Professional Documents
Culture Documents
net/narupan/
๑
สารบัญ
บทที่ ๑ รักแรกพบ ๒
บทที่ ๒ เอกาปติ ๑๙
บทที่ ๓ คูบุญ ๒๕
บทที่ ๔ อกหัก ๓๘
บทที่ ๕ เขาสมาธิ ๕๖
บทที่ ๖ จอมศิลปน ๗๖
บทที่ ๗ อุปจารสมาธิ ๙๐
บทที่ ๘ ฝนหวาน ๑๐๓
บทที่ ๙ ตามฝน ๑๑๖
บทที่ ๑๐ ผูวิเศษ ๑๒๙
บทที่ ๑๑ อดีตชาติ ๑๔๗
บทที่ ๑๒ พุทธภูมิ ๑๖๓
บทที่ ๑๓ เจาชูยักษ ๑๘๖
บทที่ ๑๔ รวมทาง ๒๐๑
บทที่ ๑๕ กราบพระ ๒๑๙
บทที่ ๑๖ ฝนราย ๒๓๖
บทที่ ๑๗ สาวเกง ๒๕๕
บทที่ ๑๘ เจาเสนห ๒๗๗
บทที่ ๑๙ ใจแกวง ๓๐๓
บทที่ ๒๐ กรรม ๓๒๔
บทที่ ๒๑ สะกดจิต ๓๔๕
บทที่ ๒๒ คราวเคราะห ๓๖๕
บทที่ ๒๓ ใจสลาย ๓๙๓
บทที่ ๒๔ งานศพ ๔๑๘
บทที่ ๒๕ นางฟา ๔๕๐
บทที่ ๒๖ ธรรมาภิสมัย ๔๘๔
บทที่ ๒๗ ประกวดภาพ ๕๐๘
บทที่ ๒๘ วังวน ๕๖๓
บทที่ ๒๙ สิ้นโศก ๖๑๖
๒
มันเกิดขึ้นอีกแลว...
นี่ตองไมใชโลกใบเกาแนๆ
เปนไปตามตองการ พวงมาลัยรถเปลี่ยนเปนคันบังคับเครื่องบินเล็ก
นักบินในโลกความฝนดึงคันบังคับขึ้นเพื่อใหเครื่องเชิดหัวทะยานสูทองฟา หลบหนีจากทางรางวังเวงนา
ทรมานไปเสีย เขาพยายามสังเกตรายละเอียดของเครื่องบิน เชนเหลียวไปนอกหนาตาง ดูปกขวาที่ยื่น
ยาวออกไป โดยกําหนดมองไมนานนัก เพราะทราบวาถามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ ภาพจะเปลี่ยนเปนอื่น
ตามธรรมชาติของผูเริ่มฝกสติขณะฝน
จะเดินทางกลับบานไดอยางไร ถาในหัวเต็มไปดวยความไมรู
แตละปมีคนเปนโรคประสาทเพราะฝนรายกันมาก ทางจิตวิทยายืนยันวาถาคนเราฝนผิดปกติรบกวนจิต
ใจซ้ําๆ ตองเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง จะปมในอดีตหรือเรื่องคาใจในปจจุบันก็ตาม
แตทําไมสวนลึกยังรูสึกวาหลงทาง โดยเฉพาะเมื่อมาถึงขีดความมั่นคงในชีวิตอยางที่สุดแลวนี้?
๔
เกิดความกลุมจนเมื่อหลายวันกอนตองยอมเสียคาโทรศัพททางไกลตางประเทศ เพื่อปรึกษากับเพื่อนรุน
พี่ที่เปนจิตแพทย แตฝายนั้นคงไมอยากเสียเวลาอันมีคาฟรีๆเพื่อลวงตับไตไสพุงของเขาเอาไปวิเคราะห
เทาไหร ฟงแลวจึงใหคําแนะนํามางายๆ คือลองฝก ‘รูตัว’ ขึ้นมาในฝน ดวยเคล็ดคือถามตนเองบอยๆ
ระหวางวัน วากําลังฝนหรือตื่น พอถามตัวเองทีก็ยกมือดูลายมือเสียที วาชัดหรือจาง หากชัดก็บอกไดวา
กําลังตื่น หากจาง และเสนสายเปลี่ยนแปลง ก็แสดงวาเปนฝน ใหกําหนดไวลวงหนาวาจะทําอะไรใน
จังหวะที่รูตัวแลวนั้น
เอ...หรือวานาจะไปเปดหัวใหไกลๆ เดินทางแบบสุดเหนือสุดใตประชดฝนเสียเลย
ตอนนี้เหมือนอยูในฝนเปยบ ตางกันตรงที่มีสติคิดอานพรักพรอม
๖
ตอโทรศัพทมือถือ กรอกเสียงลงไปอยางรื่นเริงฝากเลขาฯของเจานายวาพรุงนี้เขาจะไปทํางานตามปกติ
ยกเลิกวันลาที่ขอไว เจานายคงงง แตนาจะชินแลวกับความเปนคนตัดสินใจเร็วตามสถานการณเฉพาะ
หนาของเขา อาจคิดวาเขาเจออุปสรรคบางอยาง หรือเกิดไอเดียใหมที่รอนใจอยากเริ่มตนเสียแตพรุงนี้ก็
ได
วัดทางนฤพาน
นึกเลนๆวาอาจเจออะไรไมคาดฝนเขาบาง…
มองปราดเดียวรูเลยวาบานไมสองชั้นของปูเกาแกนมนาน ทวาไดรับการดูแลซอมแซมอยางตอเนื่อง มิ
ฉะนั้นปานนี้ก็คงเห็นผุพังไมเจริญตานัก เกาทัณฑจอดรถลงมากดออดหนาประตูบาน รอบบริเวณเงียบ
เชียบอยางไมนาจะมีคนอยู ชวนใหคิดวาคนในบานอาจออกไปขางนอก ซึ่งนั่นก็แปลวาเขาแวะลงเสีย
เที่ยวเปลา
กําลังหันรีหันขวางจะขึ้นรถหนีดวยความอดทนต่ํา ก็เผอิญเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากเรือนชั้นลาง
และเมียงมองมา เกาทัณฑเขมนตาจองหลอนดวยความแปลกหนา ความที่เคยตามพอมาเยี่ยมปูนอยหน
ทําใหไมแนใจวาใครเปนใคร สมาชิกในเรือนมีอยูกี่คน จําไดหลักๆเพียงปูชนะ ยาเล็กซึ่งปจจุบันเสียชีวิต
แลว กับเด็กอีกสองสามคน
"มาหาใครคะ?"
กังวานใสของแกวเสียงวิเวกหวานนั้นทําใหเขารูสึกตัว และเปดยิ้มปราศรัยได
"ปูชนะอยูไหมครับ? ผมเปนหลาน"
"คุณเปนหลานปู ลูกพี่ลูกนองของผมหรือเปลาเอย?"
๘
"ก็ไมเชิงคะ...เดี๋ยวจะทําน้ําสมขึ้นไปให เชิญกอนนะคะ"
"สวัสดีครับปู"
"อยากมาเยี่ยมปูสิฮะ"
หรือไมก็อาจเปนเพราะเพิ่งรูวาในบานนี้มีสาวแสนสวยคนหนึ่งอาศัยอยู
๙
"ผมไมไดมาเยี่ยมปูเสียสามสี่ป"
เอยคลายสารภาพผิด ผูอาวุโสพับหนังสือพิมพวางลงบนโตะ
"เจ็ดป" ทานแกดวยน้ําเสียงแนนของผูมีสมองประจุไวดวยความจําอันชัดเจนเทากับหรือมากกวาคนรุน
หนุม "ตอนมาครั้งสุดทายนะแกเรียนวิศวะฯปสองไง ฉันยังทักเลย เพิ่งอายุสิบเจ็ดก็ขึ้นปสองแลว และ
ถามวาพอจบจะไปตอโทเมืองนอกเลยหรือเปลา”
เกาทัณฑอาปากคางเปนครูดวยความงงงัน นึกไมถึงวาทานจะจํารายละเอียดเกี่ยวกับหลานผูหางเหิน
อยางเขาไดแมนยําขนาดนั้น
"ก็เทาที่คนแกจะสบายไดนั่นแหละ...หนาตาทาทางแกเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะนี่ ถาเดินสวนกันขาง
นอกคงจําไมได ดูเปนผูหลักผูใหญ ทั้งสวนสูง ทรงผมทรงเผา ทวงทีนั่งเดินภูมิฐานกวาสมัยวัยรุนเปน
คนละคน"
ชายหนุมยิ้มเฉียง
"อยากมาอยูมั่งไหมละ?"
ปูชนะหยิบหูถวยแกวขางตัวขึ้นจิบน้ําชา
"แกจํายายแพไมไดเหรอะ?"
เกาทัณฑขมวดคิ้วงง
"แพ? ผมเคยรูจักเขาดวยหรือครับ?"
ถามอยางนึกไมออกจริงๆ ปูชนะพยักหนาแลวพูดปดตัดบท
๑๐
"เอาเถอะ ก็หลานฉันคนหนึ่งนะแหละ"
ชายชราผอนลมหายใจ เปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ
"นี่กินอะไรมารึยังละ?"
"ไมตองหรอก เพิ่งกินกับยายแพไปเมื่อกี้เหมือนกัน"
หญิงสาวพนมมือไหวตามมารยาทและยิ้มใหเขาบางๆ เกาทัณฑรับไหวและยิ้มตอบดวยทาทีของพี่ชาย
ทวงทีกิริยาของหลอนฉายความบริสุทธิ์สะอาดไปตลอดทั้งกายใจเยี่ยงผูเปนอยูเรียบงายสันโดษ ทวาดวง
ตาแฝงแววฉลาดรูลึกซึ้ง ทําใหภาพรางชวนทัศนานั้น ยิ่งดูยิ่งมีคาขึ้นอยางประหลาดล้ํา
"ปูยังนั่งวิปสสนาอยูหรือเปลาครับ?"
ดึงเขาเรื่องนั้นเพราะบุคลิกลักษณะของปูยังดูเปนผูทรงธรรมไมสรางซา ทานคงยินดีคุยเกี่ยวกับของชอบ
เปนแน สมัยเด็กพอเคยพูดเขาหูบอย วาปูรักการนั่งวิปสสนาเปนชีวิตจิตใจ
ปูยอนถาม เกาทัณฑคิดเล็กนอยกอนตอบตามจริง
เกาทัณฑหัวเราะ
“ทราบอยูครับปู วาตองมีวิธีกําหนดใจอยูขางในดวย”
“ความเชื่อเกาๆเสียหายตรงไหนครับ?”
“ตรงที่มันคลาดเคลื่อนจากความเปนจริง ทําใหดวงจิตอยูในสภาพเชื้อของทุกขนะซี”
เกาทัณฑควบคุมเสียงไมใหมีน้ําหนักเกินออกมาจนกลายเปนการชวนปูโตวาที
“การดับทุกข...ดับชนิดที่กลับกําเริบขึ้นไมไดอีกเลย”
แตราวกับปูลวงรูวาเขาคิดอะไร ทานเอยเนิบวา
เกาทัณฑเบิกตานิดหนึ่ง
ชายหนุมครางอออยางพอมองเห็นรางๆ รอฟงปูขยายความตอ
“ครับ”
“เชื้อโทสะคือ…?”
ชายหนุมขมวดคิ้วกังขา
"แปลวาที่ทุกคนในโลกเกิดมาพรอมกับความรูสึกในตัวตนนี่ ผิดหมด?"
"ปูเลี้ยงเขามาตั้งแตเกิดหรือฮะ?"
"อือม"
"เรียนจบรึยังครับนั่น?”
๑๕
"เรียนครุศาสตรปสุดทาย"
“เออ…ไมละครับ ผมรบกวนปูแคนี้ดีกวา”
บอกกลาววาจะหมั่นมาเยี่ยมเยียนทานอีก แลวเกาทัณฑก็ไหวลา
บานปูมีอาณาเขตพอควร เกาทัณฑเดินเลียบมาถึงดานหลังก็พบหลอนคนนั้นนั่งลิดกิ่งไมดวยกรรไกรอยู
ที่ริมรั้วดานหนึ่ง ดีใจอยางประหลาดแมเมื่อเห็นเพียงดานหลัง เขาผอนฝเทาลงหยุดยืนแยมริมฝปากยิ้ม
เบิกตาเฝาพินิจเงียบๆ รูปศีรษะหลอนมนสวย ผิวพรรณมีน้ํามีนวลเฉิดฉายเสียจนสองรอบดานใหดูสวาง
ตา
ดูเหมือนฝายถูกจับจองจะมีสัญชาตญาณรูตัววามีใครคนหนึ่งลอบพินิจอยูเบื้องหลัง จึงเหลียวหนามาและ
สบตากัน ชายหนุมเกือบเกอไป เพราะรูตัววาทําลับลอเสียมารยาทอยูเปนนาน แตก็ทําทีปกติ คือสงยิ้ม
ใหอยางจะขอผูกมิตร ทวาหลอนเพียงมองตอบดวยดวงตาทอแววนิ่ง มิไดยิ้มรับแตอยางใด
ไมปลอยเวลาใหทอดนานนัก เกาทัณฑเปลงคําทักทายดวยน้ําเสียงเปนกันเอง
"รูสึกวาแพจะรักตนไมมากนะฮะ"
หญิงสาวผินหนามองตาม ทอดระยะนิดหนึ่งกอนตอบ
"ดอกพวงแกวคะ"
เอื้อนเอยไมดังนัก น้ําเสียงไมสอแววอยากสนทนาหาความยาวกับคนชางไกหาเรื่องถามเทาไหร
เกาทัณฑเหลียวหนามาหา ปนหนากึ่งยิ้มกึ่งเครงแบบนักวิชาการผูทราบวาจะชวนคนรักตนไมคุยอยาง
ไรใหสบอารมณ
"ดอกของมันรูปเหมือนหัวใจนะ คงมีใครตั้งชื่อใหเกี่ยวของกับหัวใจไวบางใชไหม?"
นัยนตาคูงามเหลือบมาทางเขาแวบหนึ่งกอนตอบ
เกาทัณฑหอปากครางอยางคนเพิ่งสังเกตตาม
"ถาผมเขาถึงความรูสึกของไมดอกพวกนี้ได” เขามองแถวแนวดอกพวงแกวที่หอยตัวอยูบนกิ่งและสงบ
กับธรรมชาติอันบอบบางของพวกมัน "ผมคงรูจักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบาง"
"ถาจําไมผิด ดูเหมือนตํานานออสเตรีย-ฮังการีสมัยศตวรรษที่สิบสองจะกลาวไววามีชายหนุมคนหนึ่ง
ชะโงกจากริมผาเอื้อมมือจะเด็ดดอกไมนี้สงใหคนรัก แตพลาดตกลงไปสูกระแสน้ําเชี่ยวเบื้องลาง ฝาย
หญิงไดยินแตเสียงแววจากสายน้ําวา ‘รักฉัน...อยาลืมฉัน' ก็เลยกลายเปนที่มาของชื่อนะคะ"
พูดติดตลก แตหลอนทําหนาเฉยเปนเชิงแสดงวาไมมีอารมณขันรวมดวย
"แพ..."
เสียงปูชนะดังมาจากชั้นบน หญิงสาวเบิกตาเล็กนอยและรีบหันไปขานรับ
“ขา”
“โทรศัพทหนูนะ”
“คะ ขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละคะ”
แลวก็หันมามองเขา เกาทัณฑยิ้มเจื่อน
“เห็นทีผมคงตองขอตัวแลวมั้ง”
“โชคดีคะ”
แตคนอยางเขา
ถาอยาก...ตองได!
๑๙
‘ถาผมเขาถึงความรูสึกของดอกไมพวกนี้ได
ผมคงรูจักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบาง’
กําหนดรูการเขาออกของสายลมหายใจอันนิ่มนวลและยืดยาวชัดลึกกวาปกติ กลิ่นอายความสดฉ่ําระรื่น
จากมวลพฤกษพันธุรอบดานรวมอยูในสายลมหายใจนั้น กระจายเขาสูทรวงอก แลเห็นในมโนนึกดุจธาร
ทิพยที่ไหลบาสูขายประสาททั่วรางจนเต็มปติ ชั่วขณะนั้นหลอนสามารถจับตองกลีบใบของกุหลาบดวย
สายตาที่เปดกวางกวาปกติ จนสําเหนียกความเนียนแนนทวาบางเบาละเอียดออนดวยใจโดยตรง ราวกับ
ปราศจากประสาทตากั้นขวาง
จากความอาบเออแหงกระแสปติทวีขึ้นหลามลนทนอกในชั่วขณะนั้น ประกอบกับความเห็นแนวเพียงลม
หายใจและกลีบกุหลาบหวาน รวมกันดึงดวงจิตแพตรีดิ่งลวงเขาสูหวงแหงสมาธิอันล้ําลึกโอฬาร ดวง
สํานึกแปรเปนเปลวมหัศจรรยลุกโพลงซานไสวไปทุกทิศทุกทาง ภายในอันผนึกแนนมั่นคงรูเห็นแตรส
๒๐
หวานแหงสีชมพูอันงามตระการ ลอยลองอยูในสรวงสวรรคอันรังสรรคขึ้นจากสัมผัสละไมลึกซึ้งระหวาง
วิญญาณมนุษยกับดอกไม ทั้งสุขสงบปราณีต ทั้งปรีดาปราโมทยราวกับทะยานขึ้นสูหวงหฤหรรษอันไร
เขต ไรพรมแดน ไปสถิตอยูในที่ที่ดีที่สุดนอกเขตพิภพหยาบไกลโพน
การสังสรรคระหวางวิญญาณมนุษยและพฤกษพันธุดํารงอยูเพียงชั่วไมนานก็แปรไปตามธรรมชาติแหง
พระอนิจจัง แพตรีออยอิ่งอาวรณกับความยิ่งใหญนาพิสมัยนั้น ทวายังมีความชํานาญนอย โดยเฉพาะใน
ขณะแหงการลืมตา จึงตองปลอยใหละลายหายไปตามยถา
“สอบเปนไงมั่ง?”
ปูชนะถามเหมือนชวนสนทนามากกวาอยากรู เสียงของปูมีกังวานนุมลึกชวนฟงและกอใหเกิดความอบ
อุนใจแกผูไดยินเสมอ
“ก็ดีคะ เหลือวิชาสุดทายวันจันทร”
“สอบเสร็จก็จบแลวสินะ”
“คะ”
แพตรียิ้มๆ การคุยกับปูเปนอีกความสุขหนึ่งในชีวิต
“ตกลงยังแนใจอยูรึเปลาวาอยากจะสอนหนังสือเด็ก?”
เปนครั้งแรกในรอบหลายปที่ปูถามถึง หญิงสาวแกลงเลิกคิ้วทําตาเปนประกาย
“อยูเฉยๆไดไหมคะ ใหปูเลี้ยงไปเรื่อยๆอยางนี้แหละ”
๒๑
“เปนตนไมหรือไงถึงจะอยูเฉยๆใหปูเลี้ยง”
ปูชนะหัวเราะในลําคอ ทวาสายตายังรั้งคําถามเดิมเพงมองหลอน
“แพแนใจวาตองการสอนเด็กตลอดไปคะปู”
“สมัยนี้...เปนครูในแบบที่แพอยากเปนนะ ไมงายหรอกนะ”
หลานสาวพยักหนา
ชายชราเคี้ยวคําขาวเรื่อยๆจนละเอียด กลืนแลวจึงเปรย
แพตรียิ้มอยางเชื่อมั่น
แพตรีคิดนิดหนึ่ง กอนใหคําตอบ
๒๒
วาที่คุณครูคนงามเมมปากเล็กนอย
เห็นความมุงมั่นและยินน้ําเสียงจริงจังของหลานสาวแลว ปูชนะตองเผยอยิ้มออกมาดวยความเอ็นดูไฟ
ฝนและพลังอุดมคติแหงวัยสาว ประติมากรมองผลงานอันนาภาคภูมิของตนเชนไร ทานก็มองแพตรีดวย
ทาทีเชนนั้น
แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง
ปูชนะผงกศีรษะนอยๆ
“แคเด็กไดยินเสียงหนูทุกวัน เขาก็รับกระแสความดีไปเก็บไวเปนสวนหนึ่งในใจแลวละ”
“อายุยี่สิบเอ็ดใชไหมแพนะ?”
ปูถามลอยๆคลายแคใหการดูดาวไมเงียบจนเกินไป
“อีกหาเดือนนะคะ”
๒๓
หลอนตอบเสียงใสดวยความรูสึกแบบเด็กนอยที่อบอุนและราเริงเมื่ออยูใกลชิดบิดา คืนนี้กลุมดาว
นายพรานขึ้นตั้งแตหัวค่ํา หลอนติดใจดาวกลุมนี้มาแตไหนแตไร อาจเปนเพราะปูชี้ใหดูและแนะนําใหรู
จักเปนกลุมแรก มันทําใหหลอนมีจินตนาการบรรเจิด มีความชางฝนและรูจักอารมณออนอุนที่เกิดจาก
หัวใจบริสุทธิ์เสมอมา
“พอเรียนจบก็เปนผูปกครองตัวเองไดแลวสินะ”
“คงยังไมไดมั้งคะ”
“ปูอยากบวชเสียทีแลวนะแพ”
แมจะทอดออนนุมนวลเชนเคย แตคําประกาศนั้นก็แฝงสําเนียงเปนงานเปนการดวยเจตนาจะใหหลาน
สาวรับรูวาหลอนตองตั้งใจฟงเรื่องสําคัญ แพตรีเงียบกริบ พูดอะไรไมออกอยูเปนนาน
“ทุกวันนี้ก็เหมือนบวชอยูแลวนี่คะ”
ในที่สุดหลอนก็เอยคํานั้นออกมาไดเพียงแผว
แพตรีเมมปากอยูในเงามืด ความเดียวดายและความเงียบเหงาอยางลึกซึ้งแลนเขาจับใจจนเกิดกอน
สะอึก แตกอนจะทวีตัวถึงขั้นแปรเปนความนอยเนื้อต่ําใจ ก็ชิงตัดอารมณเศราทิ้ง และแทรกแทนดวยจิต
อนุโมทนาเปยมลน ที่ทําไดก็เพราะหลอนรูดีวารสธรรมนั้นล้ําเลิศเพียงไหน สมควรที่เวไนยชนจะพึง
แสวงและควรรักษาไวเพียงใด หลอนตองดีใจกับปูถึงจะถูกที่ทานกําลังจะไดครองธรรมอันประเสริฐขั้นสูง
สุด
เมื่อจิตอันเปนกุศลผุดขึ้นชัดเต็มดวง แพตรีจึงยกมือพนมไหวไปทางผูมีพระคุณลนเกลา
“แพขออนุโมทนาดวยคะปู”
“อือม”
ปูเอื้อมมือไปลูบศีรษะหลอนอยางออนโยนครูหนึ่งกอนกลาวคํา
ปูชนะเหลือบตามองสาวนอยใกลตัวแลวหัวเราะหึๆ ซอนแววรูเห็นเชนผูใหญเคยผานรอนผานหนาวไว
ในเงามืด
“จะเอาอยางนั้นก็ตามใจ”
ชายชรากับหลานสาวทอดเทาเดินตอเอื่อยๆ แววเสียงหรีดหริ่งเรไรจากรอบดานกลางความสงัดเงียบ
ของค่ําคืน ไมมีใครเอยคําพูดใดอีก หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้น แตอยางไรก็กลั้นไมอยู ตองกมหนารอง
ไหออกมาจนได
๒๕
บอกโชเฟอรรอหนาบานแลวขึ้นเรือนเพื่อบอกปูดวยสีหนายิ้มแยมแจมใส
“แท็กซี่มาแลวนะคะ”
บอกเสร็จก็ตองชะงักดวยความแปลกใจ เมื่อเห็นปูยังอยูในชุดเสื้อนอนคอกลมกางเกงแพรบนเกาอี้โยก
ทานยิ้มตอบ พยักหนานิดหนึ่ง
หญิงสาวยืนงงอยางทําอะไรไมถูกไปชั่วขณะ ที่สุดก็ถามเสียงแผว
“ทําไมละคะ?”
แตขณะจะดึงหูหิ้วของถังเขามือ ปูก็เรียกไวเสียกอน
“เดี๋ยว…หนูชวยชงชาใหปูกอนนะแพ”
“ปูอยากดูตารางอะไรในหนังสือพิมพฉบับวันศุกรที่ยี่สิบของเดือนกอนหนอย แพชวยลงไปเอาจากกอง
มาใหปูทีนะ เชานี้แขงขาขัดชอบกล ไมอยากขึ้นลงบันได”
พอขึ้นเรือนวางหนังสือพิมพลงบนโตะขางปูเสร็จก็ทําทากระวีกระวาดเปนพิเศษ ฉวยถังไดรีบกาวลง
บันไดราวกับแมวกระโจน ดวยเกรงจะไดยินเสียงปูทักรั้งเอาไวอีก แลวก็โลงอกที่ออกมาถึงหนาบานจน
ได
เมื่อเชามืดฝนหลงฤดูตกลงมาปรอยปราย อากาศจึงยังโปรงเย็นชุมชื่นแมจะลวงเขาแปดโมงครึ่งแลว แพ
ตรียิ้มใหคนขับแท็กซี่แทนการขอโทษที่ทําใหตองรอนาน พอเห็นยิ้มของหลอนเทานั้น หนาตาที่เริ่มจะ
บูดบึ้งของชายรางอวนใหญก็ดูผอนคลายลง แถมเดินมาชวยยกถังใสทายรถใหอีก
“จะไปไหนหรือฮะแพ?”
หญิงสาวมองหนาเขา น้ําเสียงคอนขางกระตือรือรนกับนัยนตาสีเหล็กที่จองจับเขม็งทําใหหลอนหนาขึ้นสี
ชมพูนิดหนึ่ง แตเพียงครูเดียวก็จางไป เหลือไวแตความสงบและรอยยิ้มเย็นของคนมีความสุขอยูกับตัว
เอง
เกาทัณฑชักกระเปาสตางคออกมาจากกางเกงยีนส ดึงธนบัตรใบละรอยออกมาจากรองเก็บยื่นใหคนขับ
แท็กซี่หนาตาเฉย
“เอาไปเลยลุง เดี๋ยวฉันพานองสาวไปเอง”
พอมอบเงินซึ่งแนใจวาเกินเลขมิเตอรเสร็จก็ไปเปดกระโปรงทายรถของตน แลวหันมากุลีกุจอหยิบยกถัง
สังฆทานโยกยายถายเทเปนการดวน แพตรีเบิกตามองอยางสุดทึ่ง ไดแตยืนนิ่งพูดอะไรไมออกสักคํา
“ไปกันเถอะฮะ”
เกาทัณฑอมยิ้ม เดินไปเปดประตูดานซายและทําหนาใสคอมตัวใหลอๆราวกับขาราชบริพารรอเสด็จ ดู
เหมือนรูจักมักจี่สนิทสนมกับหลอนเสียเต็มประดา หญิงสาวยืนอยูกับที่ครูหนึ่ง เขาอาศัยความเปนหลาน
ปูถือสนิทชวยเหลือเยี่ยงคนในครอบครัว หลอนไมมีเหตุผลจะปฏิเสธ แมกระอักกระอวนใจอยางยากจะ
กลาว ที่สุดคือตองยอมเดินไปขึ้นรถเนือยๆ
“ไปวัดไหนฮะ?”
“วัดทางนฤพานคะ”
เกาทัณฑออกรถเชื่องชา ทาทางมีความสุขอยางลนเหลือกับการถวงเวลาอยูกับหลอนใหนานที่สุด
“ทําบุญเนื่องในโอกาสอะไรครับ?”
แพตรีมองตรงไปเบื้องหนา ทอดจังหวะเล็กนอยกอนตอบ
“ทํากับปูทุกเดือนคะ ไมใชโอกาสพิเศษ”
ชะลอรถลงมองกระจกหลัง นึกวาตนเองทิ้งปูไวที่บานโดยไมเจตนา
“คงตองการพักผอนมั้งคะ”
ชายหนุมพยักหนาอยางไมติดใจ
๒๘
เกาทัณฑหักเลี้ยวขวา ทางตอจากนั้นคอนขางขรุขระเปนหลุมเปนบอจนตองชะลอความเร็วลงวิ่งแคเกียร
ต่ํา เลื่อนมือไปเปลี่ยนเพลง เลือกหมายเลขที่ตรงกับอัลบั้มโรแมนติกจากซีดีเชนเจอร เพิ่มเสียงขึ้นเล็ก
นอยอวดความนุมลึกของชุดเครื่องเสียงราคาแพงที่เขาภาคภูมินักหนา ทุกสิ่งดูสดใสชวนกระหยิ่มยิ้ม
ยองไปหมดในสายตายามนี้
คลื่นความไมจริงใจที่แฝงมากับน้ําเสียงของชายหนุมทําใหแพตรีผินหนาเมินออกขางทางและรักษาความ
เงียบไว เกาทัณฑรูสึกถึงความหางเหินที่หลอนจงใจกอ เขาซอนยิ้ม ยังดูไมออกทะลุปรุโปรงวาหลอน
เปนผูหญิงอยางไรกันแน เขาเคยชินกับอาการเลนตัวของผูหญิงสวยมามากตอมาก หากแตสัมผัสใจพวก
หลอนไดเสมอวาแทจริงแลวอยากใหเขาออนหนักๆเทานั้นแหละ
“นอกจากอยูกับตนไมแลว แพชอบทําอะไรอีกฮะ?”
เกาทัณฑถามอยางแนใจสนิทวาคําถามนั้นคงไมทําใหหลอนประดักประเดิด เพราะดูออกวาหลอนไมใช
ประเภทบังอรเอาแตนอน
“แลวแตโอกาสคะ”
๒๙
คําตอบของหลอนคลายหลีกเลี่ยงที่จะตอบตามตรง
“ถาเดาไมผิดแพคงชอบนั่งสมาธิทั้งวัน”
เขาเสี่ยงทายดูเลนๆ แตหลอนก็งดที่จะเฉลยวาผิดหรือถูก
“สมัยเรียนมัธยมปลายผมเคยฝกสมาธิกับเขาเหมือนกัน มีพวกไปสอนนักเรียนเปน
แทนการชวนคุยตอ ชายหนุมทําเปนฮัมเพลงตามเสียงจากลําโพงซึ่งกําลังกระจายคลื่นความไพเราะ
เสนาะโสตอยูรอบทิศ หวังวาทาทีผอนคลายสบายใจของเขาจะทําใหหลอนเกิดความสนิทใจขึ้นบาง
สําหรับเขาแลว แมหลอนทําทีขรึมอยางนี้ ก็ยังใหความรูสึกที่ดีอยางบอกไมถูก เย็นรื่นชื่นใจจนยิ้มอยูคน
เดียวก็ยังได
“เลี้ยวขวาคะ”
หญิงสาวบอกเตือนคอนขางดังเมื่อเห็นเขาขับเพลินจนเลยซอยแยก ความจริงเกาทัณฑเห็นปายชี้ทางไป
วัดอยูแลว แตแกลงทําเปนวิ่งเลยเพื่อใหหลอนเปดปากพูดเสียบาง ซึ่งเมื่อหลอนทักตามคาดก็เหยียบ
เบรกพรืด เขาเกียรถอยหลังยิ้มๆคลายเพิ่งตื่นจากเหมอ
รถวิ่งไปตามทางซึ่งดีกวาเดิมอีกราวสองรอยเมตรก็ถึงรั้ววัด เกาทัณฑหักหนารถคลานเขาไปอยางแชม
ชา กดสวิทชปดเครื่องเสียงลง คิดวาหลอนคงพอใจหากเห็นเขาใหความเคารพตอสถานที่ ยิ้มมุมปาก
หนอยๆเมื่อเห็นตนเองหวงใยความรูสึกหลอนแมเล็กนอยขนาดนี้
๓๐
บอกตนเองวาวัดนี้คงไมมีพระเดนๆใหคนศรัทธาเทาไหร สังเกตไดจากโบสถและกุฏิพระที่วิ่งผานลวน
แลวแตเกาแกไมแจมตาแจมใจเหมือนวัดดังซึ่งมีเศรษฐีมาขึ้นกันเยอะ พูดงายๆคือดูหรูนอยกวาที่ควรจะ
สมชื่อแปลกนาเลื่อมใส แตสิ่งนาชอบใจอยางหนึ่งคือความรมรื่นของแมกไมนอยใหญซึ่งดกดื่นอยูทั่ว
บริเวณนับแตทางเขาเปนตนมา ทําใหอารมณเย็นและอยากทําบุญทํากุศลไดเหมือนกัน
“นฤพานนี่อยางเดียวกับนิพพานหรือเปลานะแพ?”
ถามขอความรูจากหลอน แพตรีรับวา
หญิงสาวมีทีทาไตรตรองนิดหนึ่ง กอนตอบคลายระวังอยูในทีวา
“คะ”
“เคยถวายสังฆทานไหมคะ?”
หญิงสาวเงยหนาถาม ชายหนุมสั่นศีรษะ
หญิงสาวตัดบทวา
“ธรรมเนียมของที่นี่พระทานจะใหญาติโยมกลาวถวายกันเอง ถาทองไมไดก็คงตองขอหนังสือมนตพิธี
จากทาน”
เกาทัณฑเลิกคิ้วอยางพอจะนึกออกถึงพิธีกรรมในการถวายสังฆทานแดพระภิกษุสงฆตามที่เคยเห็นมา
“แพกลาวนําใหผมก็ไดนี่”
แพตรีสายหนา
“คงไมเหมาะหรอกคะ”
ชายหนุมมองหนาหลอนดวยแววใสแบบที่ปนดวยอารมณขบขัน หัวเราะออกมาหนอยหนึ่งอยางเขาใจ
หลอนถูกถนอมเลี้ยงดูมาโดยปูซึ่งเปนชายที่นาเคารพนับถือ กับทั้งอยูในกรอบของธรรมเนียมนิยมสมัย
เกา จึงอาจติดความคิดประเภทชายเทาหนา หญิงเทาหลังอยู
แพตรีเห็นแววเชื่อมั่นพอดีๆในตาญาติหนุมแลวก็ทดลองบอกใหทีละชวง
เกาทัณฑมองตาหลอนแนวและทองตามยิ้มๆ
เขาสามารถวาตามโดยไมสะดุดหลุดแมแตคําเดียว แถมพอแพตรีบอกจบทั้งหมดก็ทวน
ใหมใหฟงตั้งแตตน ถูกตองบริบูรณหาที่ติไมไดจนหลอนตองจองมองอยางสงสัยครามครันวา
๓๒
เขารูอยูแลวแตแกลงทําเปนไมรูหรือเปลา
“ตอนเปนประธานนักเรียนสมัยอยูมัธยมผมเคยนํานักเรียนสวดมนตตอนเชาและตอนพิธีไหวครูฮะ ทอง
จําบาลีนี่งานถนัดเกา”
สุมเสียงของเกาทัณฑออกโอหนอยๆ แพตรีกะพริบตาเนิบชา
“จําไดไหมคะ?”
แตแรกเพียงตองการชวยเหลือหลอนใหไดรับความสะดวกเปนหลัก ไมทันคิดวาจะทําใหคนละแวกบาน
หลอนเขาใจภาพที่ปรากฏผิดไป การทําบุญรวมกันระหวางชายหนุมหญิงสาวนั้นพิจารณาดวยสามัญ
สํานึกไทยๆไดสถานเดียวคือเปนคูรักกัน หรือหนักกวานั้นหนอยก็คือเปนสามีภรรยาไปเลย ใครจะคิด
เลาวาเพิ่งคุยกันแคสองคําแลวจะมาทําสังฆทานรวมกันไดอยางนี้
พอหันมาเห็นหญิงสาวที่เพิ่งเขานั่งพับเพียบตอทายญาติโยมอื่น ทานก็ทักวา
“ปูพักผอนเจาคะ”
ครูหนึ่งทานสมภารตะโกนสั่งพระลูกวัดใหนิมนตพระสี่รูปแลวหันกลับมาคุยกับญาติโยมชุดเกาตอ พอจับ
ความไดวากําลังสนทนาเรื่องพระลูกชายของโยมซึ่งมาบวชที่นี่ มีการถามไถทํานองวาอยูดีมีสุขหรือไม
ปฏิบัติกิจของสงฆบกพรองอยางไรรึเปลา ซึ่งก็ดูทานสมภารจาระไนตามสะดวกวาพระลูกชายสุขสบาย
ทุกประการ ไมมีโรคภัยไขเจ็บเบียดเบียน บิณฑบาตไดขาวฉันอิ่มทุกมื้อ ปฏิบัติกิจของสงฆอยางขยัน
ขันแข็ง ไมเอาแตงวงเหงาหาวนอนหรือปูเสื่อฉันของถวายตลอดเชาสายบายค่ํา
เกาทัณฑฟงแลวคิดวาคงเปนการสนทนาแบบขอใหเสร็จไปทีเพื่อเอาใจผูเปนพอแม จริงๆทานคงไมรู
อะไรเกี่ยวกับพระรูปที่ถูกกลาวถึงนั่นเทาไหร สังขารทานเปนแบบนี้จะใหลุกไปสํารวจพระลูกวัดทั่วๆได
อยางไร
เมื่อพระมาปูอาสนะและเขาที่นั่งเรียบรอย แพตรีก็พยักหนาใหเกาทัณฑชวยหลอนนําถังไปวางไวตรง
หนาพระแตละรูป ชายหนุมกระตือรือรนขึ้น เมื่อเห็นกิริยาแววไวสละสลวยดูแนบเนียนชวนมองเพลิน
ของแพตรี จะเปนยามที่หลอนหยิบยกถังไปวางขางหนาตักพระ หรือเปนยามที่ดึงกายกลับมานั่งสํารวม
ทุกการเคลื่อนไหวสะทอนใหเห็นจิตใจอันเปยมดวยความเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนาเหนือ
เกลา
อยางนี้เองกระมังลักษณะของผูแชมชื่นในงานบุญ เขาสัมผัสถึงความออนโยนมีชีวิตชีวาอีกแบบหนึ่งใน
ใจตนเอง และชั่วขณะที่ชวยหลอนนําถังไปวางเขาที่ ก็เริ่มซึมซับทีละนอยวาการทําบุญ ‘รวมกัน’ นั้นเปน
อยางไร มันเหมือนมีแรงสองแรงเสมอกันผสานเปนอันหนึ่งอันเดียว ปราศจากความแบงแยกสักนอย แม
กายก็ปรากฏตอหางตาเปนปฏิภาค เปนคูตรงขามที่เคลื่อนไหวกลมกลืน เหมือนรับกันสนิทในที
เสียงชายหญิงที่รวมกิริยาบุญคลายสายใยแกวบางใสที่ถักทอรอยรัดใจเขาหากัน เกาทัณฑประจักษใน
ความชุมชื่นชนิดนั้น หัวใจของเขาสะอาดใสขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งจนนาแปลกใจวาตนอาจนึกเมตตาเอ็นดูผู
หญิงสักคนอยางบริสุทธิ์ใจไดปานนี้ บริสุทธิ์ชนิดที่ยินดีชวยเหลือหรือเสียสละใหหลอนทุกอยางแมพลาด
จากการรวมครองคูกัน…
พลาดจากการรวมครองคูกัน
ชั่วขณะนั้น แคคิดก็ทนไมไดแลว…
ประเคนเรียบรอยแพตรีก็เลื่อนเตากรวดน้ําใหเขาพรอมกระซิบเร็วๆ
“รินน้ําลงขันรองนี่ตอนพระองคหัวหนาทานขึ้นยถา พยายามใหน้ําไหลตอเนื่องไมขาดสายจนหมดพอดี
เมื่อทานลงคําวายถายาวอีกครั้ง ระหวางน้ํารินอยูจะตั้งใจอุทิศบุญกุศลใหใครก็ไดที่ลวงลับไปแลว”
‘ความสุขจงมีแกปูชนะและแพ’
เสร็จสิ้นทุกกระบวนการแลวสองหนุมสาวก็กราบสงฆสามครั้ง พระสี่รูปนั้นทยอยลงจากกุฏิไป
ทานสมภารถามฉันคนรูจักคุนเคย ฟงดูคลายทานกับปูชนะมีความเปนเพื่อนกันอยูแตเกากอน
“เปลาหรอกคะ”
“พอหนุมนี่ทํามาหากินอยูแถวไหนละ บานอยูละแวกใกลนี่รึเปลา?”
ทานหันมาทางเกาทัณฑอยางชวนปราศรัย ชายหนุมมองตอบดวยสายตาและรอยยิ้มแสดงความเคารพ
เพราะสังเกตดูแพตรีใหความนับถือสูงมาก
“ไกลเหมือนกันครับ บานกับที่ทํางานผมอยูในตัวเมือง”
“ออ”
“หนาตาเหมือนพระเอกหนังดีจริงๆ”
ทานชมเกาทัณฑประสาคุณตา แลวควาหนังสือพิมพใกลตัวขึ้นมาทําทีเหมือนอยากอานขาวพาดหัวหนา
หนึ่ง นี่คงตั้งทาไลเขากับหลอนแลวกระมัง
ขณะที่ทานทอดตามองหนังสือพิมพและพูดไปเรื่อยนั้น เปลวไฟก็คอยๆกอตัวและลามเลียมแผนกระดาษ
ทีละนอย
หนังสือพิมพกลายเปนไฟกองโตที่ลุกโพลงและมียอดเปลวสูงขึ้นอยางรวดเร็วจรดเพดานกุฏิทามกลาง
ความตกตะลึงพรึงเพริดของสองหนุมสาว ทุกสิ่งเกิดขึ้นอยางเดียวกับฝน คือไมมีตนสายปลายเหตุสม
จริง ความรูสึกของเกาทัณฑและแพตรีจึงคลายฝนเชนกัน ไมมีใครกระดิกกระเดี้ยไดเลยสักนิดเดียว
“เพียงเรารูวิธี ก็ดับไฟไดโดยไมตองวิ่งไปหาเครื่องมือจากไหน”
ทานสมภารพูดอยางเยือกเย็นทวาทรงอํานาจชนิดที่ทําใหเกาทัณฑตองขนลุกเกรียว เห็นถนัดตาวาทาน
ยังถือไฟกองโตไมปลอย นับเปนภาพที่นาตระหนกและชวนพิศวงงงงวยเหนือคําบรรยาย แมยืนหางออก
มาสองสามกาวยังสัมผัสถึงความแผดรอนผะผาว กองเพลิงอันรอนระอุคุคลั่งคลายมีแรงพิโรธกราด
เกรี้ยวในตนเองเห็นปานนั้น ทานสมภารทนอยูไดอยางไรไหว
ภิกษุชราปดตาลงครูหนึ่งเปนดุษณี กอนเปดเปลือกตาขึ้นเปาลมปากพรวดลงไปบนกองเพลิงระหวาง
แขนเบาๆ มันดับพรึ่บในพริบตาเดียว เศษขี้เถากระดาษฟุงกระจายทั่วหอง เลนเอาตาคนเห็นเบิกโพลง
อยางยากจะเชื่อตนเองอีกคํารบ
แลวอยางตอเนื่อง ทานเงยหนาขึ้นมองเพดานซึ่งบางสวนกําลังถูกริ้วไฟแดงฉานคุกคามหนักขึ้นทุกขณะ
ราวกับมีเชื้ออยางดีฉาบไว หรือเหมือนเพดานสรางขึ้นดวยฟางแหง ทานสูดหายใจเต็มปอดแลวปองปาก
เปาลมพุงขึ้นไปดังฟูใหญ เกาทัณฑและแพตรีรูสึกเหมือนมีแรงลมมหาศาลสงออกมาจากตนทางที่เล็กไม
สมขนาด มันเปนพลังลมที่หนักหนวงรุนแรงราวกับพายุสลาตัน สะเทือนโยกไปทั้งกุฏิ ไดยินเสียงออด
เอียดของไมคลายปรากฏมือยักษไรตนมาตบ
ผลคือไฟดับสนิท
ทานสมภารทอดตาดําลึกและฉายแววพิสดารลี้ลับไปทางแพตรี กลาวดวยน้ําเสียงการุณยวา
“กลับไปกอนนะแพเอย หลวงตาจะปลงอาบัติ...ตองนั่งสมาธิขอขมาธรรมกันนานละ”
พูดแลวก็ระบายลมหายใจยาวเหยียดและปดตาลง ยามนั้นเกาทัณฑไมรูสึกวาทานเปนคนแกอีกแลว
สองหนุมสาวกราบลาแลวลงจากกุฏิของทานสมภารอยางเงียบเชียบ พูดอะไรไมออกกันแมแตคําเดียว
๓๘
เขาสบตาดวยลักษณะเรียกรองของเพื่อนที่รวมประสบเหตุการณสุดระทึกมาดวยกัน แพตรีเริ่มระงับ
อารมณได แมยังไมปกติดีนัก แตพอหันมาเห็นทาทีเกๆกังๆนาขันของเขาแลวก็สงบเย็นลงทันที ดวยถือ
วาตนใกลชิดบุคคลผูทรงคุณมานาน จึงสมควรทําใจหนักแนนไดมากกวา ‘ไกตื่น’ ตรงหนา
หญิงสาวลงนั่งบนมาหินตามคําขอ ทําใหเกาทัณฑโลงอกและนั่งตาม
“เมื่อกี้หลวงตาทาน...”
“หลวงตาแขวนทานคงเมตตาคุณนะคะ”
ถามอยางปะติดปะตอเรื่องราวไมถูกจริงๆ
เกาทัณฑสายหนา กระดาษหนังสือพิมพที่กลายเปนไฟกองมหึมาอยางพรวดพราดยังติดตาติดใจมาจน
บัดนี้ เลนเอาความคิดอานติดขัดไปสิ้น
“ทําไมไมสนใจหาเจตนาของทานละคะ ทานทําไดยังไงนี่เกินกําลังสติปญญาของดิฉันเหมือนกัน”
เกาทัณฑสายหนาอีกครั้ง
“ทานมีเจตนาอะไร? ยอมรับวาผมงงไปหมดแลว”
“แพทําเหมือนรังเกียจผมจังนะ ตั้งทาจะไลใหพนๆอยูเรื่อย”
“ถึงจะอะไรฮะ?”
แพตรีชั่งใจครูหนึ่ง กอนตอบเกาทัณฑถึงสิ่งที่ยังคางคา
“ดูนัยนตาแพแลวเหมือนคนรูดีสารพัดเลยนะ แบงปนใหผมรูมั่งสิวาแพเก็บอะไรไวบาง”
สําเนียงอันเปยมไปดวยความจริงใจและตรงไปตรงมาของหลอนทําใหเขาสายหนากับตนเองเหมือนอับ
จน
แพตรีถอนใจ
“อยากรูอะไรคะ?”
“หลวงตาแขวนทานทําไดยังไง?”
หญิงสาวกะพริบตาเนิบชา
๔๑
คลายปรากฏพานทองแหงการยอมรับผุดขึ้นที่กลางใจ เหมือนมีความทรงจําเกาวูบไหวขึ้นมาใจกลาง
สมอง ราวกับภายในนั้นแจงประจักษสิ่งที่หลอนพูดถึงอยูแลว แตเพิ่งถูกเปดเผยในบัดนี้ เกาทัณฑยนคิ้ว
นอยๆและเงี่ยหูตั้งใจฟงเต็มที่
เกาทัณฑยกมือลูบคาง
“นิยามของอภิญญาคืออะไรฮะ?”
เมฆกลางฟาเคลื่อนคลอยจากการบดบังดวงอาทิตย แสงแดดที่แผดกลาสวนหนึ่งฉายลอดเงาไมลงมา
เปนลํา พรอมกันขณะเดียวกับวูบสายลมรําเพยผานสองหนุมสาว
“ธรรมชาติแหงการลางกิเลส?”
“สิ่งนี้ใชไหม ที่เรียกวามรรคผล?”
นาแปลกที่เนื้อหาทางพุทธศาสนาในตําราที่เคยศึกษาในชั้นเรียนมัธยมคอยๆทยอยขึ้นสูจิตสํานึกทีละ
ระลอกอยางเปนไปเอง
หญิงสาวพยักหนา
๔๒
แพตรีตรึกทวนถอยคําที่ปูชนะเคยแจกแจงครูหนึ่ง กอนเริ่มถายทอดดวยใจเคารพธรรม
กระแอมทีหนึ่งอยางพยายามเอาตัวเองออกมาจากบวงเสนหที่หลอนมิไดมีเจตนาคลอง
“หลวงตาทานเปนพระอรหันตหรือเปลาฮะ?”
“พระโพธิสัตวนี่ทํายังไงถึงจะไดเปนฮะ?”
“ก็...”
หลอนอึกอักไปชั่วขณะ เมื่อหันมาเห็นดวงตาดําลึกที่ฉายอํานาจประหลาดของเขา
“แคอยากเปนก็ไดเปนตอนนั้นแลวละคะ”
เกาทัณฑเลิกคิ้วเล็กนอย
“งายขนาดนั้นเลยหรือ?”
“แตระหวางวันพอเจอเรื่องยั่วใจใหเขวอยากทําชั่ว ก็เปลี่ยนเปนคนชั่วไดใชไหม?”
ชายหนุมแยงเบาๆตามความนาจะเปน
เกาทัณฑกะพริบตาสองหน
“ทีแรกผมนึกวาพระโพธิสัตวหมายถึงผูมีจิตใจประเสริฐสูงสงหาที่ติไมได หรือเทพเจาในตํานานซึ่งมีหนา
ที่ชวยเหลือมนุษยอะไรทํานองนั้น”
แพตรีมองเขาดวยแววนิ่งครูหนึ่ง กอนตอบเรียบๆวา
“เอ…ถาการปรารถนาเปนพระพุทธเจาตองใชเวลาเปนชาติๆ อยางนี้กอนอื่นตองเชื่อเรื่องเวียนวายตาย
เกิดใชไหม?”
๔๕
เกาทัณฑเมมปาก กะพริบตาถี่ๆ
“ถามหนอยนะ แพเชื่อเรื่องชาติกอนชาติหนารึเปลา?”
“คะ…เชื่อ”
“เรื่องทํานองนี้มีวิธีพิสูจนที่แนนอนไหมฮะ?”
“แพเห็นดวยตัวเองแลวจากอภิญญาชนิดนั้น?”
คราวนี้หลอนสายหนา ทําใหเขาผิดหวังเล็กนอย
“งั้นเลาใหฟงถึงเหตุจูงใจใหเชื่อหนอยไดไหม?”
พอเห็นหญิงสาวทําทีอึดอัดที่จะเฉลย ก็ปลอบแกมคะยั้นคะยอ
แพตรีทอดจับใบหนาของเขาเต็มหนวยตา จนเกาทัณฑใหฉงนขึ้นมาอีกคํารบวาแฝงเลศนัยชนิดใดไวกัน
แน รูวาหลอนคิด แตคิดอะไรไมรูนี่ชวนใหจุกอกจุกใจเสียจริง เดี๋ยวก็ฝกอภิญญาอานใจคนมาเจาะดูเสีย
หรอก
นานครูหนึ่งกอนหลอนจะตอบเสียงนิ่ม
มีแววสมเพชจากดวงตาที่เคยวางอุเบกขาเปนนิจ แตก็จางหายไปอยางรวดเร็วจนเกาทัณฑไมแนใจวา
แววชนิดนั้นเกิดขึ้นหรือเปลา เขายิ้มนิดหนึ่ง อยากใหหลอนรูเห็นวาที่ผานมา เมื่อตั้งใจจริงแลว เขาเปน
ทําไดสําเร็จเสมอ แมตองใชความพยายามจนดูเหลือวิสัยปานใดก็ตาม
เวนระยะระบายลมหายใจยาวอยางคนที่ผอนคลายลงไดชั่วขณะหนึ่ง
แพตรีฟงเขาพูดโดยปราศจากความเห็น
เกือบหลุดคําพูดคอนขางแรงออกไป หากแตยั้งไวเมื่อจังหวะนั้นพอดีกับที่เหลือบมาเห็นดวงหนาสงบ
ละไมของหญิงสาว
“...อยางกับสิ้นปญญาตองลวงขาวชาวบานกิน”
ตอคําพูดตัวเองจนจบอยางไมชอบคางคา ทวาดัดแปลงใหนุมนวลลงกวาที่ตั้งใจพูดแตแรก
๔๗
แพโกรธผมหรือเปลานี่?
มีความผิดอะไรที่ผมควรจะรูตัวบางไหม?
ผมทําใหแพรําคาญมากกระมัง?
“นึกออกแลว!”
คราวนี้หญิงสาวปรายตาเฉี่ยวผานเขาแวบหนึ่ง เปนแวบที่เผยรองรอยขุนขึ้งอยางไมปดบังเปนครั้งแรก
แตขุนที่เขาแกลงใหตกใจเดี๋ยวนี้ หรือขุนที่เขาทําสิ่งใดไวเมื่อหนไหนนี่ยังนากังขาอยู...
หลอนคงถูกผูชายรุมจีบอยูทุกเมื่อเชื่อวันจนชินกระมัง จึงมีสีหนาทาทางเปนปกติทุกอยาง
คําทายๆกลาวลากชาพรอมกับโหยงมือเกาะอก
“ถาผลกรรมติดตามเรามาแตชาติปางกอนจริง ก็เปนเรื่องนายินดีที่ไดประจักษวามีบุญตามมาอุปถัมภผม
แลว ชาตินี้เกิดมาไมเดือดรอนเรื่องความเปนอยู ถึงเวลาก็ไดปูชี้ทางธรรมะ ไดแพพาไปพบพระดี เรียก
วาบุญตอบุญ เห็นไดชัดวาชาติหนาเกิดใหมคงหลอเหลาเหมือนพระเอกหนังอยางที่ตะกี้หลวงตาทานชม
อีก”
ขณะที่กําลังจะทํากอรอกอติกเปนเรื่องเปนราวอยูนั่นเอง ก็ใหมีเสียงขัดจังหวะดังมาจากหนาประตูรั้วเสีย
กอน
“พี่แพฮะ”
เกาทัณฑเห็นหญิงสาวเหลียวไปตามเสียงเรียก มานตาเบิกกวางดวยความยินดี
“มติ!”
“เปนไง กลับมาถึงเมื่อไหร?”
หญิงสาวยังอมยิ้ม ไขกุญแจเปดประตูรับแขกใหมหนาตาเฉย
“เขามากอน”
นั่นเปนจังหวะเดียวกับที่เกาทัณฑลุกขึ้นยืน
“ผมขอตัวขึ้นไปหาคุณปูนะฮะแพ”
ฝนทําเสียงเปนปกติ แตคนคุยดวยมากอนรูดีวากรอยลงกวาเดิมเยอะ
๔๙
“คะ”
ไดเห็นเรียวปากคูงามสยายเปนรอยยิ้มรื่นเหมือนโลงอก ยังผลใหแสบคันคะยิกที่กลางอกแทบดิ้นแลว
เกาทัณฑก็กลับหลังหันกาวดุมขึ้นเรือนทันที สติขาดหาย อกใจไหวสั่น เดินอยางไมเปนอันรูวาเดินไป
ทําไม ขนาดเห็นปูยังไมรูเลยวาเห็น
ผูเปนหลานยิ้มไมออก
“สบายดีเหรอฮะปู?”
“ผมซื้อองุนกับเงาะมาฝาก”
ปูชนะพยักหนา
ปูชวยแกเกอหรือประชดก็ไมทราบ เกาทัณฑรูสึกแนนหนาอกจนตองแคนหัวเราะระบาย
“ปูนั่งอยูแตบนนี้ทั้งวันไมเบื่อมั่งหรือไงฮะ?”
ถามดวยเสียงพาล
“ก็เจอกันทุกคนแหละเต”
ปูชนะกลาวในที่สุด เกาทัณฑนิ่งฟงอยางเงียบงัน
“และตอไปเมื่อมีลูกเมียใหรับผิดชอบ แกจะยอนมองกลับมาเห็นความเหลือฝนอยางเดี๋ยวนี้เปนแคปญหา
ขั้นเริ่มตน เปนเพียงหนึ่งในเรื่องราวนอยใหญประจําชีวิตคู มันก็แคความรูสึกวูบวาบนั่นแหละที่ใหญเกิน
ตัวปญหาไปจนถึงกับเห็นวาเหลือฝน”
“เหรอฮะ”
เกาทัณฑเอยรับเปนทํานองทอดอาลัยระคนขบขันวิธีเลนตลกของชีวิต พยายามเลื่อนตัวขึ้นนั่งตรงเมื่อ
รางคลายจะเลื้อยตกเกาอี้ลงไปทุกที
ปลายเสียงของเขาหายไปลอยๆ
“ถาคําสอนของพระพุทธเจาดับทุกขไดสนิทจริง ผมก็ชักเห็นคาบางแลว”
เกาทัณฑวาแบบลอยตามลมไปแกนๆ
“ยังไมตองไปถึงขั้นดับทุกขสนิทก็เห็นคาเดี๋ยวนี้ได”
น้ําเสียงทอดเนิบของปูมีแรงจูงใจใหตามฟง
เกาทัณฑสังเกตจิตใจตนเอง เห็นความวาวุนอยูกลางอกจริงๆ
ชายหนุมนึกถึงดวงหนาเดนของหญิงสาวที่คลายคมมีดกรีดอก สัมผัสไดถึงใจที่พุงเขาสูมโนภาพดวง
หนาหลอนอยางแรง เห็นจริงเห็นจังวานั่นเองอาการที่จิตเขายึดเหตุ อันไดผลเปนความทุกข พอลอง
เปลี่ยนเปนตรงขาม ถอนอาการยึด อาการหลงหาเสีย ก็คลายมโนภาพงามที่ตามหลอกหลอนทุกขณะจิต
พลอยสลายตัวเปนอากาศธาตุไปดวย สบายหัวอกขึ้นทันที
เหมือนปลอยมือจากเชือกใหวาวหลุดลอยลม ไมหนักมืออีกตอไป
เมื่อชายชราเห็นผูเปนหลานกระจางใจในอริยสัจสี่ขึ้นมาเปนครั้งแรก ก็กลาวเสริม
๕๒
“ปูไมถามเลยนะวาเธอที่เปนตนเรื่องคือใคร บานชองอยูแถวไหน”
คอนขางโลงอกที่ปูไมระแคะระคาย ทั้งที่เรื่องมันจุดไตตําตอแทๆ
“เรื่องการงานและความสามารถทางโลกนะพระองคไมทรงเกี่ยงงอนหรอก แกเคยไดยินขาวเด็กอัจฉริยะ
ประเภทเรียนมหาวิทยาลัยตั้งแตอายุสิบเอ็ดใชมั้ย นั่นแหละ เทาหนึ่งในรอยหนึ่งในพันของพระองคสมัย
ปฐมวัย แคเรื่องครองบานครองเมืองนะสบายมาก เพียงแตพระองคไมทรงยินดีในราชสมบัติและความ
เปนพระเจาจักรพรรดิเทานั้น”
ชายหนุมสายหนาอยางไมเชื่อทันที
“ผมเคยเรียนมาฮะ แลวจากวันแรกที่เห็นเหตุผลของพระองคในแบบเรียนจนกระทั่งคิดอะไรเองไดทุกวัน
นี้ ผมก็ยังไมเชื่อจากตนจนปลายวาคนเราเห็นทุกขแคนั้นแลวถึงกับจากบานจากเมืองและสิ่งอันเปนที่รัก
ทั้งหลายเขาปาเพื่อแสวงหาทางหลุดพน พระองคตองไมไดมีชีวิตอยูในโลกของความเปนจริงแนถาถือวา
ตํารากลาวไวถูก”
เสร็จแลวเกิดความคิดขึ้นใหมวาถาลองทรมานตัวเองลดกิเลสลงอาจไดผล แตลองดูหลายปก็เห็นวาไมใช
อีก เลยคิดอีกครั้ง เอาทางสายกลาง ไมสุขไมทุกข เรียกวามรรคแปด มีอะไรมั่งผมลืมไปหมดแลว นั่งอยู
ใตตนไมคืนเดียวบรรลุเลย ผมไมเขาใจวาการเอาความไมสุขไมทุกขมาเปนตัวยืนแลวจะโยงมาถึงความรู
ในเรื่องมรรคแปดไดอยางไร ปูไมเคยสงสัยมั่งหรือฮะ?”
“ตองยอมรับนะเตวาโลกเรานี้มีบุคคลพิเศษประเภทหนึ่งในพันลานอยูจริง บุคคลอยางนี้ไมไดมีอยูในตัว
แก ไมไดมีอยูในคนรูจักหลักรอยหลักพันในชั่วชีวิตของแก ไมไดมีใหแตะตองเปนประสบการณทั่วไป แต
มีอยูจริงในหนาประวัติศาสตร อาจจะหาสิบ รอย สองรอย หรือพันปครั้งถึงจะมีคนประเภทไอแซค นิวตัน
หรืออัลเบิรต ไอนสไตนเกิดขึ้นมาสักคน คนพวกนี้เขยาโลกไดก็ดวยความคิดที่เปนหนึ่งในพันลานนั่น
แหละ หากใครเทาทันดวงจิตขณะคิดงานยิ่งใหญของพวกเขาได พวกเขาก็คงจะไมมีชื่อเสียงและถูกถือ
เปนหนึ่งในพันลานแนๆ”
๕๔
“การเกิดมาของไอนสไตนทําใหมนุษยไดความรูที่มีคามหาศาล เขาทําใหนักศึกษาบางกลุมเปลี่ยนโลก
ทัศนที่มีตอธรรมชาติแตกตางไปจากสามัญสํานึกของคนธรรมดา เขาทําใหเรามีพลังงานรูปแบบใหมไว
ใช เขาทําใหจินตนาการของคนยุคใหมบรรเจิดขึ้นเปนคนละระนาบกับสมัยอื่น แตไตรตรองดูนะเต เคยมี
ใครสักคนไหมที่อางวาศึกษาและรับผลพวงจากงานของไอนสไตนแลวมีมโนธรรมสูงขึ้น จิตใจสูงขึ้น หรือ
กระทั่งพนกิเลสพนทุกขไมตองทรมานใจกับแงมุมใดๆของชีวิตอีกเลย?”
ชายชราแยมยิ้มเล็กนอย เกาทัณฑเห็นเปนรอยยิ้มที่งามจับตา
“มหาบุรุษเชนพระพุทธองคทรงเปนยิ่งกวาหนึ่งในพันลาน และความรูของพระองคก็มีคามากกวานั้น พบ
ไดยากยิ่งกวานั้น การมีใครสักคนพูดวา ‘สภาพจิตที่เปนสุขถาวรนั้นมีจริง เขาถึงไดจริงดวยวิธีปฏิบัติที่
แนนอน’ ฟงดูแสนแปลกแสนมหัศจรรยขนาดไหน โลกอาจตองรอการเกิดของนิวตันและไอนสไตนนับ
รอยนับพันป แตโลกจะตองรอการอุบัติของพระพุทธเจาเปนจํานวนปที่แกไมเคยรูจัก มันมากขนาดขาม
วัฏจักรของเผาพันธุมนุษย นานขนาดที่แกอาจเรรอนไปสงสัยรูปแบบชีวิตตางๆกี่แสนกี่ลานครั้ง ก็ยังไม
มีโอกาสพบบุคคลเชนพระองคซ้ํา”
หลังจากทอดระยะ ปูชนะก็สรุปแกปม
“ดังนั้นถาแกหวังจะใหตําราเรียนอธิบายวาพระพุทธเจาทรงเขาสูการรูทางมรรคผลไดอยางไร ก็ตองแน
ใจเลยวาคนเขียนตําราเลมนั้นเปนพระพุทธเจาเสียเอง และจะตองบรรยายเปนมิติที่พิสดารเหนือตัว
หนังสือธรรมดาอยางคาดไมถึงดวย จิตของพระองคในขณะจะบรรลุธรรมนะเปนจิตของผูอยูเหนือคําวา
อัจฉริยะ เกี่ยวของกับฌานญาณและวิธีใชปญญาในรูปแบบที่แกไมเขาใจ เปนการสืบเหตุสืบผลที่เรียก
พิจารณาปจจยาการอันเกินหยั่ง เปนจิตที่กอตัวขึ้นดวยบารมีสั่งสมบําเพ็ญมานับภพนับชาติไมถวน เปน
ธรรมชาติตัวเดียวอันเดียวในอนันตจักรวาลชั่วคาบเวลาหนึ่งๆ
เกาทัณฑนิ่งงันอยางจุกคอหอย ในบัดนั้นเหมือนปูมีรัศมีสวางและเหมือนอยูสูงเกินกวาจะพูดจาถกเถียง
หรือแตะตองแมเพียงนอย
๕๕
“ปูวาแทนที่แกจะมานั่งสงสัยประวัติของพระองคหรือวิธีคนพบของพระองค ก็นาจะลองหาทางพิสูจน
เหมือนกับที่นักวิทยาศาสตรพิสูจนวา ‘อี’ เทากับ ‘เอ็มซีกําลังสอง’ เปนความจริงหรือเปลา สูตรของพระ
พุทธองคคือมรรคแปดประชุมพรอมกันสี่ครั้ง เทากับภาวะดับทุกขและกองกิเลสอยางถาวร”
๕๖
ความเนือยนายและความเชื่อมั่นที่ถูกสั่นคลอนแบบนี้ไมเกิดขึ้นบอยนัก หลานสาวคนสวยของปูทําใหเขา
รูสึกวาตัวเองมีคาต่ําตอยกวาเจาหนุมนอยผอมแหงทาทางกระจอกๆ สวนปูชนะก็ทําใหเขาเกิดความคิด
ถกเถียงอยูในใจอยางตอเนื่อง เหมือนสงสัยชีวิตขึ้นเปนครั้งแรก ทั้งที่ผานมาชีวิตเขาใหคําตอบกับตัวเอง
เปนฉากๆ เริ่มตนดวยความพรอมทางกําลังกาย กําลังสติปญญา ตามดวยความสําเร็จ ผลงาน และลง
เอยดวยสงาราศีจับตาคนรอบขางทั้งใกลและไกล เขาควรอยูในครรลองแหงตัวตนอันนาภาคภูมิจวบถึง
อายุขัย
ภาพลักษณชีวิตปรากฏคลายธงชัยแหงความเปนหนึ่งที่ชูสูงตลอดกาล จูๆจะใหยอมรับหรือวาทั้งหมดคือ
อุปาทานทั้งเพ ที่ขยับแขนขาได อาปากพูดไดนี่เปนกอนอนัตตาในระหวางแหงการเกิด แก เจ็บ ตายอัน
เปนทุกขทั้งสิ้น
แตก็ตองยอมรับวาเมื่อคืนเขานอนกายหนาผาก...
เขายังซื้อบานหรูหลังใหญดวยเงินสดไมไดเหมือนซื้อหองเปนกลองๆแบบนี้แน ถาคิดครอบครองบาน
ใหญ ก็คงตองใชเงินผอน ซึ่งก็พอไหวอยู ตอใหเดือนละหลายๆหมื่นก็เถอะ ปญหาคือเขาเกลียดการเปน
หนี้ยืดเยื้อยาวนาน ความรูสึกมันวิ่งไปไมไกลถึงขีดของการครอบครองเต็มภาคภูมิ เขาจะตองทํางาน
แบบหามพัก มีรายไดประจําตอเนื่องนับสิบป ซึ่งคนเราตองมีสิ่งผลักดันหรือแรงบันดาลใจใหญพอ จึงจะ
มุแบกภาระยืดยาวปานนั้นโดยไมทอเสียกลางคัน
หรี่ตาลงเปนเสนตรงจนสามารถเห็นภาพสาวนอยในบานปูผุดชัดขึ้นในมโนนึก หลอนวิเศษสักแคไหน
หรือ จึงทําใหเขาคิดถึงการมีครอบครัว คิดถึงการลงหลักปกฐานเปนฝงฝาชั่วขามคืนที่รูจัก
แตสาวนอยนางนั้นพลิกมุมมองชีวิตของเขาไดเพียงชั่วระยะเวลาที่พบปะกันเพียงผานเผิน อยางนอยเขา
ตองทบทวนและถามตนเองจริงจัง วาสุดยอดของชีวิตควรจะเปนอยางไร สะดุดเขากับรักแท ตกรอง
ปลองชิ้น แลวครองเรือนรวมกันอยางผาสุกสวัสดีเหมือนบรรทัดสุดทายของนิทานกอนนอนอยางนั้น
หรือ?
เปอรเซนตการเสียชีวิตดวยอุบัติเหตุก็ต่ําเพียงหนึ่งในสิบของสาเหตุการตายทั้งหมด แตขาวการตายดวย
อุบัติเหตุหรือการทําราย ขมขืนฆา กลับถูกหยิบยกมานําเสนอเปนหลัก ดวยเหตุผลคือการแกตายและ
เปนโรคตายนั้น ไมสะเทือนขวัญเทา ทั้งที่จริงมันก็ตายเหมือนกัน
ความตายมีคาเสมอกันสําหรับคนตาย จะพิเศษอยูบางก็สําหรับคนเปนเทานั้นกระมัง
เกาทัณฑบังเกิดความประหวั่นพรั่นในสวนลึกเมื่อคํานึงคํานวณเกี่ยวกับมนุษยจํานวนมหาศาลที่ทยอย
ไหลลงอบาย คนเราอาจตายในวันใดวันหนึ่งก็ได อันนั้นเปนความจริงแท และคนเราถูกกระทบใหคิด ให
ตรอง ใหกลา ใหกลัว หรือใหเปลี่ยนความเชื่อไปเรื่อยๆไดสารพัดทุกวัน เทากับวาใชชีวิตมาถึงความเชื่อ
แบบไหน ก็จัดวาเตรียมตัวตายในแบบนั้นนั่นเอง
ชั่วขณะตอมา เกาทัณฑก็บังเกิดความตระหนักวาทั้งหมดในหัวเปนเรื่องของจินตนาการเทานั้น
จินตนาการที่จิตสรางภาพปลอมๆในอากาศขึ้นมาจากตัวเลขซึ่งเปนของจริง เพียงเทานั้นชายหนุมก็
หัวเราะขบขันใหกับตนเองที่คิดเพอเปนตุเปนตะอยางไรสาระไปได
เปลี่ยนไปอีกชองที่มีภาพยนตรฮอลลีวูดฉายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หนังที่ฉายเปนเรื่องของเด็กสาวหนาตา
บริสุทธิ์ไรเดียงสาผูมีชีวิตผันผวนเขามาพัวพันกับอันธพาล ฉายมาไดถึงกลางเรื่องแลว เปนฉากประเภท
สูตรสําเร็จที่พระเอกบุกรังผูรายเพื่อชวงชิงนางเอกกลับคืนสูออมอกพอแมพี่นอง เกาทัณฑยิ้มหยัน โลกนี้
มีสักกี่คนที่คิดวาตัวเองเปนพระเอก พยายามกลับเรื่องรายใหกลายเปนดี แตละคนทําเพื่อความอยูรอด
ใชศักยภาพเพื่อสนองความอยาก ความตองการเฉพาะหนาของตัวเองกันทั้งนั้น
ทั้งภาพและเสียงยังบาดเขาไปทุกอณูสํานึกจนลมหายใจลาสุด ไหนจะรอยยิ้มโลงอกเมื่อเห็นเขาลาผละ
ขึ้นเรือนอีกละ ชางนาคับแคนขนาดไหน ความเปนชายที่พรอมไปทุกสิ่งทําใหเกาทัณฑไมเคยเจออะไร
อยางนี้มากอน ยิ่งคิดยิ่งเดือดปุดจนร่ําๆนึกอยากเปนโจรราย วางแผนฉุดครามาขยี้ขยําใหสาแกใจ รับ
รองครั้งเดียวเทานั้นจะเอาใหออนเปยกลงกอดขาเขาแนนทีเดียว เขาทําไดแนอยูแลว
กําหมัดขบเขี้ยวเคี้ยวฟนดวยความมันเขี้ยว การอยูคนเดียวตามลําพังโดยมีหนังยั่วยุปลุกเราสัญชาต
ญาณเถื่อนเยี่ยงนี้ กอความคิดชั่วรายขึ้นมาโลดแลนชะงัดนัก ผูรายที่แสดงบทฉุดครานั้น บางทีทําใหคน
ดูสะใจและสงเสียงเชียรในสวนลึกเสียยิ่งกวาพระเอกที่เขาไปปลดพันธนาการจากขอมือขอเทานางเอก
เสียอีก คนเราไมสนใจหรอกวาใครคือผูราย ใครคือพระเอก สนแตสิ่งที่เห็นแลวเรงเราสัญชาตญาณดิบ
เทานั้นแหละ
ความคิดดานมืดดําเนินตอเนื่องไปเปนฉากๆอยูพัก ก็เกิดคําเดนขึ้นมาในหัว
ผูราย...
๖๐
ไมเคยมีสถานการณคับขันบีบคั้นใหเขาสําแดงแปลงกายเปนวีรบุรุษ แบบเหาะไปชวยสาวออกมาจากตึก
ไฟไหม หรือจับเหลารายมัดรวมเหมือนหมูรอตํารวจมารับไปนอนซังเต ถาอยางประเภทฉวยลูกหมาให
รอดจากการโดนรถทับอยางหวุดหวิดนี่เคยมาบางนิดหนอย หรือเห็นยายแกเดินโตเตจะเปนลมแลวชวย
พาสงบานนี่ก็พอมี แตลวนเปนเรื่องดาษๆที่ใครเขาก็ทํากันทั้งโลก หากละเลยเฉยเมยตางหาก ถึงจะถูก
ตราหนาวาเปนคนใจดําไป
คงตองตั้งอกตั้งใจศึกษาและวินิจฉัยประเด็นหลักทางศาสนาใหแยบคายแลวกระมัง เขาเชื่อละวาพุทธ
ศาสนาพูดถึงเรื่องทุกขและการดับทุกข แตปจจุบันก็มีเทคนิควิธีรอยแปดพันเกาเอาไวดับทุกข ตั้งแตของ
ดีราคาถูกไปจนถึงของหรูราคาแพง ทั้งวิธีอันเปนธรรมชาติ และทั้งเทคโนโลยีแสงเสียงชั้นสูงที่ปูคงไม
เคยรูจัก
ทราบดีวาความเชื่อทางศาสนาสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใครตอใครไดหลายคน ตรงนั้นแหละที่เขา
อยากจับเปนประเด็น เรื่องทุกขและการดับทุกขขอใหยกไวเสีย เพราะเปนเรื่องที่ใครๆก็พูดขึ้นมาเปนบท
ตั้งไดอยูแลว วิธีการหรือกลยุทธในการดับทุกขตางหาก ที่นาวิเคราะหวามีความเปนไปไดสูงหรือต่ํา
เพียงใด
๖๑
เขาอานไดอยางงายดายดวยบรรยากาศการทํางานของสมองแบบเดียวกับอานตําราใหญๆในรั้ว
มหาวิทยาลัย ไดเขาใจประเด็นหลักของพระพุทธศาสนาทีละจุด เริ่มจากการมองชีวิตเบื้องตนในแงตางๆ
ตลอดจนกระทั่งคําแนะนําเกี่ยวกับชีวิตในอุดมคติเชิงพุทธปรัชญา ไดทบทวนศัพทแสงกับรายละเอียดที่
หลงลืมไปหมดแลว อยางเชนขันธ 5 อายตนะ 6 ไตรลักษณ ปฏิจจสมุปปบาท กรรม นิพพาน
มัชฌิมาปฏิปทา และสรุปดวยอริยสัจ 4
เกาทัณฑมารวมความเขาใจเชิงประเด็นสัมพันธวาเนื้อหาหลักแหงพุทธศาสนากลาวถึงการประกอบขึ้น
เปนตัวตนของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆดวยขันธหา มีกรรมวิบากเปนปจจัยปรุงแตง มองความตอเนื่องของสาย
ชีวิตไดแบบปฏิจจสมุปบาท มีผลลัพธเปนทุกข จะดับทุกขไดก็ดวยมรรคแปด
เขาพบความเชื่อมโยงมากมายที่คอนขางซับซอนระหวางจุดตางๆ มีศัพทเฉพาะหลากหลายที่บางครั้ง
พูดถึงสิ่งเดียวกัน แตเปนคนละนัย ทวาดวยความปราดเปรื่องและวิธีอานอันแยบคายมีขั้นตอน กระโดด
ผานเปน ปะติดปะตอเปน ตั้งคําถามดักรอคําตอบเปน ผนวกเขากับความสามารถอานเร็วและอานทนยิ่ง
ยวด อีกทั้งมีพจนานุกรมพุทธศาสนเปนคูมือชวย การสรางสะพานเชื่อมความรูใหเปนโครงขายใยมหึมา
จึงเกิดขึ้นในเวลาอันลัดสั้น เพียงเจ็ดชั่วโมงเศษๆจากเชาถึงบาย เกาทัณฑก็คิดวาเขาไดขอมูลเกี่ยวกับ
พุทธศาสนไวในหัวเพียบแปลตามตองการ ถึงแมจะไมละเอียดจบกระบวนความทั้งหมดของหนังสือ ก็
พอพูดไดวาบัดนี้กระบะสมองบรรทุกสาระอันเปนแกนสําคัญที่เอาไวสนทนากับปูไดอยางถึงรสไหวแลว
สลับซับซอนนั่นเอง ทางพุทธศาสนาก็ยอมรับวาผัสสะดีรายทางกายเปนปจจัยใหเกิดการเสวยอารมณ
เมื่อเสวยอารมณก็เกิดการหมายรู เมื่อหมายรูก็เกิดการตรึกนึกตางๆนานาในอารมณนั้นๆ
อยางไรก็ตาม เสนแบงแยกอยางเปนขั้วตรงขามระหวางจิตวิทยากับพุทธศาสนาก็คือเรื่องของตัวตน
ทางจิตวิทยายอมรับวาผลผลิตอันเกิดจากการผสานงานระหวางกายใจ อันไดแกความรูสึกในตัวตนนั้น
ถูกตอง เปนเรื่องธรรมดาอยางที่สุด ในขณะที่พุทธศาสนามองวา “ความยึดมั่นในตัวตน” เปนเพียงสิ่งที่
เรียก ‘อุปาทานขันธหา’
ถาจินตนาการวาคนๆเดียวในยุคสองพันกวาปกอนสามารถคิดไดเทากับศาสตรสมัยใหมของตะวันตก
กับทั้งล้ําหนาไปขั้นหนึ่งดวยมุมมองสรุปรวบยอดที่วาความรูสึกในตัวตนเปนเพียงอุปาทาน หรือความยึด
มั่นผิดๆในของสิ่งที่ปรุงประกอบกัน ก็ตองนับวาเปนแนวคิดที่เกินธรรมดา เหลือเชื่อวาสามัญมนุษย
สามารถตีโจทยแตก และจับประเด็นความจริงในชีวิตเพื่อดับทุกขไดนาทึ่งปานนี้
หากพูดแบบไมออมคอม เขาเห็นทฤษฎีทางพุทธศาสนาทั้งหมดเปนผลงานของสมองปราชญโบราณ
ขนาดใหญชิ้นหนึ่ง ถูกรังสรรคขึ้นโดยผูฉลาดคิดเกี่ยวกับกลไกการทํางานของจิตใจสักกลุม ตั้งไอเดีย
เพื่อบรรเทาทุกขแกคนทั้งหลาย จากนั้นก็มีการสืบทอดมรดกทางปญญา คอยๆพัฒนาทฤษฎีตางๆขึ้น
หลายยุคหลายสมัยจนดูสมจริงสมจังและมีน้ําหนักเหตุผลนาเชื่อถือจนถึงที่สุด ชนิดมีหลักฐานความรู
ประกอบอุดชองโหวจนหมดสิ้น ทํานองเดียวกับที่นักวิทยาศาสตรสืบทอดความกาวหนาจากรุนหนึ่งสูรุน
หนึ่งนั่นเอง
สัจจะในมุมมองของปราชญและนักวิทยาศาสตรยุคใกลกับพระพุทธองคคือการมองไปรอบๆ แลวพูด
อยางไรก็ไดใหธรรมชาติเขามาอยูในการรับรู ดวยลักษณะเปนเหตุเปนผล ทวาสิ่งที่พระพุทธเจาตรัสไว
จะฉีกแนวออกไป กลาวโดยยนยอคือความจริงสูงสุดจะสืบสาวไดจากกายตนเองและใจตนเอง โดยตั้งสติ
รูเขาไปตรงๆ ตั้งสติพิจารณาเขาไปตามจริง กระทั่งลุถึงเปาหมายสูงสุดในเชิงปฏิบัติ อันไดแก ‘เห็น’ เหตุ
แหงทุกขคือเชื้อกิเลส และมีความสามารถทางจิตที่จะลางเชื้อกิเลสอยางหมดจด
พูดใหงายคือพระพุทธเจาและพระสาวกจะพึงพอใจกับคําตอบที่เปนตัวสภาวะ เมื่อไหรจิตถึงสภาวะที่ไม
ทําตัวเปนเชื้อกิเลส เมื่อนั้นถือวาจบปริญญาเอกทางพุทธศาสนา ไมมีอะไรตองทํา ไมมีอะไรตอง
ขวนขวาย ไมมีอะไรเปนคําถามในประเด็นธรรมชาติวาดวยทุกขและการดับทุกขอีกเลย
ในสายตาของคนเริ่มศึกษาผูมีความสุขอยางเต็มเปยมกับชีวิต ชีวิตปรากฏเปนความกระจางแจงในวิถี
ทางแหงความสุขโดยตัวเองเชนนี้ พอรูเปาหมายสูงสุดของพุทธศาสนา วาราคะ โทสะ โมหะเปนเหตุแหง
๖๔
เมื่อวานเขานึกทอและหดหูจากการเมินของผูหญิงคนหนึ่ง ยอมรับวาทุกขหนักและเจ็บลึกจนหอเหี่ยวไป
หมด แตนั่นก็คือรสชาติอีกแบบ เปนสภาวะทางใจอีกชนิดหนึ่ง ที่บัดนี้ถูกแทนแลวดวยกําลังสมาธิแรงๆ
อันเกิดแตการอานตําราอยางตอเนื่องยาวนาน
เปนตนวาเราอาจลบแทรกขอมูลความจําหรือมโนภาพในมนุษยไดจริงดวยวิธีจี้ไฟฟาลงไปบนจุดตางๆ
ของสมอง หรือเด็ดกวานั้นคือการคนพบเคาเงาวิธียักยายถายเทขอมูลความจําในเยื่อประสาทสมองของ
คนหนึ่งไปใหอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความวาวันหนึ่งวิทยาศาสตรอาจสรางหรือปรับแตง ‘ตัวตน’ ใน
มนุษยอยางไรก็ได ขอเพียงมีเทคโนโลยีสูงพอจะจัดการกับระบบสมองใหครบวงจร
เกิดหนเดียว ตายหนเดียว
สมองหยุดทํางานเมื่อไหร จิตใจก็ดับลงเมื่อนั้น
เกาทัณฑทบทวนความรูและการตัดสินใจเลือกเชื่อมาถึงจุดนั้น ก็พักทานขาวปลาโดยสั่งจากรานขางลาง
พอทานเสร็จ แทนที่จะหันเหความสนใจไปทางอื่น กลับรูสึกวาไฟแหงปญญาคิดอานยังลุกโพลงทวมหัว
จึงเปดคอมพิวเตอรเขาอินเตอรเน็ต ตระเวนกวานหาแหลงขอมูลเกี่ยวกับศาสนาที่มีอยูดาษดื่น เริ่มสนุก
กับการเจาะและจับประเด็นทางศาสนศาสตร ไมเฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ แตยังรวมถึงศาสนาและ
ปรัชญาอื่นๆ นึกพอใจที่มีบางแหลงทําวิเคราะหเชิงเปรียบเทียบไวแลวเปนแนวทาง
มุมมองของมนุษยนั่นเอง...
แรงจูงใจใหเดินทางมาวัดทางนฤพานอีกครั้งคืออภินิหารเกินสามัญมนุษยของหลวงตาแขวนโดยแท
เกาทัณฑเคยเห็นจากทางทีวีและนิตยสารประเภททาพิสูจนเรื่องพิสดารมาบาง แตไมเคยประจักษตาตน
เองอยางคราวกอน เขาพอจะรับไดเกี่ยวกับเรื่องอํานาจเหนือธรรมดา เพราะตนก็เกี่ยวของอยูกับ
อภินิหารเหนือธรรมดาอยูทุกเมื่อเชื่อวัน ผิดแตมิใชอภินิหารทางพลังจิต แตเปนอภินิหารทางพลังสมอง
อันเต็มไปดวยระบบตรรกะที่ผนวกเขากับจินตนาการของผูผานการศึกษาในซีกโลกสวางสุด
ชายหนุมขึ้นไปบนกุฏิเมื่อทานฉันเชาเสร็จพอดี เห็นพระลูกวัดและเด็กวัดกําลังจัดแจงเก็บกวาดสํารับ
เครื่องถวายอยู ตัวหลวงตาแขวนกําลังยืนบวนปากที่ราวชานกุฏิ เกาทัณฑคุกเขากราบโดยไมเคอะเขิน
เมื่อทานกลับมานั่งประจําที่ซึ่งใชตอนรับญาติโยม พอทานเห็นเขาก็ยิ้มให
“วาไงพอหนุม?”
“ผมอยากมาขอเรียนสมาธิกรรมฐานกับหลวงตาครับ”
โยมหนุมเขาหาจุดประสงคอยางไมออมคอมตามนิสัย ขณะประกาศความปรารถนาก็ทรงกายตรง
กระพุมมือไหวนอบนอม ดวงตามีประกายมุงมั่นจัดจา คลายบอกอยูในทีวาทานจะสั่งบุกน้ําลุยไฟอยางไร
ก็ยอมทั้งสิ้น ขอเพียงแลกกับวิชาความรูเทานั้น
หลวงตาแขวนยิ้มกวางกวาเดิม ลุกขึ้นกวักมือเรียกเขา
“ตามมา”
ทุกสิ่งงายดายจนเกาทัณฑงง จําไดจากหนังสือบางเลมที่ขวนขวายซื้อมาตลอดอาทิตยวาเกจิอาจารยที่
เกงกาจนั้นรับใครเปนลูกศิษยลูกหายาก ตองมีพิธีรีตองและการพิสูจนใจกันอยางเต็มกําลังเสียกอน แตนี่
ดูสะดวกโยธินผิดสังเกต
ทวาหองเล็กนั้นก็ใหสัมผัสเยือกเย็นขรึมขลังอยางนาพิศวง เกาทัณฑงงๆเควงๆคลายดิ่งสูน้ําลึกเงียบงัน
กอนจะทันตั้งตัว หนาตางไมบานกวางเปดออกเต็มที่ ทําใหเกิดภาพโดยรวมเปนความสวาง โปรงสบาย
ปราศจากพันธะผูกพัน คลายลานพื้นดินใตรมไมที่เชิญคนผานทางมาพักนอนชั่วคราวแลวจากไปไมตอง
อาลัยกัน ทานคงปฏิบัติตามแนวสันโดษ ทําตัวเหมือนอยูกลางปาลึกตามลําพัง แมจะอยูทามกลางชุมชน
สะดวกสบายเชนนี้
๖๗
หลวงตาแขวนสั่งใหเขาปดประตูและลงนั่งกลางพื้นหอง
หลวงตากายสิทธิ์เอี้ยวตัวไปลวงกระดาษดินสอจากยามมายื่นสงใหเขา
“เอาอีกสามหน”
ปฏิบัติเสร็จสิ้น ก็ไดรับคําสั่งใหม
“บวกกันใหดูซิ”
บทวิเคราะหของหลวงตาทานเปนที่ถูกใจเขาพอควร อยางนอยก็ทําใหรูสึกวาทานยืนอยูบนระนาบการใช
ความคิดแบบเดียวกับเขา ไมใชพูดกันคนละภาษา
เกาทัณฑเพิ่งเขาใจแจมแจงวาที่แททานเพียงตองการใหปฐมบทแหงการฝกสมาธิ มิใชการทดสอบเชาว
ไวดังที่ตนนึกเอาเองแตแรก
ไมเชื่อเด็ดขาดวาใครลากดินสอเหมือนขีดเสนบรรทัดแลวปรากฏตัวเลขขึ้นมาไดอยางนี้ ตอใหเปนนัก
จดชวเลขมือหนึ่งของโลกก็เถอะ
แตในเมื่อเขาเห็นแลวจะบอกวาไมเห็นไดยังไง
๖๙
แลวทานก็กมลงขีดเสนของทานอีกสิบบรรทัด ลวนแลวแตกลายเปนตัวเลขสุมปราศจากการเรียงลําดับ
พอเสร็จก็ผลิตตัวเลขบรรทัดสุดทายหางจากบรรทัดอื่นๆหนอยหนึ่ง
“อยางที่บอกนะวาอารมณจิตตางๆมันใหคุณภาพสมาธิหยาบละเอียดผิดกัน สังเกตไหมวาตอนแรกเอ็ง
ตองใชทั้งตา ทั้งมือ ทั้งความคิดถึงตัวเลข จิตถูกใชงานหลายทาง พอสงบก็เลยสงบแบบงั้นๆ แคใหรูสึก
วาดวงตานิ่งขึ้นมานิดหนอย แตขณะที่เอ็งคิดหาทางลัดในการบวกเลขและลงมือบวกในใจ จิตมันผูกอยู
กับตาและความคิดเพียงสองอยาง และระดับความนึกคิดของงานนี้ก็ตองการพลังสนับสนุนที่แนนหนา
เพราะภาพตัวเลขในหัวเปนสิ่งไหวเลือนงาย ตองอาศัยใจหนักแนนอยางนอยชั่วระยะหนึ่ง พอจิตมันแนว
แนเปนสมาธิเขาก็ไดคุณภาพที่ลึกซึ้งกวากัน ดวงตานิ่งกวา ใหจิตตานุภาพมากกวา”
“นี่แคตัวอยางเล็กๆนอยๆของอารมณสมาธิที่เอ็งประสบพบเจออยูทุกเมื่อเชื่อวัน ยังมีอารมณสมาธิที่ใจ
เอ็งจับแลวตื้นกวานี้บาง ลึกกวานี้บาง จากการเลนกีฬา ทํางาน หรือแมแตวางทาเดินโกเกอวดใครตอ
ใคร คิดอะไรยังไงมันเปนอารมณจิตไปไดทั้งนั้น เพียงถาเอ็งมีสติจับเขาไปในอารมณนั้นอยางเดียวสัก
ระยะ เดี๋ยวจิตก็รวมเปนสมาธิได”
เกาทัณฑผงกศีรษะนิดหนึ่งพรอมยกมือไหวรับ และเงี่ยหูฟงอยางจดจอ
ขั้นแรกเอ็งตองรูจักวางตัวใหเบาสบายอยูกับอารมณละเอียด หยุดนิ่งอยูกับมันเพื่อเรียนรูวิธีรวมจิตจน
เกิดพลังเปนปกแผน พื้นฐานสติสัมปชัญญะนั้นเอ็งมีอยูแลวจากงานทางโลก หากตั้งใจจริงและทําใหตอ
เนื่อง ก็จะงายเขา”
๗๐
หลวงตาแขวนเวนระยะสํารวจชายหนุม สายตาทานทรงอํานาจและมีประกายกลาแข็งดวยตบะเดชะผิด
มนุษย ชายหนุมคอหดโดยไมรูสึกตัว ทานเคยมีสายตาใจดีของคุณตาแกๆคนหนึ่ง ใครจะนึกวาแทจริง
แลวซอนแววดุยิ่งกวาเสือ สะทานขวัญไดมากมายเพียงนี้
เกาทัณฑพยักหนารับและกลาววาครับ
เกาทัณฑปฏิบัติตามทันทีดวยอาการกระตือรือรนเงียบๆ
เกาทัณฑดึงลมหายใจเขาเต็มปอดเร็วๆโดยสักแตเปนอาการเหมือนหายใจทั่วไป ไมไดตั้งทารูเห็นเปน
พิเศษ แตพอผอนระบายลมหายใจออกจึงเริ่มกําหนดสติถึงความเปนลมหายใจที่สงจากภายในกายออกสู
ภายนอก
“ลองดูวาลมหายใจในชวงเริ่มกําหนดสตินั้นจะลากยาวกวาปกติ ก็ใหรูวาอยางนี้ลมหายใจออกและลม
หายใจเขามีความยาวเสมอกัน นี่คืออีกขั้นของอานาปานสติ คือรูชัดวาหายใจออกยาว รูชัดวาหายใจเขา
ยาว”
“จิตที่เปนผลของการตามรูอยางถูกตองนั่นแหละ จะเหมือนแยกออกไปเปนผูเฝารูเฝาดูเฉยๆในกองลม
ทั้งปวง ไมวาจะออกหรือเขา ไมวาจะยาวหรือสั้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ คือขณะแหงลมออก
และลมเขา จิตตั้งมั่นอยูในอาการรูชัดตามจริงในฐานะของผูสําเหนียกเห็นลักษณะของลมขณะนั้นๆ”
เกาทัณฑพบดวยตนเองวาเมื่อจิตเอาแตจดจอลมหายใจดวยอาการตื่นรูพอดีๆ ผลคือความสงบลงทาง
กาย คอตั้ง หลังตรงไมกระดุกกระดิก แมยังมีคลื่นความคิดแทรกแซงเปนระยะ ก็ไมรําคาญ และไมสงผล
ใหกายไหวติง และพอถึงจุดนั้นก็ไดยินหลวงตาแขวนสอนตอ
หลวงตาแขวนเงียบไปพักหนึ่งกอนกลาวสืบตอเมื่อเห็นลูกศิษยหนุมชักเกิดอาการฝน
เมื่อเห็นลูกศิษยมีใจจดจอตอเนื่องดีแลว พระอาจารยก็บอกบทตอ
๗๓
ถึงจุดๆหนึ่งก็สําเหนียกอาการควบแนนของกระแสจิต เหมือนกลุมน้ําขาวที่เขาผนึกรวมเปนหนึ่งเดียว มี
ศูนยกลางจับอยูที่การไหลเขาออกของลมหายใจอยางมั่นคง เกาทัณฑรูทันทีวานี่คือภาวะสมาธิขั้นตน
เห็นอาการปรากฏนั้นดวยความรูพรอมทั่วองคาพยพ
อิ่มเอมเปรมใจเนิ่นนานจนเกิดอาการลาและเหน็บกินตลอดชวงขา อันเปนเครื่องหมายวาจิตถอนแลว
จากอารมณสมาธิ และเกินกวาจะกลับเขาลูเดิม หลวงตาแขวนเห็นเชนนั้นจึงสั่งใหเตรียมกําหนดเลิก
โดยหายใจสบายๆและปรับความรูสึกนึกคิดเปนปกติเสียกอน ทบทวนการทําสมาธิแตตนจนจบวาเปน
อยางไร เพื่อวาเมื่อหลับตาลงเริ่มทําสมาธิในครั้งตอไปจะไดนึกออกงาย ถัดจากนั้นจึงคอยลืมตาขึ้นทีละ
นอยเหมือนตื่นนอนยามเชา
หลวงตาแขวนใหขอปฏิบัติเปนขั้นๆซ้ําอีกครั้งเพื่อใหเกาทัณฑนําไปใชในการทําสมาธิดวยตนเอง รวมทั้ง
ชี้แจงลวงหนาเกี่ยวกับปติและนิมิตชนิดตางๆที่เขามาดึงจิตใหเขวจากทางสมาธิ ใหคําแนะนํารวบยอดวา
เพียงทําใจวางเฉย สักแตรูสิ่งแปลกปลอม จะนารักหรือนากลัวก็ตาม รูไปจนกวาจิตจะยอนกลับมาสนใจ
จิตเอง และเห็นปฏิกิริยาของจิตมีความเปนกลางตอสิ่งรบกวน ทุกอยางก็จะสลายไปในที่สุด
ทานเวนจังหวะคลายไตรตรองบางสิ่ง แลวก็กลาววา
"อยากเห็นความจริงเรื่องชาติกอนไหม?"
