เตรียมสอบภาษาอังกฤษ ภาค ก

รวมพลคนสอบครูผู้ช่วย วิทยากร บัวแสงใส

ตอนที่ 1 Verb to be
ครูโต้งติวเตอร์
Verb to be คือ คำกริยาชนิดหนึ่งที่ใช้ในภาษาอังกฤษ มีทั้งหมด 7 คำ
คือ be, is, am, are, was, were, been ซึ่งกริยาเหล่านี้เป็นได้ทั้งกริยาหลัก
และกริยาช่วยในประโยค
หลักการใช้ Verb to be
การใช้ be ปกติจะใช้ be ตามหลัง to และ กริยาช่วย เช่น
Tong wants to be a good teacher.
(โต้งอยากเป็นครูที่ดี)
He will be here tomorrow.
(เขาจะอยู่ที่นี่ในวันพรุ่งนี้)
การใช้ is am are จะใช้ปัจจุบัน ใน present simple tense และ
present continuous tense โดยต้องเลือกใช้ให้
สอดคล้องกับประธาน
am ใช้กับ I
is ใช้กับ ประธานที่เป็นเอกพจน์
are ใช้กับ ประธานที่เป็นพหูพจน์
 ตัวอย่างเช่น
I am from Canada.
(ฉันมาจากประเทศแคนาดา)
Everyone is enjoying the party.
(ทุกคนกำลังสนุกกับงานปาร์ตี้)
All students are in the football field.
(นักเรียนทั้งหมดอยู่ในสนามฟุตบอล)
การใช้ was were จะใช้กับอดีต ใน past simple tense และ past
continuous tense โดยที่
was ใช้กับ ประธานที่เป็นเอกพจน์
were ใช้กับ ประธานที่เป็น พหูพจน์
ตัวอย่างเช่น
Tommy was married to Jane in 2020.
(ทอมมี่แต่งงานกับเจนในปี 2020)
We were university students last year.
(ปีที่แล้วพวกเราเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย )
การใช้ been จะใช้กับ perfect tense ตัวอย่างเช่น
She has been here since 1998.
(เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปี 1998)
การใช้ verb to be เป็น จะแปลว่า เป็น อยู่ คือ ทำหน้าที่เชื่อมประธานเข้ากับ
กริยาหลัก คำหรือกลุ่มคำที่อยู่หลัง verb to be ซึ่งปกติคำที่
ตามหลัง verb to be ได้แก่ คำนาม (noun)
คำคุณศัพท์ (adjective) และคำบุพบท
(preposition) เช่น
Henry and Tom are doctors (n).
(เฮนรี่และทอมเป็นหมอ)
Covid-19 is dangerous (adj).
โควิด-19 เป็นอันตราย
They are in (prep) school.
พวกเขาอยู่ในโรงเรียน

