Professional Documents
Culture Documents
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
รวมสาระสำ�คัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน
ฉบับเริ่มต้น
โดย พสุธา กัมปนาท
gaiusgroup.2014@gmail.com
ค�ำน�ำ
พสุธา กัมปนาท
ผู้เขียน / ผู้รวบรวม / ผู้เรียบเรียง
มีนาคม ๒๕๕๙
สารบัญ
เรื่อง หน้า
กฎหมายพยานหลักฐาน ส่วนที่ ๑ ๕
กฎหมายพยานหลักฐาน ส่วนที่ ๒ ๓๑
รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น หน้า 5
กฎหมายพยานหลักฐาน
ส่วนที่ ๑
บททั่วไป
“หลักกฎหมายลักษณะพยาน” ที่จะศึกษาต่อไปจากนี้ เป็นการกล่าวถึงหลักกฎหมาย
พยานหลักฐานที่ใช้กับคดีที่อยู่ในอ�ำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเท่านั้น
เมื่อมีคดีขึ้นสู่ศาลไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา ศาลซึ่งอยู่ในฐานะที่เป็นกลางต้อง
ท�ำหน้าที่ในการพิจารณาและวินิจฉัยข้อพิพาท การวินิจฉัยปัญหาให้ยุติลงได้นั้นศาลต้องทราบ
เป็นเบื้องต้นเสียก่อนว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายพิพาทโต้แย้งกันด้วยเรื่องใด ซึ่งข้อพิพาทที่โต้เถียง
หรือโต้แย้งนี้เองในทางกฎหมายเรียกว่า “ประเด็น”
ค�ำว่า “ประเด็น” ปรากฏอยูท่ งั้ ในค�ำฟ้อง หรือค�ำร้องขอ ค�ำให้การ หรือค�ำคัดค้าน โดย
นักกฎหมายบางท่านเรียกว่า “ประเด็นแห่งคดี” หรือ “ประเด็นข้ออ้าง” เมื่อน�ำเอาประเด็น
แห่งคดีที่ปรากฏอยู่ในค�ำฟ้องหรือค�ำร้อง ค�ำให้การหรือค�ำคัดค้านแล้วแต่กรณีมาพิจารณารวม
กันแล้ว ประเด็นแห่งคดีขอ้ ใดคูค่ วามรับกันได้หรือถือว่ารับกันแล้วย่อมเป็นอันยุตไิ ป คงเหลือไว้
แต่ประเด็นแห่งคดีทมี่ กี ารโต้แย้งกัน หรือประเด็นแห่งคดีทฝี่ า่ ยจ�ำเลย หรือผูค้ ดั ค้านหยิบยกขึน้
ใหม่ในค�ำให้การหรือค�ำคัดค้านและเกี่ยวกับคดีนั้นประเด็นแห่งคดีที่คงเหลืออยู่เหล่านี้นั่นเอง
นักกฎหมายเรียกกันว่า “ประเด็นข้อพิพาท” และประเด็นข้อพิพาทเหล่านี้ ศาลจะน�ำไปก�ำหนด
ไว้เป็นข้อๆ ในวันชีส้ องสถานเพือ่ ให้งา่ ยต่อการพิจารณาและพิพากษาคดี แต่กไ็ ม่ได้หมายความ
ว่าทุกคดีต้องมีการชี้สองสถาน คดีใดที่ไม่ยุ่งยาก ทุกฝ่ายเห็นประเด็นข้อพิพาทที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ศาลอาจไม่กำ� หนดออกมาเป็นข้อๆก็ได้ สุดท้ายแล้วการก�ำหนดซึง่ ประเด็นข้อพิพาทยังเกีย่ วโยง
กับ “ภาระการพิสูจน์” หรือ “หน้าที่น�ำสืบ” ในแต่ละประเด็นข้อพิพาท
“ประเด็นข้อพิพาท” ในคดีที่ซึ่งถูกแยกพิจารณาออกเป็นข้อ ๆ เหล่านี้ คู่ความฝ่ายที่
ศาลได้ก�ำหนดหน้าที่น�ำสืบ หรือภาระการพิสูจน์ส�ำหรับประเด็นข้อพิพาทนั้นๆ ต้องน�ำ “พยาน
หลักฐาน” ของตนเข้าแสดงต่อศาล ให้ศาลเห็นประจักษ์ว่าประเด็นข้อพิพาทแต่ละเรื่องแต่ละ
ประเด็นนั้นเป็นไปตามข้ออ้างข้อเถียงของฝ่ายใด
มีประเด็นข้อพิพาทบางประเภทที่คู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่น�ำสืบหรือภาระการพิสูจน์ ไม่
ต้องน�ำพยานหลักฐานเข้าสืบแสดงต่อศาล ประเด็นข้อพิพาทประเภทนี้ นักกฎหมายเรียกว่า
ประเด็นข้อพิพาทที่เป็น “ปัญหาข้อกฎหมาย” ในทางตรงข้ามกันประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความ
หน้า 6 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
ต้องน�ำพยานหลักฐานเข้าสืบพิสูจน์ต่อศาลนั้น นักกฎหมายเรียกว่าประเด็นข้อพิพาทที่เป็น
“ปัญหาข้อเท็จจริง”
จากที่กล่าวมาช้างต้น สรุปความได้ว่าเมื่อมีคดีขึ้นสู่ศาลแล้ว โดยทั่วไปศาลจะท�ำการชี้
สองสถานเพื่อก�ำหนด ๑.ประเด็นข้อพิพาท และ ๒.หน้าที่น�ำสืบ ( ภาระการพิสูจน์ )
ซึง่ คูค่ วามแต่ละฝ่ายมีหน้าทีต่ อ้ งน�ำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อพิพาทใดบ้าง มาก
น้อยเพียงใดก็ตอ้ งพิจารณาดูวา่ ภาระการพิสจู น์ในประเด็นข้อพิพาทเรือ่ งนัน้ เป็นปัญหาประเภท
ใด หากเป็นปัญหาข้อกฎหมาย คูค่ วามก็ไม่ตอ้ งน�ำสืบ หากเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คูค่ วามก็ตอ้ งน�ำ
พยานหลักฐานทีเ่ ข้าสูส่ ำ� นวนคดีนนั้ โดยชอบด้วยกฎหมายและท�ำการ๑มาสืบพยานกันต่อไป
“ปัญหาข้อกฎหมาย” หมายถึงปัญหาทีไ่ ม่ตอ้ งใช้พยานหลักฐานพิสจู น์ แต่อาศัยความ
รู้ในทางกฎหมายของศาลน�ำมาวินิจฉัยปัญหาเหล่านี้ได้ ยกเว้น
๑. กฎหมายของต่างประเทศ
๒. กฎหมายระหว่างประเทศ
๓. ประกาศ ระเบียบหรือข้อบังคับซึ่งมีศักดิ์ต�่ำกว่ากฎกระทรวง เช่น
๓.๑ ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเรือ่ งการก�ำหนดอัตราดอกเบีย้ ของธนาคาร
พาณิชย์
๓.๒ประกาศกระทรวงการคลังเรื่องก�ำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินอาจ
คิดจากผู้กู้ยืมฯ
๓.๓ ประกาศคณะกรรมการจังหวัดฯ เป็นต้น
“ปัญหาข้อเท็จจริง” หมายถึงปัญหาที่ต้องน�ำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อพิสูจน์ตามข้อ
อ้างข้อเถียงของคู่ความแต่ละฝ่าย ยกเว้น
๑.ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป เช่น
๑.๑ วันหยุดราชการ
๑.๒ ความหมายในภาษาไทย ยกเว้นภาษาท้องถิ่น หรือภาษาที่มีความหมายเฉพาะใน
กลุ่มคนหนึ่งๆ
๒.ข้อเท็จจริงซึง่ ไม่อาจโต้แย้งได้ เช่นในคดีแพ่งเกีย่ วเนือ่ งคดีอาญานัน้ คดีแพ่งต้องถือ
เอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ.มาตรา ๔๖
๓.ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับ หรือถือว่ารับกันแล้วในศาล เช่น
๓.๑ ค�ำรับนอกศาล ซึง่ ต่อมามีการแถลงรับกันอีกครัง้ ในชัน้ ศาล เช่น ฎ.๔๓๒๐/๒๕๔๐
๓.๒ ค�ำท้า
รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น หน้า 7
การก�ำหนดประเด็นข้อพิพาท
ความหมายโดยตรงของค�ำว่า “ประเด็นข้อพิพาท” ไม่มีการบัญญัติไว้แต่เมื่อพิจารณา
จากแนวค�ำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว พบว่า ประเด็นข้อพิพาท หมายถึง ข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาท
ระหว่างคู่ความใดคดีที่มีนัยส�ำคัญต่อผลแห่งคดีนั้นซึ่งคู่ความได้ยกขึ้นไว้ในค�ำคู่ความ
จากความหมายดังกล่าว “ประเด็นข้อพิพาท” จึงมีองค์ประกอบทีส่ ำ� คัญ ๔ ประการ คือ
ข้อที่ ๑ เป็นเรื่องที่พิพาทกัน ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ได้พิพาทกันหรือพิพาทกันแล้วต่อมาเลิก
พิพาทกันก็ไม่เป็นประเด็นข้อพิพาท
ข้อที่ ๒ เป็นข้อพิพาทระหว่างคูค่ วามในคดีนนั้ ไม่ใช่ไปตัง้ ข้อพิพาทเอากับบุคคลนอกคดี
ข้อที่ ๓ ข้อพิพาทระหว่างคูค่ วามในคดีนนั้ จะต้องมีสาระส�ำคัญในทางกฎหมาย คืออาจ
ท�ำให้มีการแพ้ชนะกันได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องนกเหนือจากที่กฎหมายก�ำหนดหลักเกณฑ์ไว้
ข้อที่ ๔ จะต้องเกิดจากค�ำคู่ความ คู่ความจะโต้แย้งตั้งประเด็นข้อพิพาทกันนอกเหนือ
จากค�ำคู่ความไม่ได้ โดยวิเคราะห์ค�ำฟ้องของโจทก์ว่ามีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเป็นประเด็น
ในค�ำฟ้องทั้งหมดกี่ข้อ แล้วน�ำมาเทียบกับค�ำให้การของจ�ำเลยว่า จ�ำเลยให้การโต้แย้งข้อกล่าว
อ้างของโจทก์ไว้ในค�ำให้การอย่างแจ้งชัดทั้งหมดกี่ประเด็น ประเด็นตามค�ำฟ้องของโจทก์กับ
ประเด็นที่จ�ำเลยยกขึ้นปฏิเสธไว้ในค�ำให้การ ถือว่าเป็นประเด็นข้อพิพาท แต่การสละประเด็น
ข้อพิพาทสามารถท�ำนอกค�ำคูค่ วามได้ เพียงคูค่ วามฝ่ายทีจ่ ะได้ประโยชน์จากประเด็นข้อพิพาท
ขั้นแถลงต่อศาลด้วยวาจาว่าไม่ติดใจข้อพิพาทในเรื่องนั้น เมื่อศาลบันทึกไว้เป็นหลักฐานใน
ส�ำนวน ประเด็นข้อพิพาทข้อนั้นก็ตกไปแล้ว โดยไม่ต้องท�ำค�ำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมค�ำฟ้องหรือ
ค�ำให้การเข้ามาแต่อย่างใด
การก�ำหนดประเด็นข้อพิพาทจะต้องวิเคราะห์จากคูค่ ำ� คูค่ วาม ทัง้ ค�ำฟ้องของโจทก์และ
ค�ำให้การของจ�ำเลย โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
ข้อที่ ๑ ข้อกล่าวอ้างทีเ่ ป็นข้อเท็จจริงใดทีโ่ จทก์ยกขึน้ แสดงไว้อย่างชัดแจ้งในค�ำฟ้อง
ของโจทก์ จ�ำเลยในคดีแพ่งมีหน้าที่ต้องให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งในค�ำให้การของจ�ำเลยตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๘๘ วรรคสอง จึงจะเกิดประเด็นข้อพิพาท ถ้าจ�ำเลยยืน่ ค�ำให้การแต่ไม่ได้ปฏิเสธ
