Professional Documents
Culture Documents
กิตติกรรมประกำศ
สำรบัญ
หน้า
คานา
บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
สารบัญ ค
บทที่ 1 บทนา 1
ความเป็ นมาและความสาคัญของปั ญหา 1
วัตถุประสงค์การวิจยั 2
สมมติฐานของการศึกษา 3
ความสาคัญของการศึกษาค้นคว้า 3
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า 3
นิยามศัพท์เฉพาะ 3
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 5
หลักสู ตร 5
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับคณิ ตศาสตร์ 9
ชุดฝึ กทักษะเรื่ องการคูณ 13
ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน 15
งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 23
บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจยั 26
ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 26
เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั 26
ขั้นตอนในการสร้างเครื่ องมือ 26
ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล 26
การวิเคราะห์ขอ้ มูล 27
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 27
ง
สำรบัญ ( ต่ อ )
หน้า
บทที่ 4 ผลการดาเนินการวิจยั 28
บทที่ 5 สรุ ปผลอภิปรายผล 29
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
แบบทดสอบก่อนเรี ยน
แบบทดสอบหลังเรี ยน
แบบฝึ กทักษะคณิ ตศาสตร์ เรื่ องโจทย์ปัญหาการบวก การลบ
ประวัติผรู้ ายงาน
บทที่ 1
บทนำ
พื้ น ฐาน ในสิ่ ง ที่ คิ ด และคิ ด ได้หรื อคิ ดเป็ นกระบวนการคิ ดจนทาให้เกิ ดทักษะสามารถนาไปใช้
แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เสมอ
จากสภาพปั ญหาดัง กล่ าว เพื่อให้ประสบผลสาเร็ จในการสอนเรื่ องการคูณ ระดับ ชั้น
ประถมศึก ษาปี ที่ 3 และการสอนคณิ ต ศาสตร์ เ พื่อ พัฒ นาการแก้ปั ญ หานั้น เนื่ อ งจากการคูณ
ต้องอาศัย ความรู ้ ค วามเข้า ใจตลอดจนทัก ษะเข้า ด้วยกัน เพื่อนาไปใช้ใ นการหาคาตอบ ครู ควร
จัดกิจกรรมให้สนุ กๆ เพื่อให้นกั เรี ยนมีโอกาสประสบความสาเร็ จในการเรี ยน และเกิดเจตคติที่ดี
และเพื่ อ ให้ผู เ้ รี ย นบรรลุ ผ ลตามมาตรฐานกลุ ่ ม สาระการเรี ย นรู ้ ค ณิ ต ศาสตร์ ผูส้ อนจะต้อ ง
ศึก ษาวิเ คราะห์ ม าตรฐานหลัก สู ต รมาตรฐานกลุ ่ ม สาระการเรี ย นรู ้ ค ณิ ต ศาสตร์ ร วมทั้ ง
เอกสารประกอบกับ หลัก สู ต รการศึก ษาขั้น พื้ น ฐานพ.ศ.2551 มีค วามยืด หยุ ่น สามารถจัด
กิ จกรรมการเรี ยนรู ้ ตามความเหมาะสมของผูเ้ รี ยน
จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี / หลักการ สภาพปั ญหา และความจาเป็ นดังกล่าวนั้น ครู ควรใช้
เทคนิ คหลายๆประการเพื่อไม่ให้เด็กเกิ ดความคับข้องใจ หรื อขาดแรงจูงใจในการแก้ปัญหา การ
สอนให้นกั เรี ยนคิด ทาให้นกั เรี ยนมีความเห็นชอบ และรู้จริ ง การสอนให้นกั เรี ยนเห็นชอบทาให้
นักเรี ยนแก้ปัญหาได้และทาให้นกั เรี ยนเติบโตขึ้นอย่างมีอิสรภาพ และหากนักเรี ยนมีโอกาสฝึ ก
ทักษะหลายๆข้อ แล้วนักเรี ยนจะมีความชานาญและเฉลียวฉลาดขึ้น ทาให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน
ของนักเรี ยนดี ข้ ึ น การใช้ชุดฝึ กทักษะเป็ นเครื่ อ งมือ ที่ใช้ฝึกทักษะในการคูณ ช่ วยให้ผเู ้ รี ยนเข้าใจ
เนื้ อหาดียิ่งขึ้น และสามารถหาคาตอบได้ถูกต้อง ชุดฝึ กทักษะที่สร้างสามารถช่วยในการแก้ปัญหาของ
นักเรี ยนโดยใช้ชุดฝึ กทักษะคณิ ตศาสตร์ เรื่ องการคูณ ส่ งผลให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนหลังเรี ยน
ด้วยชุดฝึ กเสริ มทักษะสู งกว่า ก่อนเรี ยนด้วยชุดฝึ กทักษะเสริ มทักษะอย่างมีนยั ทางสถิติที่ดีข้ ึน
จากเหตุผลดังกล่าว ทาให้ผวู ้ จิ ยั ได้ศึกษา ค้นคว้าสนใจที่จะพัฒนาชุดฝึ กทักษะการคูณ ในวิช า
คณิ ตศาสตร์ สาหรั บ นัก เรี ย นชั้นประถมศึ ก ษาปี ที่ 3 เพื่ อให้นัก เรี ย นมี ท ัก ษะ ในการ แก้โจทย์
ปั ญ หาอย่า งจริ ง จัง อัน เป็ นแนวทางหนึ่ ง ที่ จ ะช่ ว ยพัฒ นาความรู ้ ทัก ษะ และเจตคติ ต่ อ การ
เรี ย นวิช าคณิ ตศาสตร์ รวมทั้ง เป็ นแนวทางในการปฏิ บ ัติ หน้า ที่ ข องครู ผูส้ อนในการปรั บ ปรุ ง
ส่ ง เสริ ม การจัดกิ จกรรมการเรี ย นการสอนวิช าคณิ ตศาสตร์
1.2 วัตถุประสงค์ กำรวิจัย
1.2.1 เพื่อศึกษาผลของการใช้ชุดฝึ กทักษะเรื่ องการคูณที่มีต่อผลการเรี ยนของนักเรี ยนชั้น
ประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรี ยนบ้านปากถัก
1.2.2 เพื่อเปรี ยบเทียบผลการเรี ยนก่อนและหลังเรี ยน เรื่ องการคูณของนักเรี ยนชั้น
ประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรี ยนบ้านปากถัก
3
1.3 สมมติฐำนของกำรศึกษำ
นัก เรี ย นที่ เ รี ย นโดยใช้ชุ ด ฝึ กทัก ษะการคู ณ หลัง เรี ย นมี ผ ลการเรี ยนสู งกว่าก่อนเรี ยน
1.4 ขอบเขตของกำรศึกษำค้ นคว้ำ
1. 4.1. ประชำกร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ได้แก่ นักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 ภาคเรี ยนที่ 2
ปี การศึกษา 2561 โรงเรี ยนบ้านปากถัก สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพังงา จานวนนักเรี ยน
21 คน
1.4.2. ตัวแปร
ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ชุดฝึ กทักษะเรื่ องการคูณ ที่ผศู ้ ึกษาได้สร้างขึ้น
ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลการเรี ยน เรื่ อง การคูณของนักเรี ยน ชั้น ประถมศึกษาปี ที่ 3
โรงเรี ยนบ้านปากถัก
1. 4.3. เนือ้ หำในกำรศึกษำ
เนื้อหาที่ใช้สอน คือ เนื้อหาวิชาคณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 เรื่ องการคูณ
1. 4.4. ระยะเวลำทีใ่ ช้ ในกำรทดลอง
