Professional Documents
Culture Documents
057 55
057 55
เรื่อง
รายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุ
ของประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
โดย
ชารวี บุตรบารุง
ได้รับทุนอุดหนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ปีงบประมาณ 2555
รายงานการวิจัย
รายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุ
ของประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
โดย
ชารวี บุตรบารุง
ได้รับทุนอุดหนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ปีงบประมาณ 2555
รายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุ
ของประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ชารวี บุตรบารุง
2555
การอยู่ดีมีสุขของผู้สูงอายุในเทศบาลตาบลศาลายา 2554
บทคัดย่อ
ชื่อรายงานการวิจัย : รายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของประชาชนอายุ
ระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
ชื่อผู้วิจัย : ชารวี บุตรบารุง
ปีที่ทาการวิจัย : 2555
……………………………………………………………………………………………
การวิจัยเรื่องรายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุขอ งประชาชนอายุ
ระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์แบบแผนของ
รายได้และการใช้จ่าย รูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของประชาชนวัยผู้ใหญ่ตอนต้น
อายุ 30 – 40 ปี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต
กรุงเทพมหานคร จานวน 400 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม ทา
การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติโดยการแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าร้อยละ
ประมวลผลโดยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสาเร็จรูป
ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยมีเพศหญิงจานวน
282 คน อายุระหว่าง 35-39 ปี จานวน 208 คน สถานภาพสมรสอยู่ด้วยกัน จานวน 188 คน
การศึกษาระดับปริญญาตรี จานวน 190 คน อาชีพราชการ/รัฐวิสาหกิจ จานวน 108 คน จานวน
สมาชิกที่พักอาศัยในบ้าน 1-3 คน จานวน 257 คน รายได้ต่อเดือน 10,001-15,000 บาท จานวน 162
คน รายจ่ายเกี่ยวกับค่าอาหารและค่าเครื่องใช้ต่างๆ จานวน 211 คน ลักษณะการออมโดยฝาก
ธนาคาร จานวน 173 คน มีแรงบันดาลใจในการออมในระดับมากที่สุด คือ เพื่อความมั่นคงในวัย
สูงอายุ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.54 เก็บไว้ยามเจ็บป่วยหรือยามชรา ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 เก็บไว้ให้บุตร
หลาน ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.42 แรงบันดาลใจในระดับมาก คือ สาหรับประกอบพิธีฌาปนกิจ ค่าเฉลี่ย
เท่ากับ 3.97 ลดการพึ่งพิงภาครัฐ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.12 แรงบันดาลในระดับปานกลาง คือ ให้ความ
คุ้มครองหลายด้าน ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.09 แรงบันดาลในระดับน้อย คือ มีผลตอบแทนคุ้มค่าและ
แน่นอน ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.37 การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.52 นาไปลดหย่อน
ภาษีประจาปี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.54 ผู้อื่นชักชวน ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.24
www.ssru.ac.th
(2)
Abstract
Subject of research : The Income and Pattern of Saving for Readiness toward Old - age of
People Age between 30 – 40 year in Dusit District Bangkok
Researcher : Miss Charawee Butbumrung
Research year : 2012
…………………………………………………………………………………
The research of Income and saving form for preparation to old age of 30-40 years
populations in Dusit area, Bangkok. Aim to study and analyze pattern of income and
expense, saving form for prepare to old age of population, 30-40 years old, and the sample
used to study is 400 sample aged between 30-40 years old from Dusit area, Bangkok, data
collection tools such as questionnaire, to analyze statically data, frequency, average,
standard deviation and percentage. Processed by a computer program.
The results presented the majority of sample is female rather than male, 282 sample
of female age between 35-39 years old, 208 samples; 188 marriage, 190 graduated degree,
108 of government officer/state enterprise, 257 samples in family has member 1-3
members; 162 samples of income per month 10,001-15,000 bath, 211 samples of food
expense and other consumption, 173 samples are saving to bank; the most inspired target
for saving is stability until old age; average is 4.54, for treat for sickness; average is 4.61, for
relates or descendant; average is 4.42. the much inspired is Cremation ceremony; average
is 3.97, Reducing dependence on government; average is 4.12. the fair level inspiration of
saving is to cover many emergency case. Average is 3.09. the lower level inspiration is for
other costly and long lasting compensation; average 2.37, information public relations;
average is 2.52, for annual tax reduce is 2.54, induced by other is 2.24.
www.ssru.ac.th
กิตติกรรมประกาศ
รายงานการวิจัยเรื่อง รายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของ
ประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร สาเร็จได้เนื่องจากบุคคลหลาย
ท่านได้กรุณาช่วยเหลือ ให้ข้อมูลข้อเสนอแนะ คาปรึกษาแนะนา ความคิดเห็นและเป็นกาลังใจ
ผูเ้ ขียนขอขอบพระคุณ ท่านรองศาสตราจารย์ดร.โยธิน แสวงดี ที่กรุณาให้คาชี้แนะ
คาปรึกษาแนะนาในการวิจัย และขอขอบพระคุณผู้กรุณาให้ความร่วมมือในการขอข้อมูล ให้ความ
ร่วมมือในการตอบแบบสัมภาษณ์เชิงลึกและแบบสอบถาม ชาวชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ที่
ให้ความช่วยเหลือประสานงานเป็นอย่างดี ด้วยอัธยาศัยไมตรีที่อบอุ่นเป็นกันเอง รวมทั้งฝ่ายวิจัย
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ที่ช่วยให้รายงานการวิจัยสาเร็จลุล่วงไป
ด้วยดี
นางสาวชารวี บุตรบารุง
กันยายน 2555
www.ssru.ac.th
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อ (1)
ABSTRACT (2)
กิตติกรรมประกาศ (3)
สารบัญ (4)
สารบัญตาราง (8)
สารบัญภาพ (9)
บทที่ 1 บทนา 1
1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา 1
1.2 คาถามของการวิจัย 5
1.3 วัตถุประสงค์การวิจัย 5
1.4 สมมติฐานของการวิจัย 6
1.5 ขอบเขตของการวิจัย 6
1.6 ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาวิจัย 6
1.7 นิยามศัพท์เฉพาะ 7
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 8
2.1 ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนเขตดุสิต 9
2.2 แนวคิดเกี่ยวกับการออม 10
2.3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับ ความพอเพียง 26
2.4 แนวคิด การออมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง 31
2.5 แนวคิดเกี่ยวกับการอยู่ดีมีสุข 33
2. 6 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ 41
2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 52
2. 8 กรอบแนวคิดในการวิจัย 59
www.ssru.ac.th
(7)
สารบัญ(ต่อ)
หน้า
บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย 60
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 60
3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 60
3.3 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 62
3.4 การรวบรวมข้อมูล 62
3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 62
บทที่ 4 ผลการวิจัย 63
4.1 ผลการวิจัยเชิงปริมาณ 63
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ 75
5.1 สรุปผลการวิจัย 75
5.2 การตอบคาถามการวิจัยและอภิปรายผล 77
5.3 ข้อเสนอแนะ 79
บรรณานุกรม 80
ภาคผนวก 83
- ภาคผนวก ก แบบสอบถาม 84
- ภาคผนวก ข ประวัติผู้วิจัย 87
www.ssru.ac.th
(8)
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
4.1 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามเพศของผู้ตอบแบบสอบถาม (63)
4.2 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามอายุของผู้ตอบแบบสอบถาม (64)
4.3 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม (64)
4.4 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามการศึกษาของผู้ตอบแบบสอบถาม (64)
4.5 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามอาชีพของผู้ตอบแบบสอบถาม (65)
4.6 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามสมาชิกพักอาศัยของผู้ตอบแบบสอบถาม (65)
4.7 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามรายได้ต่อเดือนของผู้ตอบแบบสอบถาม (66)
4.8 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามรายจ่ายต่อเดือนของผู้ตอบแบบสอบถาม (66)
4.9 จานวนร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามลักษณะของรายจ่ายผู้ตอบแบบสอบถาม (67)
4.10จานวนและร้อยละของกลุ่มจาแนกตามลักษณะการออมผู้ตอบแบบสอบถาม (67)
4.11จานวนร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับเพื่อความมั่นคงในวัยสูงอายุ (68)
4.12 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับเก็บไว้ยามเจ็บป่วยหรือชรา (69)
4.13 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับมีผลตอบแทนคุ้มค่าแน่นอน (69)
4.14 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร (69)
4.15 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับเก็บไว้ให้บุตรหลาน (70)
4.16 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับลดหย่อนภาษีประจาปี (70)
4.17 จานวนร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับผู้อื่นชักชวน (71)
4.18 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับประกอบพิธีฌาปนกิจ (71)
4.19 จานวนร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับความคุ้มครองหลายด้าน (72)
4.20 จานวนร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับลดการพึ่งพิงภาครัฐ (72)
4.21 แรงบันดาลใจในการออม (73)
www.ssru.ac.th
(9)
สารบัญภาพ
ภาพประกอบที่ หน้า
2.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย (59)
www.ssru.ac.th
บทที่ 1
บทนา
1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
เขตดุสิต เป็น 1 ใน 50 เขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร อยู่ในกลุ่มเขตกรุงเทพกลาง
จัดเป็นเขตเมืองชั้นใน(Inner City) ประกอบด้วยศูนย์กลางเมืองเดิมและเขตต่างๆ เป็นพื้นที่ที่มีการ
ตั้งถิ่นฐานชุมชนในระยะแรกและพื้นที่อนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ สถานที่ราชการ สถานศึกษา ย่าน
ธุรกิจการค้าหนาแน่น สภาพพื้นที่ประกอบไปด้วยแหล่งการค้า แหล่งที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก เขต
ทหาร แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่ตั้งรัฐสภา
ทาเนียบรัฐบาล บ้านพิษณุโลก หอสมุดแห่งชาติ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติกระทรวงต่างๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และพระราชวัง อาทิ พระที่นั่งอนันตสมาคม
พระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้า วังกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ วังสวนสุนันทา วัดต่างๆทั้งวัด
เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดราชาธิวาส วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดนักบุญฟรังซีสเซเวียร์ และ
สถานศึกษา หลายๆแห่งเช่น โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร โรงเรียนเซนต์คาเบรียล โรงเรียน
ราชินีบน โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย โรงเรียนจิตรลดา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตชุมพรเขตอุดมศักดิ์ วิทยาลัยพยาบาลเกื้อ
การุณย์วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล เป็นต้น จึงทาให้เขตนี้มีลักษณะ
ราวกับว่าเป็นเขตการปกครองส่วนกลางของประเทศไทย
โดยเขตดุสิตตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายของแม่น้าเจ้าพระยาหรือฝั่งพระนคร มีอาณาบริเวณติดต่อ
ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับเขตบางซื่อ มีคลองบางซื่อเป็นเส้นแบ่งเขต ทิศใต้ ติดต่อกับเขตปทุมวัน
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และเขตพระนคร มีคลองผดุงกรุงเกษม เป็นเส้นแบ่งเขต ทิศตะวันออก
ติดต่อกับเขตพญาไทและเขตราชเทวี มีทางรถไฟสายเหนือเป็นเส้นแบ่งเขต ทิศตะวันตก ติดต่อกับ
เขตบางพลัด มีแนวกึ่งกลางแม่น้าเจ้าพระยาเป็นเส้นแบ่งเขต โดยมีพื้นที่การปกครอง แบ่ง
ออกเป็น 5 แขวง ดังต่อไปนี้ 1. แขวงดุสิต พื้นที่ 2.238 ตารางกิโลเมตร 2. แขวงวชิรพยาบาล พื้นที่
1.1074 ตารางกิโลเมตร 3. แขวงสวนจิตรลดา พื้นที่ 1.1737 ตารางกิโลเมตร 4. แขวงสี่แยกมหา
นาค พื้นที่ 0.339ตารางกิโลเมตร 5 แขวงถนนนครไชยศรี พื้นที่ 5.272 ตารางกิโลเมตร และมี
www.ssru.ac.th
(2)
www.ssru.ac.th
(3)
www.ssru.ac.th
(4)
ควรจะต้องเร่งวางแผนดาเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะประชาชนที่มีช่วงอายุระหว่าง 30 – 40
ปี ซึ่งจัดว่าเป็นช่วงอายุที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น วัยทางาน ผ่านการทางานมาช่วงเวลาหนึ่งอย่าง
น้อย 5 ปี อยู่ในช่วงที่สร้างหลักปันฐานของชีวิต ดังนั้นหากในช่วงวัยนี้มองข้ามการออม มิได้
คานึงถึงอนาคตข้างหน้าในช่วงที่จะเข้าสู่วัยสูงอายุ เมื่อถึงในช่วงเวลานั้นๆความมั่นคงในชีวิตก็จะ
ลดลงหรือขาดความมั่นคงในที่สุด
สภาพสังคมไทยได้เปลี่ยนมีการนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ ตลอดจนได้รับอารยธรรม
จากตะวันตก ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะทางสังคมมีผล
ทาให้โครงสร้างและค่านิยมของสังคมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากครอบครัวขยายสู่ครอบครัว
เดี่ยว ทาให้ขาดความใกล้ชิด ผู้สูงอายุต้องอยู่เพียงลาพัง ขาดการดูแลเอาใจใส่จากคนใน
ครอบครัว ซึ่งบางรายไม่สามารถเลี้ยงตนเองได้ ไม่สามารถทางานหาลี้ยงชีพได้ เป็นปัญหาทั้ง
สุขภาพกายและสุขภาพจิต จัดเป็นปัญหาทางสังคมที่มีความสาคัญมาก จึงควรให้ความสาคัญใน
การวางแผนเพื่อเตรียมเข้าสู่วัยสูงอายุ จากผลการวิจัยของโครงการวิจัยการสร้างโอกาสการ
ทางานของผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุไทยไม่มีเงินออม ต้องทางานเลี้ยงชีพมากกว่าร้อยละ 60 เป็น
กาลังหลักของครอบครัว งานที่ทาส่วนใหญ่เป็นงานบริการ รองลงมาคืออาชีพพื้นฐานและงานฝีมือ
แนะรัฐสร้างโอกาสการทางานของผู้สูงอายุ แก้กฎหมายเอื้อให้คนแก่ทางานได้ เสนอปรับปรุง
พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน ยกเลิกระเบียบต้องเกษียณ 60 ปี แต่ให้ทางานต่อได้ ตามความสมัครใจ
และร่างกายเอื้ออานวย ปัจจุบันมีผู้สูงอายุจานวนมากไม่มีบุตรหลานเลี้ยงดู เป็นที่พึ่ง รวมทั้งไม่มี
เงินออมที่จะใช้ดารงชีวิตในวัยชรา จึงต้องทางานหารายได้เลี้ยงดูตนเอง ซึ่งจากการสารวจสภาวะ
การทางานของประชากร ณ ไตรมาสที่ 3 ในปี พ.ศ. 2552 พบว่า ร้อยละ 37.9 ของจานวน
ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปยังอยู่ในกาลังแรงงาน โดยประมาณการณ์แล้ว ยังมีผู้สูงอายุ 1
ใน 3 ที่ต้องยังชีพด้วยการทางาน โดยร้อยละ 70 ของ กลุ่มผู้สูงอายุชายอายุ 60-65 ปี และร้อยละ
65 ของกลุ่มผู้สูงอายุชายอายุ 65 ปีขึ้นไป ต้องทางานต่อเนื่องเพราะเป็นรายได้หลักของครอบครัว
ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุเพศหญิง มีอยู่ร้อยละ 60 นอกจากนี้ยังมีผู้สูงอายุอีกร้อยละ 30 ที่ต้องการทางาน
แต่ว่างงานและยังพยายามหางานทาอยู่ ผู้สูงอายุที่มีระดับการศึกษาสูง ที่ยังคงทางานอยู่นั้นมีอยู่
ไม่มาก ส่วนใหญ่ของผู้สูงอายุที่ยังทางานเป็นผู้ที่ไม่มีการศึกษา หรือมีการศึกษาต่ากว่าประถม
และมีรายได้ที่ต่า จึงไม่สามารถเก็บสะสมเงินออมไว้เพียงพอสาหรับเลี้ยงชีพในวัยชราและ
จาเป็นต้องทางานต่อไป
ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจศึกษาวิจัยว่า ปัจจุบันประชาชนในวัยทางานอายุตั้งแต่ 30 -
40 ปี มีรายได้และการใช้จ่าย รูปแบบการออมอย่างไร รวมทั้งวิเคราะห์รูปแบบการออมจาแนก
www.ssru.ac.th
(5)
1.2 คาถามของการวิจัย
1) รายได้และการใช้จ่าย รวมทั้งรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของ
ประชาชนวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร
2) แรงบันดาลใจที่ทาให้เกิดการวางแผนในการออมมีอะไรบ้าง
3) ความมั่นคงในวัยสูงอายุของประชาชนในเขตดุสิตมีมิติอย่างไรบ้าง
1.3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การวิจัย เรื่อง รายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของประชาชน
อายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่มีคุณภาพ จึงกาหนด
วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย ดังนี้
1) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์แบบแผนของรายได้และการใช้จ่ายของประชาชนวัยผู้ใหญ่
ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี
2) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์รูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของประชาชน
วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี
www.ssru.ac.th
(6)
1.4 สมมติฐานการวิจัย
การวิจัย เรื่อง รายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของประชาชน
อายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่มีคุณภาพ จึงกาหนด
สมมติฐานของการวิจัย ดังนี้
1) ประชาชนวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี มีการวิเคราะห์แบบแผนของรายได้และ
การใช้จ่าย
2) ประชาชนวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี มีการวิเคราะห์รูปแบบการออมเพื่อการ
เตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุ
1.5 ขอบเขตของการวิจัย
ในการวิจัย ผู้วิจัยกาหนดขอเขตของโครงการวิจัย เป็น 3 ขอบเขต คือ ขอบเขตเชิงพื้นที่
ขอบเขตเชิงประชากร และขอบเขตเชิงเนื้อหา ดังมีรายละเอียด ดังนี้
1) ขอบเขตเชิงพื้นที่ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
2) ขอบเขตเชิงประชากร ศึกษาข้อมูลจากประชาชนวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี
โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จานวน 400 ตัวอย่าง ด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ
3) ขอบเขตเชิงเนื้อหา เพื่อศึกษาและวิเคราะห์แบบแผนของรายได้และการใช้จ่าย
รวมทั้งรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของประชาชนวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30 –
40 ปี
1.6 ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาวิจัย
ในการวิจัย เรื่อง รายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของ
ประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร สามารถนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์
ดังต่อไปนี้
1) ทาให้ประชาชนมีการเตรียมพร้อมในการออมเพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุด้วยความมั่นคง โดย
ลดการพึ่งพิงจากรัฐ
2) มิติรายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของเขตดุสิต ซึ่งอยู่ใน
เมืองหลวงชั้นใน สามารถเป็นภาพสะท้อนให้กับเขตอื่นๆในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
3) สามารถเผยแพร่ จัดประชุม หรืออบรม ให้เกิดประโยชน์แก่ ประชาชน ศูนย์ส่งเสริม
บริหารเงินออมครอบครัว กรุงเทพมหานคร สถาบันการเงินต่างๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
www.ssru.ac.th
(7)
1.7 นิยามศัพท์เฉพาะ
1) แบบแผนรายได้ หมายถึง เงินจากการประกอบอาชีพ อาจอยู่ในรูปของเงินเดือน
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมหรือเงินฝากธนาคาร และเงินกาไรจากการค้าขาย
2) แบบแผนรายจ่าย หมายถึง เงินที่จ่ายออกไป อาจอยู่ในรูปของค่าสาธารณูปโภค ค่า
อุปโภคค่าบริโภค ค่าใช้จ่ายต่างๆ
3) รูปแบบการออม หมายถึง ชนิดการเก็บสะสมเงินให้พอกพูนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
4) การเตรียมพร้อม หมายถึง การเตรียมตัวในเรื่องการออมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ
5) วัยสูงอายุ หมายถึง ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 60 ขึ้นไป
www.ssru.ac.th
บทที่ 2
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.1 ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนเขตดุสิต
2.2 แนวคิดเกี่ยวกับการออม
2.3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความพอเพียง
2.4 แนวคิดการออมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
2.5 แนวคิดความอยู่ดีมีสุข
2.6 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ
2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.8 กรอบแนวคิดในการวิจัย
www.ssru.ac.th
(9)
2.1 ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนเขตดุสิต
เขตดุสิตเป็น 1 ใน 50 เขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร อยู่ในกลุ่มเขตกรุงเทพกลาง
สภาพพื้นที่ประกอบไปด้วยแหล่งการค้า แหล่งที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก เขตทหาร แหล่งท่องเที่ยว
เชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่ตั้งรัฐสภา กระทรวงต่างๆ และ
พระราชวัง จึงทําให้เขตนี้มีลักษณะราวกับว่าเป็นเขตการปกครองส่วนกลางของประเทศไทย มี
จํานวนประชากร 114,488 คน (พ.ศ. 2552) พื้นที่ 10.7 ตร.กม. ความหนาแน่น 10,699.81 คน/
ตร.กม. ตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ําเจ้าพระยาหรือฝั่งพระนคร มีอาณาบริเวณติดต่อ ดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับเขตบางซื่อ มีคลองบางซื่อเป็นเส้นแบ่งเขต
ทิศตะวันออก ติดต่อกับเขตพญาไทและเขตราชเทวี มีทางรถไฟสายเหนือเป็นเส้นแบ่งเขต
ทิศใต้ ติดต่อกับเขตปทุมวัน เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และเขตพระนคร มีคลองผดุงกรุงเกษม
เป็นเส้นแบ่งเขต
ทิศตะวันตก ติดต่อกับเขตบางพลัด มีแนวกึ่งกลางแม่น้ําเจ้าพระยาเป็นเส้นแบ่งเขต
โดยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปรับปรุงจัดรูปแบบการ
ปกครองใหม่เพื่อให้มีความทันสมัย จัดการปกครองส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งในมณฑล
กรุงเทพมีกระทรวงนครบาลดูแล แบ่งเขตปกครองออกเป็นอําเภอและตําบลเช่นเดียวกับหัวเมือง
อื่นๆ โดยอําเภอดุสิต เป็น 1 ใน 8 อําเภอชั้นใน ตั้งที่ว่าการอําเภออยู่ริมคลองเปรมประชากร ถนน