ข้อกล่าวอ้างข้อใดในค�ำฟ้องของโจทก์ ข้อกล่าวอ้างตามค�ำฟ้องของโจทก์ข้อนั้นไม่เป็นประเด็น
ข้อพิพาท เพราะถือว่าจ�ำเลยได้ยอมรับตามทีโ่ จทก์กล่าวอ้างแล้ว ศาลฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตาม
ที่ถือว่าจ�ำเลยยอมรับได้เลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๘๔ (๓) หรือจ�ำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้าง
ในค�ำฟ้องของโจทก์ขอ้ ใดแต่ปฏิเสธไม่ชดั แจ้ง ถือว่าจ�ำเลยไม่ได้ปฏิเสธแต่กลับถือว่าจ�ำเลยยอมรับ
ข้อเท็จจริงในค�ำฟ้องของโจทก์ จึงไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท ศาลฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามที่
หน้า 8 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
ศาลรับวินิจฉัยให้ไม่ได้หากรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทฝ่าฝืน ป.วิ.พ.
มาตรา ๑๔๒ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เว้นแต่เป็น
ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒(๕) เช่น ขาด
อายุความ , อ�ำนาจฟ้องของโจทก์ , ความสุจริตของโจทก์
ฎีกาที่ ๖๗๘/๒๕๕๐ ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ก�ำหนดให้จ�ำเลยแสดงโดยชัด
แจ้งในค�ำให้การว่า จ�ำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทงั้ สิน้ หรือแต่บางส่วน รวมทัง้ เหตุ
แห่งการปฏิเสธนัน้ ด้วย ดังนัน้ นอกจากจ�ำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
แล้ว จ�ำเลยต้องให้การโดยแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏด้วย กล่าวคือ ต้องบรรยาย
ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเมื่อใด นับแต่วันใดถึงวันฟ้องคดีขาดอายุความไปแล้ว การที่จ�ำเลย
ให้การเพียงว่ามูลหนี้ตามค�ำฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้อง โดยมิได้กล่าวถึงเหตุแห่งการขาด
อายุความให้ปรากฏ จึงไม่มปี ระเด็นเรือ่ งอายุความ แม้ศาลชัน้ ต้นมีคำ� สัง่ รับค�ำให้การของจ�ำเลย
ก็มิใช่เหตุที่ท�ำให้เกิดประเด็นข้อพิพาทตามกฎหมาย
ฎีกาที่ ๕๖๙๑/๒๕๕๔ จ�ำเลยทัง้ สองให้การเพียงว่า คดีขาดอายุความเนือ่ งจากจ�ำเลย
ทั้งสองได้รับโอนที่ดินพิพาทเป็นเวลาเกิน ๑๐ ปี ได้ท�ำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผย
และเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ค�ำให้การของจ�ำเลยทั้งสองดังกล่าวไม่
ได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ชดั แจ้งว่า คดีขาดอายุความเรือ่ งฟ้องคดีมรดกและโจทก์ที่
๑ มีสิทธิเรียกร้องตั้งแต่เมื่อใด นับแต่วันใดถึงวันฟ้องคดีจึงขาดอายุความไปแล้ว ค�ำให้การของ
จ�ำเลยทั้งสองในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุ
ความ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๕๔
วรรคท้าย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ วรรคหนึ่ง และเป็น
ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้น
อ้าง ศาลฎีกาก็มีอ�ำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่
ความตาย ทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทได้แก่ ภริยาและบุตรทั้งเจ็ดโดยภริยามีสิทธิได้รับส่วน
แบ่งในการรับมรดกเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๖๓๕ (๑) ภริยา
ขอรับโอนทีด่ นิ พิพาทแทนทายาทและยกทีด่ นิ ให้แก่จำ� เลยทัง้ สอง จึงต้องถือว่าจ�ำเลยทัง้ สองถือ
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งด้วยเพราะจ�ำเลยทั้งสองเป็นผู้รับ
โอนย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีไปกว่าภริยาเจ้ามรดกผู้โอน โจทก์ที่ ๑ จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
พิพาทหนึ่งในแปดส่วนและชอบที่จะฟ้องขอให้จ�ำเลยทั้งสองซึ่งเป็นตัวแทนจดทะเบียนใส่ชื่อ
โจทก์ที่ ๑ ลงในโฉนดที่ดินพิพาทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๘๑๐ วรรคหนึ่ง
หน้า 10 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
ปรปักษ์แล้ว ค�ำให้การของจ�ำเลยในประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ขัดแย้งกันไม่ชอบด้วย
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจ�ำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบ
ครองปรปักษ์หรือไม่ แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าจ�ำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิง ตามค�ำฟ้อง
และค�ำให้การของจ�ำเลยจึงไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุตไิ ด้ ศาลจ�ำต้องฟังพยานหลักฐานของ
โจทก์และจ�ำเลยเสียก่อน
ฎีกาที่ ๑๐๖๖๒/๒๕๕๑ ที่งอกที่เกิดขึ้นจากการที่บุคคลอื่นสร้างเขื่อนหินยื่นลงไปใน
ทะเลท�ำให้เกิดการสะสมของตะกอนทรายแล้วเกิดที่งอกจากที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีส่วน
เกีย่ วข้องกับการสร้างเขือ่ นหินดังกล่าวย่อมถือได้วา่ ทีง่ อกของทีด่ นิ ของโจทก์เป็นทีง่ อกทีเ่ กิดขึน้
ตามธรรมชาติ โจทก์จงึ เป็นเจ้าของทีง่ อกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๘
จ�ำเลยที่ ๑ ให้การในตอนแรกว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่น�้ำทะเลท่วมถึง
ต่อมามีท่าเทียบเรือของเอกชนก่อสร้างยื่นลงไปในทะเล ที่ดินดังกล่าวจึงยังคงเป็นที่ดิน
สาธารณประโยชน์ แต่ตอนหลังกลับให้การว่า หากฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จ�ำเลยที่ ๑
ก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ค�ำให้การของจ�ำเลยที่ ๑ ดังกล่าวไม่ชัดแจ้งว่าที่
ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือเป็นที่ดินของโจทก์ อันเป็นการขัดแย้งกันเองเป็นค�ำ
ให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง จึงไม่มี
ประเด็นข้อพิพาทว่าจ�ำเลยที่ ๑ ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่
เท่ากับว่าจ�ำเลยที่ ๑ มิได้ให้การโต้แย้งกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ จ�ำเลยที่ ๑ ฎีกาขอ
ให้กลับค�ำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ในส่วนทีใ่ ห้จำ� เลยที่ ๑ ช�ำระค่าเสียหายเดือนละ ๑,๐๐๐
บาท แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปด้วย แต่ค�ำขอในส่วนนี้มิใช่เป็นค�ำขอให้ช�ำระค่าเสียหาย
หรือเงินอืน่ ๆ บรรดาทีใ่ ห้จา่ ยมีกำ� หนดเป็นระยะเวลาในอนาคตตามตาราง ๑ (๔) ท้ายประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะเป็นค�ำขอที่มีผลต่อเนื่องจากค�ำขอให้ศาลฎีกาพิพากษา
กลับค�ำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ที่ให้จ�ำเลยที่ ๑ และบริวารออกจากที่ดินพิพาท อันเป็น
ค�ำขอประธานเท่านั้น จ�ำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในอนาคตในชั้นฎีกาอีกส่วนหนึ่ง
ฎีกาที่ ๙๗๘๒/๒๕๕๔ ค�ำให้การของจ�ำเลยทั้งสอง ข้อ ๑.๑ จ�ำเลยที่ ๑ ให้การว่า ได้
รมควันแผ่นยางดิบที่ได้รับจากโจทก์ และส่งมอบแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว เป็นกรณีที่จ�ำเลยที่ ๑
ยอมรับข้อเท็จจริงว่า จ�ำเลยที่ ๑ ท�ำสัญญารับจ้างรมควันยางแผ่นดิบให้แก่โจทก์และส่งมอบ
แผ่นยางดิบรมควันคืนแก่โจทก์ตามสัญญาครบถ้วนแล้วส่วนค�ำให้การของจ�ำเลยทัง้ สอง ข้อ ๑.๒
จ�ำเลยที่ ๑ ปฏิเสธว่า ไม่เคยได้รับมอบยางแผ่นดิบจากโจทก์ เป็นกรณีที่จ�ำเลยทั้งสองให้การ
ปฏิเสธว่า จ�ำเลยที่ ๑ ไม่เคยได้รับมอบยางแผ่นดินจากโจทก์ จ�ำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องคืนยางแผ่น
รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น หน้า 13
ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่ผู้น�ำสืบ
ในเรือ่ งของภาระการพิสจู น์ เป็นเนือ้ หาทีเ่ กิดขึน้ หลังจากการก�ำหนดประเด็นข้อพิพาท
ในคดีแล้ว ศาลต้องก�ำหนดต่อไปว่าใครจะมีหน้าที่พิสูจน์ถึงประเด็นข้อพิพาทนั้นซึ่งเป็นไปตาม
มาตรา ๘๔/๑ และในเรือ่ งภาระการพิสจู น์นยี้ งั ถูกน�ำไปใช้ในคดีอาญาโดยอนุโลมด้วยตาม ป.วิ.อ.
