You are on page 1of 634

http://larndham.

net/narupan/

สารบัญ
บทที่ ๑ รักแรกพบ ๒
บทที่ ๒ เอกาปติ ๑๙
บทที่ ๓ คูบุญ ๒๕
บทที่ ๔ อกหัก ๓๘
บทที่ ๕ เขาสมาธิ ๕๖
บทที่ ๖ จอมศิลปน ๗๖
บทที่ ๗ อุปจารสมาธิ ๙๐
บทที่ ๘ ฝนหวาน ๑๐๓
บทที่ ๙ ตามฝน ๑๑๖
บทที่ ๑๐ ผูวิเศษ ๑๒๙
บทที่ ๑๑ อดีตชาติ ๑๔๗
บทที่ ๑๒ พุทธภูมิ ๑๖๓
บทที่ ๑๓ เจาชูยักษ ๑๘๖
บทที่ ๑๔ รวมทาง ๒๐๑
บทที่ ๑๕ กราบพระ ๒๑๙
บทที่ ๑๖ ฝนราย ๒๓๖
บทที่ ๑๗ สาวเกง ๒๕๕
บทที่ ๑๘ เจาเสนห ๒๗๗
บทที่ ๑๙ ใจแกวง ๓๐๓
บทที่ ๒๐ กรรม ๓๒๔
บทที่ ๒๑ สะกดจิต ๓๔๕
บทที่ ๒๒ คราวเคราะห ๓๖๕
บทที่ ๒๓ ใจสลาย ๓๙๓
บทที่ ๒๔ งานศพ ๔๑๘
บทที่ ๒๕ นางฟา ๔๕๐
บทที่ ๒๖ ธรรมาภิสมัย ๔๘๔
บทที่ ๒๗ ประกวดภาพ ๕๐๘
บทที่ ๒๘ วังวน ๕๖๓
บทที่ ๒๙ สิ้นโศก ๖๑๖

มันเกิดขึ้นอีกแลว...

เกาทัณฑเห็นตนเองขับรถคูใจไปบนถนนยาวเหยียด ไมรูทางกลับบาน ไมทราบจุดหมายปลายทาง เขา


รูสึกเดียวดายเหมือนถูกนํามาปลอยทิ้งไวในอีกมิติหนึ่งเพียงลําพัง เบื้องหนาเปนทองฟาที่ดูคับแคบ
หมนมืดนาอึดอัด ชวนใหจิตใจหดหูวังเวงอยางยากจะบรรยาย

นี่ตองไมใชโลกใบเกาแนๆ

สะกิดใจดวยความเคยคุนที่ฝกถามตนเองบอยๆขณะตื่น วากําลังฝนอยูหรือเปลา ชายหนุมรีบยกฝามือ


ขางขวาขึ้นดู เพงพินิจลายมืออยางตั้งใจ ทีแรกปรากฏเปนเสนสายยุงเหยิงดูไมคุนตา จากนั้นเมื่อเวลา
ผานไปอึดใจหนึ่ง เสนลายมือก็เริ่มโยเย ขาดความชัดเจน จึงรูตัวในบัดนั้นวาตนกําลังตกอยูในหวงฝน
และเปนฝนอันไมพึงปรารถนาเสียดวย

พอรูตัว เกิดสติทราบชัดวากําลังหลับ กําลังอยูในโลกที่ถูกจิตสรางขึ้น เกาทัณฑก็ตระหนักวาตนสามารถ


บงการทุกสิ่งใหเปนไปดังใจ เขากําหนดใหสภาพของรถเปลี่ยนเปนอื่น ดวยเคล็ดคือปดตาลงนึกถึง
สภาพภายในหองโดยสารเครื่องบินเล็ก แลวลืมตาขึ้น

เปนไปตามตองการ พวงมาลัยรถเปลี่ยนเปนคันบังคับเครื่องบินเล็ก

นักบินในโลกความฝนดึงคันบังคับขึ้นเพื่อใหเครื่องเชิดหัวทะยานสูทองฟา หลบหนีจากทางรางวังเวงนา
ทรมานไปเสีย เขาพยายามสังเกตรายละเอียดของเครื่องบิน เชนเหลียวไปนอกหนาตาง ดูปกขวาที่ยื่น
ยาวออกไป โดยกําหนดมองไมนานนัก เพราะทราบวาถามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ ภาพจะเปลี่ยนเปนอื่น
ตามธรรมชาติของผูเริ่มฝกสติขณะฝน

ปรับระดับการบินคงที่ ชะโงกหนากมลงมองต่ําผานกระจกหนาตาง บัดนี้เขาลอยตัวขึ้นมาอยูสูงเหนือพื้น


ดินลิบลับ เบื้องลางคือความเวิ้งวางของผืนดินสีน้ําตาล บอกตนเองวานี่มันแดนสนธยาชัดๆ นึกดีใจที่หนี
มาเสียได

ขยับตัวมองตรง ความกดอากาศขนหนักจนอึดอัด ทําไมความอึดอัดยังตามขึ้นมาอีก ลอยตัวสูงขนาดนี้


อากาศนาจะสดชื่นไดแลว เกาทัณฑขมวดคิ้วเครง จิตประหวัดถึงความจริงที่ตนบังคับเครื่องบินเล็กไม
เปน เคยแตนั่งโดยสาร จะหาจุดหมายปลายทางมาแตไหน

จะเดินทางกลับบานไดอยางไร ถาในหัวเต็มไปดวยความไมรู

หลงอีกแลว คราวนี้ยิ่งเควงควางเขาไปใหญ เพราะทุกทิศทุกทางคืออากาศวางเปลา บังเกิดความกลัวขึ้น


มาขณะหนึ่ง หากความฝนคือการหลงติดอยูกับความคับแคบ เขาก็อยากออกจากฝนเสียโดยพลัน

มีอาการควานหาทาง ซึ่งครั้งนี้มิใชทิศทางพุงไปของเครื่องบิน ทวาฉลาดขึ้นมาหนอย คือหาทางออกจาก


ฝน...

ขณะคอยๆรูสึกตัวตื่นขึ้น เกาทัณฑหายใจถี่เหมือนคนออกแรงไปมาก เขาตองปรับสติเปนครู กวาจะแน


ใจวาหลุดออกมาจากกรงแหงความฝนแลว

รอจนอาการทางกายสงบเปนปกติ ชายหนุมจึงลืมตามองเพดานหอง ถอนหายใจเฮือกใหญ แทบจะคืน


เวนคืนในชวงหลังที่เขาตองทรมานกับฝนประหลาด ฝนวาหลงทาง ขี่จักรยานเสือหมอบไปตามทุงราง
บาง เดินเทาเปลาไปตามถนนในเมืองที่ปราศจากผูคนบาง มาคืนนี้ขับรถไปในแดนสนธยา ยิ่งรายกวา
ทุกคืนตรงที่แมเกิดสติ พยายามหนีขึ้นฟาแลวก็ยังหลงอยูนั่น

แตละปมีคนเปนโรคประสาทเพราะฝนรายกันมาก ทางจิตวิทยายืนยันวาถาคนเราฝนผิดปกติรบกวนจิต
ใจซ้ําๆ ตองเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง จะปมในอดีตหรือเรื่องคาใจในปจจุบันก็ตาม

คงนากังวลนอยกวานี้ หากเขาจะรูตัววามีปมปญหาอยูจริง แตนี่จะใหสืบเคาจากไหน ในเมื่อเขาเกิดมา


ทามกลางความพรั่งพรอม กับทั้งกําลังอยูทามกลางความมั่งคั่งและมั่นคง อัตราสวนของรายรับกับราย
จายผิดกันแทบเปนสิบตอหนึ่ง รถมีใหขับ หองหับมีใหอยูเปนของตนเอง ทุกอยางไดมาจากน้ําพักน้ําแรง
ในทางอันชอบดวยกฎหมายและศีลธรรมทั้งสิ้น ที่จะตองหวาดระแวงสักนอยวาตํารวจมาจับหรือศัตรูมา
ลางนั้น ไมมีเลย

แรงผลักดันในชีวิตโดยรวมคือความเปนหมายเลขหนึ่ง นับแตวัยเรียนที่ผลสอบเปนเกรดเอรวด หรือ


คะแนนเต็มคนเดียวในวิชายาก มาจนถึงวัยทํางานที่ความรูความสามารถโดดเดน การงานลุลวงและดี
เลิศ รวยโดยไมตองโกง มีความสุขโดยไมตองเบียดเบียนคนอื่น แถมรูจักวิถีทางชีวิตของตนเอง วาง
แผนไวลวงหนาเลยวาจะเอาอะไรเมื่ออายุเทาไหร

แตทําไมสวนลึกยังรูสึกวาหลงทาง โดยเฉพาะเมื่อมาถึงขีดความมั่นคงในชีวิตอยางที่สุดแลวนี้?

เกิดความกลุมจนเมื่อหลายวันกอนตองยอมเสียคาโทรศัพททางไกลตางประเทศ เพื่อปรึกษากับเพื่อนรุน
พี่ที่เปนจิตแพทย แตฝายนั้นคงไมอยากเสียเวลาอันมีคาฟรีๆเพื่อลวงตับไตไสพุงของเขาเอาไปวิเคราะห
เทาไหร ฟงแลวจึงใหคําแนะนํามางายๆ คือลองฝก ‘รูตัว’ ขึ้นมาในฝน ดวยเคล็ดคือถามตนเองบอยๆ
ระหวางวัน วากําลังฝนหรือตื่น พอถามตัวเองทีก็ยกมือดูลายมือเสียที วาชัดหรือจาง หากชัดก็บอกไดวา
กําลังตื่น หากจาง และเสนสายเปลี่ยนแปลง ก็แสดงวาเปนฝน ใหกําหนดไวลวงหนาวาจะทําอะไรใน
จังหวะที่รูตัวแลวนั้น

ฝรั่งมังคาวิจัยและบันทึกผลเกี่ยวกับความรูตัวชัดในฝน หรือที่เรียกเปนศัพทเฉพาะวา Lucid Dreaming


มาเนิ่นนาน เปนที่รูจักและปฏิบัติไดผลกันอยางกวางขวางพอควร มีเรื่องบันทึกเลาขานมากมาย พอสรุป
ไดวาจะเอาอะไร แกปมเครียดชนิดใด หรืออยากสนุกสุดเดชแคไหน ลวนเปนไปไดทั้งสิ้น ขอเพียงสั่งสม
ทักษะในการควบคุมฝนไวอยูมือ

เขาทําตามคําแนะนําอยางดิบดี โดยมากกําหนดไวคือเมื่อไหรรูตัววาฝนหลง จะหลบทางรางเสียดวยการ


เหาะหนี ซึ่งก็สําเร็จอยูหรอก ปลูกเชื้อจิตสํานึกขณะตื่นไวจนสามารถติดตามมาเชื่อมติดกับจิตขณะฝน
ได อีกทั้งกําหนดใหตนพนจากพื้นแลว แตพอลองฟาก็ยังหลงอยูดี แบบที่เขาเรียกหนีเสือปะจรเขอยาง
ไรอยางนั้น

สายหนาดิก ถาฝนแคหนสองหนก็ชางเถิด แตซ้ําไปซ้ํามาแบบนี้ ตื่นขึ้นมาแลวถามตัวเองวาลืมอะไร


หลงอยางไรเขาบาง ระยะยาวคงบั่นทอนสุขภาพจิตจนหมดความสุขในชีวิตเอาทีเดียว

เอ...หรือวานาจะไปเปดหัวใหไกลๆ เดินทางแบบสุดเหนือสุดใตประชดฝนเสียเลย

ทีแรกแคคิดแบบวูบวาบเรื่อยเปอย แตพอเวลาผานไปนิดหนึ่ง ก็เกิดความรูสึกจริงจังตึงตังขึ้นมา โปร


เจ็กตขนาดกลางซึ่งเขารับผิดชอบเพิ่งเรียบรอยไปเมื่อวาน นาจะใหนี่เปนครั้งแรกในรอบหลายป ที่ได
หยุดเฉยสักสองสามวัน ทองเที่ยวไปตามตางจังหวัดใหสบายใจ

แวบหนึ่งคิดอยากชวนเพื่อนตามประสาคนชอบเฮฮากับหมู แตใครจะไปตกคางอางแรมกับเขาได ในเมื่อ


พรุงนี้เปนวันทํางาน

ลังเลอยูเพียงครึ่งนาทีก็ตัดสินใจเด็ดขาดวาฉายเดี่ยวดูสักครั้ง นี่จะเปนหนแรกอยางแทจริง ที่คิดแลนไกล


ตามลําพัง ไมมีเสียงเจี๊ยวจาวของสาวสวยและเสียงเอะอะโวยวายของเพื่อนขี้เมารอบรายพะรุงพะรัง

นึกวาดภาพการทองเที่ยวอันโดดเดี่ยวเดียวดายแลว ก็รูสึกขึ้นมาขณะจิตหนึ่งวา เออ...สบายดี ไดลอง


พูดนอยๆ เห็นผูคนนอยๆ จะไปไหนทีไมตองพะวงถามไถความเห็นชอบจากใคร ชางเปนประสบการณ
สดใหมอยางประหลาด ราวกับกําลังจะออกผจญภัยครั้งแรกในโลกกวางที่ไมเคยรูจักฉะนั้น

สวนลึกแลวเห็นวานี่นาจะแกเคล็ดฝนหลงได เขาแนใจวาตนเองไปไกลทั่วไทยโดยไมหลง ทั้งสติปญญา


ทั้งกําลังกาย กําลังทรัพยพรอมพรักออกอยางนี้ หากบองตื้นขนาดขับรถไปหลงที่ไหนก็ไมตองกลับเขา
เมืองอีกแลว สมัครทําไรไถนาชดใชความบื้ออยูแถวๆที่หลงนั่นแหละ

สะสางธุระยามเชาในหองน้ํา ออกมาโทรศัพทหาเจานาย เขามีความสําคัญกับบริษัทและสนิทกับเจานาย


มากพอจะโทร.ขอลาหยุดงานไดปุบปบ ฝายนั้นรับฟงและอวยพรใหเที่ยวสนุกอยางงายดาย เขาทํางาน
ตลอดเจ็ดวันอยูหลายชวง อีกทั้งเพิ่งจะปดโปรเจ็กตไปเมื่อวาน สองสามวันสําหรับเปดหัวจึงนับเปนเรื่อง
เล็กนอยอยูแลว

ใสเสื้อฮาวายหลวมสบายและกางเกงยีนสตัวโปรด ยัดเสื้อผาหลายชุดใสกระเปาสะพาย ก็พรอมเดินทาง


ทันที นับเปนความรูสึกอิสระไรกังวลอยางแทจริง เพราะแมแตจุดหมายปลายทาง แผนการทองเที่ยวก็
ยังไมปรากฏขึ้นในหัวเลย ขอใหเดินทางพนไปจากกรุงเทพฯกอนเถอะ

เคลื่อนรถออกจากที่จอด แมกระทั่งเกือบถึงประตูทางออกจากเขตคอนโดมิเนี่ยม ก็ยังไมตกลงปลงใจอยู


ดี วาจะไปไหน เหนือ ใต ออก หรือตก จนเลี้ยวซายออกถนนใหญนั่นแหละ ถึงปลงใจวาใหถนนพาไปก็
แลวกัน

ขับเรื่อยเฉื่อย ไมทําความเร็วอยางเคย กระทั่งพบวาตนเองอยูบนถนนวิภาวดีรังสิต และอีกสิบนาทีตอมา


ก็แฉลบมาวิ่งบนเสนทางที่จะไปเมืองกาญจ

เห็นรานกวยเตี๋ยวขางทาง ก็นึกขึ้นไดวาตองหาอาหารเชาใสทองเสียหนอย จึงจอดทานที่รานนั้น ทาน


อิ่มก็ขึ้นรถสตารทเครื่องเดินทางตอ เกาทัณฑยิ้มอยูกับตนเอง เหมือนเมื่อครูไดทําสิ่งพิเศษ ตอนนี้เขา
เปนอิสระจริงๆ ทั้งจากการงาน จากสังคม และแมกระทั่งจากความตองการของตนเอง ไรแผนการในหัว
ไดแตทอดตาไปเบื้องหนาเพื่อมุงเดินทางอยางเสรี หิวก็หาทาน งวงก็หานอน เดินทางตอแลวตออีก ไมมี
ใครใหหวง ไมมีภาระใหพะวงถึง

ยิ้มออกมาเฉยๆ ตองอยางนี้กระมัง ที่สรางความรูสึกใหมไดเหมือนเปลี่ยนไปเปนคนละคน

ความสดชื่นรื่นเริงกับเสรีภาพไรขอบเขตเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว ก็ตองมลายวับ เมื่อชวงหนึ่งถึงถนน


เหยียดยาว แลเห็นทองฟาวางเปลาเบื้องหนา สะกิดใหนึกถึงภาพฝน และเกิดคําถามในหัววา ‘นี่เรา
กําลังจะไปไหน?’

อารมณสดชื่นแผวซึมลงถนัด เกาทัณฑหรี่ตากับตนเอง เบี่ยงรถเขาจอดที่ไหลทาง และเหมือนพยายาม


ใหคําตอบกับตนเองเปนเหตุเปนผล วาที่ขับรถออกมาอยางไรจุดหมายนี้ ก็เพื่อสรางบรรยากาศเลียน
แบบฝน และหาทางออกดวยภาวะจิตใจที่เต็มตื่นบริบูรณ

ตอนนี้เหมือนอยูในฝนเปยบ ตางกันตรงที่มีสติคิดอานพรักพรอม

สวางวาบขึ้นมากะทันหัน เกาทัณฑใชหางตามองกระจกหลัง แลวเบนไปมองเบื้องหนา เมื่อเห็นถนน


ปลอดก็หักพวงมาลัยเหยียบคันเรง พุงรถวนยอนสวนทางกลับคืนเมือง นี่ยังไง คราวนี้ภาพตรงหนาเต็ม
ไปดวยความรูสึก รูตื่น รูตัว วาเขากําลังจะวิ่งกลับบาน ชายหนุมซึมซับความรับรูชนิดนั้นไวอยางเต็มตื้น
เกิดความสุข ความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง นี่อาจเปนเกมแกฝนที่ตองลงทุนลงแรงและเปลืองเวลานิดหนอย
แตก็คุม หากฝนอีก เขาจะนึกถึงการวกกลับมาสูฐานที่มั่นของชีวิตเชนกําลังเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้

ทองซ้ําๆดวยความโสมนัส วาจะจําการยอนทางกลับบานอยางนี้ จะจําการยอนทางกลับบานอยางนี้


เยาะในใจวาเขาหาทางออกไดเกงกวาจิตแพทยเสียอีก

ตอโทรศัพทมือถือ กรอกเสียงลงไปอยางรื่นเริงฝากเลขาฯของเจานายวาพรุงนี้เขาจะไปทํางานตามปกติ
ยกเลิกวันลาที่ขอไว เจานายคงงง แตนาจะชินแลวกับความเปนคนตัดสินใจเร็วตามสถานการณเฉพาะ
หนาของเขา อาจคิดวาเขาเจออุปสรรคบางอยาง หรือเกิดไอเดียใหมที่รอนใจอยากเริ่มตนเสียแตพรุงนี้ก็
ได

ขับรถกลับบานดวยอารมณปลอดโปรง หนทางเบื้องหนาเต็มไปดวยความรูจักมักคุน ภาพความวางเปลา


ไรจุดหมายสลายหายหนไปสิ้น อิสระที่แทจริงสําหรับชีวิตเขาคือการงานซึ่งชูตัวตนใหสูงเดนเปนสงา
เมื่องานอยูในมือ เขาสามารถทําอะไรก็ได ทุกคนตองเงี่ยหูฟงเขาพูด ทุกคนตองใหน้ําหนักกับความเห็น
และการตัดสินใจของเขากอน นั่นแหละตัวตนของเขา นั่นแหละจุดหมายปลายทางในชีวิตเขา และเขาก็
อยูที่จุดหมายปลายทางของชีวิตแลว

ใกลเขาเขตกรุงเทพฯ สายตาเหลือบซายเห็นปายบอกทางเขาวัด เมื่อขามาไมสังเกต แตขากลับเห็นเดน


ถนัดตา แลวก็ถึงกับขนลุกซูกับชื่อบนแผนปายไมหนา

วัดทางนฤพาน

ความเร็วของรถชะลอลงทันใด นึกออกเดี๋ยวนั้นวานี่เปนปากซอยเขาบานปูซึ่งเขาหางหายหนา ไมแวะ


มาเยี่ยมเยียนหลายปดีดัก เขาจําชื่อวัดได เพราะเห็นสะดุดตา ฟงสะดุดหูผิดแผกแตกตางจากชื่อวัดอื่น
เมื่อกอนเคยมาบานปูกับพอสองสามหน เหลียวมองปายชื่อวัดดวยความสนใจทุกครั้ง คลายมีมนตขลัง
บางอยางดึงใหตองมอง แมเมื่อสายตากําลังจับที่อื่น ก็จะเหมือนเผอิญหันขวับมาเจอทุกคราวไป

ปุบปบตัดสินใจเลี้ยวเขาซอย ดีเหมือนกัน จะไดมาไมเสียเที่ยว ลองเขาไปดูเสียหนอย วาสภาพวัดเปน


อยางไร ใจไมคาดหวังอะไรเลย เพราะเห็นมาจนรูดีวาวัดก็คือวัด ที่อยูของพระสงฆ และพระสงฆก็มีมาก
มายหลายประเภท ทั้งพวกชาวบานที่วันดีคืนดีหยิบจีวรมานุงหมตามประเพณี และพวกที่มีความเห็น
เกี่ยวกับชีวิตบางอยางซึ่งเขาไมเขาใจ คือ ‘เห็น’ ขนาดพรอมจะสละบานเรือนและทรัพยสินอยางไรความ
อาลัยไยดี

ผานหนาบานปู ทีแรกเกือบเลยไปดวยความขี้เกียจแวะทักญาติผูใหญวัยชรา ปกติเขามักพบทานที่บาน


ญาติเชนลุงหรืออา นอยครั้งจะมาหาถึงนี่

ความจําดานดีเกี่ยวกับปูแวบเขามาในหัว ปูเปนคนพิเศษ เปนคนแกที่ดูไมแก มีคําพูดสะกิดใจ ชวนคิด


ไดเกือบทุกคํา นั่นทําใหตัดสินใจฝนความรูสึก ไหนๆก็กําลังเบื่อ ลงเยี่ยมคนแกใหเกิดความเบื่อลบลาง
ความเบื่อ อาจกลับออกมาดวยความกระชุมกระชวยขึ้นก็ได

นึกเลนๆวาอาจเจออะไรไมคาดฝนเขาบาง…

มองปราดเดียวรูเลยวาบานไมสองชั้นของปูเกาแกนมนาน ทวาไดรับการดูแลซอมแซมอยางตอเนื่อง มิ
ฉะนั้นปานนี้ก็คงเห็นผุพังไมเจริญตานัก เกาทัณฑจอดรถลงมากดออดหนาประตูบาน รอบบริเวณเงียบ
เชียบอยางไมนาจะมีคนอยู ชวนใหคิดวาคนในบานอาจออกไปขางนอก ซึ่งนั่นก็แปลวาเขาแวะลงเสีย
เที่ยวเปลา

กําลังหันรีหันขวางจะขึ้นรถหนีดวยความอดทนต่ํา ก็เผอิญเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากเรือนชั้นลาง
และเมียงมองมา เกาทัณฑเขมนตาจองหลอนดวยความแปลกหนา ความที่เคยตามพอมาเยี่ยมปูนอยหน
ทําใหไมแนใจวาใครเปนใคร สมาชิกในเรือนมีอยูกี่คน จําไดหลักๆเพียงปูชนะ ยาเล็กซึ่งปจจุบันเสียชีวิต
แลว กับเด็กอีกสองสามคน

ผูหญิงคนนั้นเดินมาใกลประตู ลมหายใจเกาทัณฑถึงกับขาดหวง งันนิ่งไปเมื่อเห็นหลอนถนัด

"มาหาใครคะ?"

กังวานใสของแกวเสียงวิเวกหวานนั้นทําใหเขารูสึกตัว และเปดยิ้มปราศรัยได

"ปูชนะอยูไหมครับ? ผมเปนหลาน"

ชอบกล ที่เขาเห็นหนวยตาของหลอนขยายขึ้นหนอยๆ ฉายแววคลายเปลี่ยนจากลังเลเปนมั่นใจ และ


มองมาดวยทาทีแปลกกวาเดิม

"อยูคะ" ตอบแผวแลวไขประตูเปดให “กําลังนั่งอานหนังสือพิมพที่ชั้นบน"

ชายหนุมกาวเขามาขางใน มีความสงบอกสงบใจเกิดขึ้นพรอมกับการวางเทาลงในเขตบานของปู สาว


งามยิ้มใหเขาบางๆ ทําทาจะปลีกตัว ทวาความออนโยนที่แฝงไวดวยชีวิตชีวาอยางประหลาดนั้น รัดรึงใจ
ใหเกาทัณฑไมนึกอยากปลอยหลอนหางไปเร็วนัก จึงรีบตั้งคําถามที่พอจะนึกไดปุบปบทันดวน

"คุณเปนหลานปู ลูกพี่ลูกนองของผมหรือเปลาเอย?"

วงศวานวานเครือของปูและยามีอยูมากมายกายกอง เขาจําไมหมด โดยเฉพาะที่หางหนาหายตากัน


หลายๆป ทบทวนดูแลวเชื่อวาสมัยเด็กเขาไมเคยเห็นหลอนที่นี่มากอนแนๆ

สบตากัน นิลเนตรมีประกายสงบซึ้งที่สะทอนความเรียบนิ่งของจิตใจอันงดงาม หายากที่จะพบดวงตา


ชนิดนี้ เหมือนมองแผนน้ําที่ทําใหใจใสเย็นและออนโยนตามไดฉะนั้น

"ก็ไมเชิงคะ...เดี๋ยวจะทําน้ําสมขึ้นไปให เชิญกอนนะคะ"

เกาทัณฑฟงหลอนพูดตอบ แตจิตใจมัวจดจอกับเรียวปากสวยที่ขยับเจรจาไดงามปานวาด หญิงสาวผาย


มือไปทางบันไดขึ้นเรือน ระบายยิ้มออนและกาวเทาลับหายไปทางหนึ่ง ไมเปดโอกาสใหเขาทันตอความ
ยาวสาวความยืดนานกวานั้น

เดินขึ้นเรือนอยางใจไมคอยอยูกับเนื้อกับตัว รูปติดตา เสียงติดหูตามมาทุกฝกาว หนทางในทิศที่


ปราศจากหลอนดูไรความหมายขึ้นมากะทันหัน

พื้นที่กลางเรือนชั้นบนจัดวางดวยโตะเกาอี้ ทีวี ตูเย็นและพัดลมเกาแก ราวกับหยุดยุคสมัยไวกับวัน


วาน เกาทัณฑพบคุณปูนั่งเอกเขนกกางหนังสือพิมพอานอยูบนเกาอี้โยก ทานไมเปลี่ยนแปลงไปเลยแม
แตนอยจากการมองผาดทีแรก

"สวัสดีครับปู"

ชายหนุมสงเสียงนํา เมื่อเห็นทานเงยหนามองก็พนมมือไหว ปูลดหนังสือพิมพลงวางกับตัก เกาทัณฑ


มองทานอยางเกรงวาจะจําตนไมได แตปรากฏวาทานมองดวยตาเปลาปราศจากแวนอยูครูก็ทักเรียบๆ
อยางคนมีสติระลึกรูแจมชัด

"อาว! เปนไงนายเต มาถึงนี่ได"

ชายหนุมยิ้มและนั่งลงบนเกาอี้ตัวหนึ่ง แคไดยินเสียงก็ระลึกไดหมดถึงบรรยากาศเกาๆในวันกอน บังเกิด


ความยินดีที่ไดพบทานอีกครั้ง

"อยากมาเยี่ยมปูสิฮะ"

เพิ่งอยากเอาจริงๆก็ตอนที่พูด แปลกที่นึกรักปูขึ้นมากมายปุบปบ อาจเปนดวยความเย็นใจรอบกาย อาจ


เปนดวยดวงตาดําสนิทราวกับหนุมฉกรรจผูรูคิดและเปยมเมตตา อาจเปนดวยทาทีทรงภูมิและสุขุมคัม
ภีรภาพของทาน...

หรือไมก็อาจเปนเพราะเพิ่งรูวาในบานนี้มีสาวแสนสวยคนหนึ่งอาศัยอยู

"ผมไมไดมาเยี่ยมปูเสียสามสี่ป"

เอยคลายสารภาพผิด ผูอาวุโสพับหนังสือพิมพวางลงบนโตะ

"เจ็ดป" ทานแกดวยน้ําเสียงแนนของผูมีสมองประจุไวดวยความจําอันชัดเจนเทากับหรือมากกวาคนรุน
หนุม "ตอนมาครั้งสุดทายนะแกเรียนวิศวะฯปสองไง ฉันยังทักเลย เพิ่งอายุสิบเจ็ดก็ขึ้นปสองแลว และ
ถามวาพอจบจะไปตอโทเมืองนอกเลยหรือเปลา”

เกาทัณฑอาปากคางเปนครูดวยความงงงัน นึกไมถึงวาทานจะจํารายละเอียดเกี่ยวกับหลานผูหางเหิน
อยางเขาไดแมนยําขนาดนั้น

"ออ…เออ ปูสบายดีใชไหมฮะ? ดูก็รู"

"ก็เทาที่คนแกจะสบายไดนั่นแหละ...หนาตาทาทางแกเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะนี่ ถาเดินสวนกันขาง
นอกคงจําไมได ดูเปนผูหลักผูใหญ ทั้งสวนสูง ทรงผมทรงเผา ทวงทีนั่งเดินภูมิฐานกวาสมัยวัยรุนเปน
คนละคน"

ชายหนุมยิ้มเฉียง

"บานปูเงียบยังไงก็อยางนั้นเลย ดีจริงๆที่ไดอยูกับอากาศอยางนี้ ปูคงแข็งแรงไปอีกนาน”

"อยากมาอยูมั่งไหมละ?"

เกาทัณฑไมไดนึกถึงสถานที่กลางสิ่งแวดลอมดีๆ แตไพลไปนึกถึงแมงามผูนาใกลชิดเสียแทน ปากจึง


ตอบเรื่อยเปอยตามประสา

"อยูไดก็ดีสิฮะ บานแสนสุขอยางนี้" แลวก็วกมาถามถึงเจาหลอนนางนั้นอยางสบจังหวะ "ผูหญิงที่เปด


ประตูใหผมเมื่อกี้ใครครับ? ถามแลวเห็นวาไมใชหลานปู"

ปูชนะหยิบหูถวยแกวขางตัวขึ้นจิบน้ําชา

"แกจํายายแพไมไดเหรอะ?"

เกาทัณฑขมวดคิ้วงง

"แพ? ผมเคยรูจักเขาดวยหรือครับ?"

ถามอยางนึกไมออกจริงๆ ปูชนะพยักหนาแลวพูดปดตัดบท
๑๐

"เอาเถอะ ก็หลานฉันคนหนึ่งนะแหละ"

“เอะ! ยังไงกัน เขาบอกไมใช แตปูบอกใช”

ชายชราผอนลมหายใจ เปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ

"นี่กินอะไรมารึยังละ?"

"เรียบรอยฮะ ปูละครับ ถายังเดี๋ยวผมจะออกไปซื้อใหไหม?"

"ไมตองหรอก เพิ่งกินกับยายแพไปเมื่อกี้เหมือนกัน"

พอดี ‘ยายแพ’ เดินขึ้นมาบนเรือนพรอมกับแกวน้ําสมคั้น เกาทัณฑชะงักไป และมองหลอนนําเครื่องรับ


รองมาวางตรงหนาดวยดวงตาจับนิ่ง ใจคลายถูกแชเย็นไปชั่วขณะดวยอิทธิพลเหนือคําบรรยายในหลอน

"แพ นี่เต หลานปู รูจักพี่เขาไวนะลูก"

หญิงสาวพนมมือไหวตามมารยาทและยิ้มใหเขาบางๆ เกาทัณฑรับไหวและยิ้มตอบดวยทาทีของพี่ชาย
ทวงทีกิริยาของหลอนฉายความบริสุทธิ์สะอาดไปตลอดทั้งกายใจเยี่ยงผูเปนอยูเรียบงายสันโดษ ทวาดวง
ตาแฝงแววฉลาดรูลึกซึ้ง ทําใหภาพรางชวนทัศนานั้น ยิ่งดูยิ่งมีคาขึ้นอยางประหลาดล้ํา

อยากยินเสียงหวานใสและแสนจะนุมหูของหลอนอีก ทวาเมื่อเสร็จจากยิ้มใหเขาพอเปนพิธีแลว ก็หัน


กลับและเดินหลีกลงบันไดไป ชายหนุมมองตามจนลับสายตาดวยความอยากจะหาเชือกมาทําบวงบาศก
เหวี่ยงไปคลองตัวดึงหลอนกลับมานั่งคุยกับเขาและปูตอ ไมใชขึ้นมาทําใหตาสวางแลวเดินหายไปเฉยๆ
ราวกับตัวละครที่โผลออกมาจากมานเรียกความสนใจคนดูใหเริ่มตั้งตาโตชม แตแลวยังไมทันแสดงบท
บาทสําคัญก็แวบเขาหลังเวทีเสียนี่

ไดสติเมื่อปูกระแอมเบาๆ เกาทัณฑหันกลับมายิ้มเกอๆ อยากจะถามอะไรเกี่ยวกับหลานสาวของปูอีก


มากๆ แตก็ใหรูสึกประเจิดประเจอไปหนอย จึงเลี่ยงถามเรื่องอื่นเสียพนๆเปนการพักยก

"ปูยังนั่งวิปสสนาอยูหรือเปลาครับ?"

ดึงเขาเรื่องนั้นเพราะบุคลิกลักษณะของปูยังดูเปนผูทรงธรรมไมสรางซา ทานคงยินดีคุยเกี่ยวกับของชอบ
เปนแน สมัยเด็กพอเคยพูดเขาหูบอย วาปูรักการนั่งวิปสสนาเปนชีวิตจิตใจ

“อือม ก็นั่งอยูนะ ปะเหมาะเคราะหดีก็เดินวิปสสนา ยืนวิปสสนา หรือกระทั่งนอนวิปสสนาดวยเหมือน


กัน”

“นอนก็วิปสสนาไดหรือครับ?” เกาทัณฑทักกลั้วหัวเราะ “เอ สงสัยผมคงรูจักคํานี้นอยไปหนอย”


๑๑

ทําใจใหนึกอยากรูความหมายและตนสายปลายเหตุจริงจัง จะไดคุยกับปูแบบออกรส ความรูความ


สามารถอันหลากหลายของเขามีสวนชวยเปดใจใหยอมรับขอมูลใหมเพื่อเขามาเก็บเปนวัตถุดิบโดย
ปราศจากกําแพงกั้น แมสวนลึกลงไปที่กนบึ้งหัวใจจะนึกปฏิเสธอยูเต็มประตู สาเหตุก็มิใชอะไรอื่น
ปจจุบันพระสงฆองคเจาและการวิปสสนาธุระทั้งหลายกลายเปนภาพเสื่อมเสียที่ถูกตีแผแฉตามสื่อหลัก
ตางๆมั่วไปหมด ขุดคุยแลวมีแตเรื่องหลอกลวงทั้งเพ แทบกลาวไดวาใครเริ่มสนใจเกี่ยวกับเรื่องจิต
วิญญาณหรือการศาสนา ก็เริ่มมีสิทธิ์เขารกเขาพงแลว

“แลวแกนึกนะ วิปสสนาเปนยังไง ตองนั่งอยางเดียวหรือ?”

ปูยอนถาม เกาทัณฑคิดเล็กนอยกอนตอบตามจริง

“พอไดยินคํานี้ ผมจะนึกถึงภาพคนใสชุดขาว นั่งหลับตา หรือเดินจงกรมกลับไปกลับมา เพื่อทําจิตใจให


สงบ ปลอยวางทางโลก หันหลังใหกับความบันเทิงทุกชนิด”

“ถาเดินกลับไปกลับมาแลวใจสงบ ปลอยวางทางโลกได พวกชอบเดินเลนหลังกินขาวคงไดดี บันเทิงใจ


เทาพระกันไปแลว”

เกาทัณฑหัวเราะ

“ทราบอยูครับปู วาตองมีวิธีกําหนดใจอยูขางในดวย”

แลวชายหนุมก็ถึงบางออดวยคําโตตอบของตนเอง เขาใจในบัดนั้นวาวิธี ‘ทํา’ วิปสสนาไมขึ้นอยูกับ


อิริยาบถภายนอก แตเปนวิธีการทางใจ

“อยางที่นึกดูลมหายใจไปเรื่อยๆแลวเกิดฌาน เกิดญาณขึ้นมานี่ เรียกวาวิปสสนาใชไหมครับ?”

“ถาทําสมาธิจนเกิดความนิ่ง แตไมเปลี่ยนความเชื่อเกาๆ ก็ไดชื่อวามาแคปากประตูวิปสสนาเทานั้น”

ชายชราตอบเอื่อยๆ ทวาแฝงดวยพลังลนลึกชวนใหสงบและอยากฟงตอ ฝายหลานฟงพลางยกมือลูบ


คาง อมยิ้มและพยายามซอนแววตา มิใหฉายความคิดชัดนัก ความเชื่อแบบไหนกันที่เปนเปาหมายของ
วิปสสนา แบบที่ลางสมองจนเห็นวาควรหันหลังและทิ้งขวางความสนุกบรรดามีในโลกอยางนั้นหรือ?

“ความเชื่อเกาๆเสียหายตรงไหนครับ?”

“ตรงที่มันคลาดเคลื่อนจากความเปนจริง ทําใหดวงจิตอยูในสภาพเชื้อของทุกขนะซี”

“ความเปนจริง? ปูคงหมายถึง เออ...อะไรที่เขาเรียกกันวาความจริงสูงสุดใชไหมฮะ? ถาวากันแบบ


ปรัชญา ทางพุทธอนุญาตใหความจริงผูกอยูกับมุมมองของแตละคนไดหรือเปลา? ผมเคยคุยกับเพื่อน
๑๒

ครั้งหนึ่ง ไมไดแยงปูนะครับ คือเรามองกันวาคนเลือกเชื่อยังไง ก็มีความจริงรองรับอยูอยางนั้น ยกตัว


อยางเชนถาเชื่อวาชีวิตคือหนาที่ เราก็จะพบหนาที่สักอยางที่สมตัว และอยูกับมันไปไดจนตาย”

เกาทัณฑควบคุมเสียงไมใหมีน้ําหนักเกินออกมาจนกลายเปนการชวนปูโตวาที

“ก็จริง” ปูรับดวยสีหนาออกยิ้ม “บางคนก็รักหนาที่ ยึดมั่นในหนาที่ขนาดยอมตายได”

“นั่นซีครับ” ชายหนุมรีบเสริม “แสดงใหเห็นวาใครตั้งมุมมองเพื่อเชื่ออะไรสักอยาง ชีวิตก็จะเปนไปตาม


นั้น มนุษยเปนสัตวโลกที่พิสดารกวาสิ่งมีชีวิตอื่นก็ตรงความหลากหลาย ความเปนอิสระในการเลือกเชื่อ
และเลนแรแปรธาตุความเชื่อใหกลายเปนรูปธรรม กลายเปนความจริงที่จับตองไดขึ้นมา ผมถึง...สงสัย
อยูบาง เมื่อมีการบัญญัติคําวา ‘ความจริงสูงสุด’ ไวในคัมภีรของแตละศาสนา เราเอาอะไรเปนเกณฑวัด
วานั่นแนนอนแลว ชนิดดิ้นเปนอื่นไมได?”

“ก็คงตองดูที่พระศาสดาแตละองคตรัสมั้ง วาเมื่อมาตามทางของศาสนาแลว จะเกิดผลลัพธสุดทายเปน


ความจริงชนิดไหน ถาสาวกตางๆทําตามกติกาแลวพบความจริงตามนั้น ก็ถือวาใช”

ชายหนุมเอียงคอนิดหนึ่ง นาประหลาดแท เขาเคยเรียนพุทธศาสนาในหลักสูตรมากอน แตตอนนี้ลืมแลว


วาเปาหมายของพุทธศาสนาคืออะไร

“แลวผลลัพธของการมาตามทางพุทธ หรืออีกนัยหนึ่งการทําวิปสสนานี่ คืออะไรครับปู?”

“การดับทุกข...ดับชนิดที่กลับกําเริบขึ้นไมไดอีกเลย”

คราวนี้เกาทัณฑแอบหัวเราะอยูในใจ คนตายไงละ หัวใจไมกลับเตนอีก ก็คือสิ้นทุกขอยางสนิท นั่นแหละ


ความจริง นั่นแหละสิ่งที่ประจักษตาวาเปนปลายทางของทุกชีวิต เขาไมเห็นเลยวารางวัลของพุทธจะแตก
ตางจากโบนัสของธรรมชาติตรงไหน

ออ...ลืมไป อยางปูคงเชื่อเรื่องชีวิตหนา โลกสวรรค โลกนิพพาน

สิ่งเหลานี้จะเรียกวา ‘ความจริง’ อยางไรได ในเมื่อไมมีอะไรมารองรับสักอยางนอกจากความเชื่อ เปน


การเชื่อโดยปราศจากพื้นยืนโดยแท

แตราวกับปูลวงรูวาเขาคิดอะไร ทานเอยเนิบวา

“ถาเหลือแตใจที่เสมอกับธรรมชาติ เลิกดิ้นรน เลิกเปนเชื้อไฟอยางสิ้นเชิง คนเราเปนสุขไดยิ่งกวาขึ้น


สวรรคเสียอีก เพราะบนสวรรคอาจมีความนาขัดใจ จัดเปนทุกขทางใจชนิดหนึ่ง การดับทุกขอยางสนิท
เปนประโยชนในปจจุบัน พิสูจนไดกอนตาย เชื่อไดสนิทใจเดี๋ยวนี้ ตางจากโลกหนา ที่ตองตายเสียกอน
ถึงรูวาเรื่องกุหรือของจริง”
๑๓

“เขาใจละครับ พอจําไดแลววาพุทธศาสนาเนนเรื่องทุกขและการดับทุกข กอนอื่นตองเริ่มดวยการเห็น


ทุกข เหมือนมองใหออกวามีไฟไหม แลวก็ตองหาน้ํามาดับไฟ ซึ่งน้ํานั้นคือวิปสสนานี่เอง ถูกไหมครับ?”

“บางทีน้ําที่เอามาดับไฟอาจเปนแคสติปญญารูตัวธรรมดาๆก็ได เอางี้ แกเชื่อไหมวาโดยธรรมชาตินะ คน


เราหวงทุกข ทั้งรูวาทุกขเกิดขึ้น ก็ยังทูซี้จะรักษาเอาไว”

เกาทัณฑเบิกตานิดหนึ่ง

“เหรอครับ? เอ ผมไมเคยคิดอยางนี้เลย ใครๆก็เกลียดทุกขกันทั้งนั้น จะหวงไวทําไม”

“ใช คนเราเกลียดทุกข แตเมื่อทุกขเกิดแลว ก็เหมือนแกลงตัวเอง เก็บมันไวในที่ที่เกิดนั่นแหละ”

ชายหนุมครางอออยางพอมองเห็นรางๆ รอฟงปูขยายความตอ

“ลองตัดความรูสึกในตัวตนออกไปนะ ใหเหลือใจอยางเดียวพอ ถาวากันตามเหตุผล เมื่อเกิดทุกขแลวก็


ควรจะตัดทิ้งจากใจใชไหม?”

“ครับ”

“ถาใจมันมีปญญากํากับก็ควรทําอยางนั้นแหละ แตนี่เปลา อยางเชนเกิดโทสะ เกิดความอาฆาตมาดราย


มีความรุมรอนขึ้นในอก แทนที่จะรูตัววาเกิดความทุกขเพื่อผลักไสออกไป กลับออกอาการอุมทุกขนั้นไว
บางทีขยายผลดวยซ้ํา ทําใหเกิดพฤติกรรมภายนอกเปนการอาละวาดหัวฟดหัวเหวี่ยง หรือกระทั่งตีรัน
ฟนแทงใหตายกันไปขาง

ลองตรองดูนะ เมื่อพลิกอาการของจิตจากอุมทุกข ประคบประหงมทุกข เปนรูตัววากําลังทุกข มีสติพอจะ


ถามตัวเองวาตนเหตุทุกขคือใครหรืออะไร ถาโมโหโกรธา ก็สืบจนพบวามีภาพใครปรากฏอยูในโทสะ

พอทําไดอยางนั้น ก็เทากับเห็นอาการที่ใจจับยึดตนเหตุทุกข เมื่อเห็นแลววาอาการจับยึดเปนอยางไร ก็


เกิดสัญชาตญาณเองวาจะปลอยวางดวยทาไหน ปลอยใครคนที่ทําใหเกิดทุกขนั่นแหละ ปลอยเสียไดก็
เบาโลงในหัวอก ลิ้มรสความสุขที่เกิดจากการดับทุกขขึ้นเอง เห็นไหม ไมตองใชวิปสสนาเลย เอาแค
ความฉลาดทางจิตก็พอแลว”

เกาทัณฑยิ้มแบบเห็นดวย แตไมใชเห็นจริง เพราะจังหวะนั้นปราศจากตัวอยางโทสะในอกตนเปนเครื่อง


สาธิตและทดลองใหเห็นตาม

“ก็เขาหลักจิตวิทยาดีนี่ฮะ แตคงประยุกตใชกับทุกเรื่องไมได เพราะเหตุการณที่กอไฟโทสะมีน้ําหนักแตก


ตางกัน คนเราถูกตีใหเจ็บ ถาความเจ็บกายยังอยู คงยากจะขมใจไมใหเจ็บตาม”
๑๔

“นั่นแหละเหตุผลที่ตองมีวิปสสนาธุระไวดับกิเลส ดับเชื้อโทสะใหสนิท ถาปราศจากเชื้อโทสะเสียอยาง


เดียว ใครก็ทําใหเราทุกขดวยไฟโกรธไมไดดวยวิธีใดๆเลย”

“เชื้อโทสะคือ…?”

“ภาวะไมรูของจิตไงละ พอไมรูมันก็คิดไปเรื่อยเปอย บาปบาง บุญบาง เปนที่ตั้ง ที่อิงอาศัยของอุปาทาน


ในตัวตนแบบหนึ่งๆ ถาปลุกจิตใหตื่นขึ้นดวยการเห็นในวิปสสนาขั้นสูงจนสุดสายเมื่อไหร ความรูสึกเกี่ยว
กับตัวตนแบบไหนๆก็ไมเหลืออยูเลย เหลือแตจิตที่ปลอดโปรงจากเงื่อนไขและการรอยรัดทุกชนิด”

ชายหนุมขมวดคิ้วกังขา

"แปลวาที่ทุกคนในโลกเกิดมาพรอมกับความรูสึกในตัวตนนี่ ผิดหมด?"

"ถามองวามีผิดมีถูกนี่ไมจบหรอก อยางที่แกวานั่นแหละ มีความจริงรองรับทุกความเชื่ออยูเสมอ แต


ความจริงของคนในโลกนี่มันหนัก เต็มไปดวยความเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา เปนเหตุใหเกิดโลภะ
โทสะ โมหะ หรืออีกนัยหนึ่งความดิ้นรนกระสับกระสายของจิต ซึ่งอาการนั้นเรียกไดเต็มปากเต็มคําวา
'เปนทุกข' พูดใหงายวาเชื่อแบบคนในโลก ยึดแบบคนในโลกแลวตองทุกขนี่ ทางพุทธศาสนาปฏิเสธ"

เกาทัณฑอึ้งไปพักใหญ ประเด็นสงสัยเกี่ยวกับคําวา ‘วิปสสนา’ ถูกปดตกไปได นึกในใจวาพุทธศาสนามี


เหตุผลรองรับเหมือนเสาค้ําคานมั่นคงดี แตสวนลึกไมคอยเชื่อนักวาการกําจัดกิเลสอยางเด็ดขาดนั้นเปน
ไปได หรือถึงเปนไปได ก็ไมรูจะกําจัดทําไม ในเมื่อทุกวันนี้มีกิเลสก็เปนสุขสนุกสนานดีจะตาย

อยางไรก็ตาม การสนทนาดําเนินมาจนถึงจุดที่เขาขี้เกียจแหยตอ ยังไงก็ตองใหความเคารพเกรงใจปูบาง


มิเชนนั้นจะเหมือนทําตัวเปนคนชางจับผิด และจับปูมาแตงตั้งเปนทนายแกตางใหพระศาสนา เกาทัณฑ
จึงคอยๆเบี่ยงหัวเรื่อง

"แพ...หลานสาวปูคงไดรับอะไรไปจากปูเยอะ ปูคงสอนเรื่องดีๆไวหลายอยาง โดยเฉพาะธรรมะในพระ


ศาสนา ทาทางฉลาดคิดอานมากเลย"

"ก็ไมเชิง ฉันแนะแตเรื่องที่จําเปน ไมไดสั่งสอนมากมายนักหรอก ยายแพเปนเด็กดี รูอะไรดีๆดวยตัวเอง


อยูแลว"

"ปูเลี้ยงเขามาตั้งแตเกิดหรือฮะ?"

"อือม"

"เรียนจบรึยังครับนั่น?”
๑๕

"เรียนครุศาสตรปสุดทาย"

เกาทัณฑขยับจะถามรายละเอียดใหมากกวานั้น แตปูชิงถามถึงสารทุกขสุขดิบของญาติๆเสียกอน ซึ่ง


เขาก็จาระไนไปตามเพลง รวมถึงความกาวหนาในชีวิตการงานของตนเองดวย

“เอาละ” ปูเงยหนามองนาฬิกา “เดี๋ยวไดเวลาพระผูใหญที่ฉันนับถือมาออกรายการแสดงธรรม แกจะดูกับ


ฉันไหม?”

“เออ…ไมละครับ ผมรบกวนปูแคนี้ดีกวา”

บอกกลาววาจะหมั่นมาเยี่ยมเยียนทานอีก แลวเกาทัณฑก็ไหวลา

จิตใจคึกคักขึ้นทันใด เขาลงบันไดมาถึงขางลาง เหลียวไปรอบๆดวยหวังจะไดพบกับหญิงสาวที่ตนสะดุด


ตาสะดุดใจ อยางไรเสียก็ตองหาหลอนใหพบเพื่อวานชวยมาเปดประตูอยูแลว คงเปนโอกาสอันดีที่จะทํา
ความรูจักกับหลอน ไหนๆนับศักดิ์แลวไมใชญาติก็เหมือนญาติ ในเมื่อปูยกเปนหลานแทๆอยางนั้น

บานปูมีอาณาเขตพอควร เกาทัณฑเดินเลียบมาถึงดานหลังก็พบหลอนคนนั้นนั่งลิดกิ่งไมดวยกรรไกรอยู
ที่ริมรั้วดานหนึ่ง ดีใจอยางประหลาดแมเมื่อเห็นเพียงดานหลัง เขาผอนฝเทาลงหยุดยืนแยมริมฝปากยิ้ม
เบิกตาเฝาพินิจเงียบๆ รูปศีรษะหลอนมนสวย ผิวพรรณมีน้ํามีนวลเฉิดฉายเสียจนสองรอบดานใหดูสวาง
ตา

ในทามกลางความสะพรั่งแหงไมดอกไมประดับรอบราย หลอนคลายนั่ง ณ ศูนยกลางความสดชื่นออน


หวานอันดึงดูดใหนาเขาใกลที่สุด เห็นหลอนแลวใจเปดราวกับมองทะเลกวาง ผูหญิงคนนี้ทําใหที่ที่หลอน
ปรากฏกลายเปนเขตเฉพาะอันวิเศษ และทําใหวันที่พบหลอนกลายเปนวันอันทรงความหมายยิ่ง

ดูเหมือนฝายถูกจับจองจะมีสัญชาตญาณรูตัววามีใครคนหนึ่งลอบพินิจอยูเบื้องหลัง จึงเหลียวหนามาและ
สบตากัน ชายหนุมเกือบเกอไป เพราะรูตัววาทําลับลอเสียมารยาทอยูเปนนาน แตก็ทําทีปกติ คือสงยิ้ม
ใหอยางจะขอผูกมิตร ทวาหลอนเพียงมองตอบดวยดวงตาทอแววนิ่ง มิไดยิ้มรับแตอยางใด

ไมปลอยเวลาใหทอดนานนัก เกาทัณฑเปลงคําทักทายดวยน้ําเสียงเปนกันเอง

"รูสึกวาแพจะรักตนไมมากนะฮะ"

โดยคิดวาปูแนะนําแลว จึงถือสนิทเรียกหลอนไดเต็มปาก หลอนลุกขึ้นยืนและแยมยิ้มอยางคนมีอัธยาศัย


ดี

"คงอยางนั้นแหละคะ" แลวก็ถามในฐานะผูมีหนาที่อํานวยความสะดวกแขกไปใครมา "จะกลับใชไหม


คะ?"
๑๖

ถามแลวทําทาขยับจะนําทางไปเปดประตูรั้วให แตเกาทัณฑไมรูไมชี้ เสยื่นหนาเขาไปดูดอกไมสีแดงใกล


ตัวอยางใจเย็น แลวถามอยางจะดึงใหหลอนตองหยุด

"แพคงหามาเองทั้งนั้น แปลกตาเยอะแยะไปหมด นี่เรียกวาอะไรฮะ?"

หญิงสาวผินหนามองตาม ทอดระยะนิดหนึ่งกอนตอบ

"ดอกพวงแกวคะ"

เอื้อนเอยไมดังนัก น้ําเสียงไมสอแววอยากสนทนาหาความยาวกับคนชางไกหาเรื่องถามเทาไหร
เกาทัณฑเหลียวหนามาหา ปนหนากึ่งยิ้มกึ่งเครงแบบนักวิชาการผูทราบวาจะชวนคนรักตนไมคุยอยาง
ไรใหสบอารมณ

"ดอกของมันรูปเหมือนหัวใจนะ คงมีใครตั้งชื่อใหเกี่ยวของกับหัวใจไวบางใชไหม?"

นัยนตาคูงามเหลือบมาทางเขาแวบหนึ่งกอนตอบ

"ฝรั่งเรียกดอกพวงแกววา Bleeding Heart คะ เพราะมีกลีบเทียมรูปหัวใจ กับกลีบดอกและเกสรยื่นออก


มาเหมือนหยดเลือด รวมทั้งดอกเลยคลายหัวใจที่ถูกคั้นจนเลือดหยด”

เกาทัณฑหอปากครางอยางคนเพิ่งสังเกตตาม

“เออ จริงดวยแฮะ ชางตั้งชื่อกันจริง”

ฟงจากคําตอบแคนั้น ก็เดาวาหลอนคงเปนนักพฤกษศาสตรผูรูรอบ มีความผูกพันกับหลากไมนานาพันธุ


เกินกวาคนทั่วไปมาก ที่สําคัญดูมีความรักและจินตนาการอันออนโยนตอพฤกษาทั้งหลายราวกับพวกมัน
เปนนองสาวนองชาย เกาทัณฑคิดในใจวาคราวหนาคราวหลังคงตองเอาพันธุอะไรที่มีคาหายากมากํานัล
เสียหนอย

"ถาผมเขาถึงความรูสึกของไมดอกพวกนี้ได” เขามองแถวแนวดอกพวงแกวที่หอยตัวอยูบนกิ่งและสงบ
กับธรรมชาติอันบอบบางของพวกมัน "ผมคงรูจักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบาง"

เกาทัณฑหันมายิ้มให หญิงสาวสบตาดวยครูหนึ่ง กอนจะกะพริบเนิบชาและเบนหางไปทางอื่น

"นั่นดอก Forget-Me-Not ใชไหมฮะ?" เขาชี้ไปที่ดอกไมสีฟาซึ่งตนพอรูจัก "ชื่อเหมือนเศรา แตก็ฟงดูซึ้ง


ดี...อยาลืมฉัน...แพพอจะรูที่มาของชื่อนี้ไหม?"
๑๗

หญิงสาวทอดตามองดอกไมอันเปนเปาคําถาม มีความงันนิ่งชวนใหรูสึกผิดสังเกต ราวกับหลอนถูกสะกิด


ใหระลึกถึงความหลังบางอยาง เกาทัณฑสําเหนียกถึงกระแสเศราที่กระจายจางออกมา เกือบขยับจะ
เปลี่ยนเรื่อง แตหลอนเอยตอบเสียกอน

"ถาจําไมผิด ดูเหมือนตํานานออสเตรีย-ฮังการีสมัยศตวรรษที่สิบสองจะกลาวไววามีชายหนุมคนหนึ่ง
ชะโงกจากริมผาเอื้อมมือจะเด็ดดอกไมนี้สงใหคนรัก แตพลาดตกลงไปสูกระแสน้ําเชี่ยวเบื้องลาง ฝาย
หญิงไดยินแตเสียงแววจากสายน้ําวา ‘รักฉัน...อยาลืมฉัน' ก็เลยกลายเปนที่มาของชื่อนะคะ"

เกาทัณฑจินตนาการตาม และอยางเห็นเปนเรื่องสนุก เขานึกอยากใหตนเองเปนชายดวงกุดเมื่อชาติ


กอน และใหหลอนคนนี้เปนหญิงสาวคนรัก เรื่องคงบรรเจิดแทถาระลึกไดอยางนั้นแลวเด็ดดอก ‘อยาลืม
ฉัน' สงใหหลอนสักดอกเดี๋ยวนี้

"เศรานะฮะ เด็ดดอกไมแลวตาย รูอยางนี้เดินไปซื้อจากตลาดดีกวา”

พูดติดตลก แตหลอนทําหนาเฉยเปนเชิงแสดงวาไมมีอารมณขันรวมดวย

"ที่จริงถาหนุมคนนั้นอุทานอะไรธรรมดาๆออกมาใหคนรักไดยินกอนตกน้ําละก็ ดอกไมนี้นาจะชื่อ ‘เวร


แลวที่รัก' มากกวานะ"

คราวนี้หลอนเผลอหัวเราะออกมาได แตหัวเราะนิดเดียวแลวรีบเงียบตามประสาผูหญิงมาดสวย ไมปลอย


เอิ๊กอากนานๆตอหนาผูชายแปลกหนา เกาทัณฑอมยิ้ม สายลมออนพัดมาระลอกหนึ่ง ความสงบจาก
ธรรมชาติรอบตัวและจากคนงามตรงหนาทําใหอยากยืนอยูตรงนั้นนานแสนนาน

"แพ..."

เสียงปูชนะดังมาจากชั้นบน หญิงสาวเบิกตาเล็กนอยและรีบหันไปขานรับ

“ขา”

“โทรศัพทหนูนะ”

“คะ ขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละคะ”

แลวก็หันมามองเขา เกาทัณฑยิ้มเจื่อน

“เห็นทีผมคงตองขอตัวแลวมั้ง”

ราชินีแหงสวนดอกไมเงียบเสียง ไดแตเดินนํามาออกมาหนาบาน ซึ่งชายหนุมจําตองเดินตาม


๑๘

“ขอบคุณฮะ” พูดเมื่อกาวพนเขตรั้วที่หลอนเปดประตูให “ผมคงหาโอกาสมาเยี่ยมปูอีกเร็วๆนี้ ไมไดทํา


หนาที่หลานที่ดีมาเสียนาน”

“โชคดีคะ”

อวยพรพอเปนพิธีเพื่อหมุนตัวกลับ ผละจากไปรับโทรศัพท เกาทัณฑรูสึกวาบางสิ่งในทรวงอกวูบไหว ใจ


สวนหนึ่งแลนตามหลังหลอนไป แมหญิงสาวขึ้นเรือนลับตาแลว ก็ยังมองคางอยูเปนนาน

แกวล้ําคา หายาก และคงไดมายาก

แตคนอยางเขา

ถาอยาก...ตองได!
๑๙

แพตรีกลับมาถึงบานกอนหาโมงเย็นเล็กนอย ลางหนาลางตาแลวขึ้นไปดูคุณปูขางบนเรือน เห็นหลับอยู


ก็ลงมาขางลางเพื่อพบปะกับนองนอยทั้งหลายของหลอนเสียหนอย กอนเขาครัวทําอาหารเย็น

นองๆเรียงรายอยูรอบบาน รอการรดน้ํารินใจจากหลอนสลอน แพตรียิ้มมุมปากนิดๆอยางคนที่สามารถมี


ความสุขอยูกับตนเอง หลอนมองไมดอกไมประดับแตละตนดวยความรักสนิท สัมผัสชัดถึงกระแสแหง
ความมีชีวิตและวิญญาณของพวกมัน เคยชินกับการเห็นรอยยิ้มที่สงออกมาจากแตละไมใบ แตละกลีบ
ดอก พวกมันถือกําเนิดมาจากมือหลอน หลอนเปนผูเลี้ยงดูทะนุถนอมใหแตกกิ่งกานสาขาออกมาวันตอ
วันอยางไมเคยเบื่อหนาย

‘ถาผมเขาถึงความรูสึกของดอกไมพวกนี้ได
ผมคงรูจักความประณีตอีกแบบหนึ่งของจิตใจเหมือนแพบาง’

คําพูดของใครคนหนึ่งกลับมากลับมากระซิบกองอยูในหู อารมณไหวไกวเล็กนอย แลวกลับสงบเยือกเย็น


ลงราบคาบ สายลมออนพัดกิ่งใบมวลไมรอบขางพลิ้วไหว มือนอยยกขึ้นเสยปอยผมที่ตองแรงลมเขาที่
สยายยิ้มกวางขึ้น สีชมพูสดฉ่ําของกอกุหลาบซึ่งเขาประทับกลางตาเวลานั้นชางใหความหวานแหลมล้ํา
ลึกตางจากธรรมดา หลอนรินรดสายน้ําจากถังติดฝกบัวลงดินจนชุมพอประมาณไปทั่วบริเวณ ตั้งความ
คิดใหน้ํานั้นซึมลงถึงทุกรากทุกแขนงของไมพุมหอมเบื้องหนา จินตนาการเห็นความเอิบอาบอันแผซาน
ขึ้นเลี้ยงทั่วทุกอณูลําตน กิ่งใบ และกลีบดอกสีชมพู ดวงจิตดิ่งลงเปนสมาธิ รูชัดถึงความอิ่มเกษมสดชื่น
ในตัวกุหลาบ เทากับความปติเบิกบานในตนเอง

กําหนดรูการเขาออกของสายลมหายใจอันนิ่มนวลและยืดยาวชัดลึกกวาปกติ กลิ่นอายความสดฉ่ําระรื่น
จากมวลพฤกษพันธุรอบดานรวมอยูในสายลมหายใจนั้น กระจายเขาสูทรวงอก แลเห็นในมโนนึกดุจธาร
ทิพยที่ไหลบาสูขายประสาททั่วรางจนเต็มปติ ชั่วขณะนั้นหลอนสามารถจับตองกลีบใบของกุหลาบดวย
สายตาที่เปดกวางกวาปกติ จนสําเหนียกความเนียนแนนทวาบางเบาละเอียดออนดวยใจโดยตรง ราวกับ
ปราศจากประสาทตากั้นขวาง

จากความอาบเออแหงกระแสปติทวีขึ้นหลามลนทนอกในชั่วขณะนั้น ประกอบกับความเห็นแนวเพียงลม
หายใจและกลีบกุหลาบหวาน รวมกันดึงดวงจิตแพตรีดิ่งลวงเขาสูหวงแหงสมาธิอันล้ําลึกโอฬาร ดวง
สํานึกแปรเปนเปลวมหัศจรรยลุกโพลงซานไสวไปทุกทิศทุกทาง ภายในอันผนึกแนนมั่นคงรูเห็นแตรส
๒๐

หวานแหงสีชมพูอันงามตระการ ลอยลองอยูในสรวงสวรรคอันรังสรรคขึ้นจากสัมผัสละไมลึกซึ้งระหวาง
วิญญาณมนุษยกับดอกไม ทั้งสุขสงบปราณีต ทั้งปรีดาปราโมทยราวกับทะยานขึ้นสูหวงหฤหรรษอันไร
เขต ไรพรมแดน ไปสถิตอยูในที่ที่ดีที่สุดนอกเขตพิภพหยาบไกลโพน

การสังสรรคระหวางวิญญาณมนุษยและพฤกษพันธุดํารงอยูเพียงชั่วไมนานก็แปรไปตามธรรมชาติแหง
พระอนิจจัง แพตรีออยอิ่งอาวรณกับความยิ่งใหญนาพิสมัยนั้น ทวายังมีความชํานาญนอย โดยเฉพาะใน
ขณะแหงการลืมตา จึงตองปลอยใหละลายหายไปตามยถา

สมาธิจิตระดับเฉียดฌานหรือที่เรียก ‘อุปจารสมาธิ’ นับเปนของสูง มิใชสภาวะอันเปนสาธารณะแกปุถุชน


ภาวะนั้นคลายลอยคออยูกลางทะเลเมฆอันละมุนเสมอกัน แผผายขยายกวางสุดประมาณ แมเทาติดพื้น
ก็เหมือนยืนอยูบนหมอนนุม เหตุเพราะธรรมชาติสมาธิยังผลใหกายเบาดวยการหลั่งสารอันใหรสเกษม
อาบตนเอง

สองปูหลานรับประทานอาหารเย็นดวยกันเงียบๆเมื่อไดเวลาทุมครึ่ง ทั้งสองเปนมังสวิรัติ หรือผู


ปราศจากความยินดีในเนื้อสัตว อาหารที่วางบนโตะจึงหาจานเด็ดตามรสนิยมของคนทั่วไปไมได แตก็
หนาตานาทานดวยความสามารถเฉพาะตัวของแมครัวสาว

“สอบเปนไงมั่ง?”

ปูชนะถามเหมือนชวนสนทนามากกวาอยากรู เสียงของปูมีกังวานนุมลึกชวนฟงและกอใหเกิดความอบ
อุนใจแกผูไดยินเสมอ

“ก็ดีคะ เหลือวิชาสุดทายวันจันทร”

“สอบเสร็จก็จบแลวสินะ”

“คะ”

แพตรียิ้มๆ การคุยกับปูเปนอีกความสุขหนึ่งในชีวิต

“ตกลงยังแนใจอยูรึเปลาวาอยากจะสอนหนังสือเด็ก?”

เปนครั้งแรกในรอบหลายปที่ปูถามถึง หญิงสาวแกลงเลิกคิ้วทําตาเปนประกาย

“อยูเฉยๆไดไหมคะ ใหปูเลี้ยงไปเรื่อยๆอยางนี้แหละ”
๒๑

หลอนยังอยากอยูในวัยเยาวและชางฉอเลาะเสมอเมื่ออยูตอหนาปู ปูชนะยิ้มอยางอารมณดี นัยนตาดํา


สนิทผิดวัยทอดจับหลานสาวเปยมดวยแววหวงใยปรานี

“เปนตนไมหรือไงถึงจะอยูเฉยๆใหปูเลี้ยง”

“คะ แพเปนตนไม” หญิงสาวหัวเราะนิดๆ “บางทีก็รูสึกเหมือนเปนตนกระถินในบาน”

ปูชนะหัวเราะในลําคอ ทวาสายตายังรั้งคําถามเดิมเพงมองหลอน

“แพแนใจวาตองการสอนเด็กตลอดไปคะปู”

ขยับเรียวปากตอบในลักษณาการแยมยิ้ม แตน้ําเสียงจริงจังขึ้น ชายชราถอนใจ

“สมัยนี้...เปนครูในแบบที่แพอยากเปนนะ ไมงายหรอกนะ”

หลานสาวพยักหนา

“ทราบคะ” ตาคูงามทอประกายรูตามคํากลาวของตน “แตแพก็มองไมเห็นวาตัวเองจะทําอะไรไดมีความ


สุขเทากับเปนครูของเด็กเลย”

ชายชราเคี้ยวคําขาวเรื่อยๆจนละเอียด กลืนแลวจึงเปรย

“ทุกวันนี้ผูคนถูกมอมเมา ถูกฝงนิสัยรายกันตั้งแตยังเล็ก ครูบาอาจารยที่เปนสิ่งแวดลอมสําคัญ บางทีก็


กลับมีพฤติกรรมชั่วรายเสียเอง ถาไดแพเปนแสงนําทางดีๆไวสักดวง ก็คงชวยรักษาภาพพจนของครูดีๆ
บางละนะ”

แพตรียิ้มอยางเชื่อมั่น

“แพจะทําใหเด็กนับถือ และคลอยตามในทางดี เหมือนอยางที่แพนับถือและคลอยตามปูมาตั้งแตเด็กให


ไดคะ”

ปูชนะพยักหนา ใชสอมเขี่ยขาวจากชอน กอนตักน้ําแกงจากชามพลางถามคลายหยั่งเชิง

“หากมีเวลาจํากัด ระหวางเด็กดีกับเด็กดื้อ หนูจะเลือกดูแล หรือใหความสําคัญกับใครกอน?”

แพตรีคิดนิดหนึ่ง กอนใหคําตอบ
๒๒

“คงตองเปนเด็กดีคะ เพราะเด็กดีอาจจะยังไมดีจริง แตอยูในวิสัยงายที่จะเปนได เมื่อโตขึ้นแลวก็อาจเปน


ประโยชนในวงกวาง สวนเด็กดื้อนั้นอาจไมเลวจริง แตความรั้นจะดึงเวลาของเราไปมาก และไมมีอะไร
ประกันวาเราสามารถชนะความรั้นของเขาไดหรือเปลา”

วาที่คุณครูคนงามเมมปากเล็กนอย

“ในความเปนจริง แพคงมีเวลาเพียงพอจะดูแลทั้งเด็กดีและเด็กดื้อมั้งคะ ถาปลอยใหเด็กดื้อกลายเปนคน


เลว วันหนึ่งเขาอาจสรางผลสะเทือนดานรายไดอยางประมาณไมถูก สิ่งดีที่คนดีๆสรางสรรคไวมากและ
ใชเวลายาวนานแคไหน ก็อาจพินาศจนหมดสิ้นในชั่ววันเดียวดวยน้ํามือคนเลว”

เห็นความมุงมั่นและยินน้ําเสียงจริงจังของหลานสาวแลว ปูชนะตองเผยอยิ้มออกมาดวยความเอ็นดูไฟ
ฝนและพลังอุดมคติแหงวัยสาว ประติมากรมองผลงานอันนาภาคภูมิของตนเชนไร ทานก็มองแพตรีดวย
ทาทีเชนนั้น

“ปรัชญาในการใหความรู ความคิด ความดีงามของหนูเปนยังไง?”

แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง

“จากที่แพเคยฝกสอนมาบาง ก็พอมองเห็นคะวาเราใหความรูก็เมื่อขณะพูดอยูฝายเดียว ใหความคิดได


ตอนถามหรือโตตอบกับพวกเขา สวนความดีงาม คงตองถายทอดอยางตรงไปตรงมาผานการกระทําเปน
หลัก”

ปูชนะผงกศีรษะนอยๆ

“แคเด็กไดยินเสียงหนูทุกวัน เขาก็รับกระแสความดีไปเก็บไวเปนสวนหนึ่งในใจแลวละ”

เสร็จจากโตะทานขาว สองปูหลานออกมาเดินตากน้ําคางเลนในบริเวณทางเดินของเขตบาน ชายชรา


จามเบาๆทีหนึ่งแลวแหงนหนามองดาว บางค่ําคืนทองฟาราตรีแถบชานเมืองก็มีดาวสวยๆพรางพราว
ละลานตาใหเพลินพิศ อยางเชนคืนนี้เปนอาทิ

“อายุยี่สิบเอ็ดใชไหมแพนะ?”

ปูถามลอยๆคลายแคใหการดูดาวไมเงียบจนเกินไป

“อีกหาเดือนนะคะ”
๒๓

หลอนตอบเสียงใสดวยความรูสึกแบบเด็กนอยที่อบอุนและราเริงเมื่ออยูใกลชิดบิดา คืนนี้กลุมดาว
นายพรานขึ้นตั้งแตหัวค่ํา หลอนติดใจดาวกลุมนี้มาแตไหนแตไร อาจเปนเพราะปูชี้ใหดูและแนะนําใหรู
จักเปนกลุมแรก มันทําใหหลอนมีจินตนาการบรรเจิด มีความชางฝนและรูจักอารมณออนอุนที่เกิดจาก
หัวใจบริสุทธิ์เสมอมา

“พอเรียนจบก็เปนผูปกครองตัวเองไดแลวสินะ”

ปูยังคงพูดในลักษณะเรื่อยเปอย ทวาทําใหหญิงสาวใจหายอยางประหลาด หลอนตอบดวยเสียงเบาและ


สั่นในอึดใจตอมาดวยอารมณที่แปลกเปลี่ยนกะทันหัน

“คงยังไมไดมั้งคะ”

“ปูอยากบวชเสียทีแลวนะแพ”

แมจะทอดออนนุมนวลเชนเคย แตคําประกาศนั้นก็แฝงสําเนียงเปนงานเปนการดวยเจตนาจะใหหลาน
สาวรับรูวาหลอนตองตั้งใจฟงเรื่องสําคัญ แพตรีเงียบกริบ พูดอะไรไมออกอยูเปนนาน

“ทุกวันนี้ก็เหมือนบวชอยูแลวนี่คะ”

ในที่สุดหลอนก็เอยคํานั้นออกมาไดเพียงแผว

“ไมเหมือน...ปูยังมีแพเปนแกวตาดวงใจ ยังเปนหวงหนู อยางนี้ไปถึงที่สุดไมไดหรอก”

แพตรีเมมปากอยูในเงามืด ความเดียวดายและความเงียบเหงาอยางลึกซึ้งแลนเขาจับใจจนเกิดกอน
สะอึก แตกอนจะทวีตัวถึงขั้นแปรเปนความนอยเนื้อต่ําใจ ก็ชิงตัดอารมณเศราทิ้ง และแทรกแทนดวยจิต
อนุโมทนาเปยมลน ที่ทําไดก็เพราะหลอนรูดีวารสธรรมนั้นล้ําเลิศเพียงไหน สมควรที่เวไนยชนจะพึง
แสวงและควรรักษาไวเพียงใด หลอนตองดีใจกับปูถึงจะถูกที่ทานกําลังจะไดครองธรรมอันประเสริฐขั้นสูง
สุด

เมื่อจิตอันเปนกุศลผุดขึ้นชัดเต็มดวง แพตรีจึงยกมือพนมไหวไปทางผูมีพระคุณลนเกลา

“แพขออนุโมทนาดวยคะปู”

“อือม”

ปูเอื้อมมือไปลูบศีรษะหลอนอยางออนโยนครูหนึ่งกอนกลาวคํา

“ไมตองกลัววาจะอยูคนเดียวหรอก อีกไมนานแพก็จะมีครอบครัวของแพเอง มีคนที่แพจะรักและรักแพ


แทนปู มีลูกหลานที่จะทําใหแพตองวุนวายดูแล”
๒๔

“คงไมหรอกคะ” หลอนตอบปูดวยน้ําเสียงเรียบนิ่ง “ถาปูบวชแพก็จะบวชชีตาม และเพื่อความสบายใจไม


เปนหวงใยซึ่งกันและกัน แพจะบวชใหไกลจากที่ที่ปูอยู ไมมาพบปูอีกเลยชั่วชีวิต”

ปูชนะเหลือบตามองสาวนอยใกลตัวแลวหัวเราะหึๆ ซอนแววรูเห็นเชนผูใหญเคยผานรอนผานหนาวไว
ในเงามืด

“จะเอาอยางนั้นก็ตามใจ”

ชายชรากับหลานสาวทอดเทาเดินตอเอื่อยๆ แววเสียงหรีดหริ่งเรไรจากรอบดานกลางความสงัดเงียบ
ของค่ําคืน ไมมีใครเอยคําพูดใดอีก หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้น แตอยางไรก็กลั้นไมอยู ตองกมหนารอง
ไหออกมาจนได
๒๕

แพตรีจัดของสังฆทานใสถัง เตรียมตัวไปทําบุญกับปูที่วัดทางนฤพาน นั่นเปนสิ่งที่หลอนกับทานปฏิบัติ


อยูเปนนิจศีล อยางนอยเดือนละหนึ่งครั้ง นอกเหนือจากการใสบาตรพระทุกเชาซึ่งเปนกิจวัตรของหลอน
อยูแลว

เสร็จจากการจัดของ หญิงสาวก็เดินออกไปหนาปากซอยเพื่อเรียกแท็กซี่มาขนของและรับปู เดิมทีบานนี้


มีรถเกาของปูใหหลอนขับไปไหนมาไหน แตเพราะถึงอายุขัย จึงเพิ่งขายไปเมื่อเร็วๆนี้เอง

บอกโชเฟอรรอหนาบานแลวขึ้นเรือนเพื่อบอกปูดวยสีหนายิ้มแยมแจมใส

“แท็กซี่มาแลวนะคะ”

บอกเสร็จก็ตองชะงักดวยความแปลกใจ เมื่อเห็นปูยังอยูในชุดเสื้อนอนคอกลมกางเกงแพรบนเกาอี้โยก
ทานยิ้มตอบ พยักหนานิดหนึ่ง

“หนูไปเถอะ” ปูบอกงายๆ “ลองไปคนเดียวดูบาง”

หญิงสาวยืนงงอยางทําอะไรไมถูกไปชั่วขณะ ที่สุดก็ถามเสียงแผว

“ทําไมละคะ?”

ปูเอนหลังหลับตาและโยกเกาอี้เฉย หญิงสาวมองผูอุปการะตนมาดวยความไมเขาใจพักใหญ แตแท็กซี่ที่


กําลังรอก็ทําใหหลอนไมอาจยืนเควงอยูตรงนั้นไดนาน จําตองกมหนากมตาหิ้วถังสังฆทานสองใบแรกลง
เรือนไปใสทายรถที่เรียกมา แลวกลับขึ้นมาอีกครั้งเพื่อขนสองถังที่เหลือตามลําพัง

แตขณะจะดึงหูหิ้วของถังเขามือ ปูก็เรียกไวเสียกอน

“เดี๋ยว…หนูชวยชงชาใหปูกอนนะแพ”

แพตรีตองประหลาดใจอีกคํารบ ยนคิ้วเล็กนอย แตไหนแตไรมาทานไมเคยรั้งหลอนดวยธุระเล็กนอยเชน


นี้เลย ทวาก็กาวไปจัดแจงชงชาตามคําสั่ง ทั้งที่พะวงกับการคอยของคนขับแท็กซี่ หลอนทําอยางคอน
ขางเรงรีบ พอเสร็จก็วางบนโตะขางเกาอี้โยกของปูเรียบรอย แตเมื่อจะหยิบถังปูก็เรียกไวอีก
๒๖

“ปูอยากดูตารางอะไรในหนังสือพิมพฉบับวันศุกรที่ยี่สิบของเดือนกอนหนอย แพชวยลงไปเอาจากกอง
มาใหปูทีนะ เชานี้แขงขาขัดชอบกล ไมอยากขึ้นลงบันได”

หญิงสาวชักนึกโมโห แตพอรูตัวก็รีบสะกดลงอยางรวดเร็ว เมมปากเดินลงบันไดไปคนหนังสือพิมพจาก


หองเก็บของ ตองเสียเวลาพอควรเนื่องจากถูกซอนไวหลายชั้นดวยความที่ไมนึกวาจะตองรื้อกลับใชอีก
หลอนหาอยางตั้งใจจนพบ ตลอดมานับแตจําความไดปูไมเคยสั่งอะไรไรเหตุผลผิดกาลเทศะ คิดวาทาน
คงมีความจําเปนอยางใดอยางหนึ่งเปนแน

พอขึ้นเรือนวางหนังสือพิมพลงบนโตะขางปูเสร็จก็ทําทากระวีกระวาดเปนพิเศษ ฉวยถังไดรีบกาวลง
บันไดราวกับแมวกระโจน ดวยเกรงจะไดยินเสียงปูทักรั้งเอาไวอีก แลวก็โลงอกที่ออกมาถึงหนาบานจน
ได

เมื่อเชามืดฝนหลงฤดูตกลงมาปรอยปราย อากาศจึงยังโปรงเย็นชุมชื่นแมจะลวงเขาแปดโมงครึ่งแลว แพ
ตรียิ้มใหคนขับแท็กซี่แทนการขอโทษที่ทําใหตองรอนาน พอเห็นยิ้มของหลอนเทานั้น หนาตาที่เริ่มจะ
บูดบึ้งของชายรางอวนใหญก็ดูผอนคลายลง แถมเดินมาชวยยกถังใสทายรถใหอีก

วางถังสุดทายเขาที่ ยังไมทันปดฝากระโปรง หางตาแพตรีก็เห็นเงารถคันหนึ่งโฉบเขามาเทียบรั้ว ตอ


ทายแท็กซี่ ประตูดานคนขับเปดปบ เงารางสูงของชายคนหนึ่งโผลพรวดออกมายืนเดน

“จะไปไหนหรือฮะแพ?”

หญิงสาวมองหนาเขา น้ําเสียงคอนขางกระตือรือรนกับนัยนตาสีเหล็กที่จองจับเขม็งทําใหหลอนหนาขึ้นสี
ชมพูนิดหนึ่ง แตเพียงครูเดียวก็จางไป เหลือไวแตความสงบและรอยยิ้มเย็นของคนมีความสุขอยูกับตัว
เอง

“ไปทําสังฆทานคะ” แลวหลอนก็เบือนหนาไปทางตัวบาน “คุณปูอยูขางบนแนะคะ”

เกาทัณฑชักกระเปาสตางคออกมาจากกางเกงยีนส ดึงธนบัตรใบละรอยออกมาจากรองเก็บยื่นใหคนขับ
แท็กซี่หนาตาเฉย

“เอาไปเลยลุง เดี๋ยวฉันพานองสาวไปเอง”

พอมอบเงินซึ่งแนใจวาเกินเลขมิเตอรเสร็จก็ไปเปดกระโปรงทายรถของตน แลวหันมากุลีกุจอหยิบยกถัง
สังฆทานโยกยายถายเทเปนการดวน แพตรีเบิกตามองอยางสุดทึ่ง ไดแตยืนนิ่งพูดอะไรไมออกสักคํา

จนธุระถายเทเรียบรอย แท็กซี่วิ่งหายลับตาไป และเกาทัณฑปดกระโปรงทายแลวนั่นแหละ ถึงไดมายืน


สบตากันนิ่ง สายตาหญิงสาวไมเชิงไมพอใจ ทวาก็มิไดสอแววยินดี หรือมีการกลาวขอบคุณแตประการ
ใด ตางเปนตรงขามกับสายตาของชายหนุม ที่เปลงประกายยินดีปรีดาจัดจา
๒๗

“ไปกันเถอะฮะ”

เกาทัณฑอมยิ้ม เดินไปเปดประตูดานซายและทําหนาใสคอมตัวใหลอๆราวกับขาราชบริพารรอเสด็จ ดู
เหมือนรูจักมักจี่สนิทสนมกับหลอนเสียเต็มประดา หญิงสาวยืนอยูกับที่ครูหนึ่ง เขาอาศัยความเปนหลาน
ปูถือสนิทชวยเหลือเยี่ยงคนในครอบครัว หลอนไมมีเหตุผลจะปฏิเสธ แมกระอักกระอวนใจอยางยากจะ
กลาว ที่สุดคือตองยอมเดินไปขึ้นรถเนือยๆ

เมื่อเห็นหลอนลงนั่งเรียบรอย เกาทัณฑก็ปดประตูให แลวเดินออมหนารถมาทางดานคนขับ รอไวสนิท


กันมากกวานี้หนอย จะบอกวาพิธีเปดปดประตูรถใหสาวตามธรรมเนียมรุนปูนี้ เขาเพิ่งปฏิบัติกับหลอน
เปนคนแรก

“ไปวัดไหนฮะ?”

ชายหนุมกดปุมหรี่เครื่องเสียงถาม หญิงสาวนิ่งเฉยราวกับไมไดยิน ใจกําลังครุนคิดวาเหตุใดจึงประจวบ


เหมาะเหลือเกิน ปูไมยอมไปกับหลอนอยางเคย สวนเขาคนนี้ก็เผอิญมาแทนพอดี จนเมื่อเกาทัณฑถาม
ซ้ํา แพตรีจึงตอบเบาๆ

“วัดทางนฤพานคะ”

คนขับรองออ เพราะคราวกอนแวะเขามาก็ดวยความอยากจะเห็นวัดชื่อสะดุดหูสะดุดตาแหงนี้เอง ทวา


ขากลับจากบานปูดันลืมไปเสียสนิท เนื่องจากมัวแตเหมอลอย ใจถูกใบหนาสวยหวานครอบงําจนความ
คิดอานเตลิดเปดเปงไมอยูกับเนื้อกับตัวเสียแลว

เกาทัณฑออกรถเชื่องชา ทาทางมีความสุขอยางลนเหลือกับการถวงเวลาอยูกับหลอนใหนานที่สุด

“ทําบุญเนื่องในโอกาสอะไรครับ?”

แพตรีมองตรงไปเบื้องหนา ทอดจังหวะเล็กนอยกอนตอบ

“ทํากับปูทุกเดือนคะ ไมใชโอกาสพิเศษ”

“ออ” ทําทีรับรูและเห็นเปนเรื่องธรรมดา แตแลวก็ทักวา “อาว...แลวปูละครับ วันนี้ไมออกมาดวยหรือ?”

ชะลอรถลงมองกระจกหลัง นึกวาตนเองทิ้งปูไวที่บานโดยไมเจตนา

“คงตองการพักผอนมั้งคะ”

ชายหนุมพยักหนาอยางไมติดใจ
๒๘

“ผมเองกําลังนึกๆอยากทําบุญอยูพอดี สบโอกาสเลย ขอรวมดวยคนนะ รังเกียจหรือเปลาฮะนี่?”

หันมาดูทาที เห็นหลอนเงียบเหมือนปลอยใหคิดเองอยางคลุมเครือ จึงรีบเบี่ยงประเด็น

“ดีนะ ปูยังแข็งแรงอยูเลย โชคดีที่มีแพดูแลอยางนี้”

เกาทัณฑหักเลี้ยวขวา ทางตอจากนั้นคอนขางขรุขระเปนหลุมเปนบอจนตองชะลอความเร็วลงวิ่งแคเกียร
ต่ํา เลื่อนมือไปเปลี่ยนเพลง เลือกหมายเลขที่ตรงกับอัลบั้มโรแมนติกจากซีดีเชนเจอร เพิ่มเสียงขึ้นเล็ก
นอยอวดความนุมลึกของชุดเครื่องเสียงราคาแพงที่เขาภาคภูมินักหนา ทุกสิ่งดูสดใสชวนกระหยิ่มยิ้ม
ยองไปหมดในสายตายามนี้

“คุณปูกับแพคงศรัทธาพุทธศาสนามาก ทาทางใจบุญดวยกันทั้งคู นี่ผมคุยกับปูแลวไดซึมซับอะไรมา


เยอะ คอยตาสวางเห็นธรรมกับเขาบาง”

คลื่นความไมจริงใจที่แฝงมากับน้ําเสียงของชายหนุมทําใหแพตรีผินหนาเมินออกขางทางและรักษาความ
เงียบไว เกาทัณฑรูสึกถึงความหางเหินที่หลอนจงใจกอ เขาซอนยิ้ม ยังดูไมออกทะลุปรุโปรงวาหลอน
เปนผูหญิงอยางไรกันแน เขาเคยชินกับอาการเลนตัวของผูหญิงสวยมามากตอมาก หากแตสัมผัสใจพวก
หลอนไดเสมอวาแทจริงแลวอยากใหเขาออนหนักๆเทานั้นแหละ

ทวาสําหรับหลานปูคนนี้ เวลานี้ ดูเหมือนกําลังครุนคิดหรือพะวงอะไรอยูสักอยางมากกวาจะวางมาด


เพราะเห็นเขาแสดงทาทีอยากตีสนิท

เมื่อมีโอกาสใกล ก็ยิ่งเห็นเปนสิ่งแปลกและทาทาย หลอนเยือกเย็นอยางชนิดที่เขาใกลแลวมีความสุข


ประหลาด กับหญิงอื่นนั้น ความปรารถนาอันเปนที่สุดเมื่ออยูดวยกันตามลําพังก็คือการไดเขาไปคนหา
รายละเอียดในเรือนรางของพวกหลอนตามวิสัยชาติเจาชู แตกับสาวนอยนางนี้ นาฉงนนักที่ความ
ปรารถนานั้นไมปรากฏแกใจเลย ความดึงดูดที่เกิดเปนอีกแบบแตกตางออกไป เหมือนกอรางอันผาสุก
สงบขึ้นแทนตัวตนเดิม คลายเปนอีกภาคหนึ่งที่ปรากฏขึ้นรองรับภาวะเคียงคูกับหลอนโดยเฉพาะ เปน
สัมผัสกระจางชัดจากภายในอยูตลอดเวลา มิใชเพียงคิดไปเองชั่วครูดวยอารมณหลง

ความนิ่งดวยสติกับรัศมีอาภาพิเศษชนิดนั้นของหลอน ทําใหอยากศึกษา อยากคนหาวาหลอนรูอะไร


และคิดอยางไรบาง

“นอกจากอยูกับตนไมแลว แพชอบทําอะไรอีกฮะ?”

เกาทัณฑถามอยางแนใจสนิทวาคําถามนั้นคงไมทําใหหลอนประดักประเดิด เพราะดูออกวาหลอนไมใช
ประเภทบังอรเอาแตนอน

“แลวแตโอกาสคะ”
๒๙

คําตอบของหลอนคลายหลีกเลี่ยงที่จะตอบตามตรง

“ถาเดาไมผิดแพคงชอบนั่งสมาธิทั้งวัน”

เขาเสี่ยงทายดูเลนๆ แตหลอนก็งดที่จะเฉลยวาผิดหรือถูก

“สมัยเรียนมัธยมปลายผมเคยฝกสมาธิกับเขาเหมือนกัน มีพวกไปสอนนักเรียนเปน

กลุม วากันวาเปนเทคนิคที่ไดผลมาก แตเสียดายผมนั่งแบบนั้นแลวเกิดพลังจิตมากไปหนอย ถึงขั้นเอา


หัวไปโขกโปกกับเพื่อนขางๆ ตาเหลทั้งคู”

กะพูดใหขํา แตพอหันไปเห็นหลอนเฉยสนิทเปนเทวรูปก็เลยตองอาปากหัวเราะเองแกเกอ ชักแนใจวา


หลอนกําลังขุน เหตุอาจดวยการจุนถือสนิทเกินงามของเขากระมัง แตก็ชางเถิด มีปูเปนสะพานเชื่อมอยู
ทั้งคน ถือวาเขามีศักดิ์เปนพี่ในครอบครัวเดียวกันเสียอยาง จีบสาวครั้งนี้เหมือนมีเรี่ยวแรงกําลังวังชาลน
เหลือ เชื่อแนวาตอใหตองเพียรเปนปก็ทําไดสบายมาก

แทนการชวนคุยตอ ชายหนุมทําเปนฮัมเพลงตามเสียงจากลําโพงซึ่งกําลังกระจายคลื่นความไพเราะ
เสนาะโสตอยูรอบทิศ หวังวาทาทีผอนคลายสบายใจของเขาจะทําใหหลอนเกิดความสนิทใจขึ้นบาง
สําหรับเขาแลว แมหลอนทําทีขรึมอยางนี้ ก็ยังใหความรูสึกที่ดีอยางบอกไมถูก เย็นรื่นชื่นใจจนยิ้มอยูคน
เดียวก็ยังได

กระซิบกับตนเองวามาพบใครบางคนที่มีความหมายกับเขาเหลือเกิน เรื่องจะใหเขาทองายๆนั้น อยาหวัง


เลย

“เลี้ยวขวาคะ”

หญิงสาวบอกเตือนคอนขางดังเมื่อเห็นเขาขับเพลินจนเลยซอยแยก ความจริงเกาทัณฑเห็นปายชี้ทางไป
วัดอยูแลว แตแกลงทําเปนวิ่งเลยเพื่อใหหลอนเปดปากพูดเสียบาง ซึ่งเมื่อหลอนทักตามคาดก็เหยียบ
เบรกพรืด เขาเกียรถอยหลังยิ้มๆคลายเพิ่งตื่นจากเหมอ

“วัดทางนฤพาน...” เขาพึมพําขณะสงสายตาพินิจปายไมเกาคร่ําครา “ผมสะดุดตากับปายบอกหนาซอย


มาตั้งแตครั้งที่เคยมาเยี่ยมปูเมื่อหลายปกอนโนน อยากเห็นมานาน คราวที่แลววาจะเขาไปดูเสียหนอยก็
ลืม”

รถวิ่งไปตามทางซึ่งดีกวาเดิมอีกราวสองรอยเมตรก็ถึงรั้ววัด เกาทัณฑหักหนารถคลานเขาไปอยางแชม
ชา กดสวิทชปดเครื่องเสียงลง คิดวาหลอนคงพอใจหากเห็นเขาใหความเคารพตอสถานที่ ยิ้มมุมปาก
หนอยๆเมื่อเห็นตนเองหวงใยความรูสึกหลอนแมเล็กนอยขนาดนี้
๓๐

บอกตนเองวาวัดนี้คงไมมีพระเดนๆใหคนศรัทธาเทาไหร สังเกตไดจากโบสถและกุฏิพระที่วิ่งผานลวน
แลวแตเกาแกไมแจมตาแจมใจเหมือนวัดดังซึ่งมีเศรษฐีมาขึ้นกันเยอะ พูดงายๆคือดูหรูนอยกวาที่ควรจะ
สมชื่อแปลกนาเลื่อมใส แตสิ่งนาชอบใจอยางหนึ่งคือความรมรื่นของแมกไมนอยใหญซึ่งดกดื่นอยูทั่ว
บริเวณนับแตทางเขาเปนตนมา ทําใหอารมณเย็นและอยากทําบุญทํากุศลไดเหมือนกัน

“นฤพานนี่อยางเดียวกับนิพพานหรือเปลานะแพ?”

ถามขอความรูจากหลอน แพตรีรับวา

“คะ ความหมายเดียวกัน นิพพานเปนคํานามบาลี นฤพานเปนคํานามสันสกฤต โบราณบางแหงใชนิร


พาณหรือนิรวาณก็มี”

เกาทัณฑปรายตาแลหญิงสาวขางกายแวบหนึ่ง หลอนเปนคนรูจริงในเรื่องที่สนใจ และเขาเริ่มพบวาถา


เขาเรื่องธรรมะ หลอนจะตอบยาวกวาปกติ ก็วกถามอีก

“ถาจําไมผิด นิพพานแปลวา ‘เย็น’ ถูกไหม?”

หญิงสาวมีทีทาไตรตรองนิดหนึ่ง กอนตอบคลายระวังอยูในทีวา

“คําแปลตามพจนานุกรมคือ ‘ความดับกิเลสและกองทุกข’ ความหมายอื่นแมมีอยูโดยเดิมกอนหนา ก็ไม


ใชพุทธประสงคที่ตรงแท...จอดใตตนไมนี่ก็ไดคะ”

เกาทัณฑเบนหนารถไปจอดตามที่หลอนบอก แตยังไมดับเครื่อง อยางจะขอคุยตอในรถอีกสักครู

“หลังคุยกับปูเมื่ออาทิตยกอน ผมพยายามจับจุดหลักของพระศาสนาเรา จะเขาใจผิดไปไหม ถาสรุปคือ


ทานวาหมดความรูสึกในตัวตน หมดอาลัยไยดี เลิกดิ้นรนแสวงหาอะไรๆทั้งปวง ก็คือถึงที่สุด ขึ้นชื่อวา
ดับทุกขลงได”

“คะ”

“ผูคนทั้งหลายตางพอใจอยูกับความสุข ความมีตัวตนอยางใดอยางหนึ่งในโลก ถานิพพานคือหนีโลก ก็


คงหาคนอยากไปไดนอยเต็มที นาจะสมัครใจทุกขบางสุขบางตามประสาคนตาฝาฟางเสียมากกวา อาจ
กลาวไดวาศาสนาเราเปนศาสนาสําหรับชนหมูนอยสินะ”

พูดโดยมีเจตนายั่วใหแยง หางตาเห็นหญิงสาวหันมองเขา อึดใจนั้นคลายหลอนอยากโตตอบ แตแลวก็


ตัดสินใจเงียบ เปดประตูกาวลงจากรถไปรอเขา เกาทัณฑดับเครื่อง ดึงคันโยกขางเบาะเปดกระโปรงทาย
รถแลวกาวตามลงมา เมื่อเดินมาใกลก็เห็นหลอนยืนเมมปากนิดๆอยางคิดอะไรอยู
๓๑

“เคยถวายสังฆทานไหมคะ?”

หญิงสาวเงยหนาถาม ชายหนุมสั่นศีรษะ

“เคยแตใสบาตรพระตอนเชาฮะ ออ ตอนทําบุญขึ้นบานใหมกับเลี้ยงพระวันแตงงานเพื่อนอยางนี้ถือวาใช


สังฆทานหรือเปลา?”

หญิงสาวตัดบทวา

“ธรรมเนียมของที่นี่พระทานจะใหญาติโยมกลาวถวายกันเอง ถาทองไมไดก็คงตองขอหนังสือมนตพิธี
จากทาน”

เกาทัณฑเลิกคิ้วอยางพอจะนึกออกถึงพิธีกรรมในการถวายสังฆทานแดพระภิกษุสงฆตามที่เคยเห็นมา

“แพกลาวนําใหผมก็ไดนี่”

แพตรีสายหนา

“คงไมเหมาะหรอกคะ”

ชายหนุมมองหนาหลอนดวยแววใสแบบที่ปนดวยอารมณขบขัน หัวเราะออกมาหนอยหนึ่งอยางเขาใจ
หลอนถูกถนอมเลี้ยงดูมาโดยปูซึ่งเปนชายที่นาเคารพนับถือ กับทั้งอยูในกรอบของธรรมเนียมนิยมสมัย
เกา จึงอาจติดความคิดประเภทชายเทาหนา หญิงเทาหลังอยู

“งั้นเอางี้ ไมตองรบกวนพระทานยุงหยิบหนังสือหรอก แพลองบอกผมซิ ทองสดๆตอนนี้เลย เผื่อจะจํา


ได”

แพตรีเห็นแววเชื่อมั่นพอดีๆในตาญาติหนุมแลวก็ทดลองบอกใหทีละชวง

“อิมานิ มะยังภันเต สังฆทานิ สะปะริวารานิ...”

เกาทัณฑมองตาหลอนแนวและทองตามยิ้มๆ

“ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโนภันเต ภิกขุสังโฆ...อิมานิ สังฆทานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ...


อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ”

เขาสามารถวาตามโดยไมสะดุดหลุดแมแตคําเดียว แถมพอแพตรีบอกจบทั้งหมดก็ทวน

ใหมใหฟงตั้งแตตน ถูกตองบริบูรณหาที่ติไมไดจนหลอนตองจองมองอยางสงสัยครามครันวา
๓๒

เขารูอยูแลวแตแกลงทําเปนไมรูหรือเปลา

“ตอนเปนประธานนักเรียนสมัยอยูมัธยมผมเคยนํานักเรียนสวดมนตตอนเชาและตอนพิธีไหวครูฮะ ทอง
จําบาลีนี่งานถนัดเกา”

สุมเสียงของเกาทัณฑออกโอหนอยๆ แพตรีกะพริบตาเนิบชา

“หลังจากนั้นใหกลาวแปลดวยนะคะ” แลวหลอนก็วารวดเดียวจบไมพักวรรค “ขาแตพระสงฆผูเจริญ


ขาพเจาทั้งหลาย ขอนอมถวาย สังฆทาน กับทั้งบริวารเหลานี้ แดพระภิกษุสงฆ ขอพระภิกษุสงฆจงรับ
สังฆทานกับทั้งบริวารเหลานี้ ของขาพเจาทั้งหลาย เพื่อประโยชน เพื่อความสุขแกขาพเจาทั้งหลาย สิ้น
กาลนาน เทอญ ออแลวตอนตนตองวานะโมฯสามจบกอนดวย”

พูดจบก็มองเขานิ่ง ชายหนุมยิ้มละไมและหัวเราะหึๆ รูวาหลอนไมเชื่อวาเขาเพิ่งทองได ถึงกับแกลงบอก


คําแปลเสียเร็วจี๋ แถมไมเวนชวงใหเขาลองทองตามอยางนี้

“จําไดไหมคะ?”

เกาทัณฑกระแอมทีหนึ่ง ลองตั้งตนทวนใหหลอนฟงทั้งบาลีและไทย ที่จริงเขาจําได

ทะลุปรุโปรง แคนี้สบายๆอยูแลว แตบางทีคุณภาพหนวยความจําดีเกินเหตุก็พานพาความเขาใจผิดมา


หาตนไดงายๆ เขาจําตองแกลงทําเปนลืมนั่นนิดนี่หนอยพอลบแววคลางแคลงออกจากดวงตาคูงาม ไม
เปนการดีหากหลอนจะมองวาเขาพูดจาโกหกเพื่ออวดเกงกลาสามารถเอาโก

พอซักซอมจนเห็นเขาขึ้นใจดี แพตรีก็หยิบถังสองใบออกมา เกาทัณฑหยิบที่เหลือตามกอนปดทายรถ


จากนั้นก็เดินคูกันไปตามทาง

มีชาวบานเดินสวนมาสองคน คงรูจักหญิงสาวดีจึงทักทายและยิ้มแยมให แถมปรายตาชางสังเกตมาทาง


เขาเปนพิเศษ เขาเห็นหลอนยิ้มตอบพอเปนพิธีแลวกมหนาเหมือนจะหลบหนอยๆ เห็นแกมแดงเรื่อที่สุด
ซอน เกาทัณฑจึงถึงบางออวาการสอดมือเขามายุมยามกับการทําบุญของหลอนใหผลเชนไร

แตแรกเพียงตองการชวยเหลือหลอนใหไดรับความสะดวกเปนหลัก ไมทันคิดวาจะทําใหคนละแวกบาน
หลอนเขาใจภาพที่ปรากฏผิดไป การทําบุญรวมกันระหวางชายหนุมหญิงสาวนั้นพิจารณาดวยสามัญ
สํานึกไทยๆไดสถานเดียวคือเปนคูรักกัน หรือหนักกวานั้นหนอยก็คือเปนสามีภรรยาไปเลย ใครจะคิด
เลาวาเพิ่งคุยกันแคสองคําแลวจะมาทําสังฆทานรวมกันไดอยางนี้

หลอนคงอาย แตชางปะไร เขายืดอกกระหยิ่มยิ้มยองผองใส ภูมิอกภูมิใจอยางลนเหลือกับการเดินเรียง


เคียงหลอนคนนี้ จะเพื่อความรูสึกดีๆของตัวเองหรือเพื่อใหชาวบานอิจฉาตารอน ลวนแลวแตใชทั้งนั้น
๓๓

กุฏิเจาอาวาสเปนเรือนไมเกา แตก็ทาทางแข็งแรงยากจะผุพัง แพตรีนําชายหนุมขึ้นบันไดไปนั่งที่ชาน


เรือน ทานสมภารกําลังคุยอยูกับญาติโยมสองสามคน ในความสังเกตของเกาทัณฑ ทานเปนคุณตาใจดี
ไมใชผูคงแกเรียน ไมใชผูคงแกวิชาอาถรรพณ และไมใชแมแตคนสูงอายุที่ยังมีหลังตรงกับสติตั้งได
สมบูรณแบบเหมือนอยางปูชนะ ดูจากสายตากับอาการพูดจากับญาติโยมแลว เขาวาคงอยูในชวงวาง
สบายของชีวิต ทาทางอาจชอบคุยถึงอดีตอันฟุงเฟองมากกวาสวดมนตหรือทํากิจอื่นของสงฆ

พอหันมาเห็นหญิงสาวที่เพิ่งเขานั่งพับเพียบตอทายญาติโยมอื่น ทานก็ทักวา

“วาไงหนูแพ ปูไมไดมาดวยเหรอ แลวเอาใครมาดวยละนั่น?”

“ปูพักผอนเจาคะ”

แพตรีตอบคําถามทานแคครึ่งเดียว ครึ่งหลังเงียบเสีย เกาทัณฑไดยินสมภารหัวเราะยาว ไมรูเหมือนกัน


วาหัวเราะอะไร คนแกบางทีไดยินใครบอกวาเพิ่งกลับจากเชียงใหมก็หัวเราะแลว

ครูหนึ่งทานสมภารตะโกนสั่งพระลูกวัดใหนิมนตพระสี่รูปแลวหันกลับมาคุยกับญาติโยมชุดเกาตอ พอจับ
ความไดวากําลังสนทนาเรื่องพระลูกชายของโยมซึ่งมาบวชที่นี่ มีการถามไถทํานองวาอยูดีมีสุขหรือไม
ปฏิบัติกิจของสงฆบกพรองอยางไรรึเปลา ซึ่งก็ดูทานสมภารจาระไนตามสะดวกวาพระลูกชายสุขสบาย
ทุกประการ ไมมีโรคภัยไขเจ็บเบียดเบียน บิณฑบาตไดขาวฉันอิ่มทุกมื้อ ปฏิบัติกิจของสงฆอยางขยัน
ขันแข็ง ไมเอาแตงวงเหงาหาวนอนหรือปูเสื่อฉันของถวายตลอดเชาสายบายค่ํา

เกาทัณฑฟงแลวคิดวาคงเปนการสนทนาแบบขอใหเสร็จไปทีเพื่อเอาใจผูเปนพอแม จริงๆทานคงไมรู
อะไรเกี่ยวกับพระรูปที่ถูกกลาวถึงนั่นเทาไหร สังขารทานเปนแบบนี้จะใหลุกไปสํารวจพระลูกวัดทั่วๆได
อยางไร

พอพระสี่รูปที่ถูกนิมนตทยอยขึ้นมาบนกุฏิจนครบ ญาติโยมชุดเกาก็เห็นสมควรแกกาล ควรกราบลาไป


เยี่ยมพระลูกชาย ทําใหเกาทัณฑนึกในใจวาพวกนี้แปลก แทนที่จะเยี่ยมลูกกอนเพื่อดูเอาเองกับตาวาอยู
ดีมีสุข เอกเขนกสบายอารมณบนกุฏิหรือปฏิบัติตนสมสมณะวิสัย กลับมาหาสมภาร ถามสมภารแทน
อยางนี้ก็มีดวย ทําราวกับทานมีหูทิพย ตาทิพย บอกไดดีกวาตนเองไปเห็นดวยตาเปลา

คงอีหรอบเดียวกับที่เขาเคยรูจักมาบาง ประเภทผานชวงหัวเลี้ยวหัวตอในวัยรุนผิดพลาด เสียผูเสียคน


ไปพักหนึ่ง พอแมจับบวชลางมลทิน หวังวาหมผาเหลืองแลวตัวจะกลายเปนทองขึ้นมาทันตา เกาทัณฑ
แอบแคนยิ้มเยาะวาแคเครื่องแบบจะชวยอะไรได จนถึงยุคนี้ ปานนี้ ยังเชื่อกันอยูอีกหรือวาผานการบวช
หมายถึงเขาเตาชุบหรือเตาหลอม ออกมากลายเปนชายเต็มตัว กลัวการทําบาป หันมาเปนคนดีแทได
ชนิดสําเร็จรูป
๓๔

พระที่ขึ้นมาลวนแลวแตอยูในวัยหนุม มีอยูรูปหนึ่งเทานั้นที่ทาทางจะเลยสี่สิบ เขาไมไดพิจารณาละเอียด


นักวาดูดีมีสกุลแคไหน นั่นเปนนิสัยอยางหนึ่งของคนเรา คือจะไมพิจารณาสิ่งที่รูสึกแตแวบแรกวาอยู
คนละระดับกับตน หรือถาพิจารณา ก็ใหคะแนนติดลบไวกอน

เมื่อพระมาปูอาสนะและเขาที่นั่งเรียบรอย แพตรีก็พยักหนาใหเกาทัณฑชวยหลอนนําถังไปวางไวตรง
หนาพระแตละรูป ชายหนุมกระตือรือรนขึ้น เมื่อเห็นกิริยาแววไวสละสลวยดูแนบเนียนชวนมองเพลิน
ของแพตรี จะเปนยามที่หลอนหยิบยกถังไปวางขางหนาตักพระ หรือเปนยามที่ดึงกายกลับมานั่งสํารวม
ทุกการเคลื่อนไหวสะทอนใหเห็นจิตใจอันเปยมดวยความเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนาเหนือ
เกลา

อยางนี้เองกระมังลักษณะของผูแชมชื่นในงานบุญ เขาสัมผัสถึงความออนโยนมีชีวิตชีวาอีกแบบหนึ่งใน
ใจตนเอง และชั่วขณะที่ชวยหลอนนําถังไปวางเขาที่ ก็เริ่มซึมซับทีละนอยวาการทําบุญ ‘รวมกัน’ นั้นเปน
อยางไร มันเหมือนมีแรงสองแรงเสมอกันผสานเปนอันหนึ่งอันเดียว ปราศจากความแบงแยกสักนอย แม
กายก็ปรากฏตอหางตาเปนปฏิภาค เปนคูตรงขามที่เคลื่อนไหวกลมกลืน เหมือนรับกันสนิทในที

พอเสร็จสรรพหญิงสาวก็นั่งคุกเขาเทพธิดาทางขวามือของเขา ขมุบขมิบปากใหเขาดูเปนรูป ‘นะโมฯ’


อยางบอกเปนนัยใหขึ้นนะโมฯพรอมกันเพื่อเริ่มถวายสังฆทาน เกาทัณฑคุกเขาเทพบุตร เปลงเสียงเริ่ม
กลาวถวายดวยทาทีเชื่อมั่นและเปนสุขไปพรอมกันกับหญิงสาวผูอยูเคียง

เสียงชายหญิงที่รวมกิริยาบุญคลายสายใยแกวบางใสที่ถักทอรอยรัดใจเขาหากัน เกาทัณฑประจักษใน
ความชุมชื่นชนิดนั้น หัวใจของเขาสะอาดใสขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งจนนาแปลกใจวาตนอาจนึกเมตตาเอ็นดูผู
หญิงสักคนอยางบริสุทธิ์ใจไดปานนี้ บริสุทธิ์ชนิดที่ยินดีชวยเหลือหรือเสียสละใหหลอนทุกอยางแมพลาด
จากการรวมครองคูกัน…

พลาดจากการรวมครองคูกัน

ชั่วขณะนั้น แคคิดก็ทนไมไดแลว…

พอเสร็จจากการกลาวถวาย ทั้งสองก็ชวยกันประเคนคนละสองถัง เกาทัณฑสังเกตเห็นพระรับประเคน


แพตรีดวยผาแทนที่จะรับดวยมือเปลา หลังๆเห็นพระหนุมรุนใหมใชมือรับของจากสีกากันเปนแถว เมื่อ
พิจารณาแลวเพิ่งเกิดความรูใหมวาแมการสงของใหแกกันก็กอความรูสึกผูกพันฉันหญิงชายได ถึงตองมี
กฎมีระเบียบใหใชผารับแทนเปนการกีดขวางความรูสึกดังกลาว เมื่อชายรับของจากหญิงดวยวิธีนี้บอย
เขา ผลลัพธที่เกิดขึ้นในระยะยาวก็คือความมีใจเหินหางและเห็นเปนสิ่งตองหาม สายตาชางวิเคราะหเชิง
จิตวิทยาบอกเขาเชนนั้น
๓๕

พระทั้งหมดดูสํารวมจนแปลกตา ราวกับหมูทหารที่พรอมกันอยูในกรอบระเบียบวินัยชั้นสูง ผานหลักสูต


รอบรมขัดเกลาอันทรหดมาแลว พวกทานไมชําเลืองมองแพตรีเลยแมดวยหางตา เกาทัณฑลอบสังเกต
เกือบตลอดเวลา และชักนึกเลื่อมใสพระที่นี่ วัดนี้ตองมีอะไรดีบางอยางเปนแน แตไมอยากเชื่อเทาไหรวา
ทานสมภารจะเปนหมุดใหญที่ตรึงทุกอยางใหอยูนิ่ง ดูทานไมนามีบารมีพอจะเขมงวดกวดขัน ปลูกสํานึก
ใหบรรดาหนุมทั้งหลายกลายเปนพระจริงพระแทแบบโบราณกาลไปได

ประเคนเรียบรอยแพตรีก็เลื่อนเตากรวดน้ําใหเขาพรอมกระซิบเร็วๆ

“รินน้ําลงขันรองนี่ตอนพระองคหัวหนาทานขึ้นยถา พยายามใหน้ําไหลตอเนื่องไมขาดสายจนหมดพอดี
เมื่อทานลงคําวายถายาวอีกครั้ง ระหวางน้ํารินอยูจะตั้งใจอุทิศบุญกุศลใหใครก็ไดที่ลวงลับไปแลว”

ตลอดมาเขาไมเคยเชื่อเรื่องอุทิศบุญที่มองไมเห็น แตครั้งนี้ลองดูเสียหนอย จะวาตกกระไดพลอยโจนก็


ได เมื่อยินเสียงหัวหนาพระขึ้นคําวายถา เกาทัณฑก็เริ่มรินน้ําลงขันดวยความตั้งใจที่ไหลรวมกับสายน้ํา
วา

‘ความสุขจงมีแกปูชนะและแพ’

มีความบันเทิงใจเมื่อตั้งจิตเชนนั้น ไมสําคัญวาจะเกิดผลจริงหรือเปลา เขาพอใจเสียอยาง นึกๆไปก็เห็น


คุณคาของพิธีการทั้งหลายแหลของคนโบราณ ซึ่งลวนเปนอุปเทหทางจิตวิทยานําสุขมาสูใจอยางไดผล
อยางนอยก็เปนหนทางออมๆสรางความรูสึกดานบวกใหแกผูที่ตนอุทิศบุญ แพตรีบอกใหเขาอุทิศแกผู
ลวงลับ แตเขาวาไมไดประโยชนเทากับใหคนยังมีชีวิตอยูดวยประการทั้งปวง

พอพระจบยถา เกาทัณฑก็คว่ําเตากรวดขาดน้ําพอดี พระทั้งหมดรวมทั้งทานสมภารเริ่มสวดสัพพีพรอม


กันและตอดวยชะยันโตเปนกรณีพิเศษ เกาทัณฑนั่งพนมมือหลับตาฟงตามที่เห็นหญิงสาวทํา เขาตั้งใจ
ฟงอยางเบิกบาน แมจะไมรูเรื่องวาพระสวดอะไรบทไหนหรือมีความหมายอวยพรประการใด พอใจที่
หลับตาแลวเกิดความรูสึกปลอดโปรงสวางนวลนาพิสมัย เพิ่งเห็นวาการถูกหอหุมดวยขายคลื่นเสียงสวด
มนตอันมีพลังลึกของหมูสงฆนั้นอบอุนเปนสุขนาพึงใจเพียงไร ทั้งวิเวกชวนเคลิ้มสงบ ทั้งไพเราะนาฟง
ใหเกิดปติเมื่อเงี่ยหูสดับ ที่วาทําสังฆทานไดบุญมากก็คงเพราะมีสุขมากอยางนี้นี่เอง

เสร็จสิ้นทุกกระบวนการแลวสองหนุมสาวก็กราบสงฆสามครั้ง พระสี่รูปนั้นทยอยลงจากกุฏิไป

“ปูเราเปนไงฮึแพ ไมสบายรึเปลา ทําไมไมมา?”

ทานสมภารถามฉันคนรูจักคุนเคย ฟงดูคลายทานกับปูชนะมีความเปนเพื่อนกันอยูแตเกากอน

“เปลาหรอกคะ”

แพตรีตอบออมแอม ภิกษุชราหัวเราะออกมาอีก ดูทานหัวเราะงายเสียจริง


๓๖

“ถามนี่ไมใชอะไรหรอก คนแกนะ ฉันรูวาโรคมันมาก อยางหลวงตาใกลจะลงโรงที่นั่งอยูนี่เปนตน สามวัน


ดีสี่วันไข แตก็ดีไปอยางนะที่ไดมรณานุสติโดยไมตองกําหนดกันมาก เอาแคเห็นอาการรอแรจะจะนี่ก็
เหลือกินเหลือใชแลว”

เสียงทานพูดอยางอารมณดีราวกับเลาใหฟงวาวางแผนจะไปเที่ยวตากอากาศ เกาทัณฑอดขันไมได การ


อยูในพุทธศาสนามานานคงทําใหทานสมภารเชื่อนรกสวรรค เชื่อวาตายในผาเหลืองแลวไปสบาย นี่เปน
แงหนึ่งที่เขานึกตั้งแงกับศาสนาทั้งหลาย คนเราคงเลิกทําอะไรหมดถาเชื่ออยางนี้กันสักครึ่งโลก บวช
ครองผาเหลืองรอรางวัลลี้ลับในชาติหนาดีกวา เขาวาเผลอๆคนสวนใหญบวชก็เพราะเหตุนี้ ดูแลวนาเสีย
ดายที่ไปเชื่อมั่นชีวิตหลังความตายอันเลิศเลอทวาเลื่อนลอย ไมไยดีกับชีวิตปจจุบันซึ่งเห็นตําตาอยูชัดๆ

“พอหนุมนี่ทํามาหากินอยูแถวไหนละ บานอยูละแวกใกลนี่รึเปลา?”

ทานหันมาทางเกาทัณฑอยางชวนปราศรัย ชายหนุมมองตอบดวยสายตาและรอยยิ้มแสดงความเคารพ
เพราะสังเกตดูแพตรีใหความนับถือสูงมาก

“ไกลเหมือนกันครับ บานกับที่ทํางานผมอยูในตัวเมือง”

“ออ”

ทานครางรับรู ยิ่งดูยิ่งเห็นไมตางจากคนแกที่วางงานตรงไหน ทั้งการพูดการจา ทั้งอิริยาบถตางๆ ปูชนะ


ยังดูทรงภูมิและเปยมบารมีนายําเกรงเยี่ยงผูสูงวัย สูงประสบการณกวาตั้งหลายเทา ปูกับหลานสาว
เลื่อมใสหลวงตาองคนี้ที่ตรงไหนหนอ? ถาใหเดาก็คงพอประมาณไดแหละวาวัดแถวนี้มีนอย เจอองค
ไหนก็เอาองคนั้นไวกอน

“หนาตาเหมือนพระเอกหนังดีจริงๆ”

ทานชมเกาทัณฑประสาคุณตา แลวควาหนังสือพิมพใกลตัวขึ้นมาทําทีเหมือนอยากอานขาวพาดหัวหนา
หนึ่ง นี่คงตั้งทาไลเขากับหลอนแลวกระมัง

“คนสมัยนี้เขาไปถึงไหนกันแลวละ หลวงตาเดินเหินไปดูไปฟงไมไหว แตเห็นขาวที่เขาเอามาใหอานนี่


แลวก็เขาใจวาโลกเหมือนจะลุกเปนไฟ...”

ขณะที่ทานทอดตามองหนังสือพิมพและพูดไปเรื่อยนั้น เปลวไฟก็คอยๆกอตัวและลามเลียมแผนกระดาษ
ทีละนอย

“สิ่งยั่วยุมันมีมาก ถาเราไมรูวาเปนไฟ และปลอยใหลุกลามเปนกองโตขึ้นเรื่อยๆโดยไมหาทางดับ ไฟก็


จะนําความพินาศที่นึกไมถึงและไมเคยรูจักมาสู”
๓๗

หนังสือพิมพกลายเปนไฟกองโตที่ลุกโพลงและมียอดเปลวสูงขึ้นอยางรวดเร็วจรดเพดานกุฏิทามกลาง
ความตกตะลึงพรึงเพริดของสองหนุมสาว ทุกสิ่งเกิดขึ้นอยางเดียวกับฝน คือไมมีตนสายปลายเหตุสม
จริง ความรูสึกของเกาทัณฑและแพตรีจึงคลายฝนเชนกัน ไมมีใครกระดิกกระเดี้ยไดเลยสักนิดเดียว

เสียงฮือของเปลวเพลิงดังขึ้นเรื่อยๆอยางนากลัว ไฟเริ่มแผลามไปบนเพดาน และบัดนั้นเองเกาทัณฑก็


ไดสติลุกพรวดขึ้นยืนเหมือนหลุดออกจากกรงแหงอาการช็อก สมองสั่งงานวาจะตองหาทางดับไฟใหได
โดยเร็วที่สุด

“เพียงเรารูวิธี ก็ดับไฟไดโดยไมตองวิ่งไปหาเครื่องมือจากไหน”

ทานสมภารพูดอยางเยือกเย็นทวาทรงอํานาจชนิดที่ทําใหเกาทัณฑตองขนลุกเกรียว เห็นถนัดตาวาทาน
ยังถือไฟกองโตไมปลอย นับเปนภาพที่นาตระหนกและชวนพิศวงงงงวยเหนือคําบรรยาย แมยืนหางออก
มาสองสามกาวยังสัมผัสถึงความแผดรอนผะผาว กองเพลิงอันรอนระอุคุคลั่งคลายมีแรงพิโรธกราด
เกรี้ยวในตนเองเห็นปานนั้น ทานสมภารทนอยูไดอยางไรไหว

ภิกษุชราปดตาลงครูหนึ่งเปนดุษณี กอนเปดเปลือกตาขึ้นเปาลมปากพรวดลงไปบนกองเพลิงระหวาง
แขนเบาๆ มันดับพรึ่บในพริบตาเดียว เศษขี้เถากระดาษฟุงกระจายทั่วหอง เลนเอาตาคนเห็นเบิกโพลง
อยางยากจะเชื่อตนเองอีกคํารบ

แลวอยางตอเนื่อง ทานเงยหนาขึ้นมองเพดานซึ่งบางสวนกําลังถูกริ้วไฟแดงฉานคุกคามหนักขึ้นทุกขณะ
ราวกับมีเชื้ออยางดีฉาบไว หรือเหมือนเพดานสรางขึ้นดวยฟางแหง ทานสูดหายใจเต็มปอดแลวปองปาก
เปาลมพุงขึ้นไปดังฟูใหญ เกาทัณฑและแพตรีรูสึกเหมือนมีแรงลมมหาศาลสงออกมาจากตนทางที่เล็กไม
สมขนาด มันเปนพลังลมที่หนักหนวงรุนแรงราวกับพายุสลาตัน สะเทือนโยกไปทั้งกุฏิ ไดยินเสียงออด
เอียดของไมคลายปรากฏมือยักษไรตนมาตบ

ผลคือไฟดับสนิท

เกาทัณฑปากคอสั่น เกิดมาไมเคยคิดวาชีวิตนี้จะไดพบเจออะไรอยางนี้เลย เขาทรุดกายนั่งลงพับเพียบ


ดวยอาการของคนขาดสติสัมปชัญญะไปชั่วขณะ

ทานสมภารทอดตาดําลึกและฉายแววพิสดารลี้ลับไปทางแพตรี กลาวดวยน้ําเสียงการุณยวา

“กลับไปกอนนะแพเอย หลวงตาจะปลงอาบัติ...ตองนั่งสมาธิขอขมาธรรมกันนานละ”

พูดแลวก็ระบายลมหายใจยาวเหยียดและปดตาลง ยามนั้นเกาทัณฑไมรูสึกวาทานเปนคนแกอีกแลว

สองหนุมสาวกราบลาแลวลงจากกุฏิของทานสมภารอยางเงียบเชียบ พูดอะไรไมออกกันแมแตคําเดียว
๓๘

เมื่อมาถึงบานของปูชนะ เกาทัณฑก็ยังคงเงียบราวกับถูกมัดปากอยูนั่นเอง เขาจอดรถที่หนาประตูรั้ว


และเดินตามหญิงสาวเขาบานงกๆเงิ่นๆอยางคนจิตใจไมอยูกับเนื้อกับตัว

“แพ” ชายหนุมเรียกเบาๆเมื่อกําลังจะผานโตะหมูมาหินใตรมไมใหญ “นั่งคุยกันกอนสิฮะ”

เขาสบตาดวยลักษณะเรียกรองของเพื่อนที่รวมประสบเหตุการณสุดระทึกมาดวยกัน แพตรีเริ่มระงับ
อารมณได แมยังไมปกติดีนัก แตพอหันมาเห็นทาทีเกๆกังๆนาขันของเขาแลวก็สงบเย็นลงทันที ดวยถือ
วาตนใกลชิดบุคคลผูทรงคุณมานาน จึงสมควรทําใจหนักแนนไดมากกวา ‘ไกตื่น’ ตรงหนา

หญิงสาวลงนั่งบนมาหินตามคําขอ ทําใหเกาทัณฑโลงอกและนั่งตาม

“เมื่อกี้หลวงตาทาน...”

ปลายเสียงขาดหวงอยางคนหายใจผิดจังหวะ เคยเสียงหลอตอนนี้หายหมด แพตรีเห็นเขาพูดติดๆขัดๆ


เลยชิงตอบเสียกอนอยางรูคําถามในใจเขาดีอยูแลว

“หลวงตาแขวนทานคงเมตตาคุณนะคะ”

“อะไรครับ?” เพิ่งทราบนามทานสมภาร “หลวงตาแขวนทานเมตตาอะไรผม?”

ถามอยางปะติดปะตอเรื่องราวไมถูกจริงๆ

“อยาใหดิฉันพูดเลยคะ ทบทวนและคิดดูดวยตัวเองก็แลวกัน ถอยคําของทานนาจะชัดเจนพออยูแลว”

เกาทัณฑสายหนา กระดาษหนังสือพิมพที่กลายเปนไฟกองมหึมาอยางพรวดพราดยังติดตาติดใจมาจน
บัดนี้ เลนเอาความคิดอานติดขัดไปสิ้น

“อธิบายหนอยเถอะ อยางนอยใหผมเขาใจบางวาเกิดอะไรขึ้น หลวงตาทานทําไดยังไง”

เกาทัณฑออนวอน และนี่ก็มิใชการหาเรื่องคุยกับสาวนอยที่เขาพึงใจ แตเปนการแสวงหาคําตอบจากผูที่


นาจะใหความกระจางได เขาเคยเขาชมมายากลระดับโลกชนิดนั่งติดเวทีมาหลายครั้ง แตบรรยากาศตาง
๓๙

กันเปนคนละเรื่อง เพราะนี่เหมือนหลุดเขาไปอยูในมิติเหนือธรรมดา กับทั้งมีพลังเขมขนบางชนิดกระทบ


กระเทือนจิตใจผิดปกติ

“ทําไมไมสนใจหาเจตนาของทานละคะ ทานทําไดยังไงนี่เกินกําลังสติปญญาของดิฉันเหมือนกัน”

เกาทัณฑสายหนาอีกครั้ง

“ทานมีเจตนาอะไร? ยอมรับวาผมงงไปหมดแลว”

“เชื่อแนวาคุณจําไดวาทานพูดไวอยางไรบาง รวมแลวจะพบขอสรุปเอง ลองอยูคนเดียวเงียบๆใชเวลาทบ


ทวนดูเถอะคะ “

ชายหนุมพยายามฝนยิ้ม เพราะสะดุดกับคําแนะของหลอนที่ให ‘ลองอยูคนเดียว’

“แพทําเหมือนรังเกียจผมจังนะ ตั้งทาจะไลใหพนๆอยูเรื่อย”

หญิงสาวชะงักนิดหนึ่งกับคําที่เหมือนตัดพอกลายๆของเขา เกรงจะเอาไปฟองปู เลยแกดวยกิริยาที่ลด


ความหมางเมินลง

“เปลาหรอกคะ เพียงแตดิฉันมีความสามารถนอยเกินกวาจะไขขอของใจตางๆของคุณได นี่พูดจริงๆนะ


คะ อยาหาวาถอมตัวเลย อยูใกลกาสาวพัสตรของหลวงตาทานมาตั้งแตเด็ก ยังไมเคยเห็นทานแสดงฤทธิ์
ถึงขนาดนี้ ทราบเพียงวาทานสอนทุกคนที่อยูใกลดวยกุศโลบายหลากหลาย และ...ตองเปนกรณีพิเศษ
จริงๆถึงจะ...”

เกาทัณฑเมมปาก เลิกคิ้วมองหญิงสาว เมื่อเห็นเงียบนานก็คาดคั้น

“ถึงจะอะไรฮะ?”

แพตรีอึ้ง วาไปหลอนก็พิศวงใจระคนครามเกรงเดชะแหงพระคุณเจาเพิ่มขึ้นเปนเทาทวี เจตนาของพระ


ระดับเกจิผูปฏิบัติชอบนั้นลึกซึ้งนัก ความคิดกระทําการของพวกทานมิไดเกิดจากอารมณชั่วแลนเฉกเชน
สามัญมนุษย ทวามักเกิดจากการเพงประโยชนที่อาจทอดระยะยาวไปในอนาคตเบื้องหนาเสมอ การ
แสดงฤทธิ์เดชในตนจัดเปนอาบัติอยางหนึ่ง หลวงตาแขวนทานเห็นอยางไรจึงยอมฝนนั้น สุดที่หลอนจะ
กลาคาดเดา

ทบทวนพระวินัยเกี่ยวกับการนี้ ก็สบายใจนิดหนึ่ง เพราะพระพุทธองคระบุไววาภิกษุ ‘ไมพึง’ แสดงอิทธิ


ปาฎิหาริยแกคฤหัสถ หากรูปใดแสดง รูปนั้นตองอาบัติทุกกฏ ซึ่งวาไปอาบัติทุกกฏจัดวาเบาสุดใน
บรรดาอาบัติทั้งปวง คือเปนการกระทําอันไมเหมาะ ไมสม ไมควร ไมใชกิจของสมณะ ใชไมได ไมควร
๔๐

ทํา แตหากแสดงฤทธิ์ชนิดจัดฉากกลลวงหวังลาภสักการะชื่อเสียง อยางนั้นโทษจะกระโดดจากเบาสุด


เปนหนักสุด คือเขาขั้นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเปนพระชนิดที่กลับมาบวชใหมไมไดอีกเลย

แพตรีชั่งใจครูหนึ่ง กอนตอบเกาทัณฑถึงสิ่งที่ยังคางคา

“ไวถามีโอกาส คุณถามจากทานเองดีไหมคะ? ดิฉันไมกลาเดาใจทาน ถาพูดผิดเดี๋ยวจะเปนบาปเปลาๆ”

เกาทัณฑหัวเราะ แมไมทราบเหตุผลที่หลอนบายเบี่ยงแนชัด เขาก็ไดเห็นคุณสมบัติขอหนึ่งของหลอน


นั่นคือความระมัดระวังทุกคําพูดและการกระทําของตนเอง พอรูอยูบางหรอกวาในโลกนี้มีหลายสิ่งทําแลว
ใหคุณอนันตแตก็อาจยื่นโทษมหันต ทวากรณีนี้แคหลอนตอบคําถามเขาสองสามคํา จะไปเกิดผลลบผล
รายชนิดใดได

“ดูนัยนตาแพแลวเหมือนคนรูดีสารพัดเลยนะ แบงปนใหผมรูมั่งสิวาแพเก็บอะไรไวบาง”

“นอยคะ นอยมาก อยาวาถอมตัวเลย ดิฉันอานนอย ฟงนอย แลวก็รูเห็นคับแคบ ถาอยากไดความรูแจง


แทงตลอดละก็ คุยกับหลวงตาแขวนหรือคุณปูสิคะ”

สําเนียงอันเปยมไปดวยความจริงใจและตรงไปตรงมาของหลอนทําใหเขาสายหนากับตนเองเหมือนอับ
จน

“ทราบจากปูวาแพเรียนครู…แพมีคุณสมบัติที่ดีของครูอยูขอหนึ่ง คือไมพูดอยางคนรูมาก แตจะพูดอยาง


คนรูจริง”

เขาเริ่มสงบบางแลว สงบพอที่จะนั่งไขวหางใหสบายอารมณขึ้น หญิงสาวไมโตตอบประการใดกับคําสดุดี


กรุยทางอันหรูหราของเขา

“แตความรูนี่ถึงนอยก็เปนทุนไวเพิ่มวันหนาได แคเพียงใหเฉพาะสวนที่แพรู หรืออยางนอยคาดคะเนจาก


ที่เคยรู ก็ถือวาเปนการจุดแสงสวางใหคนที่ยังมืดสนิท จริงไหม?”

แพตรีถอนใจ

“อยากรูอะไรคะ?”

“หลวงตาแขวนทานทําไดยังไง?”

หญิงสาวกะพริบตาเนิบชา
๔๑

“ตามตํารา เมื่อมนุษยทําสมาธิไดอยูตัวถึงระดับหนึ่ง กระแสจิตจะผนึกรวมหนักแนนทรงพลังมหาศาล


เพงจับสิ่งใดก็มีอํานาจเหนือสิ่งนั้น หากเพงไฟแนแนวจนจิตกลายเปนไฟ มีไฟอยูในจิต กระทั่งจิตทรง
อิทธิพลอยูเหนือเตโชธาตุรอบตัว ก็อาจบันดาลความรอนใหเกิดขึ้นจริงไดตามปรารถนา

ทํานองเดียวกับดิน น้ํา และลม ขอเพียงฝกจิตจนมีธาตุเหลานี้ขึ้นใจ กระทั่งเขาใจอํานาจของตนที่มีเหนือ


ธาตุเหลานี้ ก็อาจใชจินตนาการปรุงแตงใหเกิดความเปนไปตางๆตามตองการ เนื่องจากจิตวิญญาณมี
ความสัมพันธแนบแนน และอยูเหนือดิน น้ํา ลม ไฟโดยเดิม”

คลายปรากฏพานทองแหงการยอมรับผุดขึ้นที่กลางใจ เหมือนมีความทรงจําเกาวูบไหวขึ้นมาใจกลาง
สมอง ราวกับภายในนั้นแจงประจักษสิ่งที่หลอนพูดถึงอยูแลว แตเพิ่งถูกเปดเผยในบัดนี้ เกาทัณฑยนคิ้ว
นอยๆและเงี่ยหูตั้งใจฟงเต็มที่

“หลวงตาทานเปนพระปฏิบัติ ผานแนวทางกรรมฐานมานานชั่วชีวิต คนใกลชิดจะทราบวาทานมีอภิญญา


ประเภทรูวาระจิต คือใครกําลังคิดอะไรอยู หรือมีอารมณชนิดไหนนี่อานออกหมด ดิฉันเองก็ประจักษกับ
ตัวมาหลายหน เพียงแตนึกไมถึงวาทานจะ...มีอภิญญาแกกลาขนาดนี้”

เกาทัณฑยกมือลูบคาง

“นิยามของอภิญญาคืออะไรฮะ?”

“ความรูยิ่งที่ไดมาจากอภิจิต เปนจิตในอีกระนาบหนึ่งที่อยูสูงเหนือสามัญจิตอยางพวกเรา มีอยูทั้งหมด


หกชนิด ชนิดแรกก็เชนที่เห็นหลวงตาทานบันดาลลมไฟ เรียกวาเขาขายรูวิธีแสดงอิทธิฤทธิ์ ชนิดที่สอง
คือหูทิพย ชนิดที่สามคือญาณรูใจคนอื่น ชนิดที่สี่คือญาณระลึกชาติ ชนิดที่หาคือตาทิพย และชนิดที่หก
คือความรูวิธีที่จะทําใหเกิดธรรมชาติแหงการลางกิเลสออกจากใจอยางเด็ดขาด...”

เมฆกลางฟาเคลื่อนคลอยจากการบดบังดวงอาทิตย แสงแดดที่แผดกลาสวนหนึ่งฉายลอดเงาไมลงมา
เปนลํา พรอมกันขณะเดียวกับวูบสายลมรําเพยผานสองหนุมสาว

“ธรรมชาติแหงการลางกิเลส?”

เกาทัณฑทวนคําของหลอนแผวเบา คลายมีคลื่นปฏิรูปสะทอนกองอยูในหัว ทําใหงงเควงไปชั่วขณะ

“สิ่งนี้ใชไหม ที่เรียกวามรรคผล?”

นาแปลกที่เนื้อหาทางพุทธศาสนาในตําราที่เคยศึกษาในชั้นเรียนมัธยมคอยๆทยอยขึ้นสูจิตสํานึกทีละ
ระลอกอยางเปนไปเอง

หญิงสาวพยักหนา
๔๒

“คะ อภิญญาขั้นสุดทายนี้เปนอภิสิทธิ์เฉพาะผูเดินตามทางอริยมรรค เพิ่มขึ้นจากอภิญญาหาของฤาษีชี


ไพรธรรมดา”

“ถาผมจําไมผิดและเขาใจไมคลาดเคลื่อน การชะลางกิเลสนี่ก็มีลําดับขั้นเหมือนกันใชไหม? ไมใชลางที


เดียวสะอาดบริสุทธิ์ไดเลย”

แพตรีตรึกทวนถอยคําที่ปูชนะเคยแจกแจงครูหนึ่ง กอนเริ่มถายทอดดวยใจเคารพธรรม

“ธรรมชาติการลางมีสี่ครั้ง พระพุทธเจาบัญญัติเรียกครั้งแรกวาโสดาปตติผล เมื่อเกิดขึ้นแลวยังมีโลภ


โกรธ หลงอยูเหมือนตอนเปนคนธรรมดา เพราะธรรมชาติจิตยังยอมติดกับอารมณไดแนบแนนอยู ตาง
แตเขากระแสพระนิพพานแลว รูนิพพานแลว เที่ยงที่จะหมดกิเลสสิ้นเชิงในกาลตอไป ครั้งที่สองเรียก
สกทาคามิผล เกิดขึ้นแลวราคะ โทสะ โมหะเบาบางลงมาก เพราะธรรมชาติจิตแยกจากอารมณไดงาย
เอง

ครั้งที่สามเรียกอนาคามิผล เกิดขึ้นแลวหมดกามราคะ หมดโทสะอยางสนิท เพราะธรรมชาติจิตมีความ


สม่ําเสมอในกระแสสมาธิ แตยังมีโมหะขั้นละเอียด เพราะอวิชชายังบดบัง ยังหลงคิดวาตนเปนนั่นเปนนี่
สวนครั้งที่สี่...ครั้งสุดทาย เรียกวาอรหัตตผล เมื่อเกิดขึ้นแลวจิตแทงขาดจากความครอบงําทั้งปวง แม
อวิชชาวากายนี้ใจนี้คือบุคคลเราเขาก็ไมปรากฏสักนิดเดียว จิตบริสุทธิ์ตั้งมั่น คงที่ถาวรจริง ไมกลับคืน
ไมปฏิรูปเปนอื่นอีก”

ดวยน้ําหนักคํา การใหจังหวะวรรคตอนอันกลมกลืน และวิธีออกเสียงควบกล้ําชัดเจนนาฟง รวมแลวได


ผลเปนลีลาการถายทอดที่ถูกรับรูและคลอยตามไดงายดาย จนเกาทัณฑตองลอบมองอยางแอบทึ่งใน
ความเปนสตรีที่กอปรพรอมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติชั้นเลิศของหลอน

กระแอมทีหนึ่งอยางพยายามเอาตัวเองออกมาจากบวงเสนหที่หลอนมิไดมีเจตนาคลอง

“หลวงตาทานเปนพระอรหันตหรือเปลาฮะ?”

“นั่นแหละคะสิ่งที่ดิฉันตอบไมไดอยางแนนอน และก็ไมอาจเอื้อมที่จะเดาดวย ใครจะเปนพระอริยบุคคล


ระดับไหนนั้นทานรูอยูแกใจ แตสิ่งหนึ่งที่ดิฉันบอกไดก็คือผูสามารถแสดงฤทธิ์ใชจะตองพระอริยบุคคล
เสมอไป อยางที่บอกแลววาอภิญญานั้นมีหลายชนิดและก็แยกกันเด็ดขาด บางทานอาจมีหนึ่งอยาง บาง
ทานอาจมีหลายอยาง ขึ้นอยูกับวาสนาเฉพาะตัว ถาทานมีบารมีสูงมากก็อาจมีอภิญญาครบพรอมทั้งหก
คือมีความสามารถพิสดาร แลวก็เปนพระอรหันตดวย ซึ่งเทาที่รู...หายากมาก”

อีกระลอกสายลมหนึ่งพัดผานมา เกาทัณฑเห็นหลอนทอดตามองกิ่งไมไหว เห็นความสงบใจในดวงตา


สวยหวาน ดูทีหลอนเปนคนมีความสุขไดงายๆอยางนาอิจฉา ใครอยูใกลก็พลอยรูจักความสงบชนิดนั้น
ตามไปดวย
๔๓

“เพราะอะไรฮะ เมื่อมีพลังจิตสูงพอ ทุกอยางก็นาจะอยูในวิสัยไมใชหรือ หากมีกําลังจิตสูงขนาดลุ


อภิญญาขั้นสุดทายได ก็นาจะครอบคลุมอภิญญาขั้นตนทั้งหมดเหมือนกัน อา...นี่คิดเอาตามการคาด
หมายของผมนะ วาสิ่งดีที่สุดนาจะครอบงําสิ่งที่อยูลางๆลงมา”

“อภิญญาขั้นสุดทายที่มีไวลางกิเลสนั้น จัดวาประเสริฐสุด แตใชวาทรงอํานาจครอบงําสูงสุดนะคะ คนละ


อยางกันเลย เหมือนคนจบปริญญาแลว ทํางานรับผิดชอบตัวเองไดแลว ไมจําเปนตองเลนกีฬาเกงเทา
เด็กมัธยมบางคน อยางที่บอกแตแรกวาอภิญญาแตละชนิดแยกเปนเอกเทศจากกันเด็ดขาด ไมอิงอาศัย
หรือมีอยางหนึ่งแลวตองมีอีกอยางดวย

และตามที่เคยไดยิน พระอริยบุคคลทานไมคอยนิยมเรื่องฤทธิ์เดชกันเทาไหรหรอกคะ เพราะเปนเรื่อง


สนุกเกินไปสําหรับดวงจิตที่รักสุญญตภาพของทาน ผูที่ชอบเรื่องพรรณนี้โดยมากเปนพระโพธิสัตว พวก
ทานมีบารมีสูงกวาพระอริยบุคคล ปรารถนาความเปนพระพุทธเจาในอนาคตเบื้องหนา ไมอยากถึง
นิพพานดวยการเปนสาวก ตองการถึงดวยตนเองกับทั้งสามารถนําพาคนอื่นไปดวยมากๆ แลวก็มีอัจฉ
ริยภาพทางจิตสูง อุดมดวยอิทธิบาทสี่เหมาะกับการเลนฤทธิ์เลนเดชสรางบารมี”

เขาเคยไดยินคําวา ‘พระโพธิสัตว’ มาหลายครั้งหลายครา แตคราวนี้ฟงดูมีความพิเศษนาฉงน อาจเปน


เพราะหลอนโยงมาเกี่ยวของกับฤทธิ์อภิญญา หรือเพราะหลอนขยายคุณสมบัติดวยการบวกคําวา ‘อัจฉ
ริยภาพทางจิต’ เขาไป เขาชอบคํานี้ เพราะปลุกเราสํานึกในอัตตาทั้งสวนตื้นและสวนลึกเอาเรื่อง

โดยนัยการจาระไนไขความของหญิงสาว เกาทัณฑเกือบสรุปวาหลวงตาแขวนไมใชพระอรหันต ทาน


เปนพระโพธิสัตว นั่นเปนอีกจุดหนึ่งที่นาสนใจสําหรับเขา เพราะสวนลึกรูสึกวาตนหางไกลจากคําวา
‘อรหันต’ พิกล สัมผัสแผวเต็มที

“พระโพธิสัตวนี่ทํายังไงถึงจะไดเปนฮะ?”

“ก็...”

หลอนอึกอักไปชั่วขณะ เมื่อหันมาเห็นดวงตาดําลึกที่ฉายอํานาจประหลาดของเขา

“แคอยากเปนก็ไดเปนตอนนั้นแลวละคะ”

เกาทัณฑเลิกคิ้วเล็กนอย

“งายขนาดนั้นเลยหรือ?”

“คะ” คิดหาอุปมาอุปไมยเปนครู กอนอรรถาธิบาย “เหมือนตื่นเชาตั้งใจวาวันนี้จะทําแตความดี ขณะที่คิด


นั้นก็เปนคนดีแลว ยังไมตองลงมือกอกุศลดวยการพูดหรือลงมือกระทําจริง”
๔๔

“แตระหวางวันพอเจอเรื่องยั่วใจใหเขวอยากทําชั่ว ก็เปลี่ยนเปนคนชั่วไดใชไหม?”

ชายหนุมแยงเบาๆตามความนาจะเปน

“คะ ชาวพุทธทั่วไปเมื่อศึกษาพุทธศาสนา เห็นคาของพระธรรมคําสอน เห็นคุณของพระพุทธองคที่โปรด


เวไนยสัตวไดมากมาย บําเพ็ญตนเปนประโยชนกวางขวาง หลายคนก็นึกปรารถนาจะทําเชนนั้นบาง
โดยมีความคิดอุทิศตนเปนทานแกหมูชนไมเลือกหนาเปนที่ตั้ง ก็ไดจิตชนิดที่เปนพระโพธิสัตวแลว แต
แคเพียงดวยเจตจํานงและแรงปรารถนาประการเดียว ยังไมเที่ยงที่จะไดเปนพระพุทธเจาในอนาคตชาติ
หรือไม ทานใหเรียก ‘อนิยตโพธิสัตว’

หลังจากอนิยตโพธิสัตวผานการเวียนวายตายเกิด บําเพ็ญคุณงามความดี พบพุทธศาสนาหลายๆครั้ง


เขา เห็นพุทธคุณแลวปลาบปลื้ม คิดปรารถนาจะทํามหากรุณาเชนพระพุทธเจาซ้ําแลวซ้ําเลา จนเงา
กรรมที่ทอดยาวไปเบื้องหนาแจมชัดพอ กับทั้งไดพบพระพุทธเจาสักพระองคเพื่อตรัสพยากรณ เปน
กําลังใจใหทราบชัดวาตนเที่ยงที่จะเปนพระพุทธเจาองคหนึ่งในอนาคตแนแลว อยางนั้นจึงจะเรียกวาเปน
‘นิยตโพธิสัตว’ เหตุที่มั่นใจก็เพราะคําของพระตถาคตนั้นไมเปนสอง เมื่อตรัสวาสิ่งใดจะเกิด สิ่งนั้น
เหมือนเกิดแลว รอแตเวลาคลี่คลายมาถึงเทานั้น”

เกาทัณฑกะพริบตาสองหน

“ทีแรกผมนึกวาพระโพธิสัตวหมายถึงผูมีจิตใจประเสริฐสูงสงหาที่ติไมได หรือเทพเจาในตํานานซึ่งมีหนา
ที่ชวยเหลือมนุษยอะไรทํานองนั้น”

“ถานับกันโดยนัยของขณะจิตที่คิดเสียสละ อธิษฐานขอเปนพระพุทธเจาเพื่อนําเวไนยสัตวใหพนทุกข ตัว


เองเดือดรอนทรมานเนิ่นนานอยางไรก็ชาง ตองถือวาเปนผูมีจิตใจประเสริฐสูงสงจริงๆคะ ทานวากําลังใจ
ตองยิ่งใหญเหมือนแผนฟามหาสมุทร”

“ฉะนั้นควรสันนิษฐานวาเมื่อเปนนิยตโพธิสัตวแลว จะตองมีนิสัยเสียสละ ประเสริฐสูงสงสมภูมิความดี


ดั้งเดิมใชไหม?”

แพตรีมองเขาดวยแววนิ่งครูหนึ่ง กอนตอบเรียบๆวา

“ก็ไมจําเปนนักหรอกคะ บางชาติอาจเดนเพียงบารมีดานใดดานหนึ่ง บางชาติอาจเดนหลายดาน หรือ


บางชาติก็แทบไมมีโอกาสสะสมอะไรเพิ่ม โดยเฉพาะเมื่ออยูสูงหรือต่ํากวาภูมิมนุษย”

“เอ…ถาการปรารถนาเปนพระพุทธเจาตองใชเวลาเปนชาติๆ อยางนี้กอนอื่นตองเชื่อเรื่องเวียนวายตาย
เกิดใชไหม?”
๔๕

“คะ ถาขาดปจจัยใหพรอมลงอธิษฐาน เชนขาดความแจมแจงถองแทเกี่ยวกับภพชาติและการเวียนวาย


ตายเกิด ก็ไมเกิดจิตคิดปรารถนาขึ้นมาไดตามจริงหรอก”

เกาทัณฑเมมปาก กะพริบตาถี่ๆ

“ถามหนอยนะ แพเชื่อเรื่องชาติกอนชาติหนารึเปลา?”

“คะ…เชื่อ”

“เรื่องทํานองนี้มีวิธีพิสูจนที่แนนอนไหมฮะ?”

“มี...แตยากมาก อยางที่เมื่อกี้คุยกันไปแลวไงคะ การระลึกชาติเปนอภิญญาชนิดที่สี่ หากทําสมาธิจนแก


กลาเขาขั้นอภิจิต ก็ฝกระลึกเอาได”

“แพเห็นดวยตัวเองแลวจากอภิญญาชนิดนั้น?”

คราวนี้หลอนสายหนา ทําใหเขาผิดหวังเล็กนอย

“งั้นเลาใหฟงถึงเหตุจูงใจใหเชื่อหนอยไดไหม?”

พอเห็นหญิงสาวทําทีอึดอัดที่จะเฉลย ก็ปลอบแกมคะยั้นคะยอ

“อยาเขาใจวาซักไซไลเลียงวุนวายเลยนะ ผมเห็นแพอยูใกลชิดผูใหญผูรูธรรมถึงสองทาน คงไมใชสักแต


เชื่อตามตําราหรือโบราณวาไว หากมีหลักการที่ขยายความคิดผมใหกวางขวางตามได ก็อาจเปน
ประโยชน เปดหูเปดตา เหมือนอยางที่ประจักษอิทธิฤทธิ์อภิญญาจากหลวงตาทานมาแลว”

แพตรีทอดจับใบหนาของเขาเต็มหนวยตา จนเกาทัณฑใหฉงนขึ้นมาอีกคํารบวาแฝงเลศนัยชนิดใดไวกัน
แน รูวาหลอนคิด แตคิดอะไรไมรูนี่ชวนใหจุกอกจุกใจเสียจริง เดี๋ยวก็ฝกอภิญญาอานใจคนมาเจาะดูเสีย
หรอก

นานครูหนึ่งกอนหลอนจะตอบเสียงนิ่ม

“มีบางสิ่งในชีวิตที่ทําใหดิฉันรูวา ‘ใช’ แตขอใหเปนเรื่องเฉพาะตัวเถอะคะ อยาเชื่อหรือไมเชื่อเรื่องพวกนี้


เพราะถามจากคนอื่น ผูรูทานไมสรรเสริญ”

“แพปดเปนความลับอยางนี้ ถาผมอยากรู หรือเชื่อมั่นไดเหมือนแพบาง จะทราบยังไงวาตองเริ่มจากตรง


ไหน?”
๔๖

ถามยิ้มๆแบบใหเห็นวาเขาวอนขอคําตอบดีๆ แพตรีมองคนชางซักอยูพักหนึ่ง กอนเอยทั้งสายตาจับอยู


กับใบหนาเขาสนิท

“บางเรื่องคงเปนวิถีทางเฉพาะตัว เหมาะสําหรับคนบางคนเทานั้นมั้งคะ ถึงใชคาถาบทเดียวกัน ตอให


สวดรวมเรียงเคียงขาง ก็อาจใหผลแตกตางเปนคนละแนว”

ชายหนุมอึ้งงันดวยความแปลกใจ อุปาทานหรือเปลานี่ ตอนทายคลายสําเนียงหลอนแปรงปราไป และ


ปุบปบเหมือนเขาถูกรายลอมดวยกระแสเศราที่กระจายจางมาจากหลอน เมื่อกี้ยังเย็นสนิทเหมือนสาย
ธารสะอาดใสอยูแทๆ

“ฮะ…เอาเปนวาผมใชวิธีเดียวกับแพไมได ชางเถอะ ใครจะรู ผมอาจมีพรสวรรคในเรื่องการระลึกชาติ


เปนพิเศษ ถาขอฝกกับหลวงตาแขวนอาจสําเร็จภายในครึ่งชั่วโมงก็ได”

มีแววสมเพชจากดวงตาที่เคยวางอุเบกขาเปนนิจ แตก็จางหายไปอยางรวดเร็วจนเกาทัณฑไมแนใจวา
แววชนิดนั้นเกิดขึ้นหรือเปลา เขายิ้มนิดหนึ่ง อยากใหหลอนรูเห็นวาที่ผานมา เมื่อตั้งใจจริงแลว เขาเปน
ทําไดสําเร็จเสมอ แมตองใชความพยายามจนดูเหลือวิสัยปานใดก็ตาม

ชายหนุมผินหนาไปทางทิศที่ตั้งของวัดทางนฤพาน สายลมเย็นหอบมาอีกระลอก คราวนี้แรงกวาครั้ง


กอนๆจนเหมือนพัดพาบางสวนในตัวเขาปลิวหายไปดวย

เวนระยะระบายลมหายใจยาวอยางคนที่ผอนคลายลงไดชั่วขณะหนึ่ง

“วัดในกรุงเทพฯนี่มีแตชาวบานนุงจีวร หาพระไมคอยเจอ เลนเอาผมนึกวาโลกสิ้นพระเสียแลว ตอน


เด็กๆเคยชอบใสบาตรเหมือนกัน แตโตๆมานี่ไมเคยเลย เพราะเห็นพวกชาวบานนุงจีวรแลวเสื่อม
ศรัทธา”

แพตรีฟงเขาพูดโดยปราศจากความเห็น

“เรื่องคิดจะบวชตามประเพณียิ่งไปกันใหญ ผมไมใชคนยึดถือความเชื่อสืบตอกันมา จะทุมเททําอะไรตอง


เห็นประโยชนตามจริง เคยเขาไปเยี่ยมเพื่อนที่ลาบวชสิบหาวัน เห็นสภาพแลวอายแทน คือมันขอขาว
จากชาวบานกินไปวันๆอยางกับ...”

เกือบหลุดคําพูดคอนขางแรงออกไป หากแตยั้งไวเมื่อจังหวะนั้นพอดีกับที่เหลือบมาเห็นดวงหนาสงบ
ละไมของหญิงสาว

“...อยางกับสิ้นปญญาตองลวงขาวชาวบานกิน”

ตอคําพูดตัวเองจนจบอยางไมชอบคางคา ทวาดัดแปลงใหนุมนวลลงกวาที่ตั้งใจพูดแตแรก
๔๗

พอเขาเงียบหลอนก็เงียบ สบตากันพักใหญ เขาวาเขาเห็นรอยระคางซอนอยูเบื้องหลังประกายออนและ


เปยมไมตรีจิตแนๆ ตาไมฝาด ไมไดคิดไปเอง อยากถามตรงๆใหหายของใจ แตจะปนคําพูดอยางไรดี
ละ…

แพโกรธผมหรือเปลานี่?

มีความผิดอะไรที่ผมควรจะรูตัวบางไหม?

ผมทําใหแพรําคาญมากกระมัง?

คําถามวิ่งวนอยูแตภายในขอบขังของตนเอง แตก็อาจสื่อผานประกายยิ้มในดวงตาออกไป เมื่อตางฝาย


ตางนิ่งในความแปลกหนาที่คลายเคยคุน สุดทายก็เหมือนลองดีกันอยูในที ตอเมื่อนานครูหนึ่งหญิงสาว
จึงเปนฝายเลี่ยงไปเมื่อเห็นวาหาสาระมิได

“นึกออกแลว!”

แพตรีสะดุงนิดๆ อยูไมอยูเขาก็แกลงตบเขาฉาด ระเบิดอุทานดังๆราวกับพวกเชียรมวยตู

“หลายปกอนที่ผมเคยมาเยี่ยมปูกับพอ เห็นเด็กผูหญิงผมมานั่งบีบนวดปูบนเรือนก็แพนี่เอง แพเปลี่ยน


ไปเสียจนผมเห็นทีแรกจําไมไดนะนี่”

คราวนี้หญิงสาวปรายตาเฉี่ยวผานเขาแวบหนึ่ง เปนแวบที่เผยรองรอยขุนขึ้งอยางไมปดบังเปนครั้งแรก

แตขุนที่เขาแกลงใหตกใจเดี๋ยวนี้ หรือขุนที่เขาทําสิ่งใดไวเมื่อหนไหนนี่ยังนากังขาอยู...

“ผิวสวยขึ้นราวกับเปนคนละคนเลย แพวาเปนอิทธิพลของพระศาสนาหรือเปลา ใครปฏิบัติดีก็เห็นผลดี


ทันตาอยางนี้เอง”

หลอนคงถูกผูชายรุมจีบอยูทุกเมื่อเชื่อวันจนชินกระมัง จึงมีสีหนาทาทางเปนปกติทุกอยาง

“ถาจับแพไปออกรายการธรรมะทางทีวี คดีอาชญากรรมอาจลดลงก็ไดนะ ดูสิเนี่ย ไมยิ้มก็เหมือนยิ้ม


ตอนชักชวนใครทําดี ยืนยันวาสวรรคมีจริง ลูกเด็กเล็กแดงคงเชื่อหมด”

แมงามงอนยังเฉยเมย ริมฝปากปดสนิท แนนิ่งราวกับดิ่งอยูใตน้ํา เกาทัณฑชักนึกสนุก อยากดูซิวาตอน


หลอนหมั่นไสใครจนหนาเขียว จะออกหัวออกกอยอยางไร

“วาไปแลวผมนี่ก็เปนคนใจบุญสุนทานอยูเหมือนกันนา ของแบบนี้ถึงไมปรากฏชัดใหคนอื่นเห็น แตเรา


เองก็รูสึกอยูในใจ…”
๔๘

คําทายๆกลาวลากชาพรอมกับโหยงมือเกาะอก

“ถาผลกรรมติดตามเรามาแตชาติปางกอนจริง ก็เปนเรื่องนายินดีที่ไดประจักษวามีบุญตามมาอุปถัมภผม
แลว ชาตินี้เกิดมาไมเดือดรอนเรื่องความเปนอยู ถึงเวลาก็ไดปูชี้ทางธรรมะ ไดแพพาไปพบพระดี เรียก
วาบุญตอบุญ เห็นไดชัดวาชาติหนาเกิดใหมคงหลอเหลาเหมือนพระเอกหนังอยางที่ตะกี้หลวงตาทานชม
อีก”

รูสึกรื่นรมยเมื่อเห็นมุมปากของหลอนเบะนิดๆจนได ผูหญิงคนนี้ขนาดเบะปากยังสวยเลย เพิ่งซึ้งวาจิต


ใจที่งดงามอยางแทจริงยอมไมปรุงกิริยานาชังออกมา แมเขมนใครสุดจะกลั้นก็ตาม

ขณะที่กําลังจะทํากอรอกอติกเปนเรื่องเปนราวอยูนั่นเอง ก็ใหมีเสียงขัดจังหวะดังมาจากหนาประตูรั้วเสีย
กอน

“พี่แพฮะ”

เกาทัณฑเห็นหญิงสาวเหลียวไปตามเสียงเรียก มานตาเบิกกวางดวยความยินดี

“มติ!”

หลอนรองออกมาเสียงแหลม ก็ไมเบานักหรอกสําหรับความดีใจของผูหญิงคนหนึ่ง เกาทัณฑเหลียวตาม


ตองชะโงกนิดหนอยเพราะตนไมบัง แพตรีรีบลุกออกไปหาเด็กหนุมคนนั้นทันที ดูทาวาจะลืมสนิทไปเลย
วามีเขานั่งอยูดวย

“เปนไง กลับมาถึงเมื่อไหร?”

หางกันแคเกาทัณฑไดยินถนัด เห็นผูเปนอาคันตุกะหนาเรี่ยลงเมื่อหันมาสังเกตเห็นเขาเขา นายคนนั้น


กระซิบอุบอิบแบบที่หญิงสาวไดยินเพียงคนเดียว

“ไมทราบวาพี่แพมีแขก นึกวานั่งคนเดียว ขอโทษที่เรียกฮะ”

หญิงสาวยังอมยิ้ม ไขกุญแจเปดประตูรับแขกใหมหนาตาเฉย

“เขามากอน”

นั่นเปนจังหวะเดียวกับที่เกาทัณฑลุกขึ้นยืน

“ผมขอตัวขึ้นไปหาคุณปูนะฮะแพ”

ฝนทําเสียงเปนปกติ แตคนคุยดวยมากอนรูดีวากรอยลงกวาเดิมเยอะ
๔๙

“คะ”

ไดเห็นเรียวปากคูงามสยายเปนรอยยิ้มรื่นเหมือนโลงอก ยังผลใหแสบคันคะยิกที่กลางอกแทบดิ้นแลว
เกาทัณฑก็กลับหลังหันกาวดุมขึ้นเรือนทันที สติขาดหาย อกใจไหวสั่น เดินอยางไมเปนอันรูวาเดินไป
ทําไม ขนาดเห็นปูยังไมรูเลยวาเห็น

“อาว! วาไงนายเต มาอีกแลว”

เกาทัณฑไดสติ ยกมือไหวปูแลวนั่งลง หนาตาหมนหมองจนปูตองทัก

“ไปทําอะไรมาละนี่ หนาตาถึงไดช้ําๆพิกล วันนี้โชคไมเขาขางรึไง?”

ผูเปนหลานยิ้มไมออก

“สบายดีเหรอฮะปู?”

ถามเสร็จก็คิดไดวาเพิ่งมาเยี่ยมปูเมื่อวาน คําถามนี้เอาไวสําหรับคนไมเจอกันนานๆตางหาก จึงรีบกลบ


เกลื่อนกอนปูทันตอบ

“ผมซื้อองุนกับเงาะมาฝาก”

วาแลวก็แทบตบหนาผากตัวเอง เพราะกระเชาผลไมยังอยูในรถ ลืมนําติดมือขึ้นมาดวย นี่เดินขึ้นเรือน


ตัวเปลาแทๆดันบอกออกไปแลว

ปูชนะพยักหนา

“อือม ขอบใจ วางไวแถวๆนั้นแหละ เดี๋ยวหิวแลวจะกิน”

ปูชวยแกเกอหรือประชดก็ไมทราบ เกาทัณฑรูสึกแนนหนาอกจนตองแคนหัวเราะระบาย

“ปูนั่งอยูแตบนนี้ทั้งวันไมเบื่อมั่งหรือไงฮะ?”

ถามดวยเสียงพาล

“เอา! คนแกจะใหทําอะไรละ อยูบนนี้ไมตองไปนอนโรงพยาบาลหรือสถานเลี้ยงดูคนชราใหเดือดรอนลูก


หลานก็ดีขนาดไหนแลวฮึ”
๕๐

โสตประสาทคลายใกลหยุดทํางาน ชายหนุมทอดตามองออกไปนอกเรือนซึมๆ เห็นแวบเดียวก็รูวาสนิท


กันขนาดไหน สงเสียงเรียกเสียแหลมเปยวไปเลย ยินดีปรีดาออกนอกหนาเหมือนจะบอกเขาใหทราบ
เปนนัยอยางนี้คงชัดพอแลวกระมัง

นาแปลก เขาไมเคยยี่หระเลยถาจะตองตอกรทําศึกชิงนางกับใคร แตทําไมแคเห็นหนาไอหนุมเมื่อวาน


ซืนทาทางเหมือนไมมีสตางคขึ้นรถเมลคนนั้นทีเดียว ถึงกับรูสึกเหมือนคนแพทั้งที่ยังไมไดเริ่มสูอยางนี้
ได

จริงซี...รอยยิ้มโลงอกที่มีเหตุมาผลักไสเขา มีคูตุนาหงันมาปรากฏอวดตางหาก ที่บาดจิตบาดใจ กัดลึก


เกินจะรับ คนอยางเขาเคยเจอยิ้มชนิดนี้เสียที่ไหน

“นั่นซีฮะ” เขาตองคิดทบทวนอยูอึดใจกวาจะนึกไดวารับคําปูเรื่องอะไร “ดีแลวที่ปูแข็งแรงอยูตลอดเวลา


มีหลานดีๆคอยดูแลก็หยั่งงี้แหละ”

ปูชนะจิบน้ําชาซึ่งเห็นวางอยูขางกายทานเสมอ เกาทัณฑมองตาม แลวจูๆก็คิดถามทาน

“ตอนปูมียา ปูรูสึกวาเปนเรื่องยากลําบากไหมฮะ ผมหมายถึงวาเวลาเราเจอใครสักคนที่อยากอยูดวย


ตลอดไป เราออนไหวจนเห็นเรื่องขี้ผงกลายเปนเรื่องใหญโตเหลือฝนเสมอหรือเปลา?”

นัยนตาอันดําสนิทตางจากผูสูงวัยทั่วไปเล็งแลมายังชายหนุม แลวเบนไปทางอื่นเชื่องชา กอนหัวเราะ


เอื่อยๆในลําคออยางคนผานรอนหนาวมาจนเจนใจ จะเพราะอะไรก็ตาม เกาทัณฑเกิดความอบอุนและ
เหมือนไดรับการปลอบประโลมจากเสียงหัวเราะต่ําทุมนั้น

“ก็เจอกันทุกคนแหละเต”

ปูชนะกลาวในที่สุด เกาทัณฑนิ่งฟงอยางเงียบงัน

“และตอไปเมื่อมีลูกเมียใหรับผิดชอบ แกจะยอนมองกลับมาเห็นความเหลือฝนอยางเดี๋ยวนี้เปนแคปญหา
ขั้นเริ่มตน เปนเพียงหนึ่งในเรื่องราวนอยใหญประจําชีวิตคู มันก็แคความรูสึกวูบวาบนั่นแหละที่ใหญเกิน
ตัวปญหาไปจนถึงกับเห็นวาเหลือฝน”

“เหรอฮะ”

เกาทัณฑเอยรับเปนทํานองทอดอาลัยระคนขบขันวิธีเลนตลกของชีวิต พยายามเลื่อนตัวขึ้นนั่งตรงเมื่อ
รางคลายจะเลื้อยตกเกาอี้ลงไปทุกที

“เมื่อกอนผมวาบรรดาพรรคพวกที่จริงจังกับความรักนี่มันโงเงา” ชายหนุมยิ้มเฉียง “แตเดี๋ยวนี้ชักเห็นใจ


ไอพวกนั้นขึ้นมาบางแลว”
๕๑

ปลายเสียงของเขาหายไปลอยๆ

“ก็งั้นแหละ” ปูชนะวา “เราจะเห็นใจใครไดจริงๆก็ตองมีหัวอกเดียวกันเสียกอน มายงั้นจะรูรึวาความทุกข


ของเขานาเห็นใจยังไง”

“ถาคําสอนของพระพุทธเจาดับทุกขไดสนิทจริง ผมก็ชักเห็นคาบางแลว”

เกาทัณฑวาแบบลอยตามลมไปแกนๆ

“ยังไมตองไปถึงขั้นดับทุกขสนิทก็เห็นคาเดี๋ยวนี้ได”

น้ําเสียงทอดเนิบของปูมีแรงจูงใจใหตามฟง

“อยางที่เราคุยกันวันกอนไง เรื่องทุกขเรื่องรอนอะไรนี่แหละ วันนั้นยังวางๆ ไมมีตัวอยาง ตอนนี้ทุกขมา


แสดงตัวแลว ลองดูที่อกใจของแกซี ถอดโขนของหนาตาตัวตนแกออกไปใหหมด เหลือแตใจอยางเดียว
จะเห็นเองวาหนาตาความทุกขเปนยังไง”

เกาทัณฑสังเกตจิตใจตนเอง เห็นความวาวุนอยูกลางอกจริงๆ

“ในทุกขนั้นมีภาพใครคนหนึ่งปรากฏรวมอยูดวยใชไหมละ ใครคนนั้นแหละที่เขาเรียก ‘ตนเหตุทุกข’ ถา


แกนึกถึงภาพตัวตนเหตุได ก็จะรูวาอาการยึดไวเปนอยางไร พอรูจักอาการยึดก็มองออกวาจะปลอยดวย
ทาไหน ปลอยเมื่อไหรใจสบายวาบขึ้นมาเมื่อนั้น”

ชายหนุมนึกถึงดวงหนาเดนของหญิงสาวที่คลายคมมีดกรีดอก สัมผัสไดถึงใจที่พุงเขาสูมโนภาพดวง
หนาหลอนอยางแรง เห็นจริงเห็นจังวานั่นเองอาการที่จิตเขายึดเหตุ อันไดผลเปนความทุกข พอลอง
เปลี่ยนเปนตรงขาม ถอนอาการยึด อาการหลงหาเสีย ก็คลายมโนภาพงามที่ตามหลอกหลอนทุกขณะจิต
พลอยสลายตัวเปนอากาศธาตุไปดวย สบายหัวอกขึ้นทันที

เหมือนปลอยมือจากเชือกใหวาวหลุดลอยลม ไมหนักมืออีกตอไป

“ตัวปลอยนั่นแหละที่ทานเรียก ‘ทาง’ ตัวสบายที่ขึ้นมาแทนที่ความวุนวายใจนั่นแหละที่ทานเรียก ‘ความ


ดับทุกข’ เมื่อทําได ก็เหมือนรูจักอริยสัจสี่เบื้องตนแลว”

เกาทัณฑกะพริบตาปริบๆ โลงอกไปถึงไหน วางสบายอยางนาพิศวง เหมือนเสนผมบังภูเขาถูกยายออก


พนความเขลาที่เคยหวงตนเหตุทุกขไวนิดเดียว พอเลิกหวงได ปลอยวางตนเหตุออกจากใจได ก็กลาย
สภาพใหมเปนตรงขามทันที เหมือนพลิกฝามือจริงๆ

เมื่อชายชราเห็นผูเปนหลานกระจางใจในอริยสัจสี่ขึ้นมาเปนครั้งแรก ก็กลาวเสริม
๕๒

“อุปาทานดับชั่วคราวก็ดับทุกขชั่วคราว เชื้ออุปาทานดับสนิทก็ดับทุกขไดสนิท แกจะเห็นคุณคาของพระ


ธรรมคําสอนมากกวานี้ ถาไดรู และไดประสบพบวาความทุกขรออยูเทากองภูเขาในอนาคตชวงอื่นๆอีก
และอีก กับทั้งเห็นซึ้งวาภาวะของการดับทุกขอยางสนิทนั้นแสนสบายเหลือเชื่อยังไง”

หลานชายตรองนิ่งเปนครู ภาพบาดใจของหญิงสาวเวียนผานมาเขาหัวอีกระลอก คราวนี้เขาไมตั้งใจขจัด


ทิ้ง ความรุมรอนออนใจก็เกิดขึ้นอีก จนตองหัวเราะหึๆ

“ปูไมถามเลยนะวาเธอที่เปนตนเรื่องคือใคร บานชองอยูแถวไหน”

“ถามไปทําไม ปูเคยรูจักผูคนในชีวิตแกสักรายเมื่อไหร พอแกบอกจะใหปูรองออออกมายาวๆเหรอะ?”

คอนขางโลงอกที่ปูไมระแคะระคาย ทั้งที่เรื่องมันจุดไตตําตอแทๆ

“กอนผนวช พระพุทธเจาทานเคยมีทุกขมามากหรือฮะ ถึงตองออกแสวงทางพนทุกข”

“ก็แลวแตวาแกจะถืออะไรเปนมาตรวัดความทุกข อยางถาเอาเรื่องความรักไปวัดละก็ พระองคทานไมได


มีความทุกขเหมือนอยางแกหรอก ตรงขาม พระองคทรงมีชายาอันเปนที่รัก พระนางมีคุณสมบัติเลอเลิศ
เหนือสตรีนางใดในยุคเดียวกัน คิดเอางายๆนะ ขออนุญาตยกตัวอยางใกลๆ อยางยายแพของฉันนี่ ไม
ไดหนึ่งในรอยหรอก”

ชายหนุมสะดุงไหวอยูภายใน เหลือบตามองปูก็ไมเห็นพิรุธ จึงคอยๆผอนลมหายใจทีละนอย พูดโตตอบ


ตามปกติ

“อยางที่ปูบอก ถาไมใชหัวอกเดียวกันก็ไมเห็นใจกัน พระองคเผยแผพระสัทธรรมก็ดวยตองการใหใครๆ


พนทุกขตามพระองค ทีนี้พระองคมีทุกขอยางไรละครับ...เรื่องครองราชสมบัติ?”

“เรื่องการงานและความสามารถทางโลกนะพระองคไมทรงเกี่ยงงอนหรอก แกเคยไดยินขาวเด็กอัจฉริยะ
ประเภทเรียนมหาวิทยาลัยตั้งแตอายุสิบเอ็ดใชมั้ย นั่นแหละ เทาหนึ่งในรอยหนึ่งในพันของพระองคสมัย
ปฐมวัย แคเรื่องครองบานครองเมืองนะสบายมาก เพียงแตพระองคไมทรงยินดีในราชสมบัติและความ
เปนพระเจาจักรพรรดิเทานั้น”

เกาทัณฑเกือบจะหลุดคําถามวา ‘รูไดอยางไร’ ออกไป แตดวยกําลังโศกเลยครานที่จะซัก ชายาก็ดีกวา


หลานสาวคนดีรอยเทา ตอนปฐมวัยก็เกงกวาเด็กอัจฉริยะยุคไฮเทครอยเทา ปูคงจําจากตํารามาขยาย
ความตามอัธยาศัยกระมัง

“สรุปแลวผมไมเห็นเลยวาพระองคจะตองเปนทุกขดวยเรื่องอะไร ใชสามัญสํานึกเอาไดนี่ครับ ผูชายสัก


คนดีพรอมไปหมด แถมมีคูที่ตองตาตองใจใหอีกคน อยางนี้จะรูจักทุกขยังไงไหว”
๕๓

“ทุกขที่พระองคมีเหมือนทุกคนคือเกิด แก เจ็บ ตายไงละเต”

ชายหนุมสายหนาอยางไมเชื่อทันที

“ผมเคยเรียนมาฮะ แลวจากวันแรกที่เห็นเหตุผลของพระองคในแบบเรียนจนกระทั่งคิดอะไรเองไดทุกวัน
นี้ ผมก็ยังไมเชื่อจากตนจนปลายวาคนเราเห็นทุกขแคนั้นแลวถึงกับจากบานจากเมืองและสิ่งอันเปนที่รัก
ทั้งหลายเขาปาเพื่อแสวงหาทางหลุดพน พระองคตองไมไดมีชีวิตอยูในโลกของความเปนจริงแนถาถือวา
ตํารากลาวไวถูก”

เกาทัณฑเมมปาก เห็นปูยิ้มๆโดยไมตอบโต ตอนนี้เหมือนเครื่องติด เขาวาพอไดใชเหตุผล ไดพูดจาเสีย


บาง ก็ทําใหความโศกจางลงดีเหมือนกัน จึงนึกอยากวาตอตามความเห็นอันเต็มไปดวยความรูจักคิดของ
ตนใหแตกกิ่งกานยิ่งขึ้น

“ดวยวัยยี่สิบเกาซึ่งยังหนุมแนน รางกายแข็งแรงขนาดบุกปาฝาดงตามลําพังได มีที่ไหนจะสัมผัสทุกขอัน


เกิดจากความเจ็บความแกละครับ แลวอยางเรื่องที่พระองคบรรลุธรรมก็เหมือนกัน ตํารากลาวไวคลุม
เครือเหลือเกิน ตอนทองหนังสือสอบนี่ผมสงสัยเปนที่สุดวาขั้นตอนในการนึกรูวิธีบรรลุธรรมของพระองค
เปนยังไง เพราะเบื้องตนก็กลาววาพระองคหนีจากบานเมืองมาใชชีวิตแบบฤาษี แตทําๆไปก็เห็นวายังไม
ใชทางออกที่ถูก

เสร็จแลวเกิดความคิดขึ้นใหมวาถาลองทรมานตัวเองลดกิเลสลงอาจไดผล แตลองดูหลายปก็เห็นวาไมใช
อีก เลยคิดอีกครั้ง เอาทางสายกลาง ไมสุขไมทุกข เรียกวามรรคแปด มีอะไรมั่งผมลืมไปหมดแลว นั่งอยู
ใตตนไมคืนเดียวบรรลุเลย ผมไมเขาใจวาการเอาความไมสุขไมทุกขมาเปนตัวยืนแลวจะโยงมาถึงความรู
ในเรื่องมรรคแปดไดอยางไร ปูไมเคยสงสัยมั่งหรือฮะ?”

“ก็เคยอยูเหมือนกัน” ปูชนะผงกศีรษะ “คลายกับนักเรียนวิทยาศาสตรอยางพวกแกที่ไมอาจหยั่งวาไอนส


ไตนรูไดยังไง ใชจินตนาการทาไหน จึงเขาถึงความเห็นวาสสารกับพลังงานเปนสิ่งเดียวกัน เทาที่เชื่อก็
เพราะไอนสไตนมีวิธีพิสูจนเปนสูตรคณิตศาสตร ซึ่งเอาไปทดลองเปนรูปธรรมไดผลลัพธตรงจริงเหมือน
กันหมดทุกมุมโลกนั่นแหละ”

ปูคอยๆยืดตัวตรง บรรยากาศเปลี่ยนไป คลายทานสํารวมอยูในฐานะหรือหนาที่อีกอยาง

“ตองยอมรับนะเตวาโลกเรานี้มีบุคคลพิเศษประเภทหนึ่งในพันลานอยูจริง บุคคลอยางนี้ไมไดมีอยูในตัว
แก ไมไดมีอยูในคนรูจักหลักรอยหลักพันในชั่วชีวิตของแก ไมไดมีใหแตะตองเปนประสบการณทั่วไป แต
มีอยูจริงในหนาประวัติศาสตร อาจจะหาสิบ รอย สองรอย หรือพันปครั้งถึงจะมีคนประเภทไอแซค นิวตัน
หรืออัลเบิรต ไอนสไตนเกิดขึ้นมาสักคน คนพวกนี้เขยาโลกไดก็ดวยความคิดที่เปนหนึ่งในพันลานนั่น
แหละ หากใครเทาทันดวงจิตขณะคิดงานยิ่งใหญของพวกเขาได พวกเขาก็คงจะไมมีชื่อเสียงและถูกถือ
เปนหนึ่งในพันลานแนๆ”
๕๔

เกาทัณฑชักเริ่มทึ่ง นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไมเคยคิดแบบปู ตําราทางวิทยาศาสตรในหองเรียนไม


เคยสอนใหเขามองอัจฉริยบุคคลเหลานั้นดวยมุมมองเชนนี้เลย

“การเกิดมาของไอนสไตนทําใหมนุษยไดความรูที่มีคามหาศาล เขาทําใหนักศึกษาบางกลุมเปลี่ยนโลก
ทัศนที่มีตอธรรมชาติแตกตางไปจากสามัญสํานึกของคนธรรมดา เขาทําใหเรามีพลังงานรูปแบบใหมไว
ใช เขาทําใหจินตนาการของคนยุคใหมบรรเจิดขึ้นเปนคนละระนาบกับสมัยอื่น แตไตรตรองดูนะเต เคยมี
ใครสักคนไหมที่อางวาศึกษาและรับผลพวงจากงานของไอนสไตนแลวมีมโนธรรมสูงขึ้น จิตใจสูงขึ้น หรือ
กระทั่งพนกิเลสพนทุกขไมตองทรมานใจกับแงมุมใดๆของชีวิตอีกเลย?”

ชายชราแยมยิ้มเล็กนอย เกาทัณฑเห็นเปนรอยยิ้มที่งามจับตา

“มหาบุรุษเชนพระพุทธองคทรงเปนยิ่งกวาหนึ่งในพันลาน และความรูของพระองคก็มีคามากกวานั้น พบ
ไดยากยิ่งกวานั้น การมีใครสักคนพูดวา ‘สภาพจิตที่เปนสุขถาวรนั้นมีจริง เขาถึงไดจริงดวยวิธีปฏิบัติที่
แนนอน’ ฟงดูแสนแปลกแสนมหัศจรรยขนาดไหน โลกอาจตองรอการเกิดของนิวตันและไอนสไตนนับ
รอยนับพันป แตโลกจะตองรอการอุบัติของพระพุทธเจาเปนจํานวนปที่แกไมเคยรูจัก มันมากขนาดขาม
วัฏจักรของเผาพันธุมนุษย นานขนาดที่แกอาจเรรอนไปสงสัยรูปแบบชีวิตตางๆกี่แสนกี่ลานครั้ง ก็ยังไม
มีโอกาสพบบุคคลเชนพระองคซ้ํา”

หลังจากทอดระยะ ปูชนะก็สรุปแกปม

“ดังนั้นถาแกหวังจะใหตําราเรียนอธิบายวาพระพุทธเจาทรงเขาสูการรูทางมรรคผลไดอยางไร ก็ตองแน
ใจเลยวาคนเขียนตําราเลมนั้นเปนพระพุทธเจาเสียเอง และจะตองบรรยายเปนมิติที่พิสดารเหนือตัว
หนังสือธรรมดาอยางคาดไมถึงดวย จิตของพระองคในขณะจะบรรลุธรรมนะเปนจิตของผูอยูเหนือคําวา
อัจฉริยะ เกี่ยวของกับฌานญาณและวิธีใชปญญาในรูปแบบที่แกไมเขาใจ เปนการสืบเหตุสืบผลที่เรียก
พิจารณาปจจยาการอันเกินหยั่ง เปนจิตที่กอตัวขึ้นดวยบารมีสั่งสมบําเพ็ญมานับภพนับชาติไมถวน เปน
ธรรมชาติตัวเดียวอันเดียวในอนันตจักรวาลชั่วคาบเวลาหนึ่งๆ

และทํานองเดียวกับการเกิด แก เจ็บ ตาย ฐานะอยางแกหรือปูและคนรอบๆตัวนะมองใหเห็นเปนกอน


ทุกขไมออกหรอก บารมีไมถึง โดนธรรมชาติครอบงําใหทะยานอยากเฉพาะหนาครั้งตอครั้งไปเรื่อยเทา
นั้น ตองอยางพระองคทาน จิตที่สั่งสมบารมีมาพอนั้นรูลึกรูซึ้ง ฉุกคิด เฉลียวรู และกระจางในภัยของการ
เกิด แก เจ็บ ตายดวยตนเอง หาทางออกทางพนไดดวยตนเอง กับทั้งสามารถนําความรูแจงมาเผยแผ
เปนมหาคุณกับชาวโลกได”

เกาทัณฑนิ่งงันอยางจุกคอหอย ในบัดนั้นเหมือนปูมีรัศมีสวางและเหมือนอยูสูงเกินกวาจะพูดจาถกเถียง
หรือแตะตองแมเพียงนอย
๕๕

“ปูวาแทนที่แกจะมานั่งสงสัยประวัติของพระองคหรือวิธีคนพบของพระองค ก็นาจะลองหาทางพิสูจน
เหมือนกับที่นักวิทยาศาสตรพิสูจนวา ‘อี’ เทากับ ‘เอ็มซีกําลังสอง’ เปนความจริงหรือเปลา สูตรของพระ
พุทธองคคือมรรคแปดประชุมพรอมกันสี่ครั้ง เทากับภาวะดับทุกขและกองกิเลสอยางถาวร”
๕๖

เปนเชาที่เกาทัณฑนอนแชบนเตียงนานผิดไปกวาเคย เหมือนไมพรอมจะทําอะไรทั้งนั้น สมองปนปวน


สับสนคลายคนปวย ภาพหญิงสาวกับชายชราสลับกันเวียนวนอยูในหัวแบบลอยไปลอยมาซ้ําแลวซ้ําเลา
นั่นไมใชแบบแผนระบบความคิดของเขาเลย

ความเนือยนายและความเชื่อมั่นที่ถูกสั่นคลอนแบบนี้ไมเกิดขึ้นบอยนัก หลานสาวคนสวยของปูทําใหเขา
รูสึกวาตัวเองมีคาต่ําตอยกวาเจาหนุมนอยผอมแหงทาทางกระจอกๆ สวนปูชนะก็ทําใหเขาเกิดความคิด
ถกเถียงอยูในใจอยางตอเนื่อง เหมือนสงสัยชีวิตขึ้นเปนครั้งแรก ทั้งที่ผานมาชีวิตเขาใหคําตอบกับตัวเอง
เปนฉากๆ เริ่มตนดวยความพรอมทางกําลังกาย กําลังสติปญญา ตามดวยความสําเร็จ ผลงาน และลง
เอยดวยสงาราศีจับตาคนรอบขางทั้งใกลและไกล เขาควรอยูในครรลองแหงตัวตนอันนาภาคภูมิจวบถึง
อายุขัย

ภาพลักษณชีวิตปรากฏคลายธงชัยแหงความเปนหนึ่งที่ชูสูงตลอดกาล จูๆจะใหยอมรับหรือวาทั้งหมดคือ
อุปาทานทั้งเพ ที่ขยับแขนขาได อาปากพูดไดนี่เปนกอนอนัตตาในระหวางแหงการเกิด แก เจ็บ ตายอัน
เปนทุกขทั้งสิ้น

ชีวิตคือผลงาน ทํางานสําเร็จชีวิตก็สําเร็จ ทํางานชนะชีวิตก็ชนะ เขาเห็นจริงมาตลอดตามนั้น และมีสัจจะ


สูงสุดอยูเทานั้น

แตก็ตองยอมรับวาเมื่อคืนเขานอนกายหนาผาก...

ถาหากคนโบราณพูดถูก สมมุติวานรกสวรรคเปนเรื่องจริง สมมุติวาชีวิตนี้เปนแครูปแบบหนึ่งระหวาง


การคลี่คลายของกระบวนการเกิดแลวตาย ตายแลวเกิด มิแปลวาคนทั้งโลกสั่งสอนและร่ําเรียนกันผิดๆ
เอาแคชีวิตรอดไปวันๆ โดยมองไมเห็นภยันตรายใหญหลวงที่รออยูขางหนา ไมมีการเนนหนักเอาจริง
เอาจังกับการเตรียมเสบียงไวเลี้ยงตัวในกาลตอไปหรอกหรือ?

พลิกตัวจุดบุหรี่สูบมวนหนึ่งแลวนอนหงายหนามองเพดาน หองนี้เปนเขตสวนตัว เปนกรรมสิทธิ์ของเขา


เปนเครื่องแสดงความสามารถเอาตัวรอดได ในวันที่เขาซื้อดวยเงินสดโดยไมตองผอนอยางคนอื่น วันนั้น
เขาเห็นตนเองมีหลักประกันชีวิต หรือใบรับรองความสามารถยืนหยัดดวยลําแขงตนเองเต็มภาคภูมิ และ
๕๗

เปนผลใหวันนี้เขากําลังคิดกาวตอไปอีก คืออยากมีบานที่ใหญขึ้น ในสิ่งแวดลอมระดับสูงขึ้น แสดง


พัฒนาการของชีวิตอยางเปนรูปธรรม ถูกจังหวะจะโคนตามกาล

เขายังซื้อบานหรูหลังใหญดวยเงินสดไมไดเหมือนซื้อหองเปนกลองๆแบบนี้แน ถาคิดครอบครองบาน
ใหญ ก็คงตองใชเงินผอน ซึ่งก็พอไหวอยู ตอใหเดือนละหลายๆหมื่นก็เถอะ ปญหาคือเขาเกลียดการเปน
หนี้ยืดเยื้อยาวนาน ความรูสึกมันวิ่งไปไมไกลถึงขีดของการครอบครองเต็มภาคภูมิ เขาจะตองทํางาน
แบบหามพัก มีรายไดประจําตอเนื่องนับสิบป ซึ่งคนเราตองมีสิ่งผลักดันหรือแรงบันดาลใจใหญพอ จึงจะ
มุแบกภาระยืดยาวปานนั้นโดยไมทอเสียกลางคัน

แรงผลักดันอะไรละที่ทําใหคนเรายอมแบกงานหนักไดนานๆ? การเปนหมายเลขหนึ่ง การเปนที่รูจักทั่ว


ประเทศหรือกระทั่งทั่วโลกอยางนั้นหรือ? เกาทัณฑแวบคิดขึ้นมาวาหากชื่อเสียงและเงินทองเปนเพียง
เหยื่อลอใหโถมตัวไปขางหนา หลงตามเหยื่อไปเรื่อยๆ ก็ควรแกการออนลาระยอ วันหนึ่งอาจเฉลียวคิด
ไดวาตัวเองสูเหนื่อยตามเหยื่อไปทําไม ในเมื่อกินอิ่มเพียงพออยูแลว

เขาผานจุดของความสําเร็จมาหลายครั้ง นับแตเรื่องกีฬา เรื่องเรียน มาถึงเรื่องงาน ทุกครั้งพบรางวัล


ใหญเดียวกันเปนประจํา นั่นคือการดับความกระวนกระวาย ดับความทะยานอยากชนะชั่วแลน แตละจุด
ของความสําเร็จไมไดมีอะไรมากกวานั้นเลยจริงๆ

เพิ่งไดคําตอบชัดๆวาคนเราตองมีครอบครัว มีความอบอุนในรักแทเปนเครื่องหนุนหลัง เพื่อไมใหคิดพัก


นิ่งอยูกับที่ ครอบครัวจะเปนเหตุผลและคําตอบใหใจตัวเองไดวาที่กาวรุดๆไปขางหนานั้น จะเพื่ออะไร

หรี่ตาลงเปนเสนตรงจนสามารถเห็นภาพสาวนอยในบานปูผุดชัดขึ้นในมโนนึก หลอนวิเศษสักแคไหน
หรือ จึงทําใหเขาคิดถึงการมีครอบครัว คิดถึงการลงหลักปกฐานเปนฝงฝาชั่วขามคืนที่รูจัก

เขาเปนพวกเกิดมากับความพรั่งพรอมทุกดาน ทั้งรูปสมบัติ ทรัพยสมบัติ และคุณสมบัติ พูดงายๆวา


หลอ รวย เกง อันเปนที่ไขวควาโหยหาของเพศตรงขาม และหมายความวาวิถีทางยอมเรียงรายดวยการ
หยิบยื่น การกลุมรุมเสนอตัว กระแสสังคมปจจุบันโยนสาวเนื้อหวานมากหนาหลายตามาใหเขาเชือดราว
กับผักปลา มีหรือชายหนุมอยางเขาจะไมหลงตัว และเห็นเพศสตรีเปนเพียงเครื่องบํารุงสุขชั่วคราว

แตสาวนอยนางนั้นพลิกมุมมองชีวิตของเขาไดเพียงชั่วระยะเวลาที่พบปะกันเพียงผานเผิน อยางนอยเขา
ตองทบทวนและถามตนเองจริงจัง วาสุดยอดของชีวิตควรจะเปนอยางไร สะดุดเขากับรักแท ตกรอง
ปลองชิ้น แลวครองเรือนรวมกันอยางผาสุกสวัสดีเหมือนบรรทัดสุดทายของนิทานกอนนอนอยางนั้น
หรือ?

สลัดความฟุงซานทิ้ง หยิบรีโมทคอนโทรลจากโตะขางเตียงขึ้นมาเล็งไปที่โทรทัศนแลวกดปุมเปด ภาพ


แรกที่เห็นคือขาวปลนฆากลางเมือง ชายรางใหญนอนคว่ําหนาจมกองเลือดกับพื้นบานของตัวเอง
เกาทัณฑดูอยูครึ่งนาทีแลวเปลี่ยนไปยังชองทีวีตางประเทศ เจอขาวเครื่องบินตกกลางมหาสมุทรแปซิฟก
๕๘

คนตายไปสองรอยกวาๆ สํานักขาวตางประเทศประโคมกันเปนเรื่องใหญโต เพราะถือวาการตายนับรอย


ชีวิตพรอมกันบนเครื่องบินคือโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญระดับโลก

ชายหนุมปรือตาหัวเราะหึหึ โธเอย แคสองรอยกวาเอง คงมีนอยคนที่ทราบสถิติขององคกรอนามัยโลก


วาปหนึ่งๆมีคนตายตั้ง 56 ลาน หรือเฉลี่ยกวาแสนหาคนหมื่นตอวัน เมื่อวานแสนหา วันนี้อีกแสนหา
พรุงนี้จะอีกแสนหา นี่สิโศกนาฏกรรมของแท สองรอยกวาชีวิตบนเครื่องบินก็แคสวนกระจิ๋วที่จะถูกนําไป
นับรวมกับอีกแสนหาเทานั้น ทิ้งคนในโลกใหตื่นเตนกับขาวเครื่องบินตกโดยไมอาจกลับมารวมตื่นเตน
และตั้งตาคอยการสืบหาสาเหตุเชนเดียวกับคนตายกลุมอื่นๆ

เปอรเซนตการเสียชีวิตดวยอุบัติเหตุก็ต่ําเพียงหนึ่งในสิบของสาเหตุการตายทั้งหมด แตขาวการตายดวย
อุบัติเหตุหรือการทําราย ขมขืนฆา กลับถูกหยิบยกมานําเสนอเปนหลัก ดวยเหตุผลคือการแกตายและ
เปนโรคตายนั้น ไมสะเทือนขวัญเทา ทั้งที่จริงมันก็ตายเหมือนกัน

ความตายมีคาเสมอกันสําหรับคนตาย จะพิเศษอยูบางก็สําหรับคนเปนเทานั้นกระมัง

ฉุกคิดยอนกลับไปถึงเรื่องที่เพิ่งคํานึงเมื่อครู ถาหากการตายไมใชการดับสูญ ยังมีทางตออีกละ เชนนี้


ความตายก็มีคาไมเสมอกันแมสําหรับคนตายดวยกันแลวซี?

ความทรงจํารางเลือนสมัยเด็กผุดขึ้นมา เคยไดยินวาพระพุทธองคตรัสเกี่ยวกับคติ หรือที่ไปของคนตาย


วารวงลงสูอบายนั้นเหมือนจํานวนขนบนตัววัว สวนที่ขึ้นสูงสูสวรรคหรือกลับมาโลกมนุษยนั้น นอยเทา
จํานวนเขาของวัว

ขนหัวลุกขึ้นมาหนอยๆ เพราะถานั่นเปนเรื่องจริง ก็แปลวามีภาพใหญที่นาสะพรึงกลัวเกิดขึ้นทุกวันโดย


ไมเปนที่รู นั่นคือมนุษยนับแสนคนตองไหลลงเหวนรกอยางตอเนื่อง ถาหากทําเปนขาวไดถึงทางไปอัน
แทจริงของคนตายทั้งหมดถวนทั่วเพียงวันเดียว ก็คงสะเทือนขวัญ ช็อกโลกใหแขงขาสั่นยิ่งกวาทุกขาว
โศกนาฏกรรมทั้งหมดในประวัติศาสตรทีเดียว!

ที่ผานมาเขาก็เหมือนคนอื่นๆ คือรับรูขาวคราวการตายอยางผิวเผิน ถาทราบสถิติก็สักแตเปนเรื่องของ


ตัวเลขในหนากระดาษที่ไมมีความเกี่ยวของกับชีวิตจริง อาจตื่นเตนฉาบฉวยแบบเดียวกับที่ทราบวาเดิม
ทีเมื่อหลายพันปกอน โลกมีประชากรอยูราว 150 ลาน เพิ่งพุงขึ้นเปน 500 ลานในกลางศตวรรษที่ 17
และกระโดดพรวดอยางนาตกใจเปนหนึ่ง 1,000 ลานเมื่อสองรอยปกอน แถมอีกรอยปตอมาพุงกระฉูด
แทบเปนกราฟตั้งฉากถึง 2,000 ลาน และในรอยปเดียวกันนั้นเอง เหมือนมีใครปลอยกรงจากแหลงลี้ลับ
ใหวิญญาณมาครองอัตภาพมนุษยทั้งหมดรวม 6,000 ลาน!

ตัวเลขนั้น ตอใหใหญโตแคไหนก็กอความยินดียินรายขึ้นในใจมนุษยไมได ตอเมื่อมนุษยคิดถึงขอเท็จ


จริงในแงมุมตางๆของตัวเลข นั่นแหละความยินดียินรายจึงคอยครอบงําหรือคุกคามเขาได
๕๙

เกาทัณฑบังเกิดความประหวั่นพรั่นในสวนลึกเมื่อคํานึงคํานวณเกี่ยวกับมนุษยจํานวนมหาศาลที่ทยอย
ไหลลงอบาย คนเราอาจตายในวันใดวันหนึ่งก็ได อันนั้นเปนความจริงแท และคนเราถูกกระทบใหคิด ให
ตรอง ใหกลา ใหกลัว หรือใหเปลี่ยนความเชื่อไปเรื่อยๆไดสารพัดทุกวัน เทากับวาใชชีวิตมาถึงความเชื่อ
แบบไหน ก็จัดวาเตรียมตัวตายในแบบนั้นนั่นเอง

เสียแตคนสวนใหญอาจใชชีวิตแบบผิดๆ เรียกวาเปนการเตรียมตายแบบไมพรอม หรือเตรียมแบบไมรู


จึงตองรวมเปนหนึ่งในจํานวนขนวัวที่จะเดินทางไปอบาย

ชั่วขณะตอมา เกาทัณฑก็บังเกิดความตระหนักวาทั้งหมดในหัวเปนเรื่องของจินตนาการเทานั้น
จินตนาการที่จิตสรางภาพปลอมๆในอากาศขึ้นมาจากตัวเลขซึ่งเปนของจริง เพียงเทานั้นชายหนุมก็
หัวเราะขบขันใหกับตนเองที่คิดเพอเปนตุเปนตะอยางไรสาระไปได

เปลี่ยนไปอีกชองที่มีภาพยนตรฮอลลีวูดฉายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หนังที่ฉายเปนเรื่องของเด็กสาวหนาตา
บริสุทธิ์ไรเดียงสาผูมีชีวิตผันผวนเขามาพัวพันกับอันธพาล ฉายมาไดถึงกลางเรื่องแลว เปนฉากประเภท
สูตรสําเร็จที่พระเอกบุกรังผูรายเพื่อชวงชิงนางเอกกลับคืนสูออมอกพอแมพี่นอง เกาทัณฑยิ้มหยัน โลกนี้
มีสักกี่คนที่คิดวาตัวเองเปนพระเอก พยายามกลับเรื่องรายใหกลายเปนดี แตละคนทําเพื่อความอยูรอด
ใชศักยภาพเพื่อสนองความอยาก ความตองการเฉพาะหนาของตัวเองกันทั้งนั้น

เหมอมองจอแกวแลวสะดุดหูสะดุดตา เมื่อยินนางเอกเรียกชื่อพระเอกเสียงหลง ชวยไมไดที่มันสะกิด


แผลเขา ใหใจประหวัดถึงเสียงรองยินดีของหลานสาวปู ที่ขานเรียกหนุมนอยผูทะเลอทะลามาขัดจังหวะ
เขา ราวกับหมอนั่นเปนกรรมการตีระฆังพักยกใหหลอนปลีกตัวจากบุคคลอันไมพึงประสงค

ทั้งภาพและเสียงยังบาดเขาไปทุกอณูสํานึกจนลมหายใจลาสุด ไหนจะรอยยิ้มโลงอกเมื่อเห็นเขาลาผละ
ขึ้นเรือนอีกละ ชางนาคับแคนขนาดไหน ความเปนชายที่พรอมไปทุกสิ่งทําใหเกาทัณฑไมเคยเจออะไร
อยางนี้มากอน ยิ่งคิดยิ่งเดือดปุดจนร่ําๆนึกอยากเปนโจรราย วางแผนฉุดครามาขยี้ขยําใหสาแกใจ รับ
รองครั้งเดียวเทานั้นจะเอาใหออนเปยกลงกอดขาเขาแนนทีเดียว เขาทําไดแนอยูแลว

กําหมัดขบเขี้ยวเคี้ยวฟนดวยความมันเขี้ยว การอยูคนเดียวตามลําพังโดยมีหนังยั่วยุปลุกเราสัญชาต
ญาณเถื่อนเยี่ยงนี้ กอความคิดชั่วรายขึ้นมาโลดแลนชะงัดนัก ผูรายที่แสดงบทฉุดครานั้น บางทีทําใหคน
ดูสะใจและสงเสียงเชียรในสวนลึกเสียยิ่งกวาพระเอกที่เขาไปปลดพันธนาการจากขอมือขอเทานางเอก
เสียอีก คนเราไมสนใจหรอกวาใครคือผูราย ใครคือพระเอก สนแตสิ่งที่เห็นแลวเรงเราสัญชาตญาณดิบ
เทานั้นแหละ

ความคิดดานมืดดําเนินตอเนื่องไปเปนฉากๆอยูพัก ก็เกิดคําเดนขึ้นมาในหัว

ผูราย...
๖๐

ชายหนุมหัวเราะหึๆ สมัยนี้คําวาผูรายหรือวายรายกวนเมืองกลายเปนคําเรียกเทๆไปแลวดวยซ้ํา วัยรุน


วัยคะนองหลายคนใสเสื้อกางเกงรูปกะโหลกกะลาตาปลิ้นลิ้นแลบ แสดงความฝกใฝในบรรยากาศผีหา
ซาตานกันใหเกลื่อน

ไมเคยมีสถานการณคับขันบีบคั้นใหเขาสําแดงแปลงกายเปนวีรบุรุษ แบบเหาะไปชวยสาวออกมาจากตึก
ไฟไหม หรือจับเหลารายมัดรวมเหมือนหมูรอตํารวจมารับไปนอนซังเต ถาอยางประเภทฉวยลูกหมาให
รอดจากการโดนรถทับอยางหวุดหวิดนี่เคยมาบางนิดหนอย หรือเห็นยายแกเดินโตเตจะเปนลมแลวชวย
พาสงบานนี่ก็พอมี แตลวนเปนเรื่องดาษๆที่ใครเขาก็ทํากันทั้งโลก หากละเลยเฉยเมยตางหาก ถึงจะถูก
ตราหนาวาเปนคนใจดําไป

สรุปแลวชั่วชีวิตที่ผานมาเขาไมเคยมีโอกาสเปนพระเอกใหญ แตวันนี้ร่ําๆจะกลายเปนวายรายตัวเอ คิด


ฉุดครา ‘นางเอก’ มาสนองสันดานเถื่อนเสียแลว

เกาทัณฑขบริมฝปาก ใจภาคหนึ่งกระซิบตนเองดวยกระแสกุศลประหลาด วาหากเขาจะไดหลอน ตองไม


ใชดวยวิถีทางโสโครกของยักษมาร แตดวยวิถีทางอันสะอาดของมนุษยดีๆคนหนึ่ง ตลอดมาไมเคยรูสึก
ละเอียดออนกับผูหญิงคนไหนเทานี้ เมื่อเกิดขึ้นแลวก็อยากรักษาไว เพราะถาทําลายแลว ก็ไมทราบวา
ชั่วชีวิตที่เหลือจะยังมีโอกาสพบเจอหัวใจตนเองอีกหรือเปลา

กดสวิทชปดทีวี นอนปดตาฟงเสียงลมหายใจตนเองกลางหองนอนฉ่ําเย็นสงบเงียบ เหมือนถูกทิ้งไวคน


เดียวในโลก เหลือแตเขาผูมีใจกระสับกระสายสับสนนอนนิ่งไรประโยชนตามลําพัง อัดควันบุหรี่เขาปอด
เปนครั้งสุดทาย กอนลืมตาลุกขึ้นเดินย่ําพรมนุมไปขยี้กนกรองที่เหลือกับจานรอง

เดินไปเดินมา ความคิดกระโดดไปจับที่การสนทนาระหวางเขากับปูชนะ ชักนึกขัดอกขัดใจที่ตองเอาแต


ยอมรับคําพูดลุมลึกของทาน ชนิดที่ตองกลับมานอนกายหนาผาก สมองอึงอลไปดวยเครื่องหมายคําถาม
เขาอยากผูกมัดความเชื่อแบบเกาๆเอาไว ถาถูกสั่นคลอนไป ระบบความคิดคงระส่ําระสายอีกนาน

คงตองตั้งอกตั้งใจศึกษาและวินิจฉัยประเด็นหลักทางศาสนาใหแยบคายแลวกระมัง เขาเชื่อละวาพุทธ
ศาสนาพูดถึงเรื่องทุกขและการดับทุกข แตปจจุบันก็มีเทคนิควิธีรอยแปดพันเกาเอาไวดับทุกข ตั้งแตของ
ดีราคาถูกไปจนถึงของหรูราคาแพง ทั้งวิธีอันเปนธรรมชาติ และทั้งเทคโนโลยีแสงเสียงชั้นสูงที่ปูคงไม
เคยรูจัก

ทราบดีวาความเชื่อทางศาสนาสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใครตอใครไดหลายคน ตรงนั้นแหละที่เขา
อยากจับเปนประเด็น เรื่องทุกขและการดับทุกขขอใหยกไวเสีย เพราะเปนเรื่องที่ใครๆก็พูดขึ้นมาเปนบท
ตั้งไดอยูแลว วิธีการหรือกลยุทธในการดับทุกขตางหาก ที่นาวิเคราะหวามีความเปนไปไดสูงหรือต่ํา
เพียงใด
๖๑

ใจที่มีพื้นเปนนักวิทยาศาสตรขนานแท ทําใหเกาทัณฑปกใจเชื่ออยูอยางหนึ่ง คือคําพูดของคนโบราณ


ผิดไดเสมอ ตอใหเปนปราชญผูชาญฉลาดล้ําลึกเพียงใดก็ตาม เครื่องไมเครื่องมือและระบบวิธีหาคําตอบ
หาความจริงยังลาสมัย เชนที่สมัยหนึ่งอริสโตเติลแทบจะเปนศูนยกลางการอางอิงความรูและความเชื่อ
ยังเคยปลอยไกสรุปงายๆวาของหนักยอมตกถึงพื้นกอนของเบา ที่ดวนสรุปก็เพียงเพราะเห็นของแข็ง
รวงลงพื้นเร็วกวาขนนก ยังไมไดทดลองใหเห็นจริงอยางกาลิเลโอเลยวาแมของแข็งน้ําหนักตางกันมากก็
ตกถึงพื้นพรอมกันได ที่ขนนกตกลงมาชาก็เพราะเบาเสียจนถูกแรงลมตาน ถวงเวลาเอาไวตางหาก

เขาอยากมองใหออก อานใหขาดดวยมันสมองของคนยุคใหม วารายละเอียดตางๆในเนื้อหาพระธรรม


วินัยนั้น ตรงไหนบางที่ขัดกับความจริง ชนิดที่ลองชี้ใหปูเห็นแลว จะไดทราบวาความเชื่อของปู อาจมีจุด
ดางพรอยอยู และเมื่อมีจุดดางพรอย ก็แปลวามรดกทางศาสนานาจะปรับประยุกตไปตามยุคสมัย เชน
เดียวกับนักวิทยาศาสตรยอมรับทฤษฎีใหมที่คานทฤษฎีเกาอยางเต็มอกเต็มใจ ถาพิสูจนกันเจงๆไดวา
‘ใชยิ่งกวาเดิม’

มาหยุดยืนตรงหนาโตะเครื่องแปง มองดูสารรูปตัวเองในกระจกเงาบานใหญ เห็นชายวัยเบญจเพส


หนวดเคราเขียวครึ้ม หัวหูยุงเหยิงอยางคนนอนดิ้น อยูในชุดเสื้อกางเกงแพรยับยูยี่ ดวงตาที่เคยสดใส
และแรงดวยรังสีทรงภูมิดูแหงๆชอบกล ไมชอบเงาตัวเองตอนนี้เลย

เหลือบตามองดูหนังสือธรรมะที่ปูยื่นใหกอนกลับ มีอยูสองเลม เลมหนึ่งชื่อ ‘พุทธธรรม’ อีกเลมหนึ่งเปน


พจนานุกรมพุทธศาสน

หรี่ตาลงเล็กนอย ปูคงหวังจะใหเขาซาบซึ้งในธรรมะละสิ ฝนไปเถอะ โครงสรางทางจิตใจของเขามันรับ


เรื่องไรรสเผ็ดรอนทํานองนี้ไมไหวหรอก เขายังหนุม ยังชอบสัมผัส ยังโหยหิวความเขมขนของชีวิต ยังใจ
รอนและมีไฟกับความกาวหนาใหมๆ ใครละจะทิ้งความสนุกสุดเหวี่ยงแหงวัยไดลงคอ คนวัยปูเหมาะจะ
ใชเวลาวางที่เหลือเตรียมทิ้งชีวิตดวยความคิดและความทรงจําเกาๆ สวนคนที่ยังหนุมแนนอยางเขา
เหมาะกับการใชเวลาอันมีคาสรางชีวิตดวยน้ําพักน้ําแรงมากกวา

แตนาทีนั้น หนังสือพุทธธรรมถูกมองเปนอาหารสมองจานใหญ หาก ‘วิธีดับทุกข’ ถูกแสดงไวอยางเปด


เผย ถือเปนสรณะ เปนหลักปฏิบัติในปจจุบันของปูมีจุดนาสนใจใหจับผิด คราวหนาคงมีประเด็นตอความ
ยาวไดอีกไกล เขาจะเลิกเปนฝายฟงขางเดียวเสียที

หยิบหนังสือปกแข็งขนาดใหญติดมือมานั่งที่โตะทํางาน เปดไฟโคม วางคัมภีรอันหนักอึ้งลงบนแผนหนัง


รองพื้น เหลือบดูชื่อผูเขียนตามนิสัยนักอานที่ดี เห็นชื่อพระธรรมปฎกและมีวงเล็บวา ‘ประยุทธ ปยุตฺโต’
แลวพลิกเปดดูเนื้อหาภายใน โดยเริ่มตนที่หัวขอทั้งหมดในหนาสารบัญตามแบบวิธีของนักศึกษายุคใหม

เปนหนังสือที่เหมาะกับคนเกงวิชาการอยางเขา ทั้งเลมเต็มไปดวยความรัดกุมในการนําเสนอ ทุกขั้นตอน


ประจุดวยจุดมุงหมายและเนื้อหาสาระตามหัวขอกําหนดเปะ กับทั้งมีแหลงที่มาอางอิงละเอียดยิบแทบทุก
๖๒

ประโยค ทุกยอหนา เรียกวามั่นใจไดวาเปนการกรองเอาพระไตรปฎกมาเปนประเด็นธรรมอันครอบคลุม


ความใฝรูของผูศึกษาครบถวน

เขาอานไดอยางงายดายดวยบรรยากาศการทํางานของสมองแบบเดียวกับอานตําราใหญๆในรั้ว
มหาวิทยาลัย ไดเขาใจประเด็นหลักของพระพุทธศาสนาทีละจุด เริ่มจากการมองชีวิตเบื้องตนในแงตางๆ
ตลอดจนกระทั่งคําแนะนําเกี่ยวกับชีวิตในอุดมคติเชิงพุทธปรัชญา ไดทบทวนศัพทแสงกับรายละเอียดที่
หลงลืมไปหมดแลว อยางเชนขันธ 5 อายตนะ 6 ไตรลักษณ ปฏิจจสมุปปบาท กรรม นิพพาน
มัชฌิมาปฏิปทา และสรุปดวยอริยสัจ 4

เกาทัณฑมารวมความเขาใจเชิงประเด็นสัมพันธวาเนื้อหาหลักแหงพุทธศาสนากลาวถึงการประกอบขึ้น
เปนตัวตนของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆดวยขันธหา มีกรรมวิบากเปนปจจัยปรุงแตง มองความตอเนื่องของสาย
ชีวิตไดแบบปฏิจจสมุปบาท มีผลลัพธเปนทุกข จะดับทุกขไดก็ดวยมรรคแปด

เขาพบความเชื่อมโยงมากมายที่คอนขางซับซอนระหวางจุดตางๆ มีศัพทเฉพาะหลากหลายที่บางครั้ง
พูดถึงสิ่งเดียวกัน แตเปนคนละนัย ทวาดวยความปราดเปรื่องและวิธีอานอันแยบคายมีขั้นตอน กระโดด
ผานเปน ปะติดปะตอเปน ตั้งคําถามดักรอคําตอบเปน ผนวกเขากับความสามารถอานเร็วและอานทนยิ่ง
ยวด อีกทั้งมีพจนานุกรมพุทธศาสนเปนคูมือชวย การสรางสะพานเชื่อมความรูใหเปนโครงขายใยมหึมา
จึงเกิดขึ้นในเวลาอันลัดสั้น เพียงเจ็ดชั่วโมงเศษๆจากเชาถึงบาย เกาทัณฑก็คิดวาเขาไดขอมูลเกี่ยวกับ
พุทธศาสนไวในหัวเพียบแปลตามตองการ ถึงแมจะไมละเอียดจบกระบวนความทั้งหมดของหนังสือ ก็
พอพูดไดวาบัดนี้กระบะสมองบรรทุกสาระอันเปนแกนสําคัญที่เอาไวสนทนากับปูไดอยางถึงรสไหวแลว

ดวยสายตาของคนชางจับผิดทําใหชายหนุม ‘ไมรับ’ เนื้อธรรมไปทําความสวางใหจิตใจเทาไหร ขอธรรม


มากมายเปนเรื่องเกินวิสัยพิสูจน นับแตกรรมวิบาก ปฏิจจสมุปบาท หรือกระทั่งเปาหมายสูงสุดเชนพระ
นิพพาน ทวาก็มีขอธรรมนาสนใจที่ทําใหเห็นมุมมองอันนาทึ่งของปราชญผูปรากฏตัวอยูเมื่อสองพันกวา
ปกอน เชนขันธหา คือการแยกแยะมนุษยออกเปนองคประกอบตางๆ เพื่องายตอการศึกษาและเขาถึง
ความจริงในแตละองคประกอบ อันนี้เปนหลักการเดียวกันกับนักวิทยาศาสตรยุคปจจุบัน

เชนทางจิตวิทยาก็แยกแยะมนุษยออกโดยนัยเดียวกับสิ่งที่เรียก ‘ขันธหา’ กลาวคือเลิกมองมนุษยเปน


บุคคล เพราะหากมองเชนนั้นจะมีการผูกโยงเขากับตัวตนอันนารักหรือนาชัง ทําใหการวิเคราะหวิจัยเปน
ไปโดยอคติหรือลําเอียง ทางที่ดีคือแยกออกเปนสวนๆเสีย ไดแกระบบประสาททางกาย ความรูสึกรูสา
ความกําหนดจดจํา ความมีเจตจํานง และความมีสํานึกรู นาแปลกที่สอดคลองกับเกณฑการแยกแยะของ
พุทธศาสนาเปนอยางยิ่ง

สิ่งที่สรุปไวใกลเคียงกันอีกอยางคือระบบประสาท อันเปนสวนของกายนั้น มีสวนสัมพันธตรงไปตรงมา


กับจิตใจ พูดใหฟงงายกวานั้นคือทางประสาทวิทยา ‘เชื่อ’ วาจิตใจก็คือกิจกรรมของเครือขายประสาทอัน
๖๓

สลับซับซอนนั่นเอง ทางพุทธศาสนาก็ยอมรับวาผัสสะดีรายทางกายเปนปจจัยใหเกิดการเสวยอารมณ
เมื่อเสวยอารมณก็เกิดการหมายรู เมื่อหมายรูก็เกิดการตรึกนึกตางๆนานาในอารมณนั้นๆ

อยางไรก็ตาม เสนแบงแยกอยางเปนขั้วตรงขามระหวางจิตวิทยากับพุทธศาสนาก็คือเรื่องของตัวตน
ทางจิตวิทยายอมรับวาผลผลิตอันเกิดจากการผสานงานระหวางกายใจ อันไดแกความรูสึกในตัวตนนั้น
ถูกตอง เปนเรื่องธรรมดาอยางที่สุด ในขณะที่พุทธศาสนามองวา “ความยึดมั่นในตัวตน” เปนเพียงสิ่งที่
เรียก ‘อุปาทานขันธหา’

ถาจินตนาการวาคนๆเดียวในยุคสองพันกวาปกอนสามารถคิดไดเทากับศาสตรสมัยใหมของตะวันตก
กับทั้งล้ําหนาไปขั้นหนึ่งดวยมุมมองสรุปรวบยอดที่วาความรูสึกในตัวตนเปนเพียงอุปาทาน หรือความยึด
มั่นผิดๆในของสิ่งที่ปรุงประกอบกัน ก็ตองนับวาเปนแนวคิดที่เกินธรรมดา เหลือเชื่อวาสามัญมนุษย
สามารถตีโจทยแตก และจับประเด็นความจริงในชีวิตเพื่อดับทุกขไดนาทึ่งปานนี้

หากพูดแบบไมออมคอม เขาเห็นทฤษฎีทางพุทธศาสนาทั้งหมดเปนผลงานของสมองปราชญโบราณ
ขนาดใหญชิ้นหนึ่ง ถูกรังสรรคขึ้นโดยผูฉลาดคิดเกี่ยวกับกลไกการทํางานของจิตใจสักกลุม ตั้งไอเดีย
เพื่อบรรเทาทุกขแกคนทั้งหลาย จากนั้นก็มีการสืบทอดมรดกทางปญญา คอยๆพัฒนาทฤษฎีตางๆขึ้น
หลายยุคหลายสมัยจนดูสมจริงสมจังและมีน้ําหนักเหตุผลนาเชื่อถือจนถึงที่สุด ชนิดมีหลักฐานความรู
ประกอบอุดชองโหวจนหมดสิ้น ทํานองเดียวกับที่นักวิทยาศาสตรสืบทอดความกาวหนาจากรุนหนึ่งสูรุน
หนึ่งนั่นเอง

ครั้งเมื่อศึกษาพุทธศาสนาในโรงเรียน ซึ่งเขาใหความสนใจอานแบบทองจํากอนสอบ ความรูเชิงจริย


ธรรมที่ปะปนมากับองคความรูสําคัญของพุทธทําใหมองขามความนาสนใจเกี่ยวกับแกนศาสนาไป เพิ่ง
มาเริ่มอานดวยสายตาชางคิดชางวิเคราะหก็คราวนี้

สัจจะในมุมมองของปราชญและนักวิทยาศาสตรยุคใกลกับพระพุทธองคคือการมองไปรอบๆ แลวพูด
อยางไรก็ไดใหธรรมชาติเขามาอยูในการรับรู ดวยลักษณะเปนเหตุเปนผล ทวาสิ่งที่พระพุทธเจาตรัสไว
จะฉีกแนวออกไป กลาวโดยยนยอคือความจริงสูงสุดจะสืบสาวไดจากกายตนเองและใจตนเอง โดยตั้งสติ
รูเขาไปตรงๆ ตั้งสติพิจารณาเขาไปตามจริง กระทั่งลุถึงเปาหมายสูงสุดในเชิงปฏิบัติ อันไดแก ‘เห็น’ เหตุ
แหงทุกขคือเชื้อกิเลส และมีความสามารถทางจิตที่จะลางเชื้อกิเลสอยางหมดจด

พูดใหงายคือพระพุทธเจาและพระสาวกจะพึงพอใจกับคําตอบที่เปนตัวสภาวะ เมื่อไหรจิตถึงสภาวะที่ไม
ทําตัวเปนเชื้อกิเลส เมื่อนั้นถือวาจบปริญญาเอกทางพุทธศาสนา ไมมีอะไรตองทํา ไมมีอะไรตอง
ขวนขวาย ไมมีอะไรเปนคําถามในประเด็นธรรมชาติวาดวยทุกขและการดับทุกขอีกเลย

ในสายตาของคนเริ่มศึกษาผูมีความสุขอยางเต็มเปยมกับชีวิต ชีวิตปรากฏเปนความกระจางแจงในวิถี
ทางแหงความสุขโดยตัวเองเชนนี้ พอรูเปาหมายสูงสุดของพุทธศาสนา วาราคะ โทสะ โมหะเปนเหตุแหง
๖๔

ทุกขที่ตองลางผลาญใหหมดจดจากใจ ก็ตองนึกคานเปนธรรมดา ในเมื่อปกใจเชื่อแนบแนนอยู วาสีสัน


สนุกสนานกับกามคุณทั้งปวงเปนของนายินดี มีเหตุผลเพียงพออยางไรถึงจะหามมันเลา

เมื่อวานเขานึกทอและหดหูจากการเมินของผูหญิงคนหนึ่ง ยอมรับวาทุกขหนักและเจ็บลึกจนหอเหี่ยวไป
หมด แตนั่นก็คือรสชาติอีกแบบ เปนสภาวะทางใจอีกชนิดหนึ่ง ที่บัดนี้ถูกแทนแลวดวยกําลังสมาธิแรงๆ
อันเกิดแตการอานตําราอยางตอเนื่องยาวนาน

หากการดับทุกขถาวรคือการปลิดสุขทุกขทิ้งไปเสียทั้งยวง แมทําไดจริง แตแนหรือวาเปนคุณคาสูงสุดที่


ควรไขวควา รสชาติของการผิดหวัง แลวกลับลําตั้งความหวังใหมดวยกําลังกายกําลังใจ มิใชสีสันของ
การมีชีวิตมนุษยหรอกหรือ?

จุดแตกหักอยูที่ตรงนี้ หากเชื่อวาคนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว ก็ควรสรุปวาปลอยใหจิตใจเสพความ


เปนชีวิตอยางครบเครื่องนะดีแลว ควรแลว เพราะนั่นคือวิถีทางของธรรมชาติ แตหากเชื่อวายังมีการเกิด
ตายแลวๆเลาๆ อยางนั้นก็ตองถามหา ‘ตัวเลือกที่ดีที่สุด’ กันใหม

ดวยความเปนมนุษยในยุคบริโภคขอมูลขาวสารอยางเขา ควรใชเกณฑอยางไรในการเลือกเชื่อ ระหวาง


มีหรือไมมีชาติกอนชาติหนา?

ทางแพทยทราบแลววาศูนยรวมประสาทใหญอยูที่สมอง เพราะฉะนั้นสมองก็คือจิตใจ หากจิตใจเปนอื่น


จากสมอง และสามารถสืบคนจนเจอรองรอยของจิตใจดวยวิทยาการยุคนี้ชัดๆ ความคลางแคลงทั้งหลาย
คงปลาสนาการไปโดยงาย

แตนี่อยางไรเลา เมื่อครั้งศึกษาอยูตางแดน เขาเคยเขารวมฟงสัมมนาวาดวยเรื่องชาติภพในเชิงวิทยา


ศาสตร ซึ่งมีขอมูลใหมๆลึกๆเกี่ยวกับผลการวิจัยความสัมพันธระหวางระบบประสาทและสิ่งที่เรียกวา
‘จิตใจ’ และแสดงผลการวิจัยอยางเปนกลาง ปราศจากอคติและลําเอียง ที่ผลการคนควาจริงจังใหผลโนม
เอียงไปทางปฏิเสธความเชื่อเกาแกทั้งสิ้น

เปนตนวาเราอาจลบแทรกขอมูลความจําหรือมโนภาพในมนุษยไดจริงดวยวิธีจี้ไฟฟาลงไปบนจุดตางๆ
ของสมอง หรือเด็ดกวานั้นคือการคนพบเคาเงาวิธียักยายถายเทขอมูลความจําในเยื่อประสาทสมองของ
คนหนึ่งไปใหอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความวาวันหนึ่งวิทยาศาสตรอาจสรางหรือปรับแตง ‘ตัวตน’ ใน
มนุษยอยางไรก็ได ขอเพียงมีเทคโนโลยีสูงพอจะจัดการกับระบบสมองใหครบวงจร

ถาตัวตนเปนสิ่งสรางได ทําลายได ปลูกสํานึกใหมได ก็แปลวาภพชาติ กรรมวิบาก นรกสวรรค เรื่องราว


บรรดามีทั้งหลายในพระคัมภีรศาสนาตางๆ ลวนเปนเท็จทั้งสิ้น

เมื่อขอมูลหลายชิ้นประกอบเขาดวยกันเปนภาพใหญ โดยรวมจึงตองสรุป ‘แบบวิทยาศาสตร’ วาถึงวันนี้


เทคโนโลยีบอกเราวามนุษยนั้น...
๖๕

เกิดหนเดียว ตายหนเดียว

สมองหยุดทํางานเมื่อไหร จิตใจก็ดับลงเมื่อนั้น

นับจากวันที่เขาฟงสัมมนา เกาทัณฑก็สบายใจมาตลอด ปกใจเชื่อวาโลกหนาเปนเรื่องหลอกของคน


โบราณ ศาสนาเปนแคการสอนจริยธรรมใหสังคมมนุษยสงบสุขรมเย็น ซึ่งนั่นก็ดี และตองมีไวหนอย แต
เรื่องขูประเภทนรกสวรรคหรือรางวัลเปนนิพพาน คงถึงเวลาตองเก็บใสลิ้นชักเสียทีแลว เพราะวิทยาการ
เจริญขนาดนี้ ผูคนมีภูมิคุมกันทางปญญามากพอ เกินกวาจะหลอกลออะไรแลวเชื่อหมด

เกาทัณฑทบทวนความรูและการตัดสินใจเลือกเชื่อมาถึงจุดนั้น ก็พักทานขาวปลาโดยสั่งจากรานขางลาง
พอทานเสร็จ แทนที่จะหันเหความสนใจไปทางอื่น กลับรูสึกวาไฟแหงปญญาคิดอานยังลุกโพลงทวมหัว
จึงเปดคอมพิวเตอรเขาอินเตอรเน็ต ตระเวนกวานหาแหลงขอมูลเกี่ยวกับศาสนาที่มีอยูดาษดื่น เริ่มสนุก
กับการเจาะและจับประเด็นทางศาสนศาสตร ไมเฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ แตยังรวมถึงศาสนาและ
ปรัชญาอื่นๆ นึกพอใจที่มีบางแหลงทําวิเคราะหเชิงเปรียบเทียบไวแลวเปนแนวทาง

ยิ่งคนยิ่งสนุก ปจจุบันมีคนฉลาดคิด หรือกระทั่งนักปฏิบัติในไทยมากมายพยายามรวมศาสนาทั้งหมดให


เปนหนึ่งเดียว เขาพบการพยายามบรรยายหรือพรรณนาสภาวะวิเศษเหนือชั้นที่ประจักษไดดวยการฝก
จิตสารพัดรูปแบบ แตละคนบอกวาของตนถูก เปนของแททั้งนั้น ซึ่งนั่นยิ่งทําใหเขามั่นใจวา ‘ความจริง
สูงสุด’ ไมใชอะไรอื่น

มุมมองของมนุษยนั่นเอง...

เกาทัณฑรูสึกเหมือนตัวเองไปเที่ยวปา เขาไมอยูปาหรอก แตจะชมใหเพลินทั่วๆเสียหนอย เชื่อใจตนเอง


วาไมมีวันหลงเด็ดขาด คนจับทิศเกงแบบเขา แคเขามาเอาความรูจากปาเทานั้น

แรงจูงใจใหเดินทางมาวัดทางนฤพานอีกครั้งคืออภินิหารเกินสามัญมนุษยของหลวงตาแขวนโดยแท
เกาทัณฑเคยเห็นจากทางทีวีและนิตยสารประเภททาพิสูจนเรื่องพิสดารมาบาง แตไมเคยประจักษตาตน
เองอยางคราวกอน เขาพอจะรับไดเกี่ยวกับเรื่องอํานาจเหนือธรรมดา เพราะตนก็เกี่ยวของอยูกับ
อภินิหารเหนือธรรมดาอยูทุกเมื่อเชื่อวัน ผิดแตมิใชอภินิหารทางพลังจิต แตเปนอภินิหารทางพลังสมอง
อันเต็มไปดวยระบบตรรกะที่ผนวกเขากับจินตนาการของผูผานการศึกษาในซีกโลกสวางสุด

ภาพชีวิตคงถูกแตมเพิ่มขึ้นมาอีกสี หากหลวงตาแขวนจะสอนวิชาใหแกเขา มัคคุเทศกสาวผูนําเขามาพบ


ทานเคยบอกวาหลวงตาแขวนแสดงฤทธิ์ใหดูนั้น นาจะเพราะทานเมตตา ถึงแมจะไมเขาใจกระจาง แต
เกาทัณฑก็เชื่อวาหญิงสาวคงรูอะไรลึกๆเกี่ยวกับเจตนาของพระสงฆองคเจาเปนแน ในเมื่อหลอนคลุกคลี
ใกลชิดมาแตเด็ก ดังนั้นถาเขาจะมาขอความเมตตาจากทานคราวนี้ ก็มีเหตุผลควรเชื่อวานาจะสมหวัง
๖๖

ชายหนุมขึ้นไปบนกุฏิเมื่อทานฉันเชาเสร็จพอดี เห็นพระลูกวัดและเด็กวัดกําลังจัดแจงเก็บกวาดสํารับ
เครื่องถวายอยู ตัวหลวงตาแขวนกําลังยืนบวนปากที่ราวชานกุฏิ เกาทัณฑคุกเขากราบโดยไมเคอะเขิน
เมื่อทานกลับมานั่งประจําที่ซึ่งใชตอนรับญาติโยม พอทานเห็นเขาก็ยิ้มให

“วาไงพอหนุม?”

“ผมอยากมาขอเรียนสมาธิกรรมฐานกับหลวงตาครับ”

โยมหนุมเขาหาจุดประสงคอยางไมออมคอมตามนิสัย ขณะประกาศความปรารถนาก็ทรงกายตรง
กระพุมมือไหวนอบนอม ดวงตามีประกายมุงมั่นจัดจา คลายบอกอยูในทีวาทานจะสั่งบุกน้ําลุยไฟอยางไร
ก็ยอมทั้งสิ้น ขอเพียงแลกกับวิชาความรูเทานั้น

หลวงตาแขวนยิ้มกวางกวาเดิม ลุกขึ้นกวักมือเรียกเขา

“ตามมา”

ทุกสิ่งงายดายจนเกาทัณฑงง จําไดจากหนังสือบางเลมที่ขวนขวายซื้อมาตลอดอาทิตยวาเกจิอาจารยที่
เกงกาจนั้นรับใครเปนลูกศิษยลูกหายาก ตองมีพิธีรีตองและการพิสูจนใจกันอยางเต็มกําลังเสียกอน แตนี่
ดูสะดวกโยธินผิดสังเกต

หลวงตาลุกนํา แตกอนออกเดินก็หันไปสั่งความกับพระที่อยูใกลสองสามคํา จับความไดวาจะยังไมรับ


แขก ขอใหบอกปดญาติโยมจนกวาทานจะออกจากหอง นั่นยิ่งทําใหเกาทัณฑแอบฉีกยิ้มอยูในใจ นึก
กระหยิ่มวาตนนี่คงบุญหนักศักดิ์ใหญเปนแนแท หลวงตาทานจึงใหความเมตตาเปนพิเศษเห็นปานนี้

พอเกิดสติวาอัตตาโตไปหนอยก็รีบสะกดใจ เทาที่ทราบ พระปาพระธุดงคทานไมโปรดคนทะนงหลงตัว


นัก เพราะอัตตาหยาบเปนที่ระคายเคืองกับจิตอันละเอียดสุขุมของพวกทาน

ตามหลวงตาเขาไปในหองที่แบงไวสําหรับจําวัด ไมเห็นอะไรอื่นนอกจากมุงที่ตลบไว หมอนอีกใบพิงฝา


ยามพระเกาๆ และพระพุทธรูปบนโตะเล็ก ทั้งหองสะอาดเรี่ยม ปราศจากสิ่งของอื่นใดสักชิ้น ไมมีแมแต
พัดลมสักตัว

ทวาหองเล็กนั้นก็ใหสัมผัสเยือกเย็นขรึมขลังอยางนาพิศวง เกาทัณฑงงๆเควงๆคลายดิ่งสูน้ําลึกเงียบงัน
กอนจะทันตั้งตัว หนาตางไมบานกวางเปดออกเต็มที่ ทําใหเกิดภาพโดยรวมเปนความสวาง โปรงสบาย
ปราศจากพันธะผูกพัน คลายลานพื้นดินใตรมไมที่เชิญคนผานทางมาพักนอนชั่วคราวแลวจากไปไมตอง
อาลัยกัน ทานคงปฏิบัติตามแนวสันโดษ ทําตัวเหมือนอยูกลางปาลึกตามลําพัง แมจะอยูทามกลางชุมชน
สะดวกสบายเชนนี้
๖๗

หลวงตาแขวนสั่งใหเขาปดประตูและลงนั่งกลางพื้นหอง

“เอ็งเปนหนุมสมัยใหม” ทานเริ่มเมื่อตางนั่งเขาที่เรียบรอย “ตองเริ่มดวยความเชื่อของตัวเอง”

เกาทัณฑตั้งใจฟงอยางสงบ สรรพนามที่เปลี่ยนไปทําใหเกิดความเปนกันเองใกลชิดทานมากขึ้น ยามนี้


เขาเห็นทานมีความขลังนายําเกรงอยางประหลาด ดูตางจากคนแกธรรมดาๆอยางเมื่อตอนพบครั้งแรก
ชนิดหลังมือเปนหนามือ ตอภายหลังเขาจึงทราบวาผูทรงฤทธิ์อยางแทจริงนั้น อาจกําหนดจิตใหมีความ
นิ่มนวล กอบรรยากาศเยือกเย็นสบายกับผูอยูใกล หรือจะกําหนดใหเขมขนคมกริบเพื่อสยบมานะของลูก
ศิษยก็ได ขึ้นอยูกับวาระโอกาสอันเหมาะควร

หลวงตากายสิทธิ์เอี้ยวตัวไปลวงกระดาษดินสอจากยามมายื่นสงใหเขา

“เขียนเลขหนึ่งถึงเกาใหดูซิ เอาตัวเล็กหนอย ติดกันพอดีๆ แลวก็ใหเสร็จเร็วที่สุด หามหวัดแบบไกเขี่ย


นะ”

เกาทัณฑทําใจเหมือนหุนยนตรที่ถูกกดปุมสั่ง เจาของสั่งอยางไรก็ทํา ตัดความสงสัยไมใหเหลือในใจแม


นอย เขาปฏิบัติตามคําทานทันที และทําไดอยางครบถวน นั่นคือเร็ว ไมหวัด ขนาดเล็กเทากันและมีชอง
ไฟหางสม่ําเสมอ เสร็จแลวก็เงยหนามองทานอยางจะรอคําสั่งตอไป

“สังเกตความรูสึกตอนนี้ไวนะ เอา ลองใหมอีกที ทําเหมือนเดิม แตขึ้นบรรทัดใหมแลวเรียงเลขใหตรงกัน


ดวย”

ชายหนุมทําตาม เขาทําไดเร็วกวาเดิมเล็กนอย โดยพยายามใหตัวเลขตางกันนอยที่สุด เพราะนึกเดาวา


ทานอาจมุงเอาเรื่องของความแตกตาง

“เอาอีกสามหน”

เขาปฏิบัติตามคําสั่งและสังเกตความรูสึกในใจทุกระยะ เริ่มถึงบางออเมื่อเห็นภายในสงบลงเรื่อยๆ กับทั้ง


เขาใจวิธีเขียนใหเร็วยิ่งกวาเดิมเนื่องจากทําซ้ํากันหลายหนจนขึ้นใจ

ปฏิบัติเสร็จสิ้น ก็ไดรับคําสั่งใหม

“บวกกันใหดูซิ”

ไมมีปญหาสําหรับเขาอยูแลว เกาทัณฑเห็นทางลัดโดยพลัน ก็แคเอา 9 คูณ 5 ในตั้งแรก เอา 8 คูณ 5


ในตั้งที่สองแลวบวกดวยทด 4 และทําอยางเดียวกันนั้นอีกเรื่อยๆจนถึงเลขหนึ่งอันเปนหลักรอยลาน
ความเฉียบไวของสมองบวกกับสายตาคมเปนเหยี่ยวทําใหใชเวลาเทากับที่ตองออกแรงจรดปากกาเขียน
ผลลัพธนั่นเอง
๖๘

เกินจะหามความคิด ถาทานจะทดสอบเชาวไวไหวพริบเขาดวยวิธีนี้ละก็ คงยากจะทราบอยางแทจริงวา


เขามีสติปญญาทางคณิตศาสตรล้ําลึกปานใด ความเปนคนคลั่งไคลตัวเลข ชื่นชอบเรขาคณิต สถิติ
ประยุกต และทฤษฎีคณิตศาสตรชั้นสูงทุกแบบมานมนาน สงผลใหเกิดความแตกฉานและมีสมองดุจ
เครื่องคํานวณชั้นเลิศ จึงเหมือนถูกกดลงต่ํากวาภูมิรูและความสามารถที่แทจริง ระดับเขาจะทําปริญญา
เอกทางคณิตศาสตรดวยการเอาตัวเขาไปทุมเทกับการทําทฤษฎียากๆที่แสนทาทายขุมพลังสมองของ
มนุษยยังไหว แตนี่ใหตองมานั่งบวกเลขระดับประถม เฮอ…

“ดูไวนะ” ทานวา “ลองสังเกตดูการควบคุมขอมือของตัวเองแลวเอ็งจะเห็นความออนหยุนไมกําเกร็ง


เหมาะกับการใชงาน ที่เปนอยางนั้นไดเพราะจิตเอ็งเขาฉลาดที่จะควบคุมเครื่องมือของเขา ยิ่งเอ็งตั้งใจ
จดจออยูกับตัวเลขหนึ่งถึงเกามากเทาไหร ทําตากับมือใหกลมกลืนเปนอันเดียวกับความตั้งใจนานแค
ไหน ผลงานก็ออกมาตามขอจํากัดที่ขาใหไวไดครบ และกาวหนาขึ้นเรื่อยๆ”

บทวิเคราะหของหลวงตาทานเปนที่ถูกใจเขาพอควร อยางนอยก็ทําใหรูสึกวาทานยืนอยูบนระนาบการใช
ความคิดแบบเดียวกับเขา ไมใชพูดกันคนละภาษา

“ทางพุทธศาสนาเรียกตัวเลขในงานของเอ็งครั้งนี้วา 'อารมณ' หมายถึงเครื่องยึดหนวงจิต หรือเครื่องตรึง


จิตใหรูอยู ถาจิตยึดอารมณไวไดนานๆ จะเปนอารมณชนิดไหนก็ตาม ผลคือมีธรรมชาติของความตั้งมั่น
เปนสมาธิเกิดขึ้น แตตางกันที่คุณภาพ ความหนักแนนและความละเอียดสุขุมของดวงสมาธิ เอ็งลอง
เปรียบเทียบเอาเองนะ วาระหวางใชมือเขียนเลขมากๆ กับใชความคิดบวกเลขมากๆนะ อันไหนใหสมาธิ
มากกวากัน”

เกาทัณฑเพิ่งเขาใจแจมแจงวาที่แททานเพียงตองการใหปฐมบทแหงการฝกสมาธิ มิใชการทดสอบเชาว
ไวดังที่ตนนึกเอาเองแตแรก

“เอ็งเห็นฤทธิ์ของจิตไหม มันนึกสิ่งไหนสิ่งนั้นก็เกิด คงรูนะวาอํานาจการนึกของแตละคนผิดแผกแตกตาง


กัน แขงกีฬาแพชนะก็ตรงอํานาจการนึกนี่แหละ นึกเร็วกายก็ไปเร็ว นึกชากายก็ไปชา จิตคนเราเมื่อฝก
ถึงจุดๆหนึ่งแลวก็อาจนึกอะไรไดพิสดารมากมายไมจํากัด ถึงขั้นที่ ‘ความจริง’ อาจไมใชสิ่งที่เราตองคอย
ใหเกิดกอนแลวคอยเห็น แตอาจ ‘นึก’ อยากเห็นแลวมันก็เกิด”

ทานหยิบกระดาษดินสอไปวางใกลตัก พลิกกระดาษไปอีกดานหนึ่ง กมหนาจรดดินสอเหนือแผน


กระดาษครูหนึ่งเหมือนจะรวบรวมสมาธิ แลวก็ลากมือพรืดไปบนที่วางของกระดาษ เกาทัณฑเบิกตา
แทบปะทุเมื่อเห็นตัวเลขเรียงกันเปนตับวัดไดคืบหนึ่ง ใชสายตากะคราวๆวาไมนาต่ํากวาหาสิบหลัก

ไมเชื่อเด็ดขาดวาใครลากดินสอเหมือนขีดเสนบรรทัดแลวปรากฏตัวเลขขึ้นมาไดอยางนี้ ตอใหเปนนัก
จดชวเลขมือหนึ่งของโลกก็เถอะ

แตในเมื่อเขาเห็นแลวจะบอกวาไมเห็นไดยังไง
๖๙

“จิตเขาทํา” ทานเงยหนาขึ้นมาพูด “มือมันทําไมไดหรอก”

แลวทานก็กมลงขีดเสนของทานอีกสิบบรรทัด ลวนแลวแตกลายเปนตัวเลขสุมปราศจากการเรียงลําดับ
พอเสร็จก็ผลิตตัวเลขบรรทัดสุดทายหางจากบรรทัดอื่นๆหนอยหนึ่ง

“เอาไวกลับไปถึงบานแลวดูซิวาขาบวกถูกไหม ถาถูกก็ขอใหรูวาจิตเขาบวก สมองบวกไมไดอยางนี้”

เกาทัณฑพูดอะไรไมออก เหมือนเจออัดชายโครงดวยลูกรักบี้เต็มรัก รับแผนกระดาษจากทานมาพับเก็บ


ใสกระเปาเสื้อดวยมือที่สั่นเทา ขนลุกเกรียวเปนระลอกอยางตอเนื่อง เคยไดยินมาบางเกี่ยวกับมนุษยที่มี
ความสามารถบวกลบคูณหารเลขจํานวนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว แตใหติดฝุนของฝุนของหลวงตา
แขวนนั้น คงเหลือวิสัย

“อยางที่บอกนะวาอารมณจิตตางๆมันใหคุณภาพสมาธิหยาบละเอียดผิดกัน สังเกตไหมวาตอนแรกเอ็ง
ตองใชทั้งตา ทั้งมือ ทั้งความคิดถึงตัวเลข จิตถูกใชงานหลายทาง พอสงบก็เลยสงบแบบงั้นๆ แคใหรูสึก
วาดวงตานิ่งขึ้นมานิดหนอย แตขณะที่เอ็งคิดหาทางลัดในการบวกเลขและลงมือบวกในใจ จิตมันผูกอยู
กับตาและความคิดเพียงสองอยาง และระดับความนึกคิดของงานนี้ก็ตองการพลังสนับสนุนที่แนนหนา
เพราะภาพตัวเลขในหัวเปนสิ่งไหวเลือนงาย ตองอาศัยใจหนักแนนอยางนอยชั่วระยะหนึ่ง พอจิตมันแนว
แนเปนสมาธิเขาก็ไดคุณภาพที่ลึกซึ้งกวากัน ดวงตานิ่งกวา ใหจิตตานุภาพมากกวา”

ชายหนุมฟงอยางเขาอกเขาใจแจมแจง เขาคลุกคลีและเลนสนุกกับตัวเลขมาแตเด็ก ทวาไมเคยสังเกต


และแยกแยะไดละเอียดลออเหมือนอยางกําลังฟงหลวงตาแขวนอธิบายเลย

“นี่แคตัวอยางเล็กๆนอยๆของอารมณสมาธิที่เอ็งประสบพบเจออยูทุกเมื่อเชื่อวัน ยังมีอารมณสมาธิที่ใจ
เอ็งจับแลวตื้นกวานี้บาง ลึกกวานี้บาง จากการเลนกีฬา ทํางาน หรือแมแตวางทาเดินโกเกอวดใครตอ
ใคร คิดอะไรยังไงมันเปนอารมณจิตไปไดทั้งนั้น เพียงถาเอ็งมีสติจับเขาไปในอารมณนั้นอยางเดียวสัก
ระยะ เดี๋ยวจิตก็รวมเปนสมาธิได”

เกาทัณฑผงกศีรษะนิดหนึ่งพรอมยกมือไหวรับ และเงี่ยหูฟงอยางจดจอ

“แตสมาธิที่ไดจากการทํางานแบบโลกๆนะ เปนสมาธิวุน เพราะจิตตองหมุนไปเรื่อย รวมนิ่งกับที่ไมได ก็


ไมเกิดธรรมชาติความสงบสวาง ยังเต็มไปดวยฝุนสกปรกใหญนอย เมื่อไมสงบสวาง แมจิตมีพลังมากก็
หนวงรวมมาใชกออิทธิฤทธิ์ไมได

ขั้นแรกเอ็งตองรูจักวางตัวใหเบาสบายอยูกับอารมณละเอียด หยุดนิ่งอยูกับมันเพื่อเรียนรูวิธีรวมจิตจน
เกิดพลังเปนปกแผน พื้นฐานสติสัมปชัญญะนั้นเอ็งมีอยูแลวจากงานทางโลก หากตั้งใจจริงและทําใหตอ
เนื่อง ก็จะงายเขา”
๗๐

หลวงตาแขวนเวนระยะสํารวจชายหนุม สายตาทานทรงอํานาจและมีประกายกลาแข็งดวยตบะเดชะผิด
มนุษย ชายหนุมคอหดโดยไมรูสึกตัว ทานเคยมีสายตาใจดีของคุณตาแกๆคนหนึ่ง ใครจะนึกวาแทจริง
แลวซอนแววดุยิ่งกวาเสือ สะทานขวัญไดมากมายเพียงนี้

“อารมณสมาธิที่ถือกันวาประเสริฐสุด และมีอยูคูกายเรามาแตเกิด ไดแกลมหายใจ นอกจากจะเปนตัว


อารมณใหจิตจับแลว ธรรมชาติลมหายใจเองยังเปนตัวปรุงแตงจิตใหเดินกระแสหยาบละเอียดตามได
ดวย ลมหายใจหยาบจิตก็หยาบ ลมหายใจละเอียดจิตก็ละเอียด จึงเหมาะจะใชทั้งในเบื้องตน เบื้องกลาง
และเบื้องปลาย สติกําหนดลมหายใจเขาออกอยางนี้ทานเรียก ‘อานาปานสติ’ ซึ่งเอ็งคงไดศึกษามาจาก
หนังสือหนังหาบางแลว”

เกาทัณฑพยักหนารับและกลาววาครับ

“เอา” หลวงตาแขวนพยักหนา “นั่งขัดสมาธิ์ ขาขวาซอนขาซาย มือขวาทับมือซาย ตั้งหลังตรง”

เกาทัณฑปฏิบัติตามทันทีดวยอาการกระตือรือรนเงียบๆ

“ทานั่งนี่ไมใชองคประกอบสําคัญของสมาธิ แตเปนตัวคุมสติที่จําเปนอยางหนึ่งในการเริ่มตน กายเปน


อยางไรก็ปรุงจิตใหมีความเปนอยางนั้น วางกายไวสบายจิตก็สบาย หลังตั้งคอตรงก็ชวยทรงความรูตัวได
ดี จําไวนะวาความสบายกับความตื่นพรอมเปนบันไดขั้นแรก อยาเริ่มดวยการใสอาการเพงเขาหาลม
หายใจ ใหเริ่มดวยอาการรูสึกตัวกอน”

เกาทัณฑเปนคนนั่งตรงเดินตรงหลังไมงอไดนานๆอยูแลว เรื่องนี้จึงผานตลอด เขานั่งทรงกายอยาง


สบายตามหลวงตาสั่ง พรอมกับตั้งใจวาจะใหมันทรงในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆไมเผลอหลังงอ

"ดวยความรูสึกตัวอยางนี้ เอ็งทอดตามองตรงไปขางหนาสบายๆ รักษาความนิ่งไวอยาใหกลอกหลุกหลิก


แลวปดตาลงทั้งยังทอดตรง จะไดความรูตัวแบบเปดพรอม เวลากําหนดรูลมหายใจจะไดไมจดจองคับ
แคบ"

ชายหนุมปดเปลือกตา มีความเชื่อมั่นในตัวอาจารยเปนหลักเปนฐานการปฏิบัติ คิดในใจวาคนเราตองมี


อาจารยก็เพราะอยางนี้เอง

“ลมหายใจมีอยูแลว สิ่งที่ยังไมมีคือสติ อุบายสรางสติตามลมหายใจของพระพุทธเจาประการแรกคือให


กําหนด ‘รู’ ลมหายใจออกกอน คืออัดลมหายใจเขาเต็มปอดแบบไมตองคิดอะไรมาก แตพอคืนลมหายใจ
ออกสูภายนอก คอยกําหนดรูวานี่คือการหายใจออก เริ่มตั้งหลักอยางนี้จะทําใหไมจอเพงอยูกับการ
หายใจเขามากเกินไปเหมือนปกติ เอาลองดู”
๗๑

เกาทัณฑดึงลมหายใจเขาเต็มปอดเร็วๆโดยสักแตเปนอาการเหมือนหายใจทั่วไป ไมไดตั้งทารูเห็นเปน
พิเศษ แตพอผอนระบายลมหายใจออกจึงเริ่มกําหนดสติถึงความเปนลมหายใจที่สงจากภายในกายออกสู
ภายนอก

“พอลมหยุดก็รูวาลมหยุด ถึงเวลาที่กายเรียกลมเขา ก็รูตามจริงวานี่คือการหายใจเขา ระลึกใหเสมอกัน


กับการหายใจออกที่เปน ‘ตัวตั้ง’ เมื่อกี้”

ชายหนุมพบวาเมื่อกําหนด ‘ลมออก’ เปนตัวตั้ง ปรากฏวาสามารถรูตลอดทั่วถึงไดอยางรวดเร็ว

“นี่คือขั้นแรกของอานาปานสติ คือมีสติหายใจออก มีสติหายใจเขา พระพุทธองคสอนไวอยางนี้ เปน


อุบายลัดที่จะทําใหสติอยูกับลมหายใจเสมอกันทั้งขาออกและขาเขา อยามองขามไป”

ฝายลูกศิษยดูใจตัวเอง วามีสติขณะหายใจออก มีสติหายใจเขา ภายในปลอดโปรงขึ้นทันที ก็รับทราบ


ตามจริงวาผานขั้นแรกอยางงายๆไดแลว

“สังเกตนะ พอทําความรูสึกไดทั่ว ไมมีสวนใดกําเกร็ง และเฝารูลมหายใจออกกับเขาตามสบาย ผลคือ


เหมือนทั้งตัวมีลมหายใจปรากฏเดนอยูอยางเดียว นี่คือการเริ่มตนที่ถูกตอง จําไววาตองเริ่มอยางนี้ทุก
ครั้ง”

การเริ่มตนที่เรียบงาย ทําใหความคิดฟุงที่ครอบงําจิตใจเปนปกติหายหนไปชั่วคราว พรอมรับฟงและ


ปฏิบัติตามพระอาจารยอยางปราศจากขอสงสัย

“ลองดูวาลมหายใจในชวงเริ่มกําหนดสตินั้นจะลากยาวกวาปกติ ก็ใหรูวาอยางนี้ลมหายใจออกและลม
หายใจเขามีความยาวเสมอกัน นี่คืออีกขั้นของอานาปานสติ คือรูชัดวาหายใจออกยาว รูชัดวาหายใจเขา
ยาว”

เกาทัณฑจําลักษณะลากยาวของลมหายใจออกและเขาไว กับทั้งพยายามรักษาใหสม่ําเสมอ แตพอถึงจุด


หนึ่งก็รูสึกวาเกินพอดี มีความอึดอัดคับแนนอกขึ้นมา เปนจังหวะที่ถูกพระอาจารยทักวา

“หลักการทําอานาปานสตินั้นใหความสําคัญที่สติรูตามจริง ไมใชบังคับลมหายใจใหยาวหรือสั้น อยาบีบ


บังคับฝนกายใหทํางานผิดธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาจะตองออกสั้นก็ใหมันออกสั้น เมื่อถึงเวลาจะตองเขาสั้น
ก็ใหมันเขาสั้น สติเราเทานั้นที่รูตามจริงวาอยางนี้คือลมตองสั้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ คือรูชัด
วาหายใจออกสั้น และรูชัดวาหายใจเขาสั้น”

พอเขาใจหลักการดังนั้นก็เริ่มสนุก เพราะเหมือนเขาเริ่มไมตองทําอะไร ปลอยใหกายหายใจออกหายใจ


เขาตรงกับความเรียกรองตามธรรมชาติที่เปนจริง หนาที่คือเพียงรูเทาทันวาเที่ยวนี้ยาวหรือสั้น
๗๒

“จิตที่เปนผลของการตามรูอยางถูกตองนั่นแหละ จะเหมือนแยกออกไปเปนผูเฝารูเฝาดูเฉยๆในกองลม
ทั้งปวง ไมวาจะออกหรือเขา ไมวาจะยาวหรือสั้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ คือขณะแหงลมออก
และลมเขา จิตตั้งมั่นอยูในอาการรูชัดตามจริงในฐานะของผูสําเหนียกเห็นลักษณะของลมขณะนั้นๆ”

เกาทัณฑพบดวยตนเองวาเมื่อจิตเอาแตจดจอลมหายใจดวยอาการตื่นรูพอดีๆ ผลคือความสงบลงทาง
กาย คอตั้ง หลังตรงไมกระดุกกระดิก แมยังมีคลื่นความคิดแทรกแซงเปนระยะ ก็ไมรําคาญ และไมสงผล
ใหกายไหวติง และพอถึงจุดนั้นก็ไดยินหลวงตาแขวนสอนตอ

“ความรูสึกสงบทางกายนั้นเปนของดี เพราะความที่กายไมกวัดแกวงนี่เอง จะยิ่งเนนใหลมหายใจถูกรับรู


ไดเดนชัดยิ่งขึ้น นี่คืออีกขั้นหนึ่งของอานาปานสติ เห็นกายนิ่งแลวก็ประคองความนิ่งนั้นไว มีแตทางเดิน
ลมหายใจที่ยังเคลื่อนไหวอยูอยางเปนอัตโนมัติ”

หลวงตาแขวนเงียบไปพักหนึ่งกอนกลาวสืบตอเมื่อเห็นลูกศิษยหนุมชักเกิดอาการฝน

“หลักของการเริ่มกําหนดสติรูลมหายใจมีอยูเทานี้ ถาหากพลัดหลงจากลม หรือหากคิดฟุงแนนขึ้นมา ก็


สํารวจวาจิตเรายังเหลือสติอยูในขั้นไหน ถาไมเหลือเลย คือจิตไมจับที่ลม กายยังกระสับกระสาย ก็ตอง
เริ่มนับหนึ่งกันใหม ทองคาถา ‘นับหนึ่งใหม’ ไวใหดี เพราะจะขลังที่สุดสําหรับการเริ่มภาวนา สําหรับอา
นาปานสตินั้น การนับหนึ่งคือมีสติรู วากําลังหายใจออกหรือหายใจเขา ตอมารูวาลมนั้นยาวหรือสั้น ถารู
ไดเรื่อยๆอยางเปนธรรมชาติ จิตก็จะแยกออกไปเฝาดูลักษณะลมตามจริงอยูเฉยๆ และเมื่อแยกออกมา
เปนผูรูตั้งมั่นถูกตอง ก็จะสงบจากความตองการขยับไหวสวนเกินของกายที่ไมเกี่ยวของกับลมหายใจไป
เอง”

เกาทัณฑเขาใจกระจางดวยประสบการณภายในประกอบพรอมอยูดวย ทวาพักใหญตอมา จิตก็เริ่มซึมลง


ในลักษณะเคลิ้มสบาย หมดแรงจับลมหายใจ หลวงตาแขวนก็ทักอีก

“คอยสํารวจตัวเองบอยๆหนอยไอหนุม พอเริ่มจะฟุง หรือเริ่มจะเลื่อนลอยลืมลมหายใจ ก็กลับมารูตัวที่


กําลังนั่ง แลวกําหนดระลึกใหมตั้งแตขั้นแรก”

ที่จุดนั้นเกาทัณฑจึงเริ่มระวังความเคลิ้มเหมอ ตามดู ตามรูลมหายใจไมลดละ กระทั่งจิตแยกออกมาตั้งรู


เห็นลมหายใจเปนสายเดียว เมื่อระดับน้ําหนักลมเสมอกันตอเนื่องถึงระดับหนึ่ง จึงเกิดภาพภายในหรือ
‘นิมิต’ เปนหนึ่ง คลายเสนเชือกเสนหนึ่งที่ชักรอกขึ้นลงดวยมือจับปลายทั้งสองดาน หนาที่ของจิตมีเพียง
เฝาตามอาการออก อาการเขา ซ้ําไปซ้ํามาตามลีลาของกลไกธรรมชาติแหงกายเทานั้น

เมื่อเห็นลูกศิษยมีใจจดจอตอเนื่องดีแลว พระอาจารยก็บอกบทตอ
๗๓

“จิตตั้งไวถูกสวนแลว แตกายยังรับกันไมสนิทนัก ถาจะใหเกิดความแชมชื่นหนักแนนกวานี้ ลมหายใจ


ตองยาวขึ้น ตอนหายใจเขาใหเริ่มดวยการขยายหนาทองพองขึ้นนิดหนึ่ง จะเห็นวาเมื่อมีอาการขยาย
หนาทอง ก็มีลมเขาเอง พอสุดหนาทองก็เลื่อนไปดึงลมตามปกติ”

เกาทัณฑปฏิบัติตาม และพบวาลมหายใจยาวขึ้น นุมนวลขึ้น มีความปลอดโปรงอยางคนหายใจทั่วทอง


มากกวาเดิมจริงๆ สิ่งที่ตามมาคือการทวีตัวขึ้นอยางรวดเร็วของความสุข ความคิดทั้งมวลสงัดเงียบลง
หายใจออกก็ราเริงเปนสุข หายใจเขาก็ราเริงเปนสุข สภาพกายดําเนินโดยอัตโนมัติราวกับเครื่องสูบลมที่
ทํางานดวยอัตราคงตัว เห็นแตสายลมผานออกผานเขา ผานออกผานเขา มีอยูแคนั้น เรียบงายเสียจนลืม
สิ้นวาโลกนี้เคยซับซอนเพียงใด

ถึงจุดๆหนึ่งก็สําเหนียกอาการควบแนนของกระแสจิต เหมือนกลุมน้ําขาวที่เขาผนึกรวมเปนหนึ่งเดียว มี
ศูนยกลางจับอยูที่การไหลเขาออกของลมหายใจอยางมั่นคง เกาทัณฑรูทันทีวานี่คือภาวะสมาธิขั้นตน
เห็นอาการปรากฏนั้นดวยความรูพรอมทั่วองคาพยพ

ภาวะนั้นจะดํารงอยูสักกี่วินาทีไมอาจทราบ แตรูตัวอีกครั้ง ก็เห็นความคิดหลั่งไหลเขามาเต็มไปหมดแลว


ไดเห็นชัดถึงตัวเหมอเผลอสติ รวมทั้งอาการรูตัวตั้งสติใหม เมื่อตั้งสติกําหนดลมหายใจในสภาพเดิมใหม
ได จิตใจก็เปดออก เห็นนิมิตลมแชมชัดอีกครั้ง

เหตุถูก ผลก็ถูก เหตุผิด ผลก็ผิด เกาทัณฑถึงกับเผลอออกอาการพยักหนาดวยความเขาอกเขาใจเต็ม


ตื้น แตแลวก็รูตัววานี่ก็ความคิด นี่ไมใชตัวสมาธิ จึงพยายามเพิกและเฝาดูลมหายใจนิ่งๆจนกระแสความ
คิดเลือนหายไปเองโดยปราศจากความพยายามขับไล

อิ่มเอมเปรมใจเนิ่นนานจนเกิดอาการลาและเหน็บกินตลอดชวงขา อันเปนเครื่องหมายวาจิตถอนแลว
จากอารมณสมาธิ และเกินกวาจะกลับเขาลูเดิม หลวงตาแขวนเห็นเชนนั้นจึงสั่งใหเตรียมกําหนดเลิก
โดยหายใจสบายๆและปรับความรูสึกนึกคิดเปนปกติเสียกอน ทบทวนการทําสมาธิแตตนจนจบวาเปน
อยางไร เพื่อวาเมื่อหลับตาลงเริ่มทําสมาธิในครั้งตอไปจะไดนึกออกงาย ถัดจากนั้นจึงคอยลืมตาขึ้นทีละ
นอยเหมือนตื่นนอนยามเชา

หลวงตาแขวนใหขอปฏิบัติเปนขั้นๆซ้ําอีกครั้งเพื่อใหเกาทัณฑนําไปใชในการทําสมาธิดวยตนเอง รวมทั้ง
ชี้แจงลวงหนาเกี่ยวกับปติและนิมิตชนิดตางๆที่เขามาดึงจิตใหเขวจากทางสมาธิ ใหคําแนะนํารวบยอดวา
เพียงทําใจวางเฉย สักแตรูสิ่งแปลกปลอม จะนารักหรือนากลัวก็ตาม รูไปจนกวาจิตจะยอนกลับมาสนใจ
จิตเอง และเห็นปฏิกิริยาของจิตมีความเปนกลางตอสิ่งรบกวน ทุกอยางก็จะสลายไปในที่สุด

เมื่อชายหนุมกลาวทบทวนใหทานแนใจวาเขาจดจําถี่ถวนถองแท หลวงตาแขวนก็นิ่งไป ทอดตามองอีก


ฝายดวยแววเมตตา สําทับซ้ําถึงจุดหมายที่ควรทําใหถึงในแตละครั้ง
๗๔

"ของมันตองหมั่นฝกบอยๆถึงจะชํานาญ ระหวางวันทํางานทําการไปตามปกติ นึกไดเมื่อไหรก็กลับมาระ


ลึกถึงลมสักครั้งสองครั้งก็ยังดี ถามีเวลาพักวางจากงานมากหนอย อาจจะสักหานาที ก็ตั้งเปาวาจะทําจน
เห็นเหมือนจิตนิ่งเปนผูรูผูดูลมหายใจอยูเบื้องหลัง ลมหายใจเปนเหมือนสายเชือกชักขึ้นลงใหดูอยูเบื้อง
หนา ชวงฝกแรกๆหากทิ้งลมหายใจนานนัก จิตจะกลับไปจับไมถูก อยางเอ็งหากขยันก็คงสําเร็จงายอยู"

ทานเวนจังหวะคลายไตรตรองบางสิ่ง แลวก็กลาววา

"อยากเห็นความจริงเรื่องชาติกอนไหม?"

เกาทัณฑหูผึ่ง ทําตาโตเหมือนถูกตบหลังหนักๆ

"อยากครับ!"

คําตอบนั้นหลุดจากปากโดยอัตโนมัติ

"ขาจะทําใหเอ็งไดเห็น" ทานสมภารพูดเสียงเรียบ "แตมีขอแมวาเอ็งตองไดสมาธิขนาดที่ขาพอใจภายใน


อาทิตยหนา"

ชายหนุมเมมปาก ความทะยานอยากของเขาก็เปยม แนวทางที่ถูกเขาก็มีพรอม แถมทานยังรับรองให


อีกวาถาขยัน เขาตองทําได อยางนี้ถายังขาดความเชื่อมั่นก็ไมรูจะวาอยางไรแลว

"ผมจะไมทําใหหลวงตาผิดหวังครับ"

"จะทําสมาธินะ ไมใชแคอยาก ไมใชแคทําถูกแลวก็จะไดผลเสมอไป วิถีชีวิตตองอยูในกรอบดวย จิตถึง


จะพรอม...เอ็งเลิกกินเหลาเมายาสักอาทิตยไดไหม?"

"ไดครับ"

พนมมือรับอยางแข็งขันทันที เพราะคิดลวงหนาอยูแลววาพระอาจารยทานตองหามเรื่องนี้

"ไมเสพกามไดไหม?"

เกาทัณฑเกือบอึ้ง แตพริบตาก็ใหคําตอบอยางเด็ดเดี่ยว

"ไดครับ!"

"ไมโกหก ไมพูดนินทาสอเสียด ไมพูดตลกคะนองไรสาระใหจิตขุนมัวไดไหม?"


๗๕

คราวนี้เขานิ่งไปนาน นึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายในหนึ่งอาทิตยขางหนา เห็นภาพตัวเอง


เปนเบื้อใบ พูดตลกโปกฮากับเพื่อนที่ทํางานคลายเครียดไมได อยางนี้ก็นาคิดเหมือนกัน แตพอนึกตอไป
วาอาทิตยหนาจะรูเห็นเรื่องภพชาติใหหายสงสัย ก็ตอบออกมาสั้นๆเหมือนเดิม

"ครับ ผมทําได"

"ดี!" หลวงตาแขวนลงเสียงหนักๆ "เอ็งอยูตอหนาขา มีความเชื่อมั่น ละทิ้งความหวงหนาพะวงหลังทั้ง


หมดได ถึงเปนสมาธิงาย แตเมื่ออยูกับตัวเองแลว ความเคยชินแบบโลกๆจะนํากิเลสกลับมาครอบงําเต็ม
หัวใจ เปนอุปสรรคกับสมาธิจิตโดยตรง ขาถึงใหเอ็งปฏิญาณไว วาจะเลิกของแวะกับตนเหตุกิเลสหลักๆ
ของเอ็งเสีย

กิเลสที่ขวางกั้นความกาวหนาในการภาวนาเรียกวา ‘นิวรณ’ มีความพอใจในกามคุณ ความคิดราย


พยาบาท ความหดหูงวงเหงา ความฟุงซาน แลวก็ความลังเลสงสัยในธรรมปฏิบัติ ถาเกิดนิวรณขอไหน
ขึ้นมา วิธีแกงายที่สุดคือเห็นมันเปนโทษ เปนเครื่องรอยรัดจองจําใหจิตอึดอัด สมควรละทิ้ง ผละหนี ก็จะ
ปลอดโปรงโลงใจ เปนอิสระ เปนไทแกจิตเองเหมือนนักโทษที่หลุดจากพันธนาการและหองคุมขัง

พอจิตสดชื่นและคุนกับการเปนอิสระจากนิวรณ ความนอมใจใฝสงบ ใฝความตั้งมั่นเปนสมาธิก็จะเกิดขึ้น


เอง และเกิดขึ้นบอย ระหวางวันจึงควรกําหนดสติดักไวดีๆ วามีนิวรณเกิดขึ้นเกาะจิตหรือยัง ถามีก็ละ
เสีย ทิ้งเสีย ดวยอุบายของพระพุทธองคที่ขาวา"

"ครับ หลวงตา ผมจะระวังปองกันจิต กั้นจากนิวรณทั้งหมดใหไดครับ"

"เออ! ขาขออวยพรใหเอ็งประสพความสําเร็จ เอาละ วันนี้กลับไปได เดี๋ยวขามีธุระจะตองทํา"

ชายหนุมยกมือไหวรับพร แตกอนกราบลาก็ถามสิ่งที่คางใจออกไป

"ผมไมตองทําพิธีหรือนําดอกไมมาบูชาอาจารยหรือครับ?"

"ขาชอบการบูชาดวยใจ เอ็งมีใหขาแลว ขาเห็น ขาไมไดจะสอนไสยศาสตร แตจะสอนตามแนวของพุทธิ


ปญญา ดอกไมธูปเทียนและพิธีขึ้นครูจึงไมใชสิ่งจําเปน แตถามันเปนศรัทธาอยากทํา จะเอามาถวายบาง
ก็ตามใจ"

เกาทัณฑกราบลาดวยความสดแจมแชมชื่นอยางประหลาด ชีวิตมีแรงบันดาลใจใหมๆ มีเครื่องกระตุน


ความอยากใหมๆ ยังใหเกิดพลังแหงความกระตือรือรนแลนพลานไปทั่วสรรพางคกาย
๗๖

ออกจากวัดทางนฤพาน ขับรถมาเกือบถึงหนาบานปู ชายหนุมเหลือบมองไปทางเบาะดานขาง มีหนังสือ


ที่ปูใหมาสองเลมคือพุทธธรรมกับพจนานุกรมพุทธศาสน เขาเตรียมจะคืนในวันนี้ เพื่อเปนเหตุประเภท
ติดไมติดมืออางมาหาปูอีกครั้ง

ตั้งใจมาตอนคนแกใหจนมุมเต็มที่ คราวนี้กับคราวที่แลวจะแตกตางกันอยางสิ้นเชิง เพราะมีการ


ตระเตรียมเปนเรื่องเปนราว จะไมมีการเหวี่ยงแหไรทิศทางอยางเมื่อกอนอีก โดยเฉพาะประเด็นหลักของ
พุทธ คือทุกขและการดับทุกข ซึ่งพระพุทธองคตรัสกลาวอยางชัดเจนวาพระองคตรัสสอนแตเรื่องนี้เทา
นั้น

เกาทัณฑกะพริบตาทีหนึ่งดวยความรูสึกกึ่งขัดแยง บัดนี้เขาไดชื่อวาเปนศิษยของ ‘พระ’ ในพุทธศาสนา


เริ่มเขาใจการตั้งจิตเปนสมาธิ ยอมรับวาเบื้องแรกไมไดมองหลวงตาแขวนเกินไปกวาผูวิเศษ แนใจเพียง
วาทานมิใชนักมายากล หรือผูมีอํานาจจิตสะกดใหเห็นไปตางๆเพียงชั่วขณะ เพราะหนังสือพิมพมอด
ไหมเปนเถาถานจริง และเมื่อลอบสังเกตเพดานกุฏิในวันนี้ ก็ยังพบรองรอยไหมเกรียมซึ่งเกิดจากลิ้นไฟ
เนรมิตของทาน เมื่อฝากตัวเปนสานุศิษยก็ใหความเคารพนับถือเปนครูบาอาจารย ทวาก็ดวยประสงค
เพียงเรียนรูศาสตรแขนงหนึ่ง ทํานองเดียวกับที่ยกยองนักกีฬาเกงๆเปนครูฝกสอน โดยไมจําเปนตอง
เตรียมใจยอมคลอยตาม 'ความเชื่อ' ทั้งหมดของทาน

อยางไรก็ตาม ทานทิ้งทายไวเปนที่ปลุกเราความสนใจลงไปถึงราก นั่นคือประเด็นเกี่ยวกับภพชาติ ซึ่ง


กําลังวนเวียนอยูในความสงสัยของเขาพอดี เพราะเมื่อศึกษาพุทธศาสนาในเชิงอรรถแลว พบวาจะมี
ความหมายตอชีวิตที่สุขพรอมสมบูรณแบบเชนเขา ก็ตอเมื่อตระหนักแนแกใจวาการ 'ดับทุกข' นั้น คือ
เลิกเวียนวายตายเกิดอยางไมรูอิโหนอิเหน บอดใบเรื่องกฎกติกาวาทําเหตุอยางไรจะถูกเหวี่ยงไปเกิดใน
ภพไหนภูมิไหน

เกาทัณฑสรุปไดอยางหนึ่งวาถาทฤษฎีเรื่องการเวียนวายตายเกิดของพุทธเปนของจริง ก็แปลวาธรรม
ชาติออกจะโหดเหี้ยมเอามาก คือไมบอกกฎใหใครรู แตใครผิดกฎเมื่อไหร ก็เสร็จเมื่อนั้น ไปเกิดรายตาย
ดีก็ดวยความไมรู หลงกอกรรมทําเข็ญจนวิญญาณชุมบาปอยางนาอเนจอนาถ เสร็จแลวตองกมหนากม
ตาไปรับกรรมแลวๆเลาๆอยางปราศจากที่สิ้นสุด เพราะเหตุแหงการเกิดยังสืบเนื่องเปนปฏิกิริยาลูกโซไป
เรื่อย
๗๗

ถาอาทิตยหนาเขารูวาชาติกอนชาติหนามีจริง หมายความวาทุกอยางจะเปลี่ยนไปหมด ความคิดอานกับ


ความเชื่อที่ผานมานับแตจําความได ลวนตองถูกจัดเปนความบื้อ ความหลงละเมอเพอพกของสิ่งมีชีวิต
อีกหนวยหนึ่ง ที่ทะนงนึกวาตนทรงภูมิ ทรงความรูล้ําลึก ทวาแทจริงไมไดรูอะไรเลย

ไมรูจักกระทั่งตนเอง แลวจะขึ้นชื่อวา 'รู' ไดอยางไร

ใจแกวงเล็กนอยเมื่อชะลอความเร็วของรถ เปนความหวั่นไหวชนิดหนึ่งที่เขาไมกลาสํารวจหาสาเหตุ เทา


แตะเบรกเตรียมหยุดรถเทียบขางประตูรั้ว แตแลวก็แตะคางเมื่อเหลียวไปเห็นสองหนุมสาวใตรมไมหนา
บาน เปนแวบเดียวแหงการเห็นและถูกสารพันความรูสึกจูโจม จนตองยายเทามาลงน้ําหนักเหยียบคัน
เรงใหรถพุงฉิวหางหายไปจากที่นั้นในพริบตา

แพตรีมองตามการจากไปของเรือนรถเพรียวลมสีสดสะดุดตาดวยแววเฉยนิ่ง

"ดูเหมือนจะเปนคนนั้นใชมั้ยฮะ?"

เปนเสียงถามออนๆจากมติ

"คนไหน?"

หญิงสาวถามกลับ

"ก็...ที่เขานั่งคุยกับพี่แพเมื่ออาทิตยกอน"

"คงใชมั้ง"

มติรูเห็นเรื่องราวเพียงนอย แตเขาก็เปนผูมีสามัญสํานึกดีเทาๆชายทั่วไป และดวยปกติของสามัญสํานึก


ดังกลาว ก็ทําใหทราบวาไมธรรมดาเลย ที่รถคันนั้นชะลอลงเหมือนจะจอดแลวกลับบึ่งจากไปเฉยๆ

อยางปราศจากความไยดีคั่งคาง แพตรีกมหนาพิจารณากรอบภาพสีน้ํามันบนผาใบผืนใหญบนโตะ มติ


เอามาใหหลอนดู มันเปนภาพสายลูกไฟที่ยืดยาวไรตนไรปลายในหวงวางมหันต คลายสรอยไขมุกที่เรียง
เม็ดคดเคี้ยวอยูบนสายยาวจากอนันตภาพเบื้องลึกสูอนันตภาพเบื้องไกลโพน การนําเสนอของภาพเนน
ไปที่ลูกไฟใหญสองสามดวงใกลตา นั่นคือฝมือนักศึกษาวิจิตรศิลปของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งทางนี้
แนวคิดของภาพทําใหมันไดชื่อวา ‘สังสารวัฏ'

มีเศษกระดาษตางหากอีกแผนบรรจุถอยคําที่เรียงรอยบรรยายไว หญิงสาวนั่งอานในใจเงียบๆอยางมี
จินตภาพละเอียดออนตามกลอนแตละบาทแตละบท
๗๘

อันเปลวไฟใดกอก็รอลับ จะวับดับกลับวายสลายรอน
นี่ยับยอยรอยหรอแลวตอตอน พอรอนลับกลับฟนคืนวังวน
เปนโซหวงลวงดับสลับถาย สืบทอดเยื่อเชื้อรายขยายผล
ดวงตอดวงลวงตาเปนตัวตน ใหสับสนหนทางอันรางรา
กอรูปคุดุแดงดูแรงราย แลวกลับกลายฉายแสงเสนหา
เปนนรกผกผันสวรรคา เมื่อหันหาสิหายหนทุกตนจร
ตะลอนตอตลอดหนไรตนปลาย คายไวเพียงทุกขกับทิ้งสิ่งลวงหลอน
เรียกวังวน 'สังสารวัฏ' ไมตัดตอน ใหไฟรอนประการเดียวเที่ยวเกิดตาย!

เมื่ออานจบแพตรีก็สยายยิ้มกวาง มติจะนํางานชิ้นนี้ไปประกวดในงานทางพุทธศาสนาที่ภาคเอกชนรวม
กับสถาบันศึกษาใหญจัดขึ้น หญิงสาวเหลือบตามองรูปแลวพยักหนานิดๆเปนเชิงชม

"อื้อม..."

"พอใชไดไหมฮะ?"

แพตรีพยักหนาซ้ําอยางเต็มใจ

"อยางนี้เรียกเยี่ยมเลยไมใชแคพอใช ตองรับรางวัลใดรางวัลหนึ่งแนๆ พี่ไมอวยพรละ แตขอแสดงความ


ยินดีลวงหนาไวกอนเลย"

มติเปนจิตรกรที่เลนสีเกง ลูกไฟบางดวงแดงโชติฉานดูนาสะพรึงกลัวดุจจะแทนไฟนรกไดจริงๆ บางดวง


ก็มีสีสันวิจิตรนาหลงมองเพลินตาราวกับลูกไฟสวรรคไดปานกัน วิธีวางตําแหนงอยางถูกหลักการสราง
มิติที่สามทําใหคนดูรูสึกเปนจริงเปนจังถึงอนันตภาพทั้งของสายลูกไฟอันยืดยาวและหวงมืดอันลี้ลับ

มาบวกเขากับแนวคิดและคํากลอนกํากับภาพกินใจอยางนี้ จึงนาจะจัดเปนผลงานประกวดที่เขาตา
กรรมการงายหนอย

"ในวันตัดสินเขาจัดนิทรรศการใหคนทั่วไปเขาชมดวย พี่แพไปกับผมนะฮะ"

เขาชวนอยางรูวาหลอนจะไมปฏิเสธ และหลอนก็พยักหนารับงายๆดังคาด

"ไดสิ ไปดูเธอรับรางวัล จะไดดีใจดวย"


๗๙

หญิงสาวทอดตามองภาพ แลวยกมือชี้ไปยังลูกไฟดวงเดนที่สุดในภาพ

"นี่คงแทนมนุษยภูมิใชมั้ย?"

"ฮะ เปนลูกไฟที่แปลกและแตกตาง ปราศจากเอกภาพ บางสวนดูสวย บางสวนดูพลุงพลานรุมรอน ขาด


ความสม่ําเสมอ"

"ถามีความรูทางพุทธศาสนาดี คงดูภาพของเธอเขาใจและแปลความหมายออกทุกอยางนะ แครูชื่อภาพ


ก็พอแลว"

ชายหนุมลดสีหนายิ้มลงนิดหนึ่ง

"เพื่อนผมบางคนบอกวา...ถากรรมการไมเชื่อ ความหมายของภาพนี้จะดอยไปมาก"

แพตรีลดเปลือกตาลง นิ่งคิดแลวก็เห็นตาม จริงแหละ พุทธศาสนิกชนมีหลายประเภทนัก ลวนมีทรรศนะ


และความเชื่อสวนตัวแตกตางกันไป นอยเสียเมื่อไหรที่คนตําแหนงสูงๆและมีบทบาทตอวงการศาสนา
พุทธไมเชื่อ ไมศรัทธาบางคําสอนอันเปนหลักสําคัญยิ่งอยางเชนภพภูมิและการเกิดตายแลวๆเลาๆ

หญิงสาวมองภาพบนผืนผาใบตรงหนาดวยอาการใครครวญนิ่งเปนดุษณี หลอนกําลังคิด และมติก็เพลิน


มองอาการนั้นของหลอนดวยสายตาของศิลปนที่ไวกับรายละเอียดความงดงามทุกชนิด เขาชอบพินิจดู
หลอนในอิริยาบถตริตรอง ดวงหนาออนเยาวปราศจากริ้วรอยความกังวลทั้งปวง ตัดกันกับนัยนตาฉาย
แสงแหงความคิดฉลาดลึกซึ้งอยางผูใหญที่มีความมั่นคงทางปญญาและอารมณ ทุกมุมสะทอนแสงของ
แกวตาแพตรีทอประกายงามราวกับเครื่องประดับในฝน หากเชื่อวาคนเราวาดรูปตัวเองดวยกรรม อดีต
และปจจุบันของหลอนก็คงเปนจิตรกรผูมีฝมือนาพิศวงชวนเลื่อมใสยิ่ง

"นาเสียดายนะ" หลอนเอยขึ้นในที่สุด "ถาเปนอยางนั้นละก็ ลองเปลี่ยนแนวคิดของภาพเปน ‘ตรัสรู’ แทน


ไดก็ดีหรอก ใหปลายทางของสายลูกไฟเปนดวงประกายพรึกเดนที่แทนความหมายของการสวางรู เต็ม
ตื่นเปนไฟลางตัวเองจากเชื้อราย แลวลูกไฟที่ผานมาจะไดใชแทนความหมายของการหลงทุกขหลงสุขชั่ว
ครูชั่วคราว อยางนี้จะมีความหมายกับศาสนิกชนทุกทรรศนะ เพราะจุดหมายอันเปนที่สุดของเนื้อหาใน
พุทธศาสนคือการมีดวงจิตสวางรูหลุดพนจากความทุกขและความขึ้นลงไมเปนสาระตางๆ"

มติเบิกตาโพลง จับมองใบหนาหญิงสาวดวยแววจรัสแสงกลาของศิลปน

"เออแฮะ" เขายิ้มกระจาง "ไอเดียนี้เขาทาจริงๆ ผมไมทันคิดสะระตะเสียกอน มัวแตคิดถึงความยืดยาว


ไมรูจบของสังสารวัฏซึ่งนอยคนจะอานออกและคลอยตาม สูความเชื่อซึ่งเปนสาธารณะเชนการสวางรู
เหนือทุกขสุขไมได ยังไมสายหรอกฮะ ผมใชเวลาวาดสักสองสามอาทิตย ทันสงถมเถ"
๘๐

ความจริงการเสกสรรคปนแตงงานที่ลุลวงไปแลวขึ้นมาใหมหมดนั้นควรแกการเบือนหนาหนีเปนอยางยิ่ง
โดยเฉพาะกับงานศิลปที่ตองการความละเอียดปราณีตและการทุมเทแรงกายแรงใจมากๆอยางนี้ แตมติ
กลับไมนําพาความเหนื่อยยาก แสดงใหเห็นถึงศรัทธาปสาทะและแรงบันดาลใจทางศาสนาอยางเปยมลน

เมื่อหญิงสาวทราบเจตจํานงของนองเชนนั้น ก็ชําเลืองตาจองยิ้มๆ

"ศรัทธาแกกลาดีจริง"

"ภาพนี้ผมใหพี่แพก็แลวกัน"

เขายกใหงายๆ แพตรีเบิกตาเล็กนอย

"ไมขายละ? ถึงคนดูไมรูเรื่องก็อยากซื้อไดนะ ภาพสวยออกอยางนี้"

"ไมตั้งใจจะขายอยูแลวนี่ฮะ"

หญิงสาวนิ่งไปครู กอนจะกวาดตาพินิจรายละเอียดบนแผนภาพและยิ้มรับ

"งั้นก็...ขอบใจนะ"

รูวาปูก็ตองชอบ นึกหาที่แขวนเหมาะๆไดเดี๋ยวนั้น มติกับหลอนมอบของนอยใหญใหแกกันมาแตไหนแต


ไร จึงไมจําเปนตองย้ําคะยั้นคะยอหรือกระทําพิธีบายเบี่ยงใดใหมากความ

พอพูดถึงปู มติก็เปลี่ยนเรื่องอยางนึกขึ้นได

"วันกอนปูคุยกับผม บอกผมวาพอพี่แพเรียนจบ มีงานทําเลี้ยงตัวได ไมนาเปนหวงแลว...ปูจะบวช"

ดวยความเฝาสังเกตอยูตลอดเวลา มติไมเห็นแมแตความกระเพื่อมไหวในแววตาสงบดุจแผนน้ํานิ่งของ
แพตรี หลอนยังระบายยิ้มออนใหกับภาพตรงหนาเฉย แตเพราะมติรูจักใกลชิดมาเนิ่นนานจนเขาถึงและ
สัมผัสไดกระทั่งสวนลึก จึงทราบดีวาภายใตความไมไหวติงนั้น ที่แทหลอนเก็บซอนความโศกเศราเอาไว
อยางเงียบเชียบ

มติถอนใจ จะใหเขานิ่งดูดายไดอยางไร

"พี่แพรูแลวใชไหมฮะ?"