สุโขทัย ในปี พ.ศ. 2481 อําเภอบางซื่อซึ่งเป็นอําเภอชั้นนอกทางทิศเหนือ ได้ถูกยุบลงเป็นตําบลมา
ขึ้นกับอําเภอดุสิต และเนื่องจากทางอําเภอมีจํานวนประชากรและพื้นที่กว้างขวางมาก
กระทรวงมหาดไทยจึงได้แยกตําบลสามเสนใน ตําบลมักกะสัน ตําบลทุ่งพญาไท ตําบลถนน
เพชรบุรีและตําบลถนนพญาไท ไปรวมกับพื้นที่บางส่วนของอําเภอบางกะปิ เพื่อจัดตั้งเป็นอําเภอ
พญาไท
ในปี พ.ศ. 2509 ภายหลังได้มีการรวมจังหวัดธนบุรีและจังหวัดพระนคร เป็นนครหลวง
กรุงเทพธนบุรี และเปลี่ยนเป็นกรุงเทพมหานครในเวลาต่อมา ซึ่งแบ่งพื้นที่ออกเป็นเขตและแขวง
แทนอําเภอและตําบล อําเภอดุสิตจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะเป็น เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร มี
หน่วยการปกครองย่อย 6 แขวง ต่อมา ในพื้นที่เขตดุสิตมีประชากรเพิ่มมากขึ้นและยังมีพื้นที่
กว้างขวาง ดังนั้น เพื่อให้หน่วยงานราชการสามารถดูแลได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง
กรุงเทพมหานครจึงได้จัดตั้งสํานักงานเขตดุสิต สาขา 1 รับผิดชอบแขวงบางซื่อ ซึ่งได้มีประกาศ
กระทรวงมหาดไทยตั้งเป็นเขตบางซื่อ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532
www.ssru.ac.th
(10)
2.2 แนวคิดเกี่ยวกับการออม
ความหมายของเงินออม
พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2525 ให้นิยามไว้ว่า การออม คือ การ
ประหยัด การเก็บหอมรอบริบ การถนอม และการสงวน สิ่งที่จะประหยัด หรือเก็บหอมรอบริบ
ได้แก่ ทรัพย์สินเงินทอง
เงินออม หมายถึง ส่วนของรายได้ที่เหลืออยู่ หรือที่กันเอาไว้ไม่นํามาใช้จ่ายในการบริโภค
อุปโภคในขณะปัจจุบัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในยามเจ็บป่วย เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น
หรือเมื่อแก่ชรา หรือเพื่อใช้จ่ายในกิจการ อื่นใดที่สมควร ส่วนของรายได้ทั้งหมดที่ไม่ได้นํามาใช้
www.ssru.ac.th
(11)
จ่ายและเก็บเอาไว้ก็นับเป็นเงินออมได้ทั้งหมด แต่ถ้าพูดถึงเงินออมในลักษณะที่เก็บเอาไว้เฉยๆ จะ
ไม่ใช่เงินออมในความหมายทางเศรษฐศาสตร์
เงินออมทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ส่วนของรายได้ที่มิได้มีการใช้จ่ายบริโภคอุปโภคและ
เงินจํานวนนั้นได้นําไปลงทุนเพื่อเพิ่มผลผลิตในระบบเศรษฐกิจด้วย แต่มิได้หมายความว่าผู้ที่ทํา
การออมเงินจะต้องเข้าไปจัดการลงทุนทําการผลิตสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้น ผู้ที่ทําการออมกับผู้ลงทุนไม่
จําเป็นจะต้องเป็นบุคคลคนเดียวกัน และโดยปกติจะไม่ใช่บุคคลเดียวกันด้วย ในความหมายนี้
เพียงแต่หมายถึงเงินที่ออมไว้นั้นต้องพร้อมที่จะนําไปลงทุนประกอบธุรกิจได้โดยจะผ่านระบบ
การเงินของประเทศหรือสถาบันการเงินอื่นใดก็ได้
ดังนั้นพอสรุปได้ว่า เงินออมตามความหมายทางเศรษฐศาสตร์ หมายรวมถึง บรรดาเงิน
ฝากในธนาคารหรือในสถาบันการเงินอื่นๆ เช่น บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ บริษัทประกัน
ชีวิตที่ประชาชนนําไปฝาก และจํานวนเงินส่วนที่ประชาชนนําไปซื้อหุ้นของกิจการต่างๆ
(หลักทรัพย์ ) หรือแม้แต่ส่วนของเงินที่เอกชนนําออกให้กู้ยืมเป็นส่วนตัว (ไม่รวมการกู้ยืมเพื่อการ
บริโภค ) ซึ่งจะเห็นว่าจํานวนเงินออมเหล่านี้ยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนมืออยู่ในระบบเศรษฐกิจ
ส่วนรวมมิได้สูญหาย เพราะสถาบันการเงินที่รับฝากเงินออมก็จะนําเงินดังกล่าวออกให้กู้ยืม ผู้
กู้ยืมเงินลงทุนก็จะเข้าดําเนินธุรกิจซื้อปัจจัยการผลิตต่างๆ ที่ต้องใช้ในการผลิต เป็นรายได้ไปสู่
เจ้าของปัจจัยการผลิต ซึ่งนํามาใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนหนึ่ง และเหลือเก็บออมไว้อีกส่วนหนึ่ง
การหมุนเวียนของเงินออมมีลักษณะเป็นวงจรเช่นนี้ต่อๆ ไป ซึ่งต่างกับกรณีที่มีการเก็บเงินไว้กับ
ตัวเองเฉยๆ ไม่นําออกใช้จ่าย จํานวนเงินส่วนที่เก็บไว้นี้จะหลุดลอยออกไปจากระบบเศรษฐกิจโดย
สิ้นเชิงไม่กลับเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอีกจนกว่าจะได้มีการใช้จ่ายสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
การเก็บเงินในลักษณะนี้ตรงกับคําศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “ Hoarding ” ไม่ใช่ “ Saving ”
การออม คือ รายได้เมื่อหักรายจ่ายแล้วจะมีส่วนซึ่งเหลืออยู่ ส่วนของรายได้ที่เหลืออยู่ซึ่ง
ไม่ได้ถูกใช้สอยออกไปนี้เรียกว่าเงินออม Incomes – Expenses = Savings โดยทั่วไปการออมจะ
เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมีรายได้มากกว่าการจ่ายของเขา ทางที่จะเพิ่มเงินออมให้แก่ บุคคล อาจ
ทําได้โดยการพยายามหาทางเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นด้วยการทํางานมากขึ้น ใช้เวลาว่างในการหา
รายได้พิเศษ หรือการปรับปรุงงานที่ทําอยู่ให้มีประสิทธิภาพมีรายได้สูงขึ้น เป็นต้น นอกจากนั้นการ
ลดรายจ่ายลงด้วยการรู้จักใช้จ่ายเท่าที่จําเป็นและเหมาะสมก็จะทําให้มีการออมเกิดขึ้นได้เหมือน
ความสาคัญของเงินออม
เงินออมเป็นปัจจัยที่จะทําให้เป้าหมายซึ่งบุคคลกําหนดไว้ในอนาคตบรรลุจุดประสงค์ เช่น
กําหนดเป้าหมายไว้ว่าจะต้องมีบ้านเป็นของตนเองในอนาคตให้ได้ เงินออมจะเป็นปัจจัยสําคัญที่
www.ssru.ac.th
(12)
กําหนดเป้าหมายที่วางไว้เป็นจริงขึ้นมาได้ นอกจากนี้เงินออมยังใช้สําหรับแก้ไขปัญหาความ
เดือดร้อนทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงของบุคคลได้ด้วย ดังนั้นบุคคลจึงควรมีการออม
อย่างสม่ําเสมอในชีวิต
สิ่งจูงใจในการออม
การที่คนเรามี “ เป้าหมาย ” อย่างหนึ่งอย่างใดในอนาคตกําหนดไว้อย่างชัดเจนแน่นอนก็
จะทําให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะเก็บออมมากขึ้น เป้าหมายของแต่ละบุคลอาจแตกต่างกัน
แล้วแต่ความจําเป็นและความต้องการของเขาและยังขึ้นอยู่กับความหวังและความทะเยอทะยาน
ในชีวิตของเขาด้วย ตัวอย่างเช่น บางคนอยากมีบ้านและที่ดินเป็นของตั วเอง อยากจะมีการศึกษา
สูงอยากมีชีวิตที่สุขสบายในยามปลดเกษียณ หรือหวังที่จะให้ลูกหลานมีหลักฐานมั่นคง ดังนั้น
เป้าหมายในการออมแตกต่างกันนี้จะเป็นสิ่งที่กําหนดให้จํานวนเงินออมและระยะเวลาในการออม
แตกต่างกันไป
การปฏิบัติเกี่ยวกับการออมที่ดี
ในทางปฏิบัติเพื่อให้การออมได้ผลจริงๆ ควรจัดทําดังนี้
- ทางที่จะสามารถทราบล่วงหน้าได้ว่าจะมีการออมได้หรือไม่นั้น โดยการจัดทํางบ
ประมาณเงินสด ทํางบประมาณรายได้ รายจ่าย เพื่อจะรู้ว่ามีเงินเหลือที่จะเก็บออมเท่าไร
- เมื่อทํางบประมาณและทราบได้ว่า จะสามารถเก็บออมได้เดือนละเท่าไหร่แล้ว ให้กันเงิน
ออมส่วนนั้น (ก่อนที่จะจ่ายเป็นรายจ่ายออกไป ) แล้วนําไปฝากธนาคารทันที รายได้ที่เกิดขึ้นจาก
เงินออม เช่น ดอกเบี้ยที่ได้รับ ควรนําไปลงทุนต่อทันที เพื่อให้เงินออมงอกเงยขึ้นไป การเก็บเงินไว้
กับตนเองย่อมไม่ปลอดภัยและเป็นการสูญเสียรายได้ที่ควรจะได้รับ ดังนั้น ควรเก็บรักษาไว้ในที่
ปลอดภัยและมีรายได้ด้วย โดยการฝากสถาบันการเงินบางแห่งไว้ เช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคาร
ออมสิน สหกรณ์ออมทรัพย์ หรืออาจจะเก็บออมในรูปของการซื้อหลักทรัพย์หรือตราสารฯ ที่มี
ความมั่นคง ก่อให้เกิดรายได้และสามารถเปลี่ยนมาเป็นเงินสดได้ง่าย มาถือไว้ เช่น การซื้อ
พันธบัตรรัฐบาล สลากออมสิน พันธบัตรออมทรัพย์ต่างๆ ตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนที่
มั่นคง การซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมหรือซื้อหุ้นของบริษัทที่มั่นคงถือไว้ ฯลฯ
ปัจจัยสาคัญในการออม
1) ผลตอบแทนที่ผู้ออมได้รับจากการออม หมายความว่า ถ้ายิ่งผลตอบแทนในการออม
เพิ่มมากขึ้นเท่าใด จะเป็นสิ่งดึงดูดใจให้บุคคลมีการออมเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เช่น ในภาวะที่รัฐบาล
กําหนดให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจําทุกประเภทลง ทั้งยังเก็บ
ดอกเบี้ยภาษีเงินฝากอีก จึงทําให้ระดับเงินออมของธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มลดลงเป็นอย่างมาก
www.ssru.ac.th
(13)
2) มูลค่าของอํานาจซื้อของเงินในปัจจุบัน ผู้ออมจะตัดสินใจทําการออมมากขึ้นภายหลัง
จากการพิจารณาถึงอํานาจซื้อของเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าจะมีความแตกต่างจากมูลค่าของเงินใน
อนาคตมักหมายความว่าจํานวนเงิน 1 บาทซื้อสินค้าและบริการได้ในจํานวนใกล้เคียงหรือเท่ากับ
การใช้เงิน 1 บาทซื้อสินค้าหรือบริการในอีก 2-3 ปีข้างหน้าหรือมากกว่านั้น ในทางตรงกันข้ามถ้า
ท่านว่าการเก็บเงินออมไว้โดยไม่ยอมซื้อสินค้าขณะนี้ ท่านอาจจะสูญเสียความพอใจที่ควรได้รับ
จากการซื้อสินค้าในปัจจุบันมากกว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากการออม ทั้งยังเสียเวลาคอยที่จะซื้อ
สินค้าในอนาคตที่อาจมีราคาสูงมากกว่าอัตราผลตอบแทนที่ได้รับอีกด้วย ดังนั้น ถ้าท่านพอใจทีจะ
ซื้อสินค้าในวันนี้มากกว่าการหวังผลตอบแทนที่จะได้รับเพิ่มขึ้นในอนาคต ท่านก็จะมีการออม
ลดลง
3) รายได้ส่วนบุคคลสุทธิ ผู้ที่มีรายได้คงที่แน่นอนเป็นประจําทุกเดือนในจํานวนที่ไม่สูง
มากนักเช่น ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทเอกชนระดับต่ํา จํานวนเงินออมที่กัน
ไว้อาจเป็นเพียงจํานวนน้อยตามอัตราส่วนของรายได้ที่มีอยู่ ซึ่งต่างจากจํานวนเงินออมของ
ผู้บริหารระดับสูง หรือนักการเมืองที่จะมีเงินเหลือออมได้มากกว่า นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลง
รายได้เนื่องจากการเลื่อนตําแหน่ง การโยกย้ายงานการถูกปลดออกจากตําแหน่งหน้าที่การงานที่มี
ผลต่อระดับการออมเช่นกัน คืออาจทําให้มีการออมเพิ่มมากขึ้นหรือลดลงไปจากระดับเดิมได้
ดังนั้นในระหว่างที่ท่านมีรายได้มากกว่าปกติ หรือในขณะที่ท่านมีความสามารถหารายได้ได้อยู่จึง
ควรจะมีการออมไว้เพื่อป้องกันปัญหาทางการเงินอันอาจเกิดขึ้นได้
4) ความแน่นอนของจํานวนรายได้ในอนาคตหลังการเกษียณอายุ ถ้าผู้มีรายได้ทุกคน
ทราบได้แน่นอนว่า เมื่อใดก็ตามที่ท่านไม่มีความสามารถหารายได้ได้อีกต่อไป ท่านก็จะไม่มี
ปัญหาทางการเงินเกิดขึ้น หรือถ้ามีก็ไม่ใช่ปัญหาที่รุนแรงมากนัก เนื่องจากหน่วยงานที่ท่านเคย
ทํางานอยู่มีนโยบายช่วยเหลือท่านในวัยชราหลังเกษีย ณอายุ หรือภายหลังออกจากงานก่อน
กําหนด เช่น นโยบายการให้บํานาญ บําเหน็จ เงินชดเชย เป็นต้น ดังนั้น ผู้ออมอาจมีการออม
ลดลงเพื่อกันเงินไว้ใช้จ่ายมากขึ้น โดยไม่ทําให้จํานวนเงินรวมในอนาคตกระทบกระเทือนแต่
ประการใด
วัตถุประสงค์ในการออมเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทําการสํารวจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการออมเงินของแต่ละ
บุคคลไว้ โดยเรียงตามลําดับความสําคัญ ดังนี้ เก็บไว้ใช้ยามเจ็บป่วยหรือชรา เพื่อการศึกษา เพื่อ
เป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ ต้องการดอกเบี้ย เพื่อเป็นหลักประกันในการกู้เงิน ซื้อสินทรัพย์
อื่นๆ เพื่อกิจกรรมทางศาสนา/ประเพณีต่างๆ
www.ssru.ac.th
(14)
ความหมายของการออมทรัพย์
การออมทรัพย์ (Saving) คือ การประหยัดทรัพย์หรือการประหยัดเงินนั่นเอง ทําอย่างไรจึง
จะประหยัดทรัพย์ได้ และการประหยัดทรัพย์ในแง่ของเศรษฐกิจจะเกิดผลดีอย่างไร คําตอบที่คน
ส่วนมากเข้าใจกันก็คือการเก็บเงินส่วนหนึ่งของรายได้ไว้ ไม่นํามาใช้สอย และจะนํามาใช้จ่ายเมื่อ
ถึงความจําเป็น เป็นการประหยัดเงิน แต่ความหมายของการออมทรัพย์ในทางเศรษฐศาสตร์ อาจ
แตกต่างกันบ้าง
การรู้จักใช้จ่ายเพื่อการบริโภคอย่างรอบคอบและสมเหตุสมผล จะเป็นการยกระดับ
