Professional Documents
Culture Documents
ถอดเทปครั้งที่ 4 วิชากฎหมายระหว่างประเทศ
อาจารย์จตุรนต์ ถิระวัฒน์
บทที่ 2 ที่มาและบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ
ครั้งที่แล้วเราได้พิจารณาหัวข้อแรก(บทที่ 1 ความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศ)เรื่องความหมาย
ของกฎหมายระหว่างประเทศ ลักษณะของกฎหมายระหว่างประเทศและในเรื่องของวิวัฒนาการของกฎหมาย
ระหว่างประเทศ คราวนี้เราก็จะมาศึกษาหัวข้อต่อไปคือเรื่อง ที่มาหรือบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเรา
ก็จะเริ่มจากบ่อเกิดที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่เรียกว่าจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ก่อนที่จะลงไปในเนื้อหา
อาจารย์ขอตั้งข้อสังเกตในเบื้องต้นว่า ในเรื่องของจารีตประเพณีระหว่างประเทศเนี่ยจะแตกต่างจากจารีตประเพณี
ที่นักศึกษารู้จักกันในกฎหมายภายใน เช่นที่กล่าวถึงในมาตรา 4 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 1ตรงนั้ นก็
จะเป็นจารีตท้องถิ่นที่มีลักษณะเฉพาะหรือว่ายกเว้นกฎเกณฑ์ทั่วไป แต่จารีตประเพณีระหว่างประเทศเนี่ย ทั้ง
บทบาท ทั้งความสำคัญ แตกต่างจากที่เรารู้จักกับกฎหมายภายในอย่างมีนัยยะสำคัญ
โดยแรกสุดแน่นอนว่าจะเริ่มด้วยความหมายของที่มาและบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ ต่อมาคือ
พิจารณาว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องอาศัยปัจจัยหรือองค์ประกอบอะไรบ้างที่ทำให้เกิดจารีตประเพณีประเทศ
ขึ้นมาได้ เมื่อทราบแล้วก็จะไปดูประเด็นเรื่องของขอบเขตการใช้บังคับของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และ
สุดท้ายที่วิวัฒนาการของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ
บ่อเกิดที่ 1 จารีตประเพณีระหว่างประเทศ(บ่อเกิดที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร)
ความหมายของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ
1.ทางปฏิบัติของบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ
วิธีการแรกเนี่ยก็คือไปตรวจสอบจากสิ่งที่สามารถค้นคว้าได้เป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรของการ
กระทำ ก็คือไปค้นดูตามเอกสาร ทั้งนี้เอกสารก็แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย
1.เอกสารฝ่ายเมือง(เอกสารที่เป็นรัฐบัญญั ติ ) อันเป็นเอกสารที ่องค์กรฝ่ายต่างๆของรัฐ ที่ใช้อ ำนาจ
อธิปไตยในนามของรัฐออกหรือบัญญัติขึ้น มีองค์การไหนบ้างแน่นอนว่าก็คือองค์กรฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลา
การ แต่ละฝ่ายใช้อำนาจในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบ เอกสารของฝ่ายบริหารนี้แน่นอนว่าเยอะที่สุดเพราะฝ่ายบริหาร
มีหน้าที่รับผิดชอบการต่างประเทศ กิจการระหว่างประเทศต่างๆไม่ว่าจะเป็นหนังสือเวียน คำสั่ง แถลงการณ์
ประกาศ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตาม
กฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานระหว่างประเทศ พวกนี้สามารถนำมาเพื่อใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ทางปฏิบัติของรัฐได้ ส่วน
