Professional Documents
Culture Documents
ประสิทธิผลของหม่อนในการลดระดับน้าตาลในเลือด
Efficacy of Morus alba for blood glucose lowering
จ้านวนหน่วยกิต : 2.5 หน่วยกิตการศึกษาต่อเนื่อง
วันที่รับรอง : 1 พ.ย. 2565
วันหมดอายุ : 31 ต.ค. 2566
ผู้เขียน : รองศาสตราจารย์ ภก.วิระพล ภิมาลย์
หน่วยกิตการศึกษาต่อเนื่องแก่ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
แนวคิดรวบยอด
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังทางเมแทบอลิซึม ซึ่งทาให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของร่างกายได้หลายระบบเช่น
ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินอาหาร และระบบสืบพันธุ์เป็นต้น การรักษาโรคเบาหวานทาได้โดยการ
ใช้ยาที่มีฤทธิ์ลดระดับน้าตาลในเลือด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
เพื่อช่วยควบคุม ระดับน้าตาลในเลือด หม่อน (Morus alba) เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีการเพาะปลู ก อย่ าง
แพร่หลายในประเทศไทย ซึ่งมีการศึกษาว่าสามารถช่วยลดระดับน้าตาลในเลือดได้ โดยมีการศึกษาจานวนมาก
เกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ ประสิทธิผลทางคลินิกในการควบคุมระดับน้าตาลในเลือด ผลการศึกษาพบว่าในหม่อน
มีสารสาคัญคือ 1-deoxynojirimycin หรือ DNJ มีฤทธิ์แรงในการยับยั้งเอนไซม์ α-glucosidase ซึ่งช่วยลดระดับ
น้าตาลในเลือดหลังอดอาหารได้ดี แต่การใช้ผลิตภัณฑ์จากหม่อนมักพบอาการไม่พึงประสงค์ต่อระบบทางเดิน
อาหารเช่น ท้องอืด แน่นท้อง เป็นต้น ดังนั้นหม่อนจึงเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่อาจใช้เป็นการรักษาทางเลือกหรือ
ใช้เสริมกับยาแผนปัจจุบันในการควบคุมระดับน้าตาลในเลือดให้ได้ตามเป้าหมาย
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1. เพื่อให้ทราบถึงสารสาคัญของหม่อนที่มีผลต่อการลดระดับน้าตาลในเลือด
2. เพื่อให้ทราบถึงกลไกการออกฤทธิ์ของหม่อนในการลดระดับน้าตาลในเลือด
3. เพื่อให้ทราบถึงประสิทธิผลทางคลินิกและอาการไม่พึงประสงค์ของหม่อนในการลดระดับน้าตาลในเลือด
บทน้า
โรคเบาหวานเป็ น โรคเรื้ อ รั ง ทางเมแทบอลิ ซึ ม ที่ ท าให้ ผู้ ป่ ว ยที่ เ ป็ น โรคนี้ มี ภ าวะน้ าตาลในเลื อ ดสู ง
(hyperglycemia) อย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักของโรคเบาหวานเกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลินหรือมีภาวะดื้อต่อ
อินซูลิน ส่งผลให้มีความผิดปกติของการควบคุมระดับน้าตาลในเลือด ระดับน้าตาลที่สูงอย่างต่อเนื่องทาให้เกิด
ภาวะแทรกซ้อน (complication) ที่สาคัญได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทั้งหลอดเลือด
แดงขนาดเล็ ก (microvascular complication) และหลอดเลื อ ดแดงขนาดใหญ่ (macrovascular com-
plications) รวมถึงพบภาวะแทรกซ้อนต่อระบบอื่น ๆ ได้แก่ ระบบทางเดินอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดิน
ปัสสาวะและระบบประสาทอัตโนมัติ เป็นต้น (1)
2
ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
ต้นหม่อน จัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลางหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีลาต้นตั้งตรง สูงได้ประมาณ 2.5 เมตร บาง
พันธุ์สูงได้ประมาณ 3-7 เมตร กิ่งก้านไม่มากนัก เปลือกลาต้นเรียบเป็นสีน้าตาลแดง สีขาวปนสีน้าตาล หรือสีเทา
ปนขาว ส่วนเปลือกรากเป็นสีน้าตาลแดงหรือสีเหลืองแดง มีเส้นรอยแตกที่เปลือกผิว (5,6)