"รูแลว"

หลอนตอบเบาๆ ปราศจากวี่แววสะเทือนใจปนออกมา
๘๑

"แลวคิดยังไงตอไปฮะ?"

หญิงสาวเหลือบตาขึ้นสบกับเพื่อนรุนนองที่สนิทคุน แลวเบนไปทางตัวเรือนซึ่งปูคงกําลังนั่งอานหนังสือ
ธรรมะหรือเดินจงกรมอยูในหองพระตามลําพัง สิ่งเหลานั้นเปนกิจวัตรของปูเมื่อทานปดประตูหอง

"พี่อนุโมทนากับความตั้งใจของทาน พี่คงทํางานทําประโยชนใหสมคาความรูที่ร่ําเรียนมาสักสองสามป
แลวจากนั้น..." ปลายเสียงของหลอนแผวลง แตแลวก็กลับหนักแนนขึ้นอีกครั้ง "พี่จะบวชชี อยูในเพศ
พรหมจรรยบูชาพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ และคุณปู"

ถอยคําบงบอกเจตนารมณนั้นทําใหมติงันนิ่งไป เด็กหนุมเมมปากและมีคิ้วเครงเล็กนอย

"แนใจแลวหรือฮะ?"

แพตรีพยักหนาชาๆ เปนความเนิบชาที่ทําใหมติสัมผัสความพะวงบางประการที่แอบแฝงอยูในชั้นลึกสุด

"เปนความตั้งใจที่ดี"

เขาบอกอยางนั้น แตมิไดกลาวอนุโมทนาดวย กลับเปลี่ยนเรื่องถามมาอีกทาง

"พี่แพเอาไมแคระไปไวมุมไหน"

บานซึ่งเต็มไปดวยชั้นวางไมดอกไมประดับนั้น ทําใหเขาขี้เกียจกวาดตาควานหาพันธุไมแคระซึ่งตน
อุตสาหซอกซอนไปพบถึงบนยอดเขาใกลกับหมูบานชนบทที่กลุมอาสาพัฒนาของเขายกขบวนไปถึงเมื่อ
อาทิตยกอนๆ

"หลังบาน"

แพตรีตอบทั้งยิ้ม อันที่จริงมติไมใชนักเลงตนไม แตนานทีก็หาพันธุแปลกมากํานัลหลอน ไมวาจะแปลก


ขนานแทหรือเขานึกเอาเองวาแปลกก็ตาม มันมีคาเสมอ เพราะเขาไมเคยซื้อมาโดยงาย แตหามาดวยลํา
แขง...ลําแขงจริงๆไมใชอุปมาอุปไมย มติชอบทองเที่ยวไปตามปาเขาและชายทะเล นั่นทําใหเขามีโอกาส
เสาะสํารวจธรรมชาติไดหลากหลายภูมิประเทศ

"บางครั้งผมเกือบเขาใจวาสัมผัสพิเศษที่พี่แพมีตอตนไมเปนยังไง" เขากลาว "เวลาผมมองดีๆแลวรูสึกวา


พวกมันมีสัญญาณชีวิต สําเหนียกรูไดวานั่นคือวิญญาณ คือพลังที่ใหความออนโยนกับโลก อารมณของ
ผมจะแปลกไป คือกลมกลืนไปกับความเยือกเย็น สงบเรียบงาย และเหมือน...เออ"

เด็กหนุมหรี่ตาพักเฟนคํา

"ไมเคยตองคิด ชีวิตไมมีเรื่องนากังวลอยูเลย"
๘๒

แพตรีตอคําใหเมื่อเห็นมติเหมือนจะจนดวยถอย เด็กหนุมพยักหนารับดวยตาสดใส

"ใช...แบบเดียวกับที่เตาชี้ใหเห็นการเติบโตอยางงายดายตามธรรมชาติ ถาเขาถึงไดก็มีความดื่มด่ําเยือก
เย็น เพราะจิตเสมอกับธรรมชาติ ธรรมชาติเปนไปอยางไร จิตก็ปรับแปรตามนั้น พอปราศจากความขัด
แยงกับธรรมชาติ ก็เหลือแตความเรียบงายที่เปนไปเอง"

หญิงสาวคลี่ยิ้ม มองอีกฝายดวยสายตาแหงการถายทอดสัมผัสโดยตรงจากใจ

"ถาเธอรักพวกมันมากพอจะ ‘คุย’ กับมันไดเหมือนอยางที่คุยกับเพื่อนสนิทสักคน เธอจะเขาใจ ‘เสียง


เงียบ’ ที่สื่อกันอยูระหวางฝงเราผูเฝามอง และฝงชีวิตที่ถูกมอง เปนคลื่นสัญญาณอีกแบบหนึ่ง บอบบาง
แตก็มีกระแสแรง"

มติหัวเราะเอื่อยๆ ใชจะเยาะดวยความขบขัน แตหัวเราะอยางรูตัววายังไมอาจเขาถึงรหัสสัญญาณชีวิต


ระดับนั้น เขาใจแตวาเมื่อจิตมนุษยเพงอยูกับอะไรบางอยางชั่วนาตาป เมื่อแนบแนนมากเขาก็จะเกิด
ภาวะ ‘เห็น’ ความเปนสิ่งนั้นๆขึ้นมาอยางกระจะกระจาง หยั่งลงสูสัมผัสพิเศษที่คนอื่นดูดวยตา ฟงดวยหู
แลวไมเขาใจ

"พี่แพถึงเหมือนตนไมเขาไปทุกวัน...เคยสับสนไหมฮะเมื่อตองกลับมาพูดภาษามนุษย ถาผมคุยกับตน
ไมไดบาง เราอาจคุยกันในรูปแบบที่แปลกขึ้นกวาเดิมก็ไดนะ"

มติพูดกึ่งเลนกึ่งจริง แพตรีหัวเราะหนอยๆแลวเงียบ

"วาแตวาพี่พูดกับตนไมยังไง ไดความหมายเปนใจความเหมือนอยางติดตอกับผูคนหรือเปลา?"

หญิงสาวสายหนา

"มนุษยเราสื่อสารกันดวยการถายทอดความคิด ความคิดเปนเปลือกที่อยูผิวนอกของใจ ถูกขับออกมา


เปนระลอกดวยเจตนาที่ซอนอยูเบื้องหลัง หากเจตนาเปนโทษ คลื่นของจิตก็สงออกมาหยาบๆนาระคาย
หากเจตนาเปนคุณ คลื่นของจิตก็สงออกมาละเอียดนาสบายหนอย แตสวนใหญเราไมทันซึมซับรับรู
ลักษณะคลื่นของจิตมนุษยมากนัก เพราะใจมัวไปทํางานแปลความหมายของภาษาพูดเสียหมด เราถึง
ถูกหลอกบาง ถูกทําใหเขวบาง เพราะฟงเฉพาะภาษาเปนคําๆ"

พูดแลวก็เบนสายตาไปจับดอกพิกุลซึ่งอยูหางจากตรงนั้นเพียงสี่หากาว ดวงหนาของหลอนออนสงบยิ่ง
ในการเฝามองของมติ

“แตสัญญาณสื่อสารจากตนไมไมไดมาจากระบบความคิด ไมไดมาจากภาษา ปราศจากเจตนาดีรายซอน


อยูเบื้องหลัง ไมมีการปรุง ไมมีการปน ทุกอยางถายทอดตรงไปตรงมาจากความเปนตนไมเองทั้งราง สื่อ
สารกันจากวิญญาณถึงวิญญาณ ถาคลื่นวิญญาณสงออกมาดีๆ ก็แปลวามันกําลังเปนอยูเหมือนคนที่มี
๘๓

สุขภาพดีและราเริง ถาคลื่นวิญญาณสงออกมาอับหมอง ก็อาจสันนิษฐานวามีบางอยางผิดปกติไป อาจ


จะเพลี้ยลง หรือไดน้ําไดปุยนอย ดีอยางนี้แหละที่เราสามารถรูจักพวกมันโดยปราศจากภาษาขวางกั้น
เพราะเราจะไมมีวันเขาใจผิดหรือถูกหลอกใหเลี้ยงดูคลาดเคลื่อนจากที่ควรเลย”

มติยิ้มกวาง

"อยางนี้เองพี่แพถึงไวนัก กับการหลบคนใจราย ใจกระดาง เพราะคุนที่จะสัมผัสแตสิ่งละเอียดออน" พัก


มองโดยรอบ แลวเอยถาม "เคยไดยินวาความสั่นสะเทือนจากจิตวิญญาณเจาของ จะติดอยูกับตนไมดวย
เวลาดูตนไมนอกบานนี่พี่แพอานออกจากสัมผัสพิเศษไหมวาเจาของเปนคนนิสัยใจคอยังไง"

แพตรีกะพริบตาทีหนึ่ง หลอนคุยกับมติโดยไมจําเปนตองเก็บงําสิ่งใดไวเปนความลับ

"ถาฝากสัญญาณไวเดนพอ ก็อาจจับไดอยูบางมั้ง อยางเรื่องความสดใสเนี่ย ถาเจาของมีจิตใจที่สวางและ


เดินมารดน้ําตนไม รินใจเผื่อแผตนไมบอยๆ พวกมันก็จะมีความสวางตาม เราสัมผัสแลวสดชื่นตามได
งายๆ แตถาเจาของปลอยใหตนไมยืนอยูตามยถากรรม รอฝนตกลงมาเลี้ยงเอง ก็ไมมีคลื่นความใสใจ
ของมนุษยฝากไว"

มตินิ่งฟงอยางสนใจ พอแพตรีพูดจบก็เลาวา

"ผมเคยเห็นอยูรายหนึ่งบอกวาเขารูความตองการของตนไมที่เลี้ยงไว รูหมดเลยวามันอยากไดดินใหม
อยากใหงดปุยที่กําลังใช หรือตองการน้ํามากขึ้นอะไรทํานองนั้น ผมฟงแลวบางทีก็อดรูสึกไมไดวาเขารัก
ตนไมมากจนเกิดอุปาทาน หรือคลุกคลีผูกพันจนเกิดความหยั่งรูพิเศษขึ้นมาเอง ใชวาไดรับการติดตอ
จากตนไม แตฟงจากที่พี่แพพูดแลว ก็ทําใหคิดวาอาจมีบางอยางที่ก้ํากึ่งกันระหวางอุปาทานกับ ‘เสียง
จริง’ จากตนไม”

"จะอุปาทานหรือของจริงก็ไมนาสนใจไปกวาที่วา เมื่อทําตามตนไมตองการแลวตนไมดีขึ้นหรือเลวลง"

เด็กหนุมครางในลําคอเบาๆอยางเห็นดวย เคยไดยินมานานแลวเรื่องความเจริญงอกงามเปนพิเศษของ
ตนไมถาคนเลี้ยงมีใจให บางรายเลี้ยงไดถึงขั้นมหัศจรรย โตเร็ว เติบใหญกวาธรรมชาติ และงดงามกวา
ของชาวบานทั่วไปทั้งที่มีพืชพันธุ ดิน แดด และปุยอยางเดียวกันทุกประการ

“คนมีความสุขกับตนไมนี่ดูสันโดษและเหมือนไมตองการอะไรอีกแลว แครักตนไม อยูกับตนไมก็พอ นับ


วาพี่แพนี่นาอิจฉาเหมือนกันนะ"

“แตเธอคงไมอิจฉาพี่มั้ง เพราะรูจักบรมสุขในงานศิลปะอยูแลวนี่ อยางที่เคยเห็นเธอทํางาน ดูหนาตาอิ่ม


เอิบดีออก”

แพตรีหมายถึงเมื่อครั้งเขานั่งวาดรูปเหมือนใหหลอน
๘๔

“ตอนวาดไดอยางใจก็อิ่มเอิบดีหรอกฮะ แตถาเปนตรงขาม ก็หงุดหงิดเอาบอยๆเหมือนกัน ตางจากความ


สุขสนิทใจที่ไดจากตนไมอยางพี่แพ มีแตสุขเย็น ไมตองหงุดหงิดเลย”

แพตรีเลิกคิ้วสูงดวยความฉงน รูจักกันมาแตเล็ก เห็นหนาเห็นตาในสารพัดเหตุการณ หากคัดเปนภาพก็


คงไดนับพันนับหมื่น จําไดวาไมเคยเห็นสีหนาขุนขึ้งของเขาแทรกขึ้นมาเลยสักภาพเดียว

“อยางเธอเคยหงุดหงิดดวยหรือ?”

“เคยสิฮะ”

เขาตอบกลั้วหัวเราะ

“ไมรูสินะ ในความรูสึกของพี่เธอเหมือนคนที่เขาถึงศิลปะลึกซึ้งมาก เห็นเธอทํางานแลวเหมือนกําลังแยก


ตัวเองไปอยูอีกมิติหนึ่ง ลองลอยเบาสบายอยูตามลําพัง อีกอยาง เธอเขาใจพระธรรมคําสอนดี แลวก็ทํา
สมาธิไดผลกวาพี่มาก ยังหงุดหงิดกับอารมณหยาบๆไดอีกหรือ?”

“ศิลปนสวนใหญฝนแรง แลวก็อยากแรงฮะ ตราบใดที่ยังกลมกลืนไปกับศิลปะบริสุทธิ์ไมไดอยางถองแท


พี่แพอาจมีโอกาสรูจักพวกมีหัวทางนี้นอย แตละคนปงปงเปนฟนไฟงายจะตาย”

"สําหรับเธอ ความหงุดหงิดคงถูกขังไวแตขางในแหละนะ ขางนอกเธอสงบมาตลอดนี่ พี่ยังเผลอนึกวา


เธอหมดโกรธ หมดอยากไปแลวดวยซ้ํา" หลอนกลาวทั้งกลั้วหัวเราะ "คงมีแตเจาตัวเทานั้นแหละนะที่รูวา
สิ่งเหลานี้หมดไปหรือยัง"

มติมองหญิงสาวรุนพี่ดวยสายตาที่เปลี่ยนไป คลายจุดประกายความมาดหมายเรนลับทอตัวเปนแสงเขม
ในแกวตาที่เคยเยือกเย็นออนโยนเปนนิจ

"ผมเปนมนุษยธรรมดา ไมมีมนุษยธรรมดาคนไหนจบความอยากไดเพียงเพราะมีใจฝกใฝศิลปะและ
สมาธิ ผมมีอยากที่ยิ่งกวาศิลปะและสมาธิ ผูชายอื่นทะยานยังไง ผมก็ไมตางจากนั้น”

หญิงสาวสะอึกอึ้งนิดหนึ่ง แตทําเปนไมเห็นสายตาชนิดนั้นของเขา เสมองไปทางอื่นและพูดเอื่อยๆคลาย


ผสมโรง

"ใช พอพี่ตื่นจากโลกของตนไม พี่ก็พบวาความเปนมนุษยนี่ยุงเหยิงดวยความอยากหลายๆอยาง แลวก็


นาตลกที่บางทีมันขัดกันเอง"

ก็เชนที่หลอนอยากใหปูบวชตามความปรารถนาของทาน อยากจริงๆมิใชการเสแสรงทําใจเปนหลานผู
ประเสริฐ แตขณะเดียวกันหลอนก็มีความอยากทั้งในสวนตื้นกับสวนลึกที่จะใหปูอยูกับหลอนตลอดกาล...
อยางนอยก็จนกวาสังขารของทานจะพาทานไปจากหลอนเองในวาระอันควร
๘๕

มติใชขอนิ้วเกลี่ยปลายจมูก ขยับจะพูดอะไรอยางหนึ่ง แตแลวก็เสพูดไปอีกอยาง

"ครั้งหนึ่งผมเคยวาดรูปชื่อ ‘ตามนุษย' ไว รูสึกจะไมเคยเอามาใหพี่แพดู ขายไปแลวละฮะ สะใจกับความ


ไมอาจถูกหยั่งถึงกนบึ้งของมัน ผมวาตามนุษยเปนสัญลักษณของความซับซอนหาที่สุดไมเจอ สลับสับ
เปลี่ยนแวว เปลี่ยนนัยไดสารพัดในกาลเทศะตางๆ เขาใจยากยิ่งกวาความลี้ลับของรางกาย ของถนนหน
ทางคดเคี้ยว ของน้ําดินหรือดวงดาวและจักรวาลไหนๆทั้งหมด"

แวบหนึ่ง แพตรีนึกถึงประกายตาคมกลาของเกาทัณฑ จริงแหละที่มันนาจะเปนสัญลักษณของสุดยอด


ความซับซอน อํานาจโลกียวิสัยที่เขามีคงมาจากพลังในขุมสมองและกิเลสหยาบเยี่ยงคนเมือง ซึ่งก็ลวน
แลวแตเปนความวิจิตรพิสดารของดวงจิตในภูมิที่ความใฝสูงและความใฝต่ําทะยานเขาชนกันอยางบา
คลั่ง ภูมิที่ดวงวิญญาณมีอุปกรณและศักยภาพที่บันดลบันดาลสารพันดีเลวใดๆใหเกิดขึ้นก็ไดทั้งสิ้น

ฝายมติ ขณะพูดก็พินิจแพตรีไปดวย เห็นนัยนตาที่เปลงประกายฉลาดล้ําทวาสองแววซื่อจนคลายออน


เดียงสาของหลอนแลวเกิดความตองการปกปอง อยากคุมครอง อยากเปนปราการกั้นหลอนจากความ
สับสนวุนวายและความพลิกไปพลิกมาของผูคนรอบดาน เขาเจอมาแลว ทุกคนเจอมาแลว และหลอนก็
คงไมแคลวตองเจอมาแลวเชนกัน จะออนวอนอะไรมาชวยปกปองในวันตอๆไปเลา? เขาไมใชวิญญาณ
หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจตามไปพิทักษหลอนทุกฝกาว

นึกแลวก็ชักเห็นดีเห็นงามกับเจตนาออกบวชของแพตรี เขาหวงหลอนจากใจ และเขาใจศาสนาพุทธจน


ไมเห็นที่พึ่งอื่นปลอดภัยไปกวาการปฏิบัติธรรมหาทางหลุดพนจากสังสารวัฏ

ทวาแมเห็นจริงดังนั้น ใจก็ยังไมอาจอนุโมทนาไดอยูดี...เพราะกิเลสมันกั้นไวหนาแนน

"ชาตินี้ผมอาจไมรวย"

ดวงตาของมติเหมอจับยอดไมเบื้องไกลขณะเปรยลอยๆ เขาอายุนอยกวาแพตรีเกือบสองป ทวามีความ


สามารถเชิงวิจิตรศิลปเขาขั้นหารายไดมานานแลว และนั่นก็ทําใหเห็นชัดวาหากไมมีทางลัดอื่น กวาจะมี
เงินหลายๆลานคงนานเน เขาเคยใชเวลานับเดือนวาดภาพชนิด 'สุดฝมือ' เพื่อฝากขายในราคาระดับ
ดาวนรถมือสองมาขับได แตวางอยูเปนปยังไมมีเศรษฐีคนไหนตัดสินใจซื้อ อาจเพราะฝากวางไดแคกับ
รานเล็ก รานใหญยังไมกลาเสี่ยงกับจิตรกรหนาใหม โอกาสที่ลูกคากระเปาหนักจะกรายมาชมจึงพลอย
ยากไปดวย นั่นเองมติจึงไดบทเรียนมาตระหนักวาเขาเพิ่งเริ่มตน ตองสรางงานแบบไตระดับขึ้นไปอีก
นาน จะหวังขามขั้นดวยความมั่นใจในคุณภาพอยางเดียวนั้น เห็นทีคงเหลือวิสัย

แพตรีประหลาดใจกับคําเปรยของเขาอยูบาง

"ก็ดีแลวนี่ เธอจะไดไมตองทุกขกับความรวยและความอยากอันเปนสิ่งแปลกหนา แลวมีความสุขตอไป


กับความสมถะประจําตัวที่สนิทคุนเคยเรื่อยมาและนาจะเรื่อยไป"
๘๖

"แตสมมุติวาผมจะตองมีผูหญิงสักคน กับเด็กเล็กใหชวยกันเลี้ยงดู ผมก็คงทําใหพวกเขาลําบากและไม


เปนสุขกับความสันโดษชนิดนี้แน"

เขาพูดดวยน้ําเสียงออน แตหันมองหลอนดวยสายตาตรง ฉายเจตจํานงบางอยางแรงจนดึงหลอนมาสบ


ได มติดูเปนหนุมที่คมคายและเกงกาจในยามนั้น แตอยางไรก็คือนองชายหลอนอยูนั่นเอง

"พี่วาทั้งผูหญิงและเด็กไมใชสิ่งจําเปนสําหรับเธอหรอกมั้ง"

แพตรีทําเสียงใหออกทํานองสันนิษฐานมากกวาสรุปเดาใจ

"เหรอฮะ?" มติเลิกคิ้วนิดหนึ่งอยางแสรงฉงน "เพิ่งรูตัวเดี๋ยวนี้เอง"

แลวเขาก็สงสายตาเลยหลอนไปทางอื่น แพตรีอึกอัก การสนทนาเริ่มหักเหและออมคอม หลอนไมชอบ


มติกับหลอนไมเคยตองพูดจากันดวยวิธีพรางเจตนาเชนนี้ มันทําใหการตอคําสนทนาฝดลง

แตครูหนึ่งเขาก็เอยดวยปลายเสียงทอดเนิบเปนปกติ

"พี่แพไมไดไปบานผมนานแลว มีภาพใหมๆเยอะเลย อยากดูไหม?"

"อยาก"

หางจากบานหลอนไปเพียงสองหลังก็ถึงบานมติ ตัวบานดูโกโรโกโสสักหนอยเพราะขาดการบํารุงภาย
นอกซึ่งนับวันมีแตเสื่อมลงตามอายุ มติอยูกับพอและนองชายเพียงสามคน ไรแมบานคอยดูแล แตทุก
หองหับจัดวางขาวของเขาที่เขาทางเปนระเบียบ ไมรกรุงรังขนาดหาของทีเหงื่อตกกีบอยางบานชายลวน
บางแหง

อันเนื่องจากเขาออกบานของแตละฝายมาแตเด็ก เลยมีความสนิทคุนไมเห็นเปนอื่น แมบัดนี้โตเปนหนุม


สาวกันแลว แพตรีก็ยังแวะเวียนเขามาชวยตัดแตงตนไมรอบบานใหเกือบทุกเดือน เหตุหนึ่งเปนเพราะ
บานปูชนะมีบริเวณไมพอจะรับพฤกษานานาพันธุของหลอนไดทั้งหมด จึงตองแบงมาใหบานมติชวยรับ
ไวบาง และนั่นก็เปนผลใหเกิดความหวงตามมาดูแล บําบัดทุกขบํารุงสุขบริวารซึ่งบางครั้งอดๆอยากๆ
ดวยความไมเอาใจใสของเจาบาน

มติมีแบบฉบับคลายศิลปนที่สรางโลกเงียบสวนตัวใหตนเอง แตงตัวงายๆ แคเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนสมอซอ


ผอมแหงและเหมือนเซื่องเฉยในบางครั้ง หองนอนของเขาสะทอนบุคลิกชนิดนี้ คืออวลกลิ่นอายสี กาว
และดูคลายโรงเก็บเครื่องเคราศิลปะเสียมากกวาจะเปนสถานที่เอนกายหลับ ขนาดที่แพตรีกาวเขามา
แลวไมเกิดความตะขิดตะขวงก็แลวกัน
๘๗

ทั้งบานปลอดคน มติเปดประตูหนาตางโดยรอบ ปลอยใหพี่สาวเขาไปดูภาพซึ่งเรียงเปนตั้งพิงผนังหอง


หลายสิบกรอบตามลําพัง

"เอาโกโกไหมพี่แพ?"

เสียงเด็กหนุมดังออกมาจากหองครัว แพตรีสงเสียงตอบปฏิเสธพลางพินิจดูภาพสีน้ํามันทีละกรอบ มติ


เปนคนมีพลังสรางสรรค งานของเขาสะทอนใหเห็นชัด เกือบทุกภาพชวนทัศนาไมจืดตา กับทั้งสามารถ
จุดประกายความคิดไดเสมอ นั่นเปนแรงดึงดูดใจใหแพตรีนึกอยากชมงานใหมๆของเขาอยูเรื่อย

"เธอนาจะมีแกลอรี่เปนของตัวเองนะมติ"

หลอนเอยเชิงชมดวยระดับเสียงธรรมดา เขาควรจะไดยินในความเงียบของบานและความหางไมเกินสิบ
กาวนั้น

"ถามีเงินก็ทําไดสิฮะ"

เขาตอบกลับมา แพตรีมองภาพตรงหนาดวยแววตาสนใจ ภาพที่กําลังพินิจนั้นเปนแกวเจียระไนทรงสูง


แบบบางและงดงามระเหิดระหง สะทอนแสงทองออกมาเปนหลากสีแพรวใสจับตายิ่งนัก ทวาในแกวกลับ
บรรจุอยูดวยเลือด...ที่รูวาเลือดก็เพราะนอกแกวซึ่งเปนพื้นโตะปูผาขาวนั้น เต็มไปดวยหยดเลือดและมีด
แหลมคมเปอนเลือดวางอยูใกลๆ

หลังภาพมีกระดาษเขียนปดไววา ‘ความสุขบนความตาย'

เปนภาพที่สะเทือนอารมณและนึกไปไดถึงหลายเรื่องหลายราวบนโลกที่พองพาน มติไมนิยมเรื่องโหด
เหี้ยมอํามหิต เขาคงไปพบขาวหรือเหตุการณใกลตัวบางอยาง แลวเกิดแรงบันดาลใจจะใชความเปน
ศิลปนสะทอนความรูสึกที่ไดรับออกมาเทานั้น อีกทั้งคงไมตั้งใจจะขายภาพนี้แตอยางใด...มันนากลัวเกิน
ไป

นําภาพที่ชมแลวไปวางพิงผนังดานวาง แลวกลับมาเลือกดูภาพตอๆไป มติวาดหลายแบบ มีทั้งธรรม


ชาติ วัดวาอาราม เหตุการณสับสน คนเหมือน ตลอดจนรูปทรงพิสดารหลากหลายจากจินตนาการ ลวน
ทรงชีวิตชีวาใหสัมผัสรูสึก อยางรูปคนเหมือนนี่ราวกับจองมองหลอนดวยกระแสตาของคนจริงๆ คลาย
กอปรพรอมดวยชีวิตวิญญาณที่อาจขยับเขยื้อนหรือเปลงเสียงพูดกับหลอนไดเดี๋ยวนั้น

มติทําใหแพตรีซาบซึ้งวาศิลปนฝากพลังและวิญญาณไวกับงานอยางนี้เอง ภาพวาดของเขามีความ 'จริง'


เสียยิ่งกวาภาพถาย ก็ดวยใจที่ฝากไวนี่แหละ

มีอีกภาพที่กวางใหญผิดจากกรอบอื่นคอนขางมาก ใหหลอนกางแขนทั้งสองออกจนสุดก็ยังกวางไมเทา
เห็นแลวสะดุดตาสะดุดใจแตแรก มันเปนภาพดวงประกายพรึกฟาอมทองสวางไสวงามงดดวงหนึ่งใน
๘๘

หวงมืด ลอมรอบดวยวงรี มองผาดๆแลวคลายภาพดาวเสารกับวงแหวนนั่นเอง ตางกันตรงที่ดาวเสาร


ถูกแทนดวยดวงประกายพรึก และวงแหวนถูกแทนดวยพระพุทธเจาหลายองคขัดสมาธิคูบัลลังกเรียง
รอบ

ยิ่งแปลกตรงที่รูปโฉมของแตละพระองคตางกันมาก ปราศจากเอกภาพโดยสิ้นเชิง บางองคมีพระ


กรัชกายตามมหาปุริสลักษณะ เชนพระหนุดุจคางราชสีห บางองคมีพระหนุเหลี่ยมดุจชายผูทรงภูมิทั่วไป
บางองคมีพระฉัพพรรณรังสี บางองคแคมีรัศมีสงา บางองคมีมวยเกศา บางองคปราศจากเกศา บางองค
ดูทวม (ตามลักษณะการสรางพระพุทธรูปของบางประเทศ) บางองคดูสมสวนองอาจ ผิดแผกแตกตางนับ
แตพระพักตรไปจนถึงพระกาย ราวกับมิใชรูปพระมหาบุรุษองคเดียวกัน ทวาพิศผาดแลวทราบทันทีวา
เปนพระพุทธเจาทั้งสิ้น

นี่คงเปนรูปที่มติคิดวาดแบบเผื่อเลือกเพื่อนําเขาประกวดอีกชิ้นหนึ่ง แตไมตัดสินใจสงดวยเหตุผลอยาง
ใดอยางหนึ่งของเขา แพตรีพยายามตามความคิดมติ ภาพนั้นชื่อ ‘พระพุทธเจา' ดูผิวเผินเหมือนมีเจตนา
เหนี่ยวนําใหนึกถึงดาวพระเสาร หลอนตาสวางและคิดขึ้นไดวาเมื่อพูดถึง ‘ดาวเสาร’ เรารูวาคือดาว
เคราะหดวงหนึ่งที่มีวงแหวน แตเราจะไมนึกวาดาวเสารคือวงแหวน เชนเดียวกับเมื่อพูดถึง ‘พระพุทธ
เจา’ เราก็ไมควรนึกถึงพระกรัชกายที่เปนเนื้อหนังมากกวาพระธรรมกายอันเปนเนื้อแท เราเถียงกันเสมอ
วาพระองคมีรูปโฉมผิดแผกหรือเหมือนสามัญชน ซึ่งเถียงใหคอเปนเอ็นอยางไรก็ไมมีวันพิสูจนได ในเมื่อ
พระกรัชกายอันเปนรูปธรรมสิ้นสูญไปแลว

ดวงจิตของพระองคตางหากที่พิสูจนได เพราะถาเปนของจริง คําสอนก็ตองจริงตาม ปฏิบัติแลวไดผล


เปนประกายพรึกชนิดเดียวกันไปดวย

รูปโฉมอันเปนกายหยาบนั้นอยูเพียงรอบนอก ขอเพียงพระรูปหนึ่งๆโนมใจใหศรัทธาและระลึกถึงพระทัย
อันบริสุทธิ์ทรงคุณไดก็เพียงพอแลว ใจที่นึกถึงพระองคแลวเปนกุศลไดจริงๆนั่นแหละควรเปนสิ่งนา
คํานึง

เพียงดวยรูปนั้น จินตภาพเกี่ยวกับพระพุทธเจาของแพตรีเกือบถูกเปลี่ยนไปอยางสิ้นเชิง นี่เปนภาพแทน


พระสุคตที่ลึกซึ้งมาก ดวงประกายพรึกสื่อถึงจิตสวางรูพนกิเลสของพระสัมมาสัมพุทธะ ควรเปนสิ่งเดน
ชัดที่นามองใหเห็นมากกวารูปพระกายของพระองค

นี่เองหนาที่หนึ่งของศิลปน คือเปลี่ยนโลกทัศนของผูพินิจงานของพวกเขาดวยมุมมองภายในที่แตกตาง
ผานภาพวาดอันเปนรูปธรรมจับตองได

แพตรีมีความรูและสายตาที่ไมคมลึกนักกับงานศิลปะ แตวัดดวยความเปนผูมีตาชางสังเกตใหกับสิ่งสวย
งาม หลอนก็พอบอกไดวาไมแปลกเลย ถาตอไปมติจะโดงดังขึ้นมาในวงการสักคน
๘๙

ภาพเขียนดีๆเปนสิ่งมีพลังดึงดูดสายตาในตัวเอง เปนสิ่งที่เห็นแลวกอความสุขใหแกคนรูจักดู รูจัก


พิจารณาได เปนสื่อจินตนาการจากใจถึงใจได เปนความหมายแทนคําพูดพันคําได และเปนอะไรตอมิ
อะไรอีกหลายตอหลายอยางสุดแลวแตผูสงสารและผูรับสารจะมีความกวางยาวลึกทางอารมณและความ
คิดสอดรับกันเพียงไร

"ถาภาพพวกนี้ถูกขายออกไปสมคาตามจริง แคสิบภาพพี่ก็วาเธอนาจะมีแกลอรี่ของตัวเองแลวละ เปน


หองโตๆดวย"

แววเสียงหัวเราะขันเหมือนมติกําลังเดินใกลเขามา

"เธอเกงมากนะมติ"

แพตรีชมซ้ํา พลางนําภาพพระพุทธเจาแยกไปวางตางหากในที่สูงกวาภาพอื่น ออกจะนึกตําหนินองชาย


อยูในใจที่ไมคัดแยกกลุมภาพใหเหมาะควร รวมภาพทุกประเภทไวในตั้งเดียวกันบนพื้นอยางนี้ อยางไร
ก็ตามใบหนาของหลอนยังคงบมดวยความพอใจสบายตาไมสราง ทวาเมื่อหันกลับมายังภาพสุดทาย ก็
ชะงักงัน หนาซีดลงเกือบจะในทันที กอนที่ครูหนึ่งจะกลับแดงขึ้นจนเขม

นานครั้งที่หลอนจะเกิดอาการตะลึงตะไลไมคาดฝนอยางเดี๋ยวนี้ ตรงหนาคือภาพคูบาวสาวในชุดวิวาหที่
งามเกินจริงสมกับเปนรูปวาด ไมมีสิ่งอื่นใดนอกจากคูบาวสาว รอยยิ้ม ชอกุหลาบสีชมพู และกลิ่นไอ
ความสุขสีขาวอมฟากวางไกล ภาพดูมีชีวิต มีมิติเคลื่อนไหวได ราวกับหนุมสาวในรูปกําลังสงยิ้มถึง
หลอนโดยเฉพาะ

มติเปนคนมีฤทธิ์ และเขาก็ฝากฤทธิ์แรงที่สุดไวกับภาพนี้

"อยางที่บอกใชมั้ยฮะ ชีวิตผมยังมีอยากที่ยิ่งไปกวาศิลปะ"

หญิงสาวหันขวับไปทางตนเสียง ถึงกับมือไมสั่น เขากําลังยืนพิงกรอบประตูหอง แววตาที่ทอดสบกับ


หลอนดูสงบเงียบนิ่งเย็นไมเปนอันตรายอยางไรก็อยางนั้น

ภาพชื่อ ‘สมรส' เจาบาวคือเขา เจาสาวคือหลอน...


๙๐

เกาทัณฑขับรถกลับที่พักดวยความรูสึกเศราอยางประหลาด มีความอาลัย เสียดาย คลายทําสิ่งหวงแหน


หาย

หวงแหน…

เคยหวงมานับครั้งไมถวน ผิดกันก็แตคราวนี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป กับทั้งรุนแรงและกัดลึกอยางนาอับอาย


จิตใจวนเวียนอยูกับภาพบาดตาที่บานปูชนะเมื่อครูจนคลายตกอยูในหวงฝนหลอน

ชายหนุมหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อรถจอดที่แยกไฟแดงแหงหนึ่ง หัวเราะเพราะขบขันความบาบอของตน
เอง กะแคเห็นผูหญิงคนหนึ่งที่...นาสนใจ...อยูกับชายอีกคนหนึ่งที่ไมใชเขา ถึงกับเกิดอาการวังเวงเชียว
หรือ? หลอนมีดีอะไรกัน ก็แคสวย เขาหาสวยๆ อยางนี้ไดเยอะแยะ

หรี่ตามองออกไปนอกกระจกรถ สบตากับสาวนอยในรถดานขาง หลอนนั่งอยูริมซายและเผอิญหันมา


จังหวะพอดีกัน

กะพริบตาทีหนึ่ง ตางฝายตางมีแรงดึงดูดที่ทําใหไมอาจถอนสายตาจากกันงายนัก แตชั่วขณะเมื่อใจเกิด


นึกเปรียบเทียบกับผูหญิงอีกคนที่บานปู เกาทัณฑก็เบือนหนาไปทางอื่น ไดคําตอบบางอยางใหตนเอง

เกือบจะเปนครั้งแรกๆในชีวิตที่นึกขึ้นได วาตลอดมาเขาตีคาผูหญิงดวยรูปรางหนาตาเปนหลัก เพียง


เพราะหลงใหลอยากกอดจูบสิ่งที่เห็นและจับตองไดภายนอก ถารวย เกง พูดจาดี ก็จะเปนแคปจจัยเสริม
ใหรูสึกเราใจขึ้นกวาเดิมเทานั้น ไมใชสิ่งสําคัญที่เขาจะคํานึงถึงและยกยองวาควรคาแกการฝากใจอะไร
เลย

เดี๋ยวนี้รูแลว วาคาทางใจมีความหมายอยางไร...

มาถึงหองพักและเปดตูเย็นทําแซนดวิชทานไปแกนๆ เลิกคิดวกวนและพยายามกลับมาเปนตัวของตัว
เอง เขาเกลียดเรื่องรบกวนจิตใจที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทุกชนิด
๙๑

เมื่อทานอาหารเที่ยงมื้องายเสร็จก็เขาหองน้ํา ขัดสีฉวีวรรณเสียใหมจนแจมใส ผิวปากหลอกตัวเองวา


กําลังสดชื่น เห็นเจาหลอนที่รบกวนจิตใจเขาเปนแคผูหญิงอีกคนหนึ่ง หลอนไรรสนิยมจนมองไมเห็นคา
ในตัวเขา ทําไมเขาจะตองพยายามลืม แบบหลอนนี่นาลืมโดยธรรมชาติอยูแลว

หลอกตัวเองใหคิดและเชื่อเชนนั้น ก็ดันนึกขึ้นมาไดอีกวามีแตเขาเทานั้นที่เปนฝายเห็นคาหลอน รสนิยม


ชั้นสูงของเขานี่แหละที่ใหคาหลอนปนระดับขึ้นจนเกินขีด ตองวาวุนอยางนารําคาญตัวเองอยูนี่ เสียเชิง
พิลึกละ

เมื่ออาบน้ําแตงตัวเรียบรอย มายืนอยูนิ่งๆกลางหองโดยไรความคิดหลอกตัวเอง ก็พบความจริงที่เหลือ


ฝนจะยอมรับ นั่นคือเขากระวนกระวาย คิดถึงหลอน อยากคุยกับหลอน อยากใหตนไปถึงบานปูเร็วกวา
นั้น กอนหนาที่ใครมาชิงจับจองเวลาไปกอนเขา

ชายหนุมยกมือเสยผม เกลียดความหดหูที่เกิดจากเพศตรงขาม แบบเดียวกับคนเชื่อมั่นวาตองสอบได


คะแนนเต็มเสมอ ตองมาพบวาครั้งหนึ่งตกรูดอยางหมดทา

สั่งตัวเองวาตองเคลื่อนไหว ตองหาอะไรทําใหลืมหลอน ซึ่งดูไมนาจะยากนัก

หยิบวารสารตางประเทศที่ชอบขึ้นมากางอาน เรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหมๆจับใจเขาไดเสมอมา เขา


สามารถอานหนังสือเชิงเทคนิคที่ยุงยากสลับซับซอนไดดวยความรูสึกผอนคลายแบบเดียวกับหนังสือ
อานเลน สงบใจขลุกขลุย เพลิดเพลินอยูไดเปนวันๆ

ลําบากตอนรวบรวมสติใหมีใจนึกตามขอความที่กําลังผานตา แตความเคยชินในการไลสายตาแบบไล
กวาดลงทีละบรรทัดบังคับใหเกิดการรวมกระแสสติในเวลาอันสั้น สายตาของเขาเห็นไดกวาง เก็บไดครบ
เขาอกเขาใจถี่ถวน และจําไดแมน คลื่นความปนปวนในสมองเมื่อครูถูกแทรกแซงดวยคลื่นความคิดอาน
ความคํานึงนึกตางรูปแบบที่เปนระบบระเบียบมากกวากัน

อานจบไปสองเรื่องก็ลุกขึ้นรินน้ําอัดลมใสแกว เปดสเตอริโอฟง แลวกลับมานั่งเอกเขนกอยางบรมสุข


หยิบหนังสือขึ้นพลิกหาเรื่องอานตอ ปากดูดน้ําจากแกวในมือแลววางลงบนโตะกระจกขางตัวดังกริ๊ก
เล็กๆ เกิดความรูสึกขึ้นมาในชั่วขณะนั้นวาชีวิตคนเราเต็มไปดวยรายละเอียดและสีสันหลายหลาก หาก
จะพลิกจากทุกขเปนสุข หรือสุขเปนทุกข ก็ขึ้นอยูกับการตัดสินใจเลือกหยิบสิ่งที่มีอยูรอบตัวแตละคนขึ้น
มา

ลืมน้ําผึ้งผสมบอระเพ็ดอึกเดิมไปเสียได มีใจเต็มๆใหกับขาวคราวทันสมัยเรื่องแลวเรื่องเลา หมดเรื่องนา


สนใจเลมหนึ่งก็หยิบอีกเลมขึ้นอานตอ กระทั่งเงยหนาดูนาฬิกาบนผนังหอง เห็นไดเวลาออกกําลังก็ลุก
ขึ้นบิดขี้เกียจ เขาชอบกีฬาหลายอยาง ตอใหเปนวันทํางานก็ตองหาเวลาเล็กๆนอยๆยืดเสนยืดสายเสีย
หนอย ยิ่งถาเปนวันหยุดอยางนี้ก็มีโอกาสบันเทิงกับการกีฬาไดมากขึ้น
๙๒

เลือกไปวายน้ํา เกาทัณฑโทร.ไปชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยูในอาคารเดียวกัน แตหมอนั่นออกไป


ขางนอก เลยตัดสินใจไปคนเดียว

สระวายน้ําแหงนั้นอยูบนยอดตึกโรงแรมชั้นหนึ่งกลางกรุงซึ่งใกลกับที่พัก มีคนมาลงวายประปรายทั้ง
ไทยและฝรั่ง เปนผูใหญลวนๆ สวนมากรวย เพราะคาบริการและคาสมาชิกแพงหูฉี่สมกับที่อยูชั้นลอยฟา

วันนี้พอมาถึงก็กระโจนลงวายเอาๆเปนปลา ไมรูวากี่รอบตอกี่รอบ ถานับเปนระยะคงเกือบสองกิโลฯ เขา


วายน้ําทน เมื่อสมัยเรียนมัธยมเคยเลนกีฬาใหโรงเรียน ไดยืนบนแปนหมายเลขหนึ่งบอยกวาใครเพื่อน

ขึ้นจากสระดวยอาการมึนนิดๆ ปนี้เขายังไมถึงยี่สิบหก แตเหมือนรางกายเริ่มเปลี่ยนไปจากแตกอน


ความอึดความทนลดนอยลง นั่นทําใหไพลนึกถึงความเปนอนิจจังแหงสังขารขึ้นวูบหนึ่ง คิดแลวก็หัวเราะ
ถาเห็นอะไรๆเขาขายความเปนอนิจจังอยางนี้บอยๆคงแกทันปูชนะในเร็ววัน

เช็ดตัว เช็ดผม แลวลงนั่งผึ่งลมบนเกาอี้ยาวริมสระ ทอดตาดูน้ําสีฟาสวยใสที่มีชาวไทยและเทศลงไป


สําเริงสําราญกัน 4-5 คน มันเปนยามเย็นที่นาระรื่นบนตึกสูงขนาดควันรถขึ้นมากวนไมถึง ลมพัดเฉื่อย
ฉิวทามกลางบรรยากาศสบายดวยสวนหยอมประดับพื้นที่ แถมมีตาสีเขียวมรกตปงๆของสาวผมทองสง
มาใหจากฝงสระตรงขามอีกตางหาก

ชายหนุมสงตาตอบพลางจุดยิ้มมุมปากหนอยๆ ทาทางหลอนเอกเขนกตรงนั้นนานแลวและกําลังเฝามอง
เขาอยูทุกขณะ การวายไปวายมาไมหยุดก็เปนจุดเดนของสระไดเหมือนกัน เพื่อนๆวิจารณดวยความ
อิจฉาเสมอเกี่ยวกับความกํายําไดรูปสวยของเรือนกายเขา โดยเฉพาะเมื่อกําลังวายฟรีสไตลหรือทาผีเสื้อ
อยูในน้ํา และจากการเห็นเองแทบทุกครั้งเมื่อขึ้นจากน้ํา ก็มักพบสายตาชนิดนี้จากเพศตรงขามสงมาให
เปนประจํา

เกาทัณฑยีผมบนศีรษะเบาๆดวยผาขนหนู สายตายังวางจับแนนิ่งไปทางสัดสวนโดดเดนในชุดวายน้ํา
เวาแหวงลอตาจนหลอนตองแสรงเมินไปทางอื่นอยางมีมายา สะสวยไมใชเลนทีเดียวละ ประมาณจากตา
เปลาเดี๋ยวนี้ เก็งดูอายุแคเฉียดสามสิบ ทรวดทรงองคเอว ขา แขน ผิวกายยังไรที่ติไปทุกกระเบียดเนื้อ
ทวงทีสํารวยระเหิดระหงเทาที่เห็น ชวนใหนึกชมมองไมเบื่อ ตอใหถูกบังคับหามถอนสายตาไปจาก
หลอนสักชั่วโมงก็ตาม

ดูทาคงไมใชแหมมที่มาเมืองไทยตัวคนเดียว หลอนอาจมากับแฟน กับเพื่อน หรือกับพอแม แตสายตาที่


หวนกลับมาสบอยางเปดเผยนั้นประกาศใหทราบชัดราวกับมีโทรจิตสื่อกันวาเขาอาจเดินเขาไปทักทาย
ทําความรูจักกับหลอนได และหลอนก็พรอมที่จะมีเพื่อนชายชาวไทยสักสองสามวันโดยไมมีใครมากั้น
ขวางขัดกลาง

ความคิดของเกาทัณฑลึกลงไป คนเจนโลกียดวยกันยอมดึงดูดเขาหากันโดยงายคลายมีแมเหล็กคนละ
ขั้วฝงอยูในตัวแตละฝาย เชื้อชาติที่แตกตางคือรูปแบบแปลกตานาระทึก วาดไดเปนฉากๆวาหาก
๙๓

ตองการรูจักหลอน เขาจะตองเขาไปดวยลีลาเชนไร เริ่มตนทักดวยคําพูดใด และหลอนจะมีทีทาโตตอบ


มาไมไหน ในที่สุดเขาจะตอนหลอนเขามุม ลงเอยเกษมสันตหรรษากันครั้งแรกถึงใจเพียงใด ความขึ้นใจ
กับเกมชีวิตประเภทนี้ทําใหเขามีสัมผัสตอเหตุการณที่กําลังจะมาถึงไดชัดเจนราวกับเกิดขึ้นแลว

เกาทัณฑรูวาถาปลอยหลอนผานไป พลาดโอกาสทําความรูจักเสียเดี๋ยวนี้ คงหมายถึงการจากกันชั่วนิ


รันดร เหมือนไอศกรีมสุดอรอยที่จอปากอยูรอมรอ จะอางับก็งายนิดเดียว แตเมื่อรอนาน มันก็จะละลาย
หาย หมดเวลารับรางวัลสําหรับคนออยอิ่ง

ร่ําๆจะลุกขึ้นและกาวเดินไปสูอนาคตคือวิมานฉิมพลี แตเวรกรรมที่ยังจําไดชัดวาใหสัญญากับหลวงตา
แขวนไวอยางไร ตลอดอาทิตยนี้เขาจะตองงดเสพกาม…

ถอนใจเฮือก เตือนตนเองวาแมสบตาดวยกระแสความรูสึกใครอยากเชนนี้ก็เทากับละเมิดสัญญาทีละ
นอย เหมือนปลอยขาศึกใหเขาประชิดเมือง ขึ้นชื่อวาขาศึกนั้น เมื่อถึงเมืองแลวจะใหอยูเฉยหรือถูกเชิญ
ถอยไปดีๆคงไมมี อยางไรก็ตองปะทะ อยางไรก็ตองลมตายกันในที่สุด

ดีเหมือนกัน เมื่อทุกอยางผานเลยไปแลวๆเลาๆ ถึงเวลาเสียทีกระมังที่เขาจะปรารถนาบางสิ่งที่ลึกซึ้ง


กวาการเสพสมเนื้อหนังมังสา ถึงเวลาแสวงหาผูหญิงสักคนที่ทําใหรูจักโลกนี้ในอีกมิติหนึ่ง ที่หางไกลจาก
เบื้องต่ําอันอุดมดวยความหยาบโลนชั่ววูบผานผิวเผิน

เกาทัณฑลุกขึ้นเดินจากสระแหงนั้นไปไมเหลียวหลัง ตอนนี้จะคิดอะไร ทําอะไร ใหมาลงเอยที่เจาหลอน


หลานปูชนะจนไดซีนา

ทานขาวเย็นคนเดียวจนอิ่มตื้อ นี่เห็นจะเปนการอยูตามลําพังที่ยาวนานทําลายสถิติทั้งหมดในชีวิตกระมัง
เขาเดินขึ้นลิฟทเขาหองพักคนเดียว ไมขับรถไปที่บานเพื่อนคนไหน ไมแวะเคาะประตูหองใคร และหนัก
ที่สุดคือไมแยแสเสียงกริ่งโทรศัพทที่ดังขณะไขกุญแจประตูหอง ปลอยใหเครื่องตอบรับอัตโนมัติทํางาน
แทน

"นี่แอพูดนะคะ เพื่อนๆนัดเจอกันที่เดิมคืนนี้สี่ทุมครึ่ง ไปใหไดนะ...ปดมือถือไวเหรอ ติดตอทั้งวันไมได


เลย"

เสียงแจวๆจากลําโพงเครื่องตอบรับมิไดทําใหเขายินยลสักนิด ถาเปนเมื่อเดือนกอน เขาคงวิ่งหนาตื่นไป


ปดเครื่องตอบรับและควาหูโทรศัพทขึ้นพูดโดยพลัน เพราะหลอนที่เรียกตัวเองวา ‘แอ’ กําลังเปนปลามัน
ชิ้นงามที่เขากับเพื่อนสนิทคนหนึ่งออกแรงแยงกันอยางสนุกสนาน ยิ้มเปดโลกกับทวงทีเกไกเฉพาะตัว
รวมทั้งแบบฉบับสาวเกงผิดวัย ทําใหหลอนมีเอกลักษณพิเศษบาดใจเกินใคร
๙๔

ยืนฟงเพื่อนสาวตัดพอตอวาอยางเซื่องเฉยคลายสมองเลิกทํางาน เชื่อแลววาตนกําลังหลงผูหญิงคนหนึ่ง
อยูอยางไมอาจเปดหูเปดตาใหใครอื่น

จนเสียงจากลําโพงเครื่องตอบรับเงียบสนิท จึงเดินเขามายกกระบอกโทรศัพทขึ้น กดเบอรตอสายไปที่


บานพออยางปราศจากจุดหมาย

"ฮัลโหล"

เสียงหาวลึกตอบมาเมื่อสัญญาณดังเพียงสองครั้ง

"พอเหรอฮะ" เกาทัณฑทัก "ผมนะ"

"ไง นายเต หายเงียบไปเลย"

พอทักตอบเนือยๆ มีเสียงพลิกกระดาษแววเขาหู เกาทัณฑจึงรูวาพอกําลังนั่งตรวจงาน อันเปนกิจวัตรที่


เขาเห็นจนคุนมาแตไหนแตไร

"ฮะ" เขาพูดซึมๆ "ไมเจอกันนานแลว วันอาทิตยพรุงนี้ผมจะไปทานขาวเชาดวย"

"เออ ดี แมบนคิดถึงแกอยูเมื่อวานนี้เอง ทําอะไรอยูไมโผลหัวมาเลย"

"กําลังสนุกกับชีวิตนะฮะ"

ลูกชายตอบกลั้วหัวเราะเอื่อย

"เสียงเหมือนไมสนุกอยางปากพูดเลยนี่ฮึ"

พอของเขาไวและแมนเสมอกับความจริง โดยเฉพาะความจริงที่ถูกซอนไวดวยความพยายามของมนุษย
เกาทัณฑหัวเราะออกมาอีก แตคราวนี้ขบขันตนเองที่ปลอยใหพอรูวากําลังหอเหี่ยว แมเพิ่งไดยินเสียงแค
สองสามคํา

"มีอะไรใหทําเยอะฮะ ชีวิตมีอะไรแปลกใหมเขามาไดเรื่อยๆ…"

เขาหมายความตามนั้น แลวก็แตงเสียงใสขึ้นเหมือนจะเบี่ยงเบนหัวขอสนทนาใหราเริง

"พอ…ผมไปเยี่ยมปูชนะมา!"

"เหรอะ" พอทําเสียงไมคาดฝน "ขับไปแถวนั้นแลวน้ํามันหมดพอดีรึไง?"


๙๕

เกาทัณฑยิ้ม พูดแลวก็เพิ่งรูวาโทร.หาพอทําไม เขาตองการคุยกับใครสักคนที่นาจะรูจักหลอนคนนั้น


อยากฟงอะไรก็ไดที่เกี่ยวของกับหลอน

“ตั้งใจไปเยี่ยมสิฮะ เกิดไปติดเนื้อตองใจสาวสวยในบานปูมาดวย"

ชายหนุมอําพรางความในใจดวยการพูดเรื่องจริงใหฟงเหมือนเลน พอเงียบเหมือนอึ้งไป กอนจะเอยเนิบ

“แกไมไปหาปูตั้งหลายปแลวนี่ กอนไปเรียนโทใชไหม?”

“ฮะ นานไปหนอย…แปลกนะพอ ผมนาจะรูจักแพมาไดตั้งนานแลว ทําไมเหมือนเพิ่งมาเห็นก็ไมรู”

“สงสัยเพราะเพิ่งสวยนะซี”

ผูเปนพอทําเสียงรูแกว ทําใหฝายลูกหัวเราะเกอๆ

“พอนึกออกเหมือนกันแหละฮะวาเคยเห็นเขายืนเดินอยูในบานปู แตเหลือเชื่อที่โตแลวตางกับสมัยกอน
อยางกับเปนคนละคน”

“แกก็ไปบานปูไมกี่ครั้งนี่นะ สวนใหญฉันพาไปไหวตอนปูมาคางที่บานอา แลวตอนวัยรุนนะแกเตะยังกับ


อะไร ทาทางเหมือนไมเคยมองหนามนุษย คนเราตอใหอยูบานติดกัน แตถาไมเคยมองหนาใหเต็มตา
เจอขางนอกก็นึกวาคนอื่น”

เกาทัณฑเห็นจริงตามนั้น คําพูดของพอทําใหเพิ่งตระหนักวาสมัยกอนเขาไมเคยมองหนาหลอนใหจะแจง
เลยสักครั้งเดียว อีกอยางชวงนั้นบานปูมีคนเยอะ เขาติดจะขี้รําคาญ ขนาดญาติที่ตองยกมือไหวยังขี้
เกียจมอง ประสาอะไรกับเด็กผูหญิงที่ยังปราศจากฝาดเลือดสาวสะพรั่งอยางหลอน

"ปูไดมายังไงฮะ?"

“เห็นวาเปนลูกหลานของคนรูจักเกาแกนะ ปูแกไปเยี่ยมแลวเห็นเพิ่งเสียชีวิตกะทันหัน ญาติๆเกี่ยงกัน


เพราะตางมีภาระ มีลูกเตากันอยูแลว ปูสงสารเลยขอรับมาเลี้ยงเอง”

ชายหนุมยิ้มแหย

“จดทะเบียนรับเปนลูกบุญธรรมหรือฮะ?”

“เปลา ชวงนั้นลุงของแกอายุมากพอจะเปนธุระใหแลว ปูเลยขอใหเปนพอในนามแทน แตตลอดมาปูเปน


คนเลี้ยงเอง”
๙๖

เกาทัณฑถอนใจโลงอก ถาปูรับหลอนเปนลูกบุญธรรม แมจะเปนเพียงในนาม ก็คงตองถือวาหลอนเปน


นองสาวพอเขา

"รูชื่อจริงเขาไหมฮะ ผมไดยินแตปูเรียกแพ"

"แพตรี"

เกาทัณฑตาสวาง เปนนามที่ฟงสะดุดหู

"แพตรี…” เขาทวนคํา “เกดีแฮะ เกิดมาเพิ่งเคยไดยิน”

ยิ่งทวนชื่ออยูในใจยิ่งรูสึกวาหลอนโดดเดนอยางประหลาด พอลูกเงียบเสียงกันพักหนึ่ง อยางที่ตางฝาย


ตางคิดไปคนละทาง

"ดูตอนปูมองแพหรือพูดถึงแพ รูสึกทานรักเหมือนเปนลูกจริงๆ"

"คงธรรมะธัมโมเหมือนๆกันมั้ง เลยอาจถูกใจเอ็นดูยายแพเปนพิเศษ"

"เออ...แลวมีแฟนรึยังพอรูมั้ยฮะ?"

ฝายพอหัวเราะหึๆ ตั้งแตลูกชายแตกเนื้อหนุมและริจีบสาว เพิ่งเคยมีก็นี่แหละที่มาพูด มาถามซอกแซก


กับตนขนาดนี้

“นี่แกจริงจังมากหรือเต?”

เกาทัณฑเงียบไปหนอยหนึ่ง

“ถาจริงละฮะ?”

“จริงก็ดีไป แตเขาเหมือนญาติ เกี้ยวพาราสีไดเปนแฟนแลวทิ้งขวางกันงายๆไมไดนา พอเองก็เอ็นดูเขา


เคยนึกอยากชวนใหแกคบหาเหมือนกัน ผูหญิงอยางนี้ใครไดไปก็ยิ่งกวาไดแกว แตเห็นความชางเปลี่ยน
และขี้เบื่อของแกแลวกลัวใจวะ”

“อยาวาแตจะมีโอกาสทิ้งขวางเลยฮะ แคจีบใหติดยังไมรูจะไหวหรือเปลา เขา…มีบางอยางที่เขาถึงยาก


สิ่งที่เขาเลือกเหมือนจะไมมีอยูในผมหรือใครทั้งนั้น พอเคยไดยินวาเขามีแฟนไหมละฮะ?”

“ก็…เห็นเด็กใกลบานติดพันสนิทสนมกันแตเล็กนี่นะ ที่ชื่อ…อะไรละ ลืมแลว”


๙๗

เสียวหัวใจปลาบ รูทั้งรูวาอาจไดยินอะไรอยางนี้ยังดันถามออกไปอีก เกาทัณฑแกลงหัวเราะกลบเกลื่อน


กอนจะเบี่ยงหัวขอสนทนาไปทางการเมืองหนาตาเฉย ไมแวะเวียนมาใกลเรื่องราวในบานปูชนะอีกเลย

เปนครูจึงขอวางสาย และยืนยันวาพรุงนี้จะไปทานขาวมื้อเชาดวย ล่ําลาเรียบรอยจึงวางโทรศัพทลง กลับ


มานั่งถอนใจตามลําพัง นึกถึงแตชื่อแพตรีวนไปเวียนมา กระแสใจไหลวนเขาไปรวมอยูกับมโนภาพ
ความเปนหลอน แตพอนึกถึงไอหนุมที่มากดออด ก็หงุดหงิดหัวใจขึ้นมารําไร คําพูดของพอยืนยันวา
สายตาคนภายนอกเห็นแพตรีกับหมอนั่นเปนแฟนกัน เพราะคบหาสนิทสนมมาแตเล็ก เหลือเชื่อเลยวา
เปนไปได แคความสวยหวานที่เปนผิวนอกของหลอนก็เพียงพอที่จะดึงดูดลูกชายอาเสี่ยรอยลานพันลาน
มาติดพัน ชนิดยินดีรับบัญชา พรอมจะเอาเบนซสปอรตพุงปราดมารับไปจายตลาดหนาปากซอยทันใจ
ขอเพียงหลอนโทร.ไปเรียก นี่ตลกอยางไร แพตรีถึงเลือกเอาแคนี้?

เขาเองออกจะพรอมไปทุกสิ่ง สายตาของผูหญิงที่ผานมายืนยันใหเชื่อมั่นในตัวเองไดอยางลนเหลือ แต


กําลังคุยกับหลอนแทๆ พอหนุมรุนนองมาเรียกทีเดียวถึงกับกระวีกระวาดลุกไปเปดประตู ลืมสนิทวา
กําลังคุยกับเขาอยูกอนหนา

คนเคยเปนหนึ่ง เปนตัวเลือกแรกมาตลอดอยางเขานะหรือ ดอยกวาเจานั่น?? หนาตาทาทางเหมือนขอม


ดําดินอยางนั้น เกาทัณฑเชื่อวาแมแตผูหญิงที่เขาทิ้งไดในคืนเดียวยังเมินเลย

เอาก็เอาซี มันตองมีครั้งแรกเสมอ เกิดมาเคยแตชกกับรุนใหญ ถาตองลดชั้นลงไปฟดกับมวยวัดมั่ง ก็ทํา


ใจคิดเสียวายอมเปอนเพื่อควานหยิบเพชรซึ่งเผอิญหลนไปอยูในตมแลวกัน

เลหรักมีออกเต็มกระเปาจะไปกลัวอะไร ถาเลหรักหมดกระเปาก็งัดกล งัดลูกไมมาตอ และถาลูกไมไมได


ผล...เขากําลังสั่งสมพลังจิตใหมีอํานาจเหนือมนุษย จะแปลกอะไรที่ขั้นสุดทายจะทุมดวยมนตรคาถาเพื่อ
เอาหลอนมาเปนของเขา

คิดชั่วไดดังนั้นก็ชักกระฉับกระเฉง นึกขึ้นมาวานาจะไดเวลาฝกหัดภาวนาสมาธิเสียที

เขาหองน้ําชะลางคราบไคลและกลิ่นคลอรีนจากสระ เพียงสิบนาทีใหหลัง เกาทัณฑก็มานั่งเขาที่ ขัด


สมาธิคูบัลลังกกลางหอง ตัวตรงไมเกร็ง มือขวาทับมือซาย ขาขวาซอนขาซาย เลิกคิด เลิกพะวงเรื่องอื่น
ใดทั้งหมด

สํารวจตลอดองครางที่นั่งคูบัลลังกอยู ดูวามีสวนใดเครียดหรือเกร็งบาง ก็พบวาสวนหลังและนองซาย


เกร็งๆอยูเล็กนอย จึงทําตามสูตร คือสั่งกายใหละลายความเกร็งทั้งหมดนั้นลง กลามเนื้อทุกสวนจึงวาง
อยูบนรูปนั่งที่ผอนคลายไมไหวติง มีศูนยและสมดุลที่เหมาะแกการคงสติระลึกรูอารมณสมาธิ

กายที่สบายนั้นเองปรุงใหใจสบายตาม กายที่ตั้งตรงนั้นเองค้ําสติใหดํารงมั่น
๙๘

อากาศเย็นพอเหมาะและความเงียบรอบดานชวยไดมาก ชายหนุมกําหนดสติเขามาที่กายนั่ง ทราบ


จังหวะความตองการดึงลมหายใจเขาตามจริง ก็อัดลมเขาเต็มปอด แลวผอนระบายออกพรอมกับเริ่ม
กํากับสติรูวาหายใจออก เมื่อรูจนสุดลมก็กําหนดสติอยูกับกาย เมื่อกายตองการลมเขา ก็ลากลมดวยสติรู
วากําลังหายใจเขา กับทั้งทราบชัดวายาวหรือสั้นดวย

ทําไปทํามาเขาออกเพียงสองสามครั้งอยางถูกตอง ทุกอยางก็เหมือนเขาที่อัตโนมัติ เมื่อกายกับใจ


ประสานเปนหนึ่งเดียวกัน ไมขัดแยงกัน ใจทําหนาที่เพียงมีสติจอกับกาย ทราบความตองการของกาย
อยางตรงจังหวะ วาเมื่อไหรควรคายลมออก เมื่อไหรจะควรดึงลมเขา ไมเรงรอนตามอําเภอใจ นานไปลม
หายใจก็ปรากฏเปนสายเดียว จิตแยกไปตั้งมั่นเปนฝายรู เรียบงายตรงไปตรงมา สงผลใหกายนิ่ง ไมไหว
ติงสวนอื่นใดนอกเหนือทางเดินลม

พอกายกับใจปรับตัวเขาสูภาวะละเอียดขึ้น จิตก็เห็นนิมิตสายลมหายใจนิ่มนวลและเหยียดยาวเหมือน
สายน้ําตก ความรูสึกแผออกสบายไมกระจุกตัวอยูที่ใดที่หนึ่งใหอึดอัด เมื่อจิตดิ่งลงสูความเงียบนิ่ง เมื่อ
นั้นเสียงความคิดในคลื่นสมองก็เงียบตามไปดวย มโนภาพและหนาตาของผูทําสมาธิหายไป สายลม
หายใจเปนเสมือนแทงแมเหล็กดึงดูดกระแสจิตใหเขามาผนึกตัวรวมกัน ยิ่งรูชัดในสายลมหายใจมากเทา
ไหรก็ยิ่งแนวนึกแนบนิ่งเปนหนึ่งเดียว มีความเปนปกแผนแนนหนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เกาทัณฑเริ่มตื่นพรอมเต็มที่ จิตจับลมถนัดอยางนี้เปนที่นาสนุกดีนัก อาการนึกก็เกิดแลว อาการเขาคลุก


วงในก็เกิดแลว ความสงบเย็นแบบที่เรียก ‘ปสสัทธิ’ ก็เกิดแลว ลักษณะกระแสจิตจึงเคลื่อนเขาสูสภาพล็
อกนิ่งรวมดวงชั่วขณะ บอกตนเองวานั่นเองคือขณิกสมาธิหรือสมาธิชั่วคราวเต็มบริบูรณ

ที่วาชั่วคราวเพราะรวมเดี๋ยวหนึ่ง ก็คลายออกอยางไมอาจรั้ง กับทั้งยังไมเกิดปติชนิดที่ใหผลเปนความ


สุขเอิบอาบซาบซาน

อยางไรก็ตาม เมื่อใดกระแสจิตดึงดูดเขารวมที่ศูนยกลางคือสายลมหายใจ ก็เหมือนทั้งรางผนึกติดแนน


เปนอันเดียวกันทุกสวน ทําใหรูตลอดองครางไดทั่วพรอม จิตเหมือนมีกําลังในภายใน กําหนดจี้ลงจับ
อารมณไดสนิท เชนเดียวกับรูจักใชมือจับราวโหนใหแนน

เกาทัณฑสําเหนียกถึงขุมพลังที่ซอนอยูมหาศาลในกายใจ บอกตนเองวาเขาพรอมจะกลับไปเริ่มนับหนึ่ง
ใหมไดอีกและอีก ในเมื่อมองเห็นทางสมาธิชัดเจนขนาดนี้ ไมมีอะไรมาก ไมยุงยากอยางที่คนสวนใหญ
ทอกัน ขอเพียงนั่งใหถูก ตั้งจิตใหสบาย ทราบความตองการของกายตามจริง ลมหายใจออกก็รู ลม
หายใจเขาก็รู ลมหายใจหยุดก็รู ถาฟุงซานขึ้นมาก็เทาทัน แลวทําไมรูไมชี้ เบนความสนใจกลับมาอยูกับ
ขั้นตอนระลึกลมตามแนวอานาปานสติ

นานไปเกาทัณฑยิ่งกําหนดรูไดถึงความแชมชื่นเมื่อนําลมบริสุทธิ์เขาราง และกําหนดรูถึงความผอนกาย
สบายใจเมื่อกลุมลมที่อัดอยูในอกถูกระบายออก ชักเกิดความสุขเย็นแปลกๆ เขาสามารถจับอาการรวม
๙๙

นิ่งเปนดวงสวางนอยๆของจิตไดแตแรกเริ่ม และเกือบจะทันรูวามันเสียอาการทรงตัวไปเมื่อไหร ความ


คิดฟุงซานเกิดขึ้นแทนเมื่อใด คลายเห็นหลอดไฟดับๆติดๆ ติดทีก็เกิดกําลังใจที

ครั้งหนึ่งจิตประหวัดถึงแหมมคนสวยในชุดนุงนอยหมนอยที่สระน้ํา เกิดอาการดิ้นรนซัดสายกระหาย
อยากขึ้นมาวูบหนึ่ง ในบัดนั้นเองเพิ่งเกิดประสบการณครั้งแรกที่ไดรูจักวา 'ตัดไฟแตตนลม' เปนอยางไร
เสมือนเขาเปนชางตัดตอภาพผูชํานาญ เมื่อเห็น 'ภาพผิด' โผลขึ้นมา ก็รีบเปลี่ยนไปหาภาพที่ถูกแทน
คือรีบกลับมาปกสติกําหนดรูลมแทนมโนภาพบาดจิต คลื่นกามปนปวนก็พลันสงบรํางับลงทันใด

ความดิ้นรนอันทนไดยากนั้น หากยังไมลุกลามเกาะกินแกนกายแนนหนาเกินแกแลว จะคลายลมแผวที่


ฤทธิ์นอยจนไมอาจกระชากสติใหหลุดจากราวยึดไดไหว แตถาปลอยปละละเลย สติวิ่งไลกวดภาพเกาที่
เราใจในหัวไมทัน ปลอยใหเกิดปฏิกิริยาสนองตอบทางกายเต็มที่แลว ก็เหมือนนักมวยปล้ําผูมีกําลังมาก
อาจกดคนกําลังออนใหจมน้ํามิดหัวไดงายดาย

ขยายหนาทองออกอยางใจเย็นและมีมานะ เห็นสายลมหายใจออกและเขา ตั้งสติรูไมลดละ เมื่อเกิดความ


คิดนอกลูนอกทางอีก ก็หันเหความสนใจกลับมาเพงลมหายใจอีกและอีก

ดวยความมีไฟอันโชติแรง บวกกับการปฏิบัติที่ถูกวิธี จึงไมทําใหเกาทัณฑงวงงุนหรือหลงสติ ภาวะจิต


ทรงตัวดีขึ้นเรื่อยๆจนกายกับจิตผสานกันถูกสวนถึงที่สุด ณ จุดนั้นเขาเกิดความเขาใจวาจะคุมจิตใหเปด
โลงแผออกเปนวงกวางไดอยางไร ฉับพลันก็บังเกิดความสวางไสว เบาตัวและเกิดผัสสะกระจะกระจาง
แชมชัดละเอียดออนผิดไปจากธรรมดา ลิ้มรสปติสุขแปลกใหมที่เยือกเย็นปราณีตแตกตางจากสุขอื่นที่
เคยรูจักมากอนทั้งหมด

บอกตัวเองทันทีวานี่คือภาวะการรวมตัวอยางเปนเรื่องเปนราวของจิต เกาทัณฑคอนขางจะตื่นเตน แลว


ก็ตองพบกับความเสียดายที่ไมมีความสามารถจะประคองภาวะนั้นใหเนิ่นนานออกไป ความสวางโรยลง
และเขาก็ไมสามารถผสานการนึกเขากับสายลมหายใจตอไปได เสมือนแมเหล็กเสื่อมแรงดึงดูดลงทีละ
นอยจนหมดสภาพ

เอ...นี่เองกระมังเรียกวาอุปจารสมาธิ ทั้งสุกสวาง ทั้งปติสุขในรสวิเวกดื่มด่ําล้ําคําบรรยาย แตคงเปน


อุปจารสมาธิอยางออน เพราะวูบมาเพียงนาทีเดียวก็เหี่ยวเฉาโรยราลงเสียแลว

โยคาวจรหนุมพยายามตั้งสติใหมั่นคง สํารวจความพรอมของรางกายก็พบวายังอยูในสภาพที่มีกําลังใช
งานได นึกถึงภาวะนิ่งปราณีตดวยความหวนคิดอยากกลับไปมีความสุขเชนนั้นอีก คิดอยูแตวาจะเขาถึง
ภาวะนั้นอีกใหจงได จึงมีกําลังใจขึ้น ตามรูลมหายใจออกและลมหายใจเขานับครั้งไมถวน บังคับตนเอง
ไมใหคลาดสติสักครั้ง แตนาเจ็บใจที่ยิ่งนานจิตยิ่งมืด นอกจากไมรวมเปนสมาธิสวางเย็นแลว ยังเกิด
ความฟุงซานกระวนกระวาย ทุรนทุรายจนตองเปดตาขึ้นในที่สุด
๑๐๐

ดวยโครงสรางทางจิตใจที่เต็มไปดวยความพิเคราะห แทนที่จะลมตัวลงนอนแผหราอยางคนทั่วไป
เกาทัณฑกลับครุนคิดและถึงบางออภายในพริบตาเดียว วาเขาไมสามารถเรงรัดตัวเองใหเขาสูสภาวะ
สมาธิไดเลยถาขาดเหตุปจจัยที่ถูกตอง ถึงจะเคยรูจักสภาวะสมาธิมาแลวก็เปลาประโยชน ทุกอยางตอง
เปนไปตามวิถีทางอยางมีลําดับ เขากาวเขาไปถึงเสนชัยโดยเริ่มจากหนึ่ง สอง สามมิใชกระโดดพรวด
เดียวถึงเสนชัย หากจะไปใหถึงเสนชัยอีกครั้ง ก็ตองยอนกลับมาเริ่มจากหนึ่งใหม

ชายหนุมมีจิตใจที่เยือกเย็นลงในบัดดล ดวยไหวทันแลววาความเรงรอนนั่นเองเปนอุปสรรคใหญ เขาจะ


เริ่มทุกขั้นตอนใหมหมดดวยกําลังสติและกําลังปญญาที่ไมเจือดวยความโลภทั้งมวล

ลุกขึ้นเดินไปเดินมาเพื่อบรรเทาความเมื่อยขบและเหน็บชาที่กัดกินไปทั้งขา แรกๆถึงกับตองโขยกเขยก
เดาดวยปญญาในขณะนั้นวาอยางนี้เองพระสงฆองคเจาถึงตองเดินจงกรม ที่แทก็เอาไวแกเมื่อยขบหลัง
นั่งสมาธินี่เอง

เดินจนพอหายขาแข็ง แลวก็เลื่อนประตูกระจกเปดออกไปยืนริมระเบียง มองมหานครพราวแสงจากตึก


รามยามราตรี สําเหนียกวาภาวะหลังสมาธิกอความคิดนึกแปลกๆแตกตางไปจากเดิมอยูบาง เริ่มตนที่
ความเขมขนเกี่ยวกับตัวตน ภาวะเขมแข็งของจิตใหญทวีอัตตาใหยิ่งยงขึ้นอยางเหลือคณานับ ทั้งความ
นิ่งทรงอํานาจในตาและพลังที่ประจุแนนในราง ลวนเปนสัญลักษณของธรรมชาติความยิ่งใหญทั้งสิ้น ชาย
หนุมมองเลยไปไกล อะไรๆดูเหมือนอยูใตฝาเทาเขาไปเสียทั้งนั้น

เงยหนามองดาวดวงหนึ่ง คิดถึงแพตรี…คลายเห็นดาวอยูใกลแคเอื้อม เขาวาเขายื่นมือไปควาเมื่อไหรก็


ได...

ความเย็นสบายของสายลมและความบางเบาในอากาศระดับสูง กลอมเกลาใหใจเคลิ้มลงสูความสงบ
อยูๆเกาทัณฑก็นึกอยากปดตากําหนดลมหายใจในทายืนนั้นเอง

กระแสจิตควบเขาหาศูนยกลางเปนหนึ่งเดียว เดนดวงเหนือการปรากฏของกายและสรรพสิ่งรอบขาง ทั้ง


โลกปรากฏแตลมหายใจผานเขาผานออก ผานเขาผานออก ในที่สุดก็เกิดธรรมชาติการรวมจิตผนึกแนน
เปนดวงสวางเงียบเยือกเย็นขึ้นอีกครั้งในอิริยาบถยืนนั่นเอง

เกาทัณฑวางอุเบกขา ไมตื่นเตนกับการรวมตัวครั้งใหม เฝาดูและประคองจิตไปเรื่อยๆ มีความโคลงเคลง


กระเพื่อมไหวอยูบาง แตความแรงของจิตอันเดนดวงเปนเสมือนคบเพลิงนําทาง ขจัดแมงหวี่แมงวันที่
เขามารบกวนประปรายเสียไดโดยงาย

เมื่อเดินกําลังมาถึงจุดหนึ่งก็เหมือนจะคลอยหลับ เคลิ้มสติลง และถัดจากนั้นอีกหนอย กายที่เหมือนหาย


หนไปก็เริ่มปรากฏขึ้นอีก และปรากฏชัดกวาปกติมาก อีกทั้งเริ่มชาเหอแปลกๆตามอวัยวะใหญนอย
คลายตัวเขาเปนลูกโปงที่ถูกอัดตัวขยายขึ้น ใหญโตผิดปกติจนชักกลัววาจะปริระเบิดออกไป กลายเปน
ขาวประหลาดพาดหัวหนังสือพิมพในวันรุง
๑๐๑

ชายหนุมสะกดใจ ถามตัวเองวามันเกิดอะไรขึ้นหวา ร่ําๆจะลืมตาขึ้นดวยความปอดลอย ยังดีที่ไดสตินึก


ถึงคําเตือนของพระอาจารยเกี่ยวกับเรื่องการเกิดปติในรูปแบบตางๆ เปนตนวาคลายตัวโยไปมา ขนลุก
น้ําตาไหล รางขยายขึ้นคลายจะคับหอง เบาเหมือนกําลังลอยขึ้นไปเรื่อยๆ หรือเห็นภูตผีเทวดานางฟา
ลวนแลวเปนสิ่งนาประหวั่นสําหรับผูเริ่มตน ใหแกดวยวิธีงายและตรงที่สุดคือวางใจเปนกลาง สักแตรู
อาการนั้นๆกระทั่งจิตยอนกลับมารูตัวเอง เห็นปฏิกิริยาของตนเปนความนิ่งเฉย

ระลึกไดเชนนั้นก็ขมใจแบบทําใจดีสูเสือ ดึงสติมาฝากไวกับตัวรูภายใน เอาความเชื่อมั่นในพระอาจารย


เปนหลักยึด เฝาดูกายเหมือนขยายขึ้นแลวหดลงเปนชวงคลายจะแกลงใหใจคอตุมๆตอมๆเลน มันไมอยู
ในความควบคุมเอาเลย ราวกับไมใชรางกายและจิตใจของเขาอีกแลว

ไดยินเสียงหัวใจตัวเองเตนถนัดที่สุดตั้งแตเกิดมา มันดังตุบๆๆไมหยุด แทบเห็นหัวใจเปนกอนอยูในอก


เลยดวยซ้ํา ตอนแรกอาการของกายถูกเพงจับ ถูกยึดติดแนบแนนจนไมอาจกําหนดไดวาจิตอันเปนผูรู ผู
ดู ผูเฝาสังเกตนั้นอยูตรงไหน ตอเมื่อคอยๆพิจารณา วาอาการทางกายนั้นเปนเพียงอารมณที่ถูกรู ไม
ตางกับลมหายใจ ไมตางกับวัตถุตางๆ จึงถอยมากําหนดได วาภาวะอันเปนนามธรรม ตั้งอยูในอาการรู
อาการนิ่งเปนกลางนั่นเอง คือธรรมชาติที่เรียกวาจิต

เมื่อเห็นจิต ก็เห็นปฏิกิริยาของจิตอยางแจมชัดวาขณะนี้คือกลัว และพอเห็นตัวความกลัวเปนเพียง


ปฏิกิริยาทางจิตชนิดหนึ่ง เปนของภายใน มิใชเสือสิงหภายนอกมาขย้ําหัวแตไหน จิตก็เริ่มออกอาการ
ทราบชัด วาความกลัวก็สวนหนึ่ง ตัวจิตผูรูผูดูก็สวนหนึ่ง แยกจากกันไดเด็ดขาด

พอประจักษธรรมเชนนั้น จูๆทุกอยางก็สงบเงียบลงเฉยๆ เหมือนหลุดผลัวะออกมาสูแสงสวางทั้งที่เพิ่งมี


พายุฝนมืดครึ้มครืนครั่น จิตยวบตัวยุบลงมาปบหนึ่ง แลวกายกับจิตก็มีขนาดคงที่ไมเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่ง
สงบอยางยิ่ง สวางยิ่ง เปนประสบการณใหมเอี่ยมที่ชายหนุมตองฉงนระคนปรีดา

ในความสวางไสวเอกานั้น เขาเห็นสายลมหายใจใสสะอาดเหยียดยาว มันชัดเสียยิ่งกวาชัด ขณะนั้นมีแต


ลมหายใจที่เปนความจริง รางกายและความคิดกลายเปนสิ่งเลือนราง กลาวไดอีกอยางวามีอัตตาที่อยูสูง
กวากายและความคิดอันเปนจุดอางอิงเดิม

นั่นคือการถึงอุปจารสมาธิอีกครั้ง คราวนี้ลงมาอยูที่ฐานอุปจาระหนักแนน ยืดยาว เพราะประกอบดวยสติ


และกําลัง โดยปราศจากความตื่นเตนตอรสปติและสุขอันเย็นแปลกเหมือนพนสภาวะบุคคลออกไป

การทําสมาธิภาวนาชางเปนกิจกรรมอันแสนสนุกเพลินใจและมีสีสันพันลึก สมาธิไมใชสิ่งจืดชืดไรรส
อยางที่เขาเคยประมาณเอาจากการเห็นคนนั่งเฉยเมยเปนแทงหิน อาการไมไหวติงภายนอกที่แทมีความ
เคลื่อนไหวและการรูเห็นอันโอฬารภายในอยางนี้เอง

เพลินสุขไดเพียงชวงลมหายใจรอยกวาครั้ง กําลังก็ถดถอย เขาสังเกตรูไดอยางชัดเจนถึงความเสื่อมถอย


เพราะใจจดอยูแลว มันเริ่มดวยความคลายจากอาการดึงดูดเหมือนแมเหล็กออนแรง จิตไมผนึกรวมเปน
๑๐๒

ดวงเดนอีกตอไป พยายามยับยั้งอยางไรก็ไมเปนผล ตามดวยความสุขที่มอดลงกลายเปนความชืดชา


สามัญ อาการล็อกจิตติดกับลมหายใจหมดไป เห็นเปนลมหายใจเขาออกธรรมดา มิใชสายน้ําตกใสสวาง
เขาอกเขาใจถองแทในบัดนั้นวากําลังจิตเปนอยางไร มีความหมายเพียงใด เมื่อเสื่อมไปแลวตกกลับมาสู
สามัญภาพเชนไร

ครั้งนี้ชักเหนื่อย รางกายออนแรงลงมาก อยากหงายหลังลงนอน แลวเขาก็โอนออนตามใจ เดินกลับเขา


หองแลวเอนหลังนอนบนฟูกจริงๆ ใจยินดีปรีดากับความสําเร็จในการทําสมาธิ นี่เปนแคการหัดทําสมาธิ
จริงจังครั้งที่สอง นับจากครั้งแรกที่กุฏิหลวงตาแขวน แตเขาทําไดนาพึงใจปานนี้ จึงเหอเหิมและนึก
ลําพองสงสัยขึ้นมาวาจะมีใครในโลกทําสมาธิไดดี ไดไวเทาเขาหรือไม

วากันวาบางคนเพียรทําสมาธิอยูในปาในเขาตั้งสิบยี่สิบปยังเข็นใหถึงอุปจารสมาธิไมสําเร็จดวยซ้ํา แต
เขาลุถึงในวันเดียว!

เกาทัณฑมารูในภายหลังวาเมื่อสองพันหารอยปลวงแลว ยังมีเด็กชายอายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง นั่งขัดสมาธิ


รอผูเปนพออยูคนเดียวใตรมไม สงบใจหลับตาตามรูลมหายใจโดยไมมีใครสอน แลวจิตก็ปฏิรูปตัวเปน
เปลวมหัศจรรย เพราะลวงเขาถึงสมาธิระดับปฐมฌาน แนบแนนและยิ่งใหญกวาสมาธิที่เขาทําไดเพราะมี
คนสอนหลายเทานัก

และเด็กคนนั้นก็คือสิทธัตถกุมาร ผูที่เจริญวัยตอมาเห็นภัยในการเกิด แก เจ็บ ตาย ออกบําเพ็ญเพียรหา


ทางหลุดพนจนสําเร็จเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา บรมศาสดาผูเปนอาจารยของอาจารยเขาอีกที!
๑๐๓

ในความหลับใหลอยางอิ่มเอมเปรมสุข เกาทัณฑรูสึกเหมือนความรับรูแผกวางออกไปในอาณาเขตหอง
สวางไสวเรืองรอง ตัวสติทั้งเหมือนมีและไมมีครือกัน คลายใจรูตัววาเปนนายเกาทัณฑ แตคิดอยางที่นาย
เกาทัณฑคิดไมได ควบคุมตัวเองไมได

เลือนรางเหมือนอุปาทาน ในความสวางที่แผไปนั้นสองกระทบขาวของตางๆและสงภาพกลับมาใหใจเห็น
เปนเคาเปนเงา ดูคลายเปนเรื่องปกติ ในเมื่อจิตสวางและแผพนกายก็ตองเห็นรอบกายไปดวย

แลวก็เกิดชั่วขณะแหงการเปลี่ยนแปลงอันนาประหลาด คลายตกไปอยูในหวงภวังคครูใหญ จากนั้นกลับ


มารูสึกตัววาตนมีรางเหยียดนอน แลวเหมือนเปลี่ยนอิริยาบถอยางรวดเร็วจากนอนกลายเปนเดิน

เคยเต็มตื่นอยางไรก็อยางนั้น เกาทัณฑเห็นตนเองกาวเขาไปในเขตบานของปูชนะ และดวยตาเปลาที่


มองทุกสิ่งไดชัดผิดปกติ เขาเห็นรังสีกุศลฉายแสงอยูทั่วไป คลายกับอากาศสวางในตัวเองดวยแสงทอง
งามละไมเย็นตาเย็นใจ รูสึกเปนสุขและปลอดภัยยิ่ง

ลมหายใจสดชื่นบริสุทธิ์ราวกับอยูบนยอดผาสูงในเวลาเชาตรู มีกลิ่นหอมรวยรินของดอกไมนานาพันธุ
กระจายตัวอยางออนโยนทั่วทุกหนทุกแหง บังเกิดความคิดขึ้นมาในบัดดลวาปูชนะกับแพตรีมีบุญมาก
จริงๆ ที่อยูอาศัยจึงเอิบอาบไปดวยสันติสุขควรพิสมัยปานนี้ นาปลาบปลื้มชื่นชมดวยเหลือเกิน

ในเขตอันชะโลมไปดวยความฉ่ําชื่นอยางบอกไมถูกนั้นทําใหเขาเปดยิ้ม เปนยิ้มอิ่มใจที่เปนไปเองโดย
ปราศจากเจตนาชวย

เดินออมไมใหญหนาบาน บานปูดูกวางโลงกวาเคย เรียงรายดวยบุปผชาติอันทรงชีวิตชีวาเหลือคณานับ


ในชั่วเวลานั้นเกาทัณฑเกิดความเขาอกเขาใจวาดอกไมสงยิ้มใหคนไดอยางไร พวกมันยิ้มไดจริงๆ ไมใช
เรื่องเลน เพียงแตมิไดใชปากเหมือนอยางคน ทวาใชความมีชีวิตชีวาทั้งหมดนั่นแหละยิ้ม

ดวยนิสัยชางหาเหตุผลประจําตัว เกาทัณฑคิดๆแลวก็บอกตนเองวาเพียงสัมผัสถึงความมีชีวิตของตนไม
กระแสใจที่เขาถึงจะทําใหเกิดภาวะเห็นที่แตกตางไป เราจะรูไดวามันกําลังแยมยิ้มหรืออับเฉา ปกติเรา
ไมรับรูสุขทุกขของตนไมเพราะไมใสใจ ไมสัมผัสเขาถึงความมีชีวิตของมัน คนจึงเห็นตนไมเปนวัตถุ
ธรรมดาเชนเดียวกับอิฐปูน ภาวะการเห็นจึงไมผิดไมตางไปจากภาวะการเห็นสิ่งไรชีวิต ตอเมื่อสําเหนียก
กําหนดถึงความมีชีวิต จึงจะมีคลื่นความรูบวกเขาไปในคลองสายตาได
๑๐๔

บัดนี้เขาเห็นความมีชีวิตของบรรดาพฤกษพันธุอยางชัดเจนเหลือเกิน ไมวาจะนิ่งหรือไหวไกวตามสาย
ลมผาน ทั้งหมดลวนเปนกิริยาของสิ่งมีชีวิตชัดตาชัดใจราวกับถูกขยายดวยแวนวิเศษไรตน เหมือนพวก
มันจะพูดทักทายยินดีตอนรับเขาไดฉะนั้น

ขณะเพลินกับมิติใหมแหงสัมผัสภายในนั่นเอง ก็เผอิญเหลือบแลไปเห็นสาวนอยนางหนึ่งนั่งอยูบนชิงชา
กลางลานหญาขจีนุม ชายหนุมหันขวับไปมองตรงๆ หลอนอยูในชุดขาวสะอาดและมองจับมาทางเขาอยู
กอนดวยนิลเนตรทอดสงบ

เกาทัณฑยิ้มกวางขึ้น ผูหญิงคนนั้นมีความงดงามที่กอความรูสึกแสนดีไดลนใจ ดีจนแทบไมอาจเห็นดวย


ซ้ําวาเปนเพียงอิตถีเพศ ราวกับหลอนมีภาวะที่ดูเกินความเปนอิสตรีไปอยางยากจะอธิบาย

เดินเขาไปหาหลอน เหมือนคนกันเอง อยูบานเดียวกันมานมนาน ถึงจะหางกันไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็กลับ


มาอยูดวยกันไดดวยบรรยากาศความสนิทแนนแฟนดังเดิม

"แพนั่งอยูที่นี่นานแลวหรือ?"

ไดยินตนเองกลาวทักออกไปเชนนั้น เขาเห็นหลอนพยักหนายิ้มให เปนยิ้มละไมที่แฝงความเศราอยางนา


ประหลาดชวนใจหาย

"แพรอพี่เตอยูนานแลว"

กระแสเสียงนุมเย็นนั้นเปนเสมือนไฟฟาแรงสูงที่ทําเอาเขาชาดิกไปทั้งราง หลอนเรียกชื่อเขาเปนครั้งแรก
แถมดวยความในใจที่เกินเชื่อวาจะเปนจริง นั่นแลกไดกับรางวัลมีคาที่สุดเทาที่เขาเคยรับมาชั่วชีวิตที
เดียว

"รอพี่..." เขาชักเงอะงะ เพราะตื้นตันจนพูดอะไรไมถูก "พี่อยูตรงนี้แลว จะชวยอะไรแพไดบางละ?"

สายลมหอบหนึ่งรําเพยผาน ปอยผมบนหนาผากของหลอนไหวตัวนอยๆ ดวงตาคูงามเหมือนจะสงแสง


พอมายังเขา เกาทัณฑรูสึกผิดและอบอุนยินดีปนเปกันอยางยากจะแยก

"แพเหงากับการรอจนกลายเปนสุขที่ไดเลิกรอแลวละคะ ไมตองชวยแลว..."

บรรยากาศทั่วบริเวณกลายตัวจากความอบอุนเปนวังเวงไปในทันที เกาทัณฑเกิดความเวทนาหลอน
อยางจับใจ

"พี่จะอยูเปนเพื่อน"
๑๐๕

ชายหนุมลดตัวลงนั่งชันเขาขางหนึ่ง วางมือลงบนตักหญิงสาวอยางปลอบประโลม สายตาที่สงไปยัง


หลอนเปยมไปดวยความเห็นใจอยางลึกซึ้ง เขายิ้มอยางชาย รูสึกถึงไหลที่ตั้งผงาดและพลังความเขมแข็ง
ในตัว บอกตนเองวาพรอมจะปกปองหลอนจากทุกสิ่ง

แพตรีทอดตาลงมอง เกาทัณฑสัมผัสไดถึงความไมเชื่อถือในตาคูนั้น

"ทําไมถึงไมเชื่อพี่ละ?"

เขาถามออกมาตรงใจ ที่นั่นเขากับหลอนสามารถคุยกันไดโดยไรมานอันใดปดบัง แพตรีขยับหนาตักและ


ผลักมือเขาออกโดยละมอม

"พี่มองเห็นแตความสวยของผูหญิง ไมเคยเห็นตัวของแพหรอก วันที่แพไมสวย พี่ก็จะมองผานแพไป


อยาวาแตคิดอยูเปนเพื่อนเลย"

เกาทัณฑสายหนา

"วิธีคิด วิธีพูดของแพนี่หลับตาก็รูไดวาสวย แตแพคงกําลังพูดถึงความสวยที่ตองลืมตาเสียกอนถึงจะเห็น


ถาอยางนั้นพี่เห็นวิธีที่แพยิ้ม วิธีที่แพใชสายตามองคนอื่น นั่นก็พอแลวกับการผูกใจใหอยูนิ่ง ถานิสัยใจ
คอยังเปนอยูอยางนี้ จะมีวันไหนที่แพไรความสวยใหพี่มองผานได?”

แพตรีนิ่งไป เขานาจะไดเห็นหลอนโอนออน แตก็ไมใช

"คําพูดของพี่ลบความจําแพไมไดเสียดวยสิคะ ในวันที่แพดูต่ําตอย พี่มองผานแพไปเหมือนไมมีแพอยูใน


ทางตา ทั้งที่...นานมาแลว เราเคยอธิษฐานตอหนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมกันวาจะรักและจดจํากันไปทุกภพทุก
ชาติ"

ชายหนุมเย็นวูบไปตลอดสันหลัง ขนลุกเกรียวตั้งแตหนังศีรษะแลนลงไปจนถึงฝาเทา ณ บัดนั้นเขาพบ


บางสิ่งที่ขาดหายไป บางสิ่งที่เคยถวิลหา ทวาตลอดมาไมรูวาคืออะไร

"พี่..." เกาทัณฑนึกหาคําแกตัวไมทัน "ตอนที่เรายังเด็กอยูดวยกัน ตอนนั้นพี่คอนขางจะ...ไมชอบมอง


คน"

"คะ ถาคนไมสวยจะไมชอบมองเลย"

เปนคําตัดพอที่ทําใหเกาทัณฑสะอึกอึ้ง กระแอมทีหนึ่งอยางเกือบจนปญญา ทําไมถึงเคนหาคําพูดยาก


นัก สมองวางวายราวกับกําลังอยูในฝน…นี่เขากําลังฝนไปหรือเปลา? ถาเปนฝนทําไมสาวนอยที่นั่งอยู
เบื้องหนาถึงดูมีชีวิตจิตใจ คิดอานโตตอบไดปานนั้น?
๑๐๖

หลังจากเพียรสรรถอยอยูนานก็นึกออกจนไดวาควรจะพูดอะไร คําแกตัวพรั่งพรูออกจากปากอยางรวด
เร็วราวกับน้ําไหล

"ในความเปนเด็ก เรารูจักแตสิ่งกระตุนความสนใจที่เดนชัด แตเมื่อโตขึ้น เราก็จะรูจักสํารวจคุณคาของสิ่ง


ตางๆ แยกแยะไดออกวาหลายสิ่งในโลกนี้ไมควรมองผาน และถาไดรูวาครั้งหนึ่งเคยมองผานสิ่งมีคามา
แลวดวยความโงเขลา ทั้งหมดที่ทําไดก็คือสํานึกเสียใจและอยากพูดวา...พี่ขอโทษ"

ถอยสุดทายนั้นหนักแนนดวยสํานึกอยางชาย ทวาแฝงกระแสความออนโยนจริงใจจนทําใหแววหมางใน
ตาสวยจางลง

"พี่พูดเกงนะคะ" หลอนลุกขึ้นยืน "แตคนไมจริงใจเทานั้นแหละที่พูดเกง"

เกาทัณฑลุกขึ้นยืนตาม

"ถาไมใหพูดพี่ก็จะแทนดวยการทําใหแพเห็น…พี่จะจริงใจกับแพ"

หญิงสาวชอนตาขึ้นสบ นัยนตาเงางามทอแสงเขมกวาเมื่อครู

“อยาเลยคะ แพเห็นอนิจจังแลว ตอใหเคยครองกัน อธิษฐานรวมกัน ซื่อสัตยตอกันจนนาทีสุดทาย เมื่อ


ถึงเวลาก็ตองลืม ตองพรากจาก ตองกลายเปนคนแปลกหนากัน…แพลาพี่ไปตามทางดีกวา จะไดไมตอง
เจอใหจําแลวลืมกันอีก”

แมฟงไมเขาใจกระจางนัก เกาทัณฑก็ใจหายจนเผลอยึดขอมือหลอนไว

“แพพูดเรื่องอะไรอยูหรือ? ถาทําผิดเพราะเจตนา พี่จะชดใชใหจนกวาแพจะพอใจ แตถาหากเกินวิสัยที่


คนธรรมดาคนหนึ่งจะรู ก็ขอใหบอกดีๆ อยาเก็บงําแลวตัดบทอยางไมใหโอกาสกัน”

หญิงสาวดึงขอมือออกจากการกุมของเขา

“ของแบบนี้ถาไมรูเองก็อยารูจากคนอื่นเลยคะ”

เกาทัณฑถอนใจเฮือกกอนหัวเราะอยางอัดอั้น

“แพเปนเสียอยางนี้”

“คะ…เปนอยางนี้แหละ”

แลวหลอนก็หันหลัง ทาทางกําลังจะเดินจากไปเฉยๆ
๑๐๗

“เดี๋ยวซี่แพ…”

ชักงงเมื่อรูสึกวาเทาชา มือชาอยางรวดเร็ว และไลลามไปถึงประสาทรับรูสวนกลาง เหลือเพียงสายตาที่


ยังเห็นภาพตรงหนา แพตรีกําลังเดินหางออกไป หลอนจะรูหรือเปลาวานี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา

“แพ…”

เหมือนมีนุนยัดลงไปในคอ จะอาปากก็อึดอัด ยิ่งฝนก็ยิ่งเลือน จนกระทั่งที่สุดเห็นหลอนเหลียวกลับมา


ซึ่งก็คงหันตามเสียงเรียกสุดทายของเขา เกาทัณฑเห็นแววหมางเมินเหินหาง รูสึกทรมานกับภาพชนิด
นั้น หลอนกําลังตั้งใจเดินจากเขาไป…

ภาพฝนจางลง แตยังทิ้งรองรอยไวกับความรูสึกชัดลึกเสมือนจริง เหมือนจะขาดใจเมื่อพบวาภาพราง


ไกลๆของแพตรีคืออากาศธาตุ และจะเปนอากาศธาตุไปชั่วนิรันดร เกาทัณฑลืมตาตื่นขึ้นดวยกิริยายก
มือควาอากาศตรงหนา ใจเตนดวยความเสียใจรุนแรง

ชางเปนฝนที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปดวยรายละเอียดแจมชัดอะไรปานนั้น ทั้งสวางหวานตรึงใจ และทั้ง


เศราสรอยกัดลึกปนกันจนหยุดความคิดทุกชนิดลงพักใหญ เกาทัณฑนอนตาคางกอนจะผุดลุกขึ้นนั่งนิ่ง
บอกตนเองดวยใจชื้นวาในโลกแหงความจริง หลอนยังอยู ยังรอใหเขาใชความพยายามไขวความา

นาฬิกาบอกเวลาเกือบหาทุม เขาเห็นแคนั้น แลวเหมือนมีแรงผลัก มันไมใชตัวเขาเองเลยที่ลุกขึ้นควา


กุญแจรถ เปดปดประตูหองปงปงลงไปยังลานจอดรถ นําพาหนะคูกายโลดแลนออกสูถนนสีชมพูอันวาย
รถอยางเปนใจใหกดเทาเหยียบคันเรงลึก ทะยานตัวดวยประสิทธิภาพเครื่องยนตกําลังสูง พุงปราดไปจน
ภาพถนนและไฟทายรถขางหนาถูกดูดเขามาฮวบฮาบภาพแลวภาพเลา รถวิ่งเร็วราวกับลูกปน แตก็ไม
ดวนเทาทันใจเขาในยามนี้เลย

ดับเครื่องแตไกล ปลอยใหรถคลานดวยแรงเฉื่อยมาจอดเทียบหนาบานกลางซอยอยางแชมชา สติคอย


กลับมาเปนตัวของตัวเองเหมือนกายเพิ่งตามใจทัน

เกาทัณฑมาบานนี้จนมีโอกาสสังเกตรูวาหองของแพตรีคือสวนใด ไฟหองหลอนสวางเรือง แสดงวายังไม


หลับ เปนอันแนละวาเมื่อครูเขาฝนละเมอเพอพกไปคนเดียว หลอนอาจจะกําลังอานตําราเรียน หรือ
หนังสือเกี่ยวกับตนไมที่หลอนรัก หรือนั่งทําสมาธิภาวนาอยางสุขสบายเอกา เขาอยากรูแตคงรูไมได มี
สิทธิ์อยางมากแคเห็นแสงไฟหองเปด กับรับทราบวาหลอนอยูในนั้น

นั่งกอดอกยิ้มมองหนาตางหองของหญิงสาวดวยแรงประทับล้ําลึก เคยเห็นเพื่อนทําอยางนี้แลวขํา แต


ตอนนี้เขาใจเลย มันไมใชหนาตางหรอกที่ทําใหเขายิ้ม ความรูสึกวาใกลหลอนแคนี้ตางหากที่กอสุข คิด
อยากนั่งมองไปเรื่อยๆจนกวาใจจะพอ
๑๐๘

ไดหลอนมากอดคงดีกวาฝน…

ทั้งซอยปราศจากการสัญจร ในความเงียบของยามดึกมีแตเสียงจักจั่นเรไรจากพงหญา ยามนี้ชางฟง


เพราะและขับกลอมใหใจสงบ เปนครั้งแรกที่เขาเงี่ยหูฟงอยางดื่มด่ํา แสงไฟจากหองหลอนดูสวยหลอก
ตานาเพลินหลงเสียยิ่งกวาคมเสี้ยวจันทรสีเงินยวงเบื้องบน

ใจที่ฝนเพอทําใหโลกเปลี่ยนไปไดอยางนี้เอง

เกือบตีหนึ่งแสงไฟจึงปดมืด หลอนคงเขานอนแลว เกิดความรูสึกดีขึ้นมาขณะหนึ่ง เหมือนตอนนั้นเขา


คอยเฝาระวังภัยให และแนใจวาจะไมมีใครผานเขาเขาไปหาหลอนไดเลย

หลับตานิ่งเปนครู กอนลงจากรถโดยตั้งใจจะเข็นไปสตารทไกลๆไมสงเสียงใหแพตรีไดยิน เพราะใจนึก


เกรงไปเองวาหลอนคงจําเสียงเครื่องรถเขาไดและอาจชะโงกมองลงมา กลัวเดารูวาเขามาดอมๆมองๆ
เหมือนกระตายแหงนคอมองกระตายอีกตัวบนดวงจันทร ขายหนาตายชัก

แตขณะที่กําลังออกแรงดันหนารถก็ตองสะดุงสุดตัวเมื่อไดยินกังวานเสียงนุมของผูหญิงคนหนึ่งดังขึ้น
ใกลๆ

"มีอะไรใหชวยไหมคะ?"

ชายหนุมหันขวับ แพตรี! หัวใจเตนแรงเหมือนจะวาย หลอนมายืนชิดรั้วแคนี้ตั้งแตเมื่อไหรกัน

เปนนานกวาจะปรับสติและออกแรงยิ้มเจื่อนๆสําเร็จ

"ออ…แพ"

เอยออกมาไดเทานั้นจริงๆ หลอนคงลงมาเดินเลน เขาผิดเองที่นึกวาไฟหองปดหมายถึงหลอนเขานอน

"รถเสียหรือคะ?"

เปนเสียงถามตามซื่อ ชั่วขณะนั้นหลอนอาจยังไมแนใจนักวาอะไรเปนอะไร

"เปลาฮะ"

วูบนั้นเกาทัณฑบังเกิดความกลาเดิมๆขึ้นมา อาการตกประหมาแบบวัยรุนเพิ่งเริ่มจีบสาวปลาสนาการ
เปนปลิดทิ้ง

"รถเปนปกติดี แตพี่อยากเข็นไปสตารทไกลๆ เสียงเครื่องจะไดไมกวนแพกับปู"


๑๐๙

แพตรีมองไปที่รถเขาเหมือนคิดตาม อยางนี้แปลวาอะไรก็ไมยากแลว ครูหนึ่งก็กอดอกนิ่งไมพูดจา


เกาทัณฑยิ้มออกมาได เขารักทุกกิริยาของหลอน สิ่งที่แฝงอยูในความนิ่งและการเคลื่อนไหวของแพตรี
ชางกอความรูสึกแสนดีใหกับคนเห็น

"เมื่อกี้แพอานหนังสือหรือฮะ?"

ถามอยางใจอยากรู ราวกับสนิทกันพอ หญิงสาวปรายตาสบ แสงสลัวเลือนจากไฟแรงเทียนต่ําขางทาง


พอทําใหเห็นแววหางเหินที่สงมาอยางจงใจ

"ทําธุระสวนตัวนะคะ…คุณละคะ?"

เกาทัณฑหนาชา เอยคําตอมาถึงกับอึกอัก

"พี่...เออ ผม..."

อากาศชื้นน้ําคางทําใหแยกแยะรับรูความแตกตางระหวางฝนกับจริง ตอนนี้ของจริง

ก็ถาจริงแลวทําไมตองกลัว…

"ผมไมไดตั้งใจมารบกวนแพเลย แคอยากรูสึกวาไดอยูใกลแพสักพักหนึ่งเทานั้น"

ไรรองรอยเคอะเขินหรือคาดไมถึงใดๆในดวงตาสงบเฉย เกาทัณฑเจ็บแปลบเพียงนึกวาตนอาจเปนไอ
หนุมหัวใจละลายอันดับหนึ่งรอยที่เอารถมาจอดแหงนหนาฝนหาดาวตรงนี้

"นาเสียดาย..." เขาพูดคลายอับจน "ทําไมเราไมสนิทกันเสียตั้งแตเด็กนะ ถาเคยคุยกันแลวเห็นผมเปน


ญาติ…ปานนี้แพอาจชวนผมเขาไปนั่งเลนขางในมั่ง”

แพตรีเบนหนาไปอีกทางอยางรูนัย

“คุณกลับเถอะคะ”

เกาทัณฑระบายลมหายใจยาว หวงฟามืดดูกวาง ลึก อลังการดวยดวงดาวและเยือกหนาวดวยความหาง


เขาเงยหนามองเบื้องบนขณะยิ้มรับคําไลของหลอน

“ฮะ…” ตาจับดาวดวงหนึ่งไมวางพลางเอยเนิบแผว “แถวนี้ดีจัง นาปูเสื่อนอนมองฟานะ”

เวนระยะไปครูอยางเตรียมตัดใจเอยลาและหันหลังกลับ แตเหมือนขางในมันเฉื่อยและเหนื่อยลาเกินกวา
จะทําตามสมองสั่ง เบนสายตากลับมามองดวงหนาที่ดูสงบละไมอยูในเงามืด หลอนนิ่งมองทิศทางอื่นที่
ไกลจากเขามาก
๑๑๐

"ผมรักแพ!"

เปนเสี้ยววินาทีที่เขาเองก็คาดไมถึงวาคําสารภาพหลุดจากริมฝปากไปได เสียวปลาบไปตลอดทรวงอก
เมื่อหลุดคํานั้นออกมา แตก็ดีไปอยาง สติถูกเรียกกลับคืนมาสานตอความเผลอไผลอยางรวดเร็ว ตัดสิน
ใจเสี่ยงทิ้งไพใบสุดทายทั้งที่รูเห็นแคครึ่งๆกลางๆ

“รูวาเราเพิ่งพูดกันแคสองสามคํา รูวาแพเห็นผมเปนแคนายอะไรคนหนึ่งที่มาติดหลงหนาตา แตความ


จริงไมใช ถาอธิบายดวยคําพูดที่ดีที่สุด ตรงจริงที่สุด อยางมากก็แคทําใหแพหัวเราะเยาะผมนอยลง
เพราะฉะนั้นอยาเพออะไรใหเห็นผมเปนตัวตลกใหมากจะดีกวา ขอแคพูดวา…ถาแพจําผมได ก็อยา
แกลงเมินกันอีกเลย”

หญิงสาวหันมาจอง หลอนยืนเมมปากอยูนานมาก เกาทัณฑไมกลาพูดตอ เพราะลึกๆก็ไมแนใจวาตน


เปนบาไปคนเดียวหรือเปลา อดทนรอดูทีทาของแพตรีจนหลอนกลาวอะไรออกมาไดเอง

"ขอโทษนะคะ ดิฉันฟงไมรูเรื่อง"

แลวหลอนก็หมุนตัวกลับ ทําทาจะสาวเทาขึ้นเรือนหนีเขา

"แพ!"

เปนเสียงเรียกที่ประกาศิตพอใช หญิงสาวหยุดกึกเหมือนถูกสะกดดวยฤทธิ์พอมด

"ถาผมละเมอเพอพกจนคุณคิดวาเสียสติอยูคนเดียวก็ชางเถอะ เราเพิ่งรูจัก และคุยกันแคนับคําไดนี่นะ


แตสังหรณวาผมเกือบจะทําสิ่งมีคาบางอยางหายไป เพียงเพราะเกิดมาพรอมกับความไมรู…และความ
ลืม เหมือนอยางที่มนุษยคนหนึ่งเขาเปนกัน”

ชายหนุมหรี่ตาลงนิดหนึ่ง ขณะกําลังพูดไดมีสัญชาตญาณบางอยางเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น เหมือนกับเปนตัว


เขาเอง ทวาเปนอีกภาคหนึ่งซึ่งอยูลึกลงไป และไมเคยปรากฏแมกับความรับรูของตนเอง

“ผมเห็นอะไรบางอยางซอนอยูในใจคุณนะแพ ทุกครั้งที่คุณมองผม แววตาเหมือนบอกวาคุณรู…หรือจํา


อะไรที่เกินวิสัยผมจะเดา แตเสียดายที่คุณคงไมคิดบอกเลาใหผมฟงตลอดไป”

แพตรีขยับเหมือนจะเหลียวหนากลับมา แตแลวก็หยุดชะงักนิ่งเสียกลางคัน เกาทัณฑยกมือเกาะซี่กรง


ประตู

“ผมเปนคนธรรมดา ไมไดมีอํานาจวิเศษเหนือมนุษย มีแตนิสัยอยางหนึ่ง คือเมื่อแนใจวาอะไรควรเปน


สมบัติของตัว ก็ตองเอาคืนมาใหได แมจะเคยเผลอทําหายไปครั้งหนึ่งดวยความรูเทาไมถึง”
๑๑๑

หลอนยังนิ่งอยูกับที่ ไมเหลียวกลับ ไมเดินหนาตอ ทวาแคนั้นเกาทัณฑก็พอใจแลว

ชายหนุมกลับขึ้นรถ สตารทเครื่องและขับจากไปเงียบๆ เหมือนมีตาที่สามมองเห็นไดวาเบื้องหลังที่เขา


จากมานั้น คือรางนิ่งของหญิงสาวซึ่งยังยืนคางอยูตรงจุดเดิมอีกเนิ่นนาน…

เกาทัณฑยกมือไหวปูอยางนอบนอม ไหวแลวก็อดเหลียวซายแลขวาลอกแลกไมได

"มองหาอะไร?"

ปูถามพลางไขกุญแจประตูให

"หาแพครับ"

เปนคําตอบตรงไปตรงมา ตอไปนี้เขาจะเลิกอมพะนําเสแสรง...ถาไมจําเปนจริงๆ

ปูชนะหัวเราะเล็กนอย แตก็ไมทําใหหลานชายกระอักกระอวนดวยการซักถามวาจะหาแพไปทําไม แค


เดินนําขึ้นเรือนเงียบๆเทานั้น

"ผมเอาหนังสือมาคืนปู"

ชายหนุมยื่นหนังสือพุทธธรรมและพจนานุกรมพุทธศาสนวางไวบนโตะกลาง

"อานจบแลวรึ?"

"ผมซื้อไวเองครบชุดแลวครับ" ฉับพลันก็เบนเรื่อง "แพไมอยูหรอกหรือฮะ?"

"เห็นนองเขามาชวนไปซื้อของ"

"นอง?"

แปลบกลางอกขึ้นมาอีกกับแคไดยินคํานั้น เขาใจแลววาตอนผีดูดเลือดถูกทิ่มอกดวยเหล็กแหลมมันปวด
เสียวอยางไร

"ชื่อมตินะ เด็กใกลบานนี่แหละ โตมาดวยกัน"

"สนิทกันมากไหมฮะ?"

เปนคําถามที่แผวสิ้นดี
๑๑๒

"ก็เห็นแพเขาคบอยูคนเดียวนี่"

เกาทัณฑสะอึกอึ้ง เริ่มทอขึ้นมาอีก เขากําลังจะเปดศึกตีชิงกับเจาเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง ซึ่งอาจชวน


หลอนไปเที่ยว และใหหลอนเปนฝายออกคารถเมล ชางเปนเรื่องเหลือฝนเสียจริงๆ

แตก็ทําเปนใจเย็น ยิ้มเหมือนพระอิฐพระปูน ชวนปูคุยเรื่องแพตรีตอโดยไมเบี่ยงเบนไปทางอื่น

"ชื่อเต็มของแพคือแพตรีใชไหมฮะ? เขาใจวาปูเปนคนคิดตั้งให"

ปูพยักหนา

"อือม"

"ปูตั้งใจใหมีความหมายยังไงฮะ?"

ปูชนะยกชาขึ้นจิบ เกาทัณฑคิดวาอีกหนอยตอนเขาแกและนึกถึงปู เขาคงจําภาพทานยกถวยน้ําชาได


มากกวาภาพอื่นหมด

"ก็ไมมีอะไรมาก พุทธศาสนามีพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆเปนหลักที่พึ่งทางใจ มีสุจริต


สามคือกายสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริตเปนหลักพึงกระทํา มีสิกขาสามคืออธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา
และอธิปญญาสิกขาเปนหลักศึกษาและปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไป และที่สุดมีญาณสามคือสัจจญาณ กิจจญาณ
และกตญาณเปนปริโยสาน ฉันคิดถึงหมวดสามเหลานี้แลวก็รวมลงตั้งชื่อใหเขา เวลาสอนใหเขารูความ
หมายจะไดจํางายวาถาจะไปนิพพานตองขึ้นยานแหงความเปนสามใดในพุทธศาสนาบาง"

เกาทัณฑอึ้งไป ความคิดอานของปูชนะไมธรรมดาเลย เขาเอยถามดวยเสียงแปรงไปเล็กนอยในเวลาตอ


มา

"หมวดสามอื่นผมพอเขาใจอยู แตญาณสามคือสัจจญาณ กิจจญาณ กับกตญาณนี่ ชวยอธิบายหนอยได


ไหมครับ?"

ผูอาวุโสตอบทันทีโดยไมตองหยุดคิดทบทวน

"สัจจญาณคือญาณหยั่งรูอริยสัจสี่ คือเทาทันวาอยางนี้ทุกข อยางนี้ไมทุกข ทําอยางไรจึงทุกขหรือไม


ทุกข สวนกิจจญาณคือญาณหยั่งรูกิจที่ตองทําเพื่อใหหลุดจากขายทุกข ปฏิบัติจิตเชนไรแลวลางกิเลส
จากสันดานได สุดทายกตญาณคือญาณหยั่งรูวากิจแตละอยางไดทําไปแลว ทุกขก็ทําใหแจงแลว ตนเหตุ
ทุกขก็ทําใหแจงแลว ทางดับทุกขก็ทําใหแจงแลว ที่สุดคือความดับทุกขไดเกิดขึ้นก็รูแจงแลว"
๑๑๓

เกาทัณฑกะพริบตา พุทธศาสนมีความลาดลึก แจกแจงเปนทางตรงและปริยายตางๆไดพิสดารยิ่ง นับวัน


ผูกพันใกลชิดก็เห็นมากขึ้นทุกที แคมองจากผิวนอกทางปริยัติในคัมภีรที่มีแตตัวหนังสือ ก็จะเหมือน
ศาสตรทางโลกศาสตรหนึ่งซึ่งตองใชกําลังสมองอยางใหญหลวงในการแทงใหทะลุ

ความคิดจะชวนปูถกเถียงหัวขอธรรมเพื่อจับผิดแบบเด็กไมรูประสาเหือดหายไปเฉยๆ เขากระแอมนิด
หนึ่ง กอนเลาดวยเสียงสั่นหนอยๆ เพราะทราบแกใจวามีเจตนาเบื้องหนาเบื้องหลังอยางไรในการเริ่มเลา
นั้น

"ตอนนี้ผมเปนลูกศิษยของหลวงตาแขวน"

ปูยิ้มและรับฟงโดยไมขัดจังหวะ อีกทั้งปราศจากวี่แววประหลาดใจอันใดทั้งสิ้น

"เดือนหนาผมอยากลางานสักอาทิตยหนึ่งเพื่อทุมเทจริงจังกับการเรียนทําสมาธิภาวนา ปญหาของผมคือ
ยังไมพรอมแมแตจะถือศีลหรือนุงขาวหมขาว เพราะไมแนใจในกิเลสตัวเอง กลัววาถาเขาไปอยูในวัดแลว
จะเปนสิ่งแปดเปอนแกวัด แตขณะเดียวกันก็ทนปฏิบัติอยูในหองพักหรือบานพอแมไมไดดวย เพราะตอง
มีสิ่งดึงใจใหไขวเขวไหลมาเทมาตลอดเวลาแนนอน ผมจึงอยากขอปู จะเปนการรบกวนไหมฮะถาขอ
อาศัยที่นี่สักอาทิตย? บานปูไมมีขอบีบรัดใหตองกังวลวาทําอยางนั้นอยางนี้แลวเปนความผิดความถูก
แตขณะเดียวกันก็ปลดปลอยผมออกจากเครื่องของและผูคนแวดลอมเดิมๆ เปนสัปปายะเหมาะตัวที่สุด
เทาที่ผมจะนึกออกในเวลานี้"

หลานรูปหลอรายยาวแตตนจนจบชุดจากตนสายถึงปลายสายแบบไมใหตั้งตัว ปูชนะหัวเราะเล็กนอย
สายตาไมสงกระทั่งแววรูทันออกมา

"อยูไหวเหรอะ หองหับกลายเปนที่เก็บของ ทิ้งตูเตียงไปหมดแลว"

"ผมตั้งใจวาจะขอนอนบนแครในหองเก็บของใตบันไดใกลหองครัวนั่นแหละครับ"

เกาทัณฑพูดดวยทาทางนาสงสารเหมือนคนไรที่อยูอาศัย หมดทางเลือกแลวอยางสิ้นเชิงจึงบากหนาหนี
รอนมาขอพึ่งเย็น

"อยากถอสังขารมาลําบากถึงนี่ก็ตามใจแก"

เปนคําตอบตกลงที่งายดายเกินคาด ชายหนุมตาสวางราวกับติดนีออนเปนแผง ไมนึกวาเรื่องจะงาย


ขนาดนี้

"ปูอนุญาตหรือครับ?"
๑๑๔

"เออ!"

ชายหนุมระงับความดีใจแทบออกนอกหนาอยางยากเย็น กลัวปูจะเอะใจเสียกอน

"บานนี้มีผูหญิง" ปูเอยเสียงต่ําขึ้นมากลางความลิงโลดของเขา "อยูนี่ก็ทําอะไรใหเหมาะควรหนอย"

"ครับ!" รีบรับปากทันควันอยางกลัวปูจะเปลี่ยนใจเพราะฉุกคิดได "ขอใหปูไวใจ ผมอาจดูไมใชคนดีนัก


แตเรื่องนี้ผมรูวาอะไรควร อะไรไมควร"

"ไปเปนลูกศิษยทานแขวนมาตั้งแตเมื่อไหรละ?"

ชายชราเบี่ยงเรื่องถามมาอีกทาง

"เมื่อวานนี้เองฮะ เผอิญเมื่ออาทิตยที่แลวผมเห็นแพกําลังจะไปทําสังฆทาน กําลังหอบถังขึ้นแท็กซี่อยูพอ


ดี เลยอาสาชวยเอาขึ้นรถผมแทน แลวก็ไดไปพบทาน เกิดความเลื่อมใสบางอยาง คิดอยากเรียนฝก
สมาธิภาวนาดูบาง เมื่อวานเลยไปฝากตัวเปนศิษย และเพราะไดอาจารยดี ตอนนี้ผมพบวาตัวเองอยาก
จะเอาดีตามทาน เลยคิดจริงจัง มาขอรองปูเรื่องสถานที่"

ปูพยักหนาตามเคย สงบคําตามนิสัย ทั้งคูเงียบเสียงกันไป แพตรียังไมมาสักที แตตอใหตองรอถึงค่ํา เขา


ก็จะทูซี้อยูนี่แหละ ยังไงตองเห็นหนาใหได

เกาทัณฑนึกวาปูจะแปลกใจบาง ซักถามอะไรเกี่ยวกับการเปนลูกศิษยหลวงตาแขวนของเขาเสียหนอย
แตก็เปลา จนตองเปนฝายเลียบเคียงเสียเอง เงียบนานๆเดี๋ยวปูเอยปากไลเทานั้น

"ปูรูจักทานมานานหรือยังฮะ?"

"ตั้งแตทานมาอยูที่วัดเมื่อเกือบยี่สิบปกอน"

"ออ นับวานานเหมือนกัน แลวกอนนี้ทานอยูที่ไหน? ผมยังไมมีโอกาสถามประวัติหรือเรื่องราวของทาน


เลย"

"บานเดิมทานอยูนครสวรรค แตปกหลักที่กรุงเทพฯตั้งแตวัยรุน บวชที่วัดทางนฤพานเมื่ออายุไดเกือบ


สามสิบ ร่ําเรียนและรับใชพระอุปชฌายแคหาพรรษาก็ออกเดินทางธุดงคจากเหนือจดใตตลอดอายุ
บรรพชิต เพิ่งเมื่อเกือบยี่สิบปกอนคราวมาเยี่ยมพระอุปชฌายครั้งสุดทาย ไดรับการขอรองใหชวยสืบ
ตําแหนงเจาอาวาสแทน ทานแขวนก็เห็นสังขารตัวเองโรยราไมเหมาะแกการธุดงคแลว จึงรับรักษาวัดซึ่ง
เกาแกหลายชั่วอายุคนนี้เรื่อยมา"

"อือม" เกาทัณฑครางเบาๆ "พระอุปชฌายทานมรณภาพนานหรือยังครับ?"


๑๑๕

"วันเดียวหลังจากที่ทานแขวนรับจะดูแลวัดให"

ชายหนุมขนลุกหนอยๆ แตแลวก็ทําใจสงบเฉย

"แลวที่ทานสละเพศฆราวาสออกบวชเปนพระตั้งแตยังหนุมแนนนี่มีเหตุผลอะไรฮะ?"

"จริงๆทานศึกษาพระธรรมคําสอนและมีศรัทธาปสาทะมานานแลว ตั้งแตกอนร่ําเรียนจบมาทํางานทํา
การเหมือนหนุมๆทั่วไป แตวันหนึ่งบุญพาวาสนาสงใหทานไปพบกับพระดีที่วัดทางนฤพาน เห็นปฏิปทา
นาเลื่อมใส ก็ฝากตัวเปนลูกศิษยตั้งใจถือบวชจริงจังหันหลังใหกับความกาวหนาที่รออยูในอาชีพการงาน
ทั้งหมด"

ฟงแลวเกาทัณฑชักหนาวๆรอนๆ เพราะดูวิถีทางทานแลวเผอิญคลายเขาอยางไรพิกล บอกตนเองวาตอ


ใหศรัทธาพระอาจารยหรือพระธรรมคําสอนมากกวานี้อีกรอยเทา เขาก็คงกิเลสหนาเกินกวาจะอุทิศตัว
บวชเปนพระภิกษุไปตลอดชีวิตอยางหลวงตาแขวนแนๆ ถาสักสามเดือนคอยวาไปอยาง

"ตลอดสองอาทิตยที่ผานมาผมอานหนังสือธรรมะและปรัชญาไปหลายเลม บางเลมที่นาสนใจก็อานตลอด
บางเลมอานคราวๆพอใหรูวาทรรศนะของคนเขียนเปนอยางไร ผมพบวา..."

คําพูดตั้งประเด็นธรรมสากัจฉานั้นขาดหวงไป เมื่อหางตาเห็นเงารางใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นอยางเงียบ
กริบ
๑๑๖

แพตรีกาวขึ้นมาบนเรือนดวยฝเทาเงียบเชียบราวกับเปนแคเงา เกาทัณฑหันไปเห็นแลวลืมหมดทุกสิ่งชั่ว
คราว เอาแตจองมองรางสะคราญสวางตาในชุดขาวแนนิ่ง

หลอนยิ้มใหปูอยางดี แตเมื่อเหลือบตามาสบกับเขาก็ลดทั้งคุณภาพและปริมาณลง ไมวาจะเปนแววตา


สวยหรือรอยยิ้มใสที่เพิ่งสงใหปูหยกๆ เหมือนผานตามองพอใหรูวาหนาแบบนี้เคยเห็นที่ไหนมากอนหรือ
เปลา แลวก็ปลีกตัวเขาหองของหลอนไปเงียบๆ ไมไดหยุดลงพูดจากับปูหรือเสียเวลาทักเขาแตอยางใด
เกาทัณฑรูตัวเลยวานั่นเปนครั้งแรกที่เขาเหลียวหลังตามผูหญิงคางเติ่งทั้งที่เจาตัวลับหายไรเงาไปแลว
เปนนาน

เสียงกระแอมของปูปลุกเขาจากภวังค ชายหนุมรีบหันหนากลับมาและปนยิ้ม

"อา..."

เกาทัณฑทําทาคิด นึกไมออกวาเมื่อครูพูดอะไรคางไว หัวใจเตนตึกๆไมหยุด

"ผม...ออ...อานหนังสือไปแลวหลายเลม"

ลอบถอนหายใจอยางโลงอกที่นึกออก แตแลวก็ตันคําพูดอีก การปรากฏตัวอันเงียบกริบของแพตรีทําให


เขาสับสนไปหมด จนทาเขาก็หัวเราะดังๆขัดจังหวะ ถาไมปะติดปะตอเหตุการณก็ดูเหมือนคนบา อยูไม
อยูก็หัวเราะออกมาเฉยๆ

แลววินาทีหนึ่งเมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา ชายหนุมก็สานรอยกิริยาประหลาดของตนดวยปฏิภาณอัน
วองไว

"ผมวาหนังสือบางเลมนี่ตลกชวนขํามากกวาเปนหนังสือจูงใหสนใจหรือเขาใจธรรมะและปรัชญา นึกถึง
บางประโยคที่คนเขียนแทรกความคิดเห็นสวนตัวแลว ยังตามมาจี้เสนไดจนถึงเดี๋ยวนี้"

พูดเสร็จก็ทําเปนหัวเราะออกมาอีก ภาวนาอยาใหปูขอตัวอยาง เพราะยังคิดไมทันวาจะเอาอะไรที่ชวนขํา


จริงๆมาสาธก
๑๑๗

"แตก็มีหลายเลมที่ดึงผมเขาสูบรรยากาศใหมๆ" คราวนี้ชายหนุมเปลี่ยนสีหนาใหดูจริงจังขึ้น "บางครั้งผม


วูบวาบขึ้นมา เห็นตัวเองเปนแคสิ่งเล็กกระจอยรอยในธรรมชาติอันยิ่งใหญไพศาล หากยืนอยูที่ขอบ
จักรวาลแลวสามารถมองเห็นสิ่งเล็กใหญพรอมกันไดทั้งหมด ก็คงเกิดความเห็นชัดแจงวาชั่วอายุขัยของ
คนเราเปนแคธุลีของธุลีที่ปรากฏปลิวขึ้นวับเดียวในหวงเวลาและอากาศวางไรกําหนด หาสาระไมไดเลย”

"ก็ใช แกกับฉันเปนเศษธุลี แตเปนเศษธุลีที่คิดได สําคัญวาตัวเองยิ่งใหญได รูสึกสุขทุกขได แลวก็กลัว


ตายได ดาวฤกษที่ยิ่งใหญกลางจักรวาลเสียอีก คิดไมได สําคัญวาตัวเองใหญไมได สุขทุกขไมได กลัว
ตายไมได"

เกาทัณฑยิ้มออกมาหนอยหนึ่ง นึกในใจวาปูเปนคนเขาใจพูดและมีแงคิดละเอียดออนกับทุกมุมมอง ทาน


คงใชเวลาหลายสิบปในชีวิตขบคิดถึงสิ่งตางๆจนตีแตกถี่ถวนแลวกระมัง ชั่วขณะนั้นเขาอยากใหตนเอง
ในวันหนาไดเปนคนแกอยางปู...แกและเต็มไปดวยภูมิปญญาลึกซึ้ง

"ถาแกปฏิบัติวิปสสนาถึงจุดที่แมลืมตาก็ไมรูสึกวามีตัวตนกําลังมอง มีแต ‘การเห็น’ เทานั้นที่ปรากฏกับ


ตัวรู แกจะตระหนักวาดวงตาคูนี้เคยขังเราไวกับความคับแคบอยางไร เมื่อมองลงพื้น แกเห็นสิ่งที่อยูหาง
จากสายตาแคไมกี่ศอก บอกตัวเองไดวาแกสูงแคไหน

แตเมื่อมองขึ้นฟา แกเห็นความวางเวิ้งสุดตาหาตําแหนงคํานวณระยะไมได ก็ไมรูจะบอกตัวเองยังไงวา


แกเล็กเตี้ยสักปานใด สายตาคูนี้ของมนุษยมันใหแกไดแคมุมมองที่แคบเล็ก หากปราศจากสติปญญาของ
นักคิด นักวิทยาศาสตรที่ชวยกันสั่งสมความรูสืบทอดกันมา ก็คงไมมีชาวโลกธรรมดาที่ไหนคาดคิดไปถึง
วาพนจากโลกนี้ไป สิ่งที่เรียก ‘ทองฟา’ นั้นคือมหาจักรวาลที่กวางและลึกจนแมแตแสงอาทิตยที่บาดตา
คนบนโลกใหบอดได ก็กลายเปนแคหิ่งหอยเพียงจุดหนึ่ง”

เกาทัณฑคอยๆผินหนาไปมองทองฟาเบื้องไกล เมื่ออาศัยอยูบนโลก พระอาทิตยคือไฟฉายดวงมหึมาที่


สองใหทุกคนมองเห็นสิ่งตางๆทุกซอกมุม ทั้งที่พนโลกไปนิดเดียว พระอาทิตยก็แคแสงดาวเล็กเทาปลาย
เข็มเชนจุดดาวดวงอื่นในหวงจักรวาล ตอใหมารวมกันเปนกระจุกนับหมื่นนับแสนลานดวง ก็ปรากฏเปน
ไดเพียงคบเพลิงดวงนอยในถ้ํามืดกวางใหญมโหฬารเทานั้นเอง

“และดวงตาที่มนุษยคิดวาเปนประตูเขาบานใหญของปญญานั้น ก็ไรความสามารถกระทั่งเปดใหแกเห็น
สิ่งที่เรียกวา ‘เวลา’ มันไมเคยแสดงใหแกเห็นวาแมสิ่งที่อยูนิ่งตรงหนา ก็กําลังลอยเลื่อนอยูในกระแสเวลา
ทุกสิ่งรอบตัวที่กําลังเห็นและไมอาจเห็น ปรากฏอยูไดก็เพราะพวกมันไหลเลื่อนในมิติเวลาระนาบเดียว
กับรางกายที่เปลี่ยนแปลงของแก หากสิ่งใดหยุดอยู ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา ก็แปลวาโลกนี้จะมีอะไร
มากมายที่จูๆหายไปอยางปราศจากรองรอยตอหนาตอตาเรา”

ชายหนุมหันมามองโตะตรงหนา คิดตามดวยฐานจิตที่มีเศษสมาธิคางอยู แลววูบหนึ่งก็เกิดสัมผัสรูขึ้นมา


วาแมโตะที่ถูกเห็นนั้นก็เลื่อนไหลในกระแสเวลาอยูจริงๆ เทียบสัมพัทธไดกับกายเขาที่หายใจเปลี่ยน
๑๑๘

แปลงอยูตลอด เกิดความรูแจงวาบในบัดนั้นวาเวลาเปนองคประกอบมูลฐานหนึ่งของสรรพสิ่ง ธาตุเย็น


รอนออนแข็งในรางกายเขาเองเปนตัวเวลา มันเคลื่อนตัวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆภายใตความทรงตัว
หลอกตา

เศษสมาธิที่ชวยเปดประสาทตาและประสาทหูเต็มที่นั้น เมื่อมีเจตนานําใหจิตพิจารณาไป ก็ผุดความเห็น


ชนิดหนึ่งขึ้นมาเหมือนถูกสะกดใหพนสภาพบุคคลไปครูหนึ่ง มีแตการเห็นออกไปขางหนาเปนสีสันรูป
ทรงตางๆที่ดูแปลกและปราศจากความหมายอยางสิ้นเชิง

เพราะทุกสิ่งตองไหลเลื่อนตามเวลา ทุกสิ่งจึงตองเปลี่ยนแปลง…

ไมใชสิ…ตัวรูที่ผุดขึ้นมาอยางฉับพลันบอกตัวเองวาทุกสิ่งตองเปลี่ยนแปลงตางหาก กาลเวลาจึงเกิดขึ้น

เกาทัณฑกะพริบตาถี่ๆ วูบแหงความเห็นอันประหลาดสลายตัวอยางรวดเร็วและเหมือนอุปาทาน
กระแอมทีหนึ่งกอนเบี่ยงขอสนทนาใหสมองคิดแทนจิตรูเสีย

"เรามีพุทธอยูหลายนิกาย ทุกนิกายทําใหเราเห็นธรรมชาติไดอยางถองแท และทําใหเราหลุดพนจาก


ทุกขเหมือนๆกันหรือเปลาฮะ?"

เขาอานมามากพอจะทราบวาแนวคิดของแตละนิกาย แตละความเชื่อนั้น ถูกบันทึกถายทอดสืบเนื่องกัน


มาโดยบุคคลที่มีภูมิรูแตกตางกัน ตีความและแปลความหมายคําสอนดั้งเดิมของพระตถาคตผิดกัน เมื่อ
ถามปูเชนนั้น เกาทัณฑรูสึกวาตนถามดวยความอยากรูจริงๆ ใชจะถามเพื่อหาทางตอนอะไร

"บอกวาจุดประสงคคือตองการดับทุกขเหมือนกันดีกวา ตางที่ความเห็นในการปฏิบัติ คือมีความหยอน


ตึงผิดกัน พุทธเรามีความเห็นเปนสองฝายใหญๆคือมหายานกับหินยาน มหายานเนนเรื่องดับทุกขเปน
หลัก ไมสนใจเรื่องระเบียบหรือธรรมเนียมอะไรเทาไหร ซึ่งเวลาก็พิสูจนใหเห็นแลววามีความแตกแยก
ฟนเฝอไปมาก เหมือนจะไปเมืองเดียวกันแตมีทางใหเลือกเยอะเกินไป เอาแนไมไดวาเลือกแตละเสน
แลวจะเจออะไรเขาระหวางทาง ทําไปทํามากลายเปนความเขาขางตัวเองวาอันนี้ผอนปรนได อันนั้นลด
ความเครงลงเพื่อความเหมาะสม เปดชองใหคลุกคลีกับญาติโยม กลายเปนพระนักธุรกิจบาง พระนักการ
เมืองบาง หรือหนักกวานั้นเปนสมี พูดจาโกหกพกลมไปวันๆไดเพราะหยอนวินัยมาทีละขอ-สองขอนั่น
แหละ

ตางกับหินยาน หรือที่ทางเราเรียก ‘เถรวาท’ ที่ออกจะเครงครัด แตก็ประกันไดวาถึงที่หมายแน เพราะ


เปนวาทะของพระเถระผูเปนอรหันตซึ่งหลุดพนตามพระพุทธองคโดยตรง หลายคนบนวาเครงเกินเหตุ
จนสุดวิสัยจะปฏิบัติไดจริง แตหากศึกษาใหดีจะพบวามีการอนุโลมใหกับสถานการณจําเปนในตัวเองอยู
แลว ไมใชกระดิกแลวผิดไปหมด"

"คือนิกายนี่ที่แทก็เปนเรื่องของวินัยสงฆ?"
๑๑๙

"เรื่องของคําสอนดวย เถรวาทยึดเอาหลักการสอนจากพระพุทธพจนเปนเกณฑทั้งทางโลกและทางธรรม
จะปรุงแตงอะไรก็มีพระพุทธพจนมาเปนลูทาง ไมแสดงอภินิหารฉีกแนวไปคนละแพรง แตสําหรับ
มหายานนั้นบางครั้งก็เอาปญญาของอาจารยแตละนิกายยอยเปนหลัก ซึ่งบางคราวไดผูรูจริงมานําก็พอ
ทําเนา แตบางทีไดผูรูเทียมมาจูงก็นับเปนคราวเคราะห เพราะตั้งตนวาจะไมเชื่อตําราเสียแลว ก็ตองไป
เชื่อเอาตามเจากูที่ตนเลื่อมใส ดีเลวผิดถูกอยางไรก็ฝากไวกับผูเปนใหญในนิกายนั้นลูกเดียว"

"งั้นเถรวาทเราเชื่อไดยังไงฮะวาคําสอนของพระพุทธเจาไมถูกบิดเบือน ไมไดถูกดัดแปลงโดยเจากูที่ถูก
อํานาจความถือดีครอบงําในแตละยุค เวลามันผานมาเปนพันๆปอยางนี้?"

"ดูกันที่หลักปฏิบัติใหญๆในวงของศีล สมาธิ และปญญา ถากี่คนๆตั้งใจปฏิบัติจริงแลวไดดี ไมเสียสติ


หางจากการครอบงําของกามคุณ บรรลุถึงความสวางแจงพนทุกขไดอยางปลอดภัยตาม พุทธประสงค
อยางนี้ก็นับไดวาถูกตองตามพุทธพจนแน”

เกาทัณฑพยักหนาหงึกหงัก จับทางไดแลววาเพียงอยูในกรอบของศีล สมาธิ ปญญาเพื่อการพนทุกข ปู


สามารถตอบปญหาไดครอบจักรวาล เพราะนี่คือจุดใหญใจความของพุทธแทๆ ไมใชเรื่องของสํานวน
โวหารหรือวิธีถกเถียงดวยการยกประเด็นใดๆขึ้นมาตั้ง

“พูดก็พูดเถอะนะครับ ขาวเสียหายที่เกิดขึ้นในแวดวงพุทธศาสนาเรามาจากน้ํามือของคนหมผาเหลือง
ของทั้งฝายเถรวาทและมหานิกาย อยางนี้พอแสดงไดหรือเปลาวาหลักปฏิบัติไมไดเปนประกันอะไรเลย
ขึ้นอยูกับบุคคลเสียมากกวา ปูบอกวาความแตกตางระหวางมหายานกับหินยานคือวินัยและหลักคําสอน
ทีนี้ถาพวกที่ลากๆกันบวชนั่นแคประกาศตัววาเปนเถรวาทหรือหินยานโดยขาดใจยึดวินัยและหลักคํา
สอน ผลก็เหมือนกันนั่นเอง อยูฝายเดียวกันคือขอลดหยอน ขอพังกรอบที่พระพุทธเจาวางไว…อยางนี้
โลกยุคเราที่มันสืบสันดานแบบเดียวกันหมดควรมีแคหลักธรรมแบบเถรวาทไวศึกษากันตามใจสมัครดี
ไหมครับ? มีวัดยิ่งดึงศรัทธาคนใหตกต่ําลงเปลาๆ”

“ไปคิดอยางนั้นไมได จริงอยูบานเมืองเรากําลังเต็มไปดวยลูกชาวบานหมผาเหลือง เขาใจแคกติกาวา


บวชเพื่อนุงหมจีวรออกเดินรับขาวและนอนสบายในที่พัก แตก็ยังมีคนรูแจงและเขาใจจริงถึงขอตกลงที่วา
เรามีวัดไวเปนเขตแบงแยกหนาที่ระหวางสงฆกับฆราวาส ฝายฆราวาสเต็มใจสรางบริจาค เพื่อรักษาคํา
สอนที่เชื่อตรงกันวามีคายิ่งกวาเงินทองซึ่งถูกแปลงเปนโบสถศาลาและขาวถวายพระ ฝายสงฆเปนฝาย
รักษาคําสอนไวดวยการปฏิบัติอยางเต็มที่ ไมหวงหนาพะวงหลังวาจะตองแกงแยงชิงดีทางการงานกับ
ใคร ปฏิบัติไดเย็นแคไหนก็เอามาพรมแจกญาติโยมดวยธรรมเทศนาที่มาจากความรูจริง

ทีนี้ถาคิดตัดโอกาสดวยการรื้อถอนวัดวาอารามหมด เพียงเพราะเห็นวาบานเมืองเรามีนักบวชทุศีลครอง
วัดกันมากนัก ก็เปนอันวายอมรับพรอมกันวาทุกคนเห็นแตนักบวชทุศีล ไมเหลือใครเห็นคาของหลัก
ธรรมคําสอนอีกแลว ไมตองเปดทางใหคนปรารถนาจะเขาใหถึงธรรมดวยทางตรงอีกแลว ไมตองการ
ฐานะอางอิงใหมีฝายนั่งอยูสูงเพื่อพูดถึงของสูงอีกแลว
๑๒๐

คิดดูนะเต ถาหลวงตาแขวนนั่งอยูในบาน เปนคุณตา เปนคนชราสูงอายุที่อาจเกษียณแลวหรือยังตอง


ทํางานงกๆเงิ่นๆ แกจะเอาธรรมเนียมอะไรมากมลงกราบไหวทานใหสมกับความเคารพบูชาสุดหัวใจ แก
คิดวาทานจะมีเวลาสั่งสมตบะเดชะจนแกกลาขนาดที่ใครนั่งใกลก็ถูกดึงดูดใหใจคลอยลงเปนสมาธิได
ขนาดนั้นหรือเปลา? คําสอนในคัมภีรเปนสิ่งที่ทุกคนอานไดเหมือนกันก็จริง แตกี่คนสามารถนํามาปฏิบัติ
ใหเขาถึง ทั้งที่ยังตองแยงงาน แยงตําแหนง มุงหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงทองไปวันๆอยางเราๆ”

เกาทัณฑยนคิ้วตรองตาม อดคิดไมไดวาที่สุดก็ตองยอมใหกาฝากกลุมใหญตักตวงประโยชนจากชองวาง
ที่เปดไวไปเรื่อยๆอยางนั้นหรือ? เกือบถามปูไปวาอยางนี้ควรแกไขอยางไร แตก็นึกไดวาปมนี้มันใหญ
หลวงเกินกวาจะแกดวยการถามตอบงายๆในบานหลังหนึ่ง ที่คูสนทนาปราศจากบทบาทสําคัญในสังคม
ระดับประเทศ ระบบการกลั่นกรองบุคคลเขาสูมรรคาของสงฆเปนเรื่องละเอียดออน ตองทํากันจริงจังใน
ยุคที่ธรรมเปนใหญ ผูคนเกรงกลัวบาปเองโดยไมตองพร่ําสอนกันมาก จูๆจะหวังใหมีใครคนหนึ่งโผลขึ้น
มาปรับเปลี่ยนระบบสงฆใหเขาลูเขาทางทั้งหมดในเดือนเดียวปเดียวนั้น มันเหลือวิสัยเปนอยางยิ่ง

ชายหนุมหรี่ตานิดหนึ่ง เลี่ยงถามมาอีกทาง

"เมื่อพนทุกขแลวไมมีตัวตน เราจะพนไปทําไมฮะปู? เราเพียรปฏิบัติธรรมไปก็เพื่อใหตนเองพนทุกขและ


มีสุข แตเห็นอยูวาบั้นปลายของการปฏิธรรมในศาสนาพุทธไมมีตัวตนหลงเหลือไวรับรางวัลอันหวานชื่น
เสียแลว แบบนี้จะทุกขแบบเกาหรือสุขแบบใหมมันก็ครือๆกันนั่นเอง"

“จับทางใหมนะเต พระพุทธเจาทรงสอนเรื่องทุกขและการดับทุกข ศาสนาพุทธไมไดตั้งขึ้นมาดวย


ประเด็นของอัตตาและการดับอัตตา เพราะฉะนั้นหากตองการตระหนักถึง ‘รางวัล’ อันเปนปลายทางของ
พุทธ แกตองเริ่มตนที่นี่ ฟงทานแจกแจงวาอยางไรเรียกทุกข อยางไรที่จิตเปนทุกข อยางไรคือการเวียน
วายหลงลืมแลวกลับจําอยูกลางน้ําขึ้นน้ําลง มีเพื่อหมด พบเพื่อพราก อยูเพื่อไป เกิดเพื่อตาย วนกลับ
สลับไปสลับมาแลวๆเลาๆ

ผูปฏิบัติถึงธรรมยอมเห็นวาโดยแทแลวเราคือจิตที่หลงแลนไปดวยความไมรู สรางโลกสรางตัวตนขึ้นมา
แบกไวอยางไรแกนสาร ตัวตนหนึ่งสรางกรรมใหอีกตัวตนหนึ่งรับผล อยางเชนที่แกกําลังรับผลหลายๆ
อยางจากความคิดของวัยเด็ก จากการกระทําของรางกายเมื่อยังเล็ก ตัวตนในวัยเด็กของแกมันแปรไป
แลว สลายตัวไปหมดแลว แกลืมอะไรๆในชวงนั้นไปหมดแลว แตตัวตนของแกในตอนนี้ รางกายที่เห็น
อยูนี้ ยังตองมาเสวยผลที่ทําไวในครั้งกอนอยู"

เกาทัณฑคิดถึงแผลเปนบางแหงในรางกาย อันเปนของฝากจากความคะนองในวัยเด็ก นึกถึงเพื่อนรวมก


วนตอนสิบขวบคนหนึ่งที่ตาบอดเพราะเลนขี่จักรยานผาดโผนกับเขา หมอนั่นยังเปนไอตาเดียวที่นา
สงสารมาจนถึงทุกวันนี้ ทั่งที่รางกายและจิตใจเติบโตเปลี่ยนแปลงจากวัยซนมาแลวเปนคนละคนอยาง
สิ้นเชิง
๑๒๑

ตัวตนในวันนี้มาจากตัวตนเมื่อวาน…

"ถึงไมพนทุกข ไมเขาถึงธรรม ก็ไมมีตัวตนไหนไดรับผลที่มันสรางขึ้นอยางถาวรอยูแลวละเตเอย มันเปน


ความสืบเนื่องของธรรมชาติที่หลอกจิตเราใหหลงละเมอเพอพกเรื่องตัวตนเดิม ตัวตนเดียวไปวันๆเทา
นั้น ไอที่เห็นเราเปนเรานี่แทจริงคืออุปาทานที่เกิดสืบเนื่องเหมือนคลื่นทะเล หลอกตาใหเห็นเปนลูกคลื่น
เดียวกันวิ่งเขามา ทั้งที่ความจริงเปนน้ําคนละกลุมแทๆ”

ปูชนะกระแอมทีหนึ่ง

"หากมีพลังสติพอจะสนับสนุนการพิจารณากายและจิตตามจริง ตัดคิดตัดความหมายจําตัวตนที่ผานมา
เหลือแตกายใจที่ปราศจากชื่อแซในวินาทีนี้ ความจริงในเรื่องความไรตัวตนจึงปรากฏใหจิตประจักษได
สมเหตุสมผล เมื่อพิสูจนความจริงเบื้องตนไดอยางนี้ จิตจึงคอยเชื่อวาการปลดปลอยตัวเองใหเปนอิสระ
จากทุกข จากอุปาทานอยางถาวรนั้นคือสิ่งควรพยายาม เพราะจิตนี้เองเที่ยวทุกขไปในตัวตนตางๆที่มัน
สรางขึ้น ไมมีตัวตนไหนหรอกที่ตามไปทุกขกับจิตดวย ผูปฏิบัติวิปสสนาสามารถเห็นชัดเปนขณะๆวา
นอกจากทุกขไมมีอะไรเกิด นอกจากทุกขไมมีอะไรดับ เราไมไดปฏิบัติวิปสสนาดวยเจตนาดับตัวตน
เพราะไมเคยมีตัวตนใหดับ เราตองการดับอุปาทานวามีตัวตน อันเปนปจจัยของการสืบสายทุกขตาง
หาก”

"แลวตัวจิตตัวใจของเราอยูที่ไหนกันแนละครับ ตอนยังเปนทุกขกับตอนที่ดับทุกขแลวมันอยูตรงที่เดียว
กันหรือเปลา?"

"ตรงที่เดียวกัน"

"ตรงไหนครับ?"

"ตรงที่มันรูนะซี"

เกาทัณฑเอนหลังพิงพนัก เกิดประสบการณเห็นจิตทั้งยังลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ตรงที่กําลังรูอยูเดี๋ยวนี้เอง


คือจิตของเขา เอ…หรือของธาตุรูที่มีอยูในธรรมชาติ?

คลื่นความคิดอีกระลอกหนึ่งทยอยไลเขามาแทนที่ การมีอุปาทานเห็นตัวเห็นตนนี้นะหรือคือทุกข? เขามี


อุปาทานติดตัวมาแตเกิดจนถึงวันนี้ ยังไมเห็นมีทุกขอะไรที่ทําใหอยากบวชหนีโลกเลย เขาพรอมดวยรูป
สมบัติและคุณสมบัติ ถาเจอปญหาใหญเล็กก็แกตกไดงายๆเสมอ และที่สําคัญคือรูจักวิธีโกยสุขสารพัด
รูปแบบ ไหนกันที่นาหนี?
๑๒๒

หากมองตามความเหลื่อมล้ําที่แตละคนมีความสามารถจัดการกับทุกข เผชิญหนากับทุกขเชนนี้ ก็แปลวา


ประเด็นหลักของศาสนาพุทธไมเปนสาธารณะเทาไหร อยางนอยก็มิไดมีประโยชนกับคนที่มีความสุขพอ
ตัวอยูแลวอยางเขา

แลวคําตอบของปูก็ผุดขึ้นในใจอยางรูโดยไมทันตองถาม ปูจะบอกวาเมื่อไหรเจอทุกขที่ฉลาดแคไหนก็แก
ไมตกถึงจะรูสึก มุมมองแบบของเขาตางกับพระพุทธเจาและสาวก อยางเขาแคอยากแกทุกขไปวันๆ
แลกกับการไดบริโภคกามคุณเปนพอ แตอยางพระผูรูทานแกทุกขระยะยาว แกทีเดียวจบ สุขแลวสุขเลย
ไมเปลี่ยนแปลง เมื่อเขาพอใจจะอยูบริโภคกามของเขาอยางนี้ก็เปนเรื่องของทางเลือกอันเปนสิทธิ์เฉพาะ
ตราบใดที่ความดับทุกขสนิทไมปรากฏเปนขอเปรียบเทียบ ตราบนั้นเขาก็ยังคงเลือกสิ่งที่งาย สิ่งที่เห็น
เองดวยตาเปลา อันเปนวิสัยปกติของคนทั่วไป

พยายามนึกถึงประเด็นโนนประเด็นนี้ แตทุกประเด็นก็ไดยินคําตอบของปูผุดขึ้นมาดักคอกลางสมองไป
เสียหมด ในที่สุดจึงแบมือทั้งสองออกกวาง

"มีอะไรมั่งไหมฮะที่ปูยังไมรูเกี่ยวกับตื้นลึกหนาบางของพุทธศาสนา?"

ถาปูตอบวา 'ไมมี' เขาอาจจะยอมเชื่อก็ได แตกลับกลายเปนวา

"บานตะเกียง" ปูตอบยิ้มๆ "ความรูในวงพุทธนั้นลาดลึกและหางพนจากคําพูดไปเรื่อยๆ ยิ่งเรียนมากยิ่งรู


มาก คิดมาก เทียบกับทานแขวนแลวฉันรูแคหางอึ่ง"

เกาทัณฑยิ้มเหมือนพอจะนึกออก

"งั้นก็แปลวาหลวงตาแขวนทานรูมาก รูครบละสิฮะ”

"ยังไงไมทราบ เคยถามอยูเหมือนกัน เห็นทานบอกวาตัวทานเหมือนขี้เล็บในซอกหัวแมตีนอาจารย ถึง


ทานพยายามเรียนเทาไหรๆก็ขึ้นมาไมพนหัวแมตีนอาจารยสักที"

"โอโฮ" เกาทัณฑแกลงรองออกมา "อยางนี้ผมก็มีความรูแคนองกิ้งกือมั้ง"

ปูหัวเราะหึๆ เงียบไปพักหนึ่ง

“ถาวากันแบบโลกๆนะ รูมากรูนอยวัดกันดวยการสอบ การตอบคําถามปากเปลาแลวจัดอันดับเชิดชูยก


ยองขึ้นแปนหนึ่ง สอง สามไดงายอยู แตทางธรรมแทนะ เทียบรูกันดวยนิ่ง เทียบความเขาถึงกันดวย
ความสงบ หากสงบไดราบคาบถาวร ก็ถือวาชนะเหมือนกัน ครองฐานะเทาเทียมกัน ขอใหรูเอาตัวรอด
จากทุกขไดอยางเดียว จะรูมากกวานั้นเทาไหรไมสําคัญเลย"

"แปลวาผมยังไมรูจักเอาตัวรอดจากทุกข ก็ถือวาผมยังไมรูอะไรในความเปนพุทธเลยใชไหมฮะ?"
๑๒๓

"ก็คลายๆอยางนั้น"

เกาทัณฑถอนหายใจเฮือก ประตูหองของแพตรีเปดออก มีผลใหเขาลืมปูชนะไปในบัดดล หญิงสาวอยูใน


อีกชุดหนึ่งตางกับเมื่อครู เปนเสื้อกระโปรงสีฟาออนเขากัน

"จะทานมื้อเที่ยงไหมคะปู?"

ปกติชายชราทานแคมื้อเชากับมื้อเย็นรวมกับหลอน แตในวันเสารอาทิตยอยางนี้ก็ไมแน ถาหิวทานก็จะ


ทาน ถาไมหิวก็ใหหลอนทานเองคนเดียว

"เอา...เผื่อใหเตเขาที่หนึ่งดวย"

"คะ"

หญิงสาวรับคําแลวกาวลงบันไดไป เกาทัณฑรีบบอกปูทันทีที่รางหลอนลับตา

"ใหผมลงไปชวยแพนะครับ"

โดยไมตองมีมารยาทรอแมแตอาการพยักหนาของปู แคขาดคํารางสูงก็ยายผลุบลงจากเรือนไปทันใด

มาทันหญิงสาวเมื่อหลอนเขาหองครัวแลว แพตรีเหลียวหลังมาเห็นเกาทัณฑเขาก็แปลกใจ สงสายตาเปน


เครื่องหมายคําถาม เมื่อเห็นเขาไมพูด เอาแตยิ้มยิงฟนก็สอบวา

"ตองการอะไรคะ?"

"ปละ...เปลา"

"งั้นตามดิฉันลงมาทําไม?"

หลอนเคยนิ่มนวลเชนไรก็ยังคงนิ่มนวลเชนนั้น ทวาถอยคําที่สงออกมาแสดงออกถึงความตองการชอง
วางอยางเห็นไดชัด

"ตามลงมาดูวาผมจะพอเปนลูกมือแพบางไดไหม ผมทํากับขาวเกงนะ"

"ไมรบกวนหรอกคะ ดิฉันตั้งใจจะทําขาวผัดงายๆ ทําคนเดียวก็พอ"

"ผมคอยชวยแพจัดจานชาม ยกถาดก็แลวกัน"

"แคสามจานเบานิดเดียว ปลอยเปนหนาที่ดิฉันดีกวา ไปนั่งคุยกับคุณปูตอเถอะนะคะ"


๑๒๔

พูดแลวก็หันไปจัดขาวของ นําจานถั่วฝกยาวมาหั่นเปนทอนสั้นๆที่โตะกลาง ชายหนุมยิ้มกริ่มยืนอยูที่


เดิม หลอนไลดวยคําพูดปฏิเสธการตอรองเสนอตัวของเขา ทวามิไดหันมาสําทับดวยสายตาจริงจังแต
อยางใด คงแปลวาถาเลือกที่ยืนดีๆ ก็คงไมถูกมองวาเกะกะเทาไหร

ครูหนึ่งเมื่อสําเหนียกรูวาเขาปกหลักกับที่แน แพตรีก็พึมพํา

"เราทานอาหารมังสวิรัติกัน อาจไมถูกปากคุณ"

"งั้นหรือฮะ" เกาทัณฑเบิกตาเล็กนอย "อยากรูเหมือนกันวาอาหารมังสวิรัติรสชาติเปนยังไง เผื่อติดใจ


อาจคิดทานไปเรื่อยๆมั่ง"

พูดพลางวิตกเล็กๆ รูจักหลอนเพิ่มขึ้นอีกนิด ในแงมุมที่คอนขางนาลําบากใจ แคนึกวาวันหนึ่งถาพาไป


ทานขาวมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นนอกบาน จะหารานมังสวิรัติที่ไหนดีก็เหนื่อยแลว

“แพกับปูคงเครงนาดูเลย ออกขางนอกก็ทานกันอยางนี้หรือฮะ?”

เกาทัณฑถามใหฟงปกติ แพตรีไมทันคิดวาเขาถามดวยความกังวลไปถึงอนาคตก็ตอบตามซื่อ

“คะ”

“คงหารานยากเหมือนกันใชไหม?”

พูดแลวนึกไดวานั่นเปนการถามเชิงบนในเรื่องสวนตัวหลอนก็รีบเปลี่ยนเรื่อง

"ผมถือวาตัวเองเปนหนี้บุญคุณแพเรื่องหนึ่ง"

ชายหนุมทอดตามองงานในมือแมครัวสาว ชอบกิริยานิ่มนวลทวาฉับไวชวนมองเพลินอันเปนหนึ่งในคุณ
ลักษณของหลอน ทาทางแพตรีคงเกงงานบานไปทุกอยาง

"เรื่องอะไรคะ?”

เกาทัณฑถอยเทาไปพิงขอบโตะ ยกแขนกอดอก

"แพนําผมไปพบกับพระดี เชื่อไหมวาตอนนี้ผมฝากตัวเปนลูกศิษยทานแลว?"

หญิงสาวเงียบเปนครู กอนกลาวดวยน้ําเสียงที่เบานุมทวามีกังวานและน้ําหนักจริงใจ

"อนุโมทนาดวยคะ"
๑๒๕

วางมือจากมีดแลวหันไปตั้งกระทะ เทน้ํามันพืชและเจียวกระเทียมบนเตา

"ไมถามหรือฮะวาผมเรียนอะไรมาบาง ถึงอางไดวาเปนลูกศิษยทาน"

"คะ ถาม...คุณเรียนอะไรมาบางคะ?"

ชายหนุมหัวเราะตาเปนประกาย คําพูดของแพตรีมีเสนหบางชนิดที่ตรึงใจคนฟงอยางละเมียดละไม อยู


ใกลหลอนเหมือนหางไกลออกมาจากสิ่งที่เคยเห็น เคยไดยินมากอนทุกอยาง

"ทานสอนใหผมทําสมาธิ และตอนนี้ผมรูแลวละวาพระดีทานบวชกันเพื่อกิจชนิดไหน"

ดวยสติสตังในขณะนั้น เกาทัณฑรูสึกตัวขึ้นมาวากําลังจะทําตนเปนฆองที่อยูๆก็ดังขึ้นเอง อยากคุยโวจน


คันปากยิบๆวาไดลุถึงสมาธิระดับใด รวดเร็วนาอัศจรรยปานไหน แตก็ประจักษใจในบัดนั้นวาเรื่องสมาธิ
นี่เอามาอวดกันเหมือนโชวฟอรมเดนในเกมกีฬาไมได มันเปนของขางใน พูดออกไปแลวคนฟงจะรับ
อะไรนอกจากฝอยน้ําลาย

ดวยดําริประการฉะนี้ เกาทัณฑจึงเบนเข็มไปสรรเสริญผูอื่นเสียแทนความอยากโออวดฤทธิ์เดชในตน

"อยางที่เคยเลาใหฟงวาตอนวัยรุนผมเคยเขาคอรสฝกสมาธิกับเขามาแลวแตเหลว นึกดวยซ้ําวาคงเอา
ถานทางนี้ไมไหว ใจมันคะนองเกินกวาจะบังคับตัวนั่งนิ่งๆยังกับถูกสาปใหเปนใบ มาวันนี้เพราะพระที่
ทรงคุณอยางหลวงตาแขวนแทๆทําใหผมตาสวาง ไดรูจักรสชาติหวานชื่นของสมาธิกับทานบาง ถึงจะ
เตาะแตะไมประสีประสาเทาไหร ก็นับไดวาเริ่มอยากสรางความกาวหนาใหกับตัวเองบางแลว”

เวนจังหวะนิดหนึ่ง เอียงคอเพงตานิ่ง หวังวาหลอนจะเหลียวมามอง แตก็เปลา

“และจะใครถาไมใชแพ ที่นําผมไปพบกับหลวงตาแขวน ผมจึงถือวาแพมีบุญคุณกับผม ผมจะจําไว"

"เปนวาสนาของคุณตางหากละคะ ดิฉันไมไดมีสวนชวยดวยเจตนาสักหนอย อยูๆก็เปนธุระขนถัง


สังฆทานใหเอง"

พูดเทาความถึงวันที่เขาเจากี้เจาการอาสาชวยเหลือโดยหลอนไมไดวานขอ พลางตักขาวจากหมอหุงซึ่ง
อุนและทิ้งใหเย็นลวงหนาไวแลวลงกระทะน้ํามันรอนไดที่ ตามดวยเครื่องปรุงอื่นๆพวกถั่วฝกยาว ถั่วแดง
ถั่วลิสง ซอส ซีอิ๊วขาวและน้ําตาลทราย ลงตะหลิวผัดคลุกแกรกๆ

"อือม จริง นึกไดละ เพราะความยุมยามอยากชวยเหลือคนดีอยางแพ จึงนําผลดีๆกลับมาตอบแทนอยาง


นี้"

เกาทัณฑเออออรับยิ้มๆ
๑๒๖

"รูไหม ผมเคยไดยินมานะ วาเขาใกลคนมีบุญนี่จะมีจิตใจเปนบุญตาม ผมก็ฟงแบบไมรูเรื่องรูราวหรอก


เพราะตลอดมาเคยแตเขาใกลคนมีจิตใจชุมบาปดวยกัน และผมก็คงพบเห็นอยูแคนั้นตลอดไป ถาวัน
กอนผมไมคิดมาเยี่ยมปูที่นี่"

หลอนงวนผัดขาวหอมฉุยโดยไมโตตอบ เกลี่ยขาวไปรอบกระทะ เหลือที่วางตรงกลางเติมน้ํามันตอกไข


ใส รอจนเหลืองจึงนําขาวกลับมาผัดคลุก

เกาทัณฑมองหลอนทําอาหารจากดานหลังแลวเกิดความรูสึกแสนดี สาวที่เปนแมบานแมเรือนสมัยนี้หา
ยาก แบบแผนของสังคมรุนใหมเลิกยกยองเสนหปลายจวักของเพศหญิงมานานแลว ปลอยใหเปนหนาที่
ของกุกตามเหลาตามรานนอกบานไป นานๆแหละถึงเจออยางแพตรีที่หนวยกานบอกเลยวาใชอะไรที่เขา
เรียกแมศรีเรือน ผูทําใหบานมีความหมายในใจเหนือกวาอิฐปูนคุมแดดคุมฝน

"ผมอยากไดสวนบุญจากแพบาง...นี่ไมไดหมายความวาเปนเปรตนะ อยาเขาใจผิด เปนมนุษยนี่แหละ


แตยังไมประสาเรื่องบุญเรื่องกุศลเทาไหร ตองพึ่งพาคนอิ่มบุญอยางแพไปกอน"

เห็นเสี้ยวหนาของหลอนจากมุมเยื้องวายิ้มขันในวิธีพูดของเขา โดยพื้นฐานแลวแพตรีนาจะเปนผูหญิง
ธรรมดาคนหนึ่ง ธรรมะในจิตใจเทานั้นที่ยกหลอนขึ้นสูงจนเหมือนเกินเอื้อม

"ถาไดแพเปนกัลยาณมิตร เปนพี่เลี้ยงคอยชี้นํา คอยบอกวาอยางนี้ชอบ อยางนี้ไมชอบ วันหนาผมคงไป


รอด ไมโดนมารฮุบไปกินเสียกอนถึงฝง"

"คุณก็ศิษยมีอาจารย อยามาถอมตัวรับการตักเตือนติติงจากดิฉันอีกเลย"

"อาจารยอยูกับลูกศิษยตลอดเวลาไมไดนี่ฮะ"

พูดเฉียดๆจะลดเลี้ยว คลายบอกวาตอไปอยากใหหลอนอยูกับเขาตลอดเวลา และเปนธรรมดาที่แพตรีคง


พบกับพวกชางเกี้ยวมาแตแรกสาว หลอนจึงพอจะไหวตัวทันและสงบคําไป

"ผมเชื่อวาใจบุญอยางแพยินดีชวยคนเพิ่งเริ่มหัดวายน้ําใหเอาตัวรอดไดแนๆ จริงไหม?”

หญิงสาวเงียบอยางคิดหาคําพูด ที่สุดก็เอยออกมา

"อยาวาอยางนั้นอยางนี้เลยนะคะ แพ...ดิฉัน..."

เกาทัณฑหูผึ่ง ยิ้มกวางจนเห็นฟนเต็มปาก อยางนั้นซี่แมเอย ใจหลอนคงเริ่มรูสึกคุนสนิทกับเขาแลว ถึง


เผลอเรียกชื่อเลนตัวเองออกมา ประเดี๋ยวเถิด เขาจะพังกําแพงที่หลอนตั้งขึ้นกั้นชายแปลกหนาใหสําเร็จ
ในเร็ววัน
๑๒๗

"เกรงวาคุณจะเขาใจบางอยางผิดไป ดิฉันยังไมไดดีอะไรเลย ใจยังมีกิเลสอยูมาก รูสึกวายังบุญนอย ไม


อยูในฐานะที่จะชวยใครใหไดดีขึ้นมา"

"บานนี้ชอบถอมตัวกันจัง แพกับปูถอมตัวทีไรผมสะดุงทุกที ถาอยางแพบุญนอย ผมไมกลายเปนองคุลี


มาลเหรอะ"

แพตรีปลอยหัวเราะออกมาหนอยหนึ่ง ที่ตรงนั้นเกาทัณฑคิดวาหลอนเริ่มมาอยูในบรรยากาศของเขาบาง
แลว

“ทานองคุลีมาลความจริงเปนคนดีนะคะ ที่พลาดผิดไปชั่วขณะ ไลฆาคนไมเลือกหนาก็เพราะถูกหลอกให


อยากไดวิชา เมื่อพบพระพุทธองคแลวก็สํานึกเร็ว และออกถือบวชจนสําเร็จมรรคผลขั้นสูงสุด เปนพระผู
หมดกิเลสในเวลาอันสั้น เราตองกราบไหวบูชาฐานะสุดทายของทานเทาพระอรหันตองคอื่น”

"ออ…ฮะ"

เกาทัณฑครางรับรู ผูศรัทธาจริงยอมละเอียดออนแมกับสิ่งที่ถูกมองขามโดยคนหมูมาก ชายหนุมเงียบ


ไปพักหนึ่งกอนเอยขึ้นมาลอยๆ

“ผมตองเรงทําความดีใหเร็วหนอยเหมือนกัน ไมงั้นเดินไปเดินมาในบานนี้อยูดีๆ…อาจถูกธรณีสูบจวบ
เดียวหายไปเลย”

เขาทําทีวิตกรอนตัวและใชสุมเสียงไดนาขัน สงผลคือหญิงสาวยืนหัวเราะรวนใหไดยินเปนครั้งแรก
เกาทัณฑนิ่งฟงดวยนัยนตาเปนประกายสุข อึดใจตอมาหลอนจึงหยุด หยุดแบบเงียบไปเฉยๆ กอน
เหลียวหนามาหาเขาเนิบชา สบตาและสงยิ้มให

"สงจานใหหนอยสิคะ"

เกาทัณฑเบิกตานิดหนึ่ง สะบัดมองซายขวารวดเร็ว เมื่อเห็นชั้นวางจานก็รีบกาวไปหยิบมาสามใบ แลว


เขาไปยืนรีรอใกลๆเตรียมยื่นสง เมื่อแพตรีผัดจนรอนทั่วแลวก็หันมารับจานจากเขาไปตักขาวใสทีละใบ

ใกลหลอนเพียงกาวเดียว รูสึกเย็นเขาไปถึงกลางอก หลอนคนนี้แนแลวที่เขาตองการ หวั่นใจก็แตวาเขา


อาจไมเปนที่ตองการของหลอน ครั้งเมื่อแพตรียังอยูในวัยชางฝน ไมรูจักโลก ไมซึ้งรสธรรมะ เห็นเด็ก
หนุมรูปงามเปนเจาชายในนิทานไปหมด เขาเคยทําลายความรูสึกของหลอนมาแลวดวยสีหนาเย็นชา
ตอบยิ้มทอดไมตรี เขาใจดีวาหลอนเคยรูสึกอยางไร เดาไมถูกเทานั้นวาเดี๋ยวนี้ยังจํายังย้ําคิดแคไหน
ความหลงที่กลายเปนเกลียดของผูหญิงสวนมากยากนักจะแกกลับใหเปนตรงขาม

เกาทัณฑเปนคนนําจานขาวมาวางบนโตะ เพียงเห็นขาวเรียงเม็ดสวยและไดกลิ่นหอมโชยแตะจมูกก็รู
เลยวาอรอย แพตรีเอามะเขือเทศมาใสพรอมแตงกวากับผักกาดหอม ระหวางที่หลอนจัดหนาใหดูดีอยู
๑๒๘

นั้น เขาก็ชวยหยิบกระปุกพริกไทย น้ําสม น้ําตาล กับซีอิ๊วขาวซึ่งผูนิยมมังสวิรัติใชแทนน้ําปลามาวาง


รวมกันในถาดเล็ก ปากก็ถามเอื่อยๆ

"บอกไดไหม ที่สุดของความพอใจสําหรับแพคืออะไร?"

เมื่อเขาทําทาเขาใกลเกินจําเปน แพตรีก็ขยับหางไปยืนลางมือที่อางอะลูมิเนียมอีกทาง

“การไดอยูอยางสบายใจ ไมมีใครมาเบียดเบียนมั้งคะ”

ชายหนุมตะแคงหนามอง ยิ้มมุมปาก หลอนยืนหันหลังใหเขาอีกแลว เชื่อเชียวละวาผูหญิงคนนี้อยูคน


เดียวไดดวยความสุขกับตัวเองตามลําพัง เสียงที่หลอนใชตอบแฝงสําเนียงปดกั้นการพยายามตีสนิทของ
เขาคอนขางชัด เกือบลอวาถาชอบอยางนั้นสงสัยตองไปอยูปาแบบทารซาน แตไมแนใจวาหลอนจะขํา
ดวยหรือเปลา เลยพูดอีกอยาง

“สันโดษดีนะ คงตองขอวิธีปฏิบัติจิตใหเกิดความสุข ความพอใจจะไดอยูคนเดียวแบบแพบาง ทุกวันนี้ผม


คอนขางจะติดเพื่อน ติดญาติมากไปหนอย”

หญิงสาวปดน้ํา เช็ดมือกับผาบนผนัง แลวหยิบถาดใหญจากชั้นวางเดินกลับมาที่โตะ ระหวางทางก็ตอบ


วา

"คุณเปนลูกศิษยหลวงตาแขวนแลวนี่คะ สักวันดิฉันอาจตองถามขอวิธีปฏิบัติจิตใหเกิดความสุขจากคุณ
บางก็ได"

"ถึงวันนั้นผมก็คงบอกแพทันทีวา...จงเปนตัวเองตอไป"

"ดิฉันก็จะตอบคะวา...แคนั้นไมพอหรอก"

เมื่อจัดจานใสถาดเรียบรอย แพตรีทําทาจะยกขึ้น

"ใหผมยกไปเถอะครับ"

แขนมาซอนกันแนบเนื้อแตะเนื้อนิดหนึ่ง หญิงสาวรีบหลีกตัวออกมาอยางทราบเจตนาลวงเกินของอีก
ฝาย เกาทัณฑหันไปพบแววระคางในดวงตาคูงาม จึงรูตัววาพลาดไปหนอย อดใจไมไหวจริงๆที่จะแตะ
ตองตัวสักนิดเมื่อสบโอกาส

วันหนึ่งเขาจะเปนเจาของทั้งหมดที่เปนหลอนไมวากายหรือใจ
๑๒๙

มหานครยามราตรีดูสวยแพรวจากมุมมองบนตึกสูง เกาทัณฑยืนระบายยิ้มรับลมเย็น มองแสงสีที่ตัดกับ


เงามืดยามค่ําคืนดวยความรูสึกอิ่มเอมแตกตางไปจากที่เคย

ทบทวนชวงเวลาสั้นๆที่ผานมา นับเริ่มจากฝนหลงทาง บันดาลใจใหอยากขับรถไปไกลตามลําพัง กระทั่ง


ผานบานปูชนะ คิดเขาเยี่ยมและพบกับแพตรี สืบสานไปถึงโอกาสอันประเสริฐไดไปกราบไหวฝากตัวเปน
ลูกศิษยหลวงตาแขวน บุคคลและเหตุการณตางๆผานเขามาอยางรวดเร็วทวารอยรัดสนิทลึกราวกับรูจัก
กันแลวแสนนาน

ถึงวันนี้เขาเลิกฝนวาหลงทางอยางสิ้นเชิง จะเพราะบังเอิญแกตนเหตุแหงฝนทรมานไปอยางไรก็ขี้เกียจ
สืบคน รูแตวาชีวิตจริงๆที่กําลังดําเนินอยูมันตางไปจากเดิมมาก จะชั่วคราวหรือถาวรก็ตามทีเถอะ

ความติดพันที่เกิดขึ้นกับแพตรีไมธรรมดาเลย หลอนมีความหมายอยางนาฉงน จนเดี๋ยวนี้ก็แยกแยะและ


อธิบายใหตัวเองเขาใจไมได เห็นแตวาชีวิตมันมีเบื้องหนาเบื้องหลัง มีอะไรที่ซอนอยูในความจําความลืม
รูปรางหนาตาของหลอนเปนแรงสะเทือนบางชนิดที่สะกิดใหเกิดความคุนแปลก เหมือนจะนึกอะไรบาง
อยางไดอยูรอมรอ แตเคนนึกจริงๆก็ติดอยูแคความคุนเทานั้น

เคยคิดเลนๆเกี่ยวกับความเปนเนื้อคู การเคยทําบุญรวมกันมา หรือเปนสามีภรรยาในอดีตชาติ โดยทั่ว


ไปถาเชื่อเรื่องพวกนี้ก็จะทึกทักเพียงวาคูแลวไมแคลวกัน เคยเปนคูผัวตัวเมียมากอน รวมชาติกันมากอน
ก็ตองเปนกันตอไปในชาตินี้และชาติหนา

แตถาลองมองโลกดวยตาเปลา ดูจากที่เห็นปรากฏอยูจริงกับแกวตาในชาติปจจุบัน เขาเห็นแตหญิงชาย


มากรัก มากคูทั้งนั้น ความหมายของการรวมชาติ รวมชีวิตมันอยูที่ตรงไหน? เกี่ยวกอยกันวันหนึ่ง นอน
ดวยกันคืนหนึ่ง แตงงานกันเปนเรื่องเปนราวสักปหนึ่ง หรือตองมีลูกใหรวมเลี้ยงดูกันอยางนอยสักคน
หนึ่ง? เขารูจักผูชายที่แตงงานมีลูกมาสามหน หมายความวาผูชายคนนั้นมีคูชีวิตที่ตองตามกันไปเรื่อยๆ
สามคนอยางนั้นหรือ?

หญิงชายตองทําบุญรวมกันสักแคไหนจึงเจอแลวไมแคลวกัน เห็นปุบจําไดปบวานี่เองคูเรา และมีโอกาส


อยูเรียงเคียงครองจนกระทั่งเห็นลมหายใจสุดทายของฝายใดฝายหนึ่ง บุญแตละชนิดมีความแรงมาก
๑๓๐

นอยตางกันเพียงใด เขาเคยทําสังฆทานกับแพตรีหนหนึ่งดวยความปติยินดียิ่ง แถมยังอธิษฐานกํากับวา


ขอใหไดทําอะไรอยางนี้กันอีกตลอดไป แคนั้นพอหรือเปลาสําหรับการไปรวมบุญกันอีกในปรภพ?

หากภพชาติมีจริง ตายแลวไปเกิดเปนนั่นเปนนี่อีกเรื่อยๆ ถาไดดีเปนเทวดาก็เดางายอยูหรอก คงครอง


กันอีกดวยความสุขสมทามกลางสมบัติทิพยอันวิลาส แตหากจับพลัดจับผลูหลนผลุลงไปเปนหมูเห็ดเปด
ไก หรือกระทั่งสัตวนรก อยางนี้จะตองจับคูอยูรอนกินรอนอีกหรือเปลา?

ถานับตามบันทึกของพุทธ ก็ตองวาคนเราแมอยูเคียงครองเรือน คนหนึ่งตายแลวอาจไปสวรรค คนหนึ่ง


ตายแลวอาจไปนรก ใชจะพุงขึ้นหรือไหลลงตามกันเพียงเพราะอยูเรียงเคียงหมอน มันขึ้นอยูกับวากอน
ตายแตละฝายเดินอยูบนทางสวรรคหรือทางนรกเทานั้น

ตรงขาม คูผัวตัวเมียที่มีบารมีอันไดแกทาน ศีล สมาธิ และปญญาเสมอกัน หรือคลอยตามกัน ยอมมี


โอกาสไดพบเจอบอยกวาคูอื่น โดยเฉพาะอยางยิ่งหากจิตเปนกุศลแลวอธิษฐานสําทับรวมกันเสมอๆ ก็
จะใหผลแรงเปนทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ หนักแนนมั่นคงและเปน ‘ตัวจริง’ ของกันและกันอยางยากจะหาใคร
มาแทนที่

แตเห็นคูไหนในโลกความเปนจริงละ ที่กลมเกลียวสนิทแนบ ไมเขินอายกับการกลาวอธิษฐานดวยดวงใจ


อันแนวแน ขอพบกันทุกชาติไป แคใหเชื่อวาภพชาติมีจริงยังยากแลว แถมยังมาติดความนาเบื่อเมื่อ
ครองเรือนรวมกันเขาอีก ใครจะไปอยากเจอ ‘ไอแก’ หรือ ‘อีแก’ ขางตัวบอยๆ เรื่องการผูกมัดจองตัวกัน
ขามภพขามชาติดวยแรงอธิษฐานจึงเปนไปไดนอยเทานอย

และสมมุติวาตามไปเจอกันขามชาติจริง พบใครสักคนที่รูสึกวา ‘ใช’ จะเอาอะไรมายืนยันประกันถูกผิด


เสนทางโรยดวยกลีบกุหลาบสูประตูวิวาหอยางนั้นหรือ? ไดยินวาบางคูเคยครองรักหวานชื่น แตเพราะ
ทําบาปรวมกันบอยๆ พอเจออีกชาติเลยประสบแตเรื่องราย บาดหมางกันเอง อยางที่เขาเรียกวา ‘ดวงไม
สมพงศ’

ความเขากันไดระหวางสองบุคคลเปนเรื่องละเอียดออน เปนที่ยอมรับวาลักษณะนิสัยใจคอของคนเราจะ
กอลักษณะกระแสจิตประเภทหนึ่งๆขึ้นมา ซึ่งเมื่อใกลกันก็รูสึกไดวาพอจะ 'รับ' กันไดไหม ถัดจากนั้นยัง
มีรายละเอียดปลีกยอยอื่นๆอีก ทั้งความคิด คําพูด และปฏิกิริยาที่กระทําตอกัน เปนตัวตัดสินวาเขากัน
ไดสนิทจริงหรือไม ตรงนี้นาคิดวาถาเคยรวมบุญกันมา ทวาเขากันยากดวยคุณสมบัติเฉพาะตัวของแตละ
ฝาย แมมีเวลากระดี๊กระดาดวยกันในชวงแรกอยูบาง ตอไปก็นาจะฝอลงจนแหนงหนายในที่สุด

เคยทําบุญรวมกันมาก็เรื่องหนึ่ง ลักษณะกระแสจิตคลายกันก็เรื่องหนึ่ง เจอกันแลวเกิดอะไรขึ้นบางก็


เรื่องหนึ่ง มีโอกาสใชเวลาในชีวิตดวยกันนานชาแคไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง

สรุปแลวหากวาตามหลักอนิจจัง หญิงชายในสังสารวัฏตางทองเที่ยวไปไกลตามลําพัง ผลัดเปลี่ยนเวียน


จับคูดวยความผูกพันมากนอย แลวถอยฉากจากกันไปเรื่อยๆ หาคูแทถาวรมิได?
๑๓๑

เกาทัณฑสายหนานิดหนึ่ง ถาเชื่ออะไรสักอยางที่จับตองได สามารถศึกษาและพิสูจนใหเปนที่ยอมรับได


ในยุคที่มนุษยคิดกันอยางเปนวิทยาศาสตรนี้ ความเชื่อนั้นก็เปนเรื่องชัดเจน มีกรอบ มีพื้นยืนบนความ
จริง ไมตองสับสนคลางแคลง

แตถาเกิดเริ่มเชื่อ หรือเริ่มสงสัยอะไรที่ใชตาหูมาดูฟงไมได ก็จะเกิดคําถามวุนวาย หาขอยุติไมเจอตาม


ไปดวยดังที่เขากําลังเปนอยู

มองยอนไปในวันกอนๆ เขาออกทาตอตานเรื่องภพชาติเต็มที่ ดวยเหตุผลหลักคือปกใจเชื่อตามนักวิจัย


หลายตอหลายกลุม วาการทํางานของสมองนั่นเองคือความรูสึก นึกคิด และจิตใจตางๆ หรืออีกนัยหนึ่ง
คือรูปธรรมเปนเหตุเกิดของนามธรรม

แตมาวันนี้ หลังจากมีปจจัยให 'เริ่มเชื่อ' พุทธศาสนามากเขา ความคิดเขาเริ่มแปรไปอีกอยางดวยใจที่


เปดกวางขึ้น คือเห็นวาแมนักวิทยาศาสตร นักวิจัยทั้งหลายจะฉลาดปานใด ก็ติดอยูแคความคิดและมุม
มองของวิธี 'พิสูจนความจริง' เทานั้น ตัวอยางเชนจี้ลงไปบนจุดใดจุดหนึ่งบนสมอง หรือเห็นสมองสวน
หนึ่งชํารุดแลวมีผลกับความทรงจําและอารมณชุดหนึ่งๆ ก็ดวน 'ตีความ' วาสมองนั้นเองคือที่มาทั้งหมด
ของความรูสึกนึกคิดและจิตวิญญาณ

ธรรมชาตินั้นแปลกอยูอยางหนึ่ง คือถามนุษยพอใจจะเลือกมองอยางไร หรือตั้งขอสันนิษฐานเพื่อนําไปสู


การสรุปความ หรือตีความตามความชอบใจของตัวแบบไหน ก็เหมือนจะมี 'ความจริง' แบบนั้นๆมารอง
รับ หรือชวยยืนยันเปนการเอาใจอยูเสมอ

อยางเชนสัจจะทางวิทยาศาสตรที่มีชื่อเสียงวาขัดแยงกันอยางนาเหลวไหล ก็ไดแกเรื่องของแสงอันเปน
สิ่งถูกรูโดยตามนุษยทั่วไปนี่เอง หาก 'คิดมาก' สักหนอย ตั้งคําถามขึ้นมาวาแสงเปน 'คลื่น' ตอเนื่อง
เหมือนระลอกน้ํา หรือวาเปน 'อนุภาค' ละเอียดยิบยับที่เปนตางหากจากกันเหมือนกอนหิน ก็จะพบคํา
ตอบที่ชัดเจนจากการทดลองระดับนักเรียนมัธยมตนทั่วโลก วาเปนไดทั้งสองอยางพรอมกัน! ขึ้นอยูกับ
จะจัดตั้งมุมมองแสงดวยวิธีไหน

ขนาดเรื่องของแสงอันเปนรูปธรรมขั้นพื้นฐานยังปรากฏเปนสิ่งชวนฉงนขนาดนั้น แลวเรื่องของจิตอัน
เปนนามธรรมขั้นละเอียดสูงสุด จะมีแงมุมใหมอง และชวนคิด ชวนตีความเขาขางตนเองกันดวยทิฏฐิไป
ตางๆนานาขนาดไหน?

ความจริงเกี่ยวกับจิตมีกี่แงนั้นยกไว ตอนนี้เขาเห็นจริงอยูอยางหนึ่งวาคุณภาพของจิตเปนอะไรที่พัฒนา
ไดแน กับทั้งแปลกสภาพ แปลกรสไปกวาภาวะที่รูสึกนึกคิดตามปกติยิ่ง

เขาที่ทําสมาธิดวยกําลังกายและกําลังใจพรักพรอม การทําอยางมีเปาหมายก็ดีตรงนี้ คือตื่นตัวพรอม


ปฏิบัติอยูเสมอ เกาทัณฑหมายมั่นวาหากทําไดผลและหลวงตาแขวนเปดตาในใหเขาเห็นอดีตอันฝงลืม
๑๓๒

นอกจากจะรับรูดวยตนเองวาจริงเท็จเกี่ยวกับชาติกอนเปนอยางไรแลว เขาจะตองสืบทราบใหไดวาความ
สัมพันธระหวางตนกับแพตรีนั้น มีความเปนมาอยางไร

ปดตาเหลือบต่ําแลวสนิทนิ่งกับที่ อัดลมหายใจ เริ่มกําหนดสติเมื่อหายใจออก จิตเหมือนพรอมรวมนิ่งอยู


ลวงหนา ปลดพันธะระหวางจิตกับระบบประสาทตาลงไดแทบทันที เพียงแคไมกี่ระลอกลมหายใจที่
กําหนดรูอาการหายใจออกและหายใจเขา ก็เกิดความเห็นราวกับสวนหัวเปดโลงไปครึ่งหนึ่ง คลาย
ตําแหนงบนสุดของศีรษะยายมาอยูที่จุดลมหายใจลากผาน หัวหูดูวางโลงเหมือนถาเอามือวาดผานก็จะ
ไมกระทบกับอะไรเลย

ระบบประสาททั่วรางผอนพักลงทั้งหมด สบายกายสบายใจดีเหลือเกิน

ทวาเมื่อกระแสจิตเกือบๆจะรวมศูนยเปนอันเดียว ล็อกตัวเปนขณิกสมาธิครอบกายหนักแนนสมบูรณ
เกาทัณฑก็รูสึกถึงแรงสะเทือนไหวบางอยางรบกวน เริ่มจากจังหวะการเตนของหัวใจที่คอนขางผิดปกติ
วันนี้เขาอยูใกลแพตรีแคเอื้อม และกระแสความใกลนั้นก็เหมือนเวียนวนตวัดรัดใหหัวใจเตนผิดจังหวะอยู
ตลอดเวลา ตอเนื่องมาจนกระทั่งยามนี้ แมความจริงจะหางกายออกมามากแลว และกําลังอยูในระหวาง
การตั้งหลักเขาที่ทําสมาธิก็ตาม

พยายามเพิกเฉยกับชนวนแหงความคิดฟุงซานซัดสายนั้น กําหนดเห็นความออกและเขาของสายลม
หายใจใหม ซึ่งก็เปนไปไดดวยฐานจิตมีกําลังมากพอ ทวาผานลมหายใจที่สาม ก็เกิดความสะเทือนไหว
ขึ้นอีก เห็นชัดถึงความกระสับกระสายในชองอกที่ตอยอดเปนมโนภาพสวยหวานของแพตรี

วันนี้เขาเขาใกลหลอนมากเกินไป

ความรัก ความติดหลง ความใกลชิดกับมาตุคามเปนศัตรูตอองคสมาธิอยางไรเพิ่งไดประจักษซึ้ง มันคุก


รุนเหมือนรมควันอัดอกอัดใจ ยากจะสะกดระงับใหสงบเยี่ยงนี้เอง

หลวงตาแขวนใหเขาสัญญาวาจะงดเสพกาม ก็นึกถึงแตการเสพแบบถึงเนื้อถึงหนัง บัดนี้จึงทราบวาถา


มองในมุมของโยคาวจรผูอยูในระหวางปฏิบัติภาวนา ระดับของการเสพมันมีแยกยอยมากมาย ผัสสะ
อะไรก็แลวแตที่กอกวนใหใจปวนปนระส่ําระสายในลักษณะนี้ได ควรนับรวมเขาเปนการสองเสพอารมณ
ที่เปนอันตรายตอสมาธิทั้งหมด

เกิดความเขาใจวาดวยเหตุนี้เอง กติกาการปฏิบัติเพื่อตัดขาดจากโลก จึงตองเวนขาดจากเรื่องเพศ ระงับ


อารมณจากกามฉันทะหรือความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสใหสนิท ขนาดเขามีฐานสมาธิดีพรอม
ยังไมอาจผนึกรวมเปนดวงเดียวดังเคย เพียงเพราะปลอยใหเกิดความเวียนวนครุนคิดถึงหญิงอันเปนที่
รักเกินไป
๑๓๓

ถอนใจเฮือกหนึ่ง ลืมตาขึ้นดวยความรําคาญตัวเอง หันมองทางอื่นเปนครู เห็นอุปสรรคสมาธิชัดแจง จึง


คิดทบทวนดูวามีลูทางใดสามารถขจัดอุปสรรคนั้นไดบาง

ที่ใจโคลงเคลงเหมือนเรือถูกคลื่นลมโยกไปมานี้ พินิจแลวเปนเพราะเริ่มรูสึกสนิท และเห็นทางเปนไปได


ที่จะเขาหาแพตรี หลอนอยูไหนเขารูดี และเดินทางไปถึงไดภายในเวลาอันสั้นดวยพาหนะคูใจ แถมไมจํา
เปนตองลําบากนัดแนะใหเสียเวลาในเมื่อความเปนหลานปูชนะนั้นเพียงพอกับการเขานอกออกในอยาง
สะดวก ถึงหลอนไปธุระขางนอกเขาก็นั่งคุยกับปูรอสบายๆ ใครจะวาอะไร

พยักหนากับตนเอง ถานี่เปนตนเหตุแหงความจับจิตตั้งยาก เขาก็จะตั้งสัตยกับตนเองวาพนชวงเก็บตัว


ฝกสมาธิแลวเทานั้น จึงจะคิดเหยียบยางเขาบานปูชนะ ก็แคอาทิตยเดียวเอง คงไมถึงกับทําลายสัมพันธ
ภาพที่เริ่มกอตัวใหพังครืนลงเหมือนอยางปราสาททรายเจอคลื่นทะเลหรอกนา

เมื่อปลงใจกําหนดไดอยางเด็ดขาดเชนนั้น ก็เหมือนกอนอะไรแข็งๆกลางอกถูกยกไป รูสึกโปรงโลงขึ้นมา


ในบัดดล เกิดความเขาใจกระจางขึ้นวาความเด็ดเดี่ยวในขณะตั้งเจตนาใดๆมีผลกระทบกับสภาวะจิต
ขนาดไหน

เหลือแตความเบิกบานพรักพรอมอยางเดียว เกาทัณฑเขาที่ทําสมาธิดวยกําลังสติเต็มแนน คลายขุนศึก


ขึ้นหลังมาดวยความเชื่อมั่นในพลกําลังและความเจนศึกแหงตน

การตั้งตนจับอารมณสมาธิเปนไปไดดวยดี เพราะมีแรงขับดันจากปติสุขอยางเหลือเฟอ ความฟุงซาน


ขาดสายหายหนไปจนสิ้น เมื่อเห็นผลเชนนั้นก็ไดใจ เกิดเจตนาเพงรวมใหจิตควบแนนเปนปกแผน เฝา
ตามลมหายใจอันแชมชัดอยางสบายอารมณดวยความเห็นแจงวาการรูลมชัดควบคูกับความปลอยใจ
สบายนั้นเองเปนตัวปรับสภาพจิตใหสวางขึ้น มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ

เกือบชั่วโมงโดยประมาณ กวาที่จิตจะคลอยลงทรงตัว เห็นลมหายใจเปนสายชัดราวกับธารทิพย ถึงขั้น


อุปจารสมาธิ ทวาทรงอยูเพียงระยะเวลาอันสั้นก็คลายแรงดึงดูดออกมา ซึ่งเมื่อคลายแลวก็รูไดเอง วาที่
ผานมาทั้งวันจิตดิ้นรนอยูในวังวนกิเลสนานเกินไปจนออนแรง เมื่อพยายามผนึกรวมใหถึงฐานสมาธิจึง
ยากเย็นและสลายตัวงายเยี่ยงนี้

รูสึกเหนื่อยและอยากพักจากสมาธิ กําหนดจิตปลอยอารมณและลืมตาเนิบชา หงุดหงิดหนอยๆคลายนัก


กีฬาที่เห็นตัวเองฟอรมตก ผลการปฏิบัติเมื่อคืนกอนทําใหนึกวาจะสามารถไตระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆวัน
ตอวัน ทวาตระหนักแลววาหากขาดเหตุและปจจัยอันเหมาะสม ปลอยตัวปลอยใจใหสมาธิถูกกิเลสแทะ
กลับเปลี่ยนเปนการถอยหลังเขาคลองอยางงายดาย

ลุกขึ้นเดินไปเดินมา เหตุแหงความฟุงนั้นไมตองกังขา หนีไมพนแพตรีอีกนั่นเอง วนไปวนมาเหมือนพาย


เรือในอาง แมตัดใจวาจะหางหลอนอยางเด็ดขาดระยะหนึ่ง เปนเหตุใหเลิกถวิลหาขนาดอยากพุงตัวไป
บานปูอยูทุกนาทีแลวก็ตาม แตอยางไรก็ยังมีใจจอตลอดในลักษณะกอนอารมณตกคาง พอพยายาม
๑๓๔

กําหนดใจใหนิ่งแลวเห็นชัดถึงแรงดันในอก เหมือนพวยน้ําที่ถูกกักไว และรอเวลาพลุงขึ้นทันทีที่ได


โอกาส

เขาเปนประเภทที่เมื่อคิดแลวคิดแรง อารมณปนปวนแรง โดยเฉพาะถามีเรื่องที่ติดใจมากๆขนาดจอไม


หลุด จะเหมือนคลื่นพลังระลอกใหญกอตัวขึ้นเปนแรงอัดภายในกาย หากพลังดังกลาวไมกระจายออก
เปนงานหรือการกระทําอยางใดอยางหนึ่งใหหมดสิ้น ก็จะขุนคลุงทรมานทรกรรม กินไมไดนอนไมหลับ
ไปเลยทีเดียว

มาหยุดเดินตรงหนากลองบองโก ซึ่งเปนกลองตีมือขนาดยอมสองลูกคลายกระถางตนไม เขาตั้งไวตรง


ตําแหนงที่ดูเปนสวนหนึ่งของเครื่องประดับหองนอนชายมากกวาจะชอบเลนจริงจัง ยามนี้นึกอยากรัว
กลองแกฟุงซานเสียหนอย เลยลงสองมือตบหนากลองซายขวาถี่ยิบ

เกิดเสียงเปาะๆๆๆยืดยาว ไมหวังอะไรมากไปกวาระบายความฟุงที่กักและเหมือนเก็บกดในหัวใหพนๆ
แตดวยความคาดไมถึง และมิไดกําหนดความตั้งใจไวลวงหนา ดวยกําลังความสงบที่เหลือเปนเศษจาก
การนั่งสมาธิเมื่อครู เกาทัณฑพบออกมาจากภายในวาเมื่อจิตตั้งมั่นเปนกลาง รูผัสสะรัวกระทบอยางตอ
เนื่อง ผลที่เกิดคือความเงียบลงอยางสงัดของคลื่นลมความคิดความฟุง

นั่นเปนสิ่งที่เห็นชัดเจนทีเดียว จิตที่จอเฉพาะมือกระทบกลองนั้นเอง เปนจิตที่ปราศจากความคิด มีแต


ความรูตัวแบบวางๆเกิดขึ้นแทน

หยุดมือลง ปลอยตัวตามสบายสังเกตใจตนเอง พบวาอาการเงียบจากความคิดยังคงดําเนินไปอีกพัก


ใหญ กวาที่คลื่นลมความคิดจะกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง

ชายหนุมยิ้มกับตัวเอง อะ! แปลวาอยางนี้ไดอุบายกําจัดความฟุงอยางงายๆแลว ความชางสังเกตและ


เปดใจกวางรูจักเหตุรูจักผลที่แทจริง ไมยึดติดกับรูปแบบตายตัวในการระงับจิตใหเงียบลง ทําใหทราบวา
อารมณสมาธิอาจเปนอะไรก็ได ขอเพียงรูจักรักษาใจจอไวกับอารมณนั้นใหตอเนื่องเปนพอ

เขาเคยตีกลองมาไมรูกี่รอยกี่พันหน แตไมเคยเลยที่จะสังเกตวาขณะรัวหนากลองอยูนั้น ความคิดอาน


สงบเงียบเชียบลงอยางไร โดยเฉพาะอยางยิ่งไมเคยตั้งใจรักษา หรือยืดเวลาของความสงบเงียบดังกลาว
ใหยาวออกไป

มานั่งลงบนเกาอี้ตัวหนึ่ง ถาเคาะกลองแลวสงบ ก็แปลวาเคาะอยางอื่นนาจะสงบไดเชนกัน ลองหลับตา


เอาอุงมือขวาวางแนบกับตนขา ใชนิ้วทั้งสี่ตบหนาตักเปนจังหวะไมชาไมเร็ว ไมหนักและไมเบา ใจรูอยู
เฉพาะที่เกิดผัสสะกระทบเปาะๆๆๆ

เห็นชัดวาดวยใจที่ราบเรียบแลวระดับหนึ่ง จึงลดความเร็วลง เมื่อเคาะเพียงชาและเบา ก็อาจรักษาความ


สงบวางจากความคิดไวไดอยางดี แตถาฟุงจัด ก็อาจตบเร็วและแรงหนอยเปนการใชผัสสะเรียกจิตมาจอ
๑๓๕

เลี้ยงความนิ่งวางจากกระแสความคิดไดเพียงนาทีเดียว ความรูสึกเหมือนเหลือเพียงจังหวะกระทบ
เปาะๆๆๆกับใจที่สงบอยูตรงกลาง ก็บังเกิดรสแหงปติสุขขึ้นทามกลางความเงียบที่จิตเสมอพอดีกับ
ผัสสะเปาะๆๆๆนั้น

เกาทัณฑยิ้มชื่นใจ เมื่อเมื่อยมือขวาก็เปลี่ยนเปนมือซายแทน รักษาไวแตกระแสปติสุขอันเกิดแตจิตต


วิเวกไปเรื่อย ซึ่งเมื่อประณีตเขา ทดลองขยับนิ้วชี้เพียงหนึ่งเดียวใหเกิดกระทบชาและแผวเบา ก็เพียง
พอแลวที่จะเลี้ยงสติรู มั่นคง ทรงปติสุขเอกาไดอีกยืดยาว

ยิ้มอยางปลาบปลื้มยินดี อยางนี้เทากับเขาไดอุบายไวปฏิบัติ เลี้ยงสติใหอยูในรองรอยความตั้งมั่นทั้งวัน


เพราะเคาะมือหรือเคาะนิ้วนั้น ทําเลนกันเปนปกติไมมีใครเห็นแปลกอยูแลว แตกตางกันก็ภายใน ที่จิต
ดําเนินอยางรูสติตอเนื่องจนเกิดความสงบลงถึงปติได

นี่เปนทํานองเดียวกันกับที่คนทั้งหลายหายใจกันตลอดเวลา แตแทบไมมีสักขณะที่รูวาตอนไหนหายใจ
ออก ตอนไหนหายใจเขา จิตจะสงออกเหมอ หรือหมกมุนกับความรูสึกนึกคิดอยูร่ําไป

เบาสบายไปทั้งตัวราวกับสลายตนกลมกลืนกับอากาศโดยรอบ รูสึกสดชื่นตื่นเต็มบริบูรณ จิตเหมือน


ดําเนินมาติดตันกับความเบาเปนปติ ทําอะไรมากกวานั้นไมไดอีก

นี่ยังเพิ่งหัวค่ํา อีกนานกวาจะงวง นิสัยชางอานทําใหชายหนุมเลือกหยิบดูหนังสือที่ซื้อมาเรียงไวเปนตับ


บนชั้นวาง มีหลายเลมที่ซื้อทิ้งไวแบบหาเวลาวางอานทีหลัง แตก็มีหลายเลมที่ซื้อมาดวยความสนใจดาน
จิตวิญญาณในชวงนี้

เลือกไดเลมหนึ่ง เปนเรื่องเกี่ยวกับการใชพลังจิตที่ฝรั่งรวบรวมไว เอามานั่งพลิกๆหาหัวขอนาสนใจ การ


เผยแพรเรื่องราวทางจิตวิญญาณอันลึกลับเริ่มเปนที่นิยมมากขึ้นทางสื่อตางๆ เขาสามารถคนอานไดมาก
มายทั้งจากสิ่งพิมพและสื่อกลางครอบโลกเชนอินเตอรเน็ต ขอมูลแปลกใหมทั้งที่เปนหลักเปนเกณฑนา
เชื่อถือ และทั้งที่มั่วไปมั่วมาตามหลักนักเดา กระจายตัวเกลื่อนกลาดดาษดื่น ซึ่งอะไรที่ดาษดื่นหางาย
นั้น ก็กลายเปนเรื่องธรรมดาไป แมเคยถูกมองวาเปนสิ่งลี้ลับเขาถึงยากมากอน

หนังสือเลมที่กําลังอยูในมือเขากลาวถึงพลังจิตอยางเปนวิทยาศาสตร เริ่มดวยการชี้ใหเห็นวาคนเรา
สามารถรับรูถึงการเปลี่ยนระดับพลังกายไดดวยตนเองจากภาวะอารมณตางๆ เชนเพิ่มกําลังขึ้นกวาปกติ
มากมายเมื่อเกิดฮึดฮัดบันดาลโทสะเพราะถูกแกลง หรือเมื่อตื่นเตนปติมากๆตอนเลนเกมกีฬาชนะ

ระบบพลังงานในรางกายมนุษยเปนสิ่งซับซอนซอนเงื่อน เขาถึงใหทะลุปรุโปรงไดยาก อยางเชนที่ตอม


ตางๆสามารถหลั่งฮอรโมนและอัดฉีดไปทั่วรางในเวลาอันรวดเร็วผานกระแสเลือด หากศึกษาเหตุปจจัย
และผลลัพธผลตางในแตละรายแลวจะทราบวาชวนอัศจรรยปานไหน
๑๓๖

วากันตามประสบการณที่รูไดในคนปกติ เมื่อฮอรโมนบางชนิดเพิ่มระดับขึ้นมามากๆ จะมีผลทั่วไปทั้ง


กําลังวังชา ความไวของระบบประสาท ซึ่งเมื่อมองกันที่ความรูเห็น ทุกสิ่งจะดูเหมือนแตกตางจากเคย
อยางเชนจับมองภาพมุมกวางไดชัดขึ้น เห็นรายละเอียดมากขึ้น

และเมื่อมีการตรวจวัดดวยเครื่องไมเครื่องมือจริงจัง ก็พบวาผูมีพลังจิตกระทําเรื่องเหนือสามัญเชนหักงอ
ชอน หรือเคลื่อนยายวัตถุได ลวนหลั่งฮอรโมนออกมามากผิดมนุษยมนา ชี้ใหเห็นขอเท็จจริงที่วาความ
สามารถในการบังคับรูปวัตถุนอกตัวดวยกําลังจิตนั้น เกิดขึ้นไดดวยสิ่งที่แฝงเรนในธรรมชาติความเปน
กายใจมนุษยนี่เอง

ความแตกตางคือนอยคนนักจะรูทางเขาถึงขุมพลังในตนเอง คลายเจาของที่ดินผูไมรูวาลึกลงไปใตพื้นใน
อาณาเขตของตน คือบอน้ํามันกวางใหญไพศาล หรือถึงแมระแคะระคาย ก็จนปญญาจะขุดขึ้นมาขาย
เพราะขาดอุปกรณ ขาดความรู ขาดผูแนะนําชวยเหลือ

ปจจุบันเปนที่กลาวกันทั่วไปวาปฐมบทของการขุดพลังจิตขึ้นมาใช ตองมาจากการควบคุมจิตใหนิ่งเปน
สมาธิ ทวาก็มี 'ของเลน' บางอยางที่อาจทําใหมั่นใจในเบื้องตน วาทุกคนสามารถกอพลังชนิดพิเศษขึ้นใน
เวลาอันสั้นและอาศัยสมาธิเพียงเล็กนอย เพียงใชบางจุดในรางกายที่มีสนามพลังแรงอยูแลวในตัวเองให
เปน

ขั้นแรกใหถูฝามือเขาหากันแรงๆจนเกิดความรอนสักครู แลวแยกมือออกหางสักหนึ่งฟุต จากนั้นจึง


เคลื่อนชาๆเหมือนจะใหมาประกบ แตพอเขาใกลเกือบสัมผัส ก็คอยๆเลื่อนหางออกจากกันอีก จังหวะใด
จังหวะหนึ่งในระยะประชิดนั้นเอง ที่จะเกิดสนามพลังระหวางฝามือใหรูสึกได

เกาทัณฑอานขั้นตอนปฏิบัติจบก็วางหนังสือแลวทดลองตามทันที โดยนั่งหลังตรง ถูมือจนรอนแลวแยก


ออกจากกันนิดๆ เขาเคยถูมือมานับครั้งไมถวน แตนี่เปนครั้งแรกที่จับสังเกต วาหลังจากถูแลวมีไอรอน
ลอยวนอยูระหวางฝามือ คลายคลื่นที่สงออกมาปะทะกันระหวางสองมือ

ชายหนุมแยกฝามือที่หันเขาหากันออกหางประมาณหนึ่งฟุต แลวขยับเขาหากันเชื่องชาเหมือนจะใหมา
ประกบกัน ยิ่งฝามือใกลกันเทาไหร ก็ยิ่งสัมผัสไดวามีแรงกระทําตอกันเพิ่มขึ้นทีละนอยตามระยะ พอเขา
ประชิด เหลือชองวางเพียงหนึ่งนิ้วฟุต แลวขยับผละหางจากกันอีกครั้ง หนวยตาก็เบิกขึ้น เมื่อรูสึกคลาย
แยกฝาแมเหล็กสองขางซึ่งมีแรงดึงดูดออกจากกัน

ขยับเลื่อนเขาออกชาๆหลายรอบจนแนใจวามิใชอุปาทาน มีแรงดึงดูดระหวางฝามือกระทําตอกันจริงๆ
เกาทัณฑก็ทดลองตั้งระยะฝามือใหหางจากกันคงที่ แลวกําหนดนึกใหพลังดึงดูดเขมขึ้น ยิ่งหนวงนึกถึง
พลังนานเทาไหร ความเขมขนก็ยิ่งทวีราวกับกําลังแมเหล็กขนาดใหญขึ้นเรื่อยๆ พรอมกันก็สําเหนียกไอ
รอนจัดที่แฝงมากับแรงกระทํา
๑๓๗

หายสงสัยทันทีเกี่ยวกับการรักษาโรคดวยพลังจากฝามือ ไอรอนอันเปนพลังจากมนุษยดวยกันนี่เอง คือ


อํานาจรักษาไดจริง หาใชเรื่องลึกลับมหัศจรรยหรือการดลบันดาลจากสิ่งเหนือโลกชนิดใดเลย

ดวยความเปนคนชางทดลอง เกาทัณฑอยากดูวาไอรอนนั้น เปนเตโชธาตุที่อยูใตการควบคุมของอํานาจ


การกําหนดนึกหรือเปลา เขาคิดใหความรอนในมือเปลี่ยนเปนไอเย็น พอนึกเทานั้น ความเย็นก็แผ
กระจายเต็มมือเกือบจะทันทีทันใด สงผลใหชายหนุมฉีกยิ้มกวางดวยความสนเทห การเลนสนุกทางจิต
เปนอยางนี้เอง ทุกอยางเปนไปได ภายใตอํานาจการควบคุมของจิตที่นึกคิดไปตางๆ

แรงกระทําที่สงจากฝามือนั้น เหนี่ยวนําเอาแรงกระทําจากจุดอื่นในรางใหโลดเตนขึ้นมาดวย เกาทัณฑ


สังเกตวาเมื่อสายตาเขาจับนิ่งไปยังวัตถุใด ก็จะมีสายพลังผลักออกกระทําตอวัตถุนั้นๆ เขาทดลองมอง
พรอมสําเหนียกถึงสายพลังระหวางตากับวัตถุ ก็พบดวยความตื่นเตนวาเห็นเปนกระไอประหลาด คลาย
มองฝาคลื่นความรอนเหนือยอดเปลวไฟฉะนั้น

เมื่อลองเลนดูจนชํานาญ เกาทัณฑพบวาพลังชนิดเดียวกันนี้ อาจถูกสงออกจากจุดใดๆก็ได ขอเพียง


กําหนดนึกไปที่จุดนั้น เชนปลายนิ้ว กระหมอม ฝาเทา ฯลฯ เมื่อนึกถึงตําแหนงที่ตั้งของอวัยวะหนึ่งๆ
แลวกําหนดขับพลังออกมา ก็ไดผลใกลเคียงกัน แตกตางเพียงความเขมความออนของแตละจุดเทานั้น

กลับมาอานหนังสือตออยางจดจอขวนขวายหาของเลนเพิ่มเติม หนังสือใหคําแนะนําสั้นๆเกี่ยวกับการ
สรางจินตภาพและวิธีบังคับการไหลเวียนของพลัง เชนเพื่อหักงอชอน เคลื่อนยายวัตถุขนาดเบา การ
บังคับใหเมฆปรากฏเปนรูปทรงตามปรารถนา ตลอดจนกระทั่งการฝกเพื่อแขงนั่งสมาธิลอยตัวตามชมรม
พลังจิตในตางแดน เราความสนใจเอาเรื่อง

คว่ําหนังสือลงบนโตะเล็กขางตัว หันรีหันขวางแลวนึกสนุกขึ้นมากะทันหัน ลุกขึ้นเดินไปหยิบชอนมาคัน


หนึ่งจากหลังตูเย็นแลวกลับมานั่งที่เดิม จับดามชอนไวในมือมั่น เพงพิศและคิดใครครวญหาเหตุผลที่
เหลานักพลังจิตชอบเอาชอนสอมมาเลนกันนัก

ทบทวนความรูที่พอจะเคยไดยินไดฟงมาจากหลวงตาแขวน พลังจิตก็คืออํานาจของการนึก เขาลองนึก


ใหชอนในมืองอ โดยกําหนดสําเหนียกพลังที่ขับออกมากับกระแสตา นึกไปๆจนหนาทองแขมวเกร็งอึด
อัด แลวที่สุดก็เลิกนึกและหัวเราะพรืดหนึ่ง คิดในใจวาของมันจะงอไดอยางไร แข็งออกอยางนี้ อยาวาแต
แรงนึกเลย ขนาดแรงมือซึ่งเปนรูปธรรมดวยกันก็คงตองเกร็งกันมากหนอยสําหรับชอนโลหะชนิดแข็ง
ตรงหนา

หรือวากําลังจิตเขายังแกรงนอยไป อํานาจนึกจึงใหผลเปนความวางเปลา?

ชายหนุมลองคิดใหมอีกครั้ง ถาชอนคันนี้อยูในมือหลวงตาแขวนจะเกิดอะไรขึ้น เกจิอยางทานคงทําให


มันหักงอไดแน เขาเชื่อเชนนั้น
๑๓๘

จึงกําหนดจิตนึกใหมใหจริงจังกวาเดิม ยึดเอาสัมผัสในตบะเดชะแหงครูบาอาจารยเปนสรณะ กําดาม


ชอนมั่น ถายเทความรูสึกนึกคิดทั้งมวลไปที่ตัวชอนอยางเดียว เริ่มเห็นความโนมเอียงบางประการ จับ
เหตุผลไดแลววาทําไมจึงนิยมเอาชอนมางอดวยพลังจิตกัน ที่แทก็เพราะเมื่อจับมันไวในมือแลวสราง
ความเชื่อไดงายวาจะงอลงไดสําเร็จนั่นเอง คอชอนดูแบบบางปานนั้น หัวชอนที่ปานออกและดูมีน้ําหนัก
เหมือนพรอมจะชวยถวงตัวงอลงมาดังใจนึกอยูแลวอยางนั้น

เมื่อใครครวญไดความเห็นจริงดังกลาว เกาทัณฑก็ไมเห็นวามันเปนเรื่องเหลวไหลอีกตอไป เขาขยับตัว


ตรงและเพงความนึกคิดอยางแนวแน สรางจินตภาพเหนี่ยวหัวชอนลงมา และดวยเพราะเพิ่งออกจาก
สมาธิไดไมนาน ทําใหมีกําลังจิตพอจะรักษาอาการนึกไวไดคงที่ เมื่อรูสึกเกร็งหนาทองก็พยายามผอนมัน
ออกเปนอาการหายใจตามปกติ

แจมแจงในบัดดลวาการทําสมาธิแตกตางกับการใชพลังจิตอยางไร สมาธิคือการกําหนดจิตติดตามอาการ
ที่เกิดขึ้นเปนปกติของอารมณ เปนตนวาลมหายใจมันไหลเขาไหลออกอยูแลว หนาที่คนภาวนาก็แคเฝา
ตามมันไปเรื่อยๆจนจิตแทรกเขาไปรวมกับความเปนอยางนั้นของกลุมลม แตการใชพลังจิตนั้นเปนการ
นึกใหเกิดผลบางอยางที่ผิดธรรมดาตอวัตถุที่ใชเปนอารมณ อยางเชนชอนซึ่งเปนรูปธรรมในมือเขาเดี๋ยว
นี้ มันไมมีทางงอเองไดเลย แตเขาปรารถนาใหมันงอ เขามีจินตภาพที่สรางขึ้นในใจ เห็นมันคอยๆงอลง
บีบบังคับใหมันยอมตาม ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่วามันเปนสสารแข็งแรง มีเสถียรภาพอันยากจะ
ดัดแปลงได

เริ่มรูสึกถึงสนามพลังที่เกิดขึ้นจากความเพียรนึกนั้น ทวาไมเขมขนขนาดสําเหนียกวามีอิทธิพลกระทํา
กับความแข็งของชอน ชอนแข็งยังคงเปนชอนแข็งในความเปนจริง แมใจจะเห็นมันโนมเอียงที่จะออนลง
อยูบาง ทั้งนี้ก็คงเพราะความตอเนื่องของการสะกดจิตตนเองใหเชื่อเชนนั้น

เกาทัณฑจี้อาการเพงนึกเขาไปที่ตัวชอนอยางไมยอมแพ รูสึกวาตนถลําลึกเขามาจนถึงขั้นตองเอาใหได
อยางรุนแรงเสียแลว ความเด็ดเดี่ยวมุทะลุบังเกิดขึ้นทวมทน เขาไมลุกจากที่แนจนกวาจะสําเร็จ

การใชพลังจิตเปนเรื่องของการเสียพลังอยางนี้เอง เขาเพงจนเหงื่อตก เกิดความปกใจเชื่อเขมขนขึ้นทุก


ทีวาจะสามารถงอชอนลงได โลกดูเปลี่ยนไป มีความอึมครึมอันเกิดจากสนามพลังที่อัดตัวแนนหนาขึ้น
เรื่อยๆ ศูนยกลางการรับรูมารวมแนวอยูที่ชอนจนตัวชอนดูใหญโตผิดจากเดิมอยางบอกไมถูก บางครั้ง
เขารูสึกงงเควง แตก็ปรับสติใหเขาที่ไดดุลตามเดิมในเวลาอันสั้น เพราะเศษสมาธิยังเปนฐานรองรับมั่น
คงพอควร

และที่สุดจากความรูสึกถึงสนามพลังที่กระจายรอบตัวเหมือนคลื่นน้ํา ก็กลายเปนปกพลังที่หนักแนนจน
เหมือนสงกระแสคลื่นอันมีตัวตนไปเหนี่ยวจับเอาหัวชอนได เขารูสึกจริงๆ ไมใชเรื่องเลนอีกตอไป
อํานาจจิตหนาตาเปนอยางนี้เอง
๑๓๙

เหมือนมีมือไรตนอยูในการควบคุม และเขาก็กําลังพยายามหักงอบางสิ่งที่ไมเหลือบากวาแรง การนึกจน


มีจินตภาพเห็นมันคอยๆงอลงนั่นเองเปนตัวสงพลังออกไป รูสึกเหนื่อย แตก็ไมยินยล เขากําลังจะทํา
สําเร็จอยูเดี๋ยวนี้แลว รูสึกวามันกําลังจะสยบอยูใตอํานาจนึกอีกอึดใจนี้แลว

อุงมือรอนและแฝงพลังมากมายอยางไมเคยเปนมากอน วัตถุในมือกําลังถูกความรอนและพลังกระทําใน
ตัวเขาหลอมใหออนลงและหักงอตามแรงประสงค

ตอด!

เสียงกริ่งโทรศัพทดังขึ้น เกาทัณฑสะดุงสุดตัว โลกทลายลงทั้งใบ หัวใจเตนถี่โครมครามเหมือนกําลังจะ


ตาย เขาคอยๆวางชอนลงบนโตะและเอื้อมมือไปยกกระบอกโทรศัพทจากแปนดวยมือไมสั่นเทางกเงิ่น

"ฮัลโหล…"

พูดแหบพราและสับสนมึนงง อาการรับโทรศัพทเกิดจากความเคยชินเดิมมากกวาเจตนา

"นี่แอนะคะ" เสียงจากฝายโนนกองอยูในหูเหมือนปศาจ "หายไปไหนมา มือถือก็ปด รังเกียจกันแลวหรือ


ไง เพจเรียกก็เงียบไมตอบกลับ"

ชายหนุมนิ่งอยูอึดใจ คอยๆเรียกสติคืนมาอยางยากลําบาก

"เออ..."

"หลับอยูละซีทา"

เลอะเลือนอยูอีกพัก กอนกลับเขาที่แบบเควงๆ

"แอเหรอ?"

"คา...แอเอง เมาหรือเปลานะนั่น"

"อา...ก็คลายๆอยางนั้น ผมขอเวลาลางหนาหนอยไดไหม แลวจะโทร.กลับไปในหานาทีนี้แหละ"

"ตามสบายคะ"

ฝายนั้นตัดสวิทชไปฉับพลันอยางมีอารมณหนอยๆ ชายหนุมยังงงไมสราง เหมือนกําลังเมาเหลาอยู


จริงๆ การถูกปลุกจากภาวะจิตที่กําลังดิ่งลึกกะทันหันมันอันตรายอยางนี้ คราวหนาเขาตองระมัดระวัง
มากขึ้น
๑๔๐

ลุกเขาหองน้ําลางหนา พอเริ่มแจมใสบางก็นึกเสียดายเปนกําลัง เหมือนมีมารมาขัดจังหวะในชวงเขา


ดายเขาเข็ม ทุกอยางมันเขาไคลอยูแลว จูๆก็มีอันตองพับฐานลมเหลวไปอยางงายๆ มันนาบีบคอยายแอ
นัก ยามนี้หลอนชางไมนาพิศวาสเอาเลยจนนิดเดียว

ออกมาเช็ดหนาเช็ดตาและนั่งปรับสติอีกพักใหญ อยางไรก็ไดรูแลววาภาวะเหนือสามัญวิสัยเปนอยางไร
ตองฝาฟนดวยวิธีใดจึงไดมา กอนอื่นเขาตองมีกําลังจิตเปนพื้นพอประมาณ จากนั้นตองสรางจินตภาพ
ใหแนวแน เพงและเพงอยูอยางนั้น จนสนามพลังในตัวกลายเปนปกพลังเขมขนถึงขีด นั่นเองคงเปนจุดที่
ฮอรโมนหลั่งออกมามาก คลื่นพลังเริ่มกระจายตัวจากขุมลับในกาย

อยางไรก็ตาม ที่จุดนั้นไมใชความสําเร็จ แตเปนหัวเลี้ยวหัวตอสําคัญ เขาเพียงสงพลังตอไปอยางตอ


เนื่องเทานั้น ไมแนใจวาความรอนในอุงมือหรือเปลาที่เปนกุญแจสําคัญ มันเกิดขึ้นในวินาทีที่ดวงจิต
สัมผัสถึงความเปนไปไดจริงที่ชอนกําลังจะหักงอ ถาใชดังคิด คราวหนาคงหาทางลัดไดไมยาก มือคนเรา
มีอุณหภูมิใหรูสึกอยูแลวเมื่ออยูในทากํา เพียงเพงเห็นความรอนในมือไปเรื่อยๆควบคูกับการสรางจินต
ภาพบังคับชอนใหงอ ภาวะแบบเมื่อครูก็คงเกิดเร็วขึ้นกวาเดิมมาก

เกาทัณฑตอโทรศัพทเขามือถือของหญิงสาวผูนําความลมเหลวมาใหตามสัญญา

"ผมเตพูดนะ"

น้ําเสียงของเขาเนือยนายเปนอยางยิ่ง อีกฝายฟงรูทีเดียว

"จะออกมาเจอกับพวกเราไหม?"

หลอนถามหวน ชนิดที่เห็นหนาคว่ําตาเขียวลอยมาทีเดียว

"พรุงนี้ทํางานไมใชเหรอ?"

จงใจใชเสียงเอื่อยเฉื่อยใหรูวานั่นคือคําปฏิเสธ

"งั้นก็นอนหลับฝนดีไปแลวกันนะคะ พอคนรักงาน!"

หญิงสาวตัดสวิทชไปอยางคนสวยที่ชอบเอาแตใจตัว และเกาทัณฑก็ไมหลงเหลือความไยดีในตัวหลอน
เอาเลย ทั้งที่ติดหลอนแจมาเปนนาน อาจเพราะตางคนตางรูวาแตละฝายมีตัวเลือกสํารองอยูเยอะกระมัง
เขาพิศวาสรอยยิ้มและทาทีเกไก ถูกใจสีสันหลากหลายในตัวหลอน หรือจะบังคับใหรับวาหลงใหลไดปลื้ม
เปนที่สุดก็ยอมละ แตทั้งหมดนั่นก็แคทําใหแตละวันสดชื่นรื่นใจ จะมาเทียบอะไรกับแพตรีที่มีอิทธิพล
ขนาดเปลี่ยนชีวิตเขาไดทั้งชีวิต
๑๔๑

นั่งกะพริบตาทบทวนเหตุการณเหนือสามัญเมื่อครู บัดนี้สนามพลังอันเขมขนเริ่มจางตัวลง อารมณและ


ความรูสึกนึกคิดอยางธรรมดากลับมา สิ่งที่เลือนไปก็คลายอุปาทานหรือฝนผาน ลังเลหนอยๆวาที่เกิดขึ้น
เมื่อครูมันใชการกอตัวของอํานาจจิตแนหรือเปลา

ความคิดเรื่อยเปอยสุดทางลงเมื่อเกิดแรงบันดาลใจอยากทําสมาธิขึ้นมาอีก ชายหนุมเขาที่พริ้มตาหลับลง
งายๆ กําหนดภาวนาเห็นสายลมหายใจเขาออกดวยวิธีการหายใจตามแบบหลวงตาแขวนสอน

งวดนี้เขาทากวาเดิม จริงๆแลวเขาออนเพลียนาดูชมเหมือนกันที่เลนพลังจิตไปเมื่อครู คลายเหนื่อย


จากการวิ่งทางไกลหลายกิโลเมตรอยางไรอยางนั้น แตเมื่อทําความสงบกําหนดลมสบายๆ พอตัวความ
แชมชื่นเกิดขึ้นกําลังก็ฟนคืนกลับมาอยางรวดเร็ว เขาอกเขาใจเดี๋ยวนั้นวาสมาธิเปนการประจุพลังกายใจ
อันยอดเยี่ยมเหนือวิธีอื่นใด

ความคิดฟุงซานสลายไปหมดสิ้นดวยความอิ่มเอมเปรมใจในรสสมาธิ ดวงจิตทวีตัวเขมขนขึ้นเรื่อยๆ
เกาทัณฑเรียนรูที่จะเพงนึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวดวยพลังกายใจทั้งหมดมาแลว จึงไมใชเรื่องยากอีกตอไป
กับการเพงภาวนาตามสายลมหายใจเขาออกอยางนี้

นานสักครึ่งชั่วโมงในอาการทรงตัวแนบแนนของขณิกสมาธิเฉียดอุปจาระ แลวโดยไมรูเหนือรูใต ขณะที่


จิตเหมือนจะดิ่งลงสูความดึงดูดจากศูนยกลาง มีพลังอะไรอยางหนึ่งที่แปลกใหมเกิดขึ้นในตัว มันปุบปบ
ฉับพลันเหมือนการลั่นเปรียะของสายฟา รางของเขาคลายเกิดกลุมพลังมหาศาลขึ้นขางใน มันแลนปราด
พรวดเดียวจับไปทั่วราง ยังผลใหเกิดสํานึกรูสึกที่ผิดไป บอกตัวเองวานี่อาจเปนอาการหนึ่งของปติ ใหใจ
เย็นไว แตมันก็ชางคงที่จนเหมือนจะไมแปรเปลี่ยนไปอีกแลว

สํานึกของนายเกาทัณฑถูกลบไปเกือบสิ้นเชิง รูสึกเหมือนตนเองกลายเปนยักษที่มีฤทธิ์ ทรงอํานาจราย


พลังมหาศาลที่อัดแนนในตัวทําใหทุกสิ่งเปลี่ยนไปหมด แมลืมตาขึ้น ก็พบวาพลังนั้นยังอยูกับตัว ดูไมมี
อะไรเหมือนเดิมอีกแลว ความคิด ความเห็น และมโนภาพในตัวตนพลิกผันเปนอื่นอยางสิ้นเชิง ณ เวลา
นั้นสํานึกและโลกทัศนเยี่ยงมนุษยธรรมดาสาบสูญไปหมด เหลือแตการรับรูถึงอํานาจ ความแข็งกราว
และความตองการแบบดิบๆ เปนอีกอัตตาที่ชวนครามเกรงยิ่ง

หยิบชอนขึ้นมาดวยเจตจํานงเดิมอันคางคา สัมผัสถึงปกพลังอันแนนหนาราวกับผาหินในตน กมหนาลง


จองชอนดวยลูกตาเบิ่งโปนถมึงทึง แคกําหนดเรียกความรอนในอุงมือก็บันดาลพลังรอนมากมายชวน
กระหยิ่ม รูปชอนดูแปลกไปเปนคนละอยางกับเมื่อกอน สวนเวาสวนโคงของหัวชอนที่เขาตาชางพิลึกกึก
กือ สีสันของสิ่งรอบขางเขมชัดและดูทะมึนประหลาด เกาทัณฑทุมพลังนึกใหชอนงอลง มันเปนคําสั่งที่
เด็ดขาดแนวแน ไมหลงเหลือความลังเลสงสัย ไมเจือปนความคิดอื่นใดแมแตนอย

ในภาวะอันถูกหอหุมดวยกลุมพลังยิ่งใหญเชนนั้น ไมเห็นเปนเรื่องแปลกเลยที่ชอนมันงอลงตอหนา งอที


ละนอยแตลงเรื่อยคงที่กระทั่งเกือบจรดดาม จิตจึงบอกวาจบงาน ถอนกําลังออกมา
๑๔๒

แลวสํานึกแบบเดิมๆก็คืนกลับ กลุมพลังแรงสูงที่จับไปตลอดกายหายไป กระแสธารแหงความคิดหลั่ง


ไหลเปนปกติ มโนภาพของนายเกาทัณฑฟนคืน มิใชยักษาผูทรงฤทธิ์ไรสํานึกผิดชอบชั่วดีอีกตอไป

เกาทัณฑหายใจโดยปราศจากอาการหอบ จังหวะเตนของหัวใจยังเปนปกติ เขามองชอนที่เห็นงอกองอ


ขิงเหมือนเพิ่งตื่นจากหลับ มันงอลงแลวจริงๆ หาใชภาพลวงตาแตอยางใด ยามนั้นบรรยายความรูสึก
ยาก ไรความตื่นเตนทะนงตัวที่จูโจมทันควันดังควร เปนแคความเฉยเมยชอบกล ดูแลวดูอีกใหแนใจวา
ชอนมันงอแน งอเกือบพับลงมาทับดามทีเดียว

ทําไมถึงไมรูสึกวาตัวเองกลายเปนผูวิเศษ?

เอนตัวหลับตานอนบนพื้นพรมนั่นเอง ออนเพลียเหลือเกิน พลังชีวิตขอดแหงไปสิ้น ความเหนื่อยลา


คลายมีแรงดึงมหาศาลฉุดเขาเขาสูภาวะดับสติปุบปบ เหมือนตายอยางไรอยางนั้น

คืนวันจันทร อังคาร และพุธเขามีเวลาวางที่จะทําสมาธิเต็มที่ แตคืนวันพฤหัสกับศุกรตองไปสอนภาคค่ํา


ที่มหาวิทยาลัย กลับมาก็เปลี้ยเพลียเต็มแก ไหนจะงานประจําตอนกลางวัน ไหนจะงานสอนตอนกลาง
คืนซึ่งเผอิญตองคุมแล็บกันเหน็ดเหนื่อย นั่งจับอารมณแคหานาทีก็ตองโงนเงนลุกขึ้นพุงตัวใสที่นอนแลว

มีความเขาถึงภาวะรวมตัวแบบลุมๆดอนๆ เขาพยายามควบคุมคําพูด และการกระทําใหอยูในรองในรอย


ที่พระอาจารยกําหนดไวถึงที่สุดแลว แตก็ไมวายมีเรื่องรุงรังรกใจ กอนิวรณขัดขวางความกาวหนาใน
สมาธิจนได ในเมื่อยังตองคลุกคลีอยูกับหมูคนที่ตองการปลดภาระบนบาของตนไปไวบนบาคนอื่น

เคยลองเอาชอนมางอดวยพลังจิตดูอีก แตก็ไมอาจรวมกลุมพลังใหเปนปกแผนไดเลย ทาทางเขาจะได


เปนผูวิเศษแคคืนเดียวเทานั้นละกระมัง? ไดแตเก็บชอนไวในตูโตะหัวเตียงอยางดี และคงไมอาจนําไป
โฆษณาวานั่นเปนผลของพลังจิต เพราะทุกคนที่ไดยินจะหัวเราะกากและบอกวามันเปนพลังมือตางหาก

การรวมจิตสวนใหญอยูในขั้นขณิกสมาธิ จะถึงอุปจารสมาธิบางก็แบบแปบๆ ที่จะประคองรักษาสภาวะ


ใหแนบแนนนับชั่วโมงยังเปนสิ่งไกลเกินเอื้อม จึงกระวนกระวายนิดๆ วาเทาที่ทําไดนี้หลวงตาแขวนทาน
พอใจแลวหรือยัง

ชายหนุมหวังไวมากเหลือเกินเรื่องพิสูจนภพชาติ ไมอาจทราบวาพระอาจารยทานจะสอนแบบไหน หรือ


มีวิธีการพิสดารประการใดในอันที่จะเปดหูเปดตาเขา มีแตความมั่นใจอยางเดียววาทานตองทําตามที่รับ
ปากไดแน ตัวเขาเองเทานั้นแหละมีปญญาทําจิตใหถึงระดับที่ทานกะเกณฑเปนเงื่อนไขไวหรือไม
๑๔๓

ถึงกําหนดวัน เกาทัณฑตื่นนอนตอนตีสามดวยความวิตกอยูลึกๆ ลองนั่งสมาธิอีกครั้งกอนจะไปพบพระ


อาจารย คงรอไมไหวหากทานบอกวาจะตองปฏิบัติใหไดดีกวานี้ ซึ่งอยางต่ําๆก็ตองรอไปอีกอาทิตยหนึ่ง
อยาวาแตอาทิตยหนึ่งเลย พรุงนี้เขาก็ขาดใจเสียกอนแลว

ทําสมาธิไดผล มีความอิ่มเอิบพอประมาณ สํารวจดูความเปนไปและประเมินความกาวหนาถึงขั้นนี้ ก็ได


ความวาตนสามารถทําจิตใหถึงอุปจารสมาธิอยางออนๆในชวงกําหนดลมประมาณหาสิบครั้ง ซึ่งนับวาดี
กวาวันแรกๆซึ่งตองใชชวงลมอยางต่ํากวารอยหรือสองรอยครั้ง เสียตรงที่หนวงภาวะผนึกแนนแหงจิต
อันเอิบอาบปติสุขลนหลามนั้นไดราวสามสิบชวงลมก็สลายแรงดึงดูดลง และยากจะเอากลับมาใหม

อีกอยางที่นับเปนความกาวหนาคือการมีสติควบคุมนิมิตไดมั่นคง เมื่อเริ่มเกิดอาการเปลี่ยนแปลงภาวะ
จิต ปราศจากความมึนงงและนิมิตบิดเบี้ยวทั้งปวง สามารถติดตามวิถีจิตไปตลอดสายโดยไมคลาด
เคลื่อน หนวงยึดแตลมหายใจเปนสรณะอยางเหนียวแนน ดวยความสังเกตรูวาความสม่ําเสมอของการ
เห็นอารมณคือปจจัยหลักในการรักษาสภาวะใหคงที่

อาบน้ําลางหนาอยางดี อะไรจะเกิดก็ตองเกิด เขาพยายามอยางดีที่สุดแลว หากพระอาจารยทานยังไม


พอใจก็สุดวิสัยจะทําประการใดใหดีขึ้นกวานี้

แวะซื้อดอกไมธูปเทียนและขาวถุงกับอาหารแหงที่ตลาดใกลซอยบานปูชนะ เพิ่งเกือบหกโมงเทานั้น
หวังวาจะไดใสบาตรเชาสักที ครั้งสุดทายที่ใสบาตรพระนานเทาไหรก็ลืมไปแลว วันนี้กําลังสดชื่นและ
อยากไดฤกษงาม จึงตั้งใจจะไปดักขบวนพระแถวหนาวัดเลยทีเดียว

ชาวบานแถวนั้นตั้งโตะเตรียมใสบาตรกันแทบจะหลังเวนหลัง เดี๋ยวนี้หาดูชาวบานรอทําบุญกันเปนทิว
แถวไดยากแลว มีแตที่ตางจังหวัดซึ่งก็เริ่มรอยหรอเชนเดียวกับในกรุงเทพฯ

ดีใจจนบอกไมถูก เมื่อผานหนาบานปูชนะเห็นใครคนหนึ่งยืนรอใสบาตรเชนเดียวกับชาวบานละแวก
เดียวกัน เกาทัณฑเปลี่ยนความตั้งใจที่จะไปรอขบวนพระถึงหนาวัดทันที จอดรถไวใตรมไมของอีกฝง
ถนนแลวเปดประตูลงมา

"สวัสดีฮะแพ"

เขาทักมาจากอีกฝง หญิงสาวยิ้มให

"คะ สวัสดี"

"ขออาศัยโตะวางของดวยคนนะ"
๑๔๔

แชมชื่นเหมือนงานรื่นเริงตามเทศกาล มีผูคนมากมายรอคอยทําบุญ แมหางกัน ก็รวมบรรยากาศเดียว


กัน เปนเชาที่อากาศดูโปรงโลงเย็นสบายไปทั่วฟา เกาทัณฑเปดประตูตอนหลังและเดินขามถนน นํา
เครื่องของไปวางบนโตะหนาหญิงสาวอยางเปนระเบียบเรียบรอย

"ปูตื่นหรือยัง?"

"ตื่นตั้งแตกอนตีสี่ทุกเชาแหละคะ แตทานจะลุกขึ้นมานั่งทําสมาธิไปจนถึงเจ็ดโมงเปนอยางต่ํา"

"โอโฮ นั่งเกงนะฮะ…แลวทานไมมาใสบาตรกับแพบางหรือ?"

"เลือกเฉพาะวันพระนะคะ"

"แพคงทําเปนประจําทุกเชาเลยสินะ?"

"แคเกือบเทานั้น บางวันก็ตื่นสาย หรือตองทําธุระอื่นเหมือนกัน"

"สั่งสมบุญไวเยอะนาดูเลย"

เขากลาวชื่นชมดวยน้ําเสียงแจมใส

"ไมเทาไหรหรอก ตองคุณยายคนนั้นสิคะ"

หลอนหันหนาไปทางหนาบานติดกันขวามือ ชายหนุมมองตามและเห็นคุณยายผมขาวใสแวน รูปราง


อวนทวน นั่งประจําที่เตรียมใสบาตร ลอมรอบไปดวยเด็กสาวๆผูเปนบริวารคอยชวย หลายคนในกลุม
นั้นเมียงมองมาทางเขาและแพตรีเชนกัน

"เชื่อไหม ทานใสบาตรตั้งสามสิบกวาปไมเคยขาดสักวัน ตอใหเจ็บไขไดปวยขนาดไหนก็ใหเด็กเข็นรถ


ออกมาดูคนอื่นใสบาตรแทนใกลๆ"

เกาทัณฑอึ้ง คนปกติที่ไหนทําไดถึงปานนั้น สามสิบปไมขาดสักวัน!

"ตองมีอะไรเปนแรงบันดาลใจแนเลยใชไหมฮะ?"

"สามีคุณยายเสียตั้งแตยังอยูในวัยกลางคนนะคะ กอนเสียเคยสัญญากันตอหนาพระพุทธรูปไววาถาใคร
ตายกอนจะมาบอกอีกฝายวาไปอยูที่ไหน สัมปรายภพมีจริงหรือไม แลววันหนึ่งทานก็เห็นสามีมาหาใน
ฝน ฉายราศีสวรรคงดงามมาก บอกวาตอนนี้อยูเบื้องบน มีความสุขสบายเหลือลน ถาอยากมาอยูดวยก็
หมั่นทําบุญสุนทานใหมากที่สุดเทาที่จะเปนไปได ทําแลวก็ย้ําอธิษฐานมาอยูรวมกันขางบน นับแตนั้นมา
ชีวิตของทานก็ประกอบแตงานบุญ เปนหัวเรี่ยวหัวแรงสารพัดพิธี เห็นอยางนี้สติยังแจมใสมากเลยนะคะ"
๑๔๕

เกาทัณฑฟงเพลิน แกวเสียงหลอนเหมือนเครื่องดนตรีสักชิ้นที่เลนยาวแลวเปลี่ยนอารมณคนฟงใหเปน
กุศลไดอยางนาอัศจรรยใจ

"คนใจบุญอยูบานติดกันอยางนี้ก็ยิ่งดีสิฮะ แพคงสนิทกับแกมากนะ"

"ก็เหมือนญาติผูใหญแหละคะ"

พระองคแรกเดินมาถึงบานคุณยาย แพตรีรีบถอดรองเทาเตรียม เกาทัณฑเห็นหลอนทําอยางนั้นก็ชัก


เงอะงะไป เขาใสคัทชูมา ถาถอดก็เกรงถุงเทาจะเปอน จึงตัดสินใจใชวิธีถอดแลวเหยียบไปบนรองเทานั่น
เอง ซึ่งแพตรีกมลงมาเห็นแลวก็ยิ้มขัน

"ผมทําผิดเหรอฮะ?"

ชายหนุมเลิกคิ้วถามดวยความรอนตัวกลัวเปนเทิ่น

"ทานใหถอดรองเทาเพราะไมอยากใหเรายืนสูงกวาพระซึ่งยืนเทาเปลานะคะ คุณทําแบบนี้ใสอยางเดิมจะ
ดีกวา"

"อาว! เหรอฮะ นึกวาถอดแสดงความเคารพ"

หญิงสาวหัวเราะนิดหนึ่ง กอนสํารวมสงบ เกาทัณฑตัดใจยอมใหถุงเทาเปอนดิน กาวออกมายืนบนพื้น


เต็มๆฝาเทา แลวก็เกิดความรูสึกวายอมเปอนเพื่องานบุญนี่อิ่มใจแปลกๆ เลิกเปนหนุมสํารวยกลัวถุงเทา
สกปรกไดโดยไมตองฝน

เกาทัณฑคุนหนาพระองคนั้น ทาทางมีอายุแลวพอควร ทวงทีเดินเหินดูมีสติสํารวมนาเลื่อมใส ไมชาไม


เร็วและกมมองต่ําอยูตลอดเวลาอยางมีสมณสารูปอันงาม ตางกับพระกรุงทั่วไปที่ชอบเดินทอมๆอยางคุน
ชินกับวิธีเดินสมัยเปนฆราวาส ทานคงอยูที่วัดทางนฤพานนั่นเองจึงมีราศีความเปนพระฉายใหเห็นเชนนี้

"นิมนตดวยครับ"

เกาทัณฑแสดงความรูออกมาหนอย รีบชิงสงเสียงนิมนตพระตั้งแตทานเพิ่งปดบาตรจากบานคุณยายราว
กับเกรงวาชาไปจะตองใหแพตรีเปนฝายใชเสียง หญิงสาวเบือนหนาไปซอนยิ้มทางอื่น พวกเด็กหนาบาน
โนนปดปากหัวเราะกันคิกคักและมองมาเขาดวยประกายขัน

เมื่อหลวงพอมาถึงและเลิกชายจีวรแงมฝา แพตรีตักขาวในขันดวยทัพพี ยื่นใสลงไปในลูกบาตรซึ่งกําลัง


อวลไอขาวกรุนของญาติโยมคนกอนๆ ภาพที่เห็นและกลิ่นที่ไดรับกับบรรยากาศรอบขางทําใหชายหนุม
มีจิตใจสบายเปนกุศลยิ่ง มันเปนกลิ่นไอการทําบุญที่ชาวกรุงใจกลางเมืองทั่วไปเห็นทีจะสัมผัสไดยาก
เมื่อถึงคราวเขา เกาทัณฑนําถุงอาหารสวนของตนวางบนฝาบาตรที่ทานหงายรับแลวพนมมือไหว
๑๔๖

แพตรีวางขันขาวลงบนโตะ ยอบกายลงคุกเขาพนมมืออยางรูวาองคนี้ทานสวดสัพพีสั้นๆใหเสมอ
เกาทัณฑรีบทําตาม เขาไดทําบุญรวมกับหลอนอีกแลว

"พระที่บิณฑบาตแถวนี้มาจากวัดทางนฤพานแหงเดียวหรือเปลานะแพ?"

ชายหนุมถามเมื่อหลวงพอทานเดินจากไปและตางลุกขึ้นยืน

"ใชคะ แหงเดียว"

"เปนวาสนาของชาวบานแถวนี้นะ ไดทําบุญกับพระแท แพรูไหม เวลาที่ผมรูสึกวาจิตใจเปนกุศลมากๆ


อยางนี้ ใครมาพูดเรื่องสวรรคใหฟงนี่มันโนมเอียงไปเชื่อไดงายๆเลย"

หญิงสาวพยักหนา แลวเขาจะเขาใจเองวาจิตชนิดที่เปนตัวสรางสวรรคยอมใหกลิ่นอายสวรรคในตัวเอง
อยาพักตองรอใหใครพูดถึงเลย มันเกิดความรูสึกขึ้นมากลางใจไดอยูตรงนั้นแลว

"แพ"

"คะ?"

"รูไหมทุกครั้งที่ผมทําบุญรวมกับคุณ ผมอธิษฐานวายังไง"

หลอนสงบคํา สายลมระลอกนอยรําเพยผาน เกาทัณฑกลาวตอโดยไมเหลียวมา

"ผมขอใหมีโอกาสรวมทําบุญกับแพตลอดไป ยังไมรูหรอกวาชาติหนามีจริงหรือเปลา แตถามี คําวา


ตลอดไปของผมก็ขอจองเอาทุกภพทุกชาติสืบไปตราบจนเราสองคนเขาถึงพระนิพพาน"

แพตรียังสงบเปนปกติ เกาทัณฑยกมือพนมจรดหนาผาก กระแสใจที่แผจากรางนิ่งนั้นออนโยนทวาหนัก


แนนนัก นาแปลกที่เผอิญมีสายลมกรูเกรียวเกิดขึ้นในบัดดล ทําใหกลุมผมและชายกระโปรงของแพตรี
พลิ้วไสวตามแรง หญิงสาวนิ่งสงบดุจเดิม แตริมฝปากคอยๆสยายออกเปนรอยยิ้มงามละมุน ซึ่งในเวลา
ตอมาเมื่อเกาทัณฑหันมาเห็น ก็รูสึกในชั่วขณะนั้นวาแพตรีสวยเกินจริงราวกับไมใชมนุษย
๑๔๗

ที่นั่นเปนชายหาดเปลี่ยวรางของจังหวัดทางตะวันออกแหงหนึ่ง หางไกลจากแหลงชุมชนมาหลาย
กิโลเมตร ดานหลังเปนภูเขาเตี้ย ดานหนาแผกวางดวยแผนน้ําสุดลูกหูลูกตาจดขอบฟาละลิ่วลิบ ไมเห็น
อะไรนอกจากคลื่นน้ําเลยแมแตเรือหาปลาเล็กๆสักลํา

ลมทะเลยามเชาพัดฉิว อากาศเย็นสดชื่นและมีกลิ่นหอมระรวยของน้ําเค็ม มติเปดกระโจมผารมออกมา


ยืนรับลมบริสุทธิ์ดวยความเบิกบานเปนสุข เขารักสถานที่เชนนี้ ชอบมาอยูตามลําพังอยางนี้ มันทําใหรู
สึกเหมือนเปนสิ่งมีชีวิตเดียวในโลก และคลายทะเลกับลูกเขาทั้งหมดเปนบาน

บรรยากาศเปนสัปปายะเหมาะแกการแสวงวิเวกตามอัธยาศัย เขามาถึงที่นี่ชวงเย็นวาน รับลมชมดาวอิ่ม


เอมมาแลวหนึ่งคืน

เด็กหนุมเงยหนาดูเมฆขาวที่ลอยสูงนิ่ง สงใจขึ้นไปเนาสนิทอยูบนนั้นเปนครู กอนจะลดตาลงทอดมอง


ระนาบขอบฟาเหยียดยาวสุดหางตา เงี่ยหูฟงเสียงระลอกคลื่นกระทบฝงออนโยน อารมณสงบและคลื่น
ความคิดราบคาบดุจเดียวกับผืนทะเลยามนี้ นับเปนการตื่นเชามาพบกับสิ่งวางจิตอันเปนสันติ ชวนใจให
คลอยเงียบและใฝความเปนนิรันดรแหงอิสรภาพตามกัน

เคยคิดอยากอยูคนเดียวเชนนี้ตลอดไป แตก็รูวาทําไมได ทั้งสวนตื้นสวนลึกของจิตใจยังเต็มไปดวยหวง


เกลื่อนกลนไปดวยความพะวง

ยืดอกกางแขนรับลม สูดหายใจเต็มปอด อยากเปนนกนางนวลที่สามารถกระพือปกทะยานขึ้นฟากวาง


แผปกลอยละลองในอากาศเบื้องสูง กมลงทัศนาทัศนียภาพเบื้องลางกวางละลานตา ใจหมดหวง หมด
พันธะ ไรเขตจํากัดใดมาขวางทางไป

หอบลมทะเลปะทะหนาและเรือนกายตอเนื่องกันเปนเวลานานกอนจะหยุดลงครูหนึ่ง เขาชอบใหโสรง
ขาวและเสื้อหลวมบนรางปลิวลม มันทําใหรูสึกเหมือนตัวเองเปนนักบุญอิสระที่แสวงสัจธรรมไปในโลก
กวาง มีแตเครื่องนุงหมมอซอติดตัวชุดเดียว ปราศจากพันธนาการปรุงแตงอื่นใดรัดรึงกายใจ

เด็กหนุมลืมตาและคอยๆกาวเดินเทาเปลาไปบนทรายนุม ที่นี่ไมใชหาดสวยขนาดชักนํามนุษยมาทําลาย
ความสวยของมัน ทวาก็เปนหาดที่มีเสนหสําหรับเขา เสนหนั้นคือความไมมีอะไรเลยนอกจากธรรมชาติ
บริสุทธิ์ดุจโลกเพิ่งถูกสราง และยังไมมีสิ่งมีชีวิตใดอุบัติขึ้นแมแตชนิดเดียว
๑๔๘

รางผายผอมดุมเดินไปเรื่อยอยางคนมีเวลาทั้งหมดใหกับอิสรภาพและความโดดเดี่ยววางวาย กระทั่งถึง
จุดหนึ่งที่สติตื่นพรอม และนึกอยากเปดประสาทเสพรสแหงทะเลใหเต็มที่ จึงหยุดเดินลงนั่งวางขาขวา
ซอนขาซาย สองมือวางลงบนเขาแตละขาง พริ้มตาปดเฉยเตรียมเปลี่ยนสภาวะจิตใหเปดรับผัสสะอยาง
บริบูรณ

ตัดการผูกพันกับประสาทตาไดฉับพลัน เห็นสัณฐานของกายภายใน เลื่อนฐานความรับรูไปจับที่ความ


เคลื่อนไหวของลมหายใจ จิตผนึกนิ่งดวยความชํานาญ สามารถกําหนดนึกนิมิตเหยียดยาวแชมชัดของ
สายลมหายใจ เกิดภาวะสวางนวลทันทีคลายจุดไฟติดอยางรวดเร็วดวยเชื้อดี

ทุกอยางเกือบเปนไปโดยอัตโนมัติ ทั้งความเคลื่อนไหวทางกายเพื่อดึงลมเปนสายยาวสม่ําเสมอ และทั้ง


วิธีวางจิตกําหนดนึกหนวงนิมิตใหคมชัดไมคลาดเคลื่อน ดวยเพราะปฏิบัติภาวนามาเปนเวลาหลายปจน
เกิดความเคยชินและสัญชาตญาณทางสมาธิ ประกอบกับกําลังจิตที่คอนขางอยูตัวทรงดุลยภาพ ปลอด
โปรงดวยสภาพแวดลอมจูงจิตในปจจุบันขณะ

แมเสียการทรงตัววูบไหวใหกลุมความคิดที่กอตัวขึ้นมาบางในชวงแรก กลุมความคิดนั้นก็ปรากฏเปน
สวนเกินอยูในความรับรู คลายหมอกควันที่จางหายไปอยางรวดเร็วเมื่อสามารถตรึงนิมิตลมและสัณฐาน
แหงกายอันเปนจุดผานลมใหทรงนิ่งตอเนื่องครูเดียว

กระแสสุขแผตัวออกกวางไปในเขตโลงรอบกาย อาการขยายหนาทองดึงลมเขาและการเห็นสายลมรี่
ผานโพรงจมูกลงสูทรวงอกเปนเสมือนแรงดึงดูดกระแสจิตอันทรงพลัง ความที่จิตละเอียดและติดตามการ
เดินทางของลมเขาสูโพรงวางในเรือนกาย ทําใหเห็นกายทั่วพรอมคลายลืมตามองออกมาจากภายใน ดู
กระดูกฉาบเนื้อนี้คลายรางหุนกระบอกไรชีวิต ดํารงอยูเพียงเพื่อเปนที่ตั้งของการรับรูนิ่งเฉย หมดสภาพ
ตัวตนที่เคยคุนขณะลืมตาอยางสิ้นเชิง

ฟงเสียงคลื่นเซาะทรายเปราะเปรียะ ประสาทหูที่เปดรับเสียงเต็มประสิทธิภาพจากการขยายผลของจิต
ทําใหคลื่นทะเลฟงแปลกกวาปกติ ทั้งชัดเจน ทั้งเก็บเสียงใกลไกลไดครบถวนพรอมกัน และมีมิติลึกลงไป
กวาการไดยินตามธรรมดา นั่นคือการเขาถึงมิติแหงความจริง ความเคลื่อนไหว ความแปรสภาพอยู
ตลอดเวลา รายละเอียดทั้งหมดที่ธรรมชาติสงเสียงคุยกับเขาถูกเก็บเกี่ยวเขาสูความรับรูอยางสมบูรณ

เมื่อวางจากความรูสึกในตัวตน กับจับถนัดชัดเจนทั้งกลุมลมเขาออกและเสียงดนตรีแหงแผนน้ํา มติก็


แยกภาคตัวรูออกไปอีกชั้น กําหนดดูความเปนกายในองคนั่ง เห็นคลุมทั่วเปนแทงเดียว เกิดนิมิตภายใน
เหมือนกายเปนวัตถุรับผัสสะกอนหนึ่ง ประดิษฐานอยูบนผืนทรายนุม รับแรงลมปะทะสวนตางๆ แนนิ่ง
ตามอาการของจิตที่ครองกายอยู

จี้พิจารณาดูทีละสวน เริ่มตนที่ศีรษะ เห็นวาการรับรูเสียงเกิดขึ้นที่รองรูในแองกลางใบหู มันเปดรับคลื่น


เสียงจากรอบทิศทั้งใกลและไกล ทั้งคอยและดัง โดยมีแหลงรับเสียงจริงลึกลงไปไมมากจากรองรูนั้น
๑๔๙

มติกําหนดหมายทันทีที่รูตําแหนงแกวหูอันเปนตนแหลงรับเสียง เห็นสักแตเปนเพียงอายตนะในการฟง
ไมใชตัวตน ไมมีชื่อ ไมมีโคตร ไมมีใครครอบครอง ถือกําเนิดขึ้นมาเมื่อเกือบยี่สิบปกอน และกําลังจะ
แตกดับไปในเวลาอันสั้น โดยไมอาจพยากรณวันเดือนป

ขณะแหงความรับรูเชนนั้น เหมือนเหลือเพียงคูประสาทหูลอยนิ่งในอากาศวาง ไรหนาตา ไรสํานึกแบบ


บุคคลผูไดยินไดฟงเสียงธรรมชาติ มีแตจิตโปรงใสดํารงรูอยูในความกวางโลงรอบดาน

นานเปนครูใหญ จิตเลื่อนระดับความรูขยายตัวลึกลงอีกชั้น เห็นลางลงไปเปนกายที่ทรงตั้งอยูไดดวย


กระดูกสันหลังเปนขอๆ มองดวยตาเปลาไมเห็น แตสามารถสัมผัสรูจากความนิ่งใสของจิตระดับอุปจาร
สมาธิ สําเหนียกทราบวากายประกอบดวยซี่โครงและระยางยื่นออกไปเปนสวนแขนขามือเทา โครง
กระดูกนั้นหอหุมดวยเลือดเนื้อสกปรก ยามใดที่ลมทะเลหยุด ก็จะรูไดถึงความเหนียวตัวเพราะคราบไคล
ที่ไมไดรับการชําระลางจากน้ําจืด

กายเปนแคสุสานเก็บศพสัตวและพืชผักนานาชนิด ตั้งอยูเพื่อรับรูผัสสะรอนเย็นออนแข็งชั่วเวลาชวงหนึ่ง
ไมนานรางนี้จะลงวางเหยียดยาวไรลมหายใจ ยิ่งเปอยยิ่งหาชื่อเรียกไมถูกวาเปนใคร หรือกระทั่งเปน
อะไร มีรูปทรงสัณฐานแบบไหน

แลวกลับไปกําหนดลมใหมอีกรอบ คราวนี้เพงความละเอียดยืดยาว เพื่อประจุพลังใหเกิดภาวะทรงตัว


แนนขึ้น สวางไสวและรูเทาทั่วพรอมกวาเดิม เหมือนสรางศูนยกลางอันใหญครอบกายขึ้นมาควบคุมภาค
รูที่กําลังจะแตกแขนงไปตางๆ

ดวยความระวังประคองดวงนิ่งหนักแนนไวนั้น มติเพงรูแบงจิตเปนสองภาค ภาคหนึ่งตรึงนิมิตภายในไว


ไมใหคลาดเคลื่อน อีกภาคหนึ่งตามอาการเปดเปลือกตาขึ้นแชมชา รับรูแสงสีที่กระทบจักษุประสาท
อยางมีสติ เทาทันวาอยางนั้นสี อยางนั้นวัตถุ หนวยตารับภาพเบื้องหนาเต็มจอทั้งหลักและรองสุดแนว
กวางลึก เมื่อไดภาพเต็มที่ก็เห็นเปนทองทะเลอันเดิม แตชัดใหญกระจะตาดูแปลกไปกวาเกา

คงเหลือแตการเห็นแผนน้ําเทานั้นดํารงอยู หากตัดสัญญาทางภาษาไมเรียกวา ‘ทะเล' เสียอยางเดียว ก็


ไมมีอะไรเหลือใหหมายจํานอกจากความเคลื่อนไหวของธาตุน้ํากอนมหึมาในแองใหญ เหนือน้ํามีธาตุลม
แปรทิศไปมา สูงขึ้นไปเปนอากาศธาตุเวิ้งวางกวางไกล

แกวตาทําหนาที่ของมันไป แผนน้ํากวางก็ดํารงอยูของมันไป ปราศจากตัวตนที่ฝงนี้และฝงโนน ทุกอยาง


อยูในสภาพธรรมดาดั้งเดิม ในมิติสํานึกรูสึกที่แตกตางไปจากยามมีตัวตนประกอบ เมื่อจิตเปลี่ยน โลกก็
เปลี่ยนตามไดเชนนี้เอง

รูเห็นครอบคลุมกวางไกลและคมชัดดุจเหยี่ยวที่มีพรสวรรคในการเห็นล้ําลึก ศูนยกลางสติตั้งนิ่ง
ทามกลางความเคลื่อนไหวแหงภาพและเสียงละเอียดยิบ
๑๕๐

ธรรมตรงหนามีอยู เมื่อตาประจวบเขาก็เห็นเปนรูปคลื่นน้ํา เมื่อหูประจวบเขาก็ไดยินเปนเสียงคลื่นลม


เมื่อจมูกประจวบเขาก็ไดกลิ่นเปนไอน้ําเค็ม เมื่อกายประจวบเขาก็ไดสัมผัสเปนลมรําเพยและกลุมเม็ด
ทรายมหาศาล

สักแตเห็น สักแตไดยิน สักแตไดกลิ่น สักแตสัมผัส ปราศจากตัวตนผูครองผัสสะทั้งมวล

เนิ่นนานในชวงจํากัดหนึ่งของศักยภาพความทรงตัวแหงจิต ทามกลางความเลื่อนไหลแปรรูปไปของมห
ธรรม เมื่อจิตเสียดุล ไมอาจทรงนิมิตภายในใหคงที่ ลีลาธรรมชาติก็ดําเนินไป คลายน้ําแข็งที่ถูกความ
รอนไมอาจทรงตัว เหลวละลายกลายเปนสายน้ํา พอทํานบสมาธิพังลง ดวงจิตก็กอกระแสความคิดหลั่ง
ไหลออกมาในที่สุด

ภาษาจิตดั้งเดิมนั้นมีแตความเงียบรู สมาธิเฉียดฌานมีความเขาใกลความเงียบรูชนิดนั้น เมื่อภาษาคิด


ภาษาพูดปรากฏขึ้นในหัว ก็กลายเปนเสียงดังฟงชัด ดูประหลาด และเห็นวากลุมความคิดไมใชเสียงของ
ตัวเอง เหมือนเสียงที่ลอยขึ้นมาโดยปราศจากคนพูดในหองอันวางวาย และคลายภาษาตางดาวที่ตองนึก
คําแปลกันใหมหมด

มติเกิดความเห็นเชนนั้นดวยเคยฝกพิจารณากลุมความคิดมากอน คือฝกมองกระแสความคิดเปนเพียง
ระลอกกระเพื่อมไหวที่เกิดขึ้นเมื่อจิตเสียดุลจากการดิ่งนิ่ง ความกระเพื่อมไหวนี้เองแปรสัญญาณเปน
ความกําหนดหมาย กลายเปนอุปาทานสําคัญไปวามีเราผูคิด มีเราผูครองกาย โดยที่เนื้อแทแลวคลื่น
ความคิดก็เหมือนคลื่นทะเลที่แปรรูปไปเรื่อยๆ หาตัวตนติดตามความปรวนแปรตลอดเวลานั้นไมไดเลย

ความคิดเปนสิ่งไรรูป กอตัวมลังเมลืองเหมือนหมอกควันไรเงา ทวาความมนมัวไรตนนี้เองที่สรางความรู


สึกในตัวตนอยางแจมชัดขึ้นมา เมื่อตัวตนแจมชัด ดวงรูธรรมตามจริงก็เลือนพราลงตามลําดับ

มติกะพริบตาทีหนึ่ง คอยๆลุกขึ้นยืนดวยความรูสึกก้ํากึ่งระหวางโลกของความมีตัวฉันกับโลกของธรรม
ชาติบริสุทธิ์ที่เพิ่งประจักษ กระแสความคิดดําเนินไปตามครรลองที่เคยมีเคยเปน แลวจังหวะหนึ่งโลก
ของตัวตนก็เขาครอบงําดวงจิตไวทั้งหมดเมื่อเกิดความรูสึกหิวขึ้นในชองทอง มีความแหงอยากเกิดขึ้นที่
นั่น สติสตังถูกปลอยหลุดไปงายๆเพราะไมเคยผานการฝกชนิดสมบุกสมบันเยี่ยงพระธุดงคผูหมดอาลัย
กับรางกายและความเปนมนุษย

เคลื่อนตัวไปตามวิถีทางที่ควรจะเปน เดินกลับจุดพักแรม เขาไปหยิบเสบียงในกระโจมผารมแลวออกมา


นั่งทานเงียบๆ ทอดมองดูโพนฟาเบื้องไกลไปดวย

กระแสนัยนตาจะยังแรงดวยพลังสติอันเปนเศษสมาธิ ใจวางเฉยเหมือนอากาศธาตุ แตเมื่อขนมปงตกสู


ทองทีละชิ้น ทีละกอนโดยปราศจากการกําหนดจิตตาม ความคิดอันคุนเคยก็ผุดพรายขึ้นมาเปนระลอก
๑๕๑

คิดถึงแพตรีขึ้นมาจางๆ แตพอเทาทันวาเปนเหตุแหงความกระวนกระวาย ก็ใชธารปติแหงอารมณวิเวก


ที่ยังเอออยูเต็มอกหลั่งลงดับความคิดถึงชนิดนั้นเสียไดงายๆ

ความนิ่งดําเนินไป แตก็กลับแปรเปนความคิดถึงหลอนขึ้นมาอีก จะตัดใจซ้ําก็ชักนึกขี้เกียจ ก็หลอนมิใช


หรือที่ทําใหนึกอยากปลีกตัวมาไกลๆอยางนี้ ทั้งที่เพิ่งกลับจากคายพัฒนาชนบทไดชั่วประเดี๋ยวประดาว

ยังนึกเสียใจที่ประกาศความในผานภาพสีน้ํามันเมื่อวันกอน สัมพันธภาพดูแปรงแปลก เจื่อนจืดลงอยาง


นาใจหาย ดูออกวาหลอนฝนยิ้ม ฝนพูด และพยายามทําใหทุกอยางดูคลายปกติ แตแคแววกังวลที่ฉาย
ออกมายามสบตากัน ก็รูไปถึงไหนแลววาแพตรีกําลังลําบากใจ เขากับหลอนสนิทกันยิ่งกวาพี่นอง ยิ่ง
กวาเพื่อน กลาพูดกลาเลาทุกเรื่อง แลวจูๆวันหนึ่งทุกอยางก็กลับหัวกลับหาง เมื่อนองชายหรือเพื่อน
สนิทคนเดียวแจงใหทราบวาอยากเปลี่ยนชนิดของความสัมพันธเสียที

หยั่งใจแพตรีไดจะแจงเชนเดียวกับดูใจตนเอง ยกเวนเรื่องนี้ หากใหปรับฐานะมาเปนคนรัก รอครองเรือน


กัน หลอนจะวาอยางไร เดาไมไดเลย เทาที่รูคือตลอดมาเขาเปนคนเดียวที่ไดรับความไวเนื้อเชื่อใจ เปน
คนเดียวที่สนิทขนาดเคยใหนอนเฝาเมื่อครั้งหลอนเปนไขหวัดใหญ

เขาอาจเปนไดแคนองชาย เดินไปไหนมาไหนกับหลอนแลวถาผานกระจกเงาก็ชําเลืองรูวาไมใชคูที่ควร
กัน แตมติถือวาภาวะโดดเดี่ยว ไรที่พึ่งพาในระยะยาวของหลอน นับเปนปญหาที่คนสนิทเชนเขามีสิทธิ์
แจงความจํานงขออยูเคียงขาง ถึงแมไมอาจเปนฝายเลี้ยงดูใหสุขกายสบายใจอยางชายผูมั่งมีจะสามารถ
ทํา ก็ขอเปนคนที่จะไมหายหนาไปไหนในเวลาหลอนตองการใครสักคนชวยจัดวางสิ่งตางๆในแตละวันให
เขาที่เขาทาง

เคยถามหลอนซ้ําแลวซ้ําเลาวาไมพอใจใครบางหรือ หลายรายที่เขามาตีสนิทก็ออกพรั่งพรอมทั้งรูป
สมบัติคุณสมบัติ แพตรีปฏิเสธมาโดยตลอด บอกอยางเดียววาอึดอัดเมื่อตองอยูกับคนที่จิตไมนิ่ง จะชาย
หรือหญิงก็ตามที

สรุปแลวคือพูดดวยปากวาไมอยากอยูกับใคร แตบอกผานการกระทําวาพึงใจเพียงพอจะใกลชิดกับเขา
ได?

และหลอนก็บอกเขาเสมอวาเปนเรื่องโชคดี ถามีใครสักคนพูดคุยกับเราไดโดยปราศจากการฝนใจ มติ


ทราบวานั่นคือการบอกวาเขาคือความโชคดีของหลอน

ครั้งสุดทายที่พบกัน มติชวนหลอนไปซื้อของถวายสังฆทานในวันเกิดของเขา ทุกอยางปกติและเปนไป


ดวยดีเหมือนเคย ยกเวนบัตรอวยพรวันเกิดที่ทําใหเขาตองระเห็จมานั่งมองฟาเงียบๆอยูเดี๋ยวนี้
๑๕๒

สุขสันตวันเกิดนะนองรัก
ปนี้นึกอยากเจาบทเจากลอนขึ้นมาแทนซื้อของขวัญนะ
นั่งคิดอยูเปนชั่วโมง
ถายทอดใจจริงทั้งหมดที่มีใหเธอครบแลว
และหวังวาคงมีคาพอจะเปนของขวัญชิ้นหนึ่งได…

อยากมอบทองของกํานัลอันสูงคา แตจนใจไรปญญาจะหาไหว
ถาซื้อแลวคงแกวขุนไมถูกใจ เมื่อใหไปคงไมแลแควางดิน
จึงขอใหแกวใสเปนใจนี้ เจียระไนไวดูดีกวาทุกชิ้น
น้ําใจรักฉันพี่สาวจะลงริน ขังในแกวแพรวจนสิ้นอายุเรา

หลอนอวยพรบรรทัดเดียว ที่เหลือเปนถอยแถลง เขาอานแคหนึ่งรอบแตจําสนิท เพิ่งรูสึกเปนครั้งแรกวา


หลอนใจรายไปหนอย เลือกวันเกิดของเขาเปนเวลาทําลายวิมานอากาศกันลงคอ

ถอนใจเฮือก เมื่อสงบสติลง และมองหลอนดวยสายตาของคนรูใจ ก็พอเห็นแหละวานั่นเปนวิธีของหลอน


แพตรีพยายามอยางที่สุดที่จะถนอมน้ําใจเขา ทั้งสรรคําพูดใหแนบเนียน และทั้งเลือกจังหวะที่พอจะพูด
อะไรชนิดนั้นไดโดยไมเห็นแปลก

รูสึกเจ็บ ใชเพราะหลอนปฏิเสธ แตเพราะเห็นขีดจํากัดของตนเอง หากเขารูปรางหนาตาดีกวานี้ ดูเขม


แข็งเปนผูนําไดหนอย ก็เชื่อวาแพตรีคงเปลี่ยนใจไดบาง

นึกถึงชายหนุมมาดคมคนลาสุดที่เห็นมาทําทาทางติดพัน ดูเหมือนเปนคนแรกที่เขามาไดถึงในบาน แต


เมื่อทราบฐานะวาเปนหลานปูชนะ มติก็ลดความแปลกใจลงนิดหนึ่ง

ยอนไปถึงวันที่เห็นแพตรีนั่งคุยกับหนุมคนนั้นใตรมไมหนาบาน พอเห็นเขามายืนอยูหนาประตู หลอนก็


แสดงกิริยาบางอยางที่เขารูสึกแปลก คือเบิกตา สงเสียงทักแหลมใสดวยความยินดี ราวกับวาเขาจากไป
ไหนนานจนคิดถึงเสียนักหนา ความจริงก็คือแพตรีไมเคยดีอกดีใจกับการปรากฏตัวของเขาขนาดนั้น ตอ
ใหตองหางไปตางจังหวัดกี่อาทิตยก็เถอะ

เหมือนหลอนอยากแกลงใหนายคนนั้นเจ็บใจเลน นั่นเปนสิ่งที่มติไมเคยเห็น วิสัยแพตรีตางกับหญิงทั่ว


ไป ตอใหรําคาญคนตามตื๊อขนาดไหน ก็จะไมมีการดึงหุนมาเชิดใสใครเลย หลอนไรมายา ไรความคิดทํา
รายจิตใจใคร
๑๕๓

แคเห็นรางสูงสงาที่ลุกขึ้นยืนเต็มสวนสัดของหลานปูชนะ มติก็บอกตนเองวาหากแพตรีจะติดเนื้อตองใจผู
ชายสักคน ก็นาจะเปนแบบที่เห็นนั่นแหละ

แตทําไมกลับกลายเปนวาหลอนมีทีทาเมินออกหาง ไมใสใจไยดี มิหนําซ้ํายังทําทีวามีคนพิเศษเชนเขา


อยูแลว ขนาดมาถึงปุบหลานปูหมดคาปบ มติดูออกวาหลอนเมินจริง ใชวาเสแสรงแกลงสรางความเขาใจ
ผิดเพื่อปดบังความพึงใจตามประสาหญิงที่ยังขวยเขินกับสัมพันธภาพใหม

หรือนี่มีเบื้องหลังอะไร?

คําวา ‘หลานปู’ สะกิดเตือนใหนึกถึงบางเรื่องเมื่อนานมาแลว นานจนเขาเกือบเลือนไปในรายละเอียด

ชวงที่เริ่มสนิทและคบหาประสาเด็ก เขากับหลอนคุยกันสารพัดเรื่องอยางถูกคอและมีความผูกพันใกลชิด
กันมาก อาจเปนเพราะเจอกันในงานบุญที่วัดทางนฤพานบอย และมีเพียงเขากับหลอนที่อยูในวัยไลเลี่ย
กัน

ตอนยังเล็กเขาเปนเด็กชางถามและขี้สงสัย เห็นหลอนตัวโตกวา กับทั้งประพฤติตัวสุภาพเรียบรอยเปน


นิจ วิธีพูด วิธีทอดเสียงแตละคําคลายผูใหญ ก็สนิทใจถามโนนถามนี่เอาคําตอบ ยึดเปนขุมทรัพยทาง
ความรู ความคิด ชนิดที่หลอนบอกอะไรเชื่อหมด

อยางเชนสงสัยวาทําไมพระถึงตองโกนหัว ผีมีไหม นรกสวรรคมีจริงหรือเปลา เทวดานางฟาหนาตาเปน


ยังไง ทําไมคนถึงตองเกิดมา เมื่อหลอนตอบคําถามหนึ่ง ก็มักเปนประเด็นของปญหาขอตอไปยืดยาว

คุยไปคุยมาจนแนนแฟนถึงระดับหนึ่งที่ไมรูสึกเปนอื่นอยางแทจริง นอกจากเปนพี่เปนนองกัน มองยอน


ไปมติจึงทราบวาการสนทนาธรรม แมเปนในระดับเด็กๆ ก็จัดเปนบุญกิริยาใหญรวมกัน และทําใหเกิด
ความผูกพันสนิทไดขนาดนั้น

จนครั้งหนึ่ง เขากับหลอนนั่งรอผูใหญอยูลางกุฏิหลวงตาแขวน มีแมววัดเดินผานมา เขาไปจับมันอุมเลน


ดวยความเอ็นดู เพงพินิจหู ตา จมูก ปากของแมวดวยนิสัยประจําตัวชางสังเกตแตไหนแตไร จูๆก็เกิด
สงสัยขึ้นมา

‘พี่แพฮะ ตอนแมวมองตาเรานี่มันคิดอะไรอยูหรือเปลาฮะ?’

เพิ่งจะเดี๋ยวนั้นที่เขานึกวาสัตวนาจะมีความคิด มติสนเทหมาก สัตวมีความคิดหรือเปลา ถาคิดคิดอยาง


ไร?

‘คิดสิ แตตางจากพวกเรานะ เพราะมันไมมีภาษาเปนสื่อชักนําความคิด’

มติขมวดคิ้วยน
๑๕๔

‘แมวคิดชั่วไดไหมฮะ?’

‘ไดสิ เราถึงเรียกแมวบางตัววาแมวอันธพาลไง’

‘งั้นมันก็ไปนรกไดสิฮะ’

‘ใช’ แลวหลอนก็พูดเหมือนเสริมวา ‘สัตวมีวิญญาณนะ ไปไหนๆตามกรรมไดทั้งนั้นแหละ อยางแมวตัวนี้


ครั้งหนึ่งก็เคยเปนคนนะนั่น ตอนมีใจสูงก็เปนคน ตอนมีใจต่ําก็มาเปนแมว’

มติตะลึง แพตรีพูดไปตามธรรมดาของหลอน ทวามีผลกระทบใจอยางแรง เขาสะดุดกึกและครุนคิดใหญ


โต

แมวตัวที่เขาอุมอยูนะหรือเคยเปนคน คนหนาตาอยางไร หญิงหรือชาย ขามวันเวลาอยางไรทําไมกลาย


สภาพมาเปนสิ่งที่แตกตางไดถึงเพียงนี้?

แมเชื่อแพตรีมาตลอด แตคราวนั้นอดสงกาไมได

‘แมวตัวนี้เคยเปนคนดวยหรือฮะ?’

‘เคยซี่’

‘พี่แพรูไดยังไงฮะ?’

‘พระทานบอกไวจะ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเวียนวายตายเกิดเปนนั่นเปนนี่ตามแรงกรรม เปนสัตว เปนคน


เปนเทวดาอะไรตออะไรมาแลวทั้งนั้น’

‘แลวพระทานรูไดไงฮะ?’

‘ทานรักษาศีล รักษาธรรม ฝกปฏิบัติจนจําความเปนมาของตัวเองไดสิจะ’

เขายังขมวดคิ้ว ไมรูสึกสัมผัสแมแตนอยวานั่นเปนความจริง แมวขนนุมๆในมือของเขาคือสิ่งจับตองได


สวนที่วามันเคยเปนคนมากอนชางฟงเลื่อนลอยไรน้ําหนัก

‘แลวพี่แพจําไดไหมฮะวาตัวเองเคยเปนอะไรมากอน?’

เขาเดินเขามานั่งขางหลอน ยังอุมแมวไวในมือ แตเพงตาถามจริงจัง ตอนนั้นไมรูหรอกวาเผอิญตั้งคํา


ถามเอากับคนที่เปนหนึ่งในรอย หนึ่งในลาน
๑๕๕

จําอาการนิ่งอึ้งเหมือนชั่งใจของแพตรีไดจนบัดนี้ หลอนมองไปขางหนาดวยแววตาของคนที่กําลังระลึก
ถึงบางสิ่ง

‘พี่แพจําไดเหรอฮะ?’

เมื่อเขาคาดคั้น ก็ไดคําตอบที่นาตื่นเตนสําหรับเด็กขี้สงสัย

‘จะ จําได’

‘พี่แพเคยเปนอะไรมาฮะ?’

แพตรีอ้ําอึ้งคลายจะปลอยใหเขาเลิกสนใจไปเองถาเงียบนานหนอย แตพอเขาถามซ้ําก็เอยคลายจําใจ

‘ก็เปนคนอยางนี้แหละ’

‘แลวผมเคยเปนอะไรมากอนฮะ?’

‘ไมรูสิจะ พี่รูเฉพาะเรื่องของตัวเอง เรื่องของมติไมรูหรอก’

หลอนตอบยิ้มๆ

‘แลวพี่แพจําไดยังไงฮะ ทําแบบพระเหรอ?’

‘เปลา’

‘แลวทําไงฮะ?’

‘ก็…’ เด็กหญิงพยายามคิดเพื่ออธิบาย ‘อยูๆก็นึกขึ้นมาไดนะ วันหนึ่งมองพระพุทธรูปแลวเหมือน…นึก


ไดวาเมื่อวานพี่เปนอะไรมากอน คลายมติตื่นแลวจําไดวากอนนอนทําอะไรบางนะ’

มติเอียงคอทําปากยื่น

‘แลวทําไมผมมองพระพุทธรูปไมเห็นนึกไดมั่งละฮะ?’