มาตรา ๑๕
“ภาระการพิสูจน์” คือ หน้าทีข่ องคูค่ วามฝ่ายใดฝ่ายหนึง่ ทีต่ อ้ งน�ำพยานหลักฐานมา
พิสจู น์ขอเท็จจริงทีเ่ ป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีซงึ่ ปกติแล้วใช้หลักทีว่ า่ “ผูใ้ ดกล่าวอ้างผูน้ นั้ น�ำสืบ”
จากนัน้ ศาลจะท�ำการการจัดล�ำดับการน�ำพยานหลักฐานเข้าสืบ ในส่วนนีแ้ ม้จะไม่ได้เกีย่ วกับเรือ่ ง
ภาระการพิสจู น์โดยตรงแต่กม็ คี วามเกีย่ วเนือ่ งกันไปในคราวเดียว กล่าวคือ เมือ่ ศาลได้กำ� หนดภาระ
การพิสจู น์แล้ว ศาลต้องก�ำหนดต่อไปว่าให้คคู่ วามฝ่ายใดน�ำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อนหลังเป็น
ล�ำดับ การน�ำพยานหลักฐานเข้าสืบในคดีกอ่ นหรือหลังนัน้ ป.วิ.พ. มาตรา ๑๘๓ วรรคหนึง่ ตอน
ท้าย หรือ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๗๔ มีวตั ถุประสงค์เพียงเพือ่ ให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านัน้
ไม่มผี ลต่อการแพ้ชนะคดีแต่อย่างใด สุดท้ายเมือ่ คูค่ วามได้นำ�้ พยานหลักฐานเข้าสืบต่อศาลแล้ว
ก็จะเข้าสูข่ นั้ ตอนทีเ่ รียกว่า “มาตรฐานการพิสจู น์” กล่าวคือ กฎหมายได้บญ ั ญัตใิ นส่วนนีไ้ ว้ในเรือ่ ง
ของการชัง่ น�ำ้ หนักพยานหลักฐานและการเขียนค�ำพิพากษาของศาล ถ้าคูค่ วามฝ่ายทีม่ ภี าระการ
พิสจู น์นำ� สืบพยานหลักฐานได้ตำ�่ กว่ามาตรฐานการพิสจู น์ทกี่ ฎหมายก�ำหนดไว้สำ� หรับประเด็นนัน้
คูค่ วามฝ่ายทีม่ หี น้าทีน่ ำ� สืบและภาระการพิสจู น์จะแพ้ในประเด็นข้อพิพาททีเ่ ป็นปัญหาข้อเท็จจริง
นัน้ โดยไม่จำ� เป็นต้องวิเคราะห์พยานหลักฐานของฝ่ายตรงข้าม ( ฟังข้อเท็จจริงตามทีค่ คู่ วามฝ่ายที่
มีภาระการพิสจู น์กล่าวอ้างไม่ได้ ) และในขณะเดียวกันหากคูค่ วามฝ่ายทีม่ หี น้าทีน่ ำ� สืบและภาระ
การพิสจู น์สามารถน�ำพยานหลักฐานเข้าสืบได้ตามมาตรฐานหรือมีนำ�้ หนักน่าเชือ่ ถือและฝ่ายตรง
ข้ามไม่สามารถน�ำพยานหลักฐานของตนมีสบื แสดงต่อศาลเพือ่ ท�ำลายน�ำ้ หนักความน่าเชือ่ ถือได้
เช่นนี้ ฝ่ายทีม่ ภี าระการพิสจู น์จะเป็นฝ่ายชนะในประเด็นนัน้
ฎีกาที่ ๑๖๕๖/๒๕๔๕ แม้ภาระการพิสูจน์ของคู่ความต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของ
กฎหมายและหากชัน้ ชีส้ องสถานศาลก�ำหนดภาระการพิสจู น์ผดิ พลาดไป ศาลย่อมมีอำ� นาจทีจ่ ะ
พิพากษาคดีไปตามภาระการพิสจู น์ทถี่ กู ต้องได้ แต่เมือ่ โจทก์และจ�ำเลยได้สบื พยานไปตามค�ำสัง่
ศาลชัน้ ต้นจนสิน้ กระแสความแล้ว โดยศาลล่างทัง้ สองได้วนิ จิ ฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นข้อพิพาท
โดยมิได้ยกเอาหน้าที่น�ำสืบหรือภาระการพิสูจน์มาเป็นเหตุพิพากษาให้จ�ำเลยแพ้คดี และคดีก็
ยังต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงอีกด้วย ดังนั้น แม้ฝ่ายใดจะมีภาระการพิสูจน์ ผลแห่งคดีก็จะไม่
เปลี่ยนแปลงไป การที่จ�ำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้
หน้า 16 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
รับการวินิจฉัย
ฎีกาที่ ๔๔๙๕/๒๕๔๗ แม้คู่ความฝ่ายหนึ่งจะมิได้คัดค้านการอ้างเอกสารเป็นพยาน
ของคู่ความอีกฝ่ายตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๒๕ ก็เพียงแต่ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายนั้นคัดค้านการมีอยู่
และความแท้จริงของเอกสารนัน้ เมือ่ พ้นก�ำหนดเวลาเท่านัน้ ไม่ใช่เป็นการบังคับให้ศาลต้องถือว่า
ข้อเท็จจริงเป็นดังที่ปรากฏในเอกสารนั้น เพราะข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ศาลต้อง
พิจารณาและมีอ�ำนาจรับฟังจากพยานหลักฐานทั้งปวงอีกชั้นหนึ่งต่างหาก
หลักเกณฑ์การก�ำหนดภาระการพิสูจน์
หลักเกณฑ์ในการก�ำหนดภาระการพิสจู น์ในแต่ละประเด็นข้อพิพาททีเ่ ป็นปัญหาข้อเท็จ
จริงให้ถูกต้องนั้น เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๘๔/๑ ( ซึ่งน�ำไปใช้ในคดีอาญาด้วย ) กล่าวคือ
ผู้ใดกล่าวอ้างผู้นั้นน�ำสืบ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
มาตรา ๘๔/๑ คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนค�ำคู่ความของตน ให้คู่ความฝ่าย
นั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏ
จากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตาม
เงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว
ฎีกาที่ ๔๑๗๑/๒๕๓๒ เมือ่ ข้อเท็จจริงได้ความว่ามีการโอนเงินจ�ำนวนหนึง่ จากธนาคาร
ในเมือง ฮ่องกง มาเข้าบัญชีกระแสรายวันของจ�ำเลยในธนาคารผู้คัดค้าน ถ้าไม่มีหลักฐานเป็น
อย่างอืน่ ในเบือ้ งต้นต้องฟังว่าเงินจ�ำนวนดังกล่าวเป็นของจ�ำเลยผูเ้ ป็นเจ้าของบัญชี เมือ่ ผูค้ ดั ค้าน
อ้างว่าเงินจ�ำนวนดังกล่าวมิใช่เป็นของจ�ำเลยแต่เป็นของผู้ค�้ำประกันหนี้ของจ�ำเลยส่งมาช�ำระ
หนี้แก่ผู้คัดค้านแทนจ�ำเลย ผู้คัดค้านจึงมีภาระการพิสูจน์ให้ฟังได้ตามข้ออ้างของตน
ฎีกาที่ ๔๔๖๔/๒๕๕๔ จ�ำเลยให้การปฏิเสธว่า ไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ จ�ำเลย
ไม่เคยมอบอ�ำนาจให้ ว. ไปจดทะเบียนจ�ำนองทีด่ นิ ตามฟ้องไว้แก่โจทก์ ลายมือชือ่ ผูม้ อบอ�ำนาจ
ในหนังสือมอบอ�ำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของจ�ำเลย แต่เป็นลายมือชื่อปลอม ภาระการพิสูจน์ใน
ปัญหานี้จึงตกแก่โจทก์ แต่ค�ำเบิกความของพยานโจทก์มีพิรุธหลายประการ เพราะโจทก์ไม่มี
สัญญากู้หรือหลักฐานการรับเงินของจ�ำเลยมาแสดงต่อศาล นอกจากนี้โจทก์ไม่ยื่นบัญชีระบุ
พยานอ้าง ว. หรือผูล้ งชือ่ เป็นพยาน ๒ คน ในหนังสือมอบอ�ำนาจซึง่ เป็นพยานรูเ้ ห็นโดยตรงเป็น
พยานสนับสนุนให้ได้ความตามข้ออ้างของตน ทัง้ เมือ่ ศาลตรวจดูลายมือชือ่ ในช่องผูม้ อบอ�ำนาจ
เปรียบเทียบกับลายมือชื่อที่แท้จริงของจ�ำเลยที่ลงไว้ในสารบบที่ดิน เห็นว่า ลายมือชื่อผู้มอบ
อ�ำนาจในหนังสือมอบอ�ำนาจไม่ใช่ลายมือชือ่ ทีแ่ ท้จริงของจ�ำเลย แต่เป็นลายมือชือ่ ปลอม เพราะ
คุณสมบัตขิ องการเขียนรูปลักษณะของตัวอักษรแตกต่างกับลายมือชือ่ ทีแ่ ท้จริงของจ�ำเลย พยาน
รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น หน้า 17
หลักฐานที่โจทก์น�ำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจ�ำเลยมอบอ�ำนาจให้ ว. น�ำที่ดินตามฟ้องไปจดทะเบียน