มาตรฐานการครองชีพให้สูงขึ้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัด ใช้จ่ายเงินเป็นและ
เหมาะสมกับการดํารงชีวิตแก่ตนเอง แต่ถ้าไม่ยอมใช้จ่ายทรัพย์หรือเงินเพื่อประโยชน์ตนเอง และ
ครอบครัวเลยก็จะกลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมากเกินไป เช่น บางคนใส่เสื้อผ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
จนสกปรกมากจึงจะยอมซัก เพราะกลัวเปลืองน้ําและผงซักฟอก ถ้าคนเรารู้จักใช้จ่ายทรัพย์หรือ
เงินเป็นก็เท่ากับว่า คนนั้นได้ยืดเวลาในการใช้เงินจํานวนนั้นออกไป เช่น แม่บ้านเคยใช้แก๊สหุงต้ม
1 ถังใน 1 เดือน แต่ถ้าแม่บ้านคอยดูแลการปิดเปิดไม่ให้แก๊สรั่วไหลโดยเปล่าประโยชน์ก็สามารถ
ยืดเวลาการซื้อแก๊สถังใหม่ได้ การยืดเวลาใช้แก๊สออกไปเท่ากับเป็นการยืดเวลาการใช้เงินออกไป
ด้วย ถือว่าส่วนที่ไม่ต้องเสียนั้นเป็นเงินออมและการยืดเวลาการใช้เงินเป็นการออมทรัพย์
การออมทรัพย์ เป็นหัวใจสําคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะการออมเป็น
ปัจจัยหนึ่งที่กําหนดความสามารถในการลงทุนของประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจในระยะยาว หากประเทศมีการลงทุนสูงกว่าการออมอย่างต่อเนื่อง ย่อมแสดงว่าระบบ
เศรษฐกิจกําลังใช้ทรัพยากรมากกว่าที่มีอยู่ ทําให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ต้องกู้ยืมเงินจาก
ต่างประเทศมาแก้ปัญหาถ้ามีมากเกินไปอาจกระทบกับเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจได้ การออม
ทรัพย์ของไทยอยู่ในอัตราที่ไม่ต่ําเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานสากล แต่มีแนวโน้มลดลงเหลือ
เพียง 17-20 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากในช่วงระยะเวลาที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจ ทุกครัวเรือนมีภาระ
ต้องใช้จ่ายแม้อัตราดอกเบี้ยจะลดลง แต่การฝากเงินกับธนาคารเป็นรูปแบบการออมที่ครัวเรือน
ส่วนใหญ่นิยมมากที่สุด ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงถึง 86 เปอร์เซ็นต์ ของเงินออมในภาคครัวเรือนทั้งหมด
การเป็นผู้ออม (Savers) ของคนไทย ส่วนใหญ่ยังไม่อยู่ในฐานะนักลงทุน (Investors) อาจ
เป็นเพราะไม่มีความรู้ทางการเงิน ในระบบเศรษฐกิจที่มีการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า ทุกคนล้วน
ต้องสัมผัสกับเงินในฐานะสื่อกลางของการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) ตั้งแต่เกิดจนตาย
โดยในช่วงชีวิตของคนเรานั้นทุกคนจะเรียนรู้การใช้จ่ายเงินอย่างมีเหตุผลและถูกต้อง ซึ่งจะเป็น
www.ssru.ac.th
(15)
www.ssru.ac.th
(16)
www.ssru.ac.th
(17)
www.ssru.ac.th
(18)
www.ssru.ac.th
(19)
www.ssru.ac.th
(20)
การใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบก่อน ทําให้เสียอํานาจซื้อไปโดยใช่เหตุ
และยังเป็นผลเสียเสียต่อเศรษฐกิจส่วนรวมด้วย คือ เป็นการสนับสนุนโดยทางอ้อมแก่ผู้ผลิตที่ไม่มี
คุณภาพหรือมาตรฐานเพียงพอ เมื่อเป็นเช่นนี้การใช้จ่ายเงินเพื่อการซื้อสินค้าหรือบริการซึ่ง
ผู้บริโภคทุกคนจะต้องพยายามฝึกนิสัยตัวเองให้เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้เงินโดยมีดุลยพินิจและมี
สามัญสํานึกเสมอ การทําเช่นนี้ได้ต้องอาศัยการวางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างฉลาดในการซื้อสินค้า
หรือบริการ
หลักเกณฑ์ในการวางแผนการใช้จ่ายเงิน
การวางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างฉลาดในการซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ควรมีหลักเกณฑ์ใน
การพิจารณาดังนี้
1) ขั้นก่อนตัดสินใจซื้อ ควรถามตัวเองในเรื่องต่อไปนี้
- มีความจําเป็นที่แท้จริงหรือไม่
- มีเงินเพียงพอที่จะซื้อหรือไม่
- ของเดิมที่มีอยู่ยังใช้การได้หรือไม่
2) ขั้นตัดสินใจซื้อ ควรพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้
- ควรซื้อหรือไม่ ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ซื้อนั้นเพียงใด คุ้มค่าหรือไม่
- ควรซื้อด้วยเงินสดหรือเงินผ่อน
- ขั้นเลือกซื้อ ควรตัดสินใจในเรื่องต่อไปนี้
พฤติกรรมของบุคคลที่ประสบความสาเร็จทางการเงิน
พฤติกรรมของบุคคลที่ประสบความสําเร็จทางการเงินมี 7 ประการ คือ
1) มีความประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักเก็บหอมรอมริบ รู้จักใช้จ่ายเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2) มีการจัดสรรเวลา พลังงาน และเงินอย่างมีประสิทธิภาพในการสะสมความมั่นคง
3) มีอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งเป็นการแสดงออกที่สําคัญกว่าฐานะทางสังคม
4) ไม่ได้ร่ํารวยมาแต่กําเนิด
5) สามารถพึ่งพาตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ
6) มีประสบการณ์และทักษะในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ
7) ส่วนมากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว หรือประกอบอาชีพอิสระ
การลงทุน
การลงทุน คือ การนําเงินออมไปก่อให้เกิดผลตอบแทนเป็นรายได้ขึ้นมา เช่น การนําไป
ฝากธนาคาร การซื้อหุ้นบริษัท การซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เป็นต้น การตัดสินใจลงทุน
www.ssru.ac.th
(21)
www.ssru.ac.th
(22)
www.ssru.ac.th
(23)
ก็ตามไปซื้อหลักทรัพย์ตามความพอใจ หวังได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยหรือเงินปันผล
นอกจากนี้อาจได้รับผลตอบแทนพลอยได้อีกแบบคือกําไรหรือขาดทุนจาก การขายหลักทรัพย์
ต่อไปอีก
ผลตอบแทนจากการลงทุน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) ผลตอบแทนที่แน่นอน การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนแน่นอน เช่น การฝากเงิน ธนาคาร
การซื้อหุ้นกู้ การซื้อพันธบัตร ฯลฯ
2) ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอนก็คือการลงทุน ทาง
ธุรกิจซึ่งขึ้นอยู่กับกําไรของกิจการ เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่ทําให้ผลกําไรมาก
หรือน้อย เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การจัดการ การบริหาร คุณภาพของสินค้า การส่งเสริมการขาย และ
อื่น ๆ อัตราการเสี่ยงของการลงทุนแบบนี้จึงมีมากกว่าการลงทุนซื้อหลักทรัพย์
ข้อควรพิจารณาก่อนการลงทุน
1) ความมั่นคงปลอดภัย ผู้บริโภคจะต้องมั่นใจว่าเงินออมที่นําไปลงทุนนั้นจะต้องมีความ
มั่นคงพอสมควรและมีหวังได้เงินคือ ต้องเลือกลงทุนในกิจการหรือที่มีผู้ร่วมทุนที่เชื่อถือได้และมี
ชื่อเสียงดี ข้อตกลงหรือสัญญาใดๆ ต้องศึกษาให้รอบคอบและทําให้รัดกุมเพื่อป้องกันการคดโกงที่
อาจเกิดขึ้นในภายหลังได้
2) ผลตอบแทน ผลประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนควรจะคุ้มกับการขาดทุน
หรือสูญหายที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากการลงทุนทุกชนิดต้องมีความเสี่ยงเกิดขึ้นเสมอ ธุรกิจที่ให้
ผลตอบแทนต่ํา ความมั่นคงปลอดภัยมักสูงกว่าธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น การนําเงินออมไป
ฝากธนาคาร ผู้บริโภคสามารถเชื่อมั่นได้ว่าเงินจะไม่สูญหาย แม้ดอกเบี้ยที่ได้จะต่ํากว่าการลงทุน
ในรูปแบบอื่น เป็นต้น
3) สภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง การเปลี่ยนรัฐบาลหรือผู้นําของประเทศมีผลทําให้
นโยบายในการบริหารบ้านเมืองทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนตามไปด้วย เช่น นโยบายด้าน
การลงทุนทางอุตสาหกรรม นโยบายด้านการค้าต่างประเทศ นโยบายเรื่องเงินตรา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้
เป็นผลให้การระดมเงินออมและสภาวะการหมุนเวียนของเงินเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
4) การกระจายการลงทุน ผู้บริโภคที่หวังลงทุนโดยใช้เงินออมของตน ควรคํานึงถึงการ
กระจายการลงทุน อย่าทุ่มเงินออมลงทุนในกิจการใดโดยเฉพาะ ควรแบ่งลงทุนในหลายๆ กิจการ
เพื่อลดการเสี่ยงภัยจากการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้
www.ssru.ac.th
(24)
www.ssru.ac.th
(25)
www.ssru.ac.th
(26)
พิจารณาให้รอบคอบเมื่อจะนําเงินออกมาลงทุนกับสถาบันการเงินประเภทนี้ เท่าที่ปรากฏมา
พบว่าธนาคารพาณิชย์มีสมาคมธนาคารคอยให้ความช่วยเหลือเมื่อธนาคารมีทีท่าจะล้ม เช่น กรณี
ธนาคารไทยพัฒนา จํากัด ส่วนบริษัทเงินทุนนั้นแม้จะมีการก่อตั้งสมาคมไทยเงินทุนและ จัด
จําหน่ายหลักทรัพย์เพื่อให้ความช่วยเหลือธุรกิจเงินทุน แต่ก็มีสมาชิกจํากัดและผลงานก็ยังไม่
เด่นชัด ดังเช่นกรณีบริษัท ราชาเงินทุน จํากัด ไม่สามารถเรียกเงินฝากคืนได้ และสมาคมก็ไม่
สามารถให้ความช่วยเหลืออะไรได้
3) การซื้อสลากออมสินพิเศษ เป็นการออมทรัพย์ที่ดีประเภทหนึ่ง ซึ่งผู้บริโภคซื้อ สลากอม
สินพิเศษจากธนาคารออมสินเท่าใดก็ได้ ธนาคารออมสินจะออกสลากออมสินพิเศษเป็นหลักฐาน
ในการฝากเงินให้ สลากหน่วยหนึ่ง มีราคา 50 บาท ผู้บริโภคมีโอกาส 2 ชั้น คือ ผู้ฝากมีสิทธิถูก
รางวัลสลากออมสินพิเศษถึง 35 ครั้ง ซึ่งจะมีการออกรางวัลเดือนละครั้ง และเมื่อครบกําหนด 3 ปี
ผู้บริโภคจะได้รับเงินคืนพร้อมทั้งดอกเบี้ยตามอัตราที่กําหนดไว้
4) การซื้อพันธบัตรรัฐบาล ถือว่าการลงทุนออมทรัพย์ที่มั่นคงและให้ผลตอบแทนแน่นอน
มีการเสี่ยงภัยน้อยที่สุดทั้งยังไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ พันธบัตรรัฐบาลเป็นตราสารที่รัฐบาลค้ํา
ประกัน มีหลายชนิด ซึ่งกําหนดเวลาไถ่ถอนคืนให้แก่ประชาชนที่ซื้อเพื่อการออมทรัพย์ระยะยาว
และจ่ายดอกเบี้ยคืนให้ 6 เดือน ต่อครั้งตลาดอายุของพันธบัตรฉบับนั้นๆ ผู้บริโภคสามารถเรียกเงิน
คืนได้เมื่อต้องการหรือเมื่อครบกําหนด
5) การทําประกันชีวิต ช่วยให้สามารถออมทรัพย์หรือสะสมทรัพย์ได้ทุกๆ ปี เป็นประจํา
ช่วยให้รู้จักประหยัดเพื่อชีวิตอนาคตข้างหน้าโดยมีกําหนดเวลาที่แน่นอนและมีระเบียบแบบแผนใน
การสะสมทรัพย์อย่างดียิ่ง
6) การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์คือ ตลาดซื้อขายหุ้น เป็นคําเฉพาะมิได้
หมายถึงสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง แต่หมายถึงกิจการธุรกิจหรือสถาบันที่ดําเนินธุรกิจหลักทรัพย์ทํา
หน้าที่เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ หลักทรัพย์ที่ซื้อขายกัน ได้แก่ หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นกู้
และพันธบัตรรัฐบาล
2.3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความพอเพียง
พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน เมื่อ 4 ธันวาคม 2540
..............ความจริงเคยพูดเสมอในที่ประชุมอย่างนี้ว่า การที่จะเป็นเสือนั้น
มันไม่สําคัญ สําคัญที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบ
พอมีพอกิน แบบพอมีพอกินหมายความว่าอุ้มชูตัวเองได้ให้มีพอเพียงกับตัวเอง
www.ssru.ac.th
(27)
อันนี้เคยบอกว่า ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัว
จะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่ให้ตัวเอง สําหรับครอบครัว อย่างนั้น
มันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอําเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บาง
สิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร
ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมาก อย่างนี้นักเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัย จริงอาจจะล้าสมัย
เพราะว่าคนอื่นเขาก็ต้องมีการเศรษฐกิจที่ต้องมีการแลกเปลี่ยน เรียกว่าเป็นเศรษฐกิจ
การค้า ไม่ใช่เศรษฐกิจความพอเพียงรู้สึกไม่หรูหราแต่ประเทศไทย
เป็นประเทศที่มีบุญอยู่ว่าการผลิตที่พอเพียงทําได้......................
