You are on page 1of 57

คุณสมบัติของเสียที่เหมาะสมในการนํามาใชประโยชนในระดับอุตสาหกรรม

สํานักบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม
www.diw.go.th/iwmb
กรมโรงงานอุตสาหกรรม
เอกสารแนวทางหลั ก เกณฑ คุ ณ สมบั ติ ข องเสี ย ที่ เ หมาะสมในการนํ า มาใช
ประโยชนในระดับอุตสาหกรรมฉบับนี้ จัดทําขึ้นภายใตโครงการพัฒนาศักยภาพ
การใชประโยชนกากของเสีย ซึ่งในการดําเนินงานโครงการฯ ไดทําการศึกษารูปแบบ
การใชประโยชนกากของเสียจากอุตสาหกรรม และการนําของเสียกลับมาใชใหม
รวมถึงมีการดําเนินการจัดทําระบบสาธิตการนําของเสียไปใชประโยชนไดจริงในระดับ
อุตสาหกรรม ซึ่งในกรณีการใชประโยชนจากกากของเสียอุตสาหกรรม ไดมีการ
พัฒนาในรูปแบบของการทําเชื้อเพลิงอัดแทง และการทําปุยอินทรีย สวนในกรณี
การนําของเสียกลับไปใชประโยชนใหม ไดมีการศึกษาในรูปแบบการรีไซเคิลน้ํามัน
หลอเย็นใชแลว และการรีไซเคิลสารละลายกรดหรือดางใชแลว
เอกสารฉบับนี้จัดทําขึ้นโดยมีวัตถุประสงคเพื่อนําเสนอรูปแบบของการนํา
ของเสียไปใชประโยชนในระดับอุตสาหกรรมซึ่งประกอบดวย ประเภทวัสดุของเสีย
ที่มีศักยภาพในการนําไปใชประโยชน รูปแบบของการนํามาใชประโยชน กรรมวิธี
การนํามาใชประโยชน ความเหมาะสมดานเทคนิค ดานสิ่งแวดลอม และความเหมาะสม
ดา นเศรษฐศาสตร นอกจากนี้ ยังเสนอถึงหลัก เกณฑใ นการพิจ ารณาคุณ สมบัติ
ของเสี ย ที่ เ หมาะสมในการนํ า ไปใช ป ระโยชน ด ว ย กรมโรงงานอุ ต สาหกรรม
หวังเปนอยางยิ่งวาเอกสารฉบับนี้จะเปนประโยชนตอผูประกอบการที่สนใจในการนํา
กากของเสียอุตสาหกรรมไปใชประโยชน หรือนํากลับมาใชใหม โดยเฉพาะผูที่มี
ความสนใจรูปแบบการนํากากของเสียอุตสาหกรรมไปใชประโยชนในรูปแบบเดียวกับ
การดําเนินโครงการภายใตโครงการนี้
ÊÒúa­

¤ÇÒÁËÁÒ ËÅa¡¡Òà æÅa»Ãaoª¹¨Ò¡¡ÒùíÒ¢o§eÊÕ 1


ä»ãªŒ»Ãaoª¹

»ÃaeÀ·¢o§eÊÕ·ÕÁè ÈÕ ¡a ÂÀҾ㹡ÒùíÒä»ãªŒ»Ãaoª¹ 4
æÅaÃٻ溺¡ÒùíÒä»ãªŒ»Ãaoª¹·eÕè »š¹ä»ä´Œ

æ¹Ç·Ò§æÅaÃٻ溺¡ÒùíÒ¢o§eÊÕÂä»ãªŒ»Ãaoª¹ 9
ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ·Õeè ʹoæ¹a
3.1 ¡ÒüÅiµeªืoé e¾Åi§oa´æ·‹§¨Ò¡¢o§eÊÕ 10
3.2 ¡Ò÷íÒ»u‰Âoi¹·ÃՏ¨Ò¡¢o§eÊÕ 20
3.3 ¡ÒÃÃÕä«e¤iŹéíÒÁa¹ËŋoeÂç¹ãªŒæŌÇËÃืo¹éíÒeÊÕ»¹e»„œo¹¹éíÒÁa¹ 27
3.4 ¡ÒÃÃÕä«e¤iÅÊÒÃÅaÅÒ¡ô㪌§Ò¹æÅŒÇ 33

æ¹Ç·Ò§æÅaËÅa¡e¡³±ã¹¡Òþi¨ÒóÒÅa¡É³aÊÁºaµ¢i o§eÊÕ 39
·Õeè ËÁÒaÊÁ㹡ÒùíÒä»ãªŒ»Ãaoª¹ã¹Ãٻ溺·Õeè ʹoæ¹a
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¤ÇÒÁËÁÒ ËÅa¡¡Òà æÅa»Ãaoª¹¨Ò¡¡ÒùíÒ¢o§eÊÕÂä»ãªŒ»Ãaoª¹

การนําของเสียที่เกิดจากภาคการผลิตและการบริโภคไปแปรรูปเพื่อนํากลับ
ไปใชประโยชนใหม  (Recycle) เปนแนวทางหลักหนึ่งใน 3Rs ที่มีเปาหมายเพื่อ
การอนุรักษและใชประโยชนทรัพยากรธรรมชาติใหคุมคามากที่สุด และสงเสริมให
การผลิตและการบริโภคเปนไปอยางยั่งยืน ขณะเดียวกันการนําของเสียไปแปรรูปเพื่อ
นํากลับมาใชใหม (Recycle) ยังชวยลดปริมาณของเสียที่จะตองถูกบําบัด และกําจัด
ใหเหลือนอยที่สุดอีกดวย 
 

 
 
µaÇo‹ҧ¡ÒùíÒ¢o§eÊÕÂä»ÃÕä«e¤iÅe¾ืèo¹íÒ¡ÅaºÁÒ㪌ãËÁ‹ eª‹¹
นําเศษแกวไปหลอมเพื่อผลิตเปนขวดแกว
นําเศษกระดาษไปตีเปนเยื่อกระดาษเพื่อนํามาผลิตเปนกระดาษใหม
นําน้ํามันหลอลื่นใชแลวไปผานกระบวนการแยกน้ํามันออกจากน้ํา เพื่อนํา
น้ํามันกลับมาใชใหมหรือปรับปรุงคุณภาพเปนผลิตภัณฑน้ํามันตางๆ เปนตน

1
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

เปน การจัดการวั สดุ เ หลือใชที่กํ าลังจะกลายเปน ขยะหรือของเสีย ที่ จ ะต อง


ถูกกําจัด โดยนําไปผานกระบวนการแปรสภาพ เพื่อใหเปนวัสดุใหมแลวนํากลับมา
ใชไดอีก โดยวัสดุที่ผานการแปรสภาพนั้น อาจจะเปนผลิตภัณฑเดิมหรือผลิตภัณฑ
ใหมก็ได และอาจนําไปใชเปนวัตถุดิบหรือใชเปนแหลงพลังงานก็ได

¡Òà Recycle ÊÒÁÒö´íÒe¹i¹¡ÒÃ䴌·§aé


ณ แหลงกําเนิดของเสีย (On-site) และ
นําไปดําเนินการภายนอกแหลงกําเนิด (Off-site)

»Ãaoª¹¨Ò¡¡ÒùíÒ¢o§eÊÕÂÁÒÃÕä«e¤iŠ䴌桋
ลดปริมาณการใชทรัพยากรธรรมชาติ
ลดการใชพลังงานโดยเฉพาะจากแหลงฟอสซิล
ลดปริมาณของเสียที่ตอ งกําจัดและฝงกลบ
ลดปริมาณการปลอยกาซคารบอนไดออกไซดและกาซเรือนกระจก
ที่เปนสาเหตุของภาวะโลกรอน

2
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¡ÃaºÇ¹¡Òà Recycle ÁÕ 4 ¢aé¹µo¹ 䴌桋

แยกของเสียทีแ่ หลงเกิด
Seperating at the source

แยกเก็บวัสดุที่รีไซเคิล
นําไปใชประโยชน แตละชนิดออกจากกัน
Using new product Seperate collection of
recyclable materials

นําไปผลิตหรือแปรสภาพ
Reproducing

ในขั้นตอนการผลิตหรือแปรสภาพของเสียหรือวัสดุที่แตกตางกันจะมีกรรมวิธี
ในการผลิตหรือแปรสภาพแตกตางกัน นอกจากนี้ วัสดุประเภทเดียวกันอาจมีกรรมวิธี
แปรสภาพตางกันขึ้นอยูกับประเภทผลิตภัณฑที่ตองการหรือลักษณะการนําไปใช
ประโยชนดวย

3
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

»ÃaeÀ·¢o§eÊÕ·ÕèÁÈÕ a¡ÂÀҾ㹡ÒùíÒä»ãªŒ»Ãaoª¹
æÅaÃٻ溺¡ÒùíÒä»ãªŒ»Ãaoª¹·Õèe»š¹ä»ä´Œ

จากข อ มู ล ประเภทและปริ ม าณกากของเสี ย ที่ โ รงงานอุ ต สาหกรรมที่ ไ ด


ยื่นขออนุญาตนําออกไปบําบัด/กําจัดแตละปของกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบวา
ในชวงระหวางป 2549-2551 มีของเสียที่ขออนุญาตนําไปกําจัดคิดเปนอัตรารอยละ
8.4-12.6 ของปริมาณของเสียทั้งหมดที่มีการขออนุญาตนําออกนอกโรงงานในแตละป
โดยสวนใหญเปนการกําจัดโดยวิธีนําไปฝงกลบ ดังรูป

50
45
40
Ì o  Ša ¢o §»Ãi Á Ò ³ ¢o §eÊÕ Â ·aé §Ë Á´
·Õè ¢o o ¹u ­ Ò µ ¹í Ò o o ¡¹ o ¡oç§Ò ¹

35
30 㪌 »Ãaoª¹e»š¹Çaµ ¶u´iº
㪌 «éíÒ
25
㪌 »Ãaoª¹ã¹ÃÙ»¾Åa§§Ò¹
20 ºí Ò ºa ´
¡íÒ ¨a ´
15
ʋ§oo¡¹o¡»Ãae·È
10
5
0
»‚ 2549 »‚ 2550 »‚ 2551
»‚ ¾ .È.

ที่มา : ดัดแปลงจากขอมูลแนวโนมการขออนุญาตนํากากของเสียออกนอกบริเวณโรงงานระหวาง
ป 2549-2551 โครงการส ง เสริ ม การใช ป ระโยชน ก ากอุ ต สาหกรรมและลดปริ ม าณกาก
ที่ตองฝงกลบ, กรมโรงงานอุตสาหกรรม. 2551

4
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

สํ า หรั บ ของเสี ย ที่ มี ก ารขออนุ ญ าตนํ า ไปกํ า จั ด โดยวิ ธี ฝ ง กลบในแต ล ะป


ในปริมาณมาก ไดแก เถาหนัก ตะกรัน และฝุนจากหมอน้ํา กากปูนขาว จากการผลิต
เยื่อกระดาษหรือกระดาษแข็ง กากตะกอนจากระบบบําบัดน้ําเสียโดยวิธีชีวภาพ และ
วั ส ดุ ที่ ไ ม เ หมาะสํ า หรั บ การบริ โ ภคหรื อ แปรรู ป ต อ จากอุ ต สาหกรรมเกษตรหรื อ
แปรรู ป อาหาร เป น ต น ซึ่ ง จากการศึ ก ษาและการจั ด ลํ า ดั บ ประเภทของเสี ย ที่ มี
การขออนุญาตนําไปฝงกลบในปริมาณมาก และขณะเดียวกันก็ยังมีศักยภาพสูงใน
การนําไปใชประโยชน 10 ลําดับแรก ปรากฏดังนี้
¢o§eÊÕ·Õ趡٠¢oo¹u­Òµ¹íÒ仡íÒ¨a´o´ÂÇi¸Õ½§˜ ¡Åºã¹»ÃiÁÒ³ÁÒ¡
测ÁÈÕ ¡a ÂÀҾ㹡ÒùíÒä»ãªŒ»Ãaoª¹Ê§Ù Êu´ 10 ÅíÒ´aº
1 เถา ตะกรัน ฝุน จากโรงไฟฟาและโรงงานทีม่ กี ารเผาไหมที่ไมมีสารอันตราย
2 กากตะกอนปูนขาวจากการผลิตกระดาษ และเยื่อกระดาษ
3 กากตะกอนที่มีสารอันตรายจากการบําบัดน้ําเสียอุตสาหกรรมโดยวิธีอื่นๆ และ
กากตะกอนและกอนกรองที่มีสารอันตรายจากการปรับสภาพผิวโลหะและวัสดุตางๆ
4 กากตะกอนจากการบําบัดน้ําเสียโดยวิธีอื่นๆ ซึ่งไมใชวิธีชีวภาพ เศษเสนใย สารเพิ่มเนื้อ
และสารเคลือบผิวจากการแยกเชิงกลจากการผลิตเยื่อกระดาษหรือกระดาษแข็ง
5 กากตะกอนจากการบําบัดน้ําเสียโดยวิธีชีวภาพ และกากตะกอนจากการผลิตน้ําใช
6 สวนเหลือทิง้ จากการแยกเยื่อจากเศษกระดาษและเศษกระดาษแข็ง
7 แกนและแบบหลอโลหะที่เปนเหล็กและไมใชเหล็ก ที่ไมใชของเสียอันตราย
8 กากตะกอนจากระบบบําบัดน้ําเสียของอุตสาหกรรมแปรรูปเนื้อสัตวตางๆ และปลา
9 ตะกรันจากเตาหลอมหลอเหล็ก
10 ตะกอนจากการลางทําความสะอาด ปอกเปลือก เหวี่ยง และแยกผลไม ผัก ธัญพืช
โกโก กาแฟ และยาสูบ และเศษพืชผักผลไมที่ไมเหมาะสมสําหรับการแปรรูปตอไป
5
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