จ�ำนองเป็นประกันไว้แก่โจทก์ หนังสือสัญญาจ�ำนองจึงไม่ผูกพันจ�ำเลย
ฎีกาที่ ๒๖๗/๒๔๙๘ ทายาทตามพินัยกรรมตกลงกันท�ำสัญญาประนีประนอมยอม
ความว่าให้ถอื เอาตามพินยั กรรมซึง่ ตามกฎหมายเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๗๐๕, ๑๖๕๓ แล้วนัน้
ใช้บงั คับได้สญ ั ญานัน้ ย่อมสมบูรณ์มผี ลบังคับได้ เพราะพินยั กรรมนัน้ ไม่ได้มวี ตั ถุประสงค์ขดั ต่อ
ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและสัญญาประนีประนอมกันก็ไม่ต้องห้าม
ตามบทกฎหมายใดๆ โจทก์ฟอ้ งว่าโจทก์มสี ทิ ธิได้รบั มรดกตามพินยั กรรมเพราะจ�ำเลยท�ำสัญญา
ประนีประนอมยอมความให้ถอื เอาตามพินยั กรรมนัน้ แล้วจ�ำเลยต่อสูว้ า่ จ�ำเลยท�ำสัญญาโดยส�ำคัญ
ผิดว่าพินยั กรรมนัน้ เป็นของแท้จริงและถูกต้องตามกฎหมายประการหนึง่ และอีกประการหนึง่
จ�ำเลยต่อสูว้ า่ สามีจำ� เลยได้บอกล้างนิตกิ รรมทีจ่ ำ� เลยได้กระท�ำไปโดยมิได้รบั ความยินยอมแล้วเช่น
นีจ้ ำ� เลยซึง่ เป็นผูก้ ล่าวอ้างต้องน�ำสืบก่อน เมือ่ ไม่สบื ก็ไม่มขี อ้ เท็จจริงจะวินจิ ฉัยตามข้อต่อสูไ้ ด้
ฎีกาที่ ๖๙๐/๒๕๑๑ โจทก์ฟอ้ งว่า จ�ำเลยท�ำสัญญาเช่าซือ้ ทีด่ นิ ของโจทก์ และจ�ำเลย
ผิดสัญญาและค้างช�ำระเงิน จ�ำเลยให้การรับว่า ท�ำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์และไม่ได้ช�ำระเงิน
ค่าเช่าซือ้ ให้แก่โจทก์จริง แต่อา้ งว่าสัญญาเช่าซือ้ เป็นโมฆะ เพราะจ�ำเลยเป็นคนต่างด้าว ไม่มสี ทิ ธิ
ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ และท�ำสัญญาด้วยความส�ำคัญผิดในสาระส�ำคัญแห่ง
นิตกิ รรมดังนี้ จ�ำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึน้ ใหม่วา่ สัญญาเช่าซือ้ เป็นโมฆะ โดยมีวตั ถุประสงค์ตอ้ ง
ห้ามตามกฎหมายและส�ำคัญผิดในสาระส�ำคัญของนิติกรรมมิใช่เพียงปฏิเสธว่าไม่ผิดสัญญา
เท่ากับจ�ำเลยต่อสู้ว่าการที่จ�ำเลยไม่ช�ำระเงินค่าเช่าซื้อ ไม่เป็นผิดสัญญาจ�ำเลยจึงมีหน้าที่น�ำสืบ
ก่อนว่าสัญญานัน้ ไม่มผี ลผูกพันอันจะท�ำให้จำ� เลยไม่ตอ้ งปฏิบตั ติ ามสัญญา สนธิสญ ั ญาทางไมตรี
ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐจีนซึง่ เริม่ ใช้บงั คับตัง้ แต่วนั ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๔๘๙ ความ
ในข้อ ๖แห่งสนธิสัญญามีว่า คนชาติแห่งอัครภาคีแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์
ตลอดทั่วอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นยังมีผลใช้บังคับตลอดไป ไม่ว่ารัฐบาลของสาธารณรัฐจีน
จะไปตัง้ อยูท่ ไี่ ต้หวันหรือเกาะฟอโมซาเพราะสนธิสญ ั ญาทางไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับ
สาธารณรัฐจีนยังมีต่อกันอยู่ หาได้ถูกยกเลิกไปไม่ ส�ำเนาหนังสือกระทรวงมหาดไทยที่
๒๖๓๙/๒๕๐๔ ลงวันที่ ๑๖กุมภาพันธ์ ๒๕๐๔ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ระบุสัญชาติ
คนต่างด้าวที่มีสิทธิขออนุญาตให้ได้มาซึ่งที่ดินตามมาตรา ๘๖ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินโดย
ไม่ระบุคนต่างด้าวสัญชาติจนี รวมอยูด่ ว้ ย และจ�ำเลยแนบติดมาท้ายฎีกาของจ�ำเลยนัน้ จ�ำเลยไม่
ได้ระบุอ้างเป็นพยานไว้ก่อนและไม่มีเจ้าหน้าที่รับรองว่าเป็นส�ำเนาที่ถูกต้องทั้งไม่ใช่กฎหมาย
ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๘๖ มิได้บัญญัติห้ามเด็ดขาดไม่ให้
หน้า 18 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน จ�ำเลยซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติจีนและเป็นผู้เช่าซื้อที่ดินของโจทก์ยัง
อยู่ในวิสัยที่จะไปขออนุญาตถือกรรมสิทธิ์ท่ีดินได้และไม่ใช่สัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้อง
ห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือเป็นการพ้นวิสยั สัญญาเช่าซือ้ ระหว่างโจทก์จำ� เลยจึงสมบูรณ์ ฎีกา
จ�ำเลยในข้อที่ว่า การช�ำระเงินค่าเช่าซื้อ แม้จะผิดพลาดไปบ้างโจทก์ไม่ถือว่าจ�ำเลยผิดสัญญาก็
ดี หรือโจทก์ยงั ไม่ได้บอกกล่าวให้จำ� เลยช�ำระเงินค่าเช่าซือ้ ยังถือไม่ได้วา่ จ�ำเลยผิดสัญญาก็ดจี ำ� เลย
ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น จ�ำเลยจะยกขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้ จ�ำเลยฟ้องแย้งว่า
จ�ำเลยได้ชำ� ระเงินให้ ป. ซึง่ โจทก์เป็นหนี้ ป. แทนโจทก์ โจทก์ปฏิเสธว่าจ�ำเลยไม่ได้ชำ� ระเงินแทน
และโจทก์มไิ ด้เป็นหนีแ้ ต่จำ� เลยกลับน�ำสืบว่าจ�ำเลยส่งมอบข้าวสารไม่ใช่ชำ� ระเงินแทนจึงเป็นการ
น�ำสืบนอกฟ้องแย้งของจ�ำเลย
ฎีกาที่ ๓๓๑/๒๕๒๘ ค�ำพิพากษาศาลชั้นต้นพิมพ์นามสกุลจ�ำเลยที่ ๑ “คล่อง
อักขระ” ผิดเป็น “คล่องอักษร” เป็นการพิมพ์ผิดพลาดเล็กน้อย ศาลมีอ�ำนาจแก้ให้ถูกต้องได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๓ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ�ำเลยที่ ๑
เป็นลูกค้าของโจทก์โดยมีบัญชีเงินฝากอยู่ในธนาคารโจทก์สาขาคลองตันและสาขาสุขุมวิท ๕๗
จ�ำเลยที่ ๑ ได้น�ำเช็คเดินทางและเช็คส่วนตัวมาเข้าบัญชีในสาขาทั้งสองเพื่อให้เรียกเก็บเงินจาก
ธนาคารต่างประเทศ แต่ปรากฏว่าเช็คที่จ�ำเลยที่ ๑ น�ำมาเข้านั้นเรียกเก็บเงินไม่ได้ด้วยเหตุต่าง
ๆ เมื่อจ�ำเลยที่ ๑ น�ำเช็คมาเข้าบัญชี เจ้าหน้าที่สาขาทั้งสองของโจทก์ได้เปลี่ยนค่าเงินตราเป็น
เงินไทยและเข้าในบัญชีกระแสรายวันของจ�ำเลยที่ ๑ โดยยังมิได้ทราบผลว่าเช็คที่จ�ำเลยที่ ๑
น�ำมาเข้าเรียกเงินได้หรือไม่ เป็นผิดระเบียบของโจทก์ โจทก์สงสัยว่าจ�ำเลยที่ ๑ กับเจ้าหน้าที่
ของโจทก์จะยักยอกฉ้อโกงโจทก์จึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามให้ด�ำเนินคดี
แก่จ�ำเลยที่ ๑ จ�ำเลยที่ ๑ ได้ท�ำบันทึกข้อตกลงยอมชดใช้เงินให้โจทก์ โดยมีจ�ำเลยที่ ๒ เป็นผู้
ค�้ำประกันและสัญญาว่าจะจ�ำนองที่ดินของจ�ำเลยที่ ๒ เป็นประกันหนี้สินและความรับผิดของ
จ�ำเลยทั้งสองด้วย แต่จ�ำเลยทั้งสองบิดพลิ้ว จึงฟ้องเรียกเงินจากจ�ำเลยทั้งสองตามสัญญา ดังนี้
ตามค�ำฟ้องของโจทก์โจทก์ได้ฟ้องของให้บังคับจ�ำเลยใช้หนี้ให้โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงและ
สัญญาค�ำ้ ประกัน ค�ำฟ้องดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึง่ สภาพแห่งข้อหาและค�ำขอบังคับ ทัง้ ข้อ
อ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒
บัญญัติไว้แล้ว ค�ำฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม บันทึกข้อตกลงที่จ�ำเลยที่ ๑ กับพวกท�ำกับโจทก์ใน
ข้อ ๑ ระบุว่าจ�ำเลยที่ ๑ ได้น�ำเช็คต่าง ๆ มาให้โจทก์สาขาคลองตันและสาขาสุขุมวิท ๕๗ เรียก
เก็บเงินจากธนาคารต่างประเทศ และสาขาทั้งสองได้น�ำเข้าบัญชีกระแสรายวันแล้วเท่าที่ตรวจ
พบในขณะท�ำบันทึกมีจำ� นวนประมาณ ๕,๐๓๕,๔๐๗ บาทนัน้ จ�ำเลยที่ ๑ ยอมชดใช้เงินจ�ำนวน
รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น หน้า 19
กระทรวงการคลังการที่โจทก์คิดดอกเบี้ยตามข้อตกลงในสัญญากู้เงินเป็นความสมัครใจของ
จ�ำเลยเองอันเป็นการตกลงในเรื่องดอกเบี้ยสองลักษณะคือดอกเบี้ยปกติ(ร้อยละ๑๔.๕ต่อปี)กับ
ดอกเบี้ยผิดนัด(ร้อยละ๑๘.๕ต่อปี)หากจ�ำเลยได้ช�ำระหนี้ตามปกติโจทก์ย่อมไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่ม
ขึ้นแต่อย่างใดแต่เมื่อจ�ำเลยผิดนัดโจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเอาแก่จ�ำเลยในอัตราผิดนัดตาม
ทีต่ กลงกันส่วนดอกเบีย้ อัตราร้อยละ๑๙ต่อปีตามหนังสือต่ออายุสญ ั ญานัน้ โจทก์มสี ทิ ธิเรียกร้อง
จากจ�ำเลยที่๑ได้ตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินพ.ศ.๒๕๒๓และ
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเรือ่ งการก�ำหนดให้บริษทั เงินทุนปฏิบตั ใิ นการกูย้ มื เงินหรือรับ
เงินจากประชาชนและการก�ำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่บริษัทเงินทุนอาจจ่ายหรืออาจ
เรียกได้ลงวันที่๒๐พฤศจิกายน๒๕๓๓ข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวตามสัญญากู้เงิน
ย่อมผูกพันใช้บงั คับกันได้หาใช่เป็นเบีย้ ปรับเป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชนไม่จำ� เลยทัง้ สอง
ต้องร่วมกันรับผิดช�ำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ๑๙ต่อปี
๑.๒ มีขอ้ สันนิษฐานตามข้อเท็จจริง คือข้อข้อเท็จจริงทีค่ วรจะเป็น ซึง่ ปรากฏจากสภาพ
ปกติธรรมดาของเหตุการณ์นั้นๆ มาแสดง เช่น ข้อพิพาทว่าเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นของ
ใคร ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โดยสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์ เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารอยู่
ในบัญชีเงินฝากของใครก็เป็นของเจ้าของบัญชีเงินฝากนั้น คู่ความฝ่ายใดโต้แย้งว่าไม่ใช่เงินฝาก
ของผู้ถือบัญชี (เจ้าของบัญชี) คู่ความฝ่ายนั้นต้องน�ำสืบหักล้างเอง ( ฎีกาที่ ๔๑๗๑/๒๕๓๒ ) ,
จ�ำเลยที่ ๒ เป็นแพทย์ผไู้ ด้รบั ใบอนุญาตให้เป็นผูป้ ระกอบโรคศิลปะสาขาแพทย์และเป็นผูช้ ำ� นาญ
พิเศษ ในแขนงสาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่งจากประเทศญี่ปุ่น จ�ำเลยที่ ๒ กระท�ำการผ่าตัด
หน้าอกโจทก์ ทีม่ ขี นาดใหญ่ให้มขี นาดเล็กลงตามสภาพปกติทโี่ รงพยาบาลจ�ำเลยที่ ๑ หลังผ่าตัด
แล้วจ�ำเลยที่ ๒ นัดให้โจทก์ไปผ่าตัดแก้ไขที่คลินิกจ�ำเลยที่ ๒ อีก ๓ ครั้ง แต่อาการไม่ดีขึ้น โจทก์
จึงให้แพทย์อื่น ท�ำการรักษาต่อโดยเดิมจ�ำเลยที่ ๒ ท�ำการผ่าตัดหน้าอกในวันที่ ๑๒ เมษายน
๒๕๓๗ รักษาตัว ที่โรงพยาบาล ๑ วัน วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๓๗ จ�ำเลยที่ ๒ อนุญาตให้โจทก์
กลับบ้าน วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๗ จ�ำเลยที่ ๒ เปิดแผลพบมีน�้ำเหลืองไหลบริเวณปากแผล
ทรวงอกไม่มีร่องอก มีก้อนเนื้ออยู่บริเวณ รักแร้ด้านขวา เต้านมด้านซ้ายมีขนาดใหญ่กว่าด้าน
ขวา และส่วนที่เป็นหัวนมจะมีบาดแผลที่คล้ายเกิดจากการถูกไฟไหม้ จ�ำเลยที่ ๒ รับว่าเกิดจาก
การผิดพลาดในการผ่าตัดแล้วแจ้งว่าจะด�ำเนินการแก้ไขให้ จ�ำเลยที่ ๒นัดให้โจทก์ไปท�ำแผลดูด
น�้ำเหลืองออกจากบริเวณทรวงอก และได้มีการผ่าตัดแก้ไขทรวงอกอีก ๓ ครั้งแต่โจทก์เห็นว่า
ทรวงอกไม่มีสภาพดีขึ้น ประกอบกับระยะเวลาล่วงเลยมานานจึงเปลี่ยนแพทย์ใหม่ และแพทย์
ที่ท�ำการรักษาต่อจากจ�ำเลยที่ ๒ ได้ท�ำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขทรวงอก ๓ ครั้ง จนมีสภาพทรวงอก
หน้า 22 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
๒. มีบางกรณีท่ีแม้จะเข้าเงื่อนไขแห่งข้อสันนิษฐานแล้วอาจไม่ได้รับประโยชน์จากข้อ
สันนิษฐานนัน้ ก็ได้ ถ้าข้อเท็จจริงทีก่ ล่าวอ้างอยูน่ อกขอบเขตของข้อสันนิษฐานนัน้ หรือข้อเท็จจริง
ทีก่ ล่าวอ้างไม่ใช่ขอ้ เท็จจริงทีม่ กี ารสันนิษฐาน เช่นนี้ ต้องกลับไปใช้หลักทัว่ ไป
ฎีกาที่ ๑๒๐๒/๒๕๒๓ โจทก์ฟ้องขับไล่จ�ำเลยออกจากที่พิพาทอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์
ของโจทก์ตามโฉนดจ�ำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครอง จ�ำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดิน
ในสิทธิครอบครองของจ�ำเลย ปรากฏตามฟ้องว่าโฉนดของโจทก์ทับที่ของจ�ำเลยอยู่เป็นเนื้อที่
ประมาณ ๑๐ ไร่ โฉนดดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะมิได้ด�ำเนินการให้ถูกต้องตามขั้น
ตอนแห่งระเบียบและกฎหมายโดยจ�ำเลยไม่เคยทราบเรื่องเลย เป็นการต่อสู้ในเรื่องสิทธิในที่
พิพาท และโต้เถียงว่าโฉนดที่โจทก์อ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย. ไม่มีผลให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่
พิพาทซึง่ เป็นทีด่ นิ จ�ำเลย จากฟ้องและค�ำให้การดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้วา่ ขณะพิพาททีพ่ พิ าท
อยูใ่ นความครอบครองของจ�ำเลยปัญหาทีจ่ ะต้องวินจิ ฉัยมีวา่ โฉนดตามฟ้องถูกต้องตามกฎหมาย
ที่ดินตามโฉนดเป็นของโจทก์มิใช่ของจ�ำเลย การออกโฉนดได้กระท�ำถูกต้องตามระเบียบและ
กฎหมายหรือไม่ ซึ่งโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างจะต้องน�ำสืบให้เห็นว่าความจริงเป็นดังที่อ้าง
ฎีกาที่ ๑๑๓๔/๒๕๒๙ โจทก์ทำ� สัญญาจะซือ้ จะขายทีด่ นิ จากจ�ำเลยข้อความในสัญญา