การใช้ verb to be เป็น 1. ใช้ใน continuous tenses นำหน้า กริยาที่เติม

กริยาช่วย ing แปลว่า กำลังทำ เช่น
They are working at the office.
(พวกเขากำลังทำงานอยู่ที่สำนักงาน)
2. ใช้ใน passive voice นำหน้า กริยาช่องที่ 3
แปลว่า ถูกกระทำ เช่น
This class is taught by Kru Tong.
(ชั้นเรียนนี้สอนโดยครูโต้ง)
รูปประโยคปฎิเสธและ ประโยคปฏิเสธ ใช้คำว่า not ต่อท้าย verb to be
คำถามของ เช่น
verb to be He is not satisfied with the exam result.
(เขาไม่พอใจกับผลการสอบ)
ประโยคคำถาม ให้สลับตำแหน่งเอา verb to be
มาไว้หน้าประธาน เช่น
Are you afraid of COVID-19?
(คุณกลัวโควิด-19 รึเปล่า?)
 ทดสอบท้ายบท
1. Everybody ____ leaving now.
a. is b. are
c. was d. were
2. Kru Tong has _____ here since 2005.
a. is b. be
c. been d. to
3. Reading newspapers _____ important.
a. are b. is
c. been d. be
4. A: What time _____ your flight?
B: At midnight today.
a. are b. is
c. was d. were
5. Most students ____ satisfied with the exam result last semester
because they failed.
a. are b. are not
c. were d. were not
6. These women ____ from Russia.
a. are b. is
c. been d. be
7. He can _____ a good actor.
a. are b. is
c. been d. be
8. Can I have a glass of water? I ____ thirsty.
a. was b. am
c. was not d. am not
9. _____ your brother going to the cinema tonight?
a. Is b. Are
c. Was d. Were
10. Their child _____ at school yesterday.
a. is b. are
c. was d. were
 เตรียมสอบภาษาอังกฤษ ภาค ก
รวมพลคนสอบครูผู้ช่วย วิทยากร บัวแสงใส
ตอนที่ 2 Verb to do
ครูโต้งติวเตอร์
Verb to do คือ คำกริยาชนิดหนึ่งที่ใช้ในภาษาอังกฤษ มีทั้งหมด 4 คำ
คือ do, does, did, done ซึ่งกริยาเหล่านี้เป็นได้ทั้งกริยาหลัก และกริยาช่วยใน
ประโยค
หลักการใช้ Verb to do
การใช้ do, does จะใช้กับ ปัจจุบัน โดยต้องเลือกใช้ให้สอดคล้องกับ
ประธาน
does ใช้กับ ประธานที่เป็นเอกพจน์
do ใช้กับ ประธานที่เป็นพหูพจน์
ตัวอย่างเช่น
Jenny does housework every day.
(เจนนี่ทำงานบ้านทุกวัน)
Their kids do homework before going to
bed.
(ลูกของพวกเขาทำการบ้านก่อนเข้านอน)
 การใช้ did จะใช้กับเหตุการณ์ในอดีต
ตัวอย่างเช่น
I did many projects last year.
(ฉันทำหลายโครงการปีที่แล้ว)
การใช้ done จะใช้กับ perfect tense ตัวอย่างเช่น
Kru Tong has done several jobs since he
graduated.
(ครูโต้งทำงานมาหลายงานนับตั้งแต่เขาเรียนจบ)
การใช้ verb to do เป็น จะแปลว่า ทำ เช่น
กริยาหลัก Nobody does Kru Tong’s homework.
(ไม่มีใครทำการบ้านครูโต้ง)
คำอื่นที่ใช้คู่กับ verb to do ในความหมายคล้ายกับ
คำว่า ทำ ได้แก่
Do chores (ทำงานบ้าน), Do the
gardening (ทำสวน), Do the ironing (รีดผ้า),
Do the shopping (ไปซื้อของ), Do business (ทำ
ธุรกิจ), Do a project (ทำโครงการ), Do a
report (ทำรายงาน), Do research (ทำวิจัย), Do
exercises (ทำแบบฝึกหัด), Do my hair (ทำผม
ของฉัน), Do my nails(ทำเล็บของฉัน), Do my
best (ทำดีที่สุดที่ฉันทำได้),
การใช้ verb to do เป็น จะใช้ร่วมกับกริยาหลัก เพื่อสร้างประโยคคำถาม และ
กริยาช่วย ประโยคปฏิเสธ
1. ประโยคคำถาม ให้นำ Do, Does, Did มาวางไว้
หลัง question word (who, what, when,
where, why, how) หรือวางต้นประโยค หน้า
ประธาน อย่าลืมดูความสอดคล้องกับประธาน และ
ให้ใช้ คำกริยาไม่เปลี่ยนรูป (infinitive) เช่น
Where does everyone go?
(ทุกคนไปไหน)
Did Tong win the first prize last month?
(โต้งถูกรางวัลที่ 1 เมื่อเดือนที่แล้วใช่ไหม)
Does John come with you?
(จอห์นมากับคุณไหม)
2. ประโยคปฎิเสธ ใช้ not ต่อท้าย do, does, did
อย่าลืมว่าหลัง verb to do ให้ใช้ คำกริยาไม่เปลี่ยน
รูป (infinitive) เช่น
Pim does not want to be a singer.
(พิมไม่อยากเป็นนักร้อง)
 ทดสอบท้ายบท
1. A: Where ___ Tong have his lunch on Mondays?
B: At a canteen.
a. do b. does
c. did d. didn't
2. A: What ___ Prayut cook for dinner yesterday?
B: Fish
a. do b. does
c. did d. didn't
3. A: Who ___ like driving a car?
B: Robert. He hates it.
a. doesn't b. does
c. didn't d. did
4. Has Kathy ______ the shopping yet?
a. do b. does
c. did d. done
5. Dave doesn't want to go out tonight, but his girlfriend ___.
a. do b. does
c. did d. done
6. Sally didn't enjoy the movies, but everyone else ___.
a. do b. does
c. did d. done
7. A: Which lesson ___ the students have on Tuesday afternoons?
B: Science
a. do b. does
c. did d. done
8. A: Why ____ you come with us?
B: I’d love to but I have to do chores.
a. does b. do
c. doesn’t d. don’t
9. _____ Peter _____ with his father?
a. Do/live b. Do/lives
c. Does/lives d. Does/live
10. Their child _____ to school because he is satisfied with his
friends.
a. don’t come b. doesn’t come
c. come d. comes
 เตรียมสอบภาษาอังกฤษ ภาค ก
รวมพลคนสอบครูผู้ช่วย วิทยากร บัวแสงใส
ตอนที่ 3 Verb to have
ครูโต้งติวเตอร์
Verb to have คือ คำกริยาชนิดหนึ่งที่ใช้ในภาษาอังกฤษ มีทั้งหมด 3 คำ
คือ has, have, had ซึ่งกริยาเหล่านี้เป็นได้ทั้งกริยาหลัก และกริยาช่วยใน
ประโยค
หลักการใช้ Verb to have
การใช้ has, have จะใช้กับ ปัจจุบัน และ อนาคต โดยต้องเลือกใช้ให้
สอดคล้องกับประธาน
has ใช้กับ ประธานที่เป็นเอกพจน์
have ใช้กับ ประธานที่เป็นพหูพจน์
ตัวอย่างเช่น
He has a number of cars.
(เขามีรถหลายคัน)
I will have lunch at 11:00 tomorrow.
(ฉันจะทานข้าวเที่ยงตอน 11:00 พรุ่งนี้)
 การใช้ had 1. จะใช้กับเหตุการณ์ในอดีต ตัวอย่างเช่น
Tim had a big dog.
(ทิมเคยมีสุนัขตัวใหญ่)
2. ใช้ใน perfect tense เป็นกริยาช่องที่ 3 เช่น
I have had a headache for the past few days.
(ฉันปวดหัวมา 2-3 วันแล้ว)
การใช้ verb to จะแปลว่า มี หรือ กิน เช่น
have เป็น Jason usually has breakfast at seven.
กริยาหลัก (เจสันมักจะรับประทานอาหารเช้าตอนเจ็ดโมง)
I have a great time here.
(ฉันมีช่วงเวลาที่ดีที่นี่)
Kate had a cold yesterday.
(เคทเป็นหวัดเมื่อวาน)

เมื่อ verb to have เป็นกริยาหลัก การสร้างประโยค

คำถาม และปฏิเสธ ทำได้โดยการนำ verb to do มาเป็น
กริยาช่วย เช่น
Does Jane have a new car?
(เจนมีรถคันใหม่ใช่ไหม)
I don’t have any sugar left.
(ฉันไม่มีน้ำตาลเหลือเลย)
 การใช้ verb to 1. เป็นกริยาช่วยใน perfect tense ได้แก่
have เป็นกริยา Present Perfect: S + have/has + V.3
ช่วย Past Perfect: S + had + V.3
Future Perfect: S + will have + V.3
เมื่อเป็นประโยคคำถาม นำ verb to have มาขึ้นต้น
ประโยค เช่น
Has he found his wallet?
(เขาเจอกระเป๋าของเขารึยัง)
2. เมื่อเป็นประโยคปฏิเสธ ใส่ not ตามหลัง verb to
have เช่น John and his brother haven’t left their
house since yesterday morning.
(จอห์นและน้องชายของเขายังไม่ออกจากบ้านตั้งแต่เช้าของ
เมื่อวาน)
การใช้ เราจะใช้ has to, have to, had to ในความหมายว่า
has/have/had to จำเป็นต้อง โดยมีโครงสร้างประโยค คือ
ในความหมายว่า S + have/has/had to + V.1 infinitive (ไม่เปลี่ยนรูป)
“จำเป็นต้อง” เช่น Tony has to do to the shopping because his
wife is sick.
(โทนี่จำเป็นต้องไปซื้อของเพราะภรรยาของเขาป่วย)
รูปปฎิเสธ ใช้ verb to do มาช่วย ในความหมายว่า
ไม่จำเป็นต้อง เช่น
I don’t have to get up early. Today’s my day
off. (ฉันไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า วันนี้เป็นวันหยุดของฉัน )
Causative Form หมายถึง การใช้ verb to have แสดงถึงการกระทำที่
ไม่ได้กระทำด้วยตัวเอง มี 2 ประเภท คือ
1. Have someone do something ให้ใครเป็นคนทำ
บางอย่างให้ผู้พูด โครงสร้างคือ
S + has/have/had + someone +Vinf (ไม่เปลี่ยนรูป)
+ something เช่น
Klopp had his son clean the room yesterday.
(คล็อปให้ลูกชายของเขาทำความสะอาดห้องเมื่อวาน)

