Professional Documents
Culture Documents
.
No 34.
ชาญ ทองแ
โอบ ไป ห น
ดร . อ ม นา
. เลข 34
Unit XV
Blood Circulatory and
Lymphatic System
ภิวิ
ที่
วี
มุ
ท้
ระบบหมุนเวียนเลือด พบ ใน ต างกาย บ อน
Pericardium
Pericardial fluid
coronary artery
เ ยง วใจ
Pericardium
หั
ลี้
หัวใจของมนุ ษย ์ ง เ อด ไป ง างกาย
atruim
ventricle
: บน
าง
โ ↑
:
ก
โครงสร้างภายนอก
เ อด เ ย จาก างกาย น บ
Aorta
Superior
vena cava Pulmonary artery
Left
Right pulmonary vein
pulmonary vein Left atrium
'
Right atrium
Right Left coronary artery
coronary artery
"
Right ventricle ลดการ งานของ ก ามเ อ Left ventricle
Inferior
vena cava
.
ส่
ล่
ร่
ยั
ดี
ทำ
ร่
ลื
ลื
สี
ล้
รั
นื้
หัวใจของมนุ ษย ์
โครงสร้างภายใน
Superiorvenacava
↳
Aorta
Pulmonary artery
pulmonary semilunar valve
Left pulmonary vein
LA
Left atrium
RA
Aortic semilunar valve
Right atrium
Bicuspid valve
Tricuspid valve RV
R
Left ventricle
Inferior vena cava
ส
inferior
↑ Aorta
Heart valve
้ วใจ
ลินหั
หัวใจแต่ละห้องมีผนังกั้นแยกกันชัดเจน
บริเวณรอยต่อระหว่างแต่ละห้องจะมีลินหัวใจ (heart valve) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อปิดรอยต่อป้องกันไม่ให้เลือด
ไหลย้อนกลับ างกาย
ๆ รก
Aorta
→
ปอด
☒
3
2
i
8 3
4
1
5
2
6
9
ทิศทางการไหลเวียนของเลือดผ่านหัวใจ
1
Right atrium รับเลือดจาก vena cava เมื่อบีบตัวเลือดจากไหลเข้าสู่ Right ventricle
โดยผ่าน Tricuspid valve
2 Right ventricle รับเลือดจาก Right atrium เมื่อบีบตัวเลือดจะไหลผ่าน
pulmonary semilunar valve เข้าสู่ Pulmonary artery
3 Pulmonary artery ลาเลียงเลือดไปที่ปอดทั้งสองข้างเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส
4 Pulmonary vein นาเลือดที่ออกจากปอดทั้งสองข้างเข้าสู่ Left atrium
5 Left atrium บีบตัวทาให้เลือดไหลผ่าน Bicuspid valve เข้าสู่ Left ventricle
6 Left ventricle บีบตัวทาให้เลือดไหลผ่าน Aortic semilunar valve เข้าสู่ Aorta
7 Aorta นาเลือดไปเลี้ยงร่างกาย โดยมีการแตกแขนงหลอดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส
8
Superior vena cava นาเลือดที่มีออกซิเจนต่าจากส่วนหัว ลาตัวส่วนบน และแขน เข้าสู่ Right atrium
9 Inferior vena cava นาเลือดที่มีออกซิเจนต่าจากลาตัวส่วนล่าง และขา เข้าสู่ Right atrium
หลอดเลือด
มีลักษณะเป็นท่อสาหรับให้เลือดไหลเวียนเพื่อลาเลียงสารต่างๆ ไปทั่วร่างกาย
หลอดเลือดมี 3 ประเภท คือ หลอดเลือดอาร์เทอรี (Arterial blood vessel) ,
หลอดเลือดฝอย (Blood cappillary) และ หลอดเลือดเวน (Venous blood vessel)
Arterial blood vessel Aorta
Artevy Arteviole