สําหรับรูปแบบที่เปนไปไดในการนําของเสียดังกลาวนี้ไปใชประโยชน ไดแก

ผลิตเชื้อเพลิงอัดแทง

เปนวัสดุ ผลิตปุยอินทรีย
ปรับปรุงดิน ปุยอินทรียเคมี
หรือน้ําหมักชีวภาพ

เปนอาหารสัตวหรือ เปนวัสดุผสมหรือ
ผสมอาหารสัตว วัสดุทดแทน

• กากตะกอนจากการบําบัดน้ําเสียโดยวิธีอื่นๆ ซึ่งไมใชวิธี
ชีวภาพ เศษเสนใย สารเพิ่มเนื้อ และสารเคลือบผิวจาก
ผลิตเชื้อเพลิงอัดแทง

การแยกเชิงกลจากการผลิตเยื่อกระดาษ หรือกระดาษแข็ง
• กากตะกอนจากการบําบั ดน้ําเสียโดยวิธีชีวภาพ และ
กากตะกอนจากการผลิตน้ําใช
• กากตะกอนจากระบบบํ า บั ดน้ํ า เสี ย ของอุต สาหกรรม
แปรรูปเนื้อสัตวตางๆ และปลา

เปนวัสดุ • กากปูนขาวจากการผลิตเยื่อกระดาษหรือ
ปรับปรุงดิน กระดาษแข็ง

(µ‹o)

6
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

(µ‹o)

• เถา ตะกรัน ฝุนจากโรงไฟฟา และโรงงานที่มีการเผาไหม


• กากปูนขาวจากการผลิตเยื่อกระดาษ หรือกระดาษแข็ง
เปนวัสดุผสมหรือวัสดุทดแทน

• กากตะกอนที่มีสารอันตรายจากการบําบัดน้ําเสียอุตสาหกรรม
• กากตะกอนจากการบํ า บั ดน้ํ า เสี ย โดยวิ ธี อื่นๆ ซึ่ ง ไม ใ ช วิ ธี ชี ว ภาพ
เศษเสนใย สารเพิ่มเนื้อ และสารเคลือบผิวจากการแยกเยื่อกระดาษ
หรือกระดาษแข็ง
• สวนเหลือทิ้งจากการแยกเยื่อจากเศษกระดาษและกระดาษแข็ง
• แกนและแบบหลอโลหะที่ไมใชของเสียอันตราย
• ตะกรันจากเตาหลอมหลอเหล็ก

• กากตะกอนจากการบําบัดน้ําเสียโดยวิธีชีวภาพ และกากตะกอน
ผลิตปุยอินทรีย ปุยอินทรียเคมี

จากการผลิตน้ําใช
หรือน้ําหมักชีวภาพ

• กากตะกอนจากระบบบํ า บั ด น้ํ า เสี ย ของอุ ต สาหกรรมแปรรู ป


เนื้อสัตวตางๆ และปลาชีวภาพ
• ตะกอนจากการล า งทํ า ความสะอาด ปอกเปลื อ ก เหวี่ ย งและ
แยกผลไม ผัก ธัญพืช โกโก กาแฟ และยาสูบ

• กากตะกอนจากระบบบํ า บั ด น้ํ า เสี ย ของอุ ต สาหกรรมแปรรู ป


เปนอาหารสัตว

เนื้อสัตวตางๆ และปลา
• ตะกอนจากการลางทําความสะอาด ปอกเปลือก เหวี่ยงและแยก
ผลไม ผัก ธัญพืช โกโก กาแฟ และยาสูบ

7
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

อยางไรก็ตาม การนําของเสียไปใชประโยชนในรูปแบบใดๆ นั้น ยังมีขอจํากัด


ในทางปฏิ บั ติ อื่ น ๆ นอกเหนื อ จากข อ จํ า กั ด ด า นลั ก ษณะสมบั ติ ข องเสี ย ที่ ต อ ง
สอดคล อ งกั บ รู ป แบบหรื อ วั ต ถุป ระสงคข องการนํ า ไปใช ป ระโยชน เชน ปริ ม าณ
ของเสียที่เกิดขึ้นในแตละวัน และความสามารถในการเก็บรวบรวมกอนนําไปใช
ประโยชน ตลอดจนผลกระทบจากการนําผลผลิตที่ไดจากของเสียไปใชประโยชน
ฯลฯ สําหรับประเด็นสําคัญที่ตองพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อใหสามารถนําของเสียไปใช
ประโยชนไดอยางมีประสิทธิภาพ ดังนี้ 

»Ãae´ç¹ÊíÒ¤a­·Õµè oŒ §¾i¨ÒóÒe¾iÁè eµiÁe¾ืoè ãˌÊÒÁÒö¹íÒ¢o§eÊÕÂä»ãªŒ»Ãaoª¹


䴌o‹ҧÁÕ»ÃaÊi·¸iÀÒ¾
องคประกอบทางเคมีของของเสียและผลตอกระบวนการที่นําไปใช
คุ ณ ค า ทางเศรษฐกิ จ ของของเสี ย และความคุ ม ค า กั บ การปรั บ เปลี่ ย น
กระบวนการเพื่อใหสามารถนําของเสียนั้นมาใชประโยชน
ปริ ม าณ ความสม่ํา เสมอ และความสามารถในการรวบรวมของเสี ย ที่จ ะ
นํามาใชประโยชน
ผลกระทบทางดานสิ่งแวดลอมจากการปรับกระบวนการผลิต และการใชงาน
ผลผลิต

8
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

æ¹Ç·Ò§æÅaÃٻ溺¡ÒùíÒ¢o§eÊÕÂä»ãªŒ»Ãaoª¹ã¹Ãa´aº
ouµÊÒË¡ÃÃÁ·Õèeʹoæ¹a

โครงการพัฒนาศักยภาพการใชประโยชนกากอุตสาหกรรม ของกรมโรงงาน
อุตสาหกรรม ปงบประมาณ 2553 ไดรับสมัครโรงงานอุตสาหกรรมนํารอง 5 แหง
ที่ตองการนําของเสียจากกลุมประเภทของเสียที่มีการขออนุญาตนําไปกําจัดในแตละป
ในปริมาณมากแตยังมีศักยภาพในการใชประโยชนสูงสุด 10 ลําดับประเภทแรก
เพื่อศึกษาคัดเลือกรูปแบบการนําไปใชประโยชนที่มีความเหมาะสมสูงสุดกับของเสีย
5 ประเภท และทดลองปฏิบัติจริงพรอมกับประเมินผลการดําเนินงานในโรงงาน
นํ า ร อ งแต ล ะแห ง ตามรู ป แบบการใช ป ระโยชน ที่ คั ด เลื อ ก เพื่ อ เป น ข อ มู ล สํ า หรั บ
สงเสริมและขยายผลใหมีการนําของเสียเหลานั้นไปใชประโยชนในระดับอุตสาหกรรม
มากขึ้น

»ÃaeÀ·¢o§eÊÕÂæÅaÃٻ溺¡ÒùíÒä»ãªŒ»Ãaoª¹·¤Õè ´a eÅืo¡´íÒe¹i¹¡ÒÃ
ã¹oç§Ò¹¹íÒËo§
ของเสีย 5 ประเภทที่โรงงานนํารองตองการนําไปใชประโยชน และรูปแบบ
การนํ าไปใชประโยชน ที่คั ดเลือกสําหรับของเสียแตละประเภทภายใตโครงการนี้
มีดังนี้
»ÃaeÀ·¢o§eÊÕ·Õ褴a eÅืo¡ eªืéoe¾Åi§oa´æ·‹§ »u‰Âoi¹·ÃՏ
เศษพืชผักผลไมที่ไมเหมาะสําหรับการบริโภค หรือแปรรูป √
กากตะกอนจากระบบบําบัดน้ําเสียแบบชีวภาพ √
เถาหนัก และฝุนจากการเผาไหมเชื้อเพลิงตางๆ √

9
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

桹éÒí Áa¹e¾ืèo¹íÒÁÒ¼Åiµ ¼ÅiµÊÒÃe¤ÁÕ


»ÃaeÀ·¢o§eÊÕ·Õ褴a eÅืo¡
e»š¹¼ÅiµÀa³±ãËÁ‹ ª¹i´ãËÁ‹
น้ํามันหลอเย็นใชงานแลว √
สารละลายกรดไฮโดรคลอริกใชงานแลว √

โดยหลักการและวิธีการใชประโยชนของเสียในแตละรูปแบบที่กลาวขางตน
ตลอดจนผลการประเมิ น ความเหมาะสมของแต ล ะวิ ธี ก ารใช ป ระโยชน ข องเสี ย
มีรายละเอียดดังนี้

¡ÒüÅiµeªืoé e¾Åi§oa´æ·‹§¨Ò¡¢o§eÊÕÂ

ของเสียจําพวกตะกอนจากการลางทําความสะอาด ปอกเปลือก เหวี่ยง และ


แยกผลไม ผัก ธัญพืช เศษเปลือกพืช ผักผลไมที่ใชเปนวัตถุดิบในการผลิต และ
กากตะกอนจากระบบบําบัดน้ําเสียแบบชีวภาพ ที่เกิดจากโรงงานนํารองที่ตองการนํา
ของเสียเหลานี้ไปใชประโยชน มีปริมาณที่เกิดขึ้นในแตละวันของโรงงานแตละแหง
ไมมากนัก ประกอบกับของเสียเหลานี้ไมสามารถเก็บกักไวไดนาน จึงเปนขอจํากัด
ที่สําคัญในการเก็บรวบรวมของเสียเหลานี้ไวใหไดปริมาณมากพอสําหรับการนําไปใช
ประโยชนในรูปแบบตางๆ อยางไรก็ตาม ดวยลักษณะสมบัติของเสียเหลานี้ที่ยังมี
คาความรอน  (heating value) คอนขางสูง จึงมีศักยภาพในการนํามาเปนเชื้อเพลิง
ทดแทนในโรงงานของผูกอกําเนิดของเสียเหลานี้ไดเอง แตเนื่องจากคาความรอนของ
ของเสียเหลานี้ยังไมมากพอที่จะนําไปเผาไหมเพื่อใหไดพลังงานโดยตรง ทําใหตองนํา
ของเสี ย เหล า นี้ ม าผ า นกระบวนการแปรรู ป เป น เชื้ อ เพลิ ง อั ด แท ง เพื่ อ ปรั บ ปรุ ง

10
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

คุณสมบัติใหเหมาะแกการใชงานเปนเชื้อเพลิงทดแทนของโรงงานนํารองเองมีความ
เหมาะสมสูงสุด

Ãٻ溺¡ÒùíÒ¢o§eÊÕÂÁÒ¼Åiµeªืoé e¾Åi§oa´æ·‹§

ในประเทศไทย เชื้อเพลิงอัดแทงที่มีการใชงานในปจจุบันสวนใหญเปนชีวมวล
หรือสารอินทรียที่เปนแหลงกักเก็บพลังงานจากธรรมชาติ ไดแก ตนไม กิ่งไม หรือ
เศษวัสดุจากภาคการเกษตรหรือภาคอุตสาหกรรม เชน แกลบ ฟาง ชานออย และ
ขี้เลื่อยเปนวัตถุดิบ โดยรูปแบบของเชื้อเพลิงอัดแทงแบงเปน 2 ประเภท คือ
1. ¶‹Ò¹oa´æ·‹§ ซึ่งจะมีการเผาชีวมวลไมว าจะเผากอนนําไปอั ดแท งหรื อเผา
หลังจากอัดเปนแทงแลว
2. 淋§eªืéoe¾Åi§e¢ÕÂÇ เปนการนําชีวมวลมาอัดแทงแลวนําไปใชงานโดยตรง ไมตอ ง
มีขั้นตอนการเผาเหมือนเชนถานอัดแทง
ส วนวิ ธี การอั ดแท งเชื้ อเพลิ งจากชี วมวลเหล านั้ น จํ าแนกได เป น 2 วิ ธี คื อ
กระบวนการอัดรอน (Hot Press Process) และกระบวนการอัดเย็น (Cold Press
Process) ขึ้นกับลักษณะสมบัติของชีวมวลที่นํามาอัดแทง
สําหรับรูปแบบที่นําของเสียอินทรียจากโรงงานนํารองมาผลิตเชื้อเพลิงอัดแทง
ในโครงการนี้ เปนการผลิตแทงเชื้อเพลิงเขียวโดยไมมีการเผาของเสียทั้งกอนและ
หลังการอัดแทงแลว และกระบวนการอัดแทงที่ใชเปนกระบวนการอัดเย็นชนิด
เติมตัวประสานเพื่อใหวัสดุในของเสียจับตัวเปนกอน

11
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¡ÃÃÁÇi¸Õ¡ÒüÅiµeªืéoe¾Åi§oa´æ·‹§¨Ò¡¢o§eÊÕ·Õè´íÒe¹i¹¡ÒÃã¹oç§Ò¹¹íÒËo§

¡ÒÃËÒoaµÃÒʋǹ¼ÊÁ·Õeè ËÁÒaÊÁ㹡ÒüÅiµeªืoé e¾Åi§oa´æ·‹§

เปนการวิเคราะหศักยภาพของของเสียที่เกิดขึ้นในโรงงานนํารองในการใชเปน
เชื้อเพลิง ซึ่งไดแก คาความรอน (heating value) จากนั้นจึงคัดเลือกชนิดของเสีย
ที่ มี ค า ความร อ นเหมาะสมเพี ย งพอตอ การใชง าน และทดลองหาอัต ราส ว นผสม
ที่เหมาะสมสําหรับการผลิตเชื้อเพลิงอัดแทง ทั้งนี้ ผลการดําเนินงานไดคัดเลือก
ของเสียที่มีคาความรอนระหวาง 1,898-5,402 แคลอรี/กรัม เพื่อใชเปนวัตถุดิบหลัก
ในการผลิตเชื้อเพลิงอัดแทงสําหรับโรงงานนํารอง

oç§Ò¹¹íÒËo§ ¤‹Ò¤ÇÒÁÌo¹
»ÃaeÀ·¢o§eÊÕ·չè Òí ÁÒ¼Åiµeªืoé e¾Åi§oa´æ·‹§
ÅíÒ´aº·Õè (cal/g)
1 - เศษพริก กระเทียมที่เปนวัตถุดิบในการผลิต 5,402
พริกแกง 1,898
- เถาจากการเผาไหมกะลาปาลมทีเ่ ปนเชื้อเพลิง
ของโรงงาน*
2 - กากตะกอนจากการลางและปอกเปลือกผักผลไม 3,098
(เศษผักผลไมแหง)
- กากตะกอนจากระบบบําบัดน้ําเสีย 540
* เถากะลาปาลม นํามาใชเฉพาะเถาหนักที่รอนแยกออกจากเถาเบาแลว

