You are on page 1of 19

ความรู้ เกีย่ วกับคอมพิวเตอร์ เบื้องต้ น

ความหมายของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic device) ที่มนุ ษย์ใช้เป็ นเครื่ องมือช่วยใน


การจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็ นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรื อสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่ งต่าง ๆ โดย
คุ ณ สมบัติ ที่ ส าคัญ ของคอมพิ ว เตอร์ คื อ การที่ ส ามารถก าหนดชุ ด ค าสั่ ง ล่ ว งหน้ า หรื อโปรแกรมได้
(programmable) นัน่ คือคอมพิวเตอร์ สามารถทางานได้หลากหลายรู ปแบบ ขึ้นอยูก่ บั ชุ ดคาสั่งที่เลือกมาใช้
งาน ทาให้สามารถนาคอมพิวเตอร์ ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของ
หัวใจ การฝาก – ถอนเงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่ องยนต์ เป็ นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ
เครื่ องคอมพิวเตอร์ สามารถทางานได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ มีความถูกต้อง และมีความรวดเร็ ว

คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์

ปั จจุบนั นี้ คนส่ วนใหญ่นิยมนาคอมพิวเตอร์ มาใช้งานต่าง ๆ มากมาย ซึ่ งผูใ้ ช้ส่วนใหญ่มกั จะคิดว่า
คอมพิวเตอร์ เป็ นเครื่ องมือที่สามารถทางานได้สารพัด แต่ผูท้ ี่มีความรู ้ทางคอมพิวเตอร์ จะทราบว่า งานที่
เหมาะกับการนาคอมพิวเตอร์ มาใช้อย่างยิ่งคือการสร้ าง สารสนเทศ ซึ่ งสารสนเทศเหล่านั้นสามารถนามา
พิม พ์ออกทางเครื่ องพิม พ์ ส่ ง ผ่านเครื อข่ า ยคอมพิ วเตอร์ หรื อจัดเก็ บไว้ใช้ใ นอนาคตก็ ไ ด้ เนื่ องจาก
คอมพิวเตอร์ จะมีคุณสมบัติต่าง ๆ คือ

1.ความเร็ว (speed) คอมพิวเตอร์ ในปั จจุบนั นี้สามารถทางานได้ถึงร้อยล้านคาสั่งในหนึ่งวินาที

2.ความเชื่ อถือ (reliable) คอมพิวเตอร์ ทุกวันนี้ จะทางานได้ท้ งั กลางวันและกลางคืนอย่างไม่มีขอ้ ผิดพลาด


และไม่รู้จกั เหน็ดเหนื่อย

3.ความถูกต้ องแม่ นยา (accurate) วงจรคอมพิวเตอร์ น้ นั จะให้ผลของการคานวณที่ถูกต้องเสมอหากผลของ


การคานวณผิดจากที่ควรจะเป็ น มักเกิดจากความผิดพลาดของโปรแกรมหรื อข้อมูลที่เข้าสู่ โปรแกรม

4.เก็บข้ อมูลจานวนมาก ๆ ได้ (store massive amounts of information) ไมโครคอมพิวเตอร์ ในปั จจุบนั จะ
มีที่เก็บข้อมูลสารองที่มีความสู งมากกว่าหนึ่ งพันล้านตัวอักษร และสาหรับระบบคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่จะ
สามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งล้าน ๆ ตัวอักษร

5.ย้ ายข้ อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกทีหนึ่งได้ อย่ างรวดเร็ ว (move information) โดยใช้การติดต่อสื่ อสารผ่าน


ระบบ เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่ งสามารถส่ งพจนานุกรมหนึ่ งเล่มในรู ปของข้อมูลอิเล็กทรอนิ กส์ ไปยังเครื่ อง
คอมพิวเตอร์ ที่อยูไ่ กลคนซี กโลกได้ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่ งวินาที ทาให้มีการเรี ยกเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ที่
เชื่อมกันทัว่ โลกในปั จจุบนั ว่า ทางด่วนสารสนเทศ (Information Superhighway)
การทางานของคอมพิวเตอร์

ขั้นตอนการทางานที่สาคัญของคอมพิวเตอร์ 4 ขั้นตอน

ขั้นตอนที่ การทางาน ตัวอย่างอุปกรณ์


1. การรั บ ข้ อ มู ล และ คอมพิ ว เตอร์ รั บ ข้ อ มู ล และค าสั่ ง ผ่ า น Mouse, Keyboard, Scanner,
คาสั่ ง (Input) อุปกรณ์นาเข้าข้อมูล Microphone
2. การประมวลผล ข้อ มู ล ที่ ค อมพิ ว เตอร์ รั บ เข้า มา จะถู ก CPU
ห รื อ คิ ด ค า น ว ณ ประมวลผลโดยการท างานของหน่ ว ย
(Processing) ประมวลผลกลาง (CPU : Central
Processing Unit) ตามคาสั่งของโปรแกรม
หรื อซอฟต์แวร์
3. การแสดงผลลัพ ธ์ คอมพิวเตอร์ จะแสดงผลลัพ ธ์ของข้อมู ล ที่ Monitor, Printer, Speaker
(Output) ป้ อ น ห รื อ แ ส ด ง ผ ล จ า ก ก า ร
ประมวลผล ทางอุปกรณ์แสดงผล
4. ก า ร เ ก็ บ ข้ อ มู ล ผลลัพธ์จากการประมวลผลสามารถเก็บไว้ hard disk, floppy disk, CD-ROM
(Storage) ในหน่วยเก็บข้อมูล

ส่ วนประกอบของคอมพิวเตอร์ (PC)

คอมพิวเตอร์ เป็ นเครื่ องจักรมนุ ษย์ออกแบบขึ้นเพื่อนามาช่วยใช้ในการคานวณประมวลผลคาสั่งจากมนุ ษย์


ให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ตอ้ งการ ปั จจุบนั ได้มีการนาคอมพิวเตอร์ มาใช้ในด้านต่างๆ มาทางานแทนมนุษย์เพื่อลด
กระบวนการงานให้สาเร็ จเร็ วขึ้ นและมี ความถู กต้องแม่นยามากยิ่ง ขึ้ น เครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่ นิย มตาม
สานักงานและประจาบ้านทัว่ ไปได้แก่ PC ย่อมาจาก Personal Computer
ส่ วนประกอบคอมพิวเตอร์ พ้นื ฐานมีดงั นี้

