันนั้น”
“เพื่อนกล่าวซัดเจนดี” หลายเสียงพลอยชี่นชมเห็นจริงด้วยตามที่เพื่อนแถลงนั้น

“กันก็กล่าวตามเรื่องที่เคยได้สดับตรับทังมา” ออกตัว “ในโบราณสมัยก็เคยปรากฎการณ์


ทำนองนํ่มาแล้ว สมัยเมื่อพระเด้าสุรุจิมหาราชทรงครองมิชิลานิ่แหละ พระมเหสีมีพระนามว่า พระนาง

สุเมธใ ก่อนจะมาเป็นมเหสี ทรงคาดคั้นให้พระเด้าสุรุจทรงริ'กแต่พระนางองค์เดียว ครั้นต่อมาพระนาง

ไม่สามารถประทานพระโอรสเป็นรัชทายาทได้ พระนางก็ทรงจัดแจงคัดเลือกสตรีสาวถวายพระสามี
เป็นอันมาก เห็นจะด้วยผลานิสงส์นั้นก็ได้ ต่อมาพระนางได้พระโอรสเป็นทีชี่นชมของชาวแคว้นเป็นอันมาก
เรื่องนั้เข้าใจว่าพระแม่เหนิอเกล้าๆ ของชาวเราคงจะทรงทราบ แต่พระนางไม่ทรงด้าเนินการเช่นเดียวกับ

พระนางสุเมธา เพราะฐานะของพระแม่เหนือเกล้าๆ มิได้ทรงอุบ้ติในขัตติยสกุลเท่านั้นเอง”


มหาชนชาวมิถิลานครต่างกล่าวเกริ่นถึงข่าวคราวที่เกวัฎเดินทางมาอย่างเกรียวกราว พรัอมกับ

วิพากษ์วิจารณ์กันตามประสาผู้มีความจงรักภักดีในเด้านายของตน จนทรงทราบถึงพระเจัาวิเทหราช

และทรงทราบถึงท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถ
ท่านผู้สำเร็จราชการได้ทราบข่าวนั้นแล้ว เกิดวิตกหนัก “เกวัฎเป็นทูตมากะวันอาวาหมงคล
เป็นไปได้อย่างไร ไม่น่าเชี่อเลย ไม่น่าเป็นไปได้ การมาของเกวัฎคราวนไม่ถูกไจเราเลย จะมีเบื้องหลัง
อย่างไรด้องหาทางวัความจริงให้จงได้” ดำริแล้วส่งข่าวไปถึงบุรุษแฝงที่ประจำราชสำนักของพระเด้าจุลนึ

ทันที
“ให้สืบเรื่องที'พระเจัาจุลนืจะถวายพระราชธิดาแด่พระเด้าวิเทหราชให้ทราบความแน่นอน

ว่าความจริงเป็นอย่างไรกัน แล้วล่งข่าวให้ข้าพเด้าทราบโดยเร็ว”
ได้รับตอบจากบุรุษแฝงนั้นก่อนเกวัฎเดินทางถึงมิถิลาว่า

“ขอประทานกราบเรียน ๆพณๆ ท่านได้ทราบ


กระผมได้พยายามสืบสวนเรื่องนั้อยู่นาน ไม่ทราบความแน่นอนถึงเรื่องนั้นเลย ทราบแต่ว่า

พระเด้าจุลนิกับเกวัฏปรึกษากันในห้องบรรทม นางนกสาลิกาที่เฝืาห้องบรรทมของพระเจัาจุลนืน่าจะ

ทราบความติดเรื่องนั”้

ท่านผู้สำเร็จราชการได้รับคำตอบดังนั้นแล้วดำริว่า “ความแน่นอนของเรื่องนั้นด้องระงับไว้ก่อน
บัดนั้เกวัฎเดินทางมาใกลัจะถึงมิถิลานครอยู่แล้ว จำด้องติดอ่านอย่าให้เกวัฎได้เห็นการจัดการเตรียมใน
บัานเมืองของเราได้ เพราะล้าเห็นแล้วจักเป็นโอกาสให้ติดยํ่ายีเรา”

ท่านดำเนินการตามความติดทันที โดยดำเนินการดังน

kalyanamitra.org
ระยะทางที่กำหนดให้'เกวัฎเดินนั้น คิอจากประตูเมืองถึงเคหาสน์ของท่าน นอกนั้นไม่ยอม
ให้ผ่าน ซึ่งเกวัฎก็ไม่มีธุระที่จะผ่าน
สองข้างทางดังกล่าวกั้นเป็นฉนวนตลอด คึอเอาเสื่อล่าแพนท่าเป็นแผงบังทั้งสองข้าง แบั
เบื้องบนก็กั้นล่าแพน เขียนลวดลายวิจิตรตระการตาดลอดหมด ที่แผ่นดินให้โปรยดอกไมื ตั้งหมือนี่าไวิ

เป็นระยะ *1 บักด้นกลัวยเป็นแถวเรียงราย และบักธงปลิวไสวตลอดทาง


กิจการด่าง *1 ที่จัดนี่เป็นท่านองด้อนรับราชทูต แด่ความจริงเพื่อพรางมิให้เห็นกาวจัดเตรียม

บ้านเมือง
เกวัฎราชทูตเดินทางมาถึงพระนครมิถิลาแลัวคงพักอยู่ ณ ศาลาพักแขกเมืองภายนอกพระ-
มหานคร เพื่อรอกำหนดนัดหมายในการที่จะเช้าถวายบังคมพระเจัาวิเทหราช ครั้นถึงกำหนดวันเข้าเฝืา
เกวัฎจึงได้เหยียบย่างเข้าส่มิถิลานคร ได้พบเห็นราชวัติฉัตรธงและฉนวนที่ท่าไวั ก็ดิดปีติชินดี “นี่พระ-
เจัาวิเทหราชทรงรับสั่งให้ประดับประดาเป็นการด้อนรับเรา ทรงให้เกึยรติแก่เราอย่างสูง” และในส่วนลึก
ของหัวใจเกวัฎนั้นยังแฝงความคิดอันแยบยลไวั “วิเทหราชตกหลุมเราแน่ วิเทหราชด้องเขมือบเหยื่อของเรา
เป็นแน่” แด่อย่างไรก็ตามเกวัฏไม่ทราบเลยว่า “การด้อนรับนั้น *1 ท่านผู้สำเร็จวาชการมโหสถจัด และ
จัดเพื่อมิให้เกวัฎเห็นการในบ้านเมือง”
เกวัฏเดินด้วยท่าทางอันภาคภูมิ วางสง่าสมกับต้าแหน่งทูต ผู้ที่สามารถจะท่าให้พระราชกิจ
ของพระราชาทั้งสองสำเร็จลงด้วยดี ผ่านตามระยะทางที่กำหนดให้ด้วยความรัสึกว่า “วิเทหวาชด้อนรับ
เราอย่างมโหฬาร” เข้าสู่ที่เฝ็า ถวายบังคมแลัวทูลเกลัาๆ ถวายเครื่องบรรณาการของพระเจัาจุลน็ กราบ

ถวายบังคมทูลถวายพระพรชัยเสร็จแลัว นั่ง ณ อาสนะที่จัดไวัรับรอง


สมเด็จพระเจัาวิเทหราชทรงพระราชปฏิสันถาร “เรามีความยินดีเป็นอย่างยื่งที่พระราชาของ

ท่านทรงเล็งเห็นประโยชน์แห่งไมตรีธรรม ได้ทรงส่งท่านมาเป็นราชทูต เราขอต้อนรับท่านผู้เป็นทูตไมตรี


หากท่านมีปรารถนาจะแถลงเหตุการณ์อันใดที่ท่านได้รับมอบหมายมาจากพระราชาของท่าน ก็เชิญท่าน

แถลงตามความปรารถนาเถิด”
เกวัฎได้สดับพระราชดำรัสประทานโอกาส ก็แถลงถึงเหตุที่ตนได้มาสู่ราชสำนักต่อไปนี่

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาปกกระหม่อม พระราชาของข้าพระพุทธเจัามี


พระประสงค์จะทรงกระท่าลันถวไมตรีกับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทวงประกาศพระราชประสงค์ด้วย
ทรงมอบรัตนะนานาชนิด พรัอมทั้งพระราชธิดาของพระองค์ผู้ทรงเป็นสตรีรัตน์ ให้ข้าพระพุทธเจัา

นัอมนำมาทูลเกลัาๆ ถวายแด่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจัาขอกราบบังคมทูลพระกรุณาถึง


ความหวังด้วยเกด้าด้วยกระหม่อมว่า ข็าเดิมแด่บัดนี่เป็นด้นไป ทูตแห่งพระนครทั้งสองผู้มีอัธยาลัยละมุน
ละม่อม เจรจาด้อยดำนำให้ดื่มใจ คงผลัดกันมาผลัดกันไป และจะด่างเจรจากันลัวนแด่ด้อยดำที่สละ
สลวยชวนชิน พระนครทั้งสองดีอ พระนครบัญจาละและพระนครมิถิลา ดงเป็นอันหนี่งอันเดียวกัน
เสมือนนี่าในแม่นี่าคงคาไหลไปร่วมกับนี่าในแม่นี่ายมุนา กลมกลึนกันเป็นอันเดียวกันพระพุทธเจัาข้า”

kalyanamitra.org
๓๘๐

ครั้นได้กราบทูลแถลงเหตุที่ตนเดินทางมาด้วยพระราชประสงด็ของพระราช!จุลนึแล้ว ก็เลย

กวาบทูลแจงเรื่องอันเนื่องด้วยอุบายของตนสึบไป
“ขอเดชะ พระบาวมีเป็นที่ไหญยง พระราชาของช้าพระพุทธเจัาแย้จะมีพระราชประสงด็

จะทวงส่งท่านมหาอำมาตย์ผู้มื่นมาสู่พระราชสำนักของได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แต่ทวงเกรงว่าจะไม่
สามารถกราบทูลแจังข่าวให้เป็นที่พอพระทัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ จึงมีพระราชดำรัสส่งช้า

พระพุทธเด้ามาด้วยพระราชบัญชา ‘ท่านอาจารย์เชิญท่านไปหน่อยเชิด ช่วยกราบทูลซีแจงให้พระเด้า-


วิเทหราชทรงเข้าพระทัยเป็นอันดี แล้วกราบทูลเชิญเสด็จพระองด็มาสู่บัญจาลนครนื่เชิด’”

“ข้าแต่ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ในนามแห่งพระเจ้าจุลนีราชาแห่งบัญจาละ
ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบบังคมทูลเชิญ ณ บัดนื่ เชิญได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จไปเถิด ใต้ฝ่าละออง-
ธุลีพระบาทจักทรงได้พระราชกุมารี ผู้ทรงพระรูปพระโฉมงดงามเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสันถวไมตรีระหว่าง

ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกับพระราชาของช้าพระพุทธเจ้าจักดำรงมั่นคงยืนนานพระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำกราบบังคมทูลของเกวัฎแล้ว ทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง และ

ทรงเคลิบเคลั้มไปตามต้อยคำอันตรึงพระหทัย ทรงดีดพระทัยในการที่จะได้พระราชกุมารี พระดำริ

“เราต้องได้ราชกุมารีผู้ทรงรูปโฉมสวยส1ด” ได้ประทับแน่นในพระหทัย ทรงระงับพระปิดิในพระหทัย


ได้แล้วตรัสกับเกวัฎว่า “ท่านอาจารย์ ดูเหมือนพ่อมโหสถบัณฑิตเคยวิวาทกันในคราวธรรมยุทธ์กัน เชิญ

ท่านอาจารย์ไปหน่อยเชิด ไปเยี่ยมลูกของฉันลักหน่อย ทั้งคู่เป็นบัณฑิตด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างขอษมากันแต้ว


ปรึกษาหารือกันดูเป็นที่เรียบรัอยแล้วท่านอาจารย์ค่อยมาเชิด”

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าๆ ข้าพระพุทธเจ้าดำริด้วยเกล้าฯ อยู่ว่า จักด้องไป


พบพ่อบัณฑิตใท้ได้พระพุทธเจ้าข้า” กราบทูลด้วยแสรังยินดีที่จะไปพบ “ช้าพระพุทธเจ้าปรารถนาเป็น

อย่างยิ่งที่จะลบล้างความหลังอันไม่แจ่มใสนั้นเสีย แล้วสรัางความสดใสสำหรับอนาคตแห่งพระนครทั้ง

สองสืบไปซัวกาลนาน ในเมื่อถมความรัายเสียเต้าศอก ชักความดีออกมาเต้าวา ลันถวไมตรีของสองพระ-

นครก็จะยืนนานเป็นแน่นอนพระพุทธเจ้าช้า ”
“ถูกต้องแล้วท่านอาจารย์” มีพระดำรัสด้วยทรงชินชอบ
เกวัฎกราบบังคมลาออกมาจากที่เฝ็า และเดินทางไปพนกับท่านผู้สำเร็จราชการต่อไป
ท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถทราบกำหนดที่เกวัฎจะมาพบอยู่แล้วดำริในใจว่า “เราไม่น่าจะ

ต้องสนทนากับเกวัฏผู้มีลันดานบาปเลย เพียงการพบเห็นคนเลว กุ ลันดานเป็นพาลก็ไม่ควรอยู่แล้ว แต่


เมื่อจำเป็นต้องพบก็อย่าพูดเสียดิกว่า” ด้วยดำรินั้นท่านจำต้องบัญชาการให้ผู้ที่รับใชัปฏิบัติการเพื้อต้อนรับ

เกวัฎ อย่างที่ซ็งแย้เกวัฏเองก็ไม่รู'ความหมายนั้นคือ
ในห้องที่จัดเป็นห้องต้อนรับท่านราชทูตผู้สูงคักดํ่แห่งปัญจาลนครเป็นห้องโถง ฉาบโคมัย

(ขั้วัว) เสียหนาเตอะทั้งพื้น ทั้งฝา ดามเสาทุก กุ เสาทานํ้ามันเสียหมด กลางห้องนั้นมีเตียงผ้าสำหรับ

ท่านผู้สำเร็จราชการนอนพักเตียงเดียวเท่านั้น ไม่มีที่นั้งที่พิงไวัเผื่อใคร กุ อีก หมายความว่า เช้าไปหา

kalyanamitra.org
๓๘๑

ท่านผู้สำเร็จราชการแด้วหาที่นั่งไม่ได้เลย ด้องซีนแซ่วทีเดียว มิหน์าซํ้าท่านยังกำซับกำชาบรรดาผู้วับใซั


ที'กำหนดให้อยู่ใกลัชิดไว้อีกด้วยว่า

“ด้าเห็นเกวัฏเช้ามาหาแลัวขยับปากจะพูดกับฉันละก็ พวกเธอคอยห้ามเขาไว้ ‘ท่านพราหมณ์


ท่านอย่าพยายามพูดกับท่านบัณฑิต วันนี่ท่านบัณฑิตดื่มเนยใสเข้าไปแลัว’ และกัาเห็นฉันขยับปากจะ
พูดกับเกวัฎก็เหมึอนกัน พวกเธอพึงคอยท้ามว่า ‘ได้เท้าดื่มเนยใสอย่างแรง อย่าพูดเลยขอวับกระผม’”
นอกจากนั่ ตามซัมประตูทั้ง ๗ ซัมยังวางยามไว้ทุก *1 ซัม เพื่อด้อนวับเกวัฎผู้เลอเกียรติ เป็น

การด้อนวับซังเกวัฎเป็นเดีอดเป็นแคันยิงนัก
เพื่อให้เป็นที่ถูกพระท้ยของพระเว้าวิเทหราช และสังเกตตูลาดเลาท่าทีของท่านผู้สำเร็จราชการ
มโหสถ ทั้งเป็นการรักษาขนบธรรมเนียมของผู้เป็นทูต เกวัฎออกจากที่เฝ็าแลัวก็ยกขบวนไปยังเคหาสน์
ของท่านผู้สำเร็จราชการทันที ซังระหว่างทางที่เกวัฏเดินจากพระราชวังจนถึงเคหาสนันั้นคงเป็นเช่นเดียวกับ

จากประตูพระนครถึงพระราชวัง เกวัฎไม่มีโอกาสได้พบเห็นการจัดแจงบัานเมืองของท่านผู้สำเร็จราชการ
ได้เลย จนกระทั่งอึงประตูเคหาสน์ซันที 9
“นี่ท่านบัณฑิตอยู่ที่ไหน?” เกวัฎถามยามประตูซันแรก “จะพบได้อย่างไร”

“ท่านพราหมณ์อย่าส่งเสียงไปนะ” ยามประตูบอกด้วยสำเนียงซังไม่เห็นความสำคัญของ
ราชทูตเกวัฎ “แม้นว่าท่านด้องการจะมาพบท่านบัณฑิต ด้องนิ่งอย่าพูดจาว่าขานอะไรเป็นอันขาด วันนี่

ท่านบัณฑิตดื่มเนยใสอย่างแรง ท่านจะพูดเสียงดังไม่ได้นะ”
เกวัฎผ่านประตูซันแรกเข้าไปด้วยความอัดอั้นด้นใจ และได้วับคำเดีอนทำนองเดียวกันจากยาม
ประตูอีก ๖ ซัน พอผ่านช์นที่ ๗ เกวัฎก็พบท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถนุ่งม้าแดงนอนอยู่บนเดียงม้า
ในห้องนั้นจะหาที่นั่งไม่ได้ด้งกล่าวแลัว เกวัฎด้องเข้าไปยืนแช่วอยู่ใกลั ๆ ท่านผู้สำเร็จราชการ

พอเห็นเกวัฎมาใกลั ท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถก็ขยับท่าทำทีจะทักทายปราศวัย แต่พวกบุรุษ


ที่ได้วับบัญชาพากันห้ามไว้ “ใด้เท้ากรุณาอย่าพูดขอวับกระผม ใด้เท้าดื่มสัปปิอย่างแรงเข้าไป ใด้เท้าจะ
ด้องพูดกับพราหมณ์เลว *] คนนี่เพื่อด้องการอะไร”
เกวัฎไปหาท่านผู้สำเร็จ จะนั่งก็ไม่ได้ แม้แต่จะยืนก็ยังไม่ได้วับความสะดวกเพราะด้องเหยิยบ
ขั๊วัวสด *1 ยืนแกร่วตลอดเวลา จะพูดอะไรก็ไม่ได้ เป็นภาวะที่เกวัฎอึดอัดอย่างชิ,ง จะนั่งก็ไม่มีที่นั่ง ยืน
เล่าก็เหซียบขื้วัว จะเอ่ยพูดก็ถูกกำซับมาแลัว หมดท่าก็ต้องซีนดีหนัาซังแม้แต่ช่างป็นฟิมือเยี่ยมก็ยากที่

จะป็นให้เหมือนได้
บรรดาบุรุษของท่านผู้สำเร็จราชการซังอยู่ ณ ที,นั้นพากันมองเกวัฎผู้กำลังผะอึดผะอมเป็น
อย่างยิ่ง พอเกวัฎสบตาคนหนึ่งเช้าก็โดนถลึงตาและมีเย้ยในที ครั้นหลบจากตู่ที่กำลังมองเยัยไปก็พบนัยน์ตา
อีกตู่หนึ่ง ซังดงมีแววเยัยและยังแถมยักคิ้วให้เสียอีกด้วย หลบไปอีกคราวนี่พบท่าทางแสดงความตูหมิ่น
อย่างรุนแรง คึอการเงื้อศอกเป็นท่าจะถอง หลบไปตูหมู่อึ่นก็พบกำ!]นบัางพบกับเท้าที่ขยับเป็นท่าจะเตะ

ปัาง ท่าจะถึบบัาง มีต่าง *1 ท่า ไม่ว่าเกวัฎจะเหลียวมองไปทางไหน เป็นต้องพบท่าทางซังกัาเปันคน

kalyanamitra.org
ซา๘๒

ของเกวัฎกระทำแลัวก็เป็นเรื่องถึงคอขาดบาดตายทึเดียว
เกวัฎเท้นท่าทียันประกาศความเย้ยหยันของคนเหล่านั้นแลัว แสนจะเดือดดาล ถึงจะเดือด

ดาลปานใดก็ไม่สามารถจะระบายความโกรธของตนออกมาได้ เลยกลายเป็นเย้อเป็นเคอะไม่เจะวางท่า
อย่างไร ท่าทางแห่งทูตอ้นภูมิฐานของเกวัฎ ถูกอาการเย้ยหยันเหล่านั้นเรียกเอาออกไปจากตนเสยหมดแย้ไ
สุดที,จะทนทานก็เอ่ยปากว่า “ข้าพเจ้าไปละท่านบัณฑิต”

“ไอ้คัวย้าย ไอ้พราหมณ์วะยำ” เสยงพวกนั้นดวาด “แกอย่าเอ็ดนะ ย้าขึนมีเสยงพวกเราจะ

บดกระดูกแกเสย”
เกวัฎสะด้ง ประหลาดใจอย่างยิ่ง เสยงของดนนั้นดูเหมือนจะเบากว่าเสยงของพวกนั้นมากมายนัก

แต่ทำไมชิงเอ่ยไม่ได้ และทำไมพวกนั้นชิงเอ่ยได้ เป็นความประหลาดซีงเกวัฎไม่ย้จะดีดอ่านอย่างไร


เลยห้นหลังกลับไปอย่างไม่ปรารถนาจะย้ว่าเบืองหลังของตนนั้นมีอะไรอยู่บ้างทีเดียว แต่เพราะเกวัฎไป
ละเมิดคำยำซับของยามประดูทุก *1 ชัน ดือบอกให้นิ่งแลัวไม่นิ่ง ด้งนั้นจึงโดนเฆี่ยนบ้าง โดนทุบบ้าง

โดนคำคอบ้าง โดยฟิมึอของยามประตูทุก *1 ชัน จนพ้นจากเคหาสน์


เกวัฎย้ฉีกเหมือนพ้นออกมาจากปากราชสท้ ครั้นออกจากเคหาสน์ของท่านผู้สำเร็จราชการ
ไปแย้วก็เดินแน่วไปสู่พระราชวัง เพราะมีทางเดียวเท่านั้นที่ขัดไวิให้เกวัฎผ่าน ทางอื่น *1 ไปไม่ได้ ขณะที่
เกวัฏมาพบท่านผู้สำเร็จราชกาวนั้น พระเจ้าวิเทหวาชก็ทรงพระดำริด้วยพระโสมนัส “ป่านนิ่ลูกของเรา
คงได้ย้เรื่องยันเป็นมงคลจากเกวัฎแลัวคงชินชมยินดี บัณฑิตทั้งสองคนคงจะสนทนากันขนานใหญ่ละ
และทั้งคู่คงจะขอขมากันเป็นที่เรียบย้อย ต่างฝ่ายต่างจะยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน เออ! เป็นลาภของเรา

เหลึอเกิน” ยำลังทรงพระดำริเพลินอยู่ เกวัฏก็เดินเข้าไปเสาด้วยท่าทางยันไม่มีร่องรอยแห่งความแช่มชินเลย


จึงมีพระดำรัสถาม “เป็นอย่างไรบ้าง ท่านอาจารย์เกวัฎ การพบกับท่านมโหสถเชิญเล่าให้ฉันพ้งหน่อยซิ
ท่านปรับความเข้าใจกันดีแด้วหรือ? พ่อมโหสถพังเรื่องราวที่พระเจ้าจุลน็ส่งท่านอาจารย์มาแย้ว ชินชม

ยินดีหรือไม่?”
“ขอเดชะ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ผู้ทรงพระคุณยันประเสริฐ” เกวัฎกราบทูลด้วยเสยง
ชันระคนกับความแด้นเดือง “ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดอย่าได้ทรงฃึดชือมโหสถนั้นเป็นบัณฑิตเลย
พระพุทธเจ้าข้า ในโลกนื้ไม่มีใครที่จะเลวย้ายไปกว่ามโหสลอีกแย้ว” กราบทูลแลัวยังไม่วายเศึองจึงแถลง

ต่อไป “ขอเดชะ พระมหากรุณาเป็นด้นเกด้าๆ มโหสถเปันคนไม่มีเด้าแห่งอาวยชนเลย ไม่น่าคบหาสมาคม


กระด้าง ท่าทางเป็นคนเลว *1 ไม่พูดอะไร *1 กับข้าพระพุทธเจ้าเลย ปล่อยให้ข้าพระพุทธเจ้าไปยินแซ่วอยู่
จะทักทายปราศรัยสักค้าก็ไม่มี คูเป็นเหมือนคนใบ้ หูหนวก ข้าพระพุทธเจ้าสำคัญด้วยเกย้าๆ ว่า มโหสถ
ไม่ใช่บัณฑิตพระพุทธเจ้าช้า”
พระเจ้าวิเทหราชทวงสดับค้าของเกวัฎ มิได้ทรงเห็นคด้อยตาม ทั้งมิได้ทรงคัดค้านประการใด
เป็นแต่ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่เกวัฎ และผู้ที่มาด้วย เสร็จแย้วก็โปรดพระ-
ราชทานเรือนที่พัก พรัอมกับมีพระดำรัสว่า “ท่านอาจารย์เชิญท่านไปพักผ่อนเถิด”
เกวัฎกับคณะถวายบังคมลาออกจากที,เสา พากันไปยังบ้านพักที,ขัดพระราชทาน

kalyanamitra.org
๕๔. ท่านมโหสถถูกกร้ว

เมึ๋อราชทูตเกวัฏฑวาบบังคมลาไปยังที่พัก ซืงได้รับพระราชทานแล้ว ที่พระที่นังเวลานั้น คงมี

แต่พระเด้าวิเทหราชพระองค์เดียว ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถต่าง *1 เดี๋ยวประทับนั่ง เดี๋ยวประทับยีน และ


บางทืก็เสดีจพระดำเนินกลับไปกลับมา ทั้งนึ่เพราะในพระมนัสเกิดอารมณ์ขัดแย้งชื้นหลายสถาน กล่าวดีอ
ย้อยดำกราบทูลด้าหนิท่านมโหสถชองราชทูตเกวัฎที่ยังกังวานอยู่ไนความทรงร์าของพระองค์

“มโหสถไม่มีเค้าแห่งอารยชนเลย ไม่น่าคบหาสมาคม กระด้าง ท่าทางเป็นคนเลว กุ ไม่รัจัก


ทักทายปราศรัย ๆลฯ”
ย้อยค้าด้าหนิชันรุนแรงของเกวัฎ เกิดเป็นอารมณ์ขัดแย้งกับอาการที่ทรงทราบมาดั้ง ๑๐ กว่าปีแต้ว

“มโหสถลูกเราเป็นบัณฑิต ทำไมเกว้ฏถึงมาว่าเป็นคนเลว *1 มโหสถลูกเรา ชำนาญในการด้อนรับ ปรากฏ


เป็นที่พึงพอใจของผู้เป็นแขกไปมาหาสู่ ทำไมเกวัฎถึงมาว่าไม่รัจักแม้แต่จะปราศรัยสักค้า จะว่าเป็นเพราะ

ไม่รัจะพูดกับผู้เป็นทูตอย่างไร เห็นจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นผู้เข้าใจในขนบธรรมเนียมอย่างดีชิง การ


ที่ไม่ยอมทำปฏิสันถารกับเกวัฎ ก็เท่ากับไม่ประกาศความยินดีในการที่พระเด้าจุลนีถวายพระราชธิดาแก่เรา
ย้าเป็นความพอใจที่ไหนจะทำเฉยเมยถีงเช่นนั้น ลูกเราคงเห็นภัยในอนาคตสักอย่างหนึ่งเป็นแน่”
ครั้นทรงพระดำริมาถึงตอนนึ่ ก็เลยทรงเปล่งพระวาจาเป็นการตรัสกับพระองค์เอง “ข้อที่
คิดอ่านกันทั้งนึ่ คนอื่นจะเห็นเป็นชันยากแท้ ลูกของเรา-พ่อมโหสถคงเห็นแต้วเป็นแน่”
“ประโยชน์ที่บริสุทธิ๋ ด้องคนที่มีองคคุณของผู้เป็นวีรชนอยู่ในตนจึงจะเห็นได้”
“เห็นจะเป็นความจริงเช่นนั้น กายของเราสั่นระรัว”
“ใครเล่าจะยอมที่งสมบัติของตน เข้าไปสู่เงื้อมมือของปรบักษ์”
พระดำรัสของพระเด้าวิเทหราชที่ตรัสพึมพำออกมาข้างบนนึ่ ประกาศว่า “ทรงวะแวงพระทัย
อยู่มิใช่นัอยเลย” ถึงรับสั่งดังนั้น แสะไม่เพึยงเท่านั้น คงมีพระดำรัสสืบไป
“ลูกของเราคงเห็นโทษในการมาของพราหมณ์เป็นแน่ เกวัฎคงมิใช่มาเพี่อด้องการสันถวไมตรี
แต่มาเพี่อเอาสิงที่ด้องการมาล่อเรา พาเราไปสู่บัานเมืองของตนแต้วจับกุมคุมไว้ ข้อนึ่เป็นภัยในอนาคต
ที่ลูกของเราผู้เป็นบัณฑิตคิดเห็นได้แต้ว”
ยงทวงพระดำริไป พระหฤทัยก็ยิ่งทรงพรั่นพรึง แต่ในขณะนั้นท่านเสนกพรัอมกับคณะอาจารย์

ก็พากันเฝืาดัดกระแสพระดำริให้ขาดลง พระองค์จึงตรัสลามท่านเสนก “ท่านอาจารย์เสนกพอใจไหม


ที่จะไปนครบัญจาละเหนีอ แต้วพาพระราชธิดาของจุลนีมาอภิเษกเป็นเอกอัครมเหสีของฉัน ยินดีด้วยไหม”

kalyanamitra.org
๓๘๔

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ตรัสอะไรพระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกกราบทูลสนองด้วย


ความเต็มตื้น “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มีพระดำรัสเสมึอนยังทรงมีพระทัยหวั่นระแวงอยู่ อันความ
ระแวงนั้นบางคราวก็เป็นเสมือนอาวุธที่รัายแรง ขับไล่สิริมงคลให้หนีไปเสียก็มีพระพุทธเจ้าข้า จะเป็น
การสมควรละหรือที่ปรากฎว่ามิ่งขวัญจะมาสู่แลัว และได้ถูกขับไล่ไปเสีย ธรรมดาโลกก็ต้องการด้วย
สิริมงคลกันทั่วไป นารีรัดน็ข้ตติยราชธิดาย่อมเป็นที,สถิตแห่งมิ่งขวัญสุดจะกล่าวได้ ด้งนั้นข้าพระพุทธเจ้า

เห็นด้วยเกลัาฯ ว่า การปฏิเสธมีได้เป็นการสมควร”


“อนึ่งเล่า ข้าพระพุทธเจ้ายังพิเคราะห์เห็นด้วยเกลัาฯ ว่า กัาใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จ
ไปในบัญจาละนครรับนางนั้นมา พระราชาอื่น 1 ในชมพูทวีปทั้งสั้น ที่จะมีพระเกียรติยศเสมอด้วยใต้

ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นอันไม่มีละ เวันแต่พระเจ้าจุลนีพรหมทดพระองค์เดียว เพราะเหตุไวเล่า เพราะ


ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ครองพระราชธิดาของพระราชาผู้เป็นใหญ่แท้จริง พระเจ้าจุลนีพรหมทัด
คงจะทรงพระดำริแลัวว่าพระราชาทั้งมวลเป็นคนของเราทั้งนั้น พระเจ้าวีเทหราชองค์เดียวที่มีเกียรติยศ
เสมอเรา ดังนึ่ถึงจะทรงเป็นจอมราชในแผ่นดินชมพูทวีปทั้งสั้น ก็มีพระประสงค์จะถวายพระธิดาผู้ทรง

พระรูปพระโฉมงดงามอุดมแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้โปรดทวงพระดำริเถิด แม้นพระเจ้าจุลนี


มิได้ทรงคิดว่าใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเกียรติยศยิ่งกว่าพระราชาอื่น *1 แลัว ที่ไหนจะทรงถวาย
พระราชธิดา เพราะประเพณีแม้แห่งสามัญชน ก็ยังต้องเลือกสรรคู่ครองที่มีชาติเสมอกันให้แก่ธิดาของตน

ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงปฏิบัติตามพระดำริของพระเจ้าจุลนีเถิดพระเจ้าข้า” แถลงแลัวก็อด
ที่จะกราบทูลเป็นทำนองเย้าไม่ได้ “พวกช้าพระพุทธเจ้าจักได้โดยเสด็จพระบารมีพลอยได้วับบำเหน็จ

รางวัลผ้าผ่อนแพรพรรณและอลังการต่าง ๆ ด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
ดำกราบบังคมทูลของท่านเสนกราชวัลลภาจารย์ ได้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าวีเทหราช

ทำลายความหวาดระแวงในพระมนัสหายไปได้ จึงมีพระดำรัสกับอาจารย์อีกลามคน ซ็งทั้งสามก็ได้กราบ

บังคมทูลเป็นทำนองเดียวกับท่านเสนก คือเห็นพ้องกันว่า “เป็นเกียรติยศอย่างสูงสุด” ของวีเทหรัฐ


ทุกคนไม่มีใครกราบทูลทัดทานเลย
ขณะที่พระเจ้าวีเทหราชกำลังตรัสกับคณะอาจารย์ยังมิทันสั้นกระแสความ ราชทูตเกวัฎผู้ซ็ง

ถูกด้องรับด้วยปฏิสันถารอันประหลาด จากท่านผู้สำเร็จราชการ ถึงกับพิจารณาเห็นว่า “การอยู่ในมิถิลานคร


แม้เพียงราตรีเดียวเท่านั้น เป็นความทุกข์,ชิ่งสุดแสนจะทนทานได้ ความเป็นทูตแห่งมหานครของเรา
ได้ถูกหยามอย่างแสนจะชอกชํ้า ขึนอยู่ไปก็วังแต่จะอัปยศ กลับไปบ้านไปเมืองของเราเสียโดยเร็วดีกว่า”
คิดแลัวก็ออกจากที่พักเข้าสู่พระราชวัง เข้าเสาพระเจ้าวีเทหราชทันที ถวายบังคมพลางกราบทูล “ขอเดชะ

ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทผู้ทรงพระกรุณาพวกช้าพระพุทธเจ้า จักรอซัาอยู่มิได้แลัวพระพุทธเจ้าข้า ต้อง


ขอกราบบังคมทูลลาแต่บัดนึ่ สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกลัาๆ เถิดพระพุทธเจ้าข้า”

“ท่านอาจารย์จะกลับยังบัญจาละหรือ?” มีพระราชดำรัสถาม “การพักผ่อนของท่านอาจารย์


แม้เพียงราตรีเดียว จะเป็นที่ยินดีแก่ฉันมาก เพราะจะได้มีโอกาสสนองพระราชไมตรีแด่พระราชาของ

kalyanamitra.org
๓๘๕

ท่านดามควร”
“ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณด้นเกล้าๆ ข้าพระพุทธเรัารักได้รีบนำอาการที่ทรงข็นชมยินดี

ของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ในพระราชไมดรีแห่งพระนครทั้งสอง ไปกราบบ้งคมทูลแค่พระราชาของ


ข้าพระพุทธเรัาทันพระหฤทัยที่ทรงวอพระพุทธเรัาข้า”

“ข้าเช่นนั้น ก็เป็นกาวสมควร ท่านอาจารย์จงช่วยกราบทูลความยินดีของฉันแค่พระราชาของท่าน


ฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พระนครทั้งสองจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน ชาวบัญจาละและชาวมิถิลา จะได้ไป

มาหากันด้วยอัธยาศัยไมดรี” ตรัสด้วยทรงซี่นชมจริง *1 แล้วโปรดพระราชทานสิ่งของแก่ราชทูตเกวัฎตามควร

ราชทูตเกวัฎขอบพระมหากรุณาธิคุณแล้ว ถวายบังคมลาเดินทางจากมิถิลานคร ด้วยความ


แด้นเจือกระหยิ่ม เพราะคาดว่า “อย่างไรเสียวิเทหราชคงต้องไปบัญจาละกับมโหสลเป็นแน่”
เกวัฎไปแล้ว ท่านผู้สำเร็จราชการทราบ ก็รัดแจงข้าระสระสนานแค่งกายเข้าเผ้า เพึ่อทราบ

พระราชดำริของพระเรัาวิเทหราชจะมีเป็นประการใด
พระเรัาวิเทหราชทอดพระเนดรเห็นท่านผู้สำเร็จราชการมาเผ้าเฉพาะพระพักดร็ก็ทรงพระดำริ
“มโหสถบัณฑิตลูกของเรามีความคิดใหญ่โด ไม่มีเรื่องใด *1 ที่รอดพันไปจากความคิดของเธอได้ เธอ
เจนจบแล้ว แท้จริงในกระบวนความคิดทึเดียว ข้อดีดอนาคดและบัจจุบันอย่างแจ่มกระจ่าง เรื่องที่เราจะ
ไปแคว้นบัญจาละตามที่ท่านอาจารย์เกวัฎมาบอกนั้น เธอคงจะด้องทราบว่าควรจะไปหรีอไม่เป็นแน่ น่า
จะลองลามดู” ครั้นแล้วก็มีพระดำรัสลามเป็นท้านองขอทราบความคิดเห็นของท่านผู้สำเร็จราชการด้งนื้

“พ่อมโหสถ เราทั้ง ๖ คน คึอ .ฉัน กับท่านอาจารย์ทั้ง ๔ และอาจารย์เกวัฎ ล้วนมีบัญญา


กว้างขวางยิ่ง มีมดิเป็นอันเดียวกันถึงกาวควรจะไป หรือควรจะหยุดเสีย ซ็งกาวจะข้บราชธิดาของพระเรัไ­

จลนีมา ณ สำนักของเรา พ่อจงใคร่ครวญเถิด ความพอใจของพวกเราจะเอาเป็นประมาณก็ไม่ได้ พ่อ


ช่วยคิดอ่านใท้หน่อย จะไปรับนางมาดีหรืออย่างไร หรือจะไม่ไป ควรบอกระรับเสีย พ่อพอใจอย่างไร

ช่วยออกความเห็นด้วยเถิด”
ท่านมหาบัณฑิตได้พังกระแสพระราชดำรัสแล้วนึกดำหนิอผู่ในใจ “พระราชาของเราพระองด้
ช่างมัวเมาเสียเหลึอเกิน มาทรงยึดถึอเอาคำของอาจารย์ทั้ง ๔ นื้อย่างกับจะทรงเป็นคนมืดมัว มิได้ทรง

ทราบถึงโทษรัายในการจะเสด้จไปยังแดนบัญจาละเสีย ต้องกราบทูลไท้ทรงเห็นโทษในการเสดีจไป
เป็นกาวเหนี่ยวรั้งพระองคํไว้ จึงจะชอบ” ดำริแล้ว กราบทูลท้วงอย่างหนักแน่น

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาททวงทราบอยู่นะ พระพุทธเรัาช้า ว่าพระเรัาจุลนึพรหมทัด


ทวงมีพระอานุภาพใหญ่หลวง ทรงมีไร่พลมากมายถึง ๑๘ กองทัพใหญ่ และทัาวเธอยังมีพระประสงด้
จะทรงประหารใด้ฝ่าละลองธุลีพระบาทเลีย เสมือนนายพรานใข้นางเนื้อต่อล่อฝูงมฤคมาฆ่าเสียฉะนั้น”
“นายพรานไพรผู้ฉลาดรับนางเนื้อมาได้ ก็น์ามาสกสอนแล้วผูกเซีอกพาไปปาผูกไว้ ณ ที่หา

กินของฝูงเนื้อ นางเนื้อนั้นด้องการจะเรียกมฤคโง่ *1 ใท้มาหาดนก็รัองระรัวท้าความคำหนัดใท้เกิดตาม


๙'ญญาของตน ฝ่ายมฤคที่โง่ *1 พังเสียงของนางเนื้อนั้น ถึงจะนอนอยู่ในซัมเซิงแวดล้อมด้วยหนุ่มมฤค

kalyanamitra.org
๓๘๖

ด้วยกันเป็นยันมาก กิมิได้ปลงใจในนางเนื้อด้วอื่น *1 ที่มีอยู่ ท้วใจถูกความสํงสวรด็ในกาวทังเลียงของ


นางเนื้อต่อนั้นมัดเลียแน่นแด้ว เผ่นออกไปชะเว้อคอดู เดินเข้าไปหานางเนื้อค่อด้วยอำนาจกิเลส ยึน
ท้นลีข้างไท้'แก่นายพราน นายพรานนั้นกิแทงด้วยหอกยันคมใท้สิ้นซีวิดเลียตรงนั้นเอง”
เรื่องนื้ ท่านมหาบัณฑิตได้นำมากราบทูลประท้วงเป็นท้านองเปรียบเปรย คึอพระเจ้าจุลนึเปรียบ
ดุจนายพรานมัล่าเนื้อ พระนางป้ญจาลขันทีราชธิดาของพระเจ้าจุลนึ เปรียบดุจนางเนื้อต่อ พราหมณ์
เกวัฎเปรียบเหมือนหอกยันคมที่นายพรานถึอ ส่วนที่ใครจะเปรียบมฤคด้วโง่นั้น กิเป็นที่ทราบอผู่ดี และ
เรื่องนื้พระเจ้าวิเทหราชกิทรงเข้าพระทัยอย่างแจ้งซัดอยู่แลิว ด้งนั้นพระองด็จึงทวงเห็นว่า “มโหสล เปรียบ

พระองด็เท่ากับมฤคด้วโง่ ซีงแมัจะนอนอยู่ในซัมเซีง มีหมู่เนื้อแวดด้อมเป็นบริวารทั้ง *1 ที,มีนางเนื้ออื่น *[

คอยบำเรอ ชังเผ่นออกไปหาหอกของนายพราน" ท้าไท้ทรงขุ่นพระทัย


มิใช่แต่เท่านั้น ท่านมหาบัณฑิดยังกราบทูลเพื่อเหนี่ยวรั้งพระหทัยของพระเจ้าวิเทหวาช ด้วย

ข้อเปรียบเทียบลีบไปอีกว่า
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกด้าๆ ปลากระหายเหยื่อกลึนมังสะท้มไวัลงไป มิได้ริ

ถึงความตายของดนฉันใด ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงปรารถนาพระราชธิดาของพระจุลนึ มิได้ทรง


ทราบความมัวยมวณ์ของพระองด็ประดุจปลาฉันนั้น”
ในเรื่องนื้ท่านมหาบัณฑิตเปรียบพระเจ้าวิเทหราช ซ็งมีพระหทัยปรารถนาจะได้พระราชธิดา
ของพระเจ้าจุลนึ เหมือนปลากวะหายเหยื่อ ซ็งแมัจะอยู่ในนื้าลึกทั้ง *00 วา กิขื้นมาดิดเป็ดได้ ไม่เว่า
เหยื่อนั้นเป็นสิ่งที'จะฆ่าตนเลียเลย พระเจ้าจุลน็เปรียบเหมือนพรานเป็ด พระราชธิดาเปรียบเหมือนเหยื่อ
ที่ห่อเป็ดไว้ ท้าพูดของเกวัฎเปรียบเหมือนเป็ด ความเปรียบเทียบข้อนื้ ชิงทวิความขุ่นหมองในพระหทัย
ของพระเจ้าวิเทหวาชหนักขื้น
ในที'สดท่านมหาบัณฑิตได้กราบทูลสำทับอย่างรนแรง “ด้าใด้ฝ่าละอองธุลึพระบาท จ้กเสด็จ
สู่ป้ญจาละวักเป็นยันว่าได้ฝ่าละอองธุลีพระบาททวงทอดทิ้งพระองด็ทันที กัยยันใหญ่หลวงวักมาถึง

ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เหมือนมาถึงมฤคยันท่องเทียวอยู่แถวทางประคูป้าน ถูกชาวป้านรุมกันฆ่าตาย


ฉะนั้น”
ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลเพื่อเหนี่ยวรื่งพระหทัยของพระเจ้าวิเทหวาช ด้วยข้อเปรียบเทียบ
อย่างรุนแรง ด้วยประสงด็จะใท้ทรงด้มเลิกพระมนัสที'ปรารถนาพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีเลีย ใท้
ทวงหวนระลึกถึงกัยยันใหญ่หลวงที่จะบังเกิดขนแก่พระองด็ ที่ด้องประทัวงอย่างรุนแรงนั้นเล่า กิเพราะ

ทราบดิอยู่แด้วว่าพระทัยของพระเจ้าวิเทหราชเวลานั้นถูกอำนาจแห่งความปรารถนาครอบคลุมไว้แด้วจน
หมดสิ้น ลินลมของเกวัฎกิคนหนี่งแลัว มีอำนาจหมุนพระหทัยใท้ทันเหไป แทบจะไม่เหลึอไว้สำหริบ

ริเทหริฐอยู่แด้ว ชังมาแถมอีกลีอาจารย์ราชวัลลภเข้าอีก กิเลยทวงดกลงพระหทัยไปป้ญจาละทันที เพราะ


ทั้ง ๕ คนเห็นชอบเห็นงามตามกันทั้งนั้น สุดที่จะเหนี่ยวรั้งไวัก่อน เมือว่าด้าจะดกลงไปกันจริง *1 และ
ประสบกัยจริง *1 จะได้เป็นยันป็ดช่องที่จะกล่าวว่า “ท้าไมไม่เหนี่ยวรั้งไวัเล่า ปล่อยไท้พระราชาของดน

kalyanamitra.org
ต๘๗

เข้าสู่ท้วงลัย จะสมควรแก่ความเป็นบัณฑิตอย่างไร ไม่ทราบละหรึอว่า คัตรูที่สมัครเข้ามาเป็นมิตรนั้น


เหมือนแมลงผื้งปากอมน์าหวาน แค่ช่อนเหลิกไนไวัที่ลัน” เพราะฉะนั้นท่านมหาบัณฑิตจึงประท้วง

และสำทับอย่างรุนแรง ด้วยเจคนาอันหวังประโยชน์แท้จริง
ผลจากเจคนาที่หวังประโยชน์แท้จริง แค่เป็นไปด้วยความรุนแรงนั้น คอบสนองด้วยอาการ
รุนแรงทำนองเดียวลัน ดึอพวะเข้าวิเทหราชโคนท่านมหาบัณฑิตสำทับเปรียบเปรยอย่างนั้นดีทวงกริ้ว

ทรงเห็นว่า “มโหสลนื้สำคัญว่าเป็นทาสของตนเลียแลัว ไม่ได้สำด้ญมันหมายว่า เราเป็นพระราชาเลียเลย


ทัง รุ ที่เว่าพระราชาผู้เลิศแด้วในชมหู)ทวิป ส่งพระราชสาส์นมาในสำนักของเราบอกถวายพระราชธิดา
ไม่หู)ดลัอยท้าที่เป็นมงคลแมัสํ'กท้าเดียว มาว่าเราเปรียบเราเป็นมฤคโง่บ้าง เป็นปลากลึนเป็ดบ้าง วักด้อง
ตายเหมือนมฤคที่ท่องเที่ยวอยู่แถวทางประคูบ้านบ้าง” ยิ่งทรงพระดำริดียิ่งกริ้ว ตรัสด้วยพระสรเลียง

เป็นเข้งเลัย
“พวกเรายอมละว่าเป็นพวกโง่ พวกบ้านั่าลาย ที่พากันบอกเรื่องราวอันอุคมใท้เข้าทัง แลัว

ดีด้วเข้าล่ะเติบโตมาจากหางไถ ลังจะริลิงประโยชน์เหมือนคนอื่น รุ ละหรึอ?”


พระราชดำรัสของพระเข้าวิเทหราชนื้ เป็นพระราชดำรัสที่ประกาศความกริ้วที่มีในพระหทัย
อย่างด้นทัน เพราะพระองท้ไม่เคยตริ'สเช่นนื้ลับท่านมหาบัณฑิตมาแค่ก่อนเลย เป็นการค่าลิงชาติลัาเนิด
ซ็งรุนแรงยิ่ง ความหมายของพระคำริ'สนั้น ดึอทรงยอมริบข้อเปรียบค่าง รุ เลียก่อนด้วยพระคำริ'สว่า

“พวกเรายอมละว่าเป็นพวกโง่” แด้วดีทรงลัอนว่าท่านมหาบัณฑิต “เข้าล่ะ เติบโตมาจากหางไถ” พระ-


คำรัสนั้หมายความลิงชาติดีาเนิดเดิมของท่าน “เป็นบุตรชาวนา ข้บหางไถมาคั้งแค่เดีกจนกวะทังโต ความ
ริดีคงแค่เรื่องไถเรื่องหว่านเท่านั้น จะริข้งมงคลของกบั'ตริย์อย่างไรได้ คนอื่น รุ ที่เขาเป็นบัณฑิตดีอเกวัฎ
หรืออาจารยเสนกเป็นด้น เขารักัน เข้าจะริได้อย่างเขาละหรือ ความริการงานของลูกชาวนานั่นแหละ
เหมาะแก่เข้า” ลัาเปันท้าหู)คอย่างสามัญ ดีเห็นควงลันกับที่ว่า “ไอัลูกบ้านนอกแค่หางลิง นันเอง”

ครั้นทรงค่าท่านมหาบ้ณฑิคแด้ว แทนที่จะทรงระวับพระหทัย กลับทรงเห็นว่า “ไอัลูกบ้านนอก

ทำอันควายงานมงคลของกูด้องไล่ไป” ตรัสพระสรเลียงเฉียบขาค
“จับคอไอันี่ ไล่ออกไปจากแว่นแควันของข้าไท้ดมกับที่มันหู)คข้ตขวางไม่ไท้ข้าได้นางแลัว”
ที่มีดำรัสรุนแรงด้งนั๊ ดีด้วยดีาลังกริ้ว ส่วนพระหทัยที่แทัจริงนั้นลังคงทรงเห็นท่านมหาป้ณฑิต

เป็นบุคคลสำคัญอยู่ จึงมิได้ทวงคาคคั้นให็ใครทำเช่นนั้น
ท่านมหาบัณฑิตได้ทังพระราชคำริสด้งนั้น ดีคำริว่า “พระเข้าวิเทหราชกริ้ว ลัาจะมีใควลิอ
พระราชดำรัสของพระองด้แลัว มาจับมือหรือข้บคอเรา การกระทำเช่นนั้น พอที่จะทำเราด้องอคสูไป

ตลอดซีวิต เพราะฉะนั้นไปเลียเองดึกว่า” คิดแลัวถวายบังคมลุกจากทึนังกลับบ้านเลย

kalyanamitra.org
๕๕. นำใจของบณฑิต
ท่านมหาบัณฑิตเดินกลับบ้านด้วยจินตนาการอันสลด เพราะพฤติการณ์ภายในท้องพระโรง
ที่เพิงผ่านไปนั้น ได้เป็นชนวนชวนใหัคิดว่า “พระราชาพระองด็นี่ทรงมืดมนอนธกาลเสียจริง *1 มิได้
ทรงทราบว่า อันใดจะเป็นประโยชน์แก'พระองคํเสียเลย ทรงหมกมุ่นไปในอารมณ์ที่พระหทัยปรารถนา
ทรงดำริแต่ว่า ด้องได้พระราชธิดาของพระเด้าจุลนึนั้นแน่นอน ไม่ทรงทราบภัยในอนาคตที่จะเกิดร้น

แบ้นเสด็จไปสู่บัญจาละจะด้องประสบความพินาศอย่างใหญ่หลวง”
ครั้นคำนึงสีบไปถึงพระราชดำรัสที่ตรัสด้วยทรงกริ้วอย่างรุนแรงก็รำพึงตามวิสัยของท่านซึ่ง
เป็นผู้ดี “เราไม่ควรเก็บด้อยคำของพระองด็ไวิในใจของเรา พระองด็มีพระอุปการะแก่เราเป็นที่ลันพน
โปรดทรงพระราชทานยศศักดํ่อัครฐานอันมโหฬารแก'เรา”
"อ'ใเท่านกื้เป็นม่ด ซ่อนขนขนในการเกื้อกูลม่อี่น แม่'กู่'อนนั้นจะเป็นค่ฅรู ก็คงหาโอกาลเกื้อกูล

ค่ใเจนทนํซ่อนใท่กลนแม่'แก่ขาานกื้กำลงโค่นตนอซู่"

การรำพึงเช่นนี่ เป็นวิถีจิตของท่านที่เป็นผู้ดีแท้ ประกาศถึงความจงรักภักดีที่มีในจิตใจ เพราะ


ท่านผู้ดีแท้ *1 นั้น ไม่มีวันที่จะลบหลู่พระคุณของท่านผู้มีอุปการะแก่ตน

เมึอได้ข้าระหทัยไท้ใสสะอาด ด้วยคำนึงถึงอุปการคุณแด้ว ก็เลยคิดไปถึงว่า “เราด้องช่วยเหลึอ


พระองด็ท่าน ไท้'ทรงได้รับสี,งที่พระองด็มีพระประสงด็”
ถึงบ้านแลัว ท่านมหาบัณฑิตได้พบยอดภริยาของท่านคอยด้อนรับด้วยกิริยาที่มีความกังวล

จึงได้ถามว่า “เทวิของฉันมีกังวลอย่างไรหรึอ?"
“พี'พระของดิฉันเด้าข้า” สนองด้วยคารวะอันมิรัเสื่อมคลาย “เป็นกังวลด้วยข่าวเกรียวกราว
ที่งเมึอง เรื่องพระเด้าจุลนึถวายพระราชธิดาแด่พระเด้าเหนึอหัวของเราเด้าค่ะ”
“กังวลว่าอย่างไรเล่าขิะ” ซักถามความยิ้มแย้'ม

“ดิฉันวิตกไปว่า ดงเป็นอุบายของฝ่ายพระเด้าจุลนึเด้าค่ะ”
“เทวิของฉัน ก็ดามารถทราบได้เช่นนั้น” กล่าวด้วยซึ่นชม พลางเล่าเรื่องที่เกิดร้นในท้องพระ-

โรงใท้ฬง
“โอ ตายจริง!” อมราเทวิอุทาน “แลัวพี่พระของฉันจะคิดอ่านอย่างไรเล่าเด้าคะ? พระเด้า
เหนึอหัวของเราทรงหมกมุ่นพระหทัยถึงเช่นนื้แลัว สุดที่จะเหนี่ยวรั้งเสียแลัว จะท้าอย่างไรเล่าเด้าคะ?”
“ด้องหาหนทางที่จะช่วยใหัพวะองด็ทรงได้พระราชธิดาของพระเด้าจุลนึด้งพระประสงด็ซ็จึะ"

kalyanamitra.org
ธา๘๙

“พึ่พระของดิฉัน ไม่ได้นำเรื่องนี่กราบทูลแด่พระแม่เหนือเกล้าของเราให้ทรงทราบบ้างหรือ

เช้าคะ?” ถามด้วยความรัสีกเป็นห่วง “น่าจะได้กราบทูลให้ทรงทราบ เพื่อว่าจะได้ทรงยับยั้งพระเช้าเหนือ

ห้วของเราไวิได้บ้าง”
“ฉันเห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้น พระเช้าเหนือห้วของเราจะไม่ทรงพิงพระแม่เหนือเกล้าฯ รักเป็น
การไม่เกื้อกูลเลย”

“ทำไมจึงจะเป็นเช่นนั้นเช้าคะ?”
“เทวีของฉันไม่น่าจะสงสัยในบ้ญหาอันเป็นปกติวิสัยเลย” ท่านลัพยอกยอดภริยา “การที่ภริยา

ทักท้วงสามีในการที่สามีจะนำหญิงลิ่นมาเป็นคู่ครองอีกนั้น ความหมายของการทักห้วงนั้นจะเป็นอย่างลื่น

ไปไม่ได้นอกจากที่เรียกกันว่าหึงหวง จริงไหม?”

“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น” คด้อยตาม “แด่พระแม่เหนือเกล้าจะไม่ทรงเป็นทุกข์ เพราะเหตุนั้นละหรีอ?”