เกาทัณฑหูผึ่ง ทําตาโตเหมือนถูกตบหลังหนักๆ
"อยากครับ!"
คําตอบนั้นหลุดจากปากโดยอัตโนมัติ
"ผมจะไมทําใหหลวงตาผิดหวังครับ"
"ไดครับ"
พนมมือรับอยางแข็งขันทันที เพราะคิดลวงหนาอยูแลววาพระอาจารยทานตองหามเรื่องนี้
"ไมเสพกามไดไหม?"
เกาทัณฑเกือบอึ้ง แตพริบตาก็ใหคําตอบอยางเด็ดเดี่ยว
"ไดครับ!"
"ครับ ผมทําได"
ชายหนุมยกมือไหวรับพร แตกอนกราบลาก็ถามสิ่งที่คางใจออกไป
"ผมไมตองทําพิธีหรือนําดอกไมมาบูชาอาจารยหรือครับ?"
เกาทัณฑสรุปไดอยางหนึ่งวาถาทฤษฎีเรื่องการเวียนวายตายเกิดของพุทธเปนของจริง ก็แปลวาธรรม
ชาติออกจะโหดเหี้ยมเอามาก คือไมบอกกฎใหใครรู แตใครผิดกฎเมื่อไหร ก็เสร็จเมื่อนั้น ไปเกิดรายตาย
ดีก็ดวยความไมรู หลงกอกรรมทําเข็ญจนวิญญาณชุมบาปอยางนาอเนจอนาถ เสร็จแลวตองกมหนากม
ตาไปรับกรรมแลวๆเลาๆอยางปราศจากที่สิ้นสุด เพราะเหตุแหงการเกิดยังสืบเนื่องเปนปฏิกิริยาลูกโซไป
เรื่อย
๗๗
แพตรีมองตามการจากไปของเรือนรถเพรียวลมสีสดสะดุดตาดวยแววเฉยนิ่ง
"ดูเหมือนจะเปนคนนั้นใชมั้ยฮะ?"
เปนเสียงถามออนๆจากมติ
"คนไหน?"
หญิงสาวถามกลับ
"ก็...ที่เขานั่งคุยกับพี่แพเมื่ออาทิตยกอน"
"คงใชมั้ง"
มีเศษกระดาษตางหากอีกแผนบรรจุถอยคําที่เรียงรอยบรรยายไว หญิงสาวนั่งอานในใจเงียบๆอยางมี
จินตภาพละเอียดออนตามกลอนแตละบาทแตละบท
๗๘
อันเปลวไฟใดกอก็รอลับ จะวับดับกลับวายสลายรอน
นี่ยับยอยรอยหรอแลวตอตอน พอรอนลับกลับฟนคืนวังวน
เปนโซหวงลวงดับสลับถาย สืบทอดเยื่อเชื้อรายขยายผล
ดวงตอดวงลวงตาเปนตัวตน ใหสับสนหนทางอันรางรา
กอรูปคุดุแดงดูแรงราย แลวกลับกลายฉายแสงเสนหา
เปนนรกผกผันสวรรคา เมื่อหันหาสิหายหนทุกตนจร
ตะลอนตอตลอดหนไรตนปลาย คายไวเพียงทุกขกับทิ้งสิ่งลวงหลอน
เรียกวังวน 'สังสารวัฏ' ไมตัดตอน ใหไฟรอนประการเดียวเที่ยวเกิดตาย!
เมื่ออานจบแพตรีก็สยายยิ้มกวาง มติจะนํางานชิ้นนี้ไปประกวดในงานทางพุทธศาสนาที่ภาคเอกชนรวม
กับสถาบันศึกษาใหญจัดขึ้น หญิงสาวเหลือบตามองรูปแลวพยักหนานิดๆเปนเชิงชม
"อื้อม..."
"พอใชไดไหมฮะ?"
แพตรีพยักหนาซ้ําอยางเต็มใจ
มาบวกเขากับแนวคิดและคํากลอนกํากับภาพกินใจอยางนี้ จึงนาจะจัดเปนผลงานประกวดที่เขาตา
กรรมการงายหนอย
"ในวันตัดสินเขาจัดนิทรรศการใหคนทั่วไปเขาชมดวย พี่แพไปกับผมนะฮะ"
เขาชวนอยางรูวาหลอนจะไมปฏิเสธ และหลอนก็พยักหนารับงายๆดังคาด
หญิงสาวทอดตามองภาพ แลวยกมือชี้ไปยังลูกไฟดวงเดนที่สุดในภาพ
"นี่คงแทนมนุษยภูมิใชมั้ย?"
ชายหนุมลดสีหนายิ้มลงนิดหนึ่ง
"เพื่อนผมบางคนบอกวา...ถากรรมการไมเชื่อ ความหมายของภาพนี้จะดอยไปมาก"
มติเบิกตาโพลง จับมองใบหนาหญิงสาวดวยแววจรัสแสงกลาของศิลปน
ความจริงการเสกสรรคปนแตงงานที่ลุลวงไปแลวขึ้นมาใหมหมดนั้นควรแกการเบือนหนาหนีเปนอยางยิ่ง
โดยเฉพาะกับงานศิลปที่ตองการความละเอียดปราณีตและการทุมเทแรงกายแรงใจมากๆอยางนี้ แตมติ
กลับไมนําพาความเหนื่อยยาก แสดงใหเห็นถึงศรัทธาปสาทะและแรงบันดาลใจทางศาสนาอยางเปยมลน
เมื่อหญิงสาวทราบเจตจํานงของนองเชนนั้น ก็ชําเลืองตาจองยิ้มๆ
"ศรัทธาแกกลาดีจริง"
"ภาพนี้ผมใหพี่แพก็แลวกัน"
เขายกใหงายๆ แพตรีเบิกตาเล็กนอย
"ไมตั้งใจจะขายอยูแลวนี่ฮะ"
หญิงสาวนิ่งไปครู กอนจะกวาดตาพินิจรายละเอียดบนแผนภาพและยิ้มรับ
"งั้นก็...ขอบใจนะ"
พอพูดถึงปู มติก็เปลี่ยนเรื่องอยางนึกขึ้นได
ดวยความเฝาสังเกตอยูตลอดเวลา มติไมเห็นแมแตความกระเพื่อมไหวในแววตาสงบดุจแผนน้ํานิ่งของ
แพตรี หลอนยังระบายยิ้มออนใหกับภาพตรงหนาเฉย แตเพราะมติรูจักใกลชิดมาเนิ่นนานจนเขาถึงและ
สัมผัสไดกระทั่งสวนลึก จึงทราบดีวาภายใตความไมไหวติงนั้น ที่แทหลอนเก็บซอนความโศกเศราเอาไว
อยางเงียบเชียบ
มติถอนใจ จะใหเขานิ่งดูดายไดอยางไร
"พี่แพรูแลวใชไหมฮะ?"
"รูแลว"
หลอนตอบเบาๆ ปราศจากวี่แววสะเทือนใจปนออกมา
๘๑
"แลวคิดยังไงตอไปฮะ?"
หญิงสาวเหลือบตาขึ้นสบกับเพื่อนรุนนองที่สนิทคุน แลวเบนไปทางตัวเรือนซึ่งปูคงกําลังนั่งอานหนังสือ
ธรรมะหรือเดินจงกรมอยูในหองพระตามลําพัง สิ่งเหลานั้นเปนกิจวัตรของปูเมื่อทานปดประตูหอง
"พี่อนุโมทนากับความตั้งใจของทาน พี่คงทํางานทําประโยชนใหสมคาความรูที่ร่ําเรียนมาสักสองสามป
แลวจากนั้น..." ปลายเสียงของหลอนแผวลง แตแลวก็กลับหนักแนนขึ้นอีกครั้ง "พี่จะบวชชี อยูในเพศ
พรหมจรรยบูชาพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ และคุณปู"
ถอยคําบงบอกเจตนารมณนั้นทําใหมติงันนิ่งไป เด็กหนุมเมมปากและมีคิ้วเครงเล็กนอย
"แนใจแลวหรือฮะ?"
แพตรีพยักหนาชาๆ เปนความเนิบชาที่ทําใหมติสัมผัสความพะวงบางประการที่แอบแฝงอยูในชั้นลึกสุด
"เปนความตั้งใจที่ดี"
"พี่แพเอาไมแคระไปไวมุมไหน"
บานซึ่งเต็มไปดวยชั้นวางไมดอกไมประดับนั้น ทําใหเขาขี้เกียจกวาดตาควานหาพันธุไมแคระซึ่งตน
อุตสาหซอกซอนไปพบถึงบนยอดเขาใกลกับหมูบานชนบทที่กลุมอาสาพัฒนาของเขายกขบวนไปถึงเมื่อ
อาทิตยกอนๆ
"หลังบาน"
เด็กหนุมหรี่ตาพักเฟนคํา
"ไมเคยตองคิด ชีวิตไมมีเรื่องนากังวลอยูเลย"
๘๒
แพตรีตอคําใหเมื่อเห็นมติเหมือนจะจนดวยถอย เด็กหนุมพยักหนารับดวยตาสดใส
"ใช...แบบเดียวกับที่เตาชี้ใหเห็นการเติบโตอยางงายดายตามธรรมชาติ ถาเขาถึงไดก็มีความดื่มด่ําเยือก
เย็น เพราะจิตเสมอกับธรรมชาติ ธรรมชาติเปนไปอยางไร จิตก็ปรับแปรตามนั้น พอปราศจากความขัด
แยงกับธรรมชาติ ก็เหลือแตความเรียบงายที่เปนไปเอง"
หญิงสาวคลี่ยิ้ม มองอีกฝายดวยสายตาแหงการถายทอดสัมผัสโดยตรงจากใจ
"พี่แพถึงเหมือนตนไมเขาไปทุกวัน...เคยสับสนไหมฮะเมื่อตองกลับมาพูดภาษามนุษย ถาผมคุยกับตน
ไมไดบาง เราอาจคุยกันในรูปแบบที่แปลกขึ้นกวาเดิมก็ไดนะ"
มติพูดกึ่งเลนกึ่งจริง แพตรีหัวเราะหนอยๆแลวเงียบ
"วาแตวาพี่พูดกับตนไมยังไง ไดความหมายเปนใจความเหมือนอยางติดตอกับผูคนหรือเปลา?"
หญิงสาวสายหนา
พูดแลวก็เบนสายตาไปจับดอกพิกุลซึ่งอยูหางจากตรงนั้นเพียงสี่หากาว ดวงหนาของหลอนออนสงบยิ่ง
ในการเฝามองของมติ
มติยิ้มกวาง
แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง หลอนคุยกับมติโดยไมจําเปนตองเก็บงําสิ่งใดไวเปนความลับ
มตินิ่งฟงอยางสนใจ พอแพตรีพูดจบก็เลาวา
"ผมเคยเห็นอยูรายหนึ่งบอกวาเขารูความตองการของตนไมที่เลี้ยงไว รูหมดเลยวามันอยากไดดินใหม
อยากใหงดปุยที่กําลังใช หรือตองการน้ํามากขึ้นอะไรทํานองนั้น ผมฟงแลวบางทีก็อดรูสึกไมไดวาเขารัก
ตนไมมากจนเกิดอุปาทาน หรือคลุกคลีผูกพันจนเกิดความหยั่งรูพิเศษขึ้นมาเอง ใชวาไดรับการติดตอ
จากตนไม แตฟงจากที่พี่แพพูดแลว ก็ทําใหคิดวาอาจมีบางอยางที่ก้ํากึ่งกันระหวางอุปาทานกับ ‘เสียง
จริง’ จากตนไม”
"จะอุปาทานหรือของจริงก็ไมนาสนใจไปกวาที่วา เมื่อทําตามตนไมตองการแลวตนไมดีขึ้นหรือเลวลง"
เด็กหนุมครางในลําคอเบาๆอยางเห็นดวย เคยไดยินมานานแลวเรื่องความเจริญงอกงามเปนพิเศษของ
ตนไมถาคนเลี้ยงมีใจให บางรายเลี้ยงไดถึงขั้นมหัศจรรย โตเร็ว เติบใหญกวาธรรมชาติ และงดงามกวา
ของชาวบานทั่วไปทั้งที่มีพืชพันธุ ดิน แดด และปุยอยางเดียวกันทุกประการ
แพตรีหมายถึงเมื่อครั้งเขานั่งวาดรูปเหมือนใหหลอน
๘๔
“อยางเธอเคยหงุดหงิดดวยหรือ?”
“เคยสิฮะ”
เขาตอบกลั้วหัวเราะ
มติมองหญิงสาวรุนพี่ดวยสายตาที่เปลี่ยนไป คลายจุดประกายความมาดหมายเรนลับทอตัวเปนแสงเขม
ในแกวตาที่เคยเยือกเย็นออนโยนเปนนิจ
"ผมเปนมนุษยธรรมดา ไมมีมนุษยธรรมดาคนไหนจบความอยากไดเพียงเพราะมีใจฝกใฝศิลปะและ
สมาธิ ผมมีอยากที่ยิ่งกวาศิลปะและสมาธิ ผูชายอื่นทะยานยังไง ผมก็ไมตางจากนั้น”
ก็เชนที่หลอนอยากใหปูบวชตามความปรารถนาของทาน อยากจริงๆมิใชการเสแสรงทําใจเปนหลานผู
ประเสริฐ แตขณะเดียวกันหลอนก็มีความอยากทั้งในสวนตื้นกับสวนลึกที่จะใหปูอยูกับหลอนตลอดกาล...
อยางนอยก็จนกวาสังขารของทานจะพาทานไปจากหลอนเองในวาระอันควร
๘๕
ทวาแมเห็นจริงดังนั้น ใจก็ยังไมอาจอนุโมทนาไดอยูดี...เพราะกิเลสมันกั้นไวหนาแนน
"ชาตินี้ผมอาจไมรวย"
แพตรีประหลาดใจกับคําเปรยของเขาอยูบาง
"พี่วาทั้งผูหญิงและเด็กไมใชสิ่งจําเปนสําหรับเธอหรอกมั้ง"
แพตรีทําเสียงใหออกทํานองสันนิษฐานมากกวาสรุปเดาใจ
แตครูหนึ่งเขาก็เอยดวยปลายเสียงทอดเนิบเปนปกติ
"อยาก"
หางจากบานหลอนไปเพียงสองหลังก็ถึงบานมติ ตัวบานดูโกโรโกโสสักหนอยเพราะขาดการบํารุงภาย
นอกซึ่งนับวันมีแตเสื่อมลงตามอายุ มติอยูกับพอและนองชายเพียงสามคน ไรแมบานคอยดูแล แตทุก
หองหับจัดวางขาวของเขาที่เขาทางเปนระเบียบ ไมรกรุงรังขนาดหาของทีเหงื่อตกกีบอยางบานชายลวน
บางแหง
"เอาโกโกไหมพี่แพ?"
"เธอนาจะมีแกลอรี่เปนของตัวเองนะมติ"
หลอนเอยเชิงชมดวยระดับเสียงธรรมดา เขาควรจะไดยินในความเงียบของบานและความหางไมเกินสิบ
กาวนั้น
"ถามีเงินก็ทําไดสิฮะ"
หลังภาพมีกระดาษเขียนปดไววา ‘ความสุขบนความตาย'
เปนภาพที่สะเทือนอารมณและนึกไปไดถึงหลายเรื่องหลายราวบนโลกที่พองพาน มติไมนิยมเรื่องโหด
เหี้ยมอํามหิต เขาคงไปพบขาวหรือเหตุการณใกลตัวบางอยาง แลวเกิดแรงบันดาลใจจะใชความเปน
ศิลปนสะทอนความรูสึกที่ไดรับออกมาเทานั้น อีกทั้งคงไมตั้งใจจะขายภาพนี้แตอยางใด...มันนากลัวเกิน
ไป
มีอีกภาพที่กวางใหญผิดจากกรอบอื่นคอนขางมาก ใหหลอนกางแขนทั้งสองออกจนสุดก็ยังกวางไมเทา
เห็นแลวสะดุดตาสะดุดใจแตแรก มันเปนภาพดวงประกายพรึกฟาอมทองสวางไสวงามงดดวงหนึ่งใน
๘๘
นี่คงเปนรูปที่มติคิดวาดแบบเผื่อเลือกเพื่อนําเขาประกวดอีกชิ้นหนึ่ง แตไมตัดสินใจสงดวยเหตุผลอยาง
ใดอยางหนึ่งของเขา แพตรีพยายามตามความคิดมติ ภาพนั้นชื่อ ‘พระพุทธเจา' ดูผิวเผินเหมือนมีเจตนา
เหนี่ยวนําใหนึกถึงดาวพระเสาร หลอนตาสวางและคิดขึ้นไดวาเมื่อพูดถึง ‘ดาวเสาร’ เรารูวาคือดาว
เคราะหดวงหนึ่งที่มีวงแหวน แตเราจะไมนึกวาดาวเสารคือวงแหวน เชนเดียวกับเมื่อพูดถึง ‘พระพุทธ
เจา’ เราก็ไมควรนึกถึงพระกรัชกายที่เปนเนื้อหนังมากกวาพระธรรมกายอันเปนเนื้อแท เราเถียงกันเสมอ
วาพระองคมีรูปโฉมผิดแผกหรือเหมือนสามัญชน ซึ่งเถียงใหคอเปนเอ็นอยางไรก็ไมมีวันพิสูจนได ในเมื่อ
พระกรัชกายอันเปนรูปธรรมสิ้นสูญไปแลว
รูปโฉมอันเปนกายหยาบนั้นอยูเพียงรอบนอก ขอเพียงพระรูปหนึ่งๆโนมใจใหศรัทธาและระลึกถึงพระทัย
อันบริสุทธิ์ทรงคุณไดก็เพียงพอแลว ใจที่นึกถึงพระองคแลวเปนกุศลไดจริงๆนั่นแหละควรเปนสิ่งนา
คํานึง
นี่เองหนาที่หนึ่งของศิลปน คือเปลี่ยนโลกทัศนของผูพินิจงานของพวกเขาดวยมุมมองภายในที่แตกตาง
ผานภาพวาดอันเปนรูปธรรมจับตองได
แพตรีมีความรูและสายตาที่ไมคมลึกนักกับงานศิลปะ แตวัดดวยความเปนผูมีตาชางสังเกตใหกับสิ่งสวย
งาม หลอนก็พอบอกไดวาไมแปลกเลย ถาตอไปมติจะโดงดังขึ้นมาในวงการสักคน
๘๙
แววเสียงหัวเราะขันเหมือนมติกําลังเดินใกลเขามา
"เธอเกงมากนะมติ"
นานครั้งที่หลอนจะเกิดอาการตะลึงตะไลไมคาดฝนอยางเดี๋ยวนี้ ตรงหนาคือภาพคูบาวสาวในชุดวิวาหที่
งามเกินจริงสมกับเปนรูปวาด ไมมีสิ่งอื่นใดนอกจากคูบาวสาว รอยยิ้ม ชอกุหลาบสีชมพู และกลิ่นไอ
ความสุขสีขาวอมฟากวางไกล ภาพดูมีชีวิต มีมิติเคลื่อนไหวได ราวกับหนุมสาวในรูปกําลังสงยิ้มถึง
หลอนโดยเฉพาะ
มติเปนคนมีฤทธิ์ และเขาก็ฝากฤทธิ์แรงที่สุดไวกับภาพนี้
"อยางที่บอกใชมั้ยฮะ ชีวิตผมยังมีอยากที่ยิ่งไปกวาศิลปะ"
หวงแหน…
ชายหนุมหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อรถจอดที่แยกไฟแดงแหงหนึ่ง หัวเราะเพราะขบขันความบาบอของตน
เอง กะแคเห็นผูหญิงคนหนึ่งที่...นาสนใจ...อยูกับชายอีกคนหนึ่งที่ไมใชเขา ถึงกับเกิดอาการวังเวงเชียว
หรือ? หลอนมีดีอะไรกัน ก็แคสวย เขาหาสวยๆ อยางนี้ไดเยอะแยะ
เดี๋ยวนี้รูแลว วาคาทางใจมีความหมายอยางไร...
มาถึงหองพักและเปดตูเย็นทําแซนดวิชทานไปแกนๆ เลิกคิดวกวนและพยายามกลับมาเปนตัวของตัว
เอง เขาเกลียดเรื่องรบกวนจิตใจที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทุกชนิด
๙๑
ลําบากตอนรวบรวมสติใหมีใจนึกตามขอความที่กําลังผานตา แตความเคยชินในการไลสายตาแบบไล
กวาดลงทีละบรรทัดบังคับใหเกิดการรวมกระแสสติในเวลาอันสั้น สายตาของเขาเห็นไดกวาง เก็บไดครบ
เขาอกเขาใจถี่ถวน และจําไดแมน คลื่นความปนปวนในสมองเมื่อครูถูกแทรกแซงดวยคลื่นความคิดอาน
ความคํานึงนึกตางรูปแบบที่เปนระบบระเบียบมากกวากัน
สระวายน้ําแหงนั้นอยูบนยอดตึกโรงแรมชั้นหนึ่งกลางกรุงซึ่งใกลกับที่พัก มีคนมาลงวายประปรายทั้ง
ไทยและฝรั่ง เปนผูใหญลวนๆ สวนมากรวย เพราะคาบริการและคาสมาชิกแพงหูฉี่สมกับที่อยูชั้นลอยฟา
ชายหนุมสงตาตอบพลางจุดยิ้มมุมปากหนอยๆ ทาทางหลอนเอกเขนกตรงนั้นนานแลวและกําลังเฝามอง
เขาอยูทุกขณะ การวายไปวายมาไมหยุดก็เปนจุดเดนของสระไดเหมือนกัน เพื่อนๆวิจารณดวยความ
อิจฉาเสมอเกี่ยวกับความกํายําไดรูปสวยของเรือนกายเขา โดยเฉพาะเมื่อกําลังวายฟรีสไตลหรือทาผีเสื้อ
อยูในน้ํา และจากการเห็นเองแทบทุกครั้งเมื่อขึ้นจากน้ํา ก็มักพบสายตาชนิดนี้จากเพศตรงขามสงมาให
เปนประจํา
เกาทัณฑยีผมบนศีรษะเบาๆดวยผาขนหนู สายตายังวางจับแนนิ่งไปทางสัดสวนโดดเดนในชุดวายน้ํา
เวาแหวงลอตาจนหลอนตองแสรงเมินไปทางอื่นอยางมีมายา สะสวยไมใชเลนทีเดียวละ ประมาณจากตา
เปลาเดี๋ยวนี้ เก็งดูอายุแคเฉียดสามสิบ ทรวดทรงองคเอว ขา แขน ผิวกายยังไรที่ติไปทุกกระเบียดเนื้อ
ทวงทีสํารวยระเหิดระหงเทาที่เห็น ชวนใหนึกชมมองไมเบื่อ ตอใหถูกบังคับหามถอนสายตาไปจาก
หลอนสักชั่วโมงก็ตาม
ความคิดของเกาทัณฑลึกลงไป คนเจนโลกียดวยกันยอมดึงดูดเขาหากันโดยงายคลายมีแมเหล็กคนละ
ขั้วฝงอยูในตัวแตละฝาย เชื้อชาติที่แตกตางคือรูปแบบแปลกตานาระทึก วาดไดเปนฉากๆวาหาก
๙๓
ร่ําๆจะลุกขึ้นและกาวเดินไปสูอนาคตคือวิมานฉิมพลี แตเวรกรรมที่ยังจําไดชัดวาใหสัญญากับหลวงตา
แขวนไวอยางไร ตลอดอาทิตยนี้เขาจะตองงดเสพกาม…
ถอนใจเฮือก เตือนตนเองวาแมสบตาดวยกระแสความรูสึกใครอยากเชนนี้ก็เทากับละเมิดสัญญาทีละ
นอย เหมือนปลอยขาศึกใหเขาประชิดเมือง ขึ้นชื่อวาขาศึกนั้น เมื่อถึงเมืองแลวจะใหอยูเฉยหรือถูกเชิญ
ถอยไปดีๆคงไมมี อยางไรก็ตองปะทะ อยางไรก็ตองลมตายกันในที่สุด
ทานขาวเย็นคนเดียวจนอิ่มตื้อ นี่เห็นจะเปนการอยูตามลําพังที่ยาวนานทําลายสถิติทั้งหมดในชีวิตกระมัง
เขาเดินขึ้นลิฟทเขาหองพักคนเดียว ไมขับรถไปที่บานเพื่อนคนไหน ไมแวะเคาะประตูหองใคร และหนัก
ที่สุดคือไมแยแสเสียงกริ่งโทรศัพทที่ดังขณะไขกุญแจประตูหอง ปลอยใหเครื่องตอบรับอัตโนมัติทํางาน
แทน
ยืนฟงเพื่อนสาวตัดพอตอวาอยางเซื่องเฉยคลายสมองเลิกทํางาน เชื่อแลววาตนกําลังหลงผูหญิงคนหนึ่ง
อยูอยางไมอาจเปดหูเปดตาใหใครอื่น
"ฮัลโหล"
เสียงหาวลึกตอบมาเมื่อสัญญาณดังเพียงสองครั้ง
"กําลังสนุกกับชีวิตนะฮะ"
ลูกชายตอบกลั้วหัวเราะเอื่อย
"เสียงเหมือนไมสนุกอยางปากพูดเลยนี่ฮึ"
พอของเขาไวและแมนเสมอกับความจริง โดยเฉพาะความจริงที่ถูกซอนไวดวยความพยายามของมนุษย
เกาทัณฑหัวเราะออกมาอีก แตคราวนี้ขบขันตนเองที่ปลอยใหพอรูวากําลังหอเหี่ยว แมเพิ่งไดยินเสียงแค
สองสามคํา
"มีอะไรใหทําเยอะฮะ ชีวิตมีอะไรแปลกใหมเขามาไดเรื่อยๆ…"
เขาหมายความตามนั้น แลวก็แตงเสียงใสขึ้นเหมือนจะเบี่ยงเบนหัวขอสนทนาใหราเริง
"พอ…ผมไปเยี่ยมปูชนะมา!"
“ตั้งใจไปเยี่ยมสิฮะ เกิดไปติดเนื้อตองใจสาวสวยในบานปูมาดวย"
“แกไมไปหาปูตั้งหลายปแลวนี่ กอนไปเรียนโทใชไหม?”
“สงสัยเพราะเพิ่งสวยนะซี”
ผูเปนพอทําเสียงรูแกว ทําใหฝายลูกหัวเราะเกอๆ
“พอนึกออกเหมือนกันแหละฮะวาเคยเห็นเขายืนเดินอยูในบานปู แตเหลือเชื่อที่โตแลวตางกับสมัยกอน
อยางกับเปนคนละคน”
เกาทัณฑเห็นจริงตามนั้น คําพูดของพอทําใหเพิ่งตระหนักวาสมัยกอนเขาไมเคยมองหนาหลอนใหจะแจง
เลยสักครั้งเดียว อีกอยางชวงนั้นบานปูมีคนเยอะ เขาติดจะขี้รําคาญ ขนาดญาติที่ตองยกมือไหวยังขี้
เกียจมอง ประสาอะไรกับเด็กผูหญิงที่ยังปราศจากฝาดเลือดสาวสะพรั่งอยางหลอน
"ปูไดมายังไงฮะ?"
ชายหนุมยิ้มแหย
“จดทะเบียนรับเปนลูกบุญธรรมหรือฮะ?”
"รูชื่อจริงเขาไหมฮะ ผมไดยินแตปูเรียกแพ"
"แพตรี"
เกาทัณฑตาสวาง เปนนามที่ฟงสะดุดหู
"ดูตอนปูมองแพหรือพูดถึงแพ รูสึกทานรักเหมือนเปนลูกจริงๆ"
"คงธรรมะธัมโมเหมือนๆกันมั้ง เลยอาจถูกใจเอ็นดูยายแพเปนพิเศษ"
"เออ...แลวมีแฟนรึยังพอรูมั้ยฮะ?"
“นี่แกจริงจังมากหรือเต?”
เกาทัณฑเงียบไปหนอยหนึ่ง
“ถาจริงละฮะ?”
คิดชั่วไดดังนั้นก็ชักกระฉับกระเฉง นึกขึ้นมาวานาจะไดเวลาฝกหัดภาวนาสมาธิเสียที
กายที่สบายนั้นเองปรุงใหใจสบายตาม กายที่ตั้งตรงนั้นเองค้ําสติใหดํารงมั่น
๙๘
พอกายกับใจปรับตัวเขาสูภาวะละเอียดขึ้น จิตก็เห็นนิมิตสายลมหายใจนิ่มนวลและเหยียดยาวเหมือน
สายน้ําตก ความรูสึกแผออกสบายไมกระจุกตัวอยูที่ใดที่หนึ่งใหอึดอัด เมื่อจิตดิ่งลงสูความเงียบนิ่ง เมื่อ
นั้นเสียงความคิดในคลื่นสมองก็เงียบตามไปดวย มโนภาพและหนาตาของผูทําสมาธิหายไป สายลม
หายใจเปนเสมือนแทงแมเหล็กดึงดูดกระแสจิตใหเขามาผนึกตัวรวมกัน ยิ่งรูชัดในสายลมหายใจมากเทา
ไหรก็ยิ่งแนวนึกแนบนิ่งเปนหนึ่งเดียว มีความเปนปกแผนแนนหนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เกาทัณฑสําเหนียกถึงขุมพลังที่ซอนอยูมหาศาลในกายใจ บอกตนเองวาเขาพรอมจะกลับไปเริ่มนับหนึ่ง
ใหมไดอีกและอีก ในเมื่อมองเห็นทางสมาธิชัดเจนขนาดนี้ ไมมีอะไรมาก ไมยุงยากอยางที่คนสวนใหญ
ทอกัน ขอเพียงนั่งใหถูก ตั้งจิตใหสบาย ทราบความตองการของกายตามจริง ลมหายใจออกก็รู ลม
หายใจเขาก็รู ลมหายใจหยุดก็รู ถาฟุงซานขึ้นมาก็เทาทัน แลวทําไมรูไมชี้ เบนความสนใจกลับมาอยูกับ
ขั้นตอนระลึกลมตามแนวอานาปานสติ
นานไปเกาทัณฑยิ่งกําหนดรูไดถึงความแชมชื่นเมื่อนําลมบริสุทธิ์เขาราง และกําหนดรูถึงความผอนกาย
สบายใจเมื่อกลุมลมที่อัดอยูในอกถูกระบายออก ชักเกิดความสุขเย็นแปลกๆ เขาสามารถจับอาการรวม
๙๙
ครั้งหนึ่งจิตประหวัดถึงแหมมคนสวยในชุดนุงนอยหมนอยที่สระน้ํา เกิดอาการดิ้นรนซัดสายกระหาย
อยากขึ้นมาวูบหนึ่ง ในบัดนั้นเองเพิ่งเกิดประสบการณครั้งแรกที่ไดรูจักวา 'ตัดไฟแตตนลม' เปนอยางไร
เสมือนเขาเปนชางตัดตอภาพผูชํานาญ เมื่อเห็น 'ภาพผิด' โผลขึ้นมา ก็รีบเปลี่ยนไปหาภาพที่ถูกแทน
คือรีบกลับมาปกสติกําหนดรูลมแทนมโนภาพบาดจิต คลื่นกามปนปวนก็พลันสงบรํางับลงทันใด
โยคาวจรหนุมพยายามตั้งสติใหมั่นคง สํารวจความพรอมของรางกายก็พบวายังอยูในสภาพที่มีกําลังใช
งานได นึกถึงภาวะนิ่งปราณีตดวยความหวนคิดอยากกลับไปมีความสุขเชนนั้นอีก คิดอยูแตวาจะเขาถึง
ภาวะนั้นอีกใหจงได จึงมีกําลังใจขึ้น ตามรูลมหายใจออกและลมหายใจเขานับครั้งไมถวน บังคับตนเอง
ไมใหคลาดสติสักครั้ง แตนาเจ็บใจที่ยิ่งนานจิตยิ่งมืด นอกจากไมรวมเปนสมาธิสวางเย็นแลว ยังเกิด
ความฟุงซานกระวนกระวาย ทุรนทุรายจนตองเปดตาขึ้นในที่สุด
๑๐๐
ดวยโครงสรางทางจิตใจที่เต็มไปดวยความพิเคราะห แทนที่จะลมตัวลงนอนแผหราอยางคนทั่วไป
เกาทัณฑกลับครุนคิดและถึงบางออภายในพริบตาเดียว วาเขาไมสามารถเรงรัดตัวเองใหเขาสูสภาวะ
สมาธิไดเลยถาขาดเหตุปจจัยที่ถูกตอง ถึงจะเคยรูจักสภาวะสมาธิมาแลวก็เปลาประโยชน ทุกอยางตอง
เปนไปตามวิถีทางอยางมีลําดับ เขากาวเขาไปถึงเสนชัยโดยเริ่มจากหนึ่ง สอง สามมิใชกระโดดพรวด
เดียวถึงเสนชัย หากจะไปใหถึงเสนชัยอีกครั้ง ก็ตองยอนกลับมาเริ่มจากหนึ่งใหม
ลุกขึ้นเดินไปเดินมาเพื่อบรรเทาความเมื่อยขบและเหน็บชาที่กัดกินไปทั้งขา แรกๆถึงกับตองโขยกเขยก
เดาดวยปญญาในขณะนั้นวาอยางนี้เองพระสงฆองคเจาถึงตองเดินจงกรม ที่แทก็เอาไวแกเมื่อยขบหลัง
นั่งสมาธินี่เอง
ความเย็นสบายของสายลมและความบางเบาในอากาศระดับสูง กลอมเกลาใหใจเคลิ้มลงสูความสงบ
อยูๆเกาทัณฑก็นึกอยากปดตากําหนดลมหายใจในทายืนนั้นเอง
การทําสมาธิภาวนาชางเปนกิจกรรมอันแสนสนุกเพลินใจและมีสีสันพันลึก สมาธิไมใชสิ่งจืดชืดไรรส
อยางที่เขาเคยประมาณเอาจากการเห็นคนนั่งเฉยเมยเปนแทงหิน อาการไมไหวติงภายนอกที่แทมีความ
เคลื่อนไหวและการรูเห็นอันโอฬารภายในอยางนี้เอง
วากันวาบางคนเพียรทําสมาธิอยูในปาในเขาตั้งสิบยี่สิบปยังเข็นใหถึงอุปจารสมาธิไมสําเร็จดวยซ้ํา แต
เขาลุถึงในวันเดียว!
ในความหลับใหลอยางอิ่มเอมเปรมสุข เกาทัณฑรูสึกเหมือนความรับรูแผกวางออกไปในอาณาเขตหอง
สวางไสวเรืองรอง ตัวสติทั้งเหมือนมีและไมมีครือกัน คลายใจรูตัววาเปนนายเกาทัณฑ แตคิดอยางที่นาย
เกาทัณฑคิดไมได ควบคุมตัวเองไมได
เลือนรางเหมือนอุปาทาน ในความสวางที่แผไปนั้นสองกระทบขาวของตางๆและสงภาพกลับมาใหใจเห็น
เปนเคาเปนเงา ดูคลายเปนเรื่องปกติ ในเมื่อจิตสวางและแผพนกายก็ตองเห็นรอบกายไปดวย
ลมหายใจสดชื่นบริสุทธิ์ราวกับอยูบนยอดผาสูงในเวลาเชาตรู มีกลิ่นหอมรวยรินของดอกไมนานาพันธุ
กระจายตัวอยางออนโยนทั่วทุกหนทุกแหง บังเกิดความคิดขึ้นมาในบัดดลวาปูชนะกับแพตรีมีบุญมาก
จริงๆ ที่อยูอาศัยจึงเอิบอาบไปดวยสันติสุขควรพิสมัยปานนี้ นาปลาบปลื้มชื่นชมดวยเหลือเกิน
ในเขตอันชะโลมไปดวยความฉ่ําชื่นอยางบอกไมถูกนั้นทําใหเขาเปดยิ้ม เปนยิ้มอิ่มใจที่เปนไปเองโดย
ปราศจากเจตนาชวย
ดวยนิสัยชางหาเหตุผลประจําตัว เกาทัณฑคิดๆแลวก็บอกตนเองวาเพียงสัมผัสถึงความมีชีวิตของตนไม
กระแสใจที่เขาถึงจะทําใหเกิดภาวะเห็นที่แตกตางไป เราจะรูไดวามันกําลังแยมยิ้มหรืออับเฉา ปกติเรา
ไมรับรูสุขทุกขของตนไมเพราะไมใสใจ ไมสัมผัสเขาถึงความมีชีวิตของมัน คนจึงเห็นตนไมเปนวัตถุ
ธรรมดาเชนเดียวกับอิฐปูน ภาวะการเห็นจึงไมผิดไมตางไปจากภาวะการเห็นสิ่งไรชีวิต ตอเมื่อสําเหนียก
กําหนดถึงความมีชีวิต จึงจะมีคลื่นความรูบวกเขาไปในคลองสายตาได
๑๐๔
บัดนี้เขาเห็นความมีชีวิตของบรรดาพฤกษพันธุอยางชัดเจนเหลือเกิน ไมวาจะนิ่งหรือไหวไกวตามสาย
ลมผาน ทั้งหมดลวนเปนกิริยาของสิ่งมีชีวิตชัดตาชัดใจราวกับถูกขยายดวยแวนวิเศษไรตน เหมือนพวก
มันจะพูดทักทายยินดีตอนรับเขาไดฉะนั้น
ขณะเพลินกับมิติใหมแหงสัมผัสภายในนั่นเอง ก็เผอิญเหลือบแลไปเห็นสาวนอยนางหนึ่งนั่งอยูบนชิงชา
กลางลานหญาขจีนุม ชายหนุมหันขวับไปมองตรงๆ หลอนอยูในชุดขาวสะอาดและมองจับมาทางเขาอยู
กอนดวยนิลเนตรทอดสงบ
"แพนั่งอยูที่นี่นานแลวหรือ?"
"แพรอพี่เตอยูนานแลว"
กระแสเสียงนุมเย็นนั้นเปนเสมือนไฟฟาแรงสูงที่ทําเอาเขาชาดิกไปทั้งราง หลอนเรียกชื่อเขาเปนครั้งแรก
แถมดวยความในใจที่เกินเชื่อวาจะเปนจริง นั่นแลกไดกับรางวัลมีคาที่สุดเทาที่เขาเคยรับมาชั่วชีวิตที
เดียว
"แพเหงากับการรอจนกลายเปนสุขที่ไดเลิกรอแลวละคะ ไมตองชวยแลว..."
บรรยากาศทั่วบริเวณกลายตัวจากความอบอุนเปนวังเวงไปในทันที เกาทัณฑเกิดความเวทนาหลอน
อยางจับใจ
"พี่จะอยูเปนเพื่อน"
๑๐๕
แพตรีทอดตาลงมอง เกาทัณฑสัมผัสไดถึงความไมเชื่อถือในตาคูนั้น
"ทําไมถึงไมเชื่อพี่ละ?"
เกาทัณฑสายหนา
"คะ ถาคนไมสวยจะไมชอบมองเลย"
หลังจากเพียรสรรถอยอยูนานก็นึกออกจนไดวาควรจะพูดอะไร คําแกตัวพรั่งพรูออกจากปากอยางรวด
เร็วราวกับน้ําไหล
ถอยสุดทายนั้นหนักแนนดวยสํานึกอยางชาย ทวาแฝงกระแสความออนโยนจริงใจจนทําใหแววหมางใน
ตาสวยจางลง
เกาทัณฑลุกขึ้นยืนตาม
"ถาไมใหพูดพี่ก็จะแทนดวยการทําใหแพเห็น…พี่จะจริงใจกับแพ"
หญิงสาวชอนตาขึ้นสบ นัยนตาเงางามทอแสงเขมกวาเมื่อครู
แมฟงไมเขาใจกระจางนัก เกาทัณฑก็ใจหายจนเผลอยึดขอมือหลอนไว
หญิงสาวดึงขอมือออกจากการกุมของเขา
“ของแบบนี้ถาไมรูเองก็อยารูจากคนอื่นเลยคะ”
เกาทัณฑถอนใจเฮือกกอนหัวเราะอยางอัดอั้น
“แพเปนเสียอยางนี้”
“คะ…เปนอยางนี้แหละ”
แลวหลอนก็หันหลัง ทาทางกําลังจะเดินจากไปเฉยๆ
๑๐๗
“เดี๋ยวซี่แพ…”
“แพ…”
ไดหลอนมากอดคงดีกวาฝน…
ใจที่ฝนเพอทําใหโลกเปลี่ยนไปไดอยางนี้เอง
แตขณะที่กําลังออกแรงดันหนารถก็ตองสะดุงสุดตัวเมื่อไดยินกังวานเสียงนุมของผูหญิงคนหนึ่งดังขึ้น
ใกลๆ
"มีอะไรใหชวยไหมคะ?"
เปนนานกวาจะปรับสติและออกแรงยิ้มเจื่อนๆสําเร็จ
"ออ…แพ"
"รถเสียหรือคะ?"
เปนเสียงถามตามซื่อ ชั่วขณะนั้นหลอนอาจยังไมแนใจนักวาอะไรเปนอะไร
"เปลาฮะ"
วูบนั้นเกาทัณฑบังเกิดความกลาเดิมๆขึ้นมา อาการตกประหมาแบบวัยรุนเพิ่งเริ่มจีบสาวปลาสนาการ
เปนปลิดทิ้ง
"เมื่อกี้แพอานหนังสือหรือฮะ?"
"ทําธุระสวนตัวนะคะ…คุณละคะ?"
เกาทัณฑหนาชา เอยคําตอมาถึงกับอึกอัก
"พี่...เออ ผม..."
อากาศชื้นน้ําคางทําใหแยกแยะรับรูความแตกตางระหวางฝนกับจริง ตอนนี้ของจริง
ก็ถาจริงแลวทําไมตองกลัว…
"ผมไมไดตั้งใจมารบกวนแพเลย แคอยากรูสึกวาไดอยูใกลแพสักพักหนึ่งเทานั้น"
ไรรองรอยเคอะเขินหรือคาดไมถึงใดๆในดวงตาสงบเฉย เกาทัณฑเจ็บแปลบเพียงนึกวาตนอาจเปนไอ
หนุมหัวใจละลายอันดับหนึ่งรอยที่เอารถมาจอดแหงนหนาฝนหาดาวตรงนี้
แพตรีเบนหนาไปอีกทางอยางรูนัย
“คุณกลับเถอะคะ”
เวนระยะไปครูอยางเตรียมตัดใจเอยลาและหันหลังกลับ แตเหมือนขางในมันเฉื่อยและเหนื่อยลาเกินกวา
จะทําตามสมองสั่ง เบนสายตากลับมามองดวงหนาที่ดูสงบละไมอยูในเงามืด หลอนนิ่งมองทิศทางอื่นที่
ไกลจากเขามาก
๑๑๐
"ผมรักแพ!"
เปนเสี้ยววินาทีที่เขาเองก็คาดไมถึงวาคําสารภาพหลุดจากริมฝปากไปได เสียวปลาบไปตลอดทรวงอก
เมื่อหลุดคํานั้นออกมา แตก็ดีไปอยาง สติถูกเรียกกลับคืนมาสานตอความเผลอไผลอยางรวดเร็ว ตัดสิน
ใจเสี่ยงทิ้งไพใบสุดทายทั้งที่รูเห็นแคครึ่งๆกลางๆ
"ขอโทษนะคะ ดิฉันฟงไมรูเรื่อง"
แลวหลอนก็หมุนตัวกลับ ทําทาจะสาวเทาขึ้นเรือนหนีเขา
"แพ!"
เปนเสียงเรียกที่ประกาศิตพอใช หญิงสาวหยุดกึกเหมือนถูกสะกดดวยฤทธิ์พอมด
เกาทัณฑยกมือไหวปูอยางนอบนอม ไหวแลวก็อดเหลียวซายแลขวาลอกแลกไมได
"มองหาอะไร?"
ปูถามพลางไขกุญแจประตูให
"หาแพครับ"
เปนคําตอบตรงไปตรงมา ตอไปนี้เขาจะเลิกอมพะนําเสแสรง...ถาไมจําเปนจริงๆ
"ผมเอาหนังสือมาคืนปู"
ชายหนุมยื่นหนังสือพุทธธรรมและพจนานุกรมพุทธศาสนวางไวบนโตะกลาง
"อานจบแลวรึ?"
"เห็นนองเขามาชวนไปซื้อของ"
"นอง?"
แปลบกลางอกขึ้นมาอีกกับแคไดยินคํานั้น เขาใจแลววาตอนผีดูดเลือดถูกทิ่มอกดวยเหล็กแหลมมันปวด
เสียวอยางไร
"สนิทกันมากไหมฮะ?"
เปนคําถามที่แผวสิ้นดี
๑๑๒
"ก็เห็นแพเขาคบอยูคนเดียวนี่"
"ชื่อเต็มของแพคือแพตรีใชไหมฮะ? เขาใจวาปูเปนคนคิดตั้งให"
ปูพยักหนา
"อือม"
"ปูตั้งใจใหมีความหมายยังไงฮะ?"
ผูอาวุโสตอบทันทีโดยไมตองหยุดคิดทบทวน
ความคิดจะชวนปูถกเถียงหัวขอธรรมเพื่อจับผิดแบบเด็กไมรูประสาเหือดหายไปเฉยๆ เขากระแอมนิด
หนึ่ง กอนเลาดวยเสียงสั่นหนอยๆ เพราะทราบแกใจวามีเจตนาเบื้องหนาเบื้องหลังอยางไรในการเริ่มเลา
นั้น
"ตอนนี้ผมเปนลูกศิษยของหลวงตาแขวน"
ปูยิ้มและรับฟงโดยไมขัดจังหวะ อีกทั้งปราศจากวี่แววประหลาดใจอันใดทั้งสิ้น
"เดือนหนาผมอยากลางานสักอาทิตยหนึ่งเพื่อทุมเทจริงจังกับการเรียนทําสมาธิภาวนา ปญหาของผมคือ
ยังไมพรอมแมแตจะถือศีลหรือนุงขาวหมขาว เพราะไมแนใจในกิเลสตัวเอง กลัววาถาเขาไปอยูในวัดแลว
จะเปนสิ่งแปดเปอนแกวัด แตขณะเดียวกันก็ทนปฏิบัติอยูในหองพักหรือบานพอแมไมไดดวย เพราะตอง
มีสิ่งดึงใจใหไขวเขวไหลมาเทมาตลอดเวลาแนนอน ผมจึงอยากขอปู จะเปนการรบกวนไหมฮะถาขอ
อาศัยที่นี่สักอาทิตย? บานปูไมมีขอบีบรัดใหตองกังวลวาทําอยางนั้นอยางนี้แลวเปนความผิดความถูก
แตขณะเดียวกันก็ปลดปลอยผมออกจากเครื่องของและผูคนแวดลอมเดิมๆ เปนสัปปายะเหมาะตัวที่สุด
เทาที่ผมจะนึกออกในเวลานี้"
หลานรูปหลอรายยาวแตตนจนจบชุดจากตนสายถึงปลายสายแบบไมใหตั้งตัว ปูชนะหัวเราะเล็กนอย
สายตาไมสงกระทั่งแววรูทันออกมา
"ผมตั้งใจวาจะขอนอนบนแครในหองเก็บของใตบันไดใกลหองครัวนั่นแหละครับ"
เกาทัณฑพูดดวยทาทางนาสงสารเหมือนคนไรที่อยูอาศัย หมดทางเลือกแลวอยางสิ้นเชิงจึงบากหนาหนี
รอนมาขอพึ่งเย็น
"อยากถอสังขารมาลําบากถึงนี่ก็ตามใจแก"
"ปูอนุญาตหรือครับ?"
๑๑๔
"เออ!"
ชายหนุมระงับความดีใจแทบออกนอกหนาอยางยากเย็น กลัวปูจะเอะใจเสียกอน
"ไปเปนลูกศิษยทานแขวนมาตั้งแตเมื่อไหรละ?"
ชายชราเบี่ยงเรื่องถามมาอีกทาง
เกาทัณฑนึกวาปูจะแปลกใจบาง ซักถามอะไรเกี่ยวกับการเปนลูกศิษยหลวงตาแขวนของเขาเสียหนอย
แตก็เปลา จนตองเปนฝายเลียบเคียงเสียเอง เงียบนานๆเดี๋ยวปูเอยปากไลเทานั้น
"ปูรูจักทานมานานหรือยังฮะ?"
"ตั้งแตทานมาอยูที่วัดเมื่อเกือบยี่สิบปกอน"
"วันเดียวหลังจากที่ทานแขวนรับจะดูแลวัดให"
ชายหนุมขนลุกหนอยๆ แตแลวก็ทําใจสงบเฉย
"แลวที่ทานสละเพศฆราวาสออกบวชเปนพระตั้งแตยังหนุมแนนนี่มีเหตุผลอะไรฮะ?"
"จริงๆทานศึกษาพระธรรมคําสอนและมีศรัทธาปสาทะมานานแลว ตั้งแตกอนร่ําเรียนจบมาทํางานทํา
การเหมือนหนุมๆทั่วไป แตวันหนึ่งบุญพาวาสนาสงใหทานไปพบกับพระดีที่วัดทางนฤพาน เห็นปฏิปทา
นาเลื่อมใส ก็ฝากตัวเปนลูกศิษยตั้งใจถือบวชจริงจังหันหลังใหกับความกาวหนาที่รออยูในอาชีพการงาน
ทั้งหมด"
"ตลอดสองอาทิตยที่ผานมาผมอานหนังสือธรรมะและปรัชญาไปหลายเลม บางเลมที่นาสนใจก็อานตลอด
บางเลมอานคราวๆพอใหรูวาทรรศนะของคนเขียนเปนอยางไร ผมพบวา..."
คําพูดตั้งประเด็นธรรมสากัจฉานั้นขาดหวงไป เมื่อหางตาเห็นเงารางใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นอยางเงียบ
กริบ
๑๑๖
แพตรีกาวขึ้นมาบนเรือนดวยฝเทาเงียบเชียบราวกับเปนแคเงา เกาทัณฑหันไปเห็นแลวลืมหมดทุกสิ่งชั่ว
คราว เอาแตจองมองรางสะคราญสวางตาในชุดขาวแนนิ่ง
เสียงกระแอมของปูปลุกเขาจากภวังค ชายหนุมรีบหันหนากลับมาและปนยิ้ม
"อา..."
"ผม...ออ...อานหนังสือไปแลวหลายเลม"
แลววินาทีหนึ่งเมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา ชายหนุมก็สานรอยกิริยาประหลาดของตนดวยปฏิภาณอัน
วองไว
"ผมวาหนังสือบางเลมนี่ตลกชวนขํามากกวาเปนหนังสือจูงใหสนใจหรือเขาใจธรรมะและปรัชญา นึกถึง
บางประโยคที่คนเขียนแทรกความคิดเห็นสวนตัวแลว ยังตามมาจี้เสนไดจนถึงเดี๋ยวนี้"
“และดวงตาที่มนุษยคิดวาเปนประตูเขาบานใหญของปญญานั้น ก็ไรความสามารถกระทั่งเปดใหแกเห็น
สิ่งที่เรียกวา ‘เวลา’ มันไมเคยแสดงใหแกเห็นวาแมสิ่งที่อยูนิ่งตรงหนา ก็กําลังลอยเลื่อนอยูในกระแสเวลา
ทุกสิ่งรอบตัวที่กําลังเห็นและไมอาจเห็น ปรากฏอยูไดก็เพราะพวกมันไหลเลื่อนในมิติเวลาระนาบเดียว
กับรางกายที่เปลี่ยนแปลงของแก หากสิ่งใดหยุดอยู ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา ก็แปลวาโลกนี้จะมีอะไร
มากมายที่จูๆหายไปอยางปราศจากรองรอยตอหนาตอตาเรา”
เพราะทุกสิ่งตองไหลเลื่อนตามเวลา ทุกสิ่งจึงตองเปลี่ยนแปลง…
ไมใชสิ…ตัวรูที่ผุดขึ้นมาอยางฉับพลันบอกตัวเองวาทุกสิ่งตองเปลี่ยนแปลงตางหาก กาลเวลาจึงเกิดขึ้น
เกาทัณฑกะพริบตาถี่ๆ วูบแหงความเห็นอันประหลาดสลายตัวอยางรวดเร็วและเหมือนอุปาทาน
กระแอมทีหนึ่งกอนเบี่ยงขอสนทนาใหสมองคิดแทนจิตรูเสีย
"คือนิกายนี่ที่แทก็เปนเรื่องของวินัยสงฆ?"
๑๑๙
"เรื่องของคําสอนดวย เถรวาทยึดเอาหลักการสอนจากพระพุทธพจนเปนเกณฑทั้งทางโลกและทางธรรม
จะปรุงแตงอะไรก็มีพระพุทธพจนมาเปนลูทาง ไมแสดงอภินิหารฉีกแนวไปคนละแพรง แตสําหรับ
มหายานนั้นบางครั้งก็เอาปญญาของอาจารยแตละนิกายยอยเปนหลัก ซึ่งบางคราวไดผูรูจริงมานําก็พอ
ทําเนา แตบางทีไดผูรูเทียมมาจูงก็นับเปนคราวเคราะห เพราะตั้งตนวาจะไมเชื่อตําราเสียแลว ก็ตองไป
เชื่อเอาตามเจากูที่ตนเลื่อมใส ดีเลวผิดถูกอยางไรก็ฝากไวกับผูเปนใหญในนิกายนั้นลูกเดียว"
"งั้นเถรวาทเราเชื่อไดยังไงฮะวาคําสอนของพระพุทธเจาไมถูกบิดเบือน ไมไดถูกดัดแปลงโดยเจากูที่ถูก
อํานาจความถือดีครอบงําในแตละยุค เวลามันผานมาเปนพันๆปอยางนี้?"
“พูดก็พูดเถอะนะครับ ขาวเสียหายที่เกิดขึ้นในแวดวงพุทธศาสนาเรามาจากน้ํามือของคนหมผาเหลือง
ของทั้งฝายเถรวาทและมหานิกาย อยางนี้พอแสดงไดหรือเปลาวาหลักปฏิบัติไมไดเปนประกันอะไรเลย
ขึ้นอยูกับบุคคลเสียมากกวา ปูบอกวาความแตกตางระหวางมหายานกับหินยานคือวินัยและหลักคําสอน
ทีนี้ถาพวกที่ลากๆกันบวชนั่นแคประกาศตัววาเปนเถรวาทหรือหินยานโดยขาดใจยึดวินัยและหลักคํา
สอน ผลก็เหมือนกันนั่นเอง อยูฝายเดียวกันคือขอลดหยอน ขอพังกรอบที่พระพุทธเจาวางไว…อยางนี้
โลกยุคเราที่มันสืบสันดานแบบเดียวกันหมดควรมีแคหลักธรรมแบบเถรวาทไวศึกษากันตามใจสมัครดี
ไหมครับ? มีวัดยิ่งดึงศรัทธาคนใหตกต่ําลงเปลาๆ”
ทีนี้ถาคิดตัดโอกาสดวยการรื้อถอนวัดวาอารามหมด เพียงเพราะเห็นวาบานเมืองเรามีนักบวชทุศีลครอง
วัดกันมากนัก ก็เปนอันวายอมรับพรอมกันวาทุกคนเห็นแตนักบวชทุศีล ไมเหลือใครเห็นคาของหลัก
ธรรมคําสอนอีกแลว ไมตองเปดทางใหคนปรารถนาจะเขาใหถึงธรรมดวยทางตรงอีกแลว ไมตองการ
ฐานะอางอิงใหมีฝายนั่งอยูสูงเพื่อพูดถึงของสูงอีกแลว
๑๒๐
เกาทัณฑยนคิ้วตรองตาม อดคิดไมไดวาที่สุดก็ตองยอมใหกาฝากกลุมใหญตักตวงประโยชนจากชองวาง
ที่เปดไวไปเรื่อยๆอยางนั้นหรือ? เกือบถามปูไปวาอยางนี้ควรแกไขอยางไร แตก็นึกไดวาปมนี้มันใหญ
หลวงเกินกวาจะแกดวยการถามตอบงายๆในบานหลังหนึ่ง ที่คูสนทนาปราศจากบทบาทสําคัญในสังคม
ระดับประเทศ ระบบการกลั่นกรองบุคคลเขาสูมรรคาของสงฆเปนเรื่องละเอียดออน ตองทํากันจริงจังใน
ยุคที่ธรรมเปนใหญ ผูคนเกรงกลัวบาปเองโดยไมตองพร่ําสอนกันมาก จูๆจะหวังใหมีใครคนหนึ่งโผลขึ้น
มาปรับเปลี่ยนระบบสงฆใหเขาลูเขาทางทั้งหมดในเดือนเดียวปเดียวนั้น มันเหลือวิสัยเปนอยางยิ่ง
ชายหนุมหรี่ตานิดหนึ่ง เลี่ยงถามมาอีกทาง
ผูปฏิบัติถึงธรรมยอมเห็นวาโดยแทแลวเราคือจิตที่หลงแลนไปดวยความไมรู สรางโลกสรางตัวตนขึ้นมา
แบกไวอยางไรแกนสาร ตัวตนหนึ่งสรางกรรมใหอีกตัวตนหนึ่งรับผล อยางเชนที่แกกําลังรับผลหลายๆ
อยางจากความคิดของวัยเด็ก จากการกระทําของรางกายเมื่อยังเล็ก ตัวตนในวัยเด็กของแกมันแปรไป
แลว สลายตัวไปหมดแลว แกลืมอะไรๆในชวงนั้นไปหมดแลว แตตัวตนของแกในตอนนี้ รางกายที่เห็น
อยูนี้ ยังตองมาเสวยผลที่ทําไวในครั้งกอนอยู"
ตัวตนในวันนี้มาจากตัวตนเมื่อวาน…
ปูชนะกระแอมทีหนึ่ง
"หากมีพลังสติพอจะสนับสนุนการพิจารณากายและจิตตามจริง ตัดคิดตัดความหมายจําตัวตนที่ผานมา
เหลือแตกายใจที่ปราศจากชื่อแซในวินาทีนี้ ความจริงในเรื่องความไรตัวตนจึงปรากฏใหจิตประจักษได
สมเหตุสมผล เมื่อพิสูจนความจริงเบื้องตนไดอยางนี้ จิตจึงคอยเชื่อวาการปลดปลอยตัวเองใหเปนอิสระ
จากทุกข จากอุปาทานอยางถาวรนั้นคือสิ่งควรพยายาม เพราะจิตนี้เองเที่ยวทุกขไปในตัวตนตางๆที่มัน
สรางขึ้น ไมมีตัวตนไหนหรอกที่ตามไปทุกขกับจิตดวย ผูปฏิบัติวิปสสนาสามารถเห็นชัดเปนขณะๆวา
นอกจากทุกขไมมีอะไรเกิด นอกจากทุกขไมมีอะไรดับ เราไมไดปฏิบัติวิปสสนาดวยเจตนาดับตัวตน
เพราะไมเคยมีตัวตนใหดับ เราตองการดับอุปาทานวามีตัวตน อันเปนปจจัยของการสืบสายทุกขตาง
หาก”
"แลวตัวจิตตัวใจของเราอยูที่ไหนกันแนละครับ ตอนยังเปนทุกขกับตอนที่ดับทุกขแลวมันอยูตรงที่เดียว
กันหรือเปลา?"
"ตรงที่เดียวกัน"
"ตรงไหนครับ?"
"ตรงที่มันรูนะซี"
แลวคําตอบของปูก็ผุดขึ้นในใจอยางรูโดยไมทันตองถาม ปูจะบอกวาเมื่อไหรเจอทุกขที่ฉลาดแคไหนก็แก
ไมตกถึงจะรูสึก มุมมองแบบของเขาตางกับพระพุทธเจาและสาวก อยางเขาแคอยากแกทุกขไปวันๆ
แลกกับการไดบริโภคกามคุณเปนพอ แตอยางพระผูรูทานแกทุกขระยะยาว แกทีเดียวจบ สุขแลวสุขเลย
ไมเปลี่ยนแปลง เมื่อเขาพอใจจะอยูบริโภคกามของเขาอยางนี้ก็เปนเรื่องของทางเลือกอันเปนสิทธิ์เฉพาะ
ตราบใดที่ความดับทุกขสนิทไมปรากฏเปนขอเปรียบเทียบ ตราบนั้นเขาก็ยังคงเลือกสิ่งที่งาย สิ่งที่เห็น
เองดวยตาเปลา อันเปนวิสัยปกติของคนทั่วไป
พยายามนึกถึงประเด็นโนนประเด็นนี้ แตทุกประเด็นก็ไดยินคําตอบของปูผุดขึ้นมาดักคอกลางสมองไป
เสียหมด ในที่สุดจึงแบมือทั้งสองออกกวาง
"มีอะไรมั่งไหมฮะที่ปูยังไมรูเกี่ยวกับตื้นลึกหนาบางของพุทธศาสนา?"
เกาทัณฑยิ้มเหมือนพอจะนึกออก
"งั้นก็แปลวาหลวงตาแขวนทานรูมาก รูครบละสิฮะ”
ปูหัวเราะหึๆ เงียบไปพักหนึ่ง
"แปลวาผมยังไมรูจักเอาตัวรอดจากทุกข ก็ถือวาผมยังไมรูอะไรในความเปนพุทธเลยใชไหมฮะ?"
๑๒๓
"ก็คลายๆอยางนั้น"
"จะทานมื้อเที่ยงไหมคะปู?"
"เอา...เผื่อใหเตเขาที่หนึ่งดวย"
"คะ"
หญิงสาวรับคําแลวกาวลงบันไดไป เกาทัณฑรีบบอกปูทันทีที่รางหลอนลับตา
"ใหผมลงไปชวยแพนะครับ"
โดยไมตองมีมารยาทรอแมแตอาการพยักหนาของปู แคขาดคํารางสูงก็ยายผลุบลงจากเรือนไปทันใด
"ตองการอะไรคะ?"
"ปละ...เปลา"
"งั้นตามดิฉันลงมาทําไม?"
หลอนเคยนิ่มนวลเชนไรก็ยังคงนิ่มนวลเชนนั้น ทวาถอยคําที่สงออกมาแสดงออกถึงความตองการชอง
วางอยางเห็นไดชัด
"ตามลงมาดูวาผมจะพอเปนลูกมือแพบางไดไหม ผมทํากับขาวเกงนะ"
"ผมคอยชวยแพจัดจานชาม ยกถาดก็แลวกัน"
ครูหนึ่งเมื่อสําเหนียกรูวาเขาปกหลักกับที่แน แพตรีก็พึมพํา
"เราทานอาหารมังสวิรัติกัน อาจไมถูกปากคุณ"
“แพกับปูคงเครงนาดูเลย ออกขางนอกก็ทานกันอยางนี้หรือฮะ?”
เกาทัณฑถามใหฟงปกติ แพตรีไมทันคิดวาเขาถามดวยความกังวลไปถึงอนาคตก็ตอบตามซื่อ
“คะ”
“คงหารานยากเหมือนกันใชไหม?”
พูดแลวนึกไดวานั่นเปนการถามเชิงบนในเรื่องสวนตัวหลอนก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
"ผมถือวาตัวเองเปนหนี้บุญคุณแพเรื่องหนึ่ง"
ชายหนุมทอดตามองงานในมือแมครัวสาว ชอบกิริยานิ่มนวลทวาฉับไวชวนมองเพลินอันเปนหนึ่งในคุณ
ลักษณของหลอน ทาทางแพตรีคงเกงงานบานไปทุกอยาง
"เรื่องอะไรคะ?”
เกาทัณฑถอยเทาไปพิงขอบโตะ ยกแขนกอดอก
"แพนําผมไปพบกับพระดี เชื่อไหมวาตอนนี้ผมฝากตัวเปนลูกศิษยทานแลว?"
หญิงสาวเงียบเปนครู กอนกลาวดวยน้ําเสียงที่เบานุมทวามีกังวานและน้ําหนักจริงใจ
"อนุโมทนาดวยคะ"
๑๒๕
วางมือจากมีดแลวหันไปตั้งกระทะ เทน้ํามันพืชและเจียวกระเทียมบนเตา
"ไมถามหรือฮะวาผมเรียนอะไรมาบาง ถึงอางไดวาเปนลูกศิษยทาน"
"คะ ถาม...คุณเรียนอะไรมาบางคะ?"
"ทานสอนใหผมทําสมาธิ และตอนนี้ผมรูแลวละวาพระดีทานบวชกันเพื่อกิจชนิดไหน"
ดวยดําริประการฉะนี้ เกาทัณฑจึงเบนเข็มไปสรรเสริญผูอื่นเสียแทนความอยากโออวดฤทธิ์เดชในตน
"อยางที่เคยเลาใหฟงวาตอนวัยรุนผมเคยเขาคอรสฝกสมาธิกับเขามาแลวแตเหลว นึกดวยซ้ําวาคงเอา
ถานทางนี้ไมไหว ใจมันคะนองเกินกวาจะบังคับตัวนั่งนิ่งๆยังกับถูกสาปใหเปนใบ มาวันนี้เพราะพระที่
ทรงคุณอยางหลวงตาแขวนแทๆทําใหผมตาสวาง ไดรูจักรสชาติหวานชื่นของสมาธิกับทานบาง ถึงจะ
เตาะแตะไมประสีประสาเทาไหร ก็นับไดวาเริ่มอยากสรางความกาวหนาใหกับตัวเองบางแลว”
พูดเทาความถึงวันที่เขาเจากี้เจาการอาสาชวยเหลือโดยหลอนไมไดวานขอ พลางตักขาวจากหมอหุงซึ่ง
อุนและทิ้งใหเย็นลวงหนาไวแลวลงกระทะน้ํามันรอนไดที่ ตามดวยเครื่องปรุงอื่นๆพวกถั่วฝกยาว ถั่วแดง
ถั่วลิสง ซอส ซีอิ๊วขาวและน้ําตาลทราย ลงตะหลิวผัดคลุกแกรกๆ
เกาทัณฑเออออรับยิ้มๆ
๑๒๖
เกาทัณฑมองหลอนทําอาหารจากดานหลังแลวเกิดความรูสึกแสนดี สาวที่เปนแมบานแมเรือนสมัยนี้หา
ยาก แบบแผนของสังคมรุนใหมเลิกยกยองเสนหปลายจวักของเพศหญิงมานานแลว ปลอยใหเปนหนาที่
ของกุกตามเหลาตามรานนอกบานไป นานๆแหละถึงเจออยางแพตรีที่หนวยกานบอกเลยวาใชอะไรที่เขา
เรียกแมศรีเรือน ผูทําใหบานมีความหมายในใจเหนือกวาอิฐปูนคุมแดดคุมฝน
เห็นเสี้ยวหนาของหลอนจากมุมเยื้องวายิ้มขันในวิธีพูดของเขา โดยพื้นฐานแลวแพตรีนาจะเปนผูหญิง
ธรรมดาคนหนึ่ง ธรรมะในจิตใจเทานั้นที่ยกหลอนขึ้นสูงจนเหมือนเกินเอื้อม
"คุณก็ศิษยมีอาจารย อยามาถอมตัวรับการตักเตือนติติงจากดิฉันอีกเลย"
"อาจารยอยูกับลูกศิษยตลอดเวลาไมไดนี่ฮะ"
"ผมเชื่อวาใจบุญอยางแพยินดีชวยคนเพิ่งเริ่มหัดวายน้ําใหเอาตัวรอดไดแนๆ จริงไหม?”
หญิงสาวเงียบอยางคิดหาคําพูด ที่สุดก็เอยออกมา
"อยาวาอยางนั้นอยางนี้เลยนะคะ แพ...ดิฉัน..."
แพตรีปลอยหัวเราะออกมาหนอยหนึ่ง ที่ตรงนั้นเกาทัณฑคิดวาหลอนเริ่มมาอยูในบรรยากาศของเขาบาง
แลว
"ออ…ฮะ"
“ผมตองเรงทําความดีใหเร็วหนอยเหมือนกัน ไมงั้นเดินไปเดินมาในบานนี้อยูดีๆ…อาจถูกธรณีสูบจวบ
เดียวหายไปเลย”
เขาทําทีวิตกรอนตัวและใชสุมเสียงไดนาขัน สงผลคือหญิงสาวยืนหัวเราะรวนใหไดยินเปนครั้งแรก
เกาทัณฑนิ่งฟงดวยนัยนตาเปนประกายสุข อึดใจตอมาหลอนจึงหยุด หยุดแบบเงียบไปเฉยๆ กอน
เหลียวหนามาหาเขาเนิบชา สบตาและสงยิ้มให
"สงจานใหหนอยสิคะ"
เกาทัณฑเปนคนนําจานขาวมาวางบนโตะ เพียงเห็นขาวเรียงเม็ดสวยและไดกลิ่นหอมโชยแตะจมูกก็รู
เลยวาอรอย แพตรีเอามะเขือเทศมาใสพรอมแตงกวากับผักกาดหอม ระหวางที่หลอนจัดหนาใหดูดีอยู
๑๒๘
"บอกไดไหม ที่สุดของความพอใจสําหรับแพคืออะไร?"
เมื่อเขาทําทาเขาใกลเกินจําเปน แพตรีก็ขยับหางไปยืนลางมือที่อางอะลูมิเนียมอีกทาง
“การไดอยูอยางสบายใจ ไมมีใครมาเบียดเบียนมั้งคะ”
"คุณเปนลูกศิษยหลวงตาแขวนแลวนี่คะ สักวันดิฉันอาจตองถามขอวิธีปฏิบัติจิตใหเกิดความสุขจากคุณ
บางก็ได"
"ถึงวันนั้นผมก็คงบอกแพทันทีวา...จงเปนตัวเองตอไป"
"ดิฉันก็จะตอบคะวา...แคนั้นไมพอหรอก"
เมื่อจัดจานใสถาดเรียบรอย แพตรีทําทาจะยกขึ้น
"ใหผมยกไปเถอะครับ"
แขนมาซอนกันแนบเนื้อแตะเนื้อนิดหนึ่ง หญิงสาวรีบหลีกตัวออกมาอยางทราบเจตนาลวงเกินของอีก
ฝาย เกาทัณฑหันไปพบแววระคางในดวงตาคูงาม จึงรูตัววาพลาดไปหนอย อดใจไมไหวจริงๆที่จะแตะ
ตองตัวสักนิดเมื่อสบโอกาส
วันหนึ่งเขาจะเปนเจาของทั้งหมดที่เปนหลอนไมวากายหรือใจ
๑๒๙
ถึงวันนี้เขาเลิกฝนวาหลงทางอยางสิ้นเชิง จะเพราะบังเอิญแกตนเหตุแหงฝนทรมานไปอยางไรก็ขี้เกียจ
สืบคน รูแตวาชีวิตจริงๆที่กําลังดําเนินอยูมันตางไปจากเดิมมาก จะชั่วคราวหรือถาวรก็ตามทีเถอะ
ความเขากันไดระหวางสองบุคคลเปนเรื่องละเอียดออน เปนที่ยอมรับวาลักษณะนิสัยใจคอของคนเราจะ
กอลักษณะกระแสจิตประเภทหนึ่งๆขึ้นมา ซึ่งเมื่อใกลกันก็รูสึกไดวาพอจะ 'รับ' กันไดไหม ถัดจากนั้นยัง
มีรายละเอียดปลีกยอยอื่นๆอีก ทั้งความคิด คําพูด และปฏิกิริยาที่กระทําตอกัน เปนตัวตัดสินวาเขากัน
ไดสนิทจริงหรือไม ตรงนี้นาคิดวาถาเคยรวมบุญกันมา ทวาเขากันยากดวยคุณสมบัติเฉพาะตัวของแตละ
ฝาย แมมีเวลากระดี๊กระดาดวยกันในชวงแรกอยูบาง ตอไปก็นาจะฝอลงจนแหนงหนายในที่สุด
อยางเชนสัจจะทางวิทยาศาสตรที่มีชื่อเสียงวาขัดแยงกันอยางนาเหลวไหล ก็ไดแกเรื่องของแสงอันเปน
สิ่งถูกรูโดยตามนุษยทั่วไปนี่เอง หาก 'คิดมาก' สักหนอย ตั้งคําถามขึ้นมาวาแสงเปน 'คลื่น' ตอเนื่อง
เหมือนระลอกน้ํา หรือวาเปน 'อนุภาค' ละเอียดยิบยับที่เปนตางหากจากกันเหมือนกอนหิน ก็จะพบคํา
ตอบที่ชัดเจนจากการทดลองระดับนักเรียนมัธยมตนทั่วโลก วาเปนไดทั้งสองอยางพรอมกัน! ขึ้นอยูกับ
จะจัดตั้งมุมมองแสงดวยวิธีไหน
ขนาดเรื่องของแสงอันเปนรูปธรรมขั้นพื้นฐานยังปรากฏเปนสิ่งชวนฉงนขนาดนั้น แลวเรื่องของจิตอัน
เปนนามธรรมขั้นละเอียดสูงสุด จะมีแงมุมใหมอง และชวนคิด ชวนตีความเขาขางตนเองกันดวยทิฏฐิไป
ตางๆนานาขนาดไหน?
ความจริงเกี่ยวกับจิตมีกี่แงนั้นยกไว ตอนนี้เขาเห็นจริงอยูอยางหนึ่งวาคุณภาพของจิตเปนอะไรที่พัฒนา
ไดแน กับทั้งแปลกสภาพ แปลกรสไปกวาภาวะที่รูสึกนึกคิดตามปกติยิ่ง
นอกจากจะรับรูดวยตนเองวาจริงเท็จเกี่ยวกับชาติกอนเปนอยางไรแลว เขาจะตองสืบทราบใหไดวาความ
สัมพันธระหวางตนกับแพตรีนั้น มีความเปนมาอยางไร
ระบบประสาททั่วรางผอนพักลงทั้งหมด สบายกายสบายใจดีเหลือเกิน
ทวาเมื่อกระแสจิตเกือบๆจะรวมศูนยเปนอันเดียว ล็อกตัวเปนขณิกสมาธิครอบกายหนักแนนสมบูรณ
เกาทัณฑก็รูสึกถึงแรงสะเทือนไหวบางอยางรบกวน เริ่มจากจังหวะการเตนของหัวใจที่คอนขางผิดปกติ
วันนี้เขาอยูใกลแพตรีแคเอื้อม และกระแสความใกลนั้นก็เหมือนเวียนวนตวัดรัดใหหัวใจเตนผิดจังหวะอยู
ตลอดเวลา ตอเนื่องมาจนกระทั่งยามนี้ แมความจริงจะหางกายออกมามากแลว และกําลังอยูในระหวาง
การตั้งหลักเขาที่ทําสมาธิก็ตาม
พยายามเพิกเฉยกับชนวนแหงความคิดฟุงซานซัดสายนั้น กําหนดเห็นความออกและเขาของสายลม
หายใจใหม ซึ่งก็เปนไปไดดวยฐานจิตมีกําลังมากพอ ทวาผานลมหายใจที่สาม ก็เกิดความสะเทือนไหว
ขึ้นอีก เห็นชัดถึงความกระสับกระสายในชองอกที่ตอยอดเปนมโนภาพสวยหวานของแพตรี
วันนี้เขาเขาใกลหลอนมากเกินไป
เกิดเสียงเปาะๆๆๆยืดยาว ไมหวังอะไรมากไปกวาระบายความฟุงที่กักและเหมือนเก็บกดในหัวใหพนๆ
แตดวยความคาดไมถึง และมิไดกําหนดความตั้งใจไวลวงหนา ดวยกําลังความสงบที่เหลือเปนเศษจาก
การนั่งสมาธิเมื่อครู เกาทัณฑพบออกมาจากภายในวาเมื่อจิตตั้งมั่นเปนกลาง รูผัสสะรัวกระทบอยางตอ
เนื่อง ผลที่เกิดคือความเงียบลงอยางสงัดของคลื่นลมความคิดความฟุง
เลี้ยงความนิ่งวางจากกระแสความคิดไดเพียงนาทีเดียว ความรูสึกเหมือนเหลือเพียงจังหวะกระทบ
เปาะๆๆๆกับใจที่สงบอยูตรงกลาง ก็บังเกิดรสแหงปติสุขขึ้นทามกลางความเงียบที่จิตเสมอพอดีกับ
ผัสสะเปาะๆๆๆนั้น
นี่เปนทํานองเดียวกันกับที่คนทั้งหลายหายใจกันตลอดเวลา แตแทบไมมีสักขณะที่รูวาตอนไหนหายใจ
ออก ตอนไหนหายใจเขา จิตจะสงออกเหมอ หรือหมกมุนกับความรูสึกนึกคิดอยูร่ําไป
หนังสือเลมที่กําลังอยูในมือเขากลาวถึงพลังจิตอยางเปนวิทยาศาสตร เริ่มดวยการชี้ใหเห็นวาคนเรา
สามารถรับรูถึงการเปลี่ยนระดับพลังกายไดดวยตนเองจากภาวะอารมณตางๆ เชนเพิ่มกําลังขึ้นกวาปกติ
มากมายเมื่อเกิดฮึดฮัดบันดาลโทสะเพราะถูกแกลง หรือเมื่อตื่นเตนปติมากๆตอนเลนเกมกีฬาชนะ
และเมื่อมีการตรวจวัดดวยเครื่องไมเครื่องมือจริงจัง ก็พบวาผูมีพลังจิตกระทําเรื่องเหนือสามัญเชนหักงอ
ชอน หรือเคลื่อนยายวัตถุได ลวนหลั่งฮอรโมนออกมามากผิดมนุษยมนา ชี้ใหเห็นขอเท็จจริงที่วาความ
สามารถในการบังคับรูปวัตถุนอกตัวดวยกําลังจิตนั้น เกิดขึ้นไดดวยสิ่งที่แฝงเรนในธรรมชาติความเปน
กายใจมนุษยนี่เอง
ความแตกตางคือนอยคนนักจะรูทางเขาถึงขุมพลังในตนเอง คลายเจาของที่ดินผูไมรูวาลึกลงไปใตพื้นใน
อาณาเขตของตน คือบอน้ํามันกวางใหญไพศาล หรือถึงแมระแคะระคาย ก็จนปญญาจะขุดขึ้นมาขาย
เพราะขาดอุปกรณ ขาดความรู ขาดผูแนะนําชวยเหลือ
ปจจุบันเปนที่กลาวกันทั่วไปวาปฐมบทของการขุดพลังจิตขึ้นมาใช ตองมาจากการควบคุมจิตใหนิ่งเปน
สมาธิ ทวาก็มี 'ของเลน' บางอยางที่อาจทําใหมั่นใจในเบื้องตน วาทุกคนสามารถกอพลังชนิดพิเศษขึ้นใน
เวลาอันสั้นและอาศัยสมาธิเพียงเล็กนอย เพียงใชบางจุดในรางกายที่มีสนามพลังแรงอยูแลวในตัวเองให
เปน
ชายหนุมแยกฝามือที่หันเขาหากันออกหางประมาณหนึ่งฟุต แลวขยับเขาหากันเชื่องชาเหมือนจะใหมา
ประกบกัน ยิ่งฝามือใกลกันเทาไหร ก็ยิ่งสัมผัสไดวามีแรงกระทําตอกันเพิ่มขึ้นทีละนอยตามระยะ พอเขา
ประชิด เหลือชองวางเพียงหนึ่งนิ้วฟุต แลวขยับผละหางจากกันอีกครั้ง หนวยตาก็เบิกขึ้น เมื่อรูสึกคลาย
แยกฝาแมเหล็กสองขางซึ่งมีแรงดึงดูดออกจากกัน
ขยับเลื่อนเขาออกชาๆหลายรอบจนแนใจวามิใชอุปาทาน มีแรงดึงดูดระหวางฝามือกระทําตอกันจริงๆ
เกาทัณฑก็ทดลองตั้งระยะฝามือใหหางจากกันคงที่ แลวกําหนดนึกใหพลังดึงดูดเขมขึ้น ยิ่งหนวงนึกถึง
พลังนานเทาไหร ความเขมขนก็ยิ่งทวีราวกับกําลังแมเหล็กขนาดใหญขึ้นเรื่อยๆ พรอมกันก็สําเหนียกไอ
รอนจัดที่แฝงมากับแรงกระทํา
๑๓๗
กลับมาอานหนังสือตออยางจดจอขวนขวายหาของเลนเพิ่มเติม หนังสือใหคําแนะนําสั้นๆเกี่ยวกับการ
สรางจินตภาพและวิธีบังคับการไหลเวียนของพลัง เชนเพื่อหักงอชอน เคลื่อนยายวัตถุขนาดเบา การ
บังคับใหเมฆปรากฏเปนรูปทรงตามปรารถนา ตลอดจนกระทั่งการฝกเพื่อแขงนั่งสมาธิลอยตัวตามชมรม
พลังจิตในตางแดน เราความสนใจเอาเรื่อง
หรือวากําลังจิตเขายังแกรงนอยไป อํานาจนึกจึงใหผลเปนความวางเปลา?
แจมแจงในบัดดลวาการทําสมาธิแตกตางกับการใชพลังจิตอยางไร สมาธิคือการกําหนดจิตติดตามอาการ
ที่เกิดขึ้นเปนปกติของอารมณ เปนตนวาลมหายใจมันไหลเขาไหลออกอยูแลว หนาที่คนภาวนาก็แคเฝา
ตามมันไปเรื่อยๆจนจิตแทรกเขาไปรวมกับความเปนอยางนั้นของกลุมลม แตการใชพลังจิตนั้นเปนการ
นึกใหเกิดผลบางอยางที่ผิดธรรมดาตอวัตถุที่ใชเปนอารมณ อยางเชนชอนซึ่งเปนรูปธรรมในมือเขาเดี๋ยว
นี้ มันไมมีทางงอเองไดเลย แตเขาปรารถนาใหมันงอ เขามีจินตภาพที่สรางขึ้นในใจ เห็นมันคอยๆงอลง
บีบบังคับใหมันยอมตาม ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่วามันเปนสสารแข็งแรง มีเสถียรภาพอันยากจะ
ดัดแปลงได
เริ่มรูสึกถึงสนามพลังที่เกิดขึ้นจากความเพียรนึกนั้น ทวาไมเขมขนขนาดสําเหนียกวามีอิทธิพลกระทํา
กับความแข็งของชอน ชอนแข็งยังคงเปนชอนแข็งในความเปนจริง แมใจจะเห็นมันโนมเอียงที่จะออนลง
อยูบาง ทั้งนี้ก็คงเพราะความตอเนื่องของการสะกดจิตตนเองใหเชื่อเชนนั้น
เกาทัณฑจี้อาการเพงนึกเขาไปที่ตัวชอนอยางไมยอมแพ รูสึกวาตนถลําลึกเขามาจนถึงขั้นตองเอาใหได
อยางรุนแรงเสียแลว ความเด็ดเดี่ยวมุทะลุบังเกิดขึ้นทวมทน เขาไมลุกจากที่แนจนกวาจะสําเร็จ
และที่สุดจากความรูสึกถึงสนามพลังที่กระจายรอบตัวเหมือนคลื่นน้ํา ก็กลายเปนปกพลังที่หนักแนนจน
เหมือนสงกระแสคลื่นอันมีตัวตนไปเหนี่ยวจับเอาหัวชอนได เขารูสึกจริงๆ ไมใชเรื่องเลนอีกตอไป
อํานาจจิตหนาตาเปนอยางนี้เอง
๑๓๙
อุงมือรอนและแฝงพลังมากมายอยางไมเคยเปนมากอน วัตถุในมือกําลังถูกความรอนและพลังกระทําใน
ตัวเขาหลอมใหออนลงและหักงอตามแรงประสงค
ตอด!
"ฮัลโหล…"
พูดแหบพราและสับสนมึนงง อาการรับโทรศัพทเกิดจากความเคยชินเดิมมากกวาเจตนา
ชายหนุมนิ่งอยูอึดใจ คอยๆเรียกสติคืนมาอยางยากลําบาก
"เออ..."
"หลับอยูละซีทา"
เลอะเลือนอยูอีกพัก กอนกลับเขาที่แบบเควงๆ
"แอเหรอ?"
"คา...แอเอง เมาหรือเปลานะนั่น"
"ตามสบายคะ"
ออกมาเช็ดหนาเช็ดตาและนั่งปรับสติอีกพักใหญ อยางไรก็ไดรูแลววาภาวะเหนือสามัญวิสัยเปนอยางไร
ตองฝาฟนดวยวิธีใดจึงไดมา กอนอื่นเขาตองมีกําลังจิตเปนพื้นพอประมาณ จากนั้นตองสรางจินตภาพ
ใหแนวแน เพงและเพงอยูอยางนั้น จนสนามพลังในตัวกลายเปนปกพลังเขมขนถึงขีด นั่นเองคงเปนจุดที่
ฮอรโมนหลั่งออกมามาก คลื่นพลังเริ่มกระจายตัวจากขุมลับในกาย
เกาทัณฑตอโทรศัพทเขามือถือของหญิงสาวผูนําความลมเหลวมาใหตามสัญญา
"ผมเตพูดนะ"
น้ําเสียงของเขาเนือยนายเปนอยางยิ่ง อีกฝายฟงรูทีเดียว
"จะออกมาเจอกับพวกเราไหม?"
หลอนถามหวน ชนิดที่เห็นหนาคว่ําตาเขียวลอยมาทีเดียว
"พรุงนี้ทํางานไมใชเหรอ?"
จงใจใชเสียงเอื่อยเฉื่อยใหรูวานั่นคือคําปฏิเสธ
"งั้นก็นอนหลับฝนดีไปแลวกันนะคะ พอคนรักงาน!"
หญิงสาวตัดสวิทชไปอยางคนสวยที่ชอบเอาแตใจตัว และเกาทัณฑก็ไมหลงเหลือความไยดีในตัวหลอน
เอาเลย ทั้งที่ติดหลอนแจมาเปนนาน อาจเพราะตางคนตางรูวาแตละฝายมีตัวเลือกสํารองอยูเยอะกระมัง
เขาพิศวาสรอยยิ้มและทาทีเกไก ถูกใจสีสันหลากหลายในตัวหลอน หรือจะบังคับใหรับวาหลงใหลไดปลื้ม
เปนที่สุดก็ยอมละ แตทั้งหมดนั่นก็แคทําใหแตละวันสดชื่นรื่นใจ จะมาเทียบอะไรกับแพตรีที่มีอิทธิพล
ขนาดเปลี่ยนชีวิตเขาไดทั้งชีวิต
๑๔๑
ความคิดเรื่อยเปอยสุดทางลงเมื่อเกิดแรงบันดาลใจอยากทําสมาธิขึ้นมาอีก ชายหนุมเขาที่พริ้มตาหลับลง
งายๆ กําหนดภาวนาเห็นสายลมหายใจเขาออกดวยวิธีการหายใจตามแบบหลวงตาแขวนสอน
ความคิดฟุงซานสลายไปหมดสิ้นดวยความอิ่มเอมเปรมใจในรสสมาธิ ดวงจิตทวีตัวเขมขนขึ้นเรื่อยๆ
เกาทัณฑเรียนรูที่จะเพงนึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวดวยพลังกายใจทั้งหมดมาแลว จึงไมใชเรื่องยากอีกตอไป
กับการเพงภาวนาตามสายลมหายใจเขาออกอยางนี้
ทําไมถึงไมรูสึกวาตัวเองกลายเปนผูวิเศษ?
อีกอยางที่นับเปนความกาวหนาคือการมีสติควบคุมนิมิตไดมั่นคง เมื่อเริ่มเกิดอาการเปลี่ยนแปลงภาวะ
จิต ปราศจากความมึนงงและนิมิตบิดเบี้ยวทั้งปวง สามารถติดตามวิถีจิตไปตลอดสายโดยไมคลาด
เคลื่อน หนวงยึดแตลมหายใจเปนสรณะอยางเหนียวแนน ดวยความสังเกตรูวาความสม่ําเสมอของการ
เห็นอารมณคือปจจัยหลักในการรักษาสภาวะใหคงที่
แวะซื้อดอกไมธูปเทียนและขาวถุงกับอาหารแหงที่ตลาดใกลซอยบานปูชนะ เพิ่งเกือบหกโมงเทานั้น
หวังวาจะไดใสบาตรเชาสักที ครั้งสุดทายที่ใสบาตรพระนานเทาไหรก็ลืมไปแลว วันนี้กําลังสดชื่นและ
อยากไดฤกษงาม จึงตั้งใจจะไปดักขบวนพระแถวหนาวัดเลยทีเดียว
ชาวบานแถวนั้นตั้งโตะเตรียมใสบาตรกันแทบจะหลังเวนหลัง เดี๋ยวนี้หาดูชาวบานรอทําบุญกันเปนทิว
แถวไดยากแลว มีแตที่ตางจังหวัดซึ่งก็เริ่มรอยหรอเชนเดียวกับในกรุงเทพฯ
ดีใจจนบอกไมถูก เมื่อผานหนาบานปูชนะเห็นใครคนหนึ่งยืนรอใสบาตรเชนเดียวกับชาวบานละแวก
เดียวกัน เกาทัณฑเปลี่ยนความตั้งใจที่จะไปรอขบวนพระถึงหนาวัดทันที จอดรถไวใตรมไมของอีกฝง
ถนนแลวเปดประตูลงมา
"สวัสดีฮะแพ"
เขาทักมาจากอีกฝง หญิงสาวยิ้มให
"คะ สวัสดี"
"ขออาศัยโตะวางของดวยคนนะ"
๑๔๔
"ปูตื่นหรือยัง?"
"ตื่นตั้งแตกอนตีสี่ทุกเชาแหละคะ แตทานจะลุกขึ้นมานั่งทําสมาธิไปจนถึงเจ็ดโมงเปนอยางต่ํา"
"โอโฮ นั่งเกงนะฮะ…แลวทานไมมาใสบาตรกับแพบางหรือ?"
"เลือกเฉพาะวันพระนะคะ"
"แพคงทําเปนประจําทุกเชาเลยสินะ?"
"สั่งสมบุญไวเยอะนาดูเลย"
เขากลาวชื่นชมดวยน้ําเสียงแจมใส
"ไมเทาไหรหรอก ตองคุณยายคนนั้นสิคะ"
"ตองมีอะไรเปนแรงบันดาลใจแนเลยใชไหมฮะ?"
"สามีคุณยายเสียตั้งแตยังอยูในวัยกลางคนนะคะ กอนเสียเคยสัญญากันตอหนาพระพุทธรูปไววาถาใคร
ตายกอนจะมาบอกอีกฝายวาไปอยูที่ไหน สัมปรายภพมีจริงหรือไม แลววันหนึ่งทานก็เห็นสามีมาหาใน
ฝน ฉายราศีสวรรคงดงามมาก บอกวาตอนนี้อยูเบื้องบน มีความสุขสบายเหลือลน ถาอยากมาอยูดวยก็
หมั่นทําบุญสุนทานใหมากที่สุดเทาที่จะเปนไปได ทําแลวก็ย้ําอธิษฐานมาอยูรวมกันขางบน นับแตนั้นมา
ชีวิตของทานก็ประกอบแตงานบุญ เปนหัวเรี่ยวหัวแรงสารพัดพิธี เห็นอยางนี้สติยังแจมใสมากเลยนะคะ"
๑๔๕
เกาทัณฑฟงเพลิน แกวเสียงหลอนเหมือนเครื่องดนตรีสักชิ้นที่เลนยาวแลวเปลี่ยนอารมณคนฟงใหเปน
กุศลไดอยางนาอัศจรรยใจ
"คนใจบุญอยูบานติดกันอยางนี้ก็ยิ่งดีสิฮะ แพคงสนิทกับแกมากนะ"
"ก็เหมือนญาติผูใหญแหละคะ"
"ผมทําผิดเหรอฮะ?"
ชายหนุมเลิกคิ้วถามดวยความรอนตัวกลัวเปนเทิ่น
"ทานใหถอดรองเทาเพราะไมอยากใหเรายืนสูงกวาพระซึ่งยืนเทาเปลานะคะ คุณทําแบบนี้ใสอยางเดิมจะ
ดีกวา"
"นิมนตดวยครับ"
เกาทัณฑแสดงความรูออกมาหนอย รีบชิงสงเสียงนิมนตพระตั้งแตทานเพิ่งปดบาตรจากบานคุณยายราว
กับเกรงวาชาไปจะตองใหแพตรีเปนฝายใชเสียง หญิงสาวเบือนหนาไปซอนยิ้มทางอื่น พวกเด็กหนาบาน
โนนปดปากหัวเราะกันคิกคักและมองมาเขาดวยประกายขัน
แพตรีวางขันขาวลงบนโตะ ยอบกายลงคุกเขาพนมมืออยางรูวาองคนี้ทานสวดสัพพีสั้นๆใหเสมอ
เกาทัณฑรีบทําตาม เขาไดทําบุญรวมกับหลอนอีกแลว
"พระที่บิณฑบาตแถวนี้มาจากวัดทางนฤพานแหงเดียวหรือเปลานะแพ?"
ชายหนุมถามเมื่อหลวงพอทานเดินจากไปและตางลุกขึ้นยืน
"ใชคะ แหงเดียว"
หญิงสาวพยักหนา แลวเขาจะเขาใจเองวาจิตชนิดที่เปนตัวสรางสวรรคยอมใหกลิ่นอายสวรรคในตัวเอง
อยาพักตองรอใหใครพูดถึงเลย มันเกิดความรูสึกขึ้นมากลางใจไดอยูตรงนั้นแลว
"แพ"
"คะ?"