แพตรีหัวเราะนิดหนึ่ง

‘พี่นึกไดเพราะแรงอธิษฐานนะ คนอื่นไมเปนอยางพี่หรอก’

หลอนใชศัพทแปลกหูสําหรับเขาในวัยสิบขวบ คําสนทนาถัดจากนั้นเลือนๆไป มติพยายามซักถามซอก


แซกมากมาย แตดูเหมือนถูกปดกั้นใหยุติการรับรูแควาหลอนเคยเปนคนเหมือนชาตินี้เทานั้น
๑๕๖

นานตอมาพักหนึ่งจนโตขึ้นหนอย วันหนึ่งไปชวยแพตรีขนของยายหอง เมื่อจัดจนเกือบเสร็จเขาพบลัง


หนังสือเกาของหลอนก็ลงนั่งรื้อๆหาเรื่องนาสนใจอาน ซึ่งก็พบอยูหลายเลมจึงยืมกลับบาน แพตรีกําลัง
เหนื่อยก็พยักหนาตกลงโดยไมทันสังเกตวาเขาหยิบเลมไหนไปบาง

ใสถุงถือกลับมาจนถึงบานแลวนั่นแหละ มติจึงพบวาระหวางหนังสือตางๆเปนสมุดไดอารี่เลมหนาของพี่
สาว…

จากเลขปบนปกสมุดทําใหทราบวาเปนเรื่องบันทึกที่ผานมาหลายปแลว ความสนิทบวกกับความที่คิดวา
เปนเรื่องเกานานนมทําใหมติถือวิสาสะเปดอานประสาวัยอยากรูอยากเห็น

แพตรีเปนเด็กผูหญิงที่ชางสังเกต ชางคิด ชางเขียน เรื่องราวในชีวิตประจําวันถูกบันทึกไวอยางกระชับ


คลายสรุปวาไดรับอะไรจากแตละวันบาง หลอนขยันเขียนราวกับเปนหนาที่หลัก อยางมากก็ขาดหายไป
สาม-สี่วัน สวนใหญจะตอเนื่องไมเวนเลยนับอาทิตย มตินั่งอานดวยความเพลิดเพลิน ในความเรียบงาย
แพตรีมีความคิดอานหลักแหลม รอยเรียงคําพูดไดชวนอาน และมักทิ้งทายเปนบรรทัดสรุปของแตละวัน
ไวนาคิด ชวนฉงน

ความชวนอานในภาษาของหลอนนั่นเองที่ทําใหมติอานเรื่อยทุกหนา ทุกคํา จนกระทั่งพบวาหลายหนา


ในสมุดเลมนั้น ทําใหคนอานใจเตนแรงได…

มติชอบไดอารี่เลมนั้นมาก ถึงขนาดคิดครอบครองไวเสียเอง เขาแกลงถามแพตรีวาตอนขนของยายหอง


มีอะไรสูญหายไปบางหรือเปลา หลอนนิ่งทบทวนเปนนานกวาจะบอกวาเปลา เห็นอยางนั้นก็รูวาแพตรีมิ
ไดระลึกถึงหรืออยากใชสมุดบันทึกในอดีตอีกตอไป มติรวบรัดวาถาอยางนั้นขอหนังสือทุกเลมที่ยืม
หลอนมาไวเลยไดไหม เพราะเขาชอบมากและอยากอานทบทวนอีกในอนาคต แพตรีทําหนาสงสัยนิด
เดียวกอนตอบตกลงอยางงายดาย

นั่นทําใหเขาเปนเจาของไดอารี่อยางสมบูรณ และสามารถนําติดเปมาดวยในวันนี้…

เมื่อทานอาหารเชาเรียบรอย มติเขากระโจมรื้อเป ดึงสมุดสวนตัวของแพตรีมาพลิกเปดไปยังหนาที่จําได


เจนใจ

ในที่สุดฉันก็ไดพบเขา ตอนเปดประตูรับเขากับคุณพอ ฉันดีใจจนเกือบรองไห เห็น


แคแวบแรกก็รูวาใชเขาแน

แตเขามองฉันแลวเฉย มองแลวเมินเหมือนเห็นนกกา ฉันเสียใจและรูสึกกลัว…ถา


เขาเปนแคคนธรรมดาที่จําอะไรไมได ก็แปลวาที่ถือฤกษเกิดตามแรงบุญรวมกันคือ
สูญเปลา ชาตินี้คงถูกทิ้งใหอยูตามลําพัง ทั้งที่เกิดมาก็เพื่อเขาคนเดียว
๑๕๗

ตลอดเวลาที่นั่งบนเรือน เขาเอาแตนั่งทําหนาเบื่อ ฟงปูคุยกับคุณพออยางเสียไมได


ฉันรูสึกกระวนกระวาย พยายามวนไปเวียนมา หาน้ําหาขนมใหทุกคน และพยายาม
สบตากับเขา แตเขาไมมองฉันเลย เหมือนใจกําลังหมกมุนกับเรื่องในใจบางอยาง
ตลอดเวลา

เขากลับไป…ไมแมแตชายตาดูกัน ฉันอยากเขาไปคร่ําครวญตัดพอ อยากทวงถาม


หลายสิ่ง แตจะเอาความกลามาจากไหน ทําไม…

ขอความประจําวันขาดหายไปเพียงเทานั้น เดาวาแพตรีคงเขียนตอไมไหว เพราะรองไหออกมาเสียกอน


ความจริงหลอนอาจรองมาตั้งแตตน เพียงแตเมื่อถึงจุดที่ขาดหาย ก็คงมือไมออนจนยากจะเขียนอะไรตอ
ไดอีก

มติรูสึกสงสารพี่สาวจับใจ หลายปกอนเคยอานหนานี้ดวยความฉงนฉงาย จับตนชนปลายไมติด แต ณ


เวลาปจจุบันเริ่มเดาถูกแลววาอะไรเปนอะไร

ถัดจากบันทึกวันนั้น มีแตถอยคําอันแสดงถึงจิตใจที่เวียนวายวกวนอยูกับชายที่ดูเหมือนหลอนรอคอยมา
ตั้งแตเกิด…หรือทาทางจะตั้งแตกอนเกิด จนเดี๋ยวนี้มติก็ยังมึนงงเหมือนกึ่งฝนกึ่งจริง แนนอนหลอน
บันทึกไวเปนความลับสุดยอด มิไดมีเจตนาใหมือที่สองมาอานหรือคิดเชื่อตาม ซึ่งนั่นแหละทําใหเขาขน
ลุก หลอนอยูอีกโลกที่เขาไมรูจัก โลกของความรักขามภพขามชาติ โลกที่ทําใหชีวิตจริงเห็นไดดวยตา
เปลาของคนทั่วไปถูกแยกเปนอีกระนาบ

บางวันแพตรีพร่ําพรรณนาถึงเรื่องในอดีตที่จับความยาก เพราะหลอนเขียนแบบอานรูอยูคนเดียว แต


บางวันก็ขยายความชัด โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อปูชนะเลาที่มาของหลอนใหรับรู แพตรีเขียนแบบระลึก
ความหลังคลายไมอยากใสใจกับเรื่องราวในปจจุบันอีกตอไป

ปูทราบวาแพตรีจําอดีตของตัวเองไดตั้งแตยางหกขวบ และหลอนก็เหมือนเด็กระลึกชาติไดทั่วไปที่มี
ความขัดแยงในตนเอง แมผิวนอกเปนเด็ก แตเนื้อในมีความเปนผูใหญเกินวัย เนื่องจากความหมายจํา
เกาๆยังตกคาง และไมอาจกลืนกันสนิทกับอัตภาพใหมที่ยังคงออนเยาวเอามาก

เมื่อหลอนถามถึงความเปนมาของตนเองละเอียดกวาความรูผิวๆเชนพอแม ญาติพี่นองที่แทจริงเปนใคร
ปูจึงเลาตามจริงวายอนไปกอนหนาหลอนเกิดประมาณหาปเศษ ขณะปูทําสมาธิทรงตัวไดที่อยูในหอง
พระบนบาน ทานเกิดนิมิตเห็นวิญญาณชั้นสูงปรากฏขึ้นอยางแจมชัด ในนิมิตทานไมรูสึกกลัว ตรงขาม
มีความคุนเคยสนิทสนมเหมือนไดพบญาติที่หางหายกันไปนานจนเลือนหนาเลือนตา ปูดีใจอยูลึกๆที่พบ
กัน
๑๕๘

วิญญาณนั้นมีนิวาสสถานอยูบนพรหมภูมิ แนะนําตัววาเคยเปนนองชายของทานมากอน และเคยรวม


ทุกขรวมสุขกันหลายภพหลายสมัย เวลานั้นกําลังจะกําหนดจิตลงมาเกิดเปนมนุษยเพื่อบําเพ็ญบารมีตอ
โดยจะมีฐานะเปนหลานปู ระบุชื่อที่จะถูกตั้งไวเสร็จสรรพ เพื่อรอการพิสูจนวานิมิตนั้นมิใชอุปาทานลวง
อันเกิดแตสมาธิจิตปรุงแตงหลอกทานแตอยางใด

ธุระที่มาปรากฏในนิมิตไมใชเพื่อบอกเกาเลาสิบวาจะมาเกิด แตมาเพราะเปนกังวลเกี่ยวกับใครคนหนึ่งที่
จะตามมาเกิดดวยอํานาจแรงอธิษฐานรวมกัน ใครคนนั้นจะเกิดเปนหญิง และดวยกรรมบางอยางหลอน
จะกําพราพอแมตั้งแตยังไมรูความ

วิญญาณนั้นกลาววาหลอนพอมีวาสนา เคยเกื้อกูลกับปูมากอน เมื่อพบกันจะเกิดความ เมตตาเอ็นดู เต็ม


ใจชวยเหลืออุมชูทันที จะไมลังเลตะขิดตะขวงหรือลําบากใจอยางใดเลย

สุดทายวิญญาณในนิมิตสมาธิระบุวาแดนเกิดของหลอนคือสองสามีภรรยาที่ปูรูจักอยูแลว ขอเพียงไป
เยี่ยมเยียนใหตรงเวลาเทานั้น

ปูมีความแคลงใจเปนอันมาก ทานถูกสอนไมใหเชื่อนิมิตสมาธิประเภทจูๆก็เกิดขึ้นเอง จะชัดเจนแนใจ


ขนาดไหน ถูกอุปถัมภดวยกําลังฌานสูงสงเพียงไรก็ตาม ตราบใดที่ยังรูตัววามีกิเลส ก็ตองรูความจริงวา
จิตมันสรางเรื่องหลอกตัวเองไดสารพัดพิสดาร ยิ่งสมาธิดีเพียงใด ก็ยิ่งกอภาพลวงไดสนิทแนบเนียน
เพียงนั้น ทางที่ปลอดภัยคือใหทําใจเปนกลางลูกเดียว รอการพิสูจนเสียกอน แลวคอยรับวาจริงหรือเท็จ
หากทึกทักปกใจวาจริงเสียแตตนมือ แลวปรากฏในภายหลังวาผิดพลาด กําลังใจจะฝอ เกิดผลเสียกับ
การปฏิบัติภาวนาเปลาๆ

วันคืนผานเรื่อยไปตามจังหวะและลีลาเดิม ปูรอฟงขาวการตั้งทองของลูกสาว ลูกสะใภทุกคน และตั้งใจ


กับตนเองเปนมั่นเหมาะวาจะไมถามนํา ไมกาวกายกับชื่อเสียงเรียงนามของเด็กที่จะเกิด ปลอยใหผูเปน
พอแมตั้งกันเอาเองตามชอบ เพื่อพิสูจนเทียบวาวิญญาณในนิมิตบอกไวตรงจริงเพียงใด

แลววันหนึ่ง ปูก็ไดรูวาเขามาเกิดจริง...

เมื่อตระหนักวานิมิตสมาธิครั้งนั้นมิใชของหลอก สิ่งที่เกิดขึ้นในใจก็คือความสุขอยางประหลาดกับการรอ
คอยหลานสาวคนใหม

ปูชนะเดินทางไปเยี่ยมคนรูจักทางเหนือตามกําหนดเวลาซึ่งจดไวเปนมั่นเหมาะ เพื่อพบวาคนรูจักที่วา
นั้นตายเสียแลวกอนหนาปูไปถึง ทั้งคูสามีภรรยาออกจากบานขึ้นรถโดยสารที่วิ่งไปเทกระจาดกลางถนน
คนตายกันเกือบหมดคันรถ

แมหนูนอยผูมีอายุเกือบครบขวบจึงกลายเปนเด็กกําพรา รออยูวาญาติฝายสามีหรือภรรยาที่จะยื่นมือมา
รับ ยังดีหนอยระหวางนั้นคนใชเกาแกผูซื่อสัตยคอยประคบประหงมเลี้ยงดูไปพลางๆ
๑๕๙

การเจรจาขอรับเด็กมาเลี้ยงเองเปนเรื่องงายยิ่งกวางาย แคพูดสองสามคํา พยักพเยิด ขอความยินยอม


เปนลายลักษณอักษรกับบางคนที่ถูกอุปโลกนเปนผูปกครองเทานั้นก็เรียบรอย ปูไดหลานสาวคนใหม
กลับบานดวยหัวใจที่ชื่นบาน มาถึงก็เปลี่ยนชื่อและสกุลหลอน กับใหลูกชายคนโตจดทะเบียนรับเปนลูก
บุญธรรม จากนั้นก็นํามาเลี้ยงดูเองเหมือนหลานแทๆคนหนึ่ง

ในไดอารี่ชวงนี้แพตรีบรรยายความรูสึกของตนเองวาสํานึกบุญคุณของปูเพียงใด หลอนพยายามอยูอยาง
เจียมตัวเจียมตน ทํางานทุกอยางในบานเหมือนเด็กรับใชคนหนึ่ง และแมปูหยิบยื่นขาวของมีราคาใหก็
ปฏิเสธทั้งหมด ซึ่งนั่นเปนสิ่งที่มติเปนพยานเห็นจริงมาตลอด

พรอมกันแพตรีก็กลาวถึงบุญคุณของวิญญาณในสมาธิจิตของปูเปนทํานองที่วาถาปราศจาก ‘เขา’ ปานนี้


หลอนคงถูกจับหักแขนหักขามาแตเด็กเพื่อเอาไปนั่งขอทานตามสะพานลอย มติอานดวยความขันและ
คิดวาแพตรีคงประชดประเทียดแบบกึ่งรักกึ่งแคนมากกวาดวยความสํานึกลึกซึ้งลวนๆ

ถึงอีกหนาหนึ่งของไดอารี่ซึ่งหางกันหลายเดือนจากวันแรกที่ ‘หลานปู’ ปรากฏโฉมใหเห็น เขาคนนั้น


กลับมาเยี่ยมปูพรอมพอเปนรอบสอง

ในบันทึกหนานั้น แพตรีเริ่มตนดวยความเศราสรอยเชนเคย ชนิดที่มติทราบตั้งแตบรรทัดแรกวาเกิด


อะไรขึ้นบาง

เขากลับมาอีกแลว ตอนเห็นหนากัน ฉันนึกขึ้นไดวาสภาพของตัวเองคือเด็กรับใช


มอมแมมที่เพิ่งออกมาจากหองครัว เห็นเขาพยายามหลีกหางๆฉันเวลาเดินผาน
ประตูเขามาแลว นึกนอยใจจนอยากฆาตัวตายเสียเดี๋ยวนั้น

ฉันเพิ่งรูวาเหงาจนรองไหอยูขางในนั้นเปนอยางไร เขาไมเหลียวแลฉันเลย การ


พยายามพูดจาทักทาย สงยิ้มให คงทําใหเขารําคาญมากกวาจะคิดหันมาสบตากัน
บาง วิธีที่เขามองแลวเมินผานมันบอกใหรูได ไมตองแปลเลย

ฉันพยายามทุกอยางที่จะเห็นหนาเขาใหนานที่สุด เมื่อขึ้นเรือน ฉันไมไปไหน นั่งบีบ


นวดปูอยูตรงนั้นทั้งที่รูวาไมเหมาะเทาไหร

แตจะเอาประโยชนอะไรได เขาหันมาบางเหมือนกัน แตมองอากาศวางเปลาขาง


หลังฉันมากกวา ฉันสังเกตสายตาของเขาอยูทุกขณะ จึงรูวาเขาไมเคยมองมาที่ฉัน
เลยแมแตครั้งเดียว ฉันคงเปนแคเด็กแกแดดที่หนาดานรอสบตากับเขาอยูฝายเดียว
กระมัง
๑๖๐

ฉันไดยินคุณพอของเขาคุยใหปูฟงถึงความเกงกลาสามารถ สอบเขามหาวิทยาลัย
คณะดีๆไดตั้งแตอายุสิบหก กําลังจะจบตรีอีกไมนาน วางแผนจะสงไปเรียนตอโท
และทํางานที่เมืองนอกระยะหนึ่ง ฉันใจหาย ความรูสึกบอกวาอาจไมไดเห็นเขาอีก
แลว

เมื่อออกมาสงเขากับคุณพอกลับ ฉันตั้งใจไหวเขาสวยที่สุด เขาจะเห็นหรือเปลาก็ไม


รู แตพรอมกับไหวครั้งนั้น คือการคิดตัดใจ ทุกอยางที่ผานมาขอใหเหมือนฝนไป นับ
แตชาตินี้ขอใหตางคนตางแยกกันไปตามทางของตัวเอง เคยอธิษฐานรวมกันแตมี
คนเดียวไดรับผลอธิษฐาน จะหมายความวาอยางไร ถาไมใชเพราะมีคนเดียวที่ทํา
ไปดวยใจจริง

ฉันแอบมานั่งคนเดียวที่หลังบาน คิดตั้งใจเลิกรองไห เพราะตัดใจขาดกันไปแลว แต


ระหวางขมสะอื้น ปูก็เดินเขามาลูบหัว ฉันรูสึกเหมือนมีน้ําเย็นที่สุดรดลงมาจาก
สวรรค ปูบอกสั้นๆวายังไมถึงเวลานะ…

ฉันรูวาปูหมายถึงอะไร แตไมใสใจอีกแลว เหมือนฉันขามสะพานภพชาติมาคนเดียว


ทุกคนสูญหายอยูขางหลังไปหมด ฉันรูสึกเหมือนนักทองเที่ยวที่หลงทาง และรูสึก
กลัวการเกิดตายตามลําพัง ไมมีใครประคองคูกันไปไดตลอด ถึงจะเคยอยูรวมกัน
อยางปรองดอง รักใครแนนแฟนขนาดไหนก็ตาม ถายังคิดเสี่ยงเดินทางตอไปกับ
เขา ชีวิตหนาฉันจะตองเจออะไรยิ่งกวานี้อีก?

พอกันที ภพชาติคือการหลงลืมและการสิ้นสูญ คนที่จําไดคือผูทรมานกับความยึด


ติด คนที่ลืมหมดก็นาสงสารกับความลังเลสงสัยสารพัด

ฉันจะเลิกคิดถึงเขาใหเด็ดขาด ไมใชอยางหญิงที่ผิดหวังและเลิกรักชายคนหนึ่ง แต


อยางเวไนยสัตวที่หมดอาลัย เลิกหลงเดินคูกับคนแปลกหนาไปบนทางของความไม
รูอยางไรจุดหมายปลายทาง…

บันทึกในไดอารี่ถัดจากนั้นจนสิ้นปบอกใหทราบวาใจแพตรีเด็ดเดี่ยวเพียงไร หลอนไมเอยถึงหลานปูอีก
เลยแมแตคําเดียว ซึ่งสะทอนใหเห็นวาหลอนตัดใจ…หรืออยางนอยพยายามตัดใจจากเขาคนนั้นไดเด็ด
ขาดจริงๆ

ระบายลมหายใจยาว ทบทวนความเปนแพตรีจากประสบการณของตนเอง วัยเด็กหลอนดูขรึม ทาทาง


เหมือนติดวัด ตามปูชนะตอยๆไปทุกงานบุญ แตมติรูสึกวาเปนความขรึมชนิดอมทุกข คลายใจหลอนอยู
๑๖๑

อีกที่หนึ่งหางออกไปเกือบตลอดเวลา แมพูดไดคลายผูใหญ อางธรรมะ อางคําสอนหลวงตาแขวนเพื่อแก


ความขัดของสารพันใหคนอื่นและตนเอง ก็ยังเหมือนติดอยูกับพันธนาการบางอยางที่ลึกลับ ซอนเรน ไม
ปริปากบอกใคร

ตอเมื่อเจริญวัยขึ้นมา และมติประมาณเอาวาคงหลังวันเวลาตามบันทึกในไดอารี่เลมนี้เอง ที่หลอนกลับ


กลายเปนอีกคน สดใสและเฉิดฉายอาภา ความขรึมเศราถูกแปรเปนความออนโยนทรงชีวิตชีวา เต็มไป
ดวยความสุขที่สามารถกระจายแบงใหคนรอบตัวไดราวกับฝนทิพย

ความเปนแพตรีในชวงหลังคือแรงบันดาลใจหลายๆอยางสําหรับเขา ความสนใจศิลปะที่มีอยูแลวเปนทุน
ถูกเรงเราทวีตัวขึ้นจริงจัง เมื่อขอรองหลอนชวยนั่งเปนแบบวาดใหเปนครั้งแรกนั้น จําไดวาทุมเทความ
ตั้งใจมากที่สุด ความงามของหลอนเปนสิ่งวาดยาก ใชแตรูจักบรรจงจัดสัดสวน ปนแตงรูปทรงใหเกิดมิติ
แลวจะเหมือนไดโดยงาย ทวายังตองเขาใจอยางลึกซึ้งเกี่ยวกับการผสมสีเพื่อใหเกิดความเรืองรองบาง
ชนิดที่แปลกตาแตเห็นไดจริงจากหลอน

ความพยายามถายทอดสิ่งที่อยูในแพตรีออกมาเปนภาพใหไดนั้นเอง เหนี่ยวนํามติเขาสูวิถีทางของ
หลอนไปดวย เขาฝกที่จะดํารงตนทามกลางความวุนวายดวยใจสูงอันเปนธาตุเดิมของมนุษย ฝกตั้ง
สมาธิจดจอกับงาน จดจอกับลมเขาออก จนยกจิตขึ้นเหนือระดับความคิดสามัญได กับทั้งฝกที่จะมอง
สรรพสิ่งดวยดวงตาเพงมองใหเห็นธรรมเยี่ยงโยคาวจรผูแสวงทางหลุดพน

สมาธิและแรงบันดาลใจอยางเอกอุในการมองใหเห็นความงาม สงฝมือเชิงศิลปอันบมเพาะมาแตเล็ก
กระโจนตัวขึ้นถึงสุดโตง เมื่อตา มือ และใจผนึกรวมผสมตัวทํางานประสานกันเปนหนึ่งเดียว ถึงขั้นใชมือ
ลากดินสอไดดังใจ หยั่งรูที่จะเลือกผสมและลงสีไดตรงจริงยิ่งกวารูปถาย มติตระหนักวาหากสามารถ
สรางเสนและสีไดเหมือนกับที่เห็น ก็จะสามารถจําลองโลกมาไวบนแผนภาพไดทั้งหมด

หากไมใกลชิดกับแพตรี แมอยูใกลวัด ใกลพระ มติก็คิดวาตนคงเปนแคชาวบานธรรมดาคนหนึ่ง รูอรรถรู


ธรรมแคพอสวดมนตและใสบาตรเปนเทานั้น

แพตรีจึงเปนศูนยรวมความคิดอานเกือบทั้งหมด แมในยามที่ปลีกตัวออกมาดวยความตั้งใจหางหลอน
เชนนี้

เดาวาหลอนเลิกเขียนไดอารี่ เลิกบันทึกชีวิตประจําวันไปแลว แตก็นึกอยากรูวาถายังเขียน…ขอความ


พักหลังจะเปนอยางไร

เหน็ดหนายเนือยนายขึ้นมาจุกอก จูๆก็ถามตนเองขึ้นมาวาวันหนึ่งหากแพตรีหายไปเพื่อสรางบานสราง
เรือนกับใครสักคน เขาจะมีวันคืนที่แปลกเปลี่ยนไปขนาดไหน…
๑๖๒

แวบนึกถึงหลวงตาแขวนขึ้นมา พักหลังๆมติมักไดยินทานเปรยทามกลางญาติโยมพลางปรายตามายัง
เขาเสมอ เปนทํานองวา

"พระพุทธเจาสนับสนุนและสรรเสริญผูบวชตั้งแตยังหนุมแนน เพราะวัยนี้มีกําลังวังชาเยอะ สติปญญายัง


แจมใส ปฏิบัติธรรมก็อึดทน ถาปลุกความคะนองในธรรมใหเกิดขึ้นมาไดละก็ไปไมหยุดฉุดไมอยู มีเวลา
เรียนรู ซึมซับ แกผิดใหเปนถูก และทําถูกทําดีใหแกกลาถมเถ ตางกับตอนอายุมากขึ้น เริ่มงุมงาม สติ
ปญญาพราเลือน กําลังวังชาถดถอย จะร่ําเรียนหรือปฏิบัติอะไรก็ใหติดขัดสภาพสังขาร ถาผิดก็ไมคอยมี
เวลาแก ถาถูกก็ไมคอยมีเวลาบมใหเขมขน คาดหวังเอาดีอะไรไหวละถาจะบวชกันตอนแก..."

แลวทานก็ยกตัวอยางตัวทานเอง โชคดีมีสติบวชเสียตั้งแตยังอยูในวัยปราดเปรียว เห็นชัดถึงความได


เปรียบระหวางวัย วัยหนุมเปนวัยที่ทําอะไรไดมาก อยากเรียนอะไรก็เรียนได อยากปฏิบัติแบบเขมขนก็
ไมเหลือวิสัย ความเด็ดเดี่ยว ความแข็งขันมันจุไดเต็มอัตรา ทุกวันนี้ไดดีอยูตัวก็ผลบุญเกาจากสมัยเมื่อ
ยังหนุมทั้งนั้น ลําพังอัตภาพยามชราจะใหขวนขวายอะไรเพิ่มนะลาเสียแลว

ทานใหดูแขนขาที่ลีบและเนื้อหนังที่เหี่ยวแหงแฟบฟุบของทาน แลวใหนึกจินตนาการเอาวาถาใครมีราง
กายแฟบๆแบบนี้ ขยับทีเมื่อยขบออนแรงไปหมด ถามหนอยวาใจมันจะคึกอยากปฏิบัติใหเหนียวๆไหม
แลวถาไมปฏิบัติแบบเหนียวๆ จะใหเอาดี ไดสมาธิ-วิปสสนาญาณ โสฬสญาณอะไรไหว?

มติเกิดความเห็นจริงตามทานวา ถาจะไปใหถึงที่สุดตองเริ่มตั้งแตยังหนุมแนน ไมใชไปเริ่มตอนแก

แลวเด็กหนุมก็นั่งมองหวงฟาวาง โลกเงียบและกวางใหญ มีเขานั่งอยูในโลกนี้อยางเดียวดาย เลื่อนลอย


ปราศจากจุดหมาย ปราศจากความหวัง และนึกสงสัยวาถานุงเหลืองหมเหลืองเพื่อแปรอิสรภาพไร
ขอบเขตเปนหนาที่อยางถาวร

จะไหวไหม?
๑๖๓

มีความเชื่อมั่นและสัญญาแหงความสมหวังในกระแสกุศลจิต เกาทัณฑยิ้มเบิกบานเมื่อลงจากรถและเดิน
ตรงไปยังกุฏิเจาอาวาส ดวยจิตใจที่หนักแนนเต็มอิ่มถึงที่สุดเยี่ยงนี้ ชายหนุมบอกตนเองวาหากลงมือทํา
สมาธิ จะตองประสพความสําเร็จแนนอน เขาปราศจากความกังวลอยางสิ้นเชิง

ในมือถือดอกไมและธูปเทียนที่เตรียมมาถวายพระอาจารยตามความปรารถนาที่จะบูชาทานจากใจ มิได
นํามาเพราะเห็นวาเปนธรรมเนียมประเพณีพิธีการใดๆทั้งสิ้น

ขึ้นมาถึงชานกุฏิไมพบทานนั่งอยู ก็นึกเงียบๆวาทานอาจไปทํากิจสงฆ หรืออาจไปเดินเลนแถวนี้ บนกุฏิ


และละแวกขางเคียงวางวาย ปราศจากพระเณรและญาติโยมแมสักคน เกาทัณฑตั้งใจจะนั่งกําหนดสติดู
ลมแบบลืมตา รอพระอาจารยไปเรื่อยๆตรงนั้นเอง

"เขามานี่"

เสียงหลวงตาแขวนดังออกมาจากหองของทาน ทําเอาเกาทัณฑผงะหนอยหนึ่ง

"ขาไมชอบเดินเลน ถาเดินก็เดินจงกรมหรอกนะ"

ชายหนุมไดยินชัดเต็มสองหูดวยความสะดุงใจ เพิ่งในบัดนั้นเองที่ประจักษวาความคิดเปนสิ่งกระจาย
ออกนอกหัวและถูกลวงรูไดราวกับพูดจากปาก นั่นเปนประสบการณครั้งแรก และทําใหบังเกิดความยั่น
ระยอครามเกรงผูเปนอาจารยยิ่งกวาเดิมเปนทวีคูณ

ที่แททานรออยูในหอง รูวาเปนเขาทั้งมีประตูหับปดบังตามิดชิด แถมหยั่งรูลึกเขาไปอีกชั้นวาเขานํา


ความคิดใดติดตัวมาดวย ชักนึกกระดากและบังเกิดความละอาย นี่แปลวาความคิดเหลวแหลกทั้งหลายที่
มีตอทานในวันแรกไดแบออกมาหมดจดโจงแจงเรียบรอย ตอไปนี้คงตองสํารวมระวังทั้งกิริยาและความ
คิดกันแจเมื่ออยูตอหนาทาน

เปดประตูเขาไปดวยทาทีของศิษยผูมีความสงางามองอาจ แตขางในประหมาและประหวั่นจนเกือบเปน
เกร็ง ทรุดกายลงคลานเขานําดอกไมไปถวาย กราบสามหน แลวนั่งนิ่งเงียบรอการปราศรัยจากทานกอน

"เปนไง?"
๑๖๔

ทานถามรวมๆ เกาทัณฑคิดนิดหนึ่งกอนตอบอยางสุภาพ

"ปฏิบัติพอเห็นผลบางครับ แตยังไมแนนอน ควบคุมไมได"

หลวงตาแขวนหัวเราะหึๆ

"เอ็งมันเด็กเมือง ทําไดแคนี้นับวาแปลกแลว"

เกาทัณฑยิ้มออกมาอยางเปนปลื้ม ดูทีทานคงรูเปนแนวาเขาทําไดแคไหน

"ทรงสมาธิระดับนี้ ถือวาเริ่มมีคุณวิเศษกวามนุษยทั่วไปนิดๆหนอยๆ คาที่ประจักษรสชาติสุขเวทนาอัน


เปนทิพย ไมเปนสาธารณะแกสัตวโลก แลวก็เปนจิตที่สามารถใชชําแรกกําแพงกั้นมิติหยาบกับละเอียด
ไดดวย ถาจะรูเห็นอะไรที่ตาหยาบหูหยาบมันทําไมไดก็ไมถือเปนเรื่องเกินตัวเทาไหร...เพราะฉะนั้นขา
จะทําตามที่สัญญา เอ็งจะเห็นอดีตชาติของตัวเอง"

ชายหนุมพนมมือกราบขอบพระคุณครั้งหนึ่งดวยทีทาปกติ ทวาขางในลิงโลดยินดีเปนลนพน

“ดูนี่แลวคิดดีๆนะ…” ทานยื่นแขนอันเหี่ยวยนลีบเล็กออกมาขางหนานิดหนึ่ง “นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสรางใช


ไหม?”

เกาทัณฑเพงตามองอยางตั้งใจใครครวญ ความยับของเนื้อหนังที่ดูคลายกระดาษยน พรอมจะยุยขาด


ดวยตนเองนั้น บันดาลความสลดแกเขาวูบหนึ่ง เมื่อทบทวนคําถามทาน นั่นใชสิ่งที่ธรรมชาติสรางหรือ
เปลา พลันก็ตาสวางเหมือนมีแสงวาบขึ้นมาตรงหนาผาก

“ไมใชสิ่งที่ธรรมชาติสรางครับ…” เขาพนมมือตอบ “นี่แหละคือตัวของธรรมชาติ!”

นึกตอในใจวากายอันเกิด แก เจ็บ และจะตายลงทั้งหลายนี่เอง คือเนื้อแทธาตุธรรมโดยตัวเอง ถายังนึก


วามีฝงผูสราง แมสรรคําวา ‘ธรรมชาติ’ มาเปนประธาน ก็หลอกจิตใหเห็นบิดเบือนไปเปนทิศตรงขามได
อยูดี

“อือม…” หลวงตาครางรับ “ภพชาติแสดงตัวดวยความเปนกายนี้ กายนี้ถูกปรุงแตงเปนความหยาบหรือ


ประณีตดวยวิธีคิด วิธีพูด และวิธีกระทําที่เกิดเปนนิจศีลในอดีต ทุกคนถือกําเนิดในสภาพแวดลอมที่
เหมาะกับกรรมของตัวเอง เปนฐานที่ตั้งใหกอกรรมดีรายเพื่อบันดาลอัตภาพหนา ตอเนื่องไปเรื่อยๆ ทั้ง
หมดรวมกันนั่นแหละคือสังสารวัฏ การยอนดูอดีตก็แคการนึกใหออกวาเราเคยครองกายแบบไหน มีหลัก
แหลงที่อยูสมตัวอยางไรในกาลกอน

ทางพุทธถือวาเปนประโยชนถาการเห็นนั้นประกอบดวยปญญา เหนื่อยหนายกับการเกิดตาย เปลี่ยน


เพศ เปลี่ยนฐานะไปเรื่อยๆไรที่สิ้นสุด แตทางกลับกันอาจเปนขอเสีย ถาการเห็นนั้นประกอบดวยโมหะ
๑๖๕

ลําพองจองหองวาเคยเปนใหญ หรือหดหูหอเหี่ยววาเคยต่ําตอย ฝงใจยึดวาตัวเองเปนอยางนั้น แมชาติ


ปจจุบันเปนอะไรก็แทบจะลืมไป”

เมื่อทานหยุด เกาทัณฑก็พนมมือรับวา

“ครับ”

“จิตที่อยูขางในก็เปนสวนหนึ่งของภพชาติ ภาวะจําชั่วครู และภาวะลืมเปนชวงๆ ก็คือธรรมชาติโดยตัว


เอง มีลิขิตของตัวเองเหมือนกัน ดังนั้นอยูเฉยๆจะใหเกิดสิ่งที่ฝนลิขิตเดิมของธรรมชาติ เชนเนรมิตให
ระลึกอดีตความเปนมากอนภพนี้นะ ไมใชเรื่องที่ถูก”

เกาทัณฑพยักหนารับทราบ เมมปากเปนเสนตรงอยางพรอมรับฟงทุกสิ่ง

"โดยความสามารถของเอ็งเดี๋ยวนี้ เอ็งยังไมมีสิทธิ์ฝนธรรมชาติ รูตัวไวดวย อํานาจจิตของเอ็งยังเอาชนะ


ธรรมชาติขอที่วาดวยการลืมเลือนภพชาติไมได แตเผอิญดวยนิสัยที่ขาเคยใหเอ็งมา ขาพอจะละเมิดขอ
หาม ชวยสงเคราะหเอ็งเพื่อประโยชนบางอยางในอนาคต"

เกาทัณฑไวพอจะคิดรูวาควรเอยคําใดออกไป

"ครับ ผมจะสํานึกสังวรณไวตลอดเวลา วาตัวเองยังอยูในอํานาจลิขิตของธรรมชาติ ทุกอยางเปนไปดวย


ความอนุเคราะหจากหลวงตามาแตเริ่ม"

"ดี...จริงๆแลวจะระลึกชาติอยางชนิดถูกกฎนะ เอ็งตองมีมหากําลังระดับฌานมาหนุน ตองฝกกสิณภาพ


ใหคลองจนจิตทําตัวเปนจอรับนิมิตแหงการระลึกไดดี จากนั้นจึงใชจิตในภาวะอุปจาระมานึกถึงเหตุ
การณที่ผานมา จากเมื่อครู คอยๆถอยยอนไกลกลับไปเรื่อยๆ ตัวรูชัดจากกําลังสมาธิจะชวยยืนยันวาสิ่ง
ที่นึกไดนั้นเปนความจริง ไมใชของหลอก”

ชายหนุมพยักหนารับอีก เขาพอจะเคยอานหลักการเหลานี้มาบางแลว รวมทั้งเคยลองทําแบบแหยหยั่งดู


วาบๆวับๆดวย เพื่อพบวาเปนเรื่องยากเหมือนพยายามมองใหเห็นสิ่งตางๆขณะลืมตาในน้ํา โดยเฉพาะ
เมื่อคิดขามขั้นระลึกถึงเหตุการณชวงวัยเด็ก

จากประสบการณ เกาทัณฑตระหนักวาเพื่อสมาธิจิตไปใชงานนั้น ตองมีกําลังอันเปนฐานใหญมาตั้งจิตให


คงที่ หากยังปราศจากกําลังค้ําจุนอยางเหลือเฟอแลว ลําพังจะทรงสภาวะอยูนานๆก็ยากเต็มที อยาวาแต
จะเอาไปใชงานตามปรารถนาได

การบรรลุจิตถึงขั้นไดฌานสมาบัติเสียกอนจึงจําเปนยิ่งดวยประการฉะนี้

"เขาสมาธิเสีย พอไดที่หนอยขาจะคุมใหเอ็งเห็นสมใจ"
๑๖๖

ชายหนุมจัดองคนั่งใหไดฐานสติอันควร ความคิดในหัวสงัดเงียบลงทันทีเพียงเมื่อแรกขยายหนาทองสง
แรงฉุดลมหายใจเขาสายแรก แลวกําหนดสติรูลมหายใจออก

ภาพสายลมปรากฏชัดฉับพลันในภายใน และดวยอาการของจิตที่หยุดนิ่งล็อกอารมณไดถูกสวนนั้น เมื่อ


รวมกับความฉ่ําชื่นเยือกเย็นดวยพื้นกุศลจิตที่สั่งสมมานับแตลืมตาตื่น ก็ชวยกอใหเกิดความสวางผุด
โพลงจากภายใน จิตเบา เปดแผออกกินรัศมีกวางไกล นับเปนการจุดสมาธิติดที่เร็วที่สุดตั้งแตเริ่มฝกมา
ทีเดียว

ในความวิเวกและฉ่ําเย็นอยางประหลาดนั้น มีเพียงนิมิตสายลมหายใจปรากฏเปนลํายาวเดนชัดเหนือสิ่ง
อื่นใด ทั้งรางกาย ความคิด และสรรพสิ่งในโลกหลาหลงเหลือใหรูวามีอยูก็แตเพียงเบาบาง สัจจะความ
จริงในบัดนี้จึงไมมีอะไรเกินการมีลมหายใจและกระแสจิตแผกวางเปนดวงนิ่ง โดยตัวผูรูตั้งเดนอยูตรง
กลาง ใกลจะกลาวไดทีเดียววาลมหายใจและดวงจิตเทานั้นที่เปนจริง อยางอื่นเปนเท็จไปหมด ความสุข
อันล้ําลึกทําใหหมดความกระวนกระวาย แมการเห็นอดีตชาติก็มิใชเรื่องนาคํานึงอีกตอไปดวยซ้ํา

เกาทัณฑตามรูลมหายใจที่ผานไปประมาณสิบรอบเขาออก แลวพลันสนามพลังอันยิ่งใหญก็บังเกิดขึ้น
ตรึงจิตเขาใหแนนิ่งกับที่โดยไมตองประคองรักษา รับรูดวยสัญชาตญาณสมาธิทันทีวานั่นเปนพลังที่สงมา
ชวยค้ําจุนจากภายนอก หาไดเกิดจากกําลังจิตของตน ซึ่งเทียบแลวคลายเด็กหัดเดินผูทําไดเพียงกาว
ระยะสั้น ถูกประคับประคองโดยผูเดินแข็งแลว และอาจเดินทางไกลเทาใดก็ไดตามปรารถนาของผูใหญ

ไมมีความตื่นเตนอันใดในภาวะจิตแบบนั้น มีแตความหนักแนนมหึมา และคลายทําใหจิตขยายตัวและ


แยกออกเปนสองชั้นสองภาค ภาคหนึ่งกําหนดลมหายใจ เสพรสปติสุขแหงจิตวิเวกไป อีกภาคหนึ่งคลาย
รอรับบัญชาจากอํานาจเบื้องบนใหเปนไปตามบันดาล ไมเปนตัวของตัวเอง แมคิดถอนสมาธิในบัดนี้ก็
เกินจะทํา

ภาวะจิตเกือบเหมือนฝนอยูอยางหนึ่ง คือนิ่งในแบบที่อาจเห็นภาพอะไรสักอยาง

สมาธิระดับกลางทําใหรูสติ เห็นตนเปนนายเกาทัณฑไดอยู ทวาอัตตาของความเปนนายเกาทัณฑเริ่ม


แผวหายไปทีละนอยอยางไมอาจหนวงรั้ง จนที่สุดก็ถูกแทรกแทนดวยดวงรูเฉยเปนกลาง เนื้อตัวชาและ
หนัก บอกยากวารางที่ตั้งอยูนี้เปนใคร หรือกระทั่งอะไร เพราะไรสัญลักษณบงบอกลักษณะอยางสิ้นเชิง

แลวอีกเจตสิกหนึ่งก็ถูกแทรกแทนขึ้นมาคลายสติที่คืบคลานเขามายามตื่นจากหลับ โดยผุดขึ้นเปนความ
รูสึกในตัวตนกอน แลวตามดวยสํานึกชัดเจนเยี่ยงมนุษยธรรมดา มนุษยนั้นคือ ‘ตัวเขา’ แตไมใชนาย
เกาทัณฑ...

ทุกอยางเปนปกติยิ่ง ปราศจากพิรุธปลอมปนแตอยางใด เขากําลังนั่งขัดสมาธิอยูที่กลางชานอาศรม รอบ


ตัวเปนราวปาโปรง ขางบนเปนฟาใส เบื้องหนาเบื้องหลังเต็มไปดวยความสงัดเงียบบริสุทธิ์
๑๖๗

รูสึกถึงความชราภาพแหงสังขาร ทวาดวงสํานึกแนวนิ่งทรงกําลังอยางเอกอุ มีความตรงไปตรงมา มี


ความเปนอยูอยางปอนๆ และมีความปนกันระหวางเมตตาอันเกิดแตธรรมภาวนา กับความกราวแกรงดุ
ดันอันเกิดแตความหาวที่เรนระอุอยูภายใน

จําตัวเองไดแจมชัดและผุดความคิดภายในขึ้นมาวา ‘นี่คือเรา’

คลายผูยืนอยูในหองใหญหนาทึบ เห็นแตสิ่งประดับประดาอันเปนฉากของหอง ฉับพลันรอบตัวก็โปรงใส


และสามารถเห็นทะลวงผานพื้นลางและผนังดานขางทั้งหมด เมื่อความจําหวงหนึ่งกลับมา ความจํากอน
หนานั้นก็พลอยไหลตามมาดวย เห็นเปนลําดับชัดเจนเหมือนชั้นของตึกที่เรียงซอนทับกันอยู เมื่อเพงตา
มองชั้นใดก็เห็นชั้นนั้น ที่อยูใกลก็เห็นงาย ที่อยูไกลก็ตองออกกําลังเพงกันหนักหนอย

จําไดถึงพื้นเพความยากจน จําไดถึงการมีเหยามีเรือน จําไดถึงการออกผนวช ดํารงตนเยี่ยงฤาษีที่นับถือ


พุทธศาสนา จําไดวาตนลุถึงฌานฝายโลกียะขั้นสูงสุด บันดาลอภินิหารไดดังใจ ทวาทุกอยางที่จําไดเหลา
นั้นรวบรัดรวดเร็วประเดี๋ยวประดาว คลายมีใครเอาขาวของสารพัดมายัดทะนานในถุงใส แลวใหดู ใหจํา
ในการมองปราดเดียววามีอะไรอยูบาง

สํานึกแหงความเปนฤาษีผูทรงตบะยิ่งใหญคอยๆถอยคืน กําลังวังชาและเนื้อหนังแหงความเปนหนุมกลับ
แทรกเขาแทนที่ในสํานึกรับรู นี่ก็จริงอีกเหมือนกัน รับทราบมโนภาพแหงตัวตนอันแตกตาง ทวาความ
กําหนดหมายวาตนเปนฤาษีก็ยังซอนอยูรางๆ เหมือนมีสองวิญญาณในรางเดียว

แลวความเหลื่อมซอนทั้งปวงก็ขาดสายหายหน เหลือความเปนนายเกาทัณฑและตัวกําเนิดกลุมความคิด
อันมีโครงสรางซับซอนเปนระเบียบอยางหนุมเมืองปรากฏแจมชัดเพียงหนึ่งเดียว คอยๆลืมตาขึ้นอยางมี
สติ สมาธิยังมีแรงเฉื่อยอยูอีกครู กอนจางตัวสลายลงหมดสิ้น เหน็ดเหนื่อยคลายออกแรงวิ่งทางไกลมา
หลายรอยเมตร แตไมหอบ

เกาทัณฑแลตามองพระอาจารยนิ่ง ดุจทุกสิ่งกลายเปนกอนหินแข็งทื่ออยูอีกพักใหญ

"พอใจรึยัง?"

น้ําเสียงมีเมตตานั้นปนมากับกังวานอํานาจแหงอาจารยใหญฝายกรรมฐาน เกาทัณฑขยับกายเปลี่ยนทา
นั่งเปนพับเพียบ

"ครับ"

“ขาใหไดแคทางลัดเทานี้แหละ เอ็งไมตองดั้นดนผานกําแพงจุติและปฏิสนธิเหมือนอยางคนอื่นเขา ตอไป


ใชกําลังจิตของตัวเองหมั่นระลึกอยางมีสติ ก็จะนึกจําไดมากขึ้นเรื่อยๆ การพิสูจนวาระลึกไดจริงหรือเปน
๑๖๘

เพียงอุปาทานลวง ดูกันที่ความสามารถสืบกลับไปไดเหมือนเดิมทุกครั้ง และเห็นรายละเอียดไดมากขึ้น


ตามระดับกําลังจิต”

เกาทัณฑหรี่ตา พยายามนึกทบทวนภาพและสัมผัสที่เกิดขึ้นเมื่อครู ทุกอยางรางเลือนเชนเดียวกับภาพ


ฝนคืนกอน ตางแตสัมผัสรูวานั่นเปนสวนหนึ่งของความทรงจํา เปนความจําชนิดเดียวกับที่รูวาสมัยวัยรุน
เคยเรียนที่ไหน สมัยเด็กเคยมีกีฬาโปรดอะไร ใครคือเพื่อนสนิทที่หางหายไปแลว มิใชการปรุงแตงลอยๆ
เชนนิมิตสมาธิปกติ

กําแพงที่ขวางคั่นสองตัวตนถูกทําลายลง…เปนบางสวน

บัดนี้เขาสามารถมองลอดทะลุไปยังอีกเขตที่เคยถูกกําแพงปดหูปดตาทึบสนิทจนหลงเชื่อวามีแตเขตที่
กําลังยืนนี้เทานั้นที่มี เขตอื่นไมมี

ถึงแมวาความสามารถในการมองทะลุใหเห็นเขตอื่นยังจํากัดจําเขี่ย มัวมนเหมือนเต็มไปดวยหมอกทึบ
คลุมบัง ทวาก็ทราบแนแลววามี

กะพริบตาถี่ เมื่อยอนนึกถึงภาวะความเปนฤาษีที่นั่งอยูกลางอาศรมซอมซอ ชางยากลําบากยิ่งกวาทบ


ทวนชื่อที่ถูกลืมแลวติดอยูแคริมฝปาก หรือคลายพยายามมองใหเห็นสิ่งที่ถูกซอนอยูใตน้ําลึกสลัวเลือน
ตระหนักวาในเวลานั้นจิตขาดแสงสมาธิสองลงไปใหเห็นดังปรารถนา จิตยามปกติชางมัวมนสิ้นดี ใชหยั่ง
รูอะไรไมไดเลยแมแตสิ่งที่อยูในตนเองแทๆ

ตัวตนเกาที่ถูกหลงลืมไป

เผลอตัวยอนนึกถึงอัตภาพในอดีตจนลืมวากําลังอยูที่ไหนกับใคร กระทั่งหลวงตาแขวนเตือนขึ้น

“อยาเพงนึกขณะขาดสมาธิ จะวกวนและเครียดเปลาๆ ไมไดอะไรขึ้นมาหรอก”

ชายหนุมเห็นจริงตามนั้น และคิดขึ้นมาวาถายอนระลึกความเปนอดีตไดทุกอยางก็คงดีหรอก แมสัมผัส


ความเปนตนเองในอัตภาพเกาเพียงชั่วอึดใจ ก็รูซึ้งวาครั้งหนึ่งเคยมีตบะเดชะแกกลาขนาดไหน คงสนุก
พิลึกถาใชชีวิตธรรมดาตามปกติ ขณะเดียวกันก็สามารถบันดาลปรากฏการณเหนือสามัญวิสัยไดเชน
เดียวกับตัวตนเกา

“ไมงายอยางนั้นหรอกไอหนุม…”

เกาทัณฑกะพริบตาปริบๆดวยความงงงัน เพราะวูบของความคิดอยากไดอยากดีเกินวิสัยเกิดขึ้นเพียงชั่ว
ลัดนิ้วมือ กระทั่งแทบจับตนชนปลายไมติด เกือบฟงไมรูวาเหตุใดหลวงตาแขวนจึงเอยเชนนั้น
๑๖๙

“ขณะของจิตที่ระลึกความหลังไดกับความสามารถกระทําการในปจจุบันเปนคนละเรื่องกัน แบบเดียวกับ
ที่เอ็งฝนวาเหาะเหินเดินอากาศยังไงก็ได แตตื่นแลวอยางมากก็แคโดดไดหางพื้นสองศอก”

เกาทัณฑรูสึกวาความคิดของตนมีเสียงดังเกินไปเสียแลว เริ่มเห็นวานี่มิใชเรื่องปาฏิหาริยเกินปกติวิสัย
อีกตอไป ในกุฏินั้น เขาสามารถสัมผัสไดวารอบตัวเต็มไปดวยคลื่นความเคลื่อนไหว ทั้งคลื่นความคิด
คลื่นเจตนา และคลื่นอารมณดีเลวตางๆ ทุกสิ่งถูกเคี่ยวใหเขมชัดในบรรยากาศละแวกรอบขางพระผูทรง
อภิญญาองคนี้

ผลของการระลึกชาติไดเปนครั้งแรกมีความหลากหลาย ขึ้นอยูกับวาเห็นตนเคยเปนอะไร และปจจุบัน


ชาติมีพื้นเพภูมิหลังแตกตางกันเชนใด สําหรับเกาทัณฑนั้น นอกจากเลิกสงสัยแลว ยังมองตอยอดออก
ไปอีกดวยนิสัยชางคิด ชางพิจารณาประจําตัว เห็นแจงวาการเกิดคือการสืบตอ หาใชการเริ่มตนจากศูนย
เหมือนที่ตาเห็นอุแวแรกในหองคลอดอยางผิวเผิน

เมื่อฐานแหงความเชื่อดั้งเดิมพังทลายลง โลกทัศนและความรูสึกเกี่ยวกับตนเองก็พลอยเปลี่ยนแปรไป
ดวย อยางนอยก็มากพอจะยอนพินิจวาตลอดมาที่นึกวาเขาใจอะไรๆเกี่ยวกับชีวิตดีแลวนั้น ผิดถนัด และ
แมปรัชญาชีวิตของนักปราชญผูเรืองนามก็อาจกลายเปนมุมมองของผูไมรูจริงอีกคนหนึ่ง

"...ผมเคยเปนฤาษี คงมีฤทธิ์เดชพอจะเห็นทะลุไปในภพชาติได แต...เหมือนเปลาประโยชน มาเกิดเปน


ผมในชาตินี้ก็มืดบอดเหมือนสัตวโลกอื่นๆ เห็นวาชาติหนาชาติกอนไมมี"

เกาทัณฑรําพึง หลวงตาแขวนเห็นลูกศิษยบังเกิดความสังเวชในธรรมก็กลาวอยางปรานีวา

"อยาคิดวาฤาษีนั่นเปนเอ็งเลย เขาตายไปแลว สิ้นสภาพไปแลว กรรมที่เขาเคยทําไวก็แคปูวิถีชีวิตนี้ให


กับเอ็งเทานั้น รางกาย ความรูสึกนึกคิด เรื่องนาหัวเราะ นารองไหตางๆนะดับไปพรอมกับสังขารของเขา
นั่นแหละ เอ็งตองมาพบกับสิ่งใหม สรางกรรมใหม เรียนรูและจดจําใหม เพื่อเปนตัวตนในปจจุบัน จะ
แบกคุณวิเศษเกาพวงมาใชดังใจนึกนะ ไมไดหรอก"

"แลวผมก็ตองลืมไปอีกเมื่อถึงเวลาตาย และก็ตองมีอีกอัตภาพหนึ่งที่จะเกิดมารับกรรมซึ่งผมสรางทําไว
เดี๋ยวนี้..."

เกิดความหยั่งเห็นขึ้นมาแวบหนึ่งวาตัวที่กําลังรูสึกและนึกคิดไดอยางเดี๋ยวนี้…

วันหนึ่งจะดับลง

นึกหวาดกลัวภัยมืดอันแฝงเรนอยูในความเกิดตายอยางไมรูอิโหนอิเหน นี่หากเขาไรวาสนามารับการ
อุปถัมภจากหลวงตาแขวน ชาตินี้ก็คงดําเนินชีวิตไปอยางเรื่อยเปอยตามกระแสโลก ไมเชื่อเรื่องภพชาติ
ไมเชื่อเรื่องเวรกรรม ยิ่งแกตัวก็ยิ่งกระทําการอันจะเปนผลประโยชนเขาตัวมากขึ้น มีความคํานึงนอยลงๆ
๑๗๐

เกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรม เชนเดียวกับปุถุชนทั่วไปผูถูกดึงดูดใหคลอยตามทิฐิและความหลงบารมีอัน
เกิดแตอายุ

ชาติตอๆไปเขาจะโชคดีเหมือนชาตินี้และชาติกอนไหม?

"ถูกแลว จิตไดแตทองเที่ยวไปทึกทักเอาอัตภาพตางๆเปนของตนดวยอวิชชา นานเทานานกวาจะพบผู


เปดโลก ผูรูทางไปสวรรคและนิพพาน การเกิดตายสวนใหญจะไหลไปตามกระแสกิเลส ถาเปนคนก็ครึ่งดี
ครึ่งราย โดยมากสัตวถึงพบตัวเองถูกแรงกรรมโยนขึ้นลงเหมือนถูกหลอกลอปนหัวใหดีใจและเสียใจสลับ
กัน"

เกาทัณฑยิ่งฟงก็ยิ่งเห็นคลอยตาม ชาตินี้เขารูตัวดีวาตนชุมไปดวยบาปเพียงไร จะใหหลีกเลี่ยงอยางไร


ในเมื่อเกิดมาก็อยากโนนอยากนี่ และไมมีใครทําใหเชื่อไดเลยวาบาปบุญมีจริง

อยางนี้เปนผูวิเศษไปจะมีประโยชนอะไรเลา? เขาเคยเปนมาแลว พอตายไปก็ไมวายหวนกลับมามืดบอด


อีก จุมวิญญาณตัวเองลงไปในบอแหงบาปใหมันชุมยิ่งๆขึ้นไปอีก มีสิทธิ์เทาเทียมมนุษยกิเลสหนาทั่วไป
ที่จะรวงหลนสูความหายนะทุกประการ

"นี่ใชไหมครับ กําเนิดธรรมะของพระพุทธเจา เกิดขึ้นมาเพื่อใหหาความเปนที่สุด ไมกลับไมกลายเปลี่ยน


ไป?"

"ใช..." น้ําหนักเสียงของเกจิเจาออนโยนยิ่งนัก "เอ็งไมไดเปนฤาษีชีไพรมาชาติเดียวเทานั้นหรอกนะ นับ


กันเปนลานเปนโกฏิทีเดียวละ พอเปนผูวิเศษทีก็เขาใจเรื่องเหนือโลก เหนือวิสัยสามัญชนเสียที แตแลวก็
กลับเสื่อมจากความรูความเขาใจอยางนั้น กลายมาเปนคนธรรมดา กลายมาเปนคนสงสัยโลกอีกเหมือน
คนอื่นๆ ถาเอาความวิเศษไปเทียบกับมนุษยเดินดินดวยกันนะนะ อาจดูสูงสงนาเลื่อมใสดีหรอก แตถา
เอาไปเทียบกับความตายแลว ความวิเศษก็ไอแคขี้ตีน หาดีอะไรได ตายจากความเปนผูวิเศษเมื่อไหรก็
ฉิบหายไดอีก...และอีก"

ฟงแลวเกาทัณฑไดแตกะพริบตาสองสามทีติดกัน แมครั้งหนึ่งเคยพุงไปถึงจุดสูงสุดของศักยภาพมนุษย
บําเพ็ญตบะจนไดมหัคตะกุศล สําเร็จฌาน บรรลุอภิญญา เปดตาในตานอกใหสวางถึงที่สุด เปนอยูอยาง
สะอาดหมดจดในพรหมจรรยมรรค ก็ยังผันแปร เปลี่ยนแปลงกลับมาเปนเขา นายเกาทัณฑผูสําคัญตัว
ผิด มองโลกดวยตาใสใจบอด และไดกอกรรมอันเปนทางทรมานไวแลวอยางมากมาย

อยางนี้จะเปนมันทําไม...ผูวิเศษ

เปนใหลืม แลวเวียนกลับมาเปนนายตอกตอยสักคน ไขวควาหาทางวิเศษวิโสกันใหม แลวลืมอีก


๑๗๑

คนเราเกิดมาเหมือนสัตวที่ถูกคาดตาดวยผาดํา ขยอกเขยาใหงงไดที่ แลวก็ปลอยออกจากกรง เดินเปไป


เปมา ชนโนนชนนี่ลมระเนระนาด กอใหเกิดความเจ็บปวดและบาดแผลรายแรงหลายแหง กวาจะคอยๆ
ไดสติ ประคองตัวอยูพอหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง ก็กินเวลาเนิ่นนานหลายปดีดัก

กระนั้นก็ยังมีผาผูกตาปดบังโลกที่แทจริงไวตลอดเวลา ทวาก็นึกสําคัญวาตนประจักษโลกอยางถองแท
แลว

ถูกผูกตาไว และยังไมเห็นอะไรเลย กะแคที่มาของตน เรื่องที่เกิดขึ้นแลวแทๆ ฝงอยูในความทรงจําของ


ตัวแทๆ ยังบอดใบถึงอยางนี้

เหมือนทุกสิ่งถูกตอนใหกลับสูจุดเริ่มตนใหมหมด ชายหนุมคอยๆยืดตัวขึ้นตรง แสงตาทวีตัวเขมขึ้นทีละ


นอย จนที่สุดก็เปนประกายแรงดวยความปรารถนาครั้งใหม

"หลวงตาสอนผมดวยเถอะครับวาทําอยางไร จึงจะรู…โดยไมกลับกลายเปนลืม แมเมื่อความตายมาถึง"

พระครูผูเมตตาหัวเราะในลําคอ ดวงตาอันฉาบชราภาพแลนิ่งมายังลูกศิษยหนุม

“ภาวะคงที่ ไมกลับไมเปลี่ยน ตื่นตลอดเวลา แมหลับก็ไมฝนนั้น เปนเอกลักษณเฉพาะของของพระผูเปน


อรหันต เอ็งกําลังอยากเปนพระอรหันตหรือไง?”

เกาทัณฑอึ้งคิดไปชั่วครู กอนเรียนทานตามตรงวา

“ผมกลัวการลืม กลัวการเกิดมาอยางไรความจํา ไรแนวทางแนนอน ผมไมไดอยากเปนพระอรหันต”

หลวงตาแขวนพยักหนาชาๆ

“ถาคิดแบบนั้นก็เขามาใกลตนทางนะ เพราะผูบรรลุธรรมขั้นสูงสุดมากมายไมแมแตจะคิดอยากเปนพระ
อรหันต ถาตนทางเห็นภัยคิดผละจาก ปลายทางถึงจะผละจากไดจริง เมื่อสิ้นอวิชชา สิ้นทุกขเด็ดขาด
แลว จะเรียกอรหันตหรืออะไรก็ชาง”

“ครับ”

“ปดตาเขาสมาธิแลวฟงขาพูดไปเรื่อยๆ”

เกาทัณฑปดตาเฝาตามลมเขาออกจนจิตรวมเปนดวง เบาลงจากกิเลสทุกชนิดจนทอแสงสวางนวล เห็น


สายลมหายใจเปนสายทิพยไปไดเชนเคย

จิตที่เปนอุปจารสมาธิยังคิดได ฟงคนอื่นพูดรูเรื่อง แตปราศจากความยินดียินราย เพราะความแชมชื่น


ระรื่นสุขมีความเปนใหญเกินอารมณอื่น โยคาวจรหนุมไดยินคําสั่งจากอาจารยเปนเสียงกลางๆวา
๑๗๒

"เอาสติจออยูกับความสวางของจิตนะ จอไวกับความสวางนั่นแหละ จะเห็นสวางขึ้นเรื่อยๆ"

เกาทัณฑกําหนดตามทานสั่ง เห็นสวางขึ้นไดจริงๆ นึกไมถึงวาพอจิตนิ่งแลวจะเรงไขแสงเพิ่มงายดาย


เพียงจอสติไวกับความสวางของจิตเทานี้เอง

"นอมเอาแสงจากกลางอกระลึกเขามาในความรูสึกตัวทั่วราง จะเห็นกายสวางเห็นชัดทุกสวน ทุกชิ้น"

ลูกศิษยหนุมปฏิบัติตาม เคาโครงรูปพรรณสัณฐานปรากฏตามจริงตอแสงรูของจิต ราวกับหองมืดที่ถูก


แสงสวางขับไล เห็นหมดวาภายในมีขาวของรูปทรงไหนวางอยูบาง

"กําหนดดูวากายมีความนิ่งอยูที่ไหนบาง มีอาการเคลื่อนไหวอยูที่ไหนบาง"

โดยภาคของความรูสึกวาเปนตัวนายเกาทัณฑ เขาเห็นกายเปนภาวะตางหากจากตน มันนั่งนิ่งขัดสมาธิ


มือขวาซอนมือซาย ขาขวาทับขาซาย ทุกสวนที่ดามดวยกระดูกนับแตศีรษะลงมาถึงปลายเทาแนนิ่งไม
ไหวติง จะมีก็แตสวนหนาทอง ชายโครง และสวนอก ที่ขยายแลวสลับยุบตัวเปนจังหวะตอเนื่องกันเพราะ
มีเจตนากําหนดไวกอน

ดวยการกําหนดตามวาระจิตของผูเปนศิษย ทานทราบวาชายหนุมไดฐานรูคือกายนิ่งทั้งแทงไวแลว จึง


สั่งตอ

"กําหนดดูวา มีอะไรบางที่เปนตางหากจากใจเรา"

เกาทัณฑพบอยางไมเคยพบมากอนในบัดนั้นวา สงใจไปเห็นอะไรได สิ่งนั้นก็กลายเปนอื่นจากใจไปหมด


ลมหายใจก็ตางหากจากใจ กายอันเปนที่ตั้งกองลมก็เปนตางหากจากใจ เสียงหลวงตาแขวนที่สะเทือน
ผานอากาศมากระทบแกวหูก็เปนตางหากจากใจ ใจเปนแตเพียงผูดูอยางเดียว ใจไมไดมีความเปนอะไร
ทั้งหมดที่ถูกเห็นแมแตอยางเดียว

“กําหนดดูความเปนตางหากจากกันระหวางรูปกับนามอยูอยางนั้นนะ อยาวอกแวก พอตั้งมั่นแลวจะ


เหมือนมีชองวางระหวางตัวรูกับสิ่งถูกรู… จากนั้นพิจารณาวาลมหายใจมีความอยูนิ่งในที่ตําแหนงไหน
ไดไหม ทนอยูที่จุดใดจุดหนึ่งในกายไดไหม”

จิตซึ่งกําลังมีสภาพเปนตัวรูเต็มดวงตอบอยูในภายในทันทีวาไม…ไมพบที่สถิตของสายลมหายใจแมแต
จุดเดียวตลอดเสนทางผานเขาออกโพรงอันเปนสวนหนึ่งของรางกาย ธรรมชาติการไหลรี่เร็วของสายลม
ไมเคยแตะตองหรือทนหยุดพัก ณ จุดใดไดเลย

“ลมหายใจมาจากนอกกาย เคยเปนอื่นจากรางกาย เขามาอยูในรางกายชั่วครู แลวถูกถายคืนกลับสูภาย


นอกอีก ทนเปนสมบัติ เปนสวนหนึ่งของรางกายไมได อยางนี้ถือวาลมหายใจเปนตัวตนเราเขาคนไหน
ไดไหม?”
๑๗๓

จิตเห็นอยางแจมชัดวาลมหายใจปราศจากอัตตาตัวตน เปนเพียงเครื่องหลอเลี้ยงกายใหตั้งอยูได หาก


ขาดลมระยะหนึ่ง กายดิ้นรนไขวควาหาอากาศแลวยังติดขัดอยูอีก ก็คือการมาถึงของมรณะเทานั้น

ภาวะนิ่งอยางเอกอุซึ่งประกอบพรอมดวยอาการพิจารณาเห็นธรรมดําเนินตอไป ไดยินคําสั่งจากพระ
อาจารยตอมา

"พิจารณากาย เริ่มจากมือที่วางซอนกันอยูบนหนาตัก ถามตัวเองวาเปนผูสรางมันขึ้นมาหรือเปลา?"

ดวยเพราะเพิ่งผานการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแหงลมหายใจมาหยกๆ พอพิจารณามือตามพระ


อาจารยสั่ง เมื่อเห็นนิมิตอุงมือและลํานิ้วทั้งสิบชัด ก็ตระหนักดวยจิตเหนือสํานึกทันทีวาเขาไมไดสรางมัน
ขึ้นมา ไมมีสวนรูเห็นเลยวามันถูกสรางมาไดอยางไร

"เมื่อเราไมไดสราง แลวอยางนี้ควรยึดถือไหมวาเปนของเรา?”

จิตพิจารณาตามแลวตอบทันทีวาไมเลย ในเมื่อไมไดรูเห็น ไมไดเปนผูออกแบบ ไมไดเปนผูลงมือกอราง


สรางมันขึ้นมา กับทั้งไมอาจควบคุมใหทรงอยูยั่งยืน จะยึดวาเปนของเราไดอยางไร

ใจวางและวางทันที เปนวาระจิตแรกในชีวิตที่เกิดความปลอยวางกายอันยึดถือตลอดมาวาเปนตน คลาย


อุมหินไวในออมแขนแลวปลอยลงใหพนตัว เกิดความเบาโลงชนิดที่ไมเคยรูจักมากอน

อโหธรรมา...อโหธรรมา

"รักษาอาการเห็นมือไว ไลตอมาถึงชวงแขน ถามตัวเองวาอยางนี้เปนธรรมชาติอันเดียวกับมือหรือเปลา"

ใชแลว เขาเห็น มันก็เปนรูปธรรม สังขารธรรมที่เขาไมเคยมีสวนปรุงแตงขึ้นมาเชนเดียวกับลมหายใจ


และมือนั่นเอง

"รักษาอาการเห็นมือและชวงแขนไว ไลตอมาถึงสวนหัว ไลลงไปถึงชวงตัว ไลตอไปถึงชวงขา สิ้นสุดลงที่


สวนเทา เห็นอาการนิ่งและเคลื่อนไหวทั้งหมดใหมอีกครั้ง ถามตัวเองวามีสวนใดสวนหนึ่งที่แตกตางไป
ไหม มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จิตเราเปนผูสรางทําขึ้นมาไหม"

ไมมี...ไมมีเลย อโหธรรมา... แปลกเหลือเกิน รูปกายที่เคยยึดถือวาเปนของเรานี้ ทําไมดูกลายเปนอื่น


เปนของนอกตน พิลึกกึกกือแตกตางจากมโนภาพรูปรางหนาตาชายคนเดิมที่คุนเคยมาเนิ่นนานวาเปน
ตน

จิตนิ่งฉายสวางเต็มกําลังอุปจารสมาธิจิต ขณะเดียวกันก็ประกอบพรอมดวยอาการพิจารณารูอันเปน
ลักษณะของปญญา เปนวาระที่รูปและนามประสานกันไดผลลัพธเปนธรรมคือดวงรูละวาง ปราศจาก
สํานึกแหงความเปนสัตว คน เทวดา พรหม หรือสมมุติใดๆ
๑๗๔

ผูเปนธรรมาจารยปลอยใหภาวะรูเห็นของศิษยดําเนินตอเนื่องจนกระทั่งตกผลึก ทรงตัวโดยปราศจาก
การควบคุม จึงแทรกจิตเขากํากับเพื่อลัดทางใหสั้นเขา

เกาทัณฑเห็นนิมิตของสัณฐานกายเริ่มผิดแผกจากเดิม ภาคสํานึกรูตัวของนายเกาทัณฑจับมองนิมิตใหม
ดวยความประหลาดใจ แตปราศจากความตื่นกลัว เหมือนมองตัวเองมาจากดานหลังดวยตาอันผูกติดอยู
กับกระดูกและเลือดเนื้อในกายเอง กายปรากฏเปนขอกระดูกสันหลังเรียงกันจากคอถึงกนกบ มีซี่โครง
แยกจากโครงกระดูกสันหลังเห็นคลายกางปลา หอหุมกอนเนื้อซึ่งปรากฏเพียงเลือนราง สุมๆกันแออัด มี
กอนที่เตนตุบๆกลางอกชัดหนอยวาเปนหัวใจ

ไมเคยเห็นกายตนเองเปนเหมือนอยางนี้มากอน เมื่อเห็นแลวก็ไดแตรับทราบวาสิ่งตางๆตั้งอยูเชนนั้น
จริง ขึ้นอยูกับวาจะปรับสภาพจิตใหเขาเห็นภายในไดอยางไร หยาบละเอียดเพียงไหน

กลไกภายในกําลังทํางานอยูอยางเปนระเบียบโดยปราศจากเจตนานํา นี่ถาหากกลไกทุกชิ้นตองอาศัยคํา
สั่งจากความคิดของเขา เขาคงวุนวายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไมเปนทําอะไรอื่นแลว

“นี่แหละสิ่งที่กําลังดํารงอยู และกําลังจะแตกดับไป”

เสียงของหลวงตาแขวนดังขึ้นในทามกลางการเห็นกายเปนสิ่งที่สรางจากองคประกอบแยกยอย ในทันที
ทันใดนั้นจิตก็เกิดความเห็นขึ้นมาอยางเต็มตื้น

กายมนุษย

ยกขึ้นดวยกระดูกสันหลัง

ฉาบทาดวยเลือดเนื้อ

เมื่อแยกเปนสวนๆ

ไมเหลือมนุษย

ไมเหลือเราเขา

เหลือแตทอนกระดูกกับเลือดเนื้อ

วางเปลา

รอวันแตกดับ

ไรแกนสาร
๑๗๕

หากนําจิตที่ประมวลรูนิมิตกายเปนปญญาคิดของเกาทัณฑมาปฏิรูปเปนภาษา ก็คงถอดความไดตาม
นั้น…

จิตบังเกิดความกลัวรูปกายที่ตนกําลังครอง เห็นเปนอื่น เปนของแปลกปลอม เปนโครงสรางสัณฐานที่


เปนธรรมชาติโดยเดิม ปราศจากผูเปนเจาของ มีกฎแหงกําเนิดและมรณะอันไมเปนที่ไดรับการเห็นชอบ
จากใคร

“ดูความวางและนิ่งรูที่กําลังเปนอยูเดี๋ยวนี้ นี่คือภาวะหนึ่งของจิต แลวดูตัวที่กําลังไดยินเสียงอยูเดี๋ยวนี้ ดู


วานี่ก็เปนอีกสภาพหนึ่งของการรู มองใหเห็นวาเนื้อแทเปนสิ่งเดียวกัน จําแนกแตกตางจากกันดวย
ประสาทหูเทานั้น”

ดวงรูอันปราศจากรูปทรงสัณฐาน ปรากฏเปนเพียงความวาง ขาวโพลนอยูในอาการรูตนเองนั้น สดับ


ตรับฟงคลื่นเสียงผูเปนอาจารยที่สงทอดมาตามลําดับ และบังเกิดความเห็นเปนขณะๆวาการไดยิน การรู
ความหมายของคําพูด ลวนเปนอาการหมายรูทางจิตทั้งสิ้น

"มองใหเห็นวาแมตัวรูก็เปลี่ยน เสียงที่ไดยินก็เปลี่ยน เกิดขึ้นเพื่อตั้งอยูชั่วครู แลวลงเอยยังไงก็ตองดับ


ไป"

ใช...อาการกําหนดหมายรูเปนสิ่งไหลเลื่อนอยูตลอดเวลา แมตัวรูก็เปนอนัตตา ดวงนิ่งที่ปรากฏสวาง


โพลนอยูนี่ก็ไมใชตัวตน เปนภาวะชั่วครูของจิตอันเปนสมาธิ

หลุดโลงจนถึงที่สุด ฐานที่มั่นของตัวตนทั้งรูปและนามทลายลงสิ้น จิตนิ่งรูเดนดวงอยูเพียงเดียว ลิ้มรส


ความวางอันประกอบดวยตัวเห็นอนัตตธรรมนําหนา สุดขั้วของสุขอันไรรูสึก เปนยอดของภาวะอันไร
สัมผัสแหงภาวะ ไรการแตะตองสังขารธรรมใดๆทั้งปวงโดยแท

นี่ใชไหมนิพพาน? นี่ใชไหมมรรคผล? เขากลายเปนพระอริยบุคคลไปแลวกระมัง...

แตแลวความวางเปลาก็กลับกลาย เมื่อแรงดึงดูดที่รวมกระแสจิตใหเต็มดวงคลายตัว

นี่หรือไม ที่ทานเรียกบรมธรรม? สิ่งที่ไมกลับไมเปลี่ยน แตไฉนบัดนี้จึงแปรไป?

เกาทัณฑลืมตาขึ้นอยางเชื่องชา ปรับการมองไดแจมชัดในที่สุด ไดยินพระอาจารยตอบความกังขาของ


จิตขณะสุดทายกอนลืมตา

"เพราะนั่นไมใชบรมธรรม นั่นเปนแคจิต จิตยังอยูในขายพระอนิจจัง แคเหมือนจะขาม แตไมขาม บรม


ธรรมที่แทคือจิตที่หลุดจากความปรุงแตงอยางหมดจด ไมเคลื่อนตามเวลาในมิติไหนๆ เปนดวงรูที่
ปราศจากภาวะปรุงแตงใดมาหอหุมได"
๑๗๖

ชายหนุมตั้งสติใหเขาที่ คืนกลับมาอยูในอัตภาพเดิมครบถวน จึงคลานเขาไปกราบพระอาจารย เจาะจง


ใหหนาผากสัมผัสฝาเทาของทาน เปนการแสดงความคารวะจากใจขั้นสูงสุด

"ฟงขาพูดใหดี"

เกาทัณฑกลับมานั่งที่เกา สีหนาสงบเฉย ทวาเปลงสวางดวยรัศมีแหงความรูธรรมและความรูคุณ นัยน


ตาจับมองพระผูใหความสวางแกตนอยางบูชาดวยชีวิต

"อยาหลงคิดวาพบธรรมชั้นสูงแลว ธรรมแทนะไมมีสูงมีต่ําหรอก ถาใครถึงจริง ถึงเปนปกติ ตองรูสึก


วางๆเปนกลาง ถาแคเขาขั้นรูสึกวาตัวเองสูงสง ก็แปลวาโดนกิเลสเอาไปกินเสียกอนจะถึง เอ็งเพิ่งเห็น
แบบแตะๆตองๆแคนี้ ยังตองเดินทางอีกไกลกวาจะไปถึงความเปนที่สุด"

ภิกษุชราระบายลมหายใจยาว ทาทางทานเหน็ดเหนื่อยพอดู ตองใชทั้งกําลังจิตชวย ใชทั้งกําลังปญญา


สั่งสอนศิษยตอเนื่องเปนเวลายาวนาน เกาทัณฑคิดไมออกวาชาตินี้จะหาทางทดแทนพระคุณทานได
อยางไรถูก

การเขาเห็นสัจภาวะเปนประสบการณที่ควรซื้อแมดวยชีวิต เพราะถาเห็นจริง จะทําใหตั้งเข็มไปในทางดี


ไดถูก เปนที่พึ่งของตัวเองใหพนภัยในวันหนา

ผูนําความเห็นชนิดนี้มาให ยอมสมควรถูกยกไวบูชาในที่สูงสุด

พระพุทธเจาชางเปนมหาบุรุษผูแสนประเสริฐ เหนื่อยยากเพื่อคนอื่น ยอมลําบากแทบเลือดตากระเด็นนั


บอนันตชาติเพื่อเอาพระสัพพัญุตญาณมาโปรดสัตว

โปรดสัตวเชนเขา เขาคือผูมีโชคอันประเสริฐที่เปนหนึ่งในกลุมเวไนยสัตวแหงพระพุทธเจาพระองคนี้

ดวยความซาบซึ้งในรสธรรม และดวยความผูกพันที่มีตอบุคคลอันเปนที่รัก เกาทัณฑปดตาลง ตั้งความ


ปรารถนาใหพวกเขาเหลานั้นเปนสุขอยูในความประจักษธรรมะลึกซึ้งเชนเขา จัดเปนเมตตาภาวนาอัน
บริสุทธิ์

แลวเมตตานั้นก็เปลี่ยนกระแสเปนการุณยภาพแผกวางไปอยางไรประมาณ ดวยเหตุที่ใครลงมือนําธรรม
ซึ่งตนรูนั้นออกแจกจายใครก็ไดไมเลือกหนาทุกทิศทาง

การุณยภาพปรากฏเปนรสสุขชวนพิศวง นึกรักภาวะชนิดนี้ขึ้นมาจับใจ อยากเขาไปสถิตอยูในความเปน


เชนนั้นตลอดกาล

ราวกับเขาบานที่เคยคุน ราวกับเพิ่งคนหาตัวเองพบในยามนี้
๑๗๗

กําลังจิตทวีตัวขึ้นเรื่อยๆจนรูสึกชัดเปนจริงเปนจัง เห็นเปนรัศมีแผผานไปราวจะอาบผืนโลกใหฉ่ําเย็น
อาภา

ในความเปนดวงรูแผไปไรประมาณชนิดนั้น คลายกระแสจิตปรับคลื่นของตนเขาปะทะอยางแรงกับคลื่น
ทุกขอันลอยตัวอยูทั่วไปบนพื้นพิภพ ไดยินเสียงร่ํารองโหยไหอยางนาเวทนา มันดังออกมาจากจิตมนุษย
และสัตวแทบทุกรูปนามบนแผนดิน ฟงชัดราวกับอึงอลอยูในโสตประสาทจริง เริ่มจากแวว แลวทวีขึ้น
จนกระทั่งกลายเปนกระหึ่มเชนเดียวกับฝนราย

สนามคลื่นแหงทุกขของคนทั้งแผนดินนั้น ครุวนาดั่งมหาสมุทรที่อาจโถมทับทุกสิ่งใหลมจมฉิบหายสิ้น
เกาทัณฑสําเหนียกทราบถึงความนาสะพรึงกลัวอันผนึกรวมกันเปนขายคลื่นมหายักษ ชางทะมึนมืดนา
ขนลุกเหลือประมาณ การุณยภาพที่แผสวางออกจากดวงจิตของเขาถูกกลบกลืนหมนมัวไปหมดสิ้น สูไม
ได ทัดทานไมไหว เทียบอะไรไมติดเลยกับมหาทุกขของปวงมนุษยและสัตวบนแผนดินและใตแผนน้ํา

ความทุกข...ของจริงที่ยั่งยืนมาจากอดีตจนถึงปจจุบัน และจะตอเนื่องไปในอนาคต

อาจเปนอุปาทาน หรืออาจเปนความหยั่งรูอะไรสักชนิด แตเกาทัณฑก็เกิดความสะเทือนใจ บันดาลความ


สมเพชเวทนาอยางทวมทน และอยากชวยปวงวิญญาณอันจมทุกขเหลานั้น...

ความอยากชวยทวีตัวแรงขึ้นเรื่อยๆตามการขยายผลของกําลังสมาธิจิต ที่สุดรวมลงเปนดวงอธิษฐาน จิต


ตั้งปณิธานแนวแนวาจะเจริญรอยตามพระพุทธเจาทุกๆพระองค เขาสูเสนทางพุทธภูมิ ปรารถนาพระ
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนับแตขณะจิตนี้เปนตนไป

‘สักวันเราจะเปนพระพุทธเจา เราจะชวยสัตวใหพนทุกขดวยทศบารมี'

สําเหนียกถึงพลานุภาพแหงภาวะอธิษฐานในตน ขนลุกขนชันไปทั่วสรรพางค เขาจะไมไปสบายคนเดียว


แตจะพาเวไนยสัตวตามไปนิพพานดวยมากที่สุดเทาที่จะมากได!

บังเกิดความตื่นเตนแปลกใหม สีสันแหงสุขทุกขอันลี้ลับเบื้องหนาบนเสนทางสูพระโพธิญาณชางทาทาย
ชวนระทึก เขารูสึกวาความเปนตนทอดยาวไปไกล...ไกลมาก

เสียงหัวเราะเอื่อยๆดังมาจากหลวงตาแขวน โพธิสัตวหนุมลืมตาขึ้นมองทาน นึกเกรงขึ้นมาวาตนทําสิ่ง


ใดผิดพลาดไปหรือเปลา

“ทางตรงที่คนอื่นปูไวใหเดินสบายๆไมเอา จะเลือกออมปาออมเขาซะเอง”

คลายคนเคยอยูในบานมีที่มุงบัง ปกปดจากสายตาคนภายนอก แลววันหนึ่งก็ถูกรื้อกําแพงและหลังคาทิ้ง


เขาจะเดินไปซอกไหนมุมใด ขยับทาไหน หลวงตาแขวนทานเห็นไดอยางสะดวกดายหมด ทวาเกาทัณฑ
๑๗๘

ก็แนใจวาสิ่งที่ตนปกมั่นลงไปนั้น คือเจตนาอันแนวแนบริสุทธิ์ มิใชความคิดชั่วรายหรือกระทั่งอยากดึง


ใครมารวมลําบากดวยเลย

ที่สําคัญ นั่นคงมิใชการสําแดงความอวดดีหรือทําตัวเปนหัวลานนอกครู ทานสอนใหละอยางหนึ่ง ก็ดื้อไป


ยึดอีกอยางหนึ่ง เจตนานั้นมาจากใจจริง เกิดขึ้นเอง มีเมตตาและกรุณานํา ทบทวนดีแลวก็พนมมือกลาว

“ครับ…พุทธภูมิคือทางไปพระนิพพานที่ผมเลือก”

ภิกษุชราเอนกายหัวเราะเอื่อยเฉื่อย

"เปนพระโพธิสัตวนะสนุก เพราะรากฐานของใจเปนกุศลยิ่งใหญ มีความเด็ดเดี่ยวแนวแน แลวก็บากบั่น


ขยันขันแข็ง ทําอะไรลุลวงไดเสมอ สิ่งเหลานี้ลวนเปนเหตุปจจัยปรุงแตงใหมีความเปนใหญ เฉลียวฉลาด
และมีกําลังมาก"

ฟงทานกลาวเชนนั้น เกาทัณฑก็รูสึกถึงพลังอันประจุแนนในกายแกรงล่ําสันของตน เห็นวานั่นเปน


อุปกรณของจิตที่ชวยใหเกิดความฮึกเหิมไมระยองานอันยากลําบาก จากนั้นก็พิจารณาเห็นฉันทะในงาน
ตามหนาที่ของตน เขาทําโนนทํานี่ลุลวงอยูตลอดเวลาดวยความรับผิดชอบสม่ําเสมอ ซึ่งทําใหบังเกิด
ความมั่นใจสูงมากวาคิดอะไร หวังอะไร เปนตองสําเร็จไดทั้งนั้น

ความหยิ่งทะนงในสติปญญา เชื่อมั่นในพลกําลังและความสามารถ อยางนี้จะเขาขายผูมีบุญเยี่ยงพระ


โพธิสัตวหรือเปลา?

หรือวาที่แทเขาก็เปนโพธิสัตวอยูแลวโดยไมรูตัว?!

“ความหมายมั่นและความสามารถทําเรื่องยากใหลุลวงเปนเอกลักษณหนึ่งของพระโพธิสัตว ทําใหเปนผูมี
ตบะเดชะ นับเปนดานดีที่มีดานรายแฝงอยู คนเปนโพธิสัตวสวนใหญหลวมตัวใหกิเลสขอที่วาดวยโมหะ
ถึงมีปญญาแคไหนก็อดหลงตัวเองไมได พอทําดีก็ทุมตัวสุดกําลัง พอทํารายก็ปลอยใจจนสุดขั้ว หาคน
หามยาก เพราะฉะนั้นตองสั่งสมคุณงามความดีไวเปนเสบียง และเปนสัญญาณนํารองใหกับจิตเอง ถึงจะ
ไมตกไปสูอบายบอยนัก"

เกาทัณฑรับฟงและพิจารณาตาม ความอยากทั้งฝายดีและรายที่ผานมาของตนนั้น ถูกเติมเต็มดวยความ


สําเร็จสมใจมาตลอด จึงไดฉุกคิดวาหากมีสวรรคเปนรางวัลตอบความดี และหากมีนรกเปนโทษทัณฑ
สนองความชั่ว เขาก็จะไดรับไปเต็มๆ ขณะที่คนอื่นซึ่งสําเร็จบาง ลมเหลวบางในกรรมแตละวาระ ก็ยอม
พลาดรางวัลบาง พนโทษทัณฑบางตามวิถีลุมๆดอนๆ

พูดงายๆ โพธิสัตวมักไมพลาดสุขที่สุดและทุกขที่สุดเหมือนสังสารสัตวสามัญ เจอแนทั้งรางวัลใหญและ


โทษทัณฑหนัก
๑๗๙

"การเดินทางไปในสังสารวัฏนะ ไมมีใครชั่วจริงตลอดไป ไมมีใครดีทนตลอดกาล ดีชั่วเพราะตัวกิเลสและ


ความไมรูบันดาลทั้งนั้น เมื่อทําดีไวมาก พอเสวยกุศลวิบากเขาก็เหลิงอํานาจบุญ ถูกกิเลสยุใหทําชั่ว
สารพัดโดยอาศัยบารมีเกานั่นเอง เอ็งเห็นกี่คนที่ใชวิบากดานดีเชนความร่ํารวย ความมีอํานาจ ความมี
รูปงาม หรือแคกระทั่งความเปนมนุษย เพื่อใชในการตอบุญใหตัวเอง มันก็ไมรูบาปบุญคุณโทษ ทําสิ่งที่
อยากทําเฉพาะหนากันทั้งนั้น จะเปนพระโพธิสัตวหรือสังสารสัตวธรรมดาก็เถอะ”

เกาทัณฑพิจารณาและเห็นจริงตาม ยกมือพนมรับพลางผงกศีรษะลงเล็กนอย คิดวาหลวงตาทานกําลัง


โนมนาวใหเลิกลมความตั้งใจ เบนเข็มเขาสูนิพพานในชาตินี้ดีกวา มีโอกาสสบายเห็นๆอยูแลว ทวาความ
ซาบซึ้งในรสการุณยภาพที่บังเกิดจริงยิ่งใหญในตนเมื่อครูนั้นแรงกลายิ่งนัก เพียงคําพูดโนมนาวเทานี้
คงเปรียบไดแคการใชสองมือผลักภูเขาหินเทานั้น

ไดยินหลวงตาทานหัวเราะเปนเสียงออกไปในทางเยาะ ซึ่งก็คงมาจากการหยันความคิด ความเชื่อในหัว


ของเขานั่นเอง เกาทัณฑพยายามหักหามมิใหเกิดความคิดโตตอบหรือคัดงางเต็มกําลังแลว ทวายัง
อุตสาหหลุดรอดออกไปใหทานจับไดและแคนวาทุกที

“อยูในกายมนุษยนะ สบายๆก็คิดไปไดเรื่อยอยางนี้แหละ เห็นอยูแคนี้ ไดยินอยูแคนี้…”

แลวหลวงตาแขวนก็เพงตาเขา เกาทัณฑรูสึกถึงสนามพลังที่กอตัวขึ้นฉับพลัน และตระหนักวากําลังมี


บางสิ่งผิดปกติไป

"ขาจะใหดูอะไรนี่!"

ขาดคําทาน ชายหนุมก็หนามืดวิงเวียน เปลี้ยเพลียคลายคนใกลหมดความรูสึกดวยฤทธิ์ยาสลบ ไมอาจ


ยื้อสติและความรูสึกทางกายใหคงอยู โลกเปลี่ยนไปอยางสิ้นเชิง กลายเปนฉากใหมขึ้นมาแทน กึ่งฝนกึ่ง
จริง เขาไมเคยเห็นที่ราบกวางใหญกระจะตาอยางนั้นมากอน มันยิ่งกวาความราบกวางของพื้นทะเลสุด
ลูกหูลูกตา ทุกหนทุกแหงคลาคล่ําดวยวิญญาณบาปรูปรางวิกลวิการ คลายพวกมนุษยเปลือย ทวา
ปราศจากราศีของความเปนมนุษยติดตัวแมแตนอย กําลังเปนอยูดวยการรับทารุณกรรมตางๆกันไป
บอกตนเองทันทีวาที่ปรากฏแกตานั้นคือสัตวนรก และที่ราบกวางนั้นก็คือพื้นที่สวนหนึ่งของนรกภูมิ!

หลุดจากครอบกะลาหนึ่ง ไปเห็นอีกครอบกะลาหนึ่ง…

เสียงโอดโอย เสียงร่ํารองดวยทุกขเวทนาแสนสาหัสอึงอลเต็มสองหู บรรยากาศอัดแนนไปดวยคลื่นความ


ทรมานที่สงออกมาจากดวงวิญญาณของสัตวบาป สัมผัสในอากาศคลายความพลุงพลานของน้ําเดือดจัด
เกาทัณฑเวียนๆงงๆเปนครู กอนจะสามารถปรับสติ แยกมองใหเห็นเหตุการณใดเหตุการณหนึ่งลงไป

ภาพสัตวนรกตนหนึ่งถูกดูดเขามาใกลตา ชางนาหวาดเสียวและชวนอาเจียนกับการเห็นวิญญาณบาปที่มี
รูปเปนผูชายกําลังนอนบิดตัวไปมา โดนหนอนนรกขนาดเทาปลายกอยนับพันนับหมื่นชอนไชไปทั่วราง
๑๘๐

วิญญาณนั้นแหกปากอันกวางใหญเต็มอา แผดเสียงแหลมบาดหู แลบลิ้นอันเหยียดยาวและมากแฉกออก


มาจนสุด แตละแฉกเต็มไปดวยเลือดและแผลสด ทาทางปวดแสบทรมานไปทุกหยอมเนื้อตั้งแตหัวจดเทา

เหมือนเขาเริ่มมีกายไปยืนอยูตรงหนาวิญญาณตองทัณฑตนนั้น มันไมเห็นเขา ไมรับทราบวามีวิญญาณ


จากมนุษยโลกมาปรากฏ เกาทัณฑนึกแผเมตตา อยากใหมันรับรูการอุทิศสวนกุศล และพนๆไปจาก
สภาพอันนาอเนจอนาถเหลือจะกลาวนี้ ทวามันก็ไมมีทาทีรับรูเลย เอาแตสงเสียงรองโหยหวนเพราะ
ความเผ็ดแสบไปทั้งเนื้อตัวทาเดียว

พยายามสงสายตาไปพินิจรายละเอียด สิ่งแรกที่ดวงจิตใหความสนใจคือลูกตาอันเหลือกถลนของ
วิญญาณบาป พอเห็นชัดก็สยองไปทั้งเกลา ชางนากลัวเหลือเกิน มันไมมีตาดํา มีแตความขาวช้ําดานชา
ไรแวว กลอกหลุกหลิกสงกระแสความเจ็บปวดรวดราวเกินจะกลาวออกมาอยางตอเนื่อง

มีสิ่งที่เปนเหมือนเสนผมขอดติดหนังหัว เนื้อหนังอวัยวะสวนตางๆถอดแบบมาจากรูปกายมนุษยเกือบ
ทุกอยาง มีเล็บ มีขอนิ้ว มีอะไรๆบงความเปนเพศชาย ทวาดูชางวิปริตผิดแบบ เห็นแลวทราบทันทีวาไม
ใชกายมนุษยอยางแนนอน และนี่ก็ไมใชการพรางแตงดวยเครื่องมือของกองถายภาพยนตรระดับโลก แต
มันคือของจริงที่ปรากฏตอดวงจิตอีกระนาบหนึ่ง

ของในหนังนั้นตกแตงนากลัวอยางไรก็ขาดไปอยาง...กระแสวิญญาณของสัตวนรก

บัดนี้เขาประจักษแลว เมื่อประสบเฉพาะหนา สัมผัสไดถึงความกระหายอิสรภาพ สัมผัสไดถึงไอรายแหง


ทุกขอันแข็งกลาผิดไปจากมนุษยและสัตวที่เขาเคยพบเจอมาทั้งหมด ไมมีทาทีวาวิญญาณบาปจะมีความ
รับรูหรือนึกคิดถึงสิ่งใดนอกจากเสวยทุกขอันเกิดกับตัวเรื่อยไป

แตรางนั้นก็คลายมนุษยเสียเหลือเกิน คลายจนเขานึกเวทนาเชนเดียวกับที่เคยใหความเวทนามนุษย
ดวยกันมากอน ขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยวารูปนี้คงมิไดถูกหลอเลี้ยงดวยหนอนนรกเปนแน ถาเชน
นั้นมันมีสิ่งใดเปนอาหารกัน

“กายนี้เปนอกุศลวิบาก หลอเลี้ยงดวยอกุศลวิบาก ถามีอาหารก็บันดาลขึ้นจากอกุศลวิบากเชนกัน”

เปนเสียงตอบของหลวงตาแขวน ซึ่งทําใหเกาทัณฑรูสึกตนวามีอีกภาคหนึ่งนั่งอยูในกุฏิทาน เมื่อมีสติรู


เชนนั้นก็นึกสงสัยอีก วาสัตวนรกตนนี้ทํากรรมอะไร จึงตองมาทรมานทรกรรมสาหัสนาสยองเกลาเหลือ
ทน

"มันกําลังรับกรรมจากครั้งที่เคยเปนนักบวชผูทรงคุณ แตบอนทําลายตนเองในบั้นปลายดวยการกระทํา
อันเปนทุศีล เมื่อเพื่อนนักบวชผูมีศีลบริสุทธิ์พยายามตักเตือนและโนมนาวใหแกไข ก็เกิดโทสะ พูดหยาบ
ชาลามก บริภาษตางๆนานา แถมยังชักจูงบริษัทบริวารใหเชื่อวาผูมีศีลนั้นเปนตัวตลก มีกิริยานาขบขัน
และเปนนักบวชทุศีลเสียเอง พาคนมากมายใหมีบาปมีมลทินอยางหนักตามไปดวย"
๑๘๑

ดวงจิตของเกาทัณฑรอนผาวเหมือนถูกทรายพิษซัด ดวยเพราะระลึกไดวาตนก็เคยทํากรรมคลายๆอยาง
นั้นมากอน เรื่องหมั่นไสคนดีนะเปนธรรมดาของคนชั่วอยูแลว เขาเคยคอนแคะนินทาเพื่อนรวมงานบาง
คนที่ทําตัวสมถะเรียบงาย ใจดีเหมือนพอพระ เปนที่กลาวขวัญของสาวๆ ใชคําพูดชวนขันจนหลายคน
มองหมอนั่นเปนตัวตลก และกระทั่งสงสัยวาเต็มเต็งหรือเปลา

แปลวาเขาขายมาอยูในบัญชีนรกชนิดเดียวกับสัตวตนนี้?

เปลี่ยนจากรอนมาเปนหนาวสะทาน กระทั่งเกิดความยะเยือกลึกดวยความกลัวบาปอันเคยกอไวแลว นี่


สักวันเขาก็จะตองมานอนบิดไปบิดมา หนอนขึ้นตัว ลิ้นยาวฉีกเปนแฉกเหมือนอยางนี้หรือ?

โอย...

สัตวนรกตรงหนาเริ่มเปลี่ยนจากอาการบิดทุรนทุรายเปนดิ้นปดเราๆ แลวกระแทกตัวกับพื้นขึ้นลงตั้บๆ
ดวยฤทธิ์ทรมานอันเผ็ดรอนกลาแข็งถึงขีดสุด มือไมปดหนอนวุน ทั้งขยุมขยํา ทั้งลวงเขาไปในแผลใหญ
กําหนอนนรกออกมากลุมแลวกลุมเลาเพื่อปาทิ้ง แตทิ้งเทาไหรก็ไมมีทีทาวาจะลดจํานวนลงสักนิด ยังคง
ไตยุบยั่บยั้วเยี้ยไมรูจักกี่หมื่นกี่พันตัว ยิ่งดูยิ่งขนหัวลุก มองเห็นเปนตัวๆกําลังปนปายเขานอกออกในราง
รายของวิญญาณบาปอยางครึกครื้น มากมายจนลน ตองปนปายอยูบนหลังพวกเดียวกันเองก็เยอะ

ถามีกายหยาบอยูดวยปานนี้เขาอวกไปแลว

เปนนานกวาที่สัตวตองทัณฑกรรมตนนั้นจะทุเลาเจ็บลงนอนดิ้นนอยลงเหมือนตอนแรก เกาทัณฑไดเห็น
ดวยตาวาความเผ็ดรอนแหงกรรมชั่วนั้นก็ยังมีหนักบางเบาบางสลับกัน ใชจะรับแตรสกลาแข็งคงเสนคง
วาตลอดไป

"มีอยู"

เสียงหลวงตาแขวนดังขึ้นอีก ไมแนใจวาแววอยูในจิตหรือยินผานประสาทหูกันแน

"มีนรกบางขุมที่สัตวบาปไดรับทุกขเวทนากลาแข็งเสมอตนเสมอปลาย ไมมีบรรเทาลงเลยสักขณะจิต
เดียว อยางเชนอเวจีมหานรกที่พระเทวทัตกําลังเสวยวิบากอยูเดี๋ยวนี้ ที่เอ็งเห็นนี่เปนแคนรกขุมกลางๆ
เทียบแลวไมทุกขสาหัสสากรรจนัก มีผอนหนักผอนเบาบางตามวาระ คลายคนระบมไขบนโลกนั่นแหละ"

อะไรกัน...นี่นะหรือไมทุกขสาหัสสากรรจนัก คุณพระคุณเจา เขานึกวากําลังดูทัณฑกรรมที่โหดเหี้ยมที่


สุดในนรกเสียอีก!

เกาทัณฑเบือนหนาหนีไปจากภาพชวนสะอิดสะเอียนอยางเกินกวาจะรับภาพโหดเหี้ยมระดับนั้น หรือแม
นอยกวานั้นอีกตอไป
๑๘๒

ดวงจิตเหมือนสงกระแสวิงวอนมาถึงหลวงตาแขวน ขอตื่นจากฝนรายนี้ที

อยางชาๆ ภาพที่เห็นจางหายไปเหมือนเงาฝน แลวเกาทัณฑก็กลับสูภาวะปกติ รูสึกวาตนเองหนาซีด


เล็กลงเหลือเทาไมขีด นรกมีจริง ไมใชแบบสวรรคในอกนรกในใจ แตเปนอีกมิติหนึ่งที่ไปได อยูได สยด
สยองอยางที่ทําใหเขาตองใบกินไปชั่วขณะ

"เปนไง?"

ทานถามสั้นๆ เกาทัณฑมองพระอาจารยดวยดวงตานิ่งทื่อ มือสั่นระริก ตระหนักหากทานตองการ ก็อาจ


ใชกระแสความเปนศิษยอาจารยสะกดเขาใหเห็นอะไรก็ได โดยที่เขาไมจําเปนตองเขาสมาธิรองรับเสีย
กอน

"นากลัวเหลือเกินครับ"

ชายหนุมประนมมือตอบตามใจจริง หมดมาดทะนงลงสิ้น

"ภูมิเดิมของพระเทวทัตนะ เคยเปนอนิยตโพธิสัตวมากอน แลวขาจะใหรูไว วาสัตวที่กําลังหนอนขึ้นตัว


แลบลิ้นไดเปนแฉกๆนั่นนะ ก็เปนโพธิสัตวอีกองคหนึ่งเหมือนกัน"

เกาทัณฑเบิกตาโพลง ตกตะลึงเหมือนโดนทุบที่หัวอยางแรง

"เคยเปนเพื่อนหางๆกับเอ็ง เอ็งก็คือคนที่เขาเลนลอหยาบชาดวยนั่นแหละ เปนไง สะใจไหม คนที่เคย


เสียดสีเอ็งตอนนี้ลงไปนอนดิ้นในนรกแลว"

ผูเปนศิษยทําหนาตื่นอยูอยางนั้น เมื่อจําไมไดก็ไมอาฆาต เมื่อไมอาฆาตก็ไมเกิดความสะใจแตอยางใด


ตรงขาม สงสาร หดหู อยากใหวิญญาณบาปนั้นพนทุกขเสียโดยเร็ว นึกอยูในใจคําเดียววา ‘อโหสิ...อโห
สิ' นี่แหละหนอ กอกรรมทําเข็ญ ทําเวรทํากรรมกันมาแลวตางฝายตางลืม ทวาตองชดใช และรับวิบากที่
กอตามทางของแตละรูปนามอยางนี้

"เอ็งแผเมตตาหรือยกโทษใหเขาไมไดหรอก เพราะที่เห็นนั่นเปนการสะกดจากขา อีกอยางจิตของเขาไม


อยูในสภาวะที่จะติดตอกับเอ็ง หรือรับรูกระแสบุญที่ใครอุทิศใหไหว เพราะมัวแตแดวดิ้นจนลืมอะไรหมด
เอ็งคงไดแตเห็นไวเปนเยี่ยงอยางวาเมื่อรับผลอยางนี้ มันก็ไดแตจมลงแบบโงหัวไมขึ้น สังวรระวังอยาให
ถอยหลังลงอบายแบบเขาก็แลวกัน"

"ครับ"

หลวงตาแขวนพยักหนา
๑๘๓

"ถาพลาดตอนจะตาย จิตเปนอกุศล พลัดไปอยูในอบายภูมิละเอ็งเอย อกุศลวิบากมันเรียงคิวเขามาไมรู


เทาไหร ตระเวนเสวยกรรมจากขุมนั้นมาขุมนี้ หมดขุมนี้ตอขุมโนน ที่เอ็งเห็นนั่นเปนแคหนึ่งในหลายสิบ
อัตภาพที่ยังรอเสวยวิบากชั่วอีกบานตะไทของเขา"

เกาทัณฑรับทราบดวยความสมเพชยิ่ง

"ขาตองการบอกใหเอ็งเตรียมตัวเตรียมใจไว ตอไปชาติใดชาติหนึ่งเอ็งพลาดอยางเขา เอ็งก็ตองไปเปน


เหมือนเขา หรือยิ่งกวาเขา จะกลับใจเสียก็ยังทันนะ ตอนนี้ศาสนาพุทธยังอยู หากคิดถอนพุทธภูมิก็พอมี
ทาง เรงพากเพียรบําเพ็ญภาวนาหนอย จบชาตินี้จะไดลาขาดจากสังสารทุกขใหพนๆ จิตเอ็งมีบารมี
ธรรมพรอมอยูแลว"

เกาทัณฑกลืนน้ําลายลงคออึกใหญ งันงกไปชั่วขณะ นี่มันเรื่องลอเลนที่ไหน ใครจะไปรูวาตอไปเขาจะ


กาวพลาดลงนรกสักกี่ขุม นิสัยหามๆไมคิดหนาคิดหลังอยางเขา...

เมื่อคิด เขาจะเปนคนฉลาด มีสติปญญารอบคอบถี่ถวนที่สุด ตริตรองมองการณไดไกลที่สุด แตเมื่อไมคิด


เขาก็โงไดเทาคนปญญาออน ขาดสติ ไรการไตรตรองใดๆ หุนหันพลันแลนอยูเรื่อย

ฆาสัตวตัดชีวิตเปนเบือก็เคย ขโมยของก็เคย เปนชูกับเมียเพื่อนก็เคย โกหกพกลมปนน้ําเปนตัวก็เคย


กินเหลาเมายาจนโอกอากนาทุเรศก็เคย

ดูแลวเหมือนบาแนๆ โอกาสหลุดหนี้กรรมมาถึงแลวในชาตินี้ จะสละไปงายๆอยางนั้นหรือ?

ความประหวั่นในผลกรรมทวมทับจนใจสั่น ถาปลอยโอกาสทองซึ่งนานครั้งจะมีนี้หลุดไป เขาจะตองไป


กอกรรมทําเข็ญดวยความไมรูอีกมากเทาไหร และจะตองไปชดใชกรรมในมิติมืดอีกเยิ่นยาวยืดเยื้อแค
ไหน?

เกาทัณฑขบฟนแนน เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดซึมขึ้นมาบนขมับ ขอบตาขยิบหลายหน ทําไมเขาถึงรูสึกวาตอง


ตัดสินใจเสียเดี๋ยวนี้ ชีวิตคงยังอยูอีกหลายป ไวรอคิดไปเรื่อยๆก็ได

ไมสิ...จะเปนถึงพระพุทธเจา มาเริ่มตนดวยลังเลคิดดูกอนเสียอยางนี้นะหรือ คนขลาดเยี่ยงนี้นะหรือจะ


ทํางานระดับไตรภูมิ ปดโธเอย...นรกก็นรกสินา!

กลับจากกลัวเปนกลาอยางบาบิ่นขึ้นมาในพริบตาเดียว ใจที่สั่นกลับปกมั่นยิ่งกวาเสาเหล็กที่ถูกตอกลง
ลึกทะลุชั้นหินแข็ง

‘กูยอมลงนรกเพื่อพระโพธิญาณ เวไนยสัตวอีกมากมายจะไดสบายเพราะกู'
๑๘๔

เห็นแลววาจิตชนิดนี้เทานั้นที่สมควรมุงบําเพ็ญพุทธบารมี ไมมีใครยอมแลกตัวเองเพื่อคนอื่น...ไมมี...
พระพุทธเจาคืออดีตผูบําเพ็ญบารมีอันเปนไปไมไดที่ใครจะทํา และเขาก็จะเปนหนึ่งในนั้น!

เกาทัณฑเหลือบตาอันโชนกลาดวยรังสีเจตนาอันแนวแนขึ้นมองอาจารย ทรงดวยตบะอันขมความกลัว
ไวใตอํานาจไดสิ้น ไมระยอ ไมยี่หระกับหนทางทุกขรอนอันทอดยาวยืดไกลเบื้องหนาแมแตนอย

"ถาการเปนพระพุทธเจาไมอาจหลีกเลี่ยงการเกิดเปนมนุษยสามัญธรรมดา ผมก็จะขอเกิดเปนมนุษยทุก
ชาติ ทุกครั้ง แมแตกตายลงตองไปรับผลกรรมอันเนื่องดวยความไมรูใดๆ ผมก็ยอมครับหลวงตา ขอยืน
ยันวาผมจะตองบําเพ็ญบารมีเพื่อเปนพระพุทธเจาใหได!"

น้ําเสียงมั่นคงที่ฟงสะเทือนโลกนั้นทําใหหลวงตาแขวนตบเขาฉาด หัวเราะออกมาดังลั่น นั่นเปนครั้งแรก


และครั้งเดียวที่เขาเห็นกิริยาเชนนั้นของทาน สําเหนียกวาหัวเราะนั้นซอนไวทั้งความพึงใจและความรัก
ใครหวงใยอาทร มิใชหัวเราะดวยความขบขันขาดสติอยางปุถุชนทั่วไป

หัวเราะอยูพักหนึ่งทานก็หยุดกะทันหัน

"อยางนี้สิวะมันถึงจะไปตลอดรอดฝง เอานรกมาขูก็ไมกลัว ดึงดันจะไปใหได คนปรารถนาโพธิญาณนะมี


เยอะ แตที่ไปถึงจริงนะนอยเทานอย ทนทุกขในสังสารวัฏกันไหวสักกี่น้ํา"

แลวหลวงตาทานก็ยิ้มเย็น เปลี่ยนสําเนียงเปนออนโยนลง

"เอ็งกับขานะบําเพ็ญบารมีกันมาคนละมากตอมากแลว มาไดเกินครึ่งทางพุทธภูมิแลว เอ็งอธิษฐานไป


เมื่อกี้ไมใชครั้งแรก แตเปนการอธิษฐานสําทับย้ําซ้ําครั้งที่หมื่น แสน ลาน เขาลึกจนถอนไมขึ้นแลว ตอให
ขูตัดหัวขั้วแหงยังไงก็เปลี่ยนใจไมไดหรอก"

เกาทัณฑตาใสขึ้นมาทันที รับรูวาที่แทนั่นคือการลองใจ แถมพกดวยการเพิ่มบารมีวาดวยความปกใจ


หนักแนนในพุทธภูมิอีกโสดหนึ่ง

"แปลวาผมเคยไดรับพุทธพยากรณมาแลวในอดีต ชาติใดชาติหนึ่งใชไหมครับ?"

หลวงตาแขวนจองหนาศิษยหนุมนิ่งไปเปนครู กอนจะพยักหนาลงชาๆ ยังผลใหเกาทัณฑลิงโลดและยิ้ม


แทบเปนหัวเราะ

ทวาพระอาจารยก็ปรามความฟูเฟองลิงโลดของผูเปนศิษยใหรํางับลงดวยความนุมนวล
๑๘๕

“ทางไปสูพระนิพพานมีอยูหลายสาย สายของขากับเอ็งมันยาวไกลกวาชาวบานเขา อยาตื่นเตนดีใจไป


เลย ไมมีรางวัลพิเศษอะไรรออยูเกินไปกวาพระนิพพานหรอก หาเรื่องเดินออมเอง จะเปนอรหันตสาวก
ในชาตินี้หรือรอเปนสัมมาอรหันตสัมพุทธเจาเบื้องหนาโพนนะ ก็ไดไปนิพพานที่เดียวกัน ไมแตกตางกัน
เลย ระลึกไวก็แลวกันวาเอ็งเลือกเอง ไมมีใครบังคับ อยาเสียใจในภายหลัง ตั้งจิตไวใหหนักแนน...อยา
เสียใจ แลวเอ็งจะเดินไกลไปไดถึงฝงสมปรารถนา"
๑๘๖

แดดรมลมตกในยามเย็น แพตรีออกดูแลรดน้ําตนไมตามปกติ สีหนาหลอนเต็มไปดวยความสงบสุขและ


เหมือนไดรับความฉ่ําเย็นตามน้ําที่ลงรดแตละพันธุไมไปดวย

จากเชาถึงเย็น ดูเวลาลัดผานไปรวดเร็วอยางเหลือเชื่อ หลอนทํางานบานละเอียดลออทุกซอกมุมดวยใจ


จดจอเพื่อกันจิตมิใหฟุงซานวกวน แตงานบานอาศัยความเคยชินในการเคลื่อนไหวทางกาย ใชใจคิดอาน
เพียงเศษเล็กเสี้ยวเดียว เปดชองใหเรื่องอื่นแทรกแซงไดมากมาย จึงนาอายที่ทบทวนแลวพบวาตนวก
วนคิดถึงอยูแตคําพูด ทวงที และสายตาของเขาคนนั้นตลอดวัน…

บอกตนเองซ้ําแลวซ้ําเลาถึงความปรารถนาเดิมที่จะตัดใจใหขาด เขาไปขวาหลอนจะไปซาย ทวาแคคิดก็


รูแลววาตอนนี้หัวใจหลอนออนแรงตานลงทุกที

รดน้ําเสร็จมาลงนั่งพรวนดินใหกุหลาบกอหนึ่งที่หลังบาน สีสันออกชมพูแดงเรื่อลานตาชวนใหเกิดความรู
สึกออนหวานขึ้นมาในอก แพตรีระบายยิ้ม นึกถึงคํากลาวลาของเขาเมื่อเชาหลังจากใสบาตรเสร็จ

‘ผมตองไปพบหลวงตาทาน…แลวผมจะกลับมาหาแพนะฮะ'

ตอนนั้นคิดไมออกวาจะตอบอยางไร หรือแมกระทั่งทําสีหนาแบบไหน จึงจะเหมาะกับโอกาส นึกอยาก


หลบหนาไปจากบานตลอดบายดวยซ้ํา การอยูรอพบเขาอาจเหมือนตอบรับสัมพันธภาพอยูในที แยตรง
ที่มีทางเลือกนอย เพราะนี่เปนบานปู และเขาก็เปนหลานแทๆ อยากเขาออกเมื่อไหรก็อางวามาหาปูได
ตลอด

"กุหลาบสวยจัง"

แพตรีสะดุงสุดตัว หันขวับมาทางตนเสียงก็พบเขาผูกําลังมีบทบาทกับความคิดของหลอนอยูเดี๋ยวนั้น

ชายหนุมซอนหัวเราะไว มันเปนนิสัยเสียๆอยางหนึ่งที่ชอบทําใหคนกําลังเผลอตัวตกใจ เขาเปนฝาย


เลื่อนไปนั่งตรงหนาหญิงสาว จองหนาหลอนยิ้มๆอยางเอ็นดู เอยตอดวยสุมเสียงนุมแนน

"ผมเคยนั่งทานขาวกลางวันบนตึกที่ทํางาน มองออกมานอกหนาตาง เห็นตึกรามบานชอง เห็นรถราวิ่ง


ขวักไขว แลวก็เห็นตนไมบนเกาะกลางถนน"
๑๘๗

แพตรีรักษาสีหนาเปนปกติ มิไดมีปฏิกิริยาอยางใดกับการที่จูๆเขาก็เขามาแกลงใหตกใจเลนเพื่อความ
บันเทิงเฉพาะตัว ฟงเขาดวยนัยนตาทอดนิ่งราวกับคุยกันมาอยางตอเนื่อง

"รูไหมผมคิดอะไร ผมคิดวาตึกกับรถนี่ถาใชเวลาศึกษาเสียหนอย ผมคงเขาใจ สามารถออกแบบ หรือคุม


งานสรางไดไมยาก จะใหเปนรูปรางสมทรงแข็งแรงทันสมัยยังไงก็ได ไมเกินปญญาผมหรอก แตวา...
สําหรับตนไม ผมคงไมมีทางเขาใจเลยวาธรรมชาติทําอยางไร ถึงมีการแตกกิ่งกานสาขา ยื่นยาวออกไป
ในทิศตางๆรอบตัว และผลิดอกออกใบอยางที่เราเห็นกัน ขั้นตอนการงอกเงยจากความเปนเมล็ดพันธุ
ออกมาเปนรูปเปนรางอยางนี้นะ คิดดูแลวลี้ลับจริงๆเลย มนุษยอาจทําไดอยางเดียวคือใสเมล็ดพันธุตน
กําเนิดลงไปในดิน แลวก็ใหปจจัยในการเจริญเติบโตแกมันบาง นอกนั้นเปนหนาที่ของธรรมชาติทั้งหมด"

หญิงสาวยังฟงเขานิ่ง ประกายตาทอแววขัน มุมปากเริ่มแยมออกหนอยๆ อาจเห็นวาอยูๆเขาก็เอาอะไร


มาเพอเจอใหฟงกระมัง เกาทัณฑสบตาตอบดวยใจที่เปดเผย กอนเสหันมองหลังคาบาน

"บานหลังนี้ดีนะ มีตนไมเยอะ และทําใหผมไดเรียนรูวาธรรมชาติการเติบโตของตนหมากรากไม มีสวน


สัมพันธใกลชิดกับจิตใจของผูเลี้ยงยังไง เคยไดยินวาคนมือรอนปลูกตนไมแลวชืดเฉา ตองคนมือเย็นถึง
จะปลูกแลวงามตา ผมลองสังเกตดูแลว ทุกตนในบานนี้ดูมีชีวิตชีวาและเหมือนสงยิ้มทักทายผูมาเยือนให
สดชื่นไดทุกเมื่อ เรียกวาเห็นตนไมแลวรูเลยวาใจคอเจาของเปนอยางไร และมีมือเย็นขนาดไหน"

ชายหนุมหันกลับมามองมือเรียวสมสวนของแพตรี กอนเหลือบขึ้นมองหนา เห็นหลอนกําลังมองพินิจเขา


ดวยดวงตาคูสวย นิลเนตรฉายแววนิ่งดูมีพลังสะกดผูถูกจับจองใหออนระยอบอยูในอํานาจอิตถี กระแส
ความดีที่ผนวกกับรูปกายอันเกิดแตบุญเกาอยางลงตัว สงใหหลอนเปนเสมือนสิ่งมีคาถูกตั้งไวบนที่สูง
อยางนากลุมเมื่อคิดไขวควา

เกาทัณฑคุมสติและสั่งตนเองไมใหเกิดความหลง ยิ่งหลงเทาไหรยิ่งออนแอเทานั้น ใครจะไปอยาก


พิศวาสคนออนแอเลา

"แพรูไหม ทําไมตนไมตางชนิดตางพันธุพวกนี้ถึงมีกิ่งกานสาขาตามแบบที่เราเห็น มีเหตุผลอะไรกับการ


เปนดอกกุหลาบสีแดง มีเหตุผลอะไรกับการมีหนามแหลม?"

แพตรีฟงคําถามอจินไตยนั้น นัยนตายังจองเขาไมวาง มุมปากยังแตมยิ้ม ริมฝปากอิ่มลางบางบนขยับ


เหมือนจะลังเลหาคําพูดอยูเปนครู กอนตอบในที่สุดวา

"เพื่อใหเราเห็นมันเปนอยางนั้นมั้งคะ"

เกาทัณฑเลิกคิ้วคิดตามคําพูดหลอนเล็กนอย กอนเมมปากลากเสียงยาวราวกับเกิดความเขาอกเขาใจ
เต็มตื้น
๑๘๘

"อื๊อม!...”

ความหนาตายของเขาทําใหแพตรีอดหัวเราะไมไดตามเคย

”ที่แทธรรมชาติก็ตองการเอาใจมนุษยและสัตว เขาทีมาก นาเสียดายที่คนสวนใหญมองขามความนาชื่น


ใจของธรรมชาติไปนะ เห็นตนไมบานนี้แลวผมอยากมานอนเลนที่นี่ทุกวันเลย คงหลับสบายนาดู”

หญิงสาวเบนมองทางหนาบานแลวถามวา

“เขามาไดยังไงคะ คงปนรั้วใชไหมนี่?”

“เปลาฮะ ยังกลางวันอยู ไมไดเวลาปน…เผอิญปูลงมานั่งเลนหนาบานนะ”

“แลวทําไมไมอยูคุยกับทานละคะ?”

“รูใจฮะ เห็นหนาผมปูก็นึกรําคาญแลว รีบเลี่ยงมาหาแพดีกวา แพคงไมรําคาญผมหรอก”

“รูไดยังไง?”

ประสานตากันนิ่ง ชายหนุมยิ้มออน สงสัยขึ้นมาเลนๆวาถาตอนนี้เขารวบรางกลมกลึงตรงหนาเขามา


กอดแนบอกตามใจตนเอง จะโดนปูเลนงานถึงขั้นหัวรางขางแตกหรือเปลา

“เมื่อกี้พอไหวปู ปูรีบบอกวาแพอยูหลังบาน”

แพตรีวางเสียมเล็กในมือลงขางกาย กอนกลาวเชื้อเชิญเขาดวยทาทีมีมารยาทเยี่ยงผูมีหนาที่ตอนรับ
อาคันตุกะ

“ไปนั่งที่ดีๆเถอะคะ เดี๋ยวจะหาน้ําให”

ชายหนุมรูทันวาหลอนคงพาไปนั่งใกลปูเปนแน จึงวิงวอนวา

“ขอนั่งสบายๆบนหญานุมนี่สักพักเถอะฮะแพ ผมชอบกลิ่นมะลิแรงๆปนกลิ่นไอดินหลังรดน้ําตนไมอยาง
นี้จัง อยูแตบนตึก หางดินหางหญามานานเต็มที…นะ”

“ชอบธรรมชาติดวยหรือคะ?”

ถามอยางดูออกวาเขาเปนประเภทชอบเสพเฟอรนิเจอรหรูและไอเย็นของเครื่องปรับอากาศเสียมากกวา
เกาทัณฑลืมตาโพลง มองหลอนดวยทาทีขึงขัง
๑๘๙

“ผมนะ นักธรรมชาตินิยมตัวยงเชียวนา เอาไหมละ ใหมาชวยแพรดน้ําพรวนดินทุกวันเลยยังไหว”

พูดจบก็ยิ้มพราย มองหลอนดวยนัยนตาแฝงแววกรุมกริ่มเล็กๆ แพตรีเห็นเขาก็ถามมาอีกทางเพื่อลด


แววชนิดนั้นในตาเขา

"เปนไงคะวันนี้ กาวหนาไปถึงไหนแลว?"

ไดผล หนาตาเกาทัณฑดูธรรมะธัมโมขึ้นกวาเดิมทันที

“กาวหนาหรือ? หลวงตาใหผมถอยไปขางหลังกาวหนึ่งตางหาก เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองและพรอมจะเริ่ม


นับหนึ่งใหมจริงจัง”

หญิงสาวมองอีกฝายอยางนึกฉงน ดูทาทางเขาไรแววเลนเชนผูรูอรรถรูธรรมพึงปฏิบัติยามกลาวถึงของ
สูง แตถอยคําก็ดูเหมือนเจตนาเลนลิ้นใหดูขลังอยางเลื่อนลอยเสียมากกวา

“หมายความวายังไงคะ?”

เกาทัณฑเกือบเลาตรงๆ แตชะงักไว กลาวออมมาอีกทาง

“ตั้งแตทําสมาธิได เขาเห็นสายลมหายใจชัดเจนตอเนื่องเปนนิมิต ผมก็รับรูแลวนะวา ‘การเห็น’ นั้นมีมิติ


พิสดารเกินกวาการใชสองแกวตาคูนี้มองโลก ความจําก็เหมือนกัน ดวยเพียงภาวะจิตปกติ มีสํานึกคิด
อานตามธรรมดาอยางนี้ อยางดีก็ทบทวนไปไดเพียงอดีตใกล และเห็นเปนมโนภาพเทาที่ฝงใจอยางราง
เลือน ขาดลําดับ ขาดศักยภาพในการสืบสาวไปไกลไดตามตองการ”

ลมหายใจของแพตรีผอนแผวลงเมื่อเริ่มจับทิศถูก ทอดมองเขาอยางรอคอยวาจะพูดคําใดตอ พอเห็น


เงียบนาน ก็เปนฝายเตือน

“แลวยังไงคะ เมื่อมีศักยภาพในการสืบกลับไปไกล…คุณเห็นอะไร?”

เกาทัณฑยิ้มนิดหนึ่ง แมไวสัมผัสนอยกวานี้อีกสิบเทาเขาก็ทราบไดวานั่นเปนอาการอยากรูอยากเห็นที่
ผิดวิสัยของหลอนมาก

“ผมควรจะเห็นอะไรฮะ?”

หญิงสาวอึกอัก กอนรูสึกตัวและรักษากิริยาเปนปกติดังเดิม

“ก็นั่นสิคะ เห็นเลาเหมือนกับรูอะไรดีๆมา นึกวาจะถายทอดใหฟงบางในฐานะศิษยอาจารยเดียวกัน”

“แพเปนศิษยรุนพี่นี่ ตองรูดีกวาผมเยอะแนเลย”
๑๙๐

แพตรีเงียบ ตัดความกระวนกระวายใครรูที่เกิดขึ้นปุบปบออกจากใจไปสิ้น และเสมองผีเสื้อสองตัวที่กําลัง


ขยับปกอวดลายสวยหางออกไป

“คําวา ‘ชาติกอน’ นี่ดูตลกและไกลตัวจริงๆนะ ฟงทีไรผมขําทุกที ตอเมื่อเรารูจักมันในฐานะความทรงจํา


ของตัวเอง ยอนไดชัด รูไดจริงเทากับที่สามารถนึกไดตลอดเวลาวาเมื่อวานเปนอยางไร เราไปทําอะไร
มา ชาติกอนก็คืออีกกายหนึ่งกอนกายนี้ จําไมไดก็เปนเรื่องโกหก จําไดเมื่อไหรก็เปนเรื่องจริงไป”

หญิงสาวเฉย ทวาสังเกตจากสายตาที่เล็งนิ่ง เกาทัณฑก็ทราบวาหลอนกําลังเงี่ยหูฟงอยางมีใจจดจอ

“สมมุติวาแตกอนผมเคยบําเพ็ญตบะ เปนผูวิเศษมีฤทธิ์เดช รูแจงแทงตลอดในการใชอํานาจจิตมาแลว


นั่นก็แคปรากฏการณหนึ่งในอดีตที่สูญหายตายจากไป ถาใครมาบอกดวยปากเปลาใหรับรูเดี๋ยวนี้ ผมคง
หัวเราะกาก และเห็นเปนเรื่องขบขันไรสาระมากกวาจะนึกเชื่อ…นั่งขับรถไปติดไฟแดงทุกวันอยางผมนะ
หรือเคยเปนฤาษี เหาะเหินเดินอากาศได”

แพตรีเหลียวมามองดังคาด สีหนาบอกชัด หลอนทราบวาคําพูดคลายเปรยเปนตัวอยางของเขามิใชเพียง


สมมุติเลน เพราะหลอนรูลวงหนาอยูกอนแลววานั่นคือเรื่องจริง

เกาทัณฑเกิดความฉลาดแกมโกงขึ้นมาทันใด แมถึงตอนนี้ยังไมรูอะไรเลย เขาก็จะลักไก

“ทําไมแพตองรอใหผมรูเรื่องระหวางเราดวยตัวเอง เห็นผมลืมก็นาจะปรานีบอกกลาวกันบาง ถาชาตินี้


ผมจําสัญญาระหวางเราไมได และหายหนาตลอดไปเพราะนอยใจทาทีเมินเฉยของแพ แพจะทนเสียใจ
ไหวหรือ?”

แพตรีเขมนมองทั้งหนาเขาแนวนิ่งคลายพยายามผานใหเห็นถึงขางใน

“ทําไมถึงจะไมไหวละคะ เราผูกพันกันแนนหนานักรึไง?”

“คําวา ‘ผูกพัน’ นอยเกินไป…”

แลวชายหนุมก็ขยับเขารุกประชิด ดึงมือซายบนตักหลอนขึ้นกุม แพตรีมองเขาตื่นๆดวยความคาดไมถึง


กับการจูโจมชนิดนั้น พลังและไออุนในอุงมือแกรงมีอิทธิพลเฉียบพลันใหออนลงไดทั้งราง หลอนใชมือ
ขางที่เปนอิสระยันพื้นเอนกายอยางพยายามหนี พลางเคนเสียงเขียวดวยสัญชาตญาณปองกันตัวของ
หญิง

“เอะ! จะทําอะไรคะ?”

ปลายเสียงพราสั่นเต็มทนจนเกินกวาจะนาเกรง เกาทัณฑมองริมฝปากสั่นระริกของหลอนดวยความรูสึก
เปนตอ แพตรีกมหนาหลบอยางรูวาเขากําลังโนมเขามาจะหอมแกม
๑๙๑

“แพ…”

เสียงมีเมตตาของปูเรียกดังแตไกลและฟงรูวากําลังเดินใกลเขามา เกาทัณฑถึงกับผวา ปลอยมือหญิง


สาวทิ้งทันที และรีบดึงกายขึ้นนั่งตรงเปนปกติ ใจเตนตึกๆ สวนแพตรีหนาแดงราวกับทาดวยชาด เบี่ยง
กายไปทางอื่นที่เมื่อปูมาถึงแลวจะเห็นเพียงดานขาง

“เตรียมจัดขาวเย็นเถอะลูก”

ปูปรากฏตัวและยืนหางแคสิบกาว พอบอกหลอนเชนนั้นแลวก็หันมาสั่งหลานชาย เสียงเขมแตกตางจาก


ที่พูดกับแพตรีอยางเห็นไดชัด

“แลวนายเต มานั่งคุยกับปูขางบนมา!”

เกาทัณฑเงอะงะ แตก็รับคําเสียงดังผิดปกติแบบเด็กขี้ขโมยถูกจับได

“อะ…ครับ!”

ดึงกายขึ้นยืนดวยความเสียดายใจแทบขาด อุตสาหไดมือนุมนิ่มราวกับสําลีสวรรคมาถือไวแลว และ


กําลังจะเขาถึงแกมหอมอยูรอมรอ ทําไมฝนที่เปนจริงถึงพังครืนลงไดอยางนี้

นั่งลงตรงขามปู เกาทัณฑรูสึกหนาวๆรอนๆชอบกล แมสายตาของทานยังเปยมเมตตา ทวาทีทาขรึม


กวาเคย ประกอบกับที่เขารูอยูแกใจวาตัวเองเพิ่งกอคดีอาจเอื้อมเชยชมแกวตาดวงใจของทานมาหยกๆ
บรรยากาศเลยเหมือนหองสอบสวนผูรายที่เพิ่งถูกรวบตัวไดอยางไรอยางนั้น

“ปูมีลูกหลายคนทั้งหญิงชาย” ทานเริ่มดวยเสียงเปนกังวานราวกับเพิ่งอยูในวัยฉกรรจ “รักและหวง เลี้ยง


ดูอยางทะนุถนอมเทาเทียมกัน เขาใจดีวาแคไหนถึงเรียกรักลูก รักหลาน”

ชายหนุมกลืนน้ําลายเอื๊อก อารัมภบทแคนี้ก็เดาไดแลววาเมื่อกี้ปูเห็นแหงๆ จะจากมุมมองไหนนั่นสุดจะ


หยั่งทราบ ในเมื่อควรเปนบริเวณที่มีแมกไมมุงบังลับตาที่สุดของบานแลว

“ตอเมื่อเลี้ยงยายแพ ถึงรูวารักยิ่งกวาลูกเปนยังไง”

หลานชายยิ้มแหงๆ

“นั่นสิครับ ก็นาอยูหรอก”
๑๙๒

“ทุกวันนี้ถามีหวง ก็หวงเดียวคือยายแพ ฉันคงตายตาหลับยากถายังไมแนใจวาเขาจะอยูกลางดงเสือ


สิงห กระทิง แรดอยางไร”

เกาทัณฑฝนยิ้มใหตอเนื่อง ไดแตพยักหนากระตุกๆเปนระยะอยางไมทราบจะทําอะไรดีกวานั้น เพราะ


ชัดแลววาปูกําลังเริ่มเทศนา

“ฉันเคยเปนหนุมมากอน ถึงรูวาคนที่นาเชื่อถือ นาไวใจนะ ตองไมใชคนปากวามือถึง เพราะความ


ประพฤติแบบนั้นแสดงใหเห็นวาเคยชินที่จะใชสัญชาตญาณเบื้องลางนําความรูสึกฝายสูง ทํากับคนหนึ่ง
ไดก็สามารถทํากับผูหญิงคนตอๆไปทุกเวลา ทุกที่ ตอใหออกเรือนเปนฝงเปนฝา สมควรควบคุมตัวเอง
ใหอยูในรองในรอยแลว ก็จะยังไมวายเอาแตใจตัว เจาชูไปทั่ว”

ฝายถูกเทศนาสะอึกหนอยหนึ่ง นึกแยงในใจวาแพตรีคือคนสุดทายที่เขาจะแตะตอง ถาไดหลอนมา ผู


หญิงทั้งโลกก็หมดความหมายตลอดไป อยางไรก็ตาม เหมือนเขายามใจมาเชยชมสมบัติตองหามกลาง
บานเจาของ เปนฝายผิดวันยังค่ํา จึงจํากมหนากมตาขอโทษขอโพยเสียงออยตามระเบียบ

“ผมผิดไปแลวครับปู เผลอตัวใจเร็วไปหนอย”

“ไมหนอยละ แกคงทําบอยจนชินแลวตางหาก เห็นหลานสาวฉันเปนอะไร มาลวนลามกันกลางสนาม


หญาได”

แคจับมือหนอยเดียวคนรุนปูเรียกลวนลาม? เกาทัณฑปดตาลง งอหลังระทดระทวย กอนฝนอธิบายวา

“ผมเสียใจหากทําใหปูเห็นและเขาใจวาภาพที่เกิดขึ้นมาจากความมักงายไรสํานึก แตความจริงก็คือ ผมรู


ตัววาสัมผัสทั้งหมดละเอียดออนและเต็มไปดวยความใหเกียรติ มองแพดวยความรูสึกดานสูง ตางจากที่
ปูเขาใจเปนตรงขามนะฮะ”

“หมายความวาแกรักยายแพรึ?”

ปูถามตรงไปตรงมาจนเหมือนเอาเข็มแหลมทิ่มหลัง เกาทัณฑอึกอักอยูครูหนึ่ง ใชเพราะลังเลที่จะตอบ


แตออกประหมาที่ตองสารภาพกับปูซื่อๆโดยมิไดเตรียมเนื้อเตรียมตัวลวงหนา

“ครับ”

เขายอมรับฝดๆในที่สุด

“แลวคิดวาเขารักแกรึเปลา?”
๑๙๓

เกาทัณฑกะพริบตาสองสามหน

“ไวมีโอกาสดีเมื่อไหรผมจะลองถามเขานะครับ”

“ฉันแคอยากรูวาแก ‘คิด’ วาเขารักแกหรือเปลา ยามใจขนาดจะกอดจูบเขากลางวันแสกๆนะ ถาขาด


ความมั่นใจใครจะกลาละ”

ฝายถูกคาดคั้นทําหนาเรี่ยดวยความลําบากใจ

“คงอยางนั้นมั้งครับ ผมตองเขาขางตัวเองไวกอน เวลาคบหาสั้นจนเจาะจงยากวาควรเรียกอะไรก็จริง แต


ของแบบนี้เมื่อเกิดขึ้น ประสบการณที่ผานมาของผมก็พอบอกไดวาใชหรือเปลา”

ปูชนะยิ้มเล็กนอย

“แกเขาขางตัวเองแบบนี้บอยไหมนี่?”

หลานชายสะอึกอีกคํารบ

“ปูใหผมตอบตามความรูสึกนะครับ”

ชายชราพยักหนา

“ใหพูดแบบไมออมคอมนะ ปูไมนิยมคนเจาชูยักษ จะวาหัวเกาก็ตามใจ ในเมื่อยังไมถึงเวลาตกลงปลงใจ


ทําพิธีตกลองปลองชิ้นใหเปนเรื่องเปนราว แลวมาคิดหากําไรลวงหนานะ ฝายหญิงเสียเปรียบฟรีมานัก
ตอนักแลว เริ่มจากนิดหนอยหอมปากหอมคอ เดี๋ยวก็ลามถึงขั้นรังแกกัน ตัดไฟแตตนลมนะดีที่สุด แกจะ
ทึกทักตามอัธยาศัยยังไงก็ชาง แตหามแตะ!”

เกาทัณฑกะพริบตาทีหนึ่ง ไมไดตระเตรียมลวงหนามากอนเลยสําหรับวินาทีนั้น

“ปูครับ” เขาเริ่มตนหนักแนนอยางรูวากําลังจะพูดอะไรตอไป “ผมขอโทษอีกครั้ง และอยากพิสูจนตัวเอง


วาแมลวงเกินแพนอยหรือมากกวาที่ปูเห็น ก็พรอมจะรับผิดชอบทั้งหมด ไมใชความมักงายใจเร็วเลย
เดี๋ยวถาถามขอความยินยอมจากแพได และปูยอมรับ อาทิตยหนาผมพาพอแมมาหมั้นแพนะครับ”

ดวยเพราะมองปูอยูตลอดเวลา ชายหนุมจึงไมคิดวาตนตาฝาดที่เห็นปูระบายยิ้มโลงใจ คลายคนยกภูเขา


ออกจากอกไดเสียที หลังแบกไวหนักอึ้งแสนนาน แตชั่วพริบตาปูก็ปนหนาขรึมพูดเปนงานเปนการ
เหมือนเดิม

“อะไรกัน ฉันเห็นแกคุยกับยายแพนับคําได ถือสนิทตั้งแตเมื่อไหรถึงคิดมาหมั้นละนี่”


๑๙๔

เมื่อปูเริ่มออมคอมอยางสงวนทีเพราะอยูฝายหญิง เกาทัณฑก็เปนฝายตัดตรงเขาหาจุดบาง

“พูดเปดอกกับปูอยางหลานนะครับ ผมรักแพ ตองการแตงกับเขา ระหวางนี้เมื่อไปมาหาสูเพื่อทําความ


สนิทชิดเชื้อและทอดระยะเวลาพิสูจนตัวเอง จะใหผมเปนสุภาพบุรุษแคไหนก็ยอม แตขนาดหามแตะแม
ปลายเล็บนี่ ผมคงขาดใจตายเสียกอนถึงวันแตง เพราะฉะนั้นเพื่อความสบายใจ ก็นาจะมีพิธีหมั้นเพื่อให
โอกาสเราแสดงสนิทสนมกันตามโอกาสโดยไมเสียเกียรติใคร อยางที่ยอมรับกันตามประเพณีเรา”

ผูอาวุโสหัวเราะเอื่อย

“เคยพูดกับแพเรื่องนี้หรือเปลา?”

ชายหนุมสั่นศีรษะ

“ไมเคยครับ และรูดีวาเธออาจปฏิเสธเพราะเร็วเกินไป แตก็ยินดีเกอเพื่อบอกวาผมพบเธอแลวเกิดความ


รักจริงรุนแรงขนาดไหน ใหรูวาตองการเธอตั้งแตเดี๋ยวนี้ และรอไดนานเทาที่อยากพิสูจนกัน กับทั้งอยาก
ทราบดวยวาผมละเมอเพอพกอยูตามลําพังหรือเปลา หากหลงเขาใจผิด ก็จะไดถอนเทาไปกาวหนึ่งและ
เริ่มเขามาใหมอยางรูจักเจียมตัวประมาณตน ปูอยาหวงวาผมหุนหันพลันแลนเปนเด็กๆเลยฮะ ผมโต
แลว แนใจวาสรางตัวไวมั่นคงพอ ปลูกบานปลูกเรือนได พอๆกับที่สามารถปลูกรักและเลี้ยงดูใหเติบโต
อยางผูใหญที่มีความรับผิดชอบดีคนหนึ่ง”

เวนระยะขบริมฝปากหนอยหนึ่ง

“ผมรูอยางที่ปูรู ถาคิดมีชีวิตคู เลือกแพนะไมผิดแน แตเลือกผมอาจไมแนวาจะผิดหรือเปลา เพราะฉะนั้น


ปูกับแพอยากใหผมทําอะไร เลิกทําอะไร ระหวางหมั้นผมจะใหเห็นก็แลวกันวาเปนไปไดไหม”

ปูชนะยังยิ้มอยูในความสงบเยือกเย็น มองหลานชายดวยสายตาของคนอยูในโลกมานาน

“เดี๋ยวใหฉันถามแพเปนสวนตัวนะวาแกพูดเองเออเองไปคนเดียวหรือเปลา เรื่องการงานความมั่นคงของ
แกนะรูอยูหรอก ยังไงก็หลานแทๆของฉัน ฐานะยายแพก็เหมือนลูกพี่ลูกนอง ถาไดกันมันก็ทํานองเรือ
ลมในหนองนะแหละ แตความในใจของเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง เขาตองเลือกเองวาจะหมั้นหรือเมินใคร”

ค่ํานั้นแพตรีทําขาวอบสับปะรดกับลาบเห็ดมาวางพอทานสามคน ตลอดเวลาหลอนกมหนางุด ปูถามคํา


ตอบคํา สวนเกาทัณฑชวนปูพูดคุยเปนปกติ วางๆก็ออกปากชมรสอาหาร พยายามพูดใหแพตรีโตตอบ
แตหลอนเงียบและกมหนากมตาเฉยคลายเขาใจวาเขาพูดกับลมแลง

“พรุงนี้วันอาทิตย ผมอยากชวนปูกับแพไปทําบุญดวยกันไกลๆ"
๑๙๕

เขาพูดขึ้นมาในจังหวะหนึ่ง

"เนื่องในโอกาสอะไร?"

เกาทัณฑหยุดคิดเล็กนอย กอนตอบวา

“โอกาสที่ผมมีความรูสึกดีพอ พรอมจะทําบุญฮะ และอยากพาปูกับแพไปไกลถึงตางจังหวัดใหสบายใจ


บาง”

ปูหัวเราะหึๆ

“ฉันอยูนี่ก็สบายใจดีนี่นา ใหคนแกนั่งอุดอูในรถออกตางจังหวัดนึกวาเมื่อยนอยอยูรึ”

ชายหนุมพยักหนารับทราบอยางหมดหวัง แตแลวก็หูผึ่ง

“ลองชวนแพดูสิวาเขาอยากจะไปไหม”

สองหนุมสาวมองปูเปนตาเดียวดวยความคาดไมถึง ปูพยักพเยิดกับแพตรี

“อยากไปทําบุญตางจังหวัดกับพี่เขาไหม?”

เกาทัณฑชักมองออกวานั่นเปนการสอบดูวาหลานสาวมีใจใหเขาแคไหน หรืออีกนัยหนึ่งอาจเปนการจง
ใจใหเขารับรูวากะแคเดินทางไปเที่ยวกันสองตอสองนี่แพตรีก็ไมเอาดวยแลว อยาวาแตขอเจรจาหมั้น
หมายอะไรเลย

แพตรีหันขวับมาจองเขา หากสังเกตจะเห็นหนามุยนิดๆ หลอนเกือบบอกปูตรงๆวา

‘ไมอยากคะ เขาไวใจไมได!’

แตถาพูดแลวคงเหมือนหักหนาใหสะเทือนใจกันมากไปหนอย จึงตวัดหางตาผานเขานิ่มๆ หันไปมองปู


และเรียบเรียงประโยคปฏิเสธเสียใหมเปนน้ําเสียงทอดออน

“พรุงนี้แพอยากตื่นขึ้นมาใสบาตรตามปกติคะปู แลวตอนกลางวันถาไดพักผอนอยูกับบานก็คงสบายดี”

ปูชนะครางรับอือม กอนหันมาทางหลานชายเพื่อถายทอด

“แพเขาไมอยากไปกับแกนะเต”

เกาทัณฑหนาเจื่อนลง เริ่มเปลาเปลี่ยวที่หาพรรคพวกเขาขางไมไดสักคน
๑๙๖

“ชางเถอะครับ เอาไวโอกาสหนาปูเกิดอยากนั่งรถ แลวแพมีธุระทํานอยลง ก็ขอใหบอกแลวกัน สําหรับ


ผมพรอมเสมอ”

การสนทนาถัดจากนั้นเปนการผูกขาดระหวางปูกับหลานชาย ซึ่งก็กะพรองกะแพรงลงถนัด แพตรี


เหมือนแยกตัวออกไปอยูตางหาก พอหลอนอิ่มก็เดินหายไปทําอะไรก็อกแก็กในครัวซึ่งอยูหองติดกันทัน
ที

“ปูเอาเบอรผมไวนะฮะ ถามีธุระดวนอะไรก็อยากใหเรียกใชผมกอนคนอื่น”

เกาทัณฑควักนามบัตรจากกระเปาสตางคมาเขียนหมายเลขโทรศัพทในหองพักเพิ่มเติมจากเบอรมือถือ
และเบอรวิทยุติดตามตัวที่ปรากฏอยูแลว พอเขียนเสร็จก็ยื่นสง ปูรับมาดูแวบหนึ่งกอนหยอนใสกระเปา
เสื้อดวยทาทางคลายพรอมจะลืมภายในหานาที

สองปูหลานอิ่มในเวลาตอมา เกาทัณฑยกสํารับใสถาดตามแพตรีไปจะชวยลาง คิดวาจะหาโอกาสคุยกับ


หลอนอีกสักหนอย แตก็เห็นหายไปจากครัวเสียกอนหนานั้นแลว จึงลงมือลางถวยชามตามลําพังจนเสร็จ
ชักนึกทอขึ้นมาสําหรับคืนนั้น พอเช็ดมือแหงเลยไปลาปูซึ่งกําลังเดินเลนอยูหนาบาน

“ผมกลับละครับปู”

“อาว กินเสร็จกลับเลยเหรอะ?”

ปูถามแบบกระเซาเลน

“ชวยลางจานแลวนี่ครับ หรือวามีฝาบานตรงไหนโหว ผมจะไดชวยซอมกอนกลับ”

“เอาเถอะ ไวกินบอยกวานี้หนอยคอยไหววาน”

แลวปูก็ไขกุญแจประตูให เกาทัณฑเดินขามออกไปยืนนอกเขตบาน แตหันกลับมาทิ้งทาย

“ปูครับ ผมรักแพจริงๆนะ”

แลวก็ยกมือไหวอยางนอบนอม เดินขึ้นรถขับหายจากไปในความมืดของซอย

แพตรีเงี่ยหูฟงเสียงรถเขาหายไปอยูในหอง นอยครั้งที่หลอนนั่งเหมอเซื่องเฉยอยางคนวางงานเชนนั้น
อุงมืออบอุนของเขาทําใหระบบความคิดทั้งหมดสะดุดชะงักลงจนกระทั่งบัดนี้

โกรธเขาหรือ? เปลาเลย หลอนเปดใจรับและโหยหาอาวรณเขาเสียจนนึกละอาย ตองแกลงทําตัวเปน


ปฏิปกษเพื่อปกปดตนเองตางหาก เขาเคยเมินจนหลอนรูสึกไรคา และตองเดียวดายมากี่ป วันหนึ่งเมื่อ
๑๙๗

เขากลับมา จะใหพบวาหลอนยังคงเปดประตูไวกวางๆเหมือนเดิมทุกประการอยางนั้นหรือ เขาคงเห็น


เปนกอนกรวดนะซี

“แพ”

เสียงปูเคาะประตูเรียก หลอนจึงลุกขึ้นเปด ทั้งที่เหนื่อยลาและอยากพักผอน ทวาแพตรีฟงวาปูสั่งอะไร


กอนฟงความตองการของตนเองเสมอมาและจะเปนเชนนี้เสมอไป

เห็นปูนั่งรอที่เกาอี้โยกก็เดินไปนั่งสงบเสงี่ยมใกลๆ

“เขาขอหมั้นแพนะ…”

หญิงสาวชะงักกึก ตะลึงตะไล หนาซีดแลวกลับฝาดชมพูจัด

“จะใหปูตอบเขาวายังไงดีละ?”

แพตรีเรียกความคิดอานเปนครู กอนหลบตาปู มีความสะเทิ้นอายใหเห็นอยูในที

“เขาตองเปนบาแนๆคะ เพิ่งรูจัก เจอหนาคาตากันเทาไหรเอง”

“อือ นั่นสิ สรุปคือจะฝากบอกเตมันอยางนี้ใชไหม รอเวลาเห็นหนาคาตากันเยอะๆหนอย หายบาแลว


คอยคิดใหมอีกที”

หลานสาวกมหนาจีบปากซอนยิ้ม กิริยาเชนนี้เขาใจงายยิ่งกวาอะไรหมด

“ปูคอยติดตามถามไถความเปนไปของเจาเตมาตลอด พอรูละวาหมอนี่ไมยอมลงเอยสรางหลักปกฐานกับ
ใครเร็วนักหรอก เพราะยังมีเวลา มีโอกาสเลือกอีกเยอะ นี่ปุบปบมาขอแพ แสดงวาตกหลุมรักจนลืมตัว
ลืมอะไรหมดแลว”

แพตรีสะกดยิ้มเอาไว

“ตกไดก็ขึ้นไดมั้งคะ”

ผูเปนเจาของเรือนถอนใจ

“ความจริงเจาเตก็เขาทีนะ ถึงจะใจรอนไปหนอย แตก็มีดีพรอมทุกดาน ถารักแพจริง ก็คงรวมกันชวย


สรางบานสรางเรือนใหอยูเย็นไดงายหรอก ฝากแพไวในมือคนวางใจไดเมื่อไหร ปูคงหายหวง เปนคนแก
ใกลตายอยางสบายใจ”
๑๙๘

“ถึงยังไง แพก็รูสึกวาเขาเขามาเร็วเกินไปคะปู ถาไดทุกอยางตามใจนึก เขาคงเห็นแพไรคาอีก”

ปูชนะพยักหนา

“ก็จริง”

หลานคนงามเงยหนาชําเลืองสบตา ถามตามตรง

“ทุกวันนี้แพเปนภาระใหปูอึดอัดหรือเปลาคะ?”

ชายชราหัวเราะในลําคอ

“แพเลี้ยงปูมาตั้งนานแลว ใครเปนภาระใครกันแนละ ทุกอยางใหเปนไปตามความสมัครใจของแพเถอะ”


แลวทานก็ถามแบบยิ้มในหนา “วาแตพรุงนี้อยากอยูบานเฉยๆแนเหรอะ?”

มีความหวานในรสรักลอยวนออยอิ่งอยูในอก ใจนึกถึงแตมือนุมนากุมตลอดเวลา หลอนอาจรักนวลสงวน


ตัวจนคิดโกรธที่เขากาวรุกรวดเร็วเกินไป แตเกาทัณฑก็แนใจวาตนไมไดแสดงออกเกินเลยดวยใจดาน
หยาบแมแตนิดเดียว

ดูเหมือนกระแสโลกดึงดูดกลับไปเกือบหมดตัวแลว เพราะนึกอยากดื่มเหลากับเพื่อนสนิทสองสามคนที่
หางหนากันมาเปนอาทิตย ไมมีสิ่งใดหามใจ เมื่อคิดหยิบโทรศัพทมือถือขึ้นเรียกและนัดแนะวาจะไปรับ
ชวงถนนนั้นเปดใหวิ่งเพียงเลนเดียวเพราะขุดเจาะสรางสะพาน รถเครนตั้งตระหงานกั้นอีกเลนไว แถม
กําลังมีรถบรรทุกเทดินทราย รถจึงติดออเปนตังเมอยูอยางนั้นนานเน พอจะใหเขานัดหมายเพื่อนไดสอง
คน

ปดโทรศัพทนั่งเงียบครูหนึ่ง สัญญาณโทรศัพทก็กรีดแทรกความเงียบในรถขึ้นมา เกาทัณฑเอื้อมหยิบ


และกดปุมรับ กรอกเสียงลงไปเนือยๆ

“วาไง”

คิดวาคงเปนเพื่อนที่เพิ่งโทร.นัดกันนั่นเอง รอฟงวามีสิ่งใดติดขัด ก็ตองแปลกใจที่ตนสายเงียบนิ่งอยูเปน


นาน

“ปูใชใหโทร.มานะคะ…”

ในที่สุดเขาก็ไดยินเสียงนุมเย็นดังขึ้น ซึ่งก็ถึงกับทําใหตาโตเปนไขหาน
๑๙๙

“แพ!”

พักตั้งสติอึดใจหนึ่ง กอนเอยดวยน้ําเสียงแจมใสเปนปกติได

“มีอะไรใหชวยบอกมาเลยฮะแพ”

“ยังมีศรัทธาจะไปทําบุญตางจังหวัดพรุงนี้อยูหรือเปลา?”

คราวนี้เกาทัณฑถึงกับอาปากคาง แตพริบตาเดียวก็พยักหนาแข็งขัน ราวกับหลอนอยูใกลและมองเห็น


ได แตกอนหลุดเสียงตอบก็ไดยินแตรไลหลัง เมื่อเงยหนาก็พบวาขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวหางออกไปแลว

“แนนอน!”

รีบตอบแลวเขาเกียรเหยียบคันเรง สายตาหาซอยเหมาะไดก็เขาจอดแอบทันที ขับตอมีหวังชนแนถามือ


ไมสั่นอยางนี้

“วางแผนไวยังไงคะ?”

“มีเวลาแคไปเชาเย็นกลับนี่คงตองเลือกที่ใกล เทาที่ผมทราบพระสายวัดปาผูเปนสุปฏิปนโนทางภาค
อีสานยังอยูใหกราบไหวอีกมาก แพแนะนําดีกวาฮะ ผมเองเพิ่งเขามา ยังรูนอย”

“ถาเปนจังหวัดใกลและดิฉันนับถืออยูมากก็คงเปนหลวงพอพุธ ฐานิโยคะ ทานเดินทางเทศนบอย เพราะ


มีวัดสาขาอยูหลายแหง แตเทาที่เผอิญทราบมาเมื่อหลายวันกอน ตอนนี้ทานพํานักอยูวัดปาสาละวันที่
โคราช”

“ไดเลยฮะแพ”

เกาทัณฑยิ้มเปยมปติสมใจ ไมตองการรูเหตุผลในการเปลี่ยนใจของหลอน รับรูเพียงการตัดสินใจที่


แนนอนนี้แลวเปนพอ

“แพจะใหผมไปรับกี่โมง”

“คุณสะดวกกี่โมงละคะ?”

ชายหนุมนึกถึงนัดทานขาวกับพอแม ปกติบานเขาทานเชากันเจ็ดโมง คํานวณเวลาแลวก็บอกไปวา

“แปดโมงครึ่งไดไหม?”

“คะ…ก็ได” หลอนรับงายๆ “เทานี้นะคะ”


๒๐๐

พูดจบก็วางสายไปเลย เกาทัณฑลดแทงโทรศัพทลงจากหู ตาเปนประกายวาววามอยูในความมืด


เหมือนกริ่งแกวนับรอยสงเสียงเปนกังวานใสในอากาศฉ่ําเย็นรอบกาย เอนหลังพิงพนักปดตาลงอยาง
เปนสุข เสพความอิ่มเอมชนิดนั้นจนเต็มตื้นกอนโทร.หาเพื่อนเพื่อบอกเลิกนัดทั้งยังหลับตา

เพื่อนโหวกเหวกโวยวายกับการเบี้ยวนัดดื้อๆของเขา พอเกาทัณฑบอกวาเพิ่งนึกไดพรุงนี้ตองทําบุญ
เพื่อนยิ่งดาหนักกวาเดิม หาวาเขาทําเปนตลก นาถีบมากที่เพิ่งโทร.นัดเองเมื่อกี้แลวจูๆก็บอกเลิก หลอก
ใหอาบน้ําแตงตัวคอยเกอ ถาอยางนายเกาทัณฑเลี่ยงเหลาเตรียมทําบุญ ชาวบานคงตองเลิกกินเนื้อสัตว
หันมาถือศีลแปดนอนพื้นกระดานกันทั่วประเทศแนนอน

นั่นทําใหเกาทัณฑเห็นอยางชัดเจนวาเมื่อวานของตนเปนเชนไรในสายตาคนอื่น และพรุงนี้กําลังจะ
เปลี่ยนไปเชนไรในความรับรูของตนเอง
๒๐๑

ตื่นนอนขึ้นมาในเชาตรูของวันนั้น สิ่งแรกที่เกาทัณฑตองการคือนั่งลงทําสมาธิ ดวยคิดถึงปติ สุข และ


ความเงียบเย็นละเมียดละไม อันเปนรสสมาธิระดับที่ตนเขาไดถึง นั่นทําใหทราบวาเขาเริ่มติดสมาธิแลว
อยากทําเองโดยปราศจากจุดหมายลอใจอันใดนอกเหนือจากรสสงบวิเวกอันเยี่ยม

การเสพปติ สุข และความสวางอันเกิดจากการรวมจิตนิ่งนั้น ใครทําไดสม่ําเสมอทุกวันสักชวงหนึ่งแลวละ


เวนสักหนอย จะรูสึกเหมือนขาดบางอยางไป คลายพลังงานบางสวนแหงหายและไมถูกนํามาเติมใหเต็ม

และนั่นเปนอีกเชาหนึ่งที่เขาทําสมาธิไดแนบนิ่ง เนิ่นนาน เมื่อลืมตาขึ้นแลวก็มีกําลังวังชา เดินเหินได


คลองแคลวสบายตัวสบายใจหนอย กับทั้งจิตมีสภาพพรอมจะขึงนิ่ง เขาล็อกขณิกสมาธิอยูตลอดเวลา ขอ
เพียงนึกเทานั้น ทําใหเกาทัณฑคิดวาการฝกจิตชางคุมคาเหลือหลาย ลงทุนแคความเพียรในชวงตนนิด
เดียว แตชีวิตที่เหลือทั้งหมดสามารถเสพสุขอันประณีตไดดังใจนึก จิตโปรงโลงเหมือนไมอาจถูกกระทบ
จากสิ่งใด อะไรก็ตามผานเขามาจะแลนลองเลยไป เชนเดียวกับที่ฝุนทรายไมอาจซัดเขากระทบอากาศ
วางและแสงสวางอาภา

ใจคอของเขาเยือกเย็นลง คลายปลีกตัวไปอยูอยางสงบผาสุกตามลําพังในที่หางไกลความวุนวาย ถึงแม


ความเปนจริงยังขยับกายอยูทามกลางส่ําเสียงความเคลื่อนไหวรอบตัว และนั่นคงมิใชการทึกทักตาม
อัตโนมัติของตนเองคนเดียว เพราะระหวางรวมโตะทานขาว แมทักขึ้นวา

“ดูเตหนาตามีสงาราศีแปลกไปนะ ยังกับเพิ่งออกมาจากวัด”

ชายหนุมยิ้มหนอยๆ ทําสมาธิบอยจนจิตใจผองแผวนั้นเปนเชนนี้เอง

“พักนี้เตมันไปเยี่ยมคุณพอบอยนะ”

อารามหันไปใหความรูแกผูเปนภรรยา ธารีเลิกคิ้วนิดหนึ่ง

“จริงเหรอ?”

ฝายสามีพยักหนาและเสริมมาอีก

“คงไปติดพันบรรยากาศดีๆในบานคุณพอมานั่นเอง มีของหวานเย็นดึงดูดก็งี้แหละ”
๒๐๒

ธารีเริ่มรู เพราะทราบดีวาบิดาของสามีเลี้ยงหลานสาวแสนสวยไวคนหนึ่ง

“ออ อยางนี้เอง”

“แกอยาทําเลนไปนาเต หนูแพเขาเหมือนนอง และถานับกันก็มีศักดิ์เปนลูกผูพี่ดวย”

อารามสําทับลูกชายซ้ําจากครั้งสุดทายที่เคยคุยกันหนหนึ่งทางโทรศัพท เกาทัณฑหัวเราะนิ่มๆ

“อะไรกันฮะ ไมใหผมพูดสักคํา ถูกพอตักเตือนแลว”

“เอานา แกเปนลูกฉัน อาปากหรือหุบปากก็เห็นลิ้นไกอยูดี”

ชายหนุมยิ้มอยางแสดงในทีวายอมรับการรูทันของพอ อารามผานสายตาดูหนาลูกแวบหนึ่งแลววา

“ก็ดีเหมือนกัน เขาออกบานธรรมะเลยทาทางจะติดธรรมะมาดวย”

“ทําไมฮะ หนาตาทาทางของผมเปลี่ยนไปจริงๆเหรอ?”

“ถามแมเขาสิ”

เกาทัณฑหันมองผูเปนมารดา ธารีขี้เกียจวิจารณก็กมหนาตักแกงในชามขึ้นจิบ ชายหนุมปลื้มใจนิดหนึ่ง


คาที่เขาพารังสีธรรมมาเผื่อแผพอแมในเชานี้ได คนอิ่มธรรมนั้น แคปรากฏตัวก็เปนความสบายตา หรือ
กระทั่งบันดาลกุศลจิตใหเกิดแกผูพบเห็นไดแลว เรียกวาสําเร็จทั้งประโยชนเราและประโยชนเขาดวย
ประการฉะนี้

เสียงสัญญาณโทรศัพทบนโตะมุมหองดังขึ้น เกาทัณฑเปนฝายลุกเดินไปรับดวยสีหนายิ้มแยมและทัก
ทายดวยน้ําเสียงเปนมิตร

“สวัสดีครับ”

“ฮัลโหล…” เสียงจากตนสายดังแววมา “ขอสายจุกหนอยครับ”

“เดี๋ยวนะครับ”

เขาหันมาถามพอแมใหแนใจวารับคนชื่อจุกเขามาทํางานบางหรือเปลา เมื่อพอสั่นหนาก็กลับมาตอบวา

“สงสัยตอเบอรผิดนะครับ บานนี้ไมมีคนชื่อจุกหรอก”

“เอะ ไมมีหรือครับ? ที่นั่นเบอร 519-….”


๒๐๓

ฝายนั้นระบุหมายเลขโทรศัพท ซึ่งตรงกับของบานเขา เกาทัณฑฟงแลวรูวามีการใหเบอรผิดหรือจดเบอร


ผิด ก็กลาวอยางใจเย็น

“ครับ เขาคงใหเบอรมาผิดแลว บานนี้ไมมีคนชื่อจุก”

ฝายเรียกสายเงียบไป ชายหนุมเกือบวางหู แตก็ถูกทักขึ้นมาอีก

“ตองเปนเบอรนี้แนๆครับพี่”

เสียงออกเหนอแบบเพิ่งเดินทางมาถึงทารถหมอชิตนั้นทําใหเกาทัณฑชักรําคาญ

“ใช เบอรที่นองบอกนะถูก แตผิดบาน ลองดูดีๆเถอะ บางเลขอยาง 3 กับ 9 นี่คลายกัน นองอาจดูผิดไป


นะ”

เขาลงเสียงแบบตั้งทาชวนเลิกสาย ฝายนั้นคงรับรู จึงออมแอมตอบ

“ออ ครับๆ”

เมื่อวางหูลงไดคอยโลงหนอย ยางเทาพารางสูงกลับมาที่โตะอาหาร สีหนาสีตายังคงบมยิ้มเย็นเชนเดิม

“แลวนี่วันนี้จะไปไหนหรือเปลา เห็นแตงตัวหลอเหลือเกิน”

อารามถาม เกาทัณฑเลือกเสื้อผาที่ดูสุภาพเรียบรอย แตเปนของดีมีราคา สงบุคลิกใหดูเฉียบและเนี้ยบ


ตามสไตลหนุมมีเกรด

“จะพาแพไปกราบหลวงพอพุธที่โคราชนะฮะ”

พูดแลวก็ยิ้มกวางขึ้น นึกดีใจที่ทําใหพอแมหันมาเบิกตาจองไดพรอมๆกัน

“อือ สนิทกันแลวรึนี่?”

อารามทําทาแปลกใจ

“ก็คงเริ่มสนิทมั้งฮะ ผมควรจะพามาหาพอแมที่นี่บางนะ”

“แลวลูกเขาหาพระหาเจานี่ก็เพราะหนูแพเขาชวนหรือ?”

ธารีถามสวนมา ซึ่งนั่นทําใหเกาทัณฑสํารวจความสงบสุขในใจตน ยอมรับโดยดุษณีวาหลอนเปนแรงจูง


ใจสําคัญ ลําพังเขาเองหรืออยูดีๆจะอยากหาพระหาเจา
๒๐๔

“แมวาแพเขาเปนยังไงฮะ?”

ยิ่งคุยถึงแพตรีก็ยิ่งรูสึกรื่นรมย แตเสียงโทรศัพทดังขึ้นขัดจังหวะเสียกอน เกาทัณฑเปนฝายเดินไปรับอีก


ตามเคย ทั้งเพิ่งเริ่มเรื่องที่อยากคุยมาก

“สวัสดีครับ”

เขาทักเปนปกติ

“ฮัลโหล…ขอสายจุกหนอยครับ”

เปนเสียงไมประสีประสาของเด็กตางจังหวัดคนเดิมที่ทําใหเกาทัณฑยิ้มหุบและขมวดคิ้วยน

“นอง…” เขาลากเสียงอยางพยายามลดความคุกรุนในใจตนเอง “นองโทร.ผิดอีกแลวนะ นี่เปนเบอรที่นอง


โทร.มาเมื่อกี้ เบอรนี้ไมมีคนชื่อจุก”

ตนสายเงียบไป ทาทางกําลังขมวดคิ้วกังขาอยูเหมือนกัน

“ผมละแปลกใจจริงๆนะพี่ ทําไมเบอรนี้ไมใชละครับ”

คําวา ‘แปลกใจ’ ที่ถูกเนนแบบตุนๆตึ๋งๆของฝายนั้นทําใหเกาทัณฑชักยัวะถึงขีด เพราะคลายถูกปรักปรํา


จากเด็กเมื่อวานซืนวาโกหก เกือบตวาดแวดวา ‘กูจะไปรูมึงเหรอะ…เอ!’

อยางไรก็ตาม สติที่ถูกอบรมมาในชวงหลังทําใหทราบวาถาหลุดขึ้นมึงขึ้นกูออกไปในขณะเกิดโทสะ ก็จะ


สงผลเปนอกุศลทั้งแกตัวผูพูด ผูเปนเปาหมาย และแมกระทั่งผูไดยินไดฟงเชนพอแมของเขาในบัดนี้ เมื่อ
กี้พวกทานเพิ่งชื่นชมวาเขาดูธรรมะธัมโม พลอยสบายใจกับสีหนาสีตาสงบเย็นของเขา ถาหากหลุดวจี
ทุจริตอันเผ็ดรอนดวยเรื่องขี้ปะติ๋วแคนี้ ก็แปลวาที่เห็นเมื่อครูคือพยับแดดลวงตาแทๆ

ขมโทสะไวได เมมปากแนน นับหนึ่งถึงหาเพื่อทอดระยะดูใจตัวเองวาเปนปกติพอจะพูดเสียงเรียบหรือ


ยัง

“เอางี้นะนอง ถานองโทร.หาจุกไมได นองกลับบานแลวพยายามหาทางอื่นติดตอดูใหม โทร.สาธารณะ


แบบนี้เสียตังคฟรีหลายบาทเปลา พี่รับรองวาบานนี้ไมมีคนชื่อจุกแนๆ ใหนองโทร.อีกกี่ทีก็ไมมี เขาใจ
นะ?”

แววเสียงพอแมหัวเราะขบขันคําพูดกลั้นโทสะของเขาจากเบื้องหลัง ทําใหเกาทัณฑยิ่งโมโหจี๊ดขึ้นมาอีก
ถาหนุมบื้อคนนั้นอยูตรงหนาคงถูกดีดกระเดงกระดอนเปนกระปองนมไปแลว

“ครับๆ ขอโทษครับพี่”
๒๐๕

ฝายนั้นลาถอยไป เกาทัณฑขบริมฝปาก วางโทรศัพทอยางพยายามใหเบาที่สุด กอนเดินกลับมานั่งกับ


พอแม ฝนปนสีหนาเรียกความผองใสกลับคืนมา แตก็ยากเต็มทน รูจากตัวเองในบัดนั้นวา ‘ตะกอนกิเลส’
มีหนาตาเปนอยางไร เมื่อถูกขมทับดวยดวงสมาธิแลวเหมือนหายหนไปอยางไร ถูกกวนใหขึ้นขุนอีกได
ทาไหน เขาเปนคนโกรธงายและหายยาก นั่นเปนขอเสียที่ยังคงอยูครบถวน เหตุการณเล็กนอยนั้นชวย
พิสูจนแลว

จิตที่ดูโปรงวางไมใชจิตสิ้นกิเลส…

อยางไรก็ตาม ความรูบางอยางเกิดขึ้นในใจบัดนั้น ชนิดของอกุศลจิตวัดไดจากการปรุงแตงหลายระดับ


ถาปรุงแตงแคระดับความคิดกองอยูในหัวตัวคนเดียว อกุศลก็แรงระดับตน หากระงับไมอยูปรุงแตงเปน
ระดับพนคําผรุสวาทใหคนอื่นไดยิน อกุศลก็แรงระดับกลาง และหากหลุดตอไปอีกเปนความปรุงแตง
ระดับลงมือตุบตั้บอยางที่นึกอยากถองหนุมบองตื้นในโทรศัพทสักที อกุศลก็แรงระดับปลาย

ตนแหลงคือจิตดวงเดียว…

เคยอานผานตาวาถาโกรธแลวรูตัว ระงับได ผลที่เกิดจะเปนมหากุศลจิต สํารวจใจตนยามนี้ทาทางไมใช


มหากุศลแน เพราะขาดความชื่นบานอันเปนสามัญลักษณของกุศลจิต ถาเชนนั้นนี่ก็เปนแคเพียงการ
ระงับมิใหมโนทุจริตบานปลายเปนวจีทุจริต ยังจัดเปนอกุศล เนื่องจากแรงเฉื่อยของโทสะยังตามมารัง
ควานได เรียกวายังผูกใจเจ็บ เห็นชัดวายังออนอภัยทาน ไมเคยฝกใหทานเปนการอภัยเสียบาง จึงปลอย
ขาศึกสมาธิคือโทสะครอบงํางายอยางนี้

ตนทางปฏิบัติธรรมตองมาจากการฝกใจใหทานจริงๆ

“ถามีพวกนี้โทร.มาสักสิบหน วันๆคงไมตองทําอะไร”

พอชวยบนให เกาทัณฑฝนแคนหัวเราะ แมเปนฝายชวนกลับเขาเรื่องเดิมที่คางไว

“หนูแพก็ดีนะ เทาที่เคยคุยกับเขายาวๆสองสามหน แมรูวาเปนคนหนึ่งที่เรียนครูเพื่อเปนครูจริงๆ ออน


หวานเพราะจิตใจออนโยนจริงๆ ขางนอกกับขางในเขาตรงกันทุกอยาง”

นั่นสงผลทันตากับเกาทัณฑ คือเหมือนหัวเปดโลง ลืมความขุนใจไรสาระทันที

“ผมก็ดีใจที่ทั้งพอและแมถูกใจ งั้นผมแตงกับคนนี้นะฮะ”

กระโจนผลุบตรงเขาเปาแบบที่ทําใหพอแมเงยหนามองมาเปนตาเดียว เพราะเปนครั้งแรกสําหรับการปริ
ปากเกี่ยวกับการแตงงานของเขา

“พูดเลนหรือพูดจริง”
๒๐๖

ธารีเปนคนซักลูก

“จริงครับ”

ผูเปนบุพการีทั้งสองอึ้งกันเปนครู กอนธารีจะเอยถาม

“ไปทําความสนิทกับหนูแพมาตั้งแตเมื่อไหร เขาตกลงปลงใจดวยแลวหรือ?”

“คงตองใชเวลาอีกพอสมควรฮะ แตบอกพอแมไวกอน ผมคงพาเขามาที่นี่บาง แลวถายังไง…เกิดโอเค


ปุบปบ ถาขอใหพอแมไปหมั้นหมาย จะไดไมแปลกใจกัน”

อารามกะพริบตามองลูกชาย

“โทร.คุยกันวันกอนนึกวาแคครึ้มๆสักอาทิตย-สองอาทิตยเสียอีก”

“คิดวาผมเปนเพลยบอยหรือไงฮะ เปลี่ยนใจเปนรายอาทิตย รายปกษ”

“ไมไดคิดวาแกเปนเพลยบอย แตรูดีวาแกเปนเพลยบอย”

เกาทัณฑหัวเราะออกมาได

“เจอแพก็เลิกแลวฮะ”

ผูเปนบิดาหรี่ตาลงนิดหนึ่ง เล็งลูกชายดวยแววมองคนลึก

“เคยสํารวจดูบางหรือเปลาวามีความไมลงตัว หรือวาชองวางอะไรบางระหวางแกกับหนูแพเขา?”

“ก็มีฮะ แตไมใชชนิดที่จะทําใหมีความสุขนอยลงตอนอยูใกลกัน”

ฟงคําตอบแลวผูนั่งหัวโตะก็ปรือตายิ้มอยางเขาใจ ความเชื่อในรักทําใหทุกอยางถูกตองไปหมด จึงไดแต


ทักเอื่อยๆวา

“นิสัยแกเปนคนโลดโผนโจนทะยานนะเต ในขณะที่หนูแพเขาเรียบมาก และเรียบจริงอยางที่เห็นขางนอก


เหมือนแมแกเขาวานั่นแหละ เห็นขางนอกเปนยังไง ขางในก็เปนอยางนั้น ไมมีลับไมมีเหลี่ยมกลับไป
กลับมายอกยอนอยางคนอื่น อยางแกชอบแบบเขาแนหรือ?”

เกาทัณฑทําหนาแปลกใจทั้งยิ้ม

“เอ นี่พอกําลังบอกวาผมไมคูควรกับแพหรือฮะ?”
๒๐๗

“เปลา ฉันแควาโดยพื้นแลวแกกับหนูแพแตกตางกัน คูควรหรือเปลาเปนคนละเรื่อง ฉันนึกวาแกชอบสาว


ที่สวยเฉี่ยว ประเปรียว ทันๆกันหนอย เลยสงสัยวาแกติดเนื้อตองใจแพเขาจริงจังจากตรงไหน”

ชายหนุมชะงักไปครูใหญ นึกถึงดวงหนางามละมุนของแพตรี กอนตอบออกมาดวยหัวใจออนโยนแทจริง

“เขาทําใหผมคิดถึงบานที่รมเย็นเปนสุข และอยากกลับไปหาเสมอ”

เปนคําพูดจริงใจที่กอใหเกิดความเงียบขึ้นมาขณะหนึ่ง กระทั่งอารามกระแอมเอย

“ฟงดูดีนี่”

“ผมรูวาพอก็เอ็นดูแพ เหมือนอยางที่ทุกคนเอ็นดูเขา และผมก็รักเขา ถึงผิวนอกจะตางกัน แตความสุข


ภายในนาจะเปนเครื่องชี้วาควรคูหรือเปลาใชไหมฮะ?”

พอถอนใจ พูดทั้งไมอยากขัดคอลูกนัก

“เทาที่ฉันรูจัก คูที่แตกตางกันมากอาจมีความสุข มีแรงดึงดูดเขาหากันในชวงแรก แตไมใชอยางที่แม


เหล็กรักความเปนขั้วตรงขามไดตลอดเวลานะ อยูกินรวมกันในระยะยาวตองการอะไรบางอยางชวนใจให
อยูใกลกันทุกวันไดโดยไมอึดอัด ถาตางคนตางอยากทําสิ่งที่ตัวเองพอใจแลวลืมเลยวาอีกฝายอยูที่ไหน
หรือมุมไหนของบาน วันหนึ่งก็กลายเปนความหางเหินโดยปริยาย”

เกาทัณฑรับฟงโดยดี

“แลวถาสามารถคุยกันอยางมีความสุข อยูใกลกันแลวไมเปนอื่น ขามพนไปจากเรื่องของเสนหภายนอก


และความขัดแยงภายใน เหลือแตความผูกพันที่แนนแฟน ผูกพันกันโดยปราศจากเหตุผล อยางนี้พอไหว
ไหมฮะ?”

“หญิงชายมาเขาคูกันชวงแรกดวยความถูกใจก็รูสึกชมพูๆหวานแหววอยางนี้แหละ แบบโรมิโอกับจูเลียต
นะ ใครจะรูวาถาโรมิโอกับจูเลียตแตงงานอยูกินกันเหมือนคูผัวตัวเมียอื่น อะไรจะเกิดขึ้นบาง อาจตีกัน
หัวหูฉีกในปแรกก็ได”

ถึงจังหวะที่เกาทัณฑคิดวาตนควรสงบปากสงบคํา เพราะไมอยากโตแยงกับพอ ทราบดีวาพอเห็นเขาตื่น


เตนชั่ววูบชั่ววาบกับเสนหและความสวยหวานของแพตรี มีแตเขาเองที่เขาใจดีวาประสบการณทางความ
รูสึกของตนแสนพิเศษเพียงใด

ใกลหลอนทําใหเขาใจซึ้งสนิทวา ‘เหมือนอยูรวมกันมากอน’ นั้นเปนอยางไร แมเคยคบหากับผูหญิงมาก


มาย เคยนึกรัก นึกเสนหา ก็ไมเคยเลยสักครั้งเดียวที่ทําใหสัมผัสอะไรบางอยางในอากาศระหวางกาย
เมื่ออยูใกลกันเชนที่เกิดขึ้นเมื่ออยูกับแพตรี
๒๐๘

อะไรบางอยางระหวางกันที่เรียก…สายใย เปนสายใยไรตน สัมผัสไดทุกครั้งเมื่ออยูใกล จนเลิกสงสัยแลว


วาเปนแคอุปาทานหรือของจริง

“ฉันเปลาวานะ แกเปนตัวของตัวเอง รูจักตัวเอง ตัดสินความชอบใจของตัวเองไดวาถูกผิดแคไหน และ


สวนลึกก็ดีใจถาแกจะอยูกินกับนองเขา”

อารามแกเมื่อเห็นลูกชายเงียบนาน

“ชีวิตคูจะประสพความสําเร็จหรือลมเหลวใชวาเกิดจากการสําคัญถูกหรือสําคัญผิดในเบื้องตน ที่วาใชแน
เหมือนกิ่งทองใบหยก วันหนึ่งกลายเปนใบขอย ใบมะกรูดไปก็มาก หรือที่วาเหมือนดอกฟากับหมาวัด
วันหนึ่งหมาวัดกลายเปนใหญเปนโตในบานเมืองก็มีใหเห็น หรืออีกทางหนึ่ง ดูตอนเริ่มตนวารักกันมาก
นานไปก็อาจรักกันนอยลง ดูตอนเริ่มตนวารักกันนอย นานไปก็อาจรักกันมากขึ้น ของแบบนี้เอาพฤติ
กรรมปจจุบันมาเปนแนวโนมพอได แตไมแนนอนเทาไหรนัก”

เมื่อดูวาผูเปนลูกยังฟงดีอยู ก็เคาะนิ้วกับโตะอยางชั่งใจ กอนกลาวตามที่คิดหลังจากออมคอมมานาน

“ฉันนึกหวงยายแพเสียยิ่งกวาแกอีกนะ เพราะเทียบแลว แกมีพื้นยืนที่แข็งแกรง มั่นคงทางความคิดและ


อารมณ ในขณะที่พื้นยืนของแพเขาเปราะบาง ถึงดูผิวเผินเหมือนเขามีทัศนคติเปนบวก มีบุคลิกภาพ
เปนผูใหญ รูคิดอาน แตพอเห็นตอนเผลอตัวบางทีก็เหมือน…นกที่พรอมจะหลงฝูง ถึงพวกเรายอมรับ
ออกหนาออกตายังไง เขาก็ดูเจียมเนื้อเจียมตัว ทําทาคลายเด็กรับใชอยูอยางนั้น ไมยอมนับตัวเองถือ
สนิทรวมญาติกับใครเลย แบบนี้ถาเจ็บจากชีวิตคู ก็เดายากวาจะหาทางออกในรูปไหน หันหนาไปพึ่งใคร
อือ…แกพอจะเขาใจที่ฉันพูดไหม?”

เกาทัณฑหัวเราะเฉื่อย

“เขาใจฮะ พอรักและเปนหวงแพยิ่งกวาผมอีก กลัววาวันหนึ่งผมจะทําใหเขาเสียใจ เบื่อแลวนึกอยากทิ้ง


ขวางงายๆ”

“อือม…” อารามรับ “แกเหมือนเหล็กนะ ตองใชความรอนสูงมากๆ ถึงจะตีใหงอได แตแพเขาเหมือนไม


ถึงดูภายนอกแข็งแรงดี แคตีนิดเดียวก็จะรูวาหักพังงายนัก”

ชายหนุมฟงแลวนิ่งไป ตลอดมาเขาตามใจตัวเองจนลืมคิดถึงคนอื่นเสมอ แตนี่เปนครั้งแรกที่สัญญากับ


ตัวเองเงียบๆวาถาเกิดอะไรขึ้นในวันหนา เขาจะคิดถึงความรูสึกของแพตรีกอน

ธารีเห็นลูกชายนิ่งก็นึกวาไมพอใจที่พอพูดคลายคาดคั้น และเขาฝายหลานสาวเกินลูกตัวเอง จึงเปรย


เพื่อสับหลีกแนวเสียบาง
๒๐๙

“อยางนี้หนูแพก็โชคดีกวาสาวอื่นนะ ถาแตงกับเต เขาก็เปน แพตรี พีรนัยน เหมือนเดิม ไมตองเปลี่ยน


นามสกุล”

ในหองครัวของบานปูชนะ แพตรีกําลังจัดอาหารใสสํารับไวใหปูเปนมื้อกลางวันและเผื่อถึงมื้อเย็น แลว


เอาเขาชั้นวางในตูเย็นอยางเปนระเบียบ ปูบอกไวตั้งแตเมื่อคืนวาเชานี้จะเขาสมาธินาน ซึ่งหลอนคุนแลว
กับการที่ทานจะอยูในหองพระยาวๆแบบนั้นในบางวัน และจนปานนี้ปูก็ยังปดหองเงียบเชียบ หากไม
บอกกลาวไวลวงหนาก็คงทําใหหลอนเปนหวงเปนใยเอาการสําหรับคนวัยทาน

เสียงกริ่งเรียกจากหนาบานดังขึ้น เงยมองนาฬิกาบนผนังก็เห็นตรงเวลานัดเปะ เขามารับแลว…

กําลังดึงแผนฟลมใสจากมวนมาหอสํารับเพื่อถนอมอาหารและกันกลิ่น ใจที่เตนผิดจังหวะขึ้นมานิดหนึ่ง
ทําใหนึกอยากถวงเวลาออกไปหนอย โดยหอสํารับตอจนกวาจะเสร็จ ซึ่งก็เหลืออีกแคสองจาน แตครึ่ง
นาทีตอมาก็ไดยินเสียงกริ่งเรียกซ้ํา คราวนี้ยาวกวาเมื่อครู ทําใหเกิดความพะวงขึ้นมาวาอาจเปนคนอื่น
อีกทั้งเสียงกริ่งอาจรบกวนสมาธิปูได จึงวางจานที่เหลือ และกาวเทาออกจากครัว

รางสูงยืนอมยิ้มอยูหนาประตูรั้ว แพตรีทอดจังหวะเดินเปนปกติ เมื่อมาหยุดยืนหางแครั้วคั่น แทนที่จะไข


กุญแจเปดรับ กลับกอดอกถามเสียงขุนหนอยๆ

"กดทําไมตั้งสองครั้งคะ รอหนอยไมไดหรือไง?"

เกาทัณฑเลิกคิ้วหัวเราะ แพตรีปนหนาเฉยเมยอยางนี้แลวดูเหมือนคุณครูที่กําลังมีหนาที่คุมแถวเด็กนัก
เรียนตอนเคารพธงชาติ

“เปลาเรงนะฮะ กดครั้งแรกสั้นไปหนอย แพอาจนึกวาตุกแกรอง”

“ตุกแกที่ไหนคะรองเหมือนออด คราวหลังถากดมากกวาหนึ่งครั้งดิฉันจะนึกวาเปนพวกขายประกัน และ


ทําเหมือนไมมีคนอยู”

ชายหนุมหันหนาไปทางปุมกดบนเสา แลวหันกลับมาเสนอความเห็นวา

“ผมแกลงทําไฟรั่วใหเอาไหม ตอไปใครกดหนึ่งครั้ง ก็จะโดนไฟช็อตจนอาปากตาเหลือกหนึ่งครั้ง เปน


การทําโทษฐานรบกวนความสงบของแพ รับรองสะดุงกันเฮือกเดียวเข็ดหลาบ ไมอยากกดซ้ําอีก”

แพตรีพยายามกลั้นหัวเราะไว

“ทําไวรับแขกของคุณสิคะ ชางแนะดีนัก”
๒๑๐

“นี่ปูสั่งหามแพเปดประตูรับผมหรือ?”

“จะเขามาทําไมคะ?”

“อาว…” คราวนี้เขาอาปากหวอ “ผมจะไดเขาไปไหวปู ขอรับแพไงฮะ”

“ออ…”

ทําเสียงรับรูแคนั้นก็ยืนมองเขาเฉย เลนเอาเกาทัณฑชักใจตุมๆตอมๆดวยนึกหวาดวาหลอนเกิดเปลี่ยน
ใจขึ้นมานาทีสุดทายหรือเปลา

แตแลวก็โลงอก เมื่อไดยินหลอนแถลง

“ปูอยูในหองพระ ไมตองเขามาไหวหรอกคะ ความจริงดิฉันสะสางงานจวนเสร็จแลว คุณเรงใหออกมา


เลยชาลงหนอย รอเดี๋ยวนะคะ”

โทษฐานกดกริ่งสองหนทําใหเกาทัณฑตองนั่งแกรวรอในรถอยูพักใหญ กอนหญิงสาวปรากฏตัวอีกครั้ง
กมหนาเดินมาคลายจําใจอยูในที เห็นแลวถึงกับตองชวยภาวนาใหเดินถึงรั้วโดยไมเปลี่ยนใจหันหลังกลับ
ไปเสียกอน

เมื่อแพตรีไขกุญแจกาวออกมา เกาทัณฑรีบออมรถไปเปดประตูดานตรงขามซึ่งเขาหันรอรับหลอนไว
แลว ใบหนาเปอนยิ้มราวกับเพิ่งรูวาเงินเดือนขึ้น

"ไมตองบริการมากหรอกคะ เกรงใจ"

หลอนบอกขณะมายืนขางๆ

"เกรงใจทําไมฮะ ทีผมยังไมเห็นเคยบอกเลยวาเกรงใจแพ"

แพตรีผานสายตามองเขาหนอยหนึ่ง กอนยอกายลงเขานั่งประจําที่ เกาทัณฑปดประตูตามแลวผิวปาก


หวือ เดินออมมานั่งดานคนขับ

“คาดเข็มขัดหนอยนะ ทางไกล มีชวงวิ่งเร็วยาว”

เขาบอกเมื่อเห็นหลอนนั่งเฉย แพตรีหันมามองหนา พบยิ้มวอนอยางแสดงความหวงใยก็ยอมทําตาม


เนือยๆ

“รูไหม ความเร็วแค 60 กิโลเมตรตอชั่วโมงนี่ ทําผูหญิงเสียโฉมมากี่รายแลวตอนเบรกหรือชนกะทันหัน”


๒๑๑

พูดอยางแสดงเหตุผลแกมขู โดยคาดไมถึงวานั่นทําใหแสงตาหลอนเรืองขึ้นมาได

“เสียโฉมก็ดีนี่คะ จะไดดูวามีใคร หรืออะไรเปลี่ยนไปจากที่กําลังเปนอยูบาง”

เกาทัณฑบิดกุญแจเดินเครื่องแลวออกรถอยางนิ่มนวล ทําเปนหูทวนลม

“แพชอบเพลงประเภทไหน จะไดเลือกเปดใหฟง ผมเตรียมมาเยอะ”

หญิงสาวนิ่งไปอึดใจกอนตอบ

“ตามสบายเถอะคะ อยาถามคนชอบความเงียบอยางดิฉันเลย”

“ดีนะ นึกวาผมกําลังอยากฟงความเงียบอยูคนเดียวเสียอีก”

พยายามพูดใหรับกับหลอนเปนปเปนขลุย เปลงเสียงทุมแนนเปนกังวานสดใสชวนฟงพอจะดึงหลอนเขา
สูบรรยากาศการสนทนาในทางไกลนี้

ชุดขาวและความเปนสุขุมาลชาติแทของหลอนทําใหเกาทัณฑเห็นทางหางตาคลายอากาศขางกายสวาง
เรืองกวาปกติ กระแสวิญญาณของมนุษยแตละคนมีอิทธิพลกับความรูสึกของผูใกลชิดเสมอ จะออนหรือ
แรงก็ขึ้นอยูกับพลังที่สั่งสมจากเอกลักษณประจําตน

อยางแพตรีเขาที่ไหนก็สวางที่นั่น ใครเห็นเมื่อไหรก็รักเมื่อนั้น แมแตปูกับพอแทๆยังรักและหวงใยยิ่งกวา


เขาอีก วันหนาถาพลาดพลั้งทําน้ําตาหลอนหลนลงมาหยดเดียว ก็เตรียมตัวโดนประชาทัณฑไดกระมัง

ระบายลมหายใจยาวดวยความชื่นมื่นในอารมณ นั่งกับหลอนใกลแคนี้รูสึกคุนสนิทจนเชื่อเลยวาวันหนึ่ง
ตองไดเคียงกันตลอดไป

“จะเปดเพลงก็ตามสบายนะคะ”

พอรูตัววาเสียงคลายถอนใจทําใหหลอนเขาใจผิด เกาทัณฑก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อน

“ผมเบื่อฟงเพลงแลวจริงๆ วาจะเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงใหธรรมดาหนอยดวยซ้ํา เพราะกําลังอัดของชุดนี้


หนักจนบางทีชักปวดจี๊ดๆขึ้นมาแถวกกหู กลัวแกลงกวานี้แลวมีปญหา ใหเปดเบาก็เสียดายของแพง”

พูดดวยความรื่นรมยโดยมิไดเสแสรง อาจเปนเพราะแพตรีแสดงทีมีแกใจหวง เกรงเขาอยูกับหลอนแลว


อึดอัด สะทอนใหเห็นความมีไยดีและเต็มใจเปนเพื่อนรวมทางไปดวยกัน

“แพทานขาวเชาหรือยังนี่?”
๒๑๒

“ทานแลวคะ คุณละคะ?”

“เรียบรอย เพิ่งไปทานกับพอแม เผื่อทองมาดวย นึกวาจะไดทานกับแพอีก…ออกมาเที่ยวตางจังหวัด


บอยไหม?”

“ก็…นานทีคะ”

“ถาใหเลือก อยากเที่ยวภูเขาหรือทะเลมากกวากัน?”

“พอกันมั้งคะ”

หลอนตอบแบบขอไปที เพราะทราบวานั่นเปนคําถามกรุยทางสูการชักชวนตระเวนเที่ยวครั้งหนา

“ผมชอบภูเขานะ ชอบขึ้นที่สูง ชอบดูทะเลหมอก ชอบดูพระอาทิตยตกดวยมุมมองระดับเดียวกับนก วัน


หนึ่งอยากใหเรานั่งจับมือมองพระอาทิตยเลื่อนหายจากเหลี่ยมโลกดวยกัน…ถึงเวลานั้นผมคงรูวาเทวดา
อยูกันยังไง”

เกาทัณฑทําตาใสกับการวาดวิมานอากาศอยางเปดเผย แพตรีฟงแลวเงียบพักหนึ่ง กอนเขาจะไดยิน


เสียงพึมพําเหมือนหูแวว

“ฝนไปเถอะ”

ชายหนุมเมมปากกลั้นยิ้ม ที่หลอนนั่งอยูขางเขาตอนนี้ก็ฝนหวานกระมัง?

“สมัยยังเรียนผมมีเวลาเที่ยวตางจังหวัดบอยนะ แตพอทํางานแลว ทุกอยางก็เปลี่ยนไป บางทีเสาร-


อาทิตยอยากออกไปดูทะเลหมอกแถวภูเรือบาง ก็ติดโนนขัดนี่อยูเรื่อย มาชวงนี้คอยดีหนอย เสารและ
อาทิตยเปนสุดสัปดาหเปดหูเปดตาไดจริงๆ ทําใหคิดถึงอดีต สมัยเที่ยวไปไหนกับเพื่อนฝูงตามใจนึก
ตลอดป”

“ทุกคนสูญเสียอดีตใหกับวันเวลาเสมอแหละคะ”

เสียงหลอนฟงเหมอจนเขาตองหันดูวามีอะไรผิดปกติหรือเปลา แพตรีผินหนาออกขางทาง บางมุมมอง


หลอนดูคลายภาพวาดที่ถูกวาดระบายใหงามอยางมีปริศนาแหงความเศราแฝงเรนอันยากจะเขาถึง
อยางนี้เองกระมังที่ชวนใหใครตอใครนึกเวทนาและเปนหวงเปนใยไดมากมาย

“ถึงวันนี้ผมเขาใจอยูอยางวาการสูญเสียเปนสวนหนึ่งของวัฏจักร ไมมีอะไรอยูกับเราตลอดไป ไมมีอะไร


จากเราไปตลอดกาล ถาคลี่เวลาออกเปนเสนตรงและสามารถเห็นไดจริงทั้งอดีต ปจจุบัน อนาคตพรอม
๒๑๓

กัน เราคงเห็นตัวเองไดของรักแลวเสียของรัก หัวเราะแลวรองไห พบแลวพลัดพราก ยอนเวียนกลับไป


กลับมา สลับกันเปนสายโซยืดยาว”

แพตรีหรี่ตาลงจนเกือบชิด

“คะ ตัดสายโซเสียไดก็ดีหรอก”

คํารําพึงนั้นปราศจากความหนักแนนอยางสิ้นเชิง คลายนักโทษในเรือนจําบนกับเพื่อนรวมหองวาถา
แหกกรงขังไดเดี๋ยวนี้คงจะดีแท บนโดยปราศจากเจตนาและแผนการลงมือกระทําจริง

“บอกไดไหมคะวาถึงวันนี้คุณรูเห็น หรือคิดปลงไปแคไหนแลว”

“ปลงหรือฮะ?” เกาทัณฑหัวเราะคลายขันตนเอง “ผมมันคนกิเลสหนา เทาที่มีโอกาสแตะๆตองๆอรรถ


ธรรมนิดหนอยก็เปนบุญเหลือจะกลาวแลว”

กลาวอยางตระหนักในสถานภาพตามจริงของตนเอง มิใชเสแสรงถอมตัวหรือยกตน

“ระหวางเรา ผมควรเปนฝายฟงแพมากกวา วาชวงหลายปที่ใกลวัดทางนฤพาน ไดรับประสบการณรูเห็น


ชนิดไหนควรถายทอดใหรุนหลังฟงบาง”

“คงมีเรื่องนาฟงอยูนอยเต็มทีคะ ถาคิดวาแกลงถอมตัวก็ขอยืนยันวาดิฉันเปนคนมีวาสนาดานนี้เพียง
ปานกลาง รักชอบสภาพจิตที่เปนกุศล ใสบาตร ฟงธรรมตามโอกาส แตพูดถึงการพัฒนาจิตใหเต็มรูป
ดวยสมาธิและปญญาพิจารณาธรรม ตองยอมรับวามีพื้นกําลังคอนขางออน กาวหนาแลวถอยกลับสลับ
กัน เมื่อถึงเพดานระดับหนึ่งก็เหมือนหยุดอยูแคนั้น ถาจะไปตอคือตองตัดใจเปลี่ยนวิถีทางอยางสิ้นเชิง”

“เทาที่ผมเห็น วิถีทางของแพทุกวันนี้แทบเหมือนคนในวัดอยูแลวนี่ฮะ เพลงไมฟง เนื้อสัตวไมทาน มี


ความสุขกับตนไม แยกตัวเองจากความวุนวายไดหมด”

“คําวา ‘วิถีทาง’ นาจะหมายรวมทั้งภายนอกและภายในนี่คะ ภายนอกดูวาใชอาจหลอกตาคนเห็น แต


ภายในที่ไมใชนี่เจาตัวรูเองกับใจดีกวาคนอื่น ดิฉันจําคําหลวงตาทานไดขึ้นใจอยูคําหนึ่ง คือเปนชาวพุทธ
ชั้นเลิศนั้น ใชวาวัดกันที่ความผองใสของหนาตา ทําบุญมากนอย นั่งสมาธิสําเร็จฌาน หรือกระทั่งเขาถึง
วิปสสนาญาณรูเห็นธาตุธรรมสูงสงเทาไหร แตวัดกันงายๆวาทําใจตัด ทําใจละวางไดแคไหน เสมอตน
เสมอปลายเพียงใด”

เกาทัณฑคิดตาม ขณะนี้เขาเปนพุทธที่เขาใจเนื้อหาและแกนสารของพุทธ ทวาใจมิไดคิดตัด คิดวางอยาง


เด็ดขาดเพื่อเขาถึงแกนแททันตา เพราะมีเปาหมายอื่นที่ตองรอเกิด รอตายอีกเปนอนันตชาติกวาจะถึง
เวลาวางจริง…
๒๑๔

จุดยืนนี้อาจทําใหเกิดความไดใจ คิดอยาก คิดเอา โดยไมตองพะวงฝกละวางหรือตัดอาลัย เพราะรูวา


พยายามจนตายก็หมดสิทธิ์ไปถึงที่สุดเชนสาวกธรรมดา

ถาเชนนั้นผูปรารถนาโพธิญาณก็ไมอาจเปนชาวพุทธชั้นเลิศในพุทธกาลใดๆอยางนั้นหรือ?

แลวก็ระลึกขึ้นไดถึงวาทะของพระสารีบุตร อัครสาวกฝายปญญาของพระพุทธโคดม ผูกลาววาการเสพโล


กียสุขอยางเลวคือเสพโดยคิดวาสุขนี้คือยอดสุด สวนการเสพโลกียสุขอยางเลิศคือเสพทั้งอนุสติรูดีวามี
สุขอื่นที่เหนือกวา ไดแกวิมุตติสุข คือฌานและสภาวะไรอุปาทานของจิต

คิดไดก็สบายใจขึ้นมาวาแมความปรารถนาในพุทธภูมิจะปดกั้นมิใหตัดหวงโซสัญโยชนขาดสิ้นในชาตินี้
เขาก็สามารถเปนผูเสพสุขในโลกียวิสัยไดอยางรูเทาทัน วามีสุขอื่นพึงปรารถนายิ่งกวานั้น เหตุที่รูเทาทัน
ไดเพราะเคยอบรมจิตจนเขาถึงมาแลว ทั้งสมาธิและวิถีญาณปลอยวางเบื้องตน

อีกขอหนึ่งคือเล็งเห็นคุณคาของพระสูตร เมื่อเกิดปญหาคาใจแลวทบทวนสิ่งที่พระตถาคตหรือพระเถระผู
เปนอรหันตกลาวไว ก็สามารถปดตกไปไดเชนนี้

“ตอนแรกที่ไปกราบหลวงตาแขวนขอเปนศิษย ในใจมีแตนึกอยางเดียววาอยากร่ําเรียนวิชา แสดงฤทธิ์


เดชไดเหมือนอยางทาน ตอเมื่อทานทําใหมองเห็นวากายนี้เปนเพียงภพหนึ่ง ชาติหนึ่ง และจําอดีตของ
ตัวเองไดแบบ เออ…มีเราในรางอื่นมากอนจริงๆดวย ก็เกิดความเขาใจขึ้นมาอีกอยางวาเรากําลังดิ้นรน
เอาตัวรอดใหพนๆไปคราวหนึ่ง เพื่อไปตอเอาคราวหนา เกิดทีก็ลืมที

ผมกลับมานอนคิด แตละชีวิตมีชัยภูมิประจําตัว จะรูหรือไมรูก็ตาม ทุกคนกําลังเดินทางไกล และใช


ชัยภูมินั้นสั่งสมเสบียงเพิ่ม หรือตัดทอนเสบียงทิ้งอยูทุกวัน ผมเห็นตัวเองเคยเปนฤาษีชีไพร เคยเปนผู
วิเศษมากอน และเดาวาในชาตินั้นคงบําเพ็ญบุญบารมีตามทางของผูถือพรหมจรรยไวพอควร แตนั่นก็
เปนสิ่งที่ผานมา ชัยภูมิที่เหมาะกับการเปนฤาษีไดจบลงไปแลว

ชีวิตนี้ไดชัยภูมิคนละแบบ จะเพราะวิบากกรรมไหนแตงสรางกําหนดไวก็เถอะ ผมเห็นวาฐานที่มั่นนี้


เหมาะกับการใชกําลังสมองมากกวากําลังจิต และตลอดมาก็อยูในทางของตัวเองอยูแลว เลยเลิกใสใจกับ
อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริยเสีย เพราะรูวาถึงไดมีไดเปนก็คงลุมๆดอนๆ หลงตัวชั่ววูบชั่ววาบก็ขาดสายหายหน
แบบเดียวกับพวกพอมดหมอผีกระจอก มากกวาจะเปนผูวิเศษที่มีอภิญญาชั้นสูง ฉะนั้นเสบียงที่ไดจาก
ชาตินี้ควรเปนการสั่งสมปญญาและความคิดอานจะเหมาะที่สุด”

เกาทัณฑลังเลอยูครู กอนกลาวตอตามตั้งใจแตแรก

“เมื่อพบพระพุทธศาสนา ทุกคนควรฉกฉวยโอกาสตัดสายโซเสียอยางที่แพพูดนั่นแหละ แตผมก็รูตัววา


ยัง…ผมยังขาดชัยภูมิที่จะตัด เพราะมีความปรารถนาอื่นยิ่งกวาการเขาใหถึงพระนิพพานในชาตินี้”
๒๑๕

แพตรีฟงรูวาเขาพูดถึงอะไร เสนทางไปนิพพานของเขาคือสายไหน ก็ไมเลวนักที่เขาพูดใหหลอนคิดตาม


ได เพราะนั่นเปนครั้งแรกที่คิดถึงชัยภูมิในชาติปจจุบันของตนเอง

คิดถึงความตั้งใจจะเปนครู คิดถึงความสับสนลังเลในการรอคอยรักแท นั่นหรือคือทั้งหมดในการใชชัยภูมิ


ปจจุบัน?

คําอธิษฐานที่ยังฝงอยูในความทรงจําชัดเดนราวกับชโลมอาบดวยน้ําอมฤต จนมีความเปนอมตะ ตัดไม


ตายขายไมขาด

ขอตามกันไปทุกภพ จดจํากันไดทุกชาติ…

กะพริบตาถี่ๆอยางจะสกัดกั้นกลุมน้ําที่เริ่มรื้นนัยนตาขึ้นมาไมรูเหนือรูใต เหมือนมีหลอนคนเดียวที่ยังไม
ตาย หลอนคนเดียวที่ยังยึดมั่นถือมั่น คนอื่นตายหมดแลว ตอใหนั่งอยูขางๆเดี๋ยวนี้ก็แคชายแปลกหนาที่
เขามาติดพันรูปโฉมภายนอก หาใชชายคนเดิมผูนาศรัทธาเชื่อมั่นพอจะทําใหยิ้มกลาแมกําลังเผชิญกับ
ความตายไม

หวังใหหลอนเลาเพื่อรื้อฟนความหลังนะหรือ เพื่ออะไร? เทาที่เขาเปนเขายามนี้ ก็คงไมแคลวเพื่อครอบ


ครอง เปนเจาของหลอนโดยงาย ไมตองเหนื่อยแรงนั่นเอง คุณคาที่เกิดจากความทรงจําอันแสนดีอยาง
แทจริงนั้น จะหาจากไหนไดเลา

เกาทัณฑเหลียวมองหญิงสาวขางกายเมื่อสัมผัสกระแสความเศราสรอยประหลาดที่กระจายมาจากหลอน

“แพกําลังคิดอะไรหรือฮะ?”

เขาถามนุมนวลแสดงความอาทร ฟงอบอุนจนแพตรีรูสึกดีพอจะเปดใจรับกระแสชนิดนั้น หลอนฝนยิ้ม


และพยายามออกเสียงใสขึ้น เปนกันเองมากกวาเดิม

“คุณเรียนรูเร็วดีนะคะ แคชั่วเวลาสั้นก็มองเกมสังสารวัฏออก ขนาดรูตัว แบงแยกไดเปนชาติๆเลยวาเมื่อ


ไหรเปนใคร ควรทําอะไรกับครั้งหนึ่งๆ”

เกาทัณฑสายหนา

“เปนทางลัดที่หลวงตาแขวนทานปูใหทั้งนั้น ขาดทานผมก็เห็นไดแตสิ่งที่อยูในกะลาของตัวเองเรื่อยไป
วาตามจริง…ผมคบสนิทกับคนมากมาย และยิ่งคบมากเทาไหร วิถีทางยิ่งหลากหลายซับซอนเทานั้น วัน
หนึ่งอาจหลงเปนมิจฉาชีพไปกับเพื่อนบางกลุม ถาไมรูจักความจริงเกี่ยวกับกรรมวิบากและการวนเวียน
เกิด แก เจ็บ ตายเสียกอน ตอนนี้รูแลว ก็คงตองกมหนากมตาปดกั้นตัวเองจากทางอบายใหมากที่สุด ตอ
ใหลอใจวาเปนทางลัดรวยเร็วยั่วยวนแคไหนก็ตาม”
๒๑๖

เหมือนแพตรีถูกสะกดใหซึมลงอีก เกาทัณฑไดยินหลอนรําพึงแผว

“มีสติพิจารณาโดยแยบคายอยางนี้หายากนะคะ ถารูแลวเปนคุณ ก็นับวาดีที่ไดความรูนั้นมา ตางกับ


หลายคนที่รูแลวเปนโทษ ระลึกชาติไดแลวหลงยึด หลงทองอยูแตวาเคยเปนนั่นเปนนี่ และกระทั่งเผลอ
คิดวายังเปนอยู”

ชายหนุมปรายตามาทางดานขางหนอยหนึ่ง กอนเลียบเคียง

“คงเปนเพราะมีสิ่งอางอิงติดตามมาดวยมั้งฮะ ถึงยังเผลอคิดอยางนั้น?”

แพตรีเงียบกริบ เกาทัณฑสงใจหยั่งใจ ก็ทราบวาหลอนจะปดกั้นตลอดไป ไมมีวันเปดเผยความหลัง


ระหวางกันดวยการใชปากเลา จึงเลิกคิดพยายาม และพูดตัดวา

“ความจริงการเขาถึงแกนธรรม สําเร็จเปนพระอริยบุคคลนี่ไมจําเปนตองเห็นอดีต อนาคต นรก และ


สวรรคเสียกอนเลย เห็นแคกายมนุษยของตัวเองในปจจุบันก็พอแลว ขอเพียงมีพุทธิปญญาขึ้นมาสักวาบ
หนึ่ง เชนที่เณรนอยบางองคสําเร็จอรหัตตผลไดเพียงเมื่อถูกจดมีดโกนปลงผมจากหนังศีรษะขณะเตรียม
บวช เพราะพิจารณาเห็นจริงวาสิ่งที่หลุดจากกายเปนอนัตตา เดิมเมื่ออยูติดกายก็ยอมเปนอนัตตาเชน
กัน ทานสําเร็จไดโดยไมทันตองคิดดวยซ้ําวามิติภพภูมิที่ยิ่งไปกวาปจจุบันขณะมีอยูหรือเปลา

เสียดายคนสวนใหญไมมีแรงจูงใจพอจะพิจารณาใหเห็นธรรม จะเห็นทุกขขึ้นมาทีก็ตอนซมไขหนัก พลัด


พรากของรัก หรือใกลสิ้นเนื้อประดาตัวเทานั้น โดยทั่วไปคนเราอยูเปนสุขตามอัตภาพ เพราะมีเนื้อหนัง
มังสาหุมหอสบายตัว ถึงจะถูกพยาธิเบียดเบียนก็ซอนจากสายตา รบกวนอยูขางใน ไมทันรูสึกเทาไหร
ถาทุกคนมีสิทธิ์เห็นนรกสักครั้ง ไดเปรียบเทียบวาทุกขในโลกชนิดที่สาหัสสากรรจเหลือประมาณนั้น
เทียบแลวก็แคขี้ผง…เห็นทุกขจังๆคงทําใหขยาดและอยากหนีสังสารวัฏกันบาง”

หยีตานิดหนึ่งเมื่อนึกถึงหนอนตัวเทาปลายกอยนับหมื่นรุมเราเขาออกสัตวนรกที่หลวงตาแขวนพาไปดู
คิดถึงแวบเดียวก็ชวนขยักขยอนจะแยแลว

“เคยนึกเหมือนกันคะวาเราโชคดีไดแคพบพุทธศาสนา พนจากนั้นเปนอันหมดเรื่องโชค ตองใชความ


เพียรและปญญาของแตละคนกันแลว ใครไปไกลแคไหนก็สุดแทแตกําลัง”

“ใช…นาทอดวยที่กําแพงขังพวกเราถูกออกแบบมาไวดีเกินเหตุ ลอมหนาลอมหลังไวหลายชั้น คิดจะปน


ปายตองมีอัตภาพชั้นสูงอยางมนุษย แตเปนมนุษยก็นาอนาถเหลือเกิน เกิดมาลืมหมด เติบโตแบบถูก
บังคับใหเห็นแตสิ่งที่ตัวเองรู ตัวเองเชื่อ แถมถูกจํากัดเวลาใหตองดิ้นรนเลี้ยงปากเลี้ยงทอง วางขึ้นมาก็
อยากโนนอยากนี่ จะฟงเรื่องสวรรค นิพพานสะดุดพอใหเงี่ยหูฟงก็ตองอาศัยบุญเกานํารอง และถาเชื่อ
ขึ้นมา ปรารถนานิพพานกันที ก็ยากอีกที่จะไปใหถึงจุดสรุปทางจิตวาดวยการเห็นสักแตวาเห็น ไดยินสัก
แตวาไดยิน สลัดคืนอุปาทานเห็นนั่นเห็นนี่เปนตัวตนอยางเด็ดขาด”
๒๑๗

แพตรีสายหนา

“มรรคแปดที่พระพุทธองคประทานไวเปนบันได เปนขั้นเปนตอนปนกําแพงนั้นมีอยูแลว ยากก็แคหาคน


ตัดใจจากคุก คิดอยากปนกําแพงมั้งคะ”

เกาทัณฑผงกศีรษะ ยิ่งฟงเสียงหลอนนาน ก็ยิ่งเปนสุขขึ้นเรื่อยๆ จะใหตัดใจอยางไรไหวเลา

“เพราะในคุกมีสุขเวทนา มีเสนหดึงดูดที่รุนแรงอยูจริง คนคุกถึงยังติดยังหลง อยากวนเวียนหาความสุข


ความเพลิดเพลินอยูอยางนั้น”

“คะ ถาสังสารวัฏมีแตทุกข ไมมีสุขเลย ทุกรูปนามคงใครพน ตองการปนกําแพงหนีกันหมด”

“ตอนเด็กผมมีเพื่อนในหมูบานเยอะ เขานอกออกในบานคนโนนทีคนนี้ทีทุกวัน ก็ไดรับรูวาแมอยูหมูบาน


เดียวกัน แตละครอบครัวก็ชางดูแตกตางราวฟากับดิน สภาพที่เรียกวา ‘บาน’ ไมใชมีแตความเปน
ระเบียบเรียบรอย และบรรยากาศอบอุนเหมือนที่พอกับแมของผมปลูกสรางไว บางบานรกรุงรังยังกับอู
ซอมรถขางทาง บางบานประดับประดาเครื่องแตงยิ่งกวาวังเจา บางบานเอะอะตึงตัง บางบานสงบรมรื่น
ทั้งกลิ่นอายและความเปนอยูอาจผิดเพี้ยนไปหมดเพียงชวงหางแครั้วกั้น ขนาดที่อาจทําใหงงเควงและ
ถามตัวเองวานี่มันโลกเดียวกันหรือเปลา

โตขึ้นผมยิ่งคบหาคนมากขึ้น เห็นรูปชีวิตหลากหลายซับซอนกวาเดิม ทั้งในประเทศและตางประเทศ


โลกมนุษยในความรับรูก็ยิ่งดูกวางขวางและมีความพิสดารนาตื่นตาขึ้นอีกหลายรอยเทา ผมเคยนั่งรถคา
ดิแลคของเพื่อนเขาคฤหาสนที่ฟลอริดาดวยความรูสึกวาความโออาอลังการแบบนี้เองคือสวรรคในแบบที่
คนโบราณวาดไว แลวก็เคยตามเพื่อนที่มีพอเปนพัสดีเรือนจําไปดูความเปนอยูในคุกของอินเดียดวย
ความรูสึกวาความสกปรกโสโครกและเครื่องทัณฑกรรม กลิ่นเหม็นฉุนเฉียวเหลานั้นเองคือนรกที่ใครๆ
เลาขานกันมา…”

เกาทัณฑเวนจังหวะ ตรึกนึกถึงประสบการณที่เพิ่งผานมาเมื่อวาน

“เมื่อวานนี้ประสบการณและความเชื่อทั้งหมดของผมถูกปรับเปลี่ยนไปอยางถาวร หลวงตาแขวนทาน
สะกดใหเห็นนรกภูมิ ไมรูหรอกวาขุมที่เทาไหร ตั้งอยูที่ไหน รูแตคําวา ‘อีกโลก’ หนึ่งนั้น เปนคนละครอบ
ฟากับโลกใบนี้ ภาพของจักรวาลที่กวางใหญและมิติของภพภูมิที่ซอนซอนไดปรากฏกับใจของผมเปน
คนละเรื่องกับที่เคยจินตนาการเอาไว

ผมยังไมเคยเห็นสวรรค แตจากการเห็นนรกบวกกับอนุมานตามสัจจะเกี่ยวกับขั้วตรงขาม ก็ทําใหเชื่อ


แลววาสวรรคคงมีอยู และทําใหเห็นดวยวาเมื่อนรกทุกขรอนสาหัสไดปานนั้น สวรรคก็ตองรมเย็นเปนสุข
ไดที่สุดขั้วตรงขามปานกัน
๒๑๘

มองรอบตัวที่เราเห็นไดแตโลกใบเดียวนี้ จินตนาการยากนะวาที่แทเปนการลองลอยอยูในทามกลางไตร
ภูมิอันกวางใหญมโหฬาร มีเงื่อนกรรม เงื่อนเวลามาผูกมัดใหเห็นสิ่งหนึ่งๆ รับรูสิ่งหนึ่งๆเปนขณะ เชื่อได
เฉพาะสิ่งที่กําลังเผชิญหนาเทานั้น”

เกาทัณฑพยายามสูดลมหายใจใหรูกลิ่นหอมออนๆจากเรือนกายแพตรี เมื่อวานมีโอกาสเขาใกลจนรูชัด
และจําไดดี เสียดายตอนนี้อยูหางไปหนอย กลิ่นกายที่ระเหยมากับไอฉ่ําเย็นของเครื่องปรับอากาศจึงเขา
กระทบจมูกไดเพียงครึ่งหนึ่งของความนาชื่นใจทั้งหมด

“มีแพ…ผมกําลังอยูในสวรรคบนดิน”

เขาลงเสียงนุมมาก แพตรีเผลอยิ้มหนอยหนึ่งอยางคาดไมถึงวาที่พูดยืดยาวก็เพื่อสรุปลงเกี้ยวหลอน

รถแลนเรื่อยกระทั่งเลยรังสิตมาระยะหนึ่ง เมื่อเห็นถนนหนทางโลงกวางขาวสวางและมองไกลไดสุดโคง
ฟา ใจพลอยปลอดโปรงกวาเดิม ขนาดที่ทําใหแพตรีเอยขึ้นไดลอยๆ

“เมฆเรียงสวยดีนะคะ”

เกาทัณฑเหลือบตามองตาม เห็นคลอยตามหลอนจนอมยิ้มปลื้ม โดยไมสังเกตสังกาวาปุยเมฆที่เรียงสวย


นั้น อาจเปลี่ยนรูปเปนอื่น แยกแฉกสลายตัวลงไดเพียงคลาดสายตาแคอึดใจเดียว

ทางเบื้องหนาปรากฏเหยียดยาว เขากับหลอนกําลังนั่งมอง และรวมเคียงกันพุงตรงไปคลายเลื่อนลิ่วบน


รางเมฆ…
๒๑๙

หองโถงชั้นลางของกุฏิเจาอาวาสอุนหนาฝาคั่งดวยญาติโยมที่ตั้งใจมานมัสการกราบหลวงพอพุธจากทั่ว
ทุกสารทิศ เกาทัณฑกับแพตรีซึ่งเขามาใหมจึงตองนั่งอยูรั้งทายสุด

หลวงพอพุธกําลังนั่งอยูบนอาสนะของทานเห็นไมใกลไมไกลออกไป มีภิกษุผูเปนสัทธิวิหาริกนั่งคอยดูแล
อํานวยความสะดวกอยูดานขาง บรรยากาศในหองเยือกเย็นนาอยูอยางประหลาด ใครเขาไปนั่งในนั้นจะ
ตองรูสึกอยากอยูที่นั่นนานๆ ไมอยากกลับออกไปเร็วนัก

หลวงพอทานมิใชพระผูมีกิตติศัพทเรื่องปลุกเสก ญาติโยมสวนใหญมาเพื่อกราบเรียนถามขอธรรมที่ติด
ขัด จึงบอยครั้งที่จะไดยินทานเทศนาธรรมหัวขอสั้นๆ อยางเชนในวาระที่สองหนุมสาวเพิ่งเขามานี้ เผอิญ
เปนจังหวะแหงธรรมเทศนาพอดี

"…การฟงธรรมเปนการฟงเสียงคนอื่นพูด ทีนี้วิธีรูอริยสัจสี่นั้นฟงเสียงคนอื่นเฉยๆไมได ตองหันมาฟง


เสียงของหัวใจตัวเอง ใหกําหนดจดจองลงที่จิต กําหนดลงตรงที่ตัวผูรูภายในจิตของตัวเอง ความรูสึกมี
อยูที่ไหน ตัวผูรูก็มีอยูที่นั่น คอยจดจองดูวาสิ่งใดจะเกิดขึ้น ในเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นภายในจิต ก็ตามกําหนด
รูสิ่งนั้น อยาปลอยโอกาส เอาตัวรูตัวเดียวตามรูตามเห็นไปทุกวาระจิตที่เรามีความคิดขึ้น อันนี้สําหรับผู
ที่เคยภาวนามาจนชํานิชํานาญแลว”

กังวานเสียงทุมแนนที่ขับออกมาจากดวงจิตเห็นธรรมนั้นจูงใหผูฟงคลอยลงสูกระแสสงบพรอมจะสดับฟง
และตรึกนึกตาม เปนอีกประสบการณใหมของเกาทัณฑ ถอยคําที่เหมือนเคยไดยินมากอนกลับกลายเปน
ของใหมที่ฟงกระจางอยางนาฉงน

“สําหรับผูที่เริ่มใหม ซึ่งจิตยังไมเคยมีสมาธิ และไมเคยเกิดภาวะตัวผูรูขึ้นมาในจิต ใหอาศัยกําหนดรูลม


หายใจเขาหายใจออกบาง หรือกําหนดบริกรรมอยางใดอยางหนึ่งที่ตนเองชอบใจ เชน ‘พุทโธ' เปนตน

ใหกําหนดจดจองลงที่จิต แลวเอาจิตนึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ นึกอยูอยางนั้น นึกอยูเฉยๆ อยาไปทํา


ความรูสึกวาเมื่อไรจิตของเราจะเกิดความสงบ เมื่อไรจิตจะเกิดความสวาง เมื่อไรจิตจะเกิดความรูความ
เห็นขึ้นมา

การภาวนาในเบื้องตนนี้ ไมใชเพื่อจะรู เพื่อจะเห็นสิ่งอื่น แตเพื่อใหรูใหเห็นความเปนจริงของจิต รูอยาง


ไร รูตรงที่จิตของเรากับการบริกรรมสัมพันธกันหรือไม มันไปดวยกันหรือไม จิตอยูกับพุทโธไหม หรือวา
๒๒๐

มันลืมพุทโธเปนบางครั้งบางขณะ ไปอยูกับสิ่งภายนอกซึ่งเปนอดีต เปนสิ่งอื่นนอกจากพุทโธ นั่นแสดง


วาจิตเราละพุทโธ เปนอาการของจิตฟุงซาน

แตถาจิตละจากพุทโธไปอยูกับความนิ่งวาง ก็อยาไปสรางความรูสึกนึกคิดอะไรขึ้นมา ขอใหกําหนดรู


ความวางอยูอยางนั้น…"

ทุกปลายเสียงที่ทอดเนิบดวยพลังเมตตาเมื่อสิ้นแตละวรรคแตละประโยคของหลวงพอพุธนํามาซึ่งความ
สงบซึ้งในวิเวกธรรม เกาทัณฑไดเขาใจอยางถองแทเดี๋ยวนั้นวา ‘การฟงธรรม' คืออะไร ไมใชเพียงรับคํา
พูดของผูแสดงธรรม แตยังเปนการซึมซับเอาความสงบ ความรูแจงที่ถายทอดผานกระแสเสียงอันทรง
ธรรมมากอกุศลจิตในปจจุบันอีกโสด

ทํานองเดียวกับคนในโลกชอบฟงดนตรีที่ตนโปรดไมอิ่มไมเบื่อ ผูปรารถนาธรรมยอมชอบฟงธรรมจากผู
ทรงคุณบอยๆมิรูหนายเชนกัน แมจะฟงซ้ําแลวสักกี่รอบก็ตามที

เหมือนธรรมะอันสูงสงอยูใกลแคเอื้อมและอาจแตะตองได เพียงดวยความเชื่อมั่นและอยูใกลหลวงพอพุธ
ทาน สิ่งนี้นับเปนปาฏิหาริยล้ําคา ใหคุณเหนือการแสดงอิทธิปาฏิหาริยอื่นใดทั้งปวง เพราะเปนอํานาจ
วิเศษที่ชักจูงจิตวิญญาณใหคลอยสูกระแสนิพพานอันประเสริฐสุด เมื่อถึงแลวจะสถิตถาวรชั่วกาลนาน
ฤทธิ์ของทานมิใชเพียงปาฏิหาริยชักจูงใหเกิดความทึ่งหรืออัศจรรยใจชั่วครูชั่วคราว

ชายหนุมจดจองดูความผองใสฉายราศีสงาจับตาของหลวงพอพุธ แมจะอยูในวัยชรา ทานก็คลายมากไป


ดวยพลกําลัง ซึ่งแนนอนยอมเกิดจากธรรมานุภาพในดวงจิตโดยแท

สงาราศีที่เห็นในทานมีความแตกตางจากสามัญชน คนในโลกนั้นใหสูงสงแคไหนก็ไปหยุดกันที่ความนา
เลื่อมใส ความนาเทิดทูน หรือความนายําเกรง แตสําหรับหลวงพอพุธนั้น ภาพปรากฏของทานเปน
อารมณจิตใหผูพบเห็นแลนเลยมาถึงการสัมผัสความปลอยวาง และความนาบูชาเหนือโลก ทั้งที่มิไดอยู
ในเครื่องแตงกายภูมิฐานหรือสถิตทามกลางสิ่งแวดลอมอลังการอันใด

เห็นแสงแฟลชวาบอยูเปนระยะ ทุกคนคงปรารถนาจะเก็บภาพทานนั่งเดนเปนประธานธรรมไวไปบูชา
นั่นทําใหเกาทัณฑนึกขึ้นได แกะกลองของตนออกจากซองบาง ยกขึ้นเล็งและปรับซูมใหเขาระยะโฟกัส
เหมาะ แลวชันเขาขึ้นกดชัตเตอร คิดในใจวาควรถายไวเพียงสองภาพ แบบจับหนาใกลและดึงออกไกล
ตามระยะจริง ไมมากกวานั้น ดวยเกรงแสงแฟลชจะเปนที่รบกวนทั้งหลวงพอและญาติโยมดวยกัน

กลับลงนั่งเก็บกลองเขาที่ เหลือบแลและลอบสังเกตรอบดาน เห็นอุบาสกอุบาสิกาบางคน บางกลุม นั่ง


ปดตาสงบในกิริยาสมาธิเพื่อรับฟงธรรมดวยจิตที่เขาใกลทานมากขึ้น ก็เกิดความเห็นดีเห็นงามตาม หัน
มาตั้งหนาตรง ดํารงสติมั่น ปดตากําหนดจิตเขาสูความทรงนิ่ง สงัดราบคาบจากความคิดทั้งมวล กระทํา
ประสาทหูใหเปนที่รับธรรมเทศนาชั้นดี บังเกิดความตระหนักวาเมื่อฟงธรรมจากผูมีจิตเปนสมาธิ ก็ควรมี
จิตเปนสมาธิตามทาน เพื่อรับกันไดสนิทเชนนี้
๒๒๑

แจมแจงแลววาเหตุใดพระผูปฏิบัติชอบจึงถือเปนนาบุญของโลก หากปราศจากปูชนียบุคคลผูสืบทอด ผู


เปนแบบอยาง ผูนําความเลื่อมใสศรัทธาเหลานี้ ใครเลาจะเชื่อหรือมีกําลังใจอยากปฏิบัติใหถึงซึ่งวิมุติ
ตามพระพุทธองค

เมื่อใดโลกวางจากพระอริยเจา ตอใหทองบนสาธยายธรรมกันมากมายเพียงใด ก็ยอมเกิดวิจิกิจฉา สงสัย


ลังเลวาสุดทางปฏิบัติคือดวงธรรมอันประเสริฐ หรือวาคือความสูญเปลาไรประโยชน และผลการปฏิบัติ
นั้นประจักษไดในปจจุบัน หรือวาตองรอแตกดับไปพบพานในปรภพ

ตอเมื่อมีทานผูเปนหลักฐานธรรมเชนหลวงพอพุธอยู แมเพียงสัมผัสพบเห็นและฟงทานกลาวพอสังเขป
ใจสวนหนึ่งก็พรอมจะซึมซับรับรูของจริง โนมเอียงไปในทางเชื่อไดแลววาสวรรค มรรคผล นิพพานนั้น
คือปลายทางการปฏิบัติถูกปฏิบัติชอบ ไมใชเรื่องกุแตอยางใด

หลวงพอพุธตอบคําถามญาติโยมอีกพักใหญก็ขอตัวไปทํากิจของทาน เกาทัณฑกับแพตรีไดแตกราบลา
อยูหางๆโดยไมทันมีโอกาสไถถามธรรมะขอใด เนื่องจากเผอิญมาในวันที่ญาติโยมออกันขางหนาเยอะ

ใจโปรงเบาเปนที่สุดเมื่อเดินออกมาจากกุฏิเจาอาวาส สองหนุมสาวเดินเคียงกันเงียบเชียบบนทางรม
ดวยเงาสน เมื่อผานโบสถพระประธาน เห็นประตูแงมเปดอยู เกาทัณฑก็เกิดความคิดฉับพลันและชวน
ขึ้นวา

"เขาไปกราบพระประธานกันไหม?"

หลอนพยักหนาและเดินตามเขาไปโดยดี

ในโบสถมีแมชีคนหนึ่งกวาดพื้นอยูตามลําพัง เมื่อเห็นสองหนุมสาวกาวเขามาก็ใหความสนใจมองเพียง
เล็กนอยแลวทําความสะอาดเก็บกวาดฝุนผงของตนตอ

เกาทัณฑและแพตรีมากมกราบเบญจางคประดิษฐพรอมกันหนาองคพระปฏิมาดวยลักษณาการออน
นอมนอบนบ เมื่อกราบแลวก็นั่งนิ่งอยูดวยความสํารวมในที

ใจเหมือนทะเลเรียบและกวางโลง ชายหนุมเงยหนามองพระพักตรฉายสงบขององคปฏิมาแลวบังเกิด
ความอิ่มละไมออกมาจากสวนลึกที่สุดของหัวใจ ผูสรางชางมีศรัทธาแกกลาจริงหนอ ประดิษฐพระพักตร
ยิ้มรูเยือกเย็นไรมลทินจนมองแลวคลอยซึ้งถึงเพียงนี้ การสรางถาวรวัตถุอันกอกุศลจิตอันยิ่งใหญใหแกผู
พบเห็นนั้นควรไดรับรางวัลสนองตอบจากธรรมชาติบุญกรรมสักเพียงใด?
๒๒๒

คิดแลวก็ยิ้มออกมาดวยใจอนุโมทนา เชื่อมั่นวาผูเปนชางและผูใหทุนสรางคงมีรูปโฉมงามหมดจดเจริญ
ตาเจริญใจผูพบเห็นไปทุกภพทุกชาติตราบเขาถึงพระนิพพาน เกิดไปเถอะ กี่ชาติๆจะตองไดอัตภาพอัน
งดงามยิ่งใหญเปนหนึ่ง นอมใจใหนึกรัก เลื่อมใส อยากใกลชิดเกินใคร

นี่แหละหนา พระสัมมาสัมพุทธเจาอุบัติขึ้นครั้งหนึ่งเปดทางใหผูคนมีโอกาสสรางบุญไดมากมายเหลือ
คณานับ แรงปติในบัดนี้ก็ดี ธรรมเทศนาของหลวงพอพุธก็ดี วัดนี้และวัดอื่นทั่วตลอดทั้งเจ็ดแผนดินก็ดี
ลวนปรากฏมีปรากฏเปนดวยตนทางคือพระมหาบุรุษเพียงหนึ่งเดียว

คิดถึงสังสารวัฏอันนาสะพรึงกลัว ความไรที่จบสําหรับสัตวที่ทองไปโดยปราศจากจุดหมาย กอเวรกอ


กรรมโดยมีเงื่อนธรรมชาติแกลงไมใหรูวามีนรกสวรรคดักรออยูเปนจุดๆ แลวคิดถึงพระสัพพัญูผูกระทํา
ความจบใหเกิด และตรากตรําตลอดพระชนมพรรษาเพื่อรื้อขนเวไนยสัตวจากทางวิบากอันไรแกนสาร
เปนจํานวนมากที่สุดเทาที่จะมากได

ยิ่งตรึกนึกระลึกถึงพระคุณของตถาคต ก็ยิ่งบังเกิดแรงบันดาลศรัทธาขึ้นลนเกลา ชนิดที่เขาใจเลยวา


ความเคารพรักและบูชาขนาดยอมตายใหใครสักคนไดนั้นเปนอยางไร

คิดถึงพระพุทธวจนะแลวระลึกไดวาสิ่งบูชาที่พระองคพอพระทัยสูงสุด มิใชดอกไมหรือชีวิตใคร แตเปน


ธรรมบูชา ปฏิบัติภาวนาจนจิตเห็นแจงในธรรม แลวนอมความเห็นนั้นเปนเครื่องถวายพระองค

ปลงใจเห็นชอบดังนั้นก็หันมาทางแพตรี

"ผมขอเวลาทําสมาธิสักพักหนึ่งไดไหม?"

หญิงสาวกําลังมองพระพักตรและระลึกถึงพระพุทธคุณอยูเชนกัน เมื่อไดยินเขาถามแสดงเจตจํานงก็
เหลียวมาหาและกระซิบ

"ตามสบายคะ"

เห็นรอยยิ้มตอบของหลอนในบัดนั้นแลวกอใหเกิดความรูสึกสนิทแนนแฟนฉันสหธรรมิก หรือเพื่อนผูยิน
ดีรวมเสพธรรม เปนความรูสึกแสนสะอาดที่ไมเคยเกิดกับผูหญิงคนไหนมากอน หากแมตอไปแพตรี
ปฏิเสธความสัมพันธฉันคนรัก เขาก็จะคงยังผูกพันและมีความปรารถนาดีให พรอมจะชวยเหลือเกื้อกูล
ดวยความจริงใจของเพื่อนแทถึงที่สุด

ลุกไปถามแมชีวาจะมีการทํากิจของสงฆในชวงใกลหรือไม แมชีตอบวาบายสามโมงพระจะมานั่งปฏิบัติ
สมาธิกรรมฐานดวยกัน ชายหนุมยกนาฬิกาขอมือดูเห็นเหลือเวลาอีกถมเถก็สบายใจ เนื่องจากคิดจะนั่ง
สํารวมสติถวายธรรมเปนเครื่องบูชาพระปฏิมาเพียงครูเดียวเทานั้น
๒๒๓

กลับมานั่งตรงที่เกา หันไปยิ้มใหแพตรีนิดหนึ่งแลวเบือนหนากลับมาปดเปลือกตาลงกําหนดจิตวางไวกับ
สายลมหายใจออกและเขา จับอารมณติดทันทีดวยศักยภาพอันเจริญขึ้นตามวันเวลาที่ฝกจิตอยางตอ
เนื่อง

แพตรีเห็นความสงัดงันเงียบนิ่งอยางรวดเร็วของเกาทัณฑแลวก็หยั่งทราบไดวาเขาเขาถึงภาวะสมาธิไป
แลว เปนขั้นแนบแนนพอควรเสียดวย เนื่องจากตลอดองคแหงกายขัดสมาธิ์แนวนิ่งไมไหวติงและดูแกรง
ในตัวเองดวยการค้ําจากพลังจิตที่กอตัวขึ้นภายใน

เห็นแลวก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะทําสมาธิตาม หันมาตั้งหนาพริ้มตาลง กําหนดนึกถึงความสุขอันคุนเคย


ในภาวะสมาธิ คอยๆหยอนความรับรูทั้งมวลไปรวมลงที่ลมหายใจโดยไมตองตั้งสติเครงครัดมากนัก
เนื่องจากมีพลังปติในธรรมที่ยังคางคาเปนตัวชวยรวมกระแสจิต เรียกตัวรูใหเขาตั้งนิ่งในที่ที่เปนดุลอยู
แลว

เมื่อตัวรูไดที่ตั้งมั่นกลางฐานสติ ก็เกิดเปนความเห็นกวางขวางแผไปตลอดสัณฐานแหงกายนั่ง ขยาย


ซานไปรอบดาน มีลมหายใจเขาออกเปนตัวหลอเลี้ยง ตัวประคองใหจิตทรงอยูในสภาพนิ่งฉายรัศมีเชน
นั้น

แพตรีกําหนดสติรูอาการระบายลมออกและดึงลมเขาดวยความแชมชื่นอยูนาน ลืมทุกสิ่งทั้งหมด คงไว


แตลมหายใจกับความสุขเหลือจะพรรณนา เพลินนานจนตัวอนุสติที่รูวานั่งในโบสถเลือนไป

ฐานรูในกายเคลื่อนไปนิดหนึ่ง แตนิดหนึ่งนั้นมากพอจะทําใหหมดสภาพรูสึกตัวโดยรวม มีแตความนิ่ง


วางแบบหลับสนิท ตางจากหลับก็ตรงที่มีความใสสวางนวลลออจากกลางสภาวะรู และทวมทนพน
ประมาณดวยกระแสปติสุข ตัวตนทั้งหมดเหลือเพียงนามธรรมไรรูปชนิดที่จะกอรูปเปนรอยยิ้มเกษม
สําราญ

เปนอีกครั้งหนึ่งที่หลอนเคลิ้มอยูในภวังคสมาธิ จิตเปดออกรับสัมผัสภาพใกลไกลนอกกาย และเหมือน


กําลังคิด พูด หรือทําบางสิ่งตามปกติ ราวกับลืมตาอยูขางในและอยากเคลื่อนไหวไปทําอะไรสักอยาง

สิ่งแรกที่ปรากฏทางมโนทวารคือความหมายรูศรัทธาในองคพระปฏิมาเบื้องหนา แลวตามดวยแสงทอง
รองเรืองฉายเขามาในดวงจิตราวกับรัศมีตะวันทองยามเที่ยง ทุกสิ่งกระจางใสไปหมด สัมผัสที่เกิดขึ้นคม
ชัดยิ่งเสียกวาเห็นดวยตาเนื้อ ตรงหนาหลอนเปนพระประธานองคเดิม แตฉายรัศมีงดงามพิลาสเกินจะ
พรรณนาถูก แทนประดิษฐานแพรวพราวดวยเครื่องประดับบูชาอันลวนประณีต มีดอกบัว หลากดอกไม
สี และนานาแกวนวรัตนเปนตน วาบวับจับจิตเยี่ยงสมบัติเทวดา นิมิตของทิพยสภาพยอมละเอียดออน
สุขุมเชนนั้นเอง เปนสิ่งที่แพตรีเคยพบเห็นมากอน จึงมิไดเกิดความตื่นเตนแตอยางใด

ความรูสึกทางดานขางคือเขาผูที่นําหลอนมาสูสถานที่นี้ หญิงสาวอยากหันไปมอง แตทําไมได คลายมี


กําแพงพลังบางอยางกั้นขวางไว ทําไดเพียงมองตรงไปเบื้องหนาอยางเดียว
๒๒๔

ความหมนมืดโรยตัวเขาแทรกแทนแสงสวาง คลายเกิดภาพในหวงฝน เห็นเหมือนตนเองกําลังพายเรือ


ขามคลองสกปรก และความรูสึกบอกวาเกาทัณฑนั่งชวยออกฝพายอยูเบื้องหลัง หลอนวาดซาย เขาวาด
ขวาอยางไดดุลพอดีใหลําเรือแหวกน้ํานิ่งไป

ตรงหนาใกลหลอนคือแผนหลังของชายในชุดขาว นั่งสงบไมไหวติงที่หัวเรือ รอบทิศคือกระแสเงียบอัน


นาฉงน ถามตนเองวากําลังทําอะไรอยู นี่เปนนิมิตหรือของจริง ทั้งที่เกิดอนุสติบอกตนเองวานี่เปนนิมิต
แตใจก็เชื่อวาเปนของจริง ดวยสีสันความคมชัดของภาพที่ปรากฏ และความเห็นวงแขนตนขยับวาดพาย
อยางตอเนื่อง จับสัมผัสไดละเอียดลออแมเมื่อเกร็งชวงแขนดันพายตานกลุมน้ําเพื่อใหเรือเคลื่อนไป

นาแปลกที่ริมฝปากหลอนระบายยิ้มปรีดา ทั้งที่ใจเปนกลางเฉย คลายกายแยกไปทําตามตัวเองตองการ


ได

เรือแลนเรียบมาใกลฝง เกาทัณฑคัดทายพายราน้ําใหหัวเรือเบนจากแนวเสนตรง เอาขางเขาเทียบตลิ่ง


ดวยพลกําลังแหงชายบวกกับความชํานิชํานาญ ไหวลําเล็กนอยเมื่อกราบเรือกระทบขอบตลิ่ง กอนหยุด
สนิทพรอมใหขึ้นฝง

ขึ้นฝง...หลอนยังอยากอยูในเรือตอกับนายทาย

รางผอมของชายในชุดขาวลุกขึ้นยืน แลวกาวเทาเหยียบแผนดิน เขาหันมามองหลอน พอเห็นวาเปนใคร


แพตรีก็ขนลุกเกรียว…มติ

มติยิ้มละไม ทาทางมีความสุข หมดหวง และไดยืนบนแผนดินอันมั่นคง ตางกับหลอนซึ่งยังอยูบนแผน


น้ําที่เต็มไปดวยความเลื่อนไหลโยกคลอน

เกาทัณฑใชหัวพายดันตลิ่งเพื่อสงเรือออกสูน้ําตอไป หลอนยังจับตามองรางนองชายจนหมดแกใจชวยลง
พายตอ เกิดความอาลัยอาวรณอยางยากจะกลาว ใจบอกวาเปนพี่เปนนองกับเขาแทๆ วันนี้ตองมาจาก
กันแลว

ละสายตาจากมติเมื่อมาไดไกลจนสุดจะเอี้ยวคอ ใจตัดไปเบื้องหนา เหลือบมองกลุมน้ํารอบตัว เพิ่งได


กลิ่นเหม็นคลุง เพงตรงไปในลูยาวก็เห็นลําน้ําคล้ํากลาดเกลื่อนดวยเศษขยะนารังเกียจ อากาศหมนนา
อึดอัดคลายถูกคลุมดวยมลพิษจากสภาพแวดลอมทั่วไป

แลนเรืออยูกลางน้ําเนา ดวยความอบอุนใจที่มีใครคนหนึ่งอยูเบื้องหลัง…

ภาพนิมิตจางลง ขณะจิตกําลังคืนจากสภาวะรวมตัว ก็ไดยินเสียงชัตเตอรและวาบแสงแฟลชผานเปลือก


ตาเขามา แพตรีคอยๆลืมตาดวยความก้ํากึ่งในสํานึกระหวางตื่นกับภวังคสมาธิ
๒๒๕

ปรับสติอยูเปนอึดใจ กอนเหลียวมองทางขวามือ ชะงักไปหนอยเมื่อเห็นดวงตาชายหนุมเพงจับอยูกอน


แลวยิ้มๆ เหลือบลงต่ําก็เห็นกลองถายรูปในมือเขา

“เวลาแพนิ่งนี่อยางกับเทวรูปเลย” เขาชูกลองอวด “ผมจะเอาภาพนี้ไวหัวนอน”

เกาทัณฑเพิ่งถอนจิตกอนหนาแพตรีเพียงนาทีเศษ เปนชวงเวลาอันสั้นกับการไดพินิจอยางใกลชิดขณะ
หลอนไมรูตัว สรีระที่ถูกสรางไวสมสวนรับกันสนิทตลอดรางแพตรีสงเสริมใหลักษณาการขณะเปนสมาธิ
ชวนมองนาจับตายิ่ง รูปศีรษะมน ดวงหนาฉายสงบ ลําคอระหง และชวงไหลกลมกลึงรับกับเรือนกายตั้ง
ตรงเปนสงา เสียดายที่นึกไดวาควรบันทึกภาพเก็บไวก็เมื่อหลอนใกลออกจากสมาธิ มิฉะนั้นคงมีโอกาส
ชักไวอีกหลายมุม

แพตรีมองทางเขา ทวาใจพยายามยอนนึกและตีความนิมิตในสมาธิ ความจริงระยะหลังนี้หลอนหางเหิน


จากนิมิตสมาธิไปมาก เนื่องจากรูทางดํารงสติเกาะกาย อันเปนผลมาจากการสั่งสมประสบการณแรมป
เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่เกิดนิมิตขึ้นราวกับหลับฝน

“ถาแสงแฟลชสะกิดใหออกจากสมาธิก็ขอโทษดวยนะ”

กลาวทั้งที่หยั่งรูดวยใจวาเมื่อครูจิตหลอนดิ่งเกินกวาประสาทตาจะรับแสงแฟลชได เปนความเผอิญที่
หลอนหยุดกําหนดจิตพอดีเองขณะเขาลั่นชัตเตอร ตอนนี้เกาทัณฑกําลังเปนหวงมากกวา เพราะดูแววตา
หลอนคลายครุนคิดผิดสังเกต

ดวยคําถามของเขา ทําใหแพตรีรูสึกตัว ตัดออกจากหวงคํานึงนึกภายใน

“ชอบแอบถายรูปคนอื่นเปนประจําหรือคะ?”

เกาทัณฑหัวเราะ

“ภาพบางภาพเหมือนของขวัญจากธรรมชาตินะ มัวขออนุญาตใครก็หายไปกอนนะซี…นับเปนนิมิต
หมายที่ดี รูปแรกที่ถายแพก็ไดตอนอยูในสมาธิ กอนนอนทุกคืนผมจะดูรูปนี้ แลวคิดวาแพกําลังนั่ง
บําเพ็ญเพียร ผมจะไดนึกอยากนั่งตาม”

ทีแรกฟงแลวแพตรีคิดจะหาม เพราะคงประเจิดประเจอไปหนอยถาเพื่อนเขาเห็น แตรูวาหามก็เปลา


ประโยชน ในเมื่อฟลมอยูกับเขา ใครจะสั่งไดวาเมื่ออัดลางแลวใหเอาไปตั้งวางที่ใด จึงปลงใจเฉยเสีย

“ผมเพิ่งเคยนั่งสมาธิในโบสถเปนหนแรก จิตเที่ยงอยูตรงกลางไดดุลพอดีแตตนจนจบทีเดียว คงเพราะ


พระทานมารวมทําสมาธิดวยกันทุกวัน แถมมีกิจสงฆที่ศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นประจํา เลยมีสนามพลังกุศลตก
คางอยูเยอะ เราปรับจิตหนอยเดียวก็คลอยตามกระแสไดงาย”
๒๒๖

แพตรียิ้มตอบ

“คะ รูสึกอยางนั้นเหมือนกัน”

“เปนอีกวันที่ผมคิดถึงพระนิพพานขึ้นมาแบบรูสึกใกลจะเอื้อมถึง สัมผัสพระอยางหลวงพอพุธทานแลว
เปนอยางนี้เอง อยูใกลครูบาอาจารย บางทีรูวิชาโดยยังไมทันตองเรียน”

แลวเขาก็เลิกคิ้ว

“เรานาจะตระเวนกราบพระที่ทานถึงธรรมใหทั่ว ใชเวลาวันเดียวแบบนี้แหละ ถาอยูหางมากก็ไปเครื่อง


บิน ชวยกันตั้งเข็มอาทิตยละครั้งเลยดีไหม?”

หญิงสาวเมินไปทางอื่นคลายจะปฏิเสธ ไมยินดีรูหรือยินดีชี้ แตริมฝปากกลับระบายยิ้มที่ชวนใหตีความ


หมายวา ‘ขอคิดดูกอน’

“พอจิตตั้งนิ่งไดที่ แพใชพิจารณาอะไรบางฮะ?”

“หลวงตาแขวนสอนใหรูอาการสงบ และรูทันอาการไหว โดยเห็นวาที่เกิดความไหวนั้นก็เพราะมีธรรม


อยางหนึ่งเขากระทบใจ เมื่อจิตไหวจากความสงบก็คือหมายรู หมายจําไดวาธรรมนั้นคือบุคคล สถาน
การณ หรือเหตุการณใดๆ อาการหมายรูที่เรียกวา ‘สัญญา’ นั้นเหมือนพยับแดด คือเหมือนมีจริง แตครู
เดียวก็เลือนไป”

เกาทัณฑพยักหนา

“ผมสังเกตวาถาชวงเริ่มสมาธิแรกๆ หากเราตั้งจิตไวกลางๆ รับรูที่ตั้งของแกวหูทั้งคู จะทรงสติรูตัวไดดี


และมีจิตเปดกวางเปนธรรมชาติ สมตามความจริงที่เรามีประสาทหูเปนตัวเลี้ยงสมดุลในกายทั้งหมด เมื่อ
รักษาความรูทางสองหูไว ก็เทากับรักษาดุลอันเปนปกติเดิมไปดวย”

แพตรีรับฟงดวยความสนใจ ปกติหลอนจะทําความรับรูเฉพาะนิมิตของฐานลมหายใจคือโพรงจมูก และ


ตัวลมหายใจอันมีลักษณะเปนสายยาวเทานั้น แตตรึกนึกแลวก็เห็นจริงวาเพื่อใหเกิดตัวสติรูในสัณฐาน
กายและปริมณฑลโดยรอบ การตั้งจิตรับรูคูประสาทหูทั้งสองขาง เปนอุปเทห หรือกลวิธีการกันจิตมิให
หลงตกไปในภวังคได คงเหมาะสําหรับผูที่นั่งแลวมักหลงหลับ

“ใกลๆนี้ผมจะลางาน และขอปูไปปฏิบัติธรรมที่บาน แพคงไมรังเกียจนะ”

ใบหนางามละมุนหันขวับมาทันที

“ทําอะไรอยางนั้นคะ?”
๒๒๗

อานตาหลอนก็รูวาคิดอะไร เกาทัณฑกะพริบตาถี่ๆ รีบแกความเขาใจ

“ผมคุยกับปูแลวละ ไมใชอยางที่แพมองหรอก แคอยากไดอาวาสเปนสัปปายะ หางจากสภาพแวดลอม


เคยชินดั้งเดิม แตก็ไมถึงวัดที่ควรนุงขาวหมขาว กําหนดใจถือศีลเปนเรื่องเปนราว รับรองจะดูแลตัวเอง
เกี่ยวกับที่หลับที่นอน อาหารการกิน และรักษาความประพฤติใหอยูในรองในรอยโยคาวจร ไมมาวอแว
กับแพเด็ดขาด”

ก็ใชอยูหรอก เจตนาเดิมนะ เปนอยางที่แพตรีเขาใจจริงๆ คืออยากเขามาใกลหลอนใหมากที่สุด จะอาง


อะไรบังหนาก็ยอม ตอนนั้นรูจักบาปบุญคุณโทษเสียเมื่อไหร แตเดี๋ยวนี้ หลังจากเห็นธรรมจนเกิดเปนใจ
จริงขึ้นมา ก็มีกุศลจิต คิดหาเวลาอันปลอดโปรงเพื่อหยุดตัวเอง สรางความตั้งมั่นอยางตอเนื่องดูสักครั้ง
และสอดรับกันไดกับที่ขอปูไวกอนแลว

หญิงสาวมองเขาดวยหางตาอยางแคลงใจ

“ใครเขาออกจากบานเพื่อปลีกตัวแสวงวิเวกในอีกบานหนึ่งกันคะ มีแตออกตางจังหวัดไกลๆ หรือเขาวัด


เขาวาทั้งนั้น”

“นี่ไมไดแกลงพูดนะ ผมเคยนั่งสมาธิสั้นๆที่บานปูแลวสงบเร็ว อาจเพราะไดไอเย็นจากความรมรื่นของ


กลุมไม เชื่อวาถูกกับสภาพแวดลอมที่เปนเขตของปูกับแพ แบบพระทานแนะวาอยูที่ไหนใจสงบ ก็ควร
อยูที่นั่นใหมาก เขาขายมีอาวาสอันเปนสัปปายะ นั่นคือเหตุผลของการเลือก”

เกาทัณฑสบตาหลอนอยางเปดเผยขณะพูด

“ถาแพไมยินดีผมก็จะยกเลิกแผนเดิม เปลี่ยนสถานที่ก็ได ผมจะไมฝนใจเจาถิ่น นี่ถือวาเปนการถามขอ


ความยินยอมจากแพอีกคนก็แลวกัน”

แพตรีนิ่งไป บางสิ่งในความเปนเขาดูนาเชื่อถือเมื่อปราศจากรองรอยชางเลน ในที่สุดก็เอย

“ถามเจาของบานตัวจริงทานอนุญาตก็แลวไปสิคะ ขัดศรัทธาโดยไมมีเหตุอันควรเดี๋ยวบาปแยเทานั้น”

พอเห็นรอยยิ้มเปด เกาทัณฑก็ทราบวาหลอนเต็มใจตอนรับแลว

พยักหนาชวนกันกราบลาพระประธาน เดินออกมาจากโบสถ เมื่ออยูขางนอก เงยหนาเห็นฟาใสๆ ใจที่


แชมชื่นอยูแลวก็เกิดปติฉีดซานราวกับอยูในอุปจารสมาธิ

ดวยสติที่กําลังแรง เมื่อจับพิจารณาสิ่งใดก็เกิดความเห็นแยกแยะไดเปนชั้นๆ ชัดเจนราวกับรูปและนาม


นอยใหญวางอยูบนกระจกใสคนละแผน เกาทัณฑรับรูถึงกายที่เคลื่อนเดินไปของตนและหญิงสาวผูอยู
เคียงขาง กับทั้งสัมผัสชัดถึงกระแสธรรมชนิดเดียวกัน เชื่อมใหรูสึกสนิทเปนอันหนึ่งอันเดียว
๒๒๘

บุญเปนสิ่งมีอานุภาพ เมื่อสรางรวมกันแลว จะปรารถนาหรือไมก็ตาม ผลคือนามธรรมชนิดหนึ่งคลายใย


แกวสานกันใหเกิดความรูสึกเยือกเย็น งดงาม

ดวยจิตอันคมกลาในบัดนั้น เกาทัณฑหยั่งรูวาผูอยูแตละปลายฝงสายใย จะเก็บสัญญาณฝายของตนไวใน


จิตใตสํานึก เปนคนละชนิดที่ลึกกวาความทรงจําอันเปนสิ่งตื้นเขินผิวนอก แมเมื่อจิตวิญญาณเคลื่อนจาก
อัตภาพเดิมไปครองอัตภาพใหม ก็จะนําสัญญาณนั้นติดตัวไปดวย เมื่อพบกันอีกดวยอํานาจดึงดูดฝาย
บุญ ก็จะเตือนใหคุนกัน และรูสึกเยือกเย็น งดงามเมื่ออยูใกล

จะรักกันฉันพอแมลูก พี่นอง เพื่อนพอง หรือสามีภรรยา ก็ขึ้นอยูกับฐานะระหวางกันขณะรวมบุญ หากมี


ปจจัยบวกใหมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะไมอิ่มไมเบื่อในกันและกันเลย อยูใกลกันไดเรื่อยๆ ชนิดเดียวกับที่ทุก
คนปรารถนาจะเขาหาเงาไมหลบแดด หรืออาศัยศาลาริมน้ําหลบรอน

เบื้องแรกเมื่อพบและรูจักแพตรี เขาไมเขาใจวาความรูสึกแสนพิเศษอยางนี้ลอยลมมาจากไหน ตอเมื่อจิต


กับจิตทั้งสองฝงรวมกันเปลงรัศมีจัดจาไรสิ่งคลุมบังถึงที่สุดหลังปฏิบัติธรรมเดี๋ยวนี้แลว จึงเกิดความ
‘เห็น’ โดยปราศจากความเคลือบแคลงใดๆอีก

เงารางของอีกฝายอยูเรียงเคียงขางดวยน้ําหนักเสมอกันทั้งระดับความคิดอาน ทาน ศีล สมาธิ และ


ปญญาธรรม ดุจเดียวกับวางของสองชิ้นบนคันชั่งสองแขนไดดุลพอดี

สัญญาณแหงกุศลซึ่งใจสงถึงกันนั้น เมื่อประจักษจึงรูวาเปนสิ่งพิเศษเหนือวิสัยชูสาวสามัญ เกาทัณฑ


บอกตัวเองวาตอใหใบหนาของหลอนนาเกลียดนากลัวลงดวยพิษน้ํากรดเสียเดี๋ยวนี้ ขอเพียงยังมี
ประกายสวางจากหัวใจถึงหัวใจเชนที่เปนอยู เขาก็จะไมรักหลอนนอยลงเลย

หมดหวงแลว นี่เปนการตอ มิใชการเริ่มนับหนึ่ง สอง สาม

หลอนคือคูแทของเขา

เกาทัณฑพาแพตรีมาที่ศูนยการคาของจังหวัดเพื่อทานขาวกลางวันและเลือกซื้อของถวายสังฆทานกัน
เอง สองหนุมสาวมาอยูที่ศูนยรวมอาหารของหาง ซึ่งเผอิญมีรานหนึ่งในนั้นขายอาหารมังสวิรัติโดย
เฉพาะ ถูกกับความชอบใจของแพตรี

เปนครั้งแรกที่ทานขาวรวมกันนอกบาน ดวยความอยากเอาใจและใหเห็นวาเขาอยากเปนพวกเดียวกัน
เกาทัณฑจึงเลือกสั่งอาหารจากรานเดียว และอยางเดียวกับหลอนนั่นเอง

“ถาไมเจอรานเจหรือมังสวิรัตินี่…หิวขึ้นมาแพทํายังไง?”
๒๒๙

“ก็สั่งเขาไดนี่คะ กับขาวมีหลายอยางที่ไมตองใสเนื้อ อยางผัดผักบุงอะไรอยางนี้”

เกาทัณฑกมหนามองผัดหมี่เห็ดหอมในจานตน แพตรีมองตามแลวบอกวา

“อยาฝนใจเลย มาดวยกันไมไดหมายความวาตองกินอยางเดียวกันนี่นา”

ชายหนุมกระแอมเล็กนอย เลือกพูดเฉพาะสวนที่เปนความจริง

“ผมชอบเห็ดหอมขนาดไหนแพรูไหม รานนี้ใหเห็ดหอมอยางดีดวย นี่หมดแลววาจะไปเอามาอีกจานตาง


หาก”

“จะชอบทานอยางนี้ไดนานกี่มื้อคะ?”

ฟงรูวาสําเนียงหลอนออกไปทางลอ เพราะทราบวาเขาทําไปเพื่อเอาใจ เกาทัณฑหัวเราะเกอๆ ออมแอม


วา

“แพทํากับขาวอรอยจะตาย ผมคงติดใจไปเรื่อยถามีโอกาสทานทุกมื้อที่เปนฝมือของแพ”

“แนเหรอ?”

หญิงสาวทําเสียงทีเลนทีจริง ตาทอประกายขึ้นมา

“แน…”

เขาตอบเสียงออย นาหนักใจละถาแพตรีขอรองใหเปนมังสวิรัติแบบหลอน จะไดทํากับขาวงายๆ กินรวม


กันงายๆ แคนึกก็รูแลววาตนคงโหยหาหมูเห็ดเปดไกแทบชักดิ้นชักงอตาย

ก็คงตองรอดูไปวาแพตรีชอบบังคับจิตใจคนใกลชิดหรือเปลา ดูจากผิวนอกแลวคงไม

มีมือใครคนหนึ่งวางบนบา เกาทัณฑเอี้ยวคอเงยหนามอง พอเห็นวาเปนเพื่อนก็ยิ้มรา

“เฮย! เชิง”

เชิงไทตบบาเพื่อนอีกทีหนึ่งอยางจะทักซ้ํา กอนถือวิสาสะดึงเกาอี้ออกจากใตโตะหยอนตัวลงนั่ง วางจาน


ขาวขาหมูกับแกวน้ําอัดลมที่เพิ่งนํามาจากรานวางลงบนโตะ

“มาทําอะไรที่นี่ละเต” พูดกับเกาทัณฑแตหนาหันไปยิ้มใหแพตรีและทักกอน “สวัสดีครับ”

หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง กอนรับตามมารยาท
๒๓๐

“สวัสดีคะ”

เกาทัณฑดูแววตาเพื่อนที่จับมองหญิงสาวแลวเห็นวาขึ้นเงาเปนประกายจัดเกินงามไปหนอย ก็ใชปลาย
นิ้วสะกิดหัวไหลเพื่อเรียกใหหันมามองเขาแทน

“มาไหวหลวงพอพุธ”

เชิงไทรูสึกยากจะถอนสายตาจากดวงหนาสวยหวาน สวยชนิดที่เห็นปุบเหมือนสะดุดลมหลนลงหลุมรัก
ทันใด แตจําใจตองหันมาโตตอบเพื่อนตามเพลง

“โอ เดี๋ยวนี้ไหวพระเปนดวยรึ”

“อือ มึงละ มาทําไม?”

“มาพักรีสอรตริมน้ําของพอไอปไง ลองแกงกันดวย ที่กูชวนตอนบายวันศุกรแลวมึงบอกติดธุระนะ ที่แท


มานี่เอง”

เกาทัณฑเห็นเพื่อนทิ้งทายแบบทําตารูกันแลวก็รีบแกความเขาใจเสียใหม

“เออ ธุระสําคัญนะเมื่อวานทําเรียบรอยไปแลว วันนี้เพิ่งมาถึงไดพักใหญ”

“ออเหรอ...” รับรูแลวเวียนหนามาหาหญิงสาวอีก “ผมเปนเพื่อนที่ทํางานเดียวกับเตนะครับ พักหลังทํา


ตัวหางเหินเพื่อนฝูงไป กําลังตั้งขอสงสัยกันใหญวาเกิดอะไรขึ้น”

แพตรีมองเพื่อนของเกาทัณฑดวยยิ้มในที หนาใสแบบหนุมเจาสําราญที่ฝงไวดวยดวงตาทรงอํานาจ
ฉลาดเฉลียวเยี่ยงผูประสพความสําเร็จในตําแหนงหนาที่ของเขาดูเขากันเปนพรรคเปนพวกดีกับ
เกาทัณฑ

“ชื่อเชิงไทนะครับ”

หนุมหนาใสควักกระเปายื่นนามบัตรใหหลอน แพตรีรับมาวางไวกับขอบโตะ ทวาไมไดแลดูตราทองของ


บริษัทยักษขามชาติ กับตําแหนงใหญระดับรองหัวหนาแผนกของเขาแตอยางใด

เชิงไทหันมาเสวนากับเพื่อนชายแบบสับจังหวะเสียหนอย

“รูแหลงเที่ยวที่นี่หรือเปลา จะไดแนะนําให”

เกาทัณฑทําหนาเมื่อย
๒๓๑

“รูนา…”

“ออ ลืมไป ดันหวังดีจะแนะที่เที่ยวใหกับนักเที่ยวตัวฉกาจได ฮะๆ อุปมาเหมือนสอนลิงขึ้นตนไม”

น้ําเสียงเชิงไทมีพลังแหงความรื่นรมยที่จะสะกดคนอื่นมาอยูใตบรรยากาศของเขา แพตรีเห็นเกาทัณฑ
ถูกสัพยอก เปรียบเปนลิงเปนคางเชนนั้นก็หัวเราะออกมากิ๊กหนึ่ง แตฝายเกาทัณฑพอเห็นหลอนขําก็ชัก
ไมสบอารมณเพื่อนตงิดๆ

“โลกกลมเนอะ ดันมาเจอมึงไดยังไงวะเนี่ย”

เชิงไทยักคิ้วหัวเราะอยางสนุกที่เห็นเกาทัณฑเริ่มทําหนาบูด

“แถวนี้หาที่กินเย็นๆยาก ขางนอกรอนตับจะแตก เขาหางวาจะกินสุกี้ก็เจอคนเยอะซะนี่ เหลือโตะวางไม


พอ ยายแอขี้เกียจรอเลยชวนมานี่”

เกาทัณฑชักอึดอัด ความจริงเชิงไทเปนเพื่อนที่สนิทกับเขามาก คบหากันตั้งแตสมัยเรียนตรี แยกยายไป


เรียนโทคนละแหง เขาจบกอน เมื่อเขาบริษัทก็เปนคนชักชวนมาทําดวยกันในตําแหนงและสายทางที่
เกื้อกูลกัน เขาทําทางเทคนิค เชิงไททําดานตลาด ตางกาวหนาเร็วเพราะสอบเขากับบริษัทแมที่เมือง
นอกโดยตรง แสดงฝมืออยูทางโนนพักใหญกอนถูกยายมาประจําสาขาในเมืองไทยพรอมกัน เพื่อเปนตัว
เชื่อมประสานระหวางบริษัทแมกับเครือขายอีกแรงหนึ่ง

หากเชิงไทมาคนเดียว ควรจะยินดีดวยซ้ําที่เพื่อนเผอิญโคจรมาเห็นหวานใจโดยไมตองรอจังหวะพาไป
อวดเอง แตนี่ ‘ยายแอ’ ที่เขากับเชิงไทเพิ่งจะเปดศึกประลองกระบี่ชิงนางกันหยกๆเกิดพวงมาดวยนะ
ซี…

บุคคลที่เกาทัณฑอยากเลี่ยงการเผชิญหนาเดินทางมาถึงอยางรวดเร็ว เมื่อเชิงไทชูแขนขึ้นกวักมือเรียก
ใครบางคน และชี้โบชี้เบคลายจะใหใครคนนั้นเรียกเพื่อนที่กระจัดกระจายมารวมกันตรงนี้ พักเดียวก็มี
หญิงชายถือจานขาวบาง ถาดใหญบางทยอยเดินตามกันมา

“ใหพวกเรานั่งดวยไดไหมครับ?”

เชิงไทกวักมือเรียกพวกเสร็จคอยถามแพตรีใหพอดูมีมารยาท ซึ่งแนนอนหลอนตองตอบวาเชิญตาม
สบาย ดวยเห็นเปนเพื่อนสนิทของเขา เกาทัณฑฝนยิ้มตอนรับทุกคนอยางดี

อาว! พี่เต หวัดดีครับ…อุย! พี่เตนี่ สวัสดีคา…

นึกอยากเตะเชิงไทสักปาบ ความจริงเขากําลังจะออกปากไล ขอความเปนสวนตัวอยูทีเดียว แตนี่คงสาย


เกินไปแลว เชิงไทถือสนิทจนขาดความเกรงใจเสมอ ลากเอาหญิงสามชายสองทั้งนองและเพื่อนรวม
๒๓๒

บริษัทมาตั้งวงไดลงคอ ทั้งที่เห็นเขาอยูกับแพตรีตามลําพัง คราวนี้จะไลอยางไรไหว พอทักทายเขาแลว


ก็กระจายกันนั่งบนโตะรอบๆนั่นเอง

เกาทัณฑคิดวาโดยความสัมพันธขณะนี้ แพตรีอาจยังไมสานสนิทกับเขาพอจะสละอัธยาศัยรักสันโดษ
ขนาดสบายใจรวมนั่งทามกลางคนแปลกหนาที่เปนพรรคพวกเขาลวน เผลอๆอาจขัดเคืองกับการเสีย
บรรยากาศเดิมจนแกลงขอตัวหนีไปทางอื่นเนิ่นนานจนเขาตองเหนื่อยตามก็ได

ชําเลืองสังเกตเกร็งๆ ผิดคาดที่เห็นหลอนยิ้มรับทักใครบางคนอยางปกติ เปนตัวหลอนเองตามธรรมชาติ


นั่นทําใหเขาถอนใจโลงอก ก็ดีอยาง สถานการณเล็กๆนี้พอเปนมาตรวัดใจไดวาหลอนยินดีไปไหนตอ
ไหนออกหนาออกตากับเขาหรือยัง ดูแลวทาทางแพตรีพอใจใหเพื่อนที่ทํางานเห็นหลอนอยูกับเขาดวย
ซ้ํา

“พี่เตหนีมาเที่ยวในโลกสวนตัวนี่เอง พวกผมเหงาแย”

นองคนหนึ่งแกลงโวยวาย พอเขาหันไปจะดุใหหุบปากหุบคําก็จะเอกับสายตาคมปลาบของหญิงสาวที่นั่ง
อยูดานนั้นพอดี เกาทัณฑรักษาหนาเปนปกติ พยักพเยิดสงยิ้มทัก แตเรือนแกวขวางคอนกลับมาวงหนึ่ง
เบะปากแถมทายเปนเครื่องหมายแทนการรอง ‘เชอะ!’ ใสเขาดังๆ แลวเสหันไปพูดกับสาวขางตัวหนาตา
เฉย

ในฐานะเพื่อนรวมงาน เกาทัณฑมีความรูสึกดานดีกับเรือนแกวมิใชนอย แคความเกงงานก็เปนเสนหแลว


พลิกลิ้นไดคลองแคลวถึงสามภาษาเทศ ทั้งอังกฤษ จีน และญี่ปุน มีรอยยิ้มพิมพใจไฉไลพอจะเปนหนา
เปนตาใหกับบริษัท ฉลาดพูดขนาดมีสวนชวยเจรจาธุรกิจระหวางประเทศใหสําเร็จลุลวงมาแลวหลายครั้ง
เขาเคยตองเดินทางรวมกับหลอนสามหน ประจักษในฝมือระดับอินเตอรเปนอยางดี หลอนหันหนาไปพูด
กับลูกคาคนไหน ก็กลายเปนคนชาตินั้นไดอยางนาทึ่ง แถมรอบรูเกี่ยวกับรายละเอียดความเคลื่อนไหว
ในระบบแบบที่คุยดวยสักทีจะทราบเลยวาเอกสารทุกชิ้นถาเวียนถึงหลอนจะถูกอานทุกบรรทัด ตอใหปก
หนาและเต็มไปดวยตารางตัวเลขนาสับสนก็เถอะ

เรือนแกวคบกับเขาและเชิงไทแบบเพื่อน ถึงแมจะมีอายุงานนานกวา และสนิทกับผูใหญระดับบนจนไม


จําเปนตองคลุกคลีกับ ‘รุนหนุม’ ความเปนกันเองที่หลอนหยิบยื่นใหนั้น แมฉาบมากับหนาที่การงาน ก็ดู
จริงใจ ปราศจากการเสแสรงแกลงหลอก

วาไปแลวสมองหลอนอยูในเกณฑฉลาดปกติ แตเมื่อรวมกับความสวย ความเชื่อมั่น ไฟทะเยอทะยาน


และทักษะทางภาษาชั้นเลิศ เรือนแกวก็กลายเปนกลจักรสําคัญชิ้นหนึ่งขององคกรไปงายๆ แมโดย
ตําแหนงจะเปนผูชวยผูบริหารที่กาวขึ้นมาจากการเปนเลขาฯ ในทางปฏิบัติก็ ‘ใหญ’ และเปนที่เกรงใจ
ของใครตอใครอยูมิใชนอย
๒๓๓

ผูใหญชื่นชมกันเปนแถว แถมรูความลับมากมายกายกองปานนั้น ขอเพียงหลอนรักหรือชังพอ ก็อาจมี


สิทธิ์ใหคุณใหโทษใครก็ได

วันกอนเขาเพิ่งปฏิเสธอยางงัวเงีย ไมมีเยื่อใยเทาที่ควรเมื่อหลอนโทร.มาชวนเที่ยว วันนี้หลอนเผอิญมา


ไดเห็นมูลเหตุของการปฏิเสธนั้น

ตอไปเขาสมควรจะไดคุณหรือโทษจากหลอนก็คงพอเดาถูกอยู

หลอนไมถึงขนาดรักชอบเขาจนเจ็บปวดรวดราวราวถูกมีดกรีดกลางใจหรอก เมื่อเห็นเขานั่งกับผูหญิงอื่น
อยางนี้ ในเมื่อยังมีเชิงไทอีกทั้งคน แถมดวยหนุมนอยหนุมใหญขางนอกขางในบริษัทอีกบานพะเรอ แต
คงคันๆใจที่เขาถอนตัวกะทันหันในเวลาที่หลอนทําทาจะเลือกมาเปนคูควงคนลาสุด เขารูตัววามีภาษี
เหนือเชิงไทในชวงปลาย ตอนเที่ยวดวยกันหลอนเลือกนั่งขางเขา บางทีก็กระแซะนิดๆ และเขาก็เคยถือ
โอกาสหาเศษกํารี้กําไรไปหลายหน

แพตรีนั่งอยูตรงขามแคเอื้อม เลยออกไปหนอยคือเรือนแกวนั่งอยูอีกโตะ เปนภาพเขาทางตาพรอมกันที่


กอสังหรณกวนใจบางชนิดขึ้นในอากาศ...

แยกจากหมูเพื่อนมาไดคอยเบาใจลง ในซูเปอรมารเก็ตชั้นลางของหางคลาคล่ําดวยผูคนจับจายซื้อของ
วันอาทิตย เกาทัณฑลากรถเข็นมาคันหนึ่ง ใจเปดโลงเปนสุขอยางประหลาด เพียงดวยความตั้งใจวาจะ
เลือกของไปถวายสังฆทาน ก็แตกตางจากการเดินจับจายซื้อของปกติเปนคนละเรื่องแลว

นี่เปนครั้งแรกสําหรับการเลือกซื้อของถวายสังฆทานของเขา ขณะที่สําหรับแพตรีเปนกิจวัตรประจํา
เกาทัณฑจึงใหหลอนเปนฝายนํารอง ขอเปนเพียงผูเข็นรถตามไปรับของจากมือหลอน หรือชวยหยิบจาก
ชั้นตามแตแพตรีจะชี้

ชิ้นแรกที่หยิบเปนแชมพูสูตรเย็น หญิงสาวนํามาใสกระบะตะแกรงเพียงสี่ชิ้นตามจํานวนถวายซึ่งหลอน
ปฏิบัติมาเปนประจํา สี่ชิ้นหมายถึงใหพระสี่รูป ซึ่งเปนจํานวนนับครบองคเรียก ‘สงฆ’ ได แตเกาทัณฑรู
สึกวานั่นนอยไป ไมอิ่มใจ ก็หยิบเพิ่มอีกหาขวด

“ถวายเกาองคเถอะฮะ ตอนทานชวยกันสวดใหพรจะไดดังกระหึ่มเพราะหูดี”

แพตรีอึ้ง มองเขาอยางชั่งใจกอนกลาววา

“อยาวาขัดศรัทธาเลยนะคะ คือ…ตั้งใจจะชวยกันออกคนละครึ่ง”
๒๓๔

ฟงเทานั้นเกาทัณฑก็ทราบวาหลอนมีติดตัวมานอย เกือบบอกไปงายๆวาอยาหวงเลยเรื่องเงินเรื่องทอง
เขาจะออกใหทั้งหมด วันนี้ตอใหทํารอยแปดองคก็สบายมาก แตคิดไดวานั่นอาจเปนการทอนกําลังใจใน
การถวายของหลอนลง เพราะถูกกดใหคิดเกี่ยวกับฐานะการเงิน จึงวา

“แพชวยออกคาน้ํามันรถไดไหม ถือวาเราชวยคนละครึ่งเสมอกัน ผมออกคาของถวาย แพออกคาเดิน


ทาง นะ”

หญิงสาวยิ้มหนอยๆ แปลวาหลอนตกลง เกาทัณฑชวนเลือกของตอตามจํานวนที่ตั้งใจได

แตละชิ้นที่เลือกหยิบจากชั้นวางลวนสั่งสมความแชมชื่นใหพูนทวีขึ้นตามลําดับ ในเมื่อรูแกใจวาเจตนาจะ
นําไปถวายสงฆโดยปราศจากการเจาะจงเลือกภิกษุองคใดองคหนึ่ง ถวายเพื่ออนุเคราะหใหผูประพฤติ
ธรรมอยูสบายตามอัตภาพ สามารถสืบทอดแนวทางปฏิบัติขององคพระสัมมาสัมพุทธเจาไดโดยชอบ

อีกทั้งทราบวาของแตละชิ้นที่หยิบติดมือขึ้นมาพวกทานจะนําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันดานไหน
แจมแจงวาของแตละชิ้นมีคุณภาพดีเพียงใด บางทีเมื่อแพตรีจะผานของบางอยางที่หลอนไมเคยซื้อ
อยางเชนครีมโกนหนวด เกาทัณฑก็เปนฝายเลือกยี่หอโปรดของตน กอบมาลงวางอยางหมายรูวากลิ่น
ความนุมของโฟม และความสบายสัมผัสของมันเปนอยางไร สงฆก็จะรับเชนนั้นเหมือนกันเมื่อถึงเวลาจํา
เปนตองใช

นําของใสรถเข็นไดเพียงหา-หกชนิดก็เกือบลนแลว เนื่องจากแตละอยางมีจํานวนถึงเกาชิ้น เฉพาะผงซัก


ฟอกนี่แพตรีจะเลือกขนาดกลาง เกาทัณฑก็ขอเปลี่ยนเปนขนาดใหญเสียอีก หลอนเกรงรวมของมากมาย
ที่เขาหยิบๆๆแลวจะลนถัง เกาทัณฑบอกถาลนก็ซื้อตุมใสถวายใหเปนประวัติศาสตรไปเลย ทําเอาแพตรี
หัวเราะออกมาได

รับรูวานั่นคือความเปนเกาทัณฑ ตองดีที่สุด ประณีตที่สุด ใหญที่สุด เพื่องานที่เขาศรัทธา ทุกอยางตอง


สุดตัว ซึ่งก็จะใหผลอันเปนกําลังจิตในปจจุบัน และวิบากในภายภาคหนาสอดคลองตามนั้น

หลอนกําลังอยูกับเขา ความเปนเขา เหมือนชีวิตเปลี่ยนไป จากเชาจนถึงยามนี้รวมลงเปนวันที่มีความ


สุขอยางไมเคยมากอน อากาศรอบกายสบายผิดแปลก รสสุขหวานแหลมเห็นปานนี้เองที่ดึงวิญญาณโบก
โบยขึ้นสูงไดยิ่งกวาปกนก และพากายทะยานแลนไกลไดยิ่งกวาแรงพายุกลา

เกาทัณฑเดินผละจากจุดวางผงซักฟอก กําลังจะตรงไปหาน้ํายาลางจาน ไมทันสังเกตวาแพตรีตามมา


ดวยหรือเปลา กระทั่งชะงักกึกเพราะเสียงเรียกจากเบื้องหลัง

“พี่เต!”
๒๓๕

เย็นวาบในอก เกาทัณฑกลับหลังหันมอง แพตรียืนเวนระยะหางออกไปหลายกาว หญิงสาวผมยาว


สะสวย ออนหวานในชุดกระโปรงขาว โดดเดนเปนจุดรวมสายตาของทุกคนในละแวก ดวยแกวเสียงใสที่
เปลงออกมาอยางมีความหมายนั้น จับใจคนไดยินยิ่งกวาดีดแกวเจียระไนสักรอยใบพรอมกัน

“แพเอารถเข็นมาเพิ่มนะคะ พี่เลือกของไปเรื่อยๆกอน”

บอกเขาทั้งยิ้มกระจาง ทั้งโลกเหมือนสวางใหหลอนคนเดียว

เกาทัณฑพยักหนา มองรางระหงหมุนตัวเดินยอนทางหางไปดวยดวงตาที่เหมอลอยงงงันจากมนตสะกด
อันทรงฤทธิ์ของรูปและเสียงอิสตรี

แคถูกเรียกชื่อเปนครั้งแรกก็แทบลืมหายใจอยางนี้ ตอไปถาหลอนบอกวารักเขาสักคํา ไมหมดสติเปนคน


ขวัญออนไปเลยหรือ…
๒๓๖

เกาทัณฑนํารถมาจอดเทียบประตูรั้วบานปูชนะประมาณทุมครึ่ง สองหนุมสาวกาวลงจากรถ เปดประตู


บานและกาวขึ้นเรือนไปดวยกัน

ปูนั่งอานหนังสือบนเกาอี้โยก ทาทางสบายอารมณแบบคนไรภาระเปนกังวลใดๆ นาทีนั้นเกาทัณฑเกิด


ความเขาใจขึ้นมาวาแกอยางมีสติ แกอยางปลอยวาง เต็มไปดวยความสบายใจในบั้นปลาย มีความหมาย
ที่ดีเพียงไร แตละคนเจริญวัยและเดินทางสูความแกชราเหมือนกัน ตางที่วาเมื่อถึงจุดนั้น ไดขอสรุป ได
เนื้อหาชีวิตรวมลงเปนคุณคาชนิดไหนสําหรับตนเองและผูอื่น

“สวัสดีครับปู”

ชายหนุมยกมือไหว ยิ้มแยมแจมใสเหมือนเพิ่งลางหนาหลังตื่นนอนตอนเชาไดครูเดียว ปูชนะพยักหนา


หนอยๆ สัมผัสไดวาอากาศทั่วบริเวณสดฉ่ําขึ้นทันใดเพียงเมื่อหลานชายและหลานสาวปรากฏกาย

แพตรีเขามาคุกเขากับพื้นขางเกาอี้โยก ยกมือเกาะแขนทาน เอยดวยน้ําเสียงฟงออกขัดเขิน

“ตั้งใจกลับมาใหทันทําขาวเย็นแตไมทันเวลาจนได ปูทานหรือยังคะ?”

“ทานแลว ทั้งขาวทั้งยาที่แพเตรียมไวนั่นแหละ”

ทานตอบดวยความปรานี

“แพละ เจาเตมันปลอยใหหิวหรือเปลา?”

“อาว!” เกาทัณฑรองลั่น ปลายเสียงติดหัวเราะแบบแกลงรอนตัว “ใครจะยอมใหหิวละครับปู แพเขายืน


ยันจะกลับมาทานที่นี่ ผมคะยั้นคะยอใหหารองทองกอนก็ไมยอม…เราไปทานกันเถอะแพ นึกแลว ปูไม
รอเราหรอก”

พอกลับมาอยูใกลปู แพตรีก็ใหความสําคัญกับเขานอยลง หลอนยังคงมองและพูดโตตอบกับทานเพียง


คนเดียว

“จะเอาอะไรอีกไหมคะ?”
๒๓๗

ชายชราสายหนา

“อิ่มแลว พอแลว” ทานตอบราวกับพระ “ไง พบหลวงพอพุธไหม?”

“คะ พบ โชคดีที่ไปถึงตอนทานกําลังเทศน วันนี้คนเยอะหนอย ไมมีโอกาสเขาใกลทานเลย”

“ก็อยางนี้แหละ พระแทอยูไกลแคไหนก็มีคนไปถึง ความจริงยุคเรานี้โชคดีแลวนะ ไปหาพระหาเจางายๆ


มีถนนหนทาง มีรถราแลนถึง สมัยกอนจะกราบพระปา พระปฏิบัตินี่ ตองย่ําเทาขามเขากัน”

“แพก็อยากไปนมัสการพระที่ทานธุดงคอยูตามปาเขา เห็นวาถาตั้งใจไปพบพระอริยสงฆนี่ แตละกาวที่ใช


แรงเดินทาง เปนมหากุศลทั้งนั้น”

“ผมจะเดินเปนเพื่อนแพเอง”

เกาทัณฑเสริมดวยเสียงสดใส แตใจคิดวาถาวันไหนพรอม และรูวามีพระดีในปา เขาจะชวนหลอนไป


กราบจริงๆ ไดลําบากเพื่อหาความเจริญใสตัวรวมกับหลอนคงทําใหผูกพันกันแนนแฟนขึ้นอีก

ปูผงกศีรษะแลวบอกแกมสั่ง

“ไปทานขาวเย็นเถอะลูก”

หญิงสาวยิ้มรับ

“คะ”

ลงมาขางลางกับเขา คิดวาคงจะดีกวาหากเกาทัณฑไดทานตามชอบใจ ไมตองรวมทานแบบมังสวิรัติกับ


หลอนติดกันหลายมื้อ จึงเอย

“ค่ํามืดแลว พี่กลับเถอะนะคะ”

เกาทัณฑยิ้มเผล เทาเอว

“กินขาวดวยกันกอนซี พอถึงบานก็ไลเลยนะ”

“กับขาวคงพอทานแคคนเดียวนะคะ อยาหาวาไลเลย”

“ก็ออกไปขางนอกกับ…กับผมซี”
๒๓๘

เกาทัณฑตะกุกตะกักนิดหนอยกับสรรพนามแทนตน แมหลอนยินยอมเรียกพี่เพื่อแสดงการทอดสนิท
และนับถือใหอยูเหนือแลวก็ตาม แตเขายังรูสึกขัดๆชอบกลอยู

ปกติเขาจะแทนตัวเองวา ‘พี่’ ไดเต็มปากเต็มคํากับคนอายุนอยกวา หรือแมมากกวาแตอยูใตบังคับ


บัญชา ทวาสําหรับแพตรี เขายังไมรูสึกเหนือหลอนมากพอจะใชสรรพนามนั้น อยางนอยก็ในเวลานี้

“นะ...”

“เพลียคะ ทานขาวเสร็จอยากอาบน้ํานอนเลย”

เมื่อแพตรีปฏิเสธดวยทาทีจริงจัง ชายหนุมก็ไมเซาซี้ พยักหนาตามใจแลวเดินยอนขึ้นเรือนไปไหวลาปู

“แพไลใหกลับนะครับ ชวนออกไปหาทานขางนอกก็ไมยอม”

หวังไวนิดๆวาปูจะชวยใชประกาศิตสั่งอีกสักหน แตตรงขาม

“อือ ดีแลวนี่ ตอนกลางคืนเปนเวลาหากินของเสือ สิงห กระทิง และแรด ยายแพเหมือนเกงกวางดีๆนี่


เอง”

เกาทัณฑทําหนามอย

“ผมเปนลูกแกะมาทั้งวันนะปู สวนแพก็เหมือนนางกระตายปา หลบไวออก”

ปูถลึงตา

“นั่นไง! แสดงวาลองมาแลวถึงรู”

หลานชายหัวเราะเอื่อยเฉื่อยและเขาไปนั่งบนเกาอี้ใกลปู ยิ้มประจบ

“เชื่อเถอะครับ ผมรูจักรอพิธีการแลวละ เพิ่งเขาใจวาพิธีหมั้นและงานแตงยกความรูสึกใหสูงขึ้นกวาคนใน


สมัยเอาตะบองตีหัวสาวแลวลากผมเขาถ้ํายังไง สัญญาเปนสัญญาสิฮะ ผมจะเปนสุภาพบุรุษ...” เขาลง
เสียงอยางตะขิดตะขวงกับคําที่ฟงเกินๆนั้น “...จนกวาจะถึงเวลา”

“เออ คอยคิดอานไดนารักหนอย…วาแตตอนนี้แกกลับเสียทีก็ดีนะ สําลักความสุขมาทั้งวันแลว อยาใหถึง


ขั้นกระอักเลย แยกหางกันเสียมั่งเถอะ”

เกาทัณฑยิ้มเย็น นัยนตาของเขาคงเปลงประกายสุขจัดซอนยากหนอย ปูถึงกระทุงเอา

“ก็ไดครับ งั้นลาละ เห็นไหมผมเปนคนวางายจะตาย”


๒๓๙

ยกมือไหวปู เดินกลับลงมา เห็นแพตรียืนรออยูหางจากเชิงบันไดระยะหนึ่ง เกาทัณฑเดินเขาไปหาแบบ


ทอดนอง

“แพยืนอยางนี้เหมือนนางไมเลย”

เสียงของเขานุม ยิ้มพรายดูมีเสนหจนทําใหหลอนรูสึกอุนในอก

“เปนยังไงคะ?”

“ก็ยืนนิ่งๆ แวดลอมดวยหมูไมที่อยูในความดูแล มีความสุขอยูกับตัวเอง”

“ฟงแลวทาทางเหมือนคนสวนมากกวานางไมนะคะ”

เกาทัณฑหัวเราะเต็มเสียง กอนเงียบลงระบายลมหายใจยาวอยางเปนสุขเต็มตื้น แหงนหนามองฟาสูงอัน


มืดลึกและดารดาษแสงดาว คืนนี้ฟาสวยราวกับมีงานรื่นเริงบนสวรรค หมูดาวระยิบระยับหลอกตาอยาง
ประหลาด คลายอยากสะกดใหหลงนอนมองทั้งคืนไมรูเบื่อ เขาพูดเปรยทั้งตาจับอยูกับเบื้องบน

“ใครคนหนึ่งมองวาผิวโลกเราเหมือนชายฝงของมหาสมุทรจักรวาล ที่คนยุคเราเพิ่งกาวลุยลงไปจนเปยก
แคศอก...”

แพตรีตรึกระลึกนิดหนึ่ง กอนเอยเสียงเรียบ

“คารล ซาแกน”

ชายหนุมเบิกตาเล็กนอยอยางคาดไมถึง เพียงยินหญิงสาวเอยนามเจาของวาทะไดถูกตอง ก็ทราบในบัด


นั้นวาเขากับหลอนอาจเปนเพื่อนคุยกันไดสารพัดเรื่อง หลากหลายกวาที่นึกไวแตแรก

กอดอก ยกมือขางหนึ่งใชนิ้วเกลี่ยคางพลางรําพึง

“ปราชญระดับโลกมักมีมุมมองคลายคลึงกันนะ จะมองเขามาขางใน หรือเล็งออกไปขางนอกโนนแลวเห็น


แตสิ่งไมเปนที่รู นาคนหาคําตอบ ไอแซค นิวตัน ก็เคยพูดไวคลายกับซาแกน คือเห็นตัวเองเปน...”