อันความทุกข์ของสตรีในโลก ไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่าความทุกข์ที่จะมีสตรีมาร่วมสามี ความข์อนี่เป็น

มาแด่เก่าก่อนแลัวมิใช่หรือเช้าคะ?”
“ถูกแล้ว” รับคำตามความจริง “แด่พระแม่เหนือเกล้าๆ ย่อมทวงพระปรีชาตระหนักในฐานะ
ของพระองค์ได้เป็นอย่างดี ทั้งในทางส่วนพระองค์ ทั้งในทางส่วนประชากร”

“อย่างไรนะ เรัาคะ”
“ในฐานะส่วนพระองค์ ดึอพระแม่เหนือเกล้าฯ มิได้เป็นขัตดิยาณึ เป็นเพียงบุตรีแห่งบุคคล
สามัญ ด้งนั้นที่ไหนจะทรงอัดด้านห้ามปรามพระเช้าเหนือหัว ในเมื่อพระองค์จะทรงได้พระราชธิดาแห่ง
ขัตติยาธิบดีผู้สูงสักดิ๋ในชมพูทวีป ทั้งการที่จะทรงได้นั้น ก็เป็นไปเพื่อเฉลิมพระเกียรดิยศของพระเช้า

อยู่หัวอย่างยิ่งอีกสถานด้วย โดยที่พระเช้าจุลนืส่งทูตนำมาถวายเอง มิได้ทรงสู่ขอก่อนเลย พระแม่เหนือ

เกล้าๆ ของเราย่อมทรงพระวิจารณ์ด้วยพระปรีชาเห็นถ่องแท้แล้ว จึงมิได้ทรงทักท้วงประการใด”


‘ไนฐานะที่เป็นส่วนของประชากร พระแม่เหนือเกล้าๆ เป็นพระอัครมเหสีของพระเช้าวิเทหราช

ซืงเป็นมิ่งโมลีของวิเทหรัฐ พระแม่อยู่ในฐานะเป็นดวงวิเซียวรัตนํ อันประดับพระอาภรณ์ของพระเช้า

เหนือหัว เป็นสิริแห่งชาววิเทหะ แด่พระแม่ไม่ประทานพระโอรสรัชทายาทใหัประชากรของพระเช้า


เหนือหัวได้ นี่เป็นเรื่องสำคัญ เกี่ยวด้วยวงศ์กษัตริย์จำด้องมีผู้สีบลันดดิวงศ์ มิฉะนั้นจะขาดสาย พระ-
แม่ย่อมทรงทราบดีถึงข์อนี่อีกสถานหนี่ง จึงไม่ทรงเหนี่ยวรั้งพระเช้าเหนือหัวด้วยประการใด *1 เลย”

“น่าที่จะทรงโทมนัสหนักหนานะเช้าคะ” กล่าวด้วยความจงรักภักดีเป็นที่ยิ่ง

“ก็คงจะโทมนัสบ้าง” สนองดามที่เป็นได้ “แด่พระแม่เหนือเกล้าๆ ของเราทรงพระปรีชา

กวัางขวาง คงจะทรงพิจารณาเห็นพฤติการณ์อันสมควรและไม่สมควร ทั้งกาวมีพระแม่เหนือเกล้าฯ


ได้ทรงปรนนิบ้ติบำเรอพระเช้าเหนือหัวนั้น ด้วยพระหฤทัยอันเปียมด้วยความรักอีกชนิดหนี่ง นอกจาก

ความรักฉันภริยากับสามีที่เป็นสามัญ”

“อัา ความรักของสตรียังแยกได้อีกหรือเช้าคะ?”

kalyanamitra.org
๓๙๐

“แยกได้ลึเทวีของฉัน” ตอบด้วยแจ่มใส “โดยธรรมดาความรักนั้นมี ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งดั้งด้น


จากความใคร่ อีกชนิดหนึ่งจากความหวังดี วิถีทางแห่งความรักทั้ง ๒ นึ่ คงเดินมาบรรจบกันตรงที่ความ

เป็นคู่ครองได้ด้วยกัน”
“ก็เมื่อความรักทั้งสองสายเดินมาบรรจบกันได้ที่ความเป็นคู่ครองด้วยกัน ไม่ว่าจะดั้งด้นจาก
ความใคร่หรือความหวังดี ความรักทั้งสองสายนึ่คงเป็นอันเดียวกัน ไม่น่าจะต่างกันถีงกับด้องแยกเป็น
คนละสายนึ่เด้าคะ” ศรีภริยาแย้งด้วยความชี่นบาน

“ต่างกันชี เทวีของฉัน” โด้ด้วยความชี่นบานเช่นเดียวกัน “ไม่ต่างกันก็ไม่ด้องแยกซ็ขิะ จะ

บรรยายให้พัง”
“ความรักที่ดั้งด้นจากความใคร่นั้น มีลักษณะหวงกัน ผู้ที่ดนรักอย่างเรียวแรง ต้องการให้บุคคล
ที่ตนรักเป็นของตนผู้เดียว ตนมีสิทธิในคนที่ตนรักแต่คนเดียว ไม่ยอมผ่อนผันในกรณีใด *1 ทั้งนั้น คนรัก
ของผู้มีความรักอันดั้งด้นจากความใคร่ เป็นสมบ้ติอันลํ้าค่าของผู้นั้น เขาหวงแหนป้องกัน ไม่ยอมให้ใคร ๆ
มาร่วมรักหรือแม้แค่เพียงเป็นความสัมพันธ์ทำนองอื่นก็ไม่ยอมเป็นเด็ดขาด ความรักที่ดั้งด้นจากความใคร่
มีความหวงแหนความรักของตน กล่าวสั้น *1 ความรักชนิดนึ่เปัน ‘ความรกผูกมด’”
“ความรักที่ดั้งด้นจากความหวังดี มีลักษณะปรารถนาที่จะให้คนรักประสบแต่ความดีงาม ความสุข
และความเจริญอันใดที่เป็นความดีงาม อันใดที่เป็นความสุข และเป็นที่ปรารถนาก็พรัอมที่จะสนองเสมอ
เป็นความรักที่ไม่ผูกมัดคนรักไวัเป็นกรรมสิทธิ๋ เป็นความรักที่เปิดอิสระเสรีแก'คนรัก สุดแต่ว่าอะไรจะ
อำนวยความสุขให้แก่คนที่ดนรักแลัว ก็ยินดีที่จะหยิบยื่นให้ทึเดียว ไม่หวงไม่ถีดกัน กล่าวสั้น 1 ความรัก

ชนิดนึ่เป็น ‘ความร''กปลดปล่อซ’”
“ความรักของสตรีที่มีในบุรุษผู้เป็นสามีนั้น บางคนก็เป็นชนิดผูกมัด จำกัดวงอยู่แต่เฉพาะ
นางผู้เดียวเท่านั้น สามีด้องมอบความรักทั้งหมดของตนทุ่มเทให้แก่นางคนเดียว ไม่ควรจะมีเหลึอไวัเพึ่อ
ให้ผู้อื่นอีกเลยเป็นเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นความรักในฐานะไหน ด้องเป็นของนางทั้งหมด หมายความว่า

บุรุษผู้เป็นสามีด้องยึดอุดมคติว่า ‘นาาผู'เด่)/วเป็นทุกสงทุกอซ่างทใก่ความสุขความIจรญแก่ตน’”
“สตรีบางนางมีความรักในบุรุษผู้เป็นสามี เป็นชนิดไม่ผูกขาด ปล่อยให้สามีมีอิสระในความรัก
ของตน จะรักนางด้วยความรักทั้งหมดที่มีหรือไม่ ไม่สำคัญ ไม่พะวงถึง ความสุขของสามีเท่านั้นที่นาง
เป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่ง”

“พระแม่เหนือเกลัาฯ ของเราเป็นกุลสตรี ทรงพระปรีชากวัางขวาง พระหทัยของพระแม่มุ่ง


แต่ความสุขของพระเด้าเหนือหัวเป็นที่ดั้ง พระแม่อาจทรงสละได้แม้ถึงพระชนมซีพ เพื่อที่จะถวายความสุข
แต่พระเด้าเหนือหัว ด้งนั้นการที่ทวงทราบข่าวเรื่องพระราชธิดาของพระเด้าจุลนืด้กได้มาเป็นอัครมเหสิ
ร่วมพระราชสวามีกับพระแม่ จึงไม่ทำให้พระแม่มีดำริในทางที่จะทรงทัดทานประกาวใด พระแม่ทวง
มีเหตุผล ทรงดำนืงถึงเหตุเป็นใหญ่ ยิ่งกว่าความปราถนาแห่งพระหทัยของพระแม่เอง เข้าใจหรือยังด้ะ

เทวีของฉัน”

kalyanamitra.org
๓๙๑

“พี่พระของดิฉัน บรรยายแจ่มแร้งดีจริง เร้าค่ะ แค่...” กล่าวเป็นเชิงค้านทั้งร้อยค้าไร้เพียงนั้น


“เมื่อแจ่มแร้งแลัว ยังแค่อะไรอีกเล่าจ๊ะ เทวีของฉัน” ซักด้วยยิ้มหัว
“แค่ดูเหมือนพี่พระของดิฉัน ได้กล่าวถึงความรักของฝ่ายสตรีที่มีในบุรุษผู้สามีฝ่ายเดียวเท่านั้น
พี่บุรุษผู้สามีจะมีในภริยาล่ะคะ ท่านมิได้กล่าวถึงเลย จะมีลักษณะเป็น ๒ เช่นนั้นเหมือนกันหรือเปล่า

เร้าคะ”
“เทวึของฉันมีปรีชาฉลาด คงจะทราบได้ดีแลัวนึ่จ๊ะว่าประเพณีของโลกมีอย่างไร” ตอบชัาง

ประเพณี “ความรักของชาย ก็มีลักษณะเป็น ๒ เหมือนกันนะจ๊ะ ชายบางคนก็มีความรักชนิดผูกขาด


บางคนก็มีชนิดปลดปล่อย แค่ก็จ่าด้องผูกขาดดลอดเวลาที่สตรียังมิได้รับการสละสิทธิ ดูจะเป็นการเอา

เปรียบแก่สตรีอยู่มิใช่หรึอจ๊ะ จะทำอย่างไรได้เล่าจ๊ะ ธรรมชาติสรัางมาเป็นเช่นนั้น เชิญสดับความเปรียบ-


เทียบดังนึ่เชิดนะจ๊ะ”
“บุรุษ ๒ คน ทำไร่ข้าวสาลี ณ พี่ดินแปลงเดียวกัน คนหนึ่งไถ อีกคนหนึ่งกัใถ คนหนึ่งหว่าน
อีกคนหนึ่งก็หว่าน ซ์ากันทับกัน ครั้นช้าวสาลีมีรวง ก็ค่างคนยึดกรรมสิทธํ่ เมื่อข้าวสุก ค่างคนค่างเกี่ยว
คนหนึ่งก็เกี่ยว อีกคนหนึ่งก็เกี่ยว บุรุษ ๒ คนนั้น จะพึงได้ประสบความสมัครสมานกันหรือไฉน ความ
ยุ่งยากจะเชิดขื้นปานใด ค่างก็จะยิ้อแย่งกัน ทะเลาะกัน ไม่มีวันจะสมัครสมานกันได้ และจะใทัท่านผู้ใด
มาตัดสินว่า ข้าวด้นไหนเป็นของคนนึ่ ด้นไหนเป็นของคนนั้น”
“เทวีของฉัน พิจารณาข็จํะ พฤติกรรมของชายทั้งสองนั้น อยู่ในวิสัยแห่งปรีชาของผู้ใดที่จะ
ชํ่ขาด แมัจะซีขาดได้ด้วยญาณยันวิเศษ ว่าด้นนั้นเป็นของผู้นั้น ต้นนึ่เป็นของผู้นึ่ กาวเก็บเกี่ยวก็ยุ่งยาก
อยู่นั่นเองมิใช่หรือ ข้อเปรียบนึ่เทวีของฉันคงจะเช้าใจความหมายได้แจ่มแร้งมิใช่หรือจ๊ะ”
“เร้าค่ะ พี่พระของดิฉัน” กล่าวด้วยจริงใจ “ดิฉันเห็นว่าความสัตย์ของสตรี คึอสิ่งที่เป็นหลัก
ประกันความยุ่งยากแห่งสังคมของมนุษยชาติ สตรีที่ไม่มีความสัตย์ต่อบุรุษผู้เป็นสามี เป็นผู้ก่อความยุ่งยาก
แก่สังคมอย่างสุดที่จะประมาณ”
“แค่พี่พระของดิฉันเร้าขา” วอนถามต่อไป “เรื่องของพระเร้าเหนือหัวนั้น จะชัดการสถานใด
เล่าเชัาคะ หรือจะปล่อยให้พระองค์เสด็จไปรับนางตามที่ทรงปรารถนา”

“ปล่อยไม่ได้สิ เทวีของฉัน เราต้องหาทางให้ได้ประโยชน์ถวายแด่พระองค์ท่านซี”


“เมื่อกราบทูลห้ามปรามไม่ทรงเซ็อพึง แถมทรงกริ้วอย่างหนักด้วย ก็น่าจะต้องปล่อยให้พระองค์

ท่านทรงดำเนินการของพระองค์ไป จะมิดีกว่าหรือเร้าคะ?” ถามคลัายกับจะลองใจ


“เช่นนั้น ไม่เป็นการดีการชอบนะจ๊ะ" ปฏิเสธอย่างละม่อม “ยันท่านผู้เป็นบัณฑิตนั้นย่อม
ปรากฎด้วยกตัญญูกตเวที พระเชัาเหนือหัวทรงพระคุณแก่เราเป็นที่ลันพ้น จะทรงกริ้วบัางก็เป็นไรเล่า
จะเก็บเอาร้อยค้าของพระองค์ท่านมาเป็นเครื่องคุมแค้นไร้ในใจไม่ควรที่ การที่ทรงกริ้วนั้นเทียบกับพระคุณ
ที่ทวงพระราชทานแลัว ก็เป็นเพียงธุลีเทียบกับขุนเขา ไม่ถึงกับจะหักด้างพระคุณของพระองค์ได้ ตังนั้น
ก็ควรจะสนองพระราชประสงค์ใหัสำเร็จด้วยดี ทางที,ควรมีอย่างนึ”่

kalyanamitra.org
ธา๙๒

“ผู้ททำความเลอม โม'ควรทำประโยขป็ให้ถ้อยคำมิ'เป็นสุภาษตมใข่หรอเจ้าคะ? ’’ ศรีภริยาอ้างหลัก

“กระทำประโยชน์ให้แก่ผู้ทำความเสื่อม จะว่าเป็นการชอบการควรอย่างไรได้เด้าคะ?”
“เทวีของฉัน จะปรักปรำพระเด้าเหนือหัวของเราลงเป็นถึงผู้ที'กระทำแต่ความเสื่อมเช่นนั้น

หาชอบไม่ เพราะความเจริญเป็นอ้นมากพระองค์ก็ได้ทรงกระทำไว้ แม้แต่เรา พระองค์ก็ทรงพระมหากรุณา


อย่างลันพ้น การที่ทรงหมกมุ่นในเรื่องพระราชธิดาของพระเด้าจุลนืคราวนื่ ก็เป็นด้วยได้รับเหตุสนับสนูน

เกวัฎกับอาจารย์ทั้ง ๔ มีความเห็นร่วมกัน ประกอบกับกำลังทรงมีพระราชประสงค์เนื่องด้วยรัชทายาท


ด้งกล่าวแลัว เหตุเพียงเท่านื่ไม่พอเพื่อจะปรักปรำพระองค์ท่านเช่นนั้นนะจ๊ะ”

“พระของดิฉัน” อุทานด้วยความเปียมปลื้ม “ช่างดีอะไรเช่นนื่ เป็นบุญของอมราจริง *1 ที่

ได้มาเป็นบาทบริจาริก”

kalyanamitra.org
๕๖. มาถูระร์บส์บ
ท่านมหาบัณฑิตได้ซีแจงแสดงอัธยาศัยแก่อมราเทวีศรีภริยาแล้วก็ส่งเสียงเรียกมาถูระ นกแขก
เด้าแสนรี “มานึ่เชิด พ่อมาถูระ ผู้มีปึกเขียว”
เพียงค้าเดียวเท่านั้น มาถูระแสนรี ก็โดดจากคอนลงเกาะที่หนัาตัก ส่งเสียงภาษามนุษย์อยู่จ๋า

“พ่อทูลเกล้าของช้าน้อย ท่านมีประสงค์จะให้ข้าน้อยกระทำอะไรเจ๋าข้า ”
“พ่อมาถูระ ผู้สหายร่วมการงาน” พูดพลางลูบหลังด้วยกรุณา “บัดนํ่พ่อมีงานอย่างหนึ่งจำ

ด้องใช้เจ๋าให้กระทำ”
“สุดแต่พ่อเหนือเกล้าจะโปรดใช้เชิดเจ๋าช้า” มาถูระสนอง “ข้าน้อยนึ่จะพยายามทำธุระของ
พ่อเหนือเกด้าเต็มสามารถ เพราะช้าน้อยมั่นใจอยู่ว่า พ่อเหนือเกลัาคงจะใช้ช้าน้อยในกิจที่ข้าน้อยสามารถ”

“แน่ละ พ่อมาถูระ พ่อด้องใช้เจ้าตามที่เจ๋าสามารถจะกระทำได้" รีบรองด้วยความรีดึกชี่นชม

“ด้องเป็นด้งนั้น ช้าน้อยเคยได้สดับมาว่า ท่านผู้เป็นบัณฑิตดำเนินในประโยชน์กิจด้วยปรีชานั้น


ย่อมคาดกำลังสามารถของผู้ที่จะรับใช้ธุรกิจต่าง *1 ให้ผู้รับใช้กระทำพอแก่กำลังพอแก่ความสามารถ

มีได้เกินไป ผู้รับใช้ไม่ด้องวิดกว่ากำลังของตนไม่พอ ความสามารถของตนจะน้อย ในการประกอบธุรกิจ

ของท่านผู้เป็นบัณฑิตเลย” มาถูระแถลงอย่างช้าชอง
“ช่างจดจำนัก สหายรักของพ่อ” กล่าวชม “วางใจเชิดพ่อมาถูระ เจ๋าจะได้กระทำกิจที่เจ๋า

สามารถเป็นแน่”
“กิจอะไรเจ๋าข้า ที่พ่อเหนือเกลัาจะใช้ข้าน้อย” ถามด้วยคารวะ

“พ่อมาถูระ อยากเกํ๋ยวผู้หญิงกับเขาบัางไหมล่ะ?” ย้อนถามด้วยสำเนียงเคล้าสำรวล


“ธุระอะไรของพ่อเหนือเกล้า จะให้ข้าเจ๋าไปเกั้ยวผู้หญิง” ถามด้วยเสียงสำรวลเจือฉงน “เกยว

ผู้หญิงก็เป็นธุระด้วยหรือเจ๋าช้า”
“เป็นซีพ่อ” รับรอง “ธุระของโลกนึ่มีต่าง *1 แล้วแด่ประโยชน์จะแฝงอยู่ ประโยชน์แฝงอยู่
ในกิจใด กิจนั้นก็เป็นธุระได้ทั้งนั้น การเกั๊ยวผู้หญิงนั้นบางคราวก็เป็นธุระเหมือนกัน ในเมื่อประโยชน์

แฝงอยู่ในการเกื้ยวนั้น นะพ่อมาถูระ”
“ชอบกลนะพ่อเหนือเกล้าของข้าน้อย” อุทานตามประสา “ธุระของคนนึ่มีประโยชน์แฝงอยู่

ได้ต่าง *1 ทางของประโยชน์ในโลกช่างมีได้นานา”
“อย่ามัวพลอดเพลินไปเลย” ท่านมหาบัณฑิตขัดจังหวะ “ว่าแต่ชอบหรือไม่ จะให้ไปเกั้ยว

ผู้หญิงน่ะ”

kalyanamitra.org
ธา๙๔

“พ่อเหนือเกด้า ยังไม่ได้บอกข้าน้อยเลยว่า จะใหัเยิ้ยวใคร ผู้หญิงคนไหน หญิงมนุษย์ หรึอ


หญิงนก” คงพลอดไปคามเวื่อง

“จะใหัเกยวนางนก ซีพ่อ” บอกคามประสงด็


มาถูวะหัวเราะร่วน “นางนกด้วยด้น ก็ดีซีพ่อเหนือเกลัา”
“แค่พ่อมาถูระ ฉันอดระแวงไม่ได้เลย” ท่านมหาบัณฑิตเย้า
“ระแวงอะไรอีกเล่า พ่อเหนือเกลัาของข้าน้อย”
“ระแวงว่าพ่อมาดูระจะไปหลงเสน่ห์นางนกนั้น แลัวไม่กลับมาหาฉันนะซี” คอบด้วยยิ้มแย้ม

แจ่มใส
“ไม่น่าจะระแวงเลย พ่อเหนึอเกลัาของข้าน้อย” กล่าวยึนย้น “วิสัยของเดรัจฉาน ที่จะลุ่ม
หลงจนลึมรังนั้นไม่ค่อยปรากฎนัก หากจะเป็นก็ข้วครั้งซัวคราว แลัวก็ด้องคึนรังเสมอ อันที่จะลุ่มหลง
จนไม่คึนรังนั้นมีน้อยประเภทนัก ยิ่งในฐานะที่ไต้รับกรุณาปรานีอย่างดีด้วยแลัว ยิ่งเป็นการยากที่จะมี
ได้ทึเดียว เข่นข้าน้อยได้รับกรุณาปรานีจากพ่อเหนือเกลัาอย่างนี่ จะใด้ข้าน้อยลึมพระคุณนั้นเป็นไปไม่

ได้แน่ โปรดวางใจเถิดเด้าข้า”
“พ่อมาถูระ พูดได้ในเมื่อยังไม่พบนางนกนั้นน่ะซี” เย้าต่อไป “พบเช้าแด้วก็จะลืมไปเท่านั้นเอง”
“ไม่มีอะไรที่จะท่าใด้ข้าน้อยลืมได้" ยืนยันอย่างมั่นคง

“นางนกนั้นสวยงามมากนา พ่อมาดูวะ” สัพยอกอีก “แลัวก็มิใช่นางนกสามัญ เป็นนางนก

สาลิกาพูดจาไพเราะอ่อนหวาน เกรงแค่หัวใจของพ่อมาถูระจะถูกความอ่อนแห่งด้อยคำของสาลิกา มัด


ได้จนคลายไม่ออก มิหนำข่าจะถูกความหวานเซือมประสานรอยมัดใหัแน่นเหนียว จนสุดที่จะเหนี่ยวรั้ง

เสียเท่านั้นแหละ”

“พ่อเหนือเกลัาของช้าน้อย โปรดวางใจเชิดเด้าข้า” ยืนยันข่าอีก “ข้าน้อยย่อมประจักษ์ใน


ฐานะแห่งดนอผู่ และทราบอยู่อย่างแจ่มใจว่า ยังมีสิ่งสำด้ญที่เหนือความรักใด *1 ปรากฏอยู่ สิ่งนั้นคึอหน้าที่
หน้าที่ย่อมสำอัญที่สุด จะเอาความรักมาเป็นเหตุใหัปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง หวือไม่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้
เป็นเด็ดขาด ผู้ใดได้รับมอบหมายภารกิจใด รุ แลัว ต้องมุ่งปฏิบัติหน้าที่นั้น รุ ด้วยการเสียสละอย่างจริงใจ
แมัที่สุดซีวิตก็อุทิศได้เพื่อหน้าที่ เมื่อเป็นเข่นนี่ ความรักในนางผู้แมัจะสวยงาม ก็ย่อมไม่มีอำนาจพอที่
จะเหนี่ยวรั้งผู้ปฏิปติหน้าที่ของตนได้ได้ ข้อนี่ช้าน้อยเคยสดับมา ดังนั้นโปรดวางใจเถิด แมัช้าน้อยจะเป็น
วิหคก็ยังมีจิดใจเพียงพอที่จะรับปฏิบัติหน้าที่ฉลองพระเดชพระคุณของพ่อเหนือเกลัาได้คามเนตินั้น

นะเด้าข้า”
“เออ พ่อมาถูระของฉันช่างฉลาดนัก เท้นจะพอวางใจได้ละ” กล่าวยกย่อง “พ่ออัางเนติมา
กล่าวชอบแลัว จะได้มอบหมายใหัท่าธุระต่อไป คอยฬงนะ”
“เชิญพ่อเหนือเกลัาสั่งเชิดเด้าช้า ข้าน้อยรับปฏิบ้ติอยู”่

“พ่อมาถูระ ยังจำ,.กวัฏได้ไหม เกวัฏราชปุโรหิตของพระเด้าจุลนีแห่งบัญจาลนครน่ะ” ท่าน

kalyanamitra.org
๓๙๕

มหาบัณฑิตทบทวน
“อัอ เกร้ฎด้วร้ายนั่นน่ะหรือ” มาถูระเอ่ย “ข้าเจ้าเคยขี่ใส่ปากมันมาครั้งหนึ่งแต้ว จำได้สิเจ้าข้า”

“พ่อมาถูระ ปากร้ายนัก” ท้วงด้วยยิ่มแย้ม “ทำไมไปเรียกเขาว่าตัวร้ายล่ะ”

“พ่อเหนือเกลัา ไม่น่าจะตองถามช้าเจ้าเลย” มาถูระแถลง “ข้าเจ้าเรียกเขาว่าตัวร้ายนั้นด้วย

เหตุผลของช้าเจ้า”
“เจ้ามีเหตุผลอย่างไร”
“เหตุผลของข้าเจ้า พ่อเหนือเกลัาคงทราบดีแต้ว แต่เมื่อพ่อถามข้าพเจ้าจะขอซีแจงตามที่ข้าเจ้า

ได้เคยสดับมา” มาถูระบรรยายต่อไป “ธรรมดาของมนุษย์นั้น ควรจะมีเมตตากรุณาเป็นหลักธรรมประ-


จำไจ อย่างน้อยที่สุดก็ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่เกวัฎคนนั้นปราศจากความเมตตากรุณาเสียเลย เห็น

แก่ตัวเป็นที่สุด โหดเหยมเป็นที่สุด ผิดมนุษย์สามัญอันได้รับการศึกษาแต้วในอารยธรรม ดูเถิด เกวัฎ

แนะนำพระอธิราชของตนชักจูงพระอธิราชของตน ให้ทำลายกษัตริย์ในชมพูทวีปเสียด้วยยาพิษ เพี่อ

ให้พระอธิราชของตนเป็นเอกอัครราชาธิราช ตนเองก็จะได้เป็นเอกอัครปุโรหิต การเผยอตนสุ่ความยงใหญ่


ด้วยการประหารผู้อื่นเสียหมดเช่นนี่ ผิดวิสัยของอารยชน แม้แต่เพียงกดขี่ข่มเหงผู้อื่นให้อยู่ในอำนาจ

ของตน แต้วยกตนเหนือผู้อื่นด้วยอำนาจ ก็มีใช่การกระทำของอารยชนอยู่แต้ว นึ่เกวัฎคิดประหารทีเดียว

ด้วยถืออุดมคติว่า ‘ฆ่าคนอื่นให้หมด แต้วเราก็เป็นใหญ่ ข่มคนอื่นให้อยู่ในกำมือ แต้วเราก็เป็นใหญ่’ ดังนึ่

เป็นความของอนารยชนแท้”
“ข้าเจ้าได้พิเคราะห์เห็นว่า การกดขี่ข่มเหงกันเพื่อช่วงซีงความเป็นใหญ่นั้น ปรากฏชัดว่าเป็น

เรื่องของพวกเดรัจฉานแท้ *1 ก็เมื่อมนุษย์เอาเรื่องของเดรัจฉานมาเป็นคติประจำใจแต้ว จะไม่ให้เรียกว่า

‘ตัวรัาย’ ได้อย่างไรเล่าเจ้าข้า”
“ก็มีเหตุผลสมควรอยู่นะ พ่อมาถูระ” กล่าวยกย่องในที “เกวัฎนั่นแหละกำลังจะดำเนินการ

ก่อความยุ่งยากขี่นอีกแลัว จึงด้องมอบหน้าที่ให้พ่อมาถูระดำเนินงานสืบให้ทราบความจริง ”

“มันจะคิดก่อความเข็ญเคืองอะไรอีกเล่าเจ้าข้า” มาถูระซัก
“เมื่อสองสามวันนี่ เกวัฎได้เป็นทูตมายังราชสำนักพระเจ้าเหนือหัวของเรา ทูลถวายพระราชธิดา

ของพระเจ้าจุลนืแต่พระเจ้าเหนือหัวของเรา โดยทูลว่าพระเจ้าจุลนืขอใท้นำความมากราบบังคมทูล พระ-


เจ้าเหนือหัวของเราทรงซีนชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีพระราชประสงด็ที่จะเสด็จไปยังบัญจาลนคร เพื่อ

รับพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนื นี่เป็นเหตุที่จะด้องใซัพ่อมาถูระให้ไปสืบสาวราวเรื่องให้ได้ความจริง

ว่าเป็นอุบายของจุลนึ หรือเป็นด้วยด้องการจะถวายจริง *1 เพราะเรื่องนึ่เป็นความลับอย่างยิ่ง พ่อได้

สอบถามไปยังคนของเราแต้ว ไม่สามารถจะสืบความข้อนึ่ได้ คงได้ความแต่เพียงว่า เรื่องนี่พระเจ้าจุลนื

กับเกวัฎ พูดกันในห้องบรรทม ไม่มีใครร่วมด้วยเลย เร้นแต่นางสาลิกาที'เสาห้องบรรทมเท่านั้นที่จะได้

ยินเรื่องนี่ พวกนั้นจำนนจริง *1 ไม่ร้ว่จะสืบเรื่องราวได้อย่างไร จึงส่งข่าวบอกมาเท่าที่ร้ใด้ ธุระทํ่จะด้อง

ไข้พ่อมาถูระก็เถิดขี่น คือพ่อขอให้เจ้าไปเกั้ยวนางนกสาลิกา ให้เถิดความพิศวาสในตัวเจ้า แต้วลวงถาม

kalyanamitra.org
๓๙๖

ความลับข้อนี่มาให้พ่อ นี่แหละเป็นธุระของพ่อที่จะใซัเจ้าละ พอใจจะไปเกี้ยวนางสาลิกาไหมล่ะ พ่อ

มาถูระ”
“พอใจซี พ่อเหนือเกลัาของข้าน้อย” มาถูระรับสนองด้วยความชี่นบาน ที่ได้รับธุระของท่าน

มหาบัณฑิต “ข้าน้อยพยายามจะสืบให้ได้ทีเดียว ถ้านางนกสาลิกาทราบข้อความนั้นอยู่ พ่อเหนือเกลัา

คงได้ทราบเหมือนกัน”
“แต่พ่อเกรงภัยที'จะบังเกิดแก่พ่อมาถูระ อยู่หลายประการ” กล่าวด้วยปริวิตก “พ่อมาถูระด้อง

ระมัดระวังตัวให้มากทีเดียว ซีวิตของเจ้ามีด่าเท่ากับซีวิตของพ่อทีเดียว พ่อเป็นห่วงมากเหลือเกิน”


“พ่อเหนือเกลัาโปรตอย่าห่วงใยในซีวิตของข้าน้อยนี่เลย ช้าน้อยนี่ขอรับรองว่า จะรักษาซีวิต

ของตนกลับมาหาพ่อเหนือเกลัาให้จงได้” มาถูระยืนยันพรัอมทั้งแสดงหลัก “ข้าน้อยเคยสดับมาอยู่ว่า


‘ปูทปฏบดสอดแนมนั้นควรถนอมขวิดเป็นทสุด อย่ายอมสละขวิดเป็นอันขาด จะเป็นประใยขน้อะ โร ในเมอ

เอาขวิดไปทงเสย ร่างกายทปราศจากข่วิตจะนำข่าวมาแจงได้อย่างโรในเมอไม่อาจจะเอาข่วิตรอดมาได้
ขำน'อยได้ทรามเนตแฟงจารมุรุมมาเข่นนั้และม่นอยู่ในเนตนั้น ’"

“ถูกของเจ้าแลัว พ่อมาถูระ ความสามารถของจารชนอยู่ที่การแกัไขเอาซีวิตให้รอดมา มิไข่


อยู่ที่การสละซีวิต เมื่อเจ้าเช้าใจเข่นนั้นก็เป็นความเบาใจแก'พ่อ แด่พ่อขอเตือนเจ้าระวังเสียงในเวลาจะ

ถามข้อความลับนั้น ด้องระมัดระวังหาโอกาสที่เรันลับจริง รุ อย่าให้ใครได้ยินเสียงของเจ้าได้ แมัจะพูด

ด้วยภาษานกก็อย่านึกว่าจะไม่มีผู้รัเสียงของเจ้า ด้องพยายามปกปิดให้มิดชิด และพูดกันค่อย รุ ถามกัน


ค่อย รุ อย่าเอ็ดอึงไป ถ้าผู้ใดได้สดับเสียงของเจ้าแลัว หมายถึงการถูกฆ่าทันที ขอให้เจ้าจงจำไว้ พ่อมา
ถูระผู้เป็นที่รักของข้า”

“พ่อเหนึอเกลัาโปรดวางใจเถิดเจ้าข้า ช้าน้อยจะพยายามระมัดระวังมิให้เกิดอันตรายแก่ตน
นำความลับมาแจ้งแด่พ่อเหนือเกลัาให้จงได้” กล่าวรับรองอย่างมั่นคง
“ยังมีอึกประการหนึ่ง ที'พ่อยังไม่ค่อยวางใจ” กล่าวเป็นนัย

“ถ้าช้าน้อยคาดไม่ผิด ก็คือกล่าวว่าช้าน้อยจะติดนางสาลิกา” กล่าวดักใจพลางสรวลตามประสา


แลัวแถลงต่อไป “จารบุรุษพึงปฏิบัติตนดังนกต่อ วิสัยนกต่อมิได้ติดนกที'ตนล่อเข้ามานั้นเลย คงติดอยู่

กับเจ้าของตน ฉันใด ผู้เป็นจารบุรุษก็ฉันนั้น ไม่พึงติดในบุคคลใด พึงมอบหัวใจไว้แก่เจ้าของของตนผู้เดียว”

“ดีมาก พ่อมาดูวะ เป็นอันวางใจได้" ท่านมหาบัณฑิตกล่าวด้วยความเบิกบาน พลางลูบคึรษะ


อวยชัยให้พรพรัอมทั้งให้อาหารคือถ้วกับนี่าผั๊ง แลัวปล่อยให้บินไปทางบัญจาลนคร

kalyanamitra.org
๕๗. จารกรรมของมาถูระ
มาถูระ แขกเด้าแสน! ได้รบการปล่อยจากทัตถึอันนิ่มนวลของท่านมหาบัณฑิตแลัว ประคอง

บึกทั้งสองประจบอันแสดงคารวะแด่ท่าน บินประทักษิณ ๓ รอบ แต้วก็โผผินออกจากบัญชรแห่งคฤหาสน์


ด้วยกำดังเร็วปานลม ไม่ข้าก็ลับไปจากสายตาของท่านผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งมองดูอยู่ด้วยความปรานี

มาถูระ มิได้บินไปยังบัญจาลนครทันที บินเฉียงไปทางแคว้นสวิก่อน จนถึงเมืองหลวงแคว้นนั้น


ซึ่งมีนามว่า อา2ฎบุรี สังเกตการณ์ในแคว้นสวิอย่างใกลัชิด เผื่อจะมีเรื่องราวอะไรที1ควรนำไปแจ้งแด่
ท่านมหาบัณฑิตบัาง ทั้งนิ่เพราะแคว้นสีวิเป็นอาณาจักรสำคัญอีกอาณาจักรหนิ่งซึ่งเป็นกำลังใหญ่ของ
พระอธิราชจุลนี อีกทั้งเป็นการหาหลักฐานเกี่ยวอับท้องถิ่น ซึ่งตนจะด้องอัางเอาเป็นแนวดำเนินอุบาย
เพื่อให้สำเร็จประสงค์ตามที,จำนงมา เมื่อได้บินดูตลอดอริฐฎบุรีแลัว ไม่พบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ

อย่างไร ก็บินจากแคว้นสวิ บ่ายหนำไปยังบัญจาลนคร


ผ่านทิวป่า เทือกเขา และท้องทุ่ง จวบจนกระทั้งถึงบัญจาลนครอันกว้างใหญ่ไพศาล มาถูระ
บินผ่านอาคารบ้านเรือนและปราสาทอันเรียงวายเป็นถ่องแถว หมายมุ่งไปยังปราสาทหลังมหึมา ซึ่งตั้ง
เด่นเป็นสง่าท่ามกลางปราสาทใหญ่นํอยที'รายลัอมอยู่ ใคร จุ ได้เห็นก็!ได้ถูกด้องว่าเป็นพระมหาราชวัง

แห่งองค์พระอธิราชจุลนิ ไม่ด้องสงสัยเลย มาถูระบินสู่พระมหาปราสาทโดยปลอดภัย บินตรงเข้าหา


โดมทอง เกาะอยู่ในที่อันเหมาะ ยากแก่การที่ใคร จุ จะสังเกตเห็น พลางรำพึงว่า “แม่สาลิกาอยู่ที่ไหนนะ
ท้าไมจึงจะได้พบเล่า” เสาจ้องมองหาก็ไม่เห็น ก็ตกลงใจว่า “ไม่มีทางใดที่จะประเสรีฐเท่าอับการเปล่งเสยง
เสยงเท่านั้นที,เป็นสื่อเอก เสยงรัองจะเรียกเสยงรับ เสยงขับจะเรียกเสียงขาน เสยงชายก็ชอบใจหญิง
เสยงหญิงก็ชอบใจชาย” คิดแต้วก็บรรเลงด้วยเสยงอันไพเราะตามประสาของนกแขกเด้า สำเนียงแจ้วเจิ้อย
เป็นเพลงรักของผู้พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก กำลังเรียกรัองหาผู้ที่น่ารักเป็นเพลงรักที่กลั่นกรองออกมา

จากจิตใจ
สาลิกาจับคอนอยู่ในกรงทอง ข้างห้องพระบรรทมของพระอธิราชจุลนี ได้ยินเสยงเพลงวิหค
แว่วมาอย่างเพราะพริ้งจิตใจก็ไหวระรัว เกิดความรื่นรมย์อย่างแปลกประหลาด นางนึก “ใครหนอมา
ส่งเสียงอยู่แจ้วเจื้อย กำลังเรียกรัองรักที่พรากไป น่าตอบจริง จุ ลองตอบขานสักหน่อยเถอะน่า เสยง

เพลงของเขาครำครวญชวนใจรักเหลึอเกิน” แต้วสาลิกาก็รัองตอบไปตามความคิด
มาถูระได้ยินเสยงสาลิกาตอบ ก็ออกบินมาตามเสยงจนถึงช่องสหบัญชรห้องบรรทม ตรวจดู
ความปลอดภัยเห็นว่าไม่มีอันตรายแน่แต้ว ก็โดดเข้าใกลัสาลิกา ซึ่งก็ได้รับไมตรีจากนาง โดยนางเชิญ

kalyanamitra.org
๙๘

ให้เช้าไปนั่งในกรงทองด้วย มาถูระไม่รอช้า พอเข้าไปในกรงทอง ก็เอ่ยคำพลอด “สาลิกาจ๋า เรือนของ

เธองามจริงสวยเหลือเกิน อร่ามแพรวพราวอย่างยิ่ง เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ ความเป็นอยู่ของเธอคงไม่มีข้อใด

ที่จะทนไม่ได้เลยนะจ๊ะ โรคภัยก็คงไม่มีอะไรรบกวน คูเธอมีอนามัยดีมาก ตลอดถึงอาหารของเธอก็คง

ไม่มีวันที่จะถูกลืมเลยนะจ๊ะ”
การทักทายปราศรัยของมาถูระเป็นไปดามแบบฉบับสำหรับผู้ที่เพิ่งพบปะกัน และเป็นการ

เปิดทางให้สาลิกาไม่อาจจะเฉยได้ เพราะเป็นการทักทายที่เป็นเรื่องธรรมดา ก็ด้องตอบโดยอัธยาศัย

“ฉันสบายดี ไม่เจ็บไม่ไข้ ไม่ขาดแคลน อาหารของฉันข้าวตอกคลุกนี่าผง ไม่มีใครเข้ากลัาลืมดอกจ้ะ

พ่อแขกเตา” สาลิกาตอบแลัวก็ถามบ้างว่า “พ่อแขกเด้าผู้เพื่อนยากจ๊ะ ฉันขอถามบ้างละ เธอมาจากไหน


ใครส่งเธอมาถึงที่นี่จ๊ะ”

มาถูระคิดด้วยว่องไว ‘ด้าบอกตรง *1 ว่า มาจากมิถิลา แม้นางจะด้องตายก็จะไม่ยอมให้ความ

พิศวาสแก่เรา เราบินผ่านสึวีรัฐมาแลัวควรอัางสีวีรัฐดีกว่า ’ คิดแลัวตอบว่า “ฉันหรือจ๊ะ เป็นผู้เฝ็าห้อง


บรรทมของพระเจ้าสีวีราช เจ้านายของฉันท่านดีเหลือเกิน ไม่ทรงกักขังฉันเลย จะไปไหนก็ไปได้อย่าง
อิสระเข้านอกออกในไปไหนได้ตามปรารถนา ฉันไม่ค่อยจะอยู่ในเรือนตลอตกาลอย่างเธอดอกจ้ะ เวลา
กินเวลานอนเท่านั้นที่ฉันจะมาที่เรือนทองของฉัน”

“เจ้านายของฉันท่านก็ดีเหลือเกิน เหมือนกันและจ้ะ” สาลิกาอวดบ้าง “เห็นแลัวมิใช่หรือ

ประคูเรือนทองของฉันเปิดอยู่ตลอดเวลา ท่านทรงปล่อยฉันเป็นอิสระเหมือนกัน ฉันจะไปไหนก็ไเปได้

ไม่มีใครห้ามฉัน ท่านก็ทรงวางพระทัย แต่ฉันไม่ไปไหน8] นอกจากบริเวณห้องพระบรรทม ก็เพราะ

ความสำนึกในตนห้ามฉันไว้"
“ความสำนึกอะไรจ๊ะที่ห้ามเธอไว้ บอกได้ไหม” มาถูระซักเพื่อให้ได้พูดกัน

“ความเป็นหญิง สำนึกในความเป็นหญิงน่ะซีเพื่อนจ๋า คอยห้ามปรามฉัน” ตอบตามความรัสีก


“สาลิกาจ๋า เธอก็มีปีกนี่จ๊ะ หรือเธอบินไม่เป็น ฉันเห็นสาลิกาอย่างเธอบินกันให้ปร๋อ ทำไม

ความเป็นหญิงของสาลิกาเหล่านั้นไม่ห้ามเขาบ้างเล่าจ๊ะ” มาถูระแสรังซัก

"แขกเด้าจ๋า ฉันบินได้เหมีอนเธอทีเดียว แต่ความรัสีกว่าตนเป็นหญิง ห้ามฉันไว้มิให้บินชุกชน


ไป เพราะฉันได้พบเห็นอยู่ และก็ได้ยินอยู่ว่า ภัยอันตรายของหญิงนั้นมีมากเหลือเกิน จะเที่ยวไปไหน

มาไหนแต่ลำพังไม่เป็นการดีงามเลย การที่หญิงไปประสบภัยอันตรายนั้นเป็นความเสียหลายสถาน ตั้งด้น

แต่เสียด้วถึงเสียซีวิตเป็นที่สุด ฉันได้ยินได้พังเช่นนี่ จึงห้ามตนเองไว้ ไม่ออกไปไหน *1 แม้ว่าจะได้รับ

พระกรุณาอย่างด้นเหลือ”
"สาลิกาจ๋า เธอช่างดีเหลือเกิน” มาถูระยอ “ความสำนึกในภาวะของตน เป็นปราการอันสำด้ญ
ที่ปัองกันหญิงมิให้เสีย ฉันเคยได้ชินเหมีอนกัน”

เห็นจะถูกอารมณ์ของสาลิกา นางจึงออกปากว่า “พ่อแขกเด้าจ๋าเชิญซ็จ๊ะ เชิญบริโภคข้าวตอก


กับนี่าผํ่งในจาน นั่นอย่างไรเล่าจ๊ะ”

kalyanamitra.org
๓๙๙

“ขอบใจในความอารีชันล้นพ้นของสาลิกา” มาคูระกล่าวมาด้วยความจริงใจ เพราะกำลังด้องการ


ขณะที่มาถูระกำลังจิกข้าวตอกและดื่มนี่าผึ่งอยู่นั้น สาลิกากีถามตามนิสัยช่างพลอด “แขกเด้าจ๊ะ

เธอมาจากแดนไกล เธอมีธุระอะไร จึงได้มาถึงที่น”ี่

โอกาสชันงดงามได้ผ่านมาแล้ว มาคูระแสนฉลาดรีบฉวยทันที ตีหน้าเศร้าพลางแถลงเรื่อง


ซึ่งผูกใริในใจแล้ว “สาลิกาจ๋า ฉันต้องขอโทษในการที่นำเรื่องของตนออกเปิดเผย เพราะได้ทราบว่า

การเปิดเผยเรื่องของตนแก่ผู้ใด *1 โดยไม่มีเหตุยันสมควร ไม่เป็นการดีเลย แต่เมื่อเธอถามฉันก็จะเปิด

เผยความในไจของฉันให้เธอพัง”
“ฉันมีคู่เป็นสาลิกานางหนี่ง ช่างพูดเหมือนเธอ และก็ร้จักเสงี่ยมเจียมตัวเหมือนเธอ แต่อนาถ
ใจจริง ไอ้เหยี่ยวตัวร้ายมันฆ่าสาลิกาของฉันตายต่อหน้าต่อตาฉัน โธ่สาลิกาของพี่”

แขกเด้าแถลงด้วยอารมณ์และนี่าเสียง แสดงอารมณ์โศกาอาลัยอย่างลึกซึ่ง
“ทำไมเหยี่ยวถึงได้ฆ่าสาลิกาคู่ครองของเธอเสียเล่าจ๊ะ” สาลิกาถามด้วยความร้สืกสมเพช

“เธอด้องการจะพ้งหรือจ๊ะ เชิญพ้งนะจ๊ะ” แขกเด้าเริมบรรยายตามแบบฉบับ “วันหนี่ง พระ-


ราชาของฉันเสด็จไปทรงกีฬาทางนี่า รับสั่งให้ฉันตามเสด็จไป ฉันก็พาสาลิกาไปด้วย ไปเล่นนี่าอย่าง

สนุกสนานกับพระราชาของเรา กลับจากเล่นนี่าในตอนเย็นขนสู่พระมหาปราสาทเรียบร้อยแล้ว ก็พากัน

บินออกไปทางช่องพระแกลเพื่อผึ่งตัวให้แห้ง เราพากันไปเกาะอยู่ที่หลึบของยอตปราสาท ขณะนั้นมี


เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเราก็โฉบเพื่อจะมาเฉี่ยวเรา ฉันตกใจกลัวรีบบินหนีไป แต่สาลิกากำลังทัองแก่บินหนี

ไม่ท้น เหยี่ยวร้ายมันเลยเฉี่ยวเอาตัวไป มันฆ่าเธอเสียต่อหน้าฉัน ฉันไม่สามารถจะป้องกันได้เลย น้อย

แรง-น้อยร่าง-และน้อยฤทธํ่ คิดแล้วก็น้อยใจ แด้นใจ และเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ฉันร้องไห้เศร้าโศกจน

เจัานายของฉันท่านทรงเห็นก็ตรัสถาม ฉันเล่าพลางร้องไห้ไปพลาง ท่านก็ทรงปลอบฉันว่า ‘เพื่อนยาก

อย่าร้องไห้เลย จงไปหาคู่ใหม่เถิด’

ฉันกราบทูลแต่พระองค์ท่านว่า “ขอเดชะ พระทูลกระหม่อมของสัตว์ผู้ยาก ข้าพระพุทธเจ้า


จะไปหาที,ไหนได้ให้เหมือนสาลิกาแกัวนี่ เพื่อนดีสมบูรณ์ด้วยกิริยามารยาท ควรที,จะเป็นนกประจำวัง
ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการคู่ที่ปราศจากกิริยามารยาท อ้นจะทำให้เป็นที่ขุ่น

เคืองเบื้องบาท ขออยู่ลำพังผู้เดียวจนกว่าซีวิตนี่จะสูญสิ้นไป”

พระองค์ท่านตรัสว่า “เพื่อนยาก ข้าพบสาลิกานางหนึ่งเหมือนกับคู่ของเจ้าไม่ผิดแผกเลย สาลิกา

ที่ข้าพบนั้น เป็นนางนกเสาห้องบรรทมของพระอธิราชจุลนีแห่งบัญจาลนคร เจ้าไปพบกับนาง ถามถึง

ความพอใจของนางดู หากนางตกลงปลงใจด้วย นางชอบเจ้าก็จงมาบอกช้า จะไปสู่ขอให้ และจะจัดการ

นำมาด้วยขบวนหลวงทีเดียว”
“สาลิกาจ๋า เหตุที่ฉันมาถึงนึ่ มาถึงที่อยู่ยันงดงามของเธอก็เพราะความปรารถนาเธอ ล้าเธอ

ไม่สลัดตัดอาลัย เราทั้งสองก็คงได้ครองคู่กันสืบไปนะจ๊ะ สาลิกา”


สาลิกาพังแล้ว แสนจะปลาบปลื้ม แต่ก็มีความกระดากอายตามวิสัย ไม่ต้องการจะให้มาถูระ

kalyanamitra.org
๔๐0

รัถึงความรัสีกอันแท้จริงของนาง แสรังทำเป็นเหมือนไม่ด้องการเอ่ยขื้นว่า “ตามธรรมดานกแขกเท้า

ก็ควรจะมีนางแขกเต้าเป็นคู่ นกสาลิกาก็ควรจะมีนกสาลิกาเป็นคู่ เธอเป็นแขกเด้าฉันเป็นสาลิกา จะร่วม


คู่อยู่เคียงอัน มีเยี่ยงอย่างที่ไหนเล่า”
มาถูระพังต้อยคำของสาลิกาแลัวคิดในใจว่า “นางสาลิกาไม่โ}ดเรา เพียงแด่พูดบ่ายเบี่ยงไป

เท่านั้น นางต้องการเราแน่นอน ต้องซักอุปมาให้เห็นคล้องตามเราใต้จงได้” ดกลงใจแล้วก็กล่าวว่า “สาลิกาจ๋า

ระหว่างเราผู้เป็นบ้กษีด้วยอัน อย่าว่าเลยว่าเป็นคนละเผ่าคนละชาติ แม้แด่ในมนุษย์ พระมหากษัตริย์


ก็ยังร่วมคู่อับหญิงจัณฑาลได้เลย เรื่องชาติชันวรรณะไม่เป็นข้อสำคัญ ไม่เป็นข้อขัดขวาง แต้วแด่ความ
ปรารถนาในก้นและอันด่างหากเล่าจํะ สาลิกาจ๋า เธอไม่เคยได้ชินบ้างหรือที่ว่าขอใต้มีความปรารถนาต่อ
อันเถอะ แม้จะเป็นกษัตริย์หญิงจัณฑาล ก็เป็นคู่ครองอันได้ เพราะว่าในเรื่องเช่นนั้เหมึอนอันทั้งนั้น
ไม่มีข้อแตกต่างอันเลย ในเรื่องความใคร่ความปรารถนา จิตใจเท่านั้นเป็นประมาณ ชาติชันวรรณะไม่

เป็นข้อกีดขวางได้เลย”
“สาลิกาจ๋า เธอเคยได้ยินเรื่องของนางซัมพาวดีไหมเล่า พระนางเป็นอัครมเหสีองด็โปรด
ของพระวาสุเทพ กฤษณโคตรเรื่องมีอยู่ว่า
วันหนึ่ง พระยใวไสุเทพเสด็จออกจากเมืองทวารวดีเพื่อประฬาสอุทยาน ได้ทรงพบกุมารี
นางหนึ่งเดินสวนทางมา คีอ นางชํมพาวดี เผ่าจัณฑาล แด่สวยงามมาก พระวาสุเทพทรงปฏิพัทธ์ใน

นางตั้งแต่ทรงแรกเห็นทีเดียว พระองด็ใต้อำมาตย์ไปสอบถาม ได้ความว่าเป็นหญิงจัณฑาลยังไม่มีสามี

ก็ทรงรับนางเป็นอัครมเหสี โปรดปรานยิงนัก ต่อมาประสูติพระราชโอรสพระนาม สีว ต่อมาได้ครอบ


ครองเมืองทวารวดีสนองพระองด็พระวาสุเทพ มนุษย์ด้วยอันด่างวรรณะอันราวพีาอับดิน ยังร่วมคู่อยู่
เคียงอันได้ กษัตริย์อับหญิงจัณฑาลก็ยังร่วมอันได้ สำมะหาอะไรอับเราชี่งเป็นสัตว์ดิรัจฉาน และเป็น
บ้กษีชึ่งมีเผ่าพันธ์ใกล้เคียงอัน”
“อีกเรื่องหนึ่ง สาลิกาเคยได้ชินหรีอเปล่าจิะ นางกินรีรัตนาวดีได้ร่วมคู่อับพระฤๅษีวัจฉะ มี

เรื่องเล่าว่า
“ครั้งกระโนันพราหมณ์ผู้หนึ่งนามว่า ฬัฉะ บวชเป็นฤๅษี สรัางบรรณศาลาอยู่ในปาห็มพานต์
ไม่ห่างจากบรรณศาลา มีคูหาใหญ่เป็นที่อาศัยของฝูงกินนรมากด้วยอัน ที,ประคูต้านั้นมีแมลงมุมใหญ่
ท้วหนึ่งอาศัยอยู่ มันคอยเจาะศืรษะพวกกินนรแล้วดื่มเลือดกินเป็นอาหาร พวกกินนรดามธรรมชาติมี

ก้าลังนัอยและแสนขลาดจึงไม่สามารถจะสู้อับแมลงมุมยักษ์นั้นได้ จึงพาอันไปหาพระฤๅษีวัจฉะ ขอรัอง


ให้ช่วยก้าจัดแมลงมุมยักษ์ เพื่อพวกกินนรจะได้อยู่อย่างสวัสดี ตอนแรกถูกฤๅษีตะเพิดไม่ยอมใต้ความ

ช่วยเหลือ ภายหลังพวกกินนรได้ขอรัองใต้นางกินนรซือ รํต์นาวดีไปช่วยอัอนวอน และว่าล้าท่านช่วยก็


จะยอมให้เป็นบาทบริจาริกา พระฤๅษีวัจฉะดกลงทันที เพราะเห็นนางแลัวแสนจะติดใจ ในที่สุดก็ปราบ

แมลงมุมยักษ์ดาย ได้นางกินรีเป็นภริยา มีลูกหญิงชายหลายคน สาลิกาจ๋า มนุษย์อับกินนรซ็งจัดเป็นมฤค


ยังร่วมเรียงเคียงคู่อันได้นึ่จิะ เราเป็นบ้กษีด้วยอัน มิใช่จะคนละชาติเช่นฤๅษีอับกินนร ทำไมจะร่วมเรียง

kalyanamitra.org
๔๐๑

เคียงคู่กันไม่ได้เล่าว้ะ”
สาดิกาฬงอุทาหรณ์ที่มาถูระยกมาเล่าแต้ว กิเอ่ยว่า “นายเด้าขา ธรรมดาจิตไจนั้นยากที่จะเป็น
หนึ่งแน่ได้ตลอดไป ฉันกลัวเหลึอเกิน กลัวจะถูกทอดทิ้งได้ด้างด้างว้าเหว่ ความรักที่ตั้งด้นด้วยความมีคู่
และลงท้ายด้วยความเลิกว้าง ไม่มีโอชาที่ควรจะลัองเสพได้เลย ต้าเห็นว่ารักจะเป็นเข่นนั้น กิยอมทนที่

จะไม่ด้องรักเสียดีกว่า จะได้ไม่เกิดความทุกข์เพราะกัยรัก จริงไหมแขกเด้าจ๋า”


สุวบัณฑิต เห็นทิท่ากับต้อยค้าไม่ค่อยสมกัน ทีท่าของสาลิกาดูมีความปรารถนา แต่วาจาปฏิเสธ
กิสังเกตได้ว่าเป็นมายาตามวิสัยกิคิดจะทดลองคูใท้แน่แก่ใจ จึงกล่าวว่า “สาดิกาฝัพูดจาไพเราะด้บใจ ด้'.
เข่นนั้นฉันกิขอลากลับไป ฉันมาด้วยหวังขอใด้เธอเป็นคู่เคียงของฉัน แต่เธอกลับไปเห็นว่า ค้าพูดของ
ฉันเป็นเรื่องย้อนยอกหลอกหลวง เธอหมิ่นฉันเกินแต้ว สาลิกาจ๋า เธอไม่ทราบความใหญ่โตของฉัน ไม่
ยอมเชี่อฉัน ฉันนึ่เป็นฝัที่พระราชาทวงโปรดปราน เรื่องเมียน่ะ ฉันหาได้ไม่ยากเลย ไปละนะ ฉันจะ

ไปหาสาดิกาอึนเป็นเมียของฉัน”
สาลิกาฬงแต้วใจจะขาดเสียใด้ได้ ความเร่าว้อนด้วยเพลิงปรารถนาเผาจิตใจมาตั้งแต่ได้ฬงเสียง
ได้เห็นด้วและยิ่งทวิขื้นเมื่อได้พูดจาสนทนากัน แต่ที่ท้าเป็นไม่ปรารถนากิเป็นเรื่องของมายาหญิงเท่านั้นเอง
เมื่อเห็นท่าทางของสุวบัณฑิตพูดจาขึงขังจะไปเสีย กิเอ่ยว่า "มาถูวะจ๋า เธอกิดูจะเป็นนกแขกเด้าด้วเปรื่อง
ปราดฉลาดเลิศ เธอน่าจะทราบนิติแต่โบราณที่ท่านว่าไวัว่า ต่วนได้ไม่งาม เสียโฉมเสียศรึ ดูเธอไม่น่า
จะใจน้อยเลย เอาแด่ใจว้อนใจเรีวจะดีหรึอว้ะ ธรรมดาการมีคู่ครองเป็นเรื่องหน้กใจยิ่งน้ก ด้องติด ด้อง
ซังตรองใท้ล่องแท้ก่อนที่จะตกลงกระท้าไป อยู่ที่นึ่ก่อนเถิดนะว้ะ อย่าเพิ่งไปเลย คอยดูเว้าเหนิอท้วของฉัน
ชี่งเพียบพรัอมยศสักดํ่อัครฐานใหญ่หลวง เธอจะได้ฬงเสียงดนตรีที่เหล่านารีฝัทรงรูปอุดม มีดิลาสม

ด้วยกินรีขับขานประสานเสียงเสนาะนัก ทั้งจะได้เห็นเดชาสุภาพอันทวงลัริโสภาคย์ใหญ่หลวงของพระวาชา

ของชาวเรา แขกเด้าจ๋า จะรีบว้อนไปใยเล่าว้ะ เธอไม่ทราบอะไรหรึอฺว้ะ ไม่ทราบกิอยู่ก่อนเลอะ แต้วกิ

รัเองแหละ”
เย็นวันนั้นเอง สุวบัณฑิตกับสาลิกาต่างกิร่วมสมัครสมานกันฉันมัวเมีย ต่างชี่นชม ต่างร่าเริง

บันเทิงและต่างรักใคร่เอาอกเอาใจกัน ด้วยความรักอันหวานน่า
มาถูระแขกเด้าแสนรัพลอดพรํ่ารักจนกระทั้งเห็นแน่แต้วว่า คราวนึ่ดาลิกาวักไม่ปกปิดความ
ลับต่อเรา ด้องล่อถามเสียตอนนึ่ลึงจะเหมาะ คิดแลัวกิเรียก “สาลิกาจ๋า”

“อะไรเว้าคะ นาย” สาลิกาสนองค้าเรียกด้วยเสียงอันหวานน่า


“ฉันอยากจะพูดอะไรกับเธอลักหน่อย”
“เชิญเลอะค่ะ พูดข็คะ ดาลิกาอยากฬงค่ะ”
“ข่างเลอะงดไว้ก่อนเถอะ ว้นนึ่เป็นวันมงคลของเรา ว้นอึ่นค่อยพูดกันดึกว่า” มาถูวะใซัอุบาย
เพื่อย้วอารมณ์ไท้เกิดความอยากรัแก่สาลิกายิ่งซ็น วิธึเข่นนึ่เป็นอุบายสำด้ญในกาวลัวงความลับประการ
หนึ่ง เป็นวิธึย้วใท้เกิดความอยากว้เสียก่อน ธรรมดาของจิตที่ไม่เคยฟิกฝนมาเลย พอได้ทราบอะไรที่

kalyanamitra.org
๔๐๒

ชวนคลางแคลง ชวนสงสัย ดูยิ่งอยากริให้ประจักษ์ทันทีทันใด เหมือนกับมีผู้จะเปิดสิ่งที่ปกปิดให้ปรากฏ

กัาเปิดโพล่งโจ่งแจังออกมา ความรัสึกของผู้เห็นก็เป็นธรรมดา แต่กัาค่อย ๆ แยมออกทีละน้อยก่อนแลัว


ก็กลับปิดเสึยอีก ยิ่งเป็นการยั่วให้อยากเห็นยิ่งชื้น มาถูระก็ม่งจะกระทำเช่นนั้น เพราะมันเป็นการดีใน
แผนการต่อไป นางหลงอุบายนั้น คาดคั้นเพราะด้องการจะพัง “พูดซ็คะนาย ด้าเป็นเรื่องมงคล เราพูด
เรื่องที่เป็นมงคลในวันมงคลของเราซีคะ แต่ลัาเป็นเรื่องตรงกันข้าม อันอัปมงคลก็น่าจะด้องระงับไว้

อย่าพูดออกมาเลย”
“สาลิกาน้องรกของพี่ เรื่องที่พี่ด้องการจะพูดนํ๋เปันเรื่องมงคลซีจ๊ะ” มาถูระพูดอย่างซ็อ *1

“กัาเช่นนั้น ก็เชิญพูดเถิดค่ะ” สาลิกาตกหลุมอุบายของมาดูระอย่างไม่รัสึกตัว


“กัาน้องรักด้องการจะพัง ฉันก็จะพูด” มาดูระกล่าวเป็นเชิงว่าที่พูดนึ่เป็นความประสงค์ของ
สาลิกาด้องการให้พูด มาถูระวิ่งเข้าหาจุดประสงค์ของตนโดยไม่ชักข้า “สาลิกาจ๋า ในชนบทภายนอกมี

ข่าวลือกระฉ่อนไปทุกหนแห่ง ฉันก็ได้ชินมา คือ ข่าวเรื่องพระรูปโฉมของพระนางบัญจาลจันที ราชธิดา

ของพระอธิราชจุลนึ กล่าวกันว่างามหนักหนา ผิวพรรณผุดผ่องเหมือนดาวประกายพรึก และต่อมาก็มี


ข่าวลือว่า พระอธิราชจุลนึจะประทานพระราชธิดาองค์นึ่แด่พระเจัาวิเทหวาช การวิวาห์ระหว่างพระนาง
บัญจาลจันทีกับพระเชัาวิเทหราช ชักได้กระทำกันในไม่ชัานึ่ ข่าวนึ่เลึ่องลือระบือไปทั่ว ฉันได้ยินมา แต่

ก็ยังแคลงใจว่าพระเจัาวิเทหราชนั้นเป็นสัตรูรัายของพระเจัาอธิราชจุลนึ ไฉนพระเชัาจุลนีจะมายกพระ-
ราชธิดาให้ พระราชาอื่น ๆ ที่อยู่ในพระราชอำนาจก็มีมากมาย ทำไมถึงไม่ยกให้ หรึอจะมีเหตุผลอะไร
ที่บังตับให้พระอธิราชจุลนีทวงยกพระราชธิดาให้พระเจัาวิเทหราช น่าสงสัยจริง”
สาลิกาทังค์าของมาถูระแลัว รีบขัดชื้นทันทีว่า “มาดูวะของฉันทำไมมาพูดเรื่องอัปมงคลเล่า
สัญญากันแลัวมืใช่หรึอว่า จะพูดแต่เรื่องมงคลในวันมงคลของเรา ทำไมละเมิดสัญญาเล่าคะ”
“สาลิกาจ๋า ฉันพูดเรื่องที,ตนเห็นว่าเป็นมงคล และมันเป็นเรื่องมงคลจริง จุ แต่เธอกลับว่า

เป็นเรื่องอัปมงคล มันอย่างไรกันล่ะจ๊ะ”
“มาถูระจ๋า การกวะทำงานมงคลเช่นนึ่ระหว่างสัตรูทั้งคู่นั้น อย่าเรียกว่ามงคลเลย มันจะเป็น

การมงคลไปได้อย่างไร” สาลิกาแยัมพราย
“บอกมาหน่อยซ็จ๊ะ สาลิกาจ๋า” มาดูระออดอัอน
“มาถูระขา บอกไม่ได้ดอกค่ะ ฉันไม่กลัาพูดดอกค่ะ”
“สาลิกาจ๋า ไม่ไวิใจฉันหรึอจ๊ะ หรึอมันเป็นความลับอย่างไรถึงพูดไม่ได้ เธอไม่รักฉันจริง
กระมังจ๊ะ ธรรมดาคนเรารักกัน ไม่ควรจะมีอะไรที่เป็นความลับระหว่างกัน อีกฝ่ายหนึ่งรั แต่ปิดบังอีก
ฝ่ายหนึ่งเลึยเช่นนื้ เป็นการผิดธรรมดาไป เธอรัความลับแต่บอกฉันไม่ได้ กาวร่วมอยู่เคืยงกันวะหว่าง

เรา ก็น่าจะไรัผลเสึยแลัว สาลิกาจ๋า”


“ความวางใจกันเป็นพยานเอกของความรัก เป็นพยานแห่งความเป็นคู่ครอง เป็นเครื่องผูกพัน

อันมันคงวะหว่างผัวเมีย ทำให้ความเป็นผัวเมียชินนาน ความหวาดวะแวงกันเป็นอาจุธอันคมกลัาตัดวอน

kalyanamitra.org
๔๐๓

ความสมัครสมานระหว่างผัวเมีย สาลิกาจ๋า เมียไม่วางใจผัวแต้วหรึอจัะ" มาถูระมัดพ้อดามกวะบวน


สาลิกาโดนมัดพ้อเข้ารูปนื้ ก็สุดที่จะปกปิดด่อไป รีบกล่าว “มาถูระขา อย่าบีบนั้นห้วใจเมีย

นักเลย เชิญพ้งเชิด จะเล่าให้พ้ง จะเป็นไปได้หรึอปัญจาลราชจะยกลูกสาวให้วิวาห์กับวิเทหราช ปญจาลราช


กับวิเทหราชเป็นคัดรูกัน มาถูระจ๋า วิวาห์มงคลระหว่างคัดรู เข่นปญจาลราชยกธิดาให้วิเทหราชนื้ จง

เป็นงานมงคลของเธอเชิด อย่าเป็นมงคลของเราเลย”
“ทำไมเธอพูดเข่นนั้นเล่าจ๋ะ สาลิกานัองรัก” ซักด้วยท่าทึสนใจยิ่ง
“เดํ่ยวซี จะเล่าให้พ้ง อย่าเพงซักซีคะ” สาลิกาติงพลางเริ่มเล่า

“พระอธิราชจุลนึทวงมีพระมนัส มุ่งหมายจะให้อำมาดย้มัวสำมัญดิอมโหสลบัณฑิด เดินทาง


มาสู่ปญจาลนคร แต้วจะจับฆ่าเด็ย ไม่ด้องการจะผูกไมตรีกับวิเทหราชดอก เป็นแด่อุบายลวงให้วิเทหราช
กับมโหสถมาปญจาลนครเท่านั้น ต้ามาจริง *1 แต้ว วิเทหราชจะไม่ได้เห็นเงาพระธิดาเสึยด้วยซัา พวะ-
อธิราชด้องจับประหารเสึยก่อนแน่ อุบายนื้ท่านเกวัฎกราบทูลกับพระราชา เรื่องเป็นเข่นนื้”
“อาจารย์เกวัฎนั๊ช่างฉลาดในอุบายเหลือเกิน น่าอัศจรรย์จริง ที่ท่านอาจารย์ติดหาอุบายฆ่า
วิเทหราชได้เข่นน’ มาถูระแสรังชมเกวัฎ “แด่มันก็เป็นเรื่องอัปมงคลจริง *1 อย่างที่สาลิกาท้วงมาแด่แรก

เราไม่ด้องการเรื่องอัปมงคลเข่นนื้ สาลิกาจ๋า เงียบเชิด นอนกันเชิด”

kalyanamitra.org
๕๘. ไปแดนศตร
หลังจากปล่อยมาถูระแขกเด้าแสนรัใปแต้ว ท่านมหาบัณฑิตก็เติมไปด้วยความห่วงใย ราตรีกาธ
นั้นผ่านไปด้วยความรำพึงถึงแผนการรัายของฝ่ายคัตรู เกรงว่ามาถูระจะไม่ปลอดภัย แต่ก็มั่นใจในความ

สำเร็จของมาถูระ เพราะทุกครื่งมาถูระไม่เคยพลาดเลย
กล่าวถึงมาถูระผ่านราตรีแห่งความสุขลับสาลิกาไปอ^ งชี่นฉ่า รุ่งเช้าเขาพูดลับสาลิกาว่า “สาลิกา
จ๋าฉันจะลาไปก่อนไปแคว้นสึรื กราบทูลเว้านายของฉันทั้ง ๒ พระองติให็ทรงทราบว่า ฉันได้เมียที่น่ารักแต้ว
ขอได้โปรดทรงก่าหนดวันที,จะมารับสาลิกาของฉันไป สาลิกาจ๋า ฉันไปสัก ๗ วันเท่านั้น ก็จะกลับมา
กลับมาพรัอมลับพระราชาของฉัน มาขอสาลิกาต่อพระอธิราชของเธอ จะพาสาลิกาของพี,ไปพรัอมด้วย

ขบวนเกิยรติยศอย่างใหญ่หลวงทีเดียวนะซิะ อย่าเป็นทุกข์เป็นรัอนไปเลยนะว้ะ รอสัก ๗ วันเท่านั้น”


สาลิกาฬงแต้วใจหาย ไม่ปรารถนาเลยที่จะห่างมาถูระ ด้องการจะอยู่ร่วมเรียงเดียงคู่เช่นนั้น
ตลอดกาล แต่ก็ไม่อาจจะน้ามเขาได้ เพราะการไปของเขา ก็เพื่อความราบรื่น เป็นยศเป็นเกิยรติแก่ตน

นางฟินใจกล่ากลืนความระทมพูดว่า “เชิญเถิดค่ะ สาลิกาอทุญาตใน้ ๗ ราตรีเท่านั้นนะคะ ต้าฬน ๗


ราตรีไปแต้ว มาถูระขา มาถูระลังไม่มาถึงที่อยู่ของฉัน ก็พึงทราบเถิดว่าเธอด้องมาพบคพของสาลิกา ใน
วันที, ๘ เป็นแน่นอน สาลิการักเธอเหลือเกิน ไม่ปรารถนาจะอยู่ห่างเธอเกินกว่า ๗ ราตรีไปได้ เพราะ

ฉะนั้นเธอไปอย่าใน้เกิน ๗ ราตรีนะคะ”
มาถูระสนองค้าของสาลิกา “สาลิกาจ๋า เธอพูดอะไรซิะ ฉันก็เช่นนั้นเหมือนกันนะว้ะ ต้าฉัน
มาในวันที, ๘ ไม่เห็นสาลิกา ฉันก็เห็นจะไม่มีซีวิดเหมือนลันนะซิะ” มาถูระพูดไปอย่างนั้นเอง ใจจรีง
นั้นคิดอยู่ว่า “เธอจะตายหรือจะเป็น ก็เป็นเรื่องของเธอ ฉันไม่เกี่ยวข้อง ธุระของฉัน หน้าที่ของฉัน

สำคัญกว่าความรัก สำคัญกว่าความตายของคนรักเป็นไหน *|” เขาออกจากกรงทองของสาลิกา บินหายหน้า


ไปทางแควันสีวิ ไปได้ลักหน่อยหนึ่งก็หวนกลับมาอีก โผเข้าไปหานาง พลางพูดว่า “สาลิกาจ๋า ฉันไม่
อาจทิ้งเธอไปโดยไม่เห็นรูปโฉมของเธอ เพราะฉะนั้นจึงด้องกลับมาอีก โชัสาลิกาจ๋า ฉันไม่อยากจาก

เธอไปเลย แมัลักคึนเดียว มันก็เป็นการทรมานเลึยหน้กหนา ๗ คึนจะทรมานฉันปานใดเล่า สาลิกาจ๋า


ฉันจะรีบกลับมา ความเนึ่นช้าของฉัน เป็นความล่าช้าแห่งความสุขของเรา ฉันเร็วเท่าใด ความสุขของเรา

ก็มาหาเร็วเท่านั้น” พูดแต้วก็ออกบินไปด้วยท่าทางยันแสรังท่าเป็นแสนอาลัย พอพ้นสายดาสาลิกาแต้ว


ก็เลั้ยวไปมิถิลานครท่นที

kalyanamitra.org
๔๐๕

ท่านมหาบัณฑิตกำลังรอคอยการกลับมาของมาถูระอยู่ด้วยจิตกังวล คอยมองตูทางทิศของ
บัญจาลนครอยู่ตลอดเวลา ฟ้าวันนั้น มาถูระบินโผเข้าหาท่าน วับที่จงอยบ่าเป็นสํ'ญญาณว่าเรื่องนื้ลึกลับ
มากที่สุด วัได้เฉพาะท่านผู้เดียวเท่านั้น ท่านมหาบัณฑิตจึงรีบข้นถู่ซ์นบนของปราสาท เมึอนั่งเรียบรีอย

แลัวดีลามทันที “พ่อมาถูวะสำเร็จไหม?”
มาถูระบวรยายเรื่องราวให้ทังโดยละเอียดทุกประการ ซ็งดีได้รี'บรางวัลงามตามสมควร ท่าน
มหาบัณฑิตทราบเรื่องราวแลัวดีรีาพึงในใจว่า เราไม่ด้องการจะให้พระราชาของเราเสด็จไปเลย พระองดี
ดีวักเสด็จไปให้ได้ ไปแลัวดีจะเกิดเรื่องใหญ่ พระองดีจะด้องถูกจุลนีลัอมวับประหารเสียเป็นแน่ แต่
พระองดีมีพระมหากรุณาแก,เราลันทัน พระราชทานยศฅ์กดิ้สัครฐานสูงล่งแก่เรา ในแควันวิเทหรี'ฐ ไม่
มีผู้ใดที่จะมียศศักดํ่เสมอเรา ด้งนั้นเราจะเดีบเอาพระคำรีสที่ตรี'ลรุกรานไวิในใจ ไม่กวะท่ากาวใด จุ

เพื่อช่วยเหลึอพระองดีเลย ไม่เป็นกาวสมควร ความครหาชักเกิดแก,เราได้ ไหน จุ พระองดีท่านวักเสด็จ


ไปใทัใด้แลัว สุดที่เราจะทัดทานได้แลัว ในเมือบัณฑิตขนาดเรายังปรากฎด้วอยู่ วักปล่อยใทัพระราชา
ของเราต้องดกไปในเงื้อมห้ตถึของจุลนีได้อย่างไวกัน เราด้องขอไปก่อนพระองดี ไปพบจุลนี สรีำงวัง
สันจะเป็นที่ประทับของพระองดีให้เรียบรีอย นอกเมืองบัญจาละใกลัฝังคงคาตอนเหนือบัญจาลนคร

ระยะห่างจากฝังคาคงประมาณ ๒00 เลัน และห่างจากบัญจาลนครประมาณ ๑๔0 เลัน ชัดการหาทางหนี


ถวายไวิให้เรียบรีอย พรีอมกันนั้นดีหาทางให้พระองดีได้พระราชธิดาบัญจาลขันทีสมพระทัยอีกด้วย กำลัง
แห่งความลิดของเราสามารถที่จะปลดเปลื้องพระราชาของเรา จากวงลัอมของพระอธิราชจุลนี ซ็งทวง
บัญชาให้กองทัพ ๑๘ กองทัพ พรีอมนั้งพระราชา ๑0๑ องดีลัอมอยู่โดยรอบ เหมือนเปลื้องดวงวันทร็

จากปากราหู สำเร็จอย่างแน่นอน เราพาพระองดีไปได้ การเสด็จกลับมา เราดีสามารถวัดถวายได้ ท่าน


รีาพึงไปพลางกะการไปพลาง เห็นความสำเร็จอย่างแน่นอน แสดงความปีติจึงเปล่งเป็นอุทานว่า “{เก
ผู1้ ขาย7ค7ปสสรยยศใหญ่โต?มสํวบ''ก'ใ/สงห7๕ราชาหระอากิใด แห้หระราชาหระอากิบั้บจะกรว ดร'สบว่ภาษให้

ประหารให้จบคอช'บใส่ กิใม่หาเกิมว่าการกระปาและหระส่าร'สชอาหระอากิใว่ใบใจตบ ดารหาทาาปาประ-


โยชบ์ปาดวามเจาญIแรอาถวายอผู้ตคลดใป ชบชอว่าการปาลายมตร บ'ณ'ทตทั้าหลายใม่ดวรกระปาเสยทเส่ยว"

ลิดด้งนื้แลัวท่านดีรีบอาบนํ้าแต่งกายเข้าเสาพระเวัาวิเทหราชทันที เมือได้เข้าเสาแลัว ดีกราบทูล

ถามว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะเสด็จไปบัญจาลนครเหนือ

หรึอพระพุทธเชัาช้า”
“เออ พ่อมโหสล” ตรี'สรี'บคำ และมีพระคำรี'สสีบไปว่า “ฉันไม่ได้นางบัญจาลขันทีแลัว
จะครองราชสมบัติไปท่าไมกัน พ่อมโหสลอย่าทิ้งฉันเสียเลย ไปด้วยกันเถิด การที่เราไปคร์งนื้วักสำเร็จ

ประโยชน์ถึง ๒ ประการ ดีอได้นางแกัวและเป็นการกวะซับสัมพันธไมตรีระหว่างเรากับจุลนีให้มันคง


ไปด้วยกันนะพ่อมโหสถ”
ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลว่า “กัาเช่นนั้น ข้าพระพุทธเวัาขอกราบถวายบังคมลาไปสู่บัญจาลนคร
ก่อน ข้าพระพุทธเชัาจะไปเพื่อสรีางพระราชวังให้เป็นที่ประทับของพระองดี สรีางเสร็จเรียบรี'อยแลัว

kalyanamitra.org
๔๐๖

ข้าพระพุทธเชัาชักกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ เชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จไปในตอนนั้นพระ-

พุทธเชัาข้า”
พระเชัาวิเทหราชทรงสด้บแลัว ดีพระทัยเบ๊นที่ยิ่ง ทรงเห็นว่าท่านมหาบัณฑิตไม่ทิ้งพระองค์

พระพักตร์ของพระองค์แจ่มใส ทรงร่าเริง ตรัสว่า “พ่อมโหสถ พ่อจะไปก่อนน่ะด้องการอะไรบัาง?”