1.จอภาพ (Monitor)

จอภาพ เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อกับผูใ้ ช้โดยตรง นับเป็ นอุปกรณ์ที่มีความสาคัญมากที่สุดอันหนึ่งของเครื่ อง


คอมพิวเตอร์ โดยจะแสดงผลออกมาเป็ นภาพทางหน้าจอ โดยการแปลงจากสัญญาณอิเล็กทรอนิ กส์ ที่ส่งเข้า
มา โดยวิธีการนั้นขึ้นอยู่กบั ชนิ ดของจอภาพ ซึ่ งสามารถแบ่งได้เป็ นจอภาพแบบหลอดรังสี แคโธด หรื อจอ
ซีอาร์ที (cathode ray tube: CRT) และจอภาพแบบผลึกเหลวทรานซิ สเตอร์ แผ่นบาง หรื อจอแบบ แอลซี ดี

2.เคส (Case)
เคสเป็ นโครงที่ใช้สาหรั บใส่ อุปกรณ์ ภายในต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน อุ ปกรณ์ ที่มกั จะใส่ ไว้ในเคสก็เป็ นพวก
เมนบอร์ ด(Mainboard) แรม (RAM) การ์ ดจอ(VGA Card) ฮาร์ ดดิสก์(Hard Disk Drive) พาวเวอซัพพลาย
(Power Supply) เป็ นต้น มีหลายแบบ หลายสี ให้เลือกใช้ตามความพึงพอใจของผูใ้ ช้

3.พาวเวอร์ ซัพพลาย (Power Supply)

ทาหน้าที่จ่ายกระแสไฟให้กบั อุปกรณ์ ต่างๆในเครื่ องคอมพิวเตอร์ โดยสามารถเลือกใช้งานได้ตามจานวน


วัตต์ ถ้าเครื่ องคอมพิวเตอร์ มีอุปกรณ์ต่อเยอะก็ควรจะเลือกใช้ที่วตั ต์สูงๆ ไม่เช่นนั้นกาลังไฟอาจจะไม่พอทา
ให้ไม่สามารถใช้งานได้

4.คีย์บอร์ ด (Keyboard

ทาหน้า ที่ รับข้อมูล จากผูใ้ ช้ โดยจะประกอบไปด้วยแป้ นพิ มพ์ที่ มี ปุ่มต่ างๆมากมาย ทั้งปุ่ มตัวอัก ษร
(Typewriter keys) ตัวเลข (Numeric keypad) ปุ่ มพิเศษ (Special-purpose keys) ปุ่ มควบคุมอื่นๆ (Control
keys) หรื อปุ่ มฟังก์ชนั่ ต่างๆFunction keys) สาหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ตอ้ งใช้การพิมพ์เป็ นหลัก

5.เมาส์ (Mouse)
ทาหน้าที่รับข้อมูลจากผูใ้ ช้ โดยจะใช้การเลื่ อนเมาส์ เพื่อบังคับตัวชี้ ตาแหน่ง(Pointer) บนหน้าจอ แล้วใช้การ
กดปุ่ มบนตัวเมาส์เพื่อสั่งให้ทางานอะไรบนหน้าจอที่จุดนั้นๆได้

6.เมนบอร์ ด (Main board)

ทาหน้าที่ เป็ นตัวควบคุ ม อุ ป กรณ์ ท้ งั หมดในเครื่ องคอมพิ วเตอร์ โดยอุปกรณ์ ทุ ก ตัวจะต้องเชื่ อมต่อกับ
เมนบอร์ ดนี้ มีลกั ษณะเป็ นแผ่นวงจรขนาดใหญ่ โดยบนแผ่นวงจรนั้นจะมีช่องสาหรับนาอุปกรณ์ต่างๆมา
เสี ยบไว้ที่เรี ยกว่า ซ็อคเก็ต(Socket) ซึ่ งแต่ละอุปกรณ์ก็จะมี socket เฉพาะของอุปกรณ์น้ นั ๆ

7.ซีพียู (CPU)
ซี พียูคือโปรเซสเซอร์ ( Processor) หรื อเรี ยกอีกชื่ อหนึ่ งว่า หน่ วยประมวลผลกลาง หรื อ ซิ พ(Chip) เป็ น
อุ ปกรณ์ ที่สาคัญมากที่ สุดเพราะมี หน้าที่ ประมวลผลข้อมู ล ที่ ผูใ้ ช้ป้อนเข้ามาหรื อโปรแกรมที่ ผูใ้ ช้งานส่ ง
ข้อมูลเข้ามาเป็ นชุดคาสั่ง ซีพียู ประกอบด้วยส่ วนหลัก 2 ส่ วนดังนี้

1) หน่ วยคานวณและตรรกะ (ALU: Arithmetic & Logical Unit) ทาหน้าที่เหมือนกับเครื่ องคานวณอยูใ่ น


เครื่ องคอมพิวเตอร์ โดยทางานเกี่ ยวกับการคานวณทางคณิ ตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คุณ หาร และยังทาการ
เปรี ยบเทียบทางตรรกศาสตร์ โดยจะเปรี ยบเทียบเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางคณิ ตศาสตร์ เพื่อพิสูจน์วา่ คาตอบ
นั้นเป็ นจริ งหรื อเท็จ

2) หน่ วยควบคุม (Control Unit) ทาหน้าที่ควบคุ มขั้นตอนการประมวลผลและทาการประสานงานกับ


อุปกรณ์ต่างๆ ทั้งด้าน Input และOutput รวมถึงหน่วยความจาต่างๆด้วย

8.การ์ดแสดงผล (Display Card)

การ์ดแสดงผลจะทางานเมื่อซี พียปู ระมวลผลจากข้อมูลต่างๆที่โปรแกรมส่ งเข้ามา เมื่อซี พียูประมวลผลเสร็ จ