"รูไหมทุกครั้งที่ผมทําบุญรวมกับคุณ ผมอธิษฐานวายังไง"
ที่นั่นเปนชายหาดเปลี่ยวรางของจังหวัดทางตะวันออกแหงหนึ่ง หางไกลจากแหลงชุมชนมาหลาย
กิโลเมตร ดานหลังเปนภูเขาเตี้ย ดานหนาแผกวางดวยแผนน้ําสุดลูกหูลูกตาจดขอบฟาละลิ่วลิบ ไมเห็น
อะไรนอกจากคลื่นน้ําเลยแมแตเรือหาปลาเล็กๆสักลํา
หอบลมทะเลปะทะหนาและเรือนกายตอเนื่องกันเปนเวลานานกอนจะหยุดลงครูหนึ่ง เขาชอบใหโสรง
ขาวและเสื้อหลวมบนรางปลิวลม มันทําใหรูสึกเหมือนตัวเองเปนนักบุญอิสระที่แสวงสัจธรรมไปในโลก
กวาง มีแตเครื่องนุงหมมอซอติดตัวชุดเดียว ปราศจากพันธนาการปรุงแตงอื่นใดรัดรึงกายใจ
เด็กหนุมลืมตาและคอยๆกาวเดินเทาเปลาไปบนทรายนุม ที่นี่ไมใชหาดสวยขนาดชักนํามนุษยมาทําลาย
ความสวยของมัน ทวาก็เปนหาดที่มีเสนหสําหรับเขา เสนหนั้นคือความไมมีอะไรเลยนอกจากธรรมชาติ
บริสุทธิ์ดุจโลกเพิ่งถูกสราง และยังไมมีสิ่งมีชีวิตใดอุบัติขึ้นแมแตชนิดเดียว
๑๔๘
รางผายผอมดุมเดินไปเรื่อยอยางคนมีเวลาทั้งหมดใหกับอิสรภาพและความโดดเดี่ยววางวาย กระทั่งถึง
จุดหนึ่งที่สติตื่นพรอม และนึกอยากเปดประสาทเสพรสแหงทะเลใหเต็มที่ จึงหยุดเดินลงนั่งวางขาขวา
ซอนขาซาย สองมือวางลงบนเขาแตละขาง พริ้มตาปดเฉยเตรียมเปลี่ยนสภาวะจิตใหเปดรับผัสสะอยาง
บริบูรณ
แมเสียการทรงตัววูบไหวใหกลุมความคิดที่กอตัวขึ้นมาบางในชวงแรก กลุมความคิดนั้นก็ปรากฏเปน
สวนเกินอยูในความรับรู คลายหมอกควันที่จางหายไปอยางรวดเร็วเมื่อสามารถตรึงนิมิตลมและสัณฐาน
แหงกายอันเปนจุดผานลมใหทรงนิ่งตอเนื่องครูเดียว
กระแสสุขแผตัวออกกวางไปในเขตโลงรอบกาย อาการขยายหนาทองดึงลมเขาและการเห็นสายลมรี่
ผานโพรงจมูกลงสูทรวงอกเปนเสมือนแรงดึงดูดกระแสจิตอันทรงพลัง ความที่จิตละเอียดและติดตามการ
เดินทางของลมเขาสูโพรงวางในเรือนกาย ทําใหเห็นกายทั่วพรอมคลายลืมตามองออกมาจากภายใน ดู
กระดูกฉาบเนื้อนี้คลายรางหุนกระบอกไรชีวิต ดํารงอยูเพียงเพื่อเปนที่ตั้งของการรับรูนิ่งเฉย หมดสภาพ
ตัวตนที่เคยคุนขณะลืมตาอยางสิ้นเชิง
ฟงเสียงคลื่นเซาะทรายเปราะเปรียะ ประสาทหูที่เปดรับเสียงเต็มประสิทธิภาพจากการขยายผลของจิต
ทําใหคลื่นทะเลฟงแปลกกวาปกติ ทั้งชัดเจน ทั้งเก็บเสียงใกลไกลไดครบถวนพรอมกัน และมีมิติลึกลงไป
กวาการไดยินตามธรรมดา นั่นคือการเขาถึงมิติแหงความจริง ความเคลื่อนไหว ความแปรสภาพอยู
ตลอดเวลา รายละเอียดทั้งหมดที่ธรรมชาติสงเสียงคุยกับเขาถูกเก็บเกี่ยวเขาสูความรับรูอยางสมบูรณ
มติกําหนดหมายทันทีที่รูตําแหนงแกวหูอันเปนตนแหลงรับเสียง เห็นสักแตเปนเพียงอายตนะในการฟง
ไมใชตัวตน ไมมีชื่อ ไมมีโคตร ไมมีใครครอบครอง ถือกําเนิดขึ้นมาเมื่อเกือบยี่สิบปกอน และกําลังจะ
แตกดับไปในเวลาอันสั้น โดยไมอาจพยากรณวันเดือนป
กายเปนแคสุสานเก็บศพสัตวและพืชผักนานาชนิด ตั้งอยูเพื่อรับรูผัสสะรอนเย็นออนแข็งชั่วเวลาชวงหนึ่ง
ไมนานรางนี้จะลงวางเหยียดยาวไรลมหายใจ ยิ่งเปอยยิ่งหาชื่อเรียกไมถูกวาเปนใคร หรือกระทั่งเปน
อะไร มีรูปทรงสัณฐานแบบไหน
รูเห็นครอบคลุมกวางไกลและคมชัดดุจเหยี่ยวที่มีพรสวรรคในการเห็นล้ําลึก ศูนยกลางสติตั้งนิ่ง
ทามกลางความเคลื่อนไหวแหงภาพและเสียงละเอียดยิบ
๑๕๐
เนิ่นนานในชวงจํากัดหนึ่งของศักยภาพความทรงตัวแหงจิต ทามกลางความเลื่อนไหลแปรรูปไปของมห
ธรรม เมื่อจิตเสียดุล ไมอาจทรงนิมิตภายในใหคงที่ ลีลาธรรมชาติก็ดําเนินไป คลายน้ําแข็งที่ถูกความ
รอนไมอาจทรงตัว เหลวละลายกลายเปนสายน้ํา พอทํานบสมาธิพังลง ดวงจิตก็กอกระแสความคิดหลั่ง
ไหลออกมาในที่สุด
มติเกิดความเห็นเชนนั้นดวยเคยฝกพิจารณากลุมความคิดมากอน คือฝกมองกระแสความคิดเปนเพียง
ระลอกกระเพื่อมไหวที่เกิดขึ้นเมื่อจิตเสียดุลจากการดิ่งนิ่ง ความกระเพื่อมไหวนี้เองแปรสัญญาณเปน
ความกําหนดหมาย กลายเปนอุปาทานสําคัญไปวามีเราผูคิด มีเราผูครองกาย โดยที่เนื้อแทแลวคลื่น
ความคิดก็เหมือนคลื่นทะเลที่แปรรูปไปเรื่อยๆ หาตัวตนติดตามความปรวนแปรตลอดเวลานั้นไมไดเลย
มติกะพริบตาทีหนึ่ง คอยๆลุกขึ้นยืนดวยความรูสึกก้ํากึ่งระหวางโลกของความมีตัวฉันกับโลกของธรรม
ชาติบริสุทธิ์ที่เพิ่งประจักษ กระแสความคิดดําเนินไปตามครรลองที่เคยมีเคยเปน แลวจังหวะหนึ่งโลก
ของตัวตนก็เขาครอบงําดวงจิตไวทั้งหมดเมื่อเกิดความรูสึกหิวขึ้นในชองทอง มีความแหงอยากเกิดขึ้นที่
นั่น สติสตังถูกปลอยหลุดไปงายๆเพราะไมเคยผานการฝกชนิดสมบุกสมบันเยี่ยงพระธุดงคผูหมดอาลัย
กับรางกายและความเปนมนุษย
เขาอาจเปนไดแคนองชาย เดินไปไหนมาไหนกับหลอนแลวถาผานกระจกเงาก็ชําเลืองรูวาไมใชคูที่ควร
กัน แตมติถือวาภาวะโดดเดี่ยว ไรที่พึ่งพาในระยะยาวของหลอน นับเปนปญหาที่คนสนิทเชนเขามีสิทธิ์
แจงความจํานงขออยูเคียงขาง ถึงแมไมอาจเปนฝายเลี้ยงดูใหสุขกายสบายใจอยางชายผูมั่งมีจะสามารถ
ทํา ก็ขอเปนคนที่จะไมหายหนาไปไหนในเวลาหลอนตองการใครสักคนชวยจัดวางสิ่งตางๆในแตละวันให
เขาที่เขาทาง
เคยถามหลอนซ้ําแลวซ้ําเลาวาไมพอใจใครบางหรือ หลายรายที่เขามาตีสนิทก็ออกพรั่งพรอมทั้งรูป
สมบัติคุณสมบัติ แพตรีปฏิเสธมาโดยตลอด บอกอยางเดียววาอึดอัดเมื่อตองอยูกับคนที่จิตไมนิ่ง จะชาย
หรือหญิงก็ตามที
สรุปแลวคือพูดดวยปากวาไมอยากอยูกับใคร แตบอกผานการกระทําวาพึงใจเพียงพอจะใกลชิดกับเขา
ได?
สุขสันตวันเกิดนะนองรัก
ปนี้นึกอยากเจาบทเจากลอนขึ้นมาแทนซื้อของขวัญนะ
นั่งคิดอยูเปนชั่วโมง
ถายทอดใจจริงทั้งหมดที่มีใหเธอครบแลว
และหวังวาคงมีคาพอจะเปนของขวัญชิ้นหนึ่งได…
อยากมอบทองของกํานัลอันสูงคา แตจนใจไรปญญาจะหาไหว
ถาซื้อแลวคงแกวขุนไมถูกใจ เมื่อใหไปคงไมแลแควางดิน
จึงขอใหแกวใสเปนใจนี้ เจียระไนไวดูดีกวาทุกชิ้น
น้ําใจรักฉันพี่สาวจะลงริน ขังในแกวแพรวจนสิ้นอายุเรา
แคเห็นรางสูงสงาที่ลุกขึ้นยืนเต็มสวนสัดของหลานปูชนะ มติก็บอกตนเองวาหากแพตรีจะติดเนื้อตองใจผู
ชายสักคน ก็นาจะเปนแบบที่เห็นนั่นแหละ
หรือนี่มีเบื้องหลังอะไร?
ชวงที่เริ่มสนิทและคบหาประสาเด็ก เขากับหลอนคุยกันสารพัดเรื่องอยางถูกคอและมีความผูกพันใกลชิด
กันมาก อาจเปนเพราะเจอกันในงานบุญที่วัดทางนฤพานบอย และมีเพียงเขากับหลอนที่อยูในวัยไลเลี่ย
กัน
‘พี่แพฮะ ตอนแมวมองตาเรานี่มันคิดอะไรอยูหรือเปลาฮะ?’
มติขมวดคิ้วยน
๑๕๔
‘แมวคิดชั่วไดไหมฮะ?’
‘ไดสิ เราถึงเรียกแมวบางตัววาแมวอันธพาลไง’
‘งั้นมันก็ไปนรกไดสิฮะ’
แมเชื่อแพตรีมาตลอด แตคราวนั้นอดสงกาไมได
‘แมวตัวนี้เคยเปนคนดวยหรือฮะ?’
‘เคยซี่’
‘พี่แพรูไดยังไงฮะ?’
‘แลวพระทานรูไดไงฮะ?’
‘แลวพี่แพจําไดไหมฮะวาตัวเองเคยเปนอะไรมากอน?’
จําอาการนิ่งอึ้งเหมือนชั่งใจของแพตรีไดจนบัดนี้ หลอนมองไปขางหนาดวยแววตาของคนที่กําลังระลึก
ถึงบางสิ่ง
‘พี่แพจําไดเหรอฮะ?’
เมื่อเขาคาดคั้น ก็ไดคําตอบที่นาตื่นเตนสําหรับเด็กขี้สงสัย
‘จะ จําได’
‘พี่แพเคยเปนอะไรมาฮะ?’
แพตรีอ้ําอึ้งคลายจะปลอยใหเขาเลิกสนใจไปเองถาเงียบนานหนอย แตพอเขาถามซ้ําก็เอยคลายจําใจ
‘ก็เปนคนอยางนี้แหละ’
‘แลวผมเคยเปนอะไรมากอนฮะ?’
หลอนตอบยิ้มๆ
‘แลวพี่แพจําไดยังไงฮะ ทําแบบพระเหรอ?’
‘เปลา’
‘แลวทําไงฮะ?’
มติเอียงคอทําปากยื่น
‘แลวทําไมผมมองพระพุทธรูปไมเห็นนึกไดมั่งละฮะ?’
แพตรีหัวเราะนิดหนึ่ง
‘พี่นึกไดเพราะแรงอธิษฐานนะ คนอื่นไมเปนอยางพี่หรอก’
ใสถุงถือกลับมาจนถึงบานแลวนั่นแหละ มติจึงพบวาระหวางหนังสือตางๆเปนสมุดไดอารี่เลมหนาของพี่
สาว…
จากเลขปบนปกสมุดทําใหทราบวาเปนเรื่องบันทึกที่ผานมาหลายปแลว ความสนิทบวกกับความที่คิดวา
เปนเรื่องเกานานนมทําใหมติถือวิสาสะเปดอานประสาวัยอยากรูอยากเห็น
นั่นทําใหเขาเปนเจาของไดอารี่อยางสมบูรณ และสามารถนําติดเปมาดวยในวันนี้…
ถัดจากบันทึกวันนั้น มีแตถอยคําอันแสดงถึงจิตใจที่เวียนวายวกวนอยูกับชายที่ดูเหมือนหลอนรอคอยมา
ตั้งแตเกิด…หรือทาทางจะตั้งแตกอนเกิด จนเดี๋ยวนี้มติก็ยังมึนงงเหมือนกึ่งฝนกึ่งจริง แนนอนหลอน
บันทึกไวเปนความลับสุดยอด มิไดมีเจตนาใหมือที่สองมาอานหรือคิดเชื่อตาม ซึ่งนั่นแหละทําใหเขาขน
ลุก หลอนอยูอีกโลกที่เขาไมรูจัก โลกของความรักขามภพขามชาติ โลกที่ทําใหชีวิตจริงเห็นไดดวยตา
เปลาของคนทั่วไปถูกแยกเปนอีกระนาบ
ปูทราบวาแพตรีจําอดีตของตัวเองไดตั้งแตยางหกขวบ และหลอนก็เหมือนเด็กระลึกชาติไดทั่วไปที่มี
ความขัดแยงในตนเอง แมผิวนอกเปนเด็ก แตเนื้อในมีความเปนผูใหญเกินวัย เนื่องจากความหมายจํา
เกาๆยังตกคาง และไมอาจกลืนกันสนิทกับอัตภาพใหมที่ยังคงออนเยาวเอามาก
เมื่อหลอนถามถึงความเปนมาของตนเองละเอียดกวาความรูผิวๆเชนพอแม ญาติพี่นองที่แทจริงเปนใคร
ปูจึงเลาตามจริงวายอนไปกอนหนาหลอนเกิดประมาณหาปเศษ ขณะปูทําสมาธิทรงตัวไดที่อยูในหอง
พระบนบาน ทานเกิดนิมิตเห็นวิญญาณชั้นสูงปรากฏขึ้นอยางแจมชัด ในนิมิตทานไมรูสึกกลัว ตรงขาม
มีความคุนเคยสนิทสนมเหมือนไดพบญาติที่หางหายกันไปนานจนเลือนหนาเลือนตา ปูดีใจอยูลึกๆที่พบ
กัน
๑๕๘
ธุระที่มาปรากฏในนิมิตไมใชเพื่อบอกเกาเลาสิบวาจะมาเกิด แตมาเพราะเปนกังวลเกี่ยวกับใครคนหนึ่งที่
จะตามมาเกิดดวยอํานาจแรงอธิษฐานรวมกัน ใครคนนั้นจะเกิดเปนหญิง และดวยกรรมบางอยางหลอน
จะกําพราพอแมตั้งแตยังไมรูความ
สุดทายวิญญาณในนิมิตสมาธิระบุวาแดนเกิดของหลอนคือสองสามีภรรยาที่ปูรูจักอยูแลว ขอเพียงไป
เยี่ยมเยียนใหตรงเวลาเทานั้น
แลววันหนึ่ง ปูก็ไดรูวาเขามาเกิดจริง...
เมื่อตระหนักวานิมิตสมาธิครั้งนั้นมิใชของหลอก สิ่งที่เกิดขึ้นในใจก็คือความสุขอยางประหลาดกับการรอ
คอยหลานสาวคนใหม
ปูชนะเดินทางไปเยี่ยมคนรูจักทางเหนือตามกําหนดเวลาซึ่งจดไวเปนมั่นเหมาะ เพื่อพบวาคนรูจักที่วา
นั้นตายเสียแลวกอนหนาปูไปถึง ทั้งคูสามีภรรยาออกจากบานขึ้นรถโดยสารที่วิ่งไปเทกระจาดกลางถนน
คนตายกันเกือบหมดคันรถ
แมหนูนอยผูมีอายุเกือบครบขวบจึงกลายเปนเด็กกําพรา รออยูวาญาติฝายสามีหรือภรรยาที่จะยื่นมือมา
รับ ยังดีหนอยระหวางนั้นคนใชเกาแกผูซื่อสัตยคอยประคบประหงมเลี้ยงดูไปพลางๆ
๑๕๙
ในไดอารี่ชวงนี้แพตรีบรรยายความรูสึกของตนเองวาสํานึกบุญคุณของปูเพียงใด หลอนพยายามอยูอยาง
เจียมตัวเจียมตน ทํางานทุกอยางในบานเหมือนเด็กรับใชคนหนึ่ง และแมปูหยิบยื่นขาวของมีราคาใหก็
ปฏิเสธทั้งหมด ซึ่งนั่นเปนสิ่งที่มติเปนพยานเห็นจริงมาตลอด
ฉันไดยินคุณพอของเขาคุยใหปูฟงถึงความเกงกลาสามารถ สอบเขามหาวิทยาลัย
คณะดีๆไดตั้งแตอายุสิบหก กําลังจะจบตรีอีกไมนาน วางแผนจะสงไปเรียนตอโท
และทํางานที่เมืองนอกระยะหนึ่ง ฉันใจหาย ความรูสึกบอกวาอาจไมไดเห็นเขาอีก
แลว
บันทึกในไดอารี่ถัดจากนั้นจนสิ้นปบอกใหทราบวาใจแพตรีเด็ดเดี่ยวเพียงไร หลอนไมเอยถึงหลานปูอีก
เลยแมแตคําเดียว ซึ่งสะทอนใหเห็นวาหลอนตัดใจ…หรืออยางนอยพยายามตัดใจจากเขาคนนั้นไดเด็ด
ขาดจริงๆ
ความเปนแพตรีในชวงหลังคือแรงบันดาลใจหลายๆอยางสําหรับเขา ความสนใจศิลปะที่มีอยูแลวเปนทุน
ถูกเรงเราทวีตัวขึ้นจริงจัง เมื่อขอรองหลอนชวยนั่งเปนแบบวาดใหเปนครั้งแรกนั้น จําไดวาทุมเทความ
ตั้งใจมากที่สุด ความงามของหลอนเปนสิ่งวาดยาก ใชแตรูจักบรรจงจัดสัดสวน ปนแตงรูปทรงใหเกิดมิติ
แลวจะเหมือนไดโดยงาย ทวายังตองเขาใจอยางลึกซึ้งเกี่ยวกับการผสมสีเพื่อใหเกิดความเรืองรองบาง
ชนิดที่แปลกตาแตเห็นไดจริงจากหลอน
ความพยายามถายทอดสิ่งที่อยูในแพตรีออกมาเปนภาพใหไดนั้นเอง เหนี่ยวนํามติเขาสูวิถีทางของ
หลอนไปดวย เขาฝกที่จะดํารงตนทามกลางความวุนวายดวยใจสูงอันเปนธาตุเดิมของมนุษย ฝกตั้ง
สมาธิจดจอกับงาน จดจอกับลมเขาออก จนยกจิตขึ้นเหนือระดับความคิดสามัญได กับทั้งฝกที่จะมอง
สรรพสิ่งดวยดวงตาเพงมองใหเห็นธรรมเยี่ยงโยคาวจรผูแสวงทางหลุดพน
สมาธิและแรงบันดาลใจอยางเอกอุในการมองใหเห็นความงาม สงฝมือเชิงศิลปอันบมเพาะมาแตเล็ก
กระโจนตัวขึ้นถึงสุดโตง เมื่อตา มือ และใจผนึกรวมผสมตัวทํางานประสานกันเปนหนึ่งเดียว ถึงขั้นใชมือ
ลากดินสอไดดังใจ หยั่งรูที่จะเลือกผสมและลงสีไดตรงจริงยิ่งกวารูปถาย มติตระหนักวาหากสามารถ
สรางเสนและสีไดเหมือนกับที่เห็น ก็จะสามารถจําลองโลกมาไวบนแผนภาพไดทั้งหมด
แพตรีจึงเปนศูนยรวมความคิดอานเกือบทั้งหมด แมในยามที่ปลีกตัวออกมาดวยความตั้งใจหางหลอน
เชนนี้
เหน็ดหนายเนือยนายขึ้นมาจุกอก จูๆก็ถามตนเองขึ้นมาวาวันหนึ่งหากแพตรีหายไปเพื่อสรางบานสราง
เรือนกับใครสักคน เขาจะมีวันคืนที่แปลกเปลี่ยนไปขนาดไหน…
๑๖๒
แวบนึกถึงหลวงตาแขวนขึ้นมา พักหลังๆมติมักไดยินทานเปรยทามกลางญาติโยมพลางปรายตามายัง
เขาเสมอ เปนทํานองวา
ทานใหดูแขนขาที่ลีบและเนื้อหนังที่เหี่ยวแหงแฟบฟุบของทาน แลวใหนึกจินตนาการเอาวาถาใครมีราง
กายแฟบๆแบบนี้ ขยับทีเมื่อยขบออนแรงไปหมด ถามหนอยวาใจมันจะคึกอยากปฏิบัติใหเหนียวๆไหม
แลวถาไมปฏิบัติแบบเหนียวๆ จะใหเอาดี ไดสมาธิ-วิปสสนาญาณ โสฬสญาณอะไรไหว?
จะไหวไหม?
๑๖๓
มีความเชื่อมั่นและสัญญาแหงความสมหวังในกระแสกุศลจิต เกาทัณฑยิ้มเบิกบานเมื่อลงจากรถและเดิน
ตรงไปยังกุฏิเจาอาวาส ดวยจิตใจที่หนักแนนเต็มอิ่มถึงที่สุดเยี่ยงนี้ ชายหนุมบอกตนเองวาหากลงมือทํา
สมาธิ จะตองประสพความสําเร็จแนนอน เขาปราศจากความกังวลอยางสิ้นเชิง
ในมือถือดอกไมและธูปเทียนที่เตรียมมาถวายพระอาจารยตามความปรารถนาที่จะบูชาทานจากใจ มิได
นํามาเพราะเห็นวาเปนธรรมเนียมประเพณีพิธีการใดๆทั้งสิ้น
"เขามานี่"
เสียงหลวงตาแขวนดังออกมาจากหองของทาน ทําเอาเกาทัณฑผงะหนอยหนึ่ง
"ขาไมชอบเดินเลน ถาเดินก็เดินจงกรมหรอกนะ"
ชายหนุมไดยินชัดเต็มสองหูดวยความสะดุงใจ เพิ่งในบัดนั้นเองที่ประจักษวาความคิดเปนสิ่งกระจาย
ออกนอกหัวและถูกลวงรูไดราวกับพูดจากปาก นั่นเปนประสบการณครั้งแรก และทําใหบังเกิดความยั่น
ระยอครามเกรงผูเปนอาจารยยิ่งกวาเดิมเปนทวีคูณ
เปดประตูเขาไปดวยทาทีของศิษยผูมีความสงางามองอาจ แตขางในประหมาและประหวั่นจนเกือบเปน
เกร็ง ทรุดกายลงคลานเขานําดอกไมไปถวาย กราบสามหน แลวนั่งนิ่งเงียบรอการปราศรัยจากทานกอน
"เปนไง?"
๑๖๔
ทานถามรวมๆ เกาทัณฑคิดนิดหนึ่งกอนตอบอยางสุภาพ
หลวงตาแขวนหัวเราะหึๆ
"เอ็งมันเด็กเมือง ทําไดแคนี้นับวาแปลกแลว"
เกาทัณฑยิ้มออกมาอยางเปนปลื้ม ดูทีทานคงรูเปนแนวาเขาทําไดแคไหน
ชายหนุมพนมมือกราบขอบพระคุณครั้งหนึ่งดวยทีทาปกติ ทวาขางในลิงโลดยินดีเปนลนพน
เมื่อทานหยุด เกาทัณฑก็พนมมือรับวา
“ครับ”
เกาทัณฑพยักหนารับทราบ เมมปากเปนเสนตรงอยางพรอมรับฟงทุกสิ่ง
เกาทัณฑไวพอจะคิดรูวาควรเอยคําใดออกไป
การบรรลุจิตถึงขั้นไดฌานสมาบัติเสียกอนจึงจําเปนยิ่งดวยประการฉะนี้
"เขาสมาธิเสีย พอไดที่หนอยขาจะคุมใหเอ็งเห็นสมใจ"
๑๖๖
ชายหนุมจัดองคนั่งใหไดฐานสติอันควร ความคิดในหัวสงัดเงียบลงทันทีเพียงเมื่อแรกขยายหนาทองสง
แรงฉุดลมหายใจเขาสายแรก แลวกําหนดสติรูลมหายใจออก
ในความวิเวกและฉ่ําเย็นอยางประหลาดนั้น มีเพียงนิมิตสายลมหายใจปรากฏเปนลํายาวเดนชัดเหนือสิ่ง
อื่นใด ทั้งรางกาย ความคิด และสรรพสิ่งในโลกหลาหลงเหลือใหรูวามีอยูก็แตเพียงเบาบาง สัจจะความ
จริงในบัดนี้จึงไมมีอะไรเกินการมีลมหายใจและกระแสจิตแผกวางเปนดวงนิ่ง โดยตัวผูรูตั้งเดนอยูตรง
กลาง ใกลจะกลาวไดทีเดียววาลมหายใจและดวงจิตเทานั้นที่เปนจริง อยางอื่นเปนเท็จไปหมด ความสุข
อันล้ําลึกทําใหหมดความกระวนกระวาย แมการเห็นอดีตชาติก็มิใชเรื่องนาคํานึงอีกตอไปดวยซ้ํา
เกาทัณฑตามรูลมหายใจที่ผานไปประมาณสิบรอบเขาออก แลวพลันสนามพลังอันยิ่งใหญก็บังเกิดขึ้น
ตรึงจิตเขาใหแนนิ่งกับที่โดยไมตองประคองรักษา รับรูดวยสัญชาตญาณสมาธิทันทีวานั่นเปนพลังที่สงมา
ชวยค้ําจุนจากภายนอก หาไดเกิดจากกําลังจิตของตน ซึ่งเทียบแลวคลายเด็กหัดเดินผูทําไดเพียงกาว
ระยะสั้น ถูกประคับประคองโดยผูเดินแข็งแลว และอาจเดินทางไกลเทาใดก็ไดตามปรารถนาของผูใหญ
ภาวะจิตเกือบเหมือนฝนอยูอยางหนึ่ง คือนิ่งในแบบที่อาจเห็นภาพอะไรสักอยาง
แลวอีกเจตสิกหนึ่งก็ถูกแทรกแทนขึ้นมาคลายสติที่คืบคลานเขามายามตื่นจากหลับ โดยผุดขึ้นเปนความ
รูสึกในตัวตนกอน แลวตามดวยสํานึกชัดเจนเยี่ยงมนุษยธรรมดา มนุษยนั้นคือ ‘ตัวเขา’ แตไมใชนาย
เกาทัณฑ...
จําตัวเองไดแจมชัดและผุดความคิดภายในขึ้นมาวา ‘นี่คือเรา’
สํานึกแหงความเปนฤาษีผูทรงตบะยิ่งใหญคอยๆถอยคืน กําลังวังชาและเนื้อหนังแหงความเปนหนุมกลับ
แทรกเขาแทนที่ในสํานึกรับรู นี่ก็จริงอีกเหมือนกัน รับทราบมโนภาพแหงตัวตนอันแตกตาง ทวาความ
กําหนดหมายวาตนเปนฤาษีก็ยังซอนอยูรางๆ เหมือนมีสองวิญญาณในรางเดียว
แลวความเหลื่อมซอนทั้งปวงก็ขาดสายหายหน เหลือความเปนนายเกาทัณฑและตัวกําเนิดกลุมความคิด
อันมีโครงสรางซับซอนเปนระเบียบอยางหนุมเมืองปรากฏแจมชัดเพียงหนึ่งเดียว คอยๆลืมตาขึ้นอยางมี
สติ สมาธิยังมีแรงเฉื่อยอยูอีกครู กอนจางตัวสลายลงหมดสิ้น เหน็ดเหนื่อยคลายออกแรงวิ่งทางไกลมา
หลายรอยเมตร แตไมหอบ
เกาทัณฑแลตามองพระอาจารยนิ่ง ดุจทุกสิ่งกลายเปนกอนหินแข็งทื่ออยูอีกพักใหญ
"พอใจรึยัง?"
น้ําเสียงมีเมตตานั้นปนมากับกังวานอํานาจแหงอาจารยใหญฝายกรรมฐาน เกาทัณฑขยับกายเปลี่ยนทา
นั่งเปนพับเพียบ
"ครับ"
กําแพงที่ขวางคั่นสองตัวตนถูกทําลายลง…เปนบางสวน
บัดนี้เขาสามารถมองลอดทะลุไปยังอีกเขตที่เคยถูกกําแพงปดหูปดตาทึบสนิทจนหลงเชื่อวามีแตเขตที่
กําลังยืนนี้เทานั้นที่มี เขตอื่นไมมี
ถึงแมวาความสามารถในการมองทะลุใหเห็นเขตอื่นยังจํากัดจําเขี่ย มัวมนเหมือนเต็มไปดวยหมอกทึบ
คลุมบัง ทวาก็ทราบแนแลววามี
ตัวตนเกาที่ถูกหลงลืมไป
เผลอตัวยอนนึกถึงอัตภาพในอดีตจนลืมวากําลังอยูที่ไหนกับใคร กระทั่งหลวงตาแขวนเตือนขึ้น
“ไมงายอยางนั้นหรอกไอหนุม…”
เกาทัณฑกะพริบตาปริบๆดวยความงงงัน เพราะวูบของความคิดอยากไดอยากดีเกินวิสัยเกิดขึ้นเพียงชั่ว
ลัดนิ้วมือ กระทั่งแทบจับตนชนปลายไมติด เกือบฟงไมรูวาเหตุใดหลวงตาแขวนจึงเอยเชนนั้น
๑๖๙
“ขณะของจิตที่ระลึกความหลังไดกับความสามารถกระทําการในปจจุบันเปนคนละเรื่องกัน แบบเดียวกับ
ที่เอ็งฝนวาเหาะเหินเดินอากาศยังไงก็ได แตตื่นแลวอยางมากก็แคโดดไดหางพื้นสองศอก”
เกาทัณฑรูสึกวาความคิดของตนมีเสียงดังเกินไปเสียแลว เริ่มเห็นวานี่มิใชเรื่องปาฏิหาริยเกินปกติวิสัย
อีกตอไป ในกุฏินั้น เขาสามารถสัมผัสไดวารอบตัวเต็มไปดวยคลื่นความเคลื่อนไหว ทั้งคลื่นความคิด
คลื่นเจตนา และคลื่นอารมณดีเลวตางๆ ทุกสิ่งถูกเคี่ยวใหเขมชัดในบรรยากาศละแวกรอบขางพระผูทรง
อภิญญาองคนี้
เมื่อฐานแหงความเชื่อดั้งเดิมพังทลายลง โลกทัศนและความรูสึกเกี่ยวกับตนเองก็พลอยเปลี่ยนแปรไป
ดวย อยางนอยก็มากพอจะยอนพินิจวาตลอดมาที่นึกวาเขาใจอะไรๆเกี่ยวกับชีวิตดีแลวนั้น ผิดถนัด และ
แมปรัชญาชีวิตของนักปราชญผูเรืองนามก็อาจกลายเปนมุมมองของผูไมรูจริงอีกคนหนึ่ง
เกาทัณฑรําพึง หลวงตาแขวนเห็นลูกศิษยบังเกิดความสังเวชในธรรมก็กลาวอยางปรานีวา
"แลวผมก็ตองลืมไปอีกเมื่อถึงเวลาตาย และก็ตองมีอีกอัตภาพหนึ่งที่จะเกิดมารับกรรมซึ่งผมสรางทําไว
เดี๋ยวนี้..."
เกิดความหยั่งเห็นขึ้นมาแวบหนึ่งวาตัวที่กําลังรูสึกและนึกคิดไดอยางเดี๋ยวนี้…
วันหนึ่งจะดับลง
นึกหวาดกลัวภัยมืดอันแฝงเรนอยูในความเกิดตายอยางไมรูอิโหนอิเหน นี่หากเขาไรวาสนามารับการ
อุปถัมภจากหลวงตาแขวน ชาตินี้ก็คงดําเนินชีวิตไปอยางเรื่อยเปอยตามกระแสโลก ไมเชื่อเรื่องภพชาติ
ไมเชื่อเรื่องเวรกรรม ยิ่งแกตัวก็ยิ่งกระทําการอันจะเปนผลประโยชนเขาตัวมากขึ้น มีความคํานึงนอยลงๆ
๑๗๐
เกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรม เชนเดียวกับปุถุชนทั่วไปผูถูกดึงดูดใหคลอยตามทิฐิและความหลงบารมีอัน
เกิดแตอายุ
ชาติตอๆไปเขาจะโชคดีเหมือนชาตินี้และชาติกอนไหม?
ฟงแลวเกาทัณฑไดแตกะพริบตาสองสามทีติดกัน แมครั้งหนึ่งเคยพุงไปถึงจุดสูงสุดของศักยภาพมนุษย
บําเพ็ญตบะจนไดมหัคตะกุศล สําเร็จฌาน บรรลุอภิญญา เปดตาในตานอกใหสวางถึงที่สุด เปนอยูอยาง
สะอาดหมดจดในพรหมจรรยมรรค ก็ยังผันแปร เปลี่ยนแปลงกลับมาเปนเขา นายเกาทัณฑผูสําคัญตัว
ผิด มองโลกดวยตาใสใจบอด และไดกอกรรมอันเปนทางทรมานไวแลวอยางมากมาย
อยางนี้จะเปนมันทําไม...ผูวิเศษ
กระนั้นก็ยังมีผาผูกตาปดบังโลกที่แทจริงไวตลอดเวลา ทวาก็นึกสําคัญวาตนประจักษโลกอยางถองแท
แลว
พระครูผูเมตตาหัวเราะในลําคอ ดวงตาอันฉาบชราภาพแลนิ่งมายังลูกศิษยหนุม
เกาทัณฑอึ้งคิดไปชั่วครู กอนเรียนทานตามตรงวา
หลวงตาแขวนพยักหนาชาๆ
“ถาคิดแบบนั้นก็เขามาใกลตนทางนะ เพราะผูบรรลุธรรมขั้นสูงสุดมากมายไมแมแตจะคิดอยากเปนพระ
อรหันต ถาตนทางเห็นภัยคิดผละจาก ปลายทางถึงจะผละจากไดจริง เมื่อสิ้นอวิชชา สิ้นทุกขเด็ดขาด
แลว จะเรียกอรหันตหรืออะไรก็ชาง”
“ครับ”
“ปดตาเขาสมาธิแลวฟงขาพูดไปเรื่อยๆ”
"กําหนดดูวากายมีความนิ่งอยูที่ไหนบาง มีอาการเคลื่อนไหวอยูที่ไหนบาง"
"กําหนดดูวา มีอะไรบางที่เปนตางหากจากใจเรา"
จิตซึ่งกําลังมีสภาพเปนตัวรูเต็มดวงตอบอยูในภายในทันทีวาไม…ไมพบที่สถิตของสายลมหายใจแมแต
จุดเดียวตลอดเสนทางผานเขาออกโพรงอันเปนสวนหนึ่งของรางกาย ธรรมชาติการไหลรี่เร็วของสายลม
ไมเคยแตะตองหรือทนหยุดพัก ณ จุดใดไดเลย
ภาวะนิ่งอยางเอกอุซึ่งประกอบพรอมดวยอาการพิจารณาเห็นธรรมดําเนินตอไป ไดยินคําสั่งจากพระ
อาจารยตอมา
"เมื่อเราไมไดสราง แลวอยางนี้ควรยึดถือไหมวาเปนของเรา?”
อโหธรรมา...อโหธรรมา
จิตนิ่งฉายสวางเต็มกําลังอุปจารสมาธิจิต ขณะเดียวกันก็ประกอบพรอมดวยอาการพิจารณารูอันเปน
ลักษณะของปญญา เปนวาระที่รูปและนามประสานกันไดผลลัพธเปนธรรมคือดวงรูละวาง ปราศจาก
สํานึกแหงความเปนสัตว คน เทวดา พรหม หรือสมมุติใดๆ
๑๗๔
ผูเปนธรรมาจารยปลอยใหภาวะรูเห็นของศิษยดําเนินตอเนื่องจนกระทั่งตกผลึก ทรงตัวโดยปราศจาก
การควบคุม จึงแทรกจิตเขากํากับเพื่อลัดทางใหสั้นเขา
เกาทัณฑเห็นนิมิตของสัณฐานกายเริ่มผิดแผกจากเดิม ภาคสํานึกรูตัวของนายเกาทัณฑจับมองนิมิตใหม
ดวยความประหลาดใจ แตปราศจากความตื่นกลัว เหมือนมองตัวเองมาจากดานหลังดวยตาอันผูกติดอยู
กับกระดูกและเลือดเนื้อในกายเอง กายปรากฏเปนขอกระดูกสันหลังเรียงกันจากคอถึงกนกบ มีซี่โครง
แยกจากโครงกระดูกสันหลังเห็นคลายกางปลา หอหุมกอนเนื้อซึ่งปรากฏเพียงเลือนราง สุมๆกันแออัด มี
กอนที่เตนตุบๆกลางอกชัดหนอยวาเปนหัวใจ
ไมเคยเห็นกายตนเองเปนเหมือนอยางนี้มากอน เมื่อเห็นแลวก็ไดแตรับทราบวาสิ่งตางๆตั้งอยูเชนนั้น
จริง ขึ้นอยูกับวาจะปรับสภาพจิตใหเขาเห็นภายในไดอยางไร หยาบละเอียดเพียงไหน
กลไกภายในกําลังทํางานอยูอยางเปนระเบียบโดยปราศจากเจตนานํา นี่ถาหากกลไกทุกชิ้นตองอาศัยคํา
สั่งจากความคิดของเขา เขาคงวุนวายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไมเปนทําอะไรอื่นแลว
“นี่แหละสิ่งที่กําลังดํารงอยู และกําลังจะแตกดับไป”
เสียงของหลวงตาแขวนดังขึ้นในทามกลางการเห็นกายเปนสิ่งที่สรางจากองคประกอบแยกยอย ในทันที
ทันใดนั้นจิตก็เกิดความเห็นขึ้นมาอยางเต็มตื้น
กายมนุษย
ยกขึ้นดวยกระดูกสันหลัง
ฉาบทาดวยเลือดเนื้อ
เมื่อแยกเปนสวนๆ
ไมเหลือมนุษย
ไมเหลือเราเขา
เหลือแตทอนกระดูกกับเลือดเนื้อ
วางเปลา
รอวันแตกดับ
ไรแกนสาร
๑๗๕
หากนําจิตที่ประมวลรูนิมิตกายเปนปญญาคิดของเกาทัณฑมาปฏิรูปเปนภาษา ก็คงถอดความไดตาม
นั้น…
แตแลวความวางเปลาก็กลับกลาย เมื่อแรงดึงดูดที่รวมกระแสจิตใหเต็มดวงคลายตัว
"ฟงขาพูดใหดี"
ผูนําความเห็นชนิดนี้มาให ยอมสมควรถูกยกไวบูชาในที่สูงสุด
โปรดสัตวเชนเขา เขาคือผูมีโชคอันประเสริฐที่เปนหนึ่งในกลุมเวไนยสัตวแหงพระพุทธเจาพระองคนี้
แลวเมตตานั้นก็เปลี่ยนกระแสเปนการุณยภาพแผกวางไปอยางไรประมาณ ดวยเหตุที่ใครลงมือนําธรรม
ซึ่งตนรูนั้นออกแจกจายใครก็ไดไมเลือกหนาทุกทิศทาง
ราวกับเขาบานที่เคยคุน ราวกับเพิ่งคนหาตัวเองพบในยามนี้
๑๗๗
กําลังจิตทวีตัวขึ้นเรื่อยๆจนรูสึกชัดเปนจริงเปนจัง เห็นเปนรัศมีแผผานไปราวจะอาบผืนโลกใหฉ่ําเย็น
อาภา
ในความเปนดวงรูแผไปไรประมาณชนิดนั้น คลายกระแสจิตปรับคลื่นของตนเขาปะทะอยางแรงกับคลื่น
ทุกขอันลอยตัวอยูทั่วไปบนพื้นพิภพ ไดยินเสียงร่ํารองโหยไหอยางนาเวทนา มันดังออกมาจากจิตมนุษย
และสัตวแทบทุกรูปนามบนแผนดิน ฟงชัดราวกับอึงอลอยูในโสตประสาทจริง เริ่มจากแวว แลวทวีขึ้น
จนกระทั่งกลายเปนกระหึ่มเชนเดียวกับฝนราย
สนามคลื่นแหงทุกขของคนทั้งแผนดินนั้น ครุวนาดั่งมหาสมุทรที่อาจโถมทับทุกสิ่งใหลมจมฉิบหายสิ้น
เกาทัณฑสําเหนียกทราบถึงความนาสะพรึงกลัวอันผนึกรวมกันเปนขายคลื่นมหายักษ ชางทะมึนมืดนา
ขนลุกเหลือประมาณ การุณยภาพที่แผสวางออกจากดวงจิตของเขาถูกกลบกลืนหมนมัวไปหมดสิ้น สูไม
ได ทัดทานไมไหว เทียบอะไรไมติดเลยกับมหาทุกขของปวงมนุษยและสัตวบนแผนดินและใตแผนน้ํา
ความทุกข...ของจริงที่ยั่งยืนมาจากอดีตจนถึงปจจุบัน และจะตอเนื่องไปในอนาคต
‘สักวันเราจะเปนพระพุทธเจา เราจะชวยสัตวใหพนทุกขดวยทศบารมี'
บังเกิดความตื่นเตนแปลกใหม สีสันแหงสุขทุกขอันลี้ลับเบื้องหนาบนเสนทางสูพระโพธิญาณชางทาทาย
ชวนระทึก เขารูสึกวาความเปนตนทอดยาวไปไกล...ไกลมาก
“ทางตรงที่คนอื่นปูไวใหเดินสบายๆไมเอา จะเลือกออมปาออมเขาซะเอง”
“ครับ…พุทธภูมิคือทางไปพระนิพพานที่ผมเลือก”
ภิกษุชราเอนกายหัวเราะเอื่อยเฉื่อย
หรือวาที่แทเขาก็เปนโพธิสัตวอยูแลวโดยไมรูตัว?!
“ความหมายมั่นและความสามารถทําเรื่องยากใหลุลวงเปนเอกลักษณหนึ่งของพระโพธิสัตว ทําใหเปนผูมี
ตบะเดชะ นับเปนดานดีที่มีดานรายแฝงอยู คนเปนโพธิสัตวสวนใหญหลวมตัวใหกิเลสขอที่วาดวยโมหะ
ถึงมีปญญาแคไหนก็อดหลงตัวเองไมได พอทําดีก็ทุมตัวสุดกําลัง พอทํารายก็ปลอยใจจนสุดขั้ว หาคน
หามยาก เพราะฉะนั้นตองสั่งสมคุณงามความดีไวเปนเสบียง และเปนสัญญาณนํารองใหกับจิตเอง ถึงจะ
ไมตกไปสูอบายบอยนัก"
"ขาจะใหดูอะไรนี่!"
หลุดจากครอบกะลาหนึ่ง ไปเห็นอีกครอบกะลาหนึ่ง…
ภาพสัตวนรกตนหนึ่งถูกดูดเขามาใกลตา ชางนาหวาดเสียวและชวนอาเจียนกับการเห็นวิญญาณบาปที่มี
รูปเปนผูชายกําลังนอนบิดตัวไปมา โดนหนอนนรกขนาดเทาปลายกอยนับพันนับหมื่นชอนไชไปทั่วราง
๑๘๐
พยายามสงสายตาไปพินิจรายละเอียด สิ่งแรกที่ดวงจิตใหความสนใจคือลูกตาอันเหลือกถลนของ
วิญญาณบาป พอเห็นชัดก็สยองไปทั้งเกลา ชางนากลัวเหลือเกิน มันไมมีตาดํา มีแตความขาวช้ําดานชา
ไรแวว กลอกหลุกหลิกสงกระแสความเจ็บปวดรวดราวเกินจะกลาวออกมาอยางตอเนื่อง
มีสิ่งที่เปนเหมือนเสนผมขอดติดหนังหัว เนื้อหนังอวัยวะสวนตางๆถอดแบบมาจากรูปกายมนุษยเกือบ
ทุกอยาง มีเล็บ มีขอนิ้ว มีอะไรๆบงความเปนเพศชาย ทวาดูชางวิปริตผิดแบบ เห็นแลวทราบทันทีวาไม
ใชกายมนุษยอยางแนนอน และนี่ก็ไมใชการพรางแตงดวยเครื่องมือของกองถายภาพยนตรระดับโลก แต
มันคือของจริงที่ปรากฏตอดวงจิตอีกระนาบหนึ่ง
ของในหนังนั้นตกแตงนากลัวอยางไรก็ขาดไปอยาง...กระแสวิญญาณของสัตวนรก
แตรางนั้นก็คลายมนุษยเสียเหลือเกิน คลายจนเขานึกเวทนาเชนเดียวกับที่เคยใหความเวทนามนุษย
ดวยกันมากอน ขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยวารูปนี้คงมิไดถูกหลอเลี้ยงดวยหนอนนรกเปนแน ถาเชน
นั้นมันมีสิ่งใดเปนอาหารกัน
"มันกําลังรับกรรมจากครั้งที่เคยเปนนักบวชผูทรงคุณ แตบอนทําลายตนเองในบั้นปลายดวยการกระทํา
อันเปนทุศีล เมื่อเพื่อนนักบวชผูมีศีลบริสุทธิ์พยายามตักเตือนและโนมนาวใหแกไข ก็เกิดโทสะ พูดหยาบ
ชาลามก บริภาษตางๆนานา แถมยังชักจูงบริษัทบริวารใหเชื่อวาผูมีศีลนั้นเปนตัวตลก มีกิริยานาขบขัน
และเปนนักบวชทุศีลเสียเอง พาคนมากมายใหมีบาปมีมลทินอยางหนักตามไปดวย"
๑๘๑
ดวงจิตของเกาทัณฑรอนผาวเหมือนถูกทรายพิษซัด ดวยเพราะระลึกไดวาตนก็เคยทํากรรมคลายๆอยาง
นั้นมากอน เรื่องหมั่นไสคนดีนะเปนธรรมดาของคนชั่วอยูแลว เขาเคยคอนแคะนินทาเพื่อนรวมงานบาง
คนที่ทําตัวสมถะเรียบงาย ใจดีเหมือนพอพระ เปนที่กลาวขวัญของสาวๆ ใชคําพูดชวนขันจนหลายคน
มองหมอนั่นเปนตัวตลก และกระทั่งสงสัยวาเต็มเต็งหรือเปลา
แปลวาเขาขายมาอยูในบัญชีนรกชนิดเดียวกับสัตวตนนี้?
โอย...
สัตวนรกตรงหนาเริ่มเปลี่ยนจากอาการบิดทุรนทุรายเปนดิ้นปดเราๆ แลวกระแทกตัวกับพื้นขึ้นลงตั้บๆ
ดวยฤทธิ์ทรมานอันเผ็ดรอนกลาแข็งถึงขีดสุด มือไมปดหนอนวุน ทั้งขยุมขยํา ทั้งลวงเขาไปในแผลใหญ
กําหนอนนรกออกมากลุมแลวกลุมเลาเพื่อปาทิ้ง แตทิ้งเทาไหรก็ไมมีทีทาวาจะลดจํานวนลงสักนิด ยังคง
ไตยุบยั่บยั้วเยี้ยไมรูจักกี่หมื่นกี่พันตัว ยิ่งดูยิ่งขนหัวลุก มองเห็นเปนตัวๆกําลังปนปายเขานอกออกในราง
รายของวิญญาณบาปอยางครึกครื้น มากมายจนลน ตองปนปายอยูบนหลังพวกเดียวกันเองก็เยอะ
ถามีกายหยาบอยูดวยปานนี้เขาอวกไปแลว
เปนนานกวาที่สัตวตองทัณฑกรรมตนนั้นจะทุเลาเจ็บลงนอนดิ้นนอยลงเหมือนตอนแรก เกาทัณฑไดเห็น
ดวยตาวาความเผ็ดรอนแหงกรรมชั่วนั้นก็ยังมีหนักบางเบาบางสลับกัน ใชจะรับแตรสกลาแข็งคงเสนคง
วาตลอดไป
"มีอยู"
เสียงหลวงตาแขวนดังขึ้นอีก ไมแนใจวาแววอยูในจิตหรือยินผานประสาทหูกันแน
"มีนรกบางขุมที่สัตวบาปไดรับทุกขเวทนากลาแข็งเสมอตนเสมอปลาย ไมมีบรรเทาลงเลยสักขณะจิต
เดียว อยางเชนอเวจีมหานรกที่พระเทวทัตกําลังเสวยวิบากอยูเดี๋ยวนี้ ที่เอ็งเห็นนี่เปนแคนรกขุมกลางๆ
เทียบแลวไมทุกขสาหัสสากรรจนัก มีผอนหนักผอนเบาบางตามวาระ คลายคนระบมไขบนโลกนั่นแหละ"
เกาทัณฑเบือนหนาหนีไปจากภาพชวนสะอิดสะเอียนอยางเกินกวาจะรับภาพโหดเหี้ยมระดับนั้น หรือแม
นอยกวานั้นอีกตอไป
๑๘๒
ดวงจิตเหมือนสงกระแสวิงวอนมาถึงหลวงตาแขวน ขอตื่นจากฝนรายนี้ที
"เปนไง?"
"นากลัวเหลือเกินครับ"
ชายหนุมประนมมือตอบตามใจจริง หมดมาดทะนงลงสิ้น
เกาทัณฑเบิกตาโพลง ตกตะลึงเหมือนโดนทุบที่หัวอยางแรง
"ครับ"
หลวงตาแขวนพยักหนา
๑๘๓
เกาทัณฑรับทราบดวยความสมเพชยิ่ง
กลับจากกลัวเปนกลาอยางบาบิ่นขึ้นมาในพริบตาเดียว ใจที่สั่นกลับปกมั่นยิ่งกวาเสาเหล็กที่ถูกตอกลง
ลึกทะลุชั้นหินแข็ง
‘กูยอมลงนรกเพื่อพระโพธิญาณ เวไนยสัตวอีกมากมายจะไดสบายเพราะกู'
๑๘๔
เห็นแลววาจิตชนิดนี้เทานั้นที่สมควรมุงบําเพ็ญพุทธบารมี ไมมีใครยอมแลกตัวเองเพื่อคนอื่น...ไมมี...
พระพุทธเจาคืออดีตผูบําเพ็ญบารมีอันเปนไปไมไดที่ใครจะทํา และเขาก็จะเปนหนึ่งในนั้น!
เกาทัณฑเหลือบตาอันโชนกลาดวยรังสีเจตนาอันแนวแนขึ้นมองอาจารย ทรงดวยตบะอันขมความกลัว
ไวใตอํานาจไดสิ้น ไมระยอ ไมยี่หระกับหนทางทุกขรอนอันทอดยาวยืดไกลเบื้องหนาแมแตนอย
"ถาการเปนพระพุทธเจาไมอาจหลีกเลี่ยงการเกิดเปนมนุษยสามัญธรรมดา ผมก็จะขอเกิดเปนมนุษยทุก
ชาติ ทุกครั้ง แมแตกตายลงตองไปรับผลกรรมอันเนื่องดวยความไมรูใดๆ ผมก็ยอมครับหลวงตา ขอยืน
ยันวาผมจะตองบําเพ็ญบารมีเพื่อเปนพระพุทธเจาใหได!"
หัวเราะอยูพักหนึ่งทานก็หยุดกะทันหัน
แลวหลวงตาทานก็ยิ้มเย็น เปลี่ยนสําเนียงเปนออนโยนลง
"แปลวาผมเคยไดรับพุทธพยากรณมาแลวในอดีต ชาติใดชาติหนึ่งใชไหมครับ?"
ทวาพระอาจารยก็ปรามความฟูเฟองลิงโลดของผูเปนศิษยใหรํางับลงดวยความนุมนวล
๑๘๕
รดน้ําเสร็จมาลงนั่งพรวนดินใหกุหลาบกอหนึ่งที่หลังบาน สีสันออกชมพูแดงเรื่อลานตาชวนใหเกิดความรู
สึกออนหวานขึ้นมาในอก แพตรีระบายยิ้ม นึกถึงคํากลาวลาของเขาเมื่อเชาหลังจากใสบาตรเสร็จ
‘ผมตองไปพบหลวงตาทาน…แลวผมจะกลับมาหาแพนะฮะ'
"กุหลาบสวยจัง"
แพตรีสะดุงสุดตัว หันขวับมาทางตนเสียงก็พบเขาผูกําลังมีบทบาทกับความคิดของหลอนอยูเดี๋ยวนั้น
แพตรีรักษาสีหนาเปนปกติ มิไดมีปฏิกิริยาอยางใดกับการที่จูๆเขาก็เขามาแกลงใหตกใจเลนเพื่อความ
บันเทิงเฉพาะตัว ฟงเขาดวยนัยนตาทอดนิ่งราวกับคุยกันมาอยางตอเนื่อง
"เพื่อใหเราเห็นมันเปนอยางนั้นมั้งคะ"
เกาทัณฑเลิกคิ้วคิดตามคําพูดหลอนเล็กนอย กอนเมมปากลากเสียงยาวราวกับเกิดความเขาอกเขาใจ
เต็มตื้น
๑๘๘
"อื๊อม!...”
ความหนาตายของเขาทําใหแพตรีอดหัวเราะไมไดตามเคย
หญิงสาวเบนมองทางหนาบานแลวถามวา
“เขามาไดยังไงคะ คงปนรั้วใชไหมนี่?”
“แลวทําไมไมอยูคุยกับทานละคะ?”
“รูไดยังไง?”
“เมื่อกี้พอไหวปู ปูรีบบอกวาแพอยูหลังบาน”
แพตรีวางเสียมเล็กในมือลงขางกาย กอนกลาวเชื้อเชิญเขาดวยทาทีมีมารยาทเยี่ยงผูมีหนาที่ตอนรับ
อาคันตุกะ
“ไปนั่งที่ดีๆเถอะคะ เดี๋ยวจะหาน้ําให”
ชายหนุมรูทันวาหลอนคงพาไปนั่งใกลปูเปนแน จึงวิงวอนวา
“ขอนั่งสบายๆบนหญานุมนี่สักพักเถอะฮะแพ ผมชอบกลิ่นมะลิแรงๆปนกลิ่นไอดินหลังรดน้ําตนไมอยาง
นี้จัง อยูแตบนตึก หางดินหางหญามานานเต็มที…นะ”
“ชอบธรรมชาติดวยหรือคะ?”
ถามอยางดูออกวาเขาเปนประเภทชอบเสพเฟอรนิเจอรหรูและไอเย็นของเครื่องปรับอากาศเสียมากกวา
เกาทัณฑลืมตาโพลง มองหลอนดวยทาทีขึงขัง
๑๘๙
"เปนไงคะวันนี้ กาวหนาไปถึงไหนแลว?"
ไดผล หนาตาเกาทัณฑดูธรรมะธัมโมขึ้นกวาเดิมทันที
หญิงสาวมองอีกฝายอยางนึกฉงน ดูทาทางเขาไรแววเลนเชนผูรูอรรถรูธรรมพึงปฏิบัติยามกลาวถึงของ
สูง แตถอยคําก็ดูเหมือนเจตนาเลนลิ้นใหดูขลังอยางเลื่อนลอยเสียมากกวา
“หมายความวายังไงคะ?”
“แลวยังไงคะ เมื่อมีศักยภาพในการสืบกลับไปไกล…คุณเห็นอะไร?”
เกาทัณฑยิ้มนิดหนึ่ง แมไวสัมผัสนอยกวานี้อีกสิบเทาเขาก็ทราบไดวานั่นเปนอาการอยากรูอยากเห็นที่
ผิดวิสัยของหลอนมาก
“ผมควรจะเห็นอะไรฮะ?”
หญิงสาวอึกอัก กอนรูสึกตัวและรักษากิริยาเปนปกติดังเดิม
“แพเปนศิษยรุนพี่นี่ ตองรูดีกวาผมเยอะแนเลย”
๑๙๐
แพตรีเขมนมองทั้งหนาเขาแนวนิ่งคลายพยายามผานใหเห็นถึงขางใน
“ทําไมถึงจะไมไหวละคะ เราผูกพันกันแนนหนานักรึไง?”
“เอะ! จะทําอะไรคะ?”
ปลายเสียงพราสั่นเต็มทนจนเกินกวาจะนาเกรง เกาทัณฑมองริมฝปากสั่นระริกของหลอนดวยความรูสึก
เปนตอ แพตรีกมหนาหลบอยางรูวาเขากําลังโนมเขามาจะหอมแกม
๑๙๑
“แพ…”
“เตรียมจัดขาวเย็นเถอะลูก”
“แลวนายเต มานั่งคุยกับปูขางบนมา!”
เกาทัณฑเงอะงะ แตก็รับคําเสียงดังผิดปกติแบบเด็กขี้ขโมยถูกจับได
“อะ…ครับ!”
“ตอเมื่อเลี้ยงยายแพ ถึงรูวารักยิ่งกวาลูกเปนยังไง”
หลานชายยิ้มแหงๆ
“นั่นสิครับ ก็นาอยูหรอก”
๑๙๒
“ผมผิดไปแลวครับปู เผลอตัวใจเร็วไปหนอย”
“หมายความวาแกรักยายแพรึ?”
“ครับ”
เขายอมรับฝดๆในที่สุด
“แลวคิดวาเขารักแกรึเปลา?”
๑๙๓
เกาทัณฑกะพริบตาสองสามหน
“ไวมีโอกาสดีเมื่อไหรผมจะลองถามเขานะครับ”
ฝายถูกคาดคั้นทําหนาเรี่ยดวยความลําบากใจ
ปูชนะยิ้มเล็กนอย
“แกเขาขางตัวเองแบบนี้บอยไหมนี่?”
หลานชายสะอึกอีกคํารบ
“ปูใหผมตอบตามความรูสึกนะครับ”
ชายชราพยักหนา
เกาทัณฑกะพริบตาทีหนึ่ง ไมไดตระเตรียมลวงหนามากอนเลยสําหรับวินาทีนั้น
เมื่อปูเริ่มออมคอมอยางสงวนทีเพราะอยูฝายหญิง เกาทัณฑก็เปนฝายตัดตรงเขาหาจุดบาง
ผูอาวุโสหัวเราะเอื่อย
“เคยพูดกับแพเรื่องนี้หรือเปลา?”
ชายหนุมสั่นศีรษะ
เวนระยะขบริมฝปากหนอยหนึ่ง
ปูชนะยังยิ้มอยูในความสงบเยือกเย็น มองหลานชายดวยสายตาของคนอยูในโลกมานาน
“เดี๋ยวใหฉันถามแพเปนสวนตัวนะวาแกพูดเองเออเองไปคนเดียวหรือเปลา เรื่องการงานความมั่นคงของ
แกนะรูอยูหรอก ยังไงก็หลานแทๆของฉัน ฐานะยายแพก็เหมือนลูกพี่ลูกนอง ถาไดกันมันก็ทํานองเรือ
ลมในหนองนะแหละ แตความในใจของเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง เขาตองเลือกเองวาจะหมั้นหรือเมินใคร”
“พรุงนี้วันอาทิตย ผมอยากชวนปูกับแพไปทําบุญดวยกันไกลๆ"
๑๙๕
เขาพูดขึ้นมาในจังหวะหนึ่ง
"เนื่องในโอกาสอะไร?"
เกาทัณฑหยุดคิดเล็กนอย กอนตอบวา
ปูหัวเราะหึๆ
“ฉันอยูนี่ก็สบายใจดีนี่นา ใหคนแกนั่งอุดอูในรถออกตางจังหวัดนึกวาเมื่อยนอยอยูรึ”
ชายหนุมพยักหนารับทราบอยางหมดหวัง แตแลวก็หูผึ่ง
“ลองชวนแพดูสิวาเขาอยากจะไปไหม”
สองหนุมสาวมองปูเปนตาเดียวดวยความคาดไมถึง ปูพยักพเยิดกับแพตรี
“อยากไปทําบุญตางจังหวัดกับพี่เขาไหม?”
เกาทัณฑชักมองออกวานั่นเปนการสอบดูวาหลานสาวมีใจใหเขาแคไหน หรืออีกนัยหนึ่งอาจเปนการจง
ใจใหเขารับรูวากะแคเดินทางไปเที่ยวกันสองตอสองนี่แพตรีก็ไมเอาดวยแลว อยาวาแตขอเจรจาหมั้น
หมายอะไรเลย
‘ไมอยากคะ เขาไวใจไมได!’
“พรุงนี้แพอยากตื่นขึ้นมาใสบาตรตามปกติคะปู แลวตอนกลางวันถาไดพักผอนอยูกับบานก็คงสบายดี”
ปูชนะครางรับอือม กอนหันมาทางหลานชายเพื่อถายทอด
“แพเขาไมอยากไปกับแกนะเต”
เกาทัณฑหนาเจื่อนลง เริ่มเปลาเปลี่ยวที่หาพรรคพวกเขาขางไมไดสักคน
๑๙๖
“ปูเอาเบอรผมไวนะฮะ ถามีธุระดวนอะไรก็อยากใหเรียกใชผมกอนคนอื่น”
เกาทัณฑควักนามบัตรจากกระเปาสตางคมาเขียนหมายเลขโทรศัพทในหองพักเพิ่มเติมจากเบอรมือถือ
และเบอรวิทยุติดตามตัวที่ปรากฏอยูแลว พอเขียนเสร็จก็ยื่นสง ปูรับมาดูแวบหนึ่งกอนหยอนใสกระเปา
เสื้อดวยทาทางคลายพรอมจะลืมภายในหานาที
“ผมกลับละครับปู”
“อาว กินเสร็จกลับเลยเหรอะ?”
ปูถามแบบกระเซาเลน
“เอาเถอะ ไวกินบอยกวานี้หนอยคอยไหววาน”
“ปูครับ ผมรักแพจริงๆนะ”
แลวก็ยกมือไหวอยางนอบนอม เดินขึ้นรถขับหายจากไปในความมืดของซอย
แพตรีเงี่ยหูฟงเสียงรถเขาหายไปอยูในหอง นอยครั้งที่หลอนนั่งเหมอเซื่องเฉยอยางคนวางงานเชนนั้น
อุงมืออบอุนของเขาทําใหระบบความคิดทั้งหมดสะดุดชะงักลงจนกระทั่งบัดนี้
“แพ”
เห็นปูนั่งรอที่เกาอี้โยกก็เดินไปนั่งสงบเสงี่ยมใกลๆ
“เขาขอหมั้นแพนะ…”
“จะใหปูตอบเขาวายังไงดีละ?”
หลานสาวกมหนาจีบปากซอนยิ้ม กิริยาเชนนี้เขาใจงายยิ่งกวาอะไรหมด
“ปูคอยติดตามถามไถความเปนไปของเจาเตมาตลอด พอรูละวาหมอนี่ไมยอมลงเอยสรางหลักปกฐานกับ
ใครเร็วนักหรอก เพราะยังมีเวลา มีโอกาสเลือกอีกเยอะ นี่ปุบปบมาขอแพ แสดงวาตกหลุมรักจนลืมตัว
ลืมอะไรหมดแลว”
แพตรีสะกดยิ้มเอาไว
“ตกไดก็ขึ้นไดมั้งคะ”
ผูเปนเจาของเรือนถอนใจ
ปูชนะพยักหนา
“ก็จริง”
หลานคนงามเงยหนาชําเลืองสบตา ถามตามตรง
“ทุกวันนี้แพเปนภาระใหปูอึดอัดหรือเปลาคะ?”
ชายชราหัวเราะในลําคอ
ดูเหมือนกระแสโลกดึงดูดกลับไปเกือบหมดตัวแลว เพราะนึกอยากดื่มเหลากับเพื่อนสนิทสองสามคนที่
หางหนากันมาเปนอาทิตย ไมมีสิ่งใดหามใจ เมื่อคิดหยิบโทรศัพทมือถือขึ้นเรียกและนัดแนะวาจะไปรับ
ชวงถนนนั้นเปดใหวิ่งเพียงเลนเดียวเพราะขุดเจาะสรางสะพาน รถเครนตั้งตระหงานกั้นอีกเลนไว แถม
กําลังมีรถบรรทุกเทดินทราย รถจึงติดออเปนตังเมอยูอยางนั้นนานเน พอจะใหเขานัดหมายเพื่อนไดสอง
คน
“วาไง”
“ปูใชใหโทร.มานะคะ…”
ในที่สุดเขาก็ไดยินเสียงนุมเย็นดังขึ้น ซึ่งก็ถึงกับทําใหตาโตเปนไขหาน
๑๙๙
“แพ!”
พักตั้งสติอึดใจหนึ่ง กอนเอยดวยน้ําเสียงแจมใสเปนปกติได
“มีอะไรใหชวยบอกมาเลยฮะแพ”
“ยังมีศรัทธาจะไปทําบุญตางจังหวัดพรุงนี้อยูหรือเปลา?”
“แนนอน!”
“วางแผนไวยังไงคะ?”
“มีเวลาแคไปเชาเย็นกลับนี่คงตองเลือกที่ใกล เทาที่ผมทราบพระสายวัดปาผูเปนสุปฏิปนโนทางภาค
อีสานยังอยูใหกราบไหวอีกมาก แพแนะนําดีกวาฮะ ผมเองเพิ่งเขามา ยังรูนอย”
“ไดเลยฮะแพ”
“แพจะใหผมไปรับกี่โมง”
“คุณสะดวกกี่โมงละคะ?”
“แปดโมงครึ่งไดไหม?”
เพื่อนโหวกเหวกโวยวายกับการเบี้ยวนัดดื้อๆของเขา พอเกาทัณฑบอกวาเพิ่งนึกไดพรุงนี้ตองทําบุญ
เพื่อนยิ่งดาหนักกวาเดิม หาวาเขาทําเปนตลก นาถีบมากที่เพิ่งโทร.นัดเองเมื่อกี้แลวจูๆก็บอกเลิก หลอก
ใหอาบน้ําแตงตัวคอยเกอ ถาอยางนายเกาทัณฑเลี่ยงเหลาเตรียมทําบุญ ชาวบานคงตองเลิกกินเนื้อสัตว
หันมาถือศีลแปดนอนพื้นกระดานกันทั่วประเทศแนนอน
นั่นทําใหเกาทัณฑเห็นอยางชัดเจนวาเมื่อวานของตนเปนเชนไรในสายตาคนอื่น และพรุงนี้กําลังจะ
เปลี่ยนไปเชนไรในความรับรูของตนเอง
๒๐๑
“ดูเตหนาตามีสงาราศีแปลกไปนะ ยังกับเพิ่งออกมาจากวัด”
ชายหนุมยิ้มหนอยๆ ทําสมาธิบอยจนจิตใจผองแผวนั้นเปนเชนนี้เอง
“พักนี้เตมันไปเยี่ยมคุณพอบอยนะ”
อารามหันไปใหความรูแกผูเปนภรรยา ธารีเลิกคิ้วนิดหนึ่ง
“จริงเหรอ?”
ฝายสามีพยักหนาและเสริมมาอีก
“คงไปติดพันบรรยากาศดีๆในบานคุณพอมานั่นเอง มีของหวานเย็นดึงดูดก็งี้แหละ”
๒๐๒
ธารีเริ่มรู เพราะทราบดีวาบิดาของสามีเลี้ยงหลานสาวแสนสวยไวคนหนึ่ง
“ออ อยางนี้เอง”
อารามสําทับลูกชายซ้ําจากครั้งสุดทายที่เคยคุยกันหนหนึ่งทางโทรศัพท เกาทัณฑหัวเราะนิ่มๆ
ชายหนุมยิ้มอยางแสดงในทีวายอมรับการรูทันของพอ อารามผานสายตาดูหนาลูกแวบหนึ่งแลววา
“ก็ดีเหมือนกัน เขาออกบานธรรมะเลยทาทางจะติดธรรมะมาดวย”
“ทําไมฮะ หนาตาทาทางของผมเปลี่ยนไปจริงๆเหรอ?”
“ถามแมเขาสิ”
เสียงสัญญาณโทรศัพทบนโตะมุมหองดังขึ้น เกาทัณฑเปนฝายลุกเดินไปรับดวยสีหนายิ้มแยมและทัก
ทายดวยน้ําเสียงเปนมิตร
“สวัสดีครับ”
“เดี๋ยวนะครับ”
เขาหันมาถามพอแมใหแนใจวารับคนชื่อจุกเขามาทํางานบางหรือเปลา เมื่อพอสั่นหนาก็กลับมาตอบวา
“สงสัยตอเบอรผิดนะครับ บานนี้ไมมีคนชื่อจุกหรอก”
“ตองเปนเบอรนี้แนๆครับพี่”
เสียงออกเหนอแบบเพิ่งเดินทางมาถึงทารถหมอชิตนั้นทําใหเกาทัณฑชักรําคาญ
“ออ ครับๆ”
“แลวนี่วันนี้จะไปไหนหรือเปลา เห็นแตงตัวหลอเหลือเกิน”
“จะพาแพไปกราบหลวงพอพุธที่โคราชนะฮะ”
พูดแลวก็ยิ้มกวางขึ้น นึกดีใจที่ทําใหพอแมหันมาเบิกตาจองไดพรอมๆกัน
“อือ สนิทกันแลวรึนี่?”
อารามทําทาแปลกใจ
“ก็คงเริ่มสนิทมั้งฮะ ผมควรจะพามาหาพอแมที่นี่บางนะ”
“แลวลูกเขาหาพระหาเจานี่ก็เพราะหนูแพเขาชวนหรือ?”
“แมวาแพเขาเปนยังไงฮะ?”
“สวัสดีครับ”
เขาทักเปนปกติ
“ฮัลโหล…ขอสายจุกหนอยครับ”
เปนเสียงไมประสีประสาของเด็กตางจังหวัดคนเดิมที่ทําใหเกาทัณฑยิ้มหุบและขมวดคิ้วยน
ตนสายเงียบไป ทาทางกําลังขมวดคิ้วกังขาอยูเหมือนกัน
“ผมละแปลกใจจริงๆนะพี่ ทําไมเบอรนี้ไมใชละครับ”
แววเสียงพอแมหัวเราะขบขันคําพูดกลั้นโทสะของเขาจากเบื้องหลัง ทําใหเกาทัณฑยิ่งโมโหจี๊ดขึ้นมาอีก
ถาหนุมบื้อคนนั้นอยูตรงหนาคงถูกดีดกระเดงกระดอนเปนกระปองนมไปแลว
“ครับๆ ขอโทษครับพี่”
๒๐๕
จิตที่ดูโปรงวางไมใชจิตสิ้นกิเลส…
ตนแหลงคือจิตดวงเดียว…
ตนทางปฏิบัติธรรมตองมาจากการฝกใจใหทานจริงๆ
“ถามีพวกนี้โทร.มาสักสิบหน วันๆคงไมตองทําอะไร”
“ผมก็ดีใจที่ทั้งพอและแมถูกใจ งั้นผมแตงกับคนนี้นะฮะ”
กระโจนผลุบตรงเขาเปาแบบที่ทําใหพอแมเงยหนามองมาเปนตาเดียว เพราะเปนครั้งแรกสําหรับการปริ
ปากเกี่ยวกับการแตงงานของเขา
“พูดเลนหรือพูดจริง”
๒๐๖
ธารีเปนคนซักลูก
“จริงครับ”
ผูเปนบุพการีทั้งสองอึ้งกันเปนครู กอนธารีจะเอยถาม
“ไปทําความสนิทกับหนูแพมาตั้งแตเมื่อไหร เขาตกลงปลงใจดวยแลวหรือ?”
อารามกะพริบตามองลูกชาย
“โทร.คุยกันวันกอนนึกวาแคครึ้มๆสักอาทิตย-สองอาทิตยเสียอีก”
“ไมไดคิดวาแกเปนเพลยบอย แตรูดีวาแกเปนเพลยบอย”
เกาทัณฑหัวเราะออกมาได
“เจอแพก็เลิกแลวฮะ”
ผูเปนบิดาหรี่ตาลงนิดหนึ่ง เล็งลูกชายดวยแววมองคนลึก
“เคยสํารวจดูบางหรือเปลาวามีความไมลงตัว หรือวาชองวางอะไรบางระหวางแกกับหนูแพเขา?”
“ก็มีฮะ แตไมใชชนิดที่จะทําใหมีความสุขนอยลงตอนอยูใกลกัน”
เกาทัณฑทําหนาแปลกใจทั้งยิ้ม
“เอ นี่พอกําลังบอกวาผมไมคูควรกับแพหรือฮะ?”
๒๐๗
“เขาทําใหผมคิดถึงบานที่รมเย็นเปนสุข และอยากกลับไปหาเสมอ”
เปนคําพูดจริงใจที่กอใหเกิดความเงียบขึ้นมาขณะหนึ่ง กระทั่งอารามกระแอมเอย
“ฟงดูดีนี่”
พอถอนใจ พูดทั้งไมอยากขัดคอลูกนัก
เกาทัณฑรับฟงโดยดี
“หญิงชายมาเขาคูกันชวงแรกดวยความถูกใจก็รูสึกชมพูๆหวานแหววอยางนี้แหละ แบบโรมิโอกับจูเลียต
นะ ใครจะรูวาถาโรมิโอกับจูเลียตแตงงานอยูกินกันเหมือนคูผัวตัวเมียอื่น อะไรจะเกิดขึ้นบาง อาจตีกัน
หัวหูฉีกในปแรกก็ได”
อารามแกเมื่อเห็นลูกชายเงียบนาน
“ชีวิตคูจะประสพความสําเร็จหรือลมเหลวใชวาเกิดจากการสําคัญถูกหรือสําคัญผิดในเบื้องตน ที่วาใชแน
เหมือนกิ่งทองใบหยก วันหนึ่งกลายเปนใบขอย ใบมะกรูดไปก็มาก หรือที่วาเหมือนดอกฟากับหมาวัด
วันหนึ่งหมาวัดกลายเปนใหญเปนโตในบานเมืองก็มีใหเห็น หรืออีกทางหนึ่ง ดูตอนเริ่มตนวารักกันมาก
นานไปก็อาจรักกันนอยลง ดูตอนเริ่มตนวารักกันนอย นานไปก็อาจรักกันมากขึ้น ของแบบนี้เอาพฤติ
กรรมปจจุบันมาเปนแนวโนมพอได แตไมแนนอนเทาไหรนัก”
เกาทัณฑหัวเราะเฉื่อย
กําลังดึงแผนฟลมใสจากมวนมาหอสํารับเพื่อถนอมอาหารและกันกลิ่น ใจที่เตนผิดจังหวะขึ้นมานิดหนึ่ง
ทําใหนึกอยากถวงเวลาออกไปหนอย โดยหอสํารับตอจนกวาจะเสร็จ ซึ่งก็เหลืออีกแคสองจาน แตครึ่ง
นาทีตอมาก็ไดยินเสียงกริ่งเรียกซ้ํา คราวนี้ยาวกวาเมื่อครู ทําใหเกิดความพะวงขึ้นมาวาอาจเปนคนอื่น
อีกทั้งเสียงกริ่งอาจรบกวนสมาธิปูได จึงวางจานที่เหลือ และกาวเทาออกจากครัว
"กดทําไมตั้งสองครั้งคะ รอหนอยไมไดหรือไง?"
เกาทัณฑเลิกคิ้วหัวเราะ แพตรีปนหนาเฉยเมยอยางนี้แลวดูเหมือนคุณครูที่กําลังมีหนาที่คุมแถวเด็กนัก
เรียนตอนเคารพธงชาติ
ชายหนุมหันหนาไปทางปุมกดบนเสา แลวหันกลับมาเสนอความเห็นวา
แพตรีพยายามกลั้นหัวเราะไว
“ทําไวรับแขกของคุณสิคะ ชางแนะดีนัก”
๒๑๐
“นี่ปูสั่งหามแพเปดประตูรับผมหรือ?”
“จะเขามาทําไมคะ?”
“ออ…”
ทําเสียงรับรูแคนั้นก็ยืนมองเขาเฉย เลนเอาเกาทัณฑชักใจตุมๆตอมๆดวยนึกหวาดวาหลอนเกิดเปลี่ยน
ใจขึ้นมานาทีสุดทายหรือเปลา
แตแลวก็โลงอก เมื่อไดยินหลอนแถลง
โทษฐานกดกริ่งสองหนทําใหเกาทัณฑตองนั่งแกรวรอในรถอยูพักใหญ กอนหญิงสาวปรากฏตัวอีกครั้ง
กมหนาเดินมาคลายจําใจอยูในที เห็นแลวถึงกับตองชวยภาวนาใหเดินถึงรั้วโดยไมเปลี่ยนใจหันหลังกลับ
ไปเสียกอน
เมื่อแพตรีไขกุญแจกาวออกมา เกาทัณฑรีบออมรถไปเปดประตูดานตรงขามซึ่งเขาหันรอรับหลอนไว
แลว ใบหนาเปอนยิ้มราวกับเพิ่งรูวาเงินเดือนขึ้น
"ไมตองบริการมากหรอกคะ เกรงใจ"
หลอนบอกขณะมายืนขางๆ
"เกรงใจทําไมฮะ ทีผมยังไมเห็นเคยบอกเลยวาเกรงใจแพ"
พูดอยางแสดงเหตุผลแกมขู โดยคาดไมถึงวานั่นทําใหแสงตาหลอนเรืองขึ้นมาได
เกาทัณฑบิดกุญแจเดินเครื่องแลวออกรถอยางนิ่มนวล ทําเปนหูทวนลม
หญิงสาวนิ่งไปอึดใจกอนตอบ
“ตามสบายเถอะคะ อยาถามคนชอบความเงียบอยางดิฉันเลย”
“ดีนะ นึกวาผมกําลังอยากฟงความเงียบอยูคนเดียวเสียอีก”
พยายามพูดใหรับกับหลอนเปนปเปนขลุย เปลงเสียงทุมแนนเปนกังวานสดใสชวนฟงพอจะดึงหลอนเขา
สูบรรยากาศการสนทนาในทางไกลนี้
ชุดขาวและความเปนสุขุมาลชาติแทของหลอนทําใหเกาทัณฑเห็นทางหางตาคลายอากาศขางกายสวาง
เรืองกวาปกติ กระแสวิญญาณของมนุษยแตละคนมีอิทธิพลกับความรูสึกของผูใกลชิดเสมอ จะออนหรือ
แรงก็ขึ้นอยูกับพลังที่สั่งสมจากเอกลักษณประจําตน
ระบายลมหายใจยาวดวยความชื่นมื่นในอารมณ นั่งกับหลอนใกลแคนี้รูสึกคุนสนิทจนเชื่อเลยวาวันหนึ่ง
ตองไดเคียงกันตลอดไป
“จะเปดเพลงก็ตามสบายนะคะ”
พอรูตัววาเสียงคลายถอนใจทําใหหลอนเขาใจผิด เกาทัณฑก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“แพทานขาวเชาหรือยังนี่?”
๒๑๒
“ทานแลวคะ คุณละคะ?”
“ก็…นานทีคะ”
“ถาใหเลือก อยากเที่ยวภูเขาหรือทะเลมากกวากัน?”
“พอกันมั้งคะ”
หลอนตอบแบบขอไปที เพราะทราบวานั่นเปนคําถามกรุยทางสูการชักชวนตระเวนเที่ยวครั้งหนา
“ฝนไปเถอะ”
ชายหนุมเมมปากกลั้นยิ้ม ที่หลอนนั่งอยูขางเขาตอนนี้ก็ฝนหวานกระมัง?
“ทุกคนสูญเสียอดีตใหกับวันเวลาเสมอแหละคะ”
แพตรีหรี่ตาลงจนเกือบชิด
“คะ ตัดสายโซเสียไดก็ดีหรอก”
คํารําพึงนั้นปราศจากความหนักแนนอยางสิ้นเชิง คลายนักโทษในเรือนจําบนกับเพื่อนรวมหองวาถา
แหกกรงขังไดเดี๋ยวนี้คงจะดีแท บนโดยปราศจากเจตนาและแผนการลงมือกระทําจริง
“บอกไดไหมคะวาถึงวันนี้คุณรูเห็น หรือคิดปลงไปแคไหนแลว”
กลาวอยางตระหนักในสถานภาพตามจริงของตนเอง มิใชเสแสรงถอมตัวหรือยกตน
“คงมีเรื่องนาฟงอยูนอยเต็มทีคะ ถาคิดวาแกลงถอมตัวก็ขอยืนยันวาดิฉันเปนคนมีวาสนาดานนี้เพียง
ปานกลาง รักชอบสภาพจิตที่เปนกุศล ใสบาตร ฟงธรรมตามโอกาส แตพูดถึงการพัฒนาจิตใหเต็มรูป
ดวยสมาธิและปญญาพิจารณาธรรม ตองยอมรับวามีพื้นกําลังคอนขางออน กาวหนาแลวถอยกลับสลับ
กัน เมื่อถึงเพดานระดับหนึ่งก็เหมือนหยุดอยูแคนั้น ถาจะไปตอคือตองตัดใจเปลี่ยนวิถีทางอยางสิ้นเชิง”
ถาเชนนั้นผูปรารถนาโพธิญาณก็ไมอาจเปนชาวพุทธชั้นเลิศในพุทธกาลใดๆอยางนั้นหรือ?
คิดไดก็สบายใจขึ้นมาวาแมความปรารถนาในพุทธภูมิจะปดกั้นมิใหตัดหวงโซสัญโยชนขาดสิ้นในชาตินี้
เขาก็สามารถเปนผูเสพสุขในโลกียวิสัยไดอยางรูเทาทัน วามีสุขอื่นพึงปรารถนายิ่งกวานั้น เหตุที่รูเทาทัน
ไดเพราะเคยอบรมจิตจนเขาถึงมาแลว ทั้งสมาธิและวิถีญาณปลอยวางเบื้องตน
อีกขอหนึ่งคือเล็งเห็นคุณคาของพระสูตร เมื่อเกิดปญหาคาใจแลวทบทวนสิ่งที่พระตถาคตหรือพระเถระผู
เปนอรหันตกลาวไว ก็สามารถปดตกไปไดเชนนี้
เกาทัณฑลังเลอยูครู กอนกลาวตอตามตั้งใจแตแรก
ขอตามกันไปทุกภพ จดจํากันไดทุกชาติ…
กะพริบตาถี่ๆอยางจะสกัดกั้นกลุมน้ําที่เริ่มรื้นนัยนตาขึ้นมาไมรูเหนือรูใต เหมือนมีหลอนคนเดียวที่ยังไม
ตาย หลอนคนเดียวที่ยังยึดมั่นถือมั่น คนอื่นตายหมดแลว ตอใหนั่งอยูขางๆเดี๋ยวนี้ก็แคชายแปลกหนาที่
เขามาติดพันรูปโฉมภายนอก หาใชชายคนเดิมผูนาศรัทธาเชื่อมั่นพอจะทําใหยิ้มกลาแมกําลังเผชิญกับ
ความตายไม
เกาทัณฑเหลียวมองหญิงสาวขางกายเมื่อสัมผัสกระแสความเศราสรอยประหลาดที่กระจายมาจากหลอน
“แพกําลังคิดอะไรหรือฮะ?”
เกาทัณฑสายหนา
“เปนทางลัดที่หลวงตาแขวนทานปูใหทั้งนั้น ขาดทานผมก็เห็นไดแตสิ่งที่อยูในกะลาของตัวเองเรื่อยไป
วาตามจริง…ผมคบสนิทกับคนมากมาย และยิ่งคบมากเทาไหร วิถีทางยิ่งหลากหลายซับซอนเทานั้น วัน
หนึ่งอาจหลงเปนมิจฉาชีพไปกับเพื่อนบางกลุม ถาไมรูจักความจริงเกี่ยวกับกรรมวิบากและการวนเวียน
เกิด แก เจ็บ ตายเสียกอน ตอนนี้รูแลว ก็คงตองกมหนากมตาปดกั้นตัวเองจากทางอบายใหมากที่สุด ตอ
ใหลอใจวาเปนทางลัดรวยเร็วยั่วยวนแคไหนก็ตาม”
๒๑๖
เหมือนแพตรีถูกสะกดใหซึมลงอีก เกาทัณฑไดยินหลอนรําพึงแผว
ชายหนุมปรายตามาทางดานขางหนอยหนึ่ง กอนเลียบเคียง
“คงเปนเพราะมีสิ่งอางอิงติดตามมาดวยมั้งฮะ ถึงยังเผลอคิดอยางนั้น?”
หยีตานิดหนึ่งเมื่อนึกถึงหนอนตัวเทาปลายกอยนับหมื่นรุมเราเขาออกสัตวนรกที่หลวงตาแขวนพาไปดู
คิดถึงแวบเดียวก็ชวนขยักขยอนจะแยแลว
แพตรีสายหนา
เกาทัณฑเวนจังหวะ ตรึกนึกถึงประสบการณที่เพิ่งผานมาเมื่อวาน
“เมื่อวานนี้ประสบการณและความเชื่อทั้งหมดของผมถูกปรับเปลี่ยนไปอยางถาวร หลวงตาแขวนทาน
สะกดใหเห็นนรกภูมิ ไมรูหรอกวาขุมที่เทาไหร ตั้งอยูที่ไหน รูแตคําวา ‘อีกโลก’ หนึ่งนั้น เปนคนละครอบ
ฟากับโลกใบนี้ ภาพของจักรวาลที่กวางใหญและมิติของภพภูมิที่ซอนซอนไดปรากฏกับใจของผมเปน
คนละเรื่องกับที่เคยจินตนาการเอาไว
มองรอบตัวที่เราเห็นไดแตโลกใบเดียวนี้ จินตนาการยากนะวาที่แทเปนการลองลอยอยูในทามกลางไตร
ภูมิอันกวางใหญมโหฬาร มีเงื่อนกรรม เงื่อนเวลามาผูกมัดใหเห็นสิ่งหนึ่งๆ รับรูสิ่งหนึ่งๆเปนขณะ เชื่อได
เฉพาะสิ่งที่กําลังเผชิญหนาเทานั้น”
เกาทัณฑพยายามสูดลมหายใจใหรูกลิ่นหอมออนๆจากเรือนกายแพตรี เมื่อวานมีโอกาสเขาใกลจนรูชัด
และจําไดดี เสียดายตอนนี้อยูหางไปหนอย กลิ่นกายที่ระเหยมากับไอฉ่ําเย็นของเครื่องปรับอากาศจึงเขา
กระทบจมูกไดเพียงครึ่งหนึ่งของความนาชื่นใจทั้งหมด
“มีแพ…ผมกําลังอยูในสวรรคบนดิน”
เขาลงเสียงนุมมาก แพตรีเผลอยิ้มหนอยหนึ่งอยางคาดไมถึงวาที่พูดยืดยาวก็เพื่อสรุปลงเกี้ยวหลอน
รถแลนเรื่อยกระทั่งเลยรังสิตมาระยะหนึ่ง เมื่อเห็นถนนหนทางโลงกวางขาวสวางและมองไกลไดสุดโคง
ฟา ใจพลอยปลอดโปรงกวาเดิม ขนาดที่ทําใหแพตรีเอยขึ้นไดลอยๆ
“เมฆเรียงสวยดีนะคะ”
หองโถงชั้นลางของกุฏิเจาอาวาสอุนหนาฝาคั่งดวยญาติโยมที่ตั้งใจมานมัสการกราบหลวงพอพุธจากทั่ว
ทุกสารทิศ เกาทัณฑกับแพตรีซึ่งเขามาใหมจึงตองนั่งอยูรั้งทายสุด
หลวงพอพุธกําลังนั่งอยูบนอาสนะของทานเห็นไมใกลไมไกลออกไป มีภิกษุผูเปนสัทธิวิหาริกนั่งคอยดูแล
อํานวยความสะดวกอยูดานขาง บรรยากาศในหองเยือกเย็นนาอยูอยางประหลาด ใครเขาไปนั่งในนั้นจะ
ตองรูสึกอยากอยูที่นั่นนานๆ ไมอยากกลับออกไปเร็วนัก
หลวงพอทานมิใชพระผูมีกิตติศัพทเรื่องปลุกเสก ญาติโยมสวนใหญมาเพื่อกราบเรียนถามขอธรรมที่ติด
ขัด จึงบอยครั้งที่จะไดยินทานเทศนาธรรมหัวขอสั้นๆ อยางเชนในวาระที่สองหนุมสาวเพิ่งเขามานี้ เผอิญ
เปนจังหวะแหงธรรมเทศนาพอดี
กังวานเสียงทุมแนนที่ขับออกมาจากดวงจิตเห็นธรรมนั้นจูงใหผูฟงคลอยลงสูกระแสสงบพรอมจะสดับฟง
และตรึกนึกตาม เปนอีกประสบการณใหมของเกาทัณฑ ถอยคําที่เหมือนเคยไดยินมากอนกลับกลายเปน
ของใหมที่ฟงกระจางอยางนาฉงน
ทุกปลายเสียงที่ทอดเนิบดวยพลังเมตตาเมื่อสิ้นแตละวรรคแตละประโยคของหลวงพอพุธนํามาซึ่งความ
สงบซึ้งในวิเวกธรรม เกาทัณฑไดเขาใจอยางถองแทเดี๋ยวนั้นวา ‘การฟงธรรม' คืออะไร ไมใชเพียงรับคํา
พูดของผูแสดงธรรม แตยังเปนการซึมซับเอาความสงบ ความรูแจงที่ถายทอดผานกระแสเสียงอันทรง
ธรรมมากอกุศลจิตในปจจุบันอีกโสด
ทํานองเดียวกับคนในโลกชอบฟงดนตรีที่ตนโปรดไมอิ่มไมเบื่อ ผูปรารถนาธรรมยอมชอบฟงธรรมจากผู
ทรงคุณบอยๆมิรูหนายเชนกัน แมจะฟงซ้ําแลวสักกี่รอบก็ตามที
เหมือนธรรมะอันสูงสงอยูใกลแคเอื้อมและอาจแตะตองได เพียงดวยความเชื่อมั่นและอยูใกลหลวงพอพุธ
ทาน สิ่งนี้นับเปนปาฏิหาริยล้ําคา ใหคุณเหนือการแสดงอิทธิปาฏิหาริยอื่นใดทั้งปวง เพราะเปนอํานาจ
วิเศษที่ชักจูงจิตวิญญาณใหคลอยสูกระแสนิพพานอันประเสริฐสุด เมื่อถึงแลวจะสถิตถาวรชั่วกาลนาน
ฤทธิ์ของทานมิใชเพียงปาฏิหาริยชักจูงใหเกิดความทึ่งหรืออัศจรรยใจชั่วครูชั่วคราว
สงาราศีที่เห็นในทานมีความแตกตางจากสามัญชน คนในโลกนั้นใหสูงสงแคไหนก็ไปหยุดกันที่ความนา
เลื่อมใส ความนาเทิดทูน หรือความนายําเกรง แตสําหรับหลวงพอพุธนั้น ภาพปรากฏของทานเปน
อารมณจิตใหผูพบเห็นแลนเลยมาถึงการสัมผัสความปลอยวาง และความนาบูชาเหนือโลก ทั้งที่มิไดอยู
ในเครื่องแตงกายภูมิฐานหรือสถิตทามกลางสิ่งแวดลอมอลังการอันใด
เห็นแสงแฟลชวาบอยูเปนระยะ ทุกคนคงปรารถนาจะเก็บภาพทานนั่งเดนเปนประธานธรรมไวไปบูชา
นั่นทําใหเกาทัณฑนึกขึ้นได แกะกลองของตนออกจากซองบาง ยกขึ้นเล็งและปรับซูมใหเขาระยะโฟกัส
เหมาะ แลวชันเขาขึ้นกดชัตเตอร คิดในใจวาควรถายไวเพียงสองภาพ แบบจับหนาใกลและดึงออกไกล
ตามระยะจริง ไมมากกวานั้น ดวยเกรงแสงแฟลชจะเปนที่รบกวนทั้งหลวงพอและญาติโยมดวยกัน
ตอเมื่อมีทานผูเปนหลักฐานธรรมเชนหลวงพอพุธอยู แมเพียงสัมผัสพบเห็นและฟงทานกลาวพอสังเขป
ใจสวนหนึ่งก็พรอมจะซึมซับรับรูของจริง โนมเอียงไปในทางเชื่อไดแลววาสวรรค มรรคผล นิพพานนั้น
คือปลายทางการปฏิบัติถูกปฏิบัติชอบ ไมใชเรื่องกุแตอยางใด
หลวงพอพุธตอบคําถามญาติโยมอีกพักใหญก็ขอตัวไปทํากิจของทาน เกาทัณฑกับแพตรีไดแตกราบลา
อยูหางๆโดยไมทันมีโอกาสไถถามธรรมะขอใด เนื่องจากเผอิญมาในวันที่ญาติโยมออกันขางหนาเยอะ
ใจโปรงเบาเปนที่สุดเมื่อเดินออกมาจากกุฏิเจาอาวาส สองหนุมสาวเดินเคียงกันเงียบเชียบบนทางรม
ดวยเงาสน เมื่อผานโบสถพระประธาน เห็นประตูแงมเปดอยู เกาทัณฑก็เกิดความคิดฉับพลันและชวน
ขึ้นวา
"เขาไปกราบพระประธานกันไหม?"
หลอนพยักหนาและเดินตามเขาไปโดยดี
ในโบสถมีแมชีคนหนึ่งกวาดพื้นอยูตามลําพัง เมื่อเห็นสองหนุมสาวกาวเขามาก็ใหความสนใจมองเพียง
เล็กนอยแลวทําความสะอาดเก็บกวาดฝุนผงของตนตอ
เกาทัณฑและแพตรีมากมกราบเบญจางคประดิษฐพรอมกันหนาองคพระปฏิมาดวยลักษณาการออน
นอมนอบนบ เมื่อกราบแลวก็นั่งนิ่งอยูดวยความสํารวมในที
ใจเหมือนทะเลเรียบและกวางโลง ชายหนุมเงยหนามองพระพักตรฉายสงบขององคปฏิมาแลวบังเกิด
ความอิ่มละไมออกมาจากสวนลึกที่สุดของหัวใจ ผูสรางชางมีศรัทธาแกกลาจริงหนอ ประดิษฐพระพักตร
ยิ้มรูเยือกเย็นไรมลทินจนมองแลวคลอยซึ้งถึงเพียงนี้ การสรางถาวรวัตถุอันกอกุศลจิตอันยิ่งใหญใหแกผู
พบเห็นนั้นควรไดรับรางวัลสนองตอบจากธรรมชาติบุญกรรมสักเพียงใด?
๒๒๒
คิดแลวก็ยิ้มออกมาดวยใจอนุโมทนา เชื่อมั่นวาผูเปนชางและผูใหทุนสรางคงมีรูปโฉมงามหมดจดเจริญ
ตาเจริญใจผูพบเห็นไปทุกภพทุกชาติตราบเขาถึงพระนิพพาน เกิดไปเถอะ กี่ชาติๆจะตองไดอัตภาพอัน
งดงามยิ่งใหญเปนหนึ่ง นอมใจใหนึกรัก เลื่อมใส อยากใกลชิดเกินใคร
นี่แหละหนา พระสัมมาสัมพุทธเจาอุบัติขึ้นครั้งหนึ่งเปดทางใหผูคนมีโอกาสสรางบุญไดมากมายเหลือ
คณานับ แรงปติในบัดนี้ก็ดี ธรรมเทศนาของหลวงพอพุธก็ดี วัดนี้และวัดอื่นทั่วตลอดทั้งเจ็ดแผนดินก็ดี
ลวนปรากฏมีปรากฏเปนดวยตนทางคือพระมหาบุรุษเพียงหนึ่งเดียว
ปลงใจเห็นชอบดังนั้นก็หันมาทางแพตรี
"ผมขอเวลาทําสมาธิสักพักหนึ่งไดไหม?"