“ขอเดชะ พระกรุณาธิคุณลันเกลัาๆ ช้าพระพุทธเชัาขอพระราชทานไพร่พลและพาหนะ
พระพุทธเชัาข้า”
“เอาเถิดพ่อ ต้องการเท่าใด ก็ชัดสรรเอาไปตามที่ต้องการเถิดพ่อ” ตรัสอนุญาตด้วยปลื้มพระทัย
“ขอเดชะ ช้าพระพุทธเชัาขอพระราชทานพระมหากรุณาโปรดอีกประการหนึ่งพระพุทธเชัาข้า”

ท่านมหาบัณฑิตกราบทูล "ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดให้เปิดเรือนจำทั้ง ๔ หลัง ให้ปลดโซ่ตรวนพวก

นักโทษเสียทุกคน แต้วส1งต้วไปกับข้าพระพุทธเชัาด้วยพระพุทธเชัาข้า”
“ทำตามปรารถนาเถิดพ่อ”
ท่านมหาบัณฑิตได้รับพระบรมราชานุม้ตแต้ว ก็สั่งให้เปิดเรือนจำทั้ง ๔ แห่ง ปล่อยให้นักโทษ
ออกมา ถอดเครื่องจองจำออกทุกคน คัดเลือกบรรดาผู้ที่สามารถในคิลปกรรมให้เป็นหัวหนัาในการนั้น
พวกช่างไม้ ช่างทอง ช่างหนัง ช่างสลักหิน ช่างจิตรกรรม ช่างทำอิฐ เป็นอาทิ ส่วนพวกที่องอาจกลัาหาญ
ก็ชัดเข้าในพวกมหาโยธา คัดได้พล ๑๘ เหล่า ลัวนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปนั้น ๆ ท่านมหาบัณฑิตบอก
กับบรรดาคนเหล่านั้นว่า ‘เขัาทั้งหลายจงมารับใช้เราเถิด’ ซึ่งทำให้พวกเหล่านั้นชื่นชมยินดีทุกคน
เมื่อคัดผู้คนเสร็จแต้ว ก็ตระเตรียมเครื่องมือที่จะใช้ในการก่อสร้างมีมืด ขวาน จอบ เสียม
เป็นต้น กะให้พอแก่การที่จะใช้ในการสรัางพระนคร ตระเตรียมการเรียบรัอย ทั้งผู้คนไพร่พลพาหนะ

และพวกช้านาญการ รวมเป็นกองพลใหญ่ ท่านมหาบัณฑิตชัดการเรียบรัอยแต้ว ก็ยกขบวนออกจาก


มิถิลานคร
เดินทางไปได้ระยะ ๑ โยชน์ ก็ให้สร้างพลับพลาที่ประทับไว้ ๑ หลัง สั่งอำมาตย์ผู้หนึ่งให้
เป็นพนักงานเฝืาดูแลรักษา พรัอมกับขัดช้างและม้าพร้อมทั้งเสบียงอาหารอย่างเพียงพอ สั่งกำชับว่า
“ในเวลาที่พระราชาของเราพาพระนางบัญจาลชันทีเสด็จกลับมาละก็ พวกเชัาจงขัดดูแลถวายความสะดวก
ทุกประการ ช้างม้าและรถจงชัดเปลี่ยนถวายให้เรียบรัอย พร้อมทั้งคอยระวังบัจจามิตรที่จะติดตามมา

จงด่อลัต้านทานไว้ ให้พระราชาของเราเสด็จถึงมิถิลาโดยเร็ว” ท่านได้เตรียมการโดยรอบคอบทุกระยะ ๑


โยชน์ตลอดทาง เป็นที่พักประมาณ ๙๘ ด่าบล
ถึงฝังคงคาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบัญจาลนคร ท่านมหาบัณฑิตเรียกอำมาตย์อานนท์มาสั่งการ “อานนท์

เธอจงไปทางคงคาตอนเหนิอ พาเอาช่างไม้ไป ๓๐© คน ไปดำเนินกาวต่อเรึอขนาดใหญ่ *1 ไว้ให้ได้ ๓00 ล่า


ชัดหาคัวไม้ที่จะใช้ในการสร้างพระนครถวายเชัานายของเรา คัดแด่ชนิดเบา คุ ทั้งหมดบรรทุกเรือล่อง
มาให้เราโดยเร็ว พากันแยกไปเริ่มดำเนินการได้แด่บัดน”

ให้อำมาตย์อานนท์แยกไปแต้ว ท่านมหาบัณฑิตก็ลงเรือข้ามพ่ากไปฝังโนัน ซึ่งเป็นฝังเดียวกับ

kalyanamitra.org
๔๐๗

ที่บัญจาลนครตั้งอยู่ แล่ท่าที่ข้ามอยู่ตอนเหน็อเมืองขื้นไป ประมาณ ๕00 เส้น พอเหยึยบแตนส้ตรูท่าน


ก็เริ่มล่าเนินกาวทุกประกาวเพื่อที่จะปฏิป้ตึตามแผนที่วางไว้ การกัาวเท่าแล่ละกัาวในแดนสัตรู เป็นกาว
วัดระยะทางเพื่อทราบว่าใกด้ไกลเพึยงใด ทางที่ปลอดท่ยจะมีได้ตรงไหน มีได้อย่างไว ท่านมหาป'ณ•ทิต

ล่านวณนับทุกระยะที่กัาวเดิน และประมาณการไว้ในใจเสร็จเรียบว้อย 'วะยะประมาณ ๒00 เส้น จาก


ฝังคงคา จะด้องขุดอุโมงต็ใหญ่ ปากอุโมงล่ทางหนึ่งทะลุฝังคงคา อึกทางหนึ่งอยู่ในพระนครที่จะสว้าง
พระนครที่จะสว้างด้องอยู่ตรงนึ่ พระราชวังที่ประท่บอยู่ตรงนึ่ ระยะทางจากตรงนึ่ถึงพระราชวังของจุลนิ
ประมาณ *๐๐ เส้น ด้องสว้างอุโมงล่เป็นทางเดินไว้อีกอุโมงล่หนึ่ง’ ท่านคิดว้าหนดไว้ในใจเรียบว้อย

แลัวเดินทางเข้าส่บัญจาลนคร
ข่าวการเดินทางมาของท่านมหาบัณฑิตระบือไปทั่วบัญจาลนครในวันที่ท่านเดินทางไปถึงนั้น

ชาวนครบัญจาละเอิกเกริกเกรียวกราวกันไปหมดเป็นเหมือนมีมหรสพขนานใหญ่ หยุดการงานกันมาคอยดู
ท่านทั้งชายหญิงสองทางตั้งแต่ประตูพระราชวัง แน่นขนัดไปด้วยมหาชน ล่างคนล่างด้องการจะพบเห็น
เพราะข่าวการสู้รบวะหว่างมิถิลากับบัญจละครั้งที่แลัวแผ่ไปในหมู่ประชาชนในด้านความฉลาดสามารถ

เป็นอย่างเลิศ ว่ากันว่า “มโหสถไล่พระราชา *๐* เหมือนขวัางว้อนดินไล่กา,,


ฝ่ายพระอธิราชจุลนิทรงสดับข่าวการเดินทางมาของท่านมหาบัณฑิตอยู่ทุกระยะ ยิ่งใกด้เข้ามา
ก็ยิ่งทวงพระโสมนัส พระองล่ทวงดีพระท่ยอย่างด้นพนที่แผนอุบายบรรลุผลด้งที่ทรงพระประสงล่ ‘คราวนึ่

แหละ ความปรารถนาของข้าจักเต็มเปียม หัวใจของข้าพร่องอยู่ วิเทหราชแคว้นวิเทหะเป็นจุดบกพร่อง


ในหัวใจของข้า ตัวว้ายวิเทหราช มโหสถ ข้าจะได้เห็นหลังของเจัาแน่ เจัาข้าศึกของข้ามาแลัว มโหสถ
มาแด้ว ไม่ข้าวิเทหราชด้องมา มาหาคมดาบของข้า ข้าจักประหารเลียทั้งตู่ เอกวาช-เอกราช-ในชมพูทวิป
เป็นของข้าแน่นอนแล้ว’ ทรงรำพึงด้วยพระมนัสอันเปียมปลื้ม รอคอยท่านมหาบัณฑิตอยู่ด้วยพระอาการ

อันผ่องใส
ขบวนของท่านมหาบัณฑิตผ่านประตูเมืองเข้ามาท่ามกลางฝูงคนซืงออกันแน่นขนัด เลียงพูด
กันเอ็ดอึง “นึ่หรึอมโหสถบัณฑิต นึ่หรึอมโหสถบัณฑิต กองทัพมหึมา พระราชา *0® องต็ ถึงพ่อไล่
เลียเหมือนคว้าว้อนดินขว้างกา รูปงามจริง จุ ท่าทางก็คมลัน่ยิ่งนัก” ความเกรียวกราวของมหาชนมีตลอดทาง

จนขบวนของท่านถึงประตูพระราชวัง ท่านใหัหยุดขบวน บอกนายทวารบาลใหักราบทูลแล่พระอธิราช


เมื่อได้รับพระราชทานโอกาส จึงเข้าเสาถวายบังคมยึนอยู่ ณ ที่อันสมควร

พระอธิราชจุลนิทรงปฏิสันถารแลัว มีพระราชดำรัสถามว่า “พ่อมโหสถ พระราชาของเธอ


จะเสด็จมาเมื่อไหร่เล่า?”
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ พระราชาของข้าพระพุทธเจัา จักเสด็จมาเมื่อ

ข้าพระพุทธเจัากราบบังคมทูลไปพระพุทธ เจัาข้า” กราบทูลด้วยความนอบนัอม


“เธอมานึ่ เพื่อด้องการอะไรเล่า?” ตรัสถาม
“ข้าพระพุทธเจัามาเพื่อลว้างที่ประทับถวายพระราชาของข้าพระพุทธเจัาพระพุทธเจัาข้า”

kalyanamitra.org
๔๐๘

“ดี.จริงพ่อมโหสล” ดริ'สด้วยทวงชึ่นชม พลางมีพระบัญชาสั่งใทัพนิถงานรัดหาเสบียงเลียง

บรรดาไพร่พลของท่านมหาบัณฑิต โปรดพระราชทานข้าวของแก่ท่านมากมาย พ■ริอมทั้งพระราชทาน


เรึอนสำหริ'บเป็นที่พิกอีกด้วย ริบสั่งในที่ธุดว่า “พ่อมไหสถ เธอคงไม่อิดหนาระอาใจจนกว่าพระราชา

ของเธอจะเสดืจมา และขอพ่อจงอยู่ช่วยดูแลกระท่ากิจทีเห็นว่าสมควรแก่เราป้างนะพ่อนะ ”
ท่านมหาบัณฑิตเห็นเป็นโอกาส เพราะในขณะที่ข้นอยู่ ณ เชิงบันไดพระมหาปราสาทนั้น

ข้นอยู่ด้วยความคิดกะกาวด่าง 1 ไว้เรียบริอย ดามหลักที่ว่า ‘ทุกย่าากัาวใมแทนสํศรูปสงหาทางรอทแอ(เใป’


ด้งนั้นเมึอได้ริ'บฬงว่า “ใทัช่วยดูแลกวะท่ากิจที่เห็นว่าสมควรแก่เราป้าง” กิเลยชิอโอกาสกวาบาาลทันทีว่า
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ ขณะที่ข้าพระพุทธเรัาจะเข้ามาเฝ็าได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

ข้นวอขอพระราชทานวโรกาส ณ เชิงบันได ดววจดูนวกรรมดวงนั้น ข้าพระพุทธแาได้เห็นโทษอยู่ประ­


การหนึ่งพระพุทธเรัาข้า กล่าวดือบันไดใหญ่ทอดลงกับพื้นดินโดยไม่มีไมัรองริ'บอีกทีหนึ่งนั้น กระท่า

ใทัทรุดได้โดยง่าย ข้าใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงพอพระราชหฤทัย ข้าพระพุทธเรัาขอพระราชทานไย้


จะได้ปุลาดรองเชิงบันไดใทัเรียบริอยสึบไปพระพุทธเรัาข้า”
พระอชิราชจุลนิ มิได้ทวงเฉลียวพระทัยอย่างใด ดริสว่า “ดีจริงพ่อมโหสล พ่อช่างพินิจพิเคราะห์

จริง รุ เชิญเชิดพ่อ เชิญลาดกวะดานรองดามความคิดของพ่อเชิด”


ท่านมหาป้ณทีดสมคะเน ดีใจยิ่ง ริบพระราชโองการรัดการเรียกช่างไป็ของท่านมาด้าเนินการ
ดามที่ท่านบัญชาทันที กะบริเวณจะปุ่กระดานดรึงแน่นหนา เพราะปากอุโมงห์ที่จะเป็นทางเดินเข้ามา
ในรังนั้น กะไว้ว่าให็อยู่ที่เชิงบันไดพระมหาปราสาท ข้าไม่ลาดไมักระดานเวลาขุดมาชิงดินกิจะพาบันได
ทรุดผิดสํงเกดได้ ข้าลาดกระดานเสึยอย่างเรียบริอยดามแผนการที่กิาหนดไรั กิจะไม่มีฝ่ใดเทางลับใด้ดิน

นั้นได้
พระอชิราชจุลนิ มิได้ทวงทราบความในเช่นนั้น ทวงเข้าพระท้ยว่า ท่านมหาบัณฑิตกวะท่า

ด้วยความจงริกกักดีในพระองดื
ในวันแรกที่ได้มาชิงนครบัญจาละ ท่านมหาบัณฑิตกิได้ปฎิบัดิงานดามแผนความคิดเสร็จไป
ประการหนึ่ง โดยไม่มีใครที่ล่วงเดวามคิดอ่านของท่านได้เลย เป็นยันว่าท่านได้ซีอประโยชน์ในการเข้า
แดนสํดวูได้ ดามแผนความคิดที่ก่าหนดมาแด่วาระแรกทีเดียว

kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
๕๙. สร้างอุปการนคร
รุ่งร้น ท่านมหาบัณฑิตเข้าเสาพระอธิราชจุลน้เพื่อขอพระราชทานที่สำหรับจะสรัางพระราช-

นิเวศน์ถวายแด่พระเข้าวิเทหราช กราบทูลว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ ข้าพระพุทธเข้า


ด่าริด้วยเกลัาๆ ว่า ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงพระกรุณาโปรดเกลัาๆ พระราชทานพื้นที่สำหรับจะ

สรัางพระราชวังถวายเป็นที่ประทับของพระราชาของพวกข้าพระพุทธเข้า ณ แห่งไหน พวกข้าพระพุทธเข้า


จะพึงปฎับัติตามพระราชอัธยาศัย กระทำให้เป็นที่ด้องพระราชหฤทัยพระพุทธเข้าช้า ”

พระอธิราชจุลนิทรงดีพระท้ยอยู่ว่าวิเทหราชศัตรูรัายจะมา จึงมิได้ทรงเฉลียวพระทัยแมัแด่น้อย
ตรัสว่า “เอาเถิดพ่อบัณฑิต เวันแด่ที่อยู่ของฉันเท่านั้นแหละ ในพระนครนึ่ทั้งหมดปรารถนาจะจัดสรัาง

ที่ไหนได้ทั้งนั้น ตามแด่พ่อจะด้องการเถิด”
เป็นโอกาสของท่านมหาบัณฑิตอีกครั้งหนึ่ง ท่านมิได้รีรอรีบฉวยโอกาสนั้นทันที กราบทูลว่า
“ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณลันเกลัาๆ พวกช้าพระพุทธเข้าเป็นแขกแปลกมา พวกนักรบผู้เป็นที่สนิท

ชิดชอบของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีเป็นอันมาก หากพวกข้าพระพุทธเข้าจะไปยึดเอาบัานเอาเรือนของเขา
พวกเขาก็จะด้องทะเลาะกับพวกข้าพระพุทธเข้าเป็นแน่นอน เนึ่องจากเหตุนั้นช้าพระพุทธเข้าจักกระทำ

อย่างไรกับพวกนั้นเล่าพระพุทธเจ้าข้า”
“ไม่ด้องพึงเสียงมัน พ่อบัณฑิต” ตรัสด้วยพระสุรเสียงหนักแน่น “ชอบใจที่ใด ก็ฃึดเอาตรงนั้น

ได้เลยทีเดียว”
“ขอเดชะ พระบารมีปกเกลัาๆ พวกที่ถูกยึดเคหสถานคงต้องพากันมาเสาฝ่าละอองธุลีพระบาท

เพื่อกราบทูลพึองรัองพวกข้าพระพุทธเจัาเป็นแน่พระพุทธเจ้าช้า แมัว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะมี
พระบรมราชกระแสเด็ดขาดไปแลัว พวกนั้นพากันมาเสาบ่อย จุ เป็นการรบกวนพระทัยไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกข้าพระพุทธเข้าก็จะไม่สบายใจ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเล่าก็จะทรงไม่สบายพระทัย
ช้าพระพุทธเข้าเห็นด้วยเกล้าๆ ว่า เพื่อมิให็ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงรำคาญพระหทัย และล้าจะทรง

มีพระมนัสปรารถนา ข้าพระพุทธเข้าขอพระราชทานโอกาสโปรดทรงพระกรุณาให้คนของข้าพระพุทธเข้า
เป็นผู้เสาประดูพระมหาราชวังนึ่ทุก จุ ช่อง จนกว่าข้าพระพุทธเข้าจะได้เคหสถานที่ควรจัดเป็นที่ประทับ

หรือที่ควรจะสรัางเป็นพระราชวัง จึงค่อยถอนคนของข้าพระพุทธเข้าออกไป” ท่านมหาบัณฑิตกราบทูล


แผนการที่กำหนดไวัอย่างถี่ล้วน “ที,ช้าพระพุทธเจ้ากราบทูลทั้งนึ่ก็เพราะคิดด้วยเกลัาฯ ว่า พวกที,ถูก

พวกช้าพระพุทธเข้ายึดเคหสถานจะได้ไม่มีโอกาสเข้าเสาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ ความสบายพระทัย

kalyanamitra.org
๔๑๒

ก็จักมี ทั้งข้าพระพุทธเจัาก็จักสบายใจ ที่เห็นว่าการกระทำของดนมิได้เป็นที่ก่อความรำคาญแด่ใด้ฝ่า

ละอองธุลึพระบาทพระพุทธเจัาข้า”
“แหม พ่อบัณฑิต ช่างคิดรอบคอบดีมาก” รับสั่งด้วยปราศจากอาการทรงระแวง “จัดการ

ดามที่พ่อเห็นควรเถิด”
ท่านมหาบัณฑิตได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตดังนั้น ก็จัดการเปลี่ยนยามหมดทุกแห่ง

ที่เป็นภายนอก ตั้งด้นแต่เชิงบันได หัวบันได ถึงประตูพระมหาปราสาท ใหัคนของท่านทำหน้าที่แทน

และกำซับว่า “อย่าใหัใครเข้าเสาได้เป็นอันขาด”
แผนการอีกขั้นหนึ่งสำเร็จลงโดยง่าย เพราะพระอธิราชมิได้ทรงคลางแคลงเลย เช้าพระทัย

ว่าท่านมหาบัณฑิตปฏิบัติไปด้วยความห่วงใยในพระองค์อย่างแท้จริง ท่านมหาบัณฑิตได้โอกาสงามอีก
คฤหาสน์แรกที่ท่านมหาบัณฑิตสั่งคนของท่านไปดำเนินการ คือวังของพระนางสลากเทวึ

พระราชมารดาของพระอธิราช พวกที่ไปได้รับดำสั่งว่า “จงไปทำเป็นทีว่าจะรื้อวังของพระราชชนนิ ”

พวกนั้นพากันเตริยมเครื่องมือไปพรัอม อีงวังก็มิได้รอช้าเริมงานตั้งแต่ซัมประตูไป ใช้พะเนิน


ดีซัมประตูทำเป็นทีว่าจะรื้ออิฐที่ก่อไวัออกไป

ผู้เสาวังไม่สามารถทัดทานได้ก็นำความไปกราบทูลพระราชมารดาโดยเร็ว พระราชมารดา
ทรงทราบเรื่องรีบเสด็จไปที่ซัมประตูวังโดยเร็ว มีพระเสาวนีย์ว่า “พ่อเอย พ่อคุณทั้งหลาย ใครใช้ใหั

มาพังเรือนของฉันทำอะไรกันยะ”
คนเหล่านั้นตอบว่า “มโหสถบัณฑิตสั่งให็รื้อ เพื่อสรัางวังถวายพระราชาของพวกเรา”

“ด้าเช่นนั้นก็ไม่ด้องรื้อดอก เชิญเสด็จมาประทับได้เลยทีเดียว” ตรัสเอาใจ


“ไม่ได้ดอก” คนเหล่านั้นพูด “ไพร่พลพาหนะของพระราชาของพวกเรามากมาย ที่เท่านึ่ใม่

พอกันดอก ด้องรื้อสรัางใหม่”

“พวกแกไม่รัจักข้าเสียแต้ว” ตรัสด้วยพระสรเสียงกรื้ว “ช้าเป็นพระราชมารดานะจะบอกใหั

ช้าจะไปหาลูกของช้าเดี๋ยวนึ่แหละ เดี๋ยวคงได้รักัน”

“พวกเรารื้อตามพระดำรัสของพระราชา ” พวกนั้นเอียง “ต้ายายเก่งก็ลองห้ามตูเถิด”


พระราชมารดากรื้วเป็นกำลัง ตรัสด้วยพระโทสะ “เดี๋ยวเถอะเป็นได้รักันว่าข้าจักทำอะไรแก่

พวกเจัาได้บ้าง” ตรัสแต้วรีบเสด็จไปที,พระราชวังทันที

“อย่าเข้าไป” เสียงตวาดจากยามประตูตะโกนลั่น เมื่อพระราชมารดากำลังจะย่างพระบาท

เข้าประตูวัง
“ฉันเป็นพระราชมารดานะพ่อ" ตรัสด้วยพระสรเสียงหวาดหวั่น

“พวกฉันไม่ทราบ พระราชาตรัสสั่งว่าอย่าให้ใครเข้าเป็นอันขาด” ยามยึนยันเสียงแข็ง “เทวดา

ก็เข้าไม่ได้ ไปเสียเถิดยาย”
พระวาชมารดาไม่ทรงเห็นทางใด *1 ที่จะซีดเหนึ่ยวเอาเป็นที่พึ่งได้ก็เสด็จประทับยึนทอดพระ-

kalyanamitra.org
๔®๓

เนตรดูวังด้วยทรงพระอาลัย
ท้นใดนั้น คนงานของท่านมหาบัณฑิตผู้หนึ่งเห็นพระนางก็ตวาดไล่ “แกมาทำอะไรอย่ที่นึ่
เกะกะ เขาจะทำงานกัน ไป-ไป!” ว่าแลัวก็ปรี่เช้าจับคอไสส่งไป
พระนางไม่อาจดำรงพระกายอยู่ได้ก็ทรงลัมลงที่พื่นดิน ทรงลุกขื้นแลัวดำริว่า “แน่นอนละ
พระราชาคงทรงสั่งให้เขารื้อ ลัาไม่เข่นนั้นแลัวคนเหล่านั้นคงไม่บังอาจทำอย่างนึ่ เราจะทำอย่างไรดี

เห็นจะต้องไปหามโหสลบัณฑิด มีทางเดียวเท่านั้น” ทรงดำริแลัวเสด็จไปหาท่านมหาบัณฑิตทันที ถึง


แลัวมีพระราชดำรัสกะท่านว่า “พ่อมโหสลจํะ พ่อสั่งให้คนรื้อบ้านฉันทำไมกัน?”
ท่านนึ่งเสีย ไม่ยอมพูดกับพระนาง แต่คนที่อยู่ใกลัท่านผู้หนึ่งทูลลามว่า “ข้าแต่พระเทวี ใต้

ฝ่าพระบาทตรัสอะไรพระเชัาข้า”
พระนางตรัสว่า “พ่อคุณเอ๋ย พ่อมโหสลเขาให้คนไป่รื้อบ้านฉันทำไมกัน?”

“เพึ่อสรัางที่ประทับของพระเจัาวีเทหราช พระเจัาข้า” ผู้นั้นตอบ


“พ่อคุณเอ๋ย ในพระนครอันกวัางใหญ่นึ่หาที่สรัางที่อื่นไม่ได้แต้วหรือ ถึงได้มาเจาะจงเอาบัาน

ของฉัน ฉันให้ ๑๐๐,0๐๐ เหรียญ อย่ารื้อบัานฉันเลย ไปสรัางที่อื่นเชิด ตกลงไหม?” พระนางตรัสขอรัอง


“ช้าแต่พระแม่เหนึอเกลัา ต้าเข่นนั้นก็ตกลงพระเชัาช้า” ผู้นั้นกราบทูล “ข้าพระพุทธเจัาจะ
สั่งให้เขาเวันดำหนักของใต้ฝ่าพระบาทเสีย แต่ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดอย่าได้บอกใครเลยว่า พวกช้า

พระพุทธเจ้ารับสินบนของใต้ฝ่าพระบาท ประเดี๋ยวคนอื่น *1 ก็จะพากันมาติดสินบนพวกข้าพระพุทธเจ้า

เข่นเดียวกับใต้ฝ่าพระบาท พวกข้าพระพุทธเจ้าจำต้องยกเว้นเรือนของเขาไปเสียอีก พวกข้าพระพุทธเจ้า


เลยหาที่สรัางพระราชนิเวศน์สำหรับพระเจ้าวีเทหราชไม่ได้เลยพระเจ้าข้า”
“พ่อคุณเอ๋ย เพียงใคร *] เขารักันว่าพระราชมารดาติดสินบนเท่านึ่ฉันก็อายแย่แต้ว ฉันจะไป

บอกกับใคร ๆ ไม่ได้เลย” พระนางตรัสปฏิญาณ


“เป็นพระมหากรุณาต้นเกต้าๆ พระเจ้าข้า” ชายผู้นั้นกราบทูลด้วยอาการกระหยิ่ม รับเงินสินบน

จากพระนางสลากเทวีไว้ ๑๐๐,00๐ เหรียญแต้วส่งคนไปบอกพวกที่ก็าลังรื้อ ให้เลิกรื้อพระดำหนักของ


พระนางเสียพรัอมกับสั่งให้ไปจัดการกับคฤหาสน์ของเกวัฎราชปุโรหิตาจารย้ ให้แสดงกิริยาอาการเข่น
เดียวกับจะรื้อพระดำหนัก
เกวัฎราชปุโรหิตเห็นแลัวโกรธเป็นดำลังรีบเข้าวังเพื่อทูลพ้อง แต่พออึงประตูก็ถูกตวาดและ

ไม่ยอมให้เข้าทำนองเดียวกับพระราชมารดา เกว้ฎจะขึนเข้าเฝืาให้ได้ ยามประตูก็เลยหวดหลังเช้าให้ด้วยไม้

ไผ่ผ่าซีกเป็นแนวข่าไป หมดหนทางก็บ่ายหนัากลับ และดำเนินวิธีเดียวกับพระนางคึอให้สินบน ๑๐๐,0๐0


เหรียญ เพื่อไม่ให้บัานถูกรื้อ เป็นอันรอดไป
ท่านมหาบัณฑิตส่งคนไปทำทีจะรื้อบัานใหญ่ •[โต,[ ของบัญจาลนคร ชิ่งเป็นขุนพลที'เคย

ไปรุกรานวิเทหรัฐบ้าง เป็นพระสหายบ้าง เข่น เชัาชายดิขิณมนตรีขุนพลใหญ่ของกองทัพบัญจาลนคร


ธนูเสกข้พระปิยสหายของพระอธิราชเป็นด้น ได้ทรัพย์สินบนถึง ๙๐,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ การปฏิบัติการ

kalyanamitra.org
๔®๔

ของท่านมหาบัณฑิตในตอนนึ่ได้ประโยชน์อึง ๒ ประกาว คึอได้ทรัพย์มากมาย และได้โอกาสสำรวจ


ตรวจดราหูบัานเมืองจนทั้วทั้งพระนคร ชี่งเป็นคุณอันมหาศาลไนการที่ได้เข้ามาในแดนของคัดรูคราวนั๋

ครั้นแลัวท่านมหาบัณฑิตก็เข้าเสาพระอธิราชจุลนึ
พระอธิราชจุลนีมีพระดำรัสถามว่า “พ่อบัณฑิต ได้ที่สรัางวังถวายพระราชาหรึอยังเล่า?”

ท่านกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระบารมีปกเกลัาๆ ช้าพระพุทธเช้าจะไปสรัางดรงไหนในพระนคร


นึ่ก็ไมม่ผู้ใดข่ดขึนเลยพระพุทธเช้าข้า ยอมให้โดยดีทุกท่าน ก็แต่ช้าพระพุทธเช้ามาคิดด้วยเกด้าฯ ว่า พวก

ที่ถูกช้าพระพุทธเช้ายึดป้านเรึอนด้องล่าบากไปตาม *1 กัน การกระทำให้พวกนั้นพลัดพรากจากสิงอัน


เป็นที่รัก ไม่เป็นการสมควรเลยพระพุทธเช้าข้า ข้าพระพุทธเช้าเห็นด้วยเกลัาๆ ดังที่ได้กราบทูลมา จึง

ดำริว่าจักไปสรัางวังถวายพระเช้าวิเทหวาชภายนอกพระนคร ระหว่างพระนครและแม่นํ้าคงคาห่างจาก
พระนครนึ่ใปประมาณ * คาจุด (ด00 เสน) เช่นนึ่ จะเป็นการสมควรกว่าพระพุทธเช้าข้า”

พระอธิราชจุลนีทรงสดับแลัวทวงพระดำริเห็นว่า “ลัาเขาพักอาศัยอยู่ในพระนคร อึงคราว


รบกันเป็นการล่าบากมาก พวกแสนยากรก็ยากที่จะรัว่าฝ่ายเราฝ่ายเขา ด้าเปันภายนอกพระนคร กาวรบ
กันก็กระทำได้ง่าย เราไม่จำเป็นด้องจับฆ่าภายในพระนครก็ได้ กาวฆ่าศัตรูไม่ว่าจะฆ่าที่ไหนก็เป็นกาว
กระทำที่ควรแก่การแกัแด้นทั้งนั้น” ทวงพระดำริแลัวดีพระท้ยมาก ตรัสว่า “ดีแลัวพ่อ เชิญพ่อเลีอก
สรัางในพื้นที่ตามแต่จะล่าหนดเชิด”
เพื้อจะปกปิดการสรัางพระราชนิเวศน์ถวายพระเช้าวิเทหราชไว้เป็นความลับ. เฉพาะชาวมิชิลา

มิให้ชาวบัญจาละล่วงรั เพราะลัาชาวบัญจาละล่วงรู้แลัว แผนการทุกอย่างก็จะถูกทำลายหมด ท่านมหา-


บัณฑิตจึงกราบทูลพระเช้าอธิราชว่า “ขอเดชะ พระมหากรุณาลันเกลัาๆ ข้าพระพุทธเช้าขอพระราชทาน
พระมหากรุณาโปรดมีพระราชกวะแลรับสั่งห้ามผู้คนชาวเมืองบัญจาละมิให้ไปพลุกพล่านในเขตที่พวก

ข้าพระพุทธเช้าจะสรัางพระราชนิเวศน์นั้นเลยพระพุทธเช้าข้า แม้จะไปเก็บผักหักพึนก็ขอให้ทรงพระ-
กรุณาห้ามเสิย ทั้งนั๋เพื้อปัองกันการทะเลาะกันระหว่างชาวมิชิลากับชาวบัญจาละ อันจะเป็นเหตุให้เกิด
ความรำคาญพระทัยของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทำให้ไม่สบายพระทัย ทั้งพวกช้าพระพุทธเช้าก็จะ

ไม่สบายใจพระพุทธเช้าช้า"
“ดีแลัว พ่อมโหสถ” ตรัสด้วยเช้าพระท้ยว่าท่านมหาบัณฑิตคิดรอบคอบ เพึ่อให้ทรงสบาย
พระท้ย มีพระดำรัสตอบไปว่า “พ่อมโหสถจงกั้นเขตเสีย อย่าให้ใครเขาไปได้ก็แลัวกัน”

“เป็นพระมหากรุณาลันพันพระพุทธเช้าข้า” ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลด้วยความสมคะเน
“ข้าพระพุทธเช้าขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณอีกประกาวหนึ่งพระพุทธเช้าข้า กล่าวคึอฝูงข้าง
พลายข้างพังของข้าพระพุทธเช้าชอบนํ้าเปันอย่างยิ่ง เล่นนํ้ากันทั้งวันก็ได้พระพุทธเช้าช้า ในเมื่อนํ้าใน
แม่นํ้าคงคาเกิดขุ่นข้นแลัว ลัาชาวเมืองจะพากันโกรธพวกข้าพระพุทธเช้าข้าว่า ตั้งแต่มโหสถมา พวกเรา
ไม่ได้ดื่มนํ้าใสกันเลย ด้งนึ่ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทวงพระกรุณาเงึอดงดอดพระทัยเชิดพระท้ย

เชิดพระพุทธเช้าช้า”

kalyanamitra.org
๔®๕

“ไม่เป็นไร พ่อมโหสถ ปล่อยให้ซัางของพ่อเล่นนํ้าตามพอใจมันเชิด” ตรัสเอาใจ แห้วรับสั่ง


ให้ราชบุรุษนำถสองไปตีประกาศแก่ชาวเมืองว่า “ผู้ใดออกจากเมืองไปยังที่สรัางวังของมโหลถ ผู้นั้น

วักถูกปรับ 9,000 เหรียญ”


ท่านมหาบัณฑิตเห็นการต่าง 1 เป็นไปดามความคิด ไม่มีที่ดิดขัดชิดีใจ ถวายบังคมลาออก
จากที่เสา ดวะเดรียมผู้คนขนเครื่องมือ ยกกองออกจากบัญจาลนคร เพื่อไปสรัางพระราชวังถวายพระ-
เวัาวิเทหวาช ณ ตำบลที่กำหนดไวั ท่านกำหนดให้ตั้งที่พักซัางมัาและวลดลอดจนโคสำหรับใขังานไวั
ทีส่งโน้นของแม่นํ้าคงคา ให้ชี่อว่า ฃวมคํค้คล เรียบรัอยแห้วกะการสรัางเมือง แบ่งงานเป็นส่วน รุ มอบ
ให้แก่ผู้ควบคุมพรัอมกับลูกมือที่พอกับงาน

ขั้แแรกท่านมหาบัณฑิตเริมงานขุดอุโมงค์ก่อน ให้คนงานประมาณ ๖,0๐๐ คนขุดอุโมงค์ใหญ่


ประตูอุโมงค์อยู่ที่ส่งแม่นั่าคงคานั่นเอง ให้คนขุดทรายและดินขนออกมาด้วยกระทงหนังขนาดใหญ่ เอา
ไปลงในคงคาแห้วใข้ข้างยำให้ทวายและดินไหลไปดามนั่า นํ้าในแม่นำคงคาขุ่นไหลลงไปทางเมืองบัญจาละ

ชาวเมืองบ่นกันกห้มไปว่า “ตั้งแต่มโหสลมาแห้วพวกเราไม่ได้ดีมนั่าใส รุ กันเลย”


บุรุษแฝงของท่านมหาบัณฑิตซึงแทรกซึมอยู่ในเมืองได้ชินตำบ่น ชิบอกว่า “ตามที่ได้ทราบมา

ฝูงซัางของมโหสลชอบเล่นนํ้ายิ่งนัก มันพากันท่าให้นั้าขุ่นเป็นตมไปหมด เพราะเหตุนั้นแหละนํ้าใน


แม่คงคาจึงขุ่นเป็นโคลน พวกเรฑานเอาพักหนึ่งพอเสร็จงานแห้วชิคงใสเหมือนเดิม”
นอกจากอุโมงค์ใหญ่ยังมีอุโมงค์เล็กเป็นทางเดินใด้ดินธีกทางหนึ่ง ประตูอุโมงค์อยู่ในพระนคร
ที่จะสรัางใหม่ อุโมงค์สายนั้เขัคน ๓,๐๐๐ ช่วยกันขุดและขนดินออกมาทิ้งในบริเวณที่จะสรัางเมือง ผสม
กับนั่าท่าแผ่นอิฐก่อกำแพงเมือง
นอกจากงานนึ่ยังมีงานอื่น รุ อีก ห้วนแต่ลงมือท่ากันตามหน้าที่ของดน รุ พวกขุดชิขุดไป พวก

ขนชิขนไป พวกปินชิปีนไป พวกก่อชิก่อไป ทุกคนท่างานกันอย่างขยันขันแข็ง ท่าด้วยความจงรักกักดี


อุโมงค์ใหญ่ที่ขุดนั้นทางเข้าอผูในเมืองที่สรัาง มีประตูสูง •๘ ศอก บานประตูคูใขัปิดเปิด
ด้วยกลไก กดไกชันหนึ่งบานประตูเปิด กดอีกยันหนึ่งปิด ผนังสองข้างของอุโมงค์ก่ออิฐซีอปูน ข้างบน

ปูกระดานเรียบโบกดินเหนึยวทาสิขาว ภายในอุโมงค์มีประตูใหญ่ ๘๐ ช่อง ประตูน้อย ๖๔ ช่อง เป็น


ประตูกลทั้งนั้น เปิดปิดด้วยกลไกเช่นเดียวกับประตูใหญ่ ต่างแต่ว่ากดไกเป็ดชิเปิดพรัอมกัน ที่ผนังอุโมงค์
ทั้งสองช้างมีช่อประทีปหลายรัอยช่อห้วนเป็นไพ่กล มีไกปิดเปิด เมื่อกดไกเปิดไพ่ชิสว่างพรัอมกันทุกดวง
เมื่อกดไกปิดไพ่ชิด้บพรัอมกัน ในผนังสองข้างวัดเป็นห้องบรรทม •๐* ห้อง สำหรับกพัดริย์ •๐* องค์
แต่ละห้องปูลาดพระยิ่ภู่ไวัพรัอม ที่พระบรรทมที่หนึ่ง รุ มีเศวตนัดวกางกั้น และมีแผ่นเท้าสิงห์ * ที่
ตั้งชิดกับที่บรรทม เหนึอแผ่นเท้าสิงห์มีรูปหุ่นสดรีนั่งอยู่บนแท่น ห้าไม่วับด้องชิไม่รัว่าเป็นหุ่นเพราะเหมือน
กับสด่รีจริง รุ พื้นผนังทั้งสองข้างพวกช่างเขียนผู้เซียวชาญตำเน้นงานจีดวกรรม เขึยนเป็นภาพแสดงถึง

ความงดงามสง่าของท้าวสักกะ ยันแวดห้อมด้วยคณะเทวดา ภาพเขาพระสุเมรุและเขาดัดดบริภัณฑิ


และสาครย้นรายด้อมขุนเขาสุเมรุ ภาพสระใหญ่ทั้ง ๗ มหาทวึป ๔ ป่าห็มพานค์ สวะอโนดาต มโนสิลา

kalyanamitra.org
๔®๖

ดวงชันทร์ ดวงอาทิตย์ และภาพเมืองสวรรค์กามาวจร ๖ ชัน มีจาตุมหาราชเป็นต้น ที่พื่นอุโมงค์โรย


ทรายสีเงิน แหงนคูเบึองบนจะเห็นดอกปทุมห้ยิยย้อยอยู่เรียงราย ในที,นั้น *1 แขวนพวงภู่กลิ่นและพวง
ดอกไมีไว้เป็นระยะ *1 อุโมงค์ใหญ่ได้รับกาวประดับประดาประดุจเทวสภาอันมีนามว่า สุธรรมวนั้นแล

อุโมงค์เล็กเรียกชังฆอุโมงค์ - เป็นทางเดินใต้ดิน ประดูอยู่ในเมืองใหม่ ขุดออกไปทาง!!ญจาลนคร


ช่องอุโมงค์อยู่ดรงบันไดพระมหาปราสาทของพระอธิราชนั่นเอง แด่ไม่มีใครทราบ เพราะเชิงบันไดได้
ถูกแย้ไขเปลิ่ยนแปลงเพื่อการนั่ใว้แด่แรกแต้ว

ฝ่ายช่าง ๓0๐ นาย อันมีอานนท์อำมาดย์เป็นหัวหน้า ชี่งรับมอบหมายใหัไปชัดการต่อเรือ ๓00


ล็า และหาตัวไมัที่จะสรัางวังเตรียมบรรทุกเรือมาใทัพรัอม เสร็จแต้วก็ขนด้วไมัมาส่ง ท่านมหาบัณฑิต
ก็สั่งใหัชัดการประกอ!'ขื้นเปันพระต้าหนัก แต้วสั่งใหันำเรือไปจอดชุ่มไว้ ณ ที่แห่งหนึ่ง กำชับว่า “ต้า
เราสั่งใหันำเรือมาวันใดเวลาใด จงนำมาทันที”

สรัางเมืองเสร็จ มีกำแพงลัอมรฉบสูง •๘ ศอก บักเสาระเนึยด โรงพักพลมีป้อมเรียงราย


เป็นระยะ *] มีซัมประดูมั่นคง ภายในกำแพงมิโรงซัางโรงมัาเป็นด้น และใหัขุดสระโบกขรณีไว้ นอก

กำแพงขุดคูลัอม ๓ ชัน คูนั่า คูโคลน และคูแหัง ท่านมหาบัณฑิตชัดแจงทุก *1 อย่างเสร็จเรียบวัอยกิน

เวลา ๔ เดึอนเต็ม
เมื่อเห็นว่าที่ประทับเสร็จเรียบรัอยแต้ว ท่านมหาบัณฑิตก็ส่งทูตไปกราบทูลพระเชัาวิเทหราช

เสด็จมาบัญจาลนดร

kalyanamitra.org
๖๐. ควกดวงใจของพระอธิราช
พระเจ้าวิเทหวาช ทวงทวาบข่าวที่ท่านมหาบัณฑิตส่งไปกวาบทูลแลัว พระองค์มิได้รอเวลา
ได้ล่วงเลยไปนานเลย มีพระกระแสจ้บสั่งให้บรรดาข้ามาตย์ราชบริพาร ซ็งมีหน้าที่ในการดามเสด็จเตรียมด้ว
ผู้มีหน้าที่ในกาวจ้ดขบวนเสด็จกีรีบตระเดวิยมด้ว ผู้มีหน้าที่ในการรัตขบวนเสรีจกีรีบตระเตรียมเพื่อที่
จะเคลื่อนขบวนได้ทันทึ ที่พระเจ้าวิเทหวาชทรงปวาวถนา ขบวนช้าง ขบวนน้า ขบวนวก ขบวนราบ ด่าง

เตรียมพจ้อมเต็มอัตรา พระเจ้าวิเทหวาชได้ทวงทราบว่าทุกอย่างพจ้อมแด้ว กีเสด็จพระราชด่าเน้นออก


จากมิชิลานคร เพื่อเสด็จไปบัญจาลนควพรึ'อมด้วยอาจารย์ทั้ง ๔ และบวรดาข้ามาดย้มนดรี และจตุวงคิน้-
เสนาเสด็จผ่านระยะบัานที่ท่านมหาบัณฑิตให้สจ้างไว้เพื่อเป็นที่ประทับแรมวายทางระยะห่างกันประ-

มาณ* โยชน์ จนบรรลุถึงฝังคงคา


ท่านมหาบัณฑิตได้ทราบข่าวเสด็จของพระเจ้าวิเทหราชโดยลำด้บ ได้รัดการจ้บเสด็จดาม
ประเพณี เชิญเขาสู่พระนครอุปการที่รัดสจ้าง เพื่อประทับสำราญพระหอุทัย
พระเจ้าวิเทหราช เสด็จขั๊นสู่พระมหาปราสาทและเสวยเสรีจแด้วกีทรงพักผ่อน เน้อถึงเวลา

เย็นจึงเสด็จออกท้องพระโรงมีพระวาชประสงค์จะให้พระอธิราชจุลน็ทรงทราบว่าพระองค์เสด็จมาถึงแด้ว
กีทรงจ้บสั่งให้เขียนพระราชสาส์น เป็นใจความว่า
“ขอกราบทูลแด่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันใหญ่หลวง ปัดนื้หม่อมฉันได้มาแด้ว สู่ด้าวแดน
อันเจริญรุ่งเรืองของพระองค์ ขอบังคมมาแทบฝ่าพระบาท การที่หม่อมฉันได้มากังด้าวแดนของพระองค์
ครั้งนั้ กีอาศัยพระกรุณาธิคุณเป็นด้น ที่ได้ทรงส่งปุโรหิตาจารย์ผู้ควรแก่ความเคารพแห่งมหากษัตริย์
ในชมพูทวิปทั้งสั้น คึอท่านเกวัฎ ผู้ยิ่งยงด้วยปรีชา ใด้เป็นทูตนำพระราชด่าริอันชอบยิ่ง ไปกังสำนักของ

หม่อมฉัน ด้งที่ทรงทราบฝ่าพระบาทอผู่แลัว หม่อมฉันเห็นว่า บัดนํ๋พระราชประสงค์ของพระองค์กิ


บรรลุผลสมด้งที่ปรารถนาแลัว ได้โปรดทรงพระกรุณาประกาศพระราชประสงค์ ไท้ปรากฎโดยยศโดย
เกียรติ โปรดส่งพระราชธิดาผู้ทรงศุภลักษณ์วิลาศเลิศให้แก่หม่อมฉัน โดยขบวนหลวง ณ บัดนื้เชิด

พระเจ้าข้า”
พระอธิราชจุลน็ทวงทราบความในพระราชสาส์นแด้ว โดยทูตแห่งมิชิลานครนำไปถวาย พระองค์
ทรงมีพระท้ยโสมนัสเป็นด้นพัน ทรงแสดงพระอาการให้ปรากฎออกมาภายนอกอย่างซัดแจ้ง ท้าให้การ
คาดหมายของช้าราชบริพารตลอดถึงทูตแห่งมิชิลา เกิดความปรีดาปราโมทย์ตามเสด็จไปด้วย เพราะคาต
คิดว่า “พระราชพิธีอภิเษกระหว่างพระเจ้าวิเทหราชกับพระราชธิดาของพระอธิราชจุลน็ คงจะได้เป็น

kalyanamitra.org
๔®๘

ไปอย่างเอิกเกริกมโหฬาร นาน *1 รึงจะปรากฎลักครั้งหนึ่ง" ความคิดเข่นนึ่หาหรงกับพระหทัยของพระ-


อธิราชจุลน้ไม่ เพราะพระอธิราชจุลนิทรงดีพวะทัยว่า “ปัดนึ่ ปัจจามิครของเรา กักรอดไปทางไหนเล่า
ดกอถู่ในเงื้อมมือของเราแน่นอนแลัว เรากักดัดสิรษะมโหสกกับวิเทหราชเสิยทั้งคู่ แด้วดื่มฉลองชัยชนะ

ใด้ล่าราญ ใด้ค้มกับทีเรารอคอยการแกัแด้นมานานแลัว” พระหทัยของพระอธิราชทรงดำริเข่นนึ่ รึง


ทวงพระปรีดาปราโมทย์ ฉะนั้น อาการที่แสดงออกอย่างปรีดาปราโมทย์นั้น บางทีก็เป็นเหมือนฉากที่

สวยงาม พรางความร้ายกาจไวัภายในก็มี มิใข่จะเกิดด้วยกุศลกิจอย่างเดียวก็หามิได้


พระอธิราชทวงมุ่งจะใด้ด้ดื่นเห็นว่า พระองดีทรงดีพระทัยจริง *1 รึงได้พระราชทานบำเหน็จ
รางวัลแก่ทูดมิชิลา ดร้สว่า “เป็นศุภมงคลอันประเสริฐยิ่งน็กที่พระเกัาวิเทหราชเสด็จมา เราขอมอบ

พระราชสาส์นทูลดอบ ขอท่านทูด^บำเพ็ญประโยชน์แก่เรา ช่วยนำไปกวายแด่พระเกัาวิเทหราชด้วยเชิด”


พระราชสาส์นทูลดอบของพระอธิราชจุลน็ มีด้งนึ่

“ทูลพระเกัาวิเทหราช ทรงทราบฝ่าพระบาท"
หม่อมฉันร้ด็กเป็นเกิยวดียิ่งนัก ในการที่พระองดีทรงพระมหากรุณาเสด็จพระราชดำเนินมา

สู่ดีนแดนของหม่อมฉัน เป็นการเสด็จมาด้วยดี นำสิริสวัสดีมงคลมาส่ปัญจาละ มิได้เสด็จมาร้ายเลย


หม่อมฉันขอดัอนร้บพวะองดีด้วยความชี่นบาน โดยทรงพระเกษมล่าราญคลอดเวลาที่ทรงพำนักไนมึน

แผ่นดินนิเชิด
อนึ่ง หม่อมฉันขอนัอมกวา0พระราชธิดาของหม่อมฉันแด่พระองดี แด่โปรดทรงรอสักหน่อย

หม่อมฉันจะขอดรวจดูฤกษ์งามยามดี หากกึงวาระอันเป็นศุภมงคลแสิว จะส่งมากวายด้งพระมโนรกปรารกนา


หม่อมฉันคิดว่า จะไม่เป็นเหคุที่ท่าใด้ด้องกังวลพระราชหทัยของพระองดีพระเกัาข้า”

ทูด่แห่งมิชิลาเชิญพระราชสาส์นของพระอธิราชจุลน็มากวายพระเกัาวิเทหราช ทวงทราบ
เรึองแสิว มีร้บสั่งได้เรียกอำมาดย์ฝัคำนวณฤกษ์มาเฝ็าทันที มีพระวาชกระแสร้บสั่งว่า “จงหาฤกษ์งาน

มงคลอภิเษกโดยเรีว สอบคุฤกษ์งามยามดี เราจะส่งไปถวายแด่พระเกัาจุลนิพรหมทัดโดยด่วน”


อำมาดย์ฝัท่าหนัาที่คำนวณฤกษ์ อาจคำนวณได้แน่นอนอึงพระหทัยของพระเกัาวิเทหราช

ด้วยอย่างคุกด้อง คูเหมือนจะไม่ดัองไข้หลักวิชาทางคำนวณก็ได้ เพราะเมือ■เใจ0ด้องกาวฤกษ์แลัว จะ


ด้องไปป็วพะวงอึงคำราท่าไมกัน กาวปฏิปัดีงานได้ถูกใจและทันใจเกัานายนั่นแหละ บางทีก็เป็นหลักใหญ่

ยิ่งกว่าหลักวิชาเป็นไหน *1 ฉะนั้น ฝัคำนวณฤกษ์ของมิชิลา ไม่ร์าด้องไข้หลักวิชาในการคำนวณนักษ์ดร


เพ็ยงแด่ลงเลขผานาทีพอเป็นพ็ธิเท่านั้น ก็ทราบได้ทันทีว่า "ยามนื้เป็นพุภฤกษ์มงคลพระพุทธเกัาข้า”

พระเกัาวิเทหวาชก็ได้ทูดนำความไปกราบทูลพระอธิราชจุลนิ เร่งได้ดำเนินการอภิเษก ดาม


ฤกษ์ที่อำมาดย์ชองพระองดีคำนวณได้
พระเกัาจุลน็ก็ทรงคอบว่า “จะกัดส่งไปเดื่ยวนึ”่ ระหว่างเวลาที่ทูดชองมิชิลา ด้องเที่ยวไ!
เทียวมาหลายครั้งหลายหนนั้น พระอธิราชจุลน็ก็ทรงมีบัญชาสั่งกองทัพอันมห็มา พร้อมทั้งพระราช'

ด0ด องดี เดรียมพลไวัใด้พร้กพร้อม สามาวกยกออกไปได้อย่างรวดเรีว


กองทัพใหญ่ •๘ กองทัพ เด่รียมพร้อม รอแด่พระปัญชาเท่านั้น พระอธิราชจุลนิทรงประกาศ

kalyanamitra.org
๔®๙

พระบรมราชโองการ
“แม่ทัพนายกองทั้งหมด พลโยธาทั้งหมดจงเดรียมรบ จงยกออกไปวันนั้ เราจะทัดท้วลัดรุ

ทั้งคู่ของเรา แด้วมาฉลองชัยชนะกันใท้มโหพาร”
สนกระแสพระบรมราชโองการ กองทัพทั้งหมดทีเคสิ่อนพลออกจากโ!ญจาลนครทันที
พระอธิราชจุลนึ ทรงวับสั่งไท้พระนางสลากเทวิพระราชมารดา พระนางทันทาเทวิพระ-

ชัควมเหสี พระราชกุมารโ!ญจาลวันทะ - พระราชโอรส และพระราชกุมารีป็ญจาลวันที - พระราชธิดา


เข้าอยู่รวมกันในเรือนเดียวกัน มีนางสนมคำนัสแวดต้อม เสรีจแต้วทีเสด็จออกจากพระนดรไปสมทบ
กับกองทัพของพระองด็
ทางอุปการนคร ท่านมหาป้ณทีด^เดรียมพวัอมแต้วที่จะด้อนริบเหกุการณ์ที่จะเทีดรื่เนคุอํวิอึทาง

คงมีกิริยาอาการเป็นปกดิ กวายการเทียงกุแด่พระเวัาวิเทหราช และเลียงกุ^ทีดามเสด็จมาอย่างพัวอึง


ทั้งสุราอาหารและกับแกต้มมึใทับริโภคอย่างสมบูรณ์ บางพวกทีที่มสุรา บางพวกทีลินกับแกต้ม พวกที่

เนึ่อยลัาเพราะเดินทางมาไกล ทีพากันพักผ่อนหลับนอน

ส่วนพระเวัาวิเทหราช ประทับในท้องโกง ชันประทับประดาอย่างงดงาม มีโ!ณฑิด ๙ นาย


และหมู่อำมาดย์เฝืาแหนดามทัาแหน่ง ทรงรอเวลาที่จะไต้พบพระราชกุมารีโ!ญจาลวันที

พระอธิราชจุลนึเสด็จมาพวัอมด้วยกองทัพ •๘ กองทัพ พออึงอุปการนครทีมีพระคำวัสใท้


ด้อมไว้อย่างแน่นหนา แสงคบเพดิงทับแสน *1 ส่องสว่างไปหมดทั้งบริเวณ รอไท้รุ่งอรุณ จึงจะจู่โจมโกม
เข้ารุกรบ วับพระเวัาวิเทหราชกับท่านมหาโ!ณฑิด เพราะทรงคำริว่า ‘จะหนึไปทางไหนรอด,
ท่านมหาบัณฑิดเห็นกองทัพของพระอธิราชจุลนึยกมาลัอมอุปการนคร คำนวณกุไพร่พล
ริว่ามึประมาณมากมาย ทีคาดได้ว่าคงยกมาหมดเมืองทีเดียว จึงเรียกนักรบประร์าด้วม'’ ๓00 นาย ลังว่า
“พวกเวัาจงออกเดินทางไปทางอุโมงด็ที่เจาะไว้เป็นทางเดินเข้าอึงวังของพระอธิราช จงคุม

พระราชมารดา พระชัครมเหสี พระราชโอรส พระราชธิดาของพระอธิราชจุลนี น์าเสด็จมาทางอุโมงด็


เล็กนั้น พาไปพักที่โรงใหญ่ใกลัประกุอุโมงด็ ใท้อยู่ภายในอุโมงด็นั้น คอยเฝ็าไว้ อย่าใทัออกมาข้างนอก
รอจนกว่าฉันจะไปกึงแต้ว เมึอฉันไปกึงแต้ว ค่อยพาไปพักที่ทัองโกงใกลัประกุอุโมงด็ใหญ่ จงปฏิป้ดิ
ดามนึ่อย่าใท้บกพร่องเป็นดันขาด”
พวกสหชาดิโยธาทั้ง ๓00 พังคำสั่งแต้ว รีบพากันเดินทางไปดามอุโมงด็เล็ก กึงเชิงโ!นได
พระมหาปราสาทชี่งเป็นปากอุโมงด็ ทียกกระดานเลียบชี่งรองโ!นไดไว้และปิดปากอุโมงด็อยู่ออกไปเสีย
พากันขื้นสู่พระมหาปราสาทอย่างจู่โจมและเงียบกริบ วัดกาวมัดยามที่วักษาการณ์ดามสกานที,ด่าง กุ มิใทั
ดิ้น และผูกปากเสียด้วย มิใทัส่งเสียง ดลอดกึงท้าวนางสนมทีานัล ชันเป็นผ้ปรนนิป้ดึข้ดดิยวงคํ ทีดกลง
ในฐานะที่อูกวัดกาวเช่นเดียวกับยามวักษาการณ์ เสรีจแต้วช่วยกันหามเข้าไปเทีบไว้ ณ ท้องที่มิดชิดท้อง
หนึ่ง แต้วพากันเข้าท้องเสวยของพระอธิราชกุลนึ พบเครื่องเสวยกังเทียบอยู่ ทีวัคการเสียเรียบวัอย อิ่ม
แต้วเห็นกังเหลีอก็สาดทิ้งไปบนพื้นท้องนั่นเอง ภาชนะด่าง กุ ทีกลายเป็นวัดกุที,อำนวยความลสุกสนาน

kalyanamitra.org
๔๒

ของพวกจู่โจม ทั้งนี่เพราะบุคคลที'มีสันดานเห็นเป็นความสนุกสนาน ในการหำลายวัตถุสิ'งของของคน


อีนนั้น ในยุคโน้นก็มีเหมือนกัน ยิ่งวัตถุที่จะทำลายนั้นเป็นของศัตรูด้วยแต้ว ยิ่งเพิ่มความสนุกในกาวทำลาย
ยิ่งขั้น ในที,สุดภาชนะต่าง *1 ด้วยชามจานก็เป็นเครื่องปรนปรึอความสนุกของโยธาเหล่านั้น จนแหลก
เป็นชิน *1 ไปหมด อิ่มหนำสำราญแลัวสนุกกันเดีมที'ในเรื่องทำลายจนแหลกไปหมดแลัว ก็พากันขั้น

นั้นบนของปราสาท
ในดอนนั้นพระนางสลากเทวี พระนางน้นทาเทวึ พระราชบุตร พระราชธิดามาบรรทมร่วม
พระแท่นกันตามพระคำริของพระนางสลากเทวี ข็งมีอยู่ว่า “ใครจะไปริได้ว่า เหตุการณ์อะไรชักเกิดขั้น”

เลยชวนพระสุณิสา และพระนัดดา มาบรรทมร่วมกันกับพระนาง


พวกทหารจึงได้วับความสะดวกในการปฏิบ้ดึงานยิ่งนัก คือไปเรียกท้องเดียวก็ได้ครบทั้ง ๔

องด้ เสึยงทหารเคาะประดูทูลเรียกอย่างเร่งต่วน พระนางสลากเทวีก็ทรงลุกจากพระแท่นเปิดพระทวาร


เสด็จออกมาถามว่า “อะไรกันเล่า พ่อคุณ”
พวกทหารกราบทูลว่า “ข้าแต่พระเทวี บัดนี่พระอธิราชของชาวเรา จับพระเชัาวีเทหราชและ

มโหสลฆ่าเด็ยแต้ว พระอธิราชของชาวเราทรงประกอบพิธิประกาศความเป็นเอกราชในชมพูทวีป ทรง


มืพวะราชา •๐* องค์แวดต้อม ทรงดมชัยบานด้วยพระเกิยรติยันใหญ่หลวง พระองค์ทรงส่งพวกข้าพวะ-
บาทมาเพื่อนำเสด็จใด้ฝ่าพระบาททั้ง ๔ พระองดี ไปส่พิธิมณฑลพระเด้าข้า”
ด้อยดีาที่กราบทูลพระนางสลากเทวีเพียงเท่านี่ ก็ทำใท้หมดความสงสัย เพราะพระนางสลากเทวี

แย้จะทรงพระปรีชาหลักแหลมเป็นหนักหนา ถึงกับร่วมชุดคนดีของใ!ญจาลนคร ซืงเคยได้มีคำสดุดีไวัว่า


“ด้าร่วมความดีดกันทั้ง ** ท่านแต้ว อาจพลิกแผ่นดินได้ในเวลาไม่ชักซัา” แต่พระปรีชาชันหลักแหลมนั้น

มาเผชิญเข้ากับปรีชาของท่านมหาบัณฑิดซีงใซัเหตุการณ์ยันเป็นจุดมุ่งหมายของฝ่ายพระนาง เข้าเป็น
ฉากพรางความหลักแหลมของพระนาง ก็เลยถูกบดบังเลึยจนยากที่จะหยิ่งถึง อาจจะซีอเป็นหลักก็ได้ว่า

การใซัเหตุการณ์ยันตรงกับความมุ่งหมายของศัดรู เป็นฉากคำบังความจริงเพื่อลวงบุคคลฝ่ายศัตรูนั้น

ย่อมมีผลดีอย่างมากมาย
พระนางสลากเทวีทรงเล่าเรื่องที่ทหารปลอมทูลใท้พระสุณิสาพระนัดดาทวงทวาบ ชี่งไม่

ด้องสงสัยว่าจะมีองค์ไหนที่ไม่ทรงเซีอ ทรงเซีอกันทั้ง ๔ พระองดี พระนางสลากเทวีทรงชวนทั้ง ๓

พระองค์ เสดีจลงจากพระมหาปราสาทถึงเชิงบันได พวกทหารปลอมก็นำเสด็จเข้าอุโมงค์เดินเท้าไปเลย


กบัดริฏื ๔ พระองค์มีพระท้ยพิศวงอย่างยิ่ง เพราะไม่เคยมาลักครั้งเดียว ก็ดวัสเปรย *] ขั้นว่า
“เอ ชอบกลพวกเราอยู่ท,ี นี่มานาน ตั้งแต่เกิดมาก็ว่าได้ ไม่เคยมุดลงมาทางอุโมงค์นี่เลย”
พวกทหารปลอมก็กราบทูลพระนางสลากเทวีว่า “ข้าแต่พระแม่เหนึอเกลัาๆ ถนนนี่มิได้เปิด
ใท้เดินตลอดกาลดอกพระเด้าข้า ถนนนี่มีนามว่า ถนนมิ่งขวัญโดยที่วันนี่เป็นวันมงคล พระอธิราชจึงมี
พระคำวัสลังใท้พวกข้าพระบาทนำเสด็จโดยทางนี่พระเด้าข้า”

พระนางสลากเทวีและกบัตริย์อีก ๓ พระองค์ ได้ทวงพีงเช่นนั้นก็ทวงปราศจากสงสัย ทรง

kalyanamitra.org
๙๒๑

เชึ่อว่าเป็นความจริง
พอเดินไปตามอุโมงค์ได้สักหน่อย ทหารปลอมอึแบ่งเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งคุมกสัตริย์สี่
พระองค์ อึกพวกหนึ่งย้อนกลับเข้าไปในวังของพระอธิราช วัดห้องเอึบรัตนะต่าง *1 ขนเอาธนสารสมบัดิ

ของพระอธิราชไปตามความปรารถนา เสรีจแลัวพาลันกลับอุปการนครทางอุโมงค์
กสัตริย้ทั้ง ๔ พระองค์เสต็จดำเนินถึงอุโมงค์ใหญ่ ได้ทอดพระเนตรเห็นภายในอุโมงอึประลับ

ประดางดงามปานเทวสภาในสรวงสวรรค์ ต่างองค์อึทรงสำลัญว่าเตรียมไวัสำหรับพระราชา
พวกทหารที่นำเสด็จมา อึนำไปถึงสถานที่ไม่ไกลจากแม่นำคงคาใกลัประตูที่จะออกแม่นั่าคงคา
ให้ทั้ง ๔ พระองค์ประทับในห้องโถง อันประดับประดาไว้อย่างสวยงามภายในอุโมงค์ พวกหนึ่งนั่งเสาอยู่
ภายนอก อีกพวกหนึ่งนำความไปกราบเรียนท่านมหาบัณ•ทิตว่า ได้นำกสัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์มาตามบัญชาแลัว
ท่านมหาบัณ•ทิตทังรายงานแลัว ชิมแย้มแจ่มใสดำรีว่า “บัดนึ่ความมุ่งหวังของเราถึงที่สุดลัน
แน่นอนละ” ท่านเต็มตื้นด้วยโสมนัส ไปเสาพระเว้าวเทหราช ณ ที่ประทับ ถวายบังคมแลัวยืน ณ ที่

สมควร

kalyanamitra.org
๖๑. วิเทหราชจำนน
พระเด้าวิเทหราชทรงรอขบวนพระราชธิดาอยู่ด้วยความวัอนพระทัย ทรงพระรำพึงตลอด
เวลาว่า เดํ่ยวพระเด้าจุลนึคงส่งพระราชธิดามาแด่พระรำพึงทั้งนึ่ก็เป็นแด่เพียงเครื่องประโลมพระทัย
ชัวครู่หนึ่งเท่านั้น เรื่องของความวักนั้น อานุภาพเกรึยงไกรใหญ่หลวงนัก ไม่เด้นว่าใครจะมีศักดํ่สูงปานใด
ลงตกอยู่ในอำนาจวักแต้วก็มีคติท่านองเดียวกัน ยามที่คนวักยังไม่มาให็พบ ด้องรอคอย แม้จะข้าไปลักครู่

แด่เป็นเวลานานแสนนานในความวัลึก พระเด้าวิเทหราชก็ทรงดกอยู่ในคติท่านองนั้น ทรงพระรำพึง


เดํ่ยวคงมา เดํ่ยวคงมา จนสูดสิ้นพระอำลังที่จะทนรอเหนึอพวะราชอาสน์ ก็เสด้จลุกจากพระราชบัลลังก็
ทอดพระเนดรไปทางช่องพระแกล ก็ได้ทรงพบว่า นครที่พระองดีประทับอยู่ สว่างไสวดลอดไปหมด

ด้วยแสงแห่งคบเพลิงหลายแสนดวง แสนยากรกองมหึมาลัอมได้โดยรอบ ก็ทวงคลางแคลงพระทัย “เอ!