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศูนย์วิจัยและพัฒนาด้านอาชญาวิทยา, 2550)
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวทางการดํารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุก
ระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนา และบริหารประเทศให้
ดําเนินไปใน “ทางสายกลาง” โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์
ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจําเป็นที่จะต้องมีระบบ
ภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและ
ภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนํา
วิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดําเนินการทุกขั้นตอนและขณะเดียวกันจะต้อง
เสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุก
ระดับให้มีสํานึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดําเนินชีวิตด้วย
ความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุล และพร้อมต่อการรองรับ
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกว้างขวางทั้งด้านทางวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม
จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดําริจึงประกอบด้วยหลักการ หลักวิชาและ
หลักธรรมหลายประการ อาทิ
- เป็นปรัชญาการดํารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว
ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ
- เป็นปรัชญาในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดําเนินไปในทางสายกลาง
- จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวทันโลกยุคโลกาภิวัตน์ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการ
รองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกว้างขวางทั้งด้านวัต สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจาก
โลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
www.ssru.ac.th
(28)
- ความพอเพียงหมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุมีผลรวมถึงความจําเป็นที่จะต้อง
มีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้ง
ภายนอกและภายใน
- จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนําวิชาการ
ต่างๆมาใช้ในการวางแผนและการดําเนินการทุกขั้นตอน
- จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและ
นักธุรกิจในทุกระดับให้มีสํานึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม
ดําเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญาและความรอบคอบ
หลักการที่สาคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีหลักการที่สําคัญ 3 ประการ คือ
1) ความพอประมาณ หมายถึง การปฏิบัติตามทางสายกลาง มีความพอดีไม่น้อยเกินไป
และไม่มากเกินไป โดยไม่เบียนเบียนคนอื่นและผู้อื่น
2) ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจาก
เหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคํานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทํานั้น ๆอย่างรอบคอบ
3) การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึงการมีคุณธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เตรียมตัวให้พร้อมกับ
ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆที่จะเกิดขึ้น โดยคํานึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์
ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีมิติ 4 ด้าน
เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดําริอยู่เหนือกว่าเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของตะวันตก
ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องวัตถุที่เป็นรูปธรรม เช่น เงิน ทรัพย์สิน กําไร ไม่เกี่ยวกับเรื่องจิตใจซึ่งเป็นนามธรรม
แต่เศรษฐกิจพอเพียงมีขอบเขตกว้างขวางกว่าเศรษฐกิจทุนนิยมหรือเศรษฐกิจธุรกิจ เพราะ
ครอบคลุมถึง 4 ด้าน คือ มิติด้านเศรษฐกิจ มิติด้านจิตใจ มิติด้านสังคมและมิติด้านวัฒนธรรม
1) มิติด้านเศรษฐกิจ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจแบบพออยู่พอกิน ให้มีความ
ขยันหมั่นเพียร ประกอบสัมมาอาชีพ เพื่อให้พึ่งตนเองได้ ให้พ้นจากความยากจน การปฏิบัติตาม
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริเป็นตัวอย่างของการปฏิบัติตามเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งได้ช่วยให้
เกษตรกรจํานวนมากมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น มีชีวิตที่เป็นสุขตามสมควรแก่อัตภาพ พ้นจากการเป็นหนี้
และความยากจนสามารถพึ่งตนเองได้มีครอบครัวที่อบอุ่นและเป็นสุข
2) มิติด้านจิตใจ เศรษฐกิจพอเพียงเน้นที่จิตใจที่รู้จักพอ คือ พอดี พอประมาณและพอใจ
ในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ ไม่โลภ เศรษฐกิจพอเพียงจะต้องเริ่มที่ตัวเอง โดยสร้างรากฐานทางจิตใจที่
มั่นคง โดยเริ่มจากใจที่รู้จักพอเป็นการปฏิบัติตามทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา ดร.สุเมธ
www.ssru.ac.th
(29)
www.ssru.ac.th
(30)
www.ssru.ac.th
(31)
2.4 แนวคิดการออมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ประเทศไทยเรานั้น เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ คือ มี ทะเล มี
ภูเขา มีป่า มีพืช มีสัตว์นานาชนิด เราพูดรวมๆ ว่า ในน้ํามีปลา ในนามีข้าว โดยเฉพาะภาคใต้ของ
เรามีครบทุกอย่าง เราจึงไม่เดือดร้อนในการแสวงหาปัจจัย 4 มาบํารุงชีวิตของเราเลยอยากกินปลา
ก็หากินได้ ใกล้ๆ บ้าน อยากกินผักกินพืชก็มีให้กิน เจ็บป่วยเราก็มียาสมุนไพร ยามไข้ใจเราก็มี พระ
คอยช่วยเหลือ คอยให้ทั้งสติและปัญญา สอนให้เรามีศีลมีธรรม ไม่เป็นคนประมาทขาดสติ แต่มา
บัดนี้ วันนี้ สิ่งที่ว่าข้างต้นนั้นได้สูญหายไป เกือบจะหมดสิ้น จะเหลือก็เฉพาะความทรงจําของคน
สูงอายุ อนุชนคนรุ่นหลังของเราไม่มีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศดังกล่าวอีกต่อไป เราถูกสอนให้
เข้าใจว่านี้คือความเจริญ คือ มีถนนหนทาง เต็มไปหมด มีรถวิ่งจนคนไม่มีที่เดิน มีร้านขายของ 24
ชั่วโมง มีอะไรต่ออะไรเต็มไปหมด แต่ที่เราขาด คือ ความอยู่ดีมีสุข เราต้องอยู่ร้อน นอนทุกข์กับ
เรื่องต่างๆ มากมาย ทั้งหมดนี้เราได้ข้อสรุปแล้วว่า เพราะเราเสียรู้ลัทธิทุนนิยม ซึ่งเป็นระบบคิด
ระบบรู้ ระบบทําของฝรั่งที่เราคิดว่าเขาเจริญกว่าเรา เราจึงเชื่อเขาเกือบทุกอย่าง เห็นเขาทําอะไรก็
www.ssru.ac.th
(32)
www.ssru.ac.th
(33)
2.5 แนวคิดความอยู่ดีมีสุข
แนวคิดอยู่ดีมีสุขของประเทศไทย เริ่มต้นจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 8 และ 9 ได้ให้ความสําคัญกับการปรับเปลี่ยนกระบวน ทัศน์ การพัฒนามาเป็นแบบองค์
รวม คือ การอาศัยความร่วมมือในการทํางานจากหน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสําคัญกับ
การมีส่วนร่วมของทุกภาคีในสังคม แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 และ 9 จึงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ ความอยู่ดี
มีสุขของประชาชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับทุกหน่วยปฏิบัติ การเปิดโอกาสให้ทุกภาคีมีส่วนร่วมมากขึ้นจะ
ช่วยให้มีการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของประชาชนได้มากขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับความเป็นอยู่
ของประชาชนให้ดีขึ้น สํานักงานคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , 2545 ได้
ให้นิยามของคําว่า “ความอยู่ดีมีสุข ” หมายถึง การมีสุขภาพอนามัยที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจมี
ความรู้ มีงานทําที่ทั่วถึง มีรายได้เพียงพอ มีครอบครัวอบอุ่นมั่นคง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี และ
อยู่ภายใต้ระบบบริหารจัดการที่ดีของรัฐ โดยมีแนวคิดพื้นฐานในการพัฒนาตัวชี้วัดที่ให้
ความสําคัญกับความสามารถในการใช้ศักยภาพของมนุษย์ ร่วมกับการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
โดยได้รับคําจํากัดความในรูปของ “ ภารกิจ ” (functionings) และสมรรถภาพ (capabilities)
องค์ประกอบของความอยู่ดีมีสุข แบ่งออกเป็น 7 ด้าน ซึ่งมีความครอบคลุมทุกมิติของการ
ดํารงชีวิต ดังนี้
องค์ประกอบที่ 1 คือ ด้านสุขภาพอนามัยและโภชนาการ ซึ่งยังประกอบด้วยองค์ประกอบ
ย่อยอีก 4 ด้าน คือ ความยืนยาวของอายุ การปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ โภชนาการและการ
ให้บริการสาธารณสุข
องค์ประกอบที่ 2 คือ การศึกษา ซึ่งครอบคลุมสาระต่าง ๆ ในกระบวนการเรียนรู้ ความรู้
พื้นฐาน และทักษะต่าง ๆ รวมทั้งการเข้าถึงบริการและคุณภาพการศึกษา
องค์ประกอบที่ 3 คือ ชีวิตการทํางาน เนื่องจากประชาชนจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับการ
ทํางาน การพิจารณาสภาพแวดล้อม การทํางาน จึงเป็นส่วนประกอบที่สําคัญมาก และชีวิตการ
ทํางานที่มีคุณภาพก็จะเกี่ยวข้องกับการจ้างงานและความพอใจในค่าจ้างที่ได้รับ องค์ประกอบ
ด้านนี้ ยังรวมถึงปัจจัยย่อยในด้านการใช้แรงงานเด็ก ผู้หญิงและระบบประกันสังคมด้วย
องค์ประกอบที่ 4 คือ ชีวิตครอบครัว ความสัมพันธ์ในครอบครัวถือเป็นประเด็นสําคัญที่
ส่งผลกระทบต่อ “ความอยู่ดีมีสุข ” โครงสร้างและขนาดของครอบครัว เป็นตัวกําหนดระดับความ
เป็นอยู่ของสมาชิกแต่ละคน ครอบครัวที่มีความรัก ความอบอุ่น ต้องรับรู้ความต้องการของสมาชิก
แต่ละคน และดูแลสมาชิกทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ
www.ssru.ac.th
(34)
www.ssru.ac.th
(35)
www.ssru.ac.th
(36)
www.ssru.ac.th
(37)
www.ssru.ac.th
(38)
www.ssru.ac.th
(39)
รูปแบบของชีวิตที่มีความหมายได้ ดังนั้นความอิสระจึงเป็นความจําเป็นพื้นฐานที่มีความสําคัญ
เช่นเดียวกับสุขภาพร่างกาย จากความจําเป็นพื้นฐานทั้ง 2 ด้าน ซึ่งมีลักษณะเป็นสากลนี้ Doyal
and Gough(1991) ชี้ว่า มีหลายวิธีการหรือหลายปัจจัยที่จะทําให้ความจําเป็นเหล่านี้สามารถที่จะ
บรรลุหรือได้รับการตอบสนอง และได้นิยามปัจจัยเหล่านี้ว่าเป็น need satisfiers ซึ่งได้จัดไว้เป็น 9
กลุ่ม ได้แก่ 1) อาหารและน้ําดื่มที่เพียงพอ 2) บ้านที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะ 3) สภาพแวดล้อม
ของการทํางานที่ไม่เป็นภัยอันตราย 4) มีสถานบริการสุขภาพที่เหมาะสม 5) มีความปลอดภัยของ
วัยเด็ก 6) มีความสัมพันธ์พื้นฐานที่ดี 7) มีความมั่นคงทั้งในทางกายภาพและทางเศรษฐกิจ 8) มี
การคุมกําเนิดและการดูแลเด็กที่ปลอดภัย 9) มีการศึกษาพื้นฐานที่เหมาะสม
การที่ Doyal and Gough (1991) นิยามความจําเป็นพื้นฐานดังข้างต้นนั้น เป็นการก้าว
ขยายแนวคิดต่อออกไปจากที่ Sen (1999) ได้เสนอไว้ในเรื่องโอกาส (capability) และ
ความสามารถที่จะใช้โอกาส (functioning) ซึ่งแนวคิดทั้งสองกว้างและยากที่จะให้นิยามเชิง
ปฏิบัติการ อย่างเช่นแนวคิดเรื่อง capability ชุดของ capability ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งมิได้
หมายถึง “โอกาส” ใด ๆ ที่บุคคลได้เลือกกระทําการ แต่หมายความรวมถึงโอกาสที่เปิดให้ แต่ไม่ได้
ตัดสินใจเลือกโอกาสนั้น ๆ ด้วย เช่นเดียวกัน functioning ที่มีคุณค่าสําหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
อาจจะหมายความรวมถึงความสามารถในการเล่นดนตรี การแสดงความช่วยเหลือแ ก่
ผู้ด้อยโอกาส หรืออื่น ๆ อีกมากมาย ข้อสังเกตจากแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องความจําเป็นพื้นฐาน
(BHN) ของ Doyal and Gough (1991) ที่ได้เสนอไว้ก็คือ การพยายามที่จะแยกให้เห็นว่า อะไร
เป็นความจําเป็นทั่วไป (universal need) และอะไรเป็นสิ่งที่ทําให้ความจําเป็นได้รับการตอบสนอง
มีประโยชน์ในเชิงนโยบายอย่างมาก กล่าวคือสิ่งที่ทําให้ความจําเป็นได้รับการตอบสนอง หรือ
need satisfiers นั้น อาจมี ความแตกต่างกันไปในแต่ละถิ่นที่ แต่ละสังคม ในขณะที่ความจําเป็น
เรื่องสุขภาพร่างกายกับความอิสระนั้น จําเป็นจะต้องได้รับการตอบสนองหรือขาดไม่ได้ อย่างไรก็
ตาม เนื่องจากว่าไม่ว่าความจําเป็นที่เป็นความจําเป็นทั่วไป ( universal need) หรือสิ่งที่ทําให้
ความจําเป็นได้รับการตอบสนอง ( need satisfiers) ต่างก็มีมิติที่ “ถูกสร้าง ” โดยสังคมและ