หญิงสาวกําลังมองพระพักตรและระลึกถึงพระพุทธคุณอยูเชนกัน เมื่อไดยินเขาถามแสดงเจตจํานงก็
เหลียวมาหาและกระซิบ
"ตามสบายคะ"
เห็นรอยยิ้มตอบของหลอนในบัดนั้นแลวกอใหเกิดความรูสึกสนิทแนนแฟนฉันสหธรรมิก หรือเพื่อนผูยิน
ดีรวมเสพธรรม เปนความรูสึกแสนสะอาดที่ไมเคยเกิดกับผูหญิงคนไหนมากอน หากแมตอไปแพตรี
ปฏิเสธความสัมพันธฉันคนรัก เขาก็จะคงยังผูกพันและมีความปรารถนาดีให พรอมจะชวยเหลือเกื้อกูล
ดวยความจริงใจของเพื่อนแทถึงที่สุด
ลุกไปถามแมชีวาจะมีการทํากิจของสงฆในชวงใกลหรือไม แมชีตอบวาบายสามโมงพระจะมานั่งปฏิบัติ
สมาธิกรรมฐานดวยกัน ชายหนุมยกนาฬิกาขอมือดูเห็นเหลือเวลาอีกถมเถก็สบายใจ เนื่องจากคิดจะนั่ง
สํารวมสติถวายธรรมเปนเครื่องบูชาพระปฏิมาเพียงครูเดียวเทานั้น
๒๒๓
กลับมานั่งตรงที่เกา หันไปยิ้มใหแพตรีนิดหนึ่งแลวเบือนหนากลับมาปดเปลือกตาลงกําหนดจิตวางไวกับ
สายลมหายใจออกและเขา จับอารมณติดทันทีดวยศักยภาพอันเจริญขึ้นตามวันเวลาที่ฝกจิตอยางตอ
เนื่อง
แพตรีเห็นความสงัดงันเงียบนิ่งอยางรวดเร็วของเกาทัณฑแลวก็หยั่งทราบไดวาเขาเขาถึงภาวะสมาธิไป
แลว เปนขั้นแนบแนนพอควรเสียดวย เนื่องจากตลอดองคแหงกายขัดสมาธิ์แนวนิ่งไมไหวติงและดูแกรง
ในตัวเองดวยการค้ําจากพลังจิตที่กอตัวขึ้นภายใน
สิ่งแรกที่ปรากฏทางมโนทวารคือความหมายรูศรัทธาในองคพระปฏิมาเบื้องหนา แลวตามดวยแสงทอง
รองเรืองฉายเขามาในดวงจิตราวกับรัศมีตะวันทองยามเที่ยง ทุกสิ่งกระจางใสไปหมด สัมผัสที่เกิดขึ้นคม
ชัดยิ่งเสียกวาเห็นดวยตาเนื้อ ตรงหนาหลอนเปนพระประธานองคเดิม แตฉายรัศมีงดงามพิลาสเกินจะ
พรรณนาถูก แทนประดิษฐานแพรวพราวดวยเครื่องประดับบูชาอันลวนประณีต มีดอกบัว หลากดอกไม
สี และนานาแกวนวรัตนเปนตน วาบวับจับจิตเยี่ยงสมบัติเทวดา นิมิตของทิพยสภาพยอมละเอียดออน
สุขุมเชนนั้นเอง เปนสิ่งที่แพตรีเคยพบเห็นมากอน จึงมิไดเกิดความตื่นเตนแตอยางใด
ขึ้นฝง...หลอนยังอยากอยูในเรือตอกับนายทาย
เกาทัณฑใชหัวพายดันตลิ่งเพื่อสงเรือออกสูน้ําตอไป หลอนยังจับตามองรางนองชายจนหมดแกใจชวยลง
พายตอ เกิดความอาลัยอาวรณอยางยากจะกลาว ใจบอกวาเปนพี่เปนนองกับเขาแทๆ วันนี้ตองมาจาก
กันแลว
แลนเรืออยูกลางน้ําเนา ดวยความอบอุนใจที่มีใครคนหนึ่งอยูเบื้องหลัง…
เกาทัณฑเพิ่งถอนจิตกอนหนาแพตรีเพียงนาทีเศษ เปนชวงเวลาอันสั้นกับการไดพินิจอยางใกลชิดขณะ
หลอนไมรูตัว สรีระที่ถูกสรางไวสมสวนรับกันสนิทตลอดรางแพตรีสงเสริมใหลักษณาการขณะเปนสมาธิ
ชวนมองนาจับตายิ่ง รูปศีรษะมน ดวงหนาฉายสงบ ลําคอระหง และชวงไหลกลมกลึงรับกับเรือนกายตั้ง
ตรงเปนสงา เสียดายที่นึกไดวาควรบันทึกภาพเก็บไวก็เมื่อหลอนใกลออกจากสมาธิ มิฉะนั้นคงมีโอกาส
ชักไวอีกหลายมุม
“ถาแสงแฟลชสะกิดใหออกจากสมาธิก็ขอโทษดวยนะ”
กลาวทั้งที่หยั่งรูดวยใจวาเมื่อครูจิตหลอนดิ่งเกินกวาประสาทตาจะรับแสงแฟลชได เปนความเผอิญที่
หลอนหยุดกําหนดจิตพอดีเองขณะเขาลั่นชัตเตอร ตอนนี้เกาทัณฑกําลังเปนหวงมากกวา เพราะดูแววตา
หลอนคลายครุนคิดผิดสังเกต
“ชอบแอบถายรูปคนอื่นเปนประจําหรือคะ?”
เกาทัณฑหัวเราะ
“ภาพบางภาพเหมือนของขวัญจากธรรมชาตินะ มัวขออนุญาตใครก็หายไปกอนนะซี…นับเปนนิมิต
หมายที่ดี รูปแรกที่ถายแพก็ไดตอนอยูในสมาธิ กอนนอนทุกคืนผมจะดูรูปนี้ แลวคิดวาแพกําลังนั่ง
บําเพ็ญเพียร ผมจะไดนึกอยากนั่งตาม”
แพตรียิ้มตอบ
“คะ รูสึกอยางนั้นเหมือนกัน”
“เปนอีกวันที่ผมคิดถึงพระนิพพานขึ้นมาแบบรูสึกใกลจะเอื้อมถึง สัมผัสพระอยางหลวงพอพุธทานแลว
เปนอยางนี้เอง อยูใกลครูบาอาจารย บางทีรูวิชาโดยยังไมทันตองเรียน”
แลวเขาก็เลิกคิ้ว
“พอจิตตั้งนิ่งไดที่ แพใชพิจารณาอะไรบางฮะ?”
เกาทัณฑพยักหนา
ใบหนางามละมุนหันขวับมาทันที
“ทําอะไรอยางนั้นคะ?”
๒๒๗
หญิงสาวมองเขาดวยหางตาอยางแคลงใจ
เกาทัณฑสบตาหลอนอยางเปดเผยขณะพูด
“ถามเจาของบานตัวจริงทานอนุญาตก็แลวไปสิคะ ขัดศรัทธาโดยไมมีเหตุอันควรเดี๋ยวบาปแยเทานั้น”
พอเห็นรอยยิ้มเปด เกาทัณฑก็ทราบวาหลอนเต็มใจตอนรับแลว
หลอนคือคูแทของเขา
เกาทัณฑพาแพตรีมาที่ศูนยการคาของจังหวัดเพื่อทานขาวกลางวันและเลือกซื้อของถวายสังฆทานกัน
เอง สองหนุมสาวมาอยูที่ศูนยรวมอาหารของหาง ซึ่งเผอิญมีรานหนึ่งในนั้นขายอาหารมังสวิรัติโดย
เฉพาะ ถูกกับความชอบใจของแพตรี
เปนครั้งแรกที่ทานขาวรวมกันนอกบาน ดวยความอยากเอาใจและใหเห็นวาเขาอยากเปนพวกเดียวกัน
เกาทัณฑจึงเลือกสั่งอาหารจากรานเดียว และอยางเดียวกับหลอนนั่นเอง
“ถาไมเจอรานเจหรือมังสวิรัตินี่…หิวขึ้นมาแพทํายังไง?”
๒๒๙
เกาทัณฑกมหนามองผัดหมี่เห็ดหอมในจานตน แพตรีมองตามแลวบอกวา
“อยาฝนใจเลย มาดวยกันไมไดหมายความวาตองกินอยางเดียวกันนี่นา”
ชายหนุมกระแอมเล็กนอย เลือกพูดเฉพาะสวนที่เปนความจริง
“จะชอบทานอยางนี้ไดนานกี่มื้อคะ?”
“แพทํากับขาวอรอยจะตาย ผมคงติดใจไปเรื่อยถามีโอกาสทานทุกมื้อที่เปนฝมือของแพ”
“แนเหรอ?”
หญิงสาวทําเสียงทีเลนทีจริง ตาทอประกายขึ้นมา
“แน…”
ก็คงตองรอดูไปวาแพตรีชอบบังคับจิตใจคนใกลชิดหรือเปลา ดูจากผิวนอกแลวคงไม
“เฮย! เชิง”
หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง กอนรับตามมารยาท
๒๓๐
“สวัสดีคะ”
เกาทัณฑดูแววตาเพื่อนที่จับมองหญิงสาวแลวเห็นวาขึ้นเงาเปนประกายจัดเกินงามไปหนอย ก็ใชปลาย
นิ้วสะกิดหัวไหลเพื่อเรียกใหหันมามองเขาแทน
“มาไหวหลวงพอพุธ”
เชิงไทรูสึกยากจะถอนสายตาจากดวงหนาสวยหวาน สวยชนิดที่เห็นปุบเหมือนสะดุดลมหลนลงหลุมรัก
ทันใด แตจําใจตองหันมาโตตอบเพื่อนตามเพลง
“โอ เดี๋ยวนี้ไหวพระเปนดวยรึ”
เกาทัณฑเห็นเพื่อนทิ้งทายแบบทําตารูกันแลวก็รีบแกความเขาใจเสียใหม
แพตรีมองเพื่อนของเกาทัณฑดวยยิ้มในที หนาใสแบบหนุมเจาสําราญที่ฝงไวดวยดวงตาทรงอํานาจ
ฉลาดเฉลียวเยี่ยงผูประสพความสําเร็จในตําแหนงหนาที่ของเขาดูเขากันเปนพรรคเปนพวกดีกับ
เกาทัณฑ
“ชื่อเชิงไทนะครับ”
เชิงไทหันมาเสวนากับเพื่อนชายแบบสับจังหวะเสียหนอย
“รูแหลงเที่ยวที่นี่หรือเปลา จะไดแนะนําให”
เกาทัณฑทําหนาเมื่อย
๒๓๑
“รูนา…”
น้ําเสียงเชิงไทมีพลังแหงความรื่นรมยที่จะสะกดคนอื่นมาอยูใตบรรยากาศของเขา แพตรีเห็นเกาทัณฑ
ถูกสัพยอก เปรียบเปนลิงเปนคางเชนนั้นก็หัวเราะออกมากิ๊กหนึ่ง แตฝายเกาทัณฑพอเห็นหลอนขําก็ชัก
ไมสบอารมณเพื่อนตงิดๆ
“โลกกลมเนอะ ดันมาเจอมึงไดยังไงวะเนี่ย”
เชิงไทยักคิ้วหัวเราะอยางสนุกที่เห็นเกาทัณฑเริ่มทําหนาบูด
หากเชิงไทมาคนเดียว ควรจะยินดีดวยซ้ําที่เพื่อนเผอิญโคจรมาเห็นหวานใจโดยไมตองรอจังหวะพาไป
อวดเอง แตนี่ ‘ยายแอ’ ที่เขากับเชิงไทเพิ่งจะเปดศึกประลองกระบี่ชิงนางกันหยกๆเกิดพวงมาดวยนะ
ซี…
บุคคลที่เกาทัณฑอยากเลี่ยงการเผชิญหนาเดินทางมาถึงอยางรวดเร็ว เมื่อเชิงไทชูแขนขึ้นกวักมือเรียก
ใครบางคน และชี้โบชี้เบคลายจะใหใครคนนั้นเรียกเพื่อนที่กระจัดกระจายมารวมกันตรงนี้ พักเดียวก็มี
หญิงชายถือจานขาวบาง ถาดใหญบางทยอยเดินตามกันมา
“ใหพวกเรานั่งดวยไดไหมครับ?”
เชิงไทกวักมือเรียกพวกเสร็จคอยถามแพตรีใหพอดูมีมารยาท ซึ่งแนนอนหลอนตองตอบวาเชิญตาม
สบาย ดวยเห็นเปนเพื่อนสนิทของเขา เกาทัณฑฝนยิ้มตอนรับทุกคนอยางดี
เกาทัณฑคิดวาโดยความสัมพันธขณะนี้ แพตรีอาจยังไมสานสนิทกับเขาพอจะสละอัธยาศัยรักสันโดษ
ขนาดสบายใจรวมนั่งทามกลางคนแปลกหนาที่เปนพรรคพวกเขาลวน เผลอๆอาจขัดเคืองกับการเสีย
บรรยากาศเดิมจนแกลงขอตัวหนีไปทางอื่นเนิ่นนานจนเขาตองเหนื่อยตามก็ได
“พี่เตหนีมาเที่ยวในโลกสวนตัวนี่เอง พวกผมเหงาแย”
นองคนหนึ่งแกลงโวยวาย พอเขาหันไปจะดุใหหุบปากหุบคําก็จะเอกับสายตาคมปลาบของหญิงสาวที่นั่ง
อยูดานนั้นพอดี เกาทัณฑรักษาหนาเปนปกติ พยักพเยิดสงยิ้มทัก แตเรือนแกวขวางคอนกลับมาวงหนึ่ง
เบะปากแถมทายเปนเครื่องหมายแทนการรอง ‘เชอะ!’ ใสเขาดังๆ แลวเสหันไปพูดกับสาวขางตัวหนาตา
เฉย
ตอไปเขาสมควรจะไดคุณหรือโทษจากหลอนก็คงพอเดาถูกอยู
หลอนไมถึงขนาดรักชอบเขาจนเจ็บปวดรวดราวราวถูกมีดกรีดกลางใจหรอก เมื่อเห็นเขานั่งกับผูหญิงอื่น
อยางนี้ ในเมื่อยังมีเชิงไทอีกทั้งคน แถมดวยหนุมนอยหนุมใหญขางนอกขางในบริษัทอีกบานพะเรอ แต
คงคันๆใจที่เขาถอนตัวกะทันหันในเวลาที่หลอนทําทาจะเลือกมาเปนคูควงคนลาสุด เขารูตัววามีภาษี
เหนือเชิงไทในชวงปลาย ตอนเที่ยวดวยกันหลอนเลือกนั่งขางเขา บางทีก็กระแซะนิดๆ และเขาก็เคยถือ
โอกาสหาเศษกํารี้กําไรไปหลายหน
แยกจากหมูเพื่อนมาไดคอยเบาใจลง ในซูเปอรมารเก็ตชั้นลางของหางคลาคล่ําดวยผูคนจับจายซื้อของ
วันอาทิตย เกาทัณฑลากรถเข็นมาคันหนึ่ง ใจเปดโลงเปนสุขอยางประหลาด เพียงดวยความตั้งใจวาจะ
เลือกของไปถวายสังฆทาน ก็แตกตางจากการเดินจับจายซื้อของปกติเปนคนละเรื่องแลว
นี่เปนครั้งแรกสําหรับการเลือกซื้อของถวายสังฆทานของเขา ขณะที่สําหรับแพตรีเปนกิจวัตรประจํา
เกาทัณฑจึงใหหลอนเปนฝายนํารอง ขอเปนเพียงผูเข็นรถตามไปรับของจากมือหลอน หรือชวยหยิบจาก
ชั้นตามแตแพตรีจะชี้
ชิ้นแรกที่หยิบเปนแชมพูสูตรเย็น หญิงสาวนํามาใสกระบะตะแกรงเพียงสี่ชิ้นตามจํานวนถวายซึ่งหลอน
ปฏิบัติมาเปนประจํา สี่ชิ้นหมายถึงใหพระสี่รูป ซึ่งเปนจํานวนนับครบองคเรียก ‘สงฆ’ ได แตเกาทัณฑรู
สึกวานั่นนอยไป ไมอิ่มใจ ก็หยิบเพิ่มอีกหาขวด
“ถวายเกาองคเถอะฮะ ตอนทานชวยกันสวดใหพรจะไดดังกระหึ่มเพราะหูดี”
แพตรีอึ้ง มองเขาอยางชั่งใจกอนกลาววา
“อยาวาขัดศรัทธาเลยนะคะ คือ…ตั้งใจจะชวยกันออกคนละครึ่ง”
๒๓๔
ฟงเทานั้นเกาทัณฑก็ทราบวาหลอนมีติดตัวมานอย เกือบบอกไปงายๆวาอยาหวงเลยเรื่องเงินเรื่องทอง
เขาจะออกใหทั้งหมด วันนี้ตอใหทํารอยแปดองคก็สบายมาก แตคิดไดวานั่นอาจเปนการทอนกําลังใจใน
การถวายของหลอนลง เพราะถูกกดใหคิดเกี่ยวกับฐานะการเงิน จึงวา
แตละชิ้นที่เลือกหยิบจากชั้นวางลวนสั่งสมความแชมชื่นใหพูนทวีขึ้นตามลําดับ ในเมื่อรูแกใจวาเจตนาจะ
นําไปถวายสงฆโดยปราศจากการเจาะจงเลือกภิกษุองคใดองคหนึ่ง ถวายเพื่ออนุเคราะหใหผูประพฤติ
ธรรมอยูสบายตามอัตภาพ สามารถสืบทอดแนวทางปฏิบัติขององคพระสัมมาสัมพุทธเจาไดโดยชอบ
อีกทั้งทราบวาของแตละชิ้นที่หยิบติดมือขึ้นมาพวกทานจะนําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันดานไหน
แจมแจงวาของแตละชิ้นมีคุณภาพดีเพียงใด บางทีเมื่อแพตรีจะผานของบางอยางที่หลอนไมเคยซื้อ
อยางเชนครีมโกนหนวด เกาทัณฑก็เปนฝายเลือกยี่หอโปรดของตน กอบมาลงวางอยางหมายรูวากลิ่น
ความนุมของโฟม และความสบายสัมผัสของมันเปนอยางไร สงฆก็จะรับเชนนั้นเหมือนกันเมื่อถึงเวลาจํา
เปนตองใช
“พี่เต!”
๒๓๕
“แพเอารถเข็นมาเพิ่มนะคะ พี่เลือกของไปเรื่อยๆกอน”
บอกเขาทั้งยิ้มกระจาง ทั้งโลกเหมือนสวางใหหลอนคนเดียว
เกาทัณฑพยักหนา มองรางระหงหมุนตัวเดินยอนทางหางไปดวยดวงตาที่เหมอลอยงงงันจากมนตสะกด
อันทรงฤทธิ์ของรูปและเสียงอิสตรี
“สวัสดีครับปู”
“ตั้งใจกลับมาใหทันทําขาวเย็นแตไมทันเวลาจนได ปูทานหรือยังคะ?”
“ทานแลว ทั้งขาวทั้งยาที่แพเตรียมไวนั่นแหละ”
ทานตอบดวยความปรานี
“แพละ เจาเตมันปลอยใหหิวหรือเปลา?”
“จะเอาอะไรอีกไหมคะ?”
๒๓๗
ชายชราสายหนา
“ผมจะเดินเปนเพื่อนแพเอง”
ปูผงกศีรษะแลวบอกแกมสั่ง
“ไปทานขาวเย็นเถอะลูก”
หญิงสาวยิ้มรับ
“คะ”
“ค่ํามืดแลว พี่กลับเถอะนะคะ”
เกาทัณฑยิ้มเผล เทาเอว
“กินขาวดวยกันกอนซี พอถึงบานก็ไลเลยนะ”
“กับขาวคงพอทานแคคนเดียวนะคะ อยาหาวาไลเลย”
“ก็ออกไปขางนอกกับ…กับผมซี”
๒๓๘
เกาทัณฑตะกุกตะกักนิดหนอยกับสรรพนามแทนตน แมหลอนยินยอมเรียกพี่เพื่อแสดงการทอดสนิท
และนับถือใหอยูเหนือแลวก็ตาม แตเขายังรูสึกขัดๆชอบกลอยู
“นะ...”
“เพลียคะ ทานขาวเสร็จอยากอาบน้ํานอนเลย”
“แพไลใหกลับนะครับ ชวนออกไปหาทานขางนอกก็ไมยอม”
หวังไวนิดๆวาปูจะชวยใชประกาศิตสั่งอีกสักหน แตตรงขาม
เกาทัณฑทําหนามอย
ปูถลึงตา
“นั่นไง! แสดงวาลองมาแลวถึงรู”
หลานชายหัวเราะเอื่อยเฉื่อยและเขาไปนั่งบนเกาอี้ใกลปู ยิ้มประจบ
“แพยืนอยางนี้เหมือนนางไมเลย”
เสียงของเขานุม ยิ้มพรายดูมีเสนหจนทําใหหลอนรูสึกอุนในอก
“เปนยังไงคะ?”
“ฟงแลวทาทางเหมือนคนสวนมากกวานางไมนะคะ”
“ใครคนหนึ่งมองวาผิวโลกเราเหมือนชายฝงของมหาสมุทรจักรวาล ที่คนยุคเราเพิ่งกาวลุยลงไปจนเปยก
แคศอก...”
แพตรีตรึกระลึกนิดหนึ่ง กอนเอยเสียงเรียบ
“คารล ซาแกน”
กอดอก ยกมือขางหนึ่งใชนิ้วเกลี่ยคางพลางรําพึง
“เปนเด็กชายที่เลนอยูบนชายฝงทะเล เพลินหากรวดหินเรียบและเปลือกหอยสวยแปลกกวาธรรมดา ใน
ขณะที่มหาสมุทรแหงความจริงวางแผโดยยังไมอาจถูกคนพบอยูเบื้องหนา”
หอมกลิ่นสดชื่นของไมดอกหลากชนิดที่ขจายปนมากับสายลมเย็นนั้น เกาทัณฑสูดหายใจเขาจนเต็มอก
ลดสายตาลงมองแพตรี เห็นกลุมผมและปลายกระโปรงหลอนพลิ้วไสวตามแรงพัด เรือนรางอรชรสมสวน
ชวนแวะเวียนทัศนามิรูหนาย ขนาดอยูในเงามืดเขายังรูสึกเลยวาหลอนสวย
“แพ...”
หญิงสาวเลิกคิ้วเปนเชิงถามวามีอะไรหรือ
“ผมอยากเปนตัวเองที่เห็นแพไดอยางนี้ตลอดไป”
แพตรียิ้มเนือย
ชายหนุมแตงน้ําเสียงเหมือนเลานิทาน
“ทําไมถึงจินตนาการขึ้นมาไดละคะ เคยฝนวาถูกจองจําหรือไง?”
“เปลา อยูๆนึกขึ้นมาเองนะ”
เอาสองมือลวงกระเปา รําพึงตอ
“แตสายตาเราก็มองฟาไดรอบ ตางกับนักโทษที่มองไดมุมเดียวจากหนาตางลูกกรง”
“อือม ใช...คุยเรื่องนี้แลวทําใหอิสรภาพในการเห็นทองฟาดูหอมหวนขึ้นเยอะแฮะ”
“แตงงานกันนะแพ”
“เพิ่งพูดถึงอิสรภาพ แลววกมาชวนกันเขาคุกอยางนี้หรือคะ?”
“บานเปนไดทั้งคุกและทองฟา ขึ้นกับวามีใครอยูดวยกัน”
หลอนตัดบทดื้อๆ
“พี่บอกทั้งปูและพอแมของพี่แลว เราหาฤกษหมั้นกันนะ”
๒๔๒
เกาทัณฑตัดตรงเขาจุดอยางเปนงานเปนการ
แปลกใจตนเองเหมือนกันที่โตตอบไดโดยปราศจากอาการเคอะเขิน หันขางใหอยางจะออกหางและชวน
ยุติการสนทนาเพียงนั้น แตพอหันหนี มือขวาก็ถูกดึงไปกุมเกือบจะทันที
“นิ่มไหมคะ?”
“พรุงนี้ผมมาหานะ”
“หาใคร?”
ประตูเปดอา แพตรียืนเฉยอยูตรงนั้น
“ราตรีสวัสดิ์”
เขากลาวลา
“คะ ราตรีสวัสดิ์”
แพตรีปดตาลง กอนจะลืมขึ้นเมื่อเขาถอยหางออกไป...
๒๔๓
เสียงจักจั่นที่ดังระงมซอยและสายลมเย็นแทบไมเปนที่รับรูของมติแมแตนอย เขาซอนตัวอยูหลังเสาไฟ
จนกระทั่งเรือนรถเปรียวเคลื่อนออกจากแหลง และเงารางหญิงสาวลับหายจากประตูรั้วไปแลว
รางชาคลายคนเปนอัมพาตไปชั่วขณะ นึกวาภาพที่เห็นคือความฝน
แสงไฟจากขางถนนฉายใหเห็นสิ่งตางๆเพียงมลังเมลือง แตภาพที่ชายคนนั้นจูบหนาผากแพตรีมันชัด
เสียยิ่งกวาชัดตอสายตาของมติ
ทั้งที่ปลงใจจนหลอกตัวเองสนิทวาคิดกับหลอนเชนพี่สาวเหมือนสมัยเด็ก แตพอเจอภาพบาดตาพิสูจนใจ
ก็รูวาสภาพคาราคาซังยังคงอยู ชวงเวลาที่พยายามโยนวิมานอากาศทิ้งลงทะเลนั้น นับวาสูญเปลาทั้งเพ
วางขาวของพะรุงพะรังโครมอยางไมอินังขังขอบ นั่งลงกับพื้นหองนอนดวยกิริยาคลายคนถูกสาปเปนหิน
กะทันหัน เจ็บแนนหนาอก เปนครั้งแรกในชีวิตที่ไฟริษยากําเริบขึ้นในหัวใจจนแผดเผาราวกับจะเอาให
ตายดับ หายใจผิดจังหวะ สองตาไมอาจเล็งตรงใหขนานกัน มองเห็นเพียงแคบใกล อึดอัดไปหมด
อะไรมันบังตาหลอนกัน? โธเอย...
อนาถจริงๆ!
เสียดายเผารูปทิ้งไปเสียกอน ไมอยางนั้นตอนนี้จะเอามาวางทับหนาตัวเองแลวคอยจุดไฟ
๒๔๕
เสียงความคิดดูตึงตังอลเวงขึ้นเมื่อหลงครึ่งหลับครึ่งตื่นดวยอารมณทรมาน เสนกระตุกจนเดงขึ้นทั้งราง
นี่เขาฝนวาตัวเองกําลังคิดสับสน หรือคิดสับสนวาตัวเองกําลังฝนกันแน? ความคิดคลายเปนสายดําแดง
แลนเวียนซายวายขวา บางทีเปนเสียงตัวเองหลอนหลอกราวกับปศาจ ตองพลิกตัวสะบัดหนี บางคราว
เปนเสียงกระซิบของแพตรีเหมือนหลอนมายืนเรียกอยูขางเตียง หลอนมาเยยเขาหรือ?
ความรูสึกที่แปรรูปเปนอื่นเริ่มสั่งสมมาจากเมื่อไหรก็ยากจะระบุวันเวลา ที่แนคือเมื่อเกือบสองเดือนกอน
เขาไดรับเชิญไปงานแตงของรุนพี่คนหนึ่งผูมีบุญคุณ ใหความชวยเหลือเขาเสมอ เกิดความประทับใจ
ภาพยืนคูกันบนเวทีของคูบาวสาวที่งามราวกิ่งทองใบหยก บันดาลใหอยากวาดรูปขึ้นมาทันใด
เมื่อลงจากรถแลว เขาชมหลอนแบบไมรูจะพูดอะไร
๒๔๖
วันนี้หลอนกําลังจะจากหาย ไมมีเวลาเหลือมาเปนแรงผลักดันใหเขากาวไปไหนๆอีกแลว
“มาทําอะไรจะมติ?”
“ผม...ผมอยากมาบอกใหพี่แพรูวาผมเผารูปนั้นทิ้งไปแลว ขอโทษนะฮะที่วาดมันขึ้นมา”
๒๔๗
“ชางเถอะจะ...แตมติตองวาดรูปพี่กับเจาบาวของพี่ใหดวยนะ”
มติกมหนาสลด ทวารับคําขอนั้นโดยดี
“ฮะ แลวผมจะวาดให”
“เธอเปนนองที่พี่รักมากกวาใคร”
วาแลวก็ดึงเขาเขามาโอบดวยเรียวแขนขวา ตอนนั้นมติรูสึกวาตนเองกลับกลายเปนเด็กชายตัวเล็กจอยที่
อยากใกลชิดหลอนเพื่อขอความอุนกายสบายใจจากพี่สาวอีกครั้ง
มือใหญแข็งๆของใครคนหนึ่งจับหมับที่ตนแขน บีบเต็มกําและกระชากเขาปลิวหลุดจากออมโอบเจาสาว
เบิกตามองดวยความตระหนกก็ทราบวาบัดนี้เขามาเผชิญกับเจาบาวผูวางทากรางคลายนักเลงโต ตีหนา
ยักษใสคลายจะเขาฉีกเนื้อเถือหนัง คงเดือดดาลที่เห็นแพตรีทอดแขนโอบเขานั่นเอง
มติตัวสั่น เขายกมือไหวและเอยเสียงเครือดวยความกริ่งเกรงภัย
“สวัสดีครับพี่”
“ทะลึ่งมากนะไอกรวก เสือกเอากลิ่นสาบมาติดเจาสาวกู...ออกไป!”
เหลียวไปทางแพตรี หวังจะเห็นหลอนลนลานเขามาชวยและอธิบายใหเจาบาวเขาใจวาเขาเปนคนสนิท
ก็ตองผิดหวังเมื่อพบวาหลอนเพียงยืนมองเฉย
ผูชนะไดไปทุกสิ่งเชนนี้เอง แมน้ําใจอาทรของคนแสนดีอยางหลอนก็ไมเหลือให...
เมื่อเพงถี่ถวนดวยการเพิ่มแรงหนุนของกระแสรูมากขึ้น ก็เห็นคลายเขากําลังลูบคลําหัวกะโหลกที่ถูกตัด
ออกมาวาง มีเสนผมขอดติดอยูกับสวนกระหมอมเหมือนสาหรายทะเลรกเรื้อติดหินเรียบฉะนั้น
สิ่งกระทบใจผุดขึ้นโดยเขาไมไดกําหนดใหเกิดขึ้น ตัวของแพตรีคงเดินเหินหรือนั่งนอนอยูในหองหาง
ออกไป เปนคนละอันกับที่ผุดเกิดกระทบใจเขาตรงนี้ เดี๋ยวนี้
เมื่อรูแจงดังนั้นก็เห็นเปนเพียงนิมิตอันวางเปลา เปนความปรุงแตงอันเกิดจากความทรงจําของเขาเอง
ปราศจากความรูสึกรูสาอันใด แตดวยปรุงแตงชนิดเดียวกันนี้ เมื่อครูพาเขาไปเปนผูทุกข ผูมีความ
ระส่ําระสาย ผูสงสารตัวเอง ผูรองไหใหตัวเอง
๒๕๐
วางยิ่งเพราะไมหลงเหลือผูหญิงใหหวัง ไมติดพะวงโลกธรรมใดอื่น
“เฮยมัด! พอถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง!!”
แตความลิงโลดสุดชีวิตยามนี้ก็จะจางไปในอนาคตเชนกัน
“ดีสิฮะพอ”
“พอตองแกลงทําเฉยจนแทบอกแตกตายแนะวะ กลัวพรรคพวกบนโตะหมากรุกมันรูแลวจะรุมตีกบาลพอ
หมอบอยูตรงนั้น...”
เขาตองมานั่งรับฟงพอสาธยายที่โตะรับแขกทั้งอยูในผาเช็ดตัวหนึ่งผืน พอเสียดายที่ซื้อเลขนั้นแคคูเดียว
เรียกวาทั้งดีใจทั้งเสียดาย สงแรงดึงทึ้งกันไปมาจนหัวใจแทบวาย อีกคูหนึ่งวางอยูติดกันแทๆ โงบัดซบที่
ไมดึงมาดวย จากที่ควรได 12 ลานเลยเหลือแค 6 ลานอยางนี้
มติเกรงวาหัวใจพอจะทํางานหนักเกินไปจนถึงขั้นนาเปนหวง จึงรักษาดุลของจิตตนใหเห็นทุกสิ่งวางไว
อยางนั้น เมื่อจะกลาวแตละคําตองคุมสติแนน สงออกไปดวยจิตเห็นกายเปนอนัตตา เห็นกระดูกขา
กรรไกรขยับขึ้นลง หวังใชความสะเทือนของแกวเสียงตนถายทอดความสงบวางในกระแสจิตผานไปเขา
หูพอ ทําความตื่นเตนใกลจะเกินขีดของทานใหเบาลงบาง
คลื่นบุญที่ลอยมาจากปากพอเคลาเขาเปนอันเดียวกันไดกับสภาพจิตของมติยามนั้น เด็กหนุมจึงยิ้มออก
มาดวยใจชื่นบานอันเปนของจริง
“สุดแตพอสิฮะ ผมชวยเปนธุระใหเต็มกําลังเลย”
๒๕๓
ประทับกลับเขาบานหลังเที่ยงคืน ประจวบกับที่มติกับพอคุยกันจนไดขอสรุปเปนมั่นเหมาะกับการใชเงิน
รางวัลอยางเหมาะสม จึงแยกยายเขาหองนอนของแตละคน มตินัดแนะกับพอไวลวงหนาแลววาไมควร
ใหประทับซึ่งยังเปนเด็กมือเติบเกินวัยไดมีสวนรับรู เพราะอาจเกิดความวุนวายจากการขอสวนแบงแบบ
เด็กๆ จะนําทุกขมาใหมากกวาเขารวมแสดงความยินดีอยางอบอุนประสาสมาชิกในครอบครัว
ถาไดรถสักคันก็ดี...
สะดุดกึกและตาโตกับตัวเองเมื่อฝนลอยลมมาถึงตรงนั้น
นี่เขาเสียสภาพตัวรูธรรมไปตั้งแตเมื่อไหร?
อยากบวช...
กลืนตัวเปนหนึ่งเดียวกับอิสรภาพสถาวร
ทําทาจะถอยฉาก แตเชิงไทเรียกไวเสียกอน
“เหรอะ”
ความจริงเกาทัณฑสมัครใจจะยอนกลับทางเกามากกวา เพราะหญิงสาวผูรวมโตะประชุมกับเชิงไทมิใช
ใครอื่น เรือนแกวนั่นเอง รูสึกฝนๆชอบกลนับแตวันเจอกันที่โคราช จากที่เคยสนิท เคยเจอหนากันแลว
ยืนทักทายหัวรอตอกระซิก เดี๋ยวนี้กลายเปนสวัสดีแกนๆเฉพาะเมื่อเดินสวน บางทีถาอยูหางหนอยเดียว
ก็เห็นหลอนทําทีหมางเมินอยางจงใจ
เชิงไทกระเซา เกาทัณฑยักคิ้วตอบเอื่อยเฉื่อย
“วาจะลาสักพักนะ ชวงนี้เลยอยูสะสางงานใหหมด”
๒๕๖
เกาทัณฑอึดอัดกับความพยายามของเชิงไทที่ตั้งหนาตั้งตามุงเขาหาแพตรีเปนหลัก ที่จริงถาอยูกันตาม
ลําพังประสาชายก็คงไมกระไร ทวานี่มีเรือนแกวอยูอีกคน แมเคาหนางามในชุดสูทเนี้ยบกริบจะเบนมอง
ไปทางหนึ่งหางไกล แตเกาทัณฑทราบวาหลอนจะฟงทุกคําโตตอบระหวางเขากับเชิงไท ก็เชิงไทเพิ่ง
บอกหยกๆวาเมื่อครูประเด็นสนทนาคือเรื่องของเขาอยูนั่นไง
เชิงไทฟงคําแถลงนั้นแลวแปลความหมายวาเพื่อนจะแทงกั๊ก แบบบอกผานเขาหูเรือนแกววาที่จริงยัง
โสดสนิท จึงรองวา
“แอ”
หลอนเงยหนามอง กอนขานรับดวยเสียงหวานเจื้อยแจว
“ขา...”
“วันนี้ดูสดชื่นดีนะ ถาจะเงินเดือนขึ้น”
“สาวคนนี้ไมนาปลื้มพอหรอกคะ สูนอง...นองอะไรนะ?”
“แพ”
เชิงไทรับลูก
“กูจะใหเปนคูปองแลกอาหารมังสวิรัติ”
แลวสองหนุมสาวก็หัวเราะฮึ่มพรอมกัน ทําเอาคนถูกรุมตองพยักพเยิดผสมโรงหวนๆ
“งั้นมึงไมตองกินของในงานกู!”
“เชิงอยาถามเสียงดังสิคะ ฟงแลวไมนาตอบเลย”
ดุคนหนึ่งเสร็จก็ยื่นหนาถามอีกคนดวยยิ้มอันนาพิสมัยคลายปลอบเด็ก
“ตกลงพระคุณทานจะแตงเมื่อไหรเจาคะ?”
“พรุงนี้บายๆมั้ง กะวากินขาวเที่ยงเสร็จถาไมจูดๆก็คงพรอม”
เชิงไทออกความเห็นกับเรือนแกว
หญิงสาวหัวเราะฮา
เรือนแกวเทาศอกเอามือรองคาง ปรือตาเปรยกับเกาทัณฑ
“ใครจะเหมือนเทพธิดาไดเทาแอละ”
ไดยินเชนนั้นเรือนแกวก็รองดังๆ
“อุย! เดี๋ยวลอยเลย”
เกาทัณฑหัวเราะเล็กนอย
“เมื่อเชาเห็นคุณพิจัยบอกวามะรืนนี้แอจะไปสิงคโปรใชไหม?”
“ก็เกิดอยากถามจริงๆ จะฝากซื้อกลองดิจิตอลดวยถาไปแนนะ”
เชิงไทฟงเชนนั้นก็ทําตาโต โพลงออกมาทันที
๒๖๐
“ก็ดีสิคา...”
เรือนแกวเอียงหนาทําตาชมาย เพื่อนหนุมทําทาขึงขัง
เบนทิศหันมาพูดกับเกาทัณฑแทน
“นั่นนะซี กูก็วางั้นแหละ”
๒๖๑
วาจะทําเปนเบื้อใบอยูแลวเชียว พอไดยินเชิงไทกลาวเรื่อยเจื้อยก็ตบะแตก
“พิธากอรัสในความรับรูของมึงเปนใคร?”
เชิงไทนึกลําดับขอมูลเชิงประวัติศาสตรที่เลือนๆเปนครู กอนเอยตอบอยางจะใหไดรายละเอียดอันชัดเจน
ของปราชญกรีกโบราณนามนั้น ชนิดที่ไมใหเพื่อนดูแคลนไดวาอางนามใครโดยปราศจากความรูเพียงพอ
เกาทัณฑพยักหนา
“มึงวานักคณิตศาสตรนี่เปนตนแบบของตรรกะ และกรอบความคิดที่ชัดเจนของอารยธรรมยุคใหมของ
เราหรือเปลา?”
“เหรอะ?”
เชิงไทกะพริบตาปริบๆ รูจักกันมานานจนทราบวาเพื่อนไมใชประเภทใหขอมูลแบบยกเมฆลอยลมเพื่อ
เอาชนะคัดงางกันเลน จึงรับวา
“คุนๆวาสอนเกี่ยวกับเรื่องปรัชญาทางจิตวิญญาณ แตนึกไมถึงวาขนาดประกาศตัวเองเปนผูระลึกชาติ
ได”
เชิงไทประสานมือรองทายทอย เอนหลังพิงพนักดวยทาทีเริ่มคิดใครครวญจริงจังกวาเมื่อเริ่มจุดประเด็น
เปนครูจึงเอย
“ปราชญเมธีทั้งหลายแหลสืบสานความรูความคิดตกทอดกันหลายรุนหลายสมัย จนไดลูกหลานเปนนัก
วิทยาศาสตรอยางเอดิสัน ประดิษฐแสงไฟใหโลกสวาง ผลประโยชนหลักคือผูคนในโลกมองเห็นในเวลา
กลางคืนโดยไมตองจุดตะกุงตะเกียงกันใหเมื่อย
เชิงไทหัวเราะอยางเขาใจจุดสรุปของเพื่อน
๒๖๓
เรือนแกวแทรกขึ้นเปนครั้งแรก
“เธอใหนิยามความศักดิ์สิทธิ์ไวยังไง? อยาพูดตามพจนานุกรมนะ”
มีรองรอยของความขมบางอยางที่แฝงอยูในหางเสียงปราพรา จนเรียกใหเกาทัณฑและเชิงไทจรดมอง
เพื่อนสาวนิ่ง ดูเหมือนหลอนจะรูสึกตัว และปรับน้ําเสียงใหเปนปกติเมื่อพูดสืบตอ
เกาทัณฑพยักหนา
เรือนแกวยักไหล
อั้นอึ้งไปพักใหญ สองหนุมรูวาหลอนยังพูดไมจบก็รอฟง
เรื่องพอแมฆาแกงกันในบานตัวเองเปนประสบการณเลวรายที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย และสิ่งที่ประทับ
อยูในความทรงจําของเรือนแกว ก็ฉายออกมาทางแววราวในดวงตาชัดยิ่ง นั่นเปนครั้งแรกที่เกาทัณฑ
และเชิงไทเห็นแววชนิดนั้นจากหลอน
“แลวชวงนั้นแออยูกับใคร กลับไปหาพอหรือเปลา?”
เชิงไทตั้งคําถามตามที่นาจะสงสัย
เสียงของหลอนแฝงดวยแรงกริ้ว แสดงใหเห็นวายังมีความอาฆาตผูเปนบิดาอันเปนมหาอกุศลตามครอบ
งําจิตใจมาถึงปจจุบัน เกาทัณฑเมมปาก เห็นใจแตไมทราบจะชวยอยางไร ของแบบนี้เจอเองจึงจะรูวา
เจ็บเขาไสขนาดไหน ใหปลอบงายๆ ขอใหเลิกโกรธเกลียด เห็นแกความที่เปนผูใหกําเนิดนั้นอยาหวัง
หากปราศจากความเขาซึ้งถึงธรรมดายถากรรมเราเขาตลอดสาย ก็แทบไมมีทางเกิดจิตคิดอโหสิที่เด็ด
ขาด ปลดเปลื้องนรกจากหัวใจตัวเองไดเลย
แลวเรือนแกวก็จองเกาทัณฑเขม็ง
๒๖๖
“แตแอก็ไดงานแปล...”
เกาทัณฑเงียบคิด สิ่งที่เขาเห็นประจักษคือหลอนสามารถผานความเลวรายขนาดนั้นมาถึงวันอันงดงาม
ขนาดนี้ได ก็นาจะชวนคิดแลววามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกปอง โอบอุมค้ําชู นาแปลกที่หลอนกลับไมมองให
เห็นบาง
“แอตองการใหสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชวยยังไง คืนแมกลับมาให?”
“เปลา...ไมเอาแมไปตางหาก”
เรือนแกววาตอตามใจคิดเมื่อเห็นเขาไมโตตอบ
เกาทัณฑกําหนดจิตใหโปรงโลง คิดฉายความสุขในตนสงถึงหลอนกอนเอยตอบ
แลวเกาทัณฑก็ดึงตัวนั่งตรง ตื่นพรอมสําหรับการพูดแบบน้ําไหล
๒๖๗
“แตแอไมใชคนแรกที่ตั้งคําถามหาความศักดิ์สิทธิ์ทํานองนี้จากศาสนา เปนคําถามที่สาวกของทุกศาสนา
มีในใจตลอดมาขณะตกทุกขไดยาก หากเปนผม ผมก็คงสงสัยขึ้นมาวาเมื่อแรกเกิดยังไมทันทําบุญสัก
แอะ ทําไมมีบานชอง มีออมอกพอแมพรั่งพรอม อยูเปนสุข เห็นเรื่องสบายตาทุกอยาง แตพอรูความ ทํา
บุญไปไดหนอย เมื่อโตขึ้นกลับตกระกําลําบาก จะใหเชื่อไดยังไงวาทําดีแลวไดดีตอบ”
แมพระองคเองสมัยทรงพระชนมก็เสวยทุกขทางกรัชกายจากการเบียดเบียนภายนอกและภายในยิ่งกวา
คนทั่วไปเสียอีก อยางเชนผลตกคางเรื้อรังในระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากการบําเพ็ญทุกรกิริยาถึงหก
ปกอนตรัสรู หรืออยางที่พระองคกับสาวกระดับผูใหญถูกประทุษรายตางๆนานา ไดรับความทุกขทาง
กายเสมอพวกเรา หรือยิ่งกวาพวกเรา นั่นเปนหลักฐานวาแมแตผูเปนประมุขสูงสุดของศาสนาก็ใชจะ
หลีกเรนไปอยูบนวิมานหางจากดินนะแอ
เรือนแกวตั้งใจฟงมาตลอด แตพอเขาลงสรุปเชนนั้นก็หัวเราะขัน
ริมฝปากเรือนแกวคอยๆคลี่ออกเปนรอยยิ้ม
“จะทําอะไร สะกดจิตแอเหรอ?”
“ไดเลย เจาพอจะสั่งอะไรลูกชางก็วามา”
“นั่งตรงๆนะ หลับตาลง”
ตอนนั้นใจชักเริ่มเบี่ยงเบนไปคิดเรื่องอื่น เรือนแกวก็ดึงความรูตัวกลับมาจดจอกับขอมือใหมอยางรวดเร็ว
เนื่องจากสํารวจทุกครั้งที่นับวาใจยังอยูกับขอมือหรือไม พบวาความสงบสุขทวีขึ้นเปนเงาตามระยะเวลา
กําหนดรูสิ่งเดียวเชนนั้น แมเมื่อลมหายใจผิดจังหวะ ก็รูเองวาควรกําหนดเขาออกอยางสม่ําเสมอ ลด
ความเกร็งลง
“เปนไงมั่ง?”
เกาทัณฑถาม
“ตั้งตัวรูดูความสบายที่ขอมืออยางเมื่อกี้ แตคราวนี้ใหคิดสมมุติวากําลังวางกระดูกทอนแขนที่เราไมใชเจา
ของ เปนทอนกระดูกของใครไมรูเอามาฝากไวกับตัวเรา เราไมใชผูสราง วางทิ้งไดโดยไมตองเปนหวง”
เห็นจริงเห็นจังวาทอนกระดูกที่วางอยูนี้มิไดถูกสรางขึ้นโดยหลอน เมื่อคิดวางทิ้งไวเหมือนซากไมไรเจา
ของแลวก็สบายใจ โปรงโลงหมดหวงหมดความยึดถือ
นั่นเปนชวงหัวเลี้ยวหัวตอสําคัญที่สุดของการยางเขาสูภาวะปลอยวาง คือเหลือแตอาการรูทอนแขน
เฉยๆโดยไมคิด ไมพิจารณาอะไร เพราะติดอยูในความหมายรูเรียบรอยแลววาแขนที่ถูกรูมิใชสิ่งที่หลอน
สราง เปนเพียงธรรมชาติอันวางเปลาจากตัวตน หาไดอยูในความครอบครองของใคร เสมอกันกับกระดูก
ศพที่ถูกทิ้งขวางในปาชา
เมื่อเห็นความวางจากผูครอง ใจก็วางลงไดเชนกัน
วาง… สิ่งที่วาง
เมื่อเกาทัณฑเห็นสีหนาที่ผอนคลายยิ่งของเพื่อนสาว ก็รับทราบวาเรือนแกวลิ้มรสธรรมขั้นตนที่พนจาก
การอธิบายดวยคําพูดแลว
“เปนไงมั่ง?”
คราวนี้เรือนแกวยอมรับโดยปราศจากทาทีแสรงอําพราง
“อือ รูสึกวางไดจริงๆแหละ”
วกไปพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แอพบอยูในความวางเปลาของอากาศ แนนอนเมื่อแอเรียกรองอยูในใจของตัว
เองและมองออกไปในอากาศวาง สิ่งที่จะพบยอมไมใชผูวิเศษตนใดตนหนึ่ง แตเปนอากาศวางนั่นแหละ
พูดปลอบไมได ยื่นมือมาฉุดใหเราลุกไมไดอยูอยางนั้นเอง
ชายหนุมผงกศีรษะรับอยางแข็งแรง เปนเครื่องหมายแทนการยอมรับเต็มที่
การพิจารณาธรรมขั้นตนอยางนี้ ก็คงไมอาศัยแรงกําลังมากไปกวาที่แอรับงานแปลจากพี่อนงคในชวง
วิกฤตสักเทาไหร วาไปอาจนอยกวาดวยซ้ํา เพราะใชเวลาแคนาทีเดียว ขณะที่งานแปลอาจกินเวลาเปน
สิบชั่วโมงตอเนื่อง ในเมื่อตอนนั้นเปนทุกขแลวยังตั้งสติทํางานได ก็แปลวามีกําลังเหลือเฟอสําหรับการ
พิจารณาใหเห็นความวาง จริงไหม?”
เรือนแกวเริ่มเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนาเปนอีกแบบไดบาง อยางนอยก็ยอน
คิดวาพระพุทธองคทรงเหน็ดเหนื่อยเผยแพรแกนธรรมชนิดนี้ มิใชปราถนาจะกระทําพระองคเปน ‘สิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์’ ปกปองคุมครอง ใหความชวยเหลือใครเพียงเพราะเชื่อตามพระองคในขั้นใหทาน รักษาศีล
ทวาทรงปรารถนาจะเปนผูบอกวิธีพนทุกขใหแกคนปฏิบัติดวยตนเอง
เปาหมายสุดทายของการพิจารณาปลอยวางบอยๆก็เปนสิ่งหนึ่งที่แตกตางจากการสะกดจิต ปลายทาง
ของการสะกดจิตอาจใหผลเปนการเปลี่ยนบุคลิกภาพใหดีขึ้นหรือเลวลง แตการพิจารณาธรรมจนแกรอบ
แลว สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใหกลายเปนอีกสภาวะหนึ่ง ขาดสิ้นจากการปรุงแตงระคายใจอยางถาวร ไม
ตองเพงพิจารณาอีก”
เชิงไทลดรอยยิ้มขันในหนาลง แตยังของวา
“รูดีอยางนี้แลวทําไมมึงไมปลงผมบวชเสียเลยละ? จะไดหมดทุกขถาวร”
เชิงไทกัดปากและยนคิ้วนิดๆ
๒๗๓
เชิงไทตะแคงหนา เหลตามองอีกฝาย
“ชาตินี้เปนสิ่งที่จับตองไดของชาติกอน”
๒๗๔
ครั้งนี้เกาทัณฑตอบทันทีโดยไมพักคิด
เชิงไทเลิกคิ้ว
“ถาเรียกนั่งทางใน มึงคงนึกถึงแนวทางในสํานักหมอผีหรือกุมารทองใบหวยมากกวาจะเขาใจตามจริงวา
เปนอยางไร คิดงี้ดีกวา เราตองทําจิตใหขึงตึงเหมือนจอหนังที่เรียบ ปราศจากความขรุขระบิดเบี้ยว
พรอมจะรับแสงจากเครื่องฉายได ซึ่งเครื่องฉายก็ตองสงแสงไดแรงพอถึงจะเกิดความคมชัด ทั้งจอและ
ทั้งเครื่องฉายนั่นแหละคือจิตที่อยูในภาวะสมาธิ
“ถาไดสมาธิอยางเดียวนี่ก็กลายเปนผูวิเศษ คิดถึงชาติกอนก็เห็นเลย?”
เกาทัณฑสายหนา
“มึงเห็นชาติกอนหรือยังวะ?”
“สรุปคือมึงยังไมเคยเห็นชาติกอนเลย จะโดยปริยายไหนๆก็แลวแต?”
๒๗๖
“อยางกูไมใชพระราชาแน และมึงก็ไมใชมหาดเล็กของกู”
“ไปกินขาวเหอะ”
๒๗๗
เกาทัณฑและเรือนแกวกําลังทองรองจอกๆอยูพอดี เมื่อเชิงไทชวนทานขาวจึงตกลงตามกัน
“กินไหนดี?”
เรือนแกวถามดวยเสียงติดเบื่อหนอยๆเมื่อคิดถึงรานใกลละแวก ชวงค่ําคืนเชนนี้เหลือตัวเลือกนอยเต็มที
สองหนุมและหนึ่งสาวมานั่งรับประทานมื้อเย็นดวยกัน ทามกลางแสงเทียนและเสียงดนตรีละเมียด
สนทนาเรื่องเบาหัว เรือนแกวเปนสีสันสดใสและความนารักนาใครของโตะ ทําใหเวลาชั่วโมงครึ่งผานไป
ดวยความเพลิดเพลินเจริญอาหาร
"ตุย...ตุย"
๒๗๘
“ใหแอเปนตุกตาหนารถของเชิงมั่งซิ”
เมื่อรถเคลื่อนจากที่และเชิงไทจะเบนทิศกลับบริษัทเพื่อใหเพื่อนหญิงชายไปเอารถของแตละคน เรือน
แกวก็หามไวและขอวา
เชิงไทพยักหนาดวยความเต็มใจ
“ไดซี่”
“ตอนนี้มึงเปนพุทธเต็มตัว เต็มใจแลวสิ”
ชวงทานขาวเย็นและบทสนทนาเรื่องทั่วไปที่พักคั่นมาระยะหนึ่งทําใหกลับมาคุยประเด็นธรรมะตอไดราบ
รื่นขึ้น สุมเสียงเชิงไทฟงลดความตั้งแงยียวนลงกวาเดิมเยอะ
“ก็คงงั้น”
“ยายแอเปนคนเรงนี่หวา”
๒๗๙
เชิงไทหรี่ใหตามคําขอ แลวถามซ้ํา
“นองแพเปนคนพาไปละสิ?”
เชิงไทดักคอ เกาทัณฑเงียบ
“โอเคเลยเชิง”
“พาแอไปดวยนะ”
เรือนแกวพึมพํา
“อาว ไหนวาหลับไงละนี่”
เชิงไทหันมองขางกาย ทักยิ้มๆ
“กําลังละเมอมั้ง”
หลอนตอบทั้งยังปดตา
“ใกลถึงตรงที่แอใหปลุกพอดีแหละ”
๒๘๐
“คน…คน!”
เชิงไทยิ้มเย็น
“ก็คนนะสิ กลัวผมเห็นเปนลิงเหรอะ”
แลวก็หักเบี่ยงขวาอยางรูวาคนขามถนนคงไมเสียสติกระโจนตามหัวรถมาแนๆ เกาทัณฑหัวเราะมาจาก
ดานหลัง ถนนวางโลงและติดไฟแดงแตละจุดครูเดียว สองอึดใจตอมาเรือนแกวก็บอกใหเชิงไทเขาซอย
หนึ่งทางซายมือ ลัดเลาะตามทางไดเกือบสามรอยเมตรก็ถึงอาคารสูงหลายสิบชั้นอันเปนที่พักอาศัยของ
หลอน
“ชั้นลางมีหองน้ําใหเขาไหม?”
เรือนแกวหันมองทาทีรุมรามของเพื่อนหนุม ทีแรกจะบอกทางไปหองน้ําของยามและคนเฝาเคานเตอร
แตเปลี่ยนใจคิดใหความเอื้อเฟอ ไหนๆเขาก็อุตสาหมาสง และตึกนี้ก็ตางคนตางอยู ใครคิดไมดีเห็น
หลอนหิ้วหนุมติดมาเขาหองสองคนก็ชางหัว
“เขาในหองแอแลวกัน”
“ไมเลวแฮะ”
๒๘๑
“หองสวยกวาของผมเยอะเลย”
ยืนใกลแคเอื้อม เรือนแกวเพียงกระซิบตอบก็ไดยินชัด
“หองเตคงจะรกนาดูสิทา หนุมโสดก็หยั่งงี้แหละ”
เขาชมการแตงหอง แตหลอนกลับถามมาอีกทาง
“แอนารักเหรอ?”
เรือนแกวเอนหลังพิงผนังอยางตองการพักเขา แตดูทีปรือตายิ้มเยื้อนมองลึกเขามาในตาเขาแลวคลาย
หลอนกําลังเชิญชวนใหเสี่ยงเดาใจวาคิดอะไรอยู จังหวะนั้นหากเขากมลงเอาจมูกแตะปลายคางหลอนสัก
หนอย คงไมถูกตอวาตอขานกระมัง...
๒๘๒
หากทําอยางที่กําลังอยากทํา เรือนแกวจะเปลี่ยนฐานะจากเพื่อนเปนอื่นทันที
อุตสาหเฝางอแพตรี งัดสารพัดกลเม็ดเด็ดพรายมาใชจนหลอนตกปากรับคําแลววาสุดสัปดาหนี้จะไปหา
ฤกษหมั้นดวยกัน รวมทั้งเดินทางไปบอกกลาวลุงคามภีรของเขา ผูมีศักดิ์ตามกฎหมายเปนพอของ
หลอน ใหรับรูถึงสัมพันธภาพและเจตจํานงที่มี
แลหาโดยรอบก็พบทั้งปนอัดลมและคันธนูบนชั้นวางใกลเตาอบไมโครเวฟ เพียงเขามาอยูในโลกสวนตัว
ของเรือนแกวกาวแรก ก็เห็นแลววาหลอนหลากหลายขนาดไหน
“แอเลนเปยโนดวยเหรอะ?”
เรือนแกวดีดรองเทาสนสูงทิ้ง กาวเทาเขาสูบริเวณที่กั้นไวเปนครัวยอมๆเพื่อลางหนาลางตาและจัดหาน้ํา
ทาใหเพื่อนฝูง ไมโตตอบคําของเชิงไทผูเห็นเปยโนอยูทนโทในหองนอนหลอน ยังอุตสาหถามอีกวาเลน
เปยโนหรือเปลา
“เคาะผิดเคาะถูกแสดงวาเรื้อไปนานแลวซี”
๒๘๓
มายืนทักอยูเกือบชิดหลังนักเปยโนสมัครเลน เห็นมือเพื่อนออกเกร็งชอบกลเมื่อตะปบไปตามกลุมคีย
ขาวดํา
“เออ ไมมีเวลาซอมนี่หวา”
เกาทัณฑเหลียวไปเห็นชั้นตั้งเสียบซีดีเพลงสูงปรี๊ดวางเปนตับอยูไมหาง ก็ออกสํารวจเพื่อใหรูแนวฟง
เพลงของเรือนแกว เขามีโอกาสนั่งรถหลอนนอยครั้ง แตละครั้งคุยกันโขมงโฉงเฉงกับเพื่อนในกลุมเกิน
กวาจะใสใจรับรูประเภทเพลงที่ติดรถ
จินตนาการถึงความเปนเรือนแกวอยูในใจ จํานวนแผนของเพลงแตละประเภทบอกอยูในตัววาหลอนไม
ผิวเผินกับอะไรสักอยาง จังหวะการเปลี่ยนอารมณของผูหญิงคนนี้คงเดายากเอาเรื่อง ในเมื่อมีพื้นจิตใจที่
สามารถจมจอมอยูกับทุกแบบการปรุงอารมณ ไมวาจะเปนการขับขานตามแนวไทยเดิมเชนลาวเทียน ที่
ลากชาเยือกเย็นขนาดกลอมใหเกิดสมาธิได หรือการบรรเลงอันอลังการเบิกชัยเชน La Primavera ของวิ
วาลดี้ ที่อาจบันดาลความรูสึกสงางามสมบูรณแบบแกผูสดับอยางละเอียด ไปจนกระทั่งการกระชาก
กระชั้นเผ็ดมันสุดเดชเชนในเพลง Simply Irresistible ของ โรเบิรต พาลมเมอร ที่เตะอารมณคนฟงใหพุง
โดงไดถึงสุดโตงความคะนองใจ
เกาทัณฑกะพริบตาปริบๆ โลงใจอยูหรอกที่หาทั่วแลวไมเจอสมุนซาตานปนอยูดวย
“พาเพื่อนมาที่นี่บอยไหม?”
“ก็เปนครั้งคราว”
เกือบบอกวาตองสนิทกันจริงๆ และเพิ่งเขากับเชิงไทนี่แหละเปนเพศชายสองรายแรกที่มีโอกาสมาเยือน
ถิ่น แตกลัวรูแลวเหลิง เลยเก็บไว
“รูดวยเหรอวาแอเลน ใครบอกนะ?”
“ออ ชางสังเกตจริงนะ”
หญิงสาวสั่นศีรษะ
“เบื่อฟงดนตรีกระปองแลวโวย กระแทกตุงๆยังกับจิงโจ”
เชิงไทชะงักกึก ความบันเทิงในอากาศดับวูบ
“แอเลนแทนแลวกัน”
ขอแลวลุกจากมานั่ง ควากระปองน้ําผลไมอัดลมติดมือมาดวย
“เชิงก็เลนไปดิ้ แอกําลังฟงเพลินๆ”
เรือนแกวยิ้มขัน เชิงไทเดินเขามานั่งบนเทาแขนโซฟาขนาบหลอนอีกขางแบบดาวลอมเดือน
“เจาของหองปลอยใหแขกเปนฝายจัดหาความสําราญไดไง...ไป”
“อยากฟงเพลงอะไรละ”
“ไมมีเนื้อแลวนึกไมคอยออกนี่”
เชิงไทบอกสงๆ อยากฟงการลงลูกคอนุมหูของเรือนแกวเต็มแก
“แมเจาโวย!”
“ตอใหจบสิ”
เชิงไทขอรอง
“เลนใหฟงหนอยสิแอ”
หญิงสาวเหยียดยิ้มเมื่อเพื่อนหนุมทําทาราวกับจะเขามาเคนคอ
เชิงไทฟงไดเดี๋ยวเดียวก็นั่งไมติด ตองขยับลุกขึ้นยืนในมุมที่สามารถเห็นการเริงรําอันเร็วรี่ของนิ้วมือ
เรือนแกวถนัด กอดอกจองตะลึง รูจักหลอนมาก็นานโข เพิ่งวันนี้ที่เห็นความสามารถอีกดานนอกเหนือ
จากการงาน หลอนตองร่ําเรียนกับครูเปยโนระดับประเทศ และตองซอมวันละไมต่ํากวาสามชั่วโมงที
เดียว กําลังมือจึงอยูตัว กับทั้งเกิดทักษะและสัมผัสภายใน ควบคุมใหสิบนิ้วไหลเลื่อนประสานความคิด
ถายทอดไดน้ําหนักและจังหวะจะโคนชั้นนี้
เกาทัณฑก็นั่งมองคาง จรดใจฟงความวิจิตรอึงอลในบทเพลงที่บรรยายอิทธิพลแหงแสงจันทรดวยลักษ
ณาการเดียวกับเชิงไท เพิ่งตระหนักวาเพื่อนสาวเปนผูสําเร็จฤทธิ์ขั้นสูงทางดนตรีคนหนึ่ง ส่ําเสียงอันยุง
ยากซับซอนขนาดฟงแลวขนลุกเยี่ยงนี้ ตองใชกําลังภายใน ทั้งสติและสมาธิผลักดันในระดับ ‘เนรมิต’
แลว
หลอนเปนบุคคลพิเศษที่รักและเขาถึงเปนอันเดียวกับเปยโนจนบันดาลเสียงชวนอัศจรรย เหมือนกับที่
ฤาษีเขาถึงดิน น้ํา ลม ไฟจนอาจกอมายาการไดตามปรารถนานั่นเอง
เรือนแกวเกงขนาดถายทอดใหเขาเขาใจอารมณเกรี้ยวของบีโธเฟน ที่แสดงออกดวยลวดลายรูปเสียงอัน
เพริดแพรว บางจังหวะเห็นรางแบบบางตรงหนาปรากฏเปนเครื่องจักรที่ไลคียเปยโนไดคงเสนคงวาไม
หยุดหยอน ไมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยลา ทวาเปนเครื่องจักรที่วิเศษกวาทุกชิ้น ตรงที่มีหัวใจและอารมณ มี
ความหฤหรรษที่จะระบายสีสันพันลึก ลากพาคนสดับฟงใหดิ่งจมลงสูขายคลื่นมหรรณพแหงดนตรีการไป
จนสุดสาย
บุคลิกภาพของเรือนแกวเองเปนเสมือนทวงทํานองอันเปนสุดยอดของเพลง ดีกวาตรงที่หลอนคงรูปอยู
เนิ่นนาน พรอมใหจับตองเรื่อยไป ไมสลายงายเพียงวูบผานเหมือนดนตรีการ ขอเพียงมีสิทธิ์จองเปนเจา
ของหลอนเทานั้น...
จับมองแผนหลังของรางเปรียวแลวนึกเสียดายที่เสนผมถูกซอยสั้น ถาไวยาวคงดูเปนนักเปยโนไดเดน
กวานี้เยอะ แตเคยเห็นตอนผมยาวอยูชวงหนึ่ง ก็ยอมรับวาบุคลิกเชนเรือนแกวตองสงดวยผมสั้นอยางนี้
เอง
อัพไรทเปยโนธรรมดาเปนเครื่องมือ โดยที่แทความยิ่งใหญเยี่ยงนั้นควรเกิดขึ้นพรอมกับภาพนักดนตรีใส
ทักซีโดหรูหนาแกรนดเปยโนบนเวทีของสเตเดี้ยมขนาดยักษที่มีผูชมนับพันเสียมากกวา
“โปรดรับผมเปนศิษยดวยเถิด”
“เดี๋ยวเถอะ!”
ความสามารถเชิงดนตรีคือเสนหอันทรงพลังใหติดหลงไดรวดเร็ว สําหรับเชิงไทนั้นเปนคนเดียวที่ขณะนี้
‘ยังมีสิทธิ์’ จึงแทนที่จะนึกครามแววคมกลาดวยแรงฤทธีในตาสาว ก็กลับยามใจตวัดเหนี่ยวเกี่ยวเอวคอด
คลายคอแจกันนั้น และเอนศีรษะแนบแขนหลอนนิ่งอยางถือสนิทจนเลยเถิด
“มากไปแลวพอ!”
“เกงสุดเดชเลยแอ”
“แอคงตองรับสอนเปยโนอยูแนๆ”
หญิงสาวยักไหล
“เปลา”
“ผมเรียนกับแอไดไหม คิดชั่วโมงเทาไหรวามา”
๒๘๙
“อยาเลยคะ เดี๋ยวนางฟาของเตรูเขาเขาจะวาแอ”
เชิงไทลุกขึ้นยืน โพลงทันที
“คนมันหลายใจ ไมคอยกลัวถูกวาหรอก”
พอเชิงไททําแตมดวยการโจมตีเพื่อนแลวก็เกิดเมื่อยหลังและสองขาขึ้นมาเพราะยืนเกร็งอยูนาน
ประกอบกับเริ่มเพลียเนื่องจากไดเวลานอน แตเห็นโซฟากลางหองถูกเกาทัณฑยึดครอง จึงเดินเลยไป
ลมตัวนอนบนฟูกนิ่มของหญิงสาวหนาตาเฉย
“กลับไดแลว ทั้งสองคนเลย!”
เชิงไทยกตนคอหรี่ตาเหลือบลงต่ํา เห็นคนสวยทําหนามุยก็หัวเราะขบขัน
“แอนี่ยิ่งดูยิ่งนารักแฮะ”
วาแลวก็ปดเปลือกตาอยางสุโขสโมสร แถมแกลงยั่วดวยการพลิกหนาสูดกลิ่นหอมจากเตียงอยางชื่นใจ
เรือนแกวตองขบริมฝปากสงบสติเปนครู กอนใชไมออน
“เชิง...ถาจะพักตาก็นอนโซฟาหองนั่งเลนคะ ไมเอา”
เชิงไทซึ่งยางเขานิทราไปแลววูบหนึ่งปรือตาถามงัวเงีย
ความจริงอยากอยูใกลชิดหลอนใหนานที่สุด ดวยความถือสนิทบวกกับความเห็นวาเรือนแกวเปนผูหญิง
ตัวคนเดียว จึงไมนาเกรงใจ
๒๙๐
เรือนแกวทําหนาเครง กอดอก
“เมื่อกี้จะใหขึ้นมาเขาหองน้ําเดี๋ยวเดียวนะ นี่ตอนเชาหอบกันลงไปทั้งหมดอยางนี้จะใหคนเห็นเขาคิดวา
แอเปนผูหญิงยังไงไมทราบ?”
“ไปเหอะ เชิง”
“เตเหนื่อยดวยหรือเปลา?”
“ยังไหว อยาหวง”
“จะนอนนี่ไหม?”
“ถาแอไมถึงกับหนักใจนะ”
เรือนแกวยักคิ้วตอบเย็นชา
“ถาพรุงนี้ไมมีใครมาฉีกอกแอก็คงไมหนักใจมั้ง”
เกาทัณฑสายหนายิ้ม ผูหญิงก็คือผูหญิง
“ไมหรอก”
ประโยคหลังสั่งพลางเดินไปดึงลิ้นชักโตะเครื่องแปง หยิบแปรงในกลองใหมเอี่ยมพรอมยาสีฟนหลอดเล็ก
แลวมามองสองหนุม สลับซายทีขวาที ชั่งใจเปนครู กอนกระดกแขนเหมือนทอนไมที่ถูกสปริงดีดดึ๋งขึ้น
มา ยื่นของในมือใหเกาทัณฑ
“อึ้!”
เมื่ออยูตามลําพังประสาหนุม เกาทัณฑกับเชิงไทก็มองหนากันแลวหัวเราะขึ้นมาเฉยๆ
“มึงเอาไป!”
พูดเสร็จก็เกาหัว
“ยายแอปดหองอยางนี้กูปวดอึขึ้นมาจะทํายังไงวะ? ถาเคาะเรียกมีหวังหาวาแกลง”
เกาทัณฑหัวเราะหึๆ
๒๙๒
“มึงก็แกลงแตแรกจริงๆนี่”
ชวนกันมาหยอนตัวนั่งบนโซฟาซึ่งแตละคนหมายตาใชเปนที่หลับนอน หันหนาคุยกันกอนเอน
“เด็ดดวงเลยวะเฮย เก็บเม็ดโนตไดอรอยเหาะแท”
“อือ นึกวารองเพลงเกงอยางเดียว”
ออกความเห็นแกนๆ เนื่องจากไมสันทัดพอจะวิจารณถึงแกนอยางเชิงไท
“อือ รูเลยวาที่ผานมาเขาใชอะไรเปนเพื่อนเมื่อตองอยูตัวคนเดียว...”
เชิงไทไมมีแกใจสัมผัสความเหงาของมนุษยเทาไหรนัก ก็วาตามความคิดอยากพูดของตนไปเรื่อย
๒๙๓
เกาทัณฑบุยปากไปทางผนังหนาหอง เชิงไทมองตามแลวสายหนาอยางเห็นกระจอก
“กูเคยเห็นซิกซาวเออรในกระเปาถือแอนะ”
เชิงไทเบิกตาหนอยๆ
“เหรอะ?”
คราวนี้เชิงไทยิ้มเลี่ยน เพิ่งเขาใจวาเพื่อนเริ่มออกลายหวงกาง
“เฮย...”
“เต...มึงอยูนอกวงแลวนา”
ทําไมเขานึกเสียดาย และเปนกังวลละลาละลังขึ้นมาอยางนี้?
เรือนแกวอาบน้ําเสร็จก็เขานอนดวยความเพลียกาย แตสบายใจจนนึกสงสัยวาวันนี้มีสิ่งใดพิเศษไปกวา
คืนกอนๆนักหนา
ปกติกอนปดตาหลับ หลอนจะหยิบรีโมทคอนโทรลจากโตะขางหัวเตียงขึ้นมาชี้ไปที่เครื่องเลนสเตอริโอ
เพื่อเลือกเปดเพลงนุมเย็น คุนเคยกับการเงี่ยหูสดับเสียงดนตรีไปจนกวาจะเคลิ้มหลับอยางเปนสุข ทวา
คืนนี้แปลกกวาเคย หลอนอยากนอนเงียบๆ ไมนึกตองการสรรพเสียงอันใดเอาเลย
สํารวจใจ ตั้งคําถามกับตนเองวามีสิ่งใดนาสบายใจนักหรือ?
อะไรที่ถูกโยกยายออกไป?
ทบทวนอยางเปนกลางคลายมองดวยสายตาบุคคลที่สองเขามา ก็ไดคําตอบวาเปนความคิดอาฆาตสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ ความคิดนอยเนื้อต่ําใจ ความคิดในทางลบสารพันที่มีตอพระศาสนาและกองบุญแหงตน เคย
เสื่อมศรัทธา บัดนี้กลับใจบูชาไดใหมอีกครั้งแลว
ระบายยิ้มนิดหนึ่งเมื่อคิดทําในสิ่งที่วางเวนมาหลายปดีดัก...สวดมนตกอนนอน
น้ําตาแหงความปติเออซึมขึ้นมาจนรูสึกไดถึงความชื้นของขนตา มีความโยงใยระหวางใจที่เปนบุญกับ
มโนภาพอันงดงามของแมเสมอ
คือขอโทษพอ...
ทํางานมานานนมจนหยิบโทรศัพทพูดกับคนระดับรัฐมนตรีไดดวยทาทีเชื่อมั่น บัดนี้เพื่อตอสายถึงพอตน
เอง กลับสั่นไหวอยางนาอาย
“ฮัลโหล...”
“เรียนสายคุณจอมภพคะ”
ฝายโนนเหมือนอึ้งไป กอนถามเสียงกระชาก
“นั่นใครไมทราบยะ? โทร.มาดึกดื่นปานนี้”
๒๙๗
“นาสาย...นี่แอลูกพอจอมนะคะ”
“ออ...”
“ขอเบอรมือถือพอจอมหนอยเถอะคะ แอมีเรื่องดวน”
“สวัสดีครับ!”
“ฮัลโหล! ไดยินไหมครับ?”
๒๙๘
พอคงอยูในสถานบันเทิงที่ไหนสักแหง เพราะเสียงอึกทึกของเครื่องดนตรีและผูคนสรวลเสรอบขางแทบ
กลบมิด แตเมื่อเวลาผานไป เสียงแทรกก็ซาลง แสดงวาปลีกตัวหางออกมา
“พอคะ นี่แอนะ”
“นั่นแอเหรอลูก?”
“คะ แอเอง”
ตางเงียบงันกันไปอยางไมรูจะเริ่มสานตอประโยคทายทักอยางไร ในเมื่อหางเหินกันจนกลายเปนคน
แปลกหนาไปแลว เรือนแกวไมไดเตรียมคําพูดไว เมื่อครูหลอนเพียงเกิดความปรารถนารุนแรงที่จะ
โทร.หาพอ ขอโทษพอ แตบัดนี้เมื่อถึงเวลาเผชิญกันจริงๆ ทุกอยางกลับติดอยูที่ปลายลิ้น ทิฐิและความ
โกรธเกลียดคลายหวนกลับมาตั้งมั่นในอกอีก
“ดีใจเหลือเกินที่ไดยินแอเรียกพออีก พอรอมานานแลวนะ”
ไดยินเพียงนั้นเรือนแกวก็รูตัววายังรักพอมากแคไหน ตองฝนกลืนกอนสะอึกลงคออยางยากเย็น
เรือนแกวกะพริบตาถี่ๆ
ปลายสายปลอดเสียงไปอีกครั้ง ความเงียบของพอทําใหคําขอโทษและความคิดจะพูดดีของหลอนสะดุด
ชะงักลงชั่วขณะ
“ทําไมพอไมไปงานศพแม?”
๒๙๙
จอมภพระบายลมหายใจยาว
ไมแนใจนักวาโทรศัพทเบอรที่ขึ้นอยูที่หนาปดเครื่องมือถือของเขาจะเปนหลักแหลงอาศัยของลูกหรือ
เปลา แตตั้งใจไวแลววาจะเริ่มสืบหาจากเบอรนี้ หากเรือนแกวปฏิเสธที่จะเปดเผย
จอมภพตระหนกจนแทบปลอยโทรศัพทรวงลงพื้น เสียงขื่นเขียวกรานกระดางของลูกสาวทําใหเชื่อทันที
วาเปนเรื่องจริง
เรือนแกวกระตุกยิ้มหยัน สะใจที่ทําใหอีกฝายเสียงรัวเปนเจกตื่นไฟ
“ไมเชื่อก็มาดูเอาเองสิ”
“โธ!...ลูก”
“เลิกเถอะลูก มาอยูกับพอนะ”
หญิงสาวยิ้มเกรียม
“หนูจะวางละ”
“เดี๋ยว...เดี๋ยว”
พอรีบหาม เสียงออนลาเหมือนใจจะขาด
เรือนแกวหรี่ตา ปลายนิ้วโปงรออยูที่ปุมปด
“แอ...”
“พอขา...”
“แอขอโทษที่ทําใหพอเสียใจคะ”
จอมภพสะกดอารมณไวอยางยากเย็นเพราะตามอารมณลูกสาวไมทัน
บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปทันที
“พูดจริงหรือลูก แนนะ?”
น้ําเสียงฝายนั้นแชมชื่นขึ้น
“คะ”
จอมภพหัวเราะ เปนเสียงหัวเราะปรีดาของผูเปนพอ
“บอกซิวาลูกอยูที่ไหน พอจะไปหาเดี๋ยวนี้เลย”
เรือนแกวขมสะอื้น กอนตอบวา
“แลวหนูจะติดตอไปนะคะ และจะไปหาพอเอง”
“ลูกรัก พออโหสิ”
“พอกลับไปสนุกตอเถอะคะ แอจะเขานอนแลว”
๓๐๒
เกาทัณฑกําลังหลับสบาย เมื่อไดยินเสียงกระซิบปลุกที่ขางหู
“เต...”
“มีอะไรเหรอ?”
“ตามแอมานี่หนอยสิ”
“ขอบใจนะเต”
๓๐๔
เรือนแกวเอยขณะวางศอกประสานปลายแขนกับราวกั้น เกาทัณฑเบิกตาอยางนึกไมออกวาหลอนหมาย
ถึงอะไร
“เรื่อง?”
“ที่เธอทําใหฉันกลับมามีความรูสึกดานดีกับ...สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไดอีก”
เกาทัณฑคลายสีหนาอยางถึงบางออ
“ออ...”
หญิงสาวพักเงียบเปนครูกอนเอย
“ถาอยากเขาหองน้ําเชิญตามสบายนะ ใชผาเช็ดตัวแอก็ได”
“ไมเปนไรหรอก อีกเดี๋ยวคงไดเวลากลับไปเปลี่ยนเสื้อผาที่หองอยูดี”
“นัดกับเชิงหรือเปลาวาจะออกกี่โมง?”
“มีธุระชวงเชาหรือเปลา?”
“ไมมี”
เกาทัณฑเห็นแววตั้งใจดีจริงจังของเพื่อนสาวแลวก็ไมอยากขัดศรัทธา ตอบเกือบเปนอัตโนมัติ
๓๐๕
เบื้องหลังหลอนคืออากาศวางเวิ้งละโลงลิ่วชวนเสียวสันหลังแทนเปนอยางยิ่ง เรือนแกวเห็นสายตาพะวง
ของอีกฝายแลวนึกอยากยั่วใหเปนกังวลหนักขึ้นอีก จึงเอนหลัง เกร็งหนาทองเอี้ยวตัวกมมองยอนลงไป
ตามแนวดิ่ง กางสองแขนกระพือคลายจะเลี้ยงตัวไมอยูและรองออกมาดังๆ
“เจาขาเอย! สูงอะไรอยางนี้!”
ภาพนาหวาดเสียวนั้นทําใหคนเห็นถึงกับโหวงหวิวไปจนสุดทองนอย เกาทัณฑเกรงวานั่นจะกลายเปน
ตลกเลือด ขอเพียงเรือนแกวหมดแรงทรงกําลังหนาทอง หรือเทาหลุดจากการยึด และเขาคลาดสายตา
เพียงกะพริบ มัจจุราชที่กําลังสงเสียงหวีดแผววังเวงในสายลมก็พรอมจะกระชากคนอวดดีใหปลิวรวงลงสู
แทนประหารเบื้องลางโพน มอบความเจ็บราวตั้งแตขอกระดูกถึงวิญญาณเปนรางวัลกอนถึงแดนพญายม
ทันที
“คึกอะไรขึ้นมานะเชานี้? ถาพลั้งไปไมคุมกันเลย”
“เพิ่งรูนะวาเปนโรคชอบทําใหคนอื่นหวง”
“ใครใชใหหวงละ ไมไดเปนอะไรกันซักหนอย”
ชายหนุมเทาเอว ไมแนใจวานั่นคือตัวอยางอาการเรียกรองความสนใจของอดีตเด็กมีปญหาหรือเปลา
“ตอนยังเล็กแอคงนาตีพิลึกนะ”
เกาทัณฑระบายลมหายใจยาว กอนชวน
“เขาขางในกันเถอะ”
“ยังไมไดเตรียม”
“งั้นไปเถอะ”
“ไปก็ไป”
หญิงสาวตอบดวยน้ําเสียงเยา เกาทัณฑยอมรับวาทีทานาพิสมัยของหลอนทําใหจิตใจเขาวาวุนไปหมด
“อาบน้ําสิ เดี๋ยวใสบาตรจะไดใจดีๆ”
“ขอบใจนะ”
หากขณะนั้นไตรตรองสักนิด เขาจะพบวาเหตุผลในสวนลึกที่ผลักดันใหใชน้ําหอมขวดนั้นก็เพราะติดใจ
อยากใกลกลิ่นที่ระเหยออกมาจากเนื้อหลอนนั่นเอง…
“เออ...เชิง”
เกอขึ้นมาอยางไมมีปมีขลุย เมื่อเห็นสายตาเย็นชาและอาการยืนทะมึนของเพื่อน
เกาทัณฑยังยืนคางที่หนาหองน้ําพักใหญหลังจากเพื่อนปดประตูแลว ทบทวนวิธีทิ้งหางตาของเชิงไท
กอนยักไหล กาวมานั่งหนาเปยโน ยกฝาครอบขึ้น เลนมือเดียวเปนโนตเดี่ยวๆกะตองกะแตง พยายาม
ใหเปนเพลงโนนเพลงนี้อยางปราศจากจุดหมายแนชัด พอจับคลํามั่วไปไดนิดหนอยตามสัญชาตญาณ
เพราะเคยหัดเลนเมโลเดียนเมื่อครั้งยังอยูประถม
เลนไดหนอยก็เห็นจากหางตาวาเงารางหญิงสาวกรายโฉบมาทางเบื้องหลัง แลวหยอนตัวลงนั่งหมิ่นๆที่
ขอบฝงขวา
“โห…หอมฉุยเชียวนะหนุมเจาสําอางคนนี้”
หลอนทักและแวะเวียนจมูกมาใกลบาเขา เกาทัณฑชะงักนิ้วทันใด
“หยุดทําไมละ เลนไปสิคะ”
รางสูงผุดยืนขึ้นเต็มสัดสวน
หญิงสาวขยับตัวเขาที่ ชายตาตอบรับอยางงายดาย
“ไดคะทาน”
เมื่อเขาถอยฉากออกมากาวหนึ่ง หลอนก็ถาม
“ไมทราบจะรับฟงเพลงอะไรดีคะเจานาย?”
รายชื่อเพลงมากมายผุดรายเรียงอยูในหัว แตแลวก็บอก
“เพลงที่แอกําลังอยากเลนที่สุด”
ลํานําเริ่มตนขึ้นดวยการแผมือซายวางจับเบสซีชารปคูแปด พรอมกับที่มือขวากระจายเสียงซีชารปไม
เนอรจังหวะละสามตัวเนิบชา ซึ่งเลนเพียงจังหวะเดียวเกาทัณฑก็จําไดทันทีวาเปน Moonlight Sonata
มูฟเมนตที่หนึ่งของบีโธเฟนนั่นเอง
แมเปนเพลงเดียวกันกับที่หลอนเลนเมื่อคืน ทวามูฟเมนตนี้ก็แตกตางกับมูฟเมนตที่สามจากหนามือเปน
หลังมือ คือเชื่องชา เต็มไปดวยความออนโยน ระบายภาพดวงจันทรทอแสงหมนซึ้ง เยือกเย็นอยางจะ
บอกความหงอยเหงา เรียบงายอยางจะซอนความคุกรุนซับซอนไวภายใตผิวนอก ออยอิ่งอยางจะรอเวลา
ทะยานขึ้นหารอยแตกเพื่อระบายสิ่งที่ถูกเก็บกักอัดอั้น
เปนนาทีที่สีหนาสีตาเรือนแกวดูเรียบเย็นลงไดจริงๆ ทวาหลอนเหมือนเขาซึ้งถึงกนบึ้งอารมณบีโธเฟน
เต็มตัวมากไปหนอย เพราะภายใตความเรียบเย็นละไมตาของรางในชุดหวานนั้น แทรกแฝงไวดวย
กระแสความขัดแยงอันยากจะบรรยาย ภายนอกเหมือนอิ่มสุข แตภายในคลายปรากฏรองรอยขมขื่นอยู
จางๆ เมื่อเห็นหลอนเหลือบต่ําและสายหนาแชมชาเพราะถูกไลอารมณดวยโนตบางกลุมแลว รูสึกราวกับ
เรือนแกวกําลังสายหนาใหกับชะตากรรมอันนารันทดที่ยากจะแกไขของใครบางคน
สัมผัสชัดถึงอิทธิพลของดนตรีที่อาจแปรจิตวิญญาณมนุษยใหโดดดิ้นเรารอน แลวกลับดิ่งลงสงบราบคาบ
หรือลอยเควงกระวนกระวายอยูในระหวางสุดโตงสองขั้ว ทุกอารมณเปนของจริง มีสีสันในตนเอง รวม
แลวชวนใหติดหลงมิติอันหลากหลายไมรูจบของความเปนมนุษยยิ่งนัก
ขณะจิตนั้นเกาทัณฑรูสึกเหมือนเรือนแกวกําลังแสดงบทเพลงแหงความนาสงสาร และนั่นก็ทําใหเขานึก
เวทนาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งตนเอง ที่ตกอยูภายใตความบีบคั้นทางอารมณประการตางๆ ถูกเสือกไส
ใหมุงสูความเกิดตายทั้งปดหูปดตา ไมมีใครอยูเบื้องหลังเพื่อกลั่นแกลง ไมมีสัญญาวารวมดีชั่วผสมกัน
ชั่วชีวิตหนึ่งแลวจะใหผลเปนฉากใหมที่ตองการหรือเปลา ไมมีแมตัวตนใครสักคนที่ทองเที่ยวไป มีแต
ดวงจิตถูกลากพาไปสูอัตภาพตางๆอยางไมรูเหนือรูใต เพียงเพราะเหตุคือถูกเกาะกุม ชักจูงดวยอวิชชา
เทานั้น
เพลงดําเนินไปราวหกนาทีก็สิ้นสุดดวยการวางมือซายขวาลงบนสองกลุมโนตอยางแผวออนอาลัย เรือน
แกวหยุดนิ่งกับที่ครูหนึ่ง กอนเหลียวซาย เงยหนายิ้มใหเพื่อนชาย เกาทัณฑสบตาคูนั้น เห็นแววโศก
เชื่อมอันเปนมายาฉาบภายนอก ลึกลงไปคือความระริกไหวซุกซน บอกตนเองวายังไมเคยเห็นใครมี
ความซับซอนทางอารมณเทาผูหญิงคนนี้มากอนเลย
ทั้งที่ภาพปรากฏเบื้องหนาคือความสวยหวานและรอยยิ้มซื่อ ปราศจากวี่แววความนาสะพรึงกลัวอันใด
เกาทัณฑกลับขนลุกเกรียวขึ้นมาอยางหาคําอธิบายไมได กลืนน้ําลายลงคอฝดๆ กอนเอยดวยเสียงปรา
“เลนมูฟเมนตที่สองตอเลยสิ”
ราวกับเชานี้หลอนยอมตัวเปนขาทาสเขาอยางไรเงื่อนไข เรือนแกวหันกายลงนิ้วเริ่มลีลาจังหวะวอลตซ
ของ Moonlight Sonata มูฟเมนตที่สองอันเต็มไปดวยความสดใส ระบายภาพจันทรอรามสีเงินยวง ที่สง
ยิ้มกระจางมายังโลก ชวนใจเริงรื่น ลืมโศก ลืมเหนื่อย ลืมความนาเหน็ดหนายบรรดามีทั้งหมด
“ถาบีโธเฟนถูกจํากัดใหมีลูกศิษยไดคนเดียว เขาคงไมลังเลที่จะเลือกแอ”
เกาทัณฑหัวเราะออกจมูก
๓๑๐
“บีโธเฟนตองการเลาระบายอะไรใหฟงนี่ดูแอเขาอกเขาใจตลอดทุกหองเพลงเลยนะ แนวเพลงของเขา
ตรงใจมากหรือไง?”
“ไมถึงขั้นเขาใจตลอดหรอก คีตกวีระดับนี้เขาเห็นอะไรบางอยาง...”
พักหรี่ตานึก
“บางอยางที่วิลิศมาหราเสียจนเราตามไปรวมเห็นทั้งหมดไมไหว แอทดลองเลนหลายแบบเพื่อหา
วิญญาณของเขาใหเจอ แตอยางมากไดแคเฉียดๆจะสัมผัสเทานั้น”
“เคยอยากยอนเวลากลับไปดูบีโธเฟนตัวจริงเลนเพลงที่เขาแตงบางไหม?”
เรือนแกวพยักหนา และเสริมวา
“เสียดายที่เครื่องบันทึกภาพ-เสียงเกิดไมทันยุคสมัยของอัจฉริยะพวกนี้ แออยากเห็นเหมือนกันวาถาเขา
เลนเพลงแตงเอง จะยิ่งใหญอลังการขนาดไหน นึกทาเซอรๆ โทรมๆ ที่เต็มไปดวยสารพัดพลังอารมณ
ของบีโธเฟนตอนนั่งหมกมุนประดิษฐเสียงแลวคงเหมือน...”
เวนวรรคนึกสรรคําพูดที่เหมาะเจาะ เกาทัณฑตอให
หญิงสาวยนคิ้ว เอียงคอยิ้ม
“ขนาดนั้น?”
“ไปกันเลยไหม?”
เรือนแกวกับเกาทัณฑหันมอง เห็นเชิงไทหนาบึ้งตึงชอบกล
ตระเตรียมขาวของเล็กนอยก็พาสองหนุมออกจากหองราวกับนางพญาเดินนําองครักษเสด็จประพาส ให
เชิงไทอุมขันเงินใบใหญซึ่งปกติหลอนมีไวใชเปนสํารับเมื่อทําอาหารไทยกับเพื่อนบางกลุม สวนถุง
กับขาวและโตะพลาสติกพับไดใหเกาทัณฑชวยถือ ตัวหลอนเองสองมือวางเปลาสบายเฉิบ
๓๑๑
หญิงสาวหยุดกึก หันมามองตาขวาง
“เขกหัวแอทําไมคะเชิง?”
เชิงไททําหนาตกใจ
เรือนแกวกอดอก
“เปนลูกผูชายหนอยซีคะ ทําเองแลวยังมีหนามาใสรายชาวบานอีก”
หญิงสาวสายหนา
เชิงไทนึกขึ้นไดก็ทําตาโต หัวเราะแหะๆ
“ออ ลืม”
เหตุการณเล็กนอยนั้นทําใหเขาใจวาอารมณเด็กของเรือนแกวใชจะเกิดเมื่อนึกสนุกกับใครก็ได เบื้องหนา
หลอนฉาบดวยตัวตนผูหญิงที่เกงจริง ไวตัวจริง ถาใครจะผานไปหาตัวตนชนิดอื่น ก็ตองมีความสําคัญ
ทางใจถึงระดับหนึ่งเสียกอน
นึกเชนนั้นก็ภาคภูมิในตนเองขึ้นมา เขาอาจเปนคนแรกก็ไดที่เห็นอารมณคะนองในวัยเยาวที่ฝงแฝงอยู
ในหลอน แตพอรูสึกตัวก็รีบถอนความภาคภูมินั้นทิ้ง เขาไมมีสิทธิ์...
๓๑๒
พอวางขันขาวลงบนโตะที่เกาทัณฑกางออกมา เชิงไทก็ถามเรือนแกว
“มารอใสบาตรที่นี่บอยไหม?”
“เคยแคตามเพื่อนที่คอนโดฯมาทําบุญวันเกิดของเขาครั้งเดียว”
ตอบเชนนั้นแลวก็ตั้งใจวานับแตนี้จะหาโอกาสทําสม่ําเสมอ
“ทําไมไมยืนรอที่หนาคอนโดฯละ?”
“ทางโคจรของพระไปไมถึงหรอก”
เกาทัณฑเงี่ยหูฟงทั้งหมดก็นึกชมวาเรือนแกวมีความรูทางนี้เหมือนกัน มองหลอนสํารวมสงบยิ้มอิ่มบุญ
แฝงดวยภูมิรูพอตัว ทาทางพึ่งพาได ทําใหนึกถึงชื่อจริงของหลอนขึ้นมา
เกาทัณฑเบิกตา
“เหรอ”
๓๑๓
“บางแหลงก็บอกวาเรือนแกวคือที่เดินจงกรมของพระพุทธองคหลังตรัสรู เทวดาเนรมิตขึ้นถวาย”
ทวาอาการเดินทอมๆของพระวัดนี้ก็ไมอาจฉุดปติแหงความเลื่อมใสศรัทธาของเขาขึ้นมากพอจะทําตัว
แปลกแยกจากเพื่อนฝูง แตละรูปหนาตาเหมือนชาวบานธรรมดาๆที่แหกขี้ตาตื่นดวยความงวงงุน
ปราศจากความสํารวมสมควรแกสมณสารูป เวลาเปดบาตรรอขาวก็จองหนาญาติโยม ยิ่งถาสีกาละจอง
เอาๆ
เมื่อพระหมดขบวน เรือนแกวก็หันมาบอกเพื่อนทั้งสอง
“รอแปบนะ”
วาแลวก็วางขันเงินลงบนโตะ เดินตัวปลิวไปเจรจาซื้ออะไรบางอยางจากเพิงรานอาหารฝงตรงขาม
หนุมๆมองตาม ครูหนึ่งเห็นหญิงสาวถือถุงใสไมหมูยางจํานวนมากก็คาดหวังวาคงซื้อมาเลี้ยงพวกตน
เปนการรองทองกอนมื้อเชา แตที่ไหนได เดินแฉลบเลยไปหาฝูงหมาวัดซึ่งยืนออรอสวนบุญตอจากพระ
เณรตรงปากทางเขาออกนั่นเอง
“เวร...กูนึกวาจะไดกิน”
เชิงไทบนกับเพื่อน พลางหันมองคนขายหมูยาง
“ไปเถอะ ขอบใจมากที่ยอมเสียเวลากัน”
เสียงหลอนเปลี่ยนระดับสูงขึ้น เหมือนมีหอแกวสักสองชั้นมาหุมเพิ่มความแพรวพริ้งใหกับกังวานเสียง
จนฟงวิเวกหวานติดหู คลายละอองแกวกอตัวกลอกกลิ้งสะทอนสะเทือนอยูกับโสตชั้นใน เกาทัณฑถึงกับ
เผลอมองซ้ําวาผูหญิงตรงหนาเปนใครกันแน
ขณะเดินเคียงกัน เชิงไทเอียงหนากระซิบกระซาบ
“แฟนกูสวยนิเชานี้ เพิ่งรูวาใจบุญสุนทานขนาดหนัก”
ขึ้นรถกันครบทุกคน เชิงไทบิดกุญแจเดินเครื่องแลวเปรยวา
“โอกาสหนาทําดวยกันอีกนะแอ มีความสุขดีจัง”
ความจริงเพิ่งมาเริ่มสุขก็ตอนเห็นเรือนแกวสวยขึ้นเปนกองนี่แหละ
“อือ”
หลอนตอบมาจากเบื้องหลัง แลวหันพูดกับเกาทัณฑ
“ตอนนี้เตคงชํานาญทางนี่ เอาไวนําไปวัดดีๆสิ”
เมื่อเกาทัณฑเดินมาถึงโตะทํางานตอนเกาโมงครึ่ง เผอิญสัญญาณโทรศัพทดังขึ้นพอดี
“สวัสดีครับ”
“พี่เตคะ คุณพิจัยเชิญพบที่หองคะ”
เสียงจากเลขาฯเจานายบอกมาตามสาย
“โอเคจาย”
“ไง วันนี้มาสายเหรอ?”