12
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¤‹Ò¤ÇÒÁÌo¹¢o§¢o§eÊÕ·չè Òí ÁÒ¼Åiµeªืoé e¾Åi§oa´æ·‹§¢o§oç§Ò¹¹íÒËo§


e»ÃÕºe·Õº¡aºÇaÊ´uª¹i´µ‹Ò§æ (æ¤ÅoÃÕ/è ¡ÃaÁ)
6,000 5,190 5,402
4,830 4,990
4,500 4,560
5,000
4,000 3,098
3,000 1,898
2,000
1,000
-
ทะลายปาลม
กะลามะพราว

เถากะลาปาลม
ไมยางพารา

กระเทียม

เศษผลไม
กากกาแฟ
ขี้เลื่อย

เศษพริก

อัตราสวนผสมที่เหมาะสมซึ่งจะทําใหเชื้อเพลิงอัดแทงที่ผลิตไดมีคาความรอน
ที่เพียงพอตอการใชงานของโรงงานนํารองแตละแหง มีดังนี้
โรงงานนํารองที่ 1 เศษพริก กระเทียม : เถากะลาปาลม = 1:1  
(ใชแปงมันเปนตัวประสาน 5 %)
โรงงานนํารองที่ 2 เศษผักผลไมแหง : ถานหิน = 1:1  
(ใชแปงมันเปนตัวประสาน 5 %)

 
 
 
 
 
 

13
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¡ÒüÅiµeªืoé e¾Åi§oa´æ·‹§

1. ชั่งสวนผสม 2. เติมตัวประสาน อัตรา 5% 4. นําเขาเครื่องอัดแทง


ตามอัตราที่กําหนด 3. ผสมสวนผสมใหเขากัน
ของน้ําหนักวัตถุดิบรวม เชื้อเพลิง

เศษพริก กระเทียม : เถากะลาปาลม = 1:1


6. ผลผลิตแทงเชื้อเพลิงจากของเสีย

เศษพริก

oç§Ò¹¹íÒËo§·Õè 1
กระเทียมผสม
เถากะลาปาลม
เศษผักผลไม : ถานหิน = 1:1

เศษผักผลไม
5. ตากแหงแทงเชื้อเพลิง
กับถานหิน

oç§Ò¹¹íÒËo§·Õè 2
 

14
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ
 

¤ÇÒÁeËÁÒaÊÁ¢o§¡ÒüÅiµeªืoé e¾Åi§oa´æ·‹§¨Ò¡¢o§eÊÕÂ
´ŒÒ¹e·¤¹i¤æÅaÊi§è æǴŌoÁ

เชื้ อเพลิงอัด แทงที่ผลิตได มีคาความรอนสูงเพียงพอตอการใชงาน และมี


ประสิทธิภาพสูงในการใหความรอนทดแทนเชื้อเพลิงชนิดเดิมที่โรงงานนํารองใชงานอยู
ขณะเดียวกันปริมาณมลสารจากการเผาไหมเชื้อเพลิงอัดแทงยังมีคาต่ํากวาการใช
เชื้อเพลิงชนิดเดิมของโรงงานอีกดวย

6000 5,860

5500
คาความรอน (แกลลอรี/กรัม)

5000 4,916

4500 4,400

4000 4,123
3,741
3500
3,393
กะลาปาลม เชื้อเพลิงอัดแทง_1 เชื้อเพลิงอัดแทง_2 ถานหิน

หมายเหตุ เชื้อเพลิงอัดแทง_1 เศษพริก เศษกระเทียม :  เถากะลาปาลม = 1:1


เชื้อเพลิงอัดแทง_2 เศษผักผลไม : ถานหิน = 1:1 
 
 
 

15
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

o´ÂÊÃu»¢Œo´Õ¢o§¡ÒùíÒ¢o§eÊÕÂÁÒ㪌»Ãaoª¹o´Â¡ÒüÅiµeªืoé e¾Åi§oa´æ·‹§

ÁÕ´a§¹Õé
1) อัตราการผลิตเชื้อเพลิงอัดแทง สามารถปรับใหเหมาะสมกับปริมาณ
ของเสียที่โรงงานแตละแหงกอใหเกิดขึ้น  เนื่องจากเครื่องจักรที่ใชมีตั้งแตขนาดเล็ก
จนถึงขนาดใหญ  จึงไมมีความจําเปนที่โรงงานตองเก็บของเสียเหลานี้ไวเปนเวลานาน
ซึ่งเสี่ยงตอการเนาเสียไดงาย
2) ของเสียที่อัดแทงแลว มีระยะเวลาเก็บกักไดนานกวาของเสียสด และชวย
ลดคาใชจายในการขนสงของเสียไปกําจัดที่ตองทําทุกวัน
3) ชวยลดตนทุนการกําจัดของเสียของโรงงาน ขณะเดียวกันก็ลดตนทุน
การจัดหาเชื้อเพลิงเขามาใชในโรงงาน
4) กรรมวิธีการผลิตเชื้อเพลิงอัดแทงไมยุงยาก และไมตองใชเทคโนโลยี
ขั้นสูง พนักงานทั่วไปที่ไดรับการอบรมการใชงานแลวก็สามารถดําเนินการผลิตไดเอง
ไมตองใชทรัพยากรบุคคลของโรงงานที่มีอยูจํากัด
5) หากมีสัดสวนการใชของเสียอินทรียเปนเชื้อเพลิงอัดแทงมาก มลพิษ
อากาศที่เ กิดจากการเผาไหมเชื้อเพลิงจะนอยกวาเมื่อเทียบกับเชื้ อเพลิงประเภท
ถานหิน หรือน้ํามันเตาที่มีกาซซัลเฟอรไดออกไซดจากการเผาไหมเกิดขึ้นในปริมาณมาก

สําหรับผลการตรวจวัดปริมาณมลสารจากปลองหมอน้ําของโรงงานนํารอง
เปรี ย บเที ย บระหว า งกรณี ที่ ใ ช เ ชื้ อ เพลิ ง อั ด แท ง ที่ ผ ลิ ต ได กั บ กะลาปาล ม ซึ่ ง เป น
เชื้อเพลิงที่โรงงานนํารองใชงานในปจจุบัน พบวา ปริมาณมลสารในอากาศที่ระบาย
ออกจากปลองหมอน้ํากรณีใชเชื้อเพลิงอัดแทงมีคาต่ํากวาเชื้อเพลิงที่โรงงานใชอยู

16
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

250
Total suspended particulates (mg/m3)
250
คามาตรฐาน ≤ 320
200

150
83.8
76.4
100 58.1

50

ไดรับการตากกอนนํามาใช
ที่นํามาใชงานเลย
กะลาปาลมผสมเศษพริก
กะลาปาลม

เชิ้อเพลิงอั ดแทง

»ÃiÁÒ³ Total suspended particulates ¢o§eªืoé e¾Åi§æµ‹Åaª¹i´ เชิ้อเพลิงอั ดแทง

230.2
250
Nitrogen dioxide (ppm)

คามาตรฐาน ≤ 200
200
136.5
150

100
20.2 20.1
50

0
ไดรับการตากกอนนํามาใช
ที่นํามาใชงานเลย
กะลาปาลมผสมเศษพริก
กะลาปาลม

เชิ้อเพลิงอั ดแทง

เชิ้อเพลิงอั ดแทง

¤‹Ò Nitrogen dioxide ¢o§eªืoé e¾Åi§æµ‹Åaª¹i´

17
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

6.7
Sulfur dioxide (ppm) 7 คามาตรฐาน ≤ 60
5.0
6 4.6
5
4
3
2 0.81
1
0

ไดรับการตากกอนนํามาใช
ที่นํามาใชงานเลย
กะลาปาลมผสมเศษพริก
กะลาปาลม

เชิ้อเพลิงอั ดแทง

เชิ้อเพลิงอั ดแทง
¤‹Ò Sulfur dioxide ¢o§eªืoé e¾Åi§æµ‹Åaª¹i´

คามาตรฐาน ≤ 690 543.2


600
Carbon Monoxide (ppm)

409.2
500 384.9
400
300 182.5
200
100
0
ไดรับการตากกอนนํามาใช
ที่นํามาใชงานเลย
กะลาปาลมผสมเศษพริก
กะลาปาลม

เชิ้อเพลิงอั ดแทง

เชิ้อเพลิงอั ดแทง

¤‹Ò Carbon Monoxide ¢o§eªืoé e¾Åi§æµ‹Åaª¹i´

18
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

12 12
คามาตรฐาน ≤ 10
คาความทึ บแสง (รอยละ) 12 10

10 8

8
6
4
2
0

ไดรับการตากกอนนํามาใช
ที่นํามาใชงานเลย
กะลาปาลมผสมเศษพริก
กะลาปาลม

เชิ้อเพลิงอั ดแทง

เชิ้อเพลิงอั ดแทง
¤‹Ò¤ÇÒÁ·ึºæʧ¢o§eªืoé e¾Åi§æµ‹Åaª¹i´

´ŒÒ¹eÈÃÉ°ÈÒʵÏ

วิธีการนําของเสียที่เดิมโรงงานใชวิธีการสงไปกําจัดมาผลิตเปนเชื้อเพลิงอัดแทง
มาใชเปนเชื้อเพลิงทดแทนเชื้อเพลิงชนิดเดิมที่โรงงานใชงานอยู นอกจากจะทําให
โรงงานสามารถลดคาใชจายในการสงของเสียไปกําจัดแลว ยังชวยลดคาใชจายดาน
เชื้อเพลิงที่โรงงานตองซื้อจากแหลงภายนอกดวย ซึ่งคาใชจายที่ประหยัดไดมีมูลคาสูง
กว า ต น ทุ น ที่ เ กิ ด จากการนํ า ของเสี ย ไปผลิ ต เป น เชื้ อ เพลิ ง อั ด แท ง ค อ นข า งมาก
วิธีการใชประโยชนจากของเสียในรูปแบบที่นํามาผลิตเชื้อเพลิงอัดแทงจึงมีความ
เหมาะสมทางเศรษฐศาสตร 
ดังกรณีตัวอยางการนําเศษพริก กระเทียม และเถาจากการเผาไหมกะลาปาลม
มาผลิตเชื้อเพลิงอัดแทงเพื่อใชทดแทนกะลาปาลมซึ่งเปนเชื้อเพลิงเดิมที่โรงงานใชงานอยู
โดยสามารถทดแทนปริ ม าณกะลาปาล ม ที่ ใ ช เ ป น เชื้ อ เพลิ ง เดิ ม ได ใ นอั ต รา 4.5%
19
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

เนื่องจากของเสียที่สามารถนํามาเปนวัตถุดิบผลิตเชื้อเพลิงอัดแทงมีปริมาณจํากัด
เปนผลใหโรงงานนํารองสามารถผลิตเชื้อเพลิงอัดแทงจากของเสียไดเพียง 10 ตัน/เดือน
โดยตนทุนการดําเนินงานผลิตเชื้อเพลิงอัดแทงในชวงระยะเวลา 2 ปตามอายุ
การใช ง านของเครื่ อ งอั ด แท ง เชื้ อ เพลิ ง ซึ่ ง ประกอบด ว ยค า เครื่ อ งจั ก รอั ด แท ง
คาแปงมันที่ใชเปนตัวประสาน คาไฟฟา และคาจางแรงงาน เปรียบเทียบกับคาใชจาย
ที่ประหยัดได ดังนี้
ตนทุนการผลิตเชื้อเพลิงอัดแทงจากของเสีย 3.0 บาท/กก.เชื้อเพลิงอัดแทง
รายจายที่ประหยัดไดจากการจัดหาเชื้อเพลิงเดิมและ
3.3 บาท/กก.เชื้อเพลิงอัดแทง
การสงของเสียไปกําจัด (อัตรา 1,000 บาท/ตันของเสีย)
ระยะเวลาคืนทุน ประมาณ 11 เดือน

¡ÒüÅiµ»u‰ oi¹·ÃÕ¨ Ò¡¢o§eÊÕÂ


ปุยอินทรีย (Organic Fertilizer) คือ ปุยที่ไดจากอินทรียสารซึ่งผลิตขึ้นโดย
กรรมวิธีตางๆ และจะเปนประโยชนตอพืชก็ตองผานขบวนการเปลี่ยนแปลงตาง ๆ
ทางชีวภาพเสียกอน ซึ่งกรรมวิธีหนึ่งที่นิยมใชในการผลิตปุยอินทรีย คือ การหมัก
โดยผลผลิตที่ไดเรียกวา ปุยหมัก การนําของเสียอินทรียจากครัวเรือนและโรงงาน
อุตสาหกรรมไปผลิตเปนปุยอินทรีย เปนอีกทางเลือกหนึ่งของการจัดการของเสีย
อย า งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพและไม ส ง ผลกระทบต อ สิ่ ง แวดล อ ม ซึ่ ง หน ว ยงานด า น
สิ่งแวดลอมไดสงเสริมใหมีการดําเนินงานในหลายๆ พื้นที่ โดยผานกลุมเกษตรกร
หรือองคกรปกครองสวนทองถิ่นของแตละพื้นที่  
อยางไรก็ตาม ที่ผานมาของเสียอินทรียจากโรงงานอุตสาหกรรมไดถูกนําไปใช
เพื่อการผลิตปุยอินทรียนอยมาก สาเหตุสวนหนึ่งคาดวาเกิดจากขีดความสามารถ