เขาทอดเสียงชาลง ทําทีเคนระลึกแตนึกไมออก จนแพตรีพาซื่อ ชวยกลาวแทนเพราะจําไดดี

“เปนเด็กชายที่เลนอยูบนชายฝงทะเล เพลินหากรวดหินเรียบและเปลือกหอยสวยแปลกกวาธรรมดา ใน
ขณะที่มหาสมุทรแหงความจริงวางแผโดยยังไมอาจถูกคนพบอยูเบื้องหนา”

เกาทัณฑเผยอยิ้มกวาง รูจักหลอนลึกกวาเดิม แพตรีคงยังมีอีกหลายมิติที่นาทึ่ง และเขากันไดกับเขาให


คนหามากมาย
๒๔๐

รูสึกดีใจที่มาพบหลอน ขอบคุณตัวของตนที่มองไมเห็นในอดีตไหนก็แลวแต ที่สรางสมรวมกันมาจนเขา


ถึงไดงายดายอยางนี้ เขาเผชิญไดทุกสิ่งและไปไดทุกแหงดวยยิ้มกลา ขอเพียงมีหลอนใกล จะผิดรูปแผก
นามในกาลตอไปอยางไรก็ชาง

หอบลมหนาวผานมาระลอกหนึ่ง พัดแรงจนใบไมใบหญาระเนนลูกรูเกรียว ราวสรรพสิ่งรอบรายที่เล็กเบา


และแบบบางอาจถูกพาไลเรียงลอยวนขึ้นสูเบื้องสูง รางสองหนุมสาวยังนิ่งยืนเคียงกันดวยไออุนชนิด
หนึ่ง ที่ทําใหไอเย็นชวนสะทานไหวในแรงลมกลายเปนเพียงสิ่งกระทบแลวผานเลยไรอิทธิพลอันใด

หอมกลิ่นสดชื่นของไมดอกหลากชนิดที่ขจายปนมากับสายลมเย็นนั้น เกาทัณฑสูดหายใจเขาจนเต็มอก
ลดสายตาลงมองแพตรี เห็นกลุมผมและปลายกระโปรงหลอนพลิ้วไสวตามแรงพัด เรือนรางอรชรสมสวน
ชวนแวะเวียนทัศนามิรูหนาย ขนาดอยูในเงามืดเขายังรูสึกเลยวาหลอนสวย

“แพ...”

หญิงสาวเลิกคิ้วเปนเชิงถามวามีอะไรหรือ

“ผมอยากเปนตัวเองที่เห็นแพไดอยางนี้ตลอดไป”

แพตรียิ้มเนือย

“คําวา ‘ตลอดไป’ นี่ฟงดูเกไกดีนะคะ”

เกาทัณฑผินหนาเหลือบแลไปโดยรอบ ตรงขามฝงถนนหนาบานเปนทิวสน ซึ่งเมื่อมองเลยขึ้นไปจะเห็น


จุดดาวเหนือยอดไม งามซึ้งชวนตะลึงแลเอาการ จึงไดชองชวนหลอน

“มองดาวเหนือยอดไมสูงนี่สวยดีนะ ยังกับภาพศิลปบนบัตรอวยพรขึ้นปใหมแนะ ไอเดียทําตนสอยดาว


หรือตนกัลปพฤกษจับรางวัลคงมาจากการเห็นแสงดาวผานชองไมอยางนี้เอง”

แพตรีเหยียดยิ้มหนอยหนึ่ง ไมยอมมองดาวตามวิธีเชิญชวนของเขา เกาทัณฑเห็นเชนนั้นก็หาทางใหม

“คิดดูแลว สิ่งที่เราเห็นหลนจากฟาเปนประจําคือสายฝน คนถึงมองวาฟาใหแตความชุมเย็น...”

ชายหนุมแตงน้ําเสียงเหมือนเลานิทาน

“นอยคนจะเจอลูกเห็บ เจอเครื่องบินตก เจออุกกาบาตรวงลงมา พวกกวียุคกอนวิทยาศาสตรคงเศรานะ


ถารูวาดาวจริงๆตกสูโลกนะ ที่นึกวาอาจเอาสองมือกอบมาโปรยลงประดับกลุมผมคนรัก ไหนได ตองรอง
จากวิ่งกระเจิดกระเจิงกันปาราบ ทั้งตัวเองทั้งคนรักนั่นแหละ”
๒๔๑

หญิงสาวหัวเราะนิ่มๆ กมหนาขบริมฝปากที่ยิ้มคาง มองพื้นเปนครู กอนเอามือไพลหลัง ตัดสินใจเงย


หนามองดาวตามเขา เกาทัณฑยิ้มใส ถอนใจโลงอก

“นึกดูวาพวกนักโทษที่ติดคุกชายทะเลจะขมขื่นขนาดไหน ตัวติดอยูในหองขังคับแคบ แตตากลับสงไกล


ไดถึงสุดฟาสุดทะเล กลางวันเห็นน้ําครามกับริ้วคลื่น กลางคืนเห็นแสงดาวกับทางชางเผือก อิสรภาพแผ
กวางอยูตรงหนา แตมือแกะลูกกรงออกไปหาไมได”

“ทําไมถึงจินตนาการขึ้นมาไดละคะ เคยฝนวาถูกจองจําหรือไง?”

“เปลา อยูๆนึกขึ้นมาเองนะ”

เอาสองมือลวงกระเปา รําพึงตอ

“เราไมมีลูกกรงกั้น ก็เขยงแตะฟาไมไดอยูดี ถึงขึ้นสูงจนหลุดจากโลกไป ก็จะยิ่งรูวาไมมีทาง”

“แตสายตาเราก็มองฟาไดรอบ ตางกับนักโทษที่มองไดมุมเดียวจากหนาตางลูกกรง”

“อือม ใช...คุยเรื่องนี้แลวทําใหอิสรภาพในการเห็นทองฟาดูหอมหวนขึ้นเยอะแฮะ”

แลวเขาก็หมุนตัวมาเผชิญ ทาทีนุมนวล ยกมือไลลูบเรือนผมหลอนไลจากศีรษะลงมาถึงไหล เพงตารอ


สบดวยแววทอดออนแนบนิ่ง

“แตงงานกันนะแพ”

หญิงสาวเหลือบตาสบ วาบวางในอกไปชั่วขณะ แตก็คืนเปนปกติอยางรวดเร็ว

“เพิ่งพูดถึงอิสรภาพ แลววกมาชวนกันเขาคุกอยางนี้หรือคะ?”

“บานเปนไดทั้งคุกและทองฟา ขึ้นกับวามีใครอยูดวยกัน”

แพตรีอดยิ้มไมได นึกในใจวาชางซอนเงื่อนดวยการลอใหหลอนถาม แลวรอขมวดจับใจกันดวยคําตอบที่


เตรียมไวลวงหนาอยางนี้เอง

“หิวขาวแลวคะ กลับเถอะ แพจะไดไปกินของแพ”

หลอนตัดบทดื้อๆ

“พี่บอกทั้งปูและพอแมของพี่แลว เราหาฤกษหมั้นกันนะ”
๒๔๒

เกาทัณฑตัดตรงเขาจุดอยางเปนงานเปนการ

“กําลังหิวๆ คุยเรื่องหมั้นไมรูเรื่องหรอกคะ ไววันหลังดีกวา”

แปลกใจตนเองเหมือนกันที่โตตอบไดโดยปราศจากอาการเคอะเขิน หันขางใหอยางจะออกหางและชวน
ยุติการสนทนาเพียงนั้น แตพอหันหนี มือขวาก็ถูกดึงไปกุมเกือบจะทันที

แพตรีมองมือตนในอุงมือเขา ทอดถอนใจ ตวัดหางตาแลแลวถามเบาๆ

“นิ่มไหมคะ?”

เกาทัณฑยิ้มเย็น ยอมปลอยโดยดี และกลาวในที่สุด

“พรุงนี้ผมมาหานะ”

“หาใคร?”

ชายหนุมหัวเราะแผว แพตรียืนอยูตรงหนาใกลแคเอื้อมเดี๋ยวนี้ แตเขาคิดไกลไปถึงหลอนที่อยูกลางบาน


สวยในอนาคตกับลูกสักสองคนแลว

“หาแมของนองเอ นองบี...อือม ชื่อโหลไปหนอย ไวเห็นหนาลูกคอยตั้งชื่อใหมดีกวา”

หากเปนเวลากลางวัน เกาทัณฑจะเห็นคําตอบของเขาทําใหหลอนหนาแดงซาน แพตรีเดินผละจากไปที่


ประตูรั้วทันที ซึ่งเขาก็เดินทอดเทาตามหลังมาไลกัน

ประตูเปดอา แพตรียืนเฉยอยูตรงนั้น

“ราตรีสวัสดิ์”

เขากลาวลา

“คะ ราตรีสวัสดิ์”

ชอนตาสบ เห็นเขามองอยางอาลัยอาวรณอยูในเงาสลัวราง นึกครึ้มขึ้นมาก็ยิ้มเกและยักคิ้วใหทีหนึ่ง


เกาทัณฑใจเตน แตก็กลาสืบเทาเขาใกลและกมลงจุมพิตหนาผากหลอนแผวเบา สูดกลิ่นหอมจากไรผม
ตามใจเรียกรอง

แพตรีปดตาลง กอนจะลืมขึ้นเมื่อเขาถอยหางออกไป...
๒๔๓

เสียงจักจั่นที่ดังระงมซอยและสายลมเย็นแทบไมเปนที่รับรูของมติแมแตนอย เขาซอนตัวอยูหลังเสาไฟ
จนกระทั่งเรือนรถเปรียวเคลื่อนออกจากแหลง และเงารางหญิงสาวลับหายจากประตูรั้วไปแลว

รางชาคลายคนเปนอัมพาตไปชั่วขณะ นึกวาภาพที่เห็นคือความฝน

เพิ่งกลับจากการโดดเดี่ยวตัวเอง เมื่อจะผานบานปูชนะ เห็นรถคันงามจอดเทียบหนาประตูก็เควงงันไป


วูบหนึ่ง จําไดดีวาเปนของหลานชายปูชนะ เผอิญจังหวะนั้นแพตรีเดินมาเปดประตูดวย มติจึงรีบเบี่ยงตัว
หาเสาไฟเปนกําบังในเงามืดทันที ราวกับกออาชญากรรมไว ตองหลบซอนอยางคนมีพิรุธ

แสงไฟจากขางถนนฉายใหเห็นสิ่งตางๆเพียงมลังเมลือง แตภาพที่ชายคนนั้นจูบหนาผากแพตรีมันชัด
เสียยิ่งกวาชัดตอสายตาของมติ

เกินจะทําใจเชื่อวานั่นคือหลอน คลายใครเอาสันคอนจามแสกหนาทีเผลอเพื่อใหงงเควง เห็นดินฟาหก


กลับจากบนเปนลาง จากลางเปนบน

ทั้งที่ปลงใจจนหลอกตัวเองสนิทวาคิดกับหลอนเชนพี่สาวเหมือนสมัยเด็ก แตพอเจอภาพบาดตาพิสูจนใจ
ก็รูวาสภาพคาราคาซังยังคงอยู ชวงเวลาที่พยายามโยนวิมานอากาศทิ้งลงทะเลนั้น นับวาสูญเปลาทั้งเพ

เดินกลับบานอยางซึมเซื่อง กลายเปนคนออนไหวราวกับไมเคยรูจักความหนักแนนแหงสมาธิ เห็นจาก


ขางในเลยวาตนหมองมืดหมนคล้ําตั้งแตหนาลงมาถึงตัว จิตใจตกต่ํา หอเหี่ยวราวกับไมเคยผานความ
สวางแหงปญญามากอน

วางขาวของพะรุงพะรังโครมอยางไมอินังขังขอบ นั่งลงกับพื้นหองนอนดวยกิริยาคลายคนถูกสาปเปนหิน
กะทันหัน เจ็บแนนหนาอก เปนครั้งแรกในชีวิตที่ไฟริษยากําเริบขึ้นในหัวใจจนแผดเผาราวกับจะเอาให
ตายดับ หายใจผิดจังหวะ สองตาไมอาจเล็งตรงใหขนานกัน มองเห็นเพียงแคบใกล อึดอัดไปหมด

เมมปากแนน เกลียดรูปรางหนาตาตัวเองที่ไมหลอ เกลียดฐานะของครอบครัวที่ไมรวย เกลียดชะตา


กรรมที่สงมาใหใกลชิดแพตรี เพิ่งเห็นตนเองชัดเจนในวันนี้ ที่ผานมาทั้งหมดนั้น เขาเพียงทําหนาที่เปน
บริวาร ชวยใหหลอนไมเหงาเกินไปนัก ระหวางรอคอยราชรถมาเกยเมื่อถึงเวลาอันควร

นึกสงสารตัวเองอยางไมเคยเปนมากอน การถูกทอดทิ้งมันเปนอยางนี้ เหมือนเปนคนไรคา โดนกดใหลีบ


เล็กลงเทาเศษผาขี้ริ้วที่กองกับพื้น นึกไมออกเลยวาเคยสรางวีรกรรมนาภูมิใจไวเมื่อไหร หรือมีขอดีนา
ชื่นอกซุกซอนอยูตรงไหน

เจ็บยอกตลอดชองอกรุนแรงและตอเนื่อง เห็นไปในชั่วขณะนั้นวาแพตรีทํารายเขาอยางจงใจ ที่แลวมา


ลวนเปนการเสแสรงแกลงทํา ลอใหเขาหลง ลวงใหเขารัก เสร็จแลวก็สลัดเหมือนรองเทาเกาสักคู
๒๔๔

ลมตัวลงนอน อยากหัวเราะ อยากรองไห เขวี้ยงขาวของใหกระจุยกระจาย กระทํากิริยาบาบอหลอก


หลอนตนเอง ทําไมตองปะเหมาะเคราะหราย ผานหนาบานปูชนะในนาทีนั้นดวย ถาเพียงเขาเดินตรงเขา
บานโดยไมแวะทานขาวหนาปากซอย ก็จะผานหนาบานปูเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แลว และไมไดเห็น
ภาพบาดตาชนิดนั้น

ขนาดอยูหนาบานยังล่ําลากันหวานชื่น ยอมใหจูบหนาผากได ปานนี้ลับตาคนจะยอมใหจูบตรงไหนอีก?


ยิ่งคิดยิ่งราวลึก ราวกับมีเหล็กแหลมควงจี๋อยูในอก และชอนไชชําแรกเนื้อตัวไปเรื่อย ผูชายหนาตาทา
ทางพรรณนั้น เกิดมาก็เพื่อเปนเสือผูหญิง จะมีความจริงใจใหหลอนไดสักกี่น้ํา

อะไรมันบังตาหลอนกัน? โธเอย...

บา...บาแทๆ! ยึดติดกับสิ่งที่มองไมเห็นในหนหลัง ใครๆมันก็เคยเปนผัวเมียกัน เคยทําบุญรวมกันมาทั้ง


นั้นแหละ ควรจะดูตางหากละวาปจจุบันมีใครที่สมตัว คนสมตัวที่โคจรผานมาก็ตองเคยเกื้อกูล เคยรวม
ชาติรวมกุศลเหมือนกัน

อยางคุณหมอเจนฤทธิ์เจาของคลินิคใกลบาน ทั้งเกง ทั้งมีเมตตา เปนที่รักของทุกคน กับทั้งรูปงามใน


แบบของคนดี คูควรกับหลอนอยางที่สุด เฝาติดตามเปนแรมปก็ไรผล อยางมากแพตรีแคยอมคุย
โทรศัพทดวยสักครึ่งชั่วโมงเปนการขอบคุณที่อุตสาหเสนอตัวมาเยี่ยมตรวจสุขภาพปูถึงบานอยาง
สม่ําเสมอ

เขาเองชวยเชียรใหหลอนรับนัดเที่ยวเทาไหรก็เหลว กระทั่งนานไปชักเขว หลงหันมามองเขาขางตัวเอง


ในเมื่อคนดีพรอมที่สุดแพตรียังเฉย มาใหความสนิทแตกับเขาเทานั้น จะหมายความวาอยางไรไดบาง?

นอนหงายหนามองเพดานในความมืด น้ําหยดหนึ่งหลนจากหางตาหยาดลงเปนสาย เขารองไหหรือนี่?


บาอะไรอยางนี้! คนที่โกนผมเมื่อไหรเปนพระเมื่อนั้นอยางเขานะหรือรองไหเรื่องผูหญิง?

ทุเรศตัวเอง ทุเรศที่เคยคิดวาแพตรีสนิทกับเขาไดคนเดียว ทุเรศที่สําคัญวาความสนิทคือสะพานทอดไป


หาสัมพันธภาพอันลึกซึ้งในวันหนึ่ง ถาเปดไฟมองเงาในกระจกตอนนี้ คงเห็นไองั่งผอมแหงคนหนึ่งผูไม
เคยตักน้ําใสกะโหลกชะโงกดูเงา แกมตอบเหมือนผี แตสะเออะไปวาดรูปวิวาหคูกับนางฟา คิดถึงภาพตัว
เองในทักซีโดดําและแพตรีในชุดวิวาหขาวบริสุทธิ์ที่วาดขึ้นแลว เพิ่งเห็นซึ้งวาเปรียบเหมือนอีกาทะลึ่งไป
ตีคูกับหงสไมมีผิด

อนาถจริงๆ!

เสียดายเผารูปทิ้งไปเสียกอน ไมอยางนั้นตอนนี้จะเอามาวางทับหนาตัวเองแลวคอยจุดไฟ
๒๔๕

เหนื่อยออน สมองทํางานวกวน ปดตาลงทามกลางความอึงอลในหัว อยากใหรางที่วางนอนของตนเหี่ยว


แหง ตายซากไปอยางเศษขยะที่ยุยสลายหายหนไดเองเมื่อถูกกัดกรอนจากภายใน

เสียงความคิดดูตึงตังอลเวงขึ้นเมื่อหลงครึ่งหลับครึ่งตื่นดวยอารมณทรมาน เสนกระตุกจนเดงขึ้นทั้งราง
นี่เขาฝนวาตัวเองกําลังคิดสับสน หรือคิดสับสนวาตัวเองกําลังฝนกันแน? ความคิดคลายเปนสายดําแดง
แลนเวียนซายวายขวา บางทีเปนเสียงตัวเองหลอนหลอกราวกับปศาจ ตองพลิกตัวสะบัดหนี บางคราว
เปนเสียงกระซิบของแพตรีเหมือนหลอนมายืนเรียกอยูขางเตียง หลอนมาเยยเขาหรือ?

ฝนวาตัวเองนั่งขางคูน้ํา คิดยอนทบทวนวันคืนที่ผานมา ทุกครั้งที่เดินเคียงหลอน จะถูกตอนรับดวย


สายตางุนงงของผูคนตามรายทาง ที่สงสัยวาทําไมดอกฟามาเดินคูกับหมาวัด เคยบอกตนเองวาไมอยาก
แยแสสายตาเหลานั้น เขาบริสุทธิ์ใจกับแพตรี หลอนเปนพี่สาวของเขา ใครคิดอยางไรก็ชาง

ความรูสึกที่แปรรูปเปนอื่นเริ่มสั่งสมมาจากเมื่อไหรก็ยากจะระบุวันเวลา ที่แนคือเมื่อเกือบสองเดือนกอน
เขาไดรับเชิญไปงานแตงของรุนพี่คนหนึ่งผูมีบุญคุณ ใหความชวยเหลือเขาเสมอ เกิดความประทับใจ
ภาพยืนคูกันบนเวทีของคูบาวสาวที่งามราวกิ่งทองใบหยก บันดาลใหอยากวาดรูปขึ้นมาทันใด

ทีแรกก็วาจะวาดรูป ‘กิ่งทองใบหยก’ เปนกํานัลแกคูบาวสาว แตไปๆมาๆนึกอยางไรไมทราบ ตอนลงมือ


วาดกลับใสแพตรีลงเปนเจาสาวได เปนการปรุงแตงจากความทรงจําสดๆ ปราศจากตนแบบรูปถายหรือ
ตัวจริงแตประการใด

งานบางชิ้นทําใหเขาใจความรูสึกตัวเองดีขึ้น อยางเชนเมื่อวาดหลอนเปนเจาสาวแลว สิ่งที่ตามมาคือลาก


ดินสอวาดรูปตัวเองตามไปเปนเจาบาว จะวาผีผลักก็ไมเชิง เพราะสติสตังยังครบถวน แถมพักคิดทุก
ระยะเกี่ยวกับการวางตําแหนง เนื่องจากไมมีตนแบบคราวดังที่เคยปฏิบัติ

บรรจงวาดจนเสร็จและรับรูแตนั้นวาสวนลึกที่มีตอหลอนเปนอยางไร ตัวตนของหลอนนําทาง นําความ


คิด เปนแรงบันดาลใจให รวมทั้งมีอิทธิพลกับงานและวิธีคิดของเขามาตลอด

อยางเชนครั้งหนึ่งที่ขึ้นรถประจําทางปรับอากาศดวยกัน ซึ่งทางเดินบนรถแคบลู และมีผูรวมโดยสาร


คอนขางเบียดเสียด เขาจายเงินใหพนักงานเก็บเปนเหรียญลวน เผอิญมีเหรียญหนึ่งหลุดรอดจากงามนิ้ว
กระเด็นลงพื้นหางออกไปหนอยหนึ่ง เขาไมติดใจและควักเหรียญใหมจากกระเปา กับทั้งไมใสใจตามเก็บ
เพราะเทาคนกําลังครองพื้นที่สวนใหญเกือบหมด ขี้เกียจขี่ชางจับตั๊กแตน

แตแพตรีพยายามกมลงเก็บ ยอมเบียดคนคอนขางลําบากลําบน ตองกลาวขอโทษคนโนนคนนี้ เขาจํา


กิริยาสอดสองคนหาของแพตรีไดดี หลอนหาจนเจอและคืนเขา ออกนึกอายคนที่หลอนจริงจังกับเงินแค
บาทเดียวขนาดนั้น

เมื่อลงจากรถแลว เขาชมหลอนแบบไมรูจะพูดอะไร
๒๔๖

‘พี่แพนี่ดีนะ เห็นคาของเงิน บาทเดียวก็ไมมองขาม’

แพตรีตอบเพียงสั้น แตยังผลใหเขาสะอึก และเขาใจคําวา ‘มุมมอง’ ไดถึงแกนนับแตนั้น

‘เปลา เงินบาทเดียวไมเสียดาย แตรูปแทนในหลวงอยูบนเหรียญ พี่ไมอยากใหใครเหยียบ’

วันนี้หลอนกําลังจะจากหาย ไมมีเวลาเหลือมาเปนแรงผลักดันใหเขากาวไปไหนๆอีกแลว

จากสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ฝนคิดฝนยอนวกวนอยางทุกขทรมานเหลือราย คอยซาสงบลงเปนหลับจริง


และปรากฏฉากบรรยากาศงานเลี้ยง เห็นคนใสสูท ใสชุดราตรีเดินพลุกพลาน เขาแทรกตัวไประหวางผู
คนคลายหนูสกปรก ใสสูทกระจอกตัวละสองสามรอยที่ซื้อจากริมฟุตบาท ใบหนามันแผล็บเพราะไมได
ลาง ผมเผาแมหวีเรียบแตก็เกรอะกรังเพราะไมไดสระ แถมใสรองเทาแตะเขามาย่ําพื้นพรมหรู ตองเดิน
ไปกมไปดวยความอับอายเมื่อมีสายตาใครผานมาเห็นเขาและสงแววเหยียดให

กําลังเดินหาแพตรี รูวาหลอนยืนอยูที่ใดที่หนึ่งในงาน ทามกลางผูคนสลอนหนาสลอนตา ภาวนาใหพบ


หลอนเสียที จะไดรีบหลีกจากงานใหพนอายไวๆ

แหวกผานผูคนที่ลวนแลวแตตัวสูงกวาเขา ลดเลี้ยว เหลือบซายแลขวา กระทั่งถึงจุดที่เห็นแสงทองกราด


ฉายไปทั่ว รับรูผานสัมผัสทางตาวานั่นเปนที่ที่แพตรียืนอยู จึงรุดตรงไปทันที

หลอนยืนเดนอยูในชุดเจาสาว งามงอนระเหิดระหง สยายยิ้มอวดไรมุกอยูกลางแสงทองสวางสวย มีใคร


ตอใครเยี่ยมหนาไปทักทายแสดงความยินดีเต็มไปหมด เขาไดแตเฝาดูอยูหางๆ รีรอใหแขกผูมีเกียรติใน
ชุดหรูคูควรพอสรางซาลง ทาทางใครตอใครใหลหลงหลอน อยากพูดคุยดวยนานๆ ทวาเจาสาวก็ใหเวลา
แตละคนไดเพียงนอย เนื่องจากยังมีที่คอยลําดับเขามาทักทายอีกมาก

กระทั่งเห็นวาเปนโอกาส เมื่อแพตรีบังเอิญมองมา ใจชื้นขึ้นเพราะหลอนเบิกตาสงประกายดีใจและกวัก


มือเรียกหยอยๆ มติกาวเดินเขาหาอยางหนาชื่น หลอนไมเคยลืมเขา และไมรังเกียจที่จะแสดงความสนิท
ชิดเชื้อกับนองผูต่ําตอยทามกลางแขกเหรื่อไฮโซ

“มาทําอะไรจะมติ?”

นั่นคือคําทักจากหลอน ความปรีดาหดหายวูบวับ หลอนไมรูหรือวาเขามาก็เพื่อรวมแสดงความยินดีเชน


เดียวกับแขกอื่นในงาน

มติอึกอัก คิดหาถอยคําเปนครู กอนนึกออกและตอบตะกุกตะกัก

“ผม...ผมอยากมาบอกใหพี่แพรูวาผมเผารูปนั้นทิ้งไปแลว ขอโทษนะฮะที่วาดมันขึ้นมา”
๒๔๗

กลาวแลวก็เงียบงันอยูกับความสํานึกผิดของตน อยากใหหลอนหยันเยยไยไพสักคํา จะไดหลาบจําขึ้นใจ

ทวาแพตรียังคงเปนแพตรี หลอนคลี่ยิ้มละไม นัยนตาสงบนิ่งแฝงแววปรานีดุจเดิมไมเปลี่ยนแปลง

“ชางเถอะจะ...แตมติตองวาดรูปพี่กับเจาบาวของพี่ใหดวยนะ”

มติกมหนาสลด ทวารับคําขอนั้นโดยดี

“ฮะ แลวผมจะวาดให”

“เธอเปนนองที่พี่รักมากกวาใคร”

วาแลวก็ดึงเขาเขามาโอบดวยเรียวแขนขวา ตอนนั้นมติรูสึกวาตนเองกลับกลายเปนเด็กชายตัวเล็กจอยที่
อยากใกลชิดหลอนเพื่อขอความอุนกายสบายใจจากพี่สาวอีกครั้ง

มือใหญแข็งๆของใครคนหนึ่งจับหมับที่ตนแขน บีบเต็มกําและกระชากเขาปลิวหลุดจากออมโอบเจาสาว
เบิกตามองดวยความตระหนกก็ทราบวาบัดนี้เขามาเผชิญกับเจาบาวผูวางทากรางคลายนักเลงโต ตีหนา
ยักษใสคลายจะเขาฉีกเนื้อเถือหนัง คงเดือดดาลที่เห็นแพตรีทอดแขนโอบเขานั่นเอง

มติตัวสั่น เขายกมือไหวและเอยเสียงเครือดวยความกริ่งเกรงภัย

“สวัสดีครับพี่”

“ทะลึ่งมากนะไอกรวก เสือกเอากลิ่นสาบมาติดเจาสาวกู...ออกไป!”

เสียงตวาดนั้นดังราวกับฟารอง และสิ้นคําเจาบาวก็ผลักมือกระทุงอกเขาเต็มแรง ยังผลเหมือนถีบดวย


เทาชาง รางบอบบางของเขาลอยหวือไปปะทะโตะกลมลมครืน จานชามหลนไหลแตกเปรื่องระเนระนาด
สาวๆหวีดวายกันลั่น เขาลมลุกคลุกคลาน ขายหนาและเสียใจจนจุกแนนไปหมด นั่งพับเพียบแปะกับพื้น
สายตาทุกคูรุมจับจองมาดวยความสมเพช แตไมเวทนา

เหลียวไปทางแพตรี หวังจะเห็นหลอนลนลานเขามาชวยและอธิบายใหเจาบาวเขาใจวาเขาเปนคนสนิท
ก็ตองผิดหวังเมื่อพบวาหลอนเพียงยืนมองเฉย

ผูชนะไดไปทุกสิ่งเชนนี้เอง แมน้ําใจอาทรของคนแสนดีอยางหลอนก็ไมเหลือให...

ตื่นจากฝนเลื่อนเปอน ลืมตาในความมืด ถอนใจกับตัวเอง ความสุข ความหวังทั้งหลายเหือดแหงไปจาก


หัวอกเชนเดียวกับน้ําในหนองที่ถูกเผาดวยแดดจัดอยางตอเนื่อง ตรงกันทั้งยามหลับและตื่น
๒๔๘

สิ้นแรง สิ้นพลัง ทอดอาลัยตายอยาก ไมคิดทําอะไรเลยแมกระทั่งรองไห ที่สุดของความอกไหมไสขมคือ


ความรางแลงจากทุกอารมณ คลายรางกายเปนเพียงทอนไมตายซากชิ้นหนึ่ง

แตเพราะไดกําลังฟนคืนมาจากการหลับสั้นๆ สติจึงพลอยหวนกลับ ไมคิดปลอยใหตัวเองจมทุกขเปนบา


เปนหลังเสียกอน กลิ่นสาบสางและความหมักหมมเหนอะเหนียวตามเนื้อตัวบังคับใหลุกขึ้นเขาหองน้ํา
เสียบาง ซึ่งก็ลุกในลักษณะอีบัดอีโรยคลายคนเปนไขใกลตายเต็มประดา

ลางหนาแปรงฟน เห็นใบหนาในกระจกกลมแลวตองปรับเชิดขึ้นใหเงาซูบซําเหมาของตนหายไป เอาขน


แปรงปดฟนและนวดเหงือกเสียหนอยคอยดีขึ้นนิด พอเรียกความสดชื่นคืนชีวิตชีวาไดบาง

นี่เขาเปนอะไรไป ไดชื่อวาเปนผูรูอรรถรูธรรมอยางนี้แลว เพียงเพราะถูกกิเลสเผาหัวอกหัวใจหนอยเดียว


ถึงกับยอมปลอยจิตตกต่ําลงขนาดนี้ได จะไมใหมีความแตกตางกับปุถุชนทั่วไปผูไมรูอรรถรูธรรมบางเลย
หรือ?

ตาสวางขึ้น จริงอยู เขากลับเศรา เกิดความรันทดระทมทุกขดวยแรงกระทบแบบโลกๆไดเทาคนอื่น แต


เมื่อเศราแลว ควรใชอรรถธรรมขอใดที่มีติดตัวมาทําความแตกตางใหเกิดขึ้น?

เมื่อคนในโลกผิดหวังในรัก เห็นภาพบาดตาสะเทือนใจ พวกนั้นทําอะไรกัน? โมโหหนามืดเขนฆาคนรัก


หรือปลอยใหน้ําตาไหลทวมบาน จนกวาตอมน้ําตาจะหมดสมรรถภาพ ตีอกชกหัวทํารายตัวเองใหเจ็บ
กายสมดุลกับเจ็บใจ และถาความเจ็บยังมีแรงเฉื่อย เควงควางและอาศัยแรงตนเองทรงกายหยัดขึ้นสู
ชะตาตอไมไหว ก็คงตองพึ่งเหลายา หรือกระทั่งคิดสั้นพึ่งมีด พึ่งดาดฟาตึกกันเปนลําดับตอไป

เขาละ? สมาธิก็ทําเปน แสงปญญาก็มีออกสวางไสว แลวจะดูดายวายวางเปนไอบื้อใหราคะ โทสะ โมหะ


มันลางผลาญกุศลจิตจนกวาจะแดดิ้นหรืออยางไร?

เกิดความตั้งใจในทันทีวาหลังสะสางชําระกายเสร็จ จะเขาที่ทําสมาธิ เจริญปญญาใหคมกลา กรีดตัด


โมหะออกจากจิต และลางใจใหสะอาดตามกายนี้

พอกําหนดเชนนั้นไดใจคอยสบายขึ้นมาก เปดฝกบัว หลับตาปลอยใหสายน้ําปะทะหนา เอื้อมหยิบขวด


แชมพูมาเทลงมือ ยกขึ้นลูบศีรษะ แลวใชสองมือยีผมจนเกิดฟอง

ปลายเล็บทั้งสิบลากไปมาบนหนังหัวแกรกกราก ปลายเล็บสัมผัสความแขนแข็ง ทําใหรูที่ตั้งของกะโหลก


สวนกระหมอมอยางแจมชัด และเพราะกําลังปดตา สัณฐานของกะโหลกจึงปรากฏกับใจงายดายแบบไม
ตองอาศัยสมาธินํา

ขยายเขตรูไปทั่วทั้งรองรูหูตาในโพรงกะโหลก เห็นครอบทั้งแผนกระดูกสวนหนาผากและโหนกแกม และ


ฟนเปนซี่ๆในชองปากที่ขบกันอยู
๒๔๙

เมื่อเพงถี่ถวนดวยการเพิ่มแรงหนุนของกระแสรูมากขึ้น ก็เห็นคลายเขากําลังลูบคลําหัวกะโหลกที่ถูกตัด
ออกมาวาง มีเสนผมขอดติดอยูกับสวนกระหมอมเหมือนสาหรายทะเลรกเรื้อติดหินเรียบฉะนั้น

นั่นคือ ‘หนาตา’ ของตนที่เห็นออกมาจากภายใน

เมื่อเกิดนิมิตชัด เห็นตัวเองเปนเพียงกะโหลกที่มีกลุมผมเปยกติดหนังศีรษะ ใจก็ปลอยวางอัตตาลง และ


เริ่มหันเหจากความเศราหมองเมื่อครูมาจับพิจารณาธรรมเต็มที่ สวนหัวตั้งนิ่ง ตาปดสนิทแนบ สัมผัส
ระหวางสองมือกับหนังหัวกอใหเกิดดุลแกตัวรูภายในอยางดี สองรูหูปรากฏเหมือนอุโมงคในถ้ําใตน้ํา รับ
เสียงแจกจั้กที่ตกจากฝกบัวกระทบรางและเลยลงพื้นถนัด

จิตจับตนเสียงที่โดยมากดังมาจากพื้น จับแกวหูซึ่งเปนสวนประสาทปลายทางของชองหู และดูความปรุง


แตงที่เกิดขึ้นในหัว ซึ่งจิตตีความเปน ‘เสียงน้ํากระทบพื้น’

จิตจับดูความหมายรูวาเกิดเสียงน้ํากระทบพื้น ตามดูตอเนื่องและพิจารณาวาการไดยิน หรือกระแส ‘โสต


วิญญาณ’ กับความหมายรู หรือ ‘สัญญา’ นั้น เกิดจากปจจัยภายนอกภายในประกอบกัน ไดแก

เสียงจากตนแหลง เปนความสั่นสะเทือน เปนอนัตตา

แกวหูอันเปนอวัยวะชิ้นหนึ่งในกายมนุษย เปนโสตประสาท ไมมีใครออกแบบ ไมมีใครสราง เปนอนัตตา

เจตนาเงี่ยหูฟง เปนความปรุงแตง เมื่อปรุงโดยปราศจากหนาตาใครมารองรับ ก็เห็นไดวาเปนกิริยาของ


จิต ปรากฏแลวสลายตัว ไมผูกอยูกับชื่อเสียงเรียงนามใด เปนอนัตตาเหมือนกัน

ดวยปจจัยคือเสียง แกวหู และเจตนานั้น จึงเกิดความหมายรูขึ้นที่จิต เปน ‘เสียงน้ํากระทบพื้น’ หากตัด


ปจจัยตัวใดตัวหนึ่งออก เชนปดน้ําลง หรืองายกวานั้นคือเลิกเงี่ยหูตั้งใจฟง ความหมายรู ‘เสียงน้ํากระทบ
พื้น’ ก็จะขาดสายหายหนไปดวย

ผุดความคิดคํานึงถึงแพตรี จิตถูกกระทบดวยมโนภาพหลอน เชนเดียวกับที่พื้นถูกกระทบดวยน้ําฝกบัว


เกิดความหมายรูขึ้นไดวาหลอนคือใคร เกี่ยวของอยางไรกับเขา

สิ่งกระทบใจผุดขึ้นโดยเขาไมไดกําหนดใหเกิดขึ้น ตัวของแพตรีคงเดินเหินหรือนั่งนอนอยูในหองหาง
ออกไป เปนคนละอันกับที่ผุดเกิดกระทบใจเขาตรงนี้ เดี๋ยวนี้

เมื่อรูแจงดังนั้นก็เห็นเปนเพียงนิมิตอันวางเปลา เปนความปรุงแตงอันเกิดจากความทรงจําของเขาเอง
ปราศจากความรูสึกรูสาอันใด แตดวยปรุงแตงชนิดเดียวกันนี้ เมื่อครูพาเขาไปเปนผูทุกข ผูมีความ
ระส่ําระสาย ผูสงสารตัวเอง ผูรองไหใหตัวเอง
๒๕๐

ตัวผูรัก ผูถูกรัก ผูสมหวัง ผูผิดหวัง ปรากฏมีสาระอยูแตในจิตอันปรุงแตง เสกปนสรรคไป จูงใหเขาหลง


ไป เพอไป ปราศจากแกนสาร

อยูในภาวะตามดูการปรุงแตง ตัวตนอะไรๆทั้งหมดก็ดับลง เหลือเพียงความรูพรอมเทาทัน เกิดความ


เพลิดเพลินบันเทิงธรรมขึ้นมา

สงัดเงียบอยางเอกอุ เห็นกายสักแตเปนรูปกิริยาขยับเคลื่อนไหว จิตสวางนวลในภายใน ดุจเนื้อกายโปรง


ใสขึ้น แลทะลุเขาไปเห็นกระดูกขาว ไลตั้งแตกะโหลกศีรษะที่ตั้งอยูระหวางสองบา ตอจากบาเปนหัวไหล
สองแขนแยกงอเพื่อรวมมือสระผม

เหลือเพียงความเคลื่อนไหว เพียงปรากฏการณ เพียงรูปมนุษย สัญลักษณธรรมชาติแหงทุกข ที่รวม


อารมณดีราย แหลงกําเนิดกุศลและอกุศลกรรม เกิดขึ้น ตั้งอยู แลวดับลง วางเปลาจากสาระแกนสาร

ธรรมเกิดอยูทุกที่ จิตเห็นธรรมไดทุกเวลา เพียงเมื่อมีการพิจารณาเทานั้น จะเปนที่รมหรือกลางแจง นั่ง


สมาธิหรืออาบน้ําก็ตาม

ปติในธรรมเย็นซานจากความถึงซึ้งในนิมิตแหงอนัตตา เพลินยีสระหัวอยูนานกวาปกติเปนสิบนาที ลาง


กายจนเสร็จสะอาด กับทั้งชะลางความขุนมัวออกจากใจจนโปรงโลง กลายเปนความยินดีและราเริงใน
ความปลอยวางยิ่ง

วางยิ่งเพราะไมหลงเหลือผูหญิงใหหวัง ไมติดพะวงโลกธรรมใดอื่น

ผูหมดหวังในทางโลก สุดทายอาจกลายเปนผูสมหวังในทางธรรม ครองแกวอันวิเศษสูงสงเหนือนางแกว


นางสวรรคใดๆ

ตัวสติจับกาย เห็นกายเปนอนัตตายังคงดํารงนิ่งสวางไสวอยูภายใน และล็อกติดอยูกับฐานอารมณดวย


ตัวเอง แมลืมตาและเคลื่อนไหวปกติแลวก็ตาม นี่ยอมเกิดขึ้นจากการสั่งสมพลังสมาธิมาดี ประกอบ
พรอมกับที่ใจหมดความของแวะทั้งปวง เต็มใจเพงอยูแตความวางในกายลูกเดียว

เปดประตูหองน้ํา เห็นพอเพิ่งเขาบาน ยิ้มรากระหืดกระหอบมาทักเขาดวยเสียงดังกวาปกติ

“เฮยมัด! พอถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง!!”

ความลิงโลดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกวา ‘มนุษย’ กระจายตัวอยูในอากาศ บรรยากาศเต็มไปดวยความชื่นมื่น


แทรกเต็มในทุกอณู

จิตเหมือนแยกเปนสองภาค ภาคหนึ่งปกหลักนิ่งรูกาย อีกภาครับทราบสิ่งกระทบที่เขามาทางตาและหู


มติยังเห็นตนเองเปนกระดูกฉาบเนื้อที่ตั้งยืนขึ้นดวยระยางขาทั้งสอง มีผาเช็ดตัวผืนเดียวปดกายอันนา
๒๕๑

สังเวช เบื้องหนาคือรางชะลูดของบิดา ผูหนาแดงก่ําอยูกับลาภกอนใหญอันลอยมายากเย็นระดับหนึ่งใน


ลาน

เมื่อจิตผูรูนิ่งมั่นเห็นผัสสะเปนอนัตตา รางของพอเขาจึงปรากฏคลายนิมิตอันวางเปลา ไหลมาจากอดีต


ใกลคือตรวจผลสลากกินแบงแลวเขาเปาเผง และกําลังจะกลายเปนอนาคตคือความร่ํารวยมั่งมี ไดใชเงิน
ตามใจนึก

แตความลิงโลดสุดชีวิตยามนี้ก็จะจางไปในอนาคตเชนกัน

ความเปนปจจุบันคือชั่วขณะที่เสวยทุกขสุขได ชั่วขณะที่ตั้งเจตนากระทําการดีรายได และไมมีวันอยูยง


คงตัว ทุกอยางไหลเลื่อนไปตลอดเวลา

แปลกอยางยิ่ง เปนความรูสึกประหลาดอยางยิ่งกับประสบการณเมื่อมีสติคมกลาอยางนั้น ในสัณฐาน


กะโหลกของตนปรากฏกลุมความคิดลอยวนใหตนไดยินเพียงคนเดียว ถูกแปรรูปถายทอดออกเปนเสียง
ใหคนอื่นรับฟงตามไดเมื่อกระดูกขากรรไกรขยับขึ้นลง

“ดีสิฮะพอ”

เปนวาระแรกที่เห็นตนทางของคําพูด สิ่งนั้นเรียกวจีเจตนา ผุดขึ้นกอนในหัว อาจถูกยับยั้งไวใหไดยินเอง


คนเดียว หรือปลดปลอยออกมาใหคนอื่นไดยินตามก็ไดผานอวัยวะชิ้นหนึ่งในกายคือปากซึ่งอยูดานลาง
ใกลกันมากกับสมองอันเปนตนกําเนิดวจีเจตนา

พูดจบแลวจิตก็จับอวัยวะอีกสวนหนึ่งคือริมฝปาก ตนกําเนิดสัญลักษณหนึ่งของความยินดี เครื่องถาย


ทอดลักษณะจิตที่กําลังอยูในภาวะเริงรา คือฉีกริมฝปากแยกออกจนสุด

จิตไมไดวางแบบคนไรสํานึกหรือปวยไข แตวางเพราะเกิดตัวรูแจงในอนัตตภาพ จึงยังคิดอานโตตอบ มี


ความหมายรูแบบคนในโลกอยูครบถวน ขาดก็แตประกายที่นัยนตาทั้งสอง เขาสงประกายจัดจาออกไป
ไมได เพราะจิตเห็นธรรมขั้นตนไมอยูในภาวะที่อาจกอมายา

“ฮะๆ ความจริงพอลืมไปดวยซ้ําวาเลขออกตั้งแตเมื่อวาน วันนี้ไปเลนหมากรุกที่บานไอชวยตั้งแตบาย


ตกค่ําถึงเพิ่งเปดหนังสือพิมพ ฮะๆ มัด เรารวยกันแลว พอพลิกดูเห็นหนาสองตรวจผลก็ควักจากกระเปา
ขึ้นมาเทียบเลขทายขางลางกอน พอเห็นวาผิดก็นึกวาชวดแลว แตพอเทียบขางบนเห็นสองตัวทายตรง
นะ ทีแรกก็เย็นวาบไปทั้งตัว พอคอยๆเหลือบไปเทียบทีละหลัก จะช็อกใหได นึกวาตาฝาด แตเพงยังไง
ก็ใช ฮาๆ ตรงหมดทุกหลักจริงๆ!”
๒๕๒

เสียงพอสั่นรัวเพราะลิ้นพันอยางระงับปติสุดขีดไมอยู ความจริงพอไมใชคนติดหวยหรือสลากกินแบง เขา


สังเกตแตเด็ก พอซื้อเปนบางครั้งเพราะคนตาบอดหรือเด็กทาทางนาสงสารเดินมาขาย เขาสัมผัสไดถึง
เจตนาชวยเหลือ แบงเงินใหเปนทาน เพราะเมื่อพอเดินผานแผงทั่วไปก็ไมเคยแวะซื้อเลยสักครั้ง

“พอตองแกลงทําเฉยจนแทบอกแตกตายแนะวะ กลัวพรรคพวกบนโตะหมากรุกมันรูแลวจะรุมตีกบาลพอ
หมอบอยูตรงนั้น...”

เขาตองมานั่งรับฟงพอสาธยายที่โตะรับแขกทั้งอยูในผาเช็ดตัวหนึ่งผืน พอเสียดายที่ซื้อเลขนั้นแคคูเดียว
เรียกวาทั้งดีใจทั้งเสียดาย สงแรงดึงทึ้งกันไปมาจนหัวใจแทบวาย อีกคูหนึ่งวางอยูติดกันแทๆ โงบัดซบที่
ไมดึงมาดวย จากที่ควรได 12 ลานเลยเหลือแค 6 ลานอยางนี้

มติเกรงวาหัวใจพอจะทํางานหนักเกินไปจนถึงขั้นนาเปนหวง จึงรักษาดุลของจิตตนใหเห็นทุกสิ่งวางไว
อยางนั้น เมื่อจะกลาวแตละคําตองคุมสติแนน สงออกไปดวยจิตเห็นกายเปนอนัตตา เห็นกระดูกขา
กรรไกรขยับขึ้นลง หวังใชความสะเทือนของแกวเสียงตนถายทอดความสงบวางในกระแสจิตผานไปเขา
หูพอ ทําความตื่นเตนใกลจะเกินขีดของทานใหเบาลงบาง

“ไดอยางนี้ก็ดีเลยฮะพอ ถาฝากประจําเต็มๆ พอก็จะไดปหนึ่งหลายแสน เปนหลักประกันตลอดไป


เหมือนบําเหน็จบํานาญ”

มติขายภาพชวยคาใชจายพอมาหลายป ประกอบกับที่พอรักและวางใจ พูดคุยปรึกษาเรื่องเงินๆทองๆ


อยูเสมอ เขาจึงมีโอกาสพูดคอนขางเต็มที่

“ความจริงลําพังรายไดของพอก็พอมีพอใชสบายอยูแลว ผมเองหาเลี้ยงตัวเองรอดไปเดือนๆ เราใชจาย


กันดวยรายไดเดิมไมเดือดรอน เงินนี่ถือเปนของเสริม ถาเก็บฝากประจํา ไดดอกแลวคอยใชปตอป ทา
ทางจะดีกวารีบใชเลย สมัยนี้เงินลานรอยหรอเร็วจะตายถาซื้อของแบบคนรวย”

“อะ! ไมไดซี ตองใชมั่งละ ฮาๆ”

พออยากซื้อรถใหมมานาน ทนขับคันเดิมรวมสิบปจนคาซอมบํารุงเริ่มแพงหูฉี่ เพราะอะไหลหายากขึ้น


เรื่อยๆ แถมจะเดินทางไกลตองตรวจกันละเอียด กลัวจอดกลางทางกอนถึงที่หมาย

“พอจะทําบุญสวนหนึ่งดวย แกวาสักเทาไหรดี ทํากับหลวงตานี่แหละ”

คลื่นบุญที่ลอยมาจากปากพอเคลาเขาเปนอันเดียวกันไดกับสภาพจิตของมติยามนั้น เด็กหนุมจึงยิ้มออก
มาดวยใจชื่นบานอันเปนของจริง

“สุดแตพอสิฮะ ผมชวยเปนธุระใหเต็มกําลังเลย”
๒๕๓

พอหัวเราะฮาๆๆอยูตลอดเวลา วาดใหเขาฟงเปนฉากวาอยากทําอะไรบาง ทั้งตอเติมซอมแซมบาน ทั้ง


จะชวนเขากับนองไปเที่ยวตางประเทศ

ประทับกลับเขาบานหลังเที่ยงคืน ประจวบกับที่มติกับพอคุยกันจนไดขอสรุปเปนมั่นเหมาะกับการใชเงิน
รางวัลอยางเหมาะสม จึงแยกยายเขาหองนอนของแตละคน มตินัดแนะกับพอไวลวงหนาแลววาไมควร
ใหประทับซึ่งยังเปนเด็กมือเติบเกินวัยไดมีสวนรับรู เพราะอาจเกิดความวุนวายจากการขอสวนแบงแบบ
เด็กๆ จะนําทุกขมาใหมากกวาเขารวมแสดงความยินดีอยางอบอุนประสาสมาชิกในครอบครัว

เมื่อคุยกับพอนานๆเรื่องเงินกอนโต ก็เริ่มเห็นความอยากนั่นอยากนี่ผุดขึ้นเปนระลอก แนะใหพอเก็บ แต


เขาชักอยากดึงมาใชบาง

ถาไดรถสักคันก็ดี...

ทุกวันนี้ขึ้นรถประจําทาง ปรับอากาศบาง ไมปรับอากาศบาง เห็นเปนเครื่องทัณฑกรรมมากกวาพาหนะ


ที่ชวยพาไปถึงที่หมาย เขากับชาวกรุงคงไปทําผิดคิดรายที่ไหนไว จึงตองมีเวลาเชาเย็นรับกรรมทุลักทุเล
แออัดยัดเยียด เบียดเสียดเหม็นเหงื่อไคลคนทํางานดวยกันอยางนี้

วาดภาพขายอยางเดียวนั้นฝากความหวังยาก หากขอทุนพอเปดกิจการเล็กๆที่เปนไปได และอยูในวิสัย


ความรูความสามารถของเขา ก็คงคอยๆเก็บหอมรอมริบจนลืมตาอาปากไหว เชนรานถายรูป ซึ่งอาจมี
กิจกรรมจิปาถะ รับจางวาดภาพเหมือนไปดวยในตัว การมีที่ทาง มีแหลงรานไวประดับผลงานที่ผานมา
จะทําใหดูนาเชื่อถือ คิดอัตราวาจางไดงายขึ้น

หวนกลับไปนึกถึงแพตรี ถาหากหลอนเห็นเขามีกิจการของตัวเอง ทุมเทตัวเปนเกลียว ดูเปนผูหลักผู


ใหญ มีหลักมีฐานขึ้นกวาเดิม เขาจะยังพอมีสิทธิ์บางหรือเปลา?

สะดุดกึกและตาโตกับตัวเองเมื่อฝนลอยลมมาถึงตรงนั้น

นี่เขาเสียสภาพตัวรูธรรมไปตั้งแตเมื่อไหร?

ไมรูตัวเลยจริงๆ มันตกรองหลนคูเมื่อตอนไหน ก็ทีแรกคุยกับพอดวยสติเห็นธรรม แตทําไปทํามาโดน


อะไรกระแทกเบียดตกทางได?

ถึงแมใจจะเห็นเปนเงิน เปนลาภของพอคนเดียว แตเงินกอนใหญเบอเริ่มเทิ่มขนาดเจ็ดหลักก็คือแรง


สะเทือนไดเทาแผนดินไหวอยูวันยังค่ํา โดยเฉพาะสําหรับผูที่มีสวนเอี่ยว มีสวนไดสวนเสียในฐานะลูก
อยางเขา

เมื่อคลุกเคลาอยูกับโลกธรรม ความหวังอาจหดหายแลวตั้งขึ้นใหมในรูปแบบอื่นไดตลอดเวลา เปนขาศึก


กับดุลของจิตรูธรรม ดึงใหแกวงไกวไขวเขวไดสารพัดแบบ
๒๕๔

เมื่อเปนคนในโลก ก็ตองมีสายสัมพันธกับคนอื่น ตางฝายตางเปนผลกระทบใหแกกันและกัน ตาม


ธรรมดาแหงวิถีปฏิสัมพันธ และเมื่อวางอยูบนพื้นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน ลักษณะของผลกระทบยอม
เขาขายใหเกิดราคะ โทสะ โมหะในทางใดทางหนึ่งเสมอ อยาพึงหวังวาจะกําหนดจิตตั้งมั่น ดูอารมณผาน
เขาออกโดยปราศจากการเขาคลุกเคลาพัวพัน ปราศจากการคาดหวัง ปราศจากการรวมทุกขรวมสุข

อยากบวช...

ขาวการไดลาภกอนใหญของพอควรถือเปนความเบาใจ พอมีหลักประกันใหตัวเอง มีนองไวคอยดูแล ก็


นาจะมีเขาเปนความชื่นใจอยางถาวรบาง

ใจจริงทั้งสวนตื้นและสวนลึกของเขาไมอยากได ไมอยากเอาอะไรอีกแลว จิตอยากผละ อยากวาง


ตองการเพียงปจจัยอันเปนสัปปายะตอการดํารงตามดูผัสสะทั้งมวล เห็นทุกสิ่งเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เพื่อดิ่งสูมรรควิถี จุดชนวนผลญาณทั้งสี่อยางแนวแน

กลืนตัวเปนหนึ่งเดียวกับอิสรภาพสถาวร

เหตุผลของการ ‘อยากบวช’ ที่ตรงทางเปนอยางนี้


๒๕๕

เปนเวลาเกือบทุมครึ่งที่เกาทัณฑวางมือจากงาน ลุกจากโตะ ลงลิฟตไปเขาหองประชุมเล็กตั้งความคาด


หวังวาจะไดนั่งจิบโกโก เอกเขนกมองแสงสีกรุงเทพฯยามราตรีจากมุมมองบนตึกสูงตามลําพัง ลืมงาน
ลืมผูคนเปนการคลายเครียดเสียหนอย

เปดประตูเดินเขาไปแลวชะงัก เมื่อเห็นสองหนุมสาวกําลังนั่งสนทนาอยู มีแฟมวางตรงหนา แสดงใหเห็น


วากําลังคุยงาน

“อาว! โทษที นึกวากลับกันหมดแลว”

ทําทาจะถอยฉาก แตเชิงไทเรียกไวเสียกอน

“เฮย! เสร็จธุระเรียบรอย กําลังพูดถึงมึงอยูพอดี มาคุยกันโวย”

“เหรอะ”

ความจริงเกาทัณฑสมัครใจจะยอนกลับทางเกามากกวา เพราะหญิงสาวผูรวมโตะประชุมกับเชิงไทมิใช
ใครอื่น เรือนแกวนั่นเอง รูสึกฝนๆชอบกลนับแตวันเจอกันที่โคราช จากที่เคยสนิท เคยเจอหนากันแลว
ยืนทักทายหัวรอตอกระซิก เดี๋ยวนี้กลายเปนสวัสดีแกนๆเฉพาะเมื่อเดินสวน บางทีถาอยูหางหนอยเดียว
ก็เห็นหลอนทําทีหมางเมินอยางจงใจ

ตอนนี้เจอเขาอยางจัง แถมเชิงไทดันชวนใหอยูคุยดวย ถาหลบก็เหมือนประกาศเปนไมเบื่อไมเมากับ


หลอนโดยใชเหตุ จึงเลยตามเลย เดินเขามานั่งรวมโตะตามคําเชิญ โตะนั้นกวางยาวแคพอนั่งแบบวาง
แฟม วางกาแฟกันไดประมาณแปดคน มีถวยใสเห็นเศษกาแฟติดกนอยูสองที่ แสดงวาผูรวมประชุมเพิ่ง
ออกจากหองเมื่อเร็วๆนี้ เหลือเพียงเชิงไทกับเรือนแกวคุยคางตามลําพัง

“ไงวะ วันนี้หนาตาเอางานเอาการ มืดค่ําปานนี้ยังไมไปหานองแพเหรอะ?”

เชิงไทกระเซา เกาทัณฑยักคิ้วตอบเอื่อยเฉื่อย

“วาจะลาสักพักนะ ชวงนี้เลยอยูสะสางงานใหหมด”
๒๕๖

“อะฮา! อดเปรี้ยวไวกินหวาน ไมเลวนี่ รอบนี้คงนัดหวานใจไปสรางหนังนิยายรักเรื่อง ‘เจ็ดวันรอบโลก’


กระมัง?”

เกาทัณฑอึดอัดกับความพยายามของเชิงไทที่ตั้งหนาตั้งตามุงเขาหาแพตรีเปนหลัก ที่จริงถาอยูกันตาม
ลําพังประสาชายก็คงไมกระไร ทวานี่มีเรือนแกวอยูอีกคน แมเคาหนางามในชุดสูทเนี้ยบกริบจะเบนมอง
ไปทางหนึ่งหางไกล แตเกาทัณฑทราบวาหลอนจะฟงทุกคําโตตอบระหวางเขากับเชิงไท ก็เชิงไทเพิ่ง
บอกหยกๆวาเมื่อครูประเด็นสนทนาคือเรื่องของเขาอยูนั่นไง

“ลาพักเพราะเหนื่อย ไมใชมีโครงการนัดเที่ยวที่ไหน กูยังไมไดเปนอะไรกับเขามากมายขนาดนั้น”

เชิงไทฟงคําแถลงนั้นแลวแปลความหมายวาเพื่อนจะแทงกั๊ก แบบบอกผานเขาหูเรือนแกววาที่จริงยัง
โสดสนิท จึงรองวา

“แอะๆ...แฮ! พูดอูอี้เหมือนอมลูกแตงโมไวในปาก ฮะๆ ไอบั่วเอย”

เรือนแกวอดขําสําเนียงเสียดสีของเชิงไทไมได หลอนเสเปดแฟมตรงหนา ทําทีคลายปลีกตัวออกนอกวง


สนทนา เกาทัณฑระบายลมหายใจยาว เปนฝายเอยทักกอน

“แอ”

หลอนเงยหนามอง กอนขานรับดวยเสียงหวานเจื้อยแจว

“ขา...”

แถมดวยการโปรยยิ้มโลกเปดที่บาดใจเขามานาน เกาทัณฑรูสึกแปลกๆ ดูทีเรือนแกวทอดสนิทคืนเปน


ปกติรวดเร็วเหลือเกิน สงสัยกอนหนาเขาเขามา คงมีรายการยําใหญใสไขจนชื่นมื่นไดที่เหมาะแลว
กระมัง

กระแอมเล็กนอย ทําอยางไรได เรียกไปแลวก็ตองทักทายโอภาปราศรัยตามเรื่องตามราว

“วันนี้ดูสดชื่นดีนะ ถาจะเงินเดือนขึ้น”

“ออ เปลา...เปลา เงินเดือนเทาเดิม” หลอนโตตอบอยางคลองแคลว “แตสาวนอยรอยชั่งที่ยังโสดก็ดูหนา


ระรื่นอยางนี้แหละคา มีเวล่ําเวลาตะแลดแจดแจไปเรื่อย เปนเรื่องธรรมดา ประสาคนไรหวง อิจฉาเหรอ
คะ?”

เกาทัณฑหัวเราะกรอย เอานิ้วกอยเขี่ยปลายจมูกเพราะคันคารมยั่วนั้น โดยเฉพาะที่หลอนใสจริต ออก


เสียงควบกล้ํา ร. เรือเสียชัดเกินเหตุทุกคํา
๒๕๗

“เปลาอิจฉาแอหรอก คงอิจฉาเจาเชิงมากกวามั้ง เห็นมันมีเวลาสวนตัวหลังประชุมกับสาวอยางนี้”

“สาวคนนี้ไมนาปลื้มพอหรอกคะ สูนอง...นองอะไรนะ?”

แสรงเอียงหนาถามเชิงไท ฝายถูกถามซอนยิ้มไว กอนตอบสั้นๆ

“แพ”

“ออ คะ ใครจะไปนาปลื้มเทานองแพคนสวยของเตละ เมื่อกี้ก็เพิ่งปรึกษากับเชิงวาวันแตงจะชวยใสซอง


เทาไหรดี”

เชิงไทรับลูก

“กูจะใหเปนคูปองแลกอาหารมังสวิรัติ”

แลวสองหนุมสาวก็หัวเราะฮึ่มพรอมกัน ทําเอาคนถูกรุมตองพยักพเยิดผสมโรงหวนๆ

“งั้นมึงไมตองกินของในงานกู!”

“นาน!” เชิงไทรองเสียงหลง “ยอมรับแลวใชไหมวากําลังจะแจกบัตรเชิญ?”

เกาทัณฑยักไหล ถือคติพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตําลึงทอง เรือนแกวเห็นเขาเหลือบตาลงต่ําเชนนั้นก็ดุ


เชิงไท

“เชิงอยาถามเสียงดังสิคะ ฟงแลวไมนาตอบเลย”

ดุคนหนึ่งเสร็จก็ยื่นหนาถามอีกคนดวยยิ้มอันนาพิสมัยคลายปลอบเด็ก

“ตกลงพระคุณทานจะแตงเมื่อไหรเจาคะ?”

เกาทัณฑเบือนหนายิ้ม ขําก็ขํา รําคาญก็รําคาญ เลยตอบสงเดช

“พรุงนี้บายๆมั้ง กะวากินขาวเที่ยงเสร็จถาไมจูดๆก็คงพรอม”

“โธโถ...เต เต เต เต เต ตอบเปนเลนอยางนี้แสดงวาจะทําตัวเปนผูโชคดีที่ปากแข็งอยางเสมอตนเสมอ


ปลายสินี่ แลวเรื่องของเรา...วาย! พูดไมชัดเดี๋ยวเขาใจผิด แลวตกลงนับแตนี้แปลวากลุมเราถูกเตตัดตาย
ขายขาด ไมมารวมทุกขรวมสุขกันอีกแลวใชไหม มีเจาของแลวนี่?”
๒๕๘

สายตาจรดนิ่งของหญิงสาวมีแรงดึงดูดรบกวนจิตใจเอาเรื่อง เกาทัณฑไมอยากหันมามองตรงๆ วันนี้


หลอนสวยเฉี่ยวบาดอารมณอยางนาแปลก ความเรียกรองอันเรนลับระอุไปทุกกระเบียดเนื้อ แคสวน
ปลายเนินอกที่พนขึ้นมาจากคอเสื้อ ก็เห็นแหลมคมจัดจานพอจะเปนชนวนระทึกใจไดชะงัดแลว

หลอนมีศิลปะในการแตงหนา แตงองคทรงเครื่องใหเฉียบคมไฉไล และเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณของ


แตละวันไดอยางนาทึ่ง เขาสังเกตวิธีปรุงแตงสีสันของเรือนแกวเสมอ ความเกงรอบตัว ผสมกับความรูจัก
เครื่องหนาตัวเอง เขาใจเนื้อหาของเครื่องสําอางกับกลิ่นน้ําหอม ทําใหหลอนมีบุคลิกอะไรก็ไดที่อยากจะ
เปนไป

อยางเชนวันนี้แตงเฉี่ยว ประทินโฉมไวเขม ใสน้ําหอมชนิดแรงจัดจาน แสดงอารมณกลาและความเชื่อ


มั่นที่จะดึงดูดคนใหหันความสนใจจับตา ก็แทบทําใหชายมโนธรรมต่ําทั้งหลายที่เฉียดผานนึกมันเขี้ยว
อยากกระโดดกอดรัดฟดเหวี่ยงดื้อๆ

มาดหลอนก็เปนอีกอยางที่ดึงดูดใจไดผลเสมอ ตอนใสสูทสีขรึมแลวนั่งนิ่งๆนี่ ทีแรกเห็นจากระยะไกลอาจ


นึกวาเปนผูบริหารสักคน แตหลังเลิกงานเมื่อคุยกันเองกับเพื่อน ก็ออกบุคลิกสาวรุนกระเตาะ พรอมจะใส
เสื้อยืดรัดรูป กางเกงยีนสขากระดิ่งไดไมขัดเขินทันทีเชนกัน

เรือนแกวทํางานตั้งแตอายุ 17 ดวยปญหาการเงินทางบาน สามารถสงตัวเองเรียนจบตรีไดดวยความ


ขยันผิดวัย นับแตรับจางพิมพวิทยานิพนธใหพวกนักศึกษารวยแตขี้เกียจ รับแปลเอกสารอังกฤษและ
ญี่ปุนตามความถนัด จนกระทั่งโชคดีมีผูใหญในบริษัทนี้เห็นความสามารถ จางเปนเลขาฯพารทไทมใหดู
แลงานเอกสารตางประเทศโดยเฉพาะ

พอจบตรีพรอมทํางานเต็มเวลา ก็เลื่อนขั้นปุบปบเปนผูชวยผูบริหารระดับสูง อันเปนตําแหนงพิเศษ เปน


หูเปนตา และเผลอๆก็คิดแทนผูใหญไดสารพัดเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวกับคูคาตางประเทศ เหลือเชื่อที่งาน
ใหญบางงานเริ่มเจรจากันไดเพียงเพราะทางโนนทราบวาจะมีหลอนเปนผูประสาน

จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่หลอนทําอยูนั้นงายมากตอการล้ําเสนผูใหญ แตเรือนแกวก็สามารถรักษาระดับของตัว


เองไวไดพอเหมาะพอเจาะ ขนาดที่ไมถูกใครเพงเล็งจับผิดดวยความหมั่นไสเอาเลย

ดานอุปนิสัย ถาตัดความเอาแตใจในบางครั้งทิ้ง ก็นับวาเรือนแกวเปนคนนารัก นาคบหายิ่ง หลอนยก


ยองสงเสริมเพื่อนทั้งตอหนาและลับหลัง กับทั้งไมถือเนื้อถือตัว ปรับสติใหอยูในสภาพพรอมทํางานและ
พรอมเลนไดเสมอ นองๆทั้งพิศวาสและทั้งยําเกรง ซึ่งยากที่ใครจะสลับบทบาทใหคนอื่นรูสึกสองดานได
เชนนั้นในตัวคนเดียว

กับคําถามของเรือนแกวที่วาเขาจะปลีกตัวหางหายไปจากกลุมเที่ยวหรือไม เกาทัณฑคิดเล็กนอย กอน


ตอบเสียงเรื่อย
๒๕๙

“แอเฮไหนผมก็ตามไปเฮดวยเหมือนเดิมแหละ เพียงแตพักนี้เพลาลงเพราะเหนื่อยจริงๆ อยากพักยาว


เลยตองเตนแรงเตนกาหนักหนอย พอถึงเวลาหยุดจะไดสบายใจ”

เชิงไทออกความเห็นกับเรือนแกว

“พักนี้เจาเตมันหนาตาสวางไสว เอิบอิ่มละมุนละไมเหมือนเณรนอยเจาปญญา เผลอๆที่จะหยุดยาวนี่


แทนการวางแผนแตงงานสรางลูกสรางเมีย อาจพนมมือหันหลังลาความวุนวาย โกนหัวบวชและออก
ธุดงคหายไป”

หญิงสาวหัวเราะฮา

“เพิ่งมีนางฟาเหาะลงมาเกาะไหล ใครจะบวชเขาไปลงจะเชิง ฟงแลวขัดๆนา”

“แบบวาไดรับการสนับสนุนใหบวชกอนเบียดไงละ ดูแวบเดียวก็รูแลว นางฟาของเจาเตนะเขาวัดบอย


กวาเขาบานตัวเองอีก ที่เจอกันโคราชเห็นบอกไปกราบพระกันก็คงเพราะเจาเตถูกชวนนั่นเอง”

เรือนแกวเทาศอกเอามือรองคาง ปรือตาเปรยกับเกาทัณฑ

“ทาทางเขาเปนตัวของตัวเองในแบบที่แปลกดีนะ เห็นแลวนึกถึงคําวา ‘แสนดี’ ขึ้นมาเชียวละ...”

“ใครจะเหมือนเทพธิดาไดเทาแอละ”

ไดยินเชนนั้นเรือนแกวก็รองดังๆ

“อุย! เดี๋ยวลอยเลย”

เกาทัณฑหัวเราะเล็กนอย

“เมื่อเชาเห็นคุณพิจัยบอกวามะรืนนี้แอจะไปสิงคโปรใชไหม?”

“นั่นแน! เปลี่ยนเรื่องเชียว คุยกันเรื่องนองคนสวยหนอยนา”

“ก็เกิดอยากถามจริงๆ จะฝากซื้อกลองดิจิตอลดวยถาไปแนนะ”

“เอ ผูชายบริษัทนี้ยังไงนะ เห็นนังแอเปนคนใชหลังบานกระมัง ไปไหนละฝากซื้อของยันเต ทําไมไมยักมี


ใครอาสาไปชวยหิ้วของ ออกคาเดินช็อปปงมั่งนา”

เชิงไทฟงเชนนั้นก็ทําตาโต โพลงออกมาทันที
๒๖๐

“ผมไง เริ่มจากเที่ยวนี้เลย ไปชวยแอหิ้วของ”

“ก็ดีสิคา...”

เรือนแกวเอียงหนาทําตาชมาย เพื่อนหนุมทําทาขึงขัง

“อือ เดี๋ยวพรุงนี้ทําเรื่องขอซะ นายชุนที่แอจะไปหานะ คุยโทรศัพทกับผมหลายหนแลว ถือวาเปนการไป


เยี่ยมเยียนทักทาย”

พอเห็นเชิงไทจะเอาจริง หญิงสาวก็เปลี่ยนทาที กลัวจะไปเกะกะและแยงความสําคัญจากหลอน

“อยารบกวนเลยคะ แอไปกับนองจายสองคนพอ เดินทางคืนวันศุกร กลับเย็นวันอาทิตยแคนี้ เอาไวงวด


หนาเดินทางหลายๆวันดีกวา”

เชิงไทชินกับทาทีเหมือนออยเหยื่อ แตเมื่อปลาจะฮุบก็ชักหนีแบบนี้ของเรือนแกวเสียแลว จึงไมวาอะไร


ความจริงก็ขี้เกียจผานขั้นตอนวุนวายเหมือนกัน เดินทางดวยธุระบริษัทนั้นงายเหมือนติดรถไปเยี่ยม
ญาติตางจังหวัดที่ไหน

เบนทิศหันมาพูดกับเกาทัณฑแทน

“วันกอนโทร.คุยกับไอหมอง” เขาหมายถึงเพื่อนรวมรุน “เห็นวามึงโทร.ชวนกินเหลา มันอุตสาหอาบน้ํา


แตงตัว มึงก็โทร.ไปบอกเลิก ใหเหตุผลวาจะเลี่ยงเหลาเตรียมทําบุญ ฮะๆ จี้วะ กูเลยเลาใหมันฟงวา
สงสัยจะเรื่องจริง เพราะบังเอิญไปเจอมาพอดี งงกันเทานั้นแหละ เกิดอะไรขึ้นเพิ่งชวนกินเหลาแลวกลับ
ใจกะทันหัน”

เกาทัณฑหัวเราะหึๆ ไมทราบจะพูดอยางไรเกี่ยวกับกรณีนี้ จึงเงียบอีก ยอมใหเพื่อนดากันสุดแตใจจะนึก

“คงจะเอาดีทางธรรมจริงๆมั้งคะ ไหนเอาแสงสวางมาเผื่อแผเพื่อนฝูงมั่งซีเต เลาใหฟงหนอยเกิดซาบซึ้ง


ธรรมะขอไหนยังไง”

เกาทัณฑชักหนาวๆรอนๆ เมื่อเห็นแนวโนมวาจะตองคุยธรรมะกับหนุมเกงและสาวเซ็กซี่ บรรยากาศไม


คอยจะใชที่เทาไหร แคฟงเรือนแกวพูดถึง ‘แสงสวาง’ อยางเห็นเปนเรื่องชวนหัวนี่ก็ทําใหประหวัดถึงวัน
แรกๆที่เขาไปคุยธรรมะกับปูขึ้นมาทันควัน แลวเกิดความกลัววาบาปกรรมกําลังจะตามเลนงาน ยังไมได
เตรียมตัวเตรียมใจเปลี่ยนฐานะผูตอนเปนผูถูกตอนเอาไว จึงกลาวตอบอยางสงวนทาที

“ผมมันบาปหนา รูตัวขึ้นมาเลยเขาวัดเขาวาเสียมั่ง แตไมถึงกับจะหันไปเอาดีทางบวชหรอก”

“นั่นนะซี กูก็วางั้นแหละ”
๒๖๑

เชิงไทมองเพื่อนดวยสายตาอานใจ ความจริงก็คือกอนหนาเกาทัณฑจะเขามา เขากับเรือนแกวกําลัง


เปรยกันเลนๆวาหนาตาทาทางเกาทัณฑดูออกมีสงาราศีแปลกไปกวาเดิม คลายพวกชอบทําสมาธิ
วิปสสนา นาจะไถถามเสียหนอยวาหาพระเจาแลวไดดีอยางไร หรือวาเพื่อนพลาดทาเขารกเขาพง
เหมือนอยางดอกเตอรผูมีชื่อเสียงโดงดังกองฟาเมืองไทยหลายตอหลายคน

“อยางมึงกับกูนี่...” เชิงไทกลาวอยางพยายามจี้จุด “ร่ําเรียนมาจนมีความคิดเปนวิทยาศาสตร เปนคนใน


โลกใหมเกินกวาจะยอมรับเรื่องของจิตวิญญาณและภพหนาภูมิหลังที่ลาสมัยแลว สมควรรับมรดกตก
ทอดเฉพาะที่เปนความรูแจง พิสูจนได ประยุกตได เหมือนอยางการประดิษฐหลอดไฟของเอดิสัน หรือ
ทฤษฎีคณิตศาสตรของพิธากอรัส ไมไปสนใจเรื่องพิสูจนยาก ประยุกตยากใหเสียเวลา”

วาจะทําเปนเบื้อใบอยูแลวเชียว พอไดยินเชิงไทกลาวเรื่อยเจื้อยก็ตบะแตก

“พิธากอรัสในความรับรูของมึงเปนใคร?”

เชิงไทนึกลําดับขอมูลเชิงประวัติศาสตรที่เลือนๆเปนครู กอนเอยตอบอยางจะใหไดรายละเอียดอันชัดเจน
ของปราชญกรีกโบราณนามนั้น ชนิดที่ไมใหเพื่อนดูแคลนไดวาอางนามใครโดยปราศจากความรูเพียงพอ

“ก็...บรมครูทางคณิตศาสตรคนหนึ่ง ถูกยอมรับวาเปนนักคณิตศาสตรขนานแทคนแรกของโลก เปนลูก


ศิษยธาเลส ไดรับอิทธิพลทางความคิดจากเพลโต ดูเหมือนพวกเรารูจักพิธากอรัสจากทฤษฎีสามเหลี่ยม
อา...ที่วาจัตุรัสของสองดานที่ตั้งฉากกัน รวมกันเทากับจัตุรัสของดานลาดเอียง แลวอยางเลขคู เลขคี่
เลขจํานวนปฐม และรากฐานทางเรขาคณิตที่สําคัญหลายแงมุม ก็ถูกพัฒนาขึ้นโดยพิธากอรัสกับ
สานุศิษยในสายทางพิธากอเรียนนั่นแหละ”

เกาทัณฑพยักหนา

“มึงวานักคณิตศาสตรนี่เปนตนแบบของตรรกะ และกรอบความคิดที่ชัดเจนของอารยธรรมยุคใหมของ
เราหรือเปลา?”

“แนนอนซิ คณิตศาสตรทําใหคนรูจักคิดเปนเหตุเปนผล จัดระเบียบความซับซอนดวยกระบวนวิธีชาญ


ฉลาด ขุดเอาศักยภาพทางสมองของมนุษยมาใชใหเต็มที่ ใครมีโครงสรางทางความรูความคิดแบบ
คณิตศาสตรดี จะใฝพิสูจนหาขอเท็จจริง แกปญหาเกง ไมเชื่ออะไรเหลวไหลงายๆ โดยเฉพาะที่เปน
นามธรรมจับตองยาก”

ทอนหลังเชิงไทมีเจตนาพูดกระทบเล็กๆ เกาทัณฑรับรู ทวาไมนําพามาเปนอารมณ

“มึงรูไหมวาพิธากอรัสนอกจากสอนคณิตศาสตร รัฐศาสตร และปรัชญาแลว ยังสอนเรื่องความเปนอมตะ


ของจิตวิญญาณ ความมีชาติกอนชาติหนา มีการเคลื่อนที่ของวิญญาณจากรางหนึ่งยายไปอยูในรางใหม
๒๖๒

เหตุผลคือเขาระลึกชาติไดวาเคยเปนยูฟอรบัส นักรบในสงครามโทรจันระหวางเมืองทรอยกับกรีก แถม


ยังระบุอยางชัดเจนวาเขาเปนอภิสิทธิ์วิญญาณ ไดรับการยกเวนไมใหลืมเลือนอดีตที่ผานๆมาทุกภพชาติ
ซึ่งแปลวาเขาเห็นยอนหลังกลับไปมากกวาที่เคยเปนยูฟอรบัสเสียดวย”

“เหรอะ?”

เชิงไทกะพริบตาปริบๆ รูจักกันมานานจนทราบวาเพื่อนไมใชประเภทใหขอมูลแบบยกเมฆลอยลมเพื่อ
เอาชนะคัดงางกันเลน จึงรับวา

“คุนๆวาสอนเกี่ยวกับเรื่องปรัชญาทางจิตวิญญาณ แตนึกไมถึงวาขนาดประกาศตัวเองเปนผูระลึกชาติ
ได”

“อือ ก็อยางที่มึงวา ใครมีโครงสรางจิตใจเปนคณิตศาสตรดี ก็คงไมเชื่อหลงเรื่องเหลวไหลงายนัก


ประเภทหลับฝนไปแลวตื่นขึ้นมาทึกทักวาเปนเรื่องจริง แจนไปประกาศหนาลานกลางตลาดนะ ไมใชตน
แหลงมหาปญญาทางคณิตศาสตรอยางพิธากอรัสแน และกูก็คิดวามันสมองของโลกอยางเขา คงไมคิดกุ
เรื่องหลอกลวงเพื่อเอาชื่อเสียงในดานที่ไมเกี่ยวกับงานหลักของตัวเองหรอก”

เชิงไทประสานมือรองทายทอย เอนหลังพิงพนักดวยทาทีเริ่มคิดใครครวญจริงจังกวาเมื่อเริ่มจุดประเด็น
เปนครูจึงเอย

“เอาละ สรุปคือนักวิทยาศาสตร อา…เรียกนักปราชญดีกวา นักปราชญบางยุคนี่เชื่อ และสอนเรื่องจิต


วิญญาณ การขามภพขามชาติได เพราะงั้นเจาชายสิทธัตถะก็เปนปราชญระนาบเดียวกับพิธากอรัส?”

“ปราชญเมธีทั้งหลายแหลสืบสานความรูความคิดตกทอดกันหลายรุนหลายสมัย จนไดลูกหลานเปนนัก
วิทยาศาสตรอยางเอดิสัน ประดิษฐแสงไฟใหโลกสวาง ผลประโยชนหลักคือผูคนในโลกมองเห็นในเวลา
กลางคืนโดยไมตองจุดตะกุงตะเกียงกันใหเมื่อย

ความจริงมีสิ่งประดิษฐอีกเยอะแยะที่ชวยใหเราชนะขอจํากัดทางหูตา ไปเร็วมาเร็วกวาคนยุคไหนๆ แต


ยังไงก็ตาม สุขกายยังอาจลําบากใจ ยิ่งถาใครขัดสนก็หมดสิทธิ์เสพแสงและสิ่งประดิษฐราคาแพง ถา
อยากเสพขึ้นมาจัดๆบางทีตองฆาแกงแยงกัน

แตพระพุทธองคไดสาวกเปนผูสืบทอดจิตวางใจสวาง ถึงแมทุกขกาย ไมมีสิ่งประดิษฐทันสมัยติดตัวสัก


ชิ้น ก็อาจเปนสุขไดที่ใจ ยากดีมีจนรับสิทธิ์เสมอกันหมด ปรารถนาแลวก็เพียงปฏิบัติเฉพาะตน ไมตอง
ฆาแกงใคร เทียบอยางนี้แลวยังนานับวาพระพุทธองคอยูระนาบเดียวกับปราชญอื่นหรือเปลา?”

เชิงไทหัวเราะอยางเขาใจจุดสรุปของเพื่อน
๒๖๓

“เพราะงั้นเรียก ‘ศาสดา’ เพื่อแสดงความศักดิ์สิทธิ์ มึงไมยอมใหปนกับปราชญหรือนักวิทยาศาสตรวางั้น


เถอะ”

“อือ จะพูดอยางนั้นก็ได เรื่องของใจที่ขยายความสวางไดเหมือนเทียนตอเทียนนี่ คนมีประสบการณใน


ทุกศาสนาสามารถรูสึกถึงความศักดิ์สิทธิ์สูงสงไดเหมือนกันหมด”

เรือนแกวแทรกขึ้นเปนครั้งแรก

“เธอใหนิยามความศักดิ์สิทธิ์ไวยังไง? อยาพูดตามพจนานุกรมนะ”

เกาทัณฑแปรสายตามาทางหลอน พบดวงตาแจมกระจาง สะทอนโครงสรางความคิดที่ยืนอยูบนสติอัน


สมบูรณ ทาทางพรอมจะรวมรายยาวไปกับเขาและเชิงไทเต็มสภาพ คุนเปนอันดีวาเนตรงามจะฉายชัด
เสมอเมื่อเจาตัวตองการเคนสิ่งที่ปรารถนาจะรู

“ความศักดิ์สิทธิ์ในใจผม ก็คงจา...เปนความอบอุน นาเชื่อมั่น มีความวิเศษแฝงอยู เราสัมผัสไดดวยใจวา


เหนือธรรมดา...มั้ง”

อันเนื่องจากถูกบังคับใหคิดตอบปุบปบกะทันหัน เกาทัณฑจึงพูดไดแคนั้น ทั้งที่ไมแนใจวานิยามดั้งเดิม


คืออะไร เรือนแกวยิ้มเย็น นัยนตาฉายแววลึกชนิดหนึ่ง ยังดูไมออกทันทีวามีความหมายเชนใด กระทั่ง
พูดออกมาเอง

“แอไมเคยเห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่เตวาเลยนะ ตอนเด็กแอใสบาตร ใหสตางคขอทานตลอด เพราะแมบอก


เสมอวาทําบุญแลวจะไดดี มีความสุข ชีวิตจะรุงเรือง ซึ่งก็มาจากพระสอนนั่นแหละ แตเทาที่เห็น...มันไม
อยางนั้น”

มีรองรอยของความขมบางอยางที่แฝงอยูในหางเสียงปราพรา จนเรียกใหเกาทัณฑและเชิงไทจรดมอง
เพื่อนสาวนิ่ง ดูเหมือนหลอนจะรูสึกตัว และปรับน้ําเสียงใหเปนปกติเมื่อพูดสืบตอ

“แอถูกปลูกฝงใหนับถือพระสงฆองคเจา เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อในบาปบุญและเวรกรรม โดยเฉพาะ


อยางยิ่งเรื่องของการทําดีแลวตองไดดี แตในโลกของความเปนจริง มีปจจัยหลายอยางในชีวิตที่ทําให
มองเห็นวาเราจะสุขหรือทุกข ขึ้นหรือลง ใชวาอยูที่เราทําดีชั่วอยางเดียว คนอื่นที่แวดลอมมีสวนผลักดัน
ดวยอยางมาก...หรือเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อเรายังอยูในภาวะตองพึ่งพา เปนชวงที่ชวยเหลือตัวเอง
ไมได”

เกาทัณฑพยักหนา

“ใช เราตองเจอคนมากมายตั้งแตเกิด ซึ่งคนใกลชิดที่สุดคือคุณแมของแอ ก็เปนแรงผลักดันใหใฝดี นับวา


โชคดีแลวนี่”
๒๖๔

เรือนแกวสายหนา ชั่งใจอยูเปนครู เพิ่งรูในบัดนั้นวามีความรูสึกสนิทสนมและไวเนื้อเชื่อใจเพื่อนชายทั้ง


สองเพียงใด เมื่อตัดสินใจเลาอดีตหนหลังของตนอยางเปดเผย

“ตอนเด็กบานแอจัดวารวยพอตัวนะ เพราะมีกิจการของตัวเองหลายอยาง ขนาดเคยทําบานจัดสรรเล็กๆ


มาแลว ชวงนั้นพอกับแมปรองดองกันดี ชวยกันคนละไมคนละมือ

แตพอพอรวยก็มีผูหญิงมาติดพันเยอะ กลิ่นเงินมันแรงนะ ผูชายพอมีบานสองบานสาม ก็กลายเปนอีก


คนหนึ่งที่หางเหิน จากหางเหินกลายเปนแปลกหนา จากแปลกหนากลายเปนศัตรู แอเคยเห็นพอตบ
หนาแมกับตา เพราะแมดาพอแรงๆออกไปคําหนึ่ง ขุดโคตรขุดเหงากันนะ”

หลอนขยายภาพละเอียดแบบระบายใหเพื่อนสนิทรับรูตาม เชิงไทลดมือที่ประสานทายทอยลง เปลี่ยน


เปนกอดอก ทอดตามองเรือนแกวดวยแววเห็นใจ

“ผมก็เคยเห็นพอแมทะเลาะกัน แตอาจโชคดีที่ไมเห็นอะไรนาสะเทือนใจขนาดนั้น ความจริงผัวเมียเคย


ทะเลาะกันทุกคูนั่นแหละ แตจะรุนแรงขนาดไหน จํากัดอยูในสถานที่ลับตาเทาไหร ยอมปลอยใหเด็กมา
เปนพยานเรื่องระหองระแหงรึเปลาเทานั้น”

เรือนแกวยักไหล

“แคทะเลาะหรืออยางมากตบตีก็ชางเถอะ เปนเรื่องทําใจได ตอนนั้นแอก็ไมใชเด็กอมมือขนาดเห็นผูใหญ


ขึ้นเสียงเถียงตีเถียงตบกันแลวขวัญเสีย”

อั้นอึ้งไปพักใหญ สองหนุมรูวาหลอนยังพูดไมจบก็รอฟง

“มีอยูวันหนึ่งแมบาเลือดขึ้นมา พอถูกตบก็ไปควาปนมายิงพอ แอกําลังอานหนังสืออยูชั้นบน ไดยินเสียง


ปนก็วิ่งลงบันไดมา เห็นพอนอนจมกองเลือด ก็รองไมเปนผูเปนคน ยังจําติดตาเลยนะ...”

เรื่องพอแมฆาแกงกันในบานตัวเองเปนประสบการณเลวรายที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย และสิ่งที่ประทับ
อยูในความทรงจําของเรือนแกว ก็ฉายออกมาทางแววราวในดวงตาชัดยิ่ง นั่นเปนครั้งแรกที่เกาทัณฑ
และเชิงไทเห็นแววชนิดนั้นจากหลอน

“จะเคราะหดีหรือรายไมรู พอแคแผลใหญ เสียเลือดมาก แตไมตาย นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล มีเมีย


ใหมคอยดูแล แมสํานึกผิด พยายามขอโทษขอโพย แตพอไมยอม บอกวาจะเอาเรื่องถึงที่สุด ไปจาง
ทนายมาฟองหยาและจะจับแมเขาคุกใหได

ทนายพยายามใหออมชอมกัน เพราะถาสูแลวเรื่องจะยาว ถาแมยอมหยาโดยรับสวนแบงสินสมรสนิด


เดียว ฝายพอก็จะตอบแทนดวยการชวยกลบเกลื่อน และทําใหกลายเปนเรื่องปนลั่น วันหนึ่งแมกลับมา
บานและบอกแอวาเราตองออกไปอยูบานใหม แอก็เก็บขาวของ...”
๒๖๕

เรือนแกวสะอึกเล็กนอย คงเปนเพราะเขาลึกไปในอดีตที่ยังติดตามากขึ้นเรื่อยๆ ใจหนึ่งเกาทัณฑอยาก


ฟงตอใหจบ แตก็คิดไววาถาเห็นหญิงสาวตาแดงเมื่อไหรจะขอใหพัก

“ยายไปอยูในหองเชา วันๆแมเอาแตนั่งเศรา แอไปเรียนบางทีกลับมาก็ตองนั่งเศราตาม ตอนนั้นเริ่มถา


มหาความยุติธรรมในโลก ถามหาผลบุญที่แมกับแอเคยสรางกัน ถามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะทําใหชีวิตอบอุน
และรุงเรือง แตคําตอบที่ไดคือความเงียบในอากาศ เห็นแตตัวเองกับแมและความมืดมนของอนาคต”

หรี่ตา พลิกแหวนเพชรน้ํางามบนนิ้วชี้ใหตองแสง สงเปลวโชติไสวบาดตา เปนการชวยใหตนตระหนักวา


อดีตอันมืดมนนั้นผานพนไปแลว เพื่อเลาตอไดดวยเสียงปกติอีกครั้ง

“วันหนึ่งฉันกลับจากโรงเรียน เห็นคนมุงกันแถวบันได...ไฟดับ ลิฟตเสีย แมตองเดินขึ้นบันไดเอง แต


เพราะผอมแหงแรงนอย ไมคอยออกกําลัง เลยหนามืด หงายหลังตกบันไดตาย ตํารวจกําลังชันสูตรศพ
พอดีตอนฉันไปเห็น”

สองหนุมผูตั้งใจฟงมาตลอดถึงกับใจออนยวบพรอมกัน นึกไมถึงวาเรือนแกวในวันนี้ที่มีพรอมทุกสิ่ง ทั้ง


ตําแหนงหนาที่ในบริษัทขามชาติ ทั้งเงินทองและความเชื่อมั่น และทั้งความรักใครเอ็นดูจากรอบดาน จะ
ผานพบสถานการณเลวรายขนาดนั้นมากอน

“แลวชวงนั้นแออยูกับใคร กลับไปหาพอหรือเปลา?”

เชิงไทตั้งคําถามตามที่นาจะสงสัย

“หัวเด็ดตีนขาดฉันไมยอมกลับไปหาพอหรอก จะไมไปเผาผีดวย เพราะถือวาเขาเปนคนทําใหแมตาย


แถมไมยอมไปงานศพเลยแมแตวันเดียว”

เสียงของหลอนแฝงดวยแรงกริ้ว แสดงใหเห็นวายังมีความอาฆาตผูเปนบิดาอันเปนมหาอกุศลตามครอบ
งําจิตใจมาถึงปจจุบัน เกาทัณฑเมมปาก เห็นใจแตไมทราบจะชวยอยางไร ของแบบนี้เจอเองจึงจะรูวา
เจ็บเขาไสขนาดไหน ใหปลอบงายๆ ขอใหเลิกโกรธเกลียด เห็นแกความที่เปนผูใหกําเนิดนั้นอยาหวัง
หากปราศจากความเขาซึ้งถึงธรรมดายถากรรมเราเขาตลอดสาย ก็แทบไมมีทางเกิดจิตคิดอโหสิที่เด็ด
ขาด ปลดเปลื้องนรกจากหัวใจตัวเองไดเลย

“ทีแรกนาสาวรับไปอยูดวย แตก็มีไอเวรตะไลในบานตัวนึงมันยองเขาหากลางดึก ดีที่ฉันจิ้มตามันแทบ


บอด เลยรอดมาได...จากนั้นก็เหลือฉันคนเดียว แยกออกมาอยูขางนอกนะ ไมกลาพึ่งพาใครอีก โชคดีที่
มีความสามารถทางภาษาติดตัวอยูบาง นาสาวเลยพอชวยติดตองานใหได ก็พี่อนงคนั่นแหละ อยางที่
เคยเลาใหฟง”

แลวเรือนแกวก็จองเกาทัณฑเขม็ง
๒๖๖

“วันที่แมเสีย ฉันนั่งในหองคนเดียว คิดจะฆาตัวตายตาม รูสึกอยูใกลความตายจนนึกโลงขึ้นนะ ฉันถาม


หาบุญเกา ขาวที่เคยใสบาตร เงินที่เคยใหขอทาน ศีลที่ฉันเคยรักษา มันหายไปไหนหมด ฉันกําลังตกที่
นั่งลําบาก รองขอความชวยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แลวก็ไดเห็นอยางชัดเจนอีกครั้ง...สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือ
ความเงียบและอากาศวางเปลาตลอดกาล”

“แตแอก็ไดงานแปล...”

“นั่นเปนการชวยเหลือของญาติ เปนเรื่องที่แอขวนขวายเอง ชวยตัวเอง และถึงนาจะอยูเบื้องหลังเชนติด


ตอคนให หาหลักแหลงที่พักให เซ็นโนนเซ็นนี่ให แตแอก็ตองตอสู ลําบากสารพัด มีแตเงาที่กระจกโตะ
ทํางานเทานั้นที่เปนเพื่อน เหงา หวาดกลัว ฟุงซานจนตองเลือกที่จะบางานแทบเปนบาตาย...”

เกาทัณฑเงียบคิด สิ่งที่เขาเห็นประจักษคือหลอนสามารถผานความเลวรายขนาดนั้นมาถึงวันอันงดงาม
ขนาดนี้ได ก็นาจะชวนคิดแลววามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกปอง โอบอุมค้ําชู นาแปลกที่หลอนกลับไมมองให
เห็นบาง

“แอตองการใหสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชวยยังไง คืนแมกลับมาให?”

“เปลา...ไมเอาแมไปตางหาก”

ปลายเสียงหญิงสาวเครือนิดๆ เปนวินาทีที่เกาทัณฑมาถึงจุดของความเขาใจ เหตุการณเลวรายทั้งหลาย


ลวนเปนเรื่องที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลั่นแกลงหลอนนั่นเอง เขาไดแตลอบระบายลมหายใจยาว คนเรามีมุมมองที่
เปนจุดบอดอยูเสมอ แลวก็ยากเย็นแสนเข็ญถาจะคิดลบจุดบอดนั้นทิ้ง โดยเฉพาะเมื่ออยูในหัวของคนมี
การศึกษา มีความรูความคิดระดับหนึ่ง

เรือนแกววาตอตามใจคิดเมื่อเห็นเขาไมโตตอบ

“ความอบอุนและความรูสึกแสนวิเศษยิ่งกวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือออมอกของแม แตหลังจากแมเสีย สิ่งศักดิ์


สิทธิ์เดียวที่เหลือคือตัวของแอเอง ถาเปนเหมือนอยางแอ เตจะคิดเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอยู
อีกไหม?”

เกาทัณฑกําหนดจิตใหโปรงโลง คิดฉายความสุขในตนสงถึงหลอนกอนเอยตอบ

“ผมไมไดเจอเรื่องโหดรายเหมือนอยางแอ แตเชื่อเถอะวาเขาใจ และเห็นใจ รวมทั้งพลอยปลื้มที่แอเจอ


ทางออกสุดทายที่สวยพอ”

แลวเกาทัณฑก็ดึงตัวนั่งตรง ตื่นพรอมสําหรับการพูดแบบน้ําไหล
๒๖๗

“แตแอไมใชคนแรกที่ตั้งคําถามหาความศักดิ์สิทธิ์ทํานองนี้จากศาสนา เปนคําถามที่สาวกของทุกศาสนา
มีในใจตลอดมาขณะตกทุกขไดยาก หากเปนผม ผมก็คงสงสัยขึ้นมาวาเมื่อแรกเกิดยังไมทันทําบุญสัก
แอะ ทําไมมีบานชอง มีออมอกพอแมพรั่งพรอม อยูเปนสุข เห็นเรื่องสบายตาทุกอยาง แตพอรูความ ทํา
บุญไปไดหนอย เมื่อโตขึ้นกลับตกระกําลําบาก จะใหเชื่อไดยังไงวาทําดีแลวไดดีตอบ”

เรือนแกวกะพริบตา พยักหนารับ เกาทัณฑจึงเอยตอ

“ผูคนสวนใหญพอมีความคิดหันหลังใหศาสนา เห็นวาควรพึ่งพาตัวเอง ก็มักหมายถึงมีใจคิดเลิกนับถือ


หรือกระทั่งตอตานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดวยความเกลียดชังคั่งแคนไปเลยที่ไมยอมชวย ทั้งที่ความหมายอันแท
จริงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไมใชมือไรตนที่คอยหยิบยื่นหอกดาบชวยเรารบ แตหมายถึงสิ่งดลใจใหเราทนสูอยู
ในโลกดวยกําลังฝายดีตางหาก

ผมบอกแอไดสองอยาง ประการแรก ศาสนาพุทธไมไดตั้งขึ้นมาดวยคํามั่นสัญญาวาจะแกปญหาปากทอง


หรือลดความขมขื่นใหใครชนิดลัดสั้นชั่วขามคืน ประการที่สองคือเรื่องของเปาหมายในศาสนานั้น เพื่อให
ดับทุกขทางใจอยางเด็ดขาด ดับกันที่ใจ ไมใชเพื่อพยายามสรางแตเหตุการณดีๆใหเกิดสุขตลอดกาล
เพราะสัจธรรมขอหนึ่งที่พระพุทธองคตรัสอยูตลอดเวลาก็คือโลกนี้ตองมีดีรายสลับกัน

แมพระองคเองสมัยทรงพระชนมก็เสวยทุกขทางกรัชกายจากการเบียดเบียนภายนอกและภายในยิ่งกวา
คนทั่วไปเสียอีก อยางเชนผลตกคางเรื้อรังในระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากการบําเพ็ญทุกรกิริยาถึงหก
ปกอนตรัสรู หรืออยางที่พระองคกับสาวกระดับผูใหญถูกประทุษรายตางๆนานา ไดรับความทุกขทาง
กายเสมอพวกเรา หรือยิ่งกวาพวกเรา นั่นเปนหลักฐานวาแมแตผูเปนประมุขสูงสุดของศาสนาก็ใชจะ
หลีกเรนไปอยูบนวิมานหางจากดินนะแอ

เพราะงั้นเรื่องราย เรื่องนาเศราจึงไมใชของแปลกปลอมในโลกนี้ แตสําคัญที่จังหวะเกิดเรื่องนาเศรานั้น


ใจรับไดดวยภาวะปลอดโปรงเปนสุขแคไหน ขึ้นอยูกับใครปฏิบัติจริง ออกภาคสนามจริงตามหลักสูตรใน
ศาสนาเพียงใด แอจะเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของแทในตัวเอง เมื่อเจอเรื่องรายแลวยิ้มได ปลอยวางไดสัก
ขณะหนึ่ง”

เรือนแกวตั้งใจฟงมาตลอด แตพอเขาลงสรุปเชนนั้นก็หัวเราะขัน

“ความปลอยวางเปนยังไง มองใหเห็นทุกสิ่งวางโบอยางที่พูดกันนะหรือ? แอวาเกินไปหนอยละ ถาใคร


มาตัดมือเตทิ้งนี่ จะเห็นมือที่ขาดไปเปนความวางเปลาไดไหวงั้นซี? หรือใหสลัดคราบมนุษย กลายเปน
สิ่งไรชีวิตจิตใจ สุข ทุกข หัวเราะ รองไหไมเปนแบบตุกตุนตุกตา?”

“ไมใช...ไมใชการเห็นสี่เหลี่ยม วงกลม แลวหลอกตัวเองวาไรรูปทรง วางกลวงเหมือนอากาศธาตุ แลวก็


ไมใชสมมุติตัวเองเปนสิ่งไรชีวิตจิตใจ ปราศจากอารมณสุขทุกข”
๒๖๘

พักคิด ยกมือลูบคาง พิศดวงตาที่กําลังทอรัศมีสุกปลั่งราวกับดาวรุงของเรือนแกว ซึ่งสอใหเห็นวาเพิ่งใช


สมาธิกับการประชุมที่มีรายละเอียดซับซอนนานตอเนื่องหลายชั่วโมง นับวามีความตั้งมั่นอยูพรอมพอ
ควร จึงตัดสินใจบอก

“ขอเวลาแอหนึ่งนาทีลองทําตามที่ผมพูดไดไหมละ เปนหนึ่งนาทีที่ตั้งใจจริงๆ ไมแกลงทําแบบขอไปที


แลวจะเห็นวาความปลอยวางหนาตาเปนยังไง”

ริมฝปากเรือนแกวคอยๆคลี่ออกเปนรอยยิ้ม

“จะทําอะไร สะกดจิตแอเหรอ?”

“เปลา” เกาทัณฑปฏิเสธหนักแนน “สะกดจิตคือทําใหสักแตเชื่อ สักแตคิด หรือยอมตัวเองตกอยูใตอิทธิ


พลของอํานาจจิตหรือคําพูดจูงใจคนอื่น แตสิ่งที่จะใหแอลอง คือการ ‘พิจารณา’ ซึ่งเกิดขึ้นไดตอเมื่อแอ
เองมีสติสมบูรณ เริ่มตนดวยตัวคิดเล็งความจริง และลงทายเปนการตระหนักเห็นความจริง คําพูดของ
ผมเปนเพียงแนวทางที่มีอยูแลวในแกนสารของพุทธเทานั้น”

พื้นนิสัยเรือนแกวชอบทดลอง อยากรูเห็น ยิ่งเมื่อเกาทัณฑตกปากรับคําวาใชเวลาเพียงนาทีเดียว ปลอด


จากการสะกดจิตนะจังงังอันใด ประกอบกับเชิงไทก็นั่งเปนเพื่อนอีกคน เลยเอียงคอเบะปากรับ

“ไดเลย เจาพอจะสั่งอะไรลูกชางก็วามา”

“นั่งตรงๆนะ หลับตาลง”

เรือนแกวทําตาม เกาทัณฑสะดุดนิดหนึ่ง เพราะเห็นยิ้มหยันปรากฏที่มุมปากเพื่อนสาว ทําใหเกิดความ


ไมมั่นใจนักวาความพยายามของตนจะเกิดผลสักแคไหน ไดแตมองขาม ปลงใจคิดวาทําตามหนาที่หนึ่ง
ในบริษัทสี่ คืออุบาสกผูชวยสืบทอดพระศาสนาตามกําลังและโอกาส จึงคอยรูสึกดีขึ้น

“วางแขนราบบนที่เทาแขน ปลอยใหขอมือตกลงมาตามสบาย อยาเกร็งสวนใดสวนหนึ่ง โดยเฉพาะหัว


ไหล”

เมื่อเห็นหญิงสาวขยับตัว วางอิริยาบถตามที่เขาบอกพรอม และลดรอยยิ้มหยันที่มุมปากลงแลว


เกาทัณฑจึงเอยตอ

“ดูความรูสึกที่เกิดขึ้นตรงขอมือนะ ที่ปลอยหอยจากมุมแขนเกาอี้อยางนี้ เปนความรูสึกที่นิ่งสบาย ผอน


คลาย เรียกไดวาเปนความสุขชนิดหนึ่ง ลองตั้งสติจอดูเฉพาะตัว ‘ความสบาย’ ที่ขอมือไวใหไดตอเนื่อง
กันสักครึ่งนาที ตั้งใจนะ นับหนึ่ง สอง สาม ไปจนถึงสามสิบใหสม่ําเสมอ แตละครั้งที่นับใหนึกสํารวจ
เสมอวาเรากําลังตามดูขอมือที่หอยลงอยางสบายหรือเปลา”
๒๖๙

ดวยสติและสมาธิที่อยูตัวในขณะนั้น ทําใหเรือนแกวปฏิบัติตามไดโดยงาย ดูเหมือนเปนครั้งแรกที่หลอน


ตองมาตั้งใจจับความสบายขอมือที่ตกหอยอยางตอเนื่อง

เพียงนับหนึ่ง สอง สาม สี่ หา เมื่อยังสามารถหนวงนึกถึงความสบายที่ขอมือชัดอยู หลอนก็เกิดความรู


สึกพอใจขึ้นมาอยางนาแปลก เพิ่งสังเกตเห็นวาตนเองอาจเปนสุขกับสิ่งเล็กนอยไดขนาดนั้น แคเพียงจับ
สังเกตความสบายที่ขอมือเทานี้เอง

พอนับไดถึงสิบหา ‘ความเห็น’ จากภายในก็ขยายขอบเขตไปตลอดชวงปลายแขนซึ่งวางราบ เกิดความ


สงบใจและจดจอกับขอมือมากขึ้นกวาเดิม พบวาตัวความสบายที่จอรูอยูนั้น แผออกไปทั่วทั้งลําแขน มิใช
เฉพาะที่ขอมือจุดเดียวดังเห็นเมื่อแรก เหตุเพราะกลามเนื้อตลอดชวงนิ่งวางผอนพักเต็มที่ ไมขยับเขยื้อน
เลย

ตอนนั้นใจชักเริ่มเบี่ยงเบนไปคิดเรื่องอื่น เรือนแกวก็ดึงความรูตัวกลับมาจดจอกับขอมือใหมอยางรวดเร็ว
เนื่องจากสํารวจทุกครั้งที่นับวาใจยังอยูกับขอมือหรือไม พบวาความสงบสุขทวีขึ้นเปนเงาตามระยะเวลา
กําหนดรูสิ่งเดียวเชนนั้น แมเมื่อลมหายใจผิดจังหวะ ก็รูเองวาควรกําหนดเขาออกอยางสม่ําเสมอ ลด
ความเกร็งลง

นับเกินสามสิบมาเยอะแลว แตยังติดความสบายที่เกิดขึ้นในภายใน เรือนแกวจึงหลับตาคางเติ่งมาเรื่อย


กระทั่งเกิดกลุมความคิดกังวลเกี่ยวกับเงื่อนไขจํากัดเวลาของเกาทัณฑ ถึงลืมตาขึ้นได

“เปนไงมั่ง?”

เกาทัณฑถาม

“ก็โอเค สงบดี” หญิงสาวตอบเสียงเนือย แลวถามกลับ “นี่นะหรือความวาง?”

“เปลา นี่แคเริ่มตน เขาเรียกวาการ ‘จอรู’ เทานั้น เขาขายการตั้งสมาธินั่นแหละ หากแอจะไดความสุข


ความสงบจากการจอรูเมื่อครู ก็เปนในระดับของสมาธิ ทีนี้เพื่อเขาใหถึงความวาง ตองมีการ ‘พิจารณา’
เสริมเขาไปดวย ขอเวลาอีกครึ่งนาที คราวนี้แอจะไดลองทั้งกําหนดสติรูและพิจารณา...เอารึยัง?”

หญิงสาวปดตาลง ผงกศีรษะเปนสัญญาณวาพรอมจะปฏิบัติตาม เกาทัณฑก็บอกทันที

“ตั้งตัวรูดูความสบายที่ขอมืออยางเมื่อกี้ แตคราวนี้ใหคิดสมมุติวากําลังวางกระดูกทอนแขนที่เราไมใชเจา
ของ เปนทอนกระดูกของใครไมรูเอามาฝากไวกับตัวเรา เราไมใชผูสราง วางทิ้งไดโดยไมตองเปนหวง”

ดวยกระแสสติที่ตกคางจากเมื่อครู ทําใหตอติดโดยงาย เพียงคิดสมมุติตามเกาทัณฑพูด เรือนแกวก็เห็น


จากใจวาทอนแขนตนกลายเปนกระดูกแปลกปลอมชิ้นหนึ่งซึ่งหลอนวางฝากไวกับแขนพักของเกาอี้ นับ
สิบแรกเกิดความเห็นสัณฐานของชวงปลายแขนชัด เปนกระดูกตั้งแตศอกถึงปลายนิ้วมือแหลมๆทั้งหา
๒๗๐

เห็นจริงเห็นจังวาทอนกระดูกที่วางอยูนี้มิไดถูกสรางขึ้นโดยหลอน เมื่อคิดวางทิ้งไวเหมือนซากไมไรเจา
ของแลวก็สบายใจ โปรงโลงหมดหวงหมดความยึดถือ

ดวยความตอเนื่องของการสมมุติ ในที่สุดเมื่อใกลการนับสามสิบ ก็บังเกิดเปนตัวตระหนักขึ้นมาปุบปบวา


ทอนแขนนี้ไมไดมาจากหลอนจริงๆ เมื่อถูกสราง หลอนไมมีสวนรูเห็นใดๆเลย สมควรถูก ‘วาง’ ไวโดย
ปราศจากการเขาถือครองจากใครทั้งสิ้น

นั่นเปนชวงหัวเลี้ยวหัวตอสําคัญที่สุดของการยางเขาสูภาวะปลอยวาง คือเหลือแตอาการรูทอนแขน
เฉยๆโดยไมคิด ไมพิจารณาอะไร เพราะติดอยูในความหมายรูเรียบรอยแลววาแขนที่ถูกรูมิใชสิ่งที่หลอน
สราง เปนเพียงธรรมชาติอันวางเปลาจากตัวตน หาไดอยูในความครอบครองของใคร เสมอกันกับกระดูก
ศพที่ถูกทิ้งขวางในปาชา

เมื่อเห็นความวางจากผูครอง ใจก็วางลงไดเชนกัน

วาง… สิ่งที่วาง

น้ําหนักแขนที่ถูกวางราบนั้นคืออาการทางกาย บัดนี้กลืนเปนอันเดียวกับการวางดวยใจ จิตผนึกนิ่งอยู


กับความวางนั้นชั่วขณะ บังเกิดความสุขไรเขตจํากัดเปนวาระแรก

เมื่อเกาทัณฑเห็นสีหนาที่ผอนคลายยิ่งของเพื่อนสาว ก็รับทราบวาเรือนแกวลิ้มรสธรรมขั้นตนที่พนจาก
การอธิบายดวยคําพูดแลว

รอจนกระทั่งเรือนแกวลืมตาขึ้นเอง ซึ่งนานหลายนาที ความจริงหลอนเหนื่อยออนจากการทํางานมาทั้ง


วัน เมื่อเคลิ้มสบายเขาก็งีบหลับ มารูสึกตัวตื่นดวยจิตใตสํานึกที่ผูกกับพันธะคือกาลและสถานที่

“เปนไงมั่ง?”

คราวนี้เรือนแกวยอมรับโดยปราศจากทาทีแสรงอําพราง

“อือ รูสึกวางไดจริงๆแหละ”

“ยอนนึกกลับไปในอดีตนะ ถาชวงเวลาเศราโศกอยางที่สุด แอรูจักความสุขจากการปลอยวางงายๆนี้


อยางนอยทุกวันจะมีหนึ่งนาทีที่สามารถหลีกทุกขไดจริง และสิทธิ์ในการหลีกทุกขนี้ก็ไมจํากัดแคหนึ่ง
นาที แอพนทุกขไดนานเทาที่จะมีกําลังรูและพิจารณา นี่คือตัวอยางของแกนพุทธ ถึงแมทุกขหนักจะเปน
จะตายแคไหน ขอเพียงมีความรู และมีกําลังเหลือพอจะพิจารณาธรรม ก็เปลี่ยนภาวะจิตใจใหเปนตรงกัน
ขามกับทุกขไดตลอดเวลา เนื่องจากกําจัดตนเหตุทุกขทางใจที่แทจริง คืออุปาทานยึดมั่นถือมั่นลงได
๒๗๑

วกไปพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แอพบอยูในความวางเปลาของอากาศ แนนอนเมื่อแอเรียกรองอยูในใจของตัว
เองและมองออกไปในอากาศวาง สิ่งที่จะพบยอมไมใชผูวิเศษตนใดตนหนึ่ง แตเปนอากาศวางนั่นแหละ
พูดปลอบไมได ยื่นมือมาฉุดใหเราลุกไมไดอยูอยางนั้นเอง

ถาตอนนั้นแทนการเรียกรองจากลมแลง แอฟงธรรม อานธรรม แลวเขาถึงการพิจารณาเพื่อปลอยวาง


ตางหาก ถึงจะเจออะไรที่เปนของแท ศักดิ์สิทธิ์จริงอยางนี้”

เรือนแกวใครครวญ เกิดความเขาอกเขาใจขึ้นมาวาความวาง ความปลอยวางนั้นคือการกําหนดสติรูและ


พิจารณาดวยอาการเชนไร ทวาไมเห็นดวยกับเกาทัณฑทั้งหมด

“การพิจารณาธรรมเชนนี้ตองพรอมพอควร เพราะอาศัยทั้งสติและความตั้งใจอยางตอเนื่อง คนจมทุกขที่


ไหนจะเอากําลังกายกําลังใจมาตั้งสติพิจารณา”

ชายหนุมผงกศีรษะรับอยางแข็งแรง เปนเครื่องหมายแทนการยอมรับเต็มที่

“ถูก! เมื่อจิตตกต่ําขนาดเรียกสติไมได จะฟนใหกลับเปนกุศลทันทีนะเหลือวิสัยแน ตองนอนหลับพักผอน


เอาแรงสักงีบ แตสําคัญวาตื่นขึ้นมาตองรีบฉวยจังหวะที่กําลังกายดีพรอม เอามาใชพิจารณาใหเกิดวิถีจิต
ดานดี เสียดายนี่เรากําลังพูดยอนกลับไปขางหลัง ไมอยางนั้นถาทดลองดู แอจะรูวาแอเริ่มวันใหมดวย
การวางความวางไดจริงๆ

การพิจารณาธรรมขั้นตนอยางนี้ ก็คงไมอาศัยแรงกําลังมากไปกวาที่แอรับงานแปลจากพี่อนงคในชวง
วิกฤตสักเทาไหร วาไปอาจนอยกวาดวยซ้ํา เพราะใชเวลาแคนาทีเดียว ขณะที่งานแปลอาจกินเวลาเปน
สิบชั่วโมงตอเนื่อง ในเมื่อตอนนั้นเปนทุกขแลวยังตั้งสติทํางานได ก็แปลวามีกําลังเหลือเฟอสําหรับการ
พิจารณาใหเห็นความวาง จริงไหม?”

เรือนแกวเริ่มเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนาเปนอีกแบบไดบาง อยางนอยก็ยอน
คิดวาพระพุทธองคทรงเหน็ดเหนื่อยเผยแพรแกนธรรมชนิดนี้ มิใชปราถนาจะกระทําพระองคเปน ‘สิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์’ ปกปองคุมครอง ใหความชวยเหลือใครเพียงเพราะเชื่อตามพระองคในขั้นใหทาน รักษาศีล
ทวาทรงปรารถนาจะเปนผูบอกวิธีพนทุกขใหแกคนปฏิบัติดวยตนเอง

เชิงไทกอดอกเฝาดูแบบเสมอนอกมาตลอด เห็นแปลกอยูบางกับสีหนาสงบสุขยิ่งของเรือนแกว สัมผัสวา


นั่นแตกตางจากสุขเพราะเกิดภวังคหลับสบายไปมากโข ทวาตัวเขาเองเพียงนึกถึงขอมือตามเกาทัณฑ
พูดแวบเดียวแบบคนไดยินอะไรก็คิดอยางนั้น ทวามิไดใสใจใหตอเนื่องตามไปดวย จึงเกิดความเห็นแยง
ขึ้นมา

“ถึงมึงจะบอกวานี่ไมใชการสะกดจิต กูก็วาใชอยูดี เปนการสะกดตัวเองอยางมีสติ สะกดดวยความคิดจูง


จิตใหเห็นตัวเองเปนนั่นเปนนี่ กูเคยเห็นแบบสะกดหมูใหนึกวาเปนนกพรอมๆกันดวยซ้ํา กางแขนบินกัน
๒๗๒

ใหญเลย อันนี้มึงใหแอ ‘สมมุติ’ ตัวเองเปนกระดูกแปลกปลอมแยกออกมาชิ้นหนึ่ง ก็ธรรมดาแหละวะที่จะ


เห็นตัวเองเปนโครงกระดูกผีขึ้นมา”

เกาทัณฑขบริมฝปากหนอยๆ นั่งฟงพรอมกัน รวมเวลาเดียวกัน สองบุคคลอาจ ‘เห็น’ ตางไปเปนคนละ


ระนาบอยางนี้เอง เชนที่เชิงไททําตัวเปนเพียง ‘ผูเฝาสังเกต’ และจดจองจะพูดถึงสิ่งที่ตนเห็น ตน
ประจักษในฐานะบุคคลที่สามเทานั้น ไมคิดเปนตัว ‘ผูทดลอง’ เพื่อประจักษเองแมแตนอย

“โดยนัยของการสะกด นาจะหมายถึงการพยายามเบี่ยงเบนความเห็นใหผิดเพี้ยนไปจากของจริง อยาง


คนไมใชนกก็ใหนึกวาเปนนกที่มึงวา แตโดยนัยของการพิจารณาธรรม ประสบการณที่เกิดขึ้นและเปนตัว
ชี้ความแตกตางอยางชัดเจนคือสติและความตระหนักตามจริง รูวาที่คิดและพิจารณานั้นไมไดเสริมแตง
ใหผิดเพี้ยนไปเลย

ตอนเราไมดู ไมพิจารณาตางหาก ที่ถูกผัสสะภายนอกภายในสะกดใหเห็นไปวากายนี้ของเรา ความรูสึก


นึกคิดนี้ของเรา ซึ่งพระพุทธองคพบวาอยางนี้คือทางสายทุกข เพราะทําใหจิตระส่ําระสาย อยากได
อยากเสีย เปนชนวนใหคิดดีราย กอกุศลกรรมบาง อกุศลกรรมบาง รับผลกันเดี๋ยวนั้นบาง รอรับผลขาง
หนาที่มองไมเห็นบาง

ตอเมื่อพิจารณาแยกเปนชั้นๆดวยกําลังจิตที่นิ่งอยูตัว ก็จะเกิดความเขาใจที่ถูกตองขึ้นได เมื่ออยูใน


สภาพหมดอุปาทาน จะชั่วขณะหรือถาวร ก็จะไดรสเดียวกันคือความวางจากทุกขทางใจ อยางนี้เปนทาง
สายดับทุกข เพราะงั้นเมื่อกี้สาระไมไดอยูที่แอเขาเห็นตัวเองเปนโครงกระดูกหรือเปลา แตเกิดภาวะจิตรู
แจงความจริงจนปลอยวางไดตางหาก

เปาหมายสุดทายของการพิจารณาปลอยวางบอยๆก็เปนสิ่งหนึ่งที่แตกตางจากการสะกดจิต ปลายทาง
ของการสะกดจิตอาจใหผลเปนการเปลี่ยนบุคลิกภาพใหดีขึ้นหรือเลวลง แตการพิจารณาธรรมจนแกรอบ
แลว สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใหกลายเปนอีกสภาวะหนึ่ง ขาดสิ้นจากการปรุงแตงระคายใจอยางถาวร ไม
ตองเพงพิจารณาอีก”

เชิงไทลดรอยยิ้มขันในหนาลง แตยังของวา

“รูดีอยางนี้แลวทําไมมึงไมปลงผมบวชเสียเลยละ? จะไดหมดทุกขถาวร”

“มึงลองทําดูเองสิ แลวจะรูวาการ ‘เห็น’ ในเบื้องตนแคนี้ เพียงพอจะทําให ‘ตัดใจ’ ไดปุบปบงายดายหรือ


เปลา คนเราใหคิด ใหพูดยังไงก็ได เหมือนวางแผนปกครองพลเมืองกันหลายชั้นหลายซอน แตเอาเขา
จริงควบคุม ปราบปรามไดสักแคไหน ของแบบนี้ตองสั่งสม ตองหัดวางจนใจพรอมจะวางจริง ซึ่งกูยังไมมี
วาสนาถึงขนาดหรอก”

เชิงไทกัดปากและยนคิ้วนิดๆ
๒๗๓

“เปาหมายของการปลอยวางถึงที่สุดคือการเปนพระอริยบุคคลใชไหม? ไหนมึงบอกหนอยเถอะ พระ


อริยะนี่เขาเปนกันยังไง เอาอะไรมาวัด? แบบแอเมื่อกี้ใชรึยัง เปนอริยะชั่วขณะหรือเปลา?”

เกาทัณฑชะงักคิด คําถามนั้นตองการคนรูแจงเห็นจริงเปนผูตอบ ตัวเขาเองเปนประจักษพยานในรส


ธรรมขั้นพื้นฐานเทานั้น จะใหพูดเรื่องสูงทั้งหมดคงไมได

อีกอยาง บรรยากาศสนทนาเปนไปแบบมึงๆกูๆ หรืออยางเบาก็คุณผม ไมใชโยมหรืออาตมา รูเห็นกัน


อยูวาตางฝายตางยังมีกิเลส จะเอาอะไรเปนแกนอางอิง หรือชั่งวัดไดวาคําพูดถึงสิ่งสูงมีน้ําหนักแคไหน
โดยเฉพาะที่เกี่ยวของกับพระอริยบุคคล

“กูบอกตามนิยามในคัมภีรไดวา พระอริยบุคคลก็คือผูปฏิบัติธรรมจนหมดกิเลสไปตามลําดับ สวนจะเอา


อะไรมาวัดนั้น คงตองพูดกันยาว แบบแอเมื่อกี้นี้แค ‘เห็นธรรม’ ขั้นตน ซึ่งจะนําไปสูปลายทางขางหนา
ได หากมีการพัฒนาอยางตอเนื่อง

และ...พูดตรงไปตรงมานะเชิง ที่เราคุยกันอยูนี่ เขาเรียก ‘ถกธรรม’ เพราะมีฝกฝายของผูปลงใจเชื่อ ปลง


ใจยอมรับ กับผูที่ยังของใจ ไมเชื่อถือ ประกอบกับพวกเราอยูในฐานะเทากัน เปนเพื่อนฝูงที่รูอยูวา
ทํางานเพราะอยากไดตังคมาใชชีวิตแบบโลกๆใหสุโขเหมือนๆกัน มึงมองยังไงก็ไมเห็นกูแตกตางจากมึง
ตรงไหน

ถาจะคุยกันแบบเห็นตาม สงเสริมกัน หรือเรียก ‘สนทนาธรรม’ แลกเปลี่ยนความรูและประสบการณอยาง


ผูปฏิบัติจริง ตางฝายตางตองเสมอกันทางธรรม ซึ่งกูเองก็เพิ่งเริ่มตน แคแตะๆตองๆนิดหนอย ตัวเองยัง
ไมถึงใจเทาไหรเลย สวนมึงยิ่งแลวใหญ กับแคตนทางยังไมเห็น แลวจะหวังเขาใจปลายทางดวยการรับ
ฟงกูบอกนะคงยาก

เรื่องเกี่ยวกับการเปนผูเขาถึงศาสนานี่ ในใจมึงอาจคิดวาเปนคําถามงายๆ แตความจริงแลวไมใช ถา


อยากรูวาพระอริยบุคคลเปนกันยังไง เอาตรงไหนมาวัด มึงตองเจอตัวจริงของทาน ยอมรับใหทาน
‘แสดงธรรม’ แจกแจงใหฟงวา ‘สิ่งนั้น’ เปนอยางไร แลวตัวมึงเองก็ตองมีฐานหรือทุนเพียงพอจะซึมซับ
เอาตรงๆจากทานดวยใจ ไมใชดวยความคิด เพราะจิตพระอริยะนั้นเปนคนละรส เปนคนละกระแสกับจิต
คิดแบบปุถุชนเรา”

เชิงไทตะแคงหนา เหลตามองอีกฝาย

“แสดงวาพุทธเปนศาสนาที่หาหลักฐานยาก อยางที่เนนการเวียนวายตายเกิดนี่ เทาที่มึงปฏิบัติมา พอ


บอกไดไหมวาชาติกอนมีจริงหรือเปลา และจะพิสูจนหรือจับตองไดยังไง”

“ชาตินี้เปนสิ่งที่จับตองไดของชาติกอน”
๒๗๔

ครั้งนี้เกาทัณฑตอบทันทีโดยไมพักคิด

“เพราะการมีรางกายที่เปนฐานใหกําลังนึกคิดอยูเดี๋ยวนี้ การมีโอกาสมาเกิดกับพอแมคูนี้ และไดอยูใน


หลักแหลงอาศัยอยางทุกวันนี้ ก็คือวิบากกรรม การใหผลของสิ่งที่เราทํามาแลวในอดีต สวนจะพิสูจนยัง
ไงวาอัตภาพนี้มาจากกรรมเกา ก็พอมีหนทางอยู แตไมใชดวยการถามมาตอบไป ตองอาศัยแนวปฏิบัติ
จริงที่คอนขางยาก”

เชิงไทเลิกคิ้ว

“ตองนั่งทางในงั้นสิ เคยฟงมาบางเหมือนกัน เห็นวาบางคนนั่งจนเหงือกแหงก็ไมไดสมาธิสมาแทะหรือ


ทางในอะไรขึ้นมาซักกะติ๊ด”

“ถาเรียกนั่งทางใน มึงคงนึกถึงแนวทางในสํานักหมอผีหรือกุมารทองใบหวยมากกวาจะเขาใจตามจริงวา
เปนอยางไร คิดงี้ดีกวา เราตองทําจิตใหขึงตึงเหมือนจอหนังที่เรียบ ปราศจากความขรุขระบิดเบี้ยว
พรอมจะรับแสงจากเครื่องฉายได ซึ่งเครื่องฉายก็ตองสงแสงไดแรงพอถึงจะเกิดความคมชัด ทั้งจอและ
ทั้งเครื่องฉายนั่นแหละคือจิตที่อยูในภาวะสมาธิ

แตละชาติเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ฉายจบมวนก็ฝงดินไวลึกๆ เปนดินแข็งชนิดที่เอามือเปลาตะกุยไมไหว


ตองอาศัยเครื่องทุนแรงเชนจอบเสียมที่แข็งกวา ซึ่งนั่นก็คือกําลังที่เกิดจากสมาธิระดับสูงอีกเชนเคย ถา
ทําถึงแลวก็เหมือนมีจอบเสียมอยูในมือไวขุดคุยความทรงจําที่ฝงลืมไวใตจิตสํานึกเราเอง

สวนที่นั่งกันไมคอยสําเร็จนะ มีเหตุผลอยูรอยแปด นับแตโครงสรางจิตใจบอบบาง ออนแอ ขาดความ


ฝกใฝใหตอเนื่องจริงจัง อีกอยางเรื่องสมาธินี่ตองการความชางสังเกตสังกาและความฉลาดภายใน แบบ
เดียวกับใชความฉลาดพัฒนาฝมือทางการกีฬานั่นแหละ คนสวนใหญนึกวานั่งเพงๆๆ พอไมสําเร็จก็เลิก
ขี้เกียจตอแลว ไรวาสนาแลว ไมคิดวาการทําสมาธิเปนเรื่องตองลงแรง ลงเวลา และใชสมองกันพอควร”

“ถาไดสมาธิอยางเดียวนี่ก็กลายเปนผูวิเศษ คิดถึงชาติกอนก็เห็นเลย?”

เกาทัณฑสายหนา

“เหมือนมึงเต็มตื่นอยูตอนนี้ แลวยอนนึกถึงเมื่อกอนกูเดินเขามาในหอง ความจํายังแจมชัดและเปนจริง


เปนจัง เพราะเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ หรือยอนนึกถึงสมัยมึงเพิ่งอยูสักประถมสาม ความจําก็ยังคงอยู แมวาจะ
พราเลือนไป เพราะผานนานและถูกความจําอื่นถมทับไวหนามากแลว

จะสั้นหรือยาว ชัดหรือเลือนก็เถอะ ตราบใดที่ยังรูตัว ตื่นเต็มตาอยูอยางนี้ ก็จะยอนนึกได และรูวาเคย


เกิดขึ้นแลวจริงๆ ลองสังเกตจะเห็นวาแคมึงมีกําลังสติดีๆ การยอนระลึกจะชัดเจนกวาตอนเหมอมากแลว
บางขณะอาจเหมือนเหตุการณนั้นเกิดขึ้นซ้ําอีกครั้งทีเดียว
๒๗๕

แตเมื่อไดสมาธิ ภาวะความตื่นรูจะเต็มรอบกวาสติธรรมดาอยางเดี๋ยวนี้เปนสิบเปนรอยเทา เพราะสติจะ


นิ่งตอเนื่อง และจิตจะสวางฉายภาพในมโนนึกแจมชัด เมื่อพยายามยอนระลึกจะเห็นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น
สดๆ ไมวาจะถอยกลับไปในอดีตไกลแคไหน ยิ่งสั่งสมกําลังจิตไวมากเทาไหร ก็จะคมชัดและไปไดไกล
เทานั้น ขนาดที่สามารถแทงทะลุความทรงจํา ความรูสึกกอนลืมตาดูโลกเปนครั้งแรก และถอยยอนกลับ
ไปกอนวิญญาณเคลื่อนมาปฏิสนธิ ซึ่งถึงตรงนั้นแหละคือเริ่มเห็นอัตภาพในอดีต สรุปคือตองมีสมาธิชั้น
เลิศดวย และมีตัวความพยายามยอนระลึกดวย ถึงจะเกิดความเห็นขึ้นมา ไมใชมีสมาธิหรือตัวสติอยางใด
อยางหนึ่งโดดๆ”

“ถาไมเห็นชาติกอน ไมเชื่อเรื่องภพภูมิ ก็แปลวาเขาไมถึงแกนพุทธ?”

“เปลาเลย อยางแอเมื่อกี้ก็เรียกวาแตะๆตองๆแกนแลว ถึงใจเขาจะเชื่อหรือไมเชื่อเรื่องภพภูมิก็ตาม แลว


แตจริตคนดวย บางรายนี่ยังไมตองคิดเรื่องภพชาติก็เขาทางดับทุกขได แตสวนใหญตองเชื่อสักระดับ
หนึ่ง ถึงจะเห็นประโยชนของการพยายามดับทุกข”

“มึงเห็นชาติกอนหรือยังวะ?”

เกาทัณฑอึกอักนิดหนอย คราวนี้รูแลววาเมื่อซักแพตรีเกี่ยวกับอดีต เหตุใดจึงเห็นหลอนฝนตอบกึ่งรับกึ่ง


สูเสมอ ถาบอกตามจริงก็เปนชนวนใหเกิดคําถามยืดเยื้อตอไปอีก ถาบอกปดวาไมเคยก็กลายเปนมุสา
แตแลวเขาก็พบทางออก คือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว

“สมาธิจิตของกูเปนแบบผิวเผิน ไมใชจิตของนักปฏิบัติจริงที่มีความคมกลาพอจะยอนเห็นขนาดนั้น แตก็


ฝกๆแบบตามมีตามเกิดอยูนะ อยางนอยมีกําลังแรงขนาดยอนเห็นเหตุการณสมัยอนุบาลชัด...คือไม
ขนาดเห็นเปนภาพเหมือนดูหนัง แตปะติดปะตอเปนเรื่องเปนราวยืดยาว และรูรายละเอียดครบเหมือน
เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน จําไดหมดเลย ความรูสึกนึกคิดเมื่อเริ่มทองกขค. เริ่มหัดคิดบวกลบคูณหาร หนาตา
และชื่อเพื่อนกับครูแตละคน บางอยางลืมไปแลวอยางสนิท ขนาดที่วาตอใหพยายามนึกยังไงก็ไมมีทาง
ไดดวยสติธรรมดา

ถึงจะยังไมเกงพอระลึกชาติกอน แตก็ระลึกชาตินี้ไดอยางละเอียด ทําใหมองเห็นสิ่งที่ซอนอยูภายใตจิต


สํานึก และตระหนักวาเรามีสิ่งฝงลืมแบบปดตายอยูจริงมากมายมหาศาล ถาอยากขุดขึ้นดูก็ตองเพิ่มประ
สิทธิภาพใหกับจิตจนเกิดความเปนไปไดขึ้นมา”

เชิงไทหรี่ตามองเพื่อนซึ่งคบกันมานาน รูเห็นไสพุงกันหลายขด ทราบวานั่นเปนการพูดฉีกทางใหเขาลืม


คําถามเดิม จึงสังหรณวาเพื่อนเห็นมากกวาที่พูดบอก ก็ถามจี้ลงไปซ้ําอีกครั้ง

“สรุปคือมึงยังไมเคยเห็นชาติกอนเลย จะโดยปริยายไหนๆก็แลวแต?”
๒๗๖

เกาทัณฑนิ่ง อันเนื่องจากความเห็นอัตภาพในอดีตเปนการชวยเหลือจากคนอื่น มิใชกําลังตนเอง อีกทั้ง


เห็นเพียงแวบเดียว แคสาๆวาอะไรเปนอะไร จึงไมเกิดความภาคภูมิลําพองที่จะโออวด ไดแตแบงรับแบง
สูแบบติดตลก

“อยางกูไมใชพระราชาแน และมึงก็ไมใชมหาดเล็กของกู”

เชิงไทเงียบไปชั่วขณะ เลิกพยายามเพราะรูวาเพื่อนจะไหลไปเรื่อย พลิกขอมือดูเวลา ชักหิวและขี้เกียจ


หาขอซักเรื่องเถียง จึงตัดบท

“ไปกินขาวเหอะ”
๒๗๗

เกาทัณฑและเรือนแกวกําลังทองรองจอกๆอยูพอดี เมื่อเชิงไทชวนทานขาวจึงตกลงตามกัน

“กินไหนดี?”

เรือนแกวถามดวยเสียงติดเบื่อหนอยๆเมื่อคิดถึงรานใกลละแวก ชวงค่ําคืนเชนนี้เหลือตัวเลือกนอยเต็มที

เชิงไทเอยชื่อรานสเตกแหงหนึ่ง เพิ่งเปดใหมและเนื้ออรอยนุม เรียกน้ําลายชุมลิ้นชะงัด เสิรฟพรอมไวน


แดง ชวงแนะนําตัวราคาถูกอีกตางหาก เพื่อนทั้งสองฟงเขาพรรณนาแลวเกิดอยากลองทันใด เผื่อวัน
หลังจะไดพาใครไปรวมอรอยบาง

เชิงไทบอกคราวๆวารานตั้งอยูตรงไหน แตอันเนื่องจากเปนกลางซอยไมคุนถิ่นไกลออกไป จําเปนตอง


เขียนแผนที่ ชายหนุมขี้เกียจขึ้นมา เลยชวนขึ้นรถตนเองคันเดียวสิ้นเรื่องสิ้นราว จะไดถึงพรอมกัน ไม
ตองมีใครนั่งแกรวรอดวย

สองหนุมและหนึ่งสาวมานั่งรับประทานมื้อเย็นดวยกัน ทามกลางแสงเทียนและเสียงดนตรีละเมียด
สนทนาเรื่องเบาหัว เรือนแกวเปนสีสันสดใสและความนารักนาใครของโตะ ทําใหเวลาชั่วโมงครึ่งผานไป
ดวยความเพลิดเพลินเจริญอาหาร

เกาทัณฑดื่มไวนทั้งรูวาเปนของมึนเมา ผิดศีล ขณะนี้เขาไมนับตนเองเปนคนถือศีล แตตระหนักวาเมื่อ


ละเมิดขอใดขอหนึ่งแลวเปนภัย จึงตั้งสติรูตัววาดื่มเพราะอยากในรสนุมลิ้นทวาบาดคอนั้น แตไมปลอย
ใหมึนเมา เอาพอกําซาบรวมหมูกับเพื่อนไดตามปกติ กับทั้งกําหนดใจวาจะพิจารณาใหเห็นเครื่องดื่ม
แอลกอฮอลที่ปรุงขึ้นโดยปราศจากเจตนาใชเปนตัวยานั้น บอนทําลายสติ ฉุดวิญญาณใหตกต่ําลง เพื่อวา
วันหนึ่งจิตจะเห็นจริง และคิดผละจากไปเองโดยปราศจากการบังคับ

จวนหาทุม เปนเวลารานใกลปด สามหนุมสาวเดินออกมาตามทาง บรรยากาศสรวลเสเฮฮาประสาเพื่อน


สนิทยังกระจายรอบ เชิงไทกดรีโมตคอนโทรลปลดล็อกประตูแตไกล เรือนแกวไดยินเสียงสัญญาณแลว
หัวเราะออกมาเอิ๊กอากตามอารมณไวน

"ตุย...ตุย"
๒๗๘

หญิงสาวรองเลียนรีโมตฯ เกาทัณฑกับเชิงไทหัวเราะตาม เมื่อเกาทัณฑมาที่ประตูหนาดานขางคนขับ


ขยับจะเปด เรือนแกวก็ชิงเบียดเขี่ยเขาออกนอกทางดวยสะโพกกลมมนเสียกอน

“ใหแอเปนตุกตาหนารถของเชิงมั่งซิ”

หลอนเอยเสียงปกติ แตตาฉ่ําดวยฤทธิ์แอลกอฮอล เกาทัณฑผายมือสองขางออกอยางเชื้อเชิญตาม


อัธยาศัย ความจริงเรือนแกวอยากเอนเบาะนอนพักตานั่นเอง

เมื่อรถเคลื่อนจากที่และเชิงไทจะเบนทิศกลับบริษัทเพื่อใหเพื่อนหญิงชายไปเอารถของแตละคน เรือน
แกวก็หามไวและขอวา

“ตรงนี้อยูครึ่งทางระหวางออฟฟศกับหองพักแอแถวพัฒนาการ เชิงชวยสงหนอยไดไหม อยากงีบนะ ขี้


เกียจกลับไปเอาแลว พรุงนี้เชามาแท็กซี่ดีกวา”

เชิงไทพยักหนาดวยความเต็มใจ

“ไดซี่”

หญิงสาวบอกที่หมายวาถึงศูนยการคาใหญแหงหนึ่งใหปลุก หลอนจะลุกขึ้นมาบอกทางตอ เกาทัณฑอยู


ในเงามืดตอนหลัง รูสึกนุมสบาย อากาศเย็นฉ่ํา ก็เอนตามยาวเหมือนกัน แตไมหลับ ยังคงสงเสียงคุย
เปนเพื่อนเชิงไทเรื่อยๆ

ทีแรกก็คุยกันเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องทิศทางของนโยบายบริษัท ซึ่งมีเนื้อหาใหญนอยกินเวลานานเอาการ


แตพอถึงจุดหนึ่งเมื่อตางเงียบกันเปนครู เชิงไทซึ่งยังคาใจกับเรื่องที่เหมือนคางๆไวในหองประชุมเล็ก ก็
เอยขึ้นมา

“ตอนนี้มึงเปนพุทธเต็มตัว เต็มใจแลวสิ”

ชวงทานขาวเย็นและบทสนทนาเรื่องทั่วไปที่พักคั่นมาระยะหนึ่งทําใหกลับมาคุยประเด็นธรรมะตอไดราบ
รื่นขึ้น สุมเสียงเชิงไทฟงลดความตั้งแงยียวนลงกวาเดิมเยอะ

“ก็คงงั้น”

“เลาใหฟงหนอยซิเปนไงมาไง จําไดวาครั้งสุดทายที่เราคุยกันเกี่ยวกับอะไรเทือกนี้เมื่อหลายปกอน มึงยัง


ออกทาแอนตี้อยูเลย”

“หรี่แอรหนอยดิ๊เฮย เรงเขาไปไดเกือบสุด หนาวจะตายชัก”

“ยายแอเปนคนเรงนี่หวา”
๒๗๙

เชิงไทหรี่ใหตามคําขอ แลวถามซ้ํา

“เลาใหฟงหนอยสิ เปนไงมาไงถึงเจอพระดีได อยูๆมึงคงไมขับรถเขาไปฟงเทศนในกุฏิเองแน”

เกาทัณฑเอาสองมือหนุนศีรษะ ขี้เกียจเลา แตก็รวบรัดอยางเสียไมได

“เมื่อเดือนกอนไปเยี่ยมปู คุยไปคุยมาเกี่ยวกับธรรมะแลวติดลมนะ เผอิญวัดใกลบานปูมีพระดี ทําใหกู


เขาใจและรูเห็นหลายสิ่งหลายอยาง ความศรัทธาเลยมาเอง”

“นองแพเปนคนพาไปละสิ?”

เชิงไทดักคอ เกาทัณฑเงียบ

“กูฟงมึงพูดก็ชักสนใจเหมือนกันโวย วันหลังพาไปหาพระอาจารยของมึงหนอยสิ ทานตองมีดีอะไรสัก


อยางทําใหเห็นจริงเห็นจังได ลําพังขอธรรมะอยางเดียวคงไมทําใหมึงเลื่อมใสศรัทธาเร็วอยางนี้”

เกาทัณฑมองเพดานรถนิ่ง จับน้ําเสียงแลวพอเดาถูกวาเพื่อนอยากรูอยากเห็นมากกวาอยางอื่น ก็คลาย


ตนเองตอนเริ่มแรกนั่นแหละ

แตดวยความเชื่อมั่นศรัทธาในพระอาจารย คิดวาถาบุญพาวาสนาสง เชิงไทเคยมีนิสัยกับทานมากอน


อาจเกิดโอกาสไดดี ก็ตกปากรับคําเบาๆ ทวาหนักแนน

“โอเคเลยเชิง”

“พาแอไปดวยนะ”

เรือนแกวพึมพํา

“อาว ไหนวาหลับไงละนี่”

เชิงไทหันมองขางกาย ทักยิ้มๆ

“กําลังละเมอมั้ง”

หลอนตอบทั้งยังปดตา

“ใกลถึงตรงที่แอใหปลุกพอดีแหละ”
๒๘๐

เมื่อคนขับบอกเชนนั้น หญิงสาวจึงเปดเปลือกตาขึ้นมา รถกําลังเรงความเร็ว จังหวะเดียวกับที่หลอนเห็น


เงาคนวูบไหวจะขามถนน จึงยกมือชี้เตือนดังๆ

“คน…คน!”

เชิงไทยิ้มเย็น

“ก็คนนะสิ กลัวผมเห็นเปนลิงเหรอะ”

แลวก็หักเบี่ยงขวาอยางรูวาคนขามถนนคงไมเสียสติกระโจนตามหัวรถมาแนๆ เกาทัณฑหัวเราะมาจาก
ดานหลัง ถนนวางโลงและติดไฟแดงแตละจุดครูเดียว สองอึดใจตอมาเรือนแกวก็บอกใหเชิงไทเขาซอย
หนึ่งทางซายมือ ลัดเลาะตามทางไดเกือบสามรอยเมตรก็ถึงอาคารสูงหลายสิบชั้นอันเปนที่พักอาศัยของ
หลอน

หญิงสาวบอกตําแหนงจอด เชิงไททําตามบัญชา แตขยับหลุกหลิกเหลียวลอกแลก

“ชั้นลางมีหองน้ําใหเขาไหม?”

เรือนแกวหันมองทาทีรุมรามของเพื่อนหนุม ทีแรกจะบอกทางไปหองน้ําของยามและคนเฝาเคานเตอร
แตเปลี่ยนใจคิดใหความเอื้อเฟอ ไหนๆเขาก็อุตสาหมาสง และตึกนี้ก็ตางคนตางอยู ใครคิดไมดีเห็น
หลอนหิ้วหนุมติดมาเขาหองสองคนก็ชางหัว

“เขาในหองแอแลวกัน”

เชิงไทยิ้มออก เปลี่ยนกิริยาเปนนิ่งตามปกติ หญิงสาวชี้ทางลงที่จอดรถชั้นใตดินซึ่งมีชองจอดเฉพาะของ


หองหลอนอยู ยามเห็นหนาจําไดก็ปลอยรถผานไปโดยดี

ขึ้นลิฟตมาถึงชั้นยี่สิบสาม สภาพภายในอาคารใกลเคียงกับโรงแรมหรู พื้นปูหินออนแลนรอบตลอดชั้น


ผนังและเพดานเรียบกริบดูแข็งแรง กันเสียงรบกวนขามหองอยางเด็ดขาด ระบบปองกันอัคคีภัยวางไว
ถูกตําแหนงตามเกณฑ รวมแลวรูวาเปนหลักแหลงอาศัยของคนรายไดสูงลิ่วแนนอน

เรือนแกวนําสองสหายมาถึงประตูหอง 2307 ไขกุญแจสองระดับ เปดออกกวางแทนคํากลาวเชื้อเชิญ พอ


หลอนกดปุมบนแผงควบคุมที่ผนังดานหนา ทั่วทั้งหองก็สวางโรดวยแสงไฟหลากชนิด ไอเย็นตามมาใน
เวลาไมชานานโดยปราศจากเสียงหึ่งรําคาญหูของเครื่องปรับอากาศ

“ไมเลวแฮะ”
๒๘๑

เกาทัณฑเปรย ขณะที่เชิงไทปราดไปเขาหองน้ํา ซึ่งเรือนแกวใหไปเขาหองชั้นใน เนื่องจากประปาของ


หองน้ําชั้นนอกชํารุด ความจริงเขาไมถึงขนาดเดือดรอนหนักหนาสาหัส ที่แทแคอยากยลรังนอนของ
เรือนแกวเทานั้น

พื้นหองปูพรมน้ําตาลออน เขากับผนังสีเหลืองอมขาว ที่ประดับประดาดวยภาพวาดสีน้ํามันขนาดใหญ


สองสามกรอบ สะทอนสายตาที่มีใหกับงานศิลปอันลุมลึกของผูเปนเจาของ ทวาบางมุมก็ประดับประดา
ดวยตุกตาการตูนหลากหลาย แสดงใหเห็นวาเรือนแกวยังคงไวซึ่งจินตนาการและอารมณแบบเด็กซุก
ซอนอยู เหมือนกับหญิงสาวหลายคนที่โตมากับครอบครัวอบอุน มีความสุขในชวงตนชีวิต

นึกแลวเกาทัณฑก็สะทอนใจอีกครั้ง ความนาสงสารของแตละคนแตกตางกันออกไป อยางเรือนแกวที่


ปรากฏในวันนี้ดวยลีลาของสาวเกง เชื่อมั่น และงดงามในทุกทาง นาอิจฉาสําหรับหญิงอื่น ดูไมออกเลย
วาครั้งหนึ่งเคยเปนเด็กสาวตัวคนเดียวที่ผานความเจ็บ ตองทนปวดแสบปวดรอนอยางสาหัสมากอน นั่น
ทําใหเขานึกเวทนายอนหลัง และอยากมีสวนชวยเหลือบางในทางใดทางหนึ่ง

“หองสวยกวาของผมเยอะเลย”

ยืนใกลแคเอื้อม เรือนแกวเพียงกระซิบตอบก็ไดยินชัด

“หองเตคงจะรกนาดูสิทา หนุมโสดก็หยั่งงี้แหละ”

เกาทัณฑสั่นศีรษะ และเปนฝายขยับตัวหลีกหางออกมาหนอย แตตาเหลียวจับดวงหนาคมคายนิ่งอยา


งอดพิศวาสไมได

“ผมจัดขาวของเขาที่เขาทางเปนระเบียบเสมอ แตขาดหัวคิดซื้อเครื่องตกแตงจัดวางใหดูเขาทา เตะตานา


รักอยางนี้”

เขาชมการแตงหอง แตหลอนกลับถามมาอีกทาง

“แอนารักเหรอ?”

ลีลากระดกอวดปลายลิ้นแตะฟนหนาในการสะกดบางคํานั้น ทําเอาเกาทัณฑกลืนน้ําลายลงคอฝดๆ ดวง


หนาเนียนแฉลมดูเยายวนรัญจวนใจราวกับมายาฝน กลิ่นไวนในลมหายใจของตนและหลอนระคนกับ
กลิ่นน้ําหอมบาดฆานประสาทที่ยังคางจางในเรือนรางสาว กอใหเกิดความปรารถนาล้ําลึกขึ้นมาฉับพลัน
ทันใด

เรือนแกวเอนหลังพิงผนังอยางตองการพักเขา แตดูทีปรือตายิ้มเยื้อนมองลึกเขามาในตาเขาแลวคลาย
หลอนกําลังเชิญชวนใหเสี่ยงเดาใจวาคิดอะไรอยู จังหวะนั้นหากเขากมลงเอาจมูกแตะปลายคางหลอนสัก
หนอย คงไมถูกตอวาตอขานกระมัง...
๒๘๒

กลิ่นอายน้ําเมายวนใจใหมวนดิ่งไหลหลงลงสูอิฏฐารมณ มองตาหลอนดวยความลังเลสองจิตสองใจ ทาง


เปด โอกาสอํานวยอยางไมเคยมีมากอน ร่ําๆจะทําตามบงการแหงดําฤษณา ทวาสติของผูผานการอบรม
มาแลว ยับยั้งไวและใหคิดถึงสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น

หากทําอยางที่กําลังอยากทํา เรือนแกวจะเปลี่ยนฐานะจากเพื่อนเปนอื่นทันที

อุตสาหเฝางอแพตรี งัดสารพัดกลเม็ดเด็ดพรายมาใชจนหลอนตกปากรับคําแลววาสุดสัปดาหนี้จะไปหา
ฤกษหมั้นดวยกัน รวมทั้งเดินทางไปบอกกลาวลุงคามภีรของเขา ผูมีศักดิ์ตามกฎหมายเปนพอของ
หลอน ใหรับรูถึงสัมพันธภาพและเจตจํานงที่มี

ถาวาตามกฎหมาย หรือกติกาจารีตประเพณี เขายังเปนโสด อิสระเสรีบริบูรณ อยากบุกฮาเร็มไหน


วิมานฉิมพลีใด ก็คงไมมีใครวา แตใจนั้น ตอนนี้ไมโสดแลว เขานั่นแหละที่จะเปนคนวาตัวเองถาทําเรื่อง
นอกลูนอกทาง

ตัดสินใจขั้นสุดทายดวยการกลืนกอนฝดแหงความฝนใจลงคอ ดึงสายตาออกจากรางงามตรงหนา ยาก


ราวกับถอนเสาหนักที่ปกลึกในดินเหนียว

เหทิศกวาดสํารวจทั่วๆ หันหลังกลับไปพบเปาโฟมซอมยิงที่มีรูเล็กๆพรุนบนผนังดานหนาหอง หากระยะ


ยืนเล็งหางพอประมาณก็ตองนับวาแมนเอาเรื่อง เนื่องจากรอยกระสุนเกาะกลุมกลางหนาแนนเปนพิเศษ
ราวกับมีแมเหล็กดูดขี้เหล็กอยูตรงนั้น

แลหาโดยรอบก็พบทั้งปนอัดลมและคันธนูบนชั้นวางใกลเตาอบไมโครเวฟ เพียงเขามาอยูในโลกสวนตัว
ของเรือนแกวกาวแรก ก็เห็นแลววาหลอนหลากหลายขนาดไหน

กําลังจะชมความแมนที่ปรากฏหลักฐานบนเปา เชิงไทซึ่งคงทําธุระดวนเรียบรอย ก็ลงเลงมาจากดานใน

“แอเลนเปยโนดวยเหรอะ?”

เรือนแกวดีดรองเทาสนสูงทิ้ง กาวเทาเขาสูบริเวณที่กั้นไวเปนครัวยอมๆเพื่อลางหนาลางตาและจัดหาน้ํา
ทาใหเพื่อนฝูง ไมโตตอบคําของเชิงไทผูเห็นเปยโนอยูทนโทในหองนอนหลอน ยังอุตสาหถามอีกวาเลน
เปยโนหรือเปลา

เกาทัณฑเดินตามเพื่อนเขาไป ซึ่งเปนจังหวะที่เสียงเปยโนแนวแร็กไทมกําลังเริ่มกระโดดโลดเตน เชิงไท


นั่งครอมมานั่ง อวดลีลาทะมัดทะแมง แตดูๆแลวขัดตาพิกล

“เคาะผิดเคาะถูกแสดงวาเรื้อไปนานแลวซี”
๒๘๓

มายืนทักอยูเกือบชิดหลังนักเปยโนสมัครเลน เห็นมือเพื่อนออกเกร็งชอบกลเมื่อตะปบไปตามกลุมคีย
ขาวดํา

“เออ ไมมีเวลาซอมนี่หวา”

เชิงไทตอบกลับมาทั้งยังลงนิ้วบรรเลงเพลง The Entertainer อยางตอเนื่อง ทําใหค่ําคืนดูรื่นเริงมี


ชีวิตชีวา คึกคักสําเริงสําราญราวกับอยูในงานสังสรรคยามเที่ยงวัน เมื่อเริ่มคุนกับกลุมคียของเปยโนจาก
เยอรมันหลังนั้น เชิงไทก็ใสสีสันระบายอารมณสนุกไดคลองแคลวกวาเมื่อแรก นิ้วยาวและแข็งแรงของ
เขาทําใหการเติมลูกเลนเกินโนตเดิมสะดวกดายและพลิ้วลื่นเปนธรรมชาติขึ้นเรื่อยๆ

เกาทัณฑเหลียวไปเห็นชั้นตั้งเสียบซีดีเพลงสูงปรี๊ดวางเปนตับอยูไมหาง ก็ออกสํารวจเพื่อใหรูแนวฟง
เพลงของเรือนแกว เขามีโอกาสนั่งรถหลอนนอยครั้ง แตละครั้งคุยกันโขมงโฉงเฉงกับเพื่อนในกลุมเกิน
กวาจะใสใจรับรูประเภทเพลงที่ติดรถ

ทาทางหลอนจะเปนนักฟงตัวยง ทั้งแถบนั้นเรียงรายดวยชั้นซีดีถึงหาตั้ง แตละตั้งอัดแนนไรชองวางดวย


สันซีดีกวาสองรอยแผน เมื่อไลดูก็พบวาถูกเรียงเขาหมวดหมูเปนระเบียบ นั่นคือนิสัยของเรือนแกว ทุก
อยางถูกจัดวางระเบียบเปนหมวดหมูเสมอ

หลอนฟงแทบทุกประเภท ไมวาจะเปนไทยเดิม ไทยสากลเกา-ใหม ไลไปถึงเพลงนิวเอจ คลาสสิค และป


อบ-ร็อค แตละประเภทสะทอนใหเห็นความชอบใจดานนั้นๆผานศิลปนโปรด อยางเชนถาเปนร็อค จะ
เห็นดนตรีดุอยางมีรสนิยมของ โรเบิรต พาลมเมอร เกือบทุกอัลบั้ม หรืออยางถาเปนคลาสสิค ก็จะเห็น
งานของราชาไวโอลินเชนวิวาลดี้เต็มเอี้ยด

มองมุมหองดานบนเห็นเปนลําโพงชุด ยี่หอที่เลื่องชื่อลือชาวาขับเสียงไดยอดเยี่ยมเปนอันดับหนึ่ง ทา


ทางหลอนจะมีความสุขกับการลงนั่งฟงเพลงอยางจริงจังตรงกึ่งกลางหองซึ่งมีโซฟาหนังแทวางอยูโดย
เฉพาะ เมื่อวางคงชอบถูกหอหุมดวยสนามพลังคลื่นเสียงทั้งวันทั้งคืนเปนแน

จินตนาการถึงความเปนเรือนแกวอยูในใจ จํานวนแผนของเพลงแตละประเภทบอกอยูในตัววาหลอนไม
ผิวเผินกับอะไรสักอยาง จังหวะการเปลี่ยนอารมณของผูหญิงคนนี้คงเดายากเอาเรื่อง ในเมื่อมีพื้นจิตใจที่
สามารถจมจอมอยูกับทุกแบบการปรุงอารมณ ไมวาจะเปนการขับขานตามแนวไทยเดิมเชนลาวเทียน ที่
ลากชาเยือกเย็นขนาดกลอมใหเกิดสมาธิได หรือการบรรเลงอันอลังการเบิกชัยเชน La Primavera ของวิ
วาลดี้ ที่อาจบันดาลความรูสึกสงางามสมบูรณแบบแกผูสดับอยางละเอียด ไปจนกระทั่งการกระชาก
กระชั้นเผ็ดมันสุดเดชเชนในเพลง Simply Irresistible ของ โรเบิรต พาลมเมอร ที่เตะอารมณคนฟงใหพุง
โดงไดถึงสุดโตงความคะนองใจ

ยิ่งหยิบคนเห็นแนวหลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งประหลาดใจกับความเปนหลอนขึ้นทุกที บางครั้งถึงกับ


อุทานกับตนเองวาอะไรวะเนี่ย เพราะแมแตเพลงนิทานกลอมเด็กยังฟง!
๒๘๔

เหมือนเดินเขาไปในหองหนึ่ง ซึ่งจัดงานพบปะมิตรสหาย ปรากฏวาเจอคนแรกเปนชายชราในชุดราตรี


ทาทางสุขุมสงางาม เดินไปอีกหนอยเจอสาวเปรี้ยวออกทาดิบๆกระโดกกระเดก เหลียวซายเจอหนุม
นอยในชุดลําลองพรอมทองทะเลดวยเรือยอรช เหลียวขวาอีกทีดันเจอเด็กผูหญิงนาเอ็นดูอายุแคเกาขวบ
มายืนอยูกลางงานกับเขาดวย เลนเอางงงวยพิศวงวามันงานอะไรกันแนละนี่

เกาทัณฑกะพริบตาปริบๆ โลงใจอยูหรอกที่หาทั่วแลวไมเจอสมุนซาตานปนอยูดวย

เรือนแกวปรากฏกายตามเขามา บัดนี้ถอดเสื้อนอกออก เหลือเสื้อแขนยาวสีชมพูเขมที่มวนปลายไว


เหนือศอก หนาตาดูสดใส ทาทางกระฉับกระเฉงขึ้นกวาเดิม สองมือกํากระปองน้ําผลไม นําไปวางบน
หลังเปยโนใหเชิงไทหนึ่ง แลวที่เหลือมายื่นใหเกาทัณฑ จากนั้นมาหยอนตัวลงนั่งบนโซฟากลางหอง
มองเชิงไทเลนเปยโนสรางบรรยากาศครึกครื้นยิ้มๆ

เกาทัณฑดูดน้ําผลไมกระปองรวดเดียวเกลี้ยง หาถังผงทิ้ง แลวจึงเดินมานั่งขางเพื่อนสาว โซฟานั้นพอจุ


สองคนกําลังสบาย

“พาเพื่อนมาที่นี่บอยไหม?”

“ก็เปนครั้งคราว”

เกือบบอกวาตองสนิทกันจริงๆ และเพิ่งเขากับเชิงไทนี่แหละเปนเพศชายสองรายแรกที่มีโอกาสมาเยือน
ถิ่น แตกลัวรูแลวเหลิง เลยเก็บไว

“ดูแอฝกใฝทางดนตรีเอามากเลยนะ นี่ผมมองหากลองไวโอลินอยู เอาไปซอนไวที่ไหนละ?”

“รูดวยเหรอวาแอเลน ใครบอกนะ?”

“ก็สะสมวิวาลดี้ยังกับสะสมแสตมปอยางนั้น เปยโนของโชแปงกับฟรังก ลิสตรวมกันยังนอยกวาอีก ตอง


ใหใครบอกละ”

“ออ ชางสังเกตจริงนะ”

“ไปกวานซื้อมาจากหลายประเทศเลยซี เฉพาะเดอะแพลเน็ตสของ กุสตาฟ โฮลต ชุดเดียวก็ปาเขาไปสี่


วง”

เรือนแกวแคยักคิ้วรับเนิบๆ ตบมือเปาะแปะใหเชิงไทเมื่อเลน The Entertainer จบลง และเริ่มโหมเพลง


อื่น ซึ่งยังคงเปนแนวแร็กไทมมันๆเชนเคย

“ถามหนอยเถอะ ชวงที่เพิ่งออกจากบานพอ หาลําไพทางดนตรีบางไหม?”


๒๘๕

หญิงสาวสั่นศีรษะ

“ชวงนั้นยังออนหัด เพิ่งมาจริงจังก็หลังจากแมเสีย แมของแอเลนดนตรีเกง พยายามหัดใหตั้งแตเด็ก แต


แอขี้เกียจ เพิ่งขยันก็เพราะคิดถึงแม...”

ไดยินคําตอบดังวา เกาทัณฑก็ชักอยากฟงเรือนแกวเลนเปยโนเปนกําลัง จึงตะโกนดังๆใสหลังเพื่อน


หนุมเบื้องหนา

“เบื่อฟงดนตรีกระปองแลวโวย กระแทกตุงๆยังกับจิงโจ”

เชิงไทชะงักกึก ความบันเทิงในอากาศดับวูบ

“โธ...มึงมีปญญาเลนหยั่งงี้รึเปลา? ถาตกงานกูไปเลนตามบารเลี้ยงปากเลี้ยงทองไดแลวกันวะ หน็อย!


ทําเปนดาคนอื่นเขา”

พอเพื่อนหันมาสบตาดวย เกาทัณฑก็ขยิบเหลไปทางเรือนแกว เชิงไทจึงเขาใจ

“แอเลนแทนแลวกัน”

ขอแลวลุกจากมานั่ง ควากระปองน้ําผลไมอัดลมติดมือมาดวย

“เชิงก็เลนไปดิ้ แอกําลังฟงเพลินๆ”

“หนอยนา เจาเตมันรําคาญ ผมไมใชสกอต จอปพลิน ผมมันสกอตไบรท”

เรือนแกวยิ้มขัน เชิงไทเดินเขามานั่งบนเทาแขนโซฟาขนาบหลอนอีกขางแบบดาวลอมเดือน

“เจาของหองปลอยใหแขกเปนฝายจัดหาความสําราญไดไง...ไป”

วาแลวก็ใชมือรุนหลังหนอยๆ พอเพื่อนถูกเนื้อตองตัวในที่รโหฐาน หญิงสาวก็ลุกพรวด

“อยากฟงเพลงอะไรละ”

“เอาแบบรองดวยเลนดวยนะ อะไรก็เอา เคยไดยินแตเสียงผานไมคคาราโอเกะ วันนี้ฟงเสียงแทซะมั่ง


ดูซิไมมีเครื่องชวยแลวจะยังไพเราะเพราะพริ้งอยูอีกหรือเปลา”

“ไมมีเนื้อแลวนึกไมคอยออกนี่”

“เหอะ! เลนเปยโนแลวรองลิเกคลอก็ไดเอา เดี๋ยวจะชวยโกงคอเปนลูกคูถาหลง”


๒๘๖

เชิงไทบอกสงๆ อยากฟงการลงลูกคอนุมหูของเรือนแกวเต็มแก

อันเนื่องจากเคยรวมรองรําทําเพลงกันมาจนชิน หญิงสาวจึงไมอิดเอื้อนนานนัก กาวไปหยอนตัวบนมา


นั่ง ตั้งหลังตรง วางมือเขาตําแหนง ทีแรกคิดตามใจเพื่อน นึกถึงเพลงฮิตที่รองกันบอยจนจําขึ้นใจ แต
แลวก็กลับลํา เลือกอวดฤทธิ์เดชเต็มกําลังศักยภาพของตนแทน

ลงนิ้ว ขยับพลิกมือซายเดินคูเบส ขณะที่มือขวาเลื่อนพลิ้วจากชวงกลางไปหาสูง กระจายคอรดซีชารปไม


เนอรดุจการกวดไลกันของฝเทาขบวนมาเร็ว ปรากฏเปน Moonlight Sonata มูฟเมนตที่สามของบีโธ
เฟน อัตราเร็วเม็ดเสียงแตละโนตสม่ําเสมอ ไตจากเบาขึ้นไปกระแทกหนักปงปงตามลํานําของคีตกวี
อารมณแรงในยุคระบายฝนตามใจ

แตเลนไปไดเพียง 8 หอง พอตบหาโนตแรกของหองที่ 9 ก็หยุดกึกกลางคัน สะบัดหนาเหลียวหลังมา


แจกยิ้มใส เชิงไทซึ่งเขาใจเปยโนดีถึงกับอาปากหวอ สําเนียงที่มากับตนมูฟเมนตที่สามของ Moonlight
นั้น ทรงพลังเขมขลังอลังการ ยิ่งใหญราวกับบีโธเฟนมาเอง หลอนเลือกที่จะ ‘เลาเรื่อง’ แบบเร็วจัด คือ
เลน 8 หองแรกใชเวลาเพียงสิบวินาทีเศษ ลงนิ้วไมผิดเลยแมแตโนตเดียว

“แมเจาโวย!”

เชิงไทอุทานแผวๆ หูตาเปดคาง สําหรับเกาทัณฑ แมไมเขาใจความยากงายของเปยโน แตแคเห็นลีลา


กระแทกโนตสูงปงๆแลวยายไปไลเสียงกลางใหมอยางรวดเร็วไหลรื่น โดยที่ตัวคนเลนยังนิ่ง ก็ทราบได
วาฝมือเรือนแกวนั้นตองจัดเขาชั้นครูทีเดียว

“ตอใหจบสิ”

เชิงไทขอรอง

“ไมหรอกคะ เลนเพลงนี้ตองออกแรงเยอะ แอยอมเหนื่อยใหคนที่แอรักเทานั้น”

ทายประโยคหรี่ตายั่วเล็กๆ เลนเอาเชิงไทจุปากจิกจัก วางกระปองน้ําลงกับโตะขาง ลุกขึ้นมายืนประกบ


หลัง ขอซ้ําดวยทาทีจริงจัง

“เลนใหฟงหนอยสิแอ”

หญิงสาวเหยียดยิ้มเมื่อเพื่อนหนุมทําทาราวกับจะเขามาเคนคอ

“ก็ได กลับไปนั่งหางๆเดะ มายืนจองี้ใครจะเลนออกละ”


๒๘๗

เมื่อเชิงไทถอยกลับไปนั่งที่เดิม เรือนแกวก็นึกเห็นใบหนาอันหักงอของ ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน เขามา


แทรกแทนมโนภาพใบหนาตน กําหนดใจใหดุดันเปนพายุรายในคืนอาบแสงจันทรสีเลือด แลวเริ่มราย
เสียงใหมตั้งแตตนดวยเรียวมืออิ่มพลัง เราทุกอณูในหองใหเริงโรจนดวยความรวดเร็วและรุนแรงแหงลํา
นําขลังของคีตกวีอัจฉริยะ

เชิงไทฟงไดเดี๋ยวเดียวก็นั่งไมติด ตองขยับลุกขึ้นยืนในมุมที่สามารถเห็นการเริงรําอันเร็วรี่ของนิ้วมือ
เรือนแกวถนัด กอดอกจองตะลึง รูจักหลอนมาก็นานโข เพิ่งวันนี้ที่เห็นความสามารถอีกดานนอกเหนือ
จากการงาน หลอนตองร่ําเรียนกับครูเปยโนระดับประเทศ และตองซอมวันละไมต่ํากวาสามชั่วโมงที
เดียว กําลังมือจึงอยูตัว กับทั้งเกิดทักษะและสัมผัสภายใน ควบคุมใหสิบนิ้วไหลเลื่อนประสานความคิด
ถายทอดไดน้ําหนักและจังหวะจะโคนชั้นนี้

เกาทัณฑก็นั่งมองคาง จรดใจฟงความวิจิตรอึงอลในบทเพลงที่บรรยายอิทธิพลแหงแสงจันทรดวยลักษ
ณาการเดียวกับเชิงไท เพิ่งตระหนักวาเพื่อนสาวเปนผูสําเร็จฤทธิ์ขั้นสูงทางดนตรีคนหนึ่ง ส่ําเสียงอันยุง
ยากซับซอนขนาดฟงแลวขนลุกเยี่ยงนี้ ตองใชกําลังภายใน ทั้งสติและสมาธิผลักดันในระดับ ‘เนรมิต’
แลว

หลอนเปนบุคคลพิเศษที่รักและเขาถึงเปนอันเดียวกับเปยโนจนบันดาลเสียงชวนอัศจรรย เหมือนกับที่
ฤาษีเขาถึงดิน น้ํา ลม ไฟจนอาจกอมายาการไดตามปรารถนานั่นเอง

เรือนแกวเกงขนาดถายทอดใหเขาเขาใจอารมณเกรี้ยวของบีโธเฟน ที่แสดงออกดวยลวดลายรูปเสียงอัน
เพริดแพรว บางจังหวะเห็นรางแบบบางตรงหนาปรากฏเปนเครื่องจักรที่ไลคียเปยโนไดคงเสนคงวาไม
หยุดหยอน ไมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยลา ทวาเปนเครื่องจักรที่วิเศษกวาทุกชิ้น ตรงที่มีหัวใจและอารมณ มี
ความหฤหรรษที่จะระบายสีสันพันลึก ลากพาคนสดับฟงใหดิ่งจมลงสูขายคลื่นมหรรณพแหงดนตรีการไป
จนสุดสาย

บุคลิกภาพของเรือนแกวเองเปนเสมือนทวงทํานองอันเปนสุดยอดของเพลง ดีกวาตรงที่หลอนคงรูปอยู
เนิ่นนาน พรอมใหจับตองเรื่อยไป ไมสลายงายเพียงวูบผานเหมือนดนตรีการ ขอเพียงมีสิทธิ์จองเปนเจา
ของหลอนเทานั้น...

จับมองแผนหลังของรางเปรียวแลวนึกเสียดายที่เสนผมถูกซอยสั้น ถาไวยาวคงดูเปนนักเปยโนไดเดน
กวานี้เยอะ แตเคยเห็นตอนผมยาวอยูชวงหนึ่ง ก็ยอมรับวาบุคลิกเชนเรือนแกวตองสงดวยผมสั้นอยางนี้
เอง

ตลอดเวลาประมาณเจ็ดนาทีเศษที่เลน มีเพียงสองสามจุดเทานั้นที่เรือนแกวพลาด คลาดเคลื่อนหรือ


สะดุด แตโดยรวมแลวเมื่อฟาดมือซายขวากระหน่ําสองกลุมโนตสุดทายสุดแรงเกิดราวกับจะพังเปยโนทั้ง
หลัง ก็รวบยอดเปนความโอฬารเกินภาพปรากฏและสิ่งแวดลอม อันไดแกหญิงสาวรางแนงนอยที่อาศัย
๒๘๘

อัพไรทเปยโนธรรมดาเปนเครื่องมือ โดยที่แทความยิ่งใหญเยี่ยงนั้นควรเกิดขึ้นพรอมกับภาพนักดนตรีใส
ทักซีโดหรูหนาแกรนดเปยโนบนเวทีของสเตเดี้ยมขนาดยักษที่มีผูชมนับพันเสียมากกวา

สองหนุมปรบมือดังๆพรอมกันเปนเวลานาน เต็มแรง เต็มใจ เรือนแกวเชิดคาง เบนหนาชําเลืองแลมา


ทางเชิงไทซึ่งอยูใกล ยิ้มดุ ตาดุตามอารมณเพลง ชายหนุมเห็นเขาถึงกับเขาออนกับอํานาจสายตาเจาแม
แตพอรูตัววาเผลอระยอไปชั่ววูบ ก็แกเกี้ยวดวยการทําทีถลาเปนนกปกหักเขาไปทรุดตัวคุกเขาขางมานั่ง

“โปรดรับผมเปนศิษยดวยเถิด”

ไมพูดเปลา สองมือเกาะเอวกิ่วอยางแสนพิศวาส เรือนแกวตีมือเผียะ ตวาดเบาๆ

“เดี๋ยวเถอะ!”

ความสามารถเชิงดนตรีคือเสนหอันทรงพลังใหติดหลงไดรวดเร็ว สําหรับเชิงไทนั้นเปนคนเดียวที่ขณะนี้
‘ยังมีสิทธิ์’ จึงแทนที่จะนึกครามแววคมกลาดวยแรงฤทธีในตาสาว ก็กลับยามใจตวัดเหนี่ยวเกี่ยวเอวคอด
คลายคอแจกันนั้น และเอนศีรษะแนบแขนหลอนนิ่งอยางถือสนิทจนเลยเถิด

“มากไปแลวพอ!”

เรือนแกวลุกขึ้นอยางไวตัว เสียงชักเขม แตไมถึงกับแข็ง เกาทัณฑเห็นอาการหมาหยอกไกที่ถูกปฏิเสธ


อยางไรเยื่อใยแลวหัวเราะเยยเพื่อนอยูในใจ ครั้งหนึ่งเร็วๆนี้เมื่อสงเรือนแกวตรงที่จอดรถยามวิกาล เขา
เคยดึงเอวหลอนเขามากอดแบบหยอกๆ เรือนแกวแคดันดวยศอกหนอยเดียว และเอยราตรีสวัสดิ์ทั้งยัง
อยูในออมแขนเขา

“เกงสุดเดชเลยแอ”

เกาทัณฑชมดวยปาก และตองชมซ้ําในใจเมื่อเห็นปลายเสียงของตนติดสั่นเล็กนอย แสดงใหเห็นอิทธิพล


ของฝมือหลอนที่กระทบใจเขาจนแกวงไดอยางนี้

“แอคงตองรับสอนเปยโนอยูแนๆ”

หญิงสาวยักไหล

“เปลา”

“ผมเรียนกับแอไดไหม คิดชั่วโมงเทาไหรวามา”
๒๘๙

เรือนแกวปรายตามองเกาทัณฑ ดูไมออกวาเขามีความตั้งใจตามพูดหรือเปลา จึงโปรยยิ้มแฝงเลศนัย

“อยาเลยคะ เดี๋ยวนางฟาของเตรูเขาเขาจะวาแอ”

เชิงไทลุกขึ้นยืน โพลงทันที

“คนมันหลายใจ ไมคอยกลัวถูกวาหรอก”

เกาทัณฑหัวเราะเอื่อย เงียบเสียงไป กะจะปลอยใหเชิงไทแสดงบทอี๋ออคนเดียวตามสถานภาพชายโสด


สวนตนพักตาตามประสาคนหัวใจไรหองวางเสียแลว

พอเชิงไททําแตมดวยการโจมตีเพื่อนแลวก็เกิดเมื่อยหลังและสองขาขึ้นมาเพราะยืนเกร็งอยูนาน
ประกอบกับเริ่มเพลียเนื่องจากไดเวลานอน แตเห็นโซฟากลางหองถูกเกาทัณฑยึดครอง จึงเดินเลยไป
ลมตัวนอนบนฟูกนิ่มของหญิงสาวหนาตาเฉย

“นี่! พระคุณทานเจาขา ลุกคะลุก ใครใชใหนอนเจาคะนั่น?”

“อะไร แคนี้หวงดวย มีผาคลุมเตียงอยูตั้งชั้น”

เชิงไทพึมพํากลั้วหัวเราะ ยังทําดื้อนอนตอ เรือนแกวชักฉิว ปราดมายืนเทาเอวแหว

“กลับไดแลว ทั้งสองคนเลย!”

เชิงไทยกตนคอหรี่ตาเหลือบลงต่ํา เห็นคนสวยทําหนามุยก็หัวเราะขบขัน

“แอนี่ยิ่งดูยิ่งนารักแฮะ”

วาแลวก็ปดเปลือกตาอยางสุโขสโมสร แถมแกลงยั่วดวยการพลิกหนาสูดกลิ่นหอมจากเตียงอยางชื่นใจ
เรือนแกวตองขบริมฝปากสงบสติเปนครู กอนใชไมออน

“เชิง...ถาจะพักตาก็นอนโซฟาหองนั่งเลนคะ ไมเอา”

เชิงไทซึ่งยางเขานิทราไปแลววูบหนึ่งปรือตาถามงัวเงีย

“ขอคางไดหรือเปลาคนสวย? ขี้เกียจกลับแลวจริงๆ ตีหนึ่งกวาอยางนี้”

ความจริงอยากอยูใกลชิดหลอนใหนานที่สุด ดวยความถือสนิทบวกกับความเห็นวาเรือนแกวเปนผูหญิง
ตัวคนเดียว จึงไมนาเกรงใจ
๒๙๐

เรือนแกวทําหนาเครง กอดอก

“เมื่อกี้จะใหขึ้นมาเขาหองน้ําเดี๋ยวเดียวนะ นี่ตอนเชาหอบกันลงไปทั้งหมดอยางนี้จะใหคนเห็นเขาคิดวา
แอเปนผูหญิงยังไงไมทราบ?”

“เขาก็คิดวาแอมีอํานาจวาสนา เปยมดวยบุญญาบารมี จิกลูกสมุนมาดูดฝุนและขัดสวมทั้งคืนไดถึงสอง


หนอ”

“ไมขําหรอก” หลอนเอ็ด แลวก็หันมาพึ่งเพื่อนหนุมอีกนาย “เต! ดูเพื่อนเธอสิ”

เกาทัณฑลืมตา เกาตนคอแกร็กๆที่ตองกลายเปนตัวกลาง รูวาที่จริงเชิงไทแคแหยเลน แตการเยาแหย


ผิดจังหวะก็นารําคาญชวนขี้เกียจทนไดเหมือนกัน ทาทางเรือนแกวคงถือสาที่เชิงไทนอนเตียงหลอนมาก
พอดู

“ไปเหอะ เชิง”

พยายามชวนดวยเสียงเรียบธรรมดาเหมือนมีเจตนาอยูเอง มิใชเพราะรับการรองขอมาจากเรือนแกว แต


เชิงไทฟงแลวแปลความหมายไปอีกอยาง คือเกาทัณฑจะทําตัวเปนพระเอกขี่มาขาวมาชวยนางเอกจาก
การถูกคุกคามรังแก หมั่นไสจนหัวเราะ ดึงตัวขึ้นนั่งที่ปลายเตียงพักหนึ่ง กอนหยัดกายลุกยืน ลวง
กระเปาสงกุญแจรถให

“กูขับไมไหววะ ตอนค่ําคุยธรรมะกับมึงเสียกําลังงานเยอะ ขับใหหนอย”

เกาทัณฑรับมาโดยดี เรือนแกวเห็นทาเพลียจริงของเชิงไท ก็สอบเกาทัณฑอยางมีแกใจ

“เตเหนื่อยดวยหรือเปลา?”

“ยังไหว อยาหวง”

เขาทําตาแจม ทวาเรือนแกวรูสึกไดถึงความซึมที่แฝงอยู จึงอึกอักเปนครู กอนลังเลถามเสียงออนลง

“จะนอนนี่ไหม?”

เกาทัณฑเลิกคิ้วสูง เขาเองก็เพลียไมนอย เพราะนอกจากทํางานเต็มอัตรามาตั้งแตเจ็ดโมงเชาถึงทุมครึ่ง


ยังตองทุมเทสมาธิแกปญหาธรรมกับเพื่อนหนุมสาวตออีกเปนชั่วโมง

เหลียวไปทางเชิงไท เห็นหมอทําตาเขียวเอานิ้วชี้หนา เปนทํานองบอกในทีวาถาปฏิเสธจะถูกเตะ เลย


ผายมือกวาง
๒๙๑

“ถาแอไมถึงกับหนักใจนะ”

เรือนแกวยักคิ้วตอบเย็นชา

“ถาพรุงนี้ไมมีใครมาฉีกอกแอก็คงไมหนักใจมั้ง”

เกาทัณฑสายหนายิ้ม ผูหญิงก็คือผูหญิง

“ไมหรอก”

“แอจะอาบน้ํานอนละ มีแปรงสํารองอยูอันเดียว เดี๋ยวแบงใชกันเอง ถาทําใจรับความนาพะอืดพะอมไม


ไหวก็เปายิ้งฉุบแยงเอานะ ใครดีใครได ใชอางในครัวละกัน แลวก็ขอเชิญคุณสุภาพบุรุษทั้งสองเสด็จเลย
เจาคะ หองนี้ไมตอนรับแลว”

ประโยคหลังสั่งพลางเดินไปดึงลิ้นชักโตะเครื่องแปง หยิบแปรงในกลองใหมเอี่ยมพรอมยาสีฟนหลอดเล็ก
แลวมามองสองหนุม สลับซายทีขวาที ชั่งใจเปนครู กอนกระดกแขนเหมือนทอนไมที่ถูกสปริงดีดดึ๋งขึ้น
มา ยื่นของในมือใหเกาทัณฑ

“อึ้!”

ชายหนุมผูถูกเลือกกลาวขอบใจและรับมาโดยดี เรือนแกวทิ้งคอนใหวงหนึ่ง กอนหมุนตัวเดินไปฉวยผา


เช็ดตัวจากราว แลวหันกลับมาสงตาสําทับหนุมๆใหออกพนเขตของหลอนได ซึ่งครั้งนี้เกาทัณฑกับเชิง
ไทยอมปฏิบัติตามโดยดี พอคลอยหลังทั้งสอง ประตูหองหญิงสาวก็ถูกปดปง ไดยินเสียงลงกลอนแนน
หนา

เมื่ออยูตามลําพังประสาหนุม เกาทัณฑกับเชิงไทก็มองหนากันแลวหัวเราะขึ้นมาเฉยๆ

“มึงเอาไป!”

เกาทัณฑสงแปรงใหเพื่อน เชิงไทรับมา แตวางไวแถวนั้น

“ชางเหอะ แฟรๆโวย แคคืนเดียวฟนไมผุ ปากไมบูดหรอก ยังไงตอนนี้ยังไมมีสิทธิ์จูบสาวที่ไหนอยูแลว”

พูดเสร็จก็เกาหัว

“ยายแอปดหองอยางนี้กูปวดอึขึ้นมาจะทํายังไงวะ? ถาเคาะเรียกมีหวังหาวาแกลง”

เกาทัณฑหัวเราะหึๆ
๒๙๒

“มึงก็แกลงแตแรกจริงๆนี่”

ชวนกันมาหยอนตัวนั่งบนโซฟาซึ่งแตละคนหมายตาใชเปนที่หลับนอน หันหนาคุยกันกอนเอน

“เด็ดดวงเลยวะเฮย เก็บเม็ดโนตไดอรอยเหาะแท”

เชิงไทเอย ซึ่งฝายฟงรูแนนอนวาเขากําลังชมใคร นั่นเปนการเริ่มมีมุมมองใหเรือนแกวแปลกไปกวาเคย


ปกติเมื่อคุยกันเองเชนนี้ มักเปนการแวะเวียนวิพากษวิจารณความนากินของหลอน หรือไมก็เถียงกัน
อยางออกรสวาหวงตัวไดเสมอตนเสมอปลายอยางนี้ที่แทยังบริสุทธิ์อยูหรือเปลา

“ถาเปนนักดนตรีอาชีพหรือจบโททางเปยโนโดยเฉพาะก็วาไปอยาง นี่มีงานประจําตองทํางกๆ สงสัยจริง


เอาเวลาที่ไหนซอม”

ชมเปาะดวยสีหนาสีตาตื่นเตนบอกความเหอ ออกทาคลั่งไคลเต็มที่ ดวยรูดีวาเลนไดขนาดใหอารมณตัว


เองพาเพลง ไมใชใหโนตพามือไปอยางนี้หายากนัก ถาไดเปนแฟนเต็มตัว มีโอกาสนั่งฟงทุกวันคงเพลิน
แท

เกาทัณฑพยักหนา แมเลนดนตรีไดเพียงผิวเผิน หรืออาจกลาววาฟงเปนอยางเดียว ก็พอทราบวาเรือน


แกวมิไดใชเพียงสัญชาตญาณที่เกิดจากความเคยชินในการฝกซอม ทวามีความคิดเพงลงไปในโนตทุก
กลุมอยางเขาใจความสัมพันธขึ้นลงลึกซึ้งตลอดสาย เชนเดียวกับคนเลานิทานกลอมเด็กที่ทราบจังหวะ
การใหเสียงหนักเบาเราใจอยางเหมาะเจาะทุกถอยประโยค ก็ขนาดคนฟงยังเกิดโสมนัสเริงแรงขึ้นได
แลวคนเลนละจะไปไกลเกินนั้นสักขนาดไหน

“อือ นึกวารองเพลงเกงอยางเดียว”

ออกความเห็นแกนๆ เนื่องจากไมสันทัดพอจะวิจารณถึงแกนอยางเชิงไท

“ออ ฝมือรองเพลงนะเหรอ ยายแอใชไดอยูหรอก เสียงใส ลูกคงลูกคอพลิ้ว แตโหนสูงแลวยังเพี้ยน น้ํา


หนักกับสําเนียงยังไมเปนเอกลักษณเดนจนนาจะดัง ตองฝกอีกยาวถาคิดเอาดีทางรอง แตฝมือเปยโนนี่
มึงเอย ขึ้นเวทีเก็บตังคหัวละสี่หลักไดเดี๋ยวนี้ ไมตองซอมเพิ่มกันเลย”

เกาทัณฑเพลียจะหลับมิหลับแหล แตก็ตองทนฟงหมอจอ ทาทางจะหยุดยาก จําตองรับไปตามเรื่อง

“อือ รูเลยวาที่ผานมาเขาใชอะไรเปนเพื่อนเมื่อตองอยูตัวคนเดียว...”

เชิงไทไมมีแกใจสัมผัสความเหงาของมนุษยเทาไหรนัก ก็วาตามความคิดอยากพูดของตนไปเรื่อย
๒๙๓

“เมื่อกี้มึงสังเกตหรือเปลา บนโตะหัวเตียงมีกลองฟลุตดวย ทาทางจะเหมาเลนแหลกเลย เกงดนตรีอยาง


นี้เอง ถึงดูมีอารมณแบบติสตๆแรงนัก ผูหญิงเลนดนตรีเกงจัดเนี่ย มึงเอย...”

ขาดคําก็ทําปากซี้ดแผวอยางคนมีประสบการณ เกาทัณฑรูความหมาย แตขณะนี้นึกอยากมองเรือนแกว


สูงกวาที่ตรงนั้น จึงพยายามเบี่ยงเบน

“ทาทางยิงปนแมนดวยนะมึง เปากระดาษพรุน จับกลุมใจกลางแนนเชียว”

เกาทัณฑบุยปากไปทางผนังหนาหอง เชิงไทมองตามแลวสายหนาอยางเห็นกระจอก

“อีคงยืนหางแคหาคืบมาง อีกอยางวิถีกระสุนปนลมจะวัดแนวัดนอนอะไรได ยายแอคงไมกลายิงปนไอที่


ดังปงๆแบบพวกเราหรอก”

“กูเคยเห็นซิกซาวเออรในกระเปาถือแอนะ”

เชิงไทเบิกตาหนอยๆ

“เหรอะ?”

“อือ...เห็นแคปากกระบอก แตรับรองไมผิดแน คงเอาไวยิงคนคิดจะปล้ํานะ”

คราวนี้เชิงไทยิ้มเลี่ยน เพิ่งเขาใจวาเพื่อนเริ่มออกลายหวงกาง

“เฮย...”

ครางลากแลวหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาเคาะ คีบสงใหมวนหนึ่ง เกาทัณฑเหลือบมอง ใจไมนึกอยากเลยสั่น


หนา ปลอยใหเพื่อนจุดสูบ อัดควันเขาปอดคนเดียว

“เต...มึงอยูนอกวงแลวนา”

เชิงไทใชเสียงต่ํา ยื่นคางคายควันขาวทึบใหลอยจากรองปากขึ้นขางบน จองเกาทัณฑดวยดวงตาดําลึก


เบื้องหลังมานควัน

เกาทัณฑสบตากับผูนั่งตรงขาม คงรูสึกผิดบาป หากทําเปนไขสือ ไมรับรูนัยของเพื่อน หรือกระทั่งแสรง


สอแววดื้อดึงดันทุรังจะแยงกันตอ เขามีพันธะแลว และเพิ่งฉายบทฝายธรรมะไปเมื่อชวงค่ํา หากไรความ
สัตยซื่อถือมั่นกระทั่งรักเดียวใจเดียว ก็คงนาเกลียด นาหัวรอเยาะพิลึก

“เออวะ กูเลิกแยงแลว ตอไปนี้แอคือเพื่อนคนหนึ่งเทากับที่มึงเปน”


๒๙๔

เกาทัณฑใชเสียงเปนมิตรและเปดเผย เชิงไทหัวเราะฮา ชะโงกหนายื่นมือใหเพื่อนจับ เกาทัณฑเมมปาก


ขมวดคิ้วเล็กนอยขณะยื่นมือไปบีบกระชับ

จับมือกับเชิงไทมาไมรูกี่ครั้ง ดวยความหมายของการรวมแสดงความยินดีบาง นึกซึ้งใจในมิตรภาพยาม


จากลาบาง ขอบอกขอบใจที่ชวยเหลือกันบาง ประสพความสําเร็จรวมกันบาง ทุกครั้งเต็มไปดวยความ
อบอุน ปราศจากความเคลือบแคลงคาใจอันใดสิ้น

แตครั้งนี้เกาทัณฑรูสึกแปลกมาก สัมผัสฝามือเพื่อนที่สื่ออารมณแรง ยินดีปรีดา ขณะที่ฝามือตนชื้นเหงื่อ


แหงความอสัตยที่แฝงเรน แมเปนฝายเริ่มบีบกระชับกอน ก็ปราศจากพลังมั่นคง ผิดกับแรงตอบกลับของ
เชิงไทลิบลับ คงเปนเพราะกอนเกิดสัมผัสเพียงพริบตา เกิดสะดุดเขากับคําถามในหัวเขาขอหนึ่ง

ทําไมเขานึกเสียดาย และเปนกังวลละลาละลังขึ้นมาอยางนี้?

เรือนแกวอาบน้ําเสร็จก็เขานอนดวยความเพลียกาย แตสบายใจจนนึกสงสัยวาวันนี้มีสิ่งใดพิเศษไปกวา
คืนกอนๆนักหนา

ปกติกอนปดตาหลับ หลอนจะหยิบรีโมทคอนโทรลจากโตะขางหัวเตียงขึ้นมาชี้ไปที่เครื่องเลนสเตอริโอ
เพื่อเลือกเปดเพลงนุมเย็น คุนเคยกับการเงี่ยหูสดับเสียงดนตรีไปจนกวาจะเคลิ้มหลับอยางเปนสุข ทวา
คืนนี้แปลกกวาเคย หลอนอยากนอนเงียบๆ ไมนึกตองการสรรพเสียงอันใดเอาเลย

สํารวจใจ ตั้งคําถามกับตนเองวามีสิ่งใดนาสบายใจนักหรือ?

จับความรูสึกโดยรวม ผุดความคิดขึ้นมาจากการจับสังเกตนั้นวาคลายบางสิ่งที่เปนมลทิน บางสิ่งที่บดบัง


ใจใหมืดคลุมมาเนิ่นนาน ไดถูกถอดถอน โยกยายออกไป ตัวตนบางสวนในอดีตคืนกลับมา คือใจที่ยิ้ม
เอง และฉายใสไดคลายแสงจันทรที่ไขแขเต็มดวง ปราศจากเมฆหมอกปกคลุม

อะไรที่ถูกโยกยายออกไป?

ทบทวนอยางเปนกลางคลายมองดวยสายตาบุคคลที่สองเขามา ก็ไดคําตอบวาเปนความคิดอาฆาตสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ ความคิดนอยเนื้อต่ําใจ ความคิดในทางลบสารพันที่มีตอพระศาสนาและกองบุญแหงตน เคย
เสื่อมศรัทธา บัดนี้กลับใจบูชาไดใหมอีกครั้งแลว

โลงเหมือนออกจากถ้ําทึบ เบาอกเหมือนพนจากการทับของหินหนัก หลอนเคยกระทั่งกลาวผรุสวาท


กลาวประณามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไรตนคลายคนคลุมคลั่ง นึกยอนทบทวนแลวเกิดความเห็นชัดวาเคยปกใจผิดลู
ผิดทางมาอยางไร
๒๙๕

ระบายยิ้มนิดหนึ่งเมื่อคิดทําในสิ่งที่วางเวนมาหลายปดีดัก...สวดมนตกอนนอน

อบอุนใจอยางประหลาด เมื่อเขานั่งพับเพียบหนาหมอนแลวรูสึกเหมือนแมมายืนที่ขางเตียง ดูหลอนสวด


มนตเชนสมัยอายุ 7-8 ขวบ พริ้มตาปดลง พนมมือเปนพุมดวยใจคิดวาจะใชแทนดอกบัวบริสุทธิ์ถวาย
พระ แลวทองนะโมฯสามจบ ออกเสียงแผวชัด

นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

น้ําตาแหงความปติเออซึมขึ้นมาจนรูสึกไดถึงความชื้นของขนตา มีความโยงใยระหวางใจที่เปนบุญกับ
มโนภาพอันงดงามของแมเสมอ

พอวานะโมฯจบก็นึกอะไรตอไมได ปติสุขอันคุนเดิมแตวัยเยาวแลนจับใจจนแทบสะอื้น โลกในวันวาน


ออนอุน จําไดถึงความรัก ความผูกพันที่ทําใหทุกซอกมุมในบานดูสวางไสว หลอนเคยเปนคุณหนูที่แจก
ยิ้มใสกระจางไดอยางรูวาทุกคนรักเอ็นดู เปนลูกสาวคนเดียวที่พอแมโอราวกับเจาหญิงตัวนอย ครั้งนั้นมี
กําลังใจทําความดี อยูใตโอวาทของพอแมทุกอยาง ขยันเรียน พูดจาสุภาพออนหวาน และมีใจเจือจานไม
เลือกหนา

น้ําตาคลอขอบ ทําไมโลกถึงตองมีเรื่องนารองไหมากมายนัก คิดถึงแม คิดถึงพอเมื่อครั้งยังเปนคนเกา


คิดถึงความรูสึกวาตนเปนผีเสื้อในบาน บินวอนไปจับทุกหนแหงที่เรียงรายดวยของเลนแปลกตา พอแม
หาใหใหมแทบไมเวนแตละอาทิตย เคยนอนพังพาบจองมองพอประกอบเมืองตุกตาเปนชั่วโมงดวยความ
อบอุนที่ประทับลงล้ําลึกสุดใจ ปรารถนาใหภาพเหลานั้นยอนคืนมาเปนความจริงอีกครั้ง หลอนจะยอมถูก
สาปเปนเด็กหญิงตลอดไป หากนั่นคือขอแลกเปลี่ยนที่สมกัน

พอยังรักและเปนหวงหลอนอยูเสมอ ตัวหลอนเองนั่นแหละที่ยอมรับไมไดแมกระทั่งเรียกทานวา ‘พอ’

เรื่องราวหนหลังที่เลาใหเพื่อนชายฟงเมื่อหัวค่ํานั้น เปนเพียงเสี้ยวของเสี้ยว หลอนวาดภาพพอใหเปนผู


ราย เปนปศาจที่นําความพินาศมาสูครอบครัว ความจริงมีเรื่องสลับซับซอนระหวางพอกับแมมากมายที่
หลอนรวมรูเห็น แตละไวไมกลาวถึง

พอไมเคยคิดทอดทิ้งหลอน เมื่อกอนหยาก็วิงวอนใหหลอนอยูดวย รวมทั้งเกือบใชไมตายทางศาลมา


บังคับแม แตหลอนเองที่ทําใหพอถึงกับหนามืด จุกแนนคับอก ยังไมลืมแววปวดราวสาหัสในดวงตาพอ
๒๙๖

เมื่อหลอนทําทีกมลงกราบแทบเทา แลวเงยขึ้นจองหนา พูดชัดถอยชัดคําตอบคําออนวอนขอใหอยูกับ


ทาน

“นี่เปนครั้งสุดทายที่จะแสดงความเคารพพอ กายหนูตองเปนลูกพอ เปลี่ยนแปลงไมไดทั้งชาติ แตใจขอ


ตัดขาดกัน ถาชาติหนามีจริงและพอมีบุญไดเปนคน หนูจะขอยอมเปนลูกสัตวแทนมาเกิดเปนลูกพออีก!”

เสียใจตลอดมาที่พูดหยาบชาออกไปเชนนั้น แตภาพที่พอนอนบนเตียงคนไข เคียงขางดวยเมียใหม


ตะโกนไลแมเหมือนหมูเหมือนหมา ดึงดันจะเอาแมเขาคุกทาเดียว ทั้งที่แมฟูมฟายขอโทษซ้ําแลวซ้ําเลา
ก็ทําใหหลอนบันดาลโทสะ และนึกเกลียดพอเขากระดูกดํา อยากคืนแคนของแมใหบาง

คนเรามีเรื่องใหสํานึกผิดมากมาย แตสําหรับหลอนแลว เรื่องนี้ใหญหลวงจนแมพยายามลืมและคิดวาสม


ควรแกเหตุ ก็ยังคงเปนจุดดางพรอยกลางใจ สลัดลางไมหลุด จะดวยลูกไมตั้งแงคิดเกลื่อนกลบลบลืม
ใดๆก็ตาม

คืนนี้ เดี๋ยวนี้ มีเหตุใหใจอันเปนกุศลเดิมๆหวนคืนมา ดลใหเกิดความคิดที่ไมเคยปรากฏมากอน ตลอด


เวลาอันเลวรายยาวนานหลายขวบป

คือขอโทษพอ...

ทํางานมานานนมจนหยิบโทรศัพทพูดกับคนระดับรัฐมนตรีไดดวยทาทีเชื่อมั่น บัดนี้เพื่อตอสายถึงพอตน
เอง กลับสั่นไหวอยางนาอาย

กดเบอรบานเกา เปนชุดตัวเลขที่เหมือนฝงลืม ไมเคยคิดขุดขึ้นมาอีก บัดนี้กอความรูสึกออนโยนขึ้นมาก


ลางใจเมื่อเลขเหลานั้นปรากฏในหัว

“ฮัลโหล...”

จําเสียงเมียใหมของพอได เกือบตัดสายแลวรอโทร.ใหมวันหลัง แตแลวก็เกิดความเด็ดเดี่ยวที่จะรักษา


ความตั้งใจเดิม คืนนี้หลอนตองขอโทษพอใหได

“เรียนสายคุณจอมภพคะ”

ฝายโนนเหมือนอึ้งไป กอนถามเสียงกระชาก

“นั่นใครไมทราบยะ? โทร.มาดึกดื่นปานนี้”
๒๙๗

เรือนแกวหรี่ตาลง คงนึกวาสาวที่ไหนโทร.มาตามพอถึงบานละซี เกือบแกลงมารยาสาไถยสวมรอยเปน


‘หญิงอื่น’ ของพอใหนังหนาดานอกไหมไสขมเสียบาง แตแลวก็ระงับไว หลอนจะโทร.มาลางบาป ไมใช
กอความเดือดรอนรําคาญใจใหใครอีก

“นาสาย...นี่แอลูกพอจอมนะคะ”

เกือบตองกัดลิ้น เมื่อฝนเรียกฝายนั้นวา ‘นาสาย’ เปนครั้งแรก

“ออ...”

สายชลเสียงออนลง เงียบพักใหญคลายแปลกใจ แตแลวก็ตอบจนได

“เขาไมอยูหรอก ไปพัทยา พรุงนี้ถึงจะกลับ”

เรือนแกวเมมปากดวยความผิดหวัง เกือบถอยฉากโดยดี แตแลวก็ถาม

“ขอเบอรมือถือพอจอมหนอยเถอะคะ แอมีเรื่องดวน”

คราวนี้สายชลเงียบไปนานมาก คงระแวงอยูกระมังวาหลอนจะรบกวนทางใดทางหนึ่ง ไดแตหวังวาฝาย


นั้นคงรูความเคลื่อนไหวในชีวิตหลอนบาง จะไดทราบวาทุกวันนี้คนอยางเรือนแกวไมอยูในภาวะตองพึ่ง
พาใครเลย

เมียพอไมใชคนใจดําอะไร พักเดียวก็ตัดสินใจบอก เรือนแกวกลาวขอบคุณและกดปุมตัดสาย มิไดรีรอ


ตอแยอันใดอีก

ถือกระบอกโทรศัพทคาง ชั่งใจหนอยหนึ่ง ทําไมตองรีบรอนเอาดึกดื่นคอนคืนอยางนี้? พอคงหลับไปแลว


และอาจปดโทรศัพทไวดวย

สายหนากับตนเอง ตอนนี้ใจรอนเหมือนไฟเผา ยังไงก็ขอลองสักครั้ง หลอนกดตามเบอรที่รับรูมา คอยๆ


กดทีละปุมอยางจะใหแนใจวาตองใช พรอมทั้งภาวนาใหพอเปดเครื่องไว

“สวัสดีครับ!”

เสียงหาวของพอดังมาตั้งแตสัญญาณเรียกที่สองไมทันขาด เรือนแกวใจเตนถี่ เอาเขาจริงกลับสงเสียงให


ผานริมฝปากยาก ไมสมความมุงมาดเดิม

“ฮัลโหล! ไดยินไหมครับ?”
๒๙๘

พอคงอยูในสถานบันเทิงที่ไหนสักแหง เพราะเสียงอึกทึกของเครื่องดนตรีและผูคนสรวลเสรอบขางแทบ
กลบมิด แตเมื่อเวลาผานไป เสียงแทรกก็ซาลง แสดงวาปลีกตัวหางออกมา

“พอคะ นี่แอนะ”

เรือนแกวพยายามสะกดเสียงใหเรียบ ความเงียบเกิดขึ้นที่ปลายสายไปชั่วขณะ คลายฝายนั้นตกตะลึง


จังงัง กอนตามมาดวยเสียงละล่ําละลัก

“นั่นแอเหรอลูก?”

“คะ แอเอง”

ตางเงียบงันกันไปอยางไมรูจะเริ่มสานตอประโยคทายทักอยางไร ในเมื่อหางเหินกันจนกลายเปนคน
แปลกหนาไปแลว เรือนแกวไมไดเตรียมคําพูดไว เมื่อครูหลอนเพียงเกิดความปรารถนารุนแรงที่จะ
โทร.หาพอ ขอโทษพอ แตบัดนี้เมื่อถึงเวลาเผชิญกันจริงๆ ทุกอยางกลับติดอยูที่ปลายลิ้น ทิฐิและความ
โกรธเกลียดคลายหวนกลับมาตั้งมั่นในอกอีก

“ลูกอยูที่ไหน? ตอนนี้ยังอยูกับนาจี๊ดหรือเปลา? พอเคยไปหา ก็เห็นยายจากบานเดิมกันหมดแลว เจา


ของใหมไมยอมใหที่อยูเสียดวย”

“เปลาคะ แออยูคนเดียวมาตลอด อาศัยนาจี๊ดแคสองสามเดือนเทานั้น”

หลอนตอบสั้น และไมพยายามที่จะเคนคําใหตอเนื่อง กลายเปนวาจอมภพตองสืบสานเสียเอง

“ดีใจเหลือเกินที่ไดยินแอเรียกพออีก พอรอมานานแลวนะ”

ไดยินเพียงนั้นเรือนแกวก็รูตัววายังรักพอมากแคไหน ตองฝนกลืนกอนสะอึกลงคออยางยากเย็น

“วาแตลูกมีปญหาเดือดรอนรอใหพอชวยเหลือหรือเปลา? บอกมาวาอยูไหน พอจะไปหาเดี๋ยวนี้”

เรือนแกวกะพริบตาถี่ๆ

“หนูสบายดี ไมมีปญหาหรอก ถามีก็จะไมรบกวนพอเด็ดขาด!”

ปลายสายปลอดเสียงไปอีกครั้ง ความเงียบของพอทําใหคําขอโทษและความคิดจะพูดดีของหลอนสะดุด
ชะงักลงชั่วขณะ

“ทําไมพอไมไปงานศพแม?”
๒๙๙

ถามหวนแบบมะนาวไมมีน้ําอยางหาเรื่อง ไอรอนเริ่มไตขึ้นมาเปนริ้ว จอมภพอึกอัก ผานโลก ผานสถาน


การณฉับพลันกะทันหันมารอยแปด กระทั่งตั้งสติ คิดรูไดเร็ววาจูๆลูกสาวคงไมโทร.มากลางดึกเพื่อทวง
ถามเรื่องเกาแคนี้ จึงตอบอยางใจเย็นที่สุดเทาที่จะเปนไปได

“แอ...พอเคยมีความโกรธ เคยมีทิฐิมานะ แตทุกวันนี้คิดถึงสิ่งที่ผานมาและเริ่มสํานึก ถาหากลูกยังเกลียด


ยังอยากดาวาพอก็ไมเปนไรนะ ขอบอกเทานั้นวาพอเสียใจที่ทําใหลูกรักและเขาใจไมไดเทาแม พอผิดที่
นอกใจ แตแมของลูกก็โมโหราย และเลนกันถึงโคตรเหงาเทือกเถาเหลากอ เปนสิ่งที่...”

“พอไมตองแกตัวหรอก หนูไมไดโทร.มาฟงพอพูดถึงความผิดของคนตาย แลวเรื่องเทือกเถาเหลากอนะ


ถาใครมายืนชี้หนาดาพอของหนู หนูจะไมตบเขาหรอก จะไมโกรธตอบดวย!”

จอมภพระบายลมหายใจยาว

“เอาละ แอเขาขางแมก็ไมเปนไรนะ ตอนนี้ลูกโตแลว เห็นแกความรักและความดีที่พอใหกับลูกมาตลอด


บอกสักคําเถอะวาจะใหพอเห็นหนาอีกสักครั้งไดไหม? พอจะนอนตายตาไมหลับถายังติดคางวาลูกอยู
ไหน อยูกับใคร ทําอะไรเลี้ยงตัว...”

ไมแนใจนักวาโทรศัพทเบอรที่ขึ้นอยูที่หนาปดเครื่องมือถือของเขาจะเปนหลักแหลงอาศัยของลูกหรือ
เปลา แตตั้งใจไวแลววาจะเริ่มสืบหาจากเบอรนี้ หากเรือนแกวปฏิเสธที่จะเปดเผย

“อยาหวงเลยคะ” ทําเสียงเยาะ ปนหนาเปนผูหญิงชั้นต่ํา กระแทกเสียง “หนูขายตัวมานานแลว! สุขสบาย


ดี พอจะแนะนําใครมาซื้อหนูไปคางคืนดวยก็ไดนะ”

จอมภพตระหนกจนแทบปลอยโทรศัพทรวงลงพื้น เสียงขื่นเขียวกรานกระดางของลูกสาวทําใหเชื่อทันที
วาเปนเรื่องจริง

“แอ...” เสียงสั่นอยางระงับไมอยู “หนูพูดจริงหรือเปลาลูก?”

เรือนแกวกระตุกยิ้มหยัน สะใจที่ทําใหอีกฝายเสียงรัวเปนเจกตื่นไฟ

“ไมเชื่อก็มาดูเอาเองสิ”

“โธ!...ลูก”

“โธทําไมคะ นี่แหละผลผลิตของบานแตกสาแหรกขาด! ใครละเปนคนทํา? เคยคิดบางไหมวาไลแมแล


วจะเกิดอะไรขึ้นกับแอ? เงินที่พอเจียดใหมานะ ปเดียวก็หมดเกลี้ยง รูไหมแมเอาไปลงทุนแลวขาดทุนปน
ป ที่เปนลมตกบันไดตายก็เพราะหมกมุนคิดมาก ตองใชหนี้เขานั่นแหละ แมตายแลวจะใหแอเอาเงินจาก
ไหนซื้อขาวกรอกปากละ ถาไมใชสมบัติเกาที่แมใหไว!”
๓๐๐

พนพิษเสร็จก็กรีดหัวเราะแหลม จอมภพนิ่งไป กอนเอยเสียงเครือ

“เลิกเถอะลูก มาอยูกับพอนะ”

หญิงสาวยิ้มเกรียม

“หนูจะวางละ”

“เดี๋ยว...เดี๋ยว”

พอรีบหาม เสียงออนลาเหมือนใจจะขาด

“แอจะใหพอทํายังไงก็บอกมานะ พอยอมทุกอยาง พอขอโทษ อยาปลอยใหตัวเองเหลวแหลก พอทนไม


ได”

เรือนแกวหรี่ตา ปลายนิ้วโปงรออยูที่ปุมปด

“หนูโทร.มาบอกพอแคนี้แหละ จะไมกวนอีกแลวตลอดไป ขอใหอยูเปนสุข ไมตองโทร.มาเบอรนี้นะ หอง


เสี่ยหนาโงมันซื้อทิ้งไว เดี๋ยวเสี่ยอยูเห็นเปนเสียงผูชายจะเขาใจผิด หรืออยากใหหนูถูกตบก็ตามใจ”

“แอ...”

หญิงสาวขยับนิ้ว แตแลวเสี้ยววินาทีเดียวกอนลงแรงกด สํานึกฝายดีก็รั้งไวทัน ระลอกขมพลุงผานลําคอ


ขึ้นโจมจับจมูก ไมอาจเก็บเสียงสะอื้นฮักไดอีกตอไป ที่สุดก็ปลอยโฮใหผูบังเกิดเกลาไดยินเยิ่นยาว จอม
ภพแทบเปนบาเปนหลังเดี๋ยวนั้น ไมรูวาเกิดอะไรขึ้นกับลูกกันแน

“แอ...คนดีนะลูกนะ ลูกเปนอะไร ถูกใครทํารายหรือเปลา?”

“พอขา...”

น้ําตาไหลเปนสาย มือที่ถือกระบอกโทรศัพทสั่นระริก ทิฐิมานะพังทลายลงสิ้น

“แอขอโทษที่ทําใหพอเสียใจคะ”

จอมภพสะกดอารมณไวอยางยากเย็นเพราะตามอารมณลูกสาวไมทัน

“ครั้งไหนละที่แอทําใหพอเสียใจ? เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่พอจะอกแตกเพราะรูวาลูกทําตัวตกต่ํา บอกพอซิวาจะมา


อยูดวยกัน พอจะไปรับ”
๓๐๑

“เปลาคะ เรื่องนั้นแอโกหก อยาหวงเลย แอมีงานทําเปนหลักเปนแหลงอยางผูหญิงดีๆคนหนึ่ง”

บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปทันที

“พูดจริงหรือลูก แนนะ?”

น้ําเสียงฝายนั้นแชมชื่นขึ้น

“คะ”

จอมภพหัวเราะ เปนเสียงหัวเราะปรีดาของผูเปนพอ

“บอกซิวาลูกอยูที่ไหน พอจะไปหาเดี๋ยวนี้เลย”

เรือนแกวขมสะอื้น กอนตอบวา

“แลวหนูจะติดตอไปนะคะ และจะไปหาพอเอง”

“แอ พอฝนเสมอนะวาวันหนึ่งเราจะกลับมาดีกัน ไดมาอยูดวยกันอีก”

“คะพอ ที่ผานมาหนูเลวมาก พออโหสิใหหนูนะคะ ทั้งที่พูดชั่วๆกับพอไปเมื่อหลายปกอน และที่เพิ่ง


พลอยเหมือนผีสิงเมื่อกี๊อีก”

“ลูกรัก พออโหสิ”

ถอยคําอันหนักแนนนั้นทรงความหมายยิ่งนัก ไดยินแลวอกใจคลายเปดโลงออกกวาง สบายถึงที่สุด ใคร


วาสายสัมพันธอันราวฉานนั้นเหมือนแกวแตก ที่แทไมจริงเลย สายใยระหวางใจสมานคืนไดเสมอเมื่อ
แหวงวิ่นไปบาง ดีใจที่พอยังอยูและเอยคําอโหสิเขาหู คงสายไปหากหลอนสํานึกไดเมื่อแก

“ถาบาปกรรมมีจริง แอก็คงไปเกิดเปนสัตวชดใชคําพูดของตัวเอง แตอยางนอยเดี๋ยวนี้แอก็สบายใจขึ้น


ขอบคุณนะคะพอ”

“ไมเลย พออโหสิแลว ลูกไมตองไปชดใช ไมตองเปนสัตวที่ไหนทั้งนั้น”

เรื่องบุญกรรมที่ถูกปลูกฝงมาตลอด ทําใหคิดขึ้นมาวาถาหลอนจะไปเกิดในที่ต่ํา ก็ดวยคําพูดของตนเอง


สงไป ไมอาจถูกผลักไสหรือยับยั้งไวดวยคําพูดเขาขางของพอ หญิงสาวปลงใจกมหนารับอยูในที ทวามิ
ไดโตที่จุดนั้นอีก

“พอกลับไปสนุกตอเถอะคะ แอจะเขานอนแลว”
๓๐๒

“คืนนี้พอมีความสุขที่สุด ขอบใจนะลูก” จอมภพกลาวดวยความเบิกบาน “กอนวางหูจะไมบอกใหพอรู


หรือวาชีวิตลูกเปนยังไงบาง ยังอยูตัวคนเดียวหรือเปลา? คงมีแฟนแลวสินะ”

แวบหนึ่งที่ฟงคําถามพอ เรือนแกวเกิดประหวัดถึงใบหนาของเกาทัณฑขึ้นมา แตก็แวบเดียวเทานั้น…

“ยังคะ แอยังเปนโสด แลวก็คอนขางจะบางาน ไมมีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้ ราตรีสวัสดิ์นะคะ” แลวก็ทิ้ง


ทายแผวหวานเหมือนเด็กๆ “หนูรักพอคะ”

นั่นคือถอยคําที่รูวาจะทําใหพอดีใจกวาอะไรทั้งหมด เรือนแกวหมดหวง หมดพะวง วางโทรศัพทคืนแปน


ลุกขึ้นเขาหองน้ําลางหนาลางตาอีกครั้ง กอนกลับขึ้นที่นอน ซึ่งคราวนี้เมื่อเอนกายกอดหมอนขาง ก็ถึง
กับยิ้มกวางอยางสุขสม เพราะปลดเปลื้องมลทินจากใจไดราบคาบสนิทแลว
๓๐๓

เกาทัณฑกําลังหลับสบาย เมื่อไดยินเสียงกระซิบปลุกที่ขางหู

“เต...”

ลืมตาตื่นขึ้น มีสติชัดพอจะรูทันทีวาไมไดอยูในหองนอนตนเอง แตเปนของเพื่อนสาว และเสียงนั้นก็มิใช


ใครอื่น เรือนแกวนั่นเอง บัดนี้ดวงหนาสะอานมาลอยอยูใกลเพียงสัมผัสลมหายใจได

ดึงตัวนั่ง พลิกขอมือดูเวลา เพิ่งตีหา หันมองเชิงไทก็เห็นยังนอนกอดหมอนเคเกบนโซฟาฝงตรงขาม นึก


ทบทวนความรูสึกเมื่อครูวาตนนอนอาปากหวอไรสติอยางที่เห็นเพื่อนเปนอยูอยางนาอับอายขายขี้หนา
ในตอนนี้หรือเปลา

“มีอะไรเหรอ?”

ถามเรือนแกวพลางกวาดสํารวจรางงาม พบวาอยูในชุดเสื้อยืดกระโปรงยาวเลยเขาสีชมพูหวาน ดูเปนเล


ดี้กวาทุกครั้งที่ผานมา

“ตามแอมานี่หนอยสิ”

หญิงสาวดึงมือเขาอยางสนิทสนม ทําใหเกาทัณฑตองเดินตามไปงงๆ และยิ่งประหลาดใจเมื่อทิศทางที่


เรือนแกวพาเดินนั้น คือหองนอนชั้นในที่เปดไฟไวเพียงสลัวของหลอนเอง

อยางไรก็ตาม เมื่อผานลวงเขามา หลอนผลักประตูเปดคางไวเกือบสุด อีกทั้งเดินนําเขาตัดผานหองทะลุ


ออกระเบียงเล็กอันเปนจุดหยอนใจดานนอก ขณะนั้นทุกหนแหงยังหมนมืด กรุงเทพฯยามใกลรุงมีสี
กระดํากระดางไปทั่ว เบื้องใกลเปนตึกเตี้ยแบบยานเมืองใหม เบื้องไกลเปนตึกสูงเกาะกลุมอยูลิบๆ

ความสดชื่นของอากาศเบื้องสูงทําใหตาตื่นขึ้นเต็มหนวย เกาทัณฑปรับสติ รับรูวาเพื่อนสาวอาจมีธุระ


อยากคุยดวยเปนสวนตัวนั่นเอง เขารอใหหลอนเปนฝายเริ่มกอน

“ขอบใจนะเต”
๓๐๔

เรือนแกวเอยขณะวางศอกประสานปลายแขนกับราวกั้น เกาทัณฑเบิกตาอยางนึกไมออกวาหลอนหมาย
ถึงอะไร

“เรื่อง?”

“ที่เธอทําใหฉันกลับมามีความรูสึกดานดีกับ...สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไดอีก”

เกาทัณฑคลายสีหนาอยางถึงบางออ

“ออ...”

ขานรับรูเพียงเทานั้น มิไดเอยตอความยาว เนื่องจากเห็นวาตนพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแลวตั้งแตเมื่อคืน


วาน

หญิงสาวพักเงียบเปนครูกอนเอย

“นั่นแหละสิ่งที่อยากบอก เชานี้แอมีความสุขมาก” หลอนยิ้มจนสุด “รบกวนเธอมากไหมที่ปลุกนี่? จําได


วาเคยบอกตื่นตีหา”

“อือม เมื่อคืนนอนผิดเวลานิดหนอย เลยไมตื่นเองอยางเคย แตหลับเต็มตาแลว”

“ถาอยากเขาหองน้ําเชิญตามสบายนะ ใชผาเช็ดตัวแอก็ได”

“ไมเปนไรหรอก อีกเดี๋ยวคงไดเวลากลับไปเปลี่ยนเสื้อผาที่หองอยูดี”

“นัดกับเชิงหรือเปลาวาจะออกกี่โมง?”

“คิดวาสักตีหาครึ่ง รถรายังบาง พอวิ่งสะดวก”

“มีธุระชวงเชาหรือเปลา?”

“ไมมี”

“แออยากชวนใสบาตรดวยกัน กนซอยมีอยูวัดหนึ่ง เราไปทํากันตอนพระจะออกบิณฑบาตชวงหกโมง


เสียเวลาสักหานาที-สิบนาที คิดวารวมเวลาพวกเธอกลับไปเปลี่ยนเสื้อแลวก็คงทันเขางานเกาโมง”

เกาทัณฑเห็นแววตั้งใจดีจริงจังของเพื่อนสาวแลวก็ไมอยากขัดศรัทธา ตอบเกือบเปนอัตโนมัติ
๓๐๕

“โอเค ถึงสายหนอยจะเปนไรไป เราสามคนถึงที่ทํางานเจ็ดโมง-แปดโมงเปนประจําอยูแลว ตอใหไปถึง


เอาเกือบเที่ยงสักวันหนึ่ง ก็คงไมมีใครเหลหรอก”

เรือนแกวสยายยิ้มยินดี แลวเดินกลับไปกลับมาผานหลังของเขา เกาทัณฑเหลียวมองอยูครูหนึ่งก็หัน


กลับมาเล็งแลเบื้องบน เพดานโลกกลางใจเมืองประดับกระจุกดาวเพียงหยอมหยิบมือ หางชั้นกับความ
นาซาบซึ้งในถิ่นหางไกลแสงสีลิบลับ

หญิงสาวกลับมาหยุดยืนขางๆ แลวโดยที่เกาทัณฑไมคาดคิด หลอนกลับหลังหันสปริงตัวขึ้นนั่งบนราว


กั้น ทําเอาชายหนุมถึงกับผวา ขยับแขนจะควา เพราะระดับที่อยูดวยกันนั้นเปนชั้น 23 กมมองลงไปเห็น
พื้นไกลลิบ ถาหลอนสปริงตัวเกินแรง หรือควาราวยึดพลาด หงายหลังพลัดตกลงไป ก็คงมีสภาพเหมือน
กุหลาบถูกขยี้เทานั้น

แตเรือนแกวก็ใชขอเทาเกี่ยวซี่กรงไว ประดิษฐานเดนแนวนิ่งบนราวมั่นคงดี ดูไมนาเปนหวง เกาทัณฑ


จึงไดแตสงสายตาตําหนิวาเสี่ยงเลนอะไรเปนเด็กซนอยางนี้ กับทั้งเปนหนาที่ของเขาจะตองจับตา
ระแวดระวังไมกะพริบนับแตนั้น จับพลัดจับผลูเสียหลักจะไดฉวยทัน

เบื้องหลังหลอนคืออากาศวางเวิ้งละโลงลิ่วชวนเสียวสันหลังแทนเปนอยางยิ่ง เรือนแกวเห็นสายตาพะวง
ของอีกฝายแลวนึกอยากยั่วใหเปนกังวลหนักขึ้นอีก จึงเอนหลัง เกร็งหนาทองเอี้ยวตัวกมมองยอนลงไป
ตามแนวดิ่ง กางสองแขนกระพือคลายจะเลี้ยงตัวไมอยูและรองออกมาดังๆ

“เจาขาเอย! สูงอะไรอยางนี้!”

ภาพนาหวาดเสียวนั้นทําใหคนเห็นถึงกับโหวงหวิวไปจนสุดทองนอย เกาทัณฑเกรงวานั่นจะกลายเปน
ตลกเลือด ขอเพียงเรือนแกวหมดแรงทรงกําลังหนาทอง หรือเทาหลุดจากการยึด และเขาคลาดสายตา
เพียงกะพริบ มัจจุราชที่กําลังสงเสียงหวีดแผววังเวงในสายลมก็พรอมจะกระชากคนอวดดีใหปลิวรวงลงสู
แทนประหารเบื้องลางโพน มอบความเจ็บราวตั้งแตขอกระดูกถึงวิญญาณเปนรางวัลกอนถึงแดนพญายม
ทันที

รําคาญที่ตองฝนเกร็งขาแขงไมเปนสุข จึงตัดสินใจกาวประชิด ตั้งหลักอยางมั่นคง ออมปลายแขนชอน


เอวกิ่วออกแรงดึงกลับเขามา เรือนแกวหัวเราะใส สองเทาหยอนตุบลงพื้นดวยพลกําลังของเขา

“คึกอะไรขึ้นมานะเชานี้? ถาพลั้งไปไมคุมกันเลย”

ทําเสียงเอ็ดคลายพี่ปรามนอง เรือนแกวหัวเราะกองอยูในสายลมผาน พลางถอยเทาหางออกไปแลบลิ้น


ยกสองนิ้วฉีกตายียวน เกาทัณฑสายหนาดิก
๓๐๖

“เพิ่งรูนะวาเปนโรคชอบทําใหคนอื่นหวง”

“ใครใชใหหวงละ ไมไดเปนอะไรกันซักหนอย”

ชายหนุมเทาเอว ไมแนใจวานั่นคือตัวอยางอาการเรียกรองความสนใจของอดีตเด็กมีปญหาหรือเปลา

“ตอนยังเล็กแอคงนาตีพิลึกนะ”

“ตอนนี้ก็นา...” จีบปากยิ้มทา “อยากตีไหมละ?”

เกาทัณฑระบายลมหายใจยาว กอนชวน

“เขาขางในกันเถอะ”

“ทําไมอะ อุตสาหจะชวนออกมาดูวิวสวยๆ กลัวความสูงเหรอ มองนานๆแลวหวิว ลมจะใสกระมัง?”

“ฮื่อ ผมมันปอดแหก...เตรียมของใสบาตรหรือยัง อีกเดี๋ยวจะไดเวลาแลว”

“ยังไมไดเตรียม”

“งั้นไปเถอะ”

“ไปก็ไป”

หญิงสาวตอบดวยน้ําเสียงเยา เกาทัณฑยอมรับวาทีทานาพิสมัยของหลอนทําใหจิตใจเขาวาวุนไปหมด

เขาขางในดวยกัน เรือนแกวสาวเทาเนิบๆไปหมุนปุมเพิ่มความสวางจากเดิมสลัวเปนกระจางจา แลวเปด


ตูเสื้อผา รื้ออยูอึดใจเดียวก็นําผาเช็ดตัวพับหนึ่งมาสงให

“อาบน้ําสิ เดี๋ยวใสบาตรจะไดใจดีๆ”

กมมองผืนผาตรงหนา อยากอาบน้ําอยูเหมือนกัน จึงรับมา นาแปลกที่หลอนไมยักนึกรังเกียจดังควรจะ


เปน อาจเพราะตัดใจบริจาค เสร็จแลวทิ้งเลยก็ได

“ขอบใจนะ”

จากนั้นก็แยกยาย เรือนแกวเขาครัวเพื่อเตรียมของใสบาตร มีกับขาวสําเร็จรูปอยูหลายชิ้นที่นํามาปรุงได


ทันที สวนขาวสวยก็ใชเวลาหุงหนอยเดียว ทันเวลาถมเถ
๓๐๗

เกาทัณฑขัดสีฉวีวรรณอยางละเอียด รวมทั้งทํากิจธุระหนักเบาในชวงเชาครบ ฟนก็บีบยาใสนิ้วถูเอา


และสุดทายถือวิสาสะ ในเมื่อเพื่อนสาวอนุญาตแลวก็ใชเจลแตงผม กับนึกครึ้มใสน้ําหอมผูหญิงเสียเลย

หากขณะนั้นไตรตรองสักนิด เขาจะพบวาเหตุผลในสวนลึกที่ผลักดันใหใชน้ําหอมขวดนั้นก็เพราะติดใจ
อยากใกลกลิ่นที่ระเหยออกมาจากเนื้อหลอนนั่นเอง…

จัดเสื้อกางเกงที่ยูยี่ใหเรียบรอยขึ้น มองเงาในกระจก เกิดความรูสึกสนิทคุนถิ่นราวกับเปนหองพักของตน


เอง นี่ถาอยูดวยกันคงแทบไมตองปรับเปลี่ยนวิถีทางเดิมๆเลยสักอยาง

สะดุงกับความคิดนั้นและรีบสลัดไลโดยเร็ว กลับหลังหันเปดประตูกาวออกมา ชะงักเล็กนอยเมื่อเห็นเชิง


ไทยืนขวางอยู

“เออ...เชิง”

เกอขึ้นมาอยางไมมีปมีขลุย เมื่อเห็นสายตาเย็นชาและอาการยืนทะมึนของเพื่อน

“อาบน้ําสิ ผาเช็ดตัวแขวนบนราวนั่น แอใจดีวะเชานี้”

เขาชี้มือกลับเขาไปในหองน้ํา เชิงไทยังยืนนิ่งเปนครู กอนทิ้งหางตาใหเพื่อน แลวเดินสวนเขาหองน้ํา


ดวยกิริยาเปนปกติ

เกาทัณฑยังยืนคางที่หนาหองน้ําพักใหญหลังจากเพื่อนปดประตูแลว ทบทวนวิธีทิ้งหางตาของเชิงไท
กอนยักไหล กาวมานั่งหนาเปยโน ยกฝาครอบขึ้น เลนมือเดียวเปนโนตเดี่ยวๆกะตองกะแตง พยายาม
ใหเปนเพลงโนนเพลงนี้อยางปราศจากจุดหมายแนชัด พอจับคลํามั่วไปไดนิดหนอยตามสัญชาตญาณ
เพราะเคยหัดเลนเมโลเดียนเมื่อครั้งยังอยูประถม

เลนไดหนอยก็เห็นจากหางตาวาเงารางหญิงสาวกรายโฉบมาทางเบื้องหลัง แลวหยอนตัวลงนั่งหมิ่นๆที่
ขอบฝงขวา

“โห…หอมฉุยเชียวนะหนุมเจาสําอางคนนี้”

หลอนทักและแวะเวียนจมูกมาใกลบาเขา เกาทัณฑชะงักนิ้วทันใด

“หยุดทําไมละ เลนไปสิคะ”

รางสูงผุดยืนขึ้นเต็มสัดสวน

“มือเปยโนตัวจริงมาแลวนี่ มือกํามะลอตองหลบละ” แลวเขาก็ขอวา “แอเลนใหผมฟงสักเพลงซิ”


๓๐๘

หญิงสาวขยับตัวเขาที่ ชายตาตอบรับอยางงายดาย

“ไดคะทาน”

เมื่อเขาถอยฉากออกมากาวหนึ่ง หลอนก็ถาม

“ไมทราบจะรับฟงเพลงอะไรดีคะเจานาย?”

รายชื่อเพลงมากมายผุดรายเรียงอยูในหัว แตแลวก็บอก

“เพลงที่แอกําลังอยากเลนที่สุด”

รอยยิ้มผุดพรายที่เรียวปากหยักสวยแปลก หลอนยืดหลังทรงกายตั้งลําคอตรง วางมือเขาตําแหนง


พรอมสภาพกับการปลอยปลายนิ้วใหโลดเตนไปบนคียเปยโนอันเปนเวทีแสดงฤทธิ์ของนิ้วทั้งสิบอีกครั้ง

ลํานําเริ่มตนขึ้นดวยการแผมือซายวางจับเบสซีชารปคูแปด พรอมกับที่มือขวากระจายเสียงซีชารปไม
เนอรจังหวะละสามตัวเนิบชา ซึ่งเลนเพียงจังหวะเดียวเกาทัณฑก็จําไดทันทีวาเปน Moonlight Sonata
มูฟเมนตที่หนึ่งของบีโธเฟนนั่นเอง

แมเปนเพลงเดียวกันกับที่หลอนเลนเมื่อคืน ทวามูฟเมนตนี้ก็แตกตางกับมูฟเมนตที่สามจากหนามือเปน
หลังมือ คือเชื่องชา เต็มไปดวยความออนโยน ระบายภาพดวงจันทรทอแสงหมนซึ้ง เยือกเย็นอยางจะ
บอกความหงอยเหงา เรียบงายอยางจะซอนความคุกรุนซับซอนไวภายใตผิวนอก ออยอิ่งอยางจะรอเวลา
ทะยานขึ้นหารอยแตกเพื่อระบายสิ่งที่ถูกเก็บกักอัดอั้น

เปนนาทีที่สีหนาสีตาเรือนแกวดูเรียบเย็นลงไดจริงๆ ทวาหลอนเหมือนเขาซึ้งถึงกนบึ้งอารมณบีโธเฟน
เต็มตัวมากไปหนอย เพราะภายใตความเรียบเย็นละไมตาของรางในชุดหวานนั้น แทรกแฝงไวดวย
กระแสความขัดแยงอันยากจะบรรยาย ภายนอกเหมือนอิ่มสุข แตภายในคลายปรากฏรองรอยขมขื่นอยู
จางๆ เมื่อเห็นหลอนเหลือบต่ําและสายหนาแชมชาเพราะถูกไลอารมณดวยโนตบางกลุมแลว รูสึกราวกับ
เรือนแกวกําลังสายหนาใหกับชะตากรรมอันนารันทดที่ยากจะแกไขของใครบางคน

สัมผัสชัดถึงอิทธิพลของดนตรีที่อาจแปรจิตวิญญาณมนุษยใหโดดดิ้นเรารอน แลวกลับดิ่งลงสงบราบคาบ
หรือลอยเควงกระวนกระวายอยูในระหวางสุดโตงสองขั้ว ทุกอารมณเปนของจริง มีสีสันในตนเอง รวม
แลวชวนใหติดหลงมิติอันหลากหลายไมรูจบของความเปนมนุษยยิ่งนัก

จับมองรางหญิงสาว จิตเกิดสภาพรูขึ้นมาชั่วขณะ เห็นแงหนึ่งของความวิจิตรแหงจิต จิตเปนผูปรุงแตง


ปจจัยภายนอกปรุงแตงจิตใหแปรไปตางๆ หาที่สุดมิได

เย็น รอน ออนไหว หนักแนน สงบ โลดเรา เศราหมอง โสมนัส...


๓๐๙

ลวนแปรกลับไปกลับมา ไมอาจทนอยูในสภาพใดสภาพหนึ่ง เหตุเพราะการเกิดขึ้นของสภาวะปรุงแตง


ยอมตั้งอยูดวยความขยับเปลี่ยนไปเปนอื่น เชนที่บทเพลงไมอาจเปนบทเพลง หากปราศจากการเลื่อน
ขยับสลับเสียงจากตนสูปลาย

ขณะจิตนั้นเกาทัณฑรูสึกเหมือนเรือนแกวกําลังแสดงบทเพลงแหงความนาสงสาร และนั่นก็ทําใหเขานึก
เวทนาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งตนเอง ที่ตกอยูภายใตความบีบคั้นทางอารมณประการตางๆ ถูกเสือกไส
ใหมุงสูความเกิดตายทั้งปดหูปดตา ไมมีใครอยูเบื้องหลังเพื่อกลั่นแกลง ไมมีสัญญาวารวมดีชั่วผสมกัน
ชั่วชีวิตหนึ่งแลวจะใหผลเปนฉากใหมที่ตองการหรือเปลา ไมมีแมตัวตนใครสักคนที่ทองเที่ยวไป มีแต
ดวงจิตถูกลากพาไปสูอัตภาพตางๆอยางไมรูเหนือรูใต เพียงเพราะเหตุคือถูกเกาะกุม ชักจูงดวยอวิชชา
เทานั้น

เพลงดําเนินไปราวหกนาทีก็สิ้นสุดดวยการวางมือซายขวาลงบนสองกลุมโนตอยางแผวออนอาลัย เรือน
แกวหยุดนิ่งกับที่ครูหนึ่ง กอนเหลียวซาย เงยหนายิ้มใหเพื่อนชาย เกาทัณฑสบตาคูนั้น เห็นแววโศก
เชื่อมอันเปนมายาฉาบภายนอก ลึกลงไปคือความระริกไหวซุกซน บอกตนเองวายังไมเคยเห็นใครมี
ความซับซอนทางอารมณเทาผูหญิงคนนี้มากอนเลย

ทั้งที่ภาพปรากฏเบื้องหนาคือความสวยหวานและรอยยิ้มซื่อ ปราศจากวี่แววความนาสะพรึงกลัวอันใด
เกาทัณฑกลับขนลุกเกรียวขึ้นมาอยางหาคําอธิบายไมได กลืนน้ําลายลงคอฝดๆ กอนเอยดวยเสียงปรา

“เลนมูฟเมนตที่สองตอเลยสิ”

ราวกับเชานี้หลอนยอมตัวเปนขาทาสเขาอยางไรเงื่อนไข เรือนแกวหันกายลงนิ้วเริ่มลีลาจังหวะวอลตซ
ของ Moonlight Sonata มูฟเมนตที่สองอันเต็มไปดวยความสดใส ระบายภาพจันทรอรามสีเงินยวง ที่สง
ยิ้มกระจางมายังโลก ชวนใจเริงรื่น ลืมโศก ลืมเหนื่อย ลืมความนาเหน็ดหนายบรรดามีทั้งหมด

นักเปยโนสาวยิ้มนอยๆ เอียงคอโยกตัวนิดหนอยกับการลงจังหวะหยุดเปนพัก ดูทีราวกับจะผันกายเตน


รําไปในตัว เกาทัณฑถึงกับอมยิ้ม เพราะบางขณะวิธียักยายปลายนิ้วของหลอนดูคลายสนุกหยอกเอินกับ
คียขาวดําที่มีชีวิต มองรวมทั้งคนทั้งเปยโนเหมือนกําลังเตนรํากัน ตลกนาเอ็นดูดี

มูฟเมนตที่สองสิ้นสุดลง ชายหนุมตบมือให และชมวา

“ถาบีโธเฟนถูกจํากัดใหมีลูกศิษยไดคนเดียว เขาคงไมลังเลที่จะเลือกแอ”

“วาย! ไมเอาละคะ เปนศิษยคีตกวีขี้โมโห ขัดใจขึ้นมาเดี๋ยวเจอเครื่องนับจังหวะยัดปาก”

เกาทัณฑหัวเราะออกจมูก
๓๑๐

“บีโธเฟนตองการเลาระบายอะไรใหฟงนี่ดูแอเขาอกเขาใจตลอดทุกหองเพลงเลยนะ แนวเพลงของเขา
ตรงใจมากหรือไง?”

“ไมถึงขั้นเขาใจตลอดหรอก คีตกวีระดับนี้เขาเห็นอะไรบางอยาง...”

พักหรี่ตานึก

“บางอยางที่วิลิศมาหราเสียจนเราตามไปรวมเห็นทั้งหมดไมไหว แอทดลองเลนหลายแบบเพื่อหา
วิญญาณของเขาใหเจอ แตอยางมากไดแคเฉียดๆจะสัมผัสเทานั้น”

“เคยอยากยอนเวลากลับไปดูบีโธเฟนตัวจริงเลนเพลงที่เขาแตงบางไหม?”

เรือนแกวพยักหนา และเสริมวา

“เสียดายที่เครื่องบันทึกภาพ-เสียงเกิดไมทันยุคสมัยของอัจฉริยะพวกนี้ แออยากเห็นเหมือนกันวาถาเขา
เลนเพลงแตงเอง จะยิ่งใหญอลังการขนาดไหน นึกทาเซอรๆ โทรมๆ ที่เต็มไปดวยสารพัดพลังอารมณ
ของบีโธเฟนตอนนั่งหมกมุนประดิษฐเสียงแลวคงเหมือน...”

เวนวรรคนึกสรรคําพูดที่เหมาะเจาะ เกาทัณฑตอให

“อือม คงเหมือนปรากฏการณชวนระทึกที่หายากนะ ความจริงเห็นแอเลนแลวทําใหผมรูสึกอยางนั้น


เหมือนกันแหละ”

หญิงสาวยนคิ้ว เอียงคอยิ้ม

“ขนาดนั้น?”

ประตูหองน้ําเปดออก เชิงไทกาวออกมา พรอมกับถามเปรย

“ไปกันเลยไหม?”

เรือนแกวกับเกาทัณฑหันมอง เห็นเชิงไทหนาบึ้งตึงชอบกล

“อือม” หญิงสาวเปนผูเอยตอบ “ขาวคงสุกไดที่พอดี”

ตระเตรียมขาวของเล็กนอยก็พาสองหนุมออกจากหองราวกับนางพญาเดินนําองครักษเสด็จประพาส ให
เชิงไทอุมขันเงินใบใหญซึ่งปกติหลอนมีไวใชเปนสํารับเมื่อทําอาหารไทยกับเพื่อนบางกลุม สวนถุง
กับขาวและโตะพลาสติกพับไดใหเกาทัณฑชวยถือ ตัวหลอนเองสองมือวางเปลาสบายเฉิบ
๓๑๑

ลงลิฟตมาขึ้นรถ ตอนเดินผานพนักงานประจําอาคารชั้นลาง เรือนแกววางทาสงาจนทําใหเห็นแลวเชื่อ


เลยวาหนุมที่ตามหลังมาเปนลูกกระจอก แมแตเกาทัณฑกับเชิงไทยังรูสึกอยางนั้น เชิงไทนึกหมั่นไสขึ้น
มาก็เอื้อมมือไปเขกศีรษะหลอนปอกหนึ่งเมื่อใกลถึงรถและปลอดสายตาคนอื่น

หญิงสาวหยุดกึก หันมามองตาขวาง

“เขกหัวแอทําไมคะเชิง?”

เชิงไททําหนาตกใจ

“เอย! เปลา ไอเตตางหาก”

เรือนแกวกอดอก

“เปนลูกผูชายหนอยซีคะ ทําเองแลวยังมีหนามาใสรายชาวบานอีก”

“แน! เอาละซี รูไดไงวาใครเขก มีตาหลังเหรอ?”

หญิงสาวสายหนา

“เตเขาถือทั้งถุง ทั้งโตะ จะมีมะเหงกที่ไหนวางมาเขก ฮึ?”

เชิงไทนึกขึ้นไดก็ทําตาโต หัวเราะแหะๆ

“ออ ลืม”

“เลนของสูงแอไมชอบนะ บอกไวกอน คราวหลังอยาทําอีก”

เกาทัณฑเห็นเหตุการณทั้งหมดแลวหัวเราะดวยความอนาถใจ เลยพลอยหางเลข โดนทําตาเขียวไปอีก


คน

เหตุการณเล็กนอยนั้นทําใหเขาใจวาอารมณเด็กของเรือนแกวใชจะเกิดเมื่อนึกสนุกกับใครก็ได เบื้องหนา
หลอนฉาบดวยตัวตนผูหญิงที่เกงจริง ไวตัวจริง ถาใครจะผานไปหาตัวตนชนิดอื่น ก็ตองมีความสําคัญ
ทางใจถึงระดับหนึ่งเสียกอน

นึกเชนนั้นก็ภาคภูมิในตนเองขึ้นมา เขาอาจเปนคนแรกก็ไดที่เห็นอารมณคะนองในวัยเยาวที่ฝงแฝงอยู
ในหลอน แตพอรูสึกตัวก็รีบถอนความภาคภูมินั้นทิ้ง เขาไมมีสิทธิ์...
๓๑๒

พอขมใจหลายครั้งเขา ความเครียดก็ชักกอตัวทีละนอยในสวนลึก เริ่มคิดสะระตะวาทางที่ดีควรตัดใจ


ปลีกตัวออกหางจากเรือนแกวใหมาก เพราะในที่สุดความไขวเขวอาจกลายเปนการหลวมตัวอยางใด
อยางหนึ่ง นําไปสูความกระอักกระอวน กลืนไมเขาคายไมออกจนได

เมื่อรถเขาใกลวัด ก็เห็นญาติโยมยืนรอใสบาตรตรงปากทางเขาออก 2-3 กลุม เรือนแกวใหเชิงไทจอดรถ


บริเวณนั้น แลวลงมาตั้งโตะรอตอจากญาติโยมกอนหนา

พอวางขันขาวลงบนโตะที่เกาทัณฑกางออกมา เชิงไทก็ถามเรือนแกว

“มารอใสบาตรที่นี่บอยไหม?”

“เคยแคตามเพื่อนที่คอนโดฯมาทําบุญวันเกิดของเขาครั้งเดียว”

ตอบเชนนั้นแลวก็ตั้งใจวานับแตนี้จะหาโอกาสทําสม่ําเสมอ

“ทําไมไมยืนรอที่หนาคอนโดฯละ?”

“ทางโคจรของพระไปไมถึงหรอก”

“เมื่อไหรจะออกมากันละนี่ หกโมงแลว แตละวัดเขาออกบิณฯกันยังไงนะ มีเวลาตายตัวเปนธรรมเนียม


ประเพณีหรือเปลา?”

“สมัยกอนยึดเอาตามแสงสวางนะ เห็นลายมือเมื่อไหรก็ออกไดเมื่อนั้น แตที่เห็นเดี๋ยวนี้นัดเปนเวลาให


ญาติโยมรอกันถูกมากกวา”

เกาทัณฑเงี่ยหูฟงทั้งหมดก็นึกชมวาเรือนแกวมีความรูทางนี้เหมือนกัน มองหลอนสํารวมสงบยิ้มอิ่มบุญ
แฝงดวยภูมิรูพอตัว ทาทางพึ่งพาได ทําใหนึกถึงชื่อจริงของหลอนขึ้นมา

“สงสัยตอนพอแมแอตั้งชื่อนี่ คงอยากเห็นแอเปนที่พึ่งพา ใหพอแมและคนใกลชิดอยูเย็นเหมือนอาศัย


เรือนแกวเรือนทองนะ”

“จะวาอยางนั้นก็ได แตเรือนแกวในความหมายที่เปนเปนศัพทเฉพาะก็มี หมายถึงกรอบมีลวดลายลอม


ประดับพระปฏิมาหรือรูปวาด เคยไดยินไหม อยางซุมเรือนแกวพระพุทธชินราชสวยๆนะ”

เกาทัณฑเบิกตา

“เหรอ”
๓๑๓

เพิ่งรูวากรอบลวดลายกนกเครือวัลยอันงามชอนขึ้นเหมือนความโชติไสวของเปลวเทียน นั้นเรียก ‘เรือน


แกว’ นี่เอง หญิงสาวเสริมทายมาอีกหนอย

“บางแหลงก็บอกวาเรือนแกวคือที่เดินจงกรมของพระพุทธองคหลังตรัสรู เทวดาเนรมิตขึ้นถวาย”

ขบวนแถวพระสงฆเริ่มทยอยออกมา ญาติโยมเคลื่อนไหวเตรียมตัวกัน บางก็ถอดรองเทารอ บางก็ขยับ


เปดภาชนะขึ้น

เกาทัณฑชําเลืองมองเพื่อน เห็นทั้งเรือนแกวและเชิงไทยืนเฉย ไมยอมถอดรองเทา ก็กลัวถอดแลวตัว


เองจะเดออยูคนเดียว เลยเฉยตาม พลางนึกวาธรรมเนียมเหลานี้มีใครเปนผูกําหนด และที่ถูกที่ควรนั้น
คืออะไร

คิดไปคิดมาก็เห็นวากิริยาหรือการแสดงออกอันใดบงถึงการใหความเคารพสงฆได ลวนควรทํา ถาใจ


สามารถสัมผัสรูสึกเองวาใช ไมจําเปนตองเปดตําราอางอิงเลย

ทวาอาการเดินทอมๆของพระวัดนี้ก็ไมอาจฉุดปติแหงความเลื่อมใสศรัทธาของเขาขึ้นมากพอจะทําตัว
แปลกแยกจากเพื่อนฝูง แตละรูปหนาตาเหมือนชาวบานธรรมดาๆที่แหกขี้ตาตื่นดวยความงวงงุน
ปราศจากความสํารวมสมควรแกสมณสารูป เวลาเปดบาตรรอขาวก็จองหนาญาติโยม ยิ่งถาสีกาละจอง
เอาๆ

บางรูปเดินอาดๆแบบนักเลง รางใหญกายบึก ดิบดําล่ําสัน คิ้วขมวดมุน มองคลายจับกังขโมยจีวรมาสวม


ตาขุน แกมฉุชวนใหเดาวาคงกินอยูในวัดดวยการละเมิดศีลเปนอาจิณ เกาทัณฑมองรวมๆแลวแทบ
อยากปลีกตัวไปนั่งรอในรถ เร็วๆนี้เขาเพิ่งทําบุญกับพระวัดทางนฤพานมา พอเจออยางที่เห็นนี่เลยกําลัง
ใจตก ทําไปก็ไมรูสึกเปนบุญอยูดี

วัดสวนใหญบวชกันงาย เดินชนใครตามฟุตบาทก็จับมาโกนหัวหมผาเหลืองไดหมด คนธรรมดานั้นอยู


ดีๆจะใหเปนพระเพราะนุงหมผิดแปลกไปหนอยเดียวไดอยางไร กลุมบุคคลที่เขากําลังมองเห็นลวนเปน
นายปอกนายแปกมากอน และยังเปนนายปอกนายแปกอยูจนถึงลมหายใจนี้ ใหทองศีลหาคงผิด อยาวา
แตหลักธรรมวินัยสงฆอันเปนของสูงเลย

หนังตาขยิบยิก ไดเห็นชัดวาเจาอาวาสมีสวนสําคัญมาก ทั้งในขั้นตอนการคัดพระบวช การอบรมควบคุม


ใหมีความประพฤติอยูในกรอบพระวินัย หลวงตาแขวนดีองคเดียว พระลูกวัดโดยรวมก็ดีตามไปดวย ทา
ทางเจาอาวาสวัดนี้คงประพฤติอีเหละเขละขละ พระลูกวัดเลยพลอยเขละตาม ไมนาทํานุบํารุงเอาเลย ทั้ง
วัดนั่นแหละ

แตแลวก็เกิดสติกลับใจคิดไดใหม เขายังไมเห็นกับตาวาพระเหลานี้ทุศีล อีกทั้งขาดญาณหยั่งรูอันเที่ยงวา


ใครเปนใคร ปฏิบัติอยูในกรอบพระวินัยมากนอยแคไหน ถาดวนพิพากษาใหเปนอลัชชีหรือสมีเสียแต
๓๑๔

แรกเห็นแลว ก็คงเหมือนตํารวจเห็นคนเดินโซเซหนอยรีบกรากเขาไปรวบตัวขึ้นโรงพัก ปรักปรําทันทีวา


เดินกาตาปรืออีหรอบนี้เมายาแนนอน ไมตองตรวจของ ไมตองดมกลิ่นพิสูจนใดๆทั้งสิ้น

ถอนใจยาว เขาไมไดมาเพราะเจาะจงเลี้ยงมารในคราบผาเหลือง และนี่ก็ไมใชเวลาคิดกําจัดเหลือบริ้น


ของพระศาสนาดวย เปนเวลาใสบาตรเลี้ยงพระตางหาก

พระรูปแรกมาถึงตรงหนา เกาทัณฑพยายามกมมองเฉพาะชายกาสาวพัสตร ซึ่งจะเกาใหมก็เปนธงชัย


พระอรหันตเหมือนกันหมด ตั้งเจตนาวาจะถวายกับแกงเปนจังหัน เพื่อรักษากาสาวพัสตรนี้ไวใหเวไนย
ชนแทไดมีโอกาสสวมครอง มีฐานะอันควร มีเวลาปฏิบัติธรรมเพื่อเขาถึงความเปนที่สุดคือมรรคผล
นิพพาน ในจํานวนกาสาวพัสตรแสนผืน ขอเพียงตกถึงมือพระอรหันตขีณาสพผืนเดียว ก็นับวาขาวชาว
บานทั้งหมดที่ชวยกันรักษากาสาวพัสตรไวไมเสียเปลาแลว

พลิกความคิดแคนิดเดียว จิตใจก็แชมชื่นขึ้น เมื่อเรือนแกวใชทัพพีคดขาวใสบาตรเสร็จ เขากับเชิงไทก็


หยอนถุงกับขาวตาม เมื่อใสเสร็จก็นอมไหวไดดวยใจเคารพบูชา และทําเชนนั้นจนกระทั่งของหมดดวย
ใจเบิกบานเปนกุศลไมขาดสาย

ถุงกับขาวหมดกอนใสไดครบองค แตขาวสวยยังมีเหลือเฟอ จึงเหลือเรือนแกวทําหนาที่อยูตามลําพัง อีก


สองหนอยืนรอขางๆ ยิ่งดูยิ่งเหมือนเด็กรับใชติดสอยหอยตามนายแมมาทําบุญขึ้นทุกที

เมื่อพระหมดขบวน เรือนแกวก็หันมาบอกเพื่อนทั้งสอง

“รอแปบนะ”

วาแลวก็วางขันเงินลงบนโตะ เดินตัวปลิวไปเจรจาซื้ออะไรบางอยางจากเพิงรานอาหารฝงตรงขาม
หนุมๆมองตาม ครูหนึ่งเห็นหญิงสาวถือถุงใสไมหมูยางจํานวนมากก็คาดหวังวาคงซื้อมาเลี้ยงพวกตน
เปนการรองทองกอนมื้อเชา แตที่ไหนได เดินแฉลบเลยไปหาฝูงหมาวัดซึ่งยืนออรอสวนบุญตอจากพระ
เณรตรงปากทางเขาออกนั่นเอง

เรือนแกวรวบชายกระโปรง คอมกายลงนั่งยอง ดึงไมหมูยางออกจากถุง รูดชิ้นเนื้อออกจากไมโยนลงพื้น


ทีละชิ้น เทานั้นเองฝูงหมาวัดก็พุงกรูกันเขามาเกือบสิบตัว มองดูเหมือนแรงลงไมมีผิด

“เวร...กูนึกวาจะไดกิน”

เชิงไทบนกับเพื่อน พลางหันมองคนขายหมูยาง

“ฮะๆ อาแปะคอนปะหลับปะเหลือกเลยวะ ซื้อของมาแจกหมาหมดตอหนาตอตา”


๓๑๕

เกาทัณฑไมหันไปสังเกตอาแปะตามเชิงไท สายตายังคงจับเฉพาะรางที่นั่งคอม ทยอยปลิดชิ้นเนื้อใหเปน


ทานแกสัตว เปนบุญกิริยาที่กอกระแสออนโยนเย็นตายิ่ง หลอนทําอยางตั้งอกตั้งใจ ทําดวยความรูสึก
เปนสุข ยังใหคนเห็นพลอยยินดีตามไปดวยอยางเต็มตื้น

ผูหญิงคนนี้ทําบุญเปน ทาทางฉลาดในการทําจิตใหอิ่มเอิบทั้งกอนทํา ขณะทํา และหลังทํา เหมาะที่จะ


เปนเปาสายตาชนหมูใหญ เชนในบัดนี้เหมือนสายตาทุกคูในละแวกใกลจะจับไปที่หลอนเปนจุดเดียว
เกาทัณฑแนใจวาผูมองตองไดสวนความชื่นใจอันเปนบุญติดไปไมมากก็นอย

หญิงสาวนั่งกอดเขาดูหมากินหมูอยูตรงนั้นจนหมด หลายตัวชักทําตาปรอยกระดิกหางจะขออีก หลอนก็


ออกทาออกทางพลิกมือบอแบ ขมุบขมิบปากพูดกับพวกมันสองสามคํา กอนลุกขึ้นนําถุงและไมไปทิ้งถัง
ขยะขางทางเขาวัด แลวหมุนตัวเดินกลับมาหาเพื่อนที่ยืนเปนทหารรอเสด็จอยู

พอเขามาใกล เห็นเคาหนาถนัด ทั้งเกาทัณฑและเชิงไทก็แทบตาคางดวยความพิศวง หลอนดูสวยแปลก


ไป กรอบหนาสวางชัด นัยนตาทอแสงจัดราวกับเอาดาวรุงสักสิบดวงไปขัง รอยยิ้มอวดไรมุกที่เคยโดด
เดนอยูแลวพลอยฉายจับตาขึ้นอีกไมรูกี่เทา ลวนเปนหลักฐานประจักษวาใจหลอน ‘ถึงบุญ’ เพียงใดใน
ชวงเวลาอันลัดสั้นแคนี้

เรือนแกวเขาถึงทุกสิ่งที่หลอนตั้งใจทํา ทางโลกเปนอยางไร ก็ติดมาทางธรรมเชนนั้น!

“ไปเถอะ ขอบใจมากที่ยอมเสียเวลากัน”

เสียงหลอนเปลี่ยนระดับสูงขึ้น เหมือนมีหอแกวสักสองชั้นมาหุมเพิ่มความแพรวพริ้งใหกับกังวานเสียง
จนฟงวิเวกหวานติดหู คลายละอองแกวกอตัวกลอกกลิ้งสะทอนสะเทือนอยูกับโสตชั้นใน เกาทัณฑถึงกับ
เผลอมองซ้ําวาผูหญิงตรงหนาเปนใครกันแน

ธาตุอิตถีมีธรรมชาติลอตาใหใหลหลงอยูแลว เมื่อประกอบเขากับรัศมีฉายในทางใดทางหนึ่ง ยอมยิ่ง


สะดุดหูสะดุดตาขึ้นเปนเทาทวีเชนนี้เอง

หลอนเดินไปนั่งรอในรถแลวเพราะเชิงไทไมไดล็อกไว สองหนุมเก็บขาวของคนละมือ เพราะเหลือแตขัน


เปลา ทัพพีอัน และโตะพลาสติกเทานั้น ออกทาเหมอมองตามเรือนแกวนิดๆ เห็นตรงกันแนละวาเงาแหง
บุญญาธิการระดับที่ไมธรรมดาแผผายฉายชัดออกมาจากรางสะคราญปานใด

ขณะเดินเคียงกัน เชิงไทเอียงหนากระซิบกระซาบ

“แฟนกูสวยนิเชานี้ เพิ่งรูวาใจบุญสุนทานขนาดหนัก”

เกาทัณฑยนคิ้ว เกือบถามตอกไปวา ‘ใครแฟนมึงวะ?’ แตยั้งไวทัน ถาหลุดจากปากก็แสดงความพัวพันที่


ยังแกะไมหลุดแจมแจงไปหนอย
๓๑๖

โรคดวนสรุปแบบนี้เปนเรื่องแสนจะธรรมดา พอเชิงไทเห็นเขาพนทาง ก็เหมาแลววาเรือนแกวเปนของ


ตน ทั้งที่จริงมีเรื่องตองกอตองสานอีกเยอะแยะเพื่อใหฝายหญิงยอมรับ

ขึ้นรถกันครบทุกคน เชิงไทบิดกุญแจเดินเครื่องแลวเปรยวา

“โอกาสหนาทําดวยกันอีกนะแอ มีความสุขดีจัง”

ความจริงเพิ่งมาเริ่มสุขก็ตอนเห็นเรือนแกวสวยขึ้นเปนกองนี่แหละ

“อือ”

หลอนตอบมาจากเบื้องหลัง แลวหันพูดกับเกาทัณฑ

“ตอนนี้เตคงชํานาญทางนี่ เอาไวนําไปวัดดีๆสิ”

ทั้งที่เปนเรื่องชวนกันทําบุญ เปนกุศลกิจ แตเกาทัณฑฟงแลวชักเห็นเคาเงานากลัดกลุมกอตัวขึ้น ไมใช


ขางนอก แตเปนในใจตนเอง อยางนี้จะมีอะไรเปนแรงเหวี่ยงใหอยากหนีหาย...?

ถึงกับยกศอกซายเทาขอบประตู เอามือปองขมับโดยไมรูตัว หนาตาวิตกครุนคิดเพราะเห็นความวุนวาย


กายใจวางชัดอยูแคเอื้อม

เมื่อเกาทัณฑเดินมาถึงโตะทํางานตอนเกาโมงครึ่ง เผอิญสัญญาณโทรศัพทดังขึ้นพอดี

“สวัสดีครับ”

“พี่เตคะ คุณพิจัยเชิญพบที่หองคะ”

เสียงจากเลขาฯเจานายบอกมาตามสาย

“โอเคจาย”

ยังไมทันนั่งก็ตองจรเสียแลว แถมชื่อพิจัยที่กํากับคําสั่งนั้น ก็ทําใหตองเรงเดินเร็วเสียดวย

ขึ้นลิฟตมาสองชั้น เลี้ยวซายไปจนสุด มาหยุดเคาะประตูไมสักหนาหนักกอกๆ กอนหมุนลูกบิดเปดเขา


ไปสูความกวางเงียบ ดูขรึมขลังของหองผูบริหารใหญ

“ไง วันนี้มาสายเหรอ?”
๓๑๗

บุรุษวัยหาสิบเศษผูเปนเจาของหองทักทั้งยังกมหนาเขียนเอกสารขยุกขยิก เขาเปนคนรางใหญ เสียง


ใหญ จะขยับหรือพูดจาดูมีอํานาจไปหมด คําทักนั้นแสดงใหเห็นวาเจานายใหเลขาฯตอสายเรียกเขากอน
หนาอยางนอยครั้งหนึ่งแลว

“ครับ เมื่อคืนคางที่อื่น ตอนเชาเดินทางกลับหองชากวาที่คิด คุณพิจัยมีธุระดวนหรือครับ?”

“ออ เปลา ไมใชตองเรงทําตอนนี้”

เจาของหองยังคงงวนเขียนเอกสารไมวาง เกาทัณฑคุนกับการเห็นฝายนั้นทําสองอยางพรอมกัน ไมยอม


เสียเวลาไปสักวินาทีโดยเปลาประโยชน เชนถาเห็นวาคูสนทนาเปนเด็ก ก็จะทําสิ่งที่คางไปเรื่อย ไมเงย
หนาขึ้นมองกัน ดังที่กําลังเปนอยู

“จําไดใชไหมที่ผมบอกคุณวาแอจะไปคุยกับมิสเตอรชุนที่สิงคโปร ทางโนนเขาเพิ่งอีเมลมาถึงวาอยากให
เอาคนไปบรรยายและตอบคําถามเชิงเทคนิคประกอบโอเวอรวิวดวยเลย แบบมีชุดสไลดนะ ทาทางจะตก
ลงงายกวาที่คิด ผมใหคนสืบๆดูแลว ชวงนี้ทางโนนงานลนมือ ตองพึ่งเราแน คุณชวยเตรียมวันนี้แลวเดิน
ทางกับแอพรุงนี้เลยนะ สโคปงานไปเอาที่แอได”

พิจัยสั่งเปนชุดแบบมวนเดียวจบ กะใหชายหนุมรับทราบแลวถอยไปไดทันที แตเกาทัณฑฟงแลวถึงกับ


ยืนคอแข็ง ยนคิ้วทําหนาลําบากใจ นึกถึงนัดวันเสารกับแพตรี นึกถึงการเดินทางใกลชิดกับเรือนแกว
แลวถามนายใหญอยางผิดกาลเทศะเปนครั้งแรก

“ทําไมไมใหเชิงไทไปละครับ? นาจะเปนหนาที่ของเขาอยูแลว”

พิจัยชะงักมือ เงยหนาจากเอกสารทันที เหลือบจองหนุมรุนลูกเขม็ง สายตาคูนั้นทําใหเกาทัณฑรูสึกตัว


วาเพิ่งหลุดคําพูดโงๆออกไป ตอหนาบุคคลที่ชี้เปนชี้ตายใหอนาคตเขาไดเสียดวย

“คุณติดปญหาอะไรหรือคุณเกาทัณฑ?”

พิจัยลงปลายเสียงขรึม เพราะรูกันเปนทางการวาวันเสารสําหรับบริษัทนี้หยุดก็จริง แตอาจเผื่อเรียกใช


สอยไดเสมอ ชายหนุมฝนยิ้มไมสนิทนัก

“เปลาครับ ผมเพียงแตเกรงจะล้ําเหลื่อมกับเชิงไท เพราะเห็นเขาคุยๆกับมิสเตอรชุนอยู อันที่จริงผม


อยากไปซื้อของที่โนนอยูพอดี”

ชายผูมีอํานาจบริหารสูงสุดถอนใจ คลายความเครงในสีหนาลง

“วันเสารนี้ผมวาจะชวนคุณเชิงไทไปกินขาวเย็นกับดอกเตอรโตมรนะ เขาคุนเคยกับรายนั้นอยูแลว คุณ


ไปสิงคโปรแทนหนอยแลวกัน”
๓๑๘

“ไมมีปญหาครับ”

เกาทัณฑรับคํา ฟงเปนธรรมชาติขึ้นกวาเดิม

“หวังวาคงไมรบกวนเวลาสวนตัวมากนะ”

พิจัยเหน็บทิ้งทาย เกาทัณฑตอบนายดวยกิริยายิ้มแยม แตถาเอากระจกวิเศษสอง ก็อาจเห็นเปลี่ยนเปน


อาการแยกเขี้ยวยิงฟน ชางไมรูเลยวาเขายิ่งอยากปลีกตัวออกหางเรือนแกวใหเลิกใจแกวงอยู...

เมื่อไปสอนภาคค่ําที่มหาวิทยาลัยในคืนนั้น กอนหมดเวลาเกาทัณฑตองแจงเลื่อนเวลาสอนในคืนวันศุกร
ไปเปนชวงคืนวันจันทร นักศึกษาบางคนหันหนาเขาหากันและบนพึม เพราะชนเวลากับวิชาอื่น

จากนั้นใชเวลาชั่วโมงครึ่งกวาจะวิ่งจากในเมืองมาถึงบานปูชนะ ใกลหาทุมแลว เขาไมไดโทร.บอกแพตรี


ลวงหนาวาจะมาเยือน ตอนนี้สนิทกันขนาดถือกุญแจสํารองเปดปดประตูเขาออกไดเอง เมื่อจอดรถเสร็จ
จึงผานรั้วมาแหงนหนาเรียกคนรักที่ใตหนาตางโดยสะดวก

“แพ!”

หญิงสาวกําลังนั่งอานนิตยสารรายเดือนอยูกับโตะทํางาน เมื่อยินเสียงเรียกก็จําไดทันทีวาเปนใคร จึงลุก


มายืนชิดหนาตางมุงลวดเหล็กดัด เลิกมานกมลงมาเห็นเกาทัณฑยืนเงยหนายิ้ม มือไขวหลังเปนเงา
ตะคุมอยูเบื้องลาง

“พี่เต จะมาทําไมไมบอกกอนคะ?”

“มีธุระดวนจี๋เลย แพเปดประตูบานใหพี่หนอยสิ”

“ปูนอนแลวคะ มีเรื่องสําคัญมากหรือ ขึ้นมาเดี๋ยวทําหนวกหู”

“งั้นลงมาหาพี่ขางลางก็ได”

“ดึกแลวนี่...”

เห็นหลอนอิดเอื้อนเชนนั้นก็ขูวา

“ถาโอเอพี่จะคุกเขาแลวแหกปากดังๆขอใหแพเปดประตู ลองรึ?”

แพตรีรีรอเปนครู รูวาเกาทัณฑมีความหามพอจะกลาทําเชนนั้นจริง จึงบอกอยางตัดรําคาญ


๓๑๙

“แคหานาทีนะ”

ผละจากหนาตาง อึดใจตอมาเกาทัณฑก็เห็นประตูเรือนเปด ปรากฏเงารางโปรงเคลื่อนลงมา ชายหนุม


รีบสาวเทาเดินไปรับ

หยุดเผชิญหนากันเพียงเอื้อมเมื่อแพตรียืนบนบันไดขั้นแรก เห็นเกือบอยูระดับสายตาเดียวกับเขา ชาย


หนุมยิ้มกวาง สะบัดแขนจากอาการไพลหลัง เผยชอดอกไมใหญยื่นใหหลอน แพตรีเหลือบมอง กอนจะ
รับมาถือยิ้มๆ แสงไฟนีออนใตหลังคาสองใหเห็นสีแกมเรื่อขึ้นมาหนอย

“ขอบคุณคะ”

รอดูหลอนกมลงชื่นชมดมดอม แตก็เห็นแคมองอยางเดียวอยูเปนนาน เลยชวนวา

“ไปนั่งในหองทานขาวไดไหม?”

หญิงสาวเดินนําเขาไปงายๆ เมื่อเขามาในหองรับประทานอาหารก็เปดไฟสวาง วางชอกุหลาบแดงซึ่ง


ประมาณคราวแลวคงไมต่ํากวา 40 ดอกลงบนโตะ ทุกดอกยังสดฉ่ําราวกับเพิ่งเฉือนจากตนไดพักใหญ
แสดงวาไปรับจากรานเมื่อชวงค่ํานี่เอง

ชายหนุมยองกริบมาทางเบื้องหลัง พอเขาใกลก็คลองวงแขนตระกองกอดไวเต็มออมอยางแสนรัก แพตรี


ชะงักดวยความตกใจ เงยหนาขึ้นเล็กนอย ทีแรกขืนกาย แตเมื่อสัมผัสวาออมแขนและแผนอกนั้นมากับ
ความรูสึกประณีตละเอียดออน ก็ยอมยืนนิ่งใหกอด

ในความสงบเงียบ มีความรักอันงดงามลนกระจายออกมาจากดวงจิตที่ผูกพันแนนแฟน ตางฝายตางซึม


ซับรับรูดวยความสวางจากกลางใจ เสมือนทุกสิ่งยุติการเคลื่อนไหวเปนนิรันดรในความลึกซึ้งนั้น

เกาทัณฑบอกตนเองวานี่คือสิ่งที่ถูกตอง นี่คือสิ่งที่เขามีสิทธิ์จะทํา เขากอดธาตุแทแหงความดีที่ไมแปรป


รวนกลับไปกลับมา กอดผูหญิงที่ใจบอกตนเองวาอยูคูกันมาแสนนาน

ลวงเลยจนไดเวลาหนึ่งที่แพตรีขยับตัวจะแกะแขนออก เกาทัณฑก็โนมหนาลงหอมแกมนวลทีหนึ่งและ
กระชับปลอกแขนแนนขึ้นอยางไมยินยอมปลอยตัว

“กลาดีขนาดนี้แลวหรือคะ?”

แพตรีถามดวยเสียงดังกวากระซิบหนอยเดียว เกาทัณฑถอนมือขางหนึ่งลากเกาอี้ใกลตัวแลวหยอนกาย
นั่งลง เปนผลใหรางนุมในออมกอดลงนั่งบนตักตาม ชายหนุมเอียงหนาแนบแผนหลังหลอน พลางพึมพํา
ตอบ
๓๒๐

“ที่ผานมาถือวาขี้ขลาดดวยซ้ํา สัญญาวาจะไมเกินเลยไปกวานี้กอนแตง”

ตางนิ่งกันพักใหญ แพตรีเปนคนเอยถามทําลายความเงียบ

“นี่หรือธุระดวนจี๋?”

เกาทัณฑระบายลมหายใจยืดยาว

“เจานายเพิ่งสั่งใหบินไปสิงคโปรพรุงนี้ กวาจะกลับคงเชาวันอาทิตย”

แพตรีฟงแลวเฉยไป

“ที่นัดซินแสไวคงตองเลื่อนแลวละ ลุงเอกดวย”

เขาหมายถึงลุงคามภีร ผูเปนบิดาตามกฎหมายของหลอน แพตรีอึ้งอยูอีกพัก กอนแหยวา

“ถาแพไมใหพี่ไปสิงคโปรละ?”

“พี่ก็ไมไป พรุงนี้จะลาออกจากบริษัท และจะเอากระปุกเสียบปากกาปาหนาอกคนสั่งเปนการทิ้งทวนที


หนึ่ง”

“อื้อม...” ขานรับรูแลวก็หัวเราะนุม “ชางเถอะคะ งานสมัยนี้หายาก รักษาไวเถอะ เขาสั่งใหไปก็ไปซะ”

เกาทัณฑพลิกหนากลับมาฝงจมูกผานมานผมลงกลางแผนหลังคนรัก สูดกลิ่นหอมรื่นเขาเต็มอก

“เฮอ! นี่ถาไมขัดใจผูใหญพี่ก็ไมเห็นความจําเปนตองหาฤกษยามเลย ฤกษซินแสมั่วหรือเปลาก็ไมรู เอา


ฤกษของพระพุทธองคนะประเสริฐที่สุด ทําดีเมื่อไหรเมื่อนั้นคือฤกษงาม ความดีเปนฤกษงามในตัวเอง
เราเคยรวมบุญกันมา จะอยูกินกันก็เพื่อการตอบุญ หมั้นหรือแตงนาทีนี้นาทีหนาก็เปนฤกษดีทั้งนั้น
แหละ”

“รูไดยังไงคะวาเคยรวมบุญกันมา?”

“รูซี่ ก็ที่เคยยืนใสบาตรดวยกัน ไปกราบหลวงพอพุธดวยกัน ไปวัดทางนฤพานดวยกัน แพลืมแลวเห


รอ?”

“ออ...”

แพตรีรับเกอๆ เพราะฟงทีแรกแปลความหมายไกลเกินไปหนอย เกาทัณฑหัวเราะครึ้ม


๓๒๑

“แพชวยนัดลุงเอกใหมนะ ขอเปนชวงสายวันอาทิตย สวนซินสงซินแสนี่ชางเถอะ เรามั่วเองก็ได เอาฤกษ


สะดวกแหละดี ตอนเชาตั้งใจทําบุญปลอยนกปลอยปลา ซื้อจากตลาดแบบที่เขากําลังจะฆาจริงๆนะ เสร็จ
แลวไปบริจาคเลี้ยงอาหารเด็กกําพรา ทําสังฆทานเลี้ยงพระทั้งวัด ถายังสรางฤกษงามไมไดก็ใหมันรูไป
สวนเรื่องเวลาสวมแหวนก็บอกเปนบายสามจุดศูนยเจ็ดอะไรก็ไดใหดูเหมือนมาจากปากซินแสหนอย
เทานี้ผูใหญก็ไมสงสัยแลว”

หญิงสาวยิ้มหนอยๆกับทาทีหัวใหมของวาที่คูหมั้น

“แพเคยศึกษาเรื่องฤกษงามยามดีมาบาง แลวก็รูสึกวาเพื่อเริ่มตนบางสิ่งบางอยางที่มีความหมาย ถาได


เวลาอันเปนจุดตัด จุดประจวบของมงคลปจจัย หรือชวงใหผลของบุญเกา ก็จะเกิดอิทธิพลเสริมใหทุกสิ่ง
ดําเนินไปดวยดี สมัยกอนจะออกศึกหรือสมัยนี้จะลงหลักปกเมือง ก็ตองหาฤกษหาชัยกันทั้งนั้น แมแตโท
เลอมี่ที่บุกเบิกดานดาราศาสตร ก็ทุมเทศึกษาหาขอเท็จจริงเชิงโหราศาสตรเกี่ยวกับอิทธิพลของดวงดาว
ที่มีตอชีวิตบนโลกเหมือนกัน

แตแพก็เห็นดวยกับพี่ ที่วาซินแสหรือหมอดูมีหลายตํารา หลากทักษะความสามารถ ขนาดระดับทําพิธี


สําคัญของชาติยังเคยคํานวณดวงเมืองผิดมาแลว ศาสตรทํานองนี้ลี้ลับซับซอนหาคนรูจริง แมนจริงยาก
ไดฤกษยามตามเขาบอกมาแลวก็แคสบายใจวาไดมา ผิดถูกยากจะเอาอะไรวัด

ฤกษพระพุทธองคที่วาเชา สาย บาย เที่ยง ทําดีเมื่อไหรก็ไดฤกษงามเมื่อนั้นนาจะทําใหเราสบายใจกวา


กัน นี่แพก็เห็นดวย เพราะอิทธิพลของแรงกระทําจากดวงดาว อาจดอยกวากรรมดีรายของเราในปจจุบัน
ได อยางถาฆาตัวตายดวยโทสะหรือโมหะครอบงํา ตอใหเปนขณะดาวทํามุมดีที่สุด ก็หนีประตูนรกไมพน
อยูวันยังค่ํา

แตถาคุณพอคุณแมติดใจถามวาไดฤกษมาจากไหน พี่จะตอบวายังไงละคะ จะโกหกหรือ? แพวาเรานา


จะหาบุคคลอางอิงที่นาศรัทธา ฟงแลวผูใหญไมขัด อยางหลวงตาแขวน ทานวาเวลาไหน จะใชเกณฑยัง
ไง เราก็เอาตามนั้นดีไหม?”

เกาทัณฑยิ้มหนาใส กระชับกอดแนนขึ้นนิดหนึ่งดวยความปลื้ม

“ตอไปพออยูดวยกัน พี่คงตองเปนชางเทาหลังแนๆเลย”

แพตรีฟงแลวสะดุด เงียบไปพักกอนเอย

“อยาพูดใหเสียกําลังใจสิคะ แพใหเหตุผลดีๆนะ ไมใชวาเอาความเห็นตัวเองเปนใหญ ถาพี่เขาใจวาแพ


เจากี้เจาการ จะเอายังไงก็สุดแลวแตเถอะ”

ชายหนุมเบิกตาโต หัวเราะเสียงดัง
๓๒๒

“โอ โอ โอ โอ โอ...นี่แหละนา เปนมนุษยสื่อสารกันดวยคําพูดอยางเดียวเขาใจไขวเขวกันงายๆอยางนี้


เอง พี่เห็นดวยกับแพทุกอยางตางหาก ที่บอกวาตอไปอยูดวยกันพี่คงเปนชางเทาหลังนั่นก็ดวยความชื่น
ชมจากใจจริงหรอก ไมไดประชดประชันอะไรเลย เหตุผลของแพฟงแลวเย็น คิดตามแลวไมอยากแยง
จริงๆ พี่เสียอีกที่เมื่อกี้พูดดุยๆแบบคนหัวแข็งจะเอาตามใจ แพอยาเขาใจพี่ผิดนา”

พูดจบก็หัวเราะอีก แลวเอียงแกมซบไหลหลอนดวยความเอ็นดู

“อยางนั้นก็แลวไปเถอะ”

แพตรีพึมพํา ฟงปลายเสียงรูวาติดงอนหนอยๆ

“วันอาทิตยพอไปหาลุงเอกเสร็จ เรามากราบหลวงตาแขวนกันเลยนะ”

“เพิ่งเสร็จจากงาน ลงจากเครื่องตอนเชาแลววิ่งรอก ไมกลัวเหนื่อยหรือคะ?”

“แคนี้จะเหนื่อยขนาดไหนกัน วาแต…เปนไปไดไหม ถาขอใหแพเดินทางกับพี่ดวย?”

เขาเต็มไปดวยความในใจที่พูดลําบาก ภาวนาใหหลอนตอบตกลง ทั้งรูวาความหวังริบหรี่เทาแสงหิ่งหอย


กลางทะเลทรายคืนเดือนมืด

“ไมละคะ เปนอะไรกันถึงหอบหิ้วตามไปธุระอยางนี้ แลวถาแพไปใครจะดูแลปู”

“อือ” เขารับซึมๆอยางเขาใจ “ไอพวกนั้นมันทํางานกันตลอดเจ็ดวัน ชาวบานเขาจะหยุดเสาร-อาทิตยก็


ลากไปเขาปงดวย”

“ดีแลวละคะ หวงงานเถอะ”

“อาทิตยหนานี้พี่มีอะไรใหแพแปลกใจ”

“อะไรคะ?”

“บอกแลวไงวาจะใหแปลกใจ เฉลยตอนนี้แลวจะแปลกใจไดไง”

“พูดใหอยากรูแลวอมพะนํายั่วโมโหนี่นึกวาดีนักหรือ?”

“อยางแพโมโหเปนดวย?”

“เปนสิ”
๓๒๓

“โมโหแลวทําไง?”

ขาดคําเกาทัณฑก็รองลั่น เมื่อแขนถูกปลายเล็บจิกหยิกเต็มแรง

“อูย!...เดี๋ยวนี้ทํารายคนเปนแลวเหรอ”

“พี่กลับเถอะคะ”

“ไลอีกละ”

“บอกไวแตตนไง แคหานาทีพอ นี่ตั้งเทาไหรเขาไปแลว มาก็ดึกดื่น จะอยูใหถึงเชาหรือคะ ปูตื่นลงมาเห็น


อยางนี้เดี๋ยวก็ถูกหามเขาบานหรอก”

“ก็ได...ก็ดาย”

ชายหนุมลากเสียงยานคาง ทิ้งทายดวยการรัดรางนุมแนนเขา อยางจะเขารูใหถึงกนบึ้งหัวใจตนเอง วา


ยังรักและปรารถนาในหลอนเพียงไหน

หักหามใจ คลายออมแขนออกดวยความเสียดาย แพตรีลุกขึ้นแลวเดินออกจากหองอาหารทันที ไม


ออยอิ่งรีรอ บังคับใหเกาทัณฑตองลุกตาม

ทันกันที่หนาประตูรั้ว ชายหนุมมองรอสบตา เห็นหลอนกมมองพื้นทาเดียวก็เอานิ้วเชยคางขึ้น แพตรียก


มือปดเบาๆ

“พอแลวคะ”

เกาทัณฑยิ้มรับ เทาที่หลอนยอมก็อิ่มใจพอจริงๆ เลยอําลาโดยดี

“เชาวันอาทิตยพอถึงดอนเมืองพี่จะรีบโทร.หา แลวมารับทันทีเลย เตรียมตัวไวนะ”

กลาวดวยความเชื่อวาวางแผนไวอยางไรตองเปนไปตามนั้น เสร็จงานวันเสารหมายความวาเชาวัน
อาทิตยกลับไทยไดโดยสวัสดิภาพ

เสนทางชีวิตคนมักมีความแนนอนตามตารางเวลา นอยครั้งจะเกิดเรื่องไมคาดหมาย จึงทําใหหลงคิด


หลงรูสึกวาสามารถลิขิตเหตุการณประจําวันของตนไดเสมอไป…
๓๒๔

เมื่อเรือนแกวมาถึงเคานเตอรเช็กอิน ก็เห็นรางสูงของเกาทัณฑกําลังยกกระเปาเดินทางขึ้นสายพาน
ลําเลียงอยูพอดี หลอนยิ้มนิดหนึ่ง รีบลากกระเปาของตนรุดไปหา และสงเสียงเหมือนลูกนองเจอเจานาย

“สวัสดีคะทาน”

พอเขาหันมามองตามเสียงทัก เรือนแกวก็นึกสนุกพนมมือไหว ยอบกายถอนสายบัวอยางพินอบพิเทา


เกาทัณฑเห็นแลวเกือบหัวเราะ หลอนไหวสวย ดูชดชอยนอบนบ ออนโยนจริงใจจนตองรับมุขดวยการ
พยักหนาหงึกหนึ่ง

“อือม ไหวพระเถอะหนู”

นั่นกลายเปนละครโรงเล็กที่แตละฝายลวงตาดวยภูมิอันมีจริงในตน สบตาแลวหัวเราะออกมาพรอมกัน
ถอดโขนกลับสูสภาพปกติ

“มานานแลวเหรอ?”

เรือนแกวถามพลางเตรียมยกขาวของขึ้นสายพานเอ็กซเรย

“ก็เดี๋ยวนี้แหละ”

เกาทัณฑตอบแลวชวยเปนธุระ ออกแรงยกของหนักให

“จายมารึยัง?”

“ไมเห็นนี่ อาจเขาไปนั่งรอขางในแลวมั้ง”

สองหนุมสาวผานขั้นตอนเช็กอินและเสียคาธรรมเนียมตางๆเรียบรอยแลวเดินเขาหองโถงผูโดยสารรอ
ขึ้นเครื่องดวยกัน

“ไดตั๋วบิสเน็ซคลาสหรือเปลา?”
๓๒๕

หญิงสาวถามอยางกะจะชวนเขาใชสิทธิ์พิเศษเขาไปนั่งในเลานจเพื่อทานของวางและเครื่องดื่ม แต
เกาทัณฑสั่นศีรษะ

“ยายจายเพิ่งจองใหตอนเชาวันพฤหัส ก็เหลือแตที่นั่งดานหลังนะซี คุณพิจัยเลนสั่งปุบปบอยางนี้”

มานั่งเคียงขางกันที่เกาอี้รับรองธรรมดา เรือนแกวแอบยิ้มสะใจไมใหเขาเห็น แตถามเสียงรื่นฟงเปนปกติ

“แลวไงจะ งานดวนพิเศษกะทันหันนี่ทําใหผิดแผนสุดสัปดาหกับใครหรือเปลา?”

ถามจี้ใจดําแท ชายหนุมแสยะยิ้มหนอยหนึ่งกอนวางหนาเปนปกติ ขณะคิดหาคําตอบอยูนั้น เผอิญเงา


รางจอยผานเขาหางตาดึงความสนใจใหเหลือบมอง ลูกสาวฝรั่งอายุประมาณ 2 ขวบ ตาสีฟา ผมสีทอง
เดินกะดอกกะแดกเหมือนตุกตาจวนหมดลานใกลเขามา แมหนูนอยเงยหนาขึ้นเห็นสาวผมสั้นนั่งไขวหาง
แลวชะงัก ทําตาแปวจับจองคลายสงสัยติดใจอะไรบางอยาง เรียกวาตุหรัดตุเหรมาสะดุดของแปลกแลว
ถึงกับมองคาง

“อุย! นารัก!”

หญิงสาวอุทาน แตพอหลอนยิ้มใจดี แบสองมือยื่นเหมือนจะขออุม แมหนูก็ลังเล เริ่มหันรีหันขวาง และที่


สุดคือตัดสินใจหมุนตัว ซอยเทาปรอกลับไปหาแดดดี้กับมัมมี่ที่ยืนหัวรอเอิ๊กอากอยูกับชายไทยคนหนึ่ง

“เฮอ! ทํางานจนลืมอยากมียังงี้มั่ง”

เรือนแกวเปรยบนอยางปราศจากความขวยเขิน

“โถ แมคุณ ทําเปนบนแลว เพิ่งอายุเทาไหรเอง”

“ก็เทาที่สมัยกอนเขามีลูกกันครึ่งโหลละนา”

ชายหนุมยิ้มในหนา คนเราพอมีความมั่นคงในอาชีพการงานถึงจุดหนึ่ง เมื่อเห็นเด็กนารักเขาก็มักเกิด


แรงบันดาลใจอยากมีของตัวเองไวอุมเลนบาง

“เห็นลูกคนอื่นนารัก อยากมีลูกกับเขามั่ง พอลูกออกมาหนาเหมือนหนูถีบจักรก็เสร็จเลยนะเธอ”

เขาพยายามเบี่ยงเบนใหเปนเรื่องชวนหัว

“ถาพอหลอแมสวยลูกออกมาตองนารักอยูแลวละ ไมกลัวหรอก”
๓๒๖

เรือนแกวโตคลายคาน มีนัยแฝงในน้ําเสียงและวิธีปรายหางตาที่พอเชื่อวาเจตนาจูงใจใหคิดถึงเงารางที่
เคียงขางกันระหวางหลอนกับเขา และเห็นความเขาคูเหมาะเจาะราวกับเปนสองขางปกผีเสื้อลายเท
แปลก ซายขวาดุจเงาสะทอนที่รักษาดุลของแตละฝายไวพอดีกัน

เกาทัณฑพลอยนึกตามถึงความนาจะเปนที่ลูกผูมาเกิดกับตนและเรือนแกวคงนาเอ็นดู สังสารสัตวมี
กรรมเปนกําเนิด มีกรรมเปนเผาพันธุ เมื่อมาเกิดกับพอแมคูไหน ก็ตองอาศัยระดับบุญบารมีที่คลองจอง
ตามนั้น ชวงชีวิตนี้ของเขากับหลอนมีแตน้ําขึ้นกับขึ้น สะทอนใหเห็นวาวิบากดีกําลังใหผลเต็มกําลัง ดัง
นั้นเมื่อไดลูก ก็ควรเปนวิญญาณที่มีดีพอมารวมเสวยสุขที่พอแมสั่งสมไวปูพรมรอรับ

จับตาเล็งแลแมหนูนอยผมทองคนนั้น ซึ่งบัดนี้ไปยืนเกาะขาแหมมผูเปนแมแจ รูสึกครึ้มจนเผลอระบาย


ยิ้มอยูพักหนึ่ง กอนหุบลงกมหนาขมวดคิ้วตําหนิตนเองเมื่อรูตัววาคิดเลยเถิดมาถึงไหนแลว

ใจ…

อยูใกลใครก็ไขวเขวมาหาคนนั้น

“เต เธอเชื่อไหมวาคูสรางคูสมนี่จะหนาตาคลายกัน?”