นึ่เรื่องอะไรกัน?” มีพระด่าริจะหารึอกับราชบัณฑิตจึงดวัสถามว่า “ท่านฝ่เบัณฑิตทั้งหลาย แสนยากว
มหึมาเพียบพวัอมด้วยจตุรงคินึเสนา พลข้าง พลม้า พลรถ และพลวาบลัวนทัมเกราะหนังตั้งมั่นลัอม
เมีองของเรา คบเพลิงหลายแสนดวงส่องแลงสว่างกระจ่างไปหมต วักันหรือไม่ว่า เรื่องอะไรกัน พระ-
เด้าจุลน็ทรงแสดงความชี่นชมกับพวกเราหรือทรงกริ้วพวกเรากันแน่?”

เสนกราชปัณฑิดม้อาวุโส กราบทูลถวายความคิดเห็นเป็นคนแรกว่า “ขอเดชะ พระบารมี


เป็นลันเกลัาฯ ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่าได้พระปริวิตกไปเลย ข้าพระพุทธเด้าเห็นด้วยเกลัาๆ ว่า
คบเพลิงมากมายอำจายแสงสว่างอยู่นั้น คึอพระอธิราชจุลนึทรงพาพระราชธิดามาเพื่อถวายแดได้ฝ่าละ-

อองธุลึพวะบาทเป็นแน่ละพระพุทธเด้าข้า”
ปุกกุสะ เป็นดันด้บสอง ถวายความคิดเห็นว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาฯ
ข้าพระพุทธเด้าพิจารณาเห็นด้วยเกลัาๆ ว่า องดีพระอธิราชจุลนึทรงมีพระประสงดีจะทรงกระท่าการ
ถวายคาววะในฐานะเป็นราชาด้นตุกะ แดได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงได้ด้ดวางกาวอาวักขาอย่างแข็งแรง

พระพุทธเด้าข้า”
กามินท่และเทวินท่ ด่างก็ถวายความคิดเห็นตามที่ตนพอใจ และรวมลงในความคิดเห็นว่า
เป็นกาวแสดงความชี่นชมยินดีแด่พระเด้าวิเทหราช ของพระอธิราชจุลนึทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะกราบทูล

ถวายความเห็นว่าพระอธิราชจุลน็ยกกองทัพมาลัอมด้บพระเด้าวิเทหราชปลงพระชนม์ ทุกคนด่างพากัน
กราบทูลในทางที่จะเอาพระทัยเด้านายตามแบบอย่างไปเสึยหมด

kalyanamitra.org
๔๒๓

การกำหนดสงไปว่างานมงคล พึงพูดใหัเปันมงคล อย่าพูดเรื่องอัปมงคล คงจะเป็นจารีตมา


นานแลัว ราชบัณฑิตทั้ง ๔ ของพระเด้าวิเทหราช ก็คงจะยึดมั่นในจารีตนั้แหละ จึงถวายความคิดเห็น

ไปในทางที,เป็นสิริมงคล หรืออาจถวายความคิดเห็นไปเพราะไม่!ความจริงก็ได้เหมือนอัน
การแสดงความคิดเห็นนั้น ควรจะเป็นไปโดยบริสุทธํ่จริง *1 ปราศจากอคติ คึอความเอนเอียง

ไปทางจารืต หรือความเอนเอียงไปทางไม่!จริง แต่แสริ'งแสดงว่า! เพราะกลัวจะเสียชันเชิง การใหัความ


คิดเห็นเอนเอียง จะเป็นความคิดเห็นที่ถูกด้องถ่องแท้ได้ยากนัก
ระหว่างที่พระเด้าวิเทหราช ทรงหารืออับราชปัณฑิดทั้ง ๔ อยู่นั้น เสิยงบัญชาการ เด็ยงสั่ง
กาวในกองทัพของพระอธิราชจุลนีก็ด้งสนั่นอยู่เรื่อย *1 กองมืาเข้าประจำที่ด้านโนัน กองซัางเข้าด้งตรงนั้น
กองราบและพลแม่นธนู แยกกองประจำการด้านโนัน จุ รักษาหนัาที่ด้านนั้น จุ ทุกคนทุกหมวด ทุกกอง
อย่าประมาทเป็นอันขาด เสียงบัญชาการสั่งการได้อังวานอัองถึงที่ประทับของพระเด้าวิเทหราช
พระเด้าวิเทหราชทรงสดับเสียงนั้น ทอดพระเนตรเห็นแสนยากรอันมีเครื่องรบพรัอมสรรพ

ก็สะด้งพระทัย ทรงมีพระประสงด้จะพึงความคิดเห็นท่านมหาบัณฑิตจะว่าอย่างไว จึงมีพระดำรัสถาม


“พ่อมหาบัณฑิตมีความคิดเห็นอย่างไรเล่าพ่อในการปฏิบัติของพระเด้าจุลนึ ตามที่พ่อเห็นอยู่ ได้ยินอยู่นื้
พวกเสนาเหล่านั๋จะท้าอะไรแก่พวกเรา หรืออย่างไร?”
ท่านมหาบัณฑิตได้พึงพระดำรัสแลัว เกิดความคิดขั้นว่า “ก่อนนื้พระราชาของเราไม่ทรงพึง
ความเห็นของเราเสียเลย ทรงลุ่มหลงลัอยค้าของเกวัฏและบัณฑิตทั้ง ๔ ถึงอับทรงชับไล่เราออกจากที่
เฝืา คราวนั้ด้องขอขู่ลักหน่อย ภายหลังค่อยถวายการปลอบพระทัยสำแดงกำลังปรีชาของเราใหัทรงทราบ”

คิดแลัวกราบทูลว่า “ขอเดชะ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาฯ พระอธิราชจุลนึ ทรงมีกำลังพลมหึมา


ขัดการรักษาใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ มิใหัเสด้จหนึรอดไป พรุ่งนื้เซัาพระอธิราชจุลนึขักสั่งใหัขับใด้

ฝ่าละอองธุลีพระบาทปลงพระชนมีเสียพระพุทธเด้าข้า”
ลัอยค้าของท่านมหาบัณฑิตหนักแน่นมั่นคงและจริงขัง ท้าใหัฝัพึงทั้งหมด ตั้งด้นแต่องค้พระ-
เด้าวิเทหราช สะด้งต่อความตายไปหมด เป็นอัอยค้าที่บันดาลใหัเกิดผลแต่พระเด้าวิเทหราชหลายประการ

ดำพระศอของพระองค้แหังผาก พระเขฬะในพระโอษฐ์ขาดหายไปหมด พระสรีรกายเกิดความเร่ารัอน


พระองค้ทรงกลัวต่อมรณอัยสุดที่จะระขับได้ ทรงรับสั่งรำพันว่า

“หัวใจของฉันเสียวสะทัาน หนัาของฉันก็ซ็ดเซียว ฉันไม่พบความขู่มซีนเลย เหมือนถูกเพลิง


เผาอยู่กลางแดด หัวใจของฉันถูกเผาระอุอยู่ข้างใน ไม่ปรากฏออกมาภายนอก เหมือนเบัาหลอมทองของ
ช่างทอง ถูกสุมระอุอยู่ในเตา ไม่ปรากฏความรัอนออกมาภายนอกก็ปานอัน”
ท่านมหาบัณฑิตพังพระค้ารัสครำครวญของพระเด้าวิเทหวาช คงอังมีความคิดที่จะขอขู่พระ-

เด้าวิเทหราช จึงกราบทูลว่า
“ขอเดชะ พระอาญามิท้นเกลัาฯ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงประมาทต่อเหตุการณ์ ทวงผ่าน
ข้อปรึกษาหารือไปเสีย ทรงท้าลายความคิดที่ชอบด้วยเหตุผลเสีย บัดนั้ข้าพระพุทธเด้าขอเชิญพวกบัณฑิต

kalyanamitra.org
๔๒๔

ผู้ทวงความคิดชันแหลมลึก โปรดถวายการป้องกันใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเถิดพระพุทธเข้าข้า”
“ข้าแด่พระองด้ผู้ทรงคุณยันประเสริฐ ข้าพระพุทธเข้าเป็นคำมาตย์ มุ่งความจริงและสิงที่
จะเกื้อกูลแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ถวายความคิดเห็น ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็มิได้ทรงฬง มิได้
ทวงเห็นเป็นสำต้ญ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททวงรื่นเริงในพระท้ยในพระปิดิที่จะได้พระยัดรมเหลึยัน
ทรงคุภลักษณ์ ชี่งเปันความอิมพระท้'ยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เหมือนมฤคยันลูกล่อ่ด้วยเหยอให้

เข้าไปคิดบ่วงฉะนั้น”

"ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงลุ่มหลงพระราชธิดาของพระเข้าจุลน้ มิได้ทรงทราบถึงมรณกัย


ยันจะมาถึงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เหมือนดังบัสยาที่หลงชินเนื้อชี่งเกี่ยวเบ็ดขอไข้มิดชิด ฮุบเข้าปาก

ไปแลัว ก็มิได้สำนึกว่าตนจะต้องตายก็ปานกัน”
“ข้าพระพุทธเข้าขอพระราชทานวโรกาส กราบทูลให้ทรงระลึกถึงลัอยคำที่ข้าพระพุทธเข้า

ได้กราบบังคมทูลไข้ว่า กัาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทข้กเสด้จลู่บัญจาละ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทรักต้อง


สละพระชนม์ท้นทึ ที่กัยยันใหญ่หลวงมาถึงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เหมือนกัยยันใหญ่หลวงมาถึงมฤค
ที่ลูกต้อนเข้าลู่แนวธทูฉะนั้น ข้าพระพุทธเข้าได้กราบทูลไว้เช่นนื้ บัดนื้การณ์ก็ปรากฏเช่นนั้น” อีกประ-
การหนื้ง ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทผู้ทรงเป็นปีนประชาชน โปรดทรงพระวิจารณ์บุรุษที่มีท่าทีเปัน

อาวยชนเช่นเกวัฎเป็นเหมือนงูพิษ นำมาใกลัชิดห่อไว้ในพก ก็จะวกแข้งเข้าขบกัด ท่านผู้มีบัญญา ไม่


ควรผูกไมตรีกับคนเช่นนั้น เพราะการสํงคมกับคนชิ-วนำทุกข์มาให็”
“ช้าพระพุทธเข้าได้กราบทูลความข้อนื้มาแลัว แด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็มิได้ทรงเห็น
เป็นสำด้ญ บัดนื้ผลแห่งไมตรีกับคนเลวนั้นคำลังปรากฏแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอยู่แลัว พระองด้

ผู้เป็นจอมประชาชน คติธรรมยันตรึงตราประคำโลกมีอยู่ว่า บุคคลมงทราบต'วยว่จารฌ์ว่า ฝูโดมศืล เป็น


ฝูคงแก่'เรยน กังนํ่แกัว ผูมป็รขา ควร,ผูก โมตรกับฝูคน ผู้เป็นคนต เคราะเป็นการกังคมกับคนต นำความสุข

มาใกั'
ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลพระเข้าวิเทหวาช เพื่อให้ทรงตระหนักในพระทัยฃึงข้อที่ได้หารือกัน

ในครั้งก่อน ท่านได้กราบทูลไข้อย่างไร และเหตุการณ์นั้น 1 ปรากฏอย่างไร ยังคำริต่อไปว่า “ข้กหาทาง


ป้องกันพระองด้ไว้มิให้หลงกลผู้ใดแลัวทรงกระท้าเช่นนื้อีก” จึงได้กราบทูลชัางถึงพระราชคำรี-สที่ได้

ตรี-สคำหนิไข้ในครั้งก่อนมากราบทูลว่า

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงหลงลมพวกคํ'ตรู มีเกวัฎเปันด้น พลอยมีพระดำรัส


เห็นงามไปตามเขา เมื่อทรงมีพระดำรัสหารึอกับข้าพระพุทธเข้าถึงเรื่องยันเป็นความเจริญอย่างสูง ช้า-
พระพุทธเข้าก็ได้กราบทูลถวายความคิดเห็นตามที่เป็นจริง แด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกริ้วช้าพระพุทธเข้า
ทรงมีพระดำรัสประชดข้าพระพุทธเข้าว่า พวกเราที่หารือเข้าถึงเรื่องที่เป็นความเจริญอย่างสูงสุด พา
กันเป็นคนโง่ เป็นพวกป้านํ้าลายไปทั้งนั้น บัดนื้ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็คงจะได้ทรงตระหนักถึงภาวการณ์

ได้แลัว”

kalyanamitra.org
๔๒๕'

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกด้าๆ ข้าพระพุทธเช้าได้รับการเลิ้ยงดูเดิบโดมาจากบ้านนอก


จากหมู่ชนผู้จับหางไถ ที่ไหนจักทราบถึงเรื่องอันเป็นความเจริญเหมือนบัณฑิตลิ่น *1 เช่นเกวัฏเปันอาทิ

ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระดำรัสบริภาษช้าพระพุทธเช้าไวิในครั้งนั้น ในที่สุดได้มีพระบัญชาว่า ‘จับ


ไอัลูกบ้านนอกคนนั้ใล่ออกไปจากแคว้นของข้า มันพูดเป็นอันตรายกีดกันไม่ให้ข้าได้นางแกัว”

“ขอเดชะ พระอาญามีพันเกลัาๆ ข้าพระพุทธเช้าเป็นลูกชาวบ้าน ไฉนจะรู้เรื่องอันเป็นความ

เจริญเหมือนพวกบัณฑิตลิ่น *1 เช่นเสนกเป็นด้น ความรู้ถึงเรื่องอันเป็นความเจริญนั้นไม่ใช่วิสัยของลูก


ชาวบ้านอย่างข้าพระพุทธเช้า ที่ช้าพระพุทธเช้าจะรู้ ก็คือศิลปะของชาวบ้าน ซ็งการไถนา และการหว่าน

ข้าวกลัา เป็นด้น เท่านั้นแหละ ความข้อนปรากฏแลัวแก่ท่านเสนกเป็นด้น ซ็งเปันบัณฑิต วันนิ้ใต้ฝ่า

ละอองธุลีพระบาท ถูกพระเช้าจุลนีลัอมไว้ด้วยแสนยากร ๑๘ กองทัพ ขอเชิญบัณฑิตทั้งหลาย มีท่าน


เสนกเป็นอาทิ จงเป็นที่พำนัก จงเป็นที่ปรึกษาของได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเถิด ข้าแต่พระพุทธเช้านั้น

ขอได้ทรงพระกรุณาตรัสสั่งไห้ราชบุรุษไสคอออกไปเสีย ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะมีพระราชดำรัส

ถามข้าพระพุทธเชัาเพราะเหตุไรเล่าพระพุทธเช้าช้า”
พระเช้าวิเทหราชถูกท่านมหาบัณฑิตกราบทูลขู่อย่างรุนแรง มิได้ทรงกริ้ว ทรงพระดำริว่า
“มโหสถพูดถึงโทษที่เรากระทำไว้ ที่จริง ภัยในอนาคตนั้เขารู้ก่อนแลัวทีเดียว เหตุนั้นจึงข่มขู่เราเสียเต็มที่

แต่ตลอดกาลเท่านื้ เขาขักด้องไม่อยู่อย่างปราศจากการงาน ความสวัสดีของเรา มโหสถนํ่จักด้องกระทำ

ไว้แลัวอย่างแน่นอน ด้องลองเลียบเคียงตู” แลัวมีพระราชดำรัสว่า


“พ'อมโหสถเอย หมู่บัณฑิตย่อมไม่ทิมแทงกันด้วยเรื่องที'ล่วงแลัว ไฉนพ่อจึงพูดทิมแทงฉัน

เหมือนคนทิมแทงมัาที่ถูกมัดแน่นแลัวฉะนั้นเล่า ด้าพ่อเห็นทางรอดของฉัน ก็จงบอกเล่าซีแจงฉันด้วย

เรื่องนั้น ทำไมจะมาที่มแทงฉันด้วยเรื่องที'ล่วงไปแลัวอยู่เล่า”

ท่านมหาบัณฑิตได้พังพระดำรัสแลัวคิดเห็นว่า “พระเช้าวิเทหราชนํ๋ทรงมืดมนยิ่งนัก มิได้

ทรงรู้จักความวิเศษของตนเลย ด้องให้ทรงลำบากเสียบ้าง ภายหลังค่อยถวายความจริงแต่พระองต็” ดำริ

แด้ว กราบทูลว่า
“ขอเดชะ กรรมที'เป็นของคนปางอดีต เป็นกรรมที'กระทำได้โดยยาก ทั้งยากที่จะทนทาน
กาวที'จะรอดพันไปจากเงื้อมมือของพระอธิราชจุลนีครั้งนั้ เป็นการกระทำของคนที่ล่วงมาแลัว หมายความ

ว่าเป็นกรรมที'พวกมนุษย์พึงกระทำที่ล่วงเลยไปแลัว จะแก็ไขเป็นการยาก ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรด

ทรงทราบเถิด ช้าพระพุทธเช้าไม่สามารถจะช่วยได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทให้รอดพันไปได้”
“ฝูงข้างมีฤทธํ่มีข้านาจไปในอากาศได้ก็มีอยู่ บางทีข้างเหล่านั้นจะช่วยพาไปได้ ด้าพระราชา

พระองต็ใดทรงมีข้างเช่นนั้น”
“ฝูงมัามีฤทธึ้มีอำนาจไปในอากาศได้ก็มีอยู่ บางทีฝูงมัาเหล่านั้นจะพาเหาะไปได้ ด้าพระราชา

พระองต็ใดทรงมีมัาเช่นนั้น ”
“ฝูงนกที่มีฤทธํ่มีอำนาจไปในอากาศได้ก็มีอยู่ บางทีฝูงนกนั้นจะพาเหาะไปได้ ลัาพระราชา

kalyanamitra.org
๔๒๖

พระองต็ใดทรงมีฝูงนกเช่นนั้น”
“พวกยักษ์ที่มีฤทธิ้ข้านาจไปในอากาศได้ก็มีอยู่ บางที่พวกยักษ์นั้นจะพาเหาะไปได้ ด้าพวะ-

ราชาพระองค้ใดมียักษ์เช่นนั้น”
"การกระทำของมนุษย์ผ่านพ้นไปเสียแลัว เกินวิสัยคนที่จะทำได้แลัว ยากที่มนุษย์จะกระทำ
ยากที่มนุษย์จะแข้ไข ข้าพระพุทธเด้าไม่สามารถจะช่วยได้ฝ่าละอองธุลึพระบาทไปโดยทางอากาศได้

พระพุทธเด้าข้า”
พระเด้าวิเทหวาชไม่เจะตรัสอย่างไรสีบไป ประทับดุษณียภาพ แด่พระทัยนั้นเต็มไปด้วย
ความกลัว ท่านเสนกเห็นเช่นนั้นก็ดำริว่า “คราวนั้ทั้งพระราชา ทั้งพวกเรา ไม่มีที่พื้งที่ไหน ไม่มีใครที่

จะช่วยได้เว้นมโหสถบัณฑิต ด้ามโหสถไม่ช่วย ก็ไม่มีใครช่วยได้ แด่พ้งเสียงมโหสถกราบทูลพระราชาแลัว


ก็ดูยิ่งจะหมดหวัง พระราชาพ้งค้ากราบทูลของเขาแลัว ก็ดูยิ่งหวาดหวั่นต่อความตายหนักขน จนไม่สามารถ
ตรัสอะไร *1 ได้ มโหสถขู่เสียต้องประทับดุษณียภาพไปแลัว เราจะนิ่งเฉยเสียไม่เป็นการสมควร ด้อง
ย้อนวอนเขาดูบัาง บางทึเขาจะกรุณา เพราะอัธยาศัยที่แท้จริงของเขานั้นย่อมมีความกรุณาเป็นพื้นอยู่แลัว”

ถิดแลัวก็เอ่ยย้อนวอนว่า
“ท่านมโหสถ คนที่เรือแตกแหวกว่ายอยู่ในท้องทะเลหลวง มองไม่เห็นฝัง เขาถูกข้าลังคลื่นซัด
ไปอย่างเสียงเป็นเสียงตาย ได้พบที่ยึดเกาะ ณ ที่ใด ก็จะพบความสุข ณ ที่นั้นฉันใด ขอท่านได้กรุณา
เป็นที่พำนักของพระราชาและพวกเรา ฉันนั้นเถิด”

ท่านมหาบัณฑิตพ้งค้าของท่านเสนกแลัวก็กล่าวข่มขวัญว่า
“ท่านเสนก การกระทำของมนุษย์ผ่านไปเสียแลัว ยากที่จะกระทำได้ ยากที่จะแข้ไขได้ ท่าน

โปรดทราบเถิดว่า ข้าพเด้าไม่สามารถจะช่วยท่านโหรอดได้เลย ข้าพเด้าไม่สามารถจะพาพระราชาและ


พวกท่านเหาะไปทางอากาศถึงมิชิลานครได้ นะท่านเสนก ท่านสิ! เชิญท่านนำพระราชาของชาวเรา เสด็จ

ทางอากาศสู่นครมิถิลาเถิดนะท่าน”
ท่านเสนกถูกขนาบเช่นนั้น ก็เลยนั่งวันไปอีก

kalyanamitra.org
๖๒. วิเทหราชกำสรวล
พระเจ้าวิเทหราช ถูกท่านมหาบัณฑิตทรมานด้วยการกราบทูลอัางต้อยค้าต่าง ๆ ที่เคยกราบทูล
ไว้. ทั้งที่ทรงตำหนิและทรงขับไล่ในคราวที่หารือกัน ครั้งเกวัฏเปันทูตไปสู่มิถิลานคร ท่านมหาบัณฑิต

รื้อพีนร้นมากราบทูลจนหมดสั้น เพื่อเตือนพระสติไท้'พระเจ้าวิเทหราชทรงมีสังวรในพระทัย ไม่ทรง


เซึ่อผู้ใดง่าย *1 เพราะเป็นโอกาสที่จะกราบทูลเช่นนั้นแต้ว อีกประการหนึ่ง การที่จะแกัทุกข์หรือปลด

เปลื้องความลำเค็ญต่าง ๆ นั้น ต้าเป็นการกระทำเองแต้วก็แกัเอง ก็เป็นความรับผิดชอบของตนเอง แต่


ด้าผู้ผูกกับผู้แกัเป็นคนละคน ผู้ผูกคนหนึ่ง ผู้แกัอีกคนหนึ่ง จำต้องมีวิช้การที่ผู้แกัจะต้องปฏิบัติ ให้ผู้ผูกได้

สำนึกบ้างว่า การแกันั้นลำบากยากเข็ญเพียงไร ลัาช่วยแต้ให้ทุกคราวที่เกิดติด ก็จะเป็นเหตุให้ผู้ผูกรู้สึก

ง่ายดายเกินไป จะยิ่งผูกมาให้แกัมากร้น ไม่รู้จักจบสั้น ทั้งจะเห็นความสำคัญของผู้แกัน้อยลงไปก็เป็นได้


ด้งนั้นท่านมหาบัณฑิตจึงกราบทูลรื้อความหลังร้นมา เพื่อพระเจ้าวิเทหราชจะได้ทรงเห็นบ้างว่า ในยาม
เช้าบ่วงอับบ่วงรานั้น รสชาติเผ็ดรัอนขนาดไหน ลำเค็ญเข็ญเคืองเพียงไร เปรียบผู้ที่ไม่ได้รับความเจ็บปวด

ก็ยังไม่รู้รสชาติของความเจ็บว่ามีอย่างไร เป็นทุกข์เพียงไหน และสรรพคุณของยาแกัเจ็บปวดมีอยู่เพียงใด


ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อประสบเข้ากับตนเองนั่นแหละ จึงจะทราบรสชาติของความเจ็บปวต และต้าจะมีผู้ใดเยียวยาให้
ก็จะเห็นเป็นความสำคัญของผู้เยียวยา และเห็นสรรพคุณของยาที่แท้ไข ดังนั้น ท่านมหาบัณฑิตจึงได้

กราบทูลรุกพระเจ้าวิเทหราชอย่างหน้ก จนกระทั่งพระเจ้าวิเทหราชไม่ทรงสามารถจะเผยพระราชดำรัส
อะไรออกมาได้ แต่ความกลัวต่อมรณกัยยังคงคุกคามพระองค์อยู่ พระหทัยของพระองค์สะด้งหวาดหวั่น

เมื่อความสงบนึ่งแห่งพระทัยยังไม่ปรากฏ ก็ทรงหาทางไขว่คว้าต่อไป เหมีอนผู้ที'กำลังจะจมนี่า แม้จะ

ไม่ปรากฏอะไรซึ่งจะเป็นที่เกาะที่เหนี่ยว มือก็ยังคงไขว่คว้าอยู่เรื่อยไป เมื่อตรัสกับท่านมหาบัณฑิตไม่

ได้แต้ว ก็ทรงพระดำริถึงเสนกบ้างว่า “บางทีเสนกก็พอจะรู้อุบายอะไรได้บ้าง ลองลามแกดูก่อนเถอะ”


ทรงดำริแต้วก็ตรัสถามว่า “อาจารย์เสนก เชิญทังคำของฉัน ท่านเห็นแลัวมิใช่หรือว่าภัยนี่เป็นภัยใหญ่

หลวงนัก ฉันขอถามท่าน ท่านพอจะรู้บ้างไหมว่า คราวนี่เราควรจะทำอย่างไร?”

ท่านเสนกได้ยินพระดำรัสก็คิดว่า ‘พระราชาทรงมีพระดำรัสถามอุบายแก ,เรา ซึ่งเราก็มิได้

เห็นลู่ทางอะไรเลย เข้าที่คับข้นเหมือน *1 กัน แต่เรื่องของคนและคนอย่างเรา ควรจะต้องมีความคิดอยู่บ้าง


ตรัสถามก็ต้องกราบทูล จะดีหรือไม่ตีก็เปันเรื่องที,พระองค์จะทรงพระวิจารณ์ เราต้องกราบทูลตามที,

คิดเห็น’ คิดแต้วก็กราบทูลความคิดของตนว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลึพระบาทปกเกลัาๆ ข้าพระพุทธเจ้า


ก็มองไม่เห็นทางที่จะแด้ใขให้รอดพ้นจากมห้นตภัยคราวนี่ได้ แต่เห็นด้วยเกลัาๆ ว่า เมื่อไม่มีทางรอดแต้ว

kalyanamitra.org
๔๒๘

ก็มีทางเดียว คือตายเสียก่อนที่จะถูกศัตรูทรมานให้ตาย ข้าพระพุทธเจ้าคิดคำนึงอยู่แต่ว่าจะควรตายด้วย


วิธีใด ถึงจะไม่ทรมานมาก และตายโดยไม่ให้ศัตรูพบชากเท่านั้น การที่จะตายให้ง่ายและมิให้ศัตรูเห็น
ซากนั้นพอมีทาง■อยู่ คือปิดประตูพระดำหนักนึ่เสียพุกด้านแลัวจุดไฟเผา พวกที่อยู่ ณ ที่นึ่ ต่างชือดาบ
คนละเล่ม ฟาดฟันกันให้ม้วยมอดลงไป ต่างคนต่างฆ่ากันไม่ให้ใครเหลืออยู่เช่นนึ่ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า
เป็นการดีกว่าที่จะรอให้พระอธิราชจุลนึยกทัพมาจับตัวไปทรมาน เป็นการฆ่ากันเองด้วย และก็เผาซาก
เสียให้สิ้นด้วย ความคิดของข้าพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนึ่พระพุทธเจ้าช้า จะควรมิควรประการใด ขอพระ-
กรุณาเป็นที่ที่งพระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับความคิดเห็นของท่านเสนกแลัว ไม่ทรงเห็นด้วย ตรัสว่า “ท่าน


อาจารย์ ความคิดเห็นของท่านจะเอาปราสาทเป็นเชิงตะกอน ที่ว่ามานั้นรอไวักระทำแก'ลูกเมียของท่านเถิด

ฉันไม่เห็นด้วยละ” แต้วทรงถามอาจารย์ปุกกุสะสืบไปว่า “อาจารย์ปุกกุสะเล่า มีอุบายอันใดบ้าง?”


อาจารย์ปุกกุสะก็ด้นบ้ญญาอยู่แต้ว และกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดที่จะหาวิธีตายง่าย กุ เหมือน
กับท่านเสนก เมื่อมีพระราชดำริลาม ก็ทูลตอบดำเนินตามท่านเสนก แต่ไม่มีการเผาปราสาท คือกราบทูล
ว่า “ขอเดชะ พระอาญามิพันเกด้าๆ ข้าพเจ้าก็สิ้นบ้ญญาที่จะแก้ไขเอาตัวรอดได้ เห็นด้วยเกลัาๆ ว่า ตาย
เสียเท่านั้นแหละดี เพราะการตายเป็นทางรอดทางเดียวที่จะพาเราพันไปจากเงื้อมมือของพระเจ้าจุลนึ
วิธีที่จะทำให้ตนตายนั้น เห็นด้วยเกลัาฯ ว่าไม่มีอะไรดีเท่าดื่มยาพิษ พวกเรามาดื่มยาพิษตายกันเสียเถิด
ดื่มยาพิษจะทำให้เราตายได้รวดเร็ว การตายเร็ว กุ ก็ช่วยให้เรารอดจากความคับข้นได้เร็ว และที่สำคัญ
ก็คือพระเจ้าจุลนึพรหมทัตจะไม่ได้ฆ่าพวกเราอย่างทรมานต่อไป ความคิดเห็นของช้าพระพุทธเจ้ามีเช่นนึ่

สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกลัาๆ พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชไม่เห็นด้วย ตรัสถามกามินท้ต่อไป กามินท์ก็กราบทูลทำนองเดียวกัน ต่าง
แต่วิธีที่จะฆ่าตัวตายเท่านั้น คือกามินท์กราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกลัาๆ ว่า หมดทางที่จะ
รอดเงื้อมมือพระเจ้าจุลนึไปได้แด้ว เหลือทางเดียวคือตายไปเท่านั้นเอง แต่วิธีที่จะตายนั้น ข้าพระพุทธเจ้า

คิดด้วยเกด้าๆ ว่า ควรจะเอาเซือกผูกคอแต้วโดดเหวตายเสีย อย่าให้พระเจ้าจุลนึพรหมทัดจับพวกเราได้


แต้วฆ่าให้ตายอย่างทรมานเลยพระพุทธเจ้าช้า”
พระเจ้าวิเทหราชคงไม่ทรงโปรดเช่นเดียวกัน เพราะเหลือที่จะโปรดได้ ตรัสลามเทวินท์ต่อไป

เทวินท์ก็เป็นเช่นเดียวกับคนอื่น กุ คือดันบ้ญญาเหมือนกัน และมีความเห็นเช่นเดียวกับท่านเสนก จึง


นำเอาคำกราบทูลของท่านเสนกมากราบทูลอีกครั้งหนึ่ง แต่มีข้อแถมท้ายว่า “ลัาหากท่านมโหสลหมด
ความสามารถที่จะแก้ไขให้พวกเรารอดไปได้ก็ควรดำเนินตามวิธีของท่านเสนกพระพุทธเจ้าช้า ”
ครั้นกราบทูลไปแล้ว เทวินท์ก็คิดได้ว่า “พระราชาของเราทรงทำอะไรเช่นนึ่ ตรัสถามพวก
เราทำไม กองไฟมีอยู่ทั้งกอง กลับมาทรงก่อหิ่งห้อย กัายกท่านมโหสถเสียในที่นึ่จะมีใครอีกเล่า ที่จะ
สามารถช่วยพวกเราให้รอด ช่วยพวกเราให้พบความสวัสดี ไม่มีใครอีกแลัว มีแต่ท่านมโหสถเท่านั้น ที่

สามารถแก้ไขความคับขันคราวนั้ใด้ พระราชาไม่ตรัสถามท่าน มาตรัสถามพวกเราเหมือนรีดเขาวัวเอา

kalyanamitra.org
๔๒๙

นํ้านม จะได้ที่ไหน พวกเราจะไปรัอะไร” คิดแลัวก็กราบทูล เป็นเชิงพรรณนาคุณของท่านมหาบัณฑิตว่า


“ขอเตชะ ฝ่าละอองธุลึพระบาทปกเกลัาๆ ตามที่ข้าพระพุทธเด้าได้กราบทูลพระกรุณาไปนั้น ความหมาย

ของข้าพระพุทธเด้ามึอยู่ว่า พวกเราควรจะขอ!’องท่านมหาบัณฑิตโดยพรัอมเพรียงกัน ข้าพระพุทธเด้าเห็น


ด้วยเกลัาๆ ว่า ท่านมหาบัณฑิตผู้เดียวเท่านั้น ที่จะสามารถช่วยพวกเราให้ประสบสวัสดีภาพได้ กัาเมื่อ
พวกเราขอรัองท่าน ท่านไม่สามารถช่วยเหลึอแก็ไขพวกเราได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ควรจะกระทำตามที่ท่าน

เสนกกวาบทูลพระพุทธเด้าข้า”
พระเด้าวิเทหราชก็ทรงเช้าพระทัยดีอยู่แลัว ว่ามีคนอยู่คนเดียวเท่านั้นที่จะแก็ใขเหตุการณ์
ด้บข้นครั้งนั้ได้ แต่เมื่อทรงหวนระลึกถึงคราวที่ตรัสบริภาษท่านมหาบัณฑิตไว้คราวก่อน และที่•พระองค์
ถูกต่อว่าอย่างรุนแรงในคราวนั้แลัว ก็ไม่สามารถจะตรัสอะไรกับท่านได้ ทั้ง *1 ที'ท่านก็คอยที่จะสด้บพระ-
ด้ารัสอยู่ใกลัพระองค์ ในที่สุดก็ทรงรำพันว่า
“บุคคลแสวงหาแก่นของต้นกด้วยไม่พบฉันใด เราต้องการอุบายที่จะเปลื้องตนให้พันจาก
เงื้อมมือของจุลนึ ถามบัญหากับพวกบัณฑิตก็ไม่ได้ประสบอุบายฉันนั้น บุคคลหาแก่นของด้นงื้วไม่ได้

ฉันใด เราหาอุบายมาลามบัณฑิดทั้งหลาย ก็ไม่พบฉันนั้น”

“เรามาอยู่แด้วในประเทศยันไม่เหมาะ เป็นสำนักของพวกพาล พวกมนุษย์เลว *1 ไม่มีความรั


อะไรเลึยแลัวหนอ ก็ด้องอยู่ในเงื้อมมือของศ'ตรู เหมือนโขลงข้างยันอยู่ในถินที่ไม,มีนั้า จะต้องออกมา
หาหนองนั้า ชี่งจะถูกคลัองเอาต้วไป ฉะนั้น”
“ดวงใจของเราสะทกสะท้าน ปากของเราก็เที่ยวแห้ง เรามองไม่พบความดับเข็ญเย็นฉํ่าเลย

เป็นเหมือนถูกเพลิงเผา เร่ารัอนอยู่กลางเปลวไฟก็ปานนั้น”

“เตาหลอมทองของช่างทอง เผาไหม้อยู่ภายใน ไม่ปรากฎเปลวไฟออกมาภายนอกฉันใด ดวงใจ


ของเราก็ถูกเผาระอุอยู่ภายใน ไม่ปรากฎออกมาฉันนั้น”
“โอ! เรามีบัณฑิตอยู่ ๕ ท่านด้วยกัน เราชุบเลื้ยงอุปถัมภ์ก็หวังที,จะพึ่งสดิบัญญา แต่มาคราวนื้
จะไม่มีใครสักคนหนั้งละหรีอที่เราพอจะพึ่งพาเขาได้”
ทรงครํ่าครวญกำสรวลไปต่าง *1 สุดแต่ว่าความกลัวจะบัญชาให้ทรงรำพันได้อย่างไร พระ-

องค์ทรงดับพระท้ยอย่างสุดแสน ปิมว่าดวงพระทัยจะสลายลงทีเดียว

kalyanamitra.org
๖๓. ได้แก้วคนเมอง
การท้าสรวลครวญคราของพระเจ้าวิเทหราชนั้นมิใช่เป็นเรื่องที่ท่านมหาบัณฑิตเพิกเฉยหามิได้
ท่านพิงอยู่ตลอด ครั้นเห็นว่าขืนปล่อยให้ทรงโศกาดูรสืบไปจะเสียผล เพราะการรํ่าพิไรจนเกินไปนั้น
อาจเป็นชันตรายแก'ซีวิตได้ ท่านมหาบัณฑิตเห็นเช่นนั้น ก็กราบทูลเพึ่อปลอบพระทัยให้ทรงคลายจาก
โศกาดูร “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระปาทปกเกลัาฯ ช้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานอภัยโทษ ที่มิได้
กราบทูลสนองพระราชดำรัสลาม ทั้งนื้ใช่ว่าช้าพระพุทธเจ้าจะจนบัญญาก็หามิได้ ขอได้ฝ่าละอองธุลี-

พระบาทอย่าได้ทรงสะด้งพระทัยไปเลย อย่าทรงกลัวเกรงเลย ช้าพระพุทธเจัาจักช่วยใด้ฝ่าละอองธุลี-


พระบาทให้รอดพ้นเหมือนช่วยดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จากปากราหู เหมือนช่วยกุญชรชาติจากหล่มลึกที่ตก
จมลงไป ชันภัยที่ก็าลังคุกคามอยู่ ณ บัดนั๊ แม้จะใหญ่หลวงปานใด ข้าพระพุทธเจ้าก็ได้ตระเตรียมแท้ไข

ไว้เสร็จแลัว โปรดทรงวางพระท้ยเลิด”
“จุลนีพรหมทิต เห็นใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นเหมือนงูพิษเพียรจับใส1กระโปรง แต่ก็คง
จะลืมว่า ในกระโปรงนั้นมีข้าพระพุทธเจ้าติดเข้าไปด้วย กองทัพ ๑๘ กองพรัอมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์

เป็นด้งกระโปรง ข้าพระพุทธเจ้าจะนำเสด็จใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเล็ดลอดจากวงลัอมของจุลนี เหมือน


แหวกช่องให้พญางูหนึจากกระโปรงฉะนั้น”

“จุลนีพรหมทัด คงจะเห็นใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นเหมือนนกซีงขังอยู่ในกรงแลัว แต่


การที่จุลนีพรหมทัตนำกองทัพใหญ่ ๑๘ กอง มาเป็นกรงขังได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทคราวนั๋ ได้ขังข้า

พระพุทธเจ้าไว้ด้วย ข้าพระพุทธเจ้าจะนำเสด็จเล็ดลอดไปเสีย”
“หรือมิฉะนั้น จุลนีพรหมทัด คงจะเห็นพวกเราชาวมิชิลาเป็นฝูงปลาไปก็ได้ จึงลัอมเสียด้วยข่าย
คือกองทัพชันมหึมา แต่ข้าพระพุทธเจ้าก็ดิดอยู่ในข่ายนั้นด้วย จะขอนำเสด็จให้ผ่านพ้นไปให้จงได้*’
“ไพร่พลพาหนะที่ตามเสด็จมา รวมทั้งบรรดาเสวกามาตย์ราชบริพาร ข้าพระพุทธเจ้าจะจัด

การแท้ไขให้ประสบสวัสติภาพพรัอมกับได้ฝ่าละอองธุลีพระบาททึเดียว และข้าพระพุทธเจ้าจักตะเพิด
ไล่พระเจ้าจุลนึให้หนึเตลิดเหมือนขว้างกาด้วยกัอนดินทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า โปรดทรงสบายพระท้ยเลิด”
“ข้าแต่พระองด็ผู้ทรงพระมหากรุณา ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงพระวิจารณ์ ข้ามาดย์
อย่างข้าพระพุทธเจ้าไม่สามารลจะช่วยแท้ไขใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทในยามด้บข้นเช่นนั้ใด้แลัว ข้าพระพุทธเจ้า
จักมาเป็นอำมาตย์ของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททำไมกัน และปรีชาญาณของข้าพระพุทธเจ้าที,มีอยู่นั้น

จะมีประโยชน์อะไรเล่าพระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
๔๓©

“ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณยันยิ่งใหญ่ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงทราบถ่องแท้แลัวมิใช่
หรีอพระพุทธเข้าข้า ว่าข้าพระพุทธเข้าเป็นผู้มาก่อน ล้าไม่มาเพื่อศึกษาหาทางที่จะช่วยนำเสด็จใต้ฝ่า
ละอองธุลีพระบาทให้รอดพ้นจากมหันตภัยคราวนื่ ก็จะถวายบังคมลามาก่อนเพื่ออะไรเล่าพระพุทธเข้า

ข้า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดสบายพระทัยเถิด อย่าเกรงกลัวเลย ข้าพระพุทธเข้าเตรียมการไข้เรียบข้อย

แลัวพระพุทธเข้าข้า”
พระเข้าวิเทหราช ทรงพังล้อยคำกราบบังคมทูลของท่านแล้ว ทรงสบายพระทัยหายจากโศกาดูร
มิพระมนัสเต็มตื้นด้วยทรงพระคำรีว่า “พ่อมโหสถไม่ทอดทิ้งเรา”

บรรดาเสวกามาตย์ราชบริพาร ได้พังคำประกาศของท่านมหาบัณฑิตแล้วต่างก็ยินดีปรีดากัน

ทุกคน
ท่านเสนกสุดที่จะอดกลั้นความอยากข้ไข้ได้ จึงเอ่ยถามว่า “พ่อบัณฑิต ที่พ่อจะพาพวกเราไปน่ะ

จะพาไปด้วยอุบายอะไรกันนะพ่อ?”
ท่านมหาบัณฑิตตอบว่า “ข้าพเข้าจะพาพระราชาของเราและพวกท่านไปทางอุโมงค์ที่ดกแต่ง

ไว้แล้ว” พูดแล้วมีคำสั่งพวกนักรบหนุ่ม *1 ใท้ท่าการเปิดอุโมงค์ด้วยคำว่า

“พ่อหนุ่ม *1 เอย มาเถิด ลุกขนเถิด เปิดประดูหนัาอุโมงค์ เปิดหัองทุก *1 หัอง เปิดไพ่ทุก *1


ดวง พระเข้าวิเทหวาชของชาวเราจักเสด็จไปทางอุโมงค์พข้อมด้วยมวลอำมาตย์”
สิ้นคำสั่ง พวกนักรบหนุ่มของท่านมหาบัณฑิตก็เช้าประจำหนัาที่อย่างว่องไว ที่เปิดประตู
ก็วิ่งไปที่ปุมไก กดปมไกแล้ว ประตูก็เปิดเอง ที่จะเปิดไพ่ก็เหมือนกัน วิ่งไปที่ปุมไกสำหรับเปิดไพ่ กดไก
ไพ่ก็สว่างพรึบทั้งอุโมงค์ และทุกห้องที่มีในอุโมงค์ ก็สว่างไสวรุ่งเรึอง ประดุจเทวสภา

พวกนักรบหนุ่มของท่านมหาบัณฑิต ปฎิบ้ตีตามบัญชาเรียบรัอยแล้ว ก็รายงานให้ทราบ ท่าน


มหาบัณฑิตได้กราบทูลเข้ญเสด็จจากพระมหาปราสาท พระเข้าวิเทหราชเสด็จลงด้วยพระอาการสนเท่ห์
ในพระทัย แต่ก็ทรงระงับไว้ ไม่ทรงแสดงให้ปรากฎ ฝ่ายท่านเสนกพอจะออกเดิน ก็แสดงอาการชวนขำ
ขั้นท้นทึ ดีอถอดหมวกออกจากศีรษะ ปลดผ้านุ่งออกจัดแจงถกเขมรผูกพันมั่นคง ท่านมหาบัณฑิตเหลึอบ
ไปเห็นเข้า ถามว่า “เสนก ท่านท่าอะไรนั่นน่ะ?”
ท่านเสนกตอบตามที่เคยรัว่า “พ่อบัณฑิต ธรรมดาผู้ที่จะเดินทางมุดอุโมงค์ทั้งหลายนั้น ด้อง
เปลื้องผ้าโพกออก ถกเขมรมั่นคง จึงเดินไปได้สะดวก"

ท่านมหาบัณฑิตบอกว่า “เสนกเอํย ท่านอย่าได้สำคัญเสียว่า อุโมงค์ของข้าพเข้านั้น เมือจะ


เข้าต้องยอบด้วลงคุกเข่าคลานเข้าไปดังนื่เลย ล้าท่านปรารถนาจะขี่ข้างไป ก็เชิญขี่ข้างเข้าไปได้ ล้าด้องการ
จะขั้นม้าไปก็เชิญขั้นม้าเข้าไปได้ อุโมงค์ของข้าพเข้านื่สูงจากพื้นถึงเพดาน ๑๘ ศอก ประตูก็กว้าง เชิญ

ท่านแต่งกายดามชอบใจ เดินนำเสด็จพระราชาของเราไปก่อนเถิด”
ท่านมหาบัณฑิต ให้ท่านเสนกนำเสด็จไปก่อน พระเข้าวิเทหราชเสด็จคำเนินไปท่ามกลาง
ตนเองอยู่ตอนหลัง ทั้งนํ่เนื่องด้วยท่านมหาบัณฑิตคิดเห็นเหตุผลอยู่ว่า “พระราชามัวทอดพระเนตรอุโมงค์

kalyanamitra.org
๔ 0า ๒

ชิงประดับประดางดงามอยู่ ค่อย กุ เสด็จพระดำเนินไป ให้ท่านเสนกออกหน้าเสีย ถึงจะพิศวงใจอย่างไร


เมื่อพระเร้าวิเทหราชเสด็จกระชันเข้าไปก็ต้องรีบเดินหนี พระเร้าวิเทหราชเล่า แม้จะทรงอัศจรรย์พระทัย

ในความงดงามเพียงไรท่านก็จะคอยทูลเตือนให้รีบเสด็จ เพราะมีเวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้น จะรอชัาไม่ได้


เมื่อจัดได้เช่นนึ่ เวลาจะไม่เสียไป ความซักซัาก็จะไม่เกิดขื้น”

ภายในอุโมงค์มีของเคยวของกินมองมูล ท่านมหาบัณฑิตจัดเรียงรายไว้สำหรับเป็นอาหาร
ของราชบริวารที่ตามเสด็จและไพร,พลในขบวนเสด็จจะได้บริโภคกันให้อิ่มหนำสำราญ คนเหล่านั้นกิน

ไปพลาง ดื่มไปพลาง ชมอุโมงค์ไปพลาง และเดินไปพลางอย่างแสนสุขแสนสนุกทีเดียว

ท่านมหาบัณฑิตต้องคอยทูลเตือนเรื่อย กุ “เชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จเถิดพระพุทธเร้าข้า”
ด้งนิ้บ่อย ๆ เพราะทรงพิศวงหลงชมแสนจะเพลิดเพลินพระหทัย ประหนึ่งว่าพระองค์ได้เสด็จเช้าสู่

เทวสภาในสุราลัยฉะนั้นทีเดียว
พวกนักรบหนุ่มอีกพวกหนึ่ง ที่คุมกษัตริย์ ๔ พระองค์ทราบว่าพระเร้าวิเทหราชเสด็จมา ก็

เชิญกษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ออกจากประตูอุโมงค์ นำเสด็จเข้าสู่ท้องพระโรงอันเป็นพลับพลาขนาดใหญ่


ซ็งสรัางเตรียมไว้นอกอุโมงค์ ห่างจากอุปการนครถึง ๓๐๐ เลัน และอยู่ริมฝังแม่นํ้าคงคาพอดีกับท่าน

มหาบัณฑิตนำเสด็จพระเจัาวิเทหราชมาถึง
กษัตริย์ทั้ง ๕ พระองค์เห็นพระเร้าวิเทหราช และท่านมหาบัณฑิตก็ทรงเข้าพระทัยได้ทันทีว่า
“พวกเราตกอยู่ในเงื้อมหัตถ์ของราชศัตรูเลียแลัว ไม่ต้องสงสัยดนที่พาพวกเรามาต้องเป็นคนของมโหสถ

แน่นอน” ทุกพระองค์ทรงคิดเห็นว่าจะไม่รอดพระชนม์ต่อไปเป็นแน่ มรณภัยคุกคามพระทัย ต่างส่ง


พระสรเลียงร้องหวิดดังสนั่นทั่วบริเวณ

ราตรีนั้น พระอธิราชจุลนียกพลเสด็จไปตั้งอยู่ห่างแม่นํ้าคงคาประมาณ ๑๐๐ เลัน เพราะ

ทรงคาดว่า กัาวิเทหราชจะดีแหวกวงลัอมออกมา ก็คงจะดีออกทางนั้น ดังนั้นจึงทรงไต้ยินเสียงของ ๔


กษัตริย์แว่วมาแต่ไกลและพระสรเลียงที่ทรงจำได้แม่นยำ ก็คือพระสรเลียงของพระนางนันทาเทวีพระ-

มเหสีตู่พระชนม์ ได้มีพระประสงค์จะตรัสว่า “นั่นตูเหมีอนเลียงนันทาเทวี” แต่เกรงจะถูกแม่ทัพนายกอง

เยาะะเย้'ยว่า “ทรงเห็นพระนางนันทาเทวีตรงไหนพระพุทธเชัาข้า” จึงมีได้มีพระดำรัสออกมา แต่ทรง

ระแวงพระทัยอยู่ตลอดเวลา
ท่านมหาบัณฑิตเชิญพระราชกุมารีบัญจาลร้นทีเสด็จขื้นสู่กองแกัวถวายอภิเษกแลัว กราบทูล

พระเร้าวิเทหราชว่า “ขอเดชะ พระกรุณาปกเกลัาฯ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จมาจากพระนครมิถิลา


ก็เพราะทรงประสงค์พระราชกุมารีพระองค์นึ่ ขอพระราชกุมารีบัญ‘1กลจันทีจงเป็นพระอัครมเหสีเถิด

พระพุทธเจัาข้า”
เสร็จการอภิเษก นักรบหนุ่ม *1 ชิงได้จัดให้มีหนัาที่ประจำการเตรียมเรือก็น์าเรือ ๓๐๐ ล่า
เช้าเทียบฝัง พระเร้าวิเทหราชก็เสด็จลงจากพลับพลาโถงขื้นสู่เรือที่ประดับประดาสำหรับพระองค์ กษัตริย์

ทั,้ ๔ พระองค์ก็เสด็จขื้นสู่เรืออีกล่าหนึ่ง บรรดาเสวกามาตย์ราชบริพาร และไพร่พลที่ตามเสด็จ ก็

kalyanamitra.org
๔๓๓

พากันลงเรือที่จัดไว้ตามฐานะโดยพรัอมเพรียงกัน
ท่านมหาบัณฑิตดูแลขบวนเสด็จ เห็นลงเรือกันเรียบรัอยแลัว ก่อนที่เรือพระที่นั่งจะเคลื่อน
ขบวนออก ท่านได้มาเฝ็าพระเจ้าวิเทหราช กราบทูลสั่งความว่า

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกด้าๆ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาส


กราบบังคมทูลข้อความถวายแด่ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้อความที่ช้าพระพุทธเจ้าจะกราบบังคมทูเ)
พระกรุณาต่อไปนั่ ขอได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงพระวิจารณ์ในแผนการที่ช้าพระพุทธเจ้าได้ปฏิบดี

เพื่อสำเร็จพระมโนรถของได้ฝ่าละอองธุลีพระบาททั้งนั้น ขออย่าได้ทรงวินิจฉัยไปด้วยประการอื่นพระ-

พุทธเจ้าข้า”
“ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดทรงรับด้วยเต็มพระทัยว่าพระเจ้าจุลน้ พระองค์โปรดทรงถึอ
เสมีอนเป็นพระสัสสุวาธิบดี พระนางน้นทาเทวิโปรดทรงถอเป็นพระสัสสุ ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
โปรดประทานกาวปฏิบํดีบำรุงเสมีอนพระราชมารดา พระราชกุมารบัญจาลจันทะขอได้ทรงยกย่องใน
ด็าแหน่ง พระขนิฎฐภาดาร่วมพระอุทร แห่งพระราชชนนีของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงพระ-
เมตตาในพระองค์โดยมิได้จึดจาง ส่วนพระนางบัญจาลจันทึ พระราชธิดาของพระอธิราช ซ็งใต้ฝ่าละ-
อองธุลีพระบาทต้องพระประสงค์ โปรดทรงยกย่องในตำแหน่งพระอัครมเหสี อย่าได้ทรงดูหมิ่นพระนาง

เลยพระพุทธเจ้าข้า”
การที่ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชเช่นนื้เป็นด้วยเกรงไปว่า พระเจ้าวิเทหราช
จะทรงกริ้วพระเจ้าจุลนีขื้นมาเมื่อไร ก็จะสั่งให็สำเร็จโทษพระนางสลากเทวี พระราชมารดาของพระเจ้า-
จุลนีเสีย ทั้งพระราชกุมารบัญจาลจันทะก็เช่นเดียวกัน ส่วนพระนางนันทาเทวีนั้น ทรงมีพระรูปโฉม
งดงามยิ่ง พระเจ้าวิเทหราชอาจจะทวงร่วมอภิรมย์เสียก็ได้ จึงต้องขอให็ทรงปฏิญญาเสีย เพื่อความปลอดกัย
ของกษัตริย์นั้น ๆ และเพื่อแผนการภายหน้าสีบไปด้วย
พระเจ้าวิเทหราชทวงปฏิญญาให็ท่านมหาบัณฑิตตามที่กราบทูลนั้นทุกประการ

kalyanamitra.org
๖๔. ธรรมของเสนานายก
ระหว่างที่พระเข้าวิเทหราชเสด็จประท้บบนเรือพระที่นั่งเรึยบ■โอยแลัว ท่านมหาบัณฑิตยึน
อยู่ที่ฝังคงคา กราบบังคมทูลข้อความต่าง *[ ถวายแด่พระองค์แลัว มีพระราชประสงค์จะเสด็จไปโดยเร็ว
จึงมีพระดำรัสเดือนท่านมหาบัณฑิตว่า “พ,อมโหสถซีนอยู่ที่ฝังทำไมล่ะ รีบลงเร็ว 1 ซ็ เราจะไต่ไปกัน

พ่อยังชินทำอะไรอยู่บนฝังเล่า พวกเราพากันวอตพ้นจากความทุกข์ยากอย่างแสนล่าเด็ญมาแต้ว ไปกันเถิด”


ท่านมหาบัณฑิตพังพระดำรัสแต้วกราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเข้าจะตามเสด็จ
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไป ไม่เป็นการชอบพระพุทธเข้า เชิญใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จไปก่อน

พระพุทธเข้าช้า”
“ทำไมล่ะ พ่อมโหสถ ไปเสึยพรัอมกัน จะได้หมดเรื่องกับพระเข้าจุลนิ” รับสั่งด้วยทรงเกรง
ท่านมหาบัณฑิตจะถูกพระเข้าอธิราชจุลน็ประทุษรัาย “เราสองคนเท่านั้นที่จุลนึด้องการ จุลนิอาฆาต

มาดรัาย ไปพรัอมกันเถอะพ่อมโหสถ”
“ขอเดชะ พระมหากรุณาเป็นลันเกลัาๆ ข้าพระพุทธเข้าขอพระราชทานอภัยโทษ ที่จะด้อง
ขัดพระกวะแสรับสั่ง” ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลแต้วยกธรรมะของท่านผู้เป็นเสนานายกมากราบทูลแสดง
สึบไปว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันใหญ่หลวง ไม่เป็นธรรมเลยพระพุทธเข้าข้า ที่ข้าพระพุทธเข้า
เป็นเสนานายกจะทอดที่งเสนางดนิกร เอาด้วรอดไป การปฏิบ้ติเช่นนั่โม่ใช่ธรรมะของท่านผู้เป็นเสนา

นายกพระพุทธเข้าข้า”
“ขอใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้โปรดทรงดำริด้วยพระปรีชาบรรดาเสนางคนิกรเหล่านั้นพา
กันเดินทางมาไกล บางพวกก็ล่าลังดืม บางพวกก็ล่าลังพักผ่อนนอนหลับอยู่ เพราะเหน็ดเหนื่อยมิได้รั
ว่าใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จออกจากพระนครแลัว มิหนำข้าบางพวกก็ล่าลังเจึบปวยอยู่ก็ยังมี จะที่ง
ไว้ให้ถูกโยธาของพระอธิราชจุลน็ข่มเหงนั้น ไม่เป็นการสมควรเลยพระพุทธเข้าข้า”
“อนื่งเล่า ฝูงคนที่ช่วยเหลือข้าพระพุทธเข้ากระทำงานสรัางพระนครมากับช้าพระพุทธเข้า
ตลอดเวลา ๔ เดือน ก็ยังอยู่ในพระนครนั้นมากมาย ข้าพระพุทธเข้าไม่สามารถจะที่งเขาแมัสักคนเดียว
ไปได้พระพุทธเข้าข้า ข้าพระพุทธเข้าด้องถวายบังคมลากลับไปอยู่กับพวกนั้นก่อน”
“อีกประกาวหนื่ง ต้าข้าพระพุทธเข้ากลับไปก่อนเสนางคนิกรของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

ชักปราศจากผู้นำ ข้าพระพุทธเข้าขอกราบทูลว่าจะนำเสนางคนิกรของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกลับมิถิลานคร
ทุกคน และจะนำทรัพย์สินที่พระอธิราชจุลนิลวาย ไปถวายแด่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วย”

kalyanamitra.org
๔๓๕

“ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทรีบเสด็จพระราชดำเนินโดยเร็ว อย่าได้ทรงแวะเวียน ณ ที่ไหน *1

เลยพระพุทธเด้าข้า ข้าพระพุทธเด้าก็ได้จัดเตรียมถวายรายทางได้เรียบข้อยแลัว เป็นระยะ *1 ไป โปรด


ทรงเปลี่ยนพาหนะและไพร่พลที่เหน็ดเหนึ๋อยลัาได้ที่ตำบลทีข้าพระพุทธเจัาจัดถวาย ไข้พาหนะและ

ไพร่พลที่สามารถ *1 รีบเสด็จให้ถึงพระนครมิถิลาโดยเร็วเถิดพระพุทธเจัาข้า”
“เที่ยวก่อนพ่อมโหสถ” ตรัสท้วง “นํ้าใจของพ่อจะสู้กับองค์จุลนิหรือ?”