20
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

ที่ จํ า กั ด ของกลุ ม เกษตรกรหรื อ หน ว ยงานท อ งถิ่ น เนื่ อ งจากใช ร ะยะเวลาใน


การหมั ก นาน ทํ า ให ก ารหมั ก ปุ ย ในปริ ม าณมากจํ า เป น ต อ งใช พื้ น ที่ แ ละบุ ค ลากร
จํ า นวนมาก อี ก ทั้ ง หากไม มี ก ารควบคุ ม สภาวะของการหมั ก ให เ หมาะสม ซึ่ ง จะ
กอใหเกิดปญหากลิ่นเหม็นและคุณภาพของปุยหมักที่ผลิตไดไมดีพอ ขณะเดียวกัน
การสงเสริมใหโรงงานผูกอกําเนิดของเสียเปนผูนําของเสียไปใชประโยชนในรูปแบบนี้
มีความเปนไปไดนอย โดยเฉพาะหากเปนโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหาร  
ดังนั้น การสงเสริมใหโรงงานที่ผลิตปุยอินทรียอยูแลวนําเอาของเสียอินทรีย
จากโรงงานอุ ต สาหกรรมต า งๆ ไปใช เ ป น วั ต ถุ ดิ บ ให ไ ด ใ นปริ ม าณมากขึ้ น และ
หลากหลายชนิด โดยปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดระยะเวลาการหมัก จึงเปน
แนวทางที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงในการสงเสริมใหมีการนําของเสียไปใช
ประโยชนในระดับอุตสาหกรรม  
 

Ãٻ溺¡ÒùíÒ¢o§eÊÕ¨ҡoç§Ò¹ouµÊÒË¡ÃÃÁÁÒ¼Åiµ»u‰ oi¹·ÃՏ
เปนการนําของเสียอินทรีย จําพวกกากตะกอนจากระบบบําบัดน้ําเสียแบบชีวภาพ
และเศษพื ช ผั ก ผลไม ที่ ไ ม เ หมาะสม
สําหรับการบริโภคหรือแปรรูป รวมถึง
ของเสียชนิดอื่นๆ ที่นํามาผลิตปุยโดย
ผานกระบวนการหมักในโรงงานนํารอง
ซึ่ ง เป น ผู ผ ลิ ต ปุ ย อิ น ทรี ย จ ากของเสี ย
ของโรงงานอุตสาหกรรมอยูแลว โดย
การใชประโยชนกากของเสียอาจอยูใน
รู ป ของวั ส ดุ ตั้ ง ต น หรื อ วั ส ดุ ป รั บ ปรุ ง
คุณภาพปุยอินทรียที่ได
21
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¡ÃÃÁÇi¸¡Õ ÒüÅiµ»u‰ oi¹·ÃÕ¨ Ò¡¢o§eÊÕ·մè Òí e¹i¹¡ÒÃã¹oç§Ò¹¹íÒËo§

¡ÒÃËÒoaµÃÒʋǹ¼ÊÁ·Õeè ËÁÒaÊÁ㹡ÒüÅiµ»u‰ oi¹·ÃՏ

เปนการวิเคราะหศักยภาพของของเสียประเภทตางๆ ในการใชเปนวัตถุดิบ
ผลิตปุยอินทรียที่สําคัญ คือ ปริมาณธาตุอาหารหลักของพืช และปริมาณอินทรียวัตถุ
จากนั้นจึงคัดเลือกชนิดของเสีย และทดลองหาอัตราสวนผสมที่เหมาะสมสําหรับ
การผลิตปุยอินทรีย ทั้งนี้ ผลการดําเนินงานไดคัดเลือกของเสีย 4 ชนิดเปนวัสดุตั้งตน
ในการผลิตปุยอินทรียและใชกากปูนขาวจากโรงงานผลิตเยื่อกระดาษในการปรับคา
pH ของปุย 
»ÃiÁÒ³oi¹·ÃÕÂÇaµ¶u % ¸ÒµuoÒËÒÃ
ª¹i´¢o§eÊÕÂ
(%) ä¹oµÃe¨¹ ¿oÊ¿oÃaÊ2 o¾æ·Êe«ÕÂÁ2
กากตะกอนผงชูรส 63.2 7.3 0.45 1.6
กากตะกอนน้ําตาล 24.1 1.0 1.7 1.0
กากตะกอนจาก
42.8 3.5 3.2 0.7
ระบบบําบัดน้าํ เสีย
เศษผลไมที่ไมสามารถ
76.3 1.0 0.2 0.4
แปรรูปตอไป
กากปูนขาว 0.3 0.4 1.4 0.1
เกณฑมาตรฐานปุยหมัก1 ≥20 ≥1 ≥0.5 ≥0.5
1
เป น เกณฑ ม าตรฐาน Q สํ า หรั บปุ ย หมัก ของกรมพัฒ นาที่ ดิน และมาตรฐานปุย อิ น ทรี ย
ตามพระราชบัญญัติปุย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2550
2
%ฟอสฟอรัส วิเคราะหในรูป P2O5 สวน %โพแทสเซียม วิเคราะหในรูป K2O 
 

22
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

สําหรับอัตราสวนผสมของวัสดุตั้งตนที่นํามาหมักทําปุย ประกอบดวย 4 สูตร ดังนี้ 


 

เศษผลไม : กากตะกอนระบบบําบัดน้ําเสีย 1:4


เศษผลไม : กากตะกอนน้ําตาล 1:4
เศษผลไม : กากตะกอนผงชูรส* 4:1
เศษผลไม : กากตะกอนระบบบําบัดน้ําเสีย : 2 : 3.5 : 3.5 : 1
กากตะกอนน้ําตาล : กากตะกอนผงชูรส*
* ใชกากปูนขาวในการปรับ pH 
 
¡ÒüÅiµ»u‰ oi¹·ÃՏ

การผลิตปุยอินทรียจากของเสียโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีอัตราสวนผสมใน
แตละสูตรที่กลาวแลว ไดใชวิธีการหมักที่เติมเชื้อจุลินทรียเรงการยอยสลายเพื่อลด
ระยะเวลาการหมัก และในระหวา งการหมัก มี ก ารควบคุ ม อุ ณ หภู มิ แ ละความชื้ น
ตลอดเวลา รวมถึงมีการเติมกาซออกซิเจนใหแกกองปุยโดยการกลับกองปุย เพื่อให
สภาวะแวดลอมเหมาะแกการยอยสลายของจุลินทรีย ซึ่งจะทําใหปฏิกิริยาการหมัก
เปนไปอยางมีประสิทธิภาพ 
 
 
 
 
 
 
 

23
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ
 

š ผสมวัสดุตั้งตนเขาดวยกัน
™ ชั่งสวนผสมที่เปนวัสดุตั้งตน
› ผสมหัวเชื้อจุลินทรียเขากับน้ําสะอาด และนําน้ําที่ผสม
ตามอัตราที่กําหนด
เชื้อจุลินทรียไปรดบนกองวัสดุตั้งตนใหทั่วแลวคลุกเคลา
น้ําผสมจุลินทรียกับวัสดุตั้งตนใหเขากัน
Ÿ ปนเปนเม็ดแลว

ž หมักตอเนื่องจนเนื้อปุยรวนซุยขึ้น วัสดุตั้งตน  ตรวจสอบอุณ หภูมิแ ละความชื้น ในกองปุยวั น เว นวัน โดย


เป นเนื้ อ เดี ย วกั บ ปุ ย สี ข องปุ ย ดํ า เข ม และ œ นํา วัสดุตั้งตนที่คลุก เคา กับน้ําผสมจุลินทรีย
อุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมควรอยูระหวาง 45-65 oC
กองปุ ยไม มี ก ลิ่ น เหม็ น ซึ่ ง ใช เ วลาประมาณ ดีแลว ตั้งกองปุยที่มีความสูงประมาณ 1 เมตร
และ 50-60% ถาอุณหภูมิสูงกวา 65 oC ใหพลิกกลับกองปุย
36 วัน จึงสิ้นสุดกระบวนการหมักปุย  และความกวางประมาณ 2 เมตร แลวใชผาใบ
แตถาความชื้นนอยกวา 50% ใหรดน้ําเพื่อเพิ่มความชืน้
พลาสติกคลุม
 

24
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¤ÇÒÁeËÁÒaÊÁ¢o§Çi¸¡Õ ÒüÅiµ»u‰ oi¹·ÃÕ¨ Ò¡¢o§eÊÕÂ

´ŒÒ¹e·¤¹i¤æÅaÊi§è æǴŌoÁ
ปุยอินทรียที่ผลิตไดและสามารถนําไปใชไดจริงเนื่องจากมีคุณสมบัติตาม
เกณฑมาตรฐานปุยที่เกี่ยวของ มี 3 สูตร คือ
สูตรที่ 1 เศษผลไม : กากตะกอนระบบบําบัดน้ําเสีย 1:4
สูตรที่ 2 เศษผลไม : กากตะกอนน้ําตาล 1:4
สูตรที่ 4 เศษผลไม : กากตะกอนระบบบําบัดน้ําเสีย : 2 : 3.5 : 3.5 : 1
กากตะกอนน้ําตาล : กากตะกอนผงชูรส*
* ใชกากปูนขาวในการปรับ pH 

o´ÂÊÃu»¢Œo´Õ¢o§¡ÒùíÒ¢o§eÊÕÂÁÒ㪌»Ãaoª¹o´Â¡ÒüÅiµ»u‰ oi¹·ÃՏ ÁÕ´a§¹Õé


{ ของเสียที่เปนอินทรียสารเกือบทุกชนิดสามารถนํามาผลิตปุยอินทรียได
ไมมีข อจํา กัด ด า นลั ก ษณะสมบั ติม ากนั ก เนื่ อ งจากสามารถเพิ่ ม ธาตุอ าหารตา งๆ
ในระหวางการหมักเพื่อใหปุยที่ผลิตไดมีคุณภาพและธาตุอาหารครบตามสูตรได
| อัตราการผลิตปุยอินทรียสามารถปรับใหเหมาะสมกับปริมาณของเสีย
ที่เกิดจากแตละโรงงาน เนื่องจากไมมีการใชเครื่องจักร ใชเพียงพื้นที่กองปุยเทานั้น
จึงไมมีความจําเปนตองเก็บของเสียเหลานี้ไวเปนเวลานานซึ่งเสี่ยงตอการเนาเสียไดงาย
} กรรมวิธีการผลิตไมยุงยากมากนัก
~ ชวยลดตนทุนการกําจัดของเสียของโรงงานผูกอกําเนิด และลดตนทุน
ดานคาใชจายวัตถุดิบใหแกโรงงานผูผลิต
 ผลิตภัณฑปุยอินทรียที่ไดสงผลดีตอคุณภาพสิ่งแวดลอม
25
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

2.0
1.8
1.6
1.4
1.2
สูตรที่ 1
1.0
สูตรที่ 2
0.8
สูตรที่ 4
0.6
0.4
0.2
0.0
% N % P2O5 % K2O

¡ÒÃe»ÃÕºe·Õº¤‹Ò¸ÒµuoÒËÒÃÃÇÁ (ä¹oµÃe¨¹ ¿oÊ¿oÃaÊ æÅao¾æ·Êe«ÕÂÁ)


¢o§»u‰ oi¹·ÃՏ·§aé 3 ÊÙµÃ
 
40 160
OM GI
35 140
การยอยสลายที่สมบูรณ (%)
ปริมาณสารอินทรีย วัตถุ (%)

30 120

25 100

20 80

15 60

10 40

5 20

0 0
สูตรที่ 1 สูตรที่ 2 สูตรที่ 4
 
e»ÃÕºe·Õº»ÃiÁÒ³ÊÒÃoi¹·ÃÕÂÇaµ¶u æÅa¡ÒËoÂÊÅÒÂÊÁºÙó¢o§»u‰ oi¹·ÃՏ·§aé 3 ÊÙµÃ

26
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

´ŒÒ¹eÈÃÉ°ÈÒʵÏ
วิธีการนําของเสียจากโรงงานหนึ่งไปเปนวัตถุดิบสําหรับการผลิตปุย นอกจาก
จะทําใหโรงงานผูกอกําเนิดของเสียสามารถลดคาใชจายในการสงของเสียไปกําจัดแลว
ปุยอินทรียที่ผลิตไดยังสามารถจําหนายไดในราคาสูงกวาตนทุนการผลิตคอนขางมาก
วิธีการใชประโยชนจากของเสียในรูปแบบที่นํามาผลิตปุยอินทรียจึงมีความเหมาะสม
ทางเศรษฐศาสตร 
ดังกรณีตัวอยางการนําเศษผลไม และกากตะกอนจากระบบบําบัดน้ําเสีย
แบบชีวภาพมาผลิตปุยอินทรียมีตนทุนการดําเนินงานในชวงระยะเวลา 5 ปตามอายุ
การใชงานของเครื่องจักรที่ใชในการผลิต ซึ่งประกอบดวย คาเครื่องปนเม็ด คาเครื่อง
คั ด ขนาดเม็ ด ปุ ย ค า เครื่ อ งอบเม็ ด ปุ ย ค า แรงงาน และค า เชื้ อ เพลิ ง ที่ ใ ช อ บแห ง
เปรียบเทียบกับคาใชจายที่ประหยัดได มีดังนี้
ตนทุนการผลิตปุยอินทรียจากของเสีย 2.5 บาท/กก.ปุย
รายไดจากการจําหนายปุยอินทรีย 6.0 บาท/กก.ปุย

