You are on page 1of 23

เปิ บข้าว

อีศาน
เปิ บข้าวทุกคราวคำจงสูจำเป็ นอาจิณ
เหงื่อกูที่สก
ู ิน จึงก่อเกิดมาเป็ นคน ในฟ้ าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย

ข้าวนีน
้ ่ะมีรส ให้ชนชิมทุกชัน
้ ชน น้ำตาที่ตกราย ก็รีบซาบบ่รอ

เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว ซึม

จากแรงมาเป็ นรวง ระยะทางนัน


้ เหยียดยาว แดดเปรีย
้ งปานหัวแตก แผ่นดิน

จากรวงเป็ นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำบาก แยกอยู่ทึบทึม

เข็ญ แผ่นอกที่ครางครึม ขยับแยกอยู่ตาปี

เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วน มหาห้วยคือหนองหาน ลำมูลผ่าน

ยากเย็น เหมือนลำผี

ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็ นกิน ย้อมชีพคือลำชี อันชำแรกอยู่

น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน รีรอ

สายเลือดกูทงั ้ สิน
้ ที่สูซดกำซาบฟั น แลไปสะดุ้งปราณ โอ! อีศ
าน, ฉะนีห
้ นอ
จิตร ภูมิศักดิ ์
คิดไปในใจคอ บ่อค่อยดีนี ้
ดังฤๅ?
พี่น้องผู้น่ารัก น้ำใจจัก รื้อคิดยิ่งรื้อแค้น ละม้าย
ไฉนหือ? แม้นห่าสังหาร
ยืนนิ่งบ่ติงคือ จะใคร่ได้อันใด เสียตนสิทนทาน ก็บ่ได้สะดวก
มา? ดาย
เขาหาว่าโง่เง่า แต่เพื่อน ในฟ้ าบ่มีน้ำ! ในดินซ้ำมี
เฮานี่แหละหนา แต่ทราย
รักเจ้าบ่จาง ฮา! เหตุใดมา น้ำตาที่ตกราย คือเลือด
ดูแคลน หลั่ง!ลงโลมดิน
เขาซื่อสิว่าเซ่อ ผู้ใดเน้อจะดี สองมือเฮามีแฮง เสียงเฮา
แสน แย้งมีคนยิน
ฉลาดทานเทียมผู้แทน ก็เห็นท่า สงสารอีศานสิน
้ อย่าซุด,สู้
ที่กล้าโกง ด้วยสองแขน!
กดขี่บฑ
ี าเฮา ใครนะเจ้า? จง พายุยิ่งพัดอื้อ ราวป่ า
เปิ ดโปง หรือราบทัง้ แดน
เที่ยววิ่งอยู่โทงโทง เที่ยวมาแทะ อีศานนับแสนแสน สิจะพ่าย
ให้ทรมาน ผู้ใดหนอ?