เรือนแกวถามเหมือนลืม…ลืมสนิทวาเขากับหลอนมีความละมายจนใครตอใครทักถามหลายตอหลายครั้ง
แลววาเปนพี่นองกันหรือเปลา

“ก็…”

เกาทัณฑคิดอยูครู ถาสมัยกอนเขาคงตอบกลั้วหัวเราะทํานองเห็นเปนเรื่องไรสาระไปแลว

“ถาเอาที่ผมเชื่อตอนนี้ คนเราหนาตาคลายกันก็เพราะทําอาจิณณกรรม หรือกรรมที่ทําจนสั่งสมเปน


ความเคยชินมาทํานองเดียวกัน ถาทําดวยกันก็เปนความผูกพันดึงดูดมาเขาคูได แตถาตางคนตางทํา ก็
คงไมมีความเกี่ยวพันอะไร แบบดารานําที่ดูละมาย สมกันอยางกับกิ่งทองใบหยก ก็ตางคนตางอยู ไม
เห็นมาจับคูกันนอกจอเลย”

เรือนแกวคิดครวญแลวพึมพํา

“แอก็เคยนึกนะวาในบรรดาการเขาจับคูกันของสิ่งตางๆในธรรมชาติ การจับคูของมนุษยหญิงชายมีเงื่อน
ไขซับซอนพิสดารกวาอยางอื่นหมด...”

เมื่อคิดถึงคําวา ‘อาจิณณกรรม’ ที่เกาทัณฑใชเมื่อครู ก็ถามสืบตอมา

“วาแตกรรมนี่คือการกระทําใชไหม?”
๓๒๗

เกาทัณฑพยักหนา

“นั่นคือคําแปล แตเมื่อพูดวา ‘การกระทํา’ นี่คนมักนึกถึงการลงไมลงมือทําเรื่องราวใหเกิดอะไรขึ้นสัก


อยาง พระพุทธองคตรัสไวอยางชัดเจนคือ ‘เรากลาววากรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม’ หมายความวา
แคคิดก็เปนกรรมไดแลว ยังไมตองพูด ยังไมตองเคลื่อนไหวมือไมกันเลย”

เรือนแกวเอียงคอของใจ

“แอมักหงุดหงิด ขับรถแลวนึกดาพวกซิ่ง พวกปาด พวกเรงจี้หลังอยูทุกเมื่อเชื่อวัน ก็ถือวาเปนอาจิณณ


กรรม เปนตัวนํามาเกิดเปนนั่นเปนนี่ได?”

เกาทัณฑลังเลครูหนึ่ง กอนจะผนึกจิตใหรวมแนนอยูในสภาพเห็นกายเปนอนัตตา แลวจึงทบทวนคําถาม


ของเรือนแกวใหม อาศัยจิตของตนเปนเวทีทดสอบของจริง ชั่งน้ําหนักแลวกลาวตอบอยางละเอียดตาม
ความเห็นที่เกิดขึ้น

“สมมุติวาแอขับรถอยูเพลินๆ จูๆมีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งปาดหนาแซงเขาเลน ทําใหตองเหยียบเบรก


กะทันหัน แอตกใจและเกิดความโมโหจัด พรอมกันนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมักเปนคําดาสั้นๆในหัว โดยไมตอง
เคนคิด หรือตั้งใจไวลวงหนาวาพอโมโหแลวเราจะคิดอยางนี้ ใชหรือเปลา?”

เรือนแกวจินตนาการตามแลวพยักหนารับไมคัดงาง

“นั่นคือความเคยชินที่จิตคัดสรรคํารายๆขึ้นมากระแทกใสคนขับมารยาททราม จะเปนคลื่นความคิดอยาง
เดียว หรือเปนตะคอกออกจากปากก็ขึ้นอยูกับระดับความตกใจที่จุดโทสะขึ้นมา อันนี้แหละจัดเปน
อาจิณณกรรม เพราะทําจนเคยชิน

ทีนี้วากันในแงนําใหเกิดเปนนั่นเปนนี่ จะเล็งเอาเฉพาะตอนอยูในรถอยางเดียวไมได ตองดูจังหวะอื่นเชน


ตอนขัดแยงกับคนอื่นในหองประชุม ตอนหาของไมเจอ ตอนแอรเสียในหนารอน และอีกสารพัดเหตุ
การณวัดใจ คือดูโดยรวมวาเมื่อเกิดโทสะขึ้นแลวสิ่งที่ตามมาคืออะไร คําหยาบในหัว เจตนาราย กิริยา
กระบึงกระบอน หรือสติสัมปชัญญะ ความขมใจ ความฉลาดในการเปลี่ยนอารมณ

พูดงายๆ วัดเอาจากทั้งชีวิตวาชางโกรธไปหมดทุกเรื่องหรือเปลา ผลของความชางโกรธเสมอๆนั้นจะ


กลายเปนสวนหนึ่งของตัวสรางอัตภาพใหม เชนทําใหมีผิวพรรณไมนาดู ทําใหรูปทรามแสลงตาคนเห็น

แตถาเคราะหหามยามราย กอนตายเกิดโมโหโกรธาอะไรขึ้นมาแลวจิตดับขณะเปนอกุศล เชนกําลังนึก


ดารถกระบะคันหนาแลวรถเครนลมตึงลงทับเราขาดใจตายคาที่ อกุศลกรรมนั้นจะกลายเปนสิ่งที่เรียก
‘ชนกกรรม’ สงใหเปนเปรต หรือผีตายโหงวนเวียนแถวที่เกิดเหตุ หรือดีไมดีอาจพุงหลาวลงนรกไปเลย
กระแสวิญญาณมันสรางรูปสรางเรือนใหตัวเองอยูตามสภาพลาสุดของตัวเองเสมอ”
๓๒๘

“สรุปแลวแอเปนคนขี้โมโห ตายไปเกิดใหมจะรูปรางหนาตาขี้ริ้ว?”

“ผมไมมีญาณหยั่งรูหรอก เพราะแอมีอะไรมากกวาความ ‘ขี้โมโห’ อยูมาก และที่ผมพูดถึงโทษของความ


เปนคนขี้โมโหนี่ก็วาตามเนื้อผา เอาตามที่พระพุทธองคเคยตรัสกับมเหสีกษัตริยใหญองคหนึ่งวา
มาตุคามผูมักโกรธจะมีรูปทราม ใชจะสรุปรวบรัดวาคราวหนาแอเกิดแลวจะขี้เหรแนๆ”

“ผูหญิงก็ยัวะเกงทั้งนั้นแหละ”

“ถึงหาที่ผิวสวย หนาใส ดูชื่นตาชื่นใจยากไง”

“หลายคนที่แอรูจัก เห็นผิวสวย หนาใส ก็ดาเกงเปนไฟแลบเยอะแยะ เรียกวาทั้งมโนทุจริต วจีทุจริต


เหมาหมด ทําไมเปนงั้นละ? ผลของความสวยใสนาจะเกิดจากอาจิณณกรรมฝายกุศลของชาติใกล ซึ่ง
เปนผูไมมักโกรธนี่นะ ทําไมถึงไมติดนิสัยมาถึงชาติปจจุบันกันบาง?”

เกาทัณฑสายหนายิ้ม

“ยังไงไมรูแฮะ ผูหญิงสวยกับความปากจัด ความเจาอารมณนี่มักจะมาดวยกันจริงๆ อาจเปนเพราะความ


เคยชินที่ไดรับการพะนอเอาใจมาก เลยออนไหวกับเรื่องขัดใจมั้ง พอสวยแลวลืมนิสัยเกาหมด ดูงายๆใน
ชวงชีวิตเดียวก็ได อยางคนจนที่เคยเสงี่ยมเจียมตัว พอรวยก็ยะโสโอหังกันไป

และก็ใชวาความเกงในการระงับโกรธจะผูกขาดเปนตัวสรางอัตภาพที่สวยงามอยางเดียว ศีลบริสุทธิ์ก็ทํา
ใหสวยได ขัดลางทําความสะอาดพระพุทธรูปก็ทําใหสวยได หรือแมไมใชบุญกิริยาในพุทธมณฑลก็อาจ
ทําใหสวยไดอีกเหมือนกัน ขอใหเปนอาจิณณกรรมเขาล็อกที่จะใหเกิดการบันดาลรูปอันเปนฝายกุศล
อยางสม่ําเสมอเถอะ เชนถาเคยชินกับการมองคนและสัตวดวยความรักออกมาจากใจจริง ก็ทําใหนัยนตา
งามอยางที่เขาวาแลตะลึง”

เรือนแกวยนจมูกนิดหนึ่ง

“อยางกับคนในโลกนี้นาใหมองดวยความรัก ความจริงใจนักละ”

เกาทัณฑหัวเราะหึๆ

“เหมือนเลนเกมไง สภาพแวดลอมถูกออกแบบไวใหเขารกเขาพงกันเกือบหมด เหลือหลุดรอดเขา


ปราสาท เขาวิมานกันนอยเทานอย รอบดานบีบคั้นใหเราครึ่งดีครึ่งราย ไมผิดแผกจากกันเทาไหรนัก
อยางลูกฝรั่งเมื่อกี้เนี่ย โตขึ้นตาสวยหาตัวจับยากแน ถาแอเห็นอยางนี้บอยๆจะรองออกมาดังๆเหรอวา
นารัก นั่นแสดงวาเขาเคยฝาดานยากมาไมเหมือนใคร”
๓๒๙

“พูดก็พูดเถอะ เทาที่แอคบสนิทกับเพื่อนสวยๆหลายคน ยิ่งเห็นจิตใจ เห็นไสเห็นพุงกันมากเทาไหร ยิ่ง


ไมอยากจะเชื่อเลยวากรรมเวรมีจริง คนเราถาเคยแสนดีมาจนแสนสวย รวยหรูกันไดขนาดนั้นก็นาจะ
เหลือเคา เหลือรองรอยกันบาง นี่อะไร เลวตลอดศกอยางกับยักษมารมาเกิด”

“เรื่องกรรมนี่ซับซอนมากนะแอ ถาศึกษาลงไปลึกๆแลว จะเห็นวาสิ่งที่เรียก ‘เจตนา’ นั้น เปนประธาน


การปรุงแตงจิตอยูตลอดเวลา ทีนี้ลองคิดวาชั่วชีวิตเราสั่งสมนิสัยและความเคยชินไวตั้งหลายอยาง ก็ตอง
มีบางที่ขัดแยงกันเอง

แถมกรรมบางชนิดนั้น แคทําครั้งเดียวอาจชนะกรรมฝายตรงขามรวมกันเปนรอยชาติ เชนถวายดอกบัว


ขาวบริสุทธิ์แกสงฆที่มีพระพุทธเจาเปนประธาน ดวยศรัทธาแกกลา ดวยเจตนาเคารพบูชาอยางลึกซึ้ง
ถวายแลวเกิดโสมนัสแรงตอเนื่องเปนชั่วโมงๆ อยางนี้ผลที่เกิดจะยากแกการประมาณ และเกินจะ
กําหนดที่สิ้นสุด ตอใหมักโกรธไปบางก็ยังสวยอยูนั่นเอง แมจะกรอยลงตามสวนก็เถอะ”

เรือนแกวขบริมฝปากหนอยๆ

“ถาผูหญิงสองคนระงับโกรธไดเกงตลอดชีวิต และถือศีลบริสุทธิ์ไดคงเสนคงวาเหมือนกัน อยางนี้ทําให


เกิดใหมแลวสวยสไตลเดียวกัน หนาตาเหมือนๆกันหรือเปลา?”

“คําตอบอยูในคําถามแลวนี่ แมชีวิตคนเรามีอาจิณณกรรมอยูหลายประเภท หลายชนิด แตก็มีสายหลัก


สายลึกอยูไมเทาไหร โอกาสที่คนเราจะหนาตาดีและคลายกันจึงพอมีอยู และหาไมยากจนเกินไปนัก ตัว
อยางงายที่สุดเห็นจะไดแกคูแฝดทั้งหลาย”

ใบหนาของเรือนแกวกราดดวยรอยยิ้มพรายอยางมีเลศนัย หลอนดีดหลังมือปดปลายผมที่สปริงตัวได
อยางมีชีวิตชีวาของตนแลวถามวา

“แอละ สวยแบบไหน?”

เกาทัณฑยิ้มเมิน จนหลอนตองเขยาแขนเรงรองเซาซี้

“บอกหนอยดิ้”

“แบบที่…ไมมีใครเหมือนมั้ง”

หญิงสาวหัวเราะเปนกังวานกระจาย ทั่วอาณาบริเวณดูกระจางใสขึ้นตามพลังอัดในคลื่นเสียงแหงความ
เบิกบานนั้น
๓๓๐

“แสดงวาแอทํากรรมดีมาแปลกกวาชาวบานงั้นสิ”

“ใครจะไปรูละ ลองดูรองรอยจากตัวเองในปจจุบันสิวาเหมือนใครเขาไหม”

เรือนแกวหัวเราะอีก กอนจะนึกอะไรขึ้นมาไดบางอยาง วี่แววราเริงลดลง

“ถาทํากรรมรายๆไวมากนี่ตองไปเกิดเปนสัตวใชไหม?”

“แคขาดความละอายตอบาปก็เปนสัตวไดแลว ไมตองทํากรรมหนักไวมากหรอก”

คนหนาสวยเกอึกอักไปชั่วขณะ

“ก็แปลวาคนที่เห็นเดินๆนั่งๆกันอยูนี่อีกหนอยอาจแปลงรางเปนหมูหมากาไกซีนะ บางทีเห็นสัตวแลวก็
ทําใจเชื่อยากวาครั้งหนึ่งพวกมันเคยเปนอยางอื่นมากอน วันๆเอาแตเดินตวมเตี้ยม ไมเห็นทําอะไรนอก
จากรอตายไปตามเวลา เวนแตคนจะเอามาฝกใชงาน จินตนาการใหคลอยตามไดยากเหลือเกินวาอาจ
เคยเปนแมกระทั่งมนุษยอยางเราที่คิดได พูดได กออารยธรรมเปนตึกรามบานชองได”

“แอตองมองวาอัตภาพแตละชนิดเปนพืชพันธุตามธรรมชาติ เหมือนตนหมากรากไมที่แตกตางกันจนไม
อาจเทียบเคียง เชนตนปาลมกับตนเข็มอยางนี้ เมื่อโตขึ้นมาตามเมล็ดพันธุไหนแลวก็จะมีลักษณะความ
เปนเชนนั้น แตกตางสิ้นเชิงกับพันธุอื่น

พระพุทธองคเคยตรัสกับพระอานนทวากรรมเหมือนเนื้อนา วิญญาณเหมือนพืช วิญญาณที่เหมาะกับ


ความเปนสัตว เมื่อเคลื่อนมาสูอัตภาพของความเปนสัตว ก็ไมหลงเหลือเคาเงาของมนุษยใหเห็นอีก จะ
รูปรางหนาตาหรือความคิดอานก็ตาม ธรรมชาติที่รองรับความเปนอยางนั้นคือพืชพันธุเฉพาะตัว เอาไป
เทียบขามพันธุดวยตาเปลาก็เชื่อยากเปนธรรมดา แตถาเทียบดวยประเภทของจิตใจแลว อาจเห็นความ
ละมายคลายคลึงไดอยู อยางที่เราไดยินคําเปรียบเปรยเชนซนเหมือนลิง ดุเปนเสืออะไรทํานองนั้น”

เกาทัณฑพูดโดยไมเหลียวมาสังเกตวาเรือนแกวเงื่องหงอยลงถนัด

“คําพูดคําเดียวสงใหคนไปเกิดเปนสัตวไดไหม?”

“ก็ตองแลวแตวาพูดอะไร พูดกับใคร ดวยใจที่แรงขนาดไหน สงผลรายทางยืดเยื้อยาวนานเพียงใด ถา


หากวาคําพูดคําเดียวนั้นมีผลสําคัญ โดยเฉพาะกระทบผูทรงคุณ หรือผูเปนบุคคลพิเศษของเราอยางพอ
แมบังเกิดเกลา ทําใหเกิดความเดือดรอนหรือเสียหายในทางใดทางหนึ่ง อันนี้ก็คิดวามีน้ําหนักพอจะสง
ไปเปนสัตวไดนะ”

“เปนไปทุกชาติเลยเหรอ?”
๓๓๑

เกาทัณฑแปลกใจเล็กนอยที่เห็นเรือนแกวบีบมือเขาหากันขณะกมหนาถามเสียงออย

"เทาที่รูมา พอถอยหลนจากความเปนมนุษยลงภูมิสัตว ก็มักจะหาทางขึ้นยาก ดวยเหตุผลหลายๆอยาง


เชนสัตวมีแตสัญชาตญาณ โอกาสจะพัฒนาจิตใหสูงนั้นนอย คือตองมีโอกาสคลุกคลีกับมนุษยใจสูง อีก
อยาง พระทานวาสัตวแตละชนิดมักติดอยูในกามแบบของตน ถึงบางทีจะมีบุญวาสนาหนุนหลัง ถาติดใจ
กามในอัตภาพหนึ่งๆแลว ก็จะวนเวียนอยูในภพแบบนั้นเอง"

“อยางถาแกลงพูดทิ่มตําใหพอแมช้ําใจ ทํานองวาเกิดเปนลูกสัตวยังดีกวาเปนลูกทาน อยางนี้ก็ตองเกิด


เปนสัตวไปเรื่อยๆ หาชาติสุดทายไมเจอนะซี? เปนสัตวฟงธรรมไมรูเรื่องนี่”

เกาทัณฑบดริมฝปากใครครวญ เพราะสังหรณวาถาตอบผิดนิดเดียว ผลที่ตามมาอาจเปนความกังวลใจ


ไมรูเลิกของเรือนแกวไปจนชั่วชีวิต และนั่นแหละจะกลายเปนของจริง ถากอนตายเกิดไพลประหวัดกังวล
ขึ้นมา ความคิดกังวลนั้นจะเปนชนกกรรม หรือกรรมนําเกิดเปนรางรายไป

โดยเฉพาะอยางยิ่งกรรมหนักขนาดที่หลอนวานั้น ใชวามีโทษแคเปนสัตวตามคําพูด แตความหยาบคาย


ที่กอความเสียใจรุนแรงใหเกิดขึ้นในบุพการี เปนบาปอันกลาแข็ง มีแรงเหวี่ยงสงตรงไดถึงนรกทีเดียว
ความที่เขาเปนผูเคยเห็นนรกมากอนทําใหซึมซับและพอจะชั่งน้ําหนักกรรมไดอยู

“ผมไมไดมีญาณหยั่งรูเรื่องกรรมวิบากลึกซึ้งนะแอ ใจรูไดแตหนาตาของกรรม แตผลกรรมนั้นตองศึกษา


ตามพุทธดํารัสไปพลางๆ วาทําอยางไร จะไดผลอยางไร

คนเรานี่ เพราะมองไมเห็นวิบากกรรมที่เกิดจากการกระทําหนึ่งๆ ทําใหกลากอบาปหยาบชาสารพัด


ขนาดพระเทวทัตนะ สําเร็จอภิญญา มีตาทิพย หูทิพย เหาะเหินเดินอากาศได ยังมองไมเห็นเลยวาคิด
ประทุษรายพระพุทธเจาแลวโทษที่ตามมาคือความรอนในอเวจีมหานรก อยาตองนับมาถึงพวกเราที่จิต
ขุน ปราศจากญาณหยั่งรูเลย

แตผมแนใจไดอยางหนึ่งวากรรมเปนสิ่งมีอายุขัย หมายความวาใหผลจนหมดแรงเมื่อไหรเปนอันเลิกเมื่อ
นั้น คลายกับที่เราออกแรงถีบจักรยานไปครั้งหนึ่ง ถาเบาก็เคลื่อนแคใกล ถาแรงก็พุงไดไกล ทํากรรม
หนักขนาดไหนก็คงชดใชจนหมดเขาสักวัน

ที่สําคัญกรรมแตละชนิดอาจหยอนแรงลงไดถามีปจจัยตรงขามมาแทรกแซง เชนสมมุติวาดาพอแมแรงๆ
แลวตองเกิดเปนสัตวเจ็ดครั้ง หากสํานึกได ขออโหสิ และไมทํากรรมหนักชนิดเดียวกันซ้ําอีกเลย ก็อาจ
ลดลงเหลือแคเกิดเปนสัตวหนเดียว ไมมีความยืดเยื้อ เพราะระงับเวรไดดวยคูกรณีเอง และที่สําคัญคือ
เมื่อใกลตาย จิตจะไมประหวัดถึงเลย เพราะโลงไปแลว เหมือนผานหายไปแลว เมื่อจิตกอนตายไม
ประหวัดถึงกรรมชั่ว ก็เบาใจไดวากรรมชั่วนั้นๆจะไมเปนชนกกรรมนําเกิดเปนวิญญาณบาป”
๓๓๒

สีหนาของเรือนแกวดีขึ้นหนอยหนึ่ง เพิ่งรูวาการขออโหสิ ปลดเปลื้องความรูสึกผิดที่ทําไวกับพอมีความ


หมายเพียงใด

“แลวมีไหมที่เราสามารถลบลางบาปดวยบุญอยางเด็ดขาด?”

เกาทัณฑตรึกนึก เผอิญวันกอนเขาเพิ่งอานเกี่ยวกับเรื่องของพระเจาอโศก ซึ่งมีตอนหนึ่งเปนบทสนทนา


ธรรมเกี่ยวกับปญหาขอนี้พอดี

“ครั้งหนึ่งพระเจาอโศกมหาราชเคยตรัสถามพระโมคคัลลีบุตรผูเปนอรหันต วากรรมดีและกรรมชั่วลบลาง
กันไดหรือไม พระมหาเถระทูลตอบโดยจับเคาจาก ‘โลณกสูตร’ ซึ่งพระพุทธองคเคยเทศนโปรดไว คือถา
แทนคําวา ‘ลบลาง’ ดวย ‘ละลาย’ จะฟงงายขึ้น ความดีสามารถละลายความชั่วใหจางหายได เชนเดียว
กับที่นําเกลือกํามือหนึ่งใสลงไปในอางที่มีน้ําปริมาณนอย เราจะเห็นวาน้ําในอางนั้นมีรสเค็มอยู แตเมื่อ
เติมน้ําเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความเค็มนั้นจะจางลงทุกที กระทั่งหายไปไมเหลือรสเค็มเลย โดยเฉพาะเมื่อ
ปริมาณของน้ํานั้นมากเหลือเกิน ทั้งที่จริงเกลือก็ยังคงอยูในอางไมระเหยหายไปไหน อยางนี้ทานเรียก
ทํากรรมชั่วใหอยูในสภาพ ‘มีเหมือนไมมี’ นั่นเอง”

กระแสปติบังเกิดขึ้นในใจของเรือนแกว บันดาลยิ้มใสขึ้นได เพราะรูกําลังตัวเองวามีความฉลาดที่จะทําให


คนรอบขางเปนสุขเพียงใด จะยากอะไรกับการแกมือ ‘เติมน้ํา’ ใสหัวจิตหัวใจพอมากๆ

“เตเพิ่งสนใจศาสนาไมนาน ทาทางรอบรูดีนะ มีทางลัดที่จะรูเนื้อหาในพระไตรปฎกเร็วๆหรือเปลา?”

เกาทัณฑผงกศีรษะ

“มีอยู นับวาคนไทยโชคดีมากที่ทานอาจารย สุชีพ ปุญญานุภาพ รวบรวมและยอความจากฉบับบาลี 45


เลมไวเปนเลมเดียวคือพระไตรปฎกฉบับสําหรับประชาชน ทานคัดขอความนารูจากพระไตรปฎก และ
ตามดวยยอความพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรมไวครบ ทําใหเปนไปไดจริงที่จะเลือกอานจุดสําคัญ
ที่สุดจนครบโดยไมซ้ําซอน ราคาถูกเหมือนไดเปลาดวย”

เรือนแกวเบิกตา นึกอยากไดขึ้นมาทันที

“หาไดจากไหนละ?”

“เห็นวาเปนของมหามกุฏราชวิทยาลัยนะ แตก็เอามาวางตามรานหนังสือแลว ผมก็ซื้อจากรานธรรมดานี่


แหละ คงหางายอยูหรอก เพราะพิมพครั้งลาสุดตั้งแสนเลมแนะ ถาแออยากไดเดี๋ยวกลับกรุงเทพฯผมซื้อ
ใหเลย”

เรือนแกวยิ้มหวาน
๓๓๓

“ขอบพระคุณนะเจาคะ”

ขณะนั้นเสียงโทรศัพทมือถือดังขึ้น เรือนแกวจําไดวาเปนเสียงเครื่องตนก็เปดกระเปาและหยิบขึ้นมากาง

“สวัสดีคะ”

“หนูแอเหรอจะ นี่ปาจุมนะ”

“คะปา วาไงคะ หนูกําลังรอนองจายอยูเนี่ย กําลังจะโทร.เช็กพอดี”

ฝายนั้นอึกอักเปนครู กอนเอยสั่นๆ

“อยูที่โรงพยาบาลจะ อาหารเปนพิษ นี่จายเขาบอกใหปาโทร.หาหนูนะ เขาสติเลอะๆเลือนๆบอกเบอร


หนูผิด ปาตองโทร.ใหคนที่บานหาอยูนานกวาจะเจอในสมุดของเขา”

“อาการหนักมากไหมคะ?”

“หนาเหลือสองนิ้วเลยหนูแอ แยจัง งานเสียหายมากไหมถา...”

“ไมเปนไรคะ”

เรือนแกวตัดบท ความจริงนองจายนี่มีหนาที่แคถือโนตบุคคอมพิวเตอรใหหลอนตอนเดินเขาไปหาคูธุระ
เทานั้น เรื่องของเรื่องคือหลอนตองการเพื่อนเดินทาง หรือจะเรียกใหโกหนอยวาคนติดตามก็ได ทุกเที่ยว
ธุระตางประเทศของหลอนจะมีนองคนนี้ตามประกบเสมอ เพราะสนิทคุนเคยกัน จะไหววานทําสิ่งใดก็
คลองแคลวรูใจทุกอยาง พิจัยเห็นหลอนทําประโยชนไวมาก ขอแคนี้เปนเรื่องเล็ก จึงอนุญาตมาตลอด

คุยกับญาติของนองอีกสองสามคํา ถามไถอาการและบอกวากลับจากสิงคโปรจะไปเยี่ยม พอตัดสาย หัน


มาเห็นเกาทัณฑมองคางอยูกอนก็ยิ้มให

“ขึ้นมานั่งเปนเพื่อนแอแทนนองจายนะ”

ไดที่นั่งคูริมหนาตางซีกซาย เกาทัณฑกางหนังสือพิมพอาน สวนเรือนแกวผินหนาสอดสายตาสูความมืด


ไรจุดหมายเบื้องนอกหนาตางอันแคบเล็ก พลางเคี้ยวขนมพายที่แอรโฮสเตสนํามาเสิรฟตุยๆ

เกือบครึ่งชั่วโมงผานไปดวยความเงียบระหวางกัน ขณะสายตาเกาทัณฑกําลังกวาดขาวจากหนังสือพิมพ
ฉบับที่สอง ศีรษะของหญิงสาวก็ยื่นเขามาแทรกระหวางเขากับหนากระดาษ
๓๓๔

“ลองชี้ซิขาวไหนนาสนใจกวาแอ”

ปลายจมูกของเขากับกลุมผมสั้นสลวยราวมุนไหมของหลอนหางกันแคหายใจรดถึง กลิ่นผมกรุนกําจาย
มากระทบฆานประสาทถนัด เรือนแกวคางนิ่งในทานั้นอยางจะรอใหเขาชี้จริงจัง เกาทัณฑกลั้นใจ สั่งตน
เองมิใหเผลอลอบยื่นจมูกเขาดอมดมเครื่องลอตรงหนา ทุกสวนในรางเรือนแกวเปนสิ่งตองหาม เผลอ
แตะเมื่อไหรเปนเรื่องเมื่อนั้น

พับหนังสือพิมพสอดเก็บลงกระเปาหลังพนักเปนการกําจัดเครื่องยึดหลอนใหคางคารอคอย เพราะนาน
ไปเขาเองคงหมดความอดกลั้นกับระยะประชิดยวนใจเขาจนได เรือนแกวดึงกายไปนั่งหลังตรงตามเดิม
กอนอุบอิบกระเงากระงอด

“พอขึ้นเครื่องก็ตัดไมตรีเชียวนะ เห็นแอเปนกระเปาเดินทางหรือไง ไมเหลียวแลเลย”

“ก็เห็นกินของวางแกลมวิวนอกหนาตางอยูนี่ ใครจะรูวาอยากใหขัดจังหวะ”

แลวเกาทัณฑก็พลิกนาฬิกาขึ้นปรับเวลาเร็วขึ้นกวาเดิมชั่วโมงหนึ่งและเปรยแกมบน

“กวาจะถึงชางจียังอีกเกือบสองชั่วโมง เพลียนะ อยากหลับมากเลย พยายามอานหนังสือพิมพใหงวงก็


กลายเปนตาแข็งหนักเขาไปอีก”

“อยากหลับใหฝนเห็นแมเทพธิดาที่กรุงเทพฯกระมัง”

หญิงสาวสันนิษฐานดวยทาทีกระแนะกระแหน

“ลืมตาก็เห็นนางฟาอยูแลว จะรอฝนทําไม”

เกาทัณฑตอบดวยน้ําเสียงรื่นรมย เรือนแกววาดสายตามามองตรงทันที

”จริงเหรอ?”

เสียงคาดคั้นของอีกฝายทําใหเกาทัณฑหัวเราะเอื่อยเฉื่อย ระงับใจไมคะนองลิ้นไปกวานั้น

“แอรโฮสเตสเขาเรียกนางฟานี่นะ”

หญิงสาวหรี่ตา ยกมือกอดอก ปนปากถาม

“แลวนังคนที่นั่งอยูขางตัวนี่เรียกอะไร?”

ชายหนุมยิ้มเฉียง ทําเปนยกมือปองหนาผากเบิ่ง
๓๓๕

“แมมดราย”

แมรูกันวาเปนคําหยอกเยาเลน แตก็ทําใหเคาหนาเรือนแกวสลดลงได

“แยจัง...แลวทําไงจะเปนนางเอกในสายตาของเตละ ตองนุมนิ่มเปนนางในวรรณคดีเหมือนคุณนองที่
กรุงเทพฯสินะ?”

“ลอเลนนา อยางแอถาเปนแมมดก็แมมดเจาเสนห มีฤทธิ์เดชแพรวพราว ใครเห็นใครก็ตองยกใหเปนนาง


เอก อยากไดเปนแฟนกันทั้งเมือง”

“รวมทั้งเตดวยเหรอ?”

หญิงสาวลดระดับเสียงลงเปนกระซิบ มองเพื่อนหนุมที่ปรับพนักเอนอยางผอนคลาย เขาสบตาตอบ


หลอนดวยกังวานเสียงทอดนุม

“สําหรับผมนะเกินเอื้อม อยาใหคิดดีกวา”

“ก็ไมลองดูละ?”

“เคยลองแลวไง”

สานตากันนิ่งและนาน กระทั่งเรือนแกวเปนฝายกะพริบกอน และโนมกายเขาหาชายหนุมเพื่อใหแนวา


เขาจะตั้งใจฟง

“ถามอะไรอยางไดไหม?”

เมื่อเขาพยักหนาจึงเอย

“มีอยูคืนหนึ่งที่เตเดินไปสงแอที่รถ แลวดึงเอวแอเขามากอดนะ หมายความวายังไง คิดยังไงเหรอ?”

เกาทัณฑกะพริบตาอยางนึกไมถึงวาหลอนจะมาดวยคําถามนี้ พอเขาอ้ําอึ้ง เรือนแกวก็กลาวตอดวยเสียง


เรียบ

“ไมใชจะตอวายอนหลังอะไรหรอกนะ แคอยากแกความเขาใจเสียใหม ถาคิดวาแอไมคอยมีคานัก ความ


จริงก็คือแอไมเคยยอมใหใครทําอยางนั้นมากอนเลย”

ลักษณาการตัดพอทําเอาเกาทัณฑคางงันไป รูสึกคลายกลายเปนจําเลยผูกระทําผิดเพิ่งถูกจับมาตั้งขอ
หา ความจริงเขาแตะเนื้อตองตัวหลอนมาหลายครั้ง และหลอนเองก็กระแซะเขาออกบอย ทําไมแคดึงเขา
มากอดหนอยเดียวถึงจดจําและทวงถามราวกับถือเปนเรื่องใหญเอาตอนนี้ดวย?
๓๓๖

เรือนแกวเปนฝายถอนสายตาออกจากอาการสบกัน นั่งพิงพนักดวยทาทีผอนคลายตามเขา และพูดเปน


ปกติเหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้น

“เคยนั่งสมาธิเห็นนางฟาตัวจริงมั่งไหม?”

เกาทัณฑกระแอมกุกหนึ่ง

“ใชจะเห็นกันงายๆเมื่อไหรละ ของแบบนี้”

หญิงสาวผินมองออกนอกหนาตางอีกครั้ง พักคิดเรื่อยเปอย หลอนเปนมนุษยในยุคที่สามารถลองฟา ขึ้น


มาเห็นโลกเปนภาคพื้นไพศาล อาจจะแบบเดียวกับมุมมองของเทวดาตามอุดมคติโบราณ แตก็ยังรูสึกตัว
อยูเสมอวาเปนมนุษย คงเพราะมีกายหยาบ และตระหนักดีวาหากหลุดจากโครงอากาศยานแลว หลอน
จะดิ่งลิ่วๆลงกระแทกพื้นแหลกเหลวในเวลาอันสั้นอยางแนนอน

รูสึกคลายเศษผงปลิวเขาตา ดึงหนังตาเขาออกเบาๆก็ไมหายเคือง จึงลวงกระเปาถือหยิบตลับแปงออก


มากางเพื่อใชกระจกเล็กสองชิดๆ กลอกตาหาผงอันเปนตนเหตุความระคาย เกาทัณฑเห็นเชนนั้นก็ชวย
ยกมือเปดไฟสวนของหลอนให

เรือนแกวพบเสนขนตาของตัวเองบริเวณตาขาวในเวลาตอมา จึงใชมุมผาเช็ดหนาเขี่ยออก ใจหนึ่งอยาก


วานเพื่อนชายใหชวย แตอีกใจคิดวาชวยตัวเองดีแลว ใครวาผงเขาตาตองพึ่งพาคนอื่น อัตตาหิ อัตโนนา
โถ ดีกวาคะ มีเครื่องชวย เครื่องทุนแรงออกเยอะ ไมเห็นตองงอเลย...ชิ!

พอหมดความระคายเคือง หญิงสาวยังมองหนาตนเองในกระจกเล็กคาง ยื่นมือออกหางจนเห็นทั้งดวง


หนาคมขํา แลวเปรยออกมาคลายพูดกับเงา

“ถาเกิดมีศาสตราจารยสติเฟองประดิษฐกระจกวิเศษ สองแลวเห็นวิญญาณตัวเองเปนเทพยดาหรือ
อสุรกาย อะไรจะเกิดขึ้นบางนะ โลกคงถึงอีกยุคปฏิวัติ จากสังคมอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีไปเปน
สังคมโลกอุดรเลยเชียว”

เกาทัณฑหัวเราะ คิดในใจวาแมคนนี้มีแววเปนนักเขียนเรื่องสั้นแนวแฟนตาซี

“ถาเปนอยางนั้นจริง...” เขาชวยนึกวาด “คงรูดํารูแดงแหละวาทํากรรมชนิดไหนเรื่อยๆแลวฟอกจิตให


สะอาดขึ้นจนเปนเทวดาได คนก็คงแหทําตามกันอยางคึกคัก อาจมีแนวทางที่พัฒนาขึ้นเปนหลักสูตร
เรียนกันตั้งแตอนุบาล วิชาวาดวยการยกจิตขึ้นเปนเทวดาโดยเฉพาะ และนักปฏิบัติกับนักเดาสวดทั้ง
หลายก็คงสรางหลักสรางเกณฑการเลือกเกิดใหมในสวรรคกันจาละหวั่น ตั้งราคาแยกขายถูกบางแพง
บางตามเทคนิคที่ชัดเจน ลัดสั้น เห็นผลทันตาของแตละเจา”

เรือนแกวหัวเราะกิ๊กที่เกาทัณฑฝอยเฟองตามหลอนเปนเรื่องเปนราวขนาดนั้น
๓๓๗

“ใช...แลวลัทธิอุบาทวประเภทฆาแพะบูชายันตเพื่อใหขึ้นสวรรคคงเกิดขึ้นไมไดดวยเนอะ เพราะทําปุบคง
เห็นเลยวาวิญญาณสกปรกมอมแมมทันที”

“อือ คนในศาสนาตางๆก็คงมีโอกาสสองดูผลสะทอนที่ตัวเองปฏิบัติบําเพ็ญกันมาอยางเอิกเกริก ถารัฐ


บาลเรงผลิตกระจกของแอออกแจกจาย หรือขายประชาชนในราคาถูก คุกตะรางอาจถูกทุบทิ้งเพื่อ
เปลี่ยนเปนสนามเด็กเลน ตํารวจคงตองถอดหมวกแกปเริ่มเรียนวิชาชีพใหมกันทั้งกรม นักวิทยาศาสตร
ทั่วโลกคงระงับโครงการวิจัยอื่นหมด หันมาทุมตัวคิดประดิษฐเครื่องมือกระตุนใจใหใฝดีกันอยางโจงครึ่ม
ทั้งนอกแล็บและในแล็บ รางวัลโนเบลคงตองเพิ่มสาขาสรางโลกอุดรอยางเปนวิทยาศาสตรขึ้นมาดวย ใน
ฐานะที่ชวยคนตายใหขึ้นสวรรคไดอยางมั่นใจ”

ใบหนาเรือนแกวยังคงกราดดวยรอยยิ้มเพลิน พับตลับแปงเก็บแลวสานตอดวยคําถามที่เปนเรื่องเปนราว
ขึ้น

“ถึงวันนี้มีเทคโนโลยีอะไรที่ใกลเคียงมั่งไหมละ?”

เกาทัณฑยกแขน เอาปลายนิ้วโปงเกลี่ยคาง กอนตอบชาๆ

“มีกลองเกอเลี่ยนนะที่บันทึกรัศมีกายของสิ่งมีชีวิตได แตก็แคเห็นออกมาทํานองวาเมื่อโกรธจะมีสีอะไร
เมื่อใจผองใสจะดูดีแคไหน ซึ่งนั่นก็พอรูกันทางตาเปลาอยูบางแลว ไมเห็นจะทําใหใฝดีอยากผองใสแขง
กันเลย อีกอันหนึ่งเร็วๆนี้มีกลองที่ใชเทคนิคแสงอินฟาเรดสองทะลุเสื้อผาได เห็นเขาไปใตรมผาเปนเคา
เปนเงาแบบแวนวิเศษ อันนั้นยิ่งออกหางการสรางเทวดาเขาไปใหญ เพราะเห็นแตของหยาบที่ทําใหเกิด
กิเลสหนักกวาเดิม”

“เหรอ” ตาหลอนเปนประกายขึ้นเรื่อยๆ “อยางนี้ก็แปลวากระจกวิเศษสะทอนกายทิพยคงพอมีสิทธิ์ใน


อนาคตมั้ง?”

ชายหนุมยักไหล รับวา

“ไมรูซี แตถาเอาจริงคงตองสรางทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องของแสงอีกชนิดหนึ่ง แตกตางจากแสงที่เราเคยรูจัก


กันอยางสิ้นเชิง เพราะกายทิพยเปลงแสงไดดวยตัวเอง คนละเรื่องกับแสงที่เขากระทบตาอยางนี้”

แบมือวาดอากาศซึ่งสวางดวยไฟนีออนในหองโดยสารประกอบคําสุดทาย

“จะใชความรูสึกธรรมดาซึ่งเกิดขึ้นในขณะนี้วัดไดหรือเปลาวาเรากําลังเปนวิญญาณที่จะไปอยูสูงหรือต่ํา
แคไหน?”

“คงไมไดหรอก เพราะบางคนแมทําชั่วเปนอาจิณ ก็ทําไปดวยสติปญญา ดวยความรูคิดฉลาดเฉลียว แม


เปนอกุศลก็ปรุงจิตใหเกิดโสมนัส ซึ่งอยูขางเดียวกับความสวาง ทําใหเกิดสามัญสํานึกวาตัวเองอยูสูง”
๓๓๘

นั่นทําใหเรือนแกวคิดถึงมาเฟยใหญบางคนที่คายาเสพติด คาอาวุธ คาผูหญิง สั่งฆาคนมานับไมถวน แต


กลับมีหนาตาอิ่มเอิบ อวนทวนราวกับนักบุญผูมีเมตตา แลวก็เห็นจริงตาม บุคคลเหลานี้มีความเปนผู
บริหาร รูจักคุมคน รูจักวินัย รูจักเจรจา ซึ่งลวนแลวแตอาศัยความมีสติ ความฉลาดคิด อันอยูขางกุศลทั้ง
สิ้น เสียแตวาฐานกุศลถูกนําไปใชกออาจิณณกรรมอันสามานยเทานั้น

“ถาคนเราจําไดวาเคยขึ้นสวรรคลงนรกมากอน คงทําใหกลัวบาป โลกคงนาอยูขึ้นบางนะ”

“จําไดอยางเดียวไมพอ ตองรูทางขึ้นสวรรคลงนรกดวย เคยมีมาแลวที่พระราชาบุญมากแตขาดปญญา


ฝนเห็นสวรรค ตื่นขึ้นมาตาลีตาเหลือกถามปุโรหิตคนสนิทวาจะขึ้นสวรรคทําไง ปุโรหิตมีเรื่องเคืองอยูกับ
พระโอรสของพระราชามากอน เลยทูลสงเดชใหตัดหัวโอรสธิดาเพื่อบูชายัญ ไอคนเราดวยความที่ไมรูก็
เชื่อตาม เพราะกระสันอยากขึ้นสวรรคจัด เลยจับลูกเมียเตรียมบูชายัญเกลี้ยง ยังดีมีเหตุใหแคลวคลาด
ไปได

ถาคนเราจําติดหัววาเคยนอนบนสวรรค เคยกลิ้งในนรก ใครจะรูวาโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน แอ


กับผมอาจกําลังจาริกแสวงบุญไปตามปาเขา แทนที่จะเดินทางไปธุระหนาที่เพื่อแลกกับความเปนอยูสุข
สบายในชวงชีวิตปจจุบัน แตเพราะจําไมได...โลกถึงกําลังเปนอยางที่เปน”

“วิทยาศาสตรอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของความจําใกลไกลไวยังไง?”

“อือม...ลองจําเลขนี้นะ สองเจ็ดเกาแปดสองสองสามหาสี่เกาเกา...”

เขาพูดเร็วๆแบบใหผานหู แลวนิ่งไปพักหนึ่ง กอนถามวา

“ไหนลองทวนซิ”

“สองเจ็ดเกาแปดสองสองสามหาสี่เกาเกา”

เรือนแกวทวนคําที่ติดหูและเจตนาบันทึกไวไมตกหลนไดครบถวน เกาทัณฑยิ้มนิดหนึ่งกับสีหนาเชื่อมั่น
ในตนเองของอีกฝาย

“คิดวาอีกสิบชั่วโมงขางหนายังจําไดหรือเปลา?”

หญิงสาวลังเล

“อาจจะ”

“อีกสิบเดือนขางหนาละ?”

เรือนแกวยนคิ้ว
๓๓๙

“ถาไมหมั่นทองก็ตองลืมเปนธรรมดาซิ”

“นั่นแหละ ทางประสาทวิทยามองความจําชวงสั้นแบบนี้วาเปนการกระตุนโปรตีนในกลุมเสนประสาทขึ้น
มา ถาโปรตีนถูกลดการกระตุนลงความจําก็หมดไปดวย ซึ่งตัวที่ ‘กระตุน’ นั้น มองดวยสามัญสํานึกก็คือ
เจตนาจดจํานั่นเอง

แตความทรงจําในระยะยาว เชนหลายเหตุการณที่ประทับลงในใจโดยรูหรือไมรูตัว จะถูกพิจารณาวาเปน


การจัดเก็บโดยการเปลี่ยนแปลงโครงสรางในกระบวนการทางประสาท เชนจํานวนสาขาเสนประสาท
สมองที่ถูกสรางขึ้นใหม ไมเกี่ยวของกับปจจัยภายนอกเชนจิตวิญญาณ อยางนอยก็เทาที่คนพบและเชื่อ
กันจนถึงวันนี้“

เรือนแกวซอยเปลือกตาถี่ๆ

“อาว! แปลวาความจําไมเกี่ยวกับการบันทึกลงจิตลงใจ?”

“สําหรับนักประสาทวิทยาบางกลุมที่อยากจะเชื่ออยางนั้นนะ มีถึงขนาดเห็นวาอาจสรางเครื่องสแกนขอ
มูลจากเยื่อประสาทสมองหนึ่ง คัดลอกไปใสอีกสมองหนึ่งไดกันเลยทีเดียว”

“แลวที่เตเชื่อ?”

"ระบบประสาทมนุษยซึ่งเปนฝายรูปธรรมนี่นะแอ มันมีสวนชวยจัดเรียงความจําใหถูกดึงขึ้นมาไดงาย
หรือยาก เราผาสมองเพื่อติดตามการทํางาน สํารวจระบบประสาทหรือกระบวนการเคมีตางๆได แตก็พบ
วาเต็มไปดวยความลึกลับนาพิศวงที่เขาถึงยากอีกมากมาย ทวาตัวความหมายรูหมายจําอันเปนฝาย
นามธรรมยิ่งนาพิศวงกวานั้น ความจําไดหมายรูไมเหมือนกอนขอมูลคอมพิวเตอรที่ถูกบันทึกลงไปใน
พื้นที่เก็บเปนสัดสวนแนนอน แตเปนสภาวะเชื่อมโยงจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง อยางถาหมายรูวานี่เพื่อนเรา
ความรูสึกที่มีตอเพื่อนคนนั้นก็เกิดขึ้น ความทรงจําเกี่ยวกับเพื่อนคนนั้นก็ผุดขึ้น เชนชื่ออะไร เคยประสบ
เหตุการณใดรวมกับเรามา พูดสั้นๆวาถาไมมีนิมิตหมายของเพื่อนใหหมายรู ก็ไมมีที่ตั้งของความจํา
เกี่ยวกับเพื่อนอยูตรงไหนเลย เขากับหลักธรรมชาติอันลึกซึ้งที่พระพุทธเจาแสดงไววาเพราะสิ่งนี้มี อีกสิ่ง
จึงมีได ตางเปนเหตุเปนปจจัยของการปรากฏ ใชวามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งดํารงตนอยูอยางเปนเอกเทศ

"การที่คนเราระลึกไดเพียงเหตุการณที่เกิดขึ้นในชาติปจจุบัน ประการแรกก็เพราะขอจํากัดทาง
ประสาทสมองซึ่งชวยดึงความจําไดเฉพาะที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กายนับจากแรกเกิดกําเนิดกายนี้เทา
นั้น ประการที่สองคือไมมีนิมิตหมายเกี่ยวกับอดีตชาติใดๆมากระตุนใหเกิดความหมายรูหมายจํา หรือถึง
แมเห็นบางสิ่งที่สะกิดใหคุนเคย ก็หยุดอยูตรงความคุน จะรูทะลุปรุโปรงตลอดสายไมได เนื่องจากนิมิต
หมายตางๆในตัวเราและภายนอกเปลี่ยนแปลงไปหมดแลว กลาวอยางรวบรัดไดวาชาตินี้คือกาย กายนี้
แหละปดบังชาติอื่นๆไว"
๓๔๐

คนฟงตรองตามแลวเกิดความสงสัย

"เราจะรูไดยังไงวาสิ่งที่สะกิดใหคุน เปนความคุนสภาวะอดีตชาติแนๆ?"

"เอางายๆอยางนี้ ทําไมเราเห็นหนังหรือไดยินไดฟงเกี่ยวกับนรกแลวถึงกลัว ก็เพราะภาพและเรื่องราว


ของนรกมันไปสะกิดใหนึกออกเปนเลาๆวาอยางนี้เราเคยผานมากอน แตเหตุที่ประสาทกายอันเปนชาติ
นี้เดี๋ยวนี้มันตรึงไวกับความรูสึกแบบมนุษย นิมิตหมายเกี่ยวกับกายสัตวนรกที่เราทุกคนเคยเปนกันมาจึง
ไมชัด เมื่อไมชัดก็ไดผลคือความกึ่งเชื่อกึ่งลังเล"

"สรุปคือถาใจผูกอยูกับระบบประสาท ก็ระลึกไดเทาที่ระบบประสาทเก็บกักความจําไวในรางนี้ ชีวิตนี้


และในเมื่อยังตองอยูกับกายกันทุกลมหายใจ ก็เปนอันวาหมดสิทธิ์รูเรื่องเกาๆนะซี?"

เกาทัณฑสั่นศีรษะ

"มีระดับจิตที่อยูเหนือวิสัยคิดอาน จะเรียกจิตเหนือสํานึกหรืออะไรก็แลวแต เอาเปนวาฝกหัดกันได ทําให


มีได และใชเอาชนะขอจํากัดของระบบประสาทหยาบ ยอนระลึกไปไกลกวาเมื่อแรกเกิดได"

"หมายถึงตองฝกสมาธิใหเกิดจิตเหนือสํานึก?"

"มากกวานั้น ตองมีการฝกสะกดรอยยอนเหตุการณตางๆตามลําดับ โยงจากจุดหนึ่งไปหาจุดหนึ่ง ไลจาก


ใกลออกไปไกลหางเรื่อยๆ จดจําพฤติกรรม ความรูสึกนึกคิดกระทําการตางๆ ซึ่งจะเหมือนเกิดขึ้นอีก
ครั้งแคไหนก็ขึ้นอยูกับกําลังจิตที่บมไดจากสมาธิ อันนี้ก็คือใชหลักเอาความจําหนึ่งเรียกความจํากอนๆ
ยอมเปนที่รูแนแกใจเฉพาะตนวาใช"

หญิงสาวเลิกคิ้ว พอเขาพูดถึงการยอนรอยการกระทําตางๆก็เกิดประกายความคิดบางอยางขึ้นมา

“นานมาแลวแอเคยอานหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิต ที่วาใหยอนไปเห็นอดีตไดชัดเจนเหมือนเกิดขึ้น
ใหมอีกครั้ง เลยเกิดความสงสัยวาถาเปนเรื่องจริง เราจะถูกสะกดกลับไปหาอดีตแลวเปลี่ยนภาพการ
กระทําใหม เชนที่ผานมาเกิดลุแกโทสะฆาใครตาย ก็ยอนกลับไปสูเหตุการณนั้นแลวเปลี่ยนเปนยับยั้งชั่ง
ใจ ถอนตัวไมลงมือฆา จะเปนการสลัดคืนบาปกรรมไดหรือเปลา?”

ชายหนุมสั่นศีรษะทันที

“การยอนนึกและสรางมโนภาพใหมขึ้นทับของเดิมเปนเพียงกลการเลนทางจิตซึ่งเกิดขึ้นในปจจุบัน
เหมือนเราลบคําผิดดวยการเอาแถบกระดาษมาปดแลวเขียนขอความใหมทับลงไป ซอนจากสายตาได
แตตัวที่เปนขอความเกาแทๆยังอยู และคงเปนอันเดียวกับขอความอื่นบนหนากระดาษเดิม แถบใหมตาง
หากที่เปนของแปลกปลอม และไมมีทางกลืนเปนอันเดียวกับหนากระดาษเดิมแท”
๓๔๑

“หลักวิชาสะกดนี่มีอยูจริงและเปนวิทยาศาสตรใชไหม?”

“ใช ทุกวันนี้จิตแพทยสะกดจิตคนไขกันเปนเรื่องปกติ เพราะพิสูจนกันหลายแสนหลายลานรายแลววา


สามารถบําบัดอาการผิดปกติทางจิตไดจริง โดยเฉพาะบาดแผลที่มาจากตนเหตุซับซอนซอนเงื่อน บําบัด
ดวยวิธีการธรรมดาแลวไมไดผล

แตจิตแพทยก็ตองไดรับการฝกอบรม และมีความเขาใจสถานการณ สามารถแกปญหาเฉพาะหนาไดดวย


ไหวพริบและปฏิภาณเฉพาะตัว เพราะบางครั้งแทนที่จะไดผลดี กลับกลายเปนซ้ําเติม เปดแผลคนไขให
ฉีกกวางขึ้นอีก”

เรือนแกวชักนึกอยากรูอยากเห็นตามนิสัย

“เธอสะกดเปนหรือเปลา?”

“รูหลักการ แตไมเคยลองหรอก ความจริงถาศึกษาแลวจะเห็นวาการสะกดจิตเปนเรื่องธรรมดามาก แทบ


ไมตองอาศัยเวทมนตรหรือคุณวิเศษใดๆในผูทําการสะกดเลย ทุกอยางเกิดขึ้นที่ตัวผูถูกสะกดเองเปน
หลัก อยางผมบอกใหแอนึกเดี๋ยวนี้...”

พอเห็นเรือนแกวตั้งตาตั้งใจฟงเขม็ง เกาทัณฑก็เผลอยิ้มอยางนึกเอ็นดูออกมาเล็กนอย

“นึกถึงสมัยเรียนอยูอนุบาล มีภาพเหตุการณอะไรปรากฏขึ้นในหัวบางไหม?”

หญิงสาวลองยอนนึกตาม สะเก็ดความจําคนเราจะผูกอยูกับเครื่องแบบและสถานที่ในสมัยหนึ่งๆของแต
ละชวงชีวิต ในวาระแรกที่คิดตามเกาทัณฑพูดนั้นเอง สมองที่ทํางานแบบสุมดึงความจําก็ฉายภาพทาง
มโนนึกทันที

“มี”

“เห็นเปนอะไร?”

“ฉันเลนกับเพื่อนๆในสนามเด็กเลนของโรงเรียน แตนึกรายละเอียดไมออก”

“สะเก็ดความจําไมมีรายละเอียดหรอก อาจจะเพราะเมื่อกี้ผมบอกไวกวางเกินไป และจูงความนึกตาม


ดวยคําวา ‘อนุบาล’ ซึ่งไปโยงกับเครื่องแบบเด็ก แอเลยนึกถึงภาพชินตาที่เห็นเพื่อนนักเรียนอนุบาลเปน
หลัก คราวนี้ลองใหม นึกดูวาในวัยเดียวกันนั้น แอเคยถูกเพื่อนกอดบางไหม?”

สมองของเรือนแกวสุมหาเหตุการณจากเบื้องลึกความจําเพียงอึดใจเดียวก็ไดคําตอบ

“เคย”
๓๔๒

“ลองบรรยายซิรายละเอียดเปนไง”

“มีเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งสะกิดชวนใหเงยหนาดูพุมเมฆบนฟา บอกวา ‘ดูสิเธอ เหมือนยักษเลย’ แอ


เงยหนาดูตามก็เห็นวาจริง เกิดความรูสึกกลัวขึ้นมา ตางคนเลยตางกอดกันแนน”

“ลองเจาะลงไปในรายละเอียดนะ ถาแอจําไดขนาดนี้ก็ตองนึกไดลึกลงไปอีก เพราะแสดงวานี่เปนเหตุ


การณเดนที่ถูกประทับไวในสวนความทรงจําระยะยาว ลองทบทวนดูวาในขณะที่กอดกันกลมกับเพื่อน
คนนั้น ใจแอคิดอะไรบาง”

เรือนแกวหยั่งความรูสึกทวนกลับไปหาเหตุการณลึกลงไป พบวาสัมผัสและความรูสึกนึกคิดถูกดึงกลับ
มาใกลเหมือนเกิดขึ้นอีกครั้ง

“แอคิดหยิ่งๆวาทําไมตองกอดกับยายนี่ดวย เนื้อตัวสกปรกมอมแมม อวนก็อวน”

เกาทัณฑกลั้นหัวเราะไว ดวยเกรงเรือนแกวจะเห็นวาเขามองสิ่งที่หลอนบรรยายเปนเรื่องขบขัน

“แลวปลอยจากการกอดดวยความรูสึกนึกคิดยังไง?”

“ความกลัวมันจางไปเอง ตางคนตางไป ไมมีใครสนใจ”

“จากนั้นแอไปไหน ทําอะไรกับใคร?”

เรือนแกวพยายามเคนนึกอยูนาน แตคราวนี้ลงเอยดวยการสั่นศีรษะ

“นึกไมออก”

“นี่แหละเปนตัวอยาง สะเก็ดความจํามักเปนเหตุการณประทับเดนชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ในภาวะที่ถูกสะกดนี่แอ


จะเห็นชัดกวานี้ เนื่องจากความรูสึกในกายจะหายไป จิตเปดรับผัสสะในอดีตเต็มที่

การนึกเปนหนาที่ของจิตใจแอเอง แมแตตัวผูสะกดก็ไมไดลวงรูอะไรเลย เปนแตอยูเบื้องหลัง เปนผูนํา


รองดวยการใชคําพูด ซึ่งถาผูถูกสะกดยอมเชื่อแตแรก ทุกอยางก็เขาล็อกหมด”

“ตอนเริ่มสะกดนี่เขาทํายังไงนะ”

“มีอยูหลายกลวิธี แตเทาที่รูวานิยมมากคือสั่งใหทําใจนึกตามเพื่อใหกลามเนื้อสวนตางๆคอยๆคลายตัว
ลง และทําใหเกิดสมาธิอยูกับจุดใดจุดหนึ่ง เชนบอกวาขณะนี้กลามเนื้อบนใบหนาคุณกําลังผอนคลาย
เนื้อตัวสวนอื่นๆก็หยอนสบายตามลําดับ เหลือแตลมหายใจเขาที่นําความรูสึกเปนสุขมาให และลม
หายใจออกที่ระบายความตึงเครียดออกจากกายอะไรทํานองนั้น”
๓๔๓

หญิงสาวสยายริมฝปากจนเห็นลักยิ้ม ตะแคงรางหันมาทางเขา เทาศอกเอาปลายนิ้วชี้เกลี่ยจอนผมขาง


หนึ่ง ถามดวยตาเปนประกายหนอยๆ

“เตสะกดใหแอเที่ยวไปในอดีตมั่งไดไหม?”

เกาทัณฑสายหนา

“ไมดีหรอก ผมไมใชผูเชี่ยวชาญ ของแบบนี้ตองมีประสบการณ มีความนาเชื่อถือ และที่สําคัญตองมีเปา


หมายบางอยาง เชนบําบัดโรคหลอนหรือความกลัวอยางไรสาเหตุ ไมใชเรื่องนานึกสนุกทําเลนตามใจ
ชอบ”

“แตแอเชื่อมือเตนะ” หลอนหมายความตามที่พูด “ใครจะรูวามีประโยชนรออยูแคไหน เคยไดยินวาในทาง


จิตวิทยาแลว ทุกคนมีบาดแผลทางใจเสมอ จะมากหรือนอย จะหนักหรือเบาเทานั้น แออยากขุดคุยดูวา
ชีวิตที่เห็นๆแคในชาตินี้ เรามีแผลที่ยังไมไดรับการเยียวยาอยูสักเทาไหร บอกตามตรงแอก็รูตัวนะ วา
เพี้ยนๆเปนบางครั้ง”

“เชน?”

“อยาใหเลาเลย เลาแลวอายนะ”

“อะ! งั้นตอนโดนสะกดไมกลัวถูกสั่งใหเลาโนนเลานี่ เปดโปงโลงโจงหมดหรือ?”

“ถึงบอกไงวาในความไมเปนตัวเองนั้นแอเชื่อและไวใจเต คิดเสียวาเลนอะไรสนุกๆดวยกัน ฉันยอมเปน


หนูทดลองให สวนเธอก็จะมีโอกาสเปนรัสปูตินสักชั่วโมงหนึ่ง ดีไหม?”

วูบหนึ่งเกาทัณฑเกิดนึกสนุกตามขึ้นมา เพราะเขารูทฤษฎี รูหลักวิธีเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้คอนขางละเอียด


จากการอานขนานใหญนับแตหลวงตาแขวนสะกดใหเห็นอัตภาพในอดีตอันนาระทึกและนรกภูมิอันนา
สยดสยอง ดวยนิสัยนักศึกษาผูตองการคําอธิบายใหกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แตยังไมเคยไดลองใชความรูที่
อานๆมาใหเกิดผลกับใครสักที

เงื่อนของการสะกดจิตมีความซับซอน ตื้นลึกหนาบางอยูมากมาย หลวงตาแขวนทานมีอภิญญาชั้นสูง


ตบะเดชะแกกลาขนาดสะกดคนที่ยังลืมตา มีสติสมบูรณใหอยูในอํานาจ เห็นไปตางๆได ซึ่งภายหลังเขา
มารูวาฤทธิ์ระดับนั้นอยูในขั้นเทวดาทีเดียว ใชวาทําสมาธิ ไดฌานสมาบัติ และพยายามฝกหัดแลวจะทํา
ปาฏิหาริยขนาดทานไดทุกคน ตองมีแรงหนุนจากอดีตที่เคยสําเร็จอภิญญาแกกลามานับภพนับชาติไม
ถวนเปนองคประกอบรวมดวย

สําหรับเขาและคนทั่วไปซึ่งเทียบกําลังจิตกับหลวงตาแขวนแลว เหมือนเด็กหัดตั้งไขลม ตมไขลุก ถาคิด


สะกดจิตใครละก็ จะตองไดรับการยอมรับจากผูถูกสะกดเปนขั้นพื้นฐานพอควร เรียกวาออนใหอยูกอน
๓๔๔

ดวยความนับถือบารมีบางประการที่เหนือกวาอยูแลว กับทั้งจะตองรูและเขาใจหลักการสะกดโดยปริยาย
ตางๆอยางชัดเจน เพื่อความสัมฤทธิ์ผลจริงในการบันดาลภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นใหเกิด

และตัวภาวะถูกสะกดเองก็ใชจะเหมือนกันเสมอไป เปนที่รูในหมูจิตแพทยวาคนไขบางรายมีพรสวรรคใน
การเขาสูภาวะถูกสะกดดี บางรายก็เขาสูภาวะถูกสะกดยากมาก

ทุกอยางเปนปจจัยใหเกิดความสําเร็จและลมเหลวไดหมด ไมวาจะเปนน้ําเสียงของจิตแพทย สภาพที่


นอน อุณหภูมิหอง หรือกระทั่งความไมเขากันที่ลอยอยูในอากาศระหวางจิตแพทยกับคนไข

เรือนแกวทําใหเขาเกิดนึกอยากรูขึ้นมาวาเขามีความสามารถทําหนาที่เปนผูสะกดไดแคไหน และตัว
หลอนเองมีพรสวรรคในการถูกสะกดเพียงใด หลอนเปนคนมีความสามารถหลากหลาย กับทั้งมีกําลังจิต
แรง แปรจิตจับสิ่งตางๆไดไวกวาคนทั่วไป และที่สําคัญหลอนพูดกับปากวาเชื่อมือเขา ปจจัยทุกอยาง
เหมือนถูกเตรียมไวพรอมมูลลวงหนา ชวนใหนึกอยากนํามาใชเปนอยางยิ่ง

“จะเอาจริงเหรอ?”

ในที่สุดเขาก็หันมาถาม มีความรูสึกเหมือนกําลังมองคูหูที่ดึงกันและกันลงเลนเกมสนุกแปลกใหม ทาทาย


ความกลาซน กลาไดกลาเสีย เรือนแกวยักคิ้วใหทีหนึ่ง เปดยิ้มอวดเขี้ยวนารักตรงมุมปากเปนคําตอบ
๓๔๕

เชาวันนั้น เกาทัณฑกับเรือนแกวออกจากโรงแรมในยานออรเชิรดสตรีท ทอดเทาเรื่อยเฉื่อยปะปนไปกับ


ลูกจีนชาวสิงคโปร ไมจําเปนตองเรงรีบ เนื่องจากออฟฟศของ เดวิด ชุน อยูหางออกไปเพียงสามรอย
เมตรเทานั้น

เชานี้เรือนแกวคมคายไปทั้งตัว เรือนผมหลอนแสกกลางโหยง เห็นไรผมแหลมจิกกลางหนาผากสวนบน


เกไก สูทสีน้ําตาลออนเรียบกริบดูภูมิฐาน ทวงทีแตละยางกาวประเปรียวเชื่อมั่นราวกับกําลังเดินแบบบน
แคตวอลคอวดความเฉิดฉาย เกาทัณฑสังเกตเห็นทั้งหนุมทั้งแกบนฟุตบาทที่เดินสวนตางเหลียวตามราว
กับเจอมนตสะกด เขาเองขนาดเห็นหลอนมานานยังลอบชําเลืองเปนพักๆเลย บางวันเรือนแกวมีอํานาจ
เสนหดึงดูดความสนใจราวกับแมเหล็กแรงสูง โดยเฉพาะขณะกําลังมาดมั่นเอางานเอาการอยางเดี๋ยวนี้

ทั้งสองมาถึงกอนเวลา และถูกเชื้อเชิญเขาหองทํางานของนายชุนทันที นายชุนยิ้มแยมโอภาปราศรัยกับ


เรือนแกวราวกับญาติสนิท เพราะเคยคุนกันมากอน และหลอนก็พูดจีนกลางกับฝายนั้นเปนตอยหอย
เกาทัณฑกลายเปนใบและหูหนวกไปโดยปริยาย เนื่องจากฟงไมออกแมแตคําเดียว จึงนั่งเปนตัว
ประกอบ หรือพูดใหชัดคือสวนเกิน ฟงคูสนทนาสงภาษาหวาๆเหวยๆไปเรื่อย

บางทีเรือนแกวก็หัวเราะแฮะๆๆๆเหมือนเพื่อนเลน และทาทางนายชุนเจอมุขเด็ดเขาไปหลายขนาน บาง


ทีถึงกับหัวเราะจนตาปด อยางนี้ไมตองรูภาษา เกาทัณฑก็ทราบไดวาบทสนทนาทั้งหมดทั้งปวงหางไกล
จากการงานสุดกู เห็นนายชุนคึกคักกระชุมกระชวย ยิ้มไมหุบจองเรือนแกวตาเปนมันอยางกับหนุมละ
ออนแลวชักนึกหมั่นไสขึ้นมารําไร

กระทั่งไดเวลานัด ผูจัดการฝายอีกคนก็เคาะประตูเดินทื่อราวกับผีดิบเขามาสมทบ และหลังจากทักทาย


เสวนากับเรือนแกวไดเดี๋ยวเดียว ผีดิบก็เปลี่ยนสภาพเปนปลากระดี่ไดน้ําตามนายชุนไปอีกราย
เกาทัณฑชินเสียแลว เสนหนาทึ่งของหลอนนอกจากไมหยอนลง บางทีจะแรงขึ้นตามวัยและชั่วโมงบิน
ดวยซ้ํา

อพยพจากโตะทํางานนายชุนไปนั่งที่ชุดรับแขก หันหนาคุยกันเปนเรื่องเปนราวดวยภาษาอังกฤษ เพื่อ


ให ‘สวนเกิน’ อยางเขาเขารวมวงได
๓๔๖

เรือนแกวทําหนาที่ไดอยางวิเศษ หลอนใชภาษาอังกฤษที่ไพเราะและชัดเปรี๊ยะไรที่ติในการปูพื้นเกี่ยวกับ
ความพรอมทั้งกําลังคนและเทคโนโลยีซึ่งถูกกับงาน จากนั้นคอยๆผอนจังหวะ ถายเทบทบาทดาน
เทคนิคมาทางเขาทีละเปลาะ สรางบรรยากาศเปนกันเองใหเกิดขึ้นอยางตอเนื่อง

กระทั่งถึงเวลาที่ตองฉายไฟลสไลดดวยมัลติมีเดียโปรเจ็คเตอร เกาทัณฑตองไปยืนชี้รายละเอียดหนาสก
รีน ความแรงของแสงกวาหนึ่งพันแอนซีลูเมนสจากเครื่องฉายทําใหไมตองหรี่ไฟหองใหต่ําลงกวาเดิม ดัง
นั้นเมื่อมองเขาหาโตะประชุมจึงเห็นความเปนไปอยางถนัด วาพอเจาประคุณทั้งสองไมไดใหสมาธิกับ
การฟงเขาบรรยายสักเทาไหร เอาแตแวะเวียนสายตาไปทางเรือนแกว บางคราวก็ทําทีสงสัย เขายืนอยู
ขางหนาทั้งคนไมถาม ไปถามเอากับสาวสวยนั่นแหละ พอเรือนแกวอึกๆอักๆจะเบนมาถามเขาตออีก
ทอด ก็ทําเปนโบกมือหัวเราะกลบเกลื่อน ซึ่งแปลวาที่แทไมอยากรูคําตอบ หรือรูแลวแตแกลงถามเพราะ
อยากคุยดวยเทานั้นเอง

เสียสมาธิจากคนฟงผูเปนเปาหมายไมพอ บางทีถูกลอตาจากกิริยายกเรียวขาไขวหางอยางแนบเนียน
ของเพื่อนรวมงานสาวเขาอีก ปุบปบชะวากลึกเห็นถึงไหนตอไหน ทําเอาเขาพูดอยูแทบอาปากคาง ผู
หญิงเปนเสียอยางนี้ แกลงยั่วใหอยากถลาใส พอเกิดเรื่องก็โวยวายโทษความหนามืดของเพศชายฝาย
เดียว นาออนใจนอยอยูเมื่อไหร

นายชุนนําไปเลี้ยงขาวกลางวันในภัตตาคารหรูเกินเหตุ เกาทัณฑทราบชัดเลยวานั่นคือการไดกินบุญของ
เรือนแกว สองชั่วโมงเศษบนโตะจีนแพงระยับนั้น เกลื่อนไปดวยอาหารโอชารสชั้นอองที่ทยอยมาจาน
แลวจานเลา เจาภาพใชงบสวนตัวดวยความตองการเอาใจหลอนเพียงคนเดียว

ชวงบายแกๆ กลับมานั่งหนาดําคร่ําเครียดกับงานตออีกพักใหญ ทําวิเคราะหเบื้องตนใหเดี๋ยวนั้นทั้งยัง


ไมตกลงเซ็นสัญญา เกือบหนึ่งทุมจึงจับมือเซยกูดบายกันได ทั้งเกาทัณฑและเรือนแกวรูสึกเหนื่อย แตก็
สนุกพอควร เนื่องจากนี่เปนงานชาง และนายชุนบอกอยางไมเปนทางการแลววาโอเคแน โดยทิ้งทาย
ดวยการหยอดวาขอใหเรือนแกวประสานงานไปจนกวาจะเสร็จเหมือนโปรเจ็คตกอนๆ

เห็นกันและกันเปนสองแรงเสมอกัน ชวยผลักดันใหงานสําเร็จอยางงดงาม เกาทัณฑกับเรือนแกวมานั่ง


ชนแกว ทานขาวเย็นในหองอาหารของโรงแรมดวยสีหนายิ้มแยมแจมใส แมเคยเดินทางรวมกันมากอน
แตนี่ก็เปนครั้งแรกที่อยูในตางประเทศตามลําพังสองตอสอง

ชวงแรกคุยกันเรื่องงานอยางติดใจ แตพอถึงเวลาของหวาน เรือนแกวก็ยักคิ้วให

“วาไง จะสะกดจิตแอคืนนี้เลยไหม?”

เกาทัณฑเบิกตา ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปแลวอยางสนิท เพราะนับแตเครื่องบินยางเขาสูนานฟาสิงคโปร ในหัว


มีแตงานเทานั้น
๓๔๗

“อยากลองจริงๆนะเหรอะ?”

เขายนคิ้วถามยิ้มๆ

“จริงสิ แอโลเลเปลี่ยนใจงายเหมือนเตเสียที่ไหน”

เรือนแกวถือโอกาสเหน็บนิดเหน็บหนอย เกาทัณฑแยกเขี้ยว

“หองแอหรือวาหองผมดีละ?”

“หองแอ!”

เกาทัณฑอาบน้ําเปลี่ยนเครื่องแตงตัวมาอยูในชุดลําลอง ออกจากหองพักขึ้นลิฟต กดปุมตรงไปสูชั้นของ


เรือนแกว

เมื่อยางเทาออกจากลิฟต เดินทอดนองไปตามทางปูพรมสีเลือดนกอันเงียบเชียบนั้น เพิ่งใจเตนผิด


จังหวะ และถามตนเองวาเปนการสมควรแลวหรือที่เขาจะเขาหาหลอนและอยูดวยกันตามลําพังในยาม
วิกาล

พยายามไมคิดอะไรใหมากนัก เที่ยวบินกลับกรุงเทพฯของเขาเปนเวลาเชาตรูของที่นี่ สวนของเพื่อนสาว


เปนชวงเย็น เพราะหลอนเตรียมแผนช็อปปงตอ หากเลื่อนไปเปนเวลาอื่นในไทย ก็อาจไดสถานที่ที่ไม
เหมาะ ไมเปนขออางแบบผลพลอยไดเหมือนเมื่อมางานดวยกันอยางนี้

หยุดยืนหนาประตูสีเหลืองออนของหองแรกปกขวา สูดลมหายใจลึกๆ กําหนดจะรูตัวตลอดเวลาวากําลัง


ทําอะไร เพื่ออะไร กอนยกมือเคาะเรียกเพื่อนสาวดวยใจเกือบปกติ เงียบเปนครูกอนประตูจะแงมเปดเล็ก
นอย เขาตองเปนฝายดันออกกวางเนื่องจากเรือนแกวแงมคางไวแคนั้น

กาวเทาลวงเขาสูเขตสวนตัวของหลอน รูสึกงงเควงขึ้นมาในหัววูบหนึ่ง สัญชาตญาณเกาๆแวบเวียนมา


เยือนเปนระลอก บรรยากาศฉ่ําเย็นวังเวงในหองพักโรงแรมหรูกับสาวสวยยวนตาไมคอยจุดชนวนความ
คิดอันดีงามไดเทาไหร สถานที่และสถานการณจริงไมเชิญชวนใหนึกถึงการทดลองเลนวิชาเชนขณะคุย
วางแผนกันตอนอยูบนเครื่องบินหรือหองอาหารเอาเลย

กลืนน้ําลายลงคอฝดๆ สายตาตามรางงามในชุดเสื้อยืดกางเกงยาวที่เดินไปหยอนกายรอบนมานั่งหนา
โตะเครื่องแปง สีหนาหลอนสงบเฉยขณะทอดมองมาทางเขา
๓๔๘

ชายหนุมเกิดความลังเลวาควรแงมประตูไวเล็กนอยหรือปดสนิท แตแลวเมื่อคิดถึงกิจกรรมที่กําลังจะเกิด
ขึ้น ก็ตัดสินใจเลือกอยางหลัง ทวาไมลงล็อก คือแคผลักบานประตูคืนที่ เพื่อสกัดกั้นใจจากความเห็นหอง
นอนของเรือนแกวเปนเขตลับสนิท

แมทําไปดวยเจตนาดี แตก็เกิดความสังหรณขึ้นมาแปรงๆ คลายมีเสียงกระซิบแววมาจากสวนลึกบอกให


ล็อกเถิด ล็อกเถิด...

เดินมานั่งลงที่ปลายเตียงหางจากหลอนหลายกาว พยักพเยิดไถถาม

“เพลียหรือเปลา?”

เรือนแกวสั่นศีรษะ

“แปลกเหมือนกันนะ สงสัยตื่นเตนมั้ง พออาบน้ําเสร็จรูสึกสดชื่นยังกับเพิ่งตื่นเชาแนะ เตละ เหนื่อย


ไหม?”

ชายหนุมสั่นศีรษะเชนกัน

“มาเริ่มกันเลยดีกวา”

เรือนแกวลุกขึ้นในทาพรอมอยางงายๆ

“จะใหนั่ง นอน ยืน หรือเดินยังไงละ อยาบอกนะวาตองหอยหัวลงมาจากเพดาน”

เกาทัณฑหัวเราะ กอนมองรอบตัว

“มานอนบนเตียงมา”

ผายมือใหนิดๆ เรือนแกวพยักหนา มาหยอนรางเอนนอนราบบนอีกเตียงหนึ่งซึ่งอยูคูกับเตียงที่เขานั่ง


เกาทัณฑคุมสติแนน เริ่มสะกดตนเองเปนคนแรกใหอยูในสถานะจิตแพทยใจซื่อ ลุกจากที่ เดินขึ้นมานั่ง
บนขอบฟูกหันหนาเขาหาเตียงของเรือนแกวซึ่งเปรียบเสมือนคนไขทดลอง

“กอนอื่นมาตกลงเรื่องเปาหมายกันกอน ถึงทําเลนสนุกๆก็ควรมีจุดกําหนดเอาไว ทั้งแอและผมจะไดตั้ง


กรอบใหตัวเองแตแรก แอไมใชคนมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน นี่จึงไมใชการรักษา เอาเปนวาผมพยายามทํา
ใหแอรูสึกดีกับตัวเอง คงพอนะ”

เรือนแกวยักไหล
๓๔๙

“แอแคอยากรูวาถูกสะกดจิตเปนยังไง เราเห็นอดีตตัวเองไดแคไหน และถา...เตพบอะไรที่เปนปม เปน


แผล หากมีวิธีบรรเทาลงไดก็เชิญแสดงความสามารถเต็มที่ แอจะยินยอมตกอยูในอาณัติทุกประการ”

ฟงเชนนั้นแลวเกาทัณฑมีสติรูวาในหัวเกิดความคิดชั่วรายแลนวาบขึ้นมา เขาไมเคยผานการอบรมแบบ
จิตแพทย ไมเคยอยูในแล็บทดลองอยางเปนวิชาการ จูๆไดอํานาจโดยปราศจากการสรางสมจรรยา
แพทยอยางนี้ ประโยคสุดทายของเรือนแกวจึงเปนเสมือนแรงยั่วยุใหจินตนาการเตลิดลวงหนาสารพัด

เบนความสนใจจากรางเหยียดนอนของหญิงสาว ปดตาสํารวมจิตเพงสายลมหายใจเขาออก อธิษฐานวา


ถาใจยังไมนิ่ง ยังวางอารมณใครไมลง ก็จะไมลืมตาขึ้นอีกเลย

เปนธรรมดาของผูมีตบะอันบําเพ็ญแลวดวยดี พูดจริงทําจริง ทําเสร็จ ทําสําเร็จเสมอ ยอมมีกําลังหนุนอยู


ภายในดุจกลุมน้ําใหญที่พรอมจะเขาทวมทับขาศึกทุกชนิด เพียงอึดใจเดียวเกาทัณฑก็ลืมตาขึ้นอยาง
สบายอก ทั้งกายอัดแนนดวยพลังมหาศาล รูชัดดวยใจสําเหนียกในบัดนั้นวาตนจะไมหลงรี่ลงต่ําอีกเลย
ตลอดกระบวนการที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดนับจากนี้

เกาทัณฑเอยดวยน้ําเสียงซึ่งถายทอดออกมาจากจิตใจที่มั่นคงและเจตนาเกื้อกูลกัน

“หลับตาลง...”

หลอนทําตามเขาสั่ง ในเบื้องแรกเกาทัณฑทราบดีวาจะใชกลวิธีไหนก็ไดทําใหผูถูกสะกดอยูในภาวะ
สบาย ผอนพักที่สุด เพื่อใหยางเขาสูความรูตัวครึ่งๆกลางๆ ฉะนั้นจึงคิดปูพื้นใหหลอนเกิดฐานปญญา
เห็นรูปนามไปในตัว

“ดูตรงแผนหลังที่วางน้ําหนักราบอยูนี้”

เขาสั่งสั้นที่สุดเพื่อใหแนใจวาเกิดการรับรูตาม ครูหนึ่งจึงเอยตอ

“คิดวากายที่นอนอยูคือโครงกระดูกเปลาๆโครงหนึ่ง เราอาศัยพักอยูชั่วคราว สักแตมีไวเพียงใหระลึกรูวา


ยังปรากฏ”

ดวยเพราะเรือนแกวเคยเพงพิจารณาเห็นขอมือและปลายแขนเปนอนัตตามากอน จึงเขาใจวิธีกําหนด
หมายตามไดงาย และสิ่งที่เกาทัณฑหรือแมแตหลอนเองไมทราบก็คือหลอนมีพรสวรรค หรืออีกนัยหนึ่ง
วิถีรูรูปนามติดจิตติดวิญญาณอยู ฉะนั้นเมื่อถูกกําหนดแนะใหดูนิดเดียวก็คุนทางโดยงาย ซึ่งอยางนี้เปน
อาการของผูเคยสั่งสมวิปสสนาญาณมาแตปางกอน

เพียงอึดใจเดียวหลังจากเรือนแกวเพงดูสวนหลังที่วางลงรับน้ําหนักสวนใหญของกาย ก็เห็นสัณฐานคราว
ของโครงกระดูกตนเองอยางชัดเจน และเหมือนโพรงวางระหวางกระดูกชวงไหปลารากับซี่โครงเปน
แหลงอาศัยของตัวรู นิ่งดูสัณฐานกายโดยรวม
๓๕๐

ลักษณะอีกอยางหนึ่งของผูมีบารมีมาทางนี้คือเมื่อเกิดความเห็นขึ้นแลวจะรูจักรักษาความเห็นไวดวย
ความพึงพอใจ ไมสงสัยกับนิมิตภายในที่เกิดขึ้น ฉะนั้นเกาทัณฑผูสังเกตสีหนาของเรือนแกวตลอดเวลา
จึงเห็นความนิ่งอยูในอาการเล็งรูอยางรวดเร็วนาแปลกใจ

เพิ่งมีโอกาสสังเกตคนอื่นทําสมาธิอยางละเอียด แมดูภายนอกเหมือนสงบ แตสัมผัสภายในก็บอกวาจิต


ของเรือนแกวยังไหว หาหลักยึดแนนอนไมได เขานึกถึงอุบายที่เคยมีใหตนเองคือเคาะนิ้วเพื่อสรางผัสสะ
กระทบใหเกิดความรูเฉพาะจุดถี่ๆ ซึ่งถาทําอยางถูกตอง จิตไมหนีไปไหนครูเดียว ก็เกิดการรวมลงสู
ภาวะสงบไดระดับหนึ่ง

เขาทดลองแบบเหวี่ยงแหไปเรื่อย เคาะกับวัตถุนอกกายไดความรูตัวแบบหนึ่ง เคาะหนาตักตอนนั่งเลน


ไดความสบายแบบหนึ่ง เคาะหนาผากตอนเครียดไดความผอนคลายแบบหนึ่ง แตพบวาจุดกระทบซึ่งทํา
ใหจิตรวมอยางดี รวดเร็วที่สุด กับทั้งใหผลเปนความรูพรอมทั่วตัวที่สุด เห็นจะไมมีอะไรเกินเคาะแผน
กระดูกเหนือรองอก

ชายหนุมตัดสินใจลองกับเพื่อนสาว โดยสั่งวา

“ยกมือวางทาบอก ใหปลายนิ้วกลางแตะอยูกับกระดูกเหนือรองอก”

เมื่อหลอนทําตามแบบเกๆกังๆ เกาทัณฑสังเกตวาสวนใดเกร็ง ก็บอกเปนจุดๆ เชนใหวางราบทั้งมือบน


อกและศอกบนฟูก กับทั้งไหลตกไมยกเกร็งแลวบอกตอ

“ขยับนิ้วเคาะขึ้นลงเบาๆ แตเร็วนิดหนึ่ง เหมือนเคาะเลนเพื่อใหรูอาการขยับไหวของนิ้ว”

เรือนแกวทําตาม ในความสบายตลอดกายใจนั้นรูอยูเฉพาะอาการขยับไหวขึ้นลงของนิ้ว เกาทัณฑสัมผัส


ไดถึงกระแสความคิดฟุงที่แปรเปนคลื่นเงียบ รวมรูอยูเฉพาะความขยับของลํานิ้วที่ปราศจากความเกร็ง

“เคาะไปเรื่อยๆนะ คราวนี้นอกจากรูนิ้วขยับ ลองดูที่จุดกระทบดวย แอจะไมรูสึกถึงอะไรอื่นเลยนอกจาก


นิ้วกระทบกระดูกปอกๆๆอยู”

เมื่อจออยูกับกายกระทบ จิตก็เขามาอยูในขอบเขตของกาย เรือนแกวเห็นตลอดตัวดวยความแจมชัดอีก


ระดับหนึ่งเมื่อจิตอยูนิ่งกับที่

เพลินนานพักใหญ เรือนแกวก็หลงเคลิ้ม และหยุดขยับนิ้วเคาะไปโดยไมรูสึกตัว เกาทัณฑสังเกตอยูแลว


เพราะเคยผานจุดนี้มากอน หากปลอยใหหลับก็อาจหลับเพลินยาวไปทั้งคืน แตหากสะกิดใหตื่นรูขึ้นอีก
ครั้ง ก็จะมีความไวสัมผัสราบรื่นสม่ําเสมอกวาเดิม จึงเรียกเตือนเสียงแผวใหเรือนแกวขยับเคาะตอ

เมื่อสังเกตรูสึกถึงโฟกัสของจิตที่คงเสนคงวาดีพรอม เกาทัณฑก็ไมปลอยใหจิตหลอนดําเนินไปถึงความ
เคลิ้มหลับอีก แตสงชวงตอมาถึงอารมณสมาธิที่จะจูงจิตใหเขาสูสภาพรูพรอมนิ่มนวลขึ้นกวาเกา
๓๕๑

“แอนิ่งดีแลวนะ หยุดเคาะ วางมือลงขางตัว คราวนี้มาจับลมหายใจกันตอ”

เมื่อเห็นหลอนปฏิบัติตามโดยดีก็สั่งวา

“ตอนหายใจเขาใหพองหนาทองขึ้นกอนแลวคอยดึงลมยาวๆสบายๆ เมื่อรูลมหายใจเขา ใหคิดวาเราสูด


เอาความสดชื่นเขาราง เพื่อพยุงความรูตัวใหเพิ่มขึ้น เมื่อผอนลมหายใจออก ใหคิดวาเราระบายเอา
ความเครียด ความเหน็ดเหนื่อยทิ้งออกนอกราง”

เรือนแกวสูดลมหายใจดวยการตั้งความคิดตามเกาทัณฑบอก พบวาเมื่อตั้งเจตนาเห็นลมหายใจเปน
พาหะนําความสดชื่นและพลังระลอกใหมเขาราง ก็เกิดความชุมฉ่ํากายใจขึ้นนิดหนึ่งไดจริงๆ

และเมื่อผอนลมหายใจออก เห็นเปนการถายเทเอาความเครียด ความออนลาออกสูภายนอก ก็ยิ่งมีความ


รูสึกเปนสุข ความสบายใจขึ้นมาอยางรวดเร็ว

“อยาปลอยใหความคิดไหนๆแทรกเขามาแทนที่ลมหายใจ ตอนนี้ไมมีอะไรมีคาเกินลมหายใจเขา และไม


มีอะไรนาสนใจเกินลมหายใจออก”

เขาตะลอมตามจังหวะ คิดเอาจากการที่เคยกลอมตนเองสําเร็จมาแลวในการทําสมาธิปกติ สังเกตความ


สม่ําเสมอ และคอยเตือนเรือนแกวเมื่อเห็นลมเบาลงหรือแรงขึ้นกวาเดิม ตอเมื่อดูเขาที่เขาทางแลว จึง
ดําเนินการขั้นตอไป

“คอยๆสํารวจทีละสวนวามีจุดไหนในรางที่ยังเกร็ง ไมผอนพักตามสบาย ไลจากสวนหนา...” เขาคอยๆ


พูดทอดจังหวะทีละจุดใหเรือนแกวสงใจตาม “สวนคอ...สวนหลัง...สวนแขน...สวนขา”

หญิงสาวพบวาสวนหลังยังเกร็งอยูบาง เมื่อรูตัวจึงหยอนกลามเนื้อสวนที่เกร็งลง เกาทัณฑสามารถรูได


ดวยตาเปลาวาทั้งรางหลอนผอนพักเต็มที่แลว จึงตรวจดูความสม่ําเสมอของลมหายใจอีกครั้ง เมื่อผาน
ไปชวงหนึ่ง พบวาผอนแผวลงอยางที่จะนําไปสูภาวะใกลหลับ ก็เตือนดวยเสียงเนิบนาบ

“อยาลืมวาเวลาเขาใหขยายหนาทองพองขึ้นกอน ลมหายใจจะไดเขามากกวาปกติ”

เรือนแกวกําลังอยูระหวางเคลิ้ม เมื่อไดยินเสียงก็กลับตื่นตัวรับรูลมหายใจใหม เสียงสั่งของเกาทัณฑ


กลายเปนตัวกั้นไมใหจิตซัดสายสุมหาอารมณเอง ประคองใหพุงแนวลงในลมหายใจเปนหนึ่งเดียว รวม
ทั้งไมเผลอไหลลงหลับ

ถึงจุดหนึ่งหญิงสาวเกิดความเพลินที่จะรับคําสั่ง เวลานั้นเริ่มถอยจากความเปนตัวของตัวเอง แตกลับ


เกิดศักยภาพที่จะรับรูมากขึ้นเรื่อยๆ ใจทรงนิ่งอยูกับฐานคือกายอันวางนอน เห็นความปรากฏของกาย
คงที่ พลังอันเกิดจากการเล็งรูอยูตัวโดยไมตองประคองมากนัก
๓๕๒

เมื่อเกาทัณฑจับสังเกตสติของหญิงสาวนานไป ที่สุดก็เกิดสติ และจับเปนขณิกสมาธิเองดวย กระแสจิต


เขายามนี้มีสภาพคลายผาออนเนื้อแนนที่พรอมจะทิ้งตัวลงหมคลุมสนิทแนบกับวัตถุใดๆที่ใจเจตนาเขา
จับ เรียกวาบําเพ็ญสมาธิภาวนามาถึงขั้นออนตัว พรอมใชงานดังประสงค

สัมผัสพลังที่รวมกลุมเปนอันเดียวในกายตน และเกิดความรูขึ้นมาเองวาจิตที่เปนสมาธิสามารถชวย
ประคองคนอื่นได เชนในขณะนี้เขาเกิดความเห็นอาการเปนไปในหญิงสาวซึ่งยากจะอธิบายเปนคําพูด
เมื่อแลเห็นหลอนดึงลมหายใจเขาและผอนลมหายใจออกแลว เกิดการแปลความหมายขึ้นในหัววานั่น
เปนอาการลงตัวของสมาธิชนิดถูกสะกด ถูกจูงโดยผูอื่น หากเขาบังคับกระแสในตนเขาชวยประคอง
กระแสในหลอน ก็อาจทรงอยูไดนาน และสัมผัสรูแผวๆคลายแตะตัวกันอยูดวยปลายนิ้ว

หลอนกําลังนิ่งในภาวะพรอมถูกสั่งเต็มที่ เรือนแกวใหความรวมมืออยางดี จึงบังเกิดผลรวดเร็วขนาดนี้

“เอาละแอ พูดกับผมนะ บอกซิวาตอนนี้รูสึกยังไงบาง”

เรือนแกวนิ่งเปนครู กอนขมุบขมิบปากพูดกับเขาตามปกติ

“มีความสุข เห็นรางกายออกมาจากขางในตลอดเวลา”

เกาทัณฑยนคิ้วเล็กนอย เพราะคาดหมายวาหลอนจะพูดคลายละเมออยูในภวังค เขาเพิ่งมาเรียนรูวา


อาการครึ่งหลับครึ่งตื่นในภาวะสะกดนั้น ครึ่งหนึ่งหลับ ครึ่งหนึ่งตื่นจริงๆ รับฟงได พูดและคิดตามไดเปน
ปกติเกือบสมบูรณ

ถึงขั้นนี้เขาตองการใหหลอนหมดจากความรูสึกทางกาย เพื่อใหเหลือแตจิตสวางพรอมฉายภาพนิมิต
อยางมั่งคั่งดวยกระแสสติเหมือนฝนดี จึงสั่งวา

“แอ...คิดไปนะวาเนื้อของเราเหลวลงนิดหนึ่ง” เวนจังหวะเปนครูแลวถามวา “คิดไดไหม?”

“ได”

หญิงสาวตอบเกือบทันที เพราะความรูสึกทางกลามเนื้อตลอดรางมลายหายไปเกือบหมด เพียงคิดวาเนื้อ


สวนบนเหลวลงนิดเดียว

“คราวนี้...” เกาทัณฑสั่งตอ “คิดวาฟูกกับเนื้อเราละลายกลืนเปนอันเดียวกัน”

หยุดเวนดูทาทีของหลอน พลางสงใจจับอาการทางกลามเนื้อทั่วกายหญิงสาวเทาที่ตาเห็น

“ยังมีกายอยูอีกไหมในความรูสึก?”

“มี...มีลมหายใจเขาออก”
๓๕๓

เขาเพิ่งนึกขึ้นไดวาระดับลมหายใจของหลอนยังคอนขางแรง จึงบอกไป

“ถูกแลว ลมหายใจจะยังอยูกับเราเสมอ ตอไปนี้เมื่อหายใจเขา แอจะเห็นแสงสวางเพิ่มขึ้นในตัวทีละนอย


ลมหายใจกับแสงสวางเปนอันเดียวกัน”

พักนิดหนึ่ง เพื่อใหเรือนแกวจินตนาการตามเฉพาะลมหายใจเขา เมื่อเห็นระบายลมออกจึงมอบจินตภาพ


ตอมา

“ลมหายใจออกจะพาความรูสึกในกายที่หลงเหลืออยูใหหมดลง เพราะลมหายใจออกกับความรูสึกในกาย
เคยคลุกเคลาเปนอันเดียวกัน”

พอเขาเห็นหลอนหายใจเขาและผอนออกจนสุดในครั้งถัดมา ก็ถามทันที

“รูสึกสวางขึ้น และเหมือนกายหายไปไหม?”

“รูสึก”

เรือนแกวตอบราบเรียบ ริมฝปากระบายยิ้มเล็กนอย

“สนใจสายลมเขาและแสงสวางใหมากกวานี้ แลวจะสวางขึ้นเรื่อยๆ”

หญิงสาวจับคําพูดของเกาทัณฑดวยสติที่เปลี่ยนไปอีกรูปหนึ่ง ทุกสิ่งปรากฏขึ้นตามคําของเขาราวกับ
เปนการบันดาลจากเวทมนตร ในหัวเรืองแสงสวางไสวขึ้นจริงๆ คลายเกาทัณฑหมุนปุมเรงนีออนรอบๆ
กายหลอนได

กวาสิบครั้งของลมหายใจเรือนแกวที่เกาทัณฑคุมดวยคําพูดอยูตลอดเวลาเพื่อรักษาอัตราเร็วและน้ําหนัก
ลมใหคงตัว ในที่สุดหลอนก็รายงานวา

“สวางเหลือเกินเต...แอไมเคยเห็นใจตัวเองสวางสวยเทานี้มากอนเลย”

เกาทัณฑซึ่งเปนผูทําการสะกดเองก็กะพริบตาทึ่ง สัมผัสทางใจบอกวาเรือนแกวพบสภาวะที่นาปติชื่นใจ
จริงๆ เพิ่งซึมซับและตระหนักถึงอํานาจดลบันดาลจากปากตนวานาอัศจรรยปานใด แมคิดพูดตาม
อัตโนมัติตามที่เห็นควรเฉพาะหนา ก็อาจใหผลเกินความคาดหมายไดขนาดนี้

“อยาตื่นเตน…” เขาบอกหลอนทั้งที่ตัวเองนั่นแหละชักใจเตนกับผลลัพธ “แสงสวางและความสุขสบายนี้


จะอยูกับแอตลอดเวลา แอสามารถรูสึกไดใชไหมวามันคงตัวอยูอยางนั้นโดยไมตองบังคับ”

เรือนแกวนิ่งไปนานเกือบครึ่งนาที กอนรายงานตามจริง
๓๕๔

“แสงหรี่ลง...”

ชายหนุมกลืนน้ําลายลงคอเกอๆ พยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะไมใหเสียความเชื่อมั่น คิดวานั่นเปน


การเรียนรูอยางหนึ่ง เขาไมควรพูดตามอําเภอใจจนเกินไป ประเภทสั่งวาจะใหคงอยู จะใหตรึงสภาพไว
อะไรทํานองนี้ ทุกจุดมีจังหวะเฉพาะหนาของตัวเองเสมอ

“ถาอยางนั้นหายใจเขาใหมดีๆ และคิดวาเราดึงแสงเขามาทางลมหายใจ เรามีความอบอุนสบายใจเพิ่ม


ขึ้นเพราะลมหายใจเขานั้น”

เรือนแกวหายใจยาวลึกกวาปกติ พักหนึ่งก็ยิ้มแชมชื่นออกมาอีก เกาทัณฑรับรูไดวานั่นเปนอาการเฉียด


สมาธิระดับที่มีปติหลอเลี้ยง ทวาตางจากสมาธิปกติคือหลอนไมอาจค้ํายืนโดยปราศจากการชวย
ประคับประคองจากเขา

“ตอไปนี้หายใจเขาทุกครั้ง ใหแอคิดวาเพื่อรักษาแสงสวางในหัวใหคงที่นะ”

ปลอยใหหลอนหายใจอีกสี่-หาหนจึงถามใหม

“แสงสวางเปนปกติดีไหม?”

“เปนปกติ สดชื่นมาก...”

หญิงสาวยิ้มกวางราวกับยืนสูดอากาศบริสุทธิ์บนผาสูงยามเชาตรู เกาทัณฑจับตามองดวยความพึงพอใจ
สูดลมหายใจดวยความสดชื่นตามไปดวย เกิดความรูสึกวาตนประสพความสําเร็จอยางงดงามในเบื้องตน
นี้

คลายเรือนแกวเตาะแตะหัดเดิน เขาเปนพี่เลี้ยงเบื้องหลังดวยความจดจอ มีความนุมนวลออนโยนเกิดขึ้น


อยางทวมทน

“ผมจะเริ่มใหแอยอนนึกถึงอดีตแลวนะ ตั้งตนกันที่จุดใกลสุด ใหคิดวาเราจะเห็นทุกสิ่งตามที่เคยเกิดขึ้น


จริงเทานั้น”

เมื่อเรือนแกวเงียบพรอม เกาทัณฑก็สั่งแผวชัด

“นึกถึงตอนที่ไดยินผมเคาะประตู ผมเคาะกี่ครั้ง?”

คลายเสียงกอก กอกเกิดขึ้นในหัว หญิงสาวรายงานตามที่ระลึกได

“สองครั้ง”
๓๕๕

“บอกซิวาแอทําอะไรบางเมื่อมาเปดประตูใหผม”

หญิงสาวตรึกนึกทบทวน เริ่มจากจุดที่ตนเองนั่งอยูหนาโตะเครื่องแปงกอนไดยินเสียงเคาะประตู เบื้อง


แรกเหมือนศีรษะหลอนเปนถังแกวที่บรรจุเต็มดวยน้ําขุน เห็นภาพความจําไมถนัดนัก แตดวยแรงดัน
ของสมาธิที่เกิดจากการสะกด คลายน้ําในถังลดฮวบลงเผยใหเห็นภาพชัดสนิท ปราศจากสิ่งปกคลุมมัว
มน นั่นเปนการพลิกตัวของสมาธิจิตที่ระลึกภาพความจํา

ภาพที่เห็นในหัวปรากฏเปนรูปทรงสัณฐานสองมิติคับแคบ แตกตางจากของจริงที่เปนสามมิติกวางโลง
โดยรอบ ทั้งนี้เพราะภาพที่จิตฉายออกมายังผูกติดกับกายประสาทอันเปนเสมือนเครื่องขัง เครื่องมุงบัง
ในเขตแคบจํากัด

และแสงของจิตที่ปราศจากกําลังฌานสนับสนุน ก็ฉายตัวเพียงมลังเมลือง คลายอยูในหองใตดินที่มีแสง


สวางลอดผานเขามาทางชองหนาตางริบหรี่ ภาพนิมิตจึงปรากฏเปนรูปทรงสีสันชัดเจนในเงาสลัว มิใช
ชัดเจนในแสงสวางกลางแจง

ดวยความทรงจําอันสดใหมใกลปจจุบัน เรือนแกวเห็นตนเองกําลังนั่งสํารวจความพรอมของหนาตาในเงา
กระจก จําไดถึงความกระวนกระวายนิดๆเพราะรูวาใกลเวลานัด และเกาทัณฑจะตรงเวลาเสมอ

เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น หลอนดีใจหนอยๆ ลุกขึ้นจากมานั่ง หมุนตัวเดินมาทางประตู ตอนแรกภาพ


กระโดดๆนาอึดอัดรําคาญ แตพอใจคลอยลงในภาพความทรงจํามากกวาเกา ก็เห็นตอเนื่องราวกับเกิด
ขึ้นอีกครั้ง เรือนแกวสนุกกับประสบการณแปลกใหมนั้นมาก ก้ํากึ่งในความรูตัววานั่นเปนอดีต คละกัน
กับความรูสึกตัวบนเตียงนอนในปจจุบัน

“แอลุกจากโตะเครื่องแปง เดินมาเปดประตูใหเต”

เมื่อหลอนพูด ภาพชะงักคางคลายเครื่องฉายหยุดเดินลงชั่วขณะ

“พอเปดประตูแลวแอก็กลับมานั่งที่เดิม”

เกาทัณฑพยักหนา

“ยอนกลับมาตอนยังนั่งหนาโตะเครื่องแปงใหม แอกาวเทาแรกเปนซายหรือขวา”

เรือนแกวคิดตาม แลวเห็นตนเองยางเทาขวาออกเปนกาวแรก

“ขวา”
๓๕๖

ชายหนุมพยายามใหหลอนเจาะลึกลงไปในรายละเอียดรอบดาน เพราะเห็นมีความสําคัญในอันที่จะทําให
ตัวรูตัวคิดทั้งหมดในอดีตยอนกลับมา ใหทบทวนแมความรูสึกขณะยื่นมือไปสัมผัสลูกบิดประตู หรือ
กระทั่งเมื่อเทาสัมผัสพรมในหองขณะเดินไปเดินกลับ

“พอนึกถึงรายละเอียดอยางนี้ทําใหความเห็นชัดขึ้นไหม?”

ถามอยางทราบอยูแลวเนื่องจากเคยปฏิบัติเองมากอน

“ชัดขึ้น”

“คราวนี้ยอนนึกไปถึงเมื่อตอนเชา เราเขาหองทํางานของนายชุน...”

เขาใหเรือนแกวทบทวนบทสนทนา ซึ่งหลอนเลาไดอยางถูกตองละเอียดลออเปนฉากๆ กับทั้งสามารถ


หัวเราะออกมาไดเบาๆกับบางถอยคําและทาทางที่ออกรสออกชาติของตนเอง ดวยเจตนาจะใหนายชุน
นึกเอ็นดู

เมื่อเห็นกิริยาและไดยินน้ําเสียงของตนเองดวยใจที่กําลังสวางนิ่งอยูเหนือภาวะสามัญ บางทีก็คลายเปน
คนหนึ่งเฝาดูอีกคน ตลกชอบกล

เรือนแกวไหลไปตามแรงดึงดูดของกระแสความทรงจํา บางจังหวะถึงกับตกใจที่สีสันและเสนสายในภาพ
มีความคมชัดจนเชื่อสนิทวาเปนปจจุบัน เพราะสํานึกของตัวตนที่นอนบนเตียงหายหนไปหมด หลอนยัง
คงสภาพรูเห็นออกมาจากมุมมองของบุรุษที่หนึ่ง เปนศูนยกลาง เปนผูประจักษ ผูรวมโตตอบ บางที
เหลือเพียงอนุสติบางๆวาสิ่งเหลานั้นเปนเพียงภาพอดีตที่จบลงแลว ผานเลยไปแลว

ภาพสวนใหญแมคมกริบ ก็มีลักษณะกระโดดบาง ทั้งนี้เนื่องจากยามปกตินั้นคนเราหมกมุนฟุงซาน สติ


ขาดตอนเปนหวงๆ จะเห็นภาพ ไดยินเสียงที่มีอิทธิพลขนาดสมองเก็บบันทึกลงจิตแคครึ่งตอครึ่งสําหรับ
คนสติดีทั่วไป ถาใครเหมอมากหนอยอาจไมเห็น ไมไดยินสิ่งรอบตัวเลยเปนนาที

เกาทัณฑเริ่มสอบถามเปนระยะวาเหนื่อยไหม ความทรงจําที่ทยอยลําดับมายังชัดเจนอยูหรือเปลา
ปรากฏวาเรือนแกัวยังชอบใจที่จะเกาะติดอยูกับกระแสความทรงจําอยางตอเนื่อง กระปรี้กระเปราพรอม
จะขยับถอยกลับไปเรื่อยๆไมเหนื่อยลา

ครึ่งชั่วโมงแรกเกาทัณฑใหหลอนพูดถึงเฉพาะเหตุการณที่มีเขารวมอยูดวย เพื่อความแนใจวาหลอน
สามารถระลึกไดจริง และถูกตองครบถวน เปนการพิสูจนวาครึ่งที่ตื่นของหลอนในบัดนี้ เต็มไปดวยสติ
แจมใสสมบูรณแบบ

ถัดจากนั้นจึงเริ่มยางเขาสูโลกสวนตัวของหลอนที่เขาไมเคยรับรู โดยตัดสินใจทดลองใหยอนแบบกาว
กระโดด
๓๕๗

“นึกถึงชวงวัยรุน...”

เขากลาวสั่งอยางคลุมเครือ เพื่อใหใจหลอนสุมเลือกโดยอิสระ ไมผูกโยงอยูกับเครื่องแบบนักเรียนหรือชุด


ลําลองในเหตุการณหรือสถานการณใดๆ

“ตรวจดูซิวามีเรื่องราวอะไรที่แอประทับใจ มีความสุขกับมันมากที่สุด และเดนขึ้นมากอนเพื่อน”

ดวยเพราะเกาทัณฑรับรูอยูกอนแลววาเพื่อนสาวมีปมทุกขใหญหลวง จึงจงใจกระโดดขามดวยการใชคํา
พูดใหหลอนตรึกนึกยอนเฉพาะเหตุการณที่เปนสุข เพื่อผลของการสะกดเริ่มแรกจะไดไหลลื่นดวยกําลัง
ปติจนสุดทาง

อีกอยางคือในการสะกดครั้งนี้เขาใหหลอนระลึกถึงสะเก็ดความจําที่ผุดเดนขึ้นมาเอง ไมใหตองใชความ
พยายามเลย เพราะความพยายามนั่นแหละคือตัวสกัดกด มิไดชวยดึงความจําขึ้นมาแตอยางใด

หญิงสาวเงียบนิ่งไปอึดใจ กอนแยมยิ้มระรื่นและเลาวา

“แอซอนทายจักรยานเพื่อน มืออุมลูกหมาที่พอซื้อให เปนพันธุปกกิ่ง ขนยาวขาวนุม ชื่อกวยจั๊บ”

เกาทัณฑขมวดคิ้วหนอยๆ

“กําลังซอนจักรยานใครไปไหน?”

ใบหนาเรือนแกวเปอนดวยรอยยิ้มสดใส

“เขามารับไปกินไอติมดวยกันที่หนาหมูบาน”

เปนวาระที่เกาทัณฑรูใจตนเองชัดเดี๋ยวนั้น วาความผูกพันที่มีตอเรือนแกวไมอาจเรียกวาเปนเพื่อนอยาง
บริสุทธิ์ใจ เพราะอารมณเริ่มเจือดวยความขุน สิ่งที่ผุดพลุงขึ้นมาจากอกในยามนั้นคือความริษยาเจาหนุม
นิรนามผูถือแขนจักรยานนําหลอนในอดีตไปสวีทจี๋กันตามประสาวัยรุน สีหนาเรือนแกวฟองชัดวาหลง
ใหลไดปลื้มหมอนั่นเพียงใด รักแรกก็อยางนี้แหละ...

แปลบปลาบอยูชั่วครูกอนขมอกขมใจใหเปนปกติ ระลึกวาตนกําลังทําหนาที่ใดอยู อยางไรก็ตาม คําถาม


ตอมาก็สนธิมาจากความรูสึกคางคาที่เจือดวยการเอาตัวเองเขาไปพัวพันนั่นเอง

“แอรักเขามากไหม?”

ถามเสร็จจึงเพิ่งสํานึกวาเปนการซอกแซกเรื่องสวนตัว เสียมารยาทยิ่ง และนั่นก็ถูกสะทอนดวยปฏิกิริยา


ปฏิเสธจากหญิงสาว หลอนไมถูกสะกดลึกขนาดถูกครอบงําจนไรความเปนตัวของตัวเองถึงที่สุด จึงมี
ความคิดยับยั้ง ตอบเขาเพียงดวยรอยยิ้มเฉยเมย
๓๕๘

เกาทัณฑรูตัววากําลังออกนอกลูนอกทาง ซึ่งอาจฉุดใหการสะกดสะดุดอยูแคนั้น จึงรีบจินตนาการเห็น


ตนเองเปนสุญญากาศ เพื่อใหน้ําเสียงและความตองการที่เขากระทบใจเรือนแกวเปนกลางที่สุด

“ไอติมที่แอสั่งมาทานคราวนั้นรสอะไร?”

“ช็อกโกแล็ต...ช็อกโกแล็ตซันเดย แอชอบที่สุด”

“จําความเย็น จํารสที่แตะลิ้นในคราวนั้นไดไหม?”

“จําได”

“ลองนึกถึงกลิ่น นึกถึงบรรยากาศทั่วไปในราน ชัดไหม?”

“ชัด ในรานเปดไฟนีออนสวาง อากาศโปรง เย็นสบาย กลิ่นใหมสะอาด โตะเกาอี้ลายไมสีน้ําตาลออนกับ


ขางฝาทาสีครีม มีภาพไอติมแปะอยูแบบลดหลั่นต่ําสูง มีปายโฆษณาขนาดใหญหลังบารเคานเตอร...”

“จําไดไหมวาวันนั้นเปนวันอะไร?”

แมความคิดและความรูสึกขณะทานไอศกรีมจะเดนชัดในหัวราวกับอยูในอดีตจริงๆ แตการยอนนึกวัน
เวลากลับตองอาศัยความพยายามในภาวะปจจุบัน เพราะตัวตนในรานไอศกรีมไมไดมีจุดใดโยงใยถึงวัน
เวลาใหระลึกได

เรือนแกวหยุดทบทวนเปนครูจนหัวคิ้วขมวด กอนตอบดวยเสียงคอยลง

“จําวันไมได รูแตเปนวันเรียน เพราะใสชุดนักเรียนอยู”

นั่นเปนอีกขอเท็จจริงหนึ่ง จิตซึมซับไวเฉพาะการประมาณเวลาและเหตุการณสําคัญ ไมใชวันที่ เดือน


และปละเอียดชัดเหมือนอยางบันทึกของนักสะกดจิตบางเจาที่ระบุไดเปนตุเปนตะ ราวกับมีปูมบันทึกฝง
อยูในหัวผูถูกสะกด

“อยาเครงเครียด คราวหลังถานึกไมออกก็ไมตองเคนนะ...แอรูตัวไหมวากําลังเปนเด็กลง?”

เรือนแกวทบทวนคําถามเขา ประมวลอยูครูหนึ่ง ใจยอนกลับเปนตัวของตัวเองในปจจุบันชั่วขณะ แต


แวบเดียวก็หันกลับไปหาอดีตหวานชื่นมื่นในรานไอศกรีม ความคิดในหัวยามอยูในวัยนั้นกระจัดกระจาย
ไมคมกริบเปนหนึ่งเดียวเหมือนวัยใสสูททํางานในบริษัทใหญ หัวอกหัวใจเคยมีแตสีชมพู มองโลก
อภิรมย ตองการการเอาอกเอาใจและคําพูดออนโยนเหนือสิ่งอื่นใด

“ใช เหมือนแอเปนวัยรุนอีกครั้งจริงๆ แอเห็นหนาเขา ไดยินเสียงเขา รูความคิดในหัวของตัวเอง แปลกดี


จังเลยเต มันไมเหมือนความคิดเดี๋ยวนี้เลย อยางกับเปนคนละคนแนะ”
๓๕๙

ในที่สุดหลอนก็ตอบแผวเบา ภาคของจิตที่คิดพูดเชนนั้นคลายเจือจางอยูที่สุดพื้นของสํานึกรูวาหลอน
เปนหลอนบนเตียงนอนเดี๋ยวนี้

เกาทัณฑเห็นเพื่อนสาวตระหนักเชนนั้น ตนเองก็เกิดความเห็นอนิจจตาตามไปดวย และผุดคําพูดอันปรุง


ขึ้นดวยอนิจจสัญญาโดยแทบมิไดเจตนา

“ตัวที่เห็นกายใจเปนเรานั่นแหละคืออุปาทาน แทจริงรางกายและความนึกคิดคลี่คลายไปเปนอื่นตลอด
เวลา กายใจในเวลานี้ วันหนึ่งก็จะเปนอดีตเมื่อมองยอนกลับมาจากอนาคตที่แตกตางออกไป”

ขณะพูด เกาทัณฑเกิดความรูสึกราวกับไมใชเขา แตเปนอีกตัวตนหนึ่งซึ่งอยูสูงกวาจิตสํานึกยามปกติ


เรียกวาเปนภาวะเกินตัวจริงไปชั่วขณะที่เกิดปญญาธรรม

ฝายเรือนแกว แมเปนขณะแหงการสะกด มิใชดวยปญญาสองรูดวยเจตนาของตนเอง หลอนก็พิจารณา


และเห็นตามได จิตเกิดความสลดสังเวชขึ้นมาวูบวาบเมื่อตระหนักวาอดีตแสนหวานเลือนหายไปหมด
แลว...

”ลองสืบสาวดูซิวาหลังออกจากรานไอศกรีมแอไปเที่ยวไหนกับเขาคนนั้นตอ”

“เขาพาแอกลับมาสงที่บาน แลวแยกกลับไป”

“แลวแอทําอะไรตอ?”

คราวนี้ภาพความจําเริ่มสะดุดอีก คลายกระโดดจับราวโหนตัวอันแรกไวได แตเมื่อจะเหวี่ยงขึ้นควาราว


ตางระดับที่อยูสูงขึ้นไป ก็ควาพลาดแบบฉิวเฉียดเพราะกําลังที่ใชเหวี่ยงตัวยังไมแรงพอ

“นึกไมออก”

หลอนรีบบอก เพราะเกาทัณฑเคยสั่งไมใหเคนนึก

“ชางเถอะ แสดงวาเหตุการณตอมาไมนาสนใจพอ”

ไลเลียงความเปนมาสมัยวัยรุนอีกพักใหญ ฟงเรื่องราวในโรงเรียนมัธยม ในบาน และสถานที่ทองเที่ยว


จากนั้นเกาทัณฑใหเรือนแกวยอนนึกถึงวัยเรียนชั้นประถม จึงไดมีโอกาสเห็นกับตา ไดยินกับหูวาผูถูก
สะกดที่ยอนกลับไปเปนเด็กอีกครั้งนั้น กิริยาทาทางขณะเลาดูเหมือนกลายเปนเด็กนอยจริงๆ

“...แอนอนตัวรอน แตก็มีความสุขมากที่พอยอมเสียเวลากอนไปทํางานมาปอนขาวตมให ถึงจะแคสิบ


นาทีก็เหมือนไดพอไวเปนของแอทั้งวัน...”
๓๖๐

เกาทัณฑมองหลอนดวยแววปรานี แทจริงเรือนแกวผูกพันกับพอไมนอยกวาแมเลย เขาจี้ใหระลึกถึงพอ


ในแงดีอีกหลายๆครั้ง โดยคาดหมายวาเมื่อตื่นจากสะกด หลอนจะมีความรูสึกกับพอดีขึ้นมาก

กระทั่งอดีตดําเนินยอนมาตามลําดับ เกาทัณฑลองลงลึกไปอีกขั้น ตัดสินใจใหยอนไปถึงเบื้องตนชีวิต


อยางเตรียมจบการสะกดครั้งแรก

“คิดถึงเหตุการณที่สนุกที่สุดสมัยเรียนอนุบาล...”

ดังกําหนดไวแตแรกวาการสะกดครั้งนี้จะใหเรือนแกวเห็นวาชีวิตตนเปนบรมสุข เมื่อหลอนตื่นจากการ
สะกดจะแชมชื่นเบิกบานเปนพิเศษ เขาจึงไมสะกิดปมรายขึ้นมาเลย แมทราบวาโดยหลักการแลว นั่น
เปนวิธีรักษาบาดแผลที่ดีเยี่ยม เกาทัณฑอยากมั่นใจกับตนเองวาการสะกดครั้งแรกนี้จะไมมีสิ่งเกินความ
คาดหมายเหนือการควบคุมใดๆ

นั่งฟงเพื่อนสาวเลาถึงชีวิตยามเปนหนูนอยตัวจอย ไมวาจะเปนระดับเสียงเล็กใส วิธีเลือกคําพูด วิธีแสดง


ความคิด หรืออาการลังเลสับสนวกวนในบางคราว ลวนแตเปนกิริยาของทาริกาผูเยาวตอโลกทั้งสิ้น ชัก
นึกเสียดาย ถารูวาจะไดผลอยางนี้ เขาจะยอมควักกระเปาซื้อเครื่องบันทึกเสียงจากรานขายในออรเชิรด
สตรีทมาเก็บความนาประทับใจไวฟงเลนนานๆ

“...แมเปนคนตั้งชื่อให แอรักเจาเอเตมากกวาจุมปุก”

หลอนบรรยายความรูสึกที่มีตอกระตายนอยสองตัวในครอบครอง

“ตอนเจาเอเตจับผักบุงเคี้ยวมันทําทานารักดี...”

ชายหนุมหัวเราะโดยปราศจากสุมเสียง ความรูสึกคลอยลงออนโยนตามราวกับโลกใสในวัยเด็กมาปรากฏ
ตรงหนาตนดวย เขาปลอยใหหลอนวิ่งเริงราโดยยืนระวังเฝาดูอยูที่ขางสนาม รูวาเรือนแกวจะไมพลัดหลง
ไปไหน

เรือนแกวระลึกดิ่งกลับไปไกลขนาดนี้ ไมถือวาธรรมดาเลย โดยเฉพาะในการสะกดครั้งแรก เขาเพลินฟง


เรื่องราวในวัย 2-3 ขวบของหลอน และถอยกลับไปกอนหนึ่งขวบในที่สุด

“...ตอนแออยากใหแมอุม แอขยับมือเทาไมได ความรูสึกอยากรองไหมันออกมาเอง...”

นั่นคือความก้ํากึ่งมีสติคิดพูดไดอยางหญิงสาวที่โตแลว กับความออแอของเด็กแบเบาะ เกาทัณฑอยาก


ทดลองอะไรบางอยาง ตามความรูจากการอาน เขาทราบวาเด็กแบเบาะนั้น แมยังไมรับรูเรื่องราวภาย
นอก ไมรูความ แตกลับหลับฝนไดอยางชวนใหพิศวงสนเทหยิ่ง ทางแพทยรูวาใชแนเพราะอาการกลอก
ตาขณะหลับอยางคนฝน ไมรูเทานั้นวาเด็กๆเห็นหรือไดยินสิ่งใดในหัว
๓๖๑

ตอนนี้เขาอาจมีโอกาสสืบรู ไขภาพและเสียงอันลี้ลับนาใครรูในหัวของเด็กหญิงเรือนแกวได

“นึกถึงตอนแอปดตางวงจะหลับลงกับบาของคุณแม” เขาสั่งอยางนุมนวลแบบพูดกับเด็ก “จําภาวะความรู


สึกไดไหม?”

“จําได”

หลอนตอบทันที

“ลองนึกใหดีซิวาพอปดตาหลับแลวฝนอะไรชัดๆบาง”

คราวนี้เรือนแกวนิ่งไปนาน อาการนอนราบของหลอนดูเปนปกติ แตใบหนาเริ่มปรากฏริ้วรอยเครง ซึ่ง


เกาทัณฑจับสังเกตเห็นไดถนัด

“เต...เหมือนเตียงหมุน”

หลอนหมายถึงเตียงที่กําลังนอนอยูเดี๋ยวนี้ ไมใชความจําในวัยเด็กอีกตอไป กระแสแปลกชนิดหนึ่งซึม


แทรกเขามาทีละนอย ปนวนอยูในหัว และทําใหเห็นเหมือนเตียงหมุนเวียนจากซายไปขวาแรงขึ้นทุก
ขณะ

เกาทัณฑเบิกตานิดหนึ่ง ดวยเพราะเตรียมรับมือกับสิ่งไมคาดฝนมาแตตน จึงตั้งสติไดไวเทากับที่รูเห็น


อาการผิดปกตินั้น

“แอ...” เขาเรียกหลอนเสียงเขม “ผมนั่งอยูขางๆ เห็นชัดเลยวาเตียงไมไดหมุน นี่เปนแคความไมสมดุลใน


รางกายแอนิดหนอย อยากลัว ลองยกมือซายขึ้นซิ”

เรือนแกวตองใชความพยายามเปนครู กวาจะดึงความรูสึกทางกายกลับมา และทราบวามือซายอยูตรง


ไหน ตอนสมองสั่งใหยกขึ้นนั้นตองใชความพยายามอยางหนักราวกับมือตนเองเปนของจับแลวหลุด จับ
แลวหลุด

“นี่มือผม” เกาทัณฑกลาวขณะรวบมือหลอนไวในอุงมือตนมั่นคง “รูสึกไดใชไหม?”

“รูสึก”

“จับสัมผัสที่มือไว เพราะผมอยูที่ความหยุดนิ่ง แอก็ตองนิ่งดวยเชนกัน”

พลังในน้ําเสียงมั่นคงของเขาที่แฝงกระแสบางอยางมาในอากาศ เมื่อรวมเขากับไออุนในอุงมือแข็งแรง
ทําใหความเควงงงและการหมุนของเตียงคอยๆจางลงราวกับมาหมุนจะหมดรอบ และในที่สุดก็แนนิ่ง
ปลอดภัยเปนปกติจนได
๓๖๒

“หยุดหมุนแลว...”

เกาทัณฑถอนใจโลงอก ปลอยมือหลอนวางราบตามเดิม เตรียมสั่งใหหลอนถอยยอนกลับสูสภาพปกติ


เพื่อยุติการสะกด

“หายใจเขาใหเต็มปอด แลวระบายชาๆ...”

ประวิงเวลากอนตื่นของเรือนแกวเพื่อใหทั้งรางกายและจิตใจคืนสูสภาพสมดุลเดิม กลอมใหหลอนเห็นตน
เองในปจจุบันไลมาเรื่อย กระทั่งบุคลิกทั้งหมดกลับเปนปกติแนแลว เกาทัณฑจึงบอกในขั้นสุดทาย

“แออยูกับผมในหองพักของแอเอง ตอนนี้เหมือนเราไปเที่ยวและกลับถึงบานเรียบรอย ฟงผมนับหาถึง


หนึ่งเพื่อใหแอเตรียมใจตื่น พอไดยินเสียงดีดนิ้วใหลืมตาชาๆ”

เขานับ หา สี่ สาม สอง หนึ่ง แลวลัดนิ้วแปก เปลือกตาหญิงสาวแยมเปดขึ้นครึ่งหนึ่งทันที แลวจึงคอยๆ


เบิกเต็มหนวยในเวลาตอมา

นัยนตาหลอนกลอกมาหาเขา ริมฝปากคลี่ยิ้มอยางมีความสุข เกาทัณฑยักคิ้วใหทีหนึ่ง

“เปนไงมั่ง?”

เรือนแกวมองเพื่อนชายดวยแววทอดสนิท เมื่อครูหลอนยอมตกอยูในมือเขา ใหเขาชักจูงไปทุกหนทุก


แหง บัดนี้คลายเขาผูกพันกับหลอนมาทั้งชีวิต นั่นเปนผลลัพธอยางหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น นึกอยากลุกขึ้นกอด
เขาอยางจะแสวงหาความอบอุนสักครั้ง แตเกรงจะเขาใจผิดและนึกดูถูก จึงไดแตดึงกายขึ้นนั่ง ปดผมเผา
ใหเรียบรอย

“เพิ่งเคยสะกดแอเปนคนแรกจริงๆเหรอ?”

“จริงสิ”

“รูสึกยังกับผูเชี่ยวชาญตัวจริงเลยนิ”

แลวหลอนก็หรี่ตารําพึง

“รูสึกแปลกดีจัง”

ทดลองเลื่อนแขนเปลี่ยนที่วางมือ สัมผัสแหงความเปนปจจุบันชางนาจับสังเกตอยางไมเคยเปนมากอน
หลอนขยับเขยื้อนอยางมีสติเดี๋ยวนี้ อีกสิบนาทีขางหนาจะยังประทับอยูในความทรงจําใหสามารถยอน
ระลึก ประสบการณในชีวิตมนุษยมีความหมายเพียงเพื่อใหถูกจําและถูกลืมเทานี้เองละหรือ?
๓๖๓

“ขอบใจนะที่พยายามทําใหแอรูสึกวาชีวิตตัวเองมีความสุข”

สายตาที่เบนมามองเขาทอดออนดวยกระแสความขอบคุณ

“แอชักสนุกกับการสังเกตสัมผัสและรายละเอียดตางๆในปจจุบันแลวสิ…”

“นั่นแหละเบื้องตนของการปฏิบัติธรรมในวิถีพุทธ มีสติอยูกับรายละเอียดจนเกิดตัวรู มองเห็นกาย มอง


เห็นความคิดแยกกันเปนชั้นๆ เพียงแคถามตัวเองวากําลังคิดอะไร รูสึกอยางไรตอผัสสะหนึ่งๆ ซึ่งเมื่อ
ปฏิบัติถึงระดับ ‘ขึ้นใจ’ แลวจะเกิดผลมากมาย อยางถายอนระลึกอดีต ก็จะเกิดตัวรูตัวเห็นที่ชัดเจนสม
จริงมาก”

เรือนแกวอาปากจะพูดโตตอบ แตก็ตองตกใจสะบัดหนาและอุทานอุยเบาๆเมื่อประตูหองเปดผางโดย
แขกผูไมไดรับเชิญ อาคันตุกะหนาเหี้ยมสองคนรุกล้ําเขามาอยางพรวดพราด คนหนึ่งงับประตูปดลง
อยางรวดเร็ว อีกคนกรากเขาชี้ปนขูเจาของหองในระยะหางเพียงสองเมตร

“เฉยๆแลวกูจะไมทําอะไรพวกมึง!”

เสียงสั่งเปนภาษาอังกฤษกระชากหวน ปน .38 ออโตในมือแผกระไอทมิฬมืดออกมาจากรูกระบอกดําลึก


กดใหรูสึกอยากหดหัว นากลัวจนเชื่อไดทันทีวามีลูกปนในรังเพลิง พรอมระเบิดออกมาทะลุเปาหมาย
อยางมนุษยเนื้อออนใหเจ็บดิ้นหรือสิ้นชีพเพียงลงมือกระดิกนิ้ว

สองหนุมสาวเบิกตาคาง ตะลึงงันจนลําคอตีบตัน พูดอะไรไมออกแมแตคําเดียว กลิ่นอายเพชฌฆาตอัน


เหม็นหืนที่ลอยมาจากรางปอมเปนมะขามขอเดียวนั้น กลบกลิ่นหอมอวลในหองลงสิ้น บางคนที่ฆา
มนุษยไวมากจะมีกลิ่นขื่นเขียวชวนสะอิดสะเอียนเฉพาะตัวที่ฟอกลางดวยสบูไมออก เกาทัณฑเคยพบมา
กอน และทําใหทราบทันทีวาหมอนี่ฆาเขางายเปนผักปลาดังตาประกาศแน

เรือนแกวเหมือนถูกตรึงดวยตะปู เพราะหวาดกลัวจนระบบประสาทชาไปหมดทั้งราง สิ่งแรกที่ทําเมื่อ


คลายจากอาการแข็งคางไดหนอยคือถลันขามเตียงไปขออาศัยรางเพื่อนหนุมเปนกําบัง เบียดกอด
เกาทัณฑจากเบื้องหลังแนนทั้งเนื้อตัวสั่นเทา ขณะโจนตัวก็ขนหัวลุกเพริดแทบอยากหวีดรองดวยเกรงจะ
ยินเสียงปนลั่น และมีพญายมมากระชากวิญญาณตน

ยังดีที่หมอนั่นรูวาเปนกิริยาที่เกิดจากความประสาทเสีย เยือกเย็นพอจะจอปนเฉย เรือนแกวซุกหนาแอบ


ลงกับตนคอเพื่อนหนุม เผยตาขางเดียวดูชายผูมีใบหนาเหลี่ยมหักราวกับยักษมาร นัยนตาโปนโต
อํามหิตที่เพงอยางมุงรายหมายขวัญใกลตัวในบัดนี้ สรางความหมายของคําวา ‘ประสบการณ’ ขึ้นใหมใน
ใจหลอน เอี่ยมอองที่สุดในชีวิต

“เต...”
๓๖๔

สุมเสียงสั่นกระเสาอยางนาสงสารนั้น ปลุกเกาทัณฑใหตั้งสติกลับสูสถานการณจริงอยางฉับพลัน อยาง


นอยก็รับรูวานี่ไมใชความฝน และเปนเรื่องที่เขาตองคิดอานรับมือโดยดวน ถาปลอยใหความตกใจกลัว
เขาครอบงํา สิ่งเลวรายอาจยิ่งรายถึงที่สุดเกินกวาจะผอนหนักเปนเบาได

เรื่องไมคาดฝนมีอยูมากมาย จะรายหรือดีลวนปรากฏเหมือนความบังเอิญ แตนอยคนจะรูวาเหตุการณที่


มีผลกระทบกับวิถีชีวิตอยางแรงนั้น ที่แทเปนวิบากกรรมอันมีจริง เห็นไดจริง ไมมีเรื่องใดบังเอิญเลย จะ
เปนเวลาไหน โยงใยกับใคร กรรมเปนผูคัดเลือกทั้งสิ้น

มีเริ่มตองมีจบ ทุกคนที่เผชิญเหตุรายตางภาวนาใหจบลงดวยดีที่สุด โดยเร็วที่สุด

แตคนเราใหเลนกีฬาที่ไมเคยลงสนามจริงนั้น ใครเลาประมาณแพชนะ ประมาณชาเร็วไดวาเมื่อไหรจบ?


๓๖๕

ขณะแหงความหนาสิ่วหนาขวาน มึนมืดอึมครึมดวยคลื่นความชั่วชาที่กระจายมาจากสองคนราย
เกาทัณฑสามารถขมความหวาดผวาเยี่ยงปุถุชนลงไดเกือบราบคาบ เปดทางใหเกิดสติวิเคราะหสถาน
การณเฉพาะหนาอยางถวนถี่ในเวลาเพียงสองสามพริบตา

คนยืนเอาปนขยมขวัญเขาอยูบัดนี้ ตางจากลูกจีนสิงคโปร ดูออกไปทางชาวอาทิตยอุทัยชัด ทวงทีราศี


ฉายเหนือกวาโจรกระจอก ออกเคาวาเปนชั้นลูกพี่ในแกงยากูซาสักกลุม ชุดสูทที่สวมอยูนั้น ทําใหรูป
หนาเหี้ยมเกรียมดูทรงภูมิ หากใสแวนดําปดบังดวงตากราวผิดสุจริตชนสามัญ ก็พอหลอกวาเปนเจาของ
กิจการเล็กๆกับเขาไดอยู หมอนี่คงอายุมากแลว เกือบครึ่งศตวรรษเห็นจะได แตรางกายยังดูบึกบึนแข็ง
แกรงเปนแรดแบบนักมวยปล้ํา ถาไมใชทีเผลอคงโคนลําบาก

สวนคนยืนคุมเชิงที่ประตูนั้น สูงโยงและทาทางหนังเหนียว อาจทนมือทนเทาไดแบบนักรบกระดูกเหล็ก


มองผาดหรือมองจองก็สังหรณไดทันทีวาผานการฆามือเปลามาแลวอยางโชกโชน แคนัยนตาที่เขม็งจอง
มาทางเขานั้น ก็ซานเลือดและแข็งคางราวกับวิญญาณอาฆาตมาขอชําระหนี้แลว หลบหางไดเปนดีที่สุด

ทั้งลูกพี่ลูกนองเหงื่อกาฬแตกพลั่กราวกับวิ่งหนีเสือมา ฉะนั้นการจูโจมยึดหองครั้งนี้ นาจะไมใชเพื่อเขา


มาฆา ไมใชเพื่อรื้อคนปลนทรัพย แตเพื่อขูเจาของหองพักไวเปนตัวประกัน เกาทัณฑสันนิษฐานวาคง
หนีตํารวจมาดวยพฤติกรรมสามานยชนิดหนักแผนดินสักคดีนั่นเอง สีหนาสีตาจึงเครียดเครงอยางผูอยู
ในฐานะครึ่งเปนครึ่งตายดังฟองชัด

สิ่งนาประหวั่นคือทั้งสองอาจเผื่อแผฐานะครึ่งเปนครึ่งตายมาใหเขากับเรือนแกวไปดวย ดูประกายตารอน
รนถึงขีดแลวเดาวานี่คงเปนเรื่องใหญระดับนั่งเกาอี้ไฟฟา หรือฝายนี้ยอมสูถวายหัวดีกวาถูกจับ ซึ่งถา
เปนเชนนั้น คงหวังการลงเอยดวยดีไมมีริ้วรอยขีดขวนยากยิ่ง

และตองยอมรับอยางไมนาอับอายนักวาปนพกที่ชี้เล็งแสกหนาอยูในขณะนี้ ทําใหเขาเกิดความเสียวหนา
ผากยิ่งกวาใครเอาแหลนเหล็กแหลมมาจี้จอ เพราะพิษสงของลูกปนขนาด .38 นั้น แมไมเคยโดนก็รูวา
เจ็บถึงใจแน ใหเจาะเนื้อลงตรงจุดไหนก็เถอะ โดยเฉพาะถาเขาแสกหนาเขาตามวิถีเล็งในบัดนี้ รับรอง
กลายเปนศพสวัสดีทันที
๓๖๖

เขาหวังจะตายแบบทายทอยปดๆ อยาตองเปดเวอแบบเจาพอในรถเบนซหลายๆคันเลย ขยาดกับ


จินตนาการเห็นภาพตนอาปากหวอเลือดโทรมในหนังสือประเภทเจาะขาวอาชญากรรม มันคงทุเรศนา
อวกไมตางจากมาเฟยทั้งหลายนั่นเอง

สรุปคือตอนนี้ตองหามมือหามเทาตนวาอยาบุมบามฮึดสูแบบโงๆ

ยุนรางบึกจองอยางชั่งใจเปนครู เห็นเขาสงบพอดีๆ ไมถึงกับแหยแฝน ขณะเดียวกันก็ไรวี่แววหือสูจาก


ดวงตาและแขงขา จึงหยอนน้ําหนักตะคอกขูขวัญลงหนอยหนึ่ง

“บอกเมียมึงใหสงบซะ อยาหวีดรอง อยาทําตัวรุมรามเปนปญหา ใหเขาใจวากูรักษาอาการขวัญกระเจิง


เปนอยูวิธีเดียว คือยิงทิ้ง!”

ยังคงลงเสียงสรรพนามยูไอแบบกระแทก สื่อความหมายสํารากกูมึงไมสราง ที่บอกผานเขาเพราะคิดเผื่อ


วาเรือนแกวจะฟงอังกฤษไมถนัด

“ตกลง พวกเราจะอยูเฉย ผมจะบอกเธอวาคุณจะไมทําราย”

คําสั่งของผูรุกรานเปดโอกาสใหเขาไดพูดคุยกับเรือนแกวถนัด เกาทัณฑเอี้ยวตัวยกมือตบปลอบเบาๆลง
บริเวณขมับเพื่อนสาวผูถูกมองวาเปนเมีย

“มันคงหนีตํารวจมานะแอ เฉยไวกอน ตอนนี้ยังไมมีเหตุผลใหมันทํารายพวกเราหรอก แคอาจยึดหอง


เปนที่หลบชั่วคราว เดี๋ยวคงไป”

ปลอบใหสถานการณดูเบาลง ทั้งที่ใจคิดอีกอยาง

“แอกลัว...”

“ผมก็เหมือนกัน”

เขายอมรับ ใครเอาปนมาจอหนาใกลแคนี้แลวทําเกง ยืดอกคุยโตวาไมกลัวเลยนะโมแน แตรางสั่นเปนลูก


นกของเพื่อนสาวที่เบียดชิดหลัง และชวงแขนที่คลองรัดเอาเขาเปนโลบังนั้น ก็ปลุกสัญชาตญาณปกปอง
ของชายใหเขารํางับความตระหนกประหมาลงมาก อีกทั้งคิดคําปลอบไดเรื่อยๆ

“แตตอนนี้ถาเราใจฝอ คุมสติไมอยู หากคับขันจะคิดอานนัดแนะรับมือพวกมันลําบาก”

ความเย็นทั้งกิริยาและวาจาของเขาชวยบรรเทาความกระสับกระสายของเรือนแกวไดนิดหนอย อยาง
นอยเขาก็ปกหลักบังกระสุนใหหลอนเฉย ไมสอเคาขอผลัดมาอยูขางหลังบาง พอเปนความอุนใจในคราว
วิกฤตขีดสุด รวมทั้งสรางจิตวิทยาใหโนมเอียงที่จะเชื่อวาสถานการณคงคลี่คลายไปในทางดีในบั้นปลาย
๓๖๗

โคเฮจิเริ่มประเมินสถานการณของฝายตนเองเชนกัน แมสาวหนาสวยนั่นทาทางดีดพลั่กเดียวปลิว ไรพิษ


สงอยางสิ้นเชิง สวนหนุมที่นั่งเฉยเปนรูปปนนั้น แมมีสัดสวนและกลามเนื้อสมบูรณอยางคนเลนกีฬาเปน
กิจวัตร ทวาหนาตาคมสันสะอาดสะอานอยางนายแบบเจาสําอาง ก็ไมเรียกศรัทธาใหเชื่อวากระดูกจะ
แข็งสักเทาไหร ทิ้งหมัดเดียวคงกองนิ่งกับพื้น ไมควรวิตกใหกลุมเปลาเชนกัน

สบายใจขึ้นเมื่อแนแลววาเจอหมู เขากับลูกนองใชลิฟตหนีตายจากชั้นที่พัก และวิ่งขึ้นบันไดเพื่อลวง


ตํารวจอีกสามชั้น กะหลอกแขกเปดประตูรับเพื่อยึดหองและจับไวเปนตัวประกัน หรือถาเห็นจวนตัวจวน
เวลาหาหมูหลอกไมเจอ ผิดนักก็ยอมสรางพิรุธยิงลูกบิดเปดเขาไปเอง นึกไมถึงวาจะโชคดี เสี่ยงหมุน
หองแรกก็เขามาไดสะดวกดายแบบโชคชวย แถมเจอผัวหนุมเมียสาวที่ดูรักกันปานจะกลืน ทาทางละ
ออนและขยาดความรุนแรงทุกชนิด เพียงจิกหัวใครไวจอปนขู อีกคนคงยอมถวายชีพ ยินยอมปฏิบัติตาม
ทุกคําสั่งเพื่อรักษาลมหายใจคนรักไวแนๆ

คูนี้เปนคนไทย เขาหมายตาหญิงสาวที่ถายึดไวก็เปรียบเสมือนลูกไกในมือ จึงตะแคงหนาเล็กนอยสั่ง


ความกับคนของตนเปนภาษาญี่ปุน

“ไซ! เดี๋ยวเราหลบกันในหองน้ํา ยึดตัวนังคนสวยนี่ไวเปนประกัน จับแกผาเสียดวยเผื่อโดนขอคน อาจ


หลุดตรวจ”

โคเฮจิไมทันเฉลียวใจวาหญิงไทยผูกําลังงันงกจะรูญี่ปุนทะลุปรุโปรงแทบเทียบเทาภาษาแม อีกทั้งชะลา
วาสองหนุมสาวนี่ขยําทีก็บี้แบน ตอใหฟงออกก็หือไมขึ้นอยูแลว

เรือนแกวแทบน้ําลายติดคอ อกสั่นขวัญแขวนเพราะไดยินถนัด กระซิบบอกเกาทัณฑอยางใจไมอยูกับ


เนื้อกับตัว

“เต มันวาจะเอาแอเปนตัวประกัน ซอนตัวในหองน้ํา แลวจะ...จะแกผาแอดวย”

คําหลังแผวระโหย มือไมออนเปยกไปหมด เกาทัณฑรับทราบแลวสามารถวาดภาพไดเปนฉากๆ วาย


รายหนาหักคงกะลวงตํารวจโดยใหเรือนแกวนุงผาเช็ดตัวเปดประตูหองน้ํายื่นหนาแบบเปยกๆ โดยเอา
ปนจี้หัวไวขางหลัง ถึงแมตํารวจพบพิรุธก็เปลี่ยนแผนเปนขูฆาไดทันควัน เหตุการณถัดจากนั้นยากจะ
เดา ตํารวจจะเลือกสวัสดิภาพของแขกบานแขกเมืองหรือมรณกรรมของคนรายเปนหลักก็ไมทราบ และ
ฝายคนรายที่ทะเลอทะลาเขามาติดตันในโรงแรมจะใชตัวประกันแหวกผานวงลอมสันติบาลแบบไหน
ลวนเกินความหยั่งรู

แตที่แนคือตราบใดที่พวกมันยังไมถึงถิ่นตัวเองหรือเขตปลอดภัย เรือนแกวก็จะยังคงถูกยึดตัวไวอยาง
เหนียวแนนแทนโลปอง เพราะนี่คือจุดประสงคของการบุกหองพักแขกอยูแลว
๓๖๘

เรือนแกวคงหมดประโยชนเมื่อถึงรัง เพราะพวกนี้ไมใชโจรลักตัวเรียกคาไถ รูปรางหนาตาอยางหลอนคง


กลายเปนของแถมจากการฉุดคราที่นาปูยี่ปูยําอีกโสด ถาไมโดนขมขืนฆาก็ถูกจับขายอยางใดอยางหนึ่ง
นั่นแหละ ที่จะทิ้งไวตามโคนตนไมใหหาทางกลับเองโดยไมตะกุยขวนเลยสักรอยนั้นอยาหวัง

สําหรับเขาเองคงอยูในขายปลอดภัย เพราะมีหนาที่เปดประตูรับตํารวจ และเสแสรงแกลงทําวาไมรูเห็น


เหตุการณเลวรายอันใด กับทั้งเมื่อถูกขอคน ก็ตองอางวามีเมียอีกเพียงคนเดียวอยูในหองน้ํา ประกอบ
ธุระสวนตัวของหลอน ตํารวจจะไดกระอักกระอวนในการขอตรวจอยางละเอียดทุกซอกมุม

หนังตาขยิบแปลบ เขาจะปลอดภัยอยางลอยลําเพียงเมื่อตํารวจมาถึง...

ประสาทเกาทัณฑชักเครียดเขม็ง ฝายลูกนองรางโยงคลายออกความเห็นแยงความคิดลูกพี่ ซึ่งลูกพี่ก็ดู


ทาวางตําแหนงอีกฝายไวในฐานะกุนซือ ไมใชแคลิ่วลอไวเปนมือเทาอยางเดียว ยังรับฟงและโตตอบเปน
เรื่องเปนราวยาวอยู

นั่นเองเกาทัณฑจึงมีโอกาสสั่งเสียกับเรือนแกว

“เราตองชิงเลนงานมันกอน ใหแออยูในมือพวกนี้เทากับกระโจนลงนรกดีๆนี่เอง แอเลือกเอานะ จะเสี่ยง


ตายกับผมหรือยอมรอเสี่ยงตายในมือพวกมัน”

เขาถามความสมัครใจและบอกความเปนไปไดที่อาจเกิดขึ้นอยางตรงไปตรงมา ถึงแมเรือนแกวจะกลัวจน
ขึ้นสมองจี๊ด ก็หลับตากัดฟนตอบอยางรูวาถึงนาทีจวนตัวเขาดายเขาเข็ม ตัดสินใจชาไมไดแลว

“แอจะตายกับเต”

ควานหามือเขา เมื่อพบก็ยึดไวมั่น

“ขอบใจนะที่ไมคิดทิ้งกัน”

เกาทัณฑกระชับมือตอบ

“ผมไมใหแออยูในมือคนอื่นหรอกนา”

เสียงปรานีจริงใจนั้นมีผลใหเรือนแกวคอยๆลืมตาขึ้น ลําคอตีบตัน ไออุนจากเขาชวยใหจิตใจมั่นคงขึ้นที


ละนอย

“เต...”

“หือม?”
๓๖๙

“อยากดาวาหนาไมอายก็ตามใจนะ ฉัน...ฉันรักเธอ”

สารภาพปลายเสียงสั่นพลิ้วอยางตระหนักวาอาจไมมีโอกาสไดพูดอีกแลว เกาทัณฑอึ้งไปชั่วขณะ ในโลก


ใกลดับที่มีเขากับหลอนตามลําพัง ทุกสิ่งถูกลืมหมดสิ้น เหลือไวแตอารมณจากแกนแทภายในที่ถูกเรงให
แสดงโดยปราศจากมารยาแสรงเส

“ผมก็รักแอ...”

เหมือนกระแสน้ําอุนหลามไหลเขาสูหัวใจเยียบเย็นของคนที่ยืนอยูหวางรอยตอความเปนกับความตาย
ความซานระทึกในวิกฤตถูกทวมทับจนมิดดวยรสสงบสุขในรัก เรือนแกวบีบมือแนนขึ้น อยางจะขอรับ
การถายทอดกระแสใจจากเขาเขารวมเปนหนึ่งเดียวกับตน

“โลกหนาจะเปนสวรรคหรืออะไรก็ชาง ขอใหเราไดอยูดวยกันก็แลวกัน”

หลอนกระซิบ เกาทัณฑยกมือของหญิงอันเปนที่รักขึ้นจุมพิตแผว

“อยาใหผมสับสน และเพิ่งไดรูใจแอเอานาทีสุดทายเหมือนชาตินี้อีกละ”

เรือนแกวตอบดวยรอยยิ้มเงียบเชียบที่เบื้องหลัง บังเกิดความตื้นตันใจจนวูบคิดอธิษฐานอยางแรงกลาวา
ตนจะยากกับชายทั้งโลก แตงายกับเขาเพียงคนเดียวไปทุกภพทุกชาติ!

การเกิดใหมมีกระบวนการซับซอนอยางไรไมรู รูแตวาขอเพียงมีใจกลมเกลียวเปนหนึ่งเดียวเสมอกัน
หมดวาระจากฉากนี้เมื่อไหร ก็ไดผจญภัยในฉากใหมรวมกันแนแลว

“จะใหแอทํายังไงบาง?”

น้ําเสียงหลอนสะทอนใจที่นิ่งเหมือนน้ํา กายที่เคยสั่นบัดนี้สงบลง เหลือเพียงความเย็นใจในรักแท

“ยิงปนที่เห็นในมือไอเบื๊อกขางหนานี่ไหวไหม?”

“ไหว”

“งั้นคอยตะครุบใหดีแลวกัน”

เรือนแกวพอเดาไดวาจะเกิดอะไรขึ้น แตไมวายหวง

“แลวอีกคนละ?”

“เถอะนา...”
๓๗๐

ลอบอัดลมหายใจยาวลึกรวดเร็วสองสามครั้งราวกับกระบอกสูบลมขนาดยักษ เก็บเกี่ยวพลกําลังจนเต็ม
แนน เริ่มจับจังหวะนับแตนั้น ขอทีเผลอเพียงพริบตาเดียวเถอะ

เกาทัณฑเปนผูที่เกิดมามีสัดสวนและสรีระเปนอาวุธรายคนหนึ่ง ทั้งขอลํา ทั้งน้ําหนักหมัดเทา ทั้งสปริง


ตามจุดสงแรงตางๆ จัดวาถูกสรางไวเพื่อใหพรอมระดมหมัด เทา เขา ศอกแจกไดดุดันเปนฟาแลบ ชวง
วัยรุนเคยมันเขี้ยวคะนองกําลังวังชาแหงตน ตระเวนลองของมาเยอะ ถึงเรื้อไปบางก็ซอมชกกระสอบ
ทรายในหองพักเกือบทุกวัน รักษาน้ําหนักไวไดคงเสนคงวา ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาใชประโยชนรักษาสวัสดิ
ภาพของตนและหญิงสาวในคราวนี้ เขามั่นใจวาถารีบก็อาจเผด็จศึกโดยเร็ว ฉวยความไดเปรียบที่ศัตรู
ประมาท หยอนความระวังเปดชองใหเขาทํากอน

และแลววินาทีที่รอคอยก็มาถึง ดูเหมือนนายบาวคูนั้นจะตกลงกันไดวาจะเอาไงแน ฝายยืนคุมประตูหอง


จึงหันไปยื่นหนาจอตากับรูแกวเพื่อสอดสองความเปนไปภายนอก สวนตัวหัวหนาก็พะวงใชมือซายลวง
ทอเก็บเสียงจากชายเสื้อนอกดานใน ลดความเกร็งขอแขนและขอมือขางที่จับปนลงแบบการดตก เนื่อง
จากตายใจแลววาสองหนุมสาวเปนเด็กหัวออนในความควบคุมโดยดี

เกาทัณฑทะลึ่งพรวดขึ้นดีดปลายเทาซายเตะขอมือเจาตัวรายเต็มเหนี่ยว ปนกระเด็นหลุดผลัวะ จากนั้น


ไมรอชา หมายตาไปยังลูกสมุนหนาหอง มือขวาเอื้อมไปทางดานหลัง ควาจานเขี่ยบุหรี่เหล็กจากโตะหัว
เตียง วาดแขนสะบัดมือเขวี้ยงใสกบาลหมอนั่นกะตําแหนงทายทอย อาศัยเชื่อความแมนยําของตนที่สั่ง
สมจากการเลนกีฬาขวางๆเหวี่ยงๆมาเยอะ ไมวาจะเปนเปตอง ขวางจักร หรือปาลูกดอก ผสมผเสกัน
แลวหวังผลพอไดวาระยะครึ่งหองพักแคนี้ถาเขาเปาจังๆคงสลบเหมือดคาที่

ยินเสียงเหล็กกระทบกะโหลกมนุษยโปกใหญคลายกระหน่ําทุบคอนปอนด ตามดวยเสียงรองอุบหนึ่งแอะ
เกาทัณฑไมมีเวลาชมผลงาน เพราะตองหันกลับมาทางชายรางปอมใกลตัวทันที รางบึ้กตั้งหลักไดเร็ว
และกําลังสวิงหมัดซายใสแบบโตตอบกอนสมองสั่ง หมายตะบันหนาหลอใหหงายเกง เกาทัณฑเพียง
คอมรางหลบหนอยเดียว กะใหหมัดเฉี่ยวถากวืดครอมศีรษะ เพื่อไมใหเสียหลักเขาจูโจมมากนัก

พอหมัดขาศึกวืดและเปดชองทอง เกาทัณฑก็ฉวยโอกาสสะอึกตวงซายสั้นเขาลิ้นปสองหมัดซอนจนคูอริ
ตัวงอลงหนอย แลวซ้ําดวยการยอขวางางหมัดยิงปง หมายเสยเขากระโดงคางสุดแรงเกิดแบบไมออม
แรงไว เพราะแมดูทาวาเจานั่นแกเกินสี่สิบ ก็ยังแกรงขนาดมีสิทธิ์ฟาดเขาหมอบ หรือยิงเขาตายไดชนิด
ตาไมกะพริบ อยางนี้คงไมเจอขอหารังแกคนแกอยางนาเกลียดกันละ

อยางไรก็ตาม หมัดตันๆเปนตุมเหล็กที่เคยตอยคูตอสูกรวมเดียวลมตึงนั้น บัดนี้สยบยุนรางบึ้กไมลง แม


อายุมากก็ยังแกรงกลาทายาด เพียงโซเซแกวงไปแกวงมาแบบตาพราพรายเห็นดาว ทั้งที่ควรหงายหลัง
แผหราไดแลว
๓๗๑

เห็นจะเปนเพราะเขาจับเปาน็อคไมถนัด กะคางแตเปาไหวเสียกอน น้ําหนักหมัดเพียงเฉี่ยวกรามจึงออน


ไปสําหรับผูโชกโชนศึกที่รางหนาปกราวกับนักมวยปล้ําเกา ทําเอาหนุมไทยชักหนักใจ เนื่องจากยังมีเจา
โยงตาอํามหิตที่หนาประตูอีกรายใหติดตามผล แคดานแรกยังคว่ําชาอยางนี้ ขืนปลอยไว เกิดลุกขึ้นตั้ง
หลักไดพรอมกันสองคน เขาคงโดนลงแขกแจกหมากนวมกอนยิงทิ้งทารุณ หรือใชวิธีห้ําหั่นสยดสยอง
ตามตํานานยากูซาที่เคยแววมา

ใชเวลาเสี้ยววินาทีเดียวตัดสินใจเลือกเผด็จศึกหัวมังกรใกลตัวใหสิ้นเรื่องสิ้นราวกอน คอยตามเช็กบิล
หางมังกรในภายหลัง ถาหางมังกรสะบัดลายขึ้นมาตอนนี้ก็ตอโลงรอเถอะ ใครไปจับศึกสองดานพรอมกัน
ไหว พยายามดีที่สุดไดแคนี้

ยางเทาเขาหาสิงหเฒา กําสองหมัดแนน ยกสองแขนเอี้ยวตัวอยางกับจะหวดกอลฟ กอนประเคนฟาดตน


คอของผูเปนเปาหมายอยางจังดวยหมัดคูและสองขอมือคมที่ประสานลงพรอมเพรียง สงเสียงตึ้บหนักๆ
เปนมะพราวตกจากตน ยังผลใหรางบึกทรุดฮวบคลานสี่ตีนทันใด

เมื่อทรุดลงดังใจนึกแลว เกาทัณฑจึงดับเครื่องฝายนั้นดวยการถอยเทาออกไปสองจังหวะ แลวสืบซาย


ปกหลัก หวดแขงขวาชอนเขาใตทองแบบอัดฟุตบอลจากจุดโทษโหดเหี้ยม เรียกวาถาเปนบอลก็กะตูม
เดียวตุงตาขายเกือบฉีกชนิดผูรักษาประตูไมกลารับ เลนเอารางบึกเดงเยือกขึ้นตามแรง แลวพับฐาน
พังพาบยุติการเคลื่อนไหวลงสนิท

อยาเพิ่งฟนนะไอแก...เกาทัณฑคิด ตอใหสมัยหนุมเคยเปนนักมวยปล้ําจริงก็คงจุกลําแขงเขาไปหลาย
นาทีละคราวนี้

อยางไหลลื่นตอเนื่อง กระทิงหนุมหันตัวปราดเขาชารจเจาโยงที่โดนอาวุธลับลงไปกองเคเกกราบประตู
หนาหอง แงหรือสันจานบินเหล็กคงไมเขาเปาทายทอยถนัดนัก เพราะยังอุตสาหหยัดกายขึ้นยืนอยาง
ทรหด เดชะบุญหมอนั่นมือออนทําปนรวงกับพื้น และเพิ่งกลับหลังหันโงนเงนงงงวยขึ้นมา ทาทางกําลัง
พยายามนึกใหออกวาชาตินี้กูคือใคร พอเขาไปถึงจึงเลือกเลนงานไดตามสะดวก งัดหัวเกือกซายเขาผา
หมากเต็มตีนชนิดขอเก็บคุณธรรมเขากระเปาเพื่อความสะดวกและปลอดภัยของขาพเจาไวกอน

แตสัญชาตินักสูของจอมทรหดนั้นทําใหยากจะเคี้ยวงาย เจานั่นคืนสติเห็นขีปนาวุธจับเปาตนไดอยาง
วองไว สมอาชีพคนบาปที่ตองมีตาประดุจเหยี่ยวไวระวังภัยเสมอ สองมือปามจับขอเทาเขาไดทัน กับรีบ
เลื่อนมือซายตะปบปลายเทาปบ ออกแรงบิดหักสุดฤทธิ์ หวังใหเขาเสียหลักลมลงกับพื้น และกะตาม
กระทืบซ้ําฉับพลันทั้งที่ตนยังไมสรางงงดี

เกาทัณฑใจหายวาบ แตเมื่อรูตัววาจะถูกบิดใหคว่ําก็ตั้งสติ สปริงเทาขวาลอยขึ้นสูง นอนตัวขนานกับพื้น


ใชสะโพกเปนศูนย ออกแรงบิดเหวี่ยงเพื่อตามขอเทาตัวเองที่กําลังถูกบิดหมุน แถมตวัดซนเกือกขวา
หมายกานคอที่เปดหรา มฤตยูโยงมัวยึดเทาเขาไวเหมือนของรักของหวงจึงหมดสิทธิ์ปกปอง
๓๗๒

แรงเหวี่ยงจากการหมุนตัวกลางอากาศไมไดมีผลชวยเทาไหรนัก เพราะเปนกึ่งจระเขฟาดหางเทานั้น แต


การสงแรงจากขอพับขาซัดซนเทาลงตรงเปาหมายอยางทรงกําลังแมนยํานั่นเองที่ทําเอาจอมอึดคอพับ
คอออนอยางกับดวดเหลาสาเกไปสองไห เกาทัณฑรูสึกวาขอเทาซายหลุดเปนอิสระทันที

หนุมไทยลมคว่ําลงพื้นดวยสองมือยันโดยสวัสดิภาพ กอนดีดตัวขึ้นราวกับตุกตาลมลุก จิกหัวคูเวรขึ้น


กระแทกประตูโครมสนั่น แลวงอศอกขวาคมกริบวัดเขาขมับฉัวะ ยอซายอีกนิดเพื่อใชทางอศอกใหเปน
ประโยชนตอเนื่อง คือเกร็งสันมือแบบคาราเตฟนฉับเขาคอหอยเต็มแรง หมอนั่นรองอึ๊กไอโขลก โซซัด
โซเซมือตะกายอากาศจะรวงลงพื้น

เกาทัณฑยังไมหายมันในอารมณดิบที่ถูกปลุกใหโลดเรา เห็นทาเจาโยงกําลังงอไดที่เหมาะ ก็แทงเขาเขา


ปกลิ้นปสองทีซอน จนผูรับเกิดอาการสะอึกกิน ลูกตาเหลือกถลนแทบพลัดเบา ไมหนําใจกดหัวโนมใบ
หนาฝายนั้นลงรับเขาเสยอีกคํารบ เขาดั้งจมูกเต็มๆ เห็นเลือดกําเดาทะลักพลั่กทันตา

กระทิงหนุมเริ่มเหนื่อย หวังจะเห็นคูเวรปอแปแพแรงอัด แตก็เพิ่งประจักษวาตนผานสังเวียนมานอยไป


ประเมินผูมีชั้นเชิงและน้ําอดน้ําทนเหนือตนไมถูก ศัตรูผูเกิดใตฤกษเพชฌฆาตนั้น แมคะมําลงกับพื้น
เหมือนหมอบกระแตแนแลว ยังอุตสาหยื่นมือกระชากขอเทาเขาหงายตึงลงไดดวยกําลังราวชางสาร เลน
เอาเกาทัณฑเย็นสันหลังยะเยือก เพราะรูแตตนวาถาเปดโอกาสใหเจานี่ตอบโตไดแมเพียงแอะเดียว เขา
จะเปนฝายถูกฆาดวยมือเปลาอยางงายดาย วิญญาณนักฆาที่ปะทุจากทุกขุมขนของมันฟองใหตระหนัก
เชนนั้น

อาจเพราะดวงยังไมถึงฆาต หางตาเห็นโตะกลมเล็กขาเดี่ยวติดผนังขางตัว เสี้ยววินาทีเดียวโดยไมตอง


คิดก็ควาขาโตะยกขึ้นประเคนสันกลมเขากลางกระหมอมซึ่งอยูในจังหวะโงหัวขึ้นรับพอดี เขาอยูในทาไม
ถนัดนักจึงรูวาคงแรงไมถึงขนาดกะโหลกชํารุดจนวายชีวาตม กะแคใหมฤตยูโยงรูสึกคลายฟาผาหัว มึน
งงมะงุมมะงาหราใหเขาตั้งตัวสักอึดใจหนึ่ง อยางมากหัวเจาะเลือดทวมหนาเทานั้น

มือพระกาฬจากแดนซามูไรทรงกายขึ้นคุกเขาและพยายามปรับสายตาใหมองเห็นสิ่งที่อยูตรงหนา
เกาทัณฑลนลานลุกขึ้นหลับหูหลับตาเหวี่ยงเทาตูมเขากกหูศัตรูถนัดถนี่ ภาวนาวาครั้งนี้ขอใหจอด
เพราะถามันยังหยัดกายอยูไดอีก ฝายเขาอาจเริ่มลดนอยถอยกําลังลงเรื่อยๆ เผลอๆอาจเพลี่ยงพล้ําถลํา
คว่ําเอง เนื่องจากหวดแขนขาสุดตัวแบบไมไดพักหายใจมานาน ชักออกอาการเหนื่อยลาสายตัวจะขาด
แขงขาสั่นพั่บๆแลว

สมคําภาวนาของเกาทัณฑ โยงกระดูกเหล็กจากถิ่นซากุระบานเอียงกระเทเรลงคว่ําราวกับตนไมโคน
เพราะจุดที่หลังเทาเขาเมื่อครูคือตําบลทัดดอกไมเต็มๆ ขนาดตัวเกาทัณฑเองตองเขยงยกเทากุมดวย
ความเจ็บราวกับเตะเสา
๓๗๓

ตลอดเวลาระทึกยิ่งกวาดูฉากบูในหนัง เรือนแกวเอาแตเบิกตาตะลึง นึกไมถึงวาเพื่อนชายจะรายรําหมัด


เทาไดราวลูกหลานเทพสงครามเชนนี้ ลืมหมดที่เขาสั่งใหตะครุบ .38 ของคนราย อันเปนที่รูวาเอาไวขู
คุมเชิงระวังหลัง แบงเบาภาระใหกับเขา

โคเฮจิสมควรไดสมญามหาอึดเชนเดียวกับลูกนอง เพราะแมอายุเกือบเขาไปครึ่งศตวรรษแลว ก็ยังรวบ


รวมสติสัมปชัญญะไดทีละนอย กระทั่งหยัดกายลุกขึ้นไดใหม สลับฉากพอดีกับจังหวะที่สมุนคูใจของตน
นอนลงใหกรรมการนับสิบนั่นเอง

สิงหเฒาโผเผกระชากปนพกสํารองจากชายเสื้อนอกขึ้นมาเล็งหนุมไทยทั้งตาพรา สติเลือนไมเขาที่เขา
ทางดีดวยความจุกเสียดทองแนนตึ๊บ เรือนแกวซึ่งเห็นตลอดทุกจุดของเขตทําศึก ถึงกับเย็นวาบตะโกน
เสียงหลง

“เต! ระวัง!!”

เกาทัณฑไดยินเชนนั้นก็เลิกเขยงเก็งก็อยหอบตัวโยน สะบัดหนามาทางจงอางที่เขาหวดหลังไวไมหัก
ตกตะลึงตาเบิกโพลง ความรูสึกบอกวานั่นคือวาระสุดทายของตน

ใจหลนวูบกับคํารามปน ขนหัวลุกทั้งแผง หนุมไทยวิ่งหลบกระหืดกระหอบ สองมือแบยื่นออกมาปดปอง


ดวยความกลัวตาย คนเราถาวิ่งหนีขณะกลัวตายเตลิดเพริดละก็ รอยทั้งรอยทาไมสวย ตอใหฝก
คอมมานโดมาก็เถอะ ที่จะใหมวนตัวสวยเกแบบในหนังนั้น อาจมีไดก็ตอเมื่อสติสตังยังอยูกับเนื้อกับตัว
ครบถวนเทานั้น

กระโจนผลุบเขาแอบหลังโซฟาตัวหนึ่ง ทั้งสํานึกเดี๋ยวนั้นเลยวาหัวกระสุนคงสามารถตัดชําแรกแทรก
ผานพนักมาเขารางตนไดราวกับผานอากาศธรรมดา แมถูกหักเหบางก็คงไมพนตัว ตองดิ้นพราดกับที่ให
โจรโหดตามมากระหน่ําซ้ําอยางสะดวกดาย

ฝายเรือนแกวเห็นการณวิกฤตของเกาทัณฑก็เพิ่งไดสติ ผุดความจําวาตนก็ใชอาวุธปนเปน แถมยิงแมน


แบบพรอมจะทําบาปขึ้นเสียดวย จึงกลิ้งตัวกับฟูกเขาเอื้อมควาปนกระบอกที่เห็นแตแรกวาตกอยูแทบ
ปลายเตียงทันที

เมื่อควาไดก็ดึงกายขึ้นชันเขาตั้งหลัก หางตาเห็นเซฟถูกปลดไวแลว สองมือจึงกุมดามแนน ยกเหยียด


ขึ้นเล็งตรงดวยมาดของผูช่ําชองการใชอาวุธ สายตาพุงตรงจับเปาหมายไปทางเดียวกับลํากลอง สอดนิ้ว
เขาโกรงไกพรอมกระดิก พิชานในการเล็งเกิดขึ้นในคราวคับขันกับผูฝกยิงมากอน ทีแรกเปนศีรษะโจร
รายที่ยังสะโหลสะเหลมือสั่นตั้งศูนยไมเสร็จ กาวสะเงาะสะแงะไปทางโซฟาซึ่งเกาทัณฑใชเปนที่กําบังตน
แตเปลี่ยนใจชั่วพริบตา เบนปบทั้งตาและมือพรอมกันไปจับลําปนของฝายนั้น แลวเหนี่ยวไกยิงเปรี้ยง
๓๗๔

โคเฮจิสะดุงเฮือก แทบหายมึนเมื่อเห็นปนกระเด็นหลุดจากมือวับไปกับตาจากแรงปะทะมหาศาลไรตน
แถมไดยินเสียงตวาดเฉียบขาดราวกับประกาศิตเกรี้ยวจากนางพญาตามมาวา

“อยาขยับ!”

หมดขออางฟงไมออก ปฏิบัติตามไมถูก เพราะคําบัญชานั้นเปนภาษาญี่ปุนสําเนียงแท เลนเอาพอยุน


ตะลึงอาปากหวอ หันมองอยางงงงัน สาวสวยที่นึกประมาทไวแตแรกวาเปนนางสมัน บัดนี้โผนขึ้นยืน
ผงาดบนเตียงราวกับนางเสือดาว ชี้ปนของตนมายังตน นัยนตาเปลงประกายลุกวาวสีน้ําตาลไหมจัดจา
คลายจะแผดเผาสิ่งถูกเพงใหเปนจุณไดเดี๋ยวนั้น

ดูรูวาตั้งใจยิงจริงถาเขาอยากลองดี และลงถาแมนขนาดดีดปนจากมือเขาทิ้งได ก็คงเล็งกะโหลกโตๆได


ไมพลาดเชนกัน โคเฮจิจึงยกสองมือแสดงการยินยอมปราชัย รูจักประกายกระหายเลือดของมนุษยดีเกิน
กวาคิดเสี่ยงขัดขืน

เมื่อยิงปนเขาเปาสําเร็จไปครั้งหนึ่ง กับทั้งขณะนี้สติยังรวมศูนยกับสองมือที่จับดามและสายตาที่เล็งตรง
เรือนแกวรูสึกวาจิตใจตนเปลี่ยนรูปไป ในความสงบอยางเอกอุนั้น มีความกระเหี้ยนกระหือรือพลุงพลาน
มาจากหัวใจ จิตที่จับเครื่องมือประหัตประหารยอมถูกจูงใหคิดอยากฆา โดยเฉพาะคนมีนิสัยเดิมติดตัว
มากอนอยางหลอน

นั่นเปนสิ่งที่มือปนสาวยังไมเขาใจตนเอง หลอนอยากฆาคนแทบทุกครั้งที่จับอาวุธ เมื่อรูตัวก็ขมใจซ้ํา


แลวซ้ําเลาเสมอมา กระทั่งความคิดรายกาจจางตัวลงบางตามเวลาที่อบรมตนเองทีละนอย ทวาเพิ่งมา
ถูกกวนตะกอนใหกลับขุนขึ้นอีกในบัดนี้

“เต! ออกมาไดแลว!”

เมื่อคิดวาคุมสถานการณได หญิงสาวก็สงเสียงเรียกเกาทัณฑกอง อยางตองการใหเขามาคุมเกมแทน


แตนัยนตายังจับนิ่งอยูกับชายหนาหัก พรอมกันก็ระแวดระวังผานหางตา สังเกตความเคลื่อนไหวของ
มฤตยูโยงที่นอนหมอบอยูอีกทางไปดวย

เรือนแกวรูสึกหนาวๆรอนๆเมื่อไมไดยินเสียงตอบจากหลังโซฟา ตองตะโกนเรียกซ้ําอีกครั้ง

“เต! เปนอะไรรึเปลา?”

หวิวคลายจะเปนลมขึ้นมาทันใดเมื่อคําตอบยังคงเปนความเงียบ ไรเงาเกาทัณฑโผลขึ้นมาใหเห็น คิดใน


แงดีวาเพื่อนชายอาจแกลงเงียบใหหลอนใจแปวเลน แตพอเรียกซ้ําถี่ๆอยางคาดคั้นเสียงเขียว ก็รูแนวา
ผิดปกติแลว
๓๗๕

เหงื่อผุดซึมตามไรผมทั้งที่หนาวสะทาน ริมฝปากสั่นระริก นัยนตาที่เล็งจับลูกหลานซามูไรเริ่มชาดาน


คลายฆาตกรโรคจิตขึ้นทุกขณะ ราวกับมีใครอีกคนมาสวมราง แทบไมรูสึกตัวเลยวาหลุดคําญี่ปุนออกไป
เชนใด

“ถาผัวกูมีอันเปนไป มึงจะตายทรมาน!!”

อึดใจหนึ่งก็เสี่ยงเรียกเกาทัณฑซ้ําอีก สองจิตสองใจไมกลาขยับตัว กลัวฉลาดนอยกวามารเฒาตรงหนา


ในชั่วพริบตาที่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

ปะทุโทสะถึงขีดหนึ่ง ความโกรธเกลียดโจมจับใจอยางไมเคยเปนมากอน คําวา ‘เจากรรมนายเวร’ ผาน


เขามาในหัวอยางไมรูเหนือรูใต สิ่งหนึ่งในอากาศกระซิบสั่งวาฆา...ฆา!!

ภาพที่ปรากฏตอโคเฮจิคือนัยนตาลุกโพลงดุจมีเพลิงรอนถูกรุนอยูเบื้องหลัง กระแสวิญญาณนางเสือราย
ดูทะมึนครึ้มหลอกตาเหมือนรางหลอนสูงเงื้อมจรดเพดาน ชวนใหนึกถึงพญามัจจุราชผูทรงมหิทธิอํานาจ
ในการลงทัณฑส่ําสัตว ลูกซามูไรถึงกับครามระยออยากหลบเพราะนึกรูทานี้วาคงโดนแนแลว

เรือนแกวกระดิกนิ้ว ลูกปนแลบผานกระบอกเขาเปาดังลั่นราวเสียงเดือดจากอเวจีมหานรก

จอมทรชนแหกปากอยางขวัญกระเจิงกระจุย หมดลายสิงหลงสิ้น กมหัวยกมือไมปายซายขวาอุตลุด


อยางสุดจะกลั้นความผวาประสามนุษยธรรมดาคนหนึ่ง

แตเมื่อรูสึกตัววานอกจากความกลัวแทบเยี่ยวแตกเยี่ยวแตนแลว สวนหัวอันนาจะเปนจุดเล็งของมือ
พิฆาตสาวยังอยูดี ลูบคลําเปะปะแลวไมแหวงหายหรือเกิดรูเล็กขาเขา รูใหญขาออก ก็บังเกิดความโล
งอกเหมือนตายแลวเกิดใหม หลอนแกลงยิงเฉียดกบาลใหขี้ขึ้นหัวเทานั้น

“ไปเปดประตู!”

เสียงตวาดสั่งจากเบื้องบนทําใหสะดุงแทบลอยทั้งตัว รูวาทําใหหลอนโกรธและอาจบาดีเดือดคิดลงทัณฑ
กับเขาดวยวิธีที่เลือดเย็นผิดมนุษย ตากลับๆแบบนั้นเขาซึ้งแกใจดีวาเปนสัญลักษณของความเฉียดใกล
ระหวางสติกับวิปลาส นังนี่ตองคุมดีคุมรายผิดธรรมดาแน

เดินเกๆกังๆไปทางหนาหองเพื่อเปดประตูตามโองการพญายม คิดอยูในหัวตลอดเวลาวาจะแกลําพลิก
สถานการณไดอยางไร แตก็นึกไมออกเอาแตกลอกหนา ดวยความตระหนักวาแมนั่นจะยิงเขาจุดตาย
อยางโหดเหี้ยม ขอเพียงเขาตุกติกกระดิกกระเดี้ยไปในทางแวงกัดแมแตนอย ในเวลานี้รูสึกไมตางอะไร
กับมีอสรพิษตัวเมียจอหลังพรอมฉก ขนลุกซาจากตีนผมแลนไปตลอดแผนหลังทุกขณะจิต

หมุนลูกบิดประตู อาออก สัญชาตญาณสั่งวาเปนโอกาสรอดสุดทาย คิดพุงตัวหนีใหลับมุม แตยังไมทัน


อาบานประตูกวางพอจะเล็ดรอดออกไปได ก็ไดยินกัมปนาทปนของตนเองดังจากเบื้องหลัง กระสุนเขา
๓๗๖

เจาะขาทั้งสองบริเวณเหนือขอพับอยางแมนยํา ซายแลวตามดวยขวาหางกันเพียงสองพริบตากอนคะมํา
แสดงใหเห็นความสามารถของนักแมนปนที่ควบคุมแรงสะบัดและเบนทิศเล็งเปาเหลื่อมระยะไดเหนือชั้น

โคเฮจิแหกปากโหยหวนครวญคราง มือที่คาลูกบิดอยูในจังหวะกระชากเตรียมหนีพอดี ประตูจึงเปดออก


ใหลมปาบลงดิ้นเลือดสาดคาธรณี สวนบนของลําตัวโผลออกไปขางนอก กระเสือกกระสนทุลักทุเลราว
กับปลาชอนถูกทุบหัวบนเขียง กนดานังคนใจรายดวยสุมเสียงสําเนียงคลายสัตวปายาวยืด นึกไมถึงวา
จะถูกสั่งเปดประตูเพื่อใหหลอนเจาะยางลมคาที่ไปไหนไมรอดเชนนั้น

เสียงกลุมคนวิ่งใกลเขามา เรือนแกวตะโกนขอความชวยเหลือเปนภาษาอังกฤษดวยความคาดหมายวา
คงใชกลุมตํารวจที่ไลลาสองเดนคนนี่อยู แตแลวก็หันเล็งจังหวะเดียว ยิงอีกเปรี้ยงฉีกพื้นพรมขู เมื่อเห็น
เจาโยงสะลึมสะลือยื่นมือจะควาดามปนที่ตกอยูไมหาง เปาหมายของหญิงสาวคือทําลายปนกระบอกนั้น
ทิ้งใหสิ้นเรื่อง

จอมอึดมหากาฬถึงกับมือหด เงยหนาประสานตาจองกับนางเสือรายอยางผูกอาฆาต ซึ่งเจาหลอนก็สาน


ตอบไมหลบและสงแรงตาควบคูแรงเล็งของวิถีปนเขาแสกหนาคูพยาบาท อยางจะใหมันรูสึกถึงน้ําหนัก
มหาหายนะแหงชีวิต รับทราบไดวาฝายนั้นกําลังเสียวสยองทั้งแผงหนาผากราวกับถูกจี้ดวยเข็มแหลม
แมฝนเปดตาคาง จดจองหลอนดุดันเปนงูพิษสะกดเหยื่ออยูก็ตาม

ตอเมื่อผูพิทักษสันติราษฎรมายืนแอบขางประตูและสงเสียงถามความเปนไปภายในหอง เรือนแกวจึง
รองตอบไปวาโจรอีกนายลมลุกคลุกคลานแอบซอกประตูอยู ไมมีอาวุธแลว และหลอนจะคุมเชิงให นั่น
เองสันติบาลหนุมนายแรกจึงถีบประตูผลัวะไปอัดกระทบเปาหมายเปนการชิมลาง กอนยายรางขามตัว
โคเฮจิเขามาสะบัดสองมือจอปนเล็งหัวไอกานยาว พลางกระดืบถอยไปยืนพนระยะปะทะ

มารกานยาวเห็นตนตกอยูในมือตํารวจแนแลวก็ชูสองมือขึ้นสูง มีตํารวจกรูตามเขามาอีกหลายนาย พอ
เรือนแกวแนใจวาบัดนี้หมดหวงจากทุจริตชนผูนิยมวิธีโสมมในการเอาตัวรอด ก็ตาลีตาเหลือกถลันจาก
เตียงไปที่หลังโซฟาซึ่งเกาทัณฑนอนหมอบเงียบเชียบอยู

“เต!!”

สงเสียงนําตั้งแตแลนจากแหลง กระทั่งมายืนในตําแหนงที่เห็นภาพนอนคว่ําคุดคูของเพื่อนชายปรากฏ
ตอสายตา เลือดเขมหยอมใหญที่แฉะโชกหลังของชายหนุมคลายสายฟาฟาดใกลตัวใหสะเทือนทั้ง
กระหมอม หญิงสาวกรีดเสียงดังที่สุดในชีวิต โจนพรวดเดียวถึงตัว พลิกรางเขา ประคองชอนขึ้นวางบน
ตัก กลิ่นคาวเค็มจากหยอมของเหลวที่คลุงเขาจมูกทําใหมือสั่น ตัวสั่นเหมือนเกิดแผนดินไหวรุนแรงที่
เขยาทุกสิ่งใหวูบไหวอลหมานไมรูขวารูซาย...
๓๗๗

ชีวิตเปนของแตกพังงายจริงหนอ ในวัยหนุมแนน ไมมีชายใดคิดวาจะไดนอนเปนคืนสุดทาย ไมเคยคิด


วาออกจากบานแลวจะหมดโอกาสกลับ ไมเคยคิดวาระหวางเดินทางไปทํางานจะประสบอุบัติเหตุถึงแก
กรรม

โดยเฉพาะไมเคยคิดวาจะเจอเจากรรมนายเวรบุกเขามาฆาในหองพักโรงแรมที่ดูปลอดภัยไรกังวล...

เคยเลนเกมชีวิตมาซับซอนซอนเงื่อนปานใด กําหัวใจใครเขามากมายกี่คน ครองชัยชนะยิ่งใหญมาแค


ไหน สุดทายก็พายใหแกความตาย กระเด็นหลุดออกนอกทางโคจรเดิมกันหมด ทิ้งใหคนขางหลังเห็นแต
ความวางเปลาหลังเลิกเลน และรองรอยที่มีเหมือนไมมีในความทรงจําอันเปรียบไดกับเมฆหมอกลวงใจ

บันทึกแพชนะ ความสมหวังผิดหวัง เหตุการณอันทรงความหมายระหวางมีชีวิต ไมไดตามตัวไปดวยเลย


ดีชั่วเทานั้นที่อยูในกระแสวิญญาณ กอภพกอภูมิหนาใหเหมาะแกอัตภาพใหมได

ชีวิตกับความตายอาจเฉียดใกลกันแคกระสุนนัดเดียวคั่นบางๆนี่เอง ความรู ความสามารถ ความทะนง


ภาคภูมิ ความสุข ความสมหวังในรักที่สั่งสมมา ลวนมลายหายใหตองไขวควาแสวงหาเอาใหมในฉาก
หนา เพียงเมื่อกายหมดสภาพใหวิญญาณถือครองตอ

พบเพื่อไมรูวาเมื่อไหรจะจาก พรากเพื่อไมรูวาจะเจออีกที่ไหน

วิสัยปุถุชนผูไมฝกมองมรณภัย มีแตคนตายจริงเทานั้นที่เลิกประมาทในชีวิต เมื่อดํารงอยูดวยความ


ประมาท ไมพิจารณาสังขาร มองไมเห็นอุปาทาน ไมพยายามกําจัดอุปาทาน ก็ยังมีเชื้อตอใหตองตายซ้ํา
แลวซ้ําเลาไปเรื่อย หาภพชาติสิ้นสุดมิได สมกับที่พระพุทธองคทรงตรัสวาความประมาทเปนทางแหง
ความตาย

ปุถุชนผูเห็นโลกแคดวยตาเปลายอมถกเถียงกันหนาดําหนาแดงวาชาติหนามี ชาติหนาไมมี คนตายเทา


นั้นที่เลิกเถียง และหมดทางหันกลับมาบอกพรรคพวกที่ยังเดากันสงเดชอยูเบื้องหลัง

กระแสทุกขของสังสารวัฏเชี่ยวกรากนัก เหมือนมีแรงปรารถนาใหส่ําสัตวเวียนวายไปชั่วอนันตกาล เห็น


แลวลืม ลืมก็คือไมรู ไมรูแลวกอรางสรางชาติ แตละชาติก็รูคิดแคเทาที่ตาเห็น เปนอยูไดแคเทาที่กําเนิด
อํานวย ฉวยไดแคความสุขเทาไอน้ําที่มากับลมแลง เกาะมือแลวระเหยหายไปอยางรวดเร็ว ย่ําลุยขี้เยี่ยว
ของตนเองในบั้นปลายจึงคอยสํานึกวาในวัยตนชีวิตถูกหลอกใหหลงรูป หลงเสียง ปดบังความแก ความ
เจ็บ ความตายที่ปรากฏทนโทรอบตัว ไมคิดเลยวาวันหนึ่งจะมาถึงตน

เมื่อเกาทัณฑไดยินเสียงปนลั่นในขณะวิ่งหนีวิถีสองของยมทูตนั้น เขารูสึกชาหนึบที่สีขางดานขวา คลาย


อุปาทาน ทวาคลอยเวลานอยกวาครึ่งนาทีที่หลบสวบหัวซุกหัวซุนหลังโซฟา ชายหนุมก็บอกตัวเองวา
๓๗๘

เขาถูกยิงเขาใหแลว เมื่อความเจ็บปวดประดังขึ้นมาราวกับเสียงตะโกนเรียกกึกกองจากขุมนรก และกม


หนาเห็นเลือดทะลักพลั่กเปนลิ่มๆขณะขยับตัวใหถนัด เลือดที่ปนกับเหงื่อแหงความเหนื่อยหอบทําเอา
หนามืดวูบวาบอยางคนช็อก

หัวใจที่สูบฉีดแรง ขับใหเลือดทะลักออกมาก โดยเฉพาะสวนหลังที่เปดโหว เขากลืนน้ําลายแหงความ


ตระหนกสุดขีดอันหนืดเหนียวติดๆกัน สายหนาหายใจทางปากขาดหวงอยางไมอยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ปรารถนาใหเวลายอนคืน อํานวยโอกาสหลบกระสุนใหมอีกครั้ง เขาจะพุงสุดตัวกวานี้โดยไมกลัวหัวราง
ขางแตก

ขบกรามแนน ไดยินตลอดนับแตเสียงปนนัดที่สอง ซึ่งนึกวาจะสงมาถึงรางตน ไลไปจนกระทั่งเสียงเรือน


แกวตวาดขูโจรและพยายามเรียกชื่อเขา ทวาขากรรไกรขัดคางเมื่อคิดตะเบ็งตอบจนสุดหลอดลม เขา
อยากขอความชวยเหลือ เขายังไมอยากตาย เขายังนาจะมีเวลาสรางสมกรรมดีไวเปนเสบียงเดินทางอีก
ยาวนาน จิตซึ่งอาศัยกายอันใกลแตกดับบอกตนเองวาโอกาสเกิดแลวพบพุทธศาสนานั้นหายาก โอกาส
พบพุทธศาสนาแลวเขาใจเนื้อหาธรรมจนเกิดศรัทธาปสาทะทวมทนลนใจยิ่งยากกวานั้น

เขาพบพระพุทธศาสนาแลว เกิดศรัทธาปสาทะแลว เหตุใดไมเฉลียวรูเอาเลยวาเวลาในชีวิตหดสั้นลง


เหลือเพียงเดือนเศษใหตั้งหนาตั้งตากอบโกยเสบียงเดินทางไกลไปมากสุดเทาที่จะมากได บัดนี้สายเสีย
แลว หมดเวลาแลว

ชาตินี้ตักบุญไปแคชอนเดียว กระจอกเหลือเกิน...

กัดฟนน้ําตาคลอเบาเมื่อความวิงเวียนเกิดขึ้นอยางพนวิสัยขม แขนขากระตุกเยือกเมื่อความเย็นชนิด
หนึ่งลามจากเทาขึ้นมาหาหัวใจ เปนประสบการณใหมเอี่ยม เหงื่อเม็ดโปงผุดพรายโซมราง บังเกิดความ
สยองเกลาคลายหมาวิ่งหางจุกตูดรูตัววาถูกไลฆาไปจนตรอก

สติขาดหายเปนหวงๆอยางเห็นกายกําลังโบกมือลา มีความเคลื่อนไหวโกลาหลเกิดขึ้นรอบดาน มีการ


เคลื่อนยายรางเขา แตทุกอยางแผวเลือนในสัมผัส เหลือเพียงความคิดอันเกิดจากความตระหนกอกสั่นที่
ยังคงพลานวนทุรนทุรายในหัว

ภาพเหตุการณใกลไลเรียงเขามากอน เห็นตนเองทํารายคูตอสู ถูกละวานั่นเปนการปองกันตัว แตเจตนา


ทุบตีใหผูอื่นไดรับความเจ็บปวดนั้น เจือดวยโทสะอยางยากจะแยก เมื่อภาพยอนมาหา จิตยอมเปน
อกุศล เกาทัณฑสายหนาอยูกับความมืดที่คืบคลานจากหัวใจมาปกคลุมการรับรูทางประสาทตา ถาสลัด
นิมิตเหนี่ยวจิตเปนอกุศลไมหลุด เขาจะตองไปนรกละซีนี่?

หนาวสะทานเมื่อนึกถึงภาพรอนรายในนรก ไม...ตองไมไปนรก เขาทําดีมาตั้งมาก ใครจะยอมหลนลงไป


งายๆ
๓๗๙

จริงซี…เกาทัณฑนึกขึ้นได กอนหนาอาชญากรรายจะพรวดพราดเขาหอง เขาสะกดจิตเรือนแกวใหเปน


สุข เขามีกุศลเจตนาที่จะทําใหหลอนเห็นธรรมในตนเอง เขาจะยึดความแชมชื่นที่เกิดจากผลกรรมดีนี้ไว
เพงจิตคิดถึงกุศลกรรมเขาไว

นั่นดีไมพอหรืออยางไร นิมิตจึงหลุดลื่นราวกับปลาไหลดิ้นจากมือ คราวนี้เกิดภาพมากมายเรียงราย


คลายในหัวเปนที่วางสามมิติกวาง ยาว ลึกใหญโตเทากระบุง และมีใครเอาแผนภาพใสวางแถวเปนตับ
เปนตั้งในกะโหลกจากสวนหนามาถึงสวนหลัง หรืออีกทีเปนกลุมความคิดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาถึง
ปจจุบัน ผุดขึ้นพลัวะๆแบบควันไฟที่ยังไมทันจางก็มีสายใหมเขาแทรก ระลึกไดวาเหลานั้นตนเคยคิดไว
ทั้งสิ้น บางกลุมความคิดดูเลอะเทอะนาอดสูนัก

คนไมเคยคํานึงระลึกถึงความตายเปนอยางนี้หรือ? หากมีโอกาสแกตัวอีกครั้งเขาจะฝกจินตนาการเห็น
ลมหายใจแตละเฮือกเปนลมสุดทาย หมั่นระลึกถึงกุศลอยูเนืองๆ เพื่อซอมใหชินกอนเจอของจริงไวกอน
จะไดไมประหวั่นพรั่นพรึง ใจสามารถตั้งสติระลึกถึงกุศลที่ทํามาทั้งชีวิต บัดนี้ภาพเหตุการณและบุคคล
อันเปนที่รัก ที่หวงหา แถทับโถมใสจนสับสนงุนงง เลือกไมถูกวาจะใหใจดิ่งจับสิ่งไหนไวเปนยานไปสูปร
โลก

อดีตนับแตปฐมวัยที่ยังเปนเด็กชายฮองเตของคุณพอคุณแมยอนเขาสูหัวโดยไมตองเคนระลึก เคยดีเด
เคยรายกาจ เกลียดการขมเหงแตก็หมั่นขมเหงคนอื่น นิยมความยุติธรรมแตก็หมั่นทําลายความยุติธรรม
ดวยกลเลหเพทุบาย รักพอแมแตก็หมั่นออกลายดื้อใหพอแมเสียใจ

ทําไมถึงนึกไดแตเรื่องชั่วๆ จิตพิพากษาวาโดยรวมแลวชีวิตนี้ชั่วรายนักหรือ? หรือวาความทรมาน


กระสับกระสายทางกายมีสวนกวนใหจิตกระเจิงฟุงซาน? หรือวาเขาเคราะหรายที่กอนตายอยูใกลเหตุ
การณเหนี่ยวนําอกุศลจิตมากเกินไป? หรือวา ฯลฯ

หายใจไมออก...

กําลังจมน้ําอยางทารุณทรมาน...

แพตรี...

เรือนแกว...

วางพวกหลอนชั่งบนมือซายขวา จะไมมีใครน้ําหนักเกินกันเลย เขาไดใจทั้งคูมาเปนของตนดวยความ


กระหยิ่มยิ้มยองทั้งสวนตื้นและสวนลึก แตเอาใครไปดวยไมไดสักคน เจออีกทีก็ตองทําความรูจักกันใหม
เลนบทพอแงแมงอนกันอีก

สําคัญคือที่ไหน นานเพียงใดก็ไมรู...
๓๘๐

เหมือนหายใจเฮือกใหมในอีกมิติ อีกรูปแบบที่ซอนลึกลงไป เกิดภาพหนึ่งซึ่งไมเคยเห็นมากอนในชีวิต


ปจจุบัน เห็นกํามือตนเองโปรยทรายเปนสาย คิดอธิษฐานรูอยูแกตนคนเดียววา ‘เมื่อนางไมทิ้งเรา เราก็
จะไมทิ้งนางเปนจํานวนชาติเทาเม็ดทรายในมือนี้’

จิตใชทรายเปนสื่อยึดเหนี่ยวอารมณ หมายรูวาทรายในมือนั้นมากจนไมอาจนับได จึงหมายความวาจะ


ไมทอดทิ้งกันจนสิ้นอนันตชาติ!

เพียงหนึ่งภาพนิมิตเทานั้น ก็เปนรหัสบอกเรื่องราวแกจิตอยางรวดเร็วคลายหยิบรูปถายเกาแกที่หลงลืม
มาดู ก็รูหมดวาบุคคลในภาพเปนใคร มีเหตุการณกอนหลังถายภาพอยางไร เขาเคยเปนเศรษฐีใหญ ไถ
หนี้แกเพื่อนบานดวยใจกรุณา เพื่อนบานนั้นสํานึกบุญคุณ มอบธิดาเปนเครื่องตอบแทน

เมื่อไดนางมาก็นึกเอ็นดู ยิ่งอยูก็ยิ่งเสนหาในความงามกิริยา แมหนาตาเพียงสวยเรียบ ก็เปรียบได


กับแกวน้ําดีไรตําหนิ คิดตกแตงแทนภรรยาเกาที่ถึงแกกรรมไปแลวหลายป

แตระหวางชั่งใจประกาศเจตนาใหนางรู ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียกอน มีศัตรูใสไคลใหเสียหาย เขากลายเปน


บุคคลตองโทษของทางการ ตองหลบหนีขามทุงขามนาทั้งกลางวันกลางคืน มีคนเดียวที่กลาติดตาม กลา
รวมลําบากนอนกลางดินกินกลางทรายกับเขา...

คือแพตรีในฉากชีวิตหนนี้!

จิตบอกตนเองวานั่นมิใชชาติใกล เปนบุพกาลนานเนไกลหาง แตแรงอธิษฐานโปรยทรายนั้นเองปฏิรูป


เปนสัญญาณติดจิตติดใจที่ทําใหตนไมอาจคิดทอดทิ้งหลอนไดตลอดกาล โดยเฉพาะเมื่อสอดรับซับซอน
ผูกพันแนนหนาดวยเงื่อนปมจากการรวมภพรวมชาติ อธิษฐานย้ํามากรูปแบบขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในรูปความ
คิดสวนตัวและออกปากรวมกับหลอนระหวางการเดินทางบนเสนทางพุทธภูมิของเขา

จากความเปนชาติใหญหนึ่งโยงไปสูความเปนอีกชาติใหญหนึ่ง จําไดแบบหมายรูลอยๆวาเคยผานงาน
บุญยิ่งใหญในศาสนาของพระพุทธเจาองคกอนๆมานับครั้งไมถวน เคยกระทั่งเปนมหาราช คุกเขาตอ
พระพักตร หลั่งน้ําทักษิโณทกเปลงประกาศถวายแผนดินไพศาลใหเปนพุทธเขต ขอเพียงเปนพุทธ
บัญชา แมเศียรแหงราชาก็สั่งตัดถวายไดเดี๋ยวนั้น อยาพักตองกลาวถึงพระพุทธประสงคใหญนอยอื่นใด
ที่มีตอสรรพสิ่งในมหาอาณาจักรอันเกรียงไกรแหงตน

ชื่นใจเมื่อนึกได ชาตินั้นเองที่ไดรับลัทธยาเทศ พุทธพยากรณเปนนิยตโพธิสัตวเต็มภูมิ!

สะอึกเฮือก ความชื่นใจและความระลึกไดดับหาย

เจ็บ...

ซาไปทุกหยอมเนื้อ เหมือนกายจะปริแตกอยูเดี๋ยวนี้
๓๘๑

อยากครวญครางระบายความเจ็บ แตไรเสียงเล็ดรอดจากลําคอ มีแตน้ําตาที่พรั่งพรูราวกับทอแตกทะลัก


หลั่งออกจากเบากลวง ที่ปรากฏคลายสองหลุมศพฝงกอนเนื้อลูกตาทรงกลมอันตายแลวจากแสงสี

มีหลายสิ่งใหเสียดาย มีเรื่องมากมายยังสะสางไมเสร็จ

เหมือนมีเขาหลายคนพรอมกัน เพราะขณะแหงความสับสนเลอะเลือนขึ้นทุกที อีกชั้นของภาครูกลับเกิด


สติชัดเจน เห็นอะไรเปนของเก ของลวงตาชั่ววูบชั่ววาบไปหมด แมแตความทรงจําในปจจุบันชาติที่เริ่ม
ทยอยผุดพรายขึ้นมาอีกรอบ จิตก็หยั่งรูวาเปนเหตุการณเคยเกิดขึ้นจริง แตไมมีอะไรเปนของจริงสัก
อยาง เพราะสาบสูญไปหมด ทิ้งหายไวเบื้องหลังทั้งหมด จะเปนรูปรางหนาตา สมบัติเกา ความสัมพันธ
หรือกระทั่งการกําหนดหมายวาขานี้เปนนั่นเปนนี่

มองมาที่กายอันใกลแตกดับ จึงรูวากูในกายไมมี

มองยอนไปที่ความคิด ความหมายรูอันดับสูญเบื้องหลัง จึงรูวากูในใจก็ไมมีอีก

ทามกลางกระแสภาพอดีตที่ทยอยฉายไมหยุดยั้ง ตัวรูที่กําลังจะหมดขาดจากความเปนเกาทัณฑเริ่มเห็น
แสงรําไร จิตกําลังยึดจับวิปสสนาญาณที่เคยอบรมมาแลวกระมัง? จิตชางไมใชเขาที่เปนตัวคิดนึกในบัด
นี้เลย จิตเปนแคกระแสอะไรชนิดหนึ่ง สั่งสมมาอยางไรก็ทํางานตามนั้น

เรงขมสติคิดเผชิญหนาความตายอยางคนกลา และอยางไมเสียทีไดเปนสาวกของพระพุทธเจา ถึงตาย


โหงอยางนาทุเรศก็เรียกความตายเหมือนกัน เหมือนเฒาชะแรแกชราตายนั่นแล เสียใจอยูทําไม จะกลัว
ไปใยเลา?

พุทโธ พุทโธ พุทโธ...

ยึดพระพุทธเจาไวเหมือนกมกอดพระบาทไมใหหลุดมือ ตายแลวไปไหนก็ไปกัน เสียดายที่ไมทองใหติด


หัวไวเปนอัตโนมัติ ตองมานอนเคนเมื่อรอแรใกลหมดสภาพเอาตอนนี้...

เข็มวินาทีของนาฬิกาในโลกเคลื่อนไปตามจังหวะเดิม สวนธรรมชาติก็ดําเนินความวางเปลาปราศจากผู
ครอบครองเรื่อยเฉื่อย ไรความผูกพันกับเข็มวินาทีของมนุษย บันดาลความเกิดขึ้นใหตั้งอยู บันดาล
ความตั้งอยูใหดับลง

ที่อยูก็อยูไป ที่ดับก็ดับไป

ลืมตาขึ้นในแสงสวางยามสาย ปวดเสียวทั้งแถบชายโครงดานขวา
๓๘๒

สํานึกแรกบอกตนเองวายังไมตาย

เขาผานประตูมรณะ ผานภวังค ผานภาพหลอนสารพัน

คุณพระคุณเจา กลิ่นคนไขหลังผาตัด ผาพันแผลหนาเตอะรอบเอว และสภาพหองพักฟนในโรงพยาบาล


บอกไดนับแตขณะจิตแรกวาเขารอดพนจากหัตถมัจจุราช มีชีวิตตอ…

น้ําตาคลอ ขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจะมีชีวิตที่เหลือทดแทนความปรานีทุกวิถีทาง

ใบหนาอันเปนที่รักปรากฏใหเห็นราวกับเทพธิดามาโปรด

“ตื่นแลวเหรอ?”

เรือนแกวยิ้มใส ดูสวยกวาครั้งใดๆ อบอุนใจกับภาพปรากฏนั้น เกาทัณฑขยับปากจะโตตอบ แตคอแหง


เปนผง ตองไอคอกไอแคกเคนกวาจะหลุดรอดคําแรกออกไป

“แอ…”

ยังดีชื่อเลนเรียกงายหนอย ออแอยังไงก็เรียกถูก เจาของชื่อยกมือเขาขึ้นกุมอยางแผวเบา ขานเสียง


หวานรื่นหู

“ขา…”

“ขอน้ํา”

หลอนปลอยมือและรีบไปรินน้ําจากเหยือกใสแกวมายื่นตรงหนา กับทั้งชวยประคองชอนตนคอเขาขึ้น
อยางรูวาคงไมมีแรง

เมื่อน้ําสองสามอึกผานลําคอได เกาทัณฑก็ละริมฝปากจากแกว นอนลงมองสายและขวดน้ําเกลือ ไถถาม


เพื่อนสาว

“เพิ่งสายหรือนี่? ผมรูสึกเหมือนหมดสติไปนานจัง”

“ก็นานนะสิ นี่มันใกลเที่ยงวันจันทรนะจะ อยาเขาใจผิด แคเขาหองผาตัดหามเลือดก็เกือบถึงเชาวัน


อาทิตยแลว”

เกาทัณฑสะดุง แตแลวก็สงบสติ

“ผมรอดมาไดยังไงนะ ความรูสึกตอนนั้นเหมือนกลับบานเกาแน จิตเริ่มทบทวนอดีตแลวดวย”


๓๘๓

เรือนแกวเลิกคิ้วสูง เกือบถามวาทบทวนอยางไร แตก็ละความสนใจไปตอบขอของใจแรก

“โชคดีเขาเสนเลือดเล็กนะ หัวกระสุนทะลุผานไปเฉยๆ ไมโดนอวัยวะสําคัญ แตเสียเลือดมากหนอย ถา


ถึงมือหมอชากวานั้นก็...”

หลอนละไว อาศัยกิริยายักไหลเปนตัวเติมชองวาง

“แอปลอดภัยดีหรือเปลา?”

หญิงสาวยิ้มแต ผายมือกวาง หมุนตัวใหเห็นโดยรอบ อวดรางในชุดกระโปรงเสื้อแขนกุดที่เปลือยตลอด


ลําแขนเรียวกลมกลึงยวนตายวนใจ

“อาการครบสามสิบสอง อยากตรวจใหชัดกวานี้ไหม?”

คนไขกลืนน้ําลายลงคอ ทําหูทวนลมกับถอยคํายั่วกิเลสชนิดนั้น เพลียงวงและอยากนอนจัด แตพะวง


กังวลหนักจนไมอาจรอหลับแลวตื่นขึ้นเสียกอนคอยสะสาง

หรี่ตาขมวดคิ้วยุง ครุนคิดอยูนานกอนถามหาโทรศัพทมือถือ เรือนแกวชะงักนิดหนึ่ง กอนสะบัดหนา


คอน เดินไปรื้อหยิบจากกระเปาถือของตนมาสงใหโดยดี เขาสงตาขอรอง สื่อความหมายไดวาตองการ
เขตสวนตัวชั่วคราว

เรือนแกวเขาใจ หลอนเมมปากเปนเสนตรง กอนเปลี่ยนสีหนาเปนยิ้มแยม กมลงไลใบหนาเขาดวยสัมผัส


ละมุนและแววพิศวาสในตา

“แอจะลงไปหาขาวเที่ยงทานสักครึ่งชั่วโมงนะคะ…ที่รัก”

ทวงทํานองสูงต่ําและถอยคําดูออนหวานนุมหู หากแตทวามีกังวานดุเรนฝากแฝงอยูในที โดยเฉพาะคํา


ลงทาย

เอวองคงามตาของหญิงสาวผานประตูออกไปแลว เกาทัณฑยังอึ้งสนิท นี่มันเกิดอะไรขึ้นบาง เขาพูดหรือ


ทําสิ่งใดลงไปบาง?

กางโทรศัพท กดปุมเปดเครื่อง กอนอื่นโทร.เช็กวามีขอความจากใครฝากถึงตนหรือเปลา เมื่อพบแคขอ


ความไรสาระจากเพื่อนสองสามคนก็เปลี่ยนทิศทาง กดเบอรขามประเทศเขาบานปูชนะ

“สวัสดีคะ”

เสียงเบานุมที่ทําใหเขาใจเตนไดทุกครั้งดังขึ้นที่ปลายทาง เกาทัณฑเบิกตาโตอยางยินดี ทั้งที่สติสตังชัก


เลือน ดวยเพราะรางกายเริ่มหนักอึ้งจากพิษแผลบอบช้ําและการอดอาหารเกือบสองวัน
๓๘๔

“แพ…นี่พี่เตนะ”

หลอนเงียบ ซึ่งไมยากที่จะคาดหมาย เขาผิดนัดเชาวันอาทิตย

“พี่ขอโทษ คือเกิดเรื่องขึ้นที่นี่…”

“ทราบจากหนังสือพิมพแลวคะ”

หลอนชิงบอกกอนเขาพูดจบ เลนเอาเกาทัณฑชะงักเหมือนแทงโทรศัพทหลุดเขาปาก หลอนพูดอะไร?


ทราบจากหนังสือพิมพ?

“ยินดีดวยนะคะที่มีสวนชวยตํารวจจับคนรายคายาเสพยติดขามชาติ กลายเปนวีรกรรมหนาหนึ่งโดงดัง
ไปทั่วประเทศ ถูกยิงก็พนขีดอันตรายอยางรวดเร็ว”

เกาทัณฑผงะหนอยๆ

“แพ…”

“ขอใหมีความสุขกับคูดื่มน้ําผึ้งพระจันทรของพี่นะคะ”

จบเสียงเศราลึกอยางนาใจหายนั้น สัญญาณก็ตัดไป เกาทัณฑตัวชาเหอ มึนเควงเหมือนเจอฟาดดวยซุง


ทะลึ่งพรวดขึ้นรองเรียกแพตรีหนอยเดียวก็เจ็บบาดแผลจี๊ดจนตองแยกเขี้ยวกระแทกทายทอยลงกับ
หมอนอยางแรง

เวรแลวไหมละ ประจักษฤทธิ์ของสื่อมวลชนกับตนเอง คนมาทํางานดวยกันแทๆ เสือกหาวามาฮันนีมูน


สูรูอยางบัดซบ!

แตเมื่อคิดทบทวนก็เดาไดรางๆ เรือนแกวอาจถูกสอบปากคํา อาจถูกนักขาวถาม อาจจะอะไรตออะไร


รอยแปด สรุปแลวนาจะหลุดบางคําเพื่อชี้ใหเห็นวาที่อยูกับเขาสองตอสองในยามวิกาลนั้น ไมใชดวย
ฐานะที่เสียหาย โดยเฉพาะบัดนี้ เรือนแกวมีสิทธิ์อางไดเต็มปากเต็มคําวาเขาเปนคนรัก จะนับกันที่ความ
รูสึกทางใจหรือถอยคําที่เปลงประกาศแกกันในขณะแหงความเปนความตายก็ใชทั้งนั้น

ถาเรือนแกวบอกตํารวจหรือนักขาววาเปนแคเพื่อนรวมงาน คงงามหนาฝายหลอนดีแท

นึกเห็นใจและไมโทษหลอน คนมันพระศุกรเขาพระเสารแทรกก็อยางนี้แหละ

พยายามตอสัญญาณหาแพตรีอีก แตสายไมวาง หลอนคงจงใจยกหูโทรศัพทขึ้น


๓๘๕

ยุติความพยายาม เหนื่อยลาอยากพักผอนเต็มที เพราะขับเคี่ยวกับความบาดเจ็บมานานเกินพอ แตก็คิด


อะไรขึ้นได เขาควรรีบโทร.ขอโทษลุงคามภีร และถือโอกาสใหทานชวยปรับความเขาใจกับแพตรีลวง
หนา

ขณะจะลงมือกดปุม เสียงเรียกเขาก็ดังขึ้นเสียกอน เขายิ้มดีใจนึกวาเปนแพตรี แตพอเห็นหมายเลขบน


หนาปดก็หุบยิ้มสนิท

“กูเอง”

เกาทัณฑสงเสียงทักกอนแบบคนจะหลับมิหลับแหล

“ไงพระเอก ฟนแลว?”

เชิงไททักอยางราเริง

“อือ…กําลังจะตองนอนตอพอดี”

“อะไรวะ ไดยินเสียงกูจะลาหลับเลย คุยกอนซีโวย”

เกาทัณฑหัวเราะแคนๆ

“คิดถึงกูมากหรือไง?”

“เออ โคตรคิดเลยละ”

“เหนื่อยจริงๆวะเชิง ขอพักเหอะ”

เขาหมายความตามนั้น งงเควงจะรวงอยูแลว และอยากใชกําลังเฮือกสุดทายกอนหลับโทร.หาญาติผูใหญ


ของตนมากกวา

“เหม...รอดตายก็คิดฉลองดวยการตื่นซะใหคุมหนอยซีเพื่อน นาจะคนพบแลววาชีวิตตอนลืมตาดูและ
เปดหูฟงมีคาขนาดไหน หลับกับตายนะคลายกันมาก อยามัวหลับไหลลุมหลง เสียเวลาในชีวิตเปลาเลย
สหาย”

เกาทัณฑเบือนหนาจุปาก

“แกลงคนปวยบาปกรรมนาเฮย”

“เลาใหฟงหนอยสิ อยากรูขาววงในกอนใครนะ”
๓๘๖

คนไขถอนใจเบาๆ

“ใหหลับอีกตื่นนะ สัญญาจะโทร.ไปเลาใหหมดเปลือก”

“กูคุยกับแอก็ไดวะ ถาเกรอยูแถวนั้นเรียกใหหนอย”

“ลงไปทานขาวขางลาง”

เชิงไทเงียบไปอึดใจจนเกาทัณฑนึกวาเพื่อนจะเลิกกวนแลว แตหมอก็สืบความมาอีกจนได

“งั้นถามนิดเถอะ ตอบสั้นๆคําเดียวไมเหนื่อยมาก”

“ก็ถามซี ตอบเสร็จกูวางเลยนะบอกไวกอน”

“อือ ได จะถามแควาคืนนั้น ‘มัน’ ไหมวะ?”

เกาทัณฑสายหนาอยางระอิดระอากับการลอเลนของเพื่อนซี้

“มันบามันบออะไรละ เกือบไปเมืองผีนะ โจรจริง ปนจริง ไมใชฉากหนังเฉินหลง”

“ออ เปลา กูถามถึงฉากเด็ดที่มากอนฉากบูนะ”

ตาขวาของเกาทัณฑขยิบ นึกรูแลววาเพื่อนหมายถึงอะไร

“เชิง…ไมใชอยางนั้น”

“คนเรานี่ก็แปลก…”

เสียงของเชิงไทยังเรื่อยเฉื่อย

“เอะอะอะไรปฏิเสธไมๆๆไวกอน ทั้งที่ควรจะรับวาใชๆๆ กูวาจะหัดเปนคนตรงไปตรงมาเสียที มึงเอามั่ง


ซี นาจะถือเปนความดีชนิดหนึ่งนะเต เชนเดี๋ยวนี้จะบอกมึงตามตรง กูรักยายแอวะ รักชิบหายเลย ตั้งแต
เดือนแรกที่รูจักแลว ที่เห็นจีบเหมือนเลนนั่น ขางในไมเลนหรอก แยงๆกับมึงเหมือนเอาสนุก แตความ
จริงทุมสุดตัว และเห็นมึงเปนคูตอสูที่ตองฟาดฟนใหตายไปขาง...”

เชิงไทพักเคนหัวเราะ

“เพื่อนสวนเพื่อน แฟนสวนแฟน พอบังเอิญมาเปนเรื่องเดียวกันก็กระอักกระอวนนักละ วันกอนกูเห็นมึง


สัญญาจะเลิกยุง ก็สบายใจและรักมึงเพิ่มขึ้นเปนกอง เห็นมีนองแพมาใหมก็ยินดีปรีดาไปดวย เชื่อนะโวย
๓๘๗

กูหลงเชื่อวามึงพูดจากใจจริง ฮะๆ นึกไมถึงวาแคขามคืนมึงก็ฟนซะแลว โธเอย! คิดวาเปนพอพระ หัน


มาศึกษาธรรมะแลวจะพูดจริงทําจริง ที่ไหนได จอมปลอม มือถือสากปากถือศีลทั้งเพ ไอระยํา!”

จบคําดาก็ตัดสาย เกาทัณฑสะอึก ตาตื่นหายเพลีย เลิกเมามึนไปชั่วขณะ ขบกรามแนน นึกชังน้ําหนา


เชิงไทขึ้นมาอยางไมเคยเปนมากอน หลายสิ่งประดังเขาสมอง ทั้งความคิดเปนเหตุเปนผลแยงคําเพื่อน
และทั้งความเขาขางตัวเองตามวิสัยปุถุชน แตเชิงไทไมเปดโอกาสใหเขาโตตอบ ชิงวางหูอยางนี้ สมควร
ถูกตั๊นหนานัก!

เสียเพื่อนเพราะผูหญิง…

สายหนาระโหย เพลียกายไมพอ ตองมาละเหี่ยใจเขาอีก ดวงมันถึงคราวตก เรื่องเลวรายทุกชนิดทําทา


จะเรียงคิวเขามาตุยแลวตุยเลาไมรามืองายๆ

ผิดใจกับเชิงไทไมใชเรื่องเล็ก ทั้งนับที่ความเปนเพื่อนรัก รูใจกันมานาน ชวยเหลือเกื้อกูลกันมามาก และ


ทั้งนับที่ความเปนเพื่อนรวมงาน ตองพึ่งพาอาศัยกันใหเกิดความราบรื่น หากมองหนากันไมติดหรือคิด
แกลงประสาคนเกลียดขี้หนา ระยะยาวคงหมดความสุขดวยกันทุกฝาย

พยายามเอาใจเพื่อนมาใสใจตน เชิงไทอาจพูดจากาวราวรุนแรงดวยความเจ็บใจประสาคนถูกหลอก
ความรูสึกของคนชนะที่ถูกถีบโครมลงไปอยูในตําแหนงแพ แกลงใหดีใจแลวเผยความจริงอันนาขมขื่นที
หลังนั้น พอเปนที่เขาใจไดวานาจะเดือดดาลสักขนาดไหน

โดยเฉพาะถาเชิงไทรักและหมายปองเรือนแกวจริงจัง ที่เคยเผื่อใจไวครึ่งเดียวเพราะตองชวงชิงกับเขา
บัดนี้คงเปลี่ยนเปนทุมเต็มรอยเพราะหลงนึกวาเขาสละสิทธิ์ พอพบวาธงขาวเปนแคกลลวงกอนชักธงรบ
ขึ้นสุดเสาเมื่อเอาจริง เชิงไทจึงหมดความยับยั้งชั่งใจ ประกาศความเปนศัตรูกันอยางเปดเผยเขาบาง

ตอเมื่อนานไปหลังจากนี้ เกาทัณฑยอนมองกลับมาจึงไดเขาใจ และเห็นโดยปราศจากการเขาขางตนเอง


วาการรักษาสัจจะมีความสําคัญเพียงใด บางครั้งแมถูกอารมณเหนี่ยวโนมรุนแรง ก็สมควรรั้งดึงไวดวย
ความพยายามทั้งหมด ถาการคลอยตามแรงจูงใจมันขัดกับสัจจะที่เคยลั่นไวกับคนอื่นหรือแมตนเอง

หากไมมั่นใจวาจะทําได ก็ไมควรลั่นสัจจะ!

ถาเขารักแพตรี ใหใจกับหลอนเพียงคนเดียวดังควร และดังที่เคยจับมือรับรองไวกับเชิงไท ทั้งหมดทั้ง


ปวงจะไมนํามาสูจุดตัดในปจจุบันเลย รสแหงการรักษาสัจจวาจามีคากวารสแหงหญิง และใหผลเปน
ความราบรื่นชื่นใจ ถาเขาไมเขาหาเรือนแกว ก็จะไมพบโจร ไมบาดเจ็บแทบลมตาย และที่สําคัญไมตก
อยูในสถานการณกลืนยากคายยากอยางนี้
๓๘๘

ยังดีหรอกที่ความออนลาของรางกายมากพอจะทวมทับความวุนวายใจ เหมือนคลื่นยักษโถมถาเขากลบ
ความระเกะระกะบนภาคพื้นมิดเมน เกาทัณฑหลับไปทั้งยังกําโทรศัพทมือถือดวยความตั้งใจวาจะติดตอ
หาลุงคามภีรอยางนั้น

เรือนแกวอาสาปอนขาวตมมื้อเย็นใหอยางเอาอกเอาใจ ดูแสนดีและภักดีเกินกวาจะแข็งใจปฏิเสธ ทั้งที่


เขาสามารถเคลื่อนไหว หยิบจับชอนสอมไดเองถนัดในทาครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงหมอนอิงพนักหัวเตียง ตื่น
คราวนี้เขามีกําลังวังชาเพิ่มขึ้นกวาครั้งกอนมาก

ระหวางทานก็ฟงหลอนจาระไนเหตุการณที่เกิดขึ้นหลังจากเขาสิ้นทา รวมทั้งการบอกเลาจากตํารวจ
เกี่ยวกับความเปนมาของโคเฮจิและไซ สําหรับโคเฮจินั้นเปนกัปตันเรือสินคา ขนยาบา เฮโรอีน และ
โคเคนซอนใตตูคอนเทนเนอรเขาสิงคโปรมานานนับปแลว ตํารวจหวังจับกุมพรอมของกลางโดยละมอม
ขณะกําลังเจรจาซื้อขายครั้งใหญในหองพักโรงแรม แตเผอิญความแตก โคเฮจิและพวกชวยกันฆาหนวย
ทะลวงฟนแลวหนีขึ้นลิฟตเสียกอน เนื่องจากรูแกววาตํารวจแหมาดักลอมปดทางหนีดานลางสิ้น

“หนังสือพิมพไทยลงขาวของเราแอรูหรือเปลา?”

หญิงสาวซอนยิ้ม

“ออ แคบางฉบับมั้ง ไมถึงขนาดเกรียวกราวพาดหัวขาวถวนหนาหรอก ยาเสพยติดขามชาติมูลคานับ


รอยลานนะ เรื่องคอขาดบาดตายของที่นี่ แตเมืองไทยแคหนึ่งในขาวใหญที่จะถูกลืมภายในสองวัน เดน
หนอยตรงรูปหนุมไทยอาการสาหัส กับสาวไทยหนาตาสวยๆอยางแอเปนภาพขาวเทานั้นแหละ”

เกาทัณฑกระเดือกน้ําลายลงคออยางยากเย็น

“เจอนักขาวดวยเหรอะ?”

“เจอ เปนนักขาวไทยดวยสิ”

ชายหนุมเกือบถามวาใหสัมภาษณอยางไรบาง แตเปลี่ยนใจ รับขาวตมที่หลอนปอนจนหมดสํารับโดย


สงบคํา ขางในชักกลัดกลุมเจียนโอย

แลวนี่จะทําอยางไรตอไปดี?

บอกรักเรือนแกวไปแลวดวยปาก ฝากใจจริงกันแลวดวยชีวิตทั้งชีวิต ที่แยคือถาใหเขาพูดถึงความรูสึก


จากใจจริงกันใหมเดี๋ยวนี้ ก็คงตองพูดเหมือนเดิมเสียดวย
๓๘๙

เขารักหลอน...

เรือนแกวเห็นเกาทัณฑทําหนาอมทุกข ก็พอเดาทางถูก ไดแตแบะปากยิ้มเยยลมแลง หลอนยืนแอบฟง


เขาคุยโทรศัพท แมจับความยากมาก แตเสียงรองเรียกชื่อเปนคําสุดทายดังๆนั้นเขาหูที่แนบบานประตู
ชัดเจนดี เดาวาปานนี้แมนั่นคงนั่งน้ําตาตกในอยูบนเตียงนอน ทราบจากการคุยโทรศัพทกับพิจัยวา
หนังสือพิมพระดับชาวบานทุกฉบับลงขาวประกอบรูปหราทีเดียว เพราะไดแหลงกระจายขาวประเทศ
เพื่อนบานรายเดียวกัน

ที่บอกทั้งตํารวจและนักขาวคือหลอนกับเกาทัณฑเปนคนรักมาเที่ยวกัน แตวิธีคัดเลือกถอยคําพาดหัว
ขาวถูกดัดแปลงเสริมแตงไปตามถนัด ซึ่งเรือนแกวก็ไมอินังขังขอบนัก เนื่องจากอยากให ‘ใครคนหนึ่ง’
อานพบทํานองนั้นอยูแลว

เกิดมาไมเคยแขง ไมเคยแยงผูชายกับใคร ชีวิตสาวเหมือนมีขบวนกระจิบกระจอกเรียงสลอนเขามาให


เลือกและปฏิเสธ รูตัวตั้งแตเพิ่งเริ่มรุนวานัยนตาหลอนมีอํานาจสะกดใครใหหลงรักก็ได ขอเพียงเล็งนิ่งๆ
ตอนสบกันอยางจังดวยความรูสึกเหนือกวาทีเดียวเทานั้น สําเหนียกเลยวามโนภาพหลอนกอเปนรูป
กระแสพลังเราสงเขาประทับกลางใจฝายตรงขามชนิดลบไมออก ตองกลับไปนอนทรมานทุกราย

ครั้งนี้ก็ไมคิดวาไปแกงแยงหรือตองออกกําลังแขงขันกับแมคนนั้น เกาทัณฑตามจีบหลอนตอยๆ ถึงกับ


เขนเพื่อนรักเพื่อแยงหลอนดวยซ้ํา หลอนตางหากเพิ่งรูตัววาตองการตอบตกลงกับเขา และเขาก็ยังคง
อยูที่นั่นตลอดเวลา ไมไดหางหายไปไหนเลย

เชิดหนานิดๆ ถาบังคับใหยอมรับ ก็จะยอมรับวามีครั้งเดียวที่รูสึกเหมือนถูกกดคาใหตอยต่ําลง เมื่อรูชัด


และเห็นกับตาวาเกาทัณฑทําทีหางเหิน เหตุเพราะติดเนื้อตองใจสาวงามที่ดูดีไปทุกกระเบียดอีกคน รุม
รอนราวกับสวมวิญญาณนางอิจฉาเมื่อเห็นความสวยหวานปานหยาดฟาของแมนั่น ทวงทีสงบกิริยาเปน
กุลสตรีแทที่หายากทําใหยอนกลับมาเปรียบเทียบกับตนเอง และรูวาแตกตางกันราวกับสีออนตัดสีเขม

เกาทัณฑเลือกไปอยูทางโนน จึงคันคะยิกในอกวาหลอนแรงไมพอจะยื้อเขาไว หรืออีกทีก็เพราะไมนาถูก


ใจอยางแมสีออน

พอนอนไมหลับหลายคืนติดกันนั่นแหละ หลอนจึงรูวาเกาทัณฑมีอิทธิพลกับตนเพียงใด

เขากินขาวตมอิ่ม เรือนแกวใชทิชชูเช็ดมุมปากให เกาทัณฑรูสึกแปลกๆ คลายเห็นประธานาธิบดีถูบาน


อยางเรือนแกวไมใชคนที่จะบริการเอาอกเอาใจคนอื่นถึงขนาดนี้

“เราผานคืนนั้นมาไดยังไงนะ นึกวาเสร็จเสียแลว”

เกาทัณฑพึมพํา เรือนแกวเบื่อพูดถึงเรื่องราย จึงหันเหไปอีกทาง


๓๙๐

“คืนนั้นกําลังจะถามเลยวาที่แอรูสึกเหมือนเตียงหมุนเกิดจากอะไร”

ชายหนุมกะพริบตาสองสามที

“รางกายคงเสียดุล หรือจิตใจอาจเคลื่อนไหวในทิศทางที่พนภูมิรูของผม ถาผมมีกุญแจ ก็อาจไขประตู


เปดขุมทรัพยมีคาในตัวแอออกมาก็ไดนะ ในจังหวะนั้น”

“เชนเห็นตัวเองในอดีตกอนมาเปนอยางนี้?”

เพื่อนชายสั่นศีรษะ

“ไมรู”

เรือนแกวยื่นฝามือมาลูบหนามเคราแหลมที่คางเขาใหตัวเองจั๊กจี้เลน

“โกนหนวดใหเอาไหม?”

เกาทัณฑปดตา ผงกศีรษะนิดหนึ่ง กายเปนทุกข ปวดเสียวบาดแผลเกือบตลอดเวลา แตตาเริ่มเปนสุข


เมื่อเห็นภาพเอื้ออาทรของเรือนแกวอยางตอเนื่อง นับเปนการผสมผัสสะที่กอใหเกิดความผูกพันแนน
หนาเขาทุกที

ยังคงปดตาอยูเชนนั้น เมื่อหญิงสาวผูเปนหนึ่งในสองของดวงใจผูกผาขนหนูคลองคอใหหลวมๆ ไอราง


สาวที่สงถึงฆานประสาทยวนใจใหใฝนึกถึงเนียนเนื้ออุนและรูปริมฝปากอิ่มนาจูบ นี่เองเครื่องรอยรัด นี่
เองสิ่งตรึงยึดผูคนไวกับเรื่องวุนวายรอยแปด แกไมตก

เรือนแกวเอามือยีครีมโกนหนวดปายทีละนิดจนกลบครึ่งหนา แลวบรรจงลากมีดโกนจากบนลงลางทีละ
จุดดวยฝามือเบานุม ไมระคายสัมผัสแมแตนอย ทวาก็มีน้ําหนักพอจะกดคมใบมีดกวาดเสนขนนอยใหญ
ออกจนเกลี้ยงเกลาทุกแถบพื้นที่ที่ปาดผาน ทําใหผอนคลายลงราวกับเปลื้องทุกขจากใบหนาและจิตใจ
พรอมกัน

ยามหลอนใชมือขางที่วางจากมีดโกนจับใบหนาเขาพลิกหัน และคางแนบประคองแกมไวเพื่อโกนดาน
ตรงขามใหถนัด เปนนาทีที่รูสึกสุขสบาย สวางรอบ เพลิดเพลินอยางยากจะหาอะไรเทียบ

อยากใหหนวดเคราของตนยาวกวานี้สักสามเทา เพราะไดเวลาเสร็จสิ้น หลอนใชผาชุบน้ําเช็ดทําความ


สะอาดผิวหนากับซอกคาง และผละออกหางเร็วเกินไป เขายังเสพสุขไมอิ่มพอ

เรือนแกวหายเขาหองน้ําไปพักหนึ่ง เกาทัณฑเปดตารอ ตองลดตัวเลื่อนลงนอนดวยความปวดสีขางใน


ทานั่งนานๆ พักหนึ่งก็เห็นหลอนกลับออกมาดวยทาทีของนกนอยในกรงทอง
๓๙๑

“แอออกไปเที่ยวนะ ดึกๆกลับ”

ชายหนุมขมวดคิ้ว

“เที่ยวไหนค่ําๆมืดๆ”

“เกาะ...ไปนั่งดริ๊งกมั่งฮี่ อุดอูเฝาเธออยูแตในหองสองวันแลว เห็นใจกันมั่ง”

“เที่ยวยังไง ผูหญิงตัวคนเดียวเนี่ยนะ?”

เรือนแกวยักคิ้ว ลดราวกั้นขางเตียงลง กอนขึ้นนั่งเบียดสะโพกชิดรางเขา

“นึกวาในตัวแอมีผูหญิงกี่คนละ ไมใชผูสําเร็จฤทธิ์แยกกายไดนี่คะทานพี่ จะไดเที่ยวแบบคนเดียวหลาย


ตัว”

เกาทัณฑชักหงุดหงิด

“ตองมีคนไปดวย”

“ชวยไมไดคะ เห็นจะตองเดินตอกๆไปนั่งฟงเพลงคนเดียวอยางนี้แหละ บอดี้การดวิ่งหนีลูกปนไมทัน


โปงเดียวนอนเปนอึ่งอางหงายทองเลย”

คนเจ็บนึกถึงสภาพนอนมองเพดานของตนแลวหัวเราะ แตแลวก็รีบทําขรึมเอ็ด

“ออกไปไดยังไงเลา อันตราย เพิ่งเจอเรื่องมาแทๆ ยังมีกะจิตกะใจกลาฉายเดี่ยวอีก”

“สิงคโปรปลอดภัยออก คืนกอนมันวันซวยนะ เจอแจคพ็อตชนิดหนึ่งในแสนเขาให ปกติคงไมมีเสือ สิงห


กระทิง แรดคอยขย้ําแอหรอก ขอรับรองความปลอดภัยใหตัวเองคะ”

วาแลวก็ขยับลุกไปหยิบกระเปาสะพาย หันมายิ้มหวาน โบกมือบายบายดวยทาทีที่สะกิดใหนึกถึงการ


จากไกลแสนนาน

“ไปนะ”

“แอนา...ขอรองเถอะ”

“ก็รองสิคะ ทําไมตองขอแอดวย เออ! หาวาอุดปากไวรึ?”

“อยาออกไปเลยนะ”
๓๙๒

“ยังไงกันละนี่ หามๆๆ...หวงเหรอ?”

“หวง!”

“ตัวเองเปนใครคะ คุณพอเคาเหรอ? พูดวาหวงแลวฟงแปลกๆ เออถาบอกหวงคอยนาอยูในโอวาท


หนอย”

เห็นทาลอยหนาฉอดๆเชนนั้นแลวเกาทัณฑเฉลียวรูวาตนถูกตม คอยเบาใจลง หลอนคงอยากฟงบางคํา


นั่นเอง เลยแกลงยั่วใหวาวุนไปอยางนั้นแหละ อาจมีวงเล็บนิดๆวาถาเขาขัดขืน ไมยอมกลาวตามใจ
หลอนก็จะออกไปเที่ยวจริงดวยมานะประจําตัว

“ผมหวง...”

พูดออมแอม

“หวงใครไมทราบ?”

“หวงแอ เดี๋ยวหนุมๆเขามาลอม”

กลั้นใจเอย เสร็จแลวก็มือสั่น เพราะรูสึกวามีบางอยางไมถูกไมควร

เรือนแกวทิ้งกระเปาลงแถวนั้นอยางไมแยแส เดินเขาหาเขา ยิ้มเยื้อนอยางผูกําชัย แมริมฝปากหลอนยัง


ระบายยิ้มงาม แตประกายตากลับระยับเลศนัยประหลาด

“ก็ได จะใหหวงนะ”

มาถึงเตียงและเสปดผงขางหมอนเขา กอนขมวดปมทิ้งทาย

“แตตอไปนี้แอก็มีสิทธิ์หวงเตเหมือนกัน!”
๓๙๓

บนเครื่องแอรบัสเที่ยวบินกลับกรุงเทพฯนั้น ครึ่งทางชวงแรกเรือนแกวผูกขาดการสนทนาตลอด ทวาสุม


เสียงที่กระจายแรงหฤหรรษไดสะพัดของหลอนแทบไมสะกิดใหเกาทัณฑหันเหมาสนใจเอาเลย เนื่องจาก
ยิ่งใกลนานฟากรุงเทพฯเขาไปเทาไหร ใจยิ่งเปนกังวล ตะครั่นตะครอกับสถานการณลําบากที่กําลังจะ
เผชิญมากขึ้นเทานั้น

ปญหาคาราคาซังที่กําลังเปนชนักปกหลังนี้ไมใชเรื่องเล็ก เขาติดตอถึงลุงคามภีรสําเร็จ เพื่อรับรูวาลุงพูด


มึนชาใสราวกับคนแปลกหนา และเมื่อโทร.หาพอ พอก็พูดแคสั้นๆวาอยาเพิ่งคิดหมั้นคิดแตงเลย ถายัง
ทําตัวเหลวไหล สองจิตสองใจเปนเด็กอมมือ นั่นก็จะเอา นี่ก็จะเอาเหมือนอยางนี้

ลิ้นจุกปากเพราะปฏิเสธพันธะทางใจที่มีตอเรือนแกวไมได ประเภทบอกวาเปนแคเพื่อน เพิ่งแตะไดแค


ปลายเล็บตอนยื่นมือรับเอกสารงานบริษัทนั้น รูแกใจชัดวามุสาแท

ลาสุดเมื่ออาการกระเตื้องขึ้นจนเลิกกระยองกระแยง พอมองเนื้อตัวหลอนแลวก็ยิ่งคุกรุนไปดวยความฟุง
ซานอุทธัจ ร่ําๆจะหมดความอดทน ยองไปทํามิดีมิรายกลางดึกก็หลายครั้ง ก็เลนหลับนอนอยูหองเดียว
กันตั้งหลายคืน ปรนนิบัติใกลชิดแคเอื้อมถึงเพียงนั้น ถาปราศจากความรูสึกเลื่อนเปอนอยางวาโดยสิ้น
เชิง ก็คงตองเปนขันทีเสียกอนหรอก

หากสุดกลั้น ระงับยับยั้งไวไมอยู ปานนี้คงยิ่งกลุมเปนสองเทา ออ...หรืออาจจะปลอดโปรงโลงใจไปเลย


เพราะเปนอันวาหมดสิทธิ์ในตัวแพตรีอยางเด็ดขาดตลอดชาติแลว

วานซืนมีนักขาวขอเขาสัมภาษณ ทําใหรูวาสื่อมวลชนเลนขาวตางประเทศที่มีคูหนุมสาวไทยเขาไปเอี่ยว
นี้กันหลายวัน อาจหลงเปนขาวเล็กขาวนอยประเภทรายงานความคืบหนาอาการบาดเจ็บของเขา หรือ
อาจผูกเปนตอนตอดุเด็ดเผ็ดมันวันตอวันตามอัธยาศัย ซึ่งสรุปแลวจะอยางไรก็ตามที หากแพตรีติดตาม
อานละก็ เปนตองรูวาเรือนแกวอยูชิดใกลกับเขาไมคลาดสายตาเลย แมเขาปฏิเสธการใหสัมภาษณและ
ถายรูป แตเรือนแกวก็ลอยหนาลอยตาเดินออกไปคุยกับนักขาวอยางสม่ําเสมอในฐานะผูอนุบาลเขา จน
ปญญาจะหามหลอนเสียดวย

ขาออกจากโรงพยาบาลนึกวาขาวซาแลว คงเลิกติดตามกันแลว ที่ไหนได เจอแสงแฟล็ชวาบตั้งแตกอน


เขาลิฟต ใครตอใครคงคิดวาเขายินดีกับการเปนขาวดังในทางดี ที่ประกอบวีรกรรมชวยตนเองและคนรัก
๓๙๔

ใหรอดพนจากเงื้อมมือเหลารายอันเปนที่หมายหัวของทางการ แตเกาทัณฑรูแกใจวาการเปนขาวครั้งนี้
นาเครียด นาขัดเคืองเพียงใด

โดยเฉพาะอยางยิ่งภาพเดินคูเคียงออกจากโรงพยาบาลระหวางเขากับเรือนแกวคงตําตาตําใจใครอีกคน
ที่รักเขา แตถูกเขาทรยศลับหลังเชนนี้...

เมื่อเรือนแกวพบวากวาสิบนาทีที่ผานมาตนจออยูคนเดียวราวกับจําอวดราคาถูก ก็ชักมีน้ําโห หลอนยิ้ม


หวานเปนพิเศษกอนฝนถาม

“ทําหนายุงยุง รูปหลอของแอกลุมอะไรคะ? บอกมั่งซี สงสัยตอนหวีผมเมื่อเชาเห็นหัวเริ่มเหนงกระมัง”

เกาทัณฑขําไมออกกับคําหยิกนั้น แตฟงโดยรวมแลวรูวาแมนางในดวงใจขางตัวชักเริ่มเขมนที่เขาเงียบ
เฉย จึงจําใจโตตอบออกไปบาง

“หัวยังไมเหนง”

ฝนตอบทื่อๆแบบไมออกแรงคิด เรือนแกวยกขาไขวหาง ปรายตาแลเขาดวยความรูสึกออนไหวของผู


หญิง

ความจริงก็พอรูอยูหรอกวาที่นั่งเครียดเปนตาแกนี่ ก็เพราะเกาทัณฑกําลังหนักใจเกี่ยวกับใครคนหนึ่ง
และเพราะรูอยางนั้นจึงเจ็บรอนราวกับยืนเทาเปลากลางแดด หลอนมีคาเกินกวาจะหวงหึงกระบึงกระ
บอน เชือดเฉือนแปรนๆเปนอีแรงเจอลูกดอกในละครทีวี แรงกริ้วและไฟริษยาในหญิงมีลักษณะเผา
ผลาญรุนแรงเหมือนกันหมด สํานึกในความเปนหงสหรือกาเทานั้นที่ยับยั้งไวหรือปลดปลอยออกมา

หลอนนั่งอยูตรงไหนกันแน? หนึ่งในตัวเลือกใหเขาลังเลวาจะหยิบดีหรือไมหยิบดี? อยากสะกิดถามใหรู


เรื่อง แตนั่นเหมือนไรความมั่นใจในคาของตนเองชัดๆ เขาเลือกหลอน เพราะหลอนอนุญาตใหเลือกแลว
หลังจากดูใจ เห็นใจกันดีแลว

อยากสาธยายใหเขาฟงเปนการขู วาทุกวันนี้มีใครเรียงคิวมาใหหลอนเลือกบาง ไดยินชื่อกับนามสกุลบาง


คนจะอาปากคาง แตนั่นก็เหมือนเห็นวาคาของตนที่ปรากฏตอสายตาเขายังไมชัดพอ จึงตองอาศัยแกน
อางอิงอื่นมาเสริมอีก

ในที่สุดจึงตัดสินใจซอนวิสัยหญิงทุกรูปแบบ แมนอยใจเหลือทนที่ปานนี้เขายังแสดงความครุนคิดวิตก
กังวลอยางประเจิดประเจอ ทั้งที่นาจะยิ้มใสออดออนหลอนกระหนุงกระหนิงเยี่ยงคูพิศวาสเมื่อแรกหวาน
ทั่วไป

“เตเอารถจอดไวที่สนามบินหรือเปลา?”
๓๙๕

พยายามเจรจาพาทีเปนปกติ และถามแบบที่เขาจะตองตอบ

“เอามา”

“แอมาแท็กซี่ละ เดี๋ยวชวยขับไปสงหนอยสิ?”

เกาทัณฑยกนิ้วเขี่ยปลายจมูก

“ก็ตองอยางนั้นอยูแลว”

เรือนแกวอมยิ้ม

“ลอเลนนา เธอเจ็บแผลอยู เดี๋ยวฉันจะขับไปสงใหตางหาก”

“ทุเลาลงเยอะแลวละ ไมอักเสบแบบนี้ขับไดสบายมาก”

เลี่ยงเชนนั้นเพราะตั้งใจจะสงเรือนแกวใหเสร็จๆแลวตรงดิ่งไปบานปูชนะทันที แมขี้เกียจอยูบางเนื่องจาก
ตองยอนไปยอนมาออมโลกก็ตาม

“ยังไงเธอก็ตองพักผอนอีกระยะนะ แผลปริละแยเลย”

“แคนี้จิ๊บจอย ดูในหนังสิ พระเอกโดนยิงตั้งหลายนัด ยังทําปากเบี้ยวแคเดี๋ยวเดียว ขับรถบรรทุกตะบึงบุก


เตะตอยกับผูรายตอหนาตาเฉย ผมจะยอมแพไดไง”

เรือนแกวหัวเราะ สบายใจขึ้นนิดหนอยกับบรรยากาศการสนทนาที่ใสกวาเดิม ตะแคงขางเอาไหลพิง


พนักมองเขาดวยตาเปนประกาย

“งั้นแข็งแรงพอจะพานางเอกไปเที่ยวไดหรือเปลา?”

เกาทัณฑกะพริบตาปริบๆ ความเงียบอึ้งของเขาทําใหเรือนแกวเอื้อมมือมาเขยาปลายแขนรบเรา

“แออยากดูหนังอะ”

ชายหนุมลอบถอนใจ บอกหลอนตามตรง

“ผมตองไปพบญาติผูใหญละแอ ผิดนัดธุระสําคัญกับทานไว”

หญิงสาวหนาง้ํา

“ใหแอไปดวยนะ”
๓๙๖

รุกอยางเก็บซอนไวไมอยู เพราะรูวาที่หมายของเกาทัณฑคือแมเทพธิดาลาวัณยอีกนางหนึ่งนั่นเอง เขา


กําลังจะไปงอนงอยายคนนั้น ไมใชผูใหญที่ไหนหรอก

เปนประสบการณครั้งแรกของเกาทัณฑที่เปนสุขจะเคียงขางกับผูหญิงคนหนึ่งพรอมกับรําคาญไปในตัว
ที่เคยผานมาถารําคาญก็จะอยากขับไสไลสง แตนี่พิลึกที่เขาเองก็อยากตามติดหลอนไปทุกหนแหง
เหมือนกัน หลายวันที่ผานมาเรือนแกวกลายเปนเงา กลายเปนคู กลายเปนสวนหนึ่ง ราวกับชีวิตมิไดมี
เพียงกายเดียวตางหากจากกันอีกตอไป แคหลอนหางไปซื้อของหรือเขาหองน้ํานาน ก็หงุดหงิดคิดถึงจน
เหลือจะรอแลว

แตอยางไรเมื่อถึงกรุงเทพฯ ก็ตองไปพบแพตรีใหได...

“แอ...เราตางคนตางมีเรื่องสวนตัวนาจะแยกกันไปทํา แอเขาหองน้ําผมยังไมตามเขาไปเลย”

หญิงสาวครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง

“ก็ลองตามเขาไปสิ”

วาแลวก็ยื่นหนาเขามาใกล เอยเรียบ แตแววจริงจัง

“คืนนี้แอจะขนเสื้อผาไปคางหองเต ดูแลเธอ”

เกาทัณฑสําลักน้ําลาย อุทานเบาๆ

“เฮย!” คิดอยูครูกอนเอยแบบผอนน้ําหนักคําเปนเรื่องเลน “ผมเลยกลายเปนลูกแหงในสายตาแอไปเลย


หรือนี่? ดีนะ เดี๋ยวลงจากเครื่องขอรถเข็นเด็กมาซักคันซี”

เรือนแกวกะพริบตาทีหนึ่ง เอียงคอใชหางตามองเขาเฉยเปนครูอยางอานใจ กอนพูดแบบขวานผาซาก

“แคบอกวาจะไปคางดวยหนอยเดียวถึงกับตาเหลือกเชียวนะ ใครๆเขาก็คิดวาแอเปนของเตแลวทั้งนั้น
แหละ โทร.คุยกับยายจายก็ถามระริกระรี้เลียบเคียงไปเลียบเคียงมา รําคาญเขาเลยยอมรับไปตามที่คน
อื่นนาจะเขาใจ สมัยนี้มันเรื่องธรรมดาจะตาย”

เกาทัณฑกมศีรษะยกมือขวาปดหนา กอนเงยขึ้น ตาปะทะตา

“แอทําอยางนั้นไมถูกนะ”

“ทํามะ?”
๓๙๗

หญิงสาวเผยอริมฝปากคางหนอยๆ จองลึกลงไปในตาเขาอยางพรอมจะใหเอาเรื่อง เกาทัณฑสายหนา


พยายามพูดออมเสียงทั้งที่ใจตะโกนดังกวานั้นเยอะ

“ฝายเสียหายคือแอเอง ตอนคนคุยสนุกกันปากตอปากเกี่ยวกับเรื่องชูสาวของชาวบานนะ กี่ยุคกี่สมัยก็


เหมือนกันหมดแหละ ลุนอยูอยางเดียวคือผูหญิงเสียทาเสร็จใครมั่ง แออยากใหพวกนั้นโพนทะนาเกี่ยว
กับแอในทางเสียหายทํานองนี้หรือ?”

เปลือกตาหญิงสาวขยิบ ปากคอสั่น

“โถ...ชางเขาเถอะคะ”

เคนเสียงหวาน แตขางในชักเหลืออด เพราะดูออกวาที่แทเกาทัณฑอยากใหโลกเขาใจวาเขายังบริสุทธิ์


ผุดผอง ไรเจาเขาเจาของ ใชวาหวงใยชื่อเสียงหลอนจะเกิดราคีเกาะเสียนักหนา

เกาทัณฑเห็นนัยนตาสีน้ําตาลเริ่มฉานแววไหมอยางผิดหวังและเสียใจ ก็พลอยจุปากอยางอับตัน จะให


เรือนแกวรับรูอะไรได หากหลอนไปคางหองเขาจริงดังแถลง แมจะแคเพียงสองสามวัน เขาคงตองแกลง
ตัดสายโทรศัพท ตัดการติดตอกับญาติสนิทมิตรสหายอยางเด็ดขาด เพราะถาเผื่อใครโทร.มาแลวหลอน
รับ ทุกอยางถึงกาลเอวังทันที

พอแมคงไมยอมรับผูหญิงแปลกหนาที่เขาพาเขาหองไดงายๆมาเปนลูกสะใภ โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อทุก
คนในครอบครัวยังยืนอยูขางแพตรีกันหมด คนอื่นจะกาวเขามาแทนที่เปนถูกปดประตูใสแนนอน

ร่ําๆจะเปดเผยความจริงที่เขาขอหมั้นแพตรีไวแลวใหหลอนรับรู แตเห็นใบหนาหมนในบัดนี้แลวก็ใจออน
ยวบ ถาคําพูดตรงไปตรงมาคือการทําความบาดเจ็บรุนแรงใหแกคนฟง เขาจะยังควรพูดอยูหรือเปลา?

ถูกบีบหนักเขาก็หลุดปากตามความคิดในหัวที่ถูกเรียบเรียงขึ้นแกสถานการณเฉพาะหนา

“แอมองผมเหมือนเจ็บใจอะไรเหรอ? ผมแคไมอยากใหใครตอใครคิดวาแอเปนของขบเคี้ยวเลนลวงหนา
ไดงายๆ แอไปรับกับจายอยางนั้นเหมือนพูดความจริงตามสายตาคนอื่น แตที่แทนั่นแหละคือการปด
ตองปากแข็งเขาไวซี่ เอาความจริงที่รูกันสองคนระหวางเรามาพูดไปจนกวาจะจัดงานเปนเรื่องเปนราว”

สีหนาเรือนแกวคลายลงนิดหนึ่ง นั่นหมายความวาเขากําลังจะขอหลอนแตงงานกระมัง เกือบถามคาดคั้น


แตดูทีคงไมงามนัก ไวใหเขาเอยเองกับปากจะสวยกวา

ฝายเกาทัณฑเองเมื่อกลาวจบก็แทบเอาหัวโหมงหนาตางเครื่องบินใหตายไปรูแลวรูรอด นี่เขาเผลอหลุด
ปากอะไรออกไปอีกแลว? เหมือนตอนนี้อยูในรองแคบที่มีหอกดาบรุนหลังใหเดินไปขางหนาไดอยาง
เดียว จะหันกลับหรือปนปายมุดดินหนีนั้น อับตันทั้งสิ้น ยิ่งพูด ยิ่งทํา แทนที่จะแกปมเกา กลับเหมือน
เอาเถาวัลยมาพันเพิ่มกระดิกยากขึ้นไปอีก
๓๙๘

นึกไมออกเสียแลววาปมที่ขมวดแนนจะรัดคอตายอยูเดี๋ยวนี้ มันเริ่มจากความใจออนตรงจุดไหน หาก


ยอนเวลาไดเขาควรกลับไปแกไขเหตุการณใดดี ทุกฝายจึงจะอยูอยางสงบสุขตามวิถีทางอันควร

สีหนาของเกาทัณฑคล้ําหมอง สวนเรือนแกวก็ดูมึนตึงไป เพราะกําลังทิ้งคางไวแบบคลุมเครือ ทั้งคูจึงปด


ปากสนิทจนกระทั่งถึงดอนเมือง

ขณะเดินออกจากเครื่อง เรือนแกวใชศอกสะกิดแขนเกาทัณฑ ชวนหยุดเดินและลงนั่งเกาอี้แถวกลางตัว


หนึ่ง ผูโดยสารตางทยอยลงเปนกระจุก ยังมีเวลานั่งไดอีกเปนนาที เรือนแกวคงขี้เกียจเบียดกับคนและ
ชวนเขานั่งคุยรอ

พอเกาทัณฑนั่งตาม เรือนแกวก็อุบอิบ

“ขออยางเถอะ ไดโปรด...”

เสียงออนออยสรอยของหลอนทําใหเขาตั้งใจฟง

“เดี๋ยวไปพบคุณพอแอดวยกันไดไหม?”

เกาทัณฑยนคิ้ว

“ก็ไหนวา...”

“เตมีสวนอยางมากที่ทําใหแอหันไปคืนดีกับพอ ตั้งแตคืนนั้นแหละ แอโทร.หาทาน” แลวหลอนก็รวบรัด


“อยากใหพาไปหาหนอย มันมีความหมายกับแอมาก”

ชายหนุมเกือบยกมือเกาศีรษะ แตเกรงวาหลอนเห็นแลวจะพื้นเสียและแสดงกิริยาปงปง เลยระงับไว ตอง


เมมปากคิดอยูนาน ที่สุดก็ใจออนตามเคย

“ก็ได”

เรือนแกวยิ้มแฉง กิริยาซึมเซื่องปลาสนาการไปในพริบตา ทําใหคนเห็นพลอยสดชื่นไปดวย ลืมเรื่องชวน


หมางเมินระหวางกันเมื่ออยูครึ่งทางลงสิ้น เกาทัณฑมีความรูสึกคลายตนเองกําลังถูกปนหัว และอาจถูก
บงการใหโดดเหวตายไดก็เพราะมารยาอันแรงฤทธิ์ของหลอนนี่แหละ

พอออกจากเครื่องมายืนรอรับกระเปา เรือนแกวหยิบโทรศัพทมือถือขึ้นมากางและกดปุมตอเขาเครื่อง
ของพอ โดยอาศัยเลขที่บันทึกไวในหนวยความจํา
๓๙๙

เมื่อสัญญาณดังยาวบอกสายวางทางฝงผูรับ เรือนแกวก็ยกโทรศัพทขึ้นแนบหู ชําเลืองแลมาทางคนรัก


และสงยิ้มเกเปนการหยอดเสนหไปพลางๆ ดูตาก็รูวาเขาหลงหลอนเพิ่มขึ้นทุกวัน แมพยายามพรางดวย
ทาทีเมินเฉยหรือขมวดคิ้วนิ่วหนาอยางเชนขณะนี้ก็เถอะ ปดไมมิดหรอก

สัญญาณเรียกดังหลายครั้งจนนึกวาคงเหลว ภาวนาใหติดตอพอสําเร็จ หลอนจะไดไมตองหาขออางใหม


มายึดตัวเกาทัณฑอีก

“ฮัลโหล”

ในที่สุดฝงโนนก็รับ แตเรือนแกวตองทําหนาผิดหวังเพราะเปนเสียงของสายชลเมียใหมของพอ เฮอ! เจอ


นังนี่ทุกทีซีนา

“แอนะคะ ขอพูดกับพอจอมหนอยคะ”

พยายามอยางที่สุดในการควบคุมมิใหหางเสียงเจืออารมณขุน สายชลเงียบไปครูใหญ แตแทนที่จะตาม


พอมาให กลับชวนหลอนคุยตออยางนาขัดใจ

“หนูแอเหรอ...”

เสียงนั้นเนิบเนือย ทวามิไดตั้งเคาขัดขวางหามหวงประการใด การเวนจังหวะของสายชลชวนใหคิดวา


พอคงติดธุระบางอยางมากกวา

“นั่นหนูอยูสิงคโปรหรือกลับถึงไทยแลวละ?”

พลังของสื่อมวลชนเปนอยางนี้ ในขณะที่คนไทยหลายสิบลานเห็นหลอนบนหนาหนึ่งของหนังสือพิมพ
แลวผาน คนที่อยูในเสนทางโคจรรอบตัวนับรอยไดรับรู และคงกลาวถึงใหแซด เมียพอถึงกับทักถูก

“กลับถึงไทยแลวคะ พอจอมอยูแถวนั้นหรือเปลาคะ?”

มีเสียงถอนใจยาวดังใหไดยิน เรือนแกวไมตองสังเกตก็จับเสียงเครือของอีกฝายไดถนัดจากประโยคตอ
มา

“เขาตายแลวละแอ อุบัติเหตุรถยนตเมื่อเชานี้เอง แอมาที่วัดพระศรีฯบางเขนนะ อยูศาลาแปดทับสอง นี่


กําลังรอพระสวดกัน”

คลายใครเอาหมอนมาอุดปากอุดจมูก เรือนแกวหยุดหายใจไปชั่วขณะ กอนหลุดกระซิบดวยลําคอตีบตื้น

“วาไงนะคะ?”
๔๐๐

“พอหนูเสียแลว นั่งดานหนารถตูคูกับคนขับสวนกับรถบรรทุก กําลังพาลูกนองจะไปทําธุระที่ชะอําเมื่อ


เชา ศพเพิ่งถึงกรุงเทพฯชั่วโมงกอนนี่เอง”

โทรศัพทรวงตกสูพื้น หญิงสาวยืนตัวแข็ง ทีแรกเกาทัณฑเหลือบมองอยางไมสนใจนัก นึกวามารยาอะไร


อีก แตพอเห็นใบหนาเซียวซีดและเขาออนคลายจะลมก็ยึดตนแขนฝายนั้นไวอยางรูวาไมไดแกลง

กมลงเก็บโทรศัพท ยกขึ้นแนบหู แนะนําตัวและไถถามผูอยูปลายสัญญาณอีกดานวาเกิดอะไรขึ้น พอได


ความชัดก็พลอยตกใจ และบอกวาเขาจะเปนคนพาเรือนแกวไปที่วัดเดี๋ยวนี้

ใบหนาหลอนไรสีเลือด มือเย็น ตัวแข็ง เขาตองประคองแจจนมาถึงรถเพื่อใหแนใจวาจะไมซวดเซลมลง


เสียกอน ตลอดทางหลอนไมปริปากแมแตคําเดียว ราวกับถูกสาปเปนหินไปแลว

นั่งกุมมือคนเสียขวัญ พยายามพูดปลอบและชวนคุยบาง แตเรือนแกวหุบปากสนิทราวกับตัดขาดจาก


โลกภายนอกอยางสิ้นเชิง ไอฝายเขาจะพูดวาคุณพอหลอนไปดีแลว สุขสบายแลว ก็ทําไดไมเต็มปากเต็ม
คําเทาไหร เนื่องจากตนเองเพิ่งเฉียดประตูมรณะ หรือกลาวใหชัดคือยางขามธรณีไปแลวเทาหนึ่ง จึงรูดี
วาการตายกะทันหันนั้น หากไมใชคนมีจิตแชมชื่นเบิกบานในกุศลเปนเนืองนิตยละก็ อยาเพิ่งทึกทัก
ลมแลงเลยวาจะไดไปสูง ไปสบายงายๆ

มาถึงวัดเมื่อโพลเพล เกาทัณฑจอดรถใกลศาลาแปด ตองเปนฝายเดินไปเปดประตูจูงมือคนรักจากที่นั่ง


รูสึกไดถึงความฝนเกร็งในบางกาว คลายเรือนแกวขัดขืน ขลาดกลัวเกินกวาจะเดินทางไปเผชิญหนา
ความจริง จนเขาตองหยุดเอย

“แอ... ไปดูกันใหรูไงวาเมียใหมของคุณพอแอหลอกเราหรือเปลา ถานี่เปนงานศพคนอื่น เราจะไดหมด


หวง เลิกเขาใจผิดเสียที”

นั่นเองดวงหนางามจึงคอยดูมีสีเลือดฝาดขึ้นเล็กนอย ยอมกาวเดินตามเขาไปโดยดี มีความหวังอันริบหรี่


วาที่แทคําพูดของสายชลเปนเรื่องโปปดมดเท็จเทานั้น

เกาทัณฑเปนคนเลื่อนบานประตูกระจก ไอเย็นลอยมากระทบ แขกในชุดดําที่เชิญมาในงานนั่งเรียงแถว


อยูทางขวามือ ตางหันมองเขากับคนรักเปนตาเดียว

สําหรับเรือนแกวแลว ทุกสิ่งและทุกคนในหองถูกคัดแยกออกไปจากความกําหนดรู เหลือเปาหมายเดียว


ในคลองตา คือตั่งรดน้ําศพที่มีรางชายวัยกลางคนนอนยื่นแขนแบมือรอรับน้ําไมไหวติง หลอนเดินเขาหา
รางไรวิญญาณดวยกิริยายางเทาจดจองทีละกาว เล็งแลรางเหยียดยาวใหแนใจวาเปนใครกัน

แมจะถูกแตงศพจนทรงใบหนาเปลี่ยนไปบาง แตหลอนก็จําลักษณะใบหูและรูปศีรษะไดดี นั่นเปนราง


ของพอแนแลว...
๔๐๑

ดูสีหนาทานสงบ เหมือนปดตาหลับและกําลังรอหลอนปลุกใหตื่นขึ้นมาทักทายกัน หญิงสาวคอยๆลง


คุกเขาหนาศพสวนบนเปนนาน กอนจะยกมือที่แบรอรับน้ําของทานขึ้นพลิกวางบนกระหมอมตน แลวนั่ง
นิ่งถอนสะอื้นจองหนาอยูอยางนั้น เปนที่เวทนายิ่งแกสายตานับสิบคูที่มองตรงมาอยางเงียบกริบ

นานราวกับกาลเวลาทอดชาใหลูกสาวผูวายชนมแนใจวาผูเปนพอไมอาจขยับมือลูบไลศีรษะดวยความรัก
อีกแลว กระทั่งถึงเวลาหนึ่งเปลือกตาหลอนหรุบปดลงเอง กายไมอาจหยัดทรงอยูได เซลมมาปะทะโตะ
วางพานรับน้ํา เกาทัณฑซึ่งมาคุกเขาระวังอยูแลวใกลๆชอนรับไวไดทันทวงทีกอนศีรษะจะตกฟาดพื้น

เมื่อเรือนแกวฟนสติกลับมาดวยการเอื้อเฟอยาดมและยาหมองน้ําจากญาติฝายพอ หลอนปรับสติรับ
ความจริงไดดีขึ้น เพียงรองไหกระซิกเทานั้นเมื่อตามคนรักไปนั่งฟงพระสวดบริเวณแถวที่นั่งหลังหอง
เกาทัณฑตองกระซิบปลอบอยูที่ริมหูเปนระยะ

กอนออกจากงานศพหลอนยังมายืนไหวลาแขกในงานรวมกับสายชลตรงนอกประตู และพูดคุยนัดแนะ
กับฝายนั้นเกี่ยวกับการรับเวรดูแลเปนเจาภาพงานศพ อีกทั้งเมื่อเดินกลับมาที่รถก็อาสาเปนผูขับเอง
เกาทัณฑเห็นหลอนดูปกติดีจึงใหขับ แตก็คอยระวังทุกวินาทีไมคลาดสายตาถาเรือนแกวจะเหมอขึ้นมา

“แอไปสงเตที่หองนะ”

เรือนแกวเอยขณะออมอนุสาวรียปราบกบฏ

“ไมหรอก ไปหองแอนั่นแหละ ผมขับกลับเองไหว อยาหวงเลย”เกาทัณฑปฏิเสธ ซึ่งนั่นทําใหนาเดาวา


เขามีเปาหมายตอไปถัดจากสงหลอนแลว ทวาภาวะจิตใจยามนี้ หลอนไมพรอมจะฟุงซานซึมเศราใน
เรื่องอื่นไดไหว

ยอมขับมาตามทางกลับยานที่พักอาศัยของตนเอง ตางเงียบงันกันดวยความคิดคํานึงแตกตางออกไป ใจ
เกาทัณฑเต็มไปดวยความขัดแยง เขาอยากใกลชิดปลอบประโลมเรือนแกว แตอีกใจก็คลายเรงรอนไป
ถึงบานปูชนะ ตีกันมั่วอยู

สวนเรือนแกวนั้น ไดแตรําลึกถึงภาพในอดีตของบิดา ซึ่งเมื่อวันกอนที่สิงคโปรเกาทัณฑเพิ่งขุดคุยให


ระลึกไดหลายตอหลายฉาก และยังผลใหหลอนมานั่งนอนทบทวนเอาเองอีกนับสิบนับรอย

เลยสี่แยกไฟแดงแถวรัชโยธินมาไดหนอย ปรากฏภาพสะดุดตาสองหนุมสาว ที่ขางทางคือรางหมอบ


สนิท กางแขนกางขาของชายคนหนึ่ง หางออกไปประมาณเจ็ดกาวคือมอเตอรไซคที่ลมลอชี้ฟาคาริมฟุต
บาท ทราบไดทันทีวาคงเกิดอุบัติเหตุสักอยาง
๔๐๒

มีแตรถชะลอดู แตไมมีรถจอด เรือนแกวเองก็ชะลอๆเหมือนกัน กระทั่งเกาทัณฑบอกใหหยุด จึงเชื่อมั่น


พอจะเบนหัวรถแอบขางทาง และคอยๆถอยไปใกลจุดเกิดเหตุ

เกาทัณฑเปดประตูกาวเดินยอนเขาหารางแนนิ่งนั้น สวนเรือนแกวนั่งเกร็งกับที่อยางสองจิตสองใจ แม


เพิ่งสัมผัสใกลชิดกับศพพอมาหยกๆ แทนที่จะทําใหเห็นเปนเรื่องธรรมดา กลับยิ่งผวาเมื่อเจอรางกอง
แนนิ่งที่ชวนใหเดาวาใชศพหรือเปลา ในความเปน ‘คุณหนู’ ผูถูกหอมลอมดวยดอกไมและปราการแกว
หลอนกลัวการเห็นหนาเละ ตาเหลือก ปากปลิ้น และเปรอะเลือดอันเปนผลจากอุบัติเหตุบนทองถนนที่
สุด

ทําใจกลา เปดไฟกะพริบบอกสัญญาณจอดฉุกเฉิน ดับเครื่องเปดประตูกาวเทาลงมา ทวาเดินมาไดเลย


ทายรถหนอยเดียวก็ชะงัก รีรอสอดตาดูความเคลื่อนไหวของเกาทัณฑหางๆ ตั้งใจวาถาเปน ‘คนเจ็บ’ ก็
จะชวยเขาลากขึ้นรถสงโรงพยาบาล แตถาเปน ‘คนพนเจ็บ’ ก็จะถอยเทาทันที ไมหาเรื่องเสียวลูกตาใกล
กวานั้นแนนอน

ชายหนุมยอกายลงติดรางที่ซบหนากับถนน จับไหลฝายนั้นพลิกหงายอยางระมัดระวัง แสงไฟขางทาง


สาดสองใหเห็นเลือดกบจมูกและเปลือกตาเปดครึ่งหนึ่ง เหลือกตาขึ้นบนนิดๆ มานตาคางเติ่ง ราวกับจะ
แสดงความเปนชองทางออกของวิญญาณสูสัมปรายภพ เทานั้นก็ทราบวาชายผูประสบอุบัติเหตุหาชีวิต
ไมแลว แตเพื่อความแนใจก็จับขอมือ กดแมโปงตรวจชีพจรอีกครั้ง จึงไดสัมผัสอีกสัญลักษณหนึ่งของ
มรณกรรม นั่นคือความเงียบนิ่งไรจังหวะเตนที่สงมาจากหัวใจ

กล้ํากลืนน้ําลายลงคอ ใชปลายนิ้วปดเปลือกตาชายชะตาขาดอยางที่เห็นทําๆกัน พบวาหรุบสนิทอยาง


งายดายราวกับรูดชายผามานลง สัมผัสที่ปลายนิ้วบอกวานี่คือเนื้อของสิ่งที่ไมอาจเรียกไดวาเปน ‘คน’
อีกตอไป

กอนเขาออกจากงานศพ รางนี้คงยังเปนคนอยู นาทีนี้ไมใชแลว ตองมีงานศพเพิ่มอีกแลว

ทําจิตเปนสมาธิ คิดถึงกุศลเทาที่จะนึกได กระทั่งเกิดกลุมพลังใหรูสึกไดในกายจริง จึงหลับตาลงคิดแผ


เปนกระแสเยือกเย็นใหรางที่ยังมีไออุนใกลตัว ขอวิญญาณจงสูสุคติ ถายังลอยวนไมรูสติอยูใกลละแวก ก็
จงรับทราบวาบัดนี้ความผูกพันในโลกสิ้นสุดลงแลว และขอใหตามกระแสธรรมอันสวางเย็นในรมศาสนา
แหงพระผูมีพระภาคเจานี้ ไปเกิดใหมในรมโพธิ์เดิม พบพระผูปฏิบัติชอบ เจริญตามทานจนเขาถึงพระ
นิพพานโดยดี

จะเกิดอุปาทานหรืออยางไรก็แลวแต เกาทัณฑขนลุกซูคลายมีพลังอยางหนึ่งพัดผานมาในรูปของสายลม
และยังคงขนลุกชูชันเปนแผงอยูเชนนั้นแมเมื่อลืมตา ลุกขึ้นเดินกลับมาที่รถแลว

เหลือบมองเรือนแกวและพยักหนาใหนิดหนึ่ง แสงเหลืองจากโคมไฟถนนทําใหใบหนางามดูซีดราวกับ
เปนศพเสียเอง ยิ่งเห็นมือสั่นและแววขลาดในตาหลอนแลวก็ประหลาดใจอยูครามครัน ทาทางออนเปยก
๔๐๓

อยางนี้หรือเคยกลายิงปนเขาเนื้อคนมากอน กับทั้งมีสติมั่นคงพอจะควบคุมสถานการณวิกฤตจนลุลวง
มาแลวตามลําพัง

เรือนแกวกาวตามขึ้นรถทีหลัง ถามเขาดวยเสียงที่เห็นไดชัดวาพยายามดัดเปนปกติ

“ตายหรือ?”

เกาทัณฑผงกศีรษะ หยิบมือถือขึ้นตอสัญญาณถึง 191 และแจงเหตุตามหนาที่พลเมืองดี หลังจากบอก


สถานที่และตําแหนงเรียบรอยก็กดปุมตัด ถอนใจเฮือกใหญ

เรือนแกวสตารทเครื่องและออกรถอยางเชื่องชา คุมความเร็วใหเข็มชี้เกินเลข 60 นิดๆเทานั้น แมถนน


คอนขางโลงชวนใหวิ่งเร็วก็ตาม หลอนผานเห็นคนตายคลายเศษขยะขางถนนมาเยอะโดยไมรูสึกรูสานัก
แตบัดนี้ศพนั้นทําเอาใจสั่น และตองพยายามระงับมิใหมือที่ควบคุมพวงมาลัยรถพลอยสั่นตาม คลายรอบ
ตัวอึงอลดวยเสียงเพรียกจากอีกมิติหนึ่ง ประสบเหตุซ้ําแลวซ้ําเลาราวกับใครบางคนตองการย้ําใหรูวา
ความตายเปนของจริง เกิดขึ้นไดจริงกับทุกคน

“หมูนี้อยูใกลความตายบอยจริงนะ มองไปรอบตัวยังกับปาชาแนะ”

รําพึงระบายความรูสึก เกาทัณฑเงียบไปพักใหญกอนเอยตอบราบเรียบ

“เปนเทวทูต สื่อแจงขาว สัญญาณเตือนภัยใหรูวาวันหนึ่ง…ก็ถึงตาผมกับแอบาง”

เรือนแกวยิ้มซึม เห็นสัจจะซึ้งเขาไปถึงกนบึ้งหัวใจ พอเคยถูกแมยิงแตรอดมาได เกือบแปดปตอมาก็ตาย


อยูดีดวยความพลิกผันชั่วเสี้ยววินาทีบนถนน เกาทัณฑรอดตายมาไดจากน้ํามือโจรทามกลางความใจ
หายใจคว่ําของหลอนและคณะแพทยที่ทําการชวยเหลืออยางแขงกับเวลา มิใหหัตถมัจจุราชมาสาวควา
ไดทัน ทวาที่สุดแลววันหนึ่งเขาก็ไมอาจหลุดรอดไปจากเครื่องประหาร คือรางกายตนเองอยูดี กาย
มนุษยและสัตวนั่นแหละเปนเครื่องประหารที่อันตรายรายแรงกวาอาวุธและอุบัติเหตุทุกชนิดบนโลก

นาทีนี้หลอนอยูกับไออุนของรางกายตนเอง วันหนึ่งขางหนามันจะเย็นชืดเปนศพบนตั่งรับน้ํา

นาทีนี้หลอนอยูกับเขา วันหนึ่งขางหนาจะตองพรากจากกัน ใครไปกอนไปหลังเทานั้นแหละ

ความหดหูในอนิจกรรมของผูบังเกิดเกลายังปกแนนอยูกลางใจ จึงประมาณไดวาญาติของผูนอนตาย
อยางนาอนาถเบื้องหลังก็คงเปนเชนนั้น โลกนาวังเวงอยางนี้เองหรือ คนตายกันเปนเบือทุกวัน ญาติพี่
นองนับสิบนับรอยตองมาชุมนุมคับคั่ง รองไหกันเบื้องหลังรางไรวิญญาณรางเดียว หากนับสายน้ําตา
จากญาติผูตายทั้งหมดในแตละวัน คงรวมแลวนองเปนแมน้ํายอยๆไดสายหนึ่งแนนอน
๔๐๔

คิดถึงพอ เศราใจที่ยังไมทันทําคุณไถความรูสึกผิดใหหมดจด ยังดีเมื่อวันที่สํานึกไดยังไมสาย อยางนอย


วิญญาณพอก็ทันรับรูวาหลอนยังเปนลูกสาวที่รักทานตลอดไป

หากหยั่งรูวาพอเหลือเวลาแสนสั้นบนโลกมนุษย หลอนจะยกเลิกทุกแผนการ เดินทางไปกราบแทบเทา


อีกครั้งดวยใจซื่อ ขอใหไดเกิดเปนพอลูกกันอีก...

อยากรองไหอยูทุกขณะจิต แตก็เฝาซอนงําไว เพราะเมื่อฟนจากการเปนลม เกาทัณฑกระซิบอยูขางหูวา


‘อยาเศราโศกมากเลย เดี๋ยวจะเปนแรงสะเทือนใหวิญญาณคุณพอหันมาเปนหวง จากไปอยางไมเปนสุข’

เชื่อเขา...

พอรักหลอนมาก และแสดงใหเห็นวาเจ็บมากกวาหลอนทุกครั้งที่หลอนไดแผล หรือถูกกระทบกระทั่งแม


เพียงมดไตไรตอม

“แนะนําหนอยเถอะวาแอจะทําอะไรไดดีที่สุดเพื่อพอ ถวายสังฆทานสักเจ็ดวัด?”

เกาทัณฑกะพริบตาทีหนึ่ง

“ทําบุญสงใหทานเปนหนาที่อยูแลว จะถึงหรือไมถึงก็ตาม ทานจะอยูในสภาพรับรูหรือไมรับรูก็ตาม แต


หากจะแสดงความคารวะทานอยางถึงใจแบบตอตรง ก็ควรมีสื่อเชื่อมโยงระหวางเรากับทาน เชนมองให
เห็นศพทานเปนครูใหญ เปนสื่อการสอนใหรูจักชีวิต เขาใจความหมายของการดํารงอยูและจากไป
เพราะเราเคยรับรูความมีอยู เปนอยู และปรากฏอยูของทาน เมื่อจากตายหายไป หนาตาของมรณะก็
ปรากฏชัดในใจ ใหสลด ใหสะเทือน ลดความประมาทในชีวิตลงไดอยางนอยก็ชั่วระยะหนึ่งที่ยังใสชุดดํา

เมื่อทุเลาความประมาทลงแลว ไดธรรมชาติจิตเปนความเบา ความสวาง เปนกุศล เกิดน้ําหนักบุญใหรู


สึกแชมชื่นกลางใจไดเมื่อไหร ก็ถึงโอกาสกําหนดใจอุทิศ ‘สง’ ใหทานเหมือนยื่นสิ่งมีคาใหกับมือ หาก
วิญญาณทานอยูในภาวะรับรูได ก็ตองโมทนาสาธุ พลอยปลาบปลื้มและไดรวมสวนบุญกับเรา ผูกความ
สัมพันธกับทานขามมิติไดจริง”

เรือนแกวสีหนาสงบลงสนิทเมื่อพิจารณาจนคลอยตาม ความโศกเศราหายหนอยางไมรูเหนือรูใต บังเกิด


ความเห็นจริงการแสดงความกตัญูดวยกุศลจิตของตนเองนั้นมีความแนนอนยิ่งกวาพิธีกรรมภายนอก
ซึ่งตองอาศัยไหววานผูอื่นชวยสรางกระแสกุศลนําใหกอน ดังเชนสงฆที่สวดอภิธรรมหนาศพนั้น พวก
ทานไมเคยรูจักพอ ไมมีความผูกพันกับพอมากอนเลย หลอนตางหากควรเปนสื่อรับกุศล รับเนื้อหาธรรม
จากพระ สงตรงไปถึงพอดวยตนเอง

“ที่พระทานสอนใหเตรียมตัวตาย มีอะไรบาง?”
๔๐๕

“แคนึกบอยๆวาเราอาจตายไดทุกเวลา นอยคนจะรูวาโลกเรามีคนตายกันวันละแสนหาหมื่นคน เมื่อวาน


ไปกันแสนหา วันนี้ไปอีกแสนหา ใครจะรูวาพรุงนี้เราเปนหนึ่งในแสนหางวดตอไปหรือเปลา กอนออก
จากบานคิดวาอาจไมไดกลับ นั่งรถลงเรือคิดวาอาจไดรับอุบัติเหตุ เดินทางอาจถูกสัตวมีพิษทําราย จน
จิตชินและเตรียมรับมือเปนปกติจริงๆ ก็เรียกวาเตรียมตายดวยความคิดแลว

ถาเขาขั้นหนอยตองใชสมาธิและปญญาเพงเขามาในกาย เห็นความเปนเครื่องประหารของตัวเอง อยาง


นี้เรียกวาเตรียมตายดวยการภาวนา มีอุปเทห หรือกลวิธีพิสดารมากมาย เชนนอนนิ่งก็เห็นวาตอนเปน
ศพก็วางกายอยางนี้ หรือเมื่อผอนลมหายใจออกจนสุดก็คํานึงนึกวาตอนเปนศพก็ขาดลมอยางนี้ กระทั่ง
ขึ้นใจ เห็นกายเปนศพอยูจริงๆทั้งขณะยืน เดิน นั่ง นอน ทานวาถึงจุดหนึ่งจิตจะสวาง แยกตัวจากกาย
เห็นกายแตกพังทีละนอยจนกลายเปนธุลี ใหเกิดความสลดสังเวชจับใจ กระทั่งปลอยวางความยึดถือใน
กายเสียไดอยางเด็ดขาด เขาทางมรรคผลไดผานการเห็นอนัตตาในกาย

และจากประสบการณที่ผมเฉียดความตายในขณะจิตเปนอกุศล ก็ไดความคิดอยางหนึ่งคือการทําใจให
แชมชื่นเบิกบานอยูเสมอ ถือวาเขาขายเตรียมตัวตายที่ดีดวยเหมือนกัน เพราะจิตที่แชมชื่นเปนฐานให
นึกถึงกุศลได หากปราศจากฐานที่มั่นแลว จับพลัดจับผลูจิตตกตอนใกลตาย ก็อาจถอยหลังเขาคลอง ทั้ง
ที่อุตสาหทําดีมาตั้งมาก”

“คิดถึงความตายบอยๆนี่ไมถือวาแชงตัวเอง เตือนคนอื่นใหระลึกถึงความตายบอยๆก็ไมถือวาพูด
อัปมงคลอยางนั้นใชไหม?”

“การแชงชักหักกระดูกใหตัวเองตายดับนี่ตางกับการเจริญมรณสติเปนคนละเรื่องเลยนะแอ ที่เห็นชัดตอน
เราแชงตัวเองหรือคนอื่นนี่ จิตปนเปอนดวยโทสะกลาแข็ง เปนบาปหนัก แตตอนเราระลึกถึงความตาย
เพื่อลดความประมาท ลดความลุมหลงมัวเมาในผัสสะจากการมีชีวิต จิตจะเบาจากกิเลส วางจาก
อุปาทานยึดมั่นถือมั่น สรางเสบียงใหพรอมกอนเดินทางละรางไป ตองนับเปนมหากุศลตางหาก

และที่จริงความตายของใครคนหนึ่งจะเปนมงคลหรืออัปมงคลก็ขึ้นอยูกับคนๆนั้น ไปดีก็นับวามงคล ไป
รายก็นับวาอัปมงคล สิ่งที่ตกทิ้งในโลกระยะหนึ่งก็แคทะเลน้ําตา คลื่นเสียงหัวเราะ ความเดือดรอนของ
คนหยอมหนึ่ง หรือความเจริญขึ้นของคนหมูมาก แลวแตวาคนตายทําเรื่องเปนมงคลและอัปมงคลไวกับ
คนอื่นแคไหน ไมใชวาพูดถึงความตายจะหมายถึงมงคลหรืออัปมงคลอยางใดอยางหนึ่งแนนอนโดย
เฉพาะ”

เรือนแกวกะพริบตา หรี่มองไปเบื้องหนาและคิดไกล

“อยางนี้ถาไมเชื่อเรื่องภพชาติ มรณสติก็คงไรความหมายสินะ มีชีวิตเดียวเสพสุขใหคุมก็พอ จะคํานึงถึง


ความตายใหกลุมอยูทําไม”

เกาทัณฑยักไหล
๔๐๖

“คนเรา… เปนภพเปนชาติอยูในตัวเองตั้งแตหัวจรดเทา แตมืดบอดมองไมเห็น นี่แหละโทษอันรายกาจ


ของสังสารวัฏละ”

ชวนกันแวะทานขาวเย็นในศูนยอาหารที่เปดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในระหวางทาง ตางทานกันอยางไมใสใจ
รสชาติเทาไหรนัก เพราะยังอยูในอารมณดิ่งเห็นมรณภัยที่รออยูเบื้องหนา

แตพอทองอิ่มและอารมณเริ่มจางตามธรรมชาติวิสัย เกาทัณฑกับเรือนแกวก็สั่งไอศกรีมมาตบทายมื้อ
เย็น และคุยกันเรื่องทั่วไป แวะเวียนจากเรื่องงานไปเรื่องคน เรื่องดินฟาอากาศปรวนแปร ฤดูรอนบางทีมี
ลมหนาวแทรกแซม ฤดูหนาวบางทีรอนระอุราวกับอยูในกระทะ หยอดคําหยอกใหเพลินในกันและกัน จน
ที่สุดก็หัวเราะเอิ๊กอากออกมาได

แมเทวทูตปรากฏใหระลึกถึงความตายแลว และแมพูดจาเตือนสติกันใหเลิกระเริงหลงแลว แตเมื่อจิตไม


ทําตนเปนบุรุษที่สาม มองตัวเองดวยภาวะความเปนจิตรู ก็จะไมเห็นเลยวาขณะใดบางที่ตนเสพสุขดวย
อํานาจความเคยชิน พึงใจจดจองดวงตากันและกัน โอบแตะกันและกัน ยินเสียงกันและกัน มัวเมาในรส
แหงความมีชีวิต...

ทําไปทํามา การพูดคุยถึงมรณสติก็กลายเปนเพียงหัวขอสนทนาที่ผานไปอีกเรื่องหนึ่ง

ออกจากศูนยอาหาร หญิงสาวขับตรงกลับที่พักของหลอน พอถึงก็ไปจอดในพื้นที่ของแขกผูเขาเยี่ยม


ดานหนา เมื่อเหยียบเบรกสนิทและทําทาจะบิดกุญแจดับเครื่อง เกาทัณฑก็หามไวและยกมือลูบเรือนผม
นุมเพื่อล่ําลา

“โอเคนะแอ แลวผมจะโทร.หา...”

“เดี๋ยว”

หญิงสาวยึดขอมือของเขาไวมั่น

“อยาเพิ่งเปนตอนนี้เลย เขาหองแอกอน”

“มีอะไรหรือ?”

“ยังไมอยากอยูคนเดียว”
๔๐๗

สายตาวิงวอนซื่อๆนั้นทําใหเกาทัณฑรับทราบวาสัมพันธภาพระหวางเขากับหลอนกินลึกมาจนเกินกวา
จะฝนปฏิเสธคําขอเสียแลว การสูญเสียพอทั้งคนเปนเรื่องนาเห็นใจ นาอยูเปนกําลังใจ ถือเปนหนาที่ถา
สนิทกันพอ

ขึ้นมาถึงชั้น 23 เรือนแกวเปดประตู เดินนําลึกเขาไปในหองอยางเซื่องซึม ลาแขนขา รูสึกออนแอลงชั่ว


ขณะ และเมื่อสําเหนียกไดวาเกาทัณฑสะกดตามหลังมาติดๆ ก็หมุนตัวกลับไปเงยหนาสานตากับเขาใน
ระยะประชิด ยืนนิ่งสงแววขอความอบอุนจากเขาอยางชัดเจนเปนครั้งแรก

เกาทัณฑลังเล รับรูอาการเวาวอนชนิดนั้น แตความถูกตองในขณะนี้อยูที่ไหน? กอดหลอนดวยเจตนา


ปลอบประโลมบริสุทธิ์ใจเชนนั้นหรือ? นี่ไมใชหองพักคนไขที่มีหมอและนางพยาบาลเดินเขาออกได
ตลอดเวลาอีกตอไป การอยูตามลําพังสองตอสองและผัสสะระหวางหญิงชายในโลกสวนตัวที่ปลอดจาก
บุคคลที่สามอยางเด็ดขาด จะทําใหทนยับยั้งชั่งใจไดนานแคไหนกัน

ขยับจะรั้งรางหลอนเขาหา แตก็ชะงักคาง คลายเด็กหนุมที่กลาๆกลัวๆกับการแตะเนื้อตองตัวผูหญิงเปน


ครั้งแรก

“จะใหแอรูสึกวาตัวเองหนาดานไปถึงไหนคะเต?”

คําตัดพอรันทดนั้นเองพังทํานบแหงความระงับยับยั้ง หลอนมีความหมายกับเขาเกินกวาจะดูดาย เขา


กําลังอยูในภาวะจํายอมแบกความรับผิดชอบที่เกิดจากความใจออนอยางปราศจากขอบเขตที่ผานมาทั้ง
หมดของตนเอง

ตวัดเอวกิ่วเขาโอบกอดแนบแนน กมลงพรมจุมพิตแผวไลจากหนาผาก ปลายจมูก ลงมาถึงริมฝปาก


แลวกดศีรษะหลอนทาบบา คลอเคลียใบหนาสูดกลิ่นจากกลุมผมหอม ตั้งความรูสึกใหใสสะอาดเหมือน
อยางที่เคยสวมกอดแพตรี เรือนแกวเพียงตองการที่พึ่ง ที่พักพิงกายใจในยามสูญเสียครั้งใหญ เขาสม
ควรเปนความอบอุนให เยี่ยงเพื่อนแทที่ยินดีอยูเคียงขางในยามตกทุกข

แตเรือนแกวไมมีอะไรเหมือนแพตรีเลย เนื้อตัวหลอนชวนใหเกิดความกระวนกระวายไปทุกกระเบียด นี่


เปนวันเศราของหลอน ทวาเปนวันปกติของเขา ความเรียกรองตามธรรมชาติไมไดถูกกดไวอยางหลอน
แมแตนอยนิด

หญิงสาวยืนแขนตกอยูในออมกอดของเขาเนิ่นนาน สัมผัสออนอุนแนบชิดจากชายที่หลอนรักทําใหเกิด
ความสุขซานขึ้นทีละนอย กระทั่งอยากยิ้มออกมาเองทั้งน้ําตาซึม เหมือนไดซบพักอยูกับแผนผาแกรงที่
ปกปองหลอนไดจากทุกภยันตราย รูสึกเหงายอนหลังใหกับตนเอง นี่หลอนผานความเดียวดายมาได
อยางไรโดยปราศจากออมอุนของเขา…
๔๐๘

เกาทัณฑขบริมฝปาก ยิ่งนานยิ่งลําบากใจ กลุมใจ เพราะรูตัววาในที่สุดจะทนสัมผัสเบียดชิดเราดําฤษณา


ไมไหว จึงคอยๆดันรางบางออกหาง คิดจะบอกใหหลอนไปอาบน้ํานอนพัก แตเพียงคลายออมกอดเทา
นั้น เรือนแกวก็ยกสองแขนกระหวัดรัดรางเขาไวสนิท

“เต…พูดใหฟงอีกทีซิวารูสึกยังไงกับแอ ถาความตายไมอยูใกลแคคืบ เธอจะยังพูดกับฉันเหมือนเดิมหรือ


เปลา?”