วัฒนธรรมนั้นๆ (social and cultural construction of need)
ดังนั้น การกําหนดรายการเกี่ยวกับความจําเป็น ไม่ว่าจะเป็นความจําเป็นทั่วไป หรือสิ่งที่
ทําให้ความจําเป็นได้รับการตอบสนอง จึงไม่สามารถที่จะนําไปใช้ได้ในทุกสังคม จึงต้องทําความ
เข้าใจว่า อะไรคือความจําเป็นของมนุษย์ และอะไรคือสิ่งที่จะนําไปสู่การตอบสนองต่อความ
จําเป็นของมนุษย์ และรวมถึง ความจําเป็นและสิ่งที่นําไปสู่การสนองตอบต่อความจําเป็นนั้นมี
ความหมายอย่างไรสําหรับมนุษย์ 2) ความอยู่ดีมีสุขทางอัตวิสัย (Subjective Well-being--SWB)
www.ssru.ac.th
(40)
www.ssru.ac.th
(41)
2.6 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ
องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้ ปีพ.ศ. 2542 หรือ ค.ศ. 1999 เป็นปีสากลว่าด้วย
ผู้สูงอายุ (International Year of Persons) และพบว่าประเทศไทยมีจํานวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น
จนกลายเป็นจํานวนประชากรที่มีมากกว่าครึ่งของประชากรในวัยอื่นๆ ดังข้อมูลการคาดประมาณ
ประชากรของประเทศไทย จากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เมื่อปีพ.ศ. 2553 เป็นดังนี้ ประชากรรวมทั้งหมด 67,230,000 คน เป็นชาย 33,422,000 คน หญิง
www.ssru.ac.th
(42)
www.ssru.ac.th
(43)
www.ssru.ac.th
(44)
www.ssru.ac.th
(45)
www.ssru.ac.th
(46)
www.ssru.ac.th
(47)
ขึ้นกับผู้สูงอายุและยังกล่าวถึงหน้าที่ของสังคมในการปฏิบัติต่อผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถ
ดํารงชีวิตในบั้นปลายได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ
Castetter (1976) กล่าวว่า การเกษียณอายุงานเป็นกระบวนการให้บริการอย่างต่อเนื่อง
แก่คนงาน ซึ่งเป็นการรักษาระบบการทํางานไว้ โดยมีบุคลากรที่เหมาะสมกับงาน และอยู่ในเวลาที่
เหมาะสมในการปฏิบัติงาน
Burnside (1981) กล่าวว่า การเกษียณอายุงาน เป็นวงจรชีวิตในการประกอบอาชีพที่อยู่
ในช่วงต่ําสุดของการจ้างงาน ความรับผิดชอบของอาชีพและโอกาสในการทํางานต่างๆ จะลด
ต่ําลงอย่างสุดขีด บุคคลที่เกษียณอายุจะมีรายได้ในรูปของบําเหน็จโดยที่ตนไม่ต้องทํางาน ดังนั้น
การเกษียณอายุงานจึงเป็นบทบาททางสังคมที่กําหนดให้มีระบบตอบแทนตามสิทธิ หน้าที่ และ
ความสัมพันธ์กับคนอื่นนอกจากนี้การเกษียณอายุยังเป็นกระบวนการให้แต่ละบุคคลได้แสวงหาสิ่ง
ใหม่ หรือปลีกตัวออกจากสังคมเมื่อเกษียณอายุงานแล้ว หลักการจัดการศึกษาสําหรับผู้สูงอายุ
ยึดหลักความต้องการของผู้เกษียณอายุเอง คือ จัดตามความต้องการได้รับความรู้ ความต้องการ
ในการเข้ามามีส่วนร่วม และการพัฒนาศักยภาพถึงขีดสูงสุด
โดย Moody (1976) อธิบายว่า มีอยู่ 5 ประการ คือ
1) ความต้องการความรู้เพื่อสามารถดํารงตนอยู่ในสังคม ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ
อนามัยการปรับตัวด้านจิตใจ สังคม ร่างกาย และข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ดํารงชีวิตอยู่ได้
ด้วยดี
2) ความต้องการทักษะเพื่อสามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้
3) ความต้องการความรู้เพื่อสามารถถ่ายทอดให้กับสังคม ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับชุมชน
สภาพแวดล้อมรอบตัว เศรษฐกิจ สังคม การเมือง
4) ความต้องการความรู้เพื่อควบคุมสภาพแวดล้อม ได้แก่ ได้แก่ ความรู้และทักษะ เพื่อ
ถ่ายทอดความรู้ความสามารถให้แก่สังคม อาทิ ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายทอด การอบรม และข้อมูล
เกี่ยวกับอาสาสมัครกิจกรรมต่างๆ
5) ความต้องการความรู้ที่จะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ได้แก่ ความรู้และการศึกษาที่
จัดขึ้นในรูปแบบต่างๆ
นโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ
ของผู้ใหญ่วัยแรงงาน
นโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุของผู้ใหญ่
วัยแรงงาน พบว่ามาตรการต่างๆ เพื่อรองรับผู้สูงอายุเหล่านั้นยังมีน้อย โดยเฉพาะมาตรการการ
www.ssru.ac.th
(48)
www.ssru.ac.th
(49)
www.ssru.ac.th
(50)
www.ssru.ac.th
(51)
2.4 มาตรการสนับสนุนผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ
2.5 มาตรการส่งเสริม สนับสนุนสื่อทุกประเภทให้มีรายการเพื่อผู้สูงอายุ และสนับสนุน
ให้ผู้สูงอายุได้รับความรู้ และสามารถเข้าถึงข่าวสารและสื่อ
2.6 มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่
เหมาะสมและปลอดภัย
3. ยุทธศาสตร์ด้านระบบคุ้มครองทางสังคมสาหรับผู้สูงอายุ ประกอบด้วย 4
มาตรการหลัก
3.1 มาตรการคุ้มครองด้านรายได้
3.2 มาตรการหลักประกันด้านคุณภาพ
3.3 มาตรการด้านครอบครัว ผู้ดูแล และการคุ้มครอง
3.4 มาตรการระบบบริการและเครือข่ายการเกื้อหนุน
4. ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนางานด้านผู้สูงอายุระดับชาติ
และการพัฒนาบุคลากรด้านผู้สูงอายุ ประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก
4.1 มาตรการการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนางานด้านผู้สูงอายุระดับชาติ
4.2 มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านผู้สูงอายุ
5. ยุทธศาสตร์ด้านการประมวลและพัฒนาองค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุและ
การติดตามประเมินผลการดาเนินการ ตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ประกอบด้วย 4 มาตรการ
หลัก ได้แก่
5.1 มาตรการสนับสนุนและส่งเสริมให้หน่วยงานวิจัยดําเนินการประมวล และพัฒนาองค์
ความรู้ด้านผู้สูงอายุที่จําเป็นสําหรับการกําหนดนโยบาย และการพัฒนาการบริการหรือการ
ดําเนินการที่เป็นประโยชน์แก่ผู้สูงอายุ
5.2 มาตรการสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาวิจัยด้านผู้สูงอายุ โดยเฉพาะที่เป็น
ประโยชน์ต่อการกําหนดนโยบาย การพัฒนาการบริการและการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถ
ดํารงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างเหมาะสม
5.3 มาตรการดําเนินการให้มีการติดตามประเมินผลการดําเนินการตามแผนผู้สูงอายุ
แห่งชาติที่มีมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง
5.4 มาตรการพัฒนาระบบข้อมูลทางด้านผู้สูงอายุให้เป็นระบบและทันสมัยโดยดัชนีรวม
ของยุทธศาสตร์ พิจารณาจากดัชนีต่อไปนี้
1) อายุคาดหวังที่ยังดูแลตนเองได้ เป้าหมายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2) สัดส่วนอายุคาดหวังที่ยังดูแลตนเองได้ต่ออายุคาดหวัง เป้าหมายมีสัดส่วนไม่ลดลง
www.ssru.ac.th
(52)
3) ดัชนีคุณภาพภาวะประชากรสูงอายุ พิจารณาจากผลรวมของดัชนีรายมาตรการที่
คัดเลือกจํานวน 12 ดัชนี เป้าหมายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีหน่วยงานกลางในการดําเนินงาน คือ
สํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานผู้สูงอายุแห่งชาติ (กสผ.) ซึ่ง
ประกอบด้วย 3 ฝ่าย ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (กสส.)
กองสวัสดิการสงเคราะห์ กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม และสถาบัน
เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะทําให้เกิดปัญหาบางประการ เช่น
ความเป็นเอกภาพและการดําเนินการตามภารกิจอย่างต่อเนื่องอาจจะไม่เข้มแข็งเพียงพอ แม้จะมี
การรับรู้กันอย่างกว้างขวางแล้วว่า โครงสร้างประชากรไทยกําลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ โดย
อัตราส่วนประชากรผู้สูงอายุจะเพิ่มจากร้อยละ 12 ในปี พ.ศ.2551 เป็นร้อยละ 21.5 ในปี พ.ศ.
2568 หากรัฐไม่ได้วางแผนตั้งแต่ตอนนี้ ผู้สูงอายุจะกลายเป็นภาระใหม่ของคนวัยทํางานและเป็น
ภาระของรัฐ ซึ่งอาจทําให้ระบบสวัสดิการถึงกับล่มสลายได้ เพราะจะไม่มีงบประมาณเพียงพอใน
การดูแล ด้วยเหตุนี้ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจึงควรให้ความสําคัญในเรื่องผู้สูงอายุ โดยให้
หลักประกันสังคมในด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมแก่ผู้สูงอายุ ตลอดจนการมีส่วนร่วม
ในการพัฒนาสังคม ประเทศ เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่า เขายังเป็นบุคคลที่มีคุณค่าและมีศักดิ์ศรี
เหมือนกับบุคคลในวัยอื่นๆ ขณะเดียวกันผู้สูงอายุต้องตระหนักในสถานภาพของตนเอง ประพฤติ
ปฏิบัติตนให้เหมาะสมในทุกๆด้าน เพื่อให้เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของสังคมและได้รับการยกย่อง
ต่อไป
2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ปิยดา สมบัติวัฒนา 2550 ปัจจัยทางจิตสังคมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการออมของนิสิต
ปริญญาตรี โครงการบริหารธุรกิจ ภาคสมทบ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ การศึกษามีความมุ่ง
หมายดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติต่อการทําพฤติกรรมการออมวัดทางตรงและ
วัดทางอ้อม การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงเกี่ยวกับการทําพฤติกรรมการออมวัดทางตรงและวัด
ทางอ้อม การรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมการออมวัดทางตรงและวัดทางอ้อม 2)
เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่ทํานายเจตนาในการทําพฤติกรรมการออมตามทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน 3)
เพื่อศึกษาปัจจัยที่ทํานายพฤติกรรมการออม โดยใช้ปัจจัยตามทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนร่วมกับ
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมการออมในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย การจัดสรรรายได้เพื่อเก็บ
เป็นเงินออมก่อนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคตามความ
จําเป็นสอดคล้องกับรายได้และฐานะของตน และการจดบันทึกรายรับและรายจ่ายเป็นประจํา
www.ssru.ac.th
(53)
www.ssru.ac.th
(54)
www.ssru.ac.th
(55)
www.ssru.ac.th
(56)
www.ssru.ac.th
(57)
www.ssru.ac.th
(58)
ยุทธศาสตร์ การสนับสนุนและอํานวยความสะดวกของภาครัฐให้กับภาคธุรกิจประกันภัย 5)
ยุทธศาสตร์การ ปฏิรูปองค์กรกํากับดูแลให้มีความเป็นเลิศ อีกทั้งยังได้กําหนดให้มีการจัดตั้ง
คณะกรรมการ ยุทธศาสตร์การประกันภัยแห่งชาติขึ้นโดยจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระ ประกอบด้วย
ตัวแทนจาก 3 ภาค ส่วน คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อกําหนดยุทธศาสตร์การ
ประกันชีวิตให้พัฒนาไปอย่างยั่งยืน
กนิษฐ์ภาตุ ละมูล 2553 รายรับและการออมเงินของนักศึกษาม .อุบลราชธานี ในช่วง
ทศวรรษที่ 90 การออมภาคครัวเรือนมีสัดส่วนในรายได้ประชาชาติสูงถึงร้อยละ 14.4 ในปี 2532
แต่อัตราการออมภาคครัวเรือนถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง นับแต่ปีนั้นเป็นต้นมา จนในปี 2546 อัตรา
การออมภาคครัวเรือนต่อรายได้ประชาชาติลดลงเหลือเพียงร้อยละ 3.8 เท่านั้นเอง รายงาน
ผลการวิจัยเรื่อง รายรับและการออมเงินของนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทําขึ้นมาเพื่อ
ศึกษาที่มาของรายรับและจํานวนเงินที่ได้รับตลอดจนการใช้เงินของนักศึกษามหาวิทยาลัย
อุบลราชธานี และเพื่อศึกษาการออมเงินของนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยวิธีการวิจัย
ดังต่อไปนี้ 1) ทําการศึกษาเกี่ยวกับ การรับเงินจากแหล่งใด การใช้เงิน จํานวนเงินที่ได้รับและ
จํานวนเงินที่ออมต่อเดือนของนักศึกษา โดยเริ่มเก็บข้อมูลจากวันที่ 24 สิงหาคม 2553 – 24
กันยายน 2553 ในบริเวณตามศูนย์อาหาร ห้องสมุด มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ด้วยวิธีการทํา
แบบสอบถาม 2)จัดเก็บข้อมูลในแบบสอบถาม และนําข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ตรวจสอบความ
สมบูรณ์และความถูกต้องของแบบสอบถาม 3) ทําการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ โดยใช้เครื่อง
คอมพิวเตอร์ และโปรแกรม Excel ในการวิเคราะห์ 4) สรุปผลการวิจัย ผลการศึกษาพบว่า
รายรับต่อเดือนของของนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราช ธานีส่วนใหญ่คือ 5000บาทต่อเดือน คิด
เป็นร้อยละคือ 32.26% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4645.16 บาทต่อเดือนและนักศึกษามหาวิทยาลัย
อุบลราชธานีส่วนใหญ่ไม่มีการออมเงิน คิดเป็นร้อยละคือ 38%