เป็นหลอดเลือดที่นาเลือดออกจากหัวใจไปปอดและส่วนต่างๆ ของร่างกาย
มี 3 ขนาด ได้แก่ Aorta เป็นหลอดเลือดที่อยู่ใกล้หัวใจ มีขนาดใหญ่ ผนังหนา จากนั้นจะมีขนาดเล็กลงเป็น
Artery และ Arteriole ตามลาดับ
Blood capillary Capillavy
เป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุด อยู่ระหว่าง arteriole และ venule
มีผนังบาง คือมีเพียงเนื้อเยื่อบุผิว
หลอดเลือดฝอยจะแทรกอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เพื่อทาหน้าที่แลกเปลี่ยนสาร
Venous blood vessel Venacava Vein Venule
เป็นหลอดเลือดที่นาเลือดจากปอดและส่วนต่างๆ ของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ
มี 3 ขนาด ได้แก่ Venule เป็นหลอดเลือดขนาดเล็กรับเลือดจากหลอดเลือดฝอย จากเวนูลนั้นจะรวมกันเป็น
Vein และ Vena cava ก่อนเข้าสู่หัวใจตามลาดับ
หลอดเลือด Science and Technology Department
Udonpittayanukoon school
ขนาดของหลอดเลือด
Capillary
Aorta Artery Arteriole Venule Vein Vena cava
ลาดับการไหลเวียนของเลือดผ่านหลอดเลือดต่างๆ
ข้อสังเกต ไป ปอก
เลือดที่ไหลผ่าน arterial blood vessel เป็นเลือดที่มี O2 สูง ยกเว้น Pulmonary artery
เลือดที่ไหลผ่าน Venous blood vessel เป็นเลือดที่มี O2 ต่า ยกเว้น Pulmonary vein
จาก ปอด
หลอดเลือด
โครงสร ้างของหลอดเลือด
•เป็นหลอดเลือดที่บางที่สุด มีเนื้อเยื่อบุผิวด้านในเพียงชั้นเดียว ห่อหุ้มด้วยเยื่อบางๆ (basal lamila)
•เนื่องจากมีเนื้อเยื่อเพียงชั้นเดียวจึงสามารถแลกเปลี่ยนแก๊สและสารต่างๆ ได้
•แตกแขนงจานวนมาก แทรกตัวอยู่ทั่วร่างกาย เพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ทุกเซลล์ Capillary
Endothelium Valve
Endothelium Endothelium
Smooth muscle Smooth muscle
Connective tissue Connective tissue
Artery Vein
•เป็นหลอดเลือดขนาดใหญ่ มีผนังหนา •ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น เช่นเดียวกับ artery แต่มี
•ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น: เนื้อเยื่อบุผิวชั้นใน เนื้อเยื่อ ผนังบางกว่า
•รองรับเลือดที่มีความดันน้อยกว่า artery
vhnnnnnnnnn vnnn
SA node สร ้างกระแสประสาท
กระแสประสาทแพร่มาถึง กระแสประสาทแพร่ทว่ ั
แล้วแพร่ไปยังหัวใจห้องบนทัง้
AV node หัวใจห้องล่าง ทัง้ ventricle หัวใจบีบ
สองข้างอย่างรวดเร็วและเกิด
ถู กกระตุน
้ ตัว
การบีบตัว
ง ญญาณ
เ อ ส าง งหวะ
้
เซลล ์กล้ามเนื อ
หัวใจสามารถส่ง
ต่อกระแส
ประสาทถึงกันได้
ผ่านทาง
gap junction
สั
ส่
จั
พื่
ร้
การวัดการทางานของหัวใจ
• สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้โดยตรง โดยใช้ สเตตโตสโคป (Stethoscope) แนบที่อกบริเวณ
หัวใจ
• หรือวัด การวัดชีพจร (Pulse) เป็นการวัดอัตราการเต้นของหัวใจโดยตรวจจับการหดตัวคลายตัวของผนัง