ก�ำหนดว่าผูจ้ ะขายยินยอมทีจ่ ะด�ำเนินการขายให้เสร็จภายใน๑๒เดือนเพือ่ โอนขายให้แก่ผจู้ ะซือ้
การซื้อขายที่ดินพิพาทจึงยังต้องมีการโอนทางทะเบียนกันแม้จ�ำเลยยอมให้โจทก์ครอบครอง
ที่ดินไปได้ก่อนก็ตามแต่ตราบใดที่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์กรรมสิทธิ์
ที่ดินยังเป็นของจ�ำเลยการครอบครองที่ดินของโจทก์จึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของ
จ�ำเลยเป็นการยึดถือทีพ่ พิ าทแทนจ�ำเลยมิใช่ยดึ ถือในฐานะเป็นเจ้าของเมือ่ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้
เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแม้โจทก์ครอบครองที่พิพาทเกิน๑๐ปีโจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ โจทก์
เคยฟ้องให้จ�ำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ศาลพิพากษา
ยกฟ้องเพราะขาดอายุความโจทก์จึงมาร้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
โดยการครอบครองประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่เป็นฟ้องซ�้ำตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา๑๔๘
ฎีกาที่ ๒๒๒๗/๒๕๓๓ โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ ๘๙๑๒
เป็นของโจทก์ ถูกฝ่ายจ�ำเลยบุกรุกเข้าครอบครอง จ�ำเลยทั้งสองปฏิเสธไม่ยอมรับว่าที่ดินพิพาท
เป็นของโจทก์ ทั้งยังต่อสู้ว่าเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๘๔๓๗ อันเป็นที่ดินของฝ่ายจ�ำเลยภาระ
การพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ที่จะต้องน�ำสืบพิสูจน์ว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนของที่ดินโจทก์ตามโฉนด
เลขที่ ๘๙๑๒ มิใช่ของจ�ำเลยทัง้ สองและฝ่ายจ�ำเลยได้ดำ� เนินการเปลีย่ นแปลงรูปทีด่ นิ ตามโฉนด
หน้า 24 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
การรับฟังพยานหลักฐาน
เรื่องการรับฟังพยานหลักฐานมีหลักว่า “พยานหลักฐานทุกชนิดทุกประเภทถ้าไม่ต้อง
ห้ามรับฟังโดยบทตัดพยานหลักฐานบทใดแล้วย่อมรับฟังได้” ข้อพิจารณาที่ส�ำคัญได้แก่
๑. พยานซัดทอด
พยานซัดทอดหรือพยานที่มีส่วนร่วมในการกระท�ำความผิด พยานประเภทนี้ที่ได้เคย
ให้การไว้ในชั้นสอบสวนหรือจะไม่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน คู่ความสามารถน�ำสืบเข้ามาเป็น
พยานหลักฐานในชั้นศาลได้เพราะไม่มีกฎหมายห้ามรับฟัง ศาลย่อมรับฟังพยานซัดทอดนี้
ประกอบพยานหลักฐานอื่นลงโทษจ�ำเลยได้ พยานซัดทอดมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ในชั้น
ศาลย่อมถือว่าเป็นประจักษ์พยาน แต่ถา้ ไมได้ตวั พยานซัดทอดมาเบิกความในชัน้ ศาลโจทก์นำ� สืบ
ค�ำให้การซัดทอดที่บันทึกไว้ในชั้นสอบสวนเข้ามาเป็นพยานโจทก์ในชั้นศาลได้โดยถือว่าเป็น
พยานเอกสารและเป็นพยานบอกเล่าตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๖/๓ วรรคหนึ่ง เพราะไม่ได้ตัวมา
เบิกความเป็นประจักษ์พยานในชั้นศาล ด้วยเหตุนี้ศาลจึงต้องระมัดระวังทั้งการรับฟัง การให้
น�้ำหนักพยานซัดถอด
พยานซัดทอดจะต้องห้ามรับฟัง ถ้าปรากฏว่า
๑.๑ พยานซัดทอดอยู่ในลักษณะของพยานบอกเล่าซึ่งต้องห้ามรับฟังเป็นพยานหลัก
ฐานในฐานะที่เป็นพยานบอกเล่า เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามความใน ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๖/๓
วรรคสอง (๑) หรือ (๒) ไม่ใช่ต้องห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในฐานะที่เป็นพยานซัดทอดดัง
ที่กล่าวมาแล้ว หรือ
หน้า 28 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
กฎหมายพยานหลักฐาน
ส่วนที่ ๒
การรับฟังพยานหลักฐานโดยพิเคราะห์ถึงประเภทของพยานหลักฐาน
กฎหมายลักษณะพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธี
พิจารณาความอาญาได้แบ่งประเภทของพยานหลักฐานที่ส�ำคัญไว้ ๔ ประเภท คือ พยานบุคคล
พยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละประเภทที่สาระส�ำคัญที่ต้องพิจารณา
เกี่ยวกับความหมายและการน�ำสืบอย่างไรถึงจะรับฟังพยานหลักฐานนั้นได้ ดังนี้
๑.พยานบุคคล ( ป.วิ.พ. มาตร ๙๕, ๙๖, ๙๗ และ ป.วิ.อ. มาตรา ๒๓๒, ๒๓๓ )
พยานบุคคล หมายถึง คนที่มีเบิกความด้วยวาจาต่อหน้าศาลซึ่งอาจจะเป็นคนที่รู้เห็น
เหตุการณ์ข้อเท็จจริงนั้นๆโดยตรง (ประจักษ์พยาน) หรือเป็นคนที่รับฟังเหตุการณ์ข้อเท็จจริง
นั้นมาเล่ามาเบิกความด้วยวาจาต่อหน้าศาล (พยานบอกเล่า) ในการรับฟังพยานบุคคลแยก
พิจารณาได้เป็น ๓ ประการ คือ
๑.๑ ความสามารถของคนที่จะเป็นพยาน ป.วิ.พ. มาตรา ๙๕ (๑) ก�ำหนดให้ศาลรับฟัง
พยานบุคคลที่สามารถเข้าใจและตอบค�ำถามได้เท่านั้น เหตุที่ต้องก�ำหนดไว้เช่นนี้เพราะพยาน
บุคคลทีม่ าเบิกความต่อหน้าศาลไม่วา่ จะเป็นประจักษ์พยานหรือพยานบอกเล่าก็ตามล้วนแต่ตอ้ ง
ตอบข้อซักข้อถามของศาล คู่ความ และทนายความ หากไม่สามารถเข้าใจและตอบค�ำถามได้
กระบวนพิจารณาย่อมด�ำเนินต่อไปไม่ได้
(ก) ค�ำว่า “เข้าใจและตอบค�ำถามได้” ย่อมเป็นการแสดงความหมายอยู่ในตัวว่าเป็น
“ผู้มีสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์” นั่นคือไม่ไร้เดียงสา ไม่วิกลจริต ไม่จิตฟั่นเฟือน ไม่ปัญญาอ่อน
อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็น “ผู้พิการ” หรือ “ชาวต่างชาติ” หากสามารถเข้าใจและตอบค�ำถาม
ได้กม็ ฐี านะเป็นพยานบุคคลได้เพราะกฎหมายก�ำหนดวิธแี ก้ไขไว้แล้ว กล่าวคือ ป.วิ.พ.มาตร ๙๖
พยานทีเ่ ป็นคนหูหนวก หรือเป็นใบ้หรือทัง้ หูหนวกและเป็นใบ้นนั้ อาจถูกถามหรือให้คำ� ตอบโดย
วิธีเขียนหนังสือ หรือโดยวิธีอื่นใดที่สมควรได้ และค�ำเบิกความของบุคคลนั้น ๆ ให้ถือว่าเป็นค�ำ
พยานบุคคลตามประมวลกฎหมายนี้ และถ้าไม่เข้าใจภาษาไทยก็ให้ใช้ล่ามช่วยในการเบิกความ
ต่อศาล
ฎีกาที่ ๔๐๘/๒๔๘๕ ค�ำรับของจ�ำเลยในคดีมีอัตราโทษจ�ำคุกถึง ๑๐ ปีนั้นรับฟังได้
เมือ่ มีพยานโจทก์ประกอบ มิใช่จะห้ามไม่ให้รบั ฟังเสียเลยทีเดียว ศาลอาจใช้ดลุ พินจิ เรียกส�ำนวน
หน้า 32 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
“If you can’t explain it simply, you don’t understand it well enough.”