“สู้ซ็พระพุทธเจัาข้า” กราบทูลยึนยันหนักแน่น “ข้าพระพุทธเจัาจักไม่หนิเลย พระอธิราช


จุลนิทำอะไรข้าพระพุทธเจัาไม่ได้ดอกพระพุทธเจัาข้า โปรดอย่าได้ทรงเป็นห่วงเลย”
“พ่อมโหสถ เสนางคนิกรของพ่อมีประมาณนัอยเมือเทียบกับเสนางดนิกรของจุลน็ ก่าลัง
ของพ่อนัอยกว่าเขามากนักจักไปสู่รบกับเขาได้อย่างไร จักตั้งมั่นทานอำลังเขาได้หรือ พ่อจักถูกจุลนิบด
ขยื้แหลกไปนะซ็พ่อมโหสถ” ตรัสด้วยพระท้ยเปันห่วง

“ขอเดชะ พระกรุณาธิคุณลันเกลัาๆ พระราชาแม้จะมีเสนางดนิกรนัอย กัามีสดิบัญญา ย่อม


เอาชนะพระราชาที่มีอำลังมหาศาลแต่ใม่มีสติบัญญาได้ พระราชาเช่นนั้น เพียงองค์เดียวก็ย่อมอำจัด
พระราชาที่ไม่มีสติป’ญญาแม้จะมากองค์เสึยได้ เหมือนพระอาทิตย์ดวงเดียวอำจัดมีดได้ทั้งโลก ฉะนั้น

เสนางดนิกรจะนัอยหวือมากไม่เป็นประมาณในการรบดอก โปรดอย่าได้ทรงเป็นห่วงข้าพระพุทธเด้าเลย
รีบเสด็จไปโดยเร็วเถิด ราตรีกาลผ่านไปนานแลัวละพระพุทธเด้าข้า”
กราบทูลแลัวถวายบังคมพระเด้าวีเทหราช พรัอมทั้งทูลเร่งให้รีบเสด็จกลับ พระเด้าวีเทหราช

แม้จะทรงเป็นห่วงท่านมหาบัณฑิตเพียงใดก็ไม่อาจจะทรงบังคับใท้ท่านปฏิบัติตามพระทัยได้ จำต้อง

เสด็จจากท่ารีมฝังคงคา
พระเด้าวีเทหราชประทับมาในเรือพระที่นั่งด้วยอาการที่สบายพระท้ย ทรงพระดำรีถึงคุณ

ของท่านมหาบัณฑิต “พ่อมโหสถคนเดียวแท้ *1 ที่แอํให้เรารอดท้นจากเงื้อมมือของศัตรู และพ่อมโหสถ


อีกนั่นแหละที,ทำให้ความปรารถนาแห่งหัวใจของเราถึงที่สุด และได้นางบัญจาลจันทีสมความประสงค์
พ่อมโหสถเอย อำมาตย์แกัวของฉัน ผู้ประกันเอกราชของมิถิลา” ยิ่งพระดำริพระหทัยก็ยิ่งเป็ยมด้วย
พระปิดิปราโมทย์ ไม่อาจที,จะทรงเก็บพระดำริได้ในพระทัย ทรงเรียกท่านเสนกพลางตรัสกับท่านเสนกว่า

“อาจารย์เสนกเอํย การอยู่ร่วมกับบัณฑิตทั้งหลาย ช่างสุขสบายดีจริงหนอ ท่านเห็นอย่างไร อาจารย์เสนก


การกระทำของพ่อมโหสถฉันเห็นว่า พ่อมโหสถแก็ไขพวกเราผู้ตกอยู่ในเงื้อมมือของจุลน็คราวนื้ ไม่ต่างอะไร
กันเลยกับฝูงนกที่ถูกขังอยู่ในกรง แลัวพ่อมโหลถก็เปิดกรงทองปล่อยเสึย หรือไม่ต่างอะไรกับฝูงปลา

ที,ติดอวน พ่อมโหสถก็ปลดปล่อยไป พ่อมโหสถเอํย ช่างมีปรีชารุ่งเรืองจริง *1 ฉันขอกล่าวว่าพวกเราสบาย


กันอยู่บัดนั้เพราะอำนาจบัญญาของพ่อมโหลถ อย่างไรท่านอาจารย์เลนก เป็นความจริงไหม การอยู่ร่วม

กับบัณฑิต ช่างสบายดีจริงหนอ”
ท่านเสนกเองก็เติมปลื้มอยู่แลัว ได้ทรงท้งพระดำรัดก็กราบทูลลนองด้วยเติมใจ และปราศ
จากความข้สึกขัดแย้งใด *1 ทั้งสิ้นว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงบุญญาธิการ เป็นความจริงด้งที่ใด้ฝ่าละ-

kalyanamitra.org
๔๓๖

อองธุลีพระบาทตรัสทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า อันบัณฑิตทั้งหสายย่อมนำความสุขมาให้แน่นอนทีเดียว ท่าน


มโหสถบัณฑิตผู้มีปรีชาลึกซื้งกว้างขวาง ได้ปลดเปลื้องแท้ไขพวกเราผู้ตกเช้าไปอยู่ในเงื้อมหัตลีของพระ-

อธิราชจุลนิ ให้รอดพ้นมาได้บัดนื่ เป็นดังที,ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอุปมาทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า ฝูงปักษี

ที่ถูกขังกรงแต้วได้รับการปลดปล่อยฉันใด ฝูงปลาที่ดิดอวนแต้วได้รับการปลดปล่อยฉันใด พวกช้าพระ-

พุทธเจ้าก็ฉันนั้นแหละพระพุทธเจ้าข้า ”
เมื่อเรือพระทีนั่งถึงฝังอันเป็นตำบลที่กำหนดแต้ว พระเจ้าวิเทหราชพรัอมด้วยกษัตริย์ทั้ง

๔ พระองค์แห่งปัญจาละ และข้าราชบริพารก็เสด็จร้นและร้นจากเรือ เสด็จพระราชตำเนินด้วยขบวนม้า


และขบวนรถถึงบ้านที่ท่านมหาบัณฑิตสรัางไว้ระหว่างทางระยะ ๑ โยชน์ คนที่จัดไว้ประจำบ้านนั้น ก็

จัดแจงถวายพระกระยาหารและเลื้ยงดูข้าราชบริพาร และจัดการเปลี่ยนพาหนะและรถให้ใหม่ ทั้งผู้คน

ที่เหน็ดเหนื่อยมาทอดหนึ่งแต้วก็ได้รับการผลัดเปลี่ยนเรึ่อยไปเป็นทอด *1 ตลอดทาง ทั้งไพร่พลทั้งพาหนะ

ไม่มีต้า ล้วนแต่มีกำลังแข็งแรง ทำให้ขบวนเสด็จพระราชตำเนิน เดินทางได้รวดเร็วเป็นอย่างยง เหมือน


กับย่นระยะทางได้ดีทีเดียว ขบวนเสด็จของพระเจ้าวิเทหราช ถึงพระนครมิถิลาในตอนเข้าวันรุ่งร้นนั่นเอง

กล่าวถึงท่านมหาบัณฑิต ส่งเสด็จแลัวก็เดินไปที่ประดูอุโมงค์ถอดพระขรรค์ที่ตนขัดมาด้วย

ออก ด้ยทรายตรงประดูอุโมงค์ฝังไว้ตรงนั้น แล้วก็เดินเข้าอุโมงค์ทะลุออกจากอุโมงค์ก็เข้าสู่พระนคร ร้น

สู่ปราสาท สนานกายด้วยนํ้าหอม รับประทานอาหารที่มีรสอร่อยนานาชนิดแต้วก็เข้าสู่ที'นอน รำพึงถึง

เหตุการณ์ที่ได้ผ่านไปทุกตุ ระยะ ตั้งแต่เริ่มสร้างพระน•ร;-การจนกระทั่งจัดการถวายพระราชธิดา


ปัญจาลจันที และล่งเสด็จพระเจ้าวิเทหราชรอดไปจากเงื้อมม่อของพระอธิราชจุลน็ ได้เห็นกิจการที่ได้

ปฏิบัติไปเรียบร้อยลมบูรณ์ ไม่มีบกพร่องอยู่ตรงไหนเลยแม้แด่น้อย ทุก ตุ อย่างที่มีอำมาตย์ผู้มีบัญญา

ทั้งสมบูรณ์ด้วยความจงรักภักดีจะพึงจัดถวายแต่พระราชาของตน ให้พระราชาของตนปลอดภัยด้วย ให้ได้


ทั้งสิงที่ทรงพระประสงค์ด้วย ท่านได้ปฏิบติเต็มที่แต้วปราศจากช่องแต้ว ก็อิ่มใจในผลสำเร็จของงาน

ท่านดำริในที่สุดว่า “ความปรารถนาแห่งหัวใจของเราถึงที่สุดแต้ว ” ท่านนอนพักผ่อนอย่างสบายภายใน

วงลัอมแห่งกองทัพของพระอธิราชจุลนิเหมือนราชสีห์นอนหลับอยู่ในวงลัอมของฝูงมฤคก็ปานกัน

kalyanamitra.org
๖๕. จุลน้บญชาท้พ
ราตรีกาลผ่านไป -ผ่านไปด้วยความรัสีกว่าช้าสำหรับผู้เร่งเวลาให้รีบล่วงไป แม้ว่ามันจะผ่าน
ไปตามกำหนดของเวลามันก็ยังช้าสำหรับจิตไจที่คอยนึกว่า “เมื่อไรจะสว่างเสียที” ความอยากนั้นแหละ

ความอยากจะให้สว่างมันทำให้เกิดความเนิ่นช้า พระอธิราชจุลนึประทับเทียบพลรายลัอมอุปการนคร

ตั้งแต่ราตรีกาลเริมปกคลุมโลก ด้วยพระทัยอันเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย พระองค์ย่อมทรงกระวน


กระวาย เห็นว่าคืนนื้ซัากว่าทุก *1 คืนที่ได้ผ่านมาในพระชนม์ของพระองค์ พอแสงอรุณจับขอบฟ้า พระ-

อธิราชจุลนึก็เสด็จขื้นสู่พระคชาธารช้านาญศึก ฟิกปรือมาดีแลัว มีกำลังมหาศาล จะเสื่อมกำลังต่อเมื่อ

อายุครบ ๖๐ ปี พระองค์ทรงสวมฉลองพระองค์เกราะหนังประด้บมณี พระหัตถึทรงศรประทับเป็น


สง่าเหนือคอพระคชาธาร พลางมีพระบัญชาสั่งขบวนพลทุกกองทัพ ทั้งพลช้าง พลม้า พลรถ พลราบ
และกองขมังธนู ประชุมกันพร้อมที่จะโจมดีได้ทันที เมื่อได้รับพระบรมราชโองการสั่ง แลัวทรงมีพระ-

ดำรัสสั่งมอบหมายหน้าที่แก่จตุรงคืนิเสนา ดังน
“พวกพลช้าง จงไสช้างชนะงา อันมีกำลังคงทนได้ถึง ๖๐ ปี ฝูงช้างจงยำนครที่มโหสถชาว

วิเทหราชสร้างไว้ดีแลัว ยาให้แหลก”
“ลูกธนูสีขาวมีปลายเหมือนสิวแหลมคมเจาะกระดูกได้ ลูกยิงไปด้วยกำลังธนู จงตกลงพรั่งพรู

เป็นห่าฝน”
“ทหารหนุ่มผู้ถึอโล่หนัง กลัาหาญชาญชัย มีอาวุธคือ หอกมีด้ามอันงตงาม ไม่เคยครั่นคร้าม
ในการชิงชัย วิ่งไปข้างหน้าเสมอ สามารถสู้กับช้าศึก แม้ช้างศึกจะแปร๋แปร๋นแล่นรี่มาก็ไม่พรั่น สามารถ

จะจับงามันถอนเสียได้ จงออกไปอยู่ช้างหน้าพลช้าง”
“พลหอกทั้งหมดถือหอกชะโลมนํ้ามันแลัวปลาบปลั่งด้งเปลวไฟ ส่องแสงปลาบตา รุ่งเรือง

ดังดวงตาวประกายพรึก จงตั้งมั่นไว้"

“เมื่อนักรบของข้ามีกำลังอาวุธถึงเช่นนิ่ สวมเกราะและอาภรณ์สำหรับออกศึกครบเครื่อง
ไม่เคยหนีเลยในสงคราม ชาววิเทหะรอดไปได้ที่ไหนเล่า ลัามีปีกเหมือนนกนั่นแหละจะพอรอดไปได้’

“แม่ทัพนายกองของช้า ดัดแต่เอก ยุ ทั้งหมด ๓๙1๐๐๐ นาย ลัวนแต่เก่งกาจสามารถเอาอาวุธ


จากช้าศึกดัดหัวเจัาของเอามาได้โม่เคยถอย ช้าเที่ยวไปตลอดชมพูทวิปทั้งสิ้น ไม่เห็นนักรบของผู้ใดที่

จะทัดเทียม”

kalyanamitra.org
๔๓๘

“พลข้างของข้าสง่างามชิ่งนัก มุ่งข้างสกฝนแลัวอาจท้าตามฅำสั่ง มีงางามงอน มีก่าลังคงทน


นักรบต้^านาญในกาวศึก แต่งกายงดงามน่าดู ใข้เครื่องประด้บด็เหลึอง ผ้านุ่งเหลึองผ้าห่มลึเหลีอง เหลึอง

อร่ามงามสง่าอยู่บนคอข้าง เหมือนเทพบุตรงามสง่าอยู่บนคอข้างในอุทยานนันทวัน”
“พลดาบผ้กลัาหาญชาญชัยของข้า ใข้ดาบเนตดิงสะทุกเล่ม สึเหมือนปลากา ชะโลมนํ้ามัน
เป็นมันเลื่อม คมเฉียบ พลดาบผ้กลัาหาญของข้าลับไว้ดีแลัว และทุกคน?ไข้ได้อย่างข้านาญ”
“ดาบทุกเล่มที่นักรบของข้า?เอ ไม่มีสนิม ปลาบปลัง สว้างด้วยเหลึกอย่างดี ทันเท่าไรลึไม่ยู่ย่น

ไม่บินไม่นัก ลีสวย ด้ามดีพว้อม สอดใส'อยู่ในฝักลีแดง ยามชักออกกวัดแกว่ง แสงวะวาบปลาบปลัง


ด้งแสงพ้าแลบ ผ้ข้อดาบทุกคนมีลึาลังคงทน และข้านาญในกาวใชัดาบเป็นเครื่องฆ่าได้อย่างดี”
“พลโล่ทั้งของข้าลึกลัาหาญว่องไวแคล่วคล่อง เซียวชาญในการไข้ดาบและโล่ ชืออย่างทะมัด
ทะแมงและอย่างข้านาญ อาจทันคอข้างในัขาดได้ด้วยการทันเพียงครั้งเดียว”
“ชาววิเทหะ มโหสก วิเทหราช ดูกนักรบของข้าผ้กต้าแก่งขนาดนึ่ต้อมไว้ทุกด้านแต้วไม่มีทาง
รอดไปจากนื้ได้เลย เรามองไม่เท้นความเก่งกลัาของท่านเลย ชาววิเทหะเอ๋ย จะไปถึงมิถิลาด้วยวิธึใด”

พระอธิราชจุลนิทรงสำทับชาววิเทหะ ทรงปลุกใจน์ารุงขวัญนักรบของพระองดี พระมนัส


เดิมไปด้วยชัยชนะทุกด้าน ทรงมุ่งพระทัยว่า “เราด้องรับวิเทหราชกับมโหสกในัได้ทั้ง *1 ที'กังมีซีวิตอยู”่
ทวงเดีอนว่าคชาธารด้วยพระแดงขอประด้บเพชร พว้อมกับทรงมีพระดีาว้สสั่งทวยหาญ “สูทั้งหลาย
จงรับพวกมัน จงขยื้พวกมัน จงแทงพวกมัน” ส่วนพระองดีลึจู่โจมเข้าใส'อุปการนคร ประหนึ่งจะทุ่ม

ลึาลังพลเข้าทับ ถมในัแหลกลาญลงในท้นที
กล่าวถึงบุรุษแฝงของท่านมหาบัณฑิต ซ็งแทรกแชงประข้าอยู่ในกองทัพของพระอธิราช และ
ในกองทัพของพระราชาทุก *1 องดี ที'มาร่วมราชกาวศึก ต่างคิดว่า “ใครจะไปว้ได้ว่าจะเกิดอะไรขน ด้อง

คิดหาทางป้องกันไว้ป้ำง” ต่างคนต่างคุมนักรบในบังคับบัญชาของตนเข้าแวดลัอมเป็นราชบริพารของ
พระอธิราชจุลน็ไวั เฝ็อว่ากัาเกิดเหตุการณ์สุกเฉีนยื้นลึจะได้รับองดีอธิราชไว้ก่อน
ขณะที่พระอธิราชจุลน็ข้บพลเข้าโจมดีอุปการนครนั้น ท่านมหาบัณฑิตดื่นนอนแต้วอาบนํ้าเสร็จ
บริโภคอาหารอย่างดี แต้วแต่งกายงดงาม นุ่งผ้าชันผลิดมาแต่แคว้นกาลี ซ็งเป็นผ้าชนิดดีที'สุดราคา ®๐๐,๐๐๐
กษาปณ์ ห่มผ้าขนลัดว้ลีแดง ถึอไมัดะพดเลิ่ยมทองชันเป็นไมัประข้ามือ ฝังด้วยริ'ดนะ ๗ ประการแพรว

พราว สวมรองเทัาทองชันงดงาม มีสตรีสาว จุ หลายนาง ด้วนทรงรูปโฉมโสภาพึงชมเหมือนนางอัปสร


ในแดนทีพ ถึอพัดวาลวิชน็คอยพัดวิอยู่ เป็ดลีหบัญชรสำแดงอาดมาในัปรากฎแต่พระอธิราชจุลน็ เดิน
จงกรมไป จุ มา จุ ด้วยลีลาชันงดงาม ประหนึ่งทัาวคักรินทรเสดีจเยื้องครรไลฉะนั้น
การปฏิบัติการของท่านมหาบัณฑิต ดามที,กล่าวนั้นได้เป็นที,ปรากฎแต่พระอธิราชจุลน้เต็ม
พระเนตร แต่พระหทัยของพระองดีมืดคร้มด้วยหมอกควันแห่งพระโทสัคนิ แมัจะเห้นความงดงามอัน

ทรงลีริถึงเพียงนั้นสูงสุดถึงเพียงนั้น พระหทัยของพระองดีลึไม่เลื่อมใส คงมุ่งหมายอยู่ว่า “เราด้องรับ


มันในัไดีในปัดนึ่" ทรงรีบไดพระคชาธารเข้าไปโดยเร็วมิได้รั้งรอ

kalyanamitra.org
๔๓๙

ทวยหาญทั้ง •๘ กองทัพ?แคลื่อนฟ้าประชิดอุปการนครทุกด้าน คอยทังพระบัญชาว่าจะใทั


โจมดึเมึ๋อใด หากมีพระท้า,โตสั่งแด้ว ทวยหาญอันมากมายเพียงนั้น ?เอาจย้าอุปการนครใทัแหลกลาญ

ลงไท้ในเวลาไม่ร่เำเลย
แด่พระบัญชาของพระอธิราชมีได้ด,โตประภาษออกมาในทันทึทันใด เพราะทรงเผชิญหบัา
อับลมปากของท่านมหาบัณฑิด ท่าใทัด้องทรงอับยั้งพระทัย ไม่ทรงปฏิป้ดึกาวไปด้วยอาการวู่วาม

kalyanamitra.org
๖๖. ปะทะด้วยลมป่าก
ท่านมหาบัณฑิตเห็นพวะอธิราชจุลนึทวงเร่งพระคชาธารเข้ามาเช่นนั้น ก็คิดว่า “พระอธิราช-
จุลนึคงจะสำคัญพระท้'ยว่า พระองค์จะด้องรับพระเรัาวิเทหราชไดํในเมึองนั้ จึงทรงไสพระคชาธารวิ่ง

เข้ามาโดยเร็ว มิได้ทรงรั้งรอเลย พระองค์ยังไม่ทรงทราบเป็นแน่ว่า พระราชโอรสและพระอัครเทวีเรา


รับส่งไปพข้อมกับพระเรัาวิเทหราชแลัว กัาทรงทราบคงจะไม่ทรงรีบข้อนเช่นนํ่ เราควรจะโผล่หน้าอัน
แช่มซืนอย่างผู้มีซัยออกไปกราบทูลพระองค์เถิด คิดแลัวก็ยืนที่หน้าด่างเยี่ยมหน้าออกไปเปล่งสรเสยงอัน

แจ่มใส เสนอทูลด้วยท่าทึเยาะเยัยพระอธิราชจุลนึว่า

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ ข้าพระพุทธเรัาสุดแสนจะสงสัยด้วยเกลัาๆ เป็น


ที่ยี่ง ดูใด้ฝ่าละอองพระบาททรงรีบข้อนเหลึอเกิน ทรงไสพระคชาธารวางใหญ่ เสด็จพระดำเนินมาด้วย
ท่าทางที่ทวงแช่มซี่นน้ก เห็นจะทวงสำคัญมั่นหมายเต็มพระหท้'ยว่า ‘เราด้องได้ประโยชน์สมความมุ่งหมาย
ณ ที่น’ิ่ เช่นนั๊ใชัหรึอไม่พระพุทธเรัาข้า”

“กัาใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระหท้ยมุ่งหมายเช่นนั้นไชข้ ข้าพระพุทธเรัาขอพระราชทาน
พระวโรกาสที่จะกราบทูลว่า ความมุ่งมาดปรารถนาในพระมนัสของพระองค์ที่ทรงหวังนั้นเหลวเสยแลัว

ละพระพุทธเรัาข้า?”
“ธนูของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะขื้นสายไวิใยเล่าพระพุทธเรัาช้า ปลดลงเสยเถิด ลูกธนู

จะทรงสอดไวิใยเล่าพระพุทธเรัาข้า เก็บเข้ากระบอกศรเสยเถิด ฉลองพระองค์หนังอันงดงามมีสเสมอ


ด้วยแกัวไพฑูรย์ที่ทรงสวมมาแด่วันวานนํ่ มันบีบรัดพระวรกายมิให็ทรงสบายตลอดราตรีแลัวนะพระ-
พุทธเรัาข้า ทรงสวมมันไวัทำไม ลอดทิ้งเสยได้แลัวละพระพุทธเรัาข้า จะไดํไม่ด้องล่าบากพระวรกาย
ในการเสด็จกลับเข้าพระนครของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทในยามเข้านื้พระพุทธเรัาช้า”

พระอธิราชจุลนิทรงสดับกัอยคำของท่านมหาบัณฑิตอย่างชัดเจนก็ทรงทราบว่าถูกเยัยเยาะ
ทวงพระดำริว่า “ชะชะ! ไอัลูกบ้านนอกนิ่กำแหงนักมาเยัยเยาะเราได้ ด้องให็มันสำนึกเสยบ้างในวันนิ้”

ทรงดำริแลัวตรัสขู่ว่า
“มโหสลเอ๋ย หน้าเรัาผ่องใส พูดจายิ้มย่องสนิทเสนาะนัก เรัามิได้คะเนว่าช้าอยู่ในฐานะอะไร
กับเรัาเลยนะ นิ่แน่ะมโหสถ ช้าจะบอกให็เรัาร็ไวั เขาพูดกันว่าคนที่ใกลัตายนั้น ผิวพรรณผ่องใสเหมือน
อย่างเรัานิ่แหละ เขาเรียกว่านวลตาย มันผุดออกมานอกผิว เพราะฉะนั้นเรัาจึงแผดเสยง เพื่ออาศัยเสยง
เป็นเพื่อนใจให็หายหวัน วันนั๋แหละเรัาเอ๋ย ข้าจะดัดคึวิษะเรัาเสยและดื่มฉลองชัยให็สำราญ”

kalyanamitra.org
๔๔®

ในขณะที่ท่านมหาบัณฑิตสนทนากับพระอธิราชนั้น บรรดาแม่ทัพนายกองได้เห็นรูปอันงดงาม

สง่าของท่านมหาบัณฑิตแล้ว พูตกันว่า “พวกเรา พระราชาของชาวเราอำลังมีพระดำรัสโตตอบกับท่าน


มโหสถบัณฑิตอย่างน่าพังเหลือเกิน พระราชาของเราตรัสอย่างไร มโหสถพูตอย่างไร พวกเราไปพังกัน
ให้ถนัดหูเถิด” ดกลงกันแลัวต่างก็เข้ามาเฝืาในระยะไม่ห่างพระอธิราช เพื่อคอยพังให้ได้ยินซัดเจน

ฝ่ายท่านมหาบัณฑิตพังพระดำรัสแดัว คิดในใจว่า “พระอธิราชจุลนิยังไม่ทราบว่าเราซีอมโหสถ


บัณฑิต แม้จะเคยทรงพ่ายแพ้มาครั้งหนึ่งแลัวก็ยังไม่ทราบซ็ง เอาละ วันนื้เราจะไม่ยอมให้ฆ่าเรา” คิด

แล้วกราบทูลว่า
“ขอเดชะ ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทผู้สมมติเทพ ความคิดของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มัน
แตกออกเสียแล้วพระพุทธเด้าช้า ข้อที่ทรงพระดำริกับเกวัฎนั้น มันไม่ใช่เป็นความคิดด้วยพระหทัย มัน
เป็นล้อยคำที่พูดกันด้วยปากไปแล้วนะพระพุทธเด้าข้า”

“ช้าแต่พระจอมราช พระดำรัสขู่คำรามของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นโมฆะ ทรงขู่คำราม


ไปอย่างเหลว *1 ช้าแต่พระจอมกษัตริย์ พระดำริที่ทรงร่วมกับเกวัฏมันแพร่งพรายออกไปเสียแล้ว พระ-

เด้าวิเทหราชของช้าพระพุทธเด้านั้น ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจับได้ยากนักพระพุทธเด้าข้า”
“เหตุไรข้าพระพุทธเจ้าจึงกล้ากราบทูลถึงเช่นนื้ ขอประทานพระโอกาสโปรดทรงสดับ ใด้

ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงใซัเกวัฎซ็งเปรียบเหมือนม้าง่อย แต่พระเด้าวิเทหราชทรงมีข้าพระพุทธเด้าซ็ง
เปรียบเสมือนม้าสินธพอันมีความเร็วปานลมพัด ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงขี่มัาง่อย คือเกวัฎจะควบ
ขับเท่าไร *1 มันก็คงกระจอกงอกง่อยไปตามสัญชาติของมัน จะทรงกวดพระเด้าวิเทหราชซ็งทรงชี่มัาสินธพ

คือข้าพระพุทธเด้าได้ทันอย่างไร ฟิเท้าไกลกันนักพระพุทธเด้าข้า”
“ข้าพระพุทธเด้าขอกราบทูลความจริงแดได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระเด้าวิเทหราช พระราชา
ของช้าพระพุทธเด้าเสด็จข้ามคงคาไปแต่วานนื้แล้ว เสด็จไปพรัอมด้วยอำมาตย์ เสด็จไปพรัอมด้วยราช

บริพาร มิใช่เสด็จไปลำพังพระองด็เดียว ล้าใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงพระดำริให้ติดตาม ก็จะ


เหมือนเหยี่ยวบินตามพญาหงส์ทอง ไม่มีวันจะตามทัน ยิงเร่งบินก็ยิงจะเร่งให้ตกลงมาตายเท่านั้นเอง”
“ที่ข้าพระพุทธเด้ากราบทูลนื้เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าวิเทหราชของข้าพระพุทธเด้า

ใครด้บไม่ได้ง่าย *1 ดอก ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงใซัเกวัฎ ทรงดำเนินตามความคิดของเกวัฎ ข้าพระ-


พุทธเด้าขอกราบทูลอุทาหรณ์ถวายสักเรื่องหนึ่ง โปรดทรงสดับเถิดนะพระพุทธเด้าช้า”
ท่านมหาบัณฑิตเห็นพระอธิราชนึ่งอยู่ ก็กราบทูลยกอุทาหรณ์อย่างไม่หวั่นเกรงเลย ด้งต่อไปนื้
“ขอเดชะ ฝูงสุนัขจงจอกเห็นดอกทองกวาวก็าดังบานสะพรั่งในยามราตรี ด้วยรัศมีของดวงจันทร็
ก็พากันมั่นหมายว่าชินเนื้อสด วิ่งกรูเกรียวกันเช้าด้อมไวั หวังจะได้กินชินเนื้อในวันรุ่งขื้น ครั้นราตรีกาล
ผ่านพันไปแดัว ดวงอาทิตย์ไขรัศมีจำรัสขื้น ฝูงสุนัขจั้งจอกนั้นจึงเห็นเป็นดอกทองกวาว ต่างก็หมดสิ้น
ความหวัง พากันวิ่งไปอย่างละห้อยละเหี่ย ฉันใด”

“ข้าแต่พระจอมราช ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทยกกองทัพมาทรงล้อมพระเด้าวิเทหราช พระราชา

kalyanamitra.org
๔๔๒

ของช้าพระพุทธเจ้าไวั จะต้องทรงสิ้นหวังเสด็จกลับไป เหมือนกับฝูงสุนัขจิ้งจอกลัอมดอกทองกวาว


ฉะนั้นแลพระพุทธเจ้าข้า”
ถ้อยคำของท่านมหาบัณฑิตที่ยกมาเปรียบเปรยนานาประการนื้แสดงถึงความองอาจแกลัวกถ้า

เพราะดำรงอยู่ในฐานะเหนือกว่าทุกประตูหรือเท่ากับเป็นผู้กำชัยไวัแถ้วในอุ้งห้ตถึ ไม่อำเป็นจะต้องหวั่น
เกรงต่ออำนาจราชคักดํ่ใด *1 ทั้งนั้น

kalyanamitra.org
๖๗. จุลนป๋นป่วน
ช้อยท้าเปรียบเปรยเย้ยเยาะของท่านมหาบัณฑิต ได้จื้จุดพระโทลัคนึให้ลุกโพลง ทวงพระท้าริว่า
/ชัายลูกบัานนอกคนนื้มันพูดจาอาจหาญนัก มันไม่กลัวตาย ขีนยันมันุคงว่ามันให้พระเด้าวิเทหราชหนึ
ไปแลัว คงเป็นความจริง ไม่ด้องสงสัยอะไรอีกแลัว’ ทรงพระท้าริแลัวกริ้วเป็นยิ่งนัก เพราะทวงหวน
ไปคิดถึงคราวลัอมมิลิลา เรื่องแต่ปางอดีตได้หวนเข้ามาสู่อนุสดีของพระองค์ว่า “ครั้งก่อนก็เพราะชัาย
ลูกปัานนอกคนนื้แหละ พวกเราด้าด้องวิ'งหนืทั้ง *1 ที'ฝ่าพ้นพุงก็ไม่มีเหลือดิดด้ว่มา มาคราวนื้วิเทหราช

ดกอยู่ในมึอเราแลัวทึเดียว มันก็ทำให้หนึไปเสีย มันเป็นตัวการก่อความวินาศให้เรามากมายนัก ด้องเอา


โทษที่จะกระทำแก่มันและวิเทหราชมาบวกที่มันคนเดียว ด้องให้มันรับโทษของวิเทหราชด้วยถึงจะสม
กับความเลวรัาย” ทรงพระท้าริแลัวมีพวะบัญชาสั่งทันทีว่า
“สูเด้าทั้งหลาย จงดัดมือดัดเท้าและดัดหูดัดจมูกของได้มโหสถนื้ มันปล่อยศัตรูของเราคิอ
วิเทหราช ซ็งอยู่ในเงื้อมมือแลัวให้หนึไปเสีย”
“สูเด้าทั้งหลายจงเตรียมหลาวได้ กูจะเสียบมันย่างเหมือนเขาย่างเนื้อมฤค”
“สูเด้าทั้งหลายจงเตรียมตะขอไว้ กูจะเกี่ยวหนังมันแลัวถลกกลับเหมือนกับที่คนเขาถลกหนัง

ราชสีห์และหนังเดึอ”
“สูเด้าทั้งหลายจงเตรียมหอกคม *1 ได้ ถลกหนังมันแลัวกูจะเอาหอกที่มแทงมัน ให้หมดความ
แด้นที่มันปล่อยวิเทหราชศัตรูชี่งมาอยู่ในเงื้อมมือแลัวหนึไปเสีย”
ท่านมหาบัณฑิตพ้งพระท้ารัสนั้นแลัว ห้วเราะด้วยเสียงชันแสดงความเป็นเบื้ยบน คิดในใจว่า
“พระอธิราชจุลน็มิได้ทวงทราบว่าเราได้ส่งพระเทวิ และพระประยูรญาติไปมิถิลาหมดแลัว เพราะฉะนั้น
จึงทวงแจงวิธิที่จะกระทำแก่เราด้วยประการต่าง *1 แต่ด้วยอำนาจของความโกรธพระองด้พึงขิงเราเสีย
ด้วยลูกศรก็ได้ หรือจะพึงกวะทำวิธึอื่น จุ ฆ่าเราเสียตามความพอพระทัยของพระองค์ก็ได้ อย่ากระนั้น
เลย เราจะด้องให้พระองค์ประสบความทุกข์แสนโศกาดูรฟุบสลบกับหลังข้างให้จงได้ เราจะบอกเรื่อง

ทั้งมวลให้'ทรงทราบ” คิดแลัวก็กราบทูลด้วยส่าเนึยงชันเคลัากับเสียงส่ารวลว่า

“เป็นไรไปพระพุทธเด้าข้า ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะดัดมือดัดเท้าด้ดห้วดัดจมูกของข้าพระ-
พุทธเด้าเสียก็ได้ แต่พระเด้าวิเทหราช พระราชาของข้าพระพุทธเด้า ด้กทรงทำเช่นเดียวกันแก่พระองค์

ชายบัญจาลด้นทะ เชิญสีพระพุทธเด้าข้า”
"หรือไม่เช่นนั้น ช้าใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงให้ดัดมือดัดเท้าด้ดหูดัดจมูกของช้าพระพุทธเด้า

kalyanamitra.org
๔๔๔

พระเจ้าวิเทหราชจะทรงกระทำเช่นเดียวกันแด่พระองค์หญิงบ้ญจาลจันที หรือบางทีนะพระพุทธเจ้าช้า
พระเจ้าวิเทหราชจักทรงกระทำเช่นนั้นแด่พระเทวีนันทา เทพธิดา!!ญจาละก็ได้นะ พระพุทธเชัาช้า”

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงพระวิจารณ์ด้วยพระปรีชาเชิดพระพุทธเจ้าข้า พระเทวี


พระโอรสของพระองค์จักต้องถูกพระเจ้าวิเทหราชทรงกระทำกรรมกรณ์ เช่นเดียวกันกับที่ใด้ฝ่าละอองธุลี-

พระบาททรงกร่ะทำแก่ข้าพระพุทธเจ้า ณ ที่น”ื้

“จะทรงเสียบร่างของข้าพระพุทธเจ้าด้วยหลาวเหล็ก ย่างไฟเสียเหมือนเขาย่างเนื้อ ก็จะเป็น

ไรไป เชิญทรงกระทำเชิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสียบข้าพระพุทธเจ้าย่างที่นี่ ที่มิชิลาคงจะมีประชาชน

พากันไปดูการทดแทนที,พระเจ้าวิเทหราชจะทรงกระทำเช่นเดียวกันแด่พระเทวี พระโอรสและพระธิดา”

“จะทรงถลกหนังของข้าพระพุทธเชัาหรือพระเชัาข้า แลัวจะชํ้าร้อยด้วยหอก โอ! จะทรง

กระทำแก่ข้าพระพุทธเจ้าถึงเพียงนั้นเจียวหรือพระพุทธเจ้าช้า จะไม่ทรงสงสารพระนางนันทา พระองค์

ชาย!!ญจาลจันทะ และพระองค์หญิงป้ญจาลจันทีบ้างละหรือพระพุทธเจ้าข้า ด้าถูกพระเจ้าวีเทหราช


ถลกหนัง ร้อยด้วยหอกเช่นเดียวกันบ้าง แลัวทั้ง ๓ พระองค์จะเป็นอย่างไร จะทรงกระทำแก่หม่อมฉัน
อย่างใดก็สุดแด่พระทัยจะมุ่งหมายให้สมกับที่ทรงแต้น•เคือง แด่โปรดอย่าได้ทรงลืมว่า พระเทวี พระโอรส

และพระธิดาจะต้องเป็นผู้ร้บสนองการกระทำของใต้ฝ่าละออ.งธุลีพระบาทโดยทำนองเดียวกันมิได้แผกผิด
ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูลเรื่องราวทั้งนื้แด,พระเจ้าวิเทหราชราชาของช้าพระพุทธเจ้าไปเสร็จสิ้นแลัวว่า

กัาได้ทราบว่าพระจุลนีทรงกระทำกรรมกรณ์แก่ข้าพระพุทธเจ้าประการใด ก็ขอให้ทรงกระทำแก่พระนาง-
นันทา พระองค์ชายบ้ญจาลจันทะ พระองค์หญิงบ้ญจาลจันที โดยประการนั้น”

“ขอเดชะ พระองค์ฝัทรงเป็นจอมทัพแห่งบ้ญจาละ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้สะดุ้งกลัวต่อพระ-

-ดำร้สขู่เข็ญแมัแด่นัอยเลย ช้าพระพุทธเจ้าป้องกันตนไร้แลัวด้วยความดีดยันรอบคอบ”

“พระจอมราช โล่หนังชันหนาและอ่อนนุ่ม สำเร็จด้วยดีแลัวจากฟิมีอของช่างหนัง ขีดเขียน


เป็นลวดลายด้วยเครื่องมือเขียนหนัง ย่อมสามารถจะป้องกันด้านทานร่างกายของนักรบในสงครามได้ แม้

.จะถูกลูกศรยิงมาดังห่าฝนก็อาจรับไร้ได้ ไม่ให้ลูกศรเจาะทะลุเข้าไประคายผิวหนัง ฉันใด”


“ข้าแด่มหาราชเจ้า โปรดทรงเช้าพระทัยเชิดว่า ช้าพระพุทธเจ้านื้เป็นเสมือนโล่หนังเช่นนั้น

คอยป้องกันพระราชาของข้าพระพุทธเจ้าให้ทรงพระเกษมสุขสำราญ มิให้ทรงประสบความระคายเคือง
เบื้องบาทยุคล แม้จะต้องตกอยู่ในกลุ่มของบ้จจามิตร ศาสตราวุธทุกชนิดของศัตรูก็จะมิได้ตกต้องพระ-

วรกายให้เป็นที่ระคายพระฉวีสักนิดเลย”

“ข้าพระพุทธเจ้าขักปัองกัน จักด้านทานความดีดของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ยันเปรียบดัง


ห่าฝนคือลูกศร ด้วยความดีดของช้าพระพุทธเจ้ายันเปรียบดังโล่หนังแผ่นนั้น”

“เชิญเชิดพระพุทธเจ้าข้า เชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงกระทำกรรมกรณ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า
ด้งที่มีพระดำรัสนั้น ‘I เชิด”

ดำกราบทูลของท่านมหาบัณฑิตบังเกิดผล พระอธิราชจุลนิทรงสดับแลัว มิอาจจะทรงก็าชับ

kalyanamitra.org
๔๔๕

พระกวะแสรับสั่งที่ได้ตรัสไปนั้นอีกวาระหนึ่ง เพราะด้อยดำกราบทูลนั้นทำใด้ทรงยั้งพระทัยและทรง
พระดำริว่า “ได้ลูกบ้านนอกมันพูดอย่างนึ่หมายความว่าอย่างไร เราทำอะไรแก่มัน. เราทำกรรมกรณ์แก่
มันอย่างใด วิเทหราชชักทรงกระทำอย่างนั้นแก่ลูกเมียของเรา ไชันึ่คงไม่รัดอกว่า เราได้ชัดการอารักขา
ลูกเมียของเราไว้เรียบร้อยและอย่างแข็งแรง ประเดี๋ยวมันจักด้องตายมันก็เลยพรํ่าเพ้อไปเพราะกลัวตาย

เท่านั้นเองเซีอมันไม่ได้ด้องโจมดีทันที”

ขณะที,ทรงพระดำรีอยู่นั้น ท่านมหาบัณฑิตก็ใซัความดีดคาดคั้นนํ้าพระทัยของ'พระอธิราช
อยู่เหมือนกัน ครั้นเห็นพระอาการที่ทรงแสดงเป้นไปในทางไม่ทรงเชี่อ ทรงสำคัญเสียว่ามันพูดเพราะ

กลัวตาย ก็ดีดว่า “จะด้องใด้ทรงทราบโดยประจักษ์” ดีดแลัวกราบทูลทันทีว่า

“ข้าแต่พระมหาราชเชัา ข้าพระพุทธเชัาขอท้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระพุทธเจัาช้า เชิญ


เสด็จไปทอดพระเนตรวังของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทดูก่อนเถิดว่าว่างหรือไม่ พระราชเทวิ พระราชโอรส
พระราชธิดาและพระราชชนนึของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเชัาคุมมาทางอุโมงค์ น้อมขื้น

ทูลถวายแต่พระเชัาวีเทหราชไปหมดแลัวนะพระพุทธเชัาข้า”

“ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงอาญาสีทธํ่ การที่จะทรงกระทำกรรมกรณ์แก่ข้าพระพุทธเชัาสถานใดนั้น
เมื่อไรก็ทรงกระทำได้ ข้าพระพุทธเชัาคงอยู่ที่นึ่ เชิญเสด็จไปดูเวียงวังเสียก่อนเถิด แลัวค่อยเสด็จกลับ

มาจับช้าพระพุทธเชัาลงกรรมกรณ์สีบไป”

พระอธิราชจุลนิทรงพ้งคำกราบทูลยืนยัน ก็ทรงดำริว่า “มโหสถนึ่พูดยืนยันมั่นคงนัก อนึ่งเล่า


เมื่อดีนนึ่เราก็แว่ว คุ เสียงเหมือนเสียงแม่น้นทาแถบชายฝังแม่นํ้าคงคา บางทีมโหสถผู้มีบัญญามากนึ่

พึงพูดจริงก็ได้" เมื่อทรงพระดำริว่าคงจะจริงเท่านั้น ความโศกอย่างรุนแรงก็บังเกิดขนในพระทัย ทรง


โศกาดูรอย่างหนัก แต่ก็ทรงกลํ้ากลืนไว้ ดำรงพระสดีมั่นคง ทรงทำเหมือนไม่ทรงโศกาอาลัย ตรัสเรียก
คำมาดย์ผู้หนึ่งมาเสาด้วยพระประสงค์จะให็ไปคูในพระราชวัง มีพระดำรัสสั่งว่า

“เร็ว คุ เถิด เจัาจงไปด้นดูในวังของเราใด้ถ่องแทั จะเป็นจริงเหมือนที่มโหสถพูดหรือไม่


หรือว่าพูดนั้นเท็จทั้งสั้น จะได้เกันแน่นอน”

อำมาตย์ผู้นั้นพร้อมด้วยบริวารรีบขื้นมัาพากันไปถึงพระราชนิเวศน์ เปิดประดูเข้าไปภายใน
พบพวกรักษาวังและนางเตยนางค่อมถูกมัดเท้าถูกอุดปากแขวนโตงเตงอยู่ที่ไมันาคทัณฑ์ ภาชนะในด้อง

เสวยแตกกระจายเกลื่อน ของเดี๋ยวของบริโภคตกเรี่ยราดอยู่ในด้องเสวยนั้น ครั้นไปดูด้องเก็บพระราช-


ทรัพย์ ก็เห็นเป็ดโล่ง แกัวแหวนเงินทองถูกกวาดเอาไปเรียบหมด พระราชวังที่ได้เห็นหมดสง่าไปเลย
ฝูงกาพากันบินเข้ามาทางประดูและหน้าต่างซ็งเปิดทิ้งไว้ เป็นเหมือนบ้านร้าง หรือเหมือนพื้นที่ที่กำหนด

เป็นปาข้า ไม่น่าจะเป็นเวียงวังของพระอธิราชเลย เห็นแลัวก็รีบกลับไปกราบทูลแต่พระอธิราชจุลนิว่า

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกต้าฯ มโหสถกราบทูลอย่างใดก็ได้เป็นอย่างนั้น พระราชวัง

kalyanamitra.org
๔๔๖

ทุก *1 แห่งรัางไปหมดแลัว เป็นเหมึอนที่ประชุมของฝูงกาพระพุทธเด้าข้า”


พระอธิราชจุลน้ทรงสด้บแลัวพระหทัยสั่นระรัวด้วยความโศก อันเกิดจากการที่ด้องทรงพลัด

พรากจากพระราชเทวึ พระราชโอรส พระราชธิดา และพระราชชนนึ แต่แลัวก็ทรงพระดำริว่า ‘ความ


ทุกร์นื้เกิดชื้นแก่กู เพราะอัายลูกบ้านนอกมโหสก’ ยิ่งกริ้วหนักชื้นเหมึอนอสรพิษที่ถูกตีขนดหาง แสน
แด้นแสนข้ดพระทัย พระกายของพระองด้สั่นด้วยอำนาจเปลวเพลิงพระโทสะกระพึอโหม

kalyanamitra.org
๖๘. ทิพมายา
ท่านมหาบัณฑิต พิจารณาเห็นพระอาการกริ้วของพระอธิราชจุลนึก็ดำริว่า “พระอธิราชจุลนี
ทรงมีพระบรมเดชานุภาพเกรียงไกว บางทีอำนาจแห่งความกริ้วจะทำใหัพระองค์ทรงหนหัน มิได้คำนึง

ถึงใคร *1 เลยก็ได้ อาจจะทรงประหัตประหารเราเสีย ด้วยพระขัตติยมานะ มิได้ทรงอาลัยเสียคายพระชนม์


พระราชเทวึ พระราชโอรสพระราชธิดาและพระราชชนนึ ลัากระไรเราควรจะกระทำใหัพระองค์ทรง
เกิดพระอาลัยในกบัดริย์เหล่านั้นใหัจงได้ เราควรพรรณนาพระรูปพระโฉมของพระนางนันทาถวายใหั
ทรงสด้บอย่างประหนึ่งมิได้ทรงเคยพบมาก่อนทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนํ๋พระองค์ด้องทวงหวนระลึกถึงพระนาง
ทำใหัเกิดพระคำริว่า “กัาเราฆ่ามโหสถเสียเราคงไม่ได้นางแกัวเช่นนึ่ เมื่อเราไม่ฆ่าเขาก็จักได้นางแกัว

ของเราดีนมา ด้วยอำนาจพระเสน่หา พระองค์จักไม่ทวงกระทำอะไร*] แก่เราเด้” ดำริแลัวคงยึนอยู่


บนปราสาทเพื่อป้องลันตน เหยึยดแขนออกจากเสื้อคลุมขนลัดว้สีแดง ช้ใปทางฝังคงคา พรรณนาความ

ถวายแด่พระอธิราชว่า
“ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงบุญพระนางนันทาเทวึเสด็จไปทางนึ่พระพุทธเจัาช้า อโห! พระ-

นางนันทาผู้ทรงพระศุภลักษณ์เลิศล่าตลอดพระวรองค์ พระโสณีผายเพียงแผ่นกระดานทอง งามหนัก


หนา พระสรเสียงที่ทรงเปล่งออกมา ไพเราะและหวานปานเสียงแห่งลูกหงส์อันท่องเที่ยวหากิน”
“ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงเกิยรติอันยิ่งใหญ่ พระนางนันทาเทวึผู้ทรงพระสิริโสภาทั่วทุกส่วน
แห่งพระวรกาย ถูกนำเสด็จไปทางนื้พระพุทธเจัาช้า อโห! พระนางทวงนุ่งโกไศยพัสดราเลี่ยมทอง ทรง

คาดริ'ดพระองค์ทอง ช่างงามคมสมกับพระฉวึวรรณอันผุดผาดกระไวเลย”
“อัา! พระนางนันทาเทวึมีฝ่าพระบาทแดงล่า ทรงกัลยาณลักษณ์ครบทุกประการไม่บกพร่อง
เลย ทวงประด้บสังวาลย์แกัวมณีแกมสุวรรณ คูตระการตาสุดที่จะพรรณนาได้ถูกด้องทีเดียว”
“ดวงพระเนตรทั้งคู่ของพระนางนั้นเล่าบริสุทธิ้ผ่องใส ที่ควรขาวก็ขาวสะอาด ที'ควรดำก็
ดำขลับ มีแววซงน่าท้ศนา พระสรีระร่างนั้นเล่าก็แน่งนัอยล่าเพาพริ้งไพร พระโอษฐ์มีสีแดงวะเรื่อประดุจ

สีผลมะพลับเมื่อยามสุก ทั้งเกลยงเกลาไม,มีรอยจีบย่นตลอดปริมณฑลทีเดียว บั้นพระองค์เลึกราวกับ


จะล่ารอบด้วยพระกรทั้งคู่ของพระนางเอง ยามทวงเยื้องย่างยุรยาตรดูอ่อนไหวประหนึ่งเถาภุชงค์อันด้อง

ลมริาเพยพัดอ่อนไหวอยู่ไปมา”
“พระเกศาของพระนางยาว ยามสยายออก ปลายเส้นพระเกศาจะมิได้เหยึยดเฟิอยลงไป จะ
งอนช้อยช้อนขื้นเบืองบน ขอบพระเนตวกว้าง ประหนึ่งดวงตาของมฤคอายุได้ ๑ ขวบ ยามทอดพระเนตร

kalyanamitra.org
๔๔๘

จะฉายแววอันสุกสกาวราวกับเปลวเพลิงในราตรีแห่งเหมันต์อันมีประกายแวววาว”
“พระโลมาอันเรียงรายรอบขอบพระเนตรเล่าก็งดงามประหนึ่งนทีธารอันงดงามด้วยลำไผ่เล็ก รุ
ที่ขื้นอยู่เรียงรายตามชายฝัง”

“พระน''’กโด่งพองามประหนึ่งขอทอง พระเพลาทั้งคู่ก็แนบชิดสนิทเนียนปราศจากข้อพระ-

เพลา และข้อพระบาทงดงามเป็นอย่างยิ่ง พระยุคดันเป็นอย่างเลิศทีเดียว เต่งตั้งอยู่ ณ แผ่นอฺรประเทศ


ประหินึ่งผลมะพลับทองสองผลวางอยู่บนแผ่นกระดานทอง ฉะนั้น”

“พระนางนินทาไม่สูงเกินไป ไม่เตื้ยเกินไป พระโลมชาติตลอดพระกายก็ไม่มากไม่นัอย ขุม

พระโลมาแด่ละขุม มีพระโลมาแต่ละเลันมิได้ชัอนเป็นสองสามเส้นในขุมเดียวกัน พระโลมาทั้งนั้นละเอียด

อ่อนละมุน”
“พระนางทรงพระสิริโสภาคย์ สุดที่จะพรรณนา แม้ด้วยชิวหาของช้าพระพุทธเร้าแล้ว พระนาง

เป็นสตรีรัตน์ควรแก่บุญญาธิการของท่านผู้ดำรงในมไหศวรรยาธิบดีทีเดียวพระพุทธเรัาข้า”
ตลอดเวลาที,พรรณนานั้น ท่านมหาบัณฑิตก็ลอบสังเกตพระอาการของพระอธิราชจุลนีไปด้วย

พระอธิราชจุลน็ทรงเคลิบเคลิ้ม แม้พระนางนินทาเทวีจะเป็นพระปิยราชราชาซึ่งได้ร่วมพระแท่นบรรทม

กับพระองค์มาจนมีพระราชโอรส ๑ พระราชธิดา ๑ แต้ว ก็ปรากฏในตอนนั้นเสมือนพระองค์ยังไม่เคย

ทอดพระเนตรพระนางมาแต่ก่อนเลย ภาพพระนางปรากฏแจ่มชัดประทับพระหฤทัย ทุกส่วนพระวรกาย


ทรงโฉมวิไลลักษณ์ประรักษ์แก่พระมนัส สิเนหานภาพแผ่คลุมพระหฤทัยจนไม่อาจที1จะทรงพระดำริ

การอย่างใด รุ ได้
ท่านมหาบัณฑิตเห็นเช่นนั้นก็วินิจฉัยได้ทันทีว่า ท่านเป็นต่อพระอธิราชแน่แล้ว จึงกราบทูล

สืบไปว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยพหลพลพาหนะอันเกรียงไกร ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท


ตัดสินพระทัยเสียให้เด็ดขาด พระองค์จะทรงชี่นชมกับความตายของพระนางนินทาหรือไฉน? ”
“ข้าพระพุทธเร้านั้น แน่ละ ล้าจะทรงฆ่าข้าพระพุทธเร้าให้ตายเสียบัดนึ่ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระ-

บาทก็โปรดอย่าได้คลางแคลงพระทัยเลยพระพุทธเร้าข้า พระเร้าวิเทหราชพระราชาของพวกข้าพระพุทธเร้า
ด้องฆ่าพระนางนินทาเสียแน่ *1 เมื่อเป็นเช่นนึ่ ข้าพระพุทธเร้าจะด้องไปเดือดรัอนอะไรกับความตายเล่า

เพราะข้าพระพุทธเรัาจะไปสู่สำนักพญายม และพระนางก็จะเสด็จไป ณ แห่งเดียวกัน พญายมเห็น

ข้าพระพุทธเรัากับพระนางนินทาแล้ว ด้องประทานพระนางแก่ข้าพระพุทธเรัาอย่างไม่มีบัญหาเลย”

“ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็ทรงพระปรีชาสุขุม โปรดทรงพระกรุณาวินิจฉัยด้วยพระราช-


วิจารณญาณเถิดว่า เมื่อข้าพระพุทธเร้าแม้จะตายไปแล้วก็จะได้นางแล้วเช่นนั้น อะไรเล่าเป็นส่วนที่ขาดไป

สำหรับช้าพระพุทธเร้า ข้าพระพุทธเร้ายังมองไม่พบข้อเสื่อมเสียประโยชน์เพราะความตายของตนเลย
ตรงกันข้าม ข้าพระพุทธเร้าเห็นด้วยเกล้าๆ ว่า เป็นการที่จะได้เกินกว่าทุนเป็นอันมาก เพราะตายแล้ว

จะได้นางแกัวมาเป็นคู่ครองถึงจะสิ้นซีวิต ก็เป็นการสิ้นที่ได้ผลเป็นลำไรอย่างมูลมองทีเดียว”

ขณะที่พระอธิราชจุลนีทรงฬงล้อยคำพรรณนาถึงพระนางนินทาอยู่เรื่อย *1 มา ภาพพระนาง

kalyanamitra.org
(±(1 6 โ'

ก็ยิงปรากฏเด่นซัด เหมือนดังพระนางมาประทับอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ ความโศกความอาลัย

และความเสียคายประด้งกันเข้ามาสู่พระหทัยดวงน้อย *1 ซ็งแม้จะมีความเข้มแข็งแกร่งกร้าวปานใดก็ต้อง
อ่อนลงทุกที เพราะอำนาจแห่งความรักนั้นเป็นเพลิงในยามพราก เป็นนํ้าในยามสมรัก มีทั้งความรัอน

และความเย็น มีทั้งความแห้งแล้งและความชุ่มซืน มีทั้งความหิวโหยและความอิ่มเอิบ ดังนั้นแม้บุคคล

จะเข้มแข็งปานใด มีความทะนงในเกียรติศักดิ๋ปานใด ก็ยากนักที่จักดำรงในภาวะของตนอยู่ได้ เพราะ

อำนาจของรักซ็งแผ่พิษในยามพราก พระอธิราชจุลนีทรงเป็นนักรบที่กล้าหาญควรเทิดพระนามได้ว่า

‘วีรกษัตริย’์ พระองค์หนึ่ง พระทัยแข็งปานเหล็กเพชร แด่ในยามนึ่อ่อนประดุจขิ้ผื้งที่ด้องไฟลน ความ

เข้มแข็งถูกความรักความอาลัยและความเลียดายแผดเผาจนไม่มีเหลืออยู่แล้ว พระดำริของพระองค์ใน
เรื่องจะพิฆาตฟาดพันปรบักษ์ในยามนึ่ก็พลอยหายไปจากพระมนัส คงเหลือแต่ว่า “โล้-อนิจจา นันทา
ของที่ ปานฉะนึ่น้องรักจักเป็นไฉน... จะได้ทุกข์ขุกเข็ญเป็นฉันใด โย้สายใจเชัาจะพรํ่านํ้าตานอง...ไม่

มีใครอีกแล้ว คนอึ่นก็ไม่สามารถเป็นแท้ที่จะนำน้นทาของพี่คืนมา เว้นแด่มโหสถคนเดียวเท่านั้น ที,จะ

พาน้นทาดีนมาให้ อนาถจริงหนอเรา เสียรู้ เสียรัก เสียแรง เอ้อ!” ยิ่งพระดำริความโคกก็ยิ่งประดังท่วม

พระทัย พระอธิราชสฺดที่จะดำรงพระองค์ในภาวะปกติได้ ทรงมีพระอาการบ่งว่าทรงโศกศัลย์เป็นสุดแสน

แม้จะ'ทรงพยายามกลํ้ากลืนก็สุดจะฟินทน

ท่านมหาบัณฑิตคอยกำหนดดูพระอาการของอธิราชจุลนิตลอดเวลา เห็นเช่นนั้นก็รัได้ว่า “ความ


หมายมั่นที่จะหํ้าหั่นพันแทงหมดไปจากพระทัยแล้ว คงมีแด่ทรงพระอาลัยในพระราชเทวีเท่านั้น” จึง

กราบทูลด้วยความเห็นพระทัยว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงพระอิสริยยศดันมหาศาล ใต้ฝ่ายละอองธุลี-


พระบาทอย่าได้ทรงพระโศกาลัยไปเลยพระพุทธเชัาข้า กษัตริย์ทั้ง ๓ พระองค์คือ พระนางน้นทาเทวี
พระนางสลากเทๅ และเชัาชายบัญจาลชันทะ ชักต้องเสด็จมาเป็นแน่นอนพระพุทธเชัาข้า ทั้งนึ่ย่อมสุดแล้ว

แด่ว่าข้าพระพุทธเชัาได้กลับคืนมีถิลาเมื่อไร ล้าข้าพระพุทธเชัาไปถึงมิถิลาเมื่อใด กษัตริย์ทั้ง ๓ พระองค์

ก็จักเสด็จมาพบใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเมื่อนั้น ทรงเบาพระทัยเถิดพระพุทธเชัาข้า”

พระอธิราชจุลนิทรงสดับแล้วค่อยคลายพระทัย ทรงพระดำริต่อไปว่า “เราให้จัดการปกป้อง


ต้มครองรั้วว้งอย่างแข็งแรง และยังยกกองทัพ ๑๘ กองทัพมาล้อมอฺปการนครไว้ มโหสถเขาก็อยู่ทีน็ ดูหรือเรา
ต้มครองป้องกันถึงอย่างนึ่ มโหสถยังพาแม่เราเมียเรา ลูกสาวลูกชายมาถวายวีเทหราชเชัานายของเขาได้

อนึ่งเล่า ทั้ง *1 ที,พวกเราตั้ง ๑๘ กองทัพมาตั้งล้อมไว้อย่างนึ่ ก็ไม่มีใครสักคนเดียวที,รู้ว่าวีเทหราชหนิ


ไปแล้ว ไม่ใช่ไปคนเดียว ไปพร้อมทั้งแสนยากรและพาหนะ มิหน์าซํ้าพาลูกพาเมียพาแม่ของเราไปเสีย

ด้วย ช่างฉลาดด้น น่าอัศจรรย์จริง มโหสถร้ทิพมายาหรือไฉน หรือว่าร้มนตกำบังตา จะตองถามดูลักหน่อย”


ทรงพระดำริแล้วมีกระแสรับสั่งถามว่า “พ่อเรียนมายาดันเป็นทิพหรือว่าเชัากระทำการกำบังตา ถึงได้

ช่วยวีเทหราชศัตรูผู้มาถึงเงื้อมมือของเราแล้วให้รอดพันไปได้ บอกฉันหน่อยได้ไหม”

ท่านมหาบัณฑิตพังพระกระแสรับสั่งถามก็กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงพระอำนาจ

มหาศาล เป็นธรรมดาแท้ *1 ที่เหล่าบัณฑิตในโลกนึ่ย่อมพากันเรียนทิพมายา ชนผู้เป็นบัณฑิตเหล่านั้น

kalyanamitra.org
๔๕๐

ย่อมแกัใขตนให้รอดได้ พวกเด็กหนุ่ม *1 ของข้าพระพุทธเด้าที่ฉลาดสามารถด้ดช่องด้ดทางมึอดู่พระพุทธ ­


เจ้าข้า พวกนั้นแหละพากันทำอุโมงด็สำหรับเป็นทางเสด็จไปมิชิลาถวายแต่พระเจ้าวิเทหราชพระพุทธ-

เจ้าช้า”
“ช้าพระพุทธเจ้าได้เตรียมการไวัดลอดหมด ตั้งแต่ก่อนที่จะมาสู่แว่นแคว้นของใด้ฝ่าละออง-
ธุลีพระบาท และได้ดำเนินการตามที่เตรียมไว้ทุกประการ เพื่อความวอดของพระเจ้าวิเทหวาช และเพื่อ
ความรอดของดน การที่คิดหาทางรอดไว้ และปฏิบัติการให้รอดได้ นี่แหละคึอทิพมายาของบัณฑิตละ

พระพุทธเจ้าข้า”

kalyanamitra.org
๖๙. ส์นติภาพ
พระอธิราชจุลนืทรงสดับต้อยคำของท่านมหาบัณฑิตแต้ว ทรงพระคำริว่า “มโหสถบอกว่า
วิเทหราชเสด็จไปทางอุโมงค์ที่เขาตกแต่งประดับประดาไว้ อุโมงค์นั้นเป็นเช่นไรหนออยากดูเหลือเกิน”

พระหทัยของพระองคน้อมไปในความปรารถนาอย่างแวง ในอันที่จะทอดพระเนตรอุโมงค์ชันเป็นทาง

เสด็จของพระเว้าวิเทหราช
ท่านมหาบัณฑิตสังเกตพระอาการ ก็ทราบว่าพระอธิราชทรงประสงค์จะทอดพระเนตรอุโมงค์

‘เราชักเชิญเสด็จทอดพระเนตร’ ดำริแต้วกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงพระอิสริยยศใหญ่หลวง


เชิญเสด็จเถิดพระพุทธเว้าข้า เชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททอดพระเนตรอุโมงค์ที่ข้าพระพุทธเว้าสว้าง

ไว้ดึแต้ว เป็นอุโมงค์ที่สว่างไสว งดงามด้วยจิตรกรรมสลักเสลา เป็นเหล่าเสนางคนิกร พลข้าง พลม้า

พลรถ และพลราบ ทั้งยังงดงามด้วยรูปภาพชันเขียนไว้อย่างวิจิตรบวรจง ช้าพระพุทธเว้าได้สว้างไว้สำเร็จ

แลัวเป็นอย่างดี”
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ อุโมงค์ดันสวยงามที่ข้าพระพุทธเว้าสว้างด้วยปรีชา

ของข้าพระพุทธเว้านื้ ปรากฎประดุจอยู่ในสถานที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อุทัยชื้นไป ฉะนั้น”