ก็จะทาการส่ งข้อมูลที่จะใช้แสดงผลต่อไปยังการ์ ดแสดงผล การ์ ดแสดงผลก็จะส่ งต่อข้อมูลไปยังจอภาพเพื่อ
แสดงผลออกมาตามข้อมูลที่ได้รับมา โดยการ์ ดบางรุ่ นจะสามารถประมวลผลได้ในตัวเอง ทาให้ซีพียูไม่ตอ้ ง
ทางานมากนัก มีผลทาให้การทางานของคอมพิวเตอร์ น้ นั เร็ วขึ้นด้วย บางรุ่ นก็จะมีหน่ วยความจาในตัวเอง
แต่บางรุ่ นที่ ไม่มีก็จะต้องดึ งหน่ วยความจามาจากแรม (RAM) ซึ่ งหาก แรมมีจานวนน้อย อาจส่ งผลให้
คอมพิวเตอร์ ทางานได้ชา้ ลงไปด้วย แต่ในบางรุ่ นที่มีหน่วยความจาในตัวเองก็จะทาให้รับข้อมูลจากซี พียูได้
มากขึ้น ประมวลผลได้เร็ วขึ้น ทาให้การแสดงผลบนจอภาพมีคุณภาพที่สูงตามไปด้วย

9.แรม (RAM)

แรม หรื อ RAM (Random-Access Memory) เป็ นหน่วยความจาหลักที่ซีพียูสามารถดึงมาใช้ได้ทนั ที แต่


ไม่ใช่ หน่ วยความจาถาวรจาเป็ นต้องมีไฟมาหล่อเลี้ ยงตลอดเวลาในการทางาน หากไม่มีไฟมาหล่ อเลี้ ยง
ข้อมูลที่บนั ทึกไว้ก็จะหายไป โดยการทางานของแรมนั้น เมื่อซีพียไู ด้รับข้อมูลมาจากผูใ้ ช้งานหรื อโปรแกรม
แล้วก็จะเริ่ มทาการประมวลผล เมื่อซีพียปู ระมวลผลเสร็ จแล้ว ก็จะส่ งต่อข้อมูลที่ประมวลผลเสร็ จแล้วเก็บไป
ไว้ที่แรมก่อนจะถูกส่ งต่อไปยังอุปกรณ์ต่างๆต่อไป

10.ฮาร์ ดดิสก์ (Hard disk)

เป็ นหน่วยความจาถาวรประจาเครื่ อง โดยจะประกอบไปด้วยแผ่นจานแม่เหล็ก(platters) หลายๆแผ่นมาเรี ยง


อยูบ่ นแกนเดียวกันที่เรี ยกว่า Spindle ทาให้แผ่นแม่เหล็กแต่ละแผ่นหมุนไปพร้อมๆกัน โดยใช้มอเตอร์ เป็ น
ตัวหมุน โดยจะมีหัวอ่านติ ดอยู่ประจาแผ่นแต่ละแผ่นซึ่ งหัวอ่านของแต่ละแผ่นจะเชื่ อมติดกัน สามารถ
เคลื่อนที่เข้า-ออกแผ่นจานได้อย่างรวดเร็ ว โดยมีแผงวงจรควบคุมอีกต่อหนึ่ งอยู่ ซึ่ งข้อมูลที่เก็บลงฮาร์ ดดิสก์
จะเก็บอยูบ่ นแผ่นจานแม่เหล็ก โดยแผ่นจานแต่ละแผ่นจะถูกแบ่งออกเป็ นสองส่ วนก็คือ แทร็ กและเซกเตอร์
โดยแทร็ กจะเป็ นรู ปวงกลมทีละชั้นเข้าไปข้างใน และในแต่ละแทร็ กก็จะถู กแบ่งออกเป็ นเสี้ ยวหนึ่ งของ
วงกลมซึ่ งเรี ยกว่าเซกเตอร์ ซึ่ งเราจะแย่งฮาร์ ดดิสก์ออกเป็ น 3 ชนิดตามอินเตอร์เฟส(Interface) ดังนี้

– IDE (Integrated Drive Electronics) จะใช้สายแพรในการต่อเข้ากับเมนบอร์ ดโดยจะมีคอนเน็คเตอร์ จานวน


40 ขาที่ มี บ นบอร์ ดไว้รองรั บ ซึ่ ง โดยปกติ แล้ว 1 คอนเน็ ค เตอร์ จะสามารถต่ อฮาร์ ดดิ ส ก์ไ ด้ส องตัว
– Serial ATA (Advanced Technology Attachment) เป็ นอินเตอร์ เฟสแบบใหม่ที่เข้ามาแทนแบบ IDE ซึ่ งมี
ความเร็ วในการเข้าถึ งข้อมูลสู งกว่าแบบ IDE โดยมีความเร็ วถึง 150 Mbytes ต่อ วินาที ทาให้มีความรวดเร็ ว
ในการทางานมากขึ้น

– SCSI (Small Computer System Interface) อินเตอร์ เฟสแบบนี้จะมีการ์ ดที่มีหน่วยประมวลผลอยูใ่ นตัวเป็ น


ตัวควบคุ มอี กต่อหนึ่ งแยกออกมาจากตัวฮาร์ ดดิ สก์ต่างหาก เพื่อเร่ งความเร็ วในการรั บส่ งข้อมู ล เหมาะ
สาหรับใช้งานในรู ปแบบ Server แต่มีราคาค่อนข้างแพงกว่าสองแบบข้างต้นมาก

นอกจากนี้ ยงั มีฮาร์ ดดิ สก์อีกแบบหนึ่ งที่ ไม่ได้ใช้แผ่นจานแม่เหล็กในการเก็บข้อมูล แต่ใช้ชิพวงจรรวมที่