นพแสน พรหมอินทร์ 2554 พฤติกรรมการออมและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการออมเพื่อการ
ดารงชีพยามชราภาพของหัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
การเกษตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรม และปัจจัยที่
มีอิทธิพลต่อการออมเพื่อการดํารงชีพยามชราภาพของหัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรลูกค้าธนาคาร
เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยแบบจําลองโลจิท (Logit
Model) จากการสัมภาษณ์หัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรจํานวน 400 ตัวอย่าง ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 ผลการศึกษาพบว่า หัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรร้อยละ 41.80 ไม่มีการ
วางแผนการออมเงินเพื่อการดํารงชีพยามชราภาพ และหัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรร้อยละ 40 ไม่มี
www.ssru.ac.th
(59)
การออมเพื่อการดํารงชีพยามชราภาพ เมื่อพิจารณาเฉพาะหัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรที่มีการออม
เพื่อการดํารงชีพยามชราภาพ พบว่าหัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรนิยมการออมรูปแบบกองทุนทวีสุข
และสลากออมทรัพย์ โดยปัจจัยในการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออมแบบผูกพันระยะยาว ได้แก่
1) ให้ผลตอบแทนสูง 2) การจ่ายภาระผูกพันที่ได้รับเงินต้นคืนแน่นอนไม่สูญหาย และ 3) สามารถ
ถอนเงินต้นคืนได้ก่อนกําหนดเต็มจํานวน จากการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการออมเพื่อการดํารง
ชีพยามชราภาพ พบว่า อัตราส่วนภาระพึ่งพิง การวางแผนชีวิต การวางแผนทางการเงิน ความรู้
ทางการเงิน และสัดส่วนสมาชิกในครัวเรือนที่ได้รับเบี้ยยังชีพคนชราต่อจํานวนสมาชิกในครัวเรือน
เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการออมเพื่อการดํารงชีพยามชราภาพ
2.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย
รูปแบบ
การออม
การเตรียมพร้อม
สู่วัยสูงอายุ
รายได้
ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย
www.ssru.ac.th
บทที่ 3
วิธีดาเนินการวิจัย
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
การวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล จากจานวนกลุ่ม
ตัวอย่าง คือ ศึกษาข้อมูลจากประชาชนวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี ที่อาศัยในเขตดุสิตโ ดยมี
กลุ่มตัวอย่าง จานวน 400 ตัวอย่าง
3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือและขั้นตอนการสร้างเครื่องมือหรือแบบสอบถามที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี
การดาเนินการสร้างตามลาดับ ดังนี้
www.ssru.ac.th
(61)
การอภิปรายผลการวิจัยของลักษณะแบบสอบถามที่ใช้นี้ ผู้วิจัยใช้เกณฑ์เฉลี่ยใน
การอภิปรายผล 5 ระดับ ดังนี้(ศิริวรรณ เสรีรัตน์. 2548: 193-194)
เกณฑ์การแปรความหมายของค่าเฉลี่ย
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 4.21 – 5.00 หมายถึง แรงบันดาลใจมากที่สุด
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 3.41 – 4.20 หมายถึง แรงบันดาลใจมาก
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 2.61 – 3.40 หมายถึง แรงบันดาลใจปานกลาง
www.ssru.ac.th
(62)
3.3 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ความเที่ยงตรง(Validity)
จากแบบสอบถามที่ได้จัดร่างมานาเสนอ เพื่อผ่านความเห็นชอบของผู้เชี่ยวชาญและนาไป
ทดสอบ(Pretest) กับกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง แล้วนาผลการ
Pretest มาวิเคราะห์ความเชื่อถือได้(Reliablility)
การติดตามและควบคุมคุณภาพงานวิจัย
การคัดเลือกพนักงานเก็บข้อมูล เป็นผู้ที่มีประสบการณ์และความรู้ในการวิจัย พนักงานที่
ได้รับคัดเลือกจะศึกษาโครงการวิจัยเพื่อความเข้าใจในคุณค่า และความสาคัญของการวิจัยผ่าน
การอบรมกลยุทธ์ เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูล การตีความของคาถาม เพื่อให้ได้คาตอบที่ตรง
และได้รับการทดสอบเก็บข้อมูลก่อนออกภาคสนาม
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล
ผูว้ ิจยั ได้วเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยใช้สถิติ ดังนี้
การวิเคราะห์สถิตเิ ชิงพรรณนา(Descriptive Analysis) โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
การวิจยั เชิงปริมาณ ค่าสถิตริ อ้ ยละ ( Percentage) สาหรับการวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา
(Frequencies Statistics และ Descriptives Statistics)
www.ssru.ac.th
บทที่ 4
ผลการวิจัย
ผลการวิจัยเชิงปริมาณ
จากจานวนกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต
กรุงเทพมหานคร 400 ตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถาม ผลการวิจัยจะแบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป
ตอนที่ 2 ลักษณะของรายได้ การใช้จ่ายและการออม
ตอนที่ 3 แรงบันดาลใจในการออม
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป
ตารางที่ 4.1 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามเพศของผู้ตอบแบบสอบถาม
เพศ จานวน ร้อยละ
ชาย 118 29.5
หญิง 282 70.5
รวม 400 100.0
www.ssru.ac.th
(64)
www.ssru.ac.th
(65)
www.ssru.ac.th
(66)
www.ssru.ac.th
(67)
www.ssru.ac.th
(68)
ตอนที่ 3 แรงบันดาลใจในการออม
ตาราง 4.11 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับเพื่อความมั่นคงในวัยสูงอายุ
เพื่อความมั่นคงในวัยสูงอายุ จานวน ร้อยละ
ลาดับที่ 1 มากที่สุด 258 64.5
ลาดับที่ 2 มาก 117 29.3
ลาดับที่ 3 ปานกลาง 12 3.0
ลาดับที่ 4 น้อย 9 2.3
ลาดับที่ 5 น้อยที่สุด 4 1.0
รวม 400 100.0
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจในการออมเพื่อความมั่นคงในวัยสูงอายุเป็นลาดับที่
1 มากที่สุด จานวน 258 คน คิดเป็นร้อยละ 64.5 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 มาก จานวน 117 คน
คิดเป็นร้อยละ 29.3 และลาดับที่ 3 ปานกลาง จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 3.0
www.ssru.ac.th
(69)
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจการออมเพื่อเก็บไว้ใช้ในยามเจ็บป่วยหรือยามชรา
เป็นลาดับที่ 1 มากที่สุด จานวน 268 คน คิดเป็นร้อยละ 67.0 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 มาก จานวน
121 คน คิดเป็นร้อยละ 30.3 และลาดับที่ 3 น้อย จานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 1.8
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจการออมเพราะมีผลตอบแทนคุ้มค่าและแน่นอน
เป็นลาดับที่ 1 น้อยที่สุด จานวน 145 คน คิดเป็นร้อยละ 36.3 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 น้อย
จานวน 111 คน คิดเป็นร้อยละ 27.8 และลาดับที่ 3 มากที่สุด จานวน 58 คน คิดเป็นร้อยละ 14.5
www.ssru.ac.th
(70)
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจการออมเพราะมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร
เป็นลาดับที่ 1 น้อย จานวน 135 คน คิดเป็นร้อยละ 33.8 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 ปานกลาง
จานวน 91 คน คิดเป็นร้อยละ 22.8 และลาดับที่ 3 น้อยที่สุด จานวน 87 คน คิดเป็นร้อยละ 21.8
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจการออมเป็นเพื่อต้องการเก็บไว้ให้บุตรหลาน โดย
ใน ลาดับที่ 1 มากที่สุด จานวน 231 คน คิดเป็นร้อยละ 57.8 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 มาก จานวน
124 คน คิดเป็นร้อยละ 31.0 และลาดับที่ 3 ปานกลาง จานวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ 8.0
www.ssru.ac.th
(71)
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจการออมเป็นเพราะสามารถนาไปลดหย่อนภาษี
ประจาปีโดยในลาดับที่ 1 น้อย จานวน 134 คน คิดเป็นร้อยละ 33.5 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 น้อย
ที่สุด จานวน 124 คน คิดเป็นร้อยละ 30.3 และลาดับที่ 3 มากที่สุด จานวน 87 คน คิดเป็นร้อยละ
21.8
www.ssru.ac.th
(72)
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจการออมไว้สาหรับประกอบพิธีฌาปนกิจลาดับ
ที่ 1 มากที่สุด จานวน 181 คน คิดเป็นร้อยละ 45.3 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 มาก จานวน 119 คน
คิดเป็นร้อยละ 29.8 และลาดับที่ 3 ปานกลาง จานวน 41 คน คิดเป็นร้อยละ 10.3
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจการออมเป็นเพราะให้ความคุ้มครองหลายด้าน
ลาดับที่ 1 น้อย จานวน 123 คน คิดเป็นร้อยละ 30.8 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 มากที่สุด จานวน
92 คน คิดเป็นร้อยละ 23.0 และลาดับที่ 3 มาก จานวน 87 คน คิดเป็นร้อยละ 21.8
www.ssru.ac.th
(73)
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจการออมเป็นเพราะลดการพึ่งพิงภาครัฐลาดับที่
1 มากที่สุด จานวน 203 คน คิดเป็นร้อยละ 50.8 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 มาก จานวน 92 คน คิด
เป็นร้อยละ 23.0 และลาดับที่ 3 ปานกลาง จานวน 76 คน คิดเป็นร้อยละ 19.0
ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน
ค่าต่าสุด
ค่าสูงสุด
ค่าเฉลี่ย
รายการ ความหมาย
www.ssru.ac.th
(74)
www.ssru.ac.th
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาวิจัยเรื่องรายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของ
ประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์แบบแผนของรายได้และการใช้จ่ายของประชาชนวัยผู้ใหญ่
ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี
2) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์รูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของประชาชน
วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ
การวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล จากจานวนกลุ่ม
ตัวอย่าง คือ ประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จานวน 400 ตัวอย่าง
5.1 สรุปผลการวิจัย
ผลจากการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยมี
เพศหญิงจานวน 282 คน คิดเป็นร้อยละ 70.5 และเพศชายจานวน 1 18 คน คิดเป็นร้อยละ 29.5
ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 35-39 ปีจานวน 208 คน คิดเป็นร้อยละ 52.0 รองลงมาอายุระหว่าง 30-
34 ปีจานวน 124 คน คิดเป็นร้อยละ 31.0 และอายุ 40 ปีจานวน 68 คน คิดเป็นร้อยละ 17.0
ตามลาดับ มีสถานภาพสมรสอยู่ด้วยกัน จานวน 188 คน คิดเป็นร้อยละ 47.0 รองลงมาเป็นโสด
จานวน 182 คน คิดเป็นร้อยละ 45.5 และหม้ายหย่าร้าง จานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 4.8
การศึกษาระดับปริญญาตรี จานวน 190 คน คิดเป็นร้อยละ 47.5 รองลงมาเป็นประถมศึกษา
จานวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 18.0 และมัธยมศึกษาตอนต้น จานวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 14.3
อาชีพราชการ/รัฐวิสาหกิจ จานวน 108 คน คิดเป็นร้อยละ 27.0 รองลงมาเป็นค้าขาย จานวน 101
คน คิดเป็นร้อยละ 25.3 และรับจ้างทั่วไป จานวน 96 คน คิดเป็นร้อยละ 24.0 มีจานวนสมาชิกที่
www.ssru.ac.th
(76)
พักอาศัยในบ้าน 1-3 คน จานวน 257 คน คิดเป็นร้อยละ 64.3 รองลงมามี 4-6 คน จานวน 143
คน คิดเป็นร้อยละ 35.8 ตามลาดับ
ตอนที่ 2 ลักษณะของรายได้ การใช้จ่ายและการออมของกลุ่มตัวอย่างที่ทาการ
ศึกษาวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายได้ต่อเดือน 10,001-15,000 บาท จานวน 162 คน
คิดเป็นร้อยละ 40.5 รองลงมามีรายได้ต่อเดือน 15,001-20,000 บาท จานวน 109 คน คิดเป็นร้อย
ละ 27.3 และ 5,001-10,000 บาท จานวน 88 คน คิดเป็นร้อยละ 22.0 รายจ่ายต่อเดือน 5,001-
10,000 บาท จานวน 169 คน คิดเป็นร้อยละ 42.3 รองลงมามีรายได้ต่อเดือน 10,001-15,000
บาท จานวน 127 คน คิดเป็นร้อยละ 31.8 และ 15,001-20,000 บาท จานวน 83 คน คิดเป็นร้อย
ละ 20.8 มีรายจ่ายเกี่ยวกับค่าอาหารและค่าเครื่องใช้ต่างๆ จานวน 211 คน คิดเป็นร้อยละ 52.8
รองลงมาเป็นรายจ่ายค่าการศึกษาบุตร จานวน 97 คน คิดเป็นร้อยละ 24.3 และค่าเวชภัณฑ์และ