๓๑๗
“จําไดใชไหมที่ผมบอกคุณวาแอจะไปคุยกับมิสเตอรชุนที่สิงคโปร ทางโนนเขาเพิ่งอีเมลมาถึงวาอยากให
เอาคนไปบรรยายและตอบคําถามเชิงเทคนิคประกอบโอเวอรวิวดวยเลย แบบมีชุดสไลดนะ ทาทางจะตก
ลงงายกวาที่คิด ผมใหคนสืบๆดูแลว ชวงนี้ทางโนนงานลนมือ ตองพึ่งเราแน คุณชวยเตรียมวันนี้แลวเดิน
ทางกับแอพรุงนี้เลยนะ สโคปงานไปเอาที่แอได”
“ทําไมไมใหเชิงไทไปละครับ? นาจะเปนหนาที่ของเขาอยูแลว”
“คุณติดปญหาอะไรหรือคุณเกาทัณฑ?”
ชายผูมีอํานาจบริหารสูงสุดถอนใจ คลายความเครงในสีหนาลง
“ไมมีปญหาครับ”
เกาทัณฑรับคํา ฟงเปนธรรมชาติขึ้นกวาเดิม
“หวังวาคงไมรบกวนเวลาสวนตัวมากนะ”
เมื่อไปสอนภาคค่ําที่มหาวิทยาลัยในคืนนั้น กอนหมดเวลาเกาทัณฑตองแจงเลื่อนเวลาสอนในคืนวันศุกร
ไปเปนชวงคืนวันจันทร นักศึกษาบางคนหันหนาเขาหากันและบนพึม เพราะชนเวลากับวิชาอื่น
“แพ!”
“พี่เต จะมาทําไมไมบอกกอนคะ?”
“มีธุระดวนจี๋เลย แพเปดประตูบานใหพี่หนอยสิ”
“งั้นลงมาหาพี่ขางลางก็ได”
“ดึกแลวนี่...”
เห็นหลอนอิดเอื้อนเชนนั้นก็ขูวา
“ถาโอเอพี่จะคุกเขาแลวแหกปากดังๆขอใหแพเปดประตู ลองรึ?”
“แคหานาทีนะ”
“ขอบคุณคะ”
“ไปนั่งในหองทานขาวไดไหม?”
ลวงเลยจนไดเวลาหนึ่งที่แพตรีขยับตัวจะแกะแขนออก เกาทัณฑก็โนมหนาลงหอมแกมนวลทีหนึ่งและ
กระชับปลอกแขนแนนขึ้นอยางไมยินยอมปลอยตัว
“กลาดีขนาดนี้แลวหรือคะ?”
แพตรีถามดวยเสียงดังกวากระซิบหนอยเดียว เกาทัณฑถอนมือขางหนึ่งลากเกาอี้ใกลตัวแลวหยอนกาย
นั่งลง เปนผลใหรางนุมในออมกอดลงนั่งบนตักตาม ชายหนุมเอียงหนาแนบแผนหลังหลอน พลางพึมพํา
ตอบ
๓๒๐
“ที่ผานมาถือวาขี้ขลาดดวยซ้ํา สัญญาวาจะไมเกินเลยไปกวานี้กอนแตง”
ตางนิ่งกันพักใหญ แพตรีเปนคนเอยถามทําลายความเงียบ
“นี่หรือธุระดวนจี๋?”
เกาทัณฑระบายลมหายใจยืดยาว
“เจานายเพิ่งสั่งใหบินไปสิงคโปรพรุงนี้ กวาจะกลับคงเชาวันอาทิตย”
แพตรีฟงแลวเฉยไป
“ที่นัดซินแสไวคงตองเลื่อนแลวละ ลุงเอกดวย”
“ถาแพไมใหพี่ไปสิงคโปรละ?”
เกาทัณฑพลิกหนากลับมาฝงจมูกผานมานผมลงกลางแผนหลังคนรัก สูดกลิ่นหอมรื่นเขาเต็มอก
“รูไดยังไงคะวาเคยรวมบุญกันมา?”
“ออ...”
หญิงสาวยิ้มหนอยๆกับทาทีหัวใหมของวาที่คูหมั้น
เกาทัณฑยิ้มหนาใส กระชับกอดแนนขึ้นนิดหนึ่งดวยความปลื้ม
“ตอไปพออยูดวยกัน พี่คงตองเปนชางเทาหลังแนๆเลย”
แพตรีฟงแลวสะดุด เงียบไปพักกอนเอย
ชายหนุมเบิกตาโต หัวเราะเสียงดัง
๓๒๒
พูดจบก็หัวเราะอีก แลวเอียงแกมซบไหลหลอนดวยความเอ็นดู
“อยางนั้นก็แลวไปเถอะ”
แพตรีพึมพํา ฟงปลายเสียงรูวาติดงอนหนอยๆ
“วันอาทิตยพอไปหาลุงเอกเสร็จ เรามากราบหลวงตาแขวนกันเลยนะ”
“ดีแลวละคะ หวงงานเถอะ”
“อาทิตยหนานี้พี่มีอะไรใหแพแปลกใจ”
“อะไรคะ?”
“บอกแลวไงวาจะใหแปลกใจ เฉลยตอนนี้แลวจะแปลกใจไดไง”
“พูดใหอยากรูแลวอมพะนํายั่วโมโหนี่นึกวาดีนักหรือ?”
“อยางแพโมโหเปนดวย?”
“เปนสิ”
๓๒๓
“โมโหแลวทําไง?”
ขาดคําเกาทัณฑก็รองลั่น เมื่อแขนถูกปลายเล็บจิกหยิกเต็มแรง
“อูย!...เดี๋ยวนี้ทํารายคนเปนแลวเหรอ”
“พี่กลับเถอะคะ”
“ไลอีกละ”
“ก็ได...ก็ดาย”
“พอแลวคะ”
กลาวดวยความเชื่อวาวางแผนไวอยางไรตองเปนไปตามนั้น เสร็จงานวันเสารหมายความวาเชาวัน
อาทิตยกลับไทยไดโดยสวัสดิภาพ
เมื่อเรือนแกวมาถึงเคานเตอรเช็กอิน ก็เห็นรางสูงของเกาทัณฑกําลังยกกระเปาเดินทางขึ้นสายพาน
ลําเลียงอยูพอดี หลอนยิ้มนิดหนึ่ง รีบลากกระเปาของตนรุดไปหา และสงเสียงเหมือนลูกนองเจอเจานาย
“สวัสดีคะทาน”
“อือม ไหวพระเถอะหนู”
นั่นกลายเปนละครโรงเล็กที่แตละฝายลวงตาดวยภูมิอันมีจริงในตน สบตาแลวหัวเราะออกมาพรอมกัน
ถอดโขนกลับสูสภาพปกติ
“มานานแลวเหรอ?”
เรือนแกวถามพลางเตรียมยกขาวของขึ้นสายพานเอ็กซเรย
“ก็เดี๋ยวนี้แหละ”
เกาทัณฑตอบแลวชวยเปนธุระ ออกแรงยกของหนักให
“จายมารึยัง?”
“ไมเห็นนี่ อาจเขาไปนั่งรอขางในแลวมั้ง”
สองหนุมสาวผานขั้นตอนเช็กอินและเสียคาธรรมเนียมตางๆเรียบรอยแลวเดินเขาหองโถงผูโดยสารรอ
ขึ้นเครื่องดวยกัน
“ไดตั๋วบิสเน็ซคลาสหรือเปลา?”
๓๒๕
หญิงสาวถามอยางกะจะชวนเขาใชสิทธิ์พิเศษเขาไปนั่งในเลานจเพื่อทานของวางและเครื่องดื่ม แต
เกาทัณฑสั่นศีรษะ
“แลวไงจะ งานดวนพิเศษกะทันหันนี่ทําใหผิดแผนสุดสัปดาหกับใครหรือเปลา?”
“อุย! นารัก!”
“เฮอ! ทํางานจนลืมอยากมียังงี้มั่ง”
เรือนแกวเปรยบนอยางปราศจากความขวยเขิน
“ก็เทาที่สมัยกอนเขามีลูกกันครึ่งโหลละนา”
เขาพยายามเบี่ยงเบนใหเปนเรื่องชวนหัว
“ถาพอหลอแมสวยลูกออกมาตองนารักอยูแลวละ ไมกลัวหรอก”
๓๒๖
เรือนแกวโตคลายคาน มีนัยแฝงในน้ําเสียงและวิธีปรายหางตาที่พอเชื่อวาเจตนาจูงใจใหคิดถึงเงารางที่
เคียงขางกันระหวางหลอนกับเขา และเห็นความเขาคูเหมาะเจาะราวกับเปนสองขางปกผีเสื้อลายเท
แปลก ซายขวาดุจเงาสะทอนที่รักษาดุลของแตละฝายไวพอดีกัน
เกาทัณฑพลอยนึกตามถึงความนาจะเปนที่ลูกผูมาเกิดกับตนและเรือนแกวคงนาเอ็นดู สังสารสัตวมี
กรรมเปนกําเนิด มีกรรมเปนเผาพันธุ เมื่อมาเกิดกับพอแมคูไหน ก็ตองอาศัยระดับบุญบารมีที่คลองจอง
ตามนั้น ชวงชีวิตนี้ของเขากับหลอนมีแตน้ําขึ้นกับขึ้น สะทอนใหเห็นวาวิบากดีกําลังใหผลเต็มกําลัง ดัง
นั้นเมื่อไดลูก ก็ควรเปนวิญญาณที่มีดีพอมารวมเสวยสุขที่พอแมสั่งสมไวปูพรมรอรับ
ใจ…
อยูใกลใครก็ไขวเขวมาหาคนนั้น
“เต เธอเชื่อไหมวาคูสรางคูสมนี่จะหนาตาคลายกัน?”
เรือนแกวถามเหมือนลืม…ลืมสนิทวาเขากับหลอนมีความละมายจนใครตอใครทักถามหลายตอหลายครั้ง
แลววาเปนพี่นองกันหรือเปลา
“ก็…”
เกาทัณฑคิดอยูครู ถาสมัยกอนเขาคงตอบกลั้วหัวเราะทํานองเห็นเปนเรื่องไรสาระไปแลว
เรือนแกวคิดครวญแลวพึมพํา
“แอก็เคยนึกนะวาในบรรดาการเขาจับคูกันของสิ่งตางๆในธรรมชาติ การจับคูของมนุษยหญิงชายมีเงื่อน
ไขซับซอนพิสดารกวาอยางอื่นหมด...”
“วาแตกรรมนี่คือการกระทําใชไหม?”
๓๒๗
เกาทัณฑพยักหนา
เรือนแกวเอียงคอของใจ
เรือนแกวจินตนาการตามแลวพยักหนารับไมคัดงาง
“นั่นคือความเคยชินที่จิตคัดสรรคํารายๆขึ้นมากระแทกใสคนขับมารยาททราม จะเปนคลื่นความคิดอยาง
เดียว หรือเปนตะคอกออกจากปากก็ขึ้นอยูกับระดับความตกใจที่จุดโทสะขึ้นมา อันนี้แหละจัดเปน
อาจิณณกรรม เพราะทําจนเคยชิน
“สรุปแลวแอเปนคนขี้โมโห ตายไปเกิดใหมจะรูปรางหนาตาขี้ริ้ว?”
“ผูหญิงก็ยัวะเกงทั้งนั้นแหละ”
เกาทัณฑสายหนายิ้ม
และก็ใชวาความเกงในการระงับโกรธจะผูกขาดเปนตัวสรางอัตภาพที่สวยงามอยางเดียว ศีลบริสุทธิ์ก็ทํา
ใหสวยได ขัดลางทําความสะอาดพระพุทธรูปก็ทําใหสวยได หรือแมไมใชบุญกิริยาในพุทธมณฑลก็อาจ
ทําใหสวยไดอีกเหมือนกัน ขอใหเปนอาจิณณกรรมเขาล็อกที่จะใหเกิดการบันดาลรูปอันเปนฝายกุศล
อยางสม่ําเสมอเถอะ เชนถาเคยชินกับการมองคนและสัตวดวยความรักออกมาจากใจจริง ก็ทําใหนัยนตา
งามอยางที่เขาวาแลตะลึง”
เรือนแกวยนจมูกนิดหนึ่ง
“อยางกับคนในโลกนี้นาใหมองดวยความรัก ความจริงใจนักละ”
เกาทัณฑหัวเราะหึๆ
เรือนแกวขบริมฝปากหนอยๆ
ใบหนาของเรือนแกวกราดดวยรอยยิ้มพรายอยางมีเลศนัย หลอนดีดหลังมือปดปลายผมที่สปริงตัวได
อยางมีชีวิตชีวาของตนแลวถามวา
“แอละ สวยแบบไหน?”
เกาทัณฑยิ้มเมิน จนหลอนตองเขยาแขนเรงรองเซาซี้
“บอกหนอยดิ้”
“แบบที่…ไมมีใครเหมือนมั้ง”
หญิงสาวหัวเราะเปนกังวานกระจาย ทั่วอาณาบริเวณดูกระจางใสขึ้นตามพลังอัดในคลื่นเสียงแหงความ
เบิกบานนั้น
๓๓๐
“แสดงวาแอทํากรรมดีมาแปลกกวาชาวบานงั้นสิ”
“ใครจะไปรูละ ลองดูรองรอยจากตัวเองในปจจุบันสิวาเหมือนใครเขาไหม”
“ถาทํากรรมรายๆไวมากนี่ตองไปเกิดเปนสัตวใชไหม?”
“แคขาดความละอายตอบาปก็เปนสัตวไดแลว ไมตองทํากรรมหนักไวมากหรอก”
คนหนาสวยเกอึกอักไปชั่วขณะ
“ก็แปลวาคนที่เห็นเดินๆนั่งๆกันอยูนี่อีกหนอยอาจแปลงรางเปนหมูหมากาไกซีนะ บางทีเห็นสัตวแลวก็
ทําใจเชื่อยากวาครั้งหนึ่งพวกมันเคยเปนอยางอื่นมากอน วันๆเอาแตเดินตวมเตี้ยม ไมเห็นทําอะไรนอก
จากรอตายไปตามเวลา เวนแตคนจะเอามาฝกใชงาน จินตนาการใหคลอยตามไดยากเหลือเกินวาอาจ
เคยเปนแมกระทั่งมนุษยอยางเราที่คิดได พูดได กออารยธรรมเปนตึกรามบานชองได”
“แอตองมองวาอัตภาพแตละชนิดเปนพืชพันธุตามธรรมชาติ เหมือนตนหมากรากไมที่แตกตางกันจนไม
อาจเทียบเคียง เชนตนปาลมกับตนเข็มอยางนี้ เมื่อโตขึ้นมาตามเมล็ดพันธุไหนแลวก็จะมีลักษณะความ
เปนเชนนั้น แตกตางสิ้นเชิงกับพันธุอื่น
เกาทัณฑพูดโดยไมเหลียวมาสังเกตวาเรือนแกวเงื่องหงอยลงถนัด
“คําพูดคําเดียวสงใหคนไปเกิดเปนสัตวไดไหม?”
“เปนไปทุกชาติเลยเหรอ?”
๓๓๑
เกาทัณฑแปลกใจเล็กนอยที่เห็นเรือนแกวบีบมือเขาหากันขณะกมหนาถามเสียงออย
แตผมแนใจไดอยางหนึ่งวากรรมเปนสิ่งมีอายุขัย หมายความวาใหผลจนหมดแรงเมื่อไหรเปนอันเลิกเมื่อ
นั้น คลายกับที่เราออกแรงถีบจักรยานไปครั้งหนึ่ง ถาเบาก็เคลื่อนแคใกล ถาแรงก็พุงไดไกล ทํากรรม
หนักขนาดไหนก็คงชดใชจนหมดเขาสักวัน
ที่สําคัญกรรมแตละชนิดอาจหยอนแรงลงไดถามีปจจัยตรงขามมาแทรกแซง เชนสมมุติวาดาพอแมแรงๆ
แลวตองเกิดเปนสัตวเจ็ดครั้ง หากสํานึกได ขออโหสิ และไมทํากรรมหนักชนิดเดียวกันซ้ําอีกเลย ก็อาจ
ลดลงเหลือแคเกิดเปนสัตวหนเดียว ไมมีความยืดเยื้อ เพราะระงับเวรไดดวยคูกรณีเอง และที่สําคัญคือ
เมื่อใกลตาย จิตจะไมประหวัดถึงเลย เพราะโลงไปแลว เหมือนผานหายไปแลว เมื่อจิตกอนตายไม
ประหวัดถึงกรรมชั่ว ก็เบาใจไดวากรรมชั่วนั้นๆจะไมเปนชนกกรรมนําเกิดเปนวิญญาณบาป”
๓๓๒
“แลวมีไหมที่เราสามารถลบลางบาปดวยบุญอยางเด็ดขาด?”
“ครั้งหนึ่งพระเจาอโศกมหาราชเคยตรัสถามพระโมคคัลลีบุตรผูเปนอรหันต วากรรมดีและกรรมชั่วลบลาง
กันไดหรือไม พระมหาเถระทูลตอบโดยจับเคาจาก ‘โลณกสูตร’ ซึ่งพระพุทธองคเคยเทศนโปรดไว คือถา
แทนคําวา ‘ลบลาง’ ดวย ‘ละลาย’ จะฟงงายขึ้น ความดีสามารถละลายความชั่วใหจางหายได เชนเดียว
กับที่นําเกลือกํามือหนึ่งใสลงไปในอางที่มีน้ําปริมาณนอย เราจะเห็นวาน้ําในอางนั้นมีรสเค็มอยู แตเมื่อ
เติมน้ําเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความเค็มนั้นจะจางลงทุกที กระทั่งหายไปไมเหลือรสเค็มเลย โดยเฉพาะเมื่อ
ปริมาณของน้ํานั้นมากเหลือเกิน ทั้งที่จริงเกลือก็ยังคงอยูในอางไมระเหยหายไปไหน อยางนี้ทานเรียก
ทํากรรมชั่วใหอยูในสภาพ ‘มีเหมือนไมมี’ นั่นเอง”
เกาทัณฑผงกศีรษะ
เรือนแกวเบิกตา นึกอยากไดขึ้นมาทันที
“หาไดจากไหนละ?”
เรือนแกวยิ้มหวาน
๓๓๓
“ขอบพระคุณนะเจาคะ”
ขณะนั้นเสียงโทรศัพทมือถือดังขึ้น เรือนแกวจําไดวาเปนเสียงเครื่องตนก็เปดกระเปาและหยิบขึ้นมากาง
“สวัสดีคะ”
“หนูแอเหรอจะ นี่ปาจุมนะ”
ฝายนั้นอึกอักเปนครู กอนเอยสั่นๆ
“อาการหนักมากไหมคะ?”
“ไมเปนไรคะ”
เรือนแกวตัดบท ความจริงนองจายนี่มีหนาที่แคถือโนตบุคคอมพิวเตอรใหหลอนตอนเดินเขาไปหาคูธุระ
เทานั้น เรื่องของเรื่องคือหลอนตองการเพื่อนเดินทาง หรือจะเรียกใหโกหนอยวาคนติดตามก็ได ทุกเที่ยว
ธุระตางประเทศของหลอนจะมีนองคนนี้ตามประกบเสมอ เพราะสนิทคุนเคยกัน จะไหววานทําสิ่งใดก็
คลองแคลวรูใจทุกอยาง พิจัยเห็นหลอนทําประโยชนไวมาก ขอแคนี้เปนเรื่องเล็ก จึงอนุญาตมาตลอด
“ขึ้นมานั่งเปนเพื่อนแอแทนนองจายนะ”
เกือบครึ่งชั่วโมงผานไปดวยความเงียบระหวางกัน ขณะสายตาเกาทัณฑกําลังกวาดขาวจากหนังสือพิมพ
ฉบับที่สอง ศีรษะของหญิงสาวก็ยื่นเขามาแทรกระหวางเขากับหนากระดาษ
๓๓๔
“ลองชี้ซิขาวไหนนาสนใจกวาแอ”
ปลายจมูกของเขากับกลุมผมสั้นสลวยราวมุนไหมของหลอนหางกันแคหายใจรดถึง กลิ่นผมกรุนกําจาย
มากระทบฆานประสาทถนัด เรือนแกวคางนิ่งในทานั้นอยางจะรอใหเขาชี้จริงจัง เกาทัณฑกลั้นใจ สั่งตน
เองมิใหเผลอลอบยื่นจมูกเขาดอมดมเครื่องลอตรงหนา ทุกสวนในรางเรือนแกวเปนสิ่งตองหาม เผลอ
แตะเมื่อไหรเปนเรื่องเมื่อนั้น
พับหนังสือพิมพสอดเก็บลงกระเปาหลังพนักเปนการกําจัดเครื่องยึดหลอนใหคางคารอคอย เพราะนาน
ไปเขาเองคงหมดความอดกลั้นกับระยะประชิดยวนใจเขาจนได เรือนแกวดึงกายไปนั่งหลังตรงตามเดิม
กอนอุบอิบกระเงากระงอด
“ก็เห็นกินของวางแกลมวิวนอกหนาตางอยูนี่ ใครจะรูวาอยากใหขัดจังหวะ”
แลวเกาทัณฑก็พลิกนาฬิกาขึ้นปรับเวลาเร็วขึ้นกวาเดิมชั่วโมงหนึ่งและเปรยแกมบน
“อยากหลับใหฝนเห็นแมเทพธิดาที่กรุงเทพฯกระมัง”
หญิงสาวสันนิษฐานดวยทาทีกระแนะกระแหน
“ลืมตาก็เห็นนางฟาอยูแลว จะรอฝนทําไม”
เกาทัณฑตอบดวยน้ําเสียงรื่นรมย เรือนแกววาดสายตามามองตรงทันที
”จริงเหรอ?”
เสียงคาดคั้นของอีกฝายทําใหเกาทัณฑหัวเราะเอื่อยเฉื่อย ระงับใจไมคะนองลิ้นไปกวานั้น
“แอรโฮสเตสเขาเรียกนางฟานี่นะ”
“แลวนังคนที่นั่งอยูขางตัวนี่เรียกอะไร?”
ชายหนุมยิ้มเฉียง ทําเปนยกมือปองหนาผากเบิ่ง
๓๓๕
“แมมดราย”
แมรูกันวาเปนคําหยอกเยาเลน แตก็ทําใหเคาหนาเรือนแกวสลดลงได
“แยจัง...แลวทําไงจะเปนนางเอกในสายตาของเตละ ตองนุมนิ่มเปนนางในวรรณคดีเหมือนคุณนองที่
กรุงเทพฯสินะ?”
“รวมทั้งเตดวยเหรอ?”
“สําหรับผมนะเกินเอื้อม อยาใหคิดดีกวา”
“ก็ไมลองดูละ?”
“เคยลองแลวไง”
“ถามอะไรอยางไดไหม?”
เมื่อเขาพยักหนาจึงเอย
ลักษณาการตัดพอทําเอาเกาทัณฑคางงันไป รูสึกคลายกลายเปนจําเลยผูกระทําผิดเพิ่งถูกจับมาตั้งขอ
หา ความจริงเขาแตะเนื้อตองตัวหลอนมาหลายครั้ง และหลอนเองก็กระแซะเขาออกบอย ทําไมแคดึงเขา
มากอดหนอยเดียวถึงจดจําและทวงถามราวกับถือเปนเรื่องใหญเอาตอนนี้ดวย?
๓๓๖
“เคยนั่งสมาธิเห็นนางฟาตัวจริงมั่งไหม?”
เกาทัณฑกระแอมกุกหนึ่ง
“ใชจะเห็นกันงายๆเมื่อไหรละ ของแบบนี้”
“ถาเกิดมีศาสตราจารยสติเฟองประดิษฐกระจกวิเศษ สองแลวเห็นวิญญาณตัวเองเปนเทพยดาหรือ
อสุรกาย อะไรจะเกิดขึ้นบางนะ โลกคงถึงอีกยุคปฏิวัติ จากสังคมอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีไปเปน
สังคมโลกอุดรเลยเชียว”
เกาทัณฑหัวเราะ คิดในใจวาแมคนนี้มีแววเปนนักเขียนเรื่องสั้นแนวแฟนตาซี
เรือนแกวหัวเราะกิ๊กที่เกาทัณฑฝอยเฟองตามหลอนเปนเรื่องเปนราวขนาดนั้น
๓๓๗
“ใช...แลวลัทธิอุบาทวประเภทฆาแพะบูชายันตเพื่อใหขึ้นสวรรคคงเกิดขึ้นไมไดดวยเนอะ เพราะทําปุบคง
เห็นเลยวาวิญญาณสกปรกมอมแมมทันที”
ใบหนาเรือนแกวยังคงกราดดวยรอยยิ้มเพลิน พับตลับแปงเก็บแลวสานตอดวยคําถามที่เปนเรื่องเปนราว
ขึ้น
“ถึงวันนี้มีเทคโนโลยีอะไรที่ใกลเคียงมั่งไหมละ?”
“มีกลองเกอเลี่ยนนะที่บันทึกรัศมีกายของสิ่งมีชีวิตได แตก็แคเห็นออกมาทํานองวาเมื่อโกรธจะมีสีอะไร
เมื่อใจผองใสจะดูดีแคไหน ซึ่งนั่นก็พอรูกันทางตาเปลาอยูบางแลว ไมเห็นจะทําใหใฝดีอยากผองใสแขง
กันเลย อีกอันหนึ่งเร็วๆนี้มีกลองที่ใชเทคนิคแสงอินฟาเรดสองทะลุเสื้อผาได เห็นเขาไปใตรมผาเปนเคา
เปนเงาแบบแวนวิเศษ อันนั้นยิ่งออกหางการสรางเทวดาเขาไปใหญ เพราะเห็นแตของหยาบที่ทําใหเกิด
กิเลสหนักกวาเดิม”
ชายหนุมยักไหล รับวา
แบมือวาดอากาศซึ่งสวางดวยไฟนีออนในหองโดยสารประกอบคําสุดทาย
“จะใชความรูสึกธรรมดาซึ่งเกิดขึ้นในขณะนี้วัดไดหรือเปลาวาเรากําลังเปนวิญญาณที่จะไปอยูสูงหรือต่ํา
แคไหน?”
“วิทยาศาสตรอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของความจําใกลไกลไวยังไง?”
“อือม...ลองจําเลขนี้นะ สองเจ็ดเกาแปดสองสองสามหาสี่เกาเกา...”
“ไหนลองทวนซิ”
“สองเจ็ดเกาแปดสองสองสามหาสี่เกาเกา”
เรือนแกวทวนคําที่ติดหูและเจตนาบันทึกไวไมตกหลนไดครบถวน เกาทัณฑยิ้มนิดหนึ่งกับสีหนาเชื่อมั่น
ในตนเองของอีกฝาย
“คิดวาอีกสิบชั่วโมงขางหนายังจําไดหรือเปลา?”
หญิงสาวลังเล
“อาจจะ”
“อีกสิบเดือนขางหนาละ?”
เรือนแกวยนคิ้ว
๓๓๙
“ถาไมหมั่นทองก็ตองลืมเปนธรรมดาซิ”
“นั่นแหละ ทางประสาทวิทยามองความจําชวงสั้นแบบนี้วาเปนการกระตุนโปรตีนในกลุมเสนประสาทขึ้น
มา ถาโปรตีนถูกลดการกระตุนลงความจําก็หมดไปดวย ซึ่งตัวที่ ‘กระตุน’ นั้น มองดวยสามัญสํานึกก็คือ
เจตนาจดจํานั่นเอง
เรือนแกวซอยเปลือกตาถี่ๆ
“อาว! แปลวาความจําไมเกี่ยวกับการบันทึกลงจิตลงใจ?”
“สําหรับนักประสาทวิทยาบางกลุมที่อยากจะเชื่ออยางนั้นนะ มีถึงขนาดเห็นวาอาจสรางเครื่องสแกนขอ
มูลจากเยื่อประสาทสมองหนึ่ง คัดลอกไปใสอีกสมองหนึ่งไดกันเลยทีเดียว”
“แลวที่เตเชื่อ?”
"ระบบประสาทมนุษยซึ่งเปนฝายรูปธรรมนี่นะแอ มันมีสวนชวยจัดเรียงความจําใหถูกดึงขึ้นมาไดงาย
หรือยาก เราผาสมองเพื่อติดตามการทํางาน สํารวจระบบประสาทหรือกระบวนการเคมีตางๆได แตก็พบ
วาเต็มไปดวยความลึกลับนาพิศวงที่เขาถึงยากอีกมากมาย ทวาตัวความหมายรูหมายจําอันเปนฝาย
นามธรรมยิ่งนาพิศวงกวานั้น ความจําไดหมายรูไมเหมือนกอนขอมูลคอมพิวเตอรที่ถูกบันทึกลงไปใน
พื้นที่เก็บเปนสัดสวนแนนอน แตเปนสภาวะเชื่อมโยงจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง อยางถาหมายรูวานี่เพื่อนเรา
ความรูสึกที่มีตอเพื่อนคนนั้นก็เกิดขึ้น ความทรงจําเกี่ยวกับเพื่อนคนนั้นก็ผุดขึ้น เชนชื่ออะไร เคยประสบ
เหตุการณใดรวมกับเรามา พูดสั้นๆวาถาไมมีนิมิตหมายของเพื่อนใหหมายรู ก็ไมมีที่ตั้งของความจํา
เกี่ยวกับเพื่อนอยูตรงไหนเลย เขากับหลักธรรมชาติอันลึกซึ้งที่พระพุทธเจาแสดงไววาเพราะสิ่งนี้มี อีกสิ่ง
จึงมีได ตางเปนเหตุเปนปจจัยของการปรากฏ ใชวามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งดํารงตนอยูอยางเปนเอกเทศ
"การที่คนเราระลึกไดเพียงเหตุการณที่เกิดขึ้นในชาติปจจุบัน ประการแรกก็เพราะขอจํากัดทาง
ประสาทสมองซึ่งชวยดึงความจําไดเฉพาะที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กายนับจากแรกเกิดกําเนิดกายนี้เทา
นั้น ประการที่สองคือไมมีนิมิตหมายเกี่ยวกับอดีตชาติใดๆมากระตุนใหเกิดความหมายรูหมายจํา หรือถึง
แมเห็นบางสิ่งที่สะกิดใหคุนเคย ก็หยุดอยูตรงความคุน จะรูทะลุปรุโปรงตลอดสายไมได เนื่องจากนิมิต
หมายตางๆในตัวเราและภายนอกเปลี่ยนแปลงไปหมดแลว กลาวอยางรวบรัดไดวาชาตินี้คือกาย กายนี้
แหละปดบังชาติอื่นๆไว"
๓๔๐
คนฟงตรองตามแลวเกิดความสงสัย
"เราจะรูไดยังไงวาสิ่งที่สะกิดใหคุน เปนความคุนสภาวะอดีตชาติแนๆ?"
เกาทัณฑสั่นศีรษะ
"หมายถึงตองฝกสมาธิใหเกิดจิตเหนือสํานึก?"
หญิงสาวเลิกคิ้ว พอเขาพูดถึงการยอนรอยการกระทําตางๆก็เกิดประกายความคิดบางอยางขึ้นมา
“นานมาแลวแอเคยอานหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิต ที่วาใหยอนไปเห็นอดีตไดชัดเจนเหมือนเกิดขึ้น
ใหมอีกครั้ง เลยเกิดความสงสัยวาถาเปนเรื่องจริง เราจะถูกสะกดกลับไปหาอดีตแลวเปลี่ยนภาพการ
กระทําใหม เชนที่ผานมาเกิดลุแกโทสะฆาใครตาย ก็ยอนกลับไปสูเหตุการณนั้นแลวเปลี่ยนเปนยับยั้งชั่ง
ใจ ถอนตัวไมลงมือฆา จะเปนการสลัดคืนบาปกรรมไดหรือเปลา?”
ชายหนุมสั่นศีรษะทันที
“การยอนนึกและสรางมโนภาพใหมขึ้นทับของเดิมเปนเพียงกลการเลนทางจิตซึ่งเกิดขึ้นในปจจุบัน
เหมือนเราลบคําผิดดวยการเอาแถบกระดาษมาปดแลวเขียนขอความใหมทับลงไป ซอนจากสายตาได
แตตัวที่เปนขอความเกาแทๆยังอยู และคงเปนอันเดียวกับขอความอื่นบนหนากระดาษเดิม แถบใหมตาง
หากที่เปนของแปลกปลอม และไมมีทางกลืนเปนอันเดียวกับหนากระดาษเดิมแท”
๓๔๑
“หลักวิชาสะกดนี่มีอยูจริงและเปนวิทยาศาสตรใชไหม?”
เรือนแกวชักนึกอยากรูอยากเห็นตามนิสัย
“เธอสะกดเปนหรือเปลา?”
พอเห็นเรือนแกวตั้งตาตั้งใจฟงเขม็ง เกาทัณฑก็เผลอยิ้มอยางนึกเอ็นดูออกมาเล็กนอย
“นึกถึงสมัยเรียนอยูอนุบาล มีภาพเหตุการณอะไรปรากฏขึ้นในหัวบางไหม?”
หญิงสาวลองยอนนึกตาม สะเก็ดความจําคนเราจะผูกอยูกับเครื่องแบบและสถานที่ในสมัยหนึ่งๆของแต
ละชวงชีวิต ในวาระแรกที่คิดตามเกาทัณฑพูดนั้นเอง สมองที่ทํางานแบบสุมดึงความจําก็ฉายภาพทาง
มโนนึกทันที
“มี”
“เห็นเปนอะไร?”
“ฉันเลนกับเพื่อนๆในสนามเด็กเลนของโรงเรียน แตนึกรายละเอียดไมออก”
สมองของเรือนแกวสุมหาเหตุการณจากเบื้องลึกความจําเพียงอึดใจเดียวก็ไดคําตอบ
“เคย”
๓๔๒
“ลองบรรยายซิรายละเอียดเปนไง”
เรือนแกวหยั่งความรูสึกทวนกลับไปหาเหตุการณลึกลงไป พบวาสัมผัสและความรูสึกนึกคิดถูกดึงกลับ
มาใกลเหมือนเกิดขึ้นอีกครั้ง
เกาทัณฑกลั้นหัวเราะไว ดวยเกรงเรือนแกวจะเห็นวาเขามองสิ่งที่หลอนบรรยายเปนเรื่องขบขัน
“แลวปลอยจากการกอดดวยความรูสึกนึกคิดยังไง?”
“จากนั้นแอไปไหน ทําอะไรกับใคร?”
เรือนแกวพยายามเคนนึกอยูนาน แตคราวนี้ลงเอยดวยการสั่นศีรษะ
“นึกไมออก”
“ตอนเริ่มสะกดนี่เขาทํายังไงนะ”
“มีอยูหลายกลวิธี แตเทาที่รูวานิยมมากคือสั่งใหทําใจนึกตามเพื่อใหกลามเนื้อสวนตางๆคอยๆคลายตัว
ลง และทําใหเกิดสมาธิอยูกับจุดใดจุดหนึ่ง เชนบอกวาขณะนี้กลามเนื้อบนใบหนาคุณกําลังผอนคลาย
เนื้อตัวสวนอื่นๆก็หยอนสบายตามลําดับ เหลือแตลมหายใจเขาที่นําความรูสึกเปนสุขมาให และลม
หายใจออกที่ระบายความตึงเครียดออกจากกายอะไรทํานองนั้น”
๓๔๓
“เตสะกดใหแอเที่ยวไปในอดีตมั่งไดไหม?”
เกาทัณฑสายหนา
“เชน?”
“อยาใหเลาเลย เลาแลวอายนะ”
ดวยความนับถือบารมีบางประการที่เหนือกวาอยูแลว กับทั้งจะตองรูและเขาใจหลักการสะกดโดยปริยาย
ตางๆอยางชัดเจน เพื่อความสัมฤทธิ์ผลจริงในการบันดาลภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นใหเกิด
และตัวภาวะถูกสะกดเองก็ใชจะเหมือนกันเสมอไป เปนที่รูในหมูจิตแพทยวาคนไขบางรายมีพรสวรรคใน
การเขาสูภาวะถูกสะกดดี บางรายก็เขาสูภาวะถูกสะกดยากมาก
เรือนแกวทําใหเขาเกิดนึกอยากรูขึ้นมาวาเขามีความสามารถทําหนาที่เปนผูสะกดไดแคไหน และตัว
หลอนเองมีพรสวรรคในการถูกสะกดเพียงใด หลอนเปนคนมีความสามารถหลากหลาย กับทั้งมีกําลังจิต
แรง แปรจิตจับสิ่งตางๆไดไวกวาคนทั่วไป และที่สําคัญหลอนพูดกับปากวาเชื่อมือเขา ปจจัยทุกอยาง
เหมือนถูกเตรียมไวพรอมมูลลวงหนา ชวนใหนึกอยากนํามาใชเปนอยางยิ่ง
“จะเอาจริงเหรอ?”
เรือนแกวทําหนาที่ไดอยางวิเศษ หลอนใชภาษาอังกฤษที่ไพเราะและชัดเปรี๊ยะไรที่ติในการปูพื้นเกี่ยวกับ
ความพรอมทั้งกําลังคนและเทคโนโลยีซึ่งถูกกับงาน จากนั้นคอยๆผอนจังหวะ ถายเทบทบาทดาน
เทคนิคมาทางเขาทีละเปลาะ สรางบรรยากาศเปนกันเองใหเกิดขึ้นอยางตอเนื่อง
กระทั่งถึงเวลาที่ตองฉายไฟลสไลดดวยมัลติมีเดียโปรเจ็คเตอร เกาทัณฑตองไปยืนชี้รายละเอียดหนาสก
รีน ความแรงของแสงกวาหนึ่งพันแอนซีลูเมนสจากเครื่องฉายทําใหไมตองหรี่ไฟหองใหต่ําลงกวาเดิม ดัง
นั้นเมื่อมองเขาหาโตะประชุมจึงเห็นความเปนไปอยางถนัด วาพอเจาประคุณทั้งสองไมไดใหสมาธิกับ
การฟงเขาบรรยายสักเทาไหร เอาแตแวะเวียนสายตาไปทางเรือนแกว บางคราวก็ทําทีสงสัย เขายืนอยู
ขางหนาทั้งคนไมถาม ไปถามเอากับสาวสวยนั่นแหละ พอเรือนแกวอึกๆอักๆจะเบนมาถามเขาตออีก
ทอด ก็ทําเปนโบกมือหัวเราะกลบเกลื่อน ซึ่งแปลวาที่แทไมอยากรูคําตอบ หรือรูแลวแตแกลงถามเพราะ
อยากคุยดวยเทานั้นเอง
เสียสมาธิจากคนฟงผูเปนเปาหมายไมพอ บางทีถูกลอตาจากกิริยายกเรียวขาไขวหางอยางแนบเนียน
ของเพื่อนรวมงานสาวเขาอีก ปุบปบชะวากลึกเห็นถึงไหนตอไหน ทําเอาเขาพูดอยูแทบอาปากคาง ผู
หญิงเปนเสียอยางนี้ แกลงยั่วใหอยากถลาใส พอเกิดเรื่องก็โวยวายโทษความหนามืดของเพศชายฝาย
เดียว นาออนใจนอยอยูเมื่อไหร
นายชุนนําไปเลี้ยงขาวกลางวันในภัตตาคารหรูเกินเหตุ เกาทัณฑทราบชัดเลยวานั่นคือการไดกินบุญของ
เรือนแกว สองชั่วโมงเศษบนโตะจีนแพงระยับนั้น เกลื่อนไปดวยอาหารโอชารสชั้นอองที่ทยอยมาจาน
แลวจานเลา เจาภาพใชงบสวนตัวดวยความตองการเอาใจหลอนเพียงคนเดียว
“วาไง จะสะกดจิตแอคืนนี้เลยไหม?”
“อยากลองจริงๆนะเหรอะ?”
เขายนคิ้วถามยิ้มๆ
“จริงสิ แอโลเลเปลี่ยนใจงายเหมือนเตเสียที่ไหน”
เรือนแกวถือโอกาสเหน็บนิดเหน็บหนอย เกาทัณฑแยกเขี้ยว
“หองแอหรือวาหองผมดีละ?”
“หองแอ!”
กลืนน้ําลายลงคอฝดๆ สายตาตามรางงามในชุดเสื้อยืดกางเกงยาวที่เดินไปหยอนกายรอบนมานั่งหนา
โตะเครื่องแปง สีหนาหลอนสงบเฉยขณะทอดมองมาทางเขา
๓๔๘
ชายหนุมเกิดความลังเลวาควรแงมประตูไวเล็กนอยหรือปดสนิท แตแลวเมื่อคิดถึงกิจกรรมที่กําลังจะเกิด
ขึ้น ก็ตัดสินใจเลือกอยางหลัง ทวาไมลงล็อก คือแคผลักบานประตูคืนที่ เพื่อสกัดกั้นใจจากความเห็นหอง
นอนของเรือนแกวเปนเขตลับสนิท
เดินมานั่งลงที่ปลายเตียงหางจากหลอนหลายกาว พยักพเยิดไถถาม
“เพลียหรือเปลา?”
เรือนแกวสั่นศีรษะ
ชายหนุมสั่นศีรษะเชนกัน
“มาเริ่มกันเลยดีกวา”
เรือนแกวลุกขึ้นในทาพรอมอยางงายๆ
เกาทัณฑหัวเราะ กอนมองรอบตัว
“มานอนบนเตียงมา”
เรือนแกวยักไหล
๓๔๙
ฟงเชนนั้นแลวเกาทัณฑมีสติรูวาในหัวเกิดความคิดชั่วรายแลนวาบขึ้นมา เขาไมเคยผานการอบรมแบบ
จิตแพทย ไมเคยอยูในแล็บทดลองอยางเปนวิชาการ จูๆไดอํานาจโดยปราศจากการสรางสมจรรยา
แพทยอยางนี้ ประโยคสุดทายของเรือนแกวจึงเปนเสมือนแรงยั่วยุใหจินตนาการเตลิดลวงหนาสารพัด
เกาทัณฑเอยดวยน้ําเสียงซึ่งถายทอดออกมาจากจิตใจที่มั่นคงและเจตนาเกื้อกูลกัน
“หลับตาลง...”
หลอนทําตามเขาสั่ง ในเบื้องแรกเกาทัณฑทราบดีวาจะใชกลวิธีไหนก็ไดทําใหผูถูกสะกดอยูในภาวะ
สบาย ผอนพักที่สุด เพื่อใหยางเขาสูความรูตัวครึ่งๆกลางๆ ฉะนั้นจึงคิดปูพื้นใหหลอนเกิดฐานปญญา
เห็นรูปนามไปในตัว
“ดูตรงแผนหลังที่วางน้ําหนักราบอยูนี้”
เขาสั่งสั้นที่สุดเพื่อใหแนใจวาเกิดการรับรูตาม ครูหนึ่งจึงเอยตอ
ดวยเพราะเรือนแกวเคยเพงพิจารณาเห็นขอมือและปลายแขนเปนอนัตตามากอน จึงเขาใจวิธีกําหนด
หมายตามไดงาย และสิ่งที่เกาทัณฑหรือแมแตหลอนเองไมทราบก็คือหลอนมีพรสวรรค หรืออีกนัยหนึ่ง
วิถีรูรูปนามติดจิตติดวิญญาณอยู ฉะนั้นเมื่อถูกกําหนดแนะใหดูนิดเดียวก็คุนทางโดยงาย ซึ่งอยางนี้เปน
อาการของผูเคยสั่งสมวิปสสนาญาณมาแตปางกอน
เพียงอึดใจเดียวหลังจากเรือนแกวเพงดูสวนหลังที่วางลงรับน้ําหนักสวนใหญของกาย ก็เห็นสัณฐานคราว
ของโครงกระดูกตนเองอยางชัดเจน และเหมือนโพรงวางระหวางกระดูกชวงไหปลารากับซี่โครงเปน
แหลงอาศัยของตัวรู นิ่งดูสัณฐานกายโดยรวม
๓๕๐
ลักษณะอีกอยางหนึ่งของผูมีบารมีมาทางนี้คือเมื่อเกิดความเห็นขึ้นแลวจะรูจักรักษาความเห็นไวดวย
ความพึงพอใจ ไมสงสัยกับนิมิตภายในที่เกิดขึ้น ฉะนั้นเกาทัณฑผูสังเกตสีหนาของเรือนแกวตลอดเวลา
จึงเห็นความนิ่งอยูในอาการเล็งรูอยางรวดเร็วนาแปลกใจ
ชายหนุมตัดสินใจลองกับเพื่อนสาว โดยสั่งวา
“ยกมือวางทาบอก ใหปลายนิ้วกลางแตะอยูกับกระดูกเหนือรองอก”
เมื่อสังเกตรูสึกถึงโฟกัสของจิตที่คงเสนคงวาดีพรอม เกาทัณฑก็ไมปลอยใหจิตหลอนดําเนินไปถึงความ
เคลิ้มหลับอีก แตสงชวงตอมาถึงอารมณสมาธิที่จะจูงจิตใหเขาสูสภาพรูพรอมนิ่มนวลขึ้นกวาเกา
๓๕๑
เมื่อเห็นหลอนปฏิบัติตามโดยดีก็สั่งวา
เรือนแกวสูดลมหายใจดวยการตั้งความคิดตามเกาทัณฑบอก พบวาเมื่อตั้งเจตนาเห็นลมหายใจเปน
พาหะนําความสดชื่นและพลังระลอกใหมเขาราง ก็เกิดความชุมฉ่ํากายใจขึ้นนิดหนึ่งไดจริงๆ
“อยาลืมวาเวลาเขาใหขยายหนาทองพองขึ้นกอน ลมหายใจจะไดเขามากกวาปกติ”
สัมผัสพลังที่รวมกลุมเปนอันเดียวในกายตน และเกิดความรูขึ้นมาเองวาจิตที่เปนสมาธิสามารถชวย
ประคองคนอื่นได เชนในขณะนี้เขาเกิดความเห็นอาการเปนไปในหญิงสาวซึ่งยากจะอธิบายเปนคําพูด
เมื่อแลเห็นหลอนดึงลมหายใจเขาและผอนลมหายใจออกแลว เกิดการแปลความหมายขึ้นในหัววานั่น
เปนอาการลงตัวของสมาธิชนิดถูกสะกด ถูกจูงโดยผูอื่น หากเขาบังคับกระแสในตนเขาชวยประคอง
กระแสในหลอน ก็อาจทรงอยูไดนาน และสัมผัสรูแผวๆคลายแตะตัวกันอยูดวยปลายนิ้ว
เรือนแกวนิ่งเปนครู กอนขมุบขมิบปากพูดกับเขาตามปกติ
“มีความสุข เห็นรางกายออกมาจากขางในตลอดเวลา”
ถึงขั้นนี้เขาตองการใหหลอนหมดจากความรูสึกทางกาย เพื่อใหเหลือแตจิตสวางพรอมฉายภาพนิมิต
อยางมั่งคั่งดวยกระแสสติเหมือนฝนดี จึงสั่งวา
“ได”
หยุดเวนดูทาทีของหลอน พลางสงใจจับอาการทางกลามเนื้อทั่วกายหญิงสาวเทาที่ตาเห็น
“ยังมีกายอยูอีกไหมในความรูสึก?”
“มี...มีลมหายใจเขาออก”
๓๕๓
เขาเพิ่งนึกขึ้นไดวาระดับลมหายใจของหลอนยังคอนขางแรง จึงบอกไป
“ลมหายใจออกจะพาความรูสึกในกายที่หลงเหลืออยูใหหมดลง เพราะลมหายใจออกกับความรูสึกในกาย
เคยคลุกเคลาเปนอันเดียวกัน”
พอเขาเห็นหลอนหายใจเขาและผอนออกจนสุดในครั้งถัดมา ก็ถามทันที
“รูสึกสวางขึ้น และเหมือนกายหายไปไหม?”
“รูสึก”
เรือนแกวตอบราบเรียบ ริมฝปากระบายยิ้มเล็กนอย
“สนใจสายลมเขาและแสงสวางใหมากกวานี้ แลวจะสวางขึ้นเรื่อยๆ”
หญิงสาวจับคําพูดของเกาทัณฑดวยสติที่เปลี่ยนไปอีกรูปหนึ่ง ทุกสิ่งปรากฏขึ้นตามคําของเขาราวกับ
เปนการบันดาลจากเวทมนตร ในหัวเรืองแสงสวางไสวขึ้นจริงๆ คลายเกาทัณฑหมุนปุมเรงนีออนรอบๆ
กายหลอนได
กวาสิบครั้งของลมหายใจเรือนแกวที่เกาทัณฑคุมดวยคําพูดอยูตลอดเวลาเพื่อรักษาอัตราเร็วและน้ําหนัก
ลมใหคงตัว ในที่สุดหลอนก็รายงานวา
“สวางเหลือเกินเต...แอไมเคยเห็นใจตัวเองสวางสวยเทานี้มากอนเลย”
เกาทัณฑซึ่งเปนผูทําการสะกดเองก็กะพริบตาทึ่ง สัมผัสทางใจบอกวาเรือนแกวพบสภาวะที่นาปติชื่นใจ
จริงๆ เพิ่งซึมซับและตระหนักถึงอํานาจดลบันดาลจากปากตนวานาอัศจรรยปานใด แมคิดพูดตาม
อัตโนมัติตามที่เห็นควรเฉพาะหนา ก็อาจใหผลเกินความคาดหมายไดขนาดนี้
เรือนแกวนิ่งไปนานเกือบครึ่งนาที กอนรายงานตามจริง
๓๕๔
“แสงหรี่ลง...”
“ตอไปนี้หายใจเขาทุกครั้ง ใหแอคิดวาเพื่อรักษาแสงสวางในหัวใหคงที่นะ”
ปลอยใหหลอนหายใจอีกสี่-หาหนจึงถามใหม
“แสงสวางเปนปกติดีไหม?”
“เปนปกติ สดชื่นมาก...”
หญิงสาวยิ้มกวางราวกับยืนสูดอากาศบริสุทธิ์บนผาสูงยามเชาตรู เกาทัณฑจับตามองดวยความพึงพอใจ
สูดลมหายใจดวยความสดชื่นตามไปดวย เกิดความรูสึกวาตนประสพความสําเร็จอยางงดงามในเบื้องตน
นี้
เมื่อเรือนแกวเงียบพรอม เกาทัณฑก็สั่งแผวชัด
“นึกถึงตอนที่ไดยินผมเคาะประตู ผมเคาะกี่ครั้ง?”
“สองครั้ง”
๓๕๕
“บอกซิวาแอทําอะไรบางเมื่อมาเปดประตูใหผม”
ภาพที่เห็นในหัวปรากฏเปนรูปทรงสัณฐานสองมิติคับแคบ แตกตางจากของจริงที่เปนสามมิติกวางโลง
โดยรอบ ทั้งนี้เพราะภาพที่จิตฉายออกมายังผูกติดกับกายประสาทอันเปนเสมือนเครื่องขัง เครื่องมุงบัง
ในเขตแคบจํากัด
ดวยความทรงจําอันสดใหมใกลปจจุบัน เรือนแกวเห็นตนเองกําลังนั่งสํารวจความพรอมของหนาตาในเงา
กระจก จําไดถึงความกระวนกระวายนิดๆเพราะรูวาใกลเวลานัด และเกาทัณฑจะตรงเวลาเสมอ
“แอลุกจากโตะเครื่องแปง เดินมาเปดประตูใหเต”
เมื่อหลอนพูด ภาพชะงักคางคลายเครื่องฉายหยุดเดินลงชั่วขณะ
“พอเปดประตูแลวแอก็กลับมานั่งที่เดิม”
เกาทัณฑพยักหนา
“ยอนกลับมาตอนยังนั่งหนาโตะเครื่องแปงใหม แอกาวเทาแรกเปนซายหรือขวา”
เรือนแกวคิดตาม แลวเห็นตนเองยางเทาขวาออกเปนกาวแรก
“ขวา”
๓๕๖
ชายหนุมพยายามใหหลอนเจาะลึกลงไปในรายละเอียดรอบดาน เพราะเห็นมีความสําคัญในอันที่จะทําให
ตัวรูตัวคิดทั้งหมดในอดีตยอนกลับมา ใหทบทวนแมความรูสึกขณะยื่นมือไปสัมผัสลูกบิดประตู หรือ
กระทั่งเมื่อเทาสัมผัสพรมในหองขณะเดินไปเดินกลับ
“พอนึกถึงรายละเอียดอยางนี้ทําใหความเห็นชัดขึ้นไหม?”
ถามอยางทราบอยูแลวเนื่องจากเคยปฏิบัติเองมากอน
“ชัดขึ้น”
“คราวนี้ยอนนึกไปถึงเมื่อตอนเชา เราเขาหองทํางานของนายชุน...”
เมื่อเห็นกิริยาและไดยินน้ําเสียงของตนเองดวยใจที่กําลังสวางนิ่งอยูเหนือภาวะสามัญ บางทีก็คลายเปน
คนหนึ่งเฝาดูอีกคน ตลกชอบกล
เรือนแกวไหลไปตามแรงดึงดูดของกระแสความทรงจํา บางจังหวะถึงกับตกใจที่สีสันและเสนสายในภาพ
มีความคมชัดจนเชื่อสนิทวาเปนปจจุบัน เพราะสํานึกของตัวตนที่นอนบนเตียงหายหนไปหมด หลอนยัง
คงสภาพรูเห็นออกมาจากมุมมองของบุรุษที่หนึ่ง เปนศูนยกลาง เปนผูประจักษ ผูรวมโตตอบ บางที
เหลือเพียงอนุสติบางๆวาสิ่งเหลานั้นเปนเพียงภาพอดีตที่จบลงแลว ผานเลยไปแลว
เกาทัณฑเริ่มสอบถามเปนระยะวาเหนื่อยไหม ความทรงจําที่ทยอยลําดับมายังชัดเจนอยูหรือเปลา
ปรากฏวาเรือนแกัวยังชอบใจที่จะเกาะติดอยูกับกระแสความทรงจําอยางตอเนื่อง กระปรี้กระเปราพรอม
จะขยับถอยกลับไปเรื่อยๆไมเหนื่อยลา
ครึ่งชั่วโมงแรกเกาทัณฑใหหลอนพูดถึงเฉพาะเหตุการณที่มีเขารวมอยูดวย เพื่อความแนใจวาหลอน
สามารถระลึกไดจริง และถูกตองครบถวน เปนการพิสูจนวาครึ่งที่ตื่นของหลอนในบัดนี้ เต็มไปดวยสติ
แจมใสสมบูรณแบบ
ถัดจากนั้นจึงเริ่มยางเขาสูโลกสวนตัวของหลอนที่เขาไมเคยรับรู โดยตัดสินใจทดลองใหยอนแบบกาว
กระโดด
๓๕๗
“นึกถึงชวงวัยรุน...”
ดวยเพราะเกาทัณฑรับรูอยูกอนแลววาเพื่อนสาวมีปมทุกขใหญหลวง จึงจงใจกระโดดขามดวยการใชคํา
พูดใหหลอนตรึกนึกยอนเฉพาะเหตุการณที่เปนสุข เพื่อผลของการสะกดเริ่มแรกจะไดไหลลื่นดวยกําลัง
ปติจนสุดทาง
อีกอยางคือในการสะกดครั้งนี้เขาใหหลอนระลึกถึงสะเก็ดความจําที่ผุดเดนขึ้นมาเอง ไมใหตองใชความ
พยายามเลย เพราะความพยายามนั่นแหละคือตัวสกัดกด มิไดชวยดึงความจําขึ้นมาแตอยางใด
หญิงสาวเงียบนิ่งไปอึดใจ กอนแยมยิ้มระรื่นและเลาวา
เกาทัณฑขมวดคิ้วหนอยๆ
“กําลังซอนจักรยานใครไปไหน?”
ใบหนาเรือนแกวเปอนดวยรอยยิ้มสดใส
“เขามารับไปกินไอติมดวยกันที่หนาหมูบาน”
เปนวาระที่เกาทัณฑรูใจตนเองชัดเดี๋ยวนั้น วาความผูกพันที่มีตอเรือนแกวไมอาจเรียกวาเปนเพื่อนอยาง
บริสุทธิ์ใจ เพราะอารมณเริ่มเจือดวยความขุน สิ่งที่ผุดพลุงขึ้นมาจากอกในยามนั้นคือความริษยาเจาหนุม
นิรนามผูถือแขนจักรยานนําหลอนในอดีตไปสวีทจี๋กันตามประสาวัยรุน สีหนาเรือนแกวฟองชัดวาหลง
ใหลไดปลื้มหมอนั่นเพียงใด รักแรกก็อยางนี้แหละ...
“แอรักเขามากไหม?”
“ไอติมที่แอสั่งมาทานคราวนั้นรสอะไร?”
“ช็อกโกแล็ต...ช็อกโกแล็ตซันเดย แอชอบที่สุด”
“จําความเย็น จํารสที่แตะลิ้นในคราวนั้นไดไหม?”
“จําได”
“จําไดไหมวาวันนั้นเปนวันอะไร?”
แมความคิดและความรูสึกขณะทานไอศกรีมจะเดนชัดในหัวราวกับอยูในอดีตจริงๆ แตการยอนนึกวัน
เวลากลับตองอาศัยความพยายามในภาวะปจจุบัน เพราะตัวตนในรานไอศกรีมไมไดมีจุดใดโยงใยถึงวัน
เวลาใหระลึกได
เรือนแกวหยุดทบทวนเปนครูจนหัวคิ้วขมวด กอนตอบดวยเสียงคอยลง
“อยาเครงเครียด คราวหลังถานึกไมออกก็ไมตองเคนนะ...แอรูตัวไหมวากําลังเปนเด็กลง?”
ในที่สุดหลอนก็ตอบแผวเบา ภาคของจิตที่คิดพูดเชนนั้นคลายเจือจางอยูที่สุดพื้นของสํานึกรูวาหลอน
เปนหลอนบนเตียงนอนเดี๋ยวนี้
“ตัวที่เห็นกายใจเปนเรานั่นแหละคืออุปาทาน แทจริงรางกายและความนึกคิดคลี่คลายไปเปนอื่นตลอด
เวลา กายใจในเวลานี้ วันหนึ่งก็จะเปนอดีตเมื่อมองยอนกลับมาจากอนาคตที่แตกตางออกไป”
”ลองสืบสาวดูซิวาหลังออกจากรานไอศกรีมแอไปเที่ยวไหนกับเขาคนนั้นตอ”
“เขาพาแอกลับมาสงที่บาน แลวแยกกลับไป”
“แลวแอทําอะไรตอ?”
“นึกไมออก”
หลอนรีบบอก เพราะเกาทัณฑเคยสั่งไมใหเคนนึก
“ชางเถอะ แสดงวาเหตุการณตอมาไมนาสนใจพอ”
“คิดถึงเหตุการณที่สนุกที่สุดสมัยเรียนอนุบาล...”
ดังกําหนดไวแตแรกวาการสะกดครั้งนี้จะใหเรือนแกวเห็นวาชีวิตตนเปนบรมสุข เมื่อหลอนตื่นจากการ
สะกดจะแชมชื่นเบิกบานเปนพิเศษ เขาจึงไมสะกิดปมรายขึ้นมาเลย แมทราบวาโดยหลักการแลว นั่น
เปนวิธีรักษาบาดแผลที่ดีเยี่ยม เกาทัณฑอยากมั่นใจกับตนเองวาการสะกดครั้งแรกนี้จะไมมีสิ่งเกินความ
คาดหมายเหนือการควบคุมใดๆ
“...แมเปนคนตั้งชื่อให แอรักเจาเอเตมากกวาจุมปุก”
หลอนบรรยายความรูสึกที่มีตอกระตายนอยสองตัวในครอบครอง
“ตอนเจาเอเตจับผักบุงเคี้ยวมันทําทานารักดี...”
ชายหนุมหัวเราะโดยปราศจากสุมเสียง ความรูสึกคลอยลงออนโยนตามราวกับโลกใสในวัยเด็กมาปรากฏ
ตรงหนาตนดวย เขาปลอยใหหลอนวิ่งเริงราโดยยืนระวังเฝาดูอยูที่ขางสนาม รูวาเรือนแกวจะไมพลัดหลง
ไปไหน
ตอนนี้เขาอาจมีโอกาสสืบรู ไขภาพและเสียงอันลี้ลับนาใครรูในหัวของเด็กหญิงเรือนแกวได
“จําได”
หลอนตอบทันที
“ลองนึกใหดีซิวาพอปดตาหลับแลวฝนอะไรชัดๆบาง”
“เต...เหมือนเตียงหมุน”
“รูสึก”
พลังในน้ําเสียงมั่นคงของเขาที่แฝงกระแสบางอยางมาในอากาศ เมื่อรวมเขากับไออุนในอุงมือแข็งแรง
ทําใหความเควงงงและการหมุนของเตียงคอยๆจางลงราวกับมาหมุนจะหมดรอบ และในที่สุดก็แนนิ่ง
ปลอดภัยเปนปกติจนได
๓๖๒
“หยุดหมุนแลว...”
“หายใจเขาใหเต็มปอด แลวระบายชาๆ...”
ประวิงเวลากอนตื่นของเรือนแกวเพื่อใหทั้งรางกายและจิตใจคืนสูสภาพสมดุลเดิม กลอมใหหลอนเห็นตน
เองในปจจุบันไลมาเรื่อย กระทั่งบุคลิกทั้งหมดกลับเปนปกติแนแลว เกาทัณฑจึงบอกในขั้นสุดทาย
“เปนไงมั่ง?”
“เพิ่งเคยสะกดแอเปนคนแรกจริงๆเหรอ?”
“จริงสิ”
“รูสึกยังกับผูเชี่ยวชาญตัวจริงเลยนิ”
แลวหลอนก็หรี่ตารําพึง
“รูสึกแปลกดีจัง”
ทดลองเลื่อนแขนเปลี่ยนที่วางมือ สัมผัสแหงความเปนปจจุบันชางนาจับสังเกตอยางไมเคยเปนมากอน
หลอนขยับเขยื้อนอยางมีสติเดี๋ยวนี้ อีกสิบนาทีขางหนาจะยังประทับอยูในความทรงจําใหสามารถยอน
ระลึก ประสบการณในชีวิตมนุษยมีความหมายเพียงเพื่อใหถูกจําและถูกลืมเทานี้เองละหรือ?
๓๖๓
“ขอบใจนะที่พยายามทําใหแอรูสึกวาชีวิตตัวเองมีความสุข”
สายตาที่เบนมามองเขาทอดออนดวยกระแสความขอบคุณ
“แอชักสนุกกับการสังเกตสัมผัสและรายละเอียดตางๆในปจจุบันแลวสิ…”
เรือนแกวอาปากจะพูดโตตอบ แตก็ตองตกใจสะบัดหนาและอุทานอุยเบาๆเมื่อประตูหองเปดผางโดย
แขกผูไมไดรับเชิญ อาคันตุกะหนาเหี้ยมสองคนรุกล้ําเขามาอยางพรวดพราด คนหนึ่งงับประตูปดลง
อยางรวดเร็ว อีกคนกรากเขาชี้ปนขูเจาของหองในระยะหางเพียงสองเมตร
“เฉยๆแลวกูจะไมทําอะไรพวกมึง!”
“เต...”
๓๖๔
ขณะแหงความหนาสิ่วหนาขวาน มึนมืดอึมครึมดวยคลื่นความชั่วชาที่กระจายมาจากสองคนราย
เกาทัณฑสามารถขมความหวาดผวาเยี่ยงปุถุชนลงไดเกือบราบคาบ เปดทางใหเกิดสติวิเคราะหสถาน
การณเฉพาะหนาอยางถวนถี่ในเวลาเพียงสองสามพริบตา
สิ่งนาประหวั่นคือทั้งสองอาจเผื่อแผฐานะครึ่งเปนครึ่งตายมาใหเขากับเรือนแกวไปดวย ดูประกายตารอน
รนถึงขีดแลวเดาวานี่คงเปนเรื่องใหญระดับนั่งเกาอี้ไฟฟา หรือฝายนี้ยอมสูถวายหัวดีกวาถูกจับ ซึ่งถา
เปนเชนนั้น คงหวังการลงเอยดวยดีไมมีริ้วรอยขีดขวนยากยิ่ง
และตองยอมรับอยางไมนาอับอายนักวาปนพกที่ชี้เล็งแสกหนาอยูในขณะนี้ ทําใหเขาเกิดความเสียวหนา
ผากยิ่งกวาใครเอาแหลนเหล็กแหลมมาจี้จอ เพราะพิษสงของลูกปนขนาด .38 นั้น แมไมเคยโดนก็รูวา
เจ็บถึงใจแน ใหเจาะเนื้อลงตรงจุดไหนก็เถอะ โดยเฉพาะถาเขาแสกหนาเขาตามวิถีเล็งในบัดนี้ รับรอง
กลายเปนศพสวัสดีทันที
๓๖๖
สรุปคือตอนนี้ตองหามมือหามเทาตนวาอยาบุมบามฮึดสูแบบโงๆ
คําสั่งของผูรุกรานเปดโอกาสใหเขาไดพูดคุยกับเรือนแกวถนัด เกาทัณฑเอี้ยวตัวยกมือตบปลอบเบาๆลง
บริเวณขมับเพื่อนสาวผูถูกมองวาเปนเมีย
ปลอบใหสถานการณดูเบาลง ทั้งที่ใจคิดอีกอยาง
“แอกลัว...”
“ผมก็เหมือนกัน”
ความเย็นทั้งกิริยาและวาจาของเขาชวยบรรเทาความกระสับกระสายของเรือนแกวไดนิดหนอย อยาง
นอยเขาก็ปกหลักบังกระสุนใหหลอนเฉย ไมสอเคาขอผลัดมาอยูขางหลังบาง พอเปนความอุนใจในคราว
วิกฤตขีดสุด รวมทั้งสรางจิตวิทยาใหโนมเอียงที่จะเชื่อวาสถานการณคงคลี่คลายไปในทางดีในบั้นปลาย
๓๖๗
โคเฮจิไมทันเฉลียวใจวาหญิงไทยผูกําลังงันงกจะรูญี่ปุนทะลุปรุโปรงแทบเทียบเทาภาษาแม อีกทั้งชะลา
วาสองหนุมสาวนี่ขยําทีก็บี้แบน ตอใหฟงออกก็หือไมขึ้นอยูแลว
แตที่แนคือตราบใดที่พวกมันยังไมถึงถิ่นตัวเองหรือเขตปลอดภัย เรือนแกวก็จะยังคงถูกยึดตัวไวอยาง
เหนียวแนนแทนโลปอง เพราะนี่คือจุดประสงคของการบุกหองพักแขกอยูแลว
๓๖๘
หนังตาขยิบแปลบ เขาจะปลอดภัยอยางลอยลําเพียงเมื่อตํารวจมาถึง...
นั่นเองเกาทัณฑจึงมีโอกาสสั่งเสียกับเรือนแกว
เขาถามความสมัครใจและบอกความเปนไปไดที่อาจเกิดขึ้นอยางตรงไปตรงมา ถึงแมเรือนแกวจะกลัวจน
ขึ้นสมองจี๊ด ก็หลับตากัดฟนตอบอยางรูวาถึงนาทีจวนตัวเขาดายเขาเข็ม ตัดสินใจชาไมไดแลว
“แอจะตายกับเต”
ควานหามือเขา เมื่อพบก็ยึดไวมั่น
“ขอบใจนะที่ไมคิดทิ้งกัน”
เกาทัณฑกระชับมือตอบ
“ผมไมใหแออยูในมือคนอื่นหรอกนา”
“เต...”
“หือม?”
๓๖๙
“อยากดาวาหนาไมอายก็ตามใจนะ ฉัน...ฉันรักเธอ”
“ผมก็รักแอ...”
เหมือนกระแสน้ําอุนหลามไหลเขาสูหัวใจเยียบเย็นของคนที่ยืนอยูหวางรอยตอความเปนกับความตาย
ความซานระทึกในวิกฤตถูกทวมทับจนมิดดวยรสสงบสุขในรัก เรือนแกวบีบมือแนนขึ้น อยางจะขอรับ
การถายทอดกระแสใจจากเขาเขารวมเปนหนึ่งเดียวกับตน
“โลกหนาจะเปนสวรรคหรืออะไรก็ชาง ขอใหเราไดอยูดวยกันก็แลวกัน”
หลอนกระซิบ เกาทัณฑยกมือของหญิงอันเปนที่รักขึ้นจุมพิตแผว
“อยาใหผมสับสน และเพิ่งไดรูใจแอเอานาทีสุดทายเหมือนชาตินี้อีกละ”
เรือนแกวตอบดวยรอยยิ้มเงียบเชียบที่เบื้องหลัง บังเกิดความตื้นตันใจจนวูบคิดอธิษฐานอยางแรงกลาวา
ตนจะยากกับชายทั้งโลก แตงายกับเขาเพียงคนเดียวไปทุกภพทุกชาติ!
การเกิดใหมมีกระบวนการซับซอนอยางไรไมรู รูแตวาขอเพียงมีใจกลมเกลียวเปนหนึ่งเดียวเสมอกัน
หมดวาระจากฉากนี้เมื่อไหร ก็ไดผจญภัยในฉากใหมรวมกันแนแลว
“จะใหแอทํายังไงบาง?”
“ยิงปนที่เห็นในมือไอเบื๊อกขางหนานี่ไหวไหม?”
“ไหว”
“งั้นคอยตะครุบใหดีแลวกัน”
เรือนแกวพอเดาไดวาจะเกิดอะไรขึ้น แตไมวายหวง
“แลวอีกคนละ?”
“เถอะนา...”
๓๗๐
ลอบอัดลมหายใจยาวลึกรวดเร็วสองสามครั้งราวกับกระบอกสูบลมขนาดยักษ เก็บเกี่ยวพลกําลังจนเต็ม
แนน เริ่มจับจังหวะนับแตนั้น ขอทีเผลอเพียงพริบตาเดียวเถอะ
ยินเสียงเหล็กกระทบกะโหลกมนุษยโปกใหญคลายกระหน่ําทุบคอนปอนด ตามดวยเสียงรองอุบหนึ่งแอะ
เกาทัณฑไมมีเวลาชมผลงาน เพราะตองหันกลับมาทางชายรางปอมใกลตัวทันที รางบึ้กตั้งหลักไดเร็ว
และกําลังสวิงหมัดซายใสแบบโตตอบกอนสมองสั่ง หมายตะบันหนาหลอใหหงายเกง เกาทัณฑเพียง
คอมรางหลบหนอยเดียว กะใหหมัดเฉี่ยวถากวืดครอมศีรษะ เพื่อไมใหเสียหลักเขาจูโจมมากนัก
พอหมัดขาศึกวืดและเปดชองทอง เกาทัณฑก็ฉวยโอกาสสะอึกตวงซายสั้นเขาลิ้นปสองหมัดซอนจนคูอริ
ตัวงอลงหนอย แลวซ้ําดวยการยอขวางางหมัดยิงปง หมายเสยเขากระโดงคางสุดแรงเกิดแบบไมออม
แรงไว เพราะแมดูทาวาเจานั่นแกเกินสี่สิบ ก็ยังแกรงขนาดมีสิทธิ์ฟาดเขาหมอบ หรือยิงเขาตายไดชนิด
ตาไมกะพริบ อยางนี้คงไมเจอขอหารังแกคนแกอยางนาเกลียดกันละ
ใชเวลาเสี้ยววินาทีเดียวตัดสินใจเลือกเผด็จศึกหัวมังกรใกลตัวใหสิ้นเรื่องสิ้นราวกอน คอยตามเช็กบิล
หางมังกรในภายหลัง ถาหางมังกรสะบัดลายขึ้นมาตอนนี้ก็ตอโลงรอเถอะ ใครไปจับศึกสองดานพรอมกัน
ไหว พยายามดีที่สุดไดแคนี้
อยาเพิ่งฟนนะไอแก...เกาทัณฑคิด ตอใหสมัยหนุมเคยเปนนักมวยปล้ําจริงก็คงจุกลําแขงเขาไปหลาย
นาทีละคราวนี้
อยางไหลลื่นตอเนื่อง กระทิงหนุมหันตัวปราดเขาชารจเจาโยงที่โดนอาวุธลับลงไปกองเคเกกราบประตู
หนาหอง แงหรือสันจานบินเหล็กคงไมเขาเปาทายทอยถนัดนัก เพราะยังอุตสาหหยัดกายขึ้นยืนอยาง
ทรหด เดชะบุญหมอนั่นมือออนทําปนรวงกับพื้น และเพิ่งกลับหลังหันโงนเงนงงงวยขึ้นมา ทาทางกําลัง
พยายามนึกใหออกวาชาตินี้กูคือใคร พอเขาไปถึงจึงเลือกเลนงานไดตามสะดวก งัดหัวเกือกซายเขาผา
หมากเต็มตีนชนิดขอเก็บคุณธรรมเขากระเปาเพื่อความสะดวกและปลอดภัยของขาพเจาไวกอน
แตสัญชาตินักสูของจอมทรหดนั้นทําใหยากจะเคี้ยวงาย เจานั่นคืนสติเห็นขีปนาวุธจับเปาตนไดอยาง
วองไว สมอาชีพคนบาปที่ตองมีตาประดุจเหยี่ยวไวระวังภัยเสมอ สองมือปามจับขอเทาเขาไดทัน กับรีบ
เลื่อนมือซายตะปบปลายเทาปบ ออกแรงบิดหักสุดฤทธิ์ หวังใหเขาเสียหลักลมลงกับพื้น และกะตาม
กระทืบซ้ําฉับพลันทั้งที่ตนยังไมสรางงงดี
มือพระกาฬจากแดนซามูไรทรงกายขึ้นคุกเขาและพยายามปรับสายตาใหมองเห็นสิ่งที่อยูตรงหนา
เกาทัณฑลนลานลุกขึ้นหลับหูหลับตาเหวี่ยงเทาตูมเขากกหูศัตรูถนัดถนี่ ภาวนาวาครั้งนี้ขอใหจอด
เพราะถามันยังหยัดกายอยูไดอีก ฝายเขาอาจเริ่มลดนอยถอยกําลังลงเรื่อยๆ เผลอๆอาจเพลี่ยงพล้ําถลํา
คว่ําเอง เนื่องจากหวดแขนขาสุดตัวแบบไมไดพักหายใจมานาน ชักออกอาการเหนื่อยลาสายตัวจะขาด
แขงขาสั่นพั่บๆแลว
สมคําภาวนาของเกาทัณฑ โยงกระดูกเหล็กจากถิ่นซากุระบานเอียงกระเทเรลงคว่ําราวกับตนไมโคน
เพราะจุดที่หลังเทาเขาเมื่อครูคือตําบลทัดดอกไมเต็มๆ ขนาดตัวเกาทัณฑเองตองเขยงยกเทากุมดวย
ความเจ็บราวกับเตะเสา
๓๗๓
สิงหเฒาโผเผกระชากปนพกสํารองจากชายเสื้อนอกขึ้นมาเล็งหนุมไทยทั้งตาพรา สติเลือนไมเขาที่เขา
ทางดีดวยความจุกเสียดทองแนนตึ๊บ เรือนแกวซึ่งเห็นตลอดทุกจุดของเขตทําศึก ถึงกับเย็นวาบตะโกน
เสียงหลง
“เต! ระวัง!!”
เกาทัณฑไดยินเชนนั้นก็เลิกเขยงเก็งก็อยหอบตัวโยน สะบัดหนามาทางจงอางที่เขาหวดหลังไวไมหัก
ตกตะลึงตาเบิกโพลง ความรูสึกบอกวานั่นคือวาระสุดทายของตน
กระโจนผลุบเขาแอบหลังโซฟาตัวหนึ่ง ทั้งสํานึกเดี๋ยวนั้นเลยวาหัวกระสุนคงสามารถตัดชําแรกแทรก
ผานพนักมาเขารางตนไดราวกับผานอากาศธรรมดา แมถูกหักเหบางก็คงไมพนตัว ตองดิ้นพราดกับที่ให
โจรโหดตามมากระหน่ําซ้ําอยางสะดวกดาย
โคเฮจิสะดุงเฮือก แทบหายมึนเมื่อเห็นปนกระเด็นหลุดจากมือวับไปกับตาจากแรงปะทะมหาศาลไรตน
แถมไดยินเสียงตวาดเฉียบขาดราวกับประกาศิตเกรี้ยวจากนางพญาตามมาวา
“อยาขยับ!”
เมื่อยิงปนเขาเปาสําเร็จไปครั้งหนึ่ง กับทั้งขณะนี้สติยังรวมศูนยกับสองมือที่จับดามและสายตาที่เล็งตรง
เรือนแกวรูสึกวาจิตใจตนเปลี่ยนรูปไป ในความสงบอยางเอกอุนั้น มีความกระเหี้ยนกระหือรือพลุงพลาน
มาจากหัวใจ จิตที่จับเครื่องมือประหัตประหารยอมถูกจูงใหคิดอยากฆา โดยเฉพาะคนมีนิสัยเดิมติดตัว
มากอนอยางหลอน
“เต! ออกมาไดแลว!”
เรือนแกวรูสึกหนาวๆรอนๆเมื่อไมไดยินเสียงตอบจากหลังโซฟา ตองตะโกนเรียกซ้ําอีกครั้ง
“เต! เปนอะไรรึเปลา?”
“ถาผัวกูมีอันเปนไป มึงจะตายทรมาน!!”
ภาพที่ปรากฏตอโคเฮจิคือนัยนตาลุกโพลงดุจมีเพลิงรอนถูกรุนอยูเบื้องหลัง กระแสวิญญาณนางเสือราย
ดูทะมึนครึ้มหลอกตาเหมือนรางหลอนสูงเงื้อมจรดเพดาน ชวนใหนึกถึงพญามัจจุราชผูทรงมหิทธิอํานาจ
ในการลงทัณฑส่ําสัตว ลูกซามูไรถึงกับครามระยออยากหลบเพราะนึกรูทานี้วาคงโดนแนแลว
เรือนแกวกระดิกนิ้ว ลูกปนแลบผานกระบอกเขาเปาดังลั่นราวเสียงเดือดจากอเวจีมหานรก
แตเมื่อรูสึกตัววานอกจากความกลัวแทบเยี่ยวแตกเยี่ยวแตนแลว สวนหัวอันนาจะเปนจุดเล็งของมือ
พิฆาตสาวยังอยูดี ลูบคลําเปะปะแลวไมแหวงหายหรือเกิดรูเล็กขาเขา รูใหญขาออก ก็บังเกิดความโล
งอกเหมือนตายแลวเกิดใหม หลอนแกลงยิงเฉียดกบาลใหขี้ขึ้นหัวเทานั้น
“ไปเปดประตู!”
เสียงตวาดสั่งจากเบื้องบนทําใหสะดุงแทบลอยทั้งตัว รูวาทําใหหลอนโกรธและอาจบาดีเดือดคิดลงทัณฑ
กับเขาดวยวิธีที่เลือดเย็นผิดมนุษย ตากลับๆแบบนั้นเขาซึ้งแกใจดีวาเปนสัญลักษณของความเฉียดใกล
ระหวางสติกับวิปลาส นังนี่ตองคุมดีคุมรายผิดธรรมดาแน
เดินเกๆกังๆไปทางหนาหองเพื่อเปดประตูตามโองการพญายม คิดอยูในหัวตลอดเวลาวาจะแกลําพลิก
สถานการณไดอยางไร แตก็นึกไมออกเอาแตกลอกหนา ดวยความตระหนักวาแมนั่นจะยิงเขาจุดตาย
อยางโหดเหี้ยม ขอเพียงเขาตุกติกกระดิกกระเดี้ยไปในทางแวงกัดแมแตนอย ในเวลานี้รูสึกไมตางอะไร
กับมีอสรพิษตัวเมียจอหลังพรอมฉก ขนลุกซาจากตีนผมแลนไปตลอดแผนหลังทุกขณะจิต
เจาะขาทั้งสองบริเวณเหนือขอพับอยางแมนยํา ซายแลวตามดวยขวาหางกันเพียงสองพริบตากอนคะมํา
แสดงใหเห็นความสามารถของนักแมนปนที่ควบคุมแรงสะบัดและเบนทิศเล็งเปาเหลื่อมระยะไดเหนือชั้น
เสียงกลุมคนวิ่งใกลเขามา เรือนแกวตะโกนขอความชวยเหลือเปนภาษาอังกฤษดวยความคาดหมายวา
คงใชกลุมตํารวจที่ไลลาสองเดนคนนี่อยู แตแลวก็หันเล็งจังหวะเดียว ยิงอีกเปรี้ยงฉีกพื้นพรมขู เมื่อเห็น
เจาโยงสะลึมสะลือยื่นมือจะควาดามปนที่ตกอยูไมหาง เปาหมายของหญิงสาวคือทําลายปนกระบอกนั้น
ทิ้งใหสิ้นเรื่อง
ตอเมื่อผูพิทักษสันติราษฎรมายืนแอบขางประตูและสงเสียงถามความเปนไปภายในหอง เรือนแกวจึง
รองตอบไปวาโจรอีกนายลมลุกคลุกคลานแอบซอกประตูอยู ไมมีอาวุธแลว และหลอนจะคุมเชิงให นั่น
เองสันติบาลหนุมนายแรกจึงถีบประตูผลัวะไปอัดกระทบเปาหมายเปนการชิมลาง กอนยายรางขามตัว
โคเฮจิเขามาสะบัดสองมือจอปนเล็งหัวไอกานยาว พลางกระดืบถอยไปยืนพนระยะปะทะ
มารกานยาวเห็นตนตกอยูในมือตํารวจแนแลวก็ชูสองมือขึ้นสูง มีตํารวจกรูตามเขามาอีกหลายนาย พอ
เรือนแกวแนใจวาบัดนี้หมดหวงจากทุจริตชนผูนิยมวิธีโสมมในการเอาตัวรอด ก็ตาลีตาเหลือกถลันจาก
เตียงไปที่หลังโซฟาซึ่งเกาทัณฑนอนหมอบเงียบเชียบอยู
“เต!!”
สงเสียงนําตั้งแตแลนจากแหลง กระทั่งมายืนในตําแหนงที่เห็นภาพนอนคว่ําคุดคูของเพื่อนชายปรากฏ
ตอสายตา เลือดเขมหยอมใหญที่แฉะโชกหลังของชายหนุมคลายสายฟาฟาดใกลตัวใหสะเทือนทั้ง
กระหมอม หญิงสาวกรีดเสียงดังที่สุดในชีวิต โจนพรวดเดียวถึงตัว พลิกรางเขา ประคองชอนขึ้นวางบน
ตัก กลิ่นคาวเค็มจากหยอมของเหลวที่คลุงเขาจมูกทําใหมือสั่น ตัวสั่นเหมือนเกิดแผนดินไหวรุนแรงที่
เขยาทุกสิ่งใหวูบไหวอลหมานไมรูขวารูซาย...
๓๗๗
โดยเฉพาะไมเคยคิดวาจะเจอเจากรรมนายเวรบุกเขามาฆาในหองพักโรงแรมที่ดูปลอดภัยไรกังวล...
พบเพื่อไมรูวาเมื่อไหรจะจาก พรากเพื่อไมรูวาจะเจออีกที่ไหน
ชาตินี้ตักบุญไปแคชอนเดียว กระจอกเหลือเกิน...
กัดฟนน้ําตาคลอเบาเมื่อความวิงเวียนเกิดขึ้นอยางพนวิสัยขม แขนขากระตุกเยือกเมื่อความเย็นชนิด
หนึ่งลามจากเทาขึ้นมาหาหัวใจ เปนประสบการณใหมเอี่ยม เหงื่อเม็ดโปงผุดพรายโซมราง บังเกิดความ
สยองเกลาคลายหมาวิ่งหางจุกตูดรูตัววาถูกไลฆาไปจนตรอก
คนไมเคยคํานึงระลึกถึงความตายเปนอยางนี้หรือ? หากมีโอกาสแกตัวอีกครั้งเขาจะฝกจินตนาการเห็น
ลมหายใจแตละเฮือกเปนลมสุดทาย หมั่นระลึกถึงกุศลอยูเนืองๆ เพื่อซอมใหชินกอนเจอของจริงไวกอน
จะไดไมประหวั่นพรั่นพรึง ใจสามารถตั้งสติระลึกถึงกุศลที่ทํามาทั้งชีวิต บัดนี้ภาพเหตุการณและบุคคล
อันเปนที่รัก ที่หวงหา แถทับโถมใสจนสับสนงุนงง เลือกไมถูกวาจะใหใจดิ่งจับสิ่งไหนไวเปนยานไปสูปร
โลก
อดีตนับแตปฐมวัยที่ยังเปนเด็กชายฮองเตของคุณพอคุณแมยอนเขาสูหัวโดยไมตองเคนระลึก เคยดีเด
เคยรายกาจ เกลียดการขมเหงแตก็หมั่นขมเหงคนอื่น นิยมความยุติธรรมแตก็หมั่นทําลายความยุติธรรม
ดวยกลเลหเพทุบาย รักพอแมแตก็หมั่นออกลายดื้อใหพอแมเสียใจ
หายใจไมออก...
กําลังจมน้ําอยางทารุณทรมาน...
แพตรี...
เรือนแกว...
สําคัญคือที่ไหน นานเพียงใดก็ไมรู...
๓๘๐
เพียงหนึ่งภาพนิมิตเทานั้น ก็เปนรหัสบอกเรื่องราวแกจิตอยางรวดเร็วคลายหยิบรูปถายเกาแกที่หลงลืม
มาดู ก็รูหมดวาบุคคลในภาพเปนใคร มีเหตุการณกอนหลังถายภาพอยางไร เขาเคยเปนเศรษฐีใหญ ไถ
หนี้แกเพื่อนบานดวยใจกรุณา เพื่อนบานนั้นสํานึกบุญคุณ มอบธิดาเปนเครื่องตอบแทน
คือแพตรีในฉากชีวิตหนนี้!
จากความเปนชาติใหญหนึ่งโยงไปสูความเปนอีกชาติใหญหนึ่ง จําไดแบบหมายรูลอยๆวาเคยผานงาน
บุญยิ่งใหญในศาสนาของพระพุทธเจาองคกอนๆมานับครั้งไมถวน เคยกระทั่งเปนมหาราช คุกเขาตอ
พระพักตร หลั่งน้ําทักษิโณทกเปลงประกาศถวายแผนดินไพศาลใหเปนพุทธเขต ขอเพียงเปนพุทธ
บัญชา แมเศียรแหงราชาก็สั่งตัดถวายไดเดี๋ยวนั้น อยาพักตองกลาวถึงพระพุทธประสงคใหญนอยอื่นใด
ที่มีตอสรรพสิ่งในมหาอาณาจักรอันเกรียงไกรแหงตน
สะอึกเฮือก ความชื่นใจและความระลึกไดดับหาย
เจ็บ...
ซาไปทุกหยอมเนื้อ เหมือนกายจะปริแตกอยูเดี๋ยวนี้
๓๘๑
มีหลายสิ่งใหเสียดาย มีเรื่องมากมายยังสะสางไมเสร็จ
มองมาที่กายอันใกลแตกดับ จึงรูวากูในกายไมมี
ทามกลางกระแสภาพอดีตที่ทยอยฉายไมหยุดยั้ง ตัวรูที่กําลังจะหมดขาดจากความเปนเกาทัณฑเริ่มเห็น
แสงรําไร จิตกําลังยึดจับวิปสสนาญาณที่เคยอบรมมาแลวกระมัง? จิตชางไมใชเขาที่เปนตัวคิดนึกในบัด
นี้เลย จิตเปนแคกระแสอะไรชนิดหนึ่ง สั่งสมมาอยางไรก็ทํางานตามนั้น
เข็มวินาทีของนาฬิกาในโลกเคลื่อนไปตามจังหวะเดิม สวนธรรมชาติก็ดําเนินความวางเปลาปราศจากผู
ครอบครองเรื่อยเฉื่อย ไรความผูกพันกับเข็มวินาทีของมนุษย บันดาลความเกิดขึ้นใหตั้งอยู บันดาล
ความตั้งอยูใหดับลง
ที่อยูก็อยูไป ที่ดับก็ดับไป
ลืมตาขึ้นในแสงสวางยามสาย ปวดเสียวทั้งแถบชายโครงดานขวา
๓๘๒
สํานึกแรกบอกตนเองวายังไมตาย
ใบหนาอันเปนที่รักปรากฏใหเห็นราวกับเทพธิดามาโปรด
“ตื่นแลวเหรอ?”
“แอ…”
“ขา…”
“ขอน้ํา”
หลอนปลอยมือและรีบไปรินน้ําจากเหยือกใสแกวมายื่นตรงหนา กับทั้งชวยประคองชอนตนคอเขาขึ้น
อยางรูวาคงไมมีแรง
“เพิ่งสายหรือนี่? ผมรูสึกเหมือนหมดสติไปนานจัง”
เกาทัณฑสะดุง แตแลวก็สงบสติ
หลอนละไว อาศัยกิริยายักไหลเปนตัวเติมชองวาง
“แอปลอดภัยดีหรือเปลา?”
“อาการครบสามสิบสอง อยากตรวจใหชัดกวานี้ไหม?”
“แอจะลงไปหาขาวเที่ยงทานสักครึ่งชั่วโมงนะคะ…ที่รัก”
“สวัสดีคะ”
“แพ…นี่พี่เตนะ”
“พี่ขอโทษ คือเกิดเรื่องขึ้นที่นี่…”
“ทราบจากหนังสือพิมพแลวคะ”
“ยินดีดวยนะคะที่มีสวนชวยตํารวจจับคนรายคายาเสพยติดขามชาติ กลายเปนวีรกรรมหนาหนึ่งโดงดัง
ไปทั่วประเทศ ถูกยิงก็พนขีดอันตรายอยางรวดเร็ว”
เกาทัณฑผงะหนอยๆ
“แพ…”
“ขอใหมีความสุขกับคูดื่มน้ําผึ้งพระจันทรของพี่นะคะ”
ถาเรือนแกวบอกตํารวจหรือนักขาววาเปนแคเพื่อนรวมงาน คงงามหนาฝายหลอนดีแท
นึกเห็นใจและไมโทษหลอน คนมันพระศุกรเขาพระเสารแทรกก็อยางนี้แหละ
“กูเอง”
เกาทัณฑสงเสียงทักกอนแบบคนจะหลับมิหลับแหล
“ไงพระเอก ฟนแลว?”
เชิงไททักอยางราเริง
“อือ…กําลังจะตองนอนตอพอดี”
เกาทัณฑหัวเราะแคนๆ
“คิดถึงกูมากหรือไง?”
“เออ โคตรคิดเลยละ”
“เหนื่อยจริงๆวะเชิง ขอพักเหอะ”
“เหม...รอดตายก็คิดฉลองดวยการตื่นซะใหคุมหนอยซีเพื่อน นาจะคนพบแลววาชีวิตตอนลืมตาดูและ
เปดหูฟงมีคาขนาดไหน หลับกับตายนะคลายกันมาก อยามัวหลับไหลลุมหลง เสียเวลาในชีวิตเปลาเลย
สหาย”
เกาทัณฑเบือนหนาจุปาก
“แกลงคนปวยบาปกรรมนาเฮย”
“เลาใหฟงหนอยสิ อยากรูขาววงในกอนใครนะ”
๓๘๖
คนไขถอนใจเบาๆ
“ใหหลับอีกตื่นนะ สัญญาจะโทร.ไปเลาใหหมดเปลือก”
“กูคุยกับแอก็ไดวะ ถาเกรอยูแถวนั้นเรียกใหหนอย”
“ลงไปทานขาวขางลาง”
เชิงไทเงียบไปอึดใจจนเกาทัณฑนึกวาเพื่อนจะเลิกกวนแลว แตหมอก็สืบความมาอีกจนได
“งั้นถามนิดเถอะ ตอบสั้นๆคําเดียวไมเหนื่อยมาก”
“ก็ถามซี ตอบเสร็จกูวางเลยนะบอกไวกอน”
เกาทัณฑสายหนาอยางระอิดระอากับการลอเลนของเพื่อนซี้
ตาขวาของเกาทัณฑขยิบ นึกรูแลววาเพื่อนหมายถึงอะไร
“เชิง…ไมใชอยางนั้น”
“คนเรานี่ก็แปลก…”
เสียงของเชิงไทยังเรื่อยเฉื่อย
เชิงไทพักเคนหัวเราะ
เสียเพื่อนเพราะผูหญิง…
พยายามเอาใจเพื่อนมาใสใจตน เชิงไทอาจพูดจากาวราวรุนแรงดวยความเจ็บใจประสาคนถูกหลอก
ความรูสึกของคนชนะที่ถูกถีบโครมลงไปอยูในตําแหนงแพ แกลงใหดีใจแลวเผยความจริงอันนาขมขื่นที
หลังนั้น พอเปนที่เขาใจไดวานาจะเดือดดาลสักขนาดไหน
โดยเฉพาะถาเชิงไทรักและหมายปองเรือนแกวจริงจัง ที่เคยเผื่อใจไวครึ่งเดียวเพราะตองชวงชิงกับเขา
บัดนี้คงเปลี่ยนเปนทุมเต็มรอยเพราะหลงนึกวาเขาสละสิทธิ์ พอพบวาธงขาวเปนแคกลลวงกอนชักธงรบ
ขึ้นสุดเสาเมื่อเอาจริง เชิงไทจึงหมดความยับยั้งชั่งใจ ประกาศความเปนศัตรูกันอยางเปดเผยเขาบาง
หากไมมั่นใจวาจะทําได ก็ไมควรลั่นสัจจะ!
ยังดีหรอกที่ความออนลาของรางกายมากพอจะทวมทับความวุนวายใจ เหมือนคลื่นยักษโถมถาเขากลบ
ความระเกะระกะบนภาคพื้นมิดเมน เกาทัณฑหลับไปทั้งยังกําโทรศัพทมือถือดวยความตั้งใจวาจะติดตอ
หาลุงคามภีรอยางนั้น
ระหวางทานก็ฟงหลอนจาระไนเหตุการณที่เกิดขึ้นหลังจากเขาสิ้นทา รวมทั้งการบอกเลาจากตํารวจ
เกี่ยวกับความเปนมาของโคเฮจิและไซ สําหรับโคเฮจินั้นเปนกัปตันเรือสินคา ขนยาบา เฮโรอีน และ
โคเคนซอนใตตูคอนเทนเนอรเขาสิงคโปรมานานนับปแลว ตํารวจหวังจับกุมพรอมของกลางโดยละมอม
ขณะกําลังเจรจาซื้อขายครั้งใหญในหองพักโรงแรม แตเผอิญความแตก โคเฮจิและพวกชวยกันฆาหนวย
ทะลวงฟนแลวหนีขึ้นลิฟตเสียกอน เนื่องจากรูแกววาตํารวจแหมาดักลอมปดทางหนีดานลางสิ้น
“หนังสือพิมพไทยลงขาวของเราแอรูหรือเปลา?”