ดาเนินการในภาคเรี ยนที่ 2 ปี การศึกษา 2561 ระหว่าง เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือน
มีนาคม พ.ศ. 2561 จานวน 10 ชัว่ โมง ทาการทดลองโดยการสอนซ่ อมเสริ ม ไม่รวมการทดสอบก่อน
เรี ยนและหลังเรี ยน
1.5 นิยำมศัพท์เฉพำะ
1. ชุดฝึ กทักษะ หมายถึง งานหรื อกิจกรรมที่ครู สร้างขึ้นโดยมีรูปแบบกิจกรรมหลากหลาย
มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึ กให้นกั เรี ยนมีความรู ้ความเข้าใจบทเรี ยนได้ดียงิ่ ขึ้น และช่วยฝึ กทักษะต่าง ๆ ให้
ผูเ้ รี ยนเกิดการเรี ยนรู ้อย่างแท้จริ ง อาจให้นกั เรี ยนทาชุดฝึ กทักษะขณะเรี ยนหรื อหลังจากจบบทเรี ยน
ไปแล้วก็ได้
2. ชุดฝึ กทักษะการคูณ หมายถึง ชุดฝึ กทักษะที่ผศู ้ ึกษาค้นคว้าได้สร้างขึ้น เพื่อนาไปใช้
ประกอบการเรี ยนการสอนคณิ ตศาสตร์ ของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 เรื่ องการคูณ โดยมี
จุดมุ่งหมายเพื่อฝึ กให้นกั เรี ยนมีความรู ้ความเข้าใจบทเรี ยนได้ดียงิ่ ขึ้น และมีผลสัมฤทธิ์ หหลังเรี ยน
สู งกว่าก่อนเรี ยน
3. ผลการเรี ยน หมายถึง ความสามารถของนักเรี ยนในด้านการคูณ ซึ่ งเกิดจากนักเรี ยน
ได้รับประสบการณ์จากกระบวนการเรี ยนการสอนของครู โดยที่ครู ได้ศึกษาและสร้างเครื่ องมือวัด
และประเมินผล
4
ตัวแปรต้ น ตัวแปรตำม
5.3 ผลการใช้ แ บบฝึ กทัก ษะคณิ ต ศาสตร์ ที่ มี ต่ อ ผลสั ม ฤทธิ์ และเจตคติ
ทางการเรี ย นคณิ ต ศาสตร์ ข องนัก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 6 โรงเรี ย นเคหะประชา
สามัค คี จัง หวัด นครราชสี ม า
5.4 การพัฒ นากิ จ กรรมการเรี ย นรู ้ วิ ช คณิ ต ศาสตร์ โดยใช้ แ บบฝึ กเสริ ม
ทัก ษะการคิ ด คานวณเรื่ อ งการหาร ของนัก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 2
5.5 การพัฒ นาชุ ด ฝึ กทัก ษะการแก้ โ จทย์ปั ญ หาคณิ ต ศาสตร์ เรื่ อง การบวก
การลบ ชั้น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 2
1. หลักสู ตร
1.1 หลักสู ตรกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ คณิตศำสตร์ ตำมหลักสู ตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้น
พืน้ ฐำน พุทธศักรำช 2551
คณิ ตศาสตร์ มีบทบาทสาคัญยิง่ ต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ทาให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์
คิดอย่างมีเหตุผล เป็ นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรื อสถานการณ์ได้อย่างถี่ถว้ นรอบคอบ
ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสิ นใจ แก้ปัญหา และนาไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
นอกจากนี้คณิ ตศาสตร์ ยงั เป็ นเครื่ องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์ อื่น ๆ
คณิ ตศาสตร์ จึงมีประโยชน์ต่อการดาเนินชีวติ ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวติ ให้ดีข้ ึน และสามารถอยูร่ ่ วมกับผูอ้ ื่น
ได้อย่างมีความสุ ข
วิสัยทัศน์
การศึกษาคณิ ตศาสตร์ สาหรับหลักสู ตรการศึกษาแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
๒๕๕๑ เปิ ดโอกาสให้เยาวชนทุกคนได้เรี ยนรู้คณิ ตศาสตร์ อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตตามศักยภาพ
ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนเป็ นผูม้ ีความรู ้ความสามารถทางคณิ ตศาสตร์ที่พอเพียง สามารถนาความรู้
ทักษะและกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ ที่จาเป็ นไปพัฒนาคุณภาพชีวติ ให้ดียงิ่ ขึ้น รวมทั้งสามารถ
นาไปเป็ นเครื่ องมือในการเรี ยนรู ้สิ่งต่าง ๆ และเป็ นพื้นฐานสาหรับการศึกษาต่อ ดังนั้นจึงเป็ นความ
รับผิดชอบของสถานศึกษาที่ ต้องจัดสาระการเรี ยนรู ้ที่เหมาะสมแก่ผเู ้ รี ยนแต่ละคน ทั้งนี้เพื่อให้
บรรลุตามมาตรฐานการเรี ยนรู ้ที่หลักสู ตรกาหนดไว้
สาหรับผูเ้ รี ยนที่มีความสามารถทางคณิ ตศาสตร์ และต้องการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ มากขึ้น ให้
ถือเป็ นหน้าที่ของสถานศึกษาที่จะต้องจัดโปรแกรมการเรี ยนการสอนให้แก่ผเู ้ รี ยน เพื่อให้ผเู ้ รี ยนได้
มีโอกาสเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ เพิ่มเติมตามความถนัดและความสนใจ ทั้งนี้เพื่อให้เป็ นผูเ้ รี ยนมีความรู้ที่
ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ
7
หลักกำร
หลักสู ตรสถานศึกษาโรงเรี ยนบ้านน้ าริ น (ดอยสะเก็ดศึกษา ) ได้ใช้หลักการพัฒนาหลักสู ตร
ตามแบบของหลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่ งมีหลักการที่สาคัญ ดังนี้
๑. เป็ นหลักสู ตรการศึกษาเพื่อความเป็ นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการ
เรี ยนรู้ เป็ นเป้ าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบน
พื้นฐาน ของความเป็ นไทยควบคู่กบั ความเป็ นสากล
๒. เป็ นหลักสู ตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ
ภาค และมีคุณภาพ
๓. เป็ นหลัก สู ตรการศึ ก ษาที่ ส นองการกระจายอานาจ ให้สั ง คมมี ส่ วนร่ วมในการจัด
การศึกษา ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น
๔. เป็ นหลักสู ตรการศึกษาที่มีโครงสร้ างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรี ยนรู ้ เวลาและการจัด
การเรี ยนรู้
๕. เป็ นหลักสู ตรการศึกษาที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ
๖. เป็ นหลัก สู ต รการศึ ก ษาส าหรั บ การศึ ก ษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธ ยาศัย
ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้ าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรี ยนรู ้ และประสบการณ์
จุดหมำย