¡ÒÃÃÕä«e¤iŹéíÒÁa¹ËŋoeÂç¹ãªŒæŌÇËÃืo¹éÒí eÊÕ»¹e»„oœ ¹¹éÒí Áa¹


น้ํามันหลอเย็นหรือน้ํามันตัดกลึงโลหะ หรือ Metalworking Fluid (MWF) เปน
น้ํามันหลอลื่นประเภทหนึ่งที่มีการใชงานในอุตสาหกรรม เนื่องจากในงานตัดกลึงโลหะ
มักใชใบมีดในการเจาะ เซาะ เฉือนเนื้อโลหะ หรือใชหินขัดในการเจียรเพื่อใหชิ้นงาน
นั้นไดรูปรางหรือขนาดตามที่ตองการ ซึ่งในขณะเจาะ เซาะ เฉือน หรือเจียรโลหะ
จะเกิ ด ความร อ นสู ง มาก ดั ง นั้ น สํ า หรั บ งานตั ด กลึ ง โลหะทุ ก ประเภทจึ ง มี ค วาม
จําเปนตองใชน้ํามันหลอเย็นเพื่อทําหนาที่ระบายความรอน ลดแรงเสียดทาน ชะลาง
เศษโลหะและปองกันสนิม
27
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

ÀÒ¾æÊ´§¹éÒí Áa¹µa´¡Åึ§oÅËaæÅa¹éÒí Áa¹ËŋoeÂç¹·Õãè ªŒã¹ouµÊÒË¡ÃÃÁ

ทั้งนี้ ในการใชงานน้ํามันหลอเย็นจะตองนําน้ํามันหลอเย็นมาผสมน้ําใชในอัตรา
สวนผสมแตกตางกันไปตามคุณสมบัติของน้ํามันหลอเย็นหรือตามความตองการใชงาน
ซึ่งโดยปกติจะผสมใชงานอยูในชวง 2% ถึง 15% ในน้ํา ทําใหน้ํามันหลอเย็นที่ใชงาน
แลวมีน้ํามันปนเปอนอยูนอยกวาน้ํามันหลอลื่นชนิดอื่นๆ ในบางครั้งจึงเรียกวาน้ําเสีย
ปนเป อนน้ํ ามั น ซึ่ งวิ ธี การรี ไซเคิ ลน้ํ ามั นหล อลื่ นใช แล วด วยการกรองที่ ปฏิ บั ติ กั น
ในปจจุบันไมสามารถใชการได ที่ผานมาจึงใชวิธีการสงน้ําเสียปนเปอนน้ํามันไปกําจัด
โดยวิธีการเผาในเตาเผาซึ่งมีคาใชจายสูง จึงมีการลักลอบนําของเสียชนิดนี้ไปทิ้งหรือ
ไปกําจัดอยางไมเหมาะสมในแตละปในปริมาณมาก
 
Ãٻ溺¡ÒÃÃÕä«e¤iŹéÒí Áa¹ËŋoeÂç¹ãªŒæŌÇËÃืo¹éÒí eÊÕ»¹e»„oœ ¹¹éÒí Áa¹
วิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการแยกน้ํามันออกจากน้ํามันหลอเย็นหรื อ
น้ํา เสี ย ที่ มีน้ํ ามันปนเป อ นไม ม ากนัก และมีก ารใชง านแลว ในปจ จุบัน คือ การใช
สารเคมีเพื่อแยกขั้วโมเลกุลของน้ําที่จับกับน้ํามัน จากนั้นจึงแยกน้ํามันออกมาโดย
ใชหลักความหนาแนนที่แตกตางกันระหวางน้ํากับน้ํามัน 
 
 

28
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¡ÃÃÁÇi¸¡Õ ÒÃÃÕä«e¤iŹéÒí Áa¹ËŋoeÂç¹ãªŒæŌÇËÃืo¹éÒí eÊÕ»¹e»„oœ ¹¹éÒí Áa¹


o´Â¡ÒÃ㪌ÊÒÃe¤ÁÕæ¡¢aÇé oÁeÅ¡uÅ¢o§¹éÒí ¡aº¹éÒí Áa¹

¡ÒõÃǨÊoºÅa¡É³aÊÁºaµ¢i o§¹éÒí Áa¹ËŋoeÂç¹ãªŒæŌÇ


ËÃืo¹éÒí eÊÕ»¹e»„oœ ¹¹éÒí Áa¹Ç‹ÒÊÒÁÒö´íÒe¹i¹¡ÒÃÃÕä«e¤iÅ
䴌ËÃืoäÁ‹

… เปนการวิเคราะหคา specific gravity ของน้ํามันหลอเย็นใชแลวหรือ


น้ําเสียปนเปอนน้ํามัน เพื่อประเมินปริมาณน้ํามันที่ปนเปอนวาอยูในระดับที่สามารถ
แยกออกจากน้ําและมีความคุมทุนในการดําเนินการหรือไม เนื่องจากหากมีน้ํามัน
ปนเปอนอยูนอยกวา 10% จะตองใชสารเคมีและเวลามากในการแยกน้ํามันออกจากน้ํา
อีกทั้งปริมาณน้ํามันที่แยกไดจะมีปริมาณนอยไมคุมทุนในการนํามารีไซเคิล
† เปนการวิเคราะหตอไปวาน้ํามันหลอเย็นใชแลวหรือน้ําเสียปนเปอนน้ํามัน
ซึ่งมีสัดสวนของน้ํามันปนเปอนไมนอยกวา 10% นั้น สามารถแยกน้ํามันออกมาได
หรือไม โดยการทดลองเติมสารเคมีในกลุม Emulsifier breaker เชน กรด ดาง
หรือสารเคมีกลุมนี้ที่มีชื่อการคาตางๆ ลงในตัวอยางของน้ํามันหลอเย็นใชแลวหรือ
น้ําเสียปนเปอนน้ํามัน เพื่อหาวาตองใชสารเคมีชนิดใดบางในการแยกน้ํามันออก
จากน้ํา และมีปริมาณการใชสารเคมีแตละชนิดเทาใด รวมถึงระยะเวลาที่ตองใช
เพื่อใหเกิดการแยกชั้นระหวางน้ํามันกับน้ําดวย
‡ เมื่อตัวอยางของน้ํามันหลอเย็นหรือน้ําเสียปนเปอนน้ํามันที่นํามาทดสอบ
การแยกน้ําเกิดการแยกชั้นระหวางน้ํามันกับน้ําแลว จะทําการวิเคราะหลักษณะสมบัติ
ของน้ําที่แยกไดในดานการปนเปอนน้ํามันและสารที่เปนอันตราย ซึ่งมีผลตอความ
เปนไปไดในการบําบัดน้ําเสียดวยวิธีการตางๆ ซึ่งเปนตนทุนสวนหนึ่งของการรีไซเคิล
ดวยวิธีนี้
29
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ
 

¡ÒÃ桹éÒí Áa¹oo¡¨Ò¡¹éÒí
 
 

น้ํามันหลอเย็นใชแลวหรือน้ําเสียปนเปอนน้ํามันที่ตัวอยางผานการทดสอบ
ลักษณะสมบัติในดานตางๆ ในขั้นตอนที่ 1 แลว จะถูกนํามาสูกระบวนการแยกน้ํามัน
ออกจากน้ําทั้งหมด โดยมีขั้นตอนดังนี้
… กรองผานผากรองที่มีความละเอียดขนาด 2 ไมครอน เพื่อแยกน้ํามัน
ปนเปอนน้ําออกจากสิ่งปนเปอนตางๆ เชน เศษโลหะ เศษฝุน และตะกอนตางๆ
† เติม Emulsifier Breaker ซึ่งเปนสารเคมีสําหรับไปตัดขั้วของตัว
Emulsifier ที่ยึดโมเลกุลของน้ํากับน้ํามันไว ทําใหโมเลกุลของน้ํามันแยกออกจาก
โมเลกุลของน้ํา และสิ่งปนเปอนตางๆ แลวเกิดเปนคอลลอยดเล็กๆ
‡ เติม Coagulant และ Flocculation เพื่อทําใหคอลลอยดที่แตกตัว
รวมกั น เป น ตะกอนใหญ ข้ึ น และเกิ ด การตกตะกอน โดยเกิ ด เป น ชั้ น ของน้ํ า มั น
อยูดานบนและชั้นของน้ําที่มีสิ่งสกปรกรวมถึงสารเคมีตางๆ ปนเปอนอยูดานลาง
ˆ แยกน้ํามันออกจากน้ํา และนําไปปรับปรุงคุณภาพเพื่อใชงานอื่นๆ ตอไป
สวนน้ําที่แยกน้ํามันออกไปแลว ถือเปนน้ําเสียที่ตองบําบัดตอไป ซึ่งน้ําเสียนี้จะมี
สัดสวนของน้ํามันเหลืออยูนอยมากแลว จึงสามารถที่จะบําบัดดวยวิธีชีวภาพหรือ
วิ ธี อื่ น ๆ แทนการส ง ไปกํ า จั ด โดยวิ ธี เ ผาในเตาเผาที่ เ ดิ ม ก อ นมี ก ารรี ไ ซเคิ ล นั้ น
เปนเพียงวิธีเดียวที่ใชในการกําจัดน้ํามันหลอเย็นหรือน้ําเสียปนเปอนน้ํามัน

30
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

H 2O H 2O
H 2O H 2O H 2O H 2O
H 2O H 2O H 2O H 2O
H 2O H 2O

H 2O
Oil H 2O Oil Oil H 2O Oil
H 2O H 2O H 2O
H 2O
H 2O
H 2O H 2O H 2O H 2O
H 2O H 2O
H 2O
H 2O H 2O
H 2O H 2O H 2O
H 2O
H 2O
H 2O
Oil H 2O Oil H 2O
H 2O
H 2O H 2O H 2O
H 2O H 2O H 2O

   

eÁืèoeµiÁ Emulsifier Breaker

H 2O H 2O
H 2O H 2O
H 2O
Oil Oil Oil
Oil Oil H 2O
H 2O
H 2O H 2O H 2O H 2O H 2O
H 2O
H 2O H 2O
Oil H 2O H 2O H 2O H 2O H 2O
H 2O
H 2O H 2O
H 2O H 2O H 2O H 2O
H 2O

eÁืèoeµiÁ Coagulant æÅa Flocculation

 
 

31
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

 
¤ÇÒÁeËÁÒaÊÁ¢o§Çi¸¡Õ ÒÃÃÕä«e¤iŹéÒí Áa¹ËŋoeÂç¹ãªŒæŌÇËÃืo¹éÒí eÊÕÂ
»¹e»„oœ ¹¹éÒí Áa¹o´Â¡ÒÃ㪌ÊÒÃe¤ÁÕæ¡¢aÇé oÁeÅ¡uÅ¢o§¹éÒí ¡aº¹éÒí Áa¹
 
 

´ŒÒ¹e·¤¹i¤æÅaÊi§è æǴŌoÁ
 

… วิธีการที่ใชรีไซเคิลไมซับซอนหรือไมใชเทคโนโลยีขั้นสูง อีกทั้งไมตองใช
เครื่องจักรที่มีมูลคาสูง และมูลคาลงทุนไมสูง ผูที่เกี่ยวของกับของเสียชนิดนี้ทั้ง
ผูก อกํ า เนิ ด หรื อ ผูรั บ บํ า บั ด ของเสีย จึ ง มี ศัก ยภาพที่จ ะดํ า เนิ น การได โ ดยปรับ ให
เหมาะสมกับปริมาณของเสียที่ตองการรีไซเคิล
† หลังการแยกน้ํามันออกจากน้ําแลว ในน้ําจะมีน้ํามันหลงเหลือในปริมาณ
นอยมาก จึงมีทางเลือกในการบําบัด/กําจัดมากขึ้น เชน อาจใชวิธีบําบัดทางชีวภาพ
หรืออาจกําจัดโดยวิธีเผาในเตาเผา
‡ สามารถลดปริมาณของเสียที่คาดวาในแตละปจะถูกนําไปกําจัดโดยวิธี
ที่ไมเหมาะสม ซึ่งกอใหเกิดผลกระทบตอสิ่งแวดลอม
ˆ เปนการใชทรัพยากรธรรมชาติอยางมีประสิทธิภาพ เนื่องจากน้ํามัน
ที่แยกออกมาไดสามารถนําไปปรับคุณภาพและแปรรูปเปนผลิตภัณฑน้ํามันชนิดตางๆ
หรือใชเปนเชื้อเพลิงในเตาอุตสาหกรรมทดแทนน้ํามันเตาก็ได ขณะเดียวกันก็ชวยลด
ตนทุนการกําจัดของเสียของโรงงานผูกอกําเนิด  
 
 
 
 
 
32
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

 
´ŒÒ¹eÈÃÉ°ÈÒʵÏ

การแยกน้ํามันออกจากน้ํามันหลอเย็นใชแลวหรือน้ําเสียปนเปอนน้ํามันดวย
วิธีนี้ มีประสิทธิภาพประมาณ 70-75% หรือน้ํามันหลอเย็นใชแลว 1 ลูกบาศกเมตร
จะสามารถแยกน้ํามันออกมาไดประมาณ 110 ลิตร โดยมีตนทุนการดําเนินการและ
รายไดดังนี้
คาดําเนินการรีไซเคิลรวมคาบําบัดน้ําเสียดวยวิธีชีวภาพ 400 บาท/ลบ.ม.น้ํามันหลอเย็นใชแลว
รายไดจากการจําหนายน้ํามันที่รีไซเคิลได  825 บาท/ลบ.ม.น้ํามันหลอเย็นใชแลว
 
ดังนั้น การรีไซเคิลน้ํามันหลอเย็นใชแลวหรือน้ําเสียปนเปอนน้ํามันดวยวิธีการนี้
จึงมีความเหมาะสมและคุมทุนทางเศรษฐศาสตรในกรณีที่มีการดําเนินงานในระดับ
อุตสาหกรรมดวย
 