หญิงสาวซอนยิ้ม
เกาทัณฑกระเดือกน้ําลายลงคออยางยากเย็น
“เจอนักขาวดวยเหรอะ?”
“เจอ เปนนักขาวไทยดวยสิ”
แลวนี่จะทําอยางไรตอไปดี?
เขารักหลอน...
ที่บอกทั้งตํารวจและนักขาวคือหลอนกับเกาทัณฑเปนคนรักมาเที่ยวกัน แตวิธีคัดเลือกถอยคําพาดหัว
ขาวถูกดัดแปลงเสริมแตงไปตามถนัด ซึ่งเรือนแกวก็ไมอินังขังขอบนัก เนื่องจากอยากให ‘ใครคนหนึ่ง’
อานพบทํานองนั้นอยูแลว
พอนอนไมหลับหลายคืนติดกันนั่นแหละ หลอนจึงรูวาเกาทัณฑมีอิทธิพลกับตนเพียงใด
“เราผานคืนนั้นมาไดยังไงนะ นึกวาเสร็จเสียแลว”
“คืนนั้นกําลังจะถามเลยวาที่แอรูสึกเหมือนเตียงหมุนเกิดจากอะไร”
ชายหนุมกะพริบตาสองสามที
“เชนเห็นตัวเองในอดีตกอนมาเปนอยางนี้?”
เพื่อนชายสั่นศีรษะ
“ไมรู”
เรือนแกวยื่นฝามือมาลูบหนามเคราแหลมที่คางเขาใหตัวเองจั๊กจี้เลน
“โกนหนวดใหเอาไหม?”
เรือนแกวเอามือยีครีมโกนหนวดปายทีละนิดจนกลบครึ่งหนา แลวบรรจงลากมีดโกนจากบนลงลางทีละ
จุดดวยฝามือเบานุม ไมระคายสัมผัสแมแตนอย ทวาก็มีน้ําหนักพอจะกดคมใบมีดกวาดเสนขนนอยใหญ
ออกจนเกลี้ยงเกลาทุกแถบพื้นที่ที่ปาดผาน ทําใหผอนคลายลงราวกับเปลื้องทุกขจากใบหนาและจิตใจ
พรอมกัน
ยามหลอนใชมือขางที่วางจากมีดโกนจับใบหนาเขาพลิกหัน และคางแนบประคองแกมไวเพื่อโกนดาน
ตรงขามใหถนัด เปนนาทีที่รูสึกสุขสบาย สวางรอบ เพลิดเพลินอยางยากจะหาอะไรเทียบ
“แอออกไปเที่ยวนะ ดึกๆกลับ”
ชายหนุมขมวดคิ้ว
“เที่ยวไหนค่ําๆมืดๆ”
“เที่ยวยังไง ผูหญิงตัวคนเดียวเนี่ยนะ?”
เกาทัณฑชักหงุดหงิด
“ตองมีคนไปดวย”
คนเจ็บนึกถึงสภาพนอนมองเพดานของตนแลวหัวเราะ แตแลวก็รีบทําขรึมเอ็ด
“ไปนะ”
“แอนา...ขอรองเถอะ”
“อยาออกไปเลยนะ”
๓๙๒
“ยังไงกันละนี่ หามๆๆ...หวงเหรอ?”
“หวง!”
“ผมหวง...”
พูดออมแอม
“หวงใครไมทราบ?”
“หวงแอ เดี๋ยวหนุมๆเขามาลอม”
“ก็ได จะใหหวงนะ”
มาถึงเตียงและเสปดผงขางหมอนเขา กอนขมวดปมทิ้งทาย
“แตตอไปนี้แอก็มีสิทธิ์หวงเตเหมือนกัน!”
๓๙๓
ลาสุดเมื่ออาการกระเตื้องขึ้นจนเลิกกระยองกระแยง พอมองเนื้อตัวหลอนแลวก็ยิ่งคุกรุนไปดวยความฟุง
ซานอุทธัจ ร่ําๆจะหมดความอดทน ยองไปทํามิดีมิรายกลางดึกก็หลายครั้ง ก็เลนหลับนอนอยูหองเดียว
กันตั้งหลายคืน ปรนนิบัติใกลชิดแคเอื้อมถึงเพียงนั้น ถาปราศจากความรูสึกเลื่อนเปอนอยางวาโดยสิ้น
เชิง ก็คงตองเปนขันทีเสียกอนหรอก
วานซืนมีนักขาวขอเขาสัมภาษณ ทําใหรูวาสื่อมวลชนเลนขาวตางประเทศที่มีคูหนุมสาวไทยเขาไปเอี่ยว
นี้กันหลายวัน อาจหลงเปนขาวเล็กขาวนอยประเภทรายงานความคืบหนาอาการบาดเจ็บของเขา หรือ
อาจผูกเปนตอนตอดุเด็ดเผ็ดมันวันตอวันตามอัธยาศัย ซึ่งสรุปแลวจะอยางไรก็ตามที หากแพตรีติดตาม
อานละก็ เปนตองรูวาเรือนแกวอยูชิดใกลกับเขาไมคลาดสายตาเลย แมเขาปฏิเสธการใหสัมภาษณและ
ถายรูป แตเรือนแกวก็ลอยหนาลอยตาเดินออกไปคุยกับนักขาวอยางสม่ําเสมอในฐานะผูอนุบาลเขา จน
ปญญาจะหามหลอนเสียดวย
ใหรอดพนจากเงื้อมมือเหลารายอันเปนที่หมายหัวของทางการ แตเกาทัณฑรูแกใจวาการเปนขาวครั้งนี้
นาเครียด นาขัดเคืองเพียงใด
โดยเฉพาะอยางยิ่งภาพเดินคูเคียงออกจากโรงพยาบาลระหวางเขากับเรือนแกวคงตําตาตําใจใครอีกคน
ที่รักเขา แตถูกเขาทรยศลับหลังเชนนี้...
เกาทัณฑขําไมออกกับคําหยิกนั้น แตฟงโดยรวมแลวรูวาแมนางในดวงใจขางตัวชักเริ่มเขมนที่เขาเงียบ
เฉย จึงจําใจโตตอบออกไปบาง
“หัวยังไมเหนง”
ความจริงก็พอรูอยูหรอกวาที่นั่งเครียดเปนตาแกนี่ ก็เพราะเกาทัณฑกําลังหนักใจเกี่ยวกับใครคนหนึ่ง
และเพราะรูอยางนั้นจึงเจ็บรอนราวกับยืนเทาเปลากลางแดด หลอนมีคาเกินกวาจะหวงหึงกระบึงกระ
บอน เชือดเฉือนแปรนๆเปนอีแรงเจอลูกดอกในละครทีวี แรงกริ้วและไฟริษยาในหญิงมีลักษณะเผา
ผลาญรุนแรงเหมือนกันหมด สํานึกในความเปนหงสหรือกาเทานั้นที่ยับยั้งไวหรือปลดปลอยออกมา
ในที่สุดจึงตัดสินใจซอนวิสัยหญิงทุกรูปแบบ แมนอยใจเหลือทนที่ปานนี้เขายังแสดงความครุนคิดวิตก
กังวลอยางประเจิดประเจอ ทั้งที่นาจะยิ้มใสออดออนหลอนกระหนุงกระหนิงเยี่ยงคูพิศวาสเมื่อแรกหวาน
ทั่วไป
“เตเอารถจอดไวที่สนามบินหรือเปลา?”
๓๙๕
พยายามเจรจาพาทีเปนปกติ และถามแบบที่เขาจะตองตอบ
“เอามา”
“แอมาแท็กซี่ละ เดี๋ยวชวยขับไปสงหนอยสิ?”
เกาทัณฑยกนิ้วเขี่ยปลายจมูก
“ก็ตองอยางนั้นอยูแลว”
เรือนแกวอมยิ้ม
“ทุเลาลงเยอะแลวละ ไมอักเสบแบบนี้ขับไดสบายมาก”
เลี่ยงเชนนั้นเพราะตั้งใจจะสงเรือนแกวใหเสร็จๆแลวตรงดิ่งไปบานปูชนะทันที แมขี้เกียจอยูบางเนื่องจาก
ตองยอนไปยอนมาออมโลกก็ตาม
“ยังไงเธอก็ตองพักผอนอีกระยะนะ แผลปริละแยเลย”
“งั้นแข็งแรงพอจะพานางเอกไปเที่ยวไดหรือเปลา?”
เกาทัณฑกะพริบตาปริบๆ ความเงียบอึ้งของเขาทําใหเรือนแกวเอื้อมมือมาเขยาปลายแขนรบเรา
“แออยากดูหนังอะ”
ชายหนุมลอบถอนใจ บอกหลอนตามตรง
“ผมตองไปพบญาติผูใหญละแอ ผิดนัดธุระสําคัญกับทานไว”
หญิงสาวหนาง้ํา
“ใหแอไปดวยนะ”
๓๙๖
เปนประสบการณครั้งแรกของเกาทัณฑที่เปนสุขจะเคียงขางกับผูหญิงคนหนึ่งพรอมกับรําคาญไปในตัว
ที่เคยผานมาถารําคาญก็จะอยากขับไสไลสง แตนี่พิลึกที่เขาเองก็อยากตามติดหลอนไปทุกหนแหง
เหมือนกัน หลายวันที่ผานมาเรือนแกวกลายเปนเงา กลายเปนคู กลายเปนสวนหนึ่ง ราวกับชีวิตมิไดมี
เพียงกายเดียวตางหากจากกันอีกตอไป แคหลอนหางไปซื้อของหรือเขาหองน้ํานาน ก็หงุดหงิดคิดถึงจน
เหลือจะรอแลว
แตอยางไรเมื่อถึงกรุงเทพฯ ก็ตองไปพบแพตรีใหได...
“แอ...เราตางคนตางมีเรื่องสวนตัวนาจะแยกกันไปทํา แอเขาหองน้ําผมยังไมตามเขาไปเลย”
หญิงสาวครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง
“ก็ลองตามเขาไปสิ”
“คืนนี้แอจะขนเสื้อผาไปคางหองเต ดูแลเธอ”
เกาทัณฑสําลักน้ําลาย อุทานเบาๆ
“แคบอกวาจะไปคางดวยหนอยเดียวถึงกับตาเหลือกเชียวนะ ใครๆเขาก็คิดวาแอเปนของเตแลวทั้งนั้น
แหละ โทร.คุยกับยายจายก็ถามระริกระรี้เลียบเคียงไปเลียบเคียงมา รําคาญเขาเลยยอมรับไปตามที่คน
อื่นนาจะเขาใจ สมัยนี้มันเรื่องธรรมดาจะตาย”
“แอทําอยางนั้นไมถูกนะ”
“ทํามะ?”
๓๙๗
เปลือกตาหญิงสาวขยิบ ปากคอสั่น
“โถ...ชางเขาเถอะคะ”
พอแมคงไมยอมรับผูหญิงแปลกหนาที่เขาพาเขาหองไดงายๆมาเปนลูกสะใภ โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อทุก
คนในครอบครัวยังยืนอยูขางแพตรีกันหมด คนอื่นจะกาวเขามาแทนที่เปนถูกปดประตูใสแนนอน
ร่ําๆจะเปดเผยความจริงที่เขาขอหมั้นแพตรีไวแลวใหหลอนรับรู แตเห็นใบหนาหมนในบัดนี้แลวก็ใจออน
ยวบ ถาคําพูดตรงไปตรงมาคือการทําความบาดเจ็บรุนแรงใหแกคนฟง เขาจะยังควรพูดอยูหรือเปลา?
ถูกบีบหนักเขาก็หลุดปากตามความคิดในหัวที่ถูกเรียบเรียงขึ้นแกสถานการณเฉพาะหนา
“แอมองผมเหมือนเจ็บใจอะไรเหรอ? ผมแคไมอยากใหใครตอใครคิดวาแอเปนของขบเคี้ยวเลนลวงหนา
ไดงายๆ แอไปรับกับจายอยางนั้นเหมือนพูดความจริงตามสายตาคนอื่น แตที่แทนั่นแหละคือการปด
ตองปากแข็งเขาไวซี่ เอาความจริงที่รูกันสองคนระหวางเรามาพูดไปจนกวาจะจัดงานเปนเรื่องเปนราว”
ฝายเกาทัณฑเองเมื่อกลาวจบก็แทบเอาหัวโหมงหนาตางเครื่องบินใหตายไปรูแลวรูรอด นี่เขาเผลอหลุด
ปากอะไรออกไปอีกแลว? เหมือนตอนนี้อยูในรองแคบที่มีหอกดาบรุนหลังใหเดินไปขางหนาไดอยาง
เดียว จะหันกลับหรือปนปายมุดดินหนีนั้น อับตันทั้งสิ้น ยิ่งพูด ยิ่งทํา แทนที่จะแกปมเกา กลับเหมือน
เอาเถาวัลยมาพันเพิ่มกระดิกยากขึ้นไปอีก
๓๙๘
พอเกาทัณฑนั่งตาม เรือนแกวก็อุบอิบ
“ขออยางเถอะ ไดโปรด...”
เสียงออนออยสรอยของหลอนทําใหเขาตั้งใจฟง
“เดี๋ยวไปพบคุณพอแอดวยกันไดไหม?”
เกาทัณฑยนคิ้ว
“ก็ไหนวา...”
“ก็ได”
พอออกจากเครื่องมายืนรอรับกระเปา เรือนแกวหยิบโทรศัพทมือถือขึ้นมากางและกดปุมตอเขาเครื่อง
ของพอ โดยอาศัยเลขที่บันทึกไวในหนวยความจํา
๓๙๙
“ฮัลโหล”
“แอนะคะ ขอพูดกับพอจอมหนอยคะ”
“หนูแอเหรอ...”
“นั่นหนูอยูสิงคโปรหรือกลับถึงไทยแลวละ?”
พลังของสื่อมวลชนเปนอยางนี้ ในขณะที่คนไทยหลายสิบลานเห็นหลอนบนหนาหนึ่งของหนังสือพิมพ
แลวผาน คนที่อยูในเสนทางโคจรรอบตัวนับรอยไดรับรู และคงกลาวถึงใหแซด เมียพอถึงกับทักถูก
“กลับถึงไทยแลวคะ พอจอมอยูแถวนั้นหรือเปลาคะ?”
มีเสียงถอนใจยาวดังใหไดยิน เรือนแกวไมตองสังเกตก็จับเสียงเครือของอีกฝายไดถนัดจากประโยคตอ
มา
“วาไงนะคะ?”
๔๐๐
นานราวกับกาลเวลาทอดชาใหลูกสาวผูวายชนมแนใจวาผูเปนพอไมอาจขยับมือลูบไลศีรษะดวยความรัก
อีกแลว กระทั่งถึงเวลาหนึ่งเปลือกตาหลอนหรุบปดลงเอง กายไมอาจหยัดทรงอยูได เซลมมาปะทะโตะ
วางพานรับน้ํา เกาทัณฑซึ่งมาคุกเขาระวังอยูแลวใกลๆชอนรับไวไดทันทวงทีกอนศีรษะจะตกฟาดพื้น
เมื่อเรือนแกวฟนสติกลับมาดวยการเอื้อเฟอยาดมและยาหมองน้ําจากญาติฝายพอ หลอนปรับสติรับ
ความจริงไดดีขึ้น เพียงรองไหกระซิกเทานั้นเมื่อตามคนรักไปนั่งฟงพระสวดบริเวณแถวที่นั่งหลังหอง
เกาทัณฑตองกระซิบปลอบอยูที่ริมหูเปนระยะ
กอนออกจากงานศพหลอนยังมายืนไหวลาแขกในงานรวมกับสายชลตรงนอกประตู และพูดคุยนัดแนะ
กับฝายนั้นเกี่ยวกับการรับเวรดูแลเปนเจาภาพงานศพ อีกทั้งเมื่อเดินกลับมาที่รถก็อาสาเปนผูขับเอง
เกาทัณฑเห็นหลอนดูปกติดีจึงใหขับ แตก็คอยระวังทุกวินาทีไมคลาดสายตาถาเรือนแกวจะเหมอขึ้นมา
“แอไปสงเตที่หองนะ”
เรือนแกวเอยขณะออมอนุสาวรียปราบกบฏ
ยอมขับมาตามทางกลับยานที่พักอาศัยของตนเอง ตางเงียบงันกันดวยความคิดคํานึงแตกตางออกไป ใจ
เกาทัณฑเต็มไปดวยความขัดแยง เขาอยากใกลชิดปลอบประโลมเรือนแกว แตอีกใจก็คลายเรงรอนไป
ถึงบานปูชนะ ตีกันมั่วอยู
จะเกิดอุปาทานหรืออยางไรก็แลวแต เกาทัณฑขนลุกซูคลายมีพลังอยางหนึ่งพัดผานมาในรูปของสายลม
และยังคงขนลุกชูชันเปนแผงอยูเชนนั้นแมเมื่อลืมตา ลุกขึ้นเดินกลับมาที่รถแลว
เหลือบมองเรือนแกวและพยักหนาใหนิดหนึ่ง แสงเหลืองจากโคมไฟถนนทําใหใบหนางามดูซีดราวกับ
เปนศพเสียเอง ยิ่งเห็นมือสั่นและแววขลาดในตาหลอนแลวก็ประหลาดใจอยูครามครัน ทาทางออนเปยก
๔๐๓
อยางนี้หรือเคยกลายิงปนเขาเนื้อคนมากอน กับทั้งมีสติมั่นคงพอจะควบคุมสถานการณวิกฤตจนลุลวง
มาแลวตามลําพัง
เรือนแกวกาวตามขึ้นรถทีหลัง ถามเขาดวยเสียงที่เห็นไดชัดวาพยายามดัดเปนปกติ
“ตายหรือ?”
“หมูนี้อยูใกลความตายบอยจริงนะ มองไปรอบตัวยังกับปาชาแนะ”
รําพึงระบายความรูสึก เกาทัณฑเงียบไปพักใหญกอนเอยตอบราบเรียบ
นาทีนี้หลอนอยูกับไออุนของรางกายตนเอง วันหนึ่งขางหนามันจะเย็นชืดเปนศพบนตั่งรับน้ํา
ความหดหูในอนิจกรรมของผูบังเกิดเกลายังปกแนนอยูกลางใจ จึงประมาณไดวาญาติของผูนอนตาย
อยางนาอนาถเบื้องหลังก็คงเปนเชนนั้น โลกนาวังเวงอยางนี้เองหรือ คนตายกันเปนเบือทุกวัน ญาติพี่
นองนับสิบนับรอยตองมาชุมนุมคับคั่ง รองไหกันเบื้องหลังรางไรวิญญาณรางเดียว หากนับสายน้ําตา
จากญาติผูตายทั้งหมดในแตละวัน คงรวมแลวนองเปนแมน้ํายอยๆไดสายหนึ่งแนนอน
๔๐๔
เชื่อเขา...
“แนะนําหนอยเถอะวาแอจะทําอะไรไดดีที่สุดเพื่อพอ ถวายสังฆทานสักเจ็ดวัด?”
เกาทัณฑกะพริบตาทีหนึ่ง
“ที่พระทานสอนใหเตรียมตัวตาย มีอะไรบาง?”
๔๐๕
และจากประสบการณที่ผมเฉียดความตายในขณะจิตเปนอกุศล ก็ไดความคิดอยางหนึ่งคือการทําใจให
แชมชื่นเบิกบานอยูเสมอ ถือวาเขาขายเตรียมตัวตายที่ดีดวยเหมือนกัน เพราะจิตที่แชมชื่นเปนฐานให
นึกถึงกุศลได หากปราศจากฐานที่มั่นแลว จับพลัดจับผลูจิตตกตอนใกลตาย ก็อาจถอยหลังเขาคลอง ทั้ง
ที่อุตสาหทําดีมาตั้งมาก”
“คิดถึงความตายบอยๆนี่ไมถือวาแชงตัวเอง เตือนคนอื่นใหระลึกถึงความตายบอยๆก็ไมถือวาพูด
อัปมงคลอยางนั้นใชไหม?”
“การแชงชักหักกระดูกใหตัวเองตายดับนี่ตางกับการเจริญมรณสติเปนคนละเรื่องเลยนะแอ ที่เห็นชัดตอน
เราแชงตัวเองหรือคนอื่นนี่ จิตปนเปอนดวยโทสะกลาแข็ง เปนบาปหนัก แตตอนเราระลึกถึงความตาย
เพื่อลดความประมาท ลดความลุมหลงมัวเมาในผัสสะจากการมีชีวิต จิตจะเบาจากกิเลส วางจาก
อุปาทานยึดมั่นถือมั่น สรางเสบียงใหพรอมกอนเดินทางละรางไป ตองนับเปนมหากุศลตางหาก
และที่จริงความตายของใครคนหนึ่งจะเปนมงคลหรืออัปมงคลก็ขึ้นอยูกับคนๆนั้น ไปดีก็นับวามงคล ไป
รายก็นับวาอัปมงคล สิ่งที่ตกทิ้งในโลกระยะหนึ่งก็แคทะเลน้ําตา คลื่นเสียงหัวเราะ ความเดือดรอนของ
คนหยอมหนึ่ง หรือความเจริญขึ้นของคนหมูมาก แลวแตวาคนตายทําเรื่องเปนมงคลและอัปมงคลไวกับ
คนอื่นแคไหน ไมใชวาพูดถึงความตายจะหมายถึงมงคลหรืออัปมงคลอยางใดอยางหนึ่งแนนอนโดย
เฉพาะ”
เรือนแกวกะพริบตา หรี่มองไปเบื้องหนาและคิดไกล
เกาทัณฑยักไหล
๔๐๖
ชวนกันแวะทานขาวเย็นในศูนยอาหารที่เปดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในระหวางทาง ตางทานกันอยางไมใสใจ
รสชาติเทาไหรนัก เพราะยังอยูในอารมณดิ่งเห็นมรณภัยที่รออยูเบื้องหนา
แตพอทองอิ่มและอารมณเริ่มจางตามธรรมชาติวิสัย เกาทัณฑกับเรือนแกวก็สั่งไอศกรีมมาตบทายมื้อ
เย็น และคุยกันเรื่องทั่วไป แวะเวียนจากเรื่องงานไปเรื่องคน เรื่องดินฟาอากาศปรวนแปร ฤดูรอนบางทีมี
ลมหนาวแทรกแซม ฤดูหนาวบางทีรอนระอุราวกับอยูในกระทะ หยอดคําหยอกใหเพลินในกันและกัน จน
ที่สุดก็หัวเราะเอิ๊กอากออกมาได
ทําไปทํามา การพูดคุยถึงมรณสติก็กลายเปนเพียงหัวขอสนทนาที่ผานไปอีกเรื่องหนึ่ง
“โอเคนะแอ แลวผมจะโทร.หา...”
“เดี๋ยว”
หญิงสาวยึดขอมือของเขาไวมั่น
“อยาเพิ่งเปนตอนนี้เลย เขาหองแอกอน”
“มีอะไรหรือ?”
“ยังไมอยากอยูคนเดียว”
๔๐๗
สายตาวิงวอนซื่อๆนั้นทําใหเกาทัณฑรับทราบวาสัมพันธภาพระหวางเขากับหลอนกินลึกมาจนเกินกวา
จะฝนปฏิเสธคําขอเสียแลว การสูญเสียพอทั้งคนเปนเรื่องนาเห็นใจ นาอยูเปนกําลังใจ ถือเปนหนาที่ถา
สนิทกันพอ
“จะใหแอรูสึกวาตัวเองหนาดานไปถึงไหนคะเต?”
หญิงสาวยืนแขนตกอยูในออมกอดของเขาเนิ่นนาน สัมผัสออนอุนแนบชิดจากชายที่หลอนรักทําใหเกิด
ความสุขซานขึ้นทีละนอย กระทั่งอยากยิ้มออกมาเองทั้งน้ําตาซึม เหมือนไดซบพักอยูกับแผนผาแกรงที่
ปกปองหลอนไดจากทุกภยันตราย รูสึกเหงายอนหลังใหกับตนเอง นี่หลอนผานความเดียวดายมาได
อยางไรโดยปราศจากออมอุนของเขา…
๔๐๘
“เหมือนเดิม…”
“พูดสิ”
เกาทัณฑสูดลมหายใจเต็มอก เอยแผวทวาแชมชัด
“ผมรักแอ”
เรือนแกวคลี่ยิ้มละไมอยางสุขสม น้ําตาคอยๆหลั่งจนอาบแกม
“เธอจะไมทิ้งฉันไปไหนใชไหม?”
จากความรักสูเรื่องราวคอขาดบาดตายในอีกรูปแบบที่ตางจากมีดและปน คนสวนใหญพบแตคูกินคูนอน
ยากนักจะพบคูรักคูแทในชั่วชีวิตหนึ่ง แตทําไม…เขาโชคดีหรือเคราะหรายกันแนที่พบผูเปนที่รักยิ่งถึง
สองคนในชาติเดียวกัน?
ดวยเงื่อนไขบางอยาง สุขจนลนขอบก็กลายเปนทุกขมหันตไดงายดายปานนี้
“ผมเจ็บแผล…”
ทําตัวนิ่งเพราะรูวาเรือนแกวกําลังเอมอิ่มในทามกลางองคประกอบพรอมสมบูรณ ทั้งสภาพแวดลอมและ
สัมผัสในรัก เขาแบงใจยินดีใหกับความสงบสุขเต็มตื้นของหลอน แตหานาทีคลอยหลังความฝนใจเสพสุข
ก็ขาดสะบั้น เมื่อถึงขณะจิตหนึ่งที่เคลิ้มลงใกลหลับดวยความเหนื่อยออน คลายเกิดประสาทหลอน
เหมือนไดยินเสียงผูหญิงรองไหในหัว...
“เปนอาราย...”
เกาทัณฑสบตาฉ่ําหวานหยาดเยิ้มของหลอน เห็นกลีบปากอิ่มเผยอหนอยๆคลายรอจูบแลวเกือบหามใจ
ไมอยู ตองเสแตะริมฝปากกับขมับหลอนดวยความออนโยนเปนการเพลาอารมณ
“เสนกระตุกนะซี แคนี้ก็ตองขําดวย”
หากจะนอนกับหลอนเดี๋ยวนี้ก็งายยิ่งกวางาย สัมผัสในรักสนิทสงบซึ้งจากสองกายสองใจเปนสุขยิ่งกวา
อะไรทั้งหมด เยายวนเหนือเบญจกามรสอื่นใดทั้งปวง จะแปลกแคไหนสําหรับผูหญิงตัวคนเดียวกับการ
มอบกายถวายชีวิตใหแกชายที่สนิทใจวาเขารักตนจริง และจะปกปองคุมครองตนจนสิ้นกาลนาน
“ผมควรกลับเสียทีนะแอ”
เมื่อเหลียวมองก็พบหลอนนั่งกมหนานิ่ง จนตองเอื้อมมือแตะบาเรียกอีกครั้ง
“ไปกอนนะ”
“พรุงนี้จะทําอะไรหรือเปลา?”
หญิงสาวฝนใจถาม
“จะมาหาแอไหม?”
นั่นคือคําถามที่เขากําลังเกรงอยูพอดีวาจะหาคําตอบแนนอนไดยาก
“ถาธุระผมเสร็จแลวไมเหนื่อยนักก็จะมา แอจะอยูบนหองทั้งวันเลยเหรอ?”
“จะอยูนี่แหละ”
ก็เขาเห็นหลอนมาทั้งชีวิต...
“สงผมหนาประตูสิไป”
เรือนแกวสลัดแขนเบาๆหลุดจากมือเขา และเนานิ่งอยูในหวงความเดียวดายอยางดื้อเงียบ
“แอ...”
เกาทัณฑชักกลุม สํานึกหนึ่งกระซิบกับตนเองวาสายไปแลวที่จะถอนตัวจากหลอนคนนี้...
คอยๆเหนี่ยวตนแขนหลอนใหลุกยืนอยางสุภาพ และวอนดวยเสียงนุมนวล
“ไปสงใหผมสบายใจหนอยนะ อยาเอาแตใจซี่”
เรือนแกวสะบัดหนามองเขาดวยตารื้นน้ําและหัวคิ้วเครง สะกดไมใหน้ําตาและถอยคําพรั่งพรูออกมาดังใจ
นึก ทําไมจะไมรูวาธุระของเขาพรุงนี้เกี่ยวกับใคร มีความหมายแคไหน
แพตรีปลอยใหสายน้ําจากฝกบัวตกรดศีรษะเฉยแทบไมขยับเขยื้อนเปนเวลานาน นี่เปนจังหวะเวลาเดียว
ของวันที่เอื้อใหน้ําตาหลั่งลงไดโดยไมเปอนหนา และไมรูสึกวากําลังรองไห
๔๑๒
สายน้ําจากฝกบัวพรั่งพรูไดทั้งวัน แขงกันแลวรูวาน้ําตานั้นไหลแพลิบลับ
วันนี้หลอนตองกลับเปนเหมือนเกา ตองมีใจเหลือไวรักตนเองและคนรอบขางอยางเคยมาชั่วนาตาป
เปนคนเดิมที่ไมมีใคร...
“แพ...สวัสดี”
กรอบคุณงามความดีที่ลอมใจมาแตออนแตออก ทําใหความหุนหันพลันแลนชั่ววูบทั้งมวลดับลงเร็วเกือบ
เทากับที่มันเกิดขึ้น
หันหลังกลับจะเปดประตูกาวออกจากหอง หลอนยินดีหนีหายตลอดกาลหากเขาจะยังอยูในเขตบานปู
“โอย...”
ครางแผวดวยความเจ็บเมื่อสะบัดดิ้นแลวเขายิ่งบีบรัดอยางลืมประมาณแรง เกาทัณฑยินเสียงอุทธรณก็รู
สึกตัวและคลายมือโดยเร็ว
“ออกไป!”
“แพ...ฟงพี่กอนเถอะ พี่กับเพื่อนผูหญิงในขาว...”
เกาทัณฑสายหนา ขยับจะเอยก็ถูกแซงอีก
แพตรีฝนยิ้มทั้งน้ําตา มองเขาคลายขบขันนัก
“ซื้อใหพี่เรือนแกวดวยหรือเปลาคะ?”
เกาทัณฑไดยินแลวถึงกับมือตก และเกือบปดปากเปนเบื้อใบอยางถาวร
“แพ พี่...”
“ทําไมละคะ? พี่เขาสวยดีออก”
“อยาจําอีกเลยคะ ไมใชอยางนั้นอีกแลว”
คนฟงถึงกับเย็นหวิว มองดวงหนาเปอนคราบน้ําตาแลวบอกตนเองวาไดเพชรมาแตปลอยใหหลุดมือไป
แลวกระมัง
“ไมไดสังเกตหรอกคะ เพื่อนพี่ตั้งเยอะ”
“เพราะพี่มีความในใจอยูแลวลวงหนา”
แพตรีดักคอ
“เขาหองพี่เรือนแกวทําไมคะ?”
แมเตรียมไวแลว เกาทัณฑก็กระดากและอึกอักที่จะตอบตามจริง
ความมีดีพรอมของเขาไมไดนํามาแตเพียงความสนิทเสนหานายินดีแตถายเดียว ยังนําปญหาอื่นพวงมา
ดวยรอยแปด เพราะถารูปรางหนาตา กิริยาทวงทีของเขานาหลง นารักสําหรับหลอน ก็ตองชวนใหหลง
ชวนใหรักสําหรับหญิงอื่นเชนกัน
“พี่คะ…เรื่องนี้รูกันสองคนระหวางพี่กับพี่เรือนแกว แคแพถามเหตุผลวาพี่เขาหาเขาทําไมยังบายเบี่ยง
เลี่ยงใชคําคลุมเครือ เอาเถอะคะ คงประสาคนสนิท มีเรื่องนาอวดนาแสดงอยูเยอะ แพก็ไมอยากซอก
แซกขุดคุย เพราะฐานะของเราก็วาที่คูหมั้นเทานั้น ยังมีความเปนอื่นอยูมาก แตเอาความจริงมาพูดกัน
คําเดียวสั้นๆดีกวา คําเดียวที่บอกใหเราทั้งสองคนรูวาตรงไหนคือจุดยืนเดี๋ยวนี้ และทิศไหนที่ควรเดิน
ตรงไป…พี่รักพี่เรือนแกวหรือเปลา?”
“คําตอบไมไดเปนตัวกําหนดทิศทางนี่แพ…”
๔๑๖
เปนครั้งแรกในชีวิตที่เกาทัณฑรูจักความกดดันชนิดที่หาทางออกไมได จนแทบอยากตายดับเสียใหพน
หากนิ่งทื่อหรืออิดเอื้อนก็เปนคําตอบชัดพออยูแลว สูยอมรับอยางลูกผูชายดีกวา แมรูทั้งรูวาผลคืออะไร
“รัก…”
“มาหาแพอยางนี้เขารูแลวจะรองไหหรือเปลาคะ?”
“พี่ขอโทษ”
เอยแลวมองดูนัยนตาดําขลับที่กลับขุนดวยความหดหู
“เพื่ออะไรคะ?”
เสียงหลอนต่ําลึกอยางไมเคยเปน
“เพื่อใหแพรูวาพี่เสียใจ”
“คะ…แพยกโทษให”
๔๑๗
แตสําหรับเรือนแกวแลว ทั้งหมดคืออีกฉากหนึ่งของความเงียบเหงา
เดินถือคันธนูขนาดหาฟุตครึ่งพรอมกระบอกลูกศรมาที่สนามซอมในอาณาบริเวณคอนโดมิเนียมซึ่ง
หลอนพักอาศัยอยู ธนูเปนหนึ่งในกีฬาโปรดของหลอน นอกจากทําใหใจสงบ ไดออกแรง และสั่งสมความ
เชื่อมั่นอยางดีแลว ยังสงเสริมใหเกิดความรูภายใน หรือสัญชาตญาณพิเศษในการเขาสูเปาหมายที่
อธิบายยาก ทุกครั้งยามเกิดความสับสนฟุงซาน หรือแกปญหาใดไมตก เรือนแกวจะลงมายิงธนูตางระยะ
เปนการปลดปลอยเรื่องหนักอึ้งทิ้ง และก็มักจะทําสําเร็จเสมอ
ภาพสลักตามผนังถ้ําเปนหลักฐานที่ดีวามนุษยรูจักยิงธนูลาสัตวแทนการพุงหอกพุงหลาวมาไมนอยกวา
สองหมื่นหาพันป และมีวิชายิงธนู หรือที่เรียก ‘จาปเวท’ สืบทอดกันอยางเปนศิลปศาสตรนับพันปแลว
หลอนทราบดวยวาพระเซนจํานวนมากนิยมการยิงธนูเปนอยางยิ่ง ขนาดมีตํารายิงธนูตามหลักเซนออก
มามิใชนอย นัยวาเปนอีกอุปเทหหนึ่งของการฝกสมาธิ
ศรดอกแรกพุงหวือแบบเหินๆคลายไมคอยเต็มใจวิ่งเขาปกเปาเทาไหร วัตถุที่ไรเจตจํานงมุงมั่นกํากับ
การเคลื่อนไหวยอมปรากฏความออนแอ ดูออกในสายตาผูเคยฝกควบคุมตนเองและวัตถุในมือมาแลว
เรือนแกวดึงศรดอกตอไปออกจากกระบอกบนพื้นดวยจิตใจที่สงัดนิ่งเหมือนแผนน้ํา สูดลมหายใจยาว
ขณะออกแรงนาวอีกครั้ง หยุดสงบเปนดุษณีในอาการเกร็งเหนี่ยวสุดสายครูหนึ่ง หยาดน้ําใสคอยๆริน
จากปลายหางตาทั้งสอง แตไมนานจนเออเปนมานน้ําพราพราย หลอนปลอยใจ ปลอยมือดวยสติอันมั่น
คง สงลําธนูอันลนไปดวยพลังเหลือเฟอในการแหวกอากาศพุงเขาเปา
เกาทัณฑ...ธนู
อุตสาหหาเครื่องยึดจิตใหเลิกประหวัดคิดถึงเขาเปนการพักอารมณ ดันกลายเปนเครื่องเตือนใหยิ่งย้ําคิด
หนักเขาไปอีก เกือบเหวี่ยงคันธนูทิ้ง ทวาสติอันหนักแนนในขณะนั้นหามไว เพราะหยั่งรูวาเหมือนทุบ
แกวเนื้อดีที่เพียรสรางอยางยากลําบากใหแตกละเอียดลงอยางนาเสียดายเพียงชั่ววูบโทสะ
สมาธิที่พาไปสูการบรรลุเปาหมายที่นายสั่งหรือตัวเองริเริ่ม จะยอนกลับมาอัดฐานกําลังใจใหแนนขึ้น
เรื่อยๆ รูสึกชัดขึ้นทุกทีในตบะบารมีแหงตน รวมแลวไดเปนกิเลสใหฟุง ใหคิดไตเตาสูงขึ้นไปเรื่อยๆไม
หยุด นี่เองจิตเปนสมาธิแลวยังวุนวาย
เพราะตอนหัดทําสมาธิเกาทัณฑจะใหลากเกาอี้มานั่งขางๆเขาทุกครั้ง จึงชินที่จะใชเกาอี้พนักตรงและ
เบาะเรียบแนนเปนอุปกรณชวยทรงตัว
เรือนแกวรูสึกสงบและเห็นแสงสวางนวลฉายออกมาจากภายใน คลายมีรอยยิ้มนอยๆผุดขึ้นมาจาก
กระแสความสวางเปนหนึ่งนั้น
๔๒๓
ปานนี้เขาคงอี๋อออยูกับยายคนนั้น...
วนเวียนซ้ําไปซ้ํามาระหวางความเห็นลมชัดกับกลุมความคิดฟุงซานซัดสาย กระทั่งถึงจุดหนึ่งความฟุง
ซานเปนฝายพายแพ ลาทัพถอยจนสิ้นซาก ราวกับขาศึกที่ถูกดูดจมหายลงไปในธรณี จิตล็อกตัวนิ่ง เห็น
นิมิตลมเขาออกชัดแบบเขาฝกอยูตลอดเวลา ประคองรักษาไมใหกระเพื่อม โดยรักษาความเรียบนิ่งของ
จิตใหมีสภาพเหมือนแผนน้ํา ระวังไมใหเกิดความไหวขึ้นได
เสวยสุขในอารมณขณิกสมาธิเหมือนนั่งที่ชายทะเลและเพลินมองขอบฟาโพน เนิ่นนานจนกระทั่งรูสึก
เบื่อ ความกาวหนายุติลง เนื่องจากแรงสนับสนุนขาดลงแคนั้น
๔๒๔
ระดับที่เรือนแกวเลนนั้นเขาขั้นแยกประสาทมือซายขวาเปนเอกเทศจากกันไดเด็ดขาด โดยที่ใจแยกภาค
ติดตามและสั่งการเคลื่อนไหวประสานงานเปนหนึ่ง สี่หองแรกของ Fantaisie-Impromptu คือการออก
รายรําเอาเชิงของมือซาย ถัดจากนั้นมือขวาจึงตอตามมาดวยการวาดลวดลายไลลาสีสันชวนพิศวงตาม
แบบฉบับทรงเสนหเฉพาะตัวของโชแปง คีตกวีผูมีผลงานที่ฟงแปลกใหมขึ้นเงาวับไดในทุกพ.ศ. ไมวาจะ
เปนชิ้นที่ออกแนวหวาน สงางาม นาใหลหลง หรือประหลาดพิลึกนางงงัน
ปกติเมื่อลงนิ้วกดคียเปยโนคุณภาพดีหนอย จะมีแรงสปริงที่ใหสัมผัสสะทอนกลับเปนความสุขนิดๆ
ตลอดลํานิ้วนั้นๆอยูแลว ยิ่งถาขอมือออนหยุน สามารถสลับนิ้วไลเรียงรวดเร็วตามแนวทางอันสลับราย
พรายแพรวแหงลํานําจากคีตกวีอัจฉริยะ เห็นตลอดปลายแขนและนิ้วมือเปนเครื่องจักรทรงประสิทธิภาพ
๔๒๕
ที่รูงานอัตโนมัติ สัมผัสและความเคลื่อนไหวจะรวมขึ้นกอมโนทัศนและสุนทรียภาพยิ่งใหญอันไมเปน
สาธารณะแกบุคคลทั่วไป
การสลับนิ้วไปบนกลุมโนตประชิดติดพัน และตองไลน้ําหนักใหไดสีสันตามใจโชแปงไมไดเปนปญหา
สําหรับเรือนแกวเลย หลอนปลอยนิ้ววิ่งเลนไปกับทอนหลักของ Fantaisie-Impromptu ดวยความเพลิน
อารมณ ดับความแหนหวงรอนรุมลงไดชั่วขณะที่โลดแลนอยูนั้น
ทวาเมื่อเขาสูทอนแยกอันคลายแปรจากลีลาโลดเตนในพายุแปรปรวนมาทอดนองเดินชมสวนดอกไม
สบายตาสบายใจ เกิดการรับอารมณเพลงอยางไรไมทราบ ใจไพลไปคิดถึงเกาทัณฑและแมยอดเยาว
มาลยของเขาขึ้นมาอีก
ปานนี้อาจเกี่ยวกอยชมสวนกันอยูจริงๆก็ได...
ผะผาวราวลึกไปทั้งทรวงอก เขาจะเอาไวทั้งสองคนเลยหรือไงนะ?!
แตแลวขณะกําลังลากเสียงขึ้นยอดเขาลูกแรกและเตรียมจะเทลาดลงอยูนั้นเอง ก็เกิดความผิดพลาดขึ้น
ทั้งลงนิ้วชี้มือขวาไถลลื่นจากคียดํา และทั้งรักษาจังหวะมือซายใหคงที่ไมได สั่งสมความขัดอารมณหนัก
เขาก็บันดาลโทสะ ขมวดคิ้วแนน ปุบปบเปลี่ยนรูปมือขวาจากการไลพรมนิ้วเปนกําหมัดตวัดทุบปงลงไป
บนกลุมคียเคราะหรายเต็มแรง แลวลุกขึ้นพรวดพราด ใบหนางามเปลี่ยนจากสงบนิ่งเปนหมนเศราหมอง
หมาง แลวแปรรูปอีกระลอกเมื่อตากราววาวโรจนขึ้นจนดูดุดัน สิ้นงามเปนนากลัว
ไมอยากแบงเขาใหใครแมแตนาทีเดียว...
๔๒๖
อยางที่เดาเปะ เกาทัณฑปดมือถือเอาไว
พอคิดแลวก็ยอกยอนเขาทิ่มแทงตัวเอง เมื่อระลึกไดวาแมงหวี่แมงวันทั้งหมดที่ผานมาเปนขอพิสูจนวา
หลอนใหใจกับใครไมไดสักคน อยางมากแคหลงๆชั่ววูบชั่ววาบแลวแผวจาง อยากดีดทิ้งอยางรวดเร็วเมื่อ
พบตําหนิเพียงนอย ไมเคยเลยจะรักและอยากเคียงขางเปนคูชีวิตเหมือนอยางที่รูสึกกับเกาทัณฑ
การหาความรูสึกของตัวเองใหพบไมใชเรื่องงายนักสําหรับคนทั่วไป แตสําหรับหลอนที่ไวสัมผัสกับทุกสิ่ง
และไมเคยยอมงายกับอะไรสักอยาง รูซึ้งดีวาใจตนรับอะไรไดบาง รูสึกนึกคิดอยางไรบางกับแรงกระทบ
รอบดาน จึงสามารถตั้งคาใหกับผูคนและสิ่งของไดถูกตองแมนยําเสมอ
ตองเขาเทานั้น...
ปดกั้นตนเองจนนาขมขื่น ยิ่งขมขื่นเทาไหรยิ่งอยากกําจัดขวากหนามใหพนทางเทานั้น!
วันนี้อาของหลอนรับเปนเจาภาพ โดยที่ทานตองเดินทางกลับจากดูงานตางประเทศเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เรือนแกวคิดจะชวนเพื่อนที่ทํางานรวมทั้งพิจัยมารวมงานในวันมะรืน ซึ่งถึงคิวเจาภาพของหลอนตาม
การนัดแนะกับสายชล
๔๒๗
คราวนี้ตอติด
“แอเหรอ?”
“ไง ไมไปกัดกับเขาเหรอ?”
สุมเสียงออนหวานมีเมตตานั้นเองชักนําหมาใจดีใหเดินเขามาดมๆนิ้วที่กระดิกเรียกของหลอน หญิงสาว
ทรุดตัวลงนั่งยอง ลูบหัวมันราวกับนายเกา ใจที่เริ่มเชื่อเรื่องบุญทํากรรมแตงหนักแนนในบัดนี้ เกิดสลด
สังเวช สงสารมันขึ้นมาอยางเต็มตื้น ขนาดอยูกับคนดวยกันหลอนยังไมรูสึกสงบจิตสงบใจเทาเมื่ออยูใกล
มันเลย อยางกับวาใจมันสูงกวาบางคนเสียอีก
๔๒๘
“ทําดีมาตั้งมาก พลาดทายังไงมาเปนหมาไดนะเรา”
นึกขอบใจหมาตัวนั้นที่เปนเยี่ยงอยางเตือนสติทางออม ชักรักขนาดคิดอยากอุปถัมภค้ําชูจริงจัง
“เสียดายฉันไมมีที่เลี้ยงนะ ไมงั้นจะพาไปอยูดวยกัน”
“หวัดดีฮะพี่แอ”
“ตอนนี้เรียนที่ไหนนะ?”
ซักถามเกี่ยวกับความเปนไปเปนมาของแตละฝายเกือบสิบนาที สรุปวาทีฆายุเปนนักศึกษาอยูศิลปากร
อันเปนจุดเริ่มคุยเกี่ยวกับเรื่องงานศิลปะกันอยางออกรส ทีฆายุถนัดงานประติมากรรมและจิตรกรรม ซึ่ง
เรือนแกวชื่นชอบ และออกปากวาวันหลังขอดูงานบาง เผื่อชอบใจจะชวยอุดหนุนซื้อไปประดับหอง
แลวทีฆายุก็ซักไซแบบเจาะขาววงในเกี่ยวกับเรื่องระทึกในสิงคโปร เรือนแกวพยายามตอบแบบรวบรัด
อยางที่เตรียมพูดซ้ําพูดซากไวแลวลวงหนา ฉะนั้นจึงใชเวลาเพียงสิบหานาทีในการเลาแบบนําไปสูการ
ปดกั้นคําถาม
“พี่แอสนใจธรรมะหรือเรื่องเกี่ยวกับศาสนาบางรึเปลา?”
เรือนแกวกะพริบตาปริบๆที่จูๆลูกผูนองก็ถามเชนนั้น
“ก็มีบาง ทําไมเหรอ?”
“กําลังจะมีงานประกวดภาพทางพุทธศาสนาฮะ ราวเดือนหนึ่งขางหนานี่แหละ”
“เธอจะสงเขาประกวดดวยละสิ?”
“จะสงงานเกี่ยวกับความตายหรือ?”
๔๓๐
“รูปเปนยังไง?”
เรือนแกวเลิกคิ้ว ชักเห็นแวววานั่นนาจะเปนผลงานที่เขาที
“เคาโครงรูปหนาผูชายเปนยังไง หนาซีดเปนศพรึเปลา?”
ทีฆายุนิ่งไปอึดใจ กอนตอบหนักแนน
“ตัวผมเอง ตอนธรรมดานี่แหละ!”
ลูกผูพี่ยิ้มมุมปาก เพราะเดาไวแลว
“ไมกลัวเปนการแชงตัวเองบอกลางอัปมงคลหรือ?”
“แนวคิดของงานประกวดเปนยังไงละนี่ ใหอิสระเต็มที่กระมัง?”
เรือนแกวเบิกตาหนอยๆ
“ใหมากอยางนั้นเลยรึ?”
๔๓๑
ยักไหลเมื่อบอกเชนนั้น กอนถามสืบมา
“แลวคิดไงเลือกสงผลงานเกี่ยวกับความตาย?”
ทีฆายุยักไหล หัวเราะหึๆ
“พี่แอวาไหม...”
เขาปลุกหลอนจากภวังคคิด
“พี่ก็คิดตอนที่เธอพูดนี่แหละวาถาคนตายเหลืออยูแตในความจําของพวกเรา ก็ถือวายังไมสูญหายไปจาก
โลกนี้จริง ตอเมื่อพวกเราทุกคนตายตาม คอยถือวาไมเหลืออะไรทิ้งคางไวเลยแมแตเงา”
๔๓๒
เขาพลิกไปหนากลางๆที่เห็นขอความและรอยขีดฆายั้วเยี้ย เหลือที่สะอาดไวเฉพาะกลอนสองบทในชวง
ตนหนาขวามือ บัดนี้ก็ขีดฆาบทสุดทายทิ้งอีก แลวบรรจงคิดเขียน ลองคําในที่วางสวนอื่นอยางรวดเร็ว
เรือนแกวปรายตามอง เห็นถนัดแคบรรทัดแรก
เห็นคนตายก็หมายรู เดี๋ยวกูดวย...
เดี๋ยวก็ถึงตาหลอนไปนอนอยูในนั้น...
แบกทุกข อุมสุขไวแคไหนเดี๋ยวก็เอาไปทิ้งหายไวในนั้น...
นานกระทั่งเสียงเด็กหนุมเอยจากดานขาง
เรือนแกวซอยเปลือกตาถี่ๆ กอนขอวา
“เอามาดูมั่ง”
เห็นคนตายก็หมายรูเดี๋ยวกูดวย อีกไมชาชราปวยแลวมวยสูญ
ศพวางนอนอยางขอนไมคลายอิฐปูน รอขึ้นเผาใหเอาศูนยมานับกาย
เหลือเพียงชื่อใหลือจําทําไมเลา เขาก็รอคอขึ้นเขียงเรียงจากหาย
เหมือนกับเราเฝาจดจําแลวกลับตาย ชื่อก็วายกายก็วางวางหมดกัน
๔๓๓
อานจบก็ขนลุก หนามืดวิงเวียนขึ้นมาชั่วขณะ
สําคัญคือใจตองวางจริง
หากเนื้อแทของสิ่งมีชีวิตคือการคลี่คลายเหตุปจจัยไปสูผลลัพธ ซึ่งกลายเปนเหตุปจจัยใหมสืบเนื่องกัน
เปนลูกโซ ก็แปลวาที่สุดอนันตภาพคือกระแสสืบเนื่องของเหตุการณอันวางวายอยางนาใจหาย นอกจาก
ตัวความคิดวามีเราอยูในขณะหนึ่งๆแลว ไมเคยมีเราอยูที่ไหน เวลาใดเลย
เมื่อถอดทั้งสองขางไดก็หิ้วขึ้นดวยเจตนาจะนําไปวางบนพื้นของฝงที่นั่งดานขาง อาการเอี้ยวตัวทําให
เห็นโครงกระดูกสันหลังยืดงออีกครั้ง ดูเหมือนมีแตโครงกระดูกเคลื่อนไหวอยางวางเปลา หาไดมีสิ่งใด
เกิดขึ้นนอกเหนือจากนี้ ไมวาจะเปนชื่อแซ ความคิด ความทุกข ความรัก ความชัง
๔๓๔
สัมผัสชัดถึงพลังที่มีน้ําหนักเปนกลุมเปนดวง จึงคิดแผเปนกระแสไปโดยรอบเหมือนละลายน้ําแข็งกอน
ใหญลงน้ําในอางเล็ก ซึ่งก็คือปริมณฑลใกลตัวเทาที่จิตกําหนดแผได ทั้งหมดนั้นรูเองดวยสัญชาตญาณ
ทางจิต
จากนั้นจึงคิดวามหากุศลนี้ไดจากการที่ศพพอแสดงตัวเปนเทวทูตสอนลูก ฉะนั้นขออุทิศความสวาง
ความเยือกเย็นที่เกิดขึ้นทั้งหมดให ไมวาพอจะอยูที่ไหน ขอจงรับรูและโมทนาดวยเถิด…
ขับเขาเขตคอนโดมิเนียมดวยความรูสึกแสนดี วันนี้ยามเฝาทางลงที่จอดรถใตดินตะเบะใหแลวเรือนแกว
นึกมีแกใจยิ้มและโบกมือตอบ ปกติแคทําเฉยหรืออยางมากพยักหนานิดหนอย
๔๓๕
ปานนี้เขากําลังทําอะไรอยูหนอ งานศพก็ไมมานั่งเปนเพื่อน…
พอคูพยาบาทเขาถึงตัวก็กดกระบอกปนที่กลางหนาผากหลอนแลวถามเปนภาษาไทยชัดถอยชัดคํา
"มึงเคยจอกูตรงนี้ใชไหม?"
“อโหสิ”
...
๔๓๖
ฟุด!!
คลายเกิดแสงวาบและเสียงลั่นเปรี๊ยะหนอยๆในกะโหลกอันเปราะบาง กอนที่ความรับรูทั้งมวลจะดับวูบ
ลงเหมือนตลบมานดํามืดปดฉากกั้นสายตาตนในฐานะผูแสดงบนเวที ไมใหเห็นผูชมในละครโรงใหญอีก
ตอไป
รางในชุดดํารูดลงนั่งพับเพียบนิ่งพิงรถ นาแปลกในสายตาของไซที่ไมยักลมลงนอนกองเปนหยวกดังควร
ใบหนางามฉาบฉายราศีแปลกราวกับคนกําลังหลับฝนดี ไซหรี่มองอยางสงสัยนิดหนึ่ง แตรูกลางแสก
หนาเทานั้นที่มันสนใจ และทําใหเลิกชายเสื้อสอดปนเก็บไดอยางหมดหวง หมุนตัวเดินกลับเรนกายจาก
อาคารตามลูทางที่ศึกษาไวแลวอยางดี
เคยเห็นมดตัวหนึ่งตกลงไปในสวมซึมที่โรงเรียน รูสึกสงสารเมื่อเห็นมันดิ้นกระแดวอยางจะตายมิตาย
แหล จึงอุตสาหะชวยเหลืออยางตั้งอกตั้งใจ ทั้งที่รังเกียจน้ําในสวมจะแย ยังเพียรแหยปลายนิ้วไปชอน
มันขึ้นมา ตองทุมเวลา ทุมกําลังฝนใจอยูอึดหนึ่งกวาจะสําเร็จ บังเกิดความโลงอกผองแผวที่สามารถ
‘ชวยชีวิต’ นั่นไมใชบุญเล็กนอยอยางที่เคยนึก เพราะแมมดจะตัวเล็ก ไมใชนาบุญใหญ ทวาก็เปนสัตวมี
วิญญาณ เมื่อสละเวลาพยายามเขาชวยเต็มกําลังแลว กลายเปนการเพิ่มเชื้อความดีไดอยางมหาศาล ฝก
จิตไมใหดูดายแมความเดือดรอนเพียงเล็กนอยของผูอื่น
หรืออีกภาพเชนที่เคยกลาววาจาเผ็ดแสบใหผูบังเกิดเกลาเสียใจจนแนนหัวอก อันนั้นก็ทันไดสํานึกและ
ขอคําอโหสิแลว เปนอันวาแผวลงจนไมมีอํานาจมานําทางเกิด หรือเดนขึ้นเปนชนกกรรมได สรุปคือ
อกุศลกรรมหนักๆคลายแมลงสาบที่พยายามกระดืบมุดใหรอดจากใตพรมขาวหนาหนักผืนใหญ ปรากฏ
ไดเพียงระลอกคลื่นลูกเล็กนิดเดียว ไมทันมีโอกาสผานไดพนปลายพรมขึ้นแสดงตัวแจมชัดวาขาคือ
แมลงสาบรูปรางหนาตาอยางนี้ ก็ขาดใจตายเสียกอนในระหวางทางนั่นเอง
จิตที่บริสุทธิ์ของพระอรหันตจะสะเด็ดสิ้นแลวจากภาวะสรางภพ เพราะตัวสรางภพถูกประหารดวยไฟลาง
ทั้งสี่ดวงอยางเด็ดขาด ตั้งตนดวยโสดาปตติผล ลงทายที่สุดดวยอรหัตตผล จังหวะสุดทายของชีวิตนี้เอง
คือผลลัพธสูงสุดของพระพุทธศาสนา วิสุทธิจิตจะไมปฏิรูปตัวใหอยูในลักษณะกอภพใหม เมื่อตา หู จมูก
ลิ้น กายสลายแลว ตัวรูแทอันวิสุทธิ์จะรวมลงกับนิพพานอันเปนปรมังสุขขังและปรมังสุญญัง เหมือนน้ํา
ในแกวที่ไหลลงเปนอันเดียวกับมหาสมุทร น้ํานั้นไมหายไป แตก็ไมอาจกลาววาอยู ณ จุดใดจุดหนึ่ง ทรง
อยูในอิสรภาพสถาวร ไมเวียนวายเสวยทุกขจากการครองอัตภาพที่เกิดแลวตาย ตายแลวเกิดอยางไมรูอิ
โหนอิเหนอีกตอไป
๔๓๘
แตหากมองจากมุมของผูเคยเขาถึงความเกิดดับสืบเนื่องในธรรมชาติ จะหยั่งเห็นดวยตัวรูที่เปนกลางวา
สภาพมนุษยดับลงในขณะแหงจุติจิต แลว ‘สืบทอด’ เปนสภาพเทวนารีในขณะแหงปฏิสนธิจิต มิใชสิ่ง
เดียวกัน เปนตางหากจากกันแลว ประมาณเดียวกับหัวไมขีดที่ลุกโพลงขึ้นชั่วประเดี๋ยวประดาวเพื่อตอ
ไฟใหไสเทียน พอหมดหนาที่ก็ดับลง เปนคนละอันกับไฟเทียน ทวาสืบทอดความลุกไหม เปลงสวางมา
ครบทุกประการ
ความสําคัญมั่นหมายอันเปนวิสัยธรรมดาของสัตวในสังสารวัฏนั่นเอง ทําใหเกิดการมองไปวาตนยายจาก
สภาพหนึ่งมาเปนอีกสภาพหนึ่ง พยานหลักฐานคือความคิด ความจําที่สืบทอดมาครบถวนในบัดนี้ จําได
สนิทวาตน ‘เคย’ ชื่อเรือนแกว พอแมเปนใคร ทําสิ่งใดไวบาง รูจักผูคนและส่ําสัตวในโลกมนุษยมาแค
ไหน และลาสุดคือดับดิ้นสิ้นชีพเพราะเหตุเภทภัยใด
ทุกรูปทุกเหลี่ยมทรงในหองอันประดับประดาดวยเครื่องแกวแพรวประหลาดนั้น ดูสดสีอลังการและชัด
กริบ เสมอดุล ไมแหวงบิ่น ไรรอยขีดขวน ปราศจากที่ติอยางสิ้นเชิงในการแลพินิจดวยคมเนตรอันกวาง
ขวางไรมลทิน จักษุเทวดาไมมีหยากเยื่อสกปรกบรรจุอยูขางใน ไมมีการบกพรองแบบสายตาสั้นยาว ไม
มีการเขเอียงหรือชํารุดทรุดโทรมตามปจจัยตางๆ เนื่องจากอยูในสภาวะทิพยทั้งแทง ดังนั้นเมื่อประจวบ
เขากับรูปทิพยจึงเปนการเห็นอันวิสุทธิ์ ความสุขและความรูสึกทั้งมวลที่เกิดจากการเห็นจึงพลอยประณีต
ลึกซึ้ง เปนคนละระดับชั้นกับการเห็นในแบบมนุษยเบื้องลาง
๔๔๐
แตสมบัติของเทพผูมีวาสนาแกกลา มักเลิศล้ําพันลึกจนเกินสติปญญาของสามัญมนุษยอาจคิดสรางเลียน
แบบ ยกตัวอยางเชนแจกันใสดอกไมบนโตะ มนุษยจะคิดเพียงชั้นเดียว คือเอาไวปกดอกไมงาม ลวด
ลายแกะสลักหรือวัสดุเนื้อดีที่ใชประดิษฐลวนเปนไปเพื่อปรุงแตงเสริมเติมใหบรรดาดอกไมสีสดดูมีคายิ่ง
ขึ้นตามครรลองตาเนื้อของผูคน
ทวาแจกันที่เห็นวางอยูบนโตะกลางหองเบื้องหนา ที่มีเนื้อใสพอใหนึกเทียบเคียงกับแกวผลึกเจียระไนชั้น
เลิศนี้ ตีคาไดมากมายเปนเอนก ตองดูกันเปนขอๆ ลองวาเฉพาะความเปนเครื่องประดับที่ปรากฏใหเห็น
กอน ทั้งความงามงดของเนื้อแกวก็ดี แสงทิพยที่สาดกระทบก็ดี นัยนเนตรอันปราศจากฝาธุลีแหงนางเอง
ก็ดี รวมแลวกอใหเกิดจักขุวิญญาณ หรือการรับรูทางคลองเนตรอันสุขุมวิจิตร บันดาลสุขเวทนาใหเติบ
ตามวิถีสวรรค หากจะนึกอนุมานถูกวามองแลวอิ่มสุขปานใด ก็ตองเปนมนุษยที่ผานอุปจารสมาธิ เสพ
มหาปติเปนภักษามาแลวสักครั้ง
ความแตกตางมิไดสิ้นสุดเพียงการเห็นภายนอก เพียงมองแวบเดียวนางก็รูทันทีวาภายใตความงามยัง
แฝงซอนคุณสมบัติที่บุญฤทธิ์ ‘ออกแบบสราง’ ไวอยางนาทึ่งอีกหลายประการ ประยุกตใชไดตาม
ปรารถนาหลากหลาย ชนิดที่ความคิด ความฉลาดออกแบบของมนุษยไมมีวันไตระดับมาไดถึง
เชนนางเรียนรูไดในอึดใจแรกวาเมื่อสงปอนคลื่นความสุขจากใจเขาหา จะเห็นแจกันดอกไมแปรสภาพ
เปนกระจกเงามหัศจรรย คือเปลงประกายบรรเจิดจรัส เกิดกราวเสียงกรุงกริ๊งเสนาะนุม สงกลิ่นหอมเกิน
ตัวดอกไมที่ปกอยู รวมทั้งรําเพยละอองไอฉ่ําชวนฝนกลับมา ยกระดับความสุขที่มีอยูเดิมใหขยายผลขึ้น
๔๔๑
สิ่งประดิษฐทั้งหลายบนโลกมนุษยเปนเครื่องสะทอนวาเมื่อวัตถุใดเขาไปเกี่ยวของสัมพันธกับจิตวิญญาณ
ที่มีสติปญญาและเจตจํานงรังสรรคแลว มักเกิดรูปกอรางเพื่อสนองตอบวัตถุประสงคหนึ่งๆที่ชัดเจน เชน
ทําแกวใหเปนแจกันปกดอกไมสวยวางอวดบนโตะรับแขก
แตบรรดาเครื่องประดับบนโลกสวรรคนั้น เปนเครื่องสะทอนวาถาธาตุทิพยเขาไปเกี่ยวของสัมพันธกับ
วิญญาณที่มีบุญฤทธิ์ระดับสูงเขาแลว จะเกิดรูปกอรางเพื่อสนองตอบวัตถุประสงคอยางใดอยางหนึ่ง รวม
ทั้งลากจูงสวนสัมพันธอันแหวกแนวเกินจินตนาการมนุษยมาดวย ชนิดที่ยิ่งวิเคราะหเปนลําดับจะยิ่งนา
เกาหัวงุนงงไมรูจบ ของชิ้นเดียวสามารถรวมความหลากหลายไวในตัว แมบางชิ้นรูปรางหนาตาคลายที่
เห็นบนโลก ก็พิสดารกวากันจนสมควรบัญญัติศัพทเฉพาะใหมมาใชแทนเลยทีเดียว เชนแจกันนี้ ที่อาจ
ใชทั้งเครื่องปกแสดงดอกไม และกระจกเงาขยายคลื่นความสําราญใหแกเทพผูเปนเจาของอีกโสด จึงไม
นาเรียก ‘แจกัน’ เฉยๆแลว
นางยังพบในภายหลังอีกวาเครื่องประดับและเครื่องเรือนหลายตอหลายชิ้น เปนไปไมไดเลยที่จะสราง
ดวยเครื่องมือตัดแตงใดๆ เนื่องจากสถานภาพแข็งแกรงและอํานาจพลังในตัวเองของพวกมัน ไมอาจหา
ธาตุทิพยดวยกันอันใดกัดเซาะใหเกิดลายสลักหรือรอยตัดแบง การกอรูปของสมบัติสวรรคจึงมักบันดาล
ขึ้นจากบุญฤทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์ของบรรดาเทพเจา ซึ่งครอบงําอยูเหนือธาตุทิพยทั้งหลายทั้งปวง
เรื่องนี้พอเทียบกับสิ่งที่สามารถตรวจวัดดวยเครื่องมือทางวิทยาศาสตรบนโลกมนุษย เชนการเพงมอง
แกวคริสตัลกอนใหญๆดวยจิตที่เปนหนึ่ง แกวคริสตัลจะทําตัวเปนหมอเก็บกําลังแมเหล็ก สวนสายตาที่
เพงติดกับพลังแมเหล็กในแกว ก็พลอยจะทําตัวเปนผูกอกระแสสัมพันธอันกลมกลืนระหวางคริสตัลกับ
๔๔๒
สายลมทิพยรําเพยพัดมาหอบหนึ่ง อวลกลิ่นอายอันเปนปฏิกิริยามงคลตอบทักแกนาง
ภาพถลาดิ่งจากมุมทะแยงสูงนั้นขยายจากเล็กเปนใหญอยางรวดเร็ว ทวาไมเสียรูปทรงจากแรงลมตาน
เลย หากมองดวยสายตามนุษยก็นาจะโวยวายขยับเทาวิ่งหนีการปรี่เขาชนชนิดนั้นเตลิดเปดเปงไดแลว
๔๔๕
เพราะถาปลอยใหกระแทกละก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวไดรุนแรงปางตาย ทวาในคลองจักษุแหงเทวนารียามนี้
อยางดีก็เห็นเปนแคสายฝนกลุมหนึ่งที่กําลังตกลงมาทําความชุมชื่นใหแกนางเทานั้นเอง
แรงปะทะอันทรงน้ําหนักของกลุมน้ํากับรางสะคราญสงเสียงซูมใหญดุจน้ําตกกระแทกแผนหิน กระจาย
ฝอยกระเซ็นซานเปนวงกวาง สงใหนางอัปสรประหวัดถึงการเลนสงกรานตอันสนุกสนานบานใจบนโลก
มนุษย จนตองแยมสรวลออกมาดังๆ ความเปยกปอนกําซาบเอิบอาบไปทั่วสรรพางค แลวกลับเหือดหาย
ในบัดดลเพียงนึกตลอดรางพลางคิดวา ‘แหง’
ลักษณะพันธุไมในอุทยานของนางเปนไมตัดดอกสีสันสะดุดตาเกือบทั้งสิ้น กลาวคือเกือบทุกพันธุมี
กานยาว สงกลิ่นหอมฟุง และคลายมันมีชีวิตจิตใจ ยิ้มเปดกวาไมดอกที่เคยรูจักในโลกมนุษยมาก มอง
แลวสดชื่นชวนยิ้มตอบ นานํามาใชประดับพอกับดูดอกสะพรั่งที่ตน สวนไมใบที่มองสัณฐานผาดคลาย
จําพวกโกสนและบอนนั้น ก็มีความงามของใบเขียวที่ใหความรมเย็น ชวนเพลินสงบใจในขณะชมอุทยาน
นางจําความกําหนดหมายและกําหนดรูในรางมนุษยไดถนัด มันคลายการหลับฝนที่เลื่อนเปอนไมรูเหนือ
รูใต ถูกขังอยูในขายประสาทหยาบอันแคบจํากัด จะรูอะไรทีตองคลํา ตองเพงหูเพงตาเรียนกันนาดู
๔๔๖
กระทั่งจะดึงความจําก็ตองผานเครือขายรหัสอันซับซอนมโหฬารของกอนเนื้อหยักๆนาขยะแขยงที่เรียก
วา ‘สมอง’ เสียกอน
เกาทัณฑ!
มนุษยผูชายที่นางในอัตภาพเดิมหลงรัก...
บังเกิดความอาลัยขึ้นมา แตมิใชความหลงถวิลเยี่ยงมนุษยหญิงโหยหาไออุนจากมนุษยชายอันเปนที่รัก
อัตภาพนางกับเขาคนนั้นอยูแยกเปนคนละระนาบแลวอยางเด็ดขาด เหมือนเชนที่มนุษยอาจระลึกไดวา
เคยเปนลิง ยอมไมอยากกลับไปคลุกคลีตีโมงดวยอีก แมจะเคยพิศวาสปานไหนก็ตาม ถาอยากก็คง
อยากใหมาเกิดในภาวะเดียวตามกันมากกวา
สลัดความรูสึกกึ่งรักกึ่งรําคาญทิ้ง กดปุมรับและเปนฝายกรอกเสียงทักลงไปกอน
ปลายสัญญาณเงียบอึ้งไปอึดใจ กอนเอยชนิดที่ทําใหเกาทัณฑหัวคิ้วกระตุก
ชายหนุมกะพริบตาวับดวยสังหรณราย
“ครับ รู...วาแตนั่นเกิดอะไรขึ้น?”
เกาทัณฑเริ่มถามเสียงเครียด
หมอนั่นทาทางประหมางกเงิ่นจัด ตัดสัญญาณฉับกะทันหัน
๔๔๘
พุงปราดไปเบรกกึกกอนถึงทายรถอันเปนที่หมาย เปดประตูพรวดพราดดวยมือไมและแขงขาสั่นระริก
เพราะประหวั่นพรั่นใจอยางบอกไมถูกกับสิ่งที่กําลังจะเห็น
“แอ!!!”
ทั้งรูสึกเหมือนฝนหลอนและชาเหอไปทั้งกาย เกาทัณฑถลันเขาชอนรางไรวิญญาณสูออมอกอยางยังไม
ยอมเชื่อสายตา ปากพร่ําตะโกนเรียกหญิงสาวผูเปนที่รักซ้ําแลวซ้ําเลา กระทั่งไมรูตัวแมสายน้ําตาพรั่ง
พรูนองหนาดุจทํานบทลาย รองไหออกมาทั้งไมเขาใจตนสายปลายเหตุ เอาแตเขยาตัวพร่ําเรียกและ
เกลือกกลิ้งใบหนาตนลงกับใบหนาสงบงามปานจะขาดใจตายตาม...
นั่นเปนจังหวะเดียวกับที่ทิพยเนตรจากสรวงสวรรคเล็งแลลงมาเห็น ความเศราหมองคืบคลานเขาครอบ
งําจิตอันเปนสุขประณีตอยางรวดเร็ว เปนครั้งแรกที่เห็นเขารองไห รองอยางใจจะขาดดวยความอาลัยรัก
จริงแท
อาจเปนแรงสะเทือนจากความโศกเศราสาหัสของเกาทัณฑก็ได ที่สงระลอกขึ้นมาสะกิดนางจนนึกอยาก
เหลียวลงมามอง ไมตองเตือนตนเองมากนักก็รูวาอะไรควรอะไรไมควร นางขาดจากภาวะความเปน
มนุษยผูหญิงแลว จะพบเขาอีกก็คือยถากรรมนําพา บัดนี้ถายังฝกใฝใจไมตัด ก็รังแตจะเดือดรอนทั้งนาง
เองและเขาคนนั้น
เชนนี้เอง การจากพรากเปนทุกข
๔๔๙
ทวานางก็สําเหนียกถึงคลื่นกิเลสอันหยาบหนาที่กระจายอยูรอบบริเวณนั้น อึดอัดและเห็นผิดกาลเทศะ
เกินกําลังฝนใจ คลายจะใหแทรกไปในหวางชองหินแคบพอดีตัวเปนระยะทางไกล ทําได แตไมอยากทํา
ในเมื่อมีทางกวาง เดินสบายใหเลือกตั้งเยอะ รอเวลาผานไปกอนเถิด
พลอยทําใหนางยึดติด เปนกังวลในภพเกาไปดวย...
๔๕๐
ในความฝนอันครอบงําดวยความรันทดและกระแสเหงาเศรากัดกินไปถึงขั้วหัวใจ กลุมความคิดปนปวน
หลายสายแยกยายกันสวนสนามในหัว เพาะอุปาทานใหเติบเต็มรูปขึ้นจนหลอกหลอนไดราวกับภูตผี
ปศาจมาลอม เปนเคาเงาอลหมาน ผลัดเรียงกันกรีดหัวเราะแหลมใส อยางจะสมน้ําหนากับการสูญเสียที่
เรียกคืนไมไดครั้งนี้
คลายถูกแกลงใหจอมจมซมทุกขในความครึ่งหลับครึ่งตื่นไมเลิกรา ในหัววนเวียนอยูแตภาพเรือนแกวนั่ง
ตายอยางสุขสงบ คลี่มุมปากออกราวกับตองการยิ้มฝากความถึงเขาเพียงคนเดียว ฝากไวในหนาวา
หลอนไมโทษที่เขาไปชา ชวยชีวิตหลอนไมได กับทั้งทําใจไดแลวกับการอยูตามลําพังโดยปราศจากออม
แขนปกปองของเขา
เมื่อเปดตาขึ้นอีกครั้งในละอองฉ่ําเย็นของค่ําคืน ก็เห็นตนเองเตนรํากับเรือนแกวกลางทะเลทราย ใน
ราตรีดารดาษดาวที่เสี้ยวจันทรสีเงินยวงหอยคาง ณ ปลายฝงฟาดานไกล รูสึกถึงสายลมเย็นเฉียบที่
รําเพยพัดผิวกาย พรอมทั้งสัมผัสสายใยระหวางใจอันออนอุนของตนและคนรัก เวิ้งอากาศกวางสุดลูกหู
ลูกตาดูวังเวงระคนดูดดื่มจนชวนใหคิดฉงนวาดินแดนเชนนี้มีดวยหรือในโลกใบเดียวกับที่เขาอาศัย
๔๕๑
กลิ่นหอมหวานรวยรินขึ้นมาจากทรวงอกของหญิงสาว ไมมีใครเลยนอกจากเขากับหลอนที่ลองเลื่อน
ลีลาศอยูในลีลาวอลตซ กับลํานําพาเพลินที่กระจายมาจากทุกทิศทาง ราวกับขายคลื่นเสนาะโสตกําเนิด
ขึ้นจากทุกอณูอากาศใกลไกล ฟงผิวเผินคลายการเขาคูระหวางเปยโนกับไวโอลิน แตนานไปพอชักคุน ก็
รูสึกถึงกังวานหวานนุมลุมลึกที่เกินสภาพเครื่องเคาะและเครื่องสายใดจะบันดาลส่ําเสียงเชนนั้นได
“แอ...ผมกําลังฝนอยูเหรอ?”
“อื้อม”
“นี่หรือสวรรค?”
เรือนแกวสายหนา
“ดินแดนในฝนตางหาก”
เกาทัณฑลืมเรื่องสถานที่ ยกมือขึ้นไลเสนผมที่บัดนี้ยืดยาวและทิ้งตัวลงหมเกือบเต็มแผนหลังดุจผาคลุม
ผืนงาม สัมผัสถึงความละเมียดยิ่งกวาแพไหม อดใจไมอยูตองชอนยกขึ้น แลวกมลงสูดกลิ่นหอมเขาเต็ม
อก
“ผมชอบใหแอไวยาวอยางนี้แหละ ดีกวาตอนสั้นตั้งแยะ”
เรือนแกวทําปากเชิดหนอยๆ
ชายหนุมยินหางเสียงตัดพอนั้นแลวรอนใจ รีบกลาวปฏิเสธ
“ผมไมไดรักใครมากกวาแอเลย”
“เทากันก็ไมเอา เธอตองรักฉันคนเดียว!”
๔๕๒
เกาทัณฑสายหนาอัดอั้น อับจนดวยถอยคํา
ตางฝายตางแลลึกลงไปในตาของอีกฝาย สุขเศราเคลาคละยากจําแนก
“ผมเสียใจ”
“เจาคะ คงไดเสียใจตามๆกันอีกนานละ”
เกาทัณฑเชยคางหลอนใหเงยขึ้น
“อยาพูดอยางนี้เลย แอคงไมยอนกลับมาหาเพื่อทิ่มแทงผมใหเจ็บยิ่งกวาที่เปนอยูใชไหม?”
“แคพูดเรื่องจริงเทานั้นแหละ”
แลวหลอนก็เหลือบตาลงต่ําคลายเหมอไป ชายหนุมเปลี่ยนเรื่อง
“ทําใหรับรูและเชื่อมั่นจนหมดหวงหนอยเถอะวาเรากําลังคุยกันอยูจริงๆ ไมใชวาผมฝนเพอไปคนเดียว”
“ตองการใหเปนยังไงละ?”
“ทําใหผมตื่นและเห็นแอดวยตาเปลา กอดแอดวยเนื้อหนังของตัวเอง”
หญิงสาวสั่นศีรษะนอยๆ
“แคนี้แหละพอดีตัวเธอแลว”
ยิ้มเฝอนและเสถามเกอๆ
“ถาบอกวาสิงสูอยูในหองของเธอจะกลัวไหม?”
“ผูหญิงคนไหนผานประตูเขามาแอจับหักคอหมดนะ!”
เกาทัณฑถอนใจทําหนาเมื่อย
“แอ...ผมไมรูจะพูดยังไงถูก ถาเรารักใครจนสามารถซึมซับความเจ็บปวดของเขาไดเทากับหรือมากกวา
ก็เชื่อเถอะวาผมตองเจ็บยิ่งกวาแอเปนสองเทา หากยอนกลับไปแกไขอดีตได ผมก็อยากดูวาสามารถทํา
อะไรบางเพื่อใหทุกคนเปนสุขในทางของตัวเอง”
เกาทัณฑขบริมฝปาก
“บอกสิวาเปลา”
เรือนแกวนิ่งอั้นเปนครู กอนกลาวสะบัดนิดๆ
“ถายอนระลึกไปสํารวจความรูสึกตัวเธอเอง ก็จะเห็นวามีเมฆหมอกหอหุมอยูบางๆเหมือนกันแหละนา
จริงอยู ฉันกับเธอทั้งผูกพันแนนแฟน และทั้งทําบุญรวมกันตั้งมากมาย กระทั่งรูสึกไดถึงความเปนคน
พิเศษของกันและกัน แตคาบเวลาชวงใกลนี้เรารวมกอกรรมทําเข็ญไวไมนอย ผูกเวรกับคนโนนคนนี้ดะ
ชวยกันฆาเขาก็มาก เหลานั้นแหละปฏิรูปเปนสัญญาณรบกวน กีดกันไมใหใจสัมผัสสนิท แลวบอกใหนะ
ถึงถาฉันไมตาย ไดอยูกินกับเธอ วิบากที่เคยรวมทําใหคนอื่นเจ็บปวดทรมาน ก็จะบันดาลใหรักกันแบบ
ระหองระแหง มีเรื่องขัดใจกันไปเรื่อย
“ไดซี...”
เรือนแกวขืนกายออกจากออมอกเขาและเงยหนาขึ้นพูด
“ขอแคจําคําแอไว แรงอโหสิและเมตตาจะทําใหเธอเปนผูชนะที่แทจริง”
เกาทัณฑเพงตาสงสัย
“ขยายความหนอยไดไหม?”
“แอตายแลวสบายก็เพราะอโหสิแกเจากรรมนายเวร อยากใหเตไดดีตาม”
ชายหนุมขนลุกซู
เรือนแกวเล็งเขาไปถึงอารมณและความนึกคิดของอีกฝาย เห็นความกลัวที่เปลี่ยนเปนกลาบาบิ่นดวย
ความคุมแคน ก็บังเกิดความกังวลที่เจตนารมณของตนใหผลเปนตรงขาม จึงทอดถอนใจและหรี่ตาวอน
เกาทัณฑขบกรามแนน หูอื้อตาลายเพราะยิ่งคิดยิ่งแคนแนนอก
“มันหาเราเจอไดยังไง?”
เรือนแกวชั่งใจครูหนึ่ง กอนเผยเพราะเห็นวาไมล้ําเสนกรรมลิขิต
๔๕๖
“รับปากใหแอสบายใจกอนซิวาเตจะตั้งจิตอโหสิแกเจากรรมนายเวรทั้งหลาย เปนการกอกระแสกุศลขึ้น
ระหวางเราสองคน เพราะเทากับเตโมทนาและสาธุการกับอภัยทานของแอ เมื่อเราพบกันอีกจะไดไมเกิด
เมฆหมอกรายหอหุมใจ และไมดึงอกุศลวิบากมาใหผลแรงเหมือนอยางที่ผานมา”
เกาทัณฑปลอยมือจากรางหลอนแลวถอยเทาไปกาวหนึ่ง ยักไหล
เรือนแกวสายหนาดวยความระอิดระอา
เกาทัณฑผายมือ
๔๕๗
เรือนแกวกาวตามเขามากาวหนึ่ง หยั่งทราบวาการตอบคําถามชนิดนั้นจะนํามาซึ่งความยุงยากในภาย
หลังอยางไร
“เธอจะรูไปทําไมนะ สําคัญยังไงหรือ?”
“สําคัญที่วาถาผมเชื่อวานี่ไมใชแคฝน คําขอรองของแอก็จะสัมฤทธิ์ผลงายขึ้น”
“อะไรก็เกิดขึ้นในฝนไดทั้งนั้นแหละ ไมอยางนั้นจะมีตําราพิสดารวาดวยการสรางฝนเสมือนจริงถึงขั้น
ฟอกจิตฟอกใจ หลับซอนหลับ ฝนซอนฝน สรางมิติใหมกันใหเกรอหรือ ยิ่งศึกษาผมยิ่งเห็นวามิติของจิต
นั้นลึกซึ้งเกินหยั่ง ยังมีเรื่องนาพิศวงที่ยังไมรู ไมเขาใจอีกมาก ที่เห็นอยูนี่อาจเปนตัวอยางหนึ่ง”
เรือนแกวกะพริบตาเนิบชา
หญิงสาวยกมือกอดอก ไมตอบโต
๔๕๘
“หนาตาแอเปลี่ยนไปบางไหม?”
“นิดหนอย”
“บนโนนสุขสบายแคไหน?”
“ไมมีความเปนอยูของใครในโลกมนุษยไปเปรียบ”
“มีใครมาจีบมั่งรึยัง?”
เรือนแกวนิ่งไปอึดใจ กอนเอยขรึม
เกาทัณฑยกมือเทาเอว แคนยิ้ม
เรือนแกวมองคนรักดวยแววเวทนา
ฝายฟงยิ้มเผล
“ผมก็รูอรรถรูธรรมพอสมควรนาแอ”
คราวนี้แววในตาเรือนแกวเปลี่ยนจากเวทนาเปนสมเพช
๔๕๙
เกาทัณฑชักหนาชาหนอยๆ เพราะเรือนแกวปรากฏในรูปเดิมที่จูงตาจูงใจใหนึกถึงความเปนหลอนคน
เกา ซึ่งมีแตจะตองเปนฝายรับฟงเขาขยายความสาธยายอรรถธรรม แตเดี๋ยวนี้สลับตําแหนงมายืนเทศน
แทนเสียแลว
“สาธุ ขอบคุณเจาแมที่ใหสติ”
“อยากเห็นนักหรือ?”
เรือนแกวสายหนานอยๆ
“ตามใจ อยาเสียใจทีหลังละถาเผลอยกมือไหวลูกศิษยตัวเอง”
เกาทัณฑเผลอโกงคอหัวเราะออกมาดังๆอยางกําแหงหาญ
“ถอยไปสิ”
๔๖๐
ชายหนุมทําตาม ถอยเทาไปขางหลังประมาณสี่กาวแลวเลิกคิ้วเปนเครื่องหมายคําถามวาพอหรือยัง
“อีก...”
เกาทัณฑหัวเราะถอนฉิวและจุปาก แตก็ยินยอมถอยอยางวางายเพื่อใหไดดูของดี
นางเทพธิดาพิจารณาแลววาอัตภาพแหงตนไดมาจากความเกื้อกูลของมนุษยผูนี้ จึงอยูในขอบขายที่จะ
กระทําปฏิการะ คือตอบแทนคุณโดยสนองความปรารถนาใหเขาไดเห็นทิพยภาวะ เพื่อเปนกําลังใจและ
กอความเชื่อมั่นที่จะปฏิบัติดี ฟงคําเตือนหลอนโดยไมเห็นวานี่เปนแคฝนเพอ
รัศมีสวางไสวแกมทองซานออกมาเปนวงกวางครอบรางในชุดราตรี กระทบตาผูรอคอยใหทราบทันทีใน
วาระจิตปจจุบันวานั่นคือราศีสวรรค เรือนกายของมนุษยผูหญิงธรรมดาปฏิรูปไป ดูขยายใหญขึ้นกวา
ปกติ กรอบหนางามคมคายจับเคารูปไขจากเรือนแกวที่เขารูจัก รวมทั้งจมูก ปาก และคาง ทวาหนาผาก
มน คิ้วโกงและเคียวเนตรเรียวยาว กับประกายวาวหวานฉายซึ้งที่เรืองอํานาจเหนือมนุษยนั้น ผิดแผกไป
เกือบสิ้นเชิง โดยเฉพาะสีตาที่เคยออกน้ําตาลใส บัดนี้ขึ้นเงาดําขลับวะวับดุจเอกอัญมณีสีนิล มองสบแลว
ถูกดึงดูดใหติดหลงยิ่งกวาอะไรทั้งหมด
เครื่องหนาทุกชิ้นเฉิดฉายเสริมกันเปนภาพเนรมิตที่จิตรกรคงหนักใจหากคิดจําลองไวบนผืนผาใบ เพราะ
ตองหาเนื้อสีที่ระบายแลวสุกปลั่งจับตาใหไดสักครึ่งหนึ่งของของจริงเสียกอน จึงคอยวากันถึงราย
ละเอียดสัดสวนเสนสายอื่นในภายหลัง
เกาทัณฑรูสึกวาตนมีกําลังนอยเกินกวาจะทานแรงจากดวงตาเทพเจาไดนานๆ จําตองลดวิถีการมองมา
ยลสรีระที่ต่ําระดับลง ทรวดทรงองคเอวสลักเสลาสมสวนซอนอยูในพัสตราภรณชมพูแสดอันแลวดวย
เครื่องประดับพิลาสอลังการสมอิสริยยศ กิริยายืนเหนือพื้นประหนึ่งกําลังประดิษฐานนิ่งบนแทนแกวไร
ตน ประกาศเกียรติภูมิเหนือแผนดินอันตอยต่ําของมนุษยอยางแจมชัด
นางเทพเองก็ไมปรารถนาจะเห็นคนรักยอลงตอหนา พอหยั่งรูวาเกาทัณฑกําลังจะสิ้นแรงตานบารมีชาติ
ภูมิแหงตน ก็อธิษฐานซอนรัศมี และจําแลงกายจากสภาพทิพยยอลงเปนภาวะหยาบขนาดมนุษย
ธรรมดา ซึ่งเมื่อวิญญาณครองอัตภาพเชนนั้นแลว ความรูสึกนึกคิด ความกําหนดหมายทั้งหลายก็คืน
กลับสูความเปนเรือนแกวคนเกาเกือบบริบูรณ แตกตางไปบางก็คือมีสํานึกอยางใหญแบบเทพหนุนอยู
เบื้องหลัง คลายนักแสดงที่เขาถึงบทตนเองในวัยเด็ก ตีบทแตกละเอียด แตก็เต็มสติของตัวจริงที่เปนผู
ใหญยืนพื้นในชั้นแรก
เห็นหลอนยิ้มมุมปาก เทาเอวยักสะโพกขางหนึ่งแบบที่เคยทํายั่วตาเขาบอยๆ
“เปนมนุษยนี่ต่ําตอยจริงๆเนอะ”
เกาทัณฑเกิดสติระลึกได และประจักษแจงในบัดดลวาคุณคาแหงความเปนมนุษยอาจสูงสงเกินทุกภพใน
ไตรภูมิสิ้น อัตภาพเดียวกับเขานี้เองเปนชัยภูมิแหงพุทธิจิตอันบริสุทธิ์ ลวงพนจากความสูงต่ําทั้งปวง
คิดเชนนั้นก็คอยสบตาเรือนแกวไดนิ่งขึ้น ตรึกนึกถึงความงามตรึงตราบาดจิตบาดใจที่เพิ่งยลไปเมื่อครู
แลวบอกตนเองวาเกิดมายังไมเคยอยากไดอะไรเทานี้มากอนเลย หายสงสัยแลววาสมบัติสวรรคนารักนา
๔๖๒
เอากันแคผิวกายก็พอ ในพระสูตรเคยยกอางถึงสตรีในพุทธศาสนาบางรายที่มีผิวงามนวลเนียนดุจสราง
ขึ้นจากกลีบบัวขาว เหตุเพราะเคยรักษาศีลไดบริสุทธิ์หมดจดในชาติปางกอน จัดวางามเลิศในโลกหลา
แตก็ระบุชัดเจนวาไมถึงเทพทุกรายไป เกาทัณฑเห็นกับตาเดี๋ยวนี้วาจะใหถึงไดอยางไร ในเมื่อความผุด
ผาดของผิวเทพนั้น มาจากความละเอียดเปนยองใยของธาตุทิพยที่ผองแผวเสียจนเรืองแสงได!
“ชักเกิดกิเลสละสิ”
เรือนแกวดักคอ เกาทัณฑพยักหนารับซื่อๆ
“อือ”
“ตกลงจะรับปากรึยัง? ตอไปนี้จะตั้งอภัยทานประดิษฐานไวในจิตใจอยางมั่นคง”
เกาทัณฑกะพริบตาเมมปาก
“จะพยายาม”
“ขอเปนสัญญาไดไหม?”
ชายหนุมหัวเราะ
เกาทัณฑรูสึกใจหาย
“มาหาผมบอยๆไดไหม?”
ฝายมนุษยเดินดินขบริมฝปาก
๔๖๓
“แปลวาผมจะไมเห็นแออีก...”
เกาทัณฑกลืนน้ําลายลงคอฝดๆ
ในระหวางวันที่หลอนตระเวนทําความรูจักกับสหายเทพตามวิถีสวรรค ไดรับเทศนาธรรมจากเทพที่อยู
เหนือชั้น คือบรรลุมรรคผลขั้นตนมาจากโลกมนุษย แสดงธรรมจนหลอนไดเขาใจวาสุขบนสวรรคนั้นยาว
นาน ทวาไมจีรัง เหตุเพราะอัตภาพทิพยถูกบันดาลขึ้นดวยกุศลวิบาก ซึ่งไหลมาจากกุศลกรรมหนักเบา
ขึ้นชื่อวากรรมนั้นแมแรงเพียงใด ใหผลเปนอัตภาพไหน วันหนึ่งก็ตองเหือดหมดเมื่อถูกกาลเวลาแผดเผา
หมายความวาความเปนเทพก็ไมลวงพนมรณา ตองแตกดับลง กลายเปนธรรมอีกกอนหนึ่งที่จะสาบสูญ
ไปในหวงวางอันไรตนไรปลายของสังสารวัฏ
ยังมีเวลาอยูรวมกับเกาทัณฑและความไมรูของตนเองอีกยืดยาวนักในอนันตชาติเบื้องหนา จะมัวยินดีใน
สุขบนสวรรคเพียงชั่วแลนไปใย สูฉวยเอาขณะที่ยังดํารงอยูในชวงพุทธกาลพรอมกัน ขวนขวายเตรียม
เสบียงไวเดินทางไกลเต็มกําลังจะประเสริฐกวา หากสั่งสมความเห็นถูกเห็นชอบในทุกกรณีไวจนหยั่งราก
ความเปนสัมมาทิฏฐิลงลึกถึงแกนวิญญาณ รวมทั้งสรางบุญสรางกุศลหอหุมจิตจนกลายเปนเครื่องนํารอง
อันทรงประสิทธิภาพแลว ก็จะทําใหการเลื่อนไหลบนทางวิบากแหงสังสารวัฏไมลําบากถึงขั้นเลือดตา
กระเด็นบอยนัก
เรือนแกวหยั่งรูลึกลงไปถึงอดีตกรรมของเกาทัณฑและแพตรีในชาติใกล ไดเห็นวาแมแพตรีในครั้ง
กระโนนจบชีวิตจากความเปนมนุษยไปเกิดบนสวรรคแลว ก็ยังครองตัวบริสุทธิ์ และวนเวียนมาฟงธรรม
๔๖๔
สิ้นชาติฤาษีเขาจุติจากโลกมนุษยไปเกิดบนพรหมโลกดวยมหัคตกุศลจิตเยี่ยงผูอยูฌานเปนปกติตราบจน
ถึงวาระขาดใจสิ้นลม ครั้นถึงเวลามาเกิดเปนมนุษยในชาติปจจุบัน กรรมสัมพันธอันเปนมิติโยงใยที่
ละเอียดลึกซึ้ง ก็ดึงทั้งหลอนและแพตรีมาเกิดรวมกับเขาคลายดาวใหญที่เปนศูนยกลางยอมสงแรงดึงดูด
ดาวบริวารใหเคลื่อนตามไปทุกหนทุกแหง
“เต...เมื่อสําเร็จฌานสมาบัติจนอยูตัวแลว เธอจะหวังไปไหนมันเรื่องของเธอ”
เรือนแกวตอบเพียงสั้นตอขอกังขาของเขา ราวกับจะบอกเปนนัยวาฌานนั่นเองเที่ยงที่จะนําเขามาหา
หลอน หรือจะแลนเลยไปพรหมโลกก็สุดแตปรารถนา อยากไดอะไรก็เลือกเอาตามใจ ดีกวาสักแตทําบุญ
สรางกุศลในระดับสามัญ ซึ่งเอาแนไมไดวากอนตายจะออกหัวออกกอยอยางไร
“เมื่อกี้แอบอกวาบั้นปลายชีวิตผมจะไดดีทางธรรม อันนี้คือบอกใบใชไหมวาชีวิตผมอยูยืดถึงแก”
“สรุปคืออยากใหผมรีบบวช?”
“แคอยากใหเรงปฏิบัติ อยามัวเมากามสุขจนลืม...”
๔๖๕
วูบนั้นประโยคสุดทายของเรือนแกวทําใหเกาทัณฑนึกครึ้มตามประสาปุถุชน เมื่อระลึกไดวาตนยังมีแพ
ตรีและงานวิวาหเปนที่หวังในชาติปจจุบัน
นิลเนตรฉายแววรอนรานเมื่อเห็นเขามาในใจคนรัก แตแลวก็กลับเปลงประกายจรัสขึ้นตามเดิมดวยสติ
เหนือภพเกา
“ไปละ”
เกาทัณฑอึกอัก เพราะทาทางหลอนขยับเหมือนคนกําลังคิดกลับบานจริงแลวคราวนี้
“แอ...มาหาผมเรื่อยๆไมไดหรือ สักเดือนละครั้งก็ยังดี”
“เขาเรียกโลภหรืออะไรคะ ที่อยูในใจเตตอนนี้?”