2. Have something done ให้ใครทำบางอย่างโดยไม่ได้

พูดถึงตัวผู้กระทำ โครงสร้างคือ
S + has/have/had + something + V3 เช่น
I had my car fixed yesterday.
(ฉันเอารถของฉันไปซ่อมเมื่อวาน)
 ทดสอบท้ายบท
1. Kru Tong ____ finished his project yet.
a. hasn't b. haven't
c. has d. have
2. Kim ____ breakfast.
a. hasn't b. haven't
c. don't have d. doesn't have
3. She ____ an appointment.
a. hasn't b. haven't
c. don't have d. doesn't have
4. _____ got it?
a. Does she b. Has she
c. Did she d. Have she
5. She will ________ wait in line like everyone else.
a. has b. have
c. has to d. have to
6. They _____breakfast at 6:30 this morning.
a. have b. has
c. had d. have to
7. I have my friend _____ my car.
a. wash b. washes
c. washed d. washing
8. I had the window _____
a. clean b. cleaned
c. cleaning d. cleans
9. Maria _____ a pet cat, but she _____a pet dog.
a. doesn’t has/ has b. has/ has
c. doesn’t have/ has d. doesn’t have /have
10. The match ____ already started when we arrived.
a. had b. has
c. will have d. have
 เตรียมสอบภาษาอังกฤษ ภาค ก
รวมพลคนสอบครูผู้ช่วย วิทยากร บัวแสงใส
ตอนที่ 4 Part of Speech
ครูโต้งติวเตอร์
Part of Speech หมายถึง ส่วนที่ประกอบที่รวมกันออกมาเป็นคำพูด
แบ่งเป็น 8 ชนิดหลักคือ nouns (คำนาม), pronouns (คำสรรพนาม),
adjectives (คำคุณศัพท์), verbs (คำกริยา), adverbs (คำวิเศษณ์),
prepositions (คำบุพบท), conjunctions (คำสันธาน) และ interjections
(คำอุทาน)

Nouns (คำนาม)
คือ ชื่อที่ใช้เรียกแทน คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ความคิด นามธรรมต่างๆเช่น
man, dog, table, city, happiness, John, และ Thailand เป็นต้น

 Pronoun (คำสรรพนาม)
คำที่ใช้เรียกแทนคำนาม เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องกล่าวซ้ำเวลาพูดถึงอีกใน
ประโยคต่อมา I, You, We, They, He, She และ It เป็นต้น

 Verb (คำกริยา)
คือ คำที่ใช้แสดงการกระทำ เคลื่อนไหว หรือภาวะจิตใจ เช่น. go, speak,
run, eat, play, live, walk, have, like, are, และ is เป็นต้น
 Adverb (คำวิเศษณ์)
คือ คำที่ใช้ขยายความ คำกริยา คำคุณศัพท์ หรือคำวิเศษณ์ด้วยกันเอง
เพื่อให้เห็นภาพ หรือเข้าใจรายละเอียดมากขึ้น เช่น slowly, quietly, very,
always, never, too, well, tomorrow, และ here เป็นต้น
 Adjective (คำคุณศัพท์)
คือ คำที่ใช้ขยายคำนาม หรือสรรพนาม เพื่อให้เห็นภาพลักษณะของคำนาม
ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น good, big, red, interesting, interested เป็นต้น
 Preposition (คำบุพบท)
คือ คำที่ใช้บอกตำแหน่งหรือเชื่อมคำนาม สรรพนาม หรือวลีให้เข้ากับคำ
ชนิดอื่น เพื่อบอกให้ทราบรายละเอียดได้สมบู รณ์ขึ้น เช่น in, on, at, to, with,
by, of เป็นต้น
 Conjunction (คำสันธาน)
คือ คำที่ใช้เชื่อมระหว่าง คำ วลี หรือ ประโยค เข้าด้วยกัน and, or, but,
because, so, yet, unless, since, if เป็นต้น
 Interjection (คำอุทาน)
คือ คำที่ใช้เพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึก เช่น Oops! Oh! Wow! Hi! What
a nuisance! เป็นต้น
 ทดสอบท้ายบท
Directions: Identify parts of speech of the underlined word.
1. Two Covid-19 patients in Pathum Thani and Tak died on Thursday
and Friday.
a. Adjective b. Adverb
c. Noun d. Verb
2. The maximum speed limit on 4-lane highways in Thailand has
been increased to 120 kilometers per hour.
a. Adjective b. Adverb
c. Noun d. Verb
3. Smaller motorcycles will not be allowed to exceed 80kph, while
those with 400cc engines and 35-kilowatt engines and above are
limited to 100kph.
a. verb b. Adjective
c. Pronoun d. Adverb
4. The maximum speed limit for school buses is 80 kilometers per
hour
a. Conjunction b. Preposition
c. Adverb d. Verb
5. Covid-19 vaccinations in June are still set to proceed as
scheduled according to the Department of Disease Control.
a. Adjective b. Adverb
c. Noun d. Verb
6. Local production in Thailand is ramping up, with 61 million
AstraZeneca vaccines planned to be manufactured domestically by
Siam Bioscience by the end of the year.
a. Conjunction b. Adjective
c. Adverb d. Verb
7. Kru Tong will be here tomorrow.
a. Adjective b. Adverb
c. Noun d. Verb
8. Will the students be able to find the answer by themselves?
a. Noun b. Conjunction
c. Pronoun d. Preposition
9. I've forgotten my umbrella - what a nuisance!
a. Interjection b. Conjunction
c. Pronoun d. Preposition
10. Dorothy has been studying hard, yet her grade is still not
satisfying.
a. Interjection b. Conjunction
c. Pronoun d. Preposition
 เตรียมสอบภาษาอังกฤษ ภาค ก
รวมพลคนสอบครูผู้ช่วย วิทยากร บัวแสงใส
ตอนที่ 5 Noun
ครูโต้งติวเตอร์
คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ความรู้สึก ความคิด
นามธรรม ฤดูกาล ฯลฯ
การแบ่งประเภทของคำนามตามการนับ
1. คำนามนับได้ (countable nouns) เช่น a dog, two books, seven houses
2. คำนามนับไม่ได้ (uncountable nouns) คำเหล่านี้ห้ามเติม s เช่น
Water Sugar Equipment Experience
น้ำ น้ำตาล อุปกรณ์ ประสบการณ์
Furniture Advice Accommodation Progress
เฟอร์นิเจอร์ คำแนะนำ ที่พัก ความก้าวหน้า
Information Traffic Money Luggage
ข้อมูล จราจร เงิน สัมภาระ
Music Jewelry News Knowledge
ดนตรี อัญมณี ข่าว ความรู้
Milk Air Weather Rice
นม อากาศ สภาพอากาศ ข้าว
Clothing Bread Content Data
เสื้อผ้า ขนมปัง เนื้อหา ข้อมูล
Housework Homework Research Evidence
งานบ้าน การบ้าน งานวิจัย หลักฐาน
 การแบ่งประเภทของคำนามตามจำนวน
1. คำนามเอกพจน์ (singular nouns) เช่น a bus, an apple, a wolf, a tooth
2. คำนามพหูพจน์ (plural nouns) เช่น two buses, six apples, three
wolves, teeth