นายผี
แก้วพี่นส
ี ้ ุดนวล ดั่งนางฟ้ าหน้าใยยอง
กาพย์เห่เรือ ๏ นกแก้วแจ้วแจ่มเสียง จับไม้เรียง
เคียงคูส
่ อง
๏ เรื่อยเรื่อยมารอนรอน ทิพากรจะ เหมือนพี่นป
ี ้ ระคอง รับขวัญน้องต้องมือเรา
ตกต่ำ
สนธยาจะใกล้ค่ำ คำนึงหน้าเจ้าตาตรู
๏ เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบินเฉียงไป
ทัง้ หมู่
ตัวเดียวมาพลัดคู่ เหมือนพี่อยู่ผู้เดียวดาย
๏ เห็นฝูงยูงรำฟ้ อน คิดบังอรร่อนรำกราย
สร้อยทองย่องเยื้องชาย เหมือนสาย
สวาดินาดนวยจร
๏ สาลิกามาตามคู่ ชมกันอยู่สส
ู่ มสมร
แต่พี่นอ
ี ้ าวรณ์ ห่อนเห็นเจ้าเศร้าใจ
ครวญ
๏ นางนวลนวลน่ารัก ไม่นวลภักตร์เหมือน
ทรามสงวน
ไม่เท่าเจ้าโฉมฉาย ห่มตาดพรายกรายกร
มา
๏ สัตวาน่าเอนดู คอยหาคู่อยู่เอกา
๏ ไก่ฟ้ามาตัวเดียว เดินท่องเที่ยวเลีย
้ ว เหมือนพี่ที่จากมา ครวญหาเจ้าเศร้า
เหลี่ยมเขา เสียใจ
เหมือนพรากจากนงเยาว์ เปล่าใจเปลี่ยว ๏ ปั กษีมีหลายพรรณ บ้างชมกันขันเพรียก
เหลียวหานาง ไพร
๏ แขกเต้าเคล้าคู่เคียง เรียงจับไม้ไซ้ปีกหาง ยิ่งฟั งวังเวงใจ ล้วนหลายหลากมาก
เรียมคนึงถึงเอวบาง เคยแนบข้างร้างแรม ภาษา ๚
นาน
เจ้าฟ้ าธรรมธิเบศร
๏ ดุเหว่าเจ่าจับร้อง สนั่นก้องซ้องเสียง
หวาน
ประจ ักษ์ประจานใจ
ไพเราะเพราะกังวาลปานเสียงน้องร้องสั่ง
ชาย
พิศตีนก็ตีนแตก บนรอยแยก
๏ โนรีสีปานชาด เหมือนช่างฉลาดวาม
ระแหงย่ำ
แต้มลาย
หนังตีนถูกทิ่มตำ จนหนา
เตอะดัง่ เนื้อตาย
พิศมือก็มืองาน คือมือกร้านใช่ พิศปากก็ปากแห้ง เพียงแล้งห้อม
กรีดกราย ทุกหย่อมหญ้า
จอบเสียมสากระคาย ลบลาย โหยหิวเพรียกโหยหา ก็เหว่ว้าก็
เส้นวาสนา วังเวง
พิศบ่าก็บ่าลู่ ให้ร้เู ห็นความ พิศร่างก็ร่างเรียว ทัง้ ซูบเซียวไม่
เป็ นบ่า ปลั่งเปล่ง
แบกรับตลอดมา ในมรรคา ซมแซ่วและแกร่วเกรง ความอยู่
ที่ข่ น
ื ขม รอดอันเลือนราง
พิศผิวก็ผิวเผือด ไร้เลือดฝาดจะ พิศชีพก็ชพ
ี ชัน
้ กรรมาชีพขาด
พึงชม ยุ้งฉาง
ผ่านฝนทนแดดลม มาหลาย ด้อยเปลีย
้ เสียทุกทาง ท้อรันทด
ชั่วฤดูชิน ไม่สดใส
พิศตาก็ตาช้ำ น้ำตากล้ำไว้ พิศโครงก็โครงผูก กระดูกโครง
กลืนกิน ทุกคราวไป
ซ่อนหน้าน้ำตาริน กี่ร้อนหนาว ประจักษ์ประจานใจ คือภาพใด
พราวน้ำตา ในแผ่นดิน.