พอเห็นเขาสะอึกก็ถามสําทับ
เกาทัณฑแยกเขี้ยวหนอยๆ เพราะเงื่อนไขทํานองคําขาดชนิดนั้นใหมาดวยเจตนาปดกั้นคํารองขอมาก
กวาจะเปนตัวเลือกปฏิบัติจริง ดวยอารมณชั่ววูบแหงความโหยหาที่ไมไดรับการสนองตอบ ทําใหสําคัญ
ไปวาเรือนแกวเห็นเขาสิ้นคา ไรความหมายเสียแลว อีหรอบเดียวกับสาวบานนอกเขากรุง เจอสีสัน เจอ
ตึกใหญรถยาวเขาก็ลืมถิ่น ลืมคูยาก ไปหลงแสงศิวิไลซแทน
เหตุนั้นจึงลืมตัว แดกดันวา
แลวก็ตัดบทแบบชิงเปนฝายไลกอนหลอนจะลาซ้ํา
เรือนแกวยนคิ้วหนอยๆดวยความระคาย และผิดหวังที่เขาขาดสติสําแดงความเปนคนกิเลสหนาราวกับ
ไมเคยผานการขัดเกลามากอนเยี่ยงนี้
“พูดจาไมเขาหูเลย”
๔๖๖
เกาทัณฑยิ้มแต ทั้งที่กําลังมีอารมณหลากชนิดประดังรุม
“แลวเจอกันนะ”
“โอเค แลวเจอกัน”
แสงเทพเรืองซานออกมาจากเรือนกายหญิงสาว หลอนยิ้มละไมและยกมือประทานพรในทามกลาง
รัตติกาลอันผาสุก
“ชนะกรรม ชนะตัวเอง...”
ชายหนุมพยายามกลืนกอนขมที่โจมขึ้นจับจมูก ลนลานยกมือจะเอื้อมควาภาพตรงหนาพรอมกับพึมพํา
เรียกรั้งดวยสําเนียงอันทนไปดวยความโทมนัส
“แอ...”
ฉากราตรีกลายกลืนเลือนลับไปพรอมกับนางสวรรค เกาทัณฑรูสึกถึงความชื้นน้ําเมื่อตื่นขึ้นดวยลมอูวูบ
ปะทะใบหู เขานอนแชนิ่งเปนครู กอนดึงตัวขึ้นนั่ง ชันเขาขางหนึ่งแลวเหลียวรอบเพื่อพบกับความจริง
ยามตื่นเปนอากาศวางเงียบงัน
แพตรีเพิ่งออกจากชั่วโมงสอนวิชาวิทยาศาสตรชั้น ป. 6 ลงมาสอนวิชาจริยธรรมและหนาที่พลเมืองดีใน
ชั่วโมงนี้ ซึ่งเปนวิชาที่อยากสอนมากกวาอื่นใด หลอนเดินตามระเบียงอาคารชั้นสอง มองไลปายหนา
หองจนพบ ป. 5/1 ก็ตรงไปเลี้ยวเขาดวยอากัปกิริยาเปนปกติราวกับเดินเขาออกอยูทุกเมื่อเชื่อวัน แตใน
ใจรูสึกตื่นเตนเล็กนอยกับครั้งแรกของความรับผิดชอบที่ตนปรารถนา
๔๖๗
เสียงจอกแจกจอแจที่ไดยินถึงขางนอกเงียบหายเปนปลิดทิ้ง เมื่อครูสาวหนาใหมกาวมาหยุดยืนเดนเปน
ประธานที่หนาชั้น หลายคนที่หันคุยกันหยุดกึกทั้งยังพูดไมจบประโยค ที่กําลังยืนยื่นไมบรรทัดหอยจิ้งจก
ไปแกลงเพื่อนผูหญิงก็หดกลับ ที่ตั้งใจจะรอนเครื่องบินกระดาษไปใหพรรคพวกอีกฟากหองสงกลับก็รีบ
ซอนใตโตะ ที่กําลังจะลุกจากเกาอี้วิ่งไลกันก็ดวนกลับมานั่งกนกระแทก
"นักเรียน ทําความเคารพ"
เสียงหัวหนาหองขานแจว เด็กทั้งหองพนมมือกมหนาไหวพรอมเพรียงกัน
"สวัสดีครับ/คะคุณครู"
"คราวนี้ใหครูรูจักพวกเธอหนอย"
"เธอชื่อจักกายใชไหม?"
เด็กที่ถูกถามเบิกตานิดหนึ่ง กอนรับวา
"ครับ"
"คนไหนใจชนก?"
เด็กผูหญิงที่นั่งใกลหลอนยกมือขึ้น
"หนูคะ"
๔๖๘
เด็กนักเรียนมองตากันเองงงๆ เพิ่งเคยเห็นครูทองชื่อนักเรียนแลวมาขานดูหนาทีละคนตามลําดับเลขที่
อยางนี้ นอกจากจักกายซึ่งเปนหัวหนาหองแลว ทุกคนถูกเรียกเรียงตัวจากเลขนอยไปมากไมตกหลนแม
แตคนเดียว
"ไฟกําลังแรงวะ"
เด็กชายตัวอวนๆโหงวเฮงเจาพอใหญในอนาคตกระซิบกับเพื่อนรางผอมขางตัว ทั้งสองนั่งอยูหลังหองรั้ง
ทายสุด
"อือ สงสัยนั่งทองเปนชั่วโมง"
"ขาวาสวยเชงหยั่งงี้ชั่วโมงเดียวเข็นเขาหัวไมไหวหรอก ตองสามวันเปนอยางต่ํา"
"ครูครับ อายนี่บอกวาครูสวยเชง"
"เธอตะโกนกลบเสียงครูอยางนี้เสียมารยาทมากนะปรศุ"
จากนั้นครูคนสวยก็แปรตาคมๆมาจับนักเรียนอีกคนซึ่งนั่งอยูหนาปรศุ
บรรยากาศเปนของครูสาวมากกวาเดิม สุมเสียงปรานีที่มีนวลน้ําหนักเฉียบขาดอยูในทีชนิดนั้นไม
ธรรมดานัก กอกระแสรักและยําเกรงระคนกันทันทีอยางยากจะหาในครูคนอื่น
ระหวางคุณครูทําความรูจักกับนักเรียนที่เหลือ ปรศุก็ชวนคูหูนินทาอีก
"ทาทางไมตองเฮะ"
"เออ แตแปลกๆวะ"
พัลลภเอียงหนาตอบ ปกติถาเปนชั่วโมงครูคนอื่นพัลลภจะกลาพูดดังกวานี้
“ยังไง?”
“ทาทางเหมือนอยากมาเปนแมพวกเรา”
ทั้งคนพูดและคนฟงงอตัวซุมหัวเราะ ปรศุเหลือบตามองคุณครูหนาชั้นดวยแววผูกใจเจ็บที่ถูกกระหนาบ
ถามดวยสําเนียงรูกัน
สองเด็กคะนองหัวเราะครึ้ม ไมทันสังเกตวาครูแพตรีปรายหางตาผานมา
"พัลลภ!"
"คะ...ครับ"
"ยกมือเฉยๆเหมือนคนอื่นก็พอ ไมตองขานตอบใหครูสับสนวาเธอเปนหญิงหรือชายแน"
๔๗๐
"แอบดูรูปพวกเรามากอนแลวนี่หวา หยั่งงี้จะเรียกดูหนาใหเสียเวลาทําไมฟะ"
ปรศุไมวายหันมาคอนกับพัลลภ ซึ่งไดแตครางอือรับสั้นๆ
"เอาของออกมาซีโวย"
"ไมเร็วไปเหรอะ"
ปรศุถึงกับเกาหัว เพราะคูคิดตั้งทากลับลําทั้งที่สนองดวยดีในชั้นแรก
เด็กหญิงตุยนุยนารักซึ่งถูกเรียกชื่อเปนคนสุดทายตอบหลอนเกือบทันที
"สิบขวบคะ"
"บอกไดไหมวาสิบปที่ผานมา หนูประทับใจอะไรในโลกนี้มากที่สุด"
เด็กหญิงจันทรแขทําหนางง แตหลังจากคิดอยูครูก็ตอบเบาๆ
"รถไฟเหาะตีลังกาคะ"
๔๗๑
สุชาติยิ้มแหยๆ คิดในใจวาไมควรหัวเราะเรียกครูเลยเรา
"อา..."
เกือบนึกไมออกวานาหาอะไรมาตอบสงๆ แตจะใหตอบตรงตามจริงทื่อๆอยางยายบื้อจันทรแขละอยา
หวัง
"คงจะเปนวิชาคณิตศาสตรมั้งครับ"
"ปรศุละ"
เด็กรางอวนยิ้มเผล
"ผมเปนคนประทับใจยากครับครู รสนิยมเปลี่ยนทุกอาทิตย"
มีเสียงหึๆจากคนที่อยูรอบขางปรศุ แพตรีไมแปลกใจเลยกับความเจาสํานวนของเด็กนอยยุคโลกรอน
"แลวอาทิตยนี้รสนิยมของเธอชวนใหประทับใจอะไรมากกวาเพื่อน?"
หมอนั่นเชิดปากสายหนาราวกับนักวิชาการปฏิเสธคําถาม
"ไมครับ อาทิตยนี้ใจผมวางเปลาเหมือนอากาศโปรง"
"ออ..."
แพตรียังไมอยากใสใจกับอาการกวนโทโสเกินเด็กของปรศุเทาไหร หลอนหันไปใชชอลกซึ่งยังถือคางไว
ในมือเขียนกระดานเปนรูปวงกลม พลางพูดทั้งยังหันหลังวา
"ใครชอบอะไรก็มักจะเปนอยางนั้น เชนจันทรแขอาจรักความตื่นเตนสนุกสนานจึงประทับใจรถไฟเหาะ
กวาอยางอื่น คนเรามีของชอบใจแตกตางกันไป แตหากของชอบเปนอันเดียวกับหนาที่ในชีวิตประจําวัน
ก็จะทําใหชีวิตของเราดูงายและเปนสุขนาสนุกดี"
เด็กๆมองกระดานอยางฉงนระคนทึ่ง แตก็เขาอกเขาใจทุกคําที่คุณครูพูด
"แตจุดเล็กๆพวกนี้จะไมสําคัญนักหรอก ถาหากเธอมีจุดศูนยกลางที่ชัดพอ"
แพตรีเบนสายตาไปที่เด็กหญิงจันทรแข
แมพิมพของชาติเบนสายตามาที่เจาหนูรางอวนจอมเก เล็งมองเขม็งจนปรศุชักหนาว
๔๗๓
เด็กชายปรศุทําหนาเหลอหลา เมื่อแพตรีเรียกซ้ําใหออกมาที่หนากระดานดวยเสียงเคนเขมกวาเดิมก็ชัก
ใจเสีย เกิดความกลัวขึ้นมาแบบเด็กๆ หันหนาไปหาพัลลภ ก็พบวาเพื่อนชวยใหกําลังใจเสียงเครือ
“เจอแสฟาดแนจ้ําเอย”
"จากคําตอบของปรศุ เราพอจะเอาเขามาเทียบเคียงกับวงกลมบนกระดานนี่"
ครูแพตรีดึงตนแขนนักเรียนของหลอนโดยละมอมใหมายืนใกลกระดาน ตําแหนงวงกลมอยูเสมอไหลของ
ปรศุซึ่งสูงใหญกวาเด็กวัยเดียวกันพอควร
"เปนวงกลมที่ปราศจากจุดใดๆ"
พูดแลวก็ใชแปรงลบกระดานปาดจุดทั้งหมดทิ้ง มีความคลับคลายระหวางความกลมของรูปรางปรศุกับ
วงกลมบนกระดาน ทําใหบรรดาสหายชายหญิงรวมชั้นหลุดหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ ปรศุอับอายและ
ไมพอใจ ใครก็รูวาพอเขาบารมีคับเมือง อันยังผลใหลูกชายพลอยคับโรงเรียนไปดวย แตเมื่อเขามายืน
ใกลแลวสัมผัสกระแสความแข็งชนิดหนึ่งจากครูสาวหนาใหม ปรศุก็รูสึกวาตนถูกขมไมใหกลาเฮี้ยวได
อยางนาฉงน
แพตรีใชมือขางที่ไมเปอนชอลกตบบานายแบบจําเปนเบาๆ พูดยิ้มๆกับทุกคนแตยังคงตะแคงหนามอง
หุนนายแบบใกลตัวนิ่ง
"สิ่งที่เราเห็นมีแตความกลม ไมมีจุดรวมสายตา"
เด็กๆหัวเราะหนักกวาเดิม ทั้งที่เจาพอประจําชั้นยืนทําหนาบูดแจกสายตาสะกดไปทั่ว
"แตชีวิตเธอก็มีความหมายนะปรศุ ใชวาอาทิตยนี้ไรจุดรวมสายตาแลวเธอจะกลายเปนความวางเปลา
ไป"
๔๗๔
เด็กหญิงชายอึ้งกันทั่ว
"รูไหมวางูนี่ของใคร?"
ปรศุสั่นหนา
ปรศุสั่นหนาอีกแบบเด็กไมมีสัมมาคารวะ
นักเรียนหุนลูกบาสไดแตกลอกตา อั้นอึ้งพูดไมออกสักคํา
"กลับไปนั่งที่จะ เอาทุกคนชวยปรบมือใหกับผูกลาหาญจับงูยางของเราหนอย"
แพตรีเลือกถามนักเรียนที่พยักหนารับวาสงสัย
แพตรีหันมาหาสวนรวม ผายมือนิดๆไปทางเด็กหญิงผูตอบ
ชิดธารียิ้มแหย สั่นหนา
"คงไมไหวหรอกคะ"
"มันอาจงายขึ้นนะถาเราไมพูดจําเพาะเจาะจงลงไป เชนแทนที่จะพูดวาการใสบาตรพระเปนความดี ก็
เปลี่ยนเปนการใหทานเปนความดี ไมวาจะใหแดพระ หรือใหกับคนเดือดรอนและสัตวทั้งหลาย คําวาการ
ใหทานจะจูงไปชี้ใหเห็นจิตใจที่คิดสละ คิดชวยเหลือ ครอบคลุมไปหมดเลย ซึ่งพอแจงแลวคอนขางมีขอ
แยกยอยละเอียด ละไวกอน เดี๋ยวคอยใหตําราบอกเรา ทีนี้วาถึงดานตรงขาม..."
แพตรีเปลี่ยนสายตาไปที่เด็กหัวหนาชั้น
"จักกาย เธอบอกซิวาความชั่วมีอะไรบาง"
๔๗๖
บุคลิกของหัวหนาชั้นฉายความโดดเดนชัดเจนตางจากเพื่อนรอบกาย ดวงตาดําใหญทอแววเจาความคิด
เกินวัย เราใจใหแพตรีจดจอฟงคําตอบอยางคาดหวังวาจะไดยินอะไรดีๆ
"การโกหกครับ"
ครูสาวรอฟงตอ แตเมื่อเห็นจักกายเงียบเสียงเพียงเทานั้นก็เลิกคิ้วสูง
"อยางเดียวเองนะหรือ?"
หัวหนาชั้นพยักหนา
ความผูกโยงชนิดนั้นทําใหความเมตตาแปรเปนเย็นชาเล็กนอยดวยความรูสึกสวนตัว ทาทางหนุมนอย
นายนี้คงเชื่อมั่นวาที่ตัวเองพูดออกมานั้นถูกไปหมดทุกอยาง
“ใหเหตุผลซิ”
"ตอบดีนี่..."
ปลายเสียงสุดทายพราพลิ้ว เมื่อรูวาเสียงตกก็กะพริบตาสูดลมหายใจเขาเพื่อรวมสัมปชัญญะใหม
"วาแตเธอเคยเผื่อใจใหการโกหกเพื่อผลที่ดีงามบางหรือเปลา?"
ถามแลวแพตรีก็รูสึกผิด อาจเปนการเผลอยิงคําถามที่ยากเกินวัยและลอแหลมตอการกอทรรศนะเกี่ยว
กับความดีความชั่วที่ผิดเพี้ยนแกเด็ก ไดแตรอฟงวาทะของจักกาย และพรอมกันก็คํานวณหาทางออก
สวยๆเอาไวในหัวไปพลาง
"ถาใครเจตนาสรางผลที่ดีงามแกสวนรวมแลวตองบิดเบือนความจริง ผมอยากเรียกวานั่นคือการแสดง
ละครครับ แตผมก็ยังเชื่ออยูวาการเลือกเฉพาะสวนที่เปนความจริงมาพูดคลี่คลายสถานการณลําบาก จะ
ทําใหทุกอยางลงเอยดีกวาเจตนากลับดําเปนขาวใหคนอื่นจับไดทีหลัง"
๔๗๗
“ครับ”
“แลวเธอเคยโกหกไหม?"
"เคยครับ"
"ทั้งรูวามันเปนบาป เปนความชั่วงั้นหรือ?"
ถึงตอนนี้แพตรีคิดหนักขึ้นเปนสองเทา เพราะรูแนแลววากําลังอยูตอหนาเด็กอัจฉริยะคนหนึ่งที่คิดและ
เจรจาไดยิ่งกวาผูใหญเสียอีก ปจจุบันมีวิธีการที่เกือบเปนสูตรสําเร็จมากมายเพื่อผลิตสมองผูใหญไวใน
รางเด็ก เชนพูดคุยและปฏิบัติกับเด็กเปนเหตุเปนผล เปดเพลงคลาสสิคใหฟงแตออนแตออก เปดโลก
ทัศนหลากหลายเราผัสสะเต็มที่ในชวงหกปแรกซึ่งเซลลประสาทในการรับรูมีพัฒนาการสูงสุดในชีวิต สง
เสริมใหเด็กทุมเทจิตใจอยูกับสิ่งที่ชอบ ตลอดไปจนกระทั่งดูแลคัดสรรอาหารที่ทางการแพทยยกนิ้วโปง
ใหลวนๆ
๔๗๘
เด็กที่พอแมมีฐานะและเอาใจใสจริงจังในการเลี้ยงดูลูก อาจโชคดีไดรับการศึกษาแนวใหมเชนนีโอฮิวแม
นิสต ซึ่งเล็งที่จะสรางมนุษยในอุดมคติขึ้นมาใหได กลาวคือมีความรูแนน และเปยมดวยจิตใจดีงาม หลัก
สําคัญคือปอนทั้งความเขาใจโลกตามแนววิทยาศาสตร และความเขาใจตนเองดวยจิตเหนือสํานึกอันลึก
ซึ้งควบคูกันไป
นั่นหมายถึงผูปกครองจะไมแปลกใจเมื่อเห็นลูกๆนั่งคนควาตํารับตําราในหองสมุดตามแรงบันดาลใจใฝรู
ที่แทจริง และในวันเดียวกันอาจทําโยคะแสวงหาความสงบสุขชั้นเยี่ยมไปดวย
ตั้งแตโบราณมา เด็กที่ไดรับการเลี้ยงดูใกลเคียงแนวคิดแบบนีโอฮิวแมนิสตไดแกโอรสธิดาในราชวงศที่
ยิ่งใหญ หรือลูกหญิงชายของคหบดีที่มั่งคั่ง กลาวคือจะไมถูกปดกั้นการเรียนรูสิ่งใหมๆทุกชนิดในวัยตน
ของชีวิตซึ่งถูกเราไดงาย ทําใหดูเหมือนเปนคนมีพรสวรรคหลายดาน อันนี้ไมเห็นเปนเรื่องนาอัศจรรยอีก
ตอไป โดยเฉพาะเมื่อดูการวิจัยเก็บสถิติเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางสภาพแวดลอมในการเติบโตและ
ไอคิวของมนุษย ที่สรุปวายิ่งคนเราเขาสัมผัสประสบการณหลากหลายเทาไหร ใจเปดกวางเรียนรูสรรพ
สิ่งและผูคนแบบตางๆมากแคไหน ก็จะยิ่งมีไอคิวสูงไดมากกวาเกณฑเฉลี่ยเพียงนั้น
และแนวคิดเชนนีโอฮิวแมนิสตก็ไมจําเปนตองจํากัดอยูในสถาบันศึกษา อาจดําเนินไปขณะอยูที่บานของ
ผูมีฐานะปานกลางถึงดีมาก โรงเรียนนี้ก็จัดวาเปนแหลงชุมนุมลูกคนรวย จึงไมนาประหลาดใจนักถา
หลอนจะพบกับเด็กประเภทนี้อีก และอีก
แตถาหากเด็กเกงขึ้นมาผิดวัยเพราะสนใจทุมเทใหกับสิ่งเราดานใดดานหนึ่งเพียงอยางเดียว โดย
ปราศจากการจงใจขัดเกลา ควบคุมอารมณที่รุนแรง ก็อาจเปนไดทั้งคุณอนันตและโทษมหันต
ยังไมรูเทานั้นวาเด็กอัจฉริยะที่หลอนกําลังเผชิญหนาจัดอยูในพวกไหน
จักกายพยักหนา
ครูอยากใหคิดกันวาโลกนี้มีเธอเปนสมาชิกอยูคนหนึ่ง เปนสมาชิกที่สามารถตัดสินใจกอผลกระทบดีราย
ตราบเทาที่ยังไมสิ้นชีพ ถาหากพื้นฐานความคิดของเธอดี เชนตั้งใจไวกอนวาถึงอยางไรก็จะไมโกหก มัน
จะเปนจุดเริ่มตนชีวิตที่นาชม ถึงแมวันหนาเธอจะพบกับสถานการณยุงยากซับซอน ยากที่จะพูดอะไร
ตรงไปตรงมา เธอก็คงรูวาควรพูดแคไหนโลกถึงจะไมช้ํา ธรรมถึงจะไมขุน"
เงียบกริบกันทั้งหอง ปรศุลอบเอียงหนาไปกระซิบกับพัลลภ
"สงสัยเพิ่งสึกจากชีเมื่อเชา"
แพตรีหันมาทางจักกายอยางติดใจ แตก็รูสึกวาจะเปนการผูกขาดอยูสักหนอยถาถามเขาตออยูคนเดียว
จึงเลี่ยงมาหาเด็กหญิงที่นั่งขางจักกาย หลอนเพิ่งสังเกตสังกาเต็มที่และพบวาเปนเด็กผูหญิงหนาตาสวย
หวานยิ่งคนหนึ่ง
"ลานดาว หนูลุกขึ้นยืนซิ"
เด็กหญิงลุกยืนตามคําสั่ง นักเรียนทั้งหลายรอดูกันวาครูแพตรีจะสาธิตอะไรอีก
"จักกายคะ"
๔๘๐
บรรดาเพื่อนฝูงเฮกันตึง ความมีสวนละมายกันระหวางจักกายและลานดาวทําใหหลอนอยากคิดวาทั้ง
สองเปนลูกพี่ลูกนอง จึงนั่งติดกันอยางจะดูแลชวยเหลือเปนพิเศษ คุนๆจากบัญชีรายชื่อวาหองนี้มีเด็ก
นามสกุลซ้ํา ก็อาจเปนสองคนนี้เอง แตเสียงเฮของเพื่อนฝูงก็ทําใหแพตรีนึกรูวาทั้งสองคงมีใจที่ดีเกิน
ญาติตอกันอยูบางแนๆ ไดแตทําใจวายุคสมัยมันเร็วและเต็มไปดวยความเรงรัด แมเรื่องรักเรื่องใครก็ไว
กันเหลือเกิน หัวเพิ่งเลยพนักเกาอี้มาหนอยเดียวเอาแลว
"คนตอไปละจะ"
เด็กหญิงมองกวาดอีกครั้ง กอนเอยออกมา
"ชิดธารี แลวก็พานลดาคะ"
เมื่อเด็กชายรบชนะยืนขึ้น ก็ไดรับคําสั่งจากครูสาวเหมือนเดิม
"มองใหทั่ว แลวบอกชื่อคนดีที่สุดในความคิดของเธอสามคน"
รบชนะตอบทันทีอยางเตรียมไวแลวในใจ
"ออ ฮะ คนแรกคือตัวผมเอง"
อยางนี้โดนโหแนนอน ไมวาชายหญิงสามัคคีโหเปนเสียงยาว
แพตรีสั่นศีรษะ
"คนอื่นที่ไมมีสวนไดเสียกับเธอสิ เอาตอบใหม"
รบชนะหันรีหันขวาง แลวตัดสินใจชี้
ครูแพตรีผงกศีรษะเปนเชิงใหนั่งลง แลวเรียกนักเรียนอีกคน
"ฉมาละ ยืนตอบครูซิ"
"จักกาย...ลานดาว...เชลงชีพครับ"
๔๘๑
แพตรีเหวิถีสายตามาหาเขา
"เขา...เรียนเกงครับ"
สมชายตอบงายๆ
"ภาสกรละ จักกายดีที่สุดตรงไหน"
"เขาชวยเพื่อนทุกคนครับ แลวก็เปนศูนยหนาที่ทุกขางตองการตัว"
มีการสงเสียงเชียรจากบรรดาดาวบอลพอประมาณ แพตรีฟงยิ้มๆ
"หทัยธรา ไหนออกความเห็นมั่ง"
ครูสาวผงกศีรษะ ซอนมือขวาลงบนฝามือซายในทาสรุปความ
แพตรีเบนสายตามาทางผูเปนขวัญใจประจําหอง พูดนําในแบบดึงภาพลักษณอันเลิศเลอนาปลื้มเปรมลง
มาบาง
“แตบางเวลาความเดนก็ไมใชเรื่องนาพิสมัยนักหรอกนะ...จักกายวาจริงมั้ยคะ?"
๔๘๒
"แลวความดีที่สุดในตัวเราควรเปนอะไรครับ?"
แพตรีหันมายิ้มให กอนตอบดวยดวงตาเปนประกาย
จักกายมองคุณครูดวยแววยอมรับ
เด็กหญิงลานดาวถามเสียงใสขึ้นบางดวยความอยากรู อันเปนธรรมดาของเด็กที่คลางแคลงวาในหลาย
ศาสนาที่ปรากฏใหผูใหญเลือกนับถือนั้น ศาสนาใดดีที่สุด ประเสริฐที่สุดเหนือศาสนาอื่นทั้งปวง
แพตรีทิ้งทายคําตอบดวยความสวางที่ฉายออกมาจากหัวใจ ภาพปรากฏตอสายตาเด็กวัยสิบขวบทั้งหอง
คือผูใหญคนหนึ่ง เปยมเต็มดวยกระแสความการุณยและความเปนตัวของตัวเองอันคงที่ แจมชัดอยูในใจ
ผูประสบพบพานทั้งหลาย
"แลวครูนับถือศาสนาอะไรครับ?"
๔๘๓
"พุทธศาสนาดียังไงฮะ?"
ฉมาถามบาง
ฉมาถามซ้ํา
"ครูเขาถึงเปาหมายแลวใชไหมครับ?"
"แลวทําไมเราถึงตองเกิดมาเพื่อทําอะไรที่เรากําลังทํากันอยูดวยคะ?"
หทัยธราซักมาอีกทาง เพราะสงสัยอยูเนิ่นนานเต็มที
“พี่ชายหนูบอกวาเราเกิดมารอความตาย”
เชาตรูอันโรยรอบดวยอากาศบริสุทธิ์เย็นสบายของวันหนึ่ง มติรูสึกตัวตื่นขึ้นมาดวยสัญญาณแหงใจรูของ
ผูปฏิบัติธรรมอยางตอเนื่อง ประสาททุกสวนทํางานเต็มสภาพ ตอบสนองความรูพรอมทั่วถึงของสภาว
จิตอันสวางไสวนิ่งแนนทรงกําลังใหญ
ดึงหลังขึ้นตั้งตรงทรงแนวโดยอัตโนมัติ สัณฐานกายตลอดสรรพางคปรากฏเปนหลักยึดสติอันไพบูลย
หนาทองขยายออกดึงลมเห็นเปนลํายาวแชมชัด บังเกิดความแชมชื่นยิ่งใหญกับสายลมหายใจที่พาลม
บริสุทธิ์เขาสูกาย
ความสันโดษและมักนอยของมติชวยใหจิตใจไมซัดสายแสวงหาสิ่งอื่นนอกจากสายลมหายใจและความ
สงบสงัดเฉพาะหนา ปติสุขล้ําลึกอยูในวิหารอุปจารสมาธิอันเปนเสมือนรางวัลขั้นกลางแกผูดํารงสติ ปลีก
ตัวออกจากกามอันหยาบ พึงใจเสพแตอารมณอันประณีตเชนนี้
มติประคองจิตใหนิ่งไวเหมือนผูรักษาความเรียบของแผนน้ําดวยการปองลมมิใหกล้ํากรายเขากอคลื่น
สุดยอดแหงรสอิสระชนิดนั้นนาใคร นาเขาถึงจนแมนางนวลที่แผปกนิ่งอยู ณ อากาศสูงเหนือทะเลกวาง
ยังอาจอิจฉา
เปนเชาวันที่เจ็ดติดตอกันที่มติตื่นขึ้นรับอรุณดวยอุปจารสมาธิอันเบิกบาน ตลอดชวงระยะเวลาที่ผานมา
นี้ เขาไมคะนึงคิดเขาหาสิ่งอื่นใดเลยนอกเหนือไปจากการปฏิบัติภาวนาที่ใหรสอิ่มเอม ปราศจากขอขัด
แยง ไมตองอาศัยใครอื่นชวยใหเกิดความสมหวัง มีตัวของตัวเองเทานั้นเปนผูกอ ผูสาน และผูเขาถึง
รสปติในวิเวกจืดตัวเมื่อกระแสดึงดูดของจิตคลายลง นั่นเปนความหมายวาพลังพิเศษที่ตรึงจิตไวเสื่อม
สภาพตามธรรมดาของสิ่งปรุงแตง มติตัดความอาลัยไยดีทิ้ง ประคองไวเฉพาะความเห็นสัณฐานกาย
ตลอดรอบ พิจารณาเห็นความดับไปแลว ผานไปแลวของพลังรูสวางไสว แลวคอยลืมตาขึ้นอยางเต็มสติ
มีความนิ่งมั่นหนักแนนเปนลักษณะ มีความบางเบาปลอดโปรงโลงอกเปนรส
๔๘๕
สิ่งที่ยังคงดํารงอยูคือสภาพจิตอันทรงสติรูในขั้นขณิกสมาธิ เห็นกายออกมาจากภายในเหมือนกับที่เคย
เห็น มีลําตัวตั้งตรง มีแขนขาแยกออกเปนสี่ระยาง มีหัวตั้งอยูสวนบนสุดเปนประธาน สิ่งที่แตกตางคือ
ความคมชัดและตอเนื่อง ทั้งนี้ก็เพราะกระแสรูรวมนิ่งที่จุดเดียวตรงกลางๆแหงสํานึก ไมซัดสายเรรวน
ตามระลอกคลื่นความคิดฟุงซานเหมือนอยางสภาพจิตปกติ
ความรูในขณะแหงขณิกสมาธิยังคงเปนความรูที่ชัดกริบ ตางจากอุปจารสมาธิคือไมมีปติสุขลนหลาม
และไมมีความนิ่งรวมเปนศูนยใหญเทา คนทั่วไปที่ทํางานหนัก เพงจดจอกับงานอยางตอเนื่องเปนเวลา
นานๆจนกระแสจิตรวมนิ่ง ตางไดประจักษภาวะชนิดนี้กันมาแลวทั้งนั้น เสียแตวาความคิดหยาบยังลอง
ลอยวกวนปราศจากทิศทาง ตางจากผูบําเพ็ญภาวนาที่ตั้งใจกําหนดจับรูแมความคิดที่ผุดแผวขึ้นในหัว
นิมิตคือเครื่องหมายของสิ่งตางๆที่เห็นชัดไดดวยจิต จะเปนเคาเงารูปทรงหรือกลุมกอนแบบใดๆก็ตาม
อยางเชนนิมิตแหงรูปกายซึ่งใจแตละคนครองอยูนั้น ปรากฏเปนนิมิตที่แตกตางกันตามสภาพจิต จิตใคร
มีสภาพรวมศูนยเขารูมากหนอยก็ปรากฏเปนหัว ตัว แขนขาครบถวนเหมือนขังน้ํานิ่งไวเต็มตลอดตัว แต
ถาสภาพจิตใครไมมีสภาพรวมศูนย ความคิดจรผุดขึ้นกอกวนใหเกิดความซัดสายอยูตลอดเวลา เมื่อ ‘รู
ตัว’ ก็รูไดนิดเดียว อาจเปนชวงหัวถึงไหล หรืออาจเปนชวงหลัง สวนใดสวนหนึ่งเทานั้น และรูไดเพียง
ประเดี๋ยวประดาว ไมตอเนื่องยืดยาวอยางขณะเปนสมาธิ
คนเดียวกันก็เห็นนิมิตกายตนเองแตกตางกันไดเพราะสภาพจิตนี่เอง ที่ตรงนั้นมติกําหนดวากายเหมือน
เดิม แต ‘สัญญา’ ตางไป
แตก็ใกลเขาไปแลว
เมื่อคลายจากลักษณะรูละเอียดที่แยกนามออกจากนามได มติก็กลับมายึดกายไวเปนฐานรูอยางเหนียว
แนน ความคิดจรเขามาก็รูวาเกิดขึ้นในกายนี่เอง ไมปลอยใหคลาดเคลื่อนแมแตวินาทีเดียว ความรูสึก
ยามนั้นเหมือนเขามาอาศัยอยูในรูปหุนกระบอกที่วางเปลาจากตัวตน จืดชืดไรรสชาติ แมความสวางรูก็
ถูกเห็นเปนธรรมชาติอันวางเชนกัน
เมื่อทุกผัสสะทั้งนอกกายและในกายถูกจับรูละเอียดพรั่งพรอมตามจริงเชนนั้น มโนภาพแหงตัวตนก็
สาบสูญไป เหลือไวแตการเห็นเต็มสองตา การไดยินเต็มสองหู การแตะตองเต็มกาย กับการผุดความคิด
เปนระลอกในโพรงวางของกะโหลกชัดใจ มีตัวผูรูสถิตดูอยางเต็มตื่นในทามกลางความเคลื่อนไหวไหล
เลื่อนเหลานั้น สนิทนิ่งอยูเพียงเดียว
ความทุกขทางกายจากการปวดปสสาวะบันดาลความกระสับกระสายทางใจ เรงใหคิดเดินเขาหองน้ําเพื่อ
ปลดปลอยระบายออก วูบนั้นมติเห็นเปนความนาสังเวชยิ่งชนิดหนึ่งของอัตภาพมนุษย
ชีวิตประจําวันทั้งหมดของมติถูกรวมเขามากลั่นเปนธรรมใหพิจารณา แมขณะนั่งทานขาวเชาคนเดียว
เดี๋ยวนี้ ก็พยายามตามรูอาหารและน้ําที่เขาปากแตละครั้ง พบวาสติของตนขาดหายไปกับรสอาหารเสมอ
แมเอาจิตไปเกาะกับทางเขาคือปาก และปลายทางคือชวงทองที่หนวงหนักขึ้นเรื่อยๆ วางความติดใจรส
อาหารไดชั่วครู ก็ไมคงเสนคงวาเหมือนอยางพระที่ทานฉันสํารวมในบาตร
เปนตัวอยางใหเห็นวาจิตรูยังไมแกกลา เอาชนะผัสสะไมได
เห็นชัดวาความหางจากนิพพานไมใชวัดเปนระยะกิโลเมตร แตวัดดวยน้ําหนักสติ
พยายามจับพินิจมาที่ตัวความทอที่ปวยการเปลา และเปนธรรมดาเมื่อพินิจรูสิ่งใดก็เห็นอนิจจังของสิ่งนั้น
เหมือนมองเมฆเฉยๆสักพักก็ยอมเห็นเมฆเคลื่อนหรือเปลี่ยนรูปไป มติเห็นตัวความทอสลายหายหนไป
ณ ตําแหนงที่มันเกิดขึ้นหอหุมใจนั่นเอง
กําหนดใจไวเหมือนจะหยอนอารมณดวยการเดินเลนสบายๆ ตางกับเดินเลนนิดเดียวที่ใจจอรูอยูแตฝา
เทาที่เตะไปขางหนาแลวคอยวางเหยียบลงสนิทกับพื้นอยางนุมนวล เทาที่ไมเกร็งนั้นเองพาใหใจนุมนวล
และรับผัสสะไดไว โยคาวจรหนุมเริ่มยางเทาไมชาไมเร็วเหมือนเดินทอดนองหลังทานขาวธรรมดา
จังหวะที่สม่ําเสมอคงที่นั้นเองพาใหใจจับจังหวะถูกและมีความคงเสนคงวาไปดวย
‘อยูคนเดียวดีแลว’
ตัวรูกระจางไสวขึ้นทุกขณะ สองสวางเอกาอยูตรงกลางการสัญจรเขามาแลวจากไปของความคิดระลอก
แลวระลอกเลา ไมเปดชองใหความคิดใดเขาคลุกเคลากับตัวรูเลย รูในทันทีที่ความคิดเกิดขึ้นวานั่นไมใช
๔๙๐
จอจิตกับอารมณใหญนานพอจะรวมดวง ก็เหมือนไฟอนัตตาลุกทวมกายอันปรากฏเปนเพียงธาตุแข็ง
ทรงรูป ดูสวางโพลนเต็มตัว ฉายชัดอยูกับจิตที่ตั้งหลักรูจากกลางอก เห็นกระดูกฉาบเนื้อที่สักแตเคลื่อน
ไหวไป สวนใจก็ปรากฏเปนเพียงแสงรูกับรสอุเบกขาแหงตนเอง จัดเปนฌานอันเกิดแตวิปสสนา เรียกวา
‘ลักขณูปนิชฌาน’
คิดหาอะไรทําคั่นจังหวะกอนอัดพลังรูดวยสมาธิรอบใหม มานั่งสํารวจตั้งหนังสือบนโตะเล็กที่ยังไมได
อาน เลือกเลมหนึ่งซึ่งยืมมาจากเพื่อนสนิทใกลบาน ขนาดพอดีมือแบบบาง ครึ่งปกซีกขวาเปนรูปวาดผา
สูงในแบบศิลปะของชาวตะวันออก ครึ่งปกซีกซายเปนชื่อหนังสือลายหวัดวา ‘น้ําชากนถวย’ เลียนอักษร
จีน โดยมีชื่อผูเขียนกํากับคือ ‘สมภาร พรมทา’ เปนฉบับพิมพครั้งแรกตั้งแตป 2527
๔๙๑
มติอานบทบอกกลาวคราวๆเพื่อทราบความเปนมาของผูเขียน และความเปนมาของหนังสือซึ่งเกี่ยวกับ
นิกายเซน สิ่งที่นาสนใจคือการประกาศวานั่นเปนหนังสือเซนที่เขียนอานงาย ไมเปนวิชาการ พอดีกับ
ความตองการหาเรื่องสบายๆมาคั่นจังหวะปฏิบัติของเขา
มติเคยอานเรื่องราวและคําสอนของเซนมาบาง โดยความรูสึกสวนตัวแลวไมไดเปนลบหรือเปนบวกชัด
เจน ตระหนักเพียงวาถาหลักปฏิบัติของเซนไดผลจริง ผูสอนตองเขาถึงธรรมมากอน และมีความหยั่งรู
ลึกซึ้งที่จะสะกิดศิษยใหเห็นธรรมตามในจังหวะเหมาะที่สุด
ชวงทายบทเปนการกลาวถึงวิธีการที่พระนิกายเซนชอบใช นั่นคือลงไมลงมือประกอบการตอบคําถาม
เพื่อสะกิดใหใครบางคนเกิดความรูแจง ตัวอยางเชนเมื่อพระนิกายเกาสวนกับพระนิกายเซนขณะเดินบน
สะพานขามสองฝงแมน้ํา พระนิกายเกาทําทีถามเปนปริศนาธรรมวาแมน้ํานี้ลึกเทาไหร สอนัยคือ ‘เซน
นั้นลึกซึ้งแคไหน?’
พระเซนไดยินเชนนั้นก็ตอบดวยการผลักพระนิกายเกาตกลงไปในน้ํา แลวบอกตามหลังวาอยากรูก็ลงไป
วัดเอาเอง สอนัยสวนกลับคือ ‘ถาตองการทราบเรื่องเซนก็ตองลองปฏิบัติเซนดู’
๔๙๒
เขาเนื้อหาบทที่สาม
ขึ้นตนดวยคําถามวาเซนคืออะไร?
เกิดคําถามขึ้นมาวาถาจิตไมมีศีลและปญญากํากับ อะไรจะเปนหลักประกันวาทําๆไปแลวไมเขารกเขา
พง?
จนเชาวันหนึ่งพาหิยะก็มาถึงเมืองที่พระพุทธเจาประทับอยู เวลานั้น
พระพุทธองคพรอมพระสาวกกําลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตอยู พาหิยะก็รีบตรง
เขาไปหาพรอมกับออนวอนใหพระพุทธองคแสดงธรรมใหฟง
๔๙๓
พาหิยะกราบทูลวาชีวิตคนเราเปนสิ่งไมแนนอน จะตายเมื่อไหรก็ไมอาจ
พยากรณได เวลานี้เขามีโอกาสไดเฝาแทบพระบาทของพระพุทธองค นับ
เปนโชคอยางยิ่งขอพระองครีบแสดงธรรมแกเขาเถิด
พระพุทธองคเห็นพาหิยะแสดงเหตุผลเชนนั้นจึงรับสั่งสั้นๆเปนเทศนาธรรม
วา “พาหิยะ ถาอยางนั้นเธอจงปฏิบัติตอสิ่งรอบกายเพียงสักแตวามันเปน
อยางนั้น เมื่อเธอไดยินเสียง ก็จงสักแตวาไดยิน ไดเห็นก็สักแตวาเห็น อยา
ยึดมั่นวามันเปนตัวตน”
เกิดปรากฏการณในระดับความเขาใจ จินตนาการถึงการไดยินวาเปนสิ่งกระทบหูแลวเกิดความรูเสียงขึ้น
ในใจ ไมใชตัวตน ตัวคิดที่ตามมาก็ไมใชตัวตนไปดวย ความรูสึกในตัวตนเชนในบัดนี้ เดี๋ยวนี้ จึงเปนแค
ของหลอกชั่วขณะหนึ่งๆที่ยังมีลมหายใจ
ถัดจากนั้นจึงเกิดปรากฏการณในระดับของสภาวจิตซึ่งอบรมไวแกรอบ อุปาทานแมที่แฝงอยูในตัวรูอัน
ละเอียดก็ถูกทําลายลง เพราะสภาพรูขณะนั้นก็ปรากฏตอตนเองเปนเพียงสภาวธรรมหนึ่ง เมื่อเหลือแต
๔๙๔
สวนความวางอันเปนอารมณละเอียดขั้นสูงสุดที่จิตทะลุรูปนามออกไปรู ธรรมชาติอันพนภาวะและอ
สภาวะนั้น ไมอาจกําหนดวามีศูนยกลางตรงไหน ขอบเขตสิ้นสุดอยูที่ใด แมความหมายรูทิศซายขวา
หนาหลัง บนลาง ก็ไมปรากฏเลย เปนธรรมชาติอันนาตื่นตะลึงอีกระนาบอันเปนตางหากจากกาย ความ
รูสึกนึกคิด และสัญลักษณแหงความเปนตัวตนใดๆ
ธรรมชาตินั้นคือนิพพาน!
สภาพทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเปนเรื่องละเอียดออนลึกซึ้ง เมื่อธาตุรูหลุดพนจากการหอหุมของสังขารหยาบ
เชนกายและความรูสึกนึกคิด ก็ปราศจากสิ่งใดเทาธุลีคลุกเคลาปรุงแตง สามารถเห็นประจักษชัดวาไมมี
อัตตาในที่ใดๆเลย มีแตสภาวธรรมที่เปลี่ยนไดเชนกายและความรูสึกนึกคิด กับสภาวธรรมที่เปลี่ยนไม
ไดคือธาตุรูอันเดิมแท ไมเคยเกิดตายตามกายและวิญญาณในภูมิตางๆ
มหาสุญตานั้นมอบความรูจริงวาอะไรที่เปลี่ยนไดก็เพราะมีความปรุงแตง มีความบีบคั้นใหสิ้นสุดภาวะ
หนึ่งๆ อะไรที่เปลี่ยนไมไดก็เพราะปราศจากการปรุงแตง ปราศจากการบีบคั้นใหสิ้นสุดสภาพ สมดังที่
พระพุทธองคตรัสไวในธาตุวิภังคสูตรความตอนหนึ่งวาสิ่งที่เปลาประโยชนเปนธรรมดานั้นเท็จ สิ่งที่ไม
เลอะเลือนเปนธรรมดา ไดแกนิพพานนั้นจริง
ยิ่งกวานั้นยังยากนักที่จะทราบวาสภาพอันไมเลอะเลือนเชนนิพพานมีอยู เพราะไมรูทางปฏิบัติใหจิตหลุด
ออกจากความผูกมัดยึดมั่นในสภาพปรุงแตงเสียได
พิจารณาสังโยชนเปนเครื่องผูกรอยรัดทีละเสนไดแก
พระอนาคามีทําลายสังโยชนเบื้องต่ําลงไดหมด มีความสุขอันเกิดแตจิตอันสงบนิ่งเปนธรรมชาติ
ของตนเอง แตยังมียองใยกิเลสเบื้องสูงอีกตามลําดับคือ
และเพื่อสลัดใหหลุดจากความเห็นเปนตัวเปนตน ก็ตองอาศัยความเห็นแจงในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
ของธรรม ไดแก อนิจจลักษณะ คือความไมเที่ยงของทุกสภาพ ทุกขลักษณะ คือความไมอาจทนอยูใน
สภาพใดสภาพหนึ่ง อนัตตลักษณะ คือความปรุงประกอบประชุมกันอันหาเจาของผูครองผูบัญชามิได
กลาวจําแนกตามวิถีทางดับความเห็นวาเปนตัวเปนตนไดคือบางทานตามเห็นกายใจ (อันไดแกลมหายใจ
กิริยาทางกาย ความรูสึก ความนึกคิด) สักแตเปนภาวะเกิดดับ เกิดดับ กระทั่งเกิดปญญารูการดับครั้งสุด
ทายแลวหลุดจากความยึดมั่น จิตเขาถึงความเห็นอะไรอีกอยางหนึ่งที่ไมมีลักษณะเกิดดับ ไมมีสัญญาณ
ของความเคลื่อนจากภาวะใดไปสูความดับจากภาวะนั้น นี่เรียกวาเขาถึงมรรคผลดวยความรูแจงอนิจจ
ลักษณะ
อีกปจจัยที่สําคัญคือพลังในการอนุโมทนาอันแรงกลา เขาเปนผูมีความยินดีกับโชควาสนาของคนอื่น
เสมอ เพียงอานเรื่องของทานพาหิยะ ทราบวาทานรีบรุดเดินทางไกลจนไดพบพระพุทธองค ก็ปลาบปลื้ม
ปรีดาถึงขีดเดียวกับทาน จิตสําคัญวาตนอุตสาหะเหนื่อยยากจนไดมาเฝาตอเบื้องพระพักตรไปดวย นี่คือ
อานิสงสของความเปนผูปกติมีใจอนุโมทนา ยินดีกับลาภ ความสําเร็จ และความสมหวังของผูอื่นจนฝงใน
กมลนิสัย หัดดีๆแลวไมตองลงทุนลงแรงเหมือนคนอื่นก็ไดบุญเทาคนอื่นสบายๆ ใครหาวาเอาเปรียบก็ไม
ไดดวย เชนเขานั่งกับที่แทๆ ไมไดเหนื่อยยากเชนทานพาหิยะ กลับไดสวนบุญใกลเคียงกันเพราะจิตนึก
ตามความตั้งใจจริงและอนุโมทนารวมไป ชนิดที่เรียกวาถาไปแทนทานพาหิยะ ณ เวลาและสถานที่เดียว
กันได เขาก็จะทําเชนเดียวกับทานทีเดียว
ความเดิมในพระสูตร แปลจากบาลีเปนไทยมีดังนี้
พาหิยทารุจีริยะถามวา
เทวดาตอบวา
ภิกษุเหลานั้นตอบวา
"ดูกรพาหิยะ พระผูมีพระภาคเสด็จเขาไปสูละแวกบานเพื่อบิณฑบาต"
แลวพาหิยทารุจีริยะก็ไดเขาไปเฝาพระผูมีพระภาค หมอบลงแทบพระบาทของพระผูมีพระภาคดวยเศียร
เกลาแลว ไดกราบทูลพระผูมีพระภาควา
เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอยางนี้แลว พระผูมีพระภาคไดตรัสวา
แมครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ไดกราบทูลพระผูมีพระภาควา
พระผูมีพระภาคตรัสวา
ในเมื่อบุกน้ําลุยไฟมาพบบุคคลอันปรากฏยากแสนยากอยางนี้แลว ทานยอมเกรงวาโอกาสประเสริฐสุด
จะมีอันตองหลุดลอยไปเพราะความตายอันพยากรณไมได เรียกวาสิบนาที ครึ่งชั่วโมง ก็นานพอจะเปด
ชองใหมัจจุราชมาพรากโอกาสไปเสีย จึงเฝาทนรบเราพระพุทธองค ขอทรงแสดงธรรมใหฟงเสียเลย
นั่นคือการเอาความประจักษสภาวะหยาบ ณ เวลาปจจุบันยกขึ้นตั้ง
ลําดับตอมาเมื่อพระพุทธองคตรัสสั่งวา เมื่อทราบจักเปนสักวาทราบ
ลําดับตอมาเมื่อพระพุทธองคตรัสสั่งวา เมื่อรูอยูจักเปนสักวารูอยู
ชนวนมรรคผลตองมาลงที่ใจ นอมธรรมเขามาที่ใจนี่เอง
๕๐๔
พาหิยสูตรยังมีตอไปอีกวา
ครั้นพระผูมีพระภาคเสด็จ เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปจฉาภัต
เสด็จออกจากพระนครพรอมกับภิกษุเปนอันมาก ไดทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทํากาละแลว จึง
ตรัสกะภิกษุทั้งหลายวา
พระผูมีพระภาคตรัสวา
มติศึกษาพระสูตรอันทรงอุปการคุณแกตนดวยความเออลนแหงธรรมปติ กราบแลวกราบอีกระลึกถึงพระ
พุทธคุณ รวมทั้งพระคุณของทานพาหิยะ หากปราศจากทาน ก็คงไมมีพระธรรมเทศนาตรงอันแสนวิเศษ
และลัดสั้นเชนนี้ และหากปราศจากพระธรรมเทศนาตรงอันแสนวิเศษและลัดสั้นเชนนี้ มีหรือที่เขาจะ
พลอยไดรับสวนแหงประโยชนเปนมรรคผล เขาอาจตองใชเวลาเปนแรมเดือน แรมป หรือหากเคราะห
รายตายในวันสองวัน ก็คงอีกหลายภพหลายชาติกวาจะมีวันนี้ ที่ถึงความปลอดภัย เขากระแสนิพพาน
เยี่ยงเหลาอริยบุคคลทั้งหลาย
นั่นหมายความวาโสดาบันอริยบุคคลก็ตองอาศัยสมาธิ จึงจะปลิดปลงความรูสึกในตัวตนลงไดชั่วขณะ
หนึ่ง ซึ่งหากมองอยางผิวเผิน ปุถุชนอันถือเสมือน ‘คนนอกกระแส’ ก็ตองนึกวาไมเห็นแตกตางจากผู
ปฏิบัติธรรมที่ยังเปนกัลยาณชนธรรมดาตรงไหน
อันที่จริงแลวอริยเจาทั้งหลายมีลักษณะรูที่แตกตางออกไป ถาใชภาษาพูดก็ตองบอกวาผูปฏิบัติที่ยังเขา
ไมถึงจริงนั้น มีพฤติกรรมทางจิตแบบ ‘แกลงรู’ วาสังขารไมใชตัวตน สวนผูปฏิบัติที่ผานมรรคผลมาแลว
จะมีพฤติกรรมทางจิตแบบ ‘รูจริง’ ไมตองแกลงคิดปรุงแตงเสียกอน เห็นอยูเองอยางนั้นเลยทีเดียว
ผูปฏิบัติทั่วไปนั้นเหมือนนักแสดงที่เขาถึงบทจนรูสึกวาตนเองเปนตัวละครหนึ่งจริงๆ ไมสงสัยเลยใน
ขณะแสดง แตพอถอดโขน ออกจากฉากไดก็กลับคืนเปนคนเกา ผิดกับผูปฏิบัติที่เขาถึงมรรคผลแลว จะ
ไมมีตัวละคร ไมมีผูแกลงแสดงเปนตัวละคร ทั้งหมดเปนของจริงเนื้อเดียวกัน เปนตัวของตัวเองเต็มที่
ยังตองเหนื่อยใจจะขาดตอไปเรื่อยๆอยูดี
แยมยิ้มสดชื่นอยูตลอดเวลาดวยกําลังขับจากปติอันไดจากธรรมาภิสมัย จิตรกรหนุมมาพิจารณาภาพ
เขียนที่จะสงเขาประกวด เปนรูปสายลูกไฟยืดยาวที่จบลงดวยไฟสวางเปนประกายพรึก โดยใหชื่อรูปคือ
‘ตรัสรู’ อันเปนแนวคิดที่แพตรีแนะนําเมื่อไมนานมานี้
นั่นคือภาพที่วาดไวขณะยังเปนกัลยาณชนผูปฏิบัติจิตภาวนา
๕๐๗
โดยเฉพาะอยางยิ่ง จิตของปุถุชนจะไมมีลักษณะสวางรูความวางชนิดไรศูนยกลางและไรขอบเขต
แสงสวางที่สองจัดจาเปนอนันตขึ้นมาจากกลางอก แทรกผานวังวนเครื่องหอหุมอันมืดมน
มติเลือกใชสีมวงอมดําแทนกิเลสและสิ่งปรุงแตงเปนเกลียวน้ําวนชั้นนอก ใชสีน้ําตาลเหลืองและชมพูออน
อมมวงเปนเกลียวน้ําวนชั้นในใกลกับดวงรูอันสวางพิสุทธิ์ ที่ไดชองผุดโพลงขึ้นมาเมื่อทางเปด
และนี่คือกลอนที่เขาเขียนแดธรรมาภิสมัยของตนเองเปนการกํากับภาพอีกชั้น…
ทําไมเหวยไมเคยซึ้งจนวันนี้ วันที่มีพระผูชี้จนกูหาย
วันที่เพงเล็งรูดูใจกาย กิเลสพายสํารอกกูรูชัดใจ
แสงวิสุทธิ์ผุดชําแรกแหวกทางออก จากคอกขังพังสูฤกษเบิกบานไสว
แยมยิ้มแจงแทงกระจางกายใชใคร ใจใชกูรูแนแทแคธรรมา
๕๐๘
“เพิ่งกลับเหรอฮะ?”
“ฮื่อ กําลังจะเขาบานเนี่ย”
“ไมเจอกันเปนอาทิตยๆเลย ตอนนี้แตงชุดครูแลว”
“เธอละ สบายดีหรือเปลา?”
“สบายดีครับคุณครู”
“เพิ่งไปเที่ยวไหนมาหรือเปลา?”
มติสั่นศีรษะ ทําตาฉงนนิดหนึ่งเพราะนึกวาแพตรีเขาใจผิดอะไร
แพตรีเบี่ยงเบนมาอีกทาง
“แลวงานประกวดภาพพระพุทธศาสนาไปถึงไหนแลวละ คงสงเรียบรอยแลวซี”
“งั้นตอนนี้ก็ยังอยูที่บานสินะ ขอดูมั่งไดไหม?”
“เธอกําลังจะออกไปธุระที่ไหนไมใชเหรอ?”
“จะซื้อของกินใสตูเย็นเทานั้นแหละ รออีกพักก็ได”
พอเห็นนองชายหันหลังกลับดุมเดินจะไปเอาของมาให แพตรีก็ตัดสินใจเดินตาม
“อาว…รอที่บานเถอะฮะพี่แพ ไมตองเหนื่อยหรอก”
“ใหเธอแบกยอนมายอนกลับไดไง”
เมื่อพี่สาวแสดงเจตจํานงเชนนั้น มติก็ไมวาอะไรอีก
มติอยากใหแพตรีชมผลงานของตนเงียบๆ จึงขอปลีกตัว
“ดูไปกอนนะพี่แพ เดี๋ยวผมเอาอะไรมาใหทาน”
วาแลวก็ถอยเทาจากหอง ปลอยพี่สาวไวตามลําพัง
แพตรีอึ้งงันเปนครูคลายถูกสะกด กอนถอนสายตาไปยังแผนกระดาษแข็งใตรูปที่มีหมึกดําลงเปนอักษร
ออนชอย
ชื่อภาพ ‘แสงนฤพาน’
ใจแพตรีเปนอันหนึ่งอันเดียวกับความดีจนสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่อยูเหนือความดีได เพียงเห็นภาพนิ่งที่ดู
มีพลังเคลื่อนไหวประหลาด รวมทั้งอานถอยคําในบทกลอนขยายความนั้น ก็บังเกิดปติ ใจอนุโมทนาเปน
ลนพนกับความสําเร็จของนองชาย
อยูใกลชิดกับปูชนะแตออนแตออกจนคุนกับกระแสความเปนอริยบุคคล เมื่อหลอนถามวาใชหรือเปลา
ทานก็เคยเผยตรงๆในฐานะคนสนิทที่รูเห็นพฤติกรรมกันมากพอควรแกการเชื่อ
ทานใช และขณะนี้ก็เปนถึงพระสกทาคามีแลวดวย!
ปูเคยถายทอดภาวะขณะการบรรลุแตละชั้นใหหลอนฟงอยางละเอียด เมื่อธาตุรูเดิมแทผุดขึ้นแสดงตัว
สัมผัสนิพพานครั้งหนึ่ง ก็คือเกิดลูกไฟลางกิเลสหนึ่งหน คําบอกเลานั้นเมื่อนํามาเทียบเคียงกับภาพและ
รอยกรองที่ปรากฏตรงหนา ก็ทําใหทราบไดวาขณะนี้มติเขากระแสแลว เปนคนในแลว เปนของจริงแลว
เปนหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งของพุทธศาสนาที่ยังไมเสื่อมสูญไปจากโลกมนุษย
บดริมฝปาก…ถาโบกมือบอกศาลา ฐานะอยางหลอนตองทํายังไงนะ?
สายตาเหลือบไปปะกับกองหนังสือที่สุมไวแบบมักงายตรงมุมหอง แพตรีกาวเนือยๆเขาหาดวยความตั้ง
ใจจะชวยมติจัดใหเปนระเบียบ หลอนไมเคยทนเห็นอะไรรกหูรกตาได โดยเฉพาะที่เปนรองรอยแสดง
ความชุยของนองชายคนนี้
จับซอนกันไปซอนกันมาเรียงลําดับจากใหญขึ้นมาหาเล็ก กระทั่งมือไปควาสมุดขนาดพ็อกเก็ตบุคเลม
หนา หนาปกสีชมพูเลมหนึ่ง ยนคิ้วเล็กนอยดวยความรูสึกคุนเคยวาเปนสมบัติเกาของตน
เปดหนาปกพบลายมือตัวเองเมื่อเกือบสิบปกอน ผะผาวไปทั้งหนาเมื่อรูแนวาใช
ใจเตนแรงดวยความคาดไมถึง บวกกับความอับอายเมื่อนึกวานี่นาจะเปนเลมเดียวกับที่ตนบันทึกเรื่อง
ราวแสลงใจและ ‘ไมปกติ’ เอาไวมากมาย ชนิดที่ตองการเก็บซอนไวอานเองคนเดียวอยางแทจริง หลอน
เขาใจวาทิ้งมันรวมกับ ‘ขยะ’ อื่นที่ตองการฝงลืมไปแลวดวยซ้ํา เหตุใดจึงมาอยูในมือมติได เขาขโมยมา
หรือ?
เปนความเผอิญที่มาสะดุดเอากับยอหนาหนึ่ง กระทบใจในยามนี้เขาพอดี…
๕๑๒
น้ําตาซึมออกมาจนตองกะพริบกั้นไมใหลนขอบ กล้ํากลืนความรูสึกเจ็บคํารบสองลงคออยางยากเย็น
เดี๋ยวนี้รูคําตอบแลววาเพราะเหตุใดหลอนจึงระลึกจําไดอยูเพียงคนเดียว…
เขาเปนคนมีใจจริง…หลายดวง
คนไมปกใจหนึ่งเดียวแนวแนจะจําอะไรแนบแนนขามภพขามชาติไดอยางหลอนเลา
แตก็เกิดความขัดแยงขึ้นมาเมื่อตรึกนึกถึงปางกอน เขาทุมเทจนหมดตัวเพื่อพยายามพยุงชีวิตหลอนไว
จากโรครายเรื้อรัง เมื่อสิ้นสมบัติเงินทอง เห็นแนวาหลอนตองตาย ก็สาบานวาจะเขาปาบําเพ็ญพรต
รักษาพรหมจรรยจนกวาจะตายตามหลอนไป เพื่อไมตองพบกับหญิงอื่น รอพบกับหลอนทุกภพทุกชาติ
เพียงคนเดียว…
เขาทําใหหลอนไมสงสัยในความรักขามภพภูมิ และหลอนเองขอรองใหรวมเปลงวาจาอธิษฐานตอหนาสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ คือพระพุทธรูปในบาน ขอความซื่อสัตยตอกันดลใหจํากันไดเสมอเมื่อพบกันอีก
ดวยภูมิจิตที่สูงพอของเขา เปดโอกาสใหหลอนซึ่งครองภาวะเทพลงมาเยี่ยมเยียนและฟงธรรมตาม
โอกาส ปลูกสัมพันธภาพที่ใสสะอาดตอกัน กระทั่งเขาละสังขารสูพรหมโลก และกลับมาเกิดในโลกมนุษย
อีก
การเกิดของเขามีกระแสดึงภาวะของหลอนใหตามลงมาดวย หลอนจําชวงจุติลงมาเปนมนุษยไดเพียงราง
เลือน ทราบแตวามีพลังอยางหนึ่งกระชากภาวะเทพยดาของหลอนกอนถึงอายุขัย ตอเมื่อเปนเด็กหญิง
แพตรีอายุหกขวบ จึงเหมือนใจตอไดติดกับความเปนตนเองในหนหลัง เห็นอดีตติดตอกันเปนเรื่องเปน
ราวยาวยืดเพียงชั่วอึดใจที่นั่งสวดมนตมองพระปฏิมาในโบสถวัดทางนฤพาน
แลวก็ตระหนักวาระลึกไดแคชาติเดียวนั้น ยังรูจักสังสารวัฏนอยไป…
คนระลึกชาติไดจริงไมใชหมายความวารูเรื่องหนหลังทั่วถึงทั้งหมด อยางมากก็มีมุมมองกวางกวาคนทั่ว
ไปหนอยเดียว ที่แทยังมีแขนงสาขาของเหตุผลเบื้องหลังความซับซอนมโหฬารของสังสารวัฏอีกมากนัก
ถูกปดบัง แฝงฝง เรนซอนอยู
ปรารถนานิพพานเลยดีกวา
กระทั่งวันที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
๕๑๔
ยอมรับกับตนเองประสาซื่อวามีความวูบไหวเอาการ ความกระตือรือรนออกหนาออกตาของเกาทัณฑนํา
มาซึ่งความปลาบปลื้มและอารมณถวิลหาอาวรณเกาๆใหกลับคุขึ้นอีก ความชางยั่วแหยและเสนหคมคาย
ตองตาตองใจของเขาเรงใหหลอนออนลงรวดเร็วอยางนาอาย ขนาดตอบรับการขอหมั้นอยางเผลอไผล
ดวยการพยายามตีสนิทของเขาเพียงชั่วเวลาหนึ่งเดือนเทานั้น
แตชั่วขามคืนเดียวเชนกัน ที่เขาทําใหหลอนรองไหและเจ็บหัวอกจนซึ้งวาภาวะการตรอมใจตายเปน
อยางไร เสียดแสบรอนราวขนาดไหน
ถาภาวะบุพเพสันนิวาสของผูหญิงคนนั้นไมแรงพอกับหลอน จะเกิดเรื่องอยางนี้ไดหรือ?
ยิ่งเจ็บหนักขึ้นเมื่อทราบวาอีกคนของเขามากอนหลอน
หากไมทราบขาวมรณกรรมอันนาสลดสังเวชของเรือนแกว คงเปนที่นาเขาใจวาเขาตัดสินใจทอดทิ้ง
หลอน และเลือกเรือนแกวเปนคูชีวิต…
ทาทางคงไวทุกขใหกับคนรักของเขาจนไมมีแกใจคิดถึงหลอนอีกเลย นี่ยิ่งเปนการประกาศคุณคา
ระหวางผูหญิงสองคนของเขา คนตายมีความหมายยิ่งกวาคนเปนเสียอีก อยางนี้ถาเรือนแกวยังอยู จะยิ่ง
มีความหมายเหนือหลอนสักขนาดไหน?
๕๑๕
“ทานชมพูกันพี่แพ”
ชวนแลวก็ชะงักกึกเมื่อเห็นแพตรีเหลือบแลมาทางตนดวยสายตาขึ้งเคียดอยางไมเคยเปนมากอน ดวงตา
ช้ําและคราบน้ําตาสองสายยิ่งทําใหรูสึกช็อก แตเมื่อเหลือบเห็นไดอารี่ในมือพี่สาวก็พอเขาใจเปนเลาๆ
แตแคเผยอปาก แพตรีก็ขยับไดอารี่ถามตัดหนา
“ใครใหเอามานะ?”
“อานกี่รอบแลว? สนุกมากไหม?”
“ผมขอโทษนะพี่แพ”
เอยดวยเสียงสํานึก ทวาก็พยายามไมใหออยจนเปนการยั่วโมโหทางออม
แมปกหุมพลาสติกก็ถูกถอดพลาสติกออกขยํา ดูราวกับวางานนั้นแพตรีตองใชกําลังไปมากมายจนออน
เปลี้ยมือสั่น มติชักเห็นทาไมดีก็ตอนหลอนหนาซีด เหมือนจะโงนเงนชอบกล จึงตัดสินใจไปนั่งใกลๆ
อยากประคับประคองดวยความเปนหวง
หญิงสาวรีบเอื้อมมือจับตนแขนอีกฝายแนน กลาวทั้งตัวสั่นระริก
“มติ พี่ขอโทษ”
เด็กหนุมคอยๆหันหนากลับมา สบตาหลอนแลวตอบเสียงนิ่ม
แพตรีจองมองเขาชัดๆในระยะใกล เหลือบเล็งแกวตาซายขวาของมติทีละขางสลับกันสองสามหน มี
ความผูกพันไมเปนอื่นอยูที่นั่น สัมผัสไดถึงสัมพันธภาพบริสุทธิ์ปราศจากความนาคลางแคลงระหวางกัน
เขาคนนี้จะไมมีวันทํารายหลอนเลย จะดวยกรณีใดๆก็ตาม
“ชางเถอะ…พี่ไมนาจะมีอะไรตองปดบังเธอหรอก”
เกิดความออนแอขึ้นมาอยางผูหญิงคนหนึ่ง ที่มีคําพูดมากมายเก็บกดไวรอเวลาพรั่งพรูทะลักทลาย
มติพยักหนา
แพตรีระบายยิ้ม พยายามเปลี่ยนเรื่องใหแจมใสขึ้น
“อานทั้งเลมอยางนี้ก็รูความในใจหมดสิวาพี่คิดและเขียนเกี่ยวกับเธอไวยังไงบาง”
“ฮะ…จําไดสนิทติดหัวอยูประโยคหนึ่ง ตอนพี่แพเขียนวาตอบคําถามเด็กชางซักจนชักอยากเปนครูขึ้น
มาแลวซี…” เวนวรรคมองเครื่องแบบหลอนดวยตาเปนประกายลึกซึ้ง “วันนี้ไดเปนจริงๆ”
หญิงสาวกะพริบตา มองนองชายดวยยิ้มคางอยูพักหนึ่งกอนเอย
มติฟงแลวเบนหนาไปมองภาพแสงนฤพานเปนครู จึงหันกลับมา
“อาบน้ําบอใหญแลวตองขออาบบอเล็กทําไมฮะ พี่แพอยูกับปูมาตั้งกี่ป”
“พี่มันไมเอาไหน ยังเอาดีไมไดเลย”
“ทานผลไมกันเถอะ”
“เดี๋ยวพี่เอามีดมาผาซีกให”
“ไดลงโทษเด็กใหคาบไมบรรทัด กางแขนยืนขาเดียวเหมือนที่เคยทํากับผมหรือยัง?”
แมครูสาวหัวเราะ
“เคยเหรอ เอ…ตอนนั้นทําไมพี่ใหเธอทําอยางนั้นละ?”
คุนๆวาเคยเลนบทสมมุติเปนครูลงโทษนักเรียนกับมติ แตลืมแลววาเหตุจูงใจคืออะไร
“งั้นเหรอ เออ…จําไดแลว”
“อะ…”
เด็กหนุมเผยอปากรับ พอเคี้ยวกลืนจนหมดก็วา
จูๆมติเปรยขึ้นมาคลายตองการแกเกอกับตนเอง มากเสียกวาอยากใหแพตรีไดยิน
“พี่แพคงเคยเปนพี่สาวของผมมากอนแนๆเลย เสียแตวาชาตินี้ไมไดเกิดจากทองแมเดียวกันเทานั้น”
หญิงสาวผาชมพูเฉยเปนครู กอนตอบทั้งสายตาเหลือบต่ําจับความเคลื่อนไหวที่มือ
“ผม…คงทําใหพี่แพไมสบายใจเกี่ยวกับรูปที่เคยวาดดวยความฟุงซาน หวังวาพี่แพคงไมถือสากับความ
เหลวไหลชั่วครูชั่วยามของผมนะฮะ”
“แพกลับบานดีกวา”
นั่นเปนนิทรรศการภาพประกวดทางพุทธศาสนาที่เก็บผลการตัดสินของกรรมการไวในซองลับ และจะ
ประกาศเผยผลในชวงบาย ทั้งนี้เพื่อใหผูชมตระเวนดูผลงานกันโดยปราศจากอคติและลําเอียงเสียกอน
จะไดรับสารจากศิลปนตางๆเต็มที่ สวนจะวิพากษวิจารณชอบชังกับผูมาดวยกันอยางไร อยากใหใครได
เหรียญทอง เหรียญเงิน หรือเหรียญทองแดงนั้น ก็สุดแลวแตนานาจิตตัง
ความหลากหลายของผลงานเกือบหารอยชิ้น ประดับบนแผงกั้นชั่วคราวที่เรียงรายเบียดเสียดอยูใน
บริเวณแสดง แลนเลยไปถึงสวนอื่นของอาคารนับแตทางเดินขึ้นมา กอใหเกิดมิติใหมสมใจเจาภาพ นั่น
คือไดมีการรวบรวมประสบการณ มุมมอง และความคิดสรางสรรคเดนแปลกของจิตรกรทั่วประเทศ นํา
มาไวในที่เดียวกัน เพื่อแสดงสาระธรรมในพุทธศาสนาอยางพรอมเพรียง งานสวนใหญมองออกงาย ยิ่ง
เมื่ออานรอยกรองกํากับก็ยิ่งเกิดความเขาอกเขาใจทะลุปรุโปรง
นี่เปนผลของแรงจูงใจอยางใหญ แนนอนรางวัลกอนโตมีสวนดึงหัวกะทิและมือทองทั่วประเทศเขามารวม
ตัวกันอยางไมเคยปรากฏมากอน
นั่นทําใหทุกคนทุมเทกันสุดตัว บางคนลงทุนไปนั่งวิปสสนาตามสํานักดังเพียงเพื่อใหไดแรงบันดาลใจ
ประดิษฐงานสงเขาประกวดโดยเฉพาะ!
นับเปนงานสืบทอดพระศาสนาอันสําคัญยิ่งงานหนึ่ง
ชมไดเพียงสองสามภาพก็ปะเพื่อนนักศึกษารวมรุน โดยทีฆายุเปนฝายถูกเรียกทักกอน
“ตุย!”
“เพิ่งมาถึงเหรอะ?”
ตั้งทัพถามและหันไปยักคิ้วใหคนนารักของทีฆายุอยางสนิทคุน
“นี่แหละงานกู”
ตั้งทัพบอกดวยยิ้มโอ ทีฆายุเหลือบลงอานโคลงสี่ที่เปรียบเหมือนบทบรรยายขยายความ
อานเสร็จก็เหลือบขึ้นมองภาพซ้ํา เปนภาพชายคนหนึ่งถูกดึงลิ้นอันยาวเหยียดเหมือนสายยางฉีดน้ําออก
มาพันรัดคอจากเบื้องหลัง โดยผูกระทําการดึงลิ้นแตงชุดครุยแบบเนติบัณฑิต หนาตาถมึงทึงแบบจะ
ฆาตกรรมใหตายดวยลิ้นของชายเคราะหรายนั้นเอง
เผอิญทีฆายุกับฟองชลหัวเราะออกมาพรอมกันอยางเก็บความขําไมอยู ตั้งทัพหนาเสีย
“ตลกเหรอะ?”
“ซีวานาประทับใจจนลืมไมลงเชียวละ”
ตั้งทัพฟงยังไงก็รูวาเพื่อนทั้งสองแคเสพูดใหกําลังใจเทานั้น จึงยิ้มกรอย
"ยัง"
“เดินหาดูกันไหม?”
ทีฆายุเห็นชายผมสีดอกเลาเดินเขามาในทางตาก็ยกมือไหวดวยความเคารพ
๕๒๓
“เออ วาไง”
สมบูรณพารางผอมเกร็งมายังกลุมนักศึกษา ตบหลังทีฆายุศิษยโปรด
“อาจารยมานานแลวหรือยังคะนี่?”
ฟองชลยื่นหนาถามยิ้มๆ
“แลวอาจารยเห็นที่พอเขาเคามั่งรึยังฮะ?”
ตั้งทัพถาม
“เหรอครับ ภาพเปนยังไง?”
“ชื่อภาพแสงนฤพาน อานกลอนแลวรูสึกยังกับมันไปบรรลุอะไรมา”
“เมื่อกี้ก็ทัก วันนี้มันพกนางฟามาประดับบารมีดวยละ”
ตั้งทัพตาตื่น
๕๒๔
“คนที่เราเคยเห็นเดินดวยกันในศูนยการคาเมื่อหลายเดือนกอนหรือเปลา?”
บางกอกยักคิ้ว
ทีฆายุเบิกตาหนอยๆดวยความอยากรู
“สวยขนาดไหนวะ?”
อาจารยสมบูรณเบิกตาหนอยๆ
“นี่แหละนา โดนดาแลวยังไมรูตัว…มีหนาไปชมเขาอีก”
“ออ…เขาวาถาไปจํากัดแลวเดี๋ยวคนคิดตั้งชื่อใหเหมาะสมลงตัวกันไมออก เพราะขอธรรมในพุทธศาสนา
มีอยูตายตัว ถาใครอยากสื่อขอหนึ่งแลวเผอิญไปขัด ไปซ้ํากับคนที่จองไวแลว เลยตองคิดคอนเซ็ปตใหม
ทั้งที่อาจสื่อขอธรรมเดิมไดดีกวาคนอื่น”
๕๒๕
“แลวอวิชชาตามความหมายเดิมวาไงละ?”
“ไดเปนสมีดวย”
“สมีคืออะไรวะ?”
เห็นเพื่อนอยากรู วิเวกจึงยกมือตบบาและยิ้มขรึมสงเคราะห
“บา!”
“สวัสดีครับพี่นองชาวพุทธที่รักทุกทาน…”
“สวัสดีครับทานผูมีเกียรติทั้งหลาย”
ผมคงดีใจถาไดพิสูจนใหเห็นวาการรวมคนเกงมาทําประโยชนกันมากๆ จะกอใหเกิดคุณคาขึ้นในสังคม
ไทยเราอยางไร หากไดรับเสียงสะทอนในทางดีมากพอ ผมก็จะพยายามทําใหงานนี้มีขึ้นทุกป และอาจ
พยายามขยายขอบเขตการประกวดใหมีความหลากหลายกวาเดิม ถึงแมปไหนปจจัยความพรอมของผม
ออนลง ก็จะไดติดตอขอความรวมมือจากเพื่อนฝูง หรือหนวยงานของรัฐที่เห็นคาตอไป
อยากเรียนใหทราบวางานประกวดนี้ไมไดเล็งเอาเฉพาะเหรียญทอง หรือเพื่อประกาศใหทราบวาใครคือผู
ชนะ ใครคือผูมีความสามารถสูงสุดประจําป เราตองการพุทธศิลปที่มาจากการรังสรรคสุดฝมือจํานวน
มากตางหาก และอยางนอยถาผมไมอาจทําใหทานรูสึกวางานทางศาสนามีคาเกินกวาจะตีเปนราคา ก็
ตองทําใหเห็นวาเมื่อตีคาเปนเงินแลว ตองเหนือกวางานศิลปะธรรมดาที่ทานผลิตสงแกลเลอรี่ทั่วไป
เรียกไดวาเปนสิบเปนรอยเทา
เงินจํานวนหลายลานบาทสําหรับรางวัลที่หนึ่งอาจทําใหแตกตื่นในวงกวาง และยิ่งสําทับความรูสึกกัน
มากขึ้นเมื่อมีการประกาศเจตนารมณชัดวาถาเขาตาผมแลว สะเทือนความรูสึกผมไดแลว เปนอันวาตอง
ไดรางวัลเงินตอบแทนอยางแนนอน ผมมีความยินดีจะแจงใหทราบลวงหนาเลยครับวาปแรกนี้ มีรางวัล
ชมเชยสี่แสนบาทสิบรางวัล และรางวัลปลอบใจอีกถึงยี่สิบเจ็ดรางวัล ซึ่งอัตราต่ําสุดตามความพอใจของ
ผมคือเจ็ดหมื่นบาท”
คุณโภไคยกลาวตอเมื่อเสียงปรบมือซาลง
แตกฉานอรรถธรรมสักเทาไหร แตก็เปนชาวพุทธที่พอมองออกวาใครถายทอดธรรมะที่สุกแลวหรือยังดิบ
อยู
ฟงดูเหมือนเปนเรื่องยากที่จะหาใครถายทอดความรูธรรมที่สุกแลวออกมาไดดวยเงื่อนไขและขอจํากัดดัง
กลาว แตความจริงก็คือ เมื่อไดสัมผัสเขาถึงธรรม จะเห็นเองวามันงายครับ และผมก็คัดตัวอยางใหพวก
ทานดู ทั้งรางวัลชมเชย และรางวัลปลอบใจรวมแลวสามสิบเจ็ดชิ้นในวันนี้”
ความออนแอของพระศาสนาเริ่มขึ้นจากความออนแอในจิตใจของผูรูตัววามีหนาที่สืบทอด คิดกันแตวา
มือเราคนเดียวจะทําอะไรได เอาตัวรอดตามลําพังดีกวา มาชวยกันเถอะครับ ถอยธรรมของศาสนาพุทธ
ยังกระจายสรางความรมเย็นใหเกิดขึ้นอยูทั่วโลก ผมเดินทางไปประจักษมาดวยตนเอง พูดคุยแลก
เปลี่ยนความรูสึกนึกคิดกับเพื่อนพุทธศาสนิกชนดวยกันมาเปนสิบป ทราบดีวาไมใชไทยเราเทานั้นที่เปน
เครื่องชี้วาพระศาสนาจะอยูหรือไป แตไทยเรานี่แหละที่มีสวนสําคัญในการทําใหพระศาสนาแกรงขึ้นหรือ
ออนลง
๕๓๐
ตอไปก็คงถึงเวลาอันเหมาะสมที่เราจะประกาศเกียรติคุณของผูสรางสรรคงานจิตรกรรมอันทรงคา หวัง
วาตําแหนงที่หนึ่ง สอง สามคงสรางอนุโมทนาจิตอันยิ่งใหญแกพวกเรา และขณะเดียวกันคงไมเปนสิ่ง
บาดใจ เสริมอัตตาใหแกผูไดรับจนเติบโตเกินพอดี ทายนี้หวังเปนอยางยิ่งวาเราคงมีโอกาสพบกันดวย
บรรยากาศเขาใจเนื้อหาสาระธรรมเชนนี้อีกทุกปครับ”
“แหม จับใจนะครับ”
พิธีกรกลาวยิ้มยองผองใสประสาลูกนองที่ดี เปนกองเชียรใหเจานาย
“ผมเองชวยงานทานมาแตตนก็เพิ่งทราบเจตนารมณที่ชัดเจนพรอมกับพวกทานเดี๋ยวนี้เอง เห็นความชื่น
ชมในตาของพวกทานแลวก็แนใจวาความปรารถนาของทานประธานจะถูกสืบสานอยางตอเนื่องเรื่อย
ไป…เอาละครับ ตอไปนี้ผมจะฉายภาพขึ้นจอ เรียงตามลําดับรางวัลเหรียญทองแดง เหรียญเงิน และ
เหรียญทอง หลังจากการประกาศเสร็จสิ้น ทานยังสามารถตามไปดูของจริงไดถึงที่นะครับ เราจะแปะโบว
ใหญไวเดนๆเห็นแตไกลเลยทีเดียว
ไฟใหญถูกหรี่ลงจนมืดสลัวไปทั่วอาณาเขตโดยรอบ เพื่อเตรียมฉายภาพจากเครื่องเลนสไลดแรงสูง
เหลือเพียงสปอตไลทขนาดเล็กจับเฉพาะที่ คือตําแหนงยืนของพิธีกร
เสียงปรบมือกราวดังขึ้นพรอมกับปรากฏภาพฉายสีสันสดใสเหมือนจริงบนสกรีนขนาดมหึมา เยื้องหลัง
พิธีกรไปทางดานขวา สิ่งที่เขาสูสายตาผูชมนั้น เห็นผิวเผินคลายผาน้ําตกแหงหนึ่ง แตเมื่อเพงพิศแลว
จะเห็นสายน้ําตกมีสองดาน ลักษณะเปนรูปยูคว่ํา คลายเอาผาพันคอสีขาวผืนยาวพาดราวตากเอาไว
องคประกอบอื่นของภาพถูกทําใหจางลงอยางจงใจ ไมวาจะเปนผาน้ําตกที่มีรองรอยรูปกระดูกซี่โครง
หรือทองฟาเปดโลงเบื้องไกล สายน้ําตกถูกขับเนนใหเดนชัดเปนอันดับหนึ่ง เห็นวาวขาวดุจประกายมุก
ใส ตามมาดวยฝูงกาและหงสเหนือยอดโคงของสายน้ําตก ซึ่งวาดไวสมจริงยิ่ง หงสเปนหงส กาเปนกา
กับทั้งจับตาชวนมองดวยวิธีวางตําแหนงองคประกอบสอดรับกัน
“ผูกองคงปฏิบัติธรรมมานานนะครับ”
๕๓๒
ขวัญหลากาวมายืนหนาขาไมโครโฟนของผูรับรางวัล กลาวตอบดวยเสียงหาวต่ําอันเจือดวยความนุม
นวลเยี่ยงผูมีชีวิตกรานกราวที่ถูกขัดเกลาความคิดเขากรอบสนิทแลว
“พอสมควรครับ”
นายตํารวจหนุมรับ
“ทาทางผูกองคงมีมิติในตัวหลากหลายทีเดียว ตอไปนี้ใครๆคงเห็นกันอยางกวางขวางวาคนใชชีวิต
สมบุกสมบัน เปนตํารวจทาทางจับผูรายเกง แทจริงอาจซอนความละเอียดประณีตชนิดที่ศิลปนอาชีพ
ตองอายอยางนี้”
“ผมคงไมมีฝมือขนาดที่เรียกวาเปนศิลปนไดหรอกครับ แคจิตรกรสมัครเลนคนหนึ่งเทานั้นเอง”
พิธีกรหัวเราะฮาๆ หันมากลาวกับคนฟงที่นั่งหนาสลอนในเงามืด
มีเสียงหัวเราะครืนแผวจากฝายคนฟง
“แทนที่จะคิดในแงนั้น มาลองนึกดูในแงที่วางานของตํารวจกอความรูสึกเครียดหนักใหเจาหนาที่ไดขนาด
ไหน แลวจะมีสิ่งใดมาชวยผอนหนักใหเปนเบาไดบาง ผมโชคดีที่เมื่อจบจากโรงเรียนนายรอยตํารวจ เริ่ม
ทํางานใหมๆ ก็ไดผูบังคับบัญชาที่ดีเปนครู ชวยฝกอบรมทั้งสมาธิและวิปสสนาให จนเกิดความเห็นวายา
ดีที่สุดสําหรับอาชีพแบบผมก็คือสมาธิและวิปสสนานี่เอง ไมเห็นจุดขัดแยงเลยครับ
“เปนคําตอบที่ทําใหหูตาของผมกวางขึ้นมากจริงๆ ไดยินมานานแลววาทหารกับตํารวจนี่ทําสมาธิสําเร็จ
กันไดไวนัก เพราะมีพื้นจิตใจหนักแนนมั่นคงและเด็ดขาดเปนทุน…อยากใหผูกองชวยเลาแนวคิดและ
ความเปนมาของภาพคราวๆ กอนที่จะอานรอยกรองดวยครับ”
ขณะแหงการรูในระดับภาวนาของผมไมมีอะไรมากกวานี้ ขอเพียงกําหนดรูนานพอจนเห็นลมหายใจก็
สามารถเห็นความคิดไดเชนกัน และเมื่อเราเห็นความคิดจนรูสึกถึงความเปนอนัตตา ไมมีตัวตนของเรา
ผูกติดอยู ก็จะพบวามันคลายสัตวปกที่บินวอนจากความวางเปลาสูความวางเปลาเทานั้น”
ริมฝปากหนาเตอะของพิธีกรแยมออกเปนรอยยิ้มกวาง เชนเดียวกับคนฟงขางลางหลายตอหลายคน
ผูกองหนุมมาดเทใหคําตอบทันทีแบบไมตองเสียเวลาตรึกตรองเรียบเรียงคําพูด
พิธีกรมองนายตํารวจคนเกงทึ่งๆ
ขวัญหลาผงกศีรษะเล็กนอย
“เหมือนกับตอนที่เราเขียนจดหมายสงถึงใครที่กําลังคิดถึงอยางมากนะครับ เราคิดถึงเขาจนมีคําพูดมาก
มายเรียงรายในหัว ขณะที่เขียนคําหนึ่งๆ รูสึกชัดเลยวาประโยคตอๆไปจะเขียนวาอยางไร เราทําได
อยางรวดเร็ว จิตใจจดจออยูกับเนื้อความที่ถูกถายทอดลงกระดาษแลว และที่ยังรออยูในหัวอีกมาก ไม
ของแวะกับเรื่องอื่นเลย นั่นแหละครับลักษณะจิตที่เกิดวิจาร
พิธีกรมองผูกองหนุมรุนลูกดวยแววชื่นชม วาทะเหลานั้นแสดงชัดในตัวเองถึงความแตกฉานในการ
ปฏิบัติ ไมเสียทีที่ไดรับรางวัลเลย
พิธีกรยื่นแผนกระดาษใหกับผูรับรางวัลเหรียญทองแดง ขณะเดียวกันเครื่องฉายอีกตัวก็ยิงลําแสงขึ้นสกรี
นขนาดยอมลงมาดานขางสกรีนใหญ เห็นตัวหนังสือคมชัดเพื่อใหผูชมไดใชสายตาอานไปพรอมกับหูฟง
จากปากขวัญหลา
เมื่อไมรูก็ดูมัวทั่วไปหมด จะคิดคดลดเลี้ยวเที่ยวทางไหน
จะเร็วชาพาตัวไปทางใด เอาแตใจใครอยากกระดากจริง
เวลาอยากปากแหงลงแดงงาย ยิ่งบาปหนาบาไดเหมือนผีสิง
ชะรอยรักอัตตาจึงกลาทิ้ง หมดทุกสิ่งเวนอยากลําบากนาน
เมื่อเขารูจะดูออกไมยอกยอน เริ่มจากงายหายใจกอนเปนพื้นฐาน
รูเขาออกนอกในใหสําราญ เมื่อเนิ่นนานละเอียดลงคอยปลงใจ
จับสนิทติดความคิดนิมิตหมาย อยูในกายคลายวางกระจางใส
เห็นเปนจุดสมมุติหนึ่งซึ่งไหลไป ไมปลอยปละปฏิวัติเปนอัตตา
อุปมาจิตคิดราย ดังกา
๕๓๖
คิดดีงามเลิศฟา พญาหงส
สักแตเรียงโบกบินรา ครูหนึ่ง สลายตัว
แลชุมกลับวายโลง อนาถแทอนัตตา
คุณโภไคยลุกขึ้นยืนกอนนายตํารวจหนุมจะกาวมายืนตรงหนา หยิบซองเช็กพรอมกลองใสเหรียญบุ
กํามะหยี่จากพานทองซึ่งเด็กสาวขางกายประคองถืออยู แลวยื่นมอบ ขวัญหลาพนมมือไหวอยางนอบ
นอมกอนชอนรับรางวัลดวยทีทาคุนเคยกับพิธีรับมอบจากมือผูใหญ
“ดีใจที่ไดรูจักกับคนที่จะชวยใหกรมตํารวจแข็งแกรงและสะอาดขึ้น”
ทานเจาของงานกลาวพึมพํายิ้มแยมเปนสวนตัวกับรอยตํารวจหนุมพรอมกับยื่นมือใหจับ ขวัญหลาถือ
ของไวในมือซาย และใชมือขวาจับมือคุณโภไคยดวยความเคารพ
“ผมก็ปลื้มใจที่ไดรับความกรุณาเชนนี้จากทานครับ”
ฟองชลเอียงหนากระซิบกับแฟนหนุม
“ใจจะวาย”
“ไมรูกรรมการเทน้ําหนักใหพวกนําเสนอในแนวปฏิบัติหรือเปลา ไอหมอเมื่อกี้มีลูกเลนแพรวพราวนาดู
ใหฉันพูดอยางนั้นหมดสิทธิ์เลย”
“ขอใหเหรียญเงินเปนของเธอ เหรียญทองเปนของซี”
ไมใชตัวแทนของพุทธศาสนา
คิดดวยความเห็นเชนนั้นจึงตั้งใจจะตีวงการสัมภาษณใหแคบเฉพาะที่เกี่ยวของกับรูปที่เขาวาด ทีฆายุถูก
ทักทายตามธรรมเนียม เชนถามวายังเรียนหรือเปลา อยูมหาวิทยาลัยไหน ปอะไร แลวก็วกเขาเรื่องทันที
“ไมทราบวาภาพนี้ไดแรงบันดาลใจจากงานศพจริงๆหรือเปลาครับ?”
“ครับ…”
โดยเฉพาะอยางยิ่งความที่เปนเวทีพุทธซึ่งเขาเห็นชัดจากผูรับรางวัลคนกอน เมื่อมาเปรียบเทียบกับตน
แลว เขาแทบไมรูอะไรสักกระผีกริ้น จึงเกิดความหนาวขึ้นมาวาเดี๋ยวจะเจอคําถามตอบไมไดใหเปนที่อับ
อายขวยเขินหรือเปลา
นั่นเปนประสบการณที่ทําใหเขาใจความหมายของการตายไดดีเปนครั้งแรก ในสภาพหนึ่งที่พวกเรากําลัง
เปนอยู ถามีอันตองสาบสูญไป จะหายวับไปกับตาแบบที่เห็นเผากันบนเมรุ หรือจะหายไปจากความรูสึก
เพราะเหตุคาดไมถึงใดๆ นั่นคือตายจากความเปนตัวตนเกาทั้งสิ้น คนตายไมไดพาแตตัวเองไปตาม
ลําพัง เขาพาความรูสึกสวนหนึ่งของผูเคยใกลชิดไปดวยเสมอ เมื่อคนขางหลังทบทวนอดีตและเห็นเหลือ
แตความวางเปลา ก็มักเกิดภาพของชีวิตขึ้นภาพหนึ่ง…นั่นคือไดทุกสิ่งมาเพื่อเสียทุกสิ่งไป”
๕๓๙
พิธีกรอมยิ้ม
“เปนแงคิดที่ชัดเจนมากเลยครับคุณทีฆายุ สมแลวที่สื่อภาพออกมาอยางเลิศจนไดรับรางวัลเหรียญเงิน
เมื่อกี้ระหวางฟงคุณทีฆายุพูด ผมไดเหลือบมองภาพที่ฉายบนสกรีนชัดๆ รูสึกตกใจหนอยหนึ่ง เพราะ
พบวาใบหนาของชายในภาพที่คุณทีฆายุตองการสื่อนั้น ดูเหมือนเปนตัวคุณเอง อันนี้ขอใหชวยแจงดวย
ครับวาผมเขาใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือเปลา”
“นึกไมถึงวาผมเปนคนสุดทายที่ไดคุยกับพี่เขา…”
“คงเปนลูกผูพี่ที่คุณทีฆายุสนิทดวยพอสมควร หากอยากจะกลาวอุทิศใหกับลูกผูพี่กอนอานรอยกรองก็
เชิญไดนะครับ พวกเราจะไดชวยกันเปนพยาน รวมแรงกันสะกิดใหเขารับรู”
สิ่งที่จะตองกลาวขานกันอีกนานก็คือแมอุปกรณซึ่งมีแบตเตอรี่เลี้ยงเองของกลุมผูสื่อขาว ก็พลอยดับมืด
ไปดวย แมแตไฟสัญญาณบอกฟงกชั่นเล็กๆก็ไมปรากฏใหเห็นเลยในชั่วขณะนั้น
“หวังวาลูกผูพี่ของคุณทีฆายุคงรับรูและยินดีกับความสําเร็จดวยนะครับ ผมชักอยากฟงรอยกรองของ
ภาพนี้เสียแลว โดยเฉพาะทอนหลังที่ผูพี่ของคุณทีฆายุมีสวนอยูดวย”
เห็นคนตายก็หมายรูเดี๋ยวกูดวย อีกไมชาชราปวยแลวมวยสูญ
ศพวางนอนอยางขอนไมคลายอิฐปูน รอขึ้นเผาใหเอาศูนยมานับกาย
เหลือเพียงชื่อใหลือจําทําไมเลา เขาก็รอคอขึ้นเขียงเรียงจากหาย
เหมือนกับเราเฝาจดจําแลวกลับตาย ชื่อก็วายกายก็วางวางหมดกัน…
๕๔๑
ทีฆายุถอนใจโลงอก เพราะรับทราบวาภาระอันนาขยาดของตนสิ้นสุดลงแตเพียงเทานั้น
กาวเดินเขาหาคุณโภไคย ซึ่งยืนยิ้มใสรอยื่นของรางวัลใหอยูพรอมแลว
“ภาพและรองกรองของคุณเคยเปนประโยชนมาแลวจริงๆ ขอใหใชความคิดสรางสรรคไปในทางที่สราง
สรรคตอไปนะ”
เพราะเขาสําเหนียกไดวาคลื่นความกลัวตายแผไปทั่วหอประชุมในนาทีนั้น
แพตรีเอนกายไปทางมติ กระซิบวา
“ฝมือรายกาจเชียว แตเฉือนเธอไมขาดหรอก”
มติหัวเราะอยางรูวานั่นเปนกําลังใจใหลุนรางวัลที่หนึ่ง เขาเอียงหนามาทางหลอนเล็กนอย
“ทีฆายุนี่เพื่อนผมเอง”
“เหรอ”
แพตรีลืมหนาเพราะไมไดตั้งใจมองเต็มตานัก แตรูวามติหมายถึงใคร
หมดความสนใจจะพูดถึงเพื่อนหนุมของมติ แตติดใจเตือนเขาในลักษณะเอียงหนากระซิบคุยกันนั้น
๕๔๒
“ตกลงแลวไง เลิกเรียกพี่ไดแลว”
มติยิ้มเจื่อน ออมแอมรับ
แพตรีหัวเราะเล็กนอย ตีหลังมือมติเบาๆอยางรูวาเขาแกลงเผลอ
“ถึงตาเธอขึ้นไปรับรางวัลแลวละ ลุกสิ”
“และตอไปคือรางวัลแดผูทําประโยชน สื่อสารเนื้อธรรมผานงานจิตรกรรมไดดีที่สุดในสายตาของคณะ
กรรมการปนี้…”
แพตรีเอื้อมฝามือนุมออนอุนมาวางบนทอนแขนมติ ราวกับจะใชสัมผัสละมุนแทนคําพูดวาในนาทีที่
สําคัญ เขามีหลอนเคียงขางอยางใกลชิดตลอดเวลา เสมอมาและจะเสมอไป
“ผมแววเสียงกระซิบมาครับวาเปนผลงานที่นาพิศวงมาก ซึ่งเดี๋ยวก็จะไดเห็นพรอมพวกทานนั่นแหละ
ครับวาควรแกการพิศวงอยางไร”
หยุดกระแอมคั่นจังหวะ บรรดาศิลปนเจาของภาพเกือบหารอยคนพากันเบิกจองพิธีกรตาคางเหมือนผี
ดิบ คลายรุมรอนในอกและอยากเคนคอใหพิธีกรเอยชื่อผลงานและนามของตน แตผลการตัดสินก็ปรากฏ
อยูในแผนกระดาษในมือพิธีกรใบนั้นแลว เปลี่ยนแปลงแกไขเปนอื่นไมไดแลว ถึงตั้งตาลุนเครงเครียด
เพียงใด เกร็งเนื้อเกร็งตัวจนบิดตะกูดแคไหนก็ไมมีผลใหการตัดสินพลิกผันเปนอื่น
พิธีกรเอยเนิบชัดในที่สุด
เหลาศิลปนไหลตกวูบกันเปนทิวแถว สิทธิ์และโอกาสทั้งปวงหลุดลอยไปแลวกับเสียงประกาศผลงานและ
ชื่อเจาของนั้น
เขาไดเปรียบปุถุชนก็ตรงนี้
รางหลอนคอนขางผายผอมอยางคนทานนอย ใบหนาสะอาดสะอานปราศจากเครื่องสําอางประทินโฉม
ผิวเกรียมแบบคนทํางานหนักและตากแดดตากลมบอย เคาหนาสงบในลักษณะของผูเครงครัดในวินัย
เกินสตรีธรรมดา นัยนตาดําคมกลา ฉายความนิ่งผิดปกติ ชนิดที่ถาไมมีบารมีอยูบาง มองแลวอาจ
สะทานเยือกและนึกอยากหลบในทันที
ความนิ่งตลอดรางของกฤติยาทําใหคนเห็นนึกถึงเครื่องกําเนิดพลังขนาดใหญ หลอนมีรัศมีแรงสูงชนิดที่
อาจตรึงใหผูใกลชิดถึงกับอึ้งเงียบในบัดดล พิธีกรกลืนน้ําลายลงคอดวยความรูสึกฝดฝน ตระหนักวาตน
ยืนอยูตอหนาผูหญิงที่ออกจะพิเศษเอามาก
ภาพที่ถูกฉายบนสกรีนก็ทําความงุนงงใหกับผูชมพอควร เพราะที่ผานมาลวนเปนงานจิตรกรรมซึ่งเนน
ทั้งความคมชัดของรูปทรง ความงดงามของการใหสี รวมทั้งความชัดเจนงายตอการเขาใจ แตนี่กลับเปน
วงกลมวงหนึ่ง ที่มีเสนสายลายเหลี่ยมซับซอนลายตาอยูภายใน ดูไมออกวาอะไรเปนอะไรในแวบแรก
จิตรกรหลายคิดวานั่นเปนศิลปะใหมแหงศตวรรษที่ยี่สิบในแนวอ็อพอารตซึ่งเนนการเลนกับสายตาผูชม
คือลวงตาดวยลายเสนประกอบสีใหเห็นคลายวาภาพเคลื่อนไหวไดอยางมีพลัง โดยอาศัยความรูความ
๕๔๔
เขาใจในธรรมชาติการเห็นของมนุษยที่มีตอเหลี่ยมมุมเรขาคณิตเหลื่อมซอนและแสงเงาสรางชั้นมิติตื้น
ลึกหนาบาง ประสานกันอยางกลมกลืนเพื่อหลอกใหเกิดความพิศวงใจ
แตบางคนก็รูสึกวามีอะไรพิเศษแฝงซอนไวอยางลี้ลับยิ่งกวาความเปนศิลปะอ็อพอารตขึ้นไปอีก เพียงยัง
แยกแยะไมออกในเวลาอันสั้น ประกอบกับที่แสงสีที่ตกบนสกรีนขาดความชัดกริบเหมือนของจริง ยิ่งทํา
ใหลําบากกับการเดาเจตนาของผูสรางสรรคมันขึ้นมา
พิธีกรตองกระแอมกุกหนึ่งกอนไถถาม
“ปจจุบันนี้คุณกฤติยาทํางานในแวดวงศิลปะหรือเปลาครับ?”