-Albert Einstein-
รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น หน้า 35
๒. พยานเอกสาร
พยานเอกสาร หมายถึง ข้อความใดๆ ในเอกสารที่มีการอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานโดย
อาศัยการสื่อความหมายของข้อความนั้นพิสูจน์ความจริง
ในการน�ำสืบพยานเอกสารนัน้ มักจะควบคูไ่ ปกับการสืบพยานวัตถุ เพราะโดยสภาพของ
สิง่ ทีน่ ำ� มาอ้างอ้างเป็นพยานเอกสารก็จะมีวตั ถุจบั ต้องได้ สัมผัสได้เป็นวัตถุอยูใ่ นตัว การจะถือว่า
พยานหลักฐานชิ้นดังกล่าวเป็น “พยานเอกสาร” หรือ “พยานวัตถุ” จึงอยู่มี่วัตถุประสงค์ของ
คู่ความที่น�ำมาเสนอต่อศาล นอกจากการแยกประเภทของเอกสารว่าจะให้เป็นพยานเอกสาร
หรือพยานวัตถุนั้นยังมีผลต่อการจัดส่งส�ำเนาเอกสารให้แก่คู่ความฝ่ายตรงข้ามและศาลตามที่
กฎหมายก�ำหนดด้วย หากเป็นพยานเอกสารกฎหมายก�ำหนดให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยาน
เอกสารดังกล่าวต้องส่งส�ำเนาเอกสารให้แก่คู่ความฝ่ายตรงข้ามและศาลภายในระยะเวลาที่
กฎหมายก�ำหนดส่วนพยานวัตถุไม่ต้องด�ำเนินการ
ฎีกาที่ ๘๔๐/๒๔๙๙ ได้ความว่าโจทก์ใช้แบบฟอร์มศาล (๙ ทวิ) ใบมอบฉันทะเขียน
เป็นใบมอบอ�ำนาจให้ฟ้องความโดยเขียนระบุข้อความไว้ชัดเจนในเอกสารที่เขียนเป็นใบมอบ
อ�ำนาจว่าให้ผู้มีชื่อเป็นผู้ฟ้องเรื่องนี้แทนโจทก์โดยมีข้อความว่า ‘ข้าพเจ้า ฯลฯ มอบอ�ำนาจให้
(ระบุชื่อผู้รับมอบ) ท�ำการฟ้อง (ระบุชื่อผู้ถูกฟ้องฐาน ข้อหาที่ฟ้อง) ต่อศาลแทนข้าพเจ้าและให้
ด�ำเนินคดีต่อไปจนถึงที่สุดเพราะข้าพเจ้าอยู่ต่างจังหวัดไม่สะดวกที่จะมาด�ำเนินคดีได้ ‘ลงชื่อ
ผู้มอบ ผู้รับมอบและพยานและมีอากรแสตมป์จ�ำนวนเงิน ๕ บาทปิดในเอกสารนั้นเช่นนี้ถือว่า
เป็นการมอบอ�ำนาจที่สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ในกรณีที่โจทก์อ้างภาพถ่ายห้องพิพาทเป็น
พยานถือว่าเป็นภาพจ�ำลองไม่ใช่พยานเอกสารอันจะต้องส่งส�ำเนาให้แก่คคู่ วามอีกฝ่ายหนึง่ ก่อน
วันสืบพยานดังบังคับไว้ใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ ดังนั้นโจทก์
ผู้อ้างจึงไม่ต้องส่งส�ำเนาให้แก่จ�ำเลยก่อนวันสืบพยาน
๒.๑ หลักเกณฑ์ในการรับฟังพยานเอกสาร
มาตรา ๙๓ การอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้น เว้นแต่
(๑) เมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตกลงกันว่าส�ำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้วให้ศาลยอมรับฟังส�ำเนาเช่น
ว่านั้นเป็นพยานหลักฐาน
(๒) ถ้าต้นฉบับเอกสารน�ำมาไม่ได้ เพราะถูกท�ำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือสูญหาย หรือไม่สามารถน�ำมา
ได้โดยประการอื่น อันมิใช่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้อ้างต้องรับผิดชอบ หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นกรณีจ�ำเป็นและเพื่อ
ประโยชน์แห่งความยุตธิ รรมทีจ่ ะต้องสืบส�ำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารทีน่ ำ� มาไม่ได้นนั้ ศาลจะ
อนุญาตให้น�ำส�ำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้
หน้า 36 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
(๓) ต้นฉบับเอกสารที่อยู่ในความอารักขาหรือในความควบคุมของทางราชการนั้นจะน�ำมาแสดงได้ต่อ
เมื่อได้รับอนุญาตจากทางราชการที่เกี่ยวข้องเสียก่อน อนึ่ง ส�ำเนาเอกสารซึ่งผู้มีอ�ำนาจหน้าที่ได้รับรองว่าถูกต้อง
แล้ว ให้ถือว่าเป็นอันเพียงพอในการที่จะน�ำมาแสดง เว้นแต่ศาลจะได้ก�ำหนดเป็นอย่างอื่น
(๔) เมือ่ คูค่ วามฝ่ายทีถ่ กู คูค่ วามอีกฝ่ายหนึง่ อ้างอิงเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานยันตนมิได้คดั ค้านการน�ำ
เอกสารนัน้ มาสืบตามมาตรา ๑๒๕ ให้ศาลรับฟังส�ำเนาเอกสารเช่นว่านัน้ เป็นพยานหลักฐานได้ แต่ทงั้ นีไ้ ม่ตดั อ�ำนาจ
ศาลตามมาตรา ๑๒๕ วรรคสาม
ตามวรรคแรกสรุปความได้วา่ คูค่ วามฝ่ายทีอ่ า้ งพยานเอกสารต้องเป็น “เอกสารต้นฉบับ”
เท่านัน้ ศาลจึงจะยอมรับฟังได้คอื ยอมรับไว้แล้วน�ำมาพิจารณาเพือ่ พิพากษาคดี เว้นแต่จะเข้าข้อ
ยกเว้นที่กฎหมายก�ำหนดไว้ตาม (๑) ถึง (๔)
ต้นฉบับเอกสาร หรือ เอกสารต้นฉบับ คือเอกสารซึ่งท�ำขึ้นเป็นครั้งแรก ส่วน ส�ำเนา
เอกสาร คือเอกสารซึง่ ได้ทำ� ซ�ำ้ หรือคัดลอกจากต้นฉบับ โดยทัว่ ๆ ไปเอกสารทีท่ ำ� ขึน้ เป็นครัง้ แรก
ก็เป็นต้นฉบับ แต่บางครั้งอาจจะมีกรณีมีเอกสารหลายๆ ฉบับที่ท�ำขึ้นพร้อมกันและมีข้อความ
เดียวกัน เช่น การท�ำใบเสร็จที่มีก๊อปปี้ในตัว ปัญหานี้ให้พิจารณาที่สภาพของการจัดท�ำถ้าท�ำ
ขึน้ ครัง้ แรกพร้อมๆ กันก็เป็นต้นฉบับทัง้ สิน้ ในทางปฏิบตั อิ าจเรียกว่า “คูฉ่ บับ” ก็ได้ความหมาย
เหมือนกัน
ฎีกาที่ ๔๕๒๙/๒๕๔๑ โจทก์น�ำสืบพยานโดยอ้างส่งหนังสือวางเงินมัดจ�ำหนังสือ
สัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจ�ำ และบันทึกข้อตกลงที่จ�ำเลยยอมผ่อนช�ำระเงินมัดจ�ำคืน
แก่โจทก์เป็นหลักฐานจ�ำเลยยื่นค�ำร้องคัดค้านว่าเอกสารดังกล่าวมิใช่ต้นฉบับและอุทธรณ์
ค�ำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า เอกสารดังกล่าวมิใช่ต้นฉบับแต่เป็นส�ำเนาโดยรองเขียนด้วยกระดาษ
คาร์บอนสีนำ�้ เงินส่วนต้นฉบับจ�ำเลยครอบครองอยู่ ขอให้ศาลสัง่ เพิกถอนกระบวนพิจารณาทีผ่ ดิ
ระเบียบ ซึ่งมีความหมายว่าขอให้ ไม่รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานและพิพากษา
ยกฟ้องโจทก์ดงั นี้ การทีโ่ จทก์จำ� เลยท�ำเอกสารดังกล่าวได้ใช้กระดาษคาร์บอนคัน่ กลาง เมือ่ เขียน
และลงชือ่ แล้วจึงมอบฉบับล่างให้โจทก์โดยคูก่ รณีถอื ว่าฉบับล่างเป็นหนังสือสัญญาเช่นเดียวกับ
ฉบับบน ส�ำหรับฉบับบนจ�ำเลยเก็บไว้ การท�ำเอกสารในลักษณะเช่นนีเ้ ห็นเจตนาของคูส่ ญ ั ญาได้
ว่า ประสงค์ให้ถือเอาเอกสารฉบับล่างเป็นคู่ฉบับของเอกสารบน โดยไม่ถือว่าเอกสารฉบับล่าง
เป็นส�ำเนา เพราะมิใช่ข้อความ ที่คัดลอกหรือถ่ายเอกสารมาจากต้นฉบับ แต่ได้ท�ำขึ้นพร้อมกับ
ฉบับบนหรือต้นฉบับเพื่อใช้เป็นหนังสือสัญญา ๒ ฉบับ มีผลเท่ากับเป็นต้นฉบับด้วย จึงไม่ต้อง
ห้ามมิให้ศาล รับฟังเอกสารที่โจทก์อ้างเป็นพยานหลักฐานดังกล่าว
รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น หน้า 37
แบบเอกสารฝ่ายเมืองยกทรัพย์มรดกให้แก่จ�ำเลย ต่อมาพินัยกรรมดังกล่าวถูกปลวกกินท�ำลาย
ไปโดยเหตุสุดวิสัย จึงชอบที่ศาลจะอนุญาตให้จ�ำเลยน�ำพยานบุคคลมาสืบได้ตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓(๒) ซึ่งไม่อยู่ในบทบังคับที่จะต้องปฏิบัติตาม มาตรา