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความมุ่งหมายในการพัฒนาผูเ้ รี ยนให้เป็ นคนดี มี
ปัญญา มีความสุ ข
มีศกั ยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็ นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผูเ้ รี ยน เมื่อ
จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้
๑. มี คุณธรรม จริ ยธรรม และค่านิ ยมที่ พึงประสงค์ เห็ นคุ ณค่าของตนเอง มี วินัยและ
ปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรื อศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง
๒. มีความรู ้ ความสามารถในการสื่ อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมี
ทักษะชีวติ
๓. มีสุขภาพกายและสุ ขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกาลังกาย
๔. มีความรักชาติ มีจิตสานึ กในความเป็ นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมัน่ ในวิถีชีวิตและ
การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริ ยท์ รงเป็ นประมุข
8
2.3 แนวคิดและทฤษฎีทำงคณิตศำสตร์
สุ คนธ์ สิ นธพานนท์ (2553, น.98-100) ได้กล่าวว่า ในการสร้างชุดฝึ กทักษะการเรี ยนรู ้ที่
เหมาะสม และสามารถนาไปใช้ในการเรี ยนรู ้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพนั้นจาเป็ นต้องนาหลักจิตวิทยา
และหลักการสอนมาเป็ นพื้นฐานในการจัดทาด้วย
2.3.1. ทฤษฎีการสอนของบรู เนอร์ (Bruner’s Instruction Theory) กล่าวว่าการที่ครู จะจัดการ
เรี ยนการสอนให้กบั นักเรี ยนนั้น จะต้องพิจารณาหลักการ 4 ประการ คือ
1. แรงจูงใจ (Motivation) ซึ่ งมีท้ งั แรงจูงใจที่เกิดจากภายในตัวนักเรี ยนเอง จะทาให้เกิด
ความปรารถนาที่จะเรี ยนรู ้ และความต้องการความสาเร็ จ นอกจากนั้นยังมีแรงจูงใจที่ตอ้ งการเข้า
ร่ วมงานกับผูอ้ ื่น และรู ้จกั ทางานด้วยกัน กล่าวได้วา่ ครู จะต้องทาให้นกั เรี ยนเกิดความปรารถนาที่จะ
รู ้ โดยการจัดการทาให้นกั เรี ยนมีแรงจูงใจมากขึ้น เพื่อนักเรี ยนจะได้พยายามสารวจทางเลือกต่างๆ
อย่างมีความหมาย และพึงพอใจอันจะนาไปสู่ เป้ าหมายที่ตอ้ งการ
2. โครงสร้างของความรู้ (Structure of Knowledge) มีการเสนอเนื้ อหาให้กบั นักเรี ยนใน
รู ปแบบที่ง่ายเพียงพอที่ผเู ้ รี ยนสามารถเข้าใจได้ เช่น เสนอโดยให้กระทาจริ ง ใช้รูปภาพ ใช้
สัญลักษณ์มีการเสนอข้อมูลอย่างกระชับ เป็ นต้น
3. ลาดับขั้นของการเสนอเนื้ อหา (Sequence) ผูส้ อนควรเสนอเนื้อหาตามขั้นตอน และควร
เสนอในรู ปแบบของการกระทามากที่สุด ใช้คาพูดน้อยที่สุดต่อจากนั้นจึงค่อยเสนอเป็ นแผนภูมิหรื อ
รู ปภาพต่างๆ สุ ดท้ายจึงค่อยเสนอเป็ นสัญลักษณ์หรื อคาพูด ในกรณี ที่ความรู ้พ้นื ฐานของนักเรี ยนดี
พอแล้วครู ก็สามารถเริ่ มการสอนด้วยการใช้สัญลักษณ์ได้เลย
4. การเสริ มแรง (Reinforcement) การเรี ยนรู้จะมีประสิ ทธิภาพถ้ามีการให้การเสริ มแรงเมื่อ
นักเรี ยนสามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตามเป้ าหมายที่กาหนดให้
2.3.2. ทฤษฎี ก ารเชื่ อ มโยง (Connectionism) ของธอร์ น ไดค์ ซึ่ งทิ ศ นา แขมมณี
(2555, น.51) ได้ก ล่ า วว่ า ธอร์ น ไดค์ เ ชื่ อ ว่ า การเรี ย นรู ้ เ กิ ด จากการเชื่ อ มโยงระหว่ า งสิ่ ง เร้ า
กับ การตอบสนอง ซึ่ งมี ห ลายรู ป แบบ บุ ค คลจะมี ก ารลองผิ ด ลองถู ก ปรั บ เปลี่ ย นไปเรื่ อยๆ
จนกว่ า จะพบรู ป แบบการตอบสนองที่ ส ามารถให้ ผ ลที่ พึ ง พอใจมากที่ สุ ด เมื่ อ เกิ ด การ
เรี ย นรู้ แ ล้ว บุ ค คลจะใช้รู ป แบบการตอบสนองที่ เ หมาะสมเพี ย งรู ป แบบเดี ย ว และจะ
11
พยายามใช้ รู ป แบบนั้น เชื่ อ มโยงกับ สิ่ ง เร้ า ในการเรี ย นรู ้ ต่ อ ไปเรื่ อยๆ กฎการเรี ยนรู ้
ของธอร์ น ไดค์ ส รุ ปได้ ดัง นี้
2.3.2.1 กฎแห่ ง ความพร้ อ ม การเรี ย นรู ้ จ ะเกิ ด ขึ้ น ได้ดี ถ้ า ผู ้เ รี ย นมี ค วามพร้ อ มทั้ง
ร่ า งกาย และจิ ต ใจ
2.3.2.2 กฎแห่ ง การฝึ กหั ด การฝึ กหั ด หรื อการกระทาบ่ อ ยๆ ด้ ว ยความเข้า ใจจะ
ทาให้ ก ารเรี ย นรู ้ น้ ั น คงทนถาวร ถ้า ไม่ ไ ด้ก ระทาซ้ า บ่ อ ยๆ การเรี ย นรู ้ น้ ั น จะไม่ ค งทนถาวร
และในที่ สุ ด อาจลื ม ได้
2.3.2.3 กฎแห่ ง การใช้ การเรี ย นรู ้ เ กิ ด จากการเชื่ อ มโยงระหว่ า งสิ่ ง เร้ า กับ การ
ตอบสนอง ความมั่น คงของการเรี ย นรู ้ จ ะเกิ ด ขึ้ น หากได้มี ก ารนาไปใช้ บ่ อ ยๆ หากไม่ มี
การใช้ อ าจมี ก ารลื ม เกิ ด ขึ้ นได้
2.3.2.4. กฎแห่ ง ผลที่ พ อใจ เมื่ อ บุ ค คลได้ รั บ ผลที่ พึ ง พอใจย่ อ มอยากจะเรี ย นรู ้
ต่ อ ไป แต่ ถ้ า รั บ ผลที่ ไ ม่ พึ ง พอใจจะไม่ อ ยากเรี ยนรู ้ ดัง นั้น การได้ รั บ ผลที่ พึ ง พอใจ จึ ง เป็ น
ปั จ จัย สาคัญ ในการเรี ย นรู้
2.3.3. ทฤษฎี ก ารเรี ยนรู้ ก ารวางเงื่ อ นไข (The Condition of Learning) กาเย่ ไ ด้
ศึ ก ษาแนวคิ ด ทฤษฎี ก ารเรี ยนรู ้ ข องนัก จิ ต วิ ท ยากลุ่ ม พฤติ ก รรมนิ ย ม ปั ญ ญานิ ย ม และ
มนุ ษ ยนิ ย ม และได้นาแนวคิ ด เหล่ า นั้น มาประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ นการอธิ บ ายพฤติ ก รรมมนุ ษ ย์ใ น
สั ง คม ส่ ว นใหญ่ เ ขาจะเน้ น ไปทางแนวคิ ด ของนัก จิ ต วิ ท ยาของกลุ่ ม ปั ญ ญานิ ย ม กาเย่ ไ ด้
เสนอแนวทางการจัด การเรี ย นการสอนในห้ อ งเรี ย นให้ คานึ ง ถึ ง ปั จ จัย ต่ า งๆ ดัง นี้
2.3.3.1 ลัก ษณะของผู ้เ รี ย น ผู้ส อนจะต้อ งพิ จ ารณาถึ ง กับ เรื่ องความแตกต่ า ง
ระหว่ า งบุ ค คลความพร้ อ ม แรงจู ง ใจ
2.3.3.2 กระบวนการทางปั ญ ญา และการสอน เงื่ อ นไขการเรี ย นรู ้ ที่ ส่ ง ผลทาให้
การสอนต่ า งกัน เช่ น
- การถ่ า ยโยงการเรี ย นรู ้ มี 2 ลัก ษณะ คื อ ทาให้ เ กิ ด การเรี ย นรู ้ ท ัก ษะใน