“ข้าพระพุทธเว้าขอพระราชทานพระวโรกาสกราบทูลพรรณนาอุโมงค์โดยย่อ *1 ภายในอุโมงค์

มีประตูใหญ่ ๘© ช่อง ประตูน้อย ๖๔ ช่อง ห้องนอน ๑๐® ห้อง และมีโคมประทีปหลายรัอย เชิญใด้

ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเบิกบานพระราชหฤทัย เสด็จทอดพระเนตรกับช้าพระพุทธเว้าเถิด เชิญ


ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จเข้าสู่อุปการนครของช้าพระพุทธเว้าพว้อมทั้งราชบริพารเถิดพระพุทธเว้าข้า”
ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลแต้วสั่งให้เปิดประตูเมือง พระอธิราชจุลน็พว้อมด้วยพระราชา ๑๐๑

องค์ แวดด้อมด้วยราชบริพาร เสด็จเข้าสู่อุปการนคร ท่านมหาบัณฑิตรีบลงจากปราสาท ถวายบังคม


พระอธิราชแต้วนำชมนคร แต้วนำเสด็จเช้าอุโมงค์
พระอธิราชจุลนิทอดพระเนตรอุโมงค์ชันงดงาม ด้วยทรงตื่นพระทัยในความสวยงามด้งเทวสถาน

ทรงชมท่านมหาบัณฑิตว่า
“เป็นลาภเหลือหลายของชาววิเทหะ ที่พวกเขาได้มีบัณฑิตเช่นพวกเธอนํ๋ พ่อมโหสถเอิย

บ้านใดเมืองใดแคว้นใดมีคนอย่างเธออยู่ร่วมด้วยก็เป็นลาภของชาวบัานนั้น เป็นลาภของชาวเมืองนั้น และ

เป็นลาภของชาวแคว้นนั้น”

kalyanamitra.org
๔๕๒

ท่านมหาบัณฑิตเปิดห้องนอน *0๑ ห้อง ให้ทรงทอดพระเนตร แสดงการเปิดปิดประคูซ็ง


เปิดปิดได้พ-โอมกัน เมื่อบานหนึ่งถูกเปิด ทุก 1 บานก็เปิด เมื่อบานหนึ่งถูกปิด ทุก *1 บานก็ปิดพ-โอม

กันหมด พระอธิราชจุลนืทอดพระเนตรพลางเสด็จไปพลาง ท่านมหาบัณฑิตตามเสด็จไปเบืองหลัง คอย


ถวายค้าตอบ ด่วนราชบริพาร พระราชา 00® องค์ และแม่ทัพนายกองทั้งหมด ก็ได้เข้ามาสู่อุโมงค์ ด่าง
ดื่นดาดื่นใจในความสวยงาม เพลินดู เพลินชม พระอธิราชจุลนืเสด็จออกจากอุโมงค์ ท่านมหาบัณฑิต
ก็ตามเสด็จออกไปเหมือนกัน เมื่อไปอยู่ภายนอกอุโมงค์แลัวก็ไม่ยอมให้คนอื่น *1 ออกมา โดยเหซียบสลัก

ปิดประดูอุโมงค์เสึย
ทันใดนั้น ประดูใหญ่ ๘๐ ประดูน้อย ๖๔ ประดูห้องนอน ®๐® ก็ปิดพ-โอมกัน และโคมไฟ
อีกหลาธ-โอยดวงก็ด้บพรึบพ-โคฯกันหมดไม่เหลึอสักดวงเดียว อุโมงค์ทั้งสิ้นมืด-มืดเหมือนโลกันตร์นรก
ดนที่ติดอยู่ในอุโมงค์มากมายด่างสะด้งกลัว ถูกความกลัวตายคุกคามขวัญหายไปทุกคน
ท่านมหาบัณฑิตรีบเดินไปตรงที่หมกพระขรรค์ไวัเมื่อวานนื่ ด้ยทรายออก หยิบขั๊นมาถึอไวั
โดดจับพระหัตถ์พระอธิราชจุลนีแลัวเงื้อพระขรรค์ขู่ว่า “พระมหาราช สมบัติในชมพูทวีปเป็นของใคร”

พระอธิราชจุลนืตกพระทัย ตรัสว่า “พ่อบัณฑิต สมบัติในชมพูทวีปเป็นของเธอ” แลัวตรัส


ต่อไปว่า “เธอจงให้อภัยแก1ฉันเถิด”
“ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงมุรธาธิกาว ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่าได้ทรงกลัวเลยพระพุทธเจ้าข้า
ข้าพระพุทธเชัาเงื้อพระขรรค์ มิใช่เพื่อมุ่งหมายจะปลงพระชนม์ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทดอก ข้าพระ-
พุทธเจ้ามุ่งหมายจะแสดงอานุภาพแห่งปรีชา จึงได้เงื้อพระขรรค์” ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลแลัวถวาย
พระขรรค์แด่พระอธิราชจุลนี กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงพระราชอำนาจอันชิ'งใหญ่ ลัาใด้
ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระประสงค์จะฆ่าข้าพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ทรงฆ่าด้วยพระขรรค์เล่มนื่และ
ในเดื่ยวนื่เถิดพระพุทธเจ้าช้า ลัาทรงมีพระราชประสงค์จะพระราชทานอภัยโทษ ก็ขอได้ทรงโปรดพระ-

ราชทานเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
เรื่องราวในตอนนื่ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลว่า “มุ่งหมายจะแสดงอานุภาพแห่งปรีชา” ก็เท่า
กับว่าท่านมหาบัณฑิตได้คิดแลัวทุก จุ ประการ ได้กำหนดที่จะจำนนของพระอธิราชไวั ณ ที่ตรงนั้น
แลัวก็บังด้บข้บด้อนพวะอธิราชจุลนืมาถึงที่ตรงนั้นจนได้ เป็นที่กล่าวได้ว่า ท่านมหาบัณฑิตได้กำหนด

เส้นทางให้พระอธิราชจุลนืเสด็จพระราชดำเนินไปอย่างเต็มพระทัย ลัาเป็นหมากรกก็เรียกว่า ท่านมหา-


บัณฑิตซีตาให้พระอธิราชเดิน และซ็ตาจนของขุนไวัว่าจะด้องจนตานั้น ฉันใด พฤติการณ์ตอนนื่เป็น

ฉันนั้น ท่านมหาบัณฑิตคิดกำหนดเส้นทางให้พระอธิราชเสด็จถึงจุดจำนน ณ ทางออกจากประดูอุโมงค์


ริมแม่นํ้าคงคา แสดงถึงอานุภาพแห่งปรีชาของท่านฉะนั้นจึงได้ขู่ปลอบ และในที่สุดก็ด้องกราบทูลขอ
พระราชทานอภัยโทษเนื่องด้วยการกระทำของท่านครั้งนึ่ แสดงว่ามีปรีชาเหนือกว่าพระอธิราชจุลนิเป็น

อันมาก
พระอธิราชจุลนืทรงเต็มตื้นไปด้วยพระปีติ ความรักในท่านมหาบัณฑิตได้ครอบครองพระทัย

kalyanamitra.org
๔๕'๓

ของพระองค์อย่างเต็มทีตรัสว่า “พ่อบัณฑิต ฉันใท้อภัยเธอแล้วทีเดียวนะ เธออย่าได้คิดอะไรเลย”


แลัวทรงยื่นพระขรรค์ใท้ท่านมหาบัณฑิตชับร่วมกับพระองค์ ทรงมีพระดีารัสว่าจะไม่ประทุษรัายมหา­

บณฑิตตลอดกาล ท่านมหาบัณฑิตก็ถวายปฏิญาณทำนองเดียวกัน

ภายหลังพิธีกระทำปฏิญาณแล้ว พระอธิราชจุลนีมีพระดำรัสถามว่า “พ่อบัณฑิต เธอน่ะ


สมบูรณ์ด้วยดำลังปัญญายอดเยี่ยมขนาดนํ่ เหตุไรจึงไม่ครองราชสมน์ตเล่า?”
“ขอเดชะ ล้าข้าพระพุทธเด้าปรารถนาด้งที'พระราชดำรัสถาม ในวันนิ้เอง ข้าพระพุทธเด้า

พึงฆ่าพระราชาเสียทั้งหมดในชมพูทวีปแลัวครองราชสมนํตก็กระทำได้ แต่ได้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
โปรดทรงพระอนุสรณ์ถึงแบบอย่างบัณฑิตเถิดพระพุทธเด้าข้า การฆ่าฝัยื่นแล้วครองความยิ่งใหญ่นั้น

ปวงบัณฑิตไม่สรรเสริญเลยพระพุทธเด้าช้า”
“พ่อบัณฑิต มหาชนไม่รัจะออกทางไหน พากันครํ่าครวญอยู่ในอุโมงค์” พระอธิราชจุลนีตรัส

“เธอจงเปิดประดูอุโมงค์ไท้ทานชีวิตแก่คนเหล่านั้นเถิด”
ท่านมหาบัณฑิตกดไกยนต์ ประตูทุกประตูก็เปิดออก และดวงโคมทุกดวงก็สว่างไสวไปทั่วกัน
มหาชนที่ดีดอยู่ในอุโมงค์ก็คลายไจหายหวาดกลัว พระราชาทั้งปวงก็เสด็จออกจากอุโมงค์พรัอมกับแสนยากร

พากันเสด็จไปพบท่านมหาบัณฑิตซ็งยืนเฝ็าพระอธิราชจุลนีอยู่ ณ โรงโถง แลัวตรัสกับท่านว่า “ท่าน


มหาบัณฑิต อาศัยพวกท่านฉันจึงรอดตาย ล้าท่านไม่เปิดประตู อีกครู่เดียวเท่านั้น พวกเราทั้งหมดจะด้อง
ตายอยู่ภายในนั้นเอง”

“ข้าแต่พระมหาราชเด้าทุกพระองค์ โปรดอย่าทรงเข่าพระทัยว่าข้าพระพุทธเด้าถวายชีวิตแด่
ใด้ฝ่าพระบาททั้งหลายในครั้งนิ่เท่านั้นนะพระพุทธเด้าข้า มิใช่ครั้งนํ๋ครั้งเดียว่ คราวก่อนใด้ฝ่าพระบาท

ทั้งหลายก็ได้พระชนม์ชีพเพราะอาศัยข้าพระพุทธเด้าเหมือนกันนะพระพุทธเด้าช้า” ท่านมหาบัณฑิต

กราบทูล
“ครั้งไหนจ๊ะ พ่อบัณฑิต” พระราชาทุกพระองค์ตรัสถาม
“ขอเดชะ โปรดทรงสดับ” ท่านมหาบัณฑิตกราบทูล แล้วนำเรื่องราวที่พระอธิราชจุลนีชัด
พิธีดํ่มฉลองชัยตามด้อยคำของเกวัฏ สุราและอาหารในพิธีนั้นด้วนแต่ใส,ยาพิษทั้งนั้น ทั้งนั๊เพื่อปลงพระชนม์

พระราชาในชมพูทวีปเสียทั้งหมด แล้วจะได้เป็นใหญ่แต่พระองค์เดียว แล้วได้กราบทูลถึงความดำริ


ของท่านสวายว่า “ช้าพระพุทธเด้าคิดด้วยเกล้าฯ ในครั้งนั้นว่า เมื่อเรายังปรากฎตนอยู่จะนิ่งดูดายไม่ได้

ข้าพระพุทธเด้าจึงส่งคนของตนไปทำลายภาชนะทุก *1 อย่าง ทำลายความคิดของพระอธิราชและเกวัฎ


เสีย ได้ถวายพระชนม์แด่ได้ฝ่าพระบาททั้งหลายยืนยงมาถึงวันนิ่ ล้าไม่ทรงเซือก็โปรดทูลถามพระอธิราช
เด้าดูบัดนิ่เถิดพระพุทธเด้าข้า”

พระราชาเหล่านั้นทรงพ่งแลัวมีพระหทัยเสียวสยอง ด่-างทูลถามพระอธิราชจุลนีว่า “ช้าแด่


พระมหาราชเด้า ตามที่พ่อบัณฑิตเล่ามานิ่เป็นความจริงหรือพระพุทธเด้าข้า?”

“จริงพระเด้าข้า” พระอธิราชจุลนีตรัสสารภาพ “ในคราวนั้นหม่อมฉันเซือเกวัฏ ปฏิบัติตาม

kalyanamitra.org
๔๕๔

คำแนะนำของเขา จึงได้กระทำเช่นนั้น พ่อบัณฑิตกล่าวถึงเรื่องนั้เป็นความจริงพระเด้าข้า”


พระราชาทุกพระองค์รุมกันทรงกอดท่านมหาบัณฑิต ตรัสว่า “พ่อบัณฑิต พ่อเป็นที่พึ่งของ
พวกเรา พวกเรารอดมาเพราะอาศัยพ่อแท้ *1 โอพ่อบัณฑิต” ตรัสแลัวทุกพระองค์ทรงเปลื้องเครื่อง
ประดับพระองค์ที่ทรงประดับมา บูชาท่านมหาบัณฑิต

ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลพระอธิราชจุลน็ว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อย่าทรงคิด


เป็นเวรเป็นภัยต่อไปเลยพระพุทธเด้าช้า นั่นเป็นโทษของการสังสรรค์กับบาปมิตรนั่นเอง ใต้ฝ่าละออง-

ธุลีพระบาทโปรดทรงขอขมาพระราชาทุกพระองค์เสียเถิดพระพุทธเด้าช้า”
พระอธิราชจุลนิตรัสกับพระราชาทั้งปวงว่า “หม่อมฉันได้กระทำความชัวรัายถึงขนาดนั้ ก็
เพราะอาศัยบุรุษชัวของหม่อมฉันเอง ช้อนํ๋เป็นความผิดของหม่อมฉัน ขอทุก รุ พระองค์โปรดทวงยก
โทษให้หม่อมฉันเชิด หม่อมฉันชักไม่กระทำเช่นนั๊อีกต่อไปแลัว”
พระราชาทุกพระองค์ต่างทรงรับขมาของพระอธิราชจุลนื ทรงแสดงโทษที่ล่วงเกินระหว่าง
กันแลัว กลับทรงสมัครสโมสรชินบานต่อกันด้วยลันถวไมตรีอันดียิ่ง
พระอธิราชจุลนิมีพระดำรัสสั่งให้เด้าพนักงานนำอาหารมาเป็นอันมาก พรัอมทั้งดนตรี ดอกไมั
เครื่องหอมนานาชนิด ทรงซักชวนพระราชาและท่านมหาบัณฑิตฉลองไมตรีกันในอุโมงค์อย่างสบุกสนาน

ถึง ๗ วัน จึงเสด็จกลับคืนสู่พระนคร


เมื่อเสด็จเช้าพระนครแลัว ประทับ ณ ท้องพระโรง แวดลัอมด้วยพระราชา 9๐* พระองค์

พระราชทานลักการะแก่ท่านมหาบัณฑิตมากมาย ตั้งพระทัยจะชวนท่านมหาบัณฑิตให้อยู่ประจึาในราชสำนัก
ของพระองค์ มีพระดำรัสว่า “พ่อบัณฑิต ฉันจะให้ทรัพย์ ให้ตำแหน่งและเสบียงอาหารเพิ่มเป็นทวีคูณ
เชิญพ่อบริโภคโกคะอันมองมูล และจงรื่นรมย์ในสั่งที่น่าปรารถนาเถิด อย่ากลับไปแควันวีเทหะเลย วีเทหราช

ชักทำอะไรแก่พ่อได้”
ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณลันเกลัาๆ ข้าพระพุทธเชัาจะรับ
พระราชทานตามที่ทรงโปรดนั้นไม่ได้เลยพระพุทธเชัาข้า”

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ ข้าพระพุทธเชัาขอพระราชทานพระโอกาสกราบ


บังคมทูลถึงแบบฉบับแห่งบัณฑิตอันมีอยู่ว่า ผู้ใดทอดที่งผู้ที่เลื้ยงตนมาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ผู,้นั้นย่อม
ถูกคิเดียนทั้งสองด้าน คือตนเองก็ดิตนได้ว่า ‘เราทอดที่งท่านผู้เลื้ยงดูเรามาเพราะเหตุต้องกาวทรัพย์ ได้
กระทำบาปถึงขนาดนั๋เจียวนะ’ คนอื่นก็จะดิได้ว่า ‘คนที่ทอดที่งผู้ที่เลื้ยงดูตนมาเสียเพราะต้องการทรัพย์

เป็นคนมีบาปกรรม’ โปรตทรงพระวิจารณ์เถิดพระพุทธเด้าข้า”
“ข้าพระพุทธเด้าขอกราบทูลพระกรุณาว่า พระเด้าวิเทหราชยังทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ข้า
พระพุทธเด้าจะไม่ขอเป็นคนของพระราชาพระองค์อื่น จะไม่ขออยู่ในดินแดนของพระราชาพระองค์อื่น

พระพุทธเด้าข้า”
พระอธิราชจุลนิทรงสด้บแลัว เช้าพระทัยได้ดีว่า พระองค์ไม่สามารถจะซักชวนท่านมหาบัณฑิต

kalyanamitra.org
๔๕๕

มาอยู่ยังสำนักของพระองค์ได้แน่ แต่ในคำของท่านมหาบัณฑิตนั้นเองก็ได้เปิดโอกาสอยู่ ซึงทรงถึอโอกาส


นั้นทันที ตรัสว่า “ล้าเช่นนั้นพ่อบัณฑิตจงให้ปฏิญาณว่า ในเมื่อวิเทหราชพระราชาของเธอทิวงคตแล้ว
เธอจะมาอยู่กับฉันเช่นนื้เชิด’’

“ขอเดชะ พระมหากรุณาลันเกล้าๆ ด้ามีพระประสงค์เช่นนั้นข้าพระพุทธเด้าก็ไม่ข้ดข้องประ-


การใด พระพุทธเด้าข้า’’ ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลลวายปฏิญาณ “เมื่อถึงกาละนั้นข้าพระพุทธเด้ายังมี

ซีวิตอยู่ ก็จักมาอยู่กับฝ่าละอองธุลีพระบาทพระพุทธเด้าข้า”
พระอธิราชจุลน็ ทรงดีพระทัยอย่างยิ่ง ทรงเชิญท่านมหาบัณฑิตซ็งเตรียมการจะกลับมิชิลา
โดยต่วน ให้พำนักอยู่อีก ๗ วัน พระราชทานสักการะเป็นอันมาก ตลอดชิงการเลั๊ยงดูให้เป็นที่สำราญ
ในวันที,ท่านมหาบัณฑิตกราบถวายบังคมลาก็พระราชทานลักการะวรามิส โดยพระดำรัสว่า “พ่อมโหสถ
ฉันขอให้ทอง ๑,๐๐๐ ลิ่ม บ้านส่วย ๘๐ บ้าน ในแดนกาสี ทาสหญิง ๔๐๐ ภริยา ๑๐๐ แก่เธอ ขอเธอ

จงพาเสนางคนิกรทั้งหมดเดินทางไปโดยสวัสดีเชิด”

ท่านมหาบัณฑิตนิวายบังคมรับพระมหากรุณาธิคุณแล้วกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระมหากรุณา


เป็นลันเกล้าฯ ข้าพระพุทธเด้าขอถวายความรับรองแต่ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ถึงพระประยูรญาติทุก
พระองค์ที่อยู่ในมิชิลานคร ใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไม่ด้องทรงห่วงใย ในตอนที่พระราชาของข้าพระพุทธเด้า

จะเสด็จกลับ ข้าพระพุทธเด้าได้กราบทูลแด่พระองค์ท่านไวัว่า ขอให้ทรงยกย่องสถาปนา พระนางนันทาเทวิ


ในฐานะเป็นพระราชมารดา เจัาชายบัญจาลจันทะในฐานะพระกนิษฐภาดา แล้วให้ทรงอภิเษกกับพระ-
ราชธิดาของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจัาได้ปฏิน์ตดังนื้แล้วซึงส่งเสด็จไป ข้าพระพุทธเจัา

กลับไปถึงมิชิลาแล้ว จักส่งเสด็จพระราชมารดา พระนางนันทา และเจัาชายบัญจาลจันทะมาโดยเร็ว

“ดีแล้ว พ่อบัณฑิต” ตรัสด้วยความยินดี แล้วมีพระดำรัสฝากสิ่งของที'ควรพระราชทานแต่


พระราชธิดาของพระองค์ ทาสชาย ทาสหญิง โค กระบือ ผ้าอลังการ ข้าง บ้า และวถที่ตกแต่งแต้วอย่าง
สวยงามตรัสมอบว่า “พ่อจงนำสิ่งเหล่านั้ใปฝากลูกหญิงของฉันด้วย” แล้วทวงตรวจตราเสนาและพาหนะ
ของท่านมหาบัณฑิตด้วยทรงพระดำริว่า จะควรเพิ่มเดิมอะไรให้อีกป้าง มีพระราชดำริลังพนักงานของ
พระองค์ว่า “จงเพิ่มอาหารให้แก่ข้างบ้าเป็นทวิคูณ จงให้เสบียงสำหรับเลั้ยงพลรถ พลราบให้พอเพียง
เลื้ยงกันให้ลิ่มหนำ อย่าได้ล่าบากด้วยอาหารในวะหว่างทางเลย”

ในตอนเสด็จส่งท่านมหาบัณฑิต ได้ตรัสประทานพรว่า “พ่อบัณฑิต เชิญพ่อคุมขบวนพลข้าง


พลบ้า พลรถ พลราบเดินทางไปเชิด พระมหาราชวิเทหะจงได้เห็นพ่อถึงมินิลานครโดยสวัสดีเชิด”
พระอธิราชจุลน็ ทรงลักการะท่านมหาบัณฑิตใหญ่โต พระราชา ๑๐๑ เหล่านั้น ทุกพระองค์
ก็ทวงลักการะท่านมหาบัณฑิตอย่างใหญ่หลวง พระราชทานบรรณาการมากมาย แบ้บรรดาบุรุษที,ได้ส่ง

ไปสีบข่าวประจำราชสำนักนั้น *1 ก็พากันแห่ห้อมแวดล้อมท่านมหาบัณฑิตกลับคึนมิชิลานคร

kalyanamitra.org
๗๐. กลบมิถิลา
ท่านมหาบัณฑิตพรัอมด้วยบริวารขบวนมหึมาทั้งที่มากับท่าน ทั้งที่ได้รับพระราชทานจาก

พระอธิราชจุลนี ออกเดินทางจากบัญจาลนคร รอนแรมมาโดยลำดับ ถึงบ้านในแดนกาสีที่พระอธิราชจุลน้

โปรดพระราชทานอันอยู่ในระหว่างทาง ใกลัดินแดนวิเทหรัฐก็ส่งคนไปเก็บส่วยตามธรรมเนียม แต้ว

ออกเดินทางต่อไป ใกต้จะถึงมิถิลา หนทางประมาณ ๓ โยชน์ ข่าวการมาของท่านก็ถูกส่งไปยังมิถิลาทันที


ทั้งนํ๋เพราะตอนที่ท่านเสนกดามเสด็จกลับจากบัญจาลนครกับพระเด้าวิเทหราชนั้น ได้วางคน

คอยเหตุไวีในระหว่างทาง ห่างจากมิถิลานครประมาณ ๓ โยชน์ พรัอมกับสั่งว่า “เด้าจงรัการมาหรือ

ไม่มาของพระอธิราชจุลนี หรือด้าจะมีใคร ๆ ผ่านมา จงบอกเราโดยเร็วที,สุด”

เหตุนั้นพอท่านมหาบัณฑิตมาถึงระยะนั้น คนคอยเหตุก็รีบกลับไปมิถิลานคร นำความแชัง

แด่ท่านเสนกทันทีว่า “ท่านอาจารย์ขอรับ บัดนั้ท่านผู้สำเร็จราชการมโหสถกำลังเดินทางมาพรัอมด้วย

บริวารขบวนใหญ่”
ท่านเสนกฬงแลัวดีใจยิ่งนัก รีบเข้าเผ้าพระเด้าวิเหทราชทันที พระเด้าวิเทหราชพระองค์ก็

ทรงรอการกลับมาของท่านมหาบัณฑิตอยู่เช่นเดียวกัน ในวันนั้นเมื่อท่านเสนกขั๊นมากราบทูลว่า “มาแต้ว”


ก็เสด็จลุกจากพระแท่น เสด็จไปที่พระแกลอันเป็นทางมาจากบัญจาลนคร ทอดพระเนตรเห็นขบวน

พลทหารอันใหญ่โต ทรงดำริว่า “เสนาของพ่อบัณฑิตมีนัอยกว่านมากนักแต่เสนาที่กำลังเคลื่อนมาน


ปรากฎใหญ่โตเหลือเกิน บางทีจะเป็นจุลนียกกองทัพมาก็ได้” ทรงหวั่นพระทัยอยู่ ตรัสถามท่านเสนก

“ท่านอาจารย์ แสนยากรที'ปรากฏนั้นมันใหญ่หลวงทั้งขบวนข้าง ขบวนมัา ขบวนรถ ขบวนราบ น่าสะพรึงกลัว

น่าจะเป็นผู้อื่น มิใช่มโหสถเสียละกระมัง”

ท่านเลนกกราบทูลทันทีว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาๆ พระปิดิโสมนัส

ชักด้องปรากฏในพระหทัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างสูงสุดทีเดียวพระพุทธเด้าข้า โปรดอย่าได้
ทรงเคลือบแคลงพระหทัยเลย ท่านมโหสถคุมขบวนเสนางคนิกรทั้งหมดนั้น เดินทางมาถึงมิถิลาโดย

สวัสดีแต้วละ พระพุทธเด้าช้า”
พระเด้าวิเทหราชทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงสั่งใทัคนนำกลองไปดีประกาศทั่วพระนคร

ป่าวรัองชาวเมืองว่า “ชาวมิถิลา จงดกแต่งบ้านเมืองด้อนรับท่านมหาบัณฑิตกันเถิด”


ชาวเมืองได้ฬงประกาศต่างดีใจ ที่บุคคลผู้เป็นมิ่งขวัญของพวกเขาได้กลับมาถึงแต้วโดยสวัสดี

ต่างพากันกระวีกระวาดตกแต่งพระนครกันโดยต่วน มีราชว้ดีฉัตรธง และต้นกลัวยบักอยู่เรียงราย ตั้งแต่

kalyanamitra.org
๔๕'๗

ประตูเมืองจนถึงพระราชวัง ทั้งนั้ด้วยความรักและเลื่อมใสในบัญญาภูมิของท่านมหาบัณฑิตอย่างจริงใจ

ท่านมหาบัณฑิตเช้าลู่พระนคร พรัอมด้วยขบวนเสนางคนิกรเป็นท่องแถว ได้รับการด้อนรับ


จากชาวเมืองด้วยความยินดีปริตา เสียงโห่รัองกัองสนั่นด้วยความดีใจ แผ่นผ้าเป็นแสน ๆ ได้โบกสะบัด

กวัดไกวในอากาศ เสืยงเรียกนาม เสียงขานโห่โกลาหลอึงอลไปตลอดทางทีเดียว ท่านรับการด้อนรับของ


ชาวเมืองด้วยความยิ้มแย้'มแจ่มใสไปตลอดทาง ถึงพระราชวังรีบชื้นเฝืา พอท่านปรากฎกายเช้าในประตู

ท้องพระโรง พระเว้าวิเทหราชก็เสด็จจากบัลลังก์ มาทรงกอดท่านแนบพระองด็ พลางมีพระคำรัสว่า


“พ่อมโหสล พวกเราทิ้งพ่อไว้ในเงื้อมมือของชาวกัปปิลรัฐพากันมามิชิลาเสีย เหมือนคน ๔ คน หาม
คนตายไปทิ้งเสียในป่าช้าฉะนั้นแหละ เออ! พ่อมโหสถ พ่อรอดพันเงื้อมมือชาวกัปปิลรัฐอันมีจุลนีเป็น

จอมทัพมาได้อย่างไว พ่อใช้การพรรณนาอย่างไว ใช้เหตุผลอย่างไร และใช้ประโยชน์อย่างไรถึงได้ปลด


เปลื้องตนรอดมาดังนั้นะพ่อ”

ท่านมหาบัณฑิตกราบทูลว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกด้าๆ ช้าพระพุทธเว้าหว่าน


ลัอมความด้องการ ที่พระอธิราชจุลนิทรงพระคำริไว้กับบริวารของพระองด็ ด้วยความด้องการที่ช้าพระ-
พุทธเว้าคิดสลัดความดีดที่พวกนั้นคิดไว้รอบด้าน ด้วยความคิดของช้าพระพุทธเว้า ข้าพระพุทธเว้าลัอมวง

พระอธิราชจุลน็กับราชบริพารเสีย เหมือนมหาสมุทรด้อมชมพูทวิปฉะนั้น” แด้วกราบทูลบรรยายพฤติการณ์


ที่ได้กระท่าไป ไท้ทรงทราบโดยพิสดาร ท่าให้พระเว้าวิเทหราชทรงปลื้มพระทัย ครั้นแลัวก็กราบทูลถึง
เครื่องบรรณาการที่พระอธิราชจุลน็ประทานว่า “ขอเดชะ พระมหากรุณาลันเกลัาๆ พระอธิราชจุลน้

ทรงพระราชทานทอง ๑,000 ลิ่ม บ้านส่วยในแคว้นกาสี ๘๐ บ้าน ทาสี ๔๐๐ ภริยา ๑๐๐ แย่ข้าพระ-

พุทธเว้า ข้าพระพุทธเว้าได้พาเสนางคนิกรทุกหมู่เหล่าเดินทางมาโดยสวัสดีพระพุทธเข้าช้า”
“เด็ดจริง! พ่อมโหสถ” ทรงชมเชยด้วยทรงดีพระท้ย ทรงร่าเริงตลอดเวลาที่ได้ทรงสดับ

สุดทีจะทรงสะกดพระท้ยไว้ได้ด้วยพระปีติแผ่คลุมพระหทัย ความโสมนัสเล่าก็เปียม ทรงอุทานถึงด้อยคำ


ที่ตรัสกับเสนกช้าอีกว่า “ท่านอาจารย์เสนก การอยู่ร่วมกับบัณฑิตช่างเป็นสุขดีจริงหนอ มโหสถปลด
เปลื้องพวกเราผ้ตกอยู่ในมือข้าศึกให้รอดพัน เหมือนปล่อยนกออกจากกรงทองปล่อยปลาที่ดิดข่าย โอ!

พ่อมโหสถ”
ท่านเสนกก็กวาบทูลรับพระกระแสรับสั่งว่า "ขอเดชะ พระบารมีปกเกลัาๆ เป็นดังพระราช-

คำรัสแน่นอนพระพุทธเข้าข้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมน่าแต่ความสุขมาไท้ถ่ายเดียวพระพุทธเข้าข้า”
พระเว้าวิเทหวาชทรงใท้ท่านมหาบัณฑิตกลับไปพักผ่อน แลัวมีพระราชกระแสรับสั่งไท้คนน่า
กลองไปเที่ยวดีประกาศพระบวมราชโองการว่า

“ชาวเมืองทั้งหลาย จงเล่นการมหรสพสมโภชพ่อมโหสถ ๗ วัน ผู้ใดมีความรักในตัวเราเท่าใด


ผู’้ นั้นจงมอบความรักเท่านั้นแย่พ่อมโหสถเลิด จงกระท่าการเชิดชูยกย่องให้สมรักเชิด”
“ชาวมิชิลาทั้งหลาย พิณทุกคันที'มีทั้งหมด จงถูกดีดให้ส่งเสียง กลองและตะโพนทุกใบ ที่
มึในมิชิลา จงถูกดีใท้เปล่งเสียง สังข์อันมาแต่แคว้นมคธทุก *1 อันในมิชิลา จงถูกเปาให้บันสีอสนั่น กลอง

kalyanamitra.org
๔๕๘

ใหญ่ทุกใบในมิถิลาจงบันลือเสียงอย่างครื้นเครง”
การประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ของพระเจ้าวิเทหราชได้เป็นที่ด้อนรับของชาวมิถิลา
ทั่วทุกฝ่าย ตั้งต้นแต่ข้าราชการฝ่ายหน้า ซึ่งมีท่านเสนกเป็นประมุข ก็ได้ซักชวนบรรดาอำมาตย์ราชบริพาร
ทั่วทุกคนร่วมมือกันจัดงานฉลองอย่างครึกครื้น ทั้งข้าราชการฝ่ายใน มีพระนางอุทุมพรเทวิเป็นประธาน

ก็ชวนกันสนองพระราชกระแสด้วยเต็มใจ บรรดานายทัพนายกองตลอดดึงไพร่พลทุกหมู่ทุกเหล่า ต่าง


ก็ร่วมฉลองชาวชนบท ชาวนิคม ก็มาประชุมกัน ต่างก็น้อมนำข้าวปลาอาหารและเครื่องดื่มมาเป็นจ้านวน
มาก ร่วมฉลองท่านมหาบัณฑิตรวมฝูงคนที่พากันมามากลัน มิถิลานครแคบลงถน้ดใจในยามนั้นเพราะ
ฝูงคนมากันทุกทิศทุกทาง ด้วยความเสื่อมใส ด้วยความรัก และด้วยความเทิดทูนในการที่ท่านแอํไขดน
รอดพ้นมาจากเงื้อมหัตถ์ของพระอธิราชจุลนิ มิหนำชํ้ายังทำใหัพระองด็ทรงโปรดปรานพระราชทานผู้
คนข้าทาสชายหญิง และลิงของเครื่องบรรณาการอีกมากมาย จิตใจของมหาชนชาววิเทหรัฐ จึงชี่นชม
ยินดีดึงขนาด ต่างก็ต้องการจะพบเห็น และจะพ้งเรื่องราวของท่าน จึงพากันมาเต็มเมือง และก็เป็นแน่
ละที่พิณทุกด้นในมิถิลาจะถูกดีดใท้เปล่งเสียง กลองและตะโพนทุกใบในมิถิลา จะถูกตึไหัดึกกัองกังวาน
สังข์ที่มาจากแคว้นมคธทุก *1 อันจะถูกเปาบันลือสนั่นไป กลองใหญ่ทุก จุ ใบ ก็ถูกดีบันลือดัง ความ
ครึกดรื้นรื่นเริงในยามนั้นสุดที่จะพรรณนา การฉลองกว่าจะสิ้นสุดก็กินเวลาดึง ๗ วัน

ครั้นเลิกงานสมโภชแต้ว ท่านมหาบัณฑิตก็เข้าเสาพระเจ้าวีเทหราชกราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ


ฝ่าละอองธุลึพระบาทปกเกต้าๆ บัดนื้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกด้าๆ ว่า ควรจะรึบส่งกษัตริย์ทั้ง ๓ พระองต็

คึอพระราชมารดา พระราชเทวิ และพระราชโอรสของพระอธิราชจุลน้ กลับไปส่บัญจาลนครโดยเร็ว

พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชสดับแลัว ตรัสสั่งว่า “ดีละพ่อ ส่งไปเร็วเถิดพ่อจัดการส่งไปเถิด”

ท่านมหาบัณฑิตถวายความยกย่องแต่กษัตริย์ทั้ง ๓ พระองต็อย่างใหญ่หลวง แลัวบำเหน็จ


รางวัลแก่พวกแสนยากรที่เดินทางจากปัญจาลนครมากับท่านอย่างทั่วดึง แลัวสั่งใหัเตรียมด้วเพื่อเป็นขบวน

ส่งกษัตริย์ทั้ง ๓ พระองต็ พรัอมกับทหารของท่านเอง ซ็งจะจัดใหัร่วมไปด้วย เพึ่อเฉลิมพระเดึยรดิยศ


จัดเตรียมผู้คนที,จะเข้าขบวนเสด็จ ก็นำภรรยา ๑00 นางและทาสี ๔00 คน จากบัญจาลนคร ที่พระ-
อธิราชจุลน็พระราชทานแก่ท่านเข้าเสาพระนางนันทาเทวี เพื่อส่งคึนยังบัญจาลนครตามเดิม เมือได้ตระ-
เตรียมการเรียบรัอยแต้ว ก็กราบทูลพระ.เจ้าวีเทหราชทรงทราบ พรัอมทั้งกราบทูลกษัตริย์ทั้ง ๓ พระองด็

ใหัทรงอำหนตวันเดินทาง
กษัตริย์ทั้ง ๓ พระองด็ ก็ทวงตระเตรียมที,จะเสด็จกลับบัญจาลนคร ทวงอำลาพระเจ้าวีเทหราช

ตามประเพณีแต้ว พระนางนันทาเทวีทรงสวมกอดพระราชธิดาจุมพิตพระเสียร ตรัสว่า “ลูกรักของแม่


แม่สาละ แม่จะไปละ ลูกจงปฏิบัตพระราชสวามีตามเขียงอย่างซัตดิยกุมารี อย่าใหัเป็นทีขฺนเคึองเบื้อง
พระบาททีเดียวนะลูก” ตรัสได้เพึยงเท่านื้ ก็สุดที่จะระงับพระทัยอาลัยได้ ทรงกันแดงด้วยพระสุรเสียงด้ง
ร่าพันว่า “ลูกแม่ไม่เคยพลัดพรากจากกัน ครั้งนื้ต้องพรากกัน อยู่จงดีเถิดนะ”

kalyanamitra.org
ธโ,

“พระนางบัญจาลชันที ก็สุดที่จะทรงระงับพระทัย ทรงกันแสงสะอึกสะอื้น วอนพระราช


ชนนีว่า “เสด็จแม่เจ้าขา อย่าเพิ่งทิ้งลูกไปเลย โอ! เสด็จแม่ของลูก ลูกจะเห็นใครเล่า”

“ลูกแม่ ระงับใจเสียเชิด” พระนางนันทาเทวีตรัสปลอบทั้ง *1 ที่พระองค์เองก็สุดแสนจะอาลัย

พระราชธิดา แต่ก็ต้องฟินระงับพระทัย ทรงกล่ากลืนโศกาลัย “แม่จำต้องจากลูกของแม่นะลูก พระชนก


ของลูกไม่มีผู้ใดจะปรนนิบัติพระองค์ ทั้งพระราชกิจก็มาก แม่จำต้องกลับบัญจาลนคร” ตรัสพลางพระนาง

ก็ด้ดพระทัยจากพระราชธิดา ทรงฝากฝังกับพระเจ้าวีเทหราชและท่านมหาบัณฑิต ด้วยทรงห่วงใยสุดแสน


ทั้ง ๓ กษัตริย์ ออกเดินทางจากมิชิลานคร ด้วยขบวนจตุรงดินีเสนาสมเกียรติทุกประการ
เสด็จรอนแรมโดยล่าดับ จนกระทั่งบรรลุชิงบัญจาลนคร
พระอธิราชทรงต้อนรับ พระราชชนนี พระราชเทวีและพระราชโอรส ด้วยความอิ่มเอิบพระท้ย

ตรัสถามพระราชชนนีว่า “เสด็จแม่ วีเทหราชทรงสงเคราะห็เสด็จแม่อย่างไรบัางพระเจ้าข้า”


“พ่อคุณเอย วีเทหราชช่างดีเหลือเกิน” พระนางสลากเทวีตรัสด้วยซืนชม “แม่น่ะหรือ วีเทหราช
เทิดทูนอย่างเทวดาทีเดียว ทรงสักการะยกย่องแม่อย่างสูง ไม่มีการดูหมิ่นดูแคลนเลย น่าชมเชยเหลือเกิน

น้นทาเทวีเล่า วีเทหราชก็ยกย่องเหมือนแม่บังเกิดเกลัาของท้าวเธอทีเดียว ทรงเอาใจใส่มิให้เดือดรัอน


อะไรเลย ลูกปัญจาลชันทะก็ทรงนับเป็นน้องของพระองค์ทีเดียว ทรงรักใคร,สนิทสนม วีเทหราชช่างดี

จริง *1 แม่อดรำลึกชิงไม่ได้เลย”
พระอธิราชจุลนีทรงพ่งแลัว ยิ่งเพิ่มพูนพระปิดิโสมนัสทรงรักพระเจ้าวีเทหราชและท่านมหา-
บัณฑิตยิ่งนัก มีพระราชดำรัส สั่งให้ชัดบรรณาการไปถวายพระเจ้าวีเทหราชและท่านมหาบัณฑิตอีก

มากมาย
ตั้งแต่นั้นมาพระนครทั้ง ๒ ก็เป็นสุวรรณบัฐพีแผ่นเดียวกัน กษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ ต่างก็
สมัครสโมสรด้วยสามัคคีรสชี่นบานต่อกัน ชมพูทวีปก็ปราศจากศึกสงคราม ประสบสันติเจียรกาล
ชิบภาคที่ ๓

kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
ภาคท
มหานุภาพแห่งป็ญญา
สุภาษิตประจำภาค
ปฌฺฌา หิ เสฎฺขิา กุสลา วทนุดิ
นกขตฺตราชาริว ตารกานํ
สีลํ สิรี จาปิ สตฌฺจ ธมฺโม
อนุวายิกา ปฌฌวโต ภวนุติ

ชาดก ปฐมภาค ขุฑฑกนกาย

ผู้ฉลาดทั้งหลาย กล่าวว่า ปญณูาเท่าทั้นประเลรรทสุด เพยงด''งดวงล่นท5ประเลรรทสุด กว่า


ดวงดาวทั้งหลาย ดล ล่ร และธรรมของปูด เปีนลภาพดำเนนดามปูมปญญา

0611311117 XVIรชอถา 15 1116 ๖631 (อโ 3๖), 537 1๖6 6X1ว6115,

ธ761ใ 35 1๖6 ถาออก, 1๘ก8 อโ 1๖6 60ถ516113110ก5, 1๖6 5เ31’5,

^1อโ31ก่7, 3กช 0๐611-106 อโ 1๖6 6ออช5;

?\โ6 1๖1101761-5 อโ 1๖6 ^156 0ถ6.

kalyanamitra.org
๗๑. ย้ายจากมิถิลา
ท่านมหาบัณฑิตได้ใซัปรีชาญาณอันสามารถอย่างยอดเยี่ยม ดำเนินการๆกสิ'งทุกอย่าง เพึ๋อ

เทิดทูนพระบรมราชอิสริยยศของพระเจ้าวิเทหราชดลอดดึงเพื่อความสงบสุขของประชาชนชาววิเทหรัฐ

หากจะสำรวจความเป็นไปของท่านมหาบัณฑิตนับแต่ได้รับสถาปนาในดำแหน่งผู้สำเร็จราชการ
วิเทหรัฐเป็นด้นมา ท่านได้กระทำงานอันสำคัญซึ่งยากและหนักหลายเรึ่องด้วยกัน นับแต่ได้ป้องกันมิให้

องค์กษัตริย์แห่งชมพูทวีปต้องสูญสี่นไปเพราะความคิดพาล *1 ของปุโรหิตเกวัฎ แห่งบัญจาลนคร ก็เป็น


งานอันสำคัญมาก และเป็นงานที่ด้องเสี่ยงอย่างหนักโดยต้องเอาแควันวิเทหะเป็นเดิมพัน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น

การทำลาย ‘ไห่/บานทบ’ เป็นชนวนแห่งสงครามระหว่างวิเทหรัฐและบัญจาละกองทัพ ๑๘ กองทัพของ


พระอธิราชจุลนี กรีธามาประชิดมิถิลา แต่ด้วยปรีชาสามารถของท่าน ได้นำมิถิลานครและวิเทหรัฐ ให้
รอดพันจากความเป็นประเทศราชแห่งพระอธิราชจุลนิไปได้ ที่สำคัญทีสุดก็คือ การดำเนินงานอย่าง

กล้าหาญในดินแดนแห่งพระอธิราชจุลนีเอง เท่ากับยอมตามเช้าไปอยู่ในปากเสือปากจระเข้พรัอมทั้ง

พระเจ้าวิเทหราช และไพร'พลแห่งมิลิลา แต่ด้วยปรีชาญาณอันสำเลิศ ได้ช่วยให้พระเจ้าวิเทหราชรอด


พันจากเงื้อมห้ตย์แห่งพระอธิราชจุลนีมาโดยสวัสดี พรัอมทั้งได้ถวายพระนารีรัตน์ คือพระนางบัญจาล

จ้นทีแด'พระเจ้าวิเทหราช สมพระมโนรถอีกด้วย และพรัอมกันนั้นก็ก็าราบพระอธิราชจุลนิลงอย่างราบคาบ

พระอธิราชจุลน็ ทรงหมดความเป็นจอมอริต่อมิถิลานคร นับแต่นั้นมาผืนแผ่นดินบัญจาละ

และมิถิลา ก็เป็นสุวรรณบัฐพีแผ่นเดียวกันด้วยสันถวไมตรีอันดีเลิศ ปราศจากความเป็นศัตรูต่อกัน ประ-


ชาชนต่างไปมาหากันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ความสงบสุขแผ่ไปทั่วภูมิภาคชมพูทวีป ดึงแม้ว่าท่าน

มหาบัณฑิตจะยังมีศัตรูคู่อาฆาตอยู่ คือเกวัฎ ปุโรหิตาจารย้แห่งบัญจาละซึ่งยังคงผูกใจเจ็บในท่านอยู่ แต่


ก็หมดโอกาสที่จะคิดประทุษรัายได้ต่อไปเสียแล้ว เพราะผลงานที่ตนได้กราบทูลเสนอแด่พระอธิราช-

จุลน็นั้น ถูกทำลายลงอย่างแหลกลาญทุกแผน แผนล่าแควันก็ลัมเหลว แผนตกเบ็ดก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็น

ท่าทีเดียว ปลาคัวฉลาดงับแด่เหยึ่อ เหลือเบ็ดและสายพรัอมทั้งคันไวัให้พระอธิราชจุลน็ ฉะนั้นเกวัฎจึง


หมดหนทางที,จะเสนอแผนการอะไรอีก ดึงจะเสนอก็ไม่มีใครเซือแล้ว ชมพูทวีปมีแด่ความสุขทุกด้าวแดน

ในยามนั้น

ในมิถิลานครก็มีแด่ความสุข ประชาชนเต็มไปด้วยความชี่นบาน พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงพระ-

สำราญ พระนางบัญจาลจันทีราชธิดาของอธิราชจุลนี ก็ทรงเป็นข้ตดิยานีอุดมด้วยพระรูปสมบัติและ


พระคุณสมบัด ทรงปฏิบัติพระองค์สมฐานะมิได้บกพร่องเลย สมพระนามว่า “ดวงจนทร์แห่งปญจาฝ็ะ”

kalyanamitra.org
๔๖๕

ทีเดียว พระนางเป็นที่โปรดปรานของพระเชัาวิเทหราช ทั้งพระนางอุทุมพรก็ทรงพระเมตตา มิได้มี

พระทัยหึงสาพยาบาทแต่ประกาวใด ทวงมีพระทัยไมตรีต่อพระนาง!!ญจาลขันทีเสมือนเป็นพระกนิษฐา
ทรงรับความเคารพเทิดทูนจากพระนาง!!ญจาลชันท้อย่างเต็มพระทัย ความสุขรื่นรมย์ในพระราชวัง แผ่
กระจายไปทั่ว!!านเมือง ในปีที่ ๒ ที่พระนาง!!ญจาลชันท้ ได้เป็นพระราชเทวิของพระเชัาวิเทหราช
พระนางก็ถวายรัชทายาทแห่งแควันวิเทหรัฐแต่พระราชสวามีดามพระมโนรถ ยิ่งก่อให้เถิดความปรีดา
ปราโมทย์แต่ชาวแควันวิเทหรัฐเป็นอย่างยิ่ง องค์พระราชโอรสนั้น คือมิ่งขวัญของประชาชนทีเดียว พระ-

เชัาวิเทหวาชทรงมีพระชนมายุต่อจากนั้นอีก *5-0 พรรษา ก็สิ้นพระชนม์ ท่านมหาบัณฑิตก็ชัดการถวาย

ราชสมปติแด่พระราชโอรสรัชทายาท แมัจะทรงพระเยาวิด้วยพระชนม์แต่พระปรีชาสามารถเหมาะสม
ที่จะดำรงราไชควรรย้ทุกประการ
ภายหลังจากได้ขัดการบ้านเมืองเป็นที่เรียบรัอยแลัว วันหนึ่ง ท่านมหาบัณฑิดก็สั่งอมราเทวิ
ผู้เป็นศรีภรรยาให้ขัดเดรียมที่จะอพยพได้โดยเร็วทำให้อมราเทวีมีความฉงน จึงเอ่ยถามว่า “พ่อพระของ
อมรา จะไปไหนคะ จึ่งสั่งอพยพโดยต่วน”
“เทวีของฉัน เธอดงไม่ลืมว่า ฉันเคยถวายปฏิญญาไว้แต่พระอธิราชจุลนีว่า เมื่อพระเขัา-
วิเทหราชสิ้นพระชนม์แลัวจะไปรับราชการในบัญจาละ” ท่านมหาบัณฑิตซีแจง “บัดนึ่ก็เป็นกาลอันควร
ที่เราจะไปกันแลัว เทวีของฉันนึกได้หรือเปล่าจิะ?”

“นึกได้แลัวค่ะ แต่...” อมราเทวีสนอง “พ่อพระขา พระเชัาอยู่หัวของเรายังทรงพระเยาวิ


อยู่นะคะ ท่านไปเสียแลัวพระองค์จะทรงว้าเหว่พระท้ยมากท้เดียวค่ะ ท่านคิดอย่างไรคะเรื่องน’

“เทวีของฉัน ฉันคิดรอบคอบแลัว พระเชัาอยู่หัวของเราทรงพระเยาวิก็จริง แต่ก็ทรงพระ-


ปรีชาสามารถพอที่จะดำรงราชย์ได้แลัว ทั้งบ้านเมีองในยามนึ่ก็ไม่มีเหตุการณ์รัายแรงอะไร ความสงบสุข
แผ่ไปทั่วชมพูทวีปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าเป็นห่วงพระองค์ เป็นโอกาสที่ฉันจะได้ไปอย่างส่บายใจ

เทวีของฉันเซือฉันเถิด” ท่านมหาบ้ณฑิดแถลงให้เบาใจ
“พ่อพระของอมรา ได้ทำให้แผ่นดินประสบสันติสุข อมราดีใจค่ะที่ได้เห็นสันติปกแผ่ไปทั่ว

สกลชมพูทวีป และมีความเซือในพ่อพระของอมราดลอดมาและตลอดไป จนซีวิตหาไม่ท้เดียว อมราจะ


ดระเตรียมการโดยเรียบรัอยค่ะ” อมราเทวีสนองด้วยความซ็นบาน
ท่านมหาบัณฑิต ขนเสาพระเขัาวิเทหราชน้อย เพื่อกราบถวายบังคมลา กราบทูลว่า “ขอเดชะ
ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกลัาฯ ข้าพระพุทธเชัาขอกราบบังคมลา เพื่อไปสู่กรุงบัญจาละ ไปอยู่ในสำนัก

พระอัยยกาธิราชของใด้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระพุทธเชัาข้า”
พระเชัาวิเทหราชน้อย ทวงสดับแลัวตรัสว่า “ท่านบัณฑิตอย่าเพิ่งทิ้งฉันไปเลยอยู่กับฉันเถิด

ฉันยังเด็กอยู่ ฉันกำลังดำริอยู่ว่าจะสถาปนาท่านในตำแหน่งของบิดาฉัน ชักยกย่องเชิดชูท่านต่อไป อย่า

ไปเลยนะท่านบัณฑิต”
พระนางบ้ญจาลขันที ประทับร่วมอยู่ด้วย ก็ได้ทรงช่วยทัดทานมีพระเสาวนีย์ว่า “ท่านบัณฑิต

kalyanamitra.org
๔๖๖

ท่านอย่าไปเลย ท่านไปแล้วเราจะได้ที,พึ่งที่ไหนอีกเล่า ไม่มีแต้วที่พึ่งของเราดิฉันและพระราชามีกิจการอะไร


ก็ไม่เจะปรึกษาผู้ใด อย่าไปเลยนะท่านบัณฑิต อยู่ที่มิล็ลานึ่เล็ด”

ท่านมหาบัณฑิตกราบบังคมทูลว่า “พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ แต่ข้าพระพุทธเชัา ได้


ถวายปฏิญญาไวัแด่พระอัยกาธิราชของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วพระพุทธเจํ'าข้า คำปฏิญญาย่อม
เป็นสำคัญเหนือสิงใด รุ ทั้งสิ้น เพราะเหตุนั้นข้าพระพุทธเด้าไม่อาจที่จะไม่ไปพระพุทธเด้าช้า ”

พระเด้าวิเทหราชน้อย และพระนางบัญจาลจันทีไม่สามารถจะทรงยับยั้งไว้ได้ แม้จะทรงอาลัย


เพียงไรก็จำต้องทรงอนุญาตตามที่ท่านปรารถนา ทั้งทรงเห็นความสำคัญแห่งปฏิญญาเช่นเดียวคัน
ประชาชนชาวเมือง ได้ทราบข่าวก็พากันเสียใจอาลัยเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนไม่สามารถจะอดกลั้น
ความเศรึาโศกไว้ได้ พาคันรึองไห้ครำครวญถึงคุณงามความดีที่ท่านมหาบัณฑิตได้กระทำไว้นานาประการ

ท่านมหาบัณฑิตถวายบังคมลา และถวายพระโอวาทตามสมควร และได้ให้โอวาทแก่ชาวมิล็ลา-


นครด้วย ซึงวันอันสมควรก็ออกเดินทางจากมิล็ลานคร พรึอมทั้งครอบครัวและบริวาร เดินทางรอนแรม

ไปตามระยะทางโดยสวัสดี
พระอธิราชจุลนืทรงทราบเรื่องการเดินทางมาของท่านมหาบัณฑิตทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
มีพระกระแสรับสั่งให้ตระเตรียมการด้อนรับอย่างมโหฬาร พระองค์เองก็เสด็จไปด้อนรับนอกพระนคร

ทวงเซือเชิญท่านมหาบัณฑิตเข้าสู่พระนครด้วยเกียรติยศอันใหญ่หลวง พระราชทานคฤหาสน้อันใหญ่
โตโอ่โถงและสง่างามแก,ท่านมหาบัณฑิตหลังหนี่ง พอที่ท่านจะอยู่ได้อย่างสบาย แลัวพระราชทานโภคะ
อื่น รุ นอกไปจากบัานส่วย ๘๐ บ้านที,เคยพระราชทานไวัแล้ว อีกส่วนหนึ่งด้วย

ท่านมหาบัณฑิตก็ได้เช้ารับราชการ ในราชสำนักของพระอธิราชจุลนื ตั้งแต่นั้นมา


ในครั้งนั้นนครบัญจาละมีนักบวชหญิง ชี่งเดิมเป็นสตรีผู้สูงศักดิ้ได้สละโลกีย์ออกถือเพศเป็น

ปริพาชิกามีนามว่า เภรึ พระแม่เภรีเป็นบัณฑิต ฉลาดในจริยธรรมและราชธรรม เป็นซีด้นของพระอธิราช-


จุลนื เป็นนักบวชประจำราชสกุล ได้รับพระบรมราชูปถัม/)ด้วยสิ,งที่เกื้อกูลแก่ความเป็นนักบวชทุกประการ

และได้เช้าไปฉันในวังทุกวันเป็นประจำ พระแม่เภรีไม่เคยพบกับท่านมหาบัณฑิตเลย เป็นแต่ได้พีงข่าวคราว


อยู่เสมอว่า “มโหสถบัณฑิตรับราชการอยู่ในพระอธิราชจุลนื” เท่านั้น

ฝ่ายท่านมหาบัณฑิต ก็ไม่เคยพบกับพระแม่เภรีเลยเช่นเดียวกัน เป็นแต่ได้ทราบข่าวว่าพระ-


แม่เภรีมาฉันในวังเป็นประจำคังนี๊เท่านั้น
อยู่มาวันหนึ่ง พระแม่เภรีมาฉันในวังตามปกติเสร็จแล้วก็เดินออกจากวังจะกลับที่อยู่ เป็นเวลา
พอดีกับท่านมหาบัณฑิตเดินผ่านท้องพระลานจะเช้าวังเพื่อเฝ็าพระอธิราชจุลนื ตามกิจวัตรของข้าราชการ
ทั้งสองท่านจึงได้พบกัน ท่านมหาบัณฑิตเห็นพระแม่แลัวก็กำหนดได้ทันทีว่า “นักบวชหญิงคนนึ่คึอ
พระแม่เภรีนั่นเอง” ก็หยุดยืนประคองอัญชลีนมัสการด้วยความเคารพเป็นอย่างดี พระแม่เภรีหยุดยืน
และเข้าใจได้ทันทีว่า ‘ผู้นื้ดึอมัโหสถบัณฑิต’ เพราะพระแม่เภรีย่อมรึชักข้าราชสำนักของพระอธิราชตลอด
และเป็นที,ด้นกันดี ท่านมหาบัณฑิตจึงเป็นผู้แปลกหนัา เมื่อเป็นผู้แปลกหนัาก็ทำให้คาตได้ถูกด้อง พระ-

kalyanamitra.org
๔^^

แม่เภรีดำริต่อไปว่า “ผู้นื้เป็นมโหสถบัณฑิตแน่ ไม่ด้องสงสัย เล่าลือกันนักว่าเป็นบัณฑิตใหญ่ในชมพูทวีป

เราต้องขอทดลองดู ให้รู้ว่าเป็นบัณฑิตจริงหรือมิใช่บัณฑิต”
ท่านมหาบัณฑิตเป็นบุคคลที่น่าเห็นใจอยู่มาก เป็นบุคคลที่เรียกกันอย่างสามัญก็ว่า “ถูกลองดี”
เสมอมา กว่าจะได้เข้ามารับราชการในราชสำนักแห่งพระเจ้าวิเทหราชครั้งที่ยังเยาว์อยู่ ก็ถูกทดลองถูก

สอบด้วยบัญหาต่าง ๆ จนกระทั่งเข้ามารับราชการก็ยังถูกริษยาจากคุณอาจารย์ทั้ง ๔ มีท่านเสนกเป็น

ประมุขจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด กว่าจะกำราบกันลงได้ก็กินเวลานาน ย้ายเมืองจากมิถิลามาบัญจาละแล้ว


ก็ยังถูกลองดีอีกในวันนั๊ แต่เป็นการทดลองของท่านผู้เป็นบัณฑิตด้วยกัน เป็นการทดลองชันเชิงแห่งปรีชา
ซึ่งบัณฑิตย่อมจะต้องประสบอยู่เสมอ การทดลองของพระแม่เภรีนั้น มีดังต่อไปนํ๋

พระแม่เภรี มองดูท่านมหาบัณฑิตแล้วแบมือเหยียดออกไปข้างหน้า กิริยาของพระแม่นเรียกว่า

“หัตถมุททา" แปลกันอย่างเข้าใจงาย *1 ก็ว่า “แสตงข้อประสงค์ด้วยมอ” หรือว่า “สมองมอ’’ หมายความว่า


แทนที,จะใซัคำพูดไต่ถามกัน กลับใซัมือแทน ล้าเป็นบัณฑิตก็แปลความหมายออก และก็ตอบด้วยกิริยา

ท่าทางอย่างเดียวกัน
ท่านมหาบัณฑิตเห็นกิริยาของพระแม่เภรีเช่นนั้น ก็เข้าใจได้ทันทีว่า “พระแม่เภรีถามว่า พระ-

ราชาทรงชักชวนท่านมาจากแดนไกล ทั้งท่านก็เป็นบัณฑิตมิใช่พอดีพอรัาย คือเป็นถึงมหาบัณฑิต พระองค์


ทรงชุบเลํ๋ยงประการใด” เมื่อได้ทราบเช่นนั้นแล้ว ก็ตอบด้วยวิธีเดียวกัน คือ “กำมือยื่นให้ด”ู
พระแม่เภรี เห็นแล้วก็เข้าใจได้ทันทีคือแปลความหมายออกได้ว่า ที่ท่านมหาบัณฑิตแสดง

กิริยาเช่นนั้น เป็นการตอบซึ่งล้าจะแปลเป็นคำพูดก็ว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า พระราชาทรงให้กระผมปฏิญญา

ถวายว่าจะมารับราชการในพระองค์ ในเมื่อพระเจ้าวิเทหราชสั้นพระชนม์แล้ว กระผมก็ได้มาตามปฏิญญา

บัดนั้พระราชายังทรงมัธยัสถ์อยู่เหมือนกำมือ มิได้โปรดพระราชทานสิ'งใด *1 นอกไปจากที,พระราชทาน

ให้แล้วขอรับกระผม” พระแม่แปลความหมายได้เช่นน ดีใจมาก เห็นความเป็นบัณฑิตอย่างแท้จริงของ


ท่านมหาบัณฑิต ครั้นแล้วพระแม่เภรีก็ยกมือขนลูบศีรษะ
ท่านมหาบัณฑิตเห็นกิริยาเช่นนั้น ก็แปลความหมายได้ว่า “ก็เมื่อคุณลำบากเช่นนั้นทำไมถึง

ไม่บวชเล่า บวชเหมือนเรานั๊ไม่ได้หรือ” ครั้นแล้วท่านมหาบัณฑิตก็เอามือลูบท้อง

พระแม่เภรีเข้าใจทันทีว่าความหมายของกิริยานั้นก็คือตอบว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า บุตรภรรยา


ทีกระผมจะต้องเลํ๋ยงมีหลายคน ยังบวชไม่ได้” พระแม่เภรีมีความซืนชมยินดีเป็นอันมาก ที่บ้านเมืองมี

นักปราชญ์ราชบัณฑิตมาสถิตอยู่เป็นมิ่งขวัญ พระแม่เดินต่อไปเพื่อไปยังที่อยู่

ท่านมหาบัณฑิตนมัสการพระแม่เภรีแล้วก็เดินเข้าวังไป

kalyanamitra.org
๗๒. ถูกใส่ความ
ท่านมหาบัณฑิต มีชีวิตเบื้องด้นผจญกับศัตรูเสมอมาตั้งแต่ราชสำนักมิถิลามาแส้ว ย้ายบ้านเมือง

มาบัญจาละก็คงมีศัตรูอยู่นั่นเอง ทั้งนึ่เพราะการต่อสู้กันนั้น ฝ่ายแพ้ถ้าไม่มีหัวใจเป็นนักปราชญ์ ไม่ได้

รับอบรมในจริยธรรม ย่อมไม่ยอมง่าย *1 ว่าตนแพ้ หรือในบางครั้ง ผู้ที่เป็นเพียงองค์ประกอบของการ

ต่อสู้ ตองประสบความทุกข์ความลำบาก ก็เกิดอาฆาตขนได้ ท่านมหาบัณฑิต แม้จะมิได้มีความคิดเป็น


ศัตรูกับใคร มีแด่ความมุ่งดีปรารถนาดีต่อประชาชนทั่วสกลชมพูทวีป ได้กระท่าทุกวิถีทางเพื่อที่จะก่อ

ใหัเกิดสันติสุขแก่มวลชน แต่เป็นธรรมดาอยู่เองที่การกระทำนั้นย่อมมีผลกระทบกระเทือนต่อประโยชน์

สุขของบุคคลบางคน อันก่อความเป็นศัตรูร้นได้ ด้งในกรณีของท่านมหาบัณฑิตในนครบัญจาละ


ที่ตำหนักพระนางนันทาเทวี มีกุลสตรีผู้สูงศักดิ้ของบัญจาละเฝัาแหนอยู่ พรัอมด้วยบรรดา

ข้าหลวงคนสนิทเป็นอันมาก พระนางนันทาเทวีทรงเก็บความแค้นไวิในพระทัยแต่นานมาแส้ว ภาพประทับ


ใจพระนางก็คือภาพที่ถูกคนของมหาบัณฑิตจับกุมคุมพระนางไป ภาพหัองอุปภิเษกในอุโมงค์ใหญ่ และ

ภาพที่พระนางด้องเสด็จไปมิถิลา แม้จะล่วงเลยมาเป็นเวลา ๑0 กว่าปีแส้ว แด่ม้นก็ยังเป็นภาพซัดแจ่ม

อยู่ในพระทัย และบัดนํ๋ผู้ที่บันทึกภาพเหล่านั้นลงในพระหทัยของพระนาง ก็ได้มาอยู่ในพระราชวัง เป็น

ข้าราชการของพระสวามี พระนางจะต้องหาทางทำลายท่านมหาบัณฑิตเสึย ด้งนั้นในบรรดากุลสตรีที่

มาเฝืานั้นจึงเป็นผู้ที1อยู่ฝ่ายพระนาง คอยหาโอกาสที่จะทำลายท่านมหาบัณฑิต เพื่อใหัถูกพระทัยของ

พระนาง
“นลิน”ิ พระนางมีดำรัสเรียกสตรีผู้หนึ่งในจำนวนนั้น “มีข่าวคราวอะไรบ้างเล่า ฉันกส้มใจ

เต็มทนแส้วละ ฉันปรารถนาจะเห็นเขาถูกทำลาย ถูกทำลายลงไปโดยเร็ว กุ เขาทำกับฉันเจ็บแสบเหลือเกิน

พวกเธอก็ทราบดีอยู่แส้ว ช่วยฉันบ้างชี”
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ พวกเราทุกคนพยายามอยู่ตลอดมาเพคะ” นลิน็กราบทูลสนอง “ตั้งแต่
มโหสถเช้ามาอยู่ในบ้านเมืองของเรา พวกหม่อมฉันมิได้นึ่งนอนใจเลย คอยสังเกตความเคลื่อนไหว และ

สดับตรับพ้งข่าวคราวของเขาตลอดมา แต่ก็ยังไม่มีวี่แววอะไรที่เห็นว่า พอจะ เป็นเหตุใหัพระเจัาเหนือหัว

ทรงระแวงเขาได้เพคะ”
“นืรชา วาสีนืเล่า ไม่มีอะไรบ้างหรือ” รับสั่งลามสตรีต่อไป “ได้ข่าวคราวอะไรมาบ้าง”

"ไม่มีอะไรเหมือนกันเพคะ ” เสียงทั้งสองนางกราบทูล “หม่อมฉันรัสีกว่าเป็นการยากอยู่

มากทีเดียวเพคะ เขาเป็นบัณฑิตมีความคิดรอบคอบ คงไม่กระทำการใด กุ ใหัพวกเราได้พบได้เห็นก็ได้

kalyanamitra.org
๔๖๙

เพคะ ยิ่งในหมู่พวกบริวารของเขาแต้ว ไม่มีข่าวอะไรที่จะรั่วออกมาเลย เขาพยายามปกปิดกัน แมัจะให้'


สินบนก็ยังไม่มีใครรับ ทุกคนมีความรักในมโหสถของเขาเป็นอย่างยิ่งเพคะ”
“เออ ฉันมีหมดหนทางที่จะแกัแค้นเขาเสียละกระมัง” พระนางทรงอุทานด้วยท้อพระทัย

“หม่อมฉันเห็นว่าพระแม่เหนือเกต้าๆ ด้องทรงระงับพระทัย ทรงรอโอกาสต่อไปเพคะ”


“ฉันรอ-รอ-มานานแต้ว ไม่มีอะไรบังเกิดขื้น มีแต่รอ-รอ แต้วก็รอ เชัอ!” พระนางทรงระบาย

พระอัสสาสะบัสสาสะ ด้วยทรงอัดอั้นพระทัย
“ก็ไม่มีทางอื่นใดนี่เพคะ” นลินืกราบทูล
“พร.ะแม่เหนือเกด้าๆ โปรดวางใจเถิดเพคะ พวกเราทุกคนพยายามทุกอย่าง เพื่อให้'พระแม่

เหนือเกลัาๆ ได้เห็นความพินาศของผู้เป็นสัตรูเพคะ” เสียงทุกคนกราบทูลถวายความลักดี


“ไม่มีอะไรก็ด้องรอ” พระนางตรัสในที่สุด “ขอให้เห็นใจฉันเถิด ทุกคนจงสังเกตความเคลื่อนไหว

ทุกระยะ และคอยสดับข่าวคราวของเขาอย่าได้คลาดทีเดียว”
“เพดะ พวกเรากำลังปฎิบัดีอยู่เช่นนั้น”
ทั้งนี่ เป็นเรื่องที่เกิดขื้นในพระค้าหนักของพระนางนันทาเทวี ภายหลังจากนั้น ความเคลื่อนไหว
ของท่านมหาบัณฑิตทุกระยะ จึงอยู่ในสายตาของสตรีผู้เป็นคนสนิทของพระนาง ด้งนั้นในวันที่ท่านมโหสถ

พบกับพระแม่เภรีจึงไม่รอดพ้นไปจากการจับตาคูของสตรีนักสีบ คึอ นลินื นืรชา และวาสีนื


สตรีทั้งสามติดตามท่านมหาบัณฑิตมา เมื่อได้พบกิริยาท่าทางของท่านกับพระแม่เภรี ต่างก็

ซ่อนแอบดูอยู่
นลินึบอกกับอีกสองนาง “แน่ะ เธอดูนั่นซ็เห็นไหมพระแม่เภรีกับมโหสถบุ้ยใบ้อะไรกัน”
อีกสองนางต่างรับพรัอมกัน “เออ! เห็นแต้วชอบกลนะ อะไรกันก็ไม่รัซี คนหนี่งแบมีอ คน
หนี่งกำมือ แต้วคนแบมือก็ลูบหัว คนกำมือก็ลูบพ้อง แปลกนะ”

วาสินื “คงจะเป็นสัญญาณลับอะไรลักอย่างก็ได้นะ พระแม่เภรีกับมโหสถคงจะเคยติดต่อ


กันมาก่อนกระมัง และคงจะคบกันด้วยสัญญาณไม่กลัาพูดกันด้วยวาจา”
“ป่วยการมาตีความกันเอง ไปเสาพระแม่เหนือเกลัาๆ กราบทูลใหัทรงทราบดึกว่า” นืรชาเอ่ย

ดัดบท
“จริงซ็ นี่ก็เปันเรื่องอันพอเพียงที่จะถือเป็นเหตุรัายได้แลัว เราไปกันเถอะ”

ทั้งสามนางพากันไปเสาพระนางนันทาเทวี เป็นเวลาเดียวกันกับท่านมหาบัณฑิตเข้าเสาพวะ-
อธิราชจุลนื พระนางนันทาเทวีแต่งพระองค้เสร็จแลัว กำลังประทับนั่งเหนือพระแท่น และกำลังทรง
ร็าพีงถึงเรื่องวาวเกี่ยวกับท่านมหาบัณฑิต เมื่อนางข้าหลวงมากราบทูลถึงกาวมาของสตรีอันสูงสักดํ่ทั้ง
สามนาง พระนางดีพวะทัย รับสั่งใหัเข้ามาเสาโตยเร็ว

พอสตรีทั้งสามเข้ามาในพระค้าหนัก ถวายบังคมยืนเสาพวะนางก็ตรัสพ้อและทวงถาม “เป็น


อย่างไวได้เรื่องอะไรบ้างหรือไม่?”

kalyanamitra.org
๔๗๐

นลินึกราบทูลสนอง “ได้เพคะ พวกหม่อมฉันได้พบมโหลถกับพระแม่เภรี ดอนที่จะเข้ามา


นี่แหละเพคะ”
“เออ เรื่องราวเป็นอย่างไร พระแม่เภรีทำไมเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเล่า?” พระนางตรัสซัก

“ไม่ทราบเกลัาๆ เพคะ หม่อมฉันเห็นยีนอยู่ด้วยกันทีประตูวัง ไม่พูดจาอะไรกัน แต่ก็แสดง


กิริยาต่อกันเป็นที่น่าสงสัยมากทีเดียวเพคะ” นลินีกราบทูล

“เขาทำอย่างไรกัน แสดงกิริยาอะไร เล่าเร็ว *1 ซี ฉันอยากทังเร็ว *1 แหมไม่ทันใจเลย” ริ'บ


สั่งด้วยริอนพระทัย

“พระแม่เภรีแบมือยื่นออกไป มโหสกกำมือยื่นออกไป พระแม่เภรียกมือลูบศีรษะ มโหลถ

เอามือลูบทัอง พวกหม่อมฉันแปลไม่ออกเพคะ ” นลินีกราบทูล


ขณะที่พระนางทรงทังและทรงนิ่งเหมือนทรงใข้พระดำริอยู่ นีรชาก็กราบทูลเสริมว่า “หม่อม

ฉันว่าคงมิใช่เรื่องดีเป็นแน่เพคะ ถึงด้องพูดกันด้วยภาษาใบ้ เพื่อมิให้ใครรู้เพคะ”


“นั่นสิ มันต้องเป็นเรื่องริายแน่ทีเดียว แต่มันอะไรกันพระแม่เภรีรู้จักกับมโหสกมาตั้งแต่ครั้งไหน

ถึงกับตั้งสัญญาณรู้กันเฉพาะเช่นนั่น ” พระนางรับสั่งด้วยทรงฉงนพระทัย ‘พระแม่เภริของเรา-เป็น

ไปได้หรือนี่? ที่พระแม่นั่นเป็นพวกเดียวกับมโหสก ’ “วาสินีล่ะว่าอย่างไร คิดเห็นอย่างไร?”