ชายหนุมปดตา กลืนน้ําลายลงคอ ปลอยแขนทิ้งตามยถากรรม

“เหมือนเดิม…”

“พูดสิ”

เกาทัณฑสูดลมหายใจเต็มอก เอยแผวทวาแชมชัด

“ผมรักแอ”

เรือนแกวคลี่ยิ้มละไมอยางสุขสม น้ําตาคอยๆหลั่งจนอาบแกม

“เธอจะไมทิ้งฉันไปไหนใชไหม?”

นั่นคือคําถามอันแหลมราวกับคมดาบ ถาตอบตามใจหลอนคนนี้ ก็เทากับทรยศหลอนอีกคน แคคิดวาจะ


ทอดทิ้งแพตรี ใจก็หลนหายไปถึงไหน…

เขามีสิทธิ์ตัดสินใจคนเดียวหรือ? ยังมีความเจ็บปวดของผูหญิงอีกสองคนเปนเดิมพัน รูสึกตัววาไมสม


ควรไดรับสิทธิ์เปนผูพิพากษาทํารายผูบริสุทธิ์ที่เปนคนดี มีใจเดียวใหเขาเชนพวกหลอนเลย

จากความรักสูเรื่องราวคอขาดบาดตายในอีกรูปแบบที่ตางจากมีดและปน คนสวนใหญพบแตคูกินคูนอน
ยากนักจะพบคูรักคูแทในชั่วชีวิตหนึ่ง แตทําไม…เขาโชคดีหรือเคราะหรายกันแนที่พบผูเปนที่รักยิ่งถึง
สองคนในชาติเดียวกัน?

ดวยเงื่อนไขบางอยาง สุขจนลนขอบก็กลายเปนทุกขมหันตไดงายดายปานนี้

“ผมเจ็บแผล…”

เกาทัณฑแกลงอางเพื่อใหหลอนคลายออมกอด กอนที่สติหักหามของตนจะขาดผึง เรือนแกวกลาวขอ


โทษแลวคลายวงแขน หันหลังจูงมือเขาเขาหองนอน บอกใหเอนหลังบนเตียงหลอน แตชายหนุมชวนมา
นั่งดวยกันที่โซฟากลางหองแทน
๔๐๙

เปดเพลงฟง เกาทัณฑไดเห็นประสิทธิภาพเครื่องเสียงราคาแพงอันประกอบดวยลําโพงรอบทิศ กลาง


แหลมอยูบน ซับวูฟเฟอรขับเสียงต่ําลึกอยูลาง เมื่อเรือนแกวเลือกเลนเพลงแซ็กโซโฟนแนวนิวเอจอัน
ทอดหวานออยอิ่งแลวเหมือนถูกหอหุมดวยพลังเสียงจากมิติฝนล้ําลึก ไถลใจดิ่งหลงไปในรสอิฏฐารมณ
จนเกาทัณฑเปนฝายทอดแขนโอบไหลคนรัก ซึ่งทันทีที่รับสัมผัส เรือนแกวก็ชักสองเทาขึ้นพับเพียบบน
เบาะ เถิบรางซบแกมแนบไหล เอนกายอิงกายเขาอยางงายดาย

เกาทัณฑพยายามขับไลความพะวงเรนลับทิ้ง ปดตาสนิท ใจเปดสวางเสพสุขารมณเฉพาะหนาเชนผูเห็น


วาตนกําลังอยูในที่ที่ดีที่สุด ทวาพักเดียวพอมโนภาพของแพตรีปรากฏในหวงนึก สุขเวทนาทั้งมวลก็พัง
ครืน ทรมานพอกับถูกบังคับใหเคี้ยวเนื้ออรอยนุมที่ปนแทรกดวยเม็ดกรวดแหลมเล็ก

ทําตัวนิ่งเพราะรูวาเรือนแกวกําลังเอมอิ่มในทามกลางองคประกอบพรอมสมบูรณ ทั้งสภาพแวดลอมและ
สัมผัสในรัก เขาแบงใจยินดีใหกับความสงบสุขเต็มตื้นของหลอน แตหานาทีคลอยหลังความฝนใจเสพสุข
ก็ขาดสะบั้น เมื่อถึงขณะจิตหนึ่งที่เคลิ้มลงใกลหลับดวยความเหนื่อยออน คลายเกิดประสาทหลอน
เหมือนไดยินเสียงผูหญิงรองไหในหัว...

ไหวตัวเยือกแบบคนประสาทกระตุกตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น เรือนแกวโงศีรษะขึ้นมองและหัวเราะขํา ยาน


คางถาม

“เปนอาราย...”

เกาทัณฑสบตาฉ่ําหวานหยาดเยิ้มของหลอน เห็นกลีบปากอิ่มเผยอหนอยๆคลายรอจูบแลวเกือบหามใจ
ไมอยู ตองเสแตะริมฝปากกับขมับหลอนดวยความออนโยนเปนการเพลาอารมณ

“เสนกระตุกนะซี แคนี้ก็ตองขําดวย”

“นอนโซฟาไมสบายก็...” อึกอักยักไหลดวยความขัดเขินจนเสียงอูอี้ “ไปนอนบนเตียงดิ้”

พูดจบก็หันไปทางอื่น เกาทัณฑชําเลืองรางแนงนอยในออมโอบแวบหนึ่ง หากเอาสติปญญาของเขาหาร


ดวยสิบแลวเดินชนแงงหินสักโปง ก็นาจะยังรับรูวาคําเชิญดวยกิริยาเยี่ยงนั้นเปดกวางไปถึงไหน

หากจะนอนกับหลอนเดี๋ยวนี้ก็งายยิ่งกวางาย สัมผัสในรักสนิทสงบซึ้งจากสองกายสองใจเปนสุขยิ่งกวา
อะไรทั้งหมด เยายวนเหนือเบญจกามรสอื่นใดทั้งปวง จะแปลกแคไหนสําหรับผูหญิงตัวคนเดียวกับการ
มอบกายถวายชีวิตใหแกชายที่สนิทใจวาเขารักตนจริง และจะปกปองคุมครองตนจนสิ้นกาลนาน

แคพลิกฝามือก็เชยชมหลอนได ทวาพรุงนี้เชาเมื่อลืมตาตื่นขึ้นแลว เขาจะพบวาสิ่งที่ไดมางายนั้น จะตอง


ถูกรักษาไวตลอดไป หมายความวาเขาหมดสิทธิ์หมั้นหมายและตบแตงกับแพตรีตลอดไปเชนกัน
๔๑๐

มันบาตรงที่ถาเขารักษาสัญญากับแพตรี ก็เหมือนตบหนาผูหญิงคนนี้ และแมเขาอยูกินกับแพตรี ก็คงมี


สุขไดแคครึ่งๆกลางๆไปจนกวาจะหาไม เมื่อคอยแตเฝานึกวาเรือนแกวจะอยูของหลอนอยางไรคนเดียว

เกาทัณฑรูสึกทดทอ มองไปขางหนาเหมือนมีแตความมืดมน จิตใจหดหูซึมเศราอยางยากจะบรรยายเมื่อ


ฝนลุกขึ้นยืน

“ผมควรกลับเสียทีนะแอ”

มีความเงียบงันจากเบื้องหลัง เสียงดนตรีกลายเปนเครื่องประกอบความวังเวงไปไดอยางนาแปลก เขา


นึกรําคาญจนตองหยิบรีโมทคอนโทรลปด ทั้งหองสงบลงราวกับตื่นจากฝนสูความจริงอันวางเปลา

เมื่อเหลียวมองก็พบหลอนนั่งกมหนานิ่ง จนตองเอื้อมมือแตะบาเรียกอีกครั้ง

“ไปกอนนะ”

“พรุงนี้จะทําอะไรหรือเปลา?”

หญิงสาวฝนใจถาม

“ตองตระเวนหลายแหงเหมือนกัน ผิดนัดเขาไวเยอะแยะเลย ญาติผูใหญดวย วางเงินมัดจําซื้อของแลวยัง


ไมไปรับดวย คงวุนทั้งวัน...”

เกือบหลุดปากวาจะมารับไปฟงสวดศพพอหลอน แตแลวก็ลังเล กระทั่งเรือนแกวถาม

“จะมาหาแอไหม?”

นั่นคือคําถามที่เขากําลังเกรงอยูพอดีวาจะหาคําตอบแนนอนไดยาก

“ถาธุระผมเสร็จแลวไมเหนื่อยนักก็จะมา แอจะอยูบนหองทั้งวันเลยเหรอ?”

“จะอยูนี่แหละ”

เสียงหงอยอยางคนไมมีใคร ไมมีอะไรมาหลอเลี้ยงหัวใจใหสดชื่นไดอีกแลว ทําเอาเกาทัณฑถึงกับสะอึก


อั้น แมรูวานั่นคือไมตายที่หลอนใชดึงเขาเขาหา ก็ไมวายนึกสงสารจับใจ

ก็เขาเห็นหลอนมาทั้งชีวิต...

“ผมจะแวะมา” แทบกลั้นใจเมื่อประกาศเชนนั้น “จะโทร.บอกวากี่โมง”


๔๑๑

ขยับตัวจะกาวเทา แตเมื่อเห็นเรือนแกวยังนั่งกับที่อยางไมยอมรับรู หรือเต็มใจยอมใหเขาจากไป ก็กมลง


เอื้อมมือชอนศอกหลอน

“สงผมหนาประตูสิไป”

เรือนแกวสลัดแขนเบาๆหลุดจากมือเขา และเนานิ่งอยูในหวงความเดียวดายอยางดื้อเงียบ

“แอ...”

เกาทัณฑชักกลุม สํานึกหนึ่งกระซิบกับตนเองวาสายไปแลวที่จะถอนตัวจากหลอนคนนี้...

คอยๆเหนี่ยวตนแขนหลอนใหลุกยืนอยางสุภาพ และวอนดวยเสียงนุมนวล

“ไปสงใหผมสบายใจหนอยนะ อยาเอาแตใจซี่”

เรือนแกวสะบัดหนามองเขาดวยตารื้นน้ําและหัวคิ้วเครง สะกดไมใหน้ําตาและถอยคําพรั่งพรูออกมาดังใจ
นึก ทําไมจะไมรูวาธุระของเขาพรุงนี้เกี่ยวกับใคร มีความหมายแคไหน

ถูกกดใหกลับสูสภาพออนแอ แตฝนทําใจแข็ง กัดริมฝปากกมหนาออกเดินนําเขา ชายหนุมเหลียวมอง


รอบตัวอยูพักหนึ่ง กอนกาวตามหลอนไปในที่สุด

เรือนแกวเปดประตูอารอไวแลว เกาทัณฑใชมือแตะไหลหลอนและกําลังจะผานออกไป บังคับใจมิให


เหลียวมอง แตเจากรรมที่ทําไมสําเร็จ เหลือบแลจนได...

เห็นแววราวที่เพงนิ่งมายังตน และเม็ดน้ําที่ปลายสายยาวในรองแกมแลวถึงกับคูไหลลงต่ํา เกือบทรุดนั่ง


พิงกรอบประตูอยูตรงนั้น ขมวดคิ้วขบฟนนิดหนึ่ง ตองสะกดจิตตนใหเหี้ยมราวกับฆาตกร จึงเบือนหนา
หนีและขยับเทากาวไดออก เดินเร็วและบังคับคอใหตั้งตรง กอนที่ใจจะออนลงมากกวานั้น

กังวานรองเทากระทบพื้นหินออนกรับ กรับ กรับเปนจังหวะสม่ําเสมอฟงหลอนหู สํานึกวาการย่ําเทาแต


ละครั้งสงเสียงเสียดแทงโสตประสาทของผูอยูเบื้องหลังปานใด รูสึกราวกับมีสายโซไรตนลามขอเทา
ผอนยาวตามไปเรื่อยๆทุกฝกาวไมสิ้นสุด...

แพตรีปลอยใหสายน้ําจากฝกบัวตกรดศีรษะเฉยแทบไมขยับเขยื้อนเปนเวลานาน นี่เปนจังหวะเวลาเดียว
ของวันที่เอื้อใหน้ําตาหลั่งลงไดโดยไมเปอนหนา และไมรูสึกวากําลังรองไห
๔๑๒

เอาเถอะ...อยากไหลก็ไหลไป ปนกับน้ําฝกบัวอยางนี้ดูออกที่ไหน หลอนขมกอนสะอื้นไวแลว ถือวาแค


ขับของเสียชนิดหนึ่งออกมา เพื่อใหใจสงบลง นี่ไมใชการร่ําไหหมดทา เพราะหลอนยอมแครินน้ําตาทิ้ง
เทานั้น อยางอื่นสะกดไดหมด

รอได…ยืนรอนานแคไหนก็ได ขอใหเหือดหายเปนพอ อยาตองแสบแกมแทบไหมเพราะปราศจากน้ําดี


ชวยเหมือนวันแรกเลย

สายน้ําจากฝกบัวพรั่งพรูไดทั้งวัน แขงกันแลวรูวาน้ําตานั้นไหลแพลิบลับ

กลับออกสูโลกภายนอกดวยความสดชื่นกวาเมื่อกอนเขาหองน้ํา แมรูสึกวาจิตใจยังเหือดแหงแลงลา ก็มี


สติพอจะติเตียนตนเอง เมื่อทบทวนวาหลังใสบาตรเชา ทําอาหารใหปู ก็ไมเหลือแกใจทําสิ่งใดตอ เรี่ยว
แรงหดหาย กายระทดระทวยติดเตียงจนเกือบบาย กวาจะลุกขึ้นอาบน้ําได นี่ไมใชหลอนแลว ปลอยให
อะไรสิงสูอยูตั้งนาน

วันนี้หลอนตองกลับเปนเหมือนเกา ตองมีใจเหลือไวรักตนเองและคนรอบขางอยางเคยมาชั่วนาตาป

เปนคนเดิมที่ไมมีใคร...

และกําลังจะเปนคุณครูที่กลายืนสอนเด็กวาถาเจอทุกข ตองสู ตองอดทน ตองปลอบตัวเองได

กมหนากมตาเปดประตูเขาหองหงอยๆ หองสวนตัวทําใหกลับออนแอลงอีก เพราะเมื่อลงล็อกแลว จะไม


มีใครเห็นเลยวาหลอนถูกพิษแหงความเชื่อในรักกัดกินแทบขาดใจเพียงไหน

โนมศีรษะอิงหนาผากกับบานประตู อยางนอยนั่นก็เปนหลักพักพิงชั่วคราว กอนที่จะยายไปพึ่งสิ่งอื่นที่


ประเทืองปญญาและเรียกพลังคืนได สัญญากับตนเองวาจะไมลม ไมลงนอนอีกแลว หลายวันที่ผานมา
มันมากเกินพอแลว

เกือบครึ่งนาทีกับการยืนหาหลักใหตนเองในหองอันวางวาย แพตรีสูดลมหายใจลึกสองสามหน เมื่อรูแน


วาไมปนสะอื้นก็หมุนตัวกลับ ตั้งใจจะหาหนังสืออานเปนอันดับแรก

สะดุดกึก ตาเบิกตะลึงตะไลเหมือนถูกสาป เมื่อพบวากลางหองคือรางสูงของเกาทัณฑ!

เขาสงยิ้มให ใบหนาสลดเศราอยางคนสํานึกผิด มองลึกเขามาในตาหลอนและเอยราวกับยืนอยูแสนไกล

“แพ...สวัสดี”

แพตรีเพงนิ่ง เงารางของเขากอความปรีดาปราโมทย ทวาใบหนาเขาก็ราวเข็มแหลมแกลงแทงทิ่ม งงงัน


กับตนเอง เกือบระเบิดเสียงกรีดรองตวาดไลใหดังคับบาน เกือบหาอะไรขวางใสใหแรงที่สุด แตดวย
๔๑๓

กรอบคุณงามความดีที่ลอมใจมาแตออนแตออก ทําใหความหุนหันพลันแลนชั่ววูบทั้งมวลดับลงเร็วเกือบ
เทากับที่มันเกิดขึ้น

หันหลังกลับจะเปดประตูกาวออกจากหอง หลอนยินดีหนีหายตลอดกาลหากเขาจะยังอยูในเขตบานปู

แตชาไป ถูกควาแขนไวเสียกอน เขาลากดึงมานั่งบนเตียง หลอนพยายามขืนตานสุดฤทธิ์ ทวาไมเปนผล


ดวยกําลังดิ้นเทาหลอนอีกสองคนชวยก็ไมมีสิทธิ์หลุดจากอุงมือแข็งราวคีมเหล็กนั้นเลย

“โอย...”

ครางแผวดวยความเจ็บเมื่อสะบัดดิ้นแลวเขายิ่งบีบรัดอยางลืมประมาณแรง เกาทัณฑยินเสียงอุทธรณก็รู
สึกตัวและคลายมือโดยเร็ว

ทั้งเจ็บกาย ทั้งเจ็บใจ เกินสะกดกลั้นสะอื้น แพตรียกมือปดหนารองไหอยางนาเวทนา นี่เขาจะตามมา


รังแกหลอนไปถึงไหน แคนี้พอเถอะ ไหวละ…

เกาทัณฑรูสึกเหมือนตกนรกทั้งเปน อยากดึงรางนอยเขามากอดอยางถนอม แตก็รูวาขณะนั้นตนไรสิทธิ์


อันชอบธรรมโดยสิ้นเชิง จึงไดแตนิ่งทนมอดไหมกับนรกในอกอยูอยางนั้น กระทั่งหลอนหยุดรอง ลดมือ
ลง จองเขาดวยตาแดงช้ํา

“ออกไป!”

ไลดวยเสียงแหบพรา เปนนาทีที่เกาทัณฑทราบไดวาความฉลาดพูดไรความหมาย ความจริงเทานั้นที่ทํา


ใหกลาเอยปาก

“แพ...ฟงพี่กอนเถอะ พี่กับเพื่อนผูหญิงในขาว...”

“พี่เต...” แพตรีหามทั้งถอนสะอื้น “อยาพูดคะ”

เกาทัณฑสายหนา ขยับจะเอยก็ถูกแซงอีก

“ที่พี่วาจะมีเรื่องใหแพแปลกใจ แพแปลกใจพอแลว อยาทําใหตองแปลกใจกวานี้เลย”

ชายหนุมปดตาลงอยางเหนื่อยออนเหมือนใกลสิ้นใจ แตแลวก็เปดตาไดอีกครั้ง ลวงกระเปากางเกงหยิบ


กุญแจรถมายื่นสงให

“นี่ตางหากเรื่องที่อยากใหแพแปลกใจ ของขวัญสําหรับการหมั้นหมายดวยน้ําพักน้ําแรงของพี่เอง ไมใช


อยางเครื่องเพชรที่เตรียมขอจากคุณแมใสพานใหในวันหมั้น”
๔๑๔

หญิงสาวเหลือบมองของมีคายิ่งในมือเขา หากเปนเวลาปกติหลอนคงปลาบปลื้ม นัยนตาคงเปนประกาย


ดีใจเยี่ยงหญิงสาวที่ไดรับของกํานัลราคาแพงจากชายที่ตนรัก แตเมื่อมีหมอกรายมุงบังหอหุมใจเหมือน
เดี๋ยวนี้ ของในมือเขาก็แควัตถุชิ้นหนึ่งที่หาคาในสายตาหลอนไมไดเลย

แพตรีฝนยิ้มทั้งน้ําตา มองเขาคลายขบขันนัก

“ซื้อใหพี่เรือนแกวดวยหรือเปลาคะ?”

เกาทัณฑไดยินแลวถึงกับมือตก และเกือบปดปากเปนเบื้อใบอยางถาวร

“แพ พี่...”

พูดตะกุกตะกัก แยตรงที่ถาอางวาเขาไมมีใจกับเรือนแกวเลยนั้น เปนเรื่องโกหกอยางหนาดานชนิดหนึ่ง


และถึงกลาโกหก ก็นึกสงสารเรือนแกวเกินกวาจะพูดจาลดคาหลอนเพียงเพื่อเอาตัวรอดเฉพาะหนา

“พี่กับ...เพื่อน...นอนแยกหองกัน ที่ขึ้นไปหาเขาก็เพราะตองทําอะไรบางอยาง ใหสิ่งศักดิ์สิทธิ์เปนพยาน


พี่ไมเคยนอนกับเขาเลยแมแตครั้งเดียว”

การพูดความจริงทําใหรูสึกเปนผูใหญ นึกขอบคุณตนเองกับความอดกลั้นที่แลวมา ที่ทําใหพูดไดเต็มปาก


เต็มคําอยางนี้

“ทําไมละคะ? พี่เขาสวยดีออก”

“เหตุผลคือแพนะซี เรากําลังจะหมั้นหมายกัน พี่จําไดติดหัว”

“อยาจําอีกเลยคะ ไมใชอยางนั้นอีกแลว”

คนฟงถึงกับเย็นหวิว มองดวงหนาเปอนคราบน้ําตาแลวบอกตนเองวาไดเพชรมาแตปลอยใหหลุดมือไป
แลวกระมัง

“แพฟงพี่อธิบายบางนะ เรือนแกวเปนเพื่อนรวมงาน พี่รูจักเขาตั้งแตยายกลับมาประจําที่เมืองไทย ไมใช


เพิ่งคบหาหลังพบกับแพ ถายอนนึกดูจะจําไดวาแพเคยเจอเขาครั้งหนึ่งที่โคราช จําไดไหม?”

แพตรียิ้มมุมปาก นัยนตาโศกทอดมองเขาอยางดูวาจะพูดอะไรอีก แตเมื่อเห็นเงียบก็ตอบคําเพียงสั้น

“ไมไดสังเกตหรอกคะ เพื่อนพี่ตั้งเยอะ”

“ชางเถอะ เอาเปนวาความจริงคือเขาเคยเห็นพี่อยูกับแพมากอน ถาหากมีอะไรกัน วันนั้นเขาจะทนนิ่งอด


กลั้นอยูไดหรือ?”
๔๑๕

สีหนาของแพตรีดูผอนคลายลงนิดหนึ่ง นั่นทําใหเกาทัณฑใจชื้นขึ้นบาง อยางนอยก็รูวาหลอนไมถึงกับ


ตัดตายขายขาด ปดหูปดตาจากเขาอยางสิ้นเชิง

“จําไดไหมที่คืนกอนไปสิงคโปร พี่ขอใหแพไปดวยกัน เหตุก็เพราะอยางนี้แหละ แตเหมือนน้ําทวมปาก มี


หลายเรื่องนักที่พูดออมคอมก็ไมดี ตรงไปตรงมาก็ไมเหมาะ…”

“เพราะพี่มีความในใจอยูแลวลวงหนา”

แพตรีดักคอ

“ใช” เกาทัณฑยืดอกยอมรับ “พี่รูจักเรือนแกวมานาน มีบางอยางเกิดขึ้นบางตามทาง ตามเวลาที่คบหา


กัน แตจนถึงวันนี้ ขอรับรองวามีแพคนเดียวเทานั้นที่พี่ขอแตงงานดวย”

หญิงสาวเงียบกริบ มองหนาคนหลายใจอยูพักใหญ กอนถามอยางอดไมได

“เขาหองพี่เรือนแกวทําไมคะ?”

แมเตรียมไวแลว เกาทัณฑก็กระดากและอึกอักที่จะตอบตามจริง

“เขาขอใหพี่ชวยแสดงอะไรบางอยางใหเห็น ยอมรับวาในที่รโหฐานอยางนั้นดูสนิทเกินเพื่อน แตรับรอง


วาไมมีอะไรเกินเลยแมแตนอย”

แพตรียังมองชายตรงหนาตาไมวาง เกิดความระอาเรื่องลับ เรื่องเรนแฝง คําลวง และคําจริงขึ้นมาเต็ม


ประดา ขนาดไมแตงยังตองจับผิดจับถูก เกิดเหตุชวนคลางแคลงขนาดนี้ ตอไปพอเขาไดหลอนแลว เบื่อ
หลอนแลวตามวิถีโลก มิยิ่งตองสืบสาวเอาความกันขามวันขามคืน เหน็ดเหนื่อยหาขอยุติยากกวานี้สัก
รอยเทาหรือ?

ความมีดีพรอมของเขาไมไดนํามาแตเพียงความสนิทเสนหานายินดีแตถายเดียว ยังนําปญหาอื่นพวงมา
ดวยรอยแปด เพราะถารูปรางหนาตา กิริยาทวงทีของเขานาหลง นารักสําหรับหลอน ก็ตองชวนใหหลง
ชวนใหรักสําหรับหญิงอื่นเชนกัน

“พี่คะ…เรื่องนี้รูกันสองคนระหวางพี่กับพี่เรือนแกว แคแพถามเหตุผลวาพี่เขาหาเขาทําไมยังบายเบี่ยง
เลี่ยงใชคําคลุมเครือ เอาเถอะคะ คงประสาคนสนิท มีเรื่องนาอวดนาแสดงอยูเยอะ แพก็ไมอยากซอก
แซกขุดคุย เพราะฐานะของเราก็วาที่คูหมั้นเทานั้น ยังมีความเปนอื่นอยูมาก แตเอาความจริงมาพูดกัน
คําเดียวสั้นๆดีกวา คําเดียวที่บอกใหเราทั้งสองคนรูวาตรงไหนคือจุดยืนเดี๋ยวนี้ และทิศไหนที่ควรเดิน
ตรงไป…พี่รักพี่เรือนแกวหรือเปลา?”

“คําตอบไมไดเปนตัวกําหนดทิศทางนี่แพ…”
๔๑๖

“พี่เต…แพฉลาดพูดนอยกวาพี่ โดยเฉพาะเรื่องตอนหนาตอนหลังยอกยอนนะ ไมเกงคะ แตก็หวังวาเรา


จะมีใจจริงเทากัน มีดีที่จุดนี้เสมอกัน ตอบเทานั้น รักหรือไมรัก”

เปนครั้งแรกในชีวิตที่เกาทัณฑรูจักความกดดันชนิดที่หาทางออกไมได จนแทบอยากตายดับเสียใหพน
หากนิ่งทื่อหรืออิดเอื้อนก็เปนคําตอบชัดพออยูแลว สูยอมรับอยางลูกผูชายดีกวา แมรูทั้งรูวาผลคืออะไร

“รัก…”

แพตรีหนาซีดเผือด นั่นยิ่งกวาเขาวาดมีดกรีดแกวหูใหแสบเสียวลัดลึกลงไปถึงกลางอก จองเขาอยูนาน


มาก นานเหมือนจองชายแปลกหนาที่เขามาตบตีหลอนอยางไรเหตุผล

“มาหาแพอยางนี้เขารูแลวจะรองไหหรือเปลาคะ?”

ถามแผวเครือและเริ่มสะอึกสะอื้นทีละนอยตอหนาเขา เกาทัณฑหลบตาไปทางอื่น ยนคิ้วดวยประสาทตึง


เครียดไปทุกสวน เห็นจากหางตาวาหลอนจองเขาอยางคาดคั้นจะเอาคําตอบใหได นั่นยิ่งทรมานแทบบา
ยอมใหผูชายดวยกันเขยาคอเราๆตะคอกเคนยังดีกวา ทนไมไหวหนักเขาก็ลุกขึ้นยืนกลางหอง กําหมัด
แนนราวกับอยากบีบตนเองใหแหลกคามือ

ทุกขที่ใหญหลวงเปนอยางนี้ มืดมนเพียงนี้ แมลองลอยอยูในกุศลวิบาก ก็ไมวายปรากฏปลายสายเปน


อีกรูปแบบหนึ่งของทุกข และยิ่งหนักหนาสาหัสตรงที่ไมมีใครผิด ไมมีทางออก และไมมีคําตอบใดๆนา
ฟงเอาเลย

จนลวงเลยกระทั่งเสียงสะอื้นจากหญิงสาวจางลง เกาทัณฑจึงผินหนามาทางหลอน เห็นดวงหนางาม


หมนหมองคลายกําลังตรอมใจแลวคิดทําสิ่งที่ไมเคยทํามากอนกับผูหญิงคนไหน นั่นคือยางเทาเขาหา
และทรุดลงคุกเขาตอหนา วางสองมือทับหลังมือบนตักหลอน

“พี่ขอโทษ”

เอยแลวมองดูนัยนตาดําขลับที่กลับขุนดวยความหดหู

“เพื่ออะไรคะ?”

เสียงหลอนต่ําลึกอยางไมเคยเปน

“เพื่อใหแพรูวาพี่เสียใจ”

“คะ…แพยกโทษให”
๔๑๗

ความจริงจะตอดวยคําไล ตอแตนี้ขออยาใหเห็นหนากันอีกเลย ทวาเมื่อมองใบหนาอันเปนที่รัก ที่รอคอย


ที่เฝาหวงแหนมาแสนนาน ก็จุกแนนไปทั้งอก พูดอะไรไมออก และเหมือนถอยคําที่เตรียมไวขับใหเจ็บ
คืน จะมวยมลายหายสูญ ไขวเขวหลงลืมไปสนิทอยางรวดเร็วเหลือเชื่อ

เทาที่เกาทัณฑไดยินจึงเปนเพียงคํายกโทษ เขาเบิกตานิดหนึ่ง รอฟงถอยคําเสียดแทงที่จะตามมาทีหลัง


แตจนแลวจนรอดก็เห็นเพียงอาการแนวนิ่ง จองมองเขาเฉย

กะพริบตาครั้งหนึ่ง ถือสิทธิ์ในคํายกโทษนั้น ลุกขึ้นนั่งเสมอ แลวดึงรางนอยเขาโอบเต็มออม แพตรีขืนตัว


ทวาออมอุนนั้นเกินตาน ตองยอมตนราวกับคนใจงาย ลืมโกรธสิ้นแลว

เกาทัณฑถามตนเอง ถาปมเชือกมันขมวดพันยุงเหยิงแนนหนาเห็นปานนี้ จะใหเขาทําอยางไร แกปญหา


อยางไรได?
๔๑๘

เปนเชาที่อากาศสดชื่น เย็นสบาย รอบละแวกทางเดินชะอุมงามดวยหญาขจีและพฤกษายืนตน สมควรที่


จะบันดาลความสุขสงบใหแกผูตัดผานทุกๆคน

แตสําหรับเรือนแกวแลว ทั้งหมดคืออีกฉากหนึ่งของความเงียบเหงา

เดินถือคันธนูขนาดหาฟุตครึ่งพรอมกระบอกลูกศรมาที่สนามซอมในอาณาบริเวณคอนโดมิเนียมซึ่ง
หลอนพักอาศัยอยู ธนูเปนหนึ่งในกีฬาโปรดของหลอน นอกจากทําใหใจสงบ ไดออกแรง และสั่งสมความ
เชื่อมั่นอยางดีแลว ยังสงเสริมใหเกิดความรูภายใน หรือสัญชาตญาณพิเศษในการเขาสูเปาหมายที่
อธิบายยาก ทุกครั้งยามเกิดความสับสนฟุงซาน หรือแกปญหาใดไมตก เรือนแกวจะลงมายิงธนูตางระยะ
เปนการปลดปลอยเรื่องหนักอึ้งทิ้ง และก็มักจะทําสําเร็จเสมอ

ภาพสลักตามผนังถ้ําเปนหลักฐานที่ดีวามนุษยรูจักยิงธนูลาสัตวแทนการพุงหอกพุงหลาวมาไมนอยกวา
สองหมื่นหาพันป และมีวิชายิงธนู หรือที่เรียก ‘จาปเวท’ สืบทอดกันอยางเปนศิลปศาสตรนับพันปแลว
หลอนทราบดวยวาพระเซนจํานวนมากนิยมการยิงธนูเปนอยางยิ่ง ขนาดมีตํารายิงธนูตามหลักเซนออก
มามิใชนอย นัยวาเปนอีกอุปเทหหนึ่งของการฝกสมาธิ

บางคนทุมเวลาทั้งชีวิตกับการฝกแผลงศรใหไดไกล ใหไดเขาเปา และใหไดความเปนหนึ่งเดียวกับจิต


วิญญาณ พวกที่สําเร็จจาปเวทขั้นสูงอาจเห็นเปาจากระยะไกลขยายใหญเกินขอบเขตของประสาทตา
มนุษยธรรมดา วากันวาเพราะเล็งเปาจนเกิด ‘ปฏิภาคนิมิต’ หดขยายไดตามตองการทั้งยังลืมตา

ชมรมยิงธนูในปจจุบันโดยมากมักมีเรื่องการลาสัตวเขาไปแทรกแซม แตสําหรับเรือนแกวแลว จะเห็น


เปนเครื่องมือคลายทุกข ขจัดเหงามาตลอด หลอนยิ้มออก ผอนคลายความตึงเครียดไดทุกครั้งที่สามารถ
สงศรเขาเปาคะแนนสูงติดๆกัน

ยืนหางเปาประมาณเดียวกับความยาวสนามเทนนิส อันเปนระยะหวังผลสําหรับหลอน ปลีขาสลักเสลา


เกลากลึงแยกจากกันในทาเตรียม ชุดดําเสื้อคอกลมและกางเกงยีนรัดรูปชวยใหรูสึกกระชับเมื่อเริ่มตั้งทา
ยิง คันธนูของหลอนติดรอกทุนแรงนาว แมจิตใจยังออนปวกเปยก อันมีผลกระทบใหแรงกายถดถอย ก็
สามารถเหนี่ยวสายไดคอนขางงาย
๔๑๙

ศรดอกแรกพุงหวือแบบเหินๆคลายไมคอยเต็มใจวิ่งเขาปกเปาเทาไหร วัตถุที่ไรเจตจํานงมุงมั่นกํากับ
การเคลื่อนไหวยอมปรากฏความออนแอ ดูออกในสายตาผูเคยฝกควบคุมตนเองและวัตถุในมือมาแลว

เรือนแกวเบือนหนาไปทางอื่นอยางเนือยนาย กําลังใจและแรงกายถอยนอยลงอีก เพราะการปกเดเฉเก


ของลูกธนูดอกแรกนั้น อยูเกือบวงนอกสุดของเปา ฟองชัดถึงความไมเอาไหน

จับดอกสองวางขึ้นสายอยางตั้งใจกวาเดิม หนาเทาซายชี้ตรง มือซายกําคันจับแนนยื่นไปทางเดียวกับ


ปลายเทา มือขวารวบหางศรพรอมนาวสายจนสุด ประสานเปนจังหวะเดียวกับการสูดลมหายใจอัดเต็ม
ปอด เพงใจกลางเปา หางตาสัมผัสรูเรียวแทงธนูตลอดลําที่ขนานกับพื้นและชี้ตรงเขาจุดหมาย ขณะ
เดียวกันก็รูพรอมในองคประกอบอื่น ไมวาจะเปนกําลังที่ใชนาว ความนิ่งไดดุลตลอดราง ไปจนถึงสัมผัส
ทิศทางลมอันแสนออนทวามีผลกับการวิ่งของศร

ผสานความรูพรอมทั้งหมดแลว กลายเปนนิมิตเสนทางธนูในคลองตา เห็นเปนทอไรตนจากปลายศรถึง


เปาหมายแจมชัด อยางที่เรียกพิชาน หรือความรูสึกตัวทั่วพรอมในการเล็งสงเขาเปาดวยใจ ความมั่นคง
และอาการทั้งหมดในกายเปนไปเพื่อสรางนิมิตเสนทางใหเที่ยงตรงเขาฝกทั้งสิ้น ขยับเปลี่ยนนิดเดียวแม
คลายกลามเนื้อหัวไหล คันธนูไหวติงเพียงนอย ก็มีผลรบกวนวิถีรูในใจไดแลว พูดงายๆวาเพื่อสงลูกธนู
เขาเปา อวัยวะใหญนอยทั่วทั้งกายภายนอก รวมทั้งจิตใจภายในตองชวยกันสงเสริมเปนหนึ่งเดียว

ปลอยมือดวยความรูสึกดิ่งสงบเขาฝกถึงที่สุด ลําลูกศรแลนดวยแรงดีดผึงอันสะสมอยูในการงอคันธนู ลัด


ลิ่วเปนเสนตรงแหวกอากาศดวยพลังเจตจํานงอันคมกริบ หัวศรปกฉึกเขาวงดําชั้นในสุด สงแรงสะทอน
ฉับพลันกลับมากระทบใจเปนฤทธิ์อันหนักแนนเฉียบขาด เราอัตตาใหเติบกลาขึ้นขมความเงียบเหงา
วังเวงสนิทชั่วขณะหนึ่ง

รอบดานยังรางผูคน มีเพียงหมูไมและใบหญาที่ประจักษในความขมังแมนของมือธนูสาว คลื่นลมในหัว


สงบลง เกิดสติรูความปรากฏอยูของกาย เห็นความสัมพันธระหวางกายกับเปาเบื้องหนา รวมทั้งธรรม
ชาติรอบตัว ทั้งที่ปรากฏตอประสาทตาและประสาทหูอันกวางขวางเปนพิเศษ ศรเขาเปาดอกเดียว
เปลี่ยนแปลงหลอนไดไวเทากับความเร็วของมัน

เรือนแกวดึงศรดอกตอไปออกจากกระบอกบนพื้นดวยจิตใจที่สงัดนิ่งเหมือนแผนน้ํา สูดลมหายใจยาว
ขณะออกแรงนาวอีกครั้ง หยุดสงบเปนดุษณีในอาการเกร็งเหนี่ยวสุดสายครูหนึ่ง หยาดน้ําใสคอยๆริน
จากปลายหางตาทั้งสอง แตไมนานจนเออเปนมานน้ําพราพราย หลอนปลอยใจ ปลอยมือดวยสติอันมั่น
คง สงลําธนูอันลนไปดวยพลังเหลือเฟอในการแหวกอากาศพุงเขาเปา

เกาทัณฑ...ธนู

จิตดิ่งอยูกับฤทธิ์ของการสงศรเขาเปา รูพรอมไปทั่วทุกองคประกอบการยิง เห็นความเปนเกาทัณฑแชม


ชัด...
๔๒๐

แลนจากแลง ตัดตรงเขาเปาไมออมคอม กํากับดวยจิตใจที่คมกลา ราวกับหัวศรมีวิญญาณแสวงจุดปก


ของตนเอง เมื่อสงออกไปแลว ยากที่จะมีอะไรมาดักขวางไดทัน

อุตสาหหาเครื่องยึดจิตใหเลิกประหวัดคิดถึงเขาเปนการพักอารมณ ดันกลายเปนเครื่องเตือนใหยิ่งย้ําคิด
หนักเขาไปอีก เกือบเหวี่ยงคันธนูทิ้ง ทวาสติอันหนักแนนในขณะนั้นหามไว เพราะหยั่งรูวาเหมือนทุบ
แกวเนื้อดีที่เพียรสรางอยางยากลําบากใหแตกละเอียดลงอยางนาเสียดายเพียงชั่ววูบโทสะ

ใจเปนหนึ่งกับการยิงธนูเนิ่นนาน เดินไปถอนกลับมาเปลี่ยนระยะหลายรอบ พอแขนลาจึงวางมือ เก็บ


อุปกรณเดินเขาตึก

กายและใจที่รวมเปนหนึ่งเพื่อกอนิมิตเสนทางวิ่งของธนู กับกลามเนื้อที่กระชับแนนทั่วราง ชวยใหความ


รับรูทั่วไปหลังเลิกเลนคมใสกวาปกติเปนสองเทา ราวกับขางในมีใบมีดขนาดใหญวางตั้งตลอดแนวหนา
ผากถึงกลางอก หันดานคมชี้ไปขางหนา ใหความรูสึกเหมือนพรอมจะเปลงประกาศิตที่เฉียบขาดหรือ
ออกฤทธิ์ออกเดชไดสารพัน

คนทั่วไปแมเคลื่อนไหวอวัยวะนอยใหญหลายสวนพรอมกัน อยางมากจะรับรูเพียงจุดใดจุดหนึ่ง เชน


อาการเบนหนากลอกตาอยางเดียว สวนอื่นถูกเพิกเมินไปหมด หรือที่หนักกวานั้นคือไมรูตัวเอาเลยดวย
ซ้ําวากําลังอยูในทวงทีกิริยาใด ปลอยใหสติขาดหาย เหมอลอยทั้งวัน

แตในบัดนี้ เมื่อทรงนิ่งดวยภาวะจิตอันคมคาย เรือนแกวแยกรูไดพรอมกันเกือบทั่วพรอม เมื่อเดินสวน


กับผูจัดการทั่วไปของคอนโด หมอนั่นทักทายหลอนดวยทาทางกะลิ้มกะเหลี่ย ดวงตาหลอนสามารถมอง
เห็นอาการผงกหัว ยิ้มกวางเห็นฟนทั้งปากของเขา ขณะเดียวกันใจก็ทราบอาการเยื้องกรายสลับคูเรียว
ขาระเหิดระหงของตน พรอมทั้งรูชัดวาตนเบนหนานิดหนึ่ง ชายตาแลหมอนั่นคลายเจอชะนีแลบลิ้นปลิ้น
ตาหลอกที่ขางทาง ในหัวผุดคําสั้นๆวา ‘ชิ!’

หลอนยังไมตระหนักวาสติรูพรอมชนิดนั้น เพียงพลิกกลับนิดเดียว คือแทนที่จะหันออกขางนอก แตสง


กลับเขามาดูขางใน คลายเขาไปนั่งในใจคนอื่น ไมใหเหลืออุปาทานวากายใจเปนตน ก็จะปฏิรูปเปนรุง
อรุณแหงการปฏิบัติธรรมทันที ลักษณะความรูชัดคมคายจะแปรเปนรูชัดออนโยนลง ดวยเพราะพลัง
อัตตาอันเขมขนปฏิรูปเปนพลังรูบริสุทธิ์ไป

ระหวางอยูกับเกาทัณฑที่สิงคโปร มีเรื่องพูดคุยแลกเปลี่ยนเยอะมาก เพลินที่จะคุยกันตลอดวันดวยเรื่อง


หลากหลายไหลลื่นไปเรื่อย หนึ่งในขอสนทนาคือการทําสมาธิ เขาพูดใหฟงคอนขางละเอียด รวมทั้งฝก
การนั่งเบื้องตนใหเกือบทุกวัน เรือนแกวจึงแยกแยะถูกวาภาวะนาพอใจอันเปนผลจากการซอมยิงธนูใน
บัดนี้ นับเขาเปนสมาธิแบบสงบไดเหมือนกัน
๔๒๑

เมื่อกอนจะนึกวาสมาธิคือความสามารถเอาใจจดจอกับงานได ซึ่งก็ถูก แตตอนนี้เขาใจเพิ่มขึ้นมาคือ


สมาธิจิตนั้นมีหลายประเภท ทั้งแบบที่เปนสมาธิแลวยังวุน กับแบบที่เปนสมาธิแลวสงบลงบาง กับแบบที่
เปนสมาธิแลวราบคาบสนิท

ตอนทํางานเอกสาร งานติดตอผูคน หากจิตรวมลงเปนสมาธิ จะมีลักษณะคมกริบ มีฤทธิ์ทางโลก คุมเกม


การเจรจาได คุมงานใหสําเร็จลุลวงตามลูตามแนวที่ตั้งใจได รูสึกตลอดกายดีวากําลังขยับไหวหรือนิ่งทรง
อยูตรงไหน อยูกับใคร เพื่ออะไร หลอนจะมุงมั่นเพงแนวตลอดเวลาวามาถึงไหน ไดสิ่งที่ตองการหรือยัง
รวมทั้งหยั่งทราบวาเจออุปสรรคจะตองแกเปนเปลาะๆทาใด

สมาธิแบบนั้นทําใหหลอนมีอํานาจและรอบรู ทั้งที่เกี่ยวกับคน ขอมูล และวิธีเลือกตัดสินใจของตนเอง ใน


ทางปฏิบัติหลอนมีสติและสมาธิพรอมจะเปนผูบริหารคนหนึ่ง และเปนผูบริหารที่ดีดวย รอเพียงอายุและ
ชั่วโมงบินสูงพอจะไปนั่งเสนอนโยบายโดยไมถูกผูใหญเขมนวาเจอเทานั้นแหละ

สมาธิที่พาไปสูการบรรลุเปาหมายที่นายสั่งหรือตัวเองริเริ่ม จะยอนกลับมาอัดฐานกําลังใจใหแนนขึ้น
เรื่อยๆ รูสึกชัดขึ้นทุกทีในตบะบารมีแหงตน รวมแลวไดเปนกิเลสใหฟุง ใหคิดไตเตาสูงขึ้นไปเรื่อยๆไม
หยุด นี่เองจิตเปนสมาธิแลวยังวุนวาย

เมื่อเลนกีฬาหลอนก็ไดสมาธิเหมือนกัน แตยังมีความฟุงบางชนิดติดตามมาดวย เชนเลนกีฬาหลายคน


แลวเอาแพชนะกัน หรือเลนคนเดียวพยายามเอาชนะตัวเองดวยการทําแตมตางๆนานา ชนะหรือสําเร็จก็
จิตฟู แพหรือลมเหลวก็จิตตก ประเภทรักษาความเปนกลาง หมายตาจดจอกับวัตถุในเกมกีฬาอยาง
เดียวตลอดเวลานั้น ยากยิ่ง

และแมเปนสมาธิในระหวางเลนกีฬา ตาหูก็เปดกวางใหใจโบยบินไดงายเกินไป อยางเชนเมื่อครู ทั้งที่


หลอนรูสึกสงบดิ่งเยือกเย็นแทๆ อยูไมอยูน้ําตาก็ไหลออกมา แคไพลคิดถึงเกาทัณฑนิดเดียว

เมื่อหัดสมาธิแบบนิ่งวาง เรือนแกวก็ไดความชอบใจ และเห็นกวางไปอีกแบบ คือพบวามันใกลเคียงกับ


การยิงธนู แตมีความละเอียดออน สุขุมประณีตกวา สุขสบายไรกังวล อีกทั้งใหผลเปนความราบคาบ ไม
ฟุงคิดไตสูงหรือวิ่งไกลเกินการเสพรสอิ่มเอมในอาการแนนิ่งขณะนั้นๆ เพราะเปาหมายเดียวคือรูซ้ําไป
ซ้ํามาในอารมณที่ไมเจือดวยความอยากประการใดๆ กับทั้งเปนความสุขในตัวเอง ไมตองอาศัยความ
รวมมือจากใครอื่นเลย ถาชนะก็ชนะความฟุงซาน ถาแพก็แพความขี้เกียจนี่แหละ

สําหรับผูยังไมตั้งมั่น สมาธิจิตอันสงบประณีตเปนสิ่งที่ทําไดแลวจะลืม เพียงหางเหินจากการเสพภาวะ


เชนนั้นสักสิบนาที จําไดแตความนาติดใจ เมื่อมีสิ่งเตือนใหระลึก เชนที่หลอนเพิ่งยิงธนูแมนๆ ไดใจนิ่งๆ
จึงคอยคิดถึงขึ้นมาอีก

เขาหอง เรือนแกวเปดตูเย็นหาของเบาๆทานแบบรองทอง คือไมถึงกับอิ่มแปรแตก็หายหิว เสร็จแลวอาบ


น้ําแปรงฟนจนสดชื่น เบาเนื้อตัว เลือกใสชุดกระโปรงหลวมพอสบาย จากนั้นยึดเกาอี้ตัวหนึ่งเปนที่นั่ง
๔๒๒

เพราะตอนหัดทําสมาธิเกาทัณฑจะใหลากเกาอี้มานั่งขางๆเขาทุกครั้ง จึงชินที่จะใชเกาอี้พนักตรงและ
เบาะเรียบแนนเปนอุปกรณชวยทรงตัว

นั่งหลังตรง ผอนคลายตลอดราง คว่ํามือวางบนตัก วางเทาลงเสมอกันบนพื้น ปดตาเหลือบต่ํา รักษาดุล


ความรูนิ่งทั่วพรอม เกิดความเห็นชัดวาเมื่อกําหนดการวางกายไวเหมาะสม ก็เกิดความพรอมรูขึ้นทันที
ในระดับหนึ่ง เหมือนกับการตั้งทาไวถูก ไดที่เหมาะในกีฬาใดๆ ก็จะทําใหเกิดนิมิตที่เหมาะสมกับกีฬา
ประเภทนั้นๆโดยงาย

การวางกายไวถูกยังกอใหเกิดฉันทะ หรือความสุขความพอใจ เชนขณะนี้เพียงหลอนกําหนดดูความเปน


ไปของกาย เห็นเจตนาขยายหนาทองเพื่อดึงลมเขา ก็เกิดนิมิตเสนทางลมลวงหนาตลอดสาย โดยเฉพาะ
ความชัดที่จุดกระทบแรกเขาในโพรงจมูก คลายกับกายเปนแลงธนู สายลมหายใจเปนเสนทางลูกศรวิ่งที่
จะตองเห็นใหได

ปญหาของผูปฏิบัติสมาธิสวนใหญอยูตรงนี้ คือลมเหลวแตแรกเพราะเบสิกไมดี และใหเวลาอยางตั้งใจไม


นานพอ ถาหากจดจออยูตลอดเวลาดวยความผอนคลาย ตั้งกายไวถูกสวนเหมาะ ไมเครียดเกร็งเลย
เดี๋ยวเดียวก็ไดผล เมื่อลมหยุด ก็เพงรออาการขยายหนาทองดึงลมเขา เชนเดียวกับการงางคันธนูเล็ง
เห็นเสนทางระหวางแลงกับเปาหมาย เมื่อลมเขาหรือออก ก็ปกใจเขาหาสายลมเทากับการสงตาตามดู
ธนูพุงเขาเปาจริง

ผูปฏิบัติโดยมากจะทราบเฉพาะตอนลมเขา พอลมออกสติจะหาย ยิ่งระหวางพักรอลมเฮือกใหมยิ่งแลว


ใหญ พลัดไปโนนหลนไปนี่ ถาเพียงพบความจริงและพยายามอุดจุดออนตรงนี้เสียหนอย อาการเหมอ
หรืออาการตกภวังคเห็นโนนเห็นนี่รอยแปดก็แทบไมมีทางเกิดขึ้นเลย

เรือนแกวขยายหนาทอง ดึงหายใจเขา เห็นสายลมเปนทางตามนิมิตที่ถูกเก็งรูไวลวงหนา เมื่อสุดปอด


แลว ก็ผอนออกอยางประณีต ยาว และนิ่มนวล กอนิมิตเสมอกัน เปนสายเดียวกันกับขาเขา

ที่สําคัญเมื่อหายใจออกจนสุด หลอนยังคงเพงรอลวงหนาในสายนิมิตลมหายใจเขาออกครั้งตอไป พูด


งายๆวาจดจอรูอยูกับกายนั่ง เตรียมขยายหนาทองดึงลมไมปลอยใหคลาดเคลื่อนไปไหน

เฝาดูลมนั้นงายกวายิงธนูเสียอีก แคตามเห็นซ้ําไปซ้ํามาอยูในนิมิตเดียวคือลมหายใจเขาออก ฉันทะใน


นิมิตจะเปนตัวเรงใหเกิดความสวาง สงบนิ่งจดจอ เรียกพลังรูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดหนึ่ง ไมเหลือ
อะไรเลยนอกจากการรูลมที่ผานเขาออกกายนั่งนี้

เรือนแกวรูสึกสงบและเห็นแสงสวางนวลฉายออกมาจากภายใน คลายมีรอยยิ้มนอยๆผุดขึ้นมาจาก
กระแสความสวางเปนหนึ่งนั้น
๔๒๓

นั่นคือการเกิดองคสมาธิเบื้องตนที่ตั้งอยูไดชั่วคราว หรือที่เรียก ‘ขณิกสมาธิ’ อันประกอบดวยวิตก คือตั้ง


สตินึกคิดธรรมดานี่เอง คํานึงวานี่ลมหายใจเขา นี่ลมหายใจออก เมื่อเกิดวิตกแลวสิ่งที่ตามมาคือวิจาร ได
แกการจมดิ่งอยูในนิมิตลมอันแชมชัด ราวกับตัวตนกลายเปนสายลมหายใจเสียเอง หรือคลายลมเขาออก
เปนแมเหล็กที่มีแรงดึงดูดจิตใหติดแนน เปนผลของการเขาคลุกคลีจดจออารมณเดียวนานพอ จนตัวรูตั้ง
อยูถูกสวน เห็นนิมิตกวางขวางตลอดสาย

เมื่อเกิดวิตกและวิจารแลว ก็มีอาการทางใจที่ตามมา เชนปสสัทธิ หรือความสงบคลายมีกลุมน้ําเย็นสนิท


ขังไวเต็มกาย รํางับซึ่งความกระวนกระวายทั้งปวงลงได เหลือแตฉันทะในการเพงดูสายลมเขาออกไมลด
ละ

อยางไรก็ดี อันเนื่องจากฐานจิตเรือนแกวยังไมตั้งมั่นเต็มที่ จึงกระเพื่อมเปนความคิดไดงาย โดยเฉพาะ


เมื่อมีเรื่องวกวนเกาะใจ คลายเปดประตูหนาตาง ปลอยใหศัตรูเขามาเพนพานในเขตบานไดงาย มาตี
รวนกวนใจ ขโมยสมบัติคือ ‘สติรู’ ไปเนืองๆ

ปานนี้เขาคงอี๋อออยูกับยายคนนั้น...

ดึงความรับรูกลับมาที่กายซึ่งยังคงนั่งตรง ผอนคลาย สบายตลอดราง จากนั้นวนไปที่จุดเริ่มใหม คือ


ทราบวาตนกําลังจะขยายหนาทองเพื่อดึงลมเขา เห็นนิมิตลวงหนา และเมื่อลมเขาจริงก็ทราบชัดตลอด
สายคงที่ ไดตระหนักชัดเดี๋ยวนั้นวาตราบใดจิตมีเสนทางเพงรูแนวแน กําหนดนึกนิมิตสายลมหายใจเขา
ออกไวไดอยางมั่นคง ตราบนั้นตอใหมีระลอกความคิดจรมามากนอยแคไหนก็ชาง เพียงไมนําพาเสีย
ประเดี๋ยวประดาว กลุมความคิดก็ระเหยหายจากหัวไปเอง

ดวยความเปนคนเรียนรูเร็ว โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องที่ตองใชใจสัมผัส เรือนแกวจับหลักไดเดี๋ยวนั้นวาวิธี


แกฟุงซานขณะทําอานาปานสติไดดีที่สุดคือดึงความรับรูกลับมาที่กาย นึกถึงรางที่นิ่งตรง ผอนคลาย
สบายตลอดตัว และรอดูการขยายหรือยุบหนาทองครั้งตอไป เมื่อเห็นการขยายหรือยุบหนาทองก็จะ
พลอยกลับมาติดนิมิตลมตามไปดวยเองโดยอัตโนมัติ

กายนี้เองคือฐานที่จะใชเล็งทางลมเขาออก หากไมเห็นกายก็เหมือนไมเห็นแลงธนู เห็นแตลําธนูอยาง


เดียว ไมเห็นเสนทางเขาเปาแจมชัด

วนเวียนซ้ําไปซ้ํามาระหวางความเห็นลมชัดกับกลุมความคิดฟุงซานซัดสาย กระทั่งถึงจุดหนึ่งความฟุง
ซานเปนฝายพายแพ ลาทัพถอยจนสิ้นซาก ราวกับขาศึกที่ถูกดูดจมหายลงไปในธรณี จิตล็อกตัวนิ่ง เห็น
นิมิตลมเขาออกชัดแบบเขาฝกอยูตลอดเวลา ประคองรักษาไมใหกระเพื่อม โดยรักษาความเรียบนิ่งของ
จิตใหมีสภาพเหมือนแผนน้ํา ระวังไมใหเกิดความไหวขึ้นได

เสวยสุขในอารมณขณิกสมาธิเหมือนนั่งที่ชายทะเลและเพลินมองขอบฟาโพน เนิ่นนานจนกระทั่งรูสึก
เบื่อ ความกาวหนายุติลง เนื่องจากแรงสนับสนุนขาดลงแคนั้น
๔๒๔

หญิงสาวลืมตาขึ้น ลุกจากเกาอี้เดินวนไปเวียนมาดวยความนิ่งแนนเปนสุข และกระหยิ่มใจในความ


สามารถทางจิตของตน สงบเหมือนธุระทั้งโลกหมดลงสิ้นแลว

แตภาวะอิ่มเอิบหลังขณิกสมาธิเปนของแตกพังงาย เพียงครูเดียวเมื่อจิตประหวัดถึงเกาทัณฑ ใจก็ฟุงขึ้น


มาอีกเหมือนลมหอบฝุนกระจาย เปนทุกขเปนรอนเกินหาม โดยเฉพาะเมื่อดวงหนาหวานหยดชวนให
หลงรักของสาวนอยนางนั้นลอยเดนขึ้นมาในหวงนึก หัวใจหลอนก็ผาววาบขึ้นราวกับใครเอาแหวนไฟมา
ลอมรัด คงเพราะกําลังสมาธิชวยเสริมมโนนึกใหแจมชัดหนักแนน เปนปจจัยโหมพายุอารมณใหแรงขึ้น
กวาปกติหลายเทา

เห็นหนาแคครั้งเดียวแตจําติดตา ยายคนนั้นมีหลายสิ่งรบกวนจิตใจหลอนนัก ไมวาจะเปนความหวานที่ดู


รูวามัดใจชายไดทุกเมื่อ หรือความนิ่งในธาตุแทที่ผูหญิงดวยกันตองอิจฉา อยางเชนเวลานี้ พอเรือนแกว
รูตัววาเปนฟนเปนไฟ ก็นึกเปรียบเทียบ และคิดวาตนคงแพลุยหากแขงกับยายนั่นในเรื่องการรักษาคา
ของตัวเอง

จินตนาการเห็นแมคนนั้นรักษาความเรียบเรื่อยเฉื่อยเฉยไวได ไมใสใจไยดีกับเกาทัณฑนัก ในขณะที่


หลอนครึ่งบาครึ่งดีเขาไปทุกที เรือนแกวก็บอกตนเองวาตองหัดเย็นเอาไวบางแลว เรื่องอะไรจะคลั่งเปน
นางรองในโลกมืดอยูคนเดียว หลอนก็หนึ่งเหมือนกัน

ขมใจ คิดหาเครื่องดับไฟในอก เหลียวไปแลมายามนี้คงมีแตเปยโนที่ใกลตัวหนอย จึงเดินดิ่งไปเปดฝา


ครอบ ยกเบาะที่เปนฝาปดมานั่งรื้อคนแผนโนตเพลง Fantaisie-Impromptu ของโชแปงขึ้นมาวางเรียง
บนไมคั่นวาง

เริ่มเลนอยางไมฝดฝนนัก วิญญาณหลอนผูกติดกับเปยโนเปนอันหนึ่งอันเดียวมาเนิ่นนาน สิบลํานิ้วลงน้ํา


หนักสัมผัสพบกับคียไมขาวดําทุกแทงอยางถูกตองและตรงเวลาเสมอ ราวกับมีปลายนิ้วแนบติดทุกผิว
คียอยูแลว สั่งไดวาจะใหโนตใดดังเมื่อไหร เรงหนักเบาหรือชาเร็วแคไหน

ระดับที่เรือนแกวเลนนั้นเขาขั้นแยกประสาทมือซายขวาเปนเอกเทศจากกันไดเด็ดขาด โดยที่ใจแยกภาค
ติดตามและสั่งการเคลื่อนไหวประสานงานเปนหนึ่ง สี่หองแรกของ Fantaisie-Impromptu คือการออก
รายรําเอาเชิงของมือซาย ถัดจากนั้นมือขวาจึงตอตามมาดวยการวาดลวดลายไลลาสีสันชวนพิศวงตาม
แบบฉบับทรงเสนหเฉพาะตัวของโชแปง คีตกวีผูมีผลงานที่ฟงแปลกใหมขึ้นเงาวับไดในทุกพ.ศ. ไมวาจะ
เปนชิ้นที่ออกแนวหวาน สงางาม นาใหลหลง หรือประหลาดพิลึกนางงงัน

ปกติเมื่อลงนิ้วกดคียเปยโนคุณภาพดีหนอย จะมีแรงสปริงที่ใหสัมผัสสะทอนกลับเปนความสุขนิดๆ
ตลอดลํานิ้วนั้นๆอยูแลว ยิ่งถาขอมือออนหยุน สามารถสลับนิ้วไลเรียงรวดเร็วตามแนวทางอันสลับราย
พรายแพรวแหงลํานําจากคีตกวีอัจฉริยะ เห็นตลอดปลายแขนและนิ้วมือเปนเครื่องจักรทรงประสิทธิภาพ
๔๒๕

ที่รูงานอัตโนมัติ สัมผัสและความเคลื่อนไหวจะรวมขึ้นกอมโนทัศนและสุนทรียภาพยิ่งใหญอันไมเปน
สาธารณะแกบุคคลทั่วไป

การสลับนิ้วไปบนกลุมโนตประชิดติดพัน และตองไลน้ําหนักใหไดสีสันตามใจโชแปงไมไดเปนปญหา
สําหรับเรือนแกวเลย หลอนปลอยนิ้ววิ่งเลนไปกับทอนหลักของ Fantaisie-Impromptu ดวยความเพลิน
อารมณ ดับความแหนหวงรอนรุมลงไดชั่วขณะที่โลดแลนอยูนั้น

ทวาเมื่อเขาสูทอนแยกอันคลายแปรจากลีลาโลดเตนในพายุแปรปรวนมาทอดนองเดินชมสวนดอกไม
สบายตาสบายใจ เกิดการรับอารมณเพลงอยางไรไมทราบ ใจไพลไปคิดถึงเกาทัณฑและแมยอดเยาว
มาลยของเขาขึ้นมาอีก

ปานนี้อาจเกี่ยวกอยชมสวนกันอยูจริงๆก็ได...

ผะผาวราวลึกไปทั้งทรวงอก เขาจะเอาไวทั้งสองคนเลยหรือไงนะ?!

เลนทอนกลางอยางกะพรองกะแพรง สิบปลายนิ้วที่รูจักทุกๆคียขาวดําดุจบริวารอันเชื่องในอํานาจ เคย


พลิ้วแสวงที่ลงไดเองอยางแมนยํา กลับปอแปเรรวนราวกับทหารเลวไรวินัย ไมเกิดสัมผัสสัมพันธภาพ
ระหวางมือกับแพคียเบื้องลางเอาเลย ทั้งที่เปนทอนชา เลนงายกวาทอนแรกมาก

หัวคิ้วยนลงเล็กนอย ฝนไปรังแตจะหมดความสุข จึงตัดสินใจผานไปเสีย โยกตัวขยับเปลี่ยนทานั่งใหเขา


ที่ใหม เปลี่ยนแผนโนตวกกลับเขาลํานําหลักถัดจากทอนแยกไปเลย หมายจะใชคุณภาพการไลเรียงคีย
อันเร็วรี่คงเสนคงวาเปนตัวดึงความรูสึกดานดีกลับมา

แตแลวขณะกําลังลากเสียงขึ้นยอดเขาลูกแรกและเตรียมจะเทลาดลงอยูนั้นเอง ก็เกิดความผิดพลาดขึ้น
ทั้งลงนิ้วชี้มือขวาไถลลื่นจากคียดํา และทั้งรักษาจังหวะมือซายใหคงที่ไมได สั่งสมความขัดอารมณหนัก
เขาก็บันดาลโทสะ ขมวดคิ้วแนน ปุบปบเปลี่ยนรูปมือขวาจากการไลพรมนิ้วเปนกําหมัดตวัดทุบปงลงไป
บนกลุมคียเคราะหรายเต็มแรง แลวลุกขึ้นพรวดพราด ใบหนางามเปลี่ยนจากสงบนิ่งเปนหมนเศราหมอง
หมาง แลวแปรรูปอีกระลอกเมื่อตากราววาวโรจนขึ้นจนดูดุดัน สิ้นงามเปนนากลัว

คลายลํานําพิลาสพินาศกะทันหันดวยสายฟาแหงอสูรฟาด อสูรอันสรางขึ้นจากแรงโทสะ ถาใครนั่งฟงอยู


ตรงนั้นและเผอิญเห็นหนาหลอนเขา อาจสะดุงสุดตัวขนาดพลอยลุกตามดวยความดีฝอก็ได

กายเริ่มสั่นเทิ้ม แนใจในบัดนั้นวาพิษรักถอนไมไดดวยกีฬา สมาธิ หรือดนตรีใดๆ กระทั่งนานอึดใจหนึ่ง


ของการยืนนิ่งอยูกับความมอดไหมในตัวเองจนลาลงเหนื่อยออน เคาหนาดุจึงกลับเปลี่ยนเปนสลดรันทด
น้ําตาพานจะไหลออกมาอีก

ไมอยากแบงเขาใหใครแมแตนาทีเดียว...
๔๒๖

อัดอั้นเต็มกลืน ลุกจากโซฟากาวพรวดๆไปหยิบกระบอกโทรศัพทไรสายที่หัวเตียง กดเบอรตอสายถึง


เขา

อยางที่เดาเปะ เกาทัณฑปดมือถือเอาไว

รูสึกไรคา อางวาง หมดสิ้นเรี่ยวแรงจนตองยอมปลอยใหน้ําตาแหงความนอยใจทะลักหลั่งออกมา ยกมือ


ปดปาก กล้ํากลืนความขมลงอก เหมือนเขาเปนยาเสพยติด แคหางก็จะแยอยูแลว แตนี่รูดวยวาเขากําลัง
งอนงอขอคืนดีใครอยู หลอนหลงรักเขาขนาดไหน ผูหญิงคนนั้นก็คงติดหลงไมแพกัน ยินยอมเขาไดทุก
อยางเชนกัน

นาทีนั้นเกือบประชดดวยการโทร.เรียกเชิงไทมารับไปเที่ยว แตก็จนใจ ชายอื่นกลายเปนกอนกรวด เศษ


แกลบไปหมด อีกอยางพอเพิ่งเสีย จะใหฝนแสรงทําหนาระรื่นทั้งชุดดําก็กระไรอยู

ปาดน้ําตาทิ้ง เจ็บใจและอายตัวเองที่ตองนั่งแปะ เอวออนระแน น้ําตาไหลพรากสะอื้นฮักๆเพราะผูชาย


อยางหลอนแคกระดิกนิ้วก็แหกันมาเปนกองทัพ จะตองไปยี่หระอะไรกับนักจับปลาสองมือพรรณนั้น

พอคิดแลวก็ยอกยอนเขาทิ่มแทงตัวเอง เมื่อระลึกไดวาแมงหวี่แมงวันทั้งหมดที่ผานมาเปนขอพิสูจนวา
หลอนใหใจกับใครไมไดสักคน อยางมากแคหลงๆชั่ววูบชั่ววาบแลวแผวจาง อยากดีดทิ้งอยางรวดเร็วเมื่อ
พบตําหนิเพียงนอย ไมเคยเลยจะรักและอยากเคียงขางเปนคูชีวิตเหมือนอยางที่รูสึกกับเกาทัณฑ

ทําไมตองเปนเขาเพียงคนเดียว ที่หลอนเต็มใจใหแตะตองเนื้อตัวได ทําไมตองเปนเขาเพียงคนเดียว ที่


หลอนเอยสารภาพรักกอนอยางนาหมิ่น ทําไมตองเปนเขาเพียงคนเดียว ที่หลอนชิดใกลแลวรูสึกออน
หวานสวางไสว ทําไม...

การหาความรูสึกของตัวเองใหพบไมใชเรื่องงายนักสําหรับคนทั่วไป แตสําหรับหลอนที่ไวสัมผัสกับทุกสิ่ง
และไมเคยยอมงายกับอะไรสักอยาง รูซึ้งดีวาใจตนรับอะไรไดบาง รูสึกนึกคิดอยางไรบางกับแรงกระทบ
รอบดาน จึงสามารถตั้งคาใหกับผูคนและสิ่งของไดถูกตองแมนยําเสมอ

ตองเขาเทานั้น...

ปดกั้นตนเองจนนาขมขื่น ยิ่งขมขื่นเทาไหรยิ่งอยากกําจัดขวากหนามใหพนทางเทานั้น!

วันนี้อาของหลอนรับเปนเจาภาพ โดยที่ทานตองเดินทางกลับจากดูงานตางประเทศเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เรือนแกวคิดจะชวนเพื่อนที่ทํางานรวมทั้งพิจัยมารวมงานในวันมะรืน ซึ่งถึงคิวเจาภาพของหลอนตาม
การนัดแนะกับสายชล
๔๒๗

จอดรถใกลศาลาแปด เหมอมองโดยรอบ หวังลมแลงวาอาจพบรถของเกาทัณฑจอดอยู แตหาเทาไหรก็


ไมเห็น เรือนแกวเมมปากชั่งใจ กอนกางมือถือตอสัญญาณถึงเขา

คราวนี้ตอติด

“แอเหรอ?”

เสียงเขาดังมาจากปลายทาง เรือนแกวเงียบ อะไรบางอยางในความเปนหญิงทําใหเมมปากแนนอยูอยาง


นั้น พอเขาทักซ้ําก็ลงนิ้วกดปุมตัดสัญญาณดื้อๆ

ดับเครื่องยนตร สัญญาณเรียกที่มือถือดังขึ้น แหลมกองกรีดอากาศแสบแกวหูเพราะเรงระดับเสียงไวแลว


ลืมปรับคืน ปรายตามองหนาปด เห็นเปนเกาทัณฑแนก็ปลอยใหเขารอคางอยูอยางนั้นดวยความแงงอน
กระทั่งถึงจํานวนนับครั้งจํากัดจึงเงียบหายไปเอง

ถาหลอนยังมีคาอยูบางสําหรับเขา ก็คงมานั่งเปนเพื่อนในงานเองแหละ โทร.หาหลอนไดหมายความวา


แยกตัวจากแมหนาหวานแลวละซี...

ลงจากรถ สิ่งแรกที่ไดยินคือเสียงเหาของหมาวัดโฮงหอนอีโลงโชงเชงไกลออกไป ทาทางคงแบงกกทํา


สงครามเขี้ยวเล็บกัน อาจจะมีปญหาแบงถิ่นหรือแยงกระดูกอะไรสักอยาง คลายคนนั่นแหละ เพียงแตคิด
สรางอาวุธหรือใชเครื่องทุนแรงกันไมเปน นอกจากอุปกรณประจําตัวและเสียงเหาอันนาสังเวชลูกเดียว

เดินเลี้ยวมาตามทาง เห็นหมาสีน้ําตาลออนขนปุยตัวหนึ่งวิ่งเหยาะกระดิกหางมายืนมองหลอน หนาตา


คลายพนักงานตอนรับ เรือนแกวนึกเอ็นดูปรานีจนถึงกับหยุดยืนกระดิกนิ้วเรียก นานๆจะนึกรักใครหมา
วัดหรือหมาขางถนนขึ้นมาทันทีทันใดขนาดอยากทักทายอยางนี้

ดูมันสุภาพออนโยน ปากกวางคลายยิ้มงายอยูตลอดเวลา อาจไมเคยเหากรรโชกเลยสักโฮงเดียว มัน


แลบลิ้นมองหลอนดวยสายตาเปนมิตร เรือนแกวสัมผัสไดถึงกระแสวิญญาณที่เปยมไปดวยความรักสงบ
คิดดีไมเคยเกะกะระรานใครของมัน

จิตใจขุนมัวมาตลอดวัน หมกมุนครุนคิดไมพูดไมจากับใคร เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่ถึงเวลาพัก เปลี่ยนกระดางเปน


ออนโยนลงจนยิ้มออก และนึกอยากเอยปากเสวนา

“ไง ไมไปกัดกับเขาเหรอ?”

สุมเสียงออนหวานมีเมตตานั้นเองชักนําหมาใจดีใหเดินเขามาดมๆนิ้วที่กระดิกเรียกของหลอน หญิงสาว
ทรุดตัวลงนั่งยอง ลูบหัวมันราวกับนายเกา ใจที่เริ่มเชื่อเรื่องบุญทํากรรมแตงหนักแนนในบัดนี้ เกิดสลด
สังเวช สงสารมันขึ้นมาอยางเต็มตื้น ขนาดอยูกับคนดวยกันหลอนยังไมรูสึกสงบจิตสงบใจเทาเมื่ออยูใกล
มันเลย อยางกับวาใจมันสูงกวาบางคนเสียอีก
๔๒๘

“ทําดีมาตั้งมาก พลาดทายังไงมาเปนหมาไดนะเรา”

นึกอยากพูดเชนนั้นขึ้นมาอยางไมมีปมีขลุย อาจเปนเพราะประหวัดถึงคําพระบางรูป ที่เคยกลาววา


สิงสาราสัตวมากมายมีบุญยิ่งกวาคน แตวาสนานอย ถูกกักขังอยูในอัตภาพเดรัจฉานดวยโทษานุโทษ
บางอยาง ก็ตองกมหนากมตารับสภาพไป

ความสลดแทนวิญญาณดีๆในรางสุนัขทําใหเรือนแกวไดคิด คงอยางหลอนตอนนี้กระมัง จิตขุนมัวจนนึก


ถึงความดีไมออก เพราะเรื่องแหนหวงเชิงชูสาว ถาจับพลัดจับผลูสิ้นลมกะทันหัน ก็คงไมแคลวพลาดทา
ถอยหลังเขาคลองเชนกัน ถึงแมตลอดมาไมเคยเบียดเบียนใคร มีแตชวยเหลือคนอื่น ทําบุญสุนทานไว
มากมายก็ตาม

นึกขอบใจหมาตัวนั้นที่เปนเยี่ยงอยางเตือนสติทางออม ชักรักขนาดคิดอยากอุปถัมภค้ําชูจริงจัง

“เสียดายฉันไมมีที่เลี้ยงนะ ไมงั้นจะพาไปอยูดวยกัน”

สบตากับมัน สัมผัสคลายเคยผูกพันมากอน เรือนแกวเกิดความคิดในบัดดลวาถาตัดรูปหยาบออกไป


เหลือเพียงความรูสึกเมื่อยามสบตา สรรพวิญญาณทั้งหลายอาจพบสายสัมพันธอันละเอียดออน
ปราศจากการแบงแยก ปราศจากมายา ตางเปนเพื่อนรวมทุกขในสังสารวัฏ ไมรูอิโหนอิเหนกับการมีอัน
เปนไปตางๆในระหวางเดินทางไกลดวยกันทั้งสิ้น

“ถาเราจะเคยเปนนายบาว หรือเปนพี่นองคลานตามกันมาแตปางไหน ก็เหลือแคความรูสึกดีๆตอกันแค


นี้เองเนอะ รวมโลกใบเดียวกัน มองเห็นกันได แตอาศัยอยูคนละภพภูมิอยางนี้”

พูดจบก็ตบหัวมันเบาๆสองที กอนลุกเดินจากมาดวยความอาลัยนิดหนอย มันตามมาเหมือนจะสงครึ่ง


ทาง แลวหันรีหันขวางแยกจากไปตามวิถี เรือนแกวคิดหวงวามันจะระเหเรรอนไปไหนบาง จะถูกรถชน
ตายไหม เกิดใหมจะพนกรงแหงภูมิเดรัจฉานเสียทีหรือยัง…

เกาทัณฑเคยเลาวาพระบางรูประลึกชาติ เห็นตัวเองเคยเปนสุนัขนับรอยนับพันชาติ ซึ่งสมจริงตามหลัก


ธรรมที่วาเมื่อพลาดรวงลงต่ําแลว ก็เวียนวนอยูอยางนั้น จะหาปญญา หาแสงสวางกลับเปนสิ่งมีชีวิตชั้น
สูงใหม แสนเข็ญนัก ตองอาศัยอยูในเขตบุญ รับสัมผัสเชนมือและไดยินเสียงปรานีของผูมีบุญเปนประจํา
กับทั้งตองมีสติขณะตาย จึงอาจพัฒนาขึ้นสูภูมิที่สูงกวาเดิมได

ดวยความยากเย็นเชนนี้ ปริมาณสัตวจึงลนหลามเกินมนุษยนับแสนนับลานเทา นับแตเล็กเทามดปลวก


จนถึงใหญเทาชางหรือปลาวาฬ

จุดธูปไหวพอที่ตั่งบูชาหนาประตู จากนั้นหันตัวเปดบานกระจกเลื่อน พบวาเพิ่งมีอานําชาติของหลอนกับ


ครอบครัวสายชลอีกกลุมที่มานั่งกอนหนา
๔๒๙

อานําชาติทักทายหลอนใหญโต สุมเสียงยินดีปรีดา ลูบหัวเจรจาไถถามทุกขสุขที่ผานมา อาเปนอีกคนที่


เตือนใหระลึกถึงความทรงจําวัยเด็กอันอบอุน เปยมดวยรักเมตตาจริงใจ คุยกันนานจนกระทั่งแขกอื่นเริ่ม
ทยอยมาถึง อาจึงแยกไปทําหนาที่ปฏิคมตามธรรมเนียม สวนหลอนแยกไปนั่งแถวหลังเพื่อตั้งจิตใหสงบ

“หวัดดีฮะพี่แอ”

เด็กหนุมคนหนึ่งเขามายกมือไหว หลอนจําทีฆายุลูกชายคนเล็กของอานําชาติไดทันที เพราะสมัยเด็ก


เคยไปมาหาสูกันบอย

“หวัดดีตุย” รับไหวและทักทายกลับดวยสีหนายิ้มแยม “นั่งดวยกันสิ”

เขาออนกวาหลอนประมาณสามหรือสี่ป นุงยีนส ผมยาว บอกยี่หอศิลปนหลุดโลกหนอยๆ

“ตอนนี้เรียนที่ไหนนะ?”

ซักถามเกี่ยวกับความเปนไปเปนมาของแตละฝายเกือบสิบนาที สรุปวาทีฆายุเปนนักศึกษาอยูศิลปากร
อันเปนจุดเริ่มคุยเกี่ยวกับเรื่องงานศิลปะกันอยางออกรส ทีฆายุถนัดงานประติมากรรมและจิตรกรรม ซึ่ง
เรือนแกวชื่นชอบ และออกปากวาวันหลังขอดูงานบาง เผื่อชอบใจจะชวยอุดหนุนซื้อไปประดับหอง

แลวทีฆายุก็ซักไซแบบเจาะขาววงในเกี่ยวกับเรื่องระทึกในสิงคโปร เรือนแกวพยายามตอบแบบรวบรัด
อยางที่เตรียมพูดซ้ําพูดซากไวแลวลวงหนา ฉะนั้นจึงใชเวลาเพียงสิบหานาทีในการเลาแบบนําไปสูการ
ปดกั้นคําถาม

“พี่แอสนใจธรรมะหรือเรื่องเกี่ยวกับศาสนาบางรึเปลา?”

เรือนแกวกะพริบตาปริบๆที่จูๆลูกผูนองก็ถามเชนนั้น

“ก็มีบาง ทําไมเหรอ?”

“กําลังจะมีงานประกวดภาพทางพุทธศาสนาฮะ ราวเดือนหนึ่งขางหนานี่แหละ”

“เธอจะสงเขาประกวดดวยละสิ?”

“แหงซีพี่ ถึงพูดถึงอยูไงละ เนี่ย ลุงจอมภพสอนธรรมะใหผมทันเวลาพอดี กําลังจะปดรับผลงานอยูไมกี่


วันนี้แลว ความจริงผมวาดรูปไวเรียบรอย แตคํากลอนกํากับภาพยังไมเขาทาเทาไหร พอมางานศพคุณ
ลุงเมื่อคืน ถึงซาบซึ้ง เอาไปแตงใหมเขาทากวาเดิมได”

“จะสงงานเกี่ยวกับความตายหรือ?”
๔๓๐

“ฮะ ชื่อภาพ ‘งานศพ’ ตรงกับงานนี้เลย ทีแรกวาจะเขียนทํานองคนเราตองวิ่งหนีพระกาฬอยูทุกวินาที


พระกาฬจะตามทันเมื่อไหรก็ไมรู อยากทําอะไรใหรีบทํา แตวาดแลวไมสื่อเทาไหร เลยเปลี่ยนใหม สื่อ
งายๆดวยภาพงานศพนี่แหละ”

“รูปเปนยังไง?”

“ก็มีโลงศพตั้งเดนตรงกลาง ดานขวาเปนกรอบรูปประดับดอกไม เพียงแตวาแทนที่จะมีภาพถายคนตาย


อยางเห็นๆกัน ก็กลายเปนกระจกเงา สะทอนคนยืนงอแขนเอื้อมมือเหมือนจะควากรอบรูปดวยความตก
ใจ”

เรือนแกวเลิกคิ้ว ชักเห็นแวววานั่นนาจะเปนผลงานที่เขาที

“เคาโครงรูปหนาผูชายเปนยังไง หนาซีดเปนศพรึเปลา?”

ทีฆายุนิ่งไปอึดใจ กอนตอบหนักแนน

“ตัวผมเอง ตอนธรรมดานี่แหละ!”

ลูกผูพี่ยิ้มมุมปาก เพราะเดาไวแลว

“ไมกลัวเปนการแชงตัวเองบอกลางอัปมงคลหรือ?”

“ผมเปนคนไมเชื่อเรื่องเคล็ดลาง สิ่งลี้ลับอัศจรรยอยูแลวนี่ฮะ ในเมื่องานนี้ตองการธรรมะ ซึ่งผมอานดู


แลวเห็นทานวา...อยานึกวาตัวเองจะแกตาย อยานึกวามีเวลาอีกเหลือเฟอ ก็เลยนึกตอไดคืออยานึกวา
งานศพตอไปจะไมใชของเรา ถาพระทานสอนไวอยางนี้ ก็นาจะถือวาความตายของตัวเองเปนธรรมะ
อยางหนึ่ง คิดถึงบอยๆก็ดี อา...บอกไตใหพี่แอฟงก็ได คือผมวานะ กรรมการเขาเห็นเราเอาตัวเองเปน
เครื่องสาธิตแลว คงกระทบใจไดดีกวาวาดคนอื่นมั่วๆ”

“แนวคิดของงานประกวดเปนยังไงละนี่ ใหอิสระเต็มที่กระมัง?”

“ฮะ แตตองเปนรูปที่สื่อความหมายเขาใจงายกับประชาชนทั่วไป ไมใชแนวแอ็บสแทร็กตที่ตองแปลกัน


สองชั้นสามชั้นดวยสายตาคนที่เขาถึงดวยกัน และตองมีกาพยหรือโคลงกลอนกํากับเพื่อขยายความใน
ภาพ คือแบเนื้อหาใหกระจางขึ้น เจาภาพงานนี้แกศรัทธาแกกลาฮะ ใหรางวัลที่หนึ่งตั้งสามลานแนะ ตื่น
เตนกันไปทั้งวงการ ทั้งอาจารย ทั้งพวกผมลงสนามกันครึกโครม”

เรือนแกวเบิกตาหนอยๆ

“ใหมากอยางนั้นเลยรึ?”
๔๓๑

“ฮะ ขนาดรางวัลชมเชยตั้งสี่แสน แพงกวาทุกงานในประวัติศาสตรการประกวดภาพในไทยเลยละ ขาววง


ในบอกวาสงกันรวมสามรอยชิ้นเขาไปแลว ขนาดจํากัดวาสงไดคนละผลงานเดียวนะนี่ เขาประกาศตาม
หนังสือพิมพมาหลายเดือนแลว พี่ไมเห็นมั่งหรือ?”

“ดูเหมือนเคยผานตานะ ที่ลงกรอบใหญใชไหม? แตไมทันสนใจอานรายละเอียด แลวเขาก็คงไมไดลง


หนังสือพิมพอังกฤษที่พี่อานอยูบอยเทาไหร”

ยักไหลเมื่อบอกเชนนั้น กอนถามสืบมา

“แลวคิดไงเลือกสงผลงานเกี่ยวกับความตาย?”

ทีฆายุยักไหล หัวเราะหึๆ

“เรื่องธรรมะกับวัยผมนี่เปนของหางกันฮะ ตอนหาคอนเซ็ปตก็ไปเปดอานตํารากันจาละหวั่น ผมอานไป


อานมาแลวเขาใจจริงขนาดเกิดแรงบันดาลใจอยูเรื่องเดียว คือเดี๋ยวพวกเราก็ตาย เอาอะไรไปไมได”

ศิลปนหนุมแคนยิ้ม ตาใส เห็นแลวชวนใหนึกตอคําพูดเขาจนจบวา ‘เดี๋ยวก็ตาย รีบๆฉวยโอกาสกอบโกย


ความสุขซะใหช่ําปอดกอนมองเทงกันดีกวา ชะเอิงเอย’

เรือนแกวถอนใจ หลอนเองใชจะซาบซึ้งรสธรรมสักเทาไหร ตองยอมรับวาความโศกเศราสองเรื่องที่


ประดังเขามาสุมอกพรอมกัน ทั้งพอเสียและคนรักหลายใจ ทําใหความเชื่อมั่นในตัวเองลดลง และมอง
โลกดวยสายตาที่แปลกเปลี่ยนไปบาง ทวากิเลสนั้นยังหนานัก เมื่อเห็นทีฆายุเอยถึงความตายในฐานะผล
งานชิงรางวัลดวยตาใสและรอยยิ้มพราย ก็คลายสะทอนภาพหลอนเองใหเขาใจสถานภาพปจจุบันดีขึ้น

“พี่แอวาไหม...”

เขาปลุกหลอนจากภวังคคิด

“บรรยากาศงานศพนี่แปลกกวางานไหนๆทั้งหมด มัน...บอกไมถูกเนอะ เห็นคนแหกันมาเยอะๆ นั่งดูโลง


ศพ ฟงพระสวด ใจคิดอะไรกันบางก็ไมรู นึกถึงเหตุการณหนหลังระหวางคนตายกับตัวเราบางหรือเปลา
ก็ไมรู สรุปแลวมากันเพื่อแสดงความเปนมิตรกับญาติคนตายตามมารยาทนะ ไมใชมาใหคนตายเห็นหรือ
รับรูหรอก มีแตพวกเรา...โดยเฉพาะพี่แอมั้ง มาอยูที่นี่เพื่อลุงจอมจริงๆ จําไดจริงๆวาลุงจอมมีความเปน
มายังไงกอนจากไปอยางนี้”

ที่นั่งแถวนั้นยังวาง ทีฆายุใชเสียงระดับที่จะไมไปเขาหูใครอื่น เรือนแกวฟงแลวยิ้มซึม

“พี่ก็คิดตอนที่เธอพูดนี่แหละวาถาคนตายเหลืออยูแตในความจําของพวกเรา ก็ถือวายังไมสูญหายไปจาก
โลกนี้จริง ตอเมื่อพวกเราทุกคนตายตาม คอยถือวาไมเหลืออะไรทิ้งคางไวเลยแมแตเงา”
๔๓๒

ทีฆายุนั่งทําหนามูทูคิดตามอยูพัก กอนตาสวางดีดนิ้วแปะ ควักกระเปาเสื้อดึงสมุดโนตกับปากกาซึ่ง


เตรียมมาเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจเลนแรแปรธาตุเปนบทกลอนกํากับผลงานตนโดยเฉพาะ

เขาพลิกไปหนากลางๆที่เห็นขอความและรอยขีดฆายั้วเยี้ย เหลือที่สะอาดไวเฉพาะกลอนสองบทในชวง
ตนหนาขวามือ บัดนี้ก็ขีดฆาบทสุดทายทิ้งอีก แลวบรรจงคิดเขียน ลองคําในที่วางสวนอื่นอยางรวดเร็ว

เรือนแกวปรายตามอง เห็นถนัดแคบรรทัดแรก

เห็นคนตายก็หมายรู เดี๋ยวกูดวย...

หัวใจกระตุกวูบ ผินไปเบิกตามองโลงศพสีขาวเบื้องหนาอยางไมรูตัว หายใจขัดไปชั่วขณะ

เดี๋ยวก็ถึงตาหลอนไปนอนอยูในนั้น...

แบกทุกข อุมสุขไวแคไหนเดี๋ยวก็เอาไปทิ้งหายไวในนั้น...

นานกระทั่งเสียงเด็กหนุมเอยจากดานขาง

“ขอบคุณนะพี่แอ ผมเลยไดไอเดีย บทสุดทายเขาทีขึ้นอีกหนอย”

เรือนแกวซอยเปลือกตาถี่ๆ กอนขอวา

“เอามาดูมั่ง”

“เดี๋ยวนะ ขอคัดใหมใหบรรจงหนอย ลายมือผมเขี่ยๆอยางนี้พี่แออานไมออกหรอก”

ทีฆายุพลิกหนา แลวคัดบรรจงสองบทบริบูรณที่จําไดขึ้นใจในหัว ใชเวลาครูใหญกอนยื่นสงใหหลอน


เรือนแกวรับมาอานอยางตั้งใจ

เห็นคนตายก็หมายรูเดี๋ยวกูดวย อีกไมชาชราปวยแลวมวยสูญ
ศพวางนอนอยางขอนไมคลายอิฐปูน รอขึ้นเผาใหเอาศูนยมานับกาย
เหลือเพียงชื่อใหลือจําทําไมเลา เขาก็รอคอขึ้นเขียงเรียงจากหาย
เหมือนกับเราเฝาจดจําแลวกลับตาย ชื่อก็วายกายก็วางวางหมดกัน
๔๓๓

อานจบก็ขนลุก หนามืดวิงเวียนขึ้นมาชั่วขณะ

ชื่อก็วาย กายก็วาง วางหมดกัน...

ขับรถกลับ เนื้อตัววางโหวง ความทุกข ความถวิลหาคนรักแทบปลาสนาการเปนปลิดทิ้ง เรือนแกวรูวา


นั่นมิใชอาการสิ้นกิเลส เปนการขมกิเลสลงสนิทไปชั่วขณะ แตก็เห็นชัดวาการดับใจคิดฟุงนั้น ดับดวยใจ
คิดปลอยวาง จะไดผลเนิ่นนานกวาฤทธิ์ทางสมาธิมาก

สําคัญคือใจตองวางจริง

คนตาย หมดจากความเปนบุคลิกหนึ่ง ความรูสึกนึกคิดหนึ่งจริงๆ ตอใหมีภพชาติใหม ก็ไมใชความเปน


เชนนั้นอีกแลว นี่เปนสิ่งที่สามารถรูไดโดยทางตรรกะ ไมจําเปนอาศัยญาณเหนือสามัญวิสัย เพราะบุคคล
ยอมเกิดจากพอแมคูหนึ่ง ภายใตสภาพแวดลอมหนึ่ง เติบโตขึ้นดวยเหตุปจจัยและประสบการณหลาก
หลาย หลอหลอมจนกลายเปนตัวตนที่มีเอกลักษณเฉพาะ เปนไปไมไดที่จะมีปจจัยเดิมซ้ําแลวซ้ําเลา มี
พอแมคนเดิม ญาติสนิทมิตรสหายเดิม ใชชื่อเดิม ภาษาเดิม ความรูสึกนึกคิดเดิมเปะๆ

ก็ขนาดชีวิตเดียวกัน ยังแปลกเปลี่ยนไปแปรในแตละวัยไมซ้ํา เหลือเพียงความละมายคลายคลึงอันเกิด


ขึ้นจากความสืบเนื่อง เรียนอยางนี้ทํางานอยางนั้น เขากลุมนั้นเกิดกิจกรรมอยางโนน คบเพื่อน พบเจอ
คนรักแบบใด ก็เกิดการเรียนรู เกิดพฤติกรรมโยกยายนานา เต็มไปดวยรายละเอียดซับซอนพิสดารเหลือ
ที่จะลําดับ แมบุคคลผูนึกวาตนมีชีวิตสมถะเรียบงายที่สุดก็เถอะ

หากเนื้อแทของสิ่งมีชีวิตคือการคลี่คลายเหตุปจจัยไปสูผลลัพธ ซึ่งกลายเปนเหตุปจจัยใหมสืบเนื่องกัน
เปนลูกโซ ก็แปลวาที่สุดอนันตภาพคือกระแสสืบเนื่องของเหตุการณอันวางวายอยางนาใจหาย นอกจาก
ตัวความคิดวามีเราอยูในขณะหนึ่งๆแลว ไมเคยมีเราอยูที่ไหน เวลาใดเลย

รถติดไฟแดง นึกรําคาญรองเทาคูที่กําลังใส จึงกมลงดวยเจตนาจะถอดออก เกิดประสบการณแปลกใหม


ขึ้นมาทั้งยังลืมตา ขณะกมหลอนสูดลมหายใจเขาเห็นเปนสายยาว พรอมกันก็เห็นสัณฐานกะโหลกและ
รอยตอชวงกานกระดูกตนคอลงไป ในหัวสงัดเงียบจากความคิด จิตสงบเปนหนึ่ง ขณะกมลงปลดรองเทา
รูสึกไดวาไมมีอะไรเกิดขึ้นนอกจากโครงกระดูกเคลื่อนไหว ขอกระดูกสันหลังเปนปลองๆ และแผงซี่โครง
ซายขวาอยูในลักษณะงอลง ซี่กระดูกแขนเหยียดยืด กระดูกมือคีบจับสายยึดและแกะปุม

เมื่อถอดทั้งสองขางไดก็หิ้วขึ้นดวยเจตนาจะนําไปวางบนพื้นของฝงที่นั่งดานขาง อาการเอี้ยวตัวทําให
เห็นโครงกระดูกสันหลังยืดงออีกครั้ง ดูเหมือนมีแตโครงกระดูกเคลื่อนไหวอยางวางเปลา หาไดมีสิ่งใด
เกิดขึ้นนอกเหนือจากนี้ ไมวาจะเปนชื่อแซ ความคิด ความทุกข ความรัก ความชัง
๔๓๔

รูสึกวาง รูสึกวาง และทรงอารมณเนิ่นนานอยางไมเคยเปนมากอน ความสงบกายชวยกอกระแสใจให


สงบนิ่งตาม และความสงบใจภายในนั้นเองยอนกลับไปค้ําจุนกายใหสงบเย็นเปนสายโซสืบเนื่อง

เมื่อไฟเขียว รถเคลื่อนที่ เห็นตลอดรอบราง คลายยายการเห็นไปเริ่มที่ทายทอย เห็นการทรงตัวนั่ง เห็น


การขยับแขนและมือบังคับพวงมาลัยรถ เห็นถนนกับไฟทายของรถรานอกกระจก เห็นความคิดรักษา
อัตราเร็วใหพอดี เห็นทั้งหมดนั้นจะแปรไปเปนรองรอยในความทรงจํา จิตคลายยืดระยะออกไปมองมา
จากอนาคต ทราบชัดวาความเคลื่อนไหวอันวางเปลาเหลานี้เองที่จะกลายเปนอดีต สิ่งที่เรียกวา
‘ปจจุบัน’ นี้คือการเลื่อนไหลอันหามไมหยุด ฉุดไมอยู

ในโพรงกะโหลกนี้เอง เมื่อคลื่นลมสงบเหมือนน้ํานิ่ง ก็ดูนิ่งวางไรตัวตน เห็นแตสัณฐานกายปรากฏโดย


ปราศจากรองรอยของอัตตา แตเมื่อกระเพื่อมขึ้น ผุดความคิดและอารมณนานา ก็เกิดตัวตนขึ้นอีก ทั้งที่
ยังอาศัยโพรงกะโหลกอันเดียวกัน แกนอางอิงอันเดิมนี้เอง

นาทีแหงความประจักษนั้น เรือนแกวเกิดความสุข เปนสุขในอีกระนาบหนึ่งที่พนขึ้นมาจากรสสัมผัสแบบ


โลกๆ รสแหงความสงบชางเลิศแท เกิดความรูตัววาตนมีเชื้อสายของผูปฏิบัติธรรม แสวงทางสูวิมุติคน
หนึ่ง เปนวาระแรกแหงการรูตัว แมเคยเกิดประสบการณเห็นกาย เห็นอนัตตาจากจิตรูภายในมาแลว
หลายครั้ง ก็ไมเคยดื่มด่ําเทานี้เลย

สัมผัสชัดถึงพลังที่มีน้ําหนักเปนกลุมเปนดวง จึงคิดแผเปนกระแสไปโดยรอบเหมือนละลายน้ําแข็งกอน
ใหญลงน้ําในอางเล็ก ซึ่งก็คือปริมณฑลใกลตัวเทาที่จิตกําหนดแผได ทั้งหมดนั้นรูเองดวยสัญชาตญาณ
ทางจิต

เมื่อเกิดวาระที่จิตเปนมหากุศล เรือนแกวรีบเขาขางทางหาที่จอด แลวปดตา ประคองรูกระแสความเย็น


สนิทนาพิสมัยนั้น กําหนดนึกถึงใบหนาผูเปนบิดาเมื่อครั้งยังมีชีวิต ที่สามารถสงเสียงและเคลื่อนไหวได
รวมเปนบุคลิกของทานเทาที่หลอนคุนชินมาแตออนแตออกปรากฏชัดอยูในหัว

จากนั้นจึงคิดวามหากุศลนี้ไดจากการที่ศพพอแสดงตัวเปนเทวทูตสอนลูก ฉะนั้นขออุทิศความสวาง
ความเยือกเย็นที่เกิดขึ้นทั้งหมดให ไมวาพอจะอยูที่ไหน ขอจงรับรูและโมทนาดวยเถิด…

ออกรถตอดวยความปลอดโปรง เย็นใจ คลายทํางานหนักสําเร็จลุลวง อยางนอยไดทําหนาที่ลูกสุดความ


สามารถแลวในตอนนี้

ขับเขาเขตคอนโดมิเนียมดวยความรูสึกแสนดี วันนี้ยามเฝาทางลงที่จอดรถใตดินตะเบะใหแลวเรือนแกว
นึกมีแกใจยิ้มและโบกมือตอบ ปกติแคทําเฉยหรืออยางมากพยักหนานิดหนอย
๔๓๕

วิ่งวนสามชั้น บายหนารถเขาจอดชองประจําหองตามปกติ ดับเครื่องแลวเอี้ยวตัวกมลงหยิบรองเทาที่


วางอยูบนพื้นรถดานขาง พยายามนึกใหเห็นเปนความเคลื่อนไหวโครงกระดูกอันวางเปลาอีก แตแย
หนอยเกิดความคิดถึงเกาทัณฑขึ้นมาขัดแทรกเสียกอน

ปานนี้เขากําลังทําอะไรอยูหนอ งานศพก็ไมมานั่งเปนเพื่อน…

แตคิดครั้งนี้แผวมาก คลายระลอกน้ําในสระที่กระเพื่อมจากแรงปะทะของหินกอนเล็ก ไมไหวตัวเปนคลื่น


ใหญ ฟุงซานวกวนเหมือนอยางที่เปนมาตลอดวัน การเห็นธรรม การปลอยวางได ใหผลดีประจักษใจเชน
นี้เอง

ใสรองเทา เปดประตูลงมา จัดการล็อกรถ แลวก็ตองเหลียวหนาไปทางขวามือดวยความเอะใจชอบกลที่


ไดยินเสียงรองเทาเบอรใหญกระทบพื้นเปนจังหวะประหลาดในความรูสึก คลาย...คลายการรุกคืบเขามา
ของวิญญาณราย

รางโยงผานมุมบังเสาใหญ ยางสามขุมเขาหาหลอน แมกาวชา แตขายาวทําใหรุดใกลเขามาอยางรวดเร็ว


ดูทะมึนหลอกตาราวกับเงาอสุรกาย นัยนตากระหายเลือดที่สงแรงอาฆาตพวยพุงมากระทบทําใหมือออน
เทาออน เย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ…ไซ!!

ขนหัวลุกชันและแผลามไปทั่วกาย คลายถูกสาปเปนหิน หรือถูกตรึงนิ่งขยับขาไมออกดวยแรงยึด


มหาศาล เห็นไซยางเทาพลางดึงปนพกติดทอเก็บเสียงขึ้นมาจากชายเสื้อดานในอยางใจเย็น เรือนแกว
คิดวาตนพุงหนีเตลิดหัวซุกหัวซุน แตทําไมกลับรูสึกวายังขาสั่นอยูที่เดิมสนิท

พอคูพยาบาทเขาถึงตัวก็กดกระบอกปนที่กลางหนาผากหลอนแลวถามเปนภาษาไทยชัดถอยชัดคํา

"มึงเคยจอกูตรงนี้ใชไหม?"

สานตากันนิ่งชั่วขณะ ฝายหนึ่งเหี้ยมอํามหิตอยางผูมาเอาชีวิต อีกฝายขลาดกลัวอยางผูจะถูกเอาชีวิต


แปลกที่ไดยินเสียงกระซิบจากฐานกุศลจิตวาจะไมเปนอะไร...ไมเปนไร

สูดลมหายใจเขาปอด สายตาเห็นนิ้วในโกรงไกปนคอยๆเหนี่ยว เรือนแกวพริ้มตาปดลง จิตรวมลงผุด


ความคิดปลอยวางทุกสิ่ง เรียวปากขมุบขมิบเปลงวาจาสุดทายในชีวิต

“อโหสิ”

...
๔๓๖

ฟุด!!

คลายเกิดแสงวาบและเสียงลั่นเปรี๊ยะหนอยๆในกะโหลกอันเปราะบาง กอนที่ความรับรูทั้งมวลจะดับวูบ
ลงเหมือนตลบมานดํามืดปดฉากกั้นสายตาตนในฐานะผูแสดงบนเวที ไมใหเห็นผูชมในละครโรงใหญอีก
ตอไป

รางในชุดดํารูดลงนั่งพับเพียบนิ่งพิงรถ นาแปลกในสายตาของไซที่ไมยักลมลงนอนกองเปนหยวกดังควร
ใบหนางามฉาบฉายราศีแปลกราวกับคนกําลังหลับฝนดี ไซหรี่มองอยางสงสัยนิดหนึ่ง แตรูกลางแสก
หนาเทานั้นที่มันสนใจ และทําใหเลิกชายเสื้อสอดปนเก็บไดอยางหมดหวง หมุนตัวเดินกลับเรนกายจาก
อาคารตามลูทางที่ศึกษาไวแลวอยางดี

สมองสวนหนาถูกทําลายเฉียบพลัน ความรูสึกเจ็บจึงไมเกิด ทวาถัดจากวูบความรูสึกที่หายไปชั่วขณะ


จิตอันปราศจากชื่อเห็นรางซึ่งตนครองทรุดลงกองนิ่งในทานั่ง คลายมองเมินอยางเฉยชามาจากเบื้องหลัง
หรือคลายสลบแบบเหลือความรูตัวไวแบบน้ํามันฉาบทากนกระทะ คือมีก็ไมใช ไมมีก็ไมใช ปราศจาก
ความคิดยินดียินรายเสียดายชีวิตอยางสิ้นเชิง

แวบตอมา คําวา ‘อโหสิ’ ดังขึ้นย้ําๆในความรับรู เปนคําที่ ‘ตน’ กลาวเอง บันดาลความโปรงโลงวาง


สบายใหปรากฏ ถัดจากนั้นเปนการทบทวนขณะจิตที่สุขสงบระหวางขับรถเดินทางกลับ ซึมซับความรู
เห็นกายใจเปนอนัตตา รับทราบการแผรัศมีอรามเรืองแหงจิตอันประกอบพรอมดวยสัมมาทิฏฐิ หรือ
ความเห็นธรรมอันตั้งไวถูก บังเกิดความปรีดาปราโมทยวาตน ‘ทันเห็น’

ถัดจากนั้นคือภาพเคลื่อนไหววูบวาบที่รวดเร็ว คลายเกิดการสํารอกสิ่งที่เก็บกักไวในกลองความจํา รูวา


ทั้งหมดลวนเปนภาพเหตุการณนับแตอดีตจนถึงปจจุบัน ไมอาจกลาววา ‘ครบถวน’ เพราะถาชีวิตคือ
ภาพยนตร นี่ยอมมิใชการฉายหนังซ้ําอีกรอบ แตเปนการคัดเฉพาะ ‘สาระ’ การกระทําที่เกิดขึ้นโดยอาศัย
เวทีชีวิตฉากนี้มาทบทวน เพื่อประมวลแลวคัดเลือกทางไปของตนตามยถา

ในชวงหัวเลี้ยวหัวตอนั้น ถาหากจิตเปนกลาง น้ําหนักของกรรมที่ทําประจําจะดันตัวเองขึ้นมากอน และ


ลากจูงภาพเหตุการณสอดคลองตามมา ทวา ณ บัดนี้จิตเอียงขางกุศล และเปนกุศลหนักยิ่ง ไมวาจะดวย
การพิจารณาเห็นอนัตตธรรมในกาย หรือดวยการเปลงวาจาอโหสิแกเจากรรมนายเวร จัดเปนกรรมใกล
ตายหรือ ‘อาสันนกรรม’ ฝายกุศล ภาพเหตุการณที่ถูกลากจูงมาจึงลวนเสริมกําลังจิตใหเห็นราวกับ
บําเพ็ญแตบุญกุศลมาทั้งชีวิต

ผุดภาพสารพัน ที่ฝงลืมไปแลวสนิท เชนครั้งประถมอานนิทานธรรมะเกี่ยวกับพุทธประวัติ รูสึกสนุก


ระคนซาบซึ้ง เลยหยิบยื่นใหเพื่อนบางคนที่นั่งอยูดวยกันในหองสมุด ชักชวนใหอานตาม เพียงดวยใจคิด
วาอยากใหเพื่อนไดรับรสนายินดีเชนตน ภาพนั้นที่ปรากฏในบัดนี้เห็นเปนบุญนิมิตสวางไสวนาปลาบ
ปลื้มยิ่งกวาตอนเปนตัวตั้งตัวตีรณรงคชักชวนบริจาคหนังสือสมัยรวมกิจกรรมมหาวิทยาลัยเสียอีก
๔๓๗

เคยเห็นมดตัวหนึ่งตกลงไปในสวมซึมที่โรงเรียน รูสึกสงสารเมื่อเห็นมันดิ้นกระแดวอยางจะตายมิตาย
แหล จึงอุตสาหะชวยเหลืออยางตั้งอกตั้งใจ ทั้งที่รังเกียจน้ําในสวมจะแย ยังเพียรแหยปลายนิ้วไปชอน
มันขึ้นมา ตองทุมเวลา ทุมกําลังฝนใจอยูอึดหนึ่งกวาจะสําเร็จ บังเกิดความโลงอกผองแผวที่สามารถ
‘ชวยชีวิต’ นั่นไมใชบุญเล็กนอยอยางที่เคยนึก เพราะแมมดจะตัวเล็ก ไมใชนาบุญใหญ ทวาก็เปนสัตวมี
วิญญาณ เมื่อสละเวลาพยายามเขาชวยเต็มกําลังแลว กลายเปนการเพิ่มเชื้อความดีไดอยางมหาศาล ฝก
จิตไมใหดูดายแมความเดือดรอนเพียงเล็กนอยของผูอื่น

กองบุญเปนภูเขาเลากา เล็กบาง ใหญบาง สวางมาก สวางนอย รายเรียงยืดยาว ในภาวะเหมือนแลนเรือ


เร็วไปในทะเลกุศลนั้น มีบางภาพกระเพื่อมขึ้นมาฉุดใหเขวบางเหมือนกัน เชนที่เมื่อเชาเกิดความคิด
อยากขจัดขวากหนามของตน คือผูหญิงอีกคนของเกาทัณฑทิ้ง นับเปนเชื้อปาณาติบาตขั้นแรงอยางหนึ่ง
ยังดีหรอกที่เวลาในชีวิตหดสั้น ไมทันบมเพาะจนเขาขั้นฟกตัวเปนการลงมือทําจริง

หรืออีกภาพเชนที่เคยกลาววาจาเผ็ดแสบใหผูบังเกิดเกลาเสียใจจนแนนหัวอก อันนั้นก็ทันไดสํานึกและ
ขอคําอโหสิแลว เปนอันวาแผวลงจนไมมีอํานาจมานําทางเกิด หรือเดนขึ้นเปนชนกกรรมได สรุปคือ
อกุศลกรรมหนักๆคลายแมลงสาบที่พยายามกระดืบมุดใหรอดจากใตพรมขาวหนาหนักผืนใหญ ปรากฏ
ไดเพียงระลอกคลื่นลูกเล็กนิดเดียว ไมทันมีโอกาสผานไดพนปลายพรมขึ้นแสดงตัวแจมชัดวาขาคือ
แมลงสาบรูปรางหนาตาอยางนี้ ก็ขาดใจตายเสียกอนในระหวางทางนั่นเอง

ภวังคจิตคือตัวสรางภพนี้เปนธรรมชาติลึกซึ้ง ระหวางมีชีวิตซุมนิ่ง คลายถูกกําหนดใหซอนตัวไวเปดไต


ในขั้นสุดทาย ใหระทึกวาเปนเรื่องหลอกหรือของจริง

ตอใหคนเชื่อวาภพชาติมี ก็ใชจะเห็นแจงลึกลงไปในดวงจิตอันนึกวาเปนของ ‘ตน’ แทๆ จิตนั้นมีชั้นการ


ทํางานพิสดารสุดหยั่ง เชนตัวกอภพจะอยูในภาวะภวังค ไมเชื่อมตอกับสํานึกคิดอานผิวเผิน จะถูกหยั่ง
เห็นและเขาใจกระจางแจงไดในอีกภาวะที่อยูเหนือสํานึก ซึ่งภิกษุในพุทธศาสนา และฤาษีชีไพรนอกพุทธ
ศาสนา ตางเห็นกันมาชานาน ทวาปริปากบอกเลาใหคนธรรมดาทั้งหลายรับฟงเปนภาษาพูดแลว เรื่อง
จริงก็กลายเปนโกหกไป หรืออยางดีก็นาคลางแคลงอยางนั้นอยางนี้

จิตที่บริสุทธิ์ของพระอรหันตจะสะเด็ดสิ้นแลวจากภาวะสรางภพ เพราะตัวสรางภพถูกประหารดวยไฟลาง
ทั้งสี่ดวงอยางเด็ดขาด ตั้งตนดวยโสดาปตติผล ลงทายที่สุดดวยอรหัตตผล จังหวะสุดทายของชีวิตนี้เอง
คือผลลัพธสูงสุดของพระพุทธศาสนา วิสุทธิจิตจะไมปฏิรูปตัวใหอยูในลักษณะกอภพใหม เมื่อตา หู จมูก
ลิ้น กายสลายแลว ตัวรูแทอันวิสุทธิ์จะรวมลงกับนิพพานอันเปนปรมังสุขขังและปรมังสุญญัง เหมือนน้ํา
ในแกวที่ไหลลงเปนอันเดียวกับมหาสมุทร น้ํานั้นไมหายไป แตก็ไมอาจกลาววาอยู ณ จุดใดจุดหนึ่ง ทรง
อยูในอิสรภาพสถาวร ไมเวียนวายเสวยทุกขจากการครองอัตภาพที่เกิดแลวตาย ตายแลวเกิดอยางไมรูอิ
โหนอิเหนอีกตอไป
๔๓๘

แตหากยัง ‘อยากเปน’ อะไรอยู จิตยังมีการฉายสาระชีวิตที่เพิ่งตกลวงใหตนเองดู ยังถูกเกาะเกี่ยวหอหุม


ดวยกุศลและอกุศล ยังอุปาทานไปวานี่ใจเรา นี่รางเราตาย นี่กรรมเรากอ ก็ยังตองเดินหนาปฏิรูป สืบ
ทอดภาวะปรุงแตงตออีกเชน ณ บัดนี้…

เวลาผานไปเทาใดยากจะกําหนด คลายเบื้องบนเปดโลงออกใหแสงโพลนสาดเต็มกระจางจา เปนการทอ


แสงฉ่ําละอองใสระยิบระยับ แผซานลงมาประหนึ่งจะอาบรดดวงวิญญาณใหสะอาดใสพรักพรอม และเพื่อ
บอกใหเชื่อเสียทีวาอะไรเปนอะไร เดี๋ยวกําลังจะไดไปไหน

จิตผูรูหลงเพลินพิสมัยในแสงสวย เนานิ่งเปนสุขกับการถูกละอองทิพยชโลมอาบ หากกลาวเปนภาษา


มนุษย จิตนั้นคงรวมความรูสึกปติเปนลนพนลงเปนคําๆเดียวซ้ําๆวาดีใจ...ดีใจ

เมื่อเห็นแสงทิพย ก็แปลวาสภาพของตนเปนทิพยดวย เพราะถูกพิพากษาจากจิตอันเห็นกรรมรวมแลว


และนั่นเองภาวะเคลื่อนจากภพเดิมไปสูภพใหมจึงเริ่มตนขึ้น อยางที่เรียก ‘จุติจิต’ กายทิพยเริ่มปนตัว
อยางแรงแบบฉับพลันทันใด จนมุมมองจากความรูสึกภายในปรากฏเหมือนถูกดูดผานเกลียวทอที่มี
ความสวางทางปลายอีกดานหนึ่ง ซึ่งมีแรงหมุนรับชนิดเดียวกันรออยู

ผูเคยเฉียดความตายจะเห็นและกลับมาเลาวาตนกําลังเขาสูอุโมงค ผูมีตาทิพยที่มองจากภายนอก เห็น


เขามาในภาวะการตายเทานั้น จึงหยั่งทราบวาแทจริงเปนการปนตัวของจุติจิต ซึ่งถาเคลื่อนจริง ถึงภพ
ใหมจริงแลว จะไมมีวันกลับมาเขารางเกาไดเลย ที่ยังกลับไดก็เพราะอยูในภาวะครึ่งๆกลางๆ หรือเรียก
ครึ่งผีครึ่งคนเทานั้น

วิญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยเปนเรือนแกวเคลื่อนเขาหาปลายทางทิพยา จิตหมุนติ้วในภาวะปฏิสนธิ ยัง


เหมือนอยูในเกลียวอุโมงค แตกลับฟากมุมมองกันกับคราวแรก คือครั้งนี้เปนมุมมองยอนลงต่ํา
ปราศจากอุปสรรคและเหตุใหยอนกลับใดๆ ถัดจากนั้นทุกอยางก็สงัดนิ่ง ปราศจากความรับรูเปนครู
เหมือนสลบไสลชั่ววูบ กระบวนการทั้งหมดดําเนินดวยวิถีธรรมชาติ ไมขึ้นกับความคิด ความเชื่อทาง
ศาสนาไหน

รางทิพยผุดเต็มกอน เปนพานทองรองรับความรูสึกในตัวตนวาระแรก จิตที่ยังประกอบพรอมดวย


อุปาทานคลายเห็นไปวา ‘ตน’ ออกจากฝน เปลี่ยนแปลกสูความเต็มตื่น เปลือกตายังปดสนิท แตเห็นและ
สัมผัสจากภายในถึงความลออองค สภาพละเอียดออนสุขุมแสนประณีต มหิทธิอํานาจที่อัดแนนแลน
ตลอดเรือนกายทําใหเกิดพลังรูแชมชัดนาตื่นใจ ตระหนักในบัดดลวาสิ่งนี้เองเรียกทิพยสภาพ แดนนี้เอง
คือสรวงสวรรค!!

ระลึกไดในขณะจิตเดียววาตน ‘ยาย’ จากความเปนมนุษยผูหญิงชื่อเรือนแกวมาเปนโอปปาติกะ หรือราง


อันบันดาลขึ้นดวยวิบากกรรม เกิดผุดและโตเต็มตัวทันที
๔๓๙

แตหากมองจากมุมของผูเคยเขาถึงความเกิดดับสืบเนื่องในธรรมชาติ จะหยั่งเห็นดวยตัวรูที่เปนกลางวา
สภาพมนุษยดับลงในขณะแหงจุติจิต แลว ‘สืบทอด’ เปนสภาพเทวนารีในขณะแหงปฏิสนธิจิต มิใชสิ่ง
เดียวกัน เปนตางหากจากกันแลว ประมาณเดียวกับหัวไมขีดที่ลุกโพลงขึ้นชั่วประเดี๋ยวประดาวเพื่อตอ
ไฟใหไสเทียน พอหมดหนาที่ก็ดับลง เปนคนละอันกับไฟเทียน ทวาสืบทอดความลุกไหม เปลงสวางมา
ครบทุกประการ

ความสําคัญมั่นหมายอันเปนวิสัยธรรมดาของสัตวในสังสารวัฏนั่นเอง ทําใหเกิดการมองไปวาตนยายจาก
สภาพหนึ่งมาเปนอีกสภาพหนึ่ง พยานหลักฐานคือความคิด ความจําที่สืบทอดมาครบถวนในบัดนี้ จําได
สนิทวาตน ‘เคย’ ชื่อเรือนแกว พอแมเปนใคร ทําสิ่งใดไวบาง รูจักผูคนและส่ําสัตวในโลกมนุษยมาแค
ไหน และลาสุดคือดับดิ้นสิ้นชีพเพราะเหตุเภทภัยใด

คอยๆเผยอเปลือกเนตรขึ้นจนเต็มหนวย ภาพกระจางตรงหนาคือเรือนอาศัยแหงตน โปรงโลงอาภาควร


แกความสบายใจ ชะงักรีรออยูเปนครู ตระหนักรูวากําลังอยูที่ใดแนแลว จึงคอยๆหมุนองค เพงพิศสมบัติ
อันหยั่งทราบวาเปนของตนดวยความรูสึกแปลกใหม พื้นนิสัยชางสังเกต ชอบกวาดเก็บรายละเอียด ทํา
ใหแลทะลุไปทุกซอกมุมแบบไมยอมใหอะไรตกหลนจากความรับรูไปแมแตชิ้นเดียว

เทวดาและนางฟาเกิดใหมที่ผุดขึ้นในวิมานตนเองมักมีอาการคลายกันเชนนั้น คือยิ้มกวางจนสุด และ


กวาดพินิจสมบัติดวยความตื่นตาเปนอันดับแรก กึ่งๆจะประหลาดใจอยูบางกับการเปลี่ยนอัตภาพ
พิสูจนประจักษตาวาความดํารงอยูตางมิติไปจากมนุษยนั้นมีอยูจริง เมื่อพนจากความประหลาดใจในวูบ
แรกแลว ก็เปลี่ยนเปนเห็นธรรมดา ไมใชเรื่องพิเศษมากมายนัก เนื่องจากวิสัยสามัญของดวงจิตเทพมี
ลักษณะรูชัดตลอดสายในขอบเขตแหงตน ไมตองผานกระบวนกลั่นกรองเปนขั้นลําดับจากชั้นเรียน
อนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษาเยี่ยงมนุษยแลวคอยแนใจวาตนเกิดขึ้นมาเพื่อเปนอะไร มีกิจธุระหนาที่
ใหรับผิดชอบประการใดบาง

โดยรอบคือผนังทั้งสี่ กําเนิดจากธาตุอันหาที่เปรียบบนโลกมนุษยไมเจอ เพราะหากกลาววาเปนแกว แม


บงวาเปนผลึกเจียระไนอันสูงคา ก็จะชวนใหนึกถึงวัตถุโปรงใสสามัญเสียกอน ซึ่งเปรียบอยางไรก็ไมสม
น้ําสมเนื้อเลย คงพอกลาวไดแคเพียงวาตัวเรือนวิมานของนางเปนธาตุทิพยเหลืองเรื่อทองอันงามเกิน
พรรณนาชนิดหนึ่ง ดูไมกระดาง สะทอนรับแสงทิพยจะเรืองรองละไม มองแลวเกิดความรูสึกออนอุน
ปลอดภัยไรกังวล ขณะเดียวกันก็รักษาสภาพเย็นพอดีกาย นาชอบใจไวดวย

ทุกรูปทุกเหลี่ยมทรงในหองอันประดับประดาดวยเครื่องแกวแพรวประหลาดนั้น ดูสดสีอลังการและชัด
กริบ เสมอดุล ไมแหวงบิ่น ไรรอยขีดขวน ปราศจากที่ติอยางสิ้นเชิงในการแลพินิจดวยคมเนตรอันกวาง
ขวางไรมลทิน จักษุเทวดาไมมีหยากเยื่อสกปรกบรรจุอยูขางใน ไมมีการบกพรองแบบสายตาสั้นยาว ไม
มีการเขเอียงหรือชํารุดทรุดโทรมตามปจจัยตางๆ เนื่องจากอยูในสภาวะทิพยทั้งแทง ดังนั้นเมื่อประจวบ
เขากับรูปทิพยจึงเปนการเห็นอันวิสุทธิ์ ความสุขและความรูสึกทั้งมวลที่เกิดจากการเห็นจึงพลอยประณีต
ลึกซึ้ง เปนคนละระดับชั้นกับการเห็นในแบบมนุษยเบื้องลาง
๔๔๐

สถาปตยกรรม เครื่องนั่งนอน และของประดับในวิมานเทพนั้นปฏิรูปไปตามความคุนของจิต มิไดมีการ


เจาะจงลงตัววาตองเปนของประเทศไหนสมัยใดอยางที่หลายคนถกเถียงกัน ธาตุทิพยก็เหมือนธาตุ
หยาบที่ผสานสราง ปรับแปรรูปไดเปนอสงไขย อีกทั้งผสมแนบเนียนกลมกลืนกันยิ่งกวาธาตุหยาบ
เพราะปราศจากขอจํากัดทางกายภาพใหคํานึงถึงเชนการเขาตอ การเชื่อมติด และการค้ํากันแบบของ
แข็งในพิภพมนุษย อีกทั้งธรรมชาติการผูกรูปสรางสรรคนั้น เปนไปดวยความพิสดารพันลึกแหงอํานาจ
ทิพย มิใชความฉลาดรังสรรคของสถาปนิกและวิศวกรมือเอกแตอยางใด

เชนปรากฏเบื้องหนานางในบัดนี้ คือ ‘หองรับแขก’ ที่แมประดับดวยสมบัตินอยชิ้น แลดูเพียงผาดจะ


‘คลาย’ ที่เคยเห็นในบานเศรษฐีมั่งคั่งยุคปจจุบัน เชนมีชุดโซฟา ตรงกลางมีโตะ มีแจกันดอกไม ผนังหอง
ตกแตงดวยเครื่องเรือนเชนชั้นวางเครื่องแกวบาง ศิลปแขวนลอยบาง แตก็ผิดแผกพิสดารกวาในเนื้อหา
ที่พอจําแนกไดชัดหลายประการ

โดยความเปนเครื่องประดับนั้น ทุกภพภูมิจะมีลักษณะรวมกันอยูประการหนึ่ง ไดแกความมันเงาวาววับ


สีสดเลนเลี้ยวตัดกันจับตา เห็นแลวควรเบิกตาตะลึงแล หากเปนอัญมณีชั้นสูงของมนุษย ก็จะมีอํานาจใน
ตัวเอง เปนบารมีใหญแกเจาของ สัมผัสไดดวยใจ และกระทั่งวัดไดดวยเทคโนโลยีตรวจคาสนามพลังใน
ยุคปจจุบัน

แตสมบัติของเทพผูมีวาสนาแกกลา มักเลิศล้ําพันลึกจนเกินสติปญญาของสามัญมนุษยอาจคิดสรางเลียน
แบบ ยกตัวอยางเชนแจกันใสดอกไมบนโตะ มนุษยจะคิดเพียงชั้นเดียว คือเอาไวปกดอกไมงาม ลวด
ลายแกะสลักหรือวัสดุเนื้อดีที่ใชประดิษฐลวนเปนไปเพื่อปรุงแตงเสริมเติมใหบรรดาดอกไมสีสดดูมีคายิ่ง
ขึ้นตามครรลองตาเนื้อของผูคน

ทวาแจกันที่เห็นวางอยูบนโตะกลางหองเบื้องหนา ที่มีเนื้อใสพอใหนึกเทียบเคียงกับแกวผลึกเจียระไนชั้น
เลิศนี้ ตีคาไดมากมายเปนเอนก ตองดูกันเปนขอๆ ลองวาเฉพาะความเปนเครื่องประดับที่ปรากฏใหเห็น
กอน ทั้งความงามงดของเนื้อแกวก็ดี แสงทิพยที่สาดกระทบก็ดี นัยนเนตรอันปราศจากฝาธุลีแหงนางเอง
ก็ดี รวมแลวกอใหเกิดจักขุวิญญาณ หรือการรับรูทางคลองเนตรอันสุขุมวิจิตร บันดาลสุขเวทนาใหเติบ
ตามวิถีสวรรค หากจะนึกอนุมานถูกวามองแลวอิ่มสุขปานใด ก็ตองเปนมนุษยที่ผานอุปจารสมาธิ เสพ
มหาปติเปนภักษามาแลวสักครั้ง

ความแตกตางมิไดสิ้นสุดเพียงการเห็นภายนอก เพียงมองแวบเดียวนางก็รูทันทีวาภายใตความงามยัง
แฝงซอนคุณสมบัติที่บุญฤทธิ์ ‘ออกแบบสราง’ ไวอยางนาทึ่งอีกหลายประการ ประยุกตใชไดตาม
ปรารถนาหลากหลาย ชนิดที่ความคิด ความฉลาดออกแบบของมนุษยไมมีวันไตระดับมาไดถึง

เชนนางเรียนรูไดในอึดใจแรกวาเมื่อสงปอนคลื่นความสุขจากใจเขาหา จะเห็นแจกันดอกไมแปรสภาพ
เปนกระจกเงามหัศจรรย คือเปลงประกายบรรเจิดจรัส เกิดกราวเสียงกรุงกริ๊งเสนาะนุม สงกลิ่นหอมเกิน
ตัวดอกไมที่ปกอยู รวมทั้งรําเพยละอองไอฉ่ําชวนฝนกลับมา ยกระดับความสุขที่มีอยูเดิมใหขยายผลขึ้น
๔๔๑

ได เนื่องจากสงใจไปทีเดียว สะทอนกลับมาเปนผัสสะถึงสี่ชองทางพรอมกัน คือตาเห็นรูปงามขึ้น หูได


ยินเสียงไพเราะขึ้น จมูกไดกลิ่นหอมขึ้น และกายไดสัมผัสละเมียดขึ้น

สิ่งประดิษฐทั้งหลายบนโลกมนุษยเปนเครื่องสะทอนวาเมื่อวัตถุใดเขาไปเกี่ยวของสัมพันธกับจิตวิญญาณ
ที่มีสติปญญาและเจตจํานงรังสรรคแลว มักเกิดรูปกอรางเพื่อสนองตอบวัตถุประสงคหนึ่งๆที่ชัดเจน เชน
ทําแกวใหเปนแจกันปกดอกไมสวยวางอวดบนโตะรับแขก

แตบรรดาเครื่องประดับบนโลกสวรรคนั้น เปนเครื่องสะทอนวาถาธาตุทิพยเขาไปเกี่ยวของสัมพันธกับ
วิญญาณที่มีบุญฤทธิ์ระดับสูงเขาแลว จะเกิดรูปกอรางเพื่อสนองตอบวัตถุประสงคอยางใดอยางหนึ่ง รวม
ทั้งลากจูงสวนสัมพันธอันแหวกแนวเกินจินตนาการมนุษยมาดวย ชนิดที่ยิ่งวิเคราะหเปนลําดับจะยิ่งนา
เกาหัวงุนงงไมรูจบ ของชิ้นเดียวสามารถรวมความหลากหลายไวในตัว แมบางชิ้นรูปรางหนาตาคลายที่
เห็นบนโลก ก็พิสดารกวากันจนสมควรบัญญัติศัพทเฉพาะใหมมาใชแทนเลยทีเดียว เชนแจกันนี้ ที่อาจ
ใชทั้งเครื่องปกแสดงดอกไม และกระจกเงาขยายคลื่นความสําราญใหแกเทพผูเปนเจาของอีกโสด จึงไม
นาเรียก ‘แจกัน’ เฉยๆแลว

นางยังพบในภายหลังอีกวาเครื่องประดับและเครื่องเรือนหลายตอหลายชิ้น เปนไปไมไดเลยที่จะสราง
ดวยเครื่องมือตัดแตงใดๆ เนื่องจากสถานภาพแข็งแกรงและอํานาจพลังในตัวเองของพวกมัน ไมอาจหา
ธาตุทิพยดวยกันอันใดกัดเซาะใหเกิดลายสลักหรือรอยตัดแบง การกอรูปของสมบัติสวรรคจึงมักบันดาล
ขึ้นจากบุญฤทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์ของบรรดาเทพเจา ซึ่งครอบงําอยูเหนือธาตุทิพยทั้งหลายทั้งปวง

ของบางชิ้นมีลวดลายละเอียดยิบ ชนิดที่ถาตกไปถึงมือคน และคิดสรางเลียนแบบดวยวัสดุมีคาใกลเคียง


ที่สุด ก็จะตองอาศัยเทคโนโลยีการตัดแตง โมบด สลักลาย และขัดมันลาสุดเปนเวลานับสิบหรือนับรอยป
ตอเนื่องกันไมพัก โดยผลสุดทาย แมละเอียดประณีตปานใด ก็ยังตองตกคางรองรอยการตัดแตงดวย
เครื่องมือ ถึงมองตาเปลาไมเห็น ก็อาจพิสูจนไดดวยกลองจุลทรรศนอิเลคตรอน ทวาสําหรับสมบัติเทพ
แลว ตอใหเครื่องมือขยายประสิทธิภาพสายตาที่ยิ่งกวากลองจุลทรรศนอิเลคตรอนกี่พันเทา ก็จะไมพบ
รองรอยเครื่องมือตัดแตงเลยแมเทาธุลี

วาถึงความสัมพันธระหวางจิตเทพกับเนื้อแกวทิพย ก็มีสิ่งนาสังเกตหลายประการ โดยเฉพาะแกวที่


กําเนิดดวยบุญเกาเพื่อเปนสมบัติทิพยเฉพาะของเทพแตละองค เมื่อนางทดลองมองลงไปในเนื้อแกวจน
จิตดิ่งและด่ําดื่มเหมือนฝนหวานล้ําลึก ก็สามารถเลนกับคลื่นความหฤหรรษ แปรสุขเวทนาใหเปนตางๆ
หลากรูป จินตนาการดวยสมองอันจํากัดดวยผัสสะหาธรรมดาไมได

เรื่องนี้พอเทียบกับสิ่งที่สามารถตรวจวัดดวยเครื่องมือทางวิทยาศาสตรบนโลกมนุษย เชนการเพงมอง
แกวคริสตัลกอนใหญๆดวยจิตที่เปนหนึ่ง แกวคริสตัลจะทําตัวเปนหมอเก็บกําลังแมเหล็ก สวนสายตาที่
เพงติดกับพลังแมเหล็กในแกว ก็พลอยจะทําตัวเปนผูกอกระแสสัมพันธอันกลมกลืนระหวางคริสตัลกับ
๔๔๒

มนุษย โดยกระตุนกําลังแมเหล็กที่สะสมอยูในสมองสวนที่เรียก ‘ซีรีเบลลั่ม’ ใหแผผานแกวตาออกมา


อยางเขมขน

ผลที่เกิดขึ้นเมื่อจดจองอยางเต็มกําลังอยูพักหนึ่ง จนไดอยางนอยขณิกสมาธิ คือสนามพลังที่ไหลวน


อยางตอเนื่องระหวางขั้วแมเหล็กที่เปนวัตถุ กับขั้วแมเหล็กฝงชีวภาพ ทวีกําลังในสัดสวนที่ใหผลกระตุน
สมอง กอปรากฏการณเหนือธรรมชาติไดหลากหลาย นับตั้งแตการเลนแรแปรธาตุ ผันกระแสสุขใหล้ํา
รสนานาดวยจินตนาการเหนือสามัญ จนหลงงมงายถอนตัวไมขึ้น หรือใชไปในทางสรางสรรคเชนปรับ
เปลี่ยนคลื่นสะทอนของคริสตัลใหเขากันกับคลื่นชีวิตของผูปวย เพื่อรักษาโรครายแบบหมอเทวดา ไปจน
กระทั่งตรวจดูเหตุการณอดีตและอนาคต แบบเดียวกับแมมดเพงลูกแกวก็ไดอีก

ปรายเนตรสํารวจตนเอง นางยืนสงบอยูในอาภรณสีคราม ชายภูษากรุยกรายกรอมเทา เนื้อผาเนียน


ละเอียดเยี่ยงแพรพรรณวิเศษออนนุมสมรูป ทรงอิสริยาภรณอันเนรมิตขึ้นดวยวิบากกรรมอลังการสมตัว
ไดแกมงกุฎ สรอยคอ กําไล เข็มขัด สรอยขอเทา แลวดวยอัญมณีที่คลายเพชร ทวาเรืองรองโชติไสวจับ
ตาบาดใจกวากันลิบลับ จับมองแลวเคลิ้มหลง ดึงดูดใหเพงพินิจติดจิตติดใจแทบถอนไมขึ้น เปนอัญมณี
ประจําตัว เปลงพลังที่สมศักดิ์ศรีบารมีตน ไมตองคํานวณจากวันเดือนปเกิด ไมตองใชทรัพยสินเงินทอง
แสวงหา มาถึงสวรรคก็มีติดตัวพรอมสรรพพอดิบพอดีบารมีแรกเกิดแลว

ตลอดสรรพางคกายหาขอ หาปุมปมสะดุดไมเจอเลย ทุกสวนเกลากลึงแนบเนียน แมกายทิพยถอดแบบ


อาการสามสิบสองครบถวนมาจากรูปมนุษย ก็มิไดทรงขึ้นดวยกระดูกฉาบเลือดเนื้อสกปรก ผิวพรรณแม
นวลเนียนมีน้ํามีนวลนาจับตองเยี่ยงเพศอิตถี ก็ฉาบฉายดวยรังสีสวาง บาดตารัดรึงใจยิ่งกวามนุษยผู
หญิงผิวงามที่วาล้ําเลิศนักหนา โดยเฉพาะอยางยิ่งนางถือกําเนิดดวยอโทสะ จึงมีรัศมีสวางงามอาภาจับ
ตาเปนพิเศษ ลวงแมเทพดวยกัน

ทั้งเมื่อลองลูบไลสัมผัสแลว ก็พบวาเนื้อทิพยนุมนิ่มยวนใจผิดกันเปนคนละเรื่อง เหมือนไลผาดิบหยาบ


หนาแลวเปลี่ยนมาไลแพรพรรณละเอียดเทียบ เนื่องจากความนิ่มของผิวมนุษยนั้นไดมาจากมัดเนื้อและ
ไขมันสกปรกขางใต ดูไปเหมือนถุงใสอึ พื้นผิวรอบตัวจากหัวจดเทาเอาไวกันอึไหลเปรอะเปอนมากกวา
เอาไวเสพสัมผัส สวนความนิ่มของผิวเทวดาจะไดมาจากเนื้อทิพยอันกําเนิดขึ้นเพื่อทําหนาที่เยายวนโดย
เฉพาะ มิใชเพื่อปดบังสิ่งปฏิกูลนาเกลียดอันใดเบื้องใตเลย

รัศมีเทพเปนแสงกระจายออกมาจากรอบกายทิพยทุกทิศทุกทาง ประจักษไดทั้งจากใจตัวเอง และจาก


การมองดวยสายตาวิญญาณอื่น แตละองคมีรายละเอียดของสีและความพิสดารแตกตางกันไป โดยมาก
ปรุงแตงโดยอาจิณณกรรมเปนหลัก แตก็มีกรณีพิเศษเชนรัศมีนางออกสุกใสสวางล้ํา ดวยเพราะขาดใจ
ตายจากความเปนคนดวยการอโหสิจากใจจริงที่ปลอยวางนั่นเอง
๔๔๓

ขยับเรือนกายอันแหงสะอาดและเรียบลื่น แลวทราบวาตนหอมไปทุกซอกทุกมุม ลมหายใจเขาออกกาย


ทิพยก็ดี ลมปากที่ลองพนออกมาก็ดี บอกนางอยางถนัดชัดวาในรางนี้ไมมีโพรงเก็บน้ําเนาและลมเสีย
เลยแมแตเพียงนอย

และดวยประจักษสภาพองคาพยพอันประณีตลวงภาวะหยาบนั้น ทําใหนางรูทันทีวาสิ่งใดมนุษยเสพ สิ่ง


นั้นเทพเสพดวย แมการรวมอภิรมยอันอาศัยสองเพศพรรณ ที่ฝายบุรุษประหนึ่งจะรุกล้ําทําราย และฝาย
สตรีคลายถูกทารุณโดยสมยอม ก็ปรากฏอยูบนชั้นภูมิที่นางถือกําเนิดเชนกัน ทวาสุขเวทนาอันไดเรือน
ทิพยเปนแดนเกิด ยอมนาพิสมัยเหนือชั้นกวาที่เกิดขึ้นโดยอาศัยกายอันกระดํากระดางช้ําเลือดช้ําหนอง
ของมนุษยมากมายนัก

ความละเอียดชัดลึกและลักษณะคงที่ ปราศจากความเมื่อยขบ ปราศจากวัยเยาว วัยกลางคน และวัยชรา


หาเชื้อโรคนารําคาญมิได รวมกันเหลานี้เองชวนใหหลงทึกทักงายๆวาเทวดาเปนอมตะ อยูยั้งค้ําฟาไป
ชั่วนิรันดร

ทอดเดินเนิบเนือยมายังชองประตูดานหนึ่ง พื้นราบเสมอกันดุจพรมหยุนนิ่ม เบื้องนอกคืออุทยานทิพย


ละลานตาดวยรุกขชาติอันงามงด ไดแกดอกไมรูปลักษณะพิสดารหลากสีและพฤกษาชะอุมเขียวขนัด
แนน เกิดปติฉีดแรง จิตใจเบิกบานสวางไสว แยมยิ้มยินดีในสภาพเกิดใหมของตนอยางตอเนื่อง

เรียนรูทันทีวาเบื้องบาทของนางมีไวเดินหรือยืน มิใชเพื่อวิ่งหรือกระโดด และนางก็เดินเอากิริยาเคลื่อน


ไหวออนสลวยสงางามภายในวิมานไปอยางนั้นเอง แทที่จริงมีวิธีงายกวากันมาก คือทํากายใหอยูใน
สภาพแลนลิ่วตัดตรงไปยังตําแหนงที่ตองการทันที เนื่องจากน้ําหนักตัวที่รูสึกคือน้ําหนักบุญญานุภาพใน
รางทิพย เปนอิสระไมถวงหนัก กําหนดควบคุมไดดังปรารถนา แตทั้งนี้ใชวาจะลอยเทงเตงเปนลูกโปง
โดยเดิมมีพันธะคลายแรงโนมถวงที่กระทําตอกายทิพยใหติดพื้น ทวาธรรมชาติของกายทิพยอยูเหนือ
การดึงดูด แตไปอยูในอํานาจเต็มของเจตจํานงแทน

หมายเนตรไปยังสระโบกขรณีที่แผกวาง ราบเรียบเปนกระจกอยูเบื้องไกลออกไป กําหนดนึกนิดเดียววา


พอใจจะประดิษฐานตนเหนือน้ํา พลันทิพยรูปแหงตนก็เกิดกําลังผลักดันจากภายใน มีทิศดิ่งตรง เคลื่อน
วืดพริบตาเดียวยายตําแหนงไปปรากฏยืนเหนือกลางน้ําใกลกอบัวแกว ซึ่งเห็นกระเพื่อมรับฤทธา แลน้ํา
ไหวเปนระลอกริ้ววงคลื่นละเลื่อมพราย

หันกลับมาทอดทัศนาภูมิภาพรอบเรือนในครอบครองแหงตน เห็นเคารูปวิมานเรื่อทองละไมตา รูปทรง


ลดหลั่น เหลี่ยมตัดไปตัดมาสลับซับซอน กวางใหญสมกรรม ประดับยอดโดมตรงกลาง คลายตึกทันสมัย
ในโลกมนุษย ทวาชองหนาตางปราศจากบานกระจก มีแตมานแบบเดียวกับผืนกํามะหยี่ประดับประดา
จากภายใน
๔๔๔

หมูรุกขชาติที่เรียงรายรอบดานนั้น บางเคยคุนตาละมายปาลมพันธุสูง บางแปลกไปแบบพันธุไมวิจิตรใน


จินตนาการ ทรวดทรงชะลูด ปกคลุมดวยใบบังแสดแดง บางเปนพุมเตี้ยหลั่นเหลื่อมเปนชั้นเปนแนวสลับ
สวนหิน ทั้งหมดผสมกลมกลืนลงตัวบนผืนหญาขจีอุยนุม เลนลอนคลื่นเปนเนินสูงต่ําพอเหมาะพอเจาะ
ประกอบกันไดสมดุลไปทุกหยอมจนแมนักจัดสวนมือหนึ่งก็อาจนึกไมถึง วาจะมีการเลนน้ําหนักและการ
วางตําแหนงองคประกอบไดจังหวะจะโคนกลมกลืนขนาดนี้

แปรพักตรกมมองบาทที่แตะผิวน้ําใสสะอาดปราศจากมลทิน ใสจนแลเห็นพื้นทรายทองลึกลงไป สัมผัส


ของน้ําทิพยฉ่ําชวนสําราญบานชื่น เขาใจในบัดนั้นวาการลงสรงบนสวรรคเปนไปเพื่อความบันเทิง
ถายเดียว มิใชเพื่อชําระลางคราบปฏิกูลที่ไหลเยิ้มออกมาจากทวารตางๆตลอดวันเฉกเชนกายอันยัด
ทะนานดวยน้ําเลือดน้ําหนอง ไขมันขนเหนียวและคูถมูตรแตอยางใด

แหงนพักตรกางพาหาทั้งสองและคลายหัตถออก ยืดอุระสูดกลิ่นทิพยอันแสนบริสุทธิ์เขาจนเต็ม เบื้องบน


ดูโปรงโลงอาภาเปนอนันตไปทุกทิศทุกทาง ไรซึ่งเมฆฝอย ดวงอาทิตย หรือเทหวัตถุขัดตาทั้งปวง แสง
สวยที่ฉายกราดแรงนั้นยิ่งดูยิ่งเย็น ไมเคืองเนตรเลยแมแตนอย เปนชนิดเดียวกับที่เห็นกอนจุติจากอัต
ภาพเดิมนั่นเอง นึกครึ้มขึ้นมาก็สรวลกองดวยสุรเสียงแหลมคม อัดแนนดวยพลังหฤหรรษสําราญฤทธิ์
สะเทือนทุกอณูในละแวกปริมณฑล ดุจจะทักทายไตรตรึงษพิภพเปนวาระแรก

สายลมทิพยรําเพยพัดมาหอบหนึ่ง อวลกลิ่นอายอันเปนปฏิกิริยามงคลตอบทักแกนาง

ทดลองภาวะ ‘ดังใจนึก’ โดยการคิดถึงแผนน้ําเบื้องลาง สั่งดวยอํานาจจิตเหนือสรรพสิ่ง และดวยอัธยาศัย


สนุกรังสรรคที่ติดตัวมาจากเมื่อครั้งเปนมนุษย กําหนดใหน้ํามีการรวมตัวเปนกลุมกอนขนาดใหญกวาตัว
นางราวสองเทา ลอยโดงขึ้นมาเสมอระดับตา ธาตุน้ําอยูใตบัญชาเสียยิ่งกวาถูกวักดวยอุงหัตถ เมื่อรวม
เปนกลุมกอนแลวไมมีการรั่วซึมหยดตก เพียงนางพยุงไวแผวๆดวยลักษณะกําหนดทางจิตคิดมั่นนิด
เดียว

นึกถึงนกนางนวลพลางเพงกอนน้ํา ฉับพลันก็แปรเปนนางนวลดังปรารถนา คอยๆกระพือปกอยางแชม


ชอย โผขึ้นสูงตามกระแสจิตที่สงบังคับ จิตนางนั่นเองคือปกษาสวรรค แผปกซายขวาขยับโบกพลิ้ววาย
เวิ้งเวหา ดังอาการแหงนางนวลที่เคยคุน รูสึกถึงตัวตนที่ถูกแบงเปนสองภาค เบื้องลางเหนือน้ําและเบื้อง
บนเหินไกลไปทุกทีกระทั่งเห็นเปนจุดเล็กๆสูงลิบ

เมื่อเพลินลอยเลื่อนเพียงพอ นางก็สั่งใหนกน้ําวกกลับ คลี่ยิ้มเล็กนอย ยืนสนิทกับที่รอรับการปกดิ่งเขา


หาของสิ่งที่นางเนรมิตขึ้นเองอยางไมยั่นระยอตอแรงปะทะ

ภาพถลาดิ่งจากมุมทะแยงสูงนั้นขยายจากเล็กเปนใหญอยางรวดเร็ว ทวาไมเสียรูปทรงจากแรงลมตาน
เลย หากมองดวยสายตามนุษยก็นาจะโวยวายขยับเทาวิ่งหนีการปรี่เขาชนชนิดนั้นเตลิดเปดเปงไดแลว
๔๔๕

เพราะถาปลอยใหกระแทกละก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวไดรุนแรงปางตาย ทวาในคลองจักษุแหงเทวนารียามนี้
อยางดีก็เห็นเปนแคสายฝนกลุมหนึ่งที่กําลังตกลงมาทําความชุมชื่นใหแกนางเทานั้นเอง

แรงปะทะอันทรงน้ําหนักของกลุมน้ํากับรางสะคราญสงเสียงซูมใหญดุจน้ําตกกระแทกแผนหิน กระจาย
ฝอยกระเซ็นซานเปนวงกวาง สงใหนางอัปสรประหวัดถึงการเลนสงกรานตอันสนุกสนานบานใจบนโลก
มนุษย จนตองแยมสรวลออกมาดังๆ ความเปยกปอนกําซาบเอิบอาบไปทั่วสรรพางค แลวกลับเหือดหาย
ในบัดดลเพียงนึกตลอดรางพลางคิดวา ‘แหง’

แหงสบายและสดใสเย็นซึ้งไปทุกอณูผิว ตระหนักวาบนโลกอันแสนประณีตแหงนี้ เพียงน้ําทิพยในสระบัว


ก็บันดาลความสราญใหเกิดอยางลนเหลือขนาดไหนแลว

สูดลมเขาอุระ ผนึกจิตคิดกระบวนเนรมิตอยางตอเนื่อง ดลกลุมน้ําใหรวมตัวพุงเปนลําคดเคี้ยวเลี้ยววง


รอบรางตน ปรากฏเหมือนพญาจงอาง ขึ้นผงาดเงื้อมแผแมเบี้ย แลบลิ้นสองแฉกเหมือนขูจะฉก กอน
กระหวัดดุจงูเหลือมรัดฉับ สลายเปนกลุมน้ําสรงกายกระเซ็นเปนฝอยซานไปอีกคํารบ

เผยอยิ้มกระจาง ดวงเนตรสาดประกายกลาดวยแรงทะนงในฤทธี จับหมายไปยังภาคพื้นราบที่จากมา


แลวกาวเดินเนิบเนือยบาทเลียดน้ํา สําเหนียกไดวาในกิริยาสามัญภายนอกนั้น ลึกลงไปแฝงดวยมหา
อานุภาพไพศาลสุดหยั่ง นางยื่นหัตถทั้งยางบาท เพงนิลเนตรจับดอกไมมวงไสวดอกหนึ่งไกลออกไป
กําหนดนึกวา ‘มานี่!’ พริบตาเดียวดอกนั้นก็ปลิดจากขั้ววับมาปรากฏบนอุงหัตถอันอวบอิ่มปราศจากเสน
สายรกตาทันที

แตะไลกลีบมวงใสที่ใหสัมผัสรื่น ผิวกลีบนุมนวล ละเอียดออน ลองขยี้เบาๆก็ไมช้ํา ไมเละติดเนื้อเลยแม


เพียงเศษ

ลักษณะพันธุไมในอุทยานของนางเปนไมตัดดอกสีสันสะดุดตาเกือบทั้งสิ้น กลาวคือเกือบทุกพันธุมี
กานยาว สงกลิ่นหอมฟุง และคลายมันมีชีวิตจิตใจ ยิ้มเปดกวาไมดอกที่เคยรูจักในโลกมนุษยมาก มอง
แลวสดชื่นชวนยิ้มตอบ นานํามาใชประดับพอกับดูดอกสะพรั่งที่ตน สวนไมใบที่มองสัณฐานผาดคลาย
จําพวกโกสนและบอนนั้น ก็มีความงามของใบเขียวที่ใหความรมเย็น ชวนเพลินสงบใจในขณะชมอุทยาน

กระทั่งยางขึ้นฝง เปนจังหวะเดียวกับที่สองมือประคองดอกไมเหน็บประดับเรือนเกศา แลวตรึกนึกถึงสิ่ง


ที่ผานมาในภพมนุษย อัตภาพที่ถูกทิ้งไวเบื้องหลังดูไมตางกับคางคกอัปลักษณเทาไหรในความรูสึกยาม
นี้ แคปฏิกูลที่ไหลเขาไหลออกทั้งกลางวันกลางคืนก็นาคลื่นเหียนสะเอียนไสเหลือจะรับแลว ที่จะใหเกิด
ความไยดี อาลัยอาวรณนั้น ไมมีวันเสียละ

นางจําความกําหนดหมายและกําหนดรูในรางมนุษยไดถนัด มันคลายการหลับฝนที่เลื่อนเปอนไมรูเหนือ
รูใต ถูกขังอยูในขายประสาทหยาบอันแคบจํากัด จะรูอะไรทีตองคลํา ตองเพงหูเพงตาเรียนกันนาดู
๔๔๖

กระทั่งจะดึงความจําก็ตองผานเครือขายรหัสอันซับซอนมโหฬารของกอนเนื้อหยักๆนาขยะแขยงที่เรียก
วา ‘สมอง’ เสียกอน

ตางกับบัดนี้ที่ความรูสึกนึกคิดแปลกเปลี่ยนเปนบวกไปหมด ไมตองเหนื่อยเพงอารมณ ใจนางสงบสุข มี


สติทรงตัว จึงสําเหนียกรูการปรากฏแหงตนและสิ่งกระทบผัสสะคมชัดไปทุกกระดิก อยากรูอะไรก็มี
อภิญญาชวย ไดความแนใจวาถูกตองเปนแมนมั่นเสียดวย

เหลียวโดยรอบ นางอาจบันดาลสิ่งใดก็ไดตามปรารถนา หากอยูในขอบเขตกําลังฤทธิ์ เชนบนสวรรคไมมี


เดรัจฉาน นางจะเนรมิตใหปรากฏชั่วคราวแบบภาพลวง ก็เพียงแบงภาคจิตสรางขึ้น หรืออาจดึงวิญญาณ
บางดวงจากภูมิต่ํามาตรึงไวกํากับอัตภาพเนรมิตที่สมกัน เชนรูปผีเสื้อหรือนกเขา

เทพระดับกลางเชนนางมีเขตที่อยูเปนของตนเอง เปนไท ไมตองอยูใตอาณัติของเทพองคอื่น ตรงขาม


อาณาเขตที่สรางขึ้นจากบุญญานุภาพนี้ จะสามารถเปนแดนเกิด รองรับเทพองคอื่นที่บุญนอย บันดาลได
แครูปทิพย ขาดถิ่นที่อยูอาศัย ซึ่งถามาถือกําเนิดในแดนของนางดวยสัมพันธอันใดแลว ก็จะกลายเปน
บริวารไปโดยปริยาย

และในภาวะบุญญาธิปไตยนี้ หากนางเหงาหงอยอยูกับความเปนไท เปนเอกเทศแหงตน เพราะมิไดเกิด


ในฐานะธิดาหรือชายาเทพองคใด ก็อาจเขาสังสรรคสมาคมกับหมูเทพ ตรวจดูบุพกรรมอันคลองจอง วา
ปจจุบันบนชั้นภูมิดาวดึงสมีเทพองคใดบางเคยรวมชาติกับนางมา พื้นเพการเจรจาสมแกอัธยาศัยกันและ
กัน เพียงพบแลวสบเนตรสักครั้ง ก็จะเกิดปฏิพัทธโดยงาย ตรงไปตรงมา และที่สําคัญคือ ‘ถูกตัว’ แน
นอน

ทวาในวาระจิตนั้น นางยังไมปรารถนาจะผูกสัมพันธ หรือเขาคบหาเสวนากับหมูเทพดวยกันเลย รูปนาม


ที่ผุดขึ้นมาในหวงคํานึงนึกเพียงหนึ่งเดียว...

เกาทัณฑ!

มนุษยผูชายที่นางในอัตภาพเดิมหลงรัก...

บังเกิดความอาลัยขึ้นมา แตมิใชความหลงถวิลเยี่ยงมนุษยหญิงโหยหาไออุนจากมนุษยชายอันเปนที่รัก
อัตภาพนางกับเขาคนนั้นอยูแยกเปนคนละระนาบแลวอยางเด็ดขาด เหมือนเชนที่มนุษยอาจระลึกไดวา
เคยเปนลิง ยอมไมอยากกลับไปคลุกคลีตีโมงดวยอีก แมจะเคยพิศวาสปานไหนก็ตาม ถาอยากก็คง
อยากใหมาเกิดในภาวะเดียวตามกันมากกวา

ลักษณะอาลัยในบัดนี้ เกิดจากเยื่อใยความผูกพันทางวิญญาณ สํานึกคุณตามวิสัยเทพ กลาวคือระลึกได


วานอกจากแมที่ตอนใหทําบุญมาแตออนแตออกแลว ก็เขาคนนี้เองที่มีสวนสําคัญในการสงนางมาผุดเกิด
ณ เบื้องบน...
๔๔๗

ปรารถนาจะเห็นวาบัดนี้เขาเปนอยางไร ทํากิจธุระอันใดอยู จึงกําหนดทิพยเนตร ‘ลง’ กวาดหา โดยแลน


ลัดนิ้วมือเดียวตามสายสัมพันธที่ยังผูกจิตผูกใจ รูลูทางเองวาจะประสบพบภาพเขาอยางไร เหนือสัญชาต
ญาณนกพิราบที่รูเสนทางไกลกลับถิ่นหลายแสนเทา

เปนคราวประจวบเหมาะยิ่ง คลอยหลังไซเพียงหานาที เกาทัณฑก็บายหนารถเขาเขตคอนโดมิเนียมของ


เรือนแกว สีหนาหลังพวงมาลัยดูครุนคิดไมเปนสุขอยูตลอดเวลา ประสาคนกําลังงง ไมอาจจับทางตัดสิน
ใจไดแนชัดสักอยาง อยูกับผูหญิงคนหนึ่งแลวหวงพะวงถึงผูหญิงอีกคนสลับไปสลับมา ไมมีอะไรหนักอึ้ง
หัวใจเกินนี้แลว

เสียงกรีดเรียกจากโทรศัพทมือถือดังขึ้น เกาทัณฑหยิบจากเบาะขางตัวมาดูหนาปด เห็นเปนเลขหมาย


ของเรือนแกวก็ถอนใจเฮือก กําลังจะขึ้นไปหาอยูเดี๋ยวนี้แลวละแมคุณ โทร.ตามนารําคาญเหลือเกิน

สลัดความรูสึกกึ่งรักกึ่งรําคาญทิ้ง กดปุมรับและเปนฝายกรอกเสียงทักลงไปกอน

“ผมอยูที่คอนโดแอนะ เพิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้ นั่นออกมาจากงานศพรึยัง?”

ปลายสัญญาณเงียบอึ้งไปอึดใจ กอนเอยชนิดที่ทําใหเกาทัณฑหัวคิ้วกระตุก

“อะ...อา ผมโทร.จากมือถือของ อา...เจาของเครื่องคนนี้นะ คือ...ผมพักอยูที่เดียวกับเธอ ตอนนี้ผมอยูใน


ลานจอดประจําของเธอ อา...คุณเปนญาติของเธอหรือเปลา?”

ชายหนุมกะพริบตาวับดวยสังหรณราย

“ครับ ผมเปนแฟนเธอ ตอนนี้อยูที่คอนโดเหมือนกัน เพิ่งเลี้ยวรถเขามาเดี๋ยวนี้ มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?”

“ออ...อยูนี่เองเหรอ ดีๆ คือผมลองตอหมายเลขนี่เพราะเปนเบอรสุดทายที่เธอโทร.นะ ผะ...ผมไมรูเรื่อง


อะไรดวยหรอก เออ…คุณมาดูเองดีกวา รูใชไหมวาชองจอดรถเธออยูชั้นไหน?”

“ครับ รู...วาแตนั่นเกิดอะไรขึ้น?”

เกาทัณฑเริ่มถามเสียงเครียด

“ผมไมรูเรื่องนะ ผมไปละ รีบมาดูเองเหอะ”

หมอนั่นทาทางประหมางกเงิ่นจัด ตัดสัญญาณฉับกะทันหัน
๔๔๘

เกาทัณฑยัดเกียรถอยหลัง เลื่อนรถวาบออกจากชอง แลวกลับเขาเกียรเดินหนา เบนหัวรถออกหอตะบึง


ราวกับกระทิงบา ลัดเลี้ยวชวงหนึ่งก็ถึงปากทางลงที่จอดรถใตดิน เขาไมสนใจไมกั้นอันเปนดานยาม ชน
โครมหักสองทอน ทิ้งเสียงโวยวายและการวิ่งไลของชายผูปฏิบัติหนาที่เฝาไวเบื้องหลัง

หักเลี้ยวโฉบเฉี่ยวฉวัดเฉวียนตามทางลงเวียนสามชั้น ลวงเขาถึงชั้นจอดของเรือนแกว วิ่งหอปดซาย


บายขวาจนเห็นทายรถหลอน หัวใจยิ่งรอนรุม รุมเราไปทุกขุมขน ภาวนาทั้งมือชุมเหงื่อวาอยาเปนไร
เลย...อยาเปนไรเลย

พุงปราดไปเบรกกึกกอนถึงทายรถอันเปนที่หมาย เปดประตูพรวดพราดดวยมือไมและแขงขาสั่นระริก
เพราะประหวั่นพรั่นใจอยางบอกไมถูกกับสิ่งที่กําลังจะเห็น

สาวเทาจนสายตาพนเหลี่ยมบัง เห็นรางในชุดดํานั่งพิงรถโดดเดี่ยว หลับตานิ่ง เคาหนาสงบดูนาสงสาร


กลางหนาผากมีเลือดไหลเปนทาง เกาทัณฑแข็งคางพรึงเพริดเหมือนถูกสาป กอนตะเบ็งออกมาสุดเสียง

“แอ!!!”

ทั้งรูสึกเหมือนฝนหลอนและชาเหอไปทั้งกาย เกาทัณฑถลันเขาชอนรางไรวิญญาณสูออมอกอยางยังไม
ยอมเชื่อสายตา ปากพร่ําตะโกนเรียกหญิงสาวผูเปนที่รักซ้ําแลวซ้ําเลา กระทั่งไมรูตัวแมสายน้ําตาพรั่ง
พรูนองหนาดุจทํานบทลาย รองไหออกมาทั้งไมเขาใจตนสายปลายเหตุ เอาแตเขยาตัวพร่ําเรียกและ
เกลือกกลิ้งใบหนาตนลงกับใบหนาสงบงามปานจะขาดใจตายตาม...

นั่นเปนจังหวะเดียวกับที่ทิพยเนตรจากสรวงสวรรคเล็งแลลงมาเห็น ความเศราหมองคืบคลานเขาครอบ
งําจิตอันเปนสุขประณีตอยางรวดเร็ว เปนครั้งแรกที่เห็นเขารองไห รองอยางใจจะขาดดวยความอาลัยรัก
จริงแท

ชลเนตรหลั่งรินดวยน้ําใจผูกพัน รูสึกราวไปทั้งอุระ จนตองขมใจเรียกสติคืน ไดเรียนรูเดี๋ยวนั้นวารางอัน


เปนทิพยบอบบางตออารมณสะเทือนใจยิ่งกวารางหยาบของมนุษยมาก หากปลอยเลยเถิดแลว จะถึงขีด
ตรอมใจงายดายยิ่ง

อาจเปนแรงสะเทือนจากความโศกเศราสาหัสของเกาทัณฑก็ได ที่สงระลอกขึ้นมาสะกิดนางจนนึกอยาก
เหลียวลงมามอง ไมตองเตือนตนเองมากนักก็รูวาอะไรควรอะไรไมควร นางขาดจากภาวะความเปน
มนุษยผูหญิงแลว จะพบเขาอีกก็คือยถากรรมนําพา บัดนี้ถายังฝกใฝใจไมตัด ก็รังแตจะเดือดรอนทั้งนาง
เองและเขาคนนั้น

เชนนี้เอง การจากพรากเปนทุกข
๔๔๙

สิ่งที่เขากําลังกอดไมใชนางเลย เปนคราบรางที่นางวางทิ้งแลวตางหาก เขากําลังคร่ําครวญอยูกับทอน


กระดูกฉาบเนื้อที่ครั้งหนึ่งวิญญาณนางเคยครอง นึกวานางคือซากนั้น เขาใจวาจะเรียกนางใหฟนคืนได
จากซากนั้น

เชนเดียวกับฆาตกรผูเขาใจวาเมื่อทําลายราง คือทําใหตายจาก ดับสูญ หมดโอกาสเสพสุขอีกตอไป

เปนมนุษยนั้นอายุแสนสั้นอยูแลว ตองมาสั้นลงไปอีกดวยน้ํามือมนุษยดวยกันเอง เพียงเพราะความไม


เขาใจ ไมรูจริง

เพชฌฆาตผูนึกวาตัดชีวิตนาง ไมใหอยูดูโลกตอไดสมแคนแลว ที่แทเรงสงนางในจังหวะดีที่สุดใหขึ้นมา


เสวยสวรรค และตัวผูฆานั่นเองที่สรางทางนรกไวจากชัยชนะที่เห็นดวยตาเปลาในฉากใชปนเขนฆาไร
สาระอันแสนสั้น

คิดขึ้นมาวูบหนึ่ง อยากปรากฏตัวใหเกาทัณฑเห็น หยั่งรูวาตนมีฤทธิ์อํานาจมากพอจะบันดาลแมรูป


หยาบของมนุษยขึ้นตอหนาตอตาเขาโตงๆ อยากปลอบประโลมวาถาเขารักนาง ก็ควรทราบวาภาวะของ
นางในบัดนี้นาปลาบปลื้มยินดี ที่ไดอยูปลอดภัยในอารักขาแหงบุญญาธิการ มิใชพิลาปรําพันเมื่อเห็น
สภาพศพอันนาสงสาร นั่นแคภาพลวงตาผิวเผินที่ถูกทิ้งไวใหระลึกถึงเพียงชั่วครู ปราศจากวิญญาณนาง
ครองเดี๋ยวเดียวก็เปอยยุย เนาสลายไปตามระเบียบธรรมชาติ หรือเปนเถาถานในเตาเผาไปตามระเบียบ
มนุษย

ทวานางก็สําเหนียกถึงคลื่นกิเลสอันหยาบหนาที่กระจายอยูรอบบริเวณนั้น อึดอัดและเห็นผิดกาลเทศะ
เกินกําลังฝนใจ คลายจะใหแทรกไปในหวางชองหินแคบพอดีตัวเปนระยะทางไกล ทําได แตไมอยากทํา
ในเมื่อมีทางกวาง เดินสบายใหเลือกตั้งเยอะ รอเวลาผานไปกอนเถิด

อัตภาพทิพยนี้เขามีสวนสราง จึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะลวงรู การปรากฏตัวเพื่อ ‘บอกความ’ เพียงครั้ง


หรือสองครั้งคงมิใชสิ่งเหลือวิสัย ขอเพียงเลือกจังหวะดีๆ ไมกระโตกกระตากหวือหวาเกินภาวะจิตของ
เขาจะรับไหว

ยามนี้ไดแตสลดสังเวช เกาทัณฑพร่ําเตือนใหนางหมั่นระลึกถึงความตาย พิจารณาใหเกิดสติ เห็นเปน


เรื่องธรรมดาของสังขาร แตเขาคงปฏิบัติดูแควาตัวเองจะตายอยูคนเดียวกระมัง ไมเคยดูวาคนอื่นก็ตอง
ตายเหมือนกัน พอเห็นนางลวงลับ จึงเปดเผยอาการฟูมฟายเยี่ยงสามัญมนุษยออกมาอยางนี้

พลอยทําใหนางยึดติด เปนกังวลในภพเกาไปดวย...
๔๕๐

เมื่อฝาฝูงนักขาวกลับจากสถานีตํารวจได เกาทัณฑก็มาเอนกายบนเตียงนอนในหองพัก เควงงงจนคิด


นึกอะไรไมออกสักอยาง ลืมแมวันนัดไปรับศพคืนจากนิติเวชมาตั้งบําเพ็ญกุศล รอบกายดูวังเวงและทุก
สิ่งคลายรวมสงบรําลึกรู วาความเปนเรือนแกวลับกายหายเงียบไปจากโลกนี้แลวชั่วนิรันดร

แทบลืมวาตนชื่ออะไร รูจักใครบาง พรุงนี้ควรทําอะไรตอไปแคไหน ไดแตผล็อยหลับลงอยางเหนื่อยออน


และบอกตนเองวาอยากหลับไปอีกนานๆ นานเทานาน...

ในความฝนอันครอบงําดวยความรันทดและกระแสเหงาเศรากัดกินไปถึงขั้วหัวใจ กลุมความคิดปนปวน
หลายสายแยกยายกันสวนสนามในหัว เพาะอุปาทานใหเติบเต็มรูปขึ้นจนหลอกหลอนไดราวกับภูตผี
ปศาจมาลอม เปนเคาเงาอลหมาน ผลัดเรียงกันกรีดหัวเราะแหลมใส อยางจะสมน้ําหนากับการสูญเสียที่
เรียกคืนไมไดครั้งนี้

คลายถูกแกลงใหจอมจมซมทุกขในความครึ่งหลับครึ่งตื่นไมเลิกรา ในหัววนเวียนอยูแตภาพเรือนแกวนั่ง
ตายอยางสุขสงบ คลี่มุมปากออกราวกับตองการยิ้มฝากความถึงเขาเพียงคนเดียว ฝากไวในหนาวา
หลอนไมโทษที่เขาไปชา ชวยชีวิตหลอนไมได กับทั้งทําใจไดแลวกับการอยูตามลําพังโดยปราศจากออม
แขนปกปองของเขา

เคยรูตัววารักเรือนแกว แตเพิ่งรูซึ้งเดี๋ยวนี้วารักมากแคไหน ความราวที่เซาะลึกลงไปทีละชั้นจนสุดอกสุด


ใจไดเผยสิ่งที่เคยสลัวเลือนออกแจงสิ้น หมดความเคลือบแคลงแลววาปรารถนาจะยกหลอนไวในฐานะใด
หากมีโอกาสอีกครั้ง เขาจะไมปลอยใหหลอนอยูคนเดียวอีกเลย

วกวนทรมานกับฝนหลอนนานจนถึงชวงเวลาหนึ่ง คลายมีผาหมหนักๆทิ้งตัวลงคลุมกาย สํานึกคิดอาน


ปฏิรูปเปนสายลมที่ถูกกระชากวูบออกจากราง ยินเสียงอูเต็มสองหู จิตใจเปนอิสระจากพันธนาการ
คลายตัวจากการรึงรัดของความโศกเศราอาลัยสิ้นเชิง

เมื่อเปดตาขึ้นอีกครั้งในละอองฉ่ําเย็นของค่ําคืน ก็เห็นตนเองเตนรํากับเรือนแกวกลางทะเลทราย ใน
ราตรีดารดาษดาวที่เสี้ยวจันทรสีเงินยวงหอยคาง ณ ปลายฝงฟาดานไกล รูสึกถึงสายลมเย็นเฉียบที่
รําเพยพัดผิวกาย พรอมทั้งสัมผัสสายใยระหวางใจอันออนอุนของตนและคนรัก เวิ้งอากาศกวางสุดลูกหู
ลูกตาดูวังเวงระคนดูดดื่มจนชวนใหคิดฉงนวาดินแดนเชนนี้มีดวยหรือในโลกใบเดียวกับที่เขาอาศัย
๔๕๑

ปริมณฑลอันมีเขากับเรือนแกวเคลื่อนไหวผานนั้น อาบไลดวยแสงครามงามประหลาด เห็นเฉพาะรางแต


ละฝายถนัด ทั้งที่ปราศจากตนแสงในบริเวณใกล ราวกับกายของกันและกันนั่นเองเปนที่มาของรัศมีรําไร

กลิ่นหอมหวานรวยรินขึ้นมาจากทรวงอกของหญิงสาว ไมมีใครเลยนอกจากเขากับหลอนที่ลองเลื่อน
ลีลาศอยูในลีลาวอลตซ กับลํานําพาเพลินที่กระจายมาจากทุกทิศทาง ราวกับขายคลื่นเสนาะโสตกําเนิด
ขึ้นจากทุกอณูอากาศใกลไกล ฟงผิวเผินคลายการเขาคูระหวางเปยโนกับไวโอลิน แตนานไปพอชักคุน ก็
รูสึกถึงกังวานหวานนุมลุมลึกที่เกินสภาพเครื่องเคาะและเครื่องสายใดจะบันดาลส่ําเสียงเชนนั้นได

“แอ...ผมกําลังฝนอยูเหรอ?”

นั่นเปนระลอกสติที่ผุดโพลงขึ้นในขณะยางและหยุดเขาจังหวะ ประมวลภาพ เสียง กลิ่น และสัมผัสอันพึง


ปรารถนารวมกันเปนรสอมฤตที่ไกลเกินแมฝนอันเคยดื่มลึกสุดใจ รางงามตรงหนาผุดผาดในชุดราตรี
เลื่อมระยับประดับสรอยมุกขาว เนตรงามเปนประกายกระจางทอดสนิทจับเขานิ่ง กลีบปากระบายพราย
ยิ้มจับจิต หลอนครางตอบคําถามเพียงแผว คลายขบขันเขาอยูในที

“อื้อม”

“นี่หรือสวรรค?”

เรือนแกวสายหนา

“ดินแดนในฝนตางหาก”

เกาทัณฑลืมเรื่องสถานที่ ยกมือขึ้นไลเสนผมที่บัดนี้ยืดยาวและทิ้งตัวลงหมเกือบเต็มแผนหลังดุจผาคลุม
ผืนงาม สัมผัสถึงความละเมียดยิ่งกวาแพไหม อดใจไมอยูตองชอนยกขึ้น แลวกมลงสูดกลิ่นหอมเขาเต็ม
อก

“ผมชอบใหแอไวยาวอยางนี้แหละ ดีกวาตอนสั้นตั้งแยะ”

เรือนแกวทําปากเชิดหนอยๆ

“เพราะรูไงวาเธอชอบผูหญิงผมยาวมากกวาฉัน เลยมาหาทั้งอยางนี้มั่ง เผื่อจะไดรับความเหลียวแลมาก


กวาเดิม”

ชายหนุมยินหางเสียงตัดพอนั้นแลวรอนใจ รีบกลาวปฏิเสธ

“ผมไมไดรักใครมากกวาแอเลย”

“เทากันก็ไมเอา เธอตองรักฉันคนเดียว!”
๔๕๒

เกาทัณฑสายหนาอัดอั้น อับจนดวยถอยคํา

“ชางเถอะ!” หญิงสาวเปนฝายเอยดวยสําเนียงขื่นขม “มันเปนอยางนี้มานานแลวละ”

ตางฝายตางแลลึกลงไปในตาของอีกฝาย สุขเศราเคลาคละยากจําแนก

“ผมเสียใจ”

เขาเอยอยางทดทอ และหมายความตามนั้นจริงๆ ยังผลใหนิลเนตรทอแววหมน

“เจาคะ คงไดเสียใจตามๆกันอีกนานละ”

เกาทัณฑเชยคางหลอนใหเงยขึ้น

“อยาพูดอยางนี้เลย แอคงไมยอนกลับมาหาเพื่อทิ่มแทงผมใหเจ็บยิ่งกวาที่เปนอยูใชไหม?”

“แคพูดเรื่องจริงเทานั้นแหละ”

แลวหลอนก็เหลือบตาลงต่ําคลายเหมอไป ชายหนุมเปลี่ยนเรื่อง

“ทําใหรับรูและเชื่อมั่นจนหมดหวงหนอยเถอะวาเรากําลังคุยกันอยูจริงๆ ไมใชวาผมฝนเพอไปคนเดียว”

“ตองการใหเปนยังไงละ?”

“ทําใหผมตื่นและเห็นแอดวยตาเปลา กอดแอดวยเนื้อหนังของตัวเอง”

หญิงสาวสั่นศีรษะนอยๆ

“แคนี้แหละพอดีตัวเธอแลว”

เกาทัณฑถอนใจ เขากําลังเต็มตื่นอยูในอีกมิติหนึ่ง มีสติสัมปชัญญะครบถวน ผูหญิงตรงหนาดูมีชีวิตจิต


ใจใหสัมผัสรูเกินกวาจะใหเขาใจวานี่คืออุปาทานเพอพกชั่วครู

แตก็รูวาเมื่อลืมตาตื่นขึ้น เขาจะก้ํากึ่งลังเลวานี่จริงหรือฝนกันแน ลองเลื่อนฝามือขางที่แตะเอวหลอนไล


ไปตามแนวสีขางโคงคอดกิ่ว ระเรื่อยไปถึงลอนสะโพกกลมมนอยางจะทดสอบความแจมชัด ไมมีอะไรผิด
แผกแตกตางจากของจริงขณะตื่นเลยแมแตนอย ที่ซอนอยูใตชุดราตรีคือเนื้อหนังมังสาอันนุมแนนของ
อิสตรีผูมีชีวิตจิตใจเปนตัวของตัวเอง มิใชของหลอก ของปรุงแตงลมแลงในนิทรารมณแตอยางใด
๔๕๓

เรือนแกวเพงจองเกาทัณฑนิ่ง ปลอยใหเขาลูบไลตามความพอใจโดยไมปดปอง ไดแตขึงตาสงแตแวว


ปรามและกระแสหามชนิดหนึ่งเมื่อเห็นคนรักชักเพลินจนเลยเถิด เกาทัณฑรูสึกคลายมือเปนเหน็บหนัก
อึ้งกะทันหัน ตองยายกลับมาแตะเอวในเชิงลีลาศตามเดิม ตระหนักทันทีวาใครเปนใคร ตนมีขอบเขตอาจ
เอื้อมกล้ํากรายเพียงจํากัดเทาใด

ยิ้มเฝอนและเสถามเกอๆ

“ขอบใจนะที่มาใหพบ ผมคงหายเศราเสียที ความจริงเห็นศพแอก็รูแหละวาไปดี แตบอกหนอยไดไหม


ตอนนี้อยูไหน?”

“ถาบอกวาสิงสูอยูในหองของเธอจะกลัวไหม?”

“ไมเลย จะยินดีตอนรับจริงๆ อยากอยูตลอดไปก็ได”

“ผูหญิงคนไหนผานประตูเขามาแอจับหักคอหมดนะ!”

เกาทัณฑถอนใจทําหนาเมื่อย

“แอ...ผมไมรูจะพูดยังไงถูก ถาเรารักใครจนสามารถซึมซับความเจ็บปวดของเขาไดเทากับหรือมากกวา
ก็เชื่อเถอะวาผมตองเจ็บยิ่งกวาแอเปนสองเทา หากยอนกลับไปแกไขอดีตได ผมก็อยากดูวาสามารถทํา
อะไรบางเพื่อใหทุกคนเปนสุขในทางของตัวเอง”

นัยนตาเรือนแกวกลับสงบนิ่งอยางผูถึงซึ่งรสแหงอุเบกขา เคาหนาดูออนละมุนอยางประหลาด แมมอง


ผาดก็เห็นวาผิดแผกแตกตางจากเรือนแกวคนเดิมที่เขาเคยคุนยิ่ง

“เต...ไมตองพยายามอธิบายหรอก เมื่อกี้พูดเลนนะ ตอนนี้ฉันเลิกมองแบบปุถุชนในโลกแลวละนะ มันมี


มุมมองอีกอยางหนึ่งที่เห็นดวยตามนุษยไมได นั่นคือแตละคนที่เขามามีบทบาทในชีวิตเรา ไมใชจูๆเพิ่ง
โผลมาแบบไรตนสายปลายเหตุ ถาตัดรูปรางหนาตาของแตละอัตภาพออกไป ฉัน เธอ และเขา ก็คือ
กระแสวิญญาณที่รวมกอเหตุการณใหเกิดความผูกพันดีรายมาสารพัด จะใหตางคนตางอยู ตางไปนั้น
สายเสียแลว”

เกาทัณฑขบริมฝปาก

“ทํากรรมเวรทํากรรมรวมกันไวแคไหนหรือ? เสียดายที่เราเขาถึงกันไมไดแตแรก ทุกอยางคงงายขึ้น


ถา...”

“จะโทษวาแอเลนตัวละซี อยามาวาเลย ถึงไดฉันไปงายๆ ในที่สุดเธอก็ตองไปของแวะกับนองคนนั้นอยูดี


เจาชูอยางนี้นะ”
๔๕๔

“ไมเกี่ยวกันหรอก ผมรูตัว จริงๆนะแอ ถาแอคบหากับผมชัดเจนคนเดียว ผมจะติดหลงและรักแอคน


เดียวเหมือนกัน”

ไดยินเชนนั้น ดวงจิตที่สงบก็แปรไปเล็กนอย สะทอนออกดวยกิริยาถลึงตาแหวใส

“เอะ! พูดใหดีๆนะ นี่กําลังหาวาแอหวานเสนห ใหทา ออยเหยื่อทิ้งไวทั่วรึไง?”

“บอกสิวาเปลา”

เรือนแกวนิ่งอั้นเปนครู กอนกลาวสะบัดนิดๆ

“ชวยไมได! เกิดมาสวยก็อยางนี้แหละ ทําใหคนอื่นรักนะแสนงาย แตทําใหใจตัวเองรักใครสักคนนี่...”

“นั่นแหละที่นาแปลกใจ ไหนแอวาเราผูกพันกันมาชานาน ทําไมพบผมแลวไมปกใจแตแรกดวยสัญญาณ


ฝายดีเกาๆบางละ?”

หากเปนผูหญิงธรรมดา ก็คงตอบวาไมรูซี เรื่องของใจนั้นพูดยาก แตดวยสภาวะเหนือโลกของเรือนแกว


หลอนตอบไดทันทีโดยไมติดขัด

“ถายอนระลึกไปสํารวจความรูสึกตัวเธอเอง ก็จะเห็นวามีเมฆหมอกหอหุมอยูบางๆเหมือนกันแหละนา
จริงอยู ฉันกับเธอทั้งผูกพันแนนแฟน และทั้งทําบุญรวมกันตั้งมากมาย กระทั่งรูสึกไดถึงความเปนคน
พิเศษของกันและกัน แตคาบเวลาชวงใกลนี้เรารวมกอกรรมทําเข็ญไวไมนอย ผูกเวรกับคนโนนคนนี้ดะ
ชวยกันฆาเขาก็มาก เหลานั้นแหละปฏิรูปเปนสัญญาณรบกวน กีดกันไมใหใจสัมผัสสนิท แลวบอกใหนะ
ถึงถาฉันไมตาย ไดอยูกินกับเธอ วิบากที่เคยรวมทําใหคนอื่นเจ็บปวดทรมาน ก็จะบันดาลใหรักกันแบบ
ระหองระแหง มีเรื่องขัดใจกันไปเรื่อย

ตางกับที่เธอรูสึกกับอีกคน นึกรักแตแรกพบ อยากหมั้นหมายตบแตงปุบปบ ทั้งที่เห็นความแตกตาง และ


แทบไมรูจักกันสนิทเทาไหร นั่นก็เพราะคาบเวลาชวงใกลไดรวมชาติ รวมความสวางกับเขาสวนเดียว มิ
หนําซ้ําเขามักจะเปนฝายพาเธอไปพบผูทรงคุณ ทําใหเธอไดดิบไดดีในทางธรรมขึ้นมาหลายภพหลาย
ศาสนา อยูกินกับเขาเมื่อไหรก็มีแตความสุขกายสบายใจเมื่อนั้น ครองกันยืดจนไดเห็นวาระสุดทายของ
กันและกันดวยความรักสนิทใจมาตลอด”

หางเสียงของหลอนเจือดวยความรูสึกอาภัพ พลอยทําใหเกาทัณฑสะเทือนใจ รั้งรางแบบบางสวมกอด


แนบอกดวยความเวทนา นิ่งกันไปอึดใจกอนชายหนุมเปนฝายกระซิบแผว

“เราเกิดในพุทธศาสนา ถือวาอยูในชาติที่สวาง นาจะทําอะไรรวมกันแบบที่เปนการถางทางรกขางหนาให


โลงขึ้นบางนะ เทวดาก็ยังมีกรรมสัมพันธกับมนุษยไดนี่”
๔๕๕

“ไดซี...”

เรือนแกวขืนกายออกจากออมอกเขาและเงยหนาขึ้นพูด

“ขอแคจําคําแอไว แรงอโหสิและเมตตาจะทําใหเธอเปนผูชนะที่แทจริง”

เกาทัณฑเพงตาสงสัย

“ขยายความหนอยไดไหม?”

“แอตายแลวสบายก็เพราะอโหสิแกเจากรรมนายเวร อยากใหเตไดดีตาม”

ชายหนุมขนลุกซู

“นี่หมายความวาผมก็จะโดนเก็บดวยอีกคนเหรอะ? เอาละ! เทานี้ก็ชัดแลววาใครเปนคนฆาแอ ขอบใจนะ


ที่บอก”

เรือนแกวเล็งเขาไปถึงอารมณและความนึกคิดของอีกฝาย เห็นความกลัวที่เปลี่ยนเปนกลาบาบิ่นดวย
ความคุมแคน ก็บังเกิดความกังวลที่เจตนารมณของตนใหผลเปนตรงขาม จึงทอดถอนใจและหรี่ตาวอน

“เมื่อกี้เธอพูดเองไมใชเหรอวาเราอยูในชาติที่สวาง นาจะรวมกันถางทางรก ไหงกลายเปนอยางนี้ไดละ


พอแอชวนทํากุศล ใหเลิกแลวกันไปกับเจากรรมนายเวร เตกลับไพลคิดสืบเวรตอไปอีก รูไหม ถาเธอฆา
เขาคืน วันหนึ่งเมื่อเราพบกัน แอก็ตองพลอยรางพลอยแหเดือดรอนไปดวยไมทางตรงก็ทางออม คิดอโห
สิเถอะนะเต”

เกาทัณฑขบกรามแนน หูอื้อตาลายเพราะยิ่งคิดยิ่งแคนแนนอก

“มันแหกคุกมาใชไหม? ไมเขาใจเลยวาทําไมตองตามจองลางจองเวรกันอีก ในเมื่อเราแคปองกันตัว


แทๆ”

“จะพยาบาทคูเวรตามวิสัยพาลเสียอยางนะ ไมตองอาศัยน้ําหนักสมเหตุสมผลหรอก แคผูกใจไวกับแคน


ที่ตัวเองกอเอง ก็พอแลวสําหรับการลงทุนลงแรงเผาผลาญใหใครตอใครพินาศ”

“มันหาเราเจอไดยังไง?”

เรือนแกวชั่งใจครูหนึ่ง กอนเผยเพราะเห็นวาไมล้ําเสนกรรมลิขิต
๔๕๖

“ไซเคยเปนทหารมากอน มีสมองพอตัว เคยฝกฉวยจังหวะในสถานการณคับขันทุกรูปแบบ เลยแหกคุก


หนีไดทั้งถูกคุมขังแนนหนา ความชํานาญลูทางเดินเรือทําใหเขาเขาไทยตามหาเราไดในสองวันเทานั้น ก็
สืบสาวผานหนังสือพิมพนั่นแหละ...”

“มันกําลังตามหาผมอยูใชไหม? ดี! บอกซิจะไดเจอมันเมื่อไหร?”

เทพธิดาจําแลงเกือบเอยตอบ แตรูสึกรอนวาบขึ้นในอกเหมือนกองไฟใหญถูกโหมปุบปบ กลางใจผุดคํา


วา ‘เรื่องของมนุษย’ ขึ้นมา

สิ่งที่เกาทัณฑเห็นจึงเปนอาการเงียบนิ่ง ทิ้งคางไวแตแววหวงใยในแกวตา เขาเล็งแลเปนครูกอนพยัก


หนาเขาใจ

“เอาละ ชางเถอะ นี่อาจเปนอีกขอหนึ่งที่ผมตื่นขึ้นแลวจะทบทวนดวยความสงสัย วาฝนไปหรือเห็นจริง


พอถามถึงอดีตแอตอบได พอตั้งทาถามถึงปจจุบันและอนาคตแอเงียบ ผมคงสรุปวาจิตปรุงแตงเอง
ประมวลผลเอง และตอบตัวเองเทานั้น งั้นหันกลับไปหาคําถามเกา ตอนนี้แออยูไหน?”

“รับปากใหแอสบายใจกอนซิวาเตจะตั้งจิตอโหสิแกเจากรรมนายเวรทั้งหลาย เปนการกอกระแสกุศลขึ้น
ระหวางเราสองคน เพราะเทากับเตโมทนาและสาธุการกับอภัยทานของแอ เมื่อเราพบกันอีกจะไดไมเกิด
เมฆหมอกรายหอหุมใจ และไมดึงอกุศลวิบากมาใหผลแรงเหมือนอยางที่ผานมา”

เกาทัณฑปลอยมือจากรางหลอนแลวถอยเทาไปกาวหนึ่ง ยักไหล

“ก็ใหมีแรงจูงใจหนอยซี่ แสดงหลักฐานใหมั่นใจวาผมเห็นแออยูจริงๆ ขอดูนิดเถอะวาผลของอภัยทานที่


จะรวมกับแอนั้นนาชื่นใจขนาดไหน พูดก็พูดเถอะ พุทธศาสนากองบุญไวใหตักเทาภูเขา อภัยทานก็แค
ของใหญชิ้นหนึ่ง แตไมใชที่สุด ถาผมยอมบาปขอปาณาติบาตสักครั้ง เห็นหนาเจานั่นเมื่อไหรชิงเปนฝาย
ฆามันทิ้งกอน ก็แปลวายืดชีวิตตอเพื่อตักตวงบุญบารมีใหสูงเทาหรือเหนือกวาแอไดมากมาย จูๆมาขอ
ใหยอมเปนฝายถูกกระทําในฝนอยางนี้ ใครมันจะยอม”

เรือนแกวสายหนาดวยความระอิดระอา

“ตั้งความคิดอกุศลเขาไปเถอะ ถึงเดือดรอนอยูในทามกลางการเกิดตายไปเรื่อย คนเขาไดดีมากอน


อุตสาหชวยบอกบุญใหก็ทําเปนพูดยอน เชื่อแอเถอะนะ การเตรียมใจคิดอโหสิและแผเมตตาใหทรงตัวนะ
เปนเกราะแกวกําบังกายไดยิ่งกวาปนผาหนาไมทุกชนิด แมตายเพราะถึงฆาต หรือเพราะตองใชหนี้เกา
กุศลจิตกอนขาดใจก็จะเปนชนวนสงมารับรางวัลที่คุมคา”

เกาทัณฑผายมือ
๔๕๗

“แอ...นี่ผมไมไดเลนลิ้นนะ ถาฝนครั้งนี้คือมิติพิเศษที่แอสรางขึ้นมา และแออยูในชั้นภูมิที่เหนือมนุษย


อานเขามาในใจผมได ก็ตองหยั่งรูวาผมลังเลสงสัย วากําลังละเมอเพอพกสนทนาปราศรัยอยูกับสิ่งปรุง
แตงที่จิตสรางขึ้นหลอกตัวเองชั่วขณะหลับหรือเปลา เพราะฉะนั้นตอบคําถามมากอน ขอสอบภูมิหนอย
เถอะ ตอนนี้แออยูสวรรคชั้นไหน?”

เรือนแกวกาวตามเขามากาวหนึ่ง หยั่งทราบวาการตอบคําถามชนิดนั้นจะนํามาซึ่งความยุงยากในภาย
หลังอยางไร

“เธอจะรูไปทําไมนะ สําคัญยังไงหรือ?”

“สําคัญที่วาถาผมเชื่อวานี่ไมใชแคฝน คําขอรองของแอก็จะสัมฤทธิ์ผลงายขึ้น”

“ตองมีการตอรองดวย เธอไดเปนตัวของตัวเองสมบูรณอยางนี้ จับตองฉันไดขนาดนี้ ภาพเสียงเปนสาม


มิติคงที่ไมผิดเพี้ยนคลาดเคลื่อน ตอเนื่องเปนเวลานานแบบนี้ ยังไมพอใจอีก วิธีพูด ทวงทีกิริยาของแอมี
พิรุธหรือมัวซัวตรงไหนสะกิดใหสงสัยไดวาเปนแคการปรุงแตงในหวงฝน?”

“อะไรก็เกิดขึ้นในฝนไดทั้งนั้นแหละ ไมอยางนั้นจะมีตําราพิสดารวาดวยการสรางฝนเสมือนจริงถึงขั้น
ฟอกจิตฟอกใจ หลับซอนหลับ ฝนซอนฝน สรางมิติใหมกันใหเกรอหรือ ยิ่งศึกษาผมยิ่งเห็นวามิติของจิต
นั้นลึกซึ้งเกินหยั่ง ยังมีเรื่องนาพิศวงที่ยังไมรู ไมเขาใจอีกมาก ที่เห็นอยูนี่อาจเปนตัวอยางหนึ่ง”

ผายมือทั้งสองออก เหลียวมองไปในความมืดรอบดาน คิดเปนครูก็หันมาเสริมอีก

“แอเหมือนเงาสะทอนของผมมากเกินไป ทุกอยางที่ผมคิด ทุกคําที่ผมพูด มาจากแอไดหมด เพราะฉะนั้น


ในทางกลับกัน จิตผมก็สามารถสรางภาพหลอนขึ้นเปนแอไดไมผิดเพี้ยน ในเมื่อปฏิเสธไมปรากฏตัวให
ตาเนื้อเห็น ก็ลองบอกสิ่งที่ผมไมรูซี่ เฉลยมาใหชัดวาตอนนี้แออยูไหน สุขสบายอยางไรบาง แลวผมจะได
มีแนวทางตัดสินใจวานี่ของจริงหรือเปลา”

เรือนแกวกะพริบตาเนิบชา

“เอาเถอะ ถาขี้สงสัยนัก จะบอกใหเอาบุญก็แลวกัน นับตามที่พระพุทธองคทรงจําแนกไว ถิ่นกําเนิดของ


ฉันคือโลกสวรรคชั้นดาวดึงส!”

“วาว!” ชายหนุมทําเปนตาโตตื่นเตน “ชั้นนี้ทานวานางฟาสวยนัก ลอใจหนุมๆใหบําเพ็ญตบะธรรมหวังไป


ครอบครองเทพธิดากันเปนแถวเลย อยางเจาชายนันทะไง ไปเห็นมาทีหนึ่งติดใจใหญ ถูกติดสินบนดวย
การรับประกันวาบวชแลวถาไมสําเร็จธรรม อยางนอยขั้นต่ําตองไดอยางที่เห็น เทานั้นแหละสละราช
สมบัติบวชไมสึกเลย อือม...ตอนนี้แอก็คงสวยขนาดทําใหผมเกิดกิเลสไดนาดูชม”

หญิงสาวยกมือกอดอก ไมตอบโต
๔๕๘

“หนาตาแอเปลี่ยนไปบางไหม?”

“นิดหนอย”

“บนโนนสุขสบายแคไหน?”

“ไมมีความเปนอยูของใครในโลกมนุษยไปเปรียบ”

“มีใครมาจีบมั่งรึยัง?”

เรือนแกวนิ่งไปอึดใจ กอนเอยขรึม

“อยาทําใหฉันรูสึกวากําลังโตตอบกับมนุษยชางซักเลยเต ฉันมาหาเพื่อขอบคุณในความเกื้อกูล และหวัง


ใหเธอเลิกเศรา เลิกหวงใยอาลัยเปลาอยูกับซากเลือดเนื้อที่ฉันทิ้งไวเบื้องหลัง เธอสอนฉันใหปลอยวาง
ใหนึกถึงความตายขางหนา แตตัวเองเปนไง พอเห็นฉันตายรองโฮเปนเด็กๆ จะไหวเสียหนอยเลยไหว
ไมลง

อีกอยางคืออยากบอกกลาวใหเตรียมตัวเตรียมใจไวบาง บารมีดานอื่นเกือบครบหมด หยอนก็เรื่อง


อภัยทานนี่แหละ เคยเฉียดความตายมาครั้งหนึ่ง นาจะรูวาอารมณอกุศลแมนอยก็อาจขุดหลุมใหเธอรวง
ลงต่ําไดยังไง หากมันไดทีสําแดงเดชตอนใกลตาย”

เกาทัณฑยกมือเทาเอว แคนยิ้ม

“เดี๋ยวนี้สอนเกงนี่” แลวก็ตอรอง “เอางี้นะแอ ผมยังสองจิตสองใจอยูดี ใหดูหนอยซีวาอัตภาพแทของแอ


ตอนนี้นาเลื่อมใสขนาดไหน แลวทั้งหลายที่แอปลอบใจและขอรอง ผมจะเชื่อฟงทุกประการ”

เรือนแกวมองคนรักดวยแววเวทนา

“ไดคืบจะเอาศอก เมื่อกี้แคอยากรู ตอนนี้ขอดูอีกแลว เดี๋ยวคงไหววานไปทํากับขาวใหกินหรอก” แลวก็


ถอนใจเอย “เธอไมควรไดเห็น เวนแตจะสําเร็จฌานขั้นสูง ยกระดับจิตใหสวางใสชนะความอยากทาง
ประสาทหยาบ หรือเปนอริยบุคคลผูทรงคุณพรอมที่จะสอนแมเทพเจาแลว”

ฝายฟงยิ้มเผล

“ผมก็รูอรรถรูธรรมพอสมควรนาแอ”

คราวนี้แววในตาเรือนแกวเปลี่ยนจากเวทนาเปนสมเพช
๔๕๙

“บั้นปลายชีวิตของเธออาจใชนะเต แตเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เธอแคคิดวาเธอรูเทานั้น ความเปนผูมีภูมิสูงวัดกัน


ดวยระดับจิตที่ทรงตัวอยูในคุณธรรมระดับใดระดับหนึ่งเปนปกติ ไมใชญาณรูเห็นประเดี๋ยวประดาว หรือ
ปญญาที่ผลุบโผลตามจังหวะที่อยากคิด อยากตรึกนึกพิจารณาธรรม”

เกาทัณฑชักหนาชาหนอยๆ เพราะเรือนแกวปรากฏในรูปเดิมที่จูงตาจูงใจใหนึกถึงความเปนหลอนคน
เกา ซึ่งมีแตจะตองเปนฝายรับฟงเขาขยายความสาธยายอรรถธรรม แตเดี๋ยวนี้สลับตําแหนงมายืนเทศน
แทนเสียแลว

“สาธุ ขอบคุณเจาแมที่ใหสติ”

วาแลวก็ยกมือไหวประชด แบบที่ทําใหหญิงสาวยิ่งสลดลงอยางใจเสีย ตระหนักชัดวาการลดตัวลงมา


เกลือกกลั้ว เจรจาพาทีกับเกาทัณฑในฐานะคนรักใหผลเปนลบกับเขาเองอยางไร ไมอยากใหเขาขุนมัว
และคิดลบหลูหลอนมากกวาที่เปนอยู จึงตัดสินใจถามทั้งอึดอัดวา

“อยากเห็นนักหรือ?”

“อือ” เกาทัณฑยิ้มออกมาได “ใหเปนบุญตาหนอยเถอะ อยากรูมานานแลววานางฟาสวยขนาดไหน แลว


นี่...ขอเถอะ เลิกมองผมอยางกับแมมองลูกซะที เขาใจดีวาแอคงมีเทวฤทธิ์นากลัวเหลือหลาย จะสาปผม
เปนขาวหนาเปดเก็บไวหม่ํามื้อหนาก็ยังได ผมอยูใตอํานาจของแอวันยังค่ํา แตยังไงเราก็รักกัน ผูกพัน
กันดวยวิญญาณ อยาเยอหยิ่ง อยาใหความหางภพภูมิแคสองชั้นนี่มาแปรความรูสึกดีๆใหเปลี่ยนไปเลย”

“ก็เพราะอยางนั้นสิ ถึงไมอยากใหเห็นไง ไมตองแกลงพูดกระทบวาเปนวัวลืมตีนหรอก ถาแอลืมเต คงไม


ลดชั้นลงมายืนใหเธอตีฝปากกลาอยูอยางนี้”

“เอาละๆ...สัญญาจะควบคุมสติดีๆ ไมใหตกตะลึงจนขาดสติคิดอกุศล เคยไดยินแหละวาฤาษีบางตนเห็น


นางฟาแลวตบะแตก แตผมไมมีตบะอะไรแบบฤาษีใหตองรักษานี่ แคขอดูนะ แวบเดียวเปนฟาแลบก็ยังดี
นะ”

เรือนแกวสายหนานอยๆ

“ตามใจ อยาเสียใจทีหลังละถาเผลอยกมือไหวลูกศิษยตัวเอง”

เกาทัณฑเผลอโกงคอหัวเราะออกมาดังๆอยางกําแหงหาญ

“โธเอย...แอ ผมเคยไดสมาธิเฉียดฌานมาตั้งหลายครั้ง ระดับจิตสูงกวาที่แอเปนอยูตอนนี้อีกมั้ง เอานะ...


ใหเห็นหนอยเถอะยาหยี จะเอาไปจางจิตรกรวาดเก็บไวเปนที่ระลึก”

“ถอยไปสิ”
๔๖๐

ชายหนุมทําตาม ถอยเทาไปขางหลังประมาณสี่กาวแลวเลิกคิ้วเปนเครื่องหมายคําถามวาพอหรือยัง

“อีก...”

เกาทัณฑหัวเราะถอนฉิวและจุปาก แตก็ยินยอมถอยอยางวางายเพื่อใหไดดูของดี

นางเทพธิดาพิจารณาแลววาอัตภาพแหงตนไดมาจากความเกื้อกูลของมนุษยผูนี้ จึงอยูในขอบขายที่จะ
กระทําปฏิการะ คือตอบแทนคุณโดยสนองความปรารถนาใหเขาไดเห็นทิพยภาวะ เพื่อเปนกําลังใจและ
กอความเชื่อมั่นที่จะปฏิบัติดี ฟงคําเตือนหลอนโดยไมเห็นวานี่เปนแคฝนเพอ

ครั้นแลว เกาทัณฑก็ไดเห็นสิ่งที่อยากจะเห็น และไมสมควรอยางยิ่งที่จะเห็น...

รัศมีสวางไสวแกมทองซานออกมาเปนวงกวางครอบรางในชุดราตรี กระทบตาผูรอคอยใหทราบทันทีใน
วาระจิตปจจุบันวานั่นคือราศีสวรรค เรือนกายของมนุษยผูหญิงธรรมดาปฏิรูปไป ดูขยายใหญขึ้นกวา
ปกติ กรอบหนางามคมคายจับเคารูปไขจากเรือนแกวที่เขารูจัก รวมทั้งจมูก ปาก และคาง ทวาหนาผาก
มน คิ้วโกงและเคียวเนตรเรียวยาว กับประกายวาวหวานฉายซึ้งที่เรืองอํานาจเหนือมนุษยนั้น ผิดแผกไป
เกือบสิ้นเชิง โดยเฉพาะสีตาที่เคยออกน้ําตาลใส บัดนี้ขึ้นเงาดําขลับวะวับดุจเอกอัญมณีสีนิล มองสบแลว
ถูกดึงดูดใหติดหลงยิ่งกวาอะไรทั้งหมด

เครื่องหนาทุกชิ้นเฉิดฉายเสริมกันเปนภาพเนรมิตที่จิตรกรคงหนักใจหากคิดจําลองไวบนผืนผาใบ เพราะ
ตองหาเนื้อสีที่ระบายแลวสุกปลั่งจับตาใหไดสักครึ่งหนึ่งของของจริงเสียกอน จึงคอยวากันถึงราย
ละเอียดสัดสวนเสนสายอื่นในภายหลัง

เกาทัณฑรูสึกวาตนมีกําลังนอยเกินกวาจะทานแรงจากดวงตาเทพเจาไดนานๆ จําตองลดวิถีการมองมา
ยลสรีระที่ต่ําระดับลง ทรวดทรงองคเอวสลักเสลาสมสวนซอนอยูในพัสตราภรณชมพูแสดอันแลวดวย
เครื่องประดับพิลาสอลังการสมอิสริยยศ กิริยายืนเหนือพื้นประหนึ่งกําลังประดิษฐานนิ่งบนแทนแกวไร
ตน ประกาศเกียรติภูมิเหนือแผนดินอันตอยต่ําของมนุษยอยางแจมชัด

พิศกายก็ยังเกินฝนเพง ตองลดต่ําลงอีก คลายถูกกดคอใหกมดวยมหิทธิพลังและเปลวรัศมีอันแผดกลา


เกินหยัดกายฝนใจตาน ซึ่งเมื่อวิถีตาถูกฉุดลงจนสุดเพียงพิศหลังบาทเกลาเกลี้ยง ความเคลือบแคลงก็
ปลาสนาการไป แทนที่ดวยความเย็นซาจากหนังหัวลงไปถึงฝาเทา แลวขนลุกไลระลอกแผกลับขึ้นทั่ว
แผนหลังไปถึงปลายแขน

ความรุงเรืองเกินจินตนาการตรงหนาทําใหตาเบิกโพลง ตัวสั่นงันงกดวยความระยอยําเกรง บังเกิดความ


รูสึกผิดอยางแรงในทายืนของตน ยิ่งกวาผูจงรักภักดีเผลอยืนตีเสมอกับกษัตริยเหนือหัว แขงขาและหัว
เขาเหมือนจะออนเปยกใกลยอบกายถวายอภิวาททุกขณะ ยังทรงอยูก็ดวยเพียงมานะและความผยอง
ของผูรูสึกตัววาบําเพ็ญบารมีมามากมายจนไมอยากลดแมคอใหใคร
๔๖๑

นางเทพเองก็ไมปรารถนาจะเห็นคนรักยอลงตอหนา พอหยั่งรูวาเกาทัณฑกําลังจะสิ้นแรงตานบารมีชาติ
ภูมิแหงตน ก็อธิษฐานซอนรัศมี และจําแลงกายจากสภาพทิพยยอลงเปนภาวะหยาบขนาดมนุษย
ธรรมดา ซึ่งเมื่อวิญญาณครองอัตภาพเชนนั้นแลว ความรูสึกนึกคิด ความกําหนดหมายทั้งหลายก็คืน
กลับสูความเปนเรือนแกวคนเกาเกือบบริบูรณ แตกตางไปบางก็คือมีสํานึกอยางใหญแบบเทพหนุนอยู
เบื้องหลัง คลายนักแสดงที่เขาถึงบทตนเองในวัยเด็ก ตีบทแตกละเอียด แตก็เต็มสติของตัวจริงที่เปนผู
ใหญยืนพื้นในชั้นแรก

เกาทัณฑยืดกายขึ้นตรง เงยหนาทันทีที่สําเหนียกวาแรงกดมหาศาลมลายลับ จองมองรางเปรียวตรง


หนาดวยความปลอดโปรงขึ้น และตระหนักวารางจําแลงเชนนี้จึงสมฐานะเขา แมเพียงในฝน...

เห็นหลอนยิ้มมุมปาก เทาเอวยักสะโพกขางหนึ่งแบบที่เคยทํายั่วตาเขาบอยๆ

“วาไงคนเกง สั่นเปนเจาเขาเชียวนะ ไหนละที่เมื่อกี๊วาทําสมาธิไดภูมิจิตสูงกวาแอ ขี้โมชัดๆ”

รังสีเรืองอําไพล้ําพรรณนายังติดตา ระคนนาครั่นครามสะเทือนขวัญอยูไมจาง กอนหนานี้เขานึกถึงเรือน


แกวเมื่อครั้งเปนแมงานชักชวนเพื่อนฝูงทําบุญ ใจถึงบุญจนดูอิ่มเอิบละไมคลายมีแสงสวางเกินๆกรอบ
หนาออกมา ก็ทึกทักวานางฟาเทพยดาทั้งหลายคงประมาณนั้น ที่ไหนได เจอของจริงเขาเกือบตองยอ
ยองๆไหวเสียแลว!

อยางไรก็ตาม ถอยคําสัพยอกเปนกันเองอยางเพื่อนเกาของหลอนชวยลดความประหมาลงไดมาก ความ


รูสึกชั่ววูบนั้นคืออยากไปสวรรค มีศักดิ์สมน้ําสมเนื้อพอจะครองรักกับหลอน

“เปนมนุษยนี่ต่ําตอยจริงๆเนอะ”

พึมพําปากคอสั่นเล็กนอย เรือนแกวสายหนา เยื้องยางเขามาหา เขาเหลือบลงเห็นรายละเอียด ‘ติดดิน’


ทุกประการไมวาจะเปนรอยเทาหรือการจมสนสูงในแตละกาว กระทั่งมาหยุดสนิทใกลตัว

“ไมหรอก มนุษยเปนไดทุกอยาง ตั้งแตต่ําสุดนรกจนกระทั่งสูงเหนือพรหมโลก เมื่อเขาหาพระอริยเจาผู


ทรงคุณ ฉันเองตองเปนฝายคุกเขาลงถวายอภิวาท ลืมแลวหรือวาพระพุทธเจาทุกพระองคถือกําเนิดใน
แดนมนุษย เคยเปนเหมือนมนุษยธรรมดามากอน แตเมื่อถึงฝงพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแลว แม
ฤทธิ์แหงพรหมที่เหนือฉันตั้งพันเทาก็ยังพาย!”

เกาทัณฑเกิดสติระลึกได และประจักษแจงในบัดดลวาคุณคาแหงความเปนมนุษยอาจสูงสงเกินทุกภพใน
ไตรภูมิสิ้น อัตภาพเดียวกับเขานี้เองเปนชัยภูมิแหงพุทธิจิตอันบริสุทธิ์ ลวงพนจากความสูงต่ําทั้งปวง

คิดเชนนั้นก็คอยสบตาเรือนแกวไดนิ่งขึ้น ตรึกนึกถึงความงามตรึงตราบาดจิตบาดใจที่เพิ่งยลไปเมื่อครู
แลวบอกตนเองวาเกิดมายังไมเคยอยากไดอะไรเทานี้มากอนเลย หายสงสัยแลววาสมบัติสวรรคนารักนา
๔๖๒

ปรารถนาเพียงใด เขาเห็นผูหญิงสวยราวกับจะเกิดมาเพื่อแกลงใหชายคลุมคลั่งก็มาก แตวัดกันดวย


ความเสียวแปลบแสบลึกจากขั้วหัวใจถึงกนบึ้งวิญญาณเมื่อเห็นเรือนแกวในรางแทแลว บอกตนเองวาตอ
ใหเอานางผูเปนหนึ่งในปฐพีไปแขงก็แพราบ เพราะกระแสตาและรัศมีเทพนั้น เกินวิสัยที่จะปรุงแตงอัต
ภาพหยาบแบบมนุษยไปสู

เอากันแคผิวกายก็พอ ในพระสูตรเคยยกอางถึงสตรีในพุทธศาสนาบางรายที่มีผิวงามนวลเนียนดุจสราง
ขึ้นจากกลีบบัวขาว เหตุเพราะเคยรักษาศีลไดบริสุทธิ์หมดจดในชาติปางกอน จัดวางามเลิศในโลกหลา
แตก็ระบุชัดเจนวาไมถึงเทพทุกรายไป เกาทัณฑเห็นกับตาเดี๋ยวนี้วาจะใหถึงไดอยางไร ในเมื่อความผุด
ผาดของผิวเทพนั้น มาจากความละเอียดเปนยองใยของธาตุทิพยที่ผองแผวเสียจนเรืองแสงได!

“ชักเกิดกิเลสละสิ”

เรือนแกวดักคอ เกาทัณฑพยักหนารับซื่อๆ

“อือ”

“ตกลงจะรับปากรึยัง? ตอไปนี้จะตั้งอภัยทานประดิษฐานไวในจิตใจอยางมั่นคง”

เกาทัณฑกะพริบตาเมมปาก

“จะพยายาม”

“ขอเปนสัญญาไดไหม?”

ชายหนุมหัวเราะ

“แอนี่ชอบบังคับจิตใจคนอื่นไมเลิกเลยนะ เอาเถอะ เกิดกิเลสขนาดนี้แลว จะทํายิ่งกวาอภัยทานเปนสิบ


เทารอยเทาก็คงไดมั้ง”

“ดี...” เทพธิดาจําแลงสาธุการแลวล่ําลา “เห็นทีฉันตองไปละ”

เกาทัณฑรูสึกใจหาย

“มาหาผมบอยๆไดไหม?”

“เห็นแลวไมใชเหรอวาอะไรเปนอะไร ฉันแกลงลงต่ําใหเทาเธอได แตเธอเข็นตัวเองขึ้นถึงฉันไมสําเร็จแน


อยากใหเราสัมผัสชองวางระหวางกันบอยๆจนความรักจืดจางลงหรือ?”

ฝายมนุษยเดินดินขบริมฝปาก
๔๖๓

“แปลวาผมจะไมเห็นแออีก...”

“อาจจะ” หลอนตอบเนิบเยี่ยงผูสิ้นอาลัยในภพเดิม “ถาบั้นปลายเธอถือบวช ตั้งจิตไวเที่ยง เขาออกฌาน


ไดตามปรารถนาจนอยูเหนืออารมณหยาบแนนอนแลว ฉันจะพาบริวารมาฟงธรรม”

เกาทัณฑกลืนน้ําลายลงคอฝดๆ

“ถาปลายชีวิตผมเปนอยางนั้นจริง ตายไปก็เกิดบนพรหมโลกนะซี จะเจอแอบนสวรรคไดไง ไหนวามาจูง


มือไปอยูดวยกัน”

เรือนแกวจับตามองคนรักเฉยดวยแววซอนนัย ชนิดที่เขาไมมีวันอานไดออกดวยวิสัยมนุษย เหตุผลของ


หลอนในการทําอะไรสักอยางยามนี้เปนคนละระนาบกับเขา เพราะนอกจากมีภูมิจิตที่ประกอบดวย
อภิญญาจะแจงอดีตแลว ยังมองไดไกลไปถึงผลที่งอกเงยขึ้นจากรากแหงปจจุบันกรรม มุมมองหรือการ
ตัดสินใจตางๆจึงผิดแผกเปนคนละเรื่อง

ในระหวางวันที่หลอนตระเวนทําความรูจักกับสหายเทพตามวิถีสวรรค ไดรับเทศนาธรรมจากเทพที่อยู
เหนือชั้น คือบรรลุมรรคผลขั้นตนมาจากโลกมนุษย แสดงธรรมจนหลอนไดเขาใจวาสุขบนสวรรคนั้นยาว
นาน ทวาไมจีรัง เหตุเพราะอัตภาพทิพยถูกบันดาลขึ้นดวยกุศลวิบาก ซึ่งไหลมาจากกุศลกรรมหนักเบา
ขึ้นชื่อวากรรมนั้นแมแรงเพียงใด ใหผลเปนอัตภาพไหน วันหนึ่งก็ตองเหือดหมดเมื่อถูกกาลเวลาแผดเผา
หมายความวาความเปนเทพก็ไมลวงพนมรณา ตองแตกดับลง กลายเปนธรรมอีกกอนหนึ่งที่จะสาบสูญ
ไปในหวงวางอันไรตนไรปลายของสังสารวัฏ

หลอนยังเกิดความเห็นชอบอีกดวยวาอายุขัยแหงทิพยสภาพนั้น แมนานเกินอายุขัยของมนุษยมาก ทวา


เมื่อเทียบกับอนันตภาพของสังสารวัฏแลว ก็จัดวาสั้นเทาฟาแลบลงมาปลาบเดียวอยูดี

ยังมีเวลาอยูรวมกับเกาทัณฑและความไมรูของตนเองอีกยืดยาวนักในอนันตชาติเบื้องหนา จะมัวยินดีใน
สุขบนสวรรคเพียงชั่วแลนไปใย สูฉวยเอาขณะที่ยังดํารงอยูในชวงพุทธกาลพรอมกัน ขวนขวายเตรียม
เสบียงไวเดินทางไกลเต็มกําลังจะประเสริฐกวา หากสั่งสมความเห็นถูกเห็นชอบในทุกกรณีไวจนหยั่งราก
ความเปนสัมมาทิฏฐิลงลึกถึงแกนวิญญาณ รวมทั้งสรางบุญสรางกุศลหอหุมจิตจนกลายเปนเครื่องนํารอง
อันทรงประสิทธิภาพแลว ก็จะทําใหการเลื่อนไหลบนทางวิบากแหงสังสารวัฏไมลําบากถึงขั้นเลือดตา
กระเด็นบอยนัก

อัตภาพทุกชนิดคือเครื่องประหารประจําตน วิญญาณทั้งหลายไมอาจหวังพึ่งพิงสิ่งใดไปชั่วฟาดินสลาย ที่


พึ่งอันนาไวใจนั้นมีก็แตเพียงสัมมาทิฏฐิและกําแพงกุศลอันกอตั้งไวมั่นคงแลวในตนเองเทานั้น

เรือนแกวหยั่งรูลึกลงไปถึงอดีตกรรมของเกาทัณฑและแพตรีในชาติใกล ไดเห็นวาแมแพตรีในครั้ง
กระโนนจบชีวิตจากความเปนมนุษยไปเกิดบนสวรรคแลว ก็ยังครองตัวบริสุทธิ์ และวนเวียนมาฟงธรรม
๔๖๔

จากฤาษีผูเคยเปนภัสดา เพื่อรักษาสัมพันธภาพดานดีใหกระชับหวังเสวยผลรวมกันในระยะยาว และยัง


ไดตั้งจิตอธิษฐานวาความผูกพันที่สรางขึ้นทั้งขณะเปนมนุษยและเทพนั้น ขอจงเปนแรงดึงใหมาเกิดเปน
คูครองของเขาทุกภพทุกชาติ

สิ้นชาติฤาษีเขาจุติจากโลกมนุษยไปเกิดบนพรหมโลกดวยมหัคตกุศลจิตเยี่ยงผูอยูฌานเปนปกติตราบจน
ถึงวาระขาดใจสิ้นลม ครั้นถึงเวลามาเกิดเปนมนุษยในชาติปจจุบัน กรรมสัมพันธอันเปนมิติโยงใยที่
ละเอียดลึกซึ้ง ก็ดึงทั้งหลอนและแพตรีมาเกิดรวมกับเขาคลายดาวใหญที่เปนศูนยกลางยอมสงแรงดึงดูด
ดาวบริวารใหเคลื่อนตามไปทุกหนทุกแหง

และชาตินี้แพตรีก็ไดเขาไว อยางที่โบราณวาแขงเรือแขงพายนั้นได แตแขงวาสนานั้นเหลือวิสัย บัดนี้


เรือนแกวซึ้งแลววาเพราะอะไร กรรมอันเปนทั้งปจจัยและทั้งเหตุผลแหงการเกิดนั่นเองที่คุมเสนทาง คุม
วาสนาในชีวิตไว อดีตกรรมและปจจุบันกรรมเปรียบเหมือนสมบัติที่ตองเก็บหอมรอมริบกันขามภพขาม
ชาติ ที่จะหาทางลัดแซงหนากันปุบปบภายในชั่ววันนั้น มีก็แตทําบุญกับพระอรหันตที่เพิ่งออกจากนิโรธ
สมาบัตินั่นแหละถึงพอเปนไปได และชั่วชีวิตหลอนก็ยังไมเคยพบพระอรหันตเลยแมแตรูปเดียว ทั้งที่
พวกทานก็ยังมีชีวิตอยูในประเทศไทยตั้งหลายรูป!

แตคราวนี้นาจะถึงตาหลอนบาง ดวยวิสัยเทพที่สามารถเล็งเห็นอดีต ปจจุบัน และอนาคตตามเหตุผล


แหงกรรม ผนวกกับขันติอันเกิดจากดวงจิตที่ทรงสภาพกุศลเกือบเสถียร จึงวางอดีตที่ผานมาเสีย แลว
หมายเล็งเฉพาะอนาคตภายภาคหนาเทานั้น เพราะอดีตและปจจุบันระหวางเขากับหลอนถึงกาลสิ้นแลว

หลอนจะสนับสนุนและเกื้อกูลใหเขาขึ้นสูงถึงที่สุดศักยภาพ ขางหนาของเขาสบาย ขางหนาของหลอนก็


สบายดวย แครออนุโมทนาและอธิษฐานแบบเดียวกับที่แพตรีเคยทํามากอนเทานั้น!

“เต...เมื่อสําเร็จฌานสมาบัติจนอยูตัวแลว เธอจะหวังไปไหนมันเรื่องของเธอ”

เรือนแกวตอบเพียงสั้นตอขอกังขาของเขา ราวกับจะบอกเปนนัยวาฌานนั่นเองเที่ยงที่จะนําเขามาหา
หลอน หรือจะแลนเลยไปพรหมโลกก็สุดแตปรารถนา อยากไดอะไรก็เลือกเอาตามใจ ดีกวาสักแตทําบุญ
สรางกุศลในระดับสามัญ ซึ่งเอาแนไมไดวากอนตายจะออกหัวออกกอยอยางไร

“เมื่อกี้แอบอกวาบั้นปลายชีวิตผมจะไดดีทางธรรม อันนี้คือบอกใบใชไหมวาชีวิตผมอยูยืดถึงแก”

“รูอยูทวมหัวอยาแกลงทําเปนเอาตัวไมรอดเลย คําวา ‘บั้นปลายชีวิต’ อาจหมายถึงชวงอายุเจ็ดสิบ หรือ


ชวงสุดทายปลายเดือนนี้ก็ไดทั้งนั้น”

“สรุปคืออยากใหผมรีบบวช?”

“แคอยากใหเรงปฏิบัติ อยามัวเมากามสุขจนลืม...”
๔๖๕

วูบนั้นประโยคสุดทายของเรือนแกวทําใหเกาทัณฑนึกครึ้มตามประสาปุถุชน เมื่อระลึกไดวาตนยังมีแพ
ตรีและงานวิวาหเปนที่หวังในชาติปจจุบัน

นิลเนตรฉายแววรอนรานเมื่อเห็นเขามาในใจคนรัก แตแลวก็กลับเปลงประกายจรัสขึ้นตามเดิมดวยสติ
เหนือภพเกา

“ไปละ”

เกาทัณฑอึกอัก เพราะทาทางหลอนขยับเหมือนคนกําลังคิดกลับบานจริงแลวคราวนี้

“แอ...มาหาผมเรื่อยๆไมไดหรือ สักเดือนละครั้งก็ยังดี”

“เขาเรียกโลภหรืออะไรคะ ที่อยูในใจเตตอนนี้?”

พอเห็นเขาสะอึกก็ถามสําทับ

“ฉันมาหาเธอทุกวันก็ได แตหามยุงกับนองแพเลยตลอดไป ตกลงไหม?”

เกาทัณฑแยกเขี้ยวหนอยๆ เพราะเงื่อนไขทํานองคําขาดชนิดนั้นใหมาดวยเจตนาปดกั้นคํารองขอมาก
กวาจะเปนตัวเลือกปฏิบัติจริง ดวยอารมณชั่ววูบแหงความโหยหาที่ไมไดรับการสนองตอบ ทําใหสําคัญ
ไปวาเรือนแกวเห็นเขาสิ้นคา ไรความหมายเสียแลว อีหรอบเดียวกับสาวบานนอกเขากรุง เจอสีสัน เจอ
ตึกใหญรถยาวเขาก็ลืมถิ่น ลืมคูยาก ไปหลงแสงศิวิไลซแทน

เหตุนั้นจึงลืมตัว แดกดันวา

“ก็ไดนะ ตอแตนี้ผมจะไมเอาตาไปดู เอาหูไปฟง เอาปากไปพูดกับสาวๆที่ไหนอีกเลย แตรบกวนเฉพาะ


ขางขึ้นเดือนหงายแอคอยมาเถอะ เกรงวาโปรดผมทุกวันเดี๋ยวผิวจะเสีย เบื้องบาทจะหมน”

แลวก็ตัดบทแบบชิงเปนฝายไลกอนหลอนจะลาซ้ํา

“เอาละ จะไปไหนก็ไปเถอะไป เวลากรวดน้ําอุทิศในงานศพก็ชวยรับดวยละ อยาทําเปนหยิ่งเห็นวาสูงสง


แลว นึกวาบุญในโลกจิ๊บจอย ไมตองรับบริจาคอีก ออ... เก็บเนื้อเก็บตัวไวดีๆดวย อยาเพิ่งยอมใหใครมา
เอาไปกกกอดเสียกอน ผมจะโลภสั่งสมบุญกุศลใหรวยกวาเทวดาทั่วทุกหัวระแหง เพื่อวันหนึ่งจะไดตาม
ขึ้นไปเบงกลับใหแอหงอมั่ง”

เรือนแกวยนคิ้วหนอยๆดวยความระคาย และผิดหวังที่เขาขาดสติสําแดงความเปนคนกิเลสหนาราวกับ
ไมเคยผานการขัดเกลามากอนเยี่ยงนี้

“พูดจาไมเขาหูเลย”
๔๖๖

เกาทัณฑยิ้มแต ทั้งที่กําลังมีอารมณหลากชนิดประดังรุม

“โอ! ลืม...ตอนนี้ผมควรมีสัมมาคารวะเสียบาง” ยกมือขางหนึ่งตั้งเสมอหนาแบบไหวครึ่งเดียว “ลูกชางผิด


ไปแลว พูดบาๆบอๆออกไป ดวยอารามเสียใจเห็นเจาแมทําทาจะจากลา”

ประชดจบก็ตองสะกดไมใหน้ําตารื้นขึ้นคลอขอบ แตก็หามไมอยู เพราะรูวานับแตนี้จนสิ้นลม เรือนแก


วจะไมหวนกลับมาสมาคมกับเขาดวยรูปรางหนาตาเดิมอีกแลว

หญิงสาวนิ่งงันเปนครู นัยนตาทอแววอาลัยรักออกมาเล็กนอย แตก็ดับลงสนิทอยางรวดเร็วดวยอํานาจ


ขันติแหงเทวา

“แลวเจอกันนะ”

ล่ําลาดวยคํางายราวกับกําลังจะพบกันอีกในรุงเชา เกาทัณฑสูดลมหายใจลึก เขาก็ฮึดขึ้นมาบาง ยักคิ้ว


แบมือโบกโบเบคลายปราศจากความแยแสไยดี

“โอเค แลวเจอกัน”

แสงเทพเรืองซานออกมาจากเรือนกายหญิงสาว หลอนยิ้มละไมและยกมือประทานพรในทามกลาง
รัตติกาลอันผาสุก

“ชนะกรรม ชนะตัวเอง...”

ชายหนุมพยายามกลืนกอนขมที่โจมขึ้นจับจมูก ลนลานยกมือจะเอื้อมควาภาพตรงหนาพรอมกับพึมพํา
เรียกรั้งดวยสําเนียงอันทนไปดวยความโทมนัส

“แอ...”

ฉากราตรีกลายกลืนเลือนลับไปพรอมกับนางสวรรค เกาทัณฑรูสึกถึงความชื้นน้ําเมื่อตื่นขึ้นดวยลมอูวูบ
ปะทะใบหู เขานอนแชนิ่งเปนครู กอนดึงตัวขึ้นนั่ง ชันเขาขางหนึ่งแลวเหลียวรอบเพื่อพบกับความจริง
ยามตื่นเปนอากาศวางเงียบงัน

แพตรีเพิ่งออกจากชั่วโมงสอนวิชาวิทยาศาสตรชั้น ป. 6 ลงมาสอนวิชาจริยธรรมและหนาที่พลเมืองดีใน
ชั่วโมงนี้ ซึ่งเปนวิชาที่อยากสอนมากกวาอื่นใด หลอนเดินตามระเบียงอาคารชั้นสอง มองไลปายหนา
หองจนพบ ป. 5/1 ก็ตรงไปเลี้ยวเขาดวยอากัปกิริยาเปนปกติราวกับเดินเขาออกอยูทุกเมื่อเชื่อวัน แตใน
ใจรูสึกตื่นเตนเล็กนอยกับครั้งแรกของความรับผิดชอบที่ตนปรารถนา
๔๖๗

เสียงจอกแจกจอแจที่ไดยินถึงขางนอกเงียบหายเปนปลิดทิ้ง เมื่อครูสาวหนาใหมกาวมาหยุดยืนเดนเปน
ประธานที่หนาชั้น หลายคนที่หันคุยกันหยุดกึกทั้งยังพูดไมจบประโยค ที่กําลังยืนยื่นไมบรรทัดหอยจิ้งจก
ไปแกลงเพื่อนผูหญิงก็หดกลับ ที่ตั้งใจจะรอนเครื่องบินกระดาษไปใหพรรคพวกอีกฟากหองสงกลับก็รีบ
ซอนใตโตะ ที่กําลังจะลุกจากเกาอี้วิ่งไลกันก็ดวนกลับมานั่งกนกระแทก

"นักเรียน ทําความเคารพ"

เสียงหัวหนาหองขานแจว เด็กทั้งหองพนมมือกมหนาไหวพรอมเพรียงกัน

"สวัสดีครับ/คะคุณครู"

แพตรียิ้มให มองกราดไปทั่วหองที่เกลื่อนดวงตาออนเยาว กึ่งรูเดียงสา กึ่งบริสุทธิ์ซื่อ เกิดความเต็มใจ


เอ็นดู เงียบเปนครูกอนเอยทักทายดวยเสียงใสเปนกังวานกระจายไดยินทั่ว

"สวัสดีจะนักเรียนทุกคน เทอมนี้พวกเธอมีครูมาสอนวิชาจริยธรรมและหนาที่พลเมืองดี ซึ่งจะทําใหพวก


เธอเขาใจตัวเองมากขึ้น วาเรารวมสังคมทุกวันนี้ มีอะไรบางที่ควรคิดใหตรงกัน เห็นใหตรงกัน โดย
เฉพาะที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบและวิธีปฏิบัติตอสังคม กอนอื่นเรามาทําความรูจักกันนะ ครูชื่อแพตรี
นามสกุลพีรนัยน เขียนอยางนี้..."

หันไปหยิบชอลกเขียนชื่อนามสกุลตนเองที่มุมซายของกระดาน แลวหันกลับมาทางนักเรียน เห็นทุกคน


กําลังจองเปง แพตรีเลือกมองตอบไปกวางๆเต็มหนวยตา พลางทอดเทามาขางหนาสองกาวสั้นๆ

"คราวนี้ใหครูรูจักพวกเธอหนอย"

นักเรียนเตรียมยืนขานชื่อตนเองตามลําดับโตะ อันเปนวิธีที่นิยมทํากันทุกครั้งเมื่อพบครูคนใหม แตตอง


ไดรับความประหลาดใจ เมื่อครูสาวถามเด็กชายหัวหนาชั้นซึ่งสั่งทําความเคารพเมื่อครูวา

"เธอชื่อจักกายใชไหม?"

เด็กที่ถูกถามเบิกตานิดหนึ่ง กอนรับวา

"ครับ"

"คนไหนใจชนก?"

เด็กผูหญิงที่นั่งใกลหลอนยกมือขึ้น

"หนูคะ"
๔๖๘

"ครูเรียกชื่อใครคนนั้นยกมือนะ วางกฎ... พอพระทัย...ชาญฉลาด...พานลดา...ทันชัย...แวนฟา...รจเลข...


ปรศุ...ฉมา...สมชาย...หทัยธรา...ลือชา...รบชนะ...”

เด็กนักเรียนมองตากันเองงงๆ เพิ่งเคยเห็นครูทองชื่อนักเรียนแลวมาขานดูหนาทีละคนตามลําดับเลขที่
อยางนี้ นอกจากจักกายซึ่งเปนหัวหนาหองแลว ทุกคนถูกเรียกเรียงตัวจากเลขนอยไปมากไมตกหลนแม
แตคนเดียว

"ไฟกําลังแรงวะ"

เด็กชายตัวอวนๆโหงวเฮงเจาพอใหญในอนาคตกระซิบกับเพื่อนรางผอมขางตัว ทั้งสองนั่งอยูหลังหองรั้ง
ทายสุด

"อือ สงสัยนั่งทองเปนชั่วโมง"

พัลลภ คูหูรางผอมตอบกลับ เพื่อนขางหนาไดยินเขาก็หันมาผสมโรง

"ขาวาสวยเชงหยั่งงี้ชั่วโมงเดียวเข็นเขาหัวไมไหวหรอก ตองสามวันเปนอยางต่ํา"

"ครูครับ อายนี่บอกวาครูสวยเชง"

นายอวนตะโกนพรอมชี้นิ้วฟองดวยเสียงคอนขางดัง นักเรียนชายแถบเดียวกันฮาครืน ทาทางทุกคนคุน


กับความทะลึ่งทะลุกลางปลองของหมอนี่เปนอยางดี

แพตรีหยุดเรียกชื่อ เบนสายตามาทางตนเสียง ริมฝปากยังระบายยิ้มออน

"เธอตะโกนกลบเสียงครูอยางนี้เสียมารยาทมากนะปรศุ"

เด็กชายปรศุทําหนาเปน แตพอตอตากับครูสาวอึดใจหนึ่งก็เกิดความตะครั่นตะครอชอบกล ถึงรางจะบาง


ระหง และแมดวงหนาจะสะอางใสอยางพี่สาวใจดี แตนัยนตาก็ดูเรืองอํานาจขมขวัญใหสั่นไดอยางนา
สนเทห ถึงกับทําใหวายรายประจําหองตองหัวเราะแหะๆแกเกอเมื่อจะหลบ

จากนั้นครูคนสวยก็แปรตาคมๆมาจับนักเรียนอีกคนซึ่งนั่งอยูหนาปรศุ

"แลวลือชา ครูบอกอะไรเธออยาง เด็กแกแดดมักจะงงตาคางกับผลสอบวิชาจริยธรรมอยูเสมอ"

มีเสียงหัวเราะขําจากเด็กหญิงชายทั่วไป ลือชาคอหด นึกเคืองปรศุมากที่ประจานคําพูดตนจนหนามาน


อยางนี้
๔๖๙

บรรยากาศเปนของครูสาวมากกวาเดิม สุมเสียงปรานีที่มีนวลน้ําหนักเฉียบขาดอยูในทีชนิดนั้นไม
ธรรมดานัก กอกระแสรักและยําเกรงระคนกันทันทีอยางยากจะหาในครูคนอื่น

"คนตอไปใครนะ เจียระไนใชไหม? คนไหนจะ"

ระหวางคุณครูทําความรูจักกับนักเรียนที่เหลือ ปรศุก็ชวนคูหูนินทาอีก

"ทาทางไมตองเฮะ"

"เออ แตแปลกๆวะ"

พัลลภเอียงหนาตอบ ปกติถาเปนชั่วโมงครูคนอื่นพัลลภจะกลาพูดดังกวานี้

“ยังไง?”

“ทาทางเหมือนอยากมาเปนแมพวกเรา”

ทั้งคนพูดและคนฟงงอตัวซุมหัวเราะ ปรศุเหลือบตามองคุณครูหนาชั้นดวยแววผูกใจเจ็บที่ถูกกระหนาบ

"อยากทําความรูจักกับนักเรียน ก็ตองใหรูฤทธิ์ซะหนอย ไหนๆกูก็กลายเปนคนเสียมารยาทไปแลว เอา


ตะขาบยางมารึเปลา?"

ถามดวยสําเนียงรูกัน

"เฮย! อยาเลยวะจ้ํา...เอาของใหมดีกวา งูเหา! เหมือนของจริงเปยบ ยาวเฟอยรับรองเห็นแลวหวีดดังไป


แปดหอง"

สองเด็กคะนองหัวเราะครึ้ม ไมทันสังเกตวาครูแพตรีปรายหางตาผานมา

"พัลลภ!"

เด็กชายพัลลภสะดุงสุดตัว เพราะแนใจวายังหางลําดับเลขที่ของตนอยูมาก นึกไมถึงวาจูๆจะมีการลัดคิว


ถูกเรียกดวยน้ําเสียงดุเชนนั้น

"คะ...ครับ"

"ยกมือเฉยๆเหมือนคนอื่นก็พอ ไมตองขานตอบใหครูสับสนวาเธอเปนหญิงหรือชายแน"
๔๗๐

เพื่อนๆหัวเราะขรม พัลลภสะอึกอีกคํารบ โดนเขาอยางนั้นชักหายใจไมทั่วทอง ถึงกับไมกลาหันไปคุย


กับปรศุอีก

"แอบดูรูปพวกเรามากอนแลวนี่หวา หยั่งงี้จะเรียกดูหนาใหเสียเวลาทําไมฟะ"

ปรศุไมวายหันมาคอนกับพัลลภ ซึ่งไดแตครางอือรับสั้นๆ

"เอาของออกมาซีโวย"

"ไมเร็วไปเหรอะ"

"เอะ! โดนเรียกชื่อทีเดียวปอดซะแลวไอนี่ เชื่อเหอะหนาตาออนๆหยั่งงี้ไมเอาเรื่องหรอก ทําขึงขังไป


อยางนั้นแหละ"

"เอาไวหลอกผูหญิงกอนดีกวามั้ง ครูจับไปทิ้งแหง ของแพง เสียดาย"

ปรศุถึงกับเกาหัว เพราะคูคิดตั้งทากลับลําทั้งที่สนองดวยดีในชั้นแรก

"เฮย! เรื่องมากนา เดี๋ยวกูออกตังคซื้อใหมเอง"

แพตรีใชเวลาอีกพักหนึ่งเช็กชื่อเด็กเกือบสี่สิบคน โดยเรียกชื่อเด็กหญิงจันทรแขเปนคนสุดทาย เมื่อ


จันทรแขยกมือปอมๆขึ้นก็เปนอันสิ้นพิธีทําความรูจัก ครูสาวกอดอก มองไปโดยรอบ ใบหนาบมยิ้มของผู
มีสัญชาตญาณในการอบรมเลี้ยงดู หลอนเห็นบนโตะของนักเรียนทั้งหลายมีหนังสือประจําวิชาวางเตรียม
ไวเรียบรอย ก็กลาวนํา

"กอนเปดหนังสือเรียน เรามาคุยอะไรเบาๆกันดีกวามั้ง จันทรแข...หนูอายุเทาไหรแลว?"

เด็กหญิงตุยนุยนารักซึ่งถูกเรียกชื่อเปนคนสุดทายตอบหลอนเกือบทันที

"สิบขวบคะ"

"บอกไดไหมวาสิบปที่ผานมา หนูประทับใจอะไรในโลกนี้มากที่สุด"

เด็กหญิงจันทรแขทําหนางง แตหลังจากคิดอยูครูก็ตอบเบาๆ

"รถไฟเหาะตีลังกาคะ"
๔๗๑

เพื่อนนักเรียนชายบางคนหัวเราะกาก คนอื่นสวนใหญขําและหันไปมองจันทรแขเปนตาเดียว บางโตะ


หันมาซุบซิบกิ๊กกั๊กวาดวยเรื่องหมูอวกาศขึ้นรถไฟเหาะ แพตรีเลือกคนแหกปากดังที่สุดเพื่อถามเปนราย
ตอไป

"เธอละ สุชาติ ประทับใจอะไรในโลกนี้มากที่สุด"

สุชาติยิ้มแหยๆ คิดในใจวาไมควรหัวเราะเรียกครูเลยเรา

"อา..."

เกือบนึกไมออกวานาหาอะไรมาตอบสงๆ แตจะใหตอบตรงตามจริงทื่อๆอยางยายบื้อจันทรแขละอยา
หวัง

"คงจะเปนวิชาคณิตศาสตรมั้งครับ"

เพื่อนๆไมฮาปา เพราะรูกันวาหมอนี่เกงเลขจริง แพตรีพยักหนา แลวหันไปทางเด็กที่ทาทางเปนหัวโจก


ของหอง

"ปรศุละ"

เด็กรางอวนยิ้มเผล

"ผมเปนคนประทับใจยากครับครู รสนิยมเปลี่ยนทุกอาทิตย"

มีเสียงหึๆจากคนที่อยูรอบขางปรศุ แพตรีไมแปลกใจเลยกับความเจาสํานวนของเด็กนอยยุคโลกรอน

"แลวอาทิตยนี้รสนิยมของเธอชวนใหประทับใจอะไรมากกวาเพื่อน?"

หมอนั่นเชิดปากสายหนาราวกับนักวิชาการปฏิเสธคําถาม

"ไมครับ อาทิตยนี้ใจผมวางเปลาเหมือนอากาศโปรง"

"ออ..."

แพตรียังไมอยากใสใจกับอาการกวนโทโสเกินเด็กของปรศุเทาไหร หลอนหันไปใชชอลกซึ่งยังถือคางไว
ในมือเขียนกระดานเปนรูปวงกลม พลางพูดทั้งยังหันหลังวา

"สมมุติวานี่เปนชีวิตของพวกเธอ" แลวหลอนก็แตมจุดที่ศูนยกลางวงกลม "แลวนี่เปนความประทับใจใน


ชีวิต เธอจะเห็นวาวงกลมนี้ดูงาย แคมองมาที่จุดศูนยกลางจุดเดียว ก็สามารถเห็นไดครอบคลุมทั้งหมด"
๔๗๒

หันกลับมา รูสึกวาเทาเหยียบอะไรหยุนๆ เมื่อกมดูก็เห็นงูยาวดํามะเมื่อมเปนมันปลาบ หัวใจแทบหยุด


เตน แตดวยเดชะแหงกระแสสติที่บมตัวมาเนิ่นนาน ทําใหจิตรวมลงเทาทันความตกใจกอนเอะอะเพียง
เสี้ยววินาที

เงยหนาขึ้น เห็นอาการจดจองรอคอยเขม็งของเด็กผูชายตั้งแตขางหนาไปถึงขางหลัง นึกรูทันทีวานี่คือ


การเลนเปนทีม จึงเหยียบงูคางปลายเทาอยางใจเย็น พูดตอจากที่คาไวดวยเสียงเรียบสนิท

"ใครชอบอะไรก็มักจะเปนอยางนั้น เชนจันทรแขอาจรักความตื่นเตนสนุกสนานจึงประทับใจรถไฟเหาะ
กวาอยางอื่น คนเรามีของชอบใจแตกตางกันไป แตหากของชอบเปนอันเดียวกับหนาที่ในชีวิตประจําวัน
ก็จะทําใหชีวิตของเราดูงายและเปนสุขนาสนุกดี"

ครูสาวหันไปใชแปรงลบกระดานปาดจุดศูนยกลางวงกลมออก แลวแตมจุดใหมสองจุดหางกัน ไมใกล


ระยะศูนยกลาง

"ลองดูนะทุกคน พวกเธอจะไมรูสึกวาวงกลมดูงายเปนธรรมชาติเหมือนตอนแรก เพราะมีจุดสองจุดที่ไม


อยูในตําแหนงศูนยกลางมาดึงตา เมื่อเธอเพงไปที่จุดใดจุดหนึ่ง เธอก็จะเสียอีกจุด รวมทั้งความชัดขอ
งวงกลมไป"

เด็กๆมองกระดานอยางฉงนระคนทึ่ง แตก็เขาอกเขาใจทุกคําที่คุณครูพูด

"แตจุดเล็กๆพวกนี้จะไมสําคัญนักหรอก ถาหากเธอมีจุดศูนยกลางที่ชัดพอ"

แพตรีหันไประบายจุดทึบใหญเปงตรงกลางวง เมื่อมองมาที่วงกลม จะเห็นจุดทึบนั้นกอนทันที

"อารยธรรมมนุษยเกิดขึ้นไดก็เพราะพวกเราตางมีหนาที่ หนาที่คือแกนกลางแสดงความเปนเรา แมใคร


จะมีรายละเอียดนอกเหนือจากหนาที่มากมายแคไหน เวลาคนอื่นมองมาที่เรา เขาก็จะเห็นความเดนอัน
เปนศูนยกลางชีวิตจุดนี้กอน"

แพตรีเบนสายตาไปที่เด็กหญิงจันทรแข

"ในวัยของพวกเธอ ความประทับใจอาจเดนกวาภาระหนาที่ สําหรับจันทรแข ชีวิตหนูมีศูนยรวมความสุข


อยูที่สวนสนุกก็ไมแปลก แตนาเสียดายที่เราคงไมมีโอกาสไปสวนสนุกทุกวัน สวนสุชาติ ถาคําตอบของ
เธอเปนความจริง ก็นับวาโชคดีตั้งแตยังเด็ก เพราะของชอบและหนาที่เปนสิ่งเดียวกัน เขาหาและ
เพลิดเพลินกับมันไดทุกวัน ทุกเวลา แลว...ปรศุ"

แมพิมพของชาติเบนสายตามาที่เจาหนูรางอวนจอมเก เล็งมองเขม็งจนปรศุชักหนาว
๔๗๓

"เธออาจจะยังนึกไมออก หรือตั้งใจซอนคําตอบไวไมบอกครู ชางเถอะ แตออกมาชวยครูที่หนาชั้นนี่


หนอย"

เด็กชายปรศุทําหนาเหลอหลา เมื่อแพตรีเรียกซ้ําใหออกมาที่หนากระดานดวยเสียงเคนเขมกวาเดิมก็ชัก
ใจเสีย เกิดความกลัวขึ้นมาแบบเด็กๆ หันหนาไปหาพัลลภ ก็พบวาเพื่อนชวยใหกําลังใจเสียงเครือ

“เจอแสฟาดแนจ้ําเอย”

ปรศุนึกฮึดขึ้นมา ลุกเดินออกจากที่นั่งอยางจะแสดงใหเพื่อนเห็นวาเขาไมกลัวใคร โดยเฉพาะครูผูหญิง


ตัวแคนี้

มาถึงหนาชั้น พอจอมปวนก็เห็นครูคนสวยยืนเหยียบงูจากพรรคพวกของตนเฉยๆ เจาหนูแปลกใจมากที่


คุณครูไมยักตกอกตกใจรองแรกแหกกระเชอ ทั้งที่เมื่อแรกนึกปรามาสวาทาทางใจดี หนาตายังออน ใจก็
คงจะออนตามหนา

"จากคําตอบของปรศุ เราพอจะเอาเขามาเทียบเคียงกับวงกลมบนกระดานนี่"

ครูแพตรีดึงตนแขนนักเรียนของหลอนโดยละมอมใหมายืนใกลกระดาน ตําแหนงวงกลมอยูเสมอไหลของ
ปรศุซึ่งสูงใหญกวาเด็กวัยเดียวกันพอควร

"เปนวงกลมที่ปราศจากจุดใดๆ"

พูดแลวก็ใชแปรงลบกระดานปาดจุดทั้งหมดทิ้ง มีความคลับคลายระหวางความกลมของรูปรางปรศุกับ
วงกลมบนกระดาน ทําใหบรรดาสหายชายหญิงรวมชั้นหลุดหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ ปรศุอับอายและ
ไมพอใจ ใครก็รูวาพอเขาบารมีคับเมือง อันยังผลใหลูกชายพลอยคับโรงเรียนไปดวย แตเมื่อเขามายืน
ใกลแลวสัมผัสกระแสความแข็งชนิดหนึ่งจากครูสาวหนาใหม ปรศุก็รูสึกวาตนถูกขมไมใหกลาเฮี้ยวได
อยางนาฉงน

แพตรีใชมือขางที่ไมเปอนชอลกตบบานายแบบจําเปนเบาๆ พูดยิ้มๆกับทุกคนแตยังคงตะแคงหนามอง
หุนนายแบบใกลตัวนิ่ง

"สิ่งที่เราเห็นมีแตความกลม ไมมีจุดรวมสายตา"

เด็กๆหัวเราะหนักกวาเดิม ทั้งที่เจาพอประจําชั้นยืนทําหนาบูดแจกสายตาสะกดไปทั่ว

"แตชีวิตเธอก็มีความหมายนะปรศุ ใชวาอาทิตยนี้ไรจุดรวมสายตาแลวเธอจะกลายเปนความวางเปลา
ไป"
๔๗๔

ครูสาวใชน้ําเสียงจริงจัง ฟงออนโยนจริงใจ ระคนปนสําเนียงติติงอันสําเหนียกไดชัด กอนหันมาหานัก


เรียนทั้งหมด

"ทุกคนมีความหมายเสมอ ตราบใดยังรูสึกวามีตัวตนของเธอ ณ ที่ใดที่หนึ่ง และนี่...คือสิ่งที่วิชาจริยธรรม


จะบอก วาความหมายของเรา ‘ควร’ ขึ้นอยูกับกาลเทศะแบบไหนอยางไร โดยเฉพาะเมื่อร่ําเรียนอยูที่นี่
โตตอบกับครูบาอาจารยในหองนี้"

เด็กหญิงชายอึ้งกันทั่ว

"ไมเฉพาะพวกเธอหรอกที่มีความหมาย แมวัตถุไรชีวิตจิตใจมันก็มี ครูเผอิญไดตัวอยางสาธิตใหพวกเธอ


เห็น วาความหมายของแตละสิ่งเปนอยางไรในตางกาลเทศะ ปรศุ...หยิบงูยางบนพื้นใหครูที ครูกลัว ไม
กลาจับ"

แพตรีถอนเทาจากงูออกมากาวหนึ่ง จอมเกเรเงอะงะ สติชักไมอยูกับเนื้อกับตัว กระแสนักเรียนทั้งชั้นเท


มารวมเปนอํานาจในมือคุณครู กดดันใหจําใจกมหยิบของเลนแกลงคนยื่นสงใหตามคําสั่ง ทวาครูแพตรี
กลับไมรับ เพื่อนๆที่ไมรูเห็นกับแผนการของตัวแสบตางตะลึงตาโตกันเปนแถวเมื่อเห็นงูดํายาวหยอง
แหยงนาเกลียดนากลัวในมืออวนอูม

"รูไหมวางูนี่ของใคร?"

ปรศุสั่นหนา

"ตอนอยูที่ราน มันมีความหมายที่เดนชัด คือมีหนาที่ชวนใหเด็กซนเกิดความคึกคะนอง อยากซื้อหามา


แกลงคน แตเมื่อมันอยูที่หนาหองนี้ เธอรูไหมมันมีความหมายยังไง?"

ปรศุสั่นหนาอีกแบบเด็กไมมีสัมมาคารวะ

"มันเปนตัวแทนความคิดอุตริของพวกเราบางคน แสดงหัวจิตหัวใจที่ขาดศีลธรรม คิดแกลงกระทั่งผูหลัก


ผูใหญซึ่งกําลังทําหนาที่อันควรเคารพ ครูไมรูเหมือนกันวาเปนของใคร แลวก็ใครใหมา แตเมื่อมัน
ปาฏิหาริยปรากฏตัวบนพื้นหนาหองซึ่งเปนเขตของครู ก็ถือวาครูเปนเจาของแลว...ครูยกใหเธอ ปรศุ นี่
หวังวาคงยกใหถูกคนนะ ถาคิดจะแกลงใครละก็ ตอนนี้ทุกคนรูแลววาใครเปนเจาของ"

นักเรียนหุนลูกบาสไดแตกลอกตา อั้นอึ้งพูดไมออกสักคํา

"กลับไปนั่งที่จะ เอาทุกคนชวยปรบมือใหกับผูกลาหาญจับงูยางของเราหนอย"

เสียงปรบมือดังกราวราวกับฝนตก ปรศุเดินกลับที่นั่งดวยสีหนาพรรณนาลําบากสุดขีด ครูแพตรียิ้มแยม


กับนักเรียน หนาตามีน้ํามีนวลเฉิดฉายชวนพิศวง
๔๗๕

"ตอนครูอยู ป. 5 เทาพวกเธอ ครูเคยอยากใหใครสักคนบอกวาครูเกิดมาทําไม เพื่ออะไร หรือเพื่อใคร


ถาเราเกิดมาเพราะมีหนาที่อยูในโลกนี้ เราจะตองทําอะไรบางเพื่อหนาที่นั้น เวลาใครสักคนชวนใหทําดี
ทําหนาที่ใหเสร็จ มันนาสงสัยไหมวาความดีมีสวนโยงใยกับหนาที่ยังไงบาง? แลวที่เรียก ‘ความดี’ นะมี
ขอบเขตแคไหน หนาตาเปนอยางไร เอาอะไรเปนเกณฑแยกแยะ”

บางคนพยักหนาเปนเชิงยอมรับวานาสงสัย บางคนก็เปดหนังสือดูหัวขอของบทแรก วาเกี่ยวกับสิ่งที่ครู


แพตรีกําลังพูดอยางไร ซึ่งก็พบวาไมเกี่ยวกันเลยแมแตนอย

แพตรีเลือกถามนักเรียนที่พยักหนารับวาสงสัย

"ชิดธารี ดูเหมือนเรารูๆอยูในใจวาอะไรดีอะไรชั่ว ไหนหนูบอกครูซิวาความดีมีอะไรบาง"

แมหนูยิ้มแหยๆ เธอไมปราดเปรื่องนักเกี่ยวกับประเด็นชนิดนี้ แตก็ออมแอมตอบ

"กตัญูพอแม ไปทําบุญใสบาตร แลวก็..."

เธอประหมาอยูเล็กนอย ทําใหติดขัด แตเมื่อเห็นสายตาสงบเยือกเย็นของผูยืนเดนเปนประธานหนาชั้นที่


ทอดมองมาอยางจะรอฟงนานเทาไหรก็ได แมหนูจึงคอยคิดอานสะดวกขึ้น

"หนูวาการพูดความจริง ใหทานคนยากจน รับผิดชอบตอหนาที่ ก็เปนความดีที่สําคัญคะ"

แพตรีหันมาหาสวนรวม ผายมือนิดๆไปทางเด็กหญิงผูตอบ

"ที่ชิดธารีพูดมาคงไมมีใครเถียงนะวาถือเปนความดีไดหรือเปลา” หันกลับไปหาแมหนูคนเดิมอีก “แตครู


ถามหนอย หนูวาหมดหรือยังชิดธารี ถาลองลําดับความดีจนครบทุกขอ หนูคิดวาพอทําไดไหม?"

ชิดธารียิ้มแหย สั่นหนา

"คงไมไหวหรอกคะ"

"มันอาจงายขึ้นนะถาเราไมพูดจําเพาะเจาะจงลงไป เชนแทนที่จะพูดวาการใสบาตรพระเปนความดี ก็
เปลี่ยนเปนการใหทานเปนความดี ไมวาจะใหแดพระ หรือใหกับคนเดือดรอนและสัตวทั้งหลาย คําวาการ
ใหทานจะจูงไปชี้ใหเห็นจิตใจที่คิดสละ คิดชวยเหลือ ครอบคลุมไปหมดเลย ซึ่งพอแจงแลวคอนขางมีขอ
แยกยอยละเอียด ละไวกอน เดี๋ยวคอยใหตําราบอกเรา ทีนี้วาถึงดานตรงขาม..."

แพตรีเปลี่ยนสายตาไปที่เด็กหัวหนาชั้น

"จักกาย เธอบอกซิวาความชั่วมีอะไรบาง"
๔๗๖

บุคลิกของหัวหนาชั้นฉายความโดดเดนชัดเจนตางจากเพื่อนรอบกาย ดวงตาดําใหญทอแววเจาความคิด
เกินวัย เราใจใหแพตรีจดจอฟงคําตอบอยางคาดหวังวาจะไดยินอะไรดีๆ

"การโกหกครับ"

ครูสาวรอฟงตอ แตเมื่อเห็นจักกายเงียบเสียงเพียงเทานั้นก็เลิกคิ้วสูง

"อยางเดียวเองนะหรือ?"

หัวหนาชั้นพยักหนา

"ครับ มนุษยทําชั่วอยางอื่นไดมาก แตสิ่งที่สอใหเห็นความเลวรายของใจไดมากที่สุดควรเปนการโกหก


หลอกลวง"

แพตรีสานตาตรงกับจักกาย ดวงตาทอแสงฉลาดลึกของฝายนั้นทําใหหลอนนึกถึงชายอันเปนที่รัก สมัย


เกาทัณฑยังเด็กก็คงคลายอยางนี้...

ความผูกโยงชนิดนั้นทําใหความเมตตาแปรเปนเย็นชาเล็กนอยดวยความรูสึกสวนตัว ทาทางหนุมนอย
นายนี้คงเชื่อมั่นวาที่ตัวเองพูดออกมานั้นถูกไปหมดทุกอยาง

“ใหเหตุผลซิ”

“ผมคิดวาการโกหกเปนบอเกิดของความคิดคดทุกชนิด ใจที่คิดพูดทั้งรูวาเปนเรื่องไมจริง ทําใหคนอื่น


หลงเชื่อ หลงทาง เปนใจที่พรอมจะทําอะไรพลิกแพลงแคไหนก็ไดเพื่อผลประโยชนสวนตัว”

"ตอบดีนี่..."

ปลายเสียงสุดทายพราพลิ้ว เมื่อรูวาเสียงตกก็กะพริบตาสูดลมหายใจเขาเพื่อรวมสัมปชัญญะใหม

"วาแตเธอเคยเผื่อใจใหการโกหกเพื่อผลที่ดีงามบางหรือเปลา?"

ถามแลวแพตรีก็รูสึกผิด อาจเปนการเผลอยิงคําถามที่ยากเกินวัยและลอแหลมตอการกอทรรศนะเกี่ยว
กับความดีความชั่วที่ผิดเพี้ยนแกเด็ก ไดแตรอฟงวาทะของจักกาย และพรอมกันก็คํานวณหาทางออก
สวยๆเอาไวในหัวไปพลาง

"ถาใครเจตนาสรางผลที่ดีงามแกสวนรวมแลวตองบิดเบือนความจริง ผมอยากเรียกวานั่นคือการแสดง
ละครครับ แตผมก็ยังเชื่ออยูวาการเลือกเฉพาะสวนที่เปนความจริงมาพูดคลี่คลายสถานการณลําบาก จะ
ทําใหทุกอยางลงเอยดีกวาเจตนากลับดําเปนขาวใหคนอื่นจับไดทีหลัง"
๔๗๗

แพตรีตาสวาง นึกพอใจเด็กคนนี้จนตองสยายยิ้มอวดไรมุก เห็นดวยหางตาวาเพื่อนนักเรียนดวยกันก็


เงียบฟงดวยความทึ่ง นั่นทําใหเดาวาจักกายคงไมแสดงสติปญญาเกินวัยใหใครเห็นบอยนัก

ตรวจใจตนเอง ดูวาเที่ยงนิ่ง ไมดึงภาพลักษณของเด็กไปผูกโยงกับเกาทัณฑผูกําลังเปนภาพลบในใจตน


แนแลว แพตรีจึงเอยถามออกไปอีกดวยความมั่นใจในเจตนาบริสุทธิ์ ที่จะทําใหเด็กทั้งหองเรียนวิชาจริย
ธรรมดวยความคิดอานโตตอบเปนเหตุเปนผล

"สรุปแลวการโกหกในความหมายของจักกาย คือปนน้ําเปนตัว โปปดมดเท็จเพื่อหาประโยชนอยางเดียว


จํากัดความตามนี้เธอพอใจไหม?”

“ครับ”

“แลวเธอเคยโกหกไหม?"

"เคยครับ"

จักกายรับอยางตรงไปตรงมา ทําใหแพตรีเผลอยิ้มออกมาอีก แตก็รีบลดลงเปนปกติโดยพลัน

"ทั้งรูวามันเปนบาป เปนความชั่วงั้นหรือ?"

"ตอนจําเปนตองทํา ผมไมทันคิดวาชั่วหรือเปลา ผูใหญเคยบอกผมวาธรรมชาติมนุษยนั้นครึ่งดีครึ่งราย


ไมมีใครดีไดตลอด"

แพตรีกะพริบตาอยางเริ่มงง วาพอหนุมมีแนวยึดมั่นเกี่ยวกับความดีชั่วอยางไรแน น้ําเสียงของเด็กวัยสิบ


ขวบที่ประจุดวยความเชื่อมั่น และสะทอนโครงสรางความคิดเปนระเบียบ ชัดเจนแจมใสชนิดนั้น แนนอน
วาเปนเสนหดึงดูดใจหลอนมหาศาล ครูทุกคนชอบเด็กฉลาด แตถาฉลาดขนาดมีน้ําหนักดึงคนรอบตัวให
หลงเขว ก็สมควรระมัดระวังมากกวาปลอยใหโตขึ้นโดยปราศจากการตีกรอบ

ทวาเด็กฉลาดที่มีความเปนตัวของตัวเองแตเล็กก็ควบคุมยากที่สุด เพราะครูจะตองฉลาดกวา หรืออยาง


นอยมีดีใหเห็นจนเด็กยอมรับนับถือ

ถึงตอนนี้แพตรีคิดหนักขึ้นเปนสองเทา เพราะรูแนแลววากําลังอยูตอหนาเด็กอัจฉริยะคนหนึ่งที่คิดและ
เจรจาไดยิ่งกวาผูใหญเสียอีก ปจจุบันมีวิธีการที่เกือบเปนสูตรสําเร็จมากมายเพื่อผลิตสมองผูใหญไวใน
รางเด็ก เชนพูดคุยและปฏิบัติกับเด็กเปนเหตุเปนผล เปดเพลงคลาสสิคใหฟงแตออนแตออก เปดโลก
ทัศนหลากหลายเราผัสสะเต็มที่ในชวงหกปแรกซึ่งเซลลประสาทในการรับรูมีพัฒนาการสูงสุดในชีวิต สง
เสริมใหเด็กทุมเทจิตใจอยูกับสิ่งที่ชอบ ตลอดไปจนกระทั่งดูแลคัดสรรอาหารที่ทางการแพทยยกนิ้วโปง
ใหลวนๆ
๔๗๘

เด็กที่พอแมมีฐานะและเอาใจใสจริงจังในการเลี้ยงดูลูก อาจโชคดีไดรับการศึกษาแนวใหมเชนนีโอฮิวแม
นิสต ซึ่งเล็งที่จะสรางมนุษยในอุดมคติขึ้นมาใหได กลาวคือมีความรูแนน และเปยมดวยจิตใจดีงาม หลัก
สําคัญคือปอนทั้งความเขาใจโลกตามแนววิทยาศาสตร และความเขาใจตนเองดวยจิตเหนือสํานึกอันลึก
ซึ้งควบคูกันไป

นั่นหมายถึงผูปกครองจะไมแปลกใจเมื่อเห็นลูกๆนั่งคนควาตํารับตําราในหองสมุดตามแรงบันดาลใจใฝรู
ที่แทจริง และในวันเดียวกันอาจทําโยคะแสวงหาความสงบสุขชั้นเยี่ยมไปดวย

ตั้งแตโบราณมา เด็กที่ไดรับการเลี้ยงดูใกลเคียงแนวคิดแบบนีโอฮิวแมนิสตไดแกโอรสธิดาในราชวงศที่
ยิ่งใหญ หรือลูกหญิงชายของคหบดีที่มั่งคั่ง กลาวคือจะไมถูกปดกั้นการเรียนรูสิ่งใหมๆทุกชนิดในวัยตน
ของชีวิตซึ่งถูกเราไดงาย ทําใหดูเหมือนเปนคนมีพรสวรรคหลายดาน อันนี้ไมเห็นเปนเรื่องนาอัศจรรยอีก
ตอไป โดยเฉพาะเมื่อดูการวิจัยเก็บสถิติเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางสภาพแวดลอมในการเติบโตและ
ไอคิวของมนุษย ที่สรุปวายิ่งคนเราเขาสัมผัสประสบการณหลากหลายเทาไหร ใจเปดกวางเรียนรูสรรพ
สิ่งและผูคนแบบตางๆมากแคไหน ก็จะยิ่งมีไอคิวสูงไดมากกวาเกณฑเฉลี่ยเพียงนั้น

และแนวคิดเชนนีโอฮิวแมนิสตก็ไมจําเปนตองจํากัดอยูในสถาบันศึกษา อาจดําเนินไปขณะอยูที่บานของ
ผูมีฐานะปานกลางถึงดีมาก โรงเรียนนี้ก็จัดวาเปนแหลงชุมนุมลูกคนรวย จึงไมนาประหลาดใจนักถา
หลอนจะพบกับเด็กประเภทนี้อีก และอีก

แตถาหากเด็กเกงขึ้นมาผิดวัยเพราะสนใจทุมเทใหกับสิ่งเราดานใดดานหนึ่งเพียงอยางเดียว โดย
ปราศจากการจงใจขัดเกลา ควบคุมอารมณที่รุนแรง ก็อาจเปนไดทั้งคุณอนันตและโทษมหันต

ยังไมรูเทานั้นวาเด็กอัจฉริยะที่หลอนกําลังเผชิญหนาจัดอยูในพวกไหน

จักกายกับหลอนกําลัง ‘ถก’ กันในประเด็นเกี่ยวกับความดี ซึ่งเขามีทาทีคอนไปทางเห็นมนุษยเปนสิ่งมี


ชีวิตครึ่งดีครึ่งราย เหมาะสมแลว และไมนาตําหนิ หลอนอาจถามเขาวา ‘จะยินดีเปนคนครึ่งดีครึ่งราย
ตามธรรมชาติใชไหม?’ ซึ่งสนธิกันกับคําตอบของเขา แตนั่นจะนําทางไปในทิศออม และเกิดประเด็นแยก
ยอยคางคาไดมากมาย แพตรีจึงตัดตรงเขาเปาที่หลอนตองการดวยคําถามอีกอยาง

"แลวเธอเคย ‘หวัง’ วาจะเปนคนดีหรือเปลา?"

จักกายพยักหนา

"เคยครับ แตผมอานขาว แลวก็เห็นกับตาวาเมื่อเปนผูใหญ คนเราไมมีใครดีไดจริงสักราย"

คราวนี้คุณครูถึงกับสะอึก เกือบหาคําพูดตอไปไมเจอ แตแลวก็คิดออก กลาวพลางหันไปหานักเรียน


อื่นๆ
๔๗๙

"ใชแลวจะ เราทุกคนครึ่งดีครึ่งรายกันตามธรรมชาติ แตธรรมชาติก็ใหเรารูอยูในใจตอนทําอะไรสักอยาง


วามันดีหรือราย แลวธรรมชาติก็อนุญาตใหเราเลือกไดวาจะอยูฝายไหน ไมจําเปนตองปลอยเลยตามเลย
เสมอไป หากเรา ‘หวัง’ หรือ ‘อยาก’ เปนคนดี นั่นแปลวามีความตั้งใจดักเหตุการณไวลวงหนาแลววาถา
มาอยางนี้ เราจะโตตอบอยางนั้น การกําหนดใจไวลวงหนาเปนสิ่งสําคัญมาก มันจะทําใหเราไมลังเลเมื่อ
ถึงเวลาจริง ทุกอยางจะเปนไปเองเหมือนโปรแกรมที่ตั้งไวอัตโนมัติ

ครูอยากใหคิดกันวาโลกนี้มีเธอเปนสมาชิกอยูคนหนึ่ง เปนสมาชิกที่สามารถตัดสินใจกอผลกระทบดีราย
ตราบเทาที่ยังไมสิ้นชีพ ถาหากพื้นฐานความคิดของเธอดี เชนตั้งใจไวกอนวาถึงอยางไรก็จะไมโกหก มัน
จะเปนจุดเริ่มตนชีวิตที่นาชม ถึงแมวันหนาเธอจะพบกับสถานการณยุงยากซับซอน ยากที่จะพูดอะไร
ตรงไปตรงมา เธอก็คงรูวาควรพูดแคไหนโลกถึงจะไมช้ํา ธรรมถึงจะไมขุน"

เงียบกริบกันทั้งหอง ปรศุลอบเอียงหนาไปกระซิบกับพัลลภ

"สงสัยเพิ่งสึกจากชีเมื่อเชา"

พัลลภเผลอหัวเราะเอิ๊ก ครูสาวปรายตามอง เด็กชายหยุดกึกเสียงดังอึ๊ก ทําตาเหลือกคลายน้ําลายติดคอ


เพราะตกใจแรงๆขณะหัวเราะ แพตรีอดขําไมได แตก็เบี่ยงสายตาไปทางอื่นโดยเร็ว

"ที่พวกเธอเห็นผูใหญไมดี ก็ตองนึกวาสมัยทานยังเด็กเหมือนเรา ทานไมขัดเกลาตัวเองไวลวงหนา พอ


โตขึ้นถึงไดเปนอยางนั้น สําคัญที่เราเห็นแลวก็ดูไวเปน ‘เยี่ยงอยาง’ อยาไดจําเปน ‘แบบอยาง’ ประพฤติ
ตามใหโลกรายไปกวานี้"

แพตรีหันมาทางจักกายอยางติดใจ แตก็รูสึกวาจะเปนการผูกขาดอยูสักหนอยถาถามเขาตออยูคนเดียว
จึงเลี่ยงมาหาเด็กหญิงที่นั่งขางจักกาย หลอนเพิ่งสังเกตสังกาเต็มที่และพบวาเปนเด็กผูหญิงหนาตาสวย
หวานยิ่งคนหนึ่ง

"ลานดาว หนูลุกขึ้นยืนซิ"

เด็กหญิงลุกยืนตามคําสั่ง นักเรียนทั้งหลายรอดูกันวาครูแพตรีจะสาธิตอะไรอีก

"มองไปรอบๆแลวชี้หนอย วาตามความคิดของหนู ในหองนี้ใครบางเปนคนดี ออกชื่อมาที่หนูคิดวาดีที่


สุดสามคน"

ลานดาวมองรอบหองตามคําสั่ง ปรศุเผยอตัว ยกไมยกมือแบบครึ่งๆกลางๆลอสายตาเพื่อนหญิง ลาน


ดาวยนจมูกคอนใหวงหนึ่ง มองผานไปทางอื่นดวยความลังเลเปนครู กอนยิ้มอายๆแลวหันมาที่เด็กชาย
ขางตัวนั่นเอง

"จักกายคะ"
๔๘๐

บรรดาเพื่อนฝูงเฮกันตึง ความมีสวนละมายกันระหวางจักกายและลานดาวทําใหหลอนอยากคิดวาทั้ง
สองเปนลูกพี่ลูกนอง จึงนั่งติดกันอยางจะดูแลชวยเหลือเปนพิเศษ คุนๆจากบัญชีรายชื่อวาหองนี้มีเด็ก
นามสกุลซ้ํา ก็อาจเปนสองคนนี้เอง แตเสียงเฮของเพื่อนฝูงก็ทําใหแพตรีนึกรูวาทั้งสองคงมีใจที่ดีเกิน
ญาติตอกันอยูบางแนๆ ไดแตทําใจวายุคสมัยมันเร็วและเต็มไปดวยความเรงรัด แมเรื่องรักเรื่องใครก็ไว
กันเหลือเกิน หัวเพิ่งเลยพนักเกาอี้มาหนอยเดียวเอาแลว

"คนตอไปละจะ"

เด็กหญิงมองกวาดอีกครั้ง กอนเอยออกมา

"ชิดธารี แลวก็พานลดาคะ"

"จะ นั่งลง ทีนี้รบชนะยืนหนอย"

เมื่อเด็กชายรบชนะยืนขึ้น ก็ไดรับคําสั่งจากครูสาวเหมือนเดิม

"มองใหทั่ว แลวบอกชื่อคนดีที่สุดในความคิดของเธอสามคน"

รบชนะตอบทันทีอยางเตรียมไวแลวในใจ

"ออ ฮะ คนแรกคือตัวผมเอง"

อยางนี้โดนโหแนนอน ไมวาชายหญิงสามัคคีโหเปนเสียงยาว

แพตรีสั่นศีรษะ

"คนอื่นที่ไมมีสวนไดเสียกับเธอสิ เอาตอบใหม"

รบชนะหันรีหันขวาง แลวตัดสินใจชี้

"จักกาย...เพียงนภา...แลวก็ อา ชาครินฮะ"

ครูแพตรีผงกศีรษะเปนเชิงใหนั่งลง แลวเรียกนักเรียนอีกคน

"ฉมาละ ยืนตอบครูซิ"

"จักกาย...ลานดาว...เชลงชีพครับ"
๔๘๑

"อื้อม ขอบใจจะ เอาละ ครูคงไมมีเวลาถามพวกเธอทั้งหมด แลวที่เรียกขึ้นถามก็เปนไปโดยสุม ไมไดตั้ง


ใจจะใหใครเปนแกนอางอิงของหอง แตคําตอบที่ออกมาครูและพวกเธอคงไดยินกันทั่ววาใครบางเปนที่
ยอมรับของเพื่อนๆ โดยเฉพาะหัวหนาหองของพวกเธอ จักกาย..."

แพตรีเหวิถีสายตามาหาเขา

"เธออาจมีความเดนชัดพอ และถานี่คือเสียงสะทอนจากสังคมในหอง ก็คงเปนรางวัลใหมีกําลังใจเพิ่มขึ้น


กับความเปนคนดีนะคะ"

จักกายยิ้มนิดๆ แพตรีประทับใจสีหนาปราศจากความเหอเหิมของฝายนั้นยิ่ง ราวกับเขาเปนผูใหญที่มั่น


คง ปราศจากความหวั่นไหวกับการกระทบดีรายทั้งปวง ไมมีอะไรชงความรูสึกไดเทาสติจากภายใน
เหลือเชื่อวายังเปนเพียงพอหนูนอยชั้น ป. 5 เทานั้น

"สมชาย" คุณครูหันไปเรียกเด็กที่อยูแถวหนาสุดใกลตัว "ครูไมสนใจวาเธอสนิทชอบพอกับจักกายหรือ


เปลา แตตอบหนอย ถาถามถึงขอดีที่สุดในตัวจักกาย เธอจะนึกถึงอะไร"

"เขา...เรียนเกงครับ"

สมชายตอบงายๆ

"ภาสกรละ จักกายดีที่สุดตรงไหน"

"เขาชวยเพื่อนทุกคนครับ แลวก็เปนศูนยหนาที่ทุกขางตองการตัว"

มีการสงเสียงเชียรจากบรรดาดาวบอลพอประมาณ แพตรีฟงยิ้มๆ

"หทัยธรา ไหนออกความเห็นมั่ง"

"เขาพูดจาสุภาพดีคะ ไมโกรธ ไมดาวาใครเลย"

ครูสาวผงกศีรษะ ซอนมือขวาลงบนฝามือซายในทาสรุปความ

"ดูจากการตอบโดยไมตองคิด ครูเห็นไดวาความดีของจักกายที่อยูในใจของพวกเธอชัดเจนพอ แลวครูก็


อยากชี้ใหเห็นวาความดีหลายๆอยางที่รวมอยูในคนเดียว ทําใหคนๆนั้นดูเดนขึ้นมา”

แพตรีเบนสายตามาทางผูเปนขวัญใจประจําหอง พูดนําในแบบดึงภาพลักษณอันเลิศเลอนาปลื้มเปรมลง
มาบาง

“แตบางเวลาความเดนก็ไมใชเรื่องนาพิสมัยนักหรอกนะ...จักกายวาจริงมั้ยคะ?"
๔๘๒

ผูถูกถามคิดอยูอึดใจ กอนพยักหนารับวาครับเบาๆคลายลังเลในที อาจเปนเพราะวัยทําใหยังมองไมเห็น


โทษของความเดนเทาไหรนัก

"เราทุกคนมีความดีอยูในตัวเอง ไมจําเปนตองเดน ขอแคเมื่อถูกถามวาความดีที่สุดในตัวเราคืออะไร จะ


ตอบไดโดยไมเสียเวลาลังเล เชนเดียวกับที่เรามีคําตอบเดนชัดใหกับความดีของจักกาย"

"แลวความดีที่สุดในตัวเราควรเปนอะไรครับ?"

จักกายถามขึ้นเรียบๆ แตไดยินชัดทั่วหอง ผองเพื่อนพากันเงี่ยหูผึ่ง เพราะไมเคยเห็นจักกายมีขอสงสัย


ตั้งคําถามขึ้นในชั้นเรียนมากอนเลย

แพตรีหันมายิ้มให กอนตอบดวยดวงตาเปนประกาย

"หนาที่สิจะหนุมนอย มนุษยทุกคนมีหนาที่เสมอ แลวก็มีคนละหลายอยางดวย ไมเฉพาะการทํางานหรือ


การเรียนอยางเดียว หนาที่ของแตละคนมีผลกระทบทางตรงหรือทางออมกับโลก และหากเธอรูไดจริงๆ
วามนุษยไมมีหนาที่เปนโจรหรือเปนผูเบียดเบียนใคร แตมีหนาที่ทําใหโลกหมุนไปอยางเปนปกติสุข เธอ
รับผิดชอบตอหนาที่โดยไมบิดพลิ้ว การเกิดของเธอก็จะเปนคุณ ไมใชเกิดมาเพื่อเปนโทษ"

จักกายมองคุณครูดวยแววยอมรับ

"ครูคะ เราจะทําดีที่สุดได ตองเลือกอยูในศาสนาไหนเสียกอนหรือเปลา?"

เด็กหญิงลานดาวถามเสียงใสขึ้นบางดวยความอยากรู อันเปนธรรมดาของเด็กที่คลางแคลงวาในหลาย
ศาสนาที่ปรากฏใหผูใหญเลือกนับถือนั้น ศาสนาใดดีที่สุด ประเสริฐที่สุดเหนือศาสนาอื่นทั้งปวง

"ศาสนาสอนใหใครทําดีที่สุดไมไดหรอกจะ แตละศาสนามีเปาหมายหลักของตัวเอง ใครนับถือศาสนา


ไหนก็เพื่อเปาหมายนั้นๆ สําหรับความดีเนี่ย เปนเรื่องของการเพิ่มคาใหกับจิตใจ เพิ่มพูนขึ้นไดมากไมรู
จบแบบเดียวกับสะสมเงินในธนาคาร เพราะฉะนั้นครูจึงอยากตอบวาเธอนับถือศาสนาไหนก็ตาม การทํา
ดีที่สุดคือการตั้งใจวาจะทําดีเพิ่มขึ้นทุกวัน ทุกเวลา เพราะนั่นเปนตัวแปรใหจิตใจเธองดงามขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อถึงระดับหนึ่งจะรูสึกวาความดีกับจิตใจเรากลายเปนหนึ่งเดียวกัน ไมมีขอขัดแยงหลงเหลืออยูอีก"

แพตรีทิ้งทายคําตอบดวยความสวางที่ฉายออกมาจากหัวใจ ภาพปรากฏตอสายตาเด็กวัยสิบขวบทั้งหอง
คือผูใหญคนหนึ่ง เปยมเต็มดวยกระแสความการุณยและความเปนตัวของตัวเองอันคงที่ แจมชัดอยูในใจ
ผูประสบพบพานทั้งหลาย

"แลวครูนับถือศาสนาอะไรครับ?"
๔๘๓

สุชาติถาม เด็กๆกลาเจรจาพาทีกับคุณครูคนนี้ดวยความเปนกันเองมากขึ้น เพียงดวยการนําของจักกาย


คนเดียว

"ก็เหมือนพวกเธอสวนใหญที่นับถือพุทธ แตอยาเหมาสวนใหญมาเปนใหญขมกันละ เมื่อครูเปนพุทธ ครู


ก็ถามตัวเองเสมอวากําลังอยูในทางเขาสูเปาหมายหลักของพุทธหรือเปลา และนั่นคือสิ่งที่เธอทุกคนควร
ถามตัวเองเชนกัน ไมวาจะอยูในศาสนาไหน"

"พุทธศาสนาดียังไงฮะ?"

ฉมาถามบาง

"ดีที่มีเปาหมายชัดเจน คือเมื่อไปถึงแลวจะเปนสุขคงที่ ถึงแลวไมถอย ไมเปลี่ยน ไมแปรอีก และมีสิทธิ์


ทําใหเห็นจริงไดกอนสิ้นลม ถาตั้งใจ"

ฉมาถามซ้ํา

"ครูเขาถึงเปาหมายแลวใชไหมครับ?"

"อยูในระหวางทางจะ ครูมีความสุขไดระดับหนึ่ง ยังไมถาวรตามเปาหมายใหญ แตก็แนใจแลววามีที่สุด


อยูจริง ถาเพียรบําเพ็ญไปไมทอ วันหนึ่งก็ตองถึงที่หมาย"

"แลวทําไมเราถึงตองเกิดมาเพื่อทําอะไรที่เรากําลังทํากันอยูดวยคะ?"