ระดับ ที่ สู ง ได้ดี ข้ ึ น และแผ่ ข ยายไปสู่ ส ภาพการณ์ อื่ น นอกเหนื อ จากสภาพการสอน
- การเรี ย นรู้ ท ัก ษะการเรี ย นรู้ บุ ค คลอาจมี วิ ธี ก ารที่ จ ะจัด การเรี ยนรู้ การ
จดจาและการคิ ด ด้ว ยตัว เขาเอง จึ ง ควรช่ ว ยพัฒ นาทัก ษะการเรี ย นรู ้ ใ ห้ แ ก่ ผู ้เ รี ย นให้ พ ัฒ นา
ไปตามศัก ยภาพของตนเองอย่ า งเต็ ม ที่
- การสอนกระบวนการแก้ปัญหา มี 2 เงื่อนไข คือผูเ้ รี ยนจะต้องรู ้กฎเกณฑ์ต่างๆที่จา
เป็ นมาก่อนและสภาพของปั ญหาที่เผชิ ญนั้นผูเ้ รี ยนต้องไม่เคยเผชิญมาก่อน ผูเ้ รี ยนจะค้นพบคาตอบ
จากการเรี ยนรู้โดยการค้นพบ ซึ่ งผูเ้ รี ยนจะมีโอกาสค้นพบเกณฑ์ต่างๆในระดับที่สูงขึ้น
12
สิ ริพร ทิพย์คง (2545, หน้า 1) ได้กล่าวไว้วา่ วิชาคณิ ตศาสตร์ เป็ นวิชาที่ช่วยก่อให้เกิด ความ
เจริ ญก้าวหน้าทั้งทางด้านคณิ ตศาสตร์ และเทคโนโลยี โลกในปั จจุบนั เจริ ญขึ้นเพราะการคิดค้นทาง
คณิ ตศาสตร์ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางคณิ ตศาสตร์
ยุพิน พิพิธกุล (2545, หน้า 1) ได้กล่าวไว้ว่า คณิ ตศาสตร์ เป็ นวิชาที่เกี่ ยวกับความคิด เราใช้
คณิ ตศาสตร์ พิสูจน์อย่างมีเหตุผลว่า สิ่ งที่เราคิดนั้นเป็ นความจริ งหรื อไม่ ด้วยวิธีคิดเราก็สามารถนา
คณิ ตศาสตร์ ไปแก้ไขปั ญหาทางคณิ ตศาสตร์ ได้ คณิ ตศาสตร์ ช่วยให้เราเป็ นผูม้ ีเหตุผล เป็ นคนใฝ่ รู้ต
พยายามคิดสิ่ งแปลกใหม่ คณิ ตศาสตร์ จึงเป็ นรากฐานแห่งความเจริ ญของเทคโนโลยีดา้ นต่าง ๆ
จากที่ ก ล่ าวมาสรุ ป ได้ว่า วิช าคณิ ตศาสตร์ เป็ นวิช าที่ มี ลกั ษณะเฉพาะ และเป็ นวิชา ที่ มี
ความสาคัญ มีเหตุและผล จึงจาเป็ นสาหรับผูเ้ รี ยน ทาให้ผูเ้ รี ยนสามารถคิ ดอย่างอิ สระคิดอย่างมี
ระบบแบบแผน รวมทั้งสามารถประยุกต์ใช้ให้เป็ นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
3 ชุดฝึ กทักษะเรื่องกำรคูณ
3.1 ควำมหมำยของชุ ด ฝึ กทั ก ษะ
สุ คนธ์ สิ นธพานนท์ (2553, น.96) ได้ให้ความหมายของชุดฝึ กทักษะว่า สื่ อที่สร้างขึ้นเพื่อให้
นักเรี ยนได้ทากิจกรรมที่เป็ นการทบทวนหรื อเสริ มเพิ่มเติมความรู ้ให้แก่นกั เรี ยน หรื อให้นกั เรี ยนได้
ฝึ กทักษะการเรี ยนรู ้หลายๆรู ปแบบเพื่อสร้างเสริ มประสบการณ์การเรี ยนรู ้ให้แก่ผเู ้ รี ยนได้มี
คุณลักษณะตามที่ตอ้ งการ
ศันสนี ย ์ สื่ อสกุล (2554, น.24) งานหรื อกิ จกรรมที่ครู ผสู ้ อนมอบหมายให้นกั เรี ยนทาเพื่ อฝึ ก
ทักษะและทบทวนความรู้ที่ได้เรี ย นไปแล้วให้เกิดความชานาญ ถูกต้อง คล่องแคล่ว จนสามารถนา
ความรู ้ ไปแก้ปัญหาได้โดยอัตโนมัติ จากความหมายของชุ ดฝึ กทักษะข้างต้น สรุ ปได้ว่า ชุ ดฝึ ก
ทักษะเป็ นสื่ อที่สร้างขึ้นเพื่อให้นกั เรี ยนได้ฝึกฝนความรู ้ที่ได้เรี ยนไปหรื อเป็ นการเสริ มความรู ้ให้กบั
นักเรี ยนเพื่อให้เกิดความถูกต้อง ชานาญ
3.2 หลักกำรสร้ ำงชุ ดฝึ กทักษะ
จิรเดช เหมือนสมาน (2551, 8) ได้ให้แนวทางในการดาเนินการสร้างชุดฝึ กทักษะไว้ดงั นี้
กาหนดจุดมุ่งหมายและวางแผนในการดาเนินการสร้างชุดฝึ กทักษะวิเคราะห์ทกั ษะและเนื้อหาวิชาที่
ต้องการสร้ า งชุ ดฝึ กทักษะเป็ นทักษะย่อยๆ และเขี ย นจุ ดประสงค์เชิ ง พฤติ กรรมตามทักษะและ
เนื้ อ หาย่อ ยๆนั้น เขี ย นชุ ด ฝึ กทัก ษะตามเนื้ อ หาและจุ ด ประสงค์ เ ชิ ง พฤติ ก รรมที่ ก าหนดไว้ใ ห้
สอดคล้องกับหลักจิตวิทยาการเรี ยนรู ้ และจิตวิทยาพัฒนาการตามวัยของผูเ้ รี ยนกาหนดรู ปแบบของ
ชุดฝึ กทักษะ
14
สุ ค นธ์ สิ น ธพานนท์ (2553, น.97) กล่ า วว่ า ชุ ด ฝึ กทัก ษะมี ห ลัก สาคัญ เป็ นแนวในการ
จัด ทาชุ ด ฝึ กทัก ษะ ดัง นี้
1. จัด เนื้ อ หาสาระในการฝึ กตรงตามจุ ด ประสงค์ ก ารเรี ย นรู ้
2. เนื้ อ หาสาระ และกิ จ กรรมการฝึ กเหมาะสมกับ วัย และความสามารถของผู้เ รี ย น
3. การวางรู ป แบบของชุ ด ฝึ กทัก ษะมี ค วามสั ม พัน ธ์ ก ับ โครงเรื่ อง และเนื้ อ หาสาระ
4. ชุ ด ฝึ กทัก ษะต้อ งมี คาชี้ แจงง่ า ยๆ สั้ นๆ เพื่ อ ให้ ผู ้เ รี ย นอ่ า นเข้า ใจ เรี ย งจากง่ า ยไป
ยากมี แ บบฝึ กทัก ษะที่ น่ า สนใจ และท้า ทายให้ ผู ้เ รี ย นได้แ สดงความสามารถ
5. มี ค วามถู ก ต้อ ง ครู ผู้ส อนจะต้อ งพิ จ ารณาตรวจสอบให้ ดี อ ย่ า ให้ มี ข ้อ ผิ ด พลาด
6. ก าหนดเวลาที ่ ใ ช้ ชุ ด ฝึ กทัก ษะแต่ ล ะตอนให้ เ หมาะสม นอกจากนี้ ยัง อธิ บ ายถึ ง
ขั้น ตอนการสร้ า งชุ ด ฝึ กทัก ษะ ดัง นี้
7. ศึ ก ษาหลัก สู ต ร หลัก การ จุ ด มุ่ ง หมายของหลัก สู ต ร
8. วิ เ คราะห์ ม าตรฐานการเรี ย นรู ้ ข องกลุ่ ม สาระการเรี ย นรู ้ และสาระการเรี ย นรู ้ เพื่ อ
วิ เ คราะห์ เ นื้ อ หา จุ ด ประสงค์ ใ นแต่ ล ะชุ ด การฝึ ก
9. จัด ทาโครงสร้ า งและชุ ด ฝึ กในแต่ ล ะชุ ด
10. ออกแบบชุ ด ฝึ กทัก ษะในแต่ ล ะชุ ด ให้ มี รู ป แบบที่ ห ลากหลาย และน่ า สนใจ
11. ลงมื อ สร้ า งแบบฝึ กใ นแต่ ล ะชุ ด รวมทั้ ง ออกข้อ ส อบก่ อ น และหลัง เรี ย นใ ห้
สอดคล้อ งกับ เนื้ อ หา และจุ ด ประสงค์ ก ารเรี ย นรู ้
12. นาไปให้ ผู้เ ชี่ ย วชาญตรวจสอบ
13. นาชุ ด ฝึ กทัก ษะไปทดลองใช้ บ ัน ทึ ก ผลแล้ว ปรั บ ปรุ งแก้ไ ขส่ ว นที่ บ กพร่ อ ง
14. ปรั บ ปรุ ง ชุ ด ฝึ กทัก ษะให้ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ
15. นาไปใช้จ ริ ง
3.3 ประโยชน์ ข องชุ ด ฝึ กทั ก ษะ
สุ ค นธ์ สิ น ธพานนท์ (2553, น.96-97) ได้ก ล่ า วถึ ง ประโยชน์ ข องชุ ด ฝึ กทัก ษะ ดัง นี้
1. ช่วยให้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้ดว้ ยตนเองตามอัตภาพ เด็กแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน การ
ให้ผเู ้ รี ยนได้ทาชุ ดฝึ กทักษะที่เหมาะสมกับความสามารถของแต่ละคนใช้เวลาที่แตกต่างกันออกไป