ฝ่ายนิติบัญญัติก็คือกฎเกณฑ์ต่างๆที่ถูกบัญญัติขึ้นก็จะสะท้อนว่าฝ่ายนิติบัญญัติได้ปฏิ บัติต ามหรือได้มี แนวทางใน
การติดต่อกับต่างประเทศอย่างไร ออกกฎหมายเกี่ยวข้องกับเรื่องนักลงทุนต่างชาติ ออกกฎหมายเกี่ ยวกับความ
ร่วมมือในการศาลหรือกระบวนการยุติธรรมกับต่างประเทศ กฎเกณฑ์การส่งผู้ร้ายข้ามแดน ส่วนฝ่ายตุลาการ
ตัวอย่างก็เช่นเมื่อมีการนำคดีขึ้นสู่ศาลที่คู่ขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นบุคคลากรในคณะผู้แทนทางการทูต หรือการ
กงสุล ตุลาการจะปฏิเสธไม่รับพิจารณาคดีเพราะถือว่ าคู่ความฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นบุคคลที่ไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของ
ศาลไทย ต้องจำหน่ายคดีปล่อยให้ฝ่ายบริหารเป็นผู้ดูแล ทางปฏิบัตินี้ก็เป็นทางปฏิบัติที่เพิ่งจะได้รับการบัญญัติ ให้
By ทอใจ & ทลว
เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพราะเป็นทางปฏิบัติที่ทำกันมายาวนานและทั่วไป เป็นจารีตในเรื่องของเอกสิทธิ์
ความคุ้มกันทางการทูต เกิดจากหลักการที่ว่ารัฐต่างก็เป็นองค์อธิปัตย์ ผู้แทนของรัฐก็เหมือนกับรัฐ รัฐด้วยกันเองจึง
ไม่สามารถใช้กฎหมายของตัวเองไปพิพากษาตัดสินผู้ที่เท่าเทียมกันได้
2.เอกสารระหว่างประเทศ มี 3 พวก ได้แก่
1.สนธิสัญญา
2.ข้อมติขององค์การระหว่างประเทศ
ข้อมติจำนวนมากเป็นผลจากการทำงานในองค์การระหว่างประเทศ เมื่อรัฐสมาชิกขององค์การนั้นๆรับไป
ปฏิบัติตามแนวทางของข้อมติ ก็ก่อให้เกิดเป็น จารีต ประเพณีระหว่ างประเทศขึ ้นมาได้เ ช่ น การคุ้มครองสิท ธิ
มนุษยชน เป็นมติของสมัชชาสหประชาชาติที่ชื่อว่าปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในตัวมันเองโดยสภาพเป็น
เพียงข้อข้อแนะนำข้อเสนอแนะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายแต่ร ัฐ สมาชิกรั บไปปฏิ บัต ิเ ช่นเอาเนื้อ หาไปทำเป็ น
สนธิสัญญาหรือนำไปบัญญัติไว้ในกฎหมายภายในของตนอย่างรัฐธรรมนูญ
3.คำพิพากษาของศาลระหว่างประเทศ
คำพิพากษานั้นมิได้สร้างกฎเกณฑ์แต่จะสร้างความชัดเจนในการปรับใช้กฎเกณฑ์ เพราะกฎหมายที่ดีนั้น
ต้องมีลักษณะเป็นนามธรรม ไม่เจาะจงตัวบุคคล ตอนนำมาใช้จึงต้องมีการปรับใช้และการตีความในระดับหนึ่งตาม
บริบทในขณะนั้น คำพิพากษาจึงช่วยเป็นแบบอย่างเป็นบรรทัดฐานการปรับใช้ก ฎหมาย2 ดังนี้คำพิพากษาของศาล
วิ ธ ี ก ารที่ 3 คือ เหตุก ารณ์ที่เกิดขึ้นโดยฉั บพลัน แล้ วก็ เ ป็ น เหตุก ารณ์ ซึ่ งนำไปสู ่การเกิ ด ขึ้ นของจารีต
ประเพณี ถึงแม้ลักษณะนี้จะมีไม่มากแต่ก็เป็นลักษณะหนึ่งที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของจารีตประเพณีระหว่ างประเทศ
เช่น หลักเสรีภาพในการใช้อวกาศ ในช่วง 60 กว่าปีที่ผ่านมาหลังจากการแข่งขัน ในการบุกเบิกอวกาศ มนุษย์
ประสบความสำเร็จในการส่งวัตถุขึ้นไปโคจรในอวกาศ ทุกชาติยึดเอาเป็นความสำเร็จร่วมของมนุษยชาติและเริ่มทำ
-เบรก-
เงื่อนไขหรือลักษณะของทางปฏิบัติที่จะนำไปสู่การเกิดจารีตประเพณีได้ได้แก่
เมื่อพวกท่านว่าแต่ละวันมันไม่เท่ากันซักวันก็ว่าให้เฉลี่ยเอาละหาจุดที่จะเป็นฝั่ง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีเขตประมง
เท่ าไหร่ ก็ แล้ วแต่ถ้าล้ำเข้ามาก็เป็นการละเมิด น่านน้ำของรัฐ ชายฝั ่ง อั น นี ้ เ ข้ าใจกั น แต่ ปั ญหาคื อชายฝั่งของ
คาบสมุทรสแกนดิเนเวียมีลักษณะพิเศษคือเป็น ฟยอร์ด(fjord) เมื่อฝั่งมีลักษณะเป็นเว้าๆแหว่งๆสิ่งที่ตามมาก็คือ
มันวัดอย่างไร นักกฎหมายทะเลก็ต้องวาดเส้นฐานตรงเพื่อวัดความกว้างของฝั่งทะเล เส้นฐานตรงก็คือเส้นที่ลาก
เชื่อมส่วนเว้าโค้งของชายฝั่งแล้ววัดระยะเขตทางทะเลออกไปจากเส้นดังกล่าว ปัญหาอยู่ตรงนี้ครับ การลากเส้น
เชื่อมจะลากเส้นเชื่อมได้ในความยาวที่สุดไม่เกินเท่าไหร่ เพราะถ้ามันยาวมากชาติอื่นก็ จะเสียประโยชน์ในการ
เดินเรือและการประมง อังกฤษกล่าวหานอร์เวย์ว่าลากเส้นฐานตรงที่มีความยาวเกินกว่า 10 ไมล์ทะเล ถือว่าขัดกับ
ทางปฏิบัติของกฎหมายทะเล เพราะอ้างว่ามีจารีตประเพณีที่ห้ามการลากเส้นฐานตรงเกิน 10 ไมล์ทะเล พอศาล
ตรวจสอบพบว่าแต่ละรัฐชายฝั่งนั้นลากเส้นไม่เท่ากันเยอะแยะไปหมด ศาลจึงชี้ว่า ทางปฏิบัตินี้ยังไม่สอดคล้องไป
ในทิศทางเดียวกัน อังกฤษจะไปบอกว่านอร์เวย์ทำผิดนั้นไม่ได้ เพราะทางปฏิบัตินั้นยังไม่แพร่หลายไม่เป็นไปใน
ทิศทางเดียวกัน จึงยังไม่เกิดเป็นจารีตประเพณีระหว่ างประเทศ นี่ก็เป็นตัวอย่างคดีที่ยืนยันคุณสมบัติของความ
แพร่หลายและความสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ขอบเขตของการใช้บังคับ
ขอบเขตการใช้บังคับจารีตประเพณีระหว่างประเทศนั้นมีขอบเขตอยู่ 2 ระดับด้วยกันคือ
1.ขอบเขตการใช้บังคับเป็นการทั่วไป หรือ CIL
จะมีขอบเขตใช้บังคับเป็นการทั่วไปกับทุกรัฐ ไม่ว่ารัฐนั้นจะมีทางปฏิบัติหรือไม่ก็ตาม ใช่ว่าคนอื่นเขาทำกัน
แต่เราไม่ทำแล้วจะไม่ผูกพัน จารีตมันเกิดขึ้นมาได้และก็ผูกพันเราได้ เพราะฉะนั้นหลักก็คือ ไม่ใช่ทุกรัฐต้องปฏิบัติ
ถึงจะอยู่ภายใต้ความผูกพันของจารีตประเพณีเพราะมันใช้ทั่วไป เพียงรัฐส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกั บกฎเกณฑ์นั้ นเช่น
กฎหมายทะเลก็คือรัฐที่ใช้ทะเล กฎหมายอวกาศก็คือรัฐที่ใช้อวกาศ ให้ส่วนใหญ่นั้นปฏิบัติเข้าเงื่อนไข เกิดจารีต
ขึ้นมามันใช้บังคับ ปกครองและผูกพันทุกรัฐที่เหลือ ควรระวังรัฐที่ชอบใช้นโยบายแบบ wait and see รอเขาทำกัน
ถ้าเราไม่มีการแสดงจุดยืนหรือท่าทีที่ชัดเจนถือว่ายอมรับโดยดุษฎี ถ้าเกิดขึ้นแล้วผูกพันรัฐทั้งหมด แต่ถ้าเราไม่เห็น
ด้วยสิ่งที่เราต้องทำคือเราต้องคัดค้านในทันทีและปฏิเสธหรือโต้แย้งเป็นเนืองนิตย์ ไปที่ไหนก็แสดงตนตลอดเลยว่า
ไม่เห็นด้วย ไม่ถูกต้อง ยอรับไม่ได้ ให้ชัดแจ้ง แต่ถึงทำอย่างงั้นจารีตประเพณีก็เกิดขึ้นได้อ ยู่ดี ถ้าเราทำอยู่คนเดียว
เพียงแต่จะไม่ผูกพันเราในทางกฎหมาย ทั้งนี้ไม่ผูกพันแต่เราก็ยังจะต้องรับผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเราค้านโดยมี
แนวร่วมที่มากพอก็ตีมันตกได้เหมือนกัน เช่น กรณีเขตเศรษฐกิจจำเพาะที่ ไทยเดือดร้อนเนี่ย แต่เดี๋ยวค่อยมาพูดกัน
ในครั้งหน้า6
2.ขอบเขตการใช้บังคับในลักษณะเฉพาะกลุ่ม เฉพาะภูมิภาค
อันนี้ไม่ได้ใช้กับทุกรัฐแต่ใช้กับเฉพาะกลุ่มแต่เงื่อนไขก็คือ รัฐในกลุ่มทุกรัฐต้องปฏิบัติตาม จะต่างจาก
ขอบเขตการใช้บังคับเป็นการทั่วไปที่เพียงส่วนใหญ่ของผู้มีส่วนได้เสียหรือเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ปฏิบัติ