ประกอบรวมกันเป็ นหน่วยความจาถาวร ที่เรี ยกว่า โซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD : Solid state drive) โดยที่ โซ
ลิดสเตตไดรฟ์ ได้ถูกสร้ างขึ้นมาทดแทนฮาร์ ดดิ สก์แบบแผ่นจานแม่เหล็ก จึงมีขอ้ ดี กว่าแบบแผ่นจาน
แม่เหล็กเยอะมาก โดยที่ โซลิดสเตตไดรฟ์ จะประกอบไปด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ จึงไม่ตอ้ งมีชิ้นส่ วนทาง
กลใดๆที่ตอ้ งเคลื่อนที่ขณะทางาน ซึ่ งต่างจากฮาร์ ดดิสก์ไดรฟ์ ที่ตอ้ งใช้มอเตอร์ ในการหมุนแผ่นจานแล้วมี
หัวอ่านที่เคลื่อนที่ตลอดเวลาการทางาน ทาให้โซลิดสเตตไดรฟ์ สามารถทนแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่า และ
จากการใช้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทาให้การเข้าถึงข้อมูลรวดเร็ วกว่าฮาร์ ดดิสก์ไดรฟ์ ที่ตอ้ งใช้หวั อ่านเคลื่อนที่เข้า
ไปยังจุดที่เก็บข้อมูล ทาให้ โซลิดสเตตไดรฟ์ มีความเร็ วในการเข้าถึ งข้อมูลสู งกว่าฮาร์ ดดิ สก์ไดรฟ์ มาก
นอกจากนั้นไม่วา่ จะเป็ นเรื่ องเสี ยงรบกวนหรื ออุณหภูมิในการใช้งาน โซลิดสเตตไดรฟ์ ยังมีประสิ ทธิ ภาพ
ดีกว่าฮาร์ ดดิสก์ไดรฟ์ มากนัก เพียงแต่ราคาอาจจะสู งกว่าพอสมควร

11.CD-ROM / CD-RW /DVD / DVD-RW

ใช้สาหรับการอ่านแผ่น CD หรื อ DVD โดยหากต้องการที่จะเขียนข้อมูลลงไปในแผ่นจะต้องเป็ นไดร์ ฟที่มี


RW ด้วย โดยการทางานนั้นจะอ่านข้อมูลจาก CD/DVD โดยใช้หวั อ่านเลเซอร์ ที่จะยิงแสงเลเซอร์ ลงบน
ซี ดีรอม ซึ่ งบนซี ดีรอมนั้นจะแบ่งเป็ นแทร็ กและเซกเตอร์ เช่นเดียวกับฮาร์ ดดิสก์ไดรฟ์ แต่จะมีขนาดเท่ากัน
ทุกเซกเตอร์ เมื่อเริ่ มทางานมอเตอร์ จะหมุนแผ่นด้วยความเร็ วต่าางๆกันทาให้แต่ละเซกเตอร์ มีอตั ราเร็ วใน
การอ่านคงที่

12.ฟล็อปปี้ ดิสก์ (Floppy Disk)

เป็ นอุปกรณ์ที่มีมาก่อนคอมพิวเตอร์ เสี ยอีก ฟล็อปปี้ ดิสก์ ยุคแรกๆมีขนาดตั้งแต่ 8 นิ้ว 5.25 นิ้ว จนปั จจุบนั อยู่
ที่ 3.5 นิ้ว มีความจาอยูท่ ี่ไม่กี่ร้อยกิโลไบต์จนถึง 2.88 เมกกะไบต์ ปั จจุบนั คอมพิวเตอร์ รุ่นใหม่น้ นั แทบจะไม่
มี Floppy Disk Drive อีกแล้ว เนื่ องจากแผ่น ฟล็อปปี้ ดิสก์ นั้นจุความจาได้นอ้ ย แถมยังพังง่าย ปั จจุบนั ถูก
ทดแทนด้วย Flash Drive เสี ยมากกว่า
13. เน็ตเวิร์คการ์ ด (Lan card)

เน็ตเวิร์คการ์ ดหรื อการ์ ดแลน เป็ นตัวเชื่ อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ และเครื อข่าย โดยส่ วนใหญ่จะเรี ยกว่า
NIC (Network Interface Card) โดยจะท าการแปลงข้อมู ล เป็ นสั ญญาณไฟฟ้ า ที่ ส ามารถส่ ง ไปตาม
สายสัญญาณได้ ซึ่ งก็จะมีความเร็ วในการส่ งข้อมูลหลายระดับตั้งแต่ 10 Mbps, 100Mbps หรื อ 1000Mbps ซึ่ ง
การ์ ดบางรุ่ นก็สามารถเลื อกระดับความเร็ วในการทางานได้ ปั จจุบนั เมนบอร์ ดส่ วนใหญ่มกั จะมีชิพที่เป็ น
ช่องเน็ตเวิร์คการ์ ดในตัวอยูแ่ ล้ว ทาให้ เน็ตเวิร์คการ์ ด นั้นไม่ค่อยมีเห็นใช้กนั แล้ว

ประเภทของเครื่ องคอมพิวเตอร์

1.ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)

เป็ นคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ทางานได้รวดเร็ วและมีประสิ ทธิ ภาพสู ง แต่จะมีราคาแพงที่สุด รวมทั้ง


ต้องอยูท่ ีหอ้ งได้รับการควบคุมอุณหภูมิ และปราศจากฝุ่ นละออง ทาให้ตอ้ งเป็ นองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น จึง
สามารถจัดหาเครื่ องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาใช้งานได้ ผูใ้ ช้งานคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้จานวนหลาย ๆ
คน นามาใช้ในการคานวณที่ซบั ซ้อน เช่นการคานวณทางวิทยาศาสตร์ การบิน อุตสาหกรรมน้ ามันเป็ นต้น
รวมทั้งพบมากในวงการวิจยั ในห้องปฏิบตั ิการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

ซู เปอร์ คอมพิวเตอร์ รุ่นแรกสร้างในปี ค.ศ. 1960 ที่องค์กรของสหรัฐอเมริ กา โดยได้รับการออกแบบให้เป็ น


คอมพิวเตอร์ที่ความเร็ วและมีประสิ ทธิ ภาพมากที่สุด ซู เปอร์ ทางานได้อย่างรวดเร็ ว เนื่องจากมีการใช้หลักที
เรี ย กว่า มัล ติ โ ปรเซสซึ่ ง (Multiprocessing) อัน เป็ นใช้ห น่ ว ยประมวลผลจานวนหลายตัว เพื่ อ ท าให้
คอมพิวเตอร์ สามารถทางานหลายงานพร้อมกัน โดยที่งานเหล่านั้นมีความแตกต่างกัน งานที่ไม่เกี่ยวข้อง
หรื ออาจจะเป็ นงานที่มีขนาดใหญ่ที่ถูกแบ่งย่อยไปในประมวลผลแต่ละตัวก็ทางานได้ ซู เปอร์ คอมพิวเตอร์ มี
หน่วยประมวลกลางทั้งหมด 4 ตัว แต่ปัจจุบนั คอมพิวเตอร์ มีความพัฒนามากจึงทาให้มีหน่วยประมวลผลนับ
ร้อยตัวทางานพร้อม ๆ กัน
ความเร็ วของซู เปอร์ คอมพิวเตอร์ จะมี การวัดหน่ วยเป็ น นาโนวินาที (nanosecond) หรื อเศษหนึ่ งพันล้าน
วินาที และ จิกะฟลอป (gigaflop) หรื อการคานวณหนึ่ งพันล้านครั้งในหนึ่ งวินาทีซ่ ึ งคอมพิวเตอร์ สามารถ
คานวณได้ถึง 128 จิกะฟลอป และใช้เครื่ องที่มี สายส่ งข้อมูล (data bus) กว้าง 32 หรื อ 64 บิต