ศิวกานท์ ปทุมสูติ
แน่วนำสำนึกนึก เพื่อนึกหา
ทวนกระแส หนทางนำ
กล้าทวนกระแสโลก เพื่อโลกสู่
ทวนน้ำขึน
้ เหนือน้ำ เพื่อเห็นน้ำที่ กระแสธรรม
อยู่เหนือ ก่นเกลาเกลศกรรม เพื่อ
ถ่อเรือสวนทางเรือ เพื่อเห็นเรือ กรรมเกลาเกลศกล
ที่สวนทาง หาญบ่าเข้าแบกบุก เพื่อบ่าทุกข์
โต้คลื่นเข้าหาคลื่น เพื่อรู้คลื่นที่ ผ่านทุกข์ทน
ครืนคราง สลัดอัตตาตน เพื่อตัวตน
ฝ่ าลมพัดโหมพลาง เพื่อ พ้นอัตตา
พลางรู้ลู่ทางลม ทวนน้ำขึน
้ เหนือน้ำ เพื่อข้ามน้ำไป
เสียดทานสิ่งต้านทาน เพื่อต้านสิ่งที่ เบื้องหน้า
เสียดสม แรมเรือล่วงธารา ตราบ
จ่อมจ้วงห้วงลึกจม เพื่อ ธาราว่างเปล่าเรือ.
จะแจ้งแห่งห้วงลึก
ศิวกานท์ ปทุมสูติ
ปะทะแรงกระแทก เพื่อแทรกส่ำ
ความรู้สึก
และทากน้อยจะถมเนื้อ เพื่อภาวะแห่ง
ผู้สร้าง
ระเหิดหายละลายร้าง อย่างเคยเคย
หนทางแห่งหอยทาก
ทุกคราวครัง้
ในหญ้ารกนัน
้ มีทาง เปลี่ยวอ้างว้าง ทางนัน
้ จึ่งปรากฏ ทอดไปจรดที่
ไร้คนเดิน ใจหวัง
ทากน้อยจึงทาเงิน เป็ นเงางามวะ ตราบใดที่หญ้ายัง ก็บังใจที่ไขว่
วามไว้ คว้า
รอว่าสักวันหนึ่ง ซึง่ ตะวันอัน การเกิดต้องเจ็บปวด ต้องร้าวรวด
อำไพ และทรมา
จะเกรีย
้ วกราดและฟาดไฟ ประลัยหญ้า ในสายฝนมีสายฟ้ า ในผาทึบมีถ้ำ
ลงย่อยยับ ทอง
เมื่อนัน
้ แหละเงินงาม รวีวามจะตาม มาเถิดมาทุกข์ยาก มาบั่นบากกับ
จับ เพื่อนพ้อง
เพชรผกายจะฉายวับ ขับเงินยวง อย่าหวังเลยรังรอง จะเรืองไรใน
แห่งช่วงทาง ชีพนี ้
ก้าวแรกที่เราย่าง จะสร้างทางใน ในน้ำทุกหยดน้ำ หรือใช่น้ำ
ทุกที่ เฉพาะใคร
ป่ าเถื่อนในปฐพี ยังมีไว้รอให้ ลมแดดหรือดินใด ล้วนสมบัติอัน
เดินฯ เป็ นกลาง
โลกนีค
้ ือที่อยู่ ให้หมู่สรรพ
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ สัตว์สร้าง
เลีย
้ งธรรมชาติวาง ตำแหน่งไว้ชั่ว
นิรันดร์