¡ÒÃÃÕä«e¤iÅÊÒÃÅaÅÒ¡ô㪌§Ò¹æŌÇ

กรดและดางเปนสารเคมีพื้นฐานที่มีการใชงานกันมากในโรงงานอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะโรงงานผลิตเหล็ก โรงงานชุบโลหะ ซึ่งใชกรดไฮโดรคลอริกหรือกรดเกลือ
ในกระบวนการลางสนิมเหล็กในปริมาณมาก ซึ่งหากมีการจัดการที่ไมถูกตองหรือ
ไมเหมาะสมก็จะทําใหเกิดผลกระทบตอสิ่งแวดลอมมากเชนกัน อยางไรก็ตาม กรด
หรือดางที่ผานการใชงานแลวจากโรงงานอุตสาหกรรมเหลานี้ยังมีศักยภาพที่จะนํา
กลับมาใชประโยชนใหมไดอีก  
 

33
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

แต ใ นป จ จุ บั น ยั ง มี ก ารนํ า สารละลายกรดหรื อ ด า งที่ ใ ช ง านแล ว กลั บ มาใช


ประโยชนใหมไมมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณของเสียชนิดนี้ที่คาดวาจะเกิดขึ้น
ในแตละป เนื่องจากวิธีการรีไซเคิลในปจจุบันสวนใหญเปนการนํากรดหรือดางมาผาน
กระบวนการฟนฟูสภาพเพื่อนํากลับมาใชใหม (Acid/Base Regeneration) ในขณะที่
หลังผานการใชงานแลวกรดหรือดางเหลานั้น นอกจากจะมีคาความเปนกรดหรือดาง
น อ ยลงมากแล ว ยั ง ถู ก ปนเป อ นด ว ยโลหะชนิ ด ต า งๆ อี ก ด ว ย ซึ่ ง การนํ า มาผ า น
กระบวนการฟนฟูสภาพก็ยังไมอาจทําใหกรดนั้นกลับมาสามารถใชงานไดอีก  

Ãٻ溺¡ÒÃÃÕä«e¤iÅÊÒÃÅaÅÒ¡ô㪌æŌÇo´Â¡ÒÃ㪌e»š¹ÊÒÃe¤ÁÕµ§aé µŒ¹
e¾ืoè ¼ÅiµÊÒÃe¤ÁÕª¹i´ãËÁ‹
 
นอกจากวิธีการรีไซเคิลกรดหรือดางโดยการนํามาผานกระบวนการฟนฟูสภาพ
เพื่อนํากลับมาใชใหม (Acid/Base Regeneration) แลว ยังมีอีกวิธีการหนึ่งในการ
นําสารละลายกรดหรือดางที่ใชแลวกลับมาใชประโยชนใหม นั่นคือ การใชเปนสารตั้ง
ตนสําหรับการผลิตสารเคมีชนิดใหม ดังเชน การผลิตสารละลายเฟอรริกคลอไรด
หรือเฟอรรัสซัลเฟต ซึ่งใชเปนสารเคมีในการตกตะกอนในระบบบําบัดน้ําเสียจาก
สารละลายกรดใชแลว  

µaÇo‹ҧ»¯i¡Ãi Âi Ò·Õeè ¡i´¢ึ¹é eÁืoè 㪌¡Ã´äÎo´Ã¤ÅoÃi¡¡íÒ¨a´Ê¹iÁ

ความเขมขนของกรดเจือจางประมาณ 1-3% เฟอรรัสคลอไรด (FeCl2) ประมาณ 25-28%


มีผงเหล็กปนเปอนประมาณ 10-15% น้ํา สัดสวนขึ้นอยูกับลักษณะการใชงาน
 

34
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¡ÃÃÁÇi¸Õ¡ÒÃÃÕä«e¤iÅÊÒÃÅaÅÒ¡ô㪌æŌÇo´Â¡ÒÃ㪌e»š¹ÊÒÃe¤ÁÕµa駵Œ¹
e¾ืoè ¼ÅiµÊÒÃe¤ÁÕª¹i´ãËÁ‹ ¡Ã³Õ¼Åiµe¿oÏái ¤Åoäôe¾ืoè 㪌ã¹ÃaºººíÒºa´¹éÒí eÊÕÂ

¡ÒõÃǨÊoºÅa¡É³aÊÁºaµ¢i o§ÊÒÃÅaÅÒ¡ôËÃืo´‹Ò§ãªŒæŌÇ
NjÒÊÒÁÒö´íÒe¹i¹¡ÒÃÃÕä«e¤iÅ䴌ËÃืoäÁ‹

สารละลายกรดใช แ ล ว ที่ ส ามารถนํ า มาใช เ ป น สารเคมี ตั้ ง ต น สํ า หรั บ ผลิ ต


เฟอร ริ ก คลอไรด ห รื อ เฟอร รั ส ซั ล เฟต คื อ สารละลายกรดไฮโดรคลอริ ก หรื อ
สารละลายกรดซัลฟูริกจากกระบวนการลางสนิมเหล็กของโรงงานผลิตเหล็ก โรงงาน
ชุบโลหะ โดยในกรณีของสารละลายกรดไฮโดรคลอริกใชแลวจะมีเหล็กปนเปอน
รวมถึงมี FeCl2 ที่เปนสารเคมีตั้งตนซึ่งเมื่อทําปฏิกิริยากับกาซคลอรีนจะเกิดเปน
FeCl3 หรือเฟอรริกคลอไรดนั่นเอง ขณะเดียวกันในสารละลายกรดใชแลวยังมี HCl 
และเหล็กในรูปสนิมเหล็ก (FeO) ซึ่งเปนสารเคมีตั้งตนของปฏิกิริยาผลิต FeCl2
อีกดวย 
ดังนั้น ขั้นตอนแรกของการรีไซเคิลจึงเปนการวิเคราะหคาความเปนกรด และ
ปริมาณเหล็กที่ปนเปอนอยูในสารละลายกรดใชแลว วาจะตองเติมเหล็กหรือกรด
เพื่อใหเกิด FeCl2 เพิ่มเติมอีกหรือไม ซึ่งจะสงผลตอความคุมทุนในการดําเนินการ
โดยทั่วไปสารละลายกรดใชแลวจากกระบวนการลางสนิมเหล็ก จะมีคา pH ไมเกิน 5
และเหล็กไมนอยกวา 250 กรัม/ลิตร   
 
 
 
 
 

35
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¡Ò÷íÒãˌe¡i´»¯i¡Ãi Âi Ò

สารละลายกรดใช แลวที่ ผานการทดสอบลักษณะสมบัติในดานต างๆ จาก


ขั้นตอนที่ 1 แลว จะถูกนํามาทําใหเกิดปฏิกิริยาเพื่อผลิตเฟอรริกคลอไรด โดยมี
ขั้นตอนดังนี้ 
… หากสารละลายกรดใชแลวมีคาความเปนกรดต่ํา และมีปริมาณเหล็กต่ํา
จะตองเติมกรด หรือเหล็กเพื่อใหเกิด FeCl2 มากที่สุด ดังปฏิกิริยา
 

 
FeO + 2HCl → FeCl2 + H2O
 
 
 
 
 
 
  +
 
 
  HCl
 
 
Fe
 
 
 

 
FeCl2

หรือในกรณีสารละลายกรดซัลฟูริกใชแลว อาจมีการเติมเหล็กหรือกรด H2SO4 เพื่อ


ใหเกิดปฏิกิริยา ดังสมการ

Fe + H2SO4 → FeSO4 + H2O


 

36
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

† นํ าสารละลาย FeCl2 ที่ เกิ ดจากปฏิ กิ ริ ยาข างต น เข าไปทํ าปฏิ กิ ริ ยากั บ
คลอรีนเหลว เพื่อเปลี่ยนเหล็กในรูป Fe2+ เปน Fe3+ ดังปฏิกิริยา

 
2 FeCl2 (aq) + Cl2(g) → 2FeCl3 (aq) 
 
 
‡ นําสารละลาย FeCl3 ที่เกิดจากปฏิกิริยาขางตน ไปตมระเหยเพื่อเพิ่มความ
เขมขนของสารละลายเฟอรริกคลอไรด ใหมีคาประมาณ 40% หรือ 46% เพื่อนําไปใช
เปนสารตกตะกอนในระบบบําบัดน้ําเสียตอไป สวนกากตะกอนที่เหลือจากปฏิกิริยานั้น
จะรวบรวมสงไปกําจัดโดยวิธีฝงกลบอยางปลอดภัยตอไป

 
FeCl3 Fe2SO4
 
 
 
 
 
 
37
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¤ÇÒÁeËÁÒaÊÁ¢o§Çi¸Õ¡ÒÃÃÕä«e¤iÅÊÒÃÅaÅÒ¡ô㪌æŌÇ
o´Â¡ÒÃ㪌e»š¹ÊÒÃe¤ÁÕµ§aé µŒ¹e¾ืoè ¼ÅiµÊÒÃe¤ÁÕª¹i´ãËÁ‹

´ŒÒ¹e·¤¹i¤æÅaÊi§è æǴŌoÁ
 
… วิธีการที่ใชรีไซเคิลไมซับซอนหรือไมใชเทคโนโลยีขั้นสูง อีกทั้งเครื่องจักร
ที่ ใ ช ง านไม ซั บ ซ อ นมาก แต ต อ งอาศั ย การควบคุ ม การทํ า ปฏิ กิ ริ ย าเคมี เ พื่ อ ให ไ ด
สารเคมี ที่ เ ป น ผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ มี คุ ณ ภาพตามมาตรฐาน มอก. ดั ง นั้ น การรี ไ ซเคิ ล
สารละลายกรดที่ใ ชงานแลว ในลักษณะที่กลา วขางตน จึงสามารถนํา มาใชใ นเชิ ง
อุตสาหกรรมได
† ของเสียที่เหลือจากกระบวนการรีไซเคิลมีเพียงกากตะกอนที่เหลือจาก
การทําปฏิกิริยา ซึ่งมีปริมาณนอยมากเมื่อเทียบกับปริมาณสารละลายกรดใชแลว และ
กากตะกอนที่เกิดขึ้นก็สามารถใชวิธีกําจัดโดยการฝงกลบอยางปลอดภัยได สวน
ไอระเหยสารเคมีจากบอพัก บอปฏิกิริยา และจากการตมสารละลายเฟอรริกคลอไรด
สามารถบําบัดดวยระบบบําบัดมลพิษอากาศ เชน Wet scrubber เปนตน
‡ สามารถลดปริมาณของเสียที่คาดวาในแตละปจะถูกนําไปกําจัดโดยวิธี
ที่ไมเหมาะสม ซึ่งกอใหเกิดผลกระทบตอสิ่งแวดลอม อีกทั้งโรงงานผูกอกําเนิด
ของเสียชนิดนี้จะเสียคาใชจายในการสงมารีไซเคิลโดยวิธีนี้ต่ํากวาการสงไปกําจัด

38
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

´ŒÒ¹eÈÃÉ°ÈÒʵÏ

สารละลายกรดไฮโดรคลอริกใชแลว 1 ตัน เมื่อนํามาเปนสารเคมีตั้งตนสําหรับ


การผลิตสารเคมีชนิดใหมดังกระบวนการที่กลาวแลว จะไดสารละลายเฟอรริกคลอไรด
เข ม ข น 40% ประมาณ 700 กิ โ ลกรั ม โดยมี ต น ทุ น และรายได จ ากการจํ า หน า ย
สารละลายเฟอรริกคลอไรด ดังนี้ 

คาใชจายในการผลิตสารละลายเฟอรริกคลอไรด 1,780 บาท/ตันสารละลาย


จากสารละลายกรดไฮโดรคลอริกใชแลว  กรดไฮโดรคลอริกใชแลว 
1,960 บาท/ตันสารละลาย
รายไดจากการจําหนายสารละลายเฟอรริกคลอไรด 
กรดไฮโดรคลอริกใชแลว 
 
ดังนั้น การรีไซเคิลสารละลายกรดใชแลวดวยวิธีการนี้ จึงมีความเหมาะสมและ
คุมทุนทางเศรษฐศาสตรในกรณีที่มีการดําเนินงานในระดับอุตสาหกรรมดวย 
 
ËÅa¡e¡³±ã¹¡Òþi¨ÒóÒÅa¡É³aÊÁºaµi¢o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒä»ãªŒ»Ãaoª¹ã¹Ãٻ溺·Õèeʹoæ¹a

¡ÒüÅiµeªืoé e¾Åi§oa´æ·‹§

ประเภทของเสียที่สามารถนํามาใชเปนวัตถุดิบผลิตเชื้อเพลิงอัดแทง อาจเปน
ของแข็งหรือกากตะกอนก็ได และอาจเปนสารอินทรีย เชน เศษพืชผักผลไม หรือ
กากตะกอนจากระบบบํ า บั ด น้ํา เสี ย หรื อ อาจเปน สารอนิน ทรี ย เชน เถา จากการ

39
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

เผาไหมเชื้อเพลิงประเภทกะลาปาลม กะลามะพราว เปนตน แตเพื่อใหเชื้อเพลิง


อัดแทงที่ผลิตไดมีคุณภาพสูง ซึ่งจะตองมีคุณสมบัติหรือองคประกอบดังนี้ 
 

คาความรอน  มากกวา 4,000 แคลลอรี/กรัม


ปริมาณคารบอนคงตัว  สูง 
ปริมาณความชื้น  นอยกวา 20%
ปริมาณสารที่ระเหยได  นอยกวา 20% 
ปริมาณเถา  ต่ํา 
 
ดังนั้น ลักษณะสมบัติของเสียที่ควรพิจารณาในกรณีที่จะนําของเสียชนิดใด
ชนิ ด หนึ่ ง ไปใช เ ป น วั ต ถุ ดิ บ หรื อ ส ว นผสมวั ต ถุ ดิ บ เพื่ อ ผลิ ต เป น เชื้ อ เพลิ ง อั ด แท ง
จึงประกอบดวย 