ใบหม่อน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลมยาว โคนใบเว้าเป็นรูป
หัวใจหรือค่อนข้างตัด ขอบใบเรียบหรือหยักเว้าเป็นพู (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก) ใบอ่อนขอบใบจักรเป็นพูสองข้าง
ไม่เท่ากัน ขอบพูจักรเป็นซี่ฟัน ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8-14 เซนติเมตร และยาวประมาณ 12-16 เซนติเมตร
แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้มเรียบเงา ท้องใบเป็นสีเขียวอ่อน ใบค่อนข้างหนา หลังใบสากระคายมือ เส้นใบมี 3 เส้น ออก
จากโคนยาวไปถึงกลางใบ และเส้นใบออกจากเส้นกลางใบอีก 4 คู่ เส้นร่างเห็นได้ชัดเจนจากด้านล่าง ก้านใบเรียว
เล็ก ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร มีหูใบแคบปลายแหลม ยาวได้ประมาณ 0.2-0.5 เซนติเมตร (5,6)
ดอกหม่อน ดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ดอกเป็นแบบแยกเพศแต่อยู่บนต้นเดียวกัน ลักษณะ
ของดอกเป็นรูปทรงกระบอก ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียจะอยู่ต่างช่อกัน ดอกย่อยมีขนาดเล็ก วงกลีบรวม
เป็นสีขาวหม่นหรือเป็นสีขาวแกมสีเขียว ช่อดอกเป็นหางกระรอก ยาวได้ประมาณ 2 เซนติเมตร ดอกเพศผู้ วงกลีบ
รวมมีแฉก 4 แฉก เกลี้ยง ส่วนดอกเพศเมีย วงกลีบรวมมีแฉก 4 แฉก เกลี้ยง ขอบมีขน เมื่อเป็นผลจะอวบน้า รังไข่
เกลี้ยง ก้านเกสรเพศเมียมี 2 อัน (5)
3
สารส้าคัญ
ใบหม่ อ นมี ส ารประกอบทางเคมี ห ลายชนิ ด โดยสามารถพบสารกลุ่ ม bioflavonoid และสาร
glycoprotein, moran A เป็นสารที่มีฤทธิ์ลดน้าตาลในเลือด (7) นอกจากนี้ในใบหม่อนมีสารในกลุ่มอัลคาลอยด์
(ได้แก่ calystegin B-2, 1-deoxy ribitol, fagomine, nojirimycin, zeatin riboside), สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์
( ไ ด้ แ ก่ albafuran C, astragalin, aromadendrin, chalcomoracin, kaempferol, kuwanol, kuwanon,
quercetin, quercitrin, moracetin, morin, rutin), ส า ร ใ น ก ลุ่ ม คู ม า ริ น ( ไ ด้ แ ก่ bergapten, marmesin,
scopoletin, umbelliferone), สารในกลุ่มลิกแนน (ได้แก่ broussonin A, broussonin B) (8)
เปลือกรากของต้นหม่อน พบว่ามีสาร betulinic acid, mulberrin, mulberro-chromene, -amyrin,
cyclomulberrin, cyclomulberrochromene, undecaprenol, dode -caprenol, ยาง, น้ าตาลกลู โ คส เป็ น
ต้น (9)
กิ่งหม่อน พบว่ามีสาร morin, maclurin, 4-tetrahydroxybenzophenone, กลูโคส adenine เป็นต้น
(9)
เนื้อไม้พบสาร morin ส่วนลาต้นประกอบไปด้วย steroidal Sapogenin เปลือกพบ α-amyrin (7)
ผลหม่ อ น พบว่ า มี ส าร saccharides ร้ อ ยละ 27, citric acid ร้ อ ยละ 3, กลู โ คส, แทนนิ น , เกลื อ แร่ ,
วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, แคลเซียม, และ cyanidin เป็นต้น ส่วนเมล็ดหม่อนพบ urease (7,9)
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
จากการศึกษาของ Lie และคณะ (2009) (10) ทาการศึกษาผลของสารสกัดของหม่อนด้วยน้า mulberry
water extracts (MWEs) ในการลดระดับไขมันในเลือดในหนูที่ได้รับ high fat/cholesterol diets (HFCD) และ
ให้สารสกัดหม่อนด้วยน้า 1% และ 2% ของ MEWs เป็นระยะเวลานาน 12 สัปดาห์ผลการศึกษาพบว่าหนูที่ได้รับ
สารสกัดหม่อนทั้ง 1% และ 2% สามารถลดระดับ triglyceride, total cholesterol และ LDL ได้มากกว่ากลุ่ม
ควบคุม (p<0.05) และจากการศึกษาของ Yang และคณะ (2009) (11) ศึกษาฤทธิ์ลดไขมันในเลือดของสารสกัด