“หม่อมฉันก็เห็นว่าเป็นเรื่องรัายนั่นแหละเพคะ แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร” วาสินีกราบทูล

เสริมต่อไปว่า "เป็นไปได้ไหมเพคะ ที่คนทั้งสองคบคิดกันเพื่อปลงพระชนม์พระอธิราชของเรา ”

“น่าคิดเหมือนกัน” พระนางรับสั่ง “น่าคิดทีเดียว มโหสกเห็นจะคิดการใหญ่แน่ คงจะคิด

ครองราชบ้ลลังก์บ้ญจาลรัฐ การที่พระแม่เภรีแบมือเหยียดออกไปหมายความว่าทำไมไม่จัดการเสียให้

เรียบราบ ปราบเสียให้เตียนเหมือนฝ่ามือ มโหลถกำมือหมายความว่าตองทำให้มั่น จับให้มั่นตั้นให้อยู่ถึง

จะได้ ทำหละหลวมเป็นเกิดเรื่อง พระแม่เภรีลูบศีรษะหมายความว่า หัวเป็นสำคัญ ดัดหัวเลียแลัว

อะไร *1 ก็จะราบเรียบไปทั้งหมด มโหสกคงไม่เห็นด้วย เอามือลูบท้อง หมายความว่า ตองดัดกลางถึง


จะได้ คงเป็นอย่างนิ่แน่ทีเดียว ริายกาจมากนะพวกนี่ ทำไมพระแม่เภรีจึงพลอยร่วมมือด้วย น่าสงสัยจริง"

นลินีกราบทูลว่า “พระแม่เภรีน่าจะได้รู้จักกับมโหสกนานมาแลัว และคอยนาเอาความในวัง

ต่าง *1 ไปบอกแก่มโหสถก็ได้นะเพคะ”
นีรชากราบทูลเสริม “จะไปเอาอะไรกับนักบวชเล่าเพคะ ความมักใหญ่ มิใช่จะหมดไปจาก
จิตใจของผู้ที่เป็นนักบวชทุกคนนะเพคะ แมัท่านจะบวช แต่หัวใจยังไม่ยอมห่างจากเรื่องโลก ก็กลายเป็น

อาเพศปริพาชิกาบ้งหนัาก็เป็นได้นะเพคะ”

วาสินีกราบทูลเสริมอีกว่า “ความคิดมักใหญ่ไม่มือะไรป้องกันเลยเพคะ พระแม่เภรีคงจะมื

ข้อตกลงอะไรกับมโหสกก็ได้นะเพคะ”
“แล้วจะทำอย่างไรกัน พวกเธอกราบทูลพระราชาชิ” พระนางตรัสในที่สุด “จะได้เป็นความดี

ความชอบของพวกเธอที'อุตส่าห์สอดส่องป้องกันพระชนม์ของพระราชา”

kalyanamitra.org

“เพคะ พวกหม่อมฉันจะกราบทูลให้'พระองค์ทรงทวิาบไว้ เพื่อจะได้ทรงบริหารตามควร


แก่เหตุ ก่อนที่จะลายเกินไปเพคะ" นางทิ้งสามกราบทูลพระนินทาเทวีแล้วพากันไปเย้าพระอธิราชจุลนิ

เมอได้โอกาลก็กราบทูลให้ทวิงทวิาบ โดยแปลกิริยาของพระแม่เภรื และของท่านมหาบัณฑิตไปตามความ


คิดเห็นของตน ด้งที่ได้กล่าวแล้ว ครั้นแล้วก็กราบทูลเลริมว่า “ขอพวิะทูลกระหม่อม จงมิได้ทวิงประมาท

เกิด ทางทีควรน่าจะได้ทรงจัดกาวิฆ่ามโหลถเสียก่อนนะเพคะ”
พระอธิราชจุลนื ทรงสด้บถ้อยคำของนางทิ้งสามแล้ว พระองค์มิได้เซือพี'งทันที เพราะเหตุ­
การณ์แต่ครั้งอดีต ตอนที่ประตูอุโมงค์ริมแม่นํ้าคงคา ที่ท่านมหาบัณฑิตเงื้อพระขรรค์ขู่พระองค์ ยัง

เป็นภาพประทับพระทัยอยู่ ตัวท่านมหาบัณฑิตจะคิดร้ายต่อพระองค์ ก็คงจะลงมือเสียในครั้งนั้นแล้ว


และครั้งนั้นเป็นโอกาสเหมาะด้วยประการทิ้งปวง ท่านมหาบัณฑิตก็มิได้คิดกระทำร้ายพระองค์ในครั้งนั้

เหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นพระอธิราชจุลนิ จึงทรงสรุปได้ว่า “ท่านมหาบัณฑิต

ไม่อาจคิดเพื่อประทุษร้ายเรา เราจะด้องถามพระแม่เภรี คงจะทราบเรื่อง”

ในวันรุ่งขีน พระแม่เภรี ก็เข้าไปฉันในวังตามปรกติ พระอธิราชจุลนีเสด็จเข้าไปหาในโอกาส


ที่ฉันเสร็จแล้ว มีพระดำรัสถามว่า “พระแม่เจัา ท่านพบมโหสถบัณฑิตบ้างหรือเปล่า?”

“ขอถวายพระพร มหาบพิตร วานนั้อาตมาภาพฉันแล้วออกไปจากพระราชวัง ได้พบมโหสถ

บัณฑิตแล้ว ขอถวายพระพร” พระแม่เภรืทูลถวายพร


“พระแม่เจัา ท่านสนทนาปราศรัยถ้อยคำอะไรกันบ้างนะ? ” ทรงซัก

“ขอถวายพระพร อาตมาภาพกับมโหสถบัณฑิตมิได้สนทนากันด้วยวาจา เป็นแด่อาตมาภาพ

ได้ทราบข่าวเล่าลือว่ามโหสถเป็นบัณฑิต ก็ด้องการจะทราบว่าเป็นความจริงเพียงไรหรือไม่ อาตมาภาพ


จึงถามบัญหาด้วยใช้มือเป็นสัญญาณ” พระแม่เภรืถวายพระพรแล้ว ทูลเล่าเรื่องปริศนาที1ถามและที่ท่าน

มหาบัณฑิตตอบ ตลอดถึงที่พระแม่ชวนท่านบวชเหมือนกับพระแม่ และท่านมหาบัณฑิตเอามือลูบท้อง


ชึ่งมีความหมายว่ายังมีบุตรภรรยาที่จะด้องเลํ๋ยงตูกันเป็นอันมาก มีท้องหลายท้องที่จะด้องทำให้'เต็มยัง

บวชไม่ได้ แล้วถายพระพรในที่สุด “ได้สนทนากันด้วยสัญญาณมือเพียงเท่านั้น แล้วก็จากกันไป ขอ

ถวายพระพร”
พระอธิราชจุลนิทรงสดับแล้ว มีพระดำรัสถามว่า “ช้าแต่พระแม่เชัา ท่านมีความเห็นเป็น

อย่างไร มโหสถเป็นบัณฑิตหรือมิใช่”
พระแม่เภรีถวายพระพรว่า “ขอถวายพระพร คนอื่นๆ ในชมพูทวีปทิ้งสิ้นที่จะเป็นบัณฑิต

เสมอกับมโหสถไม่มีเลย ขอมหาบพิตรโปรดเข้าพระทัยด้งนํ๋เถิด ขอถวายพระพร”

ทวิงสดับแต้ว ถวายบังคมพระแม่เภรื และนิมนต์ให้ท่านกลับได้ตามอัธยาศัย พอพระแม่เภรื


ออกจากวังไปแต้ว ท่านมหาบัณฑิตก็มาเย้าพระอธิวิาชจุลน็ มีพระดำรัสถามอึงเรื่องนั้นอีก ท่านมหา-
บัณฑิตก็กราบทูลถวายเช่นเดียวกับที,พระแม่เภรืกราบทูลให้ทรงทราบแต้ว พระองค์ทรงพอพระท้ยมาก

พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่ท่าน พร้อมกันนั้นทรงมอบหมายกิจการบัานเมืองทิ้งหมดให้ท่านดำเนิน

kalyanamitra.org
๔๗๒

กาว มีอำนาจสิทธํ่ขาดที่จะจัดการบ้านเมือง เสมือนพระองด้เอง เป็นเกียรดิยดเชันยิ่งใหญ่ที่ได้จับในวัน

นั้นเอง

ท่านมหาบัณฑิดได้เป็นฝัสำเร็จราชการวิเทหจัฐมาแลัว ย้ายมาบ้ญจาสะก็ได้จับสถาปนาใน
ด้าแหน่งฝัสำเร็จราชกาวแห่งแควันอีก

kalyanamitra.org
๗๓. นำพระทํยของพระอธิราช
ในระหว่างที่พระอธิราชจุลนึ โปรดพระราชทานยศอันใหญ่ยิ่งนั้นเอง ท่านมหาบัณฑิตเกิด

ความคิดชื้นว่า “รวดเร็วเหลึอเกิน ที่พระราชาโปรดพระราชทานความเป็นใหญ่อย่างใหญ่หลวง ประด้ง

อันคราวเดียว ตำแหน่งเสนาบดีก็เป็นตำแหน่งสำคัญมากอยู่แต้วสำหรับบ้านเมือง ทรงแต่งดั้งเราใน


ตำแหน่งนั้นและพรัอมอันนั้น ก็พระราชทานตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ มีอำนาจสีทธํ่ขาดในการจัดการ

บ้านเมืองอีกตำแหน่งหนึ่ง เป็นการใหญ่โตโอฬารมากทีเดียว ก็แลพระราชาหลายพระองค์ แม้มีพระ-

ราชประสงค์จะฆ่า ก็ย่อมทรงกระท่าอย่างนึ่ได้เหมือนอัน ท่าไฉนเล่านะ เราจึงจะหยั่งทราบพระราชา

ได้ว่าทรงมีพระห้ยดีต่อเรา หรึอไม่เพึยงไร เราจะท่าอย่างไรดี คนในบ้านเมืองนึ่ จะมีใครบ้างหนอที่

พอจะหยั่งพระท้ยของพระราชาได้ ไม่มีใครอีกแต้ว นอกจากพระแม่เภรืผู้สมบูรณ์ด้วยญาณ พระแม่

นั้นจักหาอุบายหยั่งทราบพระท่ยของพระราชาได้ เราตองไปหาพระแม่เภรี" คิดแต้วก็ให้คนเตรียมดอกไม้


และของหอมเป็นอันมากถึอไปสู่ที่อยู่ของพระแม่เภรี เมื่อถึงแต้วก็บูชาด้วยของหอมและดอกไม้ที่ชือมานั้น

ถวาย่นม้สการ พลางเล่าเรื่อง “ข้าแต่พระแม่เช้า นับแต่วันที,พระแม่เช้ากล่าวถึงคุณของกระผมแต่พระราชา

แต้ว พระองค์โปรดพระราชทานยศใหญ่ยิ่งแก'กระผมอย่างประหนึ่งว่าจะท่'บถมให้ทีเดียว แต่การที่โปรด

พระราชทานนั้น กวะผมมิได้ทราบเลยว่า โปรดปรานกวะผมอย่างแห้จริงหรืออย่างไรแน่ กระผมจ์าด้อง


มาขอพึ่งพระแม่เช้าขอรับกระผม’'

พระแม่เภรีกล่าวว่า “เจริญพร จะให้อาตมาภาพท่าอย่างไว"


“พระแม่เช้าผู้เดียวเท่านั้น ที่จะหยั่งทราบพระห้ยของพระราชาได้" ท่านมหาบัณฑิตแถลง

“กระผมไม่เห็นใครอื่นนอกจากพระแม่เช้า ขอพระแม่เช้าโปรดใข้อุบายอะไรลักอย่างหนึ่ง หยั่งนึ่าพระห้ย

ของพระราชาว่า พระองค์ทรงมีความรักใคร่ในกระผมเพียงไร ขอได้กรุณาช่วยกระผมลักควงเถิด"


พระแม่เภรีกล่าวรับรองว่า “ได้ซึเจริญพร อาตมาภาพจะลองหยั่งพระท้ยของพระราชาด”

ภายหลังจากทีได้สนทนาปราลัยตามลมควรแต้ว ท่านมหาบ้ณฑิตก็นมัสการลากลับคฤหาสน์
ซึ่งมีเทวีคู่ใจคอยด้อนรับเสมือนว่าท่านคือพ่อพระของนาง

“พ่อพระของอมวา กลับแต้วหรือคะ” เสียงอมราเทวีด้อนรับด้วยความปรีดา เพราะนางเอง


ก็อดที่จะมีความคิดหวาดระแวงในพฤติการณ์ของพระอธิราชจุลนีมิได้เช่นเดียวอัน
“กลับแต้ว เทวีของฉัน พระแม่เภรีรับรองจะใซัอุบายหยั่งนํ้าพระทัยของพระอธิราชว่า จะ

ทรงโปรดปรานด้วยพระห้ยอันแห้จริงหรือไม่” ท่านมหาบัณฑิตเล่าให้พีง

kalyanamitra.org
๔๗๔

"นั่นลิ เราไม่มีทางทราบได้เลย ไม่ใช่แคว้นวิเทหะซึ่งด้นเกด้าลันกระหม่อมปกครองนี่ เรา

จะได้ทราบพระทัยได้ เพราะพ่อพระเป็นเหมือนพระโอรสของพระองค์ก็ว่าได้ แต่กระนั่นกว่าจะทรง


เห็นความสวามีภักดํ่ก็ตองขับเคี่ยวกับคณะท่านเสนกอยู่ตั้งนานกว่าจะกำราบลงได้ ในบานเมืองนี่ เรา

เพิ่งมาอยู่ใหม่ ๆ แล้วก็ไม่มีใครคี่พอไวัวางใจได้ ดิฉันก็อดคี่จะคิดหวั่นเกรงไม่ได้เลย ทนหัวของอมรา"

อมราเทวีรำพันด้วยความห่วงใย “พ่อก็เคยเป็นคู่ศึกกันมากับพระองค์ท่านตลอดกาลนาน พระองค์ท่าน


จะมีพระดำริอย่างใดอยู่ในพระท้ยหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ และผู้คนที,ใกลัชิดสนิทกับพระองค์ท่านเล่า

คี่เป็นผู้มีใจดีต่อเรานั่น ดิฉันคิดว่า ดงไม่มีใครเลย พระองค์ท่านทรงยกย่องพ่อพระของอมราในขิานันดร


อันสูงยิ่งเช่นนี่ จะทรงแฝงพระดำริอะไรไว้ก็ไม่รู้เลย”

“เทวีของฉัน ความเลิกรังเกียจนั่นควรมีไว้ ไม่พึงวางใจเพราะภัยคี่เกิดขนจากลิงคี่ไม่คิดว่า


จะเป็นภัยนั่น เป็นภัยคี่รุนแรงนัก แต่ความรู้ต็กรังเกียจนั่น อย่าใหัเกิดไปถึงความวะแวง เพราะความ

ระแวงเป็นเครึ๋องรอนไมตรี ความมุ่งดีและความปรารถนาดีต่อกันเลย” ท่านมหาบัณฑิตซีแจง “ในกรณี


คี่พระราชาพระราชทานยศใหญ้ยิ่งแก่ฉันครั้งนี่ เชื่อว่าพระแม่เภรีคงจะหยั่งทราบนี่าพระท้ยคี่แท้จริงได้

ในเวลารวดเร็ว เทวีของฉันอย่าด้องกังวลเลย”
รุ่งร้นจากวันนั่น พระแม่เภรีเข้าไปในวังตามปกติ พระอธิราชจุลนิเสด็จมาประทับนั่งอยู่ใกล้ จุ

เมื่อพระแม่เภรีฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว นั่งอยู่ด้วยความคิดคำนึง “ล้าพระราชามีพระทัยมุ่งรัายต่อมโหลถ

ถูกเราถามบัญหาแล้วจักตรัสความทีพระองค์มีความมุ่งรัายต่อมโหลถ ในท่ามกลางมวลชนทีเดียว ข้อนั่น

ไม่ถูกด้อง ทีไหนพระองค์จักตรัสออกมาได้ เราต้องถามพระองค์โดยเฉพาะ จึงจะเป็นการถูกต้อง” พระ-


แม่ดำริแลัวถวายพระพรว่า “มหาบพิตร อาตมาภาพต้องการที่ลับขอถวายพระพร"

พระอธิราชจุลนึ มีพระราชดำรัสใหัคนทั้งหลายออกไปมิใหัอยู่ในคี่นั่น เพึ่อทรงพระราชทาน

โอกาสแก่พระแม่เภรี พระแม่เภรีได้โอกาสแล้วถวายพระพรว่า “มหาบพิตร อาตมาภาพจักขอทูลถาม

บัญหากะพระองค์ หากมิเป็นการรบกวน โปรดได้พระราชทานอนุญาตแก่อาตมาภาพ ขอถวายพระพร”


พระอธิราชจุลนึตรัสว่า “ช้าแต่พระแม่เจัา เชิญแม่ถามได้ ฉันรู้อยู่ชักตอบใหัทราบ เชิญพระ-

แม่ถามเถิด”
พระแม่เภรีถามบัญหากะพระอธิราชจุลนึต่อไปว่า “ขอถวายพระพร สมมติว่าเมื่อคน ๗ คน

คือมหาบพิตร ๑ พระราชชนนึ ๑ พระนางนันทาเทวี 9 พระอนุชาธิราช ติขิณมนตรี 9 พระสหาย-


ธนูเสกข้ 9 ปุโรหิตเกวัฎ 9 มโหสถบัณฑิต 9 ลงเรือไปในมหาสมุทร ไปพบผีเสื้อนี่าแลวงหาเหยื่อ
คือมนุษย์ มันระเบิดนี่าในมหาสมุทรออกมา ปรากฎตนฉุดเรือของมหาบพิตรไวั ครั้นแต้วมันจะกราบ
ทูลมหาบพิตรว่า ‘พระองค์ต้องพระราชทานคน ๖ คนเหล่านี่ใหัแก'ข้าพระองค์ตามลำดับ ข้าพระองค์

จึงจะปล่อยพระองค์ไป’ ด้งนี่ อาตมาภาพขอถวายพระพรถามว่า “มหาบพิตรจะใหัผู้ใดเป็นบุคคลแรก


แก่ผีเสื้อนี่า ผู้ใดเป็นอันดับคี่ ๒ คี่ ๓ ที' ๔ คี่ ๕ และคี่ ๖ มหาบพิตรทรงพอพระท้ยอย่างใดก็โปรด

ตรัสอย่างนั้นเถิด ขอถวายพระพร”

kalyanamitra.org
๔๗๕

พวะอธิราชจุลนี ทรงสดับปัญหาของพระแม่เภรีแล้ว ตรัสตอบตามอัธยาศัย โดยไม่ซักซัาว่า


“ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นร้น ฉันจะให้พระชนนีแก,ผีเสื้อนี้าเปันคนแรก คนที่ ๒
ก็ด้องให้แม่นันทาเทวิของฉันไป คนที ๓ ก็จะให้น้องชายติขิณมนตรี คนที่ ๔ จะให้ธนูเสกข์ คนที่ ๕
ก็เป็นภาระชองเกวัฏปุโรหิต และคนสุดท้ายฉันก็จะให้ตนเอง จะบอกให้ผีเสื้อนี้ามันอัาปากของมันออก
แล้วก็จะโดดเข้าไปในปากของมัน ฉันไม่ยอมให้มโหสกบัณฑิตเป็นอันขาด ทั้งนั้เป็นความพอใจของฉัน”
ปัญหาของพระแม่เภรีที่ถวายพระพรกามนั้น เป็นอุบายที่จะหยั่งนี้าพระทัยของพระอธิราชจุลนี

เพื่อจะทราบว่าพระองค์ทรงมีความรักในท่านมหาบัณฑิตเพียงไร การที่จะกามตรง *1 ว่ามหาบพิตรมี


ความรักมโหสลบัณพิตเพียงใดก็อาจจะถามได้ แต่พระดำรัสที่ตรัสตอบ อาจจะไม่สมบูรณ์และประกาศ
ความรักของพระองค์ไม่ซัดแจ้ง เช่นจะตรัสตอบว่า “รักยิ่งกว่าซีวิตของพระองค์” ดังนี้ ก็อาจจะตรัส
ตอบได้ แต่ก็เป็นพระดำรัสที่ไม่ประกาศนี้าพระทัยอย่างแจ้งซัด และการที่พระแม่เภรีจะถวายพระพร

ถามตรง *1 เช่นนั้น ก็จะท่าให้ทรงระแวงอย่างหนึ่งก็ได้ พระแม่เภรีจึงด้องคิดผูกเป็นปริศนาถวายพระ-


พรถาม เพื่อจะทราบอย่างซัดเจนในพระท้ยของพระอธิราช และพรัอมกันนั้นก็มิให้พระอธิราชทรงระแวง
อีกสถานหนึ่งด้วย นับว่าเป็นวิธีการอันแยบยล

ทางพระอธิราชจุลน็เล่า พระนิสัยของพระองค์ทรงมีพระอาชวธรรมประจำพระมนัสมา
แต่ไหน 1 แลัว พระองค์ทวงพอพระทัยในท่านมหาบัณฑิตมาตั้งแต่โอกาสแรกที่ทรงพบในสนามธรรม
ยุทธ์ ณ มิชิลานคร ครั้งต่อมาได้ทรงเห็นใจของท่านมหาบัณฑิต ซึ่งเพียบพรัอมด้วยคุณธรรมอันจะ
นำสันติภาพมาสู่มวลประชาชน กับทั้งมิได้มีความคิดเป็นศัตรูตอบต่อพระองค์ และผู้ที่เป็นศัตรูอื่น คุ
แมัแต่น้อย ทั้งมีความจงรักภักดีในพระมหากษัตริย์อย่างยอดเยี่ยม ได้ปฏิบัติการทุกอย่าง เพื่อความเดิม
เติมเปียมแห่งพระมโนรถแห่งพระราชาของตน นอกจากนั้น ยังทรงปรีชาญาณเป็นยอดเยี่ยม สามารถ
แมัจะปกครองชมพูทวิปทั้งสื้นก็ได้ แต่มิได้มีความทะเยอทะยานเช่นนั้นเลย ใข้แต่ปรีชาญาณเพื่อประโยชน์
สุขแก่มวลชนเท่านั้น คุณสมบัติเหล่านี้เป็นที่ประจักษ์อยู่ และพระอธิราชจุลนีก็ทรงทราบดีอยู่ จึงโปรด
ปรานยิ่งนัก ฉะนั้นที่โปรดพระราชทานตำแหน่งเสนาบดีและดำแหน่งผู้สำเร็จราชการแก่ท่านมหาบัณฑิต

นั้น ก็ทรงตำเนินไปตามเหตุผลของพระองค์ เมื่อสดับปัญหาก็ตรัสตอบตามพระอัธยาศัยตรงไปตรงมา

ไม่ทวงโปรดผู้ใดก็ตรัสตามพระอัธยาศัย
พระแม่เภรีได้ฟ้งพระดำรัสเช่นนี้ ก็เป็นอันได้ทราบความที่ด้องการจะทราบ ได้หยั่งนี้าพระทัย
ของพระอธิราชจุลนีได้ล่องแท้ว่า ทรงมีความรักท่านมหาบัณฑิตยิ่งกว่าตนเอง แต่ว่าคุณความดีของท่าน
มหาบัณฑิตยังไม่ปรากฎได้ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เลย ยังน้อยนักเพราะเป็นการรักันเฉพาะสองคนเท่านั้น
พระแม่เภรีจึงมีความคิดต่อไปว่า “เราจะแถลงถึงคุณความดีของคนเหล่านี้ในที่ประชุมของประชาชน
พระราชาก็จักตรัสถึงความเสียหายของคนเหล่านี้ แล้วทรงประกาศคุณของมโหสถบัณฑิตให้ปรากฏ
เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณความดีของมโหสถจะปรากฏเด่นซัดเหมือนดวงจันทร์เพ็ญที่ปรากฏเด่นในท้องฟ้า”

พระแม่ดำริแล้วกราบทูลพระอธิราชจุลนีว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตรน่าจะได้ทรงประกาศคุณความดี

kalyanamitra.org
๔เ^

ของมโหสถบัณฑิตไท้ปวากฎในชุมนุมชนดามเหตุผลที่ได้ประจักษ์แก่มหาบพิตร อาตมาภาพใคร่ขอพระ-
ราชวโรกาส เพื่อใท้บรรดาข้าราชบริพารทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน ได้ประชุมพริ’อมกัน อาดมาภาพจะทูลถาม
เช่นเดียวกับที่ได้ทูลถามมาแด้ว ขอให้มหาบพิตรตรัสตอบพรัอมด้วยทรงอธิบายเหตุผล ทั้งนี่เพื่อให้มวลชน

ได้พิงจากพระโอษฐ์ของมหาบพิตร แลัวจะได้เห็นประจักษ์ในคุณงามความดีของมโหสถบัณฑิตอย่าง
แท้จริง ขอถวายพระพร”
“ข้าแต่พระแม่เจัา ฉันยินดีที่จะกระทำเช่นนั้น มิได้มีความข้ดข้องประการใด ฉันไม่มีดวาม
ตระหนี่ในการที่จะกล่าวถึงความดีของผู้ที่มีความดี และก็ไม่ปิดบังความข้วของใคร ใครข้วก็พูดกันตามข้ว
ใครดีก็ทุดกันตามดี นี่เป็นชัธยาศ้ยของฉัน พระแม่เร้าจะถามฉันได้และฉันจะตอบพระแม่เร้าตามความจริง”

พระอธิราชจุลนึตรัสอนุวัตตามด้วยดี

kalyanamitra.org
๗๔. ผู้มโทษ
พระแม่เภรี เห็นพระอธิราชทรงอนุวัดตามเช่นนั้นก็ดีใจ ด้องการจะให้คุณงามความดีของ
ท่านมหาบัณฑิตได้เป็นที่ทราบกันอย่างกระจ่างแจัง จึงได้ช่อใชิญให้ราชการฝ่ายใน ซ็งเป็นชาววังทั้งหมด
มาประชุมกัน พระแม่เภรีก็ลามบัญหานั้นกับพระอธิราชจุลนิเพึ่อให้ตรัสตอบในที'ประชุม
เมือพระอธิราชจุลนิมีพระดำรัสตอบดังที'ไต้ตรัสแด้ว พระแม่เภรีก็ทูลลามถึงเหตุที่จะทรง
ให้พระราชชนน้แก'ผีเสื้อนํ้าว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตรตรัสว่าฉันจักให้เสด็จแม่แก'ผีเสื้อนํ้าเป็น
คนแรกดังนื้ มหาบพิตรทรงมีพระดำริในเหตุอย่างไว อันธรรมดาว่ามารดานั้นย่อมมีพระคุณเป็นอันมาก

คนอื่นถึงจะมีอุปการะมากเพียงไรก็ไม่เท่ากับมารดา ไม่มีพระคุณของใครเทียมเท่ากับมารดา กล่าวโดย


เฉพาะพระราชชนนิของมหาบพิตร มีพระอุปการะแก่มหาบพิตรสุดที่จะประมาณได้ ทรงเลื้ยงมหาบพิตร
มา ทรงเกื้อกูลมหาบพิตรมาดลอดกาลนาน ตอนที'ฉัพภิพราหมณ์ประทุษรัายในมหาบพิตร พระราชชนนิ

ทรงใช้พระปริชา ทรงดำเนินในกิจอันเป็นประโยชน์แด่มหาบพิตรด้วยพระปรีชาญาณ ทรงมุ่งความเจริญ


แด'มหาบพิตรเป็นปกติพระอัธยาศัย ทรงกระทำสิ่งอื่นแทนมหาบพิตร ทรงเปลื้องมหาบพิตรให้พ้นจาก

ถูกปลงพระชนม์ในครั้งนั้น ขอมหาบพิตรโปรดทวงพระอนุสรณ์เถิด พระราชชนน็ของมหาบพิดรทรง


พระคุณถึงเช่นนั้น พระนางโปรดประทานพระชนม์ ทรงอัมพระครว/)ยามที'มหาบพิตรเสด็จอุบัติใน
พระดรร/เของพระนาง พระราชชนนิทรงพระคุณมากด้นถึงเพียงน มหาบพิตรจะทวงให้แก'ผีเสื้อเป็น

คนแรก เพราะพระราชชนน้มีโทษอะไรเล่า ขอลวายพระพร”


พระอธิราชจุลน้ตรัสตอบพระแม่เภรีว่า “ข้าแด่พระแม่เจัาผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ ความ
จริงฉันตระหนักได้ดีว่า เสด็จแม่ของฉันทรงมีพระคุณแก่ฉันมากด้นพ้นที่จะประมาณฉันทราบได้ดี พระคุณ
ของเสด็จแม่จารึกอยู่ในดวงใจของฉันไม่มีวันที่จะลึมได้ แด่พระแม่เจัาลองพิจารณาดูพระจริยาวัตรของ
เสด็จแม่ป้าง เสด็จแม่แต่งองค์ทรงเครื่องประดับที'ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีอายุ อย่างเสด็จแม่จะทรง

ประดับเหมือนเป็นสาวรุ่น *1 เช่นนํ่ ไม่เป็นการเหมาะสมเลย เครื่องประดับที่เสด็จแม่ทรงโปรดมาก


สังวาลทองฝังเพชรแพรวพราว ในเวลาที่ฉันนั่งอยู่กับพวกอำมาตย์ในห้องพระโรง เสด็จแม่ทรงเครื่อง

เหมือนดรุณเสด็จดำเนินกรายไปมา เด็ยงสายสังวาลของเสด็จแม่กระทบกันดังสะห้านวังไปทีเดียว
เสด็จแม่กังทรงพอพระทัยในการจะทรงพระสรวลอย่างร่าเริง เด็มพระทัยกับพวกคนเฝ็าประตูหรึอคน
สกช้าง ซ็งคนเหล่านั้นท่าทางไม่ดู่ควร แมัแด่จะกินพระกระยาหารที่เหลือเดนจากเสด็จแม่แลัว บางทีก็
ทรงหยอกลัอทรงพระสรวลเฮฮาจนเกินเวลาอันสมควร ยิ่งกว่านั้นอีกนะพระแม่เจัา เสด็จแม่ทรงสั่งทูต

kalyanamitra.org
๔^๘

ถือสาส์นในนามของฉัน ส่งไปให้พระราชาที่เป็นประเทศราช ข้อความในสาส์นนั้นก็ว่า เสด็จแม่ของ

หม่อมฉันยังทรงพระชนม์อยู่ในวัยที่ด้องการความรื่นรมย์ ขอให้พระองค์เสด็จมารับเสด็จแม่ของฉันไป

เชิดดังนื้ พระราชาที่ได้รับสาส์นนั้นก็ทรงตอบมาถึงฉันว่า พวกหม่อมฉันเป็นผู้รับไข้ของพระองค์ เหตุ

ไรเล่าพระองค์จึงได้ตรัสแก่พวกหม่อมฉันอย่างนี๊ ในเมื่อพระราชสาส์นตอบเหล่านั้นถูกนำมาอ่านใน
ท่ามกลางที่ประชุม เวลานั้นเป็นเหมือนเวลาที่ฉันจะถูกดัดศีรษะฉะนั้นแหละ พระแม่เด้าโปรดพิจารณาเชิด

ฉันเป็นราชาผู้ครองอำนาจในชมพูทวีป แต่เสด็จแม่ผู้ให้กำเนิดฉันมา มีพระจริยาวัตรเช่นนั้ ฉันควรจะ

ท่าอย่างไร ฉะนั้นล้าเรื่อ่งที่สมมติในบัญหานั้นจะเป็นความจริง เสด็จแม่เป็นคนแรกที่ฉันจะให้แก่ผีเสื้อ

นํ้าไป”

พระแม่เภรีพิงคำดำรัสของพระอธิราชจุลนีแลัวทูลถวายพระพรต่อไป “พระราชชนนีของ
มหาบพิตรทรงมีโทษดังที่ตรัสมา ซืงได้มีพระราชดำริที่จะทรงให้แก่ผีเสื้อนํ้าก่อน ก็เป็นพระดำรัสตาม

เหตุผล ขอถวายพระพร พระนางนันทาเทวีทรงเป็นพระราชชายา ทร3มีพระคุณแต่มหาบพิตรมาก พระ-


นางเป็นเอกอนงค์ในหมู่พระสนม มีพระดำรัสน่ารักเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีศีลาจารวัตรสมเป็นข้ตดิยาณีผู้

สูงศักดิ๋ ทั้งติดตามมหาบพิตรเรื่อยมาประดุจเป็นพระฉายาของมหาบพิตรทีเดียว ด้ามหาบพิตรจะทรง

อนุสรณ์ถึงความหลัง ครั้งเสด็จนิราศจากปญจาลนคร เสด็จไปอยู่ในราชสำนักของพระสัสสุระนั้น มหา­

บพิตรจะทรงเห็นว่า พระนางนันทามีพระสิเนหาในมหาบพิตรเพียงไร พระนางไม่ทรงโกรธ ทรงมีพระทัย


หนักแน่นเยือกเย็น ทรงมีบุญ เป็นบัณฑิต ทรงมุ่งแต่ความเจริญของมหาบพิตร พระนางทรงคุณถึงเพียงนื้
มหาบพิตรจะประทานให้ผีเสื้อนํ้าเสีย เป็นอันดับที่สองเพราะพระนางมีโทษอะไร ขอถวายพระพร”

พระอธิราชจุลนีตรัสตอบว่า “ข้าแต่พระแม่เด้า ความดีความงามของนันทา เป็นที่ปรากฎ

ประทับใจของฉันตลอดมาฉันทราบได้ดี แต่ข้อเสียของนันทามีอยู่นะพระแม่เจ้า คือในเมื่อฉันให้สิงของใด จุ


ที่มีค่ามีราคาเช่นเครื่องประดับแก่ภรรยาหรือบุตรของฉัน เมื่อนันทาได้พบได้เห็นก็เกิดความด้องการ

ครั้นรัว่าฉันกำลังดกอยู่ในอำนาจของกิเลส ตกอยู่ในห้วงแห่งความอภิรมย์ระรื่นกับเธอ ขณะมีความเคลิบ-


เคลิ้ม เธอก็จะขอเครื่องประดับเป็นด้น ที่ฉันได้ให้ภรรยาอื่น จุ หรือแก่บุตรอื่น จุ ไปแล้วนั้น ฉันก็เผลอ

ตัวออกปากให้ ดูเชิดพระแม่เจ้า นันทาขอสิ่งที่ไม่น่าจะขอ และขอในเวลาที่ไม่ควรจะขอ แต่ฉันก็เผลอ

ทุกทีในเวลาที่เธอขอ คราวนพอรุ่งเข้า เธอก็ไปยื๊อแย่งเอามาจากคนที่ฉันให้ไปแลัว อัางว่าฉันให้เธอ

ฉันด้องเศรัาใจเสียใจเกิดความกสม ในเวลาเห็นผู้ที่ฉันให้ไป รัองให้ฟูมฟายเข้ามาหาฉัน นันทาเป็นเสีย

อย่างนื้ ท่าให้กลัมใจไม่วายเลย เพราะโทษนํ๋แหละล้าผีเสื้อนํ้าจะบังคับให้ฉันล่งคนให้มันเป็นคนที' ๒

ฉันก็จะให้นันทาแก่มัน ขอพระแม่เจ้าพิจารณาดูเชิด เหตุผลของฉันเป็นเช่นนั๋แหละ”

พระแม่เภรีถวายพระพรต่อไปว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะพระราชทานพระนางนันทา


แก,ผีเสื้อนํ้า เพราะพระนางมีโทษเพียงนั้นก็เป็นอันทรงกระท่าตามเหตุผลที่ทรงพิจารณาแลัว แต่ว่า

พระอนุชาธิราชของมหาบพิตรคือพระติขิณมนตรีมีพระอุปการะแต่มหาบพิตรไม่นัอยเลย เป็นยอดขุนพล
เป็นยอดนายขมังธนู เป็นจอมทหารผู้แกว่นกลัา ทั้งมีปรีชาคมคาย ชนบทที่เจริญรุ่งเรืองแผ่ออกไปอย่าง

kalyanamitra.org
๔๗๙

กว้างขวาง ตลอดถึงมหาบพิตรได้เสวยไอศวรรยาธิป้ตย์ ปกครองปฐพีก็เพราะฟิพระหัตถ์ และพระปรีชา-


ญาณของพระอนุชาธิราช มหาบพิตรคงจะทรงอนุสรณ์ได้ดีอยู่ถึงเหตุการณ์ปางอดีต พระอนุชาธิราช

ทรงประหารฉัพภิพราหมณ์ผู้ทรยศด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ ทรงนำราชสมบัติคืนมาถวายแด่มหาบพิตร
ยิ่งกว่านั้น กำลังพลแห่งป'ญจาละที่ได้รับการฟิกหัดเป็นอย่างดี มีความสันทัดในการศึก เป็นกองทัพที่

ยากจะหาผู้ใดด้านทาน เป็นกองทัพที่นำดินแดนในชมพูทวีปมาถวายแด่มหาบพิตร ก็สำเร็จด้วยพระปรีชา

ญาณของพระอนุชาธิราช ความเจริญรุ่งเรืองความมั่งคั่งสมบูรณ์และความเกรียงไกรแห่งแสนยานุภาพ

ที่ป้ญจาละได้ประสบอยู่ในบัดนํ๋ กล่าวได้ว่าเกิดจากฟิพระหัตถ์และพระปรีชาสามารถแห่งองค์พระอนุชา-
ธิราชแทั "I ทีเดียว แด่เหตุไฉนพระองค์มีโทษอะไรมหาบพิตรถึงจะพระราชทานให้แก่ผีเสื้อนั้าเป็น

บุคคลที่ ๓ ขอถวายพระพร”

พระอธิราชจุลนี มีพระดำรัสตอบพระแม่เภรีว่า “ข้าแต่พระแม่เว้า ดิขิณมนตรีได้ปฏิบัติการ


ทุกอย่างเพื่อความเจริญแก่ฉัน เธอได้ประหารฉัพภิพราหมณ์นำราชสมปติแห่งปญจาละมามอบให้ฉัน

เธอได้ลรัางกองทัพอันเกรียงไกรเพื่อความเป็นอธิราชในชมพูทวีปของฉัน ทั้งนํ๋ก็เป็นคุณงามความดี

ของเธอที่ฉันจำได้อย่างซาบซง ฉันไม่เคยลืมคุณงามความดีของดิขิณมนตรี แด่เธอก็มีข้อเสียอยู่มากทีเดียว

ข้อเสียของเธอก็ศึอเธอคุยเรื่อย *1 ว่า พระราชาองค์นื้ฉันเป็นผู้สถาปนาในยศอันใหญ่หลวง พระราชา


ทรงมีความสูงเพราะข้าพเว้าคังนั๊ เธอสำคัญว่าฉันเป็นเด็กไป ในคราวที่เมาเฝืาเล่านะพระแม่เว้า เธอ

ไม่มาเหมือนแต่ก่อน จุ พอใจจะมาก็มา ไม่พอใจก็ไม่มา เพราะโทษของเธอนั้แหละ ฉันจึงจะให้แก่ผีเสื้อ

นํ้าเป็นบุคคลที' ๓ นะพระแม่เว้า”

พระแม่เภรีถวายพระพ'ถามถึงความผิดของพระสหายธนูเสกข์ ผู้เป็นบุตรพ่อครัว ซ็งร่วม

ทุกข์ยากมากับพระอธิราชจุลนีว่า “ขอถวายพระพร พระสหายของมหาบพิตรคือธนูเสกข์ มหาบพิตร


กับธนูเสกข์เป็นชาวปญจาละ เกิดในพระราชวังร้น และเกิดในราตรีเดียวกับมหาบพิตร มีวัยเสมอกับ

มหาบพิตร มีความงามความดีควรแก่การสรรเสริญ ติดตามมหาบพิตรไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมหาบพิตร


ตลอดมา จงรักภักดีต่อมหาบพิตร ถวายในพระราชกิจทุกประการ •ทั้งกลางวันและกลางคืน พระสหาย
ธนูเสกข์มีความผิดเลียหายอย่างไร มหาบพิตรจึงจะพระราชทานให้ผีเสื้อนํ้าเป็นที่ ๔ ขอถวายพระพร”

พระอธิราชจุลนีมีพระดำรัสตอบว่า “ข้าแด่พระแม่เว้า ธนูเสกข์คือเพื่อนร่วมทุกข์ในยามยาก

ของฉัน ร่วมเกิดร่วมกิจ และร่วมนอนในครั้งกระโน้น แต่ในบัดนั้ธนูเสกข์มิได้มีความเคารพฉันในฐานะ

อันสมควรเขาประพฤติตนเหมือนด้งฉันเป็นเพื่อนของเขาในครั้งก่อน ๆ เขาดีเสมอ เขาหัวเราะ เขาตบมือ


เขามองดูฉันเหมือนในคราวที่ตกยากอย่างไรอย่างนั้น ช้าแด่พระแม่เว้า บางคราวฉันอยู่ในที่รโหฐานกับ

นางสนม หรึอแมักับน้นทากำลังสนทนาปราศรัยกันฉันสามีภรรยา เขาก็พรวดพราดเข้าไปหาฉัน ทั้ง จุ


ที่ไม่ได้เรียกให้เข้าไป และก็ไม่บอกกล่าวให้รัว่าเขาจะเข้าไปหาฉัน เขาได้รับพรจากฉันให้เข้าหาได้ทุก

โอกาส และทุกสถานที่ในฐานเป็นมิตรร่วมยาก แด่เขาไม่มีความยำเกรง ไม่มีความเอื้อเพิอต่อฉันเลียเลย

เพราะโทษนื้แหละฉันจึงให้ธนูเสกข์แก่ผีเสื้อนํ้าเป็นอันที่ ๔ ขอพระแม่เว้าโปรดพิจารณาเถิดเว้าข้า”

kalyanamitra.org
๔๘๐

พระแม่เภรีถวายพระพรถามต่อไปนื้ ถึงเรื่องราวของเกวัฎปุโรหิตาจารย์ว่า “ขอถวายพระพร

ท่านปุโรหิตเกวัฏเป็นบุคคลที่ทรงคุณสมบัติทุกประการ เป็นผู้ฉลาดในนิมิตทั้งปวง สามารถทราบเสียง

รัองของสัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้เซียวชาญในคัมภีร์พระเวท ทั้งมีความรอบรู้ในเรื่องอุบาทว์ คือจันทรคราส


สุริยคราส อุกกาบาต และลำพู่กัน ว่าจะเกิดร้นเมื่อนั้นเมื่อนํ่ และเมื่อเกิดร้นแล้วจะมีเหตุเภทรัายสิงใด

ก็รู้เจนจบแจ้งกระจ่าง ทั้งรอบรู้ในเรื่องสุบิน อาจทำนายได้อย่างถูกต้อง ว่าฝันเช่นนั้นจะเป็นอย่างนั้น

มีความชำนาญในการหาฤกษ์ยามในการยกทัพและในการจะเข้ารบ ทั้งเป็นผู้บอกเล่าฤกษ์ล่างฤกษ์บน
ชำนาญในทางแห่งดาวฤกษ์ บุคคลเช่นนั๊หาไม่ได้ง่าย *1 เลย เพราะโทษอะไรมหาบพิตรจึงจะพระราชทาน
ให้แก่ผีเสื้อนํ้าเปันคนที่ ๕ ขอถวายพระพร”

พระอธิราชจุลน็มีพระดำรัสตอบว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า เกวัฏปุโรหิตมีความรู้เซียวชาญในศาสตร์

ต่าง *1 ปฎิบติราชการมาด้วยความมุ่งดีต่อฉัน เป็นบุคคลสำคัญแห่งปัญจาละ แต่เขาก็มีข้อเสียหาย คือ


ในที่ประชุม เกวัฎเลิกคิ้วมองดูฉันด้วยสายตาที,แสดงอำนาจ แสดงความรู้ตลอดมา หรือเป็นเหมือนโกรธ

ฉันอยู่เรื่อย *1 เพราะฉะนั้นฉันจึงให้เขาแก่ผีเสื้อนํ้าเป็นคนที๕ ขอพระแม่เจ้าพิจารณาดังนี๊เถิด”

พระอธิราชจุลนิทรงมีพระดำรัสตอบดำถามของพระแม่เภรี ตามที่พระองค์ทรงพิจารณาเห็น

เป็นการประกาศถึงพระราชอัธยาศัย อันสมบูรณ์ด้วยพระอาชวคุณ คือทรงมีพระอัธยาศัยซี่อตรง มิได้

ทรงอำพรางความไม่ดีไม่งาม แม้จะเป็นพระราชชนนีบังเกิดเกล้าของพระองค์ ก็มิได้ทรงเร้นในเมื่อทรง

เห็นการกระทำอันไม่เหมาะไม่สม ก็ทรงประกาศให้ปรากฎเป็นอันว่าข้อเสียหายบุคคลต่าง ๆ พระอธิราช


จุลน็ทรงซีแจงให้พระแม่เภรืได้ทราบอย่างถี่ล้วนดังนั้

kalyanamitra.org
๗๕. คุณของบณฑต
พระแม่เภรีกราบทูลถามถึงความผิดของบุคคลที่พระอธิราชจุลนีจะโปรดพระราชทานแก่ผี-

เสื้อนํ้า ตั้งด้นแต่พระราชชนนีเป็นอันดับแรก จนกระทั่งถึงราชปุโรหิตเกวัฎ เป็นค้ารบ ๕ พระอธิราชจุลนี

ทรงซีแจงในที่ประชุม โดยมิได้ทรงปิดบังอำพราง ตรัสตามพระราชอัธยาศัย ครั้นแลัวพระแม่เภรีด้อง


การทราบว่าที่พระอธิราชจุลนีมีพระดำรัสว่า คนที่ ๖ ที่จะพระราชทานแก่ผีเสื้อนํ้านั้นคือพระองค์เอง

ด้งนึ่ พระองค์ทรงเหินคุณอะไรของท่านมหาบัณฑิต จึงถวายพระพรว่า”

“ขอถวายพระพร มหาบพิตรทรงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล มีสมุทรเป็นขอบเขต


ทุกด้าน พสุธาที่เป็นพระราชอาณาเขต เป็นประหนึ่งกุณฑลที่อยู่ในสาคร ทรงมีอำมาตย์แวดด้อม เป็น

ที่เฉลิมพระราชอิสริยยศ ทรงมีบัานเมืองแว่นแคว้นใหญ่จดสี่คาบสมุทร พิชิตชมพูทวีปได้แลัว ทั้งร้พล

ของมหาบพิตรเล่าก็มากถึง ๑๘ กองทัพ มหาบพิตรเป็นพระราชาเอกแห่งบัฐพี พระราชอิสริยยศของ


มหาบพิตรถึงความไพบูลย์ เหล่านารีของมหาบพิตรก็มีถึง ๑๖,๐0๐ นาง ด้วนแต่งองค์ทรงเครื่องเรีอง

ระยับมาจากชนบทต่าง กุ ทั่วชมพูทวีป ทรงสิริโสภาคย้เปรียบด้วยเทพกัญญา เผีาบำรุงบำเรอบาทยุคล

ทุกทิวาและราตรี มหาบพิตรผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระชนม์ซีพของมหาบพิตร เพียบพรัอมด้วยองค์ประ-

กอบแห่งความสุขอย่างครบครัน ทุกสิงทุกอย่างในแผ่นดินแม้นมหาบพิตรมีพระราชประสงค์ ก็จะสำเร็จ


สมพระทัยปรารถนาทุกประการ น่าที่มหาบพิตรจะมีพระดำรัสว่า ตองการจะมีพระชนม์อยู่อย่างยืนยาว
ตามคติซีวีตที่นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า ‘คนที่มีความสุขทั่ว กุ ไป ด้วนด้องกาวจะมีซีวีตอยู่นาน กุ
ซีวีตเป็นที่รักยิ่งนักของคนที่มีความสุข’ เมื่อเป็นเช่นนึ่ มหาบพิตรทรงมีพระราชดำริด้วยเหตุประการไร

มหาบพิตรจึงทวงป้องกันมโหสถไว้ ทรงสละพระชนม์ของมหาบพิตร ซึ่งด้าเป็นบุคคลอื่นก็สละได้ยาก

ขอถวายพระพร”
พระอธิราชจุลนี ทรงสดับค้าถามของพระแม่เภรีแลัวมีพระราชประสงค์จะประกาศความดี
ของท่านมหาบัณฑิตให้ปรากฎ จึงมีพระดำรัสตอบว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า พ่อมโหสถ แม้จะมาจากบัาน
เมืองอื่น ก็มาด้วยมุ่งประโยชน์ มุ่งความเจริญแก่ฉัน ฉันไม่ทราบเลยอึงความทั่วแม้ลักนัอยของพ่อมโหสถ

ผู้เป็นปราชญ์ แม้ถึงว่าฉันจะด้องตายไปก่อนในกาลไหน กุ ก็ตามเถิด พ่อมโหสถก็พึงยังลูกและหลาน


ของฉันให้มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย พ่อมโหสถย่อมเหินแจ่มแจ้งซึ่งความเจริญทุกอย่างทั้งอนาคต

ทั้งบัจจุบัน ฉันไม่ยอมให้พ่อมโหสถผู้ไม่มีความผิดเลยแก่ผีเสื้อนํ้าอย่างเด็ดขาดนะพระแม่เจ้า”

kalyanamitra.org
๔๘๒

พระอธิราชจุลนี ทรงประกาศเกียรติคุณของท่านมหาบัณฑิต ในที่ประชุมเสวกามาตย์ราช

บริพารฝ่ายในอย่างสูงเด่น ประหนึ่งทรงยกดวงจันทร์ชื้นฉะนั้น
เกียรติคุณของท่านมหาบัณฑิต ได้เป็นที่ปรากฏประจักษ์แก่ที่ประชุมข้าราชการฝ่ายในแต้ว

พระแม่เชัาเภรีก็ยังเห็นว่า '‘แม้เกียรติคุณของท่านมหาบัณฑิตจะปรากฏเพียงนึ่ ก็ยังไม่เพียงพอ เราจัก


ต้องกระทำให้ปรากฏในท่ามกลางชาวเมืองทั้งสั้น ให้เป็นประหนึ่งว่าประพรมนํ้าม้นรดทั่วมหาสมุทร

ทีเดียว” พระแม่เภรีดำริแต้วได้ถวายพระพรทูลเชิญเสด็จพระอธิราช จากพระมหาปราสาท ให้จัดเตรียม

พระราชอาสน์ถวาย ณ สนามหลวง เชิญเสด็จประทับเหนือพระราชอาสน์ ประกาศให้ชาวเมืองมาประชุม


กัน พระแม่เภรีก็ถวายพระพรลามปัญหาเรื่องผีเสั้อนํ้านั้นอีกวาระหนึ่ง พระอธิราชจุลนืก็มีพระราชดำรัส

ตอบเหมือนอย่างที่แต้วมา เป็นการยืนยันเกียรติคุณของท่านมหาบัณฑิตในท่ามกลางประชาชนชาวเมือง

บัญจาละอีกวาระหนึ่ง เมื่อพระอธิราชจุลนี มีพระดำรัสตอบปัญหาจบลงแต้ว พระแม่เภรีได้ประกาศ

แก่ชาวปัญจาละเป็นใจความว่า
“ชาวปัญจาละทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้ยินแต้วมิใช่หรือว่า พระอธิราชของพวกท่านมีพระ-
ดารัสอย่างไร หากท่านได้ยินทั่วกันแต้ว พระอธิราชของพวกท่านทรงรักษาพ่อมโหสลบัณฑิต โดยทรง
ยอมสละพระชนม์ของพระองค์รักษา ซึ่งยากที่จะสละได้ พระอธิราชของชาวเรา ทรงรับสั่งพระราชทาน

ซีวิตของพระราชชนนี พระราชเทวี พระอนุชาธิราช พระสหาย พราหมณ์เกวัฎปุโรหิต และแม้ของ


พระองค์เอง ไม่ยอมสละซีวีตของพ่อมโหสถบัณฑิต พวกท่านทั้งหลายคงจะเห็นได้ทั่วกันแต้วว่า

ปัญญามประใยขน้ใหญ่หลวง เป็นลงละเอยด เป็นเหตุใน้คนเรามความคดในทางทดในทางทจะ


ยังประโยขนให''ย่าเร็จ ย่อมเป็นใปเทํ่อประใยขน์เคอกูลในปัจจุบัน และเทอความสุขในภายภาคหน้า ขาวปัญจาละ

ทั้งหลาย ปัญญามประโยขน์ใหญ่หลวงอย่างน”

พระแม่เภรี ได้ประกาศเกียรติคุณของท่านมหาบัณฑิตให้แพร่หลายตลอดกรุงปัญจาละแต้ว
ก็แสดงธรรมแก่ชาวปัญจาละให้เห็นคุณอันมหาศาลแห่งปัญญาด้งกล่าวมานึ่

ท่านมโหสถมหาบัณฑิต คงได้รับราชการเป็นเสนาบดีของพระอธิราชจุลนี มีอำนาจบัญชาการ

พระนครทุกประการ มีความสุขเกษมศานต์จนตราบอวสานแห่งซีวิต

จบบริบูรณ์

kalyanamitra.org
บทเสริมท้าย

มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานคร
ของ

น.อ.แย้ม ประพ้ฒน์ทอง

โดย

ผศ.ไขสิริ ปราโมช ณ อยุธยา


บริษัท ไทยร่มเกล้า จำกัด สงวนลิขสิทธี้ตามพระราชษัณูณูต

kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
มหาบณฑิตแห่งมิถิลานคร

๑. ความนำ
เรื่องมหาบัณฑิตแห่งมิถิลานครนึ่เป็นเรื่องหนึ่งในมหานิบาตชาดก เป็นเรื่องของการบำเพ็ญ

บารมีชาติหนึ่งในทศชาติ หรือสิบชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนที,จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทศชาติ

นั้นมีชี่อย่อ *1 ดังนึ่ เด ชะ สุเน มะ ภู จะ นา วิ เว ซึงหมายถึงพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ

ต่าง*1 เป็น พระเตมีย์ พระชนก พระสุวรรณสาม พระเนมีราช พระมโหสถ พระภูริทัตต์ พระชันทกุมาร


พระนารอท พระวิธูร และชาติสุดท้ายก่อนที,จะตรัสรู้ใต้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร
สำหรับเรื่องมหาบัณฑิตแห่งมิถิลานครนึ่ เป็นชาติท,ี ๕ ในจำนวน ๑๐ ชาติ คือ ชาติที่

พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระมโหสก ในชาดกใช้ชี่อว่า มโหสถชาดก เป็นชาติท,ี พระโพธิสัตว์

ทรงบำเพ็ญบัญญาบารมี ผู้เขียนได้ถอดความและเรียบเรียงจากด้นฉบับภาษาบาลึเป็นภาษาไทยที่อ่าน

เข้าใจง่าย

๒. ลดษณะคำประพนธ์
ผู้เขียนเขียนเรื่องนึ่ไนลักษณะนวนิยายเรื่องยาว ลักษณะคำประพันธ์จึงชัดอยู่ในประเภทรัอยแก้ว
คือไม่มีบังคับสัมผัสหรือคด้องจอง แต่จะเป็นคำบรรยายและบทสนทนาที่สมจริง แต่ถึงกระนั้นผู้เขียนก้ยัง

เลือกใช้ก้อยคำโวหารที่ไพเราะ ทั้งบรรยาย พรรณนา และเทศนาโวหาร อีกทั้งมีการเปรียบเทียบอุปมา

อุปไมยอยู่ด้วย
ด้วอย่างเช่น ตอนที่บรรยายความรู้สึกของพระเจ้าวิเทหราชตอนที่เทวดาถามบัญหา

“ราตร็นั้น แม้ว่าจะเหล่ออยู่เห็ยงเล็กน้อย แต่'ด้วยหระหทัยททรง.คอยทจะได้ทอดหระเนตรเห็น


แลงอาทํตย์โดยเร็วของหระเจ้าว่เทหราข ดูเหม่อนเห็นล่งทม่หละด้นยงยงซดหน่วงราตร็กาลระยะนั้นนั้นไว้ให้