หทัยธราซักมาอีกทาง เพราะสงสัยอยูเนิ่นนานเต็มที

"มันมีเหตุผลอยูจริงๆ พวกเธอลองมองไปรอบตัว จะเห็นวานี่ไมใชวิมานอากาศ เรากําลังอยูกับความจริง


มีเราเปนศูนยกลางความจริง และความจริงก็มีตนสายปลายเหตุอยูเสมอ ถาหนูอยากไดคําตอบ กอนอื่น
ตองทําหนาที่จนรูจักตัวเองอยางลึกซึ้ง แลวคอยถามคําถามนี้ใหม คําตอบอยูสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง"

“พี่ชายหนูบอกวาเราเกิดมารอความตาย”

“ถาเหตุผลของการเกิดมีอยูแคนั้น ปานนี้พวกเราคงตายกันหมดแลวจะ เพราะธรรมชาตินาจะใหเราเกิด


ปุบตายปบ ไมตองมีเรื่องยุงยากยืดยาวเปลาๆ”

แลวครูสาวก็สยายยิ้มสวยดวยความรูสึกรักเด็ก และดวยความรูสึกวาชีวิตของตนเพิ่งเริ่มตน ความเปน


หลอนคือบรรยากาศที่กําลังปรากฏอยูในหองนี้ และหองอื่นๆที่จะตามมา

"เปดหนังสือไดแลวพวกเรา ยังมีหลายสิ่งหลายอยางที่นาสงสัย ถาชางคิดชางสังเกตสักหนอย เราก็จะ


พบไดในชั่วโมงเรียนวิชาจริยธรรมและหนาที่พลเมืองดีนี่แหละ เชื่อไหม?"
๔๘๔

เชาตรูอันโรยรอบดวยอากาศบริสุทธิ์เย็นสบายของวันหนึ่ง มติรูสึกตัวตื่นขึ้นมาดวยสัญญาณแหงใจรูของ
ผูปฏิบัติธรรมอยางตอเนื่อง ประสาททุกสวนทํางานเต็มสภาพ ตอบสนองความรูพรอมทั่วถึงของสภาว
จิตอันสวางไสวนิ่งแนนทรงกําลังใหญ

ดึงหลังขึ้นตั้งตรงทรงแนวโดยอัตโนมัติ สัณฐานกายตลอดสรรพางคปรากฏเปนหลักยึดสติอันไพบูลย
หนาทองขยายออกดึงลมเห็นเปนลํายาวแชมชัด บังเกิดความแชมชื่นยิ่งใหญกับสายลมหายใจที่พาลม
บริสุทธิ์เขาสูกาย

ดวงจิตขึงนิ่งเงียบเชียบและสวางรูกวางขวาง ประสาทหูรับเสียงขันคูวังเวงใจของนกเขาขางบาน จักจั่น


เรไรสีปกแซดซาตามสุมทุมพุมไมเปนครั้งคราว สดับแลวสงบเย็นดุจนั่งอยูใกลราวปาอันวิเวก หางไกล
จากความวุนวายของผูคนมาลิบลับ

ความสันโดษและมักนอยของมติชวยใหจิตใจไมซัดสายแสวงหาสิ่งอื่นนอกจากสายลมหายใจและความ
สงบสงัดเฉพาะหนา ปติสุขล้ําลึกอยูในวิหารอุปจารสมาธิอันเปนเสมือนรางวัลขั้นกลางแกผูดํารงสติ ปลีก
ตัวออกจากกามอันหยาบ พึงใจเสพแตอารมณอันประณีตเชนนี้

มติประคองจิตใหนิ่งไวเหมือนผูรักษาความเรียบของแผนน้ําดวยการปองลมมิใหกล้ํากรายเขากอคลื่น
สุดยอดแหงรสอิสระชนิดนั้นนาใคร นาเขาถึงจนแมนางนวลที่แผปกนิ่งอยู ณ อากาศสูงเหนือทะเลกวาง
ยังอาจอิจฉา

เปนเชาวันที่เจ็ดติดตอกันที่มติตื่นขึ้นรับอรุณดวยอุปจารสมาธิอันเบิกบาน ตลอดชวงระยะเวลาที่ผานมา
นี้ เขาไมคะนึงคิดเขาหาสิ่งอื่นใดเลยนอกเหนือไปจากการปฏิบัติภาวนาที่ใหรสอิ่มเอม ปราศจากขอขัด
แยง ไมตองอาศัยใครอื่นชวยใหเกิดความสมหวัง มีตัวของตัวเองเทานั้นเปนผูกอ ผูสาน และผูเขาถึง

รสปติในวิเวกจืดตัวเมื่อกระแสดึงดูดของจิตคลายลง นั่นเปนความหมายวาพลังพิเศษที่ตรึงจิตไวเสื่อม
สภาพตามธรรมดาของสิ่งปรุงแตง มติตัดความอาลัยไยดีทิ้ง ประคองไวเฉพาะความเห็นสัณฐานกาย
ตลอดรอบ พิจารณาเห็นความดับไปแลว ผานไปแลวของพลังรูสวางไสว แลวคอยลืมตาขึ้นอยางเต็มสติ
มีความนิ่งมั่นหนักแนนเปนลักษณะ มีความบางเบาปลอดโปรงโลงอกเปนรส
๔๘๕

สิ่งที่ยังคงดํารงอยูคือสภาพจิตอันทรงสติรูในขั้นขณิกสมาธิ เห็นกายออกมาจากภายในเหมือนกับที่เคย
เห็น มีลําตัวตั้งตรง มีแขนขาแยกออกเปนสี่ระยาง มีหัวตั้งอยูสวนบนสุดเปนประธาน สิ่งที่แตกตางคือ
ความคมชัดและตอเนื่อง ทั้งนี้ก็เพราะกระแสรูรวมนิ่งที่จุดเดียวตรงกลางๆแหงสํานึก ไมซัดสายเรรวน
ตามระลอกคลื่นความคิดฟุงซานเหมือนอยางสภาพจิตปกติ

ความรูในขณะแหงขณิกสมาธิยังคงเปนความรูที่ชัดกริบ ตางจากอุปจารสมาธิคือไมมีปติสุขลนหลาม
และไมมีความนิ่งรวมเปนศูนยใหญเทา คนทั่วไปที่ทํางานหนัก เพงจดจอกับงานอยางตอเนื่องเปนเวลา
นานๆจนกระแสจิตรวมนิ่ง ตางไดประจักษภาวะชนิดนี้กันมาแลวทั้งนั้น เสียแตวาความคิดหยาบยังลอง
ลอยวกวนปราศจากทิศทาง ตางจากผูบําเพ็ญภาวนาที่ตั้งใจกําหนดจับรูแมความคิดที่ผุดแผวขึ้นในหัว

เมื่อจิตอยูในสภาพพรอมรูชัด ทุกอยางที่ถูกจับลวนกลายเปนนิมิตไดหมด ดูออกวาเปนอื่นจากจิตไป


หมด

นิมิตคือเครื่องหมายของสิ่งตางๆที่เห็นชัดไดดวยจิต จะเปนเคาเงารูปทรงหรือกลุมกอนแบบใดๆก็ตาม
อยางเชนนิมิตแหงรูปกายซึ่งใจแตละคนครองอยูนั้น ปรากฏเปนนิมิตที่แตกตางกันตามสภาพจิต จิตใคร
มีสภาพรวมศูนยเขารูมากหนอยก็ปรากฏเปนหัว ตัว แขนขาครบถวนเหมือนขังน้ํานิ่งไวเต็มตลอดตัว แต
ถาสภาพจิตใครไมมีสภาพรวมศูนย ความคิดจรผุดขึ้นกอกวนใหเกิดความซัดสายอยูตลอดเวลา เมื่อ ‘รู
ตัว’ ก็รูไดนิดเดียว อาจเปนชวงหัวถึงไหล หรืออาจเปนชวงหลัง สวนใดสวนหนึ่งเทานั้น และรูไดเพียง
ประเดี๋ยวประดาว ไมตอเนื่องยืดยาวอยางขณะเปนสมาธิ

คนเดียวกันก็เห็นนิมิตกายตนเองแตกตางกันไดเพราะสภาพจิตนี่เอง ที่ตรงนั้นมติกําหนดวากายเหมือน
เดิม แต ‘สัญญา’ ตางไป

ในสภาพจิตอันรวมศูนย ตั้งมั่นรูอยางเปนกลาง แมความคิดผุดขึ้นในกะโหลกก็ถูกจับไดไลทัน ปรากฏ


เปน ‘ธรรม’ อยางหนึ่งกระทบใจ เมื่อกระทบก็เกิดความไหวรู จําไดวา ‘คิด’ ถึงบุคคล สถานที่ หรือเหตุ
การณอันใด ความจําไดหมายรูวาคิดถึงอะไรนั้นก็คือ ‘สัญญา’ อีกแบบหนึ่งนั่นเอง

เมื่อนิ่งรูวาความจํา หรือความหมายรูใดๆเกิดขึ้นแลวหายไปเปนธรรมดา จิตก็เลิก ‘ปรุงตอ’ เปนชอบ


เปนชัง เปนรัก เปนเกลียด คงไวแตลักษณะของจิตอันเปนอิสระจากความปรุงแตงคิดเห็นอยางไรๆตอ
นามธรรมละเอียดที่ผุดขึ้นกระทบจิต

อยางนี้เอง เปนไปตามทํานองอุบายของพระพุทธองค ที่ทรงใหทําไวในใจโดยแยบคาย คือเปรียบสัญญา


เปนพยับแดด เมื่อผุดความหมายรูขึ้น ก็กําหนดทราบวามีจริง แตเมื่อความหมายรูนั้นดับไป ก็กําหนด
ทราบวาหายจริง สักแตรูวาเกิดแลวดับโดยไมยึดมั่นถือมั่นดวยกระบวนการ ‘คิดตอ’

พอตามรูสัญญา เห็นเปนอื่น เปนของแปลกปลอม เปนคนละตัวคนละอันไปเรื่อยๆ ก็เหลือแตธรรมชาติ


คือจําไดแลวลืมเลือน เห็นความจําปรากฏในฐานะอะไรที่เกิดแลวดับอยางไรแกนสาร
๔๘๖

ณ จุดนั้น อุปาทานในอัตตาเคลื่อนยายจากกระแสความคิดมาอยูที่กระแสความรู ที่เฝารูความเกิดดับอยู


ดวยจิตที่ชํานาญทาง จึงสามารถสังเกตความยึดติดใหมอันละเอียดออนสุขุมยิ่ง และเมื่อยังมีอุปาทานใน
ตัวตนแฝงอยูในที่ใดๆ แมละเอียดเล็กนอยขนาดไหน ที่นั้นก็ยังไมมีการผละ ยังไมมีการละวางที่เด็ดขาด

แตก็ใกลเขาไปแลว

เมื่อคลายจากลักษณะรูละเอียดที่แยกนามออกจากนามได มติก็กลับมายึดกายไวเปนฐานรูอยางเหนียว
แนน ความคิดจรเขามาก็รูวาเกิดขึ้นในกายนี่เอง ไมปลอยใหคลาดเคลื่อนแมแตวินาทีเดียว ความรูสึก
ยามนั้นเหมือนเขามาอาศัยอยูในรูปหุนกระบอกที่วางเปลาจากตัวตน จืดชืดไรรสชาติ แมความสวางรูก็
ถูกเห็นเปนธรรมชาติอันวางเชนกัน

ขณะแหงความอุดมสติ เกิดความคมชัดทุกสัมผัส ภาพที่เห็นคมชัดเต็มคลองตา ครอบคลุมรูปทรงสีสัน


ใกลไกลกวางขวาง เสียงที่ไดยินกระทบแกวหูชัดเปรียะทุกอณูคลื่นจากทุกทิศทุกทาง แทบบอกมิติล้ํา
เหลื่อมของตําแหนงกําเนิดตางๆไดครบ

เมื่อทุกผัสสะทั้งนอกกายและในกายถูกจับรูละเอียดพรั่งพรอมตามจริงเชนนั้น มโนภาพแหงตัวตนก็
สาบสูญไป เหลือไวแตการเห็นเต็มสองตา การไดยินเต็มสองหู การแตะตองเต็มกาย กับการผุดความคิด
เปนระลอกในโพรงวางของกะโหลกชัดใจ มีตัวผูรูสถิตดูอยางเต็มตื่นในทามกลางความเคลื่อนไหวไหล
เลื่อนเหลานั้น สนิทนิ่งอยูเพียงเดียว

กําหนดรูละเอียดลงไปในสิ่งแวดลอมยามย่ํารุง ภาพหองนอนของเขากอใหเกิดความรูสึก 'เคยคุน' ขึ้นใน


ใจ เสียงวิหคนกกานอกหองกอใหเกิดความรูสึก 'วิเวกลึกซึ้ง' ฟูกนอนนิ่มพอดีที่รองรับกายนั่งกอใหเกิด
ความรูสึก 'ออนหยุนสบายตัว' ทุกผัสสะรวมกันกอใหเกิดความ ‘รูสึก’ ถึงความเปนนายมติในรางของเด็ก
หนุมอายุสิบเกาอยางชัดเจน ไมคลาดเคลื่อนเปนอื่น

รูอาการปวดปสสาวะที่ชวงทองนอย อันเกิดขึ้นเปนปกติในยามเชา เปนผัสสะแปลกปลอมอันสงความ


แรงเพิ่มขึ้นจากแตแรกที่แผวออน จิตตระหนักวามันมีความเขมขนชนะพลังรูของตน ความเขมขนของ
ผัสสะอันเปนทุกขนั้นเองเรียกกระแสอัตตาดั้งเดิมกลับมา และเห็นรูปกายที่มีใจครองนั้นเปนเขา มนุษย
ชื่อมติ

ความทุกขทางกายจากการปวดปสสาวะบันดาลความกระสับกระสายทางใจ เรงใหคิดเดินเขาหองน้ําเพื่อ
ปลดปลอยระบายออก วูบนั้นมติเห็นเปนความนาสังเวชยิ่งชนิดหนึ่งของอัตภาพมนุษย

เดินเขาหองน้ําลางหนาลางตา สติเลือนๆไปตามกระแสปรุงแตงอันเคยคุน แตโยคาวจรหนุมก็ยังคง


สําเหนียกไดถึงแรงลากจูงจากภายใน โนมนําใหกลับดิ่งสูการพิจารณาธรรม แรงชนิดนี้เองแสดงความ
แนวแนที่จะตัดตรงสูมรรคผล เพราะปลงใจวางความกังวลภายนอกแลว มุงหวังความสงบ ความบรรลุ
แจงภายในแนวแนแลว
๔๘๗

ลักษณะหนึ่งของผูเขาทางตรง ดูไดจากพฤติกรรมภายใน นั่นคือสติจะถูกดึงกลับเขาที่อยูตลอดเวลา


หายไปไดก็กลับมาใหมได ใฝใจอยูแตการทําความรู ทําการพิจารณาธรรมใหเกิดขึ้นไมเลิกรา หาก
ปราศจากพฤติกรรมภายในดังกลาวนี้แลว ก็จัดวายังไมเขาทางตรงแท ถึงแมเคยอาน เคยฟง เคยพูด
หรือกระทั่งหยั่งรูมาเทาไหรๆก็ใหถือเปนแค ‘มีเชื้อ’ ของผูปฏิบัติเพื่อความพนทุกข พนภัยสังสารวัฏราย
เทานั้น

ชีวิตประจําวันทั้งหมดของมติถูกรวมเขามากลั่นเปนธรรมใหพิจารณา แมขณะนั่งทานขาวเชาคนเดียว
เดี๋ยวนี้ ก็พยายามตามรูอาหารและน้ําที่เขาปากแตละครั้ง พบวาสติของตนขาดหายไปกับรสอาหารเสมอ
แมเอาจิตไปเกาะกับทางเขาคือปาก และปลายทางคือชวงทองที่หนวงหนักขึ้นเรื่อยๆ วางความติดใจรส
อาหารไดชั่วครู ก็ไมคงเสนคงวาเหมือนอยางพระที่ทานฉันสํารวมในบาตร

เปนตัวอยางใหเห็นวาจิตรูยังไมแกกลา เอาชนะผัสสะไมได

พอเห็นตัวเองไมเอาไหน ก็รูสึกวายังหางจากนิพพาน ทอใจขึ้นมา

นี่เปนเรื่องธรรมดา เมื่อตัวรูไมรวมศูนย ตามรูกวางขวางไมได ก็ถูกความคิดซัดสายฟุงซานเอาไปกิน ยิ่ง


พอตรึกนึกหวังเห็นธรรม เห็นอารมณใหชัดทั้งที่ยังไมพรอม กําลังจิตยังไมเหลือเฟอ ก็เกิดความทอแท
กระหน่ําซ้ํา มติคิดขึ้นมาวูบหนึ่งวานี่เขาจะตองทนปฏิบัติ ทนรักษาความรูตัวอีกนานแคไหนจึงจะไดถึง
ฝงวิมุตติ

เห็นชัดวาความหางจากนิพพานไมใชวัดเปนระยะกิโลเมตร แตวัดดวยน้ําหนักสติ

อรรถก็รูแลว ธรรมก็รูแลว ปฏิบัติก็ตรงทางแลว บางครั้งเห็นเหมือนใกลฝงแคเอื้อม แตพอจิตหลงเลื่อน


ลองลอยไมรวมศูนยเทานั้น ความรูทุกอยางก็เหมือนมลายหายหน กําลังใจหดเหี่ยว กระทั่งยังใหเกิด
ความนอยเนื้อต่ําใจในวาสนา นี่ถาหากเขาเกิดทันพระพุทธองค คงทรงพระกรุณาใชญาณรูนิสัยเวไนย
สัตว โปรดเขาดวยเทศนาธรรมอันลัดสั้นเหมาะกับจริต เพื่อใหจิตตัดตรงเขาสูความเปนมรรคเปนผล ไม
ตองทนลําบากปฏิบัติยากนานอยางนี้

พยายามจับพินิจมาที่ตัวความทอที่ปวยการเปลา และเปนธรรมดาเมื่อพินิจรูสิ่งใดก็เห็นอนิจจังของสิ่งนั้น
เหมือนมองเมฆเฉยๆสักพักก็ยอมเห็นเมฆเคลื่อนหรือเปลี่ยนรูปไป มติเห็นตัวความทอสลายหายหนไป
ณ ตําแหนงที่มันเกิดขึ้นหอหุมใจนั่นเอง

เสมือนไดทําแบบฝกหัด คราวหนาถาทออีกก็จะพิจารณาความทออยางนี้อีก ไมปลอยใหใจไหลไปตาม


กระแสความทอเนิ่นนานจนกูไมกลับ ตัวอยากไดอยากดีในระหวางการปฏิบัตินี้เอง ที่แทเปนดานขวาง
การปฏิบัติมิใหกาวหนา แทนที่จะเขยิบใกลนิพพานเขาไปกลับยิ่งดึงตัวเองหางออกมาแทน
๔๘๘

ความจริงเขาปฏิบัติมาจนรูวาระ รูรอบของการจรไปจรมาของสติเห็นธรรม ทราบดีแกใจวาตองอัดพลังรู


ใหมเปนระยะๆดวยการเขาสมาธิ จะหวังใหเกิดความทรงรูคงที่อยางพระอรหันตทานนั้น มิใชวิสัย

ความสงบใจอยูในดุลพรอมรูเปนสิ่งสําคัญ และปจจัยที่ตกแตง ปจจัยที่ตั้งใหจิตทรงนิ่ง บรรเทาความคิด


ใหออนสงบลงก็มีอยูหลายอยาง ไมใชแคอารมณสมาธิอยางเดียว ความสงบอาจเกิดขึ้นจากการอาน
หนังสือธรรมะที่มีขอความกลอมเกลาใหเยือกเย็น อาจเกิดขึ้นจากการหลีกเลี่ยงไมเอาตาไปดู ไมเอาหูไป
ฟงเครื่องกวนกิเลส รวมทั้งอาจเกิดขึ้นจากการประมาณในอาหาร ไมบริโภคเปรี้ยวหวานมันเค็มลอลิ้น
และไมยัดทะนานจนอิ่มแปรแพน้ําหนักอาหารในทอง

มติตัดใจทานของคาวนอยกวาที่เคย อีกทั้งงดของหวาน ดื่มน้ําเปลามากหนอยเพื่อหลอกกิเลสวาหนัก


ทองแลว เพียงพอแกความตองการแลว

กลับมาที่หอง พิจารณาวากําลังอิ่ม กิจที่สมควรทําคือเดินชวยยอยอาหาร และการเดินยอยอาหารที่พระ


อริยบุคคลย่ําเทานําไว ก็ไมใชสักแตกาวเรื่อยเฉื่อย ปลอยใจทอดหุยใหเวลาลวงสูญไปโดยเปลา แตละ
กาว แตละจังหวะตองมีสติกํากับ เพื่อเลื่อนความรูจากหยาบไปสูละเอียด

มติกําหนดเสนทางเดินอันแคบจํากัด เมื่อกาวแบบสั้นก็วัดเปนเสนตรงไดประมาณสิบกาว เอามือไพล


หลัง ยืนตรงปลอยน้ําหนักตัวทั้งหมดลงมาที่ฝาเทาทั้งสองอยางไดดุล เพื่อใหผัสสะอันแนบสนิทระหวาง
ฝาเทากับพื้นเรียบปรากฏตอความรับรูแจมชัด

กําหนดใจไวเหมือนจะหยอนอารมณดวยการเดินเลนสบายๆ ตางกับเดินเลนนิดเดียวที่ใจจอรูอยูแตฝา
เทาที่เตะไปขางหนาแลวคอยวางเหยียบลงสนิทกับพื้นอยางนุมนวล เทาที่ไมเกร็งนั้นเองพาใหใจนุมนวล
และรับผัสสะไดไว โยคาวจรหนุมเริ่มยางเทาไมชาไมเร็วเหมือนเดินทอดนองหลังทานขาวธรรมดา
จังหวะที่สม่ําเสมอคงที่นั้นเองพาใหใจจับจังหวะถูกและมีความคงเสนคงวาไปดวย

จากตนทางถึงปลายทาง มติลงกาวสุดทายดวยเทาขวา แลวลากเทาซายตามมาประกบเสมอกันเพื่อตั้ง


หลักรูเต็มฝาเทาอีกครั้ง แลวหมุนตัวแบบขวาหัน รูเฉพาะเทาที่พาหมุน พักเทาเสมอกัน กอนจะหมุน
แบบขวาหันอีกครั้ง เปนอันกลับหลังสมบูรณโดยประคองความรูเทาไมคลาดเชนเดิม จากนั้นหยุดตั้ง
หลักรูที่สองเทาใหม กอนกําหนดใจสบาย เริ่มออกเดินโดยไมลืมความชัดที่ฝาเทาอันเดิม ตอเนื่องจาก
ผัสสะระหวางหยุดตั้งหลัก

ตั้งคอ มองตรงไปขางหนา ไมกมลงดูเทา เพราะทราบดีวาถาเห็นเทาแมดวยหางตา ภาพเทาจะแยง


อาการรูจากใจไปบางสวน อีกอยางการกมลงจะทําใหเมื่อยคอในระยะยาว

การเดินจงกรมนั้น อุปสรรคที่เปนมากคือถูกสายตาดึงความสนใจไปดูภาพขางหนาแทน การกําหนดทาง


เดินไวเปนเสนตรงตายตัวจึงนับวามีความสําคัญมาก เพราะเมื่อไมตองพะวงวาจะเดินไปชนสิ่งกีดขวาง
หรือไม ใจก็ปกลงไปกํากับการยางเหยียบซายขวาไดอยางเต็มที่
๔๘๙

กระทั่งสามรอบผานไป เมื่อจิตจออยูกับจังหวะเทากระทบตอเนื่อง แตละครั้งที่เหยียบแนบพื้น จะปรากฏ


เปนรูปรอยเทาใสตอใจอยางตอเนื่อง อันสะทอนถึงจิตเองที่กําลังใสเบา ก็รูตัววานั่นเปนการได ‘สมถะ’
หรือธรรมอันเปนเครื่องสงบระงับ ทําใหเครื่องขวางทางภาวนาคือความอยากในกาม ความพยาบาท
ความหดหูงวงงุน ความฟุงซาน และความลังเลสงสัยในการดําเนินจิต ตางหายหนลับลวงหมดสิ้น พรอม
ที่จะตอยอดใหจําเริญขึ้นเปน 'วิปสสนา' แลว

มติพิจารณาวาจิตที่นิ่งอยางมีคุณภาพนั้นเองเปลี่ยนความรับรูเกี่ยวกับเทา รูปเทาชัดขึ้น กับทั้งเห็นทั่ว


ขึ้นมาทั้งขา ตอมาก็รูตลอดพรอมครอบคลุมถึงกะโหลกอันเปนสวนยอด เปนการรูเองโดยมิไดกําหนด
ถอนจากสติรูเทากระทบอันเปนหลักแตอยางใด และนั่นเองคือการเปลี่ยนของสัญญา เทาเหมือนเดิม แต
ความรูตัวพัฒนาขึ้น สัญญาเกี่ยวกับเทาก็แปรตาม นับเปนการเห็นความไมเที่ยงของสัญญาอยางหนึ่ง

เขาตามรูเทากระทบไปตามปกติ แตจิตก็พิจารณาในขณะรูกระทบแตละครั้งนั้นเอง คือสักแตเปนความ


หมายรูวาเทา สติอยางหนึ่ง เทาก็ปรากฏอยางหนึ่ง สติอีกอยางหนึ่ง เทาก็ปรากฏอีกอยางหนึ่ง

กระทั่งจิตลวงเขาสูความรูธรรมชาติแหงสัญญาลวนๆ เมื่อ ‘ธรรม’ อยางหนึ่งผุดขึ้นกระทบใจ เหมือนพวย


น้ําที่ผุดขึ้นกลางความวางเปลา แลวเกิดการแปลความหมายขึ้นสูสํานึกวาเปนมโนภาพสวยหวานของแพ
ตรี กระแสสติขาดหาย กลายมารวมวูบเขากับมโนภาพนั้น กอกระแสรูสึกพิศวาสระคนเจ็บยอกชอกช้ํา

สติยังเฉียบคม จึงทราบชัดวาอาการจําไดหมายรูเกิดขึ้นกอน อาการยอกในอกตามมาทีหลัง เรียกวา


สัญญาเกิดขึ้นแลวไมถูกรูวาเปนเพียงสิ่งเกิดแลวดับเหมือนพยับแดด แตสัญญาเกิดแลวมี ‘สังขาร’ มา
ปรุงแตงจิตเปน ‘คิดตอ’ แลวเกิดทุกขขึ้นมา

กอนที่จิตจะจมตัวลงกับมโนภาพมากกวาที่เปน ความรูสึกในกายที่เคลื่อนไหวก็ถูกดึงกลับคืนมา เห็น


สัณฐานกะโหลก ลมหายใจเขา อาการพะเยิบพะยาบของชวงซี่โครง และการยางเทากาวเดิน จิตไดนิมิต
ใหญกลบเกลื่อนนิมิตพิศวาสดวยเวลาอันรวดเร็ว เห็นภาพแพตรีเปนเพียงระลอกคลื่นชนิดหนึ่ง ที่จิต
กระเพื่อมตัวขึ้น และถูกจับรูออกมาจากภายในของจิตเอง

ผุดความคิดอีกระลอกหนึ่ง เห็นเหมือนเกลียวน้ําวนพรางพรายในโพรงกะโหลก เหมือนไดยินเสียงคนอื่น


เสียงคลื่นลมอันปราศจากหนาตาพูดขึ้นในหองวาง

‘อยูคนเดียวดีแลว’

เมื่อเกิดคําพูดกับตนเองเชนนั้น สิ่งที่ตามมาคือความรูสึกยินดีปรีดากับความสันโดษแหงตน สติก็รูตอ


อยางละเอียดวาเกือบเผลอยึดมั่นไปกับความยินดีปรีดานั้น เกือบเสียความเปนกลางในอาการรู

ตัวรูกระจางไสวขึ้นทุกขณะ สองสวางเอกาอยูตรงกลางการสัญจรเขามาแลวจากไปของความคิดระลอก
แลวระลอกเลา ไมเปดชองใหความคิดใดเขาคลุกเคลากับตัวรูเลย รูในทันทีที่ความคิดเกิดขึ้นวานั่นไมใช
๔๙๐

ตน ความคิดเปนเพียงอาการกระเพื่อมของจิตเทานั้น เห็นกระทั่งแยกไดวาอาการใดคือสุขทุกข อาการ


ใดคือสัญญาอยางเดียว อาการใดคือผุดสัญญาแลวมีการรับชวงเปนกระบวนการคิดอานปรุงแตงตอ

จอจิตกับอารมณใหญนานพอจะรวมดวง ก็เหมือนไฟอนัตตาลุกทวมกายอันปรากฏเปนเพียงธาตุแข็ง
ทรงรูป ดูสวางโพลนเต็มตัว ฉายชัดอยูกับจิตที่ตั้งหลักรูจากกลางอก เห็นกระดูกฉาบเนื้อที่สักแตเคลื่อน
ไหวไป สวนใจก็ปรากฏเปนเพียงแสงรูกับรสอุเบกขาแหงตนเอง จัดเปนฌานอันเกิดแตวิปสสนา เรียกวา
‘ลักขณูปนิชฌาน’

อุปาทานในระดับละเอียดเกิดขึ้นอีก คือเห็นผูรูเปนตัวตน เปนผูเฝาดูอยูตรงกลาง เพลินอยูกับความเปน


เชนนั้นเนิ่นนาน ไมมีความพยายามแกะออก เพราะไมมีตัวเทาทันวานั่นคือเยื่อใยอันละเอียดของ
อุปาทานในอัตตา

กระทั่งเกิดความเหนื่อยลาหลังจากเดินจงกรมไดนานนับชั่วโมง มติจึงคิดผอนพัก ลงเอนหลังกับที่นอน


ครูหนึ่ง วางตัวราบจนรูสึกวากลามเนื้อหยอนจากหนักเปนเบา คลายความเมื่อยลง จึงดึงตัวขึ้นนั่งกอน
ทาเอนพักจะสะกดใหเผลอผล็อยหลับลง

ความงวงคืบคลานเขาหอหุมจิตใจ กายเหมือนสงสัญญาณเรียกรองใหเอนกลับลงไปใหม คลายคน


ตะโกนวาสักงีบนา! สักงีบนา! มติวางเฉยกับเสียงกิเลส ใสใจกับเสียงสติแทน เขาจอจิตดูความงวงที่
ปรากฏเหมือนแรงดันกดจิตใหหมดกําลังวังชา ดูไปเรื่อยๆโดยปราศจากการพยายามตอตานหรือตอนรับ
มันกินเวลายาวนานเหมือนเดินฝาหมอกทึบนาอึดอัดเปนทางไกล

แตแลวในที่สุดความงวงก็ปรากฏกับจิตเปนแรงดันที่ลดตัวลง คลายความกดลง จิตเหมือนเปดวางออก


ชั่วขณะเพราะถูกปลดปลอยออก มติกําหนดดูความคลายงวงนั้นครูหนึ่ง ก็เห็นแรงกดหนวงๆวกกลับมา
อีก กลายเปนความงวงที่เรียกรองใหเอนหลังอีก ทวาคราวนี้นอยกวาหนแรกอยางเห็นไดชัด

ตามดูความกดเขาและคลายออกอยูหลายรอบ แรงกดของความงวงนอยลงทุกที ขณะที่อาการคลาย


เหมือนทวีขึ้นเปนลําดับ กระทั่งในที่สุดมีแตความคลาย ตื่นรูแจมใสเต็มดวงเหมือนเพิ่งตื่นนอน

พิจารณาความงวงกอนเวลาอันควรเชนนี้ นอกจากจะเปนการสั่งสมความรูเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


แลว ยังไดกําลังจิตเพิ่มขึ้นเพื่อใชสูกับกิเลสชนิดตางๆมากยิ่งๆขึ้น

คิดหาอะไรทําคั่นจังหวะกอนอัดพลังรูดวยสมาธิรอบใหม มานั่งสํารวจตั้งหนังสือบนโตะเล็กที่ยังไมได
อาน เลือกเลมหนึ่งซึ่งยืมมาจากเพื่อนสนิทใกลบาน ขนาดพอดีมือแบบบาง ครึ่งปกซีกขวาเปนรูปวาดผา
สูงในแบบศิลปะของชาวตะวันออก ครึ่งปกซีกซายเปนชื่อหนังสือลายหวัดวา ‘น้ําชากนถวย’ เลียนอักษร
จีน โดยมีชื่อผูเขียนกํากับคือ ‘สมภาร พรมทา’ เปนฉบับพิมพครั้งแรกตั้งแตป 2527
๔๙๑

มติอานบทบอกกลาวคราวๆเพื่อทราบความเปนมาของผูเขียน และความเปนมาของหนังสือซึ่งเกี่ยวกับ
นิกายเซน สิ่งที่นาสนใจคือการประกาศวานั่นเปนหนังสือเซนที่เขียนอานงาย ไมเปนวิชาการ พอดีกับ
ความตองการหาเรื่องสบายๆมาคั่นจังหวะปฏิบัติของเขา

มติเคยอานเรื่องราวและคําสอนของเซนมาบาง โดยความรูสึกสวนตัวแลวไมไดเปนลบหรือเปนบวกชัด
เจน ตระหนักเพียงวาถาหลักปฏิบัติของเซนไดผลจริง ผูสอนตองเขาถึงธรรมมากอน และมีความหยั่งรู
ลึกซึ้งที่จะสะกิดศิษยใหเห็นธรรมตามในจังหวะเหมาะที่สุด

แตสํานวนของผูเขียน ‘น้ําชากนถวย’ ก็ทําใหบรรทัดตอบรรทัดไหลรื่นเหมือนนั่งคุยกับใครสักคนที่เลา


เรื่องเกงและชางถอมตัว นั่นทําใหมติอยากรับรูเนื้อหาของเซนในฐานะผูใฝศึกษา แมไมแนใจนักวาแกน
ของเซนจะเขากับจริตตนหรือไม

เมื่อเริ่มเขาเนื้อหาบทแรก เปนการโปรยความเปนมาเกี่ยวกับเซนที่เริ่มเขามาในไทย ซึ่งก็ถูกคัดคานจาก


กระแสอนุรักษอยูบาง เขาสูยุคซบเซาบาง กระทั่งฟนฟูกลับมาติดตลาดหนังสือกลายเปนวรรณกรรม
แนวหนึ่งไปในที่สุด

เขาเนื้อหาบทที่สองกลาวถึงสมัยที่ผูเขียนยังเปนเณรนอย และอานหนังสือเกี่ยวกับเซน จับความไดไม


ชัดนัก กระทั่งตอมาเรียนประวัติพุทธศาสนา รูเรื่องราวและหลักธรรมของลัทธิมหายานมากขึ้น จึงจับ
สาระของนิกายเซนได เชนเนนการเขาถึงธรรมเปนหลัก และปรับพระวินัยใหสอดคลองกับความเปลี่ยน
แปลงของยุคสมัย ถือโอกาสที่ครั้งหนึ่งพระพุทธองคเคยตรัสไวจริงๆวาหากพระสงฆสาวกปรารถนาจะ
ถอนสิกขาบทวินัยเล็กๆนอยๆที่ขัดกับกาลสมัย ก็ใหถอนได

ถึงตรงนี้มติเริ่มมีความคิดโตตอบกับความเปนเซน เห็นวาผูถือสิทธิ์ปรับเปลี่ยนพระวินัยนั้น หากซื่อ และ


มีคุณธรรมสูงสงก็ดีไป แตเมื่อไหรผลัดมือมาเปนสิทธิ์ของคนใจคด เชนนึกอยากมีลูกเมียก็ปรับจากอาบัติ
ปาราชิกเปนโทษเบา หรือเปลื้องจากโทษลงสิ้น อยางนี้ความวอดวายของพุทธศาสนาก็ตั้งตนขึ้นที่นั่น
ดังปรากฏมาแลวในประเทศเกาหลี ชาวบานที่ปราศจากความรูลึกซึ้ง จะไมมีทางแยกแยะไดเลยวาอัน
ไหนถูกอันไหนผิด ใครยังเปนพระในธรรมวินัยของพระพุทธองค หรือเปนเพียงฆราวาสในคราบผา
เหลืองที่สําคัญตนวาเปนพระ

ชวงทายบทเปนการกลาวถึงวิธีการที่พระนิกายเซนชอบใช นั่นคือลงไมลงมือประกอบการตอบคําถาม
เพื่อสะกิดใหใครบางคนเกิดความรูแจง ตัวอยางเชนเมื่อพระนิกายเกาสวนกับพระนิกายเซนขณะเดินบน
สะพานขามสองฝงแมน้ํา พระนิกายเกาทําทีถามเปนปริศนาธรรมวาแมน้ํานี้ลึกเทาไหร สอนัยคือ ‘เซน
นั้นลึกซึ้งแคไหน?’

พระเซนไดยินเชนนั้นก็ตอบดวยการผลักพระนิกายเกาตกลงไปในน้ํา แลวบอกตามหลังวาอยากรูก็ลงไป
วัดเอาเอง สอนัยสวนกลับคือ ‘ถาตองการทราบเรื่องเซนก็ตองลองปฏิบัติเซนดู’
๔๙๒

นอกจากนั้นผูเขียนยังสาธิตตนเองประกอบวาสมัยยังเด็ก จําชื่อในหลวงรัชกาลที่สามไมได คุณครูจึงหา


อุบายดวยการเรียกไปคุกเขาหนาชั้น แลวใหเพื่อนนักเรียนอีกคนไปขี่คอ พรอมกับสั่งใหจําไว วารัชกาล
ที่สามชื่อพระนั่งเกลาฯ อันเปนผลใหผูเขียนไมลืมอีกเลยชั่วชีวิต

จบบทดวยขอสรุปในใจมติที่วา ถาสาธิตใหเห็นแจงเห็นจริงถูกคนถูกเวลา ก็จะเกิดการเรียนรู หรือเกิด


ความจําติดทนถาวรไดจริง

เขาเนื้อหาบทที่สาม

ขึ้นตนดวยคําถามวาเซนคืออะไร?

เบื้องแรกกลาวถึงที่มาของคําวา ‘เซน’ คือ ‘ฌาน’

จากนั้นกลาววาที่ยุคแรกเซนมาจากคํานี้เพราะไมเนนศีลกับปญญา เนนการทําสมาธิเปนหลัก เทาที่มติ


ทราบมา เซนเนนการสะกิดใหเกิดตัวรูหลังจากผานการเพงสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนพรอมพอ จึงเขาใจเนื้อหา
สวนนี้เปนอยางดี เซนเหมือนจะลัดทาง ไมนําพาศีลและปญญาในเชิงปฏิบัติแนวเกาเชนสติปฏฐานสี่
จริงๆ มุงเอาตัวรู ตัวบรรลุกันลูกเดียว

เกิดคําถามขึ้นมาวาถาจิตไมมีศีลและปญญากํากับ อะไรจะเปนหลักประกันวาทําๆไปแลวไมเขารกเขา
พง?

หนา 32 กลาวอางถึงการเขาถึงธรรมอยางฉับพลันซึ่งบันทึกไวจริงในพระคัมภีร เนื้อความในหนานั้นมี


อยูวา

มีพระสูตรอยูสูตรหนึ่งชื่อ พาหิยสูตร เลาเรื่องเอาไววามีชายหนุมคนหนึ่งชื่อ


พาหิยะเบื่อหนายชีวิตหนีออกจากบานไปประพฤติพรตเปนนักบวชแสวงหา
สัจธรรม แสวงหาอยูนานก็ไมพบสิ่งที่ตนเองมุงหวัง จนวันหนึ่งไดขาววามี
ศาสดาพระองคหนึ่งชื่อโคตมะเปนผูมีปญญาชี้ทางหลุดพน พาหิยะทราบขาว
ก็รีบเดินทางไปเฝาพระพุทธองคดวยความกระวนกระวาย ทางเดินไกลแค
ไหน ลําบากเหนื่อยลาอยางไรก็ไมคํานึงถึง รีบรุดทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อไป
เฝาพระพุทธองค

จนเชาวันหนึ่งพาหิยะก็มาถึงเมืองที่พระพุทธเจาประทับอยู เวลานั้น
พระพุทธองคพรอมพระสาวกกําลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตอยู พาหิยะก็รีบตรง
เขาไปหาพรอมกับออนวอนใหพระพุทธองคแสดงธรรมใหฟง
๔๙๓

อานถึงตรงนี้จิตของมติบังเกิดความตื่นตัวสวางไสว ปติยินดีดวยกับวาสนาของทานพาหิยะ ที่ไดมีโอกาส


เกิดรวมสมัยกับพระพุทธองค กับทั้งมีความวิริยะอุตสาหะรีบรุดไปเขาเฝาโดยไมเห็นแกเหน็ดเหนื่อย
พลอยทําใหมีใจโสมนัสราวกับตนเอาชีวิตเขาแสวงหาพระผูตรัสรูตามทานพาหิยะ และประสพความ
สําเร็จ พบพานพระองคจนได
สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของมติลําดับนั้นคือความปรารถนารูธรรมจากพระพุทธองคอยางแรงกลาเทียบเทากับ
ทานพาหิยะ ดีใจและสําคัญวาตนอยูตอเบื้องพระพักตรจริงๆ รอสิ่งที่พระองคจะตรัสอยูจริงๆ จึงอานขอ
ความถัดมาดวยใจเพงแนวเปนหนึ่ง

พระพุทธองครับสั่งวาเวลานี้เปนเวลาบิณฑบาต ไมใชเวลาแสดงธรรม หาก


พาหิยะตองการฟงธรรมใหไปที่อาราม เมื่อถึงเวลาแลวจะไดฟงเอง

พาหิยะกราบทูลวาชีวิตคนเราเปนสิ่งไมแนนอน จะตายเมื่อไหรก็ไมอาจ
พยากรณได เวลานี้เขามีโอกาสไดเฝาแทบพระบาทของพระพุทธองค นับ
เปนโชคอยางยิ่งขอพระองครีบแสดงธรรมแกเขาเถิด

พระพุทธองคเห็นพาหิยะแสดงเหตุผลเชนนั้นจึงรับสั่งสั้นๆเปนเทศนาธรรม
วา “พาหิยะ ถาอยางนั้นเธอจงปฏิบัติตอสิ่งรอบกายเพียงสักแตวามันเปน
อยางนั้น เมื่อเธอไดยินเสียง ก็จงสักแตวาไดยิน ไดเห็นก็สักแตวาเห็น อยา
ยึดมั่นวามันเปนตัวตน”

ดุจพระพุทธองคทรงตรัสเอง ไดยินจริง จิตขามพนจากการอาน เขาสูภาวะอันเปนกลาง หยั่งรูสภาพ


ธรรมอันเปนปจจุบันที่ปรากฏในชั่วขณะนั้น

เกิดปรากฏการณในระดับความเขาใจ จินตนาการถึงการไดยินวาเปนสิ่งกระทบหูแลวเกิดความรูเสียงขึ้น
ในใจ ไมใชตัวตน ตัวคิดที่ตามมาก็ไมใชตัวตนไปดวย ความรูสึกในตัวตนเชนในบัดนี้ เดี๋ยวนี้ จึงเปนแค
ของหลอกชั่วขณะหนึ่งๆที่ยังมีลมหายใจ

พื้นยืนของตัวตนคือตาหูก็ถูกทําลายทิ้ง พื้นยืนของตัวตนคือความคิดอานก็ถูกทําลายทิ้ง ทุกอยางดูโลง


วางไป เหลือแตสภาวธรรมเห็นสภาวธรรม

ถัดจากนั้นจึงเกิดปรากฏการณในระดับของสภาวจิตซึ่งอบรมไวแกรอบ อุปาทานแมที่แฝงอยูในตัวรูอัน
ละเอียดก็ถูกทําลายลง เพราะสภาพรูขณะนั้นก็ปรากฏตอตนเองเปนเพียงสภาวธรรมหนึ่ง เมื่อเหลือแต
๔๙๔

สภาวธรรม ก็หมดความเปนตัวตน ที่ยืนของอุปาทานในอัตตาวางหายไปทั้งหมด เขาถึงภาวะปฏิบัติตอ


สิ่งรอบกายเพียงสักแตวามันเปนอยางนั้น วางเปลาไรแกนสารและการผลิตภาษาคิดอานอยางสิ้นเชิง

จิตแนวเปนภาวะรูความวางถึงที่สุด ตีจาก ตัดความเห็นอะไรๆทั้งหมดเปนตัวเปนตน ดิ่งไปในความเชื่อ


มั่นวาสิ่งที่พระพุทธองคตรัสตองถูกตองจริงแทแนแลว

วูบลงพักตัวนิ่งกลางอก และคลายเกิดน้ําวนที่นั่น ดับจากสํานึกลงชั่วขณะ

แลวปรากฏการณอันเปนที่สุดในชีวิตครั้งแรกก็อุบัติขึ้น ธาตุรูสวางไรประมาณผุดโพลง พลุงโพลงพน


อายตนะหยาบ ทุกสิ่งหายหนไปหมดแมกําลังลืมตา ไมเหลืออะไรเปนที่กําหนดหมาย ไมมีอะไรเปน
เครื่องบอกวาสิ่งนี้คือภาวะหรือไรภาวะ มีแตความรูอันบริสุทธิ์ปราศจากขอเปรียบเทียบวานาพึงพอใจ
ปานใด

คางนิ่งในความวางอยางอุกฤษฏชั่วครู กอนสํานึกถูกดึงกลับมาอยูในกายอันเห็น ไดยิน และสัมผัสตาม


เดิม เกิดจิตยิ้มรูเบิกบานปราศจากขออธิบาย ไมมีขอกังขาเคลือบแคลง หยั่งทราบและบอกตนเองวาที่
เกิดขึ้นนั้นคือพระโสดาปตติมรรค พระโสดาปตติผล!!

รอยยิ้มอันเกิดจาก ‘จิตยิ้ม’ นั้นสดใสและใหมเอี่ยมสาดสวางในความรูสึกเต็มตน เต็มดวง แสงที่ผุดโพลง


ขึ้นนั้นไมใชอาการเห็นนิมิต ไมใชโอภาส ไมใชการควบกระแสรวมเปนสมาธิสามัญ แตเปนการผุดแสดง
ตัวของธาตุรูบริสุทธิ์ที่ไมเคยแปดเปอนมลทินใดๆ และตัวที่เห็นก็คือธาตุรูโดยตัวเอง มิใชผูเฝามองอื่นอัน
เปนภายนอก

สวนความวางอันเปนอารมณละเอียดขั้นสูงสุดที่จิตทะลุรูปนามออกไปรู ธรรมชาติอันพนภาวะและอ
สภาวะนั้น ไมอาจกําหนดวามีศูนยกลางตรงไหน ขอบเขตสิ้นสุดอยูที่ใด แมความหมายรูทิศซายขวา
หนาหลัง บนลาง ก็ไมปรากฏเลย เปนธรรมชาติอันนาตื่นตะลึงอีกระนาบอันเปนตางหากจากกาย ความ
รูสึกนึกคิด และสัญลักษณแหงความเปนตัวตนใดๆ

ธรรมชาตินั้นมีอยู จึงถูกรูได ธรรมชาตินั้นเปนเอกภาวะปราศจากคูสองเทียบเคียง จึงมีความเปน


สัมบูรณในตนเอง ธรรมชาตินั้นพนจากสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป จึงปราศจากเวลา ปราศจากการ
เปลี่ยนแปลง

ธรรมชาตินั้นคือนิพพาน!

อาการทบทวนภาวะความเปนโสดาบันที่เพิ่งอุบัติขึ้นนั้น ไมตองอาศัยการอางอิงจากใครบอก ไมตอง


สรางภาพไวลวงหนาวาจะเปนอยางนั้นอยางนี้ มรรคผลคือปรากฏการณธรรมชาติที่พรอมจะเกิดขึ้นกับ
๔๙๕

ปจเจกชนคนใดก็ได ที่กระทําเหตุไวเหมาะควร เหมือนเชนถาสงแรงดันน้ําไวเพียงพอ ก็จะสงลําน้ําผุด


พลุงขึ้นเปนสายน้ําพุ หรือเหมือนดอกบัวเมื่อพรอมเต็มที่ ก็จะเบงบานพนน้ําไดเอง

สภาพทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเปนเรื่องละเอียดออนลึกซึ้ง เมื่อธาตุรูหลุดพนจากการหอหุมของสังขารหยาบ
เชนกายและความรูสึกนึกคิด ก็ปราศจากสิ่งใดเทาธุลีคลุกเคลาปรุงแตง สามารถเห็นประจักษชัดวาไมมี
อัตตาในที่ใดๆเลย มีแตสภาวธรรมที่เปลี่ยนไดเชนกายและความรูสึกนึกคิด กับสภาวธรรมที่เปลี่ยนไม
ไดคือธาตุรูอันเดิมแท ไมเคยเกิดตายตามกายและวิญญาณในภูมิตางๆ

และที่สุดคือประจักษธรรมชาติระดับสูงสุด ที่อยูเหนือรู เหนือสวาง ดุจมหาสมุทรแหงความวางอันนาฉงน


เหนือจินตนาการใดๆหยั่ง เพราะจินตนาการเเปนเพียงการปรุงแตขอมูลที่สั่งสมมาของจิตในระหวางทอง
เที่ยวอาศัยครองรูปธรรมนามธรรมอันมีเหลี่ยมทรงเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป แตนี่เมื่อพนจากรูปนาม เหลือ
เพียงภาวะรูอันเปนเอก ประจักษธรรมอันอยูคนละระนาบแมกับจิตเอง ก็พบกับอะไรอีกอยาง ที่รูปนาม
ใดๆก็ตามไปไมถึง

มหาสุญตานั้นมอบความรูจริงวาอะไรที่เปลี่ยนไดก็เพราะมีความปรุงแตง มีความบีบคั้นใหสิ้นสุดภาวะ
หนึ่งๆ อะไรที่เปลี่ยนไมไดก็เพราะปราศจากการปรุงแตง ปราศจากการบีบคั้นใหสิ้นสุดสภาพ สมดังที่
พระพุทธองคตรัสไวในธาตุวิภังคสูตรความตอนหนึ่งวาสิ่งที่เปลาประโยชนเปนธรรมดานั้นเท็จ สิ่งที่ไม
เลอะเลือนเปนธรรมดา ไดแกนิพพานนั้นจริง

อุปาทานในอัตตาเกิดขึ้นอยางมั่นคง แนนเหนียว หอหุมจิตมิด ทั้งที่สภาพตางๆฟองอยูวามีการเลื่อน


ไหลปรับเปลี่ยนทุกขณะ แตจิตก็ไมเห็น ไมรับรู เพราะปราศจากสภาพพรอมพิจารณา คนทั่วไปแม ‘คิด
ได’ แบบวูบๆวาบๆวาชีวิตนั้นไรแกนสาร เกิดมากอบโกยชั่วขณะหนึ่ง เพื่อตายไปจากทุกสิ่งที่กอบโกย
มาได สุขทุกขแลวเลอะเลือนรางราอยางเปลาประโยชน

ยิ่งกวานั้นยังยากนักที่จะทราบวาสภาพอันไมเลอะเลือนเชนนิพพานมีอยู เพราะไมรูทางปฏิบัติใหจิตหลุด
ออกจากความผูกมัดยึดมั่นในสภาพปรุงแตงเสียได

สังสารสัตวเวียนเกิดเวียนตายดวยกิเลสที่ผูกมัดไว หอหุมธาตุรูเดิมแทเอาไว เปรียบไดกับบุรุษที่ถูกโซ


ลามไวสิบเสน เรียกวา ‘สังโยชน’ จะคิดตัดดวยเจตนาหรือกําลังจิตธรรมดาไมได ตองใชไฟลางซึ่งเกิด
จากการที่ธาตุรูโพลงขึ้นเบิกบานตามลําดับ

พิจารณาสังโยชนเปนเครื่องผูกรอยรัดทีละเสนไดแก

1. สักกายทิฏฐิ คือความเห็นภาวะใดๆเปนตัวเปนตน เพลิงโสดาปตติผลผลาญไดขาดสูญ เพราะ


ธาตุรูแสดงตนเองชัดเจนแจมแจงปราศจากขอกังขา แมตัวธาตุรูเองก็ไมใชตัวตน เพราะไมปรุงแตงดวย
อัตภาพ ไมจําเปนตองถูกปรุงแตงดวยความคิดใหเกิดการแบงแยกเราเขา เมื่อใดจิตของพระโสดาบัน
๔๙๖

ถอยเขาไปจออยูกับสภาพรูของตนเอง หลบพนจากการหอหุมดวยความนึกคิด เมื่อนั้นก็เห็นจิต


ปราศจากสักกายทิฏฐิอยางแจมแจง

2. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย เพลิงโสดาปตติมรรคผลาญไดขาดสูญ ไมตองเถียงกับใคร หรือลังเล


กับตนเองแลววาพระพุทธเจารูอะไร สอนอะไร ความขาดสิ้นของวิจิกิจฉานี้มิใชวากันเฉพาะในชาติ
ปจจุบัน แมเกิดใหมในอัตภาพใหม ก็ไมมีความสงสัยอีกวานิพพานเปนเรื่องหลอกหรือของจริง เหตุ
เพราะเมื่อจิตนิ่งเปนสมาธิเมื่อไหร ก็จะเห็นความเปนธาตุรูที่วางสนิทจากอุปาทานในตนเอง ทราบชัดวา
ไมมีอัตตาอยูในที่ใดๆเลย แมเปนพระโสดาบันองคสุดทาย เกิดใหมในที่ที่ไมเหลือใครไวยืนยันเกี่ยวกับ
ความเปนอนัตตาของสรรพสิ่งก็ตาม

3. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต เพลิงโสดาปตติมรรคผลาญไดขาดสูญ ผูเปนโสดาบันเขา


กระแสพระนิพพานแลว จึงทราบทั้งพฤติกรรมทางกายภายนอกและทางใจภายใน วาทําอยางไรเปนเหตุ
สอดคลองใหเกิดมรรคผล ฉะนั้นถาใครหวานลอมเชนบอกวาฆาแพะบูชายัญแลวจะขึ้นสวรรค ถวายสิ่งมี
คาใหใครแลวจะไดไปนิพพาน หรือกระทั่งถือศีลใหบริสุทธิ์แลวจิตจะบริสุทธิ์ตามนั้น เปนอันวาไมมีทาง
เชื่ออีกแลว

สังโยชนสามขอแรกคือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสนี้ แมเปนตางหากจากกัน ก็มี


ความโยงใยเปนลําดับแกกัน เมื่อสักกายทิฏฐิขาด ก็ยังผลใหวิจิกิจฉาขาด และพลอยใหสีลัพพตปรามาส
ขาดหายตามไปดวยตลอดสาย

อยางไรก็ตาม เมื่อจิตของโสดาบันอริยบุคคลถูกหอหุมดวยความคิด ก็จะแสดงอนุสัย หรือกิเลส


ที่นอนเนื่องในขันธสันดานได กลาวคือจิตยังอาจขุนดวยราคะ โทสะ โมหะอันเปนตนรากแหงการเกิดกอ
รูปนาม พฤติกรรมทั่วไปอาจคลายคนธรรมดาที่ทํามาหากิน มีเหยามีเรือนไดทุกประการ ตางกันก็คือ
ราคะ โทสะ โมหะจะกอตัวขึ้นหนาทึบขนาดบันดาลใหมีเจตนาเลวราย เบียดเบียนตนเองและผูอื่นไมได
จิตไมเอาเอง ลอมกรอบตนเองอยูในศีลธรรมเอง เรียกวาเปนผูมีอริยกันตศีลโดยธรรมชาติ

สรุปคือ 'เชื้อกิเลส' ของโสดาบันอริยบุคคลไมไดลดลงเลย แตประจักษนิพพานแลว ลิ้มรสอัน


เหนือรสใดๆแลว เขาใจภาวะแตกตางระหวางมีกับไมมีรูปนามเครื่องเลี้ยงทุกขแลว เรียกวาอยูในกระแส
นิพพาน เที่ยงที่จะถึงความเปนอรหันตในวันหนึ่งขางหนา ระหวางยังไหลไปตามกระแสนิพพาน ก็ยัง
ตองปฏิบัติธรรมเพื่อละสังโยชนลําดับอื่นๆอีกคือ

4. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ เพลิงโสดาปตติมรรคยังผลาญไมได เคยชอบใจเพศตรงขาม


อยางไรก็ยังเปนอยูไดอยางนั้น สังโยชนขอนี้แมเพลิงสกทาคามิมรรคอันเปนไฟลางกิเลสขั้นสองก็ผลาญ
ไมขาด ยังสนใจเมียงมอง ยังอยากสัมผัสแตะตอง ตางกันกับปุถุชนคือจะไมหนามืดถึงขั้นผิดลูกเขาเมีย
ใคร และราคะของพระสกทาคามีจะเบาบางลงกวาพระโสดาบัน ตอเมื่อปฏิบัติธรรมจนลุมรรคผลขั้นสาม
เปนพระอนาคามีแลว สังโยชนวาดวยกามราคะจึงขาดสูญ เมื่อขาดแลวไมเปนทุกขเหมือนผูเปนกามตาย
๔๙๗

ดาน เพราะสิ่งที่ชดเชยมาคือสภาพจิตนิ่งอยางเอกอุ ทรงสภาพสมาธิไมไหวติงงายๆ บังเกิดความพอใจ


ในอีกระดับ ละเอียดประณีตนายินดี ไมเปนที่เขาใจแกสามัญมนุษยที่ยังหลงกามวาเปนของอันนาชอบ

5. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ เพลิงโสดาปตติมรรคยังผลาญไมได แมเพลิงสกทาคามิมรรคก็


ยังผลาญไมได เปนเหตุใหมีความออนไหววูบวาบเยี่ยงปุถุชน มีโกรธเมื่อถูกทําใหเจ็บ มีโลภเมื่อพบกับ
สิ่งตองใจ แตสาระที่แตกตางจากปุถุชนคือเมื่อเกิดปฏิฆะแลว จะไมโกรธถึงขั้นตัดชีวิตอื่น ไมโลภถึงขั้น
ปลนชิงใคร ดวยอํานาจปกติจิต ไมวูบไหวงายเพียงดวยกิเลสขั้นหยาบ สังโยชนขอนี้เพลิงอนาคามิมรรค
เทานั้นถึงจะผลาญไดขาดสูญ

พระอนาคามีทําลายสังโยชนเบื้องต่ําลงไดหมด มีความสุขอันเกิดแตจิตอันสงบนิ่งเปนธรรมชาติ
ของตนเอง แตยังมียองใยกิเลสเบื้องสูงอีกตามลําดับคือ

6. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต อันนี้ไมใชราคะธรรมดา แตเปนความปรารถนาภาวะ


ละเอียดเชนฌานสมาบัติหรือคุณธรรมขั้นสูง มีแตเพลิงอรหัตตมรรคเทานั้นที่ผลาญไดขาดสูญ

7. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม อรูปธรรมนั้นไดแกฌานสมาบัติที่ลวงเลยการอาศัยรูปเปน


อารมณกําหนด เปลี่ยนเปนกําหนดนามธรรมไวในใจ ผูเขาถึงจะเห็นอากาศวางเปนอนันต หรือเห็น
ความปรากฏแตตัวรู หรือเห็นความไมมีอะไรเหลือหรอ หรือเห็นความมีก็ไมใช ไมมีก็ไมเชิง การ
มนสิการนามธรรมไวจนเขาขั้นฌานนั้นเปนสุขแสนประณีตนาพึงใจเหนือจินตนาการมนุษยสามัญ แตไม
นาติดหลงแกผูมีพุทธิปญญาแกกลาพอ อรูปราคะนี้มีแตเพลิงอรหัตตมรรคเทานั้นที่ผลาญไดขาดสูญ

8. มานะ ความถือวาตัวเปนนั่นเปนนี่ แมพระอนาคามีก็ยังนึกอยูตลอดเวลาวาตนเปนใคร คิดอาน


แบบมีตัวฉันตัวเธอเหมือนคนปกติ เวนแตจะเอาจิตเขาพิจารณาธรรม ความรูสึกในอัตตาจึงดับไปชั่วครู
สังโยชนขอนี้มีแตเพลิงอรหัตตมรรคเทานั้นที่ผลาญไดขาดสูญ คือทุกขณะจิตไมมีตัวตนใหรูสึกในที่ใดๆ
เลยทั้งภายในและภายนอก ทวามิใชกลายเปนบอดใบพูดจาไมรูเรื่อง พระอรหันตยังคงมีความกําหนด
หมายรู พูดจาสื่อสารกับคนในโลกไดเหมือนปกติทุกอยาง มีความจําครบถวนสมบูรณทุกประการ แถม
ยังสื่อสารไดดีกวาคนทั่วไปดวย เพราะสิ่งที่ปรารถนาจะสื่อไมตองปนขามหรือออมกําแพงกิเลสใดๆเลย

9. อุทธัจจะ ความฟุงซาน คือผุดความคิดเลอะๆเทอะๆ สังโยชนขอนี้ยังปรากฏแมในพระอนาคามี


มีแตเพลิงอรหัตตมรรคเทานั้นที่ผลาญไดขาดสูญ ทานไมเหลือความฟุงซานอยูเลย ถาไมตองพูดกับใคร
จิตจะนิ่งปราศจากความเลื่อนไหลซัดสาย แมมีปญญาฉลาดเฉลียวอยูเต็มเปยมก็ไมรูสึกวาตนเองมี
ปญญาฉลาด ไมชอบใหความฉลาดฟุงขึ้นมา ระบบความคิดปฏิรูปไปหมด คิดออกมาจากจิตที่บริสุทธิ์ ไร
กิเลส ไรตัวตนบันดาลตลอดเวลา

10. อวิชชา ความไมรู มีแตเพลิงอรหัตตมรรคเทานั้นที่ผลาญไดขาดสูญ อันนี้ชี้ไปที่ตัวรูธรรมโดย


ตรง ไมใชความไมรูธรรมดาๆอยางที่มักยืมศัพทมาใชกันผิดๆ ความรูสวางโพลงของพระอรหันตนั้นเกิด
๔๙๘

ขึ้นอยางตอเนื่องไมขาดสายนับแตบรรลุอรหัตตผล แมหลับก็ไมฝน ไมปรุงแตงผิดเพี้ยนคลาดเคลื่อนให


จิตมัวหมองเลยสักวินาทีเดียว เปนภาวะมีจริง เปนสุขจริง และประจักษจริงกันได ถาทําใหถึง

คิดอีกอยางหนึ่ง สังโยชนแตละขอก็คือแรงดึงดูดของสังสารวัฏ ที่ตรึงจิตไวในวังวนเวียนเกิดเวียนตาย


อยางไมรูอิโหนอิเหน ถาสลัดหลุดเสียไดจากแรงดึงดูดที่เหนียวแนนสุดคือ ‘ความเห็นเปนตัวเปนตน’
หรือสักกายทิฏฐิเสียได ก็เปนอันเที่ยงที่จะ ‘หลุดหมด’ ในกาลตอไป

และเพื่อสลัดใหหลุดจากความเห็นเปนตัวเปนตน ก็ตองอาศัยความเห็นแจงในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
ของธรรม ไดแก อนิจจลักษณะ คือความไมเที่ยงของทุกสภาพ ทุกขลักษณะ คือความไมอาจทนอยูใน
สภาพใดสภาพหนึ่ง อนัตตลักษณะ คือความปรุงประกอบประชุมกันอันหาเจาของผูครองผูบัญชามิได

กลาวจําแนกตามวิถีทางดับความเห็นวาเปนตัวเปนตนไดคือบางทานตามเห็นกายใจ (อันไดแกลมหายใจ
กิริยาทางกาย ความรูสึก ความนึกคิด) สักแตเปนภาวะเกิดดับ เกิดดับ กระทั่งเกิดปญญารูการดับครั้งสุด
ทายแลวหลุดจากความยึดมั่น จิตเขาถึงความเห็นอะไรอีกอยางหนึ่งที่ไมมีลักษณะเกิดดับ ไมมีสัญญาณ
ของความเคลื่อนจากภาวะใดไปสูความดับจากภาวะนั้น นี่เรียกวาเขาถึงมรรคผลดวยความรูแจงอนิจจ
ลักษณะ

บางทานตามเห็นสภาวะกายใจโดยความเปนของไมคงทน ไมอาจตั้งอยูในสภาพใดสภาพหนึ่ง เห็นชัดวา


เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ยอมมีเชื้อของความเสื่อมแฝงอยูแตแรก จึงตองดับไปเปนธรรมดา จะลวงพน
จากความสลายตัวมิได เมื่อตามไปจนรูวาไมอาจหาที่พักความเสื่อมในขอบเขตรูปนามที่กําหนดรูไดดวย
สติแลว ก็ปลอยวางจากทุกภาวะที่ตองเสื่อม หยั่งถึงเห็นภาวะที่ไมเสื่อม ไมมีเนื้อหาอันกําหนดไดวาจะ
เสื่อมจากความเปนเชนนั้น นี่เรียกวาเขาถึงมรรคผลดวยความรูแจงทุกขลักษณะ

บางทานตามเห็นกอนธรรมโดยความเปนของประชุมกันดวยเหตุปจจัย เห็นชัดวาจูๆจะเกิดหมายรู หรือ


ความยึดมั่นวาเปนตัวตนขึ้นตามลําพังไมได เชนขาดรูปนามก็ขาดผัสสะ ขาดผัสสะก็ขาดความหมายรู
เมื่อปลอยวางเสียไดจากขอบเขตอันปรุงแตงดวยเหตุปจจัย จิตก็ทะลุขันธออกไปเห็นอะไรอีกอยางที่ไมมี
อะไรปรุงแตงเลยแมนอย นี่เรียกวาเขาถึงมรรคผลดวยความรูแจงอนัตตลักษณะ ดังเชนที่มติอาศัยเปน
ประตูเขานั่นเอง

ลักษณะนิพพานอันมีอยูจริง เปนความจริงระดับสูงสุดที่ผูบรรลุธรรมเขาประจักษนั้น ปราศจากนิยาม


เหมือนกัน มีความ ‘วาง’ อันเดียวกัน เหมือนถึงที่หมายเดียว แตมาจากคนละทิศ เมื่อกลับมาพยายาม
อธิบายดวยภาษาพูด ก็อาจมีความแตกตางกันตามประสบการณประจํา ‘ทิศ’ นั้นๆ

สังสารสัตวนั้น เมื่อยังไมเห็นนิพพาน ก็ไมมีทางสิ้นสงสัย ถึงชาติปจจุบันรูอรรถรูธรรมจะแจง พอตายไป


เกิดใหมก็สงสัยใหม บางคนเคยฉลาดในธรรม เปนผูสอนธรรมที่ยิ่งใหญในพุทธกาลหนึ่ง พอตายไปเกิด
๔๙๙

อีกพุทธกาลหนึ่งกลับคิดกาวราวดูแคลนพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจาก็มี เหตุเพราะตัวที่ 'เขาใจ


ธรรม' นั้นคือกิเลสที่หอหุมจิต ไมใชตัวของธาตุรูพบตนเอง ประจักษตนเองเหมือนอริยบุคคล

อันตรายของสังสารวัฏใหญหลวงก็ดวยเหตุนี้ ตายแลวไมมีอะไรประกันเลยวาเกิดใหมจะเปนอยางไร คิด


อยางไร แมเคยดีแสนดี หรือความรูทวมหัวทวมหูขนาดไหนก็ตาม ตอเมื่อถึงโสดาปตติผลขึ้นไปแลว จึง
ชื่อวาปลอดภัย แมยังตองเดินทางอีก ก็จะไหลไปตามกระแส ลอยตัวถึงฝงนิพพานจนได ไมหลงลงต่ําอีก
เลย

มติทบทวนปจจัยที่ทําใหตนเขาถึงมรรคผล เล็งเห็นวาตนปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง จอจิตอยูกับปรากฏแหง


กายใจโดยความเปนของปรุงประกอบที่เกิดดับเปนขณะๆ จิตจึงมีความโนมเอียงที่จะพนนามธรรมอันดึง
ดูดใหติดอยูกับความเห็นกายใจเปนตัวเปนตน โนมเอียงที่จะหลุดจากการคุมขังของกิเลสและรูปนามที่
ปดบังนิพพานไว แมยังเปนฆราวาส ไมตองนุงเหลืองหมเหลืองก็อาจถึงธรรมไดอยางนี้ การนุงเหลือหม
เหลืองเปนเพียงเปลือกนอก การปฏิบัติจิตใหเกิดความโนมเอียงเขาสูมรรคผลแบบพระสําคัญกวา พูด
งายๆการปฏิบัตินั้นอยูที่เครื่องหอหุมจิต ไมใชอยูที่เครื่องหอหุมกาย

อีกปจจัยคือมติเปนผูศึกษาอรรถธรรมมาดีแลว มีความเห็นอันชอบควร ยึดถือธรรมะเปนสรณะ อันสงผล


ใหเคารพเลื่อมใสไมคลางแคลงในพระพุทธองค ชนิดที่วาถาทราบวาเปนคําตรัสของพระตถาคตพุทธเจา
ก็พรอมจะนอมรับใสเกลาอยางไมลังเล พฤติกรรมทางจิตจะสํารวมรูหนักแนนเปนหนึ่งเทียบเทากําลัง
หนุนของฌานสมาบัติ

อีกปจจัยที่สําคัญคือพลังในการอนุโมทนาอันแรงกลา เขาเปนผูมีความยินดีกับโชควาสนาของคนอื่น
เสมอ เพียงอานเรื่องของทานพาหิยะ ทราบวาทานรีบรุดเดินทางไกลจนไดพบพระพุทธองค ก็ปลาบปลื้ม
ปรีดาถึงขีดเดียวกับทาน จิตสําคัญวาตนอุตสาหะเหนื่อยยากจนไดมาเฝาตอเบื้องพระพักตรไปดวย นี่คือ
อานิสงสของความเปนผูปกติมีใจอนุโมทนา ยินดีกับลาภ ความสําเร็จ และความสมหวังของผูอื่นจนฝงใน
กมลนิสัย หัดดีๆแลวไมตองลงทุนลงแรงเหมือนคนอื่นก็ไดบุญเทาคนอื่นสบายๆ ใครหาวาเอาเปรียบก็ไม
ไดดวย เชนเขานั่งกับที่แทๆ ไมไดเหนื่อยยากเชนทานพาหิยะ กลับไดสวนบุญใกลเคียงกันเพราะจิตนึก
ตามความตั้งใจจริงและอนุโมทนารวมไป ชนิดที่เรียกวาถาไปแทนทานพาหิยะ ณ เวลาและสถานที่เดียว
กันได เขาก็จะทําเชนเดียวกับทานทีเดียว

และตองนับวาผูเขียนผูมีนามวา สมภาร พรมทา เปนผูมีพระคุณ เปนมัคคุเทศกผูนําเขาไปพบพระพุทธ


เจาดวยขอความที่เขียนแบบสบายๆ เพราะขอความนั้นเองสะกิดจิตของเขาไดถูกจังหวะ ถูกเวลาอยางที่
สุด จึงเปนบุคคลหนึ่งที่เขาจะตองจดจําไปจนกวาจะหาไม

มติพิจารณาเห็นวาในการบรรลุธรรมนั้น เนื้อหาธรรมที่สะกิด ‘ถูกจุด’ มีความสําคัญอยูจริง ขอความที่


เขาอานในหนังสือน้ําชากนถวยนั้น คลาดเคลื่อนจากพระคัมภีรอยูมากในแงของความถูกตองรัดกุม
เปนตนวาประวัติความเปนมาของทานพาหิยะและการตรัสเทศนาธรรมดั้งเดิมของพระพุทธองค
๕๐๐

ชวงบายนั้นมติไปที่วัดทางนฤพานเพื่อเปดหาพาหิยสูตรในตูพระไตรปฎก พบในเลม 17 สูตรที่ 10 ได


ทราบนามเต็มของทานคือพาหิยทารุจีริยะ เคยทําบุญปรารถนาความเปนเอตทัคคะทางบรรลุมรรคผลเร็ว
ไวแตกาลกอน และเคยยอมตายหมายไดถึงพระอรหัตตผลดวยการอดขาวมาแลว ในชาติสุดทายจึงมี
วาสนาพอจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดอยางรวดเร็ว

ความเดิมในพระสูตร แปลจากบาลีเปนไทยมีดังนี้

สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ พระวิหารเชตวันอารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลพระ


นครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล กุลบุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะ อาศัยอยูที่ทาสุปปารกะ ใกลฝงสมุทร เปนผูอัน
มหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยําเกรง ไดจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปจจัยเภสัชบริขาร

ครั้งนั้นแล พาหิยทารุจีริยะหลีกเรนอยูในที่ลับ เกิดความปริวิตกแหงใจอยางนี้วาเราเปนคนหนึ่งใน


จํานวนพระอรหันตหรือผูถึงอรหัตตมรรคในโลกแนหรือ ลําดับนั้นแล เทวดาผูเปนสายโลหิตในกาลกอน
ของพาหิยทารุจีริยะ เปนผูอนุเคราะห หวังประโยชน ไดทราบความปริวิตกแหงใจของพาหิยทารุจีริยะ
ดวยใจ แลวเขาไปหาพาหิยทารุจีริยะ ครั้นแลวไดกลาววา

"ดูกรพาหิยะ ทานไมเปนพระอรหันต หรือไมเปนผูถึงอรหัตตมรรคอยางแนนอน ทานไมมีปฏิปทาเครื่อง


ใหเปนพระอรหันตหรือเครื่องเปนผูถึงอรหัตตมรรค"

พาหิยทารุจีริยะถามวา

"เมื่อเปนอยางนั้น บัดนี้ใครเลาเปนพระอรหันต หรือเปนผูถึงอรหัตตมรรคในโลกกับเทวโลก"

เทวดาตอบวา

"ดูกรพาหิยะ ในชนบททางเหนือ มีพระนครชื่อวาสาวัตถี บัดนี้ พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา


พระองคนั้น ประทับอยูในพระนครนั้น ดูกรพาหิยะ พระผูมีพระภาคพระองคนั้นแลเปนพระอรหันตอยาง
แนนอน ทั้งทรงแสดงธรรมเพื่อความเปนพระอรหันตดวย"

ลําดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะผูอันเทวดานั้นใหสลดใจแลว หลีกไปจากทาสุปปารกะ ในทันใดนั้นเอง ได


เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคผูประทับอยูในพระวิหารเชตวัน อารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกลพระ
นครสาวัตถี โดยการพักแรมสิ้นราตรีหนึ่งในที่ทั้งปวง ฯ

ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากดวยกันจงกรมอยูในที่แจง พาหิยทารุจีริยะเขาไปหาภิกษุทั้งหลายถึงที่อยู ครั้น


แลวไดถามภิกษุเหลานั้นวา
๕๐๑

"ขาแตทานทั้งหลายผูเจริญ บัดนี้ พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาประทับอยู ณ ที่ไหนหนอ


ขาพเจาประสงคจะเฝาพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาพระองคนั้น"

ภิกษุเหลานั้นตอบวา

"ดูกรพาหิยะ พระผูมีพระภาคเสด็จเขาไปสูละแวกบานเพื่อบิณฑบาต"

ลําดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบดวนออกจากพระวิหารเชตวัน เขาไปยังพระนครสาวัตถี ไดเห็นพระผูมี


พระภาคกําลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี นาเลื่อมใส ควรเลื่อมใส มีอินทรียสงบ มีพระทัย
สงบ ถึงความฝกและความสงบอันสูงสุด มีตนอันฝกแลว คุมครองแลว มีอินทรียสํารวมแลว เปนผู
ประเสริฐ

แลวพาหิยทารุจีริยะก็ไดเขาไปเฝาพระผูมีพระภาค หมอบลงแทบพระบาทของพระผูมีพระภาคดวยเศียร
เกลาแลว ไดกราบทูลพระผูมีพระภาควา

"ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระผูมีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแกขาพระองค ขอพระสุคตโปรดทรง


แสดงธรรมที่จะพึงเปนไปเพื่อประโยชนเกื้อกูล เพื่อความสุข แกขาพระองคสิ้นกาลนานเถิด ฯ"

เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอยางนี้แลว พระผูมีพระภาคไดตรัสวา

"ดูกรพาหิยะ เวลานี้ยังไมสมควรกอน เพราะเรายังเขาไปสูละแวกบานเพื่อบิณฑบาตอยู"

แมครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ไดกราบทูลพระผูมีพระภาควา

"ขาแตพระองคผูเจริญ ก็ความเปนไปแหงอันตรายแกชีวิตของพระผูมีพระภาคก็ดี ความเปนไปแหง


อันตรายแกชีวิตของขาพระองคก็ดี รูไดยากแล ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระผูมีพระภาคโปรดทรงแสดง
ธรรมแกขาพระองค ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมที่จะพึงเปนไปเพื่อประโยชนเกื้อกูล เพื่อความสุข
แกขาพระองคตลอดกาลนานเถิด ฯ"

พระผูมีพระภาคตรัสวา

"ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงศึกษาอยางนี้วา เมื่อเห็น จักเปนสักวาเห็น เมื่อฟงจักเปนสักวาฟง


เมื่อทราบจักเปนสักวาทราบ เมื่อรูอยูจักเปนสักวารูอยู ดูกรพาหิยะ เธอพึงศึกษาอยางนี้แล ดูกรพาหิยะ
ในกาลใดแล เมื่อเธอเห็นจักเปนสักวาเห็น เมื่อฟงจักเปนสักวาฟง เมื่อทราบจักเปนสักวาทราบ เมื่อรูอยู
จักเปนสักวารูอยู ในกาลนั้น เธอยอมไมมี ในกาลใดเธอไมมี ในกาลนั้นเธอยอมไมมีในโลกนี้ ยอมไมมีใน
โลกหนา ยอมไมมีในระหวางโลกทั้งสอง นี้แลเปนที่สุดแหงทุกข ฯ"
๕๐๒

ลําดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพนแลวจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไมถือมั่นในขณะนั้น


เอง ดวยพระธรรมเทศนาโดยยอนี้ของพระผูมีพระภาค ลําดับนั้นแล พระผูมีพระภาคตรัสสอนพาหิยทา
รุจีริยะกุลบุตรดวยพระโอวาทโดยยอนี้แลว เสด็จหลีกไป ฯ

หากอานเร็วๆตามประสาปุถุชนทั่วไป ก็คงฟงดูไมนาเชื่อ ทําไมทานพาหิยะถึงบรรลุธรรมสูงสุดงายนัก


แคพระพุทธองคตรัสแนะเพียงเห็นสักแตวาเห็น ไดยินสักแตวาไดยิน ทราบสักแตวาทราบ รูอยูสักแตวารู
อยู ฯ ก็เปลี่ยนบุคคลธรรมดาเปนอริยบุคคลกันไดสะดวกดายอยางนี้หรือ

แตสําหรับมติไมมีขอสงสัยเลย ทานพาหิยะรอนแรมมาไกลดวยความกระหายธรรม กับทั้งรีบรอนออกตา


มหาพระพุทธองคสุดฝเทา แมทราบวาพระพุทธองคเสด็จดําเนินบิณฑบาต ใครจะวา ใครจะยับยั้งใหรอ
พระพุทธองคกลับอารามก็ไมยอม เพราะอะไรในโลกไมสําคัญเทาพบองคตถาคตเพื่อฟงธรรมตอเบื้อง
พระพักตรอีกแลว

เมื่อพบพระองคผูมีลักษณาการควรแกความนาเชื่อถือ เห็นพระมหาปุริสลักษณะควรแกการเลื่อมใส ปก


ใจไดสนิทวาเปนผูปราศจากกิเลสอยางแนนอน ธรรมของพระองคก็ตองยังความสิ้นกิเลสแกทานไดดวย
ยอมบันดาลกําลังใจและปติจนไมเหลือโอกาสใหความคิดอื่นใดแทรกแซง

ในเมื่อบุกน้ําลุยไฟมาพบบุคคลอันปรากฏยากแสนยากอยางนี้แลว ทานยอมเกรงวาโอกาสประเสริฐสุด
จะมีอันตองหลุดลอยไปเพราะความตายอันพยากรณไมได เรียกวาสิบนาที ครึ่งชั่วโมง ก็นานพอจะเปด
ชองใหมัจจุราชมาพรากโอกาสไปเสีย จึงเฝาทนรบเราพระพุทธองค ขอทรงแสดงธรรมใหฟงเสียเลย

ทุกตีสี่พระพุทธองคจะทรงแผพระญาณ หยั่งทราบอยูแลว วาวันนั้นจะโปรดเวไนยสัตวใด ดวยอุบาย


แบบไหนจึงเหมาะสม ถึงเปนกรณีพิเศษแมอยูกลางทางบิณฑบาต พระพุทธองคก็ทรงเต็มพระทัยอยาง
ไมพักตองสงสัย การที่พระองคตรัสใหรอไปฟงธรรมที่อารามในภายหลัง ก็นาจะเปนพุทธลีลา เปนแบบ
อยางแกภิกษุทั้งหลาย วาการแสดงธรรมไมควรใหมีขึ้นระหวางทางเดินบิณฑบาต

มติเขาถึงอาการใจจดใจจอรอเทศนาธรรมมาแลว จึงทราบวาระจิตของทานพาหิยะ ณ บัดนั้นดีวาจะแนว


แน มั่นคง เปยมดวยกุศลแหงความตั้งอกตั้งใจสดับธรรมสูงสุดเพียงใด กับทั้งตรึกธรรมตามดวยความ
เคารพขนาดไหน ไมมีแนนอน ที่จะปลอยใหพระพุทธพจนคําใดคําหนึ่งตกหลนไป

กระแสบุญเกามารอจออยูแลว ศรัทธาในพระผูทรงธรรมก็เปยมเต็มอยูแลว วิริยะในการมาสูพระธรรมอัน


เปนเอกก็พรอมอยูแลว สติในการสดับตรับฟงพุทธพจนก็สมบูรณอยูแลว สมาธิในการจอใจรับธรรมก็
ตามสติมาอยูแลว ปญญาในการพิจารณาธรรมก็ควรแกงานอยูแลว เมื่อประกอบกับธรรมอันบริสุทธิ์ ถูก
ตองเหมาะสมแกนิสัย ความสวางโพลงยอมบังเกิดขึ้นสมควรแกเหตุปจจัยเชนนั้นเอง
๕๐๓

นี่จึงตางจากผูอานพาหิยสูตรทั่วไป ที่ไมรับรู ไมอนุโมทนาตามทานพาหิยะ เมื่อไมอนุโมทนา จะเอา


ความยินดีปรีดามาแตไหน เมื่อไมยินดีปรีดา จะเอาจิตจดจอมาแตไหน เมื่อไมมีจิตจดจอ จะเอาปญญา
ตรึกธรรมละเอียดมาแตไหน

ธรรมที่พระพุทธองคแสดงแกทานพาหิยะนั้น นับวามีเพียงหนเดียวเปนพิเศษ ไมมีหนสอง เปนการตรัส


แนะเพื่อเขาถึงประสบการณตรง

ที่พระพุทธองคตรัสสั่งวา เมื่อเห็นจักเปนสักวาเห็น เมื่อฟงจักเปนสักวาฟง

แนนอน ดวยใจอันพรอมสมบูรณของทานพาหิยะ ทานยอมมองรูปและสีสันที่ปรากฏตอตาในบัดนั้น สัก


แตวานั่นเปนอาการเห็น ทานยอมยินเสียงและส่ําสําเนียงที่ปรากฏตอหู สักแตวานี่เปนอาการฟง

นั่นคือการเอาความประจักษสภาวะหยาบ ณ เวลาปจจุบันยกขึ้นตั้ง

ลําดับตอมาเมื่อพระพุทธองคตรัสสั่งวา เมื่อทราบจักเปนสักวาทราบ

มติกราบถามพระมหาเปรียญที่วัดเกี่ยวกับความนัยตามบาลีเดิม ไดความรูเพิ่มเติมคือ คําวา “ทราบ” ใน


ที่นี้มาจาก “มุเต” ซึ่งภาษาบาลีมีความหมายแบบเหมาไดถึง 3 ทางคือ ผัสสะทางจมูก ทางลิ้น และทาง
กาย

ลําดับตอมาเมื่อพระพุทธองคตรัสสั่งวา เมื่อรูอยูจักเปนสักวารูอยู

คําวา “รูอยู” มาจาก “วิญญาเต” หมายถึงการรับรูทางมโนทวาร ซึ่งไดแกรูความคิดและอารมณตางๆนั่น


เอง ตรงสวนนี้ของพระธรรมเทศนา ยอมดึงใหทานพาหิยะเขามารูอาการของจิตปจจุบันโดยสักแตเปน
อยางนั้น หาตัวตนที่จิตมิได

เมื่อมีแตสภาวธรรมเห็นสภาวธรรม ประจักษธรรมละเอียดลงตรงจริงตามลําดับ ก็ยอมสลัดคืนความมั่น


หมายรูปธรรมและนามธรรมทุกชนิดวาเปนตัวเปนตน ตอมาเมื่อพระพุทธองคตรัสขยายความวา

"ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อเธอเห็นจักเปนสักวาเห็น เมื่อฟงจักเปนสักวาฟง เมื่อทราบจักเปนสักวา


ทราบ เมื่อรูอยูจักเปนสักวารูอยู ในกาลนั้นเธอยอมไมมี"

ตรงคําวา 'เธอยอมไมมี' คือมีแตสภาวธรรม ไมมีตัวตนผูใดนี่เอง ที่เปนตัวจุดชนวนมรรคผลแทจริง สม


นัยกับที่มติมีวาสนาพอ เมื่ออานขอความขนาดสั้นที่เขียนสบายๆในหนังสือ 'น้ําชากนถวย' แลว ก็นอม
เขามาเห็นธรรมภายใน คือความรูสึกนึกคิด และกระทั่งสภาวะรู วาก็เปนแคเพียงสภาวะอันเกิดจากการ
เห็นและการไดยินอันไมใชตัวตน ยอมไมใชตัวตนไปดวย

ชนวนมรรคผลตองมาลงที่ใจ นอมธรรมเขามาที่ใจนี่เอง
๕๐๔

พาหิยสูตรยังมีตอไปอีกวา

ครั้งนั้นแล เมื่อพระผูมีพระภาคเสด็จหลีกไปแลวไมนาน แมโคลูกออนขวิดพาหิยทารุจีริยะใหลมลงปลง


เสียจากชีวิต

ครั้นพระผูมีพระภาคเสด็จ เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปจฉาภัต
เสด็จออกจากพระนครพรอมกับภิกษุเปนอันมาก ไดทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทํากาละแลว จึง
ตรัสกะภิกษุทั้งหลายวา

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจง ชวยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสูเตียงแลว จงนําไปเผา


เสีย แลวจงทําสถูปไว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับเธอทั้ง
หลาย ทํากาละแลว"

ภิกษุเหลานั้นทูลรับพระผูมีพระภาคแลว ชวยกันยกสรีระของพระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสูเตียง แลวนําไป


เผา และทําสถูปไว แลวเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคถึงที่ประทับ ไดนั่งอยู ณ ที่ควรขางหนึ่ง ครั้นแลวได
ทูลถามพระผูมีพระภาควา

"ขาแตพระองคผูเจริญ สรีระของพาหิยทารุจีริยะนั้นขาพระองคทั้งหลายเผาแลว และสถูปของพาหิยทา


รุจีริยะ ขาพระองคทั้งหลายก็ไดทําไวแลว คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเปนอยางไร ภพเบื้องหนาของเขา
เปนอยางไร ฯ"

พระผูมีพระภาคตรัสวา

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเปนบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ทั้งไมทําเราใหลําบาก


เพราะเหตุแหงการแสดงธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแลว ฯ"

ครั้งนั้นแล พระผูมีพระภาคทรงประกาศความจริงแลว ไดทรงเปลงอุทานในเวลานั้นวา

"ดิน น้ํา ไฟ และลม ยอมไมหยั่งลงในนิพพานธาตุใด ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลาย ยอมไมสวาง พระ


อาทิตยยอมไมปรากฏ พระจันทรยอมไมสวาง ความมืดยอมไมมี ก็เมื่อใดพราหมณชื่อวาเปนมุนีเพราะรู
รูแลวดวยตน เมื่อนั้น พราหมณยอมหลุดพนจากรูปและอรูป จากสุขและทุกข ฯ"

ผูบรรลุธรรมเร็วมิไดมีคุณเฉพาะตอตนเอง แตยังไมทําใหผูมีหนาที่แสดงธรรมตองลําบาก กับทั้งเผื่อแผ


ประโยชนมาสูอนุชนในภายหลังอีกดวย
๕๐๕

มติศึกษาพระสูตรอันทรงอุปการคุณแกตนดวยความเออลนแหงธรรมปติ กราบแลวกราบอีกระลึกถึงพระ
พุทธคุณ รวมทั้งพระคุณของทานพาหิยะ หากปราศจากทาน ก็คงไมมีพระธรรมเทศนาตรงอันแสนวิเศษ
และลัดสั้นเชนนี้ และหากปราศจากพระธรรมเทศนาตรงอันแสนวิเศษและลัดสั้นเชนนี้ มีหรือที่เขาจะ
พลอยไดรับสวนแหงประโยชนเปนมรรคผล เขาอาจตองใชเวลาเปนแรมเดือน แรมป หรือหากเคราะห
รายตายในวันสองวัน ก็คงอีกหลายภพหลายชาติกวาจะมีวันนี้ ที่ถึงความปลอดภัย เขากระแสนิพพาน
เยี่ยงเหลาอริยบุคคลทั้งหลาย

สภาพเหมือนเปนคนใหมนั้น รูสึกดวยรัศมีสวางจากภายในที่ ‘เพิ่ม’ ขึ้นมา มติสํารวจตนเอง ไมเห็นความ


เปนตนแปลกเปลี่ยนไปเทาใดนัก เคยเปนมาอยางไร มีความรูสึกนึกคิด ความทรงจําเชนใด ก็ยังดําเนิน
ตอไปเชนนั้นทุกประการ ที่พิเศษก็มีความเบาโปรงโลงหัวอกอยางประหลาด คลายสิ่งอุดตันถูกทะลวง
ออกจนสิ้นไส ทวาก็ไมใชเรื่องพิสดารนัก

อุปาทานในอัตตายังครบถวน ไมหายหนไปใน เมื่ออยูในภาวะรูคิดปกติ

ตอเมื่อเพงจิตเขาดูสัณฐานกาย หรือนอมดูใจอันสวางวางของตนเองดวยกําลังสมาธิ จึง ‘รูวางกระจาง


ชัด’ ปราศจากความเห็นอะไรเปนตัวเปนตนทันที

นั่นหมายความวาโสดาบันอริยบุคคลก็ตองอาศัยสมาธิ จึงจะปลิดปลงความรูสึกในตัวตนลงไดชั่วขณะ
หนึ่ง ซึ่งหากมองอยางผิวเผิน ปุถุชนอันถือเสมือน ‘คนนอกกระแส’ ก็ตองนึกวาไมเห็นแตกตางจากผู
ปฏิบัติธรรมที่ยังเปนกัลยาณชนธรรมดาตรงไหน

อันที่จริงแลวอริยเจาทั้งหลายมีลักษณะรูที่แตกตางออกไป ถาใชภาษาพูดก็ตองบอกวาผูปฏิบัติที่ยังเขา
ไมถึงจริงนั้น มีพฤติกรรมทางจิตแบบ ‘แกลงรู’ วาสังขารไมใชตัวตน สวนผูปฏิบัติที่ผานมรรคผลมาแลว
จะมีพฤติกรรมทางจิตแบบ ‘รูจริง’ ไมตองแกลงคิดปรุงแตงเสียกอน เห็นอยูเองอยางนั้นเลยทีเดียว

พูดงายๆ โยคาวจรผูเปนปุถุชนยังรูสึกถึงตัวตนในจิต แมเห็นกายเปนอนัตตาแลว แตบุคคลผูเปน


โสดาบันขึ้นไป จะเห็นซึ้งทีเดียววาทั้งผูรูและสิ่งถูกรูตางก็เปนอนัตตาทั้งสิ้น หมายความวามีแตสภาว
ธรรมหยาบและละเอียดที่ปรากฏเปนรูปกายและนามกาย หาไดมีแมบัญญัติขึ้นชื่อเปน 'อริยบุคคล' ไม

ผูปฏิบัติทั่วไปนั้นเหมือนนักแสดงที่เขาถึงบทจนรูสึกวาตนเองเปนตัวละครหนึ่งจริงๆ ไมสงสัยเลยใน
ขณะแสดง แตพอถอดโขน ออกจากฉากไดก็กลับคืนเปนคนเกา ผิดกับผูปฏิบัติที่เขาถึงมรรคผลแลว จะ
ไมมีตัวละคร ไมมีผูแกลงแสดงเปนตัวละคร ทั้งหมดเปนของจริงเนื้อเดียวกัน เปนตัวของตัวเองเต็มที่

อีกแงหนึ่ง โสดาบันอริยบุคคลยอมผานจิตผูเห็นตนเองเปนเอกภาวะมาแลวเมื่อครั้งถึงมรรคถึงผล ฉะนั้น


ยอมนอมเอาความกําหนดหมายเชนนั้นมาตั้งไวเปนสมาธิได สมตามที่คัมภีรเรียกวาเปนการเขา 'ผล
สมาบัติ' สวนถาเปนพระอนาคามีหรือพระอรหันตผูมีอรูปฌานเปนทุน ก็อาจเขานิโรธสมาบัติ ดับความ
หมายรูจนไมเหลือรองรอยชั่วระยะหนึ่ง ถึงซึ่งนิพพานตรงทั้งยังครองขันธไดเลยทีเดียว
๕๐๖

ปุถุชนทั่วไปถารูสึกถึงอะไรเชนจิตวาง นั่งสมาธิเกิดเห็นความวางเปลาไรที่จับ ก็ตองนับวาตัวความวาง


ยังเปนความปรุงแตงจิตชนิดหนึ่ง เปนลักษณะหมายรูอยางหนึ่ง ไมใชเอกภาวะอันมีรสประหลาดล้ําอยาง
นิพพาน สังเกตไดจากความวางนั้นมีขอบเขต มีประมาณ ตางจากความวางแบบนิพพานที่ไรขอบเขตให
หยั่งกําหนด

อีกความแตกตางที่สําคัญ และมองไมเห็นขณะยังมีชีวิตปจจุบันก็คือ จิตแบบอริยะจะไมถดถอยจาก


สภาวะที่เขาถึงแลว คือจะเกิดตายอยางมากสุดอีกเพียงเจ็ดชาติก็เปนอันตองจบ แมทอดหุยดําเนินชีวิต
ไปตามปกติ จิตก็สั่งสมความเห็นไตรลักษณเพื่อความแหนงหนายเองอยูแลว สวนผูปฏิบัติธรรมทั่วไป
นั้น ตายแลวไมมีเครื่องประกันวาเมื่อไหร พุทธกาลไหน จึงจะไดขึ้นฝง ยังตองลอยคอเวียนวายตายเกิด
ไปเรื่อย

พูดใหงายเขา ถาวัดตามเกณฑกิเลส ยิ่งกิเลสนอยยิ่งทุกขนอย พระโสดาบันสิ้นกิเลสในแงความสงสัย


นิพพาน ก็ทุกขนอยลงอักโขมโหฬาร ไมตองพลานวนหาหลักยึดหรือจุดหมายปลายทางใหชีวิตนี้และ
ชีวิตหนากันอีก

เพราะฉะนั้นเมื่อพบพุทธศาสนา สิ่งที่ถูก ที่ควรอยางที่สุดคือเอาตัวใหรอด อยางนอยสําเร็จไดถึงชั้น


โสดาบัน เรียกวาเปนผูเขากระแส เปนผูเที่ยงที่จะหมดกิเลส หมดทุกขภัยเด็ดขาดในวันหนึ่งขางหนา จึง
จะสบประโยชนสูงสุดจากการพบพุทธศาสนา

ถาไมไดโสดาปตติผล รับอะไรจากพุทธศาสนารองลงไปจากนั้น จะเปนบุญกุศลแบบไหน อยางมากก็จัด


เปนแควิชาวายน้ําในทะเลใหญ สั่งสมสะเบียงกรังติดตัวไปบางเทานั้น

ยังตองเหนื่อยใจจะขาดตอไปเรื่อยๆอยูดี

สําหรับทานพาหิยะนั้น เมื่อฟงเทศนาธรรมจบ ก็มีวาสนาเขาถึงอรหัตตผลทันที หมายถึงเกิด ‘จิตยิ้ม’ ตอ


เนื่องกันรวดเดียวสี่ครั้งซอน นับเปน ‘รุนพี่’ ผูมีความแกกลา พรอมรับธรรมจาก ‘พอ’ มากกวาเขา มติ
ปลาบปลื้มและอนุโมทนากับทานเต็มอก อีกทั้งตั้งใจจดจํานาทีนั้นไปจนชั่วชีวิต เพื่อเจริญรอยตามญาติ
ธรรมผูพี่ใหไดในวันหนึ่งขางหนา

แยมยิ้มสดชื่นอยูตลอดเวลาดวยกําลังขับจากปติอันไดจากธรรมาภิสมัย จิตรกรหนุมมาพิจารณาภาพ
เขียนที่จะสงเขาประกวด เปนรูปสายลูกไฟยืดยาวที่จบลงดวยไฟสวางเปนประกายพรึก โดยใหชื่อรูปคือ
‘ตรัสรู’ อันเปนแนวคิดที่แพตรีแนะนําเมื่อไมนานมานี้

นั่นคือภาพที่วาดไวขณะยังเปนกัลยาณชนผูปฏิบัติจิตภาวนา
๕๐๗

บัดนี้เมื่อยอนกลับมาดูแลวนึกขอบคุณตนเองที่ไมดวนรีบสงไปเสียกอน เขา ‘สัมผัส’ ภาพวาใชเปนเครื่อง


หมายบอกการตรัสรูไมได จิตสวางรอบทั่วขอบที่ตอเนื่องจากจิตรอนจิตเย็นนั้น อาจเกิดขึ้นไดเสมอเมื่อ
ทรงอัปปนาสมาธินับแตปฐมฌานขึ้นไป

โดยเฉพาะอยางยิ่ง จิตของปุถุชนจะไมมีลักษณะสวางรูความวางชนิดไรศูนยกลางและไรขอบเขต

เกิดความคิดใหม เลิกคิดหวังเงินรางวัล เลิกคิดชนะใจกรรมการ มุงอยางเดียวคือทําอยางไรจึงจะสื่อการ


บรรลุมรรคผลดวยภาพเพียงภาพเดียวใหสมจริง ไมมีการเขียนแบบสัญลักษณ ไมมีการสอนัยออม เห็น
แลวตองสื่อทันทีกับผูบรรลุธรรมดวยกัน ชวยยืนยันกันไดไมวาจะเปนใคร มาจากประเทศไหน

ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะแหงมรรคผล จิตของเขาสงบรวมลงที่กลางอก ถัดจากนั้นจิตปนเหมือนน้ําวน


ที่หมุนจี๋ เกิดขึ้นเพราะดวงแสงวิสุทธิ์ตั้งทาจะชําแรกโพลงพลุงขึ้นพนแรงดึงดูดของธาตุขันธ อายตนะ
หยาบและการปรุงแตงทั้งมวล

ตาสวาง คิดออกแลววาจะสื่ออยางไร เขาสื่อเหตุการณทั้งหมดไวในภาพเดียวไมได แตใหภาพกอนพน


อายตนะหยาบ เพื่อสื่อกับผูที่ยังครองอายตนะหยาบดวยกันได

แสงสวางที่สองจัดจาเปนอนันตขึ้นมาจากกลางอก แทรกผานวังวนเครื่องหอหุมอันมืดมน

มติเลือกใชสีมวงอมดําแทนกิเลสและสิ่งปรุงแตงเปนเกลียวน้ําวนชั้นนอก ใชสีน้ําตาลเหลืองและชมพูออน
อมมวงเปนเกลียวน้ําวนชั้นในใกลกับดวงรูอันสวางพิสุทธิ์ ที่ไดชองผุดโพลงขึ้นมาเมื่อทางเปด

และนี่คือกลอนที่เขาเขียนแดธรรมาภิสมัยของตนเองเปนการกํากับภาพอีกชั้น…

หอหุม คลุมจิต มิดเมน เห็นเปน ตัวกู อยูได


เหยียดคู ดูตัว ทั่วกาย รางราย นี้หรือ คือกู
แปลกเปลี่ยน เวียนคิด ผิดแผก ยากแยก ดีชั่ว ในหัวหู
ครากอน ตอนนี้ อันไหนกู รั้งอยู ครูเดียว เดี๋ยวมลาย

ทําไมเหวยไมเคยซึ้งจนวันนี้ วันที่มีพระผูชี้จนกูหาย
วันที่เพงเล็งรูดูใจกาย กิเลสพายสํารอกกูรูชัดใจ
แสงวิสุทธิ์ผุดชําแรกแหวกทางออก จากคอกขังพังสูฤกษเบิกบานไสว
แยมยิ้มแจงแทงกระจางกายใชใคร ใจใชกูรูแนแทแคธรรมา
๕๐๘

แพตรีเพิ่งกลับจากโรงเรียน ขณะที่มติกาวพนออกมาจากประตูรั้วพอดี ทั้งสองเห็นอีกฝายและสบตาใน


ระยะหางพอเห็นรอยยิ้มทักทายที่สงถึงกันได เด็กหนุมเปนฝายเดินเขาหา ขณะที่หญิงสาวยืนเฉย ดวย
คิดวาถาเสวนาปราศรัย ก็นาจะนั่งคุยกันที่บานหลอน

“เพิ่งกลับเหรอฮะ?”

“ฮื่อ กําลังจะเขาบานเนี่ย”

แพตรีตอบยิ้มๆ มติมาหยุดยืนหางหลอนเพียงกาวเดียว เหลียวซายเล็งแลรถยนตรที่จอดนิ่งใตรมไม ปก


ปดรูปโฉมและปายแดงดวยผาคลุมผืนใหญ อดถามไมได

“ซื้อรถแลวทําไมไมขับละฮะ ผมเดินผานทีไรเห็นจอดอยูอยางนี้ทุกที เดี๋ยวก็พังหรอก”

หญิงสาวเงียบ ลดรอยยิ้มลงนิดหนึ่ง และดูทีเหมือนจะคอแข็งหนอยๆ มติจึงทราบวาคงมีความนัยเปน


สวนตัวที่หลอนไมตองการพูดถึง เลยเสเปลี่ยนเรื่อง

“ไมเจอกันเปนอาทิตยๆเลย ตอนนี้แตงชุดครูแลว”

เด็กหนุมอมยิ้มและมองกวาดเครื่องแบบครูสาว เสื้อน้ําตาลออนแขนยาว และกระโปรงน้ําตาลเขมเลยเขา


กับรองเทาสนสูงสีเขากัน ไหลสะพายกระเปาใบยอม ขับความมีสงาราศีของแพตรีใหยิ่งดูงดงามนา
เลื่อมใสขึ้นอีกมาก เดนจนนาไหวแตไกลทีเดียว

“เธอละ สบายดีหรือเปลา?”

มติลอบหัวเราะในใจ เพราะอดรูสึกไมไดวาหลอนคงชินกับวิธีพูดและการใชสุมเสียงกับเด็กๆ ดูทีสายตา


กําลังมองเขาเปนนักเรียนไปดวย

“สบายดีครับคุณครู”

ตอบอยางสุภาพออนโยน แตแฝงสําเนียงลอนิดหนอย แพตรีมองนองชายดวยทาทีพินิจลึกซึ้งกวาเดิม


แลวบอกตนเองวาหลอนสัมผัสไดถึงกระแสรอบตัวเขาที่แปลกใหม ถาอธิบายเปนภาษา ก็คงคลายๆเคย
๕๐๙

เห็นถูกตีตรวนแลวหลุดออกมาเปลาะหนึ่ง ดูเขามีความเบากายสบายใจ โลงหัวอก ใบหนากระจาง สมอง


แจมใสผิดตางจากเดิม

“เพิ่งไปเที่ยวไหนมาหรือเปลา?”

มติสั่นศีรษะ ทําตาฉงนนิดหนึ่งเพราะนึกวาแพตรีเขาใจผิดอะไร

“เปลานี่ฮะ อยูบานตลอด ทําไมหรือ?”

แพตรีเบี่ยงเบนมาอีกทาง

“แลวงานประกวดภาพพระพุทธศาสนาไปถึงไหนแลวละ คงสงเรียบรอยแลวซี”

“หมดเขตมะรืนฮะ ผมกะจะไปสงพรุงนี้แหละ กลั่นจนวินาทีสุดทายเลย เผื่อคิดเปลี่ยนอะไรอีกนิดอีก


หนอย”

หญิงสาวเบิกตาเล็กนอย นึกขึ้นไดวาตนเคยแนะนําแนวคิดภาพ ‘ตรัสรู’ ใหเขาไป จึงอยากเห็นขึ้นมา

“งั้นตอนนี้ก็ยังอยูที่บานสินะ ขอดูมั่งไดไหม?”

“ออ…ไดเลย พี่แพรออยูนี่แหละ เดี๋ยวผมไปเอามาให”

“เธอกําลังจะออกไปธุระที่ไหนไมใชเหรอ?”

“จะซื้อของกินใสตูเย็นเทานั้นแหละ รออีกพักก็ได”

พอเห็นนองชายหันหลังกลับดุมเดินจะไปเอาของมาให แพตรีก็ตัดสินใจเดินตาม

“อาว…รอที่บานเถอะฮะพี่แพ ไมตองเหนื่อยหรอก”

“ใหเธอแบกยอนมายอนกลับไดไง”

เมื่อพี่สาวแสดงเจตจํานงเชนนั้น มติก็ไมวาอะไรอีก

เขาบาน มาถึงหองของศิลปนหนุมผูเสมอนองแทๆ แพตรีเปนคนเปดไฟไลความสลัวของยามเย็น และ


กาวเขาไปในนั้นกอนอยางถือวิสาสะ เห็นภาพใหญโดดเดนในกรอบบนขาตั้งทันที
๕๑๐

เปนรูปทรงตั้ง คือดานสูงยาวกวาดานกวาง สิ่งที่กระทบใจเปนอันดับแรกคือแสงเจิดจา ณ ใจกลาง แวด


ลอมดวยคลื่นวนสีมวงมืด ดูทีแรกเหมือนแสงสวางที่ปลายทางอุโมงค ทวาเมื่อพิศแลวรูสึกถึงการสื่อพลัง
ชนิดหนึ่งที่ทําใหขนลุก…

มติอยากใหแพตรีชมผลงานของตนเงียบๆ จึงขอปลีกตัว

“ดูไปกอนนะพี่แพ เดี๋ยวผมเอาอะไรมาใหทาน”

วาแลวก็ถอยเทาจากหอง ปลอยพี่สาวไวตามลําพัง

แพตรีอึ้งงันเปนครูคลายถูกสะกด กอนถอนสายตาไปยังแผนกระดาษแข็งใตรูปที่มีหมึกดําลงเปนอักษร
ออนชอย

ชื่อภาพ ‘แสงนฤพาน’

ลางลงไปคือคํากลอนแดการตรัสรูธรรม หรือที่เรียก ‘ธรรมาภิสมัย’

ใจแพตรีเปนอันหนึ่งอันเดียวกับความดีจนสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่อยูเหนือความดีได เพียงเห็นภาพนิ่งที่ดู
มีพลังเคลื่อนไหวประหลาด รวมทั้งอานถอยคําในบทกลอนขยายความนั้น ก็บังเกิดปติ ใจอนุโมทนาเปน
ลนพนกับความสําเร็จของนองชาย

เขาเปนคนเคารพธรรม ฉะนั้นจะไมสื่อดวยวิธีบรรยายจากประสบการณตรงเชนนี้แน ถาหากไมผานมา


จริง เดิมทีที่คุยกับหลอนเมื่อหลายอาทิตยกอน แนวคิดในการสื่อภาพและรอยกรองจะออกไปทางการ
กลาวอางเนื้อหาการตรัสรู ซึ่งเปนมุมมองของผูพยายามอธิบายเปรียบเทียบจิตอันรอนดวยอุปกิเลสกับ
จิตที่สวางโพลงไรมลทินแลวเทานั้น

อยูใกลชิดกับปูชนะแตออนแตออกจนคุนกับกระแสความเปนอริยบุคคล เมื่อหลอนถามวาใชหรือเปลา
ทานก็เคยเผยตรงๆในฐานะคนสนิทที่รูเห็นพฤติกรรมกันมากพอควรแกการเชื่อ

ทานใช และขณะนี้ก็เปนถึงพระสกทาคามีแลวดวย!

ปูเคยถายทอดภาวะขณะการบรรลุแตละชั้นใหหลอนฟงอยางละเอียด เมื่อธาตุรูเดิมแทผุดขึ้นแสดงตัว
สัมผัสนิพพานครั้งหนึ่ง ก็คือเกิดลูกไฟลางกิเลสหนึ่งหน คําบอกเลานั้นเมื่อนํามาเทียบเคียงกับภาพและ
รอยกรองที่ปรากฏตรงหนา ก็ทําใหทราบไดวาขณะนี้มติเขากระแสแลว เปนคนในแลว เปนของจริงแลว
เปนหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งของพุทธศาสนาที่ยังไมเสื่อมสูญไปจากโลกมนุษย

หลอนเพิ่งนึกออกวา ‘แสงเปด’ และกระแสแปลกใหมในมติ ก็เหมือนกับที่สัมผัสไดจากปูชนะมาแตเล็ก


นั่นเอง ผิดกันคือความเขมขน ตบะธรรมของมติยังออนแผว แมสวางสดใสซานแรง แตก็เหมือนมีคลื่น
๕๑๑

ความเคลื่อนไหวรบกวนอยูบาง ไมรวมแนวนิ่งหนักแนน กอความรูสึกวางและบรรยากาศเบาบางจาก


กิเลสไดเทาครึ่งของปูชนะ

อยางไรก็ตาม เมื่อเปนโสดาบันบุคคล แมหากจะทอดธุระ ประมาทไมเคี่ยวเข็ญตนเองใหถึงที่สุดในชาติ


ปจจุบัน ก็เที่ยงที่จะถึงพระนิพพานภายในเจ็ดชีวิตขางหนา พูดงายๆคือเวลาลวงไปมีแตจะพัฒนาขึ้นสูง
ไมมีการถอยลงต่ํา หลนลงคลองอีก เพราะเมื่อเห็นของที่เที่ยงสนิท นาพอใจสูงสุดมาแลว จะกลับมาเห็น
ของไมเที่ยงและสิ่งกวัดแกวงทั้งหลายเปนความนาแหนงหนาย จิตยอมเก็บเล็กประสมนอย มีพฤติกรรม
ภายในคือตีจาก ผละออกไปเรื่อยๆ จนปฏิรูปเลื่อนชั้นสูงขึ้นตามเวลาที่ผานไป

สวนเมื่อเปนพระอนาคามีแลว จิตเปนสมาธิ ดํารงสติมั่น ไมคอยจะทอดธุระโดยสภาพของจิตเอง อยาง


ชาที่สุดเกิดอีกชาติเดียวบนพรหมโลกก็เปนอันตรัสรูขั้นสุดทาย

รูสึกถึงความเงียบเหงาบางประการในภายใน แลวหลอนละ อีกกี่ชาติ?

โคลงเคลงอยูในหัวอก หลอนติดตามเขาคนนั้นมานานเทาไหร แลวอีกนานแคไหนจึงจะสิ้นสุด?

ทั้งหมดลวนขึ้นอยูกับเขาคนเดียว หลอนไดแตอยูในฐานะบาทบริจาริกา ติดตามพระโพธิสัตวไปจนกวา


จะถึงฝง

บดริมฝปาก…ถาโบกมือบอกศาลา ฐานะอยางหลอนตองทํายังไงนะ?

สายตาเหลือบไปปะกับกองหนังสือที่สุมไวแบบมักงายตรงมุมหอง แพตรีกาวเนือยๆเขาหาดวยความตั้ง
ใจจะชวยมติจัดใหเปนระเบียบ หลอนไมเคยทนเห็นอะไรรกหูรกตาได โดยเฉพาะที่เปนรองรอยแสดง
ความชุยของนองชายคนนี้

จับซอนกันไปซอนกันมาเรียงลําดับจากใหญขึ้นมาหาเล็ก กระทั่งมือไปควาสมุดขนาดพ็อกเก็ตบุคเลม
หนา หนาปกสีชมพูเลมหนึ่ง ยนคิ้วเล็กนอยดวยความรูสึกคุนเคยวาเปนสมบัติเกาของตน

เปดหนาปกพบลายมือตัวเองเมื่อเกือบสิบปกอน ผะผาวไปทั้งหนาเมื่อรูแนวาใช

ใจเตนแรงดวยความคาดไมถึง บวกกับความอับอายเมื่อนึกวานี่นาจะเปนเลมเดียวกับที่ตนบันทึกเรื่อง
ราวแสลงใจและ ‘ไมปกติ’ เอาไวมากมาย ชนิดที่ตองการเก็บซอนไวอานเองคนเดียวอยางแทจริง หลอน
เขาใจวาทิ้งมันรวมกับ ‘ขยะ’ อื่นที่ตองการฝงลืมไปแลวดวยซ้ํา เหตุใดจึงมาอยูในมือมติได เขาขโมยมา
หรือ?

รีบพลิกลวกๆดูหนาบันทึกตางๆ ตายจริง! ใชดวยซี!

เปนความเผอิญที่มาสะดุดเอากับยอหนาหนึ่ง กระทบใจในยามนี้เขาพอดี…
๕๑๒

เมื่อออกมาสงเขากับคุณพอกลับ ฉันตั้งใจไหวเขาสวยที่สุด เขาจะเห็นหรือเปลาก็ไม


รู แตพรอมกับไหวครั้งนั้น คือการคิดตัดใจ ทุกอยางที่ผานมาขอใหเหมือนฝนไป นับ
แตชาตินี้ขอใหตางคนตางแยกกันไปตามทางของตัวเอง เคยอธิษฐานรวมกันแตมี
คนเดียวไดรับผลอธิษฐาน จะหมายความวาอยางไร ถาไมใชเพราะมีคนเดียวที่ทํา
ไปดวยใจจริง

น้ําตาซึมออกมาจนตองกะพริบกั้นไมใหลนขอบ กล้ํากลืนความรูสึกเจ็บคํารบสองลงคออยางยากเย็น
เดี๋ยวนี้รูคําตอบแลววาเพราะเหตุใดหลอนจึงระลึกจําไดอยูเพียงคนเดียว…

เขาเปนคนมีใจจริง…หลายดวง

คนไมปกใจหนึ่งเดียวแนวแนจะจําอะไรแนบแนนขามภพขามชาติไดอยางหลอนเลา

เชื่อแหละวาเขารักหลอน เสียแตวาไมใชรักเดียว นั่นทําใหคุณคาของทุกสิ่งที่มอบใหดูดอยความหมายลง


แทบไมเหลือ

รูสึกวาตนเองโงงมงายอยูตามลําพัง รักแท รักเดียวมันมีที่ไหน หลอนนาจะเห็นความเปนมนุษยมานาน


พอจะซึ้งวาหญิงชายทุกรูปนามตางมากรักหลายใจกันทั้งนั้น มีใครไหนกันที่เกิดมาพรอมกับดวงจิตอัน
เด็ดเดี่ยวที่จะรอพบคูแทเหมือนอยางหลอน

แตก็เกิดความขัดแยงขึ้นมาเมื่อตรึกนึกถึงปางกอน เขาทุมเทจนหมดตัวเพื่อพยายามพยุงชีวิตหลอนไว
จากโรครายเรื้อรัง เมื่อสิ้นสมบัติเงินทอง เห็นแนวาหลอนตองตาย ก็สาบานวาจะเขาปาบําเพ็ญพรต
รักษาพรหมจรรยจนกวาจะตายตามหลอนไป เพื่อไมตองพบกับหญิงอื่น รอพบกับหลอนทุกภพทุกชาติ
เพียงคนเดียว…

เขาทําใหหลอนไมสงสัยในความรักขามภพภูมิ และหลอนเองขอรองใหรวมเปลงวาจาอธิษฐานตอหนาสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ คือพระพุทธรูปในบาน ขอความซื่อสัตยตอกันดลใหจํากันไดเสมอเมื่อพบกันอีก

ยังจําไดสนิทเมื่อนอนมองตาเขา ที่เฝารอดูความตายของหลอนอยางไมทอดทิ้งไปไหน ทําใหหลอน


เผชิญความตายดวยยิ้มกลา และเขาสูสุคติดวยใจเปนกุศล เพราะระลึกถึงกุศลที่กอรวมกันไดตลอดสาย

เขาทําจริงดังพูด จากบานจากเมือง เขาปาหาฤาษีชีไพร ฝากตัวเปนศิษย บําเพ็ญพรตถือพรหมจรรย


กระทั่งสําเร็จฌานสมาบัติขั้นสูงในเวลาอันสั้น เหตุเพราะมีบารมีทางนี้มาแกกลา เคยเปนฤาษีใหญมานับ
ภพชาติไมถวน
๕๑๓

ดวยภูมิจิตที่สูงพอของเขา เปดโอกาสใหหลอนซึ่งครองภาวะเทพลงมาเยี่ยมเยียนและฟงธรรมตาม
โอกาส ปลูกสัมพันธภาพที่ใสสะอาดตอกัน กระทั่งเขาละสังขารสูพรหมโลก และกลับมาเกิดในโลกมนุษย
อีก

การเกิดของเขามีกระแสดึงภาวะของหลอนใหตามลงมาดวย หลอนจําชวงจุติลงมาเปนมนุษยไดเพียงราง
เลือน ทราบแตวามีพลังอยางหนึ่งกระชากภาวะเทพยดาของหลอนกอนถึงอายุขัย ตอเมื่อเปนเด็กหญิง
แพตรีอายุหกขวบ จึงเหมือนใจตอไดติดกับความเปนตนเองในหนหลัง เห็นอดีตติดตอกันเปนเรื่องเปน
ราวยาวยืดเพียงชั่วอึดใจที่นั่งสวดมนตมองพระปฏิมาในโบสถวัดทางนฤพาน

เคยรูสึกวาหลอนเปนคนพิเศษ มองเห็นความเปนจริงแตกตางจากมนุษยธรรมดา ทําอะไรแตละอยางลง


ไปจะคํานึงถึงผลที่ตามมาในกาลขางหนาเสมอ ไมใชสักแตคิด พูด ทําไปตามอํานาจความพอใจเฉพาะ
หนาอยางชาวบานชาวเมือง

แถมมีความหนักแนน เยือกเย็นยิ่ง อยางรูวาตนเกิดมาเพื่อใคร หลอนเขาใจชีวิตตนเองกระจางแจงแทง


ตลอด

แลวก็ตระหนักวาระลึกไดแคชาติเดียวนั้น ยังรูจักสังสารวัฏนอยไป…

หลอนจําเขาไดแมนมั่น แตฝายเขาไมแสดงทาทีรูเรื่องอะไรดวยเลย หนําซ้ําทําหนาไมแยแส จงใจมอง


เมินเย็นชาอยางจะแกลงใหเจ็บ ใหหลอนสํานึกถึงความเปน ‘คนละชั้น’ ระหวางกันอีกตางหาก หลอนไม
ไรเดียงสา อานออกกระจะแจงตั้งแตนาทีแรก

คนระลึกชาติไดจริงไมใชหมายความวารูเรื่องหนหลังทั่วถึงทั้งหมด อยางมากก็มีมุมมองกวางกวาคนทั่ว
ไปหนอยเดียว ที่แทยังมีแขนงสาขาของเหตุผลเบื้องหลังความซับซอนมโหฬารของสังสารวัฏอีกมากนัก
ถูกปดบัง แฝงฝง เรนซอนอยู

แมชวงนั้นหลอนยังเด็กอยูมากทางกาย แตทางใจแลวเติบโต รูคิดอานเปนผูใหญเต็มตัว เมื่อปูชนะและ


หลวงตาแขวนสอนอรรถธรรมจนเขาใจพอ ก็บังเกิดความสลดสังเวช เหนื่อยหนายการเตร็ดเตรเกิดตาย
กับ ‘คนแปลกหนา’ ขึ้นมาสุดใจ บันดาลใหเขียนขอความในไดอารี่ ขอ ‘แยกทาง’ อยางเด็ดขาด เขา
อยากไปใหถึงไหนก็เรื่องของเขา หลอนจะไมตามไปดวยอีก

ปรารถนานิพพานเลยดีกวา

ใจสงบมาไดเรื่อย และสําคัญวาสามารถตัดเยื่อเถือใยจากเขาขาดสิ้นแลว ดวยอิตถีมานะอันมั่นคง บวก


กับความอิ่มเย็นพอใจในกระแสธรรม

กระทั่งวันที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
๕๑๔

ยอมรับกับตนเองประสาซื่อวามีความวูบไหวเอาการ ความกระตือรือรนออกหนาออกตาของเกาทัณฑนํา
มาซึ่งความปลาบปลื้มและอารมณถวิลหาอาวรณเกาๆใหกลับคุขึ้นอีก ความชางยั่วแหยและเสนหคมคาย
ตองตาตองใจของเขาเรงใหหลอนออนลงรวดเร็วอยางนาอาย ขนาดตอบรับการขอหมั้นอยางเผลอไผล
ดวยการพยายามตีสนิทของเขาเพียงชั่วเวลาหนึ่งเดือนเทานั้น

แตชั่วขามคืนเดียวเชนกัน ที่เขาทําใหหลอนรองไหและเจ็บหัวอกจนซึ้งวาภาวะการตรอมใจตายเปน
อยางไร เสียดแสบรอนราวขนาดไหน

ในเมื่อเปนคูแท พบกันแลว ตอบรักกันแลว แตยังไมทันอยูครองเรือนก็มีใครอีกคนมาแบงใจ ทําใหเขา


ยอมรับออกมาวา ‘รัก’ อยางหนาซื่อ จะหมายความวาอยางไร?

ถาภาวะบุพเพสันนิวาสของผูหญิงคนนั้นไมแรงพอกับหลอน จะเกิดเรื่องอยางนี้ไดหรือ?

ยิ่งเจ็บหนักขึ้นเมื่อทราบวาอีกคนของเขามากอนหลอน

ขามชาติตามสายใยรักมาพบกัน เพื่อดูใหเห็น ฟงใหไดยินอยางนี้หรือวาเขายังมีใครอีกคนหนึ่งเปนที่รัก

นาทีที่เขาสารภาพ หลอนตระหนักวาตนเองไมรูอะไรเลย การระลึกชาติหนกอนได เปนเพียงเรื่องขี้ปะติ๋ว


เปนกลหลอกฉอฉลชิ้นหนึ่งของหวงมหาทุกขที่เรียก ‘สังสารวัฏ’ นี้เทานั้น

วันสุดทายที่พบกัน หลังจากหลอนเอยยกโทษจนเขาถือเปนสิทธิ์ดึงตัวหลอนไปกอดประโลม แพตรีจําได


ถึงความรูสึกสับสนและขัดแยงกับตนเองอยางหนัก เกาทัณฑกดรางหลอนนอนลงกอดแนบอกนิ่งเนิ่น
นานโดยไมเอยคําใด เขานิ่งจนหลอนซึมซับรับรูราวกับไดยินเสียงหัวใจที่ไรคําตอบ ปราศจากการตัดสิน
ใจอยางไรทั้งสิ้นของเขา

ยิ่งรักเทาไหร ยิ่งเสียดแสลงทุกขรอนมากขึ้นเปนเงาตามตัวเมื่อผิดหวัง นอยใจและออนแอลงทุกครั้งเมื่อ


รูวานับวันคอยเขาไมเคยเลิก และเหมือนเขาใจไมไสระกําที่ตัดการติดตอกับหลอนอยางสิ้นเชิงมานับ
อาทิตยแลว

หากไมทราบขาวมรณกรรมอันนาสลดสังเวชของเรือนแกว คงเปนที่นาเขาใจวาเขาตัดสินใจทอดทิ้ง
หลอน และเลือกเรือนแกวเปนคูชีวิต…

เดาวาที่มัวชาก็คงเพราะเลนแงกันมานาน ตอเมื่อไปตางประเทศ คงประสบเหตุเห็นหัวใจกันแจมแจง


เลยคอยถึงเวลา สบจังหวะปลงใจ

ทาทางคงไวทุกขใหกับคนรักของเขาจนไมมีแกใจคิดถึงหลอนอีกเลย นี่ยิ่งเปนการประกาศคุณคา
ระหวางผูหญิงสองคนของเขา คนตายมีความหมายยิ่งกวาคนเปนเสียอีก อยางนี้ถาเรือนแกวยังอยู จะยิ่ง
มีความหมายเหนือหลอนสักขนาดไหน?
๕๑๕

น้ําตาหยดใสหนากระดาษสมุดบันทึกเปนดวงใหญ แพตรีถอนสะอื้น ปดไดอารี่เลมนั้นลงเมื่อไดยินเสียง


มติเดินใกลเขามา

“ทานชมพูกันพี่แพ”

ชวนแลวก็ชะงักกึกเมื่อเห็นแพตรีเหลือบแลมาทางตนดวยสายตาขึ้งเคียดอยางไมเคยเปนมากอน ดวงตา
ช้ําและคราบน้ําตาสองสายยิ่งทําใหรูสึกช็อก แตเมื่อเหลือบเห็นไดอารี่ในมือพี่สาวก็พอเขาใจเปนเลาๆ

นึกตําหนิตนเองที่ลืมสนิทวาวางไดอารี่เกาแกเลมนั้นไวสะเปะสะปะ เปนโอกาสใหแพตรีไปพบ มติกลืน


น้ําลายลงคอฝดๆดวยความใจไมดี เดาไดวาหลอนคงมีเรื่องระหองระแหงอะไรกับเขาคนนั้น เมื่อมาอาน
เรื่องเกาเขา จึงเกิดความคับแคนปะทุขึ้นได รีบวางถาดผลไมลงบนโตะเล็กใกลตัว แลวหันมาเผชิญหนา
กับพี่สาวอยางพรอมจะกลาวขอโทษ

แตแคเผยอปาก แพตรีก็ขยับไดอารี่ถามตัดหนา

“ใครใหเอามานะ?”

เปนระดับเสียงธรรมดาที่แฝงอารมณเกรี้ยวลึก ชนิดที่มติไดยินแลวถึงกับจุกปากจุกคอ แพตรีเห็นอาการ


ยืนทื่อของพอนองคนดีแลวยิ่งเหมือนถูกเรงใหเดือดกวาเกา

“อานกี่รอบแลว? สนุกมากไหม?”

มติไดแตยืนกะพริบตาอั้นอึ้ง กมหลบพี่สาวที่จองเขม็งอยางเอาเรื่อง นี่เปนครั้งแรกที่เห็นหลอนแสดง


ความโกรธ ดูแปลกตาและทําความรูสึกผิดใหเขาอยางรุนแรง เนื่องจากตระหนักวาตนเปนตนเหตุ จะวา
เปนบาปกรรมเกากอนนานเนก็คงไมเต็มปากเต็มคํา เพราะเร็วๆนี้เพิ่งเปดอานใหมไปอีกเที่ยว

“ผมขอโทษนะพี่แพ”

เอยดวยเสียงสํานึก ทวาก็พยายามไมใหออยจนเปนการยั่วโมโหทางออม

แพตรีจองมองนองชายที่รักและไวใจ ทั้งขัดเคือง ทั้งอับอาย ไมใชอะไร ถาไดอารี่เลมนี้บันทึกเรื่อง


ธรรมดาเหมือนคนอื่นก็แลวไป แตนี่…

หวิวๆคลายจะเปนลม จนตองทรุดกายลงนั่งพับเพียบกับพื้น พอรูสึกตัววายังไมปวกเปยกขนาดมือออน


เทาออน ก็ออกแรงทึ้งหนากระดาษสมุดบันทึกเลมนั้นมาฉีก ฉีก ฉีกเปนชิ้นๆ มติเห็นพี่สาวหนาแดงก่ํา
หายใจหอบแรง ก็ละลาละลังเกๆกังๆ ขยับจะเขาไปใกลก็รูสึกถึงรัศมีความกริ้วที่ยังคงแผมาถึงตน จึงเอา
แตยืนมองหลอนฉีกสมุดกระจุยกระจายโดยไมทราบจะทําอะไรไดดีไปกวานั้น
๕๑๖

แมปกหุมพลาสติกก็ถูกถอดพลาสติกออกขยํา ดูราวกับวางานนั้นแพตรีตองใชกําลังไปมากมายจนออน
เปลี้ยมือสั่น มติชักเห็นทาไมดีก็ตอนหลอนหนาซีด เหมือนจะโงนเงนชอบกล จึงตัดสินใจไปนั่งใกลๆ
อยากประคับประคองดวยความเปนหวง

หญิงสาวกําลังจุกอกและหนามืดดวยถูกอารมณชิงชังครอบงํา เพียงเห็นเปนผูชายมานั่งตรงหนา จึง


เผลอยกมือขึ้นสะบัดซัดฉาดไปเต็มแรงจนมติถึงกับหนาหัน

มีอะไรชนิดหนึ่งเปนปฏิกิริยาตอบวูบกลับมาปะทะความรูสึก คลายแรงผลักไรตนที่ทําใหผงะ แพตรีคืน


สติ กลับเปลี่ยนจากความกริ้วเปนตกตะลึงใจหาย เมื่อนึกไดวาโทสะเพิ่งบันดาลใหหลอนตบใครลงไป
เกิดความรักตัวกลัวบาปสนอง เพราะตระหนักมานานวาทําอะไรไวกับอริยบุคคลแรงๆ ก็มักเปนทิฏฐ
ธรรมเวทนียกรรม คือใหผลทันตาในชาติปจจุบัน และรุนแรงเปนสิบเทารอยเทา ไมวาจะดีหรือราย

โดยเฉพาะขณะผูเปนอริยะไมมีกิเลสหอหุม หรือยิ่งถาอยูในขณะทรงฌานดวยแลว แรงสะทอนจะหนัก


หนวงเปนทวีคูณเกินประมาณ ดวยเหตุที่ธรรมชาติจิตของอริยบุคคลมีพลังบริสุทธิ์แฝงอยู พลังชนิดนั้นมี
อํานาจขยายผลเจตนาอันเปนกุศลและอกุศลที่เขากระทบใหเกิดเงาวิบากใหญแบบลัดลําดับวิบากอื่น
เหมือนนักเลงโตที่ใชกําลังเขาแทรกแซงผูมีกําลังนอยอื่นๆในแถว

หญิงสาวรีบเอื้อมมือจับตนแขนอีกฝายแนน กลาวทั้งตัวสั่นระริก

“มติ พี่ขอโทษ”

เด็กหนุมคอยๆหันหนากลับมา สบตาหลอนแลวตอบเสียงนิ่ม

“ไมเปนไรฮะ ถือเปนการไถโทษที่ผมทําใหพี่แพเปนทุกข” แลวก็อธิบายวา “สมุดเลมนี้ติดมากับกอง


หนังสือที่ผมขอยืมชวงไปชวยพี่แพยายหอง ยอมรับวาอดใจไมอยู เสียมารยาทอยางมากที่แอบอานโดย
พลการ”

แพตรีจองมองเขาชัดๆในระยะใกล เหลือบเล็งแกวตาซายขวาของมติทีละขางสลับกันสองสามหน มี
ความผูกพันไมเปนอื่นอยูที่นั่น สัมผัสไดถึงสัมพันธภาพบริสุทธิ์ปราศจากความนาคลางแคลงระหวางกัน
เขาคนนี้จะไมมีวันทํารายหลอนเลย จะดวยกรณีใดๆก็ตาม

“ชางเถอะ…พี่ไมนาจะมีอะไรตองปดบังเธอหรอก”

เกิดความออนแอขึ้นมาอยางผูหญิงคนหนึ่ง ที่มีคําพูดมากมายเก็บกดไวรอเวลาพรั่งพรูทะลักทลาย

“พี่เคยคิดวาตัวเองรูวาเกิดมาเพื่อรออะไร แตตอนนี้เห็นตัวเองเปนยายโงคนหนึ่งเทานั้น จะเปนคน


ธรรมดาที่จําเรื่องเกาๆของตัวเองไมได หรือคนพิเศษที่มีความระลึกรูเกี่ยวกับชีวิตกอน ก็ไมชวยใหทุกข
รอนนอยลงเลย”
๕๑๗

มติพยักหนา

“ผมก็รูสึกอยางนั้น พี่แพอาจนาสงสารกวาคนอื่นดวยซ้ํา ในแงที่ใจตองแบกรับอุปาทานในตัวตนถึงสอง


ชาติไวพรอมกัน”

แพตรีลดมือลง เมมปากกล้ํากลืนรสขม พยายามควบคุมจิตใจใหเปนปกติ กระแสใจสงบเย็นของเขาทํา


ใหคําพูดงายๆนั้นสะกิดสติหลอน คิดตอไดเองวาขาดอุปาทานตัวเดียว ก็ไมมีทุกขของชาติไหนๆใหแบก
อีกเลย

อยางที่หลอนเคยคิดจนปลงใจชัดมาแลว และนึกเขาใจซ้ําอีกทีวาการระลึกชาติเปนไปไดหลายแบบ ถา


เขาทางปญญาก็อาจเปนคุณในแงความเห็นภัยการเกิดตายอยางไมรูอิโหนอิเหน ถาเขาทางโมหะก็อาจ
เปนโทษในแงความยึดมั่นถือมั่นไมรูจบรูสิ้น ทั้งที่จบจากความเปนเชนนั้นไปแลว คลี่คลายมาสูความเปน
เชนนี้แลว ก็ยังอุตสาหแบกของเดิมไวในใจอยูได

แพตรีระบายยิ้ม พยายามเปลี่ยนเรื่องใหแจมใสขึ้น

“อานทั้งเลมอยางนี้ก็รูความในใจหมดสิวาพี่คิดและเขียนเกี่ยวกับเธอไวยังไงบาง”

“ฮะ…จําไดสนิทติดหัวอยูประโยคหนึ่ง ตอนพี่แพเขียนวาตอบคําถามเด็กชางซักจนชักอยากเปนครูขึ้น
มาแลวซี…” เวนวรรคมองเครื่องแบบหลอนดวยตาเปนประกายลึกซึ้ง “วันนี้ไดเปนจริงๆ”

หญิงสาวกะพริบตา มองนองชายดวยยิ้มคางอยูพักหนึ่งกอนเอย

“แตวันนี้เด็กชางซักก็กลายเปนบัณฑิตผูรูและไดดีเกินพี่ไปแลว คงตองสลับบทกันบางละ อยาลืมพาพี่ไป


ดวย คงไมทิ้งกันนะ”

มติฟงแลวเบนหนาไปมองภาพแสงนฤพานเปนครู จึงหันกลับมา

“อาบน้ําบอใหญแลวตองขออาบบอเล็กทําไมฮะ พี่แพอยูกับปูมาตั้งกี่ป”

“พี่มันไมเอาไหน ยังเอาดีไมไดเลย”

เด็กหนุมเปลี่ยนสายตาไปทางโตะเล็ก ซึ่งมีจานแอปเปล ชมพู และของหวานวางอยู กอนชวนวา

“ทานผลไมกันเถอะ”

แพตรีเหลียวตาม เห็นผลไมยังไมถูกผาสักชิ้น เพียงถูกลางน้ําหมาดเทานั้น แถมไมมีมีดเตรียมมาดวย


อีกตางหาก มติคงกะใหกัดกินเอาทั้งลูกนั่นเอง หลอนสายหนานิดหนึ่ง บอกเขาวา
๕๑๘

“เดี๋ยวพี่เอามีดมาผาซีกให”

วาแลวก็ลุกเดินออกจากหอง ลางมือและหามีดจากในครัว ทําพริกเกลือจานเล็กอยูเดี๋ยวเดียวก็เดินกลับ


เขามา จัดแจงกดคมมีดผาแอปเปลอยางบรรจง มติทอดตามองตามพลางถามเรื่อยเปอย

“ไดลงโทษเด็กใหคาบไมบรรทัด กางแขนยืนขาเดียวเหมือนที่เคยทํากับผมหรือยัง?”

แมครูสาวหัวเราะ

“เคยเหรอ เอ…ตอนนั้นทําไมพี่ใหเธอทําอยางนั้นละ?”

คุนๆวาเคยเลนบทสมมุติเปนครูลงโทษนักเรียนกับมติ แตลืมแลววาเหตุจูงใจคืออะไร

“พี่แพพยายามหัดใหผมทองคาถากรณียเมตตสูตรไงฮะ ผมทองไปก็บนกลุมใจทําไมจําไมได ไมมีสมาธิ


บนคําเดิมทุกจบวรรคทบตน สองเที่ยวสามเที่ยวพี่แพคงรําคาญ เลยสั่งคาบไมบรรทัดจะไดเลิกบน และ
บอกใหกางแขนยืนขาเดียวสักพัก เดี๋ยวใจสงบเปนสมาธิไปเอง”

แพตรีหัวเราะรวน หลอนเปนคนหัวเราะนารักนาใคร และชวนใหคนไดยินเกิดอารมณผองใสตามอยาง


ฉับพลันทันที ใหมตินึกอยากอัดเทปไวเปดฟงเวลาเครียดเสียจริงๆ

“งั้นเหรอ เออ…จําไดแลว”

พูดทั้งกลั้วหัวเราะ หลอนผาแอปเปลสามลูกเอาแกนออกจนหมด จึงหยิบจากจานสงปอนเขาปากมติชิ้น


หนึ่งอยางไมคิดอะไรมาก

“อะ…”

เด็กหนุมเผยอปากรับ พอเคี้ยวกลืนจนหมดก็วา

“หานาทีหลังจากกางแขนยืนขาเดียว ผมรูสึกวามีสมาธิกวาเดิม กลับมาทองจําไดดีจริงๆดวย ตั้งแตนั้น


เลยเขาใจวาถาจะเกิดสมาธิได ใจตองพยายามเพงเลี้ยงตัวใหเทากับที่ยืนขาเดียวแบบถูกทําโทษคราว
นั้นเอง”

แมครูคนงามยิ้มเรียบ หยิบชมพูมากมหนากมตาผาตอ มติมองดวงหนางามละมุนเบื้องใกลแลวอดหลง


รักไมได แตพอรูตัววามีอะไรกรุนในอก ก็จุดแสงโอภาสขึ้นกลางใจ สงตัวรูตามดูความปรุงแตงทันที เห็น
เหมือนสายหมอกหนาทึบเริ่มคืบคลานเขาเกาะกุมหัวใจ จึงขับไลใหสลายไดทันทีที่แสงรูสองเห็นนั้นเอง
๕๑๙

การจุดแสงรูขึ้นเสียกอนมืดคลุมคลุมมิดนั้นสําคัญมาก โดยเฉพาะกับจิตที่ยังมีกําลังไมเที่ยง ไมทน หาก


ปลอยใหใจถูกคลุกเคลาจนไมอาจใชกําลังรูเขาแยกระหวางจิตกับอารมณแลว จะใหสลัดทิ้งภายหลังนั้น
นับวายากเย็นแสนสาหัส สูตัดไฟแตตนลมไมได ยังงายอยูมาก

จดจําและระลึกเตือนตนเองวารสชาติของการรักขางเดียวแสบรอนปานใด แพตรีไมใชผูหญิงของเขา และ


จะไมมีวันใช

จูๆมติเปรยขึ้นมาคลายตองการแกเกอกับตนเอง มากเสียกวาอยากใหแพตรีไดยิน

“พี่แพคงเคยเปนพี่สาวของผมมากอนแนๆเลย เสียแตวาชาตินี้ไมไดเกิดจากทองแมเดียวกันเทานั้น”

หญิงสาวผาชมพูเฉยเปนครู กอนตอบทั้งสายตาเหลือบต่ําจับความเคลื่อนไหวที่มือ

“เธอโตทันพี่แลวนี่ ฐานะและความรูสึกทางใจเปนอนิจจัง เปลี่ยนแปลงไดเสมอ…”

เพราะสติยังคม มติจึงรูวาตนเองหูไมเฝอน แตความหวั่นไหวจะทําใหเขาใจคลาดเคลื่อนหรือเปลานั้น


เปนอีกเรื่องหนึ่ง

“ผม…คงทําใหพี่แพไมสบายใจเกี่ยวกับรูปที่เคยวาดดวยความฟุงซาน หวังวาพี่แพคงไมถือสากับความ
เหลวไหลชั่วครูชั่วยามของผมนะฮะ”

“ก็ไมเห็นเหลวไหลตรงไหน คิดไปคิดมา ชักอยากใหเธอวาดอีกเหมือนกันแหละ”

วาแลวก็นําซีกชมพูชิ้นหนึ่งจิ้มพริกเกลือ ยื่นจะปอนมติอีก แตคราวนี้มติใชมือรับแทน ยนคิ้วจองมองแพ


ตรีดวยความสงกา สานตากันครูหนึ่ง กอนที่หญิงสาวจะเปนฝายหลบ

“แพกลับบานดีกวา”

วาแลวแมหญิงแสนงามก็หยิบกระเปาขึ้นสะพายไหล ดึงตัวลุกกาวจากหอง สรรพนามที่ผิดไปจากเดิมยิ่ง


ย้ําใหรูสึกถึงเจตนาบอกความแปลกเปลี่ยนในสัมพันธภาพ มตินั่งกะพริบตางงเปนครู กอนโยนชิ้นชมพู
ทิ้ง ลุกตามหลอนออกมาทั้งยังเควงกับพฤติกรรมอันนาฉงนของเพศที่มีความไมแนนอนเปนเจาเรือน

ทันกันที่หนาประตูบานซึ่งไมไดล็อกไว แพตรีเปนฝายเปดเอง และหันมาทิ้งหางตาคมหวาน

“ปูบนหามติหลายหนแลว ไมไปเยี่ยมทานเลย ออ…กอนถึงวันงานประกวดอยาลืมเตือนลวงหนานะ จะ


ไดทําตัวใหวาง”
๕๒๐

แลวหลอนก็กะพริบตาเบะยิ้มใหเขานิดๆเปนการสงทาย กอนผินหนากรายเทาหางออกไปเรื่อยๆ มติ


มองตามจนแพตรีถึงบาน และราวกับรูวาเขายังจับตามองอยู หลอนหันมาโบกมือหย็อยๆกอนกาวหาย
เขารั้วลับตาไป ปลอยใหเขายืนนิ่งขึงอยูกับที่ราวกับถูกสะกดดวยมนตรขลังอันยากจะตานของนางฟา

ชวงสาย ในหอประชุมขนาดยักษที่ถูกดัดแปลงเปนหอแสดงศิลปะชั่วคราว คลาคล่ําดวยผูเขารวมชม


นิทรรศการ ซึ่งมาชุมนุมหลายรอยคน เพราะทราบจากประกาศทางหนังสือพิมพและวิทยุโทรทัศนตลอด
หลายเดือนที่ผานมา

นั่นเปนนิทรรศการภาพประกวดทางพุทธศาสนาที่เก็บผลการตัดสินของกรรมการไวในซองลับ และจะ
ประกาศเผยผลในชวงบาย ทั้งนี้เพื่อใหผูชมตระเวนดูผลงานกันโดยปราศจากอคติและลําเอียงเสียกอน
จะไดรับสารจากศิลปนตางๆเต็มที่ สวนจะวิพากษวิจารณชอบชังกับผูมาดวยกันอยางไร อยากใหใครได
เหรียญทอง เหรียญเงิน หรือเหรียญทองแดงนั้น ก็สุดแลวแตนานาจิตตัง

ความหลากหลายของผลงานเกือบหารอยชิ้น ประดับบนแผงกั้นชั่วคราวที่เรียงรายเบียดเสียดอยูใน
บริเวณแสดง แลนเลยไปถึงสวนอื่นของอาคารนับแตทางเดินขึ้นมา กอใหเกิดมิติใหมสมใจเจาภาพ นั่น
คือไดมีการรวบรวมประสบการณ มุมมอง และความคิดสรางสรรคเดนแปลกของจิตรกรทั่วประเทศ นํา
มาไวในที่เดียวกัน เพื่อแสดงสาระธรรมในพุทธศาสนาอยางพรอมเพรียง งานสวนใหญมองออกงาย ยิ่ง
เมื่ออานรอยกรองกํากับก็ยิ่งเกิดความเขาอกเขาใจทะลุปรุโปรง

หลายคนที่เขาชมงาน ถึงกับถูกอกถูกใจ พึมพํากันเซ็งแซวาเปนงานที่ดีเหลือเกิน แตละภาพมีความชัด


ในตัววาถูกถายทอดมาจากสายตามองโลกอยางละเอียดออน ถอยคําที่ผูกขึ้นเปนรอยกรองหลายชิ้นมี
แรงสะเทือนกระทบใจสูงมาก ยิ่งเดินชม เดินอานผานไปเทาไหร ก็ยิ่งดิ่งจมเขาไปในเนื้อหาอันเปนชนวน
ใหเกิดกุศลจิต หรือกระทั่งจิตปลอยวางอยางเยี่ยม

นี่เปนผลของแรงจูงใจอยางใหญ แนนอนรางวัลกอนโตมีสวนดึงหัวกะทิและมือทองทั่วประเทศเขามารวม
ตัวกันอยางไมเคยปรากฏมากอน

แมเริ่มตนดวยความโลภ ทวาเมื่อจะรังสรรคงานเพื่อชิงชัย เหลาศิลปนทั้งหลายก็ตองตั้งหนาตั้งตาศึกษา


เนื้อหาธรรมะกันระดับหนึ่ง เมื่อเกิดความเขาอกเขาใจ หรือเกิดแรงบันดาลใจเด็ดๆแลว จึงลงมือละเลง
เสนสายลายสีกันสุดเดช เพื่อบรรลุจุดประสงคของแนวคิดประกวดคือเขาใจงาย และมีผลกระทบแรง

องคประกอบที่ใชพิจารณานั้น เทน้ําหนักใหความเขาใจงายทัดเทียมกับความงามในเชิงวิจิตรศิลป ภาพ


ที่สมบูรณพรอมทั้งผลกระทบทางใจและความสวยงามเขาตา จะมีภาษีเหนือภาพอื่นทั้งหลาย
๕๒๑

แรงจูงใจสําคัญยิ่งไมใหเหลาศิลปนทดทอก็คือ รางวัลมิไดมีเพียงสําหรับสามภาพคือเหรียญทอง เหรียญ


เงิน และเหรียญทองแดงเทานั้น ยังมีภาพที่ทานเจาภาพจะใชความพอใจสวนตัว มอบรางวัลชมเชยใหสี่
แสนบาทถึงสิบภาพ รวมทั้งรางวัลปลอบใจแบบไมจํากัดจํานวนอีกตางหาก กลาวคือขอเพียงทําใหทาน
เจาภาพพอใจ ก็รับไปเลยเหนาะๆสี่แสน หรือลดหลั่นลงไป แตอยางต่ําตีคาเปนเลขหาหลักไลกันขึ้นมา
ทั้งสิ้น

นั่นทําใหทุกคนทุมเทกันสุดตัว บางคนลงทุนไปนั่งวิปสสนาตามสํานักดังเพียงเพื่อใหไดแรงบันดาลใจ
ประดิษฐงานสงเขาประกวดโดยเฉพาะ!

ผลที่ไดอยางใหญคือเนื้อหาธรรมะงายๆที่เขาหูเขาตาผูรวมชมจํานวนมหาศาล เพราะภาพที่ ‘สอบผาน’


ทั้งหมดจะถูกตระเวนแสดงทั่วประเทศ รวมทั้งเผยแพรผานสื่อมวลชนสายหลัก บรรดาศิลปนจะจริงใจกัน
แคไหนก็ชาง ขอแคแคะเอาศักยภาพสูงสุดของพวกเขามารวมกันเปนใชได การระดมศักยภาพของหัว
กะทิหลายรอยยอมกอผลสะเทือนอันกวางใหญอยางแนนอน

นับเปนงานสืบทอดพระศาสนาอันสําคัญยิ่งงานหนึ่ง

ทีฆายุจูงมือฟองชลแฟนสาวของเขาแวะเวียนชมภาพโนนภาพนี้ สายตาก็สอดสายหาพรรคพวก ซึ่งคาด


วานาจะเดินเกรอยูใกลละแวกบาง

ชมไดเพียงสองสามภาพก็ปะเพื่อนนักศึกษารวมรุน โดยทีฆายุเปนฝายถูกเรียกทักกอน

“ตุย!”

เพื่อนรวมคณะยืนอยูที่ภาพหนึ่งไกลออกไป ทีฆายุพยักพเยิดให หันดูรูปที่คางอยู อานกาพยกํากับภาพ


ครูหนึ่งจนจบ จึงดึงแขนแฟนสาวชักชวนไปหา

“เพิ่งมาถึงเหรอะ?”

ตั้งทัพถามและหันไปยักคิ้วใหคนนารักของทีฆายุอยางสนิทคุน

“เออ” ตอบแลวก็หันมองภาพ ผงะนิดหนึ่ง “ของใครวะ?”

“นี่แหละงานกู”

ตั้งทัพบอกดวยยิ้มโอ ทีฆายุเหลือบลงอานโคลงสี่ที่เปรียบเหมือนบทบรรยายขยายความ

เท็จ นั้นคนพูดยอม ทิ้งรอย


จริง แลวไมเคยลอย เลื่อนเปอน
๕๒๒

สิ่ง เดียวในหนึ่งรอย เลหลิ้น ลมคน


ลวง ดวยคําเอยเอื้อน อาจยอนรัดคอ

อานเสร็จก็เหลือบขึ้นมองภาพซ้ํา เปนภาพชายคนหนึ่งถูกดึงลิ้นอันยาวเหยียดเหมือนสายยางฉีดน้ําออก
มาพันรัดคอจากเบื้องหลัง โดยผูกระทําการดึงลิ้นแตงชุดครุยแบบเนติบัณฑิต หนาตาถมึงทึงแบบจะ
ฆาตกรรมใหตายดวยลิ้นของชายเคราะหรายนั้นเอง

เผอิญทีฆายุกับฟองชลหัวเราะออกมาพรอมกันอยางเก็บความขําไมอยู ตั้งทัพหนาเสีย

“ตลกเหรอะ?”

ถามแบบใจไมดี ทีฆายุพยายามเมมปากกลั้นเพื่อไมใหเพื่อนเสียน้ําใจวาถูกเยาะ ความจริงโคลงที่แตงไว


แมขาดความรัดกุมหนักแนน ก็พอกลาววาเขาทาอยูหรอก ภาพก็วาดไวใชได การวางตําแหนงและการ
เลนสีไดจังหวะจะโคนเดนตา มีความคมชัดสมจริง แฝงความนากลัวไวสมเจตนาดี ทวาสื่อที่ออกมา
บวกๆกันระหวางภาพกับโคลงแลว ดูจี้เสนชอบกล โดยเฉพาะอาการตาเหลือกตาปลิ้น ยกมือกุมคอหอย
ของเจาของลิ้น

“กูนึกวามึงตั้งใจใหขํานี่หวา” วาแลวก็ฝนเชียร “ใชไดโวย ตอไปนี้กูคงไมอยากพูดจาโปปดมดเท็จอีกแลว


กลัวเจอทนายความสาวไส ลากลิ้นออกมารัดคอแบบที่เห็น”

ฟองชลหัวเราะกิ๊ก แตแลวก็ยิ้มรื่น ตีหนาตายชม

“ซีวานาประทับใจจนลืมไมลงเชียวละ”

ตั้งทัพฟงยังไงก็รูวาเพื่อนทั้งสองแคเสพูดใหกําลังใจเทานั้น จึงยิ้มกรอย

“อยากจะวาภาพมันเออๆก็พูดตามตรงเหอะ หนาตากับสุมเสียงฟองเชียว” แลวเขาก็เบี่ยงความสนใจมา


ถามถึงงานของเพื่อนสาว “ซีละ วาดภาพอะไรไว เห็นหรือยังวาตั้งอยูตรงไหน?”

"ยัง"

“เดินหาดูกันไหม?”

“อยาดูเลย เดี๋ยวเธอแหกปากหัวเราะ อายเขา”

“อาว! อาจารย สวัสดีครับ”

ทีฆายุเห็นชายผมสีดอกเลาเดินเขามาในทางตาก็ยกมือไหวดวยความเคารพ
๕๒๓

“เออ วาไง”

สมบูรณพารางผอมเกร็งมายังกลุมนักศึกษา ตบหลังทีฆายุศิษยโปรด

“อาจารยมานานแลวหรือยังคะนี่?”

ฟองชลยื่นหนาถามยิ้มๆ

“ก็พักใหญ แตเพิ่งดูไปไดหนอยเดียว” โคลงหัวเล็กนอยบน “มึน มันเยอะจัด นี่ของฉันเองยังหาไมเจอ


เลย นาจะติดเบอรแลวมีบัญชีชื่อระบุไวใหเห็นหนอย”

“แลวอาจารยเห็นที่พอเขาเคามั่งรึยังฮะ?”

ตั้งทัพถาม

“อือ เห็นเขาทาอยูหลายเหมือนกัน แตละคนทาทางคั้นกันสุดฤทธิ์…” แลวก็เบิกตาคลายนึกอะไรขึ้นได


“เมื่อกี้เพิ่งเห็นงานของมติ เขาทําเขาทีนะ”

“เหรอครับ ภาพเปนยังไง?”

ทีฆายุซักดวยความอยากรู เนื่องจากพูดถึงฝมือแลว มตินับเปนคูปรับสําคัญในรุนเดียวกัน แตออกงาน


ใหญอยางนี้คงไมมีใครเดนเปนชางเผือกไดงายนัก

“ชื่อภาพแสงนฤพาน อานกลอนแลวรูสึกยังกับมันไปบรรลุอะไรมา”

สามหนุมสาวหัวเราะเบาๆ มติไมอยูในกลุมเด็กรวย การคบหาจึงออกจะหางเหิน นับหนาถือตากันแคฝ


มือชนิดหวิดๆจะไรเทียมทานเทานั้น นิสัยใจคอหรือพื้นความชอบใจทางดานศาสนาไมคอยเปนที่รูเห็น
ของเพื่อนเทาไหร

สมบูรณเพิ่งเหลียวมองภาพดานใกล มองชื่อเจาของแลวจึงรูวาเปนงานของตั้งทัพ กมหนาอานโคลงดาน


ลาง ยอนสายตาขึ้นมองภาพแลวหัวเราะออกมาดังๆ นั่นยิ่งทําใหตั้งทัพหนาเจื่อน ดวยรูแนแลววางาน
ของตนถูกมองเปนสื่อชวนหัวมากกวาจะหวังชนะใจกรรมการ

ขณะนั้นสองเด็กหนุมเดินเขามาสมทบ ตางยกมือไหวอาจารย และทักทายกันเองขรม พอรูวาอาจารย


สมบูรณเพิ่งพูดถึงผลงานของมติ หนึ่งในนั้นก็โพลงวา

“เมื่อกี้ก็ทัก วันนี้มันพกนางฟามาประดับบารมีดวยละ”

ตั้งทัพตาตื่น
๕๒๔

“คนที่เราเคยเห็นเดินดวยกันในศูนยการคาเมื่อหลายเดือนกอนหรือเปลา?”

บางกอกยักคิ้ว

“เออ…มันมีเสนหอะไรของมันก็ไมรู ควงสาวสวยขนาดนั้นยั่งยืนไดไง สงสัยจริง”

ทีฆายุเบิกตาหนอยๆดวยความอยากรู

“สวยขนาดไหนวะ?”

บางกอกอมยิ้ม ถาฟองชลไมยืนอยูตรงนั้นก็อาจกระทุงเลนวา ‘เด็กมึงชิดซาย’

“เดี๋ยวดูเองดิ้ มันพาเดินกระตวมกระเตี้ยมไปรอบๆนะ คงเวียนมาเจอกันเขาเองหรอก”

“งานนี้หลากหลายดีวะ” วิเวกซึ่งมาพรอมบางกอกเอย “ศิลปนทั้งไฮโซและตอกตอยมาชุมนุมกัน เมื่อกี้


อานชื่อเจาของผลงานคนหนึ่ง เปนหมอดวย ชื่ออะไร…แพทยหญิงไอยริน ฝมือรายทีเดียว”

อาจารยสมบูรณเบิกตาหนอยๆ

“ออ หมอไอยริน เมื่อยังเด็กเคยกวาดรางวัลเยาวชนนานาชาติมาแลว ดังออกจะตาย เธอไมรูจักเขารึ?”

“ไมรูครับ” วิเวกเทาเอวสารภาพ “เทคนิคการสะบัดสี การปดแปรง การระบายอะไรนี่แนบเนียนชั้นออง


เลย แตกาพยที่เขาแตงยังแปรงๆ ลงเอกโทไมเขาที่พิกล”

“บางรายวาไวสุดสยอง” ตั้งทัพเอยพลางหัวเราะ “กลอนวาไงลืมแลว แตสรุปวาบางคนเกิดมาในโลกนี้


เพื่อทิ้งไวแตอึกับฉี่ ไมมีรองรอยความดีหรือผลงานทิ้งไวใหเห็นเลย ฮะๆ”

“นี่แหละนา โดนดาแลวยังไมรูตัว…มีหนาไปชมเขาอีก”

บางกอกแซว พอทุกคนพากันหัวเราะและเห็นตั้งทัพหันมาทําตาขวาง บางกอกก็เบนหนามาเสถามเปน


เชิงขอความเห็นจากอาจารย

“อาจารยวาไหม ที่เขาไมสงวนชื่อ ยอมใหซ้ํากันไดนี่มั่วพิกล เมื่อกี้เดินผานมาเจอเพียบเลย อยางชื่อ


ภาพ ‘อริยสัจจ’ กับ ‘อวิชชา’ อะไรเนี่ย เกรอแท”

“ออ…เขาวาถาไปจํากัดแลวเดี๋ยวคนคิดตั้งชื่อใหเหมาะสมลงตัวกันไมออก เพราะขอธรรมในพุทธศาสนา
มีอยูตายตัว ถาใครอยากสื่อขอหนึ่งแลวเผอิญไปขัด ไปซ้ํากับคนที่จองไวแลว เลยตองคิดคอนเซ็ปตใหม
ทั้งที่อาจสื่อขอธรรมเดิมไดดีกวาคนอื่น”
๕๒๕

ทีฆายุยิ้มเผล เพราะชวงพยายามศึกษาเนื้อหาธรรมะคนแรงบันดาลใจ เขาคิดวาเขาเพิ่งทราบชัดวาคน


ยุคนี้หยิบยืมศัพทมาใชกันผิดเพี้ยนจากความหมายเดิมมาก จึงออกความเห็นเสริม

“แตก็ทําใหเขวไดเหมือนกันนะครับ ที่มีอยูภาพหนึ่งตรงทางเดิน ไอเดียกระฉูดเชียว วาดเปนกลองดูดาว


ฮับเบิ้ลสเปซบนอวกาศนะ ลอยเทงเตงเปนสัญลักษณการขยายขอบเขตความรับรูทางประสาทตาได
กวางไกลที่สุด ใหขอมูลไวในกลอนเสียดวยวาอยูสูงเหนือพื้นขึ้นไปหกรอยกิโลเมตร เห็นไกลจนยอน
กลับไปในอดีตเกือบถึงขณะกําเนิดจักรวาล แตยิ่งเห็นยิ่งเกิดคําถามไกลออกไปกวาสิ่งที่เห็น บทสรุปคือรู
วิชาที่ยืดยาวยื่นไกลหาที่จบไมไดนั้นเปนอวิชชา สวนวิชาที่รูแลวจบถึงจะถือเปนวิชชา อยูบนโลกนี่เอง”

“แลวอวิชชาตามความหมายเดิมวาไงละ?”

ฟองชลขยับถามแฟนหนุม เปนผลใหทีฆายุยืดอกเบงเล็กนอย กอนตอบดวยความมั่นใจ

“อวิชชาเล็งไปตรงจิตที่ถูกหอหุมดวยกิเลส ทําใหไมรูอริยสัจสี่ ไมรูเบื้องหนาเบื้องหลัง รวมทั้งไมรูเหตุ


ปจจัยใหเกิดสิ่งที่กําลังปรากฏอยูตรงหนา แตเดี๋ยวนี้คนเอาอวิชชามาใชกันในความหมายทํานองไมรูจริง
หรือมีอคติอยางแรงกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถาพูดๆกันทั่วไปก็ไมเปนไรหรอก แตอยางในงานนี้ที่ตองการ
สื่อธรรม มันนาจะระวังใหตรงทางกวาที่ใชอยูผิวเผิน

อยางภาพที่วานี่ แทนที่จะตั้งชื่อเปน ‘อวิชชา’ ถาแผลงเปนอื่นก็คงจะดูเขาเคาดีหรอก เชน ‘รูเพื่อตอ’


หรือไมก็ ‘รูเพื่อจบ’ อะไรทํานองนี้ แลวสรุปแนวคิดของภาพวารูแบบโลกนั้นไมจบ ไมนาพอใจ ตองรู
แบบธรรม เพราะไปถึงจุดหนึ่งแลวจบ ไมตองตออีก”

“วาว…” ฟองชลครางเสียงต่ํา เบิกตาลอแฟนหนุม “วันนึงเธอตองไดเปนหนึ่งในคณะกรรมการแนๆเลย”

“ไดเปนสมีดวย”

วิเวกเสริม เพื่อเรียกความครื้นเครงในหมู เกือบทุกคนหัวเราะ ยกเวนทีฆายุที่ทําหนางง

“สมีคืออะไรวะ?”

วิเวกตะแคงหนามองเพื่อน ทีแรกนึกวาแกลง แตพอดูตาแลวทาทางไมรูจริงๆ ตามประสาคนเพิ่งเริ่ม


ศึกษาพุทธศาสนา ความรูยังแหวงๆวิ่นๆ บางทีเหมือนรูลึกจนเกินตัว แตบางทีก็เหมือนปลาตายน้ําตื้น
อยางนี้

เห็นเพื่อนอยากรู วิเวกจึงยกมือตบบาและยิ้มขรึมสงเคราะห

“ถาอยากรูวา สะ-หมี คืออะไรก็ลองบวชดูนะ บวชแลวหมั่นใหสีกาซีไปเยี่ยมบอยๆ ออรอฉอเลาะกันสัก


พัก ภาวะทานสมีจะเกิดขึ้นเอง”
๕๒๖

“บา!”

ฟองชลรองเสียงแหลม ตีแขนวิเวกเผียะใหญแลวทําตาคว่ํา หนาเงา ทีฆายุหัวเราะออกมาได กลุมศิษย


อาจารยยืนถกอภิปรายครูหนึ่งก็แยกยายไปชมภาพประกวดตามอัธยาศัย รอเวลาประกาศผลที่กําลังจะ
มาถึงในเวลาไมนานขางหนา

บายสองโมงตรงอันไดเวลาแจกรางวัล ผูคนเริ่มทยอยเขามากันมากขึ้นกวาชวงเชา หลายรายกะจะเขา


มาชมพักเดียวในระยะแรก กลับติดใจอยูตอรอฟงผล โดยเฉพาะบรรดาศิลปนเจาของผลงานทั้งหลาย
พาญาติสนิทมิตรสหายพวงมาดวยเห็นอุนหนาฝาคั่ง เนื่องจากเปนงานฟรี คนหลามไหลเขามาไดตลอด
จํานวนเกาอี้ที่จัดไวเหลือนอยเต็มที แนนอนวาเมื่อถึงเวลาประกาศผล ก็เห็นทีจะตองยืนกันเปนสวนใหญ
เพราะยังเกรชมภาพอยูมาก

“สวัสดีครับพี่นองชาวพุทธที่รักทุกทาน…”

เสียงพิธีกรดังขึ้น เปนสัญญาณวาวาระสําคัญมาถึงแลว นั่นเองจํานวนผูเขาชมจึงเทมาทางที่นั่งมากขึ้น

พิธีกรกลาวถึงความเปนมาของงานประกวดภาพ รวมทั้งแนวคิดการสงผลงานเขารวม เกณฑการตัดสิน


ตลอดไปจนกระทั่งรายชื่อคณะกรรมการผูทรงคุณวุฒิซึ่งทําหนาที่ตัดสิน

จากนั้นกลาวพอสังเขปเปดตัวเจาภาพ ผูริเริ่มงาน และออกคาใชจายทั้งหมด คือคุณโภไคย วิเศษเวคิน


นักธุรกิจใหญคนหนึ่งของไทย แลวเรียนเชิญเจาตัวขึ้นมาบนเวที เสียงปรบมือรับลั่นไปทั่วบริเวณ กลอง
โทรทัศนของผูสื่อขาวจากหลายสถานีเบนไปเล็งติดตามเปาหมายพรอมเพรียงกัน

คุณโภไคยเปนชายรางทวมใหญวัยใกลชรา ทวงทีกิริยาสงางามชวนใหเกิดความเคารพยําเกรง ริ้วรอย


แหงวัยบนใบหนาแทบไมปรากฏ หากปราศจากราศีฉายกลาเยี่ยงผูมีบารมีในธนาจักรอันรุงเรืองแลว ก็
ชวนใหนึกวาเปนหนุมฉกรรจหนาออนวัยไมเกินสี่สิบเปนแน

“สวัสดีครับทานผูมีเกียรติทั้งหลาย”

น้ําเสียงของคุณโภไคยแจมชัดเปนกังวาน ไมชาไมเร็ว มีทั้งน้ําหนักอันทรงอํานาจเยี่ยงผูกุมชะตาชีวิต


พนักงานเรือนพัน กับทั้งเจือกระแสความเมตตาเยี่ยงผูเขาถึงความไมเบียดเบียน

“ผมรูสึกดีใจ และตองกลาววาเกินความคาดหมาย สําหรับจํานวนศิลปนฝมือดีที่สงงานเขารวมประกวด


กับจํานวนประชาชนที่ใหความสนใจแวะเวียนมาชมกันในวันนี้”
๕๒๗

คุณโภไคยมองกราดไปกวางๆ หญิงชายทุกวัยมาประชุมอยางนาชื่นใจ ชื่นใจที่พรอมกันมารับสาระธรรม


จากศิลปนผูมีความสามารถในการสื่อสาร

“หลายสิบปที่ผมอาศัยแผนดินไทย แผนดินธรรมของเราเปนแหลงพํานักพักพิง และทํามาหากินเยี่ยง


สุจริตชนคนหนึ่ง นอกจากความภูมิใจที่มีสวนสรางงานใหสังคม เสียภาษีใหกับรัฐอยางถูกตองแลว ก็ได
แกการทํานุบํารุงพระศาสนาของชาวไทยและชาวโลกนี่เอง

ผมทําบุญทําทาน สรางพระไตรปฎก สรางพระ สรางวัดวาอารามมาก็มาก แตไมคอยเปนที่อึกทึก


ครึกโครมเหมือนอยางครั้งนี้ ถาใหเลาถึงเกร็ดประสบการณในการทําบุญกับพุทธศาสนา ผมมีทั้งเรื่อง
ควรยินดีและเรื่องนาเศราจะบอกมากมาย เอาเปนสรุปวาสิ่งที่ผมรูเห็น สิ่งที่ผมคาดหวัง และสิ่งที่เปน
แนวโนมในรอบรั้วพระศาสนาของเรา รวมกันเปนแรงบันดาลใจใหคิดจัดงานนี้ขึ้นมา

อยางในงานสมโภชครั้งหนึ่งของวัดที่ผมสรางเพื่ออุทิศสวนกุศลกับคุณแมผูลวงลับ เมื่อผมไปถึงนั้น เปน


จังหวะพอดีกับที่กลุมวัยรุนซึ่งมาในงานเกิดผิดใจกัน ตอยตีกันโกลาหล นอกจากทําใหเสียฤกษ เสีย
ความรูสึกแลว ยังกัดกรอนภาพลักษณของสังคมพุทธ ที่ปรากฏตอสายตาคนทั่วไปเปนอยางมาก นั่น
สะกิดใหผมเกิดความรูสึกวาเรามีสวนสรางวัดใหพระทานจําพรรษามามากแลว แตอาจจะยังไมไดมีสวน
เผยแพรความรูความเขาใจเกี่ยวกับเนื้อหาธรรมะสูคนทั่วไปสักเทาไหร

ผมเองเปนคนชอบสะสมงานศิลปะทุกประเภทมาแตไหนแตไร โดยเฉพาะพุทธศิลป ผมชอบมองเขาไป


ในความละเอียดออนของศิลปนแตละคน ชอบมองโลกผานสายตาของพวกเขา บางคนสรางงานที่เขาใจ
ยาก ตองศึกษาสั่งสมความรูกันระดับหนึ่งจึงจะเขาถึง บางคนสรางงานที่มีผลสะเทือนทางอารมณสูง เชน
ภาพพระพุทธในลีลาตางๆที่มีความงดงามโนมนาวจิตใจใหเปนกุศล และบางคนก็สรางงานที่สามารถสื่อ
เรื่องยากใหเปนเรื่องงาย ซึ่งอันนี้ทําใหผมคิดวานาจะเปนประโยชนในวงกวาง กอใหเกิดความเคารพพระ
พุทธ พระธรรม และพระสงฆมากกวาประเภทอื่นหมด

ผมมองเห็นขึ้นมาอยางหนึ่งวาปจจุบันนี้ ศักยภาพในการสื่อสารของบรรดาศิลปนในบานเมืองเรา รวมทั้ง


บานอื่นเมืองไกล ถูกนําไปทิ้งขวาง หรือชวงใชกันในทางที่เหลวไหล หรือฉุดศีลธรรมใหตกต่ําลงกันเปน
อันมาก นับแตการออกแบบแฟชั่นล้ํายุคที่ยอนกลับไปสูการเปดเปลือยแบบยุคหิน ไปจนกระทั่งการสราง
โฆษณา สรางละคร สรางภาพยนตรที่หมิ่นเหม ลอแหลม และกระทั่งยั่วยุใหคนเราเห็นกงจักรเปน
ดอกบัว

พี่นองที่รักครับ การไหลตามกระแสของยุคสมัยอาจเริ่มมาจากแรงจูงใจคือเงิน ศิลปนผูมีความสามารถ


ทั้งหลายขุดเอาศักยภาพที่มีมารับใชกิเลสกันเปนหลัก เรียกวาตอกิเลสดวยกิเลส ชวยเรงกิเลสใหแรงขึ้น
ที่สุดเทาที่จะสามารถ ดูเหมือนยิ่งผลลัพธเปนกิเลสพุงแรงเทาไหร ก็ยิ่งทําเงินไดมากเทานั้น
๕๒๘

ผมตองกลาวขออภัย หากคําพูดของผมทําใหหลายคนในที่นี้สะดุง เพราะทราบวาหลายทานทํางานอยูใน


ขอบขายดังกลาว แตนี่เปนกาลเทศะอันดี ที่เราจะมานั่งยืนคุยกันใหเกิดการมองกวางไปในภาพรวม วาผู
มีพรสวรรครังสรรคสรางมิติใหมทั้งหลายนั้น กําลังใชศักยภาพของตนเองใหเกิดผลสะเทือนในทางใดบาง

ผมไมตําหนิ หรือกําลังพยายามพูดกระทบวาทานเลวราย หรือมีสวนทําใหสังคมเสื่อมทราม เพราะจุด


เริ่มมาจากความตองการสิ่งเรงกิเลสของคนทั้งหลายในสังคม ไมใชคนใดคนหนึ่งชักนํา แตผมอยากพูด
วางานนี้คือตัวอยางในการใชความสามารถเชิงสื่อสาร ทําเรื่องยากใหเปนที่เขาใจงาย ฉายใหเห็นศักย
ภาพอีกแงมุมหนึ่งของศิลปน หลายคนที่มีสวนเปนแมงานมากระซิบกับผมวานึกไมถึง วาผลลัพธจะชวย
ใหตัวเขาเองเกิดความกระจางในเนื้อหาธรรมะมากกวาเดิมขนาดนี้

ผมคงดีใจถาไดพิสูจนใหเห็นวาการรวมคนเกงมาทําประโยชนกันมากๆ จะกอใหเกิดคุณคาขึ้นในสังคม
ไทยเราอยางไร หากไดรับเสียงสะทอนในทางดีมากพอ ผมก็จะพยายามทําใหงานนี้มีขึ้นทุกป และอาจ
พยายามขยายขอบเขตการประกวดใหมีความหลากหลายกวาเดิม ถึงแมปไหนปจจัยความพรอมของผม
ออนลง ก็จะไดติดตอขอความรวมมือจากเพื่อนฝูง หรือหนวยงานของรัฐที่เห็นคาตอไป

อยากเรียนใหทราบวางานประกวดนี้ไมไดเล็งเอาเฉพาะเหรียญทอง หรือเพื่อประกาศใหทราบวาใครคือผู
ชนะ ใครคือผูมีความสามารถสูงสุดประจําป เราตองการพุทธศิลปที่มาจากการรังสรรคสุดฝมือจํานวน
มากตางหาก และอยางนอยถาผมไมอาจทําใหทานรูสึกวางานทางศาสนามีคาเกินกวาจะตีเปนราคา ก็
ตองทําใหเห็นวาเมื่อตีคาเปนเงินแลว ตองเหนือกวางานศิลปะธรรมดาที่ทานผลิตสงแกลเลอรี่ทั่วไป
เรียกไดวาเปนสิบเปนรอยเทา

เงินจํานวนหลายลานบาทสําหรับรางวัลที่หนึ่งอาจทําใหแตกตื่นในวงกวาง และยิ่งสําทับความรูสึกกัน
มากขึ้นเมื่อมีการประกาศเจตนารมณชัดวาถาเขาตาผมแลว สะเทือนความรูสึกผมไดแลว เปนอันวาตอง
ไดรางวัลเงินตอบแทนอยางแนนอน ผมมีความยินดีจะแจงใหทราบลวงหนาเลยครับวาปแรกนี้ มีรางวัล
ชมเชยสี่แสนบาทสิบรางวัล และรางวัลปลอบใจอีกถึงยี่สิบเจ็ดรางวัล ซึ่งอัตราต่ําสุดตามความพอใจของ
ผมคือเจ็ดหมื่นบาท”

เกิดเสียงครางฮึมไปทั่ว แลวมีใครคนหนึ่ง คาดวานาจะเปนหนึ่งในกลุมศิลปนผูสงผลงานเขารวมประกวด


ตบมือนําขึ้นมา ยังผลใหเกิดเสียงปรบมือตามอยางกราวเกรียว เพราะนึกไมถึงวาหัวหนางานประธานพิธี
จะใจปาดุเดือดขนาดนั้น

คุณโภไคยกลาวตอเมื่อเสียงปรบมือซาลง

“หลายคนอาจกังขาวาผมเอาเกณฑอะไรมาตัดสิน ก็ขอบอกไว ณ ที่นี้เลยวาเกณฑของผมอาจแตกตาง


จากคณะกรรมการที่พิจารณามอบเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงไปเล็กนอย ผมเองแมไม
๕๒๙

แตกฉานอรรถธรรมสักเทาไหร แตก็เปนชาวพุทธที่พอมองออกวาใครถายทอดธรรมะที่สุกแลวหรือยังดิบ
อยู

ที่ยังดิบอยูคือการสักแตเอยอางเนื้อธรรมในพระคัมภีร หรือผูมีชื่อเสียงมาพูด หรือดัดแปลงเอาดวยความ


ฉลาดคิด สวนที่สุกแลวคือประสบธรรม รูรสธรรมแลว และสามารถใชคําพูดงายๆของตัวเองมาสื่อกับคน
อื่น ทั้งนี้ตองไมไขวเขวออกนอกลูนอกทาง อวดเกงเลยกรอบที่พระทานบัญญัติไวดวย

ฟงดูเหมือนเปนเรื่องยากที่จะหาใครถายทอดความรูธรรมที่สุกแลวออกมาไดดวยเงื่อนไขและขอจํากัดดัง
กลาว แตความจริงก็คือ เมื่อไดสัมผัสเขาถึงธรรม จะเห็นเองวามันงายครับ และผมก็คัดตัวอยางใหพวก
ทานดู ทั้งรางวัลชมเชย และรางวัลปลอบใจรวมแลวสามสิบเจ็ดชิ้นในวันนี้”

จากมุมมองบนเวที คุณโภไคยเห็นหลายคนหันหนาซุบซิบพึมพําจอกแจก อาจเพราะเกิดความรูสึกเห็น


ดวยหรือไมเห็นดวยกับเกณฑตัดสินดังกลาว อยางไรก็ตาม คุณโภไคยสบายใจไดวานี่เปนงานของเขา
เอง เงินของตนเอง ใครจะเห็นดวยหรือไมนั้น เปนเรื่องของคนอื่น

“พี่นองที่รัก ผมมานึกเสียดายที่คิดจัดงานประกวดภาพนี้ไดชาไปหนอย ทานอาจไมทราบวางบประมาณ


ประจําปใหกับโฆษณาสินคาบางชิ้น ยังมากกวาทุนทั้งหมดที่จัดงานอันเปนมหากุศลครั้งนี้เสียอีก…”

ทั้งหองเงียบกริบ บางคนที่เคยกังขา หรือตั้งขอสังเกตวาเบื้องหลังเจตนาจัดงานใหญของคุณโภไคยครั้ง


นี้คืออะไรแน ก็ชักเชื่อ และเกิดความเลื่อมใสจากการฟงความที่ทานกลาวลาสุด บนเวทีไมมีโฆษณา ไม
มีภาพของสินคาใดๆปรากฏอยูทั้งสิ้น ชวยยืนยันใหเห็นภาพลักษณอันโปรงใสอยางไมนาคลางแคลงเทา
ไหร และวาที่จริงถึงแมงานนี้ถูกอุปถัมภดวยสปอนเซอรที่ตองการเครดิตทางสังคม ก็จะเปนเรื่องธรรมดา
และนาสรรเสริญ นาใหเครดิตอยูดี

“ถาความเคลื่อนไหวครั้งนี้กอผลในจิตใจของพวกทาน ถาความเคลื่อนไหวนี้เปนขาว สิ่งที่ผมใครอยากจะ


ฝากไวก็คือ แนวคิดในการทําใหจิตใจผูคนยุคนี้เจริญขึ้นอยางกวางขวางนั้น เปนไปไดครับ แตไมคอยจะ
มีใครคิด ทั้งที่โอกาสทําไดจริงนั้นมีอยูมากมายหลายวิธี และพวกเราตองรวมมือพรอมๆกัน จะหวังให
ใครเกงเปนพระเอกหรือนางเอกตามลําพังไมได

ความออนแอของพระศาสนาเริ่มขึ้นจากความออนแอในจิตใจของผูรูตัววามีหนาที่สืบทอด คิดกันแตวา
มือเราคนเดียวจะทําอะไรได เอาตัวรอดตามลําพังดีกวา มาชวยกันเถอะครับ ถอยธรรมของศาสนาพุทธ
ยังกระจายสรางความรมเย็นใหเกิดขึ้นอยูทั่วโลก ผมเดินทางไปประจักษมาดวยตนเอง พูดคุยแลก
เปลี่ยนความรูสึกนึกคิดกับเพื่อนพุทธศาสนิกชนดวยกันมาเปนสิบป ทราบดีวาไมใชไทยเราเทานั้นที่เปน
เครื่องชี้วาพระศาสนาจะอยูหรือไป แตไทยเรานี่แหละที่มีสวนสําคัญในการทําใหพระศาสนาแกรงขึ้นหรือ
ออนลง
๕๓๐

กอนถึงวันนี้ ระหวางที่บรรดาศิลปนผูเกงกาจของเรากําลังสรางสรรคงานอยู ผมไมทราบวาญาติพี่นอง


ของพวกเขาไดรับสวนแบงประโยชนไปแคไหนแลวบาง แตที่มั่นใจก็คือวันนี้และวันตอๆไป ผลงานอัน
ทรงคุณคาที่ปรากฏตอสายตาพวกเรา จะไดทําประโยชนใหกับคนหมูมากอยางแนนอน

ตอไปก็คงถึงเวลาอันเหมาะสมที่เราจะประกาศเกียรติคุณของผูสรางสรรคงานจิตรกรรมอันทรงคา หวัง
วาตําแหนงที่หนึ่ง สอง สามคงสรางอนุโมทนาจิตอันยิ่งใหญแกพวกเรา และขณะเดียวกันคงไมเปนสิ่ง
บาดใจ เสริมอัตตาใหแกผูไดรับจนเติบโตเกินพอดี ทายนี้หวังเปนอยางยิ่งวาเราคงมีโอกาสพบกันดวย
บรรยากาศเขาใจเนื้อหาสาระธรรมเชนนี้อีกทุกปครับ”

ทานประธานหยุดคํากลาวเปดพิธี ทุกคนในหอประชุมพรอมใจกันปรบมือเปนอันหนึ่งอันเดียว คุณ


โภไคยยิ้มรับแลวผละจากตําแหนงขาตั้งไมโครโฟน กาวไปนั่งลงกับโซฟาดานหลังเพื่อรอมอบรางวัลให
กับผูชนะการประกวด

“แหม จับใจนะครับ”

พิธีกรกลาวยิ้มยองผองใสประสาลูกนองที่ดี เปนกองเชียรใหเจานาย

“ผมเองชวยงานทานมาแตตนก็เพิ่งทราบเจตนารมณที่ชัดเจนพรอมกับพวกทานเดี๋ยวนี้เอง เห็นความชื่น
ชมในตาของพวกทานแลวก็แนใจวาความปรารถนาของทานประธานจะถูกสืบสานอยางตอเนื่องเรื่อย
ไป…เอาละครับ ตอไปนี้ผมจะฉายภาพขึ้นจอ เรียงตามลําดับรางวัลเหรียญทองแดง เหรียญเงิน และ
เหรียญทอง หลังจากการประกาศเสร็จสิ้น ทานยังสามารถตามไปดูของจริงไดถึงที่นะครับ เราจะแปะโบว
ใหญไวเดนๆเห็นแตไกลเลยทีเดียว

และตามที่เราไดตกลงกันไวลวงหนา ศิลปนทานใดเห็นผลงานของตัวเองปรากฏ ก็โปรดกาวขึ้นมาบน


เวทีนี้ เพื่ออานรอยกรองประกอบภาพของทานเอง และรับรางวัลจากมือทานประธานดวย ถาทานใดติด
ขัดมาในวันนี้ไมได ผมก็จะอานแทน และเก็บรางวัลไวรอมารับตอไป”

เวนระยะกระแอมกมมองกระดาษที่เพิ่งถูกแกะจากซองในมือ เรียกความระทึกจากศิลปนทุกคน รวมทั้ง


ญาติๆที่รอลุนวาลูกหลานจะไดรางวัลมาแบงสักเทาไหร หลายคนอยากไดยินชื่อตนเองเดี๋ยวนั้น แตอีก
หลายคนก็หวังไววาคงชะลอไปกอน เพราะเหรียญทองแดงไดแคลานเดียว สูรอของใหญสามลานไมได

ไฟใหญถูกหรี่ลงจนมืดสลัวไปทั่วอาณาเขตโดยรอบ เพื่อเตรียมฉายภาพจากเครื่องเลนสไลดแรงสูง
เหลือเพียงสปอตไลทขนาดเล็กจับเฉพาะที่ คือตําแหนงยืนของพิธีกร

“เหรียญทองแดงในปแรกนี้นะครับ ไดแกผลงานชื่อ ‘ขณะแหงการรู’ ของรอยตํารวจเอกขวัญหลา จิรัง


ฤาสาย”
๕๓๑

เสียงปรบมือกราวดังขึ้นพรอมกับปรากฏภาพฉายสีสันสดใสเหมือนจริงบนสกรีนขนาดมหึมา เยื้องหลัง
พิธีกรไปทางดานขวา สิ่งที่เขาสูสายตาผูชมนั้น เห็นผิวเผินคลายผาน้ําตกแหงหนึ่ง แตเมื่อเพงพิศแลว
จะเห็นสายน้ําตกมีสองดาน ลักษณะเปนรูปยูคว่ํา คลายเอาผาพันคอสีขาวผืนยาวพาดราวตากเอาไว

เหนือน้ําตกขึ้นไป เห็นใบไมปลิววอนมากมาย คละไปกับสัตวมีปกคือกาและหงส กระพือบินสวนกันไป


มาเปนกลุม

องคประกอบอื่นของภาพถูกทําใหจางลงอยางจงใจ ไมวาจะเปนผาน้ําตกที่มีรองรอยรูปกระดูกซี่โครง
หรือทองฟาเปดโลงเบื้องไกล สายน้ําตกถูกขับเนนใหเดนชัดเปนอันดับหนึ่ง เห็นวาวขาวดุจประกายมุก
ใส ตามมาดวยฝูงกาและหงสเหนือยอดโคงของสายน้ําตก ซึ่งวาดไวสมจริงยิ่ง หงสเปนหงส กาเปนกา
กับทั้งจับตาชวนมองดวยวิธีวางตําแหนงองคประกอบสอดรับกัน

เจาของผลงานคือนายตํารวจที่ชื่อขวัญหลา พารางสูงสมชายในวัยหนุมแนนของเขาขึ้นมาบนเวที เคา


หนาหลอเหลาดูเครงขรึม มองตรงแบบคนจริง บอกยี่หอกองปราบไดอยางดีแมจะอยูในชุดลําลองแขน
สั้น ใครตอใครแปลกใจกันใหญที่ผูรับรางวัลรายแรกมิไดคร่ําหวอดในวงการกลิ่นสี แตกลับกลายเปนรอย
ตํารวจเอกผมเกรียน ผิวดําล่ําสัน อกผายไหลผึ่ง มาดนิ่งคมคายสะดุดตาพอจะเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ
ไดจากทุกมุมถนนที่ยางเทาผานไป ถาแสดงหนังก็ทําใหเชื่อเลยวาเปนทั้งพระเอกและตํารวจมือพระกาฬ
จับผูรายเกง พอกับที่จับหัวใจสาวไดทั้งเมือง

แสงไฟแฟลชกะพริบวูบวาบ ชักภาพบนเวทีกันใหญ ถาฟงดีๆมีเสียงหวิวหวาวจากสาวหลายคนที่เห็น


รูปรางหนาตาของขวัญหลาชัด ลักษณะภายนอกของเขาไมบอกเทาไหรวาเปนคนมีจิตใจละเอียดออนลึก
ซึ้งขนาดจับพูกันสรางสรรคงานศิลปะไดงดงามขนาดนี้

ขวัญหลาพนมมือไหวประธานพิธีอยางอยางคนมือออน แตก็ไมเสียบุคลิกเขมแข็งเยี่ยงชายชาตรี เมื่อ


คุณโภไคยพยักหนารับแลว นายตํารวจหนุมจึงหันมาไหวพิธีกรอยางเคารพในอาวุโสอีกคน

“สวัสดีครับ โอ…นับเปนความนาแปลกใจของพวกเราที่ไดเห็นผูกองมายืนรับรางวัลเปนรายแรก ผมคง


ตองขอสัมภาษณดวยความสนใจหนอยละ”

พิธีกรทําทากระตือรือรน เขายืนเผชิญหนากับรอยตํารวจเอกหนุมอยางใกลชิด จึงไดเห็นดวงตาดําใหญ


เปนประกายเขมลึกที่ทรงนิ่งแบบราชสีห ดูมีสมาธิอยางผูเครงครัดในวินัยและการซอมรบ ขณะเดียวกันก็
พบกระแสความออนโยน รักสงบ และเปยมดวยความรูความเขาใจอันยากจะหยั่งแฝงอยูในแววตาคูนั้น
ควบคูไปดวย

“ผูกองคงปฏิบัติธรรมมานานนะครับ”
๕๓๒

ขวัญหลากาวมายืนหนาขาไมโครโฟนของผูรับรางวัล กลาวตอบดวยเสียงหาวต่ําอันเจือดวยความนุม
นวลเยี่ยงผูมีชีวิตกรานกราวที่ถูกขัดเกลาความคิดเขากรอบสนิทแลว

“พอสมควรครับ”

นายตํารวจหนุมรับ

“ทาทางผูกองคงมีมิติในตัวหลากหลายทีเดียว ตอไปนี้ใครๆคงเห็นกันอยางกวางขวางวาคนใชชีวิต
สมบุกสมบัน เปนตํารวจทาทางจับผูรายเกง แทจริงอาจซอนความละเอียดประณีตชนิดที่ศิลปนอาชีพ
ตองอายอยางนี้”

“ผมคงไมมีฝมือขนาดที่เรียกวาเปนศิลปนไดหรอกครับ แคจิตรกรสมัครเลนคนหนึ่งเทานั้นเอง”

พิธีกรหัวเราะฮาๆ หันมากลาวกับคนฟงที่นั่งหนาสลอนในเงามืด

“ไมใชศิลปนยังไดรับรางวัลเปนคนแรกนะครับ สงสัยจะเปนมือปราบหลายขอบฟา ผูรายหงอไมพอ ตอ


ไปชางเขียนทั้งหลายเห็นผูกองเดินมาคงตองตัวสั่นไปดวย”

มีเสียงหัวเราะครืนแผวจากฝายคนฟง

“ถามนิดเถอะครับ ดูทาทางผูกองคงอยูฝายปราบปราม ผมเห็นตํารวจหลายคนชอบนั่งวิปสสนาแลวอด


สงสัยไมไดวาบางครั้ง เออ…ปกติในหนาที่การงาน พวกทานตองใชความรุนแรงบาง เพื่อกําจัดคนพาล
อภิบาลคนดี อันนี้จะมีจุดขัดแยงอยูในใจบางไหมครับ?”

“แทนที่จะคิดในแงนั้น มาลองนึกดูในแงที่วางานของตํารวจกอความรูสึกเครียดหนักใหเจาหนาที่ไดขนาด
ไหน แลวจะมีสิ่งใดมาชวยผอนหนักใหเปนเบาไดบาง ผมโชคดีที่เมื่อจบจากโรงเรียนนายรอยตํารวจ เริ่ม
ทํางานใหมๆ ก็ไดผูบังคับบัญชาที่ดีเปนครู ชวยฝกอบรมทั้งสมาธิและวิปสสนาให จนเกิดความเห็นวายา
ดีที่สุดสําหรับอาชีพแบบผมก็คือสมาธิและวิปสสนานี่เอง ไมเห็นจุดขัดแยงเลยครับ

การจับกุมคนรายเปนเรื่องของหนาที่ทําลายความอยุติธรรม ตอนนั้นใจเราเปนตํารวจ แตการปฏิบัติ


ธรรมเปนเรื่องสวนตัวที่เราพอใจทําลายทุกข ตอนนั้นใจเราเปนจิตรูสากล ไมมียศ ไมมีการแบงแยกเรา
เขา

ตํารวจที่ดีอาจทําบุญปนบาปดวยน้ําใจเสียสละ อยางไรเราก็มีกุศลนําอกุศลเสมอ นั่นทําใหตํารวจไมจํา


เปนตองหางพระอยางที่หลายคนเขาใจครับ”
๕๓๓

“เปนคําตอบที่ทําใหหูตาของผมกวางขึ้นมากจริงๆ ไดยินมานานแลววาทหารกับตํารวจนี่ทําสมาธิสําเร็จ
กันไดไวนัก เพราะมีพื้นจิตใจหนักแนนมั่นคงและเด็ดขาดเปนทุน…อยากใหผูกองชวยเลาแนวคิดและ
ความเปนมาของภาพคราวๆ กอนที่จะอานรอยกรองดวยครับ”

“ภาพนี้คลายกับสิ่งที่ผมเห็นจากภายใน ขณะปฏิบัติสมาธิตามแนวอานาปานสติ หรือกําหนดสติรูลม


หายใจเขาออกแบบที่ครูบาอาจารยทานสอนนะครับ เมื่อจิตมีความพรอมเห็นลมหายใจอันเปนสิ่ง
ละเอียดออนคมชัดพอ เรียกการเห็นนั้นวา ‘นิมิต’ ก็จะเริ่มเห็น ‘ตัว’ ความคิดไปดวย มันชัดเจนเหมือนมี
อะไรบินวอนอยูในหัวเรายิบยับเลยทีเดียว พอนิมิตความคิดที่คละคลุงในหัวปรากฏใหเห็นนี่ ถึงรูครับวา
เราคิดทั้งดีและชั่วสลับคละกัน ผมจึงใชสัญลักษณแทนงายๆ ที่คลายนิมิตความคิดในความเปนจริงดวย
และทั้งที่เปนเชิงอุปมาอุปไมยดวย นั่นคือหงสแทนความคิดฝายกุศล และกาแทนความคิดฝายอกุศล
สวนใบไมที่ปลิววอนก็เปรียบเปนความคิดกลางๆ ไมชั่วไมดีไป

ขณะแหงการรูในระดับภาวนาของผมไมมีอะไรมากกวานี้ ขอเพียงกําหนดรูนานพอจนเห็นลมหายใจก็
สามารถเห็นความคิดไดเชนกัน และเมื่อเราเห็นความคิดจนรูสึกถึงความเปนอนัตตา ไมมีตัวตนของเรา
ผูกติดอยู ก็จะพบวามันคลายสัตวปกที่บินวอนจากความวางเปลาสูความวางเปลาเทานั้น”

ริมฝปากหนาเตอะของพิธีกรแยมออกเปนรอยยิ้มกวาง เชนเดียวกับคนฟงขางลางหลายตอหลายคน

“ทาทางผูกองเปนผูเชี่ยวชาญอานาปานสติเปนอยางดีทีเดียว เหมาะเลยครับ ขอคําแนะนําเปนการสวน


ตัวหนอยเถอะ ผมเองก็หัดใชอารมณภาวนามาหลายรูปแบบ ทั้งภาวนาสัมมาอรหัง เพงรูปวงกลม รวม
ทั้งลมหายใจอยางที่ผูกองใช เรียนตามตรงวายังกะพรองกะแพรงอยูมาก รูลมไปฟุงซานไป บางทีก็นึก
สงสัยวาไดสมาธิหรือยัง เราทําสมาธิไปเพื่ออะไร อันนี้ขอผูกองใหคําแนะนําดวยครับ”

ผูกองหนุมมาดเทใหคําตอบทันทีแบบไมตองเสียเวลาตรึกตรองเรียบเรียงคําพูด

“ลมหายใจเปนสิ่งไมมีความคิด ไมมีความฟุง ไมมีความสงสัย เพราะฉะนั้นถาใจเรารวมเปนอันเดียวกับ


ลมหายใจไดจริง ก็จะไมเปดชองใหความคิดหรือสงสัยฟุงซานแนๆ

การที่รูลมไป ฟุงซานไปจึงยังไมถึงภาวะจิตรวมกับลมหายใจ ยังอยูในขั้นฝนใจนึก เรียกวามี ‘วิตก’ แลว


แตยังไมคลุกเคลาเปนอันเดียวอยางที่เรียก ‘วิจาร’ อันนี้ตองพยายามทําความชอบลมหายใจไปเรื่อยๆ
ครับ สังเกตและรักมันไปเรื่อยๆ จนกวาจิตจะยึดลมหายใจเปนหลักจับดวยความเต็มใจ”

พิธีกรมองนายตํารวจคนเกงทึ่งๆ

“นักทําสมาธิทั่วไปคงเคยคุนกับศัพทคํานี้นะครับ คําวา ‘วิจาร’ ที่ไมมี ณ. เณรการันตนี่นะ หมายถึงการ


แนบจิตเปนอันเดียวกับอารมณ หรือแปลตรงตัวคือพิจารณาอารมณ ตามติดอารมณซึ่งใชยึดเหนี่ยวจิต
๕๓๔

ใหอยูกับที่ ทีนี้ผมอยากใหผูกองบรรยายความรูสึกภายใน หรือภาพในใจที่เห็นลมหายใจขณะเกิดวิจาร


หนอยเถอะครับ เอาเปนคําพูดงายๆที่พวกเราฟงถนัดหนอย”

ขวัญหลาผงกศีรษะเล็กนอย

“เหมือนกับตอนที่เราเขียนจดหมายสงถึงใครที่กําลังคิดถึงอยางมากนะครับ เราคิดถึงเขาจนมีคําพูดมาก
มายเรียงรายในหัว ขณะที่เขียนคําหนึ่งๆ รูสึกชัดเลยวาประโยคตอๆไปจะเขียนวาอยางไร เราทําได
อยางรวดเร็ว จิตใจจดจออยูกับเนื้อความที่ถูกถายทอดลงกระดาษแลว และที่ยังรออยูในหัวอีกมาก ไม
ของแวะกับเรื่องอื่นเลย นั่นแหละครับลักษณะจิตที่เกิดวิจาร

เมื่อมาเทียบกับสมาธิแบบอานาปานสติ เราพยายามนึกถึงลมหายใจ นั่นคือวิตก พอนึกไปจนใจชอบ


ฝกใฝอยูแตความเปนลม แมขณะพักรอลมหายใจเขาออกใหม จิตก็ยังไมไปไหน เพงอยูกับความเห็นลม
หายใจตลอดสายครั้งตอไปอยูอยางนั้น เหมือนกับที่เรารอจะเขียนขอความซึ่งยังคั่งคางอยูในหัวนั่นเอง
ครับ”

“ที่ผูกองวา ‘เห็นลมหายใจตลอดสาย’ นี่อยากใหขยายความสักนิดไดไหมครับ?”

“ในความเห็นของคนปกติที่ยังไมเกิดตัววิจาร สายลมออกกับสายลมเขาดูเหมือนเปนคนละอันกัน แยก


สายกันเปนตางหากเหมือนสายน้ําขาเขากับสายน้ําขาออก แตเมื่อเกิดตัววิจารแลว จะเกิดความเห็น
เหมือนเราจับปลายเชือกแตละดานไวดวยมือซายขวา แลวเอาไปพาดกับราว จากนั้นใชสองมือสลับดึง
ขึ้นลงเหมือนชักรอก พูดงายๆวาเห็นสายลมออกและเขาเปนเชือกเสนเดียวกัน ไมแยกเปนตางหากจาก
กันครับ ตัวสติที่เฝารูของเราจะคลายนายชางผูขยันและฉลาดชักเชือกกลึงอยางรูวาควรยาวสั้นตามจริง
เชนไรในขณะหนึ่งๆ”

“พวกเราก็ไดความรูในการทําสมาธิจากเจาของภาพ ‘ขณะแหงการรู’ กันเต็มอิ่มเลยนะครับ ไมทราบผม


สรุปแกนของภาพนี้ถูกหรือเปลา คือคุณขวัญหลาตองการใหทุกคนเห็น ‘ขณะรู’ เปนลมหายใจและความ
คิดพรอมกัน”

“ลมหายใจเปนสิ่งที่พระพุทธเจาทรงตรัสแนะใหพยายามเห็นมากๆเขาไว ทรงสรรเสริญคุณเปนอเนก นับ


แตทําใหอยูเปนสุขในปจจุบัน ไปจนกระทั่งใชเปนสะพานนําไปสูพระนิพพาน

แมวันนี้ผมยังไปไมถึงพระนิพพาน ก็ไดประจักษกับตัวเองวาพระพุทธองคตรัสไว เปนความจริงทั้งนั้น


เมื่อเห็นลมหายใจผมก็เห็นลึกเขามาในความเปนกาย เห็นสัณฐานคราวๆของโครงกระดูก เมื่อเห็นโครง
กระดูกฉาบเนื้อ ก็ไดแกนอางอิงวาเกิดผัสสะกระทบเขาที่ไหนบาง และมีความคิดปรุงแตงขึ้นตรงสวน
ไหนของกาย
๕๓๕

เมื่อเห็นตัวความปรุงแตงชัดแลววาเกิดขึ้นในหัว ก็เฝาตามดูตอไดวาสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจะดับไปเปน


ธรรมดา พอเห็นความเกิดดับบอยๆ หนักเขาก็เกิดความเห็นความปรุงแตงทุกอยางในกายและใจนี้เปน
สมมุติไปหมด เชนเมื่อใจรูวาความคิดเกิด ทันทีนั้นก็เห็นเปนนิมิตลอยลอง ผานมาแลวผานไปเหมือน
อยางที่ผมพยายามสื่อดวยภาพนี่

บทบาทอันสําคัญของสมาธิอยูตรงนี้ เราอาศัยจิตที่มั่นคง เห็นอะไรตรงไปตรงมา เห็นแลวเชื่อจริง ไม


กลับกลอก เราไมตองเสียเวลาถกเถียงกันในเชิงปรัชญาหรืออภิปรัชญาวาอะไรเปนอะไร เราคือตัวตน
หรือเปลา ความคิดเปนเราหรือเปลา ทุกอยางเปดเผยตอจิตที่มีแตความเห็นหนักแนนเปนหนึ่งเอง ทราบ
ไดเองในทุกขณะแหงการรูครับ”

พิธีกรมองผูกองหนุมรุนลูกดวยแววชื่นชม วาทะเหลานั้นแสดงชัดในตัวเองถึงความแตกฉานในการ
ปฏิบัติ ไมเสียทีที่ไดรับรางวัลเลย

“ผมเองเคยมองควันไฟที่ลอยคลุงขึ้นอากาศหายไป รูสึกวานั่นไมใชตัวเรา แลวนอมมาเห็นความคิดใน


หัวก็ปรากฏเปนอยางนั้น ไมตางจากควันไฟ แลวก็รูสึกถึงความไมใชตัวตนของความคิด เสียดายที่ไมทํา
ความเห็นใหเกิดขึ้นตอเนื่อง เพิ่งมาระลึกไดอีกก็ดวยภาพของผูกองนี่เอง เอาละครับ คราวนี้ผมคงตอง
ขอฟงรอยกรองจากปากของผูกองเอง…เชิญ”

พิธีกรยื่นแผนกระดาษใหกับผูรับรางวัลเหรียญทองแดง ขณะเดียวกันเครื่องฉายอีกตัวก็ยิงลําแสงขึ้นสกรี
นขนาดยอมลงมาดานขางสกรีนใหญ เห็นตัวหนังสือคมชัดเพื่อใหผูชมไดใชสายตาอานไปพรอมกับหูฟง
จากปากขวัญหลา

เมื่อไมรูก็ดูมัวทั่วไปหมด จะคิดคดลดเลี้ยวเที่ยวทางไหน
จะเร็วชาพาตัวไปทางใด เอาแตใจใครอยากกระดากจริง
เวลาอยากปากแหงลงแดงงาย ยิ่งบาปหนาบาไดเหมือนผีสิง
ชะรอยรักอัตตาจึงกลาทิ้ง หมดทุกสิ่งเวนอยากลําบากนาน
เมื่อเขารูจะดูออกไมยอกยอน เริ่มจากงายหายใจกอนเปนพื้นฐาน
รูเขาออกนอกในใหสําราญ เมื่อเนิ่นนานละเอียดลงคอยปลงใจ
จับสนิทติดความคิดนิมิตหมาย อยูในกายคลายวางกระจางใส
เห็นเปนจุดสมมุติหนึ่งซึ่งไหลไป ไมปลอยปละปฏิวัติเปนอัตตา

อุปมาจิตคิดราย ดังกา
๕๓๖

คิดดีงามเลิศฟา พญาหงส
สักแตเรียงโบกบินรา ครูหนึ่ง สลายตัว
แลชุมกลับวายโลง อนาถแทอนัตตา

มือปราบแหงกองปราบเงยหนาขึ้น เพื่อไดยินเสียงปรบมือใหเกียรติอยางกึกกองจากผูชมทั้งหมด พิธีกร


ยิ้มแลวผายมือเชิญรับรางวัลจากทานประธาน

คุณโภไคยลุกขึ้นยืนกอนนายตํารวจหนุมจะกาวมายืนตรงหนา หยิบซองเช็กพรอมกลองใสเหรียญบุ
กํามะหยี่จากพานทองซึ่งเด็กสาวขางกายประคองถืออยู แลวยื่นมอบ ขวัญหลาพนมมือไหวอยางนอบ
นอมกอนชอนรับรางวัลดวยทีทาคุนเคยกับพิธีรับมอบจากมือผูใหญ

“ดีใจที่ไดรูจักกับคนที่จะชวยใหกรมตํารวจแข็งแกรงและสะอาดขึ้น”

ทานเจาของงานกลาวพึมพํายิ้มแยมเปนสวนตัวกับรอยตํารวจหนุมพรอมกับยื่นมือใหจับ ขวัญหลาถือ
ของไวในมือซาย และใชมือขวาจับมือคุณโภไคยดวยความเคารพ

“ผมก็ปลื้มใจที่ไดรับความกรุณาเชนนี้จากทานครับ”

คุณโภไคยยิ้มกวางขึ้น ผูกองหนุมถอนมือออกแลวโคงอยางงามอีกทีหนึ่ง จึงกาวเดินลงจากเวทีไป


จังหวะระทึกจึงเยี่ยมเยียนมาอีกครั้ง เพราะถึงเวลาประกาศรางวัลเหรียญเงิน แนนอนเงินรางวัลทวีตัว
เพิ่มเปนสองเทาของรางวัลกอนยอมทําใหหัวใจเตนรัวไมเปนส่ํา

ฟองชลเอียงหนากระซิบกับแฟนหนุม

“ใจจะวาย”

ทีฆายุหัวเราะหึๆ ทําเปนเฉยทั้งที่ใจกําลังจะวายอยูเหมือนกัน เขาหันไปมองหนารูปหัวใจในความมืด


สลัวแลวกระซิบตอบ

“ไมรูกรรมการเทน้ําหนักใหพวกนําเสนอในแนวปฏิบัติหรือเปลา ไอหมอเมื่อกี้มีลูกเลนแพรวพราวนาดู
ใหฉันพูดอยางนั้นหมดสิทธิ์เลย”

“ขอใหเหรียญเงินเปนของเธอ เหรียญทองเปนของซี”

เด็กสาวอวยพรใหตนเองและแฟนหนุมเสร็จสรรพ ทีฆายุฝนยิ้มกวางทั้งใจแหงชอบกล ก็ขนาดเหรียญ


ทองแดงยังดู ‘แข็ง’ อยางนี้ มีหรือผลงานของคนไมเขาใจธรรมะลึกซึ้งอยางศิลปนทั่วไปจะกินเหรียญ
รางวัลที่สูงขึ้นไดลง
๕๓๗

“รางวัลเหรียญเงินของปแรกนี้ครับ ไดแกผลงานชื่อ ‘งานศพ’ ของคุณทีฆายุ ธารเมธา”

คลายหัวใจหยุดทํางานไปวูบหนึ่ง ชาดิกไปหมดทั้งราง ในวินาทีแรกแทบไมรูสึกรูสากับเสียงกรี๊ดลั่นของ


แฟนสาวและเสียงปรบมือเปนสายยาวจากรอบดาน ตอเมื่อสติเขาที่ในวินาทีตอมา ทีฆายุจึงยิ้มราและลุก
พรวดดวยเรี่ยวแรงของผูชนะ เดินลิ่วสูเวทีดวยการสูบฉีดเลือดแรงพลานในกาย ปติซานจัดเหนือฝนดีที่
สุดที่ผานมาตลอดชีวิต

กาวมายืนบนยกพื้นเคียงขางกับพิธีกร เกือบลืมหันไปยกมือไหวทานประธาน นาทีนั้นชักตกประหมากับ


แสงไฟแฟลชและการจับเล็งของกลองจากสถานีโทรทัศนตางๆ

พิธีกรมองปราดเดียว เห็นเปนหนุมหนาใส รักสนุก ผิวพรรณสะอางแบบลูกผูดีเหยียบขี้ไกไมฝอ นัยนตา


ลอกแลกเล็กนอยอยางคนไมเคยผานการควบคุมตนเองดวยมหาสติ ก็รูไดวาหมอนี่ไมใชนักปฏิบัติธรรม
อยางดีก็แคมีแรงบันดาลใจจากเงินรางวัลใหศึกษาขอธรรมะ และใชทักษะความสามารถขั้นสูงของจิตรกร
ถายทอดออกมาไดลุมลึก ชนะใจกรรมการเทานั้น

ไมใชตัวแทนของพุทธศาสนา

คิดดวยความเห็นเชนนั้นจึงตั้งใจจะตีวงการสัมภาษณใหแคบเฉพาะที่เกี่ยวของกับรูปที่เขาวาด ทีฆายุถูก
ทักทายตามธรรมเนียม เชนถามวายังเรียนหรือเปลา อยูมหาวิทยาลัยไหน ปอะไร แลวก็วกเขาเรื่องทันที

“ไมทราบวาภาพนี้ไดแรงบันดาลใจจากงานศพจริงๆหรือเปลาครับ?”

“ครับ…”

ปลายหางเสียงแกวงนิดหนึ่ง ทีฆายุพยายามสะกดอารมณ แตเงาตะคุมของคนดูรวมพัน บวกกับเครื่อง


มือบันทึกเหตุการณสารพัดชนิดที่จออยูหนาเวที อันชวยกันยืนยันถึงเกียรติที่จะกลายเปนประวัติหนึ่ง
ของเขา ก็ทําใหตกอยูในภาวะสั่นไมเลิก ความจริงเขาเคยขึ้นเวทีใหญที่มหาวิทยาลัยมาหลายตอหลาย
หนจนเกือบเจน ทวานั่นผิดกันลิบลับกับการตกอยูในสภาพแวดลอมอันทรงอิทธิพลกดดันชนิดนี้

โดยเฉพาะอยางยิ่งความที่เปนเวทีพุทธซึ่งเขาเห็นชัดจากผูรับรางวัลคนกอน เมื่อมาเปรียบเทียบกับตน
แลว เขาแทบไมรูอะไรสักกระผีกริ้น จึงเกิดความหนาวขึ้นมาวาเดี๋ยวจะเจอคําถามตอบไมไดใหเปนที่อับ
อายขวยเขินหรือเปลา

กอนมายืนบนนี้รูสึกชื่นมื่นเพราะนึกแตจะขึ้นรับรางวัลใหญ แตพออยูบนเวทีตอหนาคนดู พิธีกรและทาน


ประธานจริงๆกลับเปลี่ยนไปอีกอยาง คือรูสึกผิดที่ผิดทางเปนอยางยิ่ง อยากเดินหนีลงจากเวทีไปดื้อๆ
เสียเดี๋ยวนั้น
๕๓๘

“คุณทีฆายุผานงานศพมามากไหมครับ? แลวงานศพที่เปนแรงบันดาลใจของภาพนี้ อยูใกลตัว ใกลเวลา


หรือเปลา?”

ใกลตัวของพิธีกรหมายถึงเปนญาติสนิทหรือไม ทีฆายุโลงใจ เพราะเตรียมพูดถึงความเปนมาของภาพไว


พรักพรอมเพียงพอ

“ผมอายุยังนอย เออ…สารภาพตามตรงครับวาผานงานศพมาไมมากนัก แตสิ่งหนึ่งที่ทําใหเขาใจก็คือถา


ศพที่อยูในโลงนั้นเปนญาติของเรา เราจะรับรูความหมายของการตายไดดีวาหมายถึงอะไร…”

ทีฆายุทราบไดวาหางเสียงของตนยังเพี้ยน เปลงคําไมเต็มปากเพราะขากรรไกรอายาก เหตุมาจากจิตใจ


อยูในสภาพถูกกด รางกายเลยติดขัดยักแยยักยันตามไปดวย แตพอเอยจบกระทงความแรก ไดกระแอม
เสียหนอย กับทั้งเห็นทุกคนเงียบฟงอยางตั้งใจเปนอันดี ก็กลาวตอชัดถอยชัดคําขึ้น ความคิดในหัวถูก
เรียบเรียงเปนระเบียบขึ้น

“ผมเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่ชอบแขง ชอบเขนกับผมมาก อยางเลนหมากรุกชนะผมสักกระดานนี่จะเอาไป


โพนทะนาทั่ววาผมเลนไมเอาไหน หรือถามีของดีชิ้นใหมก็เอามาอวด มาประชันกันสุดฤทธิ์ ใหอีกฝายรู
สึกดอยกวา ตองหาของแบบเดียวกันมารบจนกวาจะแพความรูสึก พูดงายๆวาเพื่อนคนนี้ทําใหผมเรียนรู
วา ความหมายของ ‘เพื่อน’ อาจเปนใครบางคนในชีวิตที่เรามีไวสรางความเจ็บใจใหแกกันและกัน ผลัด
กันอาศัยบาอีกฝายใหเหยียบขึ้นไปยืนชูคอทะนงสักครู

ตอมาเพื่อนคนนั้นประสบอุบัติเหตุจากการเลนกีฬา หัวกระทบเสาเหล็กอยางแรง อยูในสภาพความจํา


เลอะเลือนและเคลื่อนไหวอวัยวะหลายๆสวนไมได ผมก็ไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล เกิดความรูสึกเศรา
และเสียใจแทนญาติของเขา นั่นทําใหรูตัววาผมเห็นเขาเปนเพื่อนมาตลอด ไมอยางนั้น ถาเห็นเปนศัตรู
อยางเดียว คงรูสึกสมน้ําหนาเขาไสแนๆ

แตอีกความรูสึกที่เกิดขึ้นเมื่อมองรางนอนครึ่งเปนครึ่งตาย หมดสภาพเกงกาจเกาๆของเขา ตัวตนของ


เขาก็เหมือนสาบสูญไปแลว และเหมือนสวนหนึ่งในตัวผมหายไปดวย ตอนนั้นแยกแยะไมออกเทาไหร
นัก ตองคอยๆคิดอยางละเอียดในเวลาตอมาถึงทราบวาเขาเปนแกนอางอิงที่สําคัญหนึ่งในชีวิตผม นับ
แตเขาลมลงแลว ถาผมคิดหมากกลในเกมหมากรุกได หรือเอาของเด็ดชิ้นใหมไปอวดเขา ผมก็จะไมเกิด
ความสะใจอีกแลว ความสะใจที่ไดเขนเพื่อนผูมีความเปนอริอยางเขา มันเกิดขึ้นไมไดอีกเลย

นั่นเปนประสบการณที่ทําใหเขาใจความหมายของการตายไดดีเปนครั้งแรก ในสภาพหนึ่งที่พวกเรากําลัง
เปนอยู ถามีอันตองสาบสูญไป จะหายวับไปกับตาแบบที่เห็นเผากันบนเมรุ หรือจะหายไปจากความรูสึก
เพราะเหตุคาดไมถึงใดๆ นั่นคือตายจากความเปนตัวตนเกาทั้งสิ้น คนตายไมไดพาแตตัวเองไปตาม
ลําพัง เขาพาความรูสึกสวนหนึ่งของผูเคยใกลชิดไปดวยเสมอ เมื่อคนขางหลังทบทวนอดีตและเห็นเหลือ
แตความวางเปลา ก็มักเกิดภาพของชีวิตขึ้นภาพหนึ่ง…นั่นคือไดทุกสิ่งมาเพื่อเสียทุกสิ่งไป”
๕๓๙

พิธีกรอมยิ้ม

“เปนแงคิดที่ชัดเจนมากเลยครับคุณทีฆายุ สมแลวที่สื่อภาพออกมาอยางเลิศจนไดรับรางวัลเหรียญเงิน
เมื่อกี้ระหวางฟงคุณทีฆายุพูด ผมไดเหลือบมองภาพที่ฉายบนสกรีนชัดๆ รูสึกตกใจหนอยหนึ่ง เพราะ
พบวาใบหนาของชายในภาพที่คุณทีฆายุตองการสื่อนั้น ดูเหมือนเปนตัวคุณเอง อันนี้ขอใหชวยแจงดวย
ครับวาผมเขาใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือเปลา”

“ไมคลาดเคลื่อนหรอกครับ อยางที่เลาใหฟงแลว วาผมเห็นภาพความตายไวในใจอยางไร ทุกวันนี้เพื่อน


ผมที่สติเลอะเลือน พูดรูเรื่องบางไมรูเรื่องบางนั้น ยังมีชีวิตอยู อาการครบสามสิบสอง แตเขาเปนคนแรก
ที่ทําใหผมรูจัก และรูสึกเกี่ยวกับความหมายของการตาย และความตายชนิดนั้นก็สะกิดใหผมรูสึกวาวัน
หนึ่งผมก็อาจตายเชนเดียวกับเขา นั่นทําใหผมถามตัวเองวาอยากทําอะไร อยากใชชีวิตเพื่อเรียนรูหรือ
ทดลองสิ่งใดบาง กอนที่เวลาจะมาพรากเอาตัวตนนี้ของผมไป

มีเรื่องที่เปนเกร็ด จะเรียกความบังเอิญหรืออยางไรก็แลวแต เมื่อเร็วๆนี้ผมเพิ่งสูญเสียญาติผูใหญ ซึ่งมี


ศักดิ์เปนลุงแทๆไป ชวงนั้นผมกําลังอยูในระหวางขัดเกลา ตกแตงผลงานนี้เพื่อสงคณะกรรมการอยูพอดี
ผมไดพบและนั่งคุยกับลูกสาวของลุง ซึ่งก็คือลูกผูพี่ที่เคยคุนกันมาในสมัยเด็ก

ผมพูดคุยกับพี่เขาเกี่ยวกับงานประกวดภาพนี้ และผลงานที่ผมตองการนําเสนอดวย พี่เขายังมีสวนทําให


ผมไดไอเดียในการเกลาบทกลอนกํากับภาพชวงหลัง…”

เสียงของทีฆายุขาดหายไป เพราะคําพูดที่กําลังจะตอตามมาปรากฏแลวในหัว อันทําใหสะอึกกับหวง


ความทรงจําอันลึกซึ้งบางประการ เปนอาการที่ออกมาโดยปราศจากการเสแสรง ครูหนึ่งเมื่อรวบรวมสติ
ไดจึงลําดับความตอ

“นึกไมถึงวาผมเปนคนสุดทายที่ไดคุยกับพี่เขา…”

เงียบกริบทั้งหอง เพราะทีฆายุกลาวดวยความรูสึกสะเทือนอารมณอยางแทจริง เขาระลึกถึงเรือนแกว


หลอนเปนคนมีเสนหตรึงตรา ทั้งสําหรับญาติพี่นองและคนที่อยูนอกวงศวาน

พิธีกรไมอยากใหมีการดึงเอาเรื่องสวนตัวมากลาวมากนัก กับทั้งเห็นไดเวลาอันควร จึงตัดบทดวย


ประโยคเชื่อมตอที่สนิทกันกับถอยคําลาสุดของทีฆายุ

“คงเปนลูกผูพี่ที่คุณทีฆายุสนิทดวยพอสมควร หากอยากจะกลาวอุทิศใหกับลูกผูพี่กอนอานรอยกรองก็
เชิญไดนะครับ พวกเราจะไดชวยกันเปนพยาน รวมแรงกันสะกิดใหเขารับรู”

ทีฆายุพยักหนา อารมณในขณะจิตนั้นทําใหนึกรักพี่สาวผูลาจากชั่วนิรันดร ดลใจใหคิดเอยถึงหลอนใหสา


ธารณชนเปนพยาน ทั้งที่ไมคิดเตรียมไวกอนลวงหนา และไมเคยเชื่อเรื่องของปรภพเลยแมแตนิดเดียว
๕๔๐

ประสานมือ เหลือบตาขึ้นสูง เปลงคําดวยทาทีสงบแสดงความคารวะตอสิ่งที่มองไมเห็น

“ถาผลดีของภาพนี้จะไดเปนประโยชน เตือนใหคนเลิกประมาทในชีวิตอยางนอยสักขณะจิตหนึ่ง ก็ขอให


พี่แอรวมรับรู และมีสวนในกุศลดวยอยางเต็มที่”

ยังไมทันขาดคํา ทุกคนก็ตองสะดุงเฮือก เพราะไฟดับพรึ่บลงกะทันหัน กระชากความสวางทั้งหมดลงสู


ความมืดมิด!

เกิดเสียงอุทานหึ่งดวยความงงงัน เจาหนาที่ผูเกี่ยวของถึงกับขนลุกเกรียว เพราะในอาคารนี้มีระบบไฟ


สํารอง ถาไฟหลักถูกตัด จะเห็นไฟฉุกเฉินฉายจาทันที แตนี่ทุกอยางตกอยูในความมืดมนอนธการราว
กับ…

สิ่งที่จะตองกลาวขานกันอีกนานก็คือแมอุปกรณซึ่งมีแบตเตอรี่เลี้ยงเองของกลุมผูสื่อขาว ก็พลอยดับมืด
ไปดวย แมแตไฟสัญญาณบอกฟงกชั่นเล็กๆก็ไมปรากฏใหเห็นเลยในชั่วขณะนั้น

อึดใจใหญที่คลายถูกขังในกนถ้ํา แตไมนานจนเจาหนาที่ตองวิ่งวุนขาปด ไฟก็กลับสวางขึ้นตามเดิม


ทีฆายุรูสึกคลายถูกแชตัวอยูในกอนน้ําแข็ง เขากะพริบตาปริบๆ เพงมองไปในอากาศดวยความรูสึก
ก้ํากึ่งระหวางฝนกับตื่น เกือบทุกคนมองหนากันเองเลิ่กลั่กดวยความรูสึกอันพรรณนาไมถูก คลายความ
เยียบหนาวชนิดหนึ่งหลั่งลงสูหัวใจอันเงียบงันโดยถวนหนา

พิธีกรผูผานประสบการณมาโชกโชนกวาครึ่งชีวิต พบเห็นเรื่องลี้ลับทั้งลึกและตื้น ทั้งจริงและเก ยังผลให


ไมตระหนกอกสั่นกับเหตุการณเฉพาะหนาเทาใดนัก เขาพูดกับทีฆายุตอราวกับไมมีอะไรเกิดขึ้น เปน
การชักความรูสึกของคนทั้งหอประชุมใหกลับสูสภาพปกติอยางรวดเร็ว

“หวังวาลูกผูพี่ของคุณทีฆายุคงรับรูและยินดีกับความสําเร็จดวยนะครับ ผมชักอยากฟงรอยกรองของ
ภาพนี้เสียแลว โดยเฉพาะทอนหลังที่ผูพี่ของคุณทีฆายุมีสวนอยูดวย”

จิตรกรหนุมมือสั่น เงอะงะไปชั่วขณะ แมความรูสึกบอกตนเองวาเปนเรื่องบังเอิญ เพราะไฟดับกับ


วิญญาณปรากฏนั้นหางไกลกันสุดกู เขารับแผนกระดาษบันทึกคํากลอนที่ตนแตงมาจากมือพิธีกร เกิด
ความรูสึกขนหนักในอกใหตองเมมปากแนน กอนเริ่มเปลงคําอานออกมาได ทามกลางความเงียบเปนอัน
หนึ่งอันเดียวของคนนับพัน

เห็นคนตายก็หมายรูเดี๋ยวกูดวย อีกไมชาชราปวยแลวมวยสูญ
ศพวางนอนอยางขอนไมคลายอิฐปูน รอขึ้นเผาใหเอาศูนยมานับกาย
เหลือเพียงชื่อใหลือจําทําไมเลา เขาก็รอคอขึ้นเขียงเรียงจากหาย
เหมือนกับเราเฝาจดจําแลวกลับตาย ชื่อก็วายกายก็วางวางหมดกัน…
๕๔๑

รูสึกตื้นขึ้นมาในอก ขนทั้งแผงคอตั้งชันขึ้น กลืนน้ําลายลงคออยางยากเย็น เพราะกังวานเสียงของตนฟง


มีอํานาจสะกดผิดปกติ รางกายคลายติดล็อกกับที่แทบไมอาจขยับเขยื้อนไหวติง สัมผัสบางสิ่งที่เรียกวา
‘ความขลัง’ ที่ประชุมยังคงเงียบตอเปนนาน กวาเสียงปรบมือจะเริ่มทยอยดังขึ้น และดังตอเนื่องราวกับ
ฝนตกลงมาหาใหญเปนเวลานานมาก

“ขอบคุณมากครับ เชื่อเลยวาคุณทีฆายุไมไดแตงขึ้นดวยแรงบันดาลใจธรรมดา ฟงแลวผมหายประมาท


ลงจริงๆ เอาละครับ ขอเชิญรับรางวัลจากทานประธาน…”

ทีฆายุถอนใจโลงอก เพราะรับทราบวาภาระอันนาขยาดของตนสิ้นสุดลงแตเพียงเทานั้น

กาวเดินเขาหาคุณโภไคย ซึ่งยืนยิ้มใสรอยื่นของรางวัลใหอยูพรอมแลว

“ภาพและรองกรองของคุณเคยเปนประโยชนมาแลวจริงๆ ขอใหใชความคิดสรางสรรคไปในทางที่สราง
สรรคตอไปนะ”

เด็กหนุมเงยหนามองสีหนาอิ่มเอิบของผูพูด บังเกิดความสะบัดรอนสะบัดหนาวพิกล ไดแตรับวา ‘ครับ’


สั้นๆ และรับกลองเหรียญเงินพรอมซองมาถือ เมื่อทานยื่นมือใหจับก็จับตามธรรมเนียม เสร็จแลวโคงนิด
หนอย รีบดุมเดินงุดๆลงจากเวทีไปดวยทวงทีไมสงาผาเผยนัก

เพราะเขาสําเหนียกไดวาคลื่นความกลัวตายแผไปทั่วหอประชุมในนาทีนั้น

แพตรีเอนกายไปทางมติ กระซิบวา

“ฝมือรายกาจเชียว แตเฉือนเธอไมขาดหรอก”

มติหัวเราะอยางรูวานั่นเปนกําลังใจใหลุนรางวัลที่หนึ่ง เขาเอียงหนามาทางหลอนเล็กนอย

“ทีฆายุนี่เพื่อนผมเอง”

“เหรอ”

“ตอนเดินดูภาพชวงสายเจอกันทีหนึ่งแลวไงฮะ หนึ่งในสองสามคนที่เขามาทักผม แตตั้งหนาตั้งตาทํา


ความรูจักกับพี่แพจนโดนแฟนหยิกนะ”

แพตรีลืมหนาเพราะไมไดตั้งใจมองเต็มตานัก แตรูวามติหมายถึงใคร

หมดความสนใจจะพูดถึงเพื่อนหนุมของมติ แตติดใจเตือนเขาในลักษณะเอียงหนากระซิบคุยกันนั้น
๕๔๒

“ตกลงแลวไง เลิกเรียกพี่ไดแลว”

มติยิ้มเจื่อน ออมแอมรับ

“ครับ ตอไปจะพยายามไมพลั้งเรียกอีก ผมตามใจพี่แพเสมอ”

แพตรีหัวเราะเล็กนอย ตีหลังมือมติเบาๆอยางรูวาเขาแกลงเผลอ

“ถึงตาเธอขึ้นไปรับรางวัลแลวละ ลุกสิ”

ตีขลุมคะยั้นคะยอแบบกึ่งเยาและกึ่งเชื่อวานาจะเปนความจริง มติยิ้มเฉย เขายังเหมือนคนทั่วไป หวังจะ


ไดรางวี่รางวัลมาชื่นชมบาง เห็นผลงานตนเองถูกยกใหมีคาบาง แตเมื่อนึกขึ้นไดวางานของตนเกี่ยวของ
กับอะไร ใจอยากก็กลับราบคาบลงสนิท

ความแชมชื่นเบิกบานเมื่อใจนึกถึงพระนิพพานนั้น ไมมีสิ่งใด หรือรางวัลจากมนุษยคนไหนมาเทียบเสมอ


ได เขาลิ้มรสรางวัลของตนเองอยูเดี๋ยวนี้แลว ทําไมจะตองไปรออะไรขางหนาอีก

“และตอไปคือรางวัลแดผูทําประโยชน สื่อสารเนื้อธรรมผานงานจิตรกรรมไดดีที่สุดในสายตาของคณะ
กรรมการปนี้…”

พิธีกรประกาศกองกวาปกติ กับทั้งทอดระยะเปนการกอความตื่นเตนเล็กนอยตามธรรมเนียม เพราะถา


โพลงเร็วๆเดี๋ยวจะไมเหมือนรางวัลใหญ

แพตรีเอื้อมฝามือนุมออนอุนมาวางบนทอนแขนมติ ราวกับจะใชสัมผัสละมุนแทนคําพูดวาในนาทีที่
สําคัญ เขามีหลอนเคียงขางอยางใกลชิดตลอดเวลา เสมอมาและจะเสมอไป

“ผมแววเสียงกระซิบมาครับวาเปนผลงานที่นาพิศวงมาก ซึ่งเดี๋ยวก็จะไดเห็นพรอมพวกทานนั่นแหละ
ครับวาควรแกการพิศวงอยางไร”

หยุดกระแอมคั่นจังหวะ บรรดาศิลปนเจาของภาพเกือบหารอยคนพากันเบิกจองพิธีกรตาคางเหมือนผี
ดิบ คลายรุมรอนในอกและอยากเคนคอใหพิธีกรเอยชื่อผลงานและนามของตน แตผลการตัดสินก็ปรากฏ
อยูในแผนกระดาษในมือพิธีกรใบนั้นแลว เปลี่ยนแปลงแกไขเปนอื่นไมไดแลว ถึงตั้งตาลุนเครงเครียด
เพียงใด เกร็งเนื้อเกร็งตัวจนบิดตะกูดแคไหนก็ไมมีผลใหการตัดสินพลิกผันเปนอื่น

พิธีกรเอยเนิบชัดในที่สุด

“เหรียญทองปนี้ ไดแกผลงานชื่อ ‘ทวิลักษณ’ ของคุณกฤติยา มหิทธาบดี…ขอเรียนเชิญครับ”


๕๔๓

เหลาศิลปนไหลตกวูบกันเปนทิวแถว สิทธิ์และโอกาสทั้งปวงหลุดลอยไปแลวกับเสียงประกาศผลงานและ
ชื่อเจาของนั้น

มติก็มีสวนเหมือนกับปุถุชน เขายังมีความคาดหมาย คาดหวัง ลงหวังแลวก็ยอมมีผลเปนสมหวังหรือผิด


หวังอยางใดอยางหนึ่ง ครั้งนี้ก็เชนกัน ชื่อผูรับรางวัลซึ่งเขากระทบหูไมใช ‘มติ’ ตามที่หวัง ผลจึงเปน
ความผิดหวัง อันมีลักษณะเดียวกันดาษๆ คือใจแปวไป ความคิดตีบตันไปชั่วขณะ ใบหนาเหมือนจะ
เหี่ยวลงมาวูบหนึ่งตามความมืดมนของจิตใจ ทาทางหาอะไรปรุงแตงใหฟูขึ้นไดไวๆยากเสียดวย

แตมติก็มีความแตกตางจากคนอื่น กอนหนารับฟงผล จิตเขาจับอยูที่ความสวางของตัวรูอันไรหนาตา ไม


ของแวะกับชื่อเสียงหรืออัตตาอันใด และเขาก็ยังคงพยายามจับจิตรูความสวางวางกลางอกนั้นไวไม
ปลอย กับทั้งรักษามิใหเสียศูนย ตรงขามยิ่งเรงความรูตัววางใหชัดขึ้นจนเบิกบาน เอาชนะความรูสึกเปน
ทุกขที่ปรากฏในรูปของความวูบไหวทางกายและใจยามนี้

ยิ่งกําลังสมาธิดีเทาไหร จิตจับความสวางเย็นในตนเองไดคลองแคไหน ใจยิ่งโปรงเบาเปนสุข ไมเดือด


รอนกับความปรุงแตงที่หอหุมไดเร็วขึ้นเพียงนั้น

เขาไดเปรียบปุถุชนก็ตรงนี้

หญิงสาวในชุดขาวนางหนึ่ง ปรากฏกายเดินจากชองวางตอนกลางของที่นั่ง ตัดตรงไปเบื้องหนา ออม


ซายขึ้นบันไดเวทีไปยกมือพนมไหวทานประธานแบบถอนสายบัว แลวจึงหันมาไหวพิธีกรตามธรรม
เนียม

รางหลอนคอนขางผายผอมอยางคนทานนอย ใบหนาสะอาดสะอานปราศจากเครื่องสําอางประทินโฉม
ผิวเกรียมแบบคนทํางานหนักและตากแดดตากลมบอย เคาหนาสงบในลักษณะของผูเครงครัดในวินัย
เกินสตรีธรรมดา นัยนตาดําคมกลา ฉายความนิ่งผิดปกติ ชนิดที่ถาไมมีบารมีอยูบาง มองแลวอาจ
สะทานเยือกและนึกอยากหลบในทันที

ความนิ่งตลอดรางของกฤติยาทําใหคนเห็นนึกถึงเครื่องกําเนิดพลังขนาดใหญ หลอนมีรัศมีแรงสูงชนิดที่
อาจตรึงใหผูใกลชิดถึงกับอึ้งเงียบในบัดดล พิธีกรกลืนน้ําลายลงคอดวยความรูสึกฝดฝน ตระหนักวาตน
ยืนอยูตอหนาผูหญิงที่ออกจะพิเศษเอามาก

ภาพที่ถูกฉายบนสกรีนก็ทําความงุนงงใหกับผูชมพอควร เพราะที่ผานมาลวนเปนงานจิตรกรรมซึ่งเนน
ทั้งความคมชัดของรูปทรง ความงดงามของการใหสี รวมทั้งความชัดเจนงายตอการเขาใจ แตนี่กลับเปน
วงกลมวงหนึ่ง ที่มีเสนสายลายเหลี่ยมซับซอนลายตาอยูภายใน ดูไมออกวาอะไรเปนอะไรในแวบแรก

จิตรกรหลายคิดวานั่นเปนศิลปะใหมแหงศตวรรษที่ยี่สิบในแนวอ็อพอารตซึ่งเนนการเลนกับสายตาผูชม
คือลวงตาดวยลายเสนประกอบสีใหเห็นคลายวาภาพเคลื่อนไหวไดอยางมีพลัง โดยอาศัยความรูความ
๕๔๔

เขาใจในธรรมชาติการเห็นของมนุษยที่มีตอเหลี่ยมมุมเรขาคณิตเหลื่อมซอนและแสงเงาสรางชั้นมิติตื้น
ลึกหนาบาง ประสานกันอยางกลมกลืนเพื่อหลอกใหเกิดความพิศวงใจ

แตบางคนก็รูสึกวามีอะไรพิเศษแฝงซอนไวอยางลี้ลับยิ่งกวาความเปนศิลปะอ็อพอารตขึ้นไปอีก เพียงยัง
แยกแยะไมออกในเวลาอันสั้น ประกอบกับที่แสงสีที่ตกบนสกรีนขาดความชัดกริบเหมือนของจริง ยิ่งทํา
ใหลําบากกับการเดาเจตนาของผูสรางสรรคมันขึ้นมา

พิธีกรกะพริบตาปริบๆ ผินหนามองภาพบนสกรีนครูหนึ่ง แลวยอนกลับมาสบตากับผูชนะเลิศประจําป


ยอมรับวากําลังจิตของผูหญิงคนนี้แข็งเสียจนเขาไมกลาตอตาดวยนานนัก อีกทั้งทําใหรูสึกฝนจนตอง
กลืนน้ําลายบอยๆ ขาดความเปนตัวของตัวเองลงเยอะ

คะเนจากแววรูคิดในตา อายุหลอนนาจะเลยสามสิบมาพอควรแลว แตดวงหนาเมื่อดูผาดยังออนราวกับ


ยังเปนสาวนอยที่เพิ่งเฉียดจะบรรลุนิติภาวะเทานั้น

เขารูจักนักเลงสมาธิมามาก เคยพบเจอแมผูมีตบะแกกลาที่เลนกีฬาสมาบัติเปนอาชีพในปาลึก จึงแยก


แยะออกวาใครเปนใคร กฤติยานาจะเกงกาจเกินตัว แตยังอยูในขั้นเก็บพลังไมอยู มีเทาไหรปลอยใหฉาย
ออกมาหมด พลิกจิตใหเก็บพลังไวเงียบๆไมเปน ซึ่งแบบนี้คลุกคลีอยูกับคนในเมืองแลวจะขาดความ
กลมกลืน

ชุดกระโปรงเสื้อแขนสั้นที่หลอนแตงเปนฝายอยางดี เครื่องประดับแมนอยชิ้น ทวาก็บงถึงรสนิยมชั้นเลิศ


ลักษณะการปรากฏของหลอนจึงออกจะมีความขัดแยง คือจะดูเหมือนแมชีตามถ้ําก็ไมใช จะวาเปนคน
เมืองที่เปนแตนั่งระเหิดระหงในคฤหาสนก็ไมเชิง

แวดวงพุทธมีคนประหลาดๆอยูเยอะ เพราะพุทธสาวกนั้น ถาสั่งสมวาสนาบารมีมาในรูปแบบเฉพาะตัว


ถึงจุดหนึ่ง ก็อาจเปนอะไรไดทั้งนั้น ดวยเหตุที่ปจจัยบันดาลรูปนามมีอยูหลายชั้นหลายซอน ทั้งกําลังบุญ
กําลังจิตของเจาตัว รวมทั้งกําลังปฏิกิริยาแหงพระไตรสรณาคมนที่ชวยขยายผล จึงเกินวิสัยคณนาวาถา
ผูใดอาจหาญบําเพ็ญตนกวานบุญกิริยาอยางเต็มที่แลว ผลออกมาจะพิสดารพันลึกปานใด

พิธีกรตองกระแอมกุกหนึ่งกอนไถถาม

“ปจจุบันนี้คุณกฤติยาทํางานในแวดวงศิลปะหรือเปลาครับ?”

“คะ ดิฉันทําเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องประดับ”

“โอ ดีทีเดียวนะครับ งานในวันนี้ รวบรวมเอาผูปฏิบัติธรรมซึ่งอยูตางสาขา ตางอาชีพมาอยูดวยกัน ให


พวกเรามีโอกาสเห็นวาพระสัทธรรมแผกวางครอบคลุมชนทุกหมูเหลาอยางไร ปกติที่เราเดินตามถนนไม
๕๔๕

คอยเจอ ไมไดแปลวาผูเกงกลาในธรรมมีเพียงจํานวนนอยเลย เราแคไมคอยพบเห็น เพราะมีโอกาส


ชุมนุมสังสรรคผูรวมแนวอยูนอยครั้งเทานั้นเอง

ไหนผมถามตรงไปตรงมาเลยนะครับคุณกฤติยา ดูจากภายนอกแลว ผมวาคุณกฤติยาไมไดนั่งออกแบบ


เครื่องประดับอยูในหองแอรทั้งปเปนแน งา…คุณกฤติยาใชเวลาสวนใหญปฏิบัติธรรมอยูตามปาเขาหรือ
เปลาครับนี่?”

หญิงสาวยิ้มเล็กนอย พิธีกรอดรูสึกเสียดายไมไดเมื่อสังเกตเห็นรอยลอกรอยดางบางแหงบนใบหนาอัน
เกิดจากการกรําแดดลม ดวยเคารูปหนานั้น หากหลอนเปนนักปรุงโฉมเหมือนสาวเมืองทั่วไป ก็คงเปน
แมโฉมตรูไดคนหนึ่ง

“โดยมากแลวดิฉันจะเก็บตัวอยูกับสํานักชีทางภาคอีสานหรือภาคใตไกลๆคะ”

หลอนขยักไว ไมกลาววามรดกและรายไดที่หลอนหามาเกือบทั้งหมด มักใชไปในการสรางหลักแหลงที่มี


การอารักขาอยางปลอดภัยสําหรับผูหญิงที่ตองการปฏิบัติธรรมดวยกัน สิ่งนั้นเองคืออาชีพแทจริงของ
ชีวิตหลอนในชาตินี้

นอยคนจะลวงรูความลึกลับของหลอน กฤติยาอยูเบื้องหลังการออกแบบเครื่องประดับชิ้นงามระดับโลกที่
ร่ําลือกันวา ‘เหมือนสมบัติเทพ’ ดวยความเขาใจอันลึกซึ้งในรูปความงามเพริดแพรวที่มีมากับคุณสมบัติ
และอํานาจแหงอัญมณีแตละชนิด หลอนรังสรรคเครื่องประดับกายที่ใหสัมผัสแนบเนียน บันดาลความรู
สึกประณีตสูงสงประหลาดล้ําในทันทีที่สวมใส ใสแลวจะเกิดความหวงแหนสุดชีวิตราวกับเปนองค
ประกอบหนึ่งที่มีคายิ่งในกายตนทีเดียว

ปรัชญาของหลอนบินสูงเหนือคาของอัญมณีที่เขามารวมตัวกันเปน ‘เครื่องประดับ’ บุคคลสําคัญระดับ


ประเทศที่วาจางหลอนออกแบบใหกับ ‘ชีวิต’ ของตนสามารถรูสึกถึงสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสําหรับตัวเอง
โดยเฉพาะในแงบารมี ความสงางาม ตลอดไปจนกระทั่งการรักษาความคิดอานใหอยูในรองในรอย บาง
คนสวมใสเครื่องประดับของหลอนแลวอุปาทานวาตนฉลาดปราดเปรื่องขึ้นก็มี

สรุปคือเครื่องประดับชิ้นใดก็ตามที่มาจากหลอน จะตองสวย ชวนใหตาลุก เกิดความโลภโมโทสัน อยาก


ครอบครองดวยความหวงแหน และมีพลังพิเศษในตัวเสมอ

เพราะหลอนไมไดใชสมองในการออกแบบ

กฤติยาขายลิขสิทธิ์อันแสนแพงใหกับบริษัทเลื่องชื่อ พวกเขาไดความรุมรวยมหาศาลจากยอดขายพรอม
กับความวุนวายในตลาดเครื่องประดับแถวหนาของโลก ขณะที่หลอนไดเงินกอนมหึมาพรอมกับความ
สงบในแดนพุทธ จาริกไปโดยปราศจากการเกาะแกะรบกวนจากกระแสธุรกิจอันเชี่ยวกราก เนื่องจาก
๕๔๖

การเขาถึงตัวหลอนตองผานหลายดานหลายชั้นนัก ธรรมชาติงานทําใหหลอนไมจําเปนตองปรากฏตัว
ตามงานหรูหรา หรือเปนขาวฟูฟาในสื่อตางๆ

บัดนี้แนนอนแลววารางวัลที่หนึ่งในงานประกวดภาพพุทธศาสนาเปนของหลอน ดวยผลงานอันประหลาด
และวิเศษเกินจินตนาการจิตรกรธรรมดา อยางไรก็ตาม ใหคาตอบแทนหลอนสามลานบาทกับไมใหเลย
แทบจะมีความหมายเทากัน หลอนมาเพราะปรารถนาที่จะมา ไมใชเพื่อรางวัลใหญหรือชื่อเสียง
จอมปลอมชั่วครูชั่วคราวใดๆทั้งสิ้น

“คุณกฤติยาครับ ผมเองยังไมไดอานรอยกรองกํากับภาพของคุณ แลวก็ยังเดินดูภาพไดไมทั่ว เพิ่งเห็น


ภาพของคุณพรอมกับผูมีเกียรติทานอื่นๆในหอประชุมเดี๋ยวนี้เอง ยอมรับครับวาคอนขางแปลกใจกับรูป
แบบการนําเสนอ ผมยังงงอยูวาภาพสื่ออะไร คงตองขอคําอธิบายจากคุณกฤติยาเลยดีกวา…เริ่มจากคํา
วา ‘ทวิลักษณ’ นะครับ อันนี้มีคําแปลวาอะไร?”

“แปลอยางงายที่สุดก็คงไดวาลักษณะปรากฏไดสองอยางในสิ่งเดียวกันนะคะ โดยทั่วไปเจาะจงเอาคุณ
สมบัติที่ขัดแยง แตกลับมารวมอยูในสิ่งเดียว อยางเชนคุณสมบัติของแสง ซึ่งนักวิทยาศาสตรสามารถ
พิสูจนวาเปนไดทั้งคลื่นและอนุภาคพรอมๆกัน ลําแสงเดียวกันนี่เอง เราจะมองใหเห็นเปนคลื่นซึ่งมี
ลักษณะเคลื่อนไหวตอเนื่องเหมือนระลอกน้ําในทะเล หรือจะเปนอนุภาคซึ่งมีลักษณะเปนกอนแยกจาก
กันเปนเอกเทศเหมือนเม็ดทรายก็ได สองลักษณะนี้ขัดแยงกัน แตกลับกลายเปนสิ่งเดียวกันได ถาศึกษา
ลึกๆและรูมากอยางนักวิทยาศาสตรแลว จะเห็นวาอธิบายยาก หรือเปนเรื่องเหลวไหลไมนายอมรับเอาที
เดียว”

“ครับ ผมก็เคยทราบละวาถาเราใชเครื่องมือทดลองมองแสงตางกัน เราจะเห็นเปนคลื่นหรืออนุภาคก็ได”

แลวพิธีกรก็ผินหนาไปทางภาพวงกลมที่ฉายคางบนสกรีนยักษ กอนหันกลับมาขอ

“ทีนี้คงตองขยายความละครับวาวงกลมที่พวกเราเห็นกันอยูนี้ มีความเปนทวิลักษณอยางไร และมีคา


ควรพิจารณาเปนขอธรรมไหน”

กฤติยายิ้มเย็น สิ่งที่ฉายชัดออกมาทางสีหนาสงบ แววตานิ่งลึกจัด และรอยยิ้มซอนเลศขณะนั้น ทําใหพิธี


กรรูสึกราวกับหลอนเห็นเขามาถึงไสพุง ไมวาจะเคยทําสิ่งใด หรือกําลังคิดอยางไร เปนถูกอานออกหมด
เหมือนตัวเขากลายเปนหนาหนังสือที่ถูกแบแลว และไมอาจปดปกลงซอนขอความได

หญิงสาวเบนหนาไปทางดานลางเวที แลวเอยเปนกังวานเชนเดิม

“คงตองรบกวนทุกคน โดยเฉพาะผูที่นั่งอยูดานหลังๆ ไปดูภาพจริงดวยตาตนเองนะคะ เพราะเมื่อฉาย


ขึ้นสกรีนอยางนี้ รายละเอียดที่สําคัญจะขาดหายไป ดิฉันคงกลาวไดแตเพียงวาเมื่อเพงศูนยกลางของรู
๕๔๗

ปวงกลม คุณอาจเห็นไดทั้งวงเวียนลงสูกนหอย หรือเกล็ดเพชรระเกะระกะก็ได ขึ้นอยูกับความตั้งใจปรับ


สายตา

ความสําคัญของภาพไมใชอยูที่การซอนลายซอนกันเพื่อใหมองไดสองมิติเทานั้น เมื่อคุณมองออกมาเปน
วงกลมกนหอย คุณจะรูสึกเหมือนถูกดึงดูดใหดิ่งจมลงไปในความลึกของจินตนาการแปลกใหม เพอฝน
เหนือจริง และใหความสุขไมตางกับจองอัญมณีที่มีคา แตเมื่อคุณมองเปนเกล็ดเพชร ความรูสึกจะแปรไป
เปนอีกแบบ คือเหมือนอยูในพงหนามนาระคายเคือง

สิ่งที่อยากใหสังเกตคือความคิดที่กอขึ้นในหัว ขณะเพงมองภาพนี้ อาจเกิดความคิดดานดีหรือดานรายก็


ได เมื่อเรียนรูแลวเชนนั้น จะพบวาสิ่งที่ควบคุม หรือปรับใหเกิดการเห็นเปนแบบใดๆ ก็คือความตั้งใจ
ของเราเอง สรุปวาความเปนบวกและลบแฝงอยูในเนื้อหาของภาพในแบบทวิลักษณนี่เอง สิ่งที่จะรับ
ความเปนบวกหรือลบคือจิตใจของเรา นี่เหมือนเมื่อเรามองโลก สัมผัสโลกในความเปนจริง ไมแตกตาง
กันเลย”

เสียงฮือฮาระงมไปทั่ว แมแตพิธีกรก็รูสึกตกใจกับคําเฉลยที่ไหลรินออกมาจากริมฝปากบางเฉียบ ถึงกับ


หันหนาไปทางประธานอยางจะเปนนัยเรียนถามทานวาปแรกมีเรื่องนาตื่นใจขนาดนี้เชียวหรือ

“ดิฉันใชรูปธรรมสื่อไดอยางมากที่สุดแคคูสอง คือมองอะไรใหเกิดสุขหรือทุกขในใจก็ได แตแทจริงธรรมที่


เปนทวิลักษณมีอยูทั่วไป เชนความเปนกายที่ปรากฏไดทั้งงดงามหอมหวลและนาเกลียดเหม็นหืนใน
กอนเดียวกัน

เปาหมายสูงสุดของภาพทวิลักษณนี้ไมใชเพื่อใหเห็น หรือกอความรูสึกขัดแยงวาอยางไหนถูกอยางไหน
ผิด สิ่งใดจริงสิ่งใดลวง แตเพื่อใหรูสึกวาหนาตาของอุปาทานในใจเราเปนอยางไร ความรูสึกนึกคิดมัน
แปรไปไดตามวิธีมองของเราจริงๆ”

พิธีกรเปลี่ยนวิถีสายตาไปจับภาพเขม็ง เขาวาเขาเริ่มเห็นสิ่งที่หลอนพูดแลว วงกลมอันเกลื่อนไปดวย


เสนสายสับสนนั้น เมื่อมองจับศูนยกลางดีๆ ปรับสายตาเสียหนอย อาจเห็นเปนวงกลมในลักษณะเวียน
เขากนหอยก็ได หรือจะใหเปนเกล็ดเพชรดาษๆก็ได นับเปนเทคนิคซอนลายเสนหลอกตาอันควรทึ่งสุด
ขีด เพราะนอกจากเห็นภาพเปลี่ยนแลว ยังสามารถแปรอารมณจากหนามือใหคว่ําเปนหลังมือไดอีกดวย!

“เชื่อแลวครับ…” พิธีกรคราง “นี่สมควรเปนผลงานอันดับหนึ่งประจําป เพราะทําใหผมไดซึ้งวากิเลสไมได


อยูที่โลก แตอยูที่วิธีมองของเรา”

พักครูหนึ่งเหมือนจะใหทุกคนลิ้มรสความเขาถึงชนิดนั้นเชนเดียวกับตน กอนเอยสืบตอ

“ตัวภาพเองก็สมควรแกรางวัลแลวครับ คราวนี้คงตองขอฟงรอยกรองจากคุณกฤติยา เพื่อดูเนื้อหาเสริม


กันหนอย เชิญครับ”
๕๔๘

กฤติยารับกระดาษจากพิธีกร กมลงเปลงคําอานอยางสงบเสงี่ยม

สนิทนิ่งมิติงไหวไรความคิด ไรดวงจิตผิดถูกอะไรไหน
ไรสุขทุกขจุกอกสะทกใจ ไรสิ่งใดใกลกล้ําใหธรรมเมา
เปนรูปวาดจึงอาจตองครรลองตา ผิวนอกหนาดูสมกลมเสลา
แตเมื่อเพงเล็งหยุดจุดกลางเขา ก็กลับเราใหเราคิดผิดแผกกัน
เพราะอาจเห็นเปนกนหอยถอยทางลึก ตรึงใจนึกรูสึกหวานปานสายฝน
แตปรับตาหาเกล็ดเพชรก็เสร็จกัน จะกลับคั้นฟนใจใหระคาย
เปนตัวอยางทางดูใหรูแน วารูปแคแหยตาหาความหมาย
ใชบาปบุญคุณโทษแตโดดดาย จะดีรายขึ้นกับเลศกิเลสคน

สิ้นคําอาน และกฤติยาเงยหนาแลว ทุกคนในหอประชุมก็พรอมใจกันปรบมือใหเกียรติอึกทึกครึกโครมยิ่ง


กวาที่ปรบใหผูรับรางวัลที่ผานมาทั้งหมด แทบวาหอประชุมจะถลมทลายทีเดียว

“นาประทับใจครับ นาประทับใจจริงๆ” พิธีกรกลาวเสริมเสียงปรบมือของผูชมขางลาง “และนายินดีที่ป


แรกนี้ เราไดคนที่มีความรูอรรถธรรม ซึ่งประกอบพรอมไปดวยความสามารถเชนผูรับรางวัลทั้งสามทาน
หวังวาคงไดเกียรติเชนนี้จากพวกทานทุกป…เชิญคุณกฤติยารับรางวัลจากทานประธานครับ”

กฤติยายิ้มใหคนดู แลวหันมายิ้มลาพิธีกร จากนั้นกลับหลังกาวไปรับรางวัลจากคุณโภไคย

“ขอบใจมากที่มาชวยเหลือกัน” ทานประธานกลาวยิ้มแยม “นาเสียดายนะ หนูรูถูก รูชอบแลว แตไม


พยายามทําใหมาก มัวแตเสียเวลาคิดขยายความ อยากใหคนอื่นรูตาม จนตัวเองไปไมถึงไหนสักที อยาง
นี้เดินทางออมไปสายพุทธภูมิแลวนะ”

หญิงสาวเบะปากยิ้มหมิ่นนิดหนึ่ง เพราะสัมผัสทางใจบอกวากระแสจิตทานประธานไมไดเขมขนสักเทา
ไหร ที่พูดเตือนเหมือนสั่งสอนหลอนก็คงดวยวัยวุฒิและความรูสึกแบบผูใหญที่มีตอเด็ก หลอนเจอมานัก
ตอนักแลว ถึงทําดี พูดเกง หรือรูมากขนาดไหน ก็ยังมีกิเลสหนาปญญาหยาบอยูทั้งนั้น ชนิดที่สมองกับ
หัวใจทํางานตรงกันเพื่อลดละกิเลสอยางถูกทาง ถูกพุทธิปญญานะ หาแลวเจอยากเหมือนงมเข็มใน
มหาสมุทรดีๆนี่เอง

อยางไรก็ตาม เมื่อเหลือบสบกัน เห็นแววตาคุณโภไคยฉายนิ่งกวาคนมีการศึกษาธรรมดาทั่วไป กฤติยา


ก็ชักอยากรูวาทานมีดีสักแคไหน คนธรรมดา ‘ดูใจ’ กันดวยการคบหาระยะหนึ่ง เห็นกิริยาและปฏิกิริยา
เจรจาพาทีกันจนซึมซับความเปนอีกฝาย หากจะยอมรับนับถือก็คือเห็นการแสดงภูมิรู ภูมิคิดไดฉลาด
๕๔๙

ปราดเปรื่องเปนพิเศษ มีความประพฤตินาเลื่อมใสกวาใครๆ เชนในแวดวงธรรมะก็มักดูกันวาใครมีวาทะ


เฉียบคม ทรงความรูจากพระไตรปฎกแตกฉาน ถามอะไรตอบไดหมด หรือมีจริยาที่เหนือกวาปุถุชน คน
นั้นก็ถูกมองแลววาธรรมะแกกลา พูดอะไรนาเชื่อถือไปหมด ทั้งที่จริงขางนอกสุกใสขางในอาจเปนโพรงก็
ได

แตสําหรับหลอนไมตองเสียเวลารอดู รอฟงอะไรทั้งนั้น ถาอยากดูก็วากันเดี๋ยวนั้นเลยตรงๆ เห็นกันจะจะ


โดยไมใหโอกาสซอนเงื่อนเบือนบิดดวยวาทะชักแมน้ําทั้งหาใดๆ หากยังอยากแตอําพรางวาหมดอยาก
หากยังเอาแตอําพรางวาไมเอา หลอนดูปราดเดียวก็รูแลว เห็นแลว

สํารวมจิตเปดใจวางและกําหนดวาจะ ‘รับ’ กลาวคือถอดความรูสึกตัวเองออกไปขางนอกชั่วขณะ เหลือ


ไวแตสภาพคลายกระจกเงาพรอมรับกระแสตัวตนของบุรุษผูยืนประจันหนา

โดยทั่วไป หากมีอารมณหรือความรูสึกนึกคิดผุดขึ้นในใจของฝายตรงขาม หลอนก็จะสัมผัสคลายเกิดการ


ปรุงแตงอยางนั้นๆขึ้นกับใจหลอนเอง และสิ่งที่กฤติยาสัมผัสในปจจุบันคือความเงียบวางสวางไสวในจิต
ใจของทานประธานผูใจบุญ จึงเชื่อวาเปนคนมีเมตตากรุณาโดยปราศจากจริตมายาลวงโลก

ความชํานาญในการเขาออกสมาธิของกฤติยาทําใหสภาพรูดังกลาวเกิดขึ้นในชั่วครึ่งทางลมหายใจเขา
เทานั้น พอรูแลววาคุณโภไคยดีจริง ก็ชักเห็นวาคุมถาจะออกแรงเพิ่มอีกนิดเพื่อดูวาทานดีทนสักเทาใด
วัดจากพลังจิตอันเปนฐานกุศลนั่นเอง

รวมความเขมทั้งหมดของกระแสจิตตนสงไป ‘ผลัก’ กระแสของอีกฝายเบาๆ คลายเหวี่ยงหมัดลองเชิงวา


จะมีพลังตานอยูแคไหน คาดหมายวาจะมีแรงสวนกลับเพียงแผวแบบผูใหญที่ลนอํานาจและบารมีทาง
โลกทั่วไป ซึ่งในระดับนั้น ฝายคุณโภไคยผูถูกคุกคามจะสะทานเยือกคลายเจอไอน้ําแข็งแผกระทบ สบ
ตาหลอนแลวจะเกิดความครั่นครามอยางไมอาจหยัดตั้งสติทน

แตแลวกฤติยาก็ตองสะดุงไหวอยูภายในเสียเอง หนวยตาเบิกขึ้นเล็กนอย เพราะแทนที่จะพบกําแพงพลัง


ณ ตําแหนงกายยืนของทานประธานใหเกิดปฏิกิริยาสะทอนตอบดังคาดหมาย กลับพบแตความวางเปลา
รออยู จึงเหมือนนักมวยที่เหวี่ยงหมัดอยางนึกวาจะกระทบกระสอบทราย เพราะเห็นแขวนอยูตรงหนา
แทๆ กลับวืดไปในอากาศวางอยางเหลือเชื่อ ทําใหหัวซุนคะมําถลําไปดวยความเสียศูนย

และพรอมกันกับอาการซวนเซของกําลังจิต หญิงสาวก็สําเหนียกไดถึงปฏิกิริยาแหงกรรมที่ตนกอ คือ


เปนวูบปะทะกลับอยางรุนแรงของอะไรอยางหนึ่งที่ละเอียดเปนคนละชั้นกับพลังจิต

ลักษณะปลอยจิตวางเปนสุญญัง อันทําใหผูอื่นกําหนดหาตําแหนงที่ตั้งไมไดเชนนี้ มีอยูในผูเขากระแส


นิพพานแลวเทานั้น หลอนทราบจากครูบาอาจารย กับทั้งผานพบผูถึงสุญญังมาแลวหลายทาน
๕๕๐

ประกอบกับความจริงที่วาหลอนทํากรรมแคนิดเดียว คือสงกําลังจิตเขาปะทะคุณโภไคยดวยความคิด
ปรามาสดูแคลนเพียงเล็กนอย แตกลับสําเหนียกไดถึงการขยายผลเปนกรรมหนัก กฤติยาก็แนใจทันทีวา
ผูยืนอยูตรงหนาหลอนนี้ ไมใชปุถุชนธรรมดาดังที่ตนทึกทักเอาแตแรกเสียแลว

ยังดีที่เมื่อครูทานไมรวมกําลังจิต ‘ผลักกลับ’ เพราะจะเหมือนหลอนขี่จักรยานประสานงากับรถกระบะที่


วิ่งสวน หลอนอาจถึงขั้นบาดเจ็บ คือออนเปลี้ยรวมจิตไมติด ฟุงซานกระเจิง กําหนดตั้งสมาธิไมไดไปอีก
นาน

หญิงสาวหนาถอดสีดวยตระหนักในโทษแหงบาปอันกอขึ้นโดยความรูเทาไมถึงการณ หลอนพลาดไป
ถนัด เหมือนมีตาไรแวว เห็นทานใชชีวิตในเมือง คลุกกิเลสโลกยอยางใกลชิด คงไมไดดีทางธรรมเทาไห
รนัก ที่แทสูงลิ่วทั้งมหากําลังและภูมิธรรมอันประเสริฐอยางนี้

“อโหสิใหเด็กโงอยางหนูดวยเถอะคะ”

พึมพําพอไดยิน และไมกลาสบตาคุณโภไคยตรงๆอีกเลย

“ไมเปนไร ขอใหโทษมีแกความรูเทาไมถึงการณที่ผานพนไปแลว อยาไดมีตอหนูแมแตนิดเดียว ทั้งใน


ปจจุบันและอนาคต”

กฤติยายิ้มไมสนิทนัก พนมมือไหว ถอนสายบัวอยางงามดวยความคารวะอยางสูงพรอมขอลุแกโทษใน


ตัว ผูปฏิบัติจิตที่เปนสัมมาทิฏฐิไมไดเคารพนับถือกันดวยความเฉลียวฉลาด ฐานะทางสังคม หรืออายุอา
นามเปนหลัก แตดูกันตรงคุณธรรมชั้นสูงที่เขาถึงแลว แจมชัดแลว ไมวาจะเปนฌานสมาบัติหรือมรรคผล

ผูเปนที่หนึ่งประจําปกาวเลี่ยงลงจากเวทีไปดวยทวงทีเจียมตัว ตางจากขาขึ้นที่เปยมดวยความทะนงใน
ภูมิ สําคัญวาตนเปนผูมีคุณวิเศษสูงสุดของงาน

คุณโภไคยมองตามดวยสายตาชื่นชมน้ําใจเพราะอานออกวากฤติยามุงพุทธภูมิ ทวาความชื่นชมนั้นก็
ระคนอยูดวยความเปนหวง เนื่องจากหลอนครองอัตภาพหญิง ซึ่งชี้ชัดวายังไมใชนิยตโพธิสัตว มีอนาคต
ใหพลิกผัน กลับรายเปนดี กลับดีเปนรายอีกยืดยาว ไมมีใครพยากรณไดวาจะจบลงเอยที่สุดเปนอะไรแน

สายหนาเล็กนอยกับตนเอง ผูปรารถนาพุทธภูมินั้นมากเทาน้ําในบอ แตผูดีพอ ดีทนจะดั้นดนไปถึงฝง


อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น นอยเทาน้ําเพียงหยดเดียว ที่เหลือตกมาตายระหวางทาง ลาพุทธภูมิกัน
ระนาว เขาเห็นดวยตานอกและตาในมานักตอนัก เหมือนอยากเปนผูปกครองหมายเลขหนึ่งของประเทศ
นั้นใครๆก็อยากได แตสวนใหญพยายามจนแกตายก็ไปไมถึงดวงดาว เพราะตองสราง ตองทํา ตองเพียร
กันเลือดตากระเด็น
๕๕๑

เวลาในการบําเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณนั้น วัดไดเพียงประมาณดวยหนวยอสงไขยมหากัปป จะนับ


จํานวนชาติเปนตัวเลขใหเชื่อไมได ทํานองเดียวกับระยะทางในหวงวางของจักรวาล ที่ใชหนวยไมลหรือ
กิโลเมตรนั้นเล็กเกินกวาจะทําความเขาใจ ตองใชหนวยปแสงจึงพอฟงงาย

จํานวนชาติที่ใชบําเพ็ญเพื่อตรัสรูชอบเอง และมีกําลังบารมีพอจะกอตั้งพระพุทธศาสนานั้น มากมายจน


เปนอจินไตย คือคิดคะเนคํานวณไมไหววาเทาไหรแน ทานจึงใหนับเปนอนันตชาติ…

พิธีกรหันมาทางผูชม ซึ่งยังคงนั่งกับที่ แมสามรางวัลใหญจะผานไปแลว เนื่องจากรางวัลชมเชยของที่นี่


สูงกวารางวัลใหญของที่ไหนๆทั้งหมด สิ่งนาสนใจจึงยังคงวางอยูตรงหนาอีกมาก

“ย้ําอีกครั้งวาทานที่เหลือตอไปนี้ทั้งหมด ลวนมีผลงานเปนที่พอใจของคุณโภไคยแตเพียงผูเดียว ซึ่งโดย


สวนตัวแลวผมเชื่อถือและเลื่อมใสในวิจารณญาณของทานเปนที่สุด ดังนั้นขอกลาววา ผูรับรางวัลชมเชย
นาจะภูมิใจในผลงานของตัวเองไมแพผูรับรางวัลใหญสักเทาไหรครับ”

แพตรีหันมาหามติ

“ทาเลย ถาเธอพลาดรางวัลชมเชยนะ ใหปรับยังไงก็ได”

เสียงนุมเย็นนั้นกอความรูสึกอบอุนใจกับเขายิ่ง แคมีหลอนอยูขางๆ ก็ยิ่งกวาไดรางวัลที่หนึ่งแลว…

“มั่นใจฝมือผมขนาดนั้นเลยเหรอ คนเกงกวามีอยูหลายรอยฮะ รูสึกจะสูไมไหวหรอก ชวงเชาเดินดูไดแค


เกือบครึ่ง ก็เห็นแลววาที่รวมประกวดนี่หัวกะทิและมือทองกันทั้งนั้น”

“นี่ไงละ แพรับประกันอยูนี่ไงวาเธอก็หนึ่งเหมือนกัน และตองไดแนๆ ถึงยอมใหปรับถาผิดจากที่พูด”

มติเห็นดวงตาหลอนขึ้นประกายในเงามืด จนสัมผัสไดถึงรอยยิ้มซุกซนที่ผุดพรายใตดวงตา รวมทั้งรูใจ


ตนเองวาถลําลงหลุมรักแพตรีลึกขึ้นทุกที

“ก็ดีฮะ ถาพลาดทุกรางวัลจะไดมีอะไรปลอบใจมั่ง ถาพี่แพเดาผิด ผมอดรางวัลชมเชย พี่แพตอง…ตอง


ไปนั่งดูทะเลกับผมนะ”

จิตรกรหนุมเอยขอตะกุกตะกักดวยความขลาดกับปฏิกิริยาอันไมเปนที่รูของแพตรี

“ตกลง!”

หลอนตอบงายราวกับเขาฝนไป มติใจชื้นจนกลาถามอีก

“แลวถาผมไดรางวัล จะฉลองกับผมหรือเปลา?”
๕๕๒

“ฉลองยังไง?”

“ไปนั่งดูทะเลดวยกัน”

หญิงสาวหัวเราะเบาใส

“ก็ได…”

เหมือนมีกระแสเย็นรื่นมาชอนหัวใจเขาลอยขึ้นสวรรค กังวานวิเวกหวานในสายเสียงตอบรับนั้นจุดรอย
ยิ้มเผลอไผลขึ้นที่ริมฝปากของมติ ไปอยูในที่ที่มีแตเขากับแพตรีสองคนคือความปรารถนาเพียงหนึ่ง
เดียวเสมอมา รองจาก…

รองจากอะไรลืมแลว…

มติกับแพตรี รวมทั้งคนอื่นในหอประชุมตางเงียบเสียงตั้งใจฟง เมื่อพิธีกรกําลังจะเอยชื่อบุคคลแรกที่ได


รับรางวัลชมเชย

“ขอแสดงความยินดีกับทานแรกครับ เจาของผลงาน ‘แสงนฤพาน’ คุณมติ ภูริพัฒน”

เสียงปรบมือดังขึ้นอีกระลอก สองหนุมสาวหันมาแลตากัน แพตรีแยมริมฝปากเห็นประกายไรขาววาว


แวว แลวยกสองมือขึ้นตบ เห็นไหวๆราวกับจะแทนรูปชอดอกไมแสดงความยินดีเยี่ยงคนใกลชิดสนิทที่
สุด

มติถอนสายตาจากหญิงสาว ลุกขึ้นเดินขึ้นเวทีเพื่อรับรางวัล แตแปลก ใจไมคิดสิ่งอื่นใดเลย นอกจาก


อยากเดินกลับที่นั่งเร็วๆ กลิ่นอายของแพตรีติดตามมาครอบงําจิตใจทุกฝกาว ความหอมหวานของ
หลอนเหมือนมนตรสะกดใหหลงลืมทุกสิ่ง แมความดีใจตรงหนาก็ถูกขมรัศมีลงจนเกือบมิด เงินรางวัล
กอนโตถูกมองอยางเดียววาจะแปรเปนของขวัญอันแสนวิเศษสําหรับหลอนอยางไร ใหสมกับที่หลอน
เปนของขวัญแสนวิเศษสําหรับชีวิตเขาในยามนี้

รูสึกเหมอๆจนตองเตือนตนเองใหตั้งสติเมื่อกาวขึ้นมาอยูบนเวทีตอหนาคนเรือนพัน เขาพยายามมองหา
แพตรี อยากยิ้มใหหลอนสักนิดหนึ่ง แตแสงจาของสปอตไลทที่แยงตาลงมาจากดานบนบดบังทุกสิ่งเบื้อง
ลางไวใหเหลือเปนเพียงเงาตะคุมเลือนราง

ถึงคิวนี้พิธีกรชักเริ่มรูวาตนเองนาจะอานรอยกรองของผูรับรางวัลไวลวงหนาบาง เวลายิงคําถามจะได
เขาเปาเร็วขึ้น แทนที่จะใชความเกาเฉพาะตัวเพียงอยางเดียวเหมือนที่ผานมา ระหวางมติเดินขึ้นเวที จึง
แอบชําเลืองไวแลว
๕๕๓

พิธีกรขบริมฝปากหนอยๆ มองหนาเด็กหนุมรุนราวคราวเดียวกับผูรับรางวัลเหรียญเงินเมื่อครู ดูอาจจะ


ออนกวาเสียดวยซ้ํา นึกกังขาวาพอหนุมนอยนายนี้พยายามจะสื่อประสบการณตรงหรือจินตนาการนึก
คิดฉลาดปรุงแตงกันแน

ทาทางผูรับรางวัลคนนี้คงรักสันโดษอยู บุคลิกของความเปนคนเก็บตัวเงียบฉายชัดออกมาทางกิริยาเดิน
เหินและกระแสนิ่งรอบตัว แตหากใหวิจารณตรงไปตรงมา ก็อยากบอกวานาจะยังเปนนักปฏิบัติกระดูก
ออน หรือแคมือใหมหัดเดินจงกรม เหตุเพราะมองนัยนตาและรอยยิ้มแลว ยังสอแววชางคิดชางฝนอยู
มาก แทบนาฟนธงไปเลยดวยซ้ําวากําลังเคลิ้มอยูในอารมณรัก แววชนิดนั้นใครๆก็ดูออก เพราะเปนของ
สมวัย สมวิถีโลกอยูแลว

ทวาภาพและบทกลอนขยายความของมติก็ทรงพลังหนักแนนเกินกวาจะลงความเห็นปรามาสเสียแตตน
มือ

ฉะนั้นหลังจากทักทายปราศรัยเกี่ยวกับสถานภาพปจจุบันเล็กนอย แทนที่จะถามถึงแรงบันดาลใจหรือ
ความเปนมาของภาพ พิธีกรกลับเลือกยิงหมัดแย็บเปนการสอบภูมิเสียกอน

“คุณมติครับ ผมทราบมาวาการจะบรรลุมรรคผลไดนี่ตองใชกําลังใจระดับหนึ่งเพื่อตัดกิเลส เหมือนเรา


ตองมีทั้งใบเลื่อยที่คมแข็ง และทั้งแขนที่แกรง ถึงจะตัดตนไมได อันนี้คุณมติพอจะมีคําแนะนําดีๆและ
งายๆในการสะสมกําลังใหพรอมจะตัดกิเลสบางไหมครับ?”

มติกะพริบตาถี่ๆ เดิมทีเขาไมใชคนพูดคลอง โดยเฉพาะการพูดในที่ชุมชน วากันตรงไปตรงมาก็คือเขา


เปนคนขี้อาย ขาดความเชื่อมั่นเมื่ออยูตอหนาคนจํานวนมาก ถาจะใหขยายความรูความฉลาดไดนี่ตอง
อยูในที่สงบเปนสัดสวนกับคนใกลชิดเทานั้น

อยางไรก็ตาม เมื่อขึ้นมายืนบนเวทีนี้แลว ความขลาดในการเผชิญหนากับหมูชนดูเหมือนขาดสายหาย


หนไปไดอยางแปลกประหลาด เขารูสึกถึงพลังอัดที่รออยูในแกวเสียง พรอมจะแปรสภาพเปนถอยกระทง
พรั่งพรูออกไปเต็มปากเต็มคํา กับทั้งรูสึกสบายๆ หายใจปกติไดเทากับอยูในหองนอน ไมตองเกร็งเนื้อ
ตัว ไมตองตระเตรียมสติเพื่อเคนความคิดในหัว เพราะแนใจวามีคําตอบอยูหมดแลว จะเรียกจากในกาย
หรือนอกกายเดี๋ยวนี้หรือเดี๋ยวไหนก็ไดทั้งนั้น

พิธีกรถามถึงเรื่องการสะสมกําลังเพื่อตัดกิเลส วาเขาไปถึงภาวะจิตที่พรอมบรรลุมรรคผลเลยทีเดียว โดย


เฉพาะตั้งโจทยเลนแงเฉพาะเสียดวย คือตองดีและงาย แนนอนหากถามคนเพิ่งศึกษาธรรมะจากหนา
หนังสือ ไมเคยลงสนามจริงมากอน ก็คงตกตะลึงจังงัง เพราะคําตอบมิไดปรากฏอยูในตําราทั่วไป ตองวา
กันสดๆ สืบหาเอาจากสมบัติภายในตนเอง หยิบยืมจากใครหรือคัมภีรเลมไหนไมได

ชั่วพริบตากอนขยับปากพูด มติรูสึกถึงตัวตนใหมอันเกิดจากสภาพภายในที่เปลี่ยนแปลงฉับพลัน หลัง


ตรง คอตั้ง ทรงอยูดวยแกนรูวางสวางขาวเยี่ยงผูเบาบางแลวจากกิเลสหยาบ ใจที่เคารพธรรมอันสูงสง
๕๕๔

ยอมถูกยกสงขึ้นสูงตามไปดวย เขากําลังจะพูดออกมาจากธรรม มิใชจากตัวตน ในหัวยามนี้จึงดูเงียบ


เชียบ สงบสงัดจากความคิดแบบเดิมๆ เขากลายเปนธรรมทั้งแทงไปชั่วครูที่เอยถอยอันเปนธรรม

“อันนี้พอเปรียบเทียบไดกับนักยกน้ําหนัก ที่เพาะกลาม เพาะกําลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเหมาะกับจานเหล็ก


หนักขนาดตางๆ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือรูกําลังตัวเอง วาควรเริ่มที่น้ําหนักเทาไหร

สภาพจิตที่พรอมบรรลุมรรคผลเพื่อตัดกิเลสนั้น เราเล็งไปที่กําลังในการเพงเห็นอนัตตาจนจิตหมดอาการ
ยึดสิ่งใดๆแมจิตเองเปนตัวเปนตน จิตมีลักษณะปลอยวางวางสนิทจนตัวรูถูกเหนี่ยวนําดวยความบริสุทธิ์
ของพระนิพพาน ใหโพลงขึ้นฉายเปนอิสระ หมดการกําหนดหมายใดๆ

เพราะฉะนั้นลักษณะจิตในแบบที่เราตองการ ควรปราศจากความยึดติด พรอมจะปลอยวางทุกสิ่ง และมี


น้ําอดน้ําทนพอจะเพงเผาอุปาทานไดแหงสนิท ไมใชเดี๋ยวเดียวก็คลายอาการเพงลง จนจิตไมทันดิ่งลง
ซึ้งถึงความวางไรการปรุงแตง

ถาหากยึดลักษณะจิตเชนนี้เปนหลักแลวนอมเขามาดูใจเราเอง จะเห็นครับวาตัวเองมีกําลังพรอมแคไหน
กับการบรรลุมรรคผล บางคนอาจมีใจปลอยวาง เบาโกรธ เบาโลภ เบาหลงอยูแลว รวมทั้งมีกําลังจิตดี
พอจะเพงรูเขาไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่งไดนานๆ อยางนี้ก็อาจใชปญญาพิจารณาธรรมในแงอนิจจัง ทุกขัง หรือ
อนัตตาไดเลย เปนการมุงลัดตัดตรงทีเดียวเหมือนเชนผูมีบารมีพรอมบรรลุมรรคผลเร็วทั้งหลาย

แตสําหรับคนทั่วไป ถายอมรับไดในขั้นแรกวาตัวเองยังโกรธแรง โลภแรง ก็จะไดเริ่มเพาะกําลังกันจาก


จุดนั้น คือทําจิตใหเปนทานบอยๆ เสียสละแจกจายไดหมดทุกแง ไมวาจะเปนใจใหทรัพยสินเงินทองเปน
ประโยชนกับคนอื่น หรือเปนใจใหอภัยในความผิดพลั้งของคนอื่น หรือเปนใจใหหลักธรรมในการพัฒนา
ชีวิตกับคนอื่น คุณของใจที่ใหทานจนชํานาญแลว จะถอดเกราะอันหนาเตอะลงวางเสียได กําจัดโรค
สงสารตัวเองอันเปนเจาเรือนใหญของอุปาทานในอัตตา นอกจากนั้นพฤติกรรมทางจิตยังเปนแบบเดียว
กับขณะกอนบรรลุมรรคผล คือสลัดตัดวาง ปลอยออกไดหมดทุกอยาง ทิ้งไดหมดทุกสิ่ง

ทานจึงไมใชของเล็กอยางที่หลายคนเขาใจ แตมีความหมายในระดับแบบฝกหัดเบื้องตนเพื่อการเขาถึง
ธรรมเปนพระอริยบุคคลทีเดียว ถาใครใหทานมากจนจิตติดทาน ขนาดคิดปรารถนาอุทิศตนเปน
ประโยชนกับสาธารณชน หรือนึกวาแมกายนี้ เมื่อไมใชแลวก็อยากบริจาค จะเขาใจไดดีครับ ความรูสึก
ปราศจากความหวงแหน อยากบริจาคดวงตา บริจาคอวัยวะ บริจาคเลือดแบบไมอาลัยไยดีนั้น ใกลเคียง
กับ ‘จิตทิ้ง’ เมื่อจะบรรลุมรรคผลมาก

กําลังจิตที่ไดจากการบําเพ็ญทานเปนนิตย วัดกันไดจากความสุขแรง สงบสวางเยือกเย็นในขั้นหนึ่ง เรา


สามารถใชความสุขระดับนั้นเปนกําลังใจในการตอยอดขั้นตอไปคือรักษาศีล ซึ่งธรรมดาคนทั่วไปบอกวา
ศีลรักษายาก แตเมื่อไดกําลังจากจิตที่เปนทานหนุนหลังแลว จะเห็นวาไมยากเลยกับการเลิกฆาสัตว เลิก
ลักทรัพย เลิกผิดลูกเมีย เลิกโกหก และเลิกเสพสิ่งมึนเมา
๕๕๕

คนทั่วไปถูกยวนยั่วใหผิดศีลกันเปนปกติ เพราะฉะนั้นชีวิตธรรมดาๆนี่เองเปนแบบฝกหัดสําหรับการถือ
ศีล การถือศีลคือตองตั้งใจไวลวงหนาวาเจอเหตุการณยั่วใหศีลขาดแลวจะไมไหลตามน้ํา จะทวนกระแส
เชนเมื่อตั้งใจจะไมโกหก พบเหตุการณที่ยั่วยวนใหโกหก ก็ตัดสินใจเลือกพูดความจริงทันที ไมชะงัก
ลังเลใดๆ อยางนี้จึงจะเรียก ‘ถือศีล’ ยิ่งถือมากเทาไหรยิ่งใกลความเปนผูทรงศีลถาวรเทานั้น

กําลังที่ไดจากการถือศีลคือความมั่นคงทางใจ กับทั้งรูสึกสูงพรอมพอจะตอยอด เพราะใจกับความดีกลม


กลืนเปนอันเดียวกัน ความดีอันมั่นคงนี้พัฒนาเปนสมาธิไดงาย เพงจับสิ่งไหนก็ไมฟุงซานซัดสายจากสิ่ง
นั้น และเมื่อจิตมีกําลังเหลือเฟอ ก็สามารถใชเวลาทุกนาทีใหมีคาไดดวยการพิจารณาธรรมอยางตอเนื่อง
ยิ่งมีความตอเนื่องเนิ่นนานเทาไหร ยิ่งกอกระแสเหนี่ยวนํามรรคผลไดมากขึ้นเทานั้น

ถึงจุดนี้เอง เราไดมหากําลังที่พรอมตอการเขาถึงมรรคผล ลักษณะภายในจะเปนจิตใหญ เหมือนผูมีมัด


กลามยอมรูสึกพรอมจับยึดสิ่งตางๆอยางแนนหนา หรือยกของมีน้ําหนักมากไดอยางมั่นใจ นั่นคือเอาจิต
ไปพินิจสิ่งตางๆ นับเริ่มจากความเปนกาย ความเปนผัสสะกระทบกาย ไปจนกระทั่งตัวของจิตผูรูเอง
เห็นทุกสิ่งพรอมกัน และแทงตลอดไปถึงความเปนปจจัยของกันและกัน ไมมีตัวตนอยูในที่ใดๆ

ฉะนั้นเบื้องตนแลว ตองเล็งใหเห็นวากําลังในระดับทาน ศีล สมาธิ ปญญามีอยูในเราหรือยัง ถามีมีอยูที่


ตรงไหน อันนี้สําคัญมาก ยิ่งมีกําลังสูงขึ้น ก็จะมองยอนกลับไปเห็นครับวาพระพุทธเจาทานสอนไวถูก
แลว ทางลัด ทางงายกวาทาน ศีล สมาธิ และปญญา ไมมีอีกแลว ใครเขาปฏิบัติธรรมแบบดวนได ก็อาจ
เหมือนนักยกน้ําหนักใจรอนที่ผลีผลามพยายามเกินกําลัง ถาผลเสียไมถึงขนาดกลามเนื้อฉีกขาด อยาง
นอยก็เสียกําลังใจ ไมชวนใหอยากกลับมาฝกฝนตอใหสําเร็จ”

มติตอบยืดยาว เพราะลักษณะธรรมอันเปนคําตอบของคําถาม บังคับใหตองเปนไปเชนนั้น

และอันเนื่องจากจิตทรงตัวเปนสมาธิสวางไสวตลอดเวลาสาธยายธรรม น้ําเสียงที่เปลงออกไปจึงชวนฟง
เหนี่ยวนําใหจิตใจสงบลงใกลธรรม ใกลนิพพาน ซึ่งนั่นยอมตางกับคนที่พูดถึงธรรมะชั้นสูงดวยใจที่ยังไม
ถึงธรรม ฟงแลวเกิดความขัดแยง อยากหนายหนาหนี

สาระของการสาธยายธรรมจึงไมไดอยูที่สั้นหรือยาวเทาไหร ตองใชปญญาลึกซึ้งอัศจรรยเพียงใด แตอยูที่


พูดจากใจที่เย็นแคไหน สงตรงจากสัจจะความจริงที่มีในตนหรือไม

พิธีกรเห็นไดดวยตาเปลา วายิ่งพูด เด็กหนุมก็ยิ่งมีสีหนาผองใสขึ้น และมีกระแสใจสงบเย็นลงเรื่อยๆ กับ


ทั้งธรรมที่เปลงจากปากกลมกลืนเปนเนื้อเดียว ไมสอเคาขัดแยงกับใจ จึงชักเริ่มเอนเอียงขางเชื่อ วาราย
นี้ของจริง

ดวยความเปนสัมมาทิฏฐิผูมีปญญา พิธีกรจึงเห็นสบโอกาสเหมาะ ไถถามขอของใจของคนทั่วไปเสียเลย


ถามเอาจากตัวจริง เสียงจริงอยางนี้แหละเหมาะที่สุด เพราะคําตอบยอมเปนตัวสรุปใหเชื่อวานําไปสู
๕๕๖

มรรคผล ตางจากผูรับรางวัลใหญทั้งสามที่ผานมา ซึ่งชัดวายังเปนผูของ ผูสงสัยอยูวานิพพานมีจริงหรือ


ไม ในเมื่อยังไมเคยเห็น ไมเคยสัมผัสโดยตรงมากอน

ผูยังไมถึงธรรม พูดแลวยอมแกวงที่ปลายทาง เพราะยังหาขอยุติแนชัดไมได

แตผูเขาถึงธรรมแลว ยอมเปนมติแหงธรรม พูดเขาจุด เขาธรรมแทถายเดียว

“คุณมติครับ เราจะพยายามบรรลุมรรคผลกันไปทําไม?”