“คะ ดิฉันทําเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องประดับ”
หญิงสาวยิ้มเล็กนอย พิธีกรอดรูสึกเสียดายไมไดเมื่อสังเกตเห็นรอยลอกรอยดางบางแหงบนใบหนาอัน
เกิดจากการกรําแดดลม ดวยเคารูปหนานั้น หากหลอนเปนนักปรุงโฉมเหมือนสาวเมืองทั่วไป ก็คงเปน
แมโฉมตรูไดคนหนึ่ง
“โดยมากแลวดิฉันจะเก็บตัวอยูกับสํานักชีทางภาคอีสานหรือภาคใตไกลๆคะ”
นอยคนจะลวงรูความลึกลับของหลอน กฤติยาอยูเบื้องหลังการออกแบบเครื่องประดับชิ้นงามระดับโลกที่
ร่ําลือกันวา ‘เหมือนสมบัติเทพ’ ดวยความเขาใจอันลึกซึ้งในรูปความงามเพริดแพรวที่มีมากับคุณสมบัติ
และอํานาจแหงอัญมณีแตละชนิด หลอนรังสรรคเครื่องประดับกายที่ใหสัมผัสแนบเนียน บันดาลความรู
สึกประณีตสูงสงประหลาดล้ําในทันทีที่สวมใส ใสแลวจะเกิดความหวงแหนสุดชีวิตราวกับเปนองค
ประกอบหนึ่งที่มีคายิ่งในกายตนทีเดียว
เพราะหลอนไมไดใชสมองในการออกแบบ
กฤติยาขายลิขสิทธิ์อันแสนแพงใหกับบริษัทเลื่องชื่อ พวกเขาไดความรุมรวยมหาศาลจากยอดขายพรอม
กับความวุนวายในตลาดเครื่องประดับแถวหนาของโลก ขณะที่หลอนไดเงินกอนมหึมาพรอมกับความ
สงบในแดนพุทธ จาริกไปโดยปราศจากการเกาะแกะรบกวนจากกระแสธุรกิจอันเชี่ยวกราก เนื่องจาก
๕๔๖
การเขาถึงตัวหลอนตองผานหลายดานหลายชั้นนัก ธรรมชาติงานทําใหหลอนไมจําเปนตองปรากฏตัว
ตามงานหรูหรา หรือเปนขาวฟูฟาในสื่อตางๆ
บัดนี้แนนอนแลววารางวัลที่หนึ่งในงานประกวดภาพพุทธศาสนาเปนของหลอน ดวยผลงานอันประหลาด
และวิเศษเกินจินตนาการจิตรกรธรรมดา อยางไรก็ตาม ใหคาตอบแทนหลอนสามลานบาทกับไมใหเลย
แทบจะมีความหมายเทากัน หลอนมาเพราะปรารถนาที่จะมา ไมใชเพื่อรางวัลใหญหรือชื่อเสียง
จอมปลอมชั่วครูชั่วคราวใดๆทั้งสิ้น
“แปลอยางงายที่สุดก็คงไดวาลักษณะปรากฏไดสองอยางในสิ่งเดียวกันนะคะ โดยทั่วไปเจาะจงเอาคุณ
สมบัติที่ขัดแยง แตกลับมารวมอยูในสิ่งเดียว อยางเชนคุณสมบัติของแสง ซึ่งนักวิทยาศาสตรสามารถ
พิสูจนวาเปนไดทั้งคลื่นและอนุภาคพรอมๆกัน ลําแสงเดียวกันนี่เอง เราจะมองใหเห็นเปนคลื่นซึ่งมี
ลักษณะเคลื่อนไหวตอเนื่องเหมือนระลอกน้ําในทะเล หรือจะเปนอนุภาคซึ่งมีลักษณะเปนกอนแยกจาก
กันเปนเอกเทศเหมือนเม็ดทรายก็ได สองลักษณะนี้ขัดแยงกัน แตกลับกลายเปนสิ่งเดียวกันได ถาศึกษา
ลึกๆและรูมากอยางนักวิทยาศาสตรแลว จะเห็นวาอธิบายยาก หรือเปนเรื่องเหลวไหลไมนายอมรับเอาที
เดียว”
แลวพิธีกรก็ผินหนาไปทางภาพวงกลมที่ฉายคางบนสกรีนยักษ กอนหันกลับมาขอ
หญิงสาวเบนหนาไปทางดานลางเวที แลวเอยเปนกังวานเชนเดิม
ความสําคัญของภาพไมใชอยูที่การซอนลายซอนกันเพื่อใหมองไดสองมิติเทานั้น เมื่อคุณมองออกมาเปน
วงกลมกนหอย คุณจะรูสึกเหมือนถูกดึงดูดใหดิ่งจมลงไปในความลึกของจินตนาการแปลกใหม เพอฝน
เหนือจริง และใหความสุขไมตางกับจองอัญมณีที่มีคา แตเมื่อคุณมองเปนเกล็ดเพชร ความรูสึกจะแปรไป
เปนอีกแบบ คือเหมือนอยูในพงหนามนาระคายเคือง
เปาหมายสูงสุดของภาพทวิลักษณนี้ไมใชเพื่อใหเห็น หรือกอความรูสึกขัดแยงวาอยางไหนถูกอยางไหน
ผิด สิ่งใดจริงสิ่งใดลวง แตเพื่อใหรูสึกวาหนาตาของอุปาทานในใจเราเปนอยางไร ความรูสึกนึกคิดมัน
แปรไปไดตามวิธีมองของเราจริงๆ”
พักครูหนึ่งเหมือนจะใหทุกคนลิ้มรสความเขาถึงชนิดนั้นเชนเดียวกับตน กอนเอยสืบตอ
กฤติยารับกระดาษจากพิธีกร กมลงเปลงคําอานอยางสงบเสงี่ยม
สนิทนิ่งมิติงไหวไรความคิด ไรดวงจิตผิดถูกอะไรไหน
ไรสุขทุกขจุกอกสะทกใจ ไรสิ่งใดใกลกล้ําใหธรรมเมา
เปนรูปวาดจึงอาจตองครรลองตา ผิวนอกหนาดูสมกลมเสลา
แตเมื่อเพงเล็งหยุดจุดกลางเขา ก็กลับเราใหเราคิดผิดแผกกัน
เพราะอาจเห็นเปนกนหอยถอยทางลึก ตรึงใจนึกรูสึกหวานปานสายฝน
แตปรับตาหาเกล็ดเพชรก็เสร็จกัน จะกลับคั้นฟนใจใหระคาย
เปนตัวอยางทางดูใหรูแน วารูปแคแหยตาหาความหมาย
ใชบาปบุญคุณโทษแตโดดดาย จะดีรายขึ้นกับเลศกิเลสคน
หญิงสาวเบะปากยิ้มหมิ่นนิดหนึ่ง เพราะสัมผัสทางใจบอกวากระแสจิตทานประธานไมไดเขมขนสักเทา
ไหร ที่พูดเตือนเหมือนสั่งสอนหลอนก็คงดวยวัยวุฒิและความรูสึกแบบผูใหญที่มีตอเด็ก หลอนเจอมานัก
ตอนักแลว ถึงทําดี พูดเกง หรือรูมากขนาดไหน ก็ยังมีกิเลสหนาปญญาหยาบอยูทั้งนั้น ชนิดที่สมองกับ
หัวใจทํางานตรงกันเพื่อลดละกิเลสอยางถูกทาง ถูกพุทธิปญญานะ หาแลวเจอยากเหมือนงมเข็มใน
มหาสมุทรดีๆนี่เอง
ความชํานาญในการเขาออกสมาธิของกฤติยาทําใหสภาพรูดังกลาวเกิดขึ้นในชั่วครึ่งทางลมหายใจเขา
เทานั้น พอรูแลววาคุณโภไคยดีจริง ก็ชักเห็นวาคุมถาจะออกแรงเพิ่มอีกนิดเพื่อดูวาทานดีทนสักเทาใด
วัดจากพลังจิตอันเปนฐานกุศลนั่นเอง
ประกอบกับความจริงที่วาหลอนทํากรรมแคนิดเดียว คือสงกําลังจิตเขาปะทะคุณโภไคยดวยความคิด
ปรามาสดูแคลนเพียงเล็กนอย แตกลับสําเหนียกไดถึงการขยายผลเปนกรรมหนัก กฤติยาก็แนใจทันทีวา
ผูยืนอยูตรงหนาหลอนนี้ ไมใชปุถุชนธรรมดาดังที่ตนทึกทักเอาแตแรกเสียแลว
หญิงสาวหนาถอดสีดวยตระหนักในโทษแหงบาปอันกอขึ้นโดยความรูเทาไมถึงการณ หลอนพลาดไป
ถนัด เหมือนมีตาไรแวว เห็นทานใชชีวิตในเมือง คลุกกิเลสโลกยอยางใกลชิด คงไมไดดีทางธรรมเทาไห
รนัก ที่แทสูงลิ่วทั้งมหากําลังและภูมิธรรมอันประเสริฐอยางนี้
“อโหสิใหเด็กโงอยางหนูดวยเถอะคะ”
พึมพําพอไดยิน และไมกลาสบตาคุณโภไคยตรงๆอีกเลย
ผูเปนที่หนึ่งประจําปกาวเลี่ยงลงจากเวทีไปดวยทวงทีเจียมตัว ตางจากขาขึ้นที่เปยมดวยความทะนงใน
ภูมิ สําคัญวาตนเปนผูมีคุณวิเศษสูงสุดของงาน
คุณโภไคยมองตามดวยสายตาชื่นชมน้ําใจเพราะอานออกวากฤติยามุงพุทธภูมิ ทวาความชื่นชมนั้นก็
ระคนอยูดวยความเปนหวง เนื่องจากหลอนครองอัตภาพหญิง ซึ่งชี้ชัดวายังไมใชนิยตโพธิสัตว มีอนาคต
ใหพลิกผัน กลับรายเปนดี กลับดีเปนรายอีกยืดยาว ไมมีใครพยากรณไดวาจะจบลงเอยที่สุดเปนอะไรแน
แพตรีหันมาหามติ
จิตรกรหนุมเอยขอตะกุกตะกักดวยความขลาดกับปฏิกิริยาอันไมเปนที่รูของแพตรี
“ตกลง!”
หลอนตอบงายราวกับเขาฝนไป มติใจชื้นจนกลาถามอีก
“แลวถาผมไดรางวัล จะฉลองกับผมหรือเปลา?”
๕๕๒
“ฉลองยังไง?”
“ไปนั่งดูทะเลดวยกัน”
หญิงสาวหัวเราะเบาใส
“ก็ได…”
เหมือนมีกระแสเย็นรื่นมาชอนหัวใจเขาลอยขึ้นสวรรค กังวานวิเวกหวานในสายเสียงตอบรับนั้นจุดรอย
ยิ้มเผลอไผลขึ้นที่ริมฝปากของมติ ไปอยูในที่ที่มีแตเขากับแพตรีสองคนคือความปรารถนาเพียงหนึ่ง
เดียวเสมอมา รองจาก…
รองจากอะไรลืมแลว…
รูสึกเหมอๆจนตองเตือนตนเองใหตั้งสติเมื่อกาวขึ้นมาอยูบนเวทีตอหนาคนเรือนพัน เขาพยายามมองหา
แพตรี อยากยิ้มใหหลอนสักนิดหนึ่ง แตแสงจาของสปอตไลทที่แยงตาลงมาจากดานบนบดบังทุกสิ่งเบื้อง
ลางไวใหเหลือเปนเพียงเงาตะคุมเลือนราง
ถึงคิวนี้พิธีกรชักเริ่มรูวาตนเองนาจะอานรอยกรองของผูรับรางวัลไวลวงหนาบาง เวลายิงคําถามจะได
เขาเปาเร็วขึ้น แทนที่จะใชความเกาเฉพาะตัวเพียงอยางเดียวเหมือนที่ผานมา ระหวางมติเดินขึ้นเวที จึง
แอบชําเลืองไวแลว
๕๕๓
ทาทางผูรับรางวัลคนนี้คงรักสันโดษอยู บุคลิกของความเปนคนเก็บตัวเงียบฉายชัดออกมาทางกิริยาเดิน
เหินและกระแสนิ่งรอบตัว แตหากใหวิจารณตรงไปตรงมา ก็อยากบอกวานาจะยังเปนนักปฏิบัติกระดูก
ออน หรือแคมือใหมหัดเดินจงกรม เหตุเพราะมองนัยนตาและรอยยิ้มแลว ยังสอแววชางคิดชางฝนอยู
มาก แทบนาฟนธงไปเลยดวยซ้ําวากําลังเคลิ้มอยูในอารมณรัก แววชนิดนั้นใครๆก็ดูออก เพราะเปนของ
สมวัย สมวิถีโลกอยูแลว
ทวาภาพและบทกลอนขยายความของมติก็ทรงพลังหนักแนนเกินกวาจะลงความเห็นปรามาสเสียแตตน
มือ
ฉะนั้นหลังจากทักทายปราศรัยเกี่ยวกับสถานภาพปจจุบันเล็กนอย แทนที่จะถามถึงแรงบันดาลใจหรือ
ความเปนมาของภาพ พิธีกรกลับเลือกยิงหมัดแย็บเปนการสอบภูมิเสียกอน
สภาพจิตที่พรอมบรรลุมรรคผลเพื่อตัดกิเลสนั้น เราเล็งไปที่กําลังในการเพงเห็นอนัตตาจนจิตหมดอาการ
ยึดสิ่งใดๆแมจิตเองเปนตัวเปนตน จิตมีลักษณะปลอยวางวางสนิทจนตัวรูถูกเหนี่ยวนําดวยความบริสุทธิ์
ของพระนิพพาน ใหโพลงขึ้นฉายเปนอิสระ หมดการกําหนดหมายใดๆ
ถาหากยึดลักษณะจิตเชนนี้เปนหลักแลวนอมเขามาดูใจเราเอง จะเห็นครับวาตัวเองมีกําลังพรอมแคไหน
กับการบรรลุมรรคผล บางคนอาจมีใจปลอยวาง เบาโกรธ เบาโลภ เบาหลงอยูแลว รวมทั้งมีกําลังจิตดี
พอจะเพงรูเขาไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่งไดนานๆ อยางนี้ก็อาจใชปญญาพิจารณาธรรมในแงอนิจจัง ทุกขัง หรือ
อนัตตาไดเลย เปนการมุงลัดตัดตรงทีเดียวเหมือนเชนผูมีบารมีพรอมบรรลุมรรคผลเร็วทั้งหลาย
ทานจึงไมใชของเล็กอยางที่หลายคนเขาใจ แตมีความหมายในระดับแบบฝกหัดเบื้องตนเพื่อการเขาถึง
ธรรมเปนพระอริยบุคคลทีเดียว ถาใครใหทานมากจนจิตติดทาน ขนาดคิดปรารถนาอุทิศตนเปน
ประโยชนกับสาธารณชน หรือนึกวาแมกายนี้ เมื่อไมใชแลวก็อยากบริจาค จะเขาใจไดดีครับ ความรูสึก
ปราศจากความหวงแหน อยากบริจาคดวงตา บริจาคอวัยวะ บริจาคเลือดแบบไมอาลัยไยดีนั้น ใกลเคียง
กับ ‘จิตทิ้ง’ เมื่อจะบรรลุมรรคผลมาก
คนทั่วไปถูกยวนยั่วใหผิดศีลกันเปนปกติ เพราะฉะนั้นชีวิตธรรมดาๆนี่เองเปนแบบฝกหัดสําหรับการถือ
ศีล การถือศีลคือตองตั้งใจไวลวงหนาวาเจอเหตุการณยั่วใหศีลขาดแลวจะไมไหลตามน้ํา จะทวนกระแส
เชนเมื่อตั้งใจจะไมโกหก พบเหตุการณที่ยั่วยวนใหโกหก ก็ตัดสินใจเลือกพูดความจริงทันที ไมชะงัก
ลังเลใดๆ อยางนี้จึงจะเรียก ‘ถือศีล’ ยิ่งถือมากเทาไหรยิ่งใกลความเปนผูทรงศีลถาวรเทานั้น
และอันเนื่องจากจิตทรงตัวเปนสมาธิสวางไสวตลอดเวลาสาธยายธรรม น้ําเสียงที่เปลงออกไปจึงชวนฟง
เหนี่ยวนําใหจิตใจสงบลงใกลธรรม ใกลนิพพาน ซึ่งนั่นยอมตางกับคนที่พูดถึงธรรมะชั้นสูงดวยใจที่ยังไม
ถึงธรรม ฟงแลวเกิดความขัดแยง อยากหนายหนาหนี
“คุณมติครับ เราจะพยายามบรรลุมรรคผลกันไปทําไม?”
มตินิ่งอยูในอาการสมาธิอึดใจหนึ่ง ตัวคําตอบก็ผุดขึ้นในหัว
“เมื่อกี้คุณมติพูดถึงทางสายกลางที่จะนําไปสูการจุดไฟลางกิเลส จะกลาวโดยยนยอไดไหมครับวาทาง
สายกลางคืออะไร”
ทําไมเหวยไมเคยซึ้งจนวันนี้ วันที่มีพระผูชี้จนกูทาย
กอนขึ้นเวทีเขาปลอยใหราคะแผลงฤทธิ์จนเกือบตั้งสติทําหนาที่ไมได พออยูบนเวทีก็ปลอยใหโทสะ
สําแดงเดชเขาอีก นาอับอายขายหนาเหลือเกิน ใครไมเห็นก็เขาเองนี่แหละที่เห็น
๕๕๘
การเตือนตนเองไดเปนลักษณะหนึ่งของโสดาบันบุคคล
“คุณไดรับรางวัลจากตัวเอง ไมตองรอการตัดสินจากกรรมการมาแลวนี่นะ”
ศิลปนหนุมเงยหนาขึ้นสบตากับผูอาวุโส
และดวยอํานาจทะลุทะลวงสิ่งหอหุมชั้นหยาบเขาไปเห็นนามธรรมอันแฝงซอนอยูในกายนี้ ทําใหคุณ
โภไคยเห็นธาตุพิสุทธิ์ในมติชัดเจน ธาตุนั้นปรากฏเปนสภาพรูแชมชื่น เบิกบาน ซึ่งอริยบุคคลมักเรียก
เปน ‘จิตยิ้ม’ เมื่อบรรลุมรรคผลใหมๆจะเปนยิ้มใหญ แตเวลาปกติจะเปนยิ้มนอย และถูกเห็นไดเสมอจาก
ผูเขาถึงกระแสดวยกัน แมถูกกิเลสหอหุมอยูอยางหนาแนนก็ตาม
มติยิ้มออกมาดวยความบริสุทธิ์จากภายใน พนมมือไหวคุณโภไคยอีกครั้งดวยกําลังใจเทากับลงคุกเขา
กราบ
“ผมจะพยายามระมัดระวัง รักษาเนื้อรักษาตัวครับ”
ทานประธานงานประกวดพยักยิ้ม แลวเอื้อมมือมาตบบาของเด็กหนุมดวยความปรานีเปนพิเศษ
“เจริญในธรรมนะ”
เมื่อเดินลงเวทีกลับมาถึงที่นั่งแลว จึงเห็นกิเลสปรากฏอีกครั้ง
กองกิเลสใหญปรากฏในรูปสาวนอยผูสวยหวานและแสนดีคนนี้
ทวายามนี้มติเริ่มเกิดความขัดแยง ถึงเวลาหรือยังกับการตั้งคําถามใหตัวเอง
จะเลือกไปหรือเลือกอยูกอนดี…
ถาเสียเวลาสักชาติใหกับนางฟาเดินดินอยางหลอนจะคุมไหม?
มติคิดเชนนั้น ทั้งที่เพิ่งพูดไปบนเวทีวากิเลสเปนเหตุแหงทุกข
เพราะยังมีความไมรูแจงตลอดสายถึงที่สุดทุกข จึงกลาววาอริยบุคคลชั้นตนยังเปนผูที่ตองศึกษา…
เมื่อผูรับรางวัลปลอบใจคนที่ยี่สิบเจ็ดลงจากเวที และไฟหลักถูกเปดสวางพรอมการกลาวอําลาของพิธีกร
ทุกคนก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ซึ่งมองกวาดแลวยังคงเหลือกวาคอนของเมื่อเริ่มพิธีแจกรางวัล ผูไมมีสวนได
สวนเสียจํานวนหนึ่งเทานั้นที่ยอยๆกลับไปกอน
ประเภทนี้นาฝกระงับโทสะใหไดกอนแลวคอยลองสรางผลงานชวนเย็นใจใหมในปหนา
อยางนอยวันนี้ก็เปนแรงบันดาลใจใหศิลปนหลายคนมองยาวไปถึงปหนาแลว ตางไดแนวคิดและหลัก
สรางผลงานกันถวนทั่ว นี่ยอมเปนเรื่องธรรมดา การระดมสมองของผูมีฝมือหลายรอยคนใหผลเปนความ
รุงเรืองกวางขวางทางปญญาแนนอน
เจาของรางวัลใหญทั้งสามถูกขอรองใหไปยืนประจําภาพของตน เพื่อเปดโอกาสใหผูเขารวมนิทรรศการ
ไดพูดคุยซักถาม รวมทั้งใหผูสื่อขาวสัมภาษณเปนรายบุคคล มติเดินผานตรอกซอยมาจนพบทีฆายุจาก
ระยะไกล ยืนเดนเห็นหนาบานเปนจานเชิงทามกลางการสัมภาษณจากกลุมนักขาว ใจหนึ่งอยาก
อนุโมทนากับเพื่อน แตอีกใจไมเปนปติลนพนเหมือนอยางที่เห็นใครตอใครมะรุมมะตุมกฤติยาผูรับรางวัล
เหรียญทอง กับขวัญหลาผูรับรางวัลเหรียญทองแดง สองคนนั่นนาจะพูดแทนชาวพุทธไดเต็มปากเต็มคํา
ทางดานการปฏิบัติอันเปนเสนทางเขาสูแกนแทของพระศาสนา
วางเปลาและสาบสูญแนนอน…
“เฮ! มติ!”
จําไดวานั่นเปนเสียงของบางกอกเพื่อนรวมคณะ เมื่อหันไปก็พบกับเพื่อนรวมรุนทั้งหญิงชายกลุมใหญ มี
อาจารยสมบูรณซึ่งเขาเคารพนับถือยืนอยูดวย อาจารยยิ้มยิงฟนโรเพราะไดรับรางวัลชมเชยเหมือนกัน
ทุกคนมองมาที่เขากับแพตรีเปนตาเดียว
พูดงายๆแพตรีสวยเกินคูควรนายกระจอกอยางเขา ชักรูสึกผิดฝาผิดตัวจนขัดเขินที่จะเอาไปอวดใครตอ
ใครวานี่แฟนฉัน แคเห็นแววสุดพิศวงของพวกนั้นก็ฝอแลว
หันมาทางหลอน กระซิบวา
“ผมขอตัวไปทักทายเพื่อนหนอยนะ”
“ทําไม ถาแพขอตามไปดวยนี่จะมีอะไรนารังเกียจรึเปลา?”
เขาพยายามหาคําอธิบายอ้ําอึ้งตะกุกตะกัก
และความสวยหวานของแพตรีก็เปนสิ่งบาดหัวใจชายทุกคน ยิ่งเห็นนานเทาไหรยิ่งวาวุนกระสับกระสาย
ชวนใหอยากแสดงอะไรแผลงๆออกนอกหนาเพื่อเรียกรองความสนใจจากหลอนเสียบาง
“ยินดีดวยโวย! รับรางวัลชมเชยเปนคนแรกเลยเชียว”
“ขอบใจ”
แพตรีเห็นเขาจะปฏิเสธพรรคพวกเพราะเกรงใจหลอน ก็ยื่นหนาเขามากระซิบ
ทีฆายุพารางสูงเขามาสมทบหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจของตนที่มีตอผูสื่อขาว เพื่อนและอาจารยพากัน
แสดงความชื่นชม ลูบหนาลูบหลัง และหวังใหทําหนาที่เลี้ยงมื้อใหญแตเพียงผูเดียว ซึ่งทีฆายุก็ใจปารับ
โดยไมอิดเอื้อน เนื่องจากกําลังอารมณดี รับมาทั้งเงินและทั้งกลอง
เงินรางวัลทําใหมติดูรวยขึ้นทันตา ยิ่งมีแพตรีมาดวยก็ยิ่งทําใหหลายคนไมนึกรังเกียจที่ชักชวนใหนั่งรถ
ไปดวยกัน แตขณะที่ทีฆายุเสียงใหญกวาใครในฐานะเจาภาพงานเลี้ยง เมื่อเอยปากเสนอใหมติไปรถเขา
ทุกคนจึงเงียบยินยอม ไมยื้อแยงแตประการใด มิไยฟองชลจะทําหนามุย ดวยรูแกววาแฟนหนุมของตน
พุงความสนใจไปที่สาวนอยหนาหวาน ไมใชหวังเอื้อเฟอมติเชนไรเลย
ฉุดกับสงแรงขับเคลื่อนไดมหาศาล ทวาก็นุมนวลดุจเลื่อนไปบนรางเมฆดวยระบบกันสะเทือนเหนือชั้น
แมสะดุดปุมปมหลุมบอเขาบางก็แทบไมรูสึก
ความโออาในระดับชีวิตคนรวยที่สะทอนดวยตัวอยางเชนพาหนะเลิศหรูชนิดนั้น บันดาลใจใหมตินึกคิด
ถึงการกอรางสรางตัว คิดถึงการใชเงินรางวัลลงทุนใหแตกดอกออกผล จะไดมีอะไรอยางนี้กับเขาบางใน
วันหนา
คงมีความสุข หากไดขึ้นมาบนรถระดับเดียวกันนี้กับหลอนตามลําพังเพียงสองคนในฐานะเจาของครองที่
นั่งตอนหนา มิใชขึ้นมาในฐานะผูโดยสารติดตามทานเจาของอยางนี้
“ภาพของนายเขาทาดีนี่มติ”
ทีฆายุเอยชมมาจากดานหนา น้ําเสียงบอกใหรูวาเปนการแสดงความยินดีแบบชวนคุยดวยมากกวาจะ
ชื่นชมจริงจัง
“ขอบใจ”
มติตอบสั้นดวยสําเนียงราบเรียบอยางคนที่ขาดสีสัน คิดเงียบๆวาที่แททีฆายุรับรางวัลเหรียญเงินแลว ก็
คงมัวแตเริงสุขสนุกสนาน จอกับแฟนสาวอยางลิงโลดเนื้อเตน ไมเหลือแกใจสนผลงานของผูรับรางวัลที่
เหลือเปนแน
ฟองชลเสริมทีฆายุ แตวิจารณแบบตรงไปตรงมา
“ซีวามติใชสื่อทางภาพนอยไปหนอยนะ ไปใหน้ําหนักเนนที่รอยกรองเสียมากกวา”
ผูนั่งตอนหลังเงียบเหมือนยอมรับคําติกลายๆนั้นอยูในที
“เราอยากรูอยาง ที่นายตองการสื่อนี่คือการบรรลุธรรมหรือเปลา?”
“แลวภาพที่สื่อดวยแสงสวางนี่เปนจินตนาการลวนๆ หรือวาประสบการณภายในจริงๆ?”
คนธรรมดาอับอายที่จะแกผาเดินกลางถนนปานใด ผูมีดวงตาเห็นธรรมก็ละอายที่จะกลาวเท็จปานนั้น
มติเมมปาก ในที่สุดก็ตัดสินใจตอบแบบยาว
“ฟงไมรูเรื่องอะ”
ทีฆายุหัวเราะพรืด
“เหมือนกันเลย คงเพราะพวกเราบุญนอยนั่นเอง”
แลวทีฆายุก็เปนฝายเบนหัวขอ โดยจับจังหวะโยงมาเปดฉากเสวนากับแพตรีบาง
“แพมีงานสงเขาประกวดดวยหรือเปลาครับนี่?”
พูดแลวก็เชิดคางเหลือบตามองเงาสะทอนของหญิงสาวที่ปรากฏครึ่งรางในบานกระจกสองหลัง
“เปลาคะ”
หลอนตอบดวยน้ําเสียงของคนพูดนอยเหมือนมติ สบตากับทีฆายุเพียงแวบเดียว
๕๗๑
แลวก็เอยสืบตอเปนการตีกันไมใหแฟนหนุมไดเปดฉากโอภาปราศรัยกับสาวสวยยืดยาวไปกวานั้น
“ไฟบังเอิญดับนะซี่ อยาทึกทักเหลวไหลอยางคนอื่นเลย”
โตตอบไปแบบเนือยนาย ความจริงเมื่อครูมีนักขาวเลาใหเขาฟงวาอุปกรณที่ใชแบตเตอรี่ก็พลอยหยุด
ทํางานไปดวย ใชแตไฟหลักในหองเทานั้นที่ถูกกระชากวูบไป ทวาทีฆายุยังคงเห็นเปนเรื่องบังเอิญ หรือ
มีเหตุผลทางกายภาพสักอยางที่อธิบายได จะแมเหล็กโลกรบกวนหรืออยางไรก็ไมรูละ เพียงแตเขาและ
คนสวนใหญขาดความเขาใจ เลยแตกตื่นขวัญหนีดีฝอกันใหญ
“แลวตกลงหาตัวคนรายที่ยิงพี่แอไดหรือยัง?”
๕๗๒
แตเปลา ทีฆายุเบี่ยงแนวสนทนาเฉไปเรื่องอื่นที่รูกันโดยเฉพาะกับฟองชล
ชัดหรือยังวาบุญหลอนที่จะคูกับเขานอยกวาเรือนแกวเพียงใด?
จูๆคงคิดถึงเขาคนนั้นขึ้นมานั่นเอง ไมมีเรื่องอื่นหรอก…
“เปนอะไรไปฮะพี่แพ?”
“ยังไงเหรอ?”
“อยูๆเหมือนเศราขึ้นมา”
เขาบอกตามตรงฉันผูใกลชิดสนิทนานนม ทั้งสองสื่อสารกันดวยการเอียงหนากระซิบพอไดยินตามลําพัง
“เหมือนอะไร?”
ถามเมื่อเห็นเขาเวนชวงนาน
“เหมือนลืมลางหนามาจากบาน”
ความซื่อที่ขาดเสนห นาจะดีกวาเสนหที่ขาดความซื่อมากนัก
๕๗๔
แพตรีทําเปนครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ตอปากตอคําอยางพยายามจํานรรจา
“เปลาฮะ…”
“ผมเปนหวงตางหาก โธ”
แพตรียิ้มเย็นดวยธาตุเดิมประจําตน เอื้อมมือวางบนหลังมือเขา
“ขอบใจที่เปนหวง คอยเตือนแพใหผองใสไดสม่ําเสมอเหมือนอยางเธอดวยนะ”
สองลานบาทนับเปนเงินกอนโตที่สุดที่ทีฆายุเคยไดมาดวยฝมือและน้ําพักน้ําแรง นอยนักที่รุนราวคราว
เดียวกันจะเทียบเทา ตัวเงินจึงคลายเปนกอนกําลังใจอันใหญ หนุนใหอัตตาแรงและเหอเหิมลําพองสุด
สภาพ
๕๗๕
หากเพื่อนคนอื่นที่นั่งลอมโตะอยูดวยกันไดรับรางวัลเหรียญเงินแทนทีฆายุ คงไมแคลวถูกริษยาและจอง
จับผิดหาที่ติ เจอวิพากษวิจารณเละ ทวานี่เปนทีฆายุซึ่งทุกคนใหความยอมรับอยูแลวในทุกดาน จึง
พรอมใจกันยกยองชื่นชมเปนอันหนึ่งอันเดียว หรือถาจะมีกระแสริษยารินๆไหลๆอยูบาง ก็คงถูกซอนไว
ในหลืบเรนลึกลับที่สุดในหัวใจแตละคน
ลักษณะความบริสุทธิ์ของศีลตองเล็งตรงเขามาถึงระดับความคิดอยางนี้
วันนี้คงเปนอีกวันหนึ่งที่ตองตั้งสติรูตัววา ‘แกวนี้เพื่อสังคม’
๕๗๖
เมื่อใจวางจากตัวตน สิ่งทั้งหลายที่เห็นก็วางจากตัวตนไปดวย
แตเมื่อบริกรจะวางแกวใหแพตรี มติก็รีบยกมือหาม
“ที่นี้ไมตองครับ”
“ขอน้ําสมใหแทนแลวกัน”
ทุกคนในโตะมองมานิดหนึ่งแลวผาน เนื่องจากบุคลิกของแพตรีคอนขางบงบอกอยูในตัวเองทํานองมัก
นอย รักสันโดษ หรือกระทั่งชอบถือศีลแปด อีกอยางหลอนเปนคนนอกที่ติดตามมติมารวมโตะ จึงดู
ธรรมดาและไมทําใหเห็นแปลกแยกเทาไหร
“เฮ! ชนกันหนอยเพื่อนยาก”
๕๗๗
ทีฆายุยกแกวใหมติซึ่งเปนหนึ่งในผูไดรับรางวัลเชนเดียวกับตน มติยิ้มและยกแกวขึ้นกระทบกับใบของ
เพื่อนกริ๊กหนึ่ง แลวนํามาจิบเปนปกติ
กลิ่นเหม็นและรสเอียนทั่วชองปากชองคอของเหลากอความรูสึกผิดจัดขึ้นมาพิลึก เหมือนยอมรับสิ่ง
แปลกปลอมบางอยางเขาสูรางกาย แตก็ยังกลืนไดดวยเจตนารักษามิตรภาพ
มิตรภาพตามบรรทัดฐานของสังคม ชนแกวแลวตองดื่ม
รอบนี้มติรูสึกเหมือนกินยาพิษ
รูสึกวากําลังทําผิดอยางแรง
ตัวหามเกิดขึ้น กลิ่นเหลากลายเปนกลิ่นน้ํานรกในสํานึกชั่วขณะจิตนั้นเอง
แตกอนเขาไมรูเหตุผลอยางแทจริงเลยวาทําไมการกินเหลาจึงเปนขอหามของศีลหา ตอเมื่อใจเปนศีล มี
ความวิสุทธิ์สะอาดจากทางนรกในบัดนี้ จึงเขาใจแจมแจง เทียบไดกับคนสติดีธรรมดาเมื่อเห็นไฟลุกทวม
ยอมไมเดินเขาไปยางสดตนเองเปนแน
หากมีสถานการณบีบคั้นใหฆาสัตวตัดชีวิตหรือลักขโมย มือไมคงแข็งทื่อเปนทอนเหล็กหมดทางขยับ
เขยื้อน เพราะชีวะของสัตวและทรัพยของผูอื่นยอมมีกระแสหามในตนเองที่อริยเจาสัมผัสได ฉะนั้น
แนนอนวาตอไปนี้หมดสิทธิ์ประกอบอาชีพเชนพรานหรือคนงานโรงฆาสัตว อันนี้มีตัวอยางบันทึกไววา
ในสมัยพระพุทธองคยังทรงพระชนม พรานปาผูบรรลุโสดาปตติผลหันหลังใหอาชีพเกาทันทีดวยตนเอง
ไมมีใครบังคับ และไมไดเรียนรูพระธรรมวินัย หรือกฎเกณฑที่วาอริยบุคคลตองทํานั่นทํานี่ หรือไมทํา
อยางนั้นอยางนี้
แพตรีลวงกุญแจออกมาไขประตู แตมติเรียกรั้งไว
“พี่แพ”
หญิงสาวเหลียวมา เลิกคิ้วสูงเปนเครื่องหมายคําถามวามีอะไร
“พี่จะไปนั่งดูทะเลกับผมจริงหรือเปลา?”
“ถางั้นจะรอที่บานนะ ออกสักเจ็ดโมงเชาเปนไง”
พูดตะกุกตะกักจนตองกลืนน้ําลายลงคอฝดๆ กมหนาลงและรูวาใจแข็งไมพอจะเอยถามตามตองการ
“คืออะไรละ?”
มติถอนใจเฮือก รวบรวมความกลาทั้งหมดมาไวที่ริมฝปาก
“พี่แพจะแตงงานกับผมไดไหมฮะ?”
ทําใจใหรักวิทยาศาสตรเพื่อกลบเกลื่อนอาการฝงใจผูกมัดกับเรื่องลี้ลับ ทวานั่นก็เปนความพยายามที่สูญ
เปลา ความรักที่เกิดจากบุพเพสันนิวาสในชาติใกลนั้นรุนแรงและแนนเหนียวยิ่งกวาโซตรวนที่มัดรางไม
ใหกระดุกกระดิก ใหทําอยางไรก็ดิ้นไมหลุด
เหมือนของตายในมือเขา
พอรูวาเขารักคนอื่นเทาหลอน ก็เหมือนถูกฆาทั้งเปน
มติกะพริบตา พยักหนาอยางเขาใจ
“ที่พี่แพ…ยอมใหโอกาสเปลี่ยนแปลง เพราะ…เพราะเขาทําไมดีกับพี่แพใชไหม?”
แพตรีสะอึกอึ้ง แตก็ชั่วครูเทานั้น
๕๘๑
เมมปากกอนเอยแผว
มติสายหนา
“ถาอยางนั้นผมก็ผิดดวยครึ่งหนึ่งที่เจียมตัวนอยไป”
แพตรีนิ่งไปพักใหญ กอนเอยนุม
“พี่จะไมหลอกตัวเองแลว”
หลอนคืนฐานะเดิม เมื่อตระหนักวาตนเองอึดอัดมาทั้งวันกับการลองพยายามผันสัมพันธภาพเปนอื่น
แบบปุบปบ
เด็กหนุมพยักหนา
แพตรีหัวเราะถอนฉิวกอนที่เขาจะถามจบ ทําใหมติชะงักคาง
“บอกวาไปก็ไปสิ เอ…”
“พอจะเลาใหฟงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหวางเขากับพี่แพไดไหมฮะ?”
๕๘๒
หญิงสาวนิ่งไปพักใหญ กอนเอยเนิบ
“ไวนึกอยากเลาแลวจะเลานะ เขาบานละ”
ในความเงียบเชียบของค่ําคืน มติกลั้นใจดึงมือหลอนมากุมดวยทาทีเชื่อมั่น
“พรุงนี้เจ็ดโมงผมมารับนะ”
แพตรีกระตุกมือกลับและเผลอดุ
“ไมเอานา”
“กลับไปนอนซะนะหนุมนอย จะไดรีบฝนดีลวงหนา”
สัมผัสนุมนวลชวนหลงนั้นทําใหมติไมอยากปลอยใหหลอนจากไปไหน แตก็จนใจเมื่อแพตรีกาวเขาบาน
หายไปโดยไมเหลียวกลับมาใหความสนใจเขาอีก
แพตรีอาบน้ําเสร็จก็ปดเรือนแนนหนาและเขาหองนอนดวยความคิดจะหลับใหสนิท สมกับความเหนื่อย
ออนทั้งรางกายและจิตใจ
หลอนปดไฟหองนอนไวมืด เมื่อเปดประตูเปดไฟจึงตกใจจนเกือบหลุดหวีดกับรางสูงที่ลุกเนิบจากทานั่ง
ขยับเดินใกลเขามา
หลอนวาเอาตรงๆ เพราะไมตองการใหเขาไดใจอีกและอีกอยางนึกวาหลอนเห็นเปนเรื่องธรรมดา
๕๘๓
“พี่แคอยากใหแนใจวาเราจะไดคุยกัน ขอโทษที่เสียมารยาท”
พูดจบก็เปดประตูกวาง
เกาทัณฑเดินมาดวยทาทีคลายจะปฏิบัติตามที่หลอนตองการ คือสายตามองไปนอกหองเหมือนตั้งใจเดิน
ออก แตพอไดระยะ ก็กลับยกมือปดประตูลงหนาตาเฉย
“คุยกับพี่ที่นี่เถอะ ถาภายในครึ่งชั่วโมงนี้ยังรูวาแพจงเกลียดจงชังจนยอมรับนับถือกันไมไดอีกตอไป ก็
สัญญาวาจะไมมาหาใหรําคาญใจอีกแลว”
“ที่จริงเราไมนาจะมีเรื่องตองพูดกันอีกแลวนี่คะ”
เสียงหลอนเครือสั่นเกินควบคุม
“มี แลวก็มากดวย”
“ทําไมแพไมใชรถเลย?”
“กอนอื่นปรับความเขาใจสักนิดเถอะนะ แพกําลังโกรธพี่อยูหรือ?”
“คะ”
“เรื่องอะไร?”
แพตรียิ้มเย็น โคลงศีรษะนิดหนึ่งอยางออนใจ
“ถาไมรูก็ชางเถอะคะพี่”
หญิงสาวใชน้ําหนักตัวหมุนเกาอี้หันมองอีกฝายในแนวตรง กลาวสม่ําเสมอดวยอารมณคงที่
“เรื่องนี้…พี่นึกวาครั้งสุดทายเราเขาใจกันแลว”
“พอเดาไดคะวาถูกเจากรรมนายเวรตามลาอยู”
“ฟงดูไมมีเยื่อใยเลยนะ ถาพี่โดนฆาตายแพคงตบมือดีอกดีใจอยูในหองนี่เอง”
๕๘๕
“คงไมถึงขั้นนั้นหรอกคะ”
แพตรีชาวาบไปทั้งราง ตะลึงตะไลตาคางขณะจับจองเกาทัณฑราวกับเขากลายเปนใครอีกคนที่หลอนจํา
ผิดตัว เขาแยมยิ้มแนนิ่ง นัยนตาทรงอํานาจผิดแผกจากเมื่อกอนเปนคนละคน มองหลอนดวยทาทีสงบ
เนิ่นนานจนแพตรีกลับสติ
“อะไร…สับสนหรือเปลา เรียกชื่อใครออกมานะ?”
ชัดพอ เขาจําได…
เกาทัณฑคอยๆเอยเหมือนรินน้ํา
คลายเด็กหลงทางตะลอนหนาวมาพบความอบอุนของปราสาทสวยแพรวยิ่งใหญ ที่เปดประตูโอฬารอา
พรอมรับผูกลับสูบานเกาเสมอ
เสพรสอมฤตอันทอดเงายาวเปนอมตะ ดุจจะชนะความตายได…
ธรรมชาติของผูระลึกไดเพียงภพเดียวที่ผูกพันสุดใจนั้น เมื่อมีบุคคลหรือสถานที่มาสะกิดเตือนใหหวนนึก
ถึง จะสําคัญไปวาตนยังมีความเปนเชนนั้น ไมตายจากความเปนเชนนั้น ยิ่งถาหากนิสัยใจคอใกลเคียง
กับตัวตนเดิม ก็แทบไดความกําหนดหมายทั้งหมดกลับคืนมา ถึงแมรูปรางหนาตาจะแปลกเปลี่ยนไป
มากก็ตาม
เชนสําหรับหญิงสาวยามนี้ ไมเห็นเปนอื่นเลยนอกจากตนเปนเมียเขา…
เกาทัณฑชอนรางออนเหมือนหยดน้ําลอยขึ้นเดินเนิบมาวางบนเตียง ชุดนอนแมรัดกุมก็ยังแบบบางยวน
สัมผัส เนียนเนื้ออัดอิ่มของหลอนชางนากอดรัดไปทั้งตัว เกินหักใจทน เขาโนมหนาลงเยี่ยงภมรที่
ปรารถนารสหวานจากเกสรดอกไม
ทีแรกแพตรีเคลิ้มในรสรักสนิทใจแหงความเปนคูแทไปกับเขา จะยอมโอนออนผอนตามเชนผูไมอาจทน
กระแสสังสารวัฏอันวิจิตรพิสดารพันลึก ทวาเมื่อนึกไดถึงคําสอนของปู ที่วางานแตงเปนพิธียกระดับจิต
ใจใหมองการไดเสียกันเปนเรื่องสูงกวาความตองการทางเพศธรรมดา เมื่อเริ่มตนดวยการใหเกียรติ เห็น
เหมือนสมบัติที่ไดมายาก การมองชีวิตคูจะเปนไปแบบผูใหญเต็มตัว ตางจากเด็กที่ชิงสุกกอนหามเปน
คนละเรื่อง
๕๘๗
คิดเชนนั้นแพตรีจึงกระถดตัวหลบ พรอมผลักมือเขาทิ้งจากเรือนกายอันเปนเขตตองหามไปทุกตารางนิ้ว
และใชเสียงเขมเตือน
“ไหนสัญญาแลวไงคะวากอนพิธีแตงจะไมทําอะไร”
ชายหนุมยิ้มเบะ
หญิงสาวกะพริบตาคิด กอนพูดวอน
“ชางพูดนักนะ”
“คิดถึงแพมากเลย”
“พี่ไปไหนมาละ?”
หญิงสาวถามดวยสําเนียงเงางอน
“เขาปา”
“จริงเหรอ?”
“จริง”
นั่นเปนประเด็นที่หลอนจะเอาไวถามทีหลัง เบื้องแรกที่อยากรูมากกวาคือภัยที่จอติดประชิดตัวในบัดนี้
“ที่ออกมาแปลวาแนใจในความปลอดภัยแลวหรือคะ?”
“ยัง…”
“เรื่องเปนยังไง เลาใหแพฟงบาง”
“ที่ตามลาพี่อยู คือคนรายที่ตํารวจบอกวาแหกคุกหนีมาไดใชไหม?”
ชายหนุมพยักหนา แพตรีถามอีก
“พี่แนใจไดยังไง?”
เกาทัณฑยิ้มมุมปาก ตอบเทาที่จะสามารถตอบ
เวนจังหวะครูหนึ่ง กอนเอยปลงๆ
“แลวทําไมเปาหมายแรกถึงเปนพี่เรือนแกว?”
เกาทัณฑโคลงศีรษะ
“เรือนแกวถูกเอาชีวิตกอน เปาหมายก็คือพี่เองนั่นแหละ”
“ยังไงคะ?”
ชายหนุมโคลงศีรษะอีกครั้ง ทอดตาออกสูความมืดนอกหนาตาง
แลวชายหนุมก็หัวเราะเมื่อยอนนึกถึงขณะหนีหัวซุกหัวซุน
๕๙๐
เกาทัณฑเลิกคิ้วเมื่อยอนระลึกถึงนาทีวิกฤตในอดีต
“ทําไมพี่ไมขอความชวยเหลือจากตํารวจ?”
หญิงสาวอึ้งไปอึดใจ กอนพยักหนานอยๆเปนเชิงขอใหเลาตอ
“ตอนนั้นพี่วาวุนเหมือนคนประสาท อยูๆก็เกิดคิดขึ้นมาวาเขาปาดีกวา…”
เกาทัณฑยักไหล
เขาเมมปาก ตาเปนประกายกอนสืบตอ
แพตรีกะพริบตาสองครั้ง
“ยินดีดวยคะ เหตุการณรายบังคับใหพี่กลับเขาลูดีที่สุดของตัวเองอยางนี้ได”
เกาทัณฑพยักหนา
“อยากใหแพเห็นเหมือนที่พี่เห็นนะวาเราผูกพันกันมานานขนาดไหน เผชิญเรื่องดีรายแปลกประหลาด
เกินจินตนาการมามากเทาไหร มันทําใหโลกทัศนเดิมที่เคยมีมาตลอดชีวิตพลิกเปลี่ยนไปหมด ตอนนี้รู
สึกเหมือนอยูในหองหนึ่งเทานั้น มีหองกอนหนาที่เรากระโดดผานมานับไมถวน และมีหองถัดไปอีกมาก
มายที่จะตองกระโดดเขาไป แตละหองมีฉากและสีสันของตัวเองที่รวมๆกันแลวพิสดารจนเหลือจะเชื่อให
หมด”
หญิงสาวเบนวิถีสายตาไปทางอื่น
“แพนาจะไมไดตามพี่ไปทุกหองใชไหมคะ? คงมีใครอีกเยอะที่ผลัดกัน”
ชายหนุมฝนกลืนน้ําลายอยางฝดคอ ไมกลาโกหกทํานองวามีแตหลอนคนเดียวที่เขาผูกพันอยูดวย
เพราะทราบดวยจิตวามีใครตอใครอีกมากมายในเสนทาง สวนใหญเขามาแลวหายไป บางรายชาติหนึ่ง
เปนหญิง อีกชาติเปนชาย มีก็แพตรีกับเรือนแกวนี่แหละเปนหญิงตลอดและสลับกันอยูกับเขามาเรื่อย
สวนใหญอยูกับแพตรี
โลกทัศนและมุมมองเกี่ยวกับชีวิตเคยแปลกเปลี่ยนอยางรุนแรงมาแลวนับแตครั้งแรกที่ฝกกรรมฐานกับ
หลวงตาแขวน ทวาคราวนี้ยิ่งกวานั้น ความรูสึกเกี่ยวกับตัวตนไมไดผูกไวกับรางปจจุบันอีกตอไป ทวา
ผูกอยูกับสายอัตภาพอันยืดยาวที่คลี่คลายมาตามลําดับกรรมวิบาก นับจากหนหลังที่เกินจะประมาณกาล
ไดถูก ยอนไปกี่พันชีวิตก็ไมทราบ
น้ําหนักความผูกพันจึงวัดชั่งกันดวยจํานวนครั้งที่พบเจอและเหตุการณดีรายรวมกัน
๕๙๒
ทราบจากตําราและครูบาอาจารยวายังมีชาติภพใหยอนอีกเรื่อยๆ มีกําลังเพงไปไดเทาไหรก็เห็นไปได
ไกลเทานั้น เพราะสังสารวัฏไมมีตนกําเนิด เนื่องจากตกอยูใตกฎปฏิจจสมุปบาท กลาวเพียงสั้นคือชาติ
ภพเกิดจากอวิชชา สวนอวิชชาก็ไหลมาจากความมีชาติภพ ทํานองเดียวกับปญหาอจินไตยเชนไกกับไข
อันไหนเกิดกอนกัน คิดแลวหัวแตกเปลา
“พี่รักแพ…”
“เชื่อพี่…”
แพตรีถอนใจ มีความรูสึกคางคาบางอยางเกินกวาจะออยอิ่งใหเขาออนเพลิน
“แลวจะทําอยางไรตอไปคะ ถาศัตรูพี่ยังตามไมเลิกจริงๆ?”
เกาทัณฑลุกขึ้นเดินไปที่หนาตางบานหนึ่ง ทอดสายตามองยาวไกล
แพตรีมองแผนหลังเปนปกวีสมสวนเขารูปของอีกฝาย คิดตามแลวเบิกหนวยตากวาง
“พี่ไปอยูใกลเขตจงอางหรือ?”
ชายหนุมพยักหนา
นั่นเปนภาพที่นากลัวและไมอยากใหเกิดขึ้นจริงเลย แตตัวรูในสมาธิก็บอกวานั่นแหละที่จะตองเกิดขึ้น
เขาใจเกี่ยวกับเรื่องทางแยกในชีวิตก็ในบัดนั้นเอง หากเขาเลือกบําเพ็ญพรตอยูในปาไปเรื่อยๆ ก็จะไดวิถี
ทางใหเกิดสายเหตุการณแบบฤาษี หมดความของเกี่ยวกันอยางสิ้นเชิงกับศัตรูในชาตินี้ แตหากออกจาก
ปาเขาเมือง ก็ไมแคลวตองถูกตามราวีในวันหนึ่ง
ไซคงไมยอมใหเขาตายงายเหมือนที่สงเรือนแกวขึ้นสวรรค อาจมีลีลาทรมานคูอาฆาตตามแรงแคนคั่งอก
ทวาพลาดเสียเอง จับพลัดจับผลูกลับกลายเปนฝายเขายืนจังกาเตรียมฆาเสียแทน ตามความรูสึกใน
นิมิต ดวงเขาแข็งกวาไซเปนคนละชั้น แมไซจะเกิดใตฤกษเพชฌฆาต ก็หาไดมีตบะขมขี่มากพอจะเอา
ชีวิตเขาสําเร็จ
เมื่อปะติดปะตอเขากับคําเตือนของเรือนแกว ผูบัดนี้อยูในภาวะเห็นลวงหนาดวยอภิญญาแหงเทวดา ขอ
รองใหเขาตั้งจิตอโหสิแกศัตรู อยาฆาแกงผูกเวรตอเนื่อง ก็ยิ่งเกิดความเชื่อมั่นวาภัยถึงชีวิตจะไมมีแกตน
แตเขาเองนั่นแหละจะมีสิทธิ์เลือกระหวางใหอภัยทาน กับทําตนเปนมัจจุราชลางกังวล
เห็นเกาทัณฑนิ่งเงียบอยูนาน แพตรีก็เตือนวา
“กําลังรอฟงอยูนะคะ พี่เห็นนิมิตอะไร?”
ทอดถอนใจดวยความหนักอก
“เราเกิดมาเพื่ออยูดวยกัน…”
พูดดวยนัยนตาทอดสนิททรงอิทธิพล ขนาดที่แพตรีใจออนใหอีกจนตองหลบ
หญิงสาวกมหนาคิด ในเมื่อเลือกอยูกับเขาก็ตองพรอมจะรับทั้งเงามืดและเงาสวางที่ตามติดตัวเขามา
ดวย เห็นจากหางตาและสัมผัสดวยใจ เขามีสติบริบูรณที่ฉายบารมีแกกลา นาอบอุนไรกังวลพอจะบัน
ดาลใจใหหลอนกลาวนิ่มๆ
“รูคําตอบดีอยูแลวก็อยาทําเปนแกลงลองใจเลย”
เขาเลือกใสเสื้อเชิ้ตสีเหลืองสดที่มักใชไปเที่ยวหรือออกงานเลี้ยงกับเพื่อนฝูง ยิ้มมุมปากใหเงาในกระจก
ขณะหวีผมอยางบรรจง ตั้งใจเต็มที่วาวันนี้จะทําใหแพตรีหัวเราะเบิกบาน จะพาหลอนไปนั่งดูขอบฟาจรด
น้ํา เดินเลนชวยกันสรางรอยเทาบนผืนทรายสวย
มายืนกดกริ่งและชะเงอหาหลอนที่ประตูหนา เห็นเงาหลอนไหวๆอยูบนเรือนคลายติดธุระบางอยางงวน
อยู แตเพียงครูหนึ่งก็เปดประตูมุงลวดกาวลงมาหา
แปลกใจที่เห็นหลอนอยูในชุดเสื้อกระโปรงยาวลําลอง ทาทางยังไมเตรียมตัวแตอยางใด
“สงสัยตื่นสาย”
มติทักดวยการทาย แตใบหนาเปอนยิ้มอยางประกาศวาพรอมจะรอสักกี่ชั่วโมงก็ได
แพตรียิ้มรับทักซึมๆ มาถึงประตูและไขกุญแจเปดกวางใหนองชาย
“นั่งกอน มติ…”
แพตรีเชื้อเชิญเขามาที่โตะหินใตรมไมใหญซึ่งใชเปนมุมสนทนาเสมอนับแตอยูในวัยเยาว หญิงสาวกม
หนาตลอดเวลา และไมสบตาเขาแมแตแวบเดียว ทวามติเห็นสีหนาเซียวซีดแลวก็คิดเพียงวานั่นคงเปน
เพราะหลอนเพิ่งตื่น
“มีอะไรหรือเปลาฮะ?”
เด็กหนุมเอยแผวอยางเริ่มจับไดถึงความไมชอบมาพากลอันมีผลกระทบมายังตน หญิงสาวนิ่งไปนาน
กอนพยักหนารับ
“ใช…มี”
เปนนานกวาที่มติจะดึงหนากลับมามองแพตรีอยางไมเขาใจอะไรเลย หรือเขาใจแตก็เกินกวาจะคิดเชื่อวา
เมื่อครูมิไดตาฝาด แพตรียังคงนั่งนิ่ง จับสายตา ณ จุดเดิมที่เลื่อนลอยไรหลัก ทั้งรูวานองชายเพิ่งเห็นใคร
ไป รังสีทรงอํานาจจากจิตตานุภาพของเกาทัณฑที่แผความเปนเจาขาวเจาของครอบครองมายังหลอน
นั้น เขมจัดเสียจนสัมผัสไดราวกับใครเอาผานวมหนาหนักมาหมหลัง
“พี่แพ…”
มติหอปากครางเสียงสูง
“มติ…พี่ขอโทษ”
แพตรีหลุดคําออกมาผะแผว เศราเพราะรูวาสิ่งที่ปรากฏไดทําความเจ็บใหกับนองชายขนาดไหน
”ขอโทษจริงๆ”
เด็กหนุมยังจองตะลึงงันจับใบหนาซีดขาวคลายคนเปนไขของอีกฝาย
“เมื่อคืน…พี่อยูกับเขาทั้งคืน?”
“ทําไมถึง…ถึงคืนดีกับเขางายนักละฮะ ทําไมถึงไมจําวาเจ็บมายังไง?”
พูดแลวเทาศอกยกมือยันหนาตนเองไมใหคว่ําลมลง
๕๙๘
“เธอไมเขาใจหรอกมติ”
แพตรีหนามอย พึมพําตอบเพียงเทานั้น
“ใชฮะ! ผมไมเขาใจพี่แพเลย!!”
ที่สุดก็ลุกพรวดราวกับดีดขึ้นดวยระเบิดไฟแหงโทสะ แตแลวตองแปลกใจตนเองที่จูๆไฟในอกมันมอดดับ
วูบหายไปเฉยๆ คลายเทน้ําทั้งกะละมังลงราด หรือทะลึ่งตัวโผลขึ้นพนบอตมสกปรก แมยังคงมีความขุน
ระคายเปนสายกรุน ความคิดปนปวนระส่ําระสายไมเลิก ก็เห็นชัดวาตัวโกรธมันจางจืดลง ขนาดที่รูสึกวา
ถาเขายังขืนแสดงทาทีฮึดฮัดตอ ก็จัดเปนการแสดงละคร เปนเรื่องเสแสรงไปแลว
“พี่แพ…”
แพตรีเงยหนาขึ้น และนั่นเปนครั้งแรกที่ขลาดเมื่อตองสบตากับนองชาย
สอบผานชั้นแรกไปแลว
๕๙๙
แพตรีหันหลบไปซอนหนานิดๆ เมมปากเงียบ
“ผมไปกอนนะ”
เกาทัณฑรูสึกไดวานอนกอดแพตรีเฉยๆโดยไมลวงเกินแมแตนอย ก็เพียงพอแลวที่จะกอความเพลินสุข
ไดทั้งวัน
นึกในใจวาหลอนก็มีคนของหลอนใหเวทนาอาทรอยูขางหลัง ถือวาเสมอภาคกันกับเขา
รักแทนะมีจริง แตที่จริงกวานั้นคือกิเลส
ก็เพราะเขาปรารถนาที่จะละอัตภาพหยาบของมนุษย ไปเสวยสุขในวิมานทิพยรวมกับเรือนแกวบนสรวง
สวรรค!
๖๐๐
ธรรมดามนุษยที่เห็นนิมิตเทวนารีอันเปนของจริงโดยปราศจากกําลังอุเบกขาชั้นสูงคุมครองนั้น เทากับ
เจอเคราะหรายประการหนึ่ง คือใจจะถอนจากความลุมหลงแทบเปนบาเปนหลังไมได ยิ่งนี่บวกเขาดวย
บุพเพสันนิวาส ใหตระหนักถึงสิทธิ์อันชอบธรรมแหงตนที่จะครอบครองรางทิพยอันแสนโสภานั้น ดวยจิต
ที่ยังปฏิพัทธตอกันชัดเจน เนื่องจากเพิ่งพรากกันสดๆรอนๆ
ใจเกาในรางใหมดึงดูดเหลือทนอยูแลว นี่สะสวยเหนือโลกเขาไปอีก
นับเปนเคราะหอันซอนเขามาในเคราะห ใหเขาตองเจอเขากับศรเสียบแทงใจถอนยากที่สุดในสังสารวัฏ
ไดเห็นแลวมีแตจะคลุมคลั่งถาไมเห็นอีก
ดาวดึงสเทวโลก! และตองอยูในฐานะสูงเหนือเรือนแกวดวย!
เพราะเหตุแหงเจตนาอันไมเปนไปเพื่อดับทุกข ชวงแรกแหงการภาวนาจึงนับเปนมิจฉาสมาธิโดยแท
ความเงียบของปา ความนาสะพรึงกลัวของความเปลี่ยว และมรณภัยอันเรียงรายอยูรอบดาน เปนตัวบีบ
๖๐๑
เกาทัณฑบังเกิดความสลดสุดประมาณ แตก็รูสึกเหมือนสายเกินแกเสียแลว
พอตื่นขึ้นก็ทุเลาปวยลงจริงๆดวยกําลังปติอันเกิดจากสัมมาสมาธิ เพราะคราวนี้เขามุงมั่นเอาความ
บริสุทธิ์ในขณะยังดํารงชีวิต มิใชพร่ําเพอละเมอหาสวรรคเหมือนแตแรก
บัดนี้เขาเปนผูหนึ่งที่ประจักษวาสังสารวัฏนั้นพิสดารพันลึกเสียจนเลาไมได ไมมีสิ่งใดเกิดขึ้นเปนครั้งแรก
ไมมีใครเปนผูสราง ไมมีใครเปนเจาของ ทุกคนเดินทางอยางโดดเดี่ยวไปตามยถากรรมแหงตน ทําอะไร
ไวก็รับผลอยางนั้น ปรับเปลี่ยนภาวะหยาบประณีตของวิญญาณไปเรื่อย ขึ้นลงเหมือนลูกคลื่น ไมมีใคร
รักษาสภาพสูงสงไวไดตลอด เพราะแรงเหวี่ยงทั้งดีรายนั้นซับซอนนัก อีกทั้งกิเลสแตละขณะก็ไมแนนอน
เดี๋ยวบันดาลใหประเสริฐ เดี๋ยวกดดันใหชั่วชาติ
ที่พระพุทธเจาตรัสวาพระองคประทานใบไมเพียงกํามือเดียว จากสิ่งที่พระองครูทั้งหมดเทาใบไมในปา
เขาอนุมานไดแลววาเปนอยางไร เพราะแมฌานญาณอันคับแคบจํากัดของฤาษีธรรมดา ก็อาจแทงทะลุ
เขาไปเห็นหนาเห็นหลังอันสุดจะรวบรวมมากลาวไดหมดขนาดนี้ แลวพระสัพพัญุตญาณแหงองคสัมมา
สัมพุทธเจาที่ใหญหลวงจนเปดแจงแทงถึงตลอดสายอนันตภาพเลา จะเอาความมโหฬารของสื่อชนิดใด
มาบันทึกหรือถายทอดได
ถอนใจเฮือกใหญ ทบทวนแลวนึกรูวาชาตินี้เปนอีกครั้งหนึ่งที่เขาลิ้มรสหวานในรักไดเต็มเม็ดเต็มหนวย
บันเทิงในสติปญญาและความสามารถรอบดานอยางถึงพริกถึงขิง แตก็ตองประสบพบเจอกับศัตรูเกา รู
จักความขมขื่นแหงการจากพราก ปวยไขปางตาย เฉียดจะลงนรกมาก็แลว
ชาติอื่นที่วิบากดีใหผลนอยกวานี้มิยิ่งทรมานทรกรรมเปนสิบเทารอยเทาหรอกหรือ?
แตก็นั่นแหละ บารมีอันนอยนิดในปจจุบันชาติที่คูควรเปนกําลังแกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเบื้อง
หนา ก็เห็นอยูเพียงหนึ่งเดียว คืออธิษฐานบารมีที่กระทําไปตอหนาพระอภิญญา ทั้งรูวาจะตองฝารอย
สวรรคพันนรก ก็ยืนยันจะดั้นดนไปอยางปราศจากความเกรงกลัว ดวยหวังกรุณาโปรดเวไนยสัตวใหพน
จากสังสารวัฏดวยกําลังตน สวนบารมีอื่นนับวายังออน ไมวาจะเปนทาน ศีล การออกจากกาม ปญญา
วิริยะ ขันติ สัจจะ เมตตา และอุเบกขา
ยังตองเพียรสั่งสมอีกยาวยืดสุดหยั่งในขบวนอัตภาพหยาบละเอียดที่จะสืบเนื่องตอไป ซึ่งก็คงเวียนวนซ้ํา
ซากเหมือนเชนที่เห็นแลวในอดีตกาล
พระพรหม!
๖๐๔
ในฝนบอกตนเองวาหลอนสูทนลําบากติดตามเขามาดวยความภักดี ยอมผานรอนผานหนาวบุกน้ําลุยไฟ
ก็เพราะใจเดียวบูชารัก เขาเสียอีกมีความแข็งแรงบึกบึน ทนฝาฟนก็ดวยความมุงมั่นของตนเอง
ยังจําภาพนั้นติดตา ปลายทางอยูที่ยอดฟา
หลอนเปนทุกสิ่งที่ดีที่สุด
๖๐๕
ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเชา ก็แลนกลับกรุงเทพฯทันที!
เขามาพบหลอนแลว โลงใจไปถึงไหน…
กมลงหอมแกมนวลตรงหนา กลิ่นเนื้อแพตรียวนใจนัก
เห็น…
แตตัดไมได
นางฟาเดินดินนั้นคลายของขวัญสําหรับผูแนวแนในเสนทางหฤโหดสายพุทธภูมิ เปนธรรมดาของผู
บําเพ็ญเพียร สั่งสมบารมีไวมาก ยิ่งผลักดันใหคูบารมีสูงสงขึ้นเทาไหร ก็ยิ่งไดมีสิทธิ์ชื่นเชยสมบัติวิเศษ
๖๐๖
อันสรางดวยน้ําพักน้ําแรงของตนเองเทานั้น เพราะการลากจูงกันมานานโดยเจตจํานงอันเปนกุศลยิ่ง
ใหญ ยอมกอรางสรางสังขารโดยยืนพื้นบนยานกุศลนั่นเอง
หลอนเปนของเขาแตเพียงผูเดียว!
เกิดความคิดวูบๆวาบๆขึ้นมาวาเจาเด็กหนุมที่ชื่อมตินั่นพลาดโอกาสเชยชมอัญมณีล้ําคา หรือโชคดีที่
แคลวคลาดจากบวงรัดของอสรพิษรายแหงมหาสังสารวัฏกันแน? ภาพผิวเผินภายนอกที่ปรากฏตอกิเลส
กับภาพลึกซึ้งภายในที่ปรากฏตอปญญานั้น ชางขัดแยงกันสุดขั้วไดอยางนี้
“กังวลอะไรอยูหรือแพ?”
ยินเสียงถอนใจแผว หญิงสาวเอยกระซิบจนเขาตองจอหูเขาไปใกลแทบแกมแนบแกม
“แพไมไดมีเจตนาหลอกลวงเขานี่”
“แตแพก็ไมรักษาคําพูด ทําใหเขาเสียใจ”
หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง
“พี่ไมรูอะไรหรอก”
“ปลอย”
“จะไปไหนละ?”
“โทร.หามติ”
หลอนตอบตามตรง
“จะพูดอะไรกับเขาอีก?”
เกาทัณฑทําหนาเมื่อย แตก็ยอมปลอยแขน
โทรศัพทวางอยูบนโตะทํางานหางจากเตียงหนอยเดียว ทีแรกแพตรีอยากขอใหเกาทัณฑออกไปขาง
นอก แตแลวก็เห็นวาทําอยางนั้นดูมีลับลมมากไปหนอยสําหรับฐานะอันชิดเชื้อยามนี้ จึงปลอยใหเขาอยู
ดวยอยางนั้น ตนเองยืนนิ่งกับที่ ทําใจตระเตรียมคําพูด
แพตรียกหูโทรศัพทขึ้นกดเบอรเนือยๆทั้งรูวาเขากําลังจับตามองและเงี่ยหูฟง หลอนรอสัญญาณเพียง
สองครั้ง ก็มีเสียงเรียบเบาตอบมาจากปลายสาย
“สวัสดีครับ”
แพตรีหัวเราะออกมาได สบายใจขึ้น
“เขากลับไปแลวหรือถึงโทร.มา?”
มติทําหนางงอยูที่ปลายสาย สําเนียงคลายหยิกประชดนั้นบอกอยูในทีวาคนรักของหลอนหางออกไปแค
เอื้อม ไดแตทอดถอนใจวาโลกนี้ยุงจริงหนอ ขัดของจริงหนอ หวังวาคงไมใชแงงอนระหองระแหงกันแลว
จับเขามาขึ้นเขียงสับแทนอีก เพราะคราวนี้เข็ดจนตาย ไมยอมหลงเหยื่ออีกแลว
เด็กหนุมยอบกายลงนั่งพิงผนังหอง สงเสียงเนือยๆ
“พูดอยางนี้ถาพี่เขาฟงอยู เขาหนามืดตามมาอัดผมถึงบานก็เสร็จซี่”
แพตรีอมยิ้ม ปรายตามาทางเกาทัณฑ
มติหัวเราะเอื่อยทั้งครานที่จะมีอารมณขัน
หญิงสาวสะดุง แตก็ทําหนาเฉยอยางรวดเร็ว
๖๐๙
“ผมจะวางละ”
เงียบพักใหญ กอนมติจะถามแบบตบทาย
“สบายใจรึยัง?”
แพตรีกะพริบตาปริบๆ
มติสูดลมหายใจเขาปอดลึก เกือบๆบอกตามตรงวาหลอนทําใหเขาโตขึ้นเพราะมองเห็นและอยากละวิถี
โลกเสียที คนเรานั้นทั้งยุง ทั้งกลับไปกลับมานาระอาขนาดไหน เขาเกิดปญญาเห็นชัดวาเมื่อเอาชนะตน
๖๑๐
ประโยคทายของเขาสะกิดใหหลอนนึกถึงนิมิตที่เกิดขึ้นเมื่อนั่งสมาธิอยูหนาพระประธานในโบสถวัดปา
สาละวัน
หลอนกับเกาทัณฑชวยกันพายเรือพาเขาสงขึ้นฝง!
“เธอจะบวชหรือ?”
แพตรีโพลงถามทั้งที่เขายังไมเคยเอยเฉียดไปทางนั้นสักคํา
“มติ…เราเปนพี่เปนนองกันตลอดไปนะ”
“ฮะ”
“ออกไปเที่ยวขางนอกกันบางเถอะคะ อยูในนี้อุดอูจะตาย”
แพตรีเอยชวนกระเงากระงอดเพราะเบื่อสภาพสองตอสองที่หลอนเสียเปรียบเหมือนลูกไกในกํามือเขา
เต็มแก สัญชาตญาณระแวงภัยของผูหญิงเตือนวาผูชายถาเห็นโอกาสจนน้ําลายหกไดที่ขึ้นมาเมื่อไหร
สัญญาไวแคไหนก็ลืมหมด
๖๑๑
“แปลกแฮะ พี่นาจะเปนฝายชวนแพเที่ยวมากกวานะ”
“จะไปไหมละ?”
“เที่ยวไหน?”
“เที่ยววัดไง หาที่นั่งสมาธิกัน”
เกาทัณฑหัวเราะเอิ้ก
“เอาเถอะ อยากไปไหนก็ไป”
“ตอนนี้อยากอยูที่นี่แหละ ยังไมเบื่อนะ”
แพตรีกะพริบตา เบนหนาเนิบชามามองเขา
เกาทัณฑเห็นทาจะวกเขาเรื่องเครียด ก็รีบฉีกไปอีกทาง
“เออ…วาจะคุยดวยพอดี หลังแตงงานเราสองคนนาจะหาโอกาสไปนมัสการสังเวชนียสถานในอินเดียกัน
นะ คงจะดี เปนมงคลกับชีวิตสมรสมากทีเดียว”
ครั้งที่คุณยายังมีชีวิต ปูชนะเคยพายากับหลอนตระเวนทองนมัสการพุทธสถานที่สําคัญในแดนกําเนิด
และเผยแผพระสัทธรรมขององคตถาคตมาแลว หลอนยังจดจําบรรยากาศตางๆไดติดใจ เพราะมีแรง
ประทับลึกซึ้งยิ่ง
๖๑๒
นั่นเปนกอนหนาที่จะพบกับเขาเปนครั้งแรก เพื่อทราบวาเขาไมแมแตอยากชายตาเหลียวแล…
“คิดยังไงถึงชวนคะ?”
“คะ”
เกาทัณฑเบิกตานิดหนึ่ง
“แพเคยไปมาแลวเหรอ? รูดีจริง”
“ปดเทอมชวงสิบขวบปูเคยพาไปคะ”
“บรรยากาศเปนยังไง รกรางหรือเปลา?”
“เห็นเขาวาอินเดียขอทานเยอะเหรอ?”
ถามพลางยื่นมือเอาปลายนิ้วแตะไลริมฝปากลางอยางขอลองวาที่เห็นอิ่มเต็มนั้นจะนุมแคไหน แพตรีโยก
ศีรษะหลบนิดๆ ขึงตาหาม พลางตอบเปนปกติ
“ที่พักสะดวกหรือเปลา?”
“ตามจุดตางๆก็มีโรงแรมอยางดีเหมือนประเทศอื่น ไมตองนอนกระตอบหรอก”
“ไดแวะคงคาบางไหม? เห็นวาชาวพุทธไปอาบน้ําขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นกันมาก”
เกาทัณฑเบหนา นึกในใจวาจางสักแสนเขาก็คงไมเอาดวย
“รวมแลวพอจบการเดินทางรูสึกยังไง ชื่นใจมากไหม?”
ชายหนุมพยักยิ้ม สรุปดวยความมาดหมายเต็มเปยม
“คงตองเลือกเวลาพรอมทั้งสองคนใหเร็วที่สุดแลวละ”
“แพ…”
“หือม?”
"เคยใหใครหนุนตักไหม?"
หางตาคมตวัดเฉี่ยวหนาเขา ออกเคืองเพราะคลายเกาทัณฑเริ่มทวงถามความบริสุทธิ์สะอาดจากหลอน
ในขณะที่หลอนรูวาเขาเองผานใครตอใครมาจนเจน
"เคยมั้ง"
คําตอบหวนแบบประชดทําใหเกาทัณฑยิ้มเอ็นดู
๖๑๕
"เคยมั้ง..."
ทําเสียงเล็กเสียงนอยลอเลียน แพตรีเลยยิ่งเชิดหนาหนีไกลออกไปอีก
“ไปเที่ยวที่อื่นกันเถอะคะ อยาอยูอยางนี้เลย”
“ก็ได”
รับคําแตนั่งเฉย แพตรีจึงไล
“ก็ไดก็ออกไปรอขางนอกสิคะ”
ชายหนุมหัวเราะเงียบ แบมือ
แพตรีเดินไปหยิบมาใหจากลิ้นชักโตะทํางาน เกาทัณฑรับแลวลุกเดินออกนอกหองเพื่อใหหลอนแตงตัว
ตามที่ขอ
โลกสวาง ทางดูโลงใสยิ่งนักแลว
๖๑๖
อัตตาอันขนหนักถูกปลดแลวจากหัวอก จึงเบากายหายหวง
ไฟคือราคะและโทสะยากจะลุกโชนขึ้นในดวงจิต จึงสงบเงียบเย็นใจ
“นั่งชมฟาเปนกระตายหมายจันทรเลยนิพี่ชายเรา”
เสียงเด็กหนุมคนหนึ่งทักมาแตไกล ฉุดมติออกจากรสแหงความวางอันปราศจากขอบเขตในระดับอุปจาร
สมาธิ เหลียวมาทางตนเสียง นองชายเขานั่นเอง เพิ่งกลับเขาบานในชุดเที่ยวเต็มยศ
“วาไงทับ”
“เมื่อกลางวันตอนออกจากบาน เราเห็นพี่แพนั่งรถปายแดงไปกับหนุมหลออะมัด”
“ถาหมายถึงแฟนพี่แพ ก็หลานชายปูชนะไงละทับ”
มติเอยเรียบสนิท
ประทับทําปากแบะ
ทีแรกก็เหมือนกับที่คนทั่วไปอาจสําเหนียกสัมผัสคลื่นอารมณหรือความนึกคิดอันเขมขนจากคนอื่น เชน
กําลังมีความเครียดกังวล ความฟุงซานเลื่อนลอย ความของใจสงสัย ความมีเลศนัยซอนแฝง หรือความมี
อารมณขันซุกซน แตดวยจิตที่ชํานาญการรูทันเทา และสามารถแยกแยะสัญญาณความคิดอานของตน
เอง ไดเกิดประสบการณใหมกับมติ คือเหมือนจิตอันสงัดนิ่งและวางใสของเขาสามารถล็อกคลื่นความคิด
ที่กระจายออกมาจากประทับไดถนัด ราวกับเปนกระแสความคิดของตนเอง อีกทั้งตีความดวยอาการ
หมายรูชนิดเดียวกับที่จิตเห็นความคิดผุดขึ้นในหัวตนดวย
‘ปานนี้เอาตัวไปไหนวา จะสี่ทุมแลวยังไมกลับอีก’
เมมปากนิดหนึ่ง กอนถามเลียบเคียงพิสูจน
“ทับ...ไฟบานพี่แพยังปดมืดหรือเปลา?”
๖๑๙
ประทับหันขวับ แปลความตามเขาใจตื้นๆเพียงวามติอยูในอารมณหึงหวงและเปนหวงแพตรีจนเกินหัก
หาม ตองหลุดปากถามจนได
‘ลูกสาวแมคากลวยแขกหนาปากซอยนะเหมาะ’
“นายขําอะไรวะ?”
ประทับถามยียวน เพราะนึกวามติแกลงหัวเราะแบบทําเปนไมยี่หระ
“ขําที่นายจะใหเราเอายายโอมาเปนแฟนนะซี”
มติตอบตรงไปตรงมา ประทับขมวดคิ้วยน
“โอไหน?”
คราวนี้ประทับถึงกับสะดุง
“เอะ! เราเคยบอกเมื่อไหรวาจะใหนายเอาเปนแฟน?”
ถามคอแข็งดวยความหนาวขึ้นมา เมื่อรูสึกเปนครั้งแรกในชีวิตถึงความคิดตนที่รั่วไหลใหคนอื่นจับได
“ไปอาบน้ําละ”
จิตของชายชราสงบวิเวกเปนเนื้อเดียวกับฉากโลกที่อาบแสงจันทรสวางนวล ลมดึกรําเพยผานมาหอบ
หนึ่ง โชยกลิ่นหอมของมะลิวัลยในซุมเบื้องลางหนาตางขึ้นมากระทบนาสิกประสาท ขณะนั้นเองปรากฏ
สิ่งปรุงแตงในสวนลึกของจิต คลายบอกตนเองวาคุนเคยกับบรรยากาศเชนนี้มานานนักหนา ระลึกไดวา
แมยังเด็ก เมื่อเห็นฟาราตรีมีจันทรฉาย ก็คลายเห็นมากอน ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แดนดินถิ่นไหนสักแหง
อยางประหลาด
สมบัติหรือกอนกรวดกอนหินในเขตบานพอใหทราบวาเปนอยางไรแลววางลง ทั้งตระหนักวาเสียเวลาไป
อีกสิบชาติรอยชาติ ก็ไมอาจพลิกดูไดถวนทั่วทั้งหมดวามีอะไรอยูบาง
วาระนี้ ปญญาญาณจากจิตอันบางดวยกิเลสของทานเหมือนแสงสองเห็นความคุนชนิดพิเศษอันโยงใย
กับการอบรมจิตในพุทธศาสนา โดยปรากฏเปนความรูสึกรักเล็กๆสงออกมาจากจิตอันทรงธรรม
ทานกําหนดวารักเล็กๆนั้นเปนสุขเวทนา เปนสิ่งแปลกปลอมที่แทรกตัวเขามาทามกลางความสะอาดนิ่ง
สงบรูของจิต โดยลักษณะนั้น สุขเวทนาอาจลองหนลับหาย แสดงความเปนทุกขังแหงตนใหปรากฏตอ
กระแสรูก็ได
เห็นตนเองนั่งขัดสมาธิ์อยูบนแครเตี้ยๆกลางแสงจันทรนวลใย ที่นั่นเปนหนาบานของทานในแควนอวันตี
ซึ่งหันออกสูราวปาสงัด ปลอดคน ในภาวะที่เริ่มคุนกับอาการระลึกรู เหมือนมีอีกคนนั่งซอนตนเอง เปน
การซอนตัวปจจุบันเขาไปในตัวอดีต
กุลบุตรชาวอวันตีจํานวนมากเมื่อเขาสูสํานักของพระมหากัจจายนะก็เกิดความเลื่อมใส แตดวยเหตุขัด
ของที่มีภิกษุไมเพียงพอแกการทําสังฆกรรมในการบวชพระตามวินัย จึงเปนไดแตเพียงบวชเณร ถึงแมมี
อายุครบบวชพระกันแลวก็ตาม
ขาวมหามงคลเกี่ยวกับพระมหากัจจายนะดังกลาวนี้ มีมาถึงทานในยามอรุณรุงของวันเดียวกันกับที่นั่ง
ชมจันทร นับเปนวาสนาอันใหญหลวงที่พระหนุมในสํานักของพระมหากัจจายนะรูปหนึ่งเดินมา
บิณฑบาตถึงหนาบานทาน ซึ่งเมื่อทานเห็นกิริยาอันควรแกสมณสารูปแลว ก็เกิดความเลื่อมใส ตกลงใจ
ถวายภัตตาหารทันทีดวยความเบิกบานราเริงใจ
๖๒๔
คําถามของทานที่มีตอภิกษุหนุมคือธรรมะของพระสมณโคดมนั้น ตองฟงจากพระโอษฐแตประการเดียว
จึงไดผลอันไพบูลยถึงที่สุด คือการสิ้นทุกข หรือวาเพียงฟงคําบอกเลา ก็ไดผลสูงสุดเปนการสิ้นทุกข
อยางเดียวกัน พระไดยินคําถามก็สอบกลับวาทําไมจึงสงสัยเชนนั้นเลา ทานก็อธิบายวาทานอยูในวัยชรา
จะใหเดินทางไปฟงธรรมจากพระพุทธองคซึ่งประทับอยูไกลบาน เห็นทีคงเปนการลําบากเกินกําลัง
สังขาร
พระฟงเหตุผลจึงตอบวาธรรมะเปนของกลาง การที่พระศาสดาใหสาวกแยกยายกันออกประกาศธรรม
อนุเคราะหประชาชนไปทั่วทั้งชมพูทวีป ยอมยืนยันวาชาวบานดานเมืองทั้งหลาย ก็ฟงธรรมอันเดียวกับ
ที่ออกจากพระโอษฐได รวมทั้งรับผลสูงสุดคือการสิ้นทุกขเชนเดียวกันไดดวย หากนอมรับธรรมไป
ปฏิบัติอยางสัตยซื่อ
ฟงนัยพอสังเขปโดยทําไวในใจอยางแยบคายแลว พราหมณผูชราก็กําหนดไดวาอริยสัจสี่นี้เปนเรื่องของ
จิตใจโดยแท จิตใดสะบั้นเปนอิสระขาดจากการเกาะกุมของตัณหา จิตนั้นก็ไมมีเหตุแหงทุกข แตการจะ
พนตัณหาได ตองรูจริงๆเสียกอนวาตนเปนทาสตัณหาหรือเปลา หากขาดสติรูเทาทันเสียแลว ไม
ตระหนักวาเปนขาทาสของตัณหาเสียแลว ที่ไหนจะมีแรงบันดาลใจใหประกอบความเพียรเรงพนจาก
อํานาจของตัณหา
๖๒๕
ถอนจากนิมิตอดีตกลับคืนสูสํานึกเต็มบริบูรณแหงความเปนปูชนะ ชายชราใหนึกเหนื่อยหนายเปนที่ยิ่ง
เหตุการณลวงผานมาก็กวาสองพันป ทานก็ยังหลงวนเกิดตาย มีอัตภาพ มีการเติบโตเขาสูวัยแก รอวัน
แตกตายอยูอีก
ในสวนของการใหความสนใจธรรมที่นําไปสูครูบาอารยนั้น ทานมีวาสนาพบคําสอนอันทรงพลังอัศจรรยที่
สั้น ทวาเปลี่ยนแปลงผูคนใหหันเหมาเขาสูทางมรรคผลกันเปนจํานวนมากตอมาก นั่นคือ
จิตสงออกนอกเปนสมุทัย
ผลของจิตสงออกนอกเปนทุกข
จิตเห็นจิตเปนมรรค
ผลของจิตเห็นจิตเปนนิโรธ
ขณะที่ปฏิบัติในยุคนั้น ทานไมใหความสําคัญกับบัญญัติในตําราเทากับธรรมที่กําลังปรากฏแสดงตัวตอ
จิต เหมือนจิตเปนลิ้น และธรรมเปนรส เมื่อลิ้มรสก็ไมมัวคิดวานั่นเค็ม นี่หวาน ทํานองเดียวกับที่เมื่อแยก
ขันธออกเปนตางหากจากกัน ก็มิไดใสใจวาเขาขั้น 'นามรูปปริจเฉทญาณ' หรือยัง หรือเมื่อเห็นสภาว
ธรรมตางๆแสดงความเกิดดับเอง ก็มิไดใสใจวานั่นเรียก 'อุทยัพพยญาณ' หรือเปลา
โสดาบันปรากฏเปนประจักษพยานแกพุทธศาสนาอีกรูปนามหนึ่งแลว
อันเนื่องจากปูชนะระลึกชาติไดมาก ความรูสึกเกี่ยวกับสังสารวัฏจึงเหมือนคนวายน้ํากลางทะเลจนเขา
เขตน้ําตื้นแลว เพียงเขยงปลายเทาก็สามารถดันตัวใหพนการจมน้ําไดแลว ดังนั้นแมยังตองลอยคอสลับ
เขยงเปนระยะตามแรงโถมของคลื่นผัสสะเพื่อไมใหจมน้ําตายก็ตาม นี่เองจะวาเปนทุกขนักก็ไมใช จะวา
ปลอดภัยพนทุกขก็ไมเชิง รวมความคือเหนื่อยนอยกวาเมื่อครั้งลอยคอกลางทะเลอยางเห็นไดชัด
และคลายมีภาระผูกพันเปนกรรมสัมพันธไมเลิก เมื่อลวงเขาวัยที่ปลดเปลื้องความรับผิดชอบจากลูกสาว
ลูกชายเสียได ก็ใหตองมีแกวตาดวงใจใหมมาอยูในความดูแลเสียอีก ลูกตนพนอก ลูกคนอื่นก็มาอยูใต
ปกอีกแลว
การปฏิบัติในชวงหลังของปูจึงเหมือนคอยๆสั่งสมกําลัง รอเวลาที่จะทําสงครามแตกหักกับกิเลสตัณหา
ตอไป โดยที่ทานชอบเดินจงกรมมากกวาการนั่งหลับตาภาวนา เพราะจิตอันเดนดวงเขาที่รูอยูแลว เพียง
เบื้องแรกกําหนดรูการกระทบพื้นของเทาขวาซายเปนการเอากําลังในฝายสมถะเสียหนอย ครูเดียวจิตก็
เหมือนทวีกําลังขึ้นมากพอ ดุจเดียวกับอากาศยานที่ไดพลังอัดมากพอจะแลนทะยานขึ้นสูนานฟาแหง
ความรูแจง มองลงเห็นธรรมหยาบและละเอียดกวางขวางตามจริง
ทุกครั้งที่มาถึงจุดแหงการพิจารณาขอธรรมอยางใดอยางหนึ่ง จิตของปูชนะจะเห็นชัดถึงความไรแกนสาร
ของขันธหา จิตนอมไปถึงอมตธรรม อันปราศจากความเคลื่อนไหวในภายใน ปราศจากรูปลักษณในภาย
นอก อุปาทานขันธก็ถูกลิดรอนใหกรอบบางลงเรื่อย
มีแตจิตนั่นเองยังมั่นหมาย ยินดียินรายกับการเปลี่ยนแปลง...
ตลอดมาทานเขาใจวาการมีหวงคือแกวตาดวงใจอยางแพตรี ซึ่งถือเสมือนลูกสาวในไสนั่นเองที่เปนตัว
ปดบัง เปนดานกั้นขวางคุณธรรมระดับอนาคามี แตบัดนี้เมื่อสบายใจไรกังวลเกี่ยวกับแพตรีแลว หมด
หวงอยางเด็ดขาดแนแลว ทานก็เพิ่งเห็นวาแทจริงแพตรีมิใชดานสกัดขัดขวางแตอยางใด ความหิวธรรม
ใครอยากพน รอวันเปนอิสระจากกิเลสตัณหา ไดบรรลุมรรคผลขั้นสูงสุดตางหาก ที่ใชของแข็ง ของจริง
อันหามไว
๖๓๑
ทานปลอยความอยากชนิดนี้คางคาไวเนิ่นนานอยางรูเทาไมถึงการณ ที่ผานมาจึงเหมือนปฏิบัติธรรม
แบบเลี้ยงไข ยิ่งปฏิบัติดวยความรอวันเปนอิสระจากภาระภายนอก รอการบรรลุมรรคผลมากเทาไหร ยิ่ง
บมเพาะใหความอยากขั้นละเอียดเติบกลา แฝงเงาอยางแนบเนียนขึ้นเทานั้น
ดวยความชํานาญแกรอบในวิปสสนาญาณชั้นสูงนั้น จิตก็เลื่อนระดับความรูแจงเห็นจริงละเอียดเขามาอีก
คือถึงขนาดเห็นเขามาหยุดในจิตผูรูผูดู ขาดจากความเห็นขันธอื่นสิ้น
ถอนจากเงานิพพานกลับสูภาวะพิจารณาทบทวนแลว ปูชนะจึงทราบวาภาวะที่จิตรูโดยปราศจากตัณหา
และทิฏฐิครอบงํานั้นมีอยู การปฏิบัติขั้นแตกหักไมมีอะไรมากกวาการอยูกับธรรมชาติรู โดยปราศจาก
ความอยากและความคิดเห็นแมละเอียดแสนละเอียด
เมื่อประจักษวาผูรูกับสิ่งถูกรูเปนอันเดียวกัน ใดๆบรรดามีอันเกิดแตการปะทะสังสรรคระหวางจิตกับ
อารมณก็ถูกปลอยวางลงดวยกัน ปราศจากความซึมซานเขาหากันเทายองใย เหลือธรรมอันสงัดวิเวก
เงียบเชียบ เบิกบานอยางเรนลับ มีความเปนธรรมดาลวนๆ ไมหลงธรรมใดอันแตงเปนคําพูดไดเลย
นิพพานเปนสุขยิ่ง นิพพานนั้นวางยิ่ง
ที่เกินขอบเขตนิพพานนั้น
นอกจากทุกขไมมีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกขไมมีอะไรดับไป
ใจที่ถึงนิพพาน เปนความจบบริบูรณอยางแทจริง
เปนของจริงเหนือการสรรคํารอยถอยประพันธอันใดสิ้น
จบ.