การเปลี่ยนนามเอกพจน์ให้เป็นนามพหูพจน์
1. เติม s เช่น dog - dogs, pen - pens, hand - hands, book - books
2. เติม es เมื่อลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, x, z เช่น bus – buses, kiss –
kisses, fox – foxes
3. ลงท้ายด้วย o และข้างหน้า o เป็นพยัญชนะ เติม es เช่น tomato –
tomatoes ยกเว้น pianos, kilos
4. ลงท้ายด้วย o และข้างหน้า o เป็นสระ เติม s เช่น zoo – zoos
5. ลงท้ายด้วย y และข้างหน้าเป็นพยัญชนะ เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
baby – babies
6. ลงท้ายด้วย y และข้างหน้า y เป็นสระ เติม s เช่น toy – toys, valley -
valleys
7. ลงท้ายด้วย f หรือ fe เปลี่ยนเป็น v แล้วเติม es เช่น knife – knives
ยกเว้น cliffs, gulfs
8. ลงท้ายด้วย f หรือ fe และหน้า f หรือ fe เป็นสระ ให้เติม s เช่น roof –
roofs
9. เปลี่ยนสระหรือเปลี่ยนรูป เช่น tooth – teeth, ox – oxen, mouse –
mice, goose - geese
10. ไม่เปลี่ยนรูป เช่น deer – deer, sheep – sheep, series – series
*series, species เป็นรูปเอกพจน์ด้วย เช่น a series, two series
*คำเหล่านี้เป็นพหูพจน์เสมอ poultry, cattle, police, scissors, glasses,
trousers, majority, minority, people (ประชาชน), peoples (คนหลายเชื้อ
ชาติ)

การแสดงความเป็นเจ้าของของคำนาม
1. ใช้ ’s กับเจ้าของที่มีชีวิตเอกพจน์หรือพหูพจน์ที่ไม่ลงท้ายด้วย s เช่น His
girlfriend’s car
2. นามเอกพจน์หรือพหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย s ให้เติมแค่ ’ หลังเช่น The kids
’activity
3. หากมีเจ้าของสองคน ใส่ ’s เฉพาะด้านท้าย เช่น Jane and Bob’s house
4. หากเป็นกลุ่มคำนาม ใส่ ’s เฉพาะด้านท้าย เช่น my brother-in-law’s
computer
5) ใช้ of กับเจ้าของที่ไม่มีชีวิต เช่น the playground of the school
 กฎเพิ่มเติม
คำนามต่อไปนี้ไม่เปลี่ยนรูปพหูพจน์ เมื่อมีจำนวนนับประกอบข้างหน้า
ได้แก่ dozen, foot, score, hundred, thousand, million ตัวอย่างเช่น
Give me three dozen of those eggs.
แต่ถ้า ไม่มีจำนวนนับประกอบข้างหน้า จะเติม s หลังนาม เช่น
I’ve told you that dozens of times.

คำนามพหูพจน์ เมื่อใช้ประกอบนามอีกตัวหนึ่ง จะเปลี่ยนใช้รูปเอกพจน์ แม้

ความหมายจะยังเป็นพหูพจน์ เช่น a two-mile walk, a five-pound note,
a six-lane motorway