จากคุณสมบัติของซู เปอร์ คอมพิวเตอร์ ที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้วา่ ผูใ้ ช้ควรนาซู เปอร์ คอมพิวเตอร์ ไปใช้
ในการคานวณมากๆ เช่น งานด้านกราฟิ ก หรื อการคานวณทางด้านวิทยาศาสตร์ เป็ นต้น

2.เมนเฟรม (Mainframe)

เครื่ องเมนเฟรมเป็ นเครื่ องที่ได้รับความนิ ยมใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ทวั่ ๆไป จัดเป็ นเครื่ องที่มีประสิ ทธิ ภาพ
รองลงมาจากซู เปอร์ คอมพิวเตอร์ ซึ่ งในช่วงปลาย ค.ศ. 1950 บริ ษทั IBM จัดเป็ นบริ ษทั ยักษ์ใหญ่ในวงการ
อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ โดยเกิดจากการมีส่วนแบ่งตลาดในการขายเครื่ องระดับเมนเฟรมถึง 2 ใน 3 ของ
ผูใ้ ช้เครื่ องเมนเฟรมทั้งหมด เครื่ องเมนเฟรมจะเป็ นเครื่ องที่มีขนาดใหญ่ ต้องอยูใ่ นห้องที่ได้รับการอุณหภูมิ
และปราศจากฝุ่ นละอองเช่นเดียวกับซู เปอร์ คอมพิวเตอร์

เครื่ องเมนเฟรมนิ ยมมาใช้ในงานที่มีการรับและแสดงผลข้อมูลจานวนมาก ๆ เครื่ องรุ่ นใหม่ ๆ จะได้การ


พัฒนาให้มีหน่ วยประมวลผลหลายหน่วยทางานพร้อม ๆ กันเช่ นเดี ยวกับซู เปอร์ คอมพิวเตอร์ แต่มีจานวน
ประมวลผลน้อยกว่า หน่วยเมนเฟรมจัดอยูใ่ นความเร็ วของหน่วย เมกะฟรอป (megaflop) หรื อการคานวณ
หนึ่งล้านครั้งในหนึ่งวินาที

ระบบคอมพิวเตอร์ ของเครื่ องเมนเฟรม ส่ วนมากจะมีหน่วยคอมพิวเตอร์ ยอ่ ยๆ ประกอบอยูด่ ว้ ย เพื่อช่วยใน


การทางานบางประเภทให้กบั เครื่ องหลัก สามารถแยกตามหน้าที่ได้ดงั นี้

Host processor เป็ นเครื่ องหลักทาหน้าที่ควบคุมหน่วยประมวลผล อุปกรณ์รอบข้าง และการคานวณต่างๆ

Font-end processor มีหน้าที่ควบคุ มติดต่อระหว่างหน้าจอของผูใ้ ช้งานที่เรี ยกว่า จอเทอร์ มินลั ระยะไกล


(remote terminal) กับระบบคอมพิวเตอร์ หลัก

Bank-end processor มีหน้าทีจดั การเกี่ยวกับการใช้ขอ้ มูล


โปรเซสเซอร์ ส่วนต่าง ๆ บนเมนเฟรม

ระบบคอมพิวเตอร์ของเครื่ องเมนเฟรม มีประสิ ทธิ ภาพเพียงพอที่จะรองรับผูใ้ ช้ได้หลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน


ซึ่ งผูใ้ ช้เหล่านั้นอาจจะนั่งทางานอยู่ใกล้เครื่ องเมนเฟรม หรื ออาจจะอยู่ที่อื่นซึ่ งไหลออกไปก็ได้ เครื่ อง
เมนเฟรมจะเก็บโปรแกรมของผูใ้ ช้เหล่านั้นไว้ในหน่วยความจาหลัก และมีการสับเปลี่ยนหรื อสวิทซ์การ
ทางานระหว่างโปรแกรมต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างรวดเร็ ว โดยที่ผใู ้ ช้จะไม่รู้สึกเลยว่ามีการสับเปลี่ยนการทางาน
ไปทางานของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เนื่ องจากคอมพิวเตอร์ ทางานได้เร็ วกว่ามนุ ษย์มาก หลักการที่เครื่ อง
เมนเฟรมสามารถทางานหลายโปรแกรมพร้อม ๆ กันนั้น เรี ยกว่า มัลติโปรแกรมมิง (multiprogramming)

3.มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer)

เริ่ มพัฒนาขึ้นใน ค.ศ. 1960 ต่อมาจากบริ ษทั Digital Equipment Corporation หรื อ DEC ได้ประกาศตัว
มินิคอมพิวเตอร์ DEC POP-8 (Programmed Data Processor) ในปี ค.ศ. 1965 ซึ่ งได้รับความนิยมจากบริ ษทั
หรื อองค์กรที่มีขนาดกลาง เพราะมีราคาถูกกว่าเมนเฟรมมาก เครื่ องมินิคอมพิวเตอร์ จะใช้หลักการของมัลติ
โปรแกรมมิงเช่นเดี ยวกับเมนเฟรม โดยจะสามารถรองรับผูใ้ ช้ได้ประมาณ 200 คนพร้ อม ๆ กัน แต่สิ่งที่
แตกต่างระหว่างเครื่ องเมนเฟรมและเครื่ องมินิคอมพิวเตอร์ ก็คือความเร็ วในการทางาน เนื่ องจาก เครื่ อง
มินิคอมพิวเตอร์ จะทางานได้ชา้ กว่าการควบคุมผูใ้ ช้งานต่าง ๆ การะทาได้ในจานวนที่นอ้ ยกว่า รวมทั้งสื่ อที่
เก็บข้อมูลต่าง ๆ มีความจุไม่สูงเท่าเมนเฟรม ดังนั้นเครื่ องมินิคอมพิวเตอร์ จึงจัดได้วา่ มินิคอมพิวเตอร์ เป็ น
ขนาดกลาง