จากผลหม่อนในหนูที่ได้รับ high fat diet ร่วมกับได้รับผงหม่อนแบบ freeze-dried ผลการศึกษาพบว่าสารพฤกษ
เคมี ที่ พ บในผงหม่ อ นแบบ freeze-dried ได้ แ ก่ total phenolic, total flavonoids, anthocyanins และ
resveratrol ร้อยละ 2.3, 0.39, 0.087 และ 0.03 ตามลาดับ เมื่อติดตามผลการศึกษาที่ 4 สัปดาห์พบว่าหนูกลุ่มที่
ได้รับหม่อนเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ไ ด้รับผลิตภัณฑ์หม่อนสามารถลด triglyceride (0.900.20 vs 1.400.29
mmol/L), total cholesterol (5.520.31 vs 6.590.39 mmol/L) และ LDL (3.580.35 vs 6.330.95
mmol/L) ได้อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.05)
สารสกัดจากใบหม่อนมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิ ด ได้แก่ Escherichia coli, Neisseria
gonorrheae, Pseudomonas aeruginosa, Proteus vulgaricus, Staphylococcus aureus, Streptococcus
4
การศึกษาในสัตว์ทดลอง
Naik และคณะ (2008) (14) ได้ทาการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากใบหม่อนในหนู Wistar ด้วยการป้อน
สารสกัดจากไปหม่อนในขนาด 400 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และ 600 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 35 วัน จากผล
การศึกษาพบว่าการป้อนด้วยสารสกัดจากใบหม่อนในขนาด 600 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีผลลดระดับ FBS และ
HbA1C ได้อย่างมีนัยสาคัญ (p<0.05) นอกจากนี้ยังพบว่า มีการลดลงของ total cholesterol, LDL, VLDL อย่าง
มีนัยสาคัญทั้งสองกลุ่ม (p<0.05) เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม อย่างไรก็ดีจากการศึกษาก็ยังไม่พบความแตกต่างใน
การเพิ่มขึ้นของไขมัน HDL
และจากการศึกษาของ Kyung-Don (2010) (15) ที่ทาการศึกษาฤทธิ์ของ DNJ เทียบกับ ยา acarbose
และ valglibose ในสั ต ว์ ท ดลองท าการศึ ก ษาโดยการป้ อ นน้ าตาล sucrose และ maltose ซึ่ ง เป็ น potent
substrate ของเอนไซม์ α– glucosidase และทาการวัดค่า IC50 ในการยับยั้งเอนไซม์ α– glucosidase ซึ่งจาก
ผลการศึ ก ษาพบว่ า DNJ, acarbose, และ volglibose ต่ า งมี ฤ ทธิ์ ใ นการยั บ ยั้ ง การท างานของ เอนไซม์ α–
glucosidase ไม่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่ได้ศึกษาฤทธิ์ของใบหม่อนในหนูสองสายพันธุ์ ที่ต่างกัน โดย Park และคณะ
(2009) (16) โดยใช้หนูสายพันธุ์ Goto-Kakizaki (GK) rats และสายพันธุ์ Wistar ผลการศึกษาพบว่า การใช้สาร
5
การศึกษาทางคลินิก
Zhong และคณะ (2006) (19) ได้ทาการศึกษาฤทธิ์ในการลดการดูดซึมแป้งและไขมันของชาดา ชาเขียว
และชาใบหม่อน เทียบกับกลุ่มควบคุมในอาสาสมัครสุขภาพดี โดยการให้ผู้ป่วยรับประทานชาหลอก (placebo)
ชาดา ชาเขียว หรือชาใบหม่อน คู่กับการรับประทานอาหารที่มี 13C อยู่ด้วย หากผู้ป่วยไม่มีการดูดซึมแป้งหรือ
ไขมันที่มี 13C เป็นส่วนประกอบอยู่ได้ แป้งหรือไขมัน ดังกล่าวจะถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็น 13CO2 ซึ่งพบในลมหายใจ
ร่วมกับก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า ปริมาณ 13CO2 ในกลุ่มที่ได้รับชาเทียบกับกลุ่มควบคุมในกลุ่มที่
ได้รับคาร์โบไฮเดรตมีระดับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p=0.014) แต่ในกลุ่มที่รับชาเทียบกับกลุ่มควบคุมใน
กลุ่มที่ได้รับไขมัน พบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p>0.20)