ตามลักษณะการเรี ยนรู ้ ของแต่ละคนจะทาให้ผเู ้ รี ยนเกิ ดการเรี ยนรู ้ ดว้ ยตนเองอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ
ทาให้ผเู ้ รี ยนเกิดกาลังใจในการเรี ยนรู ้ นอกจากนั้นยังเป็ นการซ่ อมเสริ มผูเ้ รี ยนที่เรี ยนไม่ผา่ นเกณฑ์
การประเมิน
15
กชพร ฤาชา (2555, น.31) ได้ใ ห้ ค วามหมายว่ า ผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นเป็ นสิ่ งที่
มี ค วามสาคัญ อย่ า งยิ่ ง ต่ อ กระบวนการเรี ย นการสอนไม่ ว ่ า จะปรั บ ปรุ ง เปลี่ ย นแปลงวิ ธี
สอนอย่ า งไรก็ ต าม สิ ่ ง ที ่ พ ึ ง ปรารถนาของครู คื อ การสอนนั้ น จะต้อ งท าให้ น ัก เรี ย นมี
ผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นสู ง ขึ้ น และสิ่ ง ที่ ใ ช้ สาหรั บ วัด ผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นสิ่ ง หนึ่ ง ก็
คื อ แบบทดสอบวัด ผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย น
ตามเกณฑ์ ที่ ก าหนดไว้ห รื อ ไม่ การวัด ตรงตามจุ ด ประสงค์เ ป็ นหัว ใจส าคัญ ของข้อ สอบใน
แบบทดสอบประเภทนี้
2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ มุ่งสร้าง เพื่อ
วัดให้ครอบคลุมหลักสู ตร จึงสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสู ตร ความสามารถใน การจาแนกผูส้ อบ
ตามความเก่งอ่อนได้ดี เป็ นหัวใจสาคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ การรายงานผลการ
สอบอาศัย คะแนนมาตรฐาน ซึ่ งเป็ นคะแนนที่ ส ามารถให้ ค วามหมายแสดงถึ ง สถานภาพ
ความสามารถของบุคคลนั้น เมื่อเปรี ยบเทียบกับบุคคลอื่น ๆ ที่ใช้เป็ นกลุ่มเปรี ยบเทียบ
เยาวดี วิบู ล ย์ศ รี (2548, หน้า 22-26) ได้จ าแนกประเภทของแบบทดสอบวัด ผลสั ม ฤทธิ์
ทางการเรี ยนตามมิติต่าง ๆ ได้หลายมิติ ดังต่อไปนี้
1. จาแนกตามขอบข่ายของเนื้ อหาวิชาที่ วดั เช่ น แบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทาง การเรี ย นบาง
ประเภท จะวัดเนื้ อหาวิชาทางคณิ ตศาสตร์ หรื อการสะกดคา ขอบข่ายเนื้ อหาวิชาของแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ นั้น อาจกาหนดให้กว้างหรื อแคบได้ ตามปกติแล้วยังไม่มีมาตรฐานอ้างอิงสากลที่จะ
นาไปใช้ในการกาหนดเนื้ อหาวิชาสาหรับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ผูใ้ ช้แบบทดสอบเท่า นั้นที่
จะต้องกาหนดเนื้ อหาวิชาขึ้นเอง โดยให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการสอบ ผูส้ ร้างแบบทดสอบ
สามารถที่จะพัฒนาแบบทดสอบให้มีเนื้อหาได้ตามขอบข่ายที่ตอ้ งการ
2. จาแนกตามลักษณะหน้าที่ ทวั่ ไปของแบบทดสอบ โดยแบ่งแบบทดสอบวัดผลสั ม ฤทธิ์
ทางการเรี ยนออกได้ 3 ลักษณะ คือ
2.1 แบบทดสอบวัดเพื่อการสารวจผลสัมฤทธิ์ เป็ นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ที่ทาหน้าที่
ในการสารวจความสามารถทัว่ ๆ ไปของนักเรี ยน โดยประเมินความรู ้ในเนื้ อหาวิชาหรื อทักษะต่างๆ
เพื่อแสดงระดับความสามารถของนักเรี ยน ดังนั้น แบบทดสอบเพื่อการวัดผลสัมฤทธิ์ จึงมักจะ
ครอบคลุมเนื้ อหาทั้งในระดับกว้างและระดับทัว่ ไป และถือคะแนนรวมที่ได้จากแบบทดสอบเป็ น
ตัวชี้ถึงระดับความสามารถที่วดั ได้
2.2 แบบทดสอบเพื่ อวินิจฉัยผลสัม ฤทธิ์ เป็ นแบบทดสอบวัดผลสั ม ฤทธิ์ ที่ ท าหน้าที่ ในการ
วินิจฉัยเกี่ ยวกับจุ ดเด่ นและจุ ดด้อยขององค์ประกอบสาคัญทางด้านทักษะต่าง ๆ ของนักเรี ยนจึง
สามารถแบ่ ง ออกเป็ นแบบสอบชุ ดย่อย ๆ ได้อีก นอกจากนั้นคะแนนจากแบบสอบยัง แยกตาม
องค์ประกอบที่สาคัญของแต่ละองค์ประกอบ
2.3 แบบสอบถามเพื่อวัดความพร้ อม เป็ นแบบสอบถามซึ่ งทาหน้าที่ในการวัดทักษะที่
จาเป็ นสาหรับการเรี ยนในชั้นที่สูงขึ้น แบบสอบถามเพื่อวัดความพร้อมใช้สาหรับทานาย การกระทา
ในอนาคต จึงทาหน้าที่เป็ นเครื่ องมือในการวัดความถนัดไปในตัวด้วย
3. จาแนกตามคาตอบที่ใช้โดยทัว่ ไปแล้ว แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ที่ใช้กนั มักจะเป็ นแบบ
18
สอบประเภทข้อเขี ยน และที่ ใช้กนั ค่อนข้างมาก ได้แก่ แบบสอบภาคปฏิ บตั ิ ซึ่ งเป็ นแบบทดสอบที่
ต้องการให้นกั เรี ยนหรื อผูเ้ ข้าสอบได้สาธิตทักษะของตนเอง
นอกจากนี้ มัณฑนี กุฏาคาร (2542, หน้า 40-44) กล่าวว่า ประเภทของการวัดผลการศึกษามี
มากมายหลายชนิ ด แตกต่างกันไป แล้วแต่หลักเกณฑ์ที่จะใช้ในการพิจารณา ซึ่ งสามารถจาแนกได้
ดังนี้
1. จาแนกตามลาดับก่อนและหลังการเรี ยน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1.1 การวัดผลโดยการใช้แบบทดสอบก่อนสอน เป็ นการวัดผลความรู ้เดิม ก่อนทาการสอน
1.2 การวัดผล โดยการใช้แบบทดสอบหลังสอน เป็ นการวัดผลความรู้หลังจาก ที่ได้ทาการ
สอนไปแล้ว โดยใช้แบบทดสอบชุ ดเดิ มหรื อแบบทดสอบคู่ขนาน ซึ่ งผลของการวัดที่ได้น้ นั การ
วัดผลหลังสอนจะต้องได้ผลที่สูงกว่าก่อนสอน จึงจะเป็ นการแสดงว่า การสอนนั้นได้ผล
2. จาแนกตามวัตถุประสงค์ของการวัด แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
2.1 การวัดผลโดยใช้แบบทดสอบย่อย เป็ นการวัดผลระหว่างทาการสอน ในแต่ละวิชา โดยจะ
ทาการวัดผลหลังจากจบการเรี ยนในแต่ละหน่ วยการสอน เพื่อวัดระดับความรู ้ และค้นหาบางจุดที่
นักเรี ยนไม่สามารถเรี ยนให้รอบรู ้ได้ เพื่อนาไปปรับปรุ งการเรี ยนการสอนให้ดีข้ ึน
2.2 การวัดผลโดยใช้แบบทดสอบรวม เป็ นการวัดผลการเรี ย นครั้งละหลาย ๆ หน่วยการสอน
หรื อสิ้ นสุ ดการเรี ยนการสอนวิชานั้นแล้ว เพื่อเป็ นข้อมูล สาหรับการตัดสิ นความสามารถของผูเ้ รี ยน
ในวิชานั้น ๆ
3. จาแนกตามการตรวจให้คะแนน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
3.1 การวัดผลโดยการใช้แบบทดสอบแบบอัตนัย เป็ นการวัดผลการใช้ความสามารถในการใช้