ไพวรินทร์ ขาวงาม

เพลงไทยของคนทุกข์

ด้วยธรรมนัน
้ เทียมเท่า แต่ใครเล่าที่
ครอบงำ
เอาเปรียบและเหยียบย่ำ มวลชีวิตจนผิด
ไป
บทพากย์นางลอย
ยิ่งคิดยิ่งกระสัน ยิ่งโศกเศร้าในวิ
๏ ดาวเดือนก็เลื่อนลับ แสงทองระยับโพยม
ญญา
หน
๏ พิศพื้นศิโรโรตม์ พระองค์โอษฐ์แล
จวบจวนพระสุริยน จะเยี่ยมยอดยุคนธร
นัยนา
๏ สมเด็จพระหริวงศ์ ภุชพงศ์ทิพากร
กรแก้มพระกัณฐา ก็แม้นเหมือนสีดาเดียว
เสด็จลงสรงสาคร กับองค์พระลักษณ์
๏ พิศทรวงแลดวงถัน ในเบื้องบัน
้ พระองค์
อนุชา
เรียว
๏ เสนาพฤฒามาตย์ โดยพระบาทเสด็จคลา
ชะรอยรูปสีดาเจียว ประจักษ์แล้วนะอกอา
เกือบใกล้จะถึงสา คเรศที่ท้าวเคยสรงชล
๏ พระเล็งลักษณเกศี สินีน้องจนบาทา
๏ พระเหลือบเล็งชลาสินธุ์ ในวารินทะเล
แทบท้าวจะมรณา พินาศแนบพระศพลง
วน
๏ พระพิโรธพิไรรัก สลักลั่นพระทรวงทรง
จึงเห็นรูปอสุรกล อันกลายแกล้งเปนสี
กันแสงสะอื้นองค์ อรอ่อนทอดถอนใจ
ดา
๏ จึงตรัสเรียกเจ้าร่วมรัก พ่อลักษณ์เอ่ย
๏ ผวาวิ่งประหวั่นจิต ไม่ทันคิดก็โศกา
จะทำไฉน
กอดแก้วกนิษฐา ฤดีดน
ิ ้ อยู่แดยันฯ
เจ้าสีดามาบรรลัย เสียจริงแล้วนะอกอา
๏ พระช้อนเกศขึน
้ วางตัก พิศพักตร์แล้ว
๏ ใจจิตพี่เพียงขาด พระเยาวราชมามรณา
รับขวัญ
โอ้โอ๋อนุชา อนาถนักประจักษ์ใจ
๏ พระลักษณ์เล็งลานเทวษ พระชลเนตร ว่าฆ่าโคตรวงศา จึงฆ่าพระน้องให้
เธอหลั่งไหล ตายแทน
โศกสองพระภูวไนย พระหฤทัยเธอฟั่ น ๏ เกิดฤๅจะรื้อรบ ตรลบวิ่งเข้าชิงแดน
เฟื อน ฟั นเสียให้นับแสน ให้เศียรขาดลงดาษดิน
๏ พระน้องเอยเสียดายนัก พระวรพักตร์ ๏ พระดาลเดือดแล้วดับได้ กลัวเทพไทจะ
ดังดวงเดือน ติฉิน
หาไหนจะได้เหมือน ไม่มีแล้วในโลกี ไฉนหนอพระยุพิน ยุพาพี่จะคืนเปน
๏ มาตรแม้นจะหาดวง วิเชียรช่วงเท่าคีรี ๏ พระน้องเอยแต่จากเจ้า ทุกค่ำเช้าแล
หาดวงพระสุริย์ศรี ก็จะได้ดุจดังใจ ยามเย็น
๏ จะหาโฉมให้เหมือนนุช จนสุดฟ้ า ยามเสวยพี่เคยเห็น ไม่เห็นเจ้าเราโศกา
สุราลัย ๏ จะประมวลเทวษไว้พระชลนัยน์ที่โหยหา
ตายแล้วแลเกิดใหม่ ไม่ได้เหมือนเจ้านฤมล ดินฟ้ าแลยมนา ไม่เท่าเทียมที่เรียม
๏ พระน้องเอยฤๅน้อยจิต เจ้าหวนคิด ตรอม
กระหวัดวน ๏ ทุกข์ทับบเหือดหาย พระวรกายก็ซูบผอม
ผูกศอให้เสียชนม์ สิน
้ ชีพแล้วจึงลอยมา ทุกข์เท่าที่พี่ตรอม แต่ก่อนเก่าบเท่าทัน
๏ ฤๅทศกัณฐ์มันโกรธ พิโรธเรากระมังหนา ๏ อันความทุกข์พี่ครัง้ นี ้ เปนสุดที่จะรำพัน
พ่างเพียงจะอาสัญ พระชนมชีพชีวา
๏ สีดาเอยถึงจะตาย จะวอดวายพระชนมา ๏ ด้วยพี่เปนเพื่อนยาก แสนลำบากระหกระ
จงเอื้อนโอษฐ์ออกเจรจา จะจากแล้วจงสั่งกัน เหิน
๏ เจ้าชายเนตรดูพี่บ้าง ให้พี่สร่างซึ่ง ในป่ าพนาเนิน คิรีห้วยแลเหวธาร
โศกศัลย์ ๏ แค้นด้วยมฤคมาศ ดังมัจจุราชมาตาม
เราจะร่วมพระเพลิงกัน ในเขตขัณฑ์พระคงคา ผลาญ
๏ ถ้าแต่แรกพี่ร้เู หตุ ว่าเยาวเรศจะมรณา ล่อลวงเจ้าดวงมาลย์ สมรพี่ให้พี่จร
เมื่อจากศรีอยุทธยา จะฝากไว้กับชนนี ๏ จึงทุกข์ทับอุระเรียม ยิ่งกรมเกรียมให้
๏ พี่กับพระอนุชา จะมาอยู่พนาลี อาวรณ์
ถ้วนครบสิบสี่ปี จะคืนเข้าพระเวียง สู้ยกพลากร มาต่อยุทธด้วยอสุรา
ไชย ๏ หมดมารพี่ผลาญสรรพ จึงจะรับ
๏ สีดาเอยชะรอยกรรม พระเคราะห์นำเข้า กนิษฐา
ดลใจ คืนเข้าอยุทธยา บุรีราชเมืองเรา
ห้ามเจ้าสักเท่าใด ไม่ฟังว่าอุส่าห์ตาม ๏ ยังมิทันจะผลาญโคตร ให้รากโษสนัน