หลอดเลือดอาร์เทอรี นับเป็นจานวนครั้งต่อนาที
• โดยปกติมนุษย์จะมีอัตราการเต้นของหัวใจประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ
nmmn
นักกีฬา
ดีเยี่ยม
ดี
เหนือค่าปกติ
ค่าเฉลี่ยปกติ
ต่้ากว่าค่าปกติ
แย่
การวัดการทางานของหัวใจ
• ใช้เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiograph) วัดการเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าของกล้ามเนือ้ หัวใจใน
ระหว่างการหดตัวและคลายตัว ซึ่งเครื่องจะบันทึกเป็นเส้นกราฟ เรียกว่า (Electrocardiogram; EKG หรือ ECG)
Electrocardiogram
(ECG)
่
คลืนไฟฟ้ าหัวใจของคนปกติ
QRS
P T
Systolic pressure
114/78
Diastolic pressure
ความดันเลือด (Blood pressure: BP)
อ่านค่าความดันเลือดได้ : 120/70
mmHg
ได้ยน
ิ เสียงผ่าน เสียงหายไป
Stethoscope
• ค่า BP ในในแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น
• อายุ : เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น BP จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากผนังของหลอดเลือดจะมีความยืดหยุ่นลดลง
• เพศ : ในวัยหนุ่มสาว BP♂ > BP♀
• น้าหนักของร่างกาย : BPอ้วน > BPผอม
• สภาพของร่างกาย : มีความเครียด , อาหารที่รับประทาน , โรคประจาตัวบางโรค , กิจกรรมที่ทา ส่งผลให้มี
BP สูงขึ้น
เปรียบเทียบหลอดเลือดชนิ ดต่างๆ area มาก → า
avea อย → เ ว
เลือดออก เลือดกลับ
จากหัวใจ เข้าสู ห
่ วั ใจ
้ ่
พืนที
(cm2)
เปรียบเทียบความหนาของผนัง artery และ vein
จากรูปจะเห็นว่าหลอดเลือดทังสองหลอดมีขนาดเท่ากัน แต่
artery มีหนังที่หนากว่า vein ท้าให้เส้นผ่านศูนย์กลางของ
ความเร็ว ช่องว่างภายในหลอดเลือดจะเล็กกว่า vein
(cm/sec)
Systolic
ความดัน pressure
mmHg
Diastolic
pressure
capillary หรือ หลอดเลือดฝอย เป็นหลอดเลือดที่เล็กและบางมาก
ซึ่งแก๊สและสารต่างๆ สามารถแพร่ผ่านได้ง่าย จึงเหมาะสมในการ
แลกเปลี่ยนสารต่างๆ ระหว่างเนือเยื่อกับเลือด จากรูปจะเห็นเซลล์
เม็ดเลือดแดงในหลอดเลือด
น้
ช้
ร็
การไหลของเลือด
Aovta
• การเคลื่อนที่ของเลือดใน artery อาศัยแรงดันจากการบีบตัวของหัวใจห้องเวนตริเคิลซ้าย แรงดันจึงสูงมาก
ไม่จาเป็นต้องมีลิ้นในหลอดเลือด
• ในขณะที่เลือดที่ไหลผ่าน vein เป็นเลือดที่มีความดันต่า เลือดจึงไม่สามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลนัก การ
เคลื่อนที่ของเลือดจึงอาศัยการบีบตัวของกล้ามเนื้อโครงร่างที่อยู่ข้างๆ หลอดเลือดและมีลิ้นหลอดเลือดเป็น
ระยะๆ ช่วยกั้นไม่ได้เลือดไหลย้อนกลับ
ทิศทางการไหลของเลือดใน
หลอดเลือด vein ลินในหลอดเลือดเวนเปิด
กล้ามเนือโครงร่าง
(Skeleton muscle)
หดตัว
ลินในหลอดเลือดเวนปิด
่ ยวข