ล่คยาวไป ประหนงว่าถอยคนไปยู่เมอสนธยายเอนเห็นระยะแรกแห่งราตร็กาล ”
หรือตอนที่อนุเกวัฎทูลแนะนำพระอธิราชจุลน็เรื่องการรบ

“ขอเดชะ อกประการหนง โภคผลบางประเภทจะล่าเร็จประโยชน์ได้ต่อเมอ “ลุก" ... การทผล


จะกงความลุกได้นั้น บางขน่ดก็ต้องปล่อยให้เห็นไปตามสภาห เมอถงคราากงสมยก็ลุกได้เอง แม้ด้งไม่ล่ง

กาลสมัยก็ไม่ลุก บางชนก็อาจจะทำให้ลุกด้วยการบ่ม ด้นได้แก่การให้ความร้อยขนแก'ผลทปมนั้น ก็สลาน-


การณ์ลงครามม่กลาคราวนั้ หากปล่อยไปก็จะลุกหอมงอมหล่น ม่หักต้องยกขอสอย หากจะทังทับให้ลุกก็ได้

ด้วยก่อให้เกดความร้อนขน คอด้วยการโจมต่รมกวนม่ให้,'ขาวมถลาผาลุก ได้ การก็จะเห็นทังให้เกดผลความ


ร้อนขนแก'ผล ไม่ทํกกปมฉะนั้น”
ข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่งในเรื่องลักษณะคำประพันธ์นึ่ก็คือ ผู้เขียนได้ใช้สรรพนามที่ใช้ก้น

ในบัจจุบัน คือคำว่า “คุณ" และ “ผม" รวมทั้งคำตอบรับ “ครบ” กับตัวละครในเรื่องด้วย

kalyanamitra.org
ตัวอย่าง เช่น บทสนทนาระหว่างบัณฑิต ๔ ท่าน ของพระเจ้าวิเทหราช
“คุณนทูดอย่าง!ร’’ ท่านเลนกเลยงขุ่น “เดยากิสมมุตเป็นท่าแทน!อลูกบ้านนอกเสยเลย ผ่าข’'

เทานท์บ้งแล้ว บ้า!จวาบ “โปรดเกดครบ ผมทูต!ปตามประสาขอ เห็นว่าล้าเขา!ม่มา ทากเราก็!ม'!ดมา


ความจรงก็เป็นเข่นนั้งมใข่หรอดร'บ”

๓. จุดมุ่งหมาย
เนื่องจากเรื่องมหาบัณฑิตแห่งมิถิลานครเป็นเรื่องที่น์ามาจากชาดกทางพุทธคาสนา ดังนั้น

จึงขอแยกจุดมุ่งหมายเป็น ๒ ประเด็น คือ จุดมุ่งหมายของเรื่องมโหสกชาดก และจุดหมายของผู้เขียน


เรื่องนื่

๓.๑ จุดมุ่งหมายของเรื่องมโหสถชาดก ได้แก่

ก. เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ข. เพื่อให้ความรู้ในด้านพระประวิดของพระพุทธเจ้า

ค. เพื่อยกย่องสรรเสริญพระปรีชาสามารถของพระมใหสก ชื่งเป็นชาติหนึ่งของ

พระพุทธเจ้า

๓.๒ จุดมุ่งหมายของผู้เข็ยนเรื่องมหาบัญฑิตแห่งมถลานคร

ก. เพื่อเป็นบรรณานุสาวรีย์ของผู้เขียน

ข. เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความฉลาดปราดเปรื่องของพระมโหสก ซ็งผู้เขียนประทับใจ

เช่นเดียวกับความฉลาดปราดเปรื่องของขงเบังในเรื่องสามกิก

๔. เนอเรื่องย่อ
ภาคที่ ๑ ผู้สำเร็จราชการวิเทหรัฐ

มิถิลานคร เป็นราชธานีของแคว้นวิเทหรัฐ มีพระเช้าวิเทหราชเป็นกษัตริย์ ทรงปกครอง

ประชาชนด้วยทศพิธราชธรรม พระองค์ทรงมีปุโรหิตาจารย้หรือบัณฑิตประจำนคร ๔ ท่าน คือ อาจารย์

เสนก อาจารย์ปุกกุสะ อาจารย์กามนท์ และ อาจารย์เทวินท์


คืนหนึ่งพระเจ้าวิเทหราชทรงพระสุบินว่า มีกองเพลิงเล็ก จุ กองหนึ่ง ปรากฏขื้นตรงกลาง

แลัวลุกสว่างไสว ท่วมกองเพลิงทั้ง ๔ ซืงอยู่ตามมุมนั้นหมด และเพลิงนื่เป็นเพลงที่ให้ความร่มเยินแก่

ประชาชน รุ่งเซัาทรงให้อาจารย์ทั้ง ๔ ทำนาย ได้ความว่าจะมีผู้มีปัญญากว่าอาจารย์ทั้ง ๔ มาเกิด วันที่


ทรงพระสุบินเป็นวันที่บัณฑิตปฏิสนธิในครรภ์มารดา คือนางสุมนเทวิ ภรรยา เศรษงูสืรึวัฒนะ และเมื่อ

คลอดออกมาได้ถือแท่งยารักษาโรคมาด้วย จึงได้ชื่อว่า มโหสก หลังจากนั้น ๗ ปี พระเจ้าวิเทหราชจึง

ทรงส่งอำมาตย์ ๔ คน ไปประจำตำบลทั้ง ๔ ของแคว้นวิเทหรัฐ เพื่อสืบเสาะหาผู้มีบัญญา เพื่อพระองค์


จะได้ทรงนำมาชุบเลื้ยงต่อไป

kalyanamitra.org
อำมาตย์คนที่ไปทางตะวันออกถึงบัานยวมัชฌคาม ได้ไปพบศาลาที่พักอันโอ่โถงงคงาม ได้'
สอบลามผู้คนทวาบว่าศาลานั๋สว่างโดยมโหสถกุมาร ซ็งมีอายุเพียง ๗ ปี ก็ร้ลึกอัศจรรย์ใจ และคิดว่า
มโหสลกุมารคงเป็นบัณฑิตที่พระเจ้าวิเทหราชใหัสืบหาแน่นอน จึงส่งข่าวไปกราบทูลพระเจ้าวิเทหราช
กล่าวถึงฝ่ายอาจารย์ทั้ง ๔ เห็นพระเจ้าวิเทหราชทรงฝักใฝ่ที่จะหาบัณฑิตคนใหม่ จึงเกิดความ

ริษยา ไม่ตองการให้น่ามโหสถเข้ามาด้วยเกรงว่าตนจะเลียอำนาจไป จึงทูลคัดด้านโดยอัางว่า การสร้าง


ศาลาเป็นเหตุเพียงเด็กน้อยเท่านั้น ไม่ทำให้คนเป็นบัณฑิตได้ หากรับเข้ามาคนทั่วไปจะตำหนิพระเจ้า
วิเทหราช จึงทรงให้อำมาตย์คอยสังเกตการณ์อยู่ที่ยวมัชฌคามต่อไป
อำมาตย์ผู้นั้นได้ส่ง•ทูตมากราบทูลรายงานเหตุการณ์ที่แสดงบัญญาของมโหสถ บัณฑิตอยู่
เนึอง *1 คังนํ่
แองท 0 มใบ'สกวงตบม่อ โล่เหยยวทใฉบขนเนั้อไป โดยตูจากเงาททั้นดน และนำชนเน่อนั้น

กล่บมาได'ในขณะทเด็กลน ๆ ทำไม่ได้
แองท ๒ นางยักษ์มาตู'เอาลูกของบญมานบนง มใบสถก็ใบ,'ทั้งสองแย่งลูกด้นใครด็งไต้กเปีนของ

คนนั้น บญงมู้เป็นแม่ทนเบ็นลูกเจ็บไม่ใต้จงปล่อยใบ้นางยักษ์ด็งใป มโบสถจ็งสรุปว่า ม่ายไหนทม่ใจอ่อนไหว

ต่ออาการของลูก ม่ายนั้นควรเป็นแม่
แลงท 0) ขายอัปล่กบณ์บลงรักบญงงาม จ็งยอมตนรับใขบดามารดาของบญง จนกระทั้งได้

บญงงามนั้นเปีนตู่'ครอง รันบนงจะเดนทางกล่บไปเยยมบดามารดาของตน ต้องข้ามนา ขายเข็ญใจคนบนง

รับอาสาจะข่ายโดยทานางข้ามนำ ไปก่อน แต้วทรยศโดยเกลมกล่อมนางนั้นเป็นภรรยาคน ขายอัปต้กบณ์คามมา

ขอคน ตกลงด้นไม่ได้ จ็งใบ.'นโบสถต่ดล่น มโบสกลอบถามทํละคนกงขอภรรยา สาม่ ขอมดามารดาของ


แต่ละม่าย ชงขายข้นั้นตอบ โม่ได้ ขายอัปล่กบณ์จ็ง ไดกรรยาคน

เรื่องทั้งหมดนํ่พระอาจารย์ทั้ง ๔ มีเสนกเป็นหัวหน้า ก็ยังทูลคัดด้านพระเจ้าวิเทหราช ไม่ให้'


น่ามโหสลเช้ามาชุบเลั๊ยง อัางว่ายังเป็นเหตุเด็กน้อย และเพื่อไม่ใหัเป็นที่สงสัย และเป็นการประวิงเวลา

ต่อไป พระอาจารย์เสนกทูลแนะใหัพระเจ้าวิเทหราชทดลองปรีชามโหสถ ๓ ครั้ง คือ

ครั้งท 0 ทรงล่งใบ้ตะเคยนกลมยาวประมาณ 0 คบ ใบขาวยามข่ฌคามทเคราะบํว่าทางไบนโคน


ทางใบนปลาย ต้าท่เคราะษ์ไม่ได้จะลูกปรับ ขาวเม่องทั้งบลายทเคราะบ้ใม่ได้ จ็งนำไปใบ'มโบสก มโบสก
เอาใบ้ตะเคยนนั้นใล่ลงในตาดนํ้า เอาเขอกมูกตรงกลาง ใบ้นั้นจมไม่เท่าด้น จ็งตอบได้ว่าข้างทจมกว่าเป็นโคน

เทราะเกดก่อนเนอไมยอมแน่นแข็งกว่าจ็งบนกกว่า”
ครั้งท ๒ ดวงแต้วมณ ม่เกล่ยว เกล่ยว ม่ด้ายร้อยในเกล่ยวแต้ว เป็นด้ายเก่าขนาด ทระเต้า

ว่เทบราชใบขาวยวม่ขฒคาม นำก่ายเก่าออกแต้วร้อยด้ายใบม'เข้าไปในเกล่ยวแต้ว ขาวเม่องทำ ไม่ได้ นำไปใบ้

มโบสกเข่นเคย มโบสกใข้นาผงทาทข่องของดวงแก้วและทปลายด้ายลนเข้า ไปในดวงแก้วเล็กบ้อย แต้วเอา โป

ล่อมดแดง มดแดงด็ด็งด้ายใบม่ไป'ตามข่องเทอบานำผงจนกระด้งปลายด้ายโปโผล่'อกด้านบนง
ครั้งท ๓ ทระเต้าว่เทบราขด้องการใบ้ขาวยามขฌคามขวั้นทรวนทราย @ เต้นเอาไปทำสายขงข้า

kalyanamitra.org
(^)

เป้องจากการนำทรายมาขานเป็'มเขอกเป็นสงททืา ไม่ได้ มใหสถจงแก''ด้ายป็ญณูา ให้คน ไปทูลร่า ไม่ทรามขนาด


ขอด้วอย่างเถ้นเก่ามาดู ถ้าหระเจ้าวเทหราขไม่ม่ก็ให้ทูลร่าในวังยังไม่ม่ แล้วขาวม้านจะขวั้นหรานทรายกรวย

ได้อย่างไร
พระเจ้าวิเทหราชทรงเห็นปรีชาของมโหสถตั้งแต่การทดลองครั้งที่ ๑ แล้ว แต่ถูกพระอาจารย์

เสนกคัดต้าน จึงทดลองถึง ๓ ครั้ง พระอาจารย์ก็ยังคัดต้านอยู่ พระองค์ทรงวิตกไม่รู้จะทำอย่างไร


ในที่สุดคัดสินพระทัยจะเสด็จไปพบมโหสกด้วยพระองค์เอง ทรงรีบร้อนควบม้าไป บังเอิญม้าพระที่นั่ง

ถลำตกลงไปในระแหงดิน เป็นแผลไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ จึงเสด็จกลับกรุงมิถิลา พระอาจารย์เสนก

ได้โอกาสกราบทูลว่า เป็นเพราะพระบารมีของพระองค์จะไม่ต้องถูกประเทศอื่นดูแคลนเรื่องราชบัณฑิต
จึงบันดาลให้เท้าม้าพระที,นั่งประสบอุปตเหตุเลียก่อน แล้วพระอาจารย์เสนกก็ทูลอุบายต่อไป ให้ส่งเรื่อง
ที่พระเจ้าวิเทหราชเสด็จมาและบอกปริศนาไปยังม!หสถว่า ให้ม!หสถล่งม้าอัสดรหรือม้าที่ประเสริฐมาให้

ล้าส่งม้าอัสดร มโหสถด้องมาด้วย ล้าล่งม้าที่ประเสริฐก็ต้องล่งบิดามาด้วย ม!หสถก็มาและสามารถ

แล้ปริศนาได้ด้วยบัญญา ทำให้พระอาจารย์ทั้ง ๔ ต้องยอมจำนน พระเจ้าวิเทหราชจึงตรัสขอม!หสถ


ต่อบิดาเพื่อนำมารับราชการในวัง ม!หสถได้รับพระราชทานคฤหาสน์ใหญ่!ตอยู่ภายนอกพระราชวัง
งานชินแรกของม!หสถบัณฑิตคือการหาแก้วมณีที่มีแสงปรากฎอยู่ในสระโบกขรณี พระอาจารย์

เสนกนำผู้คนไปวิดสระต้นหาถึง ๒ ครั้งแต่ไม่พบ แต่ม!หสถสังเกตเห็นว่าแก้วมณีคงสะท้อนแสงมา


จากด้นตาลจึงให้คนร้นไปดู พบแก้วมณีอยู่ในรังกาบนต้นตาล

พระเจ้าวิเทหราช มีพระมเหสีซือพระนางอุทุมพร พระนางอุทุมพรเป็นธิดาของท่านคิลา-


ปาโมกข์แห่งตักกสิลา ได้ถูกยกให้!]งคุตตระ ศิษย์ผู้ใหญ่ของบิดาตามธรรมเนียมของสกุล แต่ปิงคุตตระ
เป็นคนอาภัพอับโชค เป็นกาลกรรณี ไม่เห็นความงามของนาง ไม่ปรารถนานางเลย ที่ยอมรับนางเพราะ

ไม่ด้องการขดคำอาจารย์ ในระหว่างเดินทางได้หลอกให้นางร้นไปเก็บลูกมะเดื่อแล้วเอาหนามมาวางไวั

รอบด้นไม่ให้ลงมา แล้วหนีไป จนพระเจ้าวิเทหราชมาพบนาง และรับเป็นพระมเหสี เพราะนางเป็น


คนมีบุญจึงมีเหตุให้เป็นไปคังนึ่

พระนางอุทุมพรเป็นผู้อุปลัมภํคนสำคัญของม!หสถ เหตุเกิดจากวันหนึ่งพระเจ้าวิเทหราช

เสด็จประพาสอุทยาน พระนางอุทุมพรทอดพระเนตรเห็นปิงคุตตระอยู่ในกลุ่มคนที่ถูกเกณฑ์มากวาดถนน

ด้วย ทรงนึกถึงเรื่องราวของพระองค์ แล้วทรงพระสรวล ทำให้พระเจ้าวิเทหราชกริ้ว ถามถึงสาเหตุ

และไม่ทรงเซีอว่า ปิงคุตตระจะทอดทิ้งหญิงงามได้ แต่ม!หสถทูลซีแจงแก้ไขไวัใด้ โดยอัางว่าเป็นเรื่อง

ของบุญวาสนา คนกาลกรรณีจะอยู่ร่วมกับผู้ทรงสิริไม่ได้ คำของม!หสถช่วยให้พระนางอุทุมพรรอดซีวิต

มาได้ พระนางจึงทูลขอม!หสถเป็นน้องชาย และขออุปล้มภํมโหสถต่อไป


พระเจ้าวิเทหราชทรงพอพระทัยในการโตตอบบัญหากับบัณฑิตของพระองค์อยู่เสมอ ชี่ง

ล้วนแต่เป็นการเพิ่มบารมีให้แก่ม!หสถยิงร้น เช่น บัญหาเรื่องสัตว์ที่เป็นคู่ปรบักษ์กันแต่เป็นมิตรกันดี

บัญหาเรื่องคนมีบัญญากับคนมีทรัพย์ใครดีกว่ากัน

kalyanamitra.org
(๕)

มไหสกรับราชการเป็นราชบัณฑิตอยู่กับพระเจ้าวิเทหราชเรื่อยมา จนถึงวัยอันสมควร พระนาง

อุทุมพรจึงทรงแนะให้หาคู่ครอง มโหสกใช้เวลาเพียง ๓ วัน ปลอมตัวเป็นช่างปะชุนเดินทางไปหาคู่ครอง

โดยใช้หลักทดสอบความฉลาด และมโหสถก็ได้นางอมรามาเป็นคู่ครองพามากรุงมิถิลา และก่อนจะพา


เข้าบ้าน ยังให้ลูกน้อง ๓ คน มาทดสอบนางโดยการให้เกี๊ยวพาราสี และอัางทรัพย์สมบัติ แต่นางก็มี

จิตใจมั่นคง มโหสกจึงพามาเฝืาพระนางอุทุมพร แล้วพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงจัดพิธีอาวาหมงคลพระ-

ราชทาน
มโหสกรับราชการเจริญรุ่งเรือง เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าวิเทหราช ทำให้บัณฑิตทั้ง

๔ ท่านอิจฉาริษยาและคิดทำลายมโหสก โดยวางแผนขโมยเครื่องประดับประจำพระองค์ของพระเจ้า
วิเทหราช แล้วอุบายใส'หม้อเปรึยงไปขายที่บัานมโหสถ แต่อาศัยที่นางอมราเป็นคนฉลาด เห็นผิดสังเกต
จึงซักไซ์ไต่กามคนขาย แล้วทำทีเป็นซื้อไว้ พระอาจารย์ไปทูลว่ามโหสกคิดการใหญ่ขโมยเครื่องประดับ

ของพระองค์ไป พระเจ้าวิเทหราชกริ้ว มโหสถรัข่าวจึงหนีไป ประชาชนพากันระสํ่าระสาย เพราะ

มโหสกเป็นมิ่งขวัญของประชาชน พระอาจารย์ทั้ง ๔ ได้โอกาสไปปลอบขวัญประชาชน และเกลี้ยกล่อม

ประชาชนให้หันมาชี่นชมตน

เมื่อมโหสกหนีไปแล้ว บัณฑิตทั้ง ๔ คิดจะครอบครองนางอมรา จึงต่างส่งของขวัญไปใหั

และนัดแนะจะไปหา นางอมราทำอุบายสร้างห้องพิเศษไวัด้อนรับ แล้วขุดหลุมไวั ข้างใด้หลุมนั้นได้ให้

คนขนอุจจาระมาเทใส'ไวัด้วย และนางได้ล่อให้บัณฑิตทั้ง ๔ ตกลงไปในหลุม รุ่งเช้านางอมราให้คน

โกนหัวบัณฑิตทั้ง ๔ แล้วม้ดใส'เสื่อลำแพนไปถวายพระเจ้าวิเทหราช กราบทูลความจริงใหัทรงทราบ


พระเจ้าวิเทหราชทรงองไป เพราะไม่ทรงคิดว่าบัณฑิตทั้ง ๔ จะทำการถึงเพียงนื้ แต่ด้วยพระเมตตา

เห็นว่าบัณฑิตทั้ง ๔ อยู่ในฐานะพระอาจารย์ และได้รับความอับอายมากแล้ว จึงพระราชทานอภัยโทษให้


ราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราช เมื่อไม่มีมโหสถก็เงียบเหงาไป ทั้งประชาชนชาวมิลิลาก็หมอง
เศร้าไปด้วย มโหสกเคยเป็นผู้แสดงธรรม และซื้แจงแกัใขเหตุด่าง *1 ถวายพระเจ้าวิเทหราชเสมอมา

เมื่อไม่มีมโหสถก็เท่ากับพระองค์ขาดดวงตาไป แต่พระเจัาวิเทหราชไม่ทรงทราบว่าจะทำประการใด

เพราะยังทรงแคลงพระทัยว่าทำไมมโหสถด้องหนีไป ถ้าไม่ได้ทำผิด ร้อนถึงเทวดาด้องหาทางให้มโหสก


กลับคืนมา ดังนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ กัมพูฉัตรของพระเจ้าวิเทหราช จึงปรากฎพระองค์และถาม

บัญหา ๔ ข้อ คือ


๑. ผูใดIล่าประหารท่านตัวยม่อ ตัวยเท่า Vณอา ต่อยIอา ถมเอา เตะเอา บางคราวก็ตบเอา
ผู้บั้นแลเป็นท่ร่ก ใครคอบุคคลบั้น

๒. บุคคลด่าผู้ใดตามขอบใจ แต่ใม่ปรารถนาท่จะให้ผู้ถูกด่าแข่งประลบผลร้ายตามคำด่าแข่ง
โม่ต'องการให้ความทด่าเท่งบั้น ๆ มาถงฝูทถูกด่า ผูทถูกด่าบั้นซ่อมเป็นทรกของผู้ด่าแข่ง ใครคอบุคคลบั้น

๓. บุคคลกล่าวตู่กันด้วยความโม่จรง ด่างก็โด้ถยงกันด้วยคำเหลาะแหละ ผู้บั้นซ่อมเป็นทร้ก

ใคร่กัน ใครคอบุคคลบั้น

kalyanamitra.org
(V

๙. บุคคลผ้ใด ขน ใปชงข้าวนั้า ผ้า แล^ทหลับทนอน บแต่'ขน ไป'ถ่ายเดยา บุคคลเหล่านั้น

กลายเป็นทน่าร''กใคร่ ใครคอบุคคลนั้น

พระเจ้าวิเทหราชไม่สามารถแก้!!ญหาทั้ง ๔ ข้อได้ จึงตรัสขอเวลาแก่เทวดาอีก 9 วัน แก้ว


พระองค์ทรงตามบัณฑิตทั้ง ๔ มาแก้บัญหา แต่ไม่มีใครแก้ได้ เมื่อถึงกำหนดเวลาก็ไม่สามารถตอบบ้ญหา
เทวดาได้ เทวดาจึงแนะไห้ไปถามมโหสถ และขู่ว่าลัาพระองค์ทรงตอบบ้ญหาไม่ได้ก็จะด้องสิ้นพระชนม์
พระเจ้าวิเทหราชจึงส่งอำมาตย์ออกไปตามหามโหสลยังทิศต่าง กุ ก็ได้พบมโหสถอยู่ที'บ้านช่างหม้อทาง
ทิศได้ การที่ท่านมโหสถไปทนทุกข์อยู่ที,บ้านช่างหม้อก็เพื่อพิสูจน์ให้พระเจ้าวิเทหราชเห็นว่าตนเองมิได้
คิดทรยศต่อพระวิเทหราชเลย เมื่อม!หสถกลับมาเข้าเฝืาพระเจ้าวิเทหราช พระองค์ได้ทรงซักไซ้มโหสถ

มโหสถก็ทูลซีแจงจนพระเจ้าวิเทหราชหายแคลงพระท้ย และขอให้มโหสถแก้บ้ญหาของเทวดา ซีงม!หสถ


ก็กราบทูลถวายได้ คือ บ้ญหาช้อที่ 0 หมายถึง*/ารดาลับทารกน้อย ช้อที่ ๒ หมายถึงบารดาทดุด่าบุดร
ของดน ข้อที่ ๓ หมายถึงลามภรรยา และข้อที่ ๔ หมายถึงลบณหราหบณ็ผ้ทรงคล

พระเจ้าวิเทหราชทรงซืนชมในบ้ญญาของมโหสล โปรดพระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่
ม!หสล ท่าให้ไม่เป็นที'พอใจของพระอาจารย์ทั้ง ๔ พระอาจารย์ทั้ง ๔ ได้คิดอุบายกำจัดม!หสถอีก

โดยจะไปทูลว่าม!หสถเป็นคนมีลับลมคมใน ขั้นแรกพระอาจารย์ทั้ง ๔ ทำเป็นไปสนทนาก้บมโหสถ


ถึงบ้ญหาการก่อร่างสร้างตน แก้วสุดท้ายถามเรื่องความลับควรจะบอกแก,ใคร ม!หสถบัณฑิตตอบว่า
ความลับของเราไม่ควรบอกแก่ใคร ตำตอบของม!หสถเข้ากับแผนของอาจารย์ทั้ง ๔ ที่จะไปกราบทูลว่า
ม!หสลเป็นคนมีลับลมคมใน เมื่อพระอาจารย์ไปกราบทูล พระเจ้าวิเทหราชไม่ทรงเซือ พระอาจารย์
ก็ทูลว่าให้เรียกตัวม!หสถมาสอบถามดู พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงสอบถามพระอาจารย์ทั้ง ๔ และม!หสถ
ถึงเรื่องความลับ พระอาจารย์ทั้ง ๔ ก็ตอบว่า ความลับควรจะบอกกับคนที'ไว้ใจได้ คนโน้นบ้างคนนั้บ้าง

แต่ม!หสลก็ตอบเหมือนเดิมคือ ความลับบอกใครไม่ได้ และม!หสถก็สังเกตเห็นรัว่า พระเจ้าวิเทหราช


ทรงทดลองตน และเป็นอุบายของคนทั้ง ๔ จึงหลบออกไปก่อน พระเจ้าวิเทหราชทรงเซือตามคำยุยง
ทรงผิดหวังและทรงน้อยพระท้ยมาก จึงพระราชทานพระขรรค์ประจำพระองค์ให้พระอาจารย์ทั้ง ๔

ไปดัดศีรษะม!หสล
ม!หสถคิดหางทางแก้ไข จึงได้ไปหลบอยู่ในลังข้าวหน้าประตูพระราชวัง ซีงเปันที'ที่พระอาจารย์

ทั้ง ๔ มักมาคุยกันเสมอ จึงได้ทราบแผนทั้งหมดและความลับของอาจารย์ทั้ง ๔ คือ ท่านเสนกได้ฆ่า


เรวดีหญิงแพศยาเพื่อเอาสร้อยเพชรของนาง ท่านปุกกุสะขาเป็นขั้เรื้อน ท่านกามินท้จะลูกยักษ์นรเทพ
เข้าสิงและร้องเห่าหอนเหมือนสุน้ขในวันสิ้นกาฬบ้กษ์ และท่านเทวินท์ขโมยดวงมณีของพระเจ้าวิเทหราช

พระนางอุทุมพรทรงเห็นพระเจ้าวิเทหราชผิดปกติไปจึงทูลถามก็ทรงทราบว่าพระเจ้าวิเทหราช
ทรงให้พระอาจารย์ทั้ง ๔ คอยฆ่าม!หสถ จึงลอบส่งข่าวให้ม!หสถทราบ ในวันรุ่งขนม!หสถจึงมิได้มา
เข้าเฝืาตอนเข้าตามปกติ พระอาจารย์ทั้ง ๔ จึงไม่มีโอกาสลอบฆ่า ม!หสถรอให้เวลาผ่านไป จึงชักชวน
ชาวมิชิลาเดินขบวนมาเฝืาพระเจ้าวิเทหราช และทูลขอให้โอกาสอธิบายเรื่องความลับต่าง *1 ให้ทรงทราบ

kalyanamitra.org
(^)

พระเจ้าวิเทหราชทรงเข้าพระทัยมโหสล โปรดให้น้าอาจารย์ทั้ง ๔ ไปขัง มโหสถขอพระราชทานโทษ


ให้อาจารย์ทั้ง ๔ พระเจ้าวิเทหราชทรงเห็นนํ้าใจของมโหสลก็พระราชทานอภัยโทษให้ และพระองค์
ทรงแต่งดั้งมโหสถเป็นผู้สำเรีจราชการวิเทหรัฐ มีอำนาจสิทธิ๋ขาดในการปกครองบ้านเมือง

มโหสถได้จัดการปกครองบ้านเมืองให้ประชาชนร่มเย็นเป็นสุข ทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรึอง
ทุกด้าน ทั้งยังคิดเตรียมการป้องกันบ้านเมืองไว้ล่วงหน้า เผื่อจะมีข้าศึกมารุกราน ได้ให้ขุดคู สรัางกำแพง
ป้อมปราการต่าง *1 อย่างมั่นคงแข็งแรง ทั้งยังส่งสหชาติโยธา 1)08 คน ไปประจำตามราชสำน้กต่าง *1

ทั้ง •๐๑ เมือง เพื่อสืบราชการลับด้วย นอกจากนึ่ยังมีนกแขกเด้าแสนรู้',ชื่อ มาถูงะ เป็นผู้สืบข่าวที่สำคัญ

อีกด้วย
ภาคที่ ๒ ร่ชทายาทแห่งป็ณูจาละ

ที,ราบลุ่มแม่นํ้าคงคงเหนีอวิเทหรัฐร้นไปประมาณ ๑๐® โยชน์ เป็นที่ดั้งของอาณาจักรใหญ่

แห่งหนึ่ง คือ กัปปิลรัฐ มีบ้ญจาลนครเป็นราชธานี บ้ญจาลนครเป็นนครที่รุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ทัดเทียม

กับมิถิลานคร มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเช้ามหาจุลน้ และพระมเหสีทรงพระนามว่า พระนาง

สลากเทว ทรงมีพระโอรสคือ พระราชกุมารจุลนี พระเจ้ามหาจุลนีทรงปกครองบ้านเมือง ด้วยทศพิธ-

ราชธรรม ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขเสมอมา
ต่อมาเกิดเหตุรัายร้นคือ พระนางสลากเทวีลอบเป็นชักับปุโรหิตที่ชี่อฉํพกพราหมณ์ และ

พระนางลอบฆ่าพระเจ้ามหาจุลนี แลัวยกราชสมบ้ดิให้ฉัพภิพราหมณ์ ในไม่ข้าฉัพภิพราหมณ์เห็น

พระราชกุมารจุลนีเป็นเด็กฉลาดสามารถ ก็คิดกำจัดเสีย พระนางสลากเทวีจึงอุบายให้พ่อครัวและลูกชาย


พ่อครัวพาพระราชกุมารหนีไป แล้วจุดไพ่เผาห้องเสียให้เอากระดูกแพะทิ้งไว้ในห้องด้วย ให้คนเข้าใจว่า

ทั้ง ๓ คนดายแล้ว

พ่อครัวได้พาธนูเสกข็บุตรชาย และพระราชกุมารจุลนีไปอาศัยอยู่ในสาคลนคร ราชธานีของ


มัททรัฐ และสมัครรับราชการเป็นพ่อครัวในราชสำนัก และกุมารทั้ง ๒ ก็ได้เป็นเพื่อนเล่นกับพระราช­

กมารีน้นทา พระราชธิดาของพระเจ้ามัททราช พระเจ้ามัททราชทรงสังเกตเห็นความองอาจกลัาหาญ


และความทะนงตนของพระราชกุมารจุลนี ทั้งทรงเห็นความแตกต่างระหว่างพระราชกุมารกับธนูเสกข็

จึงทรงคาดดั้นเอาความจริงกับพ่อครัว พ่อครัวเห็นพระเจ้ามัททราชทรงมีพระเมตตา จึงทูลความจริง

ให้ทรงทราบ พระองค์ก็ทรงปิดเป็นความลับ และพอพระทัยในพระราชธิดาสนีทสนมกับพระราชกุมาร


และในที่สุดพระราชกุมารก็ได้อภิเษกกับพระราชธิดานันทา

ทางบ้ญจาลนคร พระนางสลากเทวีประสูติพระราชโอรสของพระเจ้ามหาจุลนี ทรงพระนามว่า


ด้ชณวไชกุมาร ฉัพภิพราหมณ์เข้าใจว่าเป็นบุตรของตน จึงเลื้ยงดูอย่างดี เมื่อพระราชกุมารเจริญวัย และ

ทรงพระปริชาสามารถเป็นที่ปรากฏ ท่านอำมาตย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที,ยังจงรักภักดีต่อพระเจ้ามหาจุลนีก็หา

โอกาสทูลให้พระราชกุมารทรงทราบความจริง พระราชกุมารจึงทรงคิดอุบายฆ่าฉัพภิพราหมณ์ได้สำเรืจ

พวกอำมาตย์ผู้ใหญ่ประชุมตกลงกันจะถวายราชบัลลังก์แด่พระดิขิณมนตรี แต่พระนางสลากเทวีได้แจ้งว่า

kalyanamitra.org
(๘)

พระราชกุมารจุลนีพระโอรสองค์ใหญ่ยังทรงมีพระชนม์อยู่ พวกอำมาตย์จึงตกลงให้จัดขบวนไปเชิญเสด็จ

มาครองราชย์ต่อไป

พระเจ้าอธิราชจุลนี ทรงมีพระบรมเดชานุภาพมาก ทรงปกครองบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย

ปราศจากข้าศึกศัตรู เหล่าข้าราชบริพารก็ถวายความจงรักภักดี ไพร่พลต่าง กุ ก็ล้วนจัดเจนในการรบ


ที่สำคัญคือมีบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญช่วยเหลือพระองค์คือ พระนางสลากเทวีพระชนนี พระอนุชาธิราช

ธนูเสกข์พระสหาย พระราชธรรมจริยาจารย้เภรีปริพาซิกา และท่านราชปุโรหิตาจารย้เกวัฎ


ท่านอาจารย์เกวัฎทูลแนะนำให้พระเจ้าอธิราชจุลนีแผ่พระราชอาณาจักรไปให้ทั่วชมพูทวีป ซึ่ง

ก็ตรงกับพระราชดำริของพระองค์อยู่แล้ว ดังนั้นพระเจ้าอธิราชจุลนีจึงทรงยกกองทัพ ๑๘ กองทัพไปดี


เมืองต่าง กุ แต่แผนการนื่ล่วงรู้ไปถึงท่านมโหสถแห่งมิถิลานคร เนื่องจากผู้สืบข่าวแจ้งให้ท่านมโหสถ

ทราบว่าที่เมืองบ้ญจาละมีการเรียกระดมไพร่พล ท่านมโหสถจึงส่งนกมาถูระมาสืบข่าว และนกมาถูระ

แอบได้ยินคำปรึกษาของอาจารย์เกวัฏ กับพระเจ้าอธิราชจุลนี ดังนั้นทางกรุงมิถิลาจึงเตรียมการป้องกัน

อย่างแข็งแรง
กองทัพพระเจ้าอธิราชจุลนีใชัเวลาถึง ๗ ปีเศษ มีซัยชนะต่อแคว้นต่าง กุ เกือบทั่วชมพูทวีป
โดยที่ไม่ด้องต่อสู้เลย ทั่งนึ่เพราะแคว้นด่าง กุ เหล่านั้นมีกำลังเพียงเล็กน้อยจึงยอมแพ้ ยังเหลืออยู่แด่

แคว้นวิเทหรัฐเท่านั้น พระเจ้าอธิราชจุลนี มีพระประสงค์จะยกไปฃึดแควันวิเทหรัฐ แต่อำมาตย์เกวัฏ

ทูลคัดด้าน โดยอ้างถึงความฉลาดของมโหสถ พระเจ้าอธิราชจุลนีจึงยกทัพกลับบ้ญจาลนคร พร้อมด้วย


พระราชา ๑๐® พระองค์ ที่ทรงยอมแพ้พระเจ้าอธิราชจุลน็ เตรียมจัดพิธีชัยบานฉลองชัย และเตรียมฆ่า

พระราชาทั่ง ๑0๑ ในพิธีนื่ตามแผนของเกวัฎ

ฝ่ายท่านมโหลถทราบแผนการนื่จึงส่งคนไปทำลายพิธี โดยทำลายข้าวปลาอาหารและสุราที่

ใส่ยาพิษเสียหมดลิ้น ทำให้พระเจ้าอธิราชจุลนีกร็ว และยกกองทัพใหญ่ทั่ง ๑๘ กองทัพมาประชิดกรุง

มิถิลาโดยไม่ทรงพ้งคำคัดด้านของอาจารย์เกวัฎ กองทัพใหญ่บัญจาลนครได้ล้อมกรุงมิถิลาไว้ ประชาชน


พากันอกสนขวัญหาย ทั่งพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงพระวิตก ท่านมโหลถจึงจัดการบำรุงขวัญประชาชน
โดยวางแผนให้ประชาชนเลี้ยงดูกันอย่างครืกครื้น ทำให้ฝ่ายข้าศึกสงสัย ฝ่ายผู้สืบข่าวด่าง กุ ก็ทูลยุยงให้

พระเจ้าอธิราชจุลนีเข้าโจมดี ซึ่งการเข้าโจมดีครั้งแรกฝ่ายมิถิลานครได้ต่อสู้ป้องกันอย่างเข้มแข็ง ทำให้

ฝ่ายข้าศึกพ่ายแพ้
ท่านอาจารย์เกวัฎทูลพระเจ้าอธิราชจุลนีให้เปลี่ยนแผนโดยใซัวิธีปิดกั้นทางนำ เพราะเมือง

มิถิลามีแม่นํ้าอยู่นอกเมือง แด่มโหสถได้ขุดสระไว้โนเมืองแล้ว แผนนื่จึงไม่สำเร็จ มโหลถคิดอุบาย

ปลูกบัวในกระบอกไม้ไผ่ ได้ดอกบัวที่มีสายยาวมาก โยนไปให้พวกข้าศึก ทำให้พระเจ้าอธิราชจุลนี เข้าใจว่า


ในเมืองมีลระนํ้าลึกมาก เกวัฎทูลให้เปลี่ยนแผน โดยปิดกั้นประดูเมืองไม่ให้ประชาชนออกมาหาเสบียง

อาหาร จนกว่าจะอดข้าวแล้วยอมแพ้ แด่มโหสถได้เตรียมยุ้งฉางเก็บข้าวเปลือกไว้แล้ว จึงนำข้าวเปลือก


มาปลูกบนกำแพงให้ข้าศึกดู สุดท้ายเกวัฎใชัแผนธรรมยุทธ์ คือ การรบวิธีหนึ่งที่ไม่ด้องใชัอาวุธ เพียงแด่

kalyanamitra.org
(๙)

ให้'บ'ณฑิดทั้ง ๒ ฝ่ายมาพบกัน ด้าฝ่ายไหนไหว้ก่อนฝ่ายนั้นแพ้ เกวัฎคิดว่ามโหสตเป็นเด็กต้องไหว้ตน


ก่อนแน่นอน แต่การณ์ไม่เป็นดังนั้น มโหสตวางอุบายเอาดวงแก้วมณี ๘ ดวงไปให้'เกวัฎด้วย ด้วยท่าที
อันสง่าผึ่งผายองอาจไม่กลัวใครของมโหสต ทำให้'เกวัฎด้องเป็นฝ่ายทักทายก่อน มโหสตทำทีจะมอบ

ดวงแก้วมณีให้เกวัฎ เกวัฎดีใจจะรับ แต่มไหสตแกล้งทำหล่น เกวัฎก้มลงเก็บมโหสตจึงจับคอเกวัฎไว้


ทำให้มองดูเหมือนเกวัฏก้มลงไหว้มโหสต แล้วมโหสตพยายามจะดึงขื้น แล้วกล่าวว่าไม่ด้องไหว้ พระเจ้า

อธิราชจุลนึเห็นด้งนั้นจึงหนีไป ไพร่พล?)ระสำระสายหนีก้นไปไม่เป็นขบวน ฝ่ายเกวัฎรึบควบม้าตาม


ไปท้นพระเจ้าอธิราชจุลนี ทุลซีแจงว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นกลลวง ยังไม่ได้ฟายแพ้ กองทัพบัญจานครจึง

ยัอนกลับมาล้อมกรุงมิติลาไว้อีก
คราวนั้ท่านมไหสตส่งพราหมณ์ผู้'ฉลาดหลักแหลมซือ อนุเกวัฎไปเป็นไส้ศึก โดยทำเป็นว่า
ไม่ถูกกับมโหสตถูกเฆี่ยนไป และไปขอพึ่งฝ่ายพระเจ้าอธิราชจุลน้ อนุเกว้ฎนอบน้อมถ่อมตนและทูล

เสนอแนะข้อคิดต่าง *1 จนพระเจ้าอธิราชจุลนีวางพระทัยให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพ อนุเกวัฎจึงวางอุบาย


ส่งทหารไปรบตรงด้านที่เข้มแข็ง หรึอตรงที่มีส้ตว้ร้ายเช่นจระเข้ชุกชุม ทำให้ไพร่พลเสึยซีวิตเป็น
จำนวนมาก ที่เหลึอก็ขวัญหนีไม่ยอมออกหัวบ กองทัพบัญจาละมีแต่ความเหลวแหลก นอกจากนี

อนุเกวัฎยังทูลยุยงว่า พระราชาทั้ง ๑๐๑ นั้น ไม่จงรักภักดีต่อพระองค์ ซืงพิสูจน์ได้โดยตรวจอาภรณ์


ประดับเครื่องทรงของทุกพระองค์จะมีซีอมโหสตอยู่ข้างใน ทั้งนํ่อาภรณ์เหล่านั้นมโหสตได้มอบให้ผู้'
สึบราชการลับใข้เป็นบรรณาการไปถวายตั้งแต่ลอบเข้าไปรับราชการในเมืองนั้น รุ แล้ว โดยที่พระราชา
เหล่านั้นไม่ร้เรื่องเลย เมอทูลยุยงให้พระเจ้าอธิราชจุลนีเห็นว่าพระองค์อยู่ท่ามกลางผู้ทวยคแล้ว จึงทูล
แนะให้เสด็จหนีไปเสึย โดยจะไปลำพังเพียงพระองค์และอนุเกวัฎ พอหนีไปได้พักหนึ่ง อนุเกว้ฎก็

หวนกลับมา ตะโกนบอกพวกทหารว่าพระเจ้าจุลนีหน็ไปแล้ว ทำให้พวกทหารตกใจคิดว่ามโหสตยก


กองทัพออกมาโจมดี ต่างหนีเอาตัวรอด ทิ้งสิ่งของเครื่องใช่ทั้งหมดไว้ในฐานทัพ กองทัพบัญจาลนคร

ก็พ่ายแพัแก่มโหสตอย่างยับเยิน

ภาคที่ ๓ ในเงอมห*ตถ์จลน์

เวลาผ่านไป ๑ ปี ชาวบัญจาละไม่มีใครเอ่ยตึงเรื่องแพัสงครามอีก ต่างแสวงหาความรื่นรมก็


เพึอลบความทรงจำในอดีต แต่ความแด้นของเกวัฏหยั่งลึกเด็ยแล้ว โดยเฉพาะเมึ๋อส่องกระจกเห็นรอย
แผลที่แสกหน้า ข็งเกิดจากการที่มโหสตจับเอาหัวถูก้บพื้นในตอนที่กระทำธรรมยุทธ์ เกวัฎคิดตึงแผนกาว

ใหม่ได้ จึงไปทูลพระเจ้าจุลนี แผนนึ่จะใช่วิธิเอาเหยื่อเข้าไปล่อให้ศัตรูเข้ามา โดยใข้พระราช®ดาป็ฌูชิาลข้นที


เป็นเหยื่อ ดึอให้พวะเจ้าจุลนีแกล้งทำส้มพันธไมดรึก้บมิติลานคร โดยอัางว่าจะยกพระราชธิดาให้พระเจ้า

วิเทหราช เข็ญพระเจ้าวิเทหราชเสด็จมาพรัอมด้วยมโหสต แล้วฆ่าเสึย เกวัฎคาดว่าพระเจ้าวิเทหราช


จะต้องดีพวะท้ย เพราะพระนางอุทุมพรไม่ใช่ข้ตติยนารึ และยังไม่มีพระโอรส ซี,งการณ์ก็เป็นไปด้งคาด

แต่มโหสตไม่ค่อยไว้วางใจ จึงส่งนกมาถูระมาสึบข่าวจากนางนกประจำห้องบรรทมพระเจ้าจุลนี มโหสต

kalyanamitra.org
จึงทราบแผนการทั้งหมด แต่ไม่สามารถทูลคัดค้านพระเจ้าวิเทหราชได้ เพราะพระเจ้าวิเทหราชทรงปรารถนา
พระราชธิดา เนื่องจากก่อนที่พระเจ้าจุลนีจะทรงส่งเกวัฎให้นำพระราชสาสน์มาถวายนั้น ได้โปรดให้
นักกวิแต่เพลงชมโฉมพระราชธิดา จนเป็นที่กล่าวขวัญไปทั้ว และส่งนักกวิเหล่านั้นมาขับเพลงชมโฉม
ให้พระเจ้าวิเทหราชพ้งด้วย ในที่สุดมโหสถตัดสินใจเดินทางมากรุงบัญจาละก่อนโดยชัางว่ามาเตรียมการ
รับเสด็จ มโหสถทูลขออนุญาตพระเจ้าจุลนีสร้างพระราชวังถวายพระเจ้าวิเทหราชอยู่นอกเมืองริมแม่นํ้า
หาทางหนีทีไล่ไว้เสร็จเรียบรัอย แลัวให้ขุดอุโมงค์จากพระราชวังสร้างใหม่ไปโผล่ที่พระราชวังพระเจ้าจุลนี
ด้านหนื่ง และไปโผล่ท,ี ริมแม่นํ้าอีกด้านหนึ่ง โดยที่ทางฝ่ายบัญจาลนครไม่ทราบเลย

เมื่อพระเจ้าวิเทหราชเสด็จมาถึงบัญจาลนครและประทับที่พระราชวังนอกเมืองแล้ว พระเจ้า

จุลนีก็ดำเนินการตามแผนคือ ยกกองทัพใหญ่มาล้อมพระราชวัง เห็นว่าพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสถไม่มี


ทางรอดแน่ แต่ขณะเดียวกันมโหสถก็ส่งทหารไปทางอุโมงค์ให้ไปคุมตัวพระชนนี พระมเหสี พระราช-
โอรส และพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาไว้ในพระราชวัง แล้วจัดการส่งเชลยทั้งหมดไปมิติลานคร
พร้อมพระเจ้าวิเทหราช โดยทางเรือที่มโหสถเตรียมไว้แล้ว เมื่อพระเจ้าจุลนีทราบเรื่องก็หมดบัญญา
ที่จะทำอะไรมโหสถได้ เพราะมโหสถขู่ว่าพระชนนี พระมเหสี พระราชโอรส และพระราชธิดาก็จะ

ตกอยู่ในชันตรายเช่นเดียวกัน พระเจ้าจุลนีจึงยอมแพ้ มโหสถเชิญเสด็จพระเจัาจุลนีและพระราชาทั้ง


•๐* พระองค์ ทอตพระเนตรอุโมงค์ จนดึงทางออกริมแม่นํ้า มโหสลให้ปีตอุโมงค์เสีย แล้วออกมาลำพัง
กับพระเจ้าจุลนี แล้วมโหสถหยิบเอาพระขรรค์ที่ช่อนไวัที่ริมแม่นํ้า ยกขื้นขู่พระเจ้าจุลนี ลามว่าสมปติ

ในชมพูทวิปเป็นของใคร พระเจ้าจุลนีตกพระทัย ตรัสว่าเป็นของมโหสถและขออภัยต่อมโหสล มโหสล


จึงขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วทูลว่าไม่ด้องการปลงพระชนม์เพียงแต่จะแสดงอานุภาพของตนเท่านั้น

แล้วพระเจ้าจุลนิทรงปฏิญาณว่าจะไม่ประทุษร้ายมโหสถตลอดไป มโหสถก็ถวายดำปฏิญาณเช่นเดียวกัน
เมื่อมโหสลกลับมิติลาแล้วก็ได้ขัดส่งพระชนนี พระมเหสี และพระราชโอรสของพระเจ้าจุลนี
กลับปญจาลนคร เหลือแต่พระราชธิดาซ็งมโหสถนำมาถวายแด'พระเจ้าวิเทหราชตามที่ทรงปรารถนา

ภาคที่ ๔ มหานุภาพแห่งป็ญญา
มโหสลรับราชกาวในกรงมิติลาต่อมาอีก •๐ ปี พระเจ้าวิเทหราชก็สิ้นพระชนม์ จึงได้ขัดการ
ถวายราชสมบัติแด่พระราชโอรสทีประสูติจากพระนางบัญจาลรันที และเมื่อจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว
มโหสถก็ย้ายไปอยู่กรุงบัญจาละตามดำสัญญาที่ให้ไวักับพระเจ้าอธิราชจุลนี เมื่อ •๐ ปีก่อน
ที่กรุงบ้ญจาละ มีสตรีสูงสักดิ้ผู้หนึ่งถึอเพศเป็นปริพาชิกา คือ พระแม่เฬรี พระแม่เภรีเป็น
บัณฑิตที่ฉลาด เป็นนักบวชประจ้าราชสกุล ได้ทราบเรื่องมโหสถเข้ามารับราชการกับพระเจ้าอธิราชจุลนี
ก็ใคร่จะทดลองบัญญาดู ฝ่ายมโหสถก็ปรารถนาจะพบพระแม่เภรีอยู่เหมือนกัน วันหนึ่งได้พบกันโดย

บังเอิญ พระแม่เภรีก็ทดสอบโดยการไข้ภาษามือ มโหสถก็ตอบได้ ทั้ง ๒ ท่านได้สนทนากันด้วยภาษามือ


ครู่หนึ่ง บังเอิญคนของพระมเหสีนันทามาเห็นเข้า จึงไปทูลพระมเหสี ฃ็งมึใจเคืองแค้นมโหสถอยู่นานแล้ว

kalyanamitra.org
และกำลังหาทางใส,ความมโหสล พระนางจึงไปทูลพระเจ้าอธิราชจุลนีว่ามโหสถและพระแม่เภรีคบกัน
คิคการใหญ่ พระเจ้าอธิราชจุลนีไม่ทรงเซีอ แต่ก็ได้ทรงสอบลามทั้ง ๒ ท่าน ได้ความครงกัน จึงมิได้
ทวงคิดระแวงอีก และทรงแต่งตั้งให้มโหลถเป็นผู้สำเร็จราชกาวแห่งแคว้นกัปปิลรัฐ มโหลถเห็นว่า
รวดเร็วเกินไป จึงอยากจะรู้นํ้าพระทัยของพระเจ้าอธิราชจุลนีว่าทรงคิดอย่างไรกับตน จึงขอให้พระแม่เภรี

ลองหยังนำพระทัยดู
พระแม่เภวีใซัอุบายทูลถามบ้ญหาว่า ถ้าคนทั้ง ๗ คือ พระเจ้าจุลนี พระราชชนนี พระมเหสี
พระอนุชา พระสหายธนูเสกข์ อาจารย์เกวัฏ และมโหลล ไปพบผีเสื้อสมุทร แล้วพระเจ้าจุลนีด้อง
พระราชทานคน ๖ คนให้ผีเสื้อสมุทรกิน จะพระราชทานใครดามลำดับอย่างไร

พระเจ้าจุลนีตรัสตอบตามลำดับ คือ 0. จะพระราชทานพระราชชนนี ๒. พระมเหสี


๓. พระอนุชา ๔. ธนูเสกข์ ๕. เกวัฎ และ ๖. คือพระองค์เอง ส่วนมโหสถนนพระองค์จะรักษา
ซีวิตไว้ เพราะคนอื่น*1 ยังมีข้อไม่ดีที่ควรตำหนิได้ แต่มโหสถเป็นนักปราชญ์ และพระองค์ไม่เห็น
ความผิดความซัวใด ๆ ของมโหสถเลย ถึงพระองค์จะสื้นพระชนม์ไป มโหสถก็จะดูแลบ้านเมืองต่อไปได้
พระแม่เภรีทราบนํ้าพระทัยของพระเจ้าอธิราชจุลนีก็ทรงมีต่อมโหสถแล้ว รู้สึกปลาบปลื้ม

และทูลขอให้พระเจ้าอธิราชจุลนีประกาศเกียรติคุณของมโหสถต่อชาวเมืองบ้ญจาละด้วย

๕. กลวิธีการประพ่นธ์
ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในคำปรารถว่า “โขเวลาร่วม ๑๐ ป เทอถ่ายทอดมโหลถขาดกจากท่'น-ฉบบ
ภาษาบาลมาปูภาบาโทย ไม่ใข่เป็นการแปลคำท่อคำ หร่อประโยคท่อประโยค แท่เป็นการถอดความและ

เร่ยงความใหม่ ดามแบบแผนการประทันธ์เรองยาว”
ผู้เขียนได้แบ่งเรื่องออกเป็น ๔ ภาค คือ
ภาคที่ ๑ ผู้สำเร็จราชการวิเทหรัฐ
ภาคที่ ๒ มิลิลาเผชิญศึก
ภาคที่ ๓ ในเงื้อมหัตถ์จุลน็
ภาคที่ ๔ มหานุภาพแห่งบ้ญญา

แต่ละภาคจะมีสุภาษิตประจำภาคทั้งภาษาบาลี ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เป็นสุภาษิต


สั้นคุ ซืงสรุปประเด็นสำคัญของเรื่องในภาคนั้นไว้อย่างซัดเจน เช่น ภาคที่ ๑ มีสุภาษิดว่า

“บุรุษอาขา โนยหาโดยาก ท่าน โม่เกดโนท่ทัวโป


บุรุษอาขาในยนั้นเป็นธรขน บ่งเกดโนลกุลโด ลกุลนั้นย่อมยังลงปูความสุข"
นอกจากนื้ผู้เขียนยังแบ่งเนื้อเรื่องในแต่ละภาคออกเป็นตอน คุ มีห้วข้อเรื่องประจำตอน รวมทั้ง
๔ ภาค มี ๗๔ ตอน หัวข้อของแต่ละตอนก็สรุปใจความสำคัญของตอนนั้นไว้ เช่น ตอนที่ ๑ ศุภนิมิต

kalyanamitra.org
('๑/ธ)

๒. ได้ข่าว ๓. แววปราชญ์ เป็นต้น เป็นหัวข้อสั้น *1 ชัดเจน การแบ่งภาคและตอนเช่นนี้ช่วยให้จับ


ใจความของเรื่องได้ง่าย

ผู้เขียนเป็นผู้เล่าเรื่องทั้งหมด โดยใชัวิธีบรรยาย และใหัตัวละครสนทนากัน บางครั้งผู้เขียน


ก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองแทรกไว้ด้วย เช่นตอนที่ปิงคุตระถูกเกณฑ์มากวาดถนน ผู้เขียนก็กล่าวว่า

เป็นเรื่องแปลกที่คนทีเรียนจบจากตักกสิลา ซึ่งเทียบเท่ากับระดับมหาวิทยาลัย ต้องถูกเกณฑ์มากวาดถนน

๖. ฅวละครสำคญ
ตัวละครสำคัญในเรื่องนี้ แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายมิถิลานคร และฝ่ายบ่ญจาลนคร

ฝ่ายมิถลานคร
ล. มโหสถ เป็นตัวละครเอกของเรื่อง ตามชาดกมโหสถก็คือ ชาติหนึ่งของพระโพธิสัตว์
เป็นชาติที,ทรงบำเพ็ญบ่ญญาบารมี ดังนั้นลักษณะเด่นของมโหลถก็คือ เป็นบัณฑิตผู้ฉลาดปราดเปรื่อง

ซึ่งแววของความฉลาดปราดเปรื่องปรากฎตั้งแต่มโหสถยังเล็ก’เอยู่ เช่น การตัดสินคดีความต่าง*1 ความ


ฉลาดรอบรู้ในเรื่องต่าง *[ ทั่วไป รวมทั้งความสามารถในการปกครองบัานเมือง การใซับ่ญญาในการ

เอาชนะข้าศึกศัตรู อุปนิสัยสำคัญประการหนึ่งของมโหสถก็คือ มีความกตัญฌู โดยเฉพาะกับพระเจัา

วิเทหราชที่ทรงชุบเลํ่ยงมา มโหสถไม่เคยคิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่เลย

๒. พระเจ้าวิเทหราช ทรงเป็นกษัตริย์ที่อยู่ในทศพิธราชธรรม ทรงปกครองบัานเมืองใหั

เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ทั้งนี้เพราะทรงรู้หลักในการปกครองอย่างดี และทรงแสวงหา


ผู้มีความรู้มาช่วยในการปกครอง เห็นได้จากการที่ทรงนำมโหสถมาชุบเลํ๋ยง เพราะทรงทราบว่ามโหสถ

ฉลาดปราดเปรื่อง ทรงเห็นความสำคัญของบัานเมืองยิ่งกว่าพระองค์เอง ไม่ทรงทำอะไรตามพระที'ย

มักจะทรงฬงเหตุผลของบัณฑิตของพระองค์อยู่เสมอ แต่พระอุปนิสัยอย่างหนึ่งที่ทำใหัมโหสถลำบาก

ก็คือ มักทรงระแวงมโหสถ เพราะทรงเชี่อคำยุยงของพระอาจารย์มากไป แต่สุดท้ายก็ทรงเข้าพระท้ย


มโหสถ นอกจากนี้พระองค์ทรงมีพระเมตตา แม่พระอาจารย์ทั้ง ๔ จะท่าความผิดก็พระราชทานอภัยโทษใหั

๓. ราชปุโรหต,สนก ตามเรื่องกล่าวว่าเป็นบัณฑิตของมีถิลานคร แต่ในแง่ของการแสดงบ่ญญา


ในเรื่องนี้ มักปรากฎออกมาในรูปฉลาดแกมโกง เนื่องจากพระอาจารย์เสนกคิดริษยามโหสถตั้งแต่ด้น
จึงแสดงบ่ญญาในการที่จะคัดด้าน หน่วงเหนี่ยวไม่ให้พระเจ้าวิเทหราชทรงนำมโหสถมาชุบเลํ๋ยง ตอน

หลังก็ใชับ่ญญาในการหาทางทำลายมโหสถ การแสดงบ่ญญาในทางที่ดีนั้น มีอยู่ครั้งเดียวคือ ตอนที่โด้กับ

มโหสลเรื่องคนมีบ่ญญาและคนมีทรัพย์ใครดีกว่ากัน นอกจากนี้หลายครั้งก็ไม'สามารถแสดงบ่ญญาได้
เช่น ตอนที่พระเจ้าวิเทหราชถามบ่ญหาเรื่องหมากับแพะ ก็ด้องไปพึ่งมโสสถ และบ่ญหาของเทวดาก็

ตอบไม่ได้

๔. พระอาจารย์ปุกกุสะ กามืนที และ,ทวินที ทั้ง ๓ ท่านนี้เป็นบัณฑิตของมีถิลานครเช่น


เดียวกัน แต่ในเรื่องไม่ได้แสดงบ่ญญาอะไรเลย นอกจากคอยสนับสนุนพระอาจารย์เลนกเท่านั้น

kalyanamitra.org
ฝ่ายบัญชิาลนคร
หวะ(จาอธิวไชจุลน เป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็ง ทรงปกครองบ้านเมืองใหญ่เจริญรุ'งเรึอง และ

มีอานุภาพทางกาวทหาร พระองค์ทวงพอพระท้ยในการขยายอำนาจไปที่'วชมพูทวิป จึงทรงยกกองทัพไป

รุกรานแว่นแคว้นค่าง *1 แค่เมือทวงพ่ายแพ้แก่มโหสถก็ทรงยอมรับความพ่ายแพ้นั้นแลัวยกย่องสรรเสริญ

มโหสถอย่างเต็มพระทัย

๒. ราชปุโวหดเกว่ฎ์ เป็นบัณฑิตของบัญจาลนคร เป็นผู้มีบัญญาและจงรักภักดีต่อพระเจัา


อธิราชจุลนี ต้องกาวให้พระองค์ไค้เป็นใหญ่ จึงทูลเสนอแนะให้พระองค์แผ่ขยายอำนาจ และทั้งเป็น
ผู้วางแผนการค่าง’!โดยแยบยล นอกจากนึ่ยังเป็นคนรู้จักประมาณตน เห็นได้จากตอนที่ทูลคัดค้านไม่ให้
พระเจัาอธิราชจุลนีไปยึดเมืองมิถิลา เพราะรู้ว่าจะส้มโหสลไม่ได้ และยังเป็นคนที่ไม่ชํ้าเดิมผู้อื่น เมื่อ

พระเจัาอธิราชจุลนีพ่ายแพ้แก่มโหสถ ก็พยายามหาทางช่วยแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มกำลังความสามารถ

๗. สาระและข้อคดจาก!รอง
เรื่องมหาบัณฑิตแห่งมิถิลานควนั๊เป็นเรื่องที่ให้สาระประโยชน์และข้อคิดค่าง’! มากมายหลายด้าน
ชี่งพอจะสรุปได้ตังนึ่

•. ความประเทืองป้ญญา ได้รู้ถึงความฉลาดปราดเปรื่องของมโหสถ วิธีกาวแกับัญหาต่าง รุ

อย่างแยบคาย ห่าให้ผู้อ่านพลอยเป็นผู้มีบัญญาไปด้วย

๒. กาวปกครองบ้านเมือง ได้รู้หลักต่าง รุ ในการปกครอง ซ็งหลักสำคัญก็ได้แก่ทศพิธราช-


ธรรม และการปกครองโดยมีบัณฑิตเป็นที่ปรึกษา แมัพระมหากษัตริย์จะทรงมีอำนาจสิทธํ่ขาด แต่ก็
ไม่ทรงใช้อำนาจนั้น ด้องทวงปรึกษาราชบัณฑิตอยู่เสมอ ห่าให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตย นอกจากนึ่

ยังทราบถึงวิธีกาวห่านุบำรุงบ้านเมือง และการบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน
๓. กลยุทธีโนกาวสงความ นั้นเช้งและเล่ห์เหลี่ยมต่าง รุ จะเห็นได้จากตอนที่พระเจัาอธิราช
จุลนึยกกองทัพไปยึดเมืองต่าง รุ ได้โดยไม่ด้องต่อสู้เลยหรึอตอนที่มาลัอมเมืองมิถิลา ก็ใช้วิธีการต่าง รุ
ที่จะห่าให้มิลิลายอมแพ้ และทางฝ่ายมิถิลาก็ใช้วิธีการต่าง รุ ที่จะเอาชนะให้ได้ หรึอดอนสุดทัายที่มโหสถ

วางแผนสรัางอุโมงค์เพื่อเป็นทางหนีของพระเจัาวิเทหราช และเป็นทางจับตัวประกันจากบัญจาลนครด้วย
และที่สำคัญคึอได้ทราบวิธีการรบแบบโบราณวิธีหนึ่งที่เรึยกว่า “ธรรมยุทธ์”

๔. ปวชญไในกไวดํไวงชวด เช่น ตอนที่มโหสถและพระอาจารย์เสนกได้โด้กันเรื่อง คนมี


ทรัพย์และคนมีบัญญา หรึอตอนที่มโหสถทูลพระนางอุทุมพรเรื่องความรัก และกาวเลึอกคู่ครอง เป็นต้น
กล่าวได้ว่าเรื่องมหาบัณฑิตแห่งมีถิลานครนึ่มีสาระประโยชน์แทบทุกหน์า ข็งไม่สามารถจะ
กล่าวได้หมดในที่นึ่ นับว่าเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การอ่านเป็นอย่างยิ่ง

kalyanamitra.org
มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานดร
น.อ.แย้ม ประพ้ฒน์ทอง

จำนวนพิมพ์ ะ ๒,๐๐๐ เล่ม


ปีที่จัดพิมพ์ ะ พุทธจักราช ๒๕๓๙

หนังสือเล่มนี้

ผลิตด้วยวัสดุอย่างดี
เข้าเล่มด้วยการเย็บกี่ ที่อยู่ได้นาน
เพิ่มสีสันและจัดรูปเล่มให้สวยงามยิ่งขึ้น

ด้วยหวังว่าจะให้ช่วยกันรักษาไว้ไม่ตํ่ากว่า ๑๐๐ ปี
เพื่อในกาลต่อไป ไม่มีใครพิมพ์หนังสืออย่างนี้ออกเผยแพร่

ลูกหลานของเราจะได้มีหนังสือที่ดีไว้ศึกษา เป็นประทีปส่องทางชีวิต

โปรดช่วยสมทบค่าจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ในราคาเล่มละ ค๔๐ บาท

kalyanamitra.org
kalyanamitra.org

You might also like