4.เวิร์คสเตชัน (Workstation) และไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)

ในการทางานบนเครื่ องเมนเฟรมหรื อมินิคอมพิ วเตอร์ ผูใ้ ช้จะสามารถควบคุ มการรับข้อมูลและดู การ


แสดงผลบนจอภาพได้เท่านั้น ไม่สามารถควบคุ มอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ ได้ แต่การใช้ระบบคอมพิวเตอร์
ชนิดที่มีผใู ้ ช้คนเดียวนั้น จะทาให้ผใู ้ ช้สามารถควบคุมอุปกรณ์รอบข้างต่าง ๆ ได้ท้ งั หมด ไม่วา่ จะเป็ นหน่วย
รับข้อมู ล หน่ วยประมวลผล หน่ วยแสดงผล ตลอดจนหน่ วยเก็บข้อมู ลสารอง นอกจากนี้ ผูใ้ ช้สามารถ
เลือกใช้โปรแกรมได้เอง โดยไม่ตอ้ งกังวลว่าจะต้องไปแย่งเวลาการเรี ยกใช้ขอ้ มูลกับผูใ้ ช้อื่น
คอมพิวเตอร์สาหรับผูใ้ ช้คนเดียว สามารถแบ่งออกเป็ น 2 รุ่ น คือ

เวิร์คสเตชั่ น ถูกออกแบบมาให้เป็ นคอมพิวเตอร์ แบบตั้งโต๊ะ ที่มีความสามารถในการคานวณด้านวิศวกรรม


สถาปั ตยกรรม หรื องานอื่นๆ ที่เน้นการแสดงผลด้านกราฟิ กต่าง ๆ เช่น การนามาช่วยออกแบบภาพกราฟิ ก
ในโรงงานอุ ตสาหกรรมเพื่อออกแบบชิ้ นส่ วนใหม่ ๆ เป็ นต้น ซึ่ งจากการที่ตอ้ งทางานกราฟฟิ กที่มีความ
ละเอียดสู ง ทาให้เวิร์คสเตชัน่ ใช้หน่วยประมวลผลที่มีประสิ ทธิ ภาพมาก รวมทั้งมีหน่วยเก็บข้อมูลสารอง
จานวนมากด้วย มีผใู ้ ช้บางกลุ่มเรี ยกเครื่ องระดับเวิร์คเตชัน่ นี้ วา่ ซู เปอร์ ไมโคร (supermicro) เพราะออกแบบ
มาให้ใช้งานแบบตั้งโต๊ะ แต่ชิปที่ ใช้ทางานนั้นแตกต่างกันมาก เนื่ องจาก เวิร์คสเตชัน่ ส่ วนมากใช้ชิป
ประเภท RISC (reduce instruction set computer) ซึ่ งเป็ นชิ ปที่ลดจานวนคาสั่งที่สามารถใช้สั่งงานให้เหลือ
เฉพาะที่จาเป็ น เพื่อให้สามารถทางานได้ดว้ ยความเร็ วสู ง

ไมโครคอมพิวเตอร์ ได้ถูกพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1975 และได้รับความนิ ยมอย่างเมื่อ IBM ได้สร้างเครื่ อง IBM


PC ออกมา ไมโครคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบนั จะมี 2 ชนิดคือ Apple Macintosh และ IBM PC

ในปัจจุบนั ความแตกต่างหรื อช่องว่างระหว่างเครื่ องเวิร์คเตชัน่ และเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ เริ่ มลดน้อยลง


เรื่ อย ๆ เพราะเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ ระดับสู งในปั จจุบนั มีประสิ ทธิ ภาพของเครื่ องและความเร็ วในการ
แสดงผลที่ดีกว่าเครื่ องเวิร์คเตชัน่ จานวนมาก

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (ข) เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (ค) มินิคอมพิวเตอร์ (ง) ไมโครคอมพิวเตอร์

นอกจากนี้ ยังมี คอมพิวเตอร์ แบบผูใ้ ช้คนเดี ยวที่ได้รับการออกแบบให้สามารถพกพาติดตัวได้สะดวก


เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค (Notebook computer) คอมพิวเตอร์ ปาล์มทอป (Palmtop computer) และ PDA
(Personal Digital Assistant) ซึ่ งคอมพิวเตอร์ เหล่านี้ จัดได้วา่ เป็ นเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ ชนิ ดหนึ่ งขนาก
เล็ก น้ าหนักเบา และมีรูปลักษณ์ที่เหมาะกับการพกพา
ก)โน้ตบุค๊ (ข) พีดีเอ

5.คอมพิวเตอร์ เครื อข่าย (Network computers)

เป็ นคอมพิวเตอร์ แบบใหม่ ซ่ ึ งเปลี่ ย นแปลงมาจากไมโครคอมพิ วเตอร์ โดยได้รับอิ ทธิ พ ลมาจากแนว


คอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ เครื อข่ายหรื อที่นิยมเรี ยกว่า NC จะถูกออกแบบให้เป็ นคอมพิวเตอร์ ที่
มีราคาต่า ค่าใช้จ่ายในการบารุ งรักษาน้อย ทาให้เหมาะสมกับการใช้งานปริ มาณมาก ๆ ในองค์กรขนาดใหญ่
รวมทั้งการเชื่อมต่ออินเตอร์ เน็ต

คอมพิวเตอร์ เครื อข่ายจะไม่มีหน่วยเก็บข้อมูลสารองอยูใ่ นตัว การจัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมตะอยูเ่ ครื่ อง


ศูนย์กลาง (Server) ซึ่ งมีขอ้ ดีคือการเปลี่ยนรุ่ น (upgrade) ซอฟต์แวร์ สามารถทางานได้ง่าย สามารถทางาน
จากเครื่ องคอมพิวเตอร์ เครื อข่ายเครื่ องใดก็ได้ รวมทั้งง่ายต่อการดูแลรักษา (mailtenance) ของผูด้ ูแลระบบ
คอมพิวเตอร์

6.คอมพิวเตอร์แบบฝัง (Embedded computer)