จากการศึกษาของ Choonwatchana และคณะ (2015) (20) เป็นการศึกษารูปแบบ Randomized,
Double-blind, Placebo Control Trial เพื่อศึกษาผลของสารสกัดจากหม่อนโดยควบคุมคุณภาพสารสกัด ใบ
หม่อนด้วยสาร rutin ในกลุ่มตัวอย่างที่มีระดับน้าตาลในเลือดสูง โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่ม
ทดลอง (n = 13) ได้รับแคปซูลสารสกัดจากหม่อนขนาด 350 มิลลิกรัม จานวน 2 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง เป็น
6
การศึกษาความเป็นพิษ
จากการศึกษาความเป็นพิษของหม่อนทั้งความเป็นพิษแบบเฉียบพลัน (acute toxicity) และแบบเรื้อรัง
(chronic toxicity) พบว่าหม่อนมีความเป็นพิษค่อนข้างน้อยโดยจากผลการศึกษาความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของ
ผลหม่อน ในหนู ขาวที่ได้รั บ สารสกัดส่ ว นน้าของผลหม่อนในขนาด 2,000 ต่อน้าหนักตัว (กิโ ลกรัม) โดยการ
รับประทาน เป็นระยะเวลานาน 14 วันผลการศึกษาพบว่าสารสกัดส่วนน้าของผลหม่อนไม่มีความเป็นพิษแบบ
เฉียบพลัน ส่วนผลการศึกษาความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง (sub-chronic toxicity) ในหนูสายพันธุ์ Wistar ที่ได้รับสาร
สกัดหยาบส่วนน้าของผลหม่อนในขนาด 2, 10 และ 500 มิลลิกรัมต่อน้าหนักตัว (กิโลกรัม) โดยการรับประทาน
เป็นเวลานาน 90 วัน ผลการศึกษาไม่พบความเป็นพิษแบบกึ่งเรื้อรังของสารสกัดของหม่อนในขนาดต่าง ๆ โดยการ
ประเมิน ค่าทางโลหิ ตวิทยาและพฤติกรรมของหนูซึ่งหนูส ามารถทากิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ (28) แต่จาก
การศึกษาของ Subsung และคณะ (2004) (29) ได้ทาการศึกษาความเป็นพิษของหม่อนในหนูโดยการฉีดสารสกัด
น้าจากใบหม่อนในขนาด 1.66, 3.33, 5.00 และ 6.66 กรัมต่อน้าหนักตัว (กิโลกรัม) ทางช่องท้องผลการศึกษา
8
บทสรุป
จากการทบทวนงานวิจัยที่ผ่านมากในพบว่าผลิตภัณฑ์จากหม่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหม่อนสามารถช่วย
ลดระดับน้าตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารได้อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ แต่ไม่สามารถลดระดับน้าตาลในเลือด
หลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (FBS) และระดับน้าตาลในเลือดสะสม (HbA1C) รวมถึงลดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ ซึ่งฤทธิ์
ลดน้าตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารของหม่อนเกิดจากสาร DNJ ซึ่งพบมากในส่วนของใบหม่อนมีฤทธิ์เป็น
-glucosidase inhibitor ช่วยลดระดับน้าตาลในเลือดได้ รูปแบบของหม่อนที่มีการศึกษากันมากได้แก่ รูปแบบ
ชาชง ดื่มหลังรับประทานอาหารและการศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้ระบุปริมาณสารสาคัญไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นการใช้
ผลิตภัณฑ์จากหม่อนควรเป็นการใช้เสริมเพื่อช่วยควบคุมระดับน้าตาลในเลือดให้ได้ตามเป้าหมายหรือใช้ในผู้ที่มี
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ในด้านการเกิดพิษและอาการไม่พึงประสงค์พบว่าไม่พิษที่รุ นแรงทั้ ง แบบ
เฉียบพลันและเรื้อรังจากการทดลองในสัตว์ทดลองและผลจากการทดลองทางคลินิกก็ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่
รุนแรงจากการรับประทานหม่อน
เอกสารอ้างอิง
1. Zheng Y, Ley SH, Hu FB. Global aetiology and epidemiology of type 2 diabetes mellitus
and its complications. Nat Rev Endocrinol 2018;14(2):88–98.