คำนามที่บอกสัญชาติ ที่ลงท้ายด้วย ss และ se จะใช้รูปเดียวกันทั้งนาม

เอกพจน์และพหูพจน์ เช่น
a Japanese – two Japanese, a Swiss – two Swiss

 คำนามต่อไปนี้มีรูปเป็นพหูพจน์ (ชื่อวิชา ชื่อโรค) แต่ใช้อย่างรูปเอกพจน์เสมอ

เช่น physics, politics, statistics, mumps, measles
 ทดสอบท้ายบท
Directions: Choose the correct answer.
1. Could you give me ___ on your project?
a. an information b. some informations
c. some information d. informations
2. __________ mother is a teacher.
a. John and Jims' b. Johns' and Jims'
c. John's and Jim's d. John and Jim's
3. __________ have you read today?
a. How many news b. How many pieces of news
c. How much piece of news d. How much pieces of news
4. Thanks in advance for your answers. Any additional ________
welcome.
a. advices are b. advice are
c. advice is d. advices is
5. _______on the roads this morning?
a. was there much traffic b. was there many traffic
c. was there much traffics d. was there many traffics
6. Physics _______ based on experiments, measurements and
mathematical analysis
a. is b. are
c. don’t d. doesn’t
7. Give me three _______of those eggs.
a. dozen b. dozens
c. dozenes d. dozened
8. It is a fifty -________ book.
a. page b. pages
c. cover d. covers
9. Tammy cuts the paper with a _________.
a. knife b. scissor
c. scissors d. knive
10. We should drink eight _________ every day.
a. glass water b. glasses of waters
c. glasses of water d. glasses water
 เตรียมสอบภาษาอังกฤษ ภาค ก
รวมพลคนสอบครูผู้ช่วย วิทยากร บัวแสงใส
ตอนที่ 6 Article
ครูโต้งติวเตอร์
หมายถึง “คำนำหน้าคำนาม” คือ a, an, the
หลักการใช้ a/an
1. นำหน้านามนับได้เอกพจน์ โดยไม่ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น
A sheep is eating grass. (แกะกำลังกินหญ้า)
2. นำหน้านามเมื่อกล่าวถึงเป็นครั้งแรก เช่น
There is a girl at the park. (มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในสวน)
3. นำหน้านามเมื่อแสดงถึงคำนามนั้นทั้งจำพวก เช่น
A tiger is a fierce animal. (เสือเป็นสัตว์ดุร้าย)
4. นำหน้านามที่บ่งบอกอาชีพ เช่น
Tommy is a dentist. (ทอมมี่เป็นทันตแพทย์)
5. นำหน้าอาการป่วย เช่น
Tong has a headache. (โต้งปวดหัว)
6. นำหน้านามเอกพจน์แสดงหน่วยหรืออัตราการวัด เช่น
Sue brushes her teeth four times a day. (ซูแปรงฟันสี่ครั้งต่อวัน)
 หลักการใช้ the
1. นำหน้าคำนามที่มีสิ่งเดียว เช่น the sun, the moon, the sky
2. นำหน้าชื่อหนังสือพิมพ์ เช่น The Nation, The Times, The Sun
3. นำหน้าชื่อเครื่องดนตรี เช่น Tony can play the piano very well. (โทนี่เล่น
เปียโนได้ดี)
4. นำหน้าชื่อสกุล เป็นพหูพจน์เสมอ หมายถึง ครอบครัว เช่น The Johnsons
5. the + adjective เมื่อกล่าวถึงกลุ่มบุคคล เช่น the rich, the sick, the poor
6. ผู้พูดกับผู้ฟังเข้าใจว่าหมายถึง สิ่งของอันใด เช่น turn on the TV! (เปิด
โทรทัศน์เครื่องนั้น)
7. ใช้ the นำหน้าคำนามที่แสดงลำดับที่ เช่น the first, the second
8. ใช้ the นำหน้าคำ adjective ที่แสดงการเปรียบเทียบขั้นสูงสุด เช่น
He is the most intelligent student in the class. (เขาเป็นนักเรียนที่ฉลาด
ที่สุดในชั้น)
 ไม่ต้องมีคำนำหน้านาม (Zero Article)
1. นำหน้าชื่อทวีป เช่น, Asia, South America, Europe
2. นำหน้าชื่อประเทศ เช่น Belgium, France, Singapore, England, Italy
3. ชื่อโรงเรียน, มหาวิทยาลัย เช่น Bandonklang School, Ubon Ratchathani
University
4. ชื่อเมือง, ชื่อรัฐ เช่น Sidney, London, New York, Milan,
5. ชื่อภาษา เช่น French, English, Chinese, Arabic
6. ชื่อกีฬา เช่น volleyball, football, tennis, golf
7 ศาสนา เช่น Buddhism, Christianity, Islam
8. วัน, เดือน เช่น Sunday, Friday, January, February
9. มื้ออาหาร เช่น breakfast, lunch, dinner
10. ชื่อถนน เช่น Petkasem Road, A1 Road
11. ฤดูกาล เช่น summer, spring, winter, autumn
12. สถานที่ เมื่อไปตามจุดประสงค์ของสถานที่นั้น ๆ (ใช้ the ถ้าไปเพื่อจุดประสงค์
อื่น) เช่น He didn’t go to school today because he was sick. (เขาไม่ได้ไป
โรงเรียนวันนี้เพราะเขาป่วย)
 ทดสอบท้ายบท
Directions: Choose the correct answer.
1. When can you usually see ___ moon, in the morning, or at
night?
a. a b. an
c. the d. zero article
2. Last summer, Tom and Marry travelled to ___Thailand
a. a b. an
c. the d. –
3. The test results will be available in about ___ hour.
a. a b. an
c. the d. –
4. We're running out of ___ water.
a. a b. an
c. the d. –
5. Where did you buy _____ furniture in the living room?
a. a b. an
c. the d. –
6. Can you please go to __ convenient store on Sukhumvit Road
and buy some sugar?
a. a b. an
c. the d. –
7. What do you usually have for___ breakfast?
a. a b. an
c. the d. –
8. Tom is in ____hospital. He's going to have an operation.
a. a b. an
c. the d. –
9. ___Sahara gets its name from the word for desert in ___Arabic.
a. The / - b. The / the
c. A / the d. The / an
10. Tong can’t play ___ guitar though he loves listening to
___music
a. the / - b. the / the
c. - / the d. - / -
 เตรียมสอบภาษาอังกฤษ ภาค ก
รวมพลคนสอบครูผู้ช่วย วิทยากร บัวแสงใส
ตอนที่ 7 Pronoun
ครูโต้งติวเตอร์
Pronoun หรือ คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนคำนาม ทำหน้าที่แทนคำนาม
ในประโยค เพื่อเลี่ยงการใช้คำนามเดิมซ้ำอีก
Personal Pronoun
คือ สรรพนามที่ใช้แทนบุคคล หรือสิ่งของที่เราพูดถึง แบ่งเป็น
1. subject pronoun ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค ได้แก่ I, you, we,
they, he, she, it
2. object pronoun ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค ได้แก่ me, you, us, them,
him, her, it
subject I you we they he she it
pronoun
object me you us them him her it
pronoun
ความหมาย ฉัน คุณ พวกเรา พวกเขา เขา หล่อน มัน
 Possessive Pronoun
คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนามเมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่ mine,
ours, yours, his, hers, its, theirs ต่างจาก possessive adjective ที่ต้องอยู่
หน้าคำนาม
possessive pronoun = This is mine.
possessive adjective = This is my book.
possessive mine yours ours theirs his hers its
pronoun
possessive my your our their his her its
adjective
ความหมาย ของฉัน ของคุณ ของ ของ ของเขา ของ ของมัน
พวก พวกเขา หล่อน
เรา

Reflexive Pronoun
คือ สรรพนามที่สะท้อนการกระทำด้วยตนเอง ได้แก่
reflexive myself yourself ourselves themselves
pronoun ด้วยตัวฉันเอง ด้วยตัวคุณเอง ด้วยตัวพวกเรา ด้วยตัวพวกเขา
เอง เอง
himself herself itself
ด้วยตัวเขาเอง ด้วยตัวหล่อน ด้วยตัวมันเอง
เอง
 Definite Pronoun
หรือ Demonstrative Pronoun คือ สรรพนามชี้เฉพาะ ได้แก่
Definite this that these those
Pronoun นี่ นั่น พวกนี้ พวกนั้น
one ones the former the latter
อันหนึ่งนั้น กลุ่มหนึ่งนั้น คนแรก คนหลัง