ภาษา ใช้ความคิด การแสดงออกทางอารมณ์ ทัศนคติและอื่น ๆ ให้ออกมาภายในระยะเวลาที่กาหนด
ซึ่ งการตรวจให้คะแนนของผูต้ รวจแต่ละคน จะได้ไม่ตรงกัน ด้วยสาเหตุ ที่มีความคิดเห็น หรื อการ
ตัดสิ นใจของผูต้ รวจเข้ามามีส่วนร่ วมด้วย
3.2 การวัดผล โดยการใช้แบบทดสอบแบบปรนัย เป็ นการวัดผลที่กาหนดคาตอบออกมาให้
เลือก หรื อกาหนดขอบเขตของคาถามมาให้ตอบสั้น ๆ เช่น ให้เลือกตอบทางใด ทางหนึ่ง ถูกหรื อผิด
จริ งหรื อไม่จริ ง ใช่หรื อไม่ใช่ หรื อให้เลือกคาตอบที่ถูกที่สุดมาตอบ หรื อให้จบั คู่คาตอบกับคาถามที่
มี ความสัมพันธ์ กนั หรื อให้เติมคาตอบข้อความสั้น ๆ ลงในช่ องว่างให้สมบูรณ์ เป็ นต้น ซึ่ งการ
ตรวจให้คะแนนของผูต้ รวจแต่ละคนจะตรงกัน
4. จาแนกตามลักษณะการแปลความหมายของคะแนน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
4.1 การวัดผลโดยใช้แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม เป็ นการวัดผลในลักษณะการนาคะแนนมา
เปรี ยบเทียบกันในกลุ่มว่าอยู่ ณ ตาแหน่งใด เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ โดยใช้แบบทดสอบชนิดเดียวกัน
19
(1) แบบฝึ กทัก ษะคณิ ต ศาสตร์ สาหรั บ นัก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 6 มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ
81.21/82.99 (2) ผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นของนัก เรี ยนชั้น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 6 หลัง การใช้
แบบฝึ กทัก ษะคณิ ต ศาสตร์ สู ง กว่ า ก่ อ นเรี ย นอย่ า งมี นั ย สาคัญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดับ .01 (3) เจต
คติ ข องนัก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 6 หลัง เรี ย นสู ง กว่ า ก่ อ นเรี ย นอย่ า งมี นัย สาคัญ ทาง
สถิ ติ ที่ ร ะดับ .01 และอยู่ ใ นระดับ มาก
อาภรณ์ ใจเที่ ย ง (2553, บทคัด ย่ อ ) ทาการวิ จ ัย เรื่ องการพัฒ นากิ จ กรรมการ
เรี ย นรู้ วิ ช คณิ ต ศาสตร์ โดยใช้แ บบฝึ กเสริ ม ทัก ษะการคิ ด คานวณเรื่ องการหาร ของ
นัก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 2 ผลการวิ จ ัย พบว่ า
1. การพัฒ นากิ จ กรรมการเรี ย นรู ้ วิ ช าคณิ ต ศาสตร์ โ ดยใช้ แ บบฝึ กเสริ ม
ทัก ษะเรื่ องการหาร การคิ ด คานวณประกอบการเรี ย นรู้ เมื่ อ พิ จ ารณาโดยภาพรวมแล้ว
พบว่ า ทั้ง 3 วงจรปฏิ บ ัติ มี ก ารพัฒ นาสู ง ขึ้ นตามลาดับ แต่ ใ นวงจรปฏิ บ ัติ ที่ 3 มี อ ัต ราส่ ว น
ลดลงเล็ ก น้ อ ยเนื่ อ งจากเนื้ อ หาค่ อ นข้า งยากขึ้ น ตามลาดับ
2. ผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร์ เ รื่ องการหาร ของนัก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี
ที่ 2 พบว่ า มี จานวนนัก เรี ยนผ่ า นเกณฑ์ ร้ อ ยละ 70 มี จานวน 18 คน คิ ด เป็ นร้ อ ยละ 90.00
และคะแนนเฉลี่ ย ของนัก เรี ย นที่ ผ่ า นเกณฑ์ คิ ด เป็ นร้ อ ยละ 72.57
โศภิ ต วงศ์คู ณ (2553, บทคัด ย่ อ ) ทาการวิ จ ัย เรื่ องการพัฒ นาชุ ด ฝึ กทัก ษะการแก้
โจทย์ปั ญ หาคณิ ต ศาสตร์ เรื่ อง การบวก การลบ ชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 2 ผลการวิ จ ัย พบว่ า
(1) ชุ ด ฝึ กทัก ษะการแก้ โ จทย์ปั ญ หาคณิ ต ศาสตร์ เรื่ อง การบวก การลบ ชั้ น ประถมศึ ก ษา
ปี ที่ 2 ที่ ผู ้วิ จ ัย สร้ า งขึ้ น มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพเท่ า กับ 77.43/78.00 ซึ่ งสู ง กว่ า เกณฑ์ 75/75 ที่ ต้ ัง ไว้
(2) ผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย น ของนัก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 2 ที่ ไ ด้รั บ การสอนโดยใช้
ชุ ด ฝึ กทัก ษะการแก้ โ จทย์ปั ญ หาการบวก การลบ หลัง เรี ย นสู ง กว่ า ก่ อ นเรี ย นอย่ า งมี
นัย สาคัญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดับ .05
กนกพร พั่ว พัน ธ์ ศ รี (2555, บทคัด ย่ อ ) ทาการวิ จ ัย เรื่ องผลการใช้ แ บบฝึ กทัก ษะ
การแก้ โ จทย์ปั ญ หาเรื่ องเศษส่ ว นที่ มี ต่ อ ผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นคณิ ต ศาสตร์ ของนัก เรี ย น
ชั้น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 6 โรงเรี ย นบ้า นคาสร้ อ ย จัง หวัด มุ ก ดาหาร ผลการวิ จ ัย พบว่ า (1)
แบบฝึ กทัก ษะการแก้โ จทย์ปั ญ หาเรื่ องเศษส่ ว น มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพเท่ า กับ 83.95/82.67 (2)
ผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นหลัง การจัด กิ จ กรรมการเรี ย นคณิ ต ศาสตร์ โ ดยใช้ แ บบฝึ กทัก ษะ
การแก้ โ จทย์ปั ญ หาเรื่ องเศษส่ ว น สู ง กว่ า ก่ อ นเรี ย น อย่ า งมี นัย สาคัญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดับ .05
และ (3) ความพึ ง พอใจของนัก เรี ย นที่ เ รี ย นคณิ ต ศาสตร์ โ ดยใช้ แ บบฝึ กทัก ษะการแก้
โจทย์ปั ญ หาเรื่ องเศษส่ ว นมี ค วามพึ ง พอใจอยู่ ใ นระดับ มาก
25
วิธีดำเนินกำรวิจัย
การวิจยั เรื่ องผลของการใช้ชุดฝึ กทักษะเรื่ องการคคูณที่มีต่อผลการเรี ยนของนักเรี ยน
ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรี ยนบ้านปากถัก มีวธิ ี การดาเนินการดังนี้
1. ประชากร
2. เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั
3. การสร้างเครื่ องมือและหาคุณภาพเครื่ องมือ
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
5. การวิเคราะห์ขอ้ มูล
6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
1. ประชำกรกลุ่มตัวอย่ ำง
ประชากรในการวิจยั ครั้งนี้คือ นักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 ปี การศึกษา 2562 โรงเรี ยน