๏ ทัง้ พระญาติวงศา พระมารดาก็ห้าม บางเบา
ปราม ควรฤๅพระนงเยาว์ มาสิน
้ ชีพเสียกลางคัน
ห้ามเจ้ามิฟังความ เจ้าวอนว่าอุส่าห์เดิน ๏ แม้นเจ้าม้วยในเมืองเรา พระศพเจ้าจะ
เฉิดฉัน
จะโสรจสรงสุคนธ์อัน กรลบด้วยกลิ่นสุมาลี ๏ อยุทธยาจะเย็นระย่อ ระทดท้ออยู่วังเวง
๏ พระโกศทองจะรองรับ สำหรับ ฝูงราษฎร์จะบรรเลง เมื่อถวายพระเพลิง
ราชเทวี ปลง
เชิญศพขึน
้ สู่สี วิกาแก้วอันเรืองรอง ๏ อนิจจาเจ้าเพื่อนไร้ มาบรรลัยอยู่เอองค์
๏ เข้าสูพ
่ ระเมรุมาศ อันโอภาสด้วยเทียน พี่จะได้สิ่งใดปลง พระศพน้องในหิมวา
ทอง ๏ จะเชิญศพพระเยาวเรศ เข้ายังนิเวศอ
แสงเพลิงจะเริงรอง ไปต้องศรีวิสูตรพราย ยุทธยา
๏ อัจกลับจงกลกลีบ ประทีปทองจะส่อง ทัง้ พระญาติวงศา จะพิโรธพิไรเรียม
ฉาย ๏ ว่าพีพ
่ ามาเสียชนม์ ในกระมลให้กรม
พู่ห้อยเพดานราย ระรวยรื่นรำเพยลม เกรียม
๏ พระวิสูตรจะวงวัง บัลลังก์ทพ
ิ ยบรรทม จะเกลี่ยทรายขึน
้ ทำเทียมต่างแท่นทิพยบรรทม
รูปภาพจะเคียมคม กินรฟ้ อนอยู่ผาดผัน ๏ จะอุ้มองค์ขน
ึ ้ ต่างโกศ เอาพระโอษฐ์มาระ
๏ อีกพระญาติวงศา ก็จะมาประชุมกัน งม
แสนสาวพระกำนัล จะนอบน้อมประนมกร ต่างเสียงพระสนม อันร่ำร้องประจำเวร
๏ ยามค่ำจะร่ำไห้ วิเวกใจให้อาวรณ์ ๏ สาครจะต่างเมือง สีขรเนื่องจะต่างเมรุ
เสียงสังข์แลแตรงอน จะประโคมอยู่ครืน มังกรโตกิเลน จะต่างพาหนะยนต์
เครง
๏ ดาวเดือนจะต่างเทียน วิเชียรแก้ว ขับเคี่ยวประจำกัน เจียนจะสิน
้ ลงหลาย
กลีบจงกล ครา
เมฆหมอกในเวหน จะต่างพู่แลเพดาน ๏ ไม่คิดกายเสียดายรัก กับเจ้าลักษณ์อนุชา
๏ พฤกษาจะต่างฉัตร สุวรรณรัตน์อันไพศาล คุมพลโยธา มาถมทางในวารี
ดอกไม้ในหิมพานต์ จะต่างพุ่มอยู่เรียงราย ๏ หวังจะรับพระนุชคืน ไปชมชื่นในกรุงศรี
๏ ฟากฝั่ งมหรรณพ จะวงศพเจ้าโฉมฉาย พี่มาพบแต่ซากผี สีดาพี่น่าน้อยใจ
ต่างศรีวิสูตรสาย สุวรรณรัตน์อันอำไพ ๏ เสียแรงรู้พระเวทมนตร์ ทัง้ ศรพลอัน
๏ เสียงคลื่นจะต่างกลอง พิณพาทย์ฆ้อง เกรียงไกร
ประโคมใน เจ้าสีดามาบรรลัย จะทำศึกไปไยมี
จักรจั่นแลเรไร จะต่างสังข์แลเสภา ๏ คทาธรแลศรขรรค์ จะหักสะบัน
้ ให้ยับยี
๏ จะเก็บพรรณไม้หอม มารวมล้อมขึน
้ บูชา โยนเข้าเผาอัคคี ให้ม้วยไหม้จะตาย
เชิญศพเจ้าสีดา ขึน
้ วางไว้ในเพลิงรุม ตาม
๏ จะอุ้มองค์เข้ากว่าจะม้วย จะตายด้วย ๏ เจ้าลักษณ์เอยถ้าพี่ม้วย เพราะตาย
เมื่อไฟชุม ด้วยเจ้าโฉมงาม
ร้อนเร่าฤทัยจุม พลราชเธอรำพัน อย่าคิดแค้นทำสงคราม จงคืนเข้าอยุทธยา
๏ แค้นคิดบรู้หาย เสียดายทำสงครามขัน ๏ แม้นพระแม่เจ้าทัง้ สาม จะถามถึงพระ
พี่ยา
อีกทัง้ เจ้าสีดา อย่าทูลว่าพี่บรรลัย เหลือแต่หทยางค์ ระริกริกอยู่ริมทรวง
๏ พระชนนีจะสร้อยเศร้า พระญาติเรา ๏ ทึกทึกสะท้อนจิต นิ่งสนิทฤดีดวง
จะร่ำไร ดังหนึ่งจะสูญทรวง สวรรคตนิคาลัย ฯ
จงว่าพี่นอ
ี ้ ยู่ไพร ประพฤติเพศเปนมุนี
๏ สั่งพลางพระทางร่ำแต่แรกย่ำอรุณศรี รัชกาลที่ ๒
จวบจวนพระรวี จะบ่ายเบี่ยงลง
ยอแสง
๏ พระกำลังสลดเลือด พระพักตร์เผือดลง
โรยแรง กาพย์เห่เรือ
พระวรกายก็เย็นแสยง สยองเส้นพระโลมา
๏ สิน
้ เสียงก็สน
ิ ้ สัง่ แลสิน
้ ทัง้ พระเขฬา บุษบงก็เบิกบาน ขึน
้ ชูก้านกลีบ