Indefinite Pronoun
คือ สรรพนามไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงสิ่งใด ได้แก่
everyone everybody everything someone somebody
ทุกคน ทุกคน ทุกสิ่ง บางคน บางคน
something anyone anybody anything each
บางสิ่ง ใครก็ได้ ใครก็ได้ อันไหนก็ได้ แต่ละ
another either neither no one nobody
อีกหนึ่ง อันใดอันหนึ่ง ไม่ทั้งสอง ไม่มีใคร ไม่มีใคร
nothing others many several both
ไม่มีอะไร อีกกลุ่ม จำนวนมาก จำนวนมาก ทั้งสอง
few all most none
จำนวนน้อย ทั้งหมด ส่วนใหญ่ ไม่มี
 Interrogative Pronoun
คือสรรพนามที่ใช้ในการถามคำถาม ได้แก่ What, Which, Who, Whom,
Whose
what which who whom whose
อะไร อันไหน ใคร ใคร ของใคร

Relative Pronoun
คือสรรพนามเชื่อมความ ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาแล้วในประโยคข้างหน้า
และพร้อมกันนั้นก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคทั้งสอง ให้เป็นประโยคเดียวกัน ได้แก่

what which who whom whose

อะไร อันไหน ใคร ใคร ของใคร
whatever whichever whoever whomever whosever
อะไรก็ตาม อันไหนก็ตาม ใครก็ตาม ใครก็ตาม ของใครก็ตาม
 ทดสอบท้ายบท
Directions: Choose the correct answer.
1. Is this car yours? Yes, it's ____
a. me b. ours
c. my d. yours
2. That isn't Jane's house. ____is next door.
a. It b. She
c. Her d. Hers
3. My wife and I should have been more careful, we blame _____
for what has happened.
a. myself b. herself
c. ourselves d. themselves
4. ____two rings on her fingers belonged to____.
a. These / hers b. Those / her
c. Those / hers d. These / her
5. There was _____ to help me so I had to do all tasks myself.
a. oneself b. no one
c. everybody d. anybody
6. The cat tried to catch _____ tail in the mirror.
a. it’s b. it
c. its d. itself
7. Some people would rather work ____ rather than work as part
of a team.
a. by himself b. by themselves
c. by yourselves d. by yourself
8. Can I borrow your phone? ______ is out of battery.
a. it b. mine
c. yours d. theirs
9. A teacher of ____ is going to retire next month.
a. their b. they
c. theirs d. themselves
10. Jim and I took the money because it's ____. Mum gave ____
to _____.
a. our / it / us b. ours / them / us
c. ours / it / ours d. ours / it / us
 เตรียมสอบภาษาอังกฤษ ภาค ก
รวมพลคนสอบครูผู้ช่วย วิทยากร บัวแสงใส
ตอนที่ 8 Present Tenses
ครูโต้งติวเตอร์
Present tenses กล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 4 ประเภทย่อย
1. Present Simple
2. Present Continuous
3. Present Perfect
4. Present Perfect Continuous
1. Present Simple
โครงสร้าง Subject + V.1(s/es)
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นนิสัยหรือเกิดขึ้นเป็นประจำมักมีคำ
แสดงความถี่หรือความบ่อยรวมอยู่ด้วย เช่น
always usually often sometimes rarely
ตลอด เสมอ บ่อยๆ บางครั้ง ไม่ค่อยจะ
seldom once a twice a every week on
ไม่ค่อยจะ week year ทุกสัปดาห์ Saturdays
สัปดาห์ละครั้ง สองครั้งต่อปี ทุกวันเสาร์

ตัวอย่างเช่น Danny often comes to work late. (แดนนี่มาทำงานสายบ่อยๆ)

 2) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นจริงอยู่เสมอ เป็นจริงตามธรรมชาติ
ตัวอย่างเช่น
Water boils at 100 degree Celsius.
(น้ำเดือดที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส)
3) ใช้กับตารางเวลาหรือแผนการที่วางไว้ และมักมีคำบอกวันหรือเวลาที่
แน่นอน ตัวอย่างเช่น
The concert begins at 8 p.m.
(คอนเสิร์ตเริ่มตอนสองทุ่ม)
2. Present Continuous
โครงสร้าง Subject + is, am, are + Ving
1) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะที่พูดมักมีคำว่า
now, at the moment, right now, at present ตัวอย่างเช่น
They are watching TV now.
(พวกเขากำลังดูโทรทัศน์อยู่ตอนนี้)
2) ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
คาดว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน ตัวอย่างเช่น
We are going to Singapore on Saturday.
(เรากำลังจะไปสิงคโปร์วันเสาร์นี้)
 กริยาบางตัว ไม่ใช้ในรูป Present Continuous ได้แก่
smell taste feel hear sound
มีกลิ่น มีรสชาติ รู้สึก ได้ยิน ฟัง
see seem appear notice recognize
เห็น ดูเหมือนว่า ปรากฎ สังเกต จำได้
love like prefer hate wish
รัก ชอบ ชอบมากกว่า เกลียด ปรารถนา
look know understand believe remember
ดูเหมือน รู้จัก เข้าใจ เชื่อ จำได้
forget mean agree want own
ลืม หมายความว่า เห็นด้วย ต้องการ เป็นเจ้าของ
have ได้มี belong to
เป็นของ

3. Present Perfect
โครงสร้าง Subject + has, have + V3
1) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต และยังคงดำเนินต่อเนื่อง
มาจนถึงปัจจุบัน มักมีคำว่า since (+ จุดเริ่มต้นของเวลา), for (+ ระยะเวลา), so
far (จนถึงตอนนี้), up to now (จนถึงตอนนี้) ตัวอย่างเช่น
She has lived here since 2010.
(เธออาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปี 2010)
 2) ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงใหม่ ๆ มักจะใช้คำ just (เพิ่งจะ), already
(แล้ว) หรือ yet (ยัง) ตัวอย่างเช่น
The train has just arrived.
(รถไฟเพิ่งจะมาถึง)
3) ใช้แสดงการเคยหรือไม่เคย มักจะมีคำว่า never (ไม่เคย), ever (เคย),
once (ครั้งหนึ่ง), twice (สองครั้ง) ตัวอย่างเช่น
Have you ever been to Jakarta?
(คุณเคยไปจาการ์ตารึเปล่า)
4) ใช้กับเหตุการณ์ ที่บอกจำนวนครั้ง ตัวอย่างเช่น
He has been there three times.
(เขาเคยไปที่นนั่ สามครั้ง)