บ้านปากถัก อาเภอกะปง จังหวัดพังงา
2. เครื่องมือทีใ่ ช้ ในกำรวิจัย
เครื่ องมือที่ใช้ในในการวิจยั ครั้งนี้คือ
1. แผนการจัดการเรี ยนรู้
2. ชุดฝึ กทักษะคณิ ตศาสตร์ เรื่ องการคูณ
3. ใบงานเรื่ องการคูณ
3. กำรสร้ ำงเครื่องมือและหำคุณภำพเครื่องมือ
ในการสร้างเครื่ องมือ ชุดฝึ กทักษะคณิ ตศาสตร์ เรื่ องการคูณ ครั้งนี้ผวู ้ จิ ยั ได้ดาเนินการดังนี้
1. ศึกษาข้อมูลเนื้อหาวิชาคณิ ตศาสตร์ จากหลักสู ตร และแผนการจัดการเรี ยนรู้ เรื่ องการคูณ
2. ดาเนินการสร้างชุดฝึ กทักษะเรื่ องการคูณ
3. ตรวจสอบคุณภาพของเครื่ องมือโดยให้ผเู ้ ชี่ยวชาญเป็ นผูช้ ่วยตรวจสอบให้
4. ขั้นตอนกำรเก็บรวบรวมข้ อมูล
1. สอนตามแผนการจัดการเรี ยนรู้
2. สังเกตพฤติกรรมของนักเรี ยนเป็ นรายบุคคล
3. ทดสอบก่อนเรี ยน
27
1. ข 2. ง 3. ค 4. ง 5. ค
6. ก 7. ง 8. ข 9. ง 10. ก
11. ก 12. ค 13. ก 14. ง 15. ข
16. ค 17. ค 18. ค 19. ข 20. ง
เฉลยหลังเรียน
1. ค 2. ค 3. ข 4. ง 5. ง
6. ก 7. ข 8. ง 9. ก 10. ก
11. ข 12. ค 13. ง 14. ง 15. ก
16. ง 17. ข 18. ค 19. ค 20. ค
ชุดฝึ กเสริมทักษะกำรคูณ
คำแนะนำสำหรับครู ผ้ สู อน
เมื่อครู ผสู ้ อนได้นาแบบฝึ กเสริ มทักษะคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง การคูณ ไปใช้ควรปฏิบตั ิดงั นี้
1. ให้นกั เรี ยนทาแบบทดสอบก่อนเรี ยน เพื่อวัดความรู ้พ้นื ฐานของนักเรี ยน
และตรวจคาตอบจากเฉลย
2. ดาเนิ นการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอน โดยใช้แบบฝึ กเสริ มทักษะคณิ ตศาสตร์
เรื่ อง การคูณ ควบคู่กบั แผนการจัดการเรี ยนรู ้
3. หลังจากการสอนในส่ วนที่เป็ นสาระการเรี ยนรู ้แล้วให้นกั เรี ยนตอบคาถาม เพื่อ
ประเมิน ความรู้และพฤติกรรมในการเรี ยน
4. ควรให้นกั เรี ยนทาแบบฝึ กเสริ มทักษะคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง การคูณ โดยครู ควบคุมดูแล
และให้คาแนะนาอย่างใกล้ชิด
5. ให้นกั เรี ยนทาแบบทดสอบหลังเรี ยน และตรวจคาตอบจากเฉลย
คำแนะนำสำหรับนักเรียน
ชุดฝึ กเสริ มทักษะคณิ ตศาสตร์ เรื่ องการคูณ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 ชุดที่ 3 ใช้ประกอบ การ
เรี ยนการสอน กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ คณิ ตศาสตร์ ช้ นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 นักเรี ยนควรปฏิบตั ิดงั นี้
1. ทา แบบทดสอบก่อนเรี ยนลงในกระดาษแบบทดสอบเพื่อตรวจสอบ ความรู ้เดิม
2. แบ่งนักเรี ยนออกเป็ นกลุ่มละ3-5 คน ให้นกั เรี ยนแต่ละกลุ่มอ่าน จุดประสงค์การเรี ยนรู ้
และทบทวนกฎเกณฑ์
3. ศึกษาในใบความรู ้ แล้ว ทา ใบงานกลุ่ม เสร็ จแล้วจึงตรวจสอบ ความถูกต้องในใบเฉลย
4. ให้นกั เรี ยนแต่ละคนทา แบบฝึ กเสริ มทักษะแต่ละชุด ให้ ครู ผสู ้ อน ตรวจสอบความถูก
ต้องประเมินผลให้คะแนน ถ้าไม่ผา่ นเกณฑ์การประเมิน ให้ แกไขจนถูกต้อ ง
5. ในการฝึ กนั้น เมื่อนักเรี ยนทา แบบฝึ กเสริ มทักษะเรื่ องใดแล้ว ให้นกั เรี ยนตรวจคาตอบ
จาก เฉลยคาตอบ ถ้าทาผิดให้นกั เรี ยนย้อนกลับไป ศึกษาเนื้อหาเรื่ องนั้นอีกครั้ง ให้เข้าใจและ
กลับไปแบบฝึ กให้ถูกต้องทุกข้อ แล้ว จึงจะไปทา แบบฝึ กเรื่ องต่อไป และเมื่อทาแบบฝึ กเสร็ จแล้ว
จะมีแบบทดสอบ ท้ายชุดฝึ กเสริ มทักษะให้ ทา ซึ่ งนักเรี ยนต้องทา แบบทดสอบให้ผา่ นเกณฑ์แล้ว
จึงไปทาชุดฝึ กเสริ มทักษะชุดต่อไป
6. บันทึกผลที่ได้ลงในตารางบันทึกความก้าวหน้า เพื่อทราบผล การเรี ยนและการพัฒนา
กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 สัมผัสของจริงหรือวัตถุสามมิติ
1.1 แบ่งนักเรียนทั้งหมดออกเป็น 3 กลุ่ม เช่น ถ้านักเรียนในห้องมีทั้งหมด 50 คน แบ่งกลุ่ม 3 กลุ่ม
ได้ดังนี้ กลุ่มที่ 1 มี 18 คน กลุ่มที่ 2 มี 12 คน และกลุ่มที่ 3 มี 20 คน จากนั้นกาหนดให้นักเรียนจัด
กลุ่มใหม่ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ออกมายืนจับกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน
กลุ่มที่ 2 ออกมายืนจับกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน
กลุ่มที่ 3 ออกมายืนจับกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน
โดยทาทีละกลุ่มใช้เพลงประกอบตามความเหมาะสม
ครูถามนักเรียนแต่ละกลุ่มดังนี้ เช่น กลุ่มที่ 1 มีนักเรียนกี่คน ยืนกลุ่มละกี่คน ได้ทั้งหมดกี่
กลุ่ม มีนักเรียนกี่คน จากนั้นให้เขียนอยู่ในรูปการบวก
1.2 แบ่งนักเรียนกลุ่มละ 3-5 คน ครูแจกตัวนับให้นักเรียนกลุ่มละ 20 อัน ให้แต่ละกลุ่ม
จัดตัวนับเป็นกอง กองละเท่า ๆ กัน เช่น กลุ่มที่ 1 อาจจัด
ครูใช้คาถาม ดังนี้
1.2.1 มีตัวนับทั้งหมดกี่กอง (5 กอง)
1.2.2 แต่ละกองมีตัวนับกี่อัน (4 อัน)
1.3 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนาตัวนับใส่ถุง ครูใช้คาถามดังนี้
1.3.1 มีตัวนับทั้งหมดกี่ถุง (5 ถุง)
1.3.2 แต่ละถุงมีตัวนับกี่อัน (4 อัน)
1.3.3 มีตัวนับทั้งหมดกี่อัน (20 อัน)
1.3.4 นักเรียนหาคาตอบได้อย่างไร (การบวก)
ขั้นที่ 2 เชื่อมโยงประสบการณ์จากการสัมผัสวัตถุสามมิติขึ้นเป็นภาพ
2.1 ให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานาเสนอและวาดภาพประกอบ เช่น ภาพจานส้ม 5 จาน ๆ ละ
4 ผล ดังนี้
2.2 ครูแนะนาการเขียนแผนภาพเพื่อหาคาตอบ ดังนี้
ขั้นที่ 3 เรียนรู้ด้วยการเชื่อมโยงจากภาพควบคู่กับสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
3.1 ครูแนะนาว่า 4 + 4 +4 + 4+ 4สามารถเขียนให้อยู่การคูณเป็น 5 x 4 อ่านว่า ห้าคูณสี่
หมายถึง 5 กลุ่มของ 4 และแนะนานักเรียนว่า xเป็นเครื่องหมายแสดงการคูณ พร้อมเขียนภาพ แล้ว
สรุปดังนี้
4+4+4+4+4 = 5x4
= 20