2. Jeong HI, Jang S, Kim KH. Morus alba L. for blood sugar management: a systematic review
and meta-analysis. Tonelli F, editor. Evidence-Based Complement Altern Med 2022
23;2022:1–10.
3. Nguyen CT, Lee AH, Pham NM, Do V Van, Ngu ND, Tran BQ, et al. Habitual tea drinking
associated with a lower risk of type 2 diabetes in Vietnamese adults. Asia Pac J Clin Nutr.
2018;27(3):701–6.
4. Thaipitakwong T, Supasyndh O, Rasmi Y, Aramwit P. A randomized controlled study of
9
2014;19(7):8904–15.
19. Zhong L, Furne JK, Levitt MD. An extract of black, green, and mulberry teas causes
malabsorption of carbohydrate but not of triacylglycerol in healthy volunteers. Am J Clin
Nutr 2006;84(3):551–5.
20. Choonwatchana N. Effect of mulberry leaf extract capsule on blood lipid profile of
dyslipidemic patients. Mahasarakham University; 2015.
21. Asai A, Nakagawa K, Higuchi O, Kimura T, Kojima Y, Kariya J, et al. Effect of mulberry leaf
extract with enriched 1-deoxynojirimycin content on postprandial glycemic control in
subjects with impaired glucose metabolism. J Diabetes Investig 2011;2(4):318–23.
22. Booranasuksakul U, Singhato A, Rueangsri N PP. Effects of mulberry (Morus alba) leaf tea
on blood glucose and satiety in healthy subjects. Srinagarind Med J 2019;34(3):237–42.
23. Jeong JH, Lee NK, Cho SH, Jeong DY, Jeong Y-S. Enhancement of 1-deoxynojirimycin
content and α-glucosidase inhibitory activity in mulberry leaf using various fermenting
microorganisms isolated from Korean traditional fermented food. Biotechnol Bioprocess
Eng 2014;19(6):1114–8.
24. Banu S, Jabir NR, Manjunath NC, Khan MS, Ashraf GM, Kamal MA, et al. Reduction of post-
prandial hyperglycemia by mulberry tea in type-2 diabetes patients. Saudi J Biol Sci 2015
;22(1):32–6.
25. Sukriket P, Lookhanumanjao S BA. The effect of mulberry leaf tea on postprandial
glycemic control and insulin sensitivity in pre-diabetic and non-diabetic subjects
[Internet]. 2014. Available from: http://www.mfu.ac.th/school/anti-
aging/File_PDF/Research_PDF55/Proceeding_15.pdf
26. Li Q, Wang Y, Dai Y, Shen W, Liao S, Zou Y. 1-Deoxynojirimycin modulates glucose
homeostasis by regulating the combination of IR-GlUT4 and ADIPO-GLUT4 pathways in
3T3-L1 adipocytes. Mol Biol Rep 2019;46(6):6277–85.
27. Phimarn W, Wichaiyo K, Silpsavikul K, Sungthong B, Saramunee K. A meta-analysis of
efficacy of Morus alba Linn. to improve blood glucose and lipid profile. Eur J Nutr 2017
14;56(4):1509–21.
28. Wattanathorn J, Thukummee W, Thipkaew C, Wannanond P, Tong-Un T, Muchimapura S,
et al. Acute and subchronic toxicity of mulberry fruits. Am J Agric Biol Sci 2012;7(3):378–
83.
29. Subsung A, Phornchirasilp S, Luanratana O, Sirikulchayanonta V TC. The toxicity study of
Morus alba L. leaf extract. Thai J Pharmacol 2004;26(1):70–4.
30. Sriset Y, Jarukamjorn K CW. Pharmacological activities of Morus alba Linn. IJPS
2016;12(4):14–27.
11