¤‹Ò¤ÇÒÁÌo¹ (heating value)


คาความรอนของการสันดาปจะขึ้นอยูกับปริมาณคารบอนในเชื้อเพลิง
อัดแทง โดยคาความรอนของเชื้อเพลิงอัดแทงที่ผลิตไดไมควรต่ํากวา 4,000 แคลลอรี/
กรัม  เพราะหากคาความรอนต่ํามากก็ตองใชเชื้อเพลิงในปริมาณมาก ซึ่งจะสงผลให
ปริมาณมลพิษจากการเผาไหมมากขึ้นดวย ดังนั้น ของเสียที่มีศักยภาพในการใชเปน
เชื้ อ เพลิ ง จึ ง ควรมี ป ริ ม าณคาร บ อนคงตั ว และค า ความร อ นสู ง หรื อ ค อ นข า งสู ง
ใกลเคียงคาความรอนของเชื้อเพลิงอัดแทงที่ตองการผลิตดวย
อยางไรก็ตาม ของเสียที่มีคาความรอนนอยกวา 4,000 แคลลอรี/กรัม 
ก็ยังสามารถใชประโยชนไดโดยอาจนําไปเปนวัตถุดิบผสมกับวัสดุที่มีคาความรอนสูง
เชน เศษผลไมที่มีคาความรอนประมาณ 3,100 แคลลอรี/กรัม สามารถนําไปผสมกับ
ถานหินหรือเศษพริกกระเทียม หรือขี้เลื่อยที่มีคาความรอนสูงกวา 4,000 แคลลอรี/กรัม 
40
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ
 

»ÃiÁÒ³¤ÇÒÁªืé¹ (Moisture Content)


คือ ปริมาณความชื้นตอปริมาณของเชื้อเพลิงอัดแทงอบแหง ความชื้น
มีผลทําใหคาความรอนของเชื้อเพลิงอัดแทงลดลง และทําใหเชื้อเพลิงอัดแทงแตกรวน
ไดงาย 
 

»ÃiÁÒ³ÊÒ÷ÕèÃaeËÂ䴌 (Volatile Matters)


คือ สวนของเนื้อเชื้อเพลิงอัดแทงที่ระเหยไดเมื่อถูกความรอนที่อุณหภูมิ
ระดับหนึ่ง ในบางกรณีสารที่ระเหยไดบางชนิดจะกอใหเกิดปญหาตอวัสดุหรืออุปกรณ
ที่นํ า เชื้ อ เพลิ ง อั ด แท ง ไปใช ง าน เชน สารอั ล คาไลน ใ นทะลายปาล ม จะกลายเป น
ยางเหนียวเกาะติดทอน้ําในหองเผาไหมทําใหประสิทธิภาพของหมอน้ําลดลง ของเสีย
จึงควรมีปริมาณสารที่ระเหยไดต่ํา และสารที่ระเหยไดจะตองไมกอใหเกิดปญหากับ
อุปกรณที่นําไปใชงาน
»ÃiÁÒ³e¶ŒÒ (Ash Content)
เถา (Ash) คือ สวนของสารอนินทรียที่เหลือจากการสันดาป ภายใน
เตาเผาที่อุณหภูมิ 750 องศาเซลเซียส เปนเวลา 6 ชั่วโมง ซึ่งประกอบดวยซิลิกา
แคลเซียมออกไซด แมกนีเซียมออกไซด หรือเปนสวนที่เผาไหมไมไดนั่นเอง ดังนั้น
หากของเสียมีขี้เถาปริมาณมาก จะเปนปญหาในการเผาไหมและเพิ่มความยุงยาก
ในการกําจัดเถาที่เกิดขึ้น  
สําหรับชนิดของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่โครงการนี้ไดนํามาใช
เปนวัตถุดิบผลิตเชื้อเพลิงอัดแทงที่มีคุณภาพและสามารถใชงานไดจริง ไดแก เศษผัก
ผลไม เศษพริก กระเทียม และเถากะลาปาลม ซึ่งองคประกอบหรือลักษณะสมบัติ
ที่บงชี้ศักยภาพในการเปนเชื้อเพลิงของของเสียที่กลาวแลว มีดังนี้ 
 

41
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ
 

7,000 
คาความรอน (แคลลอรี่/กรัม)

7,000 
5,402 
6,000 
5,000 
4,000  3,098 
3,000 
2,000  540 
1,000 

เศษวัตถุดิ บจากการผลิต
เศษผลไม

เถากะลาปาลม
จากระบบบําบัดน้ําสีย

(เศษพริก กระเทียม)
กากตะกอน

 
¤‹Ò¤ÇÒÁÌo¹ (Heating Value) 

70.0 
70 
คารบอนคงตัว (รอยละ)

60 
50 
40 
30 
14.7  13.1 
20  7.7 
10 

เศษวัตถุดิ บจากการผลิต
เศษผลไม

เถากะลาปาลม
จากระบบบําบัดน้ําสีย

(เศษพริก กระเทียม)
กากตะกอน

¤‹Ò¤ÒϺo¹¤§µaÇ

42
 
สารละเหยที่ได (รอยละ) คาความชื้น (รอยละ)

20 
40 
60 
80 


20 
40 
60 
80 


กากตะกอน กากตะกอน
จากระบบบําบัดน้ําสีย จากระบบบําบัดน้ําสีย

13.0 
76.7 
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ

เศษผลไม เศษผลไม

59.5 
18.8 

43
เศษวัตถุดิ บจากการผลิต เศษวัตถุดิ บจากการผลิต
(เศษพริก กระเทียม) (เศษพริก กระเทียม)

76.1 
6.8 

¤‹Ò¤ÇÒÁªื¹é (Moisture Content)

¤‹ÒÊÒ÷ÕÃè aeËÂ䴌 (Volatile Matters)


เถากะลาปาลม
เถากะลาปาลม

17.0 
7.0 

 
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

7.0 


5  4.0  4.0 
เถา (รอยละ)

4  2.6 



เศษวัตถุดิ บจากการผลิต
เศษผลไม

เถากะลาปาลม
จากระบบบําบัดน้ําสีย

(เศษพริก กระเทียม)
กากตะกอน

 
»ÃiÁÒ³e¶ŒÒ 
 
¡ÒüÅiµ»u‰ oi¹·ÃՏ
 
ประเภทของเสียที่สามารถนํามาใชเปนวัตถุดิบผลิตปุยอินทรีย จะตองเปน
สารอินทรียซึ่งสามารถยอยสลายได โดยอาจเปนของแข็งหรือกากตะกอนก็ได เชน
เศษผักผลไม หรือกากตะกอนจากระบบบําบัดน้ําเสีย ฯลฯ อยางไรก็ตาม สารอนินทรีย
บางชนิ ด เช น กากปู น ขาว สามารถใช เ ป น วั ส ดุ ป รั บ ค า ความเป น กรดด า งของ
ปุยอินทรีย แตเพื่อใหปุยอินทรียที่ผลิตไดมีคุณภาพสูง ซึ่งจะตองมีคุณสมบัติหรือ
องคประกอบที่สําคัญ ดังนี้ 

44
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

ปริมาณอินทรียวัตถุ ≥ 20%
อัตราสวนของคารบอนตอไนโตรเจน (C/N ratio)  ≤ 20 ตอ 1
ระดับคาการนําไฟฟา (EC) ≤10 dS/m
ปริมาณธาตุอาหารหลักของพืช*
ไนโตรเจน (N) ≥ 1.0%
ฟอสฟอรัส (P2O5) ≥ 1.0%
โพแทสเซียม (K2O) ≥ 0.5%
*หรือปริมาณธาตุอาหารรวมกัน 3 ชนิด ≥ 2.0%
* คาที่ระบุในแตละคุณสมบัตหิ รือองคประกอบของปุยเปนคาที่เปนไปตามประกาศกรมวิชาการเกษตร
เรื่อง หลักเกณฑ วิธีการและเงื่อนไขการขอรับรองการผลิตปุยอินทรียมาตรฐาน พ.ศ. 2548

ดังนั้น ลักษณะสมบัติของเสียที่ควรพิจารณาในกรณีที่จะนําของเสียชนิดใด
ชนิดหนึ่งไปใชเปนวัตถุดิบหรือผสมวัตถุดิบเพื่อผลิตปุยอินทรีย จึงประกอบดวย 

»ÃiÁÒ³oi¹·ÃÕÂÇaµ¶u (Organic matter)


อินทรียวัตถุ เปนอินทรียสารในเนื้อวัสดุทั้งที่เปนเนื้อเยื่อของพืชที่ยังไม
เนาเปอย ผลผลิตบางสวนที่ผานกระบวนการเนาเปอยแลว และชีวมวลตางๆ นั่นคือ
อินทรียวัตถุเปนสารจําพวกที่สามารถยอยสลายไดเองตามธรรมชาตินั่นเอง ดังนั้น
ของเสียที่เหมาะสมในการนํามาผลิตปุยอินทรียจึงควรเปนสารอินทรีย เนื่องจากมี
ปริมาณอินทรียสารมากนั่นเอง

Êa´Ê‹Ç¹¤ÒϺo¹µ‹oä¹oµÃe¨¹ (C/N ratio)


สัดสวนของคารบอนตอไนโตรเจน เปนคาที่บอกถึงความสามารถใน
การสลายตัวของอินทรียวัตถุตางๆ ในดิน ในกรณีที่ใชอินทรียวัตถุที่มีคารบอนมาก
45
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

เมื่อจุลินทรียยอยสลายอินทรียวัตถุประเภทนี้ จุลินทรียอาจดึงธาตุไนโตรเจนจากดิน
ออกมาเพื่อใชในการยอยสลายอินทรียวัตถุตางๆ สงผลใหดินมีปญหาขาดไนโตรเจน
ได ดังนั้ น ของเสีย ที่เหมาะสมในการใชเปนวัตถุดิบผลิตปุย อินทรีย จึงไมค วรมี
อินทรียวัตถุที่มีคาคารบอนมาก หรือมีคาสัดสวนของคารบอนตอไนโตรเจนมาก

¤‹Ò¡ÒùíÒä¿¿‡Ò (Electrical Conductivity)


คาการนําไฟฟาจะสะทอนถึงปริมาณเกลือที่ละลายน้ําได โดยปริมาณ
เกลือที่มีในปุยหมักจะเปนสัดสวนโดยตรงกับคาการนําไฟฟาที่วัดได หนวยที่ใชวัด
อาจเปน mmhos/cm หรือ dS/m ทั้งสองหนวยจะมีคาเทากัน ธาตุอาหารพืชสําคัญๆ
จะอยูในรูปของเกลือหลายชนิด แตเกลือละลายน้ําไดบางชนิด เชน เกลือแกง จะเปน
อันตรายตอพืชมาก เกลือที่ละลายไดในปริมาณที่เกินพอสามารถเปนอันตรายตอพืชได
ดั ง นั้ น ของเสี ย ที่ เ หมาะสมในการใช เ ป น วั ต ถุ ดิ บ ผลิ ต ปุ ย อิ น ทรี ย จึ ง ไม ค วรมี ค า
การนําไฟฟาสูงกวาที่กําหนด 
 
¸ÒµuoÒËÒÃËÅa¡¢o§¾ืª

¸Òµuä¹oµÃe¨¹ (Nitrogen : N)
ธาตุ ไ นโตรเจนปกติ จ ะมี อ ยู ใ นอากาศในรู ป ของก า ซไนโตรเจนเป น
จํานวนมาก แตไนโตรเจนในอากาศในรูปของกาซนั้น พืชนําเอาไปใชประโยชนอะไร
ไมได (ยกเวนพืชตระกูลถั่วเทานั้นที่มีระบบรากพิเศษสามารถแปรรูปกาซไนโตรเจน
จากอากาศเอามาใชประโยชนได) ธาตุไนโตรเจนที่พืชทั่วๆ ไปดึงดูดขึ้นมาใชประโยชน
ไดนั้น จะตองอยูในรูปของอนุมูลของสารประกอบ เชน แอมโมเนียมไอออน (NH+4)
และไนเทรตไอออน (NO-3) ธาตุไนโตรเจนในดินที่อยูในรูปเหลานี้จะมาจาก

46
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

การสลายตัวของสารอินทรียวัตถุในดิน โดยจุลินทรียในดินจะเปนตัวปลดปลอยใหพืช
เมื่อขาดไนโตรเจนพืชจะแคระแกร็น โตชา ใบเหลือง โดยเฉพาะใบลางๆ จะแหง
รวงหลนเร็วทําใหแลดูตนโกรน การออกดอกออกผลจะชา และไมคอยสมบูรณนัก

¸Òµu¿oÊ¿oÃaÊ (Phosporus : P)
ธาตุ ฟ อสฟอรั ส ในดิ น มี ต น กํ า เนิ ด มาจากการสลายตั ว ผุ พั ง ของแร
บางชนิดในดิน การสลายตัวของสารอินทรียวัตถุในดินก็จะสามารถปลดปลอย
ฟอสฟอรัสออกมาเปนประโยชนตอพืชที่ปลูกไดเชนเดียวกัน ธาตุฟอสฟอรัสในดิน
ที่ จ ะเป น ประโยชน ต อ พื ช ได จ ะต อ งอยู ในรู ปของอนุ มู ลของสารประกอบที่ เรี ยกว า
ฟอสเฟตไอออน (H2PO-4) และ HPO- ซึ่งจะตองละลายอยูในน้ําในดิน สารประกอบ
ของฟอสฟอรัสในดินมีอยูเปนจํานวนมาก แตสวนใหญละลายน้ํายาก เนื่องจากธาตุ
ตางๆ ในดินชอบที่จะทําปฏิกิริยากับอนุมูลฟอสเฟตที่ละลายน้ําได ดังนั้น ฟอสเฟตที่
ละลายน้ําไดจะทําปฏิกิริยากับแรธาตุในดินกลายเปนสารประกอบที่ละลายน้ํายาก
ไมเปนประโยชนตอพืช โดยเฉพาะในสภาพที่ดินมีฤทธิ์เปนกรด pH ต่ํากวา 5.5
เหล็กไอออนและอะลูมิเนียมไอออนจะเขาทําปฏิกิริยากับฟอสเฟตไอออนเกิดเปน
สารประกอบที่ไมละลายน้ําขึ้น