เหือดแห้งพระกัณฐา พระนัยน์เนตรก็หลับ ขยาย

ลง น้ำค้างพร่างพร่างพราย ลมโชย

๏ พระเสโทธโซมซาบ ก็ไหลอาบพระทรวง ชายพิรุณเชย

ทรง ชุ่มชื่นชื้นบุปผา หอมผกา

เอนแอบพระองค์ลง กับเกศแก้วกุณฑลนาง กลิ่นระเหย

๏ สิน
้ โสตพระนาสา พระวาตาก็อับปาง
เย็นธรรมพระรำเพย ที่พัดพื้น เสียงขับส่งศัพท์ขาน คือ
พสุธา สัตว์ส่ำซึ่งร่ำเสียง
ปั กษินก็บินร่อน แลวะ เริงเร้าเหนือเงาร่ม สำราญ
ว่อนว่ายเวหา รมย์แลรายเรียง
วนเวียนเปลี่ยนไปมา ระเริงร่า ร้องขานผสานเคียง
สำราญใจ ผสมคู่สมสูค
่ า
ไม้ดอกพันลอกดวง ผลิ
นายฉันท์ ขำวิไล ผลพวงรำเพยพา
ห้อมให้หัวใจหา และหอม
วรรณวิเคราะห์
ให้หัวใจเห็น
ชื่นฉ่ำถึงธรรมชาติ
มองฟ้ ายังฝ่ าฝน อันมืดมน
หลังน้ำหยาดละอองเย็น
เสมอมี
ชีพปวงลุล่วงเป็ น
มัวซัวสลัวสี ยะเยือก
ชีวิตบ่มเพาะสมบูรณ์
หนาวอยู่ยาวนาน
เหม่อมองแล้วหมองหม่น ทวี
พฤกษ์ไพรไสวพริว้ วะ
คนทวีคูณ
ไหวหวิวกับวันวาร
โลกสวยพลันม้วยสูญ มิ เครื่องหลังที่รงั ้ ไหล่ วางแอบไว้ใน
หอมหวานเช่นวานวัน ฯ ซอกผา
บรรทุกเนิ่นนานมา รอยบ่า
คมทวน คันธนู ช้ำยังย้ำเตือน
เอนร่างหว่างโขดหิน สัมผัสดิน