ค่ารักษาพยาบาล จานวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ 8.0 ลักษณะการออมโดยฝากธนาคาร จานวน
173 คน คิดเป็นร้อยละ 43.3 รองลงมาเป็นเก็บไว้เอง จานวน 87 คน คิดเป็นร้อยละ 21.8 และ
สมาชิกชมรมต่างๆ เช่น ฌาปนกิจสงเคราะห์ จานวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 12.0 ตามลาดับ
ตอนที่ 3 แรงบันดาลใจในการออม จากการศึกษาวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วน
ใหญ่มีแรงบันดาลใจในการออมเพื่อความมั่นคงในวัยสูงอายุเป็นลาดับที่ 1 มากที่สุด จานวน 258
คน คิดเป็นร้อยละ 64.5 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 มาก จานวน 117 คน คิดเป็นร้อยละ 29.3 และ
ลาดับที่ 3 ปานกลาง จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 3.0 แรงบันดาลใจการออมเพื่อเก็บไว้ใช้ใน
ยามเจ็บป่วยหรือยามชรา เป็นลาดับที่ 1 มากที่สุด จานวน 268 คน คิดเป็นร้อยละ 67.0 รองลงมา
เป็นลาดับที่ 2 มาก จานวน 121 คน คิดเป็นร้อยละ 30.3 และลาดับที่ 3 น้อย จานวน 7 คน คิด
เป็นร้อยละ 1.8 แรงบันดาลใจการออมเพราะมีผลตอบแทนคุ้มค่าและแน่นอน เป็นลาดับที่ 1 น้อย
ที่สุด จานวน 145 คน คิดเป็นร้อยละ 36.3 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 น้อย จานวน 111 คน คิดเป็น
ร้อยละ 27.8 และลาดับที่ 3 มากที่สุด จานวน 58 คน คิดเป็นร้อยละ 14.5 แรงบันดาลใจการออม
เพราะมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเป็นลาดับที่ 1 น้อย จานวน 135 คน คิดเป็นร้อยละ 33.8
รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 ปานกลาง จานวน 91 คน คิดเป็นร้อยละ 22.8 และลาดับที่ 3 น้อยที่สุด
จานวน 87 คน คิดเป็นร้อยละ 21.8 มีแรงบันดาลใจการออมเป็นเพื่อต้องการเก็บไว้ให้บุตรหลาน
โดยใน ลาดับที่ 1 มากที่สุด จานวน 231 คน คิดเป็นร้อยละ 57.8 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 มาก
จานวน124 คน คิดเป็นร้อยละ 31.0 และลาดับที่ 3 ปานกลาง จานวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ 8.0
มีแรงบันดาลใจการออมเป็นเพราะ สามารถนาไปลดหย่อนภาษีประจาปีโดยในลาดับที่ 1 น้อย
จานวน 134 คน คิดเป็นร้อยละ 33.5 รองลงมาเป็นลาดับที่ 2 น้อยที่สุด จานวน 124 คน คิดเป็น
www.ssru.ac.th
(77)
5.2 ตอบคาถามการวิจัยและอภิปรายผล
ผู้วิจัยได้ตอบคาถามและอภิปรายผลการวิจัย ไว้ดังนี้
1) รายได้และการใช้จ่าย รวมทั้งรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของ
ประชาชนวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร
จากการศึกษาวิจัย พบว่า ประชาชนวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต
กรุงเทพมหานคร มีรายได้ ไม่ต่างจากรายจ่ายมากนัก และรายได้กับรายจ่ายเท่ากันเป็นส่วนใหญ่
ทาให้มีการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุ ได้น้อย หรือบางช่วงเวลาไม่มีการออมเงินเลย คือ
มีรายได้เข้ามาก็ต้องใช้จ่ายออกไป ซึ่งรายจ่ายส่วนใหญ่จะจ่ายเกี่ยวกับค่าอาหารและค่าเครื่องใช้
www.ssru.ac.th
(78)
www.ssru.ac.th
(79)
5.3 ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะในการนาผลวิจัยไปใช้
ในการวิจัย เรื่อง รายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุของ
ประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร สามารถนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์
ดังต่อไปนี้
1) จัดประชุมหรืออบรมให้ความรู้แก่ ประชาชน เรื่องการเตรียมพร้อมในการออมเพื่อเข้าสู่
วัยสูงอายุด้วยความมั่นคง โดยลดการพึ่งพิงจากรัฐ
2) ทาการเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ในมิติรายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัย
สูงอายุของเขตดุสิต ซึ่งอยู่ในเมืองหลวงชั้นใน เพื่อให้ สามารถเป็นภาพสะท้อนให้กับเขตอื่นๆใน
กรุงเทพ ฯและต่างจังหวัด ให้เกิดประโยชน์แก่ ประชาชน ศูนย์ส่งเสริมบริหารเงินออมครอบครัว
กรุงเทพมหานคร สถาบันการเงินต่างๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและ
ความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการคลัง ฯลฯ ได้ทราบถึงแนวทางการวางแผนหรือส่งเสริมการ
ออม เพื่อการเตรียมพร้อมสู่วัยสูงอายุ
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรเพิ่มวิธีการเก็บข้อมูลด้วยการวิธีเชิงคุณภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น
2. ควรเพิ่มขนาดกลุ่มตัวอย่าง เพื่อเพิ่มระดับความเชื่อมั่นของข้อมูลให้มากยิ่งขึ้น
3.ควรเพิ่ม พื้นที่ที่ใช้ในการศึกษาวิจัย เพื่อเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างให้
ชัดเจนมากขึ้น
www.ssru.ac.th
บรรณานุกรม
กนิษฐ์ภาตุ ละมูล. (2553). บทคัดย่อ รายรับและการออมเงินของนักศึกษามหาวิทยาลัย
อุบลราชธานี. บริหารศาสตร์ สาขาเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
กมลพร กัลยาณมิตร. (2550). การนานโยบายอยู่ดีมีสุขไปปฏิบัติในจังหวัดนนทบุรี.
กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
เกษรา ธัญลักษณ์. (2555). ประโยชน์ของการออม. ผู้จัดการออนไลน์.
ข้อมูลทั่วไปเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร. ค้นจาก http://www.bangkok.go.th/dusit/
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555.
ข้อมูลสถิติประชากร. สานักงานสถิติแห่งชาติ . 2551. ค้นจาก http://www.nso.go.th
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555.
จรินทร์ เทศวานิช. (2549). การวิเคราะห์สถิติโดยโปรแกรมสาเร็จรูปSPSS. พิมพ์ครั้งที่ 1.
กรุงเทพมหานคร.
นพแสน พรหมอินทร์. (2554) บทคัดย่อ พฤติกรรมการออมและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ
ออมเพื่อการดารงชีพยามชราภาพของหัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรลูกค้าธนาคาร
เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
นันทกา นันทวิสัย. (2552). บทคัดย่อ การศึกษาเปรียบเทียบภาวการณ์ออมของครัวเรือนใน
ภาค เกษตรและนอกภาคเกษตร. หลักสูตรปริญญาเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การจัดการ. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
บุณฑริก ศิริกิจจาขจร. (2555). บทคัดย่อ กองทุนการออมแห่งชาติ. มหาวิทยาลัยกรุงเทพ.
ประยงค์ คูศิริสิน. (2551). บทคัดย่อ เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการออมของครัวเรือนในเขต
อาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่.
ปราโมทย์ ประสาทกุล. (2543). วารสารประชากรและพัฒนา. สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ.
ปิยดา สมบัติวัฒนา. (2550). ปัจจัยทางจิตสังคมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการออมของนิสิต
ปริญญาตรี โครงการบริหารธุรกิจ ภาคสมทบ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
www.ssru.ac.th
81
วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาการวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ประยุกต์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1-10. พ.ศ. 2504 – 2554.
แผนพัฒนาผู้สูงอายุ ฉบับที่ 2. พ.ศ. 2545 – 2564.
พระราชดารัสเศรษฐกิจพอเพียง. (2542). ค้นเมื่อ 10 สิงหาคม 2550, จาก
http://www.seal2thai.org/sara/sara119.htm. เมื่อ วันที่ 15 มีนาคม 2555.
พัชรวัต ปิยะโอสถสรรค์. (2552). บทคัดย่อ เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาการออมภาค
ประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณีการประกันชีวิต.
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ. สถานการณ์ในภาพรวมของผู้สูงอายุ. [Online]. Available from:
http://www.thainhf.org/ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2555.
สุภาคย์ อินทองคง. (2547). หลักการเรื่องการออม ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง.
http://wwwfamilynetwork.or.th. เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555.
รุ่งนภา ศรีธัญญะโชติ. (2550). บทคัดย่อ พฤติกรรมการออมเพื่อใช้จ่ายในอนาคตของ
ประชาชน : กรณีศึกษาผู้บริหารศูนย์การขาย บริษัทไทยประกันชีวิตจากัด สาขา
ธนบุรี กรุงเทพมหานคร. รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทั่วไป
วิทยาลัย การบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา.
สุรกุล เจนอบรม. วิสัยทัศน์ผู้สูงอายุและการศึกษานอกระบบสาหรับผู้สูงอายุไทย. กรุงเทพฯ
: นิชินแอดเวอร์ไทซิ่งกรู๊พ, 2541.
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2545). รายงานการพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ: ความอยู่ดีมีสุขของคนไทย 5 ปีหลังวิกฤต
เศรษฐกิจ. กรุงเทพมหานคร.
Anderson, J.E. Teaching and learning. In W.T. Donahuc (Ed.) , Education for later
maturity. New York : Whiteside,1971.
Barrow G.M. and Smith, P.A. Aging, Ageism and society.St. Paul,Minn. : West,1979.
Burnside, I.M. Nursing and the aged. 2nd Ed. New York : McGrawHill,1981.
Castetter, W. B.. The personnel/unction in education administration. New York :
Publishing Co., Inc. Cronbach, L. J., 1976.
www.ssru.ac.th
82
Doyal, L., & Gough, I. (1991). A theory of human need. London: The Macmillan.
Moody, H.R. Philosophical presupposition of Education for old age. Educational
Gerontology, 1976, 1, 1 - 16, 1976.
Sen, A. (1999). Development as freedom. New York: A Division of Random House.
United Nations Development Program. (1999). Dedicated to the memory of Mahbub ul
haq, (1934-98). human development report. New York: Oxford University Press.
www.ssru.ac.th
ภาคผนวก
www.ssru.ac.th
ภาคผนวก ก
www.ssru.ac.th
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
แบบสอบถาม
คาชี้แจง แบบสอบถามนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เรื่องรายได้และรูปแบบการออมเพื่อการเตรียมพร้อมสู่
วัยสูงอายุของประชาชนอายุระหว่าง 30 – 40 ปี ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
คาตอบของท่านจะนาไปใช้เพื่อประโยชน์ทางวิชาการต่อไป
..............................................................................................................................................
กรุณาทาเครื่องหมาย / ใน ( ) ที่เป็นข้อมูลของท่าน
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป
1) เพศ ( ) ชาย ( ) หญิง
2) อายุ ( ) 30 – 34 ปี ( ) 35 – 39 ปี
( ) 40 ปี
3) สถานภาพการสมรส ( ) โสด ( ) สมรสอยู่ด้วยกัน
( ) สมรสแยกกันอยู่ ( ) หย่าร้าง
( ) หม้ายคู่สมรสเสียชีวิต
4) การศึกษาสูงสุด ( ) ประถมศึกษา ( ) มัธยมศึกษาตอนต้น
( ) ม.ปลาย / ปวช. ( ) ปวส. / อนุปริญญา
( ) ปริญญาตรี ( ) อื่นๆ (โปรดระบุ) ......................
5) อาชีพ ( ) ราชการ / รัฐวิสาหกิจ ( ) พนักงานบริษัทเอกชน
( ) ธุรกิจส่วนตัว ( ) รับจ้างทั่วไป
( ) ค้าขาย ( ) อื่นๆ (โปรดระบุ) ....................
6) จานวนสมาชิกที่อาศัยในบ้าน ( ) 1 – 3 คน ( )4 –6
( ) 7 – 9 คน ( ) 10 คนขึ้นไป
www.ssru.ac.th
86
8) การใช้จ่ายต่อเดือน (โดยประมาณ)
( ) ต่ากว่าหรือเท่ากับ 5,000 บาท ( ) 5,001 – 10,000 บาท
( ) 10,001 – 15,000 บาท ( ) 15,001 – 20,000 บาท
( ) 20,001 – 25,000 บาท ( ) สูงกว่า 25,000 บาท
9) ในแต่ละเดือนท่านมีการใช้จ่ายเกี่ยวกับ
( ) ค่าอาหารและเครื่องใช้ต่างๆ ( ) ค่าเวชภัณฑ์และรักษาพยาบาล
( ) ค่าเดินทาง ( ) ค่าบริการสื่อสาร
( ) ค่าการศึกษาบุตรหลาน ( ) การบันเทิง
( ) กิจกรรมทางศาสนา ( ) ชาระหนี้ต่างๆ
10) ท่านมีการออมโดยวิธีใด (เรียงลาดับ 1 - 3)
( ) เก็บไว้เอง ( ) ฝากธนาคาร
( ) เล่นแชร์ ( ) สหกรณ์ออมทรัพย์และสถาบันการเงินอื่นๆ
( ) ทรัพย์สินหรือสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น บ้านหรือที่ดินเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อการลงทุน
ทองคาและพันธบัตร เป็นต้น ( ) ประกันชีวิต
( ) สมาชิกชมรมต่างๆ เช่น ฌาปนกิจสงเคราะห์ เป็นต้น
www.ssru.ac.th
ประวัติผู้วิจัย
www.ssru.ac.th