¸Òµuo¾æ·Êe«ÕÂÁ (Potassium : K)
ธาตุโพแทสเซียมในดินที่พืชนําเอาไปใชเปนประโยชนได มีตนกําเนิดมา
จากการสลายตัวของหินและแรมากมายหลายชนิดในดิน ซึ่งโพแทสเซียมที่อยูในรูป
อนุมูลบวก หรือโพแทสเซียมไอออน (K+) เทานั้นที่พืชจะดึงดูดไปใชเปนประโยชนได

47
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

ดังนั้น ของเสียที่เหมาะสมในการใชเปนวัตถุดิบผลิตปุยอินทรีย จึงควร


มีปริมาณธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมเปนองคประกอบไมนอยกวา
1.0% 1.0% และ 0.5% ตามลําดับ หรือเมื่อรวมกับธาตุอาหารหลักทั้ง 3 ชนิดแลว
ควรมีปริมาณมากกวา 2.0%
สําหรับชนิดของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่โครงการนี้ ไดนําไปใช
เปนวัตถุดิบผลิตปุยอินทรียที่มีคุณภาพและสามารถใชงานไดจริง ไดแก เศษผลไม
กากตะกอนจากระบบบําบัดน้ําเสียแบบชีวภาพ กากตะกอนน้ําตาล และกากตะกอน
ผงชูรส ซึ่งองคประกอบหรือลักษณะสมบัติที่บงชี้ศักยภาพในการใชเปนวัตถุดิบเพื่อ
ผลิตปุยอินทรียของของเสียที่กลาวแลว มีดังนี้ 

oaµÃÒ¼ÊÁ¢o§¢o§eÊÕÂ㹡ÒüÅiµ»u‰ oi¹·ÃՏ·ÁÕè Õ¤³


u ÀÒ¾ÊÙ§ 
เศษผลไม : กากตะกอนระบบบําบัดน้ําเสีย 1:4
เศษผลไม : กากตะกอนน้ําตาล 1:4
เศษผลไม : กากตะกอนระบบบําบัดน้ําเสีย : 2 : 3.5 : 3.5 : 1
กากตะกอนน้ําตาล : กากตะกอนผงชูรส*
* ใชกากปูนขาวในการปรับ pH

48
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

76.32 
80  63.20  มาตรฐาน ≥ 20%
70 
ปริมาณอินทรียวัตถุ (%)

60  42.78 
50 
40  24.07 
30 
20 
10 

เศษผัก ผลไม
กากตะกอนผงชูรส

กากตะกอนน้ําตาล

กากตะกอนน้ําเสีย
 
»ÃiÁÒ³oi¹·ÃÕÂÇaµ¶u 
 

43:1 
อัตราส วนของคารบ อนตอไนโตรเจน

50:1
50

40:1
มาตรฐาน ≤ 20:1
40

30:1
30

20:1 13:1 
20
7:1
5:1 
10:1
10

00
กากตะกอนผงชูรส

กากตะกอนน้ําตาล

กากตะกอนน้ําเสีย
เศษผัก ผลไม

 
oaµÃÒʋǹ¤ÒϺo¹µ‹oä¹oµÃe¨¹  
 

49
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

ระดับค าการนําไฟฟ า (เดซิซีเมน/เมตร) 27.40 


30 
มาตรฐาน ≤ 10 เดซิซีเมน/เมตร
25 

20 

15  9.83 
10 
4.33 
1.49 


กากตะกอนผงชูรส

กากตะกอนน้ําตาล

กากตะกอนน้ําเสีย
เศษผัก ผลไม
 
Ãa´aº¤‹Ò¡ÒùíÒä¿¿‡Ò 
 


ปริมาณธาตุอาหารหลักของพืช (%)

7  มาตรฐานปริมาณธาตุอ าหารทั้ง 3 ชนิดรวมกัน ≥ 2.0%



กากตะกอน กากตะกอน เศษผัก กากตะกอน
ผงชูร ส น้ําตาล ผลไม น้ําเสีย
ไนโตรเจน 7.27  1.03  1.04  3.46 
ฟอสฟอรัส 0.45  1.67  0.25  3.22 
โพแทสเซีย ม 1.59  0.96  0.36  0.65 
 

»ÃiÁÒ³¸ÒµuoÒËÒÃËÅa¡  

50
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

¡ÒÃÃÕä«e¤iŹéíÒÁa¹ËŋoeÂç¹ãªŒæŌÇËÃืo¹éÒí eÊÕ»¹e»„oœ ¹¹éÒí Áa¹

การรี ไ ซเคิ ล น้ํ า มั น หล อ เย็ น ใช แ ล ว หรื อ น้ํ า เสี ย ปนเป อ นน้ํ า มั น ด ว ยวิ ธี นี้
มีหลักการสําคัญคือ การใชสารเคมีเพื่อตัดขั้วโมเลกุลของน้ําที่จับกับน้ํามันใหแยก
ออกจากกัน แลวนําน้ํามันที่แยกไดไปปรับคุณภาพสําหรับนําไปแปรรูปเปนผลิตภัณฑ
ตางๆ (เชน น้ํามันทาแบบ น้ํามันหยอดทิ้ง ฯลฯ) หรือนําไปใชเปนเชื้อเพลิงทดแทน
จึงไมมีขอกําหนดดานคุณสมบัติของผลิตภัณฑมากนัก แตดวยขอจํากัดทางดาน
เทคนิ ค ของวิ ธี ก ารที่ ใ ช แ ยกน้ํ า ออกจากน้ํ า มั น ที่ ใ ช ส ารเคมี ใ นกลุ ม emulsifier
breaker ซึ่งจะทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพภายใตสภาวะที่เหมาะสมทางเคมีเทานั้น
รวมถึงขอจํากัดดานลักษณะสมบัติของน้ําเสียที่เหลือจากการแยกน้ํามันที่ตองสามารถ
บําบัดได
ดังนั้น ลักษณะสมบัติของน้ํามันหลอเย็นใชแลวหรือน้ําเสียปนเปอนน้ํามัน
ที่ ค วรพิ จ ารณาในกรณี ที่ จ ะนํ า มารี ไ ซเคิ ล ด ว ยวิ ธี ก ารนี้ จึ ง มี ค วามเกี่ ย วข อ งกั บ
ความเปนไปไดในการแยกโมเลกุลของน้ํามันกับน้ําออกจากกัน และความเปนไปได
ของการบําบัดน้ําเสียที่เปนสวนเหลือหลังจากแยกน้ํามันออกไปแลว ดังนี้ 
 น้ํามันหลอเย็นใชแลวหรือน้ําเสียปนเปอนน้ํามัน จะตองมีน้ํามันแรเปน
องคประกอบไมนอยกวา 10% เนื่องจากหากมีสัดสวนของน้ํามันแรต่ํากวานี้ จะมี
ความเปนไปไดของวิธีการนอยลง และไมมีความคุมทุนทางเศรษฐศาสตรในการ
ดําเนินการ
 ตอ งเปนน้ํามั น หล อ เย็ นใช แล ว หรือ น้ํ า เสีย ปนเป อนน้ํ ามัน ที่ส ามารถ
ใชสารเคมีในการตัดขั้วของตัว Emulsifier เพื่อแยกโมเลกุลของน้ํากับน้ํามันออก
จากกัน และเกิดเปนคอลลอยดเล็กๆ ได และสามารถทําใหคอลลอยดเหลานั้นเกิด
การรวมตัวเปนตะกอนที่ใหญขึ้นเพื่อใหน้ํามันแยกชั้นออกจากน้ําอยางชัดเจน 
 
51
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

‘ น้ํามันหลอเย็นใชแลวหรือน้ําเสียปนเปอนน้ํามัน จะตองไมมีองคประกอบ
ของฮาโลเจนหรื อ แอมโมเนี ย ในปริ ม าณที่ เ ป น อั น ตรายต อ ระบบบํ า บั ด น้ํ า เสี ย
โดยเฉพาะเมื่อเลือกใชระบบบําบัดน้ําเสียแบบชีวภาพ เนื่องจากสารเคมีเหลานี้จะสง
ผลกระทบตอจุลินทรียในระบบบําบัดน้ําเสีย 
’ ปริมาณโลหะหนักที่ปนเปอนในน้ํามันหลอเย็นใชแลวหรือน้ําเสียปนเปอน
น้ํามัน จะตองไมมีคาสูงกว าที่กํา หนดในมาตรฐานน้ําทิ้ งที่ ยิน ยอมใหร ะบายออก
เนื่องจากภายหลังการแยกน้ํามันออกจากน้ํา โลหะหนักจะปนเปอนอยูในน้ําเสียเกือบ
ทั้งหมด  ทําใหมีโอกาสสูงมากที่น้ําทิ้งหลังการบําบัดแลวจะยังมีคาความเขมขนโลหะ
หนักนั้นๆ สูงกวาคามาตรฐานน้ําทิ้งที่ยินยอมใหระบายออกจากโรงงาน 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

¡ÒÃÃÕä«e¤iÅÊÒÃÅaÅÒ¡ô㪌æŌÇo´Â㪌e»š¹ÊÒÃe¤ÁÕµa駵Œ¹
e¾ืèo¼ÅiµÊÒÃe¤ÁÕª¹i´ãËÁ‹

การรีไซเคิลสารละลายกรดใชแลว โดยนํามาเปนสารตั้งตนเพื่อผลิตสารเคมี
ชนิ ด ใหม มี ห ลั ก การสํ า คั ญ คื อ การทํ า ให ส ารที่ ป นเป อ นอยู ใ นของเสี ย ซึ่ ง เป น
สารละลายกรดที่ใชงานแลวทําปฏิกิริยาเคมีระหวางกันเพื่อใหเกิดเปนสารเคมีชนิด
ใหมที่ตองการ เชน ใชโลหะเหล็ก (Fe) และคลอไรด (Cl-) ที่ละลายอยูในกรดไฮโดร-
52
æ¹Ç·Ò§ËÅa¡e¡³±¤u³ÊÁºaµ¢i o§eÊÕ·ÕèeËÁÒaÊÁ
㹡ÒùíÒÁÒ㪌»Ãaoª¹ã¹Ãa´aºouµÊÒË¡ÃÃÁ

คลอริกใชแลว เปนสารตั้งตนในการทําปฏิกิริยากันจนกลายเปน FeCl2 โดยควบคุม


สภาวะแวดลอมใหเหมาะสมเพื่อใหปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเปนไปตามตองการกอนที่จะใช
กาซคลอรีนมาทําปฏิกิริยากับ FeCl2 เกิดเปน FeCl3 หรือเฟอรริกคลอไรดนั่นเอง  
ดังนั้น สารละลายกรดใชแลวที่สามารถนํามารีไซเคิลดวยวิธีการนี้ จึงตองมี
คุณสมบัติที่อํานวยตอการเกิดปฏิกิริยาเคมีเพื่อใหไดผลิตภัณฑซึ่งเปนสารเคมีที่
ตองการ ซึ่งในกรณีของการนําสารละลายกรดไฮโดรคลอริกใชแลวมาผลิตสารละลาย
เฟอรริกคลอไรด มีลักษณะสมบัติที่ตองพิจารณาดังนี้ 
 ปริมาณของเหล็กที่ปนเปอนในสารละลายกรดใชแลว และคาความเปน
กรดที่คงเหลือตองไมต่ําจนเกินไป เนื่องจากจะสงผลใหตนทุนการดําเนินการสูงขึ้น
จากการที่ตองเติมเหล็กและกรดไฮโดรคลอริกเพื่อใหเกิดปฏิกิริยาที่สมบูรณ โดย
ไมควรมีปริมาณของเหล็กต่ํากวา 250 กรัมตอลิตร และคา pH ไมเกิน 5
 ไม ค วรมี โ ลหะหรื อ อโลหะซึ่ ง ไม ไ ด เ ป น สารตั้ ง ต น ของปฏิ กิ ริ ย าเคมี ที่
ต อ งการ ปนเป อ นในสารละลายกรดใช แ ล ว เนื่ อ งจากเฟอร ริ ก คลอไรด ที่ เ ป น
ผลิตภัณฑของปฏิกิริยาเคมีจะถูกนําไปใชเปนสารตกตะกอนในระบบบําบัดน้ําเสีย
โลหะหรืออโลหะที่ปนเปอนจะสงผลใหเกิดการปนเปอนตอน้ําทิ้งหลังผานการบําบัด
หรื อ หากมีก ารปนเปอ น คา ความเขม ข น ของโลหะหรื อ อโลหะต อ งไม สูง กว า คา ที่
กําหนดในมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรมเฟอรริกคลอไรด (มอก. 2391-2551)
‘ ไมควรมีการปนเปอนสารหรือสิ่งใดๆ ที่อาจขัดขวางการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ที่ตองการ (inhibitor) ขณะเดียวกันไมควรมีสารที่อาจทําใหเกิดปฏิกิริยาเคมีที่
ไมตองการ และเปนอันตราย เชน เกิดการระเบิดหรือลุกไหม

53
สํานักบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม
กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
75/6 ถ.พระรามที่ 6 แขวงทุงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
Website : www.diw.go.th
บริษัท ซีเอ็มเอส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด แมเนจเมนท จํากัด
68/95-96 หมู 5 ถนนพระราม 2 แขวงจอมทอง เขตจอมทอง กรุงเทพฯ 10150
โทรศัพท : 0-24765058, 4765071, 4766995, 8770394-7
โทรสาร : 0-24767079 Website : www.cms.co.th
E-mail : cmsenvi@cms.co.th

You might also like