4. Present Perfect Continuous

โครงสร้าง Subject + has, have +been+ Ving
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต และยังคงดำเนินต่อเนื่องมา
จนถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคต ตัวอย่างเช่น
Jack has been waiting for Jane for two hours.
(แจ็ครอเจนมาเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว)
 ทดสอบท้ายบท
Directions: Choose the correct answer.
1. Tong ___ that school two times, but he still hasn’t received a
reply.
a. write b. am writing
c. has written d. writing
2. In December, it _____________ very often.
a. snow b. snows
c. is snowing d. will snow
3. Have you ____ been to Tokyo?
a. ever b. never
c. are d. go
4. Sorry, you can't borrow my pencil. I ______ it myself.
a. use b. am using
c. have using d. have use
5. ____ lunch yet?
a. Did you eat b. Do you eat
c. Have you eaten d. Are you eating
6. Tong rarely _____ to work late.
a. come b. comes
c. is coming d. has come
7. It's eleven p.m. Tong ___ for three hours and probably won't
finish until midnight.
a. have been studying b. has been studying
c. has been studied d. has studied
8. He has lived here ______ 1990.
a. since b. in
c. for d. at
9. Look! Tony ____ the dishes although he ____doing daily
chores.
a. is washing / don’t like b. is washing / hates
c. washes / hates d. washes / doesn’t like
10. I've _____drunk three cups of coffee this morning.
a. for b. since
c. already d. yet
 เตรียมสอบภาษาอังกฤษ ภาค ก
รวมพลคนสอบครูผู้ช่วย วิทยากร บัวแสงใส
ตอนที่ 9 Past Tenses
ครูโต้งติวเตอร์
Past tenses กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต แบ่งเป็น 4 ประเภทย่อย
1. Past Simple
2. Past Continuous
3. Past Perfect
4. Past Perfect Continuous
1. Past Simple
โครงสร้าง Subject + V.2
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มักมีคำว่า
yesterday (เมื่อวาน), last night (เมื่อคืน), last week (เมื่อสัปดาห์ก่อน), last
month (เมื่อเดือนที่แล้ว), once (ครั้งหนึ่งในอดีต) ago (ที่ผ่านมาแล้ว), when
she was young (เมื่อตอนที่หล่อนยังเป็นเด็ก), in 2010 (ในปี 2010)
ตัวอย่างเช่น
They had dinner at nine last night.
(พวกเขาทานอาหารค่ำตอนสามทุ่มเมื่อคืน)
She lived here when she was young
(หล่อนอาศัยอยู่ที่นี่เมื่อตอนที่หล่อนยังเป็นเด็ก)
การเปลี่ยนกริยาจากช่องที่ 1 เป็น ช่องที่ 2 ส่วนใหญ่จะเติม -ed แต่ก็มีหลาย
คำเป็น irregular verb ที่เปลี่ยนรูปกริยาไปเลย หรือคงรูปเดิม เช่น
leave - left – left (ออกจาก)
build – built – built (สร้าง)
cut – cut – cut (ตัด)
การสร้างประโยคคำถามและปฏิเสธ
เราจะใช้ did หรือ did not มาช่วยและตามด้วยกริยาไม่เปลี่ยนรูป
(infinitive) ตัวอย่างเช่น
Tong didn’t come back home this morning.
(โต้งไม่ได้กลับมาบ้านเมื่อเช้านี้)
Did he go with you yesterday?
(เมื่อวานเขาไปกับคุณรึเปล่า?)
ถ้าเป็นประโยคที่ต้องใช้ verb to be ก็ใช้ was/were แทน is/am/are
Were you married to Tom in 2007?
(คุณแต่งงานกับทอมในปี 2007 ใช่ไหม?)
เราสามารถใช้ used to + Verb 1 (infinitive) ในความหมายว่า "เคย"
แสดงถึงการกระทำในอดีตได้ เช่น
He used to go to work by train. (เขาเคยไปทำงานด้วยรถไฟ)
 2. Past Continuous
โครงสร้าง Subject + was, were + Ving
1. ใช้ร่วมกับ Past Simple Tense เมื่อมีเหตุการณ์ หรือการกระทำ 2 อย่าง
เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต โดยให้ใช้ Past Simple Tense กับเหตุการณ์สั้นๆ ที่
เกิดขึ้นทีหลัง และใช้ Past Continuous Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและ
กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้น เช่น
I was watching TV when she came.
(ฉันกำลังดูทีวีตอนที่หล่อนมาถึง)
 Past Con - เกิดก่อน
Past Sim - เกิดหลัง
2) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นพร้อมกันในอดีต โดยจะใช้
กริยาในรูป Past Continuous ทั้งคู่ เช่น
While he was watching TV, she was reading a book.
(ในขณะที่เขากำลังดูทีวี หล่อนก็กำลังอ่านหนังสือ)
 When ตามด้วย Past Sim
While ตามด้วย Past Con
 3. Past Perfect
โครงสร้าง Subject + had + V3
1. ใช้กับเหตุการณ์สองอย่างที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงในอดีต โดยเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นก่อนให้ใช้ Past Perfect Tense ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังให้ใช้ Past
Simple Tense เช่น
She had left when I arrived here.
(เธอออกไปแล้วตอนที่ฉันมาถึงที่นี่)
 Past Per - เกิดก่อน
Past Sim - เกิดหลัง
2. ใช้แสดงความปรารถนาในสิ่งที่ไม่เป็นจริงที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต เช่น
Tong wishes he had come here in time.
โต้งหวังว่าจะมาที่นี่ทันเวลา (ซึ่งในความเป็นจริงเขามาไม่ทัน)
 คำที่อาจจะพบใน Past Perfect Tense ได้แก่ before, after, already,
just, yet, until, till, as soon as, when, by the time เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
By the time Tong arrived here, we already had finished our
report.
(ตอนทีโ่ ต้งมาถึง พวกเราก็ทำรายงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว)
4. Past Perfect Continuous
โครงสร้าง Subject + had +been+ Ving
ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดอย่างต่อเนื่องและเกิดขึ้นก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่งใน
อดีต ตัวอย่างเช่น
Jack had been waiting for two hours when the train arrived.
(แจ็ครอมาแล้วเป็นเวลาสองชั่วโมงตอนที่รถไฟมาถึง)
 ทดสอบท้ายบท
Directions: Choose the correct answer.
1. Tong ______ to work because he had a cold yesterday.
a. came b. didn’t come
c. didn’t came d. had come
2. _____ David late this morning?
a. Did b. Was
c. Does d. Is
3. They watched TV from 8.00 until 10.00. I arrived at 9:30. When
I arrived, they ___TV.
a. watched b. were watching
c. had watched d. has watched
4. Yesterday at eight she ______ in front of her computer
a. sat b. sits
c. was sitting d. has sat
5. I was very tried at that time. I _____ for over two hours
a. wrote b. have written
c. was writing d. had been writing
6. My friends _____ while I was cooking dinner.
a. were washing dishes b. had washed dishes
c. washed dishes d. had been washed dishes
7. By the time the presentation began, they _____ their
discussion.
a. have completed b. were completing
c. had completed d. completed
8. The boy _____a shower when the phone ________.
a. was having / rang b. had / had rung
c. had had / had rung d. was having / was ringing
9. When I was young, I _______ in New York.
a. used to lived b. used to live
c. had lived d. had been living
10. I _______ that man until I ________ him in August last year.
a. have never seen / met b. had never seen / met
c. have never seen / had met d. had never seen / had met
 เตรียมสอบภาษาอังกฤษ ภาค ก
รวมพลคนสอบครูผู้ช่วย วิทยากร บัวแสงใส
ตอนที่ 10 Future Tenses
ครูโต้งติวเตอร์
Future tenses กล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต แบ่งเป็น 4 ประเภทย่อย
1. Future Simple
2. Future Continuous
3. Future Perfect
4. Future Perfect Continuous
1. Future Simple
โครงสร้าง Subject + will + Verb Infinitive (ไม่เปลี่ยนรูป)
1) เราจะใช้ will เมื่อเป็นการกระทำที่ตัดสินใจขณะที่พูด ไม่มีการวางแผน เป็น
ความคิด การคาดการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต และใช้ในประโยค
เงื่อนไข เช่น
It’s an interesting project. I will help you do it.
(มันเป็นโครงการที่น่าสนใจมาก ฉันจะช่วยคุณทำนะ)
If Frank comes here, I won’t go out.
(ถ้าแฟรงค์มาที่นี่ ฉันจะไม่ออกไปข้างนอก)
Won’t คือรูปย่อของคำว่า will not
 2) เราอาจใช้ “to be going to” หรือ present continuous แทน will/shall
เมื่อกล่าวถึงการกระทำที่วางแผนไว้แล้ว ใช้กับการทำนายในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น
He is going to Japan next week.
(เขาจะไปญี่ปนุ่ สัปดาห์หน้า)
Look at those black clouds! It‘s going to rain.
(ดูเมฆดำพวกนั้นสิ ฝนกำลังจะตกแน่ ๆ)
Tong is having a party tonight at his home.
(โต้งกำลังจะมีงานเลี้ยงคืนนี้ที่บ้านของเขา)