๙๔ วรรคหนึ่ง (ก)และ(ข)
ฎีกาที่ ๔๘๒-๔๘๓/๒๕๕๓ แม้โจทก์ยงั ไม่ได้พมิ พ์โฆษณาชือ่ โจทก์ทไี่ ด้จดทะเบียน
แก้ไขใหม่ในราชกิจจานุเบกษา และ ป.พ.พ. มาตรา ๑๐๒๓ บัญญัตวิ า่ บริษทั จะถือเอาประโยชน์
แก่บุคคลภายนอกเพราะเหตุที่มีสัญญาหรือเอกสาร หรือข้อความอันบังคับให้จดทะเบียนยังไม่
ได้จนกว่าจะได้ลงพิมพ์โฆษณาแล้วก็ตาม แต่การบัญญัติดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้
บุคคลทั่วไปทั้งที่เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทมีโอกาสทราบถึงรายการต่างๆ ที่ได้จด
ทะเบียนไว้ แต่เมื่อตามใบแจ้งยอดใช้จ่ายบัตรเครดิต/ใบก�ำกับภาษีที่โจทก์ส่งให้จ�ำเลยที่ ๑ ได้
ระบุชอื่ โจทก์ทไี่ ด้จดทะเบียนแก้ไขใหม่ไว้แล้ว ถือได้วา่ จ�ำเลยที่ ๑ ทราบถึงการจดทะเบียนเปลีย่ น
ชือ่ ของโจทก์แล้ว จ�ำเลยที่ ๑ จึงไม่สามารถยกเอาเรือ่ งทีย่ งั ไม่มกี ารพิมพ์โฆษณาข้อความในส่วน
ชื่อโจทก์ที่มีการจดทะเบียนแก้ไขใหม่มาเป็นข้อต่อสู้ได้
ฎีกาที่ ๑๕๐๖๖/๒๕๕๕ โจทก์จำ� เลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล
ครอบครัวแห่งรัฐนิวยอร์ก เขตปกครองเรนเซลาเออร์ ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีคำ� พิพากษาว่า
จ�ำเลยเป็นบิดาของเด็กชาย อ. บุตรผูเ้ ยาว์ และให้จำ� เลยจ่ายค่าอุปการะเลีย้ งดูเด็กชาย อ. เป็น
รายเดือนแก่โจทก์ รวมถึงค่าใช้จา่ ยอืน่ ๆ ให้เป็นไปตามสัญญา การทีจ่ ำ� เลยกลับมาประเทศไทย
โดยไม่ปฏิบตั ติ ามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วโจทก์มายืน่ ฟ้องจ�ำเลยต่อศาลเยาวชนและ
ครอบครัวกลางให้จำ� เลยช�ำระเงินตามทีก่ ำ� หนดในสัญญาประนีประนอมยอมความนัน้ เมือ่ ข้อ ๖
แห่งสัญญาระบุวา่ สัญญานีจ้ ะผูกพัน โจทก์จำ� เลยและบุตรผูเ้ ยาว์ให้เป็นไปตามมาตรา ๕๑๖ ของ
กฎหมายศาลครอบครัว ย่อมเห็นเจตนาของโจทก์จำ� เลยซึง่ เป็นคูก่ รณีวา่ ประสงค์จะให้กฎหมาย
ของประเทศสหรัฐอเมริกาบังคับ ซึง่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.๒๔๘๑ มาตรา
๑๓ วรรคหนึง่ บัญญัตวิ า่ “ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใด บังคับส�ำหรับสิง่ ซึง่ เป็นสาระส�ำคัญ หรือ
ผลแห่งสัญญานัน้ ให้วนิ จิ ฉัยตามเจตนาของคูก่ รณี...” เมือ่ ข้อสัญญาประนีประนอมยอมความไม่
ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนชาวไทยตามมาตรา ๕ แห่งพระราช
บัญญัตดิ งั กล่าวแล้ว ศาลไทยจึงรับพิจารณาคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้
โจทก์ยอ่ มมีอำ� นาจฟ้องให้จำ� เลยปฏิบตั ติ ามสัญญา และค�ำสัง่ ศาลครอบครัวแห่งรัฐนิวยอร์กได้
(ค) ส�ำเนาเอกสารซึ่งต้นฉบับเอกสารอยู่ในความอารักขาหรือความควบคุมของทาง
ราชการและส�ำเนาเอกสารที่มีเจ้าหน้าที่รับรองตามมาตรา ๙๓ (๓) เป็นอันเพียงพอในการที่จะ
รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น หน้า 43
น�ำแสดง เว้นแต่ศาลจะได้ก�ำหนดเป็นอย่างอื่น
“ต้นฉบับที่อยู่ในความอารักขาหรือความควบคุมของทางราชการเอกสาร” อาจจะ
เป็นเอกสารราชการคือเอกสารซึง่ มีเจ้าหน้าทีข่ องรัฐท�ำขึน้ ในหน้าทีก่ ไ็ ด้หรืออาจจะไม่ใช่เอกสาร
ราชการเป็นเอกสารทีเ่ อกชนท�ำขึน้ แต่ได้มกี ารยืน่ หรือส่งไว้และไปอยูใ่ นอารักขาของทางราชการ
เช่น พินัยกรรมฝ่ายเมือง แต่ถ้าทางราชการมีแต่ส�ำเนา คู่ความฝ่ายที่อ้างขอเอกสารไป ทาง
ราชการจะเอาส�ำเนาที่มีท�ำส�ำเนารับรองส่งให้แก่คู่ความ เช่นนี้ศาลไม่รับฟัง ท�ำใม่ได้
“ส�ำเนาที่รับฟังได้” ตามข้อยกเว้นนี้ต้องเป็นส�ำเนาซึ่งผู้มีอ�ำนาจหน้าที่ได้รับรองว่าถูก
ต้อง คือรับรองว่าส�ำเนาที่ให้ไปเหมือนกับต้นฉบับเอกสาร ( ไม่ได้รับรองว่าข้อความในเอกสาร
นั้นเป็นความจริง )
ฎีกาที่ ๒๕๘๑/๒๕๑๕ บัญชีระบุพยานของจ�ำเลยอ้างพินัยกรรมที่เจ้าพนักงานที่ดิน
เป็นผูร้ กั ษา ซึง่ เป็นส�ำเนาพินยั กรรมทีจ่ ำ� เลยรับรองและยืน่ ไว้โดยมิได้ระบุอา้ งต้นฉบับพินยั กรรม
ทีม่ อี ยูท่ จี่ ำ� เลย จ�ำเลยย่อมไม่มสี ทิ ธิทจี่ ะส่งต้นฉบับพินยั กรรมเป็นพยานต่อศาล วันนัดสืบพยาน
จ�ำเลยซึง่ เป็นฝ่ายน�ำสืบก่อน จ�ำเลยมิได้นำ� ต้นฉบับพินยั กรรมมาส่งศาลเพิง่ มาส่งในวันสืบพยาน
โจทก์หลังจากที่สืบพยานจ�ำเลยเสร็จไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีโอกาสซักค้านต้นฉบับพินัยกรรมนี้ซึ่ง
โจทก์ก็ได้คัดค้านว่าจ�ำเลยมิได้ระบุพยานอ้างเอกสารนี้ไว้และว่าจ�ำเลยมิได้ส่งส�ำเนาพินัยกรรม
ให้โจทก์ ดังนี้ ศาลย่อมรับฟังพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพยานไม่ได้ เมื่อต้นฉบับพินัยกรรมมีอยู่
ส�ำเนาพินัยกรรมที่เรียกมาจากเจ้าพนักงานที่ดินย่อมรับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่งมาตรา๙๓ และจะรับฟังพยานบุคคลว่ามีการท�ำพินยั กรรมก็ไม่ได้เพราะเป็น
กรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดงและไม่ใช่กรณีที่หาต้นฉบับเอกสารไม่ได้ ขัดต่อ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๙๔
ฎีกาที่ ๕๖๒/๒๕๒๖ จ�ำเลยไม่สามารถส่งมอบครุภณ ั ฑ์ตามสัญญาซือ้ ขายให้แก่โจทก์
จึงได้มหี นังสือบอกเลิกสัญญามายังโจทก์ โจทก์มหี นังสือตอบไปว่า(โจทก์เท่านัน้ ทีม่ สี ทิ ธิบอกเลิก
สัญญา)หากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาโจทก์ขอสงวนสิทธิที่จะด�ำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญา
จ�ำเลยมีหนังสือตอบโจทก์วา่ ยินดีให้โจทก์ดำ� เนินการตามเงือ่ นไขแห่งสัญญาโจทก์จงึ ได้มหี นังสือ
ตามเอกสารหมาย จ.๓๖ มายังจ�ำเลยว่าโจทก์จะด�ำเนินการตามเงือ่ นไขแห่งสัญญาต่อไป หนังสือ
ตามเอกสารหมาย จ.๓๖ มิใช่หนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จ�ำเลย ต่อมาเมื่อโจทก์เรียกประกวด
ราคาใหม่แล้วจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จ�ำเลย ดังนี้ต้องถือเอาวันบอกเลิกสัญญาตามที่
ปรากฏในหนังสือบอกเลิกสัญญาฉบับหลัง โจทก์อ้างส�ำเนาภาพถ่ายเอกสารซึ่งต้นฉบับอยู่ใน
ความครอบครองของทางราชการ โดยมีเจ้าหน้าทีร่ ะดับห้าของทางราชการดังกล่าวรับรองความ
หน้า 44 รวมสาระส�ำคัญ : กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ฉบับเริ่มต้น
“ If you can’t fly then run, if you can’t run then walk, if you can’t
walk then crawl, but whatever you do you have to keep moving forward.”
- Martin Luther King Jr.-