เป็ นคอมพิวเตอร์ ที่ถูกฝังไปในอุปกรณ์ ทาให้มองไม่เห็นรู ปลักษณ์ภายนอกว่าเป็ นคอมพิวเตอร์ นิยมใช้ใน


การทางานเฉพาะด้านโดยควบคุ มการทางานบางอย่าง เช่น เตาอบไมโครเวฟ ระบบการเติมน้ ามัน นาฬิกา
ข้อมือ อุปกรณ์เล่นเกม เป็ นต้น

องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยองค์ประกอบสาคัญ 5 ส่ วนด้วยกัน คือ


องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

1.ฮาร์ ดแวร์ (Hardware)

คื อ ลัก ษณะทางกายของเครื่ อ งคอมพิ ว เตอร์ ซึ่ งหมายถึ ง ตัว เครื่ อ งคอมพิ ว เตอร์ และ อุ ป กรณ์ ร อบ
ข้าง (peripheral) ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฮาร์ ดดิสก์ เครื่ องพิมพ์ เป็ นต้น ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วย

-หน่วยรับข้อมูล ( input unit )

-หน่วยประมวลผลกลาง ( central processor unit ) หรื อ CPU

-หน่วยความจาหลัก

-หน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit )

-หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (secondary storage unit )

หน่ วยรั บข้อมู ล จะเป็ นอุ ปกรณ์ ที่ใช้สาหรั บข้อมู ลต่าง ๆ เข้าสู่ คอมพิวเตอร์ จากนั้น หน่ วยประมวลผล
กลาง จะนาไปประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกมากให้ผใู ้ ช้รับทราบทาง หน่วยแสดงผลลัพธ์

หน่วยความจาหลัก จะทาหน้าที่เสมือนเก็บข้อมูลชัว่ คราวที่มีขนาดไม่สูงมากนัก การที่ฮาร์ ดแวร์ จะทาหน้าที่


ได้มีประสิ ทธิ ภาพนั้น ขึ้นอยูก่ บั โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ ส่ วนการทางานได้มากน้อยเพียงใด จะขึ้นอยูก่ บั
หน่วยความจาหลักของเครื่ องนั้น ๆ ข้อเสี ยของหน่วยความจาหลักคือ หากปิ ดเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่อยูใ่ น
หน่วยความจาหลักจะหายไป ในขณะที่ขอ้ มูลอยูท่ ี่ หน่วยเก็บข้อมูลสารอง จะไม่สูญหายตราบเท่าที่ผใู ้ ช้ไม่
ทาการลบข้อมูลนั้น รวมทั้งหน่วยเก็บข้อมูลสารองยังมีความจุที่สูงมาก จึงเหมาะสาหรับการเก็บข้อมูลที่มี
ขนาดใหญ่ หรื อเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง ข้อเสี ยของหน่วยเก็บข้อมูลสารองคือการเรี ยกใช้ขอ้ มูลจะช้ากว่า
หน่วยความจาหลักมาก
2.ซอฟต์ แวร์ (Software)

คอมพิวเตอร์ ฮาร์ ดแวร์ ที่ประกอบออกมาจากโรงงานจะยังไม่สามารถทางานใดๆ เนื่องจากต้องมี ซอฟต์แวร์


(Software) ซึ่ งเป็ นชุ ดคาสั่งหรื อโปรแกรมที่สั่งให้ฮาร์ ดแวร์ ทางานต่าง ๆ ตามต้องการ โดยชุ ดคาสั่งหรื อ
โปรแกรมนั้นจะเขี ยนขึ้นมาจาก ภาษาคอมพิวเตอร์ (Programming Language) ภาษาใดภาษาหนึ่ ง และ
มี โปรแกรมเมอร์ (Programmer) หรื อนักเขียนโปรแกรมเป็ นผูใ้ ช้ภาษาคอมพิวเตอร์ เหล่านั้นเขียนซอฟต์แวร์
ต่าง ๆ ขึ้นมา

ซอฟต์แวร์ สามารถแบ่งออกเป็ นสองประเภทใหญ่ๆคือ

-ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software )

-ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ( Application Software )

ซอฟต์แวร์ ระบบ โดยส่ วนมากแล้วจะติดตั้งมากับเครื่ องคอมพิวเตอร์ เนื่ องจากซอฟต์แวร์ ระบบเป็ นส่ วน


ควบคุ มทางานต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถเริ่ มต้นการทางานอื่น ๆ ที่ ผูใ้ ช้ตอ้ งการได้ต่อไป
ส่ วน ซอฟต์แวร์ ประยุกต์ จะเป็ นซอฟต์แวร์ ที่เน้นในการช่วยการทางานต่าง ๆ ให้กบั ผูใ้ ช้ ซึ่ งแตกต่างกันไป
ตามความต้องการของผูใ้ ช้แต่ละคน

ซอฟต์แวร์ในระบบไมโครคอมพิวเตอร์
3.บุคลากร (Peopleware)

เครื่ องคอมพิวเตอร์ โดยมากต้อ งใช้บุคลากรสั่งให้เครื่ องทางาน เรี ยกบุคลากรเหล่านี้ ว่า ผูใ้ ช้ หรื อ ยูเซอร์
(user) แต่ก็มีบางชนิ ดที่สามารถทางานได้เองโดยไม่ตอ้ งใช้ผคู ้ วบคุม อย่างไรก็ตาม คอมพิวเตอร์ ก็ยงั คงต้อง
ถูกออกแบบหรื อดูแลรักษาโดยมนุษย์เสมอ

ผูใ้ ช้คอมพิวเตอร์ (computer user) แบ่งได้เป็ นหลายระดับ เพราะผูใ้ ช้คอมพิวเตอร์ บางส่ วนก็ทางานพื้นฐาน
ของคอมพิวเตอร์ เท่านั้น แต่บางส่ วนก็พยายามศึกษาโปรแกรมประยุกต์ในขั้นที่สูงขึ้น ทาให้มีความชานาญ
ในการใช้โปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ นิยมเรี ยกกลุ่มนี้วา่ เพาเวอร์ยสู เซอร์ (power user)

ผูเ้ ชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์ (computer professional) หมายถึงผูท้ ี่ได้ศึกษาวิชาการทางด้านคอมพิวเตอร์