กาพย์ยานีลำนำ สิบเอ็ด ใต้แสงเดือน

คำจำอย่าคลาย ถอนใจไหวสะเทือน สะท้าน

วรรคหน้าห้าคำหมาย วรรค ลมห่มราตรี

หลังหกยกแสดง ความเงียบยังเยียบลึก ความ

ครุ ลหุนน
ั้ ไม่ รู้สึกยังล้นปรี่

สำคัญอย่าระแวง พึมพำคำกวี

สัมผัสต้องจัดแจง ให้ถูก เป็ นข่าวฝากจากดอยไกล

ต้องตามวิธี จิ
รนันท์ พิตรปรีชา
กำ
ชัย ทองหล่อ
แลลำแม่น้ำกว้าง ทัง้ สอง
ข้างทางชลธี
หญิงชายมากมายมี มา
อห ังการ์ของดอกไม้
ชื่นชมราชสมภาร
สวยสวยแม่สาวสาว ผัดหน้า
สตรีมีสองมือ มั่นยึดถือ
ขาวในคราวงาน
ในแก่นสาร
นวลแป้ งแต่งตระการ เจ้า
เกลียวเอ็นจักเป็ นงาน มิใช่ร่าน
นวลพริง้ ยิ่งนวลปลา
หลงแพรพรรณ
นั่นแน่แม่คนนัน