มตินิ่งอยูในอาการสมาธิอึดใจหนึ่ง ตัวคําตอบก็ผุดขึ้นในหัว

“เบนคําถามเปนอยางนี้ดีกวาครับ เราจะละกิเลสไปทําไม เพราะการบรรลุมรรคผลที่แทไมใชเพื่อความ


สูงสงหรือหวังสมบัติสวรรคชั้นไหน แตเปนไปเพื่อดับกิเลส ทําลายกิเลสนั่นเอง หัวใจของพุทธศาสนาคือ
เห็นกิเลสเปนตัวกอทุกข กอความเรารอนขึ้นในใจ ฉะนั้นดับกิเลสก็คือดับตนเหตุของทุกข

กิเลสเปนไฟที่ดับดวยน้ําไมได ใชเจตนาหรือแมกําลังจิตอันแกกลามาดับก็ไมได นี่เองเปนเหตุใหคนทั้ง


หลายมองวาเปนไปไมไดที่จะดับโกรธ ดับโลภ ดับหลง จะเกงกาจจากไหนก็ตาม ในเมื่อเชื่อเสียแลววา
เปนเรื่องธรรมชาติก็ไมคิดจะดับ อยางมากแคคิดควบคุมใหอยูในรองในรอยเทานั้น

แมมีคนบางพวกที่เห็นภัยของกิเลส และพยายามหาทางดับกิเลส แตหาเทาไหรก็หาไมเจอ ถึงแมทํา


สมาธิไดจนถึงขั้นสูงสุด จิตก็ยังตก ยังคืนกลับมาแสดงกิเลสไดอีก กระทั่งพระมหาบุรุษเชนพระพุทธเจา
อุบัติขึ้นในโลก จึงมีการคนพบวาตองใชไฟลางคือมรรคผลในการตัดกิเลส และพระองคก็ประกาศธรรม
ประกาศทางคือมรรคแปด หรือทางสายกลางที่เรารูจักกัน เพื่อจุดไฟลางดังกลาว ใครลางกิเลสไดขาด
แลวก็รับรองตามพระพุทธเจาไดครับ วาเพียรพยายามเพื่อบรรลุมรรคผลนั้นดีแน หมดทุกขแน”

“เมื่อกี้คุณมติพูดถึงทางสายกลางที่จะนําไปสูการจุดไฟลางกิเลส จะกลาวโดยยนยอไดไหมครับวาทาง
สายกลางคืออะไร”

“ทางสายกลางคือการเปนอยูที่เสพผัสสะชนิดไมแรงเกินไป ทั้งดานที่จะเปนทุกขและเปนสุข เรารูสึกได


เองวาดําเนินชีวิตอยางไรแลวไมเกิดราคะ โทสะ โมหะครอบงําใจ สามารถเตรียมใจใหพรอมเปนมรรค
แปดงายๆ

ตัวมรรคแปดเองคือจิตดวงเดียวที่มีความสวางอันเกิดจากศีล สมาธิ และปญญาประชุมพรอมเขาดวยกัน


ในภาวะจิตแบบนั้น เมื่อคลื่นความคิดสงบตัวลง จะมีความเห็นถูก เห็นชอบผุดขึ้นแทน เรียกวา ‘ทิฏฐิ
วิสุทธิ์’ เห็นทุกสิ่งเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปนโทษเปนภัยนาหนายแหนง ยิ่งมีพฤติกรรมทางจิตผละ
ออกเทาไหร ก็ยิ่งเหนี่ยวนําใหใกลเกิดกระแสลางกิเลสขึ้นเทานั้น”
๕๕๗

พิธีกรยังติดใจ อยากซักอยากถามใหทะลุตลอดสาย เสียแตเห็นวาไดเวลาอันสมควร เพราะยังมีผูรับ


รางวัลขางหลังรออยู จึงหันมาสรุปดวยน้ําเสียงแสดงความปติ

“ทานผูมีเกียรติครับ คุณมติทําใหผมเห็นตัวอยางวาถาจับเสนทางชีวิตไดถูกจุดตั้งแตวัยแรกเริ่ม ก็เปน


อันลัดทาง เขาถึงประโยชนของชีวิตไดแตเนิ่นๆอยางนี้เอง เอาละครับ…ขอเชิญอานรอยกรองประจํา
ภาพ ‘แสงนฤพาน’ ของคุณมติใหพวกเราฟงเถิด”

มติรับแผนกระดาษจากมือพิธีกรมา และเริ่มอานบทกลอนของตน ทีแรกก็อานไปเรื่อยๆไมสะดุดอะไร


แตพอผลัดชวงจากกลอนหกเปนกลอนแปด ตอนจบบาทแรกนั่นเอง เขาก็เห็นคําสะกดผิดคือ

ทําไมเหวยไมเคยซึ้งจนวันนี้ วันที่มีพระผูชี้จนกูทาย

คําวา ‘กูหาย’ กลายเปน ‘กูทาย’ คงเพราะคนคัดลอกเห็น ห. หีบเปน ท. ทหาร ขาดความระมัดระวัง


ตรวจพิสูจนใหละเอียดเนื่องจากจํานวนผลงานที่ไดรับรางวัลมีอยูเยอะ

นั่นทําใหอึ้งงัน สะดุดการอานไปอึดใจ มติรูสึกตัววายนคิ้วดวยความขัดเคือง โทสะแลนขึ้นแทรกซึมเขาสู


หัวใจเปนริ้วๆ เพราะทราบวาที่ฉายขึ้นสกรีนเล็กก็คงเหมือนกับที่อยูในกระดาษนี่เอง และอาจแพร
กระจายไปในวงกวางผานสื่อมวลชนดวยอีกตางหาก ความหละหลวมของคณะดําเนินการทําใหงานของ
เขาพลอยมัวหมองไปดวย

นี่เปนเรื่องออกจะแรงเอามากสําหรับศิลปนทั่วไป ซึ่งมักเขมงวด อยากใหงานของตนไรที่ติ อัดแนนดวย


ความสมบูรณแบบ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏตอสายตาสาธารณชน

บนเวทีแหงนี้ ถามีใครเอาของแข็งมาฟาดทายทอยเขาเปรี้ยงหนึ่งโดยไมทันรูตัว เขาอาจไมโกรธ และ


เปนบทพิสูจนความมีโทสะนอยของผูเปนหลักฐานการบรรลุมรรคผล ปรากฏนาเลื่อมใสแกสายตานับพัน
คู

แตนี่เกิดเหตุบันดาลโทสะจี้ถูกจุด ถึงกับทําใหเขาชักสีหนา และหยุดอานไปชั่วขณะอยางนี้

เพราะ ‘กู’ ของจริงยังไม ‘หาย’ สนิท

เมื่อสติกลับคืนจึงเกิดความรูสึกละอาย เพราะเพิ่งทําหนาที่เปนตัวแทน พูดแทนพระธรรม ยังไมทันไร


สําแดงกิเลสเฉพาะตัวออกมาอวดเสียแลว

กอนขึ้นเวทีเขาปลอยใหราคะแผลงฤทธิ์จนเกือบตั้งสติทําหนาที่ไมได พออยูบนเวทีก็ปลอยใหโทสะ
สําแดงเดชเขาอีก นาอับอายขายหนาเหลือเกิน ใครไมเห็นก็เขาเองนี่แหละที่เห็น
๕๕๘

กิเลสทุกชนิดมีลักษณะเหมือนกันหมด คือบดบังปญญาเห็นธรรม ปญญารักษาธรรม และปญญา


ปรารถนาธรรมเอาไว เมื่อราคะยังไมดับก็แปลวาโทสะยังไมดับดวย เหลานี้ลวนเปนเรื่องของใจที่ไมอาจ
ทนตอสิ่งกระทบและแรงเราภายนอกทั้งสิ้น

การเตือนตนเองไดเปนลักษณะหนึ่งของโสดาบันบุคคล

เมื่อมติสํานึกได ดวงจิตก็สวางเบิกบานขึ้น อานกลอนตอดวยนวลเสียงหนักแนน พอจบและรับเสียงปรบ


มือจากผูชม ก็หันมองภาพบนสกรีนยักษ ใจนึกถึงแสงนฤพานในตนขึ้นมา คลายไดตื่นขึ้นจากการหลับ
ไหลหลงสติไปชั่วขณะหนึ่ง

สําหรับจิตของอริยบุคคลชั้นตนนั้น ในระดับสมาธิธรรมดาจะเห็นกลางอกเปนความวางโลง โปรงสบาย


ถาเอาจิตเขาไปอาศัยในความวางโลงนั้นแลวมองออกมาภายนอก ก็จะเห็นกาย เห็นสิ่งทั้งหลายภาย
นอกเปนสิ่งสมมุติชั่วคราว วางเปลาไดหมด โดยแทบไมตองกําหนดพิจารณาแตอยางใด ตางกับปุถุชนที่
ยังตองเคนพิจารณาประกอบเหตุผลกันเหนื่อย กวาจะเริ่มเห็นจริงเห็นจังได

ลักษณะของผูเขากระแส จะไมหลงเขารกเขาพงตามกิเลสแบบกูไมกลับก็ดวยอาการเชนนี้ แมเลอะเลือน


บางเยี่ยงผูที่ยังชําระสะสางกิเลสไมเด็ดขาดสะอาดสิ้น ก็จะคืนสติเร็ว เพราะใจรําคาญความหมักหมมของ
กิเลส ปรารถนาความโปรงใส แชมชื่นสมภูมิจิตตนตลอดเวลา

เดินเขาไปรับรางวัลจากทานประธานพิธี มติยกมือไหวอยางนอบนอมคอมตัว คุณโภไคยยิ้มเย็น กอน


เอยเนิบดวยความปรานียิ่งกวาครั้งใด

“คุณไดรับรางวัลจากตัวเอง ไมตองรอการตัดสินจากกรรมการมาแลวนี่นะ”

ศิลปนหนุมเงยหนาขึ้นสบตากับผูอาวุโส

“เปนรางวัลที่ไมตองรักษาก็คงอยู สูญหายหรือถูกขโมยไมได…แตก็ยังตองหมั่นปดฝุน ถาคุณชะลาใจ ก็


อาจทําตัวเปนโทษใหญหลวงกับตัวเองและคนอื่นได”

ความจริงทานประธานจับตามองศิลปนหนุมคนนี้ตั้งแตกาวขึ้นเวทีมาแลว และกําหนดจิต ‘ลืมตา’ ขึ้นขาง


ในเพื่อดูใจที่กลางอกของมติ อยางปรารถนาที่จะลวงรูวาเจาของผลงานแสงนฤพานนั้น ‘ใช’ หรือเปลา
จะลอกธรรมมาจากไหน หรือเขาใจไขวเขวคลาดเคลื่อนวาตน ‘ถึง’ ดังที่เปนกันมากทุกยุคทุกสมัยหรือไม

หากยังเปนปุถุชน ตอใหสรางสรรคผลงานลวงตานาเลื่อมใส หรือแมบําเพ็ญสมาธิจนลวงลุฌานสมาบัติ


ชั้นสูงสักปานใด ก็จะเห็นกลางอกยังมีสิ่งปกคลุมมุงบังเหมือนหมอกบาง ยิ่งถาคิดคดชั่วรายก็จะเห็นหนา
ทึบราวกับแผนหิน ลักษณะจิตวิญญาณอันเปนของจริงประจําตัวจะเปดเผยออก อําพรางกันไมไดเลย
สําหรับผูถึงกระแสและคลองในฌานเชนคุณโภไคย
๕๕๙

และดวยอํานาจทะลุทะลวงสิ่งหอหุมชั้นหยาบเขาไปเห็นนามธรรมอันแฝงซอนอยูในกายนี้ ทําใหคุณ
โภไคยเห็นธาตุพิสุทธิ์ในมติชัดเจน ธาตุนั้นปรากฏเปนสภาพรูแชมชื่น เบิกบาน ซึ่งอริยบุคคลมักเรียก
เปน ‘จิตยิ้ม’ เมื่อบรรลุมรรคผลใหมๆจะเปนยิ้มใหญ แตเวลาปกติจะเปนยิ้มนอย และถูกเห็นไดเสมอจาก
ผูเขาถึงกระแสดวยกัน แมถูกกิเลสหอหุมอยูอยางหนาแนนก็ตาม

อริยบุคคลที่เปดตาในได จะพยากรณไมพลาด ที่มักพยากรณกันผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนก็เพราะดูเอา


จากพฤติกรรมภายนอกเปนหลัก เชนถือศีลไดบริสุทธิ์ก็ทึกทักวาเปนพระโสดาบัน หรือเห็นไมเสพกามก็
เหมาเปนพระอนาคามี มองทะลุเขาไปถึงเชื้อกิเลสที่ยังปะทุ ยังกําเริบขึ้นอีกไมได

แมผูทรงฌาน ฝกตาทิพยสําเร็จ เห็นไปตลอดนรก สวรรค และพรหมภูมิ ตราบใดที่ยังไมบําเพ็ญ


วิปสสนาจนรูจักมรรคผล หรือเปนพระนิยตโพธิสัตวที่ทรงภูมิบารมีแกกลาจริงๆ ก็อาจพยากรณพลาดได
เหมือนกัน เชนที่มีปรากฏบอยๆคือใชกําลังจิตระดับสูงเขาดูรัศมีกาย พอเห็นโปรงใส สุกสวางคลายกับที่
ปรากฏในพระอริยบุคคล ก็ฟนธงวาใช ทั้งที่เจาตัวเองรูอยูวากิเลสเพียงถูกกดทับไวดวยอํานาจฌานเทา
นั้น

ในสวนของมติ ถอยคําของคุณโภไคยมีผลใหบังเกิดปติโสมนัสและชุมชื่นยิ่ง ซึ่งถาหากเปนผูใหญ


ธรรมดาเชนพิธีกรพูดแบบเดียวกันนี้เปะ เขาจะไมเกิดความปลาบปลื้มเทียบไดเทาเลย เนื่องจากกระแส
ธรรมไมรับกัน จึงทําใหเอะใจวาทานประธานคงไมใชกัลยาณชนผูนาเลื่อมใสธรรมดาๆเสียแลว

เขายังเขาใจภาวะของตนเองนอยอยู รูเพียงวานิพพานคือความสนิทราบคาบจากการปรุงแตง อยูเหนือ


จิตรู เหนือความวาง เหนือความสวาง เหนืออนันตภาพใดๆในจินตนาการ เปนของมีจริงอยางไมลังเล
สงสัย รวมทั้งทราบหนทางเขาถึงอยางจะแจงวาตองมาจากพฤติกรรมทางจิตแบบสลัดทิ้ง แตเรื่องอื่นนั้น
ยังครึ่งๆอยูระหวางความรูของคนธรรมดากับกัลยาณชนผูมีความสามารถปฏิบัติธรรมระดับกลาง

ฉะนั้นเมื่ออยูตอหนาคุณโภไคย ไดยินคํากลาวคลายอนุโมทนาที่เคลามากับการสะกิดเตือน ก็เกิดความ


ลังเลวาที่ทานพูดนั้น ดูเอาจากภาพเขียนและรอยกรองของเขา หรือวาพูดดวยความรูจากภายในกันแน

มติมีดีพอจะรวมจิตนิ่งเพื่อใหแสงรูทอตัวขึ้นที่กลางอก เห็นธาตุธรรมภายในโปรงใสพอจะนอมใช ก็สง


ออกเทียบวัดดูวาจะพบความวางอยางไรขอบเปนเนื้อเดียวกันในผูยืนตรงหนาหรือไม ดวยภาวะหยั่งรู
นั้น หากจิตชั้นในของทานประธานยัง 'ทึบ' อยูดวยกําแพงสักกายทิฏฐิ มติจะสําเหนียกทราบถึงความ
หยาบ ไมโปรงเบาทันที ตอใหทรงฌานเปนปกติไดสูงระดับไหนก็ตาม

แตธรรมละเอียดอันโลงวางที่มติสัมผัสวาเขากันไดกับจิตตน ทําใหปราศจากขอคลางแคลงทันที เพราะ


แมภายนอกคือการปรุงแตงรูปนามผิดแผกแตกตางกัน ดูเหมือนมีการแบงแยกเปนฝงนี้กับฝงโนน แต
ทวากระแสภายในคือความรูวาง รูเย็นเปนอันหนึ่งอันเดียวเสริมกัน ใกลกันแลวจิตยิ่งทวีความเบิกบาน
๕๖๐

ในมหาสุญตาไดไมรูจบรูสิ้น คุณโภไคยเขากระแสแลวแนนอน แตจะอยูชั้นใดนั้นเกินวิสัยเขาหยั่งถึงดวย


กําลังปจจุบัน

อริยบุคคลยอมพึงใจสมาคมกับ ‘คนใน’ ดวยกันก็เพราะเหตุนี้ ตางรูวาอีกฝายไมมีความเปนอื่น และที่สุด


จะตองบรรจบกันที่นิพพานเมื่อเสร็จกิจ สิ้นภาระ สิ้นขอขัดของของตนแลว

มติยิ้มออกมาดวยความบริสุทธิ์จากภายใน พนมมือไหวคุณโภไคยอีกครั้งดวยกําลังใจเทากับลงคุกเขา
กราบ

“ผมจะพยายามระมัดระวัง รักษาเนื้อรักษาตัวครับ”

ทานประธานงานประกวดพยักยิ้ม แลวเอื้อมมือมาตบบาของเด็กหนุมดวยความปรานีเปนพิเศษ

“เจริญในธรรมนะ”

มติรีบไหวรับ เพราะแมนั่นเปนคําอวยพรเรียบๆ ก็สัมผัสไดวามีพลังกุศลแรงมหาศาลแผออกมาแนน


หนาไปทั่วทั้งปริมณฑล ประมาณเดียวกับที่เขาเคยพบในพิธีเบิกฤกษอํานวยชัยอันยิ่งใหญตางๆ แสดง
ถึงกําลังจิตอันล้ําลึกสุดหยั่งของบุรุษผูปรากฏสุกสวางทั้งทางโลกและทางธรรมทานนี้

เมื่อเดินลงเวทีกลับมาถึงที่นั่งแลว จึงเห็นกิเลสปรากฏอีกครั้ง

ขนาดใจเพิ่งสวางดวยแรงเรงจากผูถึงกระแสดวยกัน พอเห็นประกายยิ้มจากนัยนตาแพตรีทีเดียว ความรู


สึกหลงก็เขาครอบงําเหมือนเมฆทะมึนเคลื่อนมาบังแสงอาทิตย

กองกิเลสใหญปรากฏในรูปสาวนอยผูสวยหวานและแสนดีคนนี้

ภาพ ‘ทวิลักษณ’ ของกฤติยา ผูรับรางวัลเหรียญทอง ปรากฏวาบในหวงมโนนึก และเตือนใหคิดไดวาใจ


เขาเองตางหากที่มีกิเลส แพตรีอยูของหลอนเฉยๆ ถาหากเขาไมมอง หรือมองแลวไมรูสึกรูสา หลอนก็มี
ความ ‘เปนเชนนั้น’ ของหลอน ไมเกี่ยวกับกิเลสของเขาเลย

ทวายามนี้มติเริ่มเกิดความขัดแยง ถึงเวลาหรือยังกับการตั้งคําถามใหตัวเอง

จะเลือกไปหรือเลือกอยูกอนดี…

เขาปฏิบัติธรรมเต็มกําลังเพราะอยากเปนพระใหไดกอนบวช แตบุญพาวาสนาสง ถึงขนาดทะลุกิเลส ตัด


สังโยชนสามขอแรกสําเร็จดวยไฟลาง คือโสดาปตติผลอยางไมคาดฝนเชนนี้

ภาวะความเปนโสดาบันนั้นวิจิตรพิสดารยิ่งกวาอะไรหมด เพราะเหมือนเหยียบเรือสองแคม มีกิเลสแรง


ไดเทากับเมื่อครั้งเปนปุถุชน แตก็เห็นนิพพานแลว เขากระแสแลว
๕๖๑

บุคคลชนิดนี้จะสมัครใจอยูครองเรือน หวังเสวยสวรรคเสียกอนเขานิพพานก็ได ดังเชนที่มีบันทึกเปน


หลักฐานวานางวิสาขาบรรลุโสดาปตติผลมาตั้งแตวัยเยาว แตก็มิไดขวนขวายปฏิบัติธรรมหวังถึง
นิพพานในชาติปจจุบัน ยังคงเสพสมาคมกับปุถุชนธรรมดา ออกเรือนมีลูกหลานมากมาย และระหวาง
ดํารงชีวิตก็ทําบุญอธิษฐานหวังสุขอันประณีตบนสวรรค สิ้นใจแลวก็เสวยสุขบนดาวดึงสพิภพเรื่อยมา

แตหากโสดาบันบุคคลมีใจรักพระนิพพาน อยากถึงนิพพานเร็วๆในชาติปจจุบัน ก็จะไดเปรียบกวาผูยัง


ติดของทั้งหลาย กลาวคือใชธรรมชาติอันโปรงสบายของจิตในการสลัดกิเลสไดงาย ตั้งสมาธิไมยาก

มติประจักษดวยตนเองวาพระไตรปฎกกลาวไวตรงจริง ไมใชของหลอก เขาเห็นนิพพานแลว ทราบภาวะ


การเขากระแสแลว หมดกิเลสเกี่ยวกับความกังขาในมรรคผลนิพพานแลว ทวากิเลสคือราคะ โทสะ โมหะ
ในตนยังคงคางอยูครบ แถมยิ่งรักแพตรีไดมากกวาเดิมเสียอีก ดวยเหตุผลแบบโลกๆ คือหลอนแสดงทา
ทีตอบสนอง แตกตางจากที่แลวมาเปนคนละคน

ถาเสียเวลาสักชาติใหกับนางฟาเดินดินอยางหลอนจะคุมไหม?

ทําไมจะไมคุมเลา ในเมื่อความเปนโสดาบันปดประตูอบายอยางเด็ดขาดแลว ถึงนิพพานในวันหนึ่งขาง


หนาแนนอนอยูแลว ที่พระคัมภีรยืนยันวาพระโสดาบันเปนผูเที่ยงจะเขาถึงพระนิพพานนั้นไมเปนที่นา
สงสัยเลยสําหรับเขา ก็ในเมื่อใจอยูในกระแสสุญญตา แมไมเพงก็สั่งสมความเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไปเรื่อยๆอยางนี้ แนนอนวาที่สุดจะคิดเบื่อและเกิดใจตีจากวันยังค่ํา

เรียกวาถาไดโสดาปตติผลแลว ไมปฏิบัติก็เหมือนปฏิบัติ จะเนิ่นชาหรือตัดตรงเทานั้น โสดาปตติผลจึง


ถูกสรรเสริญไววาใครไดแลว ยิ่งกวาความเปนพระเจาจักรพรรดิ ยิ่งกวาเปนเทวดา ยิ่งกวาเปนอะไรๆทั้ง
หมด เพราะเขาถึงความปลอดภัยอยางลอยลํา ปดฉากสังสารวัฏสําเร็จในที่สุดแนๆ

เขาเหนื่อยมาตั้งมาก เขาเสนชัยแรกสมใจ ขอพักหนอยจะเปนไร

แพตรีไมใชธิดาพญามาร หลอนเองเสียอีก ที่ครั้งหนึ่งเคยเปนผูปลูกฝงเมล็ดพันธุแหงความดีงามไวในหัว


ใจเขา กระทั่งไดเติบใหญขึ้นในทางธรรม หากอยูกับหลอน เขาจะพยายามชักนําหลอนเขากระแสเปน
การตอบแทนใหจงได

ใจที่ยังดื้อ ยังไมอบรมจนแกกลา บอกกับตนเองวาอยางแพตรีไมใชตนเหตุทุกขไดหรอก

มติคิดเชนนั้น ทั้งที่เพิ่งพูดไปบนเวทีวากิเลสเปนเหตุแหงทุกข

คิดตกแลวก็ปลงใจ…เขาเลือกที่จะยังไมไปไหน ยังอยูกับแพตรี ถาไปไหนก็จะพาหลอนไปดวย

สังสารวัฏมีเครื่องมือพิสดารหลากหลายไวกักคนคิดหนี ไมใชเฉพาะดวยกิเลสตื้นๆเชนความโลภ ความ


โกรธ ความหดหู ความฟุงซาน ความชางสงสัย ความชอบหนาที่การงาน ความชางคุย ความชอบนอน
๕๖๒

ความติดการคลุกคลีเทานั้น ในอัญญสูตรพระมหากัสสปะเคยสอนสานุศิษยของทานไว วานอกจากเครื่อง


ถวงดังกลาวขางตนแลว แมอาการทอดธุระ ไมเพียรตั้งสติภาวนาใหถึงมรรคผลเบื้องสูง เพราะถือวา
บรรลุมรรคผลชั้นตนแลว ปลอดภัยแนแลว ก็จัดเปนความเสื่อมจากความเจริญในธรรมของพระพุทธองค
ชนิดหนึ่ง

เพราะยังมีความไมรูแจงตลอดสายถึงที่สุดทุกข จึงกลาววาอริยบุคคลชั้นตนยังเปนผูที่ตองศึกษา…

ศึกษาใหเห็นจริงวาสังสารวัฏนั้น วินาทีเดียวก็ไมพึงหลงพอใจเลย จะนับโดยสภาพ ฐานะ หรือโอกาส


ใดๆก็ตามที
๕๖๓

เมื่อผูรับรางวัลปลอบใจคนที่ยี่สิบเจ็ดลงจากเวที และไฟหลักถูกเปดสวางพรอมการกลาวอําลาของพิธีกร
ทุกคนก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ซึ่งมองกวาดแลวยังคงเหลือกวาคอนของเมื่อเริ่มพิธีแจกรางวัล ผูไมมีสวนได
สวนเสียจํานวนหนึ่งเทานั้นที่ยอยๆกลับไปกอน

โดยมากศิลปนทั้งหลายจับกลุมคุยกันเองในแวดวงเพื่อนฝูงที่รูจัก บางก็ตระเวนดูภาพไปเรื่อย หาก


ปราศจากการติดโบวประกันคุณภาพวาไดรับรางวัลใหญนอยแลว ก็คงตองใชเวลาอีกวันกวาจะกวาดเก็บ
ภาพและเนื้อหาครบ จนแยกแยะถูกวามีภาพใดเขาขั้นควรนิยมบาง

ถกเถียงกันอยางหนาชื่นบาง หนาง้ําบาง วาใครเปนใคร เจาของผลงานไหน ทําไมถึงเชิดเงิน ทําไมจึง


ชวดรางวัล บางคนก็เอะอะมะเทิ่ง ชี้โบชี้เบ บอกวางานนั้นงานนี้ฝมือไมนาจะถึงขั้น ทําไมไดรางวัลชม
เชยบาง รางวัลปลอบใจบาง สวนของตนดีกวาตั้งเยอะกลับปว

ประเภทนี้นาฝกระงับโทสะใหไดกอนแลวคอยลองสรางผลงานชวนเย็นใจใหมในปหนา

อยางนอยวันนี้ก็เปนแรงบันดาลใจใหศิลปนหลายคนมองยาวไปถึงปหนาแลว ตางไดแนวคิดและหลัก
สรางผลงานกันถวนทั่ว นี่ยอมเปนเรื่องธรรมดา การระดมสมองของผูมีฝมือหลายรอยคนใหผลเปนความ
รุงเรืองกวางขวางทางปญญาแนนอน

เจาของรางวัลใหญทั้งสามถูกขอรองใหไปยืนประจําภาพของตน เพื่อเปดโอกาสใหผูเขารวมนิทรรศการ
ไดพูดคุยซักถาม รวมทั้งใหผูสื่อขาวสัมภาษณเปนรายบุคคล มติเดินผานตรอกซอยมาจนพบทีฆายุจาก
ระยะไกล ยืนเดนเห็นหนาบานเปนจานเชิงทามกลางการสัมภาษณจากกลุมนักขาว ใจหนึ่งอยาก
อนุโมทนากับเพื่อน แตอีกใจไมเปนปติลนพนเหมือนอยางที่เห็นใครตอใครมะรุมมะตุมกฤติยาผูรับรางวัล
เหรียญทอง กับขวัญหลาผูรับรางวัลเหรียญทองแดง สองคนนั่นนาจะพูดแทนชาวพุทธไดเต็มปากเต็มคํา
ทางดานการปฏิบัติอันเปนเสนทางเขาสูแกนแทของพระศาสนา

แตสําหรับทีฆายุ มติกลัวอยูในสวนลึกวาจะพูดผิดพลามเพี้ยนเลอะเทอะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับประเด็นลึก


ดวยภาพลักษณที่ทีฆายุถูกดันขึ้นไปยืนบนแปนอันทรงเกียรติ มีภาระเสมือนตัวแทน หรือภาพแทนชาว
พุทธเชนนี้ พูดอะไรออกมายอมมีน้ําหนัก โดยเฉพาะอยางยิ่งเปนน้ําหนักที่เกิดจากระดับสติปญญา รูจัก
คิด รูจักพูดฉลาดเฉลียวฉะฉานเสียดวย
๕๖๔

เทาที่คบหากับทีฆายุมา แมคอนขางหางเหิน มติก็ทราบไดวาฝายนั้นมีอคติอยางรุนแรงเกี่ยวกับหลาย


ประเด็นทางศาสนา นับแตบาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค ชาติกอนชาติหนา ยิ่งประเด็นเกี่ยวกับนิพพาน
ดวยแลว ทีฆายุเคยประกาศชัดวาตายเมื่อไหรทุกคนก็คงนิพพานเหมือนกันหมด เพราะกายดับ ใจดับ
แลวจะเหลืออะไรใหทุกขตอ

วางเปลาและสาบสูญแนนอน…

เรื่องของสิ่งที่เห็นไมไดดวยตา พิสูจนไมไดดวยผัสสะของสามัญมนุษย หากมีใครสักคนที่ทรงปญญา พูด


ไดแยบคาย จุดพลุขึ้นมาดังๆแบบฟนธงวาไมมี ไมตองกังวล ไมควรสนใจ เราศึกษามาแลว อานพระไตร
ปฎกมาหมดตูแลว ก็แนนอนวาอัตโนมัติของคนสวนใหญยอมคลอยตามโดยงาย เพราะการปดหูปดตา
ไมยอมรับนั้น ยอมงายกวาการพยายามเปดหูเปดตามองใหเห็นจริงผานการพิสูจนมากนัก

ผลงานของทีฆายุมีความเปนกลาง งานศพเปนสิ่งปรากฏตอตาเปลาไดทุกเมื่อเชื่อวัน ทีฆายุอาศัย


สํานวนโวหารของกวี และทักษะชั้นสูงของจิตรกรมากลาวถึงงานศพไดอยางมีพลัง อีกทั้งงานศพและ
ความตายก็เปนขอธรรมเตือนสติหนึ่งของพุทธศาสนาจริงๆ

อยางไรก็ตาม การตระหนักวาทุกคนอยูในเงื้อมมือมรณา อาจแยกสายเปนปญญาและโมหะไดเทาๆกัน


คนหนึ่งอาจคิดวาในเมื่อตองตายแลวก็ไมควรประมาท เรงทําความดีหนีนรก เรงเขานิพพานเอาตัวรอด
จากทะเลทุกข แตอีกคนอาจคิดวาไหนๆก็ตองตายแนแลว เรงกิน เรงโกย เรงกามใหจุใจ อยาคิดอะไรให
หนักหัวจะดีกวา

มติพยายามวางใจเปนกลาง ขณะนั้นตองยอมรับวาไมอาจอนุโมทนากับความสําเร็จ ความสมหวังของ


ทีฆายุไดเต็มรอย แตขณะเดียวกันก็เรงสํารวจจิตใจวามีความอิจฉาริษยาปนอยูในความไมอนุโมทนาบาง
หรือเปลา พบวาเมื่อตรวจในแงนั้น ใจตนเงียบสนิท ความตารอนสักแมนอยไมเกิดกับเขาเลย จึงคอย
สบายอกขึ้น

ถอนใจเฮือกหนึ่ง นึกอยากขยายความคิดเกี่ยวกับทีฆายุใหแพตรีฟง แตก็เห็นวานั่นเหมือนนินทาโดยไม


ยังผลใหเกิดประโยชนกับใคร โดยเฉพาะในจังหวะนั้น ถาปลอยคําติฉินใหหลุดจากปาก แมแพตรีก็อาจ
เขาใจผิดไดวาเขากลาวดวยความริษยา

ดวยเหตุดังนั้น ความคิดปรุงแตงคําพูดที่เกิดขึ้นในหัวจึงกลายเปนสิ่งระคาย มติระงับไวไมพูดบน ทําใจ


เสียวานี่อาจเปนงานเดียวที่ทีฆายุจะเขามาของเกี่ยวในแวดวงพุทธศาสนา พอขาวรางวัลงานประกวดซา
แลวก็แลวกัน

ผูเขาถึงกระแสธรรมยอมรักที่จะพูดแตในเรื่องอันชวนสงบ เย็นใจ สอดคลองกับความโปรงโลงประณีตใน


อกตนเอง ทั้งนี้มิใชวาคิดเรื่องกิเลสๆไมได หรือพูดจาเปนอกุศลไมออกเสียทีเดียว ยังคิดได พูดไดตาม
นิสัยเดิมของเจาตัว แตจะรูสึกขัดๆ ไมสบายใจอยางแรง ยิ่งพูดคอยิ่งแหง พูดนานเทาไหรใจยิ่งมัวเทานั้น
๕๖๕

หากมีนิสัยเกาเปนพวกพูดมาก ชอบคิดฟุงซานเลอะเทอะ พอนานเขาก็จะคอยปรับตัวใหสมภูมิจิต เชน


เดียวกับคนเคยผิวกรานหนาเหมือนชางมา ชอบเดินเลนในดงหมามุย ก็ไมแสบระคายมากนัก อาจคันๆ
สะใจดวยซ้ํา ตอมาพอผิวบางลง เมื่อกลับไปเดินเลนในดงหมามุยอีกก็ไมสนุกแลว ไมอยากเอาอีกแลว
ปวดแสบปวดรอนจะเปนจะตายออกอยางนั้น

สําหรับปุถุชนธรรมดา นิสัยเคยเสียอยางไร ก็อาจเสียอยางนั้น หรือกระทั่งหนักหนวงเขมขนขึ้นเรื่อยๆ


ตามทิฐิแหงอายุ ตางกับผูเขาถึงธรรม ถานิสัยเคยเสีย ก็เที่ยงที่จะถูกปรับแตงใหดีขึ้นเรื่อยเปนแนแท

เดิมทีมติไมใชคนชอบพูดใหรายสอเสียดอยูแลวโดยนิสัย เมื่อไดดวงตาเห็นธรรม นิสัยสวนนี้จึงกลืนกัน


สนิทกับภูมิจิต โดยไมจําเปนตองใหจิตขัดเกลาตนเองแรมเดือนแรมปแตอยางใด

พาแพตรีเยี่ยมชมงานที่ยังไมผานตาดวยความเพลิดเพลิน เห็นแพตรียังมีความสุขดี ไมเบื่อหนายหรือ


เหน็ดเหนื่อยก็เดินเรื่อย

ขณะเดินเปลี่ยนซอย ในอารมณหนึ่ง แพตรีนึกพอใจจะยกมือขึ้นสอดเกาะแขนเขา และเบียดไหลใกลเขา


มา พอมติรูสึกตัวก็หนาแดง เดินเกร็งขึ้นหนอยหนึ่ง ภาคภูมิปรีดาที่แพตรียอมแสดงความชิดเชื้อชนิดนั้น
ใหใครตอใครเห็น

“เฮ! มติ!”

จําไดวานั่นเปนเสียงของบางกอกเพื่อนรวมคณะ เมื่อหันไปก็พบกับเพื่อนรวมรุนทั้งหญิงชายกลุมใหญ มี
อาจารยสมบูรณซึ่งเขาเคารพนับถือยืนอยูดวย อาจารยยิ้มยิงฟนโรเพราะไดรับรางวัลชมเชยเหมือนกัน
ทุกคนมองมาที่เขากับแพตรีเปนตาเดียว

มติกลืนน้ําลายลงคอดวยความรูสึกขัดๆ พะวาพะวังขึ้นมาเล็กนอย หากเขาอยูตัวคนเดียวคงเดินตรงไป


หาเพื่อนและสวัสดีอาจารย แตนี่มีแพตรีควงแขนอยู เลยประดักประเดิดเกอเขิน เรื่องของเรื่องคือเกรง
แพตรีจะอึดอัดกับการเขาวงใหญ อีกอยางเขาหาเพื่อนทั้งที่คนสวยควงแขนอยางนี้ ก็คลายจะเปนเชิง
เปดตัวคูใจผูเปนสาวเดนอวดเพื่อนฝูงอยางไรชอบกล

พูดงายๆแพตรีสวยเกินคูควรนายกระจอกอยางเขา ชักรูสึกผิดฝาผิดตัวจนขัดเขินที่จะเอาไปอวดใครตอ
ใครวานี่แฟนฉัน แคเห็นแววสุดพิศวงของพวกนั้นก็ฝอแลว

หันมาทางหลอน กระซิบวา

“ผมขอตัวไปทักทายเพื่อนหนอยนะ”

แพตรีพอจะเดาความรูสึกของอีกฝายออก เพราะเขาเกร็งและเสียงแหบผิดปกติ เลยแกลงถามหวนๆ


๕๖๖

“ทําไม ถาแพขอตามไปดวยนี่จะมีอะไรนารังเกียจรึเปลา?”

“ปลาว…” รีบปฏิเสธเพราะไมเทาทันมายาหญิง นึกวาแพตรีเคืองจริงๆ “เผื่อพี่แพรําคาญเพื่อนๆผม


เออ…”

เขาพยายามหาคําอธิบายอ้ําอึ้งตะกุกตะกัก

“ออ! แลวไป นึกวากลัวสาวเห็น ถาไมมีเหตุผลอื่นก็ไปดวยกันเดี๋ยวนี้เลย…เร็ว”

แพตรีกระซิบดุ และใชมือที่เกาะแขนเขาอยูนั้นรุนไปขางหนา หลอนทําไปดวยความนึกสนุกและเอ็นดูอีก


ฝาย แตพอทําแลวก็รูสึกวาอยางนี้เปนความเคยชินที่เห็นเขาอยูในอาณัติ มองมติเปนเด็กในคาถาหรือ
กระทั่งลูกไลอยูตลอดเวลา จึงตั้งใจวาตอไปจะเลิกสั่งโนนสั่งนี่แบบพี่สาวเสียที

ฝายเพื่อนพองที่ยืนชุมนุม ตางมองคูควงที่กําลังกาวเดินเขามาดวยความรูสึกรวมเดียวกันหมด คือ


เหมือนเห็นเจาหญิงกับทาสรับใช นางงามกับนายขี้เหร หรืออยางดีที่สุด ถาวัดในแงความเขากันไดอยู
บาง คือดูมีกิริยาสุภาพเรียบรอยกลมกลืนกัน ก็นาจะใหศักดิ์หรือฐานะไดแคพี่กับนอง แตนี่เดินเกาะแขน
ประกาศสัมพันธภาพฉันชายหนุมหญิงสาว จึงดูขัดลูกตาพิลึก โดยเฉพาะสําหรับลูกตาชายขี้อิจฉาทั้ง
หลาย

มติเปนคนรางเล็ก คอนขางผอมบาง สูงเทาแพตรีพอดี หนาตาแมพอไปวัดไปวา ออกสวางดวยราศีใสอยู


บาง ทวาการแตงกายก็มีลักษณะซําเหมา กินขาวแกง ขึ้นรถเมล และเดินเขาบานดวยรองเทาขาดๆ
แบบที่ผูหญิงทั้งหลายเห็นปราดเดียวก็พรอมจะเมินแตแวบแรก สําคัญคือทุกคนรูวามติพูดนอย เรื่องจะ
ใหราวีกับหมูภมรนับรอยนับพันที่จองจะเชยสาวสวยระดับนี้ เห็นทีความสําเร็จนาจะเปนเรื่องเหลวไหล
จึงนาแปลกใจเอามากกับความยินยอมสนิทสนมกลมเกลียวของฝายหญิง ที่มีใหอยางตอเนื่องเปนเวลา
ยาวนานในความรับรูของเพื่อนฝูงที่เคยเห็นคูนี้เดินดวยกันมากอน

และความสวยหวานของแพตรีก็เปนสิ่งบาดหัวใจชายทุกคน ยิ่งเห็นนานเทาไหรยิ่งวาวุนกระสับกระสาย
ชวนใหอยากแสดงอะไรแผลงๆออกนอกหนาเพื่อเรียกรองความสนใจจากหลอนเสียบาง

อยางเชนที่ตั้งทัพเดินปราดเขามา ยกแขงยกขาคลายอยากเตะหยอกมติราวกับรักปานจะกลืน ทวาวันนี้


มติดูมีดีบางอยางแปลกไปจากเมื่อกอน ตั้งทัพคิดในใจวาอาจเพราะสงาราศีของเจาของรางวัลสี่แสนก็
เปนได งางแลวเตะไมลง แคไกตบไหลสงเสียงดัง

“ยินดีดวยโวย! รับรางวัลชมเชยเปนคนแรกเลยเชียว”

วาแลวก็ยกแขนโอบไหลเพื่อน แบบที่อยากโอบเลยไปถึงสาวผูอยูอีกฝง แพตรีปลอยมือจากแขนมติทันที


ดวยความระคายผัสสะที่มากับหนุมหนาแหลม
๕๖๗

“ขอบใจ”

มติฝนตอบตั้งทัพ แลวยกมือไหวอาจารยสมบูรณเพราะเพิ่งพบเปนครั้งแรก และแนะนําใหแพตรีทราบวา


เปนอาจารยสอนเขาที่มหาวิทยาลัย หลอนจึงไหวตาม

“เดี๋ยวตองฉลองกันหนอยละ นัดกับพวกนี้ไวแลว ไปดวยกันนะ”

อาจารยสมบูรณชวน มติอึกอัก เกือบตอบปฏิเสธ เพราะมากับแพตรี แตก็เกรงใจอาจารยผูเปนที่นับถือ


เพราะทีทาทานไมไดชวนโดยหวังจะรับการบายเบี่ยง จึงหันมาทางหญิงสาวดวยสีหนาหนักใจหนอยๆ

แพตรีเห็นเขาจะปฏิเสธพรรคพวกเพราะเกรงใจหลอน ก็ยื่นหนาเขามากระซิบ

“ไปเถอะ พอดีวันนี้ปูคางบานคุณพอ แพไมตองรีบกลับ”

นั่นเองจึงทําใหเขาหันกลับมาตอบรับอาจารย แพตรีมีปฏิสันถารเปนอันดีกับทุกคน มติจึงเบาใจลง แตก็


ไมวายนึกหวงขึ้นมาหนอยๆ เนื่องจากหนุมมากหนากระตือรือรนเกินงามที่จะทําความรูจักกับหลอน
ชนิดทักสองคําจะตีสนิทใหเทียบเทาเขาเองทีเดียว

ทีฆายุพารางสูงเขามาสมทบหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจของตนที่มีตอผูสื่อขาว เพื่อนและอาจารยพากัน
แสดงความชื่นชม ลูบหนาลูบหลัง และหวังใหทําหนาที่เลี้ยงมื้อใหญแตเพียงผูเดียว ซึ่งทีฆายุก็ใจปารับ
โดยไมอิดเอื้อน เนื่องจากกําลังอารมณดี รับมาทั้งเงินและทั้งกลอง

เมื่อรับเปนเจาภาพ ความเคลื่อนไหวจึงไปตกอยูที่ทีฆายุ หลังจากเฮฮาราเริงอยูตรงจุดนั้นอีกพัก เขาก็


เปนคนกําหนดที่หมาย รวมทั้งเปนคนพยักหนานําเคลื่อนขบวน

เงินรางวัลทําใหมติดูรวยขึ้นทันตา ยิ่งมีแพตรีมาดวยก็ยิ่งทําใหหลายคนไมนึกรังเกียจที่ชักชวนใหนั่งรถ
ไปดวยกัน แตขณะที่ทีฆายุเสียงใหญกวาใครในฐานะเจาภาพงานเลี้ยง เมื่อเอยปากเสนอใหมติไปรถเขา
ทุกคนจึงเงียบยินยอม ไมยื้อแยงแตประการใด มิไยฟองชลจะทําหนามุย ดวยรูแกววาแฟนหนุมของตน
พุงความสนใจไปที่สาวนอยหนาหวาน ไมใชหวังเอื้อเฟอมติเชนไรเลย

เนื่องจากเปนวันหยุด วันนี้ทีฆายุจึงขอยืมรถคันละเกือบสิบลานของพอมา จนไดยืดเปนพิเศษเมื่อนําแพ


ตรีกับมติขึ้นรถ นึกเสียดายอยูในใจ ถาทําไดก็อยากใหคาแท็กซี่ฟองชลกับมติเหลือเกิน ราชรถจะไดมีแต
กิ่งทองกับใบหยกประทับอยู

ฝายมติก็เพิ่งมีโอกาสขึ้นรถหรูระดับนั้น โครงภายนอกของตัวเรือนเหล็กกลาขึ้นเงาเปนมันวับ รับกับภาย


ในที่โออาประดับประดาดวยเฟอรนิเจอรงามลวน เบาะนิ่มแนนเนียนสัมผัส ความกวางขวางกับเครื่อง
กรองทําใหอากาศเย็นรื่นชนิดที่หายใจแลวรูสึกสะอาดปลอดโปรง และแมเครื่องยนตรแปดสูบจะเรงพลัง
๕๖๘

ฉุดกับสงแรงขับเคลื่อนไดมหาศาล ทวาก็นุมนวลดุจเลื่อนไปบนรางเมฆดวยระบบกันสะเทือนเหนือชั้น
แมสะดุดปุมปมหลุมบอเขาบางก็แทบไมรูสึก

ความโออาในระดับชีวิตคนรวยที่สะทอนดวยตัวอยางเชนพาหนะเลิศหรูชนิดนั้น บันดาลใจใหมตินึกคิด
ถึงการกอรางสรางตัว คิดถึงการใชเงินรางวัลลงทุนใหแตกดอกออกผล จะไดมีอะไรอยางนี้กับเขาบางใน
วันหนา

เดิมทีเคยคิดอยากสรางเนื้อสรางตัวเสียที่ไหน ที่ระอุไฟฝนขึ้นมาในบัดนี้ก็ดวยชนวนเดียวคือแพตรี เห็น


เลยวาความรักมีพลังบันดาลใจเพียงใด เขาพรอมจะเปลี่ยนตัวเองใหเปนคนรวย ขอเพียงหลอนแสดงตัว
ยืนยันวาจะอยูเคียงขางตลอดไป

คงมีความสุข หากไดขึ้นมาบนรถระดับเดียวกันนี้กับหลอนตามลําพังเพียงสองคนในฐานะเจาของครองที่
นั่งตอนหนา มิใชขึ้นมาในฐานะผูโดยสารติดตามทานเจาของอยางนี้

“ภาพของนายเขาทาดีนี่มติ”

ทีฆายุเอยชมมาจากดานหนา น้ําเสียงบอกใหรูวาเปนการแสดงความยินดีแบบชวนคุยดวยมากกวาจะ
ชื่นชมจริงจัง

“ขอบใจ”

มติตอบสั้นดวยสําเนียงราบเรียบอยางคนที่ขาดสีสัน คิดเงียบๆวาที่แททีฆายุรับรางวัลเหรียญเงินแลว ก็
คงมัวแตเริงสุขสนุกสนาน จอกับแฟนสาวอยางลิงโลดเนื้อเตน ไมเหลือแกใจสนผลงานของผูรับรางวัลที่
เหลือเปนแน

ฟองชลเสริมทีฆายุ แตวิจารณแบบตรงไปตรงมา

“ซีวามติใชสื่อทางภาพนอยไปหนอยนะ ไปใหน้ําหนักเนนที่รอยกรองเสียมากกวา”

ผูนั่งตอนหลังเงียบเหมือนยอมรับคําติกลายๆนั้นอยูในที

“ภาพเขาดูมีพลังดีออก แลววันนี้ก็เพิ่งรูนะวามติฝกใฝธรรมะขนาดไหน ตอบคลองเชียว”

ทีฆายุชวยแกตางนิดหนอย พอแสดงใหรูหรอกวารับทราบความเปนไปบนเวทีอยูบาง เขาทบทวนผล


งานของมติอยูในใจ ภาพแสงนฤพานเปนที่วิพากษวิจารณในหมูเพื่อนฝูงและผูเขาชมหลายคนวา ‘เลน
งาย’ แตกลับรับรางวัลชมเชย แถมเขาอันดับแรก เรียกวาถูกใจคุณโภไคยเปนที่หนึ่งอีกตางหาก จึงถก
กันตางๆนานา สุดแตวาใครยืนอยูตรงไหน มองมาจากมุมใด
๕๖๙

ชวงที่มติขึ้นพูดบนเวทีนั้น ทีฆายุฟงอยูบาง ทวาก็เห็นเปนความพูดเกงและเรียนรูมาก เชนเดียวกับตน


และผูเขารวมประกวดคนอื่นๆนั่นเอง แถมในสวนของภาพ ก็เพียงออกแรงใชฝมือในการเลนสีและ
เทคนิคขับเนนความสวางจัดจา ณ ใจกลางเทานั้น ตางจากงานทั่วไปที่คิดกันหัวแทบแตกวาจะสื่อหรือ
ซอนความหมายอะไรดีใหรับงายและมีแรงปะทะใจผูชมมากที่สุด

ตามความเห็นของทีฆายุแลว หากใหคะแนนที่มติประพันธรอยกรองไวเยี่ยมยอด ก็นาจะไดอยางมากแค


รางวัลปลอบใจอันดับทายๆ นาสงสัยวาเหตุใดจึงเขาวินเปนอันดับหนึ่งสําหรับคนตาถึงอยางคุณโภไคย
สันนิษฐานวาอาจมีรหัสเรนลับแฝงอยูชนิดที่คนทั่วไปมองไมเห็น

“เราอยากรูอยาง ที่นายตองการสื่อนี่คือการบรรลุธรรมหรือเปลา?”

ทีฆายุยิงคําถามเพื่อไขความติดคางคาใจ มตินิ่งคิดเปนครู กอนตอบอยางระมัดระวัง

“ใช เราไดแรงบันดาลใจจากพาหิยสูตรนะ พระพุทธองคตรัสเทศนนิดเดียว ชายผูหนึ่งชื่อพาหิยะก็


สามารถเปนพระอรหันตอยางฉับพลัน กลายเปนเอตทัคคะทางบรรลุธรรมเร็วไป”

นึกวาจบความอยากรูของเพื่อนไปแลว แตก็เปลา ทีฆายุถามอีก

“แลวภาพที่สื่อดวยแสงสวางนี่เปนจินตนาการลวนๆ หรือวาประสบการณภายในจริงๆ?”

“เออ นั่นซี่” ฟองชลหันมายิ้มสํารวจหนาตาเพื่อนชาย “อาจารยสมบูรณยังบอกเลยนะ ตอนเจอผลงาน


เธอนะ อานแลวเหมือนเธอไปบรรลุอะไรมา สรุปแลวผลงานนี้กลั่นมาจากประสบการณตรงของเธอใช
ไหม?”

มติเบนหลบไมสบตาฟองชลตรงๆ เมื่อยืนอยูบนเวที ถูกพิธีกรซักถามตอหนาคนนับรอยนับพัน เขาอาจ


หาญตอบไดอยางไมตองลังเลสะดุดเลย โดยเฉพาะอยางยิ่งประเด็นคําถามที่ยิงมาเพื่อทราบประโยชน
ของการบรรลุมรรคผล หรือการปฏิบัติเพื่อเขาใหถึงมรรคผล เขาสามารถตอบไดอยางเนียนรื่นเยี่ยงผู
ควรเปนตัวแทนพระศาสนา

แตที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปนอีกเรื่องหนึ่ง ทีฆายุกับฟองชลกําลังถามแบบเพื่อนฝูงซักไซไลเรียง ชนิดที่ไมเอาไป


เปนประโยชนอันใดนอกจากไวกลาวขานกับเพื่อนอื่นๆภายหลัง มติจึงปดปากเงียบสนิท

แตคนเราถึงคราวจะหาบาปใสตัว อยางไรก็ตองดึงดันดิ้นรนจนได ฟองชลเห็นมติเงียบเชนนั้นก็ถามเรง


เรามาอีก

“ไฮ! ทําไมเงียบละ แสดงวาตองเก็บไตไวแนๆ เอาอยางนี้แลวกัน แคบอกวาใช หรือไมใชคําเดียวพอ”


๕๗๐

ฟองชลตอรองดวยเงื่อนไขพิเศษ ความจริงหลอนเปนคนไมจริงจังกับเรื่องรอบตัวเทาไหรนัก ก็แคสาว


นอยหนาตานารักคนหนึ่งที่สนุกสนานเบิกบานกับชีวิตไปวันๆ ขอเพียงมติตอบสงๆหลอนก็เลิกใหความ
สนใจ ซึ่งเรื่องจะงายมากเพียงพูดปดอยางสั้นวา ‘ไมใช’

คําวา ‘ไมใช’ นั้นขยับปากพูดกันแคสองพยางค นาจะงายแสนงาย

แตสําหรับผูมีจิตเปนวิสุทธิ์ศีล ซึ่งเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติหลังเขากระแสนิพพาน การขยับปากเพื่อพูดสิ่งที่รู


อยูแกใจวาเปนตรงขามกับจริง แมเพียงสองพยางคนั้น ก็เหมือนตองออกแรงงางขากรรไกรเปนสิบเทา
เพื่อใหเผยอ ความยากไมไดอยูที่ฝนปาก แตเปนที่ฝนใจตางหาก

คนธรรมดาอับอายที่จะแกผาเดินกลางถนนปานใด ผูมีดวงตาเห็นธรรมก็ละอายที่จะกลาวเท็จปานนั้น

ความรูสึกมันประมาณเดียวกัน ระหวางใหพูดโกหกกับลอนจอนตอหนาฝูงชน ทําได แตคงไมทําแนๆถา


สติยังดีอยู ที่สําคัญคือนี่ไมใชเจตนารักษาศีล ทวาเปนเรื่องของใจที่ละอายตอการพูดบิดเบือนความจริง
ละอายขนาดแคคิดจะทํา น้ําลายก็ปรี่ขึ้นมาจุกคอหอย ลิ้นแข็งจนเหมือนเจอยาชา

มติเมมปาก ในที่สุดก็ตัดสินใจตอบแบบยาว

“ซีใหเราตอบแคใชหรือไมใชนี่ยากนะ เราเหมือนซีและคนอื่นที่ตองการสื่อขอธรรมที่ถนัดที่สุด เราเขาใจ


หลายขอธรรมในพุทธศาสนา แตก็ยังมืดมนอยูอีกมาก และความที่ยังมืดอยูมากนั้นเองทําใหพูดไดเต็ม
ปากวาหากการ ‘บรรลุธรรม’ ในใจซีคือการลางกิเลสอยางเด็ดขาด สําหรับเรานับวายังหางนัก”

ฟองชลกะพริบตาปริบๆ กอนหันไปหาแฟนหนุม พึมพําวา

“ฟงไมรูเรื่องอะ”

ทีฆายุหัวเราะพรืด

“เหมือนกันเลย คงเพราะพวกเราบุญนอยนั่นเอง”

แลวทีฆายุก็เปนฝายเบนหัวขอ โดยจับจังหวะโยงมาเปดฉากเสวนากับแพตรีบาง

“แพมีงานสงเขาประกวดดวยหรือเปลาครับนี่?”

พูดแลวก็เชิดคางเหลือบตามองเงาสะทอนของหญิงสาวที่ปรากฏครึ่งรางในบานกระจกสองหลัง

“เปลาคะ”

หลอนตอบดวยน้ําเสียงของคนพูดนอยเหมือนมติ สบตากับทีฆายุเพียงแวบเดียว
๕๗๑

“นั่นสิ ดูทาทางแพไมติสตเทาไหรนะ พวกเราก็ไมไดเรียนจิตรกรรมกันทุกคนหรอก อยางซีนี่เรียน


มัณฑนศิลป แตมีฝมือวาดยิ่งกวาเด็กจิตรกรรมบางคนเสียอีก แลว…”

กอนที่ทีฆายุจะตอความยาวกับแพตรี ฟองชลก็ขัดจังหวะขึ้นเสียกอนดวยการตะแคงราง หันหนาเอยกับ


ทีฆายุแบบแขงเสียง

“อุย! ขอบใจยะที่ชม นี่เปนรางวัลปลอบใจพิเศษที่ทานประธานฝากมาหรือเปลา?”

แลวก็เอยสืบตอเปนการตีกันไมใหแฟนหนุมไดเปดฉากโอภาปราศรัยกับสาวสวยยืดยาวไปกวานั้น

“ตอนที่เธอกลาวอุทิศสวนกุศลใหพี่แอแลวไฟดับเนี่ย ซีงี้ขนลุกไปหมด สงสัยพี่แอคงลงมาแสดงความรับรู


จริงๆ”

ทีฆายุแคนยิ้มเล็กนอย นึกรําคาญและอยากใหฟองชลหายหนไปชั่วคราว เขาเคยชินกับการแสดงทาที


หึงหวงอยางออกหนาออกตาของหลอน แตไมอยากใหเปนเดี๋ยวนี้เลย ถาลองหนไปแบบแมมดไดจะ
ขอบคุณมาก

“ไฟบังเอิญดับนะซี่ อยาทึกทักเหลวไหลอยางคนอื่นเลย”

โตตอบไปแบบเนือยนาย ความจริงเมื่อครูมีนักขาวเลาใหเขาฟงวาอุปกรณที่ใชแบตเตอรี่ก็พลอยหยุด
ทํางานไปดวย ใชแตไฟหลักในหองเทานั้นที่ถูกกระชากวูบไป ทวาทีฆายุยังคงเห็นเปนเรื่องบังเอิญ หรือ
มีเหตุผลทางกายภาพสักอยางที่อธิบายได จะแมเหล็กโลกรบกวนหรืออยางไรก็ไมรูละ เพียงแตเขาและ
คนสวนใหญขาดความเขาใจ เลยแตกตื่นขวัญหนีดีฝอกันใหญ

เทวดานางฟาตองไมมีแนๆ เขาพอใจที่จะเชื่อของเขาอยางนี้ และไมเห็นเหตุผลที่จะเปลี่ยนความเชื่อ


ดวยประการใดทั้งสิ้น กี่เจากี่ศาลที่ดังนักดังหนา พอโดนหนังสือพิมพขุดคุยมาแฉ จับคาหนังคาเขาเขา
หนอยก็เจอแตของเกทั้งนั้น ถาลอยเขียวๆมาจากอากาศใหพิสูจนกับตาตอนกลางวันแสกๆไดเถอะคอย
วากันใหม

อยางไรก็ตาม หากคนทั่วไปจะพิจารณาวาผลงานของเขามีความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญขนาดเทวดาลงมา


รวมรับรู นั่นก็เปนเรื่องนาพอใจอยูใชหยอก

ฟองชลไมเคยมีโอกาสพบตัวจริงของเรือนแกวขณะยังมีชีวิต แตทีฆายุก็เลาเรื่องตางๆใหฟงพอควร คือ


นับแตเปนขาวตึงตังที่สิงคโปร ทีฆายุก็ชี้ใหดูรูปที่พาดหราหนาหนึ่งวาเปนลูกผูพี่ พอตกเปนขาวอีกที
ตอนตาย คราวนี้เลยไดคุยกันยาวเหยียด หลอนเองมีโอกาสไปงานศพของเรือนแกววันหนึ่งดวย

“แลวตกลงหาตัวคนรายที่ยิงพี่แอไดหรือยัง?”
๕๗๒

“ยัง…” ทีฆายุสายหนา “ตํารวจสันนิษฐานวาอาจเปนคนรายรายเดียวกับที่พี่แอไปมีเรื่องดวยที่สิงคโปร


นะ ซึ่งถาใช อีตาพี่เขยของเราก็คงรอนตัวหลบหนี หรือมายก็เดดไปแลว แคแจงมาทางนาสายชลใหรับ
ศพที่นิติเวชแลวเงียบสนิท งานศพก็ไมมาเลยซักวัน”

สําหรับมติ เมื่อไดยินแลวผานเฉย เพราะชวงหลังเขาไมไดพบปะพูดคุยกับทีฆายุเลย อีกทั้งเก็บตัว


ปฏิบัติธรรมเต็มกําลัง ไมอานหนังสือพิมพ ไมดูโทรทัศน ไมฟงวิทยุ จึงขาดการสื่อสารกับโลกภายนอก
ในชวงที่มีขาวของเกาทัณฑกับเรือนแกว

แตสําหรับแพตรี เมื่อไดยินทีฆายุพูดเชนนั้น ก็คลายถูกไฟช็อต…

ประการแรก เพิ่งแนใจวา ‘พี่แอ’ ของทีฆายุคือเรือนแกวนั่นเอง หลอนผานตาเห็นชื่อนามสกุลของเรือน


แกวบอยๆในหนาหนังสือพิมพ เมื่อไดยินนามสกุล ‘ธารเมธา’ ของทีฆายุตอนพิธีกรประกาศขึ้นรับรางวัล
ก็ไมคิดอะไรมาก กระทั่งทีฆายุคุยพาดพิงถึงพี่แอของเขาในบัดนี้ ทุกอยางจึงสอดคลองลงตัวอยาง
ปราศจากขอสงสัย ไมวาเปนการระบุตัวบุคคล เหตุการณ หรือสถานที่

ประการที่สอง ขอสันนิษฐานของทีฆายุเกี่ยวกับการหายตัวไปของเกาทัณฑ ทําใหหลอนเหน็บหนาวขึ้น


มาในใจ อาจเปนไดวาเขา…ตามเรือนแกวไปแลวจริงๆดวยน้ํามือยมทูตตนเดียวกัน

แพตรีไดแตเงียบอึ้ง ตั้งใจสดับฟงทีฆายุกับแฟนสาวสนทนากันตอ โดยหวังวาจะเก็บตกรายละเอียดอัน


ใดเกี่ยวกับเกาทัณฑเพิ่มเติมไดบาง

แตเปลา ทีฆายุเบี่ยงแนวสนทนาเฉไปเรื่องอื่นที่รูกันโดยเฉพาะกับฟองชล

คําวา ‘พี่เขย’ ที่ทีฆายุใชเปนสรรพนามแทนเกาทัณฑ ยินแลวเหมือนน้ําเกลือที่ราดลงไปบนแผลสดให


เกิดความแสบรอนสุดทน คนรอบขางของเรือนแกวและเกาทัณฑทาทางจะรับรูความสัมพันธฐานคูหมาย
เปนอันดี โดยเฉพาะอยางยิ่งจากการขยายผลดวยขาวครึกโครมผานสื่อมวลชน ขณะที่คนรอบขางหลอน
ซึ่งรับรูวาเขากําลังจะขอหมั้น มีจํานวนนอยจนนับไดถวนดวยนิ้วมือ

ชัดหรือยังวาบุญหลอนที่จะคูกับเขานอยกวาเรือนแกวเพียงใด?

เหมือนกําลังถูกกัดกินดวยเขี้ยวขย้ําของสิ่งโหดรายที่มองไมเห็น แพตรีหนาหมองลง ใจหนึ่งนึกเปนหวง


เขา แตสัมผัสภายในบอกวาเขานาจะยังมีชีวิต เพียงดวยเหตุผลบางประการทําใหตองเรนกายหายหนา
ไปจากทุกคน ซึ่งเหตุผลนั้นจะเปนอะไรก็ตาม ในสายตาของเขา หลอนมีคาหรือความหมายนอยเกินกวา
จะรวมรับรู…

เมมปากแนน ในเมื่อตัวเองสําคัญสําหรับเขานอยขนาดนี้ ทําไมหลอนจะตองใหความสําคัญกับเขามาก


มายไมเลิกราดวย?
๕๗๓

มติหันมาดวยสําเหนียกกระแสเศราหงอยขางกาย เห็นแพตรีสีหนาหมองลงแลวสนเทห เฝาพินิจหลอน


เงียบๆครูหนึ่งจนแนใจวามีสิ่งผิดปกติไป

แพตรีคือตัวอยางความสงบกายสงบใจมาแตเล็ก นอยครั้งที่เห็นหลอนเศราสรอย หลุดจากจุดยืนของตน


เอง แตเห็นอยางนี้ทีไรก็วนไปเวียนมาอยูเรื่องเดียวทุกที คือปมฝงหัวใจชวนหมนอันยากที่ใครจะเขาถึง
กี่ปๆก็เรื่องเกานี่แหละ ราวกับถูกจองจําในกรงขังชนิดหนึ่งทั้งชีวิต

จูๆคงคิดถึงเขาคนนั้นขึ้นมานั่นเอง ไมมีเรื่องอื่นหรอก…

เหนื่อยใจแทน มติบอกตนเองขึ้นมาวูบหนึ่ง วาหากแกะรูปรางหนาตานาหลงใหลของแพตรีออกไป สิ่งที่


เหลือคือวิญญาณอันชุมกิเลส เปนทุกขเปนรอนไดดวงหนึ่ง ดูนาสงสารเพราะเปนดวงวิญญาณดีๆที่ควร
มีสิทธิ์พนทุกขไดแลว แตกลับถูกผูกยึดอยูกับอุปาทานบางอยางไมเลิกรา ไปไหนไมรอดเสียที

“เปนอะไรไปฮะพี่แพ?”

หญิงสาวขบฟน ขมความรูสึกภายในเปนครู กอนหันมาฝนยิ้มตอบ

“ยังไงเหรอ?”

“อยูๆเหมือนเศราขึ้นมา”

เขาบอกตามตรงฉันผูใกลชิดสนิทนานนม ทั้งสองสื่อสารกันดวยการเอียงหนากระซิบพอไดยินตามลําพัง

“เธอนั่นแหละ อยูๆหาวาคนอื่นเขาเศรา เอาอะไรมาตัดสิน?”

“อยาอําผมเลย เมื่อกี้ยังหนาใสอยูดีๆ ตอนนี้หมองเหมือน…”

“เหมือนอะไร?”

ถามเมื่อเห็นเขาเวนชวงนาน

“เหมือนลืมลางหนามาจากบาน”

แพตรีหัวเราะ ทําหนาแจมใสขึ้นได การเยาแหยหยิกแกมหยอกของมติดูซื่อ เจตนาเพียงดูแลเอาใจใส


เพื่อใหลืมความขุนของกังวล ไมโฉบเฉี่ยวโลดโผนเราความรูสึกแรงอยางเกาทัณฑ แตก็ทําใหเปนสุขเย็น
ใจกวา บางครั้งขณะหัวเราะเพลินเพราะถูกเกาทัณฑยั่วใหขํา หลอนอดคิดไมไดวามีผูหญิงกี่คนที่เพลิน
ดวยมุขหรือลูกเลนเดียวกันนั้นอีก

ความซื่อที่ขาดเสนห นาจะดีกวาเสนหที่ขาดความซื่อมากนัก
๕๗๔

“ทําไม? มากับคนหนาหมองแลวอับอายนักใชไหม? จะไดขยับหนีไปหางๆ”

แพตรีทําเปนครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ตอปากตอคําอยางพยายามจํานรรจา

“เปลาฮะ…”

มติทําหนาตกอกตกใจเพราะตีความผิด เห็นแตอาการขึงขังอยางเดียว แปลยิ้มแฝงที่ฉาบหนาไมออก

“ผมเปนหวงตางหาก โธ”

รอยยิ้มของหญิงสาวเจื่อนลงใหกับทาทีตื่นๆของมติ ความจริงตลอดชีวิตสาว หลอนแทบไมเคยมีโอกาส


หัดใสจริตจะกานเทาไหรนัก ทั้งกิริยาวาจา ถูกรีดใหเรียบดวยใจเสงี่ยมมาชานาน แตพอถึงคราวที่ควรใช
ก็ทาทางจะกรอยสนิทเพราะเจอหนุมนอยผูไรเดียงสากับวิถีโลกคนนี้เขา

แพตรียิ้มเย็นดวยธาตุเดิมประจําตน เอื้อมมือวางบนหลังมือเขา

“ขอบใจที่เปนหวง คอยเตือนแพใหผองใสไดสม่ําเสมอเหมือนอยางเธอดวยนะ”

ความละมุนนุมนวลในมือแพตรีแปรตัวเปนกระแสสุขขึ้นเออทนใจฉับพลัน มติอยากพลิกมือกุมกลับ แต


ไมกลา กลัวหลอนหดหนีหรือทําตาเขียวใส ความสองจิตสองใจยังผลใหเกร็ง ที่สุดก็แสรงทําเปนเห็นปาย
โฆษณาสะดุดตา ชะเงอชะแงเพงมองออกนอกรถเสียไกล

ทีฆายุนัดมาเลี้ยงที่ภัตตาคารหรูแหงหนึ่ง สมน้ําสมเนื้อพอจะเรียกไดวาเลี้ยงฉลองรางวัลสองลาน มติรู


สึกเหมือนตนเองและแพตรีมานั่งเปนสักขีพยานกับความสําเร็จกาวแรกใหกับเพื่อนมากกวาอยางอื่น
อาจดวยงานนี้ทีฆายุเปนเจาภาพ กระแสความชื่นชมยินดีจึงพุงตรงไปใหทีฆายุผูรับรางวัลใหญแตเพียงผู
เดียว

สุมเสียงของทีฆายุที่เคยเดนอยูแลว บัดนี้ยิ่งหาวกังวานเปนพิเศษราวกับนักรบใหญจากสมรภูมิ ทั้งหนา


ตา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ อากัปกิริยา ลวนรวมกันบงถึงภาวะของผูยืนเหยียบหลังคาโลกทั้งสิ้น เมื่อ
ทีฆายุเอยคําใด ทุกคนจะตองเงียบฟง และแมใครโตตอบเลนหัวฉันเพื่อนสนิทมิตรสหาย ก็แฝงอยูดวย
ความพินอบพิเทาในทีเสมอ

สองลานบาทนับเปนเงินกอนโตที่สุดที่ทีฆายุเคยไดมาดวยฝมือและน้ําพักน้ําแรง นอยนักที่รุนราวคราว
เดียวกันจะเทียบเทา ตัวเงินจึงคลายเปนกอนกําลังใจอันใหญ หนุนใหอัตตาแรงและเหอเหิมลําพองสุด
สภาพ
๕๗๕

ขนาดยังไมทันเริ่มกาวเขาสูความเปนมืออาชีพ ยังประสพความสําเร็จระดับนี้ ถึงเวลาจริงจะยิ่งสําเร็จ


เปนทวีคูณแคไหน?

นี่นับเปนสิ่งเสริมฐานอัตตาเดิมที่เขื่องอยูแลวใหเบงบานเขาไปใหญ ในกลุมเด็กรวยดวยกัน ทีฆายุหลอที่


สุด ขับรถแพงที่สุด ควงแฟนนารักที่สุด แถมมีเสนทางแนนอนวาจะไปเอาดีทางจิตรกรรมหรือ
ประติมากรรมระดับนานาชาติมากที่สุด เนื่องจากมีฝมือและทักษะอันเที่ยงตองานศิลปหลากหลาย หัว
คิดแหวกแนวกวาใคร ทั้งยังประกอบเขากับสัญชาตญาณหรือพรสวรรคพิเศษเชิงการสรางสื่อกระทบใจ
เหนี่ยวนําอารมณมนุษยใหเปนไปตางๆตามเจตนา จนอาจารยสมบูรณเคยทํานายไววาหากทีฆายุหา
แหลงแจงเกิดดีๆในงานใหญที่ตางประเทศได ก็อาจมีชื่อเสียงระดับโลกไปโนนเลยทีเดียว

หากเพื่อนคนอื่นที่นั่งลอมโตะอยูดวยกันไดรับรางวัลเหรียญเงินแทนทีฆายุ คงไมแคลวถูกริษยาและจอง
จับผิดหาที่ติ เจอวิพากษวิจารณเละ ทวานี่เปนทีฆายุซึ่งทุกคนใหความยอมรับอยูแลวในทุกดาน จึง
พรอมใจกันยกยองชื่นชมเปนอันหนึ่งอันเดียว หรือถาจะมีกระแสริษยารินๆไหลๆอยูบาง ก็คงถูกซอนไว
ในหลืบเรนลึกลับที่สุดในหัวใจแตละคน

ไดเวลาเลือกสั่งอาหาร ทุกคนไดรับเมนูมากมหนากมตาเปดดูและทยอยสั่งบริกรกันตามอัธยาศัย หลัง


จากประชุมแลวไดความวาไมตองการอาหารชุดหรือกับขาวรวม

มติทานไดทุกอยาง แตก็สมัครใจเลือกสลัดผักกับอาหารเบาที่ปราศจากเนื้อสัตวเพื่อเปนเพื่อนแพตรี เขา


ทานมังสวิรัติเปนเพื่อนหลอนทุกครั้ง ทุกงาน จนบางทีชิน หรือกระทั่งชอบ แตก็ยังทานเนื้อสัตวเล็กอยู
เรื่อยๆ เยี่ยงผูไมรูไมเห็นวาสัตวใดจะถูกฆาเพื่อนํามาใหตนทาน แตก็นึกอยูตลอด คือถามีการโหวตเสียง
เพื่อเลิกฆาสัตวมาทําเปนอาหารพรอมกันทั้งโลก เขาจะอยูขางใหเลิก จะไมยินดีใหมีการเอาชีวิตอื่นมา
ตอชีวิตตนแนๆ และคิดอยางนี้มานานแลว ไมใชเพิ่งคิดหลังเห็นธรรม

ลักษณะความบริสุทธิ์ของศีลตองเล็งตรงเขามาถึงระดับความคิดอยางนี้

ระหวางสมาชิกในโตะเลือกอาหาร ทีฆายุก็ขอเมนูไวนจากบริกร และแมเขาจะอยูในฐานะเจาภาพ ก็ให


เกียรติอาจารยสมบูรณเปนคนดูเมนูเลือกสั่งไวน แกวไวนทรงสูงถูกนํามาวางเรียงตามลําดับ มติมองดวย
ความรูสึกไมดีนัก ปกติแตไหนแตไรมาเขาไมพิศวาสน้ําเมาเทาไหร เคยตองทานเหลาบางตามโอกาส
ชนิดนานทีปหน เชนในงานวันเกิดเพื่อนสนิท หรือดื่มตามพรรคพวกรวมอาสาพัฒนาชนบท ซึ่งบางครั้ง
อยูในเขตหนาวเหน็บ ไดดีกรีเหลามาชวยเพิ่มความอุนภายในรางกายบาง กอนดื่มจะตั้งความคิด ตั้งสติ
รูตัววา ‘แกวนี้เพื่อเพื่อน’ หรือ ‘แกวนี้เพื่อเปนยา’ และแนใจอยางหนึ่งคือไมเคยดื่มดวยความอยากสนุก
คึกคะนองแตอยางใด

ยิ่งถาชวงตั้งใจถือศีลใหบริสุทธิ์ ก็จะเวนขาดสนิท ไมใหเหลาแตะเลยแมปลายลิ้น

วันนี้คงเปนอีกวันหนึ่งที่ตองตั้งสติรูตัววา ‘แกวนี้เพื่อสังคม’
๕๗๖

คิดแควาตองทําตัวเอาใจสังคม ก็บังเกิดความเบื่อหนายการเขาพรรคเขาหมูขึ้นมากะทันหัน เบื่อชนิดที่


จิตขอหลบเขาขางใน ขาดจากความรูสึกในตัวตนชั่วคราว ฉายวางออกมาจนจอตารับความเคลื่อนไหว
ของผูคนมากหนาหลายตารอบโตะเสมือนภาพเชิงซอน คือภาคหนึ่งเห็นเขาและเธอทั้งหลายสรวลเส
เฮฮาเปนปกติ รับรูวาใครเปนใคร ชื่ออะไร แตอีกภาคหนึ่งรูสึกเหมือนสักแตเปนสีสันและความเคลื่อน
ไหวหลอกๆ

เมื่อใจวางจากตัวตน สิ่งทั้งหลายที่เห็นก็วางจากตัวตนไปดวย

คลายกับใจเปลาๆเล็งมองสรรพสิ่งมาจากอีกมิติ ทุกอยางปรากฏราวกับเปนหุนเชิด หุนกระบอกกะโหลก


กะลา ทั้งดวงหนา ดวงตา รูหู รูจมูกของใครตอใครปรากฏครบพรอมตอจักขุประสาท แลดูประหลาดราว
กับไมเคยเห็นมากอน ทั้งนี้ก็เนื่องจากเมื่อความรูสึกในตัวตนขาดสายหายหนไป ก็เหลือแตใจรูเปลาๆที่
เปนเอกเทศจากอดีต ความกําหนดหมายแบบเดิมๆเหลือติดอยูเพียงนอยเทานอยในชั่วขณะนั้น

ราวกับดําน้ําลงไปแลวนําหนากากกระจกมาสวม ทําใหเห็นทุกสิ่งใตน้ําชัดเจนระยะหนึ่ง นั่นคือขณะแหง


การรูทั่วพรอม จะเรียกมหาสติก็ได แตแลวก็เหมือนถูกดึงหนากากกระจกออก ทําใหเห็นพรามัวไปอีก
นั่นคือขณะแหงการรูเพียงบางสวนเหมือนปกติสามัญ จะเรียกสติธรรมดาก็ได

ในวูบที่คืนกลับมาสูความรูสึกเปนตัวเปนตน และแกวไวนถูกวางประจําที่เขา ใจหนึ่งอึดอัดอยากบอก


ปฏิเสธ แตอีกใจก็คิดลองอนุโลมตามโลก หรืออนุโลมตามสมมุติ เพราะเคยทานเหลาใหเพื่อนกลุมนี้เห็น
มากอน อยูๆวันนี้บอกจะไมทาน เดี๋ยวถูกหาวาทําตัวแปลกแยก เยาะหยันถากถางหรือคะยั้นคะยอแกม
บังคับขึ้นมา ก็เกิดบาปเกิดกรรมฐานยัดเยียดพิษใหผูไมประสงคจะรับเปลาๆ

แตเมื่อบริกรจะวางแกวใหแพตรี มติก็รีบยกมือหาม

“ที่นี้ไมตองครับ”

เขาเอยแทนหลอนโดยไมหันถามความสมัครใจ เพราะรูวาแพตรีไมดื่มแนๆ จะเพื่ออนุโลมตามสังคม


หรือเพื่อเห็นแกเขาก็ตามที พอบริกรชะงักมือมติก็เงยหนาสั่ง

“ขอน้ําสมใหแทนแลวกัน”

ทุกคนในโตะมองมานิดหนึ่งแลวผาน เนื่องจากบุคลิกของแพตรีคอนขางบงบอกอยูในตัวเองทํานองมัก
นอย รักสันโดษ หรือกระทั่งชอบถือศีลแปด อีกอยางหลอนเปนคนนอกที่ติดตามมติมารวมโตะ จึงดู
ธรรมดาและไมทําใหเห็นแปลกแยกเทาไหร

“เฮ! ชนกันหนอยเพื่อนยาก”
๕๗๗

ทีฆายุยกแกวใหมติซึ่งเปนหนึ่งในผูไดรับรางวัลเชนเดียวกับตน มติยิ้มและยกแกวขึ้นกระทบกับใบของ
เพื่อนกริ๊กหนึ่ง แลวนํามาจิบเปนปกติ

กลิ่นเหม็นและรสเอียนทั่วชองปากชองคอของเหลากอความรูสึกผิดจัดขึ้นมาพิลึก เหมือนยอมรับสิ่ง
แปลกปลอมบางอยางเขาสูรางกาย แตก็ยังกลืนไดดวยเจตนารักษามิตรภาพ

มิตรภาพตามบรรทัดฐานของสังคม ชนแกวแลวตองดื่ม

คุยๆกันพักหนึ่ง อาจารยสมบูรณก็ชูแกวไวนในมือ พูดยกยองและกลาวถึงความสําเร็จจากงานประกวด


ของทีฆายุ ทําใหทุกคนตองชูแกวเชียรและกระดกเขาคอตาม

รอบนี้มติรูสึกเหมือนกินยาพิษ

เด็กหนุมขมวดคิ้วยน เหลือบมาสบกับแพตรี เห็นหลอนปรายตามองรออยูกอน กลิ่นไวนที่เขามาเปน


สวนหนึ่งในรางกายเขาไมผิดแปลกจากที่เคยลิ้มรสมาหลายตอหลายครั้ง ทวาความรอนในกายสิชอบกล
นัก เพราะไมรอนแบบกระตุนเลือดลมอยางเคย เปนความรอนแบบทรมาน ไลซาชาเหอมาตามใบหนา
และเนื้อตัวคลายคนเปนลมพิษออนๆ

รูสึกวากําลังทําผิดอยางแรง

กลืนน้ําลายตามลงไปหลายอึกอยางไมสบายใจ เขานั่งฟง และคุยโตตอบกับเพื่อนบางคน พออาหารมา


เสิรฟก็ทานเปนปกติ เมื่อไวนหมดและบริกรมารินเติมใหก็ปฏิเสธไมทัน ดังนั้นจังหวะหนึ่งเมื่ออาจารย
สมบูรณยื่นแกวมาใหชนดวยเปนสวนตัว จึงหลีกเลี่ยงไมไดอีกเชนเคย

สําเหนียกความสะเทือนที่กอตัวขึ้นในกาย และแผออกมาเปนความสั่นที่มือไม พอชนแลวก็คือตองดื่ม


มติพยายามหนวงจังหวะไว โดยทําเปนนํามาจอดมเอากลิ่นเสียกอนลิ้มรส

กลิ่นแอลกอฮอลฉุนเขาจมูก รับรูวานั่นคือที่ถูกปรุงขึ้นเพื่อเปนน้ําเมา ปรุงขึ้นดวยเจตนาปรับประสาทให


ทํางานอีกแบบหนึ่งตางจากขณะมีสติครองตัวเต็มรอย กับทั้งเกิดความเห็นภาวะรางกายตน วาถาดื่ม
มากกวานั้น ประสาทและสํานึกจะเริ่มแปรปรวนไป

ตัวหามเกิดขึ้น กลิ่นเหลากลายเปนกลิ่นน้ํานรกในสํานึกชั่วขณะจิตนั้นเอง

เปนสัมผัสนรกจริงๆ ไมใชอุปมาอุปไมย นั่นคือสัญชาตญาณรูของผูปดประตูอบายไดเด็ดขาดแลวนับแต


เกิดมรรคผล
๕๗๘

แตกอนเขาไมรูเหตุผลอยางแทจริงเลยวาทําไมการกินเหลาจึงเปนขอหามของศีลหา ตอเมื่อใจเปนศีล มี
ความวิสุทธิ์สะอาดจากทางนรกในบัดนี้ จึงเขาใจแจมแจง เทียบไดกับคนสติดีธรรมดาเมื่อเห็นไฟลุกทวม
ยอมไมเดินเขาไปยางสดตนเองเปนแน

เคยสงสัยอยูเหมือนกันวาเมื่อเปนอริยบุคคลแลว จะตองทําหรือไมทําอะไรบาง เปนไปอยางตําราวาไว


เปะเลยหรือเปลา ผูถึงธรรมทุกทานจะเสพหรืองดเสพสิ่งตางๆเหมือนกันหมดโดยไมตองนัดหมายเลย
จริงๆละหรือ?

ตอนนี้หายสงสัยแลว เมื่อเปนศีลดวยตัวเอง ระบบทั้งหมดโดยองครวมไมวาจิตหรือกาย ตางรวมกัน


ปฏิเสธสิ่งแปลกปลอม กลาวคือตอไปนี้สารใดๆก็ตามที่เขาสูรางกายแลวมีฤทธิ์กดประสาท แปรสติไปใน
ทํานองมึนเมา เห็นผิดเปนชอบทั้งปวง เปนอันถูกปฏิเสธทั้งสิ้น ใชแตจะหมายเพียงสุราเทานั้น

เขายกแกวแตะริมฝปาก จิบนิดหนึ่งสักแตเปนละครตามมารยาท ทวาปลอยให ‘น้ํานรก’ ซึมลิ้นเพียงนิด


เดียว ไมลวงผานลําคออีก

เหลาที่ลวงผานลําคอไปกอนหนา บัดนี้เริ่มออกฤทธิ์เปนที่รู คนธรรมดานั้นไวนแกวเดียวจะไมเกิดอาการ


ผิดแปลกเลย แตสําหรับมติ นอกจากรอนปุดอยูใตผิวหนัง อึดอัดไมสบายทั้งกายและใจแลว จิตยังเริ่ม
แผลงสภาพไปเอง คือเกิดอาการหลบใน ตั้งมั่นแนนิ่งอยูกับที่ ไมเขามายุงเกี่ยวกับกายเต็มๆ กลาวคือตั้ง
ปอมรูเฉยเมย มองดูไฟนรกมันลุกโชติอยูโดยรอบ ไมเฉียดเขาไปแตะตอง หากกลาวตามนัยของความ
เขาใจปกติ ก็ตองวาทุกขทรมาน ไมยินดีกับเหลาที่เขาปากแมเพียงเสี้ยวแหงเสี้ยวใจ

มติพยายามลดดีกรีรุมรอนในกายลงดวยสติกําหนดลมหายใจ จึงคอยยังชั่วขึ้นบาง แมซาเหอตามผิว


หนังไมหยุด เกิดความเขาใจตอเนื่องตลอดสาย วาสําหรับศีลขออื่นจะถูกรักษาไวเองทาไหน

หากมีสถานการณบีบคั้นใหฆาสัตวตัดชีวิตหรือลักขโมย มือไมคงแข็งทื่อเปนทอนเหล็กหมดทางขยับ
เขยื้อน เพราะชีวะของสัตวและทรัพยของผูอื่นยอมมีกระแสหามในตนเองที่อริยเจาสัมผัสได ฉะนั้น
แนนอนวาตอไปนี้หมดสิทธิ์ประกอบอาชีพเชนพรานหรือคนงานโรงฆาสัตว อันนี้มีตัวอยางบันทึกไววา
ในสมัยพระพุทธองคยังทรงพระชนม พรานปาผูบรรลุโสดาปตติผลหันหลังใหอาชีพเกาทันทีดวยตนเอง
ไมมีใครบังคับ และไมไดเรียนรูพระธรรมวินัย หรือกฎเกณฑที่วาอริยบุคคลตองทํานั่นทํานี่ หรือไมทํา
อยางนั้นอยางนี้

หากมีสถานการณบีบคั้นใหผิดลูกที่ยังอยูในปกครอง เลี้ยงตัวเองไมได หรือเมียใครที่ผัวเขายังไมหยา


ขาดดวยกาย วาจา ใจ ก็จะไมมีความพรอมในการทําอกุศลกิจดวยประการใดๆ

หากมีสถานการณบีบคั้นใหมุสา อันนี้เขาผานเหตุการณสอบใจมาแลวเมื่ออยูในรถของทีฆายุ เขาจะอา


ขากรรไกรดวยเจตนาตอบเปนตรงขามกับความจริงไมได อยางมากที่สุดคือพูดเฉพาะความจริงสวนที่
พูดได หรือเลี่ยงเปนอื่น หรือเลือกทางสุดทายคือเงียบเสียดื้อๆ
๕๗๙

แท็กซี่แลนมาจอดหนาบานปูชนะ มติควักกระเปาสตางคออกมาจายตามมิเตอร แลวลงจากรถพรอมแพ


ตรี ยังคงมีความขมของเหลาและความรูสึกผิดติดตามตัวไมเลิก นึกในใจวาตอไปนี้เหลาหยดเดียวก็อยา
ไดมาแตะปลายลิ้น เขาเปรียบเหมือนคนเปนโรคแพสุราถาวร คงตองประกาศตามนั้น ถาสังคมไมเห็นใจ
เขาก็ไมจําเปนตองเห็นแกสังคมเชนกัน

แพตรีลวงกุญแจออกมาไขประตู แตมติเรียกรั้งไว

“พี่แพ”

หญิงสาวเหลียวมา เลิกคิ้วสูงเปนเครื่องหมายคําถามวามีอะไร

“พี่จะไปนั่งดูทะเลกับผมจริงหรือเปลา?”

“จริงสิ แพเคยหลอกเธอสักครั้งเหรอ” แลวหลอนก็เหลือบตาคิด “พรุงนี้เลยไหมละ ไปเชากลับเย็นทันใช


ไหม?”

“ฮะ ทัน ไปใกลๆแถวชลบุรี พัทยานี่ก็ได”

“ถางั้นจะรอที่บานนะ ออกสักเจ็ดโมงเชาเปนไง”

“ฮะ” แลวเขาก็จองตาหลอนนิ่ง “พี่แพ ผมอยาก เออ…ถามอยางตรงไปตรงมาสักอยางหนึ่ง คือ…”

พูดตะกุกตะกักจนตองกลืนน้ําลายลงคอฝดๆ กมหนาลงและรูวาใจแข็งไมพอจะเอยถามตามตองการ

“คืออะไรละ?”

มติถอนใจเฮือก รวบรวมความกลาทั้งหมดมาไวที่ริมฝปาก

“พี่แพจะแตงงานกับผมไดไหมฮะ?”

แพตรีรับฟงดวยสีหนาเรียบเฉย ไมสะดุดวูบแตอยางใดทั้งสิ้น หลอนมองหนามติพักหนึ่ง เขาสบสานดวย


เปนครู กอนเหลือบหลบลงต่ําคลายกลัวถูกหลอนดุ หญิงสาวตระหนักในบัดนั้นวาเขาไมมีความพรอมจะ
เปนเจาของหลอนเลย มีแตความปรารถนาที่จริงจังและจริงใจเทานั้น

คําถามที่มีมาเร็วเกินไปของมตินั้นเอง ทําใหแพตรีรูสึกวาตนยังคงเปนผูหญิงของเกาทัณฑ คลายทาสรัก


โงๆซื่อๆที่ไปไหนไมรอดสักที ถึงฉลาดคิด มีสติปญญาดานอื่นเพียงใด ก็เหมือนเปนเอกเทศ คนละสวน
กันกับหัวจิตหัวใจอยางสิ้นเชิง หลอนเพียรพยายามมานานป ที่จะผูกความคิดเปนเหตุเปนผล ศึกษาและ
๕๘๐

ทําใจใหรักวิทยาศาสตรเพื่อกลบเกลื่อนอาการฝงใจผูกมัดกับเรื่องลี้ลับ ทวานั่นก็เปนความพยายามที่สูญ
เปลา ความรักที่เกิดจากบุพเพสันนิวาสในชาติใกลนั้นรุนแรงและแนนเหนียวยิ่งกวาโซตรวนที่มัดรางไม
ใหกระดุกกระดิก ใหทําอยางไรก็ดิ้นไมหลุด

เหมือนของตายในมือเขา

โดยเฉพาะในชวงหลังที่เขาขอหลอนแตงงาน และบอกผูใหญเตรียมหมั้นหมายไวอยางดิบดี ก็สิ้นความ


เคลือบแคลง ปลอยใหความรักล้ําลึกเขาครองจิตใจเทาแตกอนเกาทุกประการ

พอรูวาเขารักคนอื่นเทาหลอน ก็เหมือนถูกฆาทั้งเปน

ยังรักและคิดถึงเขาอยูทุกวินาที ทั้งเสียใจ ทั้งนอยใจ กลางวันดูยิ้มแยมแจมใสเปนที่นานับถือของเด็กๆ


แตกลางคืนบางทีนอนรองไหหมดทา แมปรับสติทําสมาธิ อานหนังสือใหใจมีที่จับบาง ก็แคชั่วประเดี๋ยว
ประดาว ยิ่งอยากลืมก็ยิ่งเหมือนย้ําใหจําชัดขึ้นทุกที

บัดนี้คงถึงเวลาตองทบทวนตนเอง หลอนเอาเคราะหมาฟาดมติหรือเปลา? หลอนใชเขาเปนสิ่งยึดเหนี่ยว


แทนเกาทัณฑอยางไมเปนธรรมหรือเปลา? ผลที่ไดจะคุมเสียหรือเปลา?

คิดงายๆตามประสาคนไมรู คือเปนผูหญิงของใครก็คงไปกับคนนั้น เสนทางไปนิพพานของเกาทัณฑยืด


ยาวเยิ่นเยอจนชักนึกกลัวความไมแนนอนอันดํามืดในภายภาคหนา แตเสนทางของมติอยูสั้นเหมือนแค
เอื้อมถึง สวางกระจางแจงเห็นชัดยิ่ง

หลอนวาหลอนขยาดกับการเกิดตายเต็มที ระลึกไดชาติเดียว เห็นความไมแนนอนแคนี้ ก็เหลือจะพอกับ


สํานึกลึกซึ้งถึงแกนโทษภัย ความไมนาพิสมัยของชาติภพ ถายังติดอยู ยังของอยู ก็เวียนเกิดตายอยูกับ
ความไมรู แตกลับเกิดอุปาทานหลอกตัวเองวารูๆๆเยี่ยงนี้ไปเรื่อย

แมปลงคิดเปลี่ยนใจมาหามติแลวก็ตาม แตอยางหนึ่งที่รูก็คือวันนี้ เดี๋ยวนี้ หลอนคงรักเขาอยางชนิดที่จะ


ใหมาครองกายครองใจไมไหวแนๆ พอเขาชวนแตงงานแลวเห็นเปนเรื่องเลื่อนลอยไกลตัวเหลือเกิน

“เราคบกันมานานมากนะมติ” แพตรีคอยๆพูด “และอยูกันมาอยางพี่อยางนอง ถาอยากใหทุกอยาง


เปลี่ยนแปลงไป เราคงตองชวยกันพูดถึงสิ่งที่พอดีกับความรูสึก ชวยกันทําสิ่งที่เกิดขึ้นไดในวันนี้วันพรุง
ไมใชกระโดดไปคุยกันเรื่องไกลเกินตัว”

มติกะพริบตา พยักหนาอยางเขาใจ

“ที่พี่แพ…ยอมใหโอกาสเปลี่ยนแปลง เพราะ…เพราะเขาทําไมดีกับพี่แพใชไหม?”

แพตรีสะอึกอึ้ง แตก็ชั่วครูเทานั้น
๕๘๑

“ใช!” หลอนตอบตรงไปตรงมา “เธอรับไดไหมละ?”

มตินิ่งซึม แพตรีนึกสะใจขึ้นมาขณะจิตหนึ่งประสาคนที่ยังรกดวยกิเลสในสวนลึก เหมือนไดที่ลงเพื่อ


ระบายความคับแคนออกมาเสียบาง ทวาวูบเดียวก็สํานึกผิด ดวยเห็นชัดวาพฤติกรรมดานลบถายทอด
ถึงกันอยางที่เรียก ‘ติดเชื้อราย’ ไดอยางไร หากปราศจากสติและความมั่นคงในตนเองแลว คนเรารับเชื้อ
รายจากบุคคลแวดลอมเขามาเทาไหรก็ยิ่งรายขึ้นเรื่อยๆเทานั้น

เมมปากกอนเอยแผว

“ยอมรับวาคิดใชเธอเปนเครื่องลบเขาออกจากใจ ถาเห็นวานั่นเปนความผิด ก็อยามาสนใจกันเลย”

มติสายหนา

“ถาอยางนั้นผมก็ผิดดวยครึ่งหนึ่งที่เจียมตัวนอยไป”

แพตรีนิ่งไปพักใหญ กอนเอยนุม

“พี่จะไมหลอกตัวเองแลว”

หลอนคืนฐานะเดิม เมื่อตระหนักวาตนเองอึดอัดมาทั้งวันกับการลองพยายามผันสัมพันธภาพเปนอื่น
แบบปุบปบ

“วันไหนเราเห็นกันและกันเปลี่ยนเปนอื่นไดจริง คอยรวมรูและยอมรับตามนั้น ตกลงไหม?”

เด็กหนุมพยักหนา

“ฮะ…” แลวก็ถามใหหายของใจ “วาแต ที่พี่แพรับปากวาพรุงนี้จะไป…”

แพตรีหัวเราะถอนฉิวกอนที่เขาจะถามจบ ทําใหมติชะงักคาง

“บอกวาไปก็ไปสิ เอ…”

หญิงสาวแกลงแหว เห็นเขาตกใจแลวก็อดขําไมได เพิ่งประจักษชัดจากตัวตนของนองชายตรงหนา วา


ภูมิธรรม ภูมิปญญา และวุฒิภาวะความเปนผูใหญนั้น ไมจําเปนตองควบคูมาดวยกันเสมอไป มติยังคง
เปนเด็กชายผูออนเยาวตลอดกาลเมื่ออยูตอหนาหลอน หากเขาขาดความเชื่อมั่นอยูอยางนี้ หลอนก็คง
เห็นเขาเปนนองชายเรื่อยไปเชนกัน ไมมีวันเห็นเปนอื่นไดเลย แมในสวนลึกจะเคารพธรรมภายในของ
เขาก็ตาม

“พอจะเลาใหฟงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหวางเขากับพี่แพไดไหมฮะ?”
๕๘๒

หญิงสาวนิ่งไปพักใหญ กอนเอยเนิบ

“ไวนึกอยากเลาแลวจะเลานะ เขาบานละ”

ในความเงียบเชียบของค่ําคืน มติกลั้นใจดึงมือหลอนมากุมดวยทาทีเชื่อมั่น

“พรุงนี้เจ็ดโมงผมมารับนะ”

แพตรีกระตุกมือกลับและเผลอดุ

“ไมเอานา”

นั่นทําใหมติคอตกวูบไปอีก แพตรีเห็นแลวอดสงสารไมได ลังเลเปนครูกอนยกมือไลแกมเขานิดหนึ่งแลว


ตบเบาๆ

“กลับไปนอนซะนะหนุมนอย จะไดรีบฝนดีลวงหนา”

สัมผัสนุมนวลชวนหลงนั้นทําใหมติไมอยากปลอยใหหลอนจากไปไหน แตก็จนใจเมื่อแพตรีกาวเขาบาน
หายไปโดยไมเหลียวกลับมาใหความสนใจเขาอีก

แพตรีอาบน้ําเสร็จก็ปดเรือนแนนหนาและเขาหองนอนดวยความคิดจะหลับใหสนิท สมกับความเหนื่อย
ออนทั้งรางกายและจิตใจ

หลอนปดไฟหองนอนไวมืด เมื่อเปดประตูเปดไฟจึงตกใจจนเกือบหลุดหวีดกับรางสูงที่ลุกเนิบจากทานั่ง
ขยับเดินใกลเขามา

ปรับสติไดรวดเร็ว เพราะเกาทัณฑเคยทําอยางนี้หนหนึ่งแลว จึงสรางความประหลาดใจไดนอยลง ตา


สานตานิ่ง ฝายหนึ่งทอดออนอยางเตรียมขอทําความเขาใจ อีกฝายเย็นชาอยางเจตนาประกาศความเปน
อื่น

เขาคงมาซุมในบริเวณบานนานแลว เมื่อหลอนเปดเรือนเพื่อขึ้นมาบนหองและยอนลงไปอาบน้ํา จึงถือ


โอกาสบุกรุกอุกอาจอยางนี้

“พี่เต” แพตรีทักเสียงเย็น “เคยมีมารยาทผูดีกับเขาบางไหมคะ?”

หลอนวาเอาตรงๆ เพราะไมตองการใหเขาไดใจอีกและอีกอยางนึกวาหลอนเห็นเปนเรื่องธรรมดา
๕๘๓

“พี่แคอยากใหแนใจวาเราจะไดคุยกัน ขอโทษที่เสียมารยาท”

เกาทัณฑตอบเรียบ แพตรีกอดอกยิ้ม ซอนความเจ็บแปลบเหมือนถูกเข็มแทงเอาไวอยางมิดชิด

“คะ ครั้งนี้ยกให แตถาจะกรุณา ก็ขอกุญแจบานคืนดวยเถอะ พี่ถือสนิทเกินขอบเขตแบบนี้รูสึกจะมากไป


แลว”

พูดจบก็เปดประตูกวาง

“ถามีธุระดวนขั้นคอขาดบาดตายก็ลงไปคุยกันหนาบาน แตถาไมถึงขั้นนั้น ก็เชิญกลับ”

เกาทัณฑเดินมาดวยทาทีคลายจะปฏิบัติตามที่หลอนตองการ คือสายตามองไปนอกหองเหมือนตั้งใจเดิน
ออก แตพอไดระยะ ก็กลับยกมือปดประตูลงหนาตาเฉย

“คุยกับพี่ที่นี่เถอะ ถาภายในครึ่งชั่วโมงนี้ยังรูวาแพจงเกลียดจงชังจนยอมรับนับถือกันไมไดอีกตอไป ก็
สัญญาวาจะไมมาหาใหรําคาญใจอีกแลว”

แพตรีใจออนยวบ นึกอยากรองไหขึ้นมาเฉยๆ ไดแตสะกดกลั้นไวภายใตสีหนาเรียบราบเย็นชา

“ที่จริงเราไมนาจะมีเรื่องตองพูดกันอีกแลวนี่คะ”

เสียงหลอนเครือสั่นเกินควบคุม

“มี แลวก็มากดวย”

“ถาอยางนั้นก็เริ่มพูดเลย แตถายาวเกินไปนักอาจทนฟงไดไมจบนะ พรุงนี้แพตองตื่นเชา มีนัด”

เกาทัณฑยิ้มละไมอยางจะตรึงหลอนไวดวยเสนหแหงผูเปนที่รัก แพตรีอดมองไมได แตที่สุดก็สะบัดหนา


หนี กาวเดินไปนั่งบนเกาอี้หนาโตะทํางาน ปดปากสนิท

“ทําไมแพไมใชรถเลย?”

“ถามก็ดี ชวยเอาคืนไปเสีย ทําหนังสือโอนกลับเปนชื่อพี่ดวย เราหมดพันธะตอกันแลว”

“พันธะระหวางเราคืออะไร?” ชายหนุมถามเสียงเนิบ ยืนอยูที่เดิม “อะไรที่มันหมดไปหรือแพ ใจหรือวา


ขอผูกมัดชนิดไหน?”

คําถามสั้นๆนั้นเหมือนสะกดใหหลอนมองยอนเขามาในใจ เห็นเยื่อใยอยูที่นั่น มั่นคงไมเคยเปลี่ยนแปลง


เลย และเพราะเห็นความจริงเชนนั้นจึงเจ็บสุดทน
๕๘๔

“อยาพูดวกวนเลยคะ ใหจบกันแบบตรงไปตรงมาดีกวา พี่มีธุระอะไร?”

เกาทัณฑระบายลมหายใจยาว สาวเทามานั่งบนขอบเตียงหลอน แพตรีปรายตามองตาม แลวเมินไปทาง


อื่น เพราะเครื่องเรือนในหองหลอนมีนอยชิ้น หาที่นั่งไดก็แตเกาอี้ประจําโตะทํางานและเตียงนอนเทานั้น

“กอนอื่นปรับความเขาใจสักนิดเถอะนะ แพกําลังโกรธพี่อยูหรือ?”

“คะ”

“เรื่องอะไร?”

แพตรียิ้มเย็น โคลงศีรษะนิดหนึ่งอยางออนใจ

“ถาไมรูก็ชางเถอะคะพี่”

“พี่หายหนาไปหลายอาทิตย ไมบอกไมกลาว แพคงนึกเคือง”

หญิงสาวใชน้ําหนักตัวหมุนเกาอี้หันมองอีกฝายในแนวตรง กลาวสม่ําเสมอดวยอารมณคงที่

“อยาเรียกวาทําใหเคืองเลยคะ เอาเปนทําใหรูดีกวาวาแพมีความหมายสําหรับพี่ในระดับไหน ถาหากจะ


นึกเคือง ก็คงเปนเรื่องเกา ที่ยอนคิดทบทวนเทาไหรก็เห็นแตความหลายใจ มีคนที่พี่รักอยูกอนหนาแลว
ยังมาหลอกขอแพกับผูใหญ ถาไมตกเปนขาวใหรูไสพุง ปานนี้คงหนักใจกันทุกฝาย”

“เรื่องนี้…พี่นึกวาครั้งสุดทายเราเขาใจกันแลว”

“คะ เขาใจวาพี่มาหาแพในวันนั้นเพื่อจองจะรักษาแพไว ในขณะที่ไมคิดจะทอดทิ้งอีกคนไปไหน วันนั้น


สมองแพหนักจนลืมบอกคะวา…อยามาใหเห็นหนากันอีก”

เกาทัณฑยิ้มนิดหนึ่ง โครงสรางความสัมพันธระหวางเขากับแพตรีปราศจากฐานใดรองพื้น ถาไมใชคน


รักก็กลายเปนอื่นไปเลย แตกตางจากเรือนแกว ที่แมไมใชคนรักก็ยังเปนเพื่อนกันได แพตรีคอนขางปด
ตนเอง ทําใหมีใจมั่นเปนหนึ่งเดียวยากจะเปลี่ยน สวนเขาและเรือนแกวเปนตรงขาม คือคอนขางเปดเสีย
จนมองอีกแงไดวาเผื่อใจไวมากเกินไป

“หลายอาทิตยนี้พี่อยูไกลเมือง ไกลคน และเมื่อกลับมาก็ตรงหาแพเปนคนแรก อยากรูเหตุผลไหมวา


ทําไมพี่ถึงหายหนา แมแตพอแมก็ไมบอกกลาว?”

“พอเดาไดคะวาถูกเจากรรมนายเวรตามลาอยู”

“ฟงดูไมมีเยื่อใยเลยนะ ถาพี่โดนฆาตายแพคงตบมือดีอกดีใจอยูในหองนี่เอง”
๕๘๕

“คงไมถึงขั้นนั้นหรอกคะ”

สุมเสียงหลอนยังชาเย็นคงเสนคงวา แมเขาจะหาทางติดตลก หลอนก็ปดใหเขาทางเปนงานเปนการอีก

“ตลอดมาพี่ก็ดีกับแพ ทําใหแพหลงใหลไดปลื้มจนรับจะรวมทุกขรวมสุขดวย แพคงเศราบาง แตเมื่อนึก


วาความตายของพี่คือทางไปหาคนที่พี่รัก ก็คงสมเพชตัวเองมากกวาจะอาลัยไยดีใคร”

“แพ…” เกาทัณฑถอนใจ “เชื่อเถอะวาตอใหตายดับ พี่ก็ลืมความรักระหวางเราไมได ไปหาคนอื่นก็ไม


เปนสุขหรอก”

“นาขํา!” แพตรีพยายามสะกดอารมณ “ลองดูแลวหรือคะถึงรู?”

“ใช พี่รู” ตอบเนิบกอนจะเริ่มประโยคสืบสานดวยกังวานลึกกวาเดิม “เหมือนที่ครั้งหนึ่งพี่เคยถือพรต


รักษาพรหมจรรย เพื่อรอพบแตเธอคนเดียวไงละ…ลี”

แพตรีชาวาบไปทั้งราง ตะลึงตะไลตาคางขณะจับจองเกาทัณฑราวกับเขากลายเปนใครอีกคนที่หลอนจํา
ผิดตัว เขาแยมยิ้มแนนิ่ง นัยนตาทรงอํานาจผิดแผกจากเมื่อกอนเปนคนละคน มองหลอนดวยทาทีสงบ
เนิ่นนานจนแพตรีกลับสติ

“อะไร…สับสนหรือเปลา เรียกชื่อใครออกมานะ?”

“จะใหเลาไหมวาพี่ลําบากตามหมอกี่เมือง ใชเงินไปเทาไหรเพื่อรักษาเธอกอนที่เราจะหมดหวัง ยอมให


ความตายมาพราก?”

ชัดพอ เขาจําได…

สภาวะอารมณแปรเปลี่ยนไปสิ้น ราวกับถูกกระชากจากหันหลังเปนหันหนา น้ําตาเออขึ้นหลอรื้นฉับพลัน


แพตรีจับมองรูปงามของชายหนุมดวยแววโหยหารุนแรง ภาพรางตรงหนาอันเปนปจจุบันประทับกลาง
คลองเนตรแจมชัดตรึงจิต ทั้งคุนเคย ทั้งแปลกใหม ยังผลใหตกภวังคประหลาด เอยเอื้อนคําใดไมไดเลย

เกาทัณฑคอยๆเอยเหมือนรินน้ํา

“เธอระลึกไดชาติเดียวยังนอยนัก เพราะเราไมไดเกื้อกูล ไมไดพิสูจนใจกันขนาดยอมหมดตัวลมจมแค


ครั้งเดียว ถาเธอยอนจําลึกพอ จะเห็นวาแมชีวิตพี่ก็ใหเธอได และใหมานับครั้งไมถวนแลวดวย”

สบตาเขา เห็นแววอาทรเดิมแทที่รอคอยมาแสนนาน ประกายกลาในแกวตาสีเหล็ก น้ําเสียงทุมนุมนวล


เปนกังวานใสลึก ประกอบกับทวงทีเนิบนิ่งเปนสงาเยี่ยงสุขุมาลชาติ รวมกันนาวใจหลอนใหออนยอบลง
๕๘๖

คลายเด็กหลงทางตะลอนหนาวมาพบความอบอุนของปราสาทสวยแพรวยิ่งใหญ ที่เปดประตูโอฬารอา
พรอมรับผูกลับสูบานเกาเสมอ

ชายหนุมลุกขึ้นและกาวเดินเขามาหา พอถูกแตะตนแขนเพียงแผว แพตรีก็ลืมหมดสิ้นวาเคยตั้งใจเลิก


รางหางหายจากเขาใหเด็ดขาดอยางไร ลุกขึ้นกระหวัดกอดรางสูงเต็มออม ยิ้มปติและปลอยใหเม็ดน้ํา
คอยๆกลอกกลิ้งลงมาตามผิวแกม กระทั่งระลอกหลังตามมาเปนสายยาวหลั่งรินลงเปยกเสื้อเขา
เกาทัณฑกอดรับและยืนตรงแนนิ่งดุจเสาหลักที่พรอมจะใหหลอนเกาะยึดตลอดกาล

สัมผัสภาวะความเปนคูครองอันแนนแฟนไมเปนอื่นตอกัน สูงเหนือกระแสรักสวางไสวพื้นๆ เพราะ


ประกอบพรอมดวยความตระหนักตามจริงวาอัตภาพอันสานรับเขากันสนิทนี้ สืบเนื่องมาจากสายสัมพันธ
ในอดีตเชนไร บุพเพสันนิวาสมิไดปรากฏเปนเพียงคลื่นความสะเทือน สะกิดใจเพียงแผวเลือนเหมือนคู
แทอื่นๆ ทวาหนักแนนดวยการรองรับทางความรูแจงและปญญากระจางถึงเบื้องหลังเปนมาเปนไป

เสพรสอมฤตอันทอดเงายาวเปนอมตะ ดุจจะชนะความตายได…

ความรักชนิดนี้มิไดเกิดขึ้นลอยๆ แตตองผานความเจ็บ ผานทะเลน้ําตา ผานสารพัดทุกขสุขรวมกัน รวม


บุญรวมอธิษฐานจนเกินจะนับ

ใจเกาในรางใหม ความรักเดิมบนพื้นเพผิดแผก สนิทคุนเคยทามกลางความแปลกเปลี่ยนซับซอน ทรง


มนตขลังดึงดูดใหปฏิพัทธสุดตาน

ธรรมชาติของผูระลึกไดเพียงภพเดียวที่ผูกพันสุดใจนั้น เมื่อมีบุคคลหรือสถานที่มาสะกิดเตือนใหหวนนึก
ถึง จะสําคัญไปวาตนยังมีความเปนเชนนั้น ไมตายจากความเปนเชนนั้น ยิ่งถาหากนิสัยใจคอใกลเคียง
กับตัวตนเดิม ก็แทบไดความกําหนดหมายทั้งหมดกลับคืนมา ถึงแมรูปรางหนาตาจะแปลกเปลี่ยนไป
มากก็ตาม

เชนสําหรับหญิงสาวยามนี้ ไมเห็นเปนอื่นเลยนอกจากตนเปนเมียเขา…

เกาทัณฑชอนรางออนเหมือนหยดน้ําลอยขึ้นเดินเนิบมาวางบนเตียง ชุดนอนแมรัดกุมก็ยังแบบบางยวน
สัมผัส เนียนเนื้ออัดอิ่มของหลอนชางนากอดรัดไปทั้งตัว เกินหักใจทน เขาโนมหนาลงเยี่ยงภมรที่
ปรารถนารสหวานจากเกสรดอกไม

ทีแรกแพตรีเคลิ้มในรสรักสนิทใจแหงความเปนคูแทไปกับเขา จะยอมโอนออนผอนตามเชนผูไมอาจทน
กระแสสังสารวัฏอันวิจิตรพิสดารพันลึก ทวาเมื่อนึกไดถึงคําสอนของปู ที่วางานแตงเปนพิธียกระดับจิต
ใจใหมองการไดเสียกันเปนเรื่องสูงกวาความตองการทางเพศธรรมดา เมื่อเริ่มตนดวยการใหเกียรติ เห็น
เหมือนสมบัติที่ไดมายาก การมองชีวิตคูจะเปนไปแบบผูใหญเต็มตัว ตางจากเด็กที่ชิงสุกกอนหามเปน
คนละเรื่อง
๕๘๗

คิดเชนนั้นแพตรีจึงกระถดตัวหลบ พรอมผลักมือเขาทิ้งจากเรือนกายอันเปนเขตตองหามไปทุกตารางนิ้ว
และใชเสียงเขมเตือน

“ไหนสัญญาแลวไงคะวากอนพิธีแตงจะไมทําอะไร”

เกาทัณฑงุนงงเล็กนอย เพราะแนใจวาในภาวะอารมณดูดดื่มแนนแฟนเห็นปานนี้ แพตรีคงเลิกขัดขืน


แลว ที่ไหนได ยังหวงตัวจนวินาทีสุดทาย ชายหนุมหัวเราะเบาๆอยางพยายามทําความเขาใจ เดิมทีก็ไม
คิดลงมือจริงจังนัก เพราะผานทุกรสมาหมดแลว ไมสงสัยแสวงอยากรุกรอนอันใดสิ้นแลว เมื่อหลอน
ปรามจึงยั้งไวแคนั้น แตก็ยังคิดกลอม

“แครใคร ในเมื่อเราเปนของกันและกัน เขาพิธีกันมาตั้งเทาไหร”

“ปูไงคะ ถึงตอนนี้แพทํางานแลว นับวาปกครองตัวเองได ไมถือวาพี่ผิดลูกใครเขา ก็นาจะเกรงใจ เพราะ


แพยังอาศัยเรือนทานอยู และนี่ก็ไมใชเรือนหอของเรา”

ชายหนุมยิ้มเบะ

“ปูนะเหรอ? รูวาพี่มาเอาแพไปเสียทีก็โลงอกเทานั้น ก็พี่เปนคนฝากแพกับมือนี่! ทุกวันนี้ทานก็รอพี่มา


เอาภาระคืนจากอกทานไปนั่นแหละ เพิ่งมองออกวาปูรูอะไรไปหมดมาตั้งแตตน อยางที่ทานไมอยูวันนี้
นะ นึกวาบังเอิญเหรอะ?”

แพตรีอึ้ง เชื่อแลววาเขารูกระจาง พอเกาทัณฑเห็นหลอนนิ่งก็สําทับอยางเปนตอ

“เอาละ มีเหตุผลอีกไหม จะเสียเวลารอพิธีไปเพื่ออะไร?”

หญิงสาวกะพริบตาคิด กอนพูดวอน

“เพื่อสามัญสํานึก เพื่อเกียรติภูมิของความเปนมนุษยผูหญิง และเพื่อแสดงใหรูวาพี่เห็นคาของแพสูงกวา


กรวดทรายในบานเกา ที่เก็บเลนหรือปาทิ้งเมื่อไหรก็ได ไวเราเกิดในภูมิที่ต่ํากวานี้ ถาพี่อยากใชสัญชาต
ญาณนําความรูสึกใหเกียรติ เวลานั้นแพคงไมวา”

ชายหนุมฟงแลวแกลงทําตาโตอาปากคาง พอแพตรีหัวเราะขบขันทาแสรงอึ้งของเขา เกาทัณฑก็จับคาง


หลอนสั่นไปมา

“ชางพูดนักนะ”

แลวเขาก็ลงนอนเทาศอกตะแคงขาง ยุติทาทีรุกรานลงสนิท เหลือแตการดึงมือนอยมากุมไวอยางแสน


ถนอมดุจกํากลีบกุหลาบโดยระวังมิใหเสียรูป
๕๘๘

“คิดถึงแพมากเลย”

“พี่ไปไหนมาละ?”

หญิงสาวถามดวยสําเนียงเงางอน

“เขาปา”

“จริงเหรอ?”

“จริง”

แพตรีปดตาลง ยอมใหเขาประทับริมฝปากลงบนหนาผาก กอนลืมขึ้นมองดวยแววพิศวง และพอจะไดคํา


ตอบวากระแสจิตที่ดูเขมขลังผิดปกติของเขาในยามนี้มีที่มาอยางไร และเหตุใดจูๆจึง ‘จํา’ เรื่องราวหน
หลังเขาได

นั่นเปนประเด็นที่หลอนจะเอาไวถามทีหลัง เบื้องแรกที่อยากรูมากกวาคือภัยที่จอติดประชิดตัวในบัดนี้

“ที่ออกมาแปลวาแนใจในความปลอดภัยแลวหรือคะ?”

“ยัง…”

คราวนี้น้ําเสียงเขาออกวิตก หัวคิ้วขมวด หนาเครงลงนิดหนึ่ง

“เรื่องเปนยังไง เลาใหแพฟงบาง”

เกาทัณฑเมมปากอยูพักใหญเพื่อเรียบเรียงถอยคํา มองตาหลอน เกิดความตื้นตันลนอกเมื่อเห็นแพตรี


มองตอบนิ่งๆ ปราศจากวี่แววกริ่งเกรงเงื้อมเงาภัยรายที่เกาะติดหลังเขามาแตอยางใดทั้งสิ้น

“พี่มาเพราะทนคิดถึงแพไมได และคอนขางแนใจวาคืนนี้ เดี๋ยวนี้ ที่นี่ จะยังคงปลอดภัย”

“ที่ตามลาพี่อยู คือคนรายที่ตํารวจบอกวาแหกคุกหนีมาไดใชไหม?”

ชายหนุมพยักหนา แพตรีถามอีก

“พี่แนใจไดยังไง?”

เกาทัณฑยิ้มมุมปาก ตอบเทาที่จะสามารถตอบ

“เรือนแกวไมมีศัตรูกับใคร ทรัพยสินก็อยูครบ แสดงถึงเจตจํานงแกแคน แคนั้นนาจะเพียงพอแลว“


๕๘๙

เวนจังหวะครูหนึ่ง กอนเอยปลงๆ

“และเหตุการณรุนแรงในหองพักคืนนั้น คนที่กอความแคน สรางความเจ็บกายเจ็บใจใหกับไซ…ฆาตกรที่


เรากําลังพูดถึงกัน นาจะเปนพี่โดยตรง ไมใชเรือนแกวหรอก”

“แลวทําไมเปาหมายแรกถึงเปนพี่เรือนแกว?”

เกาทัณฑโคลงศีรษะ

“เรือนแกวถูกเอาชีวิตกอน เปาหมายก็คือพี่เองนั่นแหละ”

พูดจบก็ดึงตัวขึ้นนั่ง ทําใหแพตรีลุกขึ้นนั่งพับเพียบตาม ความอยากรูเรื่องตลอดสายทําใหลืมไปชั่วคราว


วาเรือนแกวมีความสําคัญอยางไรตอคนรักของหลอน

“ยังไงคะ?”

ชายหนุมโคลงศีรษะอีกครั้ง ทอดตาออกสูความมืดนอกหนาตาง

“พี่รูสึกถึงกระแสความอาฆาตที่รุนแรงมาก กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังรูสึก เหมือนมีกระไอวิญญาณรายหอหลัง


อยูตลอดเวลา เวรกรรมเหลือเกินที่ไปเจอพวกนรกนี่เขา แถมเรือนแกวยิงขาตัวหัวหนาจนหวิดจะพิการ
คงยิ่งเรงความแคนเปนทวีคูณ ตลอดชีวิตที่สะอาดหมดจดของแพคงไมเคยเฉียดใกลพวกนี้หรอก ผูหญิง
ไมมีทางสูมันยังยิงไดอยางเลือดเย็น เพียงตองการเปนตัวอยางใหพี่รูตัววาจะถึงฆาตบาง คงอยากลอบ
มองพี่ทรมานอยูกับความหวาดผวา เปนโรคประสาท หรือเหตุผลสะใจบาๆสักอยางของมัน”

แพตรีนึกสงสารเรือนแกวขึ้นมาจับใจดวยความเปนเพศออนแอดวยกัน เกาทัณฑกมหนา กอนเงยขึ้นพูด


ตอ

“ถาใหสันนิษฐานจากการปะติดปะตอ ไซคงรูที่อยูเรือนแกวจากสื่อมวลชน เพราะเรือนแกวใหสัมภาษณ


ไปคอนขางละเอียด สวนพี่ปฏิเสธการใหขาวแตแรก เพราะฉะนั้นถาไซจะรูอะไร ก็คงรูแตวาทํางานที่ไหน
เพราะอยูที่เดียวกัน แตเมื่อกลาฆาเรือนแกวที่เปนสะพานเชื่อมโยงมาถึงพี่ ก็คงแนใจแลววาตองเสร็จมัน
แน

พี่อยูในที่สวาง ไซอยูในที่มืด ไมรูวาถูกดักจับจดจองรอสบโอกาสเหมาะที่ไหนอยางไรบาง นั่นเปนเหตุ


ผลใหไมกลาติดตอใครเลย คนแหกคุกออกมาไดในเวลาแคไมกี่สิบชั่วโมงนะ นาจะเกงจนทําอะไรก็ไดทั้ง
นั้น พี่ถึงตัดสินใจเนรเทศตัวเองออกไปไกลๆ ถาถูกติดตามก็ขอใหโดนคนเดียวพอ ตลอดทางก็ไดแต
ปลงชีวิต ถาจะตายคงตองสุดแลวแตเวรกรรม”

แลวชายหนุมก็หัวเราะเมื่อยอนนึกถึงขณะหนีหัวซุกหัวซุน
๕๙๐

“พี่ออกมากับกระเปาเล็กใบเดียว เกือบตัวเปลาเลยนะ ตองทําตัวลึกลับเหมือนในหนัง เริ่มจากลงทาง


บันไดหนีไฟ ใสแวนดํา สวมชุดทับหลายๆชั้นจนหนาเตอะ ไปถอดชั้นนอกในหองน้ําของรานกวยเตี๋ยว
ปนออกทางประตูหลัง ตัดออกทางชองแคบระหวางตึกแถว ลัดเลาะจนถึงอีกฝงถนนแลวถึงโบกแท็กซี่ไป
สงเอกมัย และคิดเอาสดๆเดี๋ยวนั้นวาจะหนีใหไกลถึงไหน…”

เกาทัณฑเลิกคิ้วเมื่อยอนระลึกถึงนาทีวิกฤตในอดีต

“ตอนคนเราไมรูวาอะไรเปนอะไรนี่ เหมือนกําลังโงที่สุด ไมมีตาหลังก็ไมรูวามีใครตามมาขางหลังบาง


หรือเปลา จะเขาหาเพื่อนขอพักพิงเสียหนอยก็กลัวเขาจะเดือดรอน แพคงนึกออกนะ เราไมรูวาขณะหนี
มีเงาใครประกบติดอยูบาง รูแตวาตอนนั้นมีศัตรูที่โหดเหี้ยมและมีความสามารถไลลาไดแบบพลิกแผน
ดินอยูคนหนึ่ง หรืออาจจะกองทัพหนึ่ง…”

“ทําไมพี่ไมขอความชวยเหลือจากตํารวจ?”

“เปนผูตองหาคดียาเสพยติดที่สิงคโปร ยังหลบหนีออกมาไดอยางนี้ แพคิดวาเปนมือระดับไหน แลวใคร


จะยอมสงตํารวจมือดีคุมกันพี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”

หญิงสาวอึ้งไปอึดใจ กอนพยักหนานอยๆเปนเชิงขอใหเลาตอ

“ตอนนั้นพี่วาวุนเหมือนคนประสาท อยูๆก็เกิดคิดขึ้นมาวาเขาปาดีกวา…”

แพตรีเปนคนมีสัมผัสละเอียดออน หลอนสําเหนียกไดถึงวี่แววพิรุธบางอยางในประโยคนั้น เพียงแตอาน


ไมออกวาเกาทัณฑกําลังมีความในใจอยางไร

“ถาเขาปาถูกฆาหมกอยูในนั้นก็ไมเดือดรอนใคร อีกอยางถือเสียวาไดเวลาเก็บตัวบําเพ็ญเพียร เพราะตั้ง


ใจมานานแตไมมีโอกาสเสียที เลยหาซื้ออุปกรณ เสบียง แลวตัดสินใจเด็ดขาดทําตามที่คิด พี่เคยเดินปา
มาบาง มีความรูพอเอาตัวรอดไดนานแหละนะ กระทั่ง…”

เกาทัณฑยักไหล

“นึกไมถึง วานั่นกลายเปนจังหวะทองไปได พี่ไดใชชีวิตอยางฤาษีชีไพร ทําสมาธิ เปนอยูสมถะปราศจาก


ความรบกวนจากโลกภายนอก เพียงเกาวันเทานั้น ก็รูจักการผนึกรวมกระแสจิตอยางใหญเปนครั้งแรก”

เขาหมายถึงปฐมฌาน อันมีการหนวงนึกและเกาะติดอารมณเชนลมหายใจสายยาว เกิดปติแหลมซาน


สุขสงบเหมือนลองทะเลทิพยไพศาล จิตฉายเดนจัดจาดุจดวงไฟใหญกลางฟา

“ตอนนั้นลืมโลกหมดเลย กินแตน้ํา ขาวกินมือเดียว แลวลดลงเปนวันเวนวัน เอาแตเพลินอยูในสมาธิ


สลับกับเดินจงกรม ขนาดลืมตายังเห็นสวางได
๕๙๑

พอจิตถึงฌานแรก ทรงตัวเปนปกติแลว ก็เกิดความรูเองเห็นเอง จิตในชาติกอนมาสอนตัวเองตอนหลับ


บาง หรือตอนเพิ่งออกจากสมาธิใหญลงมาอยูในสมาธิกลางบาง อยางเชนเรื่องระลึกชาติ…”

เขาเมมปาก ตาเปนประกายกอนสืบตอ

“หลวงตาแขวนทานเคยเมตตาใหทางลัดไวแลว พอถึงจุดหนึ่งจิตมันฉายหนังใหดูเองเลย ไมตองเสีย


เวลาฝกไลยอนเอาเหมือนคนอื่น สวนหนึ่งเพราะเราเคยชํานาญของพรรณนี้มากอน พอเขาล็อกก็จําแมน
วาตองกําหนดจิตยังไงถึงจะดึงภาพเกาๆใหไหลยอนกลับมาเปนสาย”

แพตรีกะพริบตาสองครั้ง

“ยินดีดวยคะ เหตุการณรายบังคับใหพี่กลับเขาลูดีที่สุดของตัวเองอยางนี้ได”

เกาทัณฑพยักหนา

“อยากใหแพเห็นเหมือนที่พี่เห็นนะวาเราผูกพันกันมานานขนาดไหน เผชิญเรื่องดีรายแปลกประหลาด
เกินจินตนาการมามากเทาไหร มันทําใหโลกทัศนเดิมที่เคยมีมาตลอดชีวิตพลิกเปลี่ยนไปหมด ตอนนี้รู
สึกเหมือนอยูในหองหนึ่งเทานั้น มีหองกอนหนาที่เรากระโดดผานมานับไมถวน และมีหองถัดไปอีกมาก
มายที่จะตองกระโดดเขาไป แตละหองมีฉากและสีสันของตัวเองที่รวมๆกันแลวพิสดารจนเหลือจะเชื่อให
หมด”

หญิงสาวเบนวิถีสายตาไปทางอื่น

“แพนาจะไมไดตามพี่ไปทุกหองใชไหมคะ? คงมีใครอีกเยอะที่ผลัดกัน”

ชายหนุมฝนกลืนน้ําลายอยางฝดคอ ไมกลาโกหกทํานองวามีแตหลอนคนเดียวที่เขาผูกพันอยูดวย
เพราะทราบดวยจิตวามีใครตอใครอีกมากมายในเสนทาง สวนใหญเขามาแลวหายไป บางรายชาติหนึ่ง
เปนหญิง อีกชาติเปนชาย มีก็แพตรีกับเรือนแกวนี่แหละเปนหญิงตลอดและสลับกันอยูกับเขามาเรื่อย

สวนใหญอยูกับแพตรี

โลกทัศนและมุมมองเกี่ยวกับชีวิตเคยแปลกเปลี่ยนอยางรุนแรงมาแลวนับแตครั้งแรกที่ฝกกรรมฐานกับ
หลวงตาแขวน ทวาคราวนี้ยิ่งกวานั้น ความรูสึกเกี่ยวกับตัวตนไมไดผูกไวกับรางปจจุบันอีกตอไป ทวา
ผูกอยูกับสายอัตภาพอันยืดยาวที่คลี่คลายมาตามลําดับกรรมวิบาก นับจากหนหลังที่เกินจะประมาณกาล
ไดถูก ยอนไปกี่พันชีวิตก็ไมทราบ

น้ําหนักความผูกพันจึงวัดชั่งกันดวยจํานวนครั้งที่พบเจอและเหตุการณดีรายรวมกัน
๕๙๒

ทราบจากตําราและครูบาอาจารยวายังมีชาติภพใหยอนอีกเรื่อยๆ มีกําลังเพงไปไดเทาไหรก็เห็นไปได
ไกลเทานั้น เพราะสังสารวัฏไมมีตนกําเนิด เนื่องจากตกอยูใตกฎปฏิจจสมุปบาท กลาวเพียงสั้นคือชาติ
ภพเกิดจากอวิชชา สวนอวิชชาก็ไหลมาจากความมีชาติภพ ทํานองเดียวกับปญหาอจินไตยเชนไกกับไข
อันไหนเกิดกอนกัน คิดแลวหัวแตกเปลา

แมพระพุทธเจาก็ไมทรงพยากรณตนกําเนิดของสังสารวัฏ เมื่อใครถามถึง จะทรงใหคิดตามสายปฏิจจส


มุปบาทวาเริ่มจากอวิชชา เรียกวาหามคิดเปนเวลาซึ่งไมมีทางประมาณ ไมมีใครหยั่งไดถึง แตใหคิดเปน
วงกลมเหตุปจจัยอาศัยกันและกันเกิด และสามารถพิสูจนไดดวยญาณหยั่งรูอันเกิดแตวิปสสนากรรมฐาน

ในระดับที่เกาทัณฑปฏิบัติได ยังไมเคยถึงจิตแทที่ปราศจากอวิชชา แตก็เคยถึงจิตที่เห็นกายทั่วพรอม


และตระหนักชัดถึงความเปนชาตินี้ภพนี้ หนึ่งชาติคือหนึ่งกายนี้เอง และกายก็แตกดับเปนขณะๆ จิตที่
เฝาดูเองก็แตกดับเปนขณะๆเชนกัน นั่นทําใหเขามีมุมมองตอสังสารวัฏเปนสายความแตกพังของรูปนาม
เชนกายใจที่กําลังปรากฏอยู ไมใชสายมโนภาพชาติกอน ชาตินี้ ชาติหนาในจินตนาการเหมือนอยางนัก
ศึกษาธรรมทั่วไป

สังสารวัฏถูกเรียกเปน ‘วังวน’ ไมใชเพราะเกิดเหตุการณซ้ําไปซ้ํามา แตเพราะมีเหตุปจจัยวนเวียนใหเกิด


ทุกขในภพชาติอันสลับมาเปนเหตุใหเกิดอวิชชาหอหุมจิตเดิมแท เปนไปไมไดที่จะหาจุดเริ่มตน แตเปน
ไปไดที่จะตัดตนเองออกจากวงจรอุบาทว

สังสารวัฏไมมีหลักประกันความแนนอน เพราะความคิดเกี่ยวกับตัวเองในอัตภาพหนึ่งๆ พรอมจะแปร


เปนอื่นที่อาจตรงขามสุดขั้ว ชาติหนึ่งเปนนักบุญ ชาติถัดๆมาอาจเปนคนบาป ดังเชนพญามารนั้น ก็เปน
นิยตโพธิสัตวผูเคยใหความเคารพพระพุทธเจาในอดีตขนาดบั่นศีรษะตนเองถวายได แตเมื่อเกิดเปน
เทวดาก็กลับลืมศรัทธาเดิม พบพระพุทธเจาองคปจจุบันกลับรบกวน เห็นกงจักรเปนดอกบัว กอบาป
มหันตเปนภัยใหญแกตนเอง

สังสารวัฏเปนสิ่งนากลัว เพราะเวลาสวนใหญที่วิญญาณทองเที่ยวเกิดตาย หมดเปลืองไปกับกิเลสและ


ความไมรู กอกรรมทําเข็ญจนชุมบาป ตองทนทุกขประการตางๆ ผลักไสใหตกต่ําลงเปนเดรัจฉาน เปน
เปรต เปนอสุรกาย เปนสัตวนรกในอบาย นาสังเวชตรงที่ส่ําสัตวตางถูกสังสารวัฏแกลงปดหูปดตา ถูกกด
ใหลืมสนิท ขนาดเคยผานรอนผานหนาวมากันถวนหนาแทๆ ยังอุตสาหหัวเราะเยาะ เห็นนรกสวรรคเปน
เรื่องหลอกเด็กไปได

สังสารวัฏจัดเตรียมความทุกขไวใหทุกรูปแบบ ทุกชั้นภูมิ แมในภพอันประณีตเชนเทวโลก ไรทุกขเทา


เศษเสี้ยวยองใย ก็มีความแปรปรวนจากพรากจากภพภูมินั่นเองเปนทุกขรอนสาหัสสากรรจ เคยครอบ
ครองสุขชวนหลงถวิลเพียงใด เมื่อตองหลุดมือไปก็โหยหาอาลัยใจจะขาดเพียงนั้น อยาตองนับมาในชั้น
ภูมิมนุษย จะเปนบุคคลระดับแนวหนา เสวยสุขในสายตาภายนอกเพียงใด เจาตัวยอมรูแกใจวามีรูปแบบ
ทุกขพิสดารชนิดตางเกาะกุมชีวิตตนอยูบางเสมอ
๕๙๓

สังสารวัฏยืดเยื้อไรที่จบสิ้น เพราะแนนอนวามีสัตวประเภท ‘นิยตมิจฉาทิฏฐิ’ หรือวิญญาณกลุมหนึ่งซึ่ง


เที่ยงตอการเวียนวายตายเกิดตลอดกาล ไมมีสิทธิ์ดิ้นหนีเขานิพพาน เนื่องจากทุมเถียงคัดงางอริยบุคคล
เกี่ยวกับสวรรค-นิพพานไวมาก กับทั้งมีวิญญาณกลุมใหญที่ไมเคยพบพานพุทธศาสนา ไมเคยไดยิน
เกี่ยวกับเรื่องสังสารวัฏและการหนีสังสารวัฏ แมพระพุทธองคใชกําลังสัพพัญุตญาณอันมีขอบขายกวาง
ขวางสูงสุดในอนันตจักรวาล ก็ยังตรัสวาที่สุดของสังสารวัฏไมปรากฏใหเห็นเลย

เกาทัณฑนั้นแมยอนระลึกไดนับพันชาติ ก็ไมหลงคิดวาจุดที่หมดกําลังระลึกตอนั้นคือชาติแรก เหตุเพราะ


ศึกษาพระไตรปฎกไวกอน เหมือนดูแผนที่มาลวงหนา ตางจากผูมีพรสวรรคในการระลึกธรรมดา ที่หยุด
แคไหนก็คิดวาชาตินั้นคือชาติแรก ถาระลึกไดรอยชาติแลวหยุดก็บอกวาตนเกิดมารอยชาติ ระลึกไดสิบ
ชาติก็บอกวาตนเกิดมาสิบชาติ

และเพราะตั้งความเห็นไวชอบแลวนั้นเอง ทําใหตระหนักวาสิ่งที่ตนประจักษ เปนเพียงคาบเวลาชวงใกล


มิใชสิ่งยืนยงมาอยางนี้แตแรก ทุกสิ่งถูกสรางขึ้นดวยกรรมรวมกัน รับผลรวมกัน ประจบกันบาง แยกจาก
กันบางตามเหตุปจจัยอันเหมาะสมยุติธรรมทั้งสิ้น

“พี่รักแพ…”

ศีลที่ค้ําคอทําใหไมอาจหยอดทายวา ‘มากกวาใครทั้งหมด’ ตามที่เห็นวาควรจะกลาวในจังหวะนั้น

“ขอความเห็นใจเกี่ยวกับเรื่องของเรือนแกวเถอะนะ เปนเหตุสุดวิสัยที่พี่รูจักเขามากอน แตตอไปนี้จะอยู


ในวิสัยควบคุมได สาบานวาจนตายจากกัน พี่จะมีแพเพียงคนเดียว!”

คําพูดหนักแนนชนิดนั้นสะเทือนเขาไปถึงไหนตอไหน แพตรีอั้นอึ้งดวยความตื้นตันอยูพักใหญ กอนจะ


ถูกเขารวบมือทั้งสองขึ้นกุม และแตะริมฝปากลงที่ปลายขอนิ้วเพียงแผว

“เชื่อพี่…”

แพตรีถอนใจ มีความรูสึกคางคาบางอยางเกินกวาจะออยอิ่งใหเขาออนเพลิน

“แลวจะทําอยางไรตอไปคะ ถาศัตรูพี่ยังตามไมเลิกจริงๆ?”

เกาทัณฑลุกขึ้นเดินไปที่หนาตางบานหนึ่ง ทอดสายตามองยาวไกล

“อยางที่บอกแตแรก พี่ออกจากปาเพราะทนคิดถึงแพไมได กอนออกมาก็ตั้งสัจจาธิษฐาน วาที่เขาปาก็


เพราะเปนหวงความปลอดภัยของคนรอบขาง กับทั้งเขาปาแลวสามารถเปลี่ยนวิกฤตของชีวิตใหกลาย
เปนมหัคตกุศล บําเพ็ญสมาธิจนเขาถึงฌานสมาบัติ ขอความจริงทั้งหมดจงกลายเปนพลังชวยชี้อนาคต
วาถาออกจากปาจะตายเร็วเพราะน้ํามือศัตรูหรือเปลา หากจะตองตายเร็วหรือทําความเดือดรอนใหญาติ
พี่นองและคนรัก ก็ขอใหจงอางกัดตายในวันนั้นไปเลย…”
๕๙๔

แพตรีมองแผนหลังเปนปกวีสมสวนเขารูปของอีกฝาย คิดตามแลวเบิกหนวยตากวาง

“พี่ไปอยูใกลเขตจงอางหรือ?”

ชายหนุมพยักหนา

“เผอิญเปนจงอางที่กําลังวางไขเสียดวย! ตอนนั้นหมดอาลัยไยดีชีวิตจริงๆ คิดวาขอตายชดใชเจากรรม


นายเวรไปเสียใหหมดเรื่อง แตขณะเดียวกันก็แผเมตตาใหงู อโหสิไวลวงหนาคือถามีเวรตอกันมา ก็จง
เอาชีวิตเราไป หมดเวรเทานี้ พี่นั่งหลับตาดักใกลปากทางเขาออกของมันอยูหนึ่งวัน ทําสมาธิเจริญมรณ
สติเต็มกําลัง กระทั่งสัจจาธิษฐานใหผลในขณะทรงจิตเปนสมาธินั้นเอง พี่เห็นนิมิตซึ่งจิตบอกวาเปนเหตุ
การณที่จะเกิดขึ้นในอนาคต…”

เกาทัณฑยกมือกอดอก นึกยอนไปถึงนิมิตที่ชัดเจนดุจภาพในหวงฝน แตสัญชาตญาณทางสมาธิบอกวา


เปนจริงเปนจัง เสมือนเหตุการณเกิดขึ้นแลว เพียงแตตองรอการคลี่คลายไปถึงตามลําดับกาลเทานั้น

เขาเห็นตนเองแขนซายหัก เลือดชุมโชก สะบักสะบอมและเหนื่อยออนเต็มทน แตมือขวาถือปนสั้นขึ้นจอ


เล็งไปยังคูอาฆาตที่นั่งกองอยูกับพื้น นัยนตาลุกโชนดวยประกายฉานจาเยี่ยงปรปกษผูสมัครใจจองเวร
ไปชั่วกัปปชั่วกัลป

นั่นเปนภาพที่นากลัวและไมอยากใหเกิดขึ้นจริงเลย แตตัวรูในสมาธิก็บอกวานั่นแหละที่จะตองเกิดขึ้น
เขาใจเกี่ยวกับเรื่องทางแยกในชีวิตก็ในบัดนั้นเอง หากเขาเลือกบําเพ็ญพรตอยูในปาไปเรื่อยๆ ก็จะไดวิถี
ทางใหเกิดสายเหตุการณแบบฤาษี หมดความของเกี่ยวกันอยางสิ้นเชิงกับศัตรูในชาตินี้ แตหากออกจาก
ปาเขาเมือง ก็ไมแคลวตองถูกตามราวีในวันหนึ่ง

ไซคงไมยอมใหเขาตายงายเหมือนที่สงเรือนแกวขึ้นสวรรค อาจมีลีลาทรมานคูอาฆาตตามแรงแคนคั่งอก
ทวาพลาดเสียเอง จับพลัดจับผลูกลับกลายเปนฝายเขายืนจังกาเตรียมฆาเสียแทน ตามความรูสึกใน
นิมิต ดวงเขาแข็งกวาไซเปนคนละชั้น แมไซจะเกิดใตฤกษเพชฌฆาต ก็หาไดมีตบะขมขี่มากพอจะเอา
ชีวิตเขาสําเร็จ

เมื่อปะติดปะตอเขากับคําเตือนของเรือนแกว ผูบัดนี้อยูในภาวะเห็นลวงหนาดวยอภิญญาแหงเทวดา ขอ
รองใหเขาตั้งจิตอโหสิแกศัตรู อยาฆาแกงผูกเวรตอเนื่อง ก็ยิ่งเกิดความเชื่อมั่นวาภัยถึงชีวิตจะไมมีแกตน
แตเขาเองนั่นแหละจะมีสิทธิ์เลือกระหวางใหอภัยทาน กับทําตนเปนมัจจุราชลางกังวล

เมื่อพนกําหนดเสี่ยงชีวิตตามสัจจาธิษฐาน เขายังไมถูกจงอางทําราย ทั้งที่นั่งดักใกลทางเขาออกแทๆ ก็


เชื่อมั่นวาหากกลับเมืองแลวจะตองเจอะเจอกับไซ ญาติพี่นองและคนรักคงไมพลอยติดรางแหบาป
เคราะหไปดวยเปนแน
๕๙๕

เห็นเกาทัณฑนิ่งเงียบอยูนาน แพตรีก็เตือนวา

“กําลังรอฟงอยูนะคะ พี่เห็นนิมิตอะไร?”

ชายหนุมหันกลับมา เคยไดยินมาวาถาบอกเลานิมิตในอนาคต เหตุการณจะเคลื่อน จึงตัดบท

“เอาเปนวาสิ่งที่พี่รับรูนั้นอยูเหนือสังหรณธรรมดา แตไมถึงอนาคตังสญาณหยั่งรูอนาคตเต็มขั้น พี่เชื่อวา


กลับมาครั้งนี้ปลอดภัยพอสําหรับตัวเองและคนรอบขาง”

ทอดถอนใจดวยความหนักอก

“พี่ทิ้งทุกรองรอยที่ไซนาจะใชสืบสาวมาถึงตัวได งานก็จะหาใหม หองพักเดิมก็จะไมกลับไปอีก นั่นนาจะ


เพียงพอแลว”

กลาวจบก็เมมปาก คอยๆกาวเดินกลับมานั่งเคียงคนรัก สีหนาวิตกขณะดึงมือหลอนมากุม

“เราเกิดมาเพื่ออยูดวยกัน…”

พูดดวยนัยนตาทอดสนิททรงอิทธิพล ขนาดที่แพตรีใจออนใหอีกจนตองหลบ

“ถึงแมมั่นใจในความปลอดภัยพอ พี่ก็ยินดีใหแพเลือกทุกอยาง จะเรนหายไปอยูไกลๆดวยกัน จะอยูที่


เดิมอยางเปดเผย หรืออยากไลพี่ไปใหพน ก็จะไมขัดเลย ทุกอยางใหแพเลือกดวยสิทธิ์เด็ดขาด สัญญาวา
ถึงแพเลือกขอใหจากลี้หนีหาย พี่ก็จะรักและซื่อสัตยกับแพคนเดียวอยูอยางนี้ พี่จะเขาใจวาแพก็
ปรารถนามีชีวิตเพื่อหนาที่ที่ตัวเองตองการเหมือนกัน ไมใชเอาแตจมจอมกับพี่จนลืมสิ่งอื่นหมด”

หญิงสาวกมหนาคิด ในเมื่อเลือกอยูกับเขาก็ตองพรอมจะรับทั้งเงามืดและเงาสวางที่ตามติดตัวเขามา
ดวย เห็นจากหางตาและสัมผัสดวยใจ เขามีสติบริบูรณที่ฉายบารมีแกกลา นาอบอุนไรกังวลพอจะบัน
ดาลใจใหหลอนกลาวนิ่มๆ

“รูคําตอบดีอยูแลวก็อยาทําเปนแกลงลองใจเลย”

มติตื่นเชาขึ้นมาดวยความชุมชื่นใจ อาบน้ําแตงตัว อารมณแจมใสเปนลนพน เห็นอะไร ไดยินอะไรดูนา


บันเทิงเริงรื่นไปหมด นับแตเสียงนกรอง สายน้ําจากฝกบัว หรือกระทั่งกิริยาเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง
ของตนเอง
๕๙๖

เขาเลือกใสเสื้อเชิ้ตสีเหลืองสดที่มักใชไปเที่ยวหรือออกงานเลี้ยงกับเพื่อนฝูง ยิ้มมุมปากใหเงาในกระจก
ขณะหวีผมอยางบรรจง ตั้งใจเต็มที่วาวันนี้จะทําใหแพตรีหัวเราะเบิกบาน จะพาหลอนไปนั่งดูขอบฟาจรด
น้ํา เดินเลนชวยกันสรางรอยเทาบนผืนทรายสวย

กาวออกจากบานดวยความยิ้มกริ่มมาดหมาย พลิกขอมือดูนาฬิกา เห็นเข็มบอกเวลาเจ็ดโมงเปะ

มายืนกดกริ่งและชะเงอหาหลอนที่ประตูหนา เห็นเงาหลอนไหวๆอยูบนเรือนคลายติดธุระบางอยางงวน
อยู แตเพียงครูหนึ่งก็เปดประตูมุงลวดกาวลงมาหา

แปลกใจที่เห็นหลอนอยูในชุดเสื้อกระโปรงยาวลําลอง ทาทางยังไมเตรียมตัวแตอยางใด

“สงสัยตื่นสาย”

มติทักดวยการทาย แตใบหนาเปอนยิ้มอยางประกาศวาพรอมจะรอสักกี่ชั่วโมงก็ได

แพตรียิ้มรับทักซึมๆ มาถึงประตูและไขกุญแจเปดกวางใหนองชาย

“นั่งกอน มติ…”

แพตรีเชื้อเชิญเขามาที่โตะหินใตรมไมใหญซึ่งใชเปนมุมสนทนาเสมอนับแตอยูในวัยเยาว หญิงสาวกม
หนาตลอดเวลา และไมสบตาเขาแมแตแวบเดียว ทวามติเห็นสีหนาเซียวซีดแลวก็คิดเพียงวานั่นคงเปน
เพราะหลอนเพิ่งตื่น

“ผมรอไดฮะพี่แพ อาบน้ําทานขาวตามสบายนะ อยารีบ”

แพตรีผินหนาไปแสนไกล ดูหลอนเศรา ไมชอบตอนจิตใจหลอนมัวหมองเลย ราวกับเขาตองรวมรับผิด


ชอบแกไข แตก็ขาดกําลังที่เพียงพอ จะในอดีตหรือปจจุบันก็ตาม

“มีอะไรหรือเปลาฮะ?”

เด็กหนุมเอยแผวอยางเริ่มจับไดถึงความไมชอบมาพากลอันมีผลกระทบมายังตน หญิงสาวนิ่งไปนาน
กอนพยักหนารับ

“ใช…มี”

แพตรียันศอกเทาคาง อันเปนลักษณาการเหมอซึมที่ยากจะเกิดขึ้น สายตาของหลอนยังทอดไปในทิศที่


ไมมีเขา มติกังขา จะเปนอุปาทานไปเองหรือเปลาที่รูสึกวาหลอนกําลังสงสารเขา สงสารจนตองหรี่ซอน
แมแตแววในตา
๕๙๗

ขณะแหงความเงียบอันมึนซึม เดาทางยาก เงารางใครคนหนึ่งปรากฏใกลประตูบนเรือนมาตองหางตา


เขา มติเงยหนาขึ้นมอง แลวก็ตกตะลึงจังงังคางเมื่อพบรางสูงเดน แลผงาดเงื้อมหลอกตาในบัดนั้น

เกาทัณฑยืนนิ่งกับที่ครูใหญ สบตากับมติเขม็งในระยะไกล กอนผละจากไปแบบเลิกแยแสสน ทิ้งความ


พิศวงงงงวยไวกับผูเห็นเบื้องลางที่ยังคางนิ่งในทาเดิม

เปนนานกวาที่มติจะดึงหนากลับมามองแพตรีอยางไมเขาใจอะไรเลย หรือเขาใจแตก็เกินกวาจะคิดเชื่อวา
เมื่อครูมิไดตาฝาด แพตรียังคงนั่งนิ่ง จับสายตา ณ จุดเดิมที่เลื่อนลอยไรหลัก ทั้งรูวานองชายเพิ่งเห็นใคร
ไป รังสีทรงอํานาจจากจิตตานุภาพของเกาทัณฑที่แผความเปนเจาขาวเจาของครอบครองมายังหลอน
นั้น เขมจัดเสียจนสัมผัสไดราวกับใครเอาผานวมหนาหนักมาหมหลัง

“พี่แพ…”

มติหอปากครางเสียงสูง

“มติ…พี่ขอโทษ”

แพตรีหลุดคําออกมาผะแผว เศราเพราะรูวาสิ่งที่ปรากฏไดทําความเจ็บใหกับนองชายขนาดไหน

”ขอโทษจริงๆ”

เด็กหนุมยังจองตะลึงงันจับใบหนาซีดขาวคลายคนเปนไขของอีกฝาย

“เมื่อคืน…พี่อยูกับเขาทั้งคืน?”

หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง ความคิดแรกอยากแกความเขาใจของนอง แตแลวก็เปลี่ยนเข็ม เพียงพยัก


หนาทีหนึ่งแลวนิ่งเปนดุษณี ปลอยใหมติสรุปเอาจากภาพที่ปรากฏตามครรลองโลก

มติรูสึกคลายมีมือไรตนผลักหนา พยายามยันใหลม เขาไดแตขืนตัวตาน จึงผงะแลวคืนกลับ แตก็เหมือน


จะผงะอีกทั้งที่อยูทามกลางความเงียบและอากาศเซาซึมระหวางตนกับหญิงสาว มิไดมีสิ่งใดออกแรงผลัก
เขาเลย

หัวเราะออกมาทั้งถอนสะอื้น พยายามหักหาม สะกดอารมณตนเองจนสุดฤทธิ์ สายหนาอยางไมเขาใจ


อะไรทั้งสิ้น

“ทําไมถึง…ถึงคืนดีกับเขางายนักละฮะ ทําไมถึงไมจําวาเจ็บมายังไง?”

พูดแลวเทาศอกยกมือยันหนาตนเองไมใหคว่ําลมลง
๕๙๘

“เธอไมเขาใจหรอกมติ”

แพตรีหนามอย พึมพําตอบเพียงเทานั้น

“ใชฮะ! ผมไมเขาใจพี่แพเลย!!”

แผดเสียงตะโกนใสหลอนอยางเหลืออด เลิกเกรงวาใครบานไหนจะไดยินบาง เผอิญมีเพื่อนรวมซอยสอง


คนเดินผานหนารั้วและเขาทางตาแพตรี ทั้งคูเหลียวมาอยางสนใจเหตุการณผิดปกติของชาวบาน โดย
เฉพาะเรื่องขึ้นเสียงระหองระแหงในเขตบานปูชนะที่สงบสุขมาชานาน ดูมีความดึงดูดใหหันชมเปนพิเศษ
แพตรีตองกมหนาหลบหนอยๆเพราะอายเปน แตก็อยากใหมติระบายความโกรธถึงที่สุด จะตบตีหลอนก็
ยอม เพราะรูตัววาเมื่อคืนใหความหวังกับเขาไวมาก เสร็จแลวมากลับหัวเปนกอย กลับฝนเปนตื่นในชั่ว
เวลาขามหนึ่งนิทราอยางนี้

มติหูตาแดงก่ํา จุกอก หนามืดดวยแรงอัดของโทสะ รอนวูบวาบไปทั้งตัว เห็นตนยอมโงใหผูหญิงหลอก


ซ้ําแลวซ้ําเลาไมรูจักเข็ดเสียที

ที่สุดก็ลุกพรวดราวกับดีดขึ้นดวยระเบิดไฟแหงโทสะ แตแลวตองแปลกใจตนเองที่จูๆไฟในอกมันมอดดับ
วูบหายไปเฉยๆ คลายเทน้ําทั้งกะละมังลงราด หรือทะลึ่งตัวโผลขึ้นพนบอตมสกปรก แมยังคงมีความขุน
ระคายเปนสายกรุน ความคิดปนปวนระส่ําระสายไมเลิก ก็เห็นชัดวาตัวโกรธมันจางจืดลง ขนาดที่รูสึกวา
ถาเขายังขืนแสดงทาทีฮึดฮัดตอ ก็จัดเปนการแสดงละคร เปนเรื่องเสแสรงไปแลว

มติถอนใจยาว พอถึงธรรมแลวก็ดีอยางนี้เอง เมื่อครูเขาไมไดออกแรงขมใจแมแตนิดเดียว จิตแคเห็น


อาการพลุงพลานเกินขีดขึ้นมา ทุกอยางก็คืนตัวสงบลงโดยอัตโนมัติ เหมือนน้ําพุรอนที่พุงพรวดจนสุด
แรงสง แลวก็ไดเวลาตกกลับสูแผนน้ําอันราบเรียบตามเดิม

ยิ้มใหหลอน แมใจยังสั่นหวิว หนาหมองจนรูสึกไดจากภายในอยูบาง

“พี่แพ…”

แพตรีเงยหนาขึ้น และนั่นเปนครั้งแรกที่ขลาดเมื่อตองสบตากับนองชาย

“ผมไมรูวาเขาทํารายจิตใจพี่แพไวยังไงบาง แตขออวยพร ขออยาใหเขาทําอยางนั้นอีก…”

เวลาที่ควรโมโหโกรธาที่สุด มติกลับเยือกเย็นมีเมตตาเจืออยูในน้ําเสียงอยางนี้ นี่ไมใชเรื่องนาแปลกใจ


นักสําหรับผูกาวลวงความเปนปุถุชนไปแลว

สอบผานชั้นแรกไปแลว
๕๙๙

แพตรีหันหลบไปซอนหนานิดๆ เมมปากเงียบ

“ผมไปกอนนะ”

หญิงสาวยังคงนิ่งอยูในมุมของหลอน ทั้งที่ใจอยากกลาว อยากแสดงกิริยาอยางใดอยางหนึ่งออกไปบาง


แตเจากรรมรางกายไมกระดุกกระดิกแมแตนอย ร่ําติเตียนตนเองอยูในภายในวาไมควรดวนใหความหวัง
กับเขาอยางที่แลวไปแลวเลย

เกาทัณฑรูสึกไดวานอนกอดแพตรีเฉยๆโดยไมลวงเกินแมแตนอย ก็เพียงพอแลวที่จะกอความเพลินสุข
ไดทั้งวัน

เหมือนชีวิตถูกยกระดับขึ้นเมื่อเขาใจภาวะนั้น กอนสวมกอดแพตรีไวในออมแขนจากเบื้องหลัง เขารูสึก


ถึงแรงปรารถนาอันแสนสะอาด ปราศจากหยากเยื่อแหงราคี และขณะกระชับกอด ใจก็สัมผัสรสสุขที่ซาน
ฉายถึงกัน ราวกับผิวเนื้อแตละฝายแปรสภาพเปนปุยหิมะนุมที่ปกคลุมธารปติอันไหลรินๆเบื้องใตไว
เพียงบาง

ฝงจมูกลงบนกลุมผมหอมริมกระหมอม สูดกลิ่นรื่นชื่นใจลนอก แลวดันศอกตะแคงขาง เหลือบมองเสี้ยว


หนาชาเฉยที่มองเลยไปไกล เห็นเคากังวลไมสรางเสียที แมเด็กหนุมคนนั้นจะออกจากบานไปนานนับชั่ว
โมงแลว

นึกในใจวาหลอนก็มีคนของหลอนใหเวทนาอาทรอยูขางหลัง ถือวาเสมอภาคกันกับเขา

รักแทนะมีจริง แตที่จริงกวานั้นคือกิเลส

กิเลสมากก็ทุกขมาก กิเลสนอยก็ทุกขนอย สมดังที่พระพุทธองคตรัสวาที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข

เขารักหลอน นั่นคือใจจริง ของแท มิใชสิ่งลวง แสรงหลอกดวยมายา แตขณะเดียวกันก็รักเรือนแกว และ


หลงใหลไดปลื้มกับอัตภาพใหมของหลอนชนิดโงหัวไมขึ้นนับจากคืนแหง ‘ฝนเนรมิต’ ครั้งนั้น

เรื่องทั้งหมดที่เลาใหแพตรีฟง ลวนตรงตามจริง ไมถูกบิดเบือนแมเพียงนิดนอย แตเกาทัณฑก็ไมไดแยม


เลย วาเหตุบันดาลใจแทจริงใหเลือกเขาปาเพื่อบําเพ็ญตบะเยี่ยงฤาษีชีไพรนั้น…

ก็เพราะเขาปรารถนาที่จะละอัตภาพหยาบของมนุษย ไปเสวยสุขในวิมานทิพยรวมกับเรือนแกวบนสรวง
สวรรค!
๖๐๐

ธรรมดามนุษยที่เห็นนิมิตเทวนารีอันเปนของจริงโดยปราศจากกําลังอุเบกขาชั้นสูงคุมครองนั้น เทากับ
เจอเคราะหรายประการหนึ่ง คือใจจะถอนจากความลุมหลงแทบเปนบาเปนหลังไมได ยิ่งนี่บวกเขาดวย
บุพเพสันนิวาส ใหตระหนักถึงสิทธิ์อันชอบธรรมแหงตนที่จะครอบครองรางทิพยอันแสนโสภานั้น ดวยจิต
ที่ยังปฏิพัทธตอกันชัดเจน เนื่องจากเพิ่งพรากกันสดๆรอนๆ

ใจเกาในรางใหมดึงดูดเหลือทนอยูแลว นี่สะสวยเหนือโลกเขาไปอีก

การดึงดันเรียกรองขอเห็นสภาพทิพย นับเปนความผิดมหันต แตตระหนักไดก็สายเสียแลว เขาเคยรูจัก


ความฟุงซานจอจดคิดถึงผูหญิงมานักตอนัก ทวายังพอคุมสติกระทําการทั่วไปในชีวิตประจําวันไดบาง
แมกระพรองกระแพรงก็เถอะ แตใจที่ติดอยูกับนางฟาตัวจริงนั้น แนบแนนจนแกะอยางไรก็ไมออก แทบ
หูตาพราเลือน หมดความคิดอาน หมดความสัมผัสสัมพันธกับสิ่งรอบตัวไปอยางสิ้นเชิงเลยทีเดียว

เคยฟงตํานานโบราณที่มนุษยเผยออาจเอื้อมขอเห็นเทพ พอสมใจแลวเปนบาเปนบอ เขายังหัวเราะเยาะ


ดวยเห็นขันวาถาเทพมีจริงก็คงเปนแคภาพๆหนึ่ง วิจิตรพิสดารปานใดก็คงไมถึงขนาดเปนศรเสียบใจให
คลุมคลั่งขนาดนั้น

แตนี่รูดวยตัวเองทีเดียว จิตอันมีกิเลสนี่เอง เมื่อถูกปรุงแตงครอบงําถึงขีดหนึ่งแลว มันปนตัวไดยิ่งกวา


คลื่นมวนอลเวง ก็ขนาดผูหญิงธรรมดาที่ครองกายหยาบ ปราศจากรัศมีอาภาพิลาส ยังมีตัวอยางนาง
มนุษยผูอาจแกลงใหชายคลุมคลั่งไดเพียงดวยการชมายชําเลืองตา หรือเจาหญิงในอดีตบางองคที่งามรัด
รึงใจ กระทั่งแมประทับนิ่งอยูกับที่เฉยๆ ยังลากเอาบุรุษโงมากมายมายอมตายตอพระพักตร ขอเพียงได
ลักยลโฉม ทั้งรูวาโทษถึงประหารก็ชาง

นางฟาชั้นสามัญนั้น แนงนอยและงามงอนเกินเจาหญิงทุกองคในโลกหลาอยูแลว เกินกวาจะหามใจทน


อยูแลว ตอใหราชินีในตํานานที่เลื่องชื่อลือชาวาเชิดองคในเครื่องทรงวิจิตรไดหวานชัดปานไหน ก็หาบาด
ตากินใจเทียบไมมีเทาเลย แตนี่เขาดันเจอเทวนารีระดับกลาง สวางมายาฤทธิ์ลวงอิตถีชั้นฟาสามัญขึ้น
ไปอีก จะยังมีตบะอะไรเหลือไวตานไหวเลา?

นับเปนเคราะหอันซอนเขามาในเคราะห ใหเขาตองเจอเขากับศรเสียบแทงใจถอนยากที่สุดในสังสารวัฏ
ไดเห็นแลวมีแตจะคลุมคลั่งถาไมเห็นอีก

เขาเขาปา ใจหนึ่งก็หวังไปตายเอาดาบหนาหนีโจร แตอีกใจก็มาดหมายบําเพ็ญตบะแบบยอมอดตาย


เพื่อวาเมื่อละรางแลว จะกําหนดจิตอันทรงกุศลหนักเลือกที่เกิดได

ดาวดึงสเทวโลก! และตองอยูในฐานะสูงเหนือเรือนแกวดวย!

เพราะเหตุแหงเจตนาอันไมเปนไปเพื่อดับทุกข ชวงแรกแหงการภาวนาจึงนับเปนมิจฉาสมาธิโดยแท
ความเงียบของปา ความนาสะพรึงกลัวของความเปลี่ยว และมรณภัยอันเรียงรายอยูรอบดาน เปนตัวบีบ
๖๐๑

บังคับใหจิตตกสูกระแสสมาธิไดเร็ว ไดนานก็จริง ทวาเมื่อถอนสมาธิแลวก็ยังวันและคืนใหลวงไปดวย


ความหมกมุน หวังขอใหเรือนแกวมาปรากฏเปนกําลังใจตลอดเวลา

ผลคือทําใหกําลังใจตก แทนที่เวลาลวงไปจิตจะยิ่งแนบแนนเขาสูองคฌาน ก็กลับกลัดกลุมรุมรอนยิ่งขึ้น


ทุกที เพราะไมไดรับการสนองตอบจากเบื้องบน เพียรเพงจี้จิตนึกถึงรูปทิพยของหลอนกระทั่งหนวงแนว
เขาขั้นอุคคหนิมิต คือเห็นชัดไมคลาดเคลื่อนก็แลว ออนวอนเพียงใดเรือนแกวก็ไมมาปรากฏ ทั้งตอตา
เนื้อและตาใน

ตอนที่รูตัววามาผิดทาง ก็หวิดๆจะวิปลาส ตะโกนเรียกเรือนแกวในความสงัดของราวไพรเปนวรรคเปน


เวร โทษหลอนที่ใจราย ดาวาเปนนางวัวลืมตีน อยูสูงหนอยก็หมดแกใจหวงใยเหลียวหลัง เขาสูบากบั่น
บําเพ็ญเพียรเพื่อใหพบหลอน ยังใจดําเฉยเมยไมเห็นคาไดลงคอ

ทันทีที่กนดาดวยจิตอันทรงกําลัง กับทั้งแนนหนาดวยโทสะและโมหะ ปฏิกิริยาตีกลับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์


เบื้องบนจึงกลาแข็ง เหมือนตีกลองเพลไปตุงหนึ่งในอากาศวางที่สะทอนความครึ้มมืดสวนวาบมาปะทะ
กวาจะสํานึกไดก็เกือบสาย เมื่อเปนไข หนาวสั่น อยาวาแตทําสมาธิใหแข็ง เอาแคตั้งสติบังคับไมใหมือ
ไมสั่นก็ยากเต็มทน นั่นเองความกลัวจึงเขาครอบงํา หวาดหวั่นวาจะตองตายทั้งระบมพิษไข จิตจะแกวง
ไปทางหัวหรือกอยก็ไมรู เขาเคยเฉียดประตูมรณะมาแลว ทราบดีวาจิตเหมือนเรือที่ถูกทําลายหางเสือ
ตองปลอยแลนไปตามยถาในหวงทะเลกรรมที่สั่งสมมาตลอดทั้งชาติ

ในความครึ่งหลับครึ่งตื่นมัวมน เขาเห็นเหมือนหลวงตาแขวนมานั่งตรงหนา เขาพยายามพนมมือจะ


กราบ แตชาดิกไปหมด ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ไมได หลงเหลืออยูก็แตสติพอจะฟงทานเทศนดุ

“ชีวิตเปนของสูง มนุษยทั่วไปไมผิดที่เห็นเปนของเลน ใชชีวิตกันเลนๆ อยากไดอะไรก็ดึงดันเอามันอยาง


นั้น แตเอ็งนะรูอรรถรูธรรมขนาดนี้ ยังทําเปนเลนบาใบอยูอีก สมควรจะไปนรกรึยัง?”

เกาทัณฑบังเกิดความสลดสุดประมาณ แตก็รูสึกเหมือนสายเกินแกเสียแลว

“บําเพ็ญตบะหวังสวรรคนะ เขาไมไดทํากันอยางนี้ เขาหวังไวตอนเริ่มอธิษฐาน แลวมุงมั่นเอาความ


สะอาดบริสุทธิ์ หนักแนนเปนอารมณเดียวของจิต สลัดวางกิเลสใหหมด เพียรเรื่อยไปจนกวาชีวิตจะหา
ไมเองตามอายุขัย”

ในนิมิตนั้น เกาทัณฑสําเหนียกวาหลวงตาทานเอ็ดเอาดวยความออนใจเหลือจะกลาว เขาไดแตหดหูใน


ความเขลาของตนเองอยูเชนนั้น

“กลับลําซะใหมนะ เอ็งมาไกลจนเกินถอนตัว เหมือนขี่หลังเสือแลว ตองคุมเสือใหเชื่อง เดี๋ยวพอตื่นขึ้นไข


จะสรางลง มุงมั่นทําสมาธิใหแกกลาขึ้นมาดวยใจบริสุทธิ์ แลวไขจะหาย อยาไปร่ํารองหาใครเขาอีก”
๖๐๒

พอตื่นขึ้นก็ทุเลาปวยลงจริงๆดวยกําลังปติอันเกิดจากสัมมาสมาธิ เพราะคราวนี้เขามุงมั่นเอาความ
บริสุทธิ์ในขณะยังดํารงชีวิต มิใชพร่ําเพอละเมอหาสวรรคเหมือนแตแรก

เห็นดวยความสังเวชอยางแทจริง วาใจมนุษยนั้นร่ํารอง จะเอา จะเอา แบบเด็กๆไปจนชั่วลมหายใจเฮือก


สุดทาย เมื่อกายเติบใหญขึ้นก็สนองความรองร่ําพร่ําเพอดวยวิถีตางๆ นักธุรกิจแสวงวิธีดูดเงิน นักการ
เมืองแสวงอํานาจ ฤาษีแสวงตบะ กระทั่งปลงเห็นหนาตาความอยากชัดเจนวาเหมือนทารกนอยทั้งนั้น
จึงเลิกอยากเลิกเพอไดหมดทุกรูปแบบ

เมื่อทุกอยางเขาทาง เลิกปฏิบัติแบบละเมอๆ ของเกาก็ปรากฏ จิตออนควรแกการเขาถึงฐานสมาธิอยู


แลว เนื่องจากเปนฌานลาภีบุคคล หรือบุคคลผูมีสิทธิ์ถึงฌาน อีกทั้งเคยสําเร็จฌานสมาบัติมากอนนับภพ
นับชาติไมถวน จึงไมแตมีสิทธิ์เทานั้น ยังงายยิ่งอีกดวย

และแมจะทําถึงเพียงปฐมฌาน ยังไมใชฐานของอภิญญาที่แทจริง อภิญญาอันแกกลาที่ติดจิตติดวิญญาณ


มาก็ปรากฏแสดงตัว เขาเห็นกลุมญาณแตละประเภทวางเรียงเปนชั้นๆหอหุมดวงจิต พอเลือกหยิบฉวย
เอาไดบางดวยกําลังในขณะนั้น อยางเชนความสามารถดึงอดีตมาสูสํานึกปจจุบัน เพียงตรึกระลึกถึงอัต
ภาพฤาษีเกาที่หลวงตาแขวนเคยเมตตาฉายใหดูทีหนึ่ง ก็เหมือนทํานบเขื่อนพังภินท ภาพเหตุการณของ
ตัวตนมากมายทะลักหลั่งทยอยเรียงลําดับมาใหเห็นจนจําแนกแทบไมทัน คลายคนธรรมดาระลึกไดแบบ
เร็วๆวาเมื่อวานเกิดเหตุการณใดบาง โดยคัดเฉพาะที่ประทับขึ้นใจ ตางแตความหมายรูคมชัดเปนนิมิต
และทราบเนื้อความละเอียดลออนัก

บัดนี้เขาเปนผูหนึ่งที่ประจักษวาสังสารวัฏนั้นพิสดารพันลึกเสียจนเลาไมได ไมมีสิ่งใดเกิดขึ้นเปนครั้งแรก
ไมมีใครเปนผูสราง ไมมีใครเปนเจาของ ทุกคนเดินทางอยางโดดเดี่ยวไปตามยถากรรมแหงตน ทําอะไร
ไวก็รับผลอยางนั้น ปรับเปลี่ยนภาวะหยาบประณีตของวิญญาณไปเรื่อย ขึ้นลงเหมือนลูกคลื่น ไมมีใคร
รักษาสภาพสูงสงไวไดตลอด เพราะแรงเหวี่ยงทั้งดีรายนั้นซับซอนนัก อีกทั้งกิเลสแตละขณะก็ไมแนนอน
เดี๋ยวบันดาลใหประเสริฐ เดี๋ยวกดดันใหชั่วชาติ

วิญญาณที่แลนคูกันมา หรือเกาะกลุมกันมา ก็ลวนตางคนตางกมหนาเสวยกรรมของตน มิใชจะตีคูกอด


คอรวมทุกขรวมสุขเคียงขางกันจากตนทางยันปลายทาง ความสัมพันธในฐานะสูงต่ําล้ําเหลื่อมที่แนนอน
ก็ไมมี รักกันหวานซึ้งตรึงใจแบบมาราธอนขามชาติก็ไมมี ทุกอยางถูกบีบคั้นใหแปรไปเรื่อยตามเหตุ
ปจจัยที่เกิดขึ้นเฉพาะหนา หรือเฉพาะชาติ

เอาแคโลกมนุษยนี่ เมื่อเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยไป หรือขามวัฏจักรเผาพันธุแตละครั้ง ก็เลาใหเชื่อยากแลว


วามีความแตกตางในรายละเอียดนาอัศจรรยอันใดบาง

ขนาดอยูในโลกใบเดียวกัน รวมสมัยเดียวกัน แคขามพรมแดนคนจนคนรวยเขาหนอย ก็ตะลึงตาคาง


หลุดปากอุทานกันแลววา ‘มีอยางนี้ดวยหรือ’ หากไดเห็นถวนทั่วครอบคลุมเผาพันธุมนุษยที่มีวิทยาการ
๖๐๓

สูงสง หรือที่มีศีลสัตยเปนสรณะ หรือที่มีอายุยืนยาวพันป ก็คงเลิกอุทานแบบเดิม และเปลี่ยนความเห็น


กันแบบปฏิวัติ นั่นคือสังสารวัฏนี้ ‘มีทุกแบบ’

ที่พระพุทธเจาตรัสวาพระองคประทานใบไมเพียงกํามือเดียว จากสิ่งที่พระองครูทั้งหมดเทาใบไมในปา
เขาอนุมานไดแลววาเปนอยางไร เพราะแมฌานญาณอันคับแคบจํากัดของฤาษีธรรมดา ก็อาจแทงทะลุ
เขาไปเห็นหนาเห็นหลังอันสุดจะรวบรวมมากลาวไดหมดขนาดนี้ แลวพระสัพพัญุตญาณแหงองคสัมมา
สัมพุทธเจาที่ใหญหลวงจนเปดแจงแทงถึงตลอดสายอนันตภาพเลา จะเอาความมโหฬารของสื่อชนิดใด
มาบันทึกหรือถายทอดได

ถอนใจเฮือกใหญ ทบทวนแลวนึกรูวาชาตินี้เปนอีกครั้งหนึ่งที่เขาลิ้มรสหวานในรักไดเต็มเม็ดเต็มหนวย
บันเทิงในสติปญญาและความสามารถรอบดานอยางถึงพริกถึงขิง แตก็ตองประสบพบเจอกับศัตรูเกา รู
จักความขมขื่นแหงการจากพราก ปวยไขปางตาย เฉียดจะลงนรกมาก็แลว

ชาติอื่นที่วิบากดีใหผลนอยกวานี้มิยิ่งทรมานทรกรรมเปนสิบเทารอยเทาหรอกหรือ?

เห็นชัดๆแลววาภาพสังสารวัฏยืดเยื้อนาหวาดผวาเพียงใด ใครจะอยากอยูตอเขาไปลง ใครบอกวาชีวิต


ฉันดี เปนปกติสุขราบรื่น คนนั้นยังรูจักพระอนิจจังนอยไป

แตก็นั่นแหละ บารมีอันนอยนิดในปจจุบันชาติที่คูควรเปนกําลังแกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเบื้อง
หนา ก็เห็นอยูเพียงหนึ่งเดียว คืออธิษฐานบารมีที่กระทําไปตอหนาพระอภิญญา ทั้งรูวาจะตองฝารอย
สวรรคพันนรก ก็ยืนยันจะดั้นดนไปอยางปราศจากความเกรงกลัว ดวยหวังกรุณาโปรดเวไนยสัตวใหพน
จากสังสารวัฏดวยกําลังตน สวนบารมีอื่นนับวายังออน ไมวาจะเปนทาน ศีล การออกจากกาม ปญญา
วิริยะ ขันติ สัจจะ เมตตา และอุเบกขา

ยังตองเพียรสั่งสมอีกยาวยืดสุดหยั่งในขบวนอัตภาพหยาบละเอียดที่จะสืบเนื่องตอไป ซึ่งก็คงเวียนวนซ้ํา
ซากเหมือนเชนที่เห็นแลวในอดีตกาล

จําสภาวจิตที่ ‘ไมใชมนุษย’ ไดชัดเจน เขาเคยเปนอสุรกายชนิดที่ไรสติคิดอานเปนเหตุเปนผล เนื้อตัว


เต็มไปดวยหนามแหลม มีสํานึกอยูอยางเดียวคือวิ่งอาละวาดบาเลือดดวยความคึกคะนองในกําลังอันยิ่ง
ยง ในภาวะนั้นเมื่อจะเอยปากรองก็ไดยินแผดออกมาเปนเสียงกรีดแบบคลุมคลั่ง เมื่อขยับเขยื้อนไหว
กายก็กรอบแกรบเจ็บเสียดไปทั่วสรรพางคอันเทอะทะ อาศัยในสภาพแวดลอมอึมครึมหมนมืดเหมือน
ยามโพลเพลอยูตลอดเวลา อยากหนีหรือคิดจบชีวิตแบบที่คนในโลกทํากันงายๆก็ไมได

แตเมื่อกอนเกิดเปนมนุษยนี้เอง เขาเคยเปนอะไรอยางหนึ่งที่ประณีตลออองคสุดพรรณนา เปนตรงขาม


สุดขั้วกับอัตภาพอสุรกายเมื่อหลายรอยชาติกอน

พระพรหม!
๖๐๔

สภาพนั้นจิตผนึกเปนดวงใหญอยางฌานอยูทุกขณะ ทวาแยกชั้นกันเปนตางหากจากสํานึกคิดอาน เปน


ความคิดอานอีกแบบแตกตางจากระบบความคิดของมนุษยอยางสิ้นเชิง พนวิสัยจะบรรยายดวยภาษา
ใดๆ แมเทพยดาเชนเรือนแกวก็ดูกระจอยรอยเมื่อเทียบกับอัตภาพอันนาปรารถนายิ่งชนิดนั้น

ผานภูมิต่ํา ภูมิสูง คลี่คลายมาเปนอัตภาพนี้ ขยับแขนขาในกายหยาบนี้ เกิดมาแบบไมรูอิโหนอิเหนเยี่ยง


มนุษย ทรงฤทธิ์ทางโลกและทางธรรม เหิมเกริมตามประสากิเลสแบบมนุษย

เขาเพลิดเพลินอยูในความรูเห็นเรนลับไดเพียงอาทิตยเศษ ใจก็เริ่มพะวงถึงแพตรีขึ้นมา เมื่อคืนหนึ่งฝน


เห็นตนเองดุมเดินไปตามทางรอบไหลเขา หนทางเต็มไปดวยหินแลงแหงผาก หอบหิ้วเสบียงติดตัว
พะรุงพะรัง ขางกายคือแพตรีสีหนาอิดโรย ขะมุกขะมอมมอซอ เสื้อผาเปรอะเปอนและมีริ้วรอยฉีกขาด
เยี่ยงคนเพิ่งผานปาหนามมาหยกๆ

ในฝนบอกตนเองวาหลอนสูทนลําบากติดตามเขามาดวยความภักดี ยอมผานรอนผานหนาวบุกน้ําลุยไฟ
ก็เพราะใจเดียวบูชารัก เขาเสียอีกมีความแข็งแรงบึกบึน ทนฝาฟนก็ดวยความมุงมั่นของตนเอง

ครั้งหนึ่งในฝน เขาเงยหนาขึ้นมองยอดเขาที่กําลังดุมเดินขึ้นไป รูสึกคลายเลือดเขาตา ดูเหมือนตนกําลัง


บาบิ่นแกมดันทุรังทําในสิ่งเปนไปไมได เพราะเมื่อแหงนหนาดูดีๆแลว เบื้องสูงที่สุดนั้นเสียดขึ้นไปถึง
ยอดฟาชัดๆ!

ยังจําภาพนั้นติดตา ปลายทางอยูที่ยอดฟา

เขาตองดั้นดนอีกกี่กัปปกี่กัลปไมอาจรูได รูแตวาตอนนี้ยังไกลแสนไกล เกินที่จะเอื้อมถึง ทวาใจในขณะ


นั้นเหิมหาญ บอกตนเองวายอดฟาก็ยอดฟา แสนกัปปเหมือนเดือนเดียว ดั้นเดิน ปนปาย ใชกําลังบุกบั่น
ไมหยุดหยอน เดี๋ยวก็ลุแลว

สงสารก็แตผูติดตามเขามา แพตรีดูออนโรยระโหยแรงเต็มทน ไมไดมีกําลังใจอยางใหญ ไมไดเห็นแสน


กัปปเหมือนเดือนเดียวอยางเขา ทวาเสนทางวิบากนั้นไกลเกินหวนกลับ และสูงเกินโดดดิ่งขางทาง
เหมือนทิ้งตัวจากรถไฟ จะใหหลอนขี่หลังเขาสบายๆหรือก็เหลือวิสัย ไดแตชวยฉุด ชวยประคองตามมี
ตามเกิด จูงมือกระชับชิดบาง ปลอยมือตางคนตางเดินบางสลับกัน

สํานึกวาแพตรีเปนความชุมชื่นกลางทางกันดาร เปนทะเลกวางกลางโลกแคบ เปนความงดงามกลาง


ความนาชัง เปนความสวางสบายกลางค่ําคืนเยือกหนาว เปนความร่ํารวยกลางความขัดสน เปนความ
หรรษากลางความนาเหน็ดหนาย เปนดนตรีออนหวานกลางความเงียบงันวังเวงใจ เปนเพื่อนคูทุกขแต
เพียงเดียวกลางความอางวางรอบราย…

หลอนเปนทุกสิ่งที่ดีที่สุด
๖๐๕

ชวงหนึ่งเขาเกิดเหมอ เผลอสติอยางไรชอบกล เหมือนหลงๆลืมๆไปวามีแพตรีตะเกียกตะกายตามมา


ยินหลอนอุทานคลายสะดุดหินลมกลิ้งลง โหยไหเสียงหลงรองเรียกเขาอยูที่เบื้องหลัง แตเรียกเทาไหรๆ
เขาก็มัวเพลินเดินรุดไปไมเหลียวแล อันเนื่องจากมีวิหคนกฟาบินโฉบลงมาลอตาชักชวนใหหลงเขาสู
อุทยานอันรมครึ้มดวยแมกไมเขียว สดชื่นบรรเจิดตาดวยหลากไมดอกหลากสีนานาพันธุ

เพลินอยูนานพอดู กวาจะนึกขึ้นไดก็เมื่อดอกไมในสวนพรอมใจกันเหี่ยวเฉา เบื้องสูงมืดครึ้ม ยินเสียงฟา


คํารณจากระยะไกลแลวสะดุง คลายตื่นจากภวังคลึก เหลียวหาแพตรีก็ไมเห็นเสียแลว รูสึกผิดอยางแรง
วาตนไดยินเสียงรองไหคร่ําครวญของหลอน แตคลายแกลงไมไดยิน เอาหูทวนลมอยางคนใจดํา ทิ้งลืม
ไวขางหลัง ปานนี้จะเปนอยางไรบางก็ไมรู

ไวเทาความคิด เขาใชกําลังทั้งหมดที่มีสาวเทาวิ่งยอนทางกลับมาโดยเร็ว เห็นภาพทางวางหายไรแพตรี


แลวเศราจนสะอึกอั้นอยูในฝน เสียใจที่ทอดทิ้งหลอน คิดวาถามีโอกาสแกตัวจะยอมเหนื่อยแบกขึ้นหลัง
ไมปลอยใหหางหายไปไหนอีกแลว

ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเชา ก็แลนกลับกรุงเทพฯทันที!

เขามาพบหลอนแลว โลงใจไปถึงไหน…

ฌานสมาบัติเปนของเสื่อมงาย โดยเฉพาะเพิ่งตั้งเขาที่เพียงอาทิตยเดียว เมื่อโดนกิเลสครอบงําก็สลาย


หายสูญไปราวกับไมเคยเกิดขึ้นมากอน

แตความจดจําเกี่ยวกับสังสารวัฏ การเวียนเกิดตายสลับสูงต่ําดําขาวยังคงอยู ยังรูความนาขนพองสยอง


เกลาอยู และตระหนักวาสิ่งใดยึดเขาไวกับการเกิดตายแลวๆเลาๆ ไรตนไรปลายนี้

กมลงหอมแกมนวลตรงหนา กลิ่นเนื้อแพตรียวนใจนัก

สํารวจความติดตรึง ความอยากอันโหมแรงที่เกิดขึ้นภายใน บอกตนเองวาสิ่งนี้เองผูกยึดส่ําสัตวไวกับ


สังสารวัฏ พยายามมองใหเห็นโทษภัย

เห็น…

แตตัดไมได

ก็ในเมื่อใจยังบอกอยูวารางสาวนอยอันเปนที่รักตรงหนา ทั้งสวยหวาน ทั้งละมุนนาชิดเชย อยูใกลแลว


เยือกเย็นเปนสุขอยาบอกใครขนาดนี้

นางฟาเดินดินนั้นคลายของขวัญสําหรับผูแนวแนในเสนทางหฤโหดสายพุทธภูมิ เปนธรรมดาของผู
บําเพ็ญเพียร สั่งสมบารมีไวมาก ยิ่งผลักดันใหคูบารมีสูงสงขึ้นเทาไหร ก็ยิ่งไดมีสิทธิ์ชื่นเชยสมบัติวิเศษ
๖๐๖

อันสรางดวยน้ําพักน้ําแรงของตนเองเทานั้น เพราะการลากจูงกันมานานโดยเจตจํานงอันเปนกุศลยิ่ง
ใหญ ยอมกอรางสรางสังขารโดยยืนพื้นบนยานกุศลนั่นเอง

หลอนเปนของเขาแตเพียงผูเดียว!

ภาคหนึ่งของใจเห็นวานั่นเปนอุปาทานที่โงมาก หลอนเองยังไมใชของตัวเอง กอนธรรมชาติตองตาย


อยางไรกายหลอนก็ตองแตกดับตามนั้น

แตเนื้อที่แนบเนื้ออยูอยางนี้ ใจรูคาความเปนหลอนอยูอยางนี้ มีหรือจะยอมปลอยหลอนได วางหลอนได


เห็นหลอนเปนอนัตตาได?

เกิดความคิดวูบๆวาบๆขึ้นมาวาเจาเด็กหนุมที่ชื่อมตินั่นพลาดโอกาสเชยชมอัญมณีล้ําคา หรือโชคดีที่
แคลวคลาดจากบวงรัดของอสรพิษรายแหงมหาสังสารวัฏกันแน? ภาพผิวเผินภายนอกที่ปรากฏตอกิเลส
กับภาพลึกซึ้งภายในที่ปรากฏตอปญญานั้น ชางขัดแยงกันสุดขั้วไดอยางนี้

“กังวลอะไรอยูหรือแพ?”

เขาเอยถามทั้งรูวาใครกําลังมีบทบาทรบกวนจิตใจหลอน ชวงที่เขาหายไป แพตรีอาจประชดรักดวยการ


หันไปทอดสนิทคืนความสัมพันธอันดี ใหความหวังลมแลงกับหนุมหนาออนคนนั้นจนเกือบเปนบา โดย
เฉพาะเมื่อพบวาเขากลับมาครอบครองจองตัวหลอนตามเดิม มิไดหายขาดไปอยางที่คิดกัน

ยินเสียงถอนใจแผว หญิงสาวเอยกระซิบจนเขาตองจอหูเขาไปใกลแทบแกมแนบแกม

“แพทํากรรมหนักเหลือเกิน ตอไปคงตองเจอคนหลอกใหดีใจ รองหมรองไหแทบคลุมคลั่ง”

เกาทัณฑยนคิ้ว เขาไมรูเรื่องราวความเปนมาเกี่ยวกับมติเทาไหรนัก จึงคาดเดาแบบปะติดปะตอโดยมี


เจตนาปลอบโยน

“แพไมไดมีเจตนาหลอกลวงเขานี่”

“แตแพก็ไมรักษาคําพูด ทําใหเขาเสียใจ”

ชายหนุมลอบยักไหล แอบคิดเงียบๆวาชางปะไร ก็แคไอหนุมหนาจืดคนหนึ่ง…

“เขาไมเหมาะกับแพหรอก คนเราเขากันไมได แตพยายามจับคูกันในฐานะผิดจากที่ควร ก็เกิดความวิบัติ


ขึ้นในเบื้องปลายอยางนี้เอง ถือวาแพกับเขาผิดกันคนละครึ่งนะ แบงความเสียใจกันแลวก็แลวไป”

แมชวยปลอบเชนนั้น ก็ดูหลอนไมหลุดจากอาการกังวล ราวกับเห็นเปนอาชญากรรมใหญโตขั้นเขาคุก


เขาตะราง ขี้เกียจคิดมากเลยปลอบซ้ําไปแกนๆ ทั้งรูวาโอโลมปฏิโลมอยางไรก็ปวยการ
๖๐๗

“ความรักเหมือนกีฬา ตองมีไดมีเสีย มีสมหวังผิดหวัง วิถีโลกนะ อยาวิตกเกินเหตุเลย”

หญิงสาวกะพริบตาทีหนึ่ง

“พี่ไมรูอะไรหรอก”

เกาทัณฑชะงักเล็กนอย ไมสบอารมณขึ้นมาวาบหนึ่ง เพราะทราบตามจริงวาเวลานี้เทียบระหวางเขากับ


หลอนแลว หลอนรูนอยกวาอยางเรียกไดวาอนุบาลกับอุดมศึกษาทีเดียว

แตที่สุดก็ฝนยิ้ม แพตรีกําลังโศก เขาควรทําใหหาย

“ใช” เอาปลายนิ้วเกลี่ยชายผมที่ระแกมหลอนใหเขาที่ “อยางเชนไมรูวาทํายังไงแพถึงจะหันมายิ้มกับพี่


เสียที”

แพตรีดึงกายขึ้นนั่ง ทําทาคลายจะลุกจากเตียง แตเกาทัณฑเอาแขนคลองเอวยึดไว หญิงสาวพยายาม


แกะ

“ปลอย”

“จะไปไหนละ?”

“โทร.หามติ”

หลอนตอบตามตรง

“จะพูดอะไรกับเขาอีก?”

“อยากขอโทษ ขอคําอโหสิ และฟงเสียงวาตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง”

เกาทัณฑทําหนาเมื่อย แตก็ยอมปลอยแขน

โทรศัพทวางอยูบนโตะทํางานหางจากเตียงหนอยเดียว ทีแรกแพตรีอยากขอใหเกาทัณฑออกไปขาง
นอก แตแลวก็เห็นวาทําอยางนั้นดูมีลับลมมากไปหนอยสําหรับฐานะอันชิดเชื้อยามนี้ จึงปลอยใหเขาอยู
ดวยอยางนั้น ตนเองยืนนิ่งกับที่ ทําใจตระเตรียมคําพูด

ชายหนุมตะแคงหนาไปยังจุดที่แพตรียืนอยู หลอนกอดอกหลวมๆหันขางให เห็นเสี้ยวหนาสวยและเสน


ผมเหยียดตรงยาวจรดแผนหลังในอาการนิ่งเปนดุษณีนั้นแลว ทําใหนึกถึงนางในฝน เหมือนหลอนเปนรุง
อรุณที่สาดแสงละไม สองใจใหอบอุนปรีดาล้ําลึก
๖๐๘

แพตรียกหูโทรศัพทขึ้นกดเบอรเนือยๆทั้งรูวาเขากําลังจับตามองและเงี่ยหูฟง หลอนรอสัญญาณเพียง
สองครั้ง ก็มีเสียงเรียบเบาตอบมาจากปลายสาย

“สวัสดีครับ”

“มติ…” ทั้งที่เตรียมคําพูดไวพรอม ก็ไมวายติดขัด “กลับถึงบานนานหรือยัง?”

เด็กหนุมเงียบเพียงครูเดียว ก็ตอบกลับมาดวยสุมเสียงนุมนวลเปนปกติทุกอยาง สมแลวที่เปนบัณฑิต


ทางธรรม

“ตรงกลับเขาบานเลยฮะ ไมไดแวะที่ไหน” แลวเขาก็ดักคอ “เปนหวงกลัวผมจะไปเดินหาทําเลดิ่งพสุธา


หรือ?”

แพตรีหัวเราะออกมาได สบายใจขึ้น

“เปลา…” หลอนทําตาเปนประกายใสในการเฝาสังเกตของใครอีกคนใกลตัว “รูนาวาเกง ถาเดินก็คงหา


ทําเลปกกลดทําสมาธิมากกวา”

“เขากลับไปแลวหรือถึงโทร.มา?”

“ยังอยู” ตอบโดยมิไดระวังออมเสียงนัก “ทําไม โทร.หาเธอตองรอใครกลับเสียกอนดวย?”

มติทําหนางงอยูที่ปลายสาย สําเนียงคลายหยิกประชดนั้นบอกอยูในทีวาคนรักของหลอนหางออกไปแค
เอื้อม ไดแตทอดถอนใจวาโลกนี้ยุงจริงหนอ ขัดของจริงหนอ หวังวาคงไมใชแงงอนระหองระแหงกันแลว
จับเขามาขึ้นเขียงสับแทนอีก เพราะคราวนี้เข็ดจนตาย ไมยอมหลงเหยื่ออีกแลว

เด็กหนุมยอบกายลงนั่งพิงผนังหอง สงเสียงเนือยๆ

“พูดอยางนี้ถาพี่เขาฟงอยู เขาหนามืดตามมาอัดผมถึงบานก็เสร็จซี่”

แพตรีอมยิ้ม ปรายตามาทางเกาทัณฑ

“ใครกลาอัดเธอ นากลัวตายละ พี่จะขวางเอง”

มติหัวเราะเอื่อยทั้งครานที่จะมีอารมณขัน

“นี่…พี่แพ” บอกทั้งหนาชื่นอกตรม “ไปใหเขากอดตอเถอะไป”

หญิงสาวสะดุง แตก็ทําหนาเฉยอยางรวดเร็ว
๖๐๙

“นี่…นองชาย! อยาทําเปนรูดีนักเลย ชักปากคอเราะรายนะเรานะ”

“ผมจะวางละ”

“เดี๋ยว…” เมมปากกล้ํากลืนกอนขมลงคอ และเริ่มตั้งใจพูดมากขึ้น “มติ พี่อยากขอโทษเธอ พี่ไมตั้งใจ


ให…”

“พี่แพฮะ” มติขัด “ระหวางทางกลับบาน ผมเบาตัว สบายใจ และปลอดโปรงโลงตลอดอยางที่สุด ตอนยัง


นึกวาพี่แพไมเปนสิทธิ์ของใคร ยังไงๆก็แอบหวังอยูในสวนลึก แตนี่หมดอยาก หมดหวังอยางเด็ดขาด
เสียที ตั้งแตนาทีที่รูวาพี่เปนของเขาแลว”

แพตรีอึกอัก หนาแดงขึ้นมาดวยความอาย อยากแกความเขาใจผิดของนอง แตเหมือนถูกค้ําคอ เพราะ


มติบอกกับปากวาความเขาใจผิดนั้นเองปลดเปลื้องเขาเปนอิสระอยางสมบูรณ หลอนจะใจรายคลองหวง
บางๆกลับไปมัดเขาอีกไดอยางไร

“สิ่งที่เห็นวันนี้ไมใชแคพระเอกตัวจริงของพี่ แตยังไดเห็นทุกขในอกของตัวเอง เห็นตนเหตุทุกขคืออาการ


ที่จิตจับยึดพี่แพเปนความหวังอยางเลื่อนลอย พอเห็นอาการยึด เลยรูวาจะปลอยไดทาไหน แตกอนไมรู
ดวยซ้ําวาอาการยึดแบบนี้เปนตนเหตุทุกข ไมรูวาเรามีทุกขในอก พอถูกขยายผลชัดๆเปนกอนใหญขึ้น
มา เลยจับถนัด ก็นับเปนบทเรียนฝกดับไฟทุกขกองเล็กอีกบทหนึ่ง ตองขอบคุณเสียอีกที่พี่แพกับเขาทํา
ใหผมเห็นไดอยางนี้

ผมคิดไดตั้งไมรูกี่ปดีดัก วาตัวเองเปนอยางมากแคนองของพี่นะสมควรที่สุดแลว แตก็อดรักอดหลงไมได


ทรมานนานแคไหนขี้เกียจจํา เอาเปนวาตอนนี้เหมือนพันธนาการถูกปลดทิ้ง อยากังวลเพราะผมเลย
ควรยินดีดวยมากกวา เราสนิทกันเสียจนไมจําเปนตองอําพรางหรือพูดออมคอมใหคาใจใชไหม คุยกันหา
นาทีเสร็จดีกวาอ้ําอึ้งเปนชั่วโมงโดยไมลงเอยอะไร พี่ฟงเสียงผมก็ได ผมไมใชคําเลี่ยงแมแตนิดเดียว ผม
เคยนับถือ เคยรัก เคยหลง แตถึงตอนนี้เหลือแคความนับถือเทานั้น ดีดวยกันทุกฝาย”

เงียบพักใหญ กอนมติจะถามแบบตบทาย

“สบายใจรึยัง?”

แพตรีกะพริบตาปริบๆ

“สบายแลว ขอบใจมาก” แลวหลอนก็ขอเสียงสั่น “เหมือนพี่หลอกเธอใหดีใจ อโหสิดวยนะ”

มติสูดลมหายใจเขาปอดลึก เกือบๆบอกตามตรงวาหลอนทําใหเขาโตขึ้นเพราะมองเห็นและอยากละวิถี
โลกเสียที คนเรานั้นทั้งยุง ทั้งกลับไปกลับมานาระอาขนาดไหน เขาเกิดปญญาเห็นชัดวาเมื่อเอาชนะตน
๖๑๐

เอง จิตพิพากษาเสร็จสิ้นแลวไมมีกลับไมมีเปลี่ยน ตางจากการเอาชนะใจผูหญิง ที่ใหผลเรรวน เหมือน


ชนะไดในวันหนึ่ง แตแคขามวันก็เปลี่ยนผลเสียแลว

ทวาพูดอยางนั้นจะออกนอกกรอบไปหนอย แพตรีฟงแลวคงไมนึกชื่นชมนัก เพราะเปนเรื่องเขาตัว มติ


จึงคิดคําอโหสิใหฟงปราศจากความกระทบกระทั่งหรือเปนเหตุใหเก็บไปคิดของติดใจในภายหลัง

“อยางที่บอกนะฮะ ขอใหถือวาพี่แพมอบความปลอดโปรงสบายใจกับผม ความไมรูใดๆของพี่แพที่ถือ


เปนบันไดขั้นตนใหไตมาถึงจุดนี้ ตองนับเปนคุณ ไมใชโทษ เพราะฉะนั้น…ผมอโหสิครับพี่แพ และกราบ
ขอบพระคุณดวยใจจริงกับการใสผมลงลูทางที่เหมาะสุดสําหรับภาวะปจจุบัน”

ประโยคทายของเขาสะกิดใหหลอนนึกถึงนิมิตที่เกิดขึ้นเมื่อนั่งสมาธิอยูหนาพระประธานในโบสถวัดปา
สาละวัน

หลอนกับเกาทัณฑชวยกันพายเรือพาเขาสงขึ้นฝง!

“เธอจะบวชหรือ?”

แพตรีโพลงถามทั้งที่เขายังไมเคยเอยเฉียดไปทางนั้นสักคํา

“ถายังไมเปนพระก็จะยังไมบวชหรอกฮะ” มติตอบกลางๆ “วางเถอะ อยาคุยกับผมนานเลย เดี๋ยวพี่เขารู


สึกไมดี”

“มติ…เราเปนพี่เปนนองกันตลอดไปนะ”

“ฮะ”

ตอบเรียบสั้นแลวก็วางกระบอกโทรศัพทลงกับแปนตัดสายไป แพตรียืนถือหูนิ่งงันอยูอีกครู กอนวางลง


ตาม หัวอกเบาโลง ระบายยิ้มพนมมืออนุโมทนากับนองชายผูเปนที่รัก

เกาทัณฑลุกเดินมาหา แพตรีรูเชิง หลอนยังไมอยากโดนแตะเนื้อตองตัวนัก จึงขยับกาวหลบไปทางหนึ่ง


แตเขาไวกวาและควาเอวไดดวยปลอกแขนล่ําสัน พารางหลอนมาที่เตียงอีก โดยลงนั่งกอนแลวเหนี่ยว
หลอนนั่งบนตักขวาของเขา

“ออกไปเที่ยวขางนอกกันบางเถอะคะ อยูในนี้อุดอูจะตาย”

แพตรีเอยชวนกระเงากระงอดเพราะเบื่อสภาพสองตอสองที่หลอนเสียเปรียบเหมือนลูกไกในกํามือเขา
เต็มแก สัญชาตญาณระแวงภัยของผูหญิงเตือนวาผูชายถาเห็นโอกาสจนน้ําลายหกไดที่ขึ้นมาเมื่อไหร
สัญญาไวแคไหนก็ลืมหมด
๖๑๑

“แปลกแฮะ พี่นาจะเปนฝายชวนแพเที่ยวมากกวานะ”

“จะไปไหมละ?”

“เที่ยวไหน?”

“เที่ยววัดไง หาที่นั่งสมาธิกัน”

เกาทัณฑหัวเราะเอิ้ก

“เคยไปเที่ยวไหนมั่งหา เรานะ ใชคําวา ‘เที่ยว’ ผิดที่ผิดทางหรือเปลา? ตอไปนี้คงตองปรับความเขาใจ


กันหนอยมั้ง”

“แบบไหนคือที่ที่ควรใชคําวา ‘เที่ยว’ ของพี่ละคะ?”

“โรงหนัง ศูนยการคา แหลงตากอากาศชายเขา ชายทะเล”

“เอาเถอะ อยากไปไหนก็ไป”

“ตอนนี้อยากอยูที่นี่แหละ ยังไมเบื่อนะ”

แพตรีกะพริบตา เบนหนาเนิบชามามองเขา

“อยางพี่นะเบื่องาย แพรู ที่ไมรูคือพอแตงแลว เบื่อแพแลว จะเกิดอะไรขึ้นบาง”

เกาทัณฑเห็นทาจะวกเขาเรื่องเครียด ก็รีบฉีกไปอีกทาง

“เออ…วาจะคุยดวยพอดี หลังแตงงานเราสองคนนาจะหาโอกาสไปนมัสการสังเวชนียสถานในอินเดียกัน
นะ คงจะดี เปนมงคลกับชีวิตสมรสมากทีเดียว”

แพตรีเงียบไป สังเวชนียสถานคือสถานที่ตางๆซึ่งเตือนใหรําลึกถึงพระพุทธคุณ ขณะเดียวกันก็บันดาล


ใหเกิดความสังเวชใจในการเกิด แก เจ็บ ตาย อันไดแกลุมพินี-สถานที่ประสูติ พุทธคยา-สถานที่ตรัสรู
สารนาถ-สถานที่แสดงธรรมครั้งแรก กุสินารา-สถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ทั้งหมดอยูในอินเดีย ยก
เวนลุมพินีแหงเดียวที่อยูในเนปาล

ครั้งที่คุณยายังมีชีวิต ปูชนะเคยพายากับหลอนตระเวนทองนมัสการพุทธสถานที่สําคัญในแดนกําเนิด
และเผยแผพระสัทธรรมขององคตถาคตมาแลว หลอนยังจดจําบรรยากาศตางๆไดติดใจ เพราะมีแรง
ประทับลึกซึ้งยิ่ง
๖๑๒

ภาพในความทรงจําโดยมากคือหลักหินที่ใหเงาครึ้ม สงบวิเวก รมเย็น และเต็มไปดวยพลังความศักดิ์


สิทธิ์ขรึมขลัง ชวนใหเกิดใจระยอบลงเคารพและสักการะดวยธรรมภายในอันกระจางไสว

ในครั้งนั้น ตลอดการรอนแรมยาวไกลเพื่อขามสังเวชนียสถานแตละถิ่น จะอยูในราตรีอันมืดมิดหรือทิวา


อันสวางแจง มองขางทางเห็นแตทุงนาเวิ้งวาง ดูเงียบเหงายาวนานเหมือนไรที่สิ้นสุด ภาพความอางวาง
เคยทําใหหลอนคิดถึงเขาอยางจับใจ อยากใหเขาเปนผูพาหลอนขามน้ําขามดินไปทุกแหง แทนที่จะ
ปลอยใหเหมือนอยูตามลําพังอยางนั้น

นั่นเปนกอนหนาที่จะพบกับเขาเปนครั้งแรก เพื่อทราบวาเขาไมแมแตอยากชายตาเหลียวแล…

แตวันนี้ เดี๋ยวนี้ นาแปลกนัก เปนความบังเอิญ เปนการอธิษฐานที่ใหผลสมหวังหรืออยางไร เขาจึงเปน


ฝายชักชวนขึ้นมาได

“คิดยังไงถึงชวนคะ?”

“ปูเคยเลาใหฟงนะแพ ฟงแลวอยากไปบาง เห็นปูวาระหวางเดินทางขามเมืองนี่ จิตใจเยือกเย็น สงบสุข


ทําสมาธิไดมีพลังเปนพิเศษ เหมือนรมฟายังมีเงากาสาวพัสตรของพระพุทธองคแผใหสัมผัส พี่คิดวาเมื่อ
เราแตงงานกัน เดินทางไกลรวมกัน คงกอสายใยผูกพันไดแนนแฟนยิ่งขึ้น”

“คะ ไกล…ไกลมากนะคะ ตองใชเวลามากทีเดียว”

“ดีสิ ยิ่งไกล ยิ่งใชเวลา เราก็ยิ่งใกลชิดกันในรมกุศลมากขึ้น เมื่อเสร็จจากการนมัสการครบทุกถิ่นแลว นา


จะอธิษฐานขอใหเปนพลวปจจัย รวมเที่ยวไปในสังสารวัฏบนทางมหากุศลเชนนี้ตราบเขาถึงพระ
นิพพาน”

แพตรีนิ่งงัน เพราะรอยระคายยังไมจางหายดีนักจากเรื่องนาเข็ดที่ผานมา แตก็เกรงวาเมื่อเขาชักนําเรื่อง


บุญเรื่องกุศลแลวหลอนทําเพิกเฉยไมยอมรับรูหรือรวมโมทนา เดี๋ยวจะเปนการจุดชนวนใหเกิดความไม
ลงรอยเปนลูกโซ จึงจําใจระงับความรูสึกดานลบ แปรความคิดเปนยินดีคลอยตามในทํานองโมทนา
สาธุการ

“คะ”

รับคําเพียงสั้นเหมือนบอกวารับรูแลว และไมขัด ทวายังรูสึกฝนๆอยูในภายใน เพราะคนเรามีกําแพงทิฐิ


จากความเจ็บกันเสมอ แพตรีจึงคิดเอาชนะทิฐิตนเองดวยการออกความเห็นเสริมเสียหนอย

“ความจริงสถานที่สําคัญทางพุทธศาสนาในอินเดียยังมีอีกหลายแหงนะคะ และถามีโอกาส คนที่ไปก็มัก


จะไมพลาด อยางเชนที่อยูใกลลุมพินีก็ไดแกสาวัตถี ที่ตั้งของพระเชตวันมหาวิหารซึ่งพระพุทธองค
๖๑๓

ประทับอยูสิบเกาพรรษา และยังมีบุพพารามที่พระองคประทับอีกหกพรรษา ซึ่งรวมแลวเกินครึ่งของ


เวลาที่พระองคใชโปรดสัตว ถาไปกับกลุมทัวรจะมีกําหนดการคอนขางครอบคลุมอยูแลว”

เกาทัณฑเบิกตานิดหนึ่ง

“แพเคยไปมาแลวเหรอ? รูดีจริง”

“ปดเทอมชวงสิบขวบปูเคยพาไปคะ”

“อาว…ดีสิ ไปอีกรอบคราวนี้เปนไกดใหพี่” เขาพูดดวยตาตื่นสดชื่น “พระพุทธเจาทานประทับอยูสาวัตถี


นาน คงมีเหตุการณเกิดขึ้นมาก หลักหรือรองรอยสถานที่ตางๆคงมีมากตามไปดวยสินะ”

“คะ ยังเห็นรองรอยและซากโบราณวัตถุหลายแหง เชนวัดเชตวัน พระราชวังของพระเจาปเสนทิโกศล


เจดียบอกตําแหนงพระพุทธองคแสดงยมกปาฏิหาริย มูลคันธกุฎีที่ประทับ หรือกระทั่งจุดเกิดเหตุสําคัญ
เชนตําแหนงแผนดินสูบพระเทวทัตตและนางจิณจมาณวิกา กุฎีพระเถระตางๆก็มาก”

“บรรยากาศเปนยังไง รกรางหรือเปลา?”

“ตอนนี้เขาพัฒนาหรือปลอยปละอยางไรไมทราบนะคะ แตเมื่อสิบปกอนนี่เขียวครึ้มไปหมด ทั้งหญา ทั้ง


แมกไมใหญ พื้นที่ในอินเดียโดยมากยังเห็นวัตถุสมัยใหมนอย เขตโบราณสถานยังคงบรรยากาศยุคเกา
ไว บางแหงก็วิเวกวังเวงเหมือนปา”

“เห็นเขาวาอินเดียขอทานเยอะเหรอ?”

ถามพลางยื่นมือเอาปลายนิ้วแตะไลริมฝปากลางอยางขอลองวาที่เห็นอิ่มเต็มนั้นจะนุมแคไหน แพตรีโยก
ศีรษะหลบนิดๆ ขึงตาหาม พลางตอบเปนปกติ

“คะ ตลอดทางเลย บางทีลูกชาวบานไมไดอดอยาก ก็วิ่งมาขอเงินจากนักทองเที่ยวสนุกๆ ประชาชนสวน


ใหญอดอยากยากจนกันจริงๆ กระทั่งการขอทานแทบจะกลายเปนประเพณีไปทุกหัวระแหง”

“ที่พักสะดวกหรือเปลา?”

“ตามจุดตางๆก็มีโรงแรมอยางดีเหมือนประเทศอื่น ไมตองนอนกระตอบหรอก”

“ไดแวะคงคาบางไหม? เห็นวาชาวพุทธไปอาบน้ําขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นกันมาก”

“ไมใชคะ คงคามหานทีเปนแมน้ําศักดิ์สิทธิ์ในความศรัทธาของชาวฮินดู แตกลาวอางอิงในหลายพระสูตร


หลายคนเลยคิดวาเปนแมน้ําศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ ชาวฮินดูยังศรัทธากันมั่นคงมากนะคะ เด็ก หนุมสาว
๖๑๔

ผูเฒา ยากดีมีจนมาอาบน้ํารวมในที่เดียวกันหมด แพเห็นทั้งขอทานแกๆที่ปากหุบไมได แมลงวันเขาไป


ตอมหนอง ไปจนถึงสาวทาทางผูดี สวมใสเสื้อผามีราคา ตางมาลงอาบอยางไมมีการรังเกียจกัน”

เกาทัณฑเบหนา นึกในใจวาจางสักแสนเขาก็คงไมเอาดวย

“รวมแลวพอจบการเดินทางรูสึกยังไง ชื่นใจมากไหม?”

“ไดเห็นอนุสรณสถาน ที่แมจะเปนเพียงซากปรักหักพัง ก็ยังทรงพลังยิ่งใหญใหสัมผัสได การไปพบสถาน


ที่จริงที่เกิดเหตุการณศักดิ์สิทธิ์ตางๆ เปดใจเราใหรับบรรยากาศของพุทธดั้งเดิมอยางเต็มกําลัง เหมือน
เรายอนกลับไปอยูในยุคเดียวกับพระพุทธองคและพระสาวกทั้งหลาย”

ชายหนุมพยักยิ้ม สรุปดวยความมาดหมายเต็มเปยม

“คงตองเลือกเวลาพรอมทั้งสองคนใหเร็วที่สุดแลวละ”

อยางรวดเร็วและนุมนวลแทบไมทันใหรูสึกตัว เกาทัณฑชอนรางหลอนเลื่อนไปนั่งขอบเตียง แลวลมตัว


ลงพาดศีรษะหนุนตักนิ่ม แพตรีเกือบงุนงงในพลกําลังและความวองไวฉับพลันชนิดนั้น ดวยถูกสลับ
เปลี่ยนจากการนั่งตักเขามาเปนใหเขานอนตักงายดายในพริบตา ราวกับหลอนเปนเพียงหุนปนเล็กเบาที่
อาจนําไปวางหรือจัดตั้งที่ไหนเมื่อไหรก็ได

ครูหนึ่งในความนิ่งงันทามกลางความไมเปนอื่น แพตรีกมลงมองหนาเขา เห็นกําลังเหลือบจองขึ้นจับ


หลอนอยูกอนแลว และพยายามสงยิ้มใหหลอนยิ้มตอบ แตแพตรีเฉย เพราะอยางไรก็ยังมีความขุนอยู
จางๆในอก ลักษณาการที่มองสานลงมาจึงออกตัดพอเสียมากกวารวมอารมณใสๆไปกับเขา

“แพ…”

“หือม?”

"เคยใหใครหนุนตักไหม?"

หางตาคมตวัดเฉี่ยวหนาเขา ออกเคืองเพราะคลายเกาทัณฑเริ่มทวงถามความบริสุทธิ์สะอาดจากหลอน
ในขณะที่หลอนรูวาเขาเองผานใครตอใครมาจนเจน

"เคยมั้ง"

คําตอบหวนแบบประชดทําใหเกาทัณฑยิ้มเอ็นดู
๖๑๕

"เคยมั้ง..."

ทําเสียงเล็กเสียงนอยลอเลียน แพตรีเลยยิ่งเชิดหนาหนีไกลออกไปอีก

เกาทัณฑเล็งตาขึ้นมองกิริยาเงางอนของหญิงสาวดวยความเพลินสุข แลวครูหนึ่งก็พลิกหนา พริ้มตาสูด


กลิ่นระเหยจากตักหอมอยางแสนรัก

“ไปเที่ยวที่อื่นกันเถอะคะ อยาอยูอยางนี้เลย”

เกาทัณฑยังอยากแนบสนิทชิดใกลหลอนเชนนี้ แตครานที่จะปฏิเสธซ้ําหลายหน จึงยักไหลดึงตัวขึ้นนั่ง

“ก็ได”

รับคําแตนั่งเฉย แพตรีจึงไล

“ก็ไดก็ออกไปรอขางนอกสิคะ”

ชายหนุมหัวเราะเงียบ แบมือ

“เอากุญแจรถมาซิ เดี๋ยวจะไปตรวจสภาพหนอย ทาทางคลุมผาปลอยทิ้งไวเฉยๆเปนอาทิตยเลยใชไหม


นี่?”

แพตรีเดินไปหยิบมาใหจากลิ้นชักโตะทํางาน เกาทัณฑรับแลวลุกเดินออกนอกหองเพื่อใหหลอนแตงตัว
ตามที่ขอ

โลกสวาง ทางดูโลงใสยิ่งนักแลว
๖๑๖

มตินั่งอยูที่ระเบียงบานตามลําพัง ในคืนพระจันทรสุกปลั่งสาดแสงเงินยวงเย็นตา เฉกเชนดวงจิตที่ฉาย


รัศมีอาภาประจักษกับตนเองในภายใน

ทั้งเปดตานิ่งดูภาพราตรีอันงามละมุนนั้นเอง มติเห็นเหมือนตนเองมีสองภาค ภาคหนึ่งนั่งพิงพนักเกาอี้


ปลอยอารมณตามสบาย ทอดตามองจันทรงามเบื้องบน เปนมิติที่มีเนื้อตัวหูตาจับจองได ผิวกายรับ
อากาศเย็น นัยนตารับฉากกวางใหญบนโพนฟา ทราบชัดในความเปนราตรีอันผาสุกนั้น

อีกภาคหนึ่งรูแจงเขามาในภายใน กายปรากฏสวางคลายหองทึบที่ความมืดถูกขับไลดวยแสงใส ใจอัน


เบาบางจากกิเลสนั่นเองคือแหลงกําเนิดแสง สองใหเห็นสัณฐานคราวแหงกายที่สติอาศัยเปนพื้นยืน
องคาพยพปรากฏดุจขาวของเครื่องวางภายในหอง ความรูสึกนึกคิดปรากฏดุจหมอกควันที่ถูกโปรยฟุง
โปรงบาง ทึบบาง

จิตอันเบาบางจากกิเลสนั่นเอง ละเอียดพอจะจอนิ่งอยูกับแสงรูอันกลมกลืนเปนหนึ่งเดียวกับดวงสติ เมื่อ


นอมระลึกเขามารูสึกในกาย กายก็ปรากฏเปนรูปขันธที่ถูกรู เห็นมีชองวางระหวางโครงกายกับแสงรู จิต
และกายไมเหนี่ยวยึด ไมเกาะติดกันใหเกิดอุปาทานในอัตตา

จิตอันทรงแสงรูนั้น เมื่อตั้งมั่นเดนดวง ก็ทรงตัวประดุจกองไฟใหญอันโชตินิ่งรับกลุมแมลงหวี่ที่บินรี่มา


วายดับโดยไมอาจรบกวนเปลวสวาง ความคิดและอารมณที่สุมจรเขามาทั้งหลายทั้งปวง หรือกระทั่ง
ความหมายรูเปนตัวฉันผูคิด ก็ปรากฏดุจเดียวกับพยับแดด ที่ดูมีจริง แตสลายหายหนอยางไรรองรอย
ไรตัวตนใดใหยึดถือไดแมแตนอย

ดวยความรูสึกออนนอม ออนโยนอันเปนธรรมชาติภายใน มติสํารวจตนเอง แลวพิจารณาชนิดของความ


สุขที่บังเกิดขณะนั้น

อัตตาอันขนหนักถูกปลดแลวจากหัวอก จึงเบากายหายหวง

ไฟคือราคะและโทสะยากจะลุกโชนขึ้นในดวงจิต จึงสงบเงียบเย็นใจ

เมื่อกายใสใจเบา กายก็ปรากฏโดยความเปนอยางนั้น ใจก็ปรากฏโดยความเปนอยางนั้น มีแตสภาว


ธรรมภาครูเห็นสภาวธรรมภาคถูกรู เปนธรรมเสมอกัน ไมขาด ไมเกิน ไมเกิดภาวะยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด
๖๑๗

เปนฐานแหงอุปาทาน จิตรวมลงเปนหนึ่งเดียวกับความวาง ปราศจากภาระ ปราศจากการวิ่งตามเหยื่อ


ทุกชนิด ปรากฏเปนสุดยอดเหนือภาวะและอสภาวะกับตนเอง

“นั่งชมฟาเปนกระตายหมายจันทรเลยนิพี่ชายเรา”

เสียงเด็กหนุมคนหนึ่งทักมาแตไกล ฉุดมติออกจากรสแหงความวางอันปราศจากขอบเขตในระดับอุปจาร
สมาธิ เหลียวมาทางตนเสียง นองชายเขานั่นเอง เพิ่งกลับเขาบานในชุดเที่ยวเต็มยศ

“วาไงทับ”

มติทักดวยเสียงเรียบเย็น แมสายตาเล็งแลที่นองชายดวยอาการปฏิสันถารอันควรมีควรเปน แตใจยังจับ


นิ่งดวยพลังแหงความตื่นรูอยางเปนธรรมชาติ โลงวางจากความคิด สงบเฉยไรปฏิกิริยาทางอารมณโต
ตอบวิธีทักแบบยั่วแหยของประทับ

“เมื่อกลางวันตอนออกจากบาน เราเห็นพี่แพนั่งรถปายแดงไปกับหนุมหลออะมัด”

ประทับบอกเลาดวยความจงใจทิ่มแทง เพราะหมั่นไสมานานที่มติควงสาวสวยเกินตัว โฉบไปฉายมาอยู


เรื่อย ความจริงมติกับประทับเปนพี่นองที่รักใครชอบพอกันดี เสียแตประทับชอบเขนดวยความริษยา
ตามโอกาส

“ถาหมายถึงแฟนพี่แพ ก็หลานชายปูชนะไงละทับ”

มติเอยเรียบสนิท

“ออ...อยางนั้นเรอะ” ผูนองทําเสียงสูงอยางเพิ่งรับรู “ตอนเราเดินผาน กําลังปดประตูรั้วกาวขึ้นรถพอดี พี่


แพเห็นเราแลวหลบๆหนายังไงชอบกลวะมัด สงสัยอายที่เราเห็นแฟนเขา กลัวเอามาฟองนายมั้ง”

พูดจบก็หัวรอรา มติฟงแลวพยักหนาเนือยนาย ทราบดีวาแพตรีคงยังติดอยูกับความรูสึกผิด พอเห็นนอง


ชายเขา เลยทําใหนึกถึงเขาและพลอยเขาหนาประทับไมติดไปโดยปริยาย

“เรารูสึกกับพี่แพ เหมือนที่รูสึกกับนายนะทับ บอกมาหลายครั้ง ขอใหเชื่อเสียทีเถอะ”

ประทับทําปากแบะ

“จะเหมือนกันยังไงละพอคูณ เราเปนชาย เกิดจากพอแมเดียวกับนาย แลวพี่แพเขาเปนหญิง คนละพอ


แมกับพวกเรา เดินควงกันไปควงกันมาตั้งหลายป อี๋อออยางกับโรมิโอ-จูเลียต ทําปากแข็งจนเจอใครมา
งาบไปแลว”
๖๑๘

เพราะถูกจี้อยางแรง โทสะจึงปะทุขึ้นจากใจที่ยังมีสภาพเปนเชื้อ มติขมวดคิ้วเล็กนอย ทวาองคมรรคคือ


สัมมาสติแสดงตัวอยางเฉียบพลัน เพียงไฟโกรธถูกรูวาวูบขึ้นมา จิตอันเปนผูรูก็แยกเปนตางหากออกมา
จากไอรอนทันที ซึ่งเมื่อใจไมปรุงแตงตอ ไอรอนแหงโทสะก็แสดงความเปนอนิจจัง จางหาย สลายตัวคืน
กลับสูความวางเปลา ปราศจากการผุดขึ้นของอุปาทานแหงตัวกูผูโกรธอยางสิ้นเชิง

และเพราะพนจากการหอหุมของโทสะ จิตจึงมีลักษณะเบิกบาน สะทอนออกมาดวยความกระจางใสในใบ


หนา ปรากฏใหเห็นไดในเงาสลัวรางแหงราตรีอันอาบแสงจันทร

เมื่อเห็นมตินิ่ง เฉยเมย ปราศจากกระแสความยินยลสนใจลอยออกมาใหสําเหนียกสัมผัส ประทับก็เปน


ฝายหงุดหงิดขึ้นมาเสียเอง เขาควักบุหรี่ออกมาจุดสูบมวนหนึ่ง เงยหนามองดวงจันทรกลางฟา เงียบ
เสียงไปแบบนึกเรื่อยเปอยลอยตามลมเกี่ยวกับแพตรี แมอายุจะหางจากหลอนหลายป แตเขาก็โตเกินพอ
จะเปนเด็กหนุมอีกคนหนึ่ง ที่ลุมหลงความสวยหวานของผูหญิงดีๆเชนหลอน

มติชําเลืองแลเงารางของประทับ และโดยมิไดตั้งใจลวงหนา จิตอันนิ่งวางและตื่นรูในตนเอง สงออก


สัมผัสคลื่นความเหมอลอยอันสงออกมาจากรางซึ่งยืนหางไปเพียงสามกาว

ทีแรกก็เหมือนกับที่คนทั่วไปอาจสําเหนียกสัมผัสคลื่นอารมณหรือความนึกคิดอันเขมขนจากคนอื่น เชน
กําลังมีความเครียดกังวล ความฟุงซานเลื่อนลอย ความของใจสงสัย ความมีเลศนัยซอนแฝง หรือความมี
อารมณขันซุกซน แตดวยจิตที่ชํานาญการรูทันเทา และสามารถแยกแยะสัญญาณความคิดอานของตน
เอง ไดเกิดประสบการณใหมกับมติ คือเหมือนจิตอันสงัดนิ่งและวางใสของเขาสามารถล็อกคลื่นความคิด
ที่กระจายออกมาจากประทับไดถนัด ราวกับเปนกระแสความคิดของตนเอง อีกทั้งตีความดวยอาการ
หมายรูชนิดเดียวกับที่จิตเห็นความคิดผุดขึ้นในหัวตนดวย

มติกะพริบตาปริบๆ ความกําหนดรูเกิดขึ้นชั่วเวลาสั้นๆราวกับเปนเพียงอุปาทาน เหมือนไดยินเสียง


รําพึงแผวกริบ เชนเดียวกับที่ผุดชัดในหัวตนเอง ตางแตตําแหนงตนกําเนิดความคิดถูกรูวาอยูที่ประทับ
อันเปนเครื่องชี้ใหจิตทราบวายินจากจิตอีกฝาย

‘ปานนี้เอาตัวไปไหนวา จะสี่ทุมแลวยังไมกลับอีก’

มติใจเตนแรง อาการของจิตที่มีปรีชาลวงรูความรูสึกนึกคิดผูอื่นแบบ 'เจโตปริยญาณ' เกิดขึ้นเปนครั้ง


แรกโดยปราศจากการตั้งเจตนาไวลวงหนาแตประการใด มติจึงออกสงสัยเล็กนอย วาตนอุปาทานไปเอง
หรือเปลา

เมมปากนิดหนึ่ง กอนถามเลียบเคียงพิสูจน

“ทับ...ไฟบานพี่แพยังปดมืดหรือเปลา?”
๖๑๙

ประทับหันขวับ แปลความตามเขาใจตื้นๆเพียงวามติอยูในอารมณหึงหวงและเปนหวงแพตรีจนเกินหัก
หาม ตองหลุดปากถามจนได

“ฮา!...ไหมละ” เด็กหนุมรองอยางมีชัย “เขายังไมกลับกันโวยมัด จะสี่ทุมแลว ปานนี้เอาตัวไปไหนตอ


ไหน”

มติระบายลมหายใจยาว ประทับพูดคลายกับที่เมื่อครูเขาเห็นฝายนั้นรําพึงในใจ นาจะใชแน อยางไรก็


ตาม มติพยายามล็อกความคิดของอีกฝายใหมเพื่อดูวาเปนเพียงความสามารถที่เกิดขึ้นชั่วครูชั่วยามหรือ
เปลา

ดวยใจที่เตนผิดจังหวะจากความอยากรูอยากเห็น ทําใหขาดความตั้งมั่นแนวนิ่งในชวงแรก เหมือนเขา


พยายามจูนหาคลื่นวิทยุในยานความถี่ที่ตองการ แตพบเพียงเสียงอูอี้ฟงไมไดศัพท ประทับกําลังคิดอะไร
อยูแนๆ เขาสัมผัสไดเปนคลื่นหยาบที่แฝงมากับรอยยิ้มเยาะ

มติกะพริบตา เปลี่ยนวิถีการรูทันความคิดคนอื่นมาเปนเทาทันตัวโลภะของตนเอง ความสามารถพิเศษ


ทางสัมผัสที่หกเปนเรื่องธรรมดาของผูฝกจิต เพราะในภาวะนิ่ง ธาตุรูอาจถูกนอมไปใชอยางไรก็ได สุด
แตจะเลือก

ถาเลือกผิดก็ติดอยูในวังวนการเกิด แก เจ็บ ตายไมเลิก...

พอสติผุดเชนนั้น มติก็ตัดความใสใจในความคิดคนอื่น หันมากําหนดรูความคิดตนเองแทน ซึ่งงายกวา


แนนอนกวา กับทั้งเมื่อเฝาดูโดยความกําหนดเปนอนัตตาแลว วันหนึ่งก็จะถึงที่สุดทุกขได เปนประโยชน
สูงสุดแกตนเอง

“เรารูนะวานายกําลังคิดถึงพี่แพ เปนหวงพี่แพ แตทําเปนปากแข็ง”

ประทับทักทายแบบสูรูประสานักเดาที่สําคัญวาตนแนจริง มติตัดรําคาญดวยการไมตอลอตอเถียง แต


นองชายก็ยังอุตสาหหาความยาวอีก

“อยาวาเราตอกย้ําเลย แตนายตัดใจเถอะ พี่แพเขาสวยเกินไปวะ หาใหมแบบที่เขากับนายไดดีกวา”

มติตามดูใจตนเอง ที่นาจะคุกรุนเพราะถูกเด็กเมื่อวานซืนสั่งสอน แปลกที่โลกภายในกลับเงียบสนิท หัว


ใจเตนเปนจังหวะปกติคงเสนคงวาทุกประการ ราวกับเด็กนอยไรเดียงสา ไรความยินยลสนใจกับความ
กระทบกระทั่งอันกอเกิดจากรูปภาษาของมนุษยใดๆ

อาจเปนเพราะรูทางไปทางมาของราคะ โทสะ โมหะจนเคยชิน กระทั่งเทาทันแมขณะจิตที่รับผัสสะอัน


ควรกออกุศล จึงเกิดการตั้งรับขึ้นอยางเปนไปเอง คงไวแตความเนิบนิ่งทางความคิด และรูสึกสงบละไม
ไมไหวติงในกลางอกอยางไรก็อยางนั้น
๖๒๐

เมื่อเขาเงียบ ประทับก็เงียบตาม แตในความเงียบของประทับมีแรงดันขนหนักแฝงอยู แสดงวากําลังคิด


หาคําพูดถลมเขาตอ ใจที่กําลังอยูในอุเบกขา ทรงกําลังรู กระแสจิตตอเชื่อมกันสนิท พลิกกําหนดจับนิด
เดียวก็ล็อกสัญญาณความคิดอีกฝายไดถนัด

‘ลูกสาวแมคากลวยแขกหนาปากซอยนะเหมาะ’

ประทับคิดจับคูใหกับเขาแบบทีเลนทีจริง แทนที่จะโกรธ มติกลับขบขันจนหัวเราะออกมา

“นายขําอะไรวะ?”

ประทับถามยียวน เพราะนึกวามติแกลงหัวเราะแบบทําเปนไมยี่หระ

“ขําที่นายจะใหเราเอายายโอมาเปนแฟนนะซี”

มติตอบตรงไปตรงมา ประทับขมวดคิ้วยน

“โอไหน?”

“อาว! ไมรูจักชื่อหรือ ลูกสาวแมคาขายกลวยแขกไง ตัวอวนๆนะ”

คราวนี้ประทับถึงกับสะดุง

“เอะ! เราเคยบอกเมื่อไหรวาจะใหนายเอาเปนแฟน?”

ถามคอแข็งดวยความหนาวขึ้นมา เมื่อรูสึกเปนครั้งแรกในชีวิตถึงความคิดตนที่รั่วไหลใหคนอื่นจับได

มติหัวเราะเอื่อย ครานจะกระทําตนเปนผูมีฤทธิ์ คงทุกขกันถวนหนาถาประทับจะอยูในบานเดียวกับเขา


อยางหวาดกลัว ระแวงวาจะถูกลวงรูความลับไปทุกซอกมุมความคิด

“ออ นานมาแลว นายเคยแซวเราตอนยายโอชวยแมขายของ เห็นแถมมากกวาที่สั่งสิบบาทไปเยอะไง


หาวาเราแอบจีบไวตั้งแตเมื่อไหร”

ประทับคลายความเกร็งลง แตยังจองหนาพี่ชายอยางขุดคน ลังเลเปนครู เมื่อเห็นไรพิรุธ ก็เชื่อวาเปน


ความประจวบเหมาะบังเอิญ

“ไปอาบน้ําละ”

ดีดบุหรี่ทิ้งตัดบทลาดื้อๆ มติพยักพเยิดรับรู สบายใจขึ้นเมื่อนองชายปลีกตัว ปลอยใหเขาอยูตามลําพัง


ดังเดิม
๖๒๑

เมื่อเงารางของประทับพนไป ใจมติก็วางลงราวกับคนลืมงายที่สุดในโลก ปราศจากเยื่อใยความขุนของ


พัวพันสักนิดเดียว เปนสุขกับความปลอดโลงของจิตอันอารมณเกาะไมติดชนิดนั้นจนตองยิ้มออกมา
นอยๆ ความรูสึกในอัตตาเปรียบเสมือนสิ่งอุดตันในกาย เมื่อทะลวงหลุดออกเสียได ก็เหลือเพียงความ
เบาสบาย คลายปลองกลวงที่ไรความอึดอัดแมนอยเทานอย

นั่นทําใหมติอนุมานอยางยินดี วาพระอรหันตทานคงวางเหมือนแกวที่ปราศจากน้ํา แมแกวถูกกระทบ


อยางไร ก็หาความกระเพื่อมไหวหรือกระฉอกหกเปยกเปอนไมไดเลย ใจของทานเสมอกับธรรมชาติ คือ
รูสิ่งไหน ก็สักวามีความเสมอกับสิ่งนั้น ไมเกิดอุปาทานวาสิ่งนั้นเปนตนหรือของตน ไมเกิดอุปาทานวาสิ่ง
นั้นนายินดีควรแกการเสพสม ใจถูกทําใหวางเสมอความวางทั้งปวงนั่นแลว ที่ดํารงอยูอยางหมดอาลัยยิน
ดี หมดทุกขหมดโศกในกายใจอันเปนสมบัติของความแตกพัง

เปนอีกคืนหนึ่งที่ปูชนะถูกรับตัวมานอนคางบานลูกชายคนโต ความจริงลูกๆทานกตัญูรูคุณ อยากให


ทานมาพํานักถาวรกันโดยไมมีการเกี่ยงงอน ทวาทานเองยังอยากอยูบานเกา อางวาชอบสถานที่ นานที
จึงมาใหลูกๆเลี้ยงดูอยางนี้ อยางมากจะอยูเพียงสองสามคืน เพราะเปนหวงหนูแพหลานสาวคนโปรด
ของทาน

ทานเขาหองนอนแตหัวค่ํา อากาศเย็นกําลังดี เปดหนาตางรับลมไดสบาย เงยหนาชมแสงจันทรเบื้องไกล


ดวยความสงบสุขเพียงลําพัง บังเกิดความปลอดโปรงถึงที่สุดเมื่อทราบชัดแกจิตอันละเอียดสุขุม วาภาระ
คือแกวตาดวงใจไดถูกวางลงแลว

ทุกขสุขทั้งชีวิตเหมือนฝนไป คลายเมฆที่จรมาผานดวงจันทร บดบังอยูครูแลวผานไป ผานแลวก็มีแผง


เมฆใหมมาบังอีกแลวๆเลาๆ ที่สุดทั้งหลายทั้งปวงก็ลวนเลยผานจนหมดสิ้น จะเคยจริงจังกับเหตุการณ
ในชีวิตชวงใด เห็นใครสลักสําคัญเพียงไหน วันหนึ่งก็ปลดปลงลงจากการแบกรับทางใจทั้งนั้น

เมื่อถึงเวลาที่เกาทัณฑมารับตัวแพตรีไปจากทาน ใจทานก็เหมือนสลัดคืนทุกสิ่ง เหลือเพียงกายใจเปน


เครื่องระลึก สักแตเห็นสภาวธรรมในกายใจเพื่อความรูแจงแทงตลอดถึงที่สุด

จิตของชายชราสงบวิเวกเปนเนื้อเดียวกับฉากโลกที่อาบแสงจันทรสวางนวล ลมดึกรําเพยผานมาหอบ
หนึ่ง โชยกลิ่นหอมของมะลิวัลยในซุมเบื้องลางหนาตางขึ้นมากระทบนาสิกประสาท ขณะนั้นเองปรากฏ
สิ่งปรุงแตงในสวนลึกของจิต คลายบอกตนเองวาคุนเคยกับบรรยากาศเชนนี้มานานนักหนา ระลึกไดวา
แมยังเด็ก เมื่อเห็นฟาราตรีมีจันทรฉาย ก็คลายเห็นมากอน ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แดนดินถิ่นไหนสักแหง
อยางประหลาด

ในยามพักงานวิปสสนา เวนจากการพิจารณากายใจเปนไตรลักษณ ปูชนะมักปลอยใหจิตเขารู เขาดู


ธรรมละเอียดในตนที่ผุดขึ้นตามวาระโอกาสตางๆ เหมือนเจาของบานผูมียามวางก็เดินทอดนอง พลิกดู
๖๒๒

สมบัติหรือกอนกรวดกอนหินในเขตบานพอใหทราบวาเปนอยางไรแลววางลง ทั้งตระหนักวาเสียเวลาไป
อีกสิบชาติรอยชาติ ก็ไมอาจพลิกดูไดถวนทั่วทั้งหมดวามีอะไรอยูบาง

วาระนี้ ปญญาญาณจากจิตอันบางดวยกิเลสของทานเหมือนแสงสองเห็นความคุนชนิดพิเศษอันโยงใย
กับการอบรมจิตในพุทธศาสนา โดยปรากฏเปนความรูสึกรักเล็กๆสงออกมาจากจิตอันทรงธรรม

ทานกําหนดวารักเล็กๆนั้นเปนสุขเวทนา เปนสิ่งแปลกปลอมที่แทรกตัวเขามาทามกลางความสะอาดนิ่ง
สงบรูของจิต โดยลักษณะนั้น สุขเวทนาอาจลองหนลับหาย แสดงความเปนทุกขังแหงตนใหปรากฏตอ
กระแสรูก็ได

แตดวยเจตนาเขารูรายละเอียด สุขเวทนานั้นก็ถูกหนวงไวใหดํารงอยูกับสติเฉพาะหนา เชนเดียวกับเมื่อ


สะดุดหิน แทนที่จะกาวเทาขามผาน ก็กมลงหยิบขึ้นดูเลนใหเห็นลาย เห็นสี เห็นรูปทรงอยางถนัดเสีย
หนอย

ปูชนะลากลมหายใจเขายืดยาว นิ่มนวล กอนกําหนดสติรูวาหายใจออก ความชํานาญทําใหจิตกับลม


เคลาเคลียเขาดวยกันแนบเนียนสนิท กระแสจิตดึงดูดเขาหากันดวยอาการแนวรูรวมดวง ฉีดปติสุขซาน
เย็นเต็มรอบทันที ยังความชุมชื่น อิ่มเอิบลึกซึ้ง ปราศจากเอกเทศใดแหงกายทั่วราง ที่ปติและสุขอันเกิด
แตวิเวกจะไมถูกตอง จิตปรากฏแกตนเองเสมือนไฟเย็นดวงมหึมาที่มีแรงผนึกรวมเขาหาศูนยกลางคือ
สายลมหายใจเหยียดยาวประหนึ่งน้ําตกทิพย

นั่นคือการลวงเขาสูฐานสมาธิเปนอัปปนาแทจริงระดับแรก เรียกวาปฐมฌาน ประกอบดวยองคหลักคือ


วิตก วิจาร ปติ สุข และเอกัคคตา

ปฐมฌานเปนของดีแกผูเคยคุน ขณะเดียวกันก็เปนของนอยแกผูรูธรรมอันประเสริฐยิ่งกวา จิตของปูชนะ


แนบรูอยูกับลมหายใจจนจิตแยกออก วาสายลมหายใจยังปรากฏตอจิตผูรูก็เพราะมีอาการระลึกแนบแนน
อยูกับลมหายใจ เมื่อจิตมัวพะวงกับเปลือกหยาบ ก็ยังนับวาจิตหยาบอยู ตอเมื่อละอาการระลึกรูที่สายลม
หลุดออกมารักษาจิตใหทรงมั่นปติสุขเพียงเดียว จิตก็เดนดวงผองใสเปนธรรมเอก เสมือนนกที่เลิก
กระพือปกเสียไดเพราะโบยบินมาสูงพอ จึงแผปกนิ่งลอยลมสบาย ปลอดจากภาระหนักในการออกแรง
พยุงตัวในอากาศกวาง

นั่นคือการลวงเขาสูฐานสมาธิเปนอัปปนาแทจริงระดับที่สอง เรียกวาทุติยฌาน ประกอบดวยองคหลักคือ


ปติ สุข และเอกัคคตา

ทุติยฌานเปนของดีแกผูเคยคุน ขณะเดียวกันก็เปนของนอยแกผูรูธรรมอันประเสริฐยิ่งกวา จิตของปูชนะ


แนบรูอยูกับปติจนแยกออก วาปติเปนเสมือนคลื่นน้ําที่กระเพื่อม ทําใหจิตซึ่งเปรียบเหมือนเรือโยกโคลง
เมื่อแทรกลําเขาสูรองน้ําที่สงบกวา เรือก็นิ่งลง เชนเดียวกับที่ละปติเสียได จึงพบกับสภาพนาพึงใจกวา
กัน
๖๒๓

นั่นคือการลวงเขาสูฐานสมาธิเปนอัปปนาแทจริงระดับที่สาม เรียกวาตติยฌาน ประกอบดวยองคหลักคือ


สุข และเอกัคคตา สมบูรณดวยองครองคือสติและอุเบกขา

ตติยฌานเปนของดีแกผูเคยคุน ขณะเดียวกันก็เปนของนอยแกผูรูธรรมอันประเสริฐยิ่งกวา จิตของปูชนะ


แนบรูอยูกับสุขอันเกิดจากความสงบจนจิตแยกออก เห็นราคะชนิดละเอียดออนอันเกิดแตความพึงใจ
แทรกอยูจางๆ แลวตัวปญญารูแจงนั้นก็ตัดราคะในฌานชั้นสูงไดขาด จิตเขาถึงความสงบสงัดอีกระดับ
หนึ่งที่ประณีตเสียจนความระลึกรูในกายขาดหายไป ทรงอยูก็แตภาวะแผดจาแหงจิตอันดูประหนึ่งดาว
ฤกษแหงสติอันบริสุทธิ์รุงเรือง ปราศจากความแตะตองของเกี่ยวกับสภาพหยาบใดๆทั้งปวง ละทุกข ละ
สุข ดับโสมนัสไดสิ้น ขาวรอบตลอดกระแสรูอยูอยางนั้น

นั่นคือการลวงเขาสูฐานสมาธิเปนอัปปนาแทจริงระดับที่สี่ เรียกวาจตุตถฌาน ประกอบดวยองคหลักคือ


อุเบกขาและเอกัคคตา

ชวงเวลาอันสั้นที่ถูกกําหนดไวลวงหนา พอจิตเริ่มถอนออกสูผัสสะแผว ปรากฏถึงความมีอยูของกายและ


การกลับมาของลมหายใจ อยูในภาวะพรอมรูแจงถึงที่สุด ปูชนะก็นอมจิต จอสติอยางแผวลงไปในภาวะรู
ของตนเอง ตรวจอารมณคุนกับบรรยากาศสงบใตแสงจันทรอันโยงใยกับวิถีธรรมในปจจุบันชาติ แลวจิต
ก็แนบสนิทเขากับความรูสึกคุนเคยดังกลาว เหมือนหลุดออกจากกายและสิ่งแวดลอมปจจุบัน ปรากฏ
ใหมกึ่งรูแจง กึ่งอยูหางจากความเปนเชนนั้น

เห็นตนเองนั่งขัดสมาธิ์อยูบนแครเตี้ยๆกลางแสงจันทรนวลใย ที่นั่นเปนหนาบานของทานในแควนอวันตี
ซึ่งหันออกสูราวปาสงัด ปลอดคน ในภาวะที่เริ่มคุนกับอาการระลึกรู เหมือนมีอีกคนนั่งซอนตนเอง เปน
การซอนตัวปจจุบันเขาไปในตัวอดีต

ขณะแหงการนั่งบนแครนั้น ลักษณะจิตมิใชปลอยใหตนเองดื่มด่ํากับธรรมชาติอันงาม ทวากําลังยินดีกับ


ความรูใหมที่รับมา นั่นคือขาวมหาปุโรหิตที่ออกบวชไดฉายานามวาพระมหากัจจายนะ ทานกลับคืนสู
บานเกิดพรอมพาลูกศิษยผูถือเพศบรรพชิตดวยกันจํานวนหนึ่งมาดวย

กุลบุตรชาวอวันตีจํานวนมากเมื่อเขาสูสํานักของพระมหากัจจายนะก็เกิดความเลื่อมใส แตดวยเหตุขัด
ของที่มีภิกษุไมเพียงพอแกการทําสังฆกรรมในการบวชพระตามวินัย จึงเปนไดแตเพียงบวชเณร ถึงแมมี
อายุครบบวชพระกันแลวก็ตาม

ขาวมหามงคลเกี่ยวกับพระมหากัจจายนะดังกลาวนี้ มีมาถึงทานในยามอรุณรุงของวันเดียวกันกับที่นั่ง
ชมจันทร นับเปนวาสนาอันใหญหลวงที่พระหนุมในสํานักของพระมหากัจจายนะรูปหนึ่งเดินมา
บิณฑบาตถึงหนาบานทาน ซึ่งเมื่อทานเห็นกิริยาอันควรแกสมณสารูปแลว ก็เกิดความเลื่อมใส ตกลงใจ
ถวายภัตตาหารทันทีดวยความเบิกบานราเริงใจ
๖๒๔

ในสมัยนั้น จะมีการรับบาตรดินเผาของพระมาบรรจุอาหารดวยมือของโยมเอง ทานรับบาตรจากพระมา


สงตอใหนางพราหมณีผูภรรยา เพื่อเอาเขาบานใสอาหาร ระหวางนั้นทานก็นิมนตพระนั่งสนทนาบนแคร
เสมอกันนั้นเอง ดวยเหตุที่ทานอยูในวรรณะพราหมณ และยังไมทราบถึงความเปนบุคคลอันทรงธรรม
ควรเคารพของสมณะหนุม

เมื่อครั้งพุทธกาล ศาสนาพุทธปรากฏเหมือนเพียงลัทธิคําสอนอีกแนวหนึ่ง กลาวไดวาเบื้องตนพุทธ


ศาสนาเปนความเชื่อของชนกลุมนอยที่กระจัดกระจายทั่วไป เมื่อดูจากลักษณะภายนอกของพระซึ่งนุง
หมผายอมฝาดเพียงนอยชิ้น ก็มิไดมีเอกลักษณบงบอกวาเปนเครื่องหมายแทนการเชื่อคําสอนแนวทาง
ใดไดเลย

อยางไรก็ตาม ทานเคยยินคําเลาลือเกี่ยวกับการอุบัติของพระพุทธเจา ผูเสด็จมายังโลกมนุษยเพื่อความ


สิ้นกิเลส ความถึงที่สุดแหงทุกข ก็บังเกิดความใจสั่นหวั่นไหวอยางนาฉงน เมื่อสอบไดความวาพระหนุม
ตรงหนานั้นบวชในสํานักของพระมหากัจจายนะผูเปนหนึ่งในศิษยเอกของพระพุทธเจา ทานก็ปรีดา
ปราโมทยเปนลนพน รีบไถถามถึงสิ่งที่ขัดของคาใจมาเนิ่นนาน

คําถามของทานที่มีตอภิกษุหนุมคือธรรมะของพระสมณโคดมนั้น ตองฟงจากพระโอษฐแตประการเดียว
จึงไดผลอันไพบูลยถึงที่สุด คือการสิ้นทุกข หรือวาเพียงฟงคําบอกเลา ก็ไดผลสูงสุดเปนการสิ้นทุกข
อยางเดียวกัน พระไดยินคําถามก็สอบกลับวาทําไมจึงสงสัยเชนนั้นเลา ทานก็อธิบายวาทานอยูในวัยชรา
จะใหเดินทางไปฟงธรรมจากพระพุทธองคซึ่งประทับอยูไกลบาน เห็นทีคงเปนการลําบากเกินกําลัง
สังขาร

พระฟงเหตุผลจึงตอบวาธรรมะเปนของกลาง การที่พระศาสดาใหสาวกแยกยายกันออกประกาศธรรม
อนุเคราะหประชาชนไปทั่วทั้งชมพูทวีป ยอมยืนยันวาชาวบานดานเมืองทั้งหลาย ก็ฟงธรรมอันเดียวกับ
ที่ออกจากพระโอษฐได รวมทั้งรับผลสูงสุดคือการสิ้นทุกขเชนเดียวกันไดดวย หากนอมรับธรรมไป
ปฏิบัติอยางสัตยซื่อ

ฟงเชนนั้น อัตภาพเดิมของปูชนะก็เกิดความปติลนพนประมาณ ยึดเอาภิกษุหนุมตรงหนานั่นเองเปนตัว


แทนพระบรมศาสดา ถามพระวาเพื่อถึงที่สุดทุกขตองทําอยางไร พระก็อธิบายใหฟงเรื่องอริยสัจ 4 ซึ่งมี
สาระสําคัญหลักคือทุกข สมุทัย นิโรธ และมรรค

ฟงนัยพอสังเขปโดยทําไวในใจอยางแยบคายแลว พราหมณผูชราก็กําหนดไดวาอริยสัจสี่นี้เปนเรื่องของ
จิตใจโดยแท จิตใดสะบั้นเปนอิสระขาดจากการเกาะกุมของตัณหา จิตนั้นก็ไมมีเหตุแหงทุกข แตการจะ
พนตัณหาได ตองรูจริงๆเสียกอนวาตนเปนทาสตัณหาหรือเปลา หากขาดสติรูเทาทันเสียแลว ไม
ตระหนักวาเปนขาทาสของตัณหาเสียแลว ที่ไหนจะมีแรงบันดาลใจใหประกอบความเพียรเรงพนจาก
อํานาจของตัณหา
๖๒๕

นั่นเอง จึงเปนเหตุเหนี่ยวนําใหเกิดเจตนา วาทานจะเฝารู เฝาดูตัณหาในใจตนเอง

เมื่อพระจากไปแลว ทานก็คิดเกี่ยวกับเรื่องการดูตัณหาในใจตลอดวัน จนตกค่ําเมื่อนางพราหมณีผู


ภรรยาหลับสนิท จึงออกมานั่งหนาบานดวยอาการเปนดุษณีทามกลางความสงัดเงียบของปามืดอันฉาบ
ไลดวยนวลรัศมีแขอันรองเรือง แลวพยายามสังเกตกิเลสตัณหาในจิต ก็เห็นปรากฏเปนความเกิดแลวดับ
ดับแลวเกิด ดวยความคํานึงถึงเหตุการณในชีวิตประจําวัน วนไปเวียนมาเรื่อยๆ ไมตางกับแพเมฆที่ผาน
มาบังจันทร แลวก็ผานจรจากไป

แมอดีตชาติครั้งนั้นทานยังหางจากมรรคผล ทวาก็เปนชนวนธรรมอันแสนประเสริฐ เหตุการณเมื่อรับ


ธรรมจากพระหนุมจึงปฏิรูปเปนแรงประทับลงสูความทรงจําสนิทซึ้ง จึงเขาใจวาเหตุใดจิตทานมักโยงแสง
จันทรเขากับความยินดีในธรรมมาจนกระทั่งถึงชาติปจจุบัน

ถอนจากนิมิตอดีตกลับคืนสูสํานึกเต็มบริบูรณแหงความเปนปูชนะ ชายชราใหนึกเหนื่อยหนายเปนที่ยิ่ง
เหตุการณลวงผานมาก็กวาสองพันป ทานก็ยังหลงวนเกิดตาย มีอัตภาพ มีการเติบโตเขาสูวัยแก รอวัน
แตกตายอยูอีก

ในชาตินี้ นาจะเปนเพราะบมบารมีมาแกกลาพอ ทานจึงเริ่มสนใจและศึกษาธรรมมาตั้งแตยังหนุมแนน


และนั่นทําใหทานตระหนักวาการแสดงตัวของบารมีธรรมนั้น มาในรูปของการใหความสนใจธรรม นําไป
สูครูบาอาจารยที่ประพฤติตรง ประพฤติชอบ รวมทั้งความฝกใฝขยันปฏิบัติ ไมเกี่ยงงอนวาตนกิเลสบาง
หรือหนา ไมทอดอาลัยอธิษฐานรอขอสําเร็จมรรคผลในศาสนาพระศรีอารยเมตไตรย แตมุงใชอัตภาพคือ
กายนี้ใจนี้ดับเหตุแหงทุกขใหทันกอนถึงลมหายใจเฮือกสุดทาย

ในสวนของการใหความสนใจธรรมที่นําไปสูครูบาอารยนั้น ทานมีวาสนาพบคําสอนอันทรงพลังอัศจรรยที่
สั้น ทวาเปลี่ยนแปลงผูคนใหหันเหมาเขาสูทางมรรคผลกันเปนจํานวนมากตอมาก นั่นคือ

จิตสงออกนอกเปนสมุทัย
ผลของจิตสงออกนอกเปนทุกข
จิตเห็นจิตเปนมรรค
ผลของจิตเห็นจิตเปนนิโรธ

นั่นเองเปนจุดหักเหของชีวิต ทานเดินทางรถไฟไปกราบหลวงปูดูลย อตุโล พระสาวกผูเปนตัวแทน


ประกาศธรรมของพระพุทธเจาที่ยิ่งใหญที่สุดรูปหนึ่งแหงยุค

หนทางธรรมในชาตินี้ เมื่อไดรับคําสอนจากหลวงปูดูลย ซึ่งมีสาระสําคัญใหดูจิตตนเอง สิ่งแรกที่ทาน


กลับมาพิจารณาก็คือ จิตคืออะไร จิตอยูที่ไหน จะดูจิตไดอยางไร
๖๒๖

นั่นเปนเหตุใหพิจารณาตอวาจิตยอมอยูในกายนี้เอง ดังนั้นถาจะหาจิต ก็จําเปนตองคนควาลงในกายนี้


แหละ นับแตการปูพื้นคือทําความสงบ ยุติความอยาก ดับความกระวนกระวาย เหมือนทําน้ําใหหายขุน
สะอาดใสเพียงพอจะดูใหรูวามีสิ่งใดในน้ํานั้น

การดูก็คือการตรวจระลึกลงไปในกายทีละสวน นับแตเสนผมบนกระหมอมลงไปจนถึงพื้นฝาเทา ดวยจิต


ที่ตั้งมั่นและนิ่งใส จะเห็นชัดประจักษวากายนี้มิใชจิต กายเปนธรรมชาติสวนหนึ่งตางหาก

จากนั้นเมื่อตรวจระลึกลงไปในเวทนา ซึ่งหมายถึงความรูสึกสุข ทุกข เปนกลางที่ปรากฏอยูในปจจุบัน


ขณะ ก็เห็นเปนตางหากจากจิตเชนกัน และแมเวทนาจะขึ้นตรงกับประสาทกาย ก็แยกเปนคนละสวน
อยางเด็ดขาดจากกาย ทํานองเดียวกับกระแสไฟฟาที่แลนไปตามลวดทองแดง ตางก็เปนธรรมชาติคนละ
ชนิดกันนั่นเอง

เมื่อตรวจระลึกลงไปในสัญญา ซึ่งหมายถึงความจําไดหมายรู เชนความหมายจําวานี่คือตัวเรา ก็เห็นเปน


ตางหากจากจิต เพราะเมื่อจิตสงบนิ่งตั้งมั่นแลว สัญญาจะเปนสิ่งถูกรูได คลายกับลอนคลื่นที่ปรากฏรอง
รอยแตกตางกับแผนน้ําเรียบ เมื่อกระเพื่อมแลวก็หายไปเปนผิวน้ํานิ่งไดอีก ราวกับไมเคยเกิดรองรอย
ใดๆขึ้นเลย

เมื่อตรวจระลึกลงไปในสังขาร ซึ่งหมายถึงความคิดนึกปรุงแตง หรือเจตนาคิด พูด ทํา ก็เห็นวาสังขารไม


ใชจิตอีก เพราะถาใช เมื่อเจตนากระทําการยอมปรากฏควบคูไปกับจิตผูดูตลอดไป แตนี่ยังตกกลับเปน
อาการรู อาการนิ่งไดอยู

โดยรวบรัดที่สุด สิ่งใดถูกรูได สิ่งนั้นไมใชจิต ปรากฏเปนอื่นจากจิต ปราศจากอัตตาแฝงเงาอยูในสิ่งนั้น

ในสมัยแรกเริ่มปฏิบัติธรรมตามหลวงปูดูลยสอนนั้นเอง ทานก็จับไดวาจิตคือผูรู ผูสังเกตการณอารมณ


ทั้งปวงที่กําลังปรากฏ เมื่อใดจิตทรงตัวรูอยูเปนหนึ่ง ดังที่พระพุทธองคบัญญัติเรียกไววา 'ธรรมเอก'
บรรดาสิ่งที่ถูกรูก็ลวนแตแสดงไตรลักษณออกมาตลอดเวลา กลาวคือปรากฏใหเห็นเปนความเกิดขึ้น ตั้ง
อยู ดับไปทั้งสิ้น ไมเห็นอะไรสักอยางเดียวที่ตั้งมั่นอยูได

ขณะที่ปฏิบัติในยุคนั้น ทานไมใหความสําคัญกับบัญญัติในตําราเทากับธรรมที่กําลังปรากฏแสดงตัวตอ
จิต เหมือนจิตเปนลิ้น และธรรมเปนรส เมื่อลิ้มรสก็ไมมัวคิดวานั่นเค็ม นี่หวาน ทํานองเดียวกับที่เมื่อแยก
ขันธออกเปนตางหากจากกัน ก็มิไดใสใจวาเขาขั้น 'นามรูปปริจเฉทญาณ' หรือยัง หรือเมื่อเห็นสภาว
ธรรมตางๆแสดงความเกิดดับเอง ก็มิไดใสใจวานั่นเรียก 'อุทยัพพยญาณ' หรือเปลา

ทราบแตธรรมนั้นเมื่อจิตลิ้มแลว มีแตความรูแจงเปนธรรมชาติ เปนอิสระจากภาษาและอยูเหนือความคิด


ปรุงแตงอยางที่สุด
๖๒๗

ทานสังเกตเห็นตอไปวาบางคราวจิตกับอารมณก็รวมตัวเขาดวยกันเปนกลุมกอน หนัก แนน เรารอน


บอยครั้งที่เทาทัน เห็นจิตอยูสวนหนึ่ง อารมณอยูสวนหนึ่ง แตเมื่อจิตไปรูอารมณเขา ก็เหมือนมีแรงดึง
ดูดใหจิตเคลื่อนเขาไปยึดถืออารมณอยางแนนเหนียว เมื่อใดเคลื่อนเขายึดอารมณแลว จิตก็รูสึกเปนทุกข
เพราะความไมเปนอิสระจากอารมณนั่นเอง

แมมาถึงจุดนั้น ทานก็มิไดพิจารณาวานั่นคือการแสดงตัวของอริยสัจสี่ เพียงเฝารูอยางซื่อสัตย ไมตกแตง


ดัดแปลงสิ่งที่กําลังปรากฏ อะไรจะปรากฏอยางไรก็ปลอยตามที่มันเปนไปอยางนั้น ทราบแตวาการเปน
ปุถุชนทําใหบอยครั้งที่จิตกับอารมณรวมตัวอยูดวยกันอยางเหนียวแนน นานๆเมื่อเดินสัมมาสติเขาสวน
จิตกับอารมณจึงแยกออก เหมือนมีชองวางระหวางกันบาง ใหทราบวานี่ฝงรู นั่นฝงถูกรู

และแลววันหนึ่ง เมื่อทานเห็นความกังวลหวงรางกาย กลัวจะเปนไขหวัดเพราะเปยกฝน ดวยความ


ชํานาญในการดูจิตใจตนเอง ทําใหเกิดสติระลึกรูลงตรงใจกลางความกังวลนั้นโดยปราศจากความจงใจ
ความกังวลก็ดับไป เพราะถูกเห็นจึงผานหาย

นอกจากความกังวลจะดับลงแลว รางกายที่กําลังนั่งกอดเขา พายุฝนที่กําลังกระหน่ําซัด ตลอดจนกระทั่ง


โลกรอบดานทั้งหมด ก็พลอยดับลงตาม

รูปหายแลว เวทนา สัญญาหยาบๆก็ดับสิ้น เหลือเพียงกระแสความปรุงแตงอันประณีตผิดกันกับระดับ


ความคิด ที่ผุดแผวขึ้นเปนขณะๆ จิตรูโดยปราศจากการจงใจรู รูเทาไหรวางเทานั้น หมดจากความมั่น
หมายหรือวิพากษวิจารณใดๆตอไป

ถัดจากนั้นคือการลงภวังคในแวบเล็ก ตัดกระแสคํานึงของเกี่ยวอันใด คลายรูปนามสลัดคืนความหมาย


และความปรากฏมีตัวตน แลวจิตก็ดําเนินเขาสูความดับสนิท ไรรองรอยโดยสิ้นเชิง ถัดจากนั้นความรับรู
ก็เริ่มปรากฏขึ้นอีก แตยังละเอียดเหนือขั้นที่จะเปนความคิด เพียงแจมแจงในสิ่งที่ปรากฏกอนหนา วา
บางสิ่งที่ไมเคยเห็นมากอน อันหอหุมเคลือบคลุมธาตุรูไว ไดถูกแหวกออก จิตอุทานอยางลิงโลด
ประหลาด หากถอดความเปนสัญลักษณทางภาษาก็คงไดความวา 'เอะ จิตไมใชเรานี่!'

แลวจิตก็ทรงตัวอยูกับความวางชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงบังเกิดแสงสวางพลุงโพลงจากความวาง แผกวาง


ออกไปอยางไรขอบเขต ขณะถัดมาก็ผุดความเบิกบานอันเปนสื่อสัญญลักษณแสดงตัวของธรรมชาติ
บริสุทธิ์ ไรรูป ไรนาม ปราศจากอารมณเปนเหยื่อลอแมนอยเทานอย เปนการแสดงใหรูวาบางสิ่งมีอยู
ทวาไรการปรุงแตง ไรที่ตั้ง ไรนิมิตหมายใดๆที่เคยเห็นดวยตา ไดยินดวยหู สัมผัสดวยกายประการใดๆ
ทั้งสิ้น

เมื่อถอยลงจากเอกภาวะอันไรซึ่งคูสอง สูความรับรูปกติ ทําใหจิตไดขอสรุปกับตนเอง วาความเปนตัวตน


ไมมีจริง ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยหมดสิ้นไป ทางนี้มีอยู ไมมีทางอื่นที่ตองแสวงหา ภพชาติไดถูก
บั่นทอนใหหดสั้นลงแลว
๖๒๘

โสดาบันปรากฏเปนประจักษพยานแกพุทธศาสนาอีกรูปนามหนึ่งแลว

หลังจากนาทีแหงมหาปรากฏการณ ทานก็ดําเนินชีวิตตามปกติ ความรูสึกเปลี่ยนเปนผูใหญเต็มตัว รูจัก


ตนเอง และดําเนินชีวิตอยางมีจุดหมาย มิใชลอยชายตามกระแสโลกไปวันๆเชนแตกอน สวนการปฏิบัติ
ก็ทําอยูอยางเดิมนั่นเอง

การปฏิบัติยังคงเดิม เหมือนที่ผานมาทุกประการ ในขั้นของความเปนโสดาบันอริยบุคคล จิตกับอารมณ


คอยมีลักษณะตางคนตางอยูไดเอง โดยไมตองอาศัยความพยายามรวมจิตเปนสมาธิเพื่อใชแสงรูแสง
ปญญาใหมากเหมือนครั้งเปนปุถุชน แมบอยครั้ง จิตกับอารมณผสมกันจนเกิดอุปาทานในตัวตนและ
อุปาทานในกามคุณไดเทากับคนธรรมดา ก็เปนไปแบบมีกรอบมีเกณฑลอม จิตอันทรงธรรมสูงเหนือ
มนุษยคอยหามไวเมื่อจะลวงอกุศลกรรมบถขั้นรุนแรง และถอยกลับมาสูฐานที่มั่นเอง คือทรงรู แยกจิต
แยกอารมณจากกันเปนพักๆ มิใชวาดิ่งรุดๆไปหาราคะ โทสะ โมหะเต็มสูบเหมือนสังสารสัตวทั้งหลาย

ประมาณ 8 เดือนถัดจากวันแหงมหาปติ จิตก็มาถึงสภาพที่ประหลาด คือเจริญสติคราวใด จะรวมลงตก


ภวังคอยูเสมอๆอยางรวดเร็ว ไมวาจะยืน เดิน นั่ง นอน ดูตั้งทารวมดับเงียบเหมือนคนหลับเปนประจํา
สรางความกังวลใจใหทานมาก

ในวันอาสาฬหบูชาคราวหนึ่ง ทานไดขึ้นไปกราบหลวงปูสิม พุทธาจาโร ที่ถ้ําผาปลอง และเรียนปรึกษา


ถึงปญหาที่เกิดขึ้นและแกไขไมได หลวงปูกลับยิ้มๆแลวบอกวา เมื่อเปนผูรูแลว จะตองสงสัยอะไร จะ
ตองถามใครอีก ใหปฏิบัติไปเถิดจะไดของดีในพรรษานี้แหละ

วันรุงขึ้นระหวางนั่งรถโดยสารกลับกรุงเทพฯ ปูนั่งเจริญสติสัมปชัญญะตามปกติ จิตก็รวมลงดับความรับ


รูรูปกายและสิ่งแวดลอมภายนอก เขาไปรูรูปนามภายในที่เกิดดับ แลวตัดกระแสรวมลงถึงความไมมี
อะไรเลย หมดสิ้นทั้งรูปและนามอันเปนเวทีแสดงไตรลักษณ บรรลุซึ่งอริยธรรมขั้นที่สอง

จิตเขาถึงของเขาเอง หาไดมีการบีบบังคับหรือจงใจใหเปนไปอยางไรไม ขอเพียงตั้งผูดู ผูรู ใหอยูใน


กระแสความเห็นไตรลักษณเทานั้น

ในขั้นของความเปนสกทาคามีอริยบุคคล จิตเริ่มมีปกติแยกกับอารมณ นอยครั้งนักที่จิตจะเคลื่อนเขา


เกาะอารมณจังๆ ที่จะใหเขาเกาะอารมณเหนียวแนน ก็เมื่อปะทะกับผัสสะที่แรงมาก สติสัมปชัญญะอัน
วองไวทําใหจิตเห็นแมการเริ่มกอตัวขึ้นของกิเลสอันเล็กนอย กิเลสจึงดับสลายกอนกลายเปนไฟกองใหญ
เสมอ

สภาวจิตในขั้นนี้จึงปลอดโปรงโลงหัวอก เปนอยูผาสุก มีปกติสุขสบายแตกตางจากครั้งเปนปุถุชนอยาง


เห็นไดชัด เรียกวาแมหางจากการภาวนาบาง ก็มีความสบายอยูในตัวเองตามธรรมจิตขั้นนี้
๖๒๙

อยางไรก็ดี เมื่อกิเลสละเอียดลงตามภูมิธรรม ตัณหาที่จะพาจิตใหเคลื่อนไปยึดอารมณ จึงเปนตัณหา


ชนิดละเอียดตามไปดวย อาสวะคือภพหรือที่เรียก 'ภวาสวะ' ซึ่งจิตของทานเขาเสวย จึงมีปกติเปนภพ
อันละเอียดยิ่ง มีสภาพ 'หลอกจิต' วาดี เพราะมาในหนาตาของบุญกุศลอันแทจริง ปราศจากเบื้องหลังจง
ใจกําหนดสรางใหเปนเชนนั้น นี่เปนขอลําบากประการหนึ่ง คือมีตัวเรง แรงจูงใจใหกาวลวงสันติสุขมีอยู
นอย เพราะเห็นทุกขไมชัดเทาเมื่อครั้งกอนๆ

อันเนื่องจากปูชนะระลึกชาติไดมาก ความรูสึกเกี่ยวกับสังสารวัฏจึงเหมือนคนวายน้ํากลางทะเลจนเขา
เขตน้ําตื้นแลว เพียงเขยงปลายเทาก็สามารถดันตัวใหพนการจมน้ําไดแลว ดังนั้นแมยังตองลอยคอสลับ
เขยงเปนระยะตามแรงโถมของคลื่นผัสสะเพื่อไมใหจมน้ําตายก็ตาม นี่เองจะวาเปนทุกขนักก็ไมใช จะวา
ปลอดภัยพนทุกขก็ไมเชิง รวมความคือเหนื่อยนอยกวาเมื่อครั้งลอยคอกลางทะเลอยางเห็นไดชัด

การถึงอริยธรรมขั้นที่สาม หรือ 'อนาคามิผล' นั้น จําเปนตองอาศัยปจจัยอันพรั่งพรอมหลายประการ ซึ่ง


พรอมไดยากในชีวิตฆราวาสอันคลุกคลีอยูกับญาติสนิทมิตรสหาย บุคคลอันเปนที่รัก ตลอดจนกระทั่ง
หนาที่การงานอันวุนวาย

และคลายมีภาระผูกพันเปนกรรมสัมพันธไมเลิก เมื่อลวงเขาวัยที่ปลดเปลื้องความรับผิดชอบจากลูกสาว
ลูกชายเสียได ก็ใหตองมีแกวตาดวงใจใหมมาอยูในความดูแลเสียอีก ลูกตนพนอก ลูกคนอื่นก็มาอยูใต
ปกอีกแลว

การปฏิบัติในชวงหลังของปูจึงเหมือนคอยๆสั่งสมกําลัง รอเวลาที่จะทําสงครามแตกหักกับกิเลสตัณหา
ตอไป โดยที่ทานชอบเดินจงกรมมากกวาการนั่งหลับตาภาวนา เพราะจิตอันเดนดวงเขาที่รูอยูแลว เพียง
เบื้องแรกกําหนดรูการกระทบพื้นของเทาขวาซายเปนการเอากําลังในฝายสมถะเสียหนอย ครูเดียวจิตก็
เหมือนทวีกําลังขึ้นมากพอ ดุจเดียวกับอากาศยานที่ไดพลังอัดมากพอจะแลนทะยานขึ้นสูนานฟาแหง
ความรูแจง มองลงเห็นธรรมหยาบและละเอียดกวางขวางตามจริง

บางวันจิตสงบรูอยูที่จิตก็นิ่งดูไตรลักษณ บางวันจิตผาดโผน ก็พิจารณาธรรมอันใดอันหนึ่ง ทําใหรูเห็น


เรื่องราวลี้ลับพิสดารมากมายกายกอง โดยเฉพาะความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ปรุงเปนขันธหาในอัตภาพ
ปจจุบัน เห็นโยงใยกับอดีตเบื้องใกลและเบื้องไกลในสังสารวัฏอันสลับซับซอนซอนเงื่อน

แตเรื่องที่จิตชอบพิจารณาเปนหลักคือชีวิตนี้ ทั้งความสุข ความทุกข ความรัก ความชัง ลูกเมีย หนาที่


การงาน ชื่อเสียงเกียรติยศ ปูเคยมี เคยเปน แลวผานหายดุจควันที่สลายไปในอากาศธาตุเมื่อหมดเปลว
ไฟสงตอ

เมื่อจิตพิจารณาถึงความไมมีอะไรของสิ่งภายนอกแลว จิตมักรวมตัวเขามาพิจารณาลงในกาย เปนตนวา


เห็นโครงกระดูกที่มีเนื้อหนังอันเริ่มทรุดโทรมหุมอยู มีลมหายใจเปนเครื่องหลอเลี้ยง ไมนาน ก็จักตองทิ้ง
๖๓๐

กายนี้ใหทับถมแผนดิน ทุกขสุขทั้งหลาย ความทรงจําทั้งหลาย ความนึกคิดปรุงแตงตางๆ ก็จะขาดหาย


ไป หมดจากสภาพความปรากฏมีปรากฏเปน

แมจิตเองอันเปนธรรมชาติชนิดหนึ่ง ก็จะดับลงดวย แตหากดับแบบมีเชื้อพันธุใหงอกเงย ก็จะสงกระแส


กอจิตใหมในสัมปรายภพตอไปอีก เพื่อมีแลวทิ้ง พบแลวพราก ไดแลวเสีย วนไปเวียนมาหาแกนสารไม
ไดเลย

ทุกครั้งที่มาถึงจุดแหงการพิจารณาขอธรรมอยางใดอยางหนึ่ง จิตของปูชนะจะเห็นชัดถึงความไรแกนสาร
ของขันธหา จิตนอมไปถึงอมตธรรม อันปราศจากความเคลื่อนไหวในภายใน ปราศจากรูปลักษณในภาย
นอก อุปาทานขันธก็ถูกลิดรอนใหกรอบบางลงเรื่อย

อยางไรก็ตาม คลายยังปรากฏเยื่อใยสายหนึ่งที่ไรรูปลักษณ แมบาง ทวาก็เหนียวอยู

เมื่อกําหนดจิตยอนดูกายจากดานหนาเขาไป ก็เหมือนจะทะลุปรุโปรงไปตามลําดับ เหลือเพียงเยื่อผิว


หนังทางดานหลังของกาย ซึ่งเบาใสแตหยุนเหนียวอยูอีกชั้นหนึ่งเทานั้น

เมื่อใดเดินเลนในหยอมสวนไมดอกไมประดับบนหญาขจีของแพตรี จิตกับธรรมก็สัมผัสกันเสมอ ปูเห็น


ตนไมใบหญาและแผนดินแผนฟาเปนสิ่งไรสภาวะ ทั้งหมดทั้งปวงบางเบาราวกับปราศจากน้ําหนักให
สําเหนียกกําหนด จิตของทานกับธรรมชาติยังตางกันนิดหนึ่ง คือแบงเปนฝกฝายได โดยฝายจิตมีน้ํา
หนักอยูเล็กนอย จิตจึงยังมีพฤติกรรม ในขณะที่ธรรมชาติภายนอกปราศจากพฤติกรรม แมธรรมชาติจะ
เกิดดับเปลี่ยนแปลง ก็เปนไปตามธรรมดา ไมมีการใหคาตอความเปลี่ยนแปลงแตอยางใด

มีแตจิตนั่นเองยังมั่นหมาย ยินดียินรายกับการเปลี่ยนแปลง...

จิตเหมือนรู เหมือนรออยูภายใน วาวันหนึ่งเร็วๆนี้ ตนจะวางขันธคืนใหธรรมชาติ ขันธก็จะเปนเหมือน


แผนฟาแผนดิน เหมือนตนไมและสายน้ํา สวนจิตที่รับอิสรภาพจากตัณหาแลว ก็เปนไปอยางที่จิตจะเปน
ซึ่งไมเกี่ยวกับทานอีกแลว

ทรงภูมิธรรมขั้นสอง เวียนปลอยแลวกลับยึดมาก็นานหลายสิบป บัดนี้ทานเพิ่งอานออกอยางแทจริง ได


มองเห็นเชื้อพันธุของภพชาติในจิตใจ ที่พรอมจะงอกเงยเปนกิเลสตัณหาไดตลอดเวลา อยางเชนที่ตัว
ของจิตเองก็ยังมีความเรารอนแสวงหาทางหลุดพนเปนตน

ตลอดมาทานเขาใจวาการมีหวงคือแกวตาดวงใจอยางแพตรี ซึ่งถือเสมือนลูกสาวในไสนั่นเองที่เปนตัว
ปดบัง เปนดานกั้นขวางคุณธรรมระดับอนาคามี แตบัดนี้เมื่อสบายใจไรกังวลเกี่ยวกับแพตรีแลว หมด
หวงอยางเด็ดขาดแนแลว ทานก็เพิ่งเห็นวาแทจริงแพตรีมิใชดานสกัดขัดขวางแตอยางใด ความหิวธรรม
ใครอยากพน รอวันเปนอิสระจากกิเลสตัณหา ไดบรรลุมรรคผลขั้นสูงสุดตางหาก ที่ใชของแข็ง ของจริง
อันหามไว
๖๓๑

ทานปลอยความอยากชนิดนี้คางคาไวเนิ่นนานอยางรูเทาไมถึงการณ ที่ผานมาจึงเหมือนปฏิบัติธรรม
แบบเลี้ยงไข ยิ่งปฏิบัติดวยความรอวันเปนอิสระจากภาระภายนอก รอการบรรลุมรรคผลมากเทาไหร ยิ่ง
บมเพาะใหความอยากขั้นละเอียดเติบกลา แฝงเงาอยางแนบเนียนขึ้นเทานั้น

เสนผมบังภูเขาแทๆ เมื่ออานไมออกวานั่นเปนความอยาก เลี้ยงความอยากไว มรรคผลขั้นสูงขึ้นจึง


คลายกระถดเลื่อนออกหางไปเรื่อยๆ ทั้งที่รูสึกเฉียดรอมรอ เหมือนเอื้อมถึงแคนิดเดียวมาเนิ่นนานขนาด
นี้

แรงดึงดูดของสังสารวัฏมีอํานาจ มีอิทธิพลเห็นปานนี้ กอนบรรลุธรรม ขอเพียงปฏิบัติถูกปฏิบัติตรง รวม


จิตใหเปน เห็นกายเห็นจิตสักแตเปนสภาวธรรม พอพังที่ยืนของอัตตาไดราบคาบชั่ววูบเดียว ก็ทิ้งความ
ยึดมั่นจนจิตทะลุทะลวงลวงรูปนามทั้งสิ้นทั้งปวง ถึงนิพพานครั้งแรกไดทันที แตพอสําเร็จมรรคผลสักขั้น
หรือสองขั้นแลว จิตก็หมุนจากการปฏิบัติสักแตเห็นสภาวธรรม มากอความปรารถนาชนิดใหม ปฏิบัติ
โดยแอบหวังเรงเขาเสนชัยสุดทายโดยไมรูเนื้อรูตัว

ทานรําลึกถึงคําสอนหลวงปูเทสก เทสรังสี ครูบาอาจารยผูลวงลับอีกรูปหนึ่งของทาน มีอยูคราวที่ทาน


เคยถามหลวงปู วาเมื่อเจริญสติสัมปชัญญะไดอยางตอเนื่องแลว จะมีอุบายธรรมอยางใดใหยิ่งไปกวานี้
อีกไหม หลวงปูเทสกเมตตาตอบวาไมมี มีแตตองเจริญสติสัมปชัญญะจนจิตเขาพอ เขาจะปลอยวาง
อุปาทานขันธเอง เหมือนผลไมที่ตองรอเวลาสุก

เหลือบมองฝอยเมฆที่เผอิญเคลื่อนผานดวงจันทร เผยแสงเรืองเดนเต็มตาอาบแผนดินแผนฟา เมื่อแสง


จันทรอับเพราะเมฆบัง พระจันทรไมไดทําอะไรเลย เมื่อเมฆจะมามันก็มา เมื่อเมฆจะไปมันก็ไป พระ
จันทรเปนธาตุธรรมอันปราศจากความยินดียินราย ปราศจากความมั่นหมายใดๆ จะเอาความอยากพน
เมฆเพื่อฉายแสงมาแตไหน

ยามนั้นเอง จิตของทานจึงทําตัวอยางดวงจันทร เมื่อกิเลสจรมาก็เลิกยินรายกับกิเลส เมื่อกิเลสจรไปก็


เลิกยินดีที่สิ่งบดบังเลื่อนผาน ทานเตือนตนเองซ้ําวาหากพยายามหาทางหลุดพนจากอํานาจของกิเลส ก็
เทากับยังมีกิจใหจิตทํา

เมื่อปรารถนาพนจากกิเลสก็เรียกวามีความจงใจ เมื่อจงใจก็เทากับยอมรับใหมีจิตผูจงใจนั่นเอง ความยึด


ถือไดชองแทรกตัวอยูตรงนั้น จิตผูเปน 'ตัวฉัน' หลบซอน ลับมุมบังอยูตรงความจงใจปรารถนาหลุดพน
นั่นเอง

สติ สมาธิ และปญญาของปูชนะประชุมลงที่ความรูสึกวา 'นี่ตัวฉัน' ของจิต โดยมิไดจงใจ แตคราวนี้ตาง


จากเดิมที่เคยคนควาพิจารณาหาทางทําลายความยึดมั่นถือมั่น จิตสักแตระลึกเขาไปที่อุปาทานในอัตตา
ปราศจากตัณหาคือความอยากหลุดพน ปราศจากความเห็นอันเปนการวิพากษวิจารณใดๆตอสภาวะนั้น
๖๓๒

เมื่อจิตสักแตรู โดยปราศจากตัณหาและทิฐิ จิตก็ถึงสภาพเดียวกับธรรม ไมมีความเคลื่อนไหวภายใน ไม


มีขอบเขตรูปทรงใหกําหนดไดในภายนอก จิตเขาถึงความสงัดเงียบอยูตามลําพัง หลุดจากความเกาะ
เกี่ยวกับอารมณทั้งภายนอกภายในสิ้น

รูปภายในคือกายก็สวนหนึ่ง รูปภายนอกคือสิ่งแวดลอมตางๆก็สวนหนึ่ง ผัสสะใหญนอยอันเปนที่มาของ


ความสุขก็สวนหนึ่ง ความนึกคิดปรุงแตงก็สวนหนึ่ง แมประชุมพรอมกันในรูปแบบของความเปนชายชรา
รางหนึ่ง ก็ปรากฏแยกตางหากจากกันสิ้นในความปกหลักรูอันสุขุมยิ่ง เชนที่โบราณาจารยเรียกวาแยก
ขันธจากกันเปนกองๆนั่นเอง

จดจออยูกับความเห็นเชนนั้นพักใหญ สภาพจิตของปูชนะก็พลิกตัว เหมือนยอนเขามาเห็นชัดวาอาการ


แชอยูกับรูกองขันธเชนนั้น คืออีกแบบของการจงใจระลึกรูออกไปยังรูปธรรมและนามธรรม อันเปนของ
นอก ของอื่นจากจิตผูรูอยูดี

ดวยความชํานาญแกรอบในวิปสสนาญาณชั้นสูงนั้น จิตก็เลื่อนระดับความรูแจงเห็นจริงละเอียดเขามาอีก
คือถึงขนาดเห็นเขามาหยุดในจิตผูรูผูดู ขาดจากความเห็นขันธอื่นสิ้น

อาการรูอยูในรูนั้น นุมนวลแนบเนียน ปราศจากกิริยาประคับประคอง กลายเปนธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งให


เปรียบเทียบได วาความหมายรูอารมณทั้งปวงหาใชจะใกลเคียงใจอันบริสุทธิ์แตอยางใดเลย แมกระทั่ง
อาการหมายรูอยูในตัวผูรูก็ตามที

ความหมายรูก็เปนธรรมชาติหนึ่ง ใจอันเงียบกริบ ขาดจากการรูรูปลักษณภายนอก และไรความเคลื่อน


ไหวภายใน ก็เปนอีกธรรมชาติหนึ่ง ปรากฏเปนความวาง สวาง บริสุทธิ์ หยุดความปรุงแตง หยุดการ
แสวงหา หยุดกิริยาของทุกชนิดจิต เรียกวาแยกชั้น วิจัยธรรมลงไปจนหมดจดที่การหยุดปรุงแตงจิตสิ้น
ไมหลงเหลือสิ่งใดเกาะติดตกคางเปนงาน เปนภาระไดอีก

ถอนจากเงานิพพานกลับสูภาวะพิจารณาทบทวนแลว ปูชนะจึงทราบวาภาวะที่จิตรูโดยปราศจากตัณหา
และทิฏฐิครอบงํานั้นมีอยู การปฏิบัติขั้นแตกหักไมมีอะไรมากกวาการอยูกับธรรมชาติรู โดยปราศจาก
ความอยากและความคิดเห็นแมละเอียดแสนละเอียด

ความเห็นวาอันนี้ดี อันนี้ไมดี อันนี้ถูก อันนี้ผิด แมที่วาบรรลุมรรคผลขั้นอื่นหรือจมอยูกับมรรคผลขั้นเดิม


วาประเสริฐกวากัน ก็คือการตัดสินใหคาในสิ่งที่เปนคู ที่เปนจุดอางอิงเปรียบเทียบนั่นเอง เปนชนวนหนึ่ง
ที่ทําใหจิตเกิดพฤติกรรมทํางานตออีกและอีก

ตระหนักดังนั้น ชายชราจึงยุติการคิดเรื่องปฏิบัติ เรื่องผิดเรื่องถูก เรื่องบรรลุมรรคผล


๖๓๓

เมื่อหยุดคิด ความจงใจอันเปนภาชนะอิงอาศัยของผูรู ผูมี ผูหวังจึงหายไป เหลือไวแตสติระลึกรูลงใน


กายรูปนั่งบนเกาอี้ริมหนาตาง เห็นรูปกายกําลังหายใจอยูในอิริยาบถสบาย ลําดับถัดจากนั้นจึงสังเกต
เห็นสภาวจิตของตนเองที่กําลังจงใจมองกาย ความจงใจก็สลายตัวไป

ประจักษธรรมในบัดนั้น วาจิตผูรู กับสิ่งที่ถูกรู ทั้งหลายทั้งปวงก็คือจิตเอง เปนสิ่งเดียวกัน จิตเห็นจิต


อยางแจมแจง ปราศจากตัณหาและทิฏฐิอันจะยังจิตใหเกิดพฤติกรรมใดๆเหนี่ยวนําอุปาทานขันธ จึงเขา
ถึงภาวะอันเปนหนึ่ง หรือจิตหนึ่ง ไมมีสอง

เมื่อประจักษวาผูรูกับสิ่งถูกรูเปนอันเดียวกัน ใดๆบรรดามีอันเกิดแตการปะทะสังสรรคระหวางจิตกับ
อารมณก็ถูกปลอยวางลงดวยกัน ปราศจากความซึมซานเขาหากันเทายองใย เหลือธรรมอันสงัดวิเวก
เงียบเชียบ เบิกบานอยางเรนลับ มีความเปนธรรมดาลวนๆ ไมหลงธรรมใดอันแตงเปนคําพูดไดเลย

เรื่องของคนในโลกนั้น จะหาที่จบ ที่ลงเอยไดอยางไร คงมีแตเรื่องคางคา มีคนรัก มีศัตรู มีสายใยโยงยึด


มีความขัดของวุนวายบนเสนทางอันสลับซับซอนซอนเงื่อน เดาทางไปยาก ตางจากเรื่องของคนในธรรม
ที่เมื่อหลุดพนขึ้นมาจากโลกแลว มีแตความเรียบงายเปนที่จบ เห็นจุดลงเอยชัด เหมือนพบฝงอันผาสุก
หลังจากลอยคอเวียนวายในทะเลทุกขมาแสนนาน หมดรูปหมดนามใหดูแลสิ้นเชิง

มติสูงสุดแหงธรรมคือการชนะ คือการยุติกิเลสหยาบและละเอียด คือการหยุดวายวน คือการคายเชื้อแหง


การเกิดรูปนาม เพราะแจมแจงแทงตลอดเสียแลววารูปนามเปนทุกข หมุดที่ยึดใจไวกับทุกขก็คือตัณหา
อุปาทานในนามรูปนั่นเอง เมื่อถอนหมุดออกเสียไดแมขั้นละเอียด ก็เหมือนเปดหลังคา พังกําแพงออก
เห็นฟากวางโดยรอบ หมดความลุมหลงเพอพก หายเศรา หายสงสัย หายติดของคางคาอาลัย เหลือแต
ความไรทุกข เหนือรสสุข เกินจินตนาการบรรดามีที่เคยสั่งสมมาระหวางการเดินทางอันแสนไกลในวังวน
สังสารวัฏ

นิพพานเปนสุขยิ่ง นิพพานนั้นวางยิ่ง
ที่เกินขอบเขตนิพพานนั้น
นอกจากทุกขไมมีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกขไมมีอะไรดับไป
ใจที่ถึงนิพพาน เปนความจบบริบูรณอยางแทจริง
เปนของจริงเหนือการสรรคํารอยถอยประพันธอันใดสิ้น

จบ.

You might also like