2. Future Continuous
โครงสร้าง Subject + will be + Ving
1) ใช้กับเหตุการณ์ที่จะกำลังกระทำอยู่ในอนาคต ที่ระบุเวลาชัดเจน เช่น
I will be studying at nine tomorrow.
(ฉันคงกำลังเรียนอยู่ในวันพรุ่งนี้ตอนเก้าโมง)
2) ใช้กับ เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดไม่พร้อมกันในอนาคต โดยเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นก่อน จะใช้ Future Continuous Tense เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง จะใช้
Present Simple Tense เช่น
I will be studying when you come home.
(ฉันคงกำลังเรียนอยู่ตอนที่คุณกลับมาถึงบ้าน)
3) ใช้กับการกระทำคู่ขนานในอนาคต หมายความว่ามี 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อม
กัน เช่น
John will be watching TV while you are sleeping tonight.
(จอห์นคงกำลังดูทีวีในขณะที่คุณกำลังหลับคืนนี้)
 3. Future Perfect
โครงสร้าง Subject + will have+ V.3
1) ใช้กับการกระทำที่จะเสร็จสิ้น ก่อนช่วงเวลาที่ระบุเฉพาะ ในอนาคต มักจะ
มีคำว่า by + เวลา หรือ before + เวลา เช่น
I will have finished my project by the end of this month.
(ฉันจะทำโครงการให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนนี้)
2) ใช้บอกเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในอนาคต เรื่องที่จบก่อนใช้ Future
Perfect เหตุการณ์ตามหลังเป็น Present Simple เช่น
Thomas will have left when Jim arrives.
(โธมัสคงออกไปแล้วเมื่อตอนที่จิมมาถึง)

4. Future Perfect Continuous

โครงสร้าง Subject + will have been + Ving
ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดอย่างต่อเนื่องและเกิดขึ้นก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่งใน
อดีต ตัวอย่างเช่น
Tom will have been waiting for his wife for two hours when she
comes.
ทอมคงจะรอภรรยาของเขามาแล้วสองชั่วโมงตอนที่เธอมาถึง
 ทดสอบท้ายบท
Directions: Choose the correct answer.
1. A: Is your boss free tomorrow at nine o’clock?
B: Sorry, he ____ at nine o’clock.
a. will work b. will be working
c. won’t work d. will have worked
2. If it rains tomorrow, we ____at home.
a. will be staying b. will have stayed
c. will stay d. will have been staying
3. A: Why is Paul wearing that suit today?
B: He _____ see his new boss.
a. will not b. will
c. is going to d. is not going to
4. The books ___ by the end of this year.
a. will publish b. will have been published
c. will be publishing d. will be publish
5. The student will have left by the time the teacher _____in.
a. comes b. will come
c. will have come d. came
6. Will you ____ by 8 a.m.?
a. be b. be arrive
c. have arrived d. have been arriving
7. Wait! I _____ you to the station.
a. am going to drive b. will drive
c. will be driving d. will have driven
8. By next week Henry _______ this work.
a. finishes b. finish
c. will be finishing d. will have finished
9. When Tim and Jenny _____ married in March, they ______
together for ten years.
a. get / are b. get / will have been
c. will get / are d. will get / will have been
10. Say goodbye to me now. By the time you return, I ____ for
Korea.
a. leave b. will be leaving
c. will have left d. will have been leaving