สตรีมีสองตีน ไว้
เบือนหน้าหันหนีนัยนา
ป่ ายปี นความใฝ่ ฝั น
อย่าอายเลยสายตา จัก
ยืนหยัดอยู่ร่วมกัน มิหมาย
ถูกว่าปลาคางเบือน
มั่นกินแรงใคร
พระราชวร สตรีมีดวงตา เพื่อเสาะ
วงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ หาชีวิตใหม่
มองโลกอย่างกว้างไกล มิใช่คอย
ชะม้อยชวน
สตรีมีดวงใจ เป็ นดวง
ไฟมิผันผวน
สร้างสมพลังมวล ด้วยเธอ
น้ำตาเปรียบเหมือนเพื่อน คอยตักเตือน
ล้วนก็คือคน
กระตุ้นใจ
สตรีมีชีวิต ล้างรอย
ยามชื่นรื่นฤทัย น้ำตาไหลหลั่งเปรม
ผิดด้วยเหตุผล
ปรีดิ ์
คุณค่า "เสรีชน" มิใช่ปรน
หยาดเยิม
้ เป็ นหยาดแย้ม อาบสองแก้ม
กามารมณ์
แกมยินดี
ดอกไม้มีหนามแหลม มิใช่แย้ม
ยามสุขสุดทวี น้ำตาปรี่ประปราง
คอยคนชม
ทอง
บานไว้เพื่อสั่งสม ความ
ดีใจก็ไหลหลั่ง โศกเศร้าคลั่งก็หลั่ง
อุดมแห่งแผ่นดิน
นอง
สบรักรักสนอง หลังหล่อคลอง
จิรนันท์ พิตร
นัยนา
ปรีชา
ชิงชังก็ไหลหลัง่ โกรธเกลียดใครก็ไหล
มา
ยามเกิดเกิดปรีดา เกิดน้ำตาตื้นตันใจ
ยามตายใจสร้อยเศร้า น้ำตาเคล้าเศร้าหทัย กาพย์เห่ชมเครือ
่ งคาว
ยามบวชบ่มบุญไป น้ำตาไหลเพราะอิ่ม
๏ มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
บุญ
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ ฝั นหา
แต่งงานบานจิตเคลิม
้ น้ำตาเยิม
้ เสริมสุข
๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด วางจานจัดหลายเหลือ
หนุน
ตรา
พลาดรักอกหักรุน น้ำตาหลั่งถั่งนัยน์ตา
รสดีด้วยน้ำปลา ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ
พบกันพลันยินดี น้ำตาปรี่เพราะปรีดา
๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม เจือน้ำส้มโรย
จากกันพลันโศกา น้ำตาไหลใจอาวรณ์
พริกไทย
น้ำตาเปรียบเหมือนเพื่อน คอยตักเตือน
โอชาจะหาไหน ไม่มีเทียบเปรียบมือ
อนุสรณ์
นาง
เศร้าสุขทุกข์ม้วยมรณ์ รื่นเริงใจใช้น้ำตา
๏ หมูแนมแหลมเลิศรส พร้อมพริกสดใบ
ระบายความในจิต จึงเหมือนมิตรเสน่หา
ทองหลาง
คู่ทุกข์คู่ชีวา เห็นใจฉันนิรันดร์
พิศห่อเห็นรางชาง ห่างห่อหวนป่ วนใจ
เอย
โหย
๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น วางถึงลิน
้ ดิน
้ แดโดย
กำชัย ทองหล่อ
รสทิพย์หยิบมาโปรย ฤๅจะเปรียบเทียบทัน
ขวัญ
๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง เป็ นมันย่องล่องลอย ๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง นอนเตียงทองทำ
มัน เมืองบน
น่าซดรสครามครัน ของสวรรค์เสวยรมย์ ลดหลั่นชัน
้ ชอบกล ยลอยากนิทรคิดแนบ
๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า ทำน้ำยาอย่าง นอน
แกงขม ๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า รุ่มรุ่มเร้าคือไฟ
กลอ่อมกล่อมเกลีย
้ งกลม ชมไม่วายคล้าย ฟอน
คล้ายเห็น เจ็บไกลในอาวรณ์ ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลาง
๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ รสพิเศษใส่ลก
ู เอ็น ทรวง
ใครหุงปรุงไม่เป็ น เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ ๏ รังนกนึ่งน่าซด โอชารสกว่าทัง้ ปวง
ทำ นกพรากจากรังรวง เหมือนเรียมร้างห่าง
๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม แกงคั่วส้มใส่ระกำ ห้องหวน
รอยแจ้งแห่งความขำ ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตราก ๏ ไตปลาเสแสร้งว่า ดุจวาจากระบิด
ตรอม กระบวน
๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด ฟุ ้งปรากฏรสหื่นหอม ใบโศกบอกโศกครวญ ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ
คิดความยามถนอม สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์ ๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง เป็ นโฉมน้องฤๅ
โฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน ใคร่ครวญรักผักหวาน เป็ นนัยไม่เคลือบแคลง แจ้งว่าเจ้าเศร้าโศก
นาง ๚ เหลือ
๏ ซ่าหริ่มลิม
้ หวานล้ำ แทรกใส่น้ำกะทิเจือ
วิตกอกแห้งเครือ ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย
๏ ลำเจียกชื่อขนม นึกโฉมฉมหอมชวย
โชย
ไกลกลิ่นดิน
้ แดโดย โหยไห้หาบุหงางาม
๏ มัศกอดกอดอย่างไร น่าสงสัยใคร่ขอถาม
กอดเคล้นจะเห็นความ ขนมนามนีย
้ ังแคลง
๏ ลุดตี่นน
ี ้ ่าชม แผ่แผ่นกลมเพียงแผ่น
แผง
โอชาหน้าไก่แกง แคลงของแขกแปลก
กลิ่นอาย
กาพย์เห่ชมเครือ
่ งหวาน ๏ ขนมจีบเจ้าจีบห่อ งามสมส่อประพิมพ์
ประพาย
๏ สังขยาหน้าตัง้ ไข่ ข้าวเหนียวใส่สีโศก นึกน้องนุ่งจีบกราย ชายพกจีบกลีบแนบ
แสดง เนียน
๏ รสรักยักลำนำ ประดิษฐ์ทำขนมเทียน เรียมร่ำคำนึงปอง สะอิง้ น้องนัน
้ เคยยล
คำนึงนิว้ นางเจียน เทียนหล่อเหลาเกลา ๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม คิดบัวกามแก้วกับตน
กลึงกลม ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล สถนนุชดุจประทุม
๏ ทองหยิบทิพย์เทียมทัด สามหยิบชัด ๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส หอมปรากฏกลโกสุม
น่าเชยชม คิดสีสไลคลุม หุ้มห่อม่วงดวง
หลงหยิบว่ายาดม ก้มหน้าเมินเขินขวยใจ พุดตาน
๏ ขนมผิงผิงผ่าวร้อน เพียงไฟฟอนฟอก ๏ ฝอยทองเป็ นยองใย เหมือนเส้นไหมไข่
ทรวงใน ของหวาน
ร้อนนักรักแรมไกล เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง คิดความยามเยาวมาลย์ เย็บชุนใช้ไหมทองจีน
๏ รังไรโรงด้วยแป้ ง เหมือนนกแกล้วทำรัง ๚
รวง
โอ้อกนกทัง้ ปวง ยังยินดีด้วยมีรัง รัชกาลที่ ๒

๏ ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดคิด
ความหลัง
สองปี สองปิ ดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง
๏ งามจริงจ่ามงกุฏ ใส่ช่ อ
ื ดุจมงกุฏทอง
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วย
กำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ หวนคิดถึงเจ็บกาย

รัชกาลที่ ๖

ความร ักเหมือนโรคา

ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้
มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขัง
ไว้
ก็โลดออกจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง

You might also like