โรคทีเกี ่ ้องกับหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือด (ischemic heart disease)
่
การทาบายพาสหลอดเลือดทีขา
่ ยวข
โรคทีเกี ่ ้องกับหัวใจและหลอดเลือด
โรคหลอดเลือดสมอง
ของ เ ย แ ส
Plasma สาร อาหาร
ปั่นเหวียง
่ (⪆55% of total blood)
Buffy coat
(Leucocytes, platlets)
(⪅1% of total blood)
Erythrocytes
(⪆45% of total blood)
สี
ก๊
plasma า เยอะ ด Science and Technology Department
Udonpittayanukoon school
Erythrocyte
ผิ
พิ่
Erythrocyte
• RBC ของมนุษย์เริ่มสร้างตั้งแต่ยังเป็น
เอ็มบริโอ โดยสร้างตับ ม้าม และไข
กระดูก เมื่อเข้าสู่ระยะฟีตัส (fetus)
ช่วงใกล้คลอดถึงวัยผู้ใหญ่ ตับ และ ม้าม
จะหยุดการสร้าง RBC เหลือเพียงแต่ไข
กระดูกเท่านั้น
• RBC แต่ละเซลล์มีอายุประมาณ 100-
120 วัน เมื่อหมดอายุขัยจะถูกทาลายที่
ตับและม้าม และตลอดอายุขัยของมนุษย์
จะมีการสร้าง RBC มาทดแทนเสมอ
โดยเฉพาะเมื่อร่างกายสูญเสียเลือดจาก
การถูกมีคมบาดหรือการบริจาคเลือด
Leukocyte
• Leukocyte หรือ White Blood Cell หรือ เซลล์เม็ดเลือดขาว ทาหน้าที่ป้องกันและทาลายเชื้อโรค
หรือสิ่งแปลมปลอมในระบบภูมิคุ้มกัน สร้างและเจริญที่ไขกระดูก
• WBC มีขนาดใหญ่และจานวนน้อยกว่า RBC คือ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8-20 µm จานวน
ประมาณ 5,000-10,000 เซลล์ต่อเลือด 1 mL
• WBC มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีรูปร่างของนิวเคลียสต่างกันและมีลักษณะการย้อมติดสีของ granules
ภายใน cytoplasm ต่างกันด้วย ซึ่งสามารถแบ่ง WBC ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ Granulocyte (ได้แก่
Eosinophil, Basophil , Neutrophil) และ Agranulocyte (ได้แก่ Monocyte , Lymphocyte)
Granulocyte Agranulocyte
อง กราด
เมื่อผนังหลอดเลือดฉีกขาด หลอดเลือดจะหดตัว
เกร็ดเลือดมารวมตัวกันมากขึ้น โดยจับกับ
คอลลาเจนที่บริเวณบาดแผล
ไฟบรินสานกันเป็น
เกร็ดเลือดจะเคลื่อนมายัง ร่างแห รวมกับเกร็ด
บริเวณที่มีการฉีกขาด เลือด และ RBC อุด
และปล่อยสารเพื่อดึงดูด บาดแผลหรือรอยฉีก
ปัจจัยที่ท้าให้เลือดแข็งตัว
เกร็ดเลือดอื่นๆ ให้มา
รวมตัวกันบริเวณนี้
• สารที่หลั่งมาจากเซลล์ที่ได้รับบาดเจ็บ ขาด
• วิตามิน K และแคลเซียมในพลาสมา Mateles
• เกร็ดเลือด t
Fribin
Prothrombin Thrombin +
Rb C
น
Fibrinogen Fibrin
Blood group
• หมู่เลือด (blood group) ของมนุษย์มีหลายระบบ แต่ระบบที่มีความสาคัญกับการให้และรับ
เลือด มี 2 ระบบ คือ หมู่เลือดระบบ ABO และ หมู่เลือดระบบ Rh
หมู ่เลือดระบบ ABO
• หมู่เลือดในระบบ ABO มีการจาแนกเป็นหมู่เลือดนิดต่างๆ ตามชนิดของไกลโคโปรตีน
หรือแอนติเจน (Antigen) ที่อยู่บนผิวของเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ
แอนติเจน A และ แอนติเจน B ทาให้สามารถจาแนกได้เป็นเลือดหมู่ A ,B ,ABและ O
• แอนติบอดี (Antibody) ในพลาสมา มี 2 ชนิด คือ แอนติบอดี A และ แอนติบอดี B
โดยในพลาสมาของแต่ละคนจะมีแอนติบอดีที่ตรงข้ามกับแอนติเจนของตัวเองเสมอ
หมู ่เลือดระบบ Rh
• หมู่เลือดในระบบ Rh จาแนกตามการมีหรือไม่มีแอนติเจน Rh บนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดง
Blood group
• หมู่เลือด (blood group) ของมนุษย์มีหลายระบบ แต่ระบบที่มีความสาคัญกับการให้และรับเลือด มี 2
ระบบ คือ หมู่เลือดระบบ ABO และ หมู่เลือดระบบ Rh
หมู ่เลือดระบบ
หมู ่เลือดระบบ Rh
ABO
A B Rh+
antigen A antigen B antigen Rh
antibody B antibody A
เลือดหมู ่ A
_____ เลือดหมู ่ _____
B
เลือดหมู ่ _____
Rht
antibody B
antibody Rh
AB
antigen A O Rh-
antigen B
No Antigen
No Antiboay
antibody A
เลือดหมู ่ _____
AB เลือดหมู ่ _____
0 เลือดหมู ่ _____
Rti
Blood group
• หมู่เลือด (blood group) ของมนุษย์มีหลายระบบ แต่ระบบที่มีความสาคัญกับการให้และรับเลือด มี 2
ระบบ คือ หมู่เลือดระบบ ABO และ หมู่เลือดระบบ Rh
เลือด
ผิวเซลล ์เม็ดเลือดแดง แอนติบอดีในพลาสมา
หมู ่
A A B
B B A
AB AB
-
O -
AB
+
Rh RH
-
- RH
Rh -
Blood test
• การตรวจสอบหมู่เลือดจะดูการทาปฏิกิริยาระหว่าง antigen และ antibody
• ถ้า antigen และ antibody ตรงกัน จะสามารถจับกันได้ เม็ดเลือดจึงมาเกาะกันทาให้
มีน้าหนักมากขึ้น เลือดจึงตะกอน
แอนติบอดีจบั กับแอนติเจน แอนติบอดีไม่จบั กับ
A A
บนเม็ดเลือดได ้ เลือดจึง แอนติเจนบนเม็ดเลือด เลือด
ตกตะกอน จึงไม่ตกตะกอน
antibody A antibody B
• ดังนั้น เราจึงสามารถนาแอบติบอดีที่ทราบชนิดมาระบุแอนติเจนที่ไม่ทราบชนิดได้
Blood test
• การตรวจสอบหมู่เลือดจะดูการทาปฏิกิริยาระหว่าง antigen และ antibody
• ถ้า antigen และ antibody ตรงกัน จะสามารถจับกันได้ เม็ดเลือดจึงมาเกาะกันทาให้มี
น้าหนักมากขึ้น เลือดจึงตะกอน
Antibody B พิจารณาผลการทดสอบหมู่เลือดในตารางต่อไปนี ้
่
ใส่เครืองหมาย + หากเกิดปฏิก ิรยิ า (Positive result)
่
ใส่เครืองหมาย - หากไม่เกิดปฏิก ิรยิ า (Negative result)
Antibody Blood
Sample Antibody A Antibody B
A+B group
1 + - + A
2 - + + B
3 + + + AB
4 - - - O
Test your knowledge
่
•ทาการทดสอบเพือหาหมู
่เลือดของนางสาวใบพลู
สวัสดี! นี่ ใบพลู เอง
Blood testing
Antibody A Antibody B
Result
O
ใบพลู เเลือดหมู ่ _______
Negative Negative
Erythroblastosis fetalis
• เป็นปฏิกิริยาระหว่างแอนติบอดีของแม่กับแอนติเจนบนผิเม็ดเลือดแดงของลูกในครรภ์ ซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อ
ลูกในครรภ์อย่างมาก
A ✔︎
✓ X ✔︎
✓ X
B × ✔︎
✓ ✔︎
✓ ×
AB × × ✔︎
✓ ×
O ✔︎
✓ ✔︎