ทั้งในระดับกลางและระดับสู ง ผูเ้ ชี่ ยวชาญทางด้านนี้ จะนาความรู ้ที่ได้ศึกษามาประยุกต์และพัฒนาใช้งาน
และประสิ ทธิ ภ าพของระบบคอมพิ ว เตอร์ ใ ห้ ท างานในขั้ นสู งขึ้ นไปได้ อี ก นั ก เขี ย นโปรแกรม
(programmer) ก็ถือว่าเป็ นผูเ้ ชียวชาญทางคอมพิวเตอร์ เช่นกัน เพราะสามารถสร้างโปรแกรมใหม่ ๆ ได้ และ
เป็ นเส้นทางหนึ่งที่จะนาไปสู่ การเป็ นผูเ้ ชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์ ต่อไป

บุคลากรก็เป็ นส่ วนหนึ่ งของระบบคอมพิวเตอร์ เพราะมีความเกี่ ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่การ


พัฒนาเครื่ องคอมพิวเตอร์ ตลอดจนถึงการนาคอมพิวเตอร์ มาใช้งานต่าง ๆ ซึ่ งสามารถสรุ ปลักษณะงานได้
ดังนี้

-การดาเนินงานและเครื่ องอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น การบันทึกข้อมูลลงสื่ อ หรื อส่ งข้อมูลเข้าประมวล หรื อควบคุม


การทางานของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น เจ้าหน้าที่บนั ทึกข้อมูล (Data Entry Operator) เป็ นต้น

-การพัฒนาและบารุ งรักษาโปรแกรม เช่น เจ้าหน้าที่พฒั นาโปรแกรมประยุกต์ (Application Programmer)


เจ้าหน้าที่พฒั นาโปรแกรม (System Programmer) เป็ นต้น

-การวิเคราะห์และออกแบบระบบงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ ประมวลผล เช่ น เจ้าหน้าที่วิเคราะห์และออกแบบ


ระบบงาน (System Analyst and Administrator) วิศวกรระบบ (System Engineer) เจ้าหน้าที่จดั การ
ฐานข้อมูล (Database Adminstrator)เป็ นต้น

-การพัฒ นาและบ ารุ ง รั ก ษาระบบทางฮาร์ ด แวร์ เช่ น เจ้า หน้า ที่ ค วบคุ ม การท างานระบบคอมพิ ว เตอร์
(Computer Operator) เป็ นต้น

-การบริ ห ารในหน่ ว ยประมวลผลข้อ มู ล เช่ น ผูบ้ ริ ห ารศู น ย์ป ระมวลผลข้อ มู ล ด้ว ยคอมพิ ว เตอร์ (EDP
Manager) เป็ นต้น
4.ข้ อมูลและสารสนเทศ (Data / Information)

ในการท างานต่ า ง ๆ จะต้องมี ข ้อมู ล เกิ ดขึ้ นตลอดเวลา ข้อมู ล ที่ เกี่ ย วข้องกับ งานที่ ถู ก เก็ บ รวบรวมมา
ประมวลผล เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เป็ นประโยชน์ต่อผูใ้ ช้ ซึ้ งในปั จจุบนั มีการนาเอาระบบคอมพิวเตอร์ มา
เป็ นข้อมูลในการดัดแปลงข้อมูลให้ได้ประสิ ทธิ ภาพโดยแตกต่างๆระหว่างข้อมูล และ สารสนเทศ คือ

ข้ อมูล คือ ได้จากการสารวจจริ ง แต่ สารสนเทศ คือ ได้จากข้อมูลไม่ผา่ นกระบวนการหนึ่งก่อน

สารสนเทศเป็ นสิ่ งที่ผบู ้ ริ หารนาไปใช้ช่วยในการตัดสิ นใจ โดยที่สารสนเทศที่มีประโยชน์น้ นั จะมีคุณสมบัติ


ดังตาราง

มีความสัมพันธ์กนั (relevant) สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบนั


มีความทันสมัย (timely) ต้องมีความทันสมัยและพร้อมที่จะใช้งานได้ทนั ทีเมื่อต้องการ
เมื่อป้ อนข้อมูลเข้าสู่ คอมพิวเตอร์ และผลลัพธ์ที่ได้จะต้องถูกต้องในทุก
มีความถูกต้องแม่นยา (accurate)
ส่ วน
มีความกระชับรัดกุม (concise) ข้อมูลจะต้องถูกย่นให้มีความยาวที่พอเหมาะ
มี ค ว า ม ส ม บู ร ณ์ ใ น ตั ว เ อ ง
ต้องรวบรวมข้อมูลที่สาคัญไว้อย่างครบถ้วน
(complete)

การเปลี่ยนรู ปจากข้อมูลสู่ สารสนเทศ

5.กระบวนการทางาน (Procedure)

กระบวนการทางานหรื อโพรซี เยอร์ หมายถึง ขั้นตอนที่ผใู ้ ช้จะต้องทาตาม เพื่อให้ได้งานเฉพาะอย่างจาก


คอมพิวเตอร์ ซ่ ึ งผูใ้ ช้คอมพิวเตอร์ ทุกคนต้องรู ้การทางานพื้นฐานของเครื่ องคอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะสามารถใช้
งานได้อย่างถู กต้อง ตัวอย่างเช่ น การใช้เครื่ อง ฝาก-ถอนเงิ นอัตโนมัติ ถ้าต้องการถอนเงิ นจะต้องผ่า น
กระบวนการต่าง ๆ ดังนี้

1. จอภาพแสดงข้อความเตรี ยมพร้อมที่จะทางาน
2. สอดบัตร และพิมพ์รหัสผูใ้ ช้
3. เลือกรายการ
4. ใส่ จานวนเงินที่ตอ้ งการ
5. รับเงิน
6. รับใบบันทึกรายการ และบัตร

การใช้คอมพิวเตอร์ ปฏิบตั ิงานในส่ วนต่าง ๆ นั้นมักจะมีข้ นั ตอนที่สลับซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับช่ วงเวลา


ต่าง ๆ ในการปฏิ บ ตั ิ งานด้วย จึ งต้องมี คู่มือการปฏิ บตั ิ งานที่ ชัดเจน เช่ น คู่มือส าหรั บผูค้ วบคุ มเครื่ อง
(Operation Manual) คู่มือสาหรับผูใ้ ช้ (User Manual) เป็ นต้น

You might also like