ทาให้ครบทุกกลุ่ม แล้วให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มเขียนสรุปในสมุดของตนเอง 20
6+6+6+6 = 4x6
= 24
24
3.3 ครูให้นักเรียนวาดภาพมะนาว 6 ผลใน 1 จานจานวน 7 จานหลังจากนั้นครูให้นักเรียน
ติดบัตรตัวเลขลงใต้ภาพ ด้วยการบวกจานวนที่เท่ากันแล้วเปลี่ยนมา เป็นการคูณและครูถามนักเรียน
ว่าจาก 7 x 6 = 24 นักเรียนสามารถบอกได้หรือไม่ว่า
จานวน 7 ตัวแรกมาจากอะไร (จานวนจาน)
จานวน 6 ตัวหลังมาจากอะไร (จานวนตัวนับในจาน)
3.4 ครูจัดกิจกรรมทานองเดียวกับกิจกรรมข้อ 3.1 -3.2 อีก 2-3 ครั้ง จนมั่นใจว่า นักเรียนทา
ได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง
3.5 ครูแจกบัตรตัวเลข 1 ถึง 9 บัตรเครื่องหมาย + และบัตรเครื่องหมายคูณ x อย่างละ 10
แผ่น ให้นักเรียนติดบนภาพที่นักเรียนวาดเองโดยติดอยู่ในรูปการบวกและการคูณ เช่น
3 + 3 + 3 + 3+ 3 = 3 x 5
= 15
3.6 ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติเช่นเดียวกับกิจกรรมข้อ 3.5 อีก 2-3 ครั้ง จนกระทั่งมั่นใจว่า
นักเรียนเข้าใจการเชื่อมโยงภาพควบคู่กับสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
ขั้นที่ 4 เรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
4.1 ให้นักเรียนฝึกเขียนเชื่อมโยงสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ระหว่างการบวกจานวนที่เท่ากัน
หลาย ๆ จานวนกับการคูณ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
5 + 5 = 10
2 x 5 = 10 10
การบวกจานวนที่เท่ากันหลายครั้ง การคูณ
5 + 5 = 10 2 × 5 = 10
4.2 กิจกรรมฝึกปฏิบัติ
4.2.1 นักเรียนกาหนดจานวนและภาพด้วยตนเอง
การบวกจานวนที่เท่ากันหลายครั้ง การคูณ
………………………… …………………………
4.3 กิจกรรมฝึกปฏิบัติตามตัวอย่าง
การบวกจานวนที่เท่ากันหลายครั้ง การคูณ
4 + 4 + 4 = 12 × = 12
3 + 3 + 3 + 3 = 12 × = 12
8 + 8 + 8 + 8 = 32 × = 32
6 + 6 + 6 + 6 + 6 = 30 × = 30
เรื่อง การบวกและการคูณ
ให้เขียนประโยคสัญลักษณ์การคูณและหาคาตอบ
แบบฝึก
เรื่อง การบวกและการคูณ
ให้เขียนประโยคสัญลักษณ์บวกและหาคาตอบ
แบบฝึก
เรื่อง การบวกและการคูณ
ให้เติมคาตอบลงใน □
ใบงานที่ 1 เรื่อง ทบทวนการคูณ
ชื่อ…………………………….…….นามสกุล……………..…………………เลขที…่ ……..ชั้น……….
คาชี้แจง ให้นักเรียนหาคาตอบของการคูณ
5x6= 3 x 11 = 9x3=
………………. ………………. ……………….
4x3 7 x 10 5x8
=…………. =…………. =………….
12 x 6 4x6 3x5
=…………. =…………. =………….
ใบงานที่ 2 เรื่อง การคูณเลขหนึ่งหลักกับพหุคูณของ 10 และพหุคูณของ 100
ชื่อ…………………………….…….นามสกุล……………..…………………เลขที…่ ……..ชั้น……….
คาชี้แจง ให้นักเรียนหาคาตอบของการคูณ
1). 2 x 40
2). 3 x 20
3). 6 x200
4). 4 x 300
5). 7x600
6). 30 x 9
7). 40 x 4
8). 900 x 7
9). 500 x 5
10). 800 x 9
ใบงานที่ 3 เรื่อง การคูณจานวนหนึ่งหลักกับพหุคูณของ 100 และพหุคูณของ 1,00
ชื่อ…………………………….…….นามสกุล……………..…………………เลขที…่ ……..ชั้น……….
คาชี้แจง ให้นักเรียนหาคาตอบของการคูณ
1). 200 x 7
2). 300 x 4
3). 600 x 6
4). 4,000 x 2
5). 5,000 x 7
6). 3,000 x 9
7). 4,000 x 9
8). 9,000 x 8
9). 5,000 x 3
10). 8,000 x 4
ใบงานที่ 4 เรื่อง การคูณจานวนหนึ่งหลักกับจานวนสามหลัก
ชื่อ…………………………….…….นามสกุล……………..…………………เลขที…่ ……..ชั้น……….
คาชี้แจง ให้นักเรียนหาคาตอบของการคูณ
1). 235 x 4
2). 175 x 3
3). 852 x 6
4). 136 x 5
5). 236 x 8
6). 632 x 3
7). 745 x 6
8). 963 x 2
9). 412 x 4
10). 523 x 9
ใบงานที่ 5 เรื่อง การคูณจานวนสองหลักกับพหุคูณของ 10
ชื่อ…………………………….…….นามสกุล……………..…………………เลขที…่ ……..ชั้น……….
คาชี้แจง ให้นักเรียนหาคาตอบของการคูณ
1). 26 x 40
2). 70 x 15
3). 30 x 54
4). 54 x 50
5). 36 x 80
6). 80 x 65
7). 70 x 85
8). 39 x 90
ใบงานที่ 6 เรื่อง การคูณจานวนสองหลักกับจานวนสองหลัก
ชื่อ…………………………….…….นามสกุล……………..…………………เลขที…่ ……..ชั้น……….
คาชี้แจง ให้นักเรียนหาคาตอบของการคูณแล้วโยงเส้นประกบก้อนเมฆที่มีผลคูณเท่ากัน
24 x 36 15 x 54
21 x 60 16 x 69
12 x 92 12 x 72
50 x 30
45 x 18
25 x 60 63 x 20
ใบงานที่ 7 เรื่อง การคูณจานวนหนึ่งหลักกับจานวนที่มากกว่าสี่หลัก
ชื่อ…………………………….…….นามสกุล……………..…………………เลขที…่ ……..ชั้น................……….
คาชี้แจง ให้นักเรียนหาคาตอบของการคูณ
2 x75,734=…..…………..
49,050 x 6 =…..…………..
8 x 97,260=..…………..
207,341 x 7 =…..…………..
9 x 1,987,643 =…..…………..
4 x 27,153 =..…………..
ใบงานที่ 8 เรื่อง การคูณจานวนสามหลักกับจานวนที่เป็นพหุคูณของ 10
1 6 8x 2 6 8 2 3 5 1 3 5
x x x x
4 4 0 9 9 0
3. 4.
4 9 2 4 9 2 3 3 8
x x
3 3 8
x x
5 50 4 4 0
x
5. 6.
5 9 5 6 9 5 5 1 4 6 1 4
x x x x
40 50 3 0 6 0
x
ใบงานที่ 9 เรื่อง การคูณจานวนสองหลักกับจานวนสามหลัก
ชื่อ…………………………….…….นามสกุล……………..…………………เลขที…
่ ………ชั้น……….
จงแสดงวิธีหาผลคูณ
1. 234 2. 138
x x
52 64
3. 430 4. 546
x x
26 45
5. 673 6. 936
x x
82 63
ใบงานที่ 10 เรื่องการคูณจานวนสามหลักกับจานวนสามหลัก
1. 9 0 3 2.
x 5 6
. 2. x
1 5 7 2 3
6 3 1
+ 2 6 4
4 1 5 0 +
5 4 0
+ 0
0 0 0 +
0 0 0
1 1 7 1 0 7 4
ตอบ ตอบ
3. 9 8 4
x 9 6 7
. 2. x
4 6 5 4 5
3 8
+ +
1 9 0 0
+
5 2 0 0 +
1 8
ตอบ ตอบ
ผลของกำรใช้ ชุดฝึ กทักษะเรื่องกำรคูณที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนของ
นักเรียน
ชั้นประถมศึกษำปี ที่ 3 โรงเรียนบ้ ำนปำกถัก
THE EFFECT OF USING MULTIPLICATION
SKILL SERIES ON LEARNING ACHIEVEMENT
OF GRADE 3 STUDENTS AT BANPAKTHAK
SCHOOL
จงรักษ์ ตรีกลุ
6113101016
จงรักษ์ ตรีกลุ
6113101016