✓ ✔︎
✓ ✔︎
✓
มี
ลื
มู่
ติ
ดี
กลไกการร ักษาดุลยภาพของร่างกาย
อากาศร้อน ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก อากาศหนาว
อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ อุณหภูมิร่างกายต่้ากว่าปกติ
ส่งสัญญาณไปที่ไฮโพ ส่งสัญญาณไปที่ไฮโพ
ทาลามัส ทาลามัส
อุณหภูมิ
ร่างกายปกติ
ท้าให้ ท้าให้
Interstitial fluid
้
ระบบนาเหลื
อง
Tonsils Lymphatic
Interstitial capillary
fluid
Thymus
Lymphatic Vessel
Lymph Spleen
nodes Valve
Lymph
node
้
นาเหลื
อง (Lymph)
• น้าเหลือง (Lymph) เป็นของเหลวเหลวที่ออกจากหลอดเลือดฝอย แล้วถูกลาเลียงเข้าหลอด
น้าเหลืองฝอย (lymphatic capillary) และต่อมน้าเหลือง (Lymph node) น้าเหลืองจึง
มีองค์ประกอบคล้ายพลาสมาแต่มีโปรตีนน้อยกว่า โดยทั่วไปมีลักษณะเหลืองใส
• ส่วนประกอบของน้าเหลืองในร่างกายจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของน้าเหลืองว่าอยู่ที่
อวัยวะใด เช่น น้าเหลืองที่อยู่ในต่อมน้าเหลืองจะมีลิมโฟไซต์มาก , น้าเหลืองที่มาจากลาไส้เล็ก
จะมีลักษณะขุ่นคล้ายน้านม เรียก Chyle เนื่องจากมีไขมันปนอยู่มาก
้
นาเหลื ่
องทีมาจากล าไส ้เล็ก
้
นาเหลื ่
องโดยทัวไป (Chyle)
หลอดน้ำเหลือง (Lymphatic vessel)
• หลอดน้าเหลืองที่มีขนาดเล็กที่สุด คือ หลอดน้าเหลืองฝอย (Lymphatic capillaty)
มีลักษณะเป็นท่อปลายปิด
• หลอดนาเหลืองฝอยจะนาน้าเหลืองไปรวมกันเป็นหลอดน้าเหลือง (Lymphatic vessel) ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
และผ่านต่อมน้าเหลือง (Lymph node) ที่มีเซลล์เม็ดเลือดขาวจานวนมากสาหรับตรวจจับสิ่งแปลกปลอม
ที่มากับน้าเหลือง จากนั้นนาน้าเหลืองกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือดโดยมีทิศทางเข้าสู่หัวใจ
• โครงสร้างของหลอดน้าเหลืองจะคล้ายกัน vein คือมีลิ้นกั้นป้องกันไม่ให้น้าเหลืองไหลย้อนกลับ
โดยการไหลของน้าเหลืองอาศัยการหดตัวคลายตัวของกล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ
้
หลอดนาเหลื
อง (Lymphatic vessel)
Lymphatic capillary
Lymphatic
vessel
Blood flow
Lymphatic
node
th
1. Reece, J. B., & Campbell, N. A. (2011). Campbell biology 9 ed.. Boston: Benjamin
Cummings. Pearson.
้ั ่ 1. กรุงเทพมหานคร : บริษท
2. ศุภณัฐ ไพโรหกุล. Biology. พิมพ ์ครงที ้ ์ จากัด, 2559.
ั แอคทีฟ พรินท
3. ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร ์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. หนังสือเรียนรายวิชา
้ั ่ 1 (ฉบับปร ับปรุง ๒๕๖๐). กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ ์
เพิม่ เติม ชีววิทยา เล่ม ๔. พิมพ ์ครงที
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